ผู้กล้าเหนือกาลเวลา – บทที่ 210 นกบินเข้ากรง

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 210 นกบินเข้ากรง

ในบ้านที่ถูกทิ้งร้างไม่มีเสียงร้องโหยหวนดังสะท้อนแล้ว รอบๆ เงียบสงัด

สวี่ชิงหลับตา สัมผัสถึงพลังรากฐานพิเศษกลุ่มนั้นที่วิหคทองดูดมา เพียงแต่ปริมาณน้อยเกินไป เขาไม่สามารถสำแดงมันออกมาได้ ทว่าใช้สำหรับบอกตำแหน่งก็เพียงพอแล้ว

‘เช่นนั้น…ฟื้นคืนชีพมันอีกครั้งจะต้องยิ่งตื่นกลัวอย่างแน่นอน แต่ระดับนี้ยังไม่พอ ต้องให้มันตายสิบกว่าครั้งขึ้นไป ถึงจะค่อยๆ เข้มข้นขึ้น’ สวี่ชิงลืมตา มองไปทางเงาของตัวเอง

ตอนนี้เงาของเขาแผ่ลามไปยังเลือดที่อยู่บนพื้น หลังจากแผ่ปกคลุมไปก็ลอยเอ่ออยู่ในซากร่างแห้งร่างนั้น หลังจากผ่านไปประมาณสามสี่อึดใจ เจ้าเงาก็กลับมา ในระลอกคลื่นอารมณ์ที่ส่งออกมาชี้นำไปยังอีกทิศทางหนึ่ง ขณะเดียวกันก็ส่งคำขอร้องออกมา

“จับ…ข้าเชี่ยว…ขังมา…”

การทารุณสังหารก่อนหน้านี้ ด้านหนึ่งคือความโทสะเคืองแค้นในใจของสวี่ชิง ด้านหนึ่งคือเพื่อให้วิหคทองดูดซับ และอีกด้านหนึ่งคือให้เวลาเจ้าเงาเพียงพอเพื่อไปกัดกินเงาของอีกฝ่าย ทำให้บอกพิกัดทิศทางของอีกฝ่ายได้แม่นยำขึ้นจากการนั้น

เช่นนี้เมื่อรวมกับพลังดั้งเดิมกลุ่มนั้นที่สวี่ชิงได้มา ในที่สุดเขาก็จะทำได้ถึงไม่ว่าอีกฝ่ายจะซ่อนตัวอยู่แห่งหนใด ตนก็สามารถหาเจอได้อย่างแม่นยำ

ตอนนี้สัมผัสได้ถึงการร้องขอของเจ้าเงา สวี่ชิงคิดๆ แล้วพยักหน้า

เจ้าเงาแผ่ระลอกคลื่นอารมณ์กู่ก้องยินดี เหมือนมันรู้สึกว่าแบบนี้สนุกมาก ตื่นเต้นมาก

สวี่ชิงสีหน้าสงบนิ่ง หมุนตัวหายไปในบ้าน อำพรางตัวตลอด เขารู้สึกอยู่เลาๆ ว่าสองวันนี้เหมือนมีคนตรวจสอบตน

ความรู้สึกนี้ยิ่งชัดเจนขึ้น สวี่ชิงไม่อยากถูกผืนอินทนิลจับตามอง ดังนั้นจึงอำพรางตัวยิ่งมิดชิดกว่าเดิม

หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม นอกประตูตะวันออกของเมืองหลวงผืนอินทนิล มีคนกลุ่มคนจำนวนมากเข้าแถว ออกจากเมืองอยู่เรื่อยๆ ในนั้นส่วนมากเป็นขบวนรถ ผู้บำเพ็ญก็มี

ในนั้นมีเด็กหนุ่มคนหนึ่ง เด็กหนุ่มคนนี้เสื้อผ้าอาภรณ์นับว่ามีราคา ไม่เหมือนประชาชนทั่วๆ ไป แต่ว่าก็ไม่มีสิทธิพิเศษออกนอกเมืองผ่านช่องทางพิเศษ ต้องรออยู่ในแถวนี้ นี่ก็สามารถมองออกได้ว่าสายเลือดของเขาไม่ได้สูงส่ง

ตอนนี้อยู่ในแถว เด็กหนุ่มสีหน้าซีดขาวเล็กน้อย ลมหายใจหอบถี่ ประเดี๋ยวๆ ก็สังเกตรอบๆ เขา…ก็คือผู้บำเพ็ญเผ่าพรางมารยาตนนั้น

สุดท้ายเขาก็ไม่ได้เลือกใช้ร่างที่อยู่นอกเมืองนั้นทันที เพราะหากใช้ เมื่อถูกไล่ตามสังหารไปไกล หลังจากที่เขาตายก็จะไม่สามารถกลับมายังเมืองหลวงได้

ความสามารถพรสวรรค์ของเขามีขอบเขตจำกัด

และสำหรับเขา สถานที่ที่มีชีวิตมากมายถึงจะเป็นสถานที่ที่แสดงพลังของตัวเขาได้มากที่สุด ดังนั้นเขาจึงไม่คิดจากไปง่ายๆ ในขณะเดียวกันหากร่างนั้นตาย อาการบาดเจ็บของเขาจะสาหัสกว่าร่างอื่นๆ มาก

ดังนั้นเขาจึงเตรียมใช้ร่างนี้ไปจากเมืองนี้หลอกๆ ล่อคนไล่สังหารลึกลับคนนั้นไป แล้วค่อยใช้วิธีลัดกลับมา อย่างไรเสียร่างนี้ตายก็ตายไป ไม่มีผลกระทบอะไรมาก

นอกจากนี้ถูกหาเจอติดๆ กันสามครั้งก็ทำให้เขารู้เป็นอย่างดีว่าอีกฝ่ายจะต้องมีวิธีไล่ตามหาตนอย่างแน่นอน วีธีนี้คืออะไรเขาก็ไม่รู้ และไม่สามารถป้องกันได้เช่นกัน

นี่ทำให้ความไม่เป็นสุขในใจเขายิ่งรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะความตายครั้งนั้นก่อนหน้านี้ ความเหี้ยมโหดอำมหิตของอีกฝ่าย และประโยคสุดท้ายประโยคนั้นเหมือนลมยะเยือกพัดเข้ามาในใจเขาอยู่เนิ่นนานไม่สลายไป

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ครั้งนี้หลังจากที่เขาฟื้นคืนชีพก็มีความรู้สึกที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูกอย่างหนึ่ง เหมือนในตัวเองมีอะไรที่สำคัญที่สุดบางอย่างหายไปเล็กน้อย

ความรู้สึกนี้ทำให้ในใจของเขาเกิดวิกฤตเป็นตายผุดขึ้นมาเป็นครั้งแรก

‘แปลกประหลาดนัก แต่ข้าก็ยังไม่เชื่อหรอกว่า ด้วยวิชาของข้าจะถูกจับเป้าหมายไปได้อย่างไร!’

ในขณะที่ในใจของเด็กหนุ่มเกิดระลอกคลื่น เขาก็ไม่ได้สังเกตว่าในเงาขององครักษ์ที่อยู่ห่างไปไม่ไกลมีดวงตาข้างหนึ่งปรากฏขึ้นกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง

เสี้ยวขณะต่อมา ในตอนที่เด็กหนุ่มคนนี้เข้าแถวจะถึงประตูเมืองก็มียุงตัวหนึ่งบินมาอยู่ที่คอของเขาอย่างเงียบเชียบ ไม่ทันให้เด็กหนุ่มได้รู้ตัวก็เจาะไปที่เส้นเลือดบนคออย่างเต็มแรง

จากนั้นก็ส่งจิตเทพแผ่วเบามาที่ข้างหูเขา

“นายของข้าฝากทักทายเจ้า”

จากนั้นก็ระเบิดตัวเองทันที ทำให้แมลงสีดำตัวเล็กที่อยู่ในตัวมันไชไปในร่างของเด็กหนุ่มอย่างรวดเร็ว

เพียงพริบตา เด็กหนุ่มก็สั่นสะท้านไปทั้งร่าง ส่งเสียงโหยหวนน่าสังเวชออกมา จากความตื่นตระหนกของฝูงชนที่แตกฮือ ทั้งตัวเขาดิ้นทุรนทุรายบนพื้นไม่หยุด สุดท้ายร่างก็ส่งเสียงดังบึ้ม หลายเป็นรอยเลือดโปรยสาดไปทั่วพื้น

ชั่วขณะต่อมา องครักษ์ที่หน้าประตูเมืองคนหนึ่ง จู่ๆ ร่างก็สะท้านเฮือก หลังจากที่เปลือกตาปิดสนิทก็ลืมขึ้นมาอีกครั้ง เปลี่ยนคนแล้ว

เขาฉวยโอกาสช่วงวุ่นวายหันหลังคิดจะออกจากเมืองโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง แต่ชั่วขณะต่อมาร่างของเขาก็หยุดชะงัก แปรเปลี่ยนมาแข็งค้าง

ในดวงตาของเขาฉายความหวาดกลัวออกมา คิดอยากจะก้มหน้าแต่ก็ทำไม่ได้ ร่างเหมือนไม่อยู่ในการควบคุม ปากส่งเสียงหัวเราะอ่อนแรงที่ทำให้เขาขนลุกชัน

“อ่าฮ่า ข้าสร้างคุณงามความชอบได้ละ จับเจ้าได้แล้ว”

ระหว่างพูด ร่างขององครักษ์คนนี้ก็หันมาช้าๆ มุมปากยกขึ้นฉายรอยยิ้มออกมา หลังจากบอกกล่าวกับองครักษ์คนอื่นๆ ข้างกาย ก็เดินจากไปอย่างเบิกบาน

เดินมาตลอดทาง ดวงตาแต่ละดวงๆ จากในเงาขององครักษ์ทั้งหมดที่อยู่ในละแวกนั้น จากคนที่เข้าแถวอยู่ทุกคน ก็หายไปอย่างรวดเร็ว ผสานไปยังใต้เท้าของเขา

ทุกคนที่นี่…ถูกเจ้าเงาฝังดวงตาเอาไว้ เห็นได้ชัดว่ามันชำนาญในการเล่นซ่อนแอบที่สุด หลังจากที่มันหาผู้บำเพ็ญเผ่าพรางมารยาเจอแล้ว ก็ฝังตาไปยังทุกคนที่อยู่ในสายตาของอีกฝ่ายแถวๆ นั้น รอการมาเยือนของอีกฝ่าย

และผู้บำเพ็ญเผ่าพรางมารยาก็พลาดท่า เดินตามแผนเจ้าเงา

ตอนนี้ในดวงตาของเขาแฝงด้วยความตื่นกลัวอย่างรุนแรง เรื่องแบบนี้ชั่วชีวิตเขาไม่เคยพบเจอมาก่อนเลยจริงๆ ตอนนี้จิตใจสั่นสะท้าน จิตใจของทั้งคนแทบจะแหลกสลาย

เขากลัวอย่างสุดซึ้งเป็นครั้งแรก

เพราะเขาตระหนักได้โดยถ่องแท้ว่าตัวเองได้เจอกับสิ่งแปลกประหลาดที่น่ากลัวกว่าตนเองเสียอีกเข้าให้แล้ว!

ท่ามกลางความเบิกบานของเจ้าเงา องครักษ์คนนี้กระโดดดึ๋งดั๋งไปไกลจากฝูงชนเช่นนี้ ไปยังบ้านที่ถูกทิ้งร้างอีกหลังในตรอกแห่งหนึ่ง

บ้านที่ถูกทิ้งร้างในเมืองหลวงผืนอินทนิลมีมากมาย ความตายมักจะได้พบเห็นอยู่บ่อยๆ ที่นี่

จากการเดินเข้ามา ผู้บำเพ็ญเผ่าพรางมารยาคนนี้มองอย่างสิ้นหวังไปยังสวี่ชิงที่นั่งอยู่ในนั้น กำลังรอคอยเขาด้วยใบหน้านิ่งสงบ

หลังจากเห็นสวี่ชิง องครักษ์ที่ทั้งถูกเผ่าพรางมารยาสิงร่างและถูกเจ้าเงาควบคุมก็คุกเข่าลงดังตุบกับพื้น สองมือตบหน้าตัวเองไม่หยุด คอยตบเพี๊ยะๆ ฝ่ามือแล้วฝ่ามือเล่า

สวี่ชิงกวาดสายตามา ไม่สนใจ มองไปทางนอกประตู

“ในเมื่อมาแล้ว ไยจึงไม่เข้ามาเล่า” สวี่ชิงเอ่ยเสียงสงบนิ่ง

องครักษ์ที่เจ้าเงาบังคับหยุดชะงัก จากนั้นก็ตบต่อ

และจากการที่สวี่ชิงพูดขึ้น ไม่นานนักที่นอกประตู ท่ามกลางความบิดเบี้ยวก็มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินออกมา

ชุดคลุมยาวหรูหรา หยกประดับที่ส่องประกายแสงอ่อนโยน และใบหน้าที่งดงามสง่าเป็นอย่างยิ่ง และยังมีแววตาที่ซับซ้อน เป็น…เฉินเฟยหยวนนั่นเอง

สวี่ชิงมองเฉินเฟยหยวน กลิ่นอายในตัวของอีกฝ่ายแปลกประหลาดมาก ทั้งๆ ที่ไม่มีระลอกคลื่นพลังบำเพ็ญที่แข็งแกร่งเท่าใด แต่กลับทำให้สวี่ชิงรู้สึกอันตรายมาก ขณะเดียวกันกลิ่นอายก็เบาบางมากเช่นกัน

นี่ก็เป็นเหตุผลที่ทำไมแม้แต่เจ้าเงาก็ไม่รู้ตัวว่าตัวเองถูกแฝงตัวตามมา

“เจ้ากลายเป็นคนเลี้ยงของวิเศษแล้วอย่างนั้นหรือ” จู่ๆ สวี่ชิงก็พูดขึ้นมา

เขาค้นพบจุดของปัญหาได้แล้ว พลังบำเพ็ญของเฉินเฟยหยวนเป็นเพียงแค่ระดับรวมปราณเท่านั้น แต่ระลอกคลื่นพลังในตัวเหมือนไหลวนอยู่ในสายเลือดของเขา อีกทั้งยังแผ่ความรู้สึกของอดีตออกมาอีกด้วย เหมือนในร่างกายของเขามีอาวุธชิ้นหนึ่งเก็บเอาไว้

“ไม่ใช่คนเลี้ยงของวิเศษ สายหลักของแปดตระกูลแห่งผืนอินทนิลล้วนมีชีวิตเป็นหนึ่งเดียวกับอาวุธเวทเพียงชิ้นเดียวของตระกูลได้ หลังจากที่ข้ากลับมาก็เริ่มสัมผัส ถูกผสานชีวิตเข้าเป็นหนึ่งเดียวไปส่วนหนึ่ง ความจริงแล้วนี่ก็เป็นเหตุผลที่เจ้าตระกูลทุกรุ่นของแปดตระกูลผืนอินทนิลล้วนมีกำลังรบที่น่าตื่นตะลึง

“การฝึกบำเพ็ญของพวกเรา แม้พลังบำเพ็ญจะสำคัญ แต่สายเลือดสำคัญกว่า” เฉินเฟยหยวนเดินเข้ามาก็นั่งลงข้างๆ มองผู้บำเพ็ญเผ่าพรางมารยาที่กำลังตบหน้าตัวเองตนนั้น

“เป็นวิชาฝึกฝนที่แปลกประหลาดมาก” สวี่ชิงเอ่ยเสียงเบา

“เชื้อพระวงศ์ของรัฐม่วงครามถึงจะแปลกประหลาด นี่คือพรสวรรค์สายเลือดของพวกเขา พวกเขาสามารถมีชีวิตเป็นหนึ่งเดียวกับอาวุธเวททุกอย่างได้ ภายหลังถูกพวกเราแปดตระกูลแย่งชิง ในเวลาเนิ่นนานจากการเพาะเลี้ยงและสืบเผ่าพันธุ์ ในที่สุดก็ผสานพรสวรรค์สายเลือดมาในสายเลือดของตัวเองได้”

เฉินเฟยหยวนยักไหล่ มองสวี่ชิง

“ยังไม่ได้แสดงความยินดีที่เจ้าผงาดขึ้นได้ในสำนักเจ็ดเนตรโลหิตเลย”

“เจ้าเปลี่ยนไปมาก” สวี่ชิงเอ่ยอย่างจริงจัง

เฉินเฟยหยวนในความทรงจำของเขาไม่ใช่แบบนี้ ความจริงในหลายวันนี้เขาก็ค้นพบอยู่เลาๆ ว่ามีคนแอบจับตามอง แต่ก็หาร่องรอยไม่เจอ จวบจนวันนี้อีกฝ่ายปรากฏตัวขึ้นแล้ว

“ด้านหนึ่งก็โตขึ้น ด้านหนึ่งคือได้รับมรดกจากอาจารย์ อีกด้านหนึ่งคือผลกระทบจากอาวุธเวท” เฉินเฟยหยวนส่ายหน้า

“อีกทั้งเจ้าเองก็เปลี่ยนไปไม่น้อยเช่นกัน คิดไม่ถึงว่าเด็กตัวกะเปี๊ยกในตอนนั้น วันนี้จะเป็นลูกศิษย์ในอันดับรายชื่อของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตแล้ว”

เฉินเฟยหยวนกวาดตามองสวี่ชิง สายตาจับจ้องไปที่ร่างของเผ่าพรางมารยาที่ตบหน้าตัวเองตนนั้น จิตสังหารในดวงตาลอยเอ่อ

“มันเองหรือ”

“ร่างหนึ่งในนั้น” สวี่ชิงพยักหน้า

“ข้าไปที่ที่เจ้าไปเมื่อครั้งที่แล้ว กลิ่นคาวเลือดคลุ้งไปหมด เจ้านี่…ให้ข้าเล่นบ้างสิ” เฉินเฟยหยวนในดวงตามีความเหี้ยมโหดและบ้าคลั่ง แฝงด้วยความแค้นลึกซึ้ง จ้องเผ่าพรางมารยาตาเขม็ง

สวี่ชิงพยักหน้า ลุกขึ้นเดินออกไปจากบ้าน เจ้าเงากลับมา ทิ้งอำนาจการควบคุม และเสี้ยวขณะต่อมา เสียงร้องน่าสังเวชและโหยหวนก็ดังออกมาจากในบ้าน

เสียงนี้ดังอยู่หนึ่งก้านธูป ความโหดไม่ได้ต่างอะไรกับตอนที่สวี่ชิงลงมือเมื่อครั้งที่แล้วเท่าไรเลย

สุดท้ายเฉินเฟยหยวนก็เดินออกมาจากในบ้าน ร่างยังสั่นสะท้านเล็กน้อย เหมือนว่าความคั่งแค้นและความบ้าคลั่งในใจของเขายังไม่อาจสลายไปได้ ดวงตายิ่งแดงก่ำ มาอยู่ข้างหลังสวี่ชิง เขาสูดลมหายใจลึก

“ถิงอวี้เดาว่าเจ้ามาแล้ว แต่ข้าบอกนางว่าเจ้าไม่มา

“สวี่ชิง ตระกูลใหญ่พวกนั้นของผืนอินทนิลตอนนี้ยังไม่รู้เรื่องการมาถึงของเจ้า ข้าปิดกั้นและอำพรางแล้ว แต่ความสามารถของข้ามีจำกัด ปิดกั้นได้ไม่นาน แต่ข้าก็จะพยายามอย่างเต็มที่ เจ้าวางใจแก้แค้นให้ท่านอาจารย์ หลังจากเสร็จสิ้นแล้วก็รีบจากไปโดยเร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นจะเป็นอันตรายอย่างใหญ่หลวง

“เงินรางวัลของเผ่าสิงซากสมุทร พวกไอ้แก่ของผืนอินทนิลที่ไม่ยอมจำนนตายไปเช่นนั้นหวั่นไหวนัก คนพวกนี้ไม่ใช่คนแล้ว เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป เรื่องอะไรพวกมันก็ทำได้ทั้งนั้น

“สวี่ชิง เจ้าระวังตัวให้ดี” เฉินเฟยหยวนเอ่ยเสียงต่ำทุ้ม พูดจบก็เดินจากไปไกล

สวี่ชิงมองเฉินเฟยหยวน พลันเอ่ยขึ้นว่า

“ศิษย์พี่รักษาตัวด้วย”

สวี่ชิงมองเห็นบุคลิกของปรมาจารย์ไป่รางๆ ในตัวเฉินเฟยหยวน นั่นเป็นความชิงชังต่อผืนอินทนิลและความมุ่งมั่นที่จะลองเปลี่ยนแปลง

ฝีเท้าของเฉินเฟยหยวนหยุดชะงัก ทว่าไม่ได้หันกลับมา ก้าวเดินต่อไป ทุกๆ ก้าวล้วนมุ่งมั่นยิ่งขึ้น จวบจนหายลับไปในความว่างเปล่า

บทที่ 206 ไล่ตามจับฆาตรกรถึงแดนผืนอินทนิล

ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงตรง ทั้งๆ ที่ควรจะท้องฟ้าสดใสเจิดจ้า แต่ข้างหน้าสวี่ชิงแสงกลับไม่ได้สว่างแบบนั้นแล้ว

ทั้งๆ ที่ท่าเรือร้อยเจ็ดสิบหกเอะอะโหวกเหวก แต่ในความรู้สึกของสวี่ชิงเหมือนเสียงเหมือนจะเงียบหายไปหมดแล้ว

ความรู้สึกที่ไม่เหมือนเรื่องจริงอย่างรุนแรงทำให้เขารู้สึกว่าทุกอย่างนี้เหมือนเป็นเรื่องล้อเล่นเท่านั้น กลุ่มคนที่เดินมาจากที่ไกล นกที่โบยบินผ่านฟากฟ้า เสียงเรือที่มาจากท้องทะเล ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนถูกสกัดกั้นจากการรับรู้ของเขา

เหมือนว่าโลกในความเข้าใจของเขากลายเป็นสองชั้น ชั้นหนึ่งคือทุกสิ่งทุกอย่างและทุกคน อีกชั้นหนึ่ง…มีเพียงตัวเขาเท่านั้น

กะทันหันเหลือเกิน

ข่าวที่ปุปปับประเภทนี้ น้อยนักที่มีคนยอมรับได้ในทันที และน้อยนักที่จะมีคนตั้งตัวกลับมาได้ในทันที สวี่ชิงโซเซ ถอยหลังไปสามสี่ก้าว ออกแรงเกาะราวกั้นเรือใหญ่เวทเอาไว้

ลมทะเลพัดมา พัดเส้นผมดำของเขาปลิวไสว แต่กลับพัดพาความอัดอั้นที่เกิดขึ้นในใจให้สลายไปไม่ได้ เขาอยากจะตะโกน อยากจะคำราม แต่กลับเปล่งเสียงไม่ออก

สวี่ชิงให้ความสำคัญกับบุญคุณเป็นอย่างมาก

“สุดท้ายก็จะได้พบกันหรือ…” สวี่ชิงพึมพำในใจ

เขานึกถึงเรื่องในวันวานที่ฐานที่มั่นคนเก็บกวาด ตัวเองหาดอกลิขิตฟ้า นึกถึงเรื่องในกระโจม สายตาล้ำลึกของปรมาจารย์ไป่ นึกถึงภาพที่ตัวเองเอาสมุนไพรอื่นๆ มาแกล้งถาม

สุดท้าย เบื้องหน้าของเขาก็มีภาพที่รถม้าแต่ละคันๆ จากไปไกล ปรมาจารย์ไป่นั่งอยู่บนนั้น ใบหน้าแก่ชรามีรอยยิ้มปรากฏขึ้น พยักหน้ามาให้ตน

ตอนนี้ถึงอย่างสลายหายไปหมดแล้ว

หัวหน้าเหลยมอบความรู้สึกญาติพี่น้องให้สวี่ชิง

ปรมาจารย์ไป่มอบบุญคุณยิ่งใหญ่ให้สวี่ชิง

ชายชราทั้งสองคนนี้พูดได้ว่าเป็นคนที่ดึงเด็กหนุ่มที่เดินออกมาจากในเมืองที่เสี้ยวหน้าเทพเจ้าลืมตา ฝนเลือดและซากศพเกลื่อนกลาดประดุจนรกอเวจีให้กลับมาอยู่ในโลกมนุษย์อีกครั้ง

เพียงแต่ฟ้าดินไร้ความเมตตา กลียุคไร้ความปรานี

ชีวิตในโลกใบนี้คือสิ่งไร้ค่า

ต่อให้หลังจากสวี่ชิงเข้าสำนักเจ็ดเนตรโลหิตแล้ว หลายครั้งที่ได้เห็น ได้ยิน ล้วนไม่ใช่ความเย็นชาทั่วทุกแห่งหนแบบในฐานะที่มั่นคนเก็บกวาดแบบนั้น แต่แสดงให้เขาเห็นด้วยอีกวิธีหนึ่ง

ทว่านี่ไม่ได้หมายความว่าข้างนอกทุกอย่างจะเป็นเช่นนี้

ไม่ว่าจะแลกลูกเพื่ออาหาร หรือจะการฆ่าทารุณโหดเหี้ยม ในโลกภายใต้เทพเจ้า ล้วนมีให้เห็นอยู่ทั่วทุกที่ทุกเวลา

และตอนนี้ ในใจของสวี่ชิงก็มีจิตสังหารกลุ่มหนึ่งปะทุขึ้นไม่หยุด เหมือนในตัวเขามีดาบคมเล่มหนึ่ง กำลังแผ่จิตสังหารท่วมฟ้าดินออกมาอย่างบ้าคลั่ง จะพุ่งทะลุร่างของเขาออกมา คิดจะระบายอารมณ์ในฟ้าดิน

สวี่ชิงร่างสั่นสะท้าน

นานอยู่อย่างนั้น สวี่ชิงสูดลมหายใจเข้าลึก มองนายกองที่ใบหน้าฉายความเป็นห่วงอยู่เบื้องหน้า เสียงของเขาเปลี่ยนมาแหบแห้งเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว เอ่ยเสียงเบาขึ้นว่า

“ข้าไม่เป็นไร”

สวี่ชิงพูดพลางก้มหน้าถือแผ่นหยกสีแดงเอาไว้ในมือ ฝืนให้ตัวเองสงบนิ่ง ตรวจสอบอีกครั้ง

เห็นได้ชัดว่านายท่านเจ็ดมีเส้นสายที่กว้างขวางและความสามารถเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นในแผ่นหยกของเขาจึงไม่ได้แค่บอกการตายของปรมาจารย์ไป่เท่านั้น กระทั่งว่ายังมีเบาะแสที่ฝ่ายดินแดนผืนอินทนิลสืบมาและข้อมูลของฆาตกรด้วย

สาเหตุการตายที่แท้จริงคืออะไรตอนนี้ยังไม่มีใครรู้ แต่ในแผ่นหยกบอกว่า หลังจากที่ปรมาจารย์ไป่ถูกลอบสังหารตายแล้ว ตัวเขาและสถานที่ที่เขาพักอาศัยไม่มีอะไรหายไป มีเพียงตำรับยาลูกกลอนส่วนท้ายของลูกกลอนจันทราทะนงที่หายไป

นี่เป็นวัตถุที่มีคนเปิดออกมาได้จากกล่องปรารถนาเมื่อไม่รู้กี่ปีก่อน เป็นสิ่งที่มาจากศักราชที่แล้ว บันทึกไว้บนหนังสัตว์ไม่ทราบชนิด ลูกกลอนที่พรรณาบนนั้นไร้ศีลธรรมจรรยา โหดร้ายเป็นอย่างยิ่ง

ลูกกลอนจันทราทะนง ตัวยาหลักคือบุคคลที่เป็นอัจฉริยะโดดเด่น สามคนเป็นหนึ่งตำรับ ต้องใช้หกตำรับหลอมพร้อมกัน สุดท้ายหลอมเป็นลูกกลอนเลือดหนึ่งเม็ด

ลูกกลอนเม็ดนี้กลืนกินลงไปก็จะทำให้คนธรรมดาพลิกชะตาเปลี่ยนไปกลายเป็นอัจฉริยะ

ปรมาจารย์ไป่บังเอิญได้ส่วนท้ายของตำรับยามา คิดว่าลูกกลอนนี้เหี้ยมโหดเหลือคณา เดิมคิดจะทำลายทิ้ง แต่เนื่องจากมันมีคุณค่าทางด้านเภสัชวิทยาในระดับหนึ่ง ดังนั้นจึงเก็บสะสมเอาไว้ คนนอกรู้ไม่มาก

ส่วนตัวตนโดยละเอียดของคนร้าย แผ่นดินผืนอินทนิลก็กำลังสืบเช่นกัน นายท่านเจ็ดไม่อาจรู้รายละเอียดไปได้มากกว่านี้ แต่อาศัยเส้นสายที่แผ่นดินผืนอินทนิลของเขาจึงสืบเบาะแสอะไรมาได้บ้าง

คนร้ายไม่ใช่เผ่ามนุษย์ แต่เป็นเผ่าแปลกประหลาดที่หาได้ยากในทะเลต้องห้ามเผ่าพันธุ์หนึ่ง ชื่อว่าเผ่าพรางมารยา

เผ่านี้ได้ชื่อว่าเป็นเผ่าอมตะ ใช่ว่าจะไม่ตายจริงๆ ทว่าความสามารถแปลกประหลาดของเผ่าทำให้คนนอกยากที่จับหรือฆ่าให้ตายได้โดยสมบูรณ์ เพราะทุกครั้งที่พวกมันตาย ก็จะไปฟื้นคืนชีพในร่างของสิ่งมีชีวิตที่เคยทำสัญลักษณ์เอาไว้ทันที

แม้ทุกครั้งจะฟื้นคืนชีพ แต่ล้วนมีการผลาญพลังทั้งนั้น ทว่าก็ไม่ได้มากเท่าใด

นี่สร้างความยุ่งยากเป็นอย่างมากให้กับการสืบคดีของฝ่ายผืนอินทนิล นอกจากนั้น…สถานการณ์ของผืนอินทนิลซับซ้อน ตระกูลต่างๆ ในดินแดนมีการต่อสู้กันเรื่องผลประโยชน์ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง และในตอนที่ปรมาจารย์ไป่มีชีวิตอยู่ เขามีคุณค่าอย่างมาก คนจำนวนไม่น้อยได้รับพระคุณจากเขา

แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญ เขาเป็นเพียงแค่คนธรรมดา เป็นชายชราใกล้ฝั่งแล้วคนหนึ่งเท่านั้น

และคนธรรมดาต่อให้มีคุณูปการมากสักเพียงใด ในสายตาของผู้บำเพ็ญ โดยเฉพาะในสายตาของผู้มีอำนาจที่ความคิดคร่ำครึพวกนั้นในดินแดนสีม่วง ก็ล้วนต่ำตมทั้งสิ้น

ก็แค่เครื่องมือเท่านั้น

ดังนั้นหลังจากปรมาจารย์ไป่ตาย ฝั่งผืนอินทนิลแม้จะโกรธเดือดดาล แม้จะตรวจสอบ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ทุ่มเทจริงจังเป็นพิเศษ ส่วนคนที่เคยได้รับบุญคุณจากเขาก็ไม่ได้ลงมือเท่าใดนัก

คนจากไปชาก็เย็นชืด โดยเฉพาะในกลียุคที่โหดเหี้ยมก็ยิ่งเป็นเช่นนี้

แต่พวกเขาก็ยังปิดกั้นการส่งข้ามไปยังภายนอกทั้งหมดในดินแดนผืนอินทนิล และแจ้งลัทธินอกวิถี แนวเทือกเขาสัจจะธรรมและสำนักเจ็ดเนตรโลหิตให้ปิดกั้นการส่งข้ามเช่นกัน

ทำเรื่องพวกนี้เสร็จสิ้น ความสนใจของผืนอินทนิลก็แทบจะอยู่ที่มรดกวิถียาลูกกลอนของปรมาจารย์ไป่ ต่อให้เป็นตระกูลไป่ก็มีความเห็นต่างต่อเรื่องนี้เช่นกัน บางส่วนคิดว่าต้องแก้แค้น บางส่วนนั้นเริ่มแบ่งผลปรโยชน์

นี่ก็คือดินแดนผืนอินทนิล

และเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำไมทั้งๆ ที่แผ่นดินผืนอินทนิลเป็นคนทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณที่แท้จริง แต่ตอนนี้กลับเป็นได้เพียงแค่ขั้วอำนาจเท่านั้น ความคร่ำครึและความคิดที่ปิดกั้นของพวกเขาหยั่งรากลึกฝังแน่น

ดังนั้นถึงได้มีแผ่นหยกสีแดงของนายท่านเจ็ด ตัวเขาไม่สามารถเดินทางกลับไปได้ เรื่องนี้จึงมอบให้กับนายกอง เพราะทั้งทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ คนที่เข้าใจทะเลต้องห้ามที่สุดก็มีเพียงยอดเขาลำดับเจ็ดแห่งสำนักเจ็ดเนตรโลหิตแล้ว

และยิ่งมีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่เชี่ยวชาญการค้นหาและสืบสวนต่อพวกต่างเผ่าในทะเลต้องห้าม

“ปกติการลอบสังหารเช่นนี้ จำนวนของฆาตกรไม่มีทางมีจำนวนมาก ร่วมกับเอกลักษณ์ของเผ่าพรางมารยาแล้ว เป็นไปได้อย่างมากว่าจะมีแค่คนเดียว อีกทั้งพลังบำเพ็ญก็น่าจะไม่ใช่ระดับแก่นลมปราณ

“เพราะค่ายกลของผืนอินทนิลมีการควบคุมและสะกดผู้บำเพ็ญระดับแก่นลมปราณที่มาจากภายนอกรุนแรงมาก ผู้บำเพ็ญต่างเผ่าระดับแก่นลมปราณมา ความเป็นไปได้ที่จะถูกจับได้มากกว่าระดับสร้างฐานที่ไม่ค่อยเป็นที่สนใจ

“ดังนั้นครั้งนี้ สำหรับคนสำนักเจ็ดเนตรโลหิตที่เดินทางไปสืบเรื่อง แผ่นดินอินทนิลก็มีเงื่อนไขคล้ายๆ กัน คือผู้บำเพ็ญระดับแก่นลมปราณไม่อาจเข้ามาได้ และหากเป็นข้าไป ข้าก็จะสืบหาจากไอพลังประหลาดที่แฝงอยู่ในกลิ่นอายทะเลต้องห้าม ร่วมกับใช้อาวุธเวทพิเศษบางอย่างแยกแยะ ขั้นตอนนี้อาจจะต้องใช้เวลาช่วงหนึ่ง นอกจากนี้ข้าก็ไม่แน่ใจว่าการปิดกั้นของผืนอินทนิลจะดำเนินนานเท่าใด

“ในเมื่อ…ตระกูลของผืนอินทนิลมีมากมาย ตระกูลไป่เป็นเพียงแค่หนึ่งในนั้นเท่านั้น”

นายกองมองสวี่ชิงพลางเอ่ยเสียงเบา

“ข้าไป” สวี่ชิงเงยหน้า พูดออกไปอย่างสงบนิ่ง

ประโยคนี้ไม่มีคลื่นอารมณ์ใดๆ ทั้งนั้น แต่นายกองกลับสัมผัสได้ว่าในตัวเขามีลมพายุที่ใกล้จะระเบิดออกออกมาแล้วเต็มที!

“สวี่ชิง อีกครู่หนึ่งข้าจะเปิดจุดส่งข้ามลับแห่งหนึ่งให้เจ้าเพื่อสะดวกกลับมา หลังจากเจ้าหาฆาตกรเจอก็สามารถไปที่นั่นได้ และส่งข้ามกลับมา ส่วนประเด็นสำคัญของการว่าจ้างฆ่าก็คือ…

“ประเด็นสำคัญคือหาฆาตกรตัวจริงที่อยู่เบื้องหลัง” สวี่ชิงทะยานขึ้นกลางอากาศ มือขวาสะบัด ท่ามกลางเสียงครืนครันของมหาสมุทร เรือใหญ่เวทของเขาก็กะพริบแสง สวี่ชิงเก็บมันลงไปทันที เขาอยู่กลางอากาศก็ไม่ได้หยุดนิ่งแม้เพียงเล็กน้อย มุ่งหน้าไปที่ค่ายกลส่งข้ามของสำนักเจ็ดเนตรโลหิต

แม้ทุกอย่างจะถูกปิดกั้น แต่ถือแผ่นหยกทำการส่งข้ามทางเดียวครั้งหนึ่งก็ยังสามารถทำได้อยู่

และในใจสวี่ชิงตอนนี้มีทั้งจิตสังหารและความร้อนรนผสมด้วยกันอยู่ตลอด เกิดเป็นความกดดันที่ยิ่งลึกลงไปในใจ ทำให้ความเร็วของเขาน่าตื่นตะลึง

และเสียงแหวกอากาศที่เกิดขึ้นจากความเร็วระดับนี้ของเขาก็ทำให้คนที่มองเห็นในเมืองหลักเจ็ดเนตรโลหิตต่างใจสั่นสะท้าน ตื่นตกใจกันไปทุกคน

เสี้ยวพริบตาต่อมา เงาร่างของสวี่ชิงก็มาปรากฏอยู่ที่ค่ายกลส่งข้ามของสำนักเจ็ดเนตรโลหิต เขาไม่ลังเลแม้แต่น้อย ในเสี้ยวพริบตาที่ร่างของเขาลอยต่ำลงมาก็มายืนอยู่ในค่ายกลส่งข้ามแล้ว

“เมืองหลวงผืนอินทนิล!” สวี่ชิงใบหน้าไร้อารมณ์ เอ่ยเสียงต่ำทุ้ม

ลูกศิษย์ที่รับผิดชอบส่งข้ามข้างๆ จำตัวตนของสวี่ชิงได้ จึงรับคำสั่งเริ่มปรับทันที หลังจากชั่วสามอึดใจ จากแสงค่ายกลที่กะพริบส่อง เงาร่างของสวี่ชิงที่อยู่ในนั้นก็หายไปทันที

ระลอกค่ายกลส่งข้ามแผ่ไปทั่วทุกทิศ ท่ามกลางเสียงดังเลื่อนลั่น จากการหายไปของสวี่ชิง ทางนายกองทางนั้นก็มาถึงอย่างรวดเร็ว

ยืนอยู่นอกค่ายกลส่งข้าม เขามองไปทางที่ไกลพลางถอนหายใจออกมายาวๆ

สำหรับเรื่องระหว่างสวี่ชิงกับปรมาจารย์ไป่ เขาเองก็ได้อ่านจากม้วนเอกสารหลังจากที่ได้เป็นเจ้ากรมข่าวกรอง และก็รู้ว่าในเรื่องนี้ความจริงแล้วตาแก่ก็มีประโยชน์มาก

เป็นสวี่ชิงที่ตาแก่แนะนำ และทางปรมาจารย์ไป่สุดท้ายก็ยอมรับสวี่ชิงอย่างหาได้ยาก

ดังนั้นเรื่องนี้นายกองรู้ว่าตัวเองไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยว

เพราะเขารู้สึกว่า สวี่ชิงก็ไม่อยากให้คนอื่นเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยเช่นกัน

“ตอนนั้น…ข้าก็เคยมีความรู้สึกคล้ายๆ กันเหมือนกัน ข้าในตอนนั้นอยากจะอยู่คนเดียว” ในแววตาของนายกองฉายแววย้อนความทรงจำ ความเศร้าโศกเหมือนผุดขึ้นมาจากส่วนลึกในหัวใจใหม่อีกครั้ง แต่เสี้ยวขณะต่อมาก็ถูกฝืนสะกดมันกลับลงไป

จากนั้นเขาก็มองไปรอบๆ ยิ้มพลางพูดขึ้น

“ทุกท่าน ที่นี่กรมข่าวกรองใช้แล้ว”

จากเสียงของเขาที่ดังออกมา ค่ายกลของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตแห่งนี้ก็เปลี่ยนมาว่างโล่งทันที ลูกศิษย์กรมข่าวกรองเข้าควบคุม จากนั้นนายกองก็สูดลมหายใจลึก เงยหน้ามองท้องฟ้า

“ด้วยฐานะอันดับรายชื่อที่สามแห่งสำนักเจ็ดเนตรโลหิต ด้วยสิทธิ์อำนาจลูกศิษย์คนโตแห่งยอดเขาลำดับเจ็ด ตำแหน่งเจ้ากรมข่าวกรองแห่งยอดเขาลำดับเจ็ด ยื่นขอใช้ค่ายกลใหญ่สำนัก ปิดกั้นค่ายกลส่งข้ามทั้งหมดของสำนักเจ็ดเนตรโลหิต ปิดกั้นท่าเรือสำนักเจ็ดเนตรโลหิต

“เรือต่างเผ่าทุกลำที่สัญจรไปมาในสำนักเจ็ดเนตรโลหิต ห้ามมิให้ออกจากท่าเรือ ห้ามมิให้เข้าท่าเรือ”

จากเสียงของนายกองที่ดังออกมา ค่ายกลทั้งสำนักเจ็ดเนตรโลหิตส่งเสียงสะเทือนเลื่อนลั่น ไม่นานนักบนยอดเขาลำดับหกก็มีจิตเทพทางหนึ่งส่งมา

นายกองประสานหมัดโค้งคารวะไปทางยอดเขาลำดับหก เอ่ยเสียงต่ำทุ้ม

“อาจารย์ลุงหก ศิษย์มีหลักฐานและการคาดเดาในระดับหนึ่ง บางทีอาจจะสืบเรื่องที่ศิษย์พี่เฉินถูกทำร้ายในตอนนั้นได้ ขออาจารย์ลุงโปรดอนุญาตให้ศิษย์ปิดสำนัก!”

ยอดเขาลำดับหกพลันปะทุพลังท่วมฟ้าออกมา ทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี ลมเมฆกรรโชกหอบม้วน หลังจากนั้นก็มีเสียงต่ำทุ้มดังมา

“อนุญาต!”

นายกองก้มศีรษะ โค้งคารวะสุดตัว เอ่ยพึมพำในใจ

“อาชิงน้อย สิ่งที่ศิษย์พี่ทำได้ก็มีเพียงเรื่องแบบนี้พวกนี้เท่านั้นแล้ว หวังว่าเจ้าจะสืบเรื่องได้ราบรื่น เรื่องนี้…ความรู้สึกแรกที่ข้ามีคือ ไม่ธรรมดามากๆ

“ลูกกลอนจันทราทะนงหรือ

“หลายปีมานี้ อัจฉริยะที่หายไปในทะเล…มีจำนวนไม่น้อยเลย…”

นายกองหรี่ตา แววตาล้ำลึก

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

Status: Ongoing
เมื่อเขากลายเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวในเมืองที่ถูกพลังของเทพเจ้าทำลายล้าง… รายละเอียด กำลังภายใน-เทพเขียนเรื่องใหม่จากนักเขียนชื่อดัง ‘เอ่อร์เกิน’ ผู้เขียน ‘หนึ่งความคิดนิจนิรันดร์’ ‘สู่วิถีสุรา’ ฟื้นลิขิตฟ้าข้าขอเป็นเขียน’ ‘หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา’ เมื่อเทพเจ้าลืมตาจับจ้องมา โลกก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ไอพลังประหลาดกระจัดกระจายไปทั้งโลกมนุษย์ เกิดการกลายพันธุ์ต่อสรรพชีวิตบนโลก ‘สวี่ชิง’ เด็กหนุ่มผู้รอดชีวิตใช้ชีวิตเพียงลำพัง ดิ้นรนเอาตัวรอดจากอสูรร้ายและไอพลังประหลาดได้พบกับพลังวิเศษ แต่ในโลกกลียุคเช่นนี้ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะมีชีวิตรอด เพื่อที่จะแก้แค้นให้กับคนที่รัก เพื่อตามหาครอบครัวที่อาจจะมีชีวิตอยู่ที่ใดสักแห่ง เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ . . . เขาต้องรอด!!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท