ผู้กล้าเหนือกาลเวลา – บทที่ 209 ไม่มีที่หลบ

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 209 ไม่มีที่หลบ

ผู้บำเพ็ญเผ่าพรางมายาดวงตาหดลงฉับพลัน และร่างกายของเขาก็ขาดใจตายทันที

พริบตาต่อมา ในเขตพื้นที่ตระกูลไป่แห่งผืนอินทนิล ในซอยที่คับแคบแห่งหนึ่ง มีคนพเนจรนอนอยู่ในนั้นเจ็ดแปดคน ชายหนุ่มร่างผอมแห้งมอมแมมไปทั้งตัวคนหนึ่งในนี้เบิกตาขึ้นกะทันหัน

พริบตาที่สองตากะพริบปริบๆ เขาก็ลูบไปที่คอตนเองด้วยสัญชาตญาณ ดวงตาเผยความตกตะลึงพรั่นพรึง รีบร้อนมองไปรอบๆ ผ่อนลมหายใจ สีหน้าถึงฟื้นฟูกลับมา

แต่ความพรั่นพรึงในดวงตา ยังคงไม่สลายไปในช่วงสั้นๆ

“เป็นไปได้อย่างไร เมื่อครู่เจ้าคนนั้น…” ชายหนุ่มคนนี้ก็คือเผ่าพรางมายาคนนั้น ตอนที่ร่างแรกของเขาถูกสวี่ชิงพบแม้จะรู้สึกประหลาดใจ แต่ก็ยังไม่เท่าไรนัก

ร่างที่สองอยู่ในพื้นที่ของตระกูลโจว เดิมทีเขามั่นใจเต็มร้อยว่าอีกฝ่ายเว้นแต่จะติดต่อให้ตระกูลโจวลงมือ ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีทางบุกเข้ามาได้ แต่ถ้าเมื่อติดต่อกับตระกูลโจว เขาก็สามารถตรวจสอบตัวตนของอีกฝ่ายได้จากเรื่องนี้

เขาคิดไว้แล้วว่าจะหยิบยืมโอกาสนี้หลบหนีอย่างไร ถึงตอนนั้นเขากระทั่งพลิกสถานการณ์ได้เลย ให้อีกฝ่ายได้รู้จักความน่ากลัวของเผ่าพรางมายา

นอกจากนี้ แม้ผืนอินทนิลตอนนี้จะปิดผนึกการส่งข้ามสู่ภายนอก แต่อันที่จริงเขาก็ไม่ได้ลนลานเท่าไร เพราะเรื่องเช่นนี้…เห็นได้ชัดว่าจะดำเนินต่อไปได้ไม่นานนัก อย่างมากก็สี่ห้าวัน จะต้องปลดผนึกออกอย่างแน่นอนตามที่เขาพิจารณาไว้

ถึงตอนนั้นก็จะไม่มีใครที่หาตัวเขาพบอีก ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญแก่นลมปราณ ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญปราณก่อกำเนิด จะสังหารเขาได้ครั้งหนึ่ง แต่สุดท้ายเขาก็หลบหนีไปได้อยู่ดี

อันที่จริงเรื่องคล้ายๆ กัน เขาก็ผ่านมาแล้วมากมาย มีเพียงครั้งนี้ที่ผู้บำเพ็ญเผ่าพรางมายาคนนี้รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง

อีกฝ่ายไม่เพียงแต่หาร่างที่สองของเขาพบอย่างรวดเร็ว กระทั่งความรู้สึกตอนที่ตัวคนเข้ามาประชิดก็เหมือนจะประหลาดยิ่งกว่าตนเองเสียอีก

โดยเฉพาะประโยคที่อีกฝ่ายโน้มตัวลงกระซิบแล้วใช้ลำไส้พันไว้บนคอเขานั่น ทำให้ผู้บำเพ็ญเผ่าพรางมายาคนนี้จิตวิญญาณสั่นสะท้านขึ้นมาอีกครั้ง

‘เจ้านายข้าทักทายเจ้า เขาให้ข้าบอกเจ้าว่า ละคร…เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น’

“ละครเพิ่งจะเริ่มต้น…” ผู้บำเพ็ญเผ่าพรางมายาคนนี้พึมพำ ร่างกายสั่นเทิ้ม เขาตระหนักได้ว่าตนเองน่าจะพบกับความยุ่งยากเข้าแล้ว อีกฝ่ายไม่เพียงแต่แข็งแกร่งเท่านั้น แต่ยังมีวิธีการที่พิเศษอย่างมากอยู่อีกด้วย

‘หรือจะใช้งานเจ้าร่างนั้นดี…’ ผู้บำเพ็ญเผ่าพรางมายาคนนี้ลังเลไปครู่หนึ่ง มองไปรอบๆ ในดวงตาปรากฏความไม่ยินอม เขาเตรียมร่างที่ตนเองสามารถใช้งานได้ตลอดเวลาร่างหนึ่งที่นอกเมือง

เพียงแต่ถ้าใช้งานก็เท่ากับว่าต้องออกจากเมืองหลวงผืนอินทนิล สิ่งนี้ทำให้เขาลังเลไม่หยุด ถึงอย่างไรขอแค่ยืนหยัดซ่อนตัวอยู่ที่นี่อีกไม่กี่วัน ไม่แน่การปิดผนึกคงจะสิ้นสุดลงแล้ว

“บางทีอาจจะแค่บังเอิญ!” ผู้บำเพ็ญเผ่าพรางมายานี้สูดลมหายใจลึก มองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง ตอนนี้ท้องฟ้าสว่างจ้า คนพเนจรในซอยก็ทยอยตื่น ผู้บำเพ็ญเผ่าพรางมายาคนนี้ก็รีบร้อนลุกขึ้น เดินตรงไปที่ปากซอย

เท้าไม่ค่อยมีแรง แม้ว่าพรสวรรค์ของเขาจะแข็งแกร่ง แต่ทุกครั้งตอนที่ร่างสิงตื่นขึ้น ซึ่งอันที่จริงเจ้าของร่างก็ถูกเขากลืนกินไปแล้ว ในบางขั้นตอนถือว่าเป็นศพร่างหนึ่ง

และหลังจากที่เขาเข้าครอง พลังของร่างกายก็เหมือนกับคนปกติ จำเป็นต้องชุบเลี้ยงระยะหนึ่งจึงจะค่อยฟื้นฟูพลังต่อสู้กลับมา

เว้นเสียแต่ว่าเขาจะฝังพลังพรสวรรค์บางส่วนเอาไว้ในร่างล่วงหน้า แต่วิธีนี้สิ้นเปลืองอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงทำการฝังวิญญาณเทพเอาไว้ในร่างที่อยู่นอกเมืองร่างนั้นเท่านั้น

เวลานี้จึงรีบสาวเท้า ในสมองเขาเองก็ครุ่นคิดอย่างเร็วรี่

‘ให้ตายเถอะ แต่ก่อนมีแต่ข้าที่อยู่ในความมืด ส่วนคนอื่นอยู่ในที่แจ้ง ครั้งดันกลับกัน เจ้านั่นเป็นใครกันแน่ ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีสิ่งประหลาดเช่นนี้อยู่ด้วย

‘สามารถควบคุมคนอื่นได้หรือ ไม่สิ การควบคุมทุกครั้งจะต้องมีกลิ่นอายโคจที่แน่นอน เว้นเสียแต่จะครอบงำจิตวิญญาณ แต่เรื่องแบบนั้นมีแต่ปราณก่อนกำเนิดเท่านั้นที่ทำได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังทำหลายครั้งไม่ได้ด้วย

‘เจ้านั่นไม่ใช่ผู้แข็งแกร่งปราณก่อนกำเนิด ข้ารู้สึกว่าเขาใช้สิ่งประหลาดในการทำ” ตอนที่ผู้บำเพ็ญเผ่าพรางมายาคนนี้วิเคราะห์ไม่หยุด เดินออกมาจากซอย เดินไปตามมุมถนนอย่างระแวดระวัง เดินตรงไปยังค่ายกลส่งข้ามของผืนอินทนิลอย่างรวดเร็ว

เขาเตรียมไว้ว่าช่วงเวลาถัดจากนี้จะอยู่ใกล้ๆ ค่ายกลส่งข้าม ขณะที่รอผนึกค่ายกลส่งข้ามคลายออก ก็ยังแอบดูเจ้าคนทำตัวลึกลับที่ซ่อนในเงามืดได้ด้วย ว่าจะหาตนเองพบอีกครั้งได้หรือไม่

แต่เขาที่เดินมาไม่ถึงครึ่งชั่วยาม พริบตาที่เขาเดินผ่านอีกซอยหนึ่ง จู่ๆ มือข้างหนึ่งก็ยื่นออกมาจากมุมมืด ปิดปากของเขาเอาไว้ และใช้นิ้วยื่นเข้าไปยันปากของเขาไว้ ป้องกันเขากัดลิ้นฆ่าตัวตาย

ทั้งหมดนี้รวดเร็วมาก ผู้บำเพ็ญเผ่าพรางมายาคนนี้แม้จะมีปฏิกิริยา แต่ร่างนี้กลับเชื่องช้ามาก พริบตาต่อมาก็ออกแรงสลัดให้ร่างหลุดออกมา แล้ววิ่งตรงออกไปจากซอย

เสียงครืนครันดังออกมาจากปากผู้บำเพ็ญเผ่าพรางมายา เขาเบิกตากว้างคิดจะมองหน้าตาของอีกฝ่าย แต่ก็หันหน้ากลับไม่ได้ เพียงไม่นานก็ถูกพาไปยังบ้านที่รกร้างแห่งหนึ่ง และถูกกดลงพื้นดังโครม

จนถึงตอนนี้ เขาก็เพิ่งจะมองเห็นคนตรงหน้าได้ชัด ผู้บำเพ็ญกลางคนที่สังหารร่างแรกของเขาไปเมื่อวานนี้นั่นเอง

ในดวงตาของอีกฝ่ายมีความเย็นเยียบไร้จุดสิ้นสุดอยู่ด้วย พริบตาที่สบตากับอีกฝ่าย ผู้บำเพ็ญเผ่าพรางมายานี้ก็จิตวิญญาณสั่นสะท้าน จากนั้นคางของเขาก็ถูกตัดทั้งอย่างนั้นทันที ความเจ็บปวดรุนแรงทำให้เส้นเอ็นบนหน้าผากเขาปูดโปน

และคางที่ตัดออก ทำให้อีกฝ่ายไม่สามารถกัดลิ้นฆ่าตัวตายได้ และด้วยเขาตอนนี้ที่พลังต่อสู้ยังไม่ฟื้นฟู ก็ไม่สามารถใช้วิธีอื่นฆ่าตัวตายต่อหน้าอีกฝ่ายได้

“อืออือ…” ผู้บำเพ็ญเผ่าพรางมายานี้กำลังจะเปล่งเสียง สวี่ชิงที่อยู่เบื้องหน้าเขาก็ยกมือขึ้นด้วยสายตาเย็นชา ล้วงเอาผงพิษส่วนหนึ่งออกมา สาดลงไปบนตัวคนผู้นี้

คุณสมบัติพิษของผงพิษนี้ไม่รุนแรงนัก ปกติจะถูกสวี่ชิงนำมาผสมแล้วค่อยใช้ ส่วนประโยชน์ของตัวผงพิษนี้ หลังจากปรับไปหลายครั้ง สามารถเพิ่มระดับความไวต่อสิ่งเร้าทั้งหมดในร่างกายได้

จากการกระจายของผงพิษ จากการค่อยๆ ซึมเข้าไปในร่างกายของอีกฝ่าย สวี่ชิงก็ยกมือขึ้นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ บีบนิ้วมือผู้บำเพ็ญเผ่าพรางมายาคนนี้ไว้

กร๊อบ กร๊อบ

บีบจนแตกทีละนิดทีละนิด

ความเจ็บปวดนี้ ทำให้ร่างกายผู้บำเพ็ญเผ่าพรางมายาคนนี้สั่นเทิ้ม โดยเฉพาะผลของผงพิษนี้ ทำให้ความเจ็บปวดขยายขึ้นอย่างไร้ขอบเขต ท้ายสุดก็แปรเป็นลมพายุครืนครันอยู่ในสมอง กลายเป็นเสียงกรีดร้องแหลม

ต่อให้คางถูกตัดออก แต่เสียงที่เกิดขึ้นจากความเจ็บปวดนี้ก็ยังดังลอดออกมาจากในคอแบบยั้งไว้ไม่อยู่ ดังก้องไปทั่วสารทิศ

สวี่ชิงได้ยินเสียงนี้ สีหน้าไม่มีเปลี่ยนแปลง มีเพียงความโกรธแค้นในดวงตาที่ปะทุขึ้น จัดการบีบมือของอีกฝ่ายจนเละ จากนั้นก็ให้อีกฝ่ายกินยาลงไปเม็ดหนึ่ง เพื่อรักษาสติของเขาไว้

จากนั้นก็จัดการต่อ เพราะผู้บำเพ็ญเผ่าพรางมายาคนนี้ถึงแม้กำลังกรีดร้องเสียงแหลม แต่ในดวงตาเขาตั้งแต่ต้นจนจบ ก็ยังไม่เผยความหวาดกลัวที่สวี่ชิงคุ้นเคยออกมาเลย

ราวกับว่าตั้งแต่ต้นจนจบ อีกฝ่ายจะกรีดร้องก็ร้องไป แม้จะเจ็บจะปวด แต่ก็ไม่กลัวเลย!

ดังนั้นสายตาสวี่ชิงจึงยิ่งเย็นเยียบ ท่อนแขนของอีกฝ่ายค่อยๆ เละเป็นเศษเนื้อ ถัดมาแขนอีกข้างก็ถูกสวี่ชิงบีบไปทีละน้อย

จากนั้นสวี่ชิงก็ล้วงมีดออกมา ขณะที่ผู้บำเพ็ญเผ่าพรางมายาคนนี้เปลี่ยนจากกรีดร้องเป็นอ่อนแรง ก็เริ่มตัดขาทั้งสองของอีกฝ่าย ไม่ยอมปล่อยกล้ามเนื้อไปเลยแม้แต่ชุ่น

เลือดสดนองพื้น แต่ผู้บำเพ็ญเผ่าพรางมายาคนนี้ก็ยังไม่ตาย เพราะว่ายาลูกกลอนของสวี่ชิงมอบพลังชีวิตให้แก่เขา

ดังนั้นเสียงกรีดร้องจึงดังแหลมออกมาอีก แต่ท่ามกลางเสียงกรีดร้องนี้ ในดวงตาผู้บำเพ็ญเผ่าพรางมายานี้ กลับค่อยๆ เผยอาการท้าทายออกมา

“รู้หรือว่าทำไมข้าจึงกรีดร้อง เพราะเจ้าไม่ใช่คนแรกที่ทำเช่นนี้กับข้า และจะไม่ใช่คนสุดท้าย ส่วนวิธีการที่ข้าครอบครองอยู่ ก็ส่งความเจ็บปวดออกไปผ่านเสียง” เสียงจากความคิด แผ่ออกจากในร่างกายเผ่าพรางมายาคนนี้

เสียงกรีดร้องแหลมดังขึ้นอีกครั้ง และเสียงยังคงก้องสะท้อน ราวกับเขาแบ่งออกเป็นสองคน

“เพราะข้ารู้ เจ้าไม่กล้าสังหารข้า เจ้ามาล้างแค้นให้กับปรมาจารย์ไป่ใช่หรือไม่ ตอนที่ตาแก่นั่นตายก็กำลังเขียนจดหมายอยู่ ไม่รู้ว่าเขียนถึงใคร คงไม่ใช่เจ้าหรอกกระมัง

“แม้จะไม่รู้ว่าเจ้าหาข้าพบได้อย่างไร แต่คิดแล้วเจ้าคงจะสนใจผู้บำเพ็ญเบื้องหลังข้ามากกว่า อยากจะหาตัวการที่ก่อกรรมทำชั่วสินะ จุดนี้ข้ารู้ คำตอบที่เจ้าอยากได้ ข้ามีทั้งหมด แต่ข้า…ไม่บอกเจ้า”

ผู้บำเพ็ญเผ่าพรางมายาคนนี้ดวงตาแดงเถือก กรีดร้องไม่หยุด สวี่ชิงยกมือขึ้นซัดไปหมัดหนึ่ง อัดปากเขาเสียยับ จนเศษเนื้ออุดอยู่ในปากเขา ทำให้เสียงกรีดร้องไม่อาจส่งออกมาได้

แต่เสียงในร่างกายเขา ก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่งขึ้นมา

“รู้หรือไม่ว่าข้าสังหารตาแก่นั่นอย่างไร ฮ่าๆ ข้าเดิมทีคิดจะสิงร่างเด็กสาวที่ชื่อถิงอวี้คนนั้น แต่ข้ารู้สึกว่ายังไม่สนุกพอ เจ้าลองเดาดูว่าหลังจากนั้นข้าไปสิงใคร”

สวี่ชิงหยุดมือ มองไปยังเผ่าพรางมายาที่กำลังยิ้มเหี้ยมเกรียม ดวงตาหรี่ลงช้าๆ คลื่นพลังที่น่ากลัววูบหนึ่งค่อยๆ แผ่ซ่านบนร่างของเขา

ภาพนี้ทำให้จิตวิญญาณผู้บำเพ็ญเผ่าพรางมายาสั่นสะท้าน คำพูดที่เขาพูดไปก่อนหน้านี้กับสิ่งที่คิดในก้นบึ้งจิตใจ อันที่จริงยังมีรายละเอียดบางส่วนที่ไม่เหมือนกัน เขาไม่กลัวความตายก็จริง และชินชากับการทรมานด้วย แต่ความโหดเหี้ยมของสวี่ชิงก็ยังทำให้จิตวิญญาณของเขาสั่นสะท้านอย่างบ้าคลั่งอยู่

โดยเฉพาะตอนที่อีกฝ่ายไม่ถามไม่ไถ่สักคำ ไม่พูดอะไรออกมาเลยตั้งแต่ต้นจนจบ

ราวกับว่าอีกฝ่ายไม่ได้สนใจอะไร เพียงแต่จมจ่อมอยู่กับการทรมานตนเอง โดยเฉพาะการกระทำก็ดูคุ้นเคยเหลือเกิน ไม่มีชะงักแม้แต่น้อย ซ้ำยังคอยเลี่ยงเส้นเลือดอีกด้วย

ภาพนี้ทำให้เขาตระหนักขึ้นได้ ว่าความคุ้นเคยนี้…อธิบายได้ว่าอีกฝ่ายเคยทำเรื่องเช่นนี้มาแล้วหลายครั้ง

“นี่มันเป็นคนบ้า นี่มันโรคจิต!!”

ดังนั้นเขาจึงคิดจะยั่วโมโหอีกฝ่าย ให้อีกฝ่ายลงมือเล่นงานตนเองจนตาย แม้ว่าร่างกายที่สิงทุกร่าง ล้วนมีการกำหนดเวลาตายอย่างไม่อาจย้อนได้ไว้แล้ว แต่ครั้งนี้ เขาก็อยากจะตายล่วงหน้าเสียจริง

สวี่ชิงมองผู้บำเพ็ญเผ่าพรางมายาตรงหน้าคนนี้ จู่ๆ รูปสักการะที่แผ่นหลังก็ส่องสว่าง เพลิงสีดำโหมกระพือขึ้นมาในพริบตา ไม่ได้กลายเป็นเงาของวิหคทอง แต่ผสานเข้าไปบนมือขวาของสวี่ชิง กดลงไปบนหน้าผากของผู้บำเพ็ญเผ่าพรางมายาคนนี้

พริบตาต่อมา แรงดูดมหาศาลก็ประทุขึ้น ดวงตาผู้บำเพ็ญเผ่าพรางมายาเบิกตาค้าง ร่างกายเขาเหี่ยวแห้งลงในพริบตา เลือดลมมหาศาลโหมขึ้น พุ่งตรงไปยังมือขวาของสวี่ชิง และเพราะคลื่นอารมณ์ที่รุนแรงก่อนหน้า ในที่สุดก็มีปราณหมอกต้นกำเนิดส่วนหนึ่งเผยออกมาแล้ว และถูกสูบออกมาด้วยเช่นกัน

ปราณหมอกนี้ คือพลังต้นกำเนิดของเผ่าพรางมายา

ตอนนั้นที่สวี่ชิงลงมือครั้งแรก สูบเอาต้นกำเนิดของอีกฝ่ายมาได้ไม่มากนัก ดังนั้นครั้งนี้เขาจึงทรมานเพื่อทำให้เกิดคลื่นอารมณ์ที่รุนแรง เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็จะยิ่งสะดวกให้วิหคทองเข้าไปสูดรับมา

พริบตาก่อนที่ผู้บำเพ็ญเผ่าพรางมายาคนนั้นจะตาย สวี่ชิงเอ่ยขึ้นเสียงแผ่ว พูดออกมาเพียงประโยคเดียว ส่งเข้าไปในหูของผู้บำเพ็ญเผ่าพรางมายาคนนี้

“มันยังไม่จบ พวกเรา ไว้เจอกัน”

บทที่ 205 บุญคุณจะคงอยู่ในฝันชั่วนิรันดร์

สวี่ชิงไม่สนใจ

เขารู้สึกว่าแมลงสีดำที่ตนเองค้นคว้ายังไปไม่ถึงจุดที่เขาต้องการ หลักๆ คือวิธีการฉีกกัดจากภายนอก สวี่ชิงยังไม่พอใจอยู่เล็กน้อย

‘ดังนั้นทิศทางของข้าก็ควรจะเป็นสองทางนี้ หนึ่งคือใหญ่ขึ้น อีกหนึ่งคือเล็กลง…’

สวี่ชิงพอครุ่นคิด ก็เลือกเล็กลง

เช่นนี้เท่านั้นจึงสามารถทำได้อย่างไร้ซุ่มเสียง ถึงสามารถสังหารคนอย่างไร้รูปร่างได้ ดังนั้นช่วงเวลาหลังจากนี้ สวี่ชิงจึงจัดระเบียบทิศทางการค้นคว้า หลอมสร้าง สังเกตการณ์ต่อ

ความรู้สึกนี้ทำให้เขาสบายใจอย่างมาก ราวกับว่าศึกษาหาความรู้อยู่ตลอดเวลาอย่างไรอย่างนั้น

กระทั่งนอกจากพิษศพแล้ว เขายังเพิ่มยาพิษที่ตนเองหลอมในช่วงสองปีนี้ ยาพิษเหล่านี้ดูแล้วก็ธรรมดา แต่สวี่ชิงรู้สึกว่าพอแมลงสีดำกินเข้าไป แล้วกลายเป็นพลังต้านพิษก็ถือว่าใช้ได้อยู่

‘ถ้าหากการหลอมพิษครั้งนี้สำเร็จ ก็เท่ากับข้าหลอมพิษที่เป็นของข้าอย่างแท้จริงชนิดแรกออกมาได้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นพิษที่มีชีวิตอีกด้วย’

สวี่ชิงรู้สึกว่าพอเทียบกับพิษของตนเองก่อนหน้า ที่หลอมออกมาตอนนี้ถือว่าไม่เลว

นอกเหนือจากนี้ หินวิญญาณของสวี่ชิงช่วงนี้ก็จ่ายออกไปเหมือนน้ำไหล ทำเอาเขาปวดใจเหลือเกิน

ยาสมุนไพรกับประเภทของตัวยาสมุนไพรที่เขาซื้อก็มากมายจริงๆ กระทั่งจ่ายซื้อหญ้าสมุนไพรที่แพงมากๆ อย่างไม่ลังเล แล้วนำมาทดสอบ

และสุดท้ายที่เลือกส่วนใหญ่ก็เป็นสมุนไพรพิษ ขณะที่ป้อนให้กับแมลงสีดำอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดเขาก็ทดสอบพิษอีกหลายครั้ง และหาสมุนไพรที่ทำให้แมลงสีดำตัวเล็กลงเรื่อยๆ จนพบ

เพียงแต่วิธีการนี้ไม่สมบูรณ์นัก จำเป็นต้องปรับขนาดตัวยาอีกหลายครั้ง และยิ่งต้องการให้ผู้ทดสอบพิษให้ความร่วมมือในการตรวจร่างกายด้วย

แต่นักโทษประกาศจับของหน่วยปราบพสุธากรมปราบพิฆาตก็ตายหมดแล้ว นักโทษประกาศจับหน่วยปราบนภาสวี่ชิงก็รู้สึกว่าน่าจะอยู่ได้ไม่นานนัก

สิ่งนี้ทำให้สวี่ชิงรำคาญเล็กๆ เขารู้สึกว่าพิษชนิดนี้ของตนเองมาถึงช่วงสำคัญแล้ว

“หรือต้องออกทะเลอีกสักรอบ…”

สวี่ชิงครุ่นคิด แต่ก็ละทิ้งความคิดนี้ไป ล้วงแผ่นหยกสื่อเสียงออกมา ประกาศภารกิจให้แก่กรมปราบพิฆาตทั้งหมด

ไม่นานนัก ศิษย์ในกรมปราบพิฆาตยอดเขาลำดับเจ็ด ก็พุ่งตัวออกไปอย่างบ้าคลั่ง โหมคลื่นปราบปรามที่รุนแรงออกมาอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

คนร้ายประกาศจับทั้งหมดที่ยังอยู่ในเขตท่าเรือใจสั่นระรัว ในช่วงหนึ่งจากการทอดแหหว่านคนร้ายประกาศจับ ความปลอดภัยของทั้งเขตท่าเรือ ก็เปลี่ยนเป็นดีขึ้นมาผิดหูผิดตา

ขณะเดียวกัน เมื่อเห็นสวี่ชิงรุ่งเรืองในหน้าที่การงานอย่างรวดเร็ว นายกองก็ไม่ยอมแพ้ การเคลื่อนไหวของกรมข่าวกรองก็เกิดขึ้นบ่อยครั้ง มีการจับไส้ศึกได้ทุกวัน

พวกปลาซิวปลาสร้อยในนี้ เมื่อนายกองบันทึกแล้วลงโทษนิดหน่อยก็ไม่ได้จัดการต่ออย่างตั้งใจ จุดสำคัญของเขาคือปลาใหญ่ที่ซ่อนอยู่เหล่านั้น ทั้งท่าเรือจึงมีบรรยากาศที่ดีขึ้นเช่นนี้

ในช่วงหนึ่ง ชื่อเสียงของสวี่ชิงกับนายกองก็กึกก้องยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีกในสำนัก

เพียงแต่ว่าชื่อเสียงของนายกองทางนั้น ส่วนใหญ่มาจากการขานชื่อของพวกหมาบ้า แต่สวี่ชิงทางนี้…กลับเป็นความโหดเหี้ยม!

เรื่องที่เขานำคนร้ายประกาศจับทั้งหมดในกองปราบพิฆาตมาทดลองยาแพร่งพรายออกไปแล้ว กระทั่งชื่อเสียงในระดับหนึ่ง สวี่ชิงยังน่าหวาดผวามากกว่านายกองเสียอีก

แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ การทดลองพิษของสวี่ชิงยังคงไม่เพียงพอ ดังนั้นเขาจึงเพ่งเล็งไปที่คุกใหญ่ของกรมปราบพิฆาตอีกหกยอดเขาที่เหลือ เพียงแต่หลังจากเจรจาแล้วก็ถูกปฏิเสธ

มีเพียงกองปราบพิฆาตยอดเขาลำดับหนึ่ง ที่ส่งผู้บำเพ็ญต่างเผ่าที่ถูกจับกุมบางส่วนมา ดังนั้นสวี่ชิงจึงจัดลูกน้องให้ตรงไปจับนักโทษประกาศจับจากเขตอื่น

การจับกุมข้ามเขต ถือเป็นข้อห้ามใหญ่หลวง สวี่ชิงเองก็ไม่สนใจอะไรขนาดนั้น แต่นายกองพอเห็นสวี่ชิงทำเช่นนี้ ก็เลยเริ่มข้ามเขตบ้างเช่นกัน

กรมข่าวกรองกับกรมปราบพิฆาตของยอดเขาอื่นก็ร้อนรนขึ้นมา ดังนั้นเพียงไม่นานก็เริ่มการกระทำแบบเดียวกันขึ้นมาในเขตอื่น ทั่วทั้งเจ็ดเนตรโลหิต ก็เต็มไปด้วยบรรยากาศการแข่งขันที่ร้อนแรง

ในที่สุด ก็ผ่านไปอีกครึ่งเดือน ขณะที่กองทัพใหญ่เจ็ดเนตรโลหิตในสนามรบย่างเข้าไปในดินแดนหลักของเผ่าสิงซากสมุทร ตอนที่เปิดศึกตัดสินกับเผ่าสิงซากสมุทรในแดนหลัก การกระทำของกรมข่าวกรองกับกรมปราบพิฆาตในเจ็ดเนตรโลหิต ในที่สุดก็มาถึงช่วงท้าย

สาเหตุหลัก คือสวี่ชิงรู้สึกว่านักโทษประกาศจับที่จับมาเพียงพอแล้ว แมลงสีดำของเขาก็ค้นคว้ามาถึงระดับที่ลึกมากแล้วด้วย กระทั่งถูกเขาป้อนลูกกลอนดำไปแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้นปริมาณโดยรวม ก็เปลี่ยนจากขวดเล็กก่อนหน้า กลายเป็นห้าขวด

ในทุกขวดบรรจุแมลงสีดำนับไม่ถ้วนที่รวมตัวกันจนเหมือนของเหลวเอาไว้ แมลงสีดำแต่ละตัวเหล่านี้ล้วนเล็กกว่าขนาดเดิมที่ได้รับมาก่อนหน้าถึงหนึ่งเท่าตัว

กระทั่งถ้าปล่อยตัวหนึ่งออกไป ก็ไม่สามารถมองเห็นได้ แต่ว่าสีนั้นยากจะเปลี่ยนแปลง ยังคงเป็นสีดำอยู่ ดังนั้นพอจำนวนมากขึ้นจึงดูเหมือนหมอกดำ

ที่สำคัญที่สุดคือพลังการสังหารของพวกมัน หลังจากทดสอบสวี่ชิงก็พบว่าแมลงสีดำเหล่านี้พอถูกคนสูดเข้าไปในร่างกาย ก็จะทำการผสมพันธุ์และกัดกินในร่างกายทันที และในขั้นตอนนี้ยังปล่อยไอพลังประหลาดและพิษออกมาอย่างมหาศาลอีกด้วย

ยิ่งไปกว่านั้นยังยากจะกำจัดออกไป เมื่อเข้าสู่ร่างกายก็เหมือนกับไขกระดูกในกระดูกอย่างไรอย่างนั้น ฝังตัวลึก พลานุภาพแข็งแกร่ง

หลังจากสวี่ชิงค้นคว้าก็พบว่าหากเปลี่ยนเป็นตอนที่ลงมือกับเด็กสาวชุดดำ แมลงสีดำในตอนนี้เกรงว่าแค่เด็กสาวชุดดำสูดเข้าไปไม่กี่อึดใจก็คงตายได้

พลานุภาพเช่นนี้ สวี่ชิงรู้สึกว่าพอจะไปถึงความต้องการของตนเองแบบฝืนๆ แล้ว สามารถคุกคามระดับแก่นลมปราณไหวแล้ว

แต่ว่าน่าเสียดาย ข้างกายสวี่ชิงไม่มีคนลองพิษระดับแก่นลมปราณ แต่เขารู้สึกมีความเป็นไปได้ว่าจะมีบทบาทในระดับหนึ่งเลยทีเดียว

‘โดยเฉพาะ แมลงสีดำเหล่านี้ของข้ายังสามารถเติบโตได้อีก’ จุดนี้สวี่ชิงพอใจมาก และถือเป็นผลลัพธ์ที่เขาค้นคว้าอย่างต่อเนื่องและซื้อหญ้าสมุนไพรมาหลอมสร้างในช่วงนี้

‘หวังว่าคงจะไม่มีวันที่ได้ไปทดสอบพลานุภาพแมลงสีดำกับแก่นลมปราณจริงๆ’ ดวงตาสวี่ชิงเผยประกายเย็นเยียบ เพราะถ้าเกิดเรื่องนี้ขึ้นก็เท่ากับว่าเขาต้องทุ่มทั้งชีวิตเสียแล้ว

ขณะเดียวกันสวี่ชิงเองก็หยดเลือดสดตนเองลงไปในขวดแมลงสีดำทั้งห้าใบนี้ นี่เป็นวิธีการควบคุมแมลงสีดำนับไม่ถ้วนนี้ของเขา

แมลงสีดำวางพิษแก่ศัตรู เขาเองก็วางพิษใส่แมลงสีดำด้วย!

แมลงสีดำเหล่านี้จำเป็นต้องดูดซับเลือดสดของเขาหนึ่งหยดในทุกช่วง ไม่เช่นนั้นพวกมันจะตาย และความเฉลียวฉลาดของสัญชาตญาณสิ่งมีชีวิต ก็ทำให้แมลงสีดำเหล่านี้ที่ต่อให้ไม่มีสติปัญญา ก็ยังรู้จักเข้าไปปกป้องสวี่ชิงด้วยสัญชาตญาณ

เพราะถ้าสวี่ชิงรอด พวกมันก็จะรอด

นอกเหนือจากนี้ แมลงสีดำพวกนี้ก็จำเป็นต้องกินหญ้าสมุนไพรและหญ้าพิษปริมาณมหาศาลทุกวัน และนี่ก็เป็นวิธีการชุบเลี้ยงที่ต้องจ่ายเงินมหาศาลประจำวัน ต่อให้เป็นก่อนหน้าที่สวี่ชิงรู้สึกว่าตนเองมีเงินมากแล้ว แต่ตอนนี้ก็ยังรู้สึกบีบคั้นเหลือเกิน

แต่เขายังมีสิ่งที่ได้รับอื่นอยู่อีก นั่นก็คือเด็กสาวชุดดำ

อีกฝ่ายยังคงถูกขังอยู่ในหน่วยปราบนิลกาฬ แต่นางก็ไม่ด่าแล้ว ทุกวันยังนั่งเงียบอยู่ที่นั่น บางครั้งก็มีคนร้ายประกาศจับใหม่ถูกจับเข้ามา ตอนที่สวี่ชิงไปทดสอบพิษ เด็กสาวชุดดำคนนี้ก็จ้องสวี่ชิงเขม็งทันที ความรู้สึกประหลาดในดวงตาก็รุนแรงขึ้นทุกครั้ง

หลายครั้งที่เสนอว่าจะเข้ามาช่วย ยิ่งไปกว่านั้นพอมองจากสายตาก็เหมือนมาจากใจจริง

สิ่งนี้ทำให้สวี่ชิงรู้สึกประหลาด ขณะเดียวกันหินวิญญาณก็ลดลงอย่างมาก ทำให้สวี่ชิงตึงเครียดขึ้นมา และส่วนแบ่งจากจางซานก็ยังต้องใช้เวลาอีกหน่อย ถึงอย่างไรการสร้างท่าเรือก็ต้องใช้หินวิญญาณปริมาณมหาศาล

ดังนั้นสวี่ชิงก็คิดไปถึงอาวุธเวทที่ตนเองได้รับมาก่อนหน้าแล้วถูกบรรพจารย์สำนักวัชระสูบไปกว่าครึ่ง และสร้างของปลอมขึ้นมาสำเร็จแล้วเหล่านั้น ในใจก็ขบคิดว่าหาตลาดมืดไปขายทิ้งเสียหน่อยดีหรือไม่

แต่ตอนที่สวี่ชิงชั่งน้ำหนักเรื่องนี้อยู่ แผ่นหยกสีแดงแผ่นหนึ่งก็ถูกส่งข้ามจากสนามรบมายังกรมข่าวกรองยอดเขาลำดับเจ็ด!

แผ่นหยกสีแดงเป็นตัวแทนของเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งยวด!

มีเพียงเจ้ายอดเขาเท่านั้นที่จะส่งได้ ไม่ว่าสนามรบจะอยู่ไกลเพียงใด ก็ยังถูกส่งกลับมายังสำนักในสถานที่ที่กำหนดไว้โดยไวที่สุด

และจนถึงตอนนี้ แผ่นหยกสีแดงของสนามรบ ก็ส่งมาเพียงสามครั้งเท่านั้น ทุกครั้งล้วนเกี่ยวข้องกับกลยุทธ์ศึกใหญ่ในสงครามทั้งนั้น จำเป็นต้องรับความร่วมมือจากสำนักจึงเสร็จสมบูรณ์

แต่ครั้งนี้…ไม่เกี่ยวข้องกับสงคราม เป็นผู้อาวุโสเจ็ดที่ส่งมา

หลังจากที่นายกองทางนั้นได้รับ ความคิดก็แล่นผ่าน หน้าเปลี่ยนสีทันควัน หลังจากนิ่งขรึมไปครู่หนึ่ง ผิงกั่วในมือก็วางลงข้างๆ ลุกขึ้นจะไปหาสวี่ชิง

แต่พริบตาต่อมา เขาก็ลังเล สุดท้ายจึงถอนใจยาว และยังเลือกตรงไปยังเรือเวทของสวี่ชิง

ตอนที่นายกองเจอสวี่ชิง สวี่ชิงกำลังจัดการอาวุธเวทเหล่านั้น เขาตัดสินใจจะออกไปข้างนอกเสียรอบหนึ่ง จัดการขายอาวุธเวทเหล่านี้ทิ้ง

การมาเยี่ยมเยือนกะทันหันของนายกอง สวี่ชิงเดิมทีไม่รู้สึกอะไร แต่สีหน้าของนายกองเคร่งขรึมอย่างที่ไม่ค่อยได้เห็น สิ่งนี้ทำสวี่ชิงประหลาดใจ

“นายกอง?”

“สวี่ชิง” นายกองลังเลอยู่ครู่หนึ่ง มองสวี่ชิง ตั้งใจจะพูดแต่ก็หยุดลง

สวี่ชิงหรี่ตา จ้องนายกองเขม็ง เขาสัมผัสได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง

“สวี่ชิง ตาเฒ่าส่งภารกิจหนึ่งมาให้ข้า” หลังจากนายกองครุ่นคิดไปหลายอึดใจ ดวงตาก็เผยแววเด็ดเดี่ยว เอ่ยเสียงขรึม

“ภารกิจนี้ ต้องการให้ข้าออกจากเจ็ดเนตรโลหิตไปยังผืนอินทนิลรอบหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นยังเร่งด่วนมากด้วย ตาเฒ่ากำลังอยู่ในสนามรบปลีกตัวมาไม่ได้ มิเช่นนั้นเขาคงจะไปเองแล้ว แต่ตาเฒ่าก็ให้ข้ามาถามเจ้าดูก่อน ว่าภารกิจนี้ เจ้าจะไปเองหรือไม่”

สวี่ชิงสีหน้าเคร่งขรึม เขารู้อยู่แล้วว่าตาเฒ่าจากปากของนายกองคือใคร

“นายกอง ไม่ต้องปิดบังหรอก มีเรื่องอะไร”

นายกองมองสวี่ชิงอย่างล้ำลึก ยื่นส่งแผ่นหยกสีแดงที่ได้รับมาให้กับสวี่ชิง

สวี่ชิงรับและเมื่อถ่ายพลังเวทเข้าไป ข้อความหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในหัวสมองเขา

“ปรมาจารย์ไป่สหายข้า รุ่งสางวันนี้ถูกสังหารจนตายที่ผืนอินทนิล…”

สวี่ชิงอ่านถึงจุดนี้ หัวสมองครืนครันขึ้นมาทันที ร่างทั้งร่างเหมือนจะยืนไม่มั่นคง เซถอยไปหลายก้าว

หน้าซีดเผือดขึ้นฉับพลัน จากนั้นจึงปรากฏสีเลือดขึ้น หน้าผากเส้นเอ็นปูดโปน มือที่ถือแผ่นหยกก็สั่นระริกเช่นกัน

เขาเหมือนข่มใจไว้ขีดสุด ลมหายใจหอบถี่

และในใจเองก็เกิดความรู้สึกไม่เหมือนเป็นเรื่องจริงอย่างแรงกล้า ความรู้สึกนี้ทำให้สวี่ชิงถึงกับหลับตาลง

ในโลกที่มืดมิดเบื้องหน้า ก็เหมือนมีกระโจมหลังหนึ่งปรากฏขึ้น เสียงแหบพร่าที่เข้มงวดดังลอดมาจากด้านใน

‘เด็กน้อย เจ้ามาตอบ!’

‘เด็กน้อย นับจากวันนี้ไม่ต้องยืนอยู่ด้านนอกแล้ว และไม่ต้องเอาหญ้าสมุนไพรมั่วซั่วมาด้วย ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ เจ้าเข้ามาฟังบทเรียนในกระโจม’

‘ระหว่างพวกเรา…เจ้าต้องรู้ไว้ว่าฟ้าดินคือที่พักของสรรพชีวิต แสงสว่างความมืดเป็นแขกที่ผ่านไปตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ขอแค่ยังไม่ตาย ในที่สุดก็จะได้พบกัน ข้าหวังว่าวันนั้นที่ได้เจอเจ้าอีก เจ้าจะกลายเป็นคนที่มีความสามารถนะ’

ในโลกที่มืดมิด กระโจมนี้แตกสลายกลายเป็นฝุ่นผง สลายหายไปในดวงตาสวี่ชิง มีเพียงประโยคสุดท้ายที่ยังก้องอยู่ข้างหูเขาชั่วนิรันดร์

“ขอแค่ยังไม่ตาย ในที่สุดก็จะได้พบกัน” สวี่ชิงพึมพำ รู้สึกในปากฝืดเผื่อนเล็กน้อย ลืมตาขึ้นแช่มช้า

ปรมาจารย์ไป่ เป็นอาจารย์คนแรกที่เปลี่ยนแปลงชีวิตเขาในความหมายที่แท้จริง

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

Status: Ongoing
เมื่อเขากลายเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวในเมืองที่ถูกพลังของเทพเจ้าทำลายล้าง… รายละเอียด กำลังภายใน-เทพเขียนเรื่องใหม่จากนักเขียนชื่อดัง ‘เอ่อร์เกิน’ ผู้เขียน ‘หนึ่งความคิดนิจนิรันดร์’ ‘สู่วิถีสุรา’ ฟื้นลิขิตฟ้าข้าขอเป็นเขียน’ ‘หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา’ เมื่อเทพเจ้าลืมตาจับจ้องมา โลกก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ไอพลังประหลาดกระจัดกระจายไปทั้งโลกมนุษย์ เกิดการกลายพันธุ์ต่อสรรพชีวิตบนโลก ‘สวี่ชิง’ เด็กหนุ่มผู้รอดชีวิตใช้ชีวิตเพียงลำพัง ดิ้นรนเอาตัวรอดจากอสูรร้ายและไอพลังประหลาดได้พบกับพลังวิเศษ แต่ในโลกกลียุคเช่นนี้ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะมีชีวิตรอด เพื่อที่จะแก้แค้นให้กับคนที่รัก เพื่อตามหาครอบครัวที่อาจจะมีชีวิตอยู่ที่ใดสักแห่ง เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ . . . เขาต้องรอด!!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท