บทที่ 207 ดื่มสุรา ท่องตำราหน้าหลุมศพ
ฤดูในตอนนี้ ยามอยู่ที่สำนักเจ็ดเนตรโลหิตก็เป็นเพียงแค่ปลายฤดูใบไม้ร่วงเท่านั้น แต่ที่ผืนอินทนิลที่นี่เป็นเหมันต์อันหนาวเหน็บแล้ว
ลมหิมะโปรยปรายแล้วร่วงหล่น โปรยปรายทั่วผืนดิน ปกคลุมเมืองโบราณเก่าแก่เมืองนี้เอาไว้
มองไกลๆ วังสีแดงเข้มแต่ละวังๆ นั่นเหมือนประดับอยู่บนพื้นหิมะที่กว้างไกลไร้ขอบเขตประดุจมหาสมุทร
หิมะปลิวโปรยปราย
ทั่วทั้งผืนดินถูกปกคลุมไว้เป็นชั้นๆ คนสัญจรบนถนนมีไม่มาก แต่ละคนล้วนสวมเสื้อหนา แต่กลับไม่อาจปัดเกล็ดหิมะที่โปรยปรายลงมาไม่หยุดไปได้ ทำให้แต่ละคนเหมือนกำลังเดินเข้าสู่วัยชรา
ความรู้สึกตกต่ำ ทั้งยังแผ่อวลไปด้วยความกดดันค่อยๆ ผสานไปในสภาพแวดล้อมตามเกล็ดหิมะ ตามสีหน้าเฉยชาของคนที่สัญจร หลายเป็นบรรยากาศของที่นี่
และหลังคากระเบื้องของสิ่งก่อสร้างทั้งหมดทั่วเมืองก็เหมือนเกาะโดดเดี่ยวท่ามกลางทะเลหิมะ
ที่นี่ก็คือผืนอินทนิล
ที่นี่ก็คือเมืองหลวงของทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณในอดีต
เมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อนในทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณมีรัฐหนึ่งชื่อว่ารัฐม่วงคราม และเคยรวมทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณให้เป็นหนึ่ง มีหงส์เพลิงเป็นสัญลักษณ์ แต่สุดท้ายในกลียุคที่เหี้ยมโหดนี้ก็ไม่อาจอยู่ได้ยืนยาว
ทำได้เพียงแตกสลายไปในกลียุค ทำให้รัฐม่วงครามถูกฝังกลบอยู่ในประวัติศาสตร์ กลายเป็นอดีต
ส่วนเชื้อพระวงศ์ในตอนนั้นและทรัพย์สินมรดกก็ถูกกลุ่มกบฏพวกนั้นในตอนนั้นแบ่งผลประโยชน์สายเลือดเองก็เช่นกัน แห้งเหือดหายไปจนถึงทุกวันนี้
และหลังจากที่กลุ่มกบฏแบ่งผลประโยชน์ทุกอย่างแล้ว ก็กลับกลายเป็นสายหลัก ก่อตั้งแปดตระกูลใหญ่ขึ้นมา ครอบครองดินแดนผืนอินทนิล กลายเป็นตระกูลใหญ่ของผืนอินทนิลสืบทอดต่อมาจนถึงปัจจุบัน พวกเขาเคารพบูชาสัญลักษณ์หงส์เพลิงเช่นกัน มีหงส์เพลิงเป็นเทพของพวกเขา
กวาดตามองไป ขนาดของทั้งเมืองหลวงผืนอินทนิลใหญ่กว่าเมืองหลักเจ็ดเนตรโลหิตประมาณสามเท่า ในนั้นถูกแบ่งเป็นแปดเขต
แบ่งเป็นแปดตระกูล
ทุกเขตในเมืองล้วนมีสิ่งก่อสร้างที่เหมือนวังหนึ่งแห่ง ซึ่งก็คือพื้นที่เดิมของตระกูลทั้งแปดนี้
วังของบางตระกูลถูกโอบล้อมไปด้วยสระน้ำสีเขียวมรกต จอกแหนลอยไปทั่วฉายความใสกระจ่าง หงส์และมังกรแกะสลักตามมุมหลังคา เกล็ดทองเป็นประกายยิบยับ งดงามสมจริงราวมีชีวิต
วังของบางตระกูลกระเบื้องเคลือบสีเหลืองทองส่องประกายเจิดจ้าใต้แสงอาทิตย์ยามฤดูหนาว มองไปไกลๆ แล้วหลังคาที่สลับซับซ้อน ตระกาลตายิ่งนัก
เทียบกับสำนักเจ็ดเนตรโลหิตแล้วเป็นรูปแบบที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
เทียบกันแล้ว ผืนอินทนิลเหมือนชายชราที่สวมชุดอลังการแต่กลับดื้อดึงคร่ำครึคนหนึ่ง ทุกอย่างล้วนต้องเป็นกฎระเบียบ ทุกอย่างล้วนต้องขึ้นกับสายเลือด ทุกอย่างต้องคิดพิจารณาถึงประเพณีของตระกูลเป็นอันดับแรก
นี่ก็คือวิถีการดำรงอยู่ในกลียุคของพวกเขา ไม่เหมือนกับสำนักเจ็ดเนตรโลหิต และบอกไม่ได้แบบใดดีกว่ากัน
แต่สิ่งที่สามารถมองเห็นได้คือ สำนักเจ็ดเนตรโลหิตในฐานะที่เป็นสาขาย่อยของพันธมิตรเจ็ดสำนัก นับตั้งแต่แรกก็สู้ผืนอินทนิลไม่ได้ในระดับหนึ่ง จนจวนเวลาหมุนผ่าน ภายใต้การพัฒนาก็ค่อยๆ ทัดเทียมกัน
ตอนนี้ยิ่งจากการทะลวงขั้นของบรรพจารย์เสี่ยเลี่ยนจื่อก็แซงหน้าไปเลยในทีเดียว กระทั่งว่ามีกำลังเปิดศึกกับต่างเผ่า
แต่ผืนอินทนิลไม่ทำเช่นนั้น
พวกเขาชอบปิดกั้นตัวเอง ไม่ชอบให้คนอื่นมารบกวน กระทั่งว่าในขณะเดียวกับที่พวกเขาเคารพยำเกรงเสี้ยวหน้าเทพเจ้าบนท้องฟ้า ก็ดูถูกขั้วอำนาจทุกขั้วอำนาจของโลกภายนอก ต่อให้เป็นแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ พวกเขาก็ดูถูกเช่นกัน
พวกเขาคิดว่าสายเลือดของพวกเขาถึงจะสูงส่งที่สุด และไม่คิดว่าตัวเองเป็นกบในกะลา
ดังนั้น คนที่มีชีวิตอยู่ที่นี่ หากไม่ได้สืบทอดสายเลือดมา เช่นนั้นส่วนมากล้วนไม่มีอนาคต แน่นอนว่าย่อมไม่มีความฮึกเหิมกระตือรือร้น อีกทั้งความเป็นทาสยังค่อยๆ แทรกซึมไปในวิญญาณ ทุกยุคสมัยทุกรุ่นล้วนเป็นเช่นนี้
ปรมาจารย์ไป่เป็นบุคคลจำนวนน้อยของผืนอินทนิลในหมื่นปีมานี้
และเป็นคนแรกที่อยากทำลายความคิดดั้งเดิมของตระกูล อยากจะพัฒนาไปพร้อมกับสมาพันธ์เผ่ามนุษย์โลกภายนอก
ความคิดของเขาขัดกับผืนอินทนิล และต้องจ่ายค่าตอบแทนกับเรื่องนี้ กลายเป็นคนธรรมดา
แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ อาศัยความสามารถอันเลิศล้ำ อาศัยวิถีสมุนไพร ในวันเวลาอันมีจำกัดก้าวเดินจากเส้นทางอีกเส้นหนึ่งออกมา
อีกทั้งตำรับยาจำนวนมากที่ค้นคว้าออกมา ในด้านวิถีสมุนไพรก็ยิ่งอาศัยพลังของมนุษย์ธรรมดาของตัวเองเพียงลำพังก็ก้าวล้ำผู้บำเพ็ญแล้ว
กระทั่งว่าในระดับหนึ่ง ก็เป็นบุคคลอันดับหนึ่งของวิถียาลูกกลอนแห่งทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ
ต่อให้เป็นเจ้ายอดเขาลำดับสองของสำนักเจ็ดเนตรโลหิต นางที่เป็นผู้บำเพ็ญระดับปราณก่อกำเนิดก็ยังนับถือปรมาจารย์ไป่เป็นอย่างมาก บุคคลที่เหมือนนายท่านเจ็ดก็ต้องเรียกว่าปรมาจารย์
ทุกอย่างนี้ล้วนมองเห็นความชำนาญในด้านวิถีลูกกลอนของปรมาจารย์ออกว่าเป็นขอบเขตสูงสุดแล้ว
แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น ในดินแดนผินอินทนิล เขาก็ถูกกฎเกณฑ์มากมายพันธนาการ หลายๆ เรื่องล้วนทำอะไรไม่ได้ ทุกอย่างล้วนเป็นเพราะสายเลือด
ปรมาจารย์ไป่ไม่ใช่สายเลือดหลักของตระกูลไป่ เขามีชาติกำเนิดจากสายรอง
ตอนนี้ลมหิมะพัดรุนแรงกว่าเดิม
ท่ามกลางหิมะโปรยปราย ในสุสานสาธารณะของเขตที่ตระกูลไป่อยู่ มีคนสิบกว่าคนยืนเงียบๆ อยู่ตรงนั้น ข้างหน้าพวกเขามีโลงผลึกแก้วโลงหนึ่ง ร่างของปรมาจารย์ไป่นอนอยู่ในนั้น แผลที่คิ้วถูกปกปิดไปแล้ว
ส่วนร่างแม้จะมีพลังเวทรักษาสภาพ ยิ่งใช้โลงผลึกแก้วผนึกเอาไว้ แต่หากมองให้ละเอียดก็ยังมองเห็นว่าร่างของปรมาจารย์ไป่กำลังเน่า อีกทั้งเปลี่ยนเป็นสีดำ
นี่คือลักษณะของการโดนพิษ พิษนี้รุนแรงมาก สามารถเร่งการเน่าเปื่อย
ดังนั้นร่างจึงไม่อาจเก็บได้นาน ทำได้เพียงต้องฝังในพลบค่ำของวันนี้ ภายใต้แสงอาทิตย์ยามอัสดงที่หมองหม่นในวันหิมะตก
ความเจือจางของสายเลือดทำให้หลังจากที่ปรมาจารย์ไป่ตายก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าไปในสุสานหลวงของตระกูล และในตอนที่มีชีวิตอยู่ปรมาจารย์ไป่ก็ไม่ให้ค่ากับเรื่องนี้ หลายปีก่อนก็เคยสั่งเอาไว้ว่า หลังจากที่ตัวเองตายไปแล้วฝังไว้ในสุสานสาธารณะก็ได้
กลุ่มคนส่วนใหญ่เงียบนิ่ง ไป่อวิ๋นตงก็อยู่ในนี้เช่นกัน
คนที่มาที่นี่ได้ ถ้าไม่ใช่ลูกหลานของปรมาจารย์ไป่ก็เป็นคนที่คบค้ากับเขา จำนวนไม่ได้มาก แต่ชีวิตเขาชีวิตนี้บางทีอาจจะไม่ต้องการมีสหายที่มากล้นเหลือ สหายรู้ใจสามคน ห้าคนก็เพียงพอแล้ว
รอบๆ คนทั้งหลายที่อยู่หน้าหลุมศพ บรรยากาศที่กดดันก็ยิ่งหนักหน่วงขึ้นจากการที่โลงถูกฝัง จวบจนเด็กสาวคนหนึ่งควบคุมไม่อยู่ ส่งเสียงร้องไห้ออกมาถึงได้ทำลายความกดดันนี้
คนที่ร้องออกมาคือถิงอวี้
สองปีผ่านไป นางเติบโตขึ้น วัยแรกแย้มกำดัด เดิมควรจะไร้ทุกข์ไร้กังวลเหมือนที่ผ่านๆ มา แต่ตอนนี้จากการตายของปรมาจารย์ไป่ ฟ้าของนางถล่มลงมาแล้ว
นางคุกเข่าอยู่หน้าหลุมศพ น้ำตาไหลรินเป็นหยดๆ สุดแสนจะเศร้าโศก
ข้างๆ นางมีเด็กหนุ่มอายุสิบแปดสิบเก้ายืนอยู่ เด็กหนุ่มคนนี้แผ่นหลังเหยียดตรง สง่างามองอาจห้าวหาญ เสื้อผ้าอาภรณ์บนร่างหรูหราเป็นอย่างยิ่ง หยกประดับที่ห้อยอยู่ที่เอวยิ่งส่องประกายอาวุธเวทออกมา
เขาก็คือเฉินเฟยหยวน
ยิ่งเป็นหลานคนโตสายหลักของตระกูลเฉินรุ่นนี้ การปิดกั้นค่ายกลหลังปรมาจารย์ไป่ตายครั้งนี้เป็นเขาที่ผลักดันอย่างสุดกำลังอยู่เบื้องหลังถึงทำได้
ตอนนี้เขากำหมัดแน่น หายใจถี่กระชั้น จิตสังหารในดวงตารุนแรงเป็นอย่างยิ่ง เข้มข้นเป็นอย่างยิ่ง
และท่ามกลางความโศกเศร้าและโกรธแค้นนี้ พวกเขาไม่ได้สังเกตว่า ในที่ไกลๆ ของสุสานแห่งนี้มีชายกลางคนคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ในตรอกแห่งหนึ่งอยู่เงียบๆ มองที่นี่มาจากไกลๆ
ชายกลางคนคนนั้นสวมชุดคลุมยาวผ้ากระสอบ หน้าตาไม่โดดเด่น ใบหน้ายังค่อนข้างเหลืองซีด แต่ในดวงตาของเขากลับฉายความเศร้าโศกเหลือแสนออกมา ตอนนี้ตัวสั่นสะท้านเล็กน้อย มือขวาที่แตะกำแพงข้างๆ บีบมันจนแตกละเอียดไปแล้ว
ผ่านไปนาน ฟ้าค่อยๆ มืดลง จากการลาลับของดวงอาทิตย์ยามอัสดงไปอย่างช้าๆ จากแสงสายันห์ที่ค่อยๆ เลือนหายไป คนทั้งหลายที่อยู่หน้าหลุมศพของปรมาจารย์ไป่ท่ามกลางแสงสุดท้ายของวัน ก็จากไปอย่างเงียบๆ
คนสุดท้ายที่จากไปคือถิงอวี้และเฉินเฟยหยวนกับบ่าวติดตามเหล่านั้นของเขา
ชายกลางคนนิ่งเงียบ เดินไปข้างหน้า เขาไม่มองคนทั้งหลายที่จากไป เดินเข้าไปใกล้ยังสุสานสาธารณะแห่งนั้น เดินผ่านเฉินเฟยหยวนและถิงอวี้ทางนั้นไป
เฉินเฟยหยวนประคองถิงอวี้ที่ยังคงน้ำตารินไหล ทุกข์ระทมโศกเศร้าเป็นที่สุด และสังเกตเห็นสวี่ชิงเช่นกัน แค่เขาที่อยู่ในความเสียใจจึงไม่ได้ไปสนใจ สุสานแห่งนี้ใหญ่มาก ในทุกๆ วันคนที่มาเยี่ยมหลุมศพมีมากมาย
นี่ก็เป็นเรื่องที่เขายิ่งโศกเศร้าแค้นเคือง อาจารย์ของเขาเฉินเฟยหยวนคนนี้ต้องถูกฝังอยู่ที่นี่ แต่เขากลับทำอะไรไม่ได้
“เจ้าว่า เขาจะมาหรือไม่…” ถิงอวี้ที่อยู่ในความทุกข์เศร้าเช็ดน้ำตา เอ่ยถามเสียงเบาอย่างอ่อนแรง
“เขาหรือ หึ เขาจะมาก็มาตั้งนานแล้ว ตอนนี้ยังไม่น่าก็น่าจะเหมือนคนอื่นๆ อกตัญญูเหมือนกันหมด!” เฉินเฟยหยวนไม่จำเป็นต้องขบคิดอะไรทั้งนั้นก็รู้ว่าคนที่ถิงอวี้พูดคือใคร ตอนนี้เอ่ยกัดฟันกรอดๆ
ถิงอวี้นิ่งเงียบ
ชายกลางคนเดินผ่านพวกเขาไปเงียบๆ จวบจนคนทั้งหลายข้างหลังจากไปไกล เขาก็มาที่หน้าหลุมศพปรมาจารย์ไป่ มองป้ายหลุมศพข้างหน้าด้วยดวงตาแดงก่ำ
“อาจารย์…” ชายกลางคนพึมพำ เสียงแหบแห้ง คุกเข่าลงหน้าป้ายหลุมศพ
เขาก็คือสวี่ชิงที่ส่งข้ามายังผืนอินทนิลนั่นเอง!
หลังจากส่งข้ามมาที่ผืนอินทนิล สวี่ชิงก็สืบข่าวพิธีฝังศพของปรมาจารย์ไป่ทันที และรีบเดินทางมา แต่เขารู้ว่าชุดนักพรตของตัวเองโดดเด่นเกินไป ไม่สะดวกในการสืบคดีตามจับฆาตกร
ดังนั้นเขาจึงแปลงโฉมมายังที่นี่
ตอนนี้เขามองป้ายหลุมศพ สวี่ชิงรู้สึกว่าหน้าอกเจ็บปวดนิดๆ ความเจ็บปวดนี้ยิ่งลึกลงเรื่อยๆ เริ่มแผ่ลามไปทั่วกาย
ชั่วชีวิตของเขาจนถึงตอนนี้ เขาคุกเข่าหมอบคารวะเพียงสองป้ายหลุมศพเท่านั้น ป้ายหนึ่งคือหัวหน้าเหลย ป้ายหนึ่งคือปรมาจารย์ไป่
“อาจารย์ เรื่องนี้ข้าจะหาฆาตกรให้ได้ หาคนที่อยู่เบื้องหลังให้เจอ” สวี่ชิงเอ่ยอย่างขมขื่น หลังจากโขกศีรษะหน้าป้ายหลุมศพ ก็หยิบเอากาเหล้าทรงน้ำเต้าใบหนึ่งออกมา แล้ววางไว้ที่หน้าหลุมศพ
“หัวหน้าเหลยบอกว่าอาจารย์ชอบดื่มเหล้า ศิษย์ร่วมดื่มกับท่าน” สวี่ชิงพพูดพลางหยิบกาเหล้าขึ้นมาแล้วดื่มมัน จากนั้นก็เทลงหน้าหลุมศพ แล้ววางกาเหล้าไว้ข้างๆ
“อาจารย์ คัมภีร์สมุนไพรที่ท่านทิ้งเอาไว้ ศิษย์ท่องได้หมดแล้ว จำได้อย่างขึ้นใจ ข้าจะท่องให้ท่านฟัง
“วิถีสมุนไพร หนึ่งในสรรพสิ่งทั้งหลาย ทว่าก็เหมือนดั่งมหามรรคา เข้าใจถึงแก่น กระจ่างในสัจธรรม
“ต้นที่หนึ่ง หญ้ากระดุมทอง มีอีกชื่อเรียกว่ามุกสามใบ หญ้าไล่หนาว เป็นพืชจำพวกหญ้าตระกูลกกที่มีอายุยืนหลายปี ขึ้นอยู่ในป่าบนเนินเขาและพื้นที่ชื้นโล่งกว้าง มีในเมืองฝันตระการทางใต้ของทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณและปัญญาอนันต์ สองทวีปนี้
“ต้นที่สอง หญ้าหงอนเพลิง หรือไหมเมฆา เป็นพืชวงศ์วิญญาณเพลิง เป็นพืชที่มีอายุยืนหลายปี สรรพคุณทำให้ปอดชุ่ม แก้ไอ มีฤทธิ์เย็นแก้พิษ แก้ฟกช้ำ ลดบวม สรรพคุณด้านแก้พิษงู หกล้มเป็นแผลที่น่าอัศจรรย์นัก
…
“ต้นที่หนึ่งร้อยสามสิบเจ็ด หมอกละลายวิญญาณ มีอีกชื่อว่าสวรรค์ปิดเนตร หญ้าประหลาดขั้นมหาวิญญาณวงศ์กำเนิดหมอก สรรพคุณของมันคือละลายวิญญาณ ทำสัญลักษณ์ ยากจะค้นพบ ยากจะกำจัด เป็นตัวยาหลักของลูกกลอนลาลับสิบสองชั่วยาม”
สวี่ชิงพึมพำเสียงเบา ท่องสมุนไพรที่ตนจำทั้งหมดในตำราสมุนไพรออกมา
ในขณะที่เขาเหม่อลอยก็เหมือนเห็นเงาร่างของปรมาจารย์ไป่ปรากฏอยู่ตรงหน้า กำลังดื่มเหล้าพลางยิ้มมองมาที่เขา แววตาแฝงด้วยความทรงอำนาจ ทว่าความชื่นชมกลับฉายออกมาอย่างปิดไม่มิด
“เชียนหนิวราตรี มีอีกชื่อว่าหญ้าดอกชะเมา ไม้เถาวงศ์เบญจมาศ เป็นไม้เลื้อย ขึ้นอยู่ในหุบเขาศพยะเยือก ริมลำธารมืดเย็นหรือในป่า รสชาติเฝื่อนฝาด เมื่อเข้าปากจะอุ่นเล็กน้อย ให้ความรู้สึกเปื่อยเน่า มีสรรพคุณในการขับความชื้นไล่ลม แต่ใช้เกินขนาดจะเป็นพิษ นับเป็นพืชมาตรฐานของสมุนไพรเพียบพร้อมหยินหยาง”
ลมหนาวพัดมา เกล็ดหิมะแต่ละเกล็ดๆ โปรยปรายลงมา เสียงของสวี่ชิงสะท้อนอยู่หน้าหลุมศพของปรมาจารย์ไป่ จวบจนราตรีมาเยือน เจ้าเงาก็ส่งระลอกคลื่นอารมณ์กลุ่มหนึ่งมา
เหมือนจะบอกเขาว่าหาเจอแล้ว!
สวี่ชิงพลันเงยหน้าขึ้น มองไปยังป้ายหลุมศพของปรมาจารย์ไป่อย่างเงียบๆ โขกศีรษะอย่างแรงสามครั้ง ในเสี้ยวขณะที่ยืนขึ้น จิตสังหารของเขาก็น่าตื่นตะลึง ก่อนจะหายไปในความมืด
หลังจากที่เขาจากไปไม่นาน ที่ไกลๆ มีเงาร่างหลายร่างมาถึงอย่างรวดเร็ว คนที่อยู่ข้างหน้าสุดก็คือถิงอวี้ ข้างหลังนางคือเฉินเฟยหยวนและบ่าวติดตามหลายคน
“ถิงอวี้ เจ้ามองผิดหรือเปล่า จะเป็นไปได้อย่างไร เขาตอนนี้เป็นถึงคนเด่นคนดังของสำนักเจ็ดเนตรโลหิต จะมาระลึกถึงท่านอาจารย์ที่อยู่ทางนี้ได้อย่างไร”
“ไม่มีทางผิดแน่นอน แววตาของเขาข้าจำได้ หลังจากที่ข้ากลับไปก็ย้อนนึกอย่างละเอียด เป็นเขาอย่างแน่นอน!”
บทที่ 203 เลื่อนขั้นอีกครั้ง
เวลาคล้อยเคลื่อน เพียงพริบตาก็ผ่านไปเจ็ดวัน
เด็กสาวชุดดำจากเกาะบูรพาสงัดถูกคุมขังอยู่ในหน่วยนิลกาฬ ต่อให้ทั้งร่างถูกเพิ่มอีกสิบห่วง นางก็ยังคงไม่ยอมจำนน คำสาปแช่งต่างๆ ล้วนก่นด่าสาปแช่งสวี่ชิงทั้งสิ้น เพียงแต่คุกที่นางอยู่เสียงลอดออกมาไม่ได้
แต่เห็นได้ชัดว่าพลังของนางเปี่ยมล้น ต่อให้ผ่านไปแล้วเจ็ดวัน นางพบว่าสำนักเจ็ดเนตรโลหิตไม่ปล่อยนางออกไปก็ยิ่งคลุ้มคลั่งกว่าเดิม
หลังจากสวี่ชิงรู้เรื่องนี้ก็สั่งการลงมา เพิ่มให้นางอีกสิบห่วง พลังผนึกมหาศาลทำให้เด็กสาวชุดดำยิ่งคลั่งแค้น แต่พลังไม่เหลือเท่าไรแล้ว ดังนั้นคำก่นด่าของทุกวันย่อมน้อยลงไปบ้าง
สวี่ชิงไม่ได้ไปดู แค่อ่านรายงานสภาพความเป็นอยู่ของอีกฝ่ายจากม้วนเอกสารเท่านั้น ก็ไม่ได้ไปสนใจอะไร
ส่วนจะปล่อยเด็กสาวคนนี้ไปเมื่อไร สวี่ชิงรู้สึกว่าไม่ต้องรีบร้อน อีกทั้งท่าทีของสำนักต่อเรื่องนี้ก็น่าสนใจนัก นอกจากวันนั้นแล้วก็ไม่ได้ถามไถ่อะไรอีก
เหมือนว่าทุกอย่างจะปล่อยให้เขารับผิดชอบจริงๆ ความรู้สึกอัศจรรย์เช่นนี้ สวี่ชิงเพิ่งเคยสัมผัสในสำนักเจ็ดเนตรโลหิตเป็นครั้งแรก
“เหตุจากรายชื่อจัดอันดับหรือ” สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด แต่ว่าเขาก็รู้จักประมาณตน ย่อมไม่ทำเรื่องโง่ๆ อย่างการฆ่าเด็กสาวชุดดำไปแบบนี้
หากจะฆ่า ก็ต้องรอหลังจากที่ปล่อยตัวไป สังหารในตอนที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัว
ดังนั้นเขาก็รอสำนักประกาศแผนการที่จะตามมาของเรื่องนี้ และเรื่องนี้ก็เห็นได้ชัดว่าไม่มีทางเลิกราง่ายๆ แบบนั้น จะอย่างไรสำนักเจ็ดเนตรโลหิตก็เป็นฝ่ายมีความชอบธรรม ยิ่งต้องการศักดิ์ศรีหน้าตา
ต่อให้ตอนนี้เป็นช่วงสงคราม ศักดิ์ศรีก็ยังคงสำคัญอย่างมาก
สวี่ชิงรู้สึกว่าก็คงเป็นแบบนี้ ต้องรู้ว่าไม่แสดงทีท่า ความจริงแล้วก็คือการยอมรับกลายๆ
ในขณะเดียวกัน ในเจ็ดวันนี้ สวี่ชิงในฐานะที่เป็นลูกศิษย์เชิดชูเกียรติสำนักก็ไปทำหน้าที่สองครั้ง ต้อนรับแขกต่างเผ่าภายนอกเข้าสำนัก และในเวลาที่เป็นลูกศิษย์เชิดชูเกียรติสำนักในช่วงนี้ ชื่อเสียงของเขาก็ผงาดขึ้นด้วยอีกวิธีหนึ่ง
กระทั่งว่าบางครั้งผู้หญิงต่างเผ่าที่มาจากภายนอกพวกนั้นยังกระตือรือร้นขอร้องนายกองว่าอยากพบสวี่ชิง ในช่วงนี้ผู้บำเพ็ญหญิงต่างเผ่าที่เคยเห็นสวี่ชิงส่วนมาแล้วตกตะลึงในความงามของเขามากทั้งนั้น
แม้จะต่างเผ่ากัน แต่เผ่ามนุษย์ในฐานะที่เป็นผู้ปกครองในอดีตของแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ ต่อให้ปัจจุบันตกต่ำ แต่การยอมรับและมาตรฐานความงามที่สลักในสายเลือดต่างเผ่าก็ยากจะลบเลือน
ดังนั้นของกำนัลที่สวี่ชิงได้รับก็เก็บจนเต็มถุงเก็บของทั้งใบ
นี่ทำให้ในขณะเดียวกับที่ติงเสวี่ยและกู้มู่ชิงต่างระมัดระวัง ความหงุดหงิดรำคาญที่แต่เดิมมีในใจของสวี่ชิงลดลงไปมา ถึงอย่างไรของกำนัลที่ได้รับมา มูลค่าล้วนใช้ได้เลย
แต่ว่าเรื่องดีแบบนี้ก็ดำรงอยู่ไม่นานเท่าไร อย่างไรเสียกระแสที่เกิดจากจมูกของบรรพชนศพเผ่าสิงซากสมุทร หลังจากที่เป็นที่สนใจจับตามองอยู่ช่วงหนึ่ง คนที่มาก็ค่อยๆ น้อยลง อีกทั้งส่วนมากก็จากไปแล้ว
มีเพียงพันธมิตรบางกลุ่มที่มีจำนวนไม่มากอย่างเผ่าดาราสมุทร พวกเขายังไม่จากไป หลักๆ แล้วจะจับจ่ายซื้อของมากมายในเมืองหลัก และเด็กสาวเผ่าดาราสมุทรคนนั้นก็เหมือนจะสนอกสนใจสวี่ชิงทางนี้มาก มาเยี่ยมเยียนหลายต่อหลายครั้ง
แต่นอกจากของกำนัลที่ให้ในตอนแรกที่พบหน้า การมาเยือนในภายหลังก็ไม่ได้มอบของกำนัลอะไรให้อีก กลับถามนู่นถามนี่ด้วยท่าทีสดใสไร้เดียงสา เหมือนว่าอยากรู้อยากเห็นในตัวสวี่ชิงนัก อยากเข้าใจเขาในทุกๆ ด้าน
ดังนั้นหลังจากที่สวี่ชิงตอบรับครั้งหนึ่ง การขอเยี่ยมเยียนภายหลังล้วนปฏิเสธสิ้นหลังจากนั้นการเลื่อนตำแหน่งของสวี่ชิงและนายกองก็มีคำสั่งลงมาจากคุณงามความชอบครั้งใหญ่ก่อนหน้านี้ ตำแหน่งของสวี่ชิงได้เลื่อนขั้น จากรองเจ้ากรมปราบพิฆาตเลื่อนขึ้นเป็นเจ้ากรม!
ควบคุมกรมปราบพิฆาตของทั้งยอดเขาลำดับเจ็ด
ทางนายกองทางนั้น แต่เดิมต้องเลื่อนขั้นเป็นรองหัวหน้าศูนย์ที่ควบคุมดูแลกรมปราบพิฆาตของทั้งเจ็ดยอดเขาสำนักเจ็ดเนตรโลหิต แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาทำอย่างไร กลับไม่ได้ไปที่ศูนย์ แต่มาเป็นเจ้ากรมของกรมข่าวกรองของยอดเขาลำดับเจ็ด
กรมกับศูนย์มีความแตกต่างกันอย่างมาก อย่างเช่นกรมปราบพิฆาตยอดเขาทั้งเจ็ดล้วนมีกรมนี้ แต่เหนือพวกเขาคือศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมของเจ็ดเนตรโลหิต หนึ่งศูนย์ควบคุมเจ็ดกรม
“คนโง่เท่านั้นถึงจะไปที่ศูนย์ กรมข่าวกรองดีจะตาย นั่นเป็นสถานที่ที่ข้าเฝ้าใฝ่ฝันถึงแม้ในฝัน ที่นี่จะไม่มีอะไรที่ข้าไม่รู้ ไม่ว่าจะเป็นสายลับที่ส่งไปแทรกซึมอยู่ข้างนอก หรือจะเป็นสืบหาหนอนบ่อนไส้ภายใน หรือจะสืบรายงานข่าวนอกเผ่า นี่ล้วนแต่เป็นเรื่องที่ข้าเชี่ยวชาญ ยิ่งสะดวกต่อการที่ข้าจะขุดวาสนาบางอย่าง!”
ในวันแรกที่เป็นเจ้ากรมข่าวกรอง นายกองก็เรียกจางซาน มาหาสวี่ชิงอย่างหน้าชื่นตาบาน ทั้งสามคนนั่งดื่มเหล้าด้วยกัน จางซานมองสวี่ชิงและนายกองต่างได้เลื่อนขั้น ในขณะที่ดีใจ ก็อิจฉาอยู่นิดๆ
“ครั้งหน้าตอนที่พวกเจ้าออกไประห่ำ ความจริงก็พิจารณาเรียกข้าไปด้วยได้ นายกองเจ้าว่าจริงหรือไม่ มีข้าอยู่ด้วย อย่างน้อยหลังจากที่เจ้าตัวหายไปครึ่งท่อนก็ยังมีคนแบกกลับมา นี่ไม่ดีหรือ” จางซานเอ่ยสะท้อนใจ
นายกองกินผิงกั่ว ยิ้มตาหยีพลางตบไหล่จางซาน
“น้องสามอย่างได้หึงไป อย่างไรพี่ชายก็รักเจ้า!”
พูดจบนายกองก็มองสวี่ชิง พบว่าสวี่ชิงนั่งเหม่ออยู่ตรงนั้น เหมือนกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่ ดังนั้นจึงนึกสงสัย
“น้องสอง เจ้ากำลังทำอะไร”
สวี่ชิงเงยหน้ามองนายกองแวบหนึ่ง แล้วมองไปทางจางซานที่สงสัยใคร่รู้เช่นกัน ก่อนจะเอ่ยอย่างสงบนิ่ง
“เอ้อร์หนิว ข้ากำลังคิดว่าจะปรับปรุงยาพิษอย่างไรดี ทำให้มันเป็นภัยคุกคามต่อผู้บำเพ็ญระดับแก่นลมปราณได้”
ปัญหานี้สวี่ชิงคิดมานานมากแล้ว ความจริงช่วงนี้เขาล้วนขบคิดอยู่ตลอด ส่วนทิศทางก็คือแมลงสีดำพวกนั้นที่เขาได้มา
แม้สู้กับเด็กสาวชุดดำจะใช้แมลงสีดำไปกว่าครึ่ง แต่ที่เหลือพวกนั้นหลังจากที่สวี่ชิงรวบรวมอีกครั้ง เขาก็พบว่าใช้แบบนี้พลังอ่อนด้อยเกินไป
กระทั่งรู้สึกเลาๆ ว่าตัวเองยังไม่ได้สำแดงศักยภาพของแมลงสีดำนี่โดยสมบูรณ์เลย อย่างไรเสีย…นี่เป็นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากการลงมือของผู้แข็งแกร่งระดับแก่นลมปราณ ไม่มีเหตุผลที่หลังจากที่ตนใช้อีกครั้งพลังจะลดลงไปไม่น้อย จนแม้แต่ผู้บำเพ็ญไฟชีวิตสามดวงยังไม่สามารถสะกดได้ในทันที
จางซานได้ยินก็สูดลมหายใจ เขารู้สึกว่าสวี่ชิงต่างไปจากเมื่อก่อนแล้ว ตอนนี้เรื่องที่ขบคิดคือจะจัดการกับผู้บำเพ็ญระดับแก่นลมปราณอย่างไร…และเมื่อคิดถึงพิษของสวี่ชิง เขาก็เขยิบไปข้างหลังโดยสัญชาตญาณ ให้ห่างไปจากสวี่ชิงเล็กน้อย
นายกองเบิกตากว้างเช่นกัน จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าประโยคนี้ของสวี่ชิงเท่มาก ในความสงบนิ่งก็สามารถทำให้เอกลักษณ์โดดเด่นออกมา ดังนั้นจึงแอบจดจำไว้ในใจ จากนั้นก็กระแอมขึ้นมาแล้วหยิบยาลูกกลอนออกมาเม็ดหนึ่ง ก่อนจะกลืนลงไปป้องกันก่อนที่เหตุร้ายจะเกิดขึ้น
“เรื่องนี้เจ้าต้องค่อยๆ ศึกษาค้นคว้าแล้ว ข้าพูดเรื่องสำคัญก่อน ครั้งนี้ข้าในฐานะที่เป็นเจ้ากรมข่าวกรอง สวี่ชิงในฐานะที่เป็นเจ้ากรมของกรมปราบพิฆาต ทั้งสองศูนย์นี้แต่ก่อนไม่ถูกกัน แต่ตอนนี้พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว”
“ข้ามีแผน ในเมื่อพวกเราดูแลทั้งสองกรมนี้ เช่นนั้นพวกเราก็ต้องทำผลงานออกมา พยายามก่อนที่สงครามจะจบลง อาศัยสองกรมนี้กุมอำนาจยอดเขาลำดับเจ็ดทั้งยอดเขา ลองเป็นเจ้ายอดเขาให้หนำใจสักหน!
“แบบนี้หลังสงครามต่อให้ตาแก่กับคนอื่นๆ กลับมาก็ทำอะไรไม่ได้ในทันที พวกเราสองคนก็จะกลายเป็นผู้บำเพ็ญที่กุมอำนาจแท้จริง แบบนี้สะดวกพวกเราทำการใหญ่ในวันหลังยิ่งขึ้น”
สวี่ชิงขมวดคิ้วเล็กน้อย
“นายกอง ช่วงนี้ข้าว่าจะปิดด่านสักหน่อย ตั้งใจศึกษาค้นคว้าพิษนี้”
“ศึกษาค้นคว้าพิษก็ต้องใช้เงินใช่หรือไม่” นายกองมองไปทางสวี่ชิง
“ตอนนี้ข้ายังมีพอ” สวี่ชิงส่ายหน้า
“ต้องการคนมาทดลองกระมัง เจ้าต้องหาใครมาลองพิษใช่หรือไม่” นายกองไม่ยอมแพ้ กินผิงกั่วพลางเอ่ยถาม
“ตอนนี้ก็ยังมีพอเหมือนกัน” สวี่ชิงส่ายหน้า
นายกองค่อนข้างห่อเหี่ยว จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าสวี่ชิงหลอกยาก ไม่เหมือนตอนที่เพิ่งมาสำนักใหม่ๆ ตัวเองอยากจะหลอกอย่างไรก็หลอกอย่างนั้น แค่กระดิกนิ้ว สวี่ชิงไปทำตามแล้ว
ดังนั้นในใจจึงมีความคิดมากมายผุดขึ้นมา ในตอนที่ขบคิดว่าจะดึงสวี่ชิงมาอย่างไร จู่ๆ สวี่ชิงก็ตาวาววาบ เขานึกถึงประเด็นสำคัญที่จะหลอมแมลงสีดำได้ ดังนั้นจึงผุดลุกขึ้นทันที
“นายกอง ศิษย์พี่จางซาน ข้าขอตัวไปก่อน วันหน้ามีเวลาค่อยมาเจอกัน”
สวี่ชิงพูดพลางประสานหมัด ร่างเพียงไหววูบก็ทะยานตรงไปที่เรือใหญ่เวทของตัวเอง หลังจากเข้าไปในห้องโดยสารเรือก็เปิดเกราะป้องกันทันที จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิ หยิบสมุนไพรจำนวนมหาศาลออกมา หยิบเอาขวดที่บรรจุแมลงสีดำ เริ่มปรุงยาตามความคิดของตัวเอง
ในขณะเดียวกัน จางซานและนายกองที่อยู่นอกเรือใหญ่เวทก็มองหน้ากัน
“นายกอง พวกเราไปจากที่นี่กันเถิด ข้ารู้สึกว่าที่นี่ไม่ค่อยปลอดภัย…” จางซานลังเล
“กลัวอะไร ข้า…” นายกองพูดถึงตรงนี้ ทันใดนั้น ในเรือใหญ่เวทสวี่ชิงก็พลันมีเสียงบึ้มดังมา หมอกพิษกลุ่มหนึ่งลอยแผ่ออกมาจากข้างใน ดีที่มีเกราะป้องกันสกัดกั้นเอาไว้ ถึงไม่ได้กระจายออกมา
นายกองเงียบนิ่งไปสามสี่อึดใจ ผุดลุกขึ้น หัวเราะฮ่าๆ
“จางซาน ไปๆๆ ไม่ได้ไปกรมขนส่งของเจ้ามานานแล้ว พวกเราไปดื่มที่นั่นกันต่อ”
จางซานก็ลุกขึ้นทันทีเช่นกัน ทั้งสองคนไปจากที่นี่อย่างรวดเร็ว
หลังจากที่พวกเขาจากไปไม่ไกล ในห้องโดยสารเรือสวี่ชิงก็มีเสียงระเบิดดังอีกครั้ง
สวี่ชิงกำลังศึกษาค้นคว้าการเลี้ยงแมลงสีดำจริงๆ นี่คือวัตถุพลังแก่นลมปราณเพียงหนึ่งเดียวในตัวเขา เดิมคิดจะเอามาใช้เป็นไพ่ตาย แต่ครั้งเด็กสาวชุดดำก่อนหน้านี้ครั้งนั้นทำให้เขาผิดหวังเล็กน้อย
ตอนนี้เวลาหนึ่งคืนผ่านไปแล้ว ทั้งคืนเขาล้วนทดลองอยู่ตลอด ใช้ยาสมุนไพรต่างๆ และยาพิษ ลองกระตุ้นแมลงสีดำพวกนี้ดึงศักยภาพออกมา
แต่ก็ล้มเหลวหมด มีเพียงเนื้อของหมึกระดับแก่นลมปราณที่พอจะมีผลอยู่บ้าง ทำให้จำนวนของแมลงสีดำเพิ่มขึ้นไม่น้อย
“แต่หากทำได้แค่ใช้เนื้อระดับแก่นลมปราณเลี้ยง เช่นนั้นแมลงพิษพวกนี้ก็ไม่มีคุณค่า ตอนนี้มันสู้ระดับแก่นลมปราณไม่ได้ ทำได้แค่เพียงกลืนกินเนื้อที่ไม่อาจโจมตีกลับได้ สำหรับข้าจะโยนทิ้งก็เสียดาย ในเมื่อข้าจะใช้มันเป็นไพ่ตายในการสร้างภัยคุกคามต่อผู้บำเพ็ญระดับแก่นลมปราณ แต่ข้ารู้สึกว่า…น่าจะเพราะข้ายังหาวิธีที่ถูกต้องไม่เจอ”
สวี่ชิงพึมพำ หยิบตำราสมุนไพรเล่มหนาจากข้างๆ มาเล่มหนึ่ง ตำราสมุนไพรเล่มนี้ก็คือตำราที่ปรมาจารย์ไป่มอบให้เขาก่อนจากไป
สวี่ชิงทะนุถนอมมาโดยตลอด เปิดอ่านไม่รู้ต่อกี่รอบ แผ่นกระดาษทุกหน้าในนั้นเปิดอ่านจนแทบจะยุ่ยแล้ว ดังนั้นในยามเปิดอ่านล้วนระมัดระวัง กลัวจะเสียหาย
เพราะนี่คือของกำนัลที่ปรมาจารย์ทิ้งไว้ให้เขา และอัดแน่นไปด้วยความซาบซึ้งที่สวี่ชิงมีต่อปรมาจารย์ไป่
สามารถพูดได้ว่าปรมาจารย์ไป่ถึงจะเป็นอาจารย์คนแรกของเขาตามความหมายที่แท้จริง มีความสำคัญมากๆ ทั้งการเปิดวิถีสมุนไพรและบุกเบิกวิถีพิษในภายหลังให้เขาอย่างมหาศาล
ไม่มีปรมาจารย์ไป่ สวี่ชิงจะไม่มีความรู้เรื่องสมุนไพรเลย วิถีพิษก็ไม่มีทางกลายเป็นวิธีสำคัญของเขา
‘ไม่รู้ว่าปรมาจารย์ไป่เป็นอย่างไรบ้าง’ สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก ความจริงหลังจากเป็นระดับสร้างฐานแล้ว เขาก็เคยสืบร่องรอยของปรมาจารย์ไป่ แต่อีกฝ่ายพเนจรไปทั่ว เวลาที่กลับผืนอินทนิลล้วนสั้นมาก
สวี่ชิงดึงจิตใจกลับมา เปิดตำรายาเงียบๆ หาเบาะแสที่จะสามารถกระตุ้นความคิดของตัวเอง
“ปรมาจารย์ไป่เคยบอกว่า วิถีแมลงกับวิถียาดูเหมือนแตกต่าง แต่เนื้อแท้แล้วคล้ายๆ กัน สามารถส่งเสริมซึ่งกันและกัน…” สวี่ชิงพึมพำ สุดท้ายสายตาก็จับจ้องไปที่คำบรรยายสมุนไพรต้นหนึ่งบนตำรายา
“กล้วยไม้ยามสี่หรือ” ดวงตาสวี่ชิงฉายแววครุ่นคิด นี่คือสมุนไพรที่สัตว์ร้ายชอบมากชนิดหนึ่ง ไม่มีประโยชน์กับผู้บำเพ็ญ แต่สัตว์ร้ายที่ไม่มีสติปัญญากินมัน จะเพิ่มสติปัญญาให้ได้ เป็นหนึ่งในสมุนไพรพื้นฐานของลูกกลอนแปลงกาย
“ลองดูได้!” สวี่ชิงลุกขึ้น ออกจากเรือใหญ่เวทไปยังร้านยาที่ท่าเรือหนึ่งร้อยเจ็ดสิบหก การมาถึงของเขาสร้างความสนใจอย่างมากให้กับร้านยาทันที เถ้าแก่ในร้านหลังจากฟังความต้องการของสวี่ชิงอย่างเคารพนอบน้อม ก็รีบไปจัดเตรียมให้เขาทันที
ไม่นานนัก สวี่ชิงก็ถือถุงเก็บของใบหนึ่งจากไป ในดวงตามีแววปวดหัวใจฉายวูบ
‘เจ้านี่ทำไมถึงแพงขนาดนี้!’
สิ่งที่อยู่ในถุงเก็บของใบนี้ไม่ได้มีเพียงแค่กล้วยไม้ยามสี่เท่านั้น แต่ยังมีสมุนไพรทุกชนิดที่เกี่ยวกับการเลี้ยงสัตว์ที่สามารถหาซื้อได้ในตลาด และมีสมุนไพรพิษอีกมากมาย
บางอย่างถูก บางอย่างแพงมาก
แต่สวี่ชิงตอนนี้ไม่ไปคิดเล็ดคิดน้อยเรื่องพวกนี้ เขารู้สึกว่าตัวเองจะต้องมีวิธีที่สร้างภัยคุกคามต่อผู้บำเพ็ญระดับลมแก่นลมปราณ ดังนั้นหลังจากที่กลับมาถึงเรือใหญ่เวท ก็ศึกษาค้นคว้าและทดลองอีกครั้ง
ผ่านไปเช่นนี้อีกเจ็ดวัน
ในเจ็ดวันนี้ ทั้งยอดเขาลำดับเจ็ดของสำนักเจ็ดเนตรโลหิต ทุกกรมต่างจิตใจหวาดหวั่น หลังจากที่เฉินเอ้อร์หนิวเจ้ากรมคนใหม่ของกรมข่าวกรองรับตำแหน่ง เรื่องแรกที่เขาทำก็คือประกาศว่าจะจับหนอนบ่อนไส้
และหลังจากนั้นจากการจับมือให้ความร่วมมือของกรมลาดตระเวน ทำให้ทุกกรมล้วนอยู่ในขอบเขตของการตรวจสอบ กระทั่งว่าผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานบางคนก็ถูกตรวจสอบด้วยเช่นกัน
ทางนายกองทางนั้นจึงเหมือนกับหมาบ้าในสายตาของลูกศิษย์ยอดเขาลำดับเจ็ดไปในทันที แต่เขาก็ดันมีตำแหน่งที่สูงเหลือเกิน คนอื่นๆ จึงทำได้เพียงแค่ก้มหน้า ปล่อยให้เขาตรวจสอบไปตามสบาย
และทางสวี่ชิง ในเจ็ดวันนี้ก็ซื้อสมุนไพรจำนวนนับไม่ถ้วนมาทดลองอีก ในที่สุดเขาก็หาสมุนไพรที่สามารถกระตุ้นแมลงสีดำให้เห็นได้อย่างชัดเจนเจ็ดชนิด
แต่ลำพังเพียงแค่นี้ยังไม่พอ สวี่ชิงมองออกแล้วว่า…หากอยากเลี้ยงแมลงสีดำพวกนี้จริงๆ อีกทั้งยังให้มันตัวใหญ่อยู่เรื่อยๆ ก็ต้องใช้เนื้อเลี้ยงถึงจะได้!
‘แต่ว่าใช้ร่วมกับสมุนไพรก็นับว่าไม่จำเป็นต้องเลี้ยงด้วยเนื้อระดับแก่นลมปราณแล้ว…’ ดวงตาสวี่ชิงฉายประกายเย็นเยียบ ไปคุกใต้ดินหน่วยปราบนิลกาฬของกรมปราบพิฆาตในเวลาพลบค่ำของวันนี้!
วันนั้นที่นายกองบอกกับเขาว่าหลอมยาพิษต้องใช้คนทดลองพิษสวี่ชิงเคยบอกว่ามีพอ ในตอนนั้นเป้าหมายของเขาก็คือคุกของกรมปราบพิฆาต
นักโทษที่ถูกคุมขังทุกคนแทบจะเป็นนักโทษประกาศจับที่ทำเรื่องชั่วช้ามากมาย นกเขาราตรีก็อยู่ในนี้ ในคุกกระทั่งว่าคุมขังผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานเอาไว้ไม่น้อย ในนั้นเผ่ามนุษย์น้อยมาก แทบจะเป็นต่างเผ่าเสียหมด
“น่าเสียดาย ตั้งแต่กรมปราบพิฆาตก่อตั้งขึ้นมาก็ไม่เคยมีคุมขังผู้บำเพ็ญระดับแก่นลมปราณเลย หากวันหน้ามีโอกาส มีพลังจับเป็นมาได้สักจำนวนหนึ่งก็ดีเลย”
ในใจของสวี่ชิงมีความคิดหาญกล้าเป็นอย่างยิ่งผุดขึ้น จิตใจหวั่นไหวนัก
