บทที่ 199 จุดจบของหยางชุ่ย
หยางชุ่ยส่ายศีรษะอย่างต่อเนื่อง พลางจับเสื้อของหลี่เวยเพื่ออ้อนวอน “นายท่านต้องเชื่อข้านะเจ้าคะ ข้ามิได้ทำจริงๆ ต้องมีใครบางคนจัดฉากเป็นแน่เจ้าค่ะ”
หลี่เวยมองหยางชุ่ยอย่างเย้ยหยัน ขณะที่นางกำลังร้องขอความเมตตา ดวงตาของเขาฉุนเฉียว ก่อนจะพูดขึ้น “จัดฉากหรือ คู่รักสองคนนั้นเข้ามาหาเจ้าเอง ตอนที่เจ้ากำลังเดินเล่นอยู่หรืออย่างไร เจ้าต่างหากที่เข้าไปหาเรื่องพวกเขา และยังพูดพล่ามเรื่องไม่จริงต่างๆ เจ้าบอกว่ามีคนจัดฉากเช่นนั้นรึ แล้วมีใครเหวี่ยงร่างของตัวเองใส่ชายอื่น อย่างที่เจ้าทำบ้างเล่า”
ทันใดนั้น มือของนางที่กำลังจับเสื้อผ้าของเขาอยู่ก็ร่วงลงพื้น ใบหน้าของหยางชุ่ยซีดขาวในทันที ‘เขาเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดเลย แล้วตอนนี้นางจะทำเช่นไรดี นางจะทำเช่นไร’
แม้ว่านางมิได้หักหลังหลี่เวย แต่การกระทำของนางก็น่าอับอายยิ่งนัก
“เจ้าไม่มีอะไรจะพูดแล้วใช่หรือไม่ หยางชุ่ย เจ้าจงอย่าคิดว่าข้าเป็นคนโง่สิ มีใครอยู่ข้างนอกบ้าง!” หลี่เวยเอ่ยอย่างถากถาง ก่อนจะตะโกนเรียกบรรดาข้ารับใช้ซึ่งยืนอยู่ด้านนอก
“ขอรับนายท่าน”
“นำตัวนางออกไปเสีย ข้ายกนางให้พวกเจ้าทุกคน” หลี่เวยมองหยางชุ่ยอย่างไร้ความรู้สึกใดๆ ในเมื่อนางโหยหาผู้ชายนัก เขาก็จะจัดให้ตามที่นางต้องการ
หยางชุ่ยเบิกตากว้าง และมองหลี่เวยอย่างไม่อยากเชื่อ “ไม่นะเจ้าคะ ท่านทำเช่นนี้กับข้าไม่ได้นะเจ้าคะ นายท่าน ข้ามิได้ทำอะไรเลยจริงๆ เจ้าค่ะ อย่า…”
หลี่เวยเตะหยางชุ่ย ก่อนจะหัวเราะเยาะ “เจ้ายังคงมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้เพราะเจ้ามิได้ทำอะไร และหากเจ้าทำอะไร ข้าคงจะไม่เก็บเจ้าไว้แน่”
หยางชุ่ยทรุดลงไปกองกับพื้น ก่อนจะมองเขาด้วยแววตาน่ากลัว “หลี่เวย เจ้าไม่ตายดีแน่ หากข้าตายเป็นวิญญาณไป ข้าจะจองเวรจองกรรมกับเจ้า”
“ถ้าเช่นนั้นก็รอจนกว่าเจ้าจะกลายเป็นวิญญาณแล้วกัน” เขาทนไม่ไหว ก่อนจะโบกมือเรียกให้ข้ารับใช้ทั้งหลายนำตัวนางไป
หลี่เวยมองดูหยางชุ่ยโดนลากตัวออกไปอย่างไม่สะทกสะท้าน แววตาของนางเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น
จงเยว่ได้ยินเสียงโวยวายดังมาจากด้านนอกจึงขมวดคิ้วเบาๆ เนื่องจากไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง หลี่เวยจึงเดินเข้ามากอดนางบนเตียง
“เยว่เอ๋อร์ เจ้ายังคงเป็นคนดีที่หนึ่งเลย”
“เกิดอะไรขึ้นหรือ” นางรู้สึกว่าสามีทำตัวแปลกไป
“ข้าจัดการนังจิ้งจอกนั่นมาน่ะ นางสมควรได้รับบทลงโทษแล้ว และข้าก็ไม่อยากให้เจ้าต้องอารมณ์ไม่ดีน่ะ” ท่านหมอเคยบอกหลี่เวยมาว่าหญิงตั้งครรภ์นั้นควรจะต้องอารมณ์ดีอยู่เสมอ มิเช่นนั้นอาจจะเป็นโรคซึมเศร้าได้ง่าย เขาไม่อยากให้ภรรยาของเขามีอาการเช่นนั้น
ในเมื่อหลี่เวยไม่อยากพูดถึง จงเยว่จึงไม่ถามเซ้าซี้ ก่อนจะเอนตัวพิงสามีและผงกศีรษะอย่างแผ่วเบาเพื่อแสดงว่านางเข้าใจ
หลังจากบรรดาข้ารับใช้พาตัวหยางชุ่ยออกมา สายตาของพวกเขาที่มองดูนางนั้นเต็มไปด้วยตัณหาราคะ
พวกเขาเคยได้ยินเสียงครวญครางของนางตอนกำลังใกล้ชิดกับนายน้อย ทำให้ความต้องการของพวกเขาถูกกระตุ้นมานานแล้ว อย่างไรก็ตาม ในตอนนั้นพวกเขาทำได้แค่ปรารถนาแต่ไม่อาจเอื้อมถึง แต่ทว่าตอนนี้โอกาสนั้นเปิดให้แล้ว พวกเขาจึงไม่ปล่อยนางให้รอดพ้นน้ำมือไปได้อย่างแน่นอน
พวกเขาสองสามคนเริ่มฉีกเสื้อผ้าหยางชุ่ย ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความหวาดกลัว “ไม่นะ ออกไป ข้าเป็นผู้หญิงของนายน้อยนะ พวกเจ้าทำเช่นนี้กับข้าไม่ได้!”
“ผู้หญิงของนายน้อยเช่นนั้นหรือ นายน้อยไม่ต้องการเจ้าแล้ว และยังยกเจ้าให้กับพวกเราอีกด้วย ฉะนั้นตอนนี้เจ้าจงยอมเสียดีๆ ” เขาตบหน้าหยางชุ่ยอย่างแรง จนนางมึนงง
มีชายหนุ่มมากหน้าหลายตากระทำชำเรานางตลอดทั้งวัน หลังจากคนก่อนหน้าจากไป ก็จะมีคนอื่นเข้ามาต่อ นางจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าพวกเขามาจากไหนกันบ้าง
จนในที่สุดร่างกายของหยางชุ่ยก็แน่นิ่งไปราวกับเป็นตุ๊กตา ดวงตาคู่นั้นค่อยๆ ว่างเปล่าและมืดสนิทลง จากนั้นลมหายใจของนางก็หมดไป
หลี่เวยไม่สะทกสะท้านกับข่าวการตายของหยางชุ่ยเลยแม้แต่น้อย เขาสั่งให้ข้ารับใช้ของตนฝังร่างของนาง ส่วนครอบครัวของหยางชุ่ย พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าลูกสาวของพวกเขาหายไป ถึงแม้ว่าพวกเขาจะรู้ แต่พวกเขากลับไม่อาจทำอะไรหลี่เวยได้ เนื่องจากคนที่ทำผิดตั้งแต่แรกนั้นคือหยางชุ่ยเอง
หลังจากผ่านไประยะเวลาหนึ่ง หยางชู่ก็รับรู้ถึงสาเหตุว่าเป็นเพราะนางไม่ยับยั้งใจและแอบไปพบเจอชายอื่น ข่าวลือดังกล่าวนั้นเป็นดั่งสายฟ้าฟาด ที่ไม่รู้ที่มาที่ไป แต่ก็ทำให้นางเฉินรู้สึกฉุนเคืองอย่างยิ่ง แต่ไม่กล้าหาเรื่อง เนื่องจากท้ายที่สุดแล้วมันคือความผิดของหยางชุ่ยทั้งหมด
บทที่ 200 เจ้าตั้งครรภ์ได้หรือไม่
ตั้งแต่หยางชุ่ยเสียชีวิต นิสัยหยิ่งผยองของนางเฉินก็เปลี่ยนไป ในทางกลับกันบรรดาชาวบ้านต่างรู้สึกสะใจกับเรื่องของนาง ‘นางแต่งงานกับตระกูลผู้มั่งมีแล้วจะสำคัญอะไรเล่า ในเมื่อนางมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน’
บรรดาชาวบ้านต่างหัวเราะเยาะ จนนางเฉินรู้สึกฉุนเฉียว แต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้นอกจากจะพูดคุยกับหยางฮว๋าว่า “ฮว๋าเอ๋อร์ เจ้าจะต้องสอบให้ผ่านนะ แม่จะได้เอาไปอวดพวกที่หัวเราะเยาะเรา”
หยางฮว๋าขมวดคิ้ว เขาไม่ชอบใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับหยางชุ่ยนัก หลังจากบรรดาสหายในสถานศึกษาทราบเรื่องดังกล่าว แม้ว่าทุกคนจะไม่ได้พูดอะไรต่อหน้าและยังคงเป็นมิตรกับเขาเช่นเคย แต่พวกเขาคงจะต้องนินทากันลับหลังเป็นแน่ การเสียชีวิตของหยางชุ่ยนั้น ทำให้คนอื่นๆ ต่างมองดูเขาอย่างเหยียดหยาม
“ท่านแม่ เป็นเพราะว่าท่านตามใจนางมากเกินไป แล้วดูจุดจบของนางสิ!” หยางฮว๋าตะคอกอย่างหมดความอดทน
นางเฉินมองลูกชายอย่างไม่อยากเชื่อ “เจ้าพูดกับข้าว่าอะไรนะ”
“ข้าพูดผิดหรืออย่างไรกัน นางไม่รู้วิธีปรนนิบัติสามีของตนหลังจากแต่งงานไป หนำซ้ำยังทำเรื่องน่าอายอีกด้วย นางสมควรตายแล้ว” หยางฮว๋าเอ่ย
นางเฉินไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ‘ชายผู้นี้ใช่ลูกของนางจริงๆ หรือ ใช่หยางฮว๋าคนเดียวกันกับที่คอยประคบประหงมหยางชุ่ยเช่นนั้นหรือ’
นางรู้สึกว่าเขากลายเป็นคนอื่นโดยสิ้นเชิง
“ฮว๋าเอ๋อร์ นางเป็นน้องสาวของเจ้านะ”
“แน่นอน ข้ารู้ว่านางคือน้องสาวของข้า มิเช่นนั้นแล้ว ท่านคิดว่าข้าจะยอมสละเวลาอันมีค่าของตนเองให้กับนางหรือ” เขาเอ็นดูนางก็จริง แต่ขณะเดียวกัน นางก็ไม่ควรทำให้เขาเดือดร้อน
นางเฉินมองลูกชายอย่างไม่อยากเชื่อ ‘นั่นใช่คำพูดที่ลูกชายของนางอยากจะพูดออกมาจริงหรือ’
“หยางฮว๋า เจ้า…”
“พอเถอะท่านแม่ นางจากไปแล้ว อย่าบอกข้านะว่าท่านอยากจะร้องเรียนเรื่องการตายของนางต่อท่านเจ้าเมือง ท่านต้องคิดถึงพี่ใหญ่และภรรยาของเขา รวมถึงการสอบขุนนางของข้าด้วย หากเขาไม่พอใจพวกเราขึ้นมา ข้ามั่นใจว่าท่านเองก็รู้ว่าสุดท้ายแล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเราบ้าง” หยางฮว๋าพูดกับนางเฉินอย่างโมโห
‘นางเป็นใครกัน คิดจะเทียบชั้นกับผู้อื่นหรืออย่างไร หากนางยังสร้างปัญหาอยู่เช่นนี้ อนาคตของลูกชายทั้งสองก็จะถูกทำลายด้วยฝีมือของนางเองนั่นแหละ’
นางเฉินสงบลงหลังจากได้ยินคำพูดของหยางฮว๋า “อย่าบอกข้านะว่าเราจะยอมปล่อยให้เรื่องเป็นเช่นนี้ต่อไป”
“แล้วท่านต้องการจะทำอะไรอีกหรือ” หยางฉว๋ามองหน้าผู้เป็นแม่อย่างสุดทน
หลังจากฟังคำพูดของเขา นางเฉินจึงหมดคำพูด ‘นางยังคงมีลูกชายอีกสองคนที่พอจะพึ่งพาได้ในอนาคต นางจึงไม่อยากทำให้พวกเขาต้องเดือดร้อน เพราะการตายของผู้เป็นลูกสาวเพียงคนเดียว’
เฉียวเทียนช่างและหนิงเมิ่งเหยาต่างตกใจเล็กน้อยหลังจากรับรู้ข่าวว่าหยางชุ่ยเสียชีวิตแล้ว โดยไร้ซึ่งความรู้สึกอื่นเลยแม้แต่น้อย
“จู่ๆ ข้าก็อยากกินเมล็ดบัวน่ะ” หนิงเมิ่งเหยาเอ่ยอย่างกระตือรือร้น พลางมองเฉียวเทียนช่างข้างๆ
เมื่อไม่นานมานี้ ดอกบัวในสระน้ำต่างบานสะพรั่ง หนิงเมิ่งเหยาจึงเด็ดดอกบัวบางส่วนเพื่อกลั่นเหล้า แต่ก็มีจำนวนไม่มากนัก ดังนั้นทั้งสองคนจึงแอบเก็บเอาไว้เพื่อดื่มกินในวันหน้า จากนั้นพวกเขาจึงนำดอกบัวส่วนที่เหลือมาเพาะเมล็ดบัวต่อ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พวกเขาจึงมีฝักเมล็ดบัวที่สุกจนสามารถทานได้
“ไปกันเถิด ข้าจะพาเจ้าไปที่นั่นเอง” เฉียวเทียนช่างประคองหนิงเมิ่งเหยาให้ลุกขึ้น ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังสระน้ำ
ตรงริมสระ มีเรือขนาดเล็กจอดอยู่ หลังจากทั้งคู่นั่งบนเรือ ชายหนุ่มจึงเริ่มพาย “เจ้ารู้วิธีพายเรือด้วยหรือ”
“ผู้ชายของเจ้าคนนี้ทำได้ทุกอย่าง” เฉียวเทียนช่างพูดพลางเลิกคิ้วขึ้น
หนิงเมิ่งเหยามองชายตรงหน้าอย่างไร้เดียงสา “เช่นนั้น เจ้าตั้งครรภ์ได้หรือไม่”
เขาสีหน้าเปลี่ยนในทันใด จากนั้นจึงจ้องมองหญิงสาวที่กำลังหัวเราะคิกคักอยู่ ก่อนจะพูดขึ้นอย่างคลุมเครือ “ข้าทำให้เจ้าตั้งครรภ์ได้ก็แล้วกัน”
หนิงเมิ่งเหยาอึ้งและพูดไม่ออกไปชั่วครู่ ก่อนจะหันมองบึงดอกบัวที่บานสะพรั่งตรงริมสระ
นางเอื้อมมือเด็ดดึงดอกบัวมาไว้บนเรือ จากนั้นจึงแกะเมล็ดบัวออกจากฝัก
“เทียนช่าง คืนนี้ทำข้าวต้มเมล็ดบัวกันเถอะ” หนิงเมิ่งเหยามองเฉียวเทียนช่าง
“ได้เลย”
หนุ่มสาวทั้งสองคนใช้เวลาอยู่ในสระน้ำแห่งนี้ตลอดช่วงบ่าย โดยในตอนแรกนั้นพวกเขาเด็ดฝักบัวเพื่อเอาเมล็ดบัว แต่ท้ายที่สุดแล้ว ทั้งคู่ก็จอดเรือกลางสระน้ำ ก่อนจะชมวิวทิวทัศน์ของดอกบัวและใบบัวอย่างเพลิดเพลินแทน
“เราจับปลามาทำกับข้าวสักสองตัวดีหรือไม่” หนิงเมิ่งเหยาเสนอตอนกำลังจะกลับ
เฉียวเทียนช่างลูบหัวหญิงสาวอย่างอดไม่ได้ “เราต้องมีแหเพื่อจับพวกมันน่ะ”
“นั่นสิ”
บทที่ 195 ค่อยๆ ซึมซับความทรมาน
หนุ่มสาวทั้งสองคนต่างไม่มีผู้หลักผู้ใหญ่ในตระกูล หนิงเมิ่งเหยาจึงไม่จำเป็นต้องตื่นเช้ามาทำพิธียกชงชา ทำให้หญิงสาวสามารถนอนหลับอย่างสงบภายใต้อ้อมกอดของเฉียวเทียนช่าง
เมื่อท้องนภาเริ่มส่องแสงสว่างมากขึ้น ชายหนุ่มจึงตื่นนอน ก่อนจะเห็นว่าหญิงสาวในอ้อมกอดของตนนั้นยังไม่อยากตื่น เขาจึงมองดูนางด้วยแววตาแห่งความรักใคร่ ‘มันช่างวิเศษนักที่หญิงสาวสามารถหลับใหลอย่างสบายใจได้เช่นนี้ แม้ว่าเขาจะกำลังจ้องมองนางอยู่ก็ตาม’ ชายหนุ่มเผยรอยยิ้ม
เมื่อมู่เฉินและคนอื่นๆ ตื่นขึ้นมา จึงตระหนักได้ว่าพวกเขาถูกเจ้าบ่าวคนใหม่มอมเหล้า จากนั้นพวกเขาก็มีหน้าตาคร่ำเคร่ง ‘ทั้งๆ ที่คนในกลุ่มของพวกเขานั้นมีจำนวนมาก แต่ก็ยังคงถูกคนๆ เดียวมอมจนเมาหมดสติได้ ช่างเป็นเรื่องน่าอับอายยิ่งนัก’
ดังนั้นพวกเขาจึงคิดวางแผน ก่อนจะเดินมาตรงประตูห้องหอของคู่แต่งงานใหม่ แต่ทว่าบ่าวสาวยังไม่ตื่นนอน ทำให้มู่เฉิน อวี้เฟิง และคนอื่นๆ รู้สึกเจ็บใจ ‘ชายอื่นได้พรากน้องสาวที่พวกเขาคอยฟูมฟักดูแลไปแล้ว’
อวี้เฟิงและมู่เฉินสบตากัน ก่อนจะเคาะประตูพร้อมกัน “ตื่นได้แล้ว! นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว อย่ามัวแต่หลับสิ”
หลังจากได้ยินเสียงเคาะประตูนั้น หนิงเมิ่งเหยาก็ซุกศีรษะของตนเองในอ้อมแขนของเฉียวเทียนช่าง เพื่อจะได้ปิดกั้นเสียงรบกวนจากภายนอก
เฉียวเทียนช่างช่วยปิดหูให้หญิงสาว ไม่ปล่อยให้เสียงส่งไปถึงโสตประสาทของนาง
เมื่อนางผล็อยหลับไปอีกครั้ง เฉียวเทียนช่างจึงสวมเสื้อผ้าที่อยู่ตรงด้านข้าง โดยไม่หวีผมเผ้า ชายหนุ่มดูหงุดหงิดใจอย่างยิ่งขณะกำลังเดินออกจากห้อง
“เจ้าคิดจะปลุกใครกัน” ‘พวกนี้ไม่ยอมปล่อยให้ผู้อื่นนอนหลับพักผ่อนในยามเช้า หนำซ้ำยังส่งเสียงดังรบกวนอีก’
“เสี่ยวเหยาเอ๋อร์อยู่ไหนรึ” อวี้เฟิงมองด้านหลังของเฉียวเทียนช่าง
ใบหน้าคร่ำเคร่งของชายหนุ่มยิ่งดูถมึงทึงกว่าเก่า “ทำไมเจ้าจึงเป็นห่วงภรรยาของข้านัก แน่นอนว่านางกำลังนอนหลับอยู่น่ะสิ”
“เจ้าปีศาจร้าย! เจ้าทรมานเสี่ยวเหยาเอ๋อร์ของเรามากเพียงใดกันนะ” อวี้เฟิงเด้งตัวขึ้นในทันใด พวกเขาต่างรู้ดีว่าเสี่ยวเหยาเอ๋อร์เป็นคนตื่นแต่เช้าตรู่ แล้วตอนนี้หญิงสาวจะนอนหลับอยู่ได้เช่นไรกัน เว้นเสียแต่ว่าชายผู้นี้ไม่ยอมปล่อยให้นางได้หลับได้นอนจนดึกดื่น
เฉียวเทียนช่างปิดประตูด้านหลังและมองอวี้เฟิงอย่างดูหมิ่น “เจ้าพูดเช่นนั้นโดยไม่ละอายปากเลยหรือ เจ้ากล้าพูดหรือไม่เล่าว่าวันที่เจ้าแต่งงานนั้น เจ้าไม่ได้จับต้องภรรยาของเจ้าทั้งคืนน่ะ”
อวี้เฟิงไม่อาจโต้เถียงได้ เพราะตอนที่เขากับเหมยรั่วหลินแต่งงานกันนั้น ภรรยาของเขาต้องนอนอยู่บนเตียงถึงสองวัน หนำซ้ำเขาเองยังถูกต่อยอีกด้วย เขาจึงไม่มีสิทธิ์ไปพูดอะไรกับชายผู้นี้ได้จริงๆ
เมื่อเฉียวเทียนช่างเห็นท่าทางกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของอวี้เฟิงนั้น ก็หัวเราะออกมาอย่างเหยียดหยาม “เจ้าเองก็เคยทำเช่นนี้มาก่อน แล้วมีสิทธิ์อะไรมาพูดเช่นนั้นกับข้าเล่า”
“ฮ่าๆ” เดิมที หัวใจของมู่เฉินนั้นปวดร้าวก็จริง แต่หลังจากได้ยินชายทั้งสองคนนี้โต้เถียงกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นสีหน้าของอวี้เฟิงแล้ว เขาจึงหลุดหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น
มันช่างน่าขำนัก เมื่อเขาคิดถึงวันที่อวี้เฟิงและเหมยรั่วหลินแต่งงานกัน และนางต้องนอนอยู่บนเตียงถึงสองวันแล้วนั้น เขาก็หยุดหัวเราะไม่ได้
“ทำไมเจ้าไม่หัวเราะจนตายไปเลยเล่า” อวี้เฟิงขบฟันกรอด
มู่เฉินหุบยิ้ม “อย่าห่วงเลย ถึงเจ้าจะตาย แต่ข้าไม่ยอมตายหรอก”
เฉียวเทียนช่างไม่มีเวลามาฟังพวกเขาพูดจาไร้สาระ
“หลีกไป” เฉียวเทียนช่างผลักชายทั้งสองคนออก ก่อนจะเดินเข้าห้องครัว
ทุกคน รวมถึงผู้ที่เพิ่งมาถึงอย่างเซียวฉีเทียนและคนอื่นๆ ต่างรู้สึกฉงนใจเมื่อเห็นชายหนุ่มเดินไปในครัว
พวกเขายืนอยู่ตรงประตูของห้องครัว พลางมองเฉียวเทียนช่างเริ่มก่อไฟเพื่อทำข้าวต้ม และหยิบแป้งออกมาเพื่อทำขนม พวกเขาต่างคิดว่านี่คงเป็นภาพหลอน เขารู้วิธีการปรุงอาหารจริงๆ ด้วย
เฉียวเทียนช่างทำแต่ละขั้นตอนด้วยความพิถีพิถัน เสมือนว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาทำอาหาร
อวี้เฟิงได้กลิ่นหอมละมุน ก่อนจะเอ่ยถาม “ทำเผื่อพวกเราด้วยใช่หรือไม่”
“ไม่” เฉียวเทียนช่างฟังคำถามของอวี้เฟิง ก่อนจะเอ่ยตอบโดยไม่หันหน้าไปมอง เนื่องจากกำลังยุ่งอยู่กับการทำขนม
‘เขาต้องการจะทำสิ่งเหล่านี้ให้ภรรยาของเขาทานเท่านั้น คนอื่นๆ ไม่ใช่ภรรยาของเขาเสียหน่อย แล้วทำไมจะต้องทำให้ด้วยเล่า’
“นี่ เหยาเอ๋อร์เป็นสมาชิกคนสำคัญของพวกเรานะ รู้ไหม” อวี้เฟิงไม่พอใจ ‘ชายผู้นี้ช่างขี้เหนียวเสียจริงเชียว’
เฉียวเทียนช่างวางขนมไว้ด้านข้างเตาอบแบบก่อขึ้นเอง ก่อนจะหันหน้ามามอง “ข้าทำให้ไม่ได้หรอก ข้าจะทำอาหารสำหรับภรรยาและลูกเท่านั้น” ‘หากคนอื่นๆ อยากลิ้มรสฝีมือการทำอาหารของเขา ก็คงต้องฝันเอาเท่านั้น’
อวี้เฟิงและมู่เฉินยิ้ม แม้ว่าพวกเขาจะแค้นเคืองอยู่บ้าง แต่การที่เฉียวเทียนช่างปรนนิบัติเอาใจใส่หนิงเมิ่งเหยาเช่นนี้ ชีวิตของหญิงสาวจะต้องดีมากแน่ๆ
แม้ว่าชายทั้งสองคนจะคิดเช่นนั้น แต่ทว่าเมื่อหนิงเมิ่งเหยาตื่นขึ้นมา พวกเขากลับนินทาว่าร้ายเฉียวเทียนช่างต่อหน้าหญิงสาวอยู่ดี ‘เขาลงมือทำอาหาร แต่กลับไม่ให้พวกเขาทาน ชายหนุ่มผู้นั้นช่างทรมานพวกเขานัก’
หนิงเมิ่งเหยากินข้าวต้มที่เฉียวเทียนช่างทำมาให้ ก่อนพูดด้วยรอยยิ้มอันงดงาม “ถ้าเช่นนั้น พวกเจ้าก็จงซึมซับความทรมานนั้นต่อไปอย่างช้าๆ ก็แล้วกัน”
บทที่ 196 ความอิจฉาริษยาของหยางชุ่ย
อวี้เฟิงและมู่เฉินต่างตกตะลึง หลังจากพวกเขาได้สติ ก็ตำหนิหนิงเมิ่งเหยาว่าถูกอบรมมาไม่ดี
หนิงเมิ่งเหยาเลิกคิ้วขึ้นมองอวี้เฟิง “เช่นนั้นก็ดีแล้วที่ข้าไม่ได้เป็นคนอบรมเขาน่ะสิ”
“ข้ารู้ว่าเขาเป็นผู้ชายของเจ้า แต่เจ้าจะปกป้องเขาเช่นนี้ไม่ได้” อวี้เฟิงมองหนิงเมิ่งเหยาพลางตีหน้าเศร้า
เหมยรั่วหลินตบพวกเขา “นั่นคือน้องเขยของเจ้า หากเหยาเอ๋อร์จะปกป้องเขาแล้วจะทำไมรึ อิจฉาหรือไร”
อวี้เฟิงไม่เอ่ยตอบ เพียงแต่มองผู้เป็นภรรยาเท่านั้น
เหมยรั่วหลินพูดไม่ออก เขาต้องเลิกใช้สายตาขี้อ้อนเช่นนี้ได้แล้วนางเมินเฉยต่อสายตาอีกฝ่าย ก่อนจะหันมองหนิงเมิ่งเหยาและเฉียวเทียนช่าง จากนั้นจึงเอ่ยขึ้น “ข้าเห็นพวกเจ้าแต่งงานกันแล้ว ก็รู้สึกหมดห่วง ดังนั้นอีกไม่นานพวกเราก็คงจะกลับกันแล้ว” เหมยรั่วหลินเอ่ยอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจนัก
พวกเขาห่างหายกันมานาน หลังจากนี้ใครจะรู้ว่าทั้งหมดจะได้พบเจอกันอีกเมื่อไหร่
“พี่เหมย ท่านจะกลับแล้วหรือ” หนิงเมิ่งเหยาได้ยินว่าพวกเขาจะจากไปแล้วก็รู้สึกใจหาย
“ใช่ แต่อย่าเศร้าไปเลย หากว่างๆ ก็ให้สามีพามาเที่ยวเล่นที่บ้านของพวกเราได้ตลอดนะ อีกอย่าง อย่าโดนใครเขารังแกอีก หากมีผู้ใดกล้ามากลั่นแกล้งเจ้า ก็บอกได้เลยนะ พวกเราจะไปสั่งสอนพวกนั้นให้เอง” เหมยรั่วหลินมองเฉียวเทียนช่าง พลางเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงข่มขู่
ชายหนุ่มองนางพลางพูดขึ้น “พวกเราไม่จำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากเจ้าหรอก ข้าจะเป็นคนปกป้องดูแลเหยาเหยาเอง” เขาไม่ต้องการให้คนอื่นมาดูแลภรรยาของเขา ทั้งนี้ แค่เขาคนเดียวก็เกินพอแล้ว
“อาจจะไม่เป็นอย่างนั้นก็ได้” เหมยรั่วหลินส่งเสียงฮึดฮัดอย่างเยือกเย็น
เฉียวเทียนช่างไม่สนใจคำพูดของอีกฝ่ายนัก ‘ใครเล่าจะรู้อนาคต พูดไปตอนนี้ก็เปล่าประโยชน์’
ในวันที่สอง เหมยรั่วหลินและคนอื่นๆ เดินทางจากไป พวกเขามาถึงแบบปุบปับ และกลับกันอย่างรวดเร็ว
หลังจากพวกเขาจากไปแล้ว หนิงเมิ่งเหยาก็รู้สึกเคว้งคว้าง หญิงสาวไม่มีกะจิตกะใจจะทำสิ่งใด ในที่สุดเฉียวเทียนช่างก็ทนไม่ไหว จึงต้องพานางไปเที่ยวในเมือง
ขณะเดียวกัน หยางชุ่ยก็เข้ามาในเมืองกับข้ารับใช้ของตนเพื่อเดินเล่นตามท้องถนน
หลังจากที่พวกเขาจากบ้านของนางมา นางก็รู้สึกอย่างชัดเจนว่าหลี่เวยไม่ดีกับนางเหมือนก่อน
นางสังเกตได้จากจำนวนครั้งที่เขามายังห้องนอนของนาง ก่อนหน้านี้เขามักจะมาหานางที่ห้องทุกๆ สองถึงสามวัน แต่ทว่าระยะเวลาจากครั้งล่าสุดที่เขาเข้าห้องของนางจนถึงตอนนี้นั้น ก็นานมากแล้ว
ทุกๆ วัน หากนางไม่อ่านหนังสืออยู่ในห้องหนังสือ นางก็จะอยู่ในลานบ้านกับจงเยว่ หรือไม่ก็จะชมดอกไม้ด้านนอก หยางชุ่ยจึงเป็นกังวลว่าตนจะถูกทิ้งหรือไม่ ‘หรือเขาจะไม่ชอบนางแล้ว’ ความคิดดังกล่าวทำให้นางปวดหัว จนไม่มีเวลาสร้างปัญหาให้หนิงเมิ่งเหยา หยางชุ่ยคิดเพียงแค่ว่าจะทำเช่นไรให้หลี่เวยกลับมาสนใจตนเองอีกครั้ง หากเขากลับมาโปรดปรานนางอีก นางก็จะมีโอกาสแก้แค้นเฉียวเทียนช่างและหนิงเมิ่งเหยามากขึ้น
แต่ไม่ว่าจะทำวิธีใด หยางชุ่ยก็ไม่อาจทำให้หลี่เวยเข้ามาในห้องของตนได้เลย และนั่นทำให้นางสงสัยว่าจงเยว่อาจจะพูดนินทานางลับหลัง
วันนี้ หยางชุ่ยรู้สึกเบื่อหน่ายจึงออกมาข้างนอกพร้อมกับข้ารับใช้สองสามคน
แม้ว่าหลี่เวยไม่ได้ปรนเปรอนางเหมือนเมื่อก่อน แต่เขาก็มิได้ปฏิบัติกับนางอย่างไร้ค่านัก นางยังคงได้ทุกสิ่งที่นางต้องการ นั่นจึงทำให้นางมั่นใจว่าในช่วงระยะเวลาสั้นๆ นี้ ชีวิตของนางนั้นจะไม่มีปัญหาใดๆ แต่นางกังวลว่าหากสถานการณ์ยังคงเป็นเช่นนี้ เขาอาจจะเบื่อหน่ายและทิ้งนางไปสักวัน
ตอนนี้หยางชุ่ยรู้สึกเสียใจจริงๆ นางน่าจะเชื่อฟังแม่ของตน และมีลูกเสียก่อน เพื่อจะได้รักษาตำแหน่งเอาไว้ แต่ถ้าหากนางต้องการจะมีลูกในตอนนี้ ก็ต้องทำให้หลี่เวยเข้ามาหาที่ห้องให้ได้เสียก่อน
“อนุหยางเจ้าคะ ไปดูตรงนั้นกันเถิดเจ้าค่ะ ข้าได้ยินมาว่าที่นั่นมีร้านขายเสื้อผ้าเปิดใหม่ร้านหนึ่ง มีเสื้อผ้าสวยงามมากเลยเจ้าค่ะ” ข้ารับใช้ของหยางชุ่ยเอ่ยอย่างสงบเสงี่ยม
นางไม่อยากทำให้อนุภรรยาผู้นี้ไม่พอใจ มิเช่นนั้นนางจะเป็นฝ่ายเดือดร้อนเสียเอง นางไม่ควรเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ
หยางชุ่ยคิดอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะไปยังร้านค้าดังกล่าวพร้อมกับข้ารับใช้ แต่ทว่านางยังเดินไม่ทันถึงประตู ก็พบกับหญิงชายคู่หนึ่งเดินจูงมือกันออกมาจากร้านนั้น
นั่นไม่ใช่ประเด็นหลัก สิ่งสำคัญกว่านั้นคือนางรู้จักพวกเขา ทั้งสองคนนั้นคือหนิงเมิ่งเหยาและเฉียวเทียนช่างนั่นเอง เส้นผมของหญิงสาวมีหวีเสียบไว้บ่งบอกสถานะว่าแต่งงานแล้ว หนุ่มสาวทั้งสองคนสนิทสนมกันอย่างยิ่ง หยางชุ่ยมองปราดเดียวก็รู้ทันทีว่าตอนนี้พวกเขาทั้งคู่แต่งงานกันแล้ว