ผู้กล้าเหนือกาลเวลา – บทที่ 397 พลังต่อสู้ที่แกร่งที่สุดของยุคใหม่

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 397 พลังต่อสู้ที่แกร่งที่สุดของยุคใหม่

เมืองหลวงเขตปกครองช่วงเช้าตรู่ ท่ามกลางแสงตะวันอบอุ่นเปี่ยมล้น แตกต่างกับเจ็ดเนตรโลหิต ผู้คนที่นี่มีรอยยิ้มมากกว่า

และแตกต่างกับพันธมิตรแปดสำนักด้วย ไอพลังประหลาดของเมืองหลวงเขตปกครองค่อนข้างน้อยกว่า ยิ่งไปกว่านั้นระหว่างฟ้าดินก็ไม่มีความเยือกเย็นและความชื้น และไม่มีกลิ่นคาวที่มาจากทะเลต้องห้ามด้วย

เสื้อผ้าของผู้คนก็เช่นเดียวกัน

ไม่ว่าจะชาวบ้านที่ออกมาแต่เช้า หรือว่าร้านรวงที่เริ่มตั้งแผง เผ่ามนุษย์ทั้งหมดที่สวี่ชิงเห็น ไม่พูดเรื่องที่พวกเขาสวมผ้าทอ แต่ก็งดงามมาแล้วเช่นกัน

สิ่งที่สะท้อนออกมาเป็นหลัก ก็คือสีสัน

เมืองของทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ สีเสื้อผ้าคนทั่วไปค่อนข้างเรียบง่าย ต่อให้มาถึงพันธมิตรแปดสำนักแล้วจะดีขขึ้นเล็กน้อยก็ตาม

มีเพียงเมืองหลวงเขตปกครองนี้เท่านั้นที่เสื้อผ้าหลากสีสัน ทำให้เมืองที่ยิ่งใหญ่เมืองนี้เต็มไปด้วยความสดใสมีชีวิตชีวา

เนื่องจากยังไม่ถึงเวลารายงานตัว สวี่ชิงกับนางกองจึงไม่ทะยานขึ้นฟ้า แต่ค่อยๆ เดินไปในเมืองหลวงเขตปกครองอย่างไม่เร่งไม่ร้อนแทน

สวี่ชิงปิดด่านไปครึ่งเดือนไม่ได้ออกมาด้านนอก ยังคิดจะใช้โอกาสนี้ทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมเสียหน่อย

มองถนนหนทางที่ค่อยๆ คึกคักขึ้นรอบๆ ครู่หนึ่งสวี่ชิงจึงเงยหน้ามองท้องฟ้า

เวลานี้ผู้ครองกระบี่ที่ตรงไปยังวังครองกระบี่มีอยู่ไม่น้อย สวมชุดเดียวกัน แยกไม่ออกว่าใครเป็นหน้าใหม่ แต่ทุกคนในบรรดานี้ก็ล้วนมีคลื่นพลังที่ไม่ธรรมดา

สวี่ชิงไม่ใส่ใจ ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นเมืองหลวงเขตปกครอง รวมหัวกะทิของมณฑลต่างๆ เอาไว้ แน่นอนว่าผู้แข็งแกร่งย่อมมีอยู่มากมาย

“ท่านอาจารย์บอกว่ายุคสมัยใหม่มาถึงแล้ว จึงปรากฏอัจฉริยะฟ้าประทานออกมาบ่อย ผู้ครองกระบี่คนใหม่ของมณฑลต่างๆ ครั้งนี้ก็แตกต่างกับในอดีตอย่างมาก” นายกองอยู่ข้างๆ สวี่ชิง กินผิงกั่วพลางมองท้องฟ้า

“แต่อาชิงน้อยก็ไม่ต้องกังวลคนแปลกหน้า ศิษย์พี่ใหญ่อย่างข้าทำอะไรรอบคอบมากอยู่แล้ว ช่วงนี้ข้าใช้เงินซื้อข่าวมาไม่น้อย เข้าใจอัจฉริยะฟ้าประทานรุ่นใหม่ของมณฑลต่างๆ กระทั่งสามสำนักหนึ่งตระกูลรวมถึงสองต่างเผ่าใหญ่นั่นเป็นอย่างดี”

นายกองสีหน้าเผยแววภาคภูมิ ทำท่าทางประมาณข้าใช้หินวิญญาณในส่วนสำคัญนะ

สวี่ชิงพยักหน้า อย่างที่เขาชอบสังเกตสภาพแวดล้อมในที่ใหม่ๆ นายกองก็ชอบที่จะหาข่าวกรองในที่ใหม่ๆ ให้มากขึ้น

“น่าเสียดายที่วังครองกระบี่ไม่ยอมขายเรื่องตำแหน่ง” คิดถึงตำแหน่งแล้ว นายกองก็ถอนหายใจ รู้สึกเสียดายา

สวี่ชิงมองนายกองผาดหนึ่ง ไม่พูดอะไร

นายกองสีหน้าหดหู่ กัดผิงกั่วอย่างแรง

“วังครองกระบี่นี่นะ อะไรก็ดีไปหมด ติดแค่เรื่องไม่ปราณีใครนี่ล่ะ”

เนื่องจากตนได้รับแสงเพียงหนึ่งจั้ง นายกองจึงไม่มั่นใจเรื่องตำแหน่งเลย

ตอนที่สวี่ชิงฝึกบำเพ็ญ เขาออกมาหาเฉินถิงหาวด้านนอกหลายครั้งเพื่อสืบหาเรื่องนี้ เดิมคิดจะส่งของขวัญไป เพื่อตำแหน่งที่ดี

แต่เขาสืบไปรอบหนึ่งก็พบว่าเรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ วังครองกระบี่แตกต่างกับที่อื่นๆ เข้มงวดเรื่องนี้มาก ตำแหน่งทั้งหมดล้วนกำหนดโดยระดับสูง ขณะเดียวกันก็มีการทดสอบด้วย

เห็นนายกองหงุดหงิด สวี่ชิงคิดจะพูดอะไร ตอนนี้เอง จู่ๆ เขาก็มองขึ้นไปบนท้องฟ้า สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย

นายกองก็เบนสายตามองไปทันที

บนท้องฟ้า มีผู้บำเพ็ญที่ดูพิเศษกลุ่มหนึ่ง กำลังหวีดหวิวมา

พวกเขาสวมชุดแตกต่างจากเผ่ามนุษย์ แม้จะเป็นชุดนักพรตแต่ไม่ได้โคร่ง ทว่าออกแนวแนบเนื้อ

ยิ่งไปกว่านั้นเสื้อด้านบนปักดิ้นทอง ส่วนครึ่งล่างปักล้อมรอบด้วยดิ้นเงิน

ขณะที่ค่อนข้างแปลกประหลาด คลื่นพลังก็น่าตกตะลึงมาก ท่าทางพิเศษยิ่งกว่า

พวกเขามีทั้งชายและหญิง แต่ไม่ว่าส่วนใดเผยเนื้อหนังออกมาก็ล้วนขาวประดุจหิมะ ยิ่งไปกว่านั้นคิ้วและเส้นผมก็เช่นเดียวกัน กระทั่งม่านตาด้วย เต็มไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์

ตอนนี้ที่เดินอยู่กลางอากาศ แสงตะวันสาดส่องชุดนักพรตสีเงินทอง สะท้อนแสงเจิดจ้าออกมา ยิ่งเพิ่มความโดดเด่นและความหยิ่งทะนงให้พวกเขาหลายเท่า

“เผ่าเคียงเซียนหรือ” สีหน้านายกองเผยความสงสัยใคร่รู้ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นผู้บำเพ็ญเผ่านี้ในช่วงครึ่งเดือนมานี้

สวี่ชิงจ้องเพ่งพินิจ

ผู้บำเพ็ญเหล่านี้ไม่ใช่เผ่ามนุษย์ เพราะนอกจากผมขาวตาขาวแล้ว ด้านหลังยังมีปีกสีขาวอีกด้วย เหมือนกับเผ่าเคียงเซียนหนึ่งในสองต่างเผ่าใหญ่ของเขตปกครองผนึกสมุทรที่เฉินถิงหาวเคยเล่าไว้ไม่ผิดเพี้ยน

สิ่งที่ทำให้สวี่ชิงยิ่งจดจ้องก็คือ ในกลุ่มผู้บำเพ็ญเผ่าเคียงเซียนเหล่านี้มีตัวตนหนึ่งที่ดูพิเศษอย่างมาก

ร่างนั้นเป็นร่างสวมชุดเกราะสีดำร่างหนึ่ง

อีกฝ่ายก็มีปีก แต่เป็นสีดำ สวมหน้ากากรูปร่างไม่ชัดเจนบนใบหน้า เส้นผมที่สยายออกมาก็เป็นสีดำ

กลิ่นอายบนตัวโดดเด่นกว่าเผ่าเคียงเซียนคนอื่นอย่างเห็นได้ชัด ที่สำคัญที่สุดคือยังแผ่ไอพลังประหลาดออกมาด้วย

ดวงตาไร้จิตวิญญาณ ราวกับเป็นหุ่นเชิด

“สีดำนั่นน่าจะเป็นหุ่นเชิดเซียนที่เลื่องชื่อของเผ่าเคียงเซียน” ข่าวกรองที่นายกองซื้อมา ตอนนี้สำแดงประโยชน์ออกมาแล้ว

“หุ่นเชิดเซียน?” สวี่ชิงถามขึ้น

“ถูกต้อง เผ่าเคียงเซียนถนัดการสร้างหุ่นเชิด โดยเฉพาะหุ่นเชิดเซียนดำ เป็นหุ่นเชิดสงครามที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเผ่าพวกเขา วิธีการสร้างไม่ทราบ แต่ได้ยินว่าร้ายกาจเป็นอย่างมาก”

นายกองเอ่ยเสียงทุ้ม

สวี่ชิงครุ่นคิด มองเผ่าเคียงเซียนกลุ่มนั้นเหาะเหินเข้าไปในเมืองหลวงเขตปกครอง ตรงไปยังเขตใจกลาง และค่อยๆ หายลับไป

เขารู้สึกได้ว่าหุ่นเชิดเซียนนั่นดูคล้ายกับภูตประหลาด แต่ก็ไม่เหมือน

รายละเอียดเป็นอย่างไร สวี่ชิงอยู่ไกลไปหน่อย จึงประเมินไม่ได้

ตอนนี้จึงถอนสายตากลับมา ทั้งสองคนเดินหน้าต่อ สังเกตสภาพแวดล้อมรอบด้านตลอดทาง ระหว่างนี้ยังเห็นศิษย์ที่มาจากสามสำนักอีกด้วย ขณะเดียวกันพวกเขาก็เห็นเผ่ามารศักดิ์สิทธิ์อยู่ไม่น้อย

แตกต่างกับเผ่าเคียงเซียน เผ่าเคียงเซียนชอบพักอยู่ที่พื้นที่เผ่าในเมืองหลวงเขตปกครอง ไม่ค่อยออกมาพบปะกับเผ่าอื่นสักเท่าไร

ส่วนเผ่ามารศักดิ์สิทธิ์กลับชอบทำการค้า

ร้านรวงกว่าสี่ส่วนในเมืองหลวงเขตปกครอง ล้วนเปิดโดยเผ่ามารศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิ้น

เผ่ามารศักดิ์สิทธิ์ร่างกายใหญ่โต สูงกว่าสองจั้ง ราวกับเป็นยักษ์ตัวน้อย

นอกเหนือจากใบหน้าปกติแล้ว ที่ศีรษะด้านหลังพวกเขายังมีอีกใบหน้าหนึ่ง ขณะที่พูดบางครั้งใบหน้าทั้งสองก็จะหมุนสลับกัน หากคนที่ไม่คุ้นชินเห็นเข้าก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก

โดยเฉพาะใบหน้าทั้งสองของเผ่ามารศักดิ์สิทธิ์มีทั้งที่เป็นเพศชาย มีทั้งที่เป็นทั้งชายทั้งหญิง ยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่มีสัญลักษณ์ทางเพศชัดเจน สิ่งนี้ทำให้คนแยกเพศของพวกเขาได้ยากมาก

ชนเผ่าแปลกประหลาดเช่นนี้ สวี่ชิงก็อดมองไปหลายรอบไม่ได้

จนใกล้จะถึงเวลารายงานตัว ทั้งสองคนจึงลอยขึ้นกลางอากาศ เหินทะยานไปบนท้องฟ้า สู่วังครองกระบี่

ตอนมาถึง ด้านนอกวังครองกระบี่มีคนบางส่วนกำลังรออยู่ที่นั่นแล้ว

เหล่านี้ล้วนเป็นผู้ครองกระบี่หน้าใหม่ที่มาจากมณฑลต่างๆ อายุไม่มากมีทั้งชายและหญิง ในนี้ส่วนใหญ่เคยมาที่เมืองหลวงเขตปกครองกันแล้ว

จำนวนผู้ครองกระบี่หน้าใหม่จากมณฑลต่างๆ ในเขตปกครองผนึกสมุทรทุกครั้งไม่เท่ากัน มากสุดก็มีเจ็ดแปดรายชื่อ น้อยสุดก็จะเหมือนกับที่มณฑลรับเสด็จราชันที่มีแค่สามรายชื่อ

เวลานี้ที่นี่มีอยู่ประมาณสามสิบกว่าคน กระจัดกระจายกันอยู่ บ้างก็อยู่คนเดียว บ้างก็จับกลุ่มสี่ห้าคน กำลังเฝ้ารอ

ในกลุ่มคน สวี่ชิงมองเห็นชิงชิว

อีกฝ่ายไม่ได้อยู่คนเดียว ข้างกายยังมีเด็กสาวที่หน้าตาดาษดื่น แต่กลับแปลกประหลาดพอสมควรอีกคนหนึ่ง

“ไม่ใส่ชุดสีแดง ข้าเกือบจำไม่ได้เสียแล้ว นี่ไม่ใช่ชิงชิวหรอกหรือ ข้ารู้สึกว่าอันที่จริงเจ้าใส่ชุดแดงไว้ด้านในก็ได้ ถึงจะเข้ากับเคียวยักษ์นั่น”

นายกองทักทายด้วยรอยยิ้ม สายตากวาดมองไปยังเด็กสาวข้างกายชิงชิว และมองของที่อยู่บนมือนางหลายครั้ง

ชิงชิวออกเดินทางก่อนพันธมิตรแปดสำนักนานแล้ว ตอนมาถึงเมืองหลวงเขตปกครองเร็วกว่าสวี่ชิงหลายเดือน จึงมีคนรู้จักแล้ว

เด็กสาวที่ยืนอยู่ข้างกายนางก็เป็นหนึ่งในนั้น

ทั้งสองคนดูคล้ายกัน คนหนึ่งแผ่เจตจำนงห้ามคนอื่นเข้าใกล้ สองตาใต้หน้ากากมีความเย็นชา

ส่วนอีกคนหนึ่งถือเมล็ดแตงอยู่ส่วนหนึ่งในมือ ทุกเม็ดแผ่คลื่นความเป็นเทพออกมา เมื่อมองอย่างละเอียดจะเห็นว่าราวกับมีเลือดเนื้อก่อตัวขึ้นด้วย

นางกินไม่หยุด เลือดสดเต็มปาก สีหน้าเย็นชา

หลังจากได้ยินนายกองพูด เด็กสาวคนนี้ก็เงยหน้ามองนายกองผาดหนึ่ง

“พี่ชิงชิว ท่านรู้จักพวกเขาหรือ หนึ่งนั้นคือสวี่ชิงใช่หรือไม่” เด็ดสาวถาม

“ถูกต้อง คนโง่สองคน” ชิงชิวเอ่ยเสียงเรียบ พาดเคียวยมทูตผีร้ายอยู่บนบ่า กำลังพูดอย่างรวดเร็วอยู่ในสมองของนางไม่หยุด

“หมาบ้ามาแล้ว ไม่รู้ด้วยเหตุอันใด ทั้งๆ ที่เขาพูดปกติ แต่ข้ากลับอยากจะซัดเขาเสียเหลือเกิน คนอื่นล้วนเป็นผู้ครองกระบี่ แต่เจ้านี้มันผู้ครองความสารเลว เราต้องหาโอกาสจัดการเขาให้ได้ ขจัดอันตรายให้ผู้ครองกระบี่ เล่นงานให้พินาศไปด้วยกัน!

“ส่วนมือภูตนั่นพวกเราก็อย่าไปยุ่งกับเขาดีกว่า เขารับมือยาก การจะพินาศไปด้วยกันกับเขาไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีนัก…

“เจ้าก็อย่าบุ่มบ่ามเด็ดขาด”

ชิงชิวเคยชินกับการบ่นไม่หยุดของเคียวยมทูตผีร้ายแล้ว ตอนนี้ยอมให้อีกฝ่ายพร่ำบ่นไปด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

ขณะเดียวกัน นายกองก็ส่งสื่อเสียงหาสวี่ชิง

‘เห็นคนข้างๆ ชิงชิวนั่นหรือไม่

‘เด็กสาวคนนี้ไม่ธรรมดา นางไม่มีชื่อ ทุกคนเรียกนางว่าเยี่ยหลิง เมล็ดแตงในมือนางพวกนั้นว่ากันว่าเป็นเลือดเนื้อความเป็นเทพอย่างหนึ่ง มีประโยชน์ในการบำรุงกายเนื้ออย่างมาก แต่ที่นางราวกับกินอย่างไรก็ไม่หมด มีคนสงสัยว่าของพวกนั้นอาจเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายนางเอง!

‘ในข่าวกรองมีการแนะนำหญิงสาวคนนี้เยอะมาก นางอาศัยอยู่ในส่วนลึกแห่งหนึ่งของพื้นที่ต้องห้ามตั้งแต่เล็ก บรรพจารย์คนหนึ่งจากสำนักมายาจำแลงปีศาจพบเข้าเมื่อหลายปีก่อน จึงนำนางกลับมาเลี้ยงดูที่สำนัก เด็กสาวคนนี้นิสัยเย็นชา ว่ากันว่าแปลงร่างเป็นปีศาจตัวใหญ่ได้ด้วย!’

สวี่ชิงฟังคำพูดของนายกอง มองเด็กสาวที่กำลังกินเม็ดแตงเลือดเนื้อผาดหนึ่ง จากนั้นเบนสายตาไปหยุดอยู่ที่ชายหนุ่มที่กำลังนั่งหลับตาคนหนึ่งในมุมที่ไกลออกไป

เมื่อครู่ตอนเขามาถึงกวาดสายตามองไปแล้วรอบหนึ่ง ที่นี่นอกจากหญิงสาวที่กลิ่นอายประหลาดคนนั้น ชายหนุ่มคนนี้ก็ทกชำให้เขารู้สึกอันตรายเช่นกัน

‘คนนี้ชื่อว่าซานเหอจื่อ’ นายกองสังเกตเห็นสายตาของสวี่ชิง จึงเอ่ยแนะนำ

‘นี่ก็เป็นอัจฉริยะฟ้าประทานที่โดดเด่นคนหนึ่ง เขามาจากสำนักเหมันต์โลหิตหนึ่งในสามสำนักใหญ่ พื้นเพตระกูลเป็นขั้วอำนาจใหญ่ของสำนักเหมันต์โลหิต เบื้องหลังไม่ธรรมดา ตอนที่เกิดมาก็ไม่ธรรมดา ได้ยินว่าเมื่อเกิดมาก็มีปานลวดลายภูเขาและแม่น้ำบนผิวหนัง บรรพจารย์เหมันต์โลหิตจึงตั้งชื่อว่าซานเหอที่หมายถึงภูเขาและแม่น้ำ

‘คุณสมบัติแต่กำเนิดของคนผู้นี้น่าตกตะลึง มีเคล็ดวิชาระดับจักรพรรดิอยู่สองวิชา!’

ขณะนายกองกำลังสาธยาย ชายหนุ่มที่กำลังหลับตานั่งสมาธิก็ลืมตาขึ้น มองพวกสวี่ชิงอย่างเย็นชา

เห็นได้ชัดว่าตอนที่สวี่ชิงกำลังสังเกตุคนที่ไม่ธรรมดาเหล่านี้ พวกเขาก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันจากทางสวี่ชิงเช่นกัน

ทั้งสองฝ่ายสบสายตากัน ตอนที่ต่างฝ่ายต่างถอนสายตากลับมา บนท้องฟ้าก็มีสิ่งหนึ่งลอยมา

เป็นโลงศพไม้ดำ

ด้านบนมีชายหนุ่มในชุดผู้ครองกระบี่ที่ไม่รู้ว่าไปทำอะไรมาจึงเต็มไปด้วยรอยยับย่นคนหนึ่ง

เขาหาวหวอดๆ ท่าทางเหมือนยังไม่ตื่นดี

แต่การปรากฏตัวของเขา ทำให้ผู้ครองกระบี่ส่วนใหญ่ที่นี่ระแวดระวังขึ้นมา สวี่ชิงก็สัมผัสได้ถึงความอันตราย

’คนผู้นี้น่าจะเป็นหวังเฉินสายเลือดอัสนีบรรพกาลที่ว่ากันว่าเป็นรุ่นที่เข้าใกล้ร่างอัสนีบรรพกาลที่สุดแล้ว

‘น่าสนใจ ข้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายการปิดผนึกบางอย่าง อาชิงน้อย ด้านนอกนั่นไม่ใช่ร่างของคนผู้นี้ แต่ในโลงนั่นต่างหากที่ใช่’

สวี่ชิงพยักหน้า แววตาเผยประกายหม่น เขาสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังตะเกียงแห่งชีวิตในโลงนั้น

เขาที่ออกมาจากทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ ผ่านมณฑลรับเสด็จราชัน จนมาถึงเมืองหลวงเขตปกครอง ได้เพิ่มพูนประสบการณ์ ได้พบได้ฟังอะไรมากขึ้น และเห็นตะเกียงแห่งชีวิตอีกมากมายตลอดทาง

แม้ตะเกียงแห่งชีวิตจะมีน้อย แต่เมื่อเทียบกันแล้ว ยิ่งเป็นผู้แข็งแกร่ง ยิ่งเป็นขั้วอำนาจใหญ่ ก็ยิ่งไม่มีทางขาดแคลนตะเกียงแห่งชีวิต

‘ผู้แข็งแกร่งมากมายจริงๆ’ สวี่ชิงพึมพำในใจ ไม่ว่าจะเยี่ยหลิงหรือว่าซานเหอจื่อ หรือหวังเฉินท่านนั้น ล้วนทำให้สวี่ชิงรู้สึกอันตรายอย่างมาก

ขณะเดียวกันถึงแม้กลิ่นอายผู้ครองกระบี่หน้าใหม่คนอื่นๆ จะสู้สามคนนี้ไม่ได้ แต่ทุกคนก็ล้วนมีจุดที่ไม่ธรรมดา

สวี่ชิงรู้ดีว่าตนเองจะไปดูถูกที่พวกเขามีกลิ่นอายอ่อนแอกว่าไม่ได้ บนโลกใบนี้ไม่ได้มีแค่ตนที่รู้หลักการซ่อนกระบองในท่าไม้ตาย

แต่คนที่ผ่านความเป็นความตายมาล้วนรู้ว่าท่าไม้ตายควรจะใช้อย่างไร ถ้าไม่ใช่ช่วงสำคัญ ก็แทบจะไม่เปิดเผยออกมาเลย

‘แม้ว่าสามคนนี้จะแข็งแกร่ง แต่อาชิงน้อย ผู้ครองกระบี่หน้าใหม่ครั้งนี้มีสัตว์ประหลาดอยู่คนหนึ่ง!’ นายกองถอนหายใจ สวี่ชิงก็มีสีหน้าขึ้นมา

คนที่ทำให้นายกองเรียกว่าสัตว์ประหลาดได้ คนผู้นี้…จะต้องไม่ธรรมดาแน่นอน

เขากำลังจะถาม แต่ตอนนี้เอง กลิ่นอายที่น่าตกตะลึงวูบหนึ่งก็ครืนครันมาจากที่ไกลๆ

กลิ่นอายแข็งแกร่ง ทำให้คนทั้งหมดหน้าเปลี่ยนสี

เยี่ยหลิงไม่กินเมล็ดแตงอีก รีบเช็ดเลือดที่มุมปาก สีหน้าเย็นชาก็กลายเป็นเชื่อฟัง ยิ่งมีเลื่อมใสศรัทธา

ซานเหอจื่อก็ลุกขึ้นยืนจากการนั่งขัดสมาธิ สีหน้าแฝงความคุ้มคลั่ง

หวังเฉินเองก็ยังผุดลุกออกมาจากโลงทันที จัดเสื้อผ้าโดยสัญชาตญาณ มองไปทางจุดที่กลิ่นอายแผ่มาอย่างเอาอกเอาใจ

ขณะเดียวกัน เสียงที่ห้าวหาญเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นบนท้องนภาจากการมาถึงของกลิ่นอาย

“ใครคือสวี่ชิง”

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

Status: Ongoing
เมื่อเขากลายเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวในเมืองที่ถูกพลังของเทพเจ้าทำลายล้าง… รายละเอียด กำลังภายใน-เทพเขียนเรื่องใหม่จากนักเขียนชื่อดัง ‘เอ่อร์เกิน’ ผู้เขียน ‘หนึ่งความคิดนิจนิรันดร์’ ‘สู่วิถีสุรา’ ฟื้นลิขิตฟ้าข้าขอเป็นเขียน’ ‘หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา’ เมื่อเทพเจ้าลืมตาจับจ้องมา โลกก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ไอพลังประหลาดกระจัดกระจายไปทั้งโลกมนุษย์ เกิดการกลายพันธุ์ต่อสรรพชีวิตบนโลก ‘สวี่ชิง’ เด็กหนุ่มผู้รอดชีวิตใช้ชีวิตเพียงลำพัง ดิ้นรนเอาตัวรอดจากอสูรร้ายและไอพลังประหลาดได้พบกับพลังวิเศษ แต่ในโลกกลียุคเช่นนี้ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะมีชีวิตรอด เพื่อที่จะแก้แค้นให้กับคนที่รัก เพื่อตามหาครอบครัวที่อาจจะมีชีวิตอยู่ที่ใดสักแห่ง เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ . . . เขาต้องรอด!!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท