ตอนที่ 153 ราชาอสูรสิงโต
5 ธันวาคม หิมะสีขาวปกคลุมไปทั่วด่านเปยเหอ
เพิ่งชวนยืนอยู่ในสวนและฝึกฝนกระบวนท่าหลักของวิชากระบี่ กระบี่จิตพิสุทธิ์ ทุกครั้งที่ชักกระบี่ออกมา เขาจะฟาดฟันออกไปนับสิบกว่าครั้งก่อนจะเก็บกระบี่ และด้วยขอบเขตการรับรู้ของเขา จึงสามารถทําให้เขาจัดความแม่นยําและความเร็วของทุกๆการโจมตีได้
เนื่องจากเขาได้รับมรดกของกระบี่จิตพิสุทธิ์มาและได้เห็นผู้อาวุโสเกาเค่อเป็นผู้สาธิตกระบี่จิตพิสุทธิ์ทั้งห้าแบบให้ดู เขาจึงรู้แล้วว่าวิชากระบี่นี้ต่อไปควรจะไปทางไหน การฝึกวิชานั้นเป็นเส้นทางที่ยาวไกล หากไม่มีเป้าหมายก็จะมีแต่หลงทางจนเสียเวลาไปนับหลายสิบปี
มันแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อมีเป้าหมายสําหรับการฝึกฝน นั่นเป็นเหตุว่าทําไมศิษย์ของเขาหยวนชูยอมแพ้ที่จะเรียนรู้โลหะทมิฬ นั่นเพราะพวกเขาอาจจะไม่ได้รับเจตจํานงไปตลอดชีวิต หากยังฝืนต่อ และอาจไม่ได้เป็นเทพอสูรมหาสุริยันไปตลอดชีวิตเลยก็ได้
แม้จะมีเจตจํานงของมรดกและขอบเขตการรับรู้ แต่วิชากระบี่ของข้าก็พัฒนาขึ้นช้าลงเรื่อยๆ ข้ายังไปไม่ถึงจุดสูงสุดของจิตวิญญาณกระบี่เลยแม้จะผ่านมาหนึ่งปีแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นข้าก็พัฒนาขึ้นอยู่เรื่อยๆ หากหนึ่งปีไม่เพียงพอ ก็ใช้เวลาสองถึงสามปี ตราบใดที่ข้ายังคงพัฒนา สุดท้ายแล้ว ข้าก็จะบรรลุวิถีกระบี่ในที่สุด และเมื่อข้าบรรลุวิถีกระบี่แล้ว ข้าก็จะไปถึงเขตแดนเดือนมืดมิดได้
การฝึกวิชาก็ยังเป็นการฝึกฝนจิตใจอีกด้วย หากเกิดเป็นกังวลเพราะการฝึกฝนที่ล่าช้าจนในที่สุดก็หมดหวังและเศร้าโศก ประสิทธิภาพในการฝึกก็จะลดต่ําลงไปด้วย ดังนั้นแล้วจิตใจจึงเป็นสิ่งตัดสินว่าคนๆนั้นจะก้าวไปในเส้นทางแห่งการฝึกฝนได้มากขนาดไหน! เฟิงโหวเทพอสูรและราชันเทพอสูรนั้นต่างมีพลังใจที่กล้าแข็งยิ่ง
เทพอสูรที่ด่านเปยเหอต่างกําลังฝึกฝนวิชา ส่วนเหล่าทหารมนุษย์นั้นฝึกอยู่ที่เมืองด่านชั้นนอก หิมะบนกําแพงอันแสนกว้างใหญ่ถูกเก็บกวาดไปนานแล้ว เหล่าทหารแยกออกเป็นหลายกอง และฝึกฝนด้วยกัน
พยายามให้มากกว่านี้! ยิ่งฝึกฝนและร่วมมือกันมากเท่าไหร่ เจ้าก็จะมีโอกาสรอดชีวิตในสนามรบได้มากขึ้นเท่านั้น เหล่าทหารผ่านศึกต่อว่าทหารใหม่ ทหารเหล่านี้บางคนประจําการอยู่ที่ด่านเปยเหอมาเป็นเวลาหกถึงเจ็ดปี ในขณะที่บางคนอยู่มามากกว่าสิบปีแล้วด้วยซ้ํา ทหารเก่าเหล่านี้ไม่จําเป็นต้องฝึกฝนขั้นพื้นฐานแล้ว ที่พวกเขาต้องทําก็แค่ฝึกวิชาบ้างก็พอ
แสงแดดทําให้รู้สึกอุ่นขึ้นดีจริงๆ ตาแก่จาง ข้าเริ่มคิดถึงบ้านขึ้นมาแล้ว ทหารผ่านศึกคนหนึ่งนั่งบนกําแพง และมองดูหิมะสีขาวด้านล่างที่ส่องกระทบกับแสงอาทิตย์ดูแสบตา
เจ้าอยู่ที่นี่มา 13 ปีแล้ว คงได้เวลาที่เจ้าจะกลับบ้านแล้วล่ะ ทหารอีกคนหนึ่งกล่าว หูของเขาขาดไปหนึ่งข้าง พร้อมกับรอยแผลเป็นขนาดใหญ่บนหน้า
น้องชายของข้ากําลังดูแลพ่อแม่ให้อยู่ที่บ้าน ข้าจึงไม่จําเป็นต้องรีบกลับไปนัก ดูเจ้าเด็กโง่เง่าพวกนี้สิ หากไม่มีพวกเราคอยชี้น้ํา ส่วนมากคงจะต้องตายเป็นแน่ ข้าจะอยู่ที่นี่อีกสองปี ข้าจะกลับบ้านหลังจากที่เป็นทหารมาสิบห้าปี ข้าคิดถึงแม่น้ําและต้นหลิวต้นใหญ่ที่บ้านจริงๆ ข้าไม่รู้ด้วยซ้ําว่าเพื่อนๆของข้าเป็นอย่างไรบ้าง
เจ้ากําลังทําให้ข้าคิดถึงบ้านเหมือนกัน ทหารผ่านศึกที่ไร้หูกล่าว แต่ข้าไม่มีครอบครัวเหลือแล้ว ตอนที่พวกอสูรบุกเข้าเมืองตะวันหยก ครอบครัวของข้าถูกสังหารจนสิ้น ข้าจะอยู่ที่ด่านเปยเหอนี้ไปตลอดชีวิต ยิ่งขาสังหารอสูรได้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี
หากเจ้าจะอยู่ที่ด่านเปยเหอไปตลอดชีวิต เจ้าก็น่าจะหาภรรยาสักคนแล้วมีลูกด้วยกันที่นี่นะ
ข้าอาจจะตายได้ตลอดเวลาในสนามรบ ดังนั้นควรจะดีกว่าหากข้าไม่เพิ่มความทุกข์ให้กับผู้อื่น
ทหารผ่านศึกเหล่านี้คุ้นชินกับการอาศัยอยู่ที่นี่แล้ว มันหมดระยะเวลาเกณฑ์ทหารมานานแล้ว แต่พวกเขาเลือกที่จะอยู่ต่อ มีคนจํานวนไม่มากที่อยากจะเก็บสะสมแต้มเพื่อจะได้ขึ้นเป็นเทพอสูร แต่จอมยุทธส่วนมากไม่มีโอกาสที่จะได้เป็นเทพอสูรหรอก บางคนก็ชินกับชีวิตที่ด่านเปยเหอแล้ว ในขณะที่บางคนก็เพียงอยากสู้กับอสูร
แม่ทัพจางหวินอู่และเทพอสูรคนอื่นๆให้ความสําคัญอย่างยิ่งกับทหารผ่านศึกเหล่านี้ บางครั้งก็อาจจะชี้แนะพวกเขาด้วยซ้ํา
ทันใดนั้นเอง
ตึงๆๆ!
เสียงกลองดังลั่นขึ้นมาจากเมืองด่านชั้นใน
เหล่าทหารผ่านศึกลุกขึ้นยืนในทันที พวกเขาหมุนเวียนพลังปราณพร้อมกับเลือดที่เดือดพล่าน เตรียมพร้อมรบในชั่วพริบตา
พวกอสูรกําลังจะโจมตี เตรียมตัวให้พร้อม เหล่าทหารผ่านศึกตระโกนออกมา ทหารที่เหลือรีบทําตามที่เคยฝึกเอาไว้และเตรียมพร้อมอุปกรณ์ทุกอย่างอย่างรวดเร็ว
ฟุบๆๆๆๆ!
สายฟ้า ลําแสง และเงาคนพุ่งไปยังกําแพงชั้นในอย่างรวดเร็ว
เหล่าทหารรู้ดีว่านั่นคือเทพอสูร!
เหล่าเทพอสูรคอยปกป้องเมืองชั้นในที่อันตราย
ระวังตัวด้วย หลิวชีเยว่กล่าว
ไม่ต้องกังวลไป เมิ่งชวนกระโดดลงจากกําแพงเมืองไปในทันทีพร้อมกับจางหวินอู่ หยู่จีหยาน หยางจิงอู่ ฉีฉิว และมู่ฉิง เทพอสูรอีกยี่สิบห้าคนยังคงยืนอยู่บนกําแพงเมือง
สนามรบข้างในกําแพงชั้นในนั้นเป็นที่ที่อันตรายที่สุดเพราะว่ามันอยู่ใกล้กับประตูพิภพมากที่สุด! เพิ่งชวนและคนอื่นๆต่างอยู่ในจุดสูงสุดของเทพอสูรระดับมหาสุริยัน หากไม่แข็งแกร่งเช่นนั้น การเข้าไปในสนามรบนี้ก็เป็นเพียงการฆ่าตัวตาย
ในที่สุดราชาอสูรพวกนี้ก็กลับมาอีกครั้งตอนปลายปี จางหวินอู่ดูประตูพิภพและยิ้ม น้องเพิ่ง เจ้าทําให้ราชาอสูรพวกนี้สูญเสียไปมาก ข้าว่าพวกมันคงหาวิธีจัดการกับเจ้าได้หลังจากผ่านไปครึ่งปี
ศิษย์พี่จาง ข้าคงต้องขอความช่วยเหลือจากท่านหากข้ารั้งพวกมันไว้ไม่ได้ เมิ่งชวนกล่าวยิ้มๆ
อย่ารีบสวนกลับ เราต้องมุ่งเน้นไปที่การป้องกันและมาดูกันว่าราชาอสูรพวกนี้อะไรซ่อนไว้ จางหวินอู่กล่าว เมื่อเรารู้แล้วว่ามันวางแผนจะทําอะไร พวกเราจะตีโต้กลับอย่างเต็มกําลัง! หากสังหารราชาอสูรไม่ได้ก็ไม่เป็นไร หน้าที่หลักของพวกเราคือการปกป้องด่านเปยเหอ
พี่จาง ท่านพูดแบบนี้มากี่ครั้งแล้วกัน? ฉีฉิวหัวเราะ
จางหวินอู่เบิกตากว้าง นี่ข้ากําลังแนะนําเจ้านะ! อย่าคิดจะไปเสี่ยงชีวิตเพียงเพราะว่าเจ้ามีร่างเทพสว่างโชติ!
มันไม่เป็นไรหรอกหากข้าจะถูกแทงซักสองสามแผลเข้าไปในร่างเทพสว่างโชติของข้า ข้าจะใช้มันเพื่อจัดการกับศัตรู ฉีฉิวกล่าว ไม่ต้องห่วง ข้ามีประสบการณ์พอ ข้ารู้ขีดจํากัดของข้า
ข้าเป็นห่วงเจ้ามากที่สุดนี่แหละ จางหวินอู่หน่ายใจแต่ก็ไม่ได้เถียงต่อ
พวกมันมาแล้ว มู่ฉิงกล่าวอย่างเย็นชา
ราชาอสูรระดับสามสิบห้าตนเดินออกจากประตูพิภพพร้อมกัน เมื่อพวกมันออกมา มันก็เริ่มร่ายเขตแดนป้องกันหลายอย่าง
หลิวชีเยว่ยิงออกไปห้าลูก ลูกศรทุกลูกต่างลุกโชนด้วยเปลวเพลิงอันน่าสะพรึง เป็นอันตรายต่อเหล่าราชาอสูร
จางหวินอู่ถือทวนสั้นอยู่ในมือและหาโอกาสโจมตี แต่ครั้งนี้พวกราชาอสูรเตรียมพร้อมมาแล้ว พวกมันไม่เปิดโอกาสให้จางหวินอู่โจมตี
ครั้งนี้มีราชาอสูรที่ไม่เคยเห็นหน้าแปดตัว จางหวินอู่ขมวดคิ้ว ยิ่งไปกว่านั้นข้ายังรู้สึก ไม่ค่อยสบายใจด้วย ข้ามั่นใจว่าต้องมีมากกว่าหนึ่งในแปดตัวนี้ที่เป็นชั้นยอด
ข้าเองก็รู้สึกได้ว่ามีราชาอสูรชั้นยอดอยู่สองสามตัว เมิ่งชวนกล่าว
อันที่จริงแล้ว นี่ไม่ใช่แค่ความรู้สึก เขาสามารถสัมผัสได้ถึงพลังทุกอย่างในระยะสองลี้ ราชาอสูรสามในแปดตนนี้นั้นต่างมีพลังอันแข็งแกร่ง พวกมันต่างเป็นราชาอสูรชั้นยอด ราชาอสูรสิงโตขนสีแดงเข้มนั้นแข็งแกร่งเป็นพิเศษ พลังของมันเทียบเท่าได้กับอสูรหญิงชุดสีดํานั้นเลย
ในบรรดาราชาอสูรเหล่านี้ อสูรในชุดคลุมดําและอสูรสิงโตนั้นแข็งแกร่งที่สุด
ฟูววว!
เหล่าราชาอสูรได้เปรียบเยิ่งชวนและคนอื่นๆในด้านของเขตแดน
มีเพียงหยางจิงอู่เท่านั้นที่สามารถร่ายเขตแดนที่ครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ได้ ราชาอสูรห้าตัวใช้เขตแดนออกมาพร้อมๆกัน ปล่อยความเย็นอันมหาศาลออกมา
ความเย็นนั้นกระจายออกไปทั่วสนามรบอย่างรวดเร็ว ก่อนหน้านี้สนามรบนั้นเหมือนกับเป็นทะเลสาบ เทพอสูรละลายหิมะเอาไว้แล้ว อย่างไรก็ตาม ความเย็นนี้แช่แข็งสนามรบกลับมาอีกครั้ง เปลี่ยนน้ําในระยะสามล้ําให้กลายเป็นน้ําแข็ง
ระวังตัวเสียจริง เมิ่งชวนและจางหวินอู่ใจเย็นมาก พวกเขารู้ดีว่าราชาอสูรพวกนี้ไม่ ปล่อยให้เขาสังหารอสูรกว่าสามหมื่นตนด้วยสายฟ้าอีกแน่
และเมื่อน้ํากลายเป็นน้ําแข็งจนหมด สายฟ้าก็ไม่สามารถใช้เป็นตัวกลางได้อีกต่อไป การให้สายฟ้าฟาดเข้าไปที่ตัวของอสูรโดยตรงนั้นดีกว่าการใช้อากาศเป็นตัวกลางมาก แต่มันเป็นเรื่องยากที่จะทําอะไรเช่นนั้น และพลังของสายฟ้าก็จะลดลงอย่างมหาศาล มีเพียงอสูรไม่กี่ตัวเท่านั้นที่จะถูกสังหาร
เจ้านี่คือเพิ่งชวนรึ? ราชาอสูรสิงโตมองไปที่เพิ่งชวน น้องซี่เจีย ดูข้าให้ดี ข้าจะกินมันเข้าไป
มันเร็วมากและเล่ห์เหลี่ยมเยอะ พี่ชาย เจ้าไม่ควรประมาท อสูรในชุดคลุมสีดํากล่าว
ต่อให้เจ้าเล่ห์แค่ไหนก็ไร้ประโยชน์ ราชาอสูรสิงโตพร้อมที่จะจู่โจม
ตอนที่ 152 หนึ่งปี
ศิษย์พี่เมิ่ง ข้าเห็นอสูรสามหมื่นกว่าตัวถูกแช่แข็งอยู่นอกกําแพงทิศเหนือ มีตัวไหนหลบหนีไปได้บ้างหรือเปล่า? ชายร่างผอมถาม
ก่อนหน้านี้พวกมันอาจจะแยกกองทัพออกไปก่อน เมิ่งชวนกล่าว แต่จากสามหมื่นกว่าตัวที่ข้าพบนั้น ไม่มีตัวไหนที่หนีรอดไปได้
ชายร่างผอมลอบตระหนก หนีไม่พ้นแม้แต่ตัวเดียวรึ? ศิษย์ผู้นี้ช่างน่าเกรงขามเสียจริง!
เอาล่ะ ข้าไม่มีคําถามแล้ว ชายร่างผอมยิ้มและพูดว่า ปล่อยที่เหลือให้เป็นหน้าที่ของหน่วยตาข่ายปฐพีเถอะ
เข้าใจแล้ว เมิ่งชวนเองก็รู้ถึงกระบวนการเช่นกัน เขาเปลี่ยนเป็นสายฟ้าและพุ่งทะยานออกไปในทันที เขาวางเท้าที่ยอดเขาที่อยู่ห่างไกลแห่งหนึ่งก่อนจะพุ่งต่อหายไปโดยสิ้นเชิง
ตั้งแต่ต้นจนจบเมิ่งชวนไม่ได้เผยตัวในฐานะผู้ลาดตระเวนแม้แต่น้อย ตัวตนในฐานะผู้ลาดตระเวนนั้นเป็นความลับ สําหรับคนส่วนมากแล้ว เมิ่งชวนเพียงบังเอิญอยู่ใกล้ๆในขณะที่อสูรบุกโจมตีเข้ามา
ขนาดเรื่องที่ว่าเมิ่งชวนช่วยเมืองฉงชานเอาไว้ก็ยังถูกเก็บเป็นความลับ! บางครั้งเราจะได้ยินเรื่องราวของเทพอสูรที่มาช่วยเมืองเอาไว้ แต่ตัวตนของเทพอสูรเหล่านั้นไม่เคยถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ หากตัวตนของพวกเขาถูกเปิดเผยล่ะก็ พวกอสูรคงจะสามารถตัดสินขนาดของ หน่วยลาดตระเวน ของพวกมนุษย์ได้ สุดท้ายแล้ว มีเทพอสูรเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะบังเอิญไปอยู่ตรงนั้นพอดี ส่วนมากต่างเป็นผู้ลาดตระเวนที่รุดออกไปช่วยทั้งนั้น!
สายฟ้าพุ่งผ่านท้องฟ้าและลงบนด่านเปยเหอ มีคนกว่าสองหมื่นคนอาศัยอยู่ในที่แห่งนี้ ถ้าเทียบกันแล้ว ด่านเปยเหอไม่ได้เล็กไปกว่าเมืองฉงชานเลยแม้แต่น้อย
เมิ่งชวนกลับถึงบ้านอย่างรวดเร็ว หน้าต่างยังคงเปิดอยู่และเขาก็เข้าไปในคฤหาสน์ทางหน้าต่าง
หลิวชีเยว่นั่งอ่านหนังสืออยู่บนเตียงโดยมีโคมไฟที่ส่องสว่างให้ เมื่อเธอเห็นเมิ่งชวนสีหน้าของเธอก็ดูยินดี อาชวน เจ้ากลับมาแล้วงั้นรึ? ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีหรือเปล่า?
ใช่ เมิ่งชวนวางกระบอสูรสังหารไว้ข้างเตียง เขาถอดเสื้อคลุมและขึ้นไปบนเตียง เขายิ้มและพูดว่า ไม่มีปัญหาอะไร ตอนที่ข้าไปถึงพวกอสูรยังไม่ได้โจมตีเมือง ข้าสังหารราชาอสูรไปหกตัว กับอสูรธรรมดาประมาณสามหมื่นตัว
หลิวชีเยว่พยักหน้า การต่อสู้แบบนี้เป็นเรื่องปกติสําหรับเธอ ในฐานะเทพอสูรมหาสุริยันที่มีร่างเทพวิหคเพลิงที่สมบูรณ์แบบ เธอจึงแข็งแกร่งกว่าเมิ่งชวนเล็กน้อยในแง่ของการทําลายในวงกว้าง เปลวไฟของวิหคเพลิงเธอนั้นทรงพลังเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม เธอก็ช้ากว่าเมิ่งชวนมาก หากอสูรกว่าสามหมื่นตัวนั้นหลบหนีไปคนละทิศคนละทางคงจะมีอสูรเกือบห้าพันตนหนีรอดไป
มีมนุษย์ประมาณสองสามร้อยคนถูกสังหารไปตอนที่ราชาอสูรเข้าไปในเมือง เมิ่งชวนส่ายหน้าเบาๆ
ดีแล้วที่มีเพียงแค่ไม่กี่ร้อยคนตายในระหว่างการบุกรุกของอสูร หลิวชีเยว่ปลอบโยนเขา
ใช่ ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าชินแล้ว ตอนนี้พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น นอนต่ออีกหน่อยเถอะ เมิ่งชวนพูดและนอนลงไป
เข้าใจแล้ว หลิวชีเยว่วางหนังสือลงและนอนต่อ
พวกอสูรไม่เข้ามาโจมตีที่ด่านเปยเหออีกเลย บางทีพวกมันคงกําลังหาวิธีจะจัดการกับอุปสรรคใหญ่อย่างเมิ่งชวน
ในวันที่ 27 สิงหาคม เมิ่งชวนได้รับคําขอความช่วยเหลือในตอนเช้าตรู่ เขาเดินทางไปกว่า 600 ลี้ มุ่งไปยังเมืองเกาหลานในมณฑลตะวันหยก ประตูพิภพปรากฏขึ้นห่างจากเมืองเกาหลานประมาณสิบสองลี้ มีราชาอสูรระดับสองหนึ่งตนพร้อมกับอสูรอีก 5000 ตนบุกเมืองเกาหลาน และเพราะเกาหลานไม่มีเทพอสูรคอยดูแล พวกเขาจึงไม่สามารถต้านทานไว้ได้
หลังจากที่เมิ่งชวนไปถึง เขาก็ สังหารราชาอสูรก่อนเป็นอันดับแรก ใช้เวลาประมาณหนึ่งนาทีในการวนรอบเมืองเกาหลานและสังหารอสูรที่กระจัดกระจายไปทั่ว มีประชากรประมาณ 8000 คนจากทั้งหมด 90000 คนที่ถูกสังหาร!
เพราะเมืองเกาหลานนั้นมีการป้องกันที่อ่อนแอ ดังนั้นสิ่งที่คนทําเป็นอย่างแรกคือซ่อนตัวในอุ โมงค์ พวกอสูรกระจัดกระจายไปทุกส่วนของเมืองเพราะกําลังหาวิธีจะเข้าไปในอุโมงค์ที่เต็มไป ด้วยกับดักนี้! พวกอสูรไม่ทันจะได้ทะลวงเข้าไปในอุโมงค์เมิ่งชวนก็มาถึงก่อน หากเขามาช้ากว่านั้น สิบห้านาที ก็คงจะไม่เหลือมนุษย์อยู่ในเมืองนี้แล้ว
แต่เมิ่งชวนสามารถเดินทางได้เกือบ 3000 ในเวลา 15 นาที! เขาเร็วกว่าเฟิงโหวเทพอสูรเสีย อีก ถือได้ว่าเร็วในหมู่ราชันเทพอสูรเลยด้วยซ้ํา หากเขาขึ้นเป็นเฟิงโหวเทพอสูรล่ะก็ ความเร็วคง จะมหาศาลเลยทีเดียว! หากเขายังแข็งแกร่งมากขึ้นไปเรื่อยๆอีก เขาคงจะเข้าใกล้กับความเร็วของแสงมากขึ้นไปเรื่อยๆ
ในวันที่ 19 กันยายน เมิ่งชวนที่พึ่งกินข้าวเย็นเสร็จและกําลังฝึกวิชากระบี่ก็ได้รับคําขอความช่วยเหลือ
เขาเดินทางกว่าห้าร้อยลี้เพื่อมุ่งไปยังเมืองหยู่เซ็นในมณฑลกู่เหอ เขาสังหารราชาอสูรระดับสองและอสูรอีกกว่าหกพันตน และมีประชากรของเมืองหยู่เซ็นประมาณ 3000 คนจาก 60000 คน ที่ถูกสังหาร
เวลาค่อยๆผันผ่านไป และในที่สุดก็มาถึงสิ้นปี เมิ่งชวนอยู่ในด่านเปยเหอมาหนึ่งปีแล้ว แต่พึ่งจะได้เจอกับการรุกรานของอสูรในเมืองด่านเพียงหนึ่งครั้งกับคําร้องขอความช่วยเหลืออีกสามครั้ง
ในวันที่ 3 ธันวาคม เขาหยวนชู ตอนกลางคืน
ท่านปรมาจารย์ นี่คือเอกสารของวันนี้ เจ้าเขาหยวนชูวางเอกสารลงบนโต๊ะ
ปรมาจารย์จินหวูที่กําลังอ่านหนังสืออยู่ก็วางลง เขาหยิบเอกสารออกมาอ่านก่อนจะขมวดคิ้ว วันนี้มีประตูพิภพถึงสองแห่งปรากฏขึ้นในราชวงศ์โจวที่ยิ่งใหญ่ของพวกเราอย่างนั้นรึ?
ขอรับ เจ้าเขาหยวนชูพยักหน้า ช่วงนี้ประตูพิภพที่ไม่เสถียรปรากฏขึ้นมาบ่อยมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ประตูพิภพทั้งสองแห่งนี้อยู่ห่างจากเมืองมาก! พวกอสูรไม่ได้ส่งกําลังเข้ามาโจมตี แต่ว่าจากการสํารวจของหน่วยข่ายปฐพีแล้ว คงจะมีอสูรที่ใช้โอกาสนี้เข้ามาแทรกซึมในโลกมนุษย์เป็นแน่ขอรับ
อย่างนั้นรี ปรมาจารย์จินขมวดคิ้วและพยักหน้าเบาๆ จํานวนอสูรที่เข้ามา แทรกซึมในโลกมนุษย์เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ประตูพิภพที่ไม่เสถียรปรากฏขึ้นได้ทุกที่ อันที่จริงแล้ว มีเพียงไม่กี่อันเท่านั้นที่ปรากฏขึ้นใกล้เมือง
ส่วนใหญ่ปรากฏขึ้นในถิ่นทุรกันดารหรือภูเขาที่ห่างไกล มันอยู่ไกลจากเมืองใดๆมาก ตราบใดที่พวกมันอยู่ห่างออกไป 50 ลี้ การส่งกองทัพอสูรออกมาก็มีแต่จะโดนพบเข้าระวห่างทาง! ด้วยความเร็วที่อสูรระดับต่ําสามารถเดินทางได้นั้น กําลังเสริมของเทพอสูรคงจะไปถึง ก่อนที่มันจะไปถึงเมืองเสียอีก
ดังนั้นอสูรจึงไม่คิดจะโจมตีเมืองต่างๆหากประตูพิภพอยู่ไกลเกินไป แต่พวกมันจะส่งอสูรสองสามตัวเข้ามาเพื่อแทรกซึมในโลกมนุษย์ พวกมันจะกระจายออกตามหาโอกาสสร้างความโกลาหล
นั่นก็เพื่อความอยู่รอด ในดินแดนอสูรก็ไม่สามารถดูแลอสูรได้ครบทุกตัว และพวกมันยังมีสงครามที่ไม่มีวันจบสิ้นอีก ด้วยความช่วยเหลือของประตูพิภพที่ไม่เสถียรพวกมันจึงสามารถส่งอสูรเข้ามาในโลกมนุษย์ได้นิดหน่อย และนั่นก็ช่วยลดภาระของกลุ่มอสูรหลายๆกลุ่ม อีกทั้งพวกที่เข้ามาในโลกมนุษย์นั้นยังได้ ทํางานหาเลี้ยงชีพ อีก! เรียกได้ว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเลย!
อสูรพวกนี้แอบเข้ามาและหลบอยู่ในพื้นที่ต่างๆ พวกมันหลบอยู่ในทะเลสาบและภูเขา ปกติแล้วพวกอสูรระดับสูงจะนํากลุ่มอสูรระดับต่ําด้วย เจ้าเขาหยวนชูกล่าว การจะตามหาพวกมันนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ถึงพวกเราจะตามหามันเจอ พวกเราก็จัดการได้แค่ไม่กี่ตัว อสูรพวกนี้กําลังหาโอกาสเพื่อโจมตีใส่หมู่บ้านและปราการของพวกเรา
ใช่ ปรมาจารย์จินหวูพยักหน้า
ในปัจจุบัน หมู่บ้านของมนุษย์นั้นต้องมีป้อมปราการเพื่อรับมือกับการลอบโจมตีของอสูรหลายต่อหลายครั้ง
เพื่อป้องกันความไม่สงบ เราจึงอ้างไปว่าจู่ๆประตูพิภพก็ปรากฏตัวขึ้น จึงทําให้อสูรโจมตีใส่ป้อมปราการ ปรมาจารย์จินหวูกล่าว แต่อันที่จริงแล้ว การลอบโจมตีเล็กๆน้อยๆนี้ถูกทําโดยพวก อสูรที่หลบซ่อนอยู่ในโลกมนุษย์ ยิ่งอสูรโผล่ออกมามากเท่าไหร่ พวกเราก็เก็บซ่อนความจริงเอาไว้ได้ยากมากขึ้นเท่านั้น เมื่อผู้คนรู้ว่ามีอสูรมากมายหลบซ่อนอยู่ทั่วทุกที่ ข้าเกรงว่าคงจะทําให้เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่
ข่ายปฐพีกําลังทําหน้าที่ค้นหาอยู่ เจ้าเขาหยวนชูกล่าว พวกเขากวาดสํารวจไปทั่วโลก เมื่อเจอกับกลุ่มอสูรใดก็จะทําลายทิ้ง พวกอสูรเองก็ไม่กล้าที่จะโผล่ออกมาง่ายๆเช่นกัน
แต่อสูรต่างจากพวกเรา พวกมันหลายตัวอาศัยอยู่ใต้ดินหรือในน้ํา ปรมาจารย์จินหวู กล่าว ตามที่เอกสารว่า ข่ายปฐพีกําลังขาดเทพอสูร หากสามารถเพิ่มจํานวนเทพอสูรในหน่วยข่ายปฐพีได้ประมาณห้าส่วน การค้นหาคงจะได้ผลดีกว่านี้
เมืองด่านหลายๆเมืองเองก็ต้องการเทพอสูรมากเช่นกัน เจ้าเขาหยวนชูกล่าวอย่างช่วยไม่
จินหวพยักหน้า ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของมนุษย์ในสงครามครั้งนี้คือการที่ไม่มีเทพอสูรเพียงพอ!
หากเรามีผู้ลาดตระเวนเร็วเพิ่มขึ้นซักสองสามคน พวกเราคงจะคลายแรงกดดันนี้ได้ เจ้าเขาหยวนชูกล่าว อย่างเช่นเมิ่งชวนที่รับหน้าที่ดูแลมณฑลสิบแปดเขตในระยะพันล้ําจากด่านเปยเหอ เขาทําหน้าที่ได้ดีมากในปีที่ผ่านมานี้ ไปถึงอย่างรวดเร็วทุกครั้ง การสูญเสียของเมืองฉงชานนั้นเรียกได้ว่าน้อยมาก ส่วนอีกสองเมืองเล็กนั้นก็น้อยมากเช่นกัน
มีเทพอสูรเพียงคนเดียวที่มีร่างอสูรตัดสายฟ้าที่สมบูรณ์ มีไม่กี่คนเท่านั้นที่ไปถึงการขัดเกลาจุดที่เจ็ดหรือแปด และความเร็วของพวกเขานั้นด้อยกว่าของเมิ่งชวนมาก ดังนั้นพวกเขาจึงถูกสั่งให้ดูแลในบริเวณที่แคบกว่า ปรมาจารย์จินหวูกล่าว ข้ามีความคิดดีๆแล้ว เมืองด่านขนาดเล็กที่อยู่ในเขตของราชวงศ์โจวจะมีเทพอสูรระดับมหาสุริยันธรรมดาคอยดูแล และหน้าที่อีกอย่างของพวกเขาคือการช่วยเหลือหน่วยข่ายปฐพี
ทุกๆเดือน พวกเขาจะต้องค้นหาอสูรในบริเวณ 300 จิ้งรอบๆเมืองเป็นเวลาสิบวัน เพราะไม่ว่ายังไงเมืองด่านขนาดเล็กพวกนี้ก็ค่อนข้างจะปลอดภัย เทพอสูรระดับมหาสุริยันธรรมดาคงจะไม่มีปัญหาในการจัดการกับการบุกรุกของอสูรมากนัก ปรมาจารย์จินหวูกล่าว และหากมีเทพอสูรระดับมหาสุริยันคอยค้นหาบริเวณรอบๆเป็นเวลาสิบวันทุกๆเดือน ภาระของหน่วยข่ายปฐพีก็จะลดลงไปมาก
นี่เป็นเพียงความคิดของข้า ลองไปปรึกษากับผู้อาวุโสคนอื่นและดูว่ามันเหมาะสมหรือเปล่า ปรมาจารย์จินหวูสั่ง
เจ้าเขาหยวนชูพยักหน้าเบาๆ ข้าจะตรวจสอบความแข็งแกร่งของเมืองด่านขนาดเล็กอย่างละเอียด และจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้เมืองด่านขนาดเล็กยังแข็งแกร่งเพียงพอในขณะที่เพิ่มความแข็งแกร่งของหน่วยข่ายปฐพี่ไปด้วย
ท่านปรมาจารย์ เจ้าเขาหยวนชูอดไม่ได้ที่จะพูดออกมา ในปีที่ผ่านมานี้ มีเทพอสูรตายในการต่อสู้มากกว่าปีก่อนหน้านั้นอีก เขาหยวนชูและถ้ําสวรรค์ทรายดํายังคงรักษาตัวไว้ได้ แต่สถานการณ์ในเกาะสองโลกตอนนี้ค่อนข้างจะยุ่งเหยิง…
ข้ารู้ เจ้ากลับไปก่อนได้เลย ปรมาจารย์จินหวูกล่าว
ขอรับ เจ้าเขาหยวนชูทําได้เพียงเดินออกไป
ปรมาจารย์จินหวูนั่งอยู่เฉยๆเป็นเวลานานก่อนจะหยิบหนังสือออกมาอ่านต่อไป
ตอนที่ 151 ตาข่ายปฐพี
ที่กําแพงทางเหนือ นายทหารผู้ที่รับผิดชอบกําแพงเมืองเดินมาข้างๆหวังฟูเฉิงและก้มหัวลง คารวะเจ้าวัง
เทพอสูรที่จัดการกับอสูรพวกนี้อยู่ไหนแล้ว? หวังฟูเฉิงถาม
หลังจากที่ท่านผู้นั้นแช่แข็งอสูรพวกนี้จนหมด เขาก็เปลี่ยนเป็นสายฟ้าและมุ่งไปทางเหนือขอรับ นายทหารคนนั้นชี้ไปที่ภูเขานอกเมือง
เข้าใจแล้ว หวังฟูเฉิงพยักหน้าเล็กน้อยและกระโดดลงจากกําแพงเมือง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นลําแสงพุ่งไปทางภูเขา
หวังฟูเฉิงไปถึงที่ภูเขารกร้างโดยตามทางที่เหล่าอสูรทิ้งเอาไว้ เมื่อเห็นประตูพิภพที่กว้างกว่าร้อยจิ้งเขาก็หันไปรอบๆด้วยความงุนงง
ศิษย์น้องหวัง หลังจากที่เมิ่งชวนพูดจบ เขาก็กระโดดลงจากต้นไม้ลงมาบนพื้น
เมื่อได้เห็นเมิ่งชวนหวังฟูเฉิงก็ยิ้มออกมา ศิษย์พี่เมิ่ง ข้ารีบมาหาหลังจากเสร็จงานในเมือง ข้าไม่รู้ว่าจะมีอีกกี่ชีวิตที่จะต้องตายหากท่านไม่ได้มาช่วย
ไม่เป็นไรหรอก เมิ่งชวนส่ายหน้าและกล่าวถาม แล้วเมืองฉงชานเสียหายอะไรบ้าง?
บางคนโดนลูกหลงระหว่างที่ราชาอสูรเข้าเมืองมา หวังฟูเฉิงกล่าว มีเพียงไม่กี่ร้อยคนที่เสียชีวิต
เมิ่งชวนพยักหน้า นั่นถือว่าเป็นจํานวนผู้เสียชีวิตที่น้อยแล้ว! หากราชาอสูรเอาชนะเทพอสูรไปได้ล่ะก็ เมืองทั้งเมืองจะไม่เหลือซากเป็นแน่ และจะมีคนหลายหมื่นคนที่จะต้องตาย และนั่นคงจะเป็นเรื่องที่น่าสลดใจยิ่งนัก
เมิ่งชวนเห็นเมืองต้องถูกทําลายลงตั้งแต่ตอนอายุหกขวบ นั่นเป็นเหตุว่าทําไมเขาจึงไม่ปรานีพวกอสูรแม้แต่น้อย
จะว่าไปแล้ว ศิษย์น้องหวัง นี่ก็ผ่านมาเกือบห้าปีแล้วสินะตั้งแต่ที่เจ้าลงมาจากเขาหยวนชู เมิ่งชวนไม่พูดถึงความสูญเสียต่อ
ใช่แล้วขอรับ หวังฟูเฉิงพยักหน้าและกล่าว หลังจากข้าลงจากเขา ข้าก็ไปประจําการอยู่ที่ด่านอันไห่เป็นเวลาสามปี เพราะมีราชาทะเลอันไห่อยู่จึงค่อนข้างจะปลอดภัย ศิษย์พี่เมิ่ง ท่านแข็งแกร่งกว่าพวกเรามาก ท่านได้ไปประจําการอยู่ที่เมืองด่านขนาดกลางหรือไม่?
ข้าประจําอยู่ที่ด่านเปยเหอ เมิ่งชวนไม่ได้ปิดบังอะไร
ในหมู่ศิษย์อย่างพวกเรา เทพอสูรมหาสุริยันที่ทรงพลังส่วนมากได้ไปประจําการอยู่ที่เมืองด่านขนาดกลางทั้งนั้น หวังฟูเฉิงกล่าวอย่างคิดถึง
เมิ่งชวนพยักหน้า เทพอสูรมหาสุริยันของเขาหยวนชูนั้นมีระดับความแข็งแกร่งที่ต่างกันอย่างจอมยุทธระดับต้นๆเช่นจางหวินอู่ที่ไปถึงระดับเต่ําและใกล้จะได้เป็นเทพอสูรเดือนมืดมิด หรือมู่ฉิงและฟานเฉิงที่มีความสามารถมากต่างอยู่ในระดับสูงสุดของขอบเขตจิตวิญญาณ หยูจีหยาน ฉีฉิว และหยางจึงอู่ต่างไปถึงขอบเขตจิตวิญญาณขั้นสูง คนแรกฝึกร่างอสูรลวงตา คนที่สองฝึกร่าง เทพสว่างโชติ และคนสุดท้ายเก่งกาจในด้านเขตแดน พวกเขาสําคัญมากในสนามรบ
ส่วนเมิ่งชวนและหลิวชีเยว่นั้นเป็นอัจฉริยะที่หาเทียบได้ยาก พวกเขาไปถึงขอบเขตจิตวิญญาณขั้นสูงและยังมีร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษ หน้าที่ในสนามรบของพวกเขานั้นสําคัญไม่น้อยไปกว่าของจางหวินอู่เลย! พวกเขาได้มาประจําการที่เมืองด่านระดับกลางตั้งแต่ได้ลงจากเขา
เทพอสูรระดับมหาสุริยันอันดับต้นๆของเขาหยวนชูต่างได้ไปประจําการที่เมืองด่านขนาดกลาง ส่วนเทพอสูรที่เหลือนั้นถูกส่งไปที่ตาข่ายปฐพี
ส่วนเทพอสูรระดับมหาสุริยันคนอื่นๆที่พึ่งจะไปถึงขอบเขตของจิตวิญญาณมักจะถูกส่งไปป้องกันเมืองด่านขนาดเล็ก
หวังฟูเฉิงส่ายหัวและกล่าว ข้าจําเป็นต้องเข้าถึงขอบเขตจิตวิญญาณขั้นสูงให้ได้ก่อนถึงจะไปเมืองด่านขนาดกลางได้ แต่ข้าก็ยังติดอยู่ในจุดสูงสุดของขอบเขตเจตจํานงและยังไม่ได้ขึ้นเป็นเทพอสูรระดับมหาสุริยัน
เจ้าพึ่งจะลงจากเขามาได้เพียงห้าปี ปกติใช้เวลาประมาณสิบถึงยี่สิบปีในการขึ้นเป็นเทพอสูรมหาสุริยันหลังจากลงมาจากภูเขา เมิ่งชวนกล่าว เอาล่ะ เจ้าควรจะรีบกลับไปได้แล้ว เมืองชานต้องการเจ้า และพอเทพอสูรจากเขาหยวนชูมาถึง เจ้าจะต้องต้อนรับเขาด้วย
ถ้าเช่นนั้นข้าขอรบกวนให้ศิษย์พี่ดูแลตรงนี้ด้วยก็แล้วกัน หวังฟูเฉิงกล่าวก่อนจะจากไป
เมิ่งชวนเก็บซ่อนกระแสพลังกลับไปและเฝ้ารอเทพอสูรที่จะมาทําหน้าที่แทนเขาอย่างเงียบๆอยู่บนต้นไม้
ตอนนี้เมืองฉงชานเต็มไปด้วยความยินดี ทางราชการได้ส่งคําสั่งออกไปอย่างรวดเร็ว ทั้งเมืองรับรู้แล้วว่าพวกเขาชนะและปลอดภัยดี! ทุกคนสามารถออกมาจากอุโมงค์ได้แล้ว
อะไรนะ? เราชนะ?
ในสํานักเต๋ เจ้าสํานักเต๋ เหล่าอาจารย์ ทหารและทหารผ่านศึกมากมาย รวมไปถึงเหล่าศิษย์ ที่ไปถึงระดับชําระแก่นแท้ดูจะตกตะลึง
ถ้าพูดกันตามตรง กําแพงเมืองไม่น่าจะกันพวกอสูรไว้ได้นานขนาดนั้น พวกมันจะบุกเข้ามาในเมืองและประชาชนจะต้องสู้ป้องกันตัวเอง อาจารย์คนหนึ่งที่ถือหอกเต็มไปด้วยความยินดี ข้าไม่คิดเลยว่าสิ่งที่พวกเราทั้งสี่ทําลงไปนั้นสูญเปล่า พวกเราชนะโดยไม่ต้องเสี่ยงชีวิตด้วยซ้ํา อสูรพวกนั้นแพ้โดยสิ้นเชิง!
การที่พวกอสูรกล้าที่จะโจมตี พวกมันคงมั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะเทพอสูรของเมืองฉงชานได้ หญิงวัยกลางคนที่สะพายดาบไว้สองเล่มถอนหายใจออกมา พวกเราชนะโดยที่เมืองไม่ถูกทําลาย มันต้องมีเหตุผลบางอย่างเป็นแน่ หรือว่าจะมีเทพอสูรที่ทรงพลังอาศัยอยู่ใกล้ๆเมืองฉงชานของพวกเรากัน?
เทพอสูรที่ทรงพลังจะออกเดินทางตระเวนไปทั่วโลก พวกเขาอาจจะโผล่ไปที่เมืองใดก็ได้ และมีโอกาสที่จะมาที่เมืองฉงชานของเราเช่นกัน
ฮ่าฮ่า ช่างเป็นโชคดีสําหรับเมืองฉงชานของพวกเราเสียจริง ถือเป็นพรเลยก็ว่าได้!
ทุกคนหัวเราะอย่างมีความสุข คนที่เคยเป็นทหารต่างรู้ดีว่ามันยากแค่ไหนในการต่อสู้กับอสูร ยิ่งเมื่อมีกองทัพอสูรจํานวนมากถาโถมเข้ามา มนุษย์จําเป็นต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อจะจัดการกับพวกมัน
พื้นที่สําคัญทั้งหมดอย่างสํานักเตทั้งหก บ้านของตระกูลเทพอสูรทั้งสี่ และคลังอาวุธของราชการในเมืองฉงชานต่างมีกองกําลังประจําการอยู่ใก้ลๆ
แต่ไม่ว่าอย่างไรพวกอสูรก็มาถึงไวเกินไป ทหารธรรมดาจํานวนมากที่อยู่ในเมืองต้องเดินทางกว่ายี่สิบลี้เพื่อที่จะไปให้ถึงกําแพงเมืองทิศเหนือ เมื่อพวกเขาไปถึง กําแพงเมืองคงจะถูกทําลายไปนานแล้ว ดังนั้นแล้วเหล่าทหารและทหารผ่านศึกที่อยู่ใกล้กับกําแพงเมืองจึงมีหน้าที่ปกป้องมัน ผู้คนในเขตอื่นของเมืองก็ใช้พื้นที่ในการต่อสู้กับเหล่าอสูร พวกเขาจะต้องยื้อจนกว่ากําลังเสริมจะมา จากนั้นจึงจะชนะ
ทุกคนเตรียมใจที่จะเสียสละ อย่างไรก็ตาม พวกเขาชนะโดยไม่แม้แต่จะเห็นอสูรด้วยซ้ํา
ไปกันเถอะ ไปดูที่กําแพงทิศเหนือว่าเกิดอะไรขึ้นกัน
เราเอาชนะพวกอสูรได้อย่างไรกัน?
ข้าสงสัยเหลือเกินว่ามีอสูรกตัวที่โจมตีเมืองฉงชานของเรา
แม้จะรู้ว่าพวกเขาชนะ แต่หลายคนก็อดไม่ได้ที่จะรีบไปที่กําแพงทิศเหนือ
ประตูเมืองยังคงปิดอยู่ แต่คนก็สามารถเดินขึ้นไปที่กําแพงเมืองไปดูได้ ทุกคนต่างตกตะลึงเมื่อได้เห็นอสูรที่ถูกแช่แข็ง
รูปสลักน้ําแข็งของอสูรสามหมื่นตัวนั้นเรียกได้ว่าเป็นภาพที่น่าเหลือเชื่อ ทหารมากมายไม่เคยเห็นอสูรจํานวนมากขนาดนี้ถูกแช่แข็งมาก่อนเลย
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม เทพอสูรของเขาหยวนชูก็มาถึง
ฟุบๆๆๆ!
มีร่างสองร่างมายังทะเลสาบเสี้ยวจันทร์ และหวังฟูเฉิงที่กําลังรออยู่ตรงนั้นก็พบว่าเป็นชายร่างผอมกับชายชรา
ศิษย์พี่นู หวังฟูเฉิงทักทายหนึ่งในนั้นทันที เขารู้จักเพียงชายร่างผอมเท่านั้น แต่เขาไม่รู้จักชายชราคนนั้น
อืม ชายร่างผอมเหลือบมองซากของราชาอสูรก่อนจะถาม ใครเป็นคนสังหารราชาอสูรกัน?
ศิษย์พี่เมิ่งผ่านมาและช่วยเมืองทั้งเมืองเอาไว้ หวังฟูเฉิงกล่าว
โอ้ว ชายร่างผอมพยักหน้าเล็กน้อย แล้วตอนนี้ศิษย์พี่เมิ่งอยู่ที่ไหน?
ประมาณหกล้ําทางเหนือของเมือง เขากําลังเฝ้าประตูพิภพอยู่ หวังฟูเฉิงกล่าว
พี่กัว ข้าขอฝากซากราชาอสูรเหล่านี้ให้ท่าน เดี๋ยวข้าจะไปเฝ้าประตูพิภพ ชายร่างผอมกล่าว ในแง่ของความแข็งแกร่งแล้วนั้น เขาแกร่งกว่าชายชราผู้นั้นเล็กน้อย
ได้เลย ชายชรายิ้ม
ชายร่างผอมหายไปและมุ่งไปทางเหนือ
บนภูเขารกร้าง ชายร่างผอมได้พบกับเมิ่งชวน
ศิษย์พี่เมิ่ง ชายร่างผอมกล่าวอย่างสุภาพ
ศิษย์พี่ฉ? เมิ่งชวนไม่เคยเห็นเขามาก่อน เพราะไม่ว่าอย่างไรฉุก็ลงจากเขามาได้กว่าสามสิบปีแล้ว แต่ว่าเขาจําหน้าศิษย์ของเขาหยวนชูได้ทุกคน
ที่เขาหยวนชูนั้น หากทั้งคู่แข็งแกร่งพอๆกัน ทั้งสองฝ่ายจะเรียกกันในฐานะศิษย์พี่หรือศิษย์พี่หญิง นี่ถือเป็นการแสดงความเคารพต่อกัน
แต่ด่านเปยเหอนั้นต่างออกไป ทุกคนในด่านเปยเหอนั้นเป็นทีมเดียวกันที่ต้องต่อสู้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายไปด้วยกัน เมิ่งชวนและหลิวชีเยวนั้นต่างเป็นมือใหม่ ดังนั้นพวกเขาจึงเรียกคนอื่นๆว่าศิษย์พี่และศิษย์พี่หญิง
แม้ศิษย์จํานวนมากจะไม่ได้กลับไปที่เขาหยวนชูเป็นเวลานาน แต่พวกเราก็ได้ยินชื่อเสียงของเจ้ามา ชายร่างผอมกล่าวด้วยรอยยิ้ม คนที่มีร่างอสูรตัดสายฟ้าที่สมบูรณ์และเรียนรู้วิชาของโลหะทมิฬได้ เจ้าแข็งแกร่งกว่าพวกเราที่ลงมาจากเขามาหลายสิบปีแล้วเสียอีก
ข้าพึ่งลงมาจากเขาได้ไม่นาน ไม่สามารถไปเทียบผลงานและความสําเร็จกับเหล่ารุ่นพี่ได้ทํา มาตลอดหลายสิบปีหรอก เมิ่งชวนกล่าว
ฮ่าๆ ชายร่างผอมพลิกมือและหยิบตราสีม่วงออกมา ในนั้นมีคําเขียนเอาไว้ว่า ผู้ไล่ล่า ศิษย์พี่เติ้ง เรามาคุยเรื่องธุระก่อนดีกว่า จากนี้ไปประตูพิภพจะอยู่ในการดูแลของตาข่ายปฐพีของพวกเรา
เข้าใจแล้ว เมิ่งชวนพยักหน้า
ตาข่ายปฐพี..
เทพอสูรของเขาหยวนชูประมาณสามส่วนต่างอยู่ในตาข่ายปฐพี พวกเขาทําหน้าที่ไล่ล่าอสูร และจัดการกับนิกายอสูรฟ้า รวมไปถึงการตามหาประตูพิภพแห่งใหม่
ตาข่ายปฐพี่ยังควบคุมไปถึงหน่วยข่าวกรองของราชสํานัก มีมนุษย์ธรรมดาจํานวนมากคอยดูแลอยู่ในนั้น
ตําแหน่งผู้ไล่ล่าก็เป็นส่วนหนึ่งของตาข่ายปฐพี! อย่างไรก็ตามมันเป็นหน้าที่ที่พิเศษกว่าผู้ลาดตระเวน ผู้ไล่ล่าส่วนมากจะเป็นเฟิงโหวเทพอสูรและราในเทพอสูร ตาข่ายปฐพี่นั้นเป็นองค์กรที่ทรงพลังมาก ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถจัดการกับอสูรและราชาอสูรได้อย่างง่ายดาย เมื่อไรก็ตามที่พวกเขาพบกับราชาอสูรและอสูรฟ้าที่ไม่สามารถรับมือได้ ตอนนั้นก็จะเรียกกําลังเสริมมา และผู้ไล่ล่าก็จะรีบเข้ามาสังหารราชาอสูรและอสูรฟ้าที่ทรงพลังนั้นไป
ตอนที่ 150 รูปสลักน้ําแข็ง 30000 ชิ้น
เมิ่งชวนพุ่งทะยานไป เขาลงบนต้นไม้และใช้มันเป็นที่เหยียบกระโดดขึ้นไปบนกําแพงเมือง และพบว่าอสูรทั้งสามหมื่นตัวนั้นยังไม่ล่าถอยกลับไป!
แม้ว่าผู้บัญชาการและรองผู้บัญชาหลายตนได้ตายไปแล้ว แต่กองทัพอสูรก็ยังไม่โจมตี! พวกมันจะโจมตีหรือล่าถอยตามคําสั่งของราชาอสูรเท่านั้น
ราชาอสูรยังไม่ได้ออกคําสั่งใดๆ เราถอยไม่ได้!
หากล่าถอยโดยไม่ได้รับอนุญาตหมายถึงความตายเมื่อกลับไปถึงแดนอสูร!
เมื่อราชาอสูรสังหารเทพอสูรได้หมด พวกเราจะกวาดล้างเมืองฉงชานซะ!
แม้ว่าพวกอสูรจะไม่ค่อยสบายใจ แต่ก็ไม่มีใครกล้าหนี ตามกฏของพวกมันแล้วนั้น หากราชาอสูรล่าถอย พวกมันจะออกคําสั่งให้กองทัพอสูรล่าถอยไปด้วย แต่พวกมันไม่รู้ว่าในตอนนี้ราชาอสูรได้ตายหมดแล้ว ไม่เหลือผู้ใดที่จะออกคําสั่งให้พวกมันแล้ว!
หากเฟิงโหวเทพอสูรเข้ามาช่วยจัดการกับปัญหา เหล่าราชาอสูรคงจะตื่นตระหนกเมื่อรับรู้ได้ถึงพลังจากไกลๆแล้ว! และเฟิงโหวเทพอสูรนั้นช้ากว่าเมิ่งชวน ดังนั้นคงจะมีราชาอสูรที่หนีรอดออกไปได้ตัวสองตัว
อย่างไรก็ตาม พวกมันเห็นว่าเมิ่งชวนเป็นแค่เทพอสูรระดับมหาสุริยัน พวกมันมั่นใจว่าจะสู้กับเขาได้ เพราะไม่ว่าอย่างไรแล้วราชาอสูรทั้งห้าตนก็ร่วมมือกับราชาอสูรระดับสามหัวกะทิ! และด้วยความมั่นใจของพวกมันนั้นเอง จึงทําให้ตระหนักได้ถึงความแตกต่างก็ตอนที่สายเกินไป
โชคดีที่พวกมันยังไม่ได้โจมตี เมิ่งชวนถอนหายใจเมื่อเห็นว่าอสูรกว่าสามหมื่นตัวนั้นยังไม่โจมตีเมือง
เขากลัวว่าพวกอสูรจะโจมตีเมืองฉงชานในขณะที่เขากําลังสู้กับราชาอสูร นั่นคงจะทําให้มีมนุษย์ตายเป็นจํานวนมากอย่างแน่นอน นั่นเป็นเหตุว่าทําไมเขาจึงสังหารผู้บัญชาการอสูรและรองผู้บัญชาก่อน
จะหนีตอนนี้ก็สายไปแล้ว เมิ่งชวนจ้องมองกองทัพอสูรโดยไม่มีความสงสารแม้แต่น้อย
เส้นสายฟ้าพุ่งผ่านไปและลงตรงใจกลางกองทัพอสูรข้างนอกเมือง
นั่นเทพอสูรนี่! พวกอสูรหวาดกลัว
สายฟ้าปะทุออกมาจากร่างของเมิ่งชวน กระแสพลังวินาศหนาทึบสีดํากระจายออกไปทั่วครอบคลุมพื้นที่กว่าร้อยจัง
กระแสพลังวินาศนั้นบางลงเมื่อปกคลุมพื้นที่ที่กว้างเช่นนี้ แต่ว่าอสูรธรรมดานั้น เพียงแค่แตะเข้ากับกระแสพลังวินาศ ก็แข็งกลายเป็นรูปสลักน้ําแข็งแข็งอยู่ตรงนั้น! กระแสพลังวินาศของเขานั้นร้ายแรงกว่าไอพิษของราชาอสูรบึงพิษมาก
ไม่ว่ากระแสพลังวินาศจะผ่านไปตรงไหน อสูรจํานวนมากก็จะแข็งตายคาที่ กลายเป็นรูปสลักน้ําแข็งตลอดไป
พวกอสูรไม่สนใจกฏอีกต่อไป ต่อหน้าความตาย มันได้แต่วิ่งหนีไปทุกทิศทุกทาง
แต่เมิ่งชวนเร็วเกินไป! เขาอ้อมไปด้านข้างของกองทัพอสูรในทันที เพียงแค่ไม่กี่อึดใจ เขาก็วนรอบกองทัพอสูรไปแล้วถึงเจ็ดครั้ง! ทุกครั้งที่เขาทําเช่นนั้น ทุกอย่างในระยะร้อยจิ้งจะแข็งอยู่กับที่
อสูรทั้งหมดถูกแช่แข็ง
น่าอัศจรรย์
เหล่าทหารที่อยู่บนกําแพงเมืองต่างตกตะลึงกับเหตุการณ์ตรงหน้าพวกเขา เพียงไม่ถึงชั่วอึดใจกว่าเก้าส่วนของกองทัพอสูรสามหมื่นตนก็แข็งตายจนหมด
เมิ่งชวนเปลี่ยนเป็นสายฟ้าและวนรอบอสูรที่กําลังหนีอยู่ ก่อนจะเปลี่ยนพวกมันให้กลายเป็นก้อนน้ําแข็ง
อสูรที่บินได้หลายตัวพยายามจะหนีแต่ก็ไม่สามารถหนีไปจากเขตการรับรู้ของเมิ่งชวนได้ พวกมันถูกแช่แข็งจนตายไม่ก็ถูกสายฟ้าฟาด
ภายในสิบวินาที อสูรกว่าสามหมื่นตัวก็ถูกจัดการจนหมด! ไม่มีตัวไหนที่เหลือรอดเลย
เทพอสูร! เทพอสูร! เหล่าทหารบนกําแพงเต็มไปด้วยความรู้สึกยินดีพร้อมกับร้องตะโกนออกมาอย่างตื่นเต้น
นี่คือความแข็งแกร่งของเทพอสูร! กองทัพอสูรทั้งกองถูกจัดการจนสิ้นในเวลาแค่ไม่กี่วินาที
หลังจากวาดล้างกองทัพอสูรเรียบร้อยแล้ว เมิ่งชวนก็มองขึ้นไปทางเหนือ พวกอสูรบุกเข้ามาจากทางเหนือ นั่นหมายความว่าประตูพิภพจะต้องอยู่ทางเหนือของเมืองฉงชาน
ดังนั้นแล้ว เขาจึงไปสํารวจที่ทางเหนือ
กองทัพอสูรทิ้งร่องรอยการทําลายล้างตลอดทาง ดังนั้นจึงตามรอยพวกมันได้ง่ายมาก
เจอแล้ว เมิ่งชวนพบกับประตูพิภพที่บิดเบี้ยวซึ่งมีความยาวกว่าร้อยจิ้ง มีรอยเท้าจํานวนนับไม่ถ้วนอยู่รอบๆ
ฟุบ เมิ่งชวนเก็บกระแสพลังกลับไปและลงไปยืนบนต้นไม้ที่อยู่ไม่ไกลจากหุบเขารกร้างนั้น เขานั่งรออยู่บนกิ่งไม้เงียบๆ
จัดการกับอสูรที่บุกเข้ามาได้ไม่ได้หมายความว่าจะจบ
เขาต้องยืนยันว่าจะไม่มีอสูรโผล่ออกมาจากประตูพิภพอีก! จากนั้นถึงจะกลับไปที่ด่านเปยเหอได้หลังจากที่มีคนจากเขาหยวนชูมาทําหน้าที่แทน
ฝ่าบาท ข้าเห็นมันอย่างชัดเจน กองทัพอสูรที่แข็งแกร่ง 30000 ตนวิ่งหนีอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่กลับถูกแช่แข็งจนตายคาที่ ไม่มีเหลือรอดแม้แต่ตนเดียว ตัวนิ่มร่างชุดสีดํานั่งคุกเข่าและรายงานต่อราชาอสูรชั้นสูงหลานหยู่ต้า
พวกมันหนีไม่ทันรึ? หลานหยู่ต้าขมวดคิ้วเล็กน้อยในขณะที่ราชาอสูรตัวอื่นๆที่อยู่รอบๆตกอยู่ในความโกลาหล
อสูรสามหมื่นตนหนีไม่ทันแม้จะแยกกระจายไปทุกทิศทางรึ?
บางตัวสามารถบินได้แล้วบางตัวยังสามารถดําดินได้ แต่พวกมันไม่รอดเลยซักตัวรึ?
เหล่าราชาอสูรรู้สึกว่ามันน่าเหลือเชื่อ
ข้าเห็นได้อย่างชัดเจน แม้จะอยู่ในความมืดข้าก็สามารถเห็นวัตถุขนาดเท่าฝ่ามือที่อยู่ห่างออกไปสองได้อย่างชัดเจน ตัวนิ่มตะโกนออกมา ประตูทางเหนือของเมืองฉงชาส่องสว่างไปด้วยแสงจากคบเพลิง กองทัพอสูรสามหมื่นตนนั้นเด่นสะดุดตามากในแสงเช่นนั้น ข้าเห็นได้อย่างชัดเจนในขณะที่ยืนอยู่บนเขา อสูรพวกนั้นถูกแช่แข็งจนตายหมด! ไม่มีตัวไหนเหลือรอด! ข้ากลัวมากจึงรีบหนีกลับมาในทันที
โห? หลานหยู่ต้าวางมือสีดําของมันลงบนเก้าอี้ มันพูดอย่างใจเย็น การที่จะหยุดไม่ให้อสูรกว่าสามหมื่นตัวหนีไปได้ คงจะเป็นฝีมือของเฟิงโหวเทพอสูรที่มีเขตแดนเป็นแน่ การที่โผล่ออกมาหลังจากการโจมตีได้เช่นนี้ เฟิงโหวเทพอสูรนั่นคงจะกําลังเดินทางและอยู่ใกล้เมืองฉงชานพอดี ช่างเถอะ ถือเสียว่าพวกมันโชคดีไปก็แล้วกัน
มันไม่สนใจที่จะเสียลูกสมุนไปเล็กน้อย เมื่อรู้ว่ามีเทพอสูรที่แข็งแกร่งอยู่ในพื้นที่ มันก็ไม่ส่งลูกสมุนออกไปให้ตายฟรีอีกแล้ว
ข้างๆทะเลสาบเสี้ยวจันทร์ มีศพของราชาอสูรถูกกองกันไว้อยู่ ทหารหลายคนวิ่งมาและต้องตกใจกับซากศพของราชาอสูรเหล่านี้
เทพอสูรจากเขาหยวนชูบังเอิญผ่านมาทางเมืองฉิงชานของเราและช่วยพวกเราไว้พอดี หวังฟูเฉิงกล่าวยิ้มๆ ในเมื่ออสูรถูกจัดการจนหมดแล้ว ถ่ายทอดคําสั่งไป เมืองกลับมาสงบเหมือนเดิมแล้ว ให้ทุกคนออกจากอุโมงค์ได้
ขอรับ ทหารตอบรับด้วยเสียงอันดัง และถ่ายทอดคําสั่งไปด้วยความตื่นเต้น
หวังฟูเฉิงมองไปที่หูเชี่ยว พี่หูเชี่ยวช่วยเฝ้าศพของราชาอสูรพวกนี้หน่อย คืนนี้เขาหยวนชูจะส่งคนมา จากนั้นพวกเราจะมอบซากศพให้พวกเขา
รับทราบ หูเซี่ยวพยักหน้า เขามองไปที่แขนที่ขาดไปและถอนหายใจ ข้าคงจะต้องไปที่เขา หยวนชูเพื่อจะรักษาแขนของข้า
มีเทพอสูรที่ทรงพลังบางคนสามารถรักษาอาการบาดเจ็บรุนแรงได้
อย่างเฉียนหยูยังสามารถฟื้นคืนจากอาการบาดเจ็บรุนแรงได้ มีเพียงจุดตันเถียนที่ถูกทําลายเท่านั้นที่ไม่สามารถรักษาได้ แต่อาการบาดเจ็บภายนอกทุกอย่างถูกรักษาจนสมบูรณ์
ฮ่าๆ เขาหยวนชูสามารถงอกแขนที่ขาดให้เจ้าได้ภายในวันเดียว เอาล่ะ เดี๋ยวข้าขอไปหาศิษย์พี่เมิ่งก่อน หวังฟูเฉิงยิ้ม จกานั้นเขาก็เปลี่ยนเป็นลําแสงและพุ่งไปยังกําแพงทิศเหนือ
จากนั้นเขาก็เห็นรูปสลักน้ําแข็งสีขาวเงินจํานวนมากอยู่นอกเมือง! ภาพที่อยู่ตรงหน้านั้นน่าตื่นใจยิ่ง แม้นจะเป็นฤดูร้อน แต่รูปสลักเหล่านั้นแข็งไปจนถึงกระดูก
หวังฟูเฉิงมองดูก้อนน้ําแข็งเหล่านั้นด้วยความตกใจ ศิษย์พี่เมิ่งสุดยอดเสียจริง เขาคงจะแข็งแกร่งพอๆกับเฟิงโหวเทพอสูรเลยด้วยซ้ําสินะ??
ตอนที่ 149 ล่าสังหาร
ทะเลสาบเสี้ยวจันทร์ที่อยู่ในเมืองฉงชานนั้นมีรูปร่างเหมือนกับพระจันทร์เสี้ยว ทะเลสาบแห่งนี้กว้างและยาวประมาณห้าอี้
เจ้าวังหยกสุริยันของเมืองฉงชาน หวังฟูเฉิง กําลังต่อสู้กับราชาอสูรสามหัวอยู่บนทะเลสาบน้ํากระเซ็นไปทั่วในอากาศในขณะที่พวกเขาโจมตีใส่ราชาอสูรสามหัวอย่างต่อเนื่อง แต่าราชาอสูร สามหัวก็ไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย
หัวทั้งสามของจูโม่นั้นมีขนาดที่แตกต่างกัน หัวกลางมีขนาดปกติ ในขณะที่อีกส่องหัวมีขนาดที่เล็กกว่าปกติครึ่งหนึ่ง มันยังมีแขนอีกหกข้างด้วย ในมือแต่ละข้างของมันถือดาบโค้งเอาไว้และโจมตีใส่หวังฟูเฉิงอย่างต่อเนื่อง
ทุกๆกระบวนท่านั้นน่าสะพรึง ทําให้น้ําในทะเลสาบระเบิดกระเซ็นไปทั่ว
หวังฟูเฉิงได้เปรียบด้านภูมิประเทศและพยายามจะสะกดศัตรูเอาไว้ด้วยเขตแดนของเขา วิชาดาบของเขานั้นป้องกันได้ดีแต่เขาก็ยังเสียเปรียบจูโม่อยู่
หูเซี่ยวได้ใช้คาถาต้องห้ามไปแล้วเพื่อสู้กับเหล่าราชาอสูรระดับสองด้วยพลังที่มีทั้งหมด
เจ้าวัง ข้าจะรับมือไม่ไหวแล้ว หูเชี่ยวกล่าวผ่านกระแสเสียง ราชาอสูรพวกนี้ไม่มีตัวไหนเลยที่ด้อยกว่าข้า แม้จะมีเขตแดนของท่านช่วย ข้าก็ทนได้อีกไม่นานแล้ว
ถ้าเจ้าตายไปข้าคงจะตายตามไปอย่างรวดเร็วเพราะราชาอสูรที่เหลือมารุมสังหารข้าเป็นแน่ หวังฟูเฉิงกล่าว พวกเราคงจะตายภายในสิบกระบวนท่าหากพยายามจะหนีไปจากทะเลสาบเสี้ยวจันทร์ด้วย
หางที่เร็วดั่งสายฟ้าของราชาอสูรแทงออกมา หูเซี่ยวรีบยกแขนซ้ายขึ้นมากันในทันที แต่หางสีม่วงนั้นแทงทะลุเกราะของเขาไปตัดแขนของเขาให้ปลิวออกไป
สังหารมันซะ ราชาอสูรระดับสองยิ้มอย่างชั่วร้าย ด้วยจํานวนห้าต่อหนึ่งเช่นนี้ แม้อีกฝ่ายจะต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตาย พวกมันก็สามารถสังหารได้อย่างง่ายดาย
ย้ากกกกก! หูเชี่ยวบ้าคลั่ง อย่างน้อยเขาจะต้องพาราชาอสูรให้ตายตามเขาไปให้ได้ซักตัว
พี่เซี่ยว หวังฟูเฉิงรู้สึกไร้กําลังเมื่อได้เห็นภาพตรงหน้า แต่ทันใดนั้นเองก็มีสายฟ้าเส้นหนึ่งพุ่งผ่านมาทางเหนือ
สายฟ้าเส้นนั้นพุ่งมาจากทางทิศเหนือด้วยความเร็วเหนือเสียง เมิ่งชวนมาถึงทะเลสาบเสี้ยวจันทร์ก่อนที่เสียงระเบิดจะดังตามมา เสียงร้องตะโกนยินดีดังมาถึงที่แห่งนี้
นั่นมัน… จูโม่และราชาอสูรระดับสองตนอื่นสัมผัสได้ถึงกระแสพลังอันแข็งแกร่งของเทพอสูรที่กําลังเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว พลังปราณของเมิ่งชวนพุ่งพล่าน เขาไม่ระงับมันไว้เลยแม้แต่น้อย และทําให้เด่นสะดุดตามาก
ราชาอสูรทั้งหกตื่นตระหนก พึ่งจะผ่านมาได้ไม่นานหลังจากที่พวกมันโจมตีเมืองฉงชาน เทพอสูรมาถึงไวขนาดนี้ได้อย่างไร?
เทพสูรมาแล้ว! หวังฟูเฉิงและหูเชี่ยวยินดีเป็นอย่างยิ่งกับสถานการณ์ที่พลิกผันนี้
เมิ่งชวนที่ร่างถูกปกคลุมไปด้วยสายฟ้าก็รับรู้ได้ทันทีว่าหูเซี่ยวกําลังลําบาก
ราชาอสูรหกตัว? ร่างของเมิ่งชวนวาบขึ้นมาในขณะที่ลงไปยืนบนผิวทะเลสาบ เขาไม่รอช้าที่จะชักกระบี่ออกมา
ลําแสงกระบี่หกเส้นพุ่งออกมาจากกระบอสูรสังหารในทันที มันปกคลุมไปด้วยสายฟ้าสว่างแสบตาจนทําให้อากาศบิดเบี้ยว ราชาอสูรระดับสองเหล่านั้นพยายามจะหลบ แต่กระบี่ได้ไปถึงตัวของพวกมันเรียบร้อยแล้ว พวกมันถูกนั่นออกเป็นสองท่อนด้วยลําแสงกระบี่เหล่านั้นและร่วงลงไปในทะเลสาบย้อมผืนน้ําให้กลายเป็นสีแดง
หูเซี่ยวที่กําลังจะสละชีวิตตัวเองได้แต่มองดูซากของราชาอสูรทั้งห้าด้วยความงุนงง และก็รับรู้ได้ว่าเขารอดแล้ว!
เร็วเกินไป! จูโม่รับรู้ว่าลําแสงกระบี่นั้นบิดเบือนอากาศและย่นระยะมาอยู่ตรงหน้ามันในทันที หลังจากรับรู้ได้ว่ามันไม่สามารถหลบลําแสงกระบี่นี้ได้ จึงทําได้แค่ยกแขนทั้งหกของมันขึ้นเพื่อป้องกัน
จู่โมพบว่าลําแสงกระบี่นี้ทรงพลังเกินไป! ทําลายการป้องกันของมันไปอย่างสมบูรณ์ ดาบโค้งสองเล่มถูกส่งให้ปลิวออกไปจากแรงกระแทกในจนเหลืออยู่อีกสี่อัน แต่ว่ามือของจูโม่เต็มไปด้วยเลือดเพราะอาการบาดเจ็บจากการโจมตี ถึงอย่างนั้นมันก็ยังมีชีวิตอยู่
มันเอาชนะข้าได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวรึ? จูโม่รู้สึกเหลือเชื่อ แม้ว่ามันพึ่งจะขึ้นเป็นราชา อสูรระดับสามได้ไม่นานและยังไม่ได้ขัดเกลาความแข็งแกร่ง แต่สายเลือดที่แท้จริงของมันเป็นถึงงูวิเศษสามหัว ซึ่งแข็งแกร่งกว่าราชาอสูรธรรมดามาก ขนาดศิษย์ของเขาหยวนชู หวังฟูเฉิงที่อยู่จุดสูงสุดของเขตแดนอมตะที่ซึ่งเทียบเท่าได้กับราชาอสูรระดับสามก็ยังด้อยกว่าจูโม่ในการต่อสู้ตัว ต่อตัวแม้จะได้เปรียบเรื่องพื้นที่ก็ตาม
แต่เมิ่งชวนกลับเอาชนะจูโม่ได้ด้วยลําแสงกระบี่ธรรมดาๆหลังจากมาถึง
หลังจากลงมายืนบนผิวน้ํา สายฟ้าก็ลดลงและเผยให้เห็นร่างของเมิ่งชวน
ศิษย์พี่เมิ่ง! หวังฟูเชิงดูยินดียิ่ง แน่นอนว่าเขาต้องรู้จักศิษย์อัจฉริยะของเขาหยวนชูที่เรียนรู้กระบวนท่าของโลหะทมิฬได้และยังมีร่างอสูรตัดสายฟ้าที่สมบูรณ์แบบอีก
เมิ่งชวนเหลือบมองราชาอสูรสามหัวด้วยความประหลาดใจ เขาเลิกคิ้วขึ้น มันยังไม่ตายอีกรึ?
มันแข็งแกร่งเกินไป หากข้าหนีไม่ทันข้าคงจะต้องตายเป็นแน่! จูโม่รู้สึกหวาดกลัว มันไม่ลัง เลที่จะใช้ความสามารถติดตัวจากสายเลือดในทันที
ร่างของมันแยกออกเป็นสาม เปลี่ยนกลายเป็นงูสีดําสามตัว งูทั้งสามนั้นมุดลงไปใต้ทะเลสาบเสี้ยวจันทร์และหนีไปคนละทิศคนละทางอย่างรวดเร็ว
เจ้าคิดหรือว่าจะหนีพ้น? สายฟ้าพุ่งออกมาจากร่างของเมิ่งชวนก่อนที่เขาจะแยกร่างออกเป็นร่างที่เหมือนกันสามร่าง
เมิ่งชวนทั้งสามร่างฟันออกไป
ลําแสงกระบี่แยกทะเลสาบที่ลึกหลายสิบปิ้งออกออก จากนั้นลําแสงกระบี่ก็พุ่งเข้าใส่งูสีดําทั้ง สามที่กําลังหลบหนีอยู่อย่างรวดเร็ว
งูทั้งสามโดนเข้าอย่างจัง! สองตัวถูกผ่าเป็นครึ่ง เผยตําแหน่งของงูขนาดยักษ์ในทันที มีเพียงงูสีดําตัวเดียวเท่านั้นที่ยังคงมีชีวิตอยู่แม้จะถูกโจมตี ร่างของมันมีแผลลึกแต่ก็ไม่ถูกตัดขาด มันบิดตัวและมุดลงไปใต้ดินก่อนจะหนีต่อไป
ร่างปลอมสองร่าง? นั่นคือร่างจริงอย่างนั้นรึ? เหมือนว่าเจ้าราชาอสูรตัวนี้จะมีสายเลือดพิเศษ เมิ่งชวนเดินไปสองก้าวและฟาดกระบี่อีกครั้ง
น้ําในทะเลสาบแยกอีกครั้ง เมื่อลําแสงกระบี่โดนเข้าที่ก้นทะเลสาบ ระเบิดหยินหยางก็ถูกส่งกระแทกลงไป
จูโม่หลบหนีอย่างไม่คิดชีวิต มุดดินลงไปต่อเรื่อยๆ
เป็นเป็นงูวิเศษสามหัว ข้าหลบหนีผ่านดินผ่านน้ําเก่ง ไม่ว่าเจ้ามนุษย์นั้นจะเร็วแค่ไหน มันก็เทียบกับข้าตอนมุดดินไม่ได้หรอก ข้าหนีรอดแน่ๆ จูโม่ใช้วิชาต้องห้ามตอนดําดิน ยิ่งมันมุดลงไปลึกมากเท่าไหร่ มันก็รู้สึกปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม มันก็รู้สึกได้ถึงพลังประหลาดที่กระจายผ่านพื้นดินมาอย่างรวดเร็วและในที่สุดก็ถึงตัวมัน
ไม่จริง จูโม่อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดกลัวและสิ้นหวังเมื่อรับรู้ได้ถึงพลังอันน่าสะพรึงนั้น
พลังประหลาดนั้นระเบิดขึ้นหลังจากที่ไปถึงร่างของมัน ร่างของราชาอสูรจูโม่ระเบิดในทันที
ความสามารถในการเอาชีวิตรอดของข้านั้นแข็งแกร่ง และยังสามารถหลบหนีผ่านดินและน้ําได้ดี ข้ามาที่โลกมนุษย์เพื่อสร้างประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ ข้าอยากจะได้รับรางวัล ในอนาคตข้าจะได้ขึ้นเป็นราชาอสูรระดับสี่ไม่ก็ระดับห้าหรือเป็นถึงราชาอสูรระดับสูง ไม่ ข้าไม่ยอม สติสัมปชัญญะของมันเริ่มเลือนลาง มันรู้สึกสิ้นหวังและไม่ยอมรับ มันกําลังจะตายทั้งๆที่พึ่งจะมาถึงโลกมนุษย์อย่างนั้นรึ?
ความร่ํารวยคุ้มค่าต่อการเสี่ยง! ลําดับชั้นของอสูรนั้นเป็นเรื่องที่เข้มงวด และมีกองกําลังใหญ่มากมายที่ครอบครองทรัพยากรเหล่านั้น แม้การมาที่โลกมนุษย์นั้นอันตราย แต่ก็เป็นโอกาสที่ดีที่จะได้โดดเด่น
มันได้มาก็จริง แต่ถึงกระนั้นมันก็ไม่สามารถต้านทานอันตรายนี้ได้
อาการบาดเจ็บของมันรุนแรงเกินไป หลังจากผ่านไปไม่กี่วินาทีสติของมันก็มืดดับลงไปในที่สุด
เมิ่งชวนยืนอยู่บนผิวน้ําและชี้ลงไป ซากของราชาอสูรอยู่ใต้ทะเลสาบ27 จิ้ง
ราชาอสูรไม่รู้ว่าเมิ่งชวนสามารถสัมผัสได้ถึงกระแสพลังภายในระยะสองรอบตัวได้! เมิ่งชวนสามารถสัมผัสได้ถึงพลังของมันตอนที่อยู่ใต้ดินได้อย่างชัดเจน แต่หากเขาใช้ท่าสมิงคํารนก็คงจะทําให้เกิดหลุมขนาดใหญ่กว่าร้อยจังขึ้น! อย่างไรก็ตาม ซากของราชาอสูรนั้นมีประโยชน์สําหรับเขาหยวนชู ดังนั้นเขาจึงไม่ทําลายมันจนหมด
เดี๋ยวข้าจะขุดมันออกมาเองขอรับ หวังฟูเฉิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ถ้าเช่นนั้นข้าฝากให้เจ้าจัดการที่เหลือก็แล้วกัน ข้าจะไปจัดการอสูรพวกนั้น เพียงแค่นั้นเมิ่งชวนก็เปลี่ยนกลายเป็นสายฟ้าและมุ่งหน้าไปยังกําแพงทิศเหนือ
ศิษย์พี่เมิ่งไม่ต้องเป็นห่วงไป หวังฟูเฉิงพูดเสียงดังขณะมองดูเมิ่งชวนพุ่งไป
หวังฟูเฉิงยืนอยู่กับที่และใช้เขตแดน น้ําในทะเลสาบแยกออกเผยให้เห็นก้นทะเลสาบ น้ําเหล่านั้นทะลวงผ่านผืนดินและแทงลงไปด้านล่าง
ท่านเจ้าวัง คนๆนั้นใครกัน? หูเซี่ยวเดินเข้ามาหาพร้อมกับเอามืออุดแขน
นั่นคือศิษย์ที่เก่งกาจของเขาหยวนชู หวังฟูเฉิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม ศิษย์ธรรมดาเช่นข้าแม้จะขึ้นเป็นเทพอสูรระดับมหาสุริยันก็ยังโดนศิษย์พี่เมิ่งทิ้งห่างอยู่ดี แน่นอนว่ากว่าข้าจะไปถึงระดับมหาสุริยัน เขาคงจะเป็นเทพอสูรเดือนมืดมิดแล้ว
ฟูววววว น้ําวนรอบร่างของงูและดึงมันออกมาจากใต้ดิน
ตอนที่148 ยินดี
เมืองฉงชานตกอยู่ในความวุ่นวาย
แม้ว่าเมืองของมนุษย์หลายๆเมืองจะมีการฝึกฝนเพื่อรองรับสถานการณ์เช่นนี้ที่ประชาชนทุกคนซึ่งอยู่ต่ํากว่าระดับชําระแก่นแท้ต้องหลบเข้าไปในอุโมงค์ลึกหากอสูรบุกเข้ามา แต่ในตอนนี้มันยังเป็นกลางดึกอยู่ คนส่วนมากจึงยังหลับไม่รู้เรื่อง! แม้จะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นในเมือง แต่ก็มีสามถึงสี่ส่วนที่ยังคงหลับไหล
บางคนก็ไม่สนใจใครอื่น พวกเขาพาครอบครัวของตนไปให้ถึงอุโมงค์ให้ได้ก่อนก็พอ! ในขณะที่บางคนก็วิ่งไปทั่วเพื่อตะโกนปลุกคน
เร็วเข้า เร็ว! อาโกวตื่นเร็ว ชายวัยกลางคนแขนเดียวถีบเปิดประตูเพื่อนบ้านของเขา เขาเดินเข้าไปในสวนและถีบเปิดประตูอีกบานที่ล็อคจากด้านใน ประตูไม้แตกกระจาย จนในที่สุดอาโกวและครอบครัวก็ตื่น พวกเขาได้ยินเสียงระฆังและเสียงเอะอะโวยวายดังมาจากข้างนอก
พวกอสูรมาแล้ว รีบๆเข้าไปในอุโมงค์เร็ว ให้ไวเลย!
เสียงเอะอะโวยวายด้านนอกและเสียงชายผู้นี้ที่ตะโกนใส่ทําให้อาโกวและครอบครัวหายง่วงในทันใด
ขอบคุณมากขอรับลุงจาง! เด็กที่เป็นครอบครัวของอาโกวตะโกนขึ้นมาในทันที
ชายแขนเดียวออกไปในทันทีเมื่อเห็นว่าครอบครัวนั้นตื่นกันหมดแล้ว เขารีบวิ่งไปยังบ้านรอบๆและถีบเปิดประตูที่ถูกล็อคไว้ทุกบาน เขาเป็นทหารผ่านศึกระดับชําระแก่นแท้ แค่ประตูไม้ เขาสามารถถีบเปิดออกได้อย่างง่ายดาย
เขาปลุกทุกบ้านที่ยังหลับอยู่ แต่ไม่ได้มีเขาแค่คนเดียว คนอื่นๆเองก็ช่วยปลุกเพื่อนบ้านด้วยเช่นกัน
ทุกคนรู้ดีว่าหากคนธรรมดาเผชิญหน้ากับอสูร พวกเขาจะถูกสังหารเป็นแน่ มีเพียงผู้ที่ไปถึงระดับชําระแก่นแท้เท่านั้นถึงจะสู้ได้
ราชาอสูรทั้งหกพุ่งเข้าใส่เทพอสูรทั้งสอง ไม่ว่าจะผ่านไปทางไหนก็จะเหลือเพียงซากปรักหัก
โชคดีที่คนส่วนมากหนีออกมาจากบ้านและมุ่งหน้าไปยังอุโมงค์ลึกเรียบร้อยแล้ว ราชาอสูรสังหารมนุษย์เป็นจํานวนมากในช่วงแรกๆ และแม้จะหันไปทําลายบ้านเรือนในคราวหลัง แต่จํานวนผู้เสียชีวิตก็น้อยกว่าที่คาดไว้มาก
ราชาอสูรไม่สนใจมนุษย์ธรรมดา พวกมันจ้องมองเพียงแค่เทพอสูรสอคนที่กําลังพุ่งเข้ามาจากไกลๆ
ราชาอสูรหกตน? หนึ่งในนั้นยังเป็นราชันอสูรระดับสามอีก? หวังฟูเฉิงและหูเซี่ยวตื่นตระหนกเมื่อได้เห็นราชาอสูรหกตัวพุ่งตรงมายังพวกเขา
ไปสู้ที่ทะเลสาบเสี้ยวจันทร์เถอะ หวังฟูเฉิงกล่าวผ่านกระแสเสียง
ได้ หูเชี่ยวตกลงในทันที
ที่พวกเขาเลือกทะเลสาบเสี้ยวจันทร์เป็นที่สู้นั้นมีสองเหตุผล หนึ่งคือการสู้บนทะเลสาบจะลดการสูญเสียได้มาก สอง เจ้าวังหวังฟูเฉิงจะเก่งขึ้นเมื่อได้สู้ใกล้แหล่งน้ํา
ทั้งคู่รีบมุ่งหน้าไปยังทะเลสาบเสี้ยวจันทร์ในทันที
พวกเจ้าคิดหรือว่าจะหนีได้? จูโม่เยาะเย้ยเมื่อเห็นพวกเขาหนีไปทางอื่น
น่าตลกเสียจริง
หนึ่งในนั้นคือหวังฟูเฉิง ลูกศิษย์เขาหยวนชู ส่วนอีกคนเป็นเทพอสูรธรรมดา พวกมันทั้งคู่คือเทพอสูรระดับแดนอมตะ ราชาอสูรตัวอื่นๆยิ้มอย่างชั่วร้าย พวกมันมีข้อมูลเรื่องเมืองต่างๆในโลกแห่งนี้ แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะหาข้อมูลของเทพอสูรที่อยู่อย่างสันโดษ แต่โชคร้ายที่ เทพอสูรมนุษย์นั้นต้องป้องกันในสถานที่ต่างๆ ดังนั้นจึงมีเทพอสูรเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่อสูรไม่รู้จัก
ราชาอสูรทั้งหกไล่ตามพวกเขาไปอย่างรวดเร็ว จูโม่นั้นเร็วที่สุด เร็วเสียยิ่งกว่าหวังฟูเฉิงและหูเซี่ยว
ข้าหวังว่าเราจะยื้อให้ได้นานกว่านี้ คงจะดีกว่าหากพวกเรายื้อจนเฟิงโหวเทพอสูรมาถึงได้
บางทีอาจจะมีเทพอสูรที่ทรงพลังอยู่รอบๆเมืองฉงชานก็ได้
หวังฟูเฉิงและหูเซี่ยวได้แต่หวังว่าจะเกิดปาฏิหาริย์ขึ้น พวกเขารู้ดีว่าหากไม่มีปาฏิหารย์ เมืองแห่งนี้คงจะตกอยู่ในหายนะครั้งยิ่งใหญ่
ที่กําแพงทิศเหนือของเมืองฉงชาน ทหารจากทั่วทั้งเมืองรีบวิ่งไป แม้จะอยู่นอกเวรยามแต่ก็มีทหารกว่าหมื่นคนที่รวมตัวกันอยู่ที่กําแพงทิศเหนือแล้ว และยังมีอีกหลายคนที่กําลังตามมา
ทหารส่วนใหญ่แข็งแกร่งธรรมดาๆ ส่วนมากยังไปไม่ถึงระดับชําระแก่นแท้และยังอยู่ในระดับกําเนิดปราณ อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ได้รับราชการทหาร พวกเขาแค่ทําหน้าที่ปกป้องเมือง งานเช่นนี้ไม่ต้องใช้พละกําลังมาก ส่วนใหญ่มีหน้าที่ส่งสัญญาณเตือนหรือใช้กลไกป้องกัน
เตรียมตัว
กลไกป้องกันต่างๆถูกนํามาจากหลายๆที่และถูกวางลงบนกําแพง
เหล่าทหารจ้องมองกองทัพอสูรที่พุ่งเข้ามา แม้ว่าพวกเขาจะรู้สึกเป็นกังวล แต่ก็ไม่มีใครถอยกลับไปแม้แต่คนเดียว
การรุกรานของอสูรส่วนมากเริ่มต้นนอกเมือง เพราะว่าเมืองนั้นใหญ่เกินไป! เมื่อประตูพิภพปรากฏขึ้นก็จะปรากฎนอกเมือง เป็นไปได้ยากที่ประตูพิภพจะปรากฎภายในเมือง เหมือนที่เคยเกิดขึ้นที่เมืองตงหนิง หากประตูพิภพปรากฏขึ้นในเมือง กําแพงเมืองซึ่งใช้เวลาสร้างมากมายรวมไปถึงการเตรียมการอื่นๆก็จะไร้ความหมาย
เป็นเรื่องปกติที่จะเห็นเหล่าอสูรล้อมเมืองมาจากด้านนอก อุปสรรคในการรุกรานของอสูรที่มากที่สุดคือกําแพงเมือง!
กําแพงเมืองฉงชานสูง 15 จิ้ง และยังมีคูน้ําวางอยู่รอบกําแพงเมืองพร้อมด้วยกลไกการป้องกันที่ติดเอาไว้จึงทําให้เหล่าอสูรบุกเข้ามาในเมืองได้ยากกว่าเดิม
อย่ากลัวไปเลย ทําตามคําสั่งก็พอ พวกเราต้องยื้อที่นี่ไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทําได้ ตราบใดที่เทพอสูรชนะ อสูรพวกนี้จะล่าถอยไปเอง เหล่านายทหารชั้นผู้ใหญ่ให้กําลังใจเหล่าทหาร เพราะไม่ว่าอย่างไรทหารส่วนมากก็ไม่เคยต่อสู้กับอสูรมาก่อน
ผู้บัญชาการอสูร รองผู้บัญชาการอสูร รวมไปถึงอสูรชั้นสูงหยุดอยู่ครึ่งลี้หน้ากําแพงเมือง พวกมันมีสติปัญญา นั่นเป็นเหตุว่าทําไมพวกมันถึงไม่พุ่งเข้าไปโง่ๆ
ให้พวกอสูรชั้นต่ําเข้าขบวนรบเตรียมพร้อมโจมตี
รองผู้บัญชาการอสูรรับฟังและถ่ายทอดคําสั่งออกไป
กองทัพอสูรสามหมื่นตนนี้ส่วนมากเต็มไปด้วยอสูรชั้นต่ํา ผู้บัญชาการอสูรจะวางแผนโจมตีในขณะที่อสูรตัวอื่นๆขึ้นรูปขบวน เมื่อพวกมันจัดรูปขบวนเสร็จแล้ว มันก็จะทะลวงกําแพงเมืองในครั้งเดียวด้วยจํานวนอันมหาศาลของพวกมัน
หากมันใช้อสูรเพียงสองถึงสามพันตนในการทะลวงกําแพง พวกมันจะสูญเสียอย่างมหาศศาล เพราะกับดักมากมายและระบบการป้องกันให้อสูรชั้นต่ําบุกเข้าไปก่อนจะดีเสียกว่า ในขณะที่พวกอสูรชั้นสูงคอยไล่สังหารผู้คน ส่วนเหล่าผู้บัญชาการอสูรและรองผู้บัญชาการอสูรจะทําลายการป้องกันของมนุษย์
ขึ้นรูปขบวน!
อสูรชั้นต่ําวิ่งเต็มแรง พวกมันเร็วเพียงครึ่งหนึ่งของอสูรชั้นสูงเท่านั้น แต่ว่าสามารถเทียบได้กับมนุษย์ในระดับก่อกําเนิด พวกมันไปถึงนอกเมืองฉงชานและขึ้นรูปขบวนตามที่สั่ง แม้จะไม่ค่อยมีความร่วมมือกันเมื่อเทียบกับมนุษย์ กองทัพอสูรจะแข็งแกร่งกว่ามากหากขึ้นรูปขบวน
ในขณะที่เหล่าอสูรเริ่มขึ้นรูปขบวนนั้นเองก็มีสายฟ้าฟาดผ่านมา มุ่งตรงมายังเมืองฉิงชาน!
เพิ่งชวนมาแล้ว!
เหล่าอสูรชั้นต่ําวิ่งห้าลึกว่าจะมาถึงที่นี่! แต่เพิ่งชวนต้องเดินทางกว่าสามร้อยลึกว่าจะมาถึง!
โอ้ สายฟ้าถูกปล่อยออกมาจากร่างของเพิ่งชวนในขณะที่พุ่งผ่านท้องฟ้ามา เขาเห็นกองทัพอสูรขนาดใหญ่ได้ในทันที มีอสูรชั้นต่ําไม่กี่ตัวที่ยังตามกองกําลังหลักอยู่ แต่ว่าอสูรชั้นต่ําส่วนมากขึ้นรูปขบวนเรียบร้อยแล้ว
โชคดีที่ข้ามาทัน เมิ่งชวนถอนหายใจด้วยความโล่งอก หากเขามาช้ากว่านี้พวกมันคงจะโจมตีเมืองไปแล้ว!
เทพอสูรที่ทําหน้าที่เสริมกําลังต้องมาถึงก่อนที่อสูรจะโจมตีได้ ดังนั้นกําลังเสริมต้องมีความเร็วมหาศาล
สายฟ้าแยกออกเป็นสาย ฟาดใส่กองทัพอสูรอย่างบ้าคลั่ง
ขอบเขตการรับรู้ของเมิ่งชวนมีระยะ20ลิ้ง เขาสามารถรับรู้พลังที่อยู่ในระยะครึ่งลี้ได้อย่างชัดเจน หลังจากสัมผัสได้ถึงพลังที่แข็งแกร่งที่สุดในกองทัพอสูร เขาก็ปล่อยสายฟ้าใส่พวกมัน
ผู้บัญชาการอสูร 30 ตน รวมไปถึงรองผู้บัญชาการ 23 ตนเห็นเพียงสายฟ้าพุ่งใส่ ไม่มีแม้แต่เวลาจะหลบได้แต่เผยสีหน้าสิ้นหวังออกมา
ไม่ใช่ว่าเทพอสูรกําลังสู้อยู่กับราชาอสูรร? ทําไมถึงมีเทพอสูรมาโจมตีพวกเราได้?
เสียงระเบิดดังขึ้นในหลายๆพื้นที่นอกเมืองฉงชาน สายฟ้าฟาดใส่เหล่าผู้บัญชาการอสูรเหลือเพียงเถ้าถ่านปลิวกระจัดกระจายไปทั่วผืนดิน
ภาพนี้ทําให้กองทัพอสูรตกตะลึง แรงระเบิดนี้กว้างกว่าหนึ่งลี้ สังหารผู้บัญชาการอสูรและรองผู้บัญชาการทุกตัว
เทพอสูรคนนี้ต้องแข็งแกร่งขนาดไหนกันถึงทําแบบนี้ได้?
เพิ่งชวนลงไปที่กําแพงเมืองและใช้เป็นที่วางเท้ากระโดดต่อไปยังทะเลสาบเสี้ยวจันทร์
เหล่าทหารเห็นเพียงสายฟ้าแตะเข้ากับกําแพงเมืองก่อนจะพุ่งไปอีกครั้ง เขาเห็นชายผู้หนึ่งที่เต็มไปด้วยสายฟ้า ไม่สิ นั่นคือเทพแห่งสายฟ้า เหล่าทหารร้องตะโกนด้วยความยินดีเมื่อได้เห็น
เทพอสูรมาแล้ว!
เทพอสูรมาแล้ว!
ตอนที่147 การช่วยเหลือของเมิ่งชวน
เมื่อราชาอสูรสามหัวเดินออกมาจากประตูพิภพ มันก็ปล่อยพลังออกมาในทันทีและขึ้นเป็นราชนอสูรระดับสาม! ราชาอสูรระดับสองห้าตัวตามหลังมันไป
“เมืองฉงชานอยู่ทางนั้นขอรับ” ตัวนิ่มในชุดคลุมสีดําชี้ไปยังทางหนึ่ง
“บุกทะลวงเมืองฉงชานให้เร็วที่สุด!” ดวงตาของจูโม่เปี่ยมไปด้วยความเย่อหยิ่งและดุร้ายเสียงของมันดังก้องไปทั่วทั้งภู
โอวววววว
“บุกกก!”
“สังหารมนุษย์ให้หมด!”
เหล่าอสูรพุ่งไปยังเมืองฉงชานอย่างบ้าคลั่ง จูโม่ไม่คิดจะหลบๆซ่อนๆ พลังอสูรของอสูรจํานวนนับหมื่นนั้นเด่นสะดุดตาเกินไป เทพอสูรคงจะรับรู้ได้ถึงการมาถึงของพวกมันในทันที
“ไปสังหารเทพอสูรของเมืองฉิงชานก่อนเป็นอันดับแรก” จูโม่กล่าว
“เอาล่ะ หลังจากเรากําจัดเทพอสูรได้เรียบร้อย พวกเราก็จะล่าสังหารพวกมนุษย์ในเมืองฉิงชานได้ตามใจ” ราชาอสูรระดับสองทั้งห้าเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ
ฟุบๆๆๆ!
ราชาอสูรทั้งหกตนนั้นมีร่างที่แตกต่างกันไป แต่พวกมันทุกตัวต่างรวดเร็วและกําลังมุ่ง หน้าไปยังเมืองฉงชาน
เทพอสูรนั้นมีประสาทสัมผัสที่เฉียบแหลมต่อกระแสพลัง กระแสพลังของอสูรนับหมื่นมุ่งหน้ามายังเมืองนั้นก็ดูเด่นสะดุดตาราวกับพระอาทิตย์ในยามค่ําคืน
เจ้าวังหยกสุริยันของเมืองฉงชาน หวังฟูเฉิง เช่นเดียวกันกับผู้นําตระกูลเทพอสูรในพื้นที่ หูเซ่ยว ต่างกําลังนอนหลับอย่างสบายใจ อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็รีบใส่ชุดและพุ่งออกมาที่หลังคาในทันทีเมื่อรับรู้ได้ถึงอสูรกว่าสามหมื่นตนที่โผล่ออกมาจากประตูพิภพ
“อสูรมาแล้ว” สีหน้าของหวังฟูเฉิงบิดเบี้ยวและรีบส่งกระแสเสียงไปยังทหารยามในทันที“พวกอสูรกําลังโจมตี แจ้งให้ชาวเมืองทราบเร็ว”
“อสูรกําลังจะโจมตี?” ยามสองคนที่ประจําการอยู่ที่ระฆังโบราณต่างหวาดกลัว ” ขอรับท่านเจ้าวัง!”
ทหารยามทั้งสองอยู่ในระดับไร้ตําหนิ และยังเป็นจอมยุทธของวังหยกสุริยัน พวกเขาเข้าใจว่าจะต้องทําอย่างไรหากมีอสูรโจมตีเข้ามา พวกเขารวบรวมพละกําลังและลั่นระฆังโบราณนั้นอย่างต่อเนื่องส่งเสียงดังก้องไปทั่ว! เสียงระฆังนั้นดังก้องไปทั่วเมืองฉงชาน
ฟุบๆ!
หวังฟูเฉิงและหูเซี่ยวเปลี่ยนเป็นลําแสงและมุ่งหน้าไปยังกําแพงเมืองทิศเหนือให้ไวที่สุดเท่าที่จะทําได้
หูเซี่ยวเดินเข้าไปหาหวังฟูเฉิงและส่งกระแสเสียงออกไป “ท่านเจ้าวัง ท่านรู้รึเปล่าว่ามีราชาอสูรกี่ตัว? แล้วจํานวนของพวกอสูรด้วย”
” ข้าไม่รู้ แต่กระแสพลังอสูรที่หนาแน่นเช่นนี้ คงจะมีกองทัพอสูรกําลังโจมตีเป็นแน่”
“ท่านขอความช่วยเหลือไปหรือยัง?” หูเซียวถามผ่านกระแสเสียง
“แน่นอน ข้าขอความช่วยเหลือไปตั้งแต่ตอนที่รู้ตัว” หวังฟูเฉิงเป็นกังวลมาก “แต่ว่าพวกเราอยู่ห่างจากเมืองหลวงถึง 900 ลี้ แม้จะเฟิงโหวเทพอสูรจะรวดเร็ว แต่คงจะใช้เวลาเกือบหนี้งก้านธูปกว่าพวกเขาจะมาถึง ในระยะเวลานั้น เมืองฉงชานคงจะเหลือเพียงซากแล้ว”
“พวกเราจะสามารถสังหารอสูรธรรมดาได้ง่ายๆหากจัดการกับราชาอสูรได้แล้ว” คู่เซี่ยวกล่าว
“ไปกันเถอะ” หวังฟูเฉิงพยักหน้า
เทพอสูรเฟิงโหวนั้นมีจํานวนน้อยเกินไป บางคนประจําการอยู่ที่เมืองด่านขนาดกลางและไม่สามารถจะออกไปไหนได้โดยไม่มีเหตุจําเป็น ดังนั้นจึงมีน้อยนิดที่จะสามารถเข้าไปช่วยเหลือในพื้นที่ที่กระจายอยู่ไปทั่วได้
ในแคว้นหนึ่งแคว้นของราชวงศ์โจวที่ยิ่งใหญ่นั้น มีเฟิงโหวเทพอสูรเพียงหนึ่งคนที่สามารถจะช่วยเสริมกําลังในเวลาไหนก็ได้ นี่เป็นเรื่องปกติ!
มีเมืองนับร้อยในราชวงศ์โจวที่ยิ่งใหญ่ ระยะห่างระหว่างเมืองที่ใกล้ที่สุดกับเมืองหลวงของแคว้นนั้นห่างกันประมาณสองร้อยถึงสามร้อยลี้ หากใครอยู่ที่เมืองแถบชายแดน นั่นก็คงจะอยู่ไกลเกือบสองพันลี้เลยด้วยซ้ํา ยกตัวอย่างเช่นแคว้นที่ใหญ่ที่สุดของราชวงศ์โจว เมืองบางเมืองอยู่ห่างจากเมืองหลวงแคว้นถึงห้าพันลี้ แน่นอนว่าแคว้นนี้เป็นเขตชายแดน และสถานการณ์เช่นนี้ไม่ใช่เรื่องปกติ
อย่างไรก็ตาม ปกติแล้วเมืองต่างๆจะอยู่ห่างจากเมืองหลวงแคว้นประมาณพันลี้ เทพอสูรเฟิงโหวนั้นมักจะใช้เวลาเดินทางประมาณหนึ่งก้านธูปสําหรับระยะทางเช่นนั้น
แต่หวังฟูเฉิงไม่รู้ว่าคนที่รับผิดชอบการช่วยเหลือเมืองฉงชานนั้นคือผู้พันของด่านเปยเหอเพิ่งชวน! ชื่อของคนที่จะมาช่วยเหลือนั้นเป็นความลับ! เทพอสูรเฟิงโหวหลายคนไม่รู้หน้าที่ของตัวเองเท่าไหร่ ที่พวกเขารู้ก็มีเพียงพื้นที่เหล่านี้อยู่ในการดูแลของพวกเขา
ในคืนเดียวกันที่ด่านเปยเหอ
ภายในคฤหาสน์ของพวกเขา เพิ่งชวนและหลิวชีเยว่กําลังนอนหลับอยู่ ทันใดนั้นเองตราหยกสีขาวที่วางอยู่ใต้หมอนก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเพลิงในทันที เพิ่งชวนหลอมมันเข้ากับพลังปราณของเขาเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นเขาจึงสามารถรับรู้ความเปลี่ยนแปลงได้ในทันที
โอ๊ะ? เพิ่งชวนที่กําลังหลับอยู่เปิดตาขึ้นมาในทันที เขายืนขึ้นและหยิบตราหยกสีขาวออกมาจากหมอน ตราลาดตระเวนนี้นั้นสําคัญมาก ในตอนนอน เขาจะวางมันใต้หมอนทุกครั้งและถือติดตัวไปตลอดเวลา ไม่ปล่อยให้ห่างตัวเด็ดขาด
เมืองฉงชาน? เมิ่งชวนเหลือบตามองดูแผนที่ของเมืองทั้งสิบแปดเมืองบนตราหยกสีขาว ที่ที่เมีองฉิงชานอยู่นั้นเปลี่ยนเป็นสีแดงเพลิง มันคือต้นเหตุของความร้อนที่ถูกปล่อยออกมาจากตราหยก
หลิวชีเยวตื่นขึ้นมาและถาม “ตื่นขึ้นมามีอะไรเหรอ?”
“เมืองฉงชานต้องการความช่วยเหลือ อีกเดี๋ยวข้าจะกลับมา” เพิ่งชวนหันไปมองหลิวชีเยว่และใส่รองเท้าในทันที พกดาบและเสื้อติดตัวไป หน้าต่างห้องเปิดออกเองก่อนที่เพียงพริบตาเขาก็เปลี่ยนกลายเป็นสายฟ้าและพุ่งออกไปจากหน้าต่าง
หลิวชีเยวลุกตัวขึ้นนั่งและมองออกไปนอกหน้าต่าง เธอเห็นเส้นสายฟ้าพุ่งผ่านและหายไปในท้องฟ้ายามค่ําคืนอย่างรวดเร็ว
อาชวนกําลังไปช่วยคนอย่างนั้นรึ?” หลิวชีเยว่นั่งอยู่บนเตียง เธอรู้เรื่องหน้าที่อีกอย่างของเมงชวนอยู่แล้ว แต่ว่าก็ผ่านมากว่าครึ่งปีนับตั้งแต่ที่พวกเขามาอยู่ในด่านเปยเหอ นี่เป็นครั้งแรกที่เม่งชวนออกไปช่วยเหลือเมืองอื่น
“ข้าหวังว่าเขาจะไปได้ทันและช่วยคนให้ได้มากๆ ข้าขอให้อาชวนกลับมาอย่างปลอดภัยด้วย” หลิวชีเยวมองดูจันทร์เสี้ยวนอกหน้าต่างและภาวนาเงียบๆ
เพิ่งชวนกําลังมุ่งหน้าไปยังสนามรบ ในตอนนี้เธอได้แต่ภาวนา เธอไปกับเขาไม่ได้
กําลังเสริมนั้นต้องไปให้ไวที่สุดเท่าที่จะทําได้! หากพาหลิวชีเยว่ไปด้วยก็คงจะลดความเร็วของเพิ่งชวนไปประมาณสี่ส่วน และคงจะใช้เวลานานกว่าปกติกว่าจะไปถึง
ที่กําแพงทางทิศเหนือของเมืองฉงชาน
ราชาอสูทั้งหกมาถึงก่อน พวกมันไวกว่าหวังฟูเฉิงและหูเซียวที่วิ่งมาจากใจกลางเมือง เจ้าวังหยกสุริยันอยู่ห่างจากกําแพงทิศเหนือ 18 ลี้ ในขณะที่พวกอสูรต้องเดินทางเพียง 6 ล้ํา
ตูม!
ราชาอสูรทั้งหกเคลื่อนที่นือกําแพงเมืองและพุ่งเข้าใส่เทพอสูรสองคนโดยไม่ปกปิดพลังแม้แต่น้อย
ราชาอสูรเองก็ปล่อยพลังอสูรออกมาเช่นกัน หมอกสีเทาแผ่กระจายออกไประยะกว่าร้อยจิ้งรอบตัวพวกมัน ทหารบางคนที่ลาดตระเวนอยู่บนกําแพงในระยะร้อยดั้งนั้นก็กลายเป็นกองเลือดในทันที จากนั้นเหล่าราชาอสูรก็เดินทางเข้าเมืองอย่างง่ายๆและทําลายบ้านเมืองและสังหารคนที่อยู่ในวิสัยของพวกมันในทันที
เมื่อทหารคนอื่นๆเห็นภาพนี้จากไกลๆ พวกเขาทําได้แค่เพียงเก็บความเศร้าโศกเอาไว้พวกเขารู้ดีว่าราชาอสูรกับมนุษย์ธรรมดานั้นแตกต่างกันเกินไป! ราชาอสูรเหล่านี้สังหารมนุษย์ราวกับเป็นเพียงมดปลวก และนี่ยังไม่เริ่มการล่าสังหารที่แท้จริงเลยด้วยซ้ํา
“พวกเรายังมีเทพอสูรอยู่” เหล่าทหารยังคงเฝ้ามองดูจากที่ไกล พวกเขารู้สึกได้ถึงพื้นดินที่สั่นสะเทือน
“กองทัพอสูร!” เหล่าทหารพบกองทัพอสูรที่กําลังบุกเข้ามา
เปลวเพลิงบนกําแพงเมืองถูกจุดขึ้น ส่องพื้นที่โดยรอบให้สว่างไสว พวกเขามองเห็นกองทัพอสูรจํานวนมากพุ่งเข้ามาใส่กําแพงเมืองจากความมืด เหล่าอสูรที่อยู่แนวหน้านั้นไวมากๆ ไวจนร่างของพวกมันดูพร่ามัวขณะที่พุ่งเข้ามา
“พวกมันมาแล้ว พวกอสูรมาแล้ว” เหล่าทหารรู้ดีว่าแม้จะต้องเสี่ยงชีวิตก็จะปกป้อง เมืองของพวกเขาเอาไว้ให้ได้
สายฟ้าพุ่งทะยานผ่านท้องฟ้ามา ข้ามยอดเขาสามยอดภายในพริบตา เมิ่งชวนใช้ยอดเขาแต่ละแห่งเพื่อเป็นที่วางเท้าและพุ่งเข้าหาเมืองฉงชาน
ฟุบๆๆๆๆ!
สายฟ้าปะทุออกมาจากร่างกายของเมิ่งชวนในขณะที่พุ่งไปยังเมืองฉงชาน
เทพอสูรระดับมหาสุริยันธรรมดาที่มีร่างอสูรตัดสายฟ้าที่สมบูรณ์สามารถเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่เทียบเท่าได้กับเฟิงโหวเทพอสูร เพียงก้าวกระโดดหนึ่งครั้งก็สามารถพุ่งไปได้ถึงสองลี้! แต่ถึงอย่างนั้น หลังจากที่เพิ่งชวนขึ้นเป็นเทพอสูรระดับมหาสุริยัน สายฟ้าในร่างของเขานั้นก็แข็งแกร่งขึ้น ร่างเทพอสูรของเขาถูกสร้างขึ้นมาโดยอัสนีสวรรค์ถึงเก้าสาย ซึ่งมากกว่าจํานวนปกติ อีกทั้งยัง ได้รับกายาเพชระมาอีก ซึ่งนั่นทําให้เส้นลมปราณของเขาสามารถทนต่อแรงระเบิดของพลังปราณ ได้มากกว่าเดิม และนั่นจึงทําให้เขาสามารถเดินทางได้ถึงสามล้ําในการกระโดดเพียงหนึ่งครั้ง
ความเร็วเช่นนี้ถือได้ว่าเร็วมากในหมู่เทพอสูรเฟิงโหว
“เร็วเข้าๆ เร็วกว่านี้ เพิ่งชวนรีบรุดมุ่งหน้าไปยังเมืองฉงชาน เขาก้าวกระโดดกว่าสิบก้าวถึงจะข้ามผ่านเขตภูเขามาได้
เพิ่งชวนข้ามแม่น้ํามู่มะที่กว้างห้าลื้อย่างรวดเร็ว แม่น้ํามู่มะที่โหมกระหนํานี้นั้นเป็นแม่น้ําที่กว้างที่สุดในแคว้นหยวน
ฟุบ!
เขาใช้กระบวนท่านกนางแอ่นหนึ่งครั้งกลางอากาศ พุ่งผ่านแม่น้ํามู่มะไปในพริบตา หลังจากวูบหายไปอีกสองครั้ง เขาก็หายลับไปกับขอบฟ้า
ในตอนนี้เพิ่งชวนเร็วราวกับสายฟ้าฟาด และกําลังพุ่งเข้าใส่เมืองฉงชานด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ!
ตอนที่ 146 กายาเพชระ
ภายในห้องอันเงียบสงบของคฤหาสน์ เมิ่งชวนขัดสมาธิและฝึกฝนร่างกายของเขาโดย ใช้พลังของแก่นสารแห่งจิตร่วมด้วยกับวิชาลับ
แม้แก่นสารแห่งจิตของเขาจะไปถึงระดับจิตแล้ว เขาก็ยังต้องใช้วิชาลับเพื่อดูโลกขนาดเล็ก เขาเห็นถึงกลุ่มก้อนอนุภาคจํานวนนับไม่ถ้วนที่ประกอบกันขึ้นมาเป็นกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และกระดูก อนุภาคเหล่านี้มีขนาดและสีที่แตกต่างกันไป อย่างไรก็ตาม พวกมันทุกอันต่างมีพลังสายฟ้าอยู่ในตัว เพราะเป็นผลจากการที่เมิ่งชวนฝึกฝนร่างอสูรตัดสายฟ้า ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะฝึกฝนอนุภาคเล็กๆเหล่านี้
หลังจากหกเดือนของการฝึกฝน โดยอาศัยพลังของแก่นสารแห่งจิตและจิตวิญญาณกระบี่ ในที่สุดเขาก็ขัดเกลาอนุภาคทั้งหมดในร่างกายได้ เขาต้องใช้ปราณเป็นจํานวนมหาศาลกว่าจะทําได้สําเร็จ และในตอนนี้ เขากําลังจะทําให้มันประสานเข้าด้วยกัน
ปราณที่หายไปจะถูกเติมกลับมาด้วยยาพันดารา
ครืน!
ร่างทั้งร่าง ไม่ว่าจะเป็นเส้นผมหรือเลือดก็เริ่มที่จะเปลี่ยนแปลง อนุภาคจํานวนนับไม่ถ้วนเริ่มจะประสานเข้าด้วยกัน ปกติแล้ว การเปลี่ยนแปลงอนุภาคเพียงอันเดียวก็ไม่ค่อยมีผลต่อร่างกายมากนัก แต่ด้วยจิตวิญญาณกระบี่ อนุภาคเหล่านี้จึงส่งผลต่อร่างกายมากหลังจากพวกมันประสานเข้าด้วยกัน
เหมือนกับมีทหารหนึ่งหมื่นนาย แต่หากทหารทั้งหมื่นคนนั้นไม่มีวินัย ประสิทธิภาพในการต่อสู้ของทั้งหมื่นคนนั้นก็จะต่ําลง แต่หากพวกเขาทําตามคําสั่งได้โดยที่ไม่ทําพลาดแม้แต่นิดเดียว ประสิทธิภาพในการต่อสู้ก็จะสูงขึ้นมาก
เช่นเดียวกันกับร่างกาย! อนุภาคทุกอย่างในร่างของเขานั้นต่างประสานเข้าด้วยกันหลังจากฝึกฝนร่างกายของเขากลายเป็นหนึ่งเดียว! ตามข้อมูลที่ได้มาจากมรดกวิชาฝึกฝนร่างกายแล้ว นั่นหมายความว่าเขาได้กายาเพชระมาแล้ว! เขาไปถึงระดับเพชรแล้ว!
“จบแล้ว” เมิ่งชวนลืมตาขึ้น เขารู้สึกราวกับว่าร่างของเขานั้นโปร่งใส ผิวหนังของเขาเปล่งแสงสีทองหยกออกมา หลังจากสารวจดูอย่างถี่ถ้วนก็จะเห็นได้ว่ามีเยื่อบางๆอยู่เหนือผิวหนังของเขา เขาไม่ได้ทําอะไรทั้งนั้น แต่จู่ๆก็มีเยื่อเหล่านี้ปกคลุมไปทั่วร่างของเขา เยื่อเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นมาโดย พลังที่มองไม่เห็นจากอนุภาคจํานวนนับไม่ถ้วนเหล่านั้น ซึ่งปรากฏออกมาหลังจากที่อนุภาคเหล่านั้นประสานเข้าด้วยกัน
ตามมรดกแล้ว ร่างกายจะปล่อยพลังเพชระออกมาตามธรรมชาติเมื่อได้รับกายาเพชระ พลังนี้จะช่วยให้ร่างคงกระพันขึ้นขึ้นประมาณหนึ่ง เมิ่งชวนชักกระบอสูรสังหารออกมาและเฉือนเข้าที่แขนของตน การโจมตีถูกพลังเพชระนั้นหยุดเอาไว้ นั่นทําให้เมิ่งชวนเริ่มสงสัย “ข้าอยากรู้จริงๆว่า กายาเพชระและพลังเพชระนี่จะแข็งแกร่งขนาดไหน
เมิ่งชวนถึงกับพูดไม่ออกหลังจากทดลองไปกว่าครึ่งชั่วยาม
อาจเป็นเพราะร่างอสูรตัดสายฟ้าที่สมบูรณ์และการฝึกร่างกายของเขา จึงทําให้สามารถปล่อยพลังได้ถึงเจ็ดส่วนจากตอนที่ใช้แก่นสารแห่งจิตแม้จะใช้เพียงจิตวิญญาณกระบี่อย่างเดียว
การรักษาชีวิตเอาไว้ได้นั้นก็หมายถึงระบบการฝึกฝนร่างกายนี้นั้นทรงพลังอย่างแท้จริง ระดับขั้นที่สี่มีชื่อเรียกว่าระดับอมตะ ร่างกายจะไม่มีจุดตายอีกต่อไป แม้จะถูกแทงเข้าที่หัวหรือหัวใจก็ไม่เป็นอะไรและจะฟื้นฟูจากอาการบาดเจ็บเช่นนั้นได้ภายในพริบตา ในระดับที่ห้าหยาดโลหิตนั้น จะทําให้ร่างของคนๆนั้นฟื้นฟูขึ้นมาได้จากหยดเลือดแม้เพียงหยดเดียว เมิ่งชวนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาด้วยความที่งใจ
อย่างไรก็ตาม การฝึกฝนปราณเองก็ช่วยเพิ่มความสามารถในพลังทําลายและการเอาชีวิตรอด เมื่อไปถึงระดับเดือนมืดมิดและไร้ขอบเขต
มีทางสองทางวางอยู่ตรงหน้าเขา
ระบบการฝึกฝนร่างกายนั้นใช้กับการต่อสู้ระยะประชิดเป็นหลัก มันทําให้คนๆนั้นมีพลังชีวิตอันมหาศาล ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาจะมีพลังชีวิตที่มากที่สุดอยู่ตลอดเวลา แม้พลังทําลายจะด้อยกว่าเหล่าผู้ที่เดินทางฝึกฝนปราณก็ตาม
ระบบการฝึกฝนปราณนั้นทําให้คนๆนั้นมีพลังทําลายล้างอันมหาศาล! แม้พวกเขาจะยังด้อยกว่าในเรื่องของพลังชีวิตและจะค่อยๆลดลงไปเมื่อเวลาผ่านไปก็ตาม
“ตอนนี้ร่างของข้าแข็งแกร่งขึ้นมากแล้ว ข้าสามารถระเบิดพลังปราณออกมาได้มากกว่าเดิม เพราะเส้นลมปราณของข้าเองก็แข็งแกร่งขึ้นมากเช่นกัน ตอนนี้ข้าแข็งแกร่งเกือบสองเท่าเมื่อเทียบกับตอนที่ผ่านถ้ําเก้าปริศนาได้”
เมิ่งชวนมีความสุขมาก แม้จะไม่ต้องใช้แก่นสารแห่งจิตหรือวิชาต้องห้าม ในตอนนี้เขาแข็งแกร่งกว่าตอนที่ลงจากภูเขาเป็นสองเท่า การที่พลังเพิ่มขึ้นได้เร็วเช่นนี้นั้นนับว่าหาได้ยาก หากระบบการฝึกฝนร่างกายไม่หยุดอยู่เพียงแค่ระดับหยาดโลหิตสําหรับโลกมนุษย์แล้ว เขาคงจะคิดว่านี่เป็นหนึ่งใน “โอกาส” ที่ดีที่สุดที่จะได้จากถ้ําสวรรค์หยวนชู
หลังจากทดลองหลายๆอย่าง เมิ่งชวนก็หลับตาและเติมลมปราณกลับเข้าไป
ซูๆๆ!
เมิ่งชวนดูดซับประกายสายฟ้าและกระแสพลังวินาศจากความว่างเปล่า เมื่อร่างกายแข็งแกร่งขึ้น เขาก็สามารถดูดซับสายฟ้าและพลังวินาศได้มากกว่าเดิม การดูดซับสายฟ้าและพลังวินาศนั้นขึ้นอยู่กับร่างกาย ไม่ค่อยเกี่ยวกับพลังปราณเสียเท่าไหร่นัก
ครึ่งเดือนต่อมา
วันที่ 27 มิถุนายน ตอนกลางคืน
เมืองฉงชานในรัฐหยวนที่อยู่ห่างจากด่านเปยเหอ 300 ลี้
ฟุบ
ข้างนอกเมืองฉงชาน ร่างหนึ่งในชุดคลุมสีดําคลานออกมาจากพื้นอย่างเงียบงัน หัวของร่างนั้นถูกปิดด้วยผ้าสีดําเปิดให้เห็นเพียงดวงตาสีเขียว
ร่างนั้นจ้องไปยังเมืองฉงชานที่อยู่ไกลๆ ประตูเมืองนั้นถูกปิดตอนกลางคืน ทหารเดินลาดตระเวนรอบกําแพงเมือง อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ไม่เห็นร่างในชุดสีดําที่อยู่ห่างออกไปกว่าสองลี้
ร่างในชุดคลุมสีดํามองเห็นป้ายที่เขียนคําสองคําเหนือประตูเมืองได้อย่างชัดเจน ฉิงชาน
“ฉิงชาน? นี่คือเมืองฉงชานในราชวงศ์โจวที่ยิ่งใหญ่รึ?” หลังจากระบุตําแหน่งปัจจุบันได้ ร่างนั้นก็มุดกลับลงดินอย่างเงียบกันและเปลี่ยนกลายเป็นตัวนิ่ม มันเดินทางใต้ดินด้วยความเร็วอันมหาศาล อีกพักหนึ่ง มันก็ไปถึงส่วนลึกของเขารกร้างที่อยู่ห่างออกไปจากเมืองนั้นประมาณหกลี้ รัฐหยวนนั้นอยู่ในเขตภูเขา ดังนั้นแล้วจึงมีปราการส่วนมากที่ถูกสร้างขึ้นในภูเขา มีเมืองใหญ่เพียงไม่กี่เมืองเท่านั้นที่สามารถพบได้ในพื้นที่ราบที่หาได้ยากในหมู่ภูเขา
ประตูพิภพที่บิดเบี้ยวยาวประมาณ100ั้งทอดยาวอยู่ในเขารกร้างนั้น ร่างสองร่างยืนอยู่ข้างๆประตูพิภพ
ตัวนิ่มตัวนั้นคลานออกมาจากพื้นและเปลี่ยนกลับเป็นร่างในชุดสีดํา ร่างนั้นเดินเข้าไปที่ประตูพิภพและเดินทางเข้าสู่โลกอสูร
ตัวนิ่มกลับมาแล้ว ราชาอสูรสองตัวที่ยืนอยู่ข้างๆประตูพิภพยิ้ม
” เฝ้าระวังพื้นที่นี้ให้ดี สังหารมนุษย์ที่เข้าใกล้ทันที ก่อนการบุกรุก เราต้องห้ามเผยประตูพิภพนี้เป็นอันขาด หากถูกเปิดเผยล่ะก็ นายเหนือคงจะไม่ปล่อยเราไว้แน่”
“อย่ากังวลไป ไม่ค่อยมีมนุษย์มาที่ภูเขาตอนกลางคืนกันหรอก ไม่มีอะไรเกิดขึ้นแน่”
หลังจากร่างในชุดคลุมสีดํากลับไปที่แดนอสูร มันก็เห็นกองทัพอสูรกําลังรวมตัวกัน อีกทั้งยังเห็นราชาอสูรจํานวนมากกับราชาอสูรขั้นสูงที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ ราชาอสูรชั้นสูงนั้นมีร่างมนุษย์และหางเป็นงู
“ฝ่าบาท” ร่างในชุดคลุมดําก้าวไปข้างหน้าและคุกเข่าลงด้วยท่าทางนอบน้อม
“เจ้าได้ตรวจสอบประตูพิภพที่ไม่เสถียรนั้นแล้วหรือยัง? มันเชื่อมกับส่วนไหนของโลกมนุษย์?” ราชาอสูรถามเรียบๆ
” เมืองฉิงชานในรัฐหยวนของราชวงศ์โจวที่ยิ่งใหญ่ขอรับ” ร่างในชุดดํากล่าว “จากประตูพิภพ เราอยู่ห่างจากเมืองฉงชานประมาณหกลี้”
“ดีมาก” ราชาอสูรยิ้มก่อนจะโบกมือสีดําของมัน
ร่างชุดดํายืนอยู่นิ่งๆท่ามกลางเหล่าราชาอสูรตนอื่นๆ
หนึ่งชั่วยามผ่านไป
มีนกขนาดยักษ์ตัวหนึ่งบินแต่ไกล บนหลังของมันมีราชาอสูรสามหัวยืนอยู่
หลังจากที่นกลงจอด ราชาอสูรสามหัวก็เดินเข้าไปตรงหน้าราชาอสูรชั้นสูงและก้มหัวคารวะ “คารวะท่านราชาอสูรชั้นสูง ข้าชื่อจูโม่”
“ข้าเชื่อว่าเจ้าได้ฟังสรุปแผนการแล้วใช่ไหม” ราชาอสูรชั้นสูงนั่งอยู่บนบัลลังก์ของมัน มันวางแขนลงบนที่นั่งและมองลงมาที่ราชาอสูรสามหัว
” ขอรับ ข้าพร้อมที่จะเข้าสู่โลกมนุษย์” จูโม่กล่าวด้วยท่าทางนอบน้อม
“ฝั่งของข้าไม่มีราชาอสูรที่สามารถเข้าสู่ระดับสามได้ในทันที นั่นเป็นเหตุว่าทําไมข้าต้องยืมตัวเจ้ามาจากราชาอสูรชั้นสูงพันพิษ” ราชาอสูรชั้นสูงกล่าว “ประตูพิภพนี้อยู่ได้ไม่นาน พวกเราต้องโจมตีให้ไวที่สุดเท่าที่จะทําได้ ประตูนี้อยู่ห่างจากเมืองฉงชานหกลี้ ข้าจะจัดการให้ราชาอสูรระดับสองห้าตน พร้อมกับอสูรธรรมดาอีกสามหมื่นตนเข้าร่วมกับเจ้าในการโจมตีครั้งนี้”
“ขอรับ” ราชาอสูรสามหัวกล่าวอย่างนอบน้อม “เมื่อโจมตีได้สําเร็จ ข้าจะแทรกซึมเข้าไปในโลกมนุษย์ ข้าไม่รีบร้อนกลับมาขอรับ”
“ดีมาก” ราชาอสูรชั้นสูงพยักหน้า “ตอนนี้เป็นเวลากลางคืนในโลกมนุษย์ พวกมันกําลังนอนหลับอย่างสบายใจ ในตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ดีที่จะโจมตี มุ่งหน้าออกไปเดี๋ยวนี้”
” ขอรับ”
กองทัพที่ประกอบไปด้วยราชาอสูรสามหัว ราชาอสูรระดับสองห้าตัว และอสูรธรรมดากว่าสามหมื่นตนนั้นแข็งแกร่งกว่ากองทัพที่โจมตีเมืองตงหนิงเสียอีก
ในไม่ช้า กองทัพอสูรก็โถมเข้าใส่ประตูพิภพราวกับน้ําท่วม พวกมันไม่รีรอที่จะตามทางที่ตัวนี้สร้างไว้และพุ่งเข้าใส่เมืองฉงชานอย่างรวดเร็ว
ตอนที่144 ความสูญเสีย
ข้างในกําแพงชั้นใน เขตแดนผ้าไหมของหยางจิงอู่ขยายออกไป ราวกับว่าพวกมันกําลังเต้นรําอยู่ในอากาศและทะลวงผ่านร่างของอสูรธรรมดาไปอย่างเงียบงัน เมิ่งชวนเปลี่ยนเป็นสายฟ้าและพุ่งไปทั่วแถบนั้น ในขณะที่พุ่งไปเขาก็ปล่อยกระแสพลังวินาศสีดําออกไปด้วย แม้ว่ามันจะกระจายออกกว้างและอ่อนกําลังลง แต่มันก็ยังสามารถแช่แข็งอสูรธรรมดาให้กลายเป็นก้อนน้ําแข็งได้
ฟุบ
จากนั้นเมิ่งชวนก็เดินไปด้านหน้าและเปลี่ยนเป็นเส้นสายฟ้าทะยานไปในอากาศขึ้นไปบนกําแพงชั้นใน
“อาชวน” เปลวเพลิงรอบตัวหลิวชีเยว่ก็หายไปขณะที่เธอต้อนรับเขา
“เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม?” เมิ่งชวนเห็นว่ามีราชาอสูรระดับสองหลายตัวมุ่งหน้าไปทางชีเยว่
“พวกมันเป็นแค่ราชาอสูรระดับสอง อีกอย่าง ศิษย์พี่ฟานก็อยู่นี่ด้วย” หลิวชีเยว่กล่าวยิ้มๆ “เพราะมีศิษย์พี่ฟานอยู่ตรงนั้น พวกมันเลยเข้าใกล้ข้าไม่ได้ซักนิด”
“ฮ่าๆ เจ้าก็ชมข้าเกินไป” ฟานเฉิงเก็บโล่ขนาดใหญ่ไปไว้บนหลังของเขา เขาถือค้อนไว้ในมือ และยิ้ม “ราชาอสูรระดับสามแค่นิดหน่อยไม่คณามือข้าหรอก ราชาอสูรระดับสองจะมากเท่าไหร่ก็เหมือนกัน ก็เหมือนกับข้ากําลังรังแกพวกมันก็เท่านั้น น้องเมิ่ง เจ้าน่ะสุดยอดไปเลยจริงๆ เจ้าสังหารราชาอสูรระดับสามได้ถึงห้าตัวในพริบตาทั้งๆที่สู้กับพวกมันพร้อมๆกัน”
ฟุบๆๆๆๆ!
จางหวินอู่ หยางจึงอู่ หยูจีหยาน ฉีฉิวและมู่ฉิงร่อนลงมาที่กําแพงเมืองอย่างนุ่มนวลด้วยเขตแดนผ้าไหมสีฟ้า
“น้องเมิ่ง คงจะมีเจ้าแค่คนเดียวที่สามารถกระโดดขึ้นมาบนกําแพงของด่านเปยเหอได้ในการกระโดดเพียงครั้งเดียว” จางหวินอู่กล่าวยิ้มๆ
“น้องเมิ่งกระโดดขึ้นมาแค่วูบเดียวก็ถึงเลย! ถ้าพวกราชาอสูรกระโดดขึ้นมาวูบเดียวถึงได้แบบเจ้าพวกเราคงจะเจอปัญหาหนักแน่ๆเลยล่ะ” ฉีฉิวพูดแบบยิ้มๆ
“มีเพียงเทพอสูรที่ฝึกร่างอสูรตัดสายฟ้าเท่านั้นถึงจะเก่งแบบนี้ได้ เป็นเรื่องที่หาได้ยากมากในหมู่พวกอสูร” จางหวินอู่กล่าวพร้อมกับหัวเราะเบาๆ “ครั้งนี้พวกเจ้าทุกคนทําได้ดีมาก เอาล่ะ กลับไปพักผ่อนกันได้แล้ว”
“เอาล่ะ ได้เวลากลับไปอาบน้ําแล้ว” ฟานเฉิงยิ้มและแบกค้อนกลับไป
“ข้าจะไปหาอะไรดื่มจะได้หลับสบาย” ฉีฉิวยิ้มและเดินจากไป คนอื่นๆเองก็ไปเช่นกัน
แค่นี้เทพอสูรธรรมดาก็จัดการที่เหลือได้แล้ว พวกเขาไม่จําเป็นต้องช่วยอะไร
เมิ่งชวนและหลิวชีเยว่ไม่รีบกลับเพราะว่านี่เป็นครั้งแรกในสนามรบของพวกเขา เขาพึ่งจะทําใจให้เย็นลงได้
“เคารพนายพล”
“เคารพนายพล”
เมิ่งชวนและหลิวชีเยว่เดินผ่านทางเดินที่เชื่อมกันระหว่างเมืองด่านในและนอก ทหารทุกคนต่างก้มหัวให้พวกเขาด้วยความเคารพ
ทหารธรรมดาเหล่านี้เรียกนายพลทั้งเก้าว่านายพล
“นี่สินะสนามรบ” หลิวชีเยวมองไปที่พื้นที่ระหว่างเมืองด่านชั้นในและนอก มันกลายเป็นทะเลเพลิงมาซักพักแล้ว เหล่าเทพอสูรกําลังไล่สังหารอสูรที่เหลืออยู่
“ถ้าเราหยุดมันไม่ได้ มันจะกลายเป็นพวกอสูรที่สังหารพวกเราแทน” เมิ่งชวนกล่าว
“ใช่แล้ว เมืองตงหนิงเองก็เหมือนกัน ตอนนั้นพวกอสูรมันก็สังหารมนุษย์เองอย่างไม่ปรานีเหมือนกัน” หลิวชีเยว่กล่าว การบุกรุกของอสูรนั้นทําให้เธอเปลี่ยนไปอย่างมหาศาล
ทั้งคู่เดินไปดูไป
พอไปถึงกําแพงชั้นใน สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
ทหารคนหนึ่งกอดขาตัวเองและร้องออกมาด้วยความเจ็บ ขาของเขาหายไปหนึ่งข้าง อีกคนหนึ่งกุมท้องเอาไว้ มีรูที่โชกเลือดอยู่บนท้องของเขา มีทหารบาดเจ็บมากมาย บางคนกําลังรักษาบาดแผลตัวเอง ในขณะที่หลายคนยังต้องรอแพทย์สนาม!
มีทหารอีกหลายคนที่นิ่งไม่ไหวติง พวกเขาตายกันหมดแล้ว ทหารคนอื่นๆกําลังเคลื่อนย้ายศพ
“ท่านนายพล” หัวหน้ากองนายหนึ่งในระดับควบแน่นแก่นแท้กล่าว
“เราสูญเสียไปเท่าไหร่?” เมิ่งชวนถามแบบค่อนข้างจะใจเย็น
“พวกเรายังนับไม่เสร็จขอรับ” นายทหารคนนั้นกล่าวด้วยความเคารพ “จากที่เราคาดการณ์แล้ว มีทหารที่เสียชีวิตประมาณ 800 ราย อีกกว่า 2000 คนบาดเจ็บ มีทหารจํานวนหนึ่งที่บาด เจ็บไม่รอดชีวิตขอรับ บางคนพิการ มีเพียงเล็กน้อยที่สามารถรักษาได้หายขาดได้ขอรับ”
“มากขนาดนั้นเลยรึ?” หลิวชีเยว่กล่าว “น่าจะมีอสูรน้อยกว่าพันตัวนะที่รอดออกไปถึงเมือง ชั้นนอก”
เธอมองไปรอบๆและนึกถึงความสูญเสีย
นายทหารคนนั้นกล่าวด้วยความเคารพ “ขอรับ มีน้อยกว่าพันตัวที่รอดออกไปถึงเมืองชั้นนอกได้ แต่ว่าพวกมันส่วนมากแข็งแกร่งเทียบเท่ากับอสูรระดับสูง กว่าเจ็ดส่วนของทหารเราอยู่ในระดับชําระแก่นแท้ อีกสองส่วนอยู่ในระดับก่อกําเนิด มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ไปถึงระดับไร้ตําหนิ แต่ไม่ว่าพวกเราจะเตรียมตัวดีแค่ไหน พวกเราก็ยังเจอกับความสูญเสียในการต่อสู้ที่วุ่นวายเช่นนี้”
พอจางหวินอู่เดินมาพอดี เขาก็โบกมือให้นายทหารคนนั้นและบอก “ไปทําหน้าที่ของเจ้าเถอะ”
“รับทราบขอรับท่านนายพล” เขากลับไปด้วยความเคารพ
จางหวินอู่มองดูทหารที่กําลังเคลื่อนย้ายศพ เขาถามอย่างใจเย็น “รู้สึกรับไม่ได้รึ?”
“มีประมาณ 2000 คนที่ตายหรือพิการจากการต่อสู้ครั้งนี้” เมิ่งชวนถามออกไป “คราวนี้พวกเราควรจะชนะขาดสิขอรับ ทําไมพวกเรายังสูญเสียมากขนาดนี้อีก?”
จางหวินอู่พยักหน้า “เราจะไปทําอะไรได้ในเมื่อพวกมันไม่สนใจชีวิตของเรา? พวกเราพยายามกันราชาอสูรเอาไว้อย่างเต็มที่แล้ว มีพวกอสูรธรรมดาแค่ไม่กี่ตัวที่รอดไปเมืองด่านชั้นนอกได้ มีน้อยกว่าพันตัวที่ไปถึงกําแพงชั้นนอกได้ การที่มีอสูรหนีออกไปได้น้อยกว่าพันตัวจากกว่าแสนตัว การที่เราสูญเสียน้อยขนาดนี้ก็เรียกได้ว่าเป็นชัยชนะครั้งใหญ่แล้ว”
“สูญเสียน้อยแล้ว?” เมิ่งชวนและหลิวซีเยว่งุนงง
“นี่เรียกได้ว่าสูญเสียน้อยมากแล้ว ปีที่แล้วด่านเปยเหอโดนพวกอสูรโจมตีเข้าสองครั้ง มีจํานวนคนที่ตายและบาดเจ็บจนไม่สามารถต่อสู้ได้ทั้งหมด 11000 คน” จางหวินอู่กล่าว และเมื่อท้ายปีที่แล้ว ด่านเปยเหอของเราก็มีทหารใหม่ 11000 นาย”
เมิ่งชวนตกใจ
ปีที่แล้วพวกเขาต้องเจอกับการโจมตีถึงสองรอบ แต่ละครั้งมีการสูญเสียประมาณ 5000 คน แน่นอนว่าส่วนมากพิการและไม่สามารถสู้ต่อไปได้ แต่ว่านั่นก็น่าตกใจอยู่ดี
“มนุษย์ธรรมดาจะรับราชการทหารเป็นเวลาห้าปี” จางหวินอู่กล่าว “อันที่จริงแล้วเกินครึ่งก็ต้องตายไป ที่เหลือก็พิการ มีเพียงสองส่วนเท่านั้นที่ยังอยู่อย่างสงบสุข! ไม่พวกเขาแข็งแกร่งจนไปถึงระดับไร้ตําหนิก็มีประสบกาณ์โชกโชน ทหารผ่านศึกส่วนมากเลือกที่จะรับราชการทหารต่อไป บางคนถึงขั้นใช้ชีวิตกว่ายี่สิบปีที่นี่เลยด้วยซ้ํา นอกจากบางคนที่อยากแสดงฝีมือของตน ส่วนมากก็แค่อยากจะลดความสูญเสียของทหารใหม่ลงบ้าง”
เมิ่งชวนและหลิวชีเยว่นิ่งไป
“ในฐานะเทพอสูรแล้ว ที่เราต้องทําก็คือกันพวกราชาอสูรเอาไว้ รวมไปถึงราชาอสูรระดับสามพวกนั้นด้วย” จางหวินอู่กล่าว “หากพวกเรายื้อมันไว้ได้ก็จะมีทหารของเราเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ต้องสูญเสีย และหากพวกเรารั้งมันเอาไว้ไม่ได้ ก็จะไม่ได้มีแค่ด่านเปยเหอเท่านั้นที่จะกลายเป็นซาก แต่ผู้คนนับหมื่นนับแสนจะก็ตายเช่นกัน พวกอสูรมันจะกระจายไปทุกทิศทาง ผู้คนนับล้านจะต้องตาย”
“พวกเราต้องกันมันไว้ให้ได้ทุกครั้ง แต่ว่าอสูรพวกนี้มันก็ไม่ได้โง่ มันขัดเกลารูปแบบทัพของมันจากการต่อสู้อย่างเจ้าน่ะ เมิ่งชวน มันคาดไม่ถึงถึงความแข็งแกร่งของเจ้า นั่นทําให้พวกเราชนะอย่างราบคาบ แต่หลังจากที่มันกลับไปแล้ว เมื่อมันกลับมาอีกครั้ง ข้าเกรงว่ามันคงจะคิดหาวิธีที่จะจัดการกับเจ้าไว้ได้แล้ว” จางหวินอู่กล่าว “การต่อสู้นี้คือการประชันระหว่างความกล้าหาญ และสติปัญญา! แม้เราจะระมัดระวังมากเท่าไหร่ แต่หากทําพลาดเพียงนิดเดียว ก็อาจจะเสียชีวิตได้”
“อย่างที่แม้ฟานเฉิงจะอยู่คอยกันราชาอสูรระดับสองที่โจมตีกําแพงนั้น เขาก็ไม่สามารถเบี่ยงเบนความสนใจไปช่วยเทพอสูรธรรมดาที่พยายามหยุดราชาอสูรอย่างเต็มที่ได้ในครั้งนี้สามคน
บาดเจ็บสาหัส นี่ยังไม่นับรวมอีกคนที่บาดเจ็บเล็กน้อย” จางหวินอู่กล่าว “โชคดีที่เทพอสูรอย่างเรามีพลังชีวิตที่แข็งแกร่ง พวกเขารักษาตัวได้ แต่หากการโจมตีของพวกอสูรมันรุนแรงกว่านี้ เทพอสูรเหล่านั้นอาจจะตายเลยก็ได้”
เมิ่งชวนและหลิวชีเยวพยักหน้า สีหน้าของพวกเขาดูจริงจังขึ้น
“มีเทพอสูรมากมายที่ต้องจากไปในช่วงหลายปีมานี้ เมื่อปีที่แล้วมีเทพอสูรของเขาหยวนชู 27 คนที่ตายไปในการต่อสู้
“ปีก่อน ด่านหุยซานก็แตกพ่าย” เมิ่งชวนกล่าว
“ในอนาคตอาจจะมีด่านอื่นที่ถูกพวกมันทะลวงได้สําเร็จอีก” จางหวินอู่กล่าว “เจ้ารู้สึกรีเปล่าว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ จํานวนเทพอสูรของเขาหยวนชูที่ตายไปเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ”
เมิ่งชวนพยักหน้า “สถานการณ์ในตอนนี้แย่ลงไปเรื่อยๆขอรับ”
“ข้าเกรงว่าคงอีกไม่นานที่เงื่อนไขรับศิษย์ใหม่จะเพิ่มจํานวนขึ้น” จางหวินอู่กล่าว “เป็นไปได้ว่าพวกเขาจะรับศิษย์ใหม่ 30 ถึง 40 คนต่อปี”
เมิ่งชวนและหลิวซีเยว่จมอยู่กับความคิด
ยี่สิบคนต่อปีนั้นเป็นกฎเก่าของเขาหยวนซู นั่นก็เพราะเขาหยวนชูได้ทั้งความสมดุลระหว่างการแจกจ่ายทรัพยากร หากว่ามีศิษย์มากเกินไป ทรัพยากรที่ต้องใช้ก็จะมากเกินไป วันหนึ่งทรัพยากรนี้อาจจะไม่เพียงพอ อย่างเช่นพลังของบ่อโลหิตเทพอสูรที่จะถูกใช้จนหมด
“แม้ว่าพวกเราจะสูญเสียไปมากมาย แต่ผลการต่อสู้นั้นมันดีกว่ามาก” จางหวินอู่กล่าว “อย่า งวันนี้พวกเราสังหารราชาอสูรระดับสามไปได้ 10 ตัว และราชาอสูรระดับสองไปได้ 63 ตัว! และมี อสูรธรรมดาอีกเยอะกว่านี้มาก! แม้ว่าพวกอสูรจะแข็งแกร่งกว่าพวกเรา แต่พว กมันก็ล่าถอยไปในทันทีหลังจากที่เราสังหารราชาอสูรระดับสามมันไปได้สิบตัว พวกมันก็เจ็บเข้า เหมือนกัน”
“พวกมันไม่ได้ไม่มีวันหมด หากพวกเราสังหารมันไปมากพอ มันก็จะเริ่มรู้สึกไม่คุ้มและถอยก ลับไป” จางหวินอู่กล่าว “แต่ก็แน่นอนว่าสิ่งที่สําคัญที่สุดไม่ใช่การสังหารราชาอสูร แต่เป็นการรักษาด่านเปยเหอเอาไว้ให้ได้ พวกเราปกป้องคนในดินแดนนี้เอาไว้ได้”
“ตราบใดที่พวกเรารับมือได้ มนุษย์ก็จะเจริญต่อไป และตราบใดที่พวกเรายังยืนหยัด พวกเราก็จะต้องชนะในที่สุด” จางหวินอู่กล่าว นัยน์ตาของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น “ซักวันหนึ่ง อาจจะมีเทพอสูรที่ทรงพลังอย่างไม่มีผู้ใดเทียบเกิดขึ้นมา หรือไม่บางทีจู่ๆประตูพิภพอาจจะหายไป ในเมื่อมันโผล่ขึ้นมาได้แล้ว มันก็น่าจะหายไปได้ มีความเป็นไปได้อีกมากมายหลายอย่างนัก”
“ตราบใดที่เรายังยืนหยัด มันก็ยังมีความหวัง” จางหวินอู่มองไปที่เมิ่งชวนและหลิวชีเยวยิ้มๆ “เอาล่ะ ข้าจะไปพักซักหน่อย แขนขาคนแก่ของข้ามันต้องพักซักหน่อย แบบนั้นข้าจะได้ยืนหยัดต่อไปได้อีกหลายๆปี” จากนั้นเขาก็หันหลังเดินกลับไป
ตอนที่143 ถอนกําลัง
เพิ่งชวนและคนอื่นๆถูกเหล่าราชาอสูรจู่โจมอย่างต่อเนื่อง แต่การป้องกันของพวกเขานั้นสมบูรณ์แบบ
นายพลจางหวินอู่ที่ได้รับการปกป้องอยู่ สามารถซัดทวนสั้นของเขาได้อย่างสบายใจ ทวนสั้นเปลี่ยนกลายเป็นลําแสงสีทองเมื่อถูกซัดออกไป ในระยะเพียงสิบปิ้ง ราชาอสูรระดับสามธรรมดาก็ไม่สามารถหลบทวนนั้นได้และตายไปในทันที
“หัวหน้า พวกเราอยู่อย่างนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว” เมื่อราชาอสูรกระทิงเห็นดังนั้นมันก็ส่งกระแสจิตไป “พวกเราพยายามโจมตีใส่เพิ่งชวนแล้ว แต่เราทะลวงการป้องกันของมันไม่ได้เลย! จางหวินอู่เองก็ซัดทวนสั้นได้แบบไม่ต้องกังวลอะไร ราชาอสูรระดับสามของเราตายไปห้าตนแล้วพวกเราจะปล่อยให้จางหวินอู่โจมตีตามใจชอบต่อไปไม่ได้แล้ว”
ราชาอสูรในชุดสีดํามองดูสนามรบอย่างใจเย็นและตัดสินสถานการณ์ แผนของมันผิดพลาดตอนแรกมันเชื่อว่าไม่ว่าเพิ่งชวนจะเร็วแค่ไหน แต่หากต้องรับการโจมตีจากอสูรหลายๆตนพร้อมกันมันก็ต้องยากแน่ๆ ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเป็นมือใหม่ในสนามรบ การจะทะลวงการป้องกันของเขานั้นคงจะเป็นเรื่องง่าย และหากว่ามันสามารถสังหารอัจฉริยะที่มีร่างอสูรตัดสายฟ้าที่สมบูรณ์ได้ล่ะก็ มันก็จะได้แต้มเป็นจํานวนมหาศาล!
แต่ว่าสถานการณ์มันกลับไม่ตรงตามที่มันคิดเอาไว้
แผนของมันก็ไม่ได้แย่ แค่มันไม่รู้ว่าแก่นสารแห่งจิตของเพิ่งชวนนั้นไปถึงระดับสองแล้ว เขตการรับรู้ของเขากว้างขึ้นเป็น 20 จัง ไม่มีสิ่งใดที่เขาสัมผัสไม่ได้ในระยะนั้น เพิ่งชวนแข็งแกร่งกว่าที่มันคิดเอาไว้เขาสามารถควบแน่นพลังของแก่นสารแห่งจิตเข้ากับร่างกายตอนไหนก็ได้
“เปลี่ยนเป้าหมายไปโจมตีใส่นี่ฉิวแทน” ราชาอสูรในชุดคลุมสีดําสั่งการผ่านกระแสจิต
“รับทราบ” กําลังใจของราชาอสูรทุกตนเริ่มดีขึ้น
พวกมันหมดหวังที่จะโจมตีโดนเมิ่งชวนมาซักพักแล้ว และพวกมันจะเปลี่ยนไปโจมตีใส่เทพอสุรคนอื่นได้ก็ต่อเมื่อได้รับคําสั่ง พวกอสูรทําตามคําสั่งอย่างเคร่งครัด หากมันขัดขืนมีแต่ความตายเท่านั้นที่รออยู่
“ทักษะการเคลื่อนไหวของเจ้านี่มันแปลกเกินไป มันป้องกันได้ดีมากเกินไป พวกเราทะลวงเข้าไปไม่ได้เลย แต่ฉีฉิวนั้นอ่อนแอกว่า” ราชาอสูรพวกนี้เต็มไปด้วยความมั่นใจเทพอสูรคนอื่นๆนั้นคือศัตรูเก่าของพวกมัน
ในแง่ของการต่อสู้ระยะประชิด ในหมู่ศัตรูที่มันเคยเจอมา จางหวินอู่นั้นแข็งแกร่งที่สุด! รองลงมาคือเทพอสูรหญิงที่ใช้ดาบคู่ มู่ฉิง ที่อ่อนแอที่สุดคือเทพอสูรที่มีร่างเทพสว่างโชติฉีฉิว
แต่ในแง่ของการป้องกัน ฟานเฉิงนั้นคือที่สุด!
แต่ว่าเมื่อเริ่มการต่อสู้ไปได้พักหนึ่งพวกมันก็พบว่าการป้องกันของเมิ่งชวนนั้นไม่ด้อยไปกว่าของฟานเฉิงเลย
ครืน!
หนวดและเถาวัลย์แหลมทะลวงออกมาจากพื้นและโจมตีใส่ฉีฉิว
ราชาอสูรเริ่มเข้าประชิดกันเรื่อยๆ!
“ฉีฉิว ระวัง!”
ทุกคนต่างตกใจ มันรวดเร็วเกินไป! แม้ว่าเพิ่งชวนและคนอื่นๆยืนแยกกันอยู่ แต่พวกเขาก็ยังอยู่ใกล้กัน ก่อนหน้านี้ราชาอสูรโจมตีใส่เพิ่งชวนอย่างบ้าคลั่ง แต่ในตอนนี้พวกมันแทบทั้งหมดเบ่งเบนความสนใจไปที่ฉีฉิวแทน! ราชาอสูรหัวกะทิทั้งสามตัวเป็นหัวหอกในการโจมตีนี้สถานการณ์ของฉีฉิวตอนนี้วิกฤติขึ้นในทันที
แกรัง จางหวินอู่พุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ทวนสั้นในมือทั้งสองเล่มของเขาบัดการโจมตีของราชาอสูรในทันที มันเปลี่ยนกลายเป็นภาพติดตาสีทอง และหลังจากใช้ไปหลายกระบวนท่าจางหวินอู่ก็ป้องกันการโจมตีที่โจมตีใส่ฉีฉิวได้เกินครึ่ง จากนั้นฉีฉิวก็ป้องกันการโจมตีที่เหลือไป
และด้วยการช่วยเหลือของหยางจิงอู่จึงทําให้ฉีฉิวสามารหลบการโจมตีอันบ้าคลั่งของเหล่าอสูรไปได้ แต่ว่ามันก็ทําให้หยางจึงอู่ไม่สามารถเบี่ยงเบนความสนใจไปสังหารศัตรูได้
“มันประเมินข้าต่ําไปแล้ว” แววตาของเมิ่งชวนทอประกายเย็นชา ก่อนหน้านี้เขาถูกราชาอสูรกลุ่มใหญ่ล้อมโจมตี แต่ตอนนี้มีเพียงห้าตัวที่โจมตีใส่เขาอยู่ พวกมันต่างเป็นราชาอสูรระดับสามธรรมดาอย่างนั้นรึ? ไม่มีพวกหัวกะทิเลยซักตัว?”
ท่ามังกรคําราม!
เพิ่งชวนโจมตีใส่โดยไม่รีรอ
ราวกับเมิ่งชวนแบ่งออกเป็นห้าร่าง แต่ละร่างแทงออกมาเป็นลําแสงแสบตาราวกับสายฟ้ามันทะลวงผ่านอากาศไปในทิศทางที่แปลกประหลาด มันส่งเสียงแหลมบาดแก้วหูราวกับมังกรที่ทะยานตัวขึ้นมาจากผิวน้ํา ราชาอสูรระดับสามทั้งห้าตัวนั้นเห็นแค่แสงที่วาบขึ้นมาก่อนที่ลําแสงกระบี่จะมาโผล่ตรงหน้ามัน
มันเร็วเกินไป! เร็วจนอากาศบิดเบี้ยวจนระยะทางถูกย่นลง
ราชาอสูรทั้งห้าไม่มีเวลาหลบทัน
ฟุบๆๆๆ!
ลําแสงกระบี่แทงทะลุหว่างคิ้วผ่านกระโหลกของพวกมันทุกตัว ราชาอสูรอาจจะยังมีชีวิตอยู่ต่อได้ซักพักหากหัวใจมันถูกทําลาย แต่หากหัวมันถูกกทะลวงไปเช่นนั้นก็มีแต่ความตายเท่านั้นที่รออยู่
ราชาอสูรล้มทรุดลงไปกันทีละตัว
นั่นทําให้ราชาอสูรที่กําลังโจมตีใส่ฉีฉิวต้องนิ่งไป มันรู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมา
ราชาอสูรระดับสามห้าตัวตายในการโจมตีเพียงครั้งเดียว?
“ท่าสังหารของมันเร็วเกินไป! การโจมตีของจางหวินอู่ก็ยังไม่เร็วเท่านั้นเลยไม่ใช่เหรอ?”
“ร่างอสูรตัดสายฟ้ารวดเร็วราวกับสายฟ้า มันเร็วจริงๆ”
” เร็วไปแล้ว”
ราชาอสูรระดับสามธรรมดาสั่นสะท้าน
ด้วยร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษที่สมบูรณ์แบบนั้น พละกําลังและพลังปราณของเมิ่งชวนก็เพียงพอที่จะจัดการกับราชาอสูรพวกนี้ได้อย่างง่ายดาย! นั่นยังไม่รวมถึงระดับวิชากระบี่ของเขาอีกมีเพียงราชาอสูรหัวกะทิเท่านั้นที่จะต่อกรกับเขาได้ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังมีเขตแดนของแก่นสารแห่งจิตอีก เขารับรู้สถานการณ์ในสนามรบได้อย่างสมบูรณ์แบบ! ไม่จําเป็นต้องใช้พลังแก่นสารแห่งจิตในการโต้กลับเลยด้วยซ้ํา
ราชาอสูรห้าตัวนั้นไม่มีค่าพอที่จะให้เขาใช้พลังของแก่นสารแห่งจิตด้วย
“เยี่ยมยอด” จางหวินอู่ที่ตอนนี้ได้แต่ป้องกัน เช่นเดียวกันกับฉีฉิว หยู่จี้หยานและคนอื่นๆต่างมีความสุข
แต่ว่าทางฝั่งของเหล่าราชาอสูรนั้นตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง พวกมันดูจะท้อแท้ขึ้นมา
“การป้องกันของเมิ่งชวนนี้แข็งแกร่งมากอยู่แล้ว แต่การโจมตีของมันทรงพลังยิ่งกว่า”
“กระบี่ของมันเร็วเกินไป เร็วจนแทบจะป้องกันมันไม่ได้เลย”
“จากข้อมูลที่ได้รับมา เทพอสูรมหาสุริยันที่มีร่างอสูรตัดสายฟ้าที่สมบูรณ์จะเร็วเท่ากับราชาอสูรระดับที่ห้าเลย! การโจมตีของมันเองก็เร็วมากๆด้วย”
“พวกเราไม่ควรจะเข้าต่อสู้ระยะประชิดกับมัน และหากพวกเราต้องเข้าประชิดตัว พวกเราต้องล้อมมันด้วยราชาอสูรจํานวนมากกว่าสิบตนเหมือนคราวก่อน ต้องกดดันมันเอาไว้ให้เพียงพอ”
พวกราชาอสูรพูดคุยกันผ่านกระแสจิต ทําให้การโจมตีของมันเริ่มอ่อนลง
“หัวหน้า ราชาอสูรระดับสามตายไปสิบตนแล้ว พวกเราทําอย่างไรดี?” ราชาอสูรกระทิงถามมันเป็นรองหัวหน้า ประวัติของมันเองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าของหัวหน้าของมันเลยแค่มันอ่อนแอกว่านิดหน่อยเท่านั้น
เมื่อเทียบกับครั้งก่อนๆแล้ว แม้ว่าจะไม่มีราชาอสูรหัวกะทิตนไหนที่ตายไป แต่การสูญเสียราชาอสูรระดับสามไปสิบตนก็เรียกได้ว่าเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่
“เจ้าเพิ่งชวนนี่” ราชาอสูรในชุดคลุมสีดําต้องปวดหัว
ให้โจมตีเพิ่งชวนอย่างนั้นเหรอ? แต่พวกมันทะลวงการป้องกันของเขาไม่ได้ และนั่นจะทําให้จางหวินอู่ซัดทวนสั้นอันทรงพลังของเขาได้อย่างต่อเนื่อง จะไม่สนใจเขาเหรอ? เมิ่งชวนก็จะโต้กลับในทันที! การโจมตีของเมิ่งชวนนั้นรวดเร็วดั่งสายฟ้าฟาด และความเร็วในการสังหารราชาอสูรที่อ่อนแอกว่าของเขาก็ไวกว่าของจางหวินอู่มาก!
พวกมันไม่สามารถโจมตีใส่หรือไม่สนใจเขาได้!
“ถอยทัพ!” ราชาอสูรในชุดสีดําสั่งการผ่านกระแสจิต “ส่งคําสั่งไปว่าถอยทัพ”
ในช่วงเวลาวิกฤติเช่นนี้ การถอยทัพจะทําให้สูญเสียน้อยที่สุด
“รับทราบ” ราชาอสูรระดับสามทั้งหมดหยุดโจมตีและกลับไปหลบอยู่ในเขตแดนที่ซ้อนๆกันอยู่ในทันที
เสียงแตรสัตว์ดังขึ้น
ราชาอสูรระดับสองที่กําลังต่อสู้กับเทพอสูรอยู่บนกําแพงก็ล่าถอย จากนั้นมันก็รีบกระโดดลงจากกําแพงอย่างรวดเร็ว แม้ว่าหลิวซีเยว่จะยิงโดนพวกมันอย่างต่อเนื่อง แต่ราชาอสูรพวกนั้นก็ยังวิ่งไปที่ประตูพิภพอย่างไม่หยุดยั้ง
พวกอสูรที่ก่อนหน้านี้พยายามจะปีนกําแพงก็หวนกลับมาราวกับน้ําหลากและวิ่งไปที่ประตูพิภพอย่างบ้าคลั่ง
พวกมันกําลังล่าถอย!
กลับกัน พวกอสูรที่อยู่ที่กําแพงชั้นนอกต่างตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง พวกมันไม่สามารถ ล่าถอยได้และได้แต่มุ่งตรงไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่ง พวกมันอยากจะผ่านประตูเมืองไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทําได้เพื่ออิสระภาพ
“พวกอสูรล่าถอยกันแล้ว” จางหวินอู่ยิ้ม ทุกคนรู้สึกโล่งใจ
“น้องเมิ่ง ทําได้ดีมาก” ฉีฉิวกล่าวชม
“เอาล่ะๆ อย่าพึ่งดีใจไป พวกเรายังต้องยื้อราชาอสูรระดับสามพวกนี้ไว้อยู่ ต้องระวังตัวให้ดีว่ามันไม่ใช่ลูกไม้จู่ๆพวกมันก็อาจจะโจมตีใส่กําแพงก็ได้”
พวกราชาอสูรไม่ได้จะเล่นแง่หรือลูกไม้ใดๆทั้งสิ้น บางทีพวกมันคงจะรู้ดีว่ามันไร้ประโยชน์ต่อหน้าผู้บัญชาการอย่างจางหวินอู่
ในไม่ช้า ราชาอสูรระดับสองที่ยังมีชีวิตอยู่ก็กลับไปก่อน จากนั้นก็เป็นอสูรธรรมดาที่หนีกลับเข้าไปจากนั้นราชาอสูรระดับสาม 15 ตัวก็กลับเข้าไป และสุดท้ายราชาอสูรอีก 35 ตัวก็กลับเข้า ไปในที่สุด
และอสูรที่ไม่สามารถหลบหนีไปได้ก็ถูกเทพอสูรมนุษย์สังหารจนหมด
มีอสูรเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่ถูกขังเอาไว้ในอนาคตพวกมันจะเป็นเป้าฝึกซ้อมสําหรับทหารมนุษย์ส่วนอสูรตัวอื่นๆก็ถูกสังหารอย่างไร้ปรานี
หลังจากที่พวกราชาอสูรกลับสู่แดนอสูรจนหมด ผ่านไปครึ่งชั่วยามด่านเปยเหอก็สงบลงในที่สุดส่วนข้างนอกนั้นก็มีทหารที่คอยไล่ตามอสูรที่หนีไปจากด่านเปยเหอได้
ตอนที่142 เครื่องบดเนื้อ
ผลงานของเมิ่งชวนในสนามรบนั้นดีกว่าที่พวกเขาคิดเอาไว้ เทพอสูรทั้งห้าคนรับรู้ได้ในทันทีว่าสหายที่แข็งแกร่งนั้นหมายถึงความสูญเสียที่น้อยลงในอนาคต
“กองทัพอสูรมากันแล้ว!” เพิ่งชวนเห็นพอดี หลังจากที่ราชาอสูรระดับสามรวมตัวกันหมดแล้วเหล่าอสูรและราชาอสูรธรรมดาพยายามข้ามประตูพิภพเข้ามาสู่โลกมนุษย์อย่างบ้าคลั่ง
ราวกับน้ําป่าที่ซัดโถม
“น้องเมิ่ง เตรียมตัวให้ดี ได้เวลาใช้ท่าเด็ดของเจ้าแล้ว” จางหวินอู่กล่าวผ่านกระแสเสียง
“รับทราบ” เมิ่งชวนและเทพอสูรคนอื่นๆป้องกันการโจมตีขณะรอโอกาส
ราชาอสูรธรรมดากว่า 200 ตนและอสูรจํานวนนับไม่ถ้วนเข้ามาสู่โลกมนุษย์อย่างบ้าคลั่งพวกอสูรนั้นรวมตัวกันอย่างหนาแน่นและมุ่งหน้าเข้ามา พวกมันเหยียบลงน้ําที่ลึกเพียงสื่อครึ่งบางตัวถึงกับเดินบนน้ําและพุ่งเข้าใส่กําแพงเลยด้วยซ้ํา! อสูรที่บินได้หลายตัวบินขึ้นพวกมันแบกอสูรที่ตัวเล็กกว่าอยู่บนหลัง
พวกมันพุ่งเข้าใส่อย่างบ้าคลั่ง
พวกอสูรรู้ว่าการออกไปจากด่านเปยเหอเท่านั้นคือทางรอด! ยิ่งไปกว่านั้น พวกมันจะได้รับแต้มด้วยซ้ํา เป็นโอกาสที่หาได้ยากสําหรับพวกอสูรธรรมดาเหล่านี้
พวกมันปีนขึ้นไปบนกําแพงและดึงกันขึ้นไป อสูรจํานวนนับไม่ถ้วนปืนขึ้นสูงขึ้นเรื่อยๆ สามสิบปิ้งสี่สิบปิ้ง ห้าสิบปิ้ง พวกมันพยายามอย่างเต็มที่ในการปีนขึ้นไป
“บุก”
ราชาอสูรระดับสองกว่า 200 ตัวพร้อมกับอสูรธรรมดาเป็นหัวหอกในการบุก
พวกมันมาจากทั่วทั้งแดนอสูร สําหรับราชาอสูรระดับสองแล้วนั้น พวกมันทําได้แค่ต้องรับคําสั่งของผู้ดําแดนอสูรเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วงแปดร้อยปีที่ผ่านมา มีราชาอสูรจํานวนนับไม่ถ้วนที่ทําผลงานได้มหาศาลและแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม ส่วนมากได้ขึ้นเป็นราชาอสูรระดับสามและสี่ในขณะที่บางตัวขึ้นไปได้ถึงระดับห้าเลยด้วยซ้ํา
การเป็นราชาอสูรที่มีชื่อเสียงนั้นก็เพียงพอแล้วสําหรับแรงจูงใจของพวกมัน
“โอกาสนี้แหละ!” จางหวินอู่ส่งสัญญาณ “เอาเลย!”
เพิ่งชวนชี้นํากระแสไฟฟ้าที่ก่อตัวในร่างกายของเขาและส่งลงไปใต้เท้าของเขา!
ในสนามรบข้างในกําแพงนั้น เพิ่งชวนเปลี่ยนเป็นร่างสายฟ้าที่สว่างจ้า สายฟ้าจํานวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมากระจายออกไปทั่วทิศทางจากเท้าของเขา!
สายฟ้าพุ่งผ่านน้ําใต้เท้าไปและโดนเข้ากับเหล่าอสูรและราชาอสูรที่อยู่ในน้ํา! ขนาดตัวที่กําลังปีนกําแพงอยู่ก็ยังโดนสายฟ้าเลย!
แม้ว่าจะใช้เวลานานในการอธิบายสิ่งนี้ แต่อันที่จริงแล้วมันเกิดขึ้นในพริบตา
สายฟ้าสว่างจ้าปกคลุมไปทั่วทั้งสนามรบ! เมิ่งชวนและเทพอสูรคนอื่นๆค้างอยู่กลางอากาศเขตแดนผ้าไหมกันพวกเขากับสายฟ้าได้อย่างสมบูรณ์
ทั้งสนามรบเงียบสงัดในทันที!
อสูรบางตัวที่อยู่ใกล้กับเมิ่งชวนสลายกลายเป็นเถ้าถ่าน ส่วนที่ห่างออกไปนั้นก็ทรุดลงอย่างเงียบงัน
ฟุบๆๆๆๆ ราวกับต้นข้าวที่โดนเกี่ยว อสูรจํานวนมากล้มลงอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม พวกอสูรที่อยู่ห่างจากเมิงชวนไปหนึ่งนั้น อสูรธรรมดาส่วนมากต่างตัวสั่นสะท้านบางตัวกระอักเลือดออกมา แต่พวกมันไม่ตาย แม้ว่าอสูรจํานวนนับไม่ถ้วนที่ปีนกําแพงอยู่จะร่วงลงมาแต่มีเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้นที่ตาย ส่วนมากก็เพียงแค่บาดเจ็บ
ส่วนราชาอสูรระดับสองและสามน่ะเหรอ? สายฟ้าพวกนั้นมันก็แค่คันๆเท่านั้น
สายฟ้าแลบไปทั่วผิวน้ํา เพราะธรรมชาติของมันที่จะกระจายไปทั่ว สายฟ้าจึงอ่อนลง เมิ่งชวนเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เขารู้ว่าสายฟ้าของเขานั้นทรงพลัง แต่ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาปล่อยมันใส่กองทัพอสูรที่ใหญ่ขนาดนี้! เขารู้ว่าหากมีอสูรมากพอ แม้จะปล่อยสายฟ้าที่มีทั้งหมดออกไปเขาก็คงสังหารมันได้เพียงแค่สามตัว
” เยี่ยมมาก” จางหวินอู่ดูมีความสุข
“ทําได้ดี!” ฉีฉิว มู่ฉิง หยูจีหยาน และหยางจึงอู่นั้นก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน
เหล่าเทพอสูรและทหารก็ต่างตื่นใจ
“ท่านี้เพียงท่าเดียวก็สังหารอสูรไปได้ถึงสามหมื่นตัว แถมยังทําให้อสุรอีกสองถึงสามหมุนตัวบาดเจ็บหนัก” จางหวินอู่มีความสุขมาก “ งดงามมาก ทําได้ดีกว่าที่ข้าคิดเอาไว้อีก”
เขาอยู่ในสนามรบมามากมายหลายปี จํานวนอสูรที่เพิ่งชวนสังหารโดยสายฟ้านั้นมากกว่าที่เขาคิดเอาไว้อีก
อันที่จริงแล้ว ตอนที่เพิ่งชวนก้าวข้ามขอบเขตความเป็นตายนั้น เขาต้องใช้อัสนีสวรรค์ถึงเก้าเส้นในการสร้างร่างอสูรตัดสายฟ้านี้ขึ้นมา สายฟ้าที่อยู่ในร่างของเขานั้นทรงพลังมากยิ่งไปกว่านั้น หลังจากที่ฝึกฝนร่างกาย มันก็ทําให้ร่างของเขานั้นแข็งแกร่งกว่าเดิมมาก ไม่ว่าจะเป็นในแง่ประสิทธิภาพหรือปริมาณของสายฟ้าในร่างของเขาก็เพิ่มขึ้นดังนั้นแล้วมันจึงได้ผลมหาศาล
“อะไรกัน?” เกิดความวุ่นวายในหมู่ราชาอสูรระดับสาม สีหน้าของอสูรชุดสีดําเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“สายฟ้านี่มันทรงพลังขนาดนี้ได้อย่างไรกัน?” ราชาอสูรระดับสามตัวอื่นเองก็ตื่นตระ หนกเช่นกัน
“มันสังหารอสูรธรรมดาไปได้เยอะมาก” อสูรในชุดสีดํายังคงสงบนิ่ง มันไม่สนใจอสูรธรรมดาแม้แต่น้อย ทุกๆครั้งที่มันบุกเข้ามาจะมีอสูรเป็นหมื่นเป็นแสนตัวที่ต้องตาย ราชาอสูรในชุดสีดํานั้นเป็นชนชั้นสูงและมีเชื้อสายของปราชญ์อสูร มันรู้ว่าแดนอสูรนั้นยิ่งใหญ่ ถึงอสูรพวกนี้จะตายไปก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
ในอนาคตหากพวกมันยึดโลกมนุษย์ได้ แม้ว่ามันจะไม่กว้างใหญ่เท่าแดนอสูร แต่มันก็จะสามารถเพิ่มจํานวนอสูรให้มากขึ้นได้
แม้ว่าการโจมตีนี้จะเกินคาดสําหรับราชาอสูร แต่พวกมันก็ยังคงโจมตีต่อไป
“ฆ่ามัน!”
เหล่าเทพอสูร รวมไปถึงหลิวชีเยว่ โจมตีอย่างเต็มกําลัง
เปลวไฟโหมกระหน่ําลงมา เผาอสูรจํานวนมากจนตาย ฝนกรดเองก็ทําให้อสูรมากมายต้องตายเช่นกัน ใบมีดลมสีเหลืองที่คมกริบเองก็เชือดเฉือนร่างของเหล่าอสูรจนมันเลือดไหลจนตาย
การโจมตีขนาดใหญ่ถูกปล่อยออกมา เหล่าเทพอสูรไม่ปราณีอสูรพวกนี้แม้แต่น้อย
แต่ถึงอย่างนั้นเหล่าอสูรก็ยังคงพุ่งเข้ามาใส่ พวกมันเริ่มที่จะปีนกําแพงกันอีกครั้ง
ในหมู่พวกมันมีราชาอสูรระดับสองเกือบสองร้อยตัว พวกมันเองก็เริ่มปีนกําแพงขึ้นมาเช่นกัน
“สกัดพวกมันเอาไว้”
หลิวชีเยว่และคนอื่นๆเบนความสนใจไปจัดการกับพวกอสูรธรรมดาพักหนึ่ง แต่เป้าหมายหลักของพวกเขาคือจัดการกับราชาอสูรระดับสอง!
โชคยังดีที่การบินกําแพงชั้นในนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย! ในตอนที่มันเริ่มปีนขึ้นมา มันก็โดนเทพอสุรเล็งเอาไว้แล้ว
ฟื้วๆๆๆ! หลิวชีเยวและเทพอสูรนักเกาทัณฑ์อีกสองคนยิงลูกศรใส่ราชาอสูรระดับสองอย่างต่อเนื่อง
การจะสังหารราชาอสูรระดับสามที่ร่วมมือกันห้าสิบกว่าตัวนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ว่าเธอสามารถทําให้ราชาอสูรระดับสองต้องบาดเจ็บสาหัสในทุกการโจมตีได้แม้มันจะไม่ตายก็ตาม ในการสังหารราชาอสูรระดับสองหนึ่งตัวนั้นต้องยิงใส่ประมาณสองลูก! ในสนามรบนั้นนี้เป็นสิ่งที่มีประสิทธิภาพมาก ในแง่ของความร้ายแรงนั้น หลิวซีเยวนั้นเทียบได้กับเทพอสูร 20 คนเลยด้วยซ้ําเมื่อราชาอสูรระดับสองปีนขึ้นมา เธอสังหารมันไปได้ 17 ตัว ในขณะที่เทพอสูรคนอื่นๆบนกําแพงสังหารไปได้รวมกันแค่ 16 ตัวเท่านั้น
เพียงเท่านี้ก็น่าจะนึกออกว่าเทพอสูรนักเกาทัณฑ์นั้นทรงพลังมากแค่ไหน
“กันพวกราชาอสูรเอาไว้” ฟานเฉิงสั่งการ เทพอสูรคนอื่นๆเข้าไปร่วมโจมตีใส่ราชาอสูรระดับสองที่พึ่งปีนขึ้นมาในทันที
ส่วนพวกราชาอสูรที่บินอยู่น่ะเหรอ?
แม้ว่าราชาอสูรที่บินได้เกือบจะหนีไปได้ แต่พวกมันก็ถูกสังหารโดยลูกศรสามลูกของหลิวชีเยว่ดอกแรกสังหารมันตัวแรกไป ในขณะที่อีกสองดอกที่เหลือทะลวงผ่านปีกของอีกสองตัว และเพราะมันไม่สามารถดับไฟได้ ราชาอสูรบินได้ทั้งสองตัวนั้นก็ได้แต่ร่วงลงสู่พื้นที่มีความตายรอมันอยู่
เมื่อต้องเจอกับนักเกาทัณฑ์ที่ทรงพลังเช่นนี้แล้ว มันก็เป็นเรื่องยากที่จะหลบหนีตราบใดที่จํานวนของราชาอสูรที่บินได้นั้นมีน้อย
“สังหารนักเกาทัณฑ์นั่นซะ” ราชาอสูรระดับสองรุดเข้าไปที่หอคอยทีละตัว พวกมันต่างมองไปที่ทางหลิวชีเยว่มันรู้ว่าสิ่งที่เป็นอันตรายที่สุดนั้นคือนักเกาทัณฑ์ หลิวชีเยว่ยิ่งไปกว่านั้นการที่สังหารมนุษย์ที่มีร่างเทพวิหคเพลิงได้นั้นจะทําให้พวกมันได้รับแต้มจํานวนมหาศาล
ในขณะที่เหล่าเทพอสูรและราชาอสูรเข้าน้ํานั่นกัน อสูรจํานวนมากก็ถูกสังหารอย่างต่อเนื่องอย่างไรก็ตาม มันก็ยังมีบ้างบางตัวที่ปีนขึ้นกําแพงได้สําเร็จ พวกมันไม่กล้าเข้าปะทะกับเหล่าเทพอสูรระดับแดนอมตะเพราะมันไร้ประโยชน์ มันมีแต่จะตายเปล่าเท่านั้น!
พวกอสูรธรรมดาต่างกระโดดลงมาทีละตัวหลังจากที่ข้ามกําแพงชั้นในมาได้แล้ว มันกระโดดลงมาในพื้นที่โล่งๆที่กว้างประมาณหนึ่งลี้ เป็นพื้นที่ระหว่างกําแพงชั้นในและกําแพงชั้นนอก
มันเป็นทางโล่งยาวหนึ่งล้ําระหว่างกําแพงชั้นในและนอก มีเหล่าทหารมนุษย์คอยป้องกันเอาไว้อยู่! ยิ่งไปกว่านั้น ทางเข้าเองก็ยังมีเทพอสูรคอยคุ้มกันเอาไว้ด้วย! อสูรธรรมดาไม่มีทางที่จะผ่านทางนี้ไปได้
อสูรธรรมดาไม่สามารถพุ่งได้ไกลเป็นลี้ พวกมันทําได้แค่กระโดดลงมา เดินไปอีกหนึ่งลี้และปีนกําแพงสูงกว่า 30 จิ้งอีก! ที่แห่งนี้มีชื่อเรียกว่าถนนแห่งความตาย!
ฆ่ามัน!”
ทหารมนุษย์ที่อ่อนแอที่สุดในหมู่ทัพมนุษย์กว่าสองหมื่นคนก็อยู่ในระดับชําระแก่นแท้แล้วพวกเขาส่วนมากเข้าถึงพลังและบางคนก็เป็นถึงจอมยุทธระดับควบแน่นแก่นแท้ด้วยซ้ํา
จอมยุทธแทบทั้งหมดของมนุษย์นั้นต่างอยู่ในสนามรบ! นั่นก็เพราะพวกเขาจะรับแต้มได้จากสนามรบเพียงเท่านั้น พวกเขาสามารถแลกเปลี่ยนแต้มนั้นเพื่อเข้าสู่บ่อโลหิตเทพอสูรได้อย่างกลุ่มเล็กๆของเมิ่งเซียนกูตอนยังสาวเองก็เช่นกัน ส่วนหวินฟูเฉิงจากตระกูลหวินนั้นก็กลับสู่บ้านเกิดหลังจากที่รู้ว่าไม่มีหวังที่จะได้เป็นเทพอสูรหลังจากบาดเจ็บ
“ฆ่ามันซะ!”
“ฆ่าพวกมันให้ไว พอพวกอสูรพวกนี้ออกมาจากกําแพงได้ พวกเจ้าต้องใช้ทุกอย่างที่มีรวมไปถึงชีวิตเพื่อรั้งมันเอาไว้ ยิ่งเจ้าสังหารมันได้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี” หัวหน้าของกองทัพมนุษย์สั่งการทหารหลายคนที่พึ่งเข้ารับราชการทหารนั้นยังคงกังวลที่ต้องเจอกับอสูร แต่ว่าการฝึกฝนของพวกเขาจึงทําให้พวกเขาเข้าโจมตีอย่างเป็นระบบ
ฝนลูกศรทะลวงผ่านอากาศ
น้ํามันเดือดถูกเทลงมาพร้อมกับเปลวเพลิงที่โหมกระหน่ํา
สนามรบด้านหน้ากําแพงชั้นในคือนรก แต่ว่าพวกอสูรมีความอึดมหาศาล ร่างของพวกมันเทียบได้กับมนุษย์ในระดับก่อกําเนิด แม้จะถูกลูกศรที่มแทง แต่พวกมันก็ยังคงพุ่งเข้าใส่เปลวเพลิงและปืนกําแพงขึ้นไป
บางตนก็ตายไปในที่สุด แต่ก็ยังมีบางตนที่ยังคงปันกําแพงชั้นนอกขึ้นไป
จากนั้นการโจมตีระยะประชิดอันดุเดือดก็เริ่มขึ้น
แน่นอนว่ามีอสูรน้อยกว่าพันตัวที่สามารถปืนออกไปได้ พวกที่รอดนั้นต่างก็เป็นหัวกะทิของเหล่าอสูรธรรมดา! แม้ว่าเหล่าทหารจะร่วมมือกันได้อย่างดีเยี่ยม แต่พวกเขาก็ค่อยๆตายกันไปที่ละคน
ทหารเหล่านี้เข้าใจดีว่าการต่อสู้ในกําแพงชั้นในนั้นรุนแรงมากยิ่งกว่านี้อีก
“อย่าให้ราชาอสูรตัวไหนผ่านกําแพงชั้นในไปได้!” ฟานเฉิงคํารามด้วยความโกรธเกรี้ยว เขากระแทกโล่ขนาดใหญ่ลงบนพื้นจนเกิดเสียงดังลั่น แรงกระแทกนี้สังหารราชาอสูรระดับสองที่กําลังพุ่งเข้าใส่ไปเจ็ดตัวอีกหกตัวร่วงลงสู่สนามรบด่านล่าง
“รับทราบพี่ฟาน” เทพอสูรคนอื่นๆจัดกลุ่มเพื่อป้องกันไม่ให้พวกราชาอสูรขึ้นมาบนกําแพงได้
ตามแผนการแล้ว แม้พวกเขาจะต้องเอาชีวิตเข้าแลก แต่พวกเขาก็จะต้องกันราชาอสูรเอาไว้ให้ได้
เทพอสูรทั้งหกคนที่หน้าประตูพิภพนั้นต้องเจอกับการโจมตีที่หนักหน่วงเสียยิ่งกว่า แผนการของพวกอสูรต่างเป็นเช่นนี้ตลอด พวกมันเสียสละราชาอสูรระดับสามสิบตนเพื่อจะสังหารเทพอสูรมหาสุริยันของมนุษย์หนึ่งคน นั่นเป็นผลลัพธ์ที่เหล่าอสูรต่างต้องการ
ตอนที่141 เมิ่งชวนมือใหม่
เพิ่งชวนมองตรงไปที่ราชาอสูรตรงหน้าเขา พวกมันตัวใหญ่กว่ามนุษย์มากนักราชาอสูรต้นไม้ที่สูงที่สุดนั้นสูงกว่า 23 ๖ง ปกติแล้วราชาอสูรจะสูงประมาณ 3-5 จิ้ง มีเพียงราชาอสูรห้าตัวเท่านั้นที่เตี้ยกว่ามนุษย์ ที่เตี้ยที่สุดคือราชาอสูรหนู มันสูงเพียงสองฉือ แต่ว่าพละกําลังของมันก็แข็งแกร่งเป็นหนึ่งในห้าของราชาอสูรทั้ง 35 ตัวนี้เลย
ครืนๆๆ!
เทพอสูรและราชาอสูรเข้าปะทะกัน
เพิ่งชวนเห็นว่าเขตแดนผ้าไหมของหยางจึงอู่ถูกเขตแดนของอสูรจํานวนมากสะกดเอาไว้รัศมีของมันลดลงเหลือเพียง 20 จัง
“ไม่มีทางอื่นแล้ว เขตแดนของหยางจึงอู่นั้นแข็งแกร่งกว่าของราชาอสูรระดับสามมาก แต่ว่ามันมีมากเกินไป
ฟื้วๆๆๆ!
เหล็กในพิษสามดอกพุ่งผ่านอากาศมา มันทะลวงผ่านเขตแดนผ้าไหมเข้าไป เมิ่งชวนฟันตัดมันในทันที ลําแสงกระบี่นั้นงดงามราวกับกลีบดอกบัว ทุกๆการโจมตีเหมือนกับดอกบัวแดงที่เบ่งบานที่ปัดเหล็กในพิษสามดอกนั้นไป
เพียงพริบตาเพิ่งชวนก็ปัดการโจมตีระยะไกลของราชาอสูรเจ็ดตนจนหมด วิชากระบี่ของเขานั้นรวดเร็ว วิชาบัวแดงเองก็เป็นเพียงวิชาป้องกันเพียงอย่างเดียวของกระบี่จิตพิสุทธิ์ มันสามารถป้องกันการโจมตีระยะไกลได้อย่างง่ายดาย
“น้องเมิ่ง ระวังตัวไว้ให้ดี พวกอสูรมันเชื่อว่าเจ้าเป็นแค่มือใหม่ มันจะเน้นโจมตีมาที่เจ้า” มีเข ตแดนสีขาวดําอยู่รอบตัวมู่ฉิง เธอป้องกันการโจมตีระยะไกลเหล่านั้นด้วยดาบคู่ของเธอ
“มีราชาอสูรเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้นที่เก่งในด้านการโจมตีระยะไกล เกือบครึ่งต่างรุมโจมตีไปทางฝั่งน้องเมิ่ง หากหลังจากนี้เราเข้าโจมตีในระยะประชิด พวกมันจะต้องเล็งเจ้าแน่ๆ” มีหมอกสีเลือดปกคลุมรอบฉีฉิว เพียงสะบัดมือเขาก็ปัดการโจมตีระยะไกลออกไป
“หากพวกมันทําได้ก็ลองเลย” เมิ่งชวนรู้สึกผ่อนคลาย
ขณะนี้ ทั้งสองฝ่ายต่างหลบอยู่ในขอบเขตของตน
เหล่าอสูรนั้นมีราชาอสูรเพียงสิบตัวเท่านั้นที่สามารถโจมตีระยะไกลได้ และเมื่อโดนเขตแดนผ้าไหมกันเอาไว้ การโจมตีนั้นก็อ่อนกําลังลงอย่างมหาศาล แน่นอนว่ามันไม่เป็นอันตรายต่อเมงชวนมู่ฉิงและฉีฉิวแม้แต่น้อย
เพิ่งชวนและคนอื่นๆเห็นราชาอสูรอีก 25 ตนกําลังผ่านประตูพิภพเข้ามา ในอีกไม่ช้ามันจะเข้ามาถึงโลกมนุษย์ และหากพวกมันรวมกลุ่มกับราชาอสูรอีก 34 ตน มันจะมีราชาอสูณระดับสามทั้งหมด 59 ตน แน่นอนว่าพวกหัวกะทินั้นส่วนมากอยู่ในหมู่ 35 ตนแรก อย่างอสูรแรดที่พึ่งตายไปและด้วยอสูรที่มากขึ้นก็จะทําให้มันสามารถทนต่อการโจมตีของมนุษย์ได้
“ที่เราต้องทําคือการป้องกันด่านเปยเหอ1 การซื้อราชาอสูรพวกนี้เอาไว้ให้ได้คือเป้าหมายหลักการสังหารมันเป็นเรื่องรอง” จางหวินอู่กล่าวผ่านกระแสเสียง เหตุผลที่พวกเขากระโดดลงมาจากกําแพงก็เพื่อยื่อราชาอสูรเหล่านี้เอาไว้
พวกเขาไม่สามารถปล่อยให้ราชาอสูรพวกนี้ออกไปจากเมืองชั้นในได้! แต่ก็แน่นอนว่ากําแพงเมืองสูงกว่า 80 ทั้งที่เป็นอุปสรรคใหญ่ต่อเหล่าราชาอสูร
ราชาอสูรระดับสามสามารถพุ่งไปได้ไกลกว่าร้อยจิ้งเป็นเส้นตรง แต่ว่ามันจะกระโดดได้สูงไปแค่ไหนกัน? แน่นอนว่าไม่เท่ากับที่มันพุ่งไปข้างหน้าได้หรอก
เทพอสูรที่พึ่งกําเนิดใหม่และราชาอสูรระดับแรกนั้นสามารถกระโดดได้สูงประมาณ 20-30 จิ้งหากพวกเขาอยากจะกระโดดให้สูงกว่าเดิมซัก 10 จิ้ง พวกเขาก็ต้องแข็งแกร่งกว่านั้นถึงสองเท่า
เทพอสูรแดนอมตะและราชาอสูรระดับสองสามารถกระโดดได้สูง 30-40 ทั้ง เทพอสูรมหาสุริยันและราชาอสูรระดับสามกระโดดได้สูงประมาณ 50-60 ทั้ง
หากพวกมันอยากจะกระโดดได้สูง 80 ๖ง พวกมันก็ต้องพึ่งเขตแดน และแน่นอนว่ามันจะทําแบบนั้นได้ก็ต่อเมื่อเหล่าเทพอสูรไม่โจมตีใส่พวกมันอยู่เท่านั้น พวกมันอาจจะเหยียบบนเพื่อนขอ มันและกระโดดไปให้สูงกว่าเดิม และหากทําเช่นนี้มันจะสามารถกระโดดได้สูงกว่ากําแพง
แต่ว่าเพราะเหล่าเทพอสูรกําลังโจมตีใส่พวกมัน เหล่าราชาอสูรจึงต้องใช้พละกําลังที่มีทั้งหมดในการสู้กับพวกเขา และการจะไต่กําแพงในตอนนี้ก็มีแต่จะทําให้มันเป็นเป้าซ้อมยิงสําหรับนักเกาทัณฑ์อย่างหลิวชีเยว่ พวกมันอาจจะโดนทวนสั้นของจางหวินอู่ซัดเข้าใส่ด้วยซ้ํา
เพราะมีเทพอสูรคอยต่อสู้ยื้อพวกมันเอาไว้ กําแพงเมืองก็เพียงพอที่จะรั้งเหล่าราชาอสูรเอาไว้พวกมันส่วนมากไม่ใช่นก อันที่จริงแล้วพวกอสูรไม่อยากจะพาราชาอสูรนกระดับสามมาด้วยซ้ําเพราะหากพวกมันทําเช่นนั้น เหล่าจอมยุทธจะรุดเข้าไปจับพวกมันอย่างเต็มกําลัง และหลังจากนั้นพวกมันก็จะถูกควบคุมและกลายเป็นสัตว์ขี่บินได้สําหรับมนุษย์
สําหรับมนุษย์แล้ว ราชาอสูรส่วนมากจะถูกสังหารลงอย่างไร้ปราณี อย่างไรก็ตาม พาหนะที่บินได้นั้นมีประโยชน์มาก ยิ่งมันบินได้ไวเท่าไหร่ เหล่าเทพอสูรก็ชอบมากเท่านั้น เพราะว่าพวกเขาก็จะไปไหนมาไหนได้ไวกว่าเดิม
เพิ่งชวนพบว่ามันแปลก เพราะแม้จะอยู่บนสนามรบกันกับเทพอสูรอีกห้าคน แต่ทั้งสองด้านดูจะเข้าปะทะกันในจุดเล็กๆ
“ราชาอสูรชุดที่สองออกมาแล้ว ระวังตัวด้วย” จางหวินอู่กล่าวอย่างเคร่งขรึม
เพิ่งชวนเองก็เห็น
ราชาอสูรกลุ่มแรกวางกําลังเป็นกองโล่และรอให้ราชาอสูรกลุ่มที่สองออกมา ความแข็งแกร่งของเหล่าราชาอสูรที่ร่วมมือกันเพิ่มขึ้นมากในทันที
“พวกราชาอสูรมากันหมดแล้ว” ตรงกลางขบวนทัพของราชาอสูร มีอสูรหญิงชุดสีดําที่ส่งเสียงดังไปทั่วให้เหล่าราชาอสูรได้ยิน “เทพอสูรของด่านเปยเหอหายไปสองคน เกอคงกับอู่ฉีฉิวแต่ว่ามันส่งเทพอสูรหน้าใหม่มาสองคน เพิ่งชวนกับหลิวชีเยว่ หลิวชีเยวมีร่างเทพวิหคเพลิงลูกศรของเธอมีเพลิงของวิหคอยู่ พวกเจ้าทุกคนระมัดระวังตัวเอาไว้ ในหมู่เทพอสูรตรงหน้าพวกเราทั้งหกนั้นมีเพิ่งชวนอยู่ เมิ่งชวนเป็นศิษย์ของเขาหยวนชูและมีร่างอสูรตัดสายฟ้าที่สมบูรณ์แบบวิชากระบี่ของมันเองก็เร็วมากเช่นกัน มันไวกว่าพวกเราแน่ๆ แต่มันก็มีจุดอ่อน อย่างแรก ร่างของมันค่อนข้างจะอ่อนแอกว่าร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษร่างอื่นๆ ตราบใดที่พวกเราสามารถรั้งมันไว้ได้เราก็จะสามารถสังหารมันได้ภายในสองถึงสามการโจมตีอย่างที่สองมันยังมีประสบการณ์น้อย นัก นี่เป็นศึกครั้งแรกของมันเราสามารถใช้ประโยชน์ข้อนี้ได้”
“พวกเราสามารถล่อให้มันใช้ความเร็วของมันได้ ตราบใดที่มันกล้าพุ่งเข้ามาและทิ้งระยะห่างจากเพื่อนของมัน พวกเราก็จะสามารถสังหารมันได้ภายในครั้งเดียว” อสูรในผ้าคลุมสีดํากล่าว“พวกเราจะเน้นการโจมตีไปที่มัน หากมันตายแล้วเราจะเปลี่ยนไปเน้นคนอื่น”
“รับทราบ” ไม่มีราชาอสูรตนไหนขัดขืน
ลําดับชั้นในหมู่อสูรนั้นเข้มงวดมาก อสูรแมงมุมสาวตัวนี้คือตัวที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกมันมันเป็นลูกหลานของปราชญ์อสูรและถูกกําหนดเอาไว้ให้เป็นผู้นําราชาอสูรตัวอื่นๆได้แต่ต้องเคา รพมัน
“โจมตี!” อสูรในชุดสีดําออกคําสั่ง
เหล่าราชาอสูรที่ระมัดระวังต่างโจมตีอย่างบ้าคลั่งในทันที
เมื่อแปดร้อยปีก่อนพวกมันได้พบกับโลกมนุษย์ เหล่าอสูรนั้นทําตามกฎแห่งปาทุกๆวัน พว
เงาอนหงายอนนอน กมันจะต่อสู้กันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด!อสูรและราชาอสูรมากมายต้องตายไปจากการทําฟันกันเอง!ในคราวนี้พวกอสูรส่งพวกมันและราชาอสูรที่น่าจะต้องตายในการต่อสู้นั้นให้มาโจมตีมนุษย์แทน!พวกมันถึงกับใช้ระบบแต้มและสมบัติเพื่อเป็นแรงจูงใจให้พวกมันด้วยซ้ําในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มหาอํานาจของเหล่าอสูรนั้นก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆและพละกําลังของมันก็เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน
ผู้นําของแดนอสูรเองก็ยังให้ผู้นําของแต่ละเขต “โควต้าตาย” ด้วยเช่นกัน จํานวนราชาอสูรที่ตายไปจะช่วยเพิ่มการสร้างราชาอสูรเซ็ตใหม่ขึ้นมา
มนุษย์เองก็รู้เรื่องนี้ แต่พวกเขาก็ทําอะไรไม่ได้
โอ๊ะ? สีหน้าเพิ่งชวนเปลี่ยนไป
เหล่าราชาอสูรที่ตอนแรกซ่อนอยู่ในเขตแดนหลายชั้นของมันก็พุ่งเข้าใส่เขตแดนผ้าไหมและเข้าประชัดในทันที
ส่วนมากเหล่าราชาอสูรจะเก่งในด้านการโจมตีระยะประชิด
” ตาย!”
ราชาอสูรที่ทรงพลังสิบสองตัวพุ่งเข้าใส่เพิ่งชวน มันมีหางสีดํายาว เล็บแหลมเปื้อนเลือด ขวานหินขนาดยักษ์…. บางตัวมีแม้กระทั่งเถาวัลย์ หนวดรยางค์และเหล็กในที่แทงขึ้นมาจากพื้นด้วยซ้ํา! เถาวัลย์และหนวดนั้นพยายามจะมัดตัวเมิ่งชวนพร้อมกับที่เหล็กในนั้นพุ่งเข้าใส่ตรงอกของเมิ่งชวน
นั่นก็เพราะเพิ่งชวนนั้นค่อนข้างจะตัวเล็ก ข้างหลังเขาคือเทพอสูรอีกห้าคน พวกเขาสามารถโจมตีจากอีกทางได้เท่านั้น จํานวนราชาอสูรที่สามารถโจมตีใส่เขาได้มากที่สุดคือ 12 ตัวมีสามตัวที่เป็นหัวกะทิพวกมันแข็งแกร่งพอๆกับฉีฉิวและมู่ฉิง
ระวังด้วย”
“น้องเมิ่ง ระวังตัว” เทพอสูรอีกหน้าคนต่างตระหนก แม้ว่าพวกเขาจะคาดเอาไว้แล้วว่าพวกอสูรจะเล็งไปที่เพิ่งชวนแต่การทุ่มขนาดนี้นั้นมันเกินไป ในตอนนี้มีราชาอสูรหัวกะทิอยู่เพียงเจ็ด ตน และมีเพียงสี่ตนที่เก่งในการต่อสู้ระยะใกล้แต่ว่าตอนนี้พวกมันสามตัวกําลังโจมตีใส่เพิ่งชวนอย่างนั้นรึ?
จางหวินอู่หยิบทวนสั้นสีเลือดสองเล่มที่สะพายอยู่บนหลังออกมา พวกมันคืออาวุธที่เขาใช้ในการต่อสู้ระยะประชิด
ในแง่ของการต่อสู้ระยะประชิด เขานั้นแข็งแกร่งที่สุด แต่ในการโจมตีระยะไกลนั้น เขาแข็งแกร่งกว่าอีก
เมื่อดูเผินๆก็จะเห็นว่ามีเทพอสูรสามคนกําลังถูกเมิ่งชวน มู่ฉิงและฉีฉิวปกป้องอยู่ แต่อันที่จริงแล้วจางหวินอู่และหยีหยานจะเข้าปะทะในตอนสําคัญเท่านั้น มีเพียงหยางจึงอู่เท่านั้นที่ไม่เก่งในการต่อสู้ระยะประชิด
หยูฉีหยานชักกระบี่อ่อนออกมาและใช้ภาพลวงตาเพื่อให้มันส่งผลต่อเหล่าราชาอสูรโดยตรงแม้เธอจะไม่สามารถควบคุมมันได้ แต่ราชาอสูรที่โดนผลนี้เข้าไปจะทําให้มันใช้พลังได้เพียง 4-5 ส่วนเท่านั้น พวกที่มีจิตใจกล้าแข็งเองก็โดนไปด้วยเช่นกัน แต่พวกมันจะอ่อนแอลงเพียง 1-2 ส่วน เท่านั้น การจะทนต่อภาพลวงตาของเธอได้นั้นก็ต้องควบแน่นแก่นสารแห่งจิตให้ได้ก่อนเท่านั้น
เพิ่งชวนตั้งใจกับการต่อสู้ตรงหน้าอย่างเต็มที่ เขตการรับรู้ของเขาครอบคลุมระยะ 20 จิ้งรอบตัวนั่นทําให้สนามรบที่ดูวุ่นวายนั้นชัดเจนสําหรับเขามาก เขารู้ได้ทันทีว่าจะต้องปัดการโจมตีไหนออกไปก่อน
กระแสพลังวินาศสีดําลอยออกมาจากตัวเมิ่งชวน มันส่งผลต่อเหล่าราชาอสูร การโจมตีของพวกมันอ่อนแอลงเล็กน้อย จากนั้นลําแสงกระบี่ของเขาก็เบ่งบานราวกับดอกไม้
จู่ๆก็มีเพิ่งชวนโผล่ขึ้นมาแปดร่าง ทําให้พวกราชาอสูรหาตัวจริงของเขาได้ยาก! นั่นก็เพราะร่างทุกร่างคือร่างจริง! เพราะเขาเร็วมาก มันจึงทําให้เขาดูเหมือนจะแยกเป็นแปดร่างได้มันดูราวกับว่าเขาโจมตีเข้ามาพร้อมๆกันจากทั้งแปดด้าน
การโจมตีของราชาอสูรทั้ง 12 ถูกปัดออกไปอย่างง่ายดาย เพิ่งชวนป้องกันได้อย่างสมบุณร์แบบ
“อะไรกัน?”
“นี่มัน…”
“มันกันเอาไว้ได้เรอะ?”
ราชาอสูรทั้ง 12 ต่างประหลาดใจ อย่างที่สุภาษิตได้กล่าวเอาไว้ สองหมัดไม่เท่ากับสี่แขนหากเพิ่งชวนพลาดเพียงครั้งเดียวก็อาจจะทําให้ราชาอสูรทั้ง 12 โจมตีต่อได้ แต่ว่าการป้องกันของเพิ่งชวนนั้นไร้ที่ติ เขาไม่ได้โจมตีกลับ เขาแค่ป้องกันอย่างเดียว!
หลังจากป้องกันในส่วนของเขาไปแล้ว หยางจึงอู่ หยูฉีหยาน และจางหวินอู่ก็ไม่โดนอะไรแม้แต่น้อย
“วิชาการป้องกันของน้องเมิ่งดีกว่าข้าเสียอีก คงมีแค่ฟานเฉิงล่ะมั้งที่สามารถเทียบกับเขาได้”จางหวินอู่เก็บทวนสั้นสีเลือดสองอันกลับไปและหยิบทวนสั้นธรรมดาออกมา จากนั้นเขาก็ซัดมันออกไปในทันที ทวนสั้นเปลี่ยนเป็นลําแสงสีทองและพุ่งเข้าใส่หัวของราชาอสูรวัวที่อยู่ไกลออกไป 6 จิ้ง! การที่ศัตรูอยู่ตรงหน้าพวกเขานั้นมันอันตรายก็จริงแต่มันก็ทําให้สามารถสังหารพวกมันได้ง่ายขึ้นเช่นกัน
ตอนที่140 การต่อสู้ครั้งแรกหลังจากมาถึง
ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 7:45 น.
มีทหารกว่าสองร้อยนายคอยประจําการอยู่ในกําแพงเมืองด่านชั้นในหนึ่งชั่วยามก่อนจะเปลี่ยนกะ นั่นจะทําให้เหล่าทหารมีความตื่นตัวเต็มที่ตลอดเวลาในขณะประจําการ มีทหารธรรมดากว่า 20000 นายในด่านเปยเหอ ดังนั้นหน้าที่ประจําการจึงเป็นเรื่องง่าย แน่นอนว่าเมื่ออสูรบุกครั้งใหญ่เข้ามา ทหารจํานวนมากก็จะต้องเข้าร่วมการต่อสู้นองเลือดอันโหดร้ายนั้น โอกาสตายของมนุษย์นั้นสูงมากๆ หลายคนที่รอดก็พิการ นั่นคือหลักฐานของความโหดร้ายของสงครามระหว่างมนุษย์และอสูร
เหล่าทหารจ้องมองไปที่ประตูพิภพด้วยความไม่ประมาท ข้างๆพวกเขามีเจ้าหน้าที่คอยสังเกตการณ์อยู่ด้วย! ถ้าหย่อนยานล่ะก็จะโดนลงโทษขนานหนักแน่
“หือ?”
จู่ๆก็มีร่างอันน่าสะพรึงสามสิบห้าร่างปรากฏขึ้นมาจากประตูพิภพ ประตูพิภพนี้สามารถรองรับราชาอสูรระดับสามให้ข้ามมาได้พร้อมกัน 35 ตัว!
“ราชาอสูรบุกแล้ว!” เหล่าทหารตอบสนองต่อสถานการณ์ตรงหน้าและตะโกนอย่างรวดเร็ว
ตึงๆๆๆๆ! ทหารคนหนึ่งตีกลองเต็มแรง เสียงกลองนั้นดังไปทั่วทั้งด่านเปยเหออย่างรวดเร็ว
ภายในที่พักของเมิ่งชวน เขากําลังฝึกวิชาดวงใจกระบี่อยู่ หลิวชีเยว่ไปที่ลานฝึกยิง สําหรับนักเกาทัณฑ์ระดับมหาสุรยันแล้วนั้นในที่พักไม่มีที่กว้างพอสําหรับฝึก
ตึงๆๆๆๆ!
เสียงกลองดึงความสนใจของเมิ่งชวนไป เสียงกลองดังเป็นสัญญาณของการต่อสู้ เขารอมาเนิ่นนานแล้ว เขาเฝ้ารอที่จะได้ต่อสู้ตั้งแต่อยู่บนเขาหยวนชูแล้ว
ในที่สุดมันก็มา!” ดวงตาของเมิ่งชวนเป็นประกายและเปลี่ยนเป็นสายฟ้า เพียงแวบเดียวเขาก็ไปถึงกําแพงชั้นนอกใกล้ๆคฤหาสน์ เขาพุ่งเข้าไปในเมืองด่านชั้นในในทันที
“พวกมันมากันอีกแล้วรี” จางหวินอู่ที่กําลังฝึกวิชาทวนก็หยุดมือลง เพียงแค่สะบัดมือ เขาก็พุ่งไปพร้อมกับทวนสั้นจํานวนหนึ่ง
“พี่เขย!” หยางจิงอู่เองก็แบกทวนสั้นจํานวนมากไปยังกําแพงเมืองในทันที
ซื้อซิ่วที่กําลังนอนอยู่ที่หอนางโลมก็เบิกตาขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงกลอง เขารีบวิ่งออกจากที่นั่นไป เสื้อและรองเท้าบนเตียงหายไป หญิงสาวชุดนอนสีแดงที่อยู่บนเตียงยังดูงุนงงอยู่ แม้ว่าเธอจะยังงๆ แต่เมื่อได้ยินเสียงกลองดังลั่นก็ตื่นขึ้นเต็มตา อันที่จริงแล้วเธอเป็นนางโลมชื่อดังของหอนางโลมเลย
เหล่าอสูรบุกด่านเปยเหอ? เธอลุกจากเตียงก่อนจะเดินไปใส่ชุดของเธอและไปที่ระเบียงแล้วมองไปทางกําแพงชั้นใน
เหล่าทหารเคลื่อนพลกันอย่างรวดเร็ว เหล่าเทพอสูรเองก็รีบมุ่งหน้าไปที่นั่น
“เราจะชนะ เราจะต้องชนะ” หญิงสามคนนั้นกุมมือภาวนาอย่างเงียบๆ
มันเริ่มแล้ว คนจํานวนมากบนถนนมองไปที่กําแพงชั้นใน ภายในกําแพงชั้นในนั้นจะกลายเป็นสนามรบนองเลือด เทพอสูรและทหารคือกําแพงอันแข็งแกร่งเพื่อป้องกันเหล่าอสูร
เราจะต้องชนะ ผู้คนต่างภาวนา แม้ว่าพวกเขาจะพบเจอการบุกรุกของอสูรสอง งสามครั้งต่อปี แต่เหล่าประชาชนของท่านเปยเทวนต่างรู้สึกเป็นกังวลทุกครั้ง พวกเขารู้ว่าหากด่านเปยเหอพังลงจะเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ขึ้นเป็นแน่
สายฟ้าเส้นหนึ่งพุ่งลงบนกําแพงเมือง นั่นคือเมิ่งชวน
เมิ่งชวนเป็นคนแรกที่ไปถึงกําแพงเมืองชั้นใน เขาใส่ชุดสีน้ําเงินเข้ม เขาห้อยกระบอสูรสังหารไว้ตรงเอวและจ้องมองไปที่ประตูพิภพ ราชาอสูรสามสิบห้าตัวพยายามจะเดินออกมาจากประตูพิภพนั่น
ฟุบๆๆๆ!
เทพอสูรคนอื่นๆค่อยๆมาถึงที่ละคน
จางหวินอู่ หลิวซีเยว่ มู่ฉิง หยูจีหยาน จางหวินอู่ ฉีผิว และฟานเฉิงมายืนข้างๆเมิ่งชวน
“ประตูพิภพนั้นยาวกว่าสิบปิ้ง ในขณะที่มันกําลังเข้ามามันจะถูกช่องว่างคอยขัดขวาง” จางห วินอู่ “ประตูพิภพอันนี้ใหญ่มาก มันทําให้ราชาอสูรระดับสามสามารถผ่านเข้ามาได้ในไม่กี่วินาที แต่ว่าหากราชาอสูรระดับสาม 35 ตัว พยายามจะผ่านเข้ามาพร้อมๆกัน มันจะต้องใช้เวลามากก ว่าเดิมในการผ่านเข้ามามาก มันจะต้องใช้เวลาเกือบนาทีกว่าจะผ่านเข้ามาได้”
เมิ่งชวนและหลิวชีเยวพยักหน้า พวกเขาเป็นเพียงมือใหม่แต่ก็รู้เรื่องนี้ ยิ่งแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งผ่านประตูพิภพเข้ามาได้ยากมากเท่านั้น
“หากมันบุกเข้ามาแค่ตัวสองตัวพวกเราสามารถสังหารมันได้อย่างง่ายดาย แต่หากมีราชาอสูรระดับสาม 35 ตัวบุกเข้ามาพร้อมๆกันมันก็เป็นเรื่องยากอยู่แล้ว”
“ไปกันเถอะ”
“ไปสังหารราชาอสูรพวกนั้นกัน”
พวกเขากระโดดลงจากกําแพงในทันที เมิ่งชวนมองไปที่หลิวชีเยวและพยักหน้าก่อนจะกระโดดลงไปพร้อมกับจางหวินอู่ฉีฉิว และคนอื่นๆ
มีเพียงหลิวชีเยว่กับฟานเฉิงเท่านั้นที่ยังอยู่บนกําแพง เทพอสูรเกาทัณฑ์สองคนรีบวิ่งเข้าไปหาพวกเขา
“ศิษย์พี่หลิว ศิษย์พี่ฟาน” เทพอสูรสองคนนั้นถ่อมตน พวกเขาเป็นศิษย์ของเขาหยวนชูและเป็นเทพอสูรระดับแดนอมตะ! แต่ว่าลูกศรของพวกเขานั้นสามารถทําอันตรายต่อราชาอสูรระดับสามได้
“ข้าจะปกป้องพวกเจ้าอย่างดีเลย” ฟานเฉิงถือโล่ขนาดใหญ่ด้วยมือข้างหนึ่งและค้อนในอีกข้าง
โล่ขนาดใหญ่กระแทกลงบนพื้นของกําแพงพร้อมกับพลังปราณของฟานเฉิงที่ถูกปล่อยออกไปทั่วทิศทาง เขาสร้างเขตแดนสี่ธาตุ ดิน น้ํา ลม ไฟ ขนาดกว้างกว่าร้อยจิ้งรอบตัวเขา
ฟานเฉิงเรียนรู้ร่างเทพอสูรระดับสูงมา ร่างเทพจตรลักษณ์ เขาเกิดมาพร้อมกับพละกําลังที่กล้าแข็งและรากฐานเทพอสูรที่แข็งแกร่ง และเขาเองก็ยังเก่งกาจในวิชาโล่และค้อน เขาสามารถสู้กับราชาอสูรระดับสามได้ถึงสิบตัวพร้อมๆกัน และด้วยเขตแดนจตุรลักษณ์ของเขานั้น มันทําให้เขาเก่งกาจในการปกป้องผู้อื่น เขารับหน้าที่ปกป้องเทพอสูรนักเกาทัณฑ์ และแน่นอนว่าหลิวชีเยว่เองก็ทรงพลังมากเช่นกัน
“อาชวน ระวังตัวด้วยนะ หลิวชีเยว่กระชับเกาทัณฑ์ในมือและมองลงไปจากกําแพงเมือง เฝ้า รอโอกาสเปิดฉากยิง
เทพอสูรมหาสุริยันทั้งหกลงมาจากกําแพงที่สูงกว่า 80 จัง พื้นนั้นเต็มไปด้วยน้ํา มองแวบแรกมันอาจจะดูเหมือนทะเลสาบ แต่ว่าน้ําในนี้นั้นสูงเพียงสิบห้าฉือเท่านั้น
“ดีเลย” เมิ่งชวนยืนอยู่บนผิวน้ําและพยักหน้าเบาๆ น้ําขนาดนี้เพียงพอแล้ว
“ทําตามแผนไว้” จางหวินอู่กล่าว
“รับทราบ” อีกห้าคนตอบรับในทันที ในการต่อสู้ พวกเขาต้องทําตามคําสั่งและต้องไม่บุ่มบ่าม
เมิ่งชวน มู่ฉิง และฉีฉิวจะนําการโจมตี หยางจึงอู่ หยูจีหยาน และจางหวินอู่จะคอยป้องกัน
ฟ้วๆๆๆๆ
ด้ายสีฟ้านับไม่ถ้วนทะลวงผ่านอากาศและรวมพลังฟ้าดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว ด้ายสีฟ้าเหล่านั้นเพิ่มจํานวนมากขึ้นและเปลี่ยนกลายเป็นเขตแดนที่กว้างกว่าหนึ่งลื้อย่างรวดเร็ว จางหวินอู่ทุ่มเทชีวิตและการฝึกฝนไปกับเขตแดนนี้ เธอเชี่ยวชาญในการใช้เขตแดนนี้มาก เทพอสูรคนอื่นๆในด่านเปยเหอต่างด้อยกว่าเธอในด้านของเขตแดน
เขตแดนของจางหวินอู่ หลิวชีเยวและฟานเฉิงนั้นมาพร้อมกับร่างเทพอสูรของพวกเขา แต่ว่าเขตแดนของพวกเขานั้นค่อนข้างจะเล็ก และหน้าที่ของพวกมันนั้นต่างออกไป เขตแดนเพลิงของหลิวชีเยวนั้นมีไว้เพื่อสังหารศัตรู มันช่วยเหลือเพื่อนได้ไม่ดีมากเท่าไหร่นัก เขตแดนพลังวินาศของเมิ่งชวนเองก็เหมือนกัน ส่วนเขตแดนจตุรลักษณ์ของฟานเฉิงนั้นเหมาะแก่การป้องกันมากกว่า!
อีกอย่าง หลิวชีเยว่เก่งกาจในด้านของเกาทัณฑ์ เมิ่งชวนเก่งในวิชากระบี่ และจางหวินอู่ก็เก่งในด้านทวนสั้น หยางจึงอู่นั้นเน้นในด้านเขตแดนเพียงอย่างเดียว เขตแดนของเธอนั้นมีประโยชน์มาก เธอสามารถหยุดยั้ง ขัดจังหวะ โจมตี และป้องกันศัตรูให้ออกไปได้ เธอเป็นคนที่สําคัญต่อเทพอสูรคนอื่นๆมากๆ
“ระวังตัวให้ดี พวกมันกําลังมาแล้ว” จางหวินอู่พูดเสียงต่ํา
เมิ่งชวนหรี่ตามองประตูพิภพ
ไม่ว่าจะเป็นเทพอสูรที่อยู่ด้านล่างหรือเทพอสูรที่อยู่ด้านบนกําแพงกับทหารต่างทําสีหน้าเคร่งเครียด
“ราชาอสูรสามสิบห้าตัว มีเจ็ดตัวที่ไม่รู้ว่ามันทําอะไรได้” จางหวินอู่กล่าว “ทุกคนระวังตัวให้
เมิ่งชวนอ่านเอกสารมาหมดแล้ว มนุษย์ต่างรู้ความสามารถของราชาอสูรที่เคยต่อสู้ด้วยมาก่อน การจะวางแผนต่อสู้กับศัตรูที่ไม่เคยเจอมาก่อนนั้นเป็นเรื่องยาก
“มันกําลังมา”
เมิ่งชวนรู้สึกได้ว่าเลือดกําลังเดือดพล่าน แต่สติของเขายังคงชัดเจนแจ่มแจ้ง
ในตอนที่ราชาอสูรทั้ง 35 ตัวเดินออกมาจากประตูพิภพนั่นเอง
โจมตี เพียงหยางจึงอู่คิด ก็มีด้ายสีฟ้าคมกริบจํานวนนับไม่ถ้วนพุ่งแทงเข้าใส่ราชาอสูรอย่างคล่องแคล่ว
ลูกศรเพลิงสามลูกพุ่งมาจากกําแพงเมืองและไปถึงประตูพิภพในทันที ราชาอสูรระดับสามพากันใช้วิชาของพวกมัน ราชาอสุรสองตัวมีเถาวัลย์จํานวนมากเติบโตออกมาจากร่างของมัน อสูรสมิงส่งเสียงคําราม ปล่อยให้ลมอสูรสีดํากระแทกออกมา! ราชาอสูรบางตัวสะบัดมือปล่อยหมอกพิษออกมา ราชาอสูรบางตัวก็สร้างหนามสีดําและหนวดรยางค์ฝังลงไปบนพื้น
ราชาอสูรระดับสามสิบกว่าตนจู่โจมเข้ามาพร้อมๆกัน พวกที่เก่งในด้านการโจมตีระยะประชิดอย่างเดียวได้แต่ยั้งมือ
ลูกศรสามลูกของหลิวชีเยวนั้นทําให้ราชาอสูรที่พึ่งออกมาจากประตูพิภพต้องบาดเจ็บสาหัสในทันที พวกมันร่วมมือกันไม่ได้สมบูรณ์แบบ
ราชาอสูรแรดเอามือขนาดยักษ์ของมันออกมารับลูกศรหนึ่งลูกอย่างไม่ใส่ใจ! ลูกศรแทงทะลุมือของมันไปและเปลวเพลิงก็ลุกขึ้นเผาไหม้กลืนกินมันเข้าไป มันไม่สามารถดับไฟนั้นได้ มือของมันกําลังจะหายไปแล้ว! ยิ่งไปกว่านั้น เปลวเพลิงนั่นก็เริ่มลามไปทั่วร่างของมันอย่างรวดเร็ว
ในขณะที่กําลังตื่นตระหนก จางหวินอู่ก็ซัดทวนสั้นเข้าไปเต็มแรง มันเปลี่ยนเป็นลําแสงสีทอง และเร็วมากจนอากาศบิดเบี้ยว หลังจากที่ราชาอสูรแรดถูกลูกศรทะลวงไปแล้วมันก็ต้องเจอกับทวนที่โผล่ขึ้นมาตรงหน้ามันอีก มันพยายามยกมือซ้ายขึ้นมากัน แต่มันก็รับเอาไว้ไม่ได้และทวนเล่มนั้นก็แทงทะลุหวของมันไป
ราชาอสูรแรดระดับสามที่เนื้อหนังนั้นแข็งแกร่งก็ตายคาที่ตรงนั้น
จางหวินอู่นั้นแข็งแกร่งเทียบได้กับเฟิงโหวเทพอสูร เขาสามารถสังหารราชาอสูรระดับสามได้อย่างง่ายดายตราบใดที่มีโอกาส
” ระวัง”
“นั่นคือนักเกาทัณฑ์หลิวชีเยว่ อย่าปล่อยให้เพลิงของมันสัมผัสตัวเจ้าได้” เหล่าราชาอสูรเองก็มีข้อมูล แม้พวกมันจะไม่รู้ว่าเมิ่งชวนและหลิวชีเยว่มาที่ด่านเปยเหอ แต่พวกมันก็รู้ข้อมูลเบื้องต้นของเมิ่งชวนและหลิวซีเยว่
ซุบบบ!
เถาวัลย์จํานวนมากกระจายออกไปและล้อมพื้นที่โดยรอบในขณะที่ลมสีดํากําลังโหมกระหน่ํา
ผ้าใยที่แข็งแกร่งวนรอบราชาอสูรกว่าสามสิบตัว มันเริ่มสร้างเขตแดนขึ้นมา การลอบโจมตีของหลิวชีเยวนั้นได้ผลมาก เพราะศัตรูไม่รู้ว่ามีเธออยู่และทําให้พวกมันขาดเขตแดนสําหรับป้องกัน
ลูกศรสามดอกพร้อมกับทวนหนึ่งเล่มทําให้ราชาอสูรต้องตาย
“ดีมาก” จางหวินอู่และมู่ฉิงดูโล่งใจ การที่สามารถสังหารราชาอสูรระดับสามได้ตั้งแต่ที่พวกมันบุกเข้ามานั้นเป็นเรื่องยาก เพราะไม่ว่ายังไงราชาอสูรพวกนั้นก็ร่วมมือกันในการต่อสู้อยู่ดี การจะสังหารไปซักตัวนั้นไม่ง่ายเลย
“ฆ่ามัน!” จางหวินอู่สั่ง
“น้องเมิ่งไม่ต้องห่วง พวกเราจะช่วยเจ้าเอง” มู่ฉิงและฉีฉิวส่งกระแสเสียงไปหาเมิ่งชวนเพื่อที่เขาจะได้ผ่อนคลายลง ทั้งคู่นั้นรับหน้าที่ในการปกป้องคนที่เหลือไปพร้อมกับเมิ่งชวน
แต่ละคนต่างมีทําหน้าที่ในแต่ละด้าน มู่ฉิงและฉีฉิวต่างเตรียมการช่วยเสริมเมิ่งชวนเอาไว้แล้ว เขาจะไม่เป็นไรหากเริ่มชินกับมันแล้ว
“รับทราบ” เมิ่งชวนระมัดระวังตัวมาก เขาตรวจดูรอบข้างด้วยขอบเขตสัมผัสของเขาและพุ่งไปพร้อมกับมู่ฉิงและฉีฉิว
เหล่าเทพอสูรและราชาอสูรในตอนนี้อยู่ไม่ไกลจากกันมาก เพียงพริบตาทั้งสองฝ่ายก็เข้าปะทะกัน เมิ่งชวนได้ยินเสียงหายใจดังลั่นของราชาอสูรได้เลยด้วยซ้ํา
“มาแล้วล่ะ!” เลือดในตัวของเขาเดือนพล่านพร้อมกับจิตใจที่มุ่งมั่น เขากระชับกระบอสูรสังหารในมือและมองดูราชาอสูรที่พุ่งเข้ามา
ตอนที่ 139 ฝน
ทางทิศเหนือของกําแพงชั้นในด่านเปยเหอ
เมิ่งชวนมองลงมา กําแพงเมืองนั้นสูงกว่า 80 จิ้ง (240 เมตร) คนธรรมดาคงจะขาสั่นเมื่อต้องมองลงจากความสูงขนาดนี้แล้ว!
ประตูพิภพที่ยาวประมาณสองและกว้างประมาณครึ่งลิ้นั้นทําให้เกิดจิตสังหารก่อตัวขึ้นในใจ เมิ่งชวนอีกฝั่งของประตูพิภพนั้นคือต้นเหตุของความทุกข์ทรมาณของมนุษย์มากมายในช่วงเวลากว่า 800 ปีที่ผ่านมา เมิ่งชวนได้กลิ่นเลือดที่คละคลุ้งไปทั่ว ทหารและเทพอสูรมากมายต้องสิ้นชีพลง ณ ที่แห่งนี้ แต่ถึงอย่างนั้นก็มีอสูรที่ต้องสิ้นชีพลงไปมากเสียยิ่งกว่า
“เป็นยังไงบ้าง?” จางหวินอู่เดินมาข้างๆและมองลงไป “ได้มองลงไปเป็นครั้งแรกรู้สึกยังไงบ้างล่ะ?”
“ยังดีขอรับ” เมิ่งชวนพยักหน้าน้อยๆ “เราสามารถปล่อยน้ําลงพื้นได้รึเปล่า? หรือของจําพวกโซโลหะ?”
“เจ้ากําลังคิดอะไรอยู่รึ?” จางหวินอู่ใจสั่น
“อย่างที่ท่านรู้ ข้าใช้สายฟ้าได้” เมิ่งชวนมองลงไป “หากข้าไม่มีตัวกลาง ผลของสายฟ้าข้ามันอาจจะด้อยลง เพราะพลังงานเดินทางผ่านฉนวนไม่ได้ แต่หากเราทําให้พื้นเต็มไปด้วยน้ําหรือโซ่ พลังสายฟ้าของข้าก็จะปกคลุมไปทั่วทั้งสนามรบในทันทีขอรับ”
แววตาของจางหวินอู่เป็นประกายก่อนจะถามอย่างเคร่งขรึม “มันจะทรงพลังแค่ไหน?”
“ทุกสิ่งที่ระดับต่ํากว่าราชาอสูรจะตายในทันที ราชาอสูรระดับสองจะบาดเจ็บสาหัส และจะส่งผลต่อราชาอสูรระดับสามเพียงเล็กน้อย” เมิ่งชวนกล่าว “แต่ว่าวิธีการนี้คงจะได้ผลดีที่สุดในครั้งแรกเท่านั้น ในอนาคตพวกศัตรูคงจะระมัดระวังในสิ่งนี้กันแล้ว”
“ด่านเปยเหอไม่มีโซ่มากขนาดนั้น แต่พสกเราสามารถสร้างแอ่งน้ําตื้นๆได้สบายมาก” จางหวินอู่กล่าวยิ้มๆ
ตกกลางคืน
“ข้าอัดพื้นข้างล่างให้แน่นแล้ว น้องหยานเจ้าเรียกฝนมาได้เลย” จางหวินอู่สั่ง ในด่านเปยเหอ มีเทพอสูรกว่า 31 คน แต่ละคนนั้นต่างเก่งกันคนละด้าน อย่างบางคนสามารถเรียกลมฝนได้ และบางคนก็สามารถควบคุมไฟและสายฟ้าได้
“ได้เลยพี่จาง” หยานจุนควบคุมสภาพแวดล้อมด้วยปราณในทันที เธอสามารถใช้เขตแดนวารีเพื่อควบคุมน้ําได้ ดังนั้นการเรียก “ฝน” จึงเป็นเรื่องง่ายสําหรับเธอ
ฝนเริ่มตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ภายใต้สายฝนที่โปรยปรายก็ค่อยๆมีน้ําขังที่บนพื้น
“พอลึก 3 ฉือแล้วให้หยุด” จางหวินอู่สั่ง
“เจ้าค่ะ” หยานจุนพยักหน้าอย่างตั้งใจ เธอใช้เขตแดนของเธอเพื่อเรียกฝนต่อไป
อีกด้านของประตูพิภพ
ในแดนอสูรเองก็มีกองกําลังอสูรถูกประจําการเอาไว้อยู่ตลอดเวลาเช่นกัน เหล่าอสูรมีความได้เปรียบอย่างมหาศาล ดังนั้นแล้วพวกมันจึงไม่กลัวที่มนุษย์จะบุกเข้ามาแม้แต่น้อยเพราะนั่นจะเป็นการฆ่าตัวตาย เวรยามนั้นไม่จําเป็น แต่พวกมันก็ยังต้องระมัดระวังกับดักของมนุษย์ในโลกอีกฝั่งอยู่ดี ดังนั้นแล้วพวกมันจึงมักจะส่งอสูรชั้นต่ําเพื่อไปดูสถานการณ์อันที่จริงแล้วกับดักทุกชนิดนั้นมี ผลเพียงเล็กน้อยต่อกองกําลังของราชาอสูรไม่คุ้มค่าที่จะทํากับดักแม้แต่น้อย
“ฝนตกในโลกมนุษย์” อสูรเสือโคร่งยืนหัวขนาดใหญ่ของมันผ่านไปและมองดูโดยรอบอย่างระมัดระวัง มันเห็นฝนที่ตกหนักในโลกมนุษย์ได้อย่างชัดเจน “ฝนตกค่อนข้างหนักเลย”
พวกอสูรไม่ได้คิดอะไรมาก พายุจะเข้าก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอ?
วันที่ 29 กุมภาพันธ์ ในตอนกลางคืน สามเดือนหลังจากที่เมิ่งชวนมาถึงด่านเปยเหอ
ภายในห้องพักในคฤหาสน์
เมิ่งชวนนั่งขัดสมาธิและกินยาพันดาราอีกเม็ดเข้าไป นี่เป็นยาพันดาราเม็ดที่สิบแล้วที่เขากินไปในคืนนี้ จากนั้นเขาก็ใช้พลังแก่นสารแห่งจิตและสารวจร่างกายของเขาดูอย่างละเอียด ไม่ใช่เพื่อการเสริมกําลัง! แต่เพื่อการสํารวจร่างกายล้วนๆ เขาสํารวจร่างกายอย่างละเอียดโดยใช้วิชาลับ เขาฝึกร่างกายด้วยระบบการฝึกฝนที่เขาได้รับมาจากถ้ําสวรรค์หยวนชู แต่ละส่วนของร่างกายถูกตรวจสอบอย่างละเอียดโดยวิชาลับ เขาสามารถเห็นอานุภาคเล็กใหญ่ได้อย่างชัดเจน
จากมุมมองของเขาในตอนนี้ เมิ่งชวนสามารถเห็นได้ว่าร่างของมนุษย์นั้นถูกสร้างขึ้นมาโดยอานุภาคเล็กๆจํานวนนับไม่ถ้วน เมิ่งชวนรู้สึกตกตะลึงเมื่อได้รับวิธีการฝึกฝนนี้ แต่เขาก็ยังฝึกฝนต่อไปอยู่ดี ต้องขอบคุณร่างเทพอสูรที่ทรงพลังของเขา พร้อมกับแก่นสารแห่งจิตขั้นสอง และระดับวิชาที่สูง มันทําให้เขาสร้างรากฐานขึ้นมาได้สําเร็จโดยใช้ผลึกดาราที่ได้รับมาจากถ้ําสวรรค์ หยวนชู และในตอนนี้เขาก็ฝึกฝนอยู่ในระดับเพชร
คนที่ฝึกในระดับเพชรนั้นจะฝึกฝนร่างกายในระดับที่ลึกกว่า เขาสามารถมองเห็นอานุ ภาคขนาดเล็กมากมายได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นกล้ามเนื้อ ผิวหนัง กระดูก อวัยวะภายใน เลือด หรือสิ่งใดๆในร่างกายของเขาต่างถูกสร้างขึ้นมาด้วยอานุภาคเล็กๆนับไม่ถ้วน ระดับเพชรนั้นจะสามารถรวมอานุภาคเล็กๆจํานวนนับไม่ถ้วนเหล่านี้เข้าด้วยกันได้ด้วยพลังของจิตวิญญาณกระบี่ เมื่ออานุภาคเล็กๆเหล่านี้รวมเข้าด้วยกันมันก็จะแข็งแกร่งขึ้นอย่างมหาศาลก่อให้เกิดกายาเพชรขึ้นมา
ฟูวๆๆๆ!
เมิ่งชวนชักนําพลังปราณจํานวนมหาศาลไปด้วยจิตกระบี่ เขาคุมการเคลื่อนไหวของพวกมัน และใช้พลังของแก่นสารแห่งจิตในการเสริมกําลังอานุภาคเล็กๆเหล่านั้น
นี่เป็นวิธีการฝึกฝนที่ละเอียดและซับซ้อน มันยากยิ่งกว่าการเสียบดอกไม้ลงบนเม็ดข้าวเสียอีก ผู้ที่ฝึกฝนระดับเพชรนั้นจะต้องเสริมพลังของอานุภาคเล็กๆในร่างกายเหล่านั้นให้หมด! และนั่นต้องใช้พลังจํานวนมหาศาล ต้นกําเนิดพลังของเมิ่งชวนนั้นมาจากพลังปราณ และเขาต้องใช้ยาพัน ดาราเพื่อเสริมพลังปราณอย่างต่อเนื่อง เขาต้องใช้ยาพันดาราถึงสิบเม็ดในช่วงการฝึกฝนสองชั่ว ยามของเขา
แต่ว่านั่นก็ยังต้องใช้เวลาถึงครึ่งปีกว่าจะสําเร็จระดับเพชร! โชคดีที่เมิ่งชวนฝึกฝนที่ยอดเขานานาอัสนีตอนที่อยู่ที่เขาหยวนชู ดังนั้นในตอนนั้นเขาจึงใช้ยาพันดาราไปน้อยมากจึงทําให้เก็บยาพัน ดาราเอาไว้ได้กว่า 2000 เม็ด ซึ่งมันก็เพียงพอต่อการผ่านพ้นระดับเพชรไปได้อย่างฉิวเฉียด
ในตอนนี้เขาอยู่ในระดับเพชรมาได้สองเดือนแล้ว แต่เขาก็ยังอยู่ห่างไกลจากการฝึกฝนระดับเพชรได้เสร็จสมบูรณ์
ผิวของเขาเปล่งแสงราวกับหยก
พลังของเขาเพิ่มมากขึ้น แต่จู่ๆพลังของเขาก็ถูกดูดกลับเข้าไปในร่างทําให้เขาดูเหมือนปกติ เมิ่งชวนเปิดตา “การฝึกฝนนี้ใช้ยาพันดารามากมาย แต่มันก็คุ้มค่ามากๆ ข้าฝึกกายาเพชรมาได้สองเดือนแล้ว และร่างของข้าก็แข็งแกร่งขึ้น”
เขาฝึกฝนผิวหนังของเขาในช่วงสองเดือนที่ผ่านมาตลอด ในตอนนี้ผิวหนังของเขานั้นเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงแล้ว หากศัตรูฟันใส ผิวหนังของเขาก็สามารถดีดอาวุธนั้นออกไปได้โดยอัตโนมัติ และเมื่อรวมเข้ากับเกราะปราณของเขาแล้ว เมิ่งชวนสามารถทนต่อการโจมตีของราชาอสูรระดับสามหัวกะทิได้เลยด้วยซ้ํา
ที่สําคัญที่สุด เส้นลมปราณของเขาเองก็เปลี่ยนไปเช่นกัน พวกมันยืดหยุ่นมากขึ้น เมิ่งชวนรู้สึกยินดี การระเบิดพลังปราณของเขาแข็งแกร่งขึ้นกว่าเก่าถึงสามเท่า เขาสามารถปล่อยพลังปราณได้มากกว่าเดิมและเสริมความแข็งแกร่งให้ร่างกายได้อย่างมหาศาล ความแข็งแกร่งโดยรวมของเขาเพิ่มขึ้นประมาณห้าส่วน
ถ้าข้าฝึกฝนกายาเพชรได้สําเร็จ ข้าก็จะแข็งแกร่งมากยิ่งกว่าเดิม การฝึกฝนร่างกายนี้มีความต้องการหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นแก่นสารแห่งจิต ฯลฯ ในโลกมนุษย์นั้นการฝึกฝนนี้จะไปถึงจุดสูงสุดที่เพียงแค่ระดับหยาดโลหิตเท่านั้น สําหรับจอมยุทธระดับสรรค์สร้างแล้ว ระบบนี้ถือได้ว่าปานกลาง แต่เมิ่งชวนรู้สึกพึงพอใจมากๆ
หลังจากที่ฝึกฝนเสร็จ เมิ่งชวนก็ออกจากห้องฝึกและกลับไปที่ห้องนอน
หลิวชีเยว่หลับไปแล้ว เมื่อเขาเดินเข้าไปเธอก็ตื่น
“เจ้าใช้เวลาฝึกฝนวิชาลับของเจ้าเยอะมากเลยนะ” หลิวซีเยว่กล่าวยิ้มๆและลุกขึ้นนั่ง “แต่ว่ามันต้องเป็นวิชาที่ดีแน่ๆหากมันช่วยให้เจ้ามีโอกาสรอดมากขึ้น”
เธอเป็นนักเกาทัณฑ์ เธอต้องซ่อนตัวอยู่ไกลๆและยิงออกไป
ส่วนเมิ่งชวนนั้นต้องต่อสู้กับราชาอสูรในระยะประชิด หลิวชีเยวมีความสุขมากที่เขาได้วิชาลับนี้มา
“แต่มันก็ใช้ยาพันดาราไปเยอะอยู่” เมิ่งชวนยิ้มก่อนจะถอดเสื้อผ้าเข้านอน
“พวกเราพึ่งจะมาที่นี่แล้วก็ยังไม่ได้สู้เลยซักครั้ง” หลิวชีเยว่กล่าวเบาๆ “พวกเราจะได้แต่งงานกันเมื่อไหร่นะ?”
“ก่อนอื่นพวกเราก็ต้องตั้งตัวใช่มั้ยเล่า?” เมิ่งชวนกอดหลิวชีเยว่เบาๆ ชีวิตของเทพอสูรนั้น แขวนไว้อยู่บนเส้นด้าย ไม่มีใครรู้ว่าจะมีพรุ่งนี้สําหรับเขารึเปล่า พวกเขาคบกันแล้วก็จริง แต่ก็ยังต้องมีงานแต่งงาน
“หลังจากที่พวกเราตั้งหลักในด่านเปยเหอได้แล้ว พวกเราก็จะมีสถานะเพียงพอ จากนั้นพวกเราก็จะได้ชวนพ่อกับคนอื่นๆมางานแต่งของเรา ไม่มีใครในด่านเปยเหอจะบ่นได้หรอก” เมิ่งชวนกล่าว “ในตอนนี้พวกเราทั้งคู่ยังเป็นเทพอสูรหน้าใหม่ พวกเรายังไม่มีผลงานอะไรเลย หากพวกเราแต่งงานตอนนี้ คนก็คงจะเริ่มนินทาพวกเรา งานแต่งงานเป็นสิ่งที่สําคัญมากสําหรับพวกเรา ข้าอยากทําให้มันสมบูรณ์แบบมากที่สุดเท่าที่จะทําได้”
“อืม” หลิวชีเยว่เอนตัวลงบนแขนของเมิ่งชวน “ข้าสงสัยจังว่าเมื่อไหร่อสูรจะบุกเข้ามา บางครั้งข้าก็หวังว่าพวกอสูรจะไม่กลับมาอีกเลย แต่ข้าก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้”
“พวกเราก็แค่ต้องเตรียมตัวทุกเวลา” เมิ่งชวนกล่าวอย่างใจเย็น
แต่ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็ไม่ได้คาดคิดเลยว่าจะได้พบกับการต่อสู้นองเลือดครั้งแรกของพวกเขาในวันพรุ่งนี้นี่เอง
ตอนที่ 138 วางแผนส่งเสริมกัน
จางหวินอู่ก็ยิ้มเช่นกัน “ปกติแล้วมีเพียงเฟิงโหวเทพอสูรกับราชันเทพอสูรเท่านั้นที่ได้รับหน้าที่คนลาดตระเวน มีเทพอสูรมหาสุริยันเพียงไม่กี่คนหรอกที่ได้รับหน้าที่คนลาดตระเวน”
“จําไว้นะเมิ่งชวน หลังจากที่ไปเสริมกําลังเสร็จเรียบร้อยแล้วให้กลับมาที่ด่านเปยเหอในทันที” เฟิงโหวเมฆาใต้กล่าว
“ขอรับ” เมิ่งชวนตอบ เขารู้ว่าเขาได้เป็นคนลาดตระเวณก็เพราะความเร็วที่เทียบได้กับราชันเทพอสูรของเขา
เมือง 18 เมืองรอบๆด่านเปยเหอนั้นอยู่ในรัฐที่ต่างกันสามรัฐ
“เหล่าอสูรโจมตีด่านเปยเหอเพียงสองสามครั้งต่อปี” จางหวินอู่กล่าว “ศิษย์น้องเมิ่ง เจ้าต้องไปป้องกันพื้นที่เหล่านั้นเพียงปีละครั้งสองครั้งเท่านั้น และส่วนมากก็ใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วยามเท่านั้น! ข้าว่าการโจมตีนั้นมันคงไม่เกิดขึ้นพร้อมกันหรอก น้องเมิ่ง พวกเรายื้อไหวหากระมัดระวังกัน”
“ใช่แล้ว บอกให้เกอคงกับอู่จี่ฉิวเตรียมตัว ข้าจะต้องไปเมืองอื่นอีก” เชิงโหวเมฆาใต้สั่ง
“ได้เลย พวกเขาเตรียมเสร็จเรียบร้อยนานแล้ว” จางหวินอู่พยักหน้า
จากนั้นไม่นาน เมิ่งชวนและหลิวชีเยว่ก็ไปส่งเฟิงโหวเมฆาใต้และคนอื่นๆกลับไป
เฟิงโหวเมฆาใต้พาศิษย์เทพอสูรอีกสามคนพร้อมกับเทพอสูรอีกสองคน เกอคงกับอู่จี่ฉิวที่จะถูกส่งไปที่ไหนซักที่หลังจากที่เมิ่งชวนและหลิวชีเยว่มาถึงด่านเปยเหอ
“ พวกเจ้าทั้งคู่แกร่งกว่าพวกข้า” อู่จี่ฉิวกล่าวในขณะที่เดินออกไป “ดีแล้วที่พวกเจ้ามาที่ด่าน เปยเหอ พี่หญิงหยู พี่หญิงมู่ กับน้องฉีค่อนข้างจะแปลกหน่อยๆ แต่ว่าเจ้าสามารถฝากชีวิตไว้กับพวกเขาได้”
” เข้าใจแล้ว” เมิ่งชวนพยักหน้า
อู่จีนิวเป็นนักเกาทัณฑ์ เขามีตราศักดิ์สิทธิ์สีทองอยู่ตรงหว่างคิ้ว
เมิ่งชวนเองก็ฝึกตราอัสนี พวกมันอยู่บนหลังของเขา มันช่วยเพิ่มพลังสายฟ้าให้เขาอย่างมากหลิวชีเยว่เองก็มีตราวิหคเพลิงที่หลังเช่นกัน
“งั้นเราก็ไปกันเถอะ”
“ฮ่าๆ ในที่สุดพวกเราก็ใกล้บ้านเกิดขึ้นมาอีกนิดแล้ว” ทั้งคู่หัวเราะและขึ้นขี่นกสีแดงเพลิง
“ไปกันเถอะ” เฟิงโหวเมฆาใต้ตบคอนกเบาๆก่อนที่นกจะบินทะยานสู่ท้องฟ้าไปทางตะวันออกเฉียงใต้ในทันที
“ข้าเห็นว่าพวกเจ้าขอที่จะอยู่บ้านหลังเดียวกัน ข้าเลยจัดการให้แล้ว” จางหวินอู่ยิ้มกริ่ม ในขณะที่ยืนอยู่หน้าคฤหาสน์หรูหรา “เป็นยังไงเล่า? ไม่แย์ใช่ไหมล่ะ?”
เมิ่งชวนและหลิวชีเยวพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
สามารถมองเห็นกําแพงรอบนอกของด่านเปยเหอได้จากด้านหลังที่พักเลยด้วยซ้ํา! ที่พักของเทพอสูรในด่านเปยเหอนั้นใกล้กับกําแพงส่วนนอก เมื่อเสียงกลองดังขึ้น เหล่าเทพอสูรก็จะสามารถไปที่เมืองชั้นในได้อย่างรวดเร็ว
“พักผ่อนก่อนเถอะ คืนนี้มาที่บ้านข้าก่อน ข้าเตรียมงานเลี้ยงเอาไว้แล้ว เทพอสูรของท่านเปยเหอทุกคนจะมาร่วมด้วย” จางหวินอู่กล่าวยิ้มๆ “ทุกคนจะได้รู้จักกัน”
“เข้าใจแล้วขอรับ” เมิ่งชวนและหลิวชีเยวพยักหน้า
เหล่าพ่อบ้านและคนรับใช้คอยจัดการคฤหาสน์ให้ พวกเขาถูกจ้างมาโดยรัฐบาลเพื่อรับใช้เทพอสูร พวกเขาเหล่านี้ขยันกันมากๆ
ในคืนนั้น ที่บ้านพักของนายพลด่านเปยเหอ
เทพอสูรทั้ง 31 คนมารวมตัวกัน นายพลจางหวินอู่ และผู้พันทั้งเก้า เมิ่งชวน หลิวชีเยว ฟาน เฉิงฉีฉิว หยูจีหยาน มู่ฉิง หยางจึงอู่ฉิว และเฟิงเฉียนฟาน พร้อมกับผู้บัญชาการอีก 21 คนคือกองกําลังหลักของด่านเปยเหอ
เมิ่งชวนถือจอกที่เต็มไปด้วยเหล้าพูดคุยทําความรู้จักกับเหล่าเทพอสูร
เทพอสูรที่ด่านเปยเหอต่างมีหน้าที่ของตน
ผู้พันสองคนฉิวซีและเฟิงเฉียนฟานนั้นนําทัพเทพอสูรธรรมดา 19 คนและทหารมนุษย์เพื่อจัดการอสูรธรรมดาและราชาอสูรที่อ่อนแอ แม้ว่านิ้วชี้และเฟิงเฉียนฟานเองก็จะเป็นเทพอสูรมหาสุริยัน แต่พวกเขาต่างเป็นศิษย์นิกายนอกที่มีร่างเทพอสูรระดับกลางเท่านั้น พวกเขาค่อนข้างจะอ่อนแอกว่าผู้พันคนอื่นๆนิดหน่อย ในแง่ของความแข็งแกร่งแล้ว พวกเขาอ่อนแอกว่ามาก แต่ว่าพวกเขามีประสบการณ์มากมายในการนําทัพ ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงได้รับหน้าที่ให้จัดการกับอสูรธรรมดาและราชาอสูรที่อ่อนแอ
จางหวินอู่และนายพันอีกเจ็ดคน พร้อมกับผู้บัญชาการที่เป็นนักเกาทัณฑ์ต่างเป็นศิษย์ของเขา หยวนชู พวกเขาคือกําลังหลักในการต่อสู้กับราชาอสูรระดับสาม
“อาชวน” หลิวชีเยว่นั่งกับเมิ่งชวนและกล่าวผ่านกระแสเสียง “พี่จางดูเป็นคนตรงไปตรงมาดูเข้ากันได้ง่ายนะ”
เมิ่งชวนมองไปที่จางหวินอู่อย่างเห็นด้วย ใบหน้าของเขาตอนนี้แดงแจ๊ไปเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ จางหวินอู่ให้ความรู้สึกที่ทําให้ทุกคนเชื่อถือเขา! สมกับเป็นผู้นําที่เจนศึกอย่างแท้จริง
“ศิษย์พี่ฟางเฉิงกับศิษย์พี่หญิงหยางจิงอู่ก็ดูเป็นคนอารมณ์ดี” หลิวชีเยว่กล่าว “ศิษย์พี่ฉีฉิว ศิษย์พี่หญิงขี่หยาน แล้วก็ศิษย์พี่มู่ฉิงดูจะพิเศษกว่าคนอื่น”
เมิ่งชวนพยักหน้าเล็กน้อย
“ศิษย์น้องเมิ่ง” ฉีฉิวในชุดสีขาวที่กําลังดื่มสาเกก็หัวเราะ “จากนี้ไปพวกเราจะร่วมมือกันสังหารศัตรู นับจากพรุ่งนี้ไปเรามาฝึกด้วยกันเถอะ ข้าไม่อยากไปพลาดท่าที่สนามรบเพราะร่วม มือกันไม่ดี”
“ได้เลยขอรับ” เมิ่งชวนพยักหน้า
แววตาของฉีฉิวดูร้ายกาจขึ้นมาแวบหนึ่ง ได้ยินมาว่าฉีฉิวนั้นค่อนข้างจะเกเร เขามักจะอยู่ตามสถานเริงรมณ์อยู่ตลอด เขาฝึกร่างเทพสว่างโชติ ร่างเทพอสูรที่เจ็บปวดที่สุดในการฝึกฝน เมิ่งชวนประหลาดใจกับคําอธิบายของมัน แต่ว่าฉีฉิวก็ยังฝึกฝนมันได้สําเร็จและสําเร็จถึงระดับมหาสุริยันเลยด้วยซ้ํา ไม่สามารจินตนาการได้เลยด้วยซ้ําว่าต้องเจ็บปวดมากขนาดไหนกว่าจะมาถึงจุดๆนี้ได้
“ข้าด้วย มาฝึกด้วยกันเถอะ” พี่หญิงมู่ฉิงที่สะพายดาบไว้สองเล่มบนหลังนั่งลงและพูดอย่างเย็นชา “ข้าไม่อยากให้ใครต้องมาตายเพราะเจ้า เมิ่งชวน”
“พวกเจ้าทั้งสองคนประเมินศิษย์น้องเมิ่งต่ําไปแล้ว” หยูจีหยานบิดปากหัวเราะเสียงหัวเราะของเธอนั้นอ่อนโยนพร้อมกับเสน่ห์อันตราตรึง “ศิษย์น้องเมิงมีร่างอสูรตัดสายฟ้าที่สมบูรณ์แบบ พบเจอได้เพียงไม่กี่ร้อยปีเท่านั้น ในตอนที่พวกเราสังหารราชาอสูรอยู่ การมีศิษย์น้องเมิ่งคอยช่วยคงจะทําให้อะไรๆง่ายขึ้นมาก”
พี่หญิงหยูจีหยานนั้นฝึกร่างอสูรลวงตา! เมืองด่านขนาดกลางทุกเมืองจะมีเทพอสูรที่ฝึกร่างอสูรลวงตาอยู่ นั่นก็เพราะเทพอสูรเหล่านี้สามารถคุมสติของศัตรูได้! แม้จะคุมราชาอสูรไม่ได้ก็จริง แต่ก็ยังสามารถขัดขวางได้ในการต่อสู้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเช่นนั้น พวกเขามีประโยชน์อย่างมาก
“ฝึกด้วยกันเถอะๆ” ฉีฉิวดูมีความสุขมาก “ศิษย์น้องเมิ่ง ศิษย์น้องมู่ไม่คุยกับข้าด้วยซ้ําถึงข้าจะไปหาเธอประจําก็ตาม ต้องขอบคุณเจ้าจริงๆ”
“ข้าจะฝึกกับเมิ่งชวน เจ้าไม่เกี่ยว” พี่หญิงมู่ฉิงพูดต่ออย่างเย็นชา “ข้ากลัวว่าเมิ่งชวนจะเป็นภาระให้ข้า ส่วนเจ้าน่ะเหรอ? เจ้าอยู่ในสนามรบนานกว่าข้าเสียอีก ไม่จําเป็นที่เจ้าจะต้องฝึกร่วมมือกับข้าเลย”
สีหน้าของฉีฉิวดูหมองลงในทันที “ก็ได้ งั้นข้าจะดูอยู่ข้างๆละกัน”
มู่ฉิงแค่นเสียงอย่างเย็นชา
เมิ่งชวนได้แต่กระพริบตาปริบๆ เขาสัมผัสได้ว่าความสัมพันธ์ฉีฉิว หยูจีหยาน และมู่ฉิงนั้นไม่ธรรมดา
“การฝึกการร่วมมือกันเป็นเรื่องดี ทุกคนควรฝึกด้วยกัน” จางหวินอู่กล่าวยิ้ม “การฝึกอย่างต่อเนื่องจะทําให้พวกเรามีประสิทธิภาพในสนามรบมากขึ้นและลดความผิดพลาดลง พวกเจ้าจะมั่นใจเพียงเพราะเจ้านั้นแข็งแกร่งไม่ได้! ในสนามรบ พวกเราต้องพึ่งความแข็งแกร่งของคนรอบข้างด้วย! มันไม่ใช่การต่อสู้คนเดียว เจ้าคิดว่าจะสามารถสังหารราชาอสูรนับร้อยด้วยตัวคนเดียวได้อย่างนั้นรึ?”
เมิ่งชวนพยักหน้า
เมื่อเกิดสงครามขนาดใหญ่ในเมืองด่านขนาดกลางเช่นนี้แล้ว พวกเขามักจะต้องพบกับราชาอสูรนับร้อย แต่พวกเขามีเทพอสูรเพียง 31 คนเท่านั้น! แต่ว่าในการต่อสู้เหล่านี้ก็ยังต้องพึ่งความ แข็งแกร่งของแต่ละคนอยู่ดี อย่างเมิ่งชวนสามารถจัดการกับราชาอสูรระดับสามสิบตัวได้ด้วยตัวคนเดียว สําหรับนักเกาทัณฑ์อย่างหลิวซีเยวนั้นทรงพลังมากกว่า ส่วนนายพลอย่างจางหวินอู่นั้น เขาแข็งแกร่งกว่าเมิ่งชวนและหลิวชีเยว่มาก เพราะไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นเทพอสูรที่ไปถึงระดับเต๋าแล้ว ในแง่ของระดับวิชาอาวุธของเขา เขาเทียบได้กับเฟิงโหวเทพอสูรเลยด้วยซ้ํา
มู่ฉิง ฉีฉิว ฟางเฉิง หยูจี้หนาน และหยางจึงอู่นั้นต่างแข็งแกร่ง เมื่อร่วมมือกันพวกเขาอาจจะแข็งแกร่งกว่าเดิมเมื่อส่งเสริมซึ่งกันและกัน การจะสังหารราชาอสูรระดับสามสามสิบตัวนั้นง่ายมากๆ แต่ว่าเหล่าอสูรเองก็รวบรวมราชาอสูรระดับสามและเหล่าชั้นสูงมามากเช่นกัน และมัน จะเป็นอันตรายหากพวกเขาต้องปะทะกันเป็นกลุ่ม
แน่นอนว่าเมืองด่านขนาดกลางก็ต้องมีการป้องกันหลายแบบไว้อยู่แล้ว! แต่หากพวกอสูรส่ง เหล่าระดับสูงมามากเกินไปก็อาจเป็นไปได้ที่พวกมันจะเป็นฝ่ายสังหารมนุษย์แทน! และยังมีโอกาสที่มนุษย์เองจะไม่สามารถยื่อเมืองด่านเอาไว้ได้และพ่ายแพ้ไปด้วย
นี่คือสงคราม! ทุกๆอย่างมันคาดเดาไม่ได้
ประตูพิภพที่คงตัวนั้นอยู่ด่านเปยเหอชั้นในและมีเหล่าทหารธรรมดาคอยลาดตระเวนทุกวัน
การบุกรุกครั้งใหญ่นั้นจะเกิดแค่ปีละสองสามครั้ง นั่นก็เป็นเพราะแต่ละครั้งนั้นสร้างความเสียหายอย่างมหาศาล! เพราะอย่างน้อยอสูรธรรมดาก็ถูกสังหารไปเป็นจํานวนมหาศาล และเป้าหมายของมนุษย์เองก็คือการที่จะไม่ให้มีอสูรตัวไหนหลุดรอดไปจากด่านเปยเหอนี้ได้!
สงครามนั้นโหดร้าน มนุษย์สูญเสียคนไปมหาศาล แต่อสูรสูญเสียไปมากกว่าเพราะความเสียเปรียบด้านพื้นที่ ดังนั้นแล้วจึงมีระยะห่างระหว่างการบุกแต่ะละครั้งที่นานพอสมควรกว่าเหล่าอสูรจะบุกเข้ามาอีกครั้ง
“จําไว้ พวกเราต้องปกป้องน้องหยูกับน้องหยางในตอนที่สู้กับราชาอสูร” จางหวินอู่กล่าว “น้องหยางมีเขตแดนที่สามารถช่วยพวกเราในยามคับขันได้ น้องหยูก็สามารถจู่โจมเข้าไปในจิตใจของพวกราชาอสูรได้ หากมีพวกเขาอยู่เราก็จะสามารถจัดการกับราชาอสูรได้ง่ายกว่าเดิม” จางหวินอู่บอกข้อมูลสําคัญที่เมิ่งชวนควรรู้เมื่อเข้าสู่สนามรบ
แม้ว่าหลายคนจะเข้าใจอะไรพวกนั้นอยู่แล้วในการต่อสู้ แต่พวกเขาก็ยังต้องบอกอยู่ดี!
“ขอรับ” เมิ่งชวนพยักหน้ารับฟัง
หลิวขี่เยว่มองดูเมิ่งชวน จางหวินอู่ ฉีฉิว หยูจีหยาน มู่ฉิงและจางหวินอู่พูดคุยกันเกี่ยวกับการร่วมมือกันจากไกลๆ เธอไม่มีส่วนร่วมในวงสนทนานั้น
ในฐานะนักเกาทัณฑ์ สิ่งที่เธอต้องทําก็คือการอยู่ในจุดที่ปลอดภัยที่สุดของเมืองและยิงจากไกลๆ ยิ่งไปกว่านั้น เธอยังมีฟานเฉิงคอยปกป้องเธออีก! มันทําให้อะไรง่ายกว่าเดิมมาก
เมิ่งชวนกับอีกห้าคนต้องเข้าต่อสู้ในระยะประชิด นั่นหมายความว่าพวกเขาต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ในการต่อสู้เช่นนี้ การร่วมมือกันเป็นส่งที่สําคัญมาก ศัตรูจะแข็งแกร่งก็ไม่กลัว แต่เพื่อนร่วมทีมโง่นี่สิถึงจะน่ากลัว สหายที่โง่เขลาจะทําให้คนอื่นๆด้อยตามไปด้วย เมิ่งชวนเข้าใจในจุดนี้
เขาตัดสินใจแล้วว่าจะทําตามที่พี่จางหวินอู่กล่าว “ช่วงแรกๆอย่าไปเสี่ยงเด็ดขาด เจ้าต้องระมัดระวังให้มาก หลังจากที่พวกเราเริ่มคุ้นเคยกันแล้ว เราจะค่อยหาวิธีร่วมมือไปด้วยกัน”
“เข้าใจแล้วขอรับ” ในฐานะมือใหม่ในด้านนี้ เมิ่งชวนจึงถ่อมตัวมาก
มือใหม่ไม่จําเป็นต้องแข็งแกร่ง พวกเขาแค่ไม่ต้องเป็นภาระให้สหายร่วมรบก็พอ ไม่อย่างนั้นพวกเขาอาจต้องเสียใจกับการกระทําไปตลอดชีวิต
ตอนที่ 137 หน้าที่อื่น
พวกเขาลงจากเขาหยวนชูในตอนเช้าและไปถึงด่านไปเหอในตอนบ่าย
“ด่านเปยเหออยู่ด้านหน้า” เฟิงโหวเมฆาใต้ชี้ไปทางข้างหน้า
เมิ่งชวนและหลิวชีเยว่ตั้งใจองไปที่ด้านหน้า
เมืองด่านสูงใหญ่ปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเขา เมืองเหล่านี้ต่างจากเมืองอื่นๆในประวัติศาสตร์ เมืองด่านสําหรับป้องกันเหล่าอสูรนั้นค่อนข้างจะพิเศษ ด่านเปยเหอนั้นถูกแยกออกเป็นเมืองชั้นในและเมืองชั้นนอก! เมืองชั้นในนั้นมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3 กําแพงของเมืองแห่งนี้สูงกว่า 80 จิ้งและหน้ากว่า 20 จิ้ง! ราวกับภูเขาสูงใหญ่ การที่มนุษย์จะสร้างอะไรแบบนี้ได้นั้นเป็นเรื่องยาก เมืองด่านขนาดกลางเช่นนี้ถูกสร้างขึ้นโดยราชันเทพอสูรเองโดยตรง
ราชันเทพอสูรนั้นสามารถเคลื่อนภูเขา ตัดและเคลื่อนหินผานับไม่ถ้วนได้ และเมืองด่านก็ถูกสร้างขึ้นมาแบบนั้นนั่นเอง
เมืองรอบนอกนั้นล้อมเมืองรอบในเอาไว้ มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 5 ลี้ และกําแพงเมืองก็สูง 30
“นั่นคือประตูพิภพ” เมิ่งชวนและหลิวชีเยวมองดู
ข้างในเมืองชั้นในคือประตูพิภพ มันกว้างประมาณสองลี้และยาวประมาณครึ่งลี้! เมื่อมองผ่านประตูไปก็จะเห็นแดนอสูรได้ลางๆ
หลิวชีเยวมองลงไปและพูดผ่านกระแสเสียง “ต่อจากนี้ไปอีกสามปีนี้จะเป็นสนามรบของพวกเรา”
“ใช่” เมิ่งชวนพยักหน้า
มีคนมากมายอาศัยอยู่ในด่านเปยเหอ หลายหมื่นหลายแสนคน การที่อสูรชั้นต่ําที่สามารถบินได้หลุดไปผ่านด่านเปยเหอไปได้จะทําให้ป้อมรอบๆเป็นอันตรายได้ ดังนั้นจึงไม่มีหมู่บ้านหรือป้อมขนาดใหญ่อยู่รอบๆในระยะหลายลี้ ป้อมเพียงป้อมเดียวคือด่านเปยเหอ! เทพอสูรมนุษย์จะต้องจัดการกับราชาอสูรเป็ฯหลัก พวกเขาไม่สามารถจัดการกับอสูรทุกตนได้
สําหรับมนุษย์ธรรมดาแล้วนั้น เมืองเปยเหอนั้นค่อนข้างจะปลอดภัย มันปลอดภัยกว่าป้อมที่อยู่รอบๆเสียอีก ในการที่จะต่อสู้ในสนามรบต่อไปได้นั้นต้องมีทหารมนุษย์กว่า 2หมื่นคนที่ประจําการอยู่ที่นี่ตลอดเวลา 3หมื่นคนรับหน้าที่จัดการเสบียง และมีช่างฝีมือกว่าห้าพันคนในนั้น และยังมีหน้าที่เกี่ยวกับการรักษา การขนส่ง ฯลฯ
และประชากรที่มากจึงมีการค้าขายที่มากขึ้นตาม ดังนั้นแล้วด่านเปยเหอจึงรุ่งเรือง
ฟื้วว
นกสีแดงเพลิงบินลงไป
ในหอนางโลมด้านซ้ายของท่านเปยเหอ ชายชุดสีแดงพร้อมกับสาวงามในอ้อมกอดของเขากําลังเอนกายดื่มต่ํากับบรรยากาศภายนอกด้วยเหล้าในมือ
โอ้?” จู่ๆเมื่อชายชุดแดงเห็นนกยักษ์เขาก็ลุกขึ้นนั่งในทันที
เขาเห็นเฟิงโหวเมฆาใต้บนหลังนกยักษ์พร้อมกับเทพอสูรอื่นๆอีกห้าคน
“เมิ่งชวนกับหลิวชีเยว่มาถึงแล้วรึ?” ชายชุดแดงยิ้มก่อนจะนอนลงไปสู่อ้อมกอดของสาวงาม และดื่มต่ํากับบรรยากาศต่อไป
ที่ข้างในสวนของด่านเปยเหอ ดอกบัวยหลายดอกเริ่มผลบานกันแล้ว
หญิงสาวคนหนึ่งนั่งไขว่ห้างพร้อมกับดาบสองเล่มที่วางอยู่บนตักของเธอ เมื่อเธอหายใจเข้า พลังงานสีขาวและดําก็ไหลออกมาจากรูจมูกและหลอมรวมเข้ากับดาบทั้งสองเล่มบนตักของเธอ ดาบทั้งสอง ดาบทั้งสองเล่มเองก็ปล่อยพลังดาบออกมาและหญิงสาวผู้นั้นก็ดูดมันกลับเข้าร่างของเธอ
หืม?
หญิงสาวคนนั้นลืมตาขึ้น แววตาของเธอคมกริบดั่งกระบี่ เมื่อเธอมองไปที่นกยักษ์สีแดงเพลิงที่บินโฉบลงมา สายตาของเธอหยุดอยู่ที่เมิ่งชวนและหลิวชีเยว่ “เมิ่งชวนกับหลิวชีเยว่มาถึงแล้ว? เมิ่งชวนคือคนที่จะต้องต่อสู้ไปพร้อมกับข้าในอนาคต เขาเชื่อถือได้รึเปล่า?
นกยักษ์ที่มาถึงดึงดูดสายตาของเทพอสูรในด่านเปยเหอจํานวนมาก
ตั๋วว นกยักษ์ลงจอดที่หน้าตําหนักนายพล
“คารวะอาจารย์น้า”
ชายร่างบางจากตําหนักนายพลเข้ามารับพวกเขา ใบหน้าของเขาดูเหี่ยวย่นเล็กน้อย ดูค่อนข้างจะแก่
ศิษย์เทพอสูรทั้งห้าคนและเฟิงโหวเมฆาใต้กระโดดลง เฟิงโหวเมฆาใต้ยิ้มและกล่าว “เมิ่งชวน หลิวชีเยว่ ข้าขอแนะนํา นี่คือนายพลของด่านเปยเหอ จางหวินอู่”
“คารวะศิษย์พี่จาง” เมิ่งชวนและหลิวซีเยวโค้งคํานับ
จางหวินอู่คือนายพลของด่านเปยเหอ! เขาต่อสู้มาตลอดชีวิตในหลายสนามรบ และในตอนนี้ เขาเป็นนายพลของเมืองด่านขนาดกลาง เห็นได้ชัดว่าเขาหยวนชูเชื่อใจเขา! เขามีผลงานมากมาย และได้รับตําแหน่งเฟิงโปว ในหมู่เทพอสูรระดับมหาสุริยันสิบคนในด่านเปยเหอนั้น มีเพียงจางหวินอู่ที่ได้รับตําแหน่งเฟิงโปว ความแข็งแกร่งของเขานับได้ว่าเก่งที่สุด
“ฮ่าๆ ข้ารอพวกเจ้าทั้งสองคนมานานแล้ว” จางหวินมองไปที่เมิ่งชวนและหลิวชีเยว่ แววตาของเขาดูตื่นเต้นเหมือนกับเด็กๆ “ข้าไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าจะได้มีศิษย์น้องที่มีร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษที่สมบูรณ์แบบที่นี่ การที่พวกเขาส่งเจ้ามาให้ข้า ท่านเจ้าเขาทําให้ข้าสบายขึ้นเยอะเลย”
“เราทั้งคู่ไม่มีประสบการณ์ในสนามรบมากนัก พวกเรายังต้องการคําชี้แนะจากท่านขอรับ ศิษย์พี่” เมิ่งชวนกล่าว
“ประสบการณ์มาพร้อมกับเวลา การจะโกงความแข็งแกร่งนั้นเป็นไปไม่ได้เลย” จางหวินอู่หัวเราะ
“มาแล้วรึ? พวกเขามากันแล้วรึ?” มีเสียงดังตะโกนออกมา ชายร่างอ้วนวิ่งมาพร้อมกับเด็กน้อยตัวกลมในแขนของเขา เขาก้มหัวให้กับเฟิงโหวเมฆาใต้ในทันที “คารวะอาจารย์น้า”
เฟิงโหวเมฆาใต้พยักหน้าเล็กน้อย
ชายร่างอ้วนยิ้มให้เมิ่งชวนและหลิวชีเยว่อย่างจริงใจ “ข้าชื่อฟานเฉิง ข้าลงจากเขามากว่ายี่สิบปีแล้ว แต่ว่าข้าได้ยินมาว่ามีคู่รักคู่หนึ่งบนเขาหยวนชูที่ใครๆก็ต่างอิจฉาอีกทั้งยังมีร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษที่สมบูรณ์แบบ ข้าไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าจะได้ต่อสู้ร่วมกันกับพวกเจ้า ข้ามีความสุขมากเลยจริงๆ โอ๊ะใช่ นี่ลูกชายข้า ฟานสือจิน(สิบจิน) ตอนเขาเกิดเขาหนักสิบจินน่ะ เขาเอาแต่พูดว่าอยากจะเจอกับอาจารย์น้าอาคนใหม่”
เด็กน้อยร่างอ้วนตาเป็นประกายมองไปที่เมิ่งชวนและหลิวชีเยว่ด้วยความสงสัย
“ฟานสือจิน ชื่อของเจ้านี่น่าสนใจจริงๆ” หลิวชีเยวโบกมือและเสกทรายและเพลิงออกมา ทรายค่อยๆละลายอย่างช้าๆและแข็งตัวกลายเป็นรูปปั้นของเด็กน้อยตัวอ้วนกลมในที่สุด “ข้าไม่ได้เตรียมของขวัญอะไรไว้เลย นี่เป็นเครื่องให้เจ้านะ” เธอยื่นรูปปั้นของเด็กน้อยให้
เด็กน้อยรับมันไปอย่างมีความสุขและขอบคุณเธอ “ขอบคุณมากฮะอาจารย์น้า”
เมิ่งชวนรู้สึกละอายใจที่ไม่ได้เตรียมของอะไรไว้และไม่สามารถทําได้เหมือนกับหลิวชีเยว่
“เอาล่ะน้องฟาน ขอให้มีความสุขกับลูกชายเจ้านะ ข้ามีเรื่องต้องไปจัดการอะไรอีกนิดหน่อย” จางหวินอู่กล่าวยิ้มๆ
“เอาล่ะ เดี๋ยวไว้ข้าจะเลี้ยงอาหารพวกเจ้านะ ภรรยาข้าทําอาหารอร่อยมากเลยล่ะ” ชายร่างอ้วนยิ้มและอุ้มลูกเขากลับไป
“แน่นอนขอรับ” เมิ่งชวนและหลิวซีเยว่กล่าว
ฟานเฉิงเป็นหนึ่งในผู้พันที่ด่านเปยเหอ!
คนที่สามารถเป็นผู้พันของเมืองด่านขนาดกลางนั้นต่างเรียกได้ว่าเป็นคนที่แข็งแกร่งในหมู่เทพอสูรมหาสุริยัน ในอนาคต พวกเขาจะเป็นสหายร่วมรบของหลิวชีเยว่และเมิ่งชวน
“ศิษย์น้องหลิว ศิษย์น้องคนอื่นๆ ได้โปรดไปพักกันก่อน” จางหวินอู่กล่าวยิ้มๆ “ศิษย์น้องเมิ่งกับข้ามีเรื่องต้องคุยกับอาจารย์น้านิดหน่อย”
“ขอรับ/เจ้าค่ะ” หลิวชีเยว่และคนอื่นๆพยักหน้า พวกเขาเดินตามพ่อบ้านไปห้องรับรอง
เมิ่งชวนรู้สึกงุนงงและเดินตามจางหวินอู่กับเฟิงโหวเมฆาใต้ไปที่อาคารใกล้ๆ
ทั้งสามคนนั่งลงและเฟิงโหวเมฆาใต้ก็กล่าวขึ้น “เมิ่งชวน นอกจากจะเป็นผู้พันที่ด่านเปยเหอแล้ว เจ้ายังมีหน้าที่อื่นอีก”
หน้าที่อื่นหรือขอรับ?” เมิ่งชวนงุนงง
“ใช่” เฟิงโหวเมฆาใต้พยักหน้าและหยิบตราสี่เหลี่ยมสีขาวออกมา เขาโยนมาให้เบาๆ ตราหยกสีขาวนั้นลอยอยู่ข้างๆเมิ่งชวน หลังจากรับมันไปแล้วเขาก็เห็นด้านหน้ามีตัวอักษรเขียนอยู่ “ลาดตระเวน” ข้างหลังนั้นมีแผนที่ที่ดูซับซ้อน มันเป็นแผนที่ของเมือง 18 เมืองรอบๆในระยะพันล้ําจากด่านเปยเหอ
เฟิงโหวเมฆาใต้กล่าว “เจ้าไวกว่าเฟิงโหวเทพอสูรเสียอีก ความเร็วของเจ้าเทียบได้กับของราชันเทพอสูรเลยด้วยซ้ํา! ดังนั้นแล้วเจ้าจะได้เป็นคนลาดตระเวน เจ้าจะต้องลาดตระเวณในเมืองทั้ง 18 เมืองเหล่านี้โดยมีด่านเปยเหอเป็นศูนย์กลาง! หากเมืองใน 18 เมืองนี้ต้องการความช่วยเหลือตรานี้จะเตือนเจ้า เจ้าต้องรีบไปช่วยพวกเขาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทําได้”
“ปกติแล้วกว่าเฟิงโหวเทพอสูรจะไปถึงเมืองที่ถูกโจมตีก็สายไปเสียแล้ว เจ้าเร็วกว่าเฟิงโหวเทพอสูรมาก เจ้าสามารถไปช่วยเหลือเมืองเหล่านั้นได้ไวกว่าพวกเรา พวกเราต้องใช้เวลาครึ่งชั่วยามกว่าไปถึงเมืองเหล่านั้น แต่เจ้าสามารถไปถึงได้ภายในไม่กี่สิบนาที ยิ่งเจ้าเร็วเท่าไหร่เหล่าอสูรก็ทําความเสียหายได้น้อยเท่านั้น เจ้าสามารถช่วยเหลือชีวิตผู้คนมากมายได้และอาจจะพลิกสถานการณ์ไปเลยก็ได้”
“เข้าใจแล้วขอรับ” เมิ่งชวนหยิบตราไปและนึกถึงเมืองตงหนิง
ในตอนนั้นที่เมืองตงหนิงถูกรุกรานโดยเหล่าอสูร หากเทพอสูรที่แข็งแกร่งมาไวกว่านี้ก็คงจะมีคนตายน้อยกว่านี้ แต่ว่าพวกเขามีเทพอสูรเฟิงโหวและราชันน้อยเกินไป พวกเขาต้องปกป้องพื้นที่ที่สําคัญและจะออกมาไม่ได้หากไม่มีเหตุผลที่จําเป็น มีเพียงราชันเทพอสูรสองถึงสามคนเท่านั้นที่ท่องไปทั่วโลก แต่ว่าการที่จะให้พวกเขาช่วยเหลือราชวงศ์โจวที่กว้างใหญ่ทั้งหมดนั้นก็เป็นไปไม่ได้
“ความแข็งแกร่งของเจ้าเพียงพอที่จะจัดการกับการรุกรานของอสูรแบบธรรมดาได้ เจ้าจะสามารถส่งผลต่อการต่อสู้ที่ไม่ต้องมีเฟิงโหวเทพอสูรหรือราชันได้อย่างมาก” เฟิงโหวเมฆาใต้กล่าว “เจ้าจะได้รับหนึ่งแสนแต้มทุกๆปีในฐานะคนลาดตระเวน หากเจ้าสามารถปกป้องพื้นที่เหล่านั้นไว้ได้ เจ้าก็จะได้รับรางวัลเช่นกัน”
ตอนที่ 136 ลงจากเขา (บทสุดท้ายของภาค)
ผลึกขนาดเล็กนั้นมีวิธีการฝึกฝนที่ต่างออกไปจากระบบลมปราณโดยสิ้นเชิง
อย่างเหล่าอสูรมุ่งเน้นไปที่ร่างกายเป็นหลัก พลังมารเป็นเรื่องรอง ส่วนเทพอสูรมนุษย์นั้นร่างกายเป็นรองและลมปราณเป็นหลัก แต่ว่าสิ่งที่เมิ่งชวนได้รับมานั้นเป็นการฝึกร่างกายล้วนๆ
ระบบการฝึกฝนนี้ถูกแบ่งออกเป็นหลายระดับ ระดับสร้างรากฐาน เพชร พลังศักดิ์สิทธิ์ อมตะ หยาดโลหิต บรรลุ และตํานาน
ระดับสร้างรากฐานนั้นต้องฝึกแก่นสารแห่งจิตระดับแรกให้สําเร็จก่อน ระดับเพชรต้องใช้แก่นสารแห่งจิตระดับสองและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจากนั้น ระดับตํานานนั้นต้องมีแก่นสารแห่งจิตระดับเจ็ด
นอกจากจะมีความต้องการแก่นสารแห่งจิตที่สูงมากแล้ว มันยังมีเงื่อนไขอื่นๆสําหรับสิ่งภายนอกอีก เพราะฉะนั้นแล้วการฝึกฝนแบบนี้นั้นยากเสียยิ่งกว่าการฝึกฝนของระบบเทพอสูรเสียอีก
อย่างไรก็ตาม ระบบนี้นั้นแข็งแกร่งมากๆ จอมยุทธระดับสร้างรากฐานแข็งแกร่งเทียบได้กับเทพอสูรระดับแดนอมตะ จอมยุทธระดับเพชรก็แข็งแกร่งพอๆกับเทพอสูรระดับมหาสุริยัน ระดับพลังศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งได้ครึ่งหนึ่งของเฟิงโหวเทพอสูร ในระบบลมปราณของมนุษย์นั้นระหว่าง ระดับมหาสุริยันและเดือนมืดมิดมีความต่างกันอย่างมหาศาล แต่ในการฝึกฝนร่างกายอันนี้ ความแตกต่างของทุกๆระดับนั้นไม่ได้ต่างกันมาก
จอมยุทธระดับอมตะเทียบเท่าได้กับเฟิงโหวเทพอสูร เพียงร่างกายเพียงอย่างเดียวพวกเขาก็แข็งแกร่งเทียบได้กับเฟิงโหวเทพอสูรแล้ว ร่างของพวกเขาแข็งแกร่งพอๆกับอาวุธศักดิ์สิทธิ์หลากหลายชิ้น ขนาดคนที่แขนขาขาดหรือหัวเป็นรู 18 รูก็สามารถฟื้นฟูกลับมาได้ภายในพริบตา ในแง่ของพลังชีวิตแล้วนั้น ระบบการฝึกฝนนี้นั้นแข็งแกร่งกว่าพลังปราณของมนุษย์มาก
ในระดับหยาดโลหิต พลังชีวิตของคนๆนั้นก็จะเพิ่มมากขึ้นไปอีก หากร่างกายไม่สลายหายไปจนหมด เพียงโลหิตเพียงหยดเดียวก็สามารถฟื้นคืนชีพกลับมาได้เหมือนเดิม และเพียงพลังกาย เพียงอย่างเดียวพวกเขาก็เทียบเท่าได้กับราชันเทพอสูรเลยด้วยซ้ํา
ในระดับบรรลุนั้นพวกเขาจะเทียบได้กับปรมาจารย์ระดับสรรค์สร้าง
ร่างกายของจอมยุทธระดับตํานานนั้นไร้เทียมทานไม่มีทางทําลายได้! พวกเขามีอายุขัยที่ยาวนาน! แม้แก่นสารแห่งจิตของพวกเขาจะสลายหายไปหลังจากหลายหมื่นปี แต่ร่างของพวกเขาจะอยู่ไปจนชั่วนิรันดร์ไม่มีอะไรทําลายได้
แต่ว่าการจะฝึกฝนไปถึงระดับนั้นได้จะต้องมีสมบัติอันล้ําค่า ผลึกดารา การจะขึ้นไปอยู่ระดับสร้างรากฐานนั้นต้องใช้มัน! และเมื่อใช้ผลึกดาราก็จะฝึกฝนได้ไวขึ้น หากไม่มีมัน การฝึกฝนก็จะช้าลงมาก
และในการขึ้นจากระดับหยาดโลหิตไปเป็นระดับบรรลุจะต้องใช้ผลึกดาราถึง 3 จิน(กิโลฯครึ่ง) ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางที่จะบรรลุได้
และการจะไปให้ถึงระดับตํานานก็จะต้องใช้ถึง 100 จิน
ผลึกเล็กๆในร่างของเมิ่งชวนนั้นคือผลึกดารา แม้มันจะเล็กเสียยิ่งกว่าฝุ่นแต่มันก็หนักมากๆ แม้จะขนาดเท่านั้นแต่มันก็หนักถึง 0.1 จินเลยด้วยซ้ํา
เมิ่งชวนกล่าวด้วยความเคารพ “ท่านอาจารย์ อาจารย์ป้า โอกาสที่ศิษย์ได้รับมานั้นคือระบบการฝึกฝนอื่นที่เน้นในการฝึกฝนร่างกาย ระดับที่สูงที่สุดคือระดับตํานาน”
“โอ้” ปรมาจารย์จินหวูและลู่ถางขมวดคิ้วน้อยๆ พวกเขารู้ดีว่ามันคืออะไร
“โอกาส” นี้ไม่ได้แย่ แต่ก็ไม่ได้ดีขนาดนั้นเช่นกัน
“ในโลกของเรา เจ้าสามารถไปได้สูงสุดแค่ระดับหยาดโลหิตเท่านั้น” จินหวูกล่าว “นั่นก็เพราะโลกของเรานั้นมีผลึกดาราที่ใช้ในการสร้างมรดกเหล่านั้นด้วยเพียงน้อยนิด ไม่มีผลึกดาราถึง 3 จินที่ไหนหรอก”
“ศิษย์เข้าใจแล้วขอรับ” เมิ่งชวนกล่าว
“มรดกนี้จะเพิ่มโอกาสที่เจ้าจะรอดชีวิตในสนามรบอย่างมาก เจ้าเองก็จะแข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน ข้าว่ามันก็ไม่ได้แย่” จินหวูหยักหน้าเล็กน้อย “เอาล่ะ เจ้ากลับไปได้แล้ว จําไว้ว่าอย่าพูดอะไรเกี่ยวกับถ้ําสวรรค์หยวนชูเด็ดขาด”
“ขอรับ ศิษย์ขอลา” เมิ่งชวนไปในทันที
ปรมาจารย์จินหวูและลู่ถางขมวดคิ้วนิดๆ
“ข้าหวังว่าเขาน่าจะได้ “โอกาส” อันอื่น” ปรมาจารย์อู่ถางส่ายหัวเบาๆ “ระบบการฝึกฝนนี้ มันค่อนข้างจะมีข้อจํากัดในการเพิ่มความแข็งแกร่งให้เมิ่งชวน แต่อย่างน้อยมันก็ช่วยเพิ่มวิธีเอาชีวิตรอดให้เขาได้ละกัน”
“ระบบการฝึกฝนร่างกายอันนี้จะทําให้คนๆนั้นมีพลังชีวิตถึงจุดสูงสุด” จินหวูกล่าวยิ้มๆ “คนเราต้องเพิ่มระดับในตอนยังเด็ก และเมื่อแก่ตัวแล้วร่างเทพอสูรที่แก่ตัวของพวกเราก็จะลดโอกาสในการเพิ่มระดับไปอย่างมหาศาล แต่ว่าหากเมิ่งชวนฝึกฝนระบบนี้ไป พลังชีวิตของเขาจะอยู่ในระดับสูงสุดตลอดเวลา ในอนาคตเมื่อเขาไปถึงราชันเทพอสูร เขาก็ยังมีโอกาสจะไปถึงระดับสรรค์สร้างแม้เขาใกล้จะหมดอายุขัยที่ 500 ปีแล้วก็ตาม ส่วนคนอื่นๆนั้นโอกาสในการเพิ่มระดับไปก็จะลดลงเมื่ออายุเกิน 150 และโอกาสจะกลายเป็นศูนย์เมื่อพวกเขาอายุเกิน 300 ปี หากเขาสามารถทําให้พลังชีวิตยังอยู่ที่ระดับสูงสุดในตอนอายุ 500 ปี มันก็จะทําให้เขาได้เปรียบกว่าคนอื่นมาก”
“ก็จริง” สู่ถางพยักหน้าก่อนร่างเงาของเธอจะหายไป
จินหวูเองก็มองดูเส้นสายฟ้าที่พุ่งไปยังจิ้งหมิงเฟิงจากไกลๆ แม้ว่าเขาจะบอกว่ามันให้ประโยชน์มากมาย แต่เขาก็ไม่ค่อยพึงพอใจในผลลัพท์เท่าไหร่นัก เพราะไม่ว่ายังไงระบบร่างกายนี้ก็ไปถึงได้แค่ระดับราชันเทพอสูรของมนุษย์เท่านั้น
เมิ่งชวนพึงพอใจกับโอกาสที่เขาได้รับนี้มาก
อย่างแรก เขามีแก่นสารแห่งจิตระดับสองอยู่แล้ว ด้วยพลังของจิตวิญญาณกระบี่ระดับสุดยอดของเขาก็คงใช้เวลาไม่นานที่จะไปถึงระดับเพชร จากนั้นพลังกายของเขาก็จะไม่ด้อยไปกว่าพลังปราณของเทพอสูรระดับมหาสุริยันเลย และด้วยการรวมกันระหว่างทั้งสองสิ่ง มันก็จะทําให้ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ยิ่งไปกว่านั้น เขาจะรักษาชีวิตเอาไว้ได้ดีกว่าเดิมอีกด้วย
ร่างของเขานั้นแข็งแกร่งพอที่จะเทียบเท่ากับคนอื่นๆในระดับเดียวกันได้ ขนาดร่างอสูรยังเทียบกันไม่ติด
อย่างที่สอง แม้ว่าระดับหยาดโลหิตจะเป็นระดับที่สูงที่สุดในโลกมนุษย์แต่มันก็ยังเทียบเท่าได้กับระดับไร้ขอบเขต นั่นก็น่าพอใจมากแล้ว แค่ใช้ร่างกายเพียงอย่างเดียวและสามารถสู้กับราชันเทพอสูรได้ นั่นก็หมายความว่าร่างนี้จะเรียกได้ว่าเป็นร่างที่ดีที่สุดในโลก ด้วยร่างที่เทียบได้กับอาวุธศักดิ์สิทธิ์ และสามารถเกิดใหม่ขึ้นมาได้จากหยดเลือดเพียงหยดเดียวแม้ร่างจะแหลกเป็นชิ้นๆก็ตาม เมิ่งชวนไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่ามีเทพอสูรมนุษย์คนไหนสามารถทําอะไรแบบนั้นได้
เขาพึงพอใจกับ “โอกาส” ที่เขาได้รับนี้มาก อย่างไรก็ตาม เขาไม่รู้ว่าโอกาสที่อยู่ในถ้ําสวรรค์ หยวนชูนั้นต่างสุดยอด และโอกาสที่เขาได้รับนั้นมันสุดอยู่ได้แค่ระดับหยาดโลหิต ดังนั้นมันจึงเรียกได้ว่าเป็นแค่โอกาสระดับกลางๆเท่านั้น
ฟึ่บ
เมิ่งชวนลงพื้นที่สวนหน้าถ้ํา
“ชีเยว่” เมิ่งชวนตะโกน
“เร็วจัง?” หลิวชีเยว่เดินออกมาจากถ้ําด้วยรอยยิ้มและกล่าว “พึ่งจะผ่านไปแค่หนึ่งชั่วยามเอง เดี๋ยวข้าจะอุ่นกับข้าวให้นะ อาจารย์พาเจ้าไปก่อนที่จะกินข้าวเสร็จซะอีก”
เมิ่งชวนเดินเข้าไปด้วยความอารมณ์ดี
หลิวชีเยว่ควบคุมไฟได้อย่างดีเยี่ยม เธอวางช้อนส้อมไว้ข้างหน้าเมิ่งชวนและอุ่นอาหาร
“ทําไมอาจารย์ถึงเรียกเจ้าไปรึ?” หลิวชีเยวถามด้วยความสงสัย
เมิ่งชวนนั่งลงกินอาหาร “อาจารย์เห็นว่าวิชาลับอันหนึ่งค่อนข้างจะเหมาะกับข้าเขาเลยพาข้าไป และการรับรู้ของข้านั้นค่อนข้างสูงข้าเลยรับมันได้ในหนึ่งชั่วยาม”
เขาไม่มีทางอื่นนอกจากโกหก อาจารย์ได้สั่งไว้ไม่ให้เขาบอกข้อมูลใดๆเกี่ยวกับถ้ําสวรรค์หยวนชูเป็นอันขาด เขาทําได้แต่ต้องโกหกว่าเกิดอะไรขึ้น
หากเรื่องที่ถ้ําสวรรค์หยวนชูถูกเปิดให้เมิ่งชวนแพร่กระจายออกไป เขาก็จะกลายเป็นเสี้ยนหนามของเหล่าอสูร เพราะไม่ว่ายังไงถ้ําสวรรค์หยวนชูก็ไม่ได้เปิดกันบ่อยๆ ขนาดเชวเฟิง เซี่ยวหยุนเยว่ และคนอื่นๆก็ยังไม่มีโอกาสได้เข้าสู่ถ้ําสวรรค์หยวนชูแม้จะเป็นช่วงสงครามก็ตาม
ด้วยเหตุนี้ก็เพียงพอที่จะคิดได้ว่าคนๆนั้นจะต้องมีความสามารถมากเพียงไหนที่เขา หยวนซูจึงเปิดถ้ําสวรรค์หยวนชูให้พวกเขา
“เขาถ่ายถอดวิชาลับให้เจ้าโดยตรงเลย แสดงว่าเขาให้ค่าเจ้าไว้สูงมากสินะ” หลิวซีเยวมีความสุข
“มันเป็นเพียงวิชาลับสําหรับการรักษาชีวิตเท่านั้น เหมือนว่าข้าจะตรงตามเงื่อนไขสําหรับการฝึกพอดี” เมิ่งชวนไม่ได้พูดอะไรมาก เพราะเขากลัวว่าหากยิ่งเขาพูดออกไป คําโกหกของเขาก็จะจับได้ง่ายขึ้นมากเท่านั้น
วันเวลาผ่านไป
เขาหยวนชูตัดสินใจเหตุการณ์โดยละเอียดถี่ถ้วน พวกเขาถึงกับติดต่อกับเมืองด่านขนาดกลางหลายเมืองเลยด้วยซ้ํา การติดต่อในระยะไกลนั้นเป็นเรื่องยุ่งยากมาก และในที่สุดในวันที่ 6 พฤศจิกายน เมิ่งชวนและหลิวชีเยว่ก็ได้รับข้อมูลที่ที่พวกเขาจะไปประจําอยู่
“ด่านเปยเหอ? แม่น้ําเหนือ)” เมิ่งชวนและหลิวซีเยวที่นั่งอยู่ในตําหนักกําลังดื่มชาพร้อมกับอ่านเอกสารที่เขาหยวนชูส่งมา
“ด่านเปยเหออยู่ห่างจากเมืองตงหนิง 13000 ลี้มันไกลมากๆเลยละ” หลิวซีเยว่กระซิบ “ข้าคิดว่าพวกเราจะถูกส่งไปที่ๆใกล้เมืองเกิดซะอีก”
เมิ่งชวนอ่านเอกสารและกล่าว “มีเมืองด่านบางที่ที่กําลังอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลําบาก พวกเราต่างก็เป็นหนึ่งในเทพอสูรมหาสุริยันที่แข็งแกร่งที่สุด หากมีเทพอสูรระดับมหาสุริยันระดับสูง การส่งไปประจําการในที่ที่เหมาะสมก็สามารถช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้เมืองด่านหลายๆได้ และพวกเราทั้งคู่ขอให้ไปประจําการด้วยกัน เพราะงั้นมันจึงมีเรื่องของทรัพยากรทั้งหลาย ไม่ง่ายเลยที่จะหาที่ประจําการให้พวกเราได้”
“ข้ารู้ ข้าเองก็แค่พูดเฉยๆ” หลิวชีเยว่กล่าว “จากเอกสาร ด่านเปยเหอค่อนข้างจะเป็นที่ที่หนาวเหน็บเลยนะ”
“มันไม่สําคัญหรอก ตราบใดที่พวกเราได้สังหารราชาอสูรก็พอ” เมิ่งชวนมองดูเอกสารแนะนํา และทําความเข้าใจในเรื่องทั่วไปของด่านเปยเหอ
ในเช้าวันที่ 15 พฤศจิกายน ณ ผาแดงโลหิต
เทพอสูรห้าคนรวมไปถึงเมิ่งชวนและหลิวชีเยวที่จะลงจากเขาในวันนี้ ปกติจะมีศิษย์เทพอสูรลงจากเขาประมาณยี่สิบคนทุกๆปี ส่วนมากพยายามที่จะไปพร้อมกัน!
“ศิษย์พี่เพิ่ง ศิษย์พี่หลิว” หยานชื่อถงยังดูเหมือนวัยรุ่น เขาตื่นเต้นมากๆ “ชุดของพวกท่านสวยจริงๆเลย แต่โชคไม่ดีที่ข้าต้องผ่านถ้ําเก้าปริศนาให้ได้ก่อนถึงจะได้เลือกชุดและอาวุธศักดิ์สิทธิ์”
เมิ่งชวนใส่ชุดสีน้ําเงินเข้ม ปลายชุดคลุมของเขาสะบัดไปกับสายลม เขาใส่รองเท้าคอมแบต และคาดดาบเอาไว้ที่เอว หลิวชีเยวใส่ชุดสีแดงฟ้า ชุดของเธอนั้นดูสว่างสดใสกว่ามาก เธอสะพายธนูและซองธนูเอาไว้ด้านหลัง ทั้งคู่ยืนอยู่ด้วยกันโดยมีพลังของเทพอสูรระดับมหาสุริยันแผ่ออกมา หลายๆคนต่างรู้สึกอิจฉาเมื่อได้เห็นพวกเขา
“ หลังจากลงเขาไปแล้วระวังตัวให้ดีระวังตัวให้ดี สนามรบนั้นต่างจากที่นี่มาก” เหยียนจินแนะนํา
“พวกเราสามารถพูดคุยกันได้ผ่านจดหมาย” เมิ่งชวนกล่าวยิ้มๆ นอกจากชีเยวแล้ว เหยียนจินก็เป็นเพื่อนสนิทของเขาอีกคนบนเขา
“ท่านเจ้าเขามาแล้ว”
เหล่าศิษย์ต่างเงียบลง
เจ้าเขาหยวนชูและผู้อาวุโสี่เดินมายิ้มๆ เขาหัวเราะเสียงดังและพูด “เอาล่ะ ได้เวลาที่พวกเจ้าทั้งห้าจะได้ถ่ายรูปกันแล้ว”
“ขอรับ” ศิษย์ทั้งห้าที่กําลังจะลงจากเขาไปประจําตําแหน่ง ภาพนี้จะอยู่ในเขาหยวนชูตลอดไป แม้หากพวกเขาตายไป เหล่าศิษย์น้องก็จะได้เห็นภาพเหล่านี้
ศิษย์ทั้งห้ายืนอยู่ในท่าที่พวกเขาคิดว่าดีที่สุด
เมิ่งชวนและหลิวชีเยว่ต่างอดไม่ได้ที่จะมองหน้ากัน รอยยิ้มของพวกเขาเป็นประกาย
“เอาล่ะ ภาพได้ถูกบันทึกลงไปแล้ว” เจ้าเขาหยวนชูพยักหน้า ภาพของศิษย์ที่กําลังจะลงจากเขาเหล่านี้ถูกบันทึกเอาไว้ลงบนกําแพงเหมือนตามปกติ
ศิษย์กลุ่มที่กําลังจะลงจากเขากลุ่มนี้นั้นค่อนข้างจะพิเศษ มีสองคนที่เป็นอัจฉริยะที่เหนือกว่าคนอื่น หลิวชีเยวมีร่างเทพวิหคเพลิง และเมิ่งชวนนั้นก็ได้เข้าไปที่ถ้ําสวรรค์หยวนชู เรียกได้ว่าเขานั้นคือศิษย์ที่มีค่ามากที่สุดในช่วงร้อยปีที่ผ่านมา แน่นอนว่ามีเพียงเมิ่งชวนและปรมาจารย์ทั้งสองที่รู้เรื่องนี้
“พวกเจ้าทั้งห้าควรลงจากเขาไปพบกับเฟิงโหวเมฆาใต้โดยไว เฟิงโหวเมฆาใต้จะส่งพวกเจ้าไปที่เมืองด่านของพวกเจ้า”
“ขอรับ/เจ้าค่ะ” ศิษย์ทั้งห้ารับคําสั่งและลงจากเขาในทันที
เจ้าเขาหยวนชูกวาดตาดูศิษย์คนอื่นๆและตะโกน “ศิษย์คนอื่นๆรีบไปที่ตําหนักแม่น้ําสวรรค์ซะ คาบเรียนของปรมาจารย์จะเริ่มแล้ว”
” ขอรับ/เจ้าค่ะ” เหล่าศิษย์กลับไปแต่โดยดีและรีบไปที่ตําหนักแม่น้ําสวรรค์
เหยียนจินยืนอยู่ที่ผาแดงโลหิตมองดูเมิ่งชวนและหลิวชีเยวจากไปก่อนที่จะหันกลังกลับออก
ที่เชิงเข้าหยวนชู เฟิงโหวเมฆาใต้พร้อมกับนกเพลิงขนาดยักษ์รออยู่อยู่แล้ว บนหลังของนกนั้นมีสัมภาระวางอยู่ เขาหยวนชูได้นําสัมภาระของศิษย์ทั้งห้ามาไว้ให้อยู่แล้ว
“ท่านอาจารย์น้า” เมิ่งชวน หลิวชีเยว่ และคนอื่นๆทักทายด้วยความสุภาพ
เฟิงโหวเมฆาใต้ยิ้มและพยักหน้า “พอข้ารู้มาว่าเมิ่งชวนกับหลิวชีเยวจะลงจากเขา ข้าก็ขอมาพาไปด้วยตัวเองเลยนะ”
“ขอบคุณขอรับท่านอาจารย์น้า” เมิ่งชวนและหลิวซีเยว่กล่าวด้วยความขอบคุณ
ตามกฏของเขาหยวนชูแล้ว ศิษย์ที่ยังไม่ใช่เฟิงโหวเทพอสูรนั้นจะนับว่าอยู่ในรุ่นเดียวกัน เฟิงโหวเทพอสูรนั้นมีระดับและสถานะที่สูงกว่ามาก ยกเว้นว่าจะมีความสัมพันธ์อาจารย์ศิษย์กัน เฟิงโหวเทพอสูรจะเรียกเจ้าเขาและปรมาจารย์ว่าศิษย์พี่
“ขึ้นมาสิ” เฟิงโหวเมฆาใต้นั่งลงบนหลังนก ทั้งห้าคนขึ้นไปและถือสัมภาระของตน
“ไปกันเถอะ” เฟิงโหวเมฆาใต้ตบหัวนกสีเพลิงเบาๆ
นิ้ว
นกสีแดงเพลิงทะยานขึ้นสู่ฟ้าในทันที เมิ่งชวนมองดูเขาหยวนชูที่ค่อยๆห่างออกไป ในไม่ช้าพวกเขาก็อยู่เหนือเมฆและกําลังบินขึ้นเหนือไปยังด่านเปยเหอ
บทสุดท้ายของภาคผู้กล้าสู่แนวหน้า
ตอนที่ 135 เสาดาราจักร
สัตว์ร้ายขนาดยักษ์กินเมิ่งชวนเข้าไป เขาถูกวังวนสีดํานั้นดูดเข้าไปเรื่อยๆ
จากนั้นไม่นานเขาก็สามารถสัมผัสถึงพื้นได้ในขอบเขตสัมผัสของเขา เขาใช้วิชาการเคลื่อนไหว ก่อนจะลงพื้นอย่างเงียบๆ และมองไปรอบๆด้วยความระมัดระวัง
ท่านอาจารย์บอกว่าที่นี่คือดินแดนที่มีค่าที่สุดของเขาหยวนชู เมิ่งชวนมองดูรอบๆอย่างละเอียด เขาอยากจะให้ข้ารับ “โอกาส” ที่แข็งแกร่งไปอย่างนั้น แต่ “โอกาส” ที่ว่านั่นมันอยู่ไหนกันล่ะ?
”
หมอกขาวจางๆปกคลุมโดยรอบ เมื่อหมอกนั้นเริ่มจางไปเขาก็เริ่มเห็นเสาที่สูงไปถึงสวรรค์เลยทีเดียว!
เมิ่งชวนมองไปรอบๆ เสาเหล่านี้มีอยู่ทุกที่ ทุกๆเสานั้นห่างจากกันเท่าๆกัน
มีเสาทั้งหมด 12 เสา ทุกๆต้นนั้นสูงเสียดฟ้า พวกมันตั้งเรียงกันเบี้ยวงกลม เมิ่งชวนมองไปที่พื้น พื้นนั้นถูกทําขึ้นจากหินพิเศษสีดํา มันเป็นหินที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนเลย
เมิ่งชวนกระทืบลงพื้น
หากอยู่ข้างนอกก็คงจะมีหลุมกว้างกว่าสิบยั้งเกิดถึงเมื่อเขาใส่แรงเข้าไปในการกระแทกนั้นเพียงเล็กน้อย! แต่ว่าหินสีดํานั้นสั่นนิดหน่อยแต่ก็ไม่เสียหายอะไร แม้แต่รอยขีดข่วนก็ไม่มี
“โอกาส” ที่ว่านั่นอยู่ที่ไหนกัน?” ชอบเขตการรับรู้ของเมิ่งชวนทําให้เขาสามารถมองเห็นได้ไกลกว่าตาเห็น แต่ว่าเขาก็ยังไม่เจอ “โอกาส” ที่ถูกซ่อนเอาไว้ในระยะยี่สิบจิ้งจากที่เขายืนอยู่เลย
“ที่สะดุดตามากที่สุดก็คงเป็นเสาทั้งสิบสองต้น ข้าจะลองไปดูมันก่อน” เมิ่งชวนเดินไปที่เสาต้นหนึ่งด้วยความสงสัย
จู่ๆเมิ่งชวนก็เห็นหมอกสีแดงลอยขึ้นมาจากพื้นด้านหน้า หมอกสีแดงนั้นลอยขึ้นมาและก่อตัวเป็นชายชุดคลุมสีแดง ชายคนนั้นมองมาที่เมิ่งชวนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยจิตสังหาร เขาพุ่งใส่เมิ่งชวน
มันไม่มีชีวิต มันเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยพลังงานบางอย่าง เขตการรับรู้ยี่สิบจังของเมิ่งชวนมองดูร่างตรงหน้าได้อยางทะลุปรุโปร่ง
ฟุบ
เขาชักกระบี่ฟันในทันที เฉือนชายชุดแดงคนนั้นไป
ความแข็งแกร่งของชายคนนั้นเทียบเท่ากับเทพอสูรที่พึ่งถือกําเนิดใหม่ เขาอ่อนแอ เมิ่งชวนมองดูชายชุดแดงด้วยความระมัดระวัง ร่างของมันเปลี่ยนกลับกลายเป็นหมอกสีแดง ที่ตอนนี้เริ่มปกคลุมรอบข้าง
หมอกสีแดงลอยขึ้นมาจากพื้นและเปลี่ยนกลายเป็นชายชุดสีแดง พวกมันโผล่มาพร้อมกันร้อยตัว และมันยังเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ
ฟิวๆๆ
ชายชุดแดงเหล่านั้นโจมตีใส่เมิ่งชวน แต่ละคนนั้นมีร่างกายต่างกัน บ้างตัวสูงใหญ่ บ้างตัวเล็กเตี้ย บ้างวิ่งไวกว่าตัวอื่น บางตัวใช้มือเปล่า ในขณะที่บางตัวใช้อาวุธหลากหลายชนิด
ฮี เมิ่งชวนยืนอยู่เฉยๆรอให้เหล่าชายชุดแดงโจมตีใส่เขาก่อนที่จะทําอะไร
เขาเปลี่ยนเป็นสายฟ้าและเคลื่อนที่อย่างแปลกประหลาด เขาพุ่งผ่านร่างของชายชุดแดงเหล่านั้นและแทงเข้าไปอย่างเงียบงัน เมิ่งชวนใช้วิชาที่ไวที่สุดของเขา ท่าหยินสุดยอด! ท่าหยินสุดยอดนั้นเป็นส่วนหนึ่งของดวงใจกระบี่ มันไม่ใช้การสลับหยินหยางและนํามาใช้ในความเร็วแทน วิชานี้เหมาะแก่การสังหารศัตรูที่อ่อนแอกว่ามาก
กระบี่ถูกฟันออกไปอย่างเงียบงัน เพียงการฟันแค่ครั้งเดียวเขาก็สามารถฟันผ่านชายชุดแดงได้สามถึงสี่คน จากนั้นเขาก็ใช้วิชาการเคลื่อนไหวพุ่งไปฟันชายชุดแดงอีกสองคนต่อ
กระบี่ยังคงตวัดไปมาอย่างเงียบงัน
เพียงชั่วพริบตา ชายชุดสีแดงกว่าร้อยคนก็ถูกฟันและสลายกลายเป็นหมอกสีแดงทําให้หมอกโดยรอบหนาขึ้นเรื่อยๆ
โอ๊ะ? เมิ่งชวนรู้สึกได้ในทันทีว่าปราณที่คอยปกป้องร่างเขาไม่สามารถทนหมอกสีแดงที่หนาแน่นนี้ได้อีกต่อไป มันซึมเข้าไปในร่างและสติของเขา
หมอกสีแดงไม่ได้ส่งผลอะไรต่อร่างของเขา แต่มันส่งผลต่อสติ เขาจะกลายเป็นบ้า
เพียงชั่วความคิด แก่นสารแห่งจิตของเขาก็กันหมอกสีแดงนั่นไปและทําให้สติของเขายังคงอยู่
จํานวนของชายชุดแดงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เมิ่งชวนรู้สึกได้ว่านี่ไม่ใช่ตําแหน่งที่ดีที่เขาจะอยู่ ยิ่งเขาสังหารมันไปมากเท่าไหร่ ชายชุดแดงก็จะโผล่ออกมามากเท่านั้น ความแข็งแกร่งของพวกมันก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน
หลังจากที่เมิ่งชวนสังหารชายชุดแดงไปมากกว่าพันคน ในหมู่ชายชุดแดงก็มีกระทั่งนักเกาทัณฑ์โผล่ออกมา! พวกมันยิงจากระยะไกลและลูกดอกของพวกมันทรงพลังมากจนเขาไม่กล้าแม้แต่จะรับมัน
เหล่าชายชุดแดงแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ พวกมันบางตนแทบจะแข็งแกร่งถึงระดับมหาสุริยันแล้วด้วยซ้ํา เมิ่งชวนแอบตกใจ เขาใช้วิชาการเคลื่อนไหวต่อไปและสามารถควบคุมสถานการณ์ในสนามรบเอาไว้ได้ มีเพียงชายชุดแดงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถโจมตีใส่เขาได้พร้อมกัน
หมอกนี่ เมิ่งชวนยังทนรับการโจมตีของชายชุดแดงต่อไป ความเร็วของเขานั้นเทียบได้กับราชันเทพอสูร หากเขาอยากจะหนีพวกมันคงตามมาไม่ทันแน่นอน แต่ในตอนนี้เขาควบคุมสถานการณ์การรบอยู่ เขาสามารถแยกออกเป็นกลุ่มเล็กๆก่อนที่จะสังหารพวกมัน! หากแต่ว่าหมอกสีแดงมันส่งผลกระทบต่อสติของเขารุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แก่นสารแห่งจิตของเขาทนรับไม่ไหว และทําให้หมอกสีแดงส่วนหนึ่งเข้าสู่ทะเลแห่งสติของเขา
หัวใจของเมิ่งชวนเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง
“ข้าสังหารพวกมันต่อไปไม่ได้แล้ว ยิ่งขาสังหารพวกมันไปมากเท่าไหร่ หมอกสีแดงก็จะหนาขึ้นมากเท่านั้นแล้วข้าก็จะเสียการควบคุม” เขาได้แต่ใช้วิชาการเคลื่อนไหวเพื่อที่จะหนีจากชายชุดสีแดงกว่าพันคนนั้น
อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าร่างอสูรตัดสายฟ้าที่สมบูรณ์ของเขานั้นแข็งแกร่งมากเพียงใด ชายชุดแดงส่วนมากแข็งแกร่งพอๆกับเทพอสูรระดับแดนอมตะ มีเพียงบางคนที่แข็งแกร่งเท่าระดับมหาสุริยัน หากพวกมันทุกตัวเป็นเทพอสูรระดับมหาสุริยันล่ะก็ เมิ่งชวนคงจะทนรับการโจมตีไม่ไหวและพลาดท่าไปนานแล้ว! แต่โชคยังดีที่เขาสามารถสะบัดพวกมันหลุดได้ด้วยความเร็วของเขา เหล่าชายชุดแดงไม่เป็นปัญหาแก่เมิ่งชวนเลยแม้แต่น้อยในขณะที่เขาวิ่งวนไปทั่วสนามรบ
หลังจากวิ่งไปซักพัก เหล่าชายชุดแดงก็ทรุดตัวลง ทําให้หมอกสีแดงหนาขึ้นอีกครั้ง
ไม่ดีแล้ว! แก่นสารแห่งจิตของเมิ่งชวนทนรับมือไม่ไหวจนหมอกสีแดงได้จมเข้าไปในทะเลแห่งสติของเขา
จู่ๆหมอกสีแดงก็หายไป
ฟูวๆๆ! หมอกสีแดงซึมกลับเข้าไปในหินสีดําและทุกๆอย่างก็กลับมาเป็นปกติ
จากนั้นก็มีหมอกสีขาวโผล่ออกมาและเปิดทางให้เมิ่งชวนไปยังเสาต้นสูงทางฝั่งตะวันออกเฉียงใต้
“มันอยากจะให้ข้าไปทางนั้นอย่างนั้นรึ?” เมิ่งชวนรู้สึกงุนงง เขาพยายามจะเดินไปข้างๆ แต่หมอกสีขาวก็ก่อตัวเป็นกําแพงที่มองไม่เห็นคอยกันเขาไม่ให้มุ่งหน้าไปทางอื่น
“ข้าได้แต่เดินไปข้างหน้าแล้วเท่านั้น” เมิ่งชวนไม่ลังเลที่จะเดินหน้าไป เขาคอยมองดูรอบข้างอย่างละเอียด เสาอีก 11 ต้นนั้นพร่ามัวในหมอก และเขาก็ไม่สามารถเข้าใกล้มันได้
หลังจากเดินไปกว่าล้ําครึ่ง เขาก็ไปถึงเสา
เสาที่สูงใหญ่ต้นนี้เป็นสีดําสนิท แต่ว่ามันเปล่งแสงสีแดงออกมา
ฟุบ
มีลําแสงพุ่งออกมาจากเสาและส่องลงเมิ่งชวน
ผลึกเล็กๆเจาะเข้าไปในร่างของเมิ่งชวน ผลึกเล็กๆนี้เล็กเสียยิ่งกว่าฝุ่นซะอีก! มันเล็กกว่าสิ่งใดที่เมิ่งชวนเคยเห็นมาก่อน มันเล็กมากขนาดที่ปราณและร่างกายของเขาไม่สามารถป้องกันมันได้เลยด้วยซ้ํา มันเข้าสู่ร่างของเมิ่งชวนอย่างง่ายดายและเข้าไปตรงกลางอกของเมิ่งชวนที่ที่มีเส้นชีพจรกลางอยู่
เส้นชีพจรกลางนั้นเป็นจุดที่สําคัญมากๆของร่างเทพอสูร
ครืน!
เมื่อผลึกขนาดเล็กนั้นเข้าสู่เส้นชีพจรกลางก็มีเสียงระเบิดดังขึ้น จุดๆนั้นได้เปลี่ยนกลายเป็นพื้นที่ที่แยกจากเดิมโดยสิ้นเชิง เหมือนกับจุดตันเถียนและทะเลแห่งสติ
“จุดตันเถียนกลาง!” เมิ่งชวนรู้สึกตัวในทันที
จุดตันเถียนล่างนั้นเป็นที่ที่ปราณรวมกันอยู่ ส่วนจุดตันเถียนกลางนั้น ที่เส้นชีพจรกลางอยู่เป็นที่ที่ราชันเทพอสูรจะควบแน่นผลึกโลหิตเทพอสูร ในขณะที่พวกเขาฝึกฝนร่างเทพอสูร ผลึกโลหิตเทพอสูรนั้นจะถูกเก็บไว้ในจุดตันเถียนกลาง
ตันเถียนบนคือทะเลแห่งสติ และเป็นที่ที่แก่นสารแห่งจิตอยู่
มีเพียงราชันเทพอสูรเท่านั้นที่สามารถเปิดจุดตันเถียนกลางได้ “ผลึกเล็กๆนั้นช่วยให้ข้าเปิดจุดตันเถียนกลางอย่างนั้นหรือ?” เมิ่งชวนยังคงงุนงง เมื่อเขามองดูผลึกเล็กๆแปลกๆนั่น ข้อมูลมหาศาลก็ไหลเข้าสู่สติของเขา
เมิ่งชวนยืนอยู่ตรงหน้าเสานิ่งไม่ขยับไปไหน เขาต้องใช้เวลาซักพักในการประมวลผลข้อมูลจํานวนมหาศาลนั้นอยู่
ฟูวววว
กระแสน้ําวนสีดําปรากฏขึ้นข้างๆเขาและดูดเมิ่งชวนเข้าไป
เมิ่งชวนถูกโยนออกมาจากดินแดนสมบัตินั้น
เขาพยายามจะลุกขึ้นมาอย่างโซเซ เขาเห็นอาจารย์ของเขาและหญิงสาวในชุดสีขาวทอง
“ข้าออกมาแล้วรึ?” เมิ่งชวนดูงุนงง นี่ข้าเข้าไปนานแค่ไหนกัน??
“เขาใช้เวลาเพียงชั่วโมงเดียว นั่นไวมากเลยนะ” ลู่ถางพูด “เมิ่งชวน “โอกาส” ที่เจ้าได้มานั่นเป็นอะไรกัน?”
ข้างๆเธอนั้นเอง จินหวูก็ยิ้มและกล่าว “ระยะเวลาที่ใช้ในถ้ําสวรรค์หยวนชูมันไม่ส่งผลต่อคุณภาพของ “โอกาส” หรอก เมิ่งชวน “โอกาส” ที่เจ้าได้มานั้นเป็นแบบไหร่กัน?”
“ได้อะไรมาอย่างนั้นหรือขอรับ?” เมิ่งชวนยังคงงุนงง นั่นก็เพราะข้อมูลที่ผลึกเล็กๆนั่นใส่เข้ามาในสมองของเขามันมากจนเขาต้องตกใจ
ตอนที่ 134 ถ้ําสวรรค์หยวนชู
“จินหวู” นัยน์ตาของปรมาจารย์ลู่ถางเต็มไปด้วยความกังวล “ถ้ําสวรรค์หยวนชูเป็นที่ที่มีค่ามากที่สุดของเขาหยวนชูนะ ก่อนอสูรจะบุก มันจะถูกเปิดเพียงครั้งเดียวทุกๆหกพันบีนะ! แต่ตั้งแต่การบุกของอสูรเริ่มขึ้น พวกเราก็เริ่มทําเกินไป แล้วภายในแปดร้อยปีนี้ก็เปิดไปแล้วถึงสี่ครั้ง นี่เราจะเปิดมันเป็นครั้งที่ห้าอีก? ไม่ใช่ว่าพวกเราควรคิดให้ถี่ถ้วนกว่านี้ก่อนรึ?”
“ลู่ถาง” ชายผมยาวนามจินหวูส่ายหน้าเบาๆ “การบุกรุกของอสูรเริ่มรุนแรงขึ้น เมืองด่านขนาดกลางหลายเมืองกําลังถูกสร้าง และมีเมืองด่านขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นมาอีกเมืองในช่วงสามสิบปีที่ผ่านมา เมืองด่านขนาดใหญ่ทุกๆเมืองต้องปรมาจารย์คอยคุ้มกัน เรามีปรมาจารย์ระดับสรรค์สร้างมากแค่ไหนกัน? การบุกรุกของอสูรมันรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เจ้าก็รู้ว่าเหล่าอสูรนั้นแข็งแกร่งกว่าพวกเรามาก นี่เป็นเพียงเพราะทางผ่านโลกนั้นเชื่อมต่อเพียงส่วนน้อยเข้ากับโลกของเราเท่านั้น พวกเราถึงต่อสู้กันมาได้ถึง 800 ปี และสงครามนี้มันจะแย่ลงต่อไปเรื่อยๆในอนาคต สงครามที่โหดร้ายมากขึ้น”
ปรมาจารย์ลู่ถางเงียบไป เธอเข้าใจว่าสงครามมันจะแย่ลงในอนาคต
“หากพวกเรากันไว้ไม่อยู่ เผ่าพันธุ์มนุษย์จะถูกฆ่าล้างจนหมดสิ้น โลกของเราจะถูกอสูรเข้าครอบครอง” จินหวูพูดนิ่งๆ “บางทีพวกมันอาจจะเหลือมนุษย์ไว้บางส่วนเป็นอาหาร ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วใครจะใช้คลังสมบัติที่ถูกทิ้งไว้โดยเหล่าบรรพบุรุษกันเล่า? มันทั้งหมดคงจะตกอยู่ในมือของเหล่าอสูร”
“ดังนั้นแล้ว จากมุมมองของข้า พวกเราควรเปิดถ้ําสวรรค์หยวนชูสําหรับผู้ที่มีโอกาสไปถึงระดับสรรค์สร้าง” จินหวูกล่าว
ปรมาจารย์สู่ถางพยักหน้าเบาๆ “จากที่ข้ารู้มา เมิ่งชวนพึ่งจะได้รับแก่นสารแห่งจิต ระดับวิชากระบี่ของเขาเองก็ช้ากว่าเชวเฟิง มันธรรมดามาก ไม่มีทางเลยที่เขาจะไปถึงระดับสรรค์สร้างได้”
“แต่ความสามารถในการวาดภาพของเขานั้นสุดยอดมาก” จินหวูกล่าว “ในยุคนี้ เทพอสูรเติบโตท่ามกลางความเป็นความตาย พวกเขาเติบโตได้ไวกว่าเทพอสูรในประวัติศาสตร์เสียอีก! ข้าคิดว่าความสามารถในการวาดภาพของเขานั้นไม่ด้อยไปกว่าของศิษย์พี่ถานเหยาอานเลย สภาพแวดล้อมในตอนนี้จะทําให้เขาสามารถเติบโตได้ไวกว่าถานเหยาอานเสียอีก แก่นสารแห่งจิตของเขามีโอกาสไปถึงระดับแปดเลยด้วยซ้ํา หากเขาไปถึงระดับเก้ามันคงจะเป็นเรื่องที่ไม่เกินคาด”
“ระดับเก้า? ยังไม่มีใครรู้ด้วยซ้ําว่ามันมีอยู่จริงหรือเปล่า” ผู้ทรงอํานาจลั่วถังลังเล
“ตราบใดที่แก่นสารแห่งจิตของเขาไปถึงระดับเก้า ถึงเขาจะอยู่เพียงแค่ระดับสูงสุดของราชันเทพอสูร แต่เขาก็คงสามารถสู้กับจอมยุทธในระดับสรรค์สร้างได้เลยด้วยซ้ํา” จินหวูกล่าว “เจ้าคงจะเข้าใจดีว่าแก่นสารแห่งจิตระดับเจ็ดและแปดทรงพลังขนาดไหน ในระดับโลกา คนๆนั้นจะแข็งแกร่งพอๆกับจอมยุทธรระดับสรรค์สร้างที่พึ่งกําเนิดใหม่ และในระดับบรรลุ คนๆนั้นจะแข็งแกร่งกว่าจอมยุทธระดับสรรค์สร้างที่มีในตอนนี้ทั้งหมด ข้าคิดว่าการเปิดถ้ําสวรรค์หยวนชูให้เขานั้นเป็นสิ่งที่คุ้มค่า”
มุมปากของลู่ถงเผยอขึ้น เธอยิ้มออกมา รอยยิ้มของเธอนั้นดูงดงามยิ่งนัก “จินหวู เจ้าโน้มน้าวข้าได้สํารเร็จ ข้าหวังว่าแก่นสารแห่งจิตของเขาจะไปถึงระดับเจ็ดหรือแปดนะ”
”เจ้าเห็นด้วยสินะ?” จินหวูถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“ใช่ เปิดมันเถอะ” ปรมาจารย์สู่ถงกล่าว “แม้ด้วยความสามารถระดับเขาเขาจะสามารถไปถึงได้เพียงแค่ระดับราชันเทพอสูร แต่เขามีสามารถต่อสู้กับจอมยุทธระดับสรรค์สร้างได้ด้วยพลังของแก่นสารแห่งจิต หากจอมยุทธที่มีแก่นสารแห่งจิตระดับแปดเกิดขึ้นมา นั่นคงจะเป็นเรื่องดีสําหรับมนุษย์เรา”
มันเป็นเรื่องยากที่จะพัฒนาแก่นสารแห่งจิตในระดับหลังๆ ทุกๆระดับนั้นเหมือนกับหลุมลึกไม่มีที่สิ้นสุด ระดับความยากนั้นมันเหมือนกับการที่เฟิงโหวเทพอสูรจะขึ้นเป็นราชันเทพอสูร และ มันก็เหมือนกับการที่ราชันเทพอสูรจะขึ้นเป็นระดับสรรค์สร้าง
การพัฒนาแก่นสารแห่งจิตจากระดับที่เจ็ดเป็นแปดนั้นยากเสียยิ่งกว่าการไปถึงระดับสรรค์สร้างเสียอีก! ในประวัติศาสตร์มีเพียงสามคนเท่านั้นที่มีแก่นสารแห่งจิตระดับแปด และด้วยการใช้พลังของแก่นสารแห่งจิตของพวกเขา จอมยุทธเหล่านี้นั้นไร้ที่ต่อกร พวกเขาสามารถสังหารจอมยุทธระดับสรรค์สร้างคนอื่นๆได้!
“เอาล่ะ เดี๋ยวคืนนี้ข้าจะเปิดมัน” จินหวูพูดอย่างใจร้อน “แต่ก่อนเขาหยวนชูเปิดถ้ําสวรรค์ หยวนชูก็ต่อเมื่อศิษย์คนนั้นเชี่ยวชาญในด้านๆหนึ่งจนถึงที่สุด ปกติแล้วมันจึงเปิดทุกๆหกพันปี แต่ว่านี่จะเป็นครั้งที่ห้าที่เราจะเปิดถ้ําสวรรค์หยวนชูในรอบแปดร้อยปีที่ผ่านมานี้”
“ถ้ําสวรรค์หยวนชูเปิดให้สําหรับผู้ที่มีโอกาสไปถึงระดับสรรค์สร้างได้สูง” ปรมาจารย์ลู่ถางกล่าว “ในช่วงแปดร้อยปีที่ผ่านมานี้ มีมนุษย์สี่คนเข้าไปที่ดินแดนอันมีค่าแห่งนี้ คนหนึ่งตายในการต่อสู้ขณะยังเป็นเทพอสูรมหาสุริยัน ช่างเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย อีกสามคนได้ขึ้นเป็นราชันเทพอสูรราชันเจ้ายุทธอายุเกินสามร้อยปีแล้วในปีนี้ และเขาค่อยๆอ่อนแอลง โอกาสที่จะไปถึงระดับสรรค์สร้างนั้นก็มีไม่มาก ราชาทะเลตงไห่นั้นยังหนุ่ม เขาพึ่งจะอายุเกินร้อยปีนี้ เขามีโอกาสมากที่สุด”
“เป็นเรื่องที่น่าเศร้าที่ราชันหยานชุ่ยตาย เขาผ่านข้อกําหนดหมดแล้ว พลังปราณและร่างกายของเขาเองก็ทรงพลังมาก เพียงแต่แก่นสารแห่งจิตของเขายังอยู่ที่ระดับที่สี่ หากแก่นสารแห่งจิตของเขาไปถึงระดับที่ห้า เขาคงจะไปถึงระดับสรรค์สร้างไปแล้ว แต่ช่างโชคร้ายที่เขาได้ตายไปที่ด่านหยานชุ่ย”
“ในยุคที่วุ่นวายเช่นนี้ แค่มีราชันเทพอสูรเกิดใหม่ทุกครั้งที่เราเปิดคลังสมบัตินี้ก็น่าพึงพอใจมากแล้ว” จินหวูกล่าว “เราไม่สามารถใช้กฏแบบนั้นเหมือนเมื่อก่อนกับศิษย์เราได้แล้ว”
“นั่นก็จริง” ปรมาจารย์ลั่วถางพยักหน้า
อนาคตจะเป็นอย่างไร?
แม้แต่พวกเขาที่อยู่ระดับสูงสุดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็ยังไม่รู้เช่นกัน ที่พวกเขารู้ก็คือต้องเลี้ยงดูเหล่าจอมยุทธให้มากกว่านี้และเตรียมพร้อมสําหรับสถานการณ์ที่แย่ที่สุด
ยิ่งพวกเขาพร้อมมากเท่าไหร่ ยิ่งมีความหวังในการจบสงครามครั้งนี้ได้มากเท่านั้น
…
ตกกลางคืน
เมิ่งชวนและหลิวชีเยว่กําลังกินข้าวเย็นพร้อมกับพูดคุยหัวเราะกันอย่างมีความสุข
ทั้งคู่มองไปที่ทางเดินเมื่อรู้สึกได้ถึงบางอย่าง พวกเขาเห็นร่างเงาเดินมาจากสวน ร่างนั้นค่อยๆมีตัวตนขึ้นมาเป็นชายผมยาว
” ท่านอาจารย์” เมิ่งชวนและหลิวชีเยว่ลุกขึ้นยืนและทักทายเขาด้วยท่าทางนอบน้อมทันที
อาจารย์มาที่ถ้ําของศิษย์? ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย!
” เมิ่งชวน ตามข้ามา” ชายผมยาวพูด
“ขอรับ” เมิ่งชวนยืนขึ้นและเดินไปข้างๆอาจารย์ของเขา
“เดี๋ยวเมิ่งชวนจะกลับมา แต่อาจจะต้องใช้เวลาสองชั่วโมงถึงสามวัน” ชายผมยาวกล่าวกับหลิวชีเยว่ก่อนจะหายไปพร้อมกับเมิ่งชวน
หลิวชีเยว่ยืนงงอยู่นานก่อนจะกลับไปที่โต๊ะอาหาร เธอก้มหน้าก้มตากินอาหารต่อ แต่ว่าเธอกําลังสงสัยอยู่ ทําไมจู่ๆเขาถึงรีบพาอาชวนไปกัน? เธอไม่กังวลมากนัก เพราะว่าอาจารย์เป็นคนพาตัวเขาไปเอง เพราะงั้นเขาจึงปลอดภัยอย่างแน่นอน
ชายผมยาวออกจากช่องว่างมิติพร้อมกับเมิ่งชวน พวกเขาไปที่เขาโดดๆลูกหนึ่ง
” ท่านอาจารย์?” เมิ่งชวนรู้สึกงุนงง เขามองไปรอบๆและเห็นภูเขาที่คุ้นเคยไม่กี่แห่ง เขารู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน นี่เป็นเขาไร้ชื่อที่อยู่ไกลจากจิ้งหมิงเฟิง 30 ลี้
ชายผมยาวหยิบไม้บรรทัดสีฟ้าออกมา หลังจากใช้งานมันก็มีหญิงสาวชุดสีขาวทองปรากฏขึ้นข้างๆเขา
“เบิดมันเถอะ” ชายผมยาวและร่างเงาของหญิงสาวมองหน้ากันก่อนจะเปิดแดนสมบัติพร้อมกัน
ฟุบบ
อากาศบิดเบี้ยวและก็มีทางเข้าถ้ําทรงวงกลมปรากฏขึ้น
“มิตินี้จะพาเจ้าไปที่ยังที่ที่มีค่าที่สุดของเขาหยวนชู” ชายผมยาวมองไปที่เมิ่งชวนและกล่าว “หลังจากที่เข้าไปแล้ว “โอกาส” ที่เจ้าจะได้รับนั้นจะขึ้นอยู่กับตัวเจ้าเอง พยายามรับ “โอกาส” ที่ทรงพลังที่สุดมาให้ได้”
“อาจารย์ของเจ้าต้องหว่านล้อมข้าพักนึงเลยนะกว่าที่ข้าจะยอมให้เจ้าเข้าไปได้เนี่ย” ปรมาจารย์ลู่ถางมองดูเมิ่งชวน “ข้าล่ะสงสัยจริงๆว่าเจ้าจะได้สิ่งใดมาจากถ้ําสวรรค์หยวนชู”
“ศิษย์จะทําให้ดีที่สุดขอรับ” เมิ่งชวนก้มหัวมองดูมิตินั้นด้วความสงสัย
ถ้ําสวรรค์หยวนชู? โอกาส? เมิ่งชวนรู้สึกสงสัยนิดๆ
“นี่คือที่ๆล้ําค่าที่สุดของเขาหยวนชู จําไว้ อย่าบอกใครเกี่ยวกับเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว ภรรยาหรือพ่อแม่” ในขณะที่ชายผมยาวกล่าวเขาก็จับเมิ่งชวนโยนเข้าไป
เมิ่งชวนตกใจ เขาเข้าไปในมิตินั้นโดยไม่มีเวลาได้ตอบสนองแม้แต่น้อย
จากนั้นทางเข้าถ้าก็หายไปอย่างรวดเร็ว
“นี่คือถ้ําสวรรค์หยวนชูอย่างนั้นรึ?” หลังจากที่เมิ่งชวนผ่านทางเข้านั้นไป เขาก็รู้สึกเหมือนราวกับกําลังล่องลอยอยู่กลางอากาศ จากนั้นเขาก็เห็นหัวสัตว์ร้ายขนาดยักษ์! หัวของมันใหญ่กว่าภูเขาเสียอีก ปากของมันกว้างกว่าพันจิ้ง ภายในนั้นมีวังวนสีดําอยู่ เพิ่งชวนไม่สามารถต้านทานแรงดูดนั้นได้และถูกดึงเข้าไปในปากของสัตว์ร้ายตัวนั้น
หลังจากถูกดูดเข้าไป เขาก็รู้สึกราวกับถูกดูดเข้าไปอยู่ในพายุหมุน
ตอนที่ 133 การพูดคุยระหว่างสองปรมาจารย์
ในขณะที่เหล่าคนรับใช้ในถ้ํากําลังกวาดหิมะจู่ๆพวกเขาก็ได้ยินเสียงดังครืน พวกเขามองไปที่ทางต้นเสียง
“ดูนั่นสิ”
เหล่าคนรับใช้มองดูลําแสงกระบี่สายฟ้าที่พุ่งขึ้นมาจากลานฝึกด้วยความตกใจ มันทําให้อากาศบิดเบี้ยวและทําให้เกิดแรงกระแทกไปรอบข้าง มันพุ่งออกไปสุดสายตา ทําให้อากาศในระยะหนึ่งลี้ต้องสั่นสะท้าน
ครืนๆๆๆ!
เกิดลําแสงกระบี่ขึ้นมาติดๆกัน เพียงชั่วพริบตาก็มีลําแสงกระบี่กว่าร้อยเล่ม แต่ละเล่มนั้นทรงพลัง ลําแสงกระบี่เหล่านั้นทําให้รอบข้างในระยะหนึ่งถูกปกคลุมไปด้วยแรงระเบิด
” ช่างน่าอัศจรรย์”
“นายท่านเมิ่งชวนทรงพลังขนาดนั้นเชียวรีนี่?”
“ข้าได้ยินมาว่าท่านเมิ่งชวนผ่านถ้ําเก้าปริศนาและกําลังจะลงจากเขาแล้ว นี่เป็นพลังของเทพอสูรระดับมหาสุริยันใช่มั้ย?” เหล่าคนรับใช้กระซิบกระซาบ ตั้งแต่ที่เขาได้ขึ้นเป็นเทพอสูรระดับมหาสุริยัน เมิ่งชวนก็ไม่เคยปลดปล่อยพลังที่แท้จริงออกมาเลย
….
หลิวชีเยว่เองก็ไปที่ลานฝึกเพราะเสียงเอะอะ เมิ่งชวนถือกระบี่สีเลือดและฟาดลําแสงกระบี่ที่พุ่งไปเกือบลี้ก่อนจะหายไป
“เจ้าก็มาด้วย” เมิ่งชวนเก็บกระบี่แล้วยิ้มให้ชีเยว่
“อาชวน วิชากระบี่ของเจ้าดูแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิมอีก” หลิวชีเยว่อุทาน
“ต้องขอบคุณกระบอสูรสังหาร” เมิ่งชวนกล่าว “แต่ว่าหากได้สู้กับราชาอสูรที่ทรงพลังจริงๆ ข้าต้องบีบอัดพลังเข้าไปเป็นจุดเดียวก่อนจะปลดปล่อยมันออกมา พลังในการโจมตีจะกระจายออกไปหากข้าโจมตีจากระยะขนาดนั้น มันเหมาะสําหรับการโจมตีใส่ศัตรูหลายๆตัวพร้อมกัน แต่ว่าไม่เหมาะแก่การโจมตีศัตรูเพียงตัวเดียว แถมมันยังดูดพลังปราณของข้าไปอย่างรวดเร็วอีกด้วย”
” แล้วทําไมเจ้าถึงลองทําล่ะ?” หลิวชีเยว่ถามด้วยรอยยิ้ม
“ ข้าอยากทดสอบพลัง การปลดปล่อยพลังที่มีทั้งหมด ข้าจะสามารถเห็นพลังของมันได้อย่างชัดเจนมากกว่า” เมิ่งชวนกล่าว
หลิวชีเยว่พยักหน้าและพูดขึ้นว่า “ไปกินข้าวกันเถอะ อาหารพร้อมแล้ว ถ้าปล่อยไว้มันจะเย็นนะ”
“ไปกันเถอะ ข้าหิวแล้ว” เมิ่งชวนกล่าวยิ้มๆและเดินออกจากลานฝึกไปพร้อมกับชีเยว่ ส่วนพลังของแก่นสารแห่งจิตน่ะเหรอ? เขาทดสอบมันเรียบร้อยแล้ว
ตอนนี้เขาคือเทพอสูรระดับมหาสุริยัน ในแง่ของพลังปราณในฐานะเทพอสูรระดับมหาสุริยัน เขาเหนือกว่าเทพอสูรระดับมหาสุริยันธรรมดาไปมากแล้ว และเขาเองก็ยังได้รับจิตวิญญาณกระบี่ชั้นสูงสุดมาอีกด้วย
ในตอนที่แก่นสารแห่งจิตของเขายังอยู่ในระดับแรก พลังของแก่นสารแห่งจิตช่วยเพิ่มพละกําลังของเขาเพียงห้าส่วนเท่านั้น! พลังขนาดนั้นก็สามารถเรียกได้ว่ามีประโยชน์ แต่มันก็ช่วยเขาไม่ได้มากเท่ากับตอนที่เขายังเป็นมนุษย์
เมื่อแก่นสารแห่งจิตไปถึงระดับสอง พลังของมันก็พัฒนาขึ้น! พลังของแก่นสารแห่งจิตของเขา ในตอนนี้มีผลต่อโลกความเป็นจริงแล้ว ทําให้เขาสามารถขยับของที่หนักกว่า 100 จนได้
ความแข็งแกร่งของเขาจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าเมื่อเขารวมพลังของแก่นสารแห่งจิตเข้ากับร่างกายและพลังปราณ หรือก็คือ เขาแข็งแกร่งกว่าเดิมถึงสามเท่า อย่างไรก็ตาม เขาสามารถโจมตีได้เพียงเจ็ดครั้งด้วยพละกําลังเช่นนั้นก่อนที่พลังของแก่นสารแห่งจิตจะหมด การเสริมร่างกายและพลังปราณในตอนนี้ต้องใช้มากกว่าตอนที่ยังเป็นมนุษย์มาก ในตอนที่ยังเป็นมนุษย์เขาก็เปรียบได้ดั่งก้อนหินก้อนเล็กๆ แต่ในตอนนี้เขาราวกับเป็นภูเขาอันสูงใหญ่
หากเขาใช้เพียงพลังของแก่นสารแห่งจิตเพื่อดึงพลังจากร่างของเขาเพียอย่างเดียว พลังของเขาคงจะเพิ่มขึ้นเพียงหกส่วนเท่านั้น! และด้วยพลังระดับนั้นเขาสามารถโจมตีได้สิบห้าครั้ง
และหากเขาผสานพลังของแก่นสารแห่งจิตเข้ากับพลังปราณอย่างเดียว พลังของเขาจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าและสามารถโจมตีได้ถึงห้าสิบครั้ง!
ร่างกายของเขาเป็นเพียงพละกําลังส่วนน้อย แต่ร่างกายนั้นซับซ้อนและดึงพลังมาได้ยากกว่า
เมื่อเปรียบเทียบแล้ว แก่นสารแห่งจิตสามารถดึงพลังของปราณมาได้ง่ายกว่า และแก่นสารแห่งจิตก็จะถูกใช้น้อยกว่าด้วยเช่นกัน เพิ่งชวนรู้สึกยินดี
เทพอสูรมนุษย์ฝึกฝนพลังปราณ พลังปราณของเทพอสูรระดับมหาสุริยันนั้นทรงพลังอย่างแท้จริง พลังของแก่นสารแห่งจิตจะเพิ่มพลังให้มหาศาลเมื่อเขาผสมเข้ากับมัน
“ข้าสามารถใช้พลังของแก่นสารแห่งจิตเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งเป็นสองเท่าได้! นี่คงจะกลายเป็นท่าพิฆาตของข้า หากข้าสามารถโจมตีได้ห้าสิบครั้งด้วยพละกําลังเช่นนั้น ถึงจะใช้พลังเช่นนั้นเรื่อยๆมันคงไม่ส่งผลต่อข้ามากนัก หากข้าใช้พลังเต็มที่ ข้าก็จะแข็งแกร่งขึ้นได้สามเท่า ข้าต้องระมัดระวังและเก็บสะสมพลังของแก่นสารแห่งจิตไว้ในช่วงเวลาคับขัน”
ผลการทดลองช่วยเพิ่มความมั่นใจให้เพิ่งชวน แก่นสารแห่งจิตระดับสองของเขาทําให้เขารู้สึกมั่นใจมากขึ้นเวลาสังหารศัตรู เขามีไพ่ตายเพิ่มขึ้นมาแล้ว
วันที่ 25 ตุลาคม
ตําหนักแม่น้ําสวรรค์
ศิษย์ทุกคนไปฟังบรรยาย ทุกๆคนให้ความสําคัญในการบรรยายที่ตําหนักแม่น้ําสวรรค์มาก ทุกๆคนรู้ว่าท่านปรมาจารย์มีสถานะที่สูงมากๆในเขาหยวนซู สถานะของเขานั้นสูงกว่าเจ้าเขาหยวนชูเสียอีก ทุกๆคนต่างรู้ได้ว่าปรมาจารย์นั้นอยู่เหนือกว่าราชั้นเทพอสูร และปรมาจารย์ก็เป็นผู้ที่ให้คําแนะนําได้ดีที่สุด
พวกเขาสามารถขอคําชี้นําจากปรมาจารย์ได้หากพวกเขาพบเจอกับปัญหา พวกเขาต่างให้ความสําคัญในบรรยายเหล่านี้
เมิ่งชวนและหลิวชีเยว่จะลงจากเขาหลังจากวันที่ 15 พฤศจิกายน ตอนนี้พวกเขายังไม่รู้ด้วยซ้ําว่าจะได้ไปอยู่ที่เมืองด่านไหน ดังนั้นพวกเขาจึงเข้าร่วมการบรรยายตามปกติ
“ศิษย์พี่เมิ่ง”
“ศิษย์พี่หลิว”
หลังจากที่เมิ่งชวนเข้าไปที่ตําหนักแม่น้ําสวรรค์ก็มีศิษย์น้องหลายคนทักทาย เพราะไม่ว่ายังไง พวกเขาทั้งสองต่างก็เป็นเทพอสูรระดับมหาสุริยันที่ยังไม่ได้ลงจากเขา พวกเขามีร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษด้วยซ้ํา จะมีใครไม่เคารพกันเล่า?
พวกเขานั่งข้างๆกันที่แถวหน้า
เมิ่งชวน หลิวซีเยว่และเหยียนชื่อถงต่างอยู่ที่แถวหน้า ชี่หยวนถงและเหยียนจินอยู่แถวที่สอง เจ้าหญิงหลี่ลิ้งสลับไปมาระหว่างแถวที่สามและสี่ พร้อมกับศิษย์กลุ่มเดียวกัน ซงชา ฉู่หยง หยานเฟิง หนิงอี่โบ และศิษย์คนอื่นๆที่ลงจากเขาไปแล้ว การทดสอบของถ้ําเก้าปริศนาของพวกเขานั้นง่ายกว่าของเมิ่งชวน พวกเขาลงจากเขาไปตอนที่ยังเป็นเทพอสูรระดับมหาสุริยัน
” ท่านปรมาจารย์มาแล้ว”
ศิษย์ทุกคนเงียบไปในทันที
พลังที่มองไม่เห็นปกคลุมทั่วตําหนักแม่น้ําสวรรค์ ปรมาจารย์ผมยาวเดินเข้ามา เมื่อเขามองไปที่เมิ่งชวน นัยน์ตาของเขาก็เต็มไปด้วยความตกใจ แต่ว่าเหล่าศิษย์ต่างก้มหัวกันด้วยความเคารพ ไม่มีใครกล้ามองหน้าอาจารย์โดยตรง “คารวะท่านอาจารย์”
“นั่งก่อน” ปรมาจารย์พูดอย่างใจเย็น
จากนั้นศิษย์ทั้งหมดก็นั่งลง
ปรมาจารย์ก็บรรยายเหมือนก่อนแต่เขาเก็บซ่อนความตกใจเอาไว้ “แก่นสารแห่งจิตระดับสอง? เมิ่งชวนไปถึงระดับจิตแล้วอย่างนั้นรึ?”
ปกติแล้วเทพอสูรระดับมหาสุริยันจะไปถึงระดับเต่ก่อนที่จะหาคําตอบจากตัวตนภายใน หลังจากได้รับแก่นสารแห่งจิตแล้ว ส่วนมากก็จะได้เข้าสู่ระดับเดือนมืดมิดอย่างรวดเร็ว
เทพอสูรเฟิงโหวต้องใช้เวลาฝึกฝนนานนับหลายปีกว่าพวกเขาจะไปถึงระดับจิตได้อย่างยากลําบาก นั่นเป็นเพราะวิชาอาวุธมีไว้สําหรับการฆ่าฟัน ส่วนวิชาศิลปะนั้นเป็นการแสดงอารมณ์ภายในออกมา เมื่อเทียบกันแล้ว เหล่าผู้ที่ไปถึงระดับเต๋าด้วยวิชาศิลปะทั้งหลายจะสามารถหาคําตอบจากตัวตนภายในได้บ่อยกว่า
‘ปีนี้เขาพึ่งจะอายุยี่สิบเก้า แต่แก่นสารแห่งจิตของเขาไปถึงระดับสองแล้วอย่างนั้นรึ? ปรมาจารย์ได้แต่ตกตะลึงอยู่ในใจ เขาสามารถเทียบได้กับถานเหยาอานในประวัติศาสตร์เลยด้วยซ้ํา’
ถานเหยาอานเป็นปราชญ์นักเขียนที่มีความสามารถในการเขียนสูงเหนือกว่าผู้ใด เขาควบแน่นแก่นสารแห่งจิตได้ตอนที่เขายังเป็นมนุษย์ผ่านการเขียน และในอายุ 28 เขาก็ไปถึงระดับจิต
แก่นสารแห่งจิตของถานเหยาอานนั้นไปถึงขั้นที่เจ็ดแล้ว นอกจากนี้ เขายังเป็นราชันเทพอสูรอีกด้วย ในตอนนั้นที่ทั้งห้าประเทศเข้านั่นกันอยู่ ถานเหยาอานถูกจอมยุทธระดับปรมาจารย์ของอีกประเทศสังหาร! ก่อนที่เหล่าอสูรบุกโลกนี้ มนุษย์ต่างต่อสู้กันเองอยู่ตลอด ขนาดนิกายใหญ่ๆยังถูกทําลาย มีเพียงเขาหยวนชูที่อยู่มานานที่สุด
สามนิกายใหญ่แต่ก่อนเคยมีความแค้นต่อกันมากมาย แต่หลังจากที่ร่วมมือกันต่อต้านเหล่าอสูรมานานนับหลายปี ทุกๆคนก็ทิ้งความเกลียดชังและมุ่งมั่นอยู่กับศัตรูเพียงหนึ่งเดียว
ราชันเทพอสูรและเฟิงโหวเทพอสูรในตอนนี้ส่วนมากก็เกิดหลังจากที่อสูรบุกโลกมนุษย์ พวกเขาจึงเป็นหนึ่งเดียวมากกว่า มีเพียงเหล่าปรมาจารย์ระดับสรรค์สร้างเท่านั้นที่เคยพบเจอการนองเลือดระหว่างนายต่างๆ
‘วิชากระบี่ของเขานั้นไม่สูงมาก ในยุคนี้ยังมีอีกหลายคนที่เหนือกว่าเขา วิชาดาบของเชวเฟิงสูงกว่าเขาอีก’ ใจของปรมาจารย์สั่นไหว ‘แต่ว่าความสามารถในการวาดภาพของเขานั้นสามารถเทียบได้กับถานเหยาอานในด้านของการเขียนเลยทีเดียว’
….
ปรมาจารย์ให้คําแนะนําต่อไปและเมื่อเสร็จก็กลับไป เขาไปที่ห้องหนังสือเพียงคนเดียวและ หยิบไม้บรรทัดสีฟ้าออกมา มันมีลวดลายอันงดงามและดูหรูหรา พร้อมกับกระแสพลังที่ดูลึกลับอีกด้วย
“ลู่ถาง” ปรมาจารย์ตวัดไม้บรรทัดและใช้งานมัน
ซุบ
ร่างเงาของหญิงสาวผู้หนึ่งปรากฏขึ้นในห้องหนังสือ เธอใส่ชุดคลุมสีขาวทองพร้อมกับบรรยากาศที่ดูสูงส่ง เธอยิ้มให้ปรมาจารย์ “จินหวู เจ้าเรียกข้าทําไมรึ?”
“เขาหยวนชูของเราตอนนี้มีศิษย์นามเมิ่งชวน เขาพึ่งจะอายุยี่สิบเก้าปีนี้ เขาเป็นเทพอสูรระดับมหาสุริยันที่เข้าถึงจิตวิญญาณกระบี่ขั้นสูงสุดและมีร่างอสูรตัดสายฟ้าที่สมบูรณ์แบบ” ปรมาจารย์กล่าว “ความสามารถในการวาดภาพของเขานั้นไม่มีใครเทียบได้เหมือนกับของศิษย์พี่ถานเหยาอานเลย แก่นสารแห่งจิตของเขาไปถงระดับจิตแล้ว ข้าอยากจะเปิดถ้ําสวรรค์หยวนชูและส่งเขาไป”
“เปิดถ้ําสวรรค์หยวนชู?” นัยน์ตาของหญิงสาวคนนั้นดูประหลาดใจ
ตอนที่ 132 แก่นสารแห่งจิตระดับสอง
เมิ่งชวนวาดภาพชายหนุ่มชุดเกราะสีดําถือหอก ดวงตาของเขาเฉียบคม ราวกับไม่มีอะไรในโลกนี้ที่จะหยุดเขาได้ ภาพวาดนี้แสดงให้เห็นถึงวัยหนุ่มของเขา เขาเป็นมนุษย์ที่โดดเด่นมาก ในช่วงแปดร้อยปีที่ผ่านมา และในตอนที่เขาลงจากเขาไปนั้นก็ยังหนุ่มมากอีกด้วย เขาคอยขับไล่เหล่าอสูรออกไปตลอดชั่วอายุ 300 ปีของเขา นามของเขาคือราชันหยานฉุ่ย! เขาทําหน้าที่ปกป้องเมืองด่านขนาดใหญ่อยู่ตลอด ด่านหยานฉุ่ย
เหล่าอสูรพยายามเข้าโจมตีด่านหยานนุ่ยอย่างเต็มที่ แต่พวกมันก็พลาดซ้ําแล้วซ้ําเล่า! ราชันอสูรจํานวนนับไม่ถ้วนต้องตกตายภายใต้หอกของราชันหยานฉุ่ย
แต่ถึงอย่างนั้นก็เกิดศึกที่น่าสลดขึ้น! ทางผ่านโลกเปิดขึ้นที่ด่านหยานฉุ่ยและขยายตัวโดยไม่มีคําเตือนใดๆ เหล่าอสูรนําราชาอสูรระดับห้าสามตนพร้อมกับราชันอสูรระดับสี่อีกเป็นจํานวนมาก เข้ามาโจมตี! ราชันหยานฉุ่ยต่อสู้อย่างกล้าหาญไปพร้อมกับหอกของเขา! เขาสามารถสังหารราชาอสูรระดับห้าทั้งสามตนและราชาอสูรระดับสี่อีกกว่ายี่สิบตนไปได้ จนทําให้การต่อสู้นั้นจบลง
แต่ในไม่ช้า ราชาอสูรระดับห้าอีกเก้าตนก็นําทัพอสูรที่ใหญ่กว่าเดิมเข้ามาบุกอีกรอบ
ราชันหยานฉุ่ยโกรธจัด
ในการต่อสู้นั้นเต็มไปด้วยเสียงปะทะดังราวกับฟ้าฟาด เปลี่ยนพื้นที่กว่าพันลี้ของสนามรบไปโดยสิ้นเชิง ทะเลสาบหยานฉุ่ย ที่กว้างกว่าร้อยลี้ ก็ถูกตัดผ่านจนไปเชื่อมกับทะเลตะวันออกเลยทีเดียว!
ราชันหยานฉุ่ยตายในการต่อสู้นั้น! สรุปแล้ว เขาสามารถสังหารราชาอสูรระดับห้าไปได้ถึงเก้าตน หลังจากที่ตาย แม้แต่อสูรก็ไม่อยากทําให้ร่างของเขาต้องแปดเปื้อน พวกมันนําร่างของเขากลับไปที่แดนปีศาจด้วยซ้ํา และร่างนั้นก็ยังอยู่จนถึงทุกวันนี้
เมื่อปรมาจารย์ระดับสรรค์สร้างจากเขาหยวนซูรีบรุดไปจากระยะทางกว่าหมื่นลี้ เมืองด่านนั้นก็กลายเป็นซากไปแล้ว ร่างของราชันหยานฉุ่ยไม่สามารถถูกนํากลับมาได้ด้วยซ้ํา! มนุษย์ได้แต่ต้องสร้างเมืองด่านขนาดใหญ่บนซากปรักหักพักแห่งนั้นเพื่อป้องกันทางผ่านโลกขนาดใหญ่ แบบนั้น นั่นจึงทําให้เกิดด่านลู่ถางขึ้น เมืองด่านที่ใหญ่ที่สุดในราชวงศ์โจวที่ยิ่งใหญ่! โดยมีปรมาจารย์เป็นคนคอยคุมด่านนี้ด้วยตนเอง
การต่อสู้ของราชันหยานฉุ่ยนั้นทําให้เหล่ามนุษย์และอสูรต้องตกใจ มนุษย์ได้ยืนยันว่ามีราชาอสูรระดับห้าเก้าตนและราชาอสูรระดับสี่อีกกว่าร้อยตน เรียกได้ว่าเกือบครึ่งของพวกมันต้องตกตายไปเพราะหอกของราชันหยานฉุ่ยในด่านแห่งนี้
ราชันหยานฉุ่ย เมิ่งชวนวาดภาพเขาด้วยความระมัดระวัง ในตอนที่เขาตายในการต่อสู้ ผมของเขาก็กลายเป็นสีขาวไปแล้ว เมิ่งชวนเคยเห็นแต่ภาพของราชันหยานฉุ่ยในตอนยังหนุ่มเพียงเท่า
เขาเคยเป็นชายหนุ่ม ที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่จะต่อสู้
ครืนนน!
เมิ่งชวนรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของแก่นสารแห่งจิตของเขา
แก่นสารแห่งจิตของเขาที่ไปถึงจุดสูงสุดเมื่อนานมาแล้ว ได้ขึ้นไปสู่ระดับสอง จิต ขอบเขตสัมผัสของเขาได้ขยายขึ้นไปเป็นยี่สิบจั้ง และการรับรู้พลังของเขาก็กว้างไปถึงสองลี้
อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้เมิ่งชวนตั้งใจวาดภาพอย่างเต็มที่ เขาไม่สนใจในการเปลี่ยนแปลงแก่นสารแห่งจิตแม้แต่น้อย เขายังคงนั่งวาดภาพของราชันหยานฉุ่ยเมื่อยังหนุ่มไปต่อ
จากนั้นเขาก็วาดร่างของคนอีกคน เฟิงโหววู่หยาง
เฟิงโหววู่หยางเองก็เป็นอัจฉริยะที่โดดเด่นมากเช่นกัน เขาขึ้นเป็นเฟิงโหวตั้งแต่อายุยังน้อย! ความสามารถของเขานั้นสุดยอด ในตอนนั้นเขาลงจากเขาอย่างเด็ดเดี่ยว เขาแต่งงานและมีลูกในขณะที่คอยปกป้องด่านวู่หยาง ลูกชายและลูกสาวของเขาทั้งสองคนก็ได้ขึ้นเป็นเทพอสูร เช่นกัน พวกเขาขึ้นเป็นเทพอสูรระดับมหาสุริยันตั้งแต่อายุสามสิบและคอยปกป้องด่านวู่หยาง พร้อมกับพ่อของพวกเขา
แต่ว่าเขาก็ได้เจอกับมนุษย์ที่ทรยศ หัวหน้าสาขานิกายอสูรฟ้า หวางชีรู่ มันแทรกซึมเข้าไปในด่านวู่หยางและทําให้เฟิงโหววู่หยางต้องบาดเจ็บสาหัสในการลอบสังหาร จากนั้นมันก็ได้ร่วมมือกับอสูรและเหล่าอสูรก็ทําลายด่านวู่หยางไปได้โดยสิ้นเชิง
ในการต่อสู้นั้น เฟิงโหววู่หยางและลูกๆของเขาต้องตายในการต่อสู้ หวางชีรู่มีเพียงอาการบาดเจ็บสาหัส ในตอนนี้ มันเป็นเพียงหนึ่งในสองอสูรฟ้าของนิกายอสูรฟ้า
ความสามารถของเฟิงโหววู่หยางนั้นโดดเด่น ลูกๆของเขาเองก็มีความสามารถมากเช่นกัน หากใช้เวลาอีกสิบหรือยี่สิบปี เพิ่งโหววู่หยางคงจะได้กลายเป็นราชันเป็นแน่ ลูกๆของเขาเองก็มีโอกาสจะได้เป็นเฟิงโหว เมิ่งชวนอ่านบันทึกประวัติศาสตร์ มีความสูญเสียที่น่าเศร้ามากเกินไป อย่างไรก็ตาม หวางชีรู่ที่แอบลอบสังหารเฟิงโหววู่หยางนั้นก็ทรงพลังเกินไป เพราะอย่างน้อยสถานะของมันก็คืออสูรฟ้าระดับห้า
หลายคนรู้สึกเสียใจที่เฟิงโหววู่หยางและลูกๆของเขาต้องตายในการต่อสู้
เมิ่งชวนวาดภาพพวกเขาในตอนที่ลงจากเขาอย่างตั้งใจ ตรงกลางคือเฟิงโหววู่หยาง ข้างๆเขา คือลูกชายและลูกสาว ราวกับพ่อเป็นผู้นําทางลูกๆในการต่อสู้
…
เมิ่งชวนวาดภาพต่อไป ทุกๆครั้งที่เขาวาดภาพ เขาก็จะนึกถึงเรื่องราวของคนๆนั้นขึ้นมา เขาใช้อารมณ์ทั้งหมดที่มีในการวาดภาพ น้ําตาเอ่อนองขึ้นมาโดยไม่รู้สึกตัว
เขาวาดภาพเทพอสูรผู้กล้าหาญสิบแปดคนที่ตายในการต่อสู้ เขาวาดทุกๆคนอย่างตั้งใจ! จากนั้นเขาก็วาดภาพคนอื่นๆ แม้ว่ามันจะสะบัดพู่กันแค่สองสามที หรือบางคนก็เห็นจากด้านหลัง แต่พวกเขาต่างเป็นผู้กล้าในสายตาของเมิ่งชวน แม้จะอ่อนแอกว่าก็ตาม ส่วนมากต่างเป็นเทพอสูรระดับมหาสุริยันหรือแดนอมตะในตอนที่จากไป
แต่ถึงอย่างนั้นเมิ่งชวนกวาดพวกเขา ตราบใดที่พวกเขาถูกบันทึกลงในประวัติศาสตร์ เขาก็จะใส่อารมณ์เข้าไปในการสะบัดพู่กันนั้นด้วย พวกเขาทุกคนต่างมีสิ่งที่พิเศษเป็นของตัวเอง
เมิ่งชวนไม่หยุดวาดภาพนี้แม้แต่น้อย! เขาไม่ดื่มหรือกินอะไร วันคืนผ่านไปเขาก็ยังคงจมดิ่งอยู่กับภาพวาดของเขา
ผู้กล้าทั้งสิบแปดต่างถูกวาดด้วยความละเอียดสูง ผู้กล้าอีกทั้ง 127 คนถูกวาดที่ด้านหลัง มันดูเหมือนราวกับพวกเขาไปถึงขอบของเขาหยวนชู ภาพของพวกเขานั้นเล็ก ถูกวาดด้วยการสะบัดพู่ กันเพียงนิดหน่อย แต่ว่าแต่ละร่างกลับดูราวกับมีชีวิต
จากนั้นเมิ่งชวนก็เริ่มวาดคนที่ยังมีชีวิต
นักดาบไร้เทียบทานเชวเฟิง เซี่ยวหยุนเยว่ที่อ่อนโยนและเป็นมิตร เฉียนหยูที่มองไปในที่ห่างไกลพร้อมกับดวงตาที่มีประกายความเศร้า เฟิงโหวเทียนซิงโหวที่โดดเด่น เฟิงโหวเมฆาใต้ที่สุภาพและเพียบพร้อม ราชันตงเหอที่กล้าหาญ เมิ่งชวนพบเจอกับพวกเขาทุกคนด้วยตาของตนเอง พวกเขาต่างเป็นเทพอสูรที่ยังหนุ่ม เช่นเดียวกันกับเฟิงโหวและราในเทพอสูร พวกเขาเหล่านี้คอยช่วยเหลือเผ่าพันธุ์มนุษย์อย่างมหาศาล
เขาวาดเทพอสูรที่ยังมีชีวิตทั้ง 18 ร่างอย่างตั้งใจ เขาเองก็ยังวาดภาพของเหล่าศิาย์เทพอสูรที่เขาเคยพบ เมิ่งชวนได้พบกับศิษย์กว่า 200 คนที่ลงจากเขาไปแล้ว! เมิ่งชวนวาดเทพอสูรอีก 127 คน ทุกๆคนถูกวาดด้วยการสะบัดพู่กันเพียงไม่กี่ครั้ง พวกเขานั้นยังเยาว์วัย เหมือนกับภาพที่เมิ่งชวนเห็นตอนที่ส่งพวกเขาไปที่ผาแดงโลหิต
ผู้กล้าจํานวนนับไม่ถ้วนที่ต่อสู้อยู่ในทุกแนวหน้า เมิ่งชวนมองดูภาพวาดและเขาก็เห็นการต่อสู้ในระหว่างที่ความคิดกําลังแล่น มันเป็นการต่อสู้ที่เทพอสูรเหล่านี้เข้าไปต่อสู้
ไม่มีใครอยู่ยงคงกระพัน
ไม่มีใครอยู่ได้ตลอดกาล
แม้แต่ผู้ที่ทรงพลังอย่างราชันหยานนุ่ยยังตายในการต่อสู้ ร่างของเทพอสูรที่ผาแดงโลหิตแสดงให้เห็นถึงทุกอย่างแล้ว ศิษย์ของเขาหยวนชูทุกคนที่ลงจากเขาเข้าใจว่าพวกเขาอาจต้องตายในการต่อสู้ แต่ว่า พวกเขาต่อสู้เพื่อการอยู่รอดของมนุษย์ ไม่มีใครถอยไม่มีใครทิ้งหน้าที่ของตน
“เราจะชนะสงครามครั้งนี้ แม้มันจะไม่เกิดในชั่วชีวิตของข้า แต่ซักวันหนึ่ง แม้ข้าจะตายไปมนุษย์ก็จะได้พบกับชัยชนะอย่างแน่นอน” เมิ่งชวนกระซิบ จากนั้นเขาก็เขียนคําห้าคําลงบนมุมขวาบนของภาพวาด “ผู้กล้าสู่แนวหน้า”
จะเป็นเทพอสูรที่ตายในการต่อสู้หรือเทพอสูรที่คอยปกป้องเมืองด่านอยู่ พวกเขาทุกคนนั้นคือผู้กล้า
หลังจากวาดภาพเสร็จ เมิ่งชวนก็มองดูภาพวดอย่างตั้งใจ ภาพวาดภาพนี้สามารถเข้าใจได้อย่างง่ายดาย มันแสดงให้เห็นถึงเหล่าเทพอสูรที่ลงจากเขาไปและต่อสู้ในทุกๆหนแห่ง อารมณ์อันแรงกล้าที่ถูกใส่ลงไปในภาพนี้ทําให้เขาไม่สามารถหยุดวาดได้จนกว่าจะเสร็จ
“ข้าวาดเสร็จแล้ว คราวนี้ก็ถึงตาของข้าที่จะต้องลงจากเขาแล้ว” เมิ่งชวนวางพู่กันลงและเปิดประตูห้องหนังสือ
ข้างนอกมีหิมะกองหนา
เมิ่งชวนยืนอยู่ในสวน สูดความเป็นธรรมชาติเข้าไป เขารู้สึกสงบนิ่ง
หลังจากผ่านไปนาน หลิวชีเยว่ก็กลับมาที่ถ้ําของเมิ่งชวน เมื่อเธอเห็นเมิ่งชวนเธอก็พูดอย่างมีความสุข “อาชวน เจ้าวาดภาพเสร็จแล้วเหรอ? เจ้าวาดภาพติดกันเกือบสองวันสองคืนเลยนะ”
“ข้าอยากวาดและไม่อยากจะหยุด” เมิ่งชวนกล่าวยิ้มๆ “แต่ข้าทําเสร็จแล้วล่ะ”
หลิวชีเยว่ได้แต่เข้าไปที่ห้องหนังสือของเขาเมื่อได้ยินคําพูดของเขา เธอเห็นคัมภีร์ยาวบนโต๊ะในทันที แค่เพียงมองดูก็รู้สึกราวกับตกอยู่ในภวังค์ เธอจําเหล่าเทพอสูรที่เพิ่งชวนวาดตรงข้างหน้าได้ แต่ว่าเธอเองก็ยังจําเทพอสูรกว่าสองร้อยคนที่ยังมีชีวิตอยู่นั้นได้เช่นกัน แม้เธอจะจําเทพอสูรที่ตายในการต่อสู้ส่วนมากไม่ได้ แต่ว่าเธอก็รู้สึกว่าเทพอสูณทุกคนนั้นดูเสมือนจริงมากเพียง
หลิวชีเยว่มองดูมันทั้งน้ําตา
” ทําไมเจ้าถึงร้องไห้?” เมิ่งชวนอดไม่ได้ที่จะเข้ามาถามเมื่อไปถึง
“ พวกเขายังเยาว์ในตอนที่เข้าสู่สนามรบ พอคิดว่าพวกเขาหลายคนต้องตายในการต่ อสู้มันก็ทําให้ข้าร้องไห้” หลิวชีเยว่กล่าว
หลิวชีเยว่มองดูชื่อที่เขียนอยู่บนมุมขวาของภาพและกระซิบ “ผู้กล้าสู่แนวหน้า? อาชวน ภาพวาดนี้ต้องเก็บเอาไว้อย่างดี หากพวกเราชนะสงครามนี้ได้จริงๆ ภาพวาดภาพนี้จะถูกทิ้งไว้ให้รุ่นลูกหลานต่อไปแม้พวกเราจะตายไปแล้วก็ตาม”
“ใช่ ข้าเก็บไว้อย่างดี” เมิ่งชวนยิ้มและพยักหน้า
“อ่า นี่เจ้าไม่ได้กินดื่มอะไรมาสองวันแล้วนี่ ข้าจะไปหาคนมาเตรียมอาหารให้นะ” หลิวชีเยว่กล่าวและรีบรุดออกไป
เมิ่งชวนยิ้มและตะโกนตามไปว่า “ไม่ต้องรีบ พวกเราเป็นเทพอสูร ข้าทนได้”
” จ้าจ้า” หลิวชีเยว่โบกมือแล้ววิ่งออกไป
เมิ่งชวนหยิบกระบอสูรสังหารและเดินไปที่ลานฝึก
ในตอนนี้แก่นสารแห่งจิตของเขาพัฒนาขึ้นมาแล้ว เขาต้องลองทดสอบดูว่าแก่นสารแห่งจิตระดับสองเพิ่มความแข็งแกร่งของเขาได้เพียงใด
ตอนที่ 131 ผู้กล้าแห่งทุกแนวหน้า
ตก
เพิ่งชวนและหลิวชีเยวต่างเป็นที่สนใจของอาวุธศักดิ์สิทธิ์หลายชิ้น พวกเขาต่างได้รับอาวุธศักดิ์สิทธิ์ระดับสวรรค์ ข่าวที่ทั้งสองคนผ่านถ้ําเก้าปริศนาและกําลังจะลงจากเขาแพร่กระจายกันไปอย่างรวดเร็ว
ในวันที่ 21 ตุลาคม เมิ่งชวนและหลิวชีเยวชวนศิษย์ทั้งหลายมาร่วมงานเลี้ยง
“ข้าขอดื่มแสดงความยินดีด้วย” เหยียนจินที่นั่งอยู่คนเดียวในงานเลี้ยงชวนเพิ่งชวนและหลิวชีเยวมาดื่มด้วย
เพิ่งชวนและหลิวชีเยว่เดินไปกับเขา
“ตอนข้าอายุสิบห้า ข้าได้ไปที่เมืองตงหนิงและพบกับพวกเจ้าทั้งคู่ เพียงชั่วพริบตาก็ผ่านไปสิบกว่าปีแล้ว” เหยียนจินดื่มสุราจอกใหญ่เข้าไปก่อนจะเติมมันอีกครั้ง เขามองไปที่เพิ่งชวนด้วยสีหน้าที่จริงจัง “ข้าเหยียนจิน ในชีวิตนี้มีเพื่อนเพียงน้อยนิด! และพวกเจ้าทั้งสองเป็นเพื่อนของข้า”
เพิ่งชวนยิ้มในขณะที่หลิวชีเยว่ฟังเงียบๆ
เพิ่งชวนและเหยียนจินสนิทกันมากขึ้น แม้ว่าพวกเขาจะไม่สนิทกันขนาดนั้น แต่พวกเขาก็เคยผ่านการต่อสู้เสียงเป็นเสียงตายมาแล้วด้วยกัน พวกเขาคือเพื่อนเพียงสองคนบนเขาหยวนชูของเหยียนจิน
“หลังจากลงจากเขาแล้วก็จะเต็มไปด้วยการนองเลือด มีแต่การต่อสู้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย” ดวงตาของเหยียนจินดูขึ้นน้ําตานิดๆในขณะที่มองไปที่เพิ่งชวนและหลิวชีเยว่ “ข้าหวังว่าพวกเจ้าทั้งคู่จะมีชีวิตรอด! ข้าหวังว่าซักวันหนึ่งพวกเราทั้งสามจะเข้าสู่สนามรบเดียวกัน”
“ได้สิ” เมิ่งชวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เมื่อถึงเวลานั้น พวกเราทั้งสามจะต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันอีกครั้ง”
“เรามาต่อสู้ไปด้วยกันเถอะ” หลิวชีเยว่กล่าวอย่างมีความหวัง
ในปีนั้นที่สวนหินร้างในเมืองตงหนิง พวกเขาได้ต่อสู้ไปด้วยกัน
“ฮ่าฮ่าฮ่า” เหยียนจินหัวเราะ “วันนั้นจะมาถึงอย่างแน่นอน มาเถอะ หมดจอก”
อย่างน้อยในตอนนี้เหยียนจินก้มีความสุข เขาอาจจะไม่ได้มีเพื่อนมาก แต่มันก็ทําให้เขาให้คุณค่ากับเพื่อนที่มีอยู่
” หมดจอก” เมิงชวนและหลิวชีเยวร่วมด้วย
ในตอนบ่าย เหล่าศิษย์ได้แยกย้ายกันไปหมดแล้ว เหล่าคนรับใช้ก็กําลังทําความสะอาดเครื่องครัว
เพิ่งชวนและหลิวซีเยว่ยืนอยู่ตรงหน้าถ้ําพักอาศัย มองดูพื้นหิมะที่เต็มไปด้วยรอยเท้า
“พี่เฉียนหยุไม่มาอย่างนั้นรึ?” เมิ่งชวนถาม
“ใช่” หลิวชีเยวพยักหน้า “เขาไม่มา ข้าไปชวนเขาด้วยตัวเองแต่ข้าก็เข้าไปไม่ได้”
“ไปเยี่ยมเขากันเถอะ” เมิ่งชวนกล่าว “ใครจะไปรู้ว่าเมื่อไหร่เราจะได้เจอกับเขาอีกครั้ง”
” ตกลง” หลิวชีเยวพยักหน้า
ทั้งคู่เดินผ่านพื้นที่ปกคลุมไปด้วยหิมะและไปที่ถ้ําของเฉียนหยู มีพ่อบ้านคอยดูแลหน้าถ้ําของเฉียนหยูอยู่
“นายท่านเมิงชวน ท่านหญิงหลิวชีเยว่” พ่อบ้านทักทายอย่างสุภาพ
“บอกพี่เฉียนหยุที่ว่าข้ากับเมิ่งชวนมาเยี่ยม” หลิวชีเยว่กล่าว
“ขอรับ ข้าจะบอกให้ แต่ว่านายท่านอาจไม่ต้องการที่จะพบกับพวกท่าน” พ่อบ้านพูดอย่างช่วยไม่ได้
“ไม่เป็นไร แค่บอกเขาก็พอ” หลิวชีเยว่กล่าว
พ่อบ้านพยักหน้าและเข้าไปในถ้ํา
ครู่หนึ่งพ่อบ้านก็กลับมาที่ประตูด้วยท่าทางขมขื่น เขาส่ายหน้าเบาๆ “ในตอนนี้นายท่านเอาแต่ดื่มเขาไม่สนใจอะไรอย่างอื่นทั้งนั้น”
เมิงชวนและหลิวชีเยวมองหน้ากัน หากไม่ได้รับอนุญาติพวกเขาก็ไม่สามารถเข้าไปได้ทําได้เพียงจากไปอย่างช่วยไม่ได้
“น้องเมิ่งชวนกับน้องหลิวซีเยวผ่านถ้ําเก้าปริศนาแล้ว พวกเขากําลังจะลงจากเขารึ?” เคราของเฉียนหยุรกรุงรัง ผมของเขากระเซอะกระเซิงดูไร้เรี่ยวแรงในการใช้ชีวิต ในตอนนี้เขากอดขวดสุรานั่งพิงกําแพง เขาพึมพํา “ข้ายังจําได้ เมื่อเก้าปีก่อนข้าลงจากเขาด้วยความมุ่งมั่น แต่ในตอนนี้ข้าเป็นแค่คนพิการ ตันเถียนหมดปราณ ใช้กระทั่งวิชาเกาทัณฑ์ไม่ได้ด้วยซ้ํา”
“ข้าต้องพึ่งแต่พลังของร่างเทพอสูรเพียงเท่านั้นอย่างนั้นรึ? พลังของข้าอ่อนแอกว่าพลังของเทพอสูรระดับแดนอมตะซะอีก! ยิ่งไปกว่านั้น ลูกดอกที่ยิงออกไปด้วยกําลังเพียงอย่างเดียวมันไม่มีอะไรที่พลิกแพลง ราชาอสูรหลบมันได้ง่ายๆอยู่แล้ว! ข้าเทียบกับนักเกาทัณฑ์ระดับแดนอมตะไม่ได้ด้วยซ้ํา นี่ข้าจะต้องเป็นเพียงเทพอสูรเกาทัณฑ์ที่พึ่งกําเนิดอย่างนั้นรึ?”
“ฮ่าๆๆ เทพอสูรที่พึ่งกําเนิดไม่เป็นที่ต้องการในสนามรบด้วยซ้ํา ข้ามันพิการ ทําอะไรไม่ได้แล้ว พี่ชายพี่สาว พวกท่านทุกคนทิ้งข้าไป ทิ้งข้าไว้คนเดียวบนโลกใบนี้ ข้าแก้แค้นให้พวกท่านไม่ได้ด้วยซ้ําเพราะข้ามันพิการ แล้วข้าจะทําอะไรได้? แล้วข้าจะทําอะไรได้” เฉียนหยดื่มสุรารู้สึกสิ้นห
นักเกาทัณฑ์สามารถยิงลูกดอกได้ไกลกว่าหนึ่งลี้ ลูกดอกที่เร็วและคาดเดาไม่ได้ แม้ราชาอสูรจะเห็นมัน แต่ทิศทางของลูกดอกก็สามารถเปลี่ยนไปได้ ทําให้มันหลบได้ยาก!
หากยิงลูกดอกออกไปด้วยพละกําลังเพียงอย่างเดียว ทิศทางของลูกดอกก็จะถูกจํากัดเพราะไม่มีพลังปราณอยู่ในนั้น! ราชาอสูรสามารถหลบมันได้อย่างง่ายดาย มันไม่เป็นอันตรายเลยซักนิด!ด้วยพละกําลังที่มีของเขาตอนนี้ เขาก็ทําได้แค่เป็นเพียงภาระบนสนามรบ
“แล้วข้าจะทําอะไรได้อีก? ข้าจะไปทําอะไรได้?” เฉียนหยุดื่มสุราในน้ําเต้า
เย็นวันนั้น ผู้อาวุโส ไปเยี่ยมเมิ่งชวนและหลิวชีเยว่
“พวกเจ้าทั้งสองน่าจะได้ไปที่เมืองด่านขนาดกลาง” ผู้อาวุโสอีกล่าว “พวกเจาทั้งคู่นั้น แข็งแกร่งมากในหมู่เทพอสูรระดับมหาสุริยัน การส่งพวกเจ้าไปที่เมืองด่านขนาดกลางจะทําให้พวกเจ้าใช้พลังที่มีอยู่ได้เป็นอย่างดี”
“ขอรับ/เจ้าค่ะ” เมิ่งชวนและหลิวชีเยวพยักหน้า
พวกเขาเตรียมใจเอาไว้แล้ว พวกเขาต่างรู้ดีในสถานการณ์ของเมืองด่านหลายๆเมี องรอบโลกมนุษย์เมืองด่านขนาดเล็กและใหญ่นั้นค่อนข้างปลอดภัย แต่เมืองด่านขนาดกลางส่วนมากนั้นไม่มีเทพอสูรเฟิงโหวอยู่ ส่วนมากก็มีเทพอสูรระดับมหาสุริยันคอยคุ้มกัน! ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังขาดกําลังคน
อย่างศิษย์พี่เฉียนหยูที่ประจําการอยู่ที่ด่านหุยชานตอนที่ถูกบุก ในการบุกครั้งนั้นมีราชาอสูรระดับสามบุกเข้ามาและคนที่มีหน้าที่ป้องกันคือเทพอสูรระดับมหาสุริยัน พวกเขามีพลังที่ใกล้เคียงกันมาก! แรงกดดันในเมืองด่านขนาดกลางนั้นมากอย่างแน่นอน
เมืองด่านหลายเมืองต่างต้องการคนที่แข็งแกร่งอย่างเพิ่งชวนและหลิวซีเยว่
“พวกเจ้าอยากขออะไรไหม?” ผู้อาวุโสอีกล่าว “อย่างเมืองด่านไหนที่พวกเจ้าอยากไป”
เพิ่งชวนและหลิวชีเยวมองหน้ากัน เมิ่งชวนกล่าว “พวกเราไม่มีคําขออะไรเป็นพิเศษ แค่จัดให้ศิษย์ได้อยู่เมืองด่านเดียวกันก็พอแล้วขอรับ”
“ถ้าเป็นไปได้” หลิวชีเยว่กล่าว ” ขอให้ได้อยู่ใกล้เมืองตงหนิงหน่อยเจ้าค่ะ”
“ได้สิ ข้าเข้าใจในสิ่งที่พวกเจ้าต้องการ การจะจัดให้พวกเจ้าอยู่ด้วยกันนั้นเป็นเรื่องง่ายมาก”ผู้อาวุโสอีกล่าว “ส่วนการให้อยู่ใกล้เมืองตงหนิงน่ะหรือ? พวกเราต้องดูสถานการณ์ในเมืองด่านหลายๆเมืองก่อนที่จะตัดสินใจ”
“ขอรับ หากไม่ได้จริงๆ ถึงจะอยู่ห่างจากเมืองเกิดก็ไม่เป็นไรขอรับ” เมิ่งชวนกล่าว หลิวชีเยวพยักหน้า
“คนหนึ่งมีร่างเทพอสูรตัดสายฟ้า อีกคนหนึ่งเป็นนักเกาทัณฑ์ที่มีร่างเทพวิหคเพลิง พวกเจ้าทั้งคู่จะทําประโยชน์ได้มากเป็นแน่” ผู้อาวุโสอีกล่าว “เขาหยวนชูยังต้องการคนไปป้องกันเมืองด่านหลายๆเมืองอย่างมาก ดังนั้นการตัดสินใจในสถานการณ์ของเมืองด่านแต่ละเมืองนั้นสําคัญมากคงจะใช้เวลาประมาณครึ่งเดือนถึงจะได้คําตอบ”
“มีเวลาอีกมากมาย ไม่จําเป็นต้องรีบไปขอรับ” เมิ่งชวนกล่าว
“เอาล่ะ เมื่อพวกเราตัดสินใจได้ว่าจะส่งพวกเจ้าไปที่ไหน พวกเราจะแจ้งให้เจ้าทั้งสองทราบ”ผู้อาวุโสี่ยื่นขึ้นและทั้งคู่ก็เดินไปส่งเขา
“เมื่อลงจากเขาไปก็ระวังตัวให้ดี สังหารศัตรูในตอนที่เจ้ามั่นใจว่าจะปลอดภัย!” ผู้อาวุโสอีกล่าว “ต้องมีชีวิตรอดเท่านั้นเจ้าถึงจะทําประโยชน์ได้มากกว่าเดิม”
เพิ่งชวนและหลิวชีเยวพยักหน้าก่อนส่งผู้อาวุโสอีกลับ
“ตอนนี้พวกเราได้แต่ต้องรอ” เมิ่งชวนกล่าว
“ข้าสงสัยเหลือเกินว่าพวกเราจะถูกส่งไปที่เมืองไหน” หลิวชีเยวตั้งหน้าตั้งตารอเช่นกัน
ใจของเมิ่งชวนพุ่งพล่านไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย เขาเริ่มฝึกกระบี่ตั้งแต่อายุหกขวบนี่ก็ผ่านมาแล้วถึงยี่สิบสามปี! ยี่สิบสามปีของการฝึกฝนที่สร้างเทพอสูรระดับมหาสุริยันที่มีร่างอสูรตัดสายฟ้าพร้อมกับวิชากระบี่ที่กล้าแข็ง
ยี่สิบสามปีในการตีกระบี่เล่มคม คราวนี้ กระบี่เล่มนี้จะลงจากเขาเพื่อดื่มเลือดศัตรู! ความมุ่งมั่นที่จะต่อสู้ของเมิ่งชวนพลุ่งพล่าน หลังจากพบเจอเหตุการณ์อันเลวร้ายเมื่อตอนหกขวบหลังจากที่เจออสูรบุกเมืองตงหนึ่ง หลังจากที่ได้เห็นภาพของเทพอสูรนับหมื่นบนผาแดงโลหิตรวมไปถึงความเจ็บปวดของเฉียนหยู เขาไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อยแต่ว่าแรงใจในการต่อสู้ของเขานั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม!
เพิ่งชวนไปที่ห้องหนังสือเขาอดใจที่จะไม่สะบัดพู่กันลงบนผืนผ้าใบไม่ได้แล้ว
เขาวาดเทือกเขายาวใหญ่ เขาหยวนชู มันเก่าแก่และดูงดงาม เทพอสูรต่างลงจากเขาและไปทั่วทุกที่บนโลก
เพิ่งชวนนึกถึงภาพของเหล่าเทพอสูรมากมายที่ผาแดงโลหิต เทพอสูรเหล่านั้นฝึกฝนสําเร็จและลงจากเขาไปด้วยความมุ่งมั่น เมิงชวนอยากวาดพวกเขาทุกคน เขาวาดทุกคนด้วยความตั้งใจเช่นเดียวกับเชวเฟิง เฉียนหยูและคนอื่นๆที่เขารู้จัก
เหล่าผู้กล้านับไม่ถ้วนที่แนวหน้า
มนุษย์ชาติจะคงอยู่ตลอดไป
ยิ่งเพิ่งชวนวาดไปมากเท่าไหร่ ความมุ่งมั่นที่จะต่อสู้ก็มากขึ้นเท่านั้น
ตอนที่ 130 อาวุธศักดิ์สิทธิ์ยอมรับเจ้าของ
ศิษย์ที่มาที่ถ้ําส่วนใหญ่นั้นยังเป็นเพอสูรระดับแดนอมตะอยู่
ส่วนเทพอสูรระดับมหาสุริยันอย่างเมิงชวน เชวเฟิง และหลิวซีเยวที่เข้าถึงระดับจิตวิญญาณขั้นสูงแล้วนั้นมีน้อยมาก! มีเพียงหนึ่งในร้อยเท่านั้น พวกเขานั้นคือเหล่าหัวกะทิแห่งเขาหยวนชูอย่างแท้จริง ทุกๆคนนั้นต่างมีอนาคตที่กว้างไกล อาวุธศักดิ์สิทธิ์โบราณเหล่านี้ที่หลงเหลืออยู่ในถ้ํามาหลายปีสามารถรับรู้พลังของพวกเขาได้
อัจฉริยะเหล่านี้นั้นหายากมาก แต่คนที่เข้ากับอาวุธพวกนี้ได้นั้นมีน้อยเสียยิ่งกว่า! อย่างเพิ่งชวนก็ใช้กระบี่เรียว หลิวชีเยวใช้เกาทัณฑ์ เชวเฟิงใช้ดาบ
เมื่อพลาดอัจฉริยะเช่นนี้ไป อาวุธเหล่านี้อาจจะต้องเฝ้ารออีกนับร้อยปีกว่าพวกมันจะเจอคนที่เข้ากันได้อีกครั้ง
ดังนั้นแล้วเหล่าอาวุธศักดิ์สิทธิ์จึงลอยขึ้นมา
ฟูม!
เพิ่งชวนมองดูภาพตรงหน้า ในโถงถ้ํากว้างใหญ่อาวุธศักดิ์สิทธิ์กําลังลอยขึ้นมา เพียงชั่วพริบตาก็มีอาวุธกว่าร้อยชิ้นที่ลอยขึ้น
อาวุธศักดิ์สิทธิ์เองก็แข่งขันกันเช่นกัน โลกของพวกมันนั้นเถรตรงมากกว่ามาก อาวุธที่แข็งแกร่งปล่อยพลังอันน่าเกรงขามออกมา อาวุธที่อ่อนแอกว่าก็ได้แต่ถูกกดดันไม่สามารถลอยขึ้นมาได้พวกมันร่วงลงสู่พื้นในทันที
ไม่นานก็เหลืออาวุธเพียงสิบสองชิ้นที่ยังคงลอยอยู่
ทั้งสิบสองชิ้นนี้หรือ?” เมิ่งชวนสัมผัสได้ถึงพลังของพวกมันในระยะหนึ่งลี้ได้เลยด้วยซ้ํา เขาสัมผัสได้ว่ามีอยู่สามชิ้นที่แข็งแกร่งที่สุด อีกเก้าชิ้นที่เหลือนั้นอ่อนแอกว่ามาก พวกมันแทบจะร่วงลงไปแล้วด้วยซ้ํา
เพิ่งชวนเดินไปดู
อาวุธศักดิ์สิทธิ์ระดับสวรรค์สามชิ้นและระดับโลกาเก้าชิ้น เมิ่งชวนพยักหน้าเล็กน้อย ไม่มีอาวุธระดับสรรค์สร้างอยู่ในนี้
ในฐานะที่เป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงพลังที่สุด อาวุธระดับสรรค์สร้างไม่น่าจะยอมรับเทพอสูรระดับมหาสุริยันเป็นเจ้าของก่อนที่มันจะอ่อนพลังลง กลับกัน เทพราชันเทพอสูรที่อาวุธถูกทําลายในการต่อสู้ด้วยเหตุผลบางอย่างสามารถเข้ามาที่ถ้ํานี้และรับอาวุธศักดิ์สิทธิ์ระดับสรรค์สร้างไปได้
“ที่ข้าได้เลือกอาวุธระดับสวรรค์ก็เป็นเรื่องที่ดีมากแล้ว” เมิ่งชวนค่อนข้างพึงพอใจ เขาเลือกอาวุธทั้งสามอย่างระมัดระวัง
เขามองไปที่อาวุธระดับสวรรค์ทั้งสาม
เนื่องจากอาวุธทั้งสามนั้นกําลังลอยอยู่ พวกมันจึงเข้ากันได้กับเมิ่งชวน พวกมันต่างเป็นกระบี่เรียวกระบี่แข็งและกระบี่อ่อนไม่ตอบสนองต่อจิตวิญญาณกระบี่ของเมิ่งชวนแม้แต่น้อย
อาวุธชิ้นแรกเป็นสีดําสนิท ตัวกระบี่เปล่งพลังอันมืดมิดออกมา ทําให้มันดูปกติที่สุด
กระบี่เล่มที่สองนั้นเป็นกระบี่สีขาวเงิน มันปล่อยไอเย็นมหาศาลออกมาปกคลุมโดยรอบทําให้รอบข้างนั้นหนาวจนถึงกระดูก
กระบี่เล่มที่สามนั้นเป็นสีแดงเหมือนเลือดทั้งเล่ม มันปล่อยพลังสีเลือดและความเคียดแค้ นจนทําให้จิตใจต้องสั่นไหว อาวุธชิ้นอื่นๆพยายามไม่อยู่ใกล้มัน ไม่แม้แต่จะเข้าใกล้
เขาแตะนิ้วลงบนกระบี่ ประกายปราณก็ลอยออกมาและหลอมรวมเข้ากับกระบี่สีดํา
เขาเห็นชายชราตาบอดคนหนึ่งถือกระบี่สีดํานี้โดยเลือนราง และภายในความมืดนั้นเขาก็ฟันออกไป ลําแสงกระบี่วาบขึ้นและสังหารศัตรูไป
“กระบี่นี้เหมาะแก่การลอบโจมตี มันสามารถทําให้มิติบิดเบี้ยวได้ ทําให้คววามเร็วในการโจมตีเพิ่มมากขึ้นและมันก็คมมากเช่นกัน” เมิ่งชวนรู้สึกพึงพอใจ “มันเข้ากับข้าดีเลย”
ยิ่งเขาวาดกระบี่ได้เร็วเพียงใด กระบี่มันก็จะคมมากขึ้นเท่านั้น เรียกได้ว่ากระบี่นี้นั้นเหมาะสมแก่เขามาก
เพิ่งชวนปล่อยประกายปราณเข้าไปในอาวุธชิ้นที่สอง กระบี่สีขาวเงิน เขารู้สึกได้ถึงพลังไอเย็นที่กักเก็บอยู่ในตัวกระบี่ในทันที “ตราบใดที่ข้าใช้พลังปราณ ไอเย็นนั้นก็จะแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อใช้กระบี่นี้แล้ว มันสามารถแช่แข็งรอบข้างได้เลย เมื่อข้าต่อสู้กับศัตรู ข้าสามารถแช่แข็งศัตรูก่อนจะสังหารมันได้ เรียกได้ว่ามีประโยชน์ แต่ว่าร่างเทพอสูรของข้านั้นไม่ได้เชี่ยวชาญในด้านน้ําแข็งและการแช่แข็ง ข้าได้แต่ใช้พลังของอาวุธเพียงเท่านั้นในอนาคตพลังของมันคงจะอ่อนลงไปเรื่อยๆ
เขาเองก็สามารถ “เห็น” ความทรงจําที่ขาดหายที่อยู่ในอาวุธศักดิ์สิทธิ์นี้ได้เช่นกัน
เป็นภาพของชายผมเงินที่ใช้กระบี่สีเงินนี้ เมื่อเขาวาดกระบี่ รอบข้างก็ถูกแช่แข็ง
“เป็นกระบี่ที่ดี แต่มันไม่เหมาะกับข้า”
เพิ่งชวนมองไปที่กระบี่เล่มที่สาม กระบี่สีเลือดที่เปล่งกระแสพลังอันกระหายเลือดและ ความเคียดแค้นทําให้มันดูน่าสะพรึง
เขาส่งประกายปราณเข้าในนั้น
สังหาร! สังหาร! สังหารให้สิ้น!
เพิ่งชวนเห็นกองซากศพที่ทับกันเป็นภูเขา คนมากมายต้องตายเพราะกระบี่เล่มนี้! เทพอสูรหลายคนเองก็ถูกกระบี่เล่มนี้สังหาร!
กระบี่เล่มนี้สามารถดูดเลือดและเนื้อเพื่อทําให้มันทรงพลังขึ้นไปกว่าเดิมได้! มันค มมากๆเช่นกัน!มันสามารถซึมซับกระแสพลังวินาศที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นและเกลียดชังเข้าไปได้เลยด้วยซ้ํา
เมื่อฟันออกไปกระแสพลังวินาศก็จะระเบิดออกไปทั่วทุกทิศทาง สติของศัตรูก็จะ นสะท้านไปด้วยแรงกระแทกจากนั้นมันก็จะถูกสังหารโดยไร้การตอบโต้ใดๆ! ศัตรูที่ทรงพลังสามารถถูกผ่าออกเป็นสองส่วนได้ในการโจมตีเพียงครั้งเดียวเลยด้วยซ้ํา! จากนั้นเลือดเนื้อของพวกมันก็จะถูกกระบี่เล่มนี้ดูดซึมเข้าไปกลายเป็นอาหารของมัน เช่นเดียวกันกับความเคียดแค้นและจิตอาฆาตก็จะถูกมันดูดซึมเข้าไปด้วยเช่นกัน
ช่างเป็นกระบี่ที่ชั่วร้ายอะไรอย่างนี้ น่าสะพรึงมาก” เมิ่งชวนจ้องมองกระบี่สีเลือดนี้ แต่ว่า มันก็แข็งแกร่งที่สุดและเติบโตได้ไวที่สุดแต่ว่ากระบี่เล่มนี้ มันสามารถย้อนกลับมาทําร้ายเจ้าของได้!”
ในความทรงจําของกระบี่สีเลือดเล่มนี้ เมิ่งชวนพบว่าเทพอสูรบางคนที่เคยใช้กระบี่เล่มนี้ก็ยังมีสติครบถ้วน ในขณะที่บางคนก็ถูกมันควบคุมไปโดยสิ้นเชิง! พวกเขากลายเป็นทาสของกระนี่กลายเป็นเครื่องจักรสังหาร
“ข้าควรเลือกอันไหน?” เมิ่งชวนมองไปที่กระบี่สีเลือดแล้วมองไปที่กระบี่สีดํา
ส่วนกระบี่สีเงินนั้นเขาไม่สนใจ
“อันหนึ่งไม่ซับซ้อนแต่เข้ากับข้า ส่วนอีกอันนั้นชั่วร้ายแต่ก็ทรงพลังกว่า” เพิ่งชวนคิดไต่ตรองอยู่พักหนึ่งก่อนจะตัดสินใจและหยิบกระบี่สีเลือดไป
ทันทีที่เขาหยิบมันไป กระบี่สีเลือดก็เปล่งเสียงที่ดังกระหึมไปทั่วทั้งถ้ํา
อาวุธอีกทั้งสิบเอ็ดชิ้นก็ร่วงลงสู่พื้น กลับไปนิ่งสนิทตามเดิม อาวุธเหล่านี้ต่างรู้ดีว่าศิษย์คนนี้ได้เลือกกระบี่อันแสนชั่วร้ายนั้นไป
พลังอาฆาตอันหนาแน่นของกระบี่สีแดงพุ่งเข้าใส่สติของเมิ่งชวนในทันที พยายามที่จะครอบงําเขา
“เหอะ
จิตวิญญาณกระบี่ของเขากดพลังอาฆาตนั้นลงในทันที โดยที่ไม่ต้องใช้พลังของแก่นสารแห่งจิตเลยด้วยซ้ํา
ในระยะเวลากว่าสิบเอ็ดบีบนเขาแห่งนี้ เพิ่งชวนไม่เคยหยุดขัดเกลาพลังใจของเขา เขาไม่ใช่คนที่จะถูกกระบี่อันแสนชั่วร้ายที่อ่อนพลังลงมาแสนเนิ่นนานนี้สามารถควบคุมได้
“นายท่านเพิ่งชวน” หญิงชราผมสีขาวนอกถ้ํายิ้มเมื่อเห็นเขาเดินออกมา แต่เมื่อเธอเห็นกระบี่ในมือของเมิ่งชวน สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไป “นายท่านเมิ่งชวน ทําไมท่านถึงเลือกกระบี่ที่ชั่วร้ายเล่มนี้อย่างนั้นกัน? มันชั่วร้ายเกินไป! เขาหยวนชูให้โอกาสเลือกอีกครั้งหากท่านยอมทิ้งอาวุธชั่วร้ายในถ้ําไป”
“มันเลวร้ายมากขนานั้นเลยรึ?” เมิ่งชวนมองไปที่กระบี่สีเลือดในมือของเขา ” แต่ในเมื่อมันอยู่ในถ้ํา แสดงว่ามันก็มีไว้ให้พวกเราเลือกไม่ใช่รึ?”
“มันอยู่ในถ้ําอาวุธศักดิ์สิทธิ์นี้มากว่า 2600 ปีแล้วเจ้าค่ะ มันไม่ได้ดูดกลืนพลังวินาศและเลีอดเนื้อมาเป็นเวลานาน มันจึงอ่อนกําลังลงอย่างมหาศาลแล้วเจ้าค่ะ” หญิงชรากล่าว “เจ้าของคนเก่าของมันเชื่อว่าสามารถควบคุมมันได้ แต่ว่าหลังจากนั้นกระบี่เล่มนั้นก็ย้อนกลับเข้าตัวเจ้าของและควบคุมเขาไป ท่านเพิ่งชวน โปรดรอตรงนี้ เดี๋ยวข้าจะนําเอกสารมาให้ท่านดูเจ้าค่ะ”
“ก็ได้” เมิ่งชวนยืนรอ
หลังจากที่ศิษย์ทุกคนเลือกอาวุธไปแล้ว เขาหยวนชูจะนําเอกสารที่เกี่ยวข้องมาให้ศิษย์อ่าน
ผ่านไปครู่หนึ่งหญิงชราก็เดินเข้ามาพร้อมกับเอกสารและยื่นมันให้กับเยิ่งชวน “นายท่านเพิ่งชวนโปรดอ่านดูเจ้าค่ะ หลังจากที่อ่านจบแล้วท่านสามารถตัดสินใจได้ว่าจะใช้มันต่อไปหรือไม่”
ซุบ เพิ่งชวนแทงกระบี่สีเลือดลงไปในพื้นและหยิบเอกสารมาอ่าน
กระบี่สีเลือดนั้นมีฉายามากมายที่ถูกเรียกขานในประวัติศาสตร์ กระบี่ปีศาจ วิบัติสังหารล้มราชันย์
มันก่อให้เกิดภัยพิบัติต่างๆมากมาย
ในตอนที่เหล่าอสูรยังไม่ได้บุกเข้ามายังโลกนี้ ในตอนที่มนุษย์ยังต่อสู้น้ําหั่นกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด กระบี่เล่มนี้ได้สังหารผู้คนไปมากมายในหลายยุคหลายสมัย! ในศึกระหว่างนิกาย ชีวิตของมนุษย์และเทพอสูรมากมายต้องถูกสังเวยให้กับกระบี่เล่มนี้! วิธีการสังหารก็ขึ้นอยู่กับเจ้าของของกระบี่ ดังนั้นพวกเขาจึงเก็บกระบี่เล่มนี้ไว้ให้เป็นกระบี่ที่ชั่วร้าย
ยิ่งกระบี่เล่มนี้กลืนกินเข้าไปมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นมากเท่านั้นและนั่นจึงทําให้ผู้ใช้ต้องมีพลังใจและแก่นสารแห่งจิตที่แข็งแกร่งขึ้นมากเท่านั้น
ในตอนที่กระบี่เล่มนี้อยู่ในจุดสุดยอดของมัน มันต้องใช้พลังของแก่นสารแห่งจิตถึงระดับสามในการรับผลของมัน
ในตอนนี้มันอ่อนแอมาก แก่นสารแห่งจิตระดับแรกสามารถกดมันลงได้อย่างง่ายดาย หลังจากอ่านเอกสารแล้วเพิ่งชวนก็รู้สึกมั่นใจในการควบคุมมัน หากเขาใกล้จะถึงขีดจํากัดเมื่อไหร่เขาจะเปลี่ยนกระบี่ในทันทีดีกว่าปล่อยให้มันเติบโตต่อไป!เขาจะใช้มันก็ต่อเมื่อแก่นสารแห่งจิตของเขาสามารถกดมันลงได้
“ข้าจะรับมันไป” เมิ่งชวนมองไปที่กระบี่ “มันได้ดื่มเลือดผู้คนมากมายในประวัติศาสตร์ แต่นับจากนี้ไปข้าจะใช้มันเพียงเพื่อสังหารอสูร!ข้าจะใช้มันดื่มกินเลือดเนื้อของอสูรและสังหารอสูรให้จนสิ้นจากนี้ไปชื่อของมันคือกระบือสูรสังหาร!”
หญิงชราสัมผัสได้ถึงจิตสังหารในน้ําเสียงที่ราบเรียบของเมิ่งชวน “เจ้าค่ะ”เธอพูด “นายท่านเมิงชวนโปรดรอตรงนี้ฝักดาบจะถูกนํามาให้ในอีกไม่ช้า”
“ได้” เมิ่งชวนหยิบกระบี่ขึ้นมาและพิจารณามันอย่างละเอียดในอนาคตกระบี่เล่มนี้จะอยู่เคียงคู่กับเขาและสังหารศัตรูให้จนสิ้น
ตอนที่ 129 ถ้ําอาวุธศักดิ์สิทธิ์
หลังจากเก็บยา ผลวิญญาณและสมบัติอื่นๆไว้ที่ห้องลับในถ้ําเรียบร้อยแล้วเพิ่งชวนและหลิวชีเยว่ก็มุ่งหน้าไปยังถ้ําอาวุธศักดิ์สิทธิ์
ทางเข้าถ้ําอาวุธศักดิ์สิทธิ์นั้นเรียกได้ว่าถูกซ่อนเอาไว้มันอยู่ข้างในหอคอยอาวุธศักดิ์สิทธิ์
“นายท่านเพิ่งชวน นายหญิงหลิวชีเยว่” พ่อบ้านและคนรับใช้ที่หอคอยให้ความเคารพ หญิงชราผมสีขาวนําทางไปและกล่าว “พวกเราได้รับคําสั่งมาว่าพวกท่านทั้งสองสามารถเลือกชุดเกราะและชุดผ้าได้แล้วเจ้าค่ะ และพวกท่านก็สามารถเข้าสู่ถ้ําอาวุธศักดิ์สิทธิ์เพื่อรับอาวุธได้แล้วเช่นกัน”
” พวกข้าขอเลือกเสื้อผ้าก่อน” เมิ่งชวนกล่าว เขาคุยกับหลิวชีเยวมาแล้ว
หญิงชราผมขาวยิ้มและยื่นตัวเลือกให้เพิ่งชวน “เทพอสูรที่จะลงจากเขาสามารถเลือกอันไหนก็ได้เจ้าค่ะ”
ชุดเกราะและชุดผ้าที่เขาหยวนซูมอบให้แก่เหล่าศิษย์นั้นไม่ธรรมดา พวกมันมีพลังป้องกันที่สูงและสามารถปกป้องพวกเขาในการต่อสู้ที่ระดับต่ํากว่าเทพอสูรเฟิงโหวได้! ส่วนการต่อสู้ในระดับเฟิงโหวและราชันเทพอสูรนั้น เกราะเหล่านี้แทบจะไม่มีประโยชน์เลยเพราะส่วนมากเทพอสูรก็ต้องพึ่งตัวเองเป็นหลัก
เทพอสูรมนุษย์มีร่างกายที่อ่อนแอกว่าราชาองุณ การใส่ชุดเกราะก็เพื่อปิดจุดอ่อนนั้น
“เสื้อคลุม กางเกง รองเท้า เกราะใน แล้วก็กําไลข้อมือ” เมิ่งชวนชี้ไปที่ของในตัวเลือก “พวกนี้แหละ”
” หมดแล้วหรือเจ้าคะ?” หญิงชราผมขาวถาม
“น่าจะนะ” เมิ่งชวนพยักหน้า
การเลือกเสื้อคลุมนั้นต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วน มันมีผลต่อความเร็วและความคล่องตัวด้วย! มันไม่ได้ง่ายอย่างแค่เลือกๆเกราะที่มีพลังป้องกันสูงกว่าแค่นั้น เกราะที่แข็งแกร่งที่สุดในตัวเลือกนั้นหนักถึง 1950 กิโลกรัมเลยทีเดียว! หากใส่ไปแล้ว ความเร็วและความคล่องตัวจะลดลงอย่างมหาศาล! หากให้เพิ่งชวนใส่ล่ะก็ เขาคงจะมีพลังเหลืออยู่เพียงหนึ่งหรือสองส่วนจากปกติเท่านั้น
ส่วนผู้ที่ฝึกร่างอสูรทรงพลังหรือร่างอสูรสมุทรนิรันดร์นั้น พวกเขาชอบเลือกเกราะหนักๆ เช่นนี้
ที่เพิ่งชวนเลือกไปเองก็ไม่นับว่าเป็นเกราะเบาเช่นกัน พวกมันเป็นเสื้อคลุมที่ทนทานมาก! เครื่องมือป้องกันที่ดีที่สุดของเขานั้นคือเกราะในและกําไลข้อมือ ในเวลาคับขัน กําไลข้อมือสามารถใช้เป็นเกราะเล็กๆได้
ตัวเลือกของหลิวชีเยว่ก็คล้ายกับเมิงชวน! นักเกาทัณฑ์จะต้องอยู่ห่างจากศัตรูเสมอ!
“โปรดรอสักครู่เจ้าค่ะ” หญิงชราผมขาวพูดด้วยรอยยิ้ม เธอรู้สัดส่วนของเทพอสูรทั้งสองหลังจากกวาดตามองเพียงครั้งเดียว
ผ่านไปครู่หนึ่ง พ่อบ้านหนุ่มสองคนก็เดินถือผ้าคลุมและรองเท้ามาให้
“นายท่าน โปรดลองใส่ดูว่าพอดีหรือไม่” หญิงชรากล่าว
เพิ่งชวนและหลิวชีเยวลองเปลี่ยนชุดในห้องเปลี่ยนชุดใกล้ๆ
เกราะของเมิ่งชวนนั้นจัดได้ว่าเบามากๆในหมู่เกราะของเทพอสูรเกราะในของเขานั้นหนักที่สุดมันหนัก 8 จิน (4 กิโลกรัม) กําไลของเขาหนัก 5 จิน และรองเท้าคู่นั้นหนักราวๆ 3 จินผ้าคลุมและกางเกงของเขานั้นแทบจะเหมือนกับของมนุษย์ทุกอย่าง พวกมันเบาและคล่องตัว อย่างไรก็ตาม พลังป้องกันของพวกมันก็อ่อนแอกว่ามาก
หลังจากเปลี่ยนชุดแล้ว ทั้งสองคนก็เดินออกไป
ชุดของหลิวชีเยว่นั้นเป็นสีแดงซะส่วนมากและมีสีฟ้าคอยแซม มันทําให้เธอดูโดดเด่นกล้าหาญชุดของเมิ่งชวนนั้นเป็นสีน้ําเงินเข้ม เสื้อคลุมและรองเท้าของเขาก็เป็นสีน้ําเงินเข้มเช่นกัน เพราะว่าชุดที่พวกเขาเลือกนั้นค่อนข้างจะคล้ายๆกัน พวกเขาจึงดูเข้ากันมากเมื่อยืนอยู่ด้วยกันพร้อมกับสีที่ตัดกันนั้น
หลิวขี่เยว่เดินยิ้มไปข้างๆเมิ่งชวน เธอช่วยเพิ่งชวนจัดชุดและพยักหน้าด้วยความพอใจ “ไม่เลวเลย”
“ซีเยว่ เจ้าก็ดูดีเหมือนกัน” เมิ่งชวนกล่าวยิ้มๆ
รอยยิ้มของหญิงชรากว้างขึ้นกว่าเดิม
“นายท่าน พวกท่านต้องการจะไปที่ถ้ําอาวุธศักดิ์สิทธิ์ตอนนี้เลยหรือไม่เจ้าคะ?” หญิงชราถาม
“อาชวน เจ้าไปก่อนเลย เดี๋ยวข้าตามไป” หลิวชีเยว่กล่าว เธอรู้กฏว่าถ้ําอาวุธศักดิ์สิทธิ์เข้าได้ทีละคนเท่านั้น
“เอาสิ” เมิ่งชวนไม่ได้ปฏิเสธ
“นายท่านเพิ่งชวน โปรดตามมาทางนี้เจ้าค่ะ” หญิงชรานําทางไป
หลิวซีเยวให้กําลังใจเมิ่งชวน “พยายามรับอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งที่สุดมาให้ได้นะ” เมิ่งชวนพยักหน้าและตามหญิงชราไป
หลังจากผ่านโถงหลักของหอคอยไป เขาก็เดินผ่านทางเดินที่คดเคี้ยวไปซักพักก่อนจะเห็นทางเข้าถ้ํา ทางเข้าถูกปิดไว้อยู่
“อาวุธศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้เป็นมรดกตกทอดมาจากเทพอสูรหลายต่อหลายรุ่น” หญิงชรากล่าว“แม้อาวุธศักดิ์สิทธิ์จะแข็งแกร่ง แต่พลังของมันก็ค่อยๆอ่อนลงเมื่อผ่านไปนานๆ มีอาวุธระดับสรรค์สร้างบางชิ้นลดระดับลงมาเหลือเพียงระดับสวรรค์หรือกระทั้งโลกาเลยทีเดียว เมื่อผ่านไปนานๆแม้จะเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ก็สามารถกลายเป็นฝุ่นไปได้”
เพิ่งชวนพยักหน้า เขาเองก็รู้
เวลาไม่เคยปรานี ราชันเทพอสูรมีอายุเพียง 500 ปี จอมยุทธระดับสรรค์สร้างที่แข็งแกร่งที่สุดมีอายุ 2000 ปี! หลังจากผ่านไปมากมายหลายปี ต่อให้เป็นจอมยุทธไร้เทียมทานแห่งยุคแต่ในที่สุดก็จะกลายเป็นฝุ่นไปอยู่ดี แก่นสารแห่งจิตระดับเก้านั้นจะทําให้คนๆนั้นเป็นอมตะได้ในทางทฤษฎีแต่ว่าปรมาจารย์ระดับสรรค์สร้างก็มักจะไปถึงเพยิ่งระดับห้าหรือหกระดับที่เก้านั้นเป็นเพียงการ คาดเดาล้วนๆ ไม่เคยมีใครไปถึง
บางทีในซักวันหนึ่ง จะมีจอมยุทธที่ทรงพลังที่จะไปถึงระดับเก้าและพบว่าพวกเขาไม่สามารถคงอยู่ได้ตลอดกาล
เป็นการบ่งบอกว่าการมีชีวิตอยู่ชั่วนิรันดร์นั้นเป็นเพียงความเพ้อฝันของมนุษย์ก็เท่านั้น
ขนาดอาวุธศักดิ์สิทธิ์ยังสลายหายเป็นฝุ่นได้ นับประสาอะไรเล่ากับเลือดเนื้อคนเรา
“แต่ว่าถึงท่านจะได้อาวุธระดับมนุษย์เองก็ไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ” หญิงชรากล่าว “เมื่อฝึกฝนไปนานๆ ผ่านการขัดเกลาอย่างยาวนาน อาวุธและผู้ใช้จะกลายเป็นหนึ่ง ยิ่งเทพอสูรทรงพลังมาก เท่าไหร่ อาวุธก็จะทรงพลังมากขึ้นเท่านั้น มีโอกาสที่จะเปลี่ยนอาวุธรดับมนุษย์ให้กลายเป็นอาวุ ธระดับสรรค์สร้างเลยก็ได้”
เพิ่งชวนฟังแม้ว่านี่จะเป็นความรู้ทั่วไป เธอต้องอธิบายทุกครั้งเพื่อมีศิษย์บางคนไม่ได้อ่านหนังสือที่มีความรู้ทั่วไปเช่นนี้อยู่
“มนุษย์เลือกอาวุธศักดิ์สิทธิ์ อาวุธศักดิ์สิทธิ์ก็เลือกเจ้าของ” หญิงชรากล่าว “นายท่าน เพิ่งชวนหลังจากเข้าไปในถ้ําแล้วท่านต้องแสดงเจตจํานงกระบี่และจิตวิญญาณกระบี่ นั่นจะทําให้อาวุธเหล่านั้นเลือกท่าน ท่านเพิ่งชวน ท่านสามารถเลือกอาวุธศักดิ์สิทธิ์ได้เพียงแค่ชิ้นเดียว”
เพิ่งชวนพยักหน้าเล็กน้อย
จากนั้นหญิงชราก็ก้าวไปข้างหน้าและเปิดกลไกบางอย่าง ก่อนจะเกิดเสียงดังลั่นและประตูก็เปิดออก
“เชิญเจ้าค่ะ ท่านเพิ่งชวน” หญิงชรากล่าวและเดินหลีกทาง เพิ่งชวนเดินเข้าไปในถ้ําด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม
ทางเข้าของถ้ําอาวุธศักดิ์สิทธิ์นั้นค่อนข้างจะมืด เขาเดินไปซักพัก
เขาเห็นโถงถ้ําขนาดใหญ่ มีอาวุธอยู่ข้างในนั้นมากมาย กระบี่ ดาบ หอก ง้าว ขวาน ค้อนเกาทัณฑ์ อาวุธทุกชนิดถูกวางไว้ในที่ที่ต่างกัน ทําให้พลังของอาวุธเหล่านั้นคอยสนับสนุนซึ่งกันและกันทําให้เขาหยวนชูสามารถเก็บอาวุธเหล่านี้ไว้ได้นานกว่าเดิม
อย่างแรก ให้อาวุธศักดิ์สิทธิ์เลือกเจ้าของ เมิ่งชวนเข้าใจดี
เขายืนนิ่ง
เพิ่งชวนปล่อยจิตสังหารออกมาพร้อมกับเงากระบี่สูงสามจังที่ปกคลุมเมิ่งชวน เงากระบี่นี้เป็นร่างของจิตวิญญาณกระบีของเขา มันปล่อยจิตสังหารมหาศาลออกมา
ศิษย์ของเขาหยวนชูทุกคนต้องไปให้ถึงระดับจิตวิญญาณหากพวกเขาอยากจะเป็นเทพอสูรระดับมหาสุริยัน การจะไปถึงระดับจิตวิญญาณนั้นต้องมีพลังใจที่มากพอ พวกเขาต้องไปให้ถึงยอดของแท่นบูชาแห่งความมืดให้ได้ก่อน
ทําไมระดับของจิตวิญญาณต้องการพลังใจที่กล้าแข็ง? นั่นก็เป็นเพราะคนๆนั้นจะต้องหลอมรวมพลังใจเข้ากับเจตจํานง และนั่นจะทําให้มันรวมกันและก่อให้เกิดจิตวิญญาณขึ้น
พลังใจของเมิงชวนนั้นคือการ “ล่าอสูร” เขาสาบานว่าจะสังหารอสูรทุกตัวบนโลกนี้ แม้เขาจะรู้ว่ามันยากแค่ไหน แต่เขาก็ไม่เคยย่อท้อ เขามองแต่การมุ่งไปด้านหน้า ที่เขาสนใจก็มีเพียงการต่อสู้ ถึงจะต้องตายในการต่อสู้เขาก็ไม่เสียใจ! เขามีชีเยว่คอยเดินไปเคียงข้าง เธอพร้อมที่จะตายไปพร้อมกับเขา
ความมุ่งมั่นที่จะต่อสู้ทะลักออกไปทั่วถ้ําอาวุธศักดิ์สิทธิ์
เพิ่งชวนไม่เคยหยุดขัดเกลาจิตใจ พลังใจอันแข็งแกร่งของเขาทําให้อาวุธทั้งถ้ําต้องสั่นไหว
ครืนน
อาวุธศักดิ์สิทธิ์เริ่มสั่นสะเทือน จากนั้นพวกมันก็ค่อยๆลอยขึ้นมาทีละอัน กระบี่ลอยขึ้นมามากขึ้นเรื่อยๆ ถึงกับมีดาบลอยขึ้นมาด้วยเลยด้วยซ้ํา! บางทีดาบเหล่านั้นคงรู้สึกว่าวิชากระบี่ของเพิ่งชวนสามารถใช้กับดาบได้เหมือนกัน
ตอนที่ 128 แก่นสารแห่งจิตทั้งเก้าระดับ
หนังสือทั้งสามเล่มนั้นเป็นหนังสือธรรมดา มันไม่ใช่มรดก มรดกสําหรับร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษนั้นทรงพลังมากเกินไป เทพอสูรระดับมหาสุริยันต้องมีพลังของแก่นสารแห่งจิตก่อนถึงจะทนรับการชี้นําของมรดก
“ข้าได้มอบตําราร่างเทพอสูรให้หมดแล้ว หลังจากที่เจ้าควบแน่นแก่นสารแห่งจิตได้ เจ้าค่อยกลับมารับต้นฉบับของตําราร่างเทพอสูรและรับมรดกของเจตจํานงไป” ผู้อาวุโสอีกล่าว “ในตอนนี้มีเพียงแค่คําอธิบายเป็นตัวอักษรสําหรับระดับเดือนมืดมิดและไร้ขอบเขตหลังจากที่เจ้าได้รับมรดกไปแล้ว เจ้าจะเข้าใจทุกอย่างโดยละเอียด และโอกาสในการข้ามผ่านไปได้ก็จะมากขึ้นกว่าเดิม”
เพิ่งชวนและหลิวชีเยว่พยักหน้า
” อันที่จริงแล้ว ถึงเจ้าจะควบแน่นแก่นสารแห่งจิตได้ แต่ก็ไม่ต้องรีบกลับมาหรอก” ผู้อาวุโสกล่าว “ในหนังสือพวกนี้มีข้อมูลในการขึ้นเป็นเทพอสูรระดับเดือนมืดมิดโดยละเอียดกลับมาหลังจากที่ผ่านข้อกําหนดทุกอย่างแล้วก็ไม่สายไปหรอก”
“เข้าใจแล้วขอรับ/เจ้าค่ะ” เพิ่งชวนและหลิวซีเยวพยักหน้า
“ท่านผู้อาวุโส” เมิ่งชวนพูดด้วยรอยยิ้ม “ตําราลับของแก่นสารแห่งจิตนี้มีมรดกหรือไม่ ขอรับ?หรือเป็นเพียงหนังสือธรรมดาเท่านั้น?”
“ไม่มีมรดกหรอก” ผู้อาวุโสอีกล่าว “แก่นสารแห่งจิตนั้นเป็นสิ่งที่ลึกลับและรับรู้ได้ยาก ก่อนที่มันจะก่อตัวขึ้นมา ถึงจะมองจากภายในก็ไม่สามารถรับรู้ได้เลยด้วยซ้ํา ตําราลับของแก่นสารแห่งจิตที่ว่านี่ก็ใช้เวลาหลายชั่วอายุคนกว่าเหล่าจอมยุทธจะสร้างขึ้นมาได้ มันยังหยาบมากนักไม่จําเป็นที่จะต้องมีมรดกเจตจํานงหรอก”
เพิ่งชวนพยักหน้าเล็กน้อย
หลังจากที่ได้คุยกับอาจารย์ของเขา ปรมาจารย์ เขาก็รู้มาว่าการพัฒนาแก่นสารแห่งจิตนั้นจะต้องขึ้นไปให้ถึงระดับเต่ําก่อน และเมื่อไปถึงระดับเต่ําแล้ว พวกเขาก็จะสามารถหาคําตอบจากตัวตนภายในได้ และทุกครั้งที่พยายามตามหาคําตอบ แก่นสารแห่งจิตก็จะเปลี่ยนแปลง
ส่วนตําราลับของแก่นสารแห่งจิตน่ะเหรอ? การผลการฝึกยิ่งแย่ลงหลังจากฝึกไปนานๆ ไม่เช่นนนเทพอสูรระดับมหาสุริยันหลายคนคงจะควบแน่นแก่นสารแห่งจิตได้แล้ว
เพิ่งชวนเปิดตําราร่างอสูรตัดสายฟ้าเล่มสองดู แม้จะไม่มีมรดกเจตจํานงก็ตาม แต่ข้อมูลมันก็ละเอียดมากอยู่ดี
มีสามสิ่งที่สําคัญในการก้าวข้ามไปอีกระดับ พลังปราณในร่าง ระดับวิชาอาวุธ และแก่นสารแห่งจิตเพิ่งชวนพยักหน้าเล็กน้อย
พลังชีวิตนั้นก็สําคัญมากๆเช่นกัน เพราะยิ่งอายุมากเท่าไหร่ก็มีโอกาสที่จะก้าวข้ามไปได้น้อยลงเท่านั้น เขาหยวนชูจึงบังคับให้ศิษย์ต้องขึ้นเป็นเทพอสูรก่อนอายุ 30 หลังจาก 30 ไปแล้วพลังชีวิตของคนๆนั้นจะค่อยๆลดลง โอกาสในการข้ามผ่านไปได้ก็จะต่ําลง
เทพอสูรระดับมหาสุริยันสามารถมีชีวิตอยู่ได้นานกว่า 200 ปี พลังชีวิตของพวกเขาขึ้นสู่จุดสูงสุดตอนอายุ 60 พอพวกเขาอายุถึง 60 แล้ว พลังชีวิตก็จะลดต่ําลงอย่างรวดเร็วหากพวกเขาใช้วิชาต้องห้ามอย่างต่อเนื่อง มันก็จะทําให้เกิดความเสียหายที่ไม่สามารถซ่อมแซมได้แก่ร่างของพวกเขาพลังชีวิตของพวกเขาอาจจะลดต่ําลงตั้งแต่ตอนอายุ 50 เลยก็ได้
ดังนั้นแล้ว เราจะต้องใช้ทุกโอกาสที่มีในการฝึกฝนและจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทําได้!ไม่มีโอกาสที่จะข้ามผ่านไปได้หากอายุมากไป
พลังชีวิตก็เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น
มีพลังปราณอีกหลายประเภท เช่นพลังปราณในการขัดเกลาร่างกาย พลังปราณมหาสุริยัน ฯลฯ
หลังจากเปิดหนังสือดู เขาก็เริ่มจะเข้าใจในระดับเดือนมืดมิดและไร้ขอบเขตขึ้นมาลางๆเขารู้ว่าข้อกําหนดสําหรับแต่ละขั้นนั้นคืออะไรและเข้าใจว่าเทพอสูรระดับสูงแข็งแกร่งขนาดไหน
เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเอาชนะเทพอสูรเฟิงโหวในขณะที่อยู่ในระดับมหาสุริยันได้เลย เพิ่งชวนลอบถอนหายใจ ความต่างระหว่างเทพอสูรมหาสุริยันและเดือนมืดมิดนั้นมากเกินไป
ราวกับเปรียบเทียบมนุษย์กับเทพอสูร ราวกับเทียบเทพอสูรแก่นเมฆากับเทพอสูรมหาสุริยัน
ดังนั้นแล้วหากพบเจอกับราชาอสูรระดับสี่ มีเพียงอย่างเดียวที่ต้องทําคือหนี! กว่าแปดร้อยปีที่ผ่านมานี้ ราชาอสูรจํานวนมากได้บุกเข้ามาสู่โลกมนุษย์ แต่ว่าก็มีราชาอสูรระดับสี่เพียงไม่กี่ตนเท่านั้น กลับกัน นิกายอสูรฟ้านั้นยังอันตรายมากกว่าเสียอีก นั่นเป็นเพราะนิกายอสูรฟ้าถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์ และนิกายอสูรฟ้ามีอสูรฟ้าระดับห้าถึงสองตน
แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่จําเป็นต้องกังวล เขาหยวนชู เกาะสองโลก และถ้ําสวรรค์ทรายดํา สามนิกายใหญ่ของมนุษย์ได้จัดการกวาดล้างนิกายอสูรฟ้าอย่างต่อเนื่อง และหากอสูรฟ้าระดับห้าปรากฏตัวขึ้นมาไม่เพียงราในเทพอสูรเท่านั้นที่จะเคลื่อนไหว ปรมาจารย์ระดับก่อกําเนิดเองก็จะจู่โจมด้วยเช่นกัน
ดังนั้นแล้ว อสูรฟ้าจึงต้องหลบซ่อนเช่นเดียวกัน นิกายอสูรฟ้านั้นด้อยกว่านิกายทั้งสามมากพวกมันไม่สามารถสู้กันตรงๆได้ ปกติแล้วอสูรฟ้ามักจะเคลื่อนไหวก็ต่อเมื่อมีแผนรองรับเท่านั้น
ตําราลับแก่นสารแห่งจิต เพิ่งชวนอ่านอย่างรวดเร็ว หลังจากที่อ่านร่างอสูรตัดสายฟ้าเล่มสองเสร็จเขาก็หยิบตําราอีกเล่มขึ้นมาเปิดอ่าน
“หม?” เมิ่งชวนตาเป็นประกาย
ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์นั้น เพราะมีอัจฉริยะที่น่าพึ่งได้เกิดขึ้นมา จึงทําให้แก่นสารแห่งจิตได้ถูกอธิบายไว้โดยละเอียด
แก่นสารแห่งจิตถูกแบ่งออกเป็นเก้าระดับ กาย จิต ท่องราตรี แยกวิญญาณ หลอมรวม อมตะโลกาบรรลุและนิรันดร์
เมื่อควบแน่นแก่นสารแห่งจิตครั้งแรก คนๆนั้นจะเห็นตัวตนภายในได้ นั่นเป็นผลอย่าง แรกของแก่นสารแห่งจิต และเป็นขั้นแรกในการขึ้นเป็นเทพอสูรระดับเดือนมืดมิดเช่นกันแก่นสารแห่งจิตของคนๆนั้นจะต้องไปถึงระดับกาย เทพอสูรระดับมหาสุริยันไปถึงถึงตรงนั้นแม้จะเฝ้าหวังมากแค่ไหนก็ตาม! แก่นสารแห่งจิตของเพิ่งชวนในตอนนี้อยู่ที่ระดับกาย
ท่องราตรี ระดับที่สามของแก่นสารแห่งจิต เป็นเงื่อนไขสําหรับการขึ้นสู่ระดับไร้ขอบเขต! อย่างอื่นนั้นไม่สําคัญ แต่ว่าแก่นสารแห่งจิตจะต้องขึ้นเป็นระดับนี้เท่านั้น
หลอมรวม ระดับที่ห้าของแก่นสารแห่งจิต การจะขึ้นเป็นระดับสรรค์สร้างจะต้องไปถึงระดับ
ระดับสรรค์สร้างนั้นก็ยังคงเป็นระดับที่สูงที่สุดสําหรับเทพอสูรมนุษย์ ในประวัติศาสตร์มนุษย์อันแสนยาวนานแก่นสารแห่งจิตของเทพอสูรระดับสรรค์สร้างหลายคนไปถึงระดับหลอมรวมหรืออมตะเป็นเรื่องที่หาได้ยากที่จะเห็นคนไปถึงระดับโลกา แก่นสารแห่งจิตที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์นั้นอยู่ที่ระดับแปด บรรลุ ส่วนระดับที่เก้า นิรันดร์ นั้นเป็นเพียง การคาดเดา มันเป็นระดับที่เหล่ามนุษย์ได้สร้างขึ้นมาจากข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์
พอแก่นสารแห่งจิตไปถึงระดับนิรันดร์แล้วนั้น คนๆนั้นจะไม่ถูกกายเนื้อผูกมัดอีกต่อไปและได้ร่างกายที่เป็นนิรันดร์มาครอบครอง แน่นอนว่านั่นเป็นเพียงทฤษฎี
“กลายเป็นว่าข้าพึ่งจะอยู่ในระดับแรกของแก่นสารแห่งจิต” เมิ่งชวนเปิดอ่านหนังสือ มีวิธีในการฝึกฝนแก่นสารแห่งจิตและวิชาลับที่เกี่ยวของกับแก่นสารแห่งจิตอยู่ในนั้น
วิชาลับเกี่ยวกับแก่นสารแห่งจิตนั้นยังหยาบมาก เขาต้องใช้พลังปราณเพื่อที่จะเลี้ยงดูแก่นสารแห่งจิตของเขา และจะต้องใช้เวลาในการเลี้ยงดูจิตของพวกเขาอย่างช้าๆ วิธีนี้จะทําให้จิตก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ หลังจากผ่านไปนาน มันอาจจะกลายเป็นแก่นสารแห่งจิต
วิธีนี้เป็นเพียงตัวเลือกเท่านั้น วิธีที่ดีที่สุดคือการไปให้ถึงระดับเต่ําและตามหาคําตอบจากตัวตนภายใน
จอมยุทธส่วนใหญ่จะไปให้ถึงระดับเต๋ด้วยวิชาอาวุธของพวกเขาเพื่อที่จะหาคําตอบจากตัวตนภายใน เช่นเดียวกันกับการวาดภาพ เล่นขิม คัดลายมือ ตีเหล็ก ฯลฯ มีวิธีไม่มากในการตามหาคำตอบจากตัวตนภายใน แต่ว่ามันก็มีตัวอย่างมากมายในประวัติศาสตร์ ทุกๆครั้งที่มีแก่นสาร
แห่งจิตของพวกเขาก็จะเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
ทําไมถึงเป็นเรื่องยากที่เทพอสูรระดับมหาสุริยันจะควบแน่นแก่นสารแห่งจิตน่ะเหรอ? นั่นก็เพราะพวกเขาส่วนมากไปไม่ถึงระดับเต่ํานั่นเอง พวกเขาไม่มีวิธีที่จะตามหาคําตอบจากตัวตนภายในได้!แน่นอนอยู่แล้วว่ามันต้องยากที่จะควบแน่นขึ้นมา
เมื่อแก่นสารแห่งจิตไปรถึงระดับท่องราตรีแล้ว คนๆนั้นจะสามารถเข้าสู่ความฝันได้ และในระดับแยกวิญญาณ คนๆนั้นจะสามารถแบ่งชิ้นส่วนของแก่นสารแห่งจิตของตนเข้าไปติดกับร่างกายคนหรือสิ่งของได้ ส่วนระดับหลอมรวมน่ะเหรอ? เมื่อการรักษาร่างของตนนั้นเป็นเรื่องยากพวกเขาสามารถเลือกร่างมนุษย์เข้าไปสิงสู่ได้ หลังจากเข้าไปอยู่ในร่างนั้นแล้วพวกเขาทําได้แค่ฝึกฝนกลับไปที่ระดับเดิมของตนเท่านั้น ไม่สามารถข้ามผ่านไปได้อีกต่อไป
เพิ่งชวนอ่านหนังสืออย่างละเอียด เห็นได้ชัดว่าความสามารถของแก่นสารแห่งจิตที่มี ต่อพละกําลังนั้นน้อยมากๆส่วนมากเป็นวิชาแปลกๆซะส่วนใหญ่
เฟิงโหวเทพอสูรส่วนมากมักจะมีแก่นสารแห่งจิตกันอยู่ในระดับแรก มีเพียงน้อยนิดที่อยู่ในระดับที่สอง ในระดับแรกนั้นแก่นสารแห่งจิตเพิ่มพลังให้เพียงหนึ่งส่วน ยกเว้นว่าหากคนๆนั้นมีแก่นสารแห่งจิตที่ทรงพลัง หรือไม่มันก็แทบจะไม่ช่วยอะไรเทพอสูรได้เลย
หลังจากที่เพิ่งชวนและหลิวชีเยว่อ่านหนังสือจบ พวกเขาก็ออกจากศาลาชี้แนะและตรงไปที่คลังสมบัติพร้อมกับผู้อาวุโสี่
“ศิษย์ทุกคนจะได้รับสมบัติและแต้มฟรีเป็นเวลายี่สิบปี หากพวกลงจากเขาก่อนก็จะ ได้รับสมบัติและแต้มรวดเดียว”ผู้อาวุโสอกล่าวยิ้มๆ “พวกเจ้าทั้งคู่ยังรับได้อีกมากมาย”
พอพูดจบผู้อาวุโส ก็เดินเข้าไปในคลังสมบัติ พ่อบ้านและคนรับใช้ในคลังสมบัติก้มหัวด้วยความเคารพ
“เพิ่งชวนและหลิวซีเยวผ่านถ้ําเก้าปริศนาแล้วและกําลังจะลงจากเขา เตรียมสมบัติทั้งหมดที่พวกเขาจะต้องได้รับมาให้เสีย”
” ขอรับ” พ่อบ้านเริ่มคํานวณทันที
เพิ่งชวนเข้าร่วมเขาหยวนชูในการสอบเข้า กลับกันนั้น หลิวชีเยว่ขึ้นมาก่อนเขาในปีนั้น!นั่นก็หมายความว่าหลิวซีเยว่อยู่บนเขานานกว่าเขานั่นเอง
หลังจากคํานวณเสร็จ พ่อบ้านก็เตรียมสมบัติอย่างรวดเร็วและมอบให้เพิ่งชวน
“นายท่านเพิ่งชวน มียาพันดาราทั้งหมด 1100 เม็ดอยู่ในขวดน้ําเต้านี้ เป็นจํานวนที่ท่านจะได้รับในเก้าปีข้างหน้า” พ่อบ้านชุดสีฟ้ายื่นขวดน้ําเต้าสีแหลืองอันใหญ่ที่ต้องอุ้มมาให้เพิ่งชวน!การฝึกปราณนั้นเป็นเรื่องสําคัญมากสําหรับเทพอสูร เขาประหยัดยาพันดาราได้หลายเม็ดโดยการฝึกที่ยอดเขาอัสนี
หลังจากที่ลงจากเขาและประจําเมืองด่าน เขาจะสูญเสียโอกาสในการฝึกฝนที่ยอดเขาอัสนีเขาจึงต้องใช้ยาพันดาราในการฝึกฝนพลังปราณ
“และนี่คือผลอัสนีวิบัติทั้ง 18 ผลขอรับ” พ่อบ้านยื่นกล่องหยกหลายกล่องมาให้ แต่ ละกล่องนั้นมีผลอัสนีวิบัติอยู่สามผล
“ข้าขอซื้อผลอัสนีวิบัติ 20 ผล” เพิ่งชวนกล่าว ผลอัสนีวิบัตินั้นสําคัญมากต่อการฝึกฝนของเขาเขาต้องกินมันทุกๆ เดือน และเขาจะต้องปกป้องเมืองด่านเป็นเวลาสามปี ดังนั้นผลอัสนีวิบัติ 20 ผลจึงจําเป็น
ผลอัสนีวิบัติหนึ่งผลใช้หมื่นแต้ม มันแพงมากๆ! แต่ก็ยังดีที่เขาได้รับแต้มที่เหลือนั่นคือ 333,000 แต้ม
เพิ่งชวนและหลิวชีเยาแลกเปลี่ยนสมบัติที่พวกเขาต้องการ ยาพันดารา ผลวิญญาณ กระแสพลังวินาศ และยาสําหรับการรักษาอาการบาดเจ็บ หลังจากที่ใช้แต้มเสร็จเรียบร้อยเพิ่งชวนก็เหลือแต้มอยู่เพียง 32000 แต้ม แต้มของย่าทวดของเขาเองก็ถูกใช้ไปจนเกือบหมด
หลิวชีเยว่ยืมแต้มจากเพิ่งชวนไป 5000 แต้มก่อนที่จะซื้อสิ่งที่เธอต้องการสําหรับสามปีหน้าเสร็จ
ตอนที่ 127 วิธีการฝึกแก่นสารแห่งจิต
อสูรภูเขาสีแดงดํามั่นใจมากๆตอนที่นําหินออกมาสร้างเป็นเขตแดน “ตราบใดที่เจ้าอยู่ในเขตแดนข้าเจ้าก็หนีไปไหนไม่รอด”
เพิ่งชวนยืนอยู่กับที่ไม่ขยับตัวและเหลือบมองดูหินจํานวนนับไม่ถ้วนรอบตัวเขาด้วยความเย็นชาเขาจ้องมองอสูรภูเขาสีแดงเข้มตรงหน้า
“ไปเลย!” เพียงแค่คิดออกมา พลังอสูรของมันก็เพิ่มขึ้นพร้อมกับควบคุมหินจํานวนนับไม่ถ้วนให้พุ่งเข้าใส่เพิ่งชวน
เพิ่งชวนยังคงยืนนิ่ง และในที่สุดเขาก็ขยับตัวก่อนที่หินเหล่านั้นจะไปถึงเขา
ครืนๆๆๆ
โลกสีแดงดําดูจะสั่นสะเทือนในขณะที่เสียงคํารามของอสูรดังก้องพร้อมกับลําแสงกระบี่ที่ปะทุออกมา ภายในพริบตา เมิ่งชวนก็ใช้วิชาสมิงคํารนไปสิบเก้าครั้ง นั่นเป็นท่าโจมตีที่รุนแรงที่สุดของเมิ่งชวนแล้ว ด้วยพละกําลังของเขาในฐานะเทพอสูรระดับมหาสุริยัน เขาแข็งแกร่งกว่าคราวก่อนที่เขาใช้วิชาดวงใจกระบี่มาก
ลําแสงกระบี่ทะลวงผ่านหินจํานวนนับไม่ถ้วน ฝุ่นคลุ้งไปทั่ว พื้นที่รอบๆตัวเขาหนึ่ง ได้สลายกลายเป็นฝุ่นไม่มีหินเหลือแม้แต่ก้อนเดียว
เกิดระเบิดติดๆกันอย่างรุนแรงเข้ามาแทน! แม้ว่าลําแสงกระบี่จะไม่โดนเข้าที่หิน แต่พวกมันก็ยังคงถูกปนเป็นผงอยู่ดีเพราะ “แรงกระแทก” ที่เกิดจากลําแสงกระบี่
“อะไรนะ?” อสูรภูเขาที่กําลังพุ่งเข้าใส่ด้วยความเร็วสูงก็ช้าลงและจ้องมองด้วยความตกใจ
ก้อนหินกว่าหกส่วนที่เคยเป็นร่างส่วนนอกของมันถูกทําลายโดยสิ้นเชิง! เมิ่งชวนยืนอยู่ในที่โล่งกว้างพร้อมกับถือกระบี่ด้วยมือเดียวและจ้องมองอสูรภูเขาด้วยความเย็นชา
“เจ้านี่มันแข็งแกร่งขึ้นขนาดไหนกัน?” อสูรภูเขาตกใจ แม้จะผ่านระดับแดนอมตะไปยังมหาสุริยัน แต่พละกําลังของคนๆนั้นปกติก็จะเพิ่มขึ้นแค่ไม่กี่เท่า ทําไมพลังในการโจมตีถึงทรงพลังเช่น
“อ่อนแอเหลือเกิน” เมิ่งชวนมองเหยียดพร้อมกับเปลี่ยนเป็นสายฟ้าพุ่งเข้าใส่
“ไม่ดีแล้ว” อสูรภูเขาสีแดงเข้มตื่นตระหนก
เพราะว่าไม่มีหินในระยะหนึ่งนี้ อสูรภูเขาจึงหยุดเขาด้วยเขตแดนไม่ได้แล้ว
สู้ประชิด? ข้าชอบสู้ประชิด!? แม้อสุรภูเขาสีแดงเข้มจะตื่นตระหนกแต่มันก็ไม่ได้กลัว มันอ้าแขนทั้งแปดออกและพุ่งเข้าใส่เพิ่งชวน
“ตายซะ!” เมื่อมันพุ่งใส่สายฟ้า หกแขนก็แกว่งไปมาอย่างบ้าคลั่ง มันโจมตีใส่เพิ่งชวนด้วยฝ่ามือกรงเล็บ หรือหมัด แขนแต่ละข้างของมันเต็มไปด้วยพลังมากมายอย่างน่าทึ่งเพียงการโจมตีครั้งเดียวก็สามารถทําให้เทพอสูรระดับมหาสุริยันกลายเป็นฝุ่นได้ แต่เพิ่งชวนที่ฝึกร่างอสูรตัดสายฟ้าก็ขมวดคิ้วน้อยๆเขาไม่อยากจะสู้กับศัตรูตัวนี้ตรงๆ
ฟุบ
เพิ่งชวนวนรอบมันอย่างรวดเร็ว หลบการโจมตีของอสูรภูเขาสีแดงเข้มไปได้
“อะไรกัน?”เมื่อเห็นว่าทั้งหกแขนนั้นไม่โดนเมิ่งชวน อสูรภูเขาสีแดงเข้มก็โกรธเกรี้ยว
ร่างพร่ามัววนรอบอสูรภูเขาสีแดงเข้ม ทุกๆร่างชักกระบี่ออกมาฟันใส่อสูรภูเขา ลําแสงกระบี่ที่แต่ละร่างชักออกมาส่งเสียงคํารามเหมือนกับมังกรออกมา
อสูรภูเขาสีแดงเข้มพยายามจะป้องกันด้วยแขนทั้งแปดของมัน แต่มันก็พบว่ากระบี่เหล่านั้นสว่างจ้าและแทงเข้าใส่ร่างมันในทันทีด้วยการฟันทะลุมิติเข้ามา! อสูรภูเขาไม่มีโอกาสจะได้ป้องกันแม้แต่น้อย
การโจมตีติดๆกันสิบสองครั้ง! แต่ละครั้งก็มีเส้นทางที่แปลกประหลาดแตกต่างกันออกไปแต่ละครั้งทําให้มิติบิดเบี้ยว อสูรภูเขาไม่สามารถป้องกันได้แม้แต่ครั้งเดียว ลําแสงกระบี่เต็มไปด้วยพลังทะลุทะลวงมหาศาล ร่างที่แท้จริงของมันไม่สามารถทนรับไหวแม้แต่น้อยและถูกทะลวงเข้าไปได้สําเร็จ
หลังจากที่สิ้นเสียงมังกรคําราม ก็มีรูสิบสองรูปรากฏขึ้นที่ตัวของอสูร หัวของมันถูกทะลวงผ่านไปเลยด้วยซ้ํา! แต่ว่าอสูรภูเขาก็ยังคงจ้องมองเมิ่งชวนอยู่ “เทพอสูรมนุษย์เอ๋ยข้าประมาทเจ้าไปจริงๆ” พลังอสูรของมันเพิ่มขึ้นในทันที พลังของมันเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลมันเปลี่ยนเป็นร่างเงา สีแดงและพุ่งเข้าใส่เพิ่งชวน
แม้ว่าการโจมตีนั้นจะรุนแรง แต่รูทั้งสิบสองก็ค่อยๆรักษาอย่างช้าๆ
การจะสังหารอสูรภูเขานั้น ข้าต้องทําลายแกนของร่างที่แท้จริงของมัน เทพอสูรมหาสุริยันนั้นมีพลังชีวิตที่มากมายพวกเขายังมีชีวิตอยู่ด้วยซ้ําแม้ว่าหัวใจจะถูกแทงทะลุ ส่วนราชาอสูรที่ฝึกฝนร่างกายเป็นหลักอยู่แล้วนั้น พลังชีวิตของมันจึงมากกว่ามนุษย์อยู่แล้ว
จอมยุทธที่แข็งแกร่งที่ใช้พลังปราณมีวิชาลึกลับมากมาย และพลังของพวกเขานั้นมากมายมหาศาล
เหล่าอสูรนั้นมีร่างกายที่แข็งแกร่งกว่า เช่นเดียวกันกับวิชาอันแปลกประหลาดของมันที่เกิดมา จากสายเลือด
“ตายซะ” อสูรภูเขาใช้วิชาต้องห้ามและพุ่งเข้าใส่เพิ่งชวน
ฟุบ
เมิงชวนหายวับไป หลบการโจมตีนั้นได้อย่างง่ายดาย เขาโผล่ไปด้านหลังของอสูรภูเขาลําแสงกระบี่สว่างจ้าจนทําให้ช่องว่างเกิดการบิดเบี้ยวและแทงเข้าใส่หลังของราชาอสูร
เขาใช้วิชาดวงใจกระบี่ออกมา
ตูม!
หลังจากที่ลําแสงกระบี่พุ่งออกไป ระเบิดหยินหยางก็ทะลวงผ่านร่างของมันไปก่อน ที่แก่นกลางของมันจะระเบิดอย่างรวดเร็ว! แก่นกลางของมันสั่นสะเทือนและกระจายออกเป็นชิ้นๆ
ไม่” ดวงตาของอสูรภูเขาเบิกกว้าง มันอยากจะพูดคําสุดท้ายออกมา แต่ว่าพลังชีวิตมันหายไปอย่างรวดเร็วและร่วงลงสู่พื้น เพราะว่าพลังชีวิตของมันหายไป มันจึงได้สติจากการควบคุมของเขาหยวนชู
“นี่ข้าถูกจับไปเมื่อนานมาแล้วรึ? ข้าถูกจับให้มาเป็นเป้าซ้อมประลองสําหรับเทพอสูรมนุษย์รี?” อสูรภูเขานึกขึ้นได้ในที่สุด ไม่ว่ามันจะได้มาเจอกับเมิ่งชวนรึเปล่า ชะตาของมันก็ถูกกําหนดเอาไว้นานแล้ว
หลังจากที่เพิ่งชวนสังหารราชาอสูรภูเขา เขาก็เห็นพื้นผิวของมันเข้มลง เปลี่ยนกลายเป็นสีของหินธรรมดา
เขาไม่รู้สึกถึงความสําเร็จหลังจากได้สังหารราชาอสูรแม้แต่น้อย เพราะไม่ว่ายังไงมันก็ถูกเขาหยวนชูควบคุมมานานแล้ว!
หากเขาอยากสังหารอสูร เขาต้องเข้าไปในสนามรบและต่อสู้
โอ๋” เมิ่งชวนมองไปด้านหน้าที่โลกสีดําแดงได้คืนกลับเป็นถ้ําเหมือนเดิม “ทางออกของถ้ําเก้าปริศนารี?? ข้าผ่านการทดสอบของมันแล้วในที่สุด เมิ่งชวนเดินออกไป ตามปกติแล้วหากศิษย์คนนั้นแพ้จะถูกส่งกลับไปที่หน้าถ้ํา ต้องผ่านการทดสอบเท่านั้นทางออกถึงจะปรากฏออกมา
เขาเดินออกมาจากถ้ํา เขาเห็นทุ่งดอกไม้อันกว้างใหญ่ในทันที ทุ่งดอกไม้ที่เติบโตขึ้นในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลินั้นเป็นเรื่องที่หาได้ยาก
ทุ่งดอกไม้สีม่วง
” อาชวน” ในทุ่งดอกไม้นั้นหลิวชีเยว่ยืนอยู่และยิ้มให้เพิ่งชวน
“ข้าผ่านมันแล้ว แล้วพรุ่งนี้เจ้าก็จะผ่านเช่นกัน” เมิ่งชวนกล่าวยิ้มๆ
เขามั่นใจในความสามารถของหลิวซีเยว่มาก ศัตรูที่เขาหยวนชูจัดเอาไว้นั้นถูกกําหนดเอาไว้สําหรับศิษย์แต่ละคนแล้ว
อย่างเช่น เพิ่งชวนสามารถสังหารอสูรภูเขาด้วยความเร็วเพียงอย่างเดียวได้หากเขาไปถึงระดับมหาสุริยันไม่ว่าอสูรภูเขาจะแข็งแกร่งขนาดไหน แต่มันก็ไม่สามารถแตะตัวเมิ่งชวนได้แม้แต่ปลายเล็บกลับกันเพิ่งชวนสามารถปล่อยการโจมตีอย่างต่อเนื่องใส่มันได้เขาถูกกําหนดเอาไว้อยู่แล้วให้ชนะหากเขาไม่ได้ขึ้นเป็นเทพอสูรระดับมหาสุริยัน มันคงจะเป็นเรื่องยากที่จะทําลายร่างภายนอกของอสูรภูเขาร่างจริงของมันก็ยิ่งไปใหญ่การทําลายแก่นกลางก็ยากยิ่งกว่าทําลายร่างจริงเสียอีก
เขาหยวนชูอยากให้เพิ่งชวนสัมผัสได้ถึงพลังของราชาอสูรระดับสาม พวกเขาจึงบังคับให้เพิ่งชวนไปถึงระดับมหาสุริยันก่อนที่จะได้ลงจากเขา
เช่นเดียวกับเชวเฟิง เขาพึ่งจะผ่านถ้ําเก้าปริศนาหลังจากที่ได้รับจิตวิญญาณแห่งกระบี่ขึ้นสูงและไปถึงระดับมหาสุริยันก็เท่านั้น
วันถัดมาหลิวชีเยว่ก็ทําสําเร็จ
ทั้งคู่ไปที่ตําหนักแม่น้ําสวรรค์
“ผู้อาวุโสอื่” เมิ่งชวนและหลิวชีเยวโค้งคํานับด้วยท่าทางนอบน้อม
ผู้อาวุโสอื่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเสื่อ เขายิ้มมองดูทั้งสองคนตรงหน้าเขา หนุ่มสาวคู่นี้ที่เขาเอ็นดูมาก พวกเขาคือเทพอสูรระดับต้นๆที่เขาหยวนซูเลี้ยงดูมาเลย! แม้พวกเขาจะยังเด็กแต่ก็แข็งแกร่ง!ตราบใดที่ได้เข้าสู่สนามรบมากกว่านี้ พวกเขาก็จะแข็งแกร่งขึ้นอย่างรววดเร็วและสามารถปกป้องเมืองด่านของตัวเองได้
“ขอแสดงความยินดีกับพวกเจ้าทั้งสองคนด้วยที่ผ่านถ้ําเก้าปริศนาได้ หลังจากที่ลงจากเขาพวกเจ้าจะได้พบกับการต่อสู้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย พวกเจ้าทั้งคู่จะต้องคอยสนับสนุนซึ่งกันและกันและจะต้องระมัดระวังเมื่อเข้าสู่สนามรบ อย่าปรมาท พวกเจ้ายังมีประสบการณ์ในสนามรบน้อยนิดนัก” ผู้อาวุโสอีสั่งสอน
หลิวชีเยว่ยิ้มและกล่าว “ท่านผู้อาวุโส พวกเราทั้งคู่จะระมัดระวังและข้าเองก็จะจับตาดูอาชวนด้วยเจ้าค่ะ”
เพิ่งชวนยิ้ม
“พวกเจ้าทั้งสองคนต้องคอยจับตาดูซึ่งกันและกัน” ผู้อาวุโสี่กล่าวยิ้มๆในขณะที่เขาหยิบหนังสือสามเล่มออกมา “นี่คือร่างอสูรตัดสายฟ้าเล่มที่สอง และร่างเทพวิหคเพลิงเล่มที่สองส่วนเล่มสุดท้ายนั้นคือวิธีลับในการฝึกฝนแก่นสารแห่งจิต”
ผู้อาวุโสอิ่มอบหนังสือทั้งสามเล่มให้กับเยิ่งชวนและหลิวชีเยว่
พอไปถึงระดับมหาสุริยัน พวกเขาจะได้คัมภีร์ร่างเทพอสูรฉบับสมบูรณ์มา! ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาจะได้รับวิธีลับในการฝึกแก่นสารแห่งจิตอีกด้วย
ตอนที่ 126 ก้าวข้ามไปยังขอบเขตมหาสุริยัน
ในคืนนั้นตอนยามดึก
เพิ่งชวนนั่งขัดสมาธิอยู่บนเสื่อพร้อมกับหลับตา เขาตั้งใจสัมผัสถึงจุดตันเถียนมาได้ซักพักแล้ว
ภายในจุดตันเถียนของเขานั้น กลุ่มก้อนของแก่นเมฆานั้นใหญ่กว่าตอนที่เขาอยู่ในระดับมหาสุริยันหลายสิบเท่า มันขยายไปทั่วขอบเขตตันเถียนของเขาและภายในนั้นก็มีลูกแก้วแสงที่ส่องสว่างอยู่สิบลูก! ลูกแก้วแสงที่ใหญ่ที่สุดนั้นอยู่ตรงใจกลางของกลุ่มก้อนแก่นเมฆาส่วนอีกเก้าลูกที่เหลือนั้นวนรอบแก่นเมฆาอยู่ตลอดเวลา
ระดับมหาสุริยันนั้นเป็นระดับที่ยากที่สุดในหมู่สามระดับแรกของเทพอสูร เขาไม่ประมาทแม้แต่น้อยระดับมหาสุริยันนั้นเป็นจุดหมายที่เทพอสูรหลายๆคนต่างเฝ้าฝันอยู่ตลอดชีวิตสําหรับเพิ่งชวนแล้วมันเป็นระดับที่สําคัญมากๆ! นั่นก็เพราะมีข้อกําหนดหลายอย่างที่เขาต้องทําก่อนที่จะไปให้ถึงระดับต่อไประดับเดือนมืดมิด
เขาจะต้องต่อสู้ในสนามรบในฐานะเทพอสูรระดับมหาสุริยันอีกหลายปี!
เพียงแค่คิด พลังของแก่นสารแห่งจิตก็หลอมรวมเข้ากับปราณในจุดตันเถียนของเขา เขาสามารถควบคุมปราณทุกสายได้เลยด้วยซ้ํา ซึ่งนั่นทําให้เขามีโอกาสจะก้าวผ่านไปได้มากกว่าเดิม
การข้ามผ่าน!
คนอื่นๆสามารถข้ามผ่านไปยังระดับมหาสุริยันโดยไม่มีแก่นสารแห่งจิต ดังนั้นเมิ่งชวนจึงมั่นใจมากขึ้นเพราะเขานั้นมีแก่นสารแห่งจิต
ครืน!ภายในจุดตันเถียนของเขา กลุ่มก้อนแก่นเมฆาขนาดยักษ์กําลังถูกควบคุมโดยเพิ่ง ชวนและเจตจํานงกระบี่ ทันใดนั้นเองกลุ่มก้อนแก่นเมฆาก็ระเบิดออก! ลูกแก้วแสงและกลุ่มก้อนแก่นเมฆารวมเข้ากันเป็นหนึ่ง มันดูรุนแรง แต่ก็เป็นการสรรค์สร้างที่น่าแยบยล
เสียงทุ่มต่ําดังขึ้นในจุดตันเถียนราวกับว่าพลังที่หมุนเวียนเหล่านั้นกําลังจะสร้างอะไรบางอย่างออกมา หากคนๆนั้นแข็งแกร่งไม่เพียงพอ มันจะไม่ใช่เพียงแค่เสียทุ่มต่ําแต่จะเป็นการระเบิด!และจะตายคาที่อยู่ตรงนั้น
ความอันตรายในการขึ้นเป็นเทพอสูรนั้นค่อนข้างจะต่ํา แต่ว่าการข้ามผ่านแต่ละขอบเขตนั้นยากและอันตรายยิ่งกว่า มีโอกาสจะตายได้เลยด้วยซ้ํา! แม้ว่ามนุษย์ได้ตั้งข้อกําหนดหลายอย่างที่ต้องมีก่อนที่จะยืนยันได้ว่าคนๆนั้นจะสามารถข้ามผ่านไปยังระดับเดือนมืดมิดหรือไร้ขอบเขตได้สําเร็จแต่ก็มีคนมากมายที่ต้องเสียโอกาสในการข้ามผ่านไปเพราะอายุเยอะเกินไปดังนั้นแล้วเทพอสูรจํานวนมากจึงจะลองก้าวผ่านไปเมื่อพวกเขามีโอกาสถึงจุดๆหนึ่งแล้ว
หากพวกเขาสําเร็จ ความแข็งแกร่งและอายุขัยก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล
ข้าทําสําเร็จ เมิ่งชวนจับสัมผัสความเปลี่ยนแปลงของจุดตันเถียนของเขา
ภายในตันเถียนนั้นมืดสนิท แต่ในตรงกลางนั้นเองก็มีพระอาทิตย์ปราฏกออกมา! ราวกับเป็นดวงอาทิตย์ที่ส่องประกายเจิดจ้าในท้องฟ้า ในตอนที่มันปรากฏขึ้นมาก็ทําให้ทั้งขอบเขตส่องสว่างขึ้นไม่เหลือความมืดแม้แต่น้อย
ดวงอาทิตย์นั่นลอยอยู่ในจุดตันเถียนของเขา ปราณที่ดวงอาทิตย์นั้นปล่อยออกมาเป็นสีทองพวกมันมีพลังในการทําลายล้างมหาศาล
ฟูวว
ในตอนนี้ดวงอาทิตย์ในจุดตันเถียนของเขานั้นดูดซับพลังจากโลกภายนอกเข้าไปอย่างต่อเนื่อง
“ข้าข้ามผ่านไปยังระดับมหาสุริยันได้สําเร็จ” แม้เพิ่งชวนจะมั่นใจอยู่แล้ว แต่เขาก็ยังรู้สึกดีใจที่ข้ามผ่านไปได้ เขาสามารถสัมผัสได้ถึงปราณของมหาสุริยันที่หมุนเวียนอยู่ในร่างคอยหล่อเลี้ยงร่างกาย
เทพอสูรนั้นฝึกฝนร่างกายไม่ค่อยเก่ง อย่างเพิ่งชวนเองก็มีสองวิธีหลักๆในการฝึกร่างกาย อย่างแรกคือการใช้พลังปราณเพื่อขัดเกลาร่างกาย นั่นเป็นวิธีที่ปกติที่ใช้กัน ยิ่งพลังปราณบริสุทธิ์มากเท่าไหร่ ร่างกายก็จะแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น ส่วนอีกวิธีคือการใช้สายฟ้าขัดเกลาร่างกายยิ่งไปกว่านั้นการกินผลอัสนีวิบัติอยู่สม่ําเสมอก็จะช่วยเพิ่มผลของการฝึกวิชาของเขามากเช่นกัน
การฝึกฝนทั้งสองแบบนี้เป็นการฝึกฝนที่เหล่าจอมยุทธร่างอสูรตัดสายฟ้าทํากัน ส่วน การขัดเกลากระแสพลังวินาศชนิดใหม่นั้นเองก็เป็นส่วนหนึ่งของการขัดเกลาร่างกายเช่นกันแต่ว่ามันก็ด้อยกว่าอีกสองวิธีนั้นมาก
ถึงอย่างนั้นเทพอสูรก็พึ่งปราณเป็นหลัก! พละกําลังที่ปล่อยออกมาโดยร่างกายนั้นเป็นเพียงส่วนน้อย
เทพอสูรมนุษย์นั้นเพิ่มคุณภาพและปริมาณของปราณเป็นหลัก มันเป็นเส้นทางที่เหมาะสมแก่เทพอสูรมนุษย์ที่สุด เมื่อเทียบกับอสูรแล้ว มนุษย์นั้นเกิดมาพร้อมกับร่างที่อ่อนแอกว่ามาก!ในแง่ของความรอบรู้และสติปัญญานั้น มนุษย์มีมากกว่าอสูรมาก เส้นทางการฝึกฝนนั้นขึ้นอยู่กับพละกําลังเพื่อที่จะแข็งแกร่งขึ้น! ยิ่งไปกว่านั้น กําลังกายนั้นเป็นที่ต้องการไม่มากแต่ความต้องการของพลังปราณนั้นมีมาก
ร่างกายมีข้อจํากัดแต่พลังปราณนั้นไม่มีที่สิ้นสุด!
หลิวซีเยวที่นั่งอยู่ข้างนอกมาตลอดยืนขึ้นในทันทีที่ได้ยินเสียงประตูเปิด เมื่อเห็นรอยยิ้มของเพิ่งชวนเธอก็ยิ้มอย่างมีความสุข “อาชวนได้ขึ้นเป็นเทพอสูรระดับมหาสุริยันแล้วรู้สึกอย่างไร บ้าง?”
” ปราณของมหาสุริยันแข็งแกร่งกว่าปราณแดนอมตะมาก” เมิ่งชวนชูนิ้วขึ้น ประกายพลังปราณสีทองปรากฏขึ้นมา พลังปราณของเขาแหลมคมอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
“ข้าอยากเห็นจัง” หลิวชีเยว่เองก็เต็มไปด้วยความคาดหวัง ในหมู่ศิษย์ที่ยังไม่ได้ลงจากเขาเพิ่งชวนเป็นเพียงคนเดียวที่ไปถึงระดับมหาสุริยันแล้ว! นี่เป็นเพราะศิษย์ของเขาหยวนชูส่วนมากลงจากเขาตอนที่ยังเป็นระดับแดนอมตะ
“เอาสิ” เมิ่งชวนเดินออกจากห้องไปที่สวนแล้วสะบัดนิ้ว
ลําแสงสีทองพุ่งขึ้นไปในท้องฟ้ายามค่ําคืน พอมันสูงถึงร้อยจิ้ง มันก็ระเบิดออกตามใจที่เขานึกก่อให้เกิดแรงระเบิดที่สามารถสัมผัสได้จางๆแม้จะห่างกว่าร้อยจิ้ง
“แม้จะไม่ใช้เจตจํานงกระบี่ แต่กระแสปราณเล็กๆเท่านี้ก็แข็งแกร่งเพียงนั้นเลยรึ?” หลิ วชีเยวตกใจ“ถ้าหากว่าเจ้าปล่อยพลังเต็มที่ออกมา เจ้าอาจจะทําให้พื้นที่หลายลี้ต้องพังทลายเลยก็ได้”
“ปราณของเทพอสูรมหาสุริยันนั้นขึ้นชื่อในเรื่องของพลังในการทําลาย” เมิ่งชวนกล่าว “และเพราะร่างอสูรตัดสายฟ้าของข้าและรากฐานเทพอสูรที่แข็งแกร่ง ปราณมหาสุริยันของข้าคง จะแข็งแกร่งกว่าเทพอสูรระดับมหาสุริยันธรรมดาหลายสิบเท่า”
ในระดับมหาสุริยันเองก็มีอัจฉริยะ สําหรับเชวเฟิงนั้น ในแง่ของความบริสุทธิ์ของปราณเขา เขาไม่ด้อยไปกว่าของเมิ่งชวนเลย อย่างเช่นการที่อสูรภูเขานั้นแข็งแกร่งกว่าราชาอสูรระดับสามธรรมดามาก!
“แม้ว่าข้าจะข้ามผ่านไปยังระดับมหาสุริยันได้ แต่กระแสปราณของข้าคงจะยังด้อยกว่าเจ้าอยู่ดี” หลิวชีเยว่กล่าวยิ้ม
“ร่างเทพวิหคเพลิงนั้นแข็งแกร่งเพราะเพลิงของวิหค มันไม่ต้องใช้กระแสปราณเลยด้วยซ้ําเพิ่งชวนกล่าวและถอนหายใจ พลังในการทะลุทะลวงของลูกดอกหลิวชีเยวและอย่างอื่นนั้นเป็นเรื่องรองแต่เพลิงของวิหคที่ประสานเข้ากับลูกดอกของเธอนั้นคือสิ่งที่น่าสะพรึงมากที่สุด
“แต่ข้าไม่มีวิธีที่จะจัดการกับความเร็วของเจ้า หากข้าต้องสู้กับเจ้าข้าคงจะแพ้แน่ๆ หนีก็ยังไม่ได้เลยด้วยซ้ํา” หลิวชีเยว่กล่าว แม้ว่าเธอจะบินได้แต่ว่าก็ยังต้องใช้เวลากว่าเธอจะเว้นระยะห่างออกไปได้! และด้วยความเร็วของเพิ่งชวนแล้วนั้น แม้ว่าเธอจะบินอยู่กลางอากาศเพิ่งชวนคงจะสามารถจับตัวเธอได้ด้วยการกระโดดเพียงครั้งเดียวเพราะเขาสามารถกระโดดได้สูงเป็นลี้เลยด้วยซ้ํา! เป็นเรื่องยากที่จะหนีจากเพิ่งชวนได้สําเร็จ
“เพราะฉะนั้นหากข้าคอยปกป้องเจ้าก็จะไม่มีใครสามารถทําร้ายเจ้าได้” เพิ่ง ชวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ในคืนถัดมา หลิวชีเยว่เองก็ข้ามผ่านไปได้เช่นกัน อันที่จริงแล้วหลิวชีเยวที่เข้าถึงระดับของจิตวิญญาณระดับสูงมาเมื่อหลายเดือนก่อนได้ทําการเตรียมตัวหลายๆอย่างไว้แล้ว ดังนั้นแล้วเธอจึงข้ามผ่านไประดับมหาสุริยันได้สําเร็จ
ทั้งคู่เต็มไปด้วยความสุขและความหวังที่วันที่จะได้ลงจากเขานั้นใกล้เข้ามา
19 ตุลาคม หน้าถ้ําเก้าปริศนา
“เข้าไปเลย ข้าจะรอฟังข่าวดี” หลิวชีเยว่กล่าว
“ไม่ต้องกังวล ข้าจะผ่านถ้ําเก้าปริศนาได้อย่างแน่นอน” เมิ่งชวนกล่าวอย่างมั่นใจ เขา หันหลังกลับเดินเข้าไปในถ้ํา
ในตอนที่เขาเดินเข้าไปก็มีพลังที่มองไม่เห็นกั้นเอาไว้ หลังจากผ่านกําแพงนั้นไปเขาก็เห็นโลกสี แดงดําที่กว้างใหญ่
“ภายในภูเขากลับมีโลกอื่นอยู่ ข้าสงสัยเหลือเกินว่าเขาหยวนชูทําได้อย่างไร การที่เป็นนิกายที่เก่าแก่ที่สุดของมนุษย์ เขาหยวนชูมีพื้นที่ลึกลับมากมายเสียจริง”
เพิ่งชวนก้าวต่อไปด้วยความคุ้นชิน จากนั้นไม่นานเขาก็เห็นภูเขาสูงกว่าสิบปิ้งที่ดูคุ้นเคยภูเขาเริ่มจะสั่นสะเทือนและยืนขึ้นมาพร้อมกับหัวอุบาทว์ขนาดยักษ์ที่งอกออกมา มันคืออสูรภูเขา
มีตราประทับของเขาหยวนชูอยู่ใกล้ๆหน้าผากของมัน
“เจ้ายังจะกล้ากลับมาอีกเรอะ?” อสูรภูเขาจ้องมองเพิ่งชวนด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว
“ทําไมข้าจะไม่กล้า? คราวที่แล้วเจ้าก็ไม่ทําให้ข้าบาดเจ็บซักนิด” เมิ่งชวนกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
รอยยิ้มนี้ทําให้อสูรภูเขาโกรธเกรี้ยว มันพูดเสียงทุ่ม “เจ้าขึ้นเป็นเทพอสูรมหาสุริยันแล้วสินะเจ้าคิดว่าเจ้าจะเอาชนะข้าได้เพียงเพราะเจ้าข้ามผ่านไปได้อย่างนั้นรึ? ข้าสังหารเทพอสูรมหาสุริยันมาแล้วตั้งสามคน เจ้าจะเป็นคนที่สี่”
เพิ่งชวนจ้องมองอย่างเย็นชา
เขาคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าราชาอสูรระดับสามที่แข็งแกร่งขนาดนี้คงจะสังหารเทพอ สูรไปแล้วหลายคน
“มีอะไรก็ใส่มาใหม่หมด แล้วอย่ามาครวญครางหลังจากที่ข้าสังหารเจ้าว่าเจ้ายังไม่ได้ใช้พลังที่ มีทั้งหมด” เพิ่งชวนพูดอย่างเย็นชา
ยโสยิ่งนัก วิชาการเคลื่อนไหวของเจ้านั้นไม่เลวเลย แต่ว่าเจ้ามันก็มีแค่นั้นแหละ ความเร็วของเจ้ามันไร้ประโยชน์เมื่ออยู่ต่อหน้าข้า” จิตสังหารของอสูรภูเขาพุ่งสูงขึ้น ” ตายซะ!”
พอมันพูดจบ ร่างส่วนนอกที่หนาของมันก็แตกออก ก่อนจะมีหินจํานวนนับไม่ถ้วนลอยออกมาเผยให้เห็นร่างกายสีดําแดงที่แท้จริงของมัน มันสูงเกือบสิบจิ้ง
ตั๋วๆๆๆๆ!
ก้อนหินเหล่านั้นที่ลอยออกมาพุ่งเข้าใส่เพิ่งชวนพยายามจะกดดันเขาทุกด้าน! หิน เหล่านั้นเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายส่วนนอกของมัน ดังนั้นมันจึงแข็งมาก ยิ่งไปกว่านั้นอสูรภูเขายังควบคุมหินเหล่านี้ด้วยความชํานาญ
แม้มันจะเทียบไม่ได้กับการโจมตีที่ทําลายตัวเองเหมือนกับที่มันใครคราวก่อน แต่หินเหล่านี้ก็ยังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่เร็วกว่าเสียง
เพิ่งชวนที่ถูกหินความเร็วเหนือเสียงพุ่งเข้าใส่อย่างต่อเนื่องก็ช้าลง ถึงจะอย่างนั้น เขาก็ยังไวพอๆกับราชาอสูรระดับหนึ่งอยู่ดี
“วิชาการเคลื่อนที่ของเจ้ายังมีประโยชน์ในขอบเขตของข้าอยู่อีกรึ?” อสูรภูเขาสีดําแดงพุ่งเข้ามาใส่มันเริ่มเคลื่อนที่ไวขึ้นพร้อมกับพุ่งเข้าใส่ก้อนหินจํานวนมหาศาลตรงเข้าใส่เพิ่งชวน
“โอ๊ะ?” เมิ่งชวนตกใจเมื่อได้เห็นอสูรภูเขาสีดําแดงพุ่งเข้าใส่พร้อมกับหินจํานวนนับไม่ถ้วน
หินเหล่านั้นกระจายออกและคลุมพื้นที่กว้างกว่าหนึ่งลี้ พื้นที่ตรงนี้คือเขตแดนของอสูรภูเขา อสูรภูเขาสีดําแดงพุ่งเข้าไปตรงใจกลางของเขตแดน
ถ้าเพิ่งชวนอยากจะต่อสู้ระยะประชิดกับอสูรภูเขา เขาคงจะถูกหินจํานวนนับไม่ถ้วนนั้นล้อมมันคงเป็นเรื่องยากที่เขาจะใช้ควมเร็วที่มีภายใต้สถานการณ์แบบนั้น
เห็นได้ชัดว่าอสูรภูเขาพบจุดอ่อนของเงชวนในการปะทะครั้งก่อน! พอเขาจะโจมตี หินส่วนนอกของมันก็หลุดออกมาและก่อขึ้นเป็นเขตแดน
ตอนที่ 125 ความดื้อรั้นของเหยียนจิน
ฝนยังคงโปรยปรายในขณะที่เมิ่งชวนและเทพอสูรคนอื่นๆ เดินลงจากเขาด้วยความเงียบงัน
หลังจากที่ได้เห็นสภาพศิษย์พี่เฉียนหยูและที่เจ้าเขาสลักชื่อแต่ละชื่อด้วยตัวเอง นั่นทําให้ในใจของทุกคนนั้นหนักอึ้ง
“เฮ้อ” ศิษย์คนหนึ่งอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาและทุบลงไปที่โขดหินข้างๆเขา หินที่กว้างกว่าหนึ่งยั้งได้สลายหายกลายเป็นฝุ่นในทันที เขากัดฟันกรอดและพูด “น่าโมโหยิ่งนัก ถ้าข้าอยู่ที่นั่น พวกเราคงจะได้สังหารราชาอสูรพวกนั้นไปพร้อมกันแล้ว!”
“ถ้าเจ้ายังแข็งแกร่งไม่พอ ที่เจ้าทําก็มีเพียงส่งตัวเองไปตาย” เทพอสูรหญิงที่อยู่ข้างๆเขาพูดเรียบๆ
“ถ้าข้าคนเดียวไม่พอ แต่สิบยี่สิบก็คงจะเพียงพอที่จะพลิกสถานการณ์ได้เ” เทพอสูรคนนั้นกล่าวออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว “พลังของข้าในตอนนี้อาจจะยังเทียบไม่ได้ แต่ในอนาคตมันจะเพียงพอ หากในตอนนี้ข้าไม่มีความกล้าพอ ข้าจะฝึกฝนเพื่อเป็นเทพอสูรไปทําไมกัน?”
เทพอสูรหญิงคนนั้นกล่าวเรียบๆ “ข้าแค่อยากให้เจ้าใจเย็นลงและเข้าใจความแตกต่างของพลัง”
” หยุดเถียงกันเถอะ” เมิ่งชวนกล่าว “ฝึกฝนกันให้ดีตอนที่อยู่บนเขา เมื่อเราแข็งแกร่งพอแล้วพวกเราก็จะสามารถสังหารราชาอสูรที่มากกว่านี้ได้หลังจากที่ลงจากเขาไปแล้ว”
ศิษย์เทพอสูรทั้งสองคนไม่ได้เถียงกันต่อหลังจากที่เมิ่งชวนพูดออกมา ในหมู่ศิษย์ที่ยังอยู่บนเขา เมิ่งชวนนั้นคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดและใครๆก็ต่างรู้จักว่าเขาเป็นพี่ใหญ่ เขาค่อนข้างจะมีชื่อเสียงมากทีเดียว
หลังจากลงเขาไปแล้ว เหล่าศิษย์ก็แยกย้ายกันไปอย่างรวดเร็ว
“พี่เหยียน” หลิวชีเยว่ที่เดินอยู่ข้างๆเมิ่งชวนตะโกน
เหยียนจินหยุดฝีเท้าด้วยความงุนงง
” พี่เหยียน อาชวนกับข้ามีอะไรจะบอกกับเจ้า” หลิวชีเยว่กล่าว
“หืม? มีอะไรอย่างนั้นรึ?” เหยียนจินถาม ช่วงนี้เขาฝึกฝนอย่างบ้าคลั่งและไม่ค่อยได้ออกมาสู่สังคมซักเท่าไหร่นัก คนที่สนิทกับเขามากที่สุดก็มีแค่เมิ่งชวนกับหลิวชีเยว่ เพราะไม่ว่ายังไงพวกเขาต่างก็มาจากเมืองตงหนิง
“อาชวนกับข้าจะลงจากเขาในปีนี้” หลิวชีเยว่กล่าว
“เร็วขนาดนั้นเลยรึ?” เหยียนจินประหลาดใจ
เมิ่งชวนเองก็พยักหน้า “ใช่แล้ว เร็วๆนี้พวกเราจะผ่านขึ้นไปสู่ระดับมหาสุริยันแล้ว! เมื่อถึงเวลา พวกเราจะผ่านถ้ำเก้าปริศนาและลงจากเขากัน”
“งั้นก็ยินดีด้วย” เหยียนจินยิ้ม” ข้าคงจะต้องใช้เวลามากกว่าพวกเจ้า ข้าว่าข้าคงต้องใช้เวลาอีกสองสามปี”
” พอเราผ่านถ้ำเก้าปริศนาได้แล้ว พวกเราจะจัดงานเลี้ยงและชวนเพื่อนมาร่วมด้วยหลายคน” เมิ่งชวนกล่าวยิ้มๆ เขามีหลายอย่างที่อยากจะบอกกับเหยียนจิน แต่เขาตัดสินใจที่จะไม่พูดออกไป
พวกเขาต่างเป็นศิษย์รุ่นเดียวกัน มีเพียงเมิ่งชวน ชีหยวนถง และเหยียนจินเท่านั้นที่ฝึกร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษได้สําเร็จ
ชีหยวนถงหายไปเป็นสามปีก่อนที่เขากลับมาที่เขาหยวนชู เขาไม่หยิ่งยโสอีกต่อไปแล้วกลับกัน เขาดูถ่อมตนและไม่ค่อยแสดงตนมากเท่าไหร่นัก บางครั้งเขาก็ยิ้มให้กับเพื่อนๆศิษย์ด้วยเหมือนกัน หลังจากผ่านไปห้าปีบนเขา ชีหยวนถงได้รับร่างอสูรทรงพลังระดับสูงมาและเข้าสู่ขอบเขตความเป็นตายและขึ้นเป็นเทพอสูร!
เหยียนจินนั้นเริ่มดื้อรั้นและบ้าคลั่งมากขึ้น เขาใช้เวลาสิบปีกับร่างเทพบัวฟ้าและถูกบังคับให้เข้าสู่ขอบเขตความเป็นตายและขึ้นเป็นเทพอสูร ในตอนนั้นเขาพึ่งจะได้เพียงแค่ระดับสูงเท่านั้น เขาไม่สามารถทําให้มันสมบูรณ์แบบได้
มันไม่เป็นไร แต่ที่ทําให้เมิ่งชวนหวั่นใจมากที่สุดคือเหยียนจินนั้นตั้งใจจะฝึกแต่โลหะทมิฬเพียงอย่างเดียว
ตั้งแต่ตอนที่เขาขึ้นเขามา เหยียนจินเลือกวิชาของโลหะทมิฬ เจ็ดเพลิงน้ำแข็งสัมบูรณ์ การจะฝึกโลหะทมิฬโดยไม่มีการชี้นําของเจตจํานงนั้นเป็นเรื่องยากมาก ศิษย์ที่ยังอยู่บนเขาที่มีร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษและเรียนรู้โลหะทมิฬได้ก็มีเพียงเมิ่งชวนกับเหยียนชื่อลง
เหยียนชื่อดังได้เข้าร่วมเขาหยวนชูเป็นกรณีพิเศษ เขาเป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่เข้าถึง “พลัง” ได้ตั้งแต่อายุสิบสาม ในแง่ของความสามารถแล้วนั้น เขาเองก็ไม่ด้อยไปกว่าลูกชายคนที่ห้าของราชาทะเลตงไห่เลย การฝึกฝนของเขานั้นค่อนข้างจะช้ากว่าชายห้า เชวเฟิง เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในตอนที่เขาอายุสิบหก เขาได้รับร่างเทพสองโลกที่สมบูรณ์และขึ้นเป็นเทพอสูร! ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเรียนรู้วิชาหอกเพลิงบัวชาดได้สําเร็จอีกด้วย เขานั้นเรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะที่เทียบได้กับเมิ่งชวนและเชวเฟิงเลยด้วยซ้ำ
กลับกันแล้ว เหยียนจินกลับล้มเหลว เขาไม่สามารถสร้างร่างเทพบัวฟ้าที่สมบูรณ์แบบได้แม้จะผ่านไปแล้วสิบปี
การจะเรียนรู้เจ็ดเพลิงน้ำแข็งสัมบูรณ์นั้นผู้เรียนจะต้องเข้าถึงเจตจํานงกระบี่ถึงสองอย่างเจตจํานงกระบี่น้ำแข็งและเจตจํานงกระบี่เพลิง จากนั้นเขาจะต้องรวมเจตจํานงกระบี่ทั้งสองให้รวมเป็นหนึ่ง หลังจากผ่านไปสิบเอ็ดปีบนเขา เหยียนจินพึ่งจะเข้าถึงเจตจํานงกระบี่น้ำแข็งเท่านั้น! ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่ได้เข้าถึงเจตจํานงกระบี่ขั้นพื้นฐาน เขาขึ้นเป็นเทพอสูรระดับแดนอมตะได้เพียงเพราะเจตจํานงกระบี่น้ำแข็งเท่านั้น
ด้วยความสามารถของเหยียนจินนั้น วิชากระบี่ของเขาคงจะสูงกว่านี้มากหากเขาเลือกที่จะฝึกมรดกระดับสวรรค์แทน บางทีเขาอาจจะไปถึงจิตวิญญาณกระบี่เลยก็ได้ เมิ่งชวนถอนหายใจ เขาไม่สามารถเรียนรู้วิชาขั้นพื้นฐานของโลหะทมิฬได้ แต่เขาก็ยังดึงดันที่จะเดินทางนี้ต่อไป ในตอนนี้ การเปลี่ยนเส้นทางที่ก้าวเดินอาจจะนําไปสู่ความสําเร็จที่ยิ่งใหญ่ก็ได้
เหยียนจินนั้นดื้อรั้นเกินไป
หากไม่ใช่เพราะเขาหยวนชูมีกฏที่จะขับไล่ศิษย์จากนิกายในหากพวกเขาไม่ขึ้นเป็นเทพอสูรในสิบปี เหยียนจินคงจะเป็นมนุษย์จนกว่าเขาจะได้ร่างเทพบัวฟ้าที่สมบูรณ์เลยด้วยซ้ำ
ไม่มีใครบังคับให้เขาฝึกฝนโลหะทมิฬ แต่ว่าเขาก็ยังฝึกฝนต่อไป เขาไม่ยอมแพ้แม้จะผ่านมาแล้วสิบเอ็ดปี! เป็นเรื่องยากที่จะได้เห็นศิษย์ที่มุ่งมั่นและบ้าคลั่งเช่นนี้
เขาเคยแนะนําไปแล้ว และหากไปยุ่มย่ามมากกว่านี้อาจจะทําให้เกิดการบาดหมางกันได้
“เข้าใจล่ะ อย่าลืมชวนข้าไปด้วยล่ะตอนที่เจ้าจัดงานเลี้ยง เหยียนจินกล่าวยิ้มๆ “ข้าจะกลับไปฝึกต่อ หากเจ้ามีอะไรก็ไปหาข้าได้ที่เขาเพียวเซี่ย”
พูดจบเขาก็เดินกลับไป เขากลับไปที่เขาเพียวเซี่ยคนเดียว จวบจนถึงตอนนี้เขาก็เป็นเพียงศิษย์คนเดียวที่อยู่ที่นั่น มันอยู่ห่างไกลเกินไป
“เมิ่งชวนกับหลิวชีเยว่กําลังจะลงจากเขางั้นรึ?” เหยียนจินคิด ที่บนเขานี้เขามีเพื่อนเพียงสองคนเท่านั้น
ก็ดีเหมือนกัน การได้อยู่คนเดียวจะทําให้อารมณ์ของข้าไม่ผันแปรมากนัก จากนั้นข้าคงจะมีโอกาสที่จะเรียนรู้เจ็ดเพลิงน้ำแข็งสัมบูรณ์ได้สําเร็จ เหยียนจินมุ่งหน้ากลับไปที่เพียวเซี่ย
“อาชวน ข้ารู้สึกกังวลกับสภาพของพี่เหยียนจินอยู่นิดหน่อย” หลิวชีเยวที่กําลังเดินอยู่ข้างๆ เมิ่งชวนไปที่จิ้งหมิงเฟิงกล่าว “พี่เหยียนปลีกวิเวกมากเกินไปแล้วก็ไม่พูดคุยกับคนอื่นเลย ศิษย์ของเขาหยวนซูต้องช่วยเหลือกันและกัน แต่ว่าพี่เหยียนปลีกตัวออกจากคนอื่นๆ ไม่มีใครเข้าใกล้เขาได้เลยซักนิด”
เมิ่งชวนพยักหน้า “ชีเยว่ เหยียนจินกับข้าอายุเท่ากัน เขาเองก็อายุ 29 แล้ว มนุษย์หลายคนต้องเข้าไปเป็นทหารตอนอายุยี่สิบ บางคนต้องตายในสนามรบ ตอนนี้เขาเองก็ 29 เราไม่ต้องเป็นห่วงหรอกว่าเขาจะใช้ชีวิตอย่างไร”
หลิวชีเยว่พยักหน้าครุ่นคิด
“พวกเราสองคนควรตั้งใจกับการฝึกวิชาของเรา ในตอนนี้เป็นช่วงสุดท้ายของการฝึกวิชาอย่างสงบสุขแล้ว หลังจากที่พวกเราลงจากเขาไป พวกเราก็จะไปอยู่ในสนามรบ” เมิ่งชวนกล่าวด้วยความเคร่งขรึม มันเป็นเรื่องที่สําคัญ
“ใช่ พวกเราจะต้องเข้าสู่สนามรบ” หลิวชีเยว่ก็ตั้งหน้าตั้งตารอเช่นกัน หลังจากฝึกฝนมาเป็นเวลากว่าสิบปี เธอก็อยากจะลงจากเขาและสังหารราชาอสูร!
เพียงครึ่งเดือนถัดมา ในวันที่ 17 ตุลาคม ตอนบ่าย
แสงแดดส่องเข้ามาในห้องหนังสือ เมิ่งชวนกําลังวาดภาพอยู่
ทันใดนั้นเองก็มีกระแสพลังที่ทรงพลังปะทุออกมาจากห้องใกล้ๆ
” หืม?” เมิ่งชวนวางแปรงลงทันที เขาผลักประตูเปิดออก แล้วรีบวิ่งออกไป
พอไปถึงที่ห้องฝึกวิชาของชีเยว่ เขาก็เห็นหลิวชีเยวที่กําลังยืนอยู่ในทันที มีปีกเพลิงคู่หนึ่งโผล่ออกมาจากหลังของหลิวชีเยว! ปีกสีแดงนั้นสะบัดไปมาเบาๆ ทําให้เธอดูคล่องแคล่วว่องไวมากกว่าเดิมมาก
“เจ้าผ่านไปแล้วรึ?” เห็นได้ว่าเมิ่งชวนกําลังดีใจ
หลิวชีเยวพยักหน้าและพูดยิ้มๆ “ใช่แล้ว หลังจากที่เข้าถึงขอบเขตจิตวิญญาณระดับสูง การควบคุมเพลิงของข้าก็ละเอียดอ่อนมากขึ้น ตอนนี้ข้าสามารถสร้างมันให้เป็นปีกวิหคเพลิงได้แล้ว ถ้าใช้เจ้านี้ข้าก็บินได้”
“บิน?” เมิงชวนประหลาดใจ น่าอิจฉาจริงนะ”
เขาไม่สามารถบินได้แม้จะอยู่ระดับมหาสุริยันแล้วก็ตาม
แต่ก็แน่นอนว่าพอเขาไปถึงระดับมหาสุริยัน เขาสามารถเดินทางได้ไกลหลายลีเพียงก้าวเดียว หากเขาใช้ท่านางแอ่น เขาสามารถพุ่งไปได้ไกลกว่าห้าจั้งโดยที่ไม่ลงพื้นเลยด้วยซ้ำ! แต่ว่ามันก็ยังแตกต่างกับการบินได้จริงๆอยู่มาก
“เทพอสูรมากมายก็ต่างอิจฉาความเร็วของเจ้าเหมือนกันนั่นแหละ” หลิวชีเยว่ปิดปากหัวเราะคิกคัก “จะว่าไปแล้ว อาชวน ข้าก้าวผ่านไปได้แล้ว ข้าคงจะต้องใช้เวลาซักพักในการจัดการทุกอย่างก่อนจะขึ้นเป็นเทพอสูรระดับมหาสุริยันในวันพรุ่งนี้ตอนกลางคืน แล้วเจ้าล่ะ?”
“ข้าจะผ่านไปในคืนนี้” เมิ่งชวนกล่าว “ข้าเฝ้ารอมานานเกินไปแล้ว”
ตอนที่ 124 สลักชื่อบนผาแดงโลหิต
เมิ่งชวนออกจากลานฝึก พอเขาเห็นเหล่าคนรับใช้ที่กําลังทําความสะอาดพื้นอยู่ก็ถามออกมา “ชีเยว่อยู่ไหนรึ?”
” ท่านหญิงออกไปเมื่อเช้านี้ขอรับนายท่าน ช่วงนี้ท่านหญิงหลิวชีเยว่จะฝึกจนเที่ยงก่อนจะกลับขอรับ” คนใช้คนหนึ่งกล่าว ส่วนที่เหลือก็โค้งคํานับอย่างสุภาพ
“อ๋อ” เมิ่งชวนพยักหน้าเล็กน้อย “ถ้าอย่างนั้นชงชาแล้วไปส่งที่ห้องหนังสือให้ข้าด้วย”
หลังจากสั่งงานเรียบร้อย เมิ่งชวนก็นั่งลงและม้วนกระดาษลงบนโต๊ะ เขาถือม้วนกระดาศและเริ่มวาดหมึกลงไป เขาวาดภาพที่ศิษย์พี่เกาเค่อใช้วิชาดวงใจกระบี่แบบที่สองศิษย์พี่เกาเค่อนั้นแก่
มากแล้วในตอนที่ใช้วิชากระบี่ ร่างกายของเขาเริ่มแต่ตัว แต่ว่าเขาก็ยังเป็นเทพอสูรระดับมหาสุริยันที่ไร้เทียมทานในตอนนั้น
เขาวาดรูปอย่างตั้งใจ เขาวาดผมสีขาวของเกาเค่อและกลิ่นอายของคราของเขา เขาชักมีดตัดไม้อย่างตั้งใจ
ตอนแรกที่ศิษย์พี่เกาเค่อฟาดกระบี่ออกมา เขาก็รู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่แปลกไป มันทําให้เขาได้เห็นถึงอีกมุมมองของดวงใจกระบี่แบบที่สอง
ในเรื่องของความงดงามแล้ว ท่าของข้านั้นแย่กว่าของศิษย์พี่เกาเค่อมาก เมื่อเทียบกันด้วยมุมมองของศิลปินแล้ว มันทําให้เขาได้เห็นมันในอีกมุมมอง
หลังจากผ่านไปเป็นเวลานาน
เมื่อได้ยินเสียงหลิวชีเยว่ เมิ่งชวนกวางพู่กันและเปิดประตูทักทายเธอ เขาตะโกน “ชีเยว่”
ดวงตาเธอเป็นประกาย “วันนี้เจ้าออกมาต้อนรับข้าด้วย” หลิวชีเยว่เดินมาพร้อมกับซองลูกดอกบนหลัง “อาชวน ข้าต้องไปตามเจ้าที่ลานฝึกทุกๆวันเพื่อเรียกเจ้ามากินข้าว เกิดอะไรขึ้นเหรอ? เจ้าเลิกฝึกแบบบ้าคลั่งแล้วเหรอ?”
“จบแล้วล่ะ” เมิ่งชวนเดินเข้าไปใกล้ๆและพยักหน้า “ข้าลองความคิดที่มีมาทั้งหมดหลังจากฝึกท่าดวงใจกระบี่มาสิบเอ็ดปีแล้ว และข้ายังไปถึงจิตวิญญาณกระบี่ขั้นสูงแล้ว ตอนนี้ข้าต้องฝึกฝนอย่างช้าๆ”
กระบีที่ดีใช้เวลากว่าสิบปีในการตี เช่นเดียวกันกับการฝึกวิชา
ยิ่งเขาไปไกลมากเท่าไหร่ เขาก็จะต้องใช้เวลาในการพัฒนามากขึ้นเท่านั้น และต้องมีความรู้ที่มากเพียงพอด้วยเช่นกัน! อัจฉริยะหลายๆคนติดอยู่ในระดับของจิตวิญญาณไปตลอดชีวิต พวกเขาไปไม่ถึงขั้นเต๋าจวบจนวันตาย เมิ่งชวนเชื่อว่าเขาจะไปถึงขั้นเต๋ากระบี่ภายในเวลา 20 ถึง 30 ปี
ศิษย์พี่เกาเค่อพึ่งจะสร้างวิชาดวงใจกระบี่แบบที่ห้าขึ้นมาได้ก็เมื่อตอนแก่แล้ว อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังไม่สามารถก้าวข้ามไปได้เพราะร่างกายที่แก่ชราของเขา การก้าวข้ามไปนั้นต้องการสามสิ่งสําคัญ ร่างกาย แก่นสารแห่งจิต และระดับวิชา
ชีวิตก็เป็นเช่นนี้ การจะให้ทุกอย่างเป็นไปดั่งใจหวังนั้นเป็นเรื่องยาก! ต้องทุ่มเทอย่างหนักเพื่อเข้าใกล้สู่จุดหมายของพวกเขา
“อาชวน เจ้าเข้าถึงจิตวิญญาณกระบี่ขั้นสูงแล้วหรือ?” หลิวชีเยวพาเมิ่ง ชวนไปนั่งบนม้านั่งใกล้ๆ เธอพูดอย่างตื่นเต้น “นั่นก็หมายความเจ้าจะได้เป็นเทพอสูรระดับมหาสุริยันแล้วใช่ไหม?”
“ใช่” เมิ่งชวนพยักหน้า “อันที่จริงแล้ว ข้าเข้าถึงจิตวิญญาณกระบี่ขั้นสูงตั้งแต่ เมื่อสองเดือนก่อนแล้ว แต่ว่าในตอนนั้นข้าสนใจแต่วิชากระบี่เลยลืมบอกเจ้าไป”
หลิวชีเยว่พูดอย่างตื่นเต้น “อาชวน ข้าเองก็มีข่าวดีมาบอกเหมือนกัน”
“ข่าวดีอะไรรึ?” เมิ่งชวนถาม
“เมื่อเดือนก่อนตอนที่ข้าฝึกฝนอยู่ที่บ่อเพลิงโลกา ข้ารู้สึกได้ว่าข้าเข้าใกล้ขอบเขตของจิตวิญญาณระดับสูงมากๆแล้ว ข้าเข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ” หลิวชีเยว่กล่าว “ข้าสามารถก้าวข้ามไปได้ภายในอีกหนึ่งเดือน ถ้าไม่อย่างนั้นก็ภายในห้าเดือน”
“ดีเลย” เมิ่งชวนกล่าวอย่างมีความสุข ”ยอดเยี่ยมมากเลยล่ะ หลังจากที่เจ้าเข้าถึงขอบเขตจิตวิญญาณระดับสูงแล้ว พวกเราจะผ่านขึ้นไปเป็นระดับมหาสุริยันพร้อมๆกัน! และพวกเราจะผ่านถ้ำเก้าปริศนาและลงจากเขาไปพร้อมกัน”
“ตกลง” หลิวชีเยวพยักหน้า
หลิวชีเยวหน้าแดงเล็กน้อยเพราะว่าเธอโกหก แต่ว่าอันที่จริงหน้าของเธอก็แดงอยู่แล้วเพราะความสําเร็จของเมิงชวน จึงเป็นเรื่องปกติที่เธอจะดูสดใสขึ้น
“ช่วงสามเดือนที่ผ่านมานี้มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า?” เมิ่งชวนถาม
“เกิดเรื่องใหญ่ขึ้น” หลิวชีเยว่เบาเสียงลง “มันเกิดขึ้นเมื่อแปดวันก่อนนี้เอง ด่านหุยชาน(เขาสามปราชญ์)แตกแล้ว มีคนตายมากมาย”
“ด่านหุยชาน?” เมิ่งชวนตกใจ “นั่นมันเมืองด่านขนาดกลางนะ!”
เมืองด่านขนาดกลางนั้นเป็นที่ที่อันตรายมากที่สุดในโลก การป้องกันเมืองด่านขนาดเล็กนั้นค่อนข้างจะง่าย และเมืองด่านขนาดใหญ่นั้นมีราชันเทพอสูรคอยคุ้มกัน! ส่วนเมืองด่านขนาดกลางนั้น หากมีเทพอสูรเฟิงโหวคอยประจําการก็พอจะยื้อไว้ได้ แต่ว่าเทพอสูรเฟิงโหวในตอนนี้นั้นมีน้อยมากๆ ดังนั้นเมืองด่านขนาดกลางส่วนมากจึงต้องพึ่งพาพลังของเหล่าเทพอสูรระดับมหาสุริยันคอยปกป้อง และพวกเขาเองก็ต้องช่วยเหลือกันเป็นกลุ่ม
หลิวชีเยว่พยักหน้าเบาๆ “ใช่แล้ว เมืองด่านขนาดกลางแตกแล้ว เป็นเรื่องที่น่าตกใจมากๆ จํานวนผู้เสียชีวิตก็เยอะ มีเทพอสูรยี่สิบเจ็ดคนคอยประจําอยู่ที่ด่านหุยชาน และศิษย์พี่เฉียนหยูเองก็เป็นหนึ่งในนั้น”
” เฉียนหยูอยู่ที่ด่านหุยชานด้วยงั้นรึ?” เมิ่งชวนตั้งใจฟังและถามด้วยความจริงจัง ” แล้วมีใครตายบ้างรึเปล่า?”
“เหมยเจียงโหว(เฟิงโหวแม่น้ำบ๊วย)รีบรุดไปช่วย แต่ตอนที่ไปถึงเขาก็สามารถช่วยเทพอสูรออกมาได้เพียงแค่คนเดียว ศิษย์พี่เฉียนหยู! เพราะว่าศิษย์พี่เฉียนหยูเป็นนักเกาทัณฑ์ระดับมหาสุริยันที่มีวิชาการเคลื่อนไหวดีเยี่ยม เหล่าเทพอสูรคนอื่นๆจึงเสียสละตนเองเพื่อปกป้องเขา และนั่นจึงทําให้เขารอดมาได้ ส่วนเทพอสูรคนอื่นๆนั้นตายในการต่อสู้จนหมด ศิษย์พี่เฉียนหยูใช้วิชาต้องห้ามเป็นเวลานานเกินไปจนร่างของเขาเกือบจะฉีกขาด แม้ว่าเขาหยวนชูจะพยายามอย่างเต็มที่ในการช่วยเขา แต่ว่าจุดตันเถียนของเขาที่พังลงโดยสิ้นเชิงนั้นไม่สามารถฟื้นฟูกลับมาได้ แม้ว่าร่างเทพอสูรและเส้นลมปราณที่ฉีกขาดจะถูกรักษาแล้วก็ตาม”
“จุดตันเถียนของเขาพังอย่างนั้นรึ?” เมิ่งชวนใจหาย จุดตันเถียนนั้นสําคัญมากสําหรับเหล่าเทพอสูร หากจุดตันเถียนพังลงก็ไม่มีทางที่จะฟื้นฟูมันกลับมาได้ นั่นก็หมายถึงจุดจบของการฝึกวิชา
“จากที่เหมยเจียงโหวบอกมา ที่ศิษย์พี่เฉียนหยูใช้วิชาต้องห้ามอย่างบ้าคลั่งนั้นก็เพราะเหล่าเทพอสูรคนอื่นๆต่างป้องกันราชาอสูรตนอื่นๆออกไป เขาสังหารราชาอสูรไปได้ถึง 62 ตัว ส่วนเทพอสูรคนอื่นๆรวมกันแล้วสังหารไปได้กว่าร้อยตัว แต่ว่าในการต่อสู้ครั้งนั้นมีราชาอสูรราวๆ 300 ตัว บางตัวเป็นถึงราชาอสูรหัวกะทิระดับสามเลยด้วยซ้ำ พวกเขายื้อด่านหุยชายเอาไว้ไม่ได้แม้จะใช้ทุกอย่างที่มีแล้วก็ตาม” หลิวชีเยว่กล่าว “กว่าเหมยเจียงโหวจะไปถึงก็สายไปแล้ว ราชาอสูรที่ทรงพลังหลายตนได้บุกเข้ามาในโลกมนุษย์แล้ว ราชาอสูรตัวอื่นๆหยุดไล่ตามศิษย์พี่เฉียนหยูและหนีกลับไปที่โลกของมัน ส่วนเหมยเจียงโหวนั้นก็สังหารราชาอสูรไปได้เพียงยี่สิบกว่าตนเท่านั้น
เมิ่งชวนรู้ว่าทุกครั้งที่เมืองด่านถูกตีแตกนั้น เหล่าราชาอสูรจะกลับไปยังโลกของมัน ส่วนพวกตัวอื่นๆจะถูกสั่งให้แทรกซึมอยู่ในโลกมนุษย์
“เพราะเป็นเพียงคนเดียวที่เหลือรอด ศิษย์พี่เฉียนหยูสติเริ่มไม่ค่อยอยู่กับตัวจะพูดคุยกับเขา ยังไงก็เปล่าประโยชน์” หลิวชีเยวส่ายหัว “เส้นทางการฝึกวิชาของเขาจบสิ้น สหายร่วมรบก็ต่างตายในสนามรบ เหลือเพียงแค่เขาคนเดียวที่เหลือรอด มันทําร้ายเขาอย่างหนักสาหัสเลยล่ะ”
เมิ่งชวนพยักหน้าเบาๆ
วันที่ 28 กันยายน
หากเทพอสูรของเขาหยวนชูตายในสนามรบ พวกเขาจะถูกสลักชื่อลงบนผาแดงโลหิตในวันที่ 28 ของเดือนที่ตาย
ในวันนี้ ลมหนาวของฤดูใบไม้ร่วงพัดโบกพร้อมกับสายฝนที่โปรยปราย
เมิงชวน หลิวชีเยว่ เหยียนจิน หลี่อิง และเทพอสูรที่เหลือไปถึงผาแดงโลหิต พวกเขาเดินเข้าไปในถ้ำที่มีอัญมณีประดับอยู่ในกําแพง แสงสว่างอ่อนๆคอยส่องชื่อที่อยู่บนกําแพงหินเหล่านั้น
ชื่อเหล่านั้นต่างถูกสลักไว้อย่างประณีท มีชื่อสลักอยู่ทั่วบนกําแพงหิน
เทพอสูรทุกคนเดินเข้าไป ทุกๆคนนั้นดูเงียบและเคร่งขรึม พวกเขาเหล่านี้คือเทพอสูรของเขา หยวนชูที่ตายในการต่อสู้ พวกเขานั้นเป็นผู้กล้าของมนุษย์ชาติ
“ในคราวนี้ เทพอสูร 26 คนที่ตายไปในด่านหุยชาน มีเก้าคนที่เป็นศิษย์ของเขาหยวนชู” หลิวชีเยว่กล่าวผ่านกระแสเสียง
เมิ่งชวนพยักหน้าเล็กน้อยแล้วเดินตามคนอื่นๆไป
เมืองด่านขนาดกลางนั้นตกอยู่ภายใต้แรงกดดันมหาศาลตลอดเวลา ดังนั้นอัตราส่วนของศิษย์จากเขาหยวนชูจะเยอะกว่า มันไม่มีทางเลือกอื่น หากพวกเขาส่งเทพอสูรที่อ่อนแอไปที่นั่นก็เหมือนกับส่งพวกเขาไปตาย
ข้างหน้าพวกเขานั้น เจ้าเขาหยวนชูถือมีดแกะสลักไว้ในมือ เขาสลักชื่อทุกชื่อด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเขาหยวนชู ถ้ำสวรรค์ทรายดํา หรือเกาะสองโลก เหล่าผู้นํานิกายก็จะสลักชื่อของเหล่าศิษย์ที่ตายไปด้วยตัวเอง
ในครั้งนี้มีทั้งหมดเก้าชื่อ ในตอนที่เจ้าเขาหยวนชูสลักชื่อลงบนกําแพงหิน มันดูราวกับว่าเขาสลักชื่อเหล่านั้นลงบนหัวใจของเขาเอง ดวงตาของเขาดูแดงเรื่อๆ
เขาสามารถสลักชื่อทุกชื่อลงตรงกับภาพได้ นั่นก็เป็นเพราะเขานั้นเป็นคนที่ส่งศิษย์ทุกคนลงจากเขาไปด้วยตัวเอง ศิษย์บางคนก็มีความสามารถมากและมีโอกาสจะได้เป็นเฟิงโหวบางคนก็ยังเยาว์
และยังมีเทพอสูรคู่หนึ่งที่ได้เป็นสามีภรรยากัน
ศิษย์คนอื่นๆเฝ้าดูอย่างเงียบงันในขณะที่เจ้าเขาหยวนสลักชื่อเหล่านั้นลงไป
” หลับให้สบายเถอะ” หลังจากสลักชื่อเสร็จ เจ้าเขาหยวนชูก็จากไปอย่างเงียบๆ
เมิ่งชวนและคนอื่นๆยืนอยู่ตรงนั้นนานกว่าจะกลับออกไปทีละคน
เมื่อพวกเขาเดินออกมาจากถ้ำ เมิ่งชวนและคนอื่นๆก็พบกับชายร่างเปียกโชกเดินฝ่าฝนมา เขาถือขวดเหล้าและเดินมาเงียบๆ
“นั่นศิษย์พี่เฉียนหยู” เมิ่งชวนและคนอื่นๆจําเขาได้ สําหรับเทพอสูรแล้ว พวกเขาสามารถกันฝนได้อย่างง่ายดาย แม้ว่าพลังปราณจะหายไปจนหมดแล้ว แต่เขาก็สามารถใช้พลังของฟ้าดินเพื่อกันฝนไม่ให้โดนร่างได้อยู่ดี แต่ว่าเฉียนหยูก็ปล่อยให้ฝนชะโลมทั่วร่างของเขาจนเปียก
เมิ่งชวนยังจําได้อย่างชัดเจน ในตอนนั้นที่ศิษย์พี่เฉียนหยูได้ยั่วโมโหเขาที่หน้าถ้ำของหลิวชีเยว่! ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของตระกูลเทพอสูรโบราณ เขานั้นมีบรรยากาศที่ดูเป็นผู้ดี
ตอนที่เต๋าเจี่ยวหลิง ศิษย์พี่เฉียนหยูขอโทษเขาอย่างตรงไปตรงมา!
หลังจากที่ลงจากเขาไป ในใจของศิษย์พี่เฉียนหยูก็เต็มไปด้วยจิตใจที่พร้อมจะสู้ เขาอยากจะทําประโยชน์! ในตอนที่เขาทิ้งภาพไวที่เขาแดงโลหิต มันเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่จะต่อสู้
แต่ในตอนนี้ที่เขากลับมา มันดูราวกับว่าดวงใจของเขาได้ตายไปแล้ว
“ศิษย์พี่เฉียน” มีคนตระโกนขึ้นมา
เฉียนหยูไม่สนใจเขา และเดินเข้าไปในถ้ำอย่างโซซัดโซเซ
“ไปกันเถอะ” ศิษย์คนอื่นๆได้แต่ถอนหายใจและเดินจากไป เมิ่งชวนและหลิวชีเยว่มองดูอยู่พักหนึ่งก่อนจะเดินจากไป
ลึกเข้าไปในถ้ำ
เฉียนหยูเดินเข้าไปที่กําแพงหินในส่วนที่ลึกที่สุดและนั่งลง เขาเอามือที่สั่นเทานั้นแตะทุกชื่อที่สลักเอาไว้
ชื่อทุกๆชื่อที่อยู่ตรงนั้นต่างเป็นเพื่อนที่ดีที่ผ่านความเป็นความตายมาพร้อมกับเขา
พวกเขาเสียสละชีวิตเพื่อตัวเขาในฐานะเพื่อน
ครั้งแรกที่เขาได้พบกับผู้บัญชาการของด่านหุยชาน จางลี่ เขาหัวเราะเสียงดังและพูดออกมา “น้องเฉียนไม่ต้องเป็นห่วงไป หากมีข้าจางลื่อยู่ ข้าจะไม่ปล่อยให้ราชาอสูรแตะเจ้าได้แม้แต่น้อย ที่เจ้าต้องทําก็มีแค่ยิงลูกดอกของเจ้าแล้วสังหารราชาอสูรพวกนั้น ยิ่งสังหารได้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี”
ร่างยักษ์ของจางลี่พร้อมกับโล่ขนาดใหญ่โผล่ขึ้นมาตรงหน้าเขา “หนีเร็ว! พวกข้าทนต่อไปไม่ได้นานแล้ว! จงมีชีวิตอยู่! จงรอดไปให้ได้! ถือเสียว่าทําเพื่อข้า!”
“ฮ่าๆๆ การที่ข้าได้เป็นพี่น้องกับพวกเจ้า เพียงเท่านี้ก็เกิดมาไม่เสียชาติเกิดแล้ว ตายๆๆ!” เฉียนหยูไม่ลังเลที่จะใช้วิชาต้องห้าม เขาหลบและยิงลูกดอกออกไปอย่างบ้าคลั่ง เทพอสูรนักเกาทัณฑ์อัจฉริยะจากเขาหยวนชู ไม่รีรอสังหารราชาอสูรอย่างต่อเนื่องในขณะที่สหายของเขาค่อยๆตกตายไปทีละคน
“พี่หยางของเจ้ากับข้าตัดสินใจว่าอีกสองปีหลังจากออกจากด่านหุยชานไปจะมีลูกกัน จะให้พวกเรามีลูกกันที่นี่มันก็ไม่ค่อยจะเหมาะมากเท่าไหร่นัก” ศิษย์พี่หยูเคยนั่งดื่มพูดคุยกับเขาที่บนกําแพง ดวงตาของพี่หยูเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นเฝ้ารอวันที่จะได้อุ้มลูกพร้อมกับภรรยาของเขา
“น้องเฉียน เจ้ายังเด็ก เจ้าเป็นเทพอสูรมหาสุริยันได้อย่างรวดเร็ว ในอนาคตเจ้าคงจะได้เป็นเฟิงโหว อย่าทําให้พวกเราผิดหวังล่ะ” นายพลผมขาวแห่งด่านหุยชาน หวงหยู กล่าว
คนเหล่านี้คือคนที่เขาสนิท สหายร่วมรบที่เสี่ยงชีวิตไปพร้อมกับเขา
เฉียนหยูลูบชื่อเหล่านี้ไปมา และน้ำตาก็ไหลลงมาอาบแก้มอย่างเงียบงัน
“พวกเจ้าทุกคนไปกันก่อนเสียแล้ว และตอนนี้ก็เหลือข้าเพียงคนเดียว” เฉียนหยูพูดออกมาด้วยเสียงที่แหบแห้ง “ข้าคิดถึงพวกเจ้า คิดถึงพวกเจ้าทุกคน มันจะดีแค่ไหนกันหากพวกเจ้ายังมีชีวิตอยู่ มันจะดีแค่ไหนกัน!”
“ฮะๆ ฮ่าๆ ฮ่าๆๆๆๆ” เฉียนหยูหัวเราะพร้อมกับร้องไห้ราวกับคนบ้า
ตอนที่ 123 สามเดือน
แม้จะเป็นฤดูร้อน แต่อุณหภูมิในลานฝึกของถ้ำก็ค่อนข้างต่ำ
เมิ่งชวนยืนอยู่เฉยๆ และจู่ๆเขาก็ชักกระบี่ออกมา ลําแสงกระบี่เปลี่ยนเป็นสายฟ้า
เมิ่งชวนส่ายหน้าเล็กน้อยกับการโจมตีครั้งนี้ “การโจมตีครั้งที่สองของศิษย์พี่เกาเค่อสามารถควบแน่นสายฟ้าได้ถึงขีดสุด สายฟ้าที่สามารถตัดผ่าอากาศก่อให้เกิดช่องว่างที่บิดเบี้ยว ขนาดระยะทางที่ไกลกว่าสิบยั้งยังลดลงมาเหลือเพียงไม่ถึงหนึ่งจั้งเลย ด้วยความที่สามารถเปลี่ยนระยะทางได้ขนาดนั้น การโจมตีมันจะไปถึงเป้าหมายได้ไวขึ้นหลายสิบเท่าเลย ยิ่งไปกว่านั้นเส้นทางของการโจมตีนั้นยากที่จะจับจุด การโจมตีของเขานั้นน่าสะพรึงมากกว่าของข้ามากนัก
“ข้ากลัวว่าข้าคงจะตายจากการโจมตีของศิษย์พี่เกาเค่อ”
ศิษย์พี่เกาเค่อได้ใช้ท่าดวงใจกระบี่ที่แตกต่างกันห้าแบบ แบบแรกนั้นเรียบง่ายมากที่สุด ในตอนนั้นเพียงแค่ได้มองเขาก็เข้าใจถึงเก้าส่วน หลังจากพิจารณาอยู่พักหนึ่งเขาก็เข้าใจจนหมดแบบที่สามนั้นเหนือกว่าระดับของเขาไปแล้ว เขาไม่เข้าใจมันเลยซักนิด! แบบที่สี่และห้านั้นก็เหนือกว่ามากเกินไป
มีเพียงท่าที่สองของดวงใจกระบี่ที่เขาสามารถจะทดลองศึกษาดูได้
“ต้องยั้งมือมากกว่านี้ตอนโจมตีรึ?” เมิ่งชวนครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะแกว่งดาบออกไป ขอบเขตสิบจั้งของเขาทําให้เขาสามารถเห็นวิชากระบี่ของตนได้อย่างชัดเจน เขาส่ายหัวด้วยความไม่พอใจและฝึกฝนต่อไป
เขาหมกมุ่นอยู่กับการฝึกฝนจนลืมวันและเวลา เขาฝึกฝนต่อไปโดยไม่มีสิ่งรบกวนใดๆ
ในอดีตเขาได้แต่ใช้เพียงตัวอักษรและภาพในการฝึกฝนดวงใจกระบี่ แต่ในตอนนี้มรดกทั้งหมดถูกฝังลงเข้าไปในใจของเขาแล้ว เขามีหลายสิ่งที่อยากลอง
บางคนล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า บางคนก็สําเร็จหลังจากที่ได้ทําซ้ำๆหลายๆรอบ
ทุกๆครั้งที่เขาทําสําเร็จ วิชาดาบที่พัฒนาขึ้นของเขาก็ทําให้เขาเปี่ยมไปด้วยความสุข เขาสามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าวิชากระบี่ของเขานั้นแข็งแกร่งขึ้นและมีความรู้มากขึ้น ความรู้สึกนี้ทําให้เขามีกําลังใจ
วันเวลาผ่านไป…
ตอนนี้ในใจของเมิ่งชวนมีแต่วิชากระบี่ เขาคิดถึงวิชากระบี่ตอนกินข้าว ตอนถูกหลิวชีเยว่บังคับให้อาบน้ำเขาก็ยังคงคิดถึงวิชากระบี่ เขาคิดถึงวิชากระบี่กระทั่งตอนก่อนนอน
กระทั่งการวาดรูปประจําวันเขายังลืมเลย! เขาลืมฝึกฝนปราณทุกวันอีกต่างหาก! ทุกอย่างนั้นถูกโยนทิ้งออกจากใจของเขาหมด…
หากไม่กินหรือนอนเขาก็จะฝึกกระบี่
“ปกติอาชวนจะพูดคุยกับข้าระหว่างกินข้าวเย็น แต่ช่วงนี้ระหว่างกินข้าวเขาพูดน้อยมาก” หลิวชีเยว่เห็นเมิ่งชวนรีบไปที่ลานฝึกเพียงคนเดียวหลังจากกินอาหารเสร็จ เธอได้แต่ยิ้มออกมา ช่วงนี้เธอไม่ได้เห็นเมิ่งชวนหมกมุ่นมากขนาดนี้ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังรู้สึกมีความสุข เธอรู้ว่านี่เป็นเวลาสําหรับเยิ่งชวนที่จะพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เขาจะถูกขัดไม่ได้
” ท่านหญิงหลิวชีเยว่ มีคนอยากพบท่านขอรับ” พ่อบ้านหลิวกล่าวด้วยท่าทางนอบน้อม
“เอ๋?” หลิวชีเยวไปที่หน้าถ้ำและพบกับชายมนุษย์วัยกลางคน เขาพูดอย่างนอบน้อม “ท่านหญิงหลิวชีเยว่ ข้ามาที่นี่เพื่อเชิญให้ท่านไปที่ผาแดงโลหิตในช่วงบ่ายวันพรุ่งนี้ นามของเทพอสูรฉางหยงจะถูกจารึก”
” ศิษย์พี่ฉางหยงตายแล้วรึ?” หลิวชีเยว่ประหลาดใจเล็กน้อย
การจารึกชื่อลงบนผาแดงโลหิตนั้นหมายถึงความตายของเทพอสูร ชื่อจะถูกสลักไว้เพื่อเหล่าศิษย์จะได้ไว้อาลัย
ในวันที่ 28 ของทุกๆเดือน เทพอสูรของเขาหยวนชูที่ตายในการต่อสู้ในเดือนนั้นจะถูกสลักชื่อลงบนผาแดงโลหิต
” เดือนนี้ไม่มีชื่อของเทพอสูรคนอื่นถูกสลักบนผาแดงโลหิตใช่ไหม?” หลิวชีเยว่ถามอีกครั้ง
“ขอรับ มีเพียงเทพอสูรฉางหยง” เมื่อพูดจบ ชายวัยกลางคนก็จากไปอย่างสุภาพ
“ศิษย์พี่ฉางหยง… หลิวเยว่ขมวดคิ้วเล็กน้อย” เธอรู้จักชื่อของศิษย์บนเขาหยวนชูทุกคนในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ ศิษย์พี่ฉางหยงเป็นเทพอสูรระดับมหาสุริยัน ปีนี้เขาอายุ 152 ปีแล้ว การที่เขาตายในการต่อสู้ตอนอายุเท่านี้ ก็เรียกได้ว่าเขามีชีวิตอยู่มาได้นานเมื่อเทียบกับเทพอสูรคนอื่นๆ
หลิวชีเยว่รู้สึกแย่ทุกครั้งที่ต้องดูการสลักชื่อของศิษย์ที่ต้องตายในสนามรบ แต่ว่าหลังจากผ่านมาหลายปีเธอก็เริ่มชิน
ทุกๆปีมีเทพอสูรที่ตกตายไปในสนามรบ มีตั้งแต่นิดหน่อยไปจนถึงสามสิบคน เธอเข้าร่วมวันสลักชื่อมาหลายวันแล้ว ดังนั้นเธอจึงสามารถรับได้อย่างใจเย็น
“อาชวนกําลังฝึกฝนวิชากระบี่อย่างบ้าคลั่ง และเขาก็บอกว่าเขาจะถูกรบกวนไม่ได้” หลิวชีเยว่มองไปที่ห้องฝึกที่อยู่ไกลๆ เมื่อมองเข้าไปเธอก็เห็นเมิ่งชวนกําลังนั่งอยู่ขึ้นๆ “ข้าจะบอกเขาไม่ได้”
ไม่ไปเข้าร่วมการสลักชื่อที่ผาแดงโลหิตสักครั้งสองครั้งก็ไม่ใช่ปัญหาสําหรับมนุษย์ชาติ แต่การหยุดการฝึกฝนที่บ้าคลั่งของเมิ่งชวนจะทําให้เขาฝึกได้ช้าลงอย่างมาก ดังนั้นปรมาจารย์จึงสั่งไว้ว่าไม่จําเป็นต้องไปเข้าร่วมสิ่งใดๆ
เมิ่งชวนนั่งนิ่งอยู่ในลานฝึก แต่ในใจของเขานั้นคิดอยู่ตลอดเวลา แม้จะดูราวกับว่าเขากําลังสับสนก็ตาม เมื่อผ่านไปสิบนาทีเขาก็ยืนขึ้น หลังจากใช้วิชากระบี่ไปครั้งสองครั้งเขาก็นั่งลงและครุ่นคิดต่อไป
เขาฝึกกระบี่จิตพิสุทธิ์มาเกือบสิบเอ็ดปีแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับมรดกผ่านเจตจํานง มีอะไรหลายๆอย่างที่ยังต้องยืนยัน
วันเวลาผ่านไป และเขาก็เข้าใจมันได้มากขึ้น! วิชากระบี่ของเขาเองก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
23 กรกฎาคม
เมิ่งชวนชักระบี่ออกมา ลําแสงกระบี่เปลี่ยนเป็นสายฟ้าที่สว่างจ้า ในตอนนั้นเอง ลําแสงกระบี่ที่ถูกรั้งเอาไว้ก็ทําให้สายฟ้านั้นสว่างยิ่งกว่าเดิม เมิ่งชวนสัมผัสได้ถึงความผันผวนจากช่องว่างเล็กน้อยผ่านกระบีของเขา เขาตามความผันผวนที่อยู่ใกล้กับเป้าหมายของเขามากที่สุดไปและโจมตี ทําให้ลําแสงกระบี่นั้นเคลื่อนที่ไปหลายจั้งในพริบตา
แม้ว่าจะอยู่ห่างออกไปหลายจั้ง แต่ว่าระยะทางระหว่างเขาและเป้าหมายนั้นดูจะสั้นลงอย่างมากเพราะความผันผวนในช่องว่าง
“ช่างมหัศจรรย์” เมิ่งชวนมีความสุขอย่างท่วมท้นหลังจากฟันออกไป
มันเป็นสิ่งที่น่ามหัศจรรย์จริงๆ มันเป็นการมุ่งจากจุดหนึ่งไปจุดหนึ่ง หากเดินอ้อม การเดินทางจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งก็อาจจะใช้ระยะทางถึงสิบลี้! แต่หากเดินทางเป็นเส้นตรง ก็อาจจะต้องเดินทางเพียงสองเท่านั้น! แม้ผลจะเหมือนกัน แต่ระยะเวลาที่จะไปถึงผลลัพท์นั้นต่างกัน
เช่นเดียวกันกับการฟันของเมิ่งชวน เมื่อมองด้วยตาเปล่า เป้าหมายนั้นดูจะอยู่ไกลสามสี่จั้ง แต่ว่าเมื่อเขาโจมตีผ่านความผันผวนแปลกๆของช่องว่างมิติ ระยะทางระหว่างเขาและเป้าหมายก็ลดลงเหลือเพียงหนึ่งจั้งเท่านั้น
ยิ่งพลังที่เขาใส่ลงไปมากเท่าไหร่ สายฟ้าก็จะทรงพลังมากขึ้นเท่านั้น มันสามารถส่งผลต่อช่องว่างมิติได้เลยด้วยซ้ำ สําหรับเทพอสูรธรรมดาแล้ว มิตินั้นเป็นสิ่งที่เสถียร แต่เมื่อเขาควบแน่นพลังไปถึงจุดๆหนึ่ง ช่องว่างมิติก็จะบิดเบี้ยว ระยะทางระหว่างเขาและเป้าหมายก็จะเปลี่ยนแปลงไปและหากตามความผันผวนที่อยู่ใกล้ที่สุดไป เขาก็จะอยู่ใกล้กับเป้าหมายมากขึ้น
เกาเค่อสามารถย้ายการโจมตีของเขาที่อยู่ไกลหลายสิบปิ้งให้มาอยู่เพียงปลายนิ้วของเขาได้การควบคุมพลังในการโจมตี การควบคุมความแข็งแกร่ง และการควบคุมพลังปราณของเขานั้นดีกว่าเมิ่งชวนหลายสิบเท่า
ตอนนี้เมิ่งชวนพึ่งจะเรียนรู้กระบี่จิตพิสุทธิ์ได้เพียงผิวเผินเท่านั้น
“เพราะว่าข้าสามารถทําให้ช่องว่างมิติเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ ก็เรียกได้ว่าเกิดการเปลี่ยนแปลง จากตําราที่อ่านมา ข้าได้รับจิตวิญญาณกระบีขั้นสูงมาแล้ว” เมิงชวนพยักหน้าเล็กน้อย
เมิ่งชวนไม่ได้คิดมากในความสําเร็จของเขา กลับกัน เขาเริ่มฝึกฝนต่ออย่างต่อเนื่องเพราะยังมีอีกหลายอย่างที่เขาอยากลอง เขายังไม่อยากเสียสมาธิเพียงเพราะท่าดวงใจกระบี่ เขายังทดลองเข้ากับท่านางแอ่น ท่ามังกรคําราม ท่าสมิงคํารน ท่าบัวแดง และท่ามหาหยินอีกด้วย เขายังมีอีกหลายความคิดที่ต้องทดลอง
ในชั่วพริบตา ก็ผ่านพ้นไปถึงช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงแล้ว
เมิ่งชวนกลับเป็นเหมือนเดิมในวันที่ 19 กันยายน
เขาได้ทดสอบความคิดทุกอย่างที่มีในช่วงสามเดือนที่ผ่านมาจนหมด บางความคิดก็ไปผิดทาง ในขณะที่บางอย่างก็มีประโยชน์มหาศาล เขาค่อนข้างจะพึงพอใจในการเข้าถึงจิตวิญญาณกระบี่ระดับสูง มันไม่ง่ายเลยที่จะไปถึงจุดสูงสุดของจิตวิญญาณกระบี่ แน่นอนว่ามันยากยิ่งกว่าในการจะผ่านจากจุดสูงสุดของวิญญาณกระบี่ขึ้นไปเป็นระดับเด็กระบี่ เทพอสูรระดับมหาสุริยันมากมายทําไม่ได้ไปชั่วชีวิต
“วิเศษ” เมิ่งชวนยืดเส้นอยู่ที่ลานฝึก “ได้เวลาที่ข้าจะขึ้นเป็นเทพอสูรระดับมหาสุริยันแล้ว หลังจากข้าผ่านถ้ำเก้าปริศนาได้ ข้าจะได้ลงจากเขา”
ตอนที่ 122 ความลับของหลิวชีเยว่
เพิ่งชวนถือโลหะทมิฬอย่างระมัดระวังด้วยมือทั้งสองข้างและสํารวจมันอย่างละเอียด เขา ถูกมันดึงดูดอย่างช่วยไม่ได้เขาอดใจไว้ไม่ไหวและสติของเขาก็ถูกดึงเข้าไปในโลหะทมิฬ
ซูม!
เพิ่งชวนเห็นหญิงสาวในชุดหลวมๆยืนอยู่กลางพื้นที่อันกว้างใหญ่ เธอยืนเอามือไพล่หลังราวกับว่ากําลังชมทิวทัศน์อันสวยงามนั้นอยู่
จากนั้นเธอก็เริ่มใช้วิชาฝ่ามือ ใช้ฝ่ามือของเธอเป็นเหมือนกระบี่ เพียงการโบกมือธรรมดาๆก็ทํามีพลังแปลกประหลาดที่ทําให้เพิ่งชวนต้องตกตะลึง! ฝ่ามือเฉือนช่องว่างขึ้นมา! ราวกับมิตินี้เป็นเพียงแค่เศษผ้า ฝ่ามือตัดผ่านมิติไปก่อให้เกิดรอยช่องว่างยาวขึ้นมา เมื่อเธอยืนขึ้นมา หลุมมิติเหล่านั้นก็บิดเบี้ยวและหายไป และเธอก็ปรากฏขึ้นมาบนเมฆสูงกว่าพื้นกว่าพันจิ้งและใช้วิชาฝ่ามือกระแทกออกมา! ทะเลเมฆขนาดยักษ์แยกออกราวกับเป็นเหวลึกกว้างกว่าหมื่นจิ้ง
เธอใช้ทักษะการเคลื่อนไหนแน่ๆ ไม่สามารถมองเห็นได้เลยว่าเคลื่อนที่ไปทางไหนบ้างเธออยู่ทุกที่
มีทั้งหมด 108 กระบวนท่า
ท่าสุดท้ายนั้นก่อให้เกิดร่างหญิงสาวขึ้นมาแปดสิบเอ็ดร่าง พวกเธอใช้วิชากระบี่พร้อมๆกันทําให้พื้นที่เป็นวงกลมกว้างกว่าร้อยลี้เปลี่ยนกลายเป็นสีดําสนิท
วิชาเหล่านี้ถูกสลักลงไปในจิตใจของเมิ่งชวน นี่คือวิชากระบี่มังกรพเนจรที่แข็งแกร่งที่สุดเช่นเดียวกับความลึกซึ้งมากมายที่วิชากระบี่นี้มี
ฟูววว!
เพิ่งชวนกลับออกมาจากดินแดนอันกว้างใหญ่ เขาพบว่าตนกําลังถือโลหะทมิฬอยู่ด้วยความรู้สึกตกตะลึง
นั่นคือกระบี่มังกรพเนจรสินะ มันแข็งแกร่งจนน่าสะพรึงจริงๆ เมิ่งชวนตกใจ สมแล้วที่เป็นหนึ่งในวิชาที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ มันเทียบได้กับกระบี่จิตพิสุทธิ์และกระบี่ตัดอัสนี้เลย!และนั่นยังไม่หมดเพียงเท่านั้น ปกติแล้ววิชากระบี่นี้จะใช้กับกระบี่ไม้หลิว แต่ผู้ที่สร้างวิชากระบี่นี้กลับแสดงวิชากระบี่เหล่านั้นด้วยฝ่ามือของเธอ
เธอทําให้ทั้ง 108 ท่านั้นไปถึงจุดขีดสุด
ในแง่ของความแข็งแกร่ง กระบี่มังกรพเนจรนั้นอ่อนแอที่สุดในวิชากระบีไวทั้งสาม แต่เพียงแค่นั้นก็สามารถฟันผ่านช่องว่างไปได้ในการโจมตีเพียงครั้งเดียวแล้ว
แต่ว่าในแง่ของทักษะการเคลื่อนไหว มันคืออันดับหนึ่ง เมื่อผู้ฝึกไปถึงระดับสรรค์สร้างแล้วพวกเขาจะสามารถเคลื่อนที่ได้ไกลกว่าหนึ่งในเวลาเพียงพริบตา แต่สิ่งที่น่าสะพรึงยิ่งกว่าคือการที่สามารถสร้างร่างปลอมขึ้นมา 81 ร่างภายในระยะทางร้อยล์จากร่างหลักได้ แต่ละร่างเหล่านั้นเทียบได้กับร่างจริงเลยด้วย!
ในตอนนี้คนๆนั้นคงจะเป็นอมตะไปแล้ว ขนาดแม้ว่าศัตรูสามารถโจมตีกวาดเป็นระยะทางกว่าร้อยลี้ได้ในที่เดียว แต่พลังของมันก็จะอ่อนเกินไป ไม่เป็นอันตรายต่อผู้สร้างวิชากระบี่มังกรพเนจรเลยแม้แต่น้อย
“อันที่จริงแล้ววิชากระบี่นี้คือวิชาการเคลื่อนไหวหลายๆท่า วิชากระบี่นั้นก็เป็นเพียงอีกหนึ่งรูปแบบของวิชาการเคลื่อนไหวที่ใช้ต่อๆกัน” ปรมาจารย์วางพู่กันลงและมองดูพัด เขายิ้มและกล่าว “ในช่วงแรกของการฝึก ผู้ฝึกจะสามารถเปลี่ยนเป็นมังกรพเนจรเพื่อท่องโลกได้ก่อนที่จะได้เป็นราชันเทพอสูรจะมีวิชาบางชนิดที่สามารถทําให้บินขึ้นไปบนท้องฟ้าหรือแหวกว่ายอยู่ใต้ดินได้ แต่ส่วนมากก็มักจะมีข้อบกพร่อง แต่ว่าวิชานี้นั้นไม่มี ข้าวมังกรพเนจรเหยอหงนั้นน่าประทับใจมากจริงๆ ในแง่ของวิชาการเคลื่อนไหวแล้ว เธอคือคนที่เร็วที่สุดในประ วัติศาสตร์มนุษย์”
เพิ่งชวนพยักหน้า
เหยอหงคือผู้สร้างวิชากระบี่มังกรพเนจร
เพิ่งชวนวางโลหะทมิฬไว้บนโต๊ะหิน สมบัติเหล่านี้เป็นของเขาหยวนซู เมิ่งชวนไม่ได้รับอนุญาติให้น้ํามันออกไป เขาได้รับอนุญาติให้รับมรดกตอนอยู่ตรงนั้นเพียงเท่านั้น
นี่คือกระบี่จิตพิสุทธิ์ เมิ่งชวนหยิบโลหะทมิฬที่เหลือ เขารู้สึกกระตือรือร้นมากกว่าเก่า
สติของเขาดิ่งลงไปในโลหะทมิฬ
ฟูม
ชายชราคนหนึ่งถือมีดตัดไม้ธรรมดาและใช้ท่าแรกออกมา
เพิ่งชวนจําท่าที่เป็นแก่นกลางของอีกหลายๆท่าของกระบีจิตพิสุทธิ์ได้ในทันที ท่าดวงใจกระบี่หลังจากฟันออกไปก็มีแสงสว่างวาบออกมาก่อนที่เขาจะเก็บกระบี่กลับไป
ตามมาด้วยการฟันครั้งที่สอง หลังจากท่าแรกนั้น เพิ่งชวนก็เต็มไปด้วยความสะพรึง เขาสามารถเข้าใจในท่าแรกได้เก้าส่วน แต่ท่าที่สองนั่นซับซ้อนกว่ามาก หลังจากฟันมีดตัดไม้ไปมันก็เปลี่ยนกลายเป็นเส้นสายฟ้าที่รุนแรง! เสียงระเบิดดังลั่นมาจากหินผาไกลหลายสิบจิ้งจากตรงนั้น แต่ว่าจริงๆแล้วมันเกิดมาจากแรงกระบี่
ชายชราไม่ได้เคลื่อนไหวแม้แต่น้อย เขาไม่ได้ยื่นแขนออกมาด้วยซ้ํา การแกว่งมีดตัดไม้ของเขานั้นไม่ก่อให้เกิดลําแสงกระบี่แม้แต่น้อย แต่ว่ามันก็ยังสามารถฟันใส่สิ่งที่อยู่ไกลหลายสิบปิ้งได้ )
“อากาศบิดเบี้ยวอย่างนั้นรึ? เพราะอย่างนั้นเลยทําให้เกิดระเบิดขึ้นรึ? เห็นได้ชัดว่ามันอยู่ไกลกว่าสิบปิ้ง แต่มันยังฝันถึงอีกรึ?” เมิ่งชวนตกใจ
ชายชราฟันออกไปครั้งที่สาม ลําแสงกระบี่เปลี่ยนเป็นสายฟ้าสว่างจ้า สว่างยิ่งกว่าดวงอาทิตย์เป็นพันเท่า จากนั้นเขาก็เก็บกระบี่กลับไป
“นะ นี่มัน…” เมิ่งชวนตามไม่ทัน ความรุนแรงของกระบี่นั้นน่าสะพรึงมาก เขารู้สึ กว่ามันทรงพลังมากกว่าท่าที่สองมากนัก แต่เขาไม่รู้ว่ามันทรงพลังมากเพียงไหน ระดับ การฝึกฝนของเขาในตอนนี้ก็ยังไม่เพียงพอในการเข้าใจ
ชายชราฟันออกไปเป็นครั้งที่สี่ ภาพลวงของกระบี่ปรากฏขึ้นไกลหลายสิบลี้ กระบี่นั้นเปิดผ่าอากาศเป็นหลุมขนาดยักษ์ ชายชราใช้วิชากระบี่ออกมาแน่ๆ แต่ว่าหลุมมิติขนา ดยักษ์นั่นกลับเปิดออกไกลเป็นหลายสิบลี้
ชายชราเก็บกระบี่
ครั้งนี้เขาตั้งสมาธิอยู่พักหนึ่ง ดูจริงจังมาก
ฉับ!
เกิดเหวลึกกว้างหลายสิบลี้ขึ้นจากไกลๆ
เกิดอะไรขึ้นกัน? เมิ่งชวนตกใจมาก เขารู้สึกได้ถึงการฟันลงพื้นด้วยพลังที่น่าสะพ ร็งจนเกิดเป็นเหวลึกกว้าง แต่ว่าชายชราไม่ได้ขยับตัวเลยแม้แต่น้อย
จากนั้นชายชราก็ค่อยใช้ท่ากระบี่จิตพิสุทธิ์ท่าอื่น การเคลื่อนไหวของแต่ละท่านั้นถูกแสดงให้เห็นอย่างชัดเจน เมื่อเสร็จแล้วเขาถึงยิ้มและมองไปที่เพิ่งชวน ข้อมูลจํานวนมหาศาลถาโถมเข้าใส่ สมองของเมิ่งชวน! สติของเขาสั่นสะท้านในขณะที่รับมรดกของกระบี่จิตพิสุทธิ์เข้าไปจนหมด 6
เขาถือโลหะทมิฬด้วยมือทั้งสองข้าง และตกตะลึงในมรดกที่รับมา
รากฐานของกระบี่จิตพิสุทธิ์คือท่าดวงใจกระบี่ นั่นจึงเป็นเหตุว่าทําไมผู้สร้างถึงใช้ท่าดวงใจกระบี่ออกมาห้าครั้ง วิชานี้คือวิชาที่พื้นฐานมากที่สุดแต่ก็ทรงพลังมากที่สุดเช่นกันท่าที่ห้าของกระบวนท่าดวงใจกระบี่นั้นทรงพลังอย่างที่ตํานานได้กล่าวเอาไว้
“จากวิชากระบีไวทั้งสาม กระบี่ตัดอัสนีนั้นมีพลังในการทําลายล้างมากที่สุด การเคลื่อนที่ของกระบี่มังกรท่องโลกานั้นไร้เทียมทาน และกระบวนท่าทั้งสิบแปดของกระบี่จิตพิสุทธิ์จะเปลี่ยนวิชาดวงใจกระบี่ไปอย่างมหาศาล” เสียงของปรมาจารย์เต็มไปด้วยความชื่นชม“แม้ ว่าศิษย์พี่เกาเค่อจะไปไม่ถึงระดับสรรค์สร้างเพราะร่างกายของเขาแต่ในตอนนั้นเขาก็ไร้เทียมทาน ท่าสุดท้ายที่เขาสร้างขึ้นมานั้นเหนือกว่าเวลา แม้แต่เวลายังต้องหยุดนิ่งเพราะการฟาดฟันเขา ฟันออกไปโดยที่เจ้าไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ํา เพราะฉะนั้นแล้ว ข้าจึงประทับใจในตัวศิษย์พี่เกาเค่อมากที่สุดในหมู่ผู้สร้างวิชากระบีไวทั้งสาม”
“ในหมู่จอมยุทธระดับสรรค์สร้างหลายชั่วอายุคน ทุกๆคนต่างยอมรับว่ากระบวนท่าสุดท้ายของศิษย์พี่เก้าเค่อนันแข็งแกร่งที่สุดในหมู่วิชากระบีไวทั้งสาม
เพิ่งชวนเองก็ตกใจ
ท่าที่สี่ของศิษย์พี่เกาเค่อนั้นแข็งแกร่งเท่ากับท่าที่แรงที่สุดของกระบี่มังกรพเนจร ส่วนท่าที่ห้านั้นแข็งแกร่งกว่าโดยสิ้นเชิง! มันเป็นกระบี่ที่เหนือกว่าเวลา
อันที่จริงแล้วท่าที่สามที่เขาได้เห็นมานั้นก็สามารถทําให้กาลเวลาบิดเบี้ยวไปได้แล้ว ในตอนนั้นเพิ่งชวนไม่เข้าใจแม้แต่น้อย เขาพึ่งจะเข้าใจหลังจากที่ได้มรดกมาโดยสมบูรณ์ก็เท่านั้นท่าที่ห้านั้นน่าประหลาดใจเสียยิ่งกว่า
มันประณีตจริงๆ ข้าใช้เวลาเก้าปีในการเข้าถึงจิตวิญญาณกระบี่ แต่วิชากระบี่ของข้านั้นมันยังหยาบกว่านักเมื่อเทียบกับของศิษย์พี่เกาเค่อ ข้ามีจุดบกพร่องอยู่ทั่วทุกที่ แต่ว่าเพิ่งชวนก็ไม่ท้อถอยแม้แต่น้อย กลับกัน เขารู้สึกตื่นเต้นมากๆเสียมากกว่า คุณค่าของสิ่งใดๆสามารถตัดสินได้จากการเปรียบเทียบ และเพราะเขาฝึกฝนวิชากระบี่เดียวกันกับของเกาเค่อเขาจึงสามารถเปรียบเทียบกันได้
เขารู้ในทันทีว่ายังมีอีกหลายที่ที่เขาต้องพัฒนา! ความมุ่งมั่นก่อตัวในใจเขาในทันที เขารู้สึกได้ว่าวิชากระบี่ของเขานั้นต้องการการพัฒนาอย่างมหาศาล
“ศิษย์ทุกคนที่เรียนรู้โลหะทมิฬด้วยตัวเองจะเข้าใจในข้อบกพร่องของตนหลังจากรับมรดกผ่านเจตจํานงไปแล้วพวกเขาจะพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดดกลับไปเสีย เจ้าไม่ต้องสนใจสิ่งใดบนเขาหยวนชูตั้งใจฝึกวิชากระบี่จิตพิสุทธิ์เพียงเท่านั้นก็พอ” ปรมาจารย์สั่ง
“ขอรับ ถ้าเช่นนั้นแล้วศิษย์ขอลา” เมิ่งชวนวางโลหะทมิฬลงและอดใจไม่ไหวอีกแล้ว เขามีหลายความคิดที่อยากจะลอง
ปรมาจารย์พยักหน้าเล็กน้อย เขาเคยเจอเหตุการณ์คล้ายๆกันแบบนี้มามาก
เป็นเหมือนเดิมทุกครั้งที่ศิษย์ได้รับมรดกของโลหะทมิฬผ่านเจตจํานง ที่ต่างกันก็มีเพียงระยะเวลาในการควบแน่นแก่นสารแห่งจิตหลังจากที่ได้ขึ้นเป็นเทพอสูรระดับมหาสุริยัน
เมื่อเทียบกันแล้ว เพิ่งชวนนั้นได้รับมรดกค่อนข้างไว
เพิ่งชวนข้ามเขาอย่างรวดเร็ว เขามุ่งหน้ากลับไปยังถ้ําของเขา ในใจของเขาเต็มไปด้วยความคิดเกี่ยวกับกระบี่จิตพิสุทธิ์
ไม่นานเขาก็กลับไปถึงจิ้งหมิงเฟิง
“นายท่าน” พ่อบ้านหลิวกล่าวทักทายด้วยท่าทางนอบน้อม
เพิ่งชวนพยักหน้าและตรงไปยังห้องของหลิวขี่เยว่
ในห้องนั้น หลิวชีเยวในชุดสีแดงอ่อนนั่งขัดสมาธิอยู่ เปลวเพลิงรอบเธอลุกไหม้รอ บตัวเธอเปลี่ยนเป็นร่างวิหคเพลิงสยายปีกอยู่ด้านหลัง พลังที่หลิวชีเยว่ปล่อยออกมาพร้อมกับวิหคเพลิงที่สยายปีกนั้นน่าเกรงขามมาก อุณหภูมิมหาศาลทําให้รอบข้างบิดเบี้ยวไปเล็กน้อย แต่ว่าอุณหภูมิมหาศาลนั้นถูกกักเอาไว้ในระยะสามจังรอบๆตัวเธอโดยสิ้นเชิง
เห็นได้ชัดว่าพลังอันน่าสะพรึงของร่างวิหคเพลิงได้ถูกดึงออกมาโดยหลิวชีเยว่หลังจากฝึกฝนมาหลายปี
เทพอสูรวิหคเพลิงทุกคนนั้นต่างเป็นอัจฉริยะในวิถีเต๋าแห่งไฟ! พวกเขาไม่ต้องฝึกฝนโลหะท มิฬเพราะร่างเทวะที่ทรงพลังของพวกเขานั้นมี “เพลิง” อยู่ นี่เป็นความสามารถของพวกเขา ยิ่ง พวกเขาแข็งแกร่งขึ้นมาได้มากเท่าไหร่ ร่างเทวะของพวกเขาก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นมากเท่านั้น และพลังของวิหคเพลิงก็จะทรงพลังมากขึ้นเช่นกัน
ดังนั้นแล้วหลิวชีเยวจึงฝึกฝนมรดกเทพอสูรระดับสวรรค์แทน เธอได้รับมรดกนี้ผ่านเจตจํานงและมีเฟิงโหวเทียนซิงโหวคอยสั่งสอนเธอ เขาหยวนซูเองก็ให้เธอเข้าไปที่ทรงคุณค่าที่พวกเขาจัดไว้ให้ด้วย หลังจากผ่านไปสิบเอ็ดปี การฝึกฝนของหลิวชีเยว่ก็นําเพิ่งชวนและเชวเฟิงไปแล้ว! แน่นอนว่าหากเธอฝึกฝนโลหะทมิฬโดยไม่มีการชี้นําของเจตจํานงการฝึกฝนของเธอคงช้ากว่านี้มาก
แต่ว่ามันก็ไม่เหมาะสําหรับจอมยุทธร่างเทพวิหคเพลิง ตามบันทึกในประวัติศาสตร์แล้วนั้น ร่างเทพวิหคเพลิงส่วนมากสามารถฝึกฝนได้อย่างราบรื่น พวกเขาสามารถเข้าถึงเต๋แห่งไฟได้อย่างง่ายดาย แต่ถึงอย่างนั้น พวกเขาส่วนมากก็ไม่สามารถฝึกฝนได้ไกลเกินกว่าระดับเฟิงโหว! ในประวัติศาสตร์ มีเทพอสูรร่างวิหคเพลิงเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้เป็นราชันเทพอสูร ส่วนระดับสรรค์สร้า งน่ะเหรอ? ไม่มีเลยแม้แต่คนเดียว!
สายเลือดพิเศษนั้นทําให้มีประโยชน์หลายอย่าง แต่ว่ามันก็มีข้อจํากัดมากมายเช่นกัน
“โอ้?” หลิวซีเยวลืมตาขึ้น เปลวไฟกลับเข้าไปในร่างกายของเธอ วิหคเพลิงที่ปรากฏออกมาก็หายไปเช่นกัน
“อาชวน” เมื่อหลิวชีเยว่เห็นเพิ่งชวนเดินเข้ามา เธอก็รู้สึกมีความสุข “เจ้าดูตื่นเต้นมากเลยเจ้าไปหาท่านอาจารย์และรับมรดกมาอย่างนั้นหรือ?”
“ใช่แล้ว” เมิ่งชวนพยักหน้า “หลังจากที่ข้าได้รับมรดกมา ข้าก็เข้าใจได้ในทันทีว่าข้าอยู่ห่างไกลจากศิษย์พี่เกาเค่อมากนัก วิชากระบี่ของข้ายังมีที่ว่างให้พัฒนาอีกมาก ข้าต้องฝึกฝนแล้ว!นับจากนี้เป็นต้นไป ตราบใดที่ฟ้ายังไม่ถล่มเจ้าช่วยข้าปฏิเสธทุกอย่างที่ อาจารย์เองก็บอกกับข้าว่าข้าไม่จําเป็นต้องเข้าร่วมสิ่งใดๆของเขาหยวนซู ข้ารู้สึกว่าอีกไม่นานข้าจะเข้าถึงจิตวิญญาณกระบี่ระดับสูงแล้ว”
“ได้” หลิวชีเยวพยักหน้าและพูดด้วยความยินดี “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ต้องพยายามให้มากขึ้นเหมือนกัน ข้าเองก็ติดขัดอยู่ ยังไปไม่ถึงขอบเขตจิตวิญญาณขั้นสูงเลย”
“ฝึกฝนกันให้หนัก เมื่อถึงเวลาพวกเราจะได้ลงเขาด้วยกัน” เมิ่งชวนยิ้มให้ชีเยว่ “เอาล่ะ ได้เวลาที่ข้าจะเริ่มฝึกฝนแล้ว” เขาทนไม่ได้อีกต่อไป
“ไปเถอะ เดี๋ยวข้าจะทําอาหารที่เจ้าชอบกินให้เอง” หลิวซีเยว่ยิ้มขณะมองดูเมิ่งชวนมุ่งหน้าไปยังลานฝึก
หลิวซีเยวถอนหายใจเช่นกัน พออาชวนเข้าถึงจิตวิญญาณกระบี่ขั้นสูงแล้ว ข้าเองก็จะแสดงจิตวิญญาณขั้นสูงของข้าหลังจากผ่านไปสองเดือนเหมือนกัน”
ใช่แล้ว
เธอก้าวหน้าได้ค่อนข้างไว หลังจากที่ไปถึงเจตจํานงตอนอายุสิบเก้า เธอก็ฝึกฝนทุกอย่างที่เกี่ยวกับเพลิงได้อย่างราบรื่น เธอไปถึงขอบเขตของจิตวิญญาณตอนอายุยี่สิบห้าและเมื่อเดือนก่อนเธอก็เข้าถึงขอบเขตจิตวิญญาณขั้นสูง! เธอสามารถขึ้นเป็นเทพอสูรระดับมหาสุริยันได้ตลอดเวลา! แต่ว่าเธอก็ไม่เคยประกาศความก้าวหน้าของเธอให้ใครรู้ ห้าปีหลังจากที่เพิ่งโหวเทียนซิงโหวได้สั่งสอนเธอ เขาก็ลงจากเขาและไปปกป้องเมืองด่าน เธอปกปิดความก้าวหน้าในการฝึกวิชาของเธอโดยตลอด และไม่มีใครรู้สึกตัว
เพราะเธอปกปิดความสามารถและการได้รับมรดกเทพอสูรระดับสวรรค์มาโดยตลอด นั่นจึงทําให้เพิ่งชวนยังคงเป็นศิษย์ที่ “แข็งแกร่งที่สุด” บนเขาหยวนซู ถัดจาเพิ่งชวนคือหยานชื่อถงและหลิวชีเยว่เป็นคนที่สาม
“อีกไม่นานพวกเราก็จะได้ลงจากเขา หลังจากนั้นอาชวนกับข้าก็จะได้แต่งงาน ดวงตาของหลิวชีเยว่เปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น
ตอนที่ 121 อสูรภูเขา
“รนหาที่ตาย? แล้วเจ้าทําได้อย่างที่พูดหรือเปล่าเล่า?” จู่ๆเพิ่งชวนก็เปลี่ยนเป็นสายฟ้า และพุ่งเข้าใส่อสูรภูเขา
การเปลี่ยนร่างอย่างรวดเร็วของเมิ่งชวนทําให้อสูรภูเขาต้องตกใจ!มันเคยสู้กับเทพอสูรมนุษย์มาหลายครั้งแล้วแต่ก็ไม่เคยเจอเทพอสูรคนไหนที่มีความเร็วขนาดนี้มาก่อน
ไม่มีแม้แต่เวลาจะตอบโต้
ทันใดนั้นเองก็มีสายฟ้าพุ่งออกจากร่างของเพิ่งชวนหลายสิบสาย
เปรี้ยงๆๆๆๆ!
สายฟ้าฟาดเข้าใส่ร่างของอสูรภูเขาที่สูงตระหง่าน ทําให้ก้อนหินกระจายไปทั่ว
เพิ่งชวนขมวดคิ้ว แม้ว่าสายฟ้าจะทําให้หินบางก้อนปลิวไป แต่สําหรับอสูรภูเขาแล้ว มันก็เหมือนกับแค่เสียผมไปไม่กี่เส้นเท่านั้นเอง
ร่างของมันไม่สั่นไหวแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าสายฟ้าไม่ระคายผิวมันซักนิดสายฟ้ามีประสิทธิภาพมากกับเลือดเนื้อแม้สายฟ้าจะไม่สามารถทําให้ตายได้ แต่มันก็ยังสามารถทําให้ร่างกายของศัตรูเชื่องช้าลงและทําให้สั้นแบบควบคุมไม่ได้ในการต่อสู้ระยะประชิดผลเสียอย่างนั้นสามารถตัดสินผลการต่อสู้ได้เลยแต่ว่าอสูรภูเขานั้นไม่หวั่นเกรงสายฟ้าแม้แต่น้อย
ทันทีที่เขาลงพื้น กระแสพลังวินาศสีดําก็กระจายออกไปทั่วทุกทิศทางอย่างรวดเร็ว รอบๆข้างเริ่มจะแข็งในทันใด ดินโคลนต่างถูกน้ําแข็งปกคลุมอสูรภูเขาตรงหน้าก็เปลี่ยนกลายเป็นแท่งน้ํา แข็งขนาดใหญ่เช่นกัน
“เทพอสูรมนุษย์ทําอะไรอย่างนี้ได้ด้วยรึ?” แม้มันจะถูกแช่แข็งแต่มันก็ยังเดินต่อไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย
ทันใดนั้นเองดินที่มีน้ําแข็งปกคลุมก็ลอยขึ้นมาและพุ่งเข้าใส่เพิ่งชวนอย่างรวดเร็ว
อสูรภูเขาสร้างกรงโคลนขึ้นมา พยายามจะจับเยิ่งชวนไว้
ฟุบๆๆๆ!
มันเห็นร่างที่พร่ามัวปรากฏขึ้นทุกที่ แม้ว่ามันจะสร้างกรงโคลนขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง แต่ มันก็จับไม่โดนเมิ่งชวนเลยแม้แต่น้อย ความเร็วของโคลนและหินนั้นยังช้ากว่าของเมิ่งชวนมากนัก
“กระแสพลังวินาศไม่ส่งผลกับมันเลยซักนิด เพิ่งชวนขมวดคิ้ว
เมื่ออสูรภูเขาเห็นว่ามันไม่สามารถจับเยิ่งชวนได้มันก็ได้แต่รู้สึกโกรธอยู่หน่อยๆ อสูรภูเขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและพยายามจะเหยียบใส่เมิงชวน
เพิ่งชวนเห็นท้องฟ้ามืดลงพร้อมกับเท้าของอสูรภูเขาที่เหยียบลงมา
ฟุบ!
สายฟ้าแวบออกมา
มันเหยียบพลาด และพื้นดินก็สั่นสะเทือน
เพิ่งชวนกระโดดขึ้นไปในทันที เกิดสายฟ้าแลบออกมา
เพียงพริบตาก็เกิดเมิ่งชวนขึ้นมาแปดร่าง แต่ละร่างใช้ท่าเดียวกัน เมื่อกระบี่ถูกแทงออกมามันก็ทําให้เกิดลําแสงกระบี่ที่แหลมคม และเสียงดังเสียดแก้วหูราวกับเสียงมังกรคํารามก็ดังออกมาจากลําแสงกระบี่เหล่านั้น
ในบรรดาท่าของกระบี่ทั้งหลาย ฟัน เฉือน ตวัด แทง การแทงนั้นมีพลังในการทะลวงมากที่สุดเพราะพลังของกระบีทั้งหมดจะรวมไปอยู่ในจุดเล็กๆจุดเดียวนั่นเอง! เพิ่งชวนใช้ท่ามังกรคํารามของวิชากระบี่จิตพิสุทธิ์ออกมา วิชานี้มีพลังที่น่าสําพรึงและเป็นเพียงไม่กี่ท่าที่เพิ่งชวนเรียนรู้มาได้
เพราะความใหญ่โตของมัน อสูรภูเขาจึงได้แต่ทนรับการโจมตีของเมิ่งชวนด้วยร่างของมันเพียงเท่านั้น
ทุกๆการโจมตีเฉือนเข้าไปเป็นถ้ําลึกในร่างของอสูรภูเขา มันลึกกว่าสามจิ้งและกว้างกว่าสิบสื่อ แต่ว่าก้อนหินในร่างของอสูรก็เพียงแค่เคลื่อนเข้ามาอุดถ้ําทั้งแปดอย่างรวดเร็ว
“ตายเสีย” ฝ่ามือขนาดยักษ์ของอสูรภูเขาฟาดเข้าใส่เพิ่งชวนที่อยู่กลางอากาศและไม่สามารถดึงพลังมาจากไหนได้
แต่เพิ่งชวนก็ยังหลับฝ่ามือได้ด้วยการเปลี่ยนเป็นสายฟ้า เขาวนรอบร่างของอสูรภูเขาอย่างรวดเร็วและไปข้างหลังมัน
เขาใช้ทักษะการเคลื่อนไหวเพียงอย่างเดียวของกระบี่จิตพิสุทธิ์ ท่านางแอ่น” และนั่นทําให้เขาคล่องตัวเป็นอย่างมาก
(*ไม่ใช่ท่ากลืนกินครับ ขอโทษครับผมโง่ไปหน่อย)
ท่าสมิงคํารน!” พอเมิ่งชวนไปอยู่หลังอสูรภูเขา เขาก็ฟันออกไปในทันที
ลําแสงกระบี่ฟันลงพร้อมกับเสียงคําราม เพียงพริบตาเขาก็ฟันใส่อสูรภูเขาไปถึงสิบห้าครั้งทุกๆการโจมตีทําให้ร่างกายของมันสั่นไหว
หินจํานวนนับไม่ถ้วนระเบิดกระจุย
ท่าสมิงคํารนเป็นท่าที่แข็งแกร่งที่สุดที่เพิ่งชวนได้เรียนรู้ เป็นเรื่องที่น่าแปลก วิชากระบี่จิตพิสุทธิ์ทั้ง 18 ท่านั้นตั้งชื่อตามสัตว์ทั้งหมด ท่านางแอ่น ท่ามังกรคําราม และท่าสมิงคํารนก็เช่นกัน “
เกิดหลุมขนาดใหญ่ที่บนหลังของอสูรภูเขา มันกว้างกว่าห้าถึงหกจิ้ง และเพราะการโจมตีทั้งสิบห้าฟันใส่จุดเดียวกันจึงทําให้มันลึกกว่าแปดรั้ง ทําให้สามารถเห็นหินสีแดงดําภายในร่างของอสูรนั้นได้ หินสีแดงดํานั่นถึงกับแตกหักบ้างเลยด้วยซ้ํา
นั่นคือร่างจริงของมัน เพิ่งชวนเข้าใจในทันทีเมื่อได้เห็นหินสีแดงเข้ม อสูรภูเขาปกคลุมร่างกาย ของมันด้วยหินจากภายนอกและฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง ทําให้หินเหล่านี้แข็งมากๆ อย่างไรก็ตาม ร่างที่แท้จริงของพวกมันแข็งแกร่งยิ่งกว่าสรุปก็คือร่างกายที่แท้จริงของพวกมันนั้นเล็กกว่านั้นมาก
“เจ้าทําให้ข้าบาดเจ็บ!” อสูรภูเขาคํารามออกมาด้วยความโกรธ หินเคลื่อนไปปิดรูบนหลังมันอย่างรวดเร็วมันโกรธขนาดที่สร้างแขนหินขึ้นมาใหม่ถึงแปดข้างและทุบเข้าใส่เพิ่งชวนอย่างบ้าคลั่ง
เพิ่งชวนเปลี่ยนเป็นสายฟ้าและพุ่งไปอย่างรวดเร็ว
เขาเหยียบบนแขนมันเพื่อยืมพลัง เพียงพริบตาเขาก็ถอยออกไปร้อยจิ้งก่อนจะพึ่งเข้าใส่อสูรเขาอีกครั้งเขาฟันไปอีก
คราวนี้เขาใช้ท่าดวงใจกระบี่! ท่าที่เขาฝึกฝนมานานที่สุด
กระบี่ฟาดฟันใส่อสูรภูเขาอย่างต่อเนื่อง หินผาสั่นสะเทือนแต่ไม่มีความเสียหายใดๆ แต่ว่า แรงสั่นสะเทือนได้เข้าไปในแก่นกลางของอสูรภูเขาและระเบิด!มันคือระเบิดหยินหยาง! ร่างยักษ์ของอสูรภูเขาลดความแรงของระเบิดหยินหยางลงสามส่วนตอนที่มันเข้าไปถึงใจกลาสง เพิ่งชวนไม่เห็นความเสียหายรุนแรงใดๆหลังจากโจมตีใส่ไปเจ็ดครั้ง
“โอ! โอ! โอ!” มันเหวี่ยงแขนทั้งแปดไปมาโดยไม่โดนเมิ่งชวนเลยซักนิด มนุษย์เทพอสูรที่รวดเร็วคนนี้ทําให้มันโกรธเกรี้ยว
หลังจากคํารามร่างของมันก็ระเบิดออกมา
จู่ๆก็มีหินจํานวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกไปในทุกๆด้านด้วยความเร็วอันมหาศาล หินทุกก้อนนั้นไวกว่าเสียง มันเป็นการโจมตีที่รุนแรงมาก หากมันใช้ในเมืองมนุษย์ล่ะก็ การโจมตีนี้อาจจะเปลี่ยนรอบข้างให้กลายเป็นซากเลยก็ได้! หากอสูรภูเขาตัวนี้ปรากฏขึ้นที่เมืองตงหนิงมันคงจะเกิดภัยพิบัติขึ้นแน่ๆ
เมื่อก้อนหินระเบิดออกไป อสูรภูเขาร่างสีดําแดงสูงประมาณสิบยั้งก็พุ่งเข้าใส่เพิ่งชวน มันวิ่งเข้าใส่อย่างรวดเร็วเพราะตอนนี้คล่องตัวมากขึ้น
“อย่าแม้แต่จะคิดหนี!” อสูรภูเขาโกรธจัด
ที่มันเห็นก็มีเพียงหินจํานวนมากพุ่งออกไปโดยมีสายฟ้าพุ่งเฉียดหินเหล่านั้น ไม่มีหินแม้แต่ ก้อนเดียวที่สามารถแตสายฟ้านั่นได้! หินทุกก้อนนั้นพุ่งออกไปสุ่มๆทุกทิศทาง และเส้นทางของแต่ละก้อนก็ต่างกันออกไปรวมไปถึงความเร็วเหนือเสียงนั่นอีก ความเร็วนี้เป็นอะไรที่ขนาดเทพอสูรยังตอบสนองไม่ทัน แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหลบหินเหล่านี้ได้
อย่างไรก็ตามยังมีเทพอสูรมนุษย์ที่สามารถหลบหินทุกก้อนได้ด้วยความเร็วที่ไวราวกับสายฟ้าเขาหลบหินเหล่านั้นอย่างรวดเร็วด้วยความเร็วที่เหนือกว่า และออกจากถ้ําเก้าปริศนาไป
“แค่นั้นรึ?” อสูรภูเขาสิบยั้งยืนงง เทพอสูรมนุษย์นั้นไม่อยู่ในโลกสีแดงดํานี้อีกต่อไป
“อ๊ากกกกก!” มันได้แต่ส่งเสียงร้องออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว หินจํานวนนับไม่ถ้วนทุ่งกลับเข้าไปปกตลุมร่างของมันอีกรอบ แต่ว่าการระเบิดก่อนหน้านั้นได้ทําให้หินเหล่านั้นเริ่มร้าวอสูรภูเขาที่กลับมาสูงสิบกว่าจังดังเดิมมีรอยแตกอยู่ทั่วร่าง หินเหล่านั้นกลับเป็นก้อนกรวดมันต้องใช้เวลาในการฟื้นฟู
น่าเสียดายที่แม้มันจะใช้พลังทั้งหมดที่มีและเผยร่างจริงออกมา แต่มันก็ยังไม่สามารถจับเทพอสูรมนุษย์นั้นได้
ร่างสายฟ้าปรากฏขึ้นที่ด้านนอกของถ้ําเก้าปริศนา
“อสูรภูเขานั้นน่ากลัวจริงๆ” เมิ่งชวนรู้สึกหวั่นใจขึ้นมาเมื่อนึกถึงการโจมตีของอสูรภูเขา “หินเหล่านั้นมันไวมากจริงๆ หากข้าโดนเข้าไปเพียงชักอันล่ะก็ ข้าคงจะโดนต่อๆกันอีกหลายอันเป็นแน่ข้าคงจะบาดเจ็บสาหัสเลยล่ะ
เขามีแก่นสารแห่งจิต และความเร็วในการตอบสนองของเขานั้นไว้อย่างน่าเหลือเชื่อ และด้วยท่านางแอ่นเขาก็สามารถหลบการโจมตีของอสูรภูเขานั่นมาได้
“ข้าลองพยายามแล้ว ข้าทําให้มันบาดเจ็บได้เพียงนิดเดียวเท่านั้น แต่หากข้าทําพลาดไปเพียงอย่างเดียวเจ้าอสูรภูเขานั้นคงจะสังหารข้าลงไปเป็นแน่”
แน่นอนว่าเขาจะไม่ตายจริงๆหรอก เพราะก่อนที่เขาจะตาย เขาหยวนชูจะเข้ามาช่วยเพิ่งชวน
อย่างไรก็ตาม เมิ่งชวนเชื่อว่าในฐานะผู้ที่ฝึกฝนร่างอสูรตัดสายฟ้า แม้จะไม่สามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้ แต่อย่างน้อยเขาต้องหลบหนีออกมาให้ได้ หากเขาหลบหนีออกมาไม่ได้คงจะเป็นเรื่องที่น่าอดสู
อสูรภูเขานั่นยังไม่ได้ใช้พลังของมันทั้งหมดเลยด้วยซ้ํา และข้าก็กลัวที่จะต้องสู้กับร่างจริงของมันร่างจริงของมันต้องแข็งแกร่งกว่านี้เป็นแน่ และมันยังไม่ได้ใช้วิชาต้องห้ามเลยด้วยซ้ําเพิ่งชวนเข้าใจถึงความแตกต่างของเขากับอสูรภูเขาขึ้นมาเขาใช้ความเร็วเพื่อทําให้อีกฝ่ายงุนงงแต่เขาก็ไม่สามารถทําให้มันบาดเจ็บได้แม้ว่ามันจะยืนอยู่นิ่งๆก็ตามดูเหมือนว่าข้าจะต้องขึ้นเป็นเทพอสูรระดับมหาสุริยันให้ได้เข้าถึงจะมีโอกาสในการสังหารมัน
ในฐานะผู้ฝึกร่างอสูรตัดสายฟ้า เขาต้องเข้าถึงจิตวิญญาณกระบี่ที่สูงกว่าเพื่อจะได้เป็นเทพอสูรระดับมหาสุริยัน
เทพอสูรระดับสูงจะกลายเป็นเทพอสูรระดับมหาสุริยันหลังจากไปถึงขอบเขตจิตวิญญาณส่วนระดับต่ําและกลางก็ใช้เพียงแค่จุดสูงสุดของเจตจํานงเท่านั้น
หากอยากจะแข็งแกร่งกว่าคนอื่นๆก็ต้องอดทนมากกว่าคนอื่นๆอยู่แล้ว เขาต้องพบกับ ข้อจํากัดที่ยากลําบากอีกมากมายในอนาคต
“ข้าพึ่งจะเข้าถึงจิตวิญญาณกระบี่เท่านั้น ปกติแล้วการเข้าถึงจิตวิญญาณกระบี่ระดับสูงคงต้องใช้เวลาถึงแปดปี ข้าต้องสืบทอดมรดกของกระบี่จิตพิสุทธิ์” เมิ่งชวนเปลี่ยนเป็นสายฟ้าและพุ่งออกไปในทันที เพียงไม่นานเขาก็ข้ามเขาไป
เพียงครู่เดียวเมิ่งชวนก็ไปถึงตําหนักแม่น้ําสวรรค์
“นายท่านเมิ่งชวนมาทางนี้” พ่อบ้านชราของตําหนักแม่น้ําสวรรค์นําทางเขาไป เขาได้รับคําสั่งจากนายเหนือให้คอยดูแลเมิ่งชวนแล้ว
ภายในสวนของตําหนัก ปรมาจารย์นั่งเขียนพัดอยู่พร้อมกับผมที่ยาวเกยไหล่
“คารวะท่านอาจารย์” เมิ่งชวนก้มหัว
“เจ้าโทษที่ข้าบังคับให้เจ้าเข้าถึงจิตวิญญาณกระบี่ก่อนที่จะรับมรดกหรือไม่?” ปรมาจารย์ถาม
“ศิษย์เข้าใจถึงเหตุผลแล้วขอรับ สิ่งใดที่เหมาะสมนั้นดีที่สุด จิตวิญญาณกระบี่ที่ศิษย์ฝึกฝนเองนั้นเหมาะสมที่สุด และด้วยพื้นฐานของจิตวิญญาณกระบี่ ศิษย์สามารถสืบทอดมรดกของโลหะทมิฬผ่านเจตจํานงได้ในอนาคต และศิษย์จะไม่โดนจํากัดโดยโลหะทมิฒโดยสมบูรณ์ตอนฝึกฝนและเมื่อศิษย์ไม่ถูกจํากัดโดยมรดก ศิษย์ก็จะสามารถสร้างหนทางของตนและกลายเป็นเทพอสูรที่ทรงพลังได้ขอรับ” เมิ่งชวนกล่าว
ปรมาจารย์เหลือบมองและยิ้ม “อธิบายได้ดี เหมือนว่าเจ้าจะไปที่ห้องสมุดมาสินะ”
เพิ่งชวนก้มหัวลง “ศิษย์ซ่อนอะไรจากท่านไม่ได้เลยขอรับ”
ปรมาจารย์โบกมือ อากาศเกิดบิดเบี้ยว มีชิ้นโลหะสีดําปรากฏขึ้นตรงขอบของโต๊ะหิน ไม่มีอะไรสลักไว้บนนั้น
โลหะทมิฬนั้นถูกหลอมขึ้นมาโดยแร่อุกกาบาต และนั่นจึงทําให้มันสา มารถทนรับพลังของจอมยุทธที่ใส่แก่นสารแห่งจิตลงไปได้ โลหะทมิฬนั้นมี อีกชื่อว่าคัมภีร์สวรรค์ไร้อักษรพวกมันไม่มีรูปหรือตัวอักษรเขียนอยู่แม้แต่น้อย กลับกัน ในนั้น มีมรดกใส่เอาไว้อยู่ปกติแล้วมีเพียงเทพอสูรที่ควบแน่นแก่นสารแห่งจิตแล้วเท่านั้นถึงจะรับมรดก ได้ในตอนนี้เพิ่งชวนนั้นแข็งแกร่งกว่าเทพอสูรระดับมหาสุริยันอยู่เล็กน้อยดังนั้นแก่นสารแห่งจิตของเขาจึงสามารถทนต่อการรับมรดกของโลหะทมิฬได้
“โลหะทมิฬสองอัน?” เมิ่งชวนตกใจ
“อันหนึ่งคือกระบี่จิตพิสุทธิ์และอีกอันหนึ่งคือกระบี่มังกรพเนจร ทั้งสองอย่างนี้คือวิชากระบี่ไวที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาหยวนชู”ปรมาจารย์กล่าว “เรียนรู้มันทั้งคู่เลย!ให้เจ้าเน้นฝึกฝนกระบี่จิตพิสุทธิ์และค่อยไปฝึกวิชากระบี่มังกรเพนจร เพราะเจ้ามีจิตวิญญาณกระบี่การฝึกฝนของเจ้าจะไม่หลงทางอย่างแน่นอน”
“ขอรับ” เมิ่งชวนกล่าวด้วยท่าทางนอบน้อมและรับโลหะทมิฬไป
ตอนที่ 120 การทดสอบของถ้ําเก้าปริศนา
เพิ่งชวนยืนอยู่นิ่งๆและกล่าว “ใช้ทุกวิชาที่เจ้ามีมาเลยคราวนี้ข้าจะสังหารเจ้า!”
“เหอะ พูดจาโอ้อวดเสียจริง” อสูรหมาปาโยนคัมภีร์ทิ้งด้วยสีหน้าที่ดุร้าย“เจ้ามนุษย์ตัวจ้อยคราวที่แล้วเจ้าหนีออกไปได้เจ็ดครั้งแต่คราวนี้เจ้าหนีไม่พ้นหรอก”
เมื่อมันพูดจบมันก็คํารามออกมา
ครืนนน!
ลมสีดําพัดผ่าน กรวดทรายปลิวออกไปในทันที หินบางก้อนสลายกลายเป็นฝุ่นด้วยลมสีดําเลยด้วยซ้ํา เพิ่งชวนมองดูลมสีดํานั่นพันรอบตัวเขาอย่างใจเย็น ภายในลมสีดํานั่นคือประกายแสง ดาราที่ฟันผ่าทุกๆอย่างตรงหน้าหากเทพอสูรที่พึ่งกําเนิดใหม่เจอกับลมสีดํานี่ล่ะก็พวกเขาคงจะถูก “เปา” จนกลายเป็นฝุ่นเป็นแน่
แม้แต่เทพอสูรระดับกายาอมตะธรรมดาก็คงจะบาดเจ็บสาหัสเพราะลมสีดําและจะสลายหายกลายเป็นฝุ่นไปหลังจากผ่านไปสิบวินาที
เพิ่งชวนยืนอยู่นิ่งๆ เกราะปราณของเขาหนาสามฉือ คอยปกป้องเขาจากลมที่โหมกระหน่ํา ไม่ว่าลมสีดําจะโจมตีใส่เขาซักเท่าไหร่ แต่มันก็ไม่ระคายเกราะปราณของเขาแม้แต่น้อย พลังปราณจํานวนมากถักทอกันก่อให้เป็นเกราะขึ้นมา ทําให้มันสามารถทนทานต่อแรงอันมหาศาลได้ ขนาดเชือกเส้นหนากว่าหมื่นเส้นมันรวมกันก็ยังทําไม่ได้เหมือนกับที่เกราะนี่ทําได้เลยแม้แต่น้อยเพิ่งชวนเคยอิจฉาที่ราชาอสูรบึงพิษมีหมอกสีดําคอยปกป้อง แต่คราวนี้เกราะของเขานั้นแข็งแกร่งกว่าของบึงพิษเป็นสิบเท่า
ทําไมพวกเขาถึงถูกเรียกว่าเทพอสูรระดับแดนอมตะอย่างนั้นรึ? นั่นก็เพราะพลังปราณของเทพอสูรระดับแดนอมตะนั้นได้เปลี่ยนไปมีประสิทธิภาพมากขึ้น พลังปราณทุกๆสายนั้นเฉีย บคมและยืดหยุ่น! ด้วยด้ายพลังปราณจํานวนนับไม่ถ้วนจะสามารถสร้างโล่ป้องกันที่แข็งแกร่งขึ้นมาได้ สําหรับเทพอสูรที่พึ่งถือกําเนิดใหม่นั้น มนุษย์ยังมีหลายวิธีในการสังหารพวกเขา แต่ว่าในระดับแดนอมตะ ไม่มีมนุษย์คนใดที่สามารถทําร้ายพวกเขาได้เลย
แม้ว่าเพิ่งชวนจะอยู่ในระดับแดนอมตะอยู่ แต่ร่างอสูรตัดสายฟ้าที่สมบูรณ์กับปราณของเขามันทําให้เขาสามารถเทียบได้กับเทพอสูรระดับมหาสุริยันระดับกลางๆเลย
“มาเลย” เมิ่งชวนจ้องมองไปที่อสูรหมาปาอย่างระมัดระวัง เขาต่อสู้กับอสูรหมาป่านี้มาเจ็ดครั้งและเข้าใจถึงความแข็งแกร่งของมันดี
อสูรตนนี้เป็นราชาอสูรระดับสามที่ฝึกฝนมาหลายปีแล้ว! ราชาอสูรสี่ตัวที่บุกเมืองตงหนิเมื่อหลายปีก่อนก็ยังไม่สามารถสังหารอสูรหมาป่าตนนี้ได้ลงเลยแม้จะบุกมาพร้อมกันด้วยซ้ํา
กรรร! ดวงตาของอสูรหมาปาเปี่ยมไปด้วยจิตสังหาร มันใช้พลังของลมสีดําเพื่อส่งผลต่อความเร็วเพียงเท่านั้น เพราะไม่ว่ายังไงเพิ่งชวนก็เคยหนีไปจากมันได้ถึงเจ็ดครั้งแล้ว
ฟุบ
เพียงพริบตา อสูรหมาปาก็พุ่งผ่านลมเข้าไปหนึ่ง มันตวัดเล็บใส่เพิ่งชวน พยายามจะฉีกเขาเป็นชิ้นๆด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ
เกราะปราณของเพิ่งชวนสามารถป้องกันการโจมตีของราชาอสูรระดับสองได้ แต่เขาไม่กล้าที่จะเสี่ยงกับกรงเล็บของอสูรหมาปาตรงๆ
แกร๊ง!
เพิ่งชวนยังคงอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน เขาตวัดดาบออกมากันกรงเล็บเอาไว้ได้
กรงเล็บอันแหลมคมนั้นรวดเร็ว แต่กระบี่ของเมิ่งชวนนั้นไวยิ่งกว่า! เมิ่งชวนขยับอย่างรวดเร็วขนาดที่ว่ามองไม่เห็นช่วงที่ชักกระบออกมาเลย สิ่งที่อสูรหมาปาเห็นก็มีเพียงกระบีที่ปัดการโจมตีของมันก็เท่านั้น
“มันเร็วขนาดนี้ได้อย่างไรกัน?” อสูรหมาป่าไม่อยากจะเชื่อ มันเป็นราชาอสูรระดับสามที่เร็วมากๆ วิชากรงเล็บของมันก็ไปถึงระดับจิตวิญญาณแล้ว และด้วยระดับของวิชาที่สูงความเร็วของกรงเล็บของมันควรจะเร็วยิ่งกว่าของเมิงชวน แต่ว่ามันกลับถูกเมิงชวนสกัดไว้ได้โดยสมบูรณ์! การชักกระบี่ครั้งล่าสุดของเมิ่งชวนทําให้มันต้องตกใจ
“เป็นไปไม่ได้” จิตสังหารในใจของอสูรหมาป่าเพิ่มมากขึ้น มันโจมตีต่อไปอีกหลายสิบครั้งกรงเล็บเงาจํานวนมากปรากฏขึ้นมา
อสูรหมาป่ามองไม่เห็นว่าเพิ่งชวนขยับกระบี่เลยแม้แต่น้อย ที่มันเห็นก็มีเพียงแค่กระบี่ที่ปรากฏออกมารับกรงเล็บก็เท่านั้น
แกรังๆๆ! เสียงกระทบกันระหว่างกระบี่ของเมิ่งชวนกับกรงเล็บของอสูรหมาปาดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทุกๆการโจมตีถูกป้องกันไว้ได้ อีกทั้งเมิ่งชวนเองก็ไม่ได้ขยับไปแม้แต่น้อย
หลังจากไปถึงระดับ” จิตวิญญาณกระบี่”แล้ว ความเร็วอันมหาศาลของเมิ่งชวนก็เพิ่ม มากขึ้นไปอีกเขาฝึกฝนกระบี่จิตพิสุทธิ์และใช้วิชากระบี่อันงดงามเพื่อจัดการกับศัตรู ความเร็วของเขาเหนือกว่าศัตรูโดยสิ้นเชิง
“เจ้ายังมีวิชาอะไรอีกไหมล่ะ?” เมิ่งชวนถามนิ่งๆ
“ยโสยิ่งนัก เจ้าไม่ใช้แม้กระทั่งสายฟ้ากับพลังวินาศ? นี่เจ้ายอมให้ข้าโจมตีเจ้าอย่างนั้นรึ?” อสูรหมาปาเริ่มบ้าคลั่ง “แล้วเจ้าจะเสียใจกับความยโสนั่น” ดวงตามันเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน เห็น ได้ชัดว่ามันบ้าคลั่งหลังจากใช้วิชาต้องห้ามออกมา
เพิ่งชวนยังคงสงบนิ่ง
หากนี่เป็นการต่อสู้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายของจริง เขาคงจะไม่รอให้อีกฝ่ายปล่อยพลังที่แท้จริงออกมาได้หรอก กลับกันเขาจะทําให้ศัตรูไม่สามารถใช้พลังทั้งหมดที่มีออกมาได้ก่อนจะสังหารอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม นี่เป็รการทดสอบของถ้ําเก้าปริศนา! แม้ว่าอสูรหมาปาจะมีโอกาสฉีกกระชากเขาได้แต่พลังที่มองไม่เห็นก็จะหยุดมันก่อนที่มันจะทําได้
อสูรหมาปาคือหุ่นเชิดที่ถูกควบคุมโดยเขาหยวนซูแต่มันไม่รู้ตัว กลับกันนี้เป็นโอกาสที่ดีที่เพิ่งชวนจะได้สู้กับราชาอสูร หากเขาทําพลาดระหว่างการต่อสู้หลังจากที่ลงเขาไปแล้วเขาคงต้องจ่ายค่าตอบแทนอย่างงามจากความผิดพลาดนั่นเป็นแน่
กรรรร!
ร่างของอสูรหมาป่าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง มันควบคุมลมสีดําเพื่อดักเพิ่งชวนไว้และโจมตีใส่เพิ่งชวนอย่างบ้าคลั่งร่างของมันหายวับไปมาก่อนจะปรากฏตัวจากหลายๆที่รอบด้าน
เพิ่งชวนส่ายหน้าเบาๆพร้อมกับกระบี่ที่รับการโจมตีได้อย่างง่ายดาย
ตอนที่ระดับวิชากระบี่ของเขาต่ํากว่านี้ ราชาอสูรระดับสามซึ่งเร็วมากๆคอยกันเขาจากการใช้ประโยชน์จากความเร็วแต่ว่าหลังจากที่เขาเข้าถึงจิตวิญญาณกระบี่มันก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง! อสูรหมาป่าไม่สามารถสู้กลับคนที่ไวกว่ามันได้
ราชาอสูรระดับสามตัวนี้ไม่เป็นอันตรายใดๆอีกต่อไป เมิ่งชวนหายวับไปหลบหลีกการโจ มตีของราชาอสูรได้อย่างง่ายดาย
ฟุบ!
ลําแสงกระบี่แทงผ่านหว่างคิ้วของอสูรหมาป่าทะลุผ่านหัวของมันไป
ราชาอสูรหมาป่าหยุดเคลื่อนไหวทันที ลมสีดําก็หายไปเมื่อไม่มีคนคอยคุม ราชาอสูรหมาปายืนนิ่งอยู่บนพื้นและมองดูโลกสีดําแดงอย่างมีนงง “ข้าจําได้แล้ว ข้าจําได้”
ก่อนที่มันจะตาย ในที่สุดมันก็ถูกปลดปล่อยออกจากการควบคุมของเขาหยวนซูและกลับมาได้สติ
ราชาอสูรหมาปาจําได้ในที่สุด มันและราชาอสูรตนอื่นโจมตีเมืองด่านของมนุษย์ด้วยกันมันสามารถเอาชนะเทพอสูรมนุษย์ได้ มันเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นยินดี เหล่าอสูรจะได้รับรางวัลมหาศาลในการสังหารเทพอสูรมนุษย์! มันหอนและพุ่งเข้าใส่เทพอสูรมนุษย์คนอื่นพร้อมกับสหายของพวกเขาแต่ว่าก็มีมนุษย์ผู้หญิงชุดสีเทาเดินผ่านมา ราชาอสูรทั้งสิบสองตัวที่กําลังต่อสู้อยู่หยุดมือพวกมันพยายามจะดิ้นรนแต่ว่าพวกมันไม่สามารถดิ้นหลุดไปได้
จากนั้นเป็นต้นมามันก็ถูกมนุษย์คอยควบคุม
และก็ยังไม่ตื่นขึ้นจนถึงตอนนี้
อสูรหมาป่าทรุดลงอย่างอ่อนแรง ดวงตามันเต็มไปด้วยความระลึกถึง มันคิดถึงบ้า นเกิดของมันในที่แห่งนั้นมันมีพื้นที่เป็นของตัวเองมันมีอสูรระดับต่ําจํานวนนับไม่ถ้วนคอยคุ้มกันในที่แห่งนั้นมันอยู่อย่างสุขสบาย
“ข้าไม่อยากให้มันจบลงตรงนี้เลย” มันปล่อยเสียงคํารามเบาๆออกมาก่อนที่พลังชีวิตของมันจะหมดลง
พื้นดินดูดกลืนร่างของราชาอสูรหมาป่าไปอย่างเงียบงัน
เพิ่งชวนดูซากของราชาอสูรหมาป่าถูกลืนกินและพูดอย่างเย็นชา “นี่เป็นสิ่งที่เจ้าสมควรได้รับ”
เขาไม่มีความเห็นใจใดๆต่ออสูร มีเพียงจิตสังหารเท่านั้น
เพิ่งชวนเดินหน้าต่อไป
การทดสอบของถ้ําเก้าปริศนาคือการสังหารราชาอสูรทั้งหมดที่เจอ! เมื่อมันถูกสั่ง หารจนหมดก็จะผ่านการทดสอบและสามารถลงจากเขาได้ตราบใดที่ยังเหลืออยู่อีกหนึ่งตัวที่ยังไม่ถูกสังหารก็จะนับว่าล้มเหลวพวกเขาจะได้เจอกับราชาอสูรตนเดิมในครั้งหน้าที่ทําการทดสอบ
เขาหยวนชูจับราชาอสูรไว้หลายตัว! พวกมันมีไว้เพื่อให้เหล่าศิษย์เอาไว้สังหาร
เพิ่งชวนสังหารราชาอสูรไปได้สองตัวแล้วในถ้ําเก้าปริศนา ตัวแรกคือราชาอสูรระดับสองที่แข็งแกร่งกว่าบึงพิษมาก ส่วนตัวที่สองคือราชาอสูรระดับสาม ราชาอสูรหมาปาที่เขาพึ่งสังหารไป
โอ๋? หลังจากที่เดินเข้าไปในโลกสีแดงดําที่เงียบเหงา เพิ่งชวนก็เห็นภูเขาที่สั่นไหวอยู่ไกลๆ
ภูเขาที่สูงกว่ายี่สิบปิ้งก็ยืนขึ้นเปลี่ยนเป็นอสูรภูเขา!
“อสูรภูเขา?” เมิ่งชวนตื่นตระหนก
อสูรนั้นมีอยู่หลายชนิด แต่ละชนิดก็จะมีความสามารถที่ต่างกันออกไป ความสามารถเหล่านี้ต่างกันออกไปตามสายเลือดของพวกมัน อสูรภูเขานั้นเป็นอสูรที่แข็งแกร่งมาก ความแข็งแกร่งของพวกมันมากกว่าตัวในระดับเดียวกันมาก
“ศิษย์พี่ของเขาหยวนชูดูแลข้าดีมาก พวกเขาถึงกับให้ราชาอสูรภูเขาในการฝึกฝนของข้าด้วยเพิ่งชวนระมัดระวังกว่าเดิม
“โฮ ข้ารู้สึกเหมือนข้าหลับไปนานมากเลย” อสูรภูเขาส่ายหน้า แต่ว่ามันก็มีรอยประ ทับแปลกๆรูปภูเขาอยู่บนหน้าผากของมัน
ผนึกของเขาหยวนชู? นี่เป็นราชาอสูรตัวสุดท้ายที่ข้าต้องสังหารเพื่อผ่านการทดสอบของถ้ําเก้าปริศนารี? เมิ่งชวนเข้าใจในทันทีหากมีรอบประทับรูปภูเขาอยู่บนหน้าผากของราชาอสูรนั่นก็หมายความว่านั่นคือราชาอสูรตัวสุดท้ายที่ต้องสังหารในการทดสอบของถ้ําเก้าปริศนาเขาสามารถลงจากเขาได้หลังจากที่สังหารมันไป
จากกระแสพลังของมัน มันน่าจะเป็นราชาอสูรระดับสาม แต่ว่ามันสามารถสังหารอสูรหมาป่าตัวนั้นด้วยการตบเพียงครั้งเดียวด้วยซ้ําเพราะมันเป็นอสูรภูเขา
เช่นเดียวกันกับเหล่าอัจฉริยะที่มีสายเลือดวิหคเพลิงหรือมังกร อสูรภูเขานั้นก็เรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะที่หาได้ยากในหมู่อสูรพวกมันมีจุดเด่นในเรื่องของร่างกายที่ทรงพลังของพวกมัน
เมื่อมันเห็นเพิ่งชวน แววตาของมันก็เปล่งประกายด้วยความดุร้าย มันคํารามก้องราวกับฟ้าร้อง“เทพอสูรระดับแดนอมตะกล้ามาท้าทายข้าอย่างนั้นรึ? เจ้าอยากตายสินะ!”
ตอนที่ 119 เก้าปีต่อมา
ในฤดูร้อนที่แผดเผาของเมืองตงหนิง
ตอนนี้เมิ่งต้าเจียงได้เป็นผู้นําตระกูล ตระกูลเทพอสูรทั้งห้าในตอนนี้ต่างถูกนําโดยตระกูลเมิ่งและตระกูลจาง! ขนาดผู้นําตระกูลจางยังบอกกับคนในตระกูลอย่างลับๆให้ทําตัวเป็นตระกูลเทพอสูรระดับสองของเมืองตงหนิง พวกเขาให้ตระกูลเมิ่งเป็นตระกูลเทพอสูรที่นําอยู่ไไปเลยด้วยซ้ำ! เพราะเหตุนี้จึงสามารถเห็นได้ว่าตระกูลเมิ่งรุ่งเรืองมากเพียงไหน
ราชสํานักอนุญาติให้จอมยุทธตระกูลเมิ่งหลายคนสามารถรับงานที่มีค่าตอบแทนมากได้ในเมืองตงหนิง นั่นจึงทําให้ตระกูลเมิ่งเริ่มเติบโต ว่ากันว่านี่เป็นช่วงเวลาที่รุ่งเรืองมากที่สุดในกว่าพันปีเลยด้วยซ้ำ
กลับกัน ตระกูลหวินในตอนนี้นั้นอ่อนแอที่สุดในหมู่ตระกูลเทพอสูรทั้งห้า ผู้นําตระกูลหวิน หวินว่านไห่ต้องพักรักษาตัวเป็นสิบปีหลังจากการรุกรานของอสูร เขาฝึกฝนเลี้ยงดูลูกหลานของเขาอย่างหนัก แต่ว่าการฝึกฝนเทพอสูรอัจฉริยะนั้นไม่ง่ายเหมือนกับการฝึกฝนจอมยุทธมนุษย์ อันที่จริงแล้วตระกูลหวินมีคนอยู่น้อยอยู่แล้ว หลังจากผ่านไปสิบปีก็ไม่มีอัจฉริยะเกิดขึ้นมาเลยซักคน แม้ว่าหวินว่านไห่จะต้องผิดหวังเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เขาก็ไม่รีรอที่จะออกจากบ้านเกิดเพื่อกลับเข้าสู่สนามรบเมื่อปีที่แล้ว หวินว่านไห่อยากจบชีวิตลงในสนามรบ และนั่นทําให้ตระกูลเทพอสูรอีกสี่ตระกูลเคารพเขา
อย่างไรก็ตาม เมื่อหวินว่านไห่ตายไป อํานาจของตระกูลหวินจะต้องตกลงอย่างแน่นอน เป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะสามารถทํางานที่มีรายได้สูงตลอด ร่มเงาของเทพอสูรคอยทําให้มั่นใจว่าพวกเขาจะอยู่ได้อย่างสุขสบาย แต่เมื่อเวลาผ่านไปรากฐานของตระกูลก็จะอ่อนแอลงหากไม่มีคนที่แข็งแกร่งขึ้นมารับหน้าที่ต่อ และมันก็เป็นเรื่องปกติที่มันจะล่มสลายจนหมด
ที่คฤหาสน์จิงหูเมิ่ง
เมิ่งต้าเจียงนั่งอยู่บนเก้าอี้ หลายปีที่ผ่านมานี้เขาอ้วนขึ้นกว่าเดิมเสียอีก นิ้วหนาของเขากําลังถือจดหมายอยู่ เขาหัวเราะและหันไปมองหลิวเย่ป๋ายที่กําลังกินแตงโมอยู่ เขาตะโกน “เยว่ป๋ายๆ เจ้ากับข้าจะได้เป็นพี่เขยน้องเขยกันแล้ว!”
หลิวเย่ป๋ายวางแตงโมลงและเช็ดปาก “พวกเขายังไม่แต่งงานกันเสียหน่อย”
” แต่มันก็แน่นอนอยู่แล้วไม่ใช่รึไง?” เมิ่งต้าเจียงยิ้ม “เจ้ามีปัญหารึไงกัน?”
“ข้าก็ไม่ได้คัดค้านอะไร” หลิวเย่ป๋ายตรงไปตรงมา “ข้าเฝ้าดูเมิ่งชวนเติบโตมา ข้าเองก็โล่งใจที่ได้ยินว่าชีเยวจะแต่งงานกับเมิ่งชวน แต่ว่าจดหมายของเมิ่งชวนกับหลิวชีเยวบอกไว้ว่าพวกเขาจะแต่งงานกันหลังจากลงเขาแล้ว”
” ทําไมถึงไม่แต่งงานกันบนเขานั่นเลยเล่า” เมิ่งต้าเจียงพูดพร้อมกับถอนหายใจ “พวกเขาเป็นเทพอสูรแล้ว ไม่จําเป็นต้องสนใจธรรมเนียมอะไรนั่นเลย”
“เขาหยวนชูเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ถึงพวกเราจะได้ขึ้นไปบนนั้นแต่ก็คงจะอยู่ได้ไม่นาน” หลิวเย่ป๋ายกล่าว ” เด็กๆสองคนนั่นคงอยากจะจัดงานแต่งที่มีบรรยากาศร่าเริง พวกเขาคงอยากเชิญเพื่อนฝูงเข้ามาร่วมด้วย เพื่อนๆและตระกูลของเราหลายๆคนขึ้นไปบนเขาไม่ได้แน่ เพราะงั้นเลยดีกว่าถ้าจะจัดงานแต่งหลังจากลงเขามาแล้ว เด็กพวกนี้พิถีพิถันจริงๆนะ”
เมิ่งต้าเจียงยิ้มและพยักหน้า “เอาเถอะ ปล่อยเจ้าพวกนั้นไปเถอะ ตอนนี้ข้ารอวันที่จะได้อุ้มหลานอยู่นี่ล่ะ”
” ตอนนี้เรื่องการแต่งงานต้องเก็บเอาไว้เป็นความลับก่อน” หลิวเย่ป๋ายกระซิบ “เจ้าก็รู้ว่าตระกูลหลิวอยากได้หลิวชีเยว่กลับไปเพื่อรับรู้ต้นตระกูลของเธอ พวกมันไม่กล้าไปยุ่งกับเธอตอนที่อยู่บนเขาหยวนชู แต่หากพวกเขาประกาศแต่งงานเร็วไปล่ะก็ตระกูลหลิวคงจะมาโวยวายหลังจากที่พวกเขาลงจากเขามาแน่ๆ แม้ว่าพวกเราจะไม่กลัวตระกูลหลิว แต่ว่าถ้าให้ดีก็พยายามหลบปัญหาแบบนี้ในงานมงคลอย่งงานแต่งเสียจะดีกว่า”
“ได้ ไม่ต้องกังวลไป ข้าจะปิดปากให้สนิท เรื่องที่พวกเขาจะแต่งงานหลังจากลงเขามานั้นข้าจะเก็บไว้เป็นความลับ” เมิ่งต้าเจียงกล่าวทันที
“ข้าสงสัยจริงว่าเมื่อไหร่เจ้าพวกนั้นจะลงจากเขา” หลิวเย่ป๋ายกล่าว
” ตามที่จดหมายบอก ชวนเอ๋อร์ฝึกวิชาโลหะทมิฬโดยไม่มีเจตจํานง และมันฝึกฝนได้ยากมาก” เมิ่งต้าเจียงกล่าว ” คงจะต้องใช้เวลาสักหน่อย”
“การฝึกฝนมรดกของโลหะทมิฬนั้นยากเย็นมาก แต่ว่ามันก็ทรงพลังมากเหมือนกัน” หลิวเย่ป๋ายกล่าว ” คุ้มค่ากับการเสียเวลาแล้วล่ะ”
“ใช่” ดวงตาของเมิ่งต้าเจียงเต็มไปด้วยความหวัง
พวกเขารู้ตัวดีว่าพวกเขานั้นไม่มีความสามารถมากนัก พวกเขาคงจะอยู่ในระดับธรรมดาอย่างเมิ่งเซียนกูหรือหวินว่านไห่เท่านั้น ดังนั้นพวกเขาจึงตั้งความหวังเอาไว้กับเมิ่งชวนและหลิวชีเยว่
เขาหยวนชู ยอดนานาอัสนี
ยอดนานาอัสนีนั้นเป็นหนึ่งในยอดเขาที่สูงที่สุดของเขาหยวนชู มันค่อนข้างจะพิเศษ บนยอดนี้มีสายฟ้าเกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง และบ่อยครั้งก็จะมีอัสนีสวรรค์ผ่าลงมาบนยอดแห่งนี้ ดังนั้นที่แห่งนี้จึงไม่มีใครอยู่ ขนาดพ่อบ้านมนุษย์ยังไม่กล้าเข้ามาใกล้
ยอดนานาอสนีนั้นหนาวเหน็บ แม้จะมีอัสนี้สวรรค์ฟาดลงมาบ้าง แต่ว่าบนยอดเขาแห่งนี้ก็ปกคลุมไปด้วยหิมะและน้ำแข็งอยู่ตลอด
ชายหนุ่มชัดสีฟ้าอ่อนนั่งขัดสมาธิอยู่บนยอดเขา เขานั่งอยู่ตรงจุดสูงสุดของยอด อยู่สูงกว่าเมฆเสียงสายฟ้าแปลบปลาบดังขึ้นและเลื้อยเข้าสู่ร่างของชายหนุ่ม
ศิษย์ส่วนใหญ่ไม่อยากจะมาที่ยอดนานาอัสนี แต่ว่ามันเป็นพื้นที่มีค่าสําหรับศิษย์ที่มีร่างอสูรตัดสายฟ้า เมิ่งชวนเปิดตาช้าๆสายฟ้าเป็นประกายอยู่ในนั้น จากนั้นเขาก็จ้องไปอีกทาง ข้าฝึกฝนมาได้ครึ่งชั่วยาม ซึ่งเทียบได้กับการที่ข้าฝึกฝนที่ถ้ำเป็นเวลาห้าชั่วยามทีเดียว ข้าประหยัดยาพันดาราไปได้หลายเม็ดเลยทีเดียว
ศิษย์ที่มีร่างอสูรตัดสายฟ้ามาที่ยอดเขาแห่งนี้เพื่อฝึกฝน ส่วนมากจะฝึกฝนอยู่ข้างๆ มีเพียงศิษย์ที่มีร่างอสูรตัดสายฟ้าที่สมบูรณ์แบบแล้วเท่านั้นถึงจะกล้าขึ้นไปฝึกฝนที่ยอด นั่นก็เพราะอัสนีสวรรค์มักจะฟาดลงบนยอดน่ะสิ! ร่างอสูรตัดสายฟ้านั้นถูกสร้างขึ้นมาด้วยพลังของอัสนีสวรรค์ ดังนั้นพวกเขาส่วนมากจึงไม่เกรงกลัวอัสนีสวรรค์กัน
นี่ก็ผ่านมาหลายปีแล้วตั้งแต่ที่ข้าอยู่บนเขา ข้าพึ่งจะเข้าถึงจิตวิญญาณกระบี่ได้เมื่อไม่นานมานี้เอง เมิ่งชวนถอนหายใจ
เทพอสูรธรรมดาๆนั้นไม่มีแม้แต่ความหวังว่าจะได้ไปถึงระดับของจิตวิญญาณ แม้จะเป็นเทพอสูรระดับมหาสุริยันที่ฝึกร่างเทพอสูรระดับต่ำหรือกลางก็ตาม ก็มักจะหยุดอยู่ที่ขอบเขตของเจตจํานง
ศิษย์ของเขาหยวนชูมีชื่อเสียงในด้านของความแข็งแกร่ง แต่พวกเขาส่วนมากก็ไปถึงเพียงระดับมหาสุริยัน แต่ในด้านของวิชาอาวุธพวกเขาจะไปถึงจุดสูงสุดที่ระดับจิตวิญญาณ
หากไม่มีการชี้นําของเจตจํานง ศิษย์ของเขาหยวนชูก็มักจะใช้เวลายี่สิบถึงห้าสิบปีในการเข้าถึงระดับของจิตวิญญาณ
อย่างเมิ่งชวน เชวเฟิง และเซี่ยวหยุนเยว่ ที่ฝึกวิชาของโลหะทมิฬกยังไม่สามารถรับมรดกผ่านเจตจํานงได้เลย พวกเขาต้องลองผิดลองถูก แม้ว่าพวกเขาจะมีความสามารถแต่การไปถึงขอบเขตของจิตวิญญาณนั้นมันก็ยากอยู่ดี
เชวเฟิงได้เข้าถึงเจตจํานงกระบี่เมื่อตอนอายุสิบห้าและเข้าถึงจิตวิญญาณกระบี่เมื่อตอนอายุยี่สิบสาม เรียกได้ว่าเขาเป็นอัจฉริยะที่หาได้ยากเพราะใช้เวลาเพียงแปดปีในการเข้าถึงจิตวิญญาณกระบี่
เซี่ยวหยุนเยว่เข้าถึงเจตจํานงเมื่อตอนยี่สิบเอ็ด และเธอเข้าถึงระดับจิตวิญญาณตอนอายุสามสิบหก ใช้เวลาถึงสิบห้าปีกว่าเธอจะไปถึงระดับของจิตวิญญาณได้ แต่ว่าเธอก็ยังใช้เวลาน้อยกว่าศิษย์เขาหยวนชูส่วนมากอยู่ดี ยิ่งไปกว่านั้นเธอไม่ได้สืบทอดมรดกผ่านเจตจํานงด้วย และนั่นก็เป็นสิ่งที่น่าประทับใจมากเช่นกัน เธอพึ่งลงจากเขาไปเมื่อสองปีที่ผ่านมานี้
เมิ่งชวนบรรลุเจตจํานงกระบี่ตอนอายุสิบเก้า และเขาเข้าถึงจิตวิญญาณกระบี่ตอนอายุยี่สิบเก้านั่นก็คือปีนี้ เขาใช้เวลาไปสิบปี! ขอบเขตสิบปิ้งของเขาคอยช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการฝึกฝนอย่างมาก แต่ก็ยังใช้เวลาไปถึงสิบปีอยู่ดี หากไม่ใช่เพราะขอบเขตรับรู้ของเขา เขาคงจะใช้เวลาพอๆกันกับเซี่ยวหยุนเยวแล้ว
“หลังจากที่ข้าได้ขึ้นเป็นเทพอสูรระดับแดนอมตะ ข้าก็ได้ร้องขอให้ท่านอาจารย์มอบต้นฉบับของวิชากระบี่จิตพิสุทธิ์มาให้เพื่อจะได้รับมรดก แก่นสารแห่งจิตของข้าสามารถทนรับมือต่อมรดกได้แล้ว หากข้าได้รับมรดกมาข้าก็จะมีการชี้นําของมรดก! การฝึกฝนวิชากระบี่ของข้าก็จะไวมากขึ้น แต่ว่าท่านอาจารย์ได้บอกว่าให้ข้ารับมรดกหลังจากที่เข้าถึงจิตวิญญาณกระบี่แล้วเท่านั้น”
“จิตวิญญาณกระบี่ที่ข้าได้มาด้วยตัวเองจะมีประโยชน์มากในตอนที่ข้าได้รับยศเฟิงโหวหรือราชันในอนาคต” เมิ่งชวนถอนหายใจ “ข้าก็รู้ว่าท่านอาจารย์ไม่ได้โกหก แต่ว่าข้าต้องติดอยู่ในระดับสูงสุดของเจตจํานงถึงห้าปี”
เขาเข้าถึงเจตจํานงกระบี่ตอนอายุสิบเก้าและเชี่ยวชาญตอนอายุยี่สิบสองและไปถึงจุดสูงของเจตจํานงตอนอายุยี่สิบสี่
การผ่านพ้นจุดติดขัดนี้ไปให้ได้คือจุดที่ยากที่สุด เขาพึ่งจะผ่านไปได้เมื่อไม่นานมานี้
“มันขึ้นอยู่กับเวลา ข้าไม่ได้เบามือฝึกฝนลงเลย ข้าเองก็เรียนรู้วิชาตราอัสนีมาแล้ว” เมิ่งชวนพยักหน้าเบาๆ “ข้าสามารถไปท้าทายถเก้าปริศนาได้อีกครั้งแล้ว
ฟุบ!
เขาหายไปราวกับสายฟ้า
เขาพุ่งผ่านยอดนานาอัสนีและไปตรงหน้าผา เพียงกระโดดครั้งเดียวก็พุ่งไปไกลถึงหนึ่งลี้ลงบนยอดเขาอีกยอด หลังจากพุ่งไปมาอีกนิดหน่อยก็หายไปอย่างรวดเร็ว
ในแง่ของความเร็วแล้วคงจะมีเทพอสูรโบราณเพียงไม่กี่คนบนเขาหยวนชูที่สามารถเอาชนะเขาได้ อย่างน้อยเทพอสูรเฟิงโหวส่วนมากก็ไม่มีความเร็วที่น่าสะพรึงขนาดนี้
ฟุบ!
เส้นสายฟ้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าถ้ำอย่างเงียบงัน ก่อนที่เมิ่งชวนจะปรากฏออกมา
ถ้ำเก้าปริศนา เมิ่งชวนเงยหน้าอ่านคําสามคําที่เขียนอยู่ตรงทางเข้า ถ้ำเก้าปริศนานั้นลึกลับมาก มันเป็นที่ที่ศิษย์ทุกคนต้องผ่านไปให้ได้ หลังจากผ่านไปได้แล้วเท่านั้นถึงจะสามารถลงจากเขาได้
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้เขามาที่นี่อยู่บ่อยครั้ง แม้เขาจะผ่านมันไม่ได้ก็ตาม แต่เขาก็สามารถสู้ได้ตามใจมือเขา
เมิ่งชวนเดินเข้าไปในถ้ำอย่างใจเย็น มันดูธรรมดา แต่มีพลังที่มองไม่เห็นคอยกั้นเอาไว้ เมื่อเขาผ่านที่กั้นนั้นไป เขาก็เห็นโลกสีดําแดงที่กว้างใหญ่
มีร่างๆหนึ่งปรากฏขึ้นมาจากโลกสีดําแดงนั้น มันเป็นอสูรหมาป่าชุดคลุมสีขาว อสูรหมาป่าตัวนั้นมีคัมภีร์อยู่ในมือ มันเงยหน้ามองเมิ่งชวนและแค่นหัวเราะ “เจ้าหนู แกมาอีกแล้วเรอะ? แกแพ้ข้ามาเจ็ดครั้งแล้วสินะ?”
ตอนที่ 118 ออกรบ
*จากนี้ไปจะขอเปลี่ยนจากยศขุนนางเทพอสูรเป็น “เทพอสูรเฟิงโหว” แทนนะครับ หลังจากที่ไปหาข้อมูลและอะไรหลายๆอย่าง ชื่อคนใหม่ๆจะเขียนทับศัพท์ แต่คนเก่าๆขอใช้ตามเดิมเพื่อป้องกันการสับสนนะครับ ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย*
เมิ่งชวนและศิษย์พี่ทั้งห้าเดินคุยกับศิษย์อื่นๆ
ในขณะเดียวกันที่มุมหนึ่งของสวน เฉียนหยู ฟูชาง ไป่อี่ และเทพอสูรอีกแปดคนนั่งรวมตัวกันอยู่
“ศิษย์น้องเมิ่งคนนี้นี่น่าประทับใจจริงๆ เขาได้ร่างอสูรตัดสายฟ้าที่สมบูรณ์หลังจากเข้าสู่นิกายมาได้หนึ่งปี และเขายังเรียนรู้วิชาของโลหะทมิฬได้สําเร็จอีก เขาไม่ด้อยไปกว่าลูกชายคนที่ห้าของราชาทะเลางไร่เลย” ชายหนุ่มรูปงามกล่าวพร้อมกับกวาดพัด
“ในหมู่ศิษย์ในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมานี้ เมิ่งชวนกับเชวเฟิงเรียกได้ว่าเป็นที่สุดจริงๆ”
“ทั้งคู่มีโอกาสจะได้เป็นราชันเทพอสูรเลยด้วยซ้ำ” พวกเขาต่างชื่นชมเมิ่งชวนและเชวเฟิง
ในตอนที่พวกเขาพยายามจะเรียนรู้ร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษและโลหะทมิฬ พวกเขาก็เข้าใจว่ามันยากมากแค่ไหน
การเรียนรู้โลหะทมิฬโดยไม่มีเจตจํานงคอยชี้นําก็หมายความว่าคนๆนั้นจะต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง และการฝึกฝนนั้นยากมากๆ จากที่เขาหยวนชูบอก หลังจากที่ได้เป็นเทพอสูรระดับมหาสุริยันและควบแน่นแก่นสารแห่งจิตได้สําเร็จถึงจะสามารถสืบทอดมรดกของโลหะทมิฬได้ ศิษย์ของเขาหยวนชูส่วนมากเป็นได้แค่ระดับมหาสุริยันเท่านั้น พวกเขาไม่สามารถควบแน่นแก่นสารแห่งจิตได้
และนั่นทําให้ศิษย์ส่วนใหญ่ไม่สามารถสืบทอดโลหะทมิฬได้ไปตลอดชีวิต หากไม่มีการชี้นําของเจตจํานง จะต้องใช้เวลานานเท่าไหร่กันในการเรียนรู้วิชาของโลหะทมิฬ? และไหนจะมรดกทั้งชิ้นอีกล่ะ?
ดังนั้นศิษย์ส่วนใหญ่จึงยอมแพ้หลังจากที่ลองไปหลายรอบและรับรู้ว่าพวกเขาไม่สามารถเรียนรู้วิชาของโลหะทมิฬได้ในเร็ววันหรอก
” พวกเจ้า” เมื่อได้ยินคําชมจากคนรอบๆ เฉียนหยูก็กล่าวออกมาในที่สุด “ก่อนหน้านี้ข้าได้ทําสิ่งที่น่าอับอายลงไป”
“น่าอับอาย?” ทุกคนงุนงง
“ใช่” เฉียนหยูพูดออกมาแบบไม่ปิดบัง “ก่อนหน้านี้เมิ่งชวนพึ่งจะได้อยู่ในนิกายเพียงครึ่งปี เขาจึงยังไม่มีชื่อเสียง ตอนที่ข้าไปหาศิษย์น้องหลิวชีเยวข้าก็ได้พบกับเมิ่งชวนพอดี ตอนนั้นข้าจึงได้ให้คําแนะนําไปในฐานะศิษย์พี่ ข้าบอกกับเขาว่าการฝึกฝนร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษนั้นยากเย็นเพียงไหนและเขาไม่ควรจะเสียเวลาเพียงเพื่อจะล้มเหลว ข้าแนะนําไปว่าควรจะยอมแพ้หากจําเป็น”
“เจ้าขอให้ศิษย์น้องเมิ่งยอมแพ้เรอะ?”
“เฉียนหยู เจ้าขอให้เขายอมแพ้เลยเรอะ?” คนอื่นๆหัวเราะ
“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร?” เฉียนหยูกล่าวอย่างช่วยไม่ได้ ” ตอนที่ข้าพูดแบบนั้นไป เขายังไม่ได้ประสบความสําเร็จมากขนาดนี้ แต่ในเวลาเพียงสองเดือนเขาก็เริ่มการขัดเกลาจุดที่แปดของร่างอสูรตัดสายฟ้าแล้ว และยังเรียนรู้วิชาของโลหะทมิฬได้อีก พอคิดกลับไปถึงคําพูดก่อนหน้านั้นมันก็ทําให้ขารู้สึกอายจริงๆ ข้าอับอายมากจนข้ามักจะหลบหน้าเขาอยู่ตลอด”
“ข้าว่าอีกเดี๋ยวศิษย์น้องเมิ่งจะมาแล้ว เจ้าอยากจะไปซ่อนไหมล่ะ?”
“ถ้าเขามาเจ้าก็ไปเข้าห้องน้ำก็ได้”
“เดี๋ยวพวกข้าจะบอกกับเขาเองว่าศิษย์พี่เฉียนหยไม่กล้าสู้หน้าเจ้าเลยไปหลบอยู่ในส้วม” คนอื่นๆเหน็บ
เฉียนหยูได้แต่มองเพื่อนๆของเขาอย่างช่วยไม่ได้
“ใช่ ข้าตัดสินใจแล้ว” เฉียนหยูกล่าว “ข้าจะท้าทายถ้ำเก้าปริศนาในเดือนนี้และออกจากเขาในวันที่สิบห้ากันยายน
“เร็วขนาดนั้นเลยรึ?” ฟูชางอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “พี่เฉียนหยู ไหนว่าพวกเราตกลงกันไว้แล้วว่าจะลงจากเขาด้วยกัน? ข้าได้ไปท้าทายถ้ำเก้าปริศนามาแล้วแต่ข้ายังแข็งแกร่งไม่พอ คงจะต้องใช้อีกสามถึงสี่เดือน”
“ใช่ๆ เราตกลงว่าจะลงไปด้วยกันไม่ใช่รึ?”
มีศิษย์เทพอสูรทั้งหมดสิบเอ็ดคนตรงนี้ พวกเขาบางส่วนผ่านถ้ำเก้าปริศนาไปได้แล้ว ส่วนบางคนก็ยังขาดอีกนิดหน่อยก่อนจะผ่าน พวกเขาตกลงกันว่าจะลงจากเขาพร้อมกันก่อนสิ้นปีนี้!!
นี่เป็นเรื่องปกติของเขาหยวนชู หากศิษย์เทพอสูรลงจากเขาพร้อมกันหลายคน พวกเขาก็มักจะจัดให้ศิษย์สองสามคนไปเมืองด่านเดียวกัน
เขาหยวนชูรู้ถึงความแข็งแกร่งของศิษย์ ความยากของถ้ำเก้าปริศนาขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละคน ดังนั้นยิ่งมีความสามารถมากก็จะยิ่งยาก แม้ว่าศิษย์ที่อ่อนแอกว่าจะผ่านถ้ำเก้าปริศนาไปได้แต่พวกเขาก็รู้ว่ายังแข็งแกร่งไม่พอ ดังนั้นเขาหยวนชูจึงไม่ว่าอะไรหากจะยังฝึกฝนอยู่บนภูเขาอีกซักสองสามเดือน เขาหยวนชูจะบังคับให้ลงก็ต่อเมื่อใช้เวลานานเกินไปเท่านั้น
“ข้าอยู่บนเขามากจนพอแล้ว ข้าอยู่ที่นี่มามากกว่าสิบปีเสียอีก” เฉียนหยูกล่าว “ข้าอยากลงจากเขาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทําได้เพื่อจะได้ช่วยเหลือเผ่าพันธุ์มนุษย์!”
ศิษย์คนอื่นๆนิ่งไป
“ช่างมันเถอะ ข้าจะผ่านถ้ำเก้าปริศนาให้ได้ในเดือนนี้ด้วยเหมือนกัน ลงจากเขาด้วยกันภายในเดือนหน้าเถอะ”
“ข้าด้วย”
“ถ้าเจ้ายังอ่อนแอ ให้ฝึกฝนอีกซักเดือนสองเดือน ข้าจะร่วมด้วย ข้าอยู่บนเขามากว่าสามสิบปีแล้ว ได้เวลาแล้วที่ข้าจะลงจากเขา”
เหล่าคนที่มีพลังมากพอที่จะผ่านถ้ำเก้าปริศนาต่างตามเฉียนหยูที่เป็นหัวหอก
หลังจากอยู่บนเขามานานหลายปี มีใครบ้างเล่าที่ไม่อยากจะมีความสําเร็จ? เหล่าผู้ที่มาจากตระกูลเทพอสูรโบราณก็อยากจะแสดงความสามารถของตนให้พวกผู้อาวุโสเห็น!
“เอาล่ะ พี่น้องทั้งหลาย เราจะลงไปด้วยกัน” เฉียนหยูกล่าวอย่างกล้าหาญ ” แม้เราไม่สามารถเทียบได้กับเชวเฟิงหรือเมิ่งชวน แม้เราไม่หวังที่จะได้เป็นเพิงโหว แต่อย่างน้อยเราก็ต้องได้เป็นเฟิงโปว”
“ใช่แล้ว เป็นเพิงโปว!”
“ไปให้ถึงเฟิงโปว และในอนาคตพวกเราอาจจะได้รับยศเฟิงโหวหรือราชันเลยก็ได้”
เหล่าเทพอสูรเต็มไปด้วยความคาดหวัง
การที่จะได้ตําแหน่งเฟิงโปวนั้นจะต้องใช้แต้มถึงห้าล้านแต้ม! แม้ว่าเฟิงโปวนั้นจะต่ำกว่าเฟิงโหว แต่ว่ามันก็ยังเป็นยศที่ไม่ได้ได้มาง่ายๆ ปกติแล้วจะมีเทพอสูรระดับมหาสุริยันหนึ่งในสิบคนที่จะได้ตําแหน่งเฟิงโปว พวกเขานั้นต้องอุทิศตนแก่เหล่ามนุษยชาติอย่างมหาศาลและมันเป็นเกียรติมากที่จะได้รับตําแหน่ง
“พวกเราตกลงกันว่าจะลงเข้าพร้อมกัน แต่คราวนี้พวกเจ้าทั้งห้าบอกจะลงก่อน”
“แล้วใครใช้ให้เจ้าฝึกช้าขนาดนี้กันเล่า?”
พวกเขาหยอกล้อกัน
ไม่นานเมิ่งชวนกับคนอื่นๆก็มาถึง
“น้องเมิ่ง พี่ๆทั้งสิบเอ็ดคนนี้อีกไม่นานก็จะได้ลงจากเขาแล้ว” เฉียวหยงแนะนําพวกเขาด้วยรอยยิ้ม “พวกเขามั่นใจว่าจะผ่านถ้ำเก้าปริศนาได้ในปีนี้”
เมิ่งชวนคุ้นเคยกับศิษย์พี่เหล่านี้ เขาเคยเจอกับพี่เฉียนหยูมาก่อนด้วยซ้ำ
เฉียนหยูเริ่มพูดก่อน “น้องเมิ่งชวน ข้าขออภัยที่ก่อนหน้านี้เสียมารยาทกับเจ้าไป”
“พี่เฉียนหยู ท่านเพียงให้คําแนะนํากับข้าด้วยความหวังดี ไม่ได้เสียมารยาทเลยแม้แต่น้อย” เมิ่งชวนกล่าวพร้อมรอยยิ้ม เขาไม่ได้ใส่ใจมากกับสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้น ยิ่งไปกว่านั้นเขาเป็นมิตรต่อเทพอสูรทุกคนมาก นั่นก็เพราะเทพอสูรทุกคนต่างอุทิศชีวิตของตนเพื่อปกป้องมนุษย์ชาติ ซักวันหนึ่งพวกเขาก็ต้องออกไปต่อสู้ เช่นเดียวกันกับพี่เฉียนหยูและคนอื่นๆ มีเพียงไม่กี่คนที่ได้อยู่จนแก่เฒ่า
เขาเป็นมิตรต่อเทพอสูรมนุษย์ แต่ความต้องการฆ่านั้นมีไว้ต่อเหล่าราชาอสูร นี่เป็นวิธีของเขาตราบใดที่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เขาก็จะไม่เก็บเอามาใส่ใจ
“ฮ่าฮ่า น้องชาย เจ้ามีน้ำใจยิ่งกว่าข้าเสียอีก ข้าประทับใจจริงๆ” เฉียนหยยกจอกขึ้นและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าจะลงจากเขาในเดือนหน้า เจ้าต้องมาด้วยนะตอนนั้น”
“แน่นอน” เมิ่งชวนพยักหน้า
ครึ่งเดือนต่อมา วันที่ 15 กันยายน วันที่ศิษย์เทพอสูรหลายคนจะลงจากเขาไปพร้อมกัน
“พี่ป่ายกับพี่เฉียนจะลงไปสู่สนามรบแล้ววันนี้ ข้าจะไปส่งพวกเขาเหมือนกัน” หลิวชีเยว่กล่าว ศิษย์มนุษย์ส่วนมากมักจะไม่ได้มีส่วนร่วมในเรื่องนี้มากเท่าไหร่นัก แต่ว่าป่ายอี่กับเฉียนหยูต่างมีอาจารย์คนเดียวกันกับหลิวชีเยว่ เฟิงโหวเทียนซิงโหว พวกเขานั้นค่อนข้างจะสนิทกัน ดังนั้นเธอจึงต้องไปส่งพวกเขา
“งั้นก็ไปด้วยกันสิ” เมิ่งชวนพูดด้วยรอยยิ้ม
ทั้งสองคนลงจากจิ้งหมิงเฟิงด้วยกันและมุ่งหน้าไปยังผาแดงโลหิตที่หวงซุนจิง
ผาแดงโลหิตเป็นที่ที่เหล่าศิษย์จะได้ลงจากภูเขา
ครั้งนี้มีศิษย์เทพอสูรหกคนจะลงจากภูเขาพร้อมกัน
“พี่ฉู ขวานของท่านไม่ธรรมดาเลย”
“ฮ่าฮ่า นี่เป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ระดับโลกา ในบรรดาศิษย์ที่ลงจากเขาครั้งนี้ อาวุธที่ข้าได้จากถ้ำอาวุธศักดิ์สิทธิ์นั้นดีที่สุดเลยล่ะ” ชายร่างกํายําสวมชุดเกราะถือขวานสีแดงเข้มที่หนักกว่าพันจิน(500กิโลกรัม) เขาแกว่งมันไปมาด้วยรอยยิ้ม
เมิ่งชวนและหลิวชีเยว่มาถึงเขาแดงโลหิตพอดี
“อาวุธศักดิ์สิทธิ์ระดับโลกา?” แววตาของเมิ่งชวนและหลิวชีเยวลุกโชนไปด้วยความมุ่งมั่น ศิษย์เทพอสูรจะสามารถเลือกเกราะกับอาวุธศักดิ์สิทธิ์ได้ก็ต่อเมื่อผ่านถ้ำเก้าปริศนาไปแล้ว! อาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่จะได้รับนั่นก็ขึ้นอยู่กับทั้งโชคและชะตา เพราะอาวุธเหล่านั้นจะเลือกเจ้านายของมันเอง อาวุธศักดิ์สิทธิ์จะลอยไปหาเทพอสูรที่แข็งแกร่ง และอาวุธที่อ่อนแอก็จะร่วงลงไปในขณะที่ถูกอันที่แข็งแกร่งกว่าปัดทิ้งไป
อาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงพลังนั้นจะกินกันไม่ลง และในตอนนั้นเองศิษย์ก็จะเลือกได้
เหล่าศิษย์ที่กําลังจะได้ลงจากเขานั้นค่อนข้างจะอ่อนแอ ดังนั้นพวกเขาส่วนมากจึงได้อาวุธศักดิ์สิทธิ์ระดับมนุษย์กัน โอกาสที่จะได้อาวุธระดับโลกานั้นค่อนข้างจะต่ำ แม้ว่ามันจะขึ้นอยู่กับโชคชะตาว่าจะได้อาวุธที่แข็งแกร่ง แต่โอกาสที่พวกมันจะเลือกเทพอสูรที่อ่อนแอนั้นก็น้อย
มีหนึ่งในสิบคนเท่านั้นที่จะได้อาวุธระดับโลกา
อาวุธศักดิ์สิทธิ์ระดับโลกาเป็นสิ่งที่เหล่าเทพอสูรเฟิงโหวใช้ในการต่อสู้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย อาวุธระดับสวรรค์นั้นสําหรับราชันเทพอสูร ไม่เหมือนวิชาที่ทุกคนจะเลือกได้ตามใจ อาวุธศักดิ์สิทธิ์นั้นมีค่ากว่ามาก! อาวุธเหล่านี้สืบทอดกันมาหลายต่อหลายรุ่น ในตอนที่เจ้านายที่แข็งแกร่งใช้มันเป็นเวลานานพวกมันก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ
” ท่านเจ้าเขามาแล้ว” เหล่าศิษย์เทพอสูรเงียบลง
เจ้าเขาหยวนชูและผู้อาวุโสอี้เดินมาและมองดูศิษย์เทพอสูรที่กําลังจะได้ลงจากเขาด้วยรอยยิ้ม
“ฮ่าฮ่า ทิ้งรูปเอาไว้ก่อน” เจ้าเขาหยวนชูหัวเราะ
ศิษย์เทพอสูรคนอื่นๆถอยออกไป เหลือเพียงหกคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น
เฉียนหยู ป่าย ฉลุ่ย และศิษย์เทพอสูรคนอื่นๆยืนขึ้นและจัดเกราะ แต่ละคนโพสท่าของตัวเอง พวกเขาแบกอาวุธไว้บนหลัง ดวงตาเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้น ภาพเหล่านี้จะประทับอยู่อีกเป็นพันปี! แม้พวกเขาจะแก่และตายไป แต่ภาพเหล่านี้ก็จะเป็นอนุสรจารึกบนกําแพงที่คอยย้ำเตือนตัวตนเมื่อยังเยาว์ก่อนจะออกรบ ดังนั้นพวกเขาจึงจริงจังมาก
“เอาล่ะ ถ่ายไปแล้ว” เจ้าเขาหยวนชูพยักหน้า “ข้าจะให้เวลาเจ้าหนึ่งก้านธูปก่อนไปพบกับเฟิงโหวเทียนซิงโหวที่เชิงเขา เขาจะส่งพวกเจ้าไปที่เมืองด่าน”
“ขอรับ” ศิษย์เทพอสูรทั้งหกคนกล่าวด้วยท่าทางนอบน้อม
“พี่น้องทั้งหลาย พวกเราจะไปกันแล้ว”
“ฮ่าฮ่า พวกเจ้าฝึกฝนกันไป พวกข้าจะไปสังหารพวกราชาอสูรก่อนเอง” พวกเขาหัวเราะเล็กน้อยขณะพูดคุยสั้นๆกับเหล่าศิษย์ที่พวกเขาคุ้นเคยและแนะนําพวกเขา
“พี่ป่าย พี่เฉียน ระวังตัวด้วย” หลิวชีเยว่กล่าว
“อย่ากังวลไปเลยศิษย์น้อง” ป่ายอี่และเฉียนหยูต่างก็หัวเราะ
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เทพอสูรทั้งหกก็ลงจากเขาไปอย่างรวดเร็ว เจ้าเขาหยวนชูและผู้อาวุโสอี่เฝ้ามองดูอย่างเงียบๆ
“ศิษย์อีกหกคนได้ลงจากเขาไปแล้ว” ผู้อาวุโสอีกล่าวเบาๆ
” พวกเขาจะสังหารราชาอสูรและปกป้องชีวิตอีกนับไม่ถ้วน” เจ้าเขาหยวนชูกล่าว
เมิ่งชวนที่กําลังเฝ้าดูอยู่ไกลๆก็เต็มไปด้วยความกระตือรือร้น เขาเองก็เฝ้ารอวันที่จะได้ลงจากเขา วันที่เขาจะได้เริ่มสังหารอสูรและปกป้องมนุษย์ชาติ
ศิษย์ทุกคนบนเขารฝึกฝนกันอย่างหนัก
เขาหยวนชูใส่ใจกับความก้าวหน้าของศิษย์แต่ละคน พวกเขาเลือกเส้นทางการฝึกวิชาที่เหมาะสมและเลี้ยงดูพวกเขาให้เต็มที่
เมิ่งชวนใช้โอกาสนี้ในทุกๆวินาทีเพื่อฝึกฝนวิชา เขารู้ว่าเทพอสูรหลายคนที่ลงจากเขาไปแล้วกําลังต่อสู้ พวกเขาคอยต้านทานเอาไว้เพื่อให้เขาสามารถฝึกฝนกันได้อย่างสงบสุข
ฤดูใบไม้ผลิผ่านไปอีกครั้ง
เวลาได้ผันผ่านไปอีกหลายปี
เทพอสูรอีกหลายคนก็ได้ลงจากเขาไปเรื่อยๆพร้อมกันกับที่ศิษย์ใหม่ก็เข้าสู่นิกายทุกๆปี
เพียงชั่วพริบตาก็ผ่านไปเก้าปี เมิ่งชวนฝึกฝนอยู่บนเขามาเกือบสิบเอ็ดปีแล้ว
ภาค 6 ผู้กล้ามุ่งสู่แนวหน้า ตอนที่ 117 เต๋าเจี่ยวหลิง
“เป็นภาพวาดที่ดีจริงๆ” หลิวชีเยว่พูดขึ้นหลังจากเมิ่งชวนวาดภาพเสร็จ เธอมองภาพวาดด้วยความประหลาดใจ “อาชวน ตั้งแต่อยู่บนเขาข้าก็เคยเป็นเจ้าวาดภาพหลายครั้ง แต่ถึงภาพนี้มันจะธรรมดา แต่ข้าคิดว่ามันคือภาพที่ดีที่สุดที่เจ้าวาดมาเลยล่ะ”
ภาพวาดสามารถสะท้อนความรู้สึกของคนได้
ภาพเหล่านี้ที่ต่อกันมันทําให้ดูเหมือนมันมีชีวิตขึ้นมา
หลิวชีเยว่เคยเห็นเมิ่งชวนวาดภาพอยู่หลายครั้ง เธอรู้ว่าภาพของเขานั้นงดงามมาก แต่ว่าก็ไม่มีอันไหนเลยที่เหมือนกับภาพนี้
“ใช่” เมิ่งชวนพยักหน้า เขาเองก็ยอมรับว่านี่คือภาพที่ดีที่สุดที่เขาวาดออกมานับตั้งแต่อยู่บนเขาหยวนชูนี้ แก่นสารแห่งจิตของเขาเปล่งแสงออกมาอย่างงดงาม แก่นสารแห่งจิตของเขากําลังเปลี่ยนแปลง มันเริ่มชัดเจนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“ชีเยว่ ข้าจะส่งภาพนี้ไปวันนี้ เจ้าอยากจะส่งอะไรไปด้วยไหม?” เมิ่งชวนถาม
“ข้าจะเขียนจดหมายถึงพ่อ” หลิวชีเยว่กล่าว “รอข้าหน่อย ไม่นานหรอก” พูดจบหลิวชีเยว่ก็ไปนั่งที่โต๊ะและเขียนจดหมายของเธอในทันที
เมิ่งชวนยิ้มและนั่งลงเขียนจดหมายเช่นกัน ภาพวาดนั้นเป็นของขวัญสําหรับพ่อของเขา เขายังมีอีกหลายอย่างที่อยากจะบอกกับพ่อ และเขาเองก็อยากรู้เรื่องราวของที่บ้านด้วยเช่นกัน
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม เขาก็ได้ให้คนรับใช้เตรียมผ้าไหมเพื่อห่อรูปภาพและจดหมาย เขาวางมันลงไปในกระบอกไม้ที่ทําขึ้นมาเอง ข้างในของกระบอกไม้ถูกคว้านออกด้วยลําแสงกระบี่ ทําให้มันเรียบเนียนมาก และตรงปลายก็ปิดด้วยจุก
หลังจากนั้นเขาก็ไปที่คลังสมบัติเพื่อให้เขาหยวนชูส่งกระบอกนี้ไปให้พ่อของเขา เมิ่งต้าเจียงที่อยู่ที่เมืองตงหนิง
“นายท่านเมิ่งชวนไม่ต้องเป็นกังวล มันจะถูกส่งออกไปในคืนนี้ มันน่าจะถึงเมืองตงหนึ่งในบ่ายวันพรุ่งนี้” พ่อบ้านที่คลังสมบัติกล่าวด้วยความอ่อนโยน
จากนั้นเมิ่งชวนก็เดินออกไป
ตอนที่เขาออกไปเขาก็ตรวจสอบแก่นสารแห่งจิตของตน ในทะเลแห่งสติที่กว้างใหญ่ของเขา แก่นสารแห่งจิตก็หยุดเปลี่ยนแปลงแล้ว มันดูเห็นได้ชัดมากกว่าแต่ก่อน เมิ่งชวนคิดว่าแม้ภาพวาดจะไม่ได้ใช้เวลาในการวาดนาน แต่แก่นสารแห่งจิตของเขาก็เปลี่ยนแปลงไปไม่น้อยกว่าตอนที่เขาวาดภาพ “แสงแดดยามเช้า” เลย!
“เห็นได้ชัดว่าแก่นสารแห่งจิตไม่ได้ขึ้นอยู่กับระยะเวลาในการวาด มันเปลี่ยนแปลงไปตอนที่ข้าตามหาคําตอบจากตัวตนภายในของข้า” นี่เป็นสิ่งที่อาจารย์เคยบอกเขาเอาไว้แล้ว ทุกๆครั้งที่เขาตามหาคําตอบจากตัวตนภายใน จิตใจและแก่นสารแห่งจิตก็จะเปลี่ยนแปลง
ยิ่งคําตอบที่เขาตามหานั้นลึกซึ้งมากเท่าไหร่ การเปลี่ยนแปลงก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
ภาพวาดนี้แสดงให้เห็นถึงความคิดถึงพ่ออย่างมหาศาลกับยี่สิบปีในชีวิตของเขา การเปลี่ยนแปลงนี้มันเทียบได้กับตอนที่วาด “แสงแดดยามเช้า” เสร็จ ส่วนของ “สรรพชีวิต” นั้นเขาไม่รู้ว่ามันเปลี่ยนแปลงไปเท่าไหร่เพราะในตอนนั้นเขายังไม่ได้ควบแน่นแก่นสารแห่งจิตเลย แก่นสารแห่งจิตของเขาเกิดขึ้นมาหลังจากที่เขาวาด “สรรพชีวิต” เสร็จเท่านั้น เพราะอย่างนั้นจึงไม่รู้ว่าจิตของเขาแข็งแกร่งขึ้นมาเท่าไหร่
แม้ว่าแก่นสารแห่งจิตของข้าจะพัฒนาขึ้นแต่มันก็ไม่ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เมิ่งชวนเข้าใจว่าการที่จะให้แก่นสารแห่งจิตเปลี่ยนไปมีประสิทธิภาพมากขึ้นนั้นยากมาก ขอบเขตการรับรู้ของเขาก็ยังกว้างสิบจิ้งเหมือนเดิม ส่วนระยะสัมผัสของเขาก็ยังกว่าหนึ่งตามเดิม และการควบคุมร่างกายและพลังปราณก็เหมือนก่อนหน้า
แต่ก็เรียกได้ว่าก้าวหน้าอยู่ดี มีเพียงหลังจากที่เขาฝึกฝนแก่นสารแห่งจิตไปจนถึงขีดสุดเท่านั้น มันถึงจะเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิงได้ และมันเป็นสิ่งที่เขาไม่ควรรีบร้อน
บนยอดเขาเต๋าเจี่ยวหลิง ในเวลากลางคืน
วันที่เมิ่งชวนเป็นเทพอสูรคือวันที่ยี่สิบสิงหาคม และเป็นวันเดียวกันกับวันเต๋าเจี่ยวหลิง
“นายท่านเมิ่งชวนโปรดตามมาทางนี้ขอรับ” พ่อบ้านของเต๋าเจี่ยวหลิงนําทางไป
ยอดเขาเต๋าเจี่ยวหลิงนั้นจะถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน หนึ่งคือสําหรับศิษย์ที่ยังไม่ได้เป็นเทพอสูร อีกส่วนสําหรับศิษย์ที่เป็นเทพอสูร
นี่เป็นครั้งแรกที่เมิ่งชวนไปที่พื้นที่สําหรับเทพอสูร
“นายท่านเมิ่งชวนโปรดรอสักครู่” พ่อบ้านกล่าวยิ้มๆ “ทุกๆครั้งที่มีเทพอสูรกําเนิดใหม่เข้ามาร่วมการชุมนุมจะมีงานฉลองเล็กๆให้ขอรับ ตอนนี้พวกเรากําลังเตรียมตัวกันอยู่ อีกครู่หนึ่งท่านก็ไปได้แล้วขอรับ”
“เข้าใจแล้ว” เมิ่งชวนรออยู่เฉยๆในห้องโถง
หลังจากนั้นไม่นานก็มีคนรับใช้พยักหน้ามาจากไกลๆ พ่อบ้านบอกกับเมิ่งชวน “พวกเราสามารถไปกันได้แล้วขอรับนายท่านเมิ่งชวน”
เมิ่งชวนเดินตามเขาไปที่สวน มีเทพอสูรเกือบสองร้อยคนอยู่ตรงนี้ พวกเขานั่งจัดกลุ่มคุยกันอยู่ และเมื่อเห็นเมิ่งชวนเดินเข้ามาทุกๆคนก็ยืนขึ้นและชูจอกขึ้น
เทพอสูรกับมนุษย์ให้ความรู้สึกที่ต่างกันมาก
เทพอสูรมีพลังแปลกๆหลายอย่าง เมิ่งชวนเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น เขามีอัสนีสวรรค์และกระแสพลังวินาศ เหล่าเทพอสูรที่อยู่ตรงนี้แทบทั้งหมดก็ได้เข้าถึงระดับของเจตจํานงกันหมดแล้ว กระแสพลังของพวกเขาก็แข็งแกร่งเช่นกัน
เมื่อทุกคนยืนขึ้นและมองมาทางเขา เมิ่งชวนก็รู้สึกถึงความกดดัน
“นายท่านเมิ่งชวนขอรับ” คนรับใช้คนหนึ่งถือถาดไม้ที่มีจอกเหล้าอยู่ในนั้น มันเติมจนปริ่มจอก
เมิ่งชวนหยิบจอกมา
“ศิษย์น้องเมิ่งชวน ขอแสดงความยินดีที่ผ่านขอบเขตความเป็นตายและขึ้นเป็นเทพอสูรได้สําเร็จ” เหล่าเทพอสูรชูจอกขึ้นและแสดงความยินดีกับเขา
“ขอขอบคุณศิษย์พี่และศิษย์พี่หญิง” เมิ่งชวนยกจอกขึ้นเช่นกัน
จากนั้นพวกเขาก็กระดกดื่มจนหมด
การเป็นเทพอสูรนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย! พวกเขาฉลองทุกครั้งที่มีเทพอสูรคนใหม่ นี่เป็นธรรมเนียมของเขาหยวนชูมาหลายรุ่นแล้ว
ศิษย์เทพอสูรหลายคนยิ้มให้เมิ่งชวน ส่วนมากก็นั่งลงและจับกลุ่มคุยกันต่อไป
“ศิษย์น้องเมิ่งชวน” มีชายสี่คนพร้อมกับผู้หญิงอีกหนึ่งเดินเข้ามาหา
“คารวะศิษย์พี่เฉียวหยง” เมิ่งชวนทักทาย “ศิษย์พี่และศิษย์พี่หญิงก็เช่นกัน”
จากห้าคนนั้นเขารู้จักกับเฉียวหยงเพียงคนเดียวเท่านั้น เพราะเฉียวหยงเป็นมิตรกับคนอื่น ดังนั้นเขาจึงไปที่ทางฝั่งศิษย์มนุษย์และไปพูดคุยบ้างบางที
“ข้าชื่อเซิงจาน คารวะศิษย์น้องเมิ่งชวน ข้าเคยได้ยินชื่อเสียงของเจ้ามานานแล้ว นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ข้าได้มีโอกาสคุยกับเจ้า”
“ข้าชื่อเซิงหรูหยู คารวะ…”
เฉียวหยงและศิษย์พี่คนอื่นๆนั้นเป็นมิตรมาก พวกเขาแนะนําเมิ่งชวนให้เทพอสูรบนเต๋าเจี่ยวหลิงทุกคน นี่เองก็เป็นธรรมเนียมของนิกายเช่นกัน
เมื่อเทียบกับศิษย์มนุษย์แล้ว ศิษย์เทพอสูรนั้นเป็นกลุ่มก้อนและสนิทกันมากกว่า นี่ก็เป็นเพราะพวกเขาหลายคนต้องลงจากเขาหลังจากไปถึงระดับแดนอมตะ พวกเขาต้องปกป้องมนุษย์ทั่วทั้งโลก! บางคนอาจไม่มีโอกาสได้กลับมาเลยด้วยซ้ำ
“หลังจากที่เป็นเทพอสูรแล้วก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนักหรอก” เฉียวหยงกล่าว “แต่ว่าก็มีสิ่งที่เจ้าต้องจําเอาไว้ อย่างแรก เทพอสูรทุกคนต้องเข้าร่วมเต๋าเจี่ยวหลิงทุกครั้งที่มีเทพอสูรใหม่ อย่างที่สอง ในวันที่ศิษย์เทพอสูรจะลงจากเขาหลังจากผ่านถ้ำเก้าปริศนาได้แล้ว ศิษย์เทพอสูรคนอื่นๆจะต้องไปส่งพวกเขา สาม เมื่อศิษย์เทพอสูรตายในการต่อสู้ ชื่อของพวกเขาจะถูกจารึกลงที่เขาแดงโลหิต เจ้าจะต้องไปอยู่ที่นั่นด้วย นี่เป็นข้อกําหนด ยกเว้นว่าจะมีเหตุจําเป็น”
เมิ่งชวนพยักหน้าเล็กน้อย
สามเรื่องนี้สําคัญสําหรับศิษย์เทพอสูณมาก การได้เป็นเทพอสูร ลงจากเขา และตายในการต่อสู้
“ศิษย์น้องเมิ่ง ไปกันเถอะ ได้เวลาไปแนะนําตัวให้ศิษย์คนอื่นๆแล้ว” เซิงหรูหยู หญิงสาวเพียงคนเดียวกล่าวขึ้น ศิษย์พี่ทั้งห้าคนพาเมิ่งชวนไปรอบๆ พวกเขานั่งดื่มและพูดคุยทําความรู้จักกัน
“ศิษย์พี่หวางดูแลข้าดีมาก เขามักจะช่วยเหลือข้าในด้านวิชากระบี่ พวกเราฝึกวิชากระบี่บนยอดนานากระบี่มาสามปี” ศิษย์เทพอสูรที่ดูหมดกําลังใจคนหนึ่งพูดพร้อมกับดื่ม “หลังจากที่เขาลงจากเขาไป เขาก็ไปประจําการที่เมืองด่านอยู่สามปีอย่างสงบ แต่ในตอนที่เขากลับไปที่เมืองของตนก็ถูกราชาอสูรลอบสังหารจนตายไป”
“เมืองด่านเป็นสนามรบที่อันตราย แต่มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว ในเมืองที่ดูจะปลอดภัยอาจจะมีราชาอสูรแทรกซึมอยู่ก็ได้”
“มีราชาอสูรบางตัวที่ลอบแฝงตัวอยู่ในเมืองมนุษย์ ปกติแล้วขุนนางเทพอสูรกับราชันเทพอสูรจะลาดตระเวนเพื่อสังหารราชาอสูรพวกนั้น และพวกราชาอสูรพวกนั้นจะมีแรงจูงใจบางอย่างก่อนจะทําอะไร”
“ศิษย์น้องลู่อย่าเศร้าใจไป ทุกคนรู้ว่าพวกเราอาจจะตายหลังจากที่ลงจากเขา ข้าคิดว่าศิษย์พี่หวางคงจะเตรียมพร้อมเอาไว้อยู่แล้ว” ศิษย์เทพอสูรคนอื่นๆกล่าว
ศิษย์เทพอสูรที่กําลังท้อแท้ส่ายหน้าและกล่าว “ข้าแค่รู้สึกแค้นใจแทนศิษย์พี่หวางเท่านั้น หลังจากที่ออกมาจากสนามรบเขาก็พึ่งจะได้แต่งงานยังไม่มีลูกด้วยซ้ำ เมื่อไม่กี่วันก่อนนี้ เขาก็พึ่งส่งจดหมายมาหาข้าบอกว่าเขาจะไปถึงขอบเขตมหาสุริยันในอีกสองปี! หากเขาไปถึงขอบเขตมหาสุริยันแล้วราชาอสูรนั่นคงทําอะไรเขาไม่ได้ อีกเพียงสองปีเท่านั้น! แต่เพราะสองปีนั้นจึงทําให้เขาต้องเสียชีวิต! ศิษย์พี่หวางมาจากตระกูลธรรมดา การที่เขาฝึกฝนได้ถึงระดับนั้นมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย มันช่างปวดใจเสียจริงๆ”
ศิษย์คนอื่นๆพยายามปลอบโยนเขา แต่ว่าเขาหยวนชูก็มีคนเสียชีวิตทุกปี แต่ว่าศิษย์คนนี้สนิทกับศิษย์พี่หวางมาก เขาจึงเศร้ายิ่งกว่าใคร
“ทุกคน” เฉียวหยงและคนอื่นๆพาเมิ่งชวนไปหา “นี่คือศิษย์น้องเมิ่งชวน”
เทพอสูรที่นั่งจับกลุ่มยืนขึ้นในทันใด
“ศิษย์น้องเมิ่งชวน พวกเราได้ยินเรื่องราวของเจ้าที่ผ่านการขัดเกลาจุดที่เก้ามานานแล้ว”
“ศิษย์น้องเมิ่ง ข้าชื่อหลิวเหอโจว”
พวกเขาเริ่มพูดคุยกัน
“ศิษย์น้องลู่ฟาง” เฉียวหยงถาม เกิดอะไรขึ้นรึ?”
“ไม่มีอะไรหรอก” สู่ฟางยืนขึ้นและมองไปที่เมิ่งชวน เขาชูจอกขึ้นและกล่าว “ศิษย์น้องเมิ่งชวน เจ้าบรรลุร่างอสูรตัดสายฟ้าที่สมบูรณ์และยังเรียนรู้วิชาของโลหะทมิฬได้ เจ้าคือคนที่แกร่งที่สุดในหมู่พวกเรา ในอนาคต เจ้าต้องสังหารราชาอสูรให้ได้มากๆและแก้แค้นให้ศิษย์ของเราด้วย”
“ข้าฝึกฝนมาก็เพื่อสังหารอสูร” เมิ่งชวนกล่าว
“ดี” ใจของลู่ฟางสั่นไหวขณะชูจอกขึ้น “ใช่แล้ว พวกเราฝึกฝนก็เพื่อสังหารอสูร คําพูดนี้เป็นคําพูดที่น่าชื่นชม ชน”
” ชน” คนอื่นๆทําตามลู่ฟาง
ตอนที่ 116 20 สิงหาคม (บทสุดท้ายของภาค)
เจ้าเขาหยวนชู ผู้อาวุโสอี่ และหลิวชีเยว่มองไปที่ปากถ้ำ ในที่สุดพวกเขาก็เห็นเมิ่งชวนเดินออกมา แต่ว่าพลังของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
“ทําได้สําเร็จล่ะ” เจ้าเขาหยวนชูและผู้อาวุโสอี่พยักหน้ายิ้มๆ
“อาชวน” หลิวชีเยว่รีบวิ่งเข้าไปหา เมิ่งชวนจับมือชีเยว่และยิ้ม “ตอนนี้ข้าได้เป็นเทพอสูรระดับแก่นเมฆาแล้ว และยังมีร่างอสูรตัดสายฟ้าที่สมบูรณ์แบบด้วย”
หลิวชีเยว่ใจชื้นขึ้นมา ในตอนนี้เธอเปี่ยมไปด้วยความสุข
“เอาล่ะ พวกเจ้าทั้งคู่ควรรีบลงจากยอดได้แล้ว” เจ้าเขาหยวนชูกล่าวยิ้มๆ “พวกเจ้าไม่ควรอยู่บนยอดเขานี้นานเกินไป”
” ขอรับ/เจ้าค่ะ” เมิ่งชวนและหลิวชีเยว่ตอบและลงจากยอดเขาทันที
เจ้าเขาหยวนชูและผู้อาวุโสอี่มองดูทั้งสองคนเดินจากไป
“ในที่สุดเขาหยวนชูของเราก็ได้ทําให้เกิดอัจฉริยะที่มีร่างอสูรตัดสายฟ้าที่สมบูรณ์เพิ่มขึ้นมาอีกคนนับตั้งแต่ขุนนางทะเลหวน” เจ้าเขาหยวนชูกล่าวอย่างโหยหา “ยิ่งไปกว่านั้นยังต้องใช้อัสนีสวรรค์ถึงเก้าสายในการท้าทายความเป็นตาย เขาต้องเป็นคนที่พิเศษเป็นแน่”
“เมื่อครู่ข้าได้สํารวจโดยละเอียดแล้ว” ผู้อาวุโสอี่กล่าว “อัสนีสวรรค์และกระแสพลังวินาศในร่างของเขาแข็งแกร่งกว่าที่ข้าคิดเอาไว้”
“ใช่” เจ้าเขาหยวนชูพยักหน้า “ข้าเองก็รู้สึกได้เช่นกัน เขาสามารถทนต่ออัสนีสวรรค์ไปถึงเก้าสาย การที่จะมีอัสนีสวรรค์มากขนาดนั้นก็ไม่แปลก แต่กระแสพลังวินาศของเขานั้นก็มากกว่าขุนนางทะเลหวนตอนที่ได้เป็นเทพอสูรแล้วถึงห้าส่วน แปลกจริงๆ”
“บางทีนายเหนือคงจะรู้” ผู้อาวุโสอี่กล่าว
ทั้งคู่ไม่ได้เดาอะไรต่อ มีความลับมากมายในโลกใบนี้ ขนาดพวกเขาทั้งสองที่เป็นราชันเทพอสูรยังไม่มีคําตอบให้กับทุกๆเรื่องเลย อย่างเช่น พวกเขาก็ไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ใต้หลุมแห่งความพิศวง ต้องไปถึงจุดๆนั้นด้วยตนเองเท่านั้นถึงจะรู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างใต้นั้น เพราะว่าทั้งเจ้าเขาหยวนชูและผู้อาวุโสอี่ก็ไปไม่ถึงข้างใต้นั้นพวกเขาจึงไม่รู้เกี่ยวกับความลับของมัน มีหลายเรื่องที่พวกเขาไม่รู้ เมิ่งชวนเองก็ดูเหมือนจะมีความลับอะไรบางอย่าง แต่ว่าพวกเขาก็ไม่ควรถามหากท่านปรมาจารย์ไม่ได้บอกพวกเขา
ความลับมากมายของเผ่าพันธุ์มนุษย์ถูกเก็บซ่อนไว้โดยเหล่าปรมาจารย์ระดับสรรสร้างจากนิกายใหญ่ทั้งสาม พวกเขาต่างมีเหตุผลในการเก็บความลับของตน
เมิ่งชวนและหลิวชีเยว่เดินกันไปอย่างรวดเร็วอย่างมีความสุข
โอ๊ะ? เมิ่งชวน? เทพอสูรคนหนึ่งเห็นเมิ่งชวนจากไกลๆและรับรู้ได้ว่ากระแสพลังของเขานั้นต่างออกไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง ความแตกต่างของพลังระหว่างมนุษย์กับเทพอสูรนั้นมากเกินไป เขากลายเป็นเทพอสูรแล้วอย่างนั้นรึ?
เมิ่งชวนเป็นเทพอสูรแล้ว?
เขาผ่านการท้าทายความเป็นตายและขึ้นเป็นเทพอสูรแล้วรึ?
ระหว่างทางกลับจากยอดเขาเป็นตายก็มีเทพอสูรของเขาหยวนชูถึงเจ็ดคนเห็นพวกเขา หลังจากที่รู้ว่าเมิ่งชวนได้กลายเป็นเทพอสูรแล้ว ข่าวก็แพร่กระจายกันอย่างรวดเร็ว
เมิ่งชวนกลับไปที่ถ้ำ
” บ่ายนี้เราจะฉลองกัน เดี๋ยวข้าจะทําอาหารให้เองเลย” หลิวชีเยว่สั่งการเหล่าคนรับใช้อย่างมีความสุข
“เอาล่ะ ข้าจะไปที่ลานฝึก ข้าต้องทําตัวให้ชินกับพลังของข้าในตอนนี้ก่อน” เมิ่งชวนกล่าว
“ได้เลย ข้าจะไปเรียกหลังจากอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว” หลิวชีเยว่โบกมือ
เมิ่งชวนไปที่สนามฝึก
“ตามบันทึกแล้ว เทพอสูรระดับยาเมฆาที่มีร่างอสูรตัดสายฟ้าที่สมบูรณ์จะแข็งแกร่งเทียบเท่าราชาอสูรระดับสอง รากฐานเทพอสูรของข้าแข็งแกร่งกว่ามนุษย์ธรรมดาถึงสามเท่า ร่างกายและพลังปราณของข้าควรจะแข็งแกร่งกว่าราชาอสูรระดับสองธรรมดา” หนังสือที่เขาอ่านได้แบ่งความแข็งแกร่งไว้โดยชัดเจน
“แน่นอนว่าข้าจะประมาทราชาอสูรระดับสองไม่ได้ มนุษย์มีอัจฉริยะ อสูรก็มีหัวกะทิ มีราชาอสูรระดับสองที่น่ากลัวอยู่ด้วย”
เมิ่งชวนส่ายหัวสะบัดความคิดไร้สาระออกไป มาดูกันว่าข้าเร็วแค่ไหนแล้ว
เมิ่งชวนอยากจะทดสอบความเร็วของเขามาก
เพียงพริบตาก็มีสายฟ้าปะทุออกมาจากเซลล์ทุกเซลล์ เขาเปลี่ยนกลายเป็นสายฟ้าและพุ่งผ่านลานฝึกไป
เขาเร็วเกินไปแค่นั้นเอง!
ข้าเร็วจริงๆ เมิ่งชวนพุ่งออกจากลานฝึกได้ภายในการพุ่งเพียงหนึ่งครั้ง เขากระโดดขึ้นสูงถึง 30 มั้ง สูงขนาดพอๆกับเขาเล็กๆเขาหนึ่งเลย นี่เป็นแค่การกระโดดแบบเบาๆเท่านั้น หากดูดีๆแล้วทั้งร่างของเขานั้นถูกปกคลุมไปด้วยสายฟ้า
ไม่ต้องบอกก็รู้เลยว่าความเร็วของร่างอสูรตัดสายฟ้านั้นไวกว่าร่างเทพอสูรอื่นๆทั้งหมด ความเร็วของข้าด้วยร่างอสูรตัดสายฟ้าที่สมบูรณ์ต้องสูงสุดแน่ๆถ้าเทียบเทพอสูรในระดับเดียวกัน
เขาวนรอบจิ้งหมิงเฟิงก่อนจะกลับไปที่ถ้ำของเขา เพียงไม่นานเขาก็เดินทางได้เกือบสอง เมิ่งชวนยังคงตกใจในความไวของเขาเมื่อกลับไปที่ลานฝึก ไม่น่าแปลกใจเลยที่ความเร็วของมันจะเร็วได้เท่ากับของเทพอสูรระดับมหาสุริยัน หลังจากเป็นขุนนางเทพอสูรแล้ว ก็จะเรียกได้ว่าเร็วเป็นอันดับต้นๆของโลกเลยก็ว่าได้ ว่ากันว่าหากฝึกไปถึงขั้นท้ายๆแล้ว ความเร็วจะเทียบได้กับสายฟ้าเลยด้วยซ้ำ
ยิ่งเขาฝึกร่างอสูรตัดสายฟ้ามากเท่าไหร่ เขาก็เข้าใกล้ความเร็วของสายฟ้าได้มากขึ้นเท่านั้น ร่างอสูรตัดสายฟ้าที่พึ่งได้มาใหม่ของเขานั้นมีความเร็วเทียบเท่าได้กับของขุนนางเทพอสูรเลย มันช่างน่าสะพรึง
อย่างไรก็ตาม การฆ่าราชาอสูรขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย
ตอนที่ข้าสู้กับราชาอสูรบึงพิษ ข้าใช้พลังของแก่นสารแห่งจิตเพื่อเคลื่อนที่ได้ไวกว่ามัน แต่ว่าข้าฟันผ่านหมอกสีดําที่ปกคลุมร่างมันไปได้แค่หนึ่งฉือเท่านั้น แม้จะเป็นการโจมตีที่ผสมพลังของแก่นสารแห่งจิตเข้าไป แต่มันก็ยังห่างไกลจากการฟันผ่านหมอกสีดําไปได้นัก ข้ามีเพียงความเร็วที่สูงมาก พอมาเรื่องอื่นๆ ข้าก็เทียบเท่าได้กับเทพอสูรระดับแดนอมตะธรรมดาเท่านั้น เมิ่งชวนเข้าใจในทันที
ร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษทุกร่างเก่งกาจในแต่ละด้านที่ต่างกัน พวกมันต่างแข็งแกร่งเป็นพิเศษในสิ่งที่อยู่ในด้านนั้นๆ
อย่างร่างเทพกายาอมตะมีเขตแดนที่แข็งแกร่งที่สุดและพลังชีวิตที่ยอดเยี่ยมที่สุดจากร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษทั้งสิบสองร่าง! คนที่มีร่างนั้นจะสามารถงอกอวัยวะที่ขาดไปได้ในสิบนาที พวกเขาสามรถฟื้นฟูจากอาการบาดเจ็บอย่างถูกแทงเข้าที่หัวใจได้เลยด้วยซ้ำ เมื่อเขจแดนถูกปลดปล่อยออกมาก็จะเข้าถึงพวกเขาได้ยาก แต่ร่างเทพกายาอมตะนั้นไม่เก่งในด้านของการต่อสู้ระยะประชิด
ร่างอสูรตัดสายฟ้านั้นมีความเร็วที่เหนือชั้นมาก! แต่ว่ามันก็อ่อนแอในด้านอื่นๆ ในตอนหนีศัตรูจะเข้าจู่โจมได้ยาก และเมื่อไล่ตามศัตรูมันก็จะหลบหนีได้ยาก ส่วนการสังหารศัตรูน่ะหรือ? มันต้องโจมตีใส่หลายรอบกว่าจะเห็นได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“แต่ว่าข้าก็ยังวางใจกับความเร็วแต่อย่างเดียวไม่ได้ ไม่อย่างนั้นประวัติศาสตร์ก็จะซ้ำรอย! ไม่ใช่ว่าศิษย์พี่เกาคงที่ผ่านจุดขัดเกลาที่แปดกับขุนนางทะเลหวนที่ผ่านจุดขัดเกลาที่เก้าก็ตายกันหมดอย่างนั้นรึ?” เมิ่งชวนเตือนใจไม่ให้ตัวเองประมาทไป
เกาคงถูกราชาอสูรระดับสามกว่าสามสิบตนจู่โจมพร้อมกับราชาอสูรระดับสองกว่าร้อยตนจนท้ายที่สุดเขาก็เสียชีวิต ขุนนางทะเลหวนนั้นเป็นคนที่ไวที่สุดในโลก แต่เขาก็ตายด้วยเหตุผลบางอย่างในภารกิจพิเศษ
มนุษย์นั้นแข็งแกร่ง แต่อสูรนั้นก็ยังกดดันมนุษย์เอาไว้ได้! ราชาอสูรมีความแข็งแกร่งของมันเอง พวกมันมีวิชาแปลกๆหลายอย่าง หากเขาประมาทอาจถึงแก่ชีวิตได้
เมิ่งชวนใช้วิชากระบี่ของเขาต่อไปที่ลานฝึก
ปกติแล้วเขาจะผสานพลังของแก่นสารแห่งจิตเข้ากับร่างกายและพลังปราณก่อนใช้วิชากระบี่
“ตอนนี้ข้าแข็งแกร่งกว่าราชาอสูรระดับธรรมดา บึงพิษคงจะแข็งแกร่งได้ซักสามส่วนของข้าล่ะมั้ง? ตอนนั้นข้าโชคดีมากที่หนีจากบึงพิษมาได้ โชคที่ที่ข้าวิ่งเก่งและพ่อก็มาได้ทัน” เมิ่งชวนนึกถึงความแข็งแกร่งของบึงพิษและรู้สึกถึงความหวาดกลัวที่ยังเหลืออยู่
แต่ว่าพลังของแก่นสารแห่งจิตไม่ได้เพิ่มพลังให้ข้ามากเหมือนเก่าอีกแล้ว เมิ่งชวนขมวดคิ้วพลังของแก่นสารแห่งจิตจะช่วยทําให้สามารถดึงพลังออกมาจากร่างกายได้มากกว่าเดิม และการควบคุมพลังปราณก็จะยอดเยี่ยมมากยิ่งขึ้น ผลกระทบก็มีแต่การใช้พลังมากเป็นสองเท่าก็เท่านั้น
“ตอนที่ข้ายังเป็นมนุษย์ พลังของแก่นสารแห่งจิตช่วยเพิ่มพลังและความเร็วให้ขาขึ้นหลายเท่าตัว แต่หลังจากกลายมาเป็นเทพอสูรระดับแก่นเมฆาแล้ว พลังของแก่นสารแห่งจิตทําได้แค่เพิ่มพลังขึ้นเป็นสองเท่าเท่านั้น และมันยังทําให้ข้าต้องใช้พลังของแก่นสารแห่งจิตมากกว่าเดิมอีกด้วย”
การที่มีร่างกายที่ทรงพลังเช่นนี้ก็จะทําให้แก่นสารแห่งจิตรับภาระหนักกว่าเดิม
“หากข้าไปถึงระดับมหาสุริยัน ข้าว่าพลังของแก่นสารแห่งจิตคงจะมีประโยชน์น้อยลงกว่านี้อย่างนั้นรึ?” เมิ่งชวนคาดเดา “เว้นเสียแต่ว่าแก่นสารแห่งจิตของข้าจะพัฒนาขึ้นไป มันก็คงจะเป็นเช่นนั้น”
บ่ายวันนั้น เมิ่งชวนกินอาหารที่ชีเยว่เตรียมให้ด้วยตัวเอง
การที่ได้แบ่งปันความสุขในการขึ้นเป็นเทพอสูรนั้นเป็นเรื่องที่น่ายินดี อย่างไรก็ตาม เขาไม่สามารถบอกพ่อของเขาได้ทันที
หลังจากทานอาหารกลางวันเสร็จ เมิ่งชวนก็เริ่มวาดภาพ
ภาพวาดนี้เป็นภาพสําหรับพ่อเขา มันเป็นภาพหมึก และภาพวาดนั้นก็เรียบง่าย
อย่างแรกที่จะเห็นคือภาพของครอบครัวหนึ่งที่มีอยู่สามคน คนเป็นพ่อที่ดูหนุ่มยืนอยู่ข้างๆคนเป็นแม่ที่กําลังอุ้มเด็กอยู่ เด็กคนนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากตัวเขา เพียงสะบัดพู่กันไม่กี่ครั้งก็ก่อให้เกิดภาพขึ้นมา มันเต็มไปด้วยความทรงจําและความสุขในวัยเด็ก เป็นภาพวาดที่มีความสุขของครอบครัวที่มีสามคน
จากนั้นเขาก็วาดพ่อและลูกชายอีก พ่อได้สอนวิชากระบี่ให้เด็กน้อยคนนั้นด้วยตนเอง เด็กน้อยค่อยๆเติบใหญ่ และพ่อก็ได้ส่งเขาให้ไปร่ำเรียนที่สํานักเต๋จิงหู ในเทศกาลล่าอสูร เด็กหนุ่มคนนั้นก็มีชื่อเสียงขึ้นมา! พ่อของเขายิ้มด้วยความภาคภูมิใจ
ในซากของเมืองตงหนิง เด็กหนุ่มเดินเคียงข้างไปกับพ่อของเขา บนนกยักษ์ เด็กหนุ่ม พ่อของเขา และคนอื่นๆได้ขุนนางเมฆาใต้พาไปส่งที่เมืองหยวนชู
พ่อบอกลาลูกชายที่กําลังจะได้อยู่บนเขาหยวนชู
ภาพสุดท้ายคือภาพของเด็กหนุ่มหัวโล้นที่นั่งอยู่บ่อโลหิตเทพอสูร อัสนีสวรรค์ฟาดใส่เขาในตอนที่พยายามจะท้าทายขอบเขตความเป็นตาย
มันเป็นภาพวาดหมึกที่เรียบง่าย ภาพวาดที่เต็มไปด้วยความสุขของเด็กๆ แต่ว่าทุกๆการตวัดของพู่กันก็เต็มไปด้วยความรู้สึกคิดถึงพ่อ ตั้งแต่เด็ก เขาก็ไม่เคยต้องจากพ่อนานขนาดนี้มาก่อน เขาคิดถึงพ่อมากๆ! เขาอยากจะไปบอกกับพ่อด้วยตัวเอง “พ่อ ข้าได้เป็นเทพอสูรแล้วนะ!” แต่ว่าเขาก็ไม่มีทางอื่นนอกจากบอกด้วยภาพวาดนี้
หลังจากใช้เหวลาวาดภาพไปกว่าสองชั่วยาม เขาก็เขียนคําพูดลงไปที่ด้านขวาของภาพวาด “ในวันที่20สิงหาคม หลังจากผ่านขอบเขตความเป็นตายข้าก็ได้ขึ้นเป็นเทพอสูร ขออุทิศภาพวาดนี้ให้แก่พ่อของข้า เมิ่งต้าเจียง”
เมิ่งชวน
20 สิงหาคม
จบบทสุดท้ายของภาคเทพอสูร
ตอนที่ 115 เทพอสูรระดับแก่นเมฆา
เมิ่งชวนมองเข้าไปในจุดตันเถียนของเขา จุดตันเถียนและทะเลแห่งสตินั้นคือที่เดียวกัน พวกมันเล็กอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แต่ในทางกลับกันมันก็ใหญ่อย่างไม่มีที่สิ้นสุดเช่นกัน
ทะเลแห่งสตินั้นคือที่ๆแก่นสารแห่งจิตอยู่
จุดตันเถียนคือที่ๆพลังปราณอยู่ ความสําคัญของจุดตันเถียนของคนเรานั้นไม่น้อยไปกว่าทะเลแห่งสติเลย อันที่จริงแล้ว มีเทพอสูรที่พึ่งกําเนิดใหม่หลายคนไม่สามารถรับรู้ทะเลแห่งสติของตนได้ พวกเขาใส่ใจจุดตันเถียนมากกว่า! การฝึกฝนที่พวกเขาทํามาจะเสียหายหากจุดตันเถียนถูกทําลาย! และความแข็งแกร่งกว่าเจ็ดส่วนก็มาจากพลังปราณ ดังนั้นพวกเขาจึงใส่ใจกับจุดตันเถียนมากกว่า
จุดตันเถียนของข้าใหญ่ขึ้นกว่าเดิมมาก เมิ่งชวนพิจารณาจุดตันเถียนของเขาอย่างละเอียด
หลังจากที่อัสนีสวรรค์ทั้งเก้าได้ปรับเปลี่ยนร่างกายของเขาใหม่ จุดตันเถียนของเขาก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปอยู่แล้ว มันมีขนาดกว้างขึ้นกว่าแต่ก่อน อัสนีสวรรค์ที่ยังหลงเหลืออยู่วาบไปมาในตันเถียนของเขา และตรงใจกลางของตันเถียนเขาก็เห็นแก่นพลังสีขาวอยู่ แก่นพลังนั้นจะทําให้คนๆนั้นดูดซับพลังปราณได้มากขึ้น ขนาดอัสนีสวรรค์ยังถูกดูดซับเข้าไป และนี่ทําให้ผิวของแก่นพลังก่อให้เกิดประกายอัสนีสวรรค์เล็กๆ
แก่นพลังกําลังขยายตัว เพราะว่าจุดตันเถียนของเขาขยายขึ้นอย่างมากจึงทําให้มันสามารถรองรับพลังปราณได้มากขึ้นกว่าเดิม
ข้าต้องควบแน่นแก่นเมฆา แก่นพลังของมนุษย์ไม่สามารถทนพลังปราณมากมายขนาดนี้ได้ เมิ่งชวนเข้าใจดี
ศิษย์นิกายนอกคนอื่นๆที่ต้องเก็บสะสมแต้มเพื่อแลกกับการเข้าสู่บ่อโลหิตเทพอสูร เมื่อเข้าสู่การท้าทายขอบเขตความเป็นตายและควบแน่นแก่นเมฆา สําหรับพวกเขาจะมีอันตรายน้อยกว่า เพราะปกติแล้วพวกเขามีเพียงร่างเทพอสูรระดับต่ำหรือระดับกลางเท่านั้น และแน่นอนว่าความยากในการปรับเปลี่ยนร่างกายก็ต่ำเช่นกัน แต่แน่นอนว่าบางคนก็ยังทําไม่สําเร็จจนร่างกายทรุดลง แต่ว่าศิษย์นิกายนอกส่วนมากก็ควบแน่นแก่นเมฆาไม่สําเร็จ
แก่นเมฆาที่พังลงครึ่งทางจะทําให้เกิดพลังอันมหาศาลทะลวงผ่านร่างของพวกเขาจนตายคาที่
การควบแน่นแก่นเมฆาของเมิ่งชวนนั้นจะซับซ้อนกว่าศิษย์นอกธรรมดา แต่ว่าเขานั้นก็ได้เข้าถึงเจตจํานงแห่งกระบี่มาเป็นปีแล้ว
ได้เวลาเริ่มแล้ว เขาดูดซับพลังของบ่อโลหิตเทพอสูรในทันที ภายในจุดตันเถียนของเขา พลังของบ่อโลหิตเทพสรผสมเข้ากับอัสนีสวรรค์ก่อให้เกิดพลังปราณใหม่ พลังปราณใหม่นี้มีอัสนีสวรรค์เป็นประกายอยู่ในนั้น เมื่อผ่านไปพักหนึ่ง พลังปราณในจุดตันเถียนของเขาก็เริ่มจะเปลี่ยนไป อัสนีสวรรค์นิดหน่อยถูกดึงออกมาจากจุดตันเถียนและหลอมรวมเข้ากับพลังปราณ และอีกพักหนึ่งจุดตันเถียนของเขาก็เต็มไปด้วยพลังปราณจํานวนมากที่มีอัสนีสวรรค์อยู่ ราวกับมีทะเลเติมเข้ามาในจุดตันเถียน
ปัง!
ด้วยการชี้นําของเจตจํานงกระบี่ พลังปราณของเขาเปลี่ยนกลายเป็นลําแสงกระบี่เล็กๆ และเพราะการไปถึงระดับของเจตจํานง ลําแสงกระบี่เหล่านั้นดูเด่นชัดและหนาแน่นกว่าเดิม
พลังปราณของมนุษย์ไม่มีทางที่จะสร้างลําแสงกระบี่ที่แน่นและชัดขนาดนี้ได้
ลําแสงกระบี่หมุนวนรอบแก่นพลังอย่างเป็นระเบียบ แก่นพลังกําลังถูกเปลี่ยนแปลงโดยพลังปราณรอบๆ! พลังปราณเริ่มหลอมรวมเข้ากับแก่นพลังอย่างต่อเนื่อง ทําให้อัสนี้สวรรค์ภายในแก่นพลังหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ
หลอมรวม! บีบอัด!
การบีบอัดจะทําให้เพิ่มความหนาแน่นขึ้น และเมื่อความหนาแน่นเพิ่มขึ้นไปถึงจุดๆหนึ่งจะมีโอกาสเกิดผลหนึ่งในสองอย่างนี้ หนึ่งคือเกิดระเบิดขึ้น! ร่างเทพอสูรจะระเบิดเป็นเสี่ยงๆเมื่อเป็นเช่นนี้! สองคือสามารถบีบอัดได้สําเร็จและก่อให้เกิดแก่นเมฆา
ร่างอสูรตัดสายฟ้านั้นแข็งแกร่งกว่าร่างเทพอสูรระดับต่ำหรือกลางมาก รวมไปถึงรากฐานที่แข็งแกร่งของเมิ่งชวน พลังปราณในจุดตันเถียนของเขาจึงหนาแน่นกว่าคนในระดับเดียวกันเป็นสิบเท่าเสียอีก นั่นทําให้เขาควบแน่นแก่นเมฆาได้ค่อนข้างยาก
แม้ว่าเขาจะเข้าถึงเจตจํานงแห่งกระบี่ได้นานแล้ว แต่เมิ่งชวนก็ยังต้องระมัดระวังอย่างมาก ในตอนที่แก่นพลังใกล้จะระเบิด เขาตั้งใจกับสิ่งตรงหน้าเต็มที่ เขากลัวว่าจะเกิดความผิดพลาดอะไร
จู่ๆก็มีเสียงดังขึ้นมาในหูของเขา “เมิ่งชวน รวมพลังของแก่นสารแห่งจิตเข้ากับพลังปราณ ความสามารถในการควบคุมพลังปราณของเจ้าจะเพิ่มขึ้นสิบเท่า นั่นจะทําให้เจ้าควบแน่นแก่นเมฆาได้ง่ายขึ้น”
เมิ่งชวนรู้สึกตัวในที่สุด
เขาทําตามสูตรของการควบแน่นแก่นเมฆาโดยกลัวว่าจะทําอะไรผิดพลาด แต่ในสูตรไม่ได้เขียนเรื่องของการใช้พลังแก่นสารแห่งจิตในการช่วยควบแน่น แต่ว่าก็พอเข้าใจได้ว่าทําไม เพราะปกติมนุษย์ไม่มีแก่นสารแห่งจิตกัน
พลังของแก่นสารแห่งจิตจะทําให้เขาควบคุมร่างกายและปราณได้ดีขึ้น เพราะความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นหลายเท่า ความสามารถในการควบคุมร่างกายและปราณของเขาจึงเพิ่มขึ้น
เพียงชั่วอึดใจ แก่นสารแห่งจิตก็หลอมรวมเข้ากับลําแสงกระบี่
ลําแสงกระบี่ทุกเล่มนั้นเด่นชัด หากเปรียบลําแสงกระบี่เป็นมนุษย์ ลําแสงกระบี่จํานวนนับไม่ถ้วนเหล่านี้ก็เปรียบได้กับกองทัพอันยิ่งใหญ่ที่กําลังแปรขบวนรบ
แต่ขบวนรบนี้ยังหยาบเกินไป หลังจากที่เพิ่มความสามรถในการควบคุมขึ้นมาสิบเท่า เมิ่งชวนก็เห็นปัญหาได้ในทันที จากนั้นลําแสงกระบี่จํานวนนับไม่ถ้วนก็จัดตัวนิดหน่อย หลังจากที่พวกมันเปลี่ยนที่ มันก็ดูเป็นจังหวะเข้ากันได้ดีขึ้น! การใช้เจตจํานงกระบี่เพื่อชี้นําลําแสงกระบี่นั้นไม่ผิด เพียงแต่เขาสามารถควบคุมมันได้แค่ทีละเยอะๆเท่านั้น และด้วยความสามารถในการควบคุมที่มากขึ้น เขาสามารถจัดการมันได้ทีละเล่ม และผลของมันก็ดีขึ้นมาก
ฟู่วๆๆๆ!
หลังจากที่วงเวียนกระบี่หนาแน่นจนถึงที่สุดก็ไม่ได้มีการระเบิดขึ้นเหมือนกับที่คัมภีร์บอก ปกติแล้วจะเกิดการระเบิดขึ้นก่อนการเกิดแก่นเมฆา
กลับกัน แก่นพลังที่อยู่ในลําแสงกระบี่เหล่านั้นก็แตกออกพร้อมกับเสียงดังเบาๆ พลังปราณพวยพุ่งออกมา เหลือเพียงลําแสงเล็กๆที่มีขนาดเล็กกว่าเดิมประมาณพันเท่า จุดเล็กๆนี้สว่างราวกับดาวฤกษ์ มันมีแรงโน้มถ่วง ทําให้เกิดวงเวียนพลังปราณวนรอบมัน และนั่นก็ก่อให้เกิดแก่นเมฆาที่สวนงาม พลังปราณทั้งหมดถูกดูดเข้าไปในวังวนนั้น
แก่นเมฆาและจุดแสงนั้นทําให้รอบข้างสว่างจ้า พลังปราณนอกตันเถียนของเขาเริ่มควบแน่นและพุ่งเข้าใส่วังวน ก่อนที่จะวนรอบแก่นตลอดไป
จุดแสงมันก็เริ่มขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป
เมื่อปราณของเขาเปลี่ยนแปลงไปอีกรอบ เขาก็จะได้เข้าสู่ระดับแดนอมตะ แต่ว่าเขาต้องมีร่างกายและขอบเขตกระบี่ที่แข็งแกร่งพอ ไม่อย่างนั้นร่างของเขาจะแตกสลายหากพยายามก้าวผ่านไปอย่างดื้อดึง
แน่นอนว่าเทพอสูรรุ่นก่อนๆเป็นผู้ค้นพบเงื่อนไขต่างๆสําหรับการก้าวผ่านแต่ละขั้นไป คนๆนั้นต้องแข็งแกร่งพอก่อนที่จะข้ามผ่านขอบเขตของตนไปได้
“ข้าทําสําเร็จแล้ว เพราะแก่นสารแห่งจิตช่วยจึงทําให้ควบแน่นแก่นเมฆาได้ง่ายขึ้นมาก เมิ่งชวนถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เมิ่งชวนตรวจสอบร่างกายของเขา
ร่างกายของเขาแข็งแกร่งขึ้นมาก จุดตันเถียนก็กว้างใหญ่ และพลังปราณของเขาก็บริสุทธิ์! ขนาดทะเลแห่งสติของเขาก็ยังใหญ่ขึ้นกว่าเดิม แก่นสารแห่งจิตในนั้นก็ค่อยๆเติบโตอย่างช้าๆ
ร่างมนุษย์เป็นภาชนะ ยิ่งภาชนะใหญ่เท่าไหร่ก็ยิ่งบรรจุน้ำได้มากเท่านั้น ยิ่งร่างกายแข็งแรงเท่าไหร่พลังปราณที่จุดตันเถียนของข้าสามารถรับได้ก็มากขึ้นเท่านั้น แก่นสารแห่งจิตเองก็ใหญ่ขึ้นเช่นกัน เมิ่งชวนรู้ตัวในที่สุด ร่างกาย พลังปราณ และแก่นสารแห่งจิตนั้นต่างสําคัญมากๆ พวกมันต่างเกี่ยวข้องกัน
เมิ่งชวนที่กําลังนั่งอยู่ในบ่อโลหิตเทพอสูรตอนนี้หัวโล้นเกลี้ยง เพราะอัสนีสวรรค์เผาผมของเขาจนหมด
อย่างไรก็ตาม เพราะพลังของบ่อโลหิตเทพอสูรจึงทําให้ผมของเขายาวอย่างรวดเร็ว
“รีบขึ้นออกจากสระเร็ว อย่าให้พลังของบ่อโลหิตเทพอสูรมาเสียกับผมไม่กี่เส้น” ปรมาจารย์อดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมา ในตอนนั้นเองของเหลวสีฟ้าของบ่อโลหิตเทพอสูรก็เริ่มลดลงอย่างรวดเร็ว ปกติแล้วบ่อโลหิตเทพอสูรจะว่างเปล่า ของเหลวสีฟ้าเหล่านี้ถูกเก็บไว้ที่ไหนกัน? มันเป็นความลับ! มันเป็นสมบัติที่เขาหยวนชูต้องปกป้องอย่างเต็มที่
เมิ่งชวนกระโดดออกไปในทันทีและเอาผ้าคลุมมาคลุมตัว เขาดูจะรู้สึกผิด ผมเขายาวขึ้นมาสองนิ้วแล้ว เขาก้มหัว “ศิษย์เผลอดูดซับพลังของบ่อโลหิตเทพอสูรไปเสียแล้วขอรับ”
“ช่างมันเสียเถอะ” ปรมาจารย์ไม่ได้ว่าอะไร เพราะไม่ว่ายังไงการก้าวผ่านก็ใช้พลังของบ่อโลหิตเทพอสูรมากกว่าที่ใช้กับผมของเขาเป็นหมื่นเท่า
เมิ่งชวนยังค่อนข้างตื่นเต้น ในที่สุดเขาก็ได้เป็นเทพอสูรแล้ว และนี่คือระดับขั้นแรกของเทพอสูร ระดับแก่นเมฆา
“ขอบคุณสําหรับการชี้แนะขอรับ มันทําให้ศิษย์สามารถควบแน่นแก่นเมฆาได้อย่างง่ายดาย เมิ่งชวนกล่าวขอบคุณ
ปรมาจารย์พยักหน้าและกล่าว “เมิ่งชวน แก่นสารแห่งจิตนั้นสําคัญมากในระดับเทพอสูรหลังๆ อย่างการก้าวผ่านระดับมหาสุริยันไประดับเดือนมืดมิดนั้นยากมากๆ และพลังของแก่นสารแห่งจิตจะทําให้เจ้าสามารถควบคุมพลังปราณได้ดีขึ้นสิบเท่า นั่นเป็นทางที่เจ้าจะไปถึงระดับเดือนมืดมิดได้ หากเจ้าไม่มีแก่นสารแห่งจิต แม้ว่าขอบเขตวิชากระบี่ของเจ้าจะสูงกว่าจอมยุทธระดับมหาสุริยันหลายเท่า แต่เจ้าก็จะเป็นเทพอสูรระดับเดือนมืดมิดไม่ได้อยู่ดี เจ้าต้องฝึกฝนแก่นสารแห่งจิตของเจ้าอย่างหนักในภายภาคหน้า”
เขาให้ค่าเมิ่งชวนเพราะแก่นสารแห่งจิตของเขา
“ศิษย์เข้าใจแล้วขอรับ” เมิ่งชวนพยักหน้า
”ดี” ร่างของปรมาจารย์เริ่มเลือนลางและหายไป
เมิ่งชวนยืนอยู่ข้างๆบ่อโลหิตเทพอสูร เขารู้สึกได้ถึงพลังอันมหาศาลและพลังปราณที่บริสุทธิ์ในตัวของเขา เขาได้แต่รู้สึกตื่นเต้น
ตอนที่ 114 เปลี่ยนปรับกายา
//เปลี่ยนจากระดับยาเมฆา เป็น ระดับแก่นเมฆา
ของเหลวสีฟ้าในบ่อโลหิตเทพอสูรค่อนข้างเย็น หลังจากที่เมิ่งชวนเข้าไปในบ่อนั้นแล้ว เขาก็นั่งขัดสมาธิ เขารู้สึกได้ว่ามีกระแสพลังที่มองไม่เห็นซึมเข้าสู่ร่างกายของเขา พลังชีวิตอันมหาศาลเติมเต็มเข้าไปในร่าง ขนาดผมและเล็บก็เริ่มที่ยาวขึ้นอย่างรวดเร็ว
เมิ่งชวนรู้ว่าบ่อโลหิตเทพอสูรนั้นสามารถปรับเปลี่ยนร่างกายของคนๆนั้นได้ และมันจะเปลี่ยนให้มนุษย์กลายเป็นเทพอสูร แต่ว่ามันก็มีค่ามากๆ! ไม่เช่นนั้นคงมีอัจฉริยะมากกว่านี้ที่มีโอกาสได้เข้าไปในบ่อโลหิตเทพอสูรนี้
” ท่านอาจารย์ ศิษย์พร้อมแล้ว” เมิ่งชวนกล่าว
“เข้าใจแล้ว” ผมของปรมาจารย์กระพือเมื่อเขามองขึ้นไป เขาจ้องผ่านหินไปยังท้องฟ้าที่กว้างใหญ่
ครืน! ท้องฟ้าที่ตอนแรกนั้นสงบนิ่งจู่ๆก็มีเมฆสีดําสองก้อนเกิดขึ้นพร้อมกับประกายสายฟ้าในนั้น
สภาพอากาศเปลี่ยนในทันทีเลยเหรอ?” หลิวชีเยว่ที่มองจากไกลๆตกใจ
เจ้าเขาหยวนชูและผู้อาวุโสอี่มองด้วยความตื่นใจ แม้ว่าทั้งคู่จะเป็นราชันเทพอสูรและยังพอบังคับเปลี่ยนแปลงบรรยากาศได้นิดหน่อยแต่พวกเขาไม่สามารถเปลี่ยนสภาพอากาศ เรียกลมหรือฝนหรือสายฟ้าออกมาได้
เมฆสีดําขนาดใหญ่สองก้อนชนใส่กัน สายฟ้าแตกแขนงเหมือนต้นไม้ก่อนจะเปรี้ยง! สายฟ้าฟาดลงมา ตามด้วยเสียงระเบิดดังก้อง
หลังจากที่เมฆสีดําทั้งสองชนกันสายฟ้าเส้นหนาก็ผ่าลงมา มันเปลี่ยนทิศทางกลางอากาศและเหมือนจะฟาดลงใส่ในบ่อโลหิตเทพอสูร
อัสนีสวรรค์เส้นแรก ใจของหลิวชีเยว่แน่น เธอเป็นห่วงความปลอดภัยของเมิ่งชวนมาก เพราะจากที่เธอได้อ่านเกี่ยวกับร่างอสูรตัดสายฟ้าในห้องสมุด เธอรู้ว่าเขาต้องทนต่ออัสนีสวรรค์ทั้งเจ็ดในช่วงขอบเขตความเป็นตายนี้ และด้วยพลังของอัสนีสวรรค์และพลังของบ่อโลหิตเทพอสูร รวมไปถึงพลังของกระแสพลังวินาศที่หลอมรวมเข้าด้วยกัน ก็จะทําให้ได้รับร่างอสูรตัดสายฟ้ามาครอบครอง
แต่หากคนๆนั้นเตรียมตัวมาไม่พอ ร่างของพวกเขาก็จะสลายหายไปเป็นฝุ่น
“ไม่ต้องกังวลไป เมิ่งชวนเตรียมตัวมาเสียยิ่งกว่าพร้อมอีก ไม่เกิดอะไรที่ไม่คาดฝันขึ้นหรอก” เจ้าเขาหยวนชูมองไปที่หลิวชีเยว่และปลอบเธอ
เมิ่งชวนรู้สึกได้ถึงบางอย่างและมองขึ้นไป เขามองเห็นเส้นสายฟ้าที่กําลังก่อตัวจากบนถ้ำ จากนั้นสติของเขาก็สั่นสะท้านในตอนที่สายฟ้าฟาดเข้าใส่เขา
“ผ่านขอบเขตความเป็นและความตายและควบแน่นร่างเทพอสูรซะ!” เสียงของปรมาจารย์ดังขึ้นในหัวของเมิ่งชวน
“เข้าใจแล้วขอรับ”
เมิ่งชวนยังคงมีสติอยู่ แม้ว่าเขาจะตกใจจากสายฟ้า แต่เขาก็รับรู้ได้ในทันทีว่าร่างของเขานั้นถูกฉีกเป็นชิ้นๆโดยสายฟ้า สายฟ้าเหล่านั้นถูกชี้นําลงมาโดยปรมาจารย์ มันทรงพลังอย่างมาก เพียงสายฟ้าแค่เส้นเดียวก็ทําให้ร่าง กระดูก และเส้นลมปราณของเขาขาดกระจุย อัสนีสวรรค์นี้นั้นสร้างความเสียหายต่อร่างและเครื่องในของเขาอย่างสาหัส
ซึ่งนั่นถือว่าเป็นผลดี หากเขาไม่ได้ฝึกร่างอสูรตัดสายฟ้าที่มีความสามารถในการต้านทานสายฟ้าได้สูงกับพลังวินาศที่คอยปกป้องเขาไว้ เขาคงจะระเบิดเป็นชิ้นๆไปตั้งแต่ตอนที่สายฟ้าฟาดใส่เขาแล้ว
ในตอนนี้เขาบาดเจ็บสาหัส และหากไม่ได้อยู่ในบ่อโลหิตเทพอสูรล่ะก็ เขาคงจะตายจากบาดแผลเหล่านี้ไปแล้วก็เป็นได้
“ดีมาก” แทนที่จะตกใจเมิ่งชวนกลับมีความสุข
การกําเนิดย่อมเกิดมาจากการทําลาย! มีเพียงการทะลวงผ่านความเป็นมนุษย์ไปเท่านั้นเขาถึงจะได้ร่างเทพอสูรที่แท้จริงได้!
บ่อโลหิตเทพอสูรให้พลังชีวิตที่ไม่จํากัดแก่ผู้ที่อยู่ในนั้น มันสามารถฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็วจนแทบจะนําคนที่ตายไปแล้วกลับมาได้เลย ของเหลวสีฟ้าเหล่านั้นรักษาร่างกายของเมิ่งชวนอย่างรวดเร็ว
“สร้างร่างกายของเจ้าขึ้นใหม่เสีย”
เมิ่งชวนใช้เจตจํานงกระบี่ของเขาเพื่อชี้นําแก่นสารแห่งจิตและเริ่มสร้างร่างของเขาขึ้นมาใหม่ตามคัมภีร์ร่างอสูรตัดสายฟ้า
ปราณของเขาไม่ได้เคลื่อนผ่านเส้นลมปราณ แต่ในตอนนี้ปราณของเขาถูกชี้นําโดยอัสนีสวรรค์พร้อมกับพลังวินาศกําลังเคลื่อนอยู่ในร่างของเขา รวมไปถึงกระดูกที่แตกหักและอวัยวะภายในที่บาดเจ็บ อัสนีสวรรค์คือทัณฑ์สวรรค์ มันมีพลังในการทําลายล้างสูงมาก มันพยายามจะทําลายพลังวินาศที่หลอมรวมกัน แต่ว่าการที่จะทําลายพลังวินาศทั้งเก้าอย่างที่หลอมรวมกันอยู่โดยมีหกประสงค์วินาศเป็นแก่นนั้นยากมาก มันเบาบางจับได้ยากเกินไปกว่าที่สายฟ้าจะทําลายมัน
ตามคัมภีร์แล้วนั้น อัสนีสวรรค์กับพลังวินาศจะหลอมรวมเข้าด้วยกันด้วยวิธีแปลกๆ เมิ่งชวนถึงพลังของบ่อโลหิตเทพอสูรและปรับเปลี่ยนรูปกระดูก กล้ามเนื้อและอวัยวะใหม่
อัสนีสวรรค์ไม่แรงพอ เมิ่งชวนรู้สึกได้ว่ากระแสพลังวินาศของเขานั้นแข็งแกร่งเกินไปมันครอบคลุมทั้งร่างของเขาทําให้อัสนีสวรรค์เหลือพลังเพียงเล็กน้อยเท่านั้นหลังจากฟาดใส่ร่าง
เปรี้ยง!
และสิ่งที่เขาต้องการก็มาในทันที! สายฟ้าเส้นที่สองฟาดลงใส่ร่างของเขา ทําให้กล้ามเนื้อกระดูกและอวัยวะที่รักษาไปแล้วนิดหน่อยกลับมาเสียหายอีกครั้ง
เมิ่งชวนสร้างร่างของเขาขึ้นมาใหม่ต่อ เจตจํานงกระบี่ควบคุมแก่นสารแห่งจิต แต่ว่ามันกระจายออกไปเยอะมาก บ่อโลหิตเทพอสูรเติมพลังปราณให้เขาอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันพลังชีวิตที่มากมายจากของเหลวสีฟ้าก็ซึมเข้าสู่ร่างกายของเขาทําให้ร่างกายกลับมาฟื้นฟูดังเดิม
เปรี้ยงๆๆๆๆ!
เมื่อเวลาผ่านไป ก็มีสายฟ้าอีกหลายเส้นฟาดลงมาใส่เมิ่งชวน
เมิ่งชวนที่กําลังนั่งอยู่ในบ่อโลหิตเทพอสูรก็ยังคงสร้างร่างของเขาขึ้นมาใหม่อย่างสงบนิ่ง ส่วนที่อ่อนแอของร่างถูกทําลาย มีเพียงการหลอมรวมอัสนีสวรรค์กับพลังวินาศเข้ากับร่างกายของเขาเท่านั้น เขาถึงจะทนต่ออัสนีสวรรค์ได้
เมิ่งชวนรู้สึกเหมือนตัวเขาเป็นแท่งเหล็ก อัสนีสวรรค์คือค้อน มันฟาดลงใส่เขาอย่างต่อเนื่องเปลี่ยนให้เขากลายเป็นเหล็กกล้า
ร่างกายของเขาเปลี่ยนแปลงไปในหลายๆจุด ส่วนมนุษย์ที่ยังเหลืออยู่ก็ถูกอัสนีสวรรค์ทําลายและสร้างขึ้นมาใหม่ มันเป็นเช่นนี้ต่อไปจนเขาหลุดพ้นจากร่างมนุษย์ได้
ในตอนนี้ กระดูกทุกชิ้นแข็งแกร่งมากกว่าเดิมหลายร้อยเท่า พวกมันมีทั้งอัสนีสวรรค์และกระแสพลังวินาศข้างในนั้น ความทนทานของมันนั้นมากมาย
กล้ามเนื้อทุกมัด และอวัยวะทุกส่วนต่างก็เปลี่ยนแปลงไปมีประสิทธิภาพมากขึ้น
แม้เขาจะไปถึงระดับเจตจํานงแห่งกระบี่แล้วก็ตาม แต่ด้วยร่างของเขาในตอนนี้ที่ยังไม่ได้เป็นเทพอสูรแม้จะถูกตบเพียงหนึ่งครั้งก็อาจจะตายได้
หืม? เมิ่งชวนที่กําลังเปลี่ยนแปลงอวัยวะภายในก็รู้สึกว่าเขาเปลี่ยนแปลงยังไม่สําเร็จ
มีอัสนีสวรรค์ไม่พอ เขาผ่านอัสนีสวรรค์ทั้งเจ็ดมาแล้วแต่ร่างของเขายังเปลี่ยนแปลงไม่สมบูรณ์เลย
เปรี้ยง!
ปรมาจารย์รู้ว่าร่างของเมิ่งชวนนั้นยังผ่านการปรับเปลี่ยนไม่เสร็จ เขาชี้นําอัสนีสวรรค์อีกเส้นใส่เมิ่งชวน
สายฟ้าเส้นที่แปดฟาดเข้าใส่เมิ่งชวน ในตอนนี้เมิ่งชวนกระอักเลือดออกมาหลังจากถูกสายฟ้าฟาดเข้าใส่ และเขายังมีพละกําลังเหลืออยู่เจ็ดส่วน อันที่จริงแล้วกล้ามเนื้อและกระดูกของเขาไม่เป็นอะไรเลยแม้แต่น้อยหลังจากถูกสายฟ้าฟาดเข้าใส่ ที่เขากระอักเลือดออกมานั่นก็เพราะเขายังปรับแต่งอวัยวะภายในไม่เสร็จ
เจ้าเขาหยวนชู ผู้อาวุโสและหลิวชีเยว่ที่กําลังมองจากไกลๆต่างเตรียมใจที่จะได้เห็นสายฟ้าทั้งเจ็ดเส้นอยู่แล้ว แต่เมื่อสายฟ้าเส้นที่แปดฟาดลงมานั่นเอง
“ทําไมถึงมีอัสนีสวรรค์เส้นที่แปดกัน?” สีหน้าของหลิวชีเยว่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ในหนังสือไม่มีอะไรบอกเกี่ยวกับสายฟ้าเส้นที่แปดเลย
“ไม่ต้องตกใจ” ผู้อาวุโสี่กล่าวทันที “อัสนีสวรรค์ถูกชี้นําโดยนายเหนือเองโดยตรง เขาไม่ทําพลาดอย่างแน่นอน ต้องเกิดอะไรบางอย่างขึ้นแน่ๆเขาถึงเรียกสายฟ้าเส้นที่แปดออกมา”
” ตราบใดที่เขาได้รับร่างอสูรตัดสายฟ้ามา เขาก็จะไม่หวั่นเกรงต่อสายฟ้าอีกต่อไป” เจ้าเขาหยวนชูกล่าว “นายเหนือคงจะมีเหตุผลอยู่เป็นแน่”
หลิวชีเยว่พยักหน้า แต่เธอก็ยังเป็นกังวลอยู่ดี
การท้าทายขอบเขตความเป็นตายนั้นไม่ใช่เรื่องเล่น การเกิดอุบัติเหตุขึ้นนั้นก่อให้เกิดปัญหาใหญ่ได้เลย
แม้ว่าเมิ่งชวนจะได้รับร่างอสูรตัดสายฟ้ามา แต่การโดนสายฟ้าอีกเส้นหนึ่งนั้นก็เป็นปัญหาใหญ่ สายฟ้าส่วนเกินที่อยู่ในร่างอาจจะก่อให้เกิดอุปสรรคอย่างมากในตอนเข้าสู่ระดับแก่นเมฆา
เปรี้ยง!
สายฟ้าอีกเส้นฟาดเข้าใส่บ่อโลหิตเทพอสูร
มันเป็นอัสนี้สวรรค์เส้นที่เก้าแล้ว เจ้าเขาหยวนชูและผู้อาวุโส ดูงุนงงและเป็นกังวล พวกเขาเชื่อใจในตัวปรมาจารย์ แต่พวกเขาก็ไม่เข้าใจว่าทําไมถึงต้องมีอัสนีสวรรค์เส้นที่เก้า
หลิวชีเยว่เป็นกังวลหนักกว่าเก่า แต่ว่าเธอก็ได้แต่มองดูทําอะไรไม่ได้
การที่เธอได้รับอนุญาติให้ดูการข้ามผ่านของเมิ่งชวนนั้นก็เป็นเรื่องพิเศษแล้ว พวกเป็นเพียงไม่กี่คนที่มีโอกาสได้เฝ้าดูเมิ่งชวนท้าทายขอบเขตความเป็นตาย! คนอื่นๆต่างถูกห้ามไม่ให้เข้ามาที่ยอดเขาแห่งนี้ เมื่อผ่านยอดเขานี้ไปแล้วก็จะมองไม่เห็นเมฆสีดําและสายฟ้า เสียงฟ้าผ่าเองก็เช่นกัน ในตอนนี้การท้าทายขอบเขตความเป็นตายถูกตัดขาดออกจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง
ในบ่อโลหิตเทพอสูร เมิ่งชวนนั่งขัดสมาธิอยู่ในนั้น ผิวของเขาเป็นประกาย และเส้นผมก็เงางาม เสื้อผ้าของเขาสลายกลายเป็นฝุ่นไปเผยให้เห็นหน้าอกของเขา ร่างของเขาปลดปล่อยพลังอันมหาศาลออกมาพร้อมกับสายฟ้าที่คํารามอยู่ใต้ผิวหนัง บ่อโลหิตเทพอสูรยังมีของเหลวสีฟ้าอยู่อีกมาก มันถูกเติมเต็มไวเท่ากับที่ถูกดูดซับไป ไม่ต้องกลัวว่ามันจะหมด
ในที่สุดข้าก็ปรับเปลี่ยนร่างกายได้สําเร็จ เมิ่งชวนถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เขารู้สึกว่าอัสนีสายฟ้าเจ็ดเส้นนั้นไม่เพียงพอต่อการเปลี่ยนแปลงร่างของเขาจนสมบูรณ์ ต้องใช้อัสนีสวรรค์ถึงเก้าเส้นเขาถึงจะปรับเปลี่ยนร่างกายได้สําเร็จ
เขาได้รับร่างเทพอสูรที่แท้จริงมาแล้ว บอกลาร่างมนุษย์และขึ้นเป็นเทพอสูร
แต่ว่าก็ยังมีขั้นตอนที่สําคัญอยู่อีกขั้น ควบแน่นแก่นเมฆา
มนุษย์นั้นต่างจากอสูรที่พลังส่วนมากของพวกมันนั้นมาจากร่างกาย พลังเจ็ดส่วนเกิดจากร่างกายและอีกสามส่วนเกิดจากพลังอสูร พลังเจ็ดส่วนของเทพอสูรมนุษย์มาจากพลังปราณ ระดับแก่นเมฆา แดนอมตะ มหาสุริยัน เดือนมืดมิดและไร้ขอบเขตนั้นวัดจากรูปแบบของปราณในจุดตันเถียนของแต่ละคน
ตอนที่ 113 บ่อโลหิตเทพอสูร
หนึ่งในเป้าหมายของเขาคือการเป็นเทพอสูร! มีเพียงการที่ได้เป็นเทพอสูรเท่านั้นที่จะสามารถทําให้เขาสังหารราชาอสูรได้!
เมื่อตอนยังเด็ก เขาได้สาบานต่อหน้าหลุมศพของแม่ พ่อของเขาเองก็ได้เฝ้ารอมาหลายปี และเขายังแบกรับความหวังของย่าทวดและตระกูลอีกและมันเองก็เป็นเป้าหมายของเขาเองด้วย เช่นกัน ทุกๆปีที่เขาฝึกฝนมานี้ก็เพื่อที่จะขึ้นเป็นเทพอสูร
เขายอมเสี่ยงชีวิตเพื่อการขึ้นเป็นเทพอสูรด้วยซ้ำ
คืนนี้ ในที่สุดเขาก็ขัดเกลาจุดที่เก้าได้สําเร็จ เขาอยู่ห่างจากการเป็นเทพอสูรอีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้นเมิ่งชวนจะไม่รู้สึกตื่นเต้นได้อย่างไรกัน?
เขาพลิกไปมาทั้งคืน นอนหลับไม่สนิทเลยแม้แต่น้อย นี่เป็นครั้งแรกที่เขานอนไม่หลับนับตั้งแต่มาที่เขาหยวนซู แต่ว่าวันถัดมาเขาก็ยังเหมือนเดิม แถมยังยิ้มหัวเราะดูอ่อนโยนกับเหล่าคนรับใช้และพ่อบ้านมากขึ้นด้วยซ้ำ นั่นทําให้เหล่าพ่อบ้านและคนรับใช้ต่างงุนงง
“เกิดอะไรขึ้นกับเจ้านายของเรากัน?”
” ทําไมวันนี้เขาสุภาพจังเล่า?”
“อาซวน” หลิวชีเยว่มารับประทานอาหารเข้ากับเมิ่งชวนและก็พบว่าเมิ่งชวนยิ้มตลอดเวลาทําให้เธออดไม่ได้ที่จะถามว่า “อาชวน ทําไมวันนี้เจ้าทําตัวแปลกๆ?”
“ทําตัวแปลกๆ?” เมิ่งชวนมองไปที่เธอ
“ปกติตอนข้ามาเวลานี้เจ้าจะฝึกวิชากระบี่” หลิวซีเยว่กล่าว “เช้านี้เจ้ากินข้าวไว แถมยังกินแบบสบายๆ ด้วย”
เมิ่งชวนชดข้าวต้มและยิ้ม “ไม่ได้รับอะไร”
“หลังจากนี้เจ้าจะไม่ไปที่ถ้ำหมื่นกระบี่เหรอ?” หลิวซีเยว่ถามด้วยความสงสัย
“ไม่” เพิ่งชวนส่ายหน้า
หลิวชีเยวอึ้งเล็กน้อย เธอรู้สึกสับสน ทําไมวันนี้เพิ่งชวนผู้ขยันขันแข็งถึงไม่ซ้อมล่ะ?
“อีกเดี๋ยวข้าจะไปหาผู้อาวุโสที่คลังสมบัติ” เมิ่งชวนพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้ากําลังเตรียมตั วท้าทายขอบเขตความเป็นตาย”
หลิวเยว่เบิกตากว้างด้วยความตกใจ “อาชวน เจ้ากําลังจะเป็นเทพอสูรใช่ไหม?”
” สามวันก่อนการท้าทายขอบเขตความเป็นตายต้องหยุดฝึกฝนทุกอย่าง ข้าต้องพักผ่อนให้ร่างกายและจิตใจอยู่ในระดับที่สมบูรณ์แบบ” เมิ่งชวนกล่าวยิ้มๆ “เพราะฉะนั้นแล้ว วันนี้ข้าเลยไม่ได้ฝึกวิชากระบี่”
นี่ก็เป็นเงื่อนไขในการเป็นเทพอสูรเช่นกัน การท้าทายความเป็นตายนั้นไม่ใช่เรื่องเล่นๆ! มันเปลี่ยนทั้งร่างกายและจิตใจของมนุษย์ให้กลายเป็นเทพอสูรจะประมาทไม่ได้ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด
“ใช่ๆๆ ใช่แล้ว พักผ่อนให้สบายอีกสามวันเถอะนะ” หลิวเยว่พยักหน้า “เดี๋ยวข้าจะตามเจ้าไปที่คลังสมบัติตัวยทีหลัง”
หลังจากทานอาหารเข้า เมิ่งชวนและหลิวเยว่ก็ออกจากหมิงเฟิงและไปที่ยอดหลัก หวงซุนจิง พวกเขาเดินไปที่คลังสมบัติ
“นายท่านเมิ่งชวนมาแล้ว”
“วันนี้ไม่มีการแจกจ่ายยาและสมบัติ ท่านเมิ่งชวนมาเพื่อท้าทายขอบเขตความเป็นตายรึ?” หลายๆคนในคลังสมบัติคาดเดาหลังจากที่ได้เห็น นั่นก็เพราะเมิ่งชวนได้รับหกประสงค์วินาศไปแล้วเก้าสิบขวดเมื่อเดือนก่อน ทุกๆคนต่างเฝ้ารอว่าเขาจะผ่านขอบเขตความเป็นตายและ ขึ้นเป็นเทพอสูรเมื่อไหร่ แต่ว่าผ่านไปหนึ่งเดือนแต่ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น การที่จู่ๆเพิ่งชวนนั้นมาที่นี่วันนี้ก็ทําให้หลายๆคนคาดหวัง
เพิ่งชวนและหลิวเยว่เข้าไปในคลังสมบัติ
“นายท่านเม็งชวน” ชายชุดฟ้าต้อนรับเขา
“ข้ากําลังเตรียมตัวท้าทายขอบเขตความเป็นตาย” เมิ่งชวนกล่าว ” ช่วยบอกท่านผู้อาวุโสโดย
“ขอรับ” ติวงตาของชายชุดสีฟ้าเป็นประกาย เขาพยักหน้า “ข้าจะรายงานให้ผู้อาวุโสทีเดียว
ทุกคนที่ชั้นหนึ่งของคลังสมบัติได้ยินเขาชัดเจน พวกเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น เพ ราะเหล่าพ่อบ้านและคนรับใช้ใด้รับใช้เทพอสูรมาตลอดชีวิตก็ต้องใส่ใจในหลายๆเรื่องของเทพอสูรเช่นกัน พวกเขารู้สึกภูมิใจเมื่อมีเทพอสูรที่ทรงพลังเกิดขึ้นมา พวกเขาโศกเศร้าทุกครั้งที่มีเทพอสูรต้องตายไป
“เมิ่งชวน” ผู้อาวุโสเดินออกมาพร้อมกับหัวเราะน้อยๆ ในที่สุดเจ้าก็วางแผนจะเข้าสู่ขอบเขตความเป็นตายแล้วรึ?”
” ขอรับ” เมิ่งขวนพยักหน้า
ผู้อาวุโสอพิจารณาเพิ่งชวนอย่างละเอียด “แน่นอนว่าเจ้าหลอมรวมกระแสพลังวินาศทั้งเก้าเข้าด้วยกันได้แล้ว และยังเข้าถึงเจตจํานงแห่งกระบี่มาได้นานแล้วเหมือนกัน ร่างของเจ้าก็ไม่มีอาการบาดเจ็บอะไรด้วย ทุกอย่างปกติดีนับจากวันนี้ไปให้เจ้าพักผ่อนสามวันติดต่อกัน อย่าฝึกวิชาปล่อยให้ร่างกายและจิตใจของเจ้าอยู่ในสถานะที่ดีที่สุด
“และนี่คือยาเม็ดก่อกําเนิดสามเม็ด” ผู้อาวุโสลี่ยนขวดหยกสีน้ำเงินให้เมิ่งชวน “กินยา เม็ดก่อกําเนิดทุกวันมันจะเป็นประโยชน์ต่อร่างกายและจิตใจของเจ้า อีกสามวัน วันที่ยี่สิบสิงหาคม ให้เจ้าไปที่บ่อโลหิตเทพอสูรที่ยอดเขาความเป็นตายในตอนเช้า เมื่อถึงเวลา นายเหนือจะเป็นคนบรรจบสายฟ้าทั้งเจ็ดให้เจ้าเอง”
“ขอรับ” เพิ่งชวนพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม
“กลับไปพักผ่อนให้สบายเสีย” ผู้อาวุโสอพูดด้วยรอยยิ้มจากนั้นเขามองไปที่หลิวชีเยว่ “หลิวชีเยว่ เจ้าควรมุ่งเน้นไปที่การฝึกของเจ้าและเข้าสู่ขอบเขตของเจตจํานงให้ได้โดยไว”
“เจ้าค่ะท่านผู้อาวุโส” หลิวชีเยว่ตอบก่อนจะจากไปพร้อมกับเมิ่งชวน
ผู้อาวุโสอิ่มองดูทั้งคู่จากไปพร้อมรอยยิ้ม เขาเป็นห่วงเด็กสองคนนี้มาก
คนนึงมีสายเลือดวิหคเพลิง นั่นทําให้เธอเป็นคนที่สองของโลกในตอนนี้ที่มีสายเลือดนั้น เธอจะได้ร่างวิหคเพลิงที่สมบูรณ์แบบอย่างแน่นอน
อีกคนฝึกฝนร่างอสูรตัดสายฟ้าด้วยตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้นยังผ่านการขัดเกลาจุดที่เก้าไปแล้วอีกด้วย ซึ่งมันก็ไม่ต้อยไปกว่าร่างเทพวิหคเพลิงที่สมบูรณ์เลย
ผู้อาวุโสอพอใจมากที่ทั้งสองคนอยู่ด้วยกัน นี่เป็นเพราะยิ่งคู่สามี-ภรรยาเทพอสูรมีแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ ลูกๆของพวกเขาก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น ตัวอย่างเช่น ลูกของราชาทะเลดงไห่กลายเป็นเทพอสูรทั้งหมด และยังอยู่ในระดับที่สูงด้วยซ้ำ ราชันเทพอสูรคนอื่นๆ ที่คล้ายกันหากจอมยุทธระดับสรรค์สร้างยอมที่จะเสียสละ ลูกๆของพวกเขาก็จะเกิดมาพร้อมกับแก่นสารแห่งจิตเลยด้วย
ยิ่งมนุษย์เรามีเทพอสูรที่ทรงพลังมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี ผู้อาวุโสอิ่มองดูทั้งสองคนค่อยๆหายไปจนลับสายตา
สามวันต่อมา วันที่ 20 สิงหาคม อากาศในยามเช้าหนาวเย็น
เมิ่งชวนและหลิวชีเยว่ไปที่ยอดเขาความเป็นตายด้วยกัน มันเป็นสถานที่ที่สําคัญมาก สําหรับเขาหยวนชู ศิษย์ถูกห้ามไม่ให้เข้าไปหากไม่ได้รับอนุญาติที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่ายอดเขาแห่งนี้เป็นที่ตั้งของสิ่งที่ล้ำค่ายิ่ง นั่นคือบ่อโลหิตเทพอสูร! เมิ่งชวนมาที่นี่เพื่อท้าทายขอบเขตความเป็นตาย ศิษยืนอกคนอื่นต้องต่อสู้เก็บสะสมแต้มเพื่อที่จะได้เข้าสู่บ่อนี้ แต่ศิษย์ในไม่ต้องทําอะไรเช่นนั้น
“ในที่สุดข้าก็จะไปถึง” ดวงตาของเมิ่งชวนเต็มไปด้วยความหวังสภาพของเขาตอนนี้ไม่มีอะไรดีกว่านี้แล้ว เขากินยาเม็ดก่อกําเนิดมาติดกันสามวัน ในตอนนี้ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยกําลังวังชา และจิตใจของเขาก็โล่งและสบาย
ข้างหน้าเขาคือถ้ำบ่อโลหิตเทพอสูร
“โอ๊ะ?” เมิ่งชวนและหลิวเยว่เห็นร่างสองร่างอยู่ไกลๆ ร่างหนึ่งคือเจ้าเขาหยวนซู อีกร่างคือผู้อาวุโส
“ท่านเจ้าเขา ท่านผู้อาวุโส” เมิ่งชวนและหลิวชีเยว่เดินไปและโค้งตัวด้วยท่าทางนอบน้อม
เจ้าเขาหยวนชูพยักหน้าเล็กน้อย “หลิวเยว่ เจ้าไม่ต้องเดินเข้าไปต่อหรอก ยืนดูการเฉ ลิมฉลองนี้กับข้าและผู้อาวุโสอตรงนี้เถอะ”
“เจ้าค่ะ” หลิวชีเยว่ตอบด้วยท่าทางนอบน้อม
“เมิ่งชวน เจ้าไปเถอะ” เจ้าเขาหยวนซูชี้ไปที่ถ้ำบ่อโลหิตเทพอสูร “นายเหนือรออยู่ข้างใน เขาจะปกป้องเจ้าให้เป็นการส่วนตัวมีศิษย์เพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้รับการปกป้องจากนายเหนือตอนที่ได้เป็นเทพอสูร”
“แค่ทําตามที่คัมภีร์ร่างอสูรตัดสายฟ้าได้เขียนเอาไว้ ไม่จําเป็นต้องกังวล” ผู้อาวุโสกล่าว
” ศิษย์จะไปแล้วขอรับ” เมิ่งชวนกล่าวอย่างสุภาพ
หลิวเยว่หันไปมองให้กําลังใจเมิ่งชวน เขายิ้มและเดินไปที่ถ้ำบ่อโลหิตเทพอสูร
ถ้ำบ่อโลหิตเทพอสูรนั้นดูธรรมดา มันกว้างใหญ่และคดเคี้ยว ตรงสุดปลายอุโมงค์ก็จะเห็นบ่อที่กว้างประมาณสองจิ้ง มันค่อนข้างเล็กและดูธรรมดาข้างๆบ่อมีหลุมเล็กๆหลายหลุม หลุมเล็กๆเหล่านี้มีของเหลวสีฟ้าอยู่ในนั้นของเหลวสีฟ้าค่อยๆ เติมเข้าไปในบ่อโลหิตเทพอสูร
“อีกพักหนึ่งบ่อโลหิตเทพอสูรจะเต็ม” ปรมาจารย์โผล่ออกมาจากความว่างเปล่าข้างๆบ่อโลหิตเทพอสูร
“ท่านอาจารย์” เมิ่งชวนก้มหัว
“พอบ่อโลหิตเทพอสูรเต็มแล้วให้เจ้าเข้าไปนั่งขัดสมาธิในนั้น” ปรมาจารย์กล่าวต่อ “เมื่อเจ้าพร้อมแล้ว ข้าจะชักนอัสนสวรรค์ทั้งเจ็ดมาให้เจ้าเอง”
“เข้าใจแล้วขอรับ” เมิ่งชวนกล่าว เขารอให้บ่อโลหิตเทพอสูรเต็มบ่อโลหิตเทพอสูรนั้นคือ สิ่งที่สําคัญมากๆต่อมนุษย์ชาติ สิ่งที่สําคัญที่สุดนั่นก็คือของเหลวสีฟ้านั้น ปกติแล้วบ่อนี้จะว่างเปล่า! มีเพียงตอนที่คนๆนั้นใกล้จะกําเนิดใหม่ได้เท่านั้นของเหลวถึงจะไหลมา
บ่อไม่ได้เป็นสีเลือด แต่ทําไมมันถึงเรียกบ่อโลหิตเทพอสูรกัน?
นั่นก็เพราะในสมัยโบราณมนุษย์ได้ใช้ทรัพยากรของบ่อโลหิตเทพอสูรไปจนหมด ในการที่เทพอสูรจะส่งต่อมรดกของตนนั้น เทพอสูรที่ทรงพลังจะใช้ผลึกโลหิตเทพอสูรของตนเพื่อเป็นวัตถุดิบสําหรับบ่อโลหิตเทพอสูรนี้ ผลึกโลหิตเทพอสูรนั้นไม่ใช่สิ่งที่เทพอสูรธรรมดาจะมีกัน มีเพียงเทพอสูรที่ทรงพลังที่สามารถฝึกฝนจุดตันเถียนเพื่อสร้างผลึกขึ้นมาได้เท่านั้น ผลึกโลหิตเทพอสูรนั้นสําคัญกว่าเลือดในร่างของพวกเขาเสียอีก มันหมายถึงรากฐานของร่างกายและส่งผลต่ออายุขัยอีกด้วย
เทพอสูรที่ทรงพลังต้องเสียสละอย่างมากเพื่อให้มั่นใจว่าเทพอสูรนั้นจะไม่หยุดลง ในตอนนี้เทพอสูรที่ทรงพลังไม่จําเป็นต้องเสียสละขนาดนั้นแล้ว แต่ว่าพวกเขาก็ยังคงใช้ชื่อ “บ่อโลหิตเทพอสูร” เพื่อที่เหล่าศิษย์จะได้จดจําว่าเทพอสูรที่ทรงพลังเหล่านั้นได้เสียสละอายุขัยและรากฐานของตนเพื่อให้ตํานานของเทพอสูรได้คงอยู่ต่อไป
“เอาละ บ่อโลหิตเทพอสูรเต็มแล้ว เจ้าสามารถเข้าไปได้” ปรมาจารย์กล่าว
“ขอรับท่านอาจารย์” เมิ่งชวนถอดรองเท้าและเสื้อพร้อมกับวางกระบี่ลง เขาเดินเข้าไปบ่อโลหิตเทพอสูรพร้อมกับชุดขนาดพอดีตัวกับเท้าเปล่าเท่านั้น
ตอนที่ 112 เสร็จสิ้นการขัดเกลาจุดที่เก้า
“ท่านเมิ่งชวน โปรดตามมาขอรับ” พ่อบ้านชราที่ตําหนักแม่นาสวรรค์ดูเป็นมิตรมากขึ้น ท่านปรมาจารย์ได้ให้คําแนะนําแก่อัจฉริยะมากมาย อัจฉริยะที่มีความสามารถสูงจะได้รับคําชี้แนะเป็นการส่วนตัว ปกติแล้วพ่อบ้านชราไม่ค่อยสนใจเมิ่งขวนมากซักเท่าไหร่ แต่ว่าในตอนนี้เขารู้ เช่นเดียวกันกับคนในเขาหยวนทั้งหมดว่าเมิ่งชวนนั้นกําลังจะได้ร่างอสูรตัดสายฟ้าที่สมบูรณ์แบบที่หาปรากฏขึ้นมาเพียงครั้งเดียวในทุกๆหลายร้อยปี
ร่างเทพอสูรระดับพิเศษทุกร่างนั้นยอดเยี่ยม แต่พวกมันก็ต่างเก่งกาจกันคนละด้าน
ร่างอสูรตัดสายฟ้านั้นมีความเร็วที่เหนือชั้น มันมีประโยชน์ต่อมนุษย์ในยามคับขันมาก
ต่อจากขุนนางทะเลหวน ในที่สุดก็มีร่างอสูรตัดสายฟ้าที่สมบูรณ์แบบปรากฏขึ้นมา
“เชิญทางนี้ขอรับ” พ่อบ้านชราพูดดังขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อยก่อนจะเดินไป
” ท่านอาจารย์” เมิ่งชวนไปที่สวนและพบกับปรมาจารย์ที่กําลังตัดแต่งกิ่งไม้อย่างสบายๆ ใบและกิ่งร่วงอยู่ในสวน
พ่อบ้านชราโค้งตัวก่อนจะเดินกลับไป
นายเหนือยังคงตัดแต่งกิ่งไม้ของเขาต่อไป และถามนิ่งๆ “มีอะไร?”
“ศิษย์ดูดซับหกประสงค์วินาศไปเก้าสิบขวดแล้ว แต่ศิษย์ยังไม่สามารถรวมหกประสงค์วินาศทั้งหมดให้รวมเป็นหนึ่งได้เลย! ศิษย์รู้สึกว่าร่างกายได้ไปถึงขีดสุดแล้ว แต่แก่นสารแห่งจิต แต่ยังเหลือที่ว่างอีกมากขอรับ” เมิ่งชวนกล่าว “ศิษย์เกรงว่าศิษย์จะต้องใช้อีกมากกว่าหลายสิบขวดศิษย์ควรจะไปที่คลังสมบัติเพื่อเอาหกประสงค์วินาศมาเพิ่มอีกไหมขอรับ?”
ตามกฏแล้ว หกประสงค์วินาศนั้นจะได้รับหลังจากที่ขวดก่อนหน้าขัดเกลาจนสมบูรณ์แล้วเท่านั้น และจะเป็นเช่นนั้นจนกว่าคนๆนั้นจะขัดเกลาจุดที่เก้าได้สําเร็จ อย่างไรก็ตามมีคนมากมายที่คลังสมบัติการจะเก็บความลับจึงเป็นไปไม่ได้
“กระแสพลังวินาศที่จิตของมนุษย์ธรรมดานั้นไม่มากเท่ากับที่แก่นสารแห่งจิตดูดซับได้อยู่แล้ว” ปรมาจารย์ยิ้มขณะที่หันไปมองเมิ่งชวน หลังจากที่ตั้งใจมอง เขาก็พูด ” แก่นสารแห่งจิตของเจ้ายังห่างไกลจากขีดจํากัดนักเอ้านี่คือหกประสงค์วินาศทั้งหมด 122 ขวด”
นายเหนือโบกมือเบาๆ
อากาศตรงหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย ก่อนที่ผ้าสีเทาจะโผล่ออกมาบนพื้นบนผ้าสีเทานั้นมีขวดกระเบื้องสีแดงวางไว้อยู่มากมาย มีทั้งหมด 122 ขวด
เมิ่งชวนได้แต่ตะลึงอยู่ในใจที่ได้เห็นสมบัติจํานวนมากมายขนาดนี้โผล่ออกมาจากที่โล่งๆ แม้เขาจะรู้ว่าอาจารย์ของเขาได้เข้าถึงระดับสรรค์สร้างที่สูงกว่าราขาเทพอสูรไปแล้ว ขนาดที่ว่าเจ้าเขาหยวนยังเรียกเขาว่าเป็นนายเหนือแต่การที่อาจารย์ทํามันได้แบบสบายๆนั้นก็ทําให้ได้แต่อึ้ง
ท่านอาจารย์ไม่ได้พกขวดหกประสงค์วินาศติดตัวไปตลอดเวลาอย่างแน่นอน แต่การที่สามารถเสกมันออกมาได้เพียงโบกมือนี้มันวิชาอะไรกัน? เมิ่งชวนตกใจลึกๆ แต่ว่าความรู้ของเขานั้นมีไม่มากพอ เขาจะไม่ได้คัมภีร์ของร่างเทพอสูรที่เกี่ยวข้องด้วยซ้ําหากยังฝึกไม่ถึงระดับมหาสุริยัน! และเขาเองก็จะไม่ได้วิธีการฝึกฝนแก่นสารแห่งจิตอีกด้วย เพียงเทพอสูรระดับขุนนางและราชาเขาก็รู้น้อยมากแล้ว ไม่จําเป็นต้องพูดถึงระดับสรรค์สร้างเลย
เขาไม่เห็นแม้แต่คําว่า “ระดับสรรค์สร้าง” ในหนังสือที่เขาสามารถอ่านได้ เขารู้เรื่องนี้ก็แค่ตอนที่อาจารย์ได้กล่าวออกมาเท่านั้น
” ท่านอาจารย์ ศิษย์ต้องใช้หกประสงค์วินาศ 122 ขวดก่อนที่จะรวมมันเข้าเป็นหนึ่งเดียวได้เลยหรือขอรับ?” เมิ่งชวนรู้สึกว่ามันดูมากเกินไปหลังจากที่ได้เห็นขวดกระเบื้องสีแดงเหล่านี้
“กระแสพลังวินาศที่แก่นสารแห่งจิตของเจ้าสามารถดูดซับได้นั้นมากมายกว่าที่เจ้าจะจินตนาการ” ปรมาจารย์กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ถ้าข้าศิตถูกต้อง ข้าว่าคงจะเหลือเพียงไม่กี่ขวดหลังจากที่แก่นสารแห่งจิตของเจ้าดูดซับหกประสงค์วินาศไม่ได้อีกต่อไป”
เมิ่งชวนเชื่อในการตัดสินของปรมาจารย์อยู่แล้ว
” รากฐานเทพอสูรของเจ้านั้นแข็งแกร่งกว่าคนธรรมดาถึงสามเท่าไม่เลวเลย แต่แก่นสารแห่งจิตของเจ้านั้นแข็งแกร่งกว่าจิตของคนธรรมดาหลายเท่า” ปรมาจารย์กล่าวด้วยรอยยิ้ม ” จํานวนหกประสงค์วินาศที่เจ้าสามารถดูดซับได้นั้นมากกว่าผู้ฝึกร่างอสูรตัดสายฟ้าคนอื่นๆมาก ข้าเองก็กําลังรอดูอยู่ว่าเจ้าจะแข็งแกร่งมากเพียงไหนหลังจากที่ได้ร่างอสูรตัดสายฟ้าที่สมบูรณ์แบบ ถ้าหากไม่มีอะไรแล้วเจ้าก็ไปได้”
เมื่อพูดจบปรมาจารย์ก็กลับไปตัดแต่งกิ่งไม้ดังเดิม
” ขอรับ ศิษย์ขอลา” เมิ่งชวนมัดห่อผ้าสีเทาก่อนจะก้มหัวเคารพและเดินจากไป
เมิ่งชวนเป็นคนเดียวที่มีแก่นสารแห่งจิตขณะฝึกร่างอสูรตัดสายฟ้า ดังนั้นหกประสงค์วินาศที่เขาดูดขับได้นั้นจึงมากกว่าของคนปกติเป็นเรื่องธรรมดา
เมิ่งชวนนขวดหกประสงค์วินาศทั้งหมดนั้นกลับไปที่ห้องลับสําหรับฝึกวิชาของเขาและฝึกฝนวิชากระบี่ที่ถ้ําหมื่นกระปีต่อไปเขาฝึกฝนอย่างขยันขันแข็ง
จากประสบการณ์ของวิชาชักกระบี่ เขาได้เข้าถึงเจตจํานงแห่งกระบี่ในครึ่งปี แต่ว่าแม้จะฝึกฝนอย่างขยันขันแข็งเกือบปี แต่เขาก็ยังอยู่ห่างจากเจตจํานงกระบีขั้นสูงนัก เขาคงจะใช้เวลาอีกซักหนึ่งหรือสองปี
ปรมาจารย์มีสายตาที่เฉียบคม เขาเคยบอกเมื่อนานมาแล้วว่าเมิ่งชวนนั้นเป็นอัจฉริยะที่ไม่มี ใครเทียบได้ในเรื่องของภาพวาด แต่ว่าเขานั้นยังธรรมดาๆในวิชากระบี่ที่เขาสามารถฝึกฝนได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้นก็เพราะเขาสามารถเห็นข้อบกพร่องของตัวเองจากขอบเขตสิบปิ้งได้ และนั่นทําให้เขาเด่นขึ้นมาในหมู่อัจฉริยะ
หากไม่มีขอบเขตสิบปิ้ง การฝึกฝนของเมิ่งชวนคงจะช้ากว่านี้ และหากไม่มีแก่นสารแห่งจิต เมิ่งชวนก็คงจะเป็นเพียงศิษย์ธรรมดาๆของเขาหยวนซู
แน่นอนว่าแก่นสารแห่งจิตก็เป็นหนึ่งในความแข็งแกร่งของเมิ่งชวน และนั่นก็เป็นเหตุว่าทําไมนายเหนือถึงให้ความสําคัญกับเขา เมิ่งชวนไม่รู้ว่าคนที่เกิดมาพร้อมกับแก่นสารแห่งจิตนั้นจะพัฒนาแก่นสารแห่งจิตได้อย่างยากลําบาก นั่นก็เพราะพ่อแม่ของพวกเขานั้นไม่สามารถช่วยเหลือ ในการฝึกฝนแก่นสารแห่งจิตได้ ส่วนสําหรับอัจฉริยะแบบเมิ่งชวนที่สามารถควบแน่นแก่นสารแห่งจิตขึ้นมาได้ด้วยการวาด ในอนาคตเขาจะสามารถใช้ภาพวาดเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่นสารแห่งจิตของเขาได้
มรดกจากพ่อแม่ก็ถือเป็นอย่างหนึ่ง แต่การฝึกฝนแก่นสารแห่งจิตในเติบโตนั้นจําเป็นที่จะต้องฝึกฝนอย่างหนักในอนาคต เมื่อใช้ความสามารถและวิชาของตนเองแล้วนั้นก็จะสามารถพัฒนาได้อย่างต่อเนื่อง
หลังจากได้รับหกประสงค์วินาศ 122 ขวดมา เมิ่งชวนก็ฝึกวิชากระบี่ในตอนเช้า วาดภาพในตอนบ่าย และประลองกับชีเยว่ในตอนเย็นอย่างมีความสุขเหมือนเคย
ในตอนกลางคืน เขาดูดขับหกประสงค์วินาศ เขารู้สึกได้ว่าร่างกายของเขาไม่สามารถ ดูดซับหกประสงค์วินาศได้อีกแล้ว แต่แก่นสารแห่งจิตนั้นหิวโหยมาก เขาปล่อยให้มันดูดซับกระแสพลังวินาศไปครึ่งชั่วยาม เขาสามารถดูดซับหกประสงค์วินาศไปได้ถึงสามขวดก่อนจะรู้สึกอิ่ม
คืนถัดมา เขาก็ขัดเกลาอีกสามขวดเหมือนเดิม
เมิ่งชวนขัดเกลาหกประสงค์วินาศต่อไปด้วยความเร็วสามขวดต่อวัน เขาต้องหยุดตัวเองไม่ให้ถูกความต้องการยั่วยวนไปทุกๆคน และนั่นทําให้จิตใจของเขากล้าแข็งขึ้น
ระหว่างดําเชี่ยวหลิง ศิษย์คนอื่นๆที่ยังไม่ได้ลงจากเขาก็มาจับกลุ่มพูดคุยกันเกี่ยวกับปัญหาในการฝึกวิชาของตน
“แปลก ศิษย์พี่เพิ่งควรจะขัดเกลาจุดที่เก้าเสร็จเมื่อครึ่งเดือนก่อนไม่ใช่รึ? ทําไมเขายังไม่ท้าทายขอบเขตความเป็นตายแล้วเป็นเทพอสูรอีกกัน?” ศิษย์ที่กําลังดื่มด้วยกันนั้นต่างรู้สึกผ่อนคลายต่างจากการฝึกฝนวิชาของพวกเขา
” คลังสมบัติก็ได้ยืนยันแล้วว่าศิษย์พี่เฟิงไต้หกประสงค์วินาศไปครบเก้าสิบขวดแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขาขัดเกลาพวกมันได้จนสมบูรณ์แล้ว เขาเองก็เข้าถึงเจตจํานงแห่งกระบี่และเรียนรู้วิชาของโลหะทมนได้ตั้งแต่เมื่อปีที่แล้วด้วยเช่นกัน อันที่จริงแล้วเขาก็ตรงตามเงื่อนไขทุกอย่างที่จะได้เป็นเทพอสูรแล้ว แต่ว่ามันก็แปลกอยู่หน่อยที่เขายังไม่ผ่านไป”
“อาจจะมีเหตุผลอื่น”
“ถ้าหากว่าเป็นข้า พอทุกอย่างพร้อม ข้าก็คงจะเป็นเทพอสูรให้ไวที่สุดเท่าที่จะทําได้”
“เพราะนี้ไงเลยทําให้เขาคือศิษย์พี่เพิ่งและเจ้าก็เป็นศิษย์น้องหยูรูยังไงเล่า”
ศิษย์คนอื่นๆหัวเราะ
บนเขาหยวนนี้นั้น ศิษย์ที่ระดับต่ำกว่าเดือนมืดมิดนั้นจะถือว่าอยู่ในรุ่นเดียวกัน คนที่อ่อนแอกว่าจะเรียกศิษย์ที่แข็งแกร่งกว่าว่า “ศิษย์พี่” หรือ “ศิษย์พี่หญิง” แต่หากทั้งคู่แข็งแกร่งพอๆกัน พวกเขาก็จะเรียกกันอย่างสุภาพว่า “ศิษย์พี่” ทั้งคู่
หากเรียกอีกคนว่า “ศิษย์น้อง” ทั้งๆที่ยังแข็งแกร่งไม่มากพอก็อาจจะทําให้อีกฝ่ายขุ่นเคืองได้
เหล่าศิษย์ที่ยังไม่ได้ขึ้นเป็นเทพอสูรทั้งหลายต่างเรียกเมิงชวนว่าศิษย์พี่เฟิง
“เมิ่งชวนไม่ได้ไปที่คลังสมบัติเพื่อขอเข้าสู่บ่อโลหิตเทพอสูรอีกรึ?” เจ้าเขาหยวนชูและผู้อาวุโส เดินไปด้วยกัน การท้าทายขอบเขตความเป็นตายนั้นต้องใช้สมบัติที่มีคุณค่ามากที่สุด บ่อโลหิตเทพอสูร ต้องได้รับการอนุญาติจากคลังสมบัติก่อนเท่านั้นถึงจะเข้าไปในบ่อโลหิตเทพอสูรได้ หลังจากที่คลังสมบัติมั่นใจแล้วเท่านั้นว่าศิษย์มีโอกาส 100 เปอร์เซ็นต์ที่จะสําเร็จ ศิษย์ถึงจะได้รับอนุญาติให้เข้าไปในบ่อโลหิตเทพอสูร
“ไม่” ผู้อาวุโสอส่ายหน้า “ข้ารับผิดชอบคลังสมบัติอยู่ ทําไมข้าจะไม่รู้เรื่อง เขาเสร็จสิ้นการขัดเกลาจุดที่เก้าเมื่อเดือนก่อน ข้าสงสัยว่าทําไมเขายังไม่ผ่านไปซักที? หรือจะมีเหตุผลบางอย่างที่ทําให้ล่าช้า?”
“มันจะเป็นเหตุผลอะไรกันเล่า? ไม่มีอะไรต้องกังวลเมื่ออยู่บนภูเขา ที่ต้องทําก็แค่ตั้งใจแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น” เจ้าเขาหยวนชูกล่าวเรียบๆ “เพราะว่าเขาผ่านการความต้องการทั้งหมดแล้ว เขาควรจะได้เป็นเทพอสูรโดยไว ทุกๆวินาทีในการฝึกฝนนั้นมีค่า เอาอย่างนี้เป็นไร? รออีกหนึ่งเดือน หากเขายังไม่มาขอท้าทายขอบเขตความเป็นตายแล้วให้ไปหาเขาและถามหาเหตุผล หากมีปัญหาอะไรที่รั้งเขาไว้อยู่พวกเราก็จะช่วยได้”
“เข้าใจแล้ว” ผู้อาวุโสพยักหน้า
จํานวนของเทพอสูรนั้นสําคัญมากเพราะมีหลายที่ที่พวกเขาต้องการเทพอสูรไปปกป้อง แต่ว่าประสิทธิภาพนั้นสําคัญยิ่งกว่า
อย่างเช่นปรมาจารย์เคยประจําการอยู่ในด่านล่อง ด่านลู่ถงนั้นคือเมืองด่านที่ใหญ่ที่สุด และความอันตรายของมันนั้นเป็นอันดับหนึ่งของต่านขนาดใหญ่ในราชวงศ์โจวทั้งเซ็ตต่านเลย แต่ว่ากลับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย มันปลอดภัยมากเสียด้วยซ้ํา! มันเปลี่ยนกลายเป็นเมืองที่รุ่งเรืองอย่างมาก รุ่งเรืองพอๆกับเมืองหลวงหรือเมืองหยวนชูเลย
ราชาเทพอสูรนั้นสามารถจัดการเมืองด่านขนาดใหญ่ได้
เทพอสูรที่แข็งแกร่งนั้นจะสามารถทําให้ราชาอสูรที่ซ่อนอยู่หวั่นเกรงได้ ราชาอสูรที่ซ่อนอยู่จะไม่มีวันเปิดเผยตัวออกมา แต่แม้จะระวังตัวมากขนาดนั้น เมื่อมันถูกราขันเทพสอูรพบเข้ามันก็จะ ถูกสังหารอยู่ดี
เมืองด่านขนาดกลางนั้นต้องมีขุนนางเทพอสูรคอยคุม แต่ว่าก็มีขุนนางเทพอสูรเพียงไม่กี่คนจากเมืองหยวนซู ส่วนมากเมืองด่านขนาดกลางจะมีเทพอสูรระดับมหาสุริยันคอยคุมเป็นหลักเสียมากกว่า เมืองด่านขนาดกลางนั้นคืออันที่แย่ที่สุด หากเมืองด่านขนาดกลางทุกเมืองมีเทพอสูรระดับขุนนางคอยคุม มันก็จะปลอดภัยเป็นแน่
แต่โชคร้ายที่ไม่มีขุนนางเทพอสูรมากขนาดนั้น
ทุกๆครั้งที่มีขุนนางเทพอสูรเกิดขึ้นมาก็ยิ่งทําให้เขาหยวนชูมีความสุข ทุกๆครั้งที่มีราชาเทพอสูรเกิดขึ้นก็ทําให้เขาหยวนซูฉลองเลยด้วยซ้ำ! เพราะไม่ว่าอย่างไรทั้งนิกายก็มีราขันเทพอสูรแทบจะไม่ถึงสิบคนเท่านั้น กําลังคนนั้นน้อยมาก
ดังนั้นแล้วจึงต้องให้ความสําคัญกับเหล่าอัจฉริยะอย่างเมิ่งชวนและเขวเฟิงให้ดี
วันที่ 16 สิงหาคม ช่วงเย็น
เมิ่งชวนขัดเกลาหกประสงค์วินาศอีกสามขวด
ดู!
เมิ่งชวนรู้สึกได้ว่าเขาดูดซับหกประสงค์วินาศจนถึงขีดสุดแล้ว แก่นสารแห่งจิตและร่า งของเขาก็หลอมรวมกระแสพลังวินาศเข้ากับหกประสงค์วินาศ
จํานวนที่มากขึ้นก็จะทําให้ประสิทธิภาพดีขึ้น เขาหลอมรวมกระแสพลังวินาศทั้งเก้าเข้าเป็นหนึ่งเดียว และทําให้กลายเป็นกระแสพลังวินาศที่ผ่านการขัดเกลาจุดที่เก้า
ในที่สุดก็สําเร็จ กระแสพลังวินาศหลอมรวมเข้ากับร่างกายของเขาโดยสมบูรณ์ เขาชูนิ้วขึ้น และมีกระแสพลังวินาศสีดําปรากฏขึ้นมาบนปลายนิ้ว นี่คือพลังวินาศหลังจากหลอมรวมเข้ากับหกประสงค์วินาศเข้าไป
“เหลืออีกสองขวดเท่านั้นรึ?” เมิ่งชวนมองดูขวตกระเบื้องทั้งสองขวดข้างๆเขา ปรมาจารย์แม่นยํามาก
ปรมาจารย์ได้ให้เขามา 122 ขวดโดยเผื่อเอาไว้ เขาเชื่อว่ามันจะพอและอาจจะมีส่วนเกินด้วยซ้ำ และมันก็เหลืออีกเพียงสองขวด
“ข้าเมิ่งชวนได้ผ่านจุดขัดเกลาที่เก้าแล้ว ได้เวลาขึ้นเป็นเทพอสูรแล้ว!” ใจของเมิ่งชวนเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
ตอนที่ 111 กระแสพลังวินาศไม่เพียงพอ?
เมิ่งชวนเองก็พอเข้าใจเจตนาดีของปรมาจารย์
เขาช่วยให้เพิ่งชวนกดดันตัวเองเพื่อตั้งใจฝึกฝนจิตใจ จิตใจที่กล้าแข็งนั้นสําคัญมาก กระทั่งสําหรับเทพอสูรระดับสูงๆ เพราะสุดท้ายแล้วขุนนางเทพอสูรและราชาเทพอสูรก็ยังมาที่หลุมแห่งความพิศวงนี้หลังจากที่กลับมาที่เขาหยวนด้วยเช่นกัน
“ข้ามาคืนหนังสือสองเล่มนี้” ใจของเมิ่งชวนเต็มไปด้วยความตื่นเต้น แต่ว่าเขาก็ยังไปที่ห้องสมุดเพื่อหาหนังสือใหม่อีกสองเล่ม
การเรียนรู้เพิ่มเติมยังทําให้ใจเขาผ่อนคลายด้วยเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงทํามันต่อไป
หลังจากได้หนังสือใหม่สองเล่ม เมิ่งชวนก็กลับไปที่ถ้ําของตน
ภายในห้องปิดในที่พักของเขา
หลังจากปิดห้อง เมิ่งชวนก็หยิบขวดกระเบื้องสีแดงที่เขาซ่อนเอาไว้ออกมา นัยน์ตาของเขาเต็มไปด้วยความคาดหวัง ได้เวลาเริ่มการขัดเกลาจุดที่แปดแล้ว!
เขาลงไปในบ่อสมุนไพรทุกครั้งในช่วงที่ขัดเกลาจุดที่แปดเพราะเขาต้องรักษาจากอาการบาดเจ็บและถึงจะถูกรบกวนก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่ว่าหกประสงค์วินาศนี้นั้น หากเขาทดมันไม่ได้ มันอาจจะส่งผลต่อจิตใจและสติของเขา แม้ว่าเขาจะสามารถรักษาสติให้ยังคงเลือนลางอยู่ได้ แต่ว่ามันก็ปลอดภัยกว่าหากเขาฝึกวิชาอยู่ในห้องป์ตเพื่อป้องกันอุบัติเหตุมาเลย
เพิ่งชวนค่อยๆเปิดจุกขวดออกแล้วสูดหายใจเข้าลึก พลังปราณของเขาดึงกระแสพลังวินาศสีแดงออกมาเข้าสู่ร่างกายของเขาผ่านทางจมูก
เมิ่งชวนไม่ได้ใช้วิชากระบีสําหรับขัดเกลาเพราะว่ามันเป็นเพียงการช่วยเหลือและขึ้นร่างกาย ในขัดเกลากระแสพลังวินาศ แต่ว่าเมื่อใช้แก่นสารแห่งจิตในการขัดเกลากระแสพลังวินาศแล้วนั้น ไม่มีความจําเป็นที่จะต้องใช้วิชากระบี่เลย
ร่างกายของเขาไม่ได้ดูดซับหกประสงค์วินาศเข้าไปทันที การจะให้ร่างกายดูดซับหกประสงค์วินาศนั้นยากมากๆ แม้ว่าเขาจะใช้วิชากระบีสําหรับขัดเกลาก็ตามแต่เขาก็ยังคงไม่สามารถดูดซับหกประสงค์วินาศได้หากเข้าไม่บรรลุเจตจํานงกระบี่ กลับกันเมิ่งชวนยืนอยู่นิ่งๆ
ปล่อยให้แก่นสารแห่งจิตดูดซับมันเข้าไปก่อนให้ร่างกายดูดซับมัน
หลังจากหกประสงค์วินาศเข้าสู่ร่างของเขา มันก็เข้าไปพันรอบแก่นสารแห่งจิตของเขาอย่างรวดเร็ว เส้นด้ายสีแดงอ่อนๆพันรอบแก่นสารแห่งจิตของเขาและพยายามจะทะลวงมันเข้าไป
หกประสงค์วินาศนั้นเกิดมาจากใจมนุษย์ เมื่อมันทะลวงเข้าไปในร่างได้แล้ว มันจะโจมตีใส่ขจิตวิญญาณของพวกเขาโดยอัตโนมัติ หากจิตใจไม่เข้มแข็งพอก็จะถูกความปรารถนาเข้าควบคุมโดยสมบูรณ์ วิญญาณมนุษย์ที่อ่อนแอนั้นง่ายต่อการควบคุม ยิ่งแก่นสารแห่งจิตหรือจิตใจแข็งแกร่งเท่าไรหกประสงค์วินาศก็จะควบคุมได้ยากขึ้นเท่านั้น
เมิ่งชวนไม่ได้ใช้แก่นสารแห่งจิตเพื่อกันมันออกไป เขาปล่อยให้หกประสงค์วินาศทะลวงแก่นสารแห่งจิตและให้มันเข้ามาเปลี่ยนร่างของเขา
หืม? ในใจของเขาเต็มไปด้วยความปราถนานานับประการ
เขายืนอยู่ในสวน เมื่อมองไปไกลๆ ก็จะเห็นพ่อ แม่ และหลิวซีเยว่ยืนอยู่ตรงนั้น พ่อหัวเราะอย่างมีความสุข แม่ก็ดูเหมือนกับตอนที่สอนให้เขาวาดรูปไม่มีผิด ชีเยว่กําลังถืออาหารอยู่ ทุกๆคนยิ้มและตะโกน “ชวนเอ๋อร์มากินข้าวเย็นเร็ว” เมิ่งชวนอยากจะเข้าไปหามาก เขาอยากจะกลับไปอยู่กับครอบครัว แต่ว่าเขาก็รักษาจิตใจให้กระจ่างไว้ได้และรับรู้ได้ว่าทุกอย่างนั้นคือภาพลวงตา
ไม่นาน ภาพนั้นก็หายไป
มีสาวงามมากมายปรากฏออกมาตรงหน้าเขา พวกเธอนั้นดูงดงามมาก เธอเหล่านั้นสวมเพียงแค่ผ้าไหมบางๆ และดูงดงามน่าดึงดูดกว่านางโลมชื่อดังเสียอีก พวกเธอเกี่ยวแขนเมิ่งชวนและยั่วยวนเขา มนุษย์นั้นมีความต้องการทางเป็นอยู่แล้วเป็นปกติ เมื่อเขาดูดซับหกประสงค์วินาศเข้าไป ความต้องการเหล่านั้นมันก็มากยิ่งกว่าเดิม เมิ่งชวนทําได้แค่อดทน
หลังจากที่ภาพตรงหน้าหายไป เขาก็พบว่าตัวเองอยู่กลางทุ่งรกร้าง ข้างหลังเขาคือราชาอสูรจํานวนมากกําลังไล่ตามเขาอย่างไม่ลดละ บางตัวก็อยู่บนพื้น บางตัวก็บินอยู่ และพวกมันก็ล้อมโจมตีเขา
ความรู้สึกกลัวและสิ้นหวังอย่างแรงกล้าผุดขึ้นในใจของเขา เขาปราถนาที่จะมีชีวิตอยู่ ความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่นั้นแข็งแกร่งมาก มันเป็นความปรารถนาโดยสัญชาตญาณ ความปราถนานี้กําลังจะทําให้สติของเขาจมลงไป
ข้ากําลังขัดเกลาหกประสงค์วินาศ ทุกอย่างนี้เป็นแค่ของปลอม พวกมันเป็นของปลอม เมิ่งชวนต่อต้านความปราถนาของเขาอย่างเต็มที่สติของเขาเริ่มถูกดึงไปในหลายๆสถานการณ์
ความปราถนาเหล่านั้นแทบจะทําให้เหตุและผลของเมิ่งชวนหายไปจนหมด และเมื่อเป็น เช่นนั้นแล้วเขาก็จะถูกความปราถนาเข้าควบคุมโดยสิ้นเชิง
อย่างไรก็ตาม จิตใจของเพิ่งชวนนั้นแข็งแกร่งมาก จิตใจของเขาแข็งแกร่งกว่าการไปถึงยอดของแท่นบูชาแห่งความมืดหลายเท่า เขาทนต่อความปราถนาอย่างอื่นอีกหลายๆอย่างที่เข้ามาโจมตีใส่จิตใจอย่างต่อเนื่อง บางอย่างก็เป็นความปราถนาทางอารมณ์ ความปราถนาทางกาย และจุดมุ่งหมายของเขา ทุกความปราถนานั้นมีผลที่ต่างกันแต่เพิ่งชวนก็สามารถทนต่อการโจมตีเหล่านั้นได้
เมิ่งชวนถอนหายใจและได้สติกลับมา เมื่อเปิดตาขึ้นมาเขาก็เห็นห้องที่ปิดอยู่ หกประสงค์วินาศหลอมรวมเข้ากับแก่นสารแห่งจิตของเขาอย่างสมบูรณ์
คราวนี้ข้าก็จะเริ่มการขัดเกลาได้แล้ว การขัดเกลาจุดที่เก้านั้นมีจุดประสงค์เพื่อการเสริมร่างกายให้แกร่งขึ้น กระแสพลังวินาศทั้งแปดอย่างก่อนหน้านั้นหลอมรวมเข้ากับร่างกายของเขาโดยสมบูรณ์ มีเพียงหกประสงค์วินาศเท่านั้นที่ต้องถูกแก่นสารแห่งจิตดูดซับเข้าไปก่อน จากนี้ร่างกายของเขาก็จะสามารถเริ่มดูดขับกระแสพลังวินาศได้ นี่ก็เพื่อให้ร่างกายและจิตวิญญาณเท่าเทียมกัน หลังจากที่ทุกอย่างเท่าเทียมแล้ว เขาก็จะสามารถรับร่างอสูรตัดสายฟ้าที่สมบูรณ์แบบได้ใน บ่อโลหิตเทพอสูร
หายใจเข้า! เขาสูตหกประสงค์วินาศเข้าไปอีกรอบ มันเข้าไปในสติของเขาอย่างรวดเร็ว แต่ว่าคราวนี้เขาใช้พลังของแก่นสารแห่งจิตเพื่อกันไม่ให้มันทะลวงเข้าไปในจิตของเขาได้ และเขาก็ใช้วิชากระบี่สําหรับขัดเกลาพร้อมกับเจตจํานงแห่งกระบี่
วิชากระบี่นี้จะทําให้เขาใช้แรงออกมาได้มากขึ้น ทําให้สามารถดูดซับหกประสงค์วินาศได้ไวและดีขึ้น เขาค่อยๆดูดขับหกประสงค์วินาศเข้าไปอย่างช้าๆ พลังปราณของเขาปกคลุมร่างกาย และกันไม่ให้หกประสงค์วินาศออกไปจากร่างของเขา หลังจากผ่านไปหนึ่งก้านธูปเขาก็ขัดเกลาจนเสร็จ
แก่นสารแห่งจิตของเมิ่งชวนดูดซับหกประสงค์วินาศเข้าไปสามกระแส ส่วนร่างกายของเขาดู ซับเข้าไปหกอัตราส่วนหนึ่งต่อสองคืออัตราส่วนที่ดีที่สุดตามที่บันทึกเขียนเอาไว้กลับกัน ในคัมภีร์ของร่างอสูรตัดสายฟ้าไม่มีเขียนเอาไว้ มันเขียนไว้เพียงแค่ว่าให้ดูดซับกระแสพลังวินาศเข้าไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทําได้
ร่างกายของเขาสามารถทนรับหกประสงค์วินาศได้เพียงหกกระแสเท่านั้น แต่ว่าแก่นสารแห่งจิตของเขานั้นยังรับได้อีกมาก แต่ว่าหกประสงค์วินาศหนึ่งขวดมีเพียงแค่เก้ากระแสเท่านั้น ของการดูซับหกประสงค์วินาศหนึ่งขวดต่อวันนั้นไวมากๆ เมิ่งชวนไม่กังวลเรื่องว่าจะขัดเกลาจุดที่ เก้าได้สําเร็จหรือไม่อีกต่อไป
วันถัดมา เมิ่งชวนไปที่คลังสมบัติเพื่อพับกับผู้อาวุโสอีอีกครั้ง
“เจ้าขัดเกลาหกประสงค์วินาศแล้วรึ?” ผู้อาวุโสอิ่มองเมิงชวนด้วยความตกใจ
การที่ได้รับหกประสงค์วินาศขวดแรกก็หมายความว่าเม็งชวนผ่านการขัดเกลาจุดที่แปดไปแล้ว และการที่ได้รับขวดที่สองก็หมายความว่าเมิ่งชวนขัดเกลาหกประสงค์วินาศได้เรียบร้อยแล้ว มันยากเกินไปสําหรับมนุษย์ในการขัดเกลาหกประสงค์วินาศ ความแข็งแกร่งของจิตใจขั้นต่ำมันมากเกินไป
มีปัญหาหลักๆสองอย่างในการขัดเกลาหกประสงค์วินาศ อย่างแรกคือมันยากเกินไปที่จะให้จิตใจดูดซับหกประสงค์วินาศ อย่างที่สองถึงจิตใจของคนๆนั้นจะแข็งแกร่งมากเพียงพอ พวกเขาก็รักษาสติได้เพียงแค่เลือนลางตอนดูดซับหกประสงค์วินาศ เพราะเหตุนี้วิชากระบีสําหรับขัดเกลาจึงอ่อนแอกว่าเดิม ดังนั้นปกติแล้วจะขัดเกลาหกประสงค์วินาศก็ต่อเมื่อไปถึงขั้นเจตจํานงระดับที่สูงกว่านี้ ด้วยเหตุผลเหล่านี้ร่างอสูรตัดสายฟ้าที่สมบูรณ์จึงเกิดขึ้นมาเพียงไม่กี่ครั้งในหลายร้อยปีเพียงเท่านั้น
“เอาล่ะ นี่หกประสงค์วินาศขวดที่สองของเจ้า” ดวงตาของผู้อาวุโสเต็มไปด้วยความคาดหวัง เมิ่งชวนเพียงแค่ต้องการเวลาในการขัดเกลาจุดที่เก้าให้สําเร็จ ไม่นานร่างอสูรตัดสายฟ้าที่สมบูรณ์ก็จะเกิดขึ้นมา
“นี่ขวดที่สาม” ผู้อาวุโสอสามารถเห็นกระแสพลังวินาศในร่างของเมิ่งขวนได้ในพริบตา เขา เอาขวดใหม่ให้เมิ่งชวน “เจ้าไวนะนี้ ขัดเกลาได้วันละขวดเลยรึ?”
“นี่ขวดที่ห้า”
“นี่ขวดที่สิบ”
“เจ้าดูดซับหกประสงค์วินาศเข้าไปครบห้าสิบขวดแล้ว เมิ่งชวน มีคนมากมายบนเขากําลังเฝ้ารอเจ้าได้รับร่างเทพอสูรที่สมบูรณ์อยู่นะ” ผู้อาวุโสค่อนข้างคาดหวัง
เนื่องจากเพิ่งชวนมาเอาหกประสงค์วินาศทุกวัน ข่าวจึงแพร่กระจายเร็วมากหลายๆคนบนเขาต่างรู้ว่าเมิ่งชวนดูดซับหกประสงค์วินาศหนึ่งขวดทุกวัน หลังจากผ่านไปกว่าสองร้อยปี ก็จะมีร่างเทพอสูรที่สมบูรณ์ปรากฏขึ้นมาเสียที
ในหมู่เหล่าศิษย์ที่ยังไม่ได้ลงจากเขา เมิ่งชวนกลายเป็นคนดัง
นอกจากเมิ่งชวนแล้ว ก็มีศิษย์เพียงคนเดียวเท่านั้นที่สําเร็จร่างเทพอสูรที่สมบูรณ์แบบในช่วงสิบปีที่ผ่านมา นั่นก็คือเขวเฟิง เขวเฟิงสําเร็จร่างอสูรทรายดําที่สมบูรณ์ ในการจัดอันดับความยาก ในการฝึกฝนของร่างเทพอสูร โดยไม่สนใจร่างเทพมังกรและร่างวิหคเพลิงแล้ว ร่างห้าร่างจากสิบ ร่างนั้นมีความยากในการฝึกฝนมากที่สุด และร่างอสูรตัดสายฟ้าก็เป็นหนึ่งในนั้น
ในประวัติของเขาหยวนซู ร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษอีกห้าร่างที่มีความยากในการฝึกฝน น้อยกว่านั้น ก็จะพบร่างเทพอสูรที่สมบูรณ์แบบได้ทุกๆสิบปี ส่วนอีกห้าร่างที่ยากกว่านั้น ร่า งเทพอสูรที่สมบูรณ์แบบมักจะปรากฏออกมาทุกๆหลายสิบปีเท่านั้น พวกมันหายากกว่ามาก
ส่วนร่างเทพมังกรและร่างเทพวิหคเพลิงนั้นขึ้นอยู่กับโชคช่วยล้วนๆ เมื่อสายเลือดได้ตื่นขึ้นมา แล้วนั่นก็หมายถึงความสําเร็จ หากสายเลือดไม่ตื่นขึ้นก็ไม่มีความหวัง
ผลก็คือศิษย์คนอื่นๆต่างประทับใจเมิ่งขวนผู้ที่สามารถฝึกฝนร่างอสูรตัดสายฟ้าที่สมบูรณ์ได้ จึงเป็นเรื่องปกติที่เขาจะได้รับความสนใจ ศิษย์หลายคนเข้ามาคุยกับเขาทุกครั้งที่เต๋าเจี่ยวหลิง พวกเขาพยายามจะทําความรู้จักกับเมิ่งชวน เพราะในอนาคตอาจจะขอความช่วยเหลือจากเขาก็
ขวดที่เจ็ดสิบ ขวดที่แปดสิบ ในที่สุดเพิ่งชวนก็ได้ขวดที่เก้าสิบไป
ในคืนนั้น เมิ่งชวนขัดเกลาหกประสงค์วินาศ
เขาไม่ได้ตื่นเต้น แต่งุนงงเสียมากกว่า
ข้าดูดซับหกประสงค์วินาศไปเก้าสิบขวดแล้ว จากอัตราส่วนหนึ่งต่อสองร่างกายของข้าดูดซับไปหกสิบขวดและแก่นสารแห่งจิตดูดขับไปหกสิบขวด แต่ว่าข้าก็ยังขัดเกลาจุดที่เก้าไม่สําเร็จ” เมิ่งชวนยืนอยู่ในห้องนิ่งๆ รู้สึกงุนงงทําอะไรไม่ถูก
“ข้ารู้สึกได้ว่าร่างกายของข้าดูดซับหกประสงค์วินาศจนสุดแล้ว แต่แก่นสารแห่งจิตนั้นยังขาดอยู่ เหมือนว่าแก่นสารแห่งจิตของข้าจะยังดูดขับไปไม่มากพอ ยังอยู่อีกไกลนักกว่าจะถึงขัดสุดจากบันทึกของศิษย์พี่ ปกติแล้วเก้าสิบขวดคือที่สุด ขนาดผู้ที่มีพรสวรรค์มากมายยังสามารถดูดซับได้มากกว่านั้นเพียงไม่กี่ขวด
“แต่ข้าว่าแก่นสารแห่งจิตของข้ายังอยู่อีกไกลจากขีดจํากัด อย่าบอกนะว่าข้าต้องดูดซับไปอีกซักสิบยี่สิบขวต?
เมิ่งชวนทําอะไรไม่ถูก ถ้าจะไปเอามาอีกซักขวดสองขวดโดยบอกว่าร่างของเขานั้นพิเศษนิดหน่อยก็คงได้ แต่ว่าการไปเอามาสิบกว่าขวดนั้นคงจะเป็นปัญหาแน่ๆ เมิ่งชวนรู้สึกหมดหนทาง
วันรุ่งขึ้นเมิ่งชวนไม่ได้ไปที่ถ้ําหมื่นกระปี กลับกันเขาไปที่ตําหนักแม่นาสวรรค์เพื่อไปหาอาจารย์ของเขา
ตอนที่ 110 เรื่องน่าประหลาดใจ 2
วันรุ่งขึ้น ยามรุ่งสาง หลิวชีเยว่มาหาเมิ่งชวน
“อาชวนๆ” หลิวชีเยว่เห็นว่าเมิ่งชวนกำลังฝึกวิชากระบี่ของเขาอยู่ที่ลานฝึก ในตอนนี้เมิ่งชวนกำลังใช้วิชาดวงใจกระบี่ที่สมบูรณ์แล้ว แม้เขาจะเข้าถึงเจตจำนงกระบี่ของวิชาดวงใจกระบี่ได้เพียงแค่อย่างเดียว แต่การทำให้ท่าอื่นนั้นดูถูกต้องก็ไม่ยากนัก ทุกๆวันหลังตื่นนอนเขาจะฝึกฝนวิชากระบี่ที่เสร็จสมบูรณ์แล้วหลายครั้งเพื่อจะเข้าถึงเจตจำนงกระบี่
“ทำไมวันนี้มาเร็วจังล่ะ?” เมิ่งชวนหยุดมือ ชีเยว่มาทานอาหารกับเขาทุกเช้า เหมือนตอนที่อยู่ที่คฤหาสน์จิงหูเมิ่ง
“เมื่อคืนข้าฝันร้าย ข้าโดนลวงให้เข้าไปในหมอกสีดำ พอตื่นมาข้าก็เพลียมากเลย” หน้าของหลิวชีเยว่ค่อนข้างซีด “จากนั้นข้าก็นอนไม่หลับ”
เมิ่งชวนปลอบเธอ “ข้าก็ฝันร้ายเหมือนกัน แต่ว่าในความฝันของข้า ข้ารู้สึกได้ว่ามีอะไรแปลกๆ และแล้วข้าก็นึกขึ้นได้ว่าข้าคือเมิ่งชวน ทำให้ข้าตื่นขึ้นมาได้ไว”
“ข้าไม่มีสติอยู่เลยในความฝัน” หลิวชีเยว่กล่าว “ข้าทนต่อการล่อลวงไม่ไหว”
“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวอีกไม่กี่วันก็ดีขึ้นแล้ว” เมิ่งชวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เขาว่าการต่อต้านความฝันก็เป็นการขัดเกลาจิตใจเหมือนกัน”
“ช่างมันเถอะ ข้าคงไม่ไปที่หลุมแห่งความพิศวงซักพัก ข้าจะฝึกวิชาเกาฑัณฑ์ของข้าต่อ” หลิวชีเยว่กล่าว “ข้าต้องไปให้ถึงขอบเขตแห่งเจตจำนงก่อนจะสำเร็จร่างเทพวิหคเพลิงได้”
มันเป็นอะไรที่อึดอัดมากกับการที่ไม่สามารถหลบหนีไปจากความฝันได้ หลิวชีเยว่ต้องฝันร้ายถึงห้าวันก่อนจะเป็นอิสระ ส่วนเมิ่งชวนนั้นดีกว่า เขาฝันร้ายเพียงสามวันก่อนจะกลับเป็นปกติ และเขารู้ตัวทุกครั้งในความฝันทั้งสาม
…
สิบวันต่อมา
ตอนเย็น หลิวชีเยว่ไปที่บ่อเพลิงโลกาเพิ่มอีกหนึ่งชั่วยาม! ในฐานะที่เธอปลุกสายเลือดวิหคเพลิงขึ้นมาได้ การฝึกฝนในบ่อเพลิงโลกานั้นก็เรียกได้ว่าเป็นความสุขอย่างหนึ่ง! ยิ่งไปกว่านั้น ความสามารถในการใช้เพลิงของเธอนั้นสูงอยู่แล้วก่อนที่สายเลือดจะตื่นขึ้นเสียอีก ดังนั้นความไวในการฝึกฝนของเธอจึงไวกว่าเดิม เพราะเหตุนี้เขาหยวนชูจึงมีความมั่นใจในการเลี้ยงดูเธอ
ใครก็ตามที่ปลุกสายเลือดวิหคเพลิงขึ้นมาจะมีความสามารถเกี่ยวกับเพลิง
ในขณะนั้นเมิ่งชวนก็ไปที่หลุมแห่งความพิศวง นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เขาเข้าไปในหลุมแห่งความพิศวง
คราวนี้ เขาไปถึงขั้นที่หกของรอบที่สี่! เขาพัฒนาขึ้นมาก
…
วันเวลาผ่านไป
เขาเข้าไปในหลุมแห่งความพิศวงทุกๆสิบวัน ตอนแรกเขาก็มักจะฝันร้ายหลังจากเข้าสู่หลุมแห่งความพิศวง หลังจากเขาเข้าไปเป็นครั้งที่ห้า เขาก็ไม่ฝันร้ายอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม ผลจากหลุมก็อ่อนลงหลังจากผ่านครั้งที่ห้าไป
…
เพียงพริบตาก็ผ่านไปสามเดือน ในวันที่ห้าเมษายน ฝนก็ตกปรอยๆ
ยามเช้าตรู่ เมิ่งชวนและหลิวชีเยว่มุ่งหน้าไปที่ตำหนักแม่น้ำสวรรค์ พวกเขาวิ่งกันไปด้วยทักษะการเคลื่อนไหว ฝนที่ตกลงมาไม่โดนพวกเขาแม้แต่น้อย
“เจ้าเอาหนังสืออะไรมาเหรออาชวน?” หลิวชีเยว่เห็นว่าเมิ่งชวนถือหนังสือสองเล่มอยู่
อ่านตอนล่าสุดที่ mynovel.co หรือ www.thai-novel.com
“หนังสือประวัติศาสตร์น่ะ” เมิ่งชวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หลังจากจบคาบแนะนำ ข้าจะเอาหนังสือสองเล่มนี้ไปคืนที่ห้องสมุด”
เหล่าลูกศิษย์จะได้รับอนุญาติให้ยืมหนังสือธรรมดาได้ครั้งละสองเล่ม เขาต้องคืนหนังสือเหล่านี้เผื่อคนอื่นๆที่ยังไม่ได้อ่าน
“หนังสือประวัติศาสตร์?”หลิวชีเยว่งุนงง
“ข้าเลิกฝึกที่หลุมแห่งความพิศวงแล้ว” เมิ่งชวนกล่าวขณะวิ่งไป “ช่วงสองเดือนแรกของหลุมแห่งความพิศวง ข้าพัฒนาขึ้นเรื่อยจนข้าไปถึงขั้นที่ 22 ของรอบที่สี่แล้ว แต่ในเดือนที่สาม ข้าเดินต่อไปได้แค่อีกก้าว ยิ่งข้าเข้าไปในหลุมแห่งความพิศวงมากเท่าไหร่ ผลขของมันก็จะอ่อนลงเรื่อยๆ แต่ไม่ว่ายังไงจิตใจของเราก็แข็งแกร่งขึ้นตอนที่ฝึกฝนตามปกติเหมือนกัน”
หลิวชีเยว่พยักหน้า “จิตของเจ้าตอนนี้ยังแข็งแกร่งไม่เพียงพอที่จะขัดเกลาหกประสงค์วินาศ เจ้าวางแผนจะทำอะไรเหรอ?”
ตอนนี้เขาไปถึงขั้นที่ 23 ของรอบที่สี่ การจะขัดเกลาหกประสงค์วินาศนั้นจะต้องผ่านรอบที่สี่ไปให้ได้ ยังเหลืออีก 56 ขั้น!
“ข้าเตรียมตัวแล้ว ข้าคงจะต้องใช้เวลาอีกห้าถึงหกปีในการขัดเกลาจุดที่เก้า” เมิ่งชวนกล่าว “แม้มันจะใช้เวลาซักพัก แต่ระหว่างนั้นข้าก็จะฝึกฝนวิชากระบี่ไป จะทำให้การฝึกฝนวิชากระบี่ล่าช้าไม่ได้”
อนาคตของเขานั้นขึ้นอยู่กับว่าเขาจะขัดเกลาจุดที่แปดหรือเก้าได้สำเร็จก่อนจะเป็นเทพอสูรหรือเปล่า อนาคตของเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนไปมากเท่าไหร่ถึงจะใช้เวลาหลายปีในการเป็นเทพอสูร
ในหนังสือก็เขียนไว้เหมือนกัน หากจิตใจกล้าแข็งเป็นหนึ่งในสิบของมนุษย์ทั้งหมด แม้จะเป็นมนุษย์แต่ก็สามารถเป็นเทพอสูรระดับขุนนางได้ภายในปีเดียว เช่นเดียวกันกับวิชากระบี่ ยิ่งมีระดับสูงมากเท่าไหร่ มนุษย์เองก็สามารถขึ้นเป็นเทพอสูรระดับมหาสุริยันได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน
“พลังใจที่กล้าแข็งจะขึ้นอยู่กับประสบการณ์ชีวิตและเหตุการณ์ที่พบเจอในชีวิต” เมิ่งชวนกล่าว “ตอนที่เราฝึกฝนอยู่บนเขาหยวนชูนี้มันก็ยากที่จะหาประสบการณ์ชีวิต หลังจากที่อ่านหนังสือหลายเล่ม ข้าก็พบว่าการอ่านหนังสือจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้จิตใจได้ โดยเฉพาะหนังสือประวัติศาสตร์ ข้าอ่านเรื่องราวตั้งแต่เกิดจนตายของคนที่มีชื่อเสียงในอดีต”
เมิ่งชวนกล่าว “แม้ว่าข้าจะไม่เคยพบเจอด้วยตัวเอง แต่ข้าก็ได้รับรู้เรื่องราวจากการอ่านหนังสือ ข้าว่าในอีกห้าหรือหกปี ความรู้ของข้าคงจะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล”
เขาวางแผนมุ่งมั่นในหลายๆด้านเป็นเวลาห้าถึงหกปี เขาตัดสินใจในการมุ่งมั่นกับวิชากระบี่ การอ่าน และวิชาหลบหนี
วิชากระบี่นั้นคือสิ่งที่สำคัญที่สุด! เขาเข้าใจว่าความสามารถในการใช้กระบี่ของเขานั้นยังอยู่กลางๆของเหล่าอัจฉริยะ มีแค่การวาดรูปเท่านั้นที่เขานั้นเก่งกาจอย่างไม่มีผู้ใดเทียบ เขาเรียนรู้ท่าร่างดวงใจกระบี่ได้ในครึ่งปีก็เป็นเพราะวิชาชักกระบี่และท่าร่างดวงใจกระบี่นั้นใกล้เคียงกันมาก และเมื่อความสามารถของเขานั้นยังไม่มากพออย่างที่อาจารย์ได้บอกไว้ เขาต้องขยันมากกว่านี้
ฝึกฝนอย่างขยันขันแข็งไม่ว่าจะฝนหรือจะหนาว มันช่วยขัดเกลาจิตใจของเขาด้วยเช่นกัน
การอ่านนั้นช่วยเพิ่มความรู้ของเขาให้กว้างขวางมากขึ้น เช่นเดียวกันกับความเข้าใจ
วิชาหลบหนีนั้นถูกสร้างขึ้นโดยศิษย์พี่จากเขาหยวนชู ในถ้ำหมื่นกระบี่ลึกกว่าที่เมิ่งชวนฝึกตามปกติร้อยจั้ง ใบมีดลมเหล่านั้นสามารถทำให้เมิ่งชวนบาดเจ็บสาหัสได้เลย เพียงใบมีดลมแค่ไม่กี่เล่มก็เพียงพอที่จะสังหารเขาได้เลยด้วยซ้ำ! เขาต้องใช้ทักษะการเคลื่อนไหวเพื่อที่จะหลบใบมีดลมเหล่านั้น หากเขาไม่ระวังเขาอาจจะตายได้เลย
มันคือสิ่งที่ตัดสินความเป็นความตายได้เลย! จิตใจของเมิ่งชวนพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วในขณะที่เขาหลบและปัดป้องอย่างเอาเป็นเอาตาย
ทุกครั้งที่เขาบาดเจ็บสาหัสเขาจะหยุดในทันที อาการบาดเจ็บของเขาฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว ด้วยความช่วยเหลือจากยา เขาสามารถฟื้นฟูจากอาการบาดเจ็บสาหัสได้ภายในสามวัน และจากนั้นเขาก็จะฝึกฝนวิชาหลบหนีโดยอยู่ระหว่างความเป็นความตายทุกๆสามวัน เขาพยายามอย่างหนักทุกครั้ง พยายามจะอยู่ให้ได้นานกว่าเดิม นี่เป็นวิธีที่จะรีดเอาศักย์ภาพออกมาจากตัวเขา
เมิ่งชวนพึ่งจะได้ลองเพียงครั้งเดียว เขารักษาแผลโดยไม่ให้หลิวชีเยว่รู้และกินยา
วิชากระบี่ การอ่าน และวิชาการหลบหนี หากฝึกแบบนี้ต่อไปข้าเชื่อว่าจิตใจของข้าจะแข็งแกร่งพอในการขัดเกลาหกประสงค์วินาศในห้าถึงหกปี
…
เมิ่งชวนและหลิวชีเยว่ไปที่ตำหนักแม่น้ำสวรรค์ การจัดที่นั่งได้เปลี่ยนไป
“ศิษย์พี่เชวเฟิงผ่านเก้าถ้ำปริศนาแล้ว เขาลงจากภูเขาไปแล้ว”
“ศิษย์พี่เชวเฟิงอยู่บนเขามาเกือบจะสิบสองปีแล้ว เขาไปถึงระดับมหาสุริยันด้วยร่างอสูรทรายดำที่สมบูรณ์แบบ และเขาเองก็ผ่านถ้ำเก้าปริศนาหลังจากไปถึงระดับมหาสุริยัน การทดสอบของถ้ำเก้าปริศนาของศิษย์พี่เชวเฟิงคงจะยากจริงๆ”
“ความแข็งแกร่งของศิษย์พี่เชวเฟิงตอนนี้อยู่ระดับสูงสุดของเทพอสูรระดับมหาสุริยันแล้วใช่มั้ย?”
เช้านี้ตำหนักแม่น้ำสวรรค์เต็มไปด้วการพูดคุย พวกเขากำลังพูดคุยกันเกี่ยวกับลูกชายคนที่ห้าของราชาทะเลตงไห่ เชวเฟิง
“ศิษย์พี่เชวเฟิงไปแล้วงั้นรึ?”เมิ่งชวนประหลาดใจ
“เหมือนว่าเขาจะไปเมื่อวานนี้” หลิวชีเยว่ก็ประหลาดใจเช่นกัน ข่าวไม่ค่อยจะกระจายไวเท่าไหร่นักหากเหล่าศิษย์ไมได้คุยกัน
เมิ่งชวนตกใจ เชวเฟิงได้ลงจากเขาหลังจากที่ได้ขึ้นเป็นเทพอสูรระดับมหาสุริยันงั้นรึ? บททดสอบของเก้าถ้ำปริศนาสำหรับเชวเฟิงนั้นคงจะยากจริงๆ!
ศิษย์นิกายในส่วนมากได้ลงจากภูเขาหลังจากที่ได้เป็นเทพอสูรระดับแดนอมตะ เช่นเดียวกันกับเจ้าวังหยกสุริยันที่เมืองตงหนิง ศิษย์ส่วนมากมักจะได้ไปถึงระดับมหาสุริยันหลังจากสามถึงห้าสิบปีเท่านั้นเพราะความสามารถไม่มากพอ
เป็นไปไม่ได้เลยที่เขาหยวนชูจะเลี้ยงดูพวกเขาได้ถึง30-50ปี
การบรรยายของปรมาจารย์ก็เหมือนเดิม เหล่าศิษย์ตั้งใจฟังและตั้งคำถามเกี่ยวกับการฝึกฝนของพวกเขา
ไม่นานการบรรยายก็จบลง เหล่าลูกศิษย์ก็แยกย้ายกันไป
หลิวชีเยว่ไปหาขุนนางเทียนซิงโหวและฝึกวิชาเกาฑัณฑ์ของเธอ เมิ่งชวนกำลังนำหนังสือประวัติศาสตร์ทั้งสองเล่มกลับไปคืนที่ห้องสมุด ในตอนนั้นเองเขาก็ได้ยินเสียงดังในหู “เมิ่งชวน มาหาข้าที่สวนใน”
เมิ่งชวนหยุดฝีเท้า เขารออยู่ในตำหนักแม่น้ำสวรรค์ หลังจากศิษย์คนอื่นๆไปหมดแล้ว เขาก็เข้าไปที่สวนในของตำหนักแม่น้ำสวรรค์
ที่สวนใน เมิ่งชวนก็เห็นปรมาจารย์
“ท่านอาจารย์” เมิ่งชวนเคารพด้วยท่าทางนอบน้อม
“ตำนานแห่งลมเหนือ?” ปรมาจารย์เหลือบมองหนังสือในมือของเมิ่งชวนแล้วหัวเราะ “ตอนนี้เจ้ากำลังอ่านหนังสือประวัติศาสตร์อยู่รึ?”
“การอ่านช่วยเพิ่มความรู้ให้กว้างไกลและเพิ่มความเข้าใจให้มากยิ่งขึ้นขอรับ มันจะช่วยขัดเกลาทั้งใจและจิตด้วยเช่นกัน” เมิ่งชวนกล่าว
“ฮ่าฮ่า…” ปรมาจารย์หัวเราะ “เหมือนว่าเจ้าจะมีแผนสำหรับการขัดเกลาใจและจิตของเจ้าไว้แล้วนะ?”
“ศิษย์ยังอยู่ห่างไกลจากการขัดเกลาหกประสงค์วินาศขอรับ” เมิ่งชวนกล่าวด้วยท่าทางนอบน้อม “แผนของศิษย์คงใช้เวลาห้าถึงหกปี ศิษย์จะเครียดเกินไปไม่ได้ และศิษย์ก็อยากจะฝึกฝนวิชากระบี่รวมไปถึงวิชาการหลบหนี การอ่านเองก็ช่วยเสริมให้จิตใจแข็งแกร่งขึ้นด้วยได้เช่นกันขอรับ”
ปรมาจารย์ยิ้มและส่ายหน้าเบาๆ “การฝึกวิชาการหลบหนีโดยมีชีวิตเป็นเป็นเดิมพันนั้นสุดโต่งเกินไป ไม่จำเป็นต้องฝึกฝนหรอก ส่วนการอ่านนั้น? เจ้าสามารถทำได้ในอนาคต แต่ว่าเจ้าต้องแบ่งเวลา”
เมิ่งชวนงุนงง ท่านปรมาจารย์เปลี่ยนแผนของเขาอย่างนั้นหรือ? เขาคงจะพัฒนาได้ช้าลง
“การขัดเกลาจิตใจนั้นจะเร่งรีบไปไม่ได้” ปรมาจารย์กล่าวยิ้มๆ “ในการขัดเกลาหกประสงค์วินาศนั้น… ข้าลืมบอกอะไรเจ้าไปอย่างหนึ่ง หกประสงค์วินาศนั้นทรงพลังมาก เมื่อมนุษย์จะขัดเกลาหกประสงค์วินาศแต่ขาดจิตใจที่กล้าแข็ง ก็จะถูกความต้องการของตนเข้ากลืนกิน แต่ว่าหกประสงค์วินาศนั้นค่อนข้างจะพิเศษอยู่หน่อย แม้ว่ามันจะเป็นอันตรายต่อวิญญาณของมนุษย์มาก แต่มันก็ไม่เป็นผลกับแก่นสารแห่งจิตของเทพอสูรระดับราชาเลยแม้แต่น้อย”
“แม้ว่าเจ้าจะเป็นมนุษย์ แต่เจ้าก็มีแก่นสารแห่งจิตแล้ว ผลของหกประสงค์วินาศที่มีต่อมนุษย์ที่มีกับแก่นสารแห่งจิตนั้นจะอ่อนกว่ามนุษย์ที่ไม่มีแก่นสารแห่งจิต”
“ตราบใดที่เจ้าสามารถไปถึงยอดของแท่นบูชาแห่งความมืดได้ เจ้าก็จะสามารถขัดเกลาหกประสงค์วินาศได้แล้ว แก่นสารแห่งจิตของเจ้าจะคอยช่วยให้เจ้ายังมีสติครบถ้วน” ปรมาจารย์กล่าว
เมิ่งชวนตกตะลึง เขาประหลาดใจมาก!
“แต่ทำไมในบันทึกของร่างอสูรตัดสายฟ้าถึงไม่พูดถึงเรื่องนี้ขอรับ?” เมิ่งชวนอดไม่ได้ที่จะถาม
“ฮ่าฮ่า มีมนุษย์กี่คนกันที่มีแก่นสารแห่งจิต?” ปรมจารย์ถามด้วยรอยยิ้ม “ตั้งแต่ที่ร่างอสูรตัดสายฟ้าถูกสร้างขึ้นมา ก็มีแต่เจ้าเท่านั้นแหละที่เป็นมนุษย์ที่มีแก่นสารแห่งจิต”
ปรมาจารย์และพูดว่า “เอาล่ะ อย่างน้อยในตอนนี้เจ้าก็รู้แล้ว ขัดเกลาจุดที่เก้าให้สำเร็จเสียเถอะ”
“ขอรับ” เมิ่งชวนถอยกลับไปด้วยท่าทางนอบน้อม
เขาหันหลังกลับออกไปด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ ท่านปรมาจารย์ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้เลยก่อนหน้านี้ เขาพึ่งจะมาบอกข้าหลังจากที่ข้าเข้าไปในหลุมแห่งความพิศวงได้สามเดือน จงใจหรือเปล่านะ?’
ตอนที่ 109 เรื่องน่าประหลาดใจ 1
เมิ่งชวนเดินลงบันได้ตามขอบหลุมแห่งความพิศวงไปทีละก้าว ยิ่งเขาเข้าใกล้ก้นหลุมมากเท่าไหร่ ความยั่วยวนมันก็มากขึ้นเท่านั้น
มันช่างยั่วยวนมากเสียจนเมิ่งชวนยังแอบตกใจ แต่เขาก็อดทนและเดินลงไปอย่างช้าๆ
สติของเขารู้สึก “หนักๆ” ยิ่งเขาลงไปลึกเท่าไหร่ มันก็หนักมากขึ้นตาม
และเมื่อตอนที่เขาผ่านรอบที่สองไปได้นั้น เขาก็รับรู้ได้ว่าแก่นสารแห่งจิตนั้นถูกสกัดกั้น พลังของมันถูกปิดกั้น เขาจะไม่สามารถป้องกันการยั่วยวนด้วยมันได้อีกแล้ว
มันปิดกั้นพลังของแก่นสารแห่งจิตได้อย่างนั้นรึ? เมิ่งชวนตกใจมาก เขาพยายามจะใช้แก่นสารแห่งจิตแต่ก็ไร้ประโยชน์ ตอนที่ข้าขึ้นไปบนแท่นบูชาแห่งความมืด แก่นสารแห่งจิตของข้าไม่ถูกปิดกั้นแม้จะไปถึงสุดทางก็ตาม แต่ว่าตอนนี้พอมาที่ชั้นที่สามพลังของแก่นสารแห่งจิตถูกปิดกั้นโดยสิ้นเชิงเลยรึ?
หลุมแห่งความพิศวงนั้นลึกลับกว่าแท่นบูชาแห่งความมืดอย่างเห็นได้ชัด เพราะสุดท้ายแล้ว ราชาเทพอสูรและขุนนางเทพอสูรก็มักจะมาที่นี่เพื่อทดสอบความแข็งแกร่งของจิตใจตน
เมิ่งชวนเดินต่อไป จิตสำนึกของเขาหนักอึ้ง เขาทนความยั่วยวนนั้นเอาไว้ได้ก็เพราะจิตใจของเขา
เมื่อเขาไปถึงขั้นที่ 50 ของวงแหวนชั้นที่สาม ในใจของเมิ่งชวนมีแต่ความต้องการจะกระโดด เขาคิดอะไรอย่างอื่นไม่ออกอีกแล้ว ที่ทำได้ก็มีแค่จ้องมองลงไปที่หมอกหนาตรงก้นหลุม เขารู้สึกราวกับว่ามันเป็นที่ที่งดงามที่สุดในโลก เขารู้สึกอยากกระโดดลงไปเหมือนกับแมงเม่าที่บินเข้าหาไฟ ทุกๆอย่างในโลกนี้ รวมไปถึงความตาย ไม่สามารถที่จะหยุดยั้งไม่ให้เขาตามความรู้สึกยั่วยวนนั้นไปได้
ต้านมันไว้ ถ้าหากว่าทนต่อความต้องการเพียงเท่านี้ไม่ได้ เจ้าจะขัดเกลาหกประสงค์วินาศได้อย่างไร? สติของเมิ่งชวนยังคงร้องคำราม ราวกับมังกรที่ถูกตรึงและดิ้นรนด้วยพลังทั้งหมดที่มี
เขาพยายามดิ้นรนเป็นอิสระจากการควบคุมของหมอกสีดำ สีหน้าของเมิ่งชวนเริ่มบิดเบี้ยว
‘เทียบกับสิ่งที่ข้าเคยพบเจอมาแล้ว การยั่วยวนแค่นี้มันไม่มีอะไรเลยซักนิด! ย่าห์!’ สติของเมิ่งชวนเริ่มบ้าคลั่ง ‘หายไปซะ!’
แต่ใบหน้าของเขานั้นกลับไม่แสดงสีหน้าใดๆ ตอนนี้สติของเขานั้นอ่อนแอ เขาไม่สามารถที่จะขยับร่างกายหรือเปลี่ยนสีหน้าได้เลยด้วยซ้ำ
จู่ๆความยั่วยวนอันมหาศาลก็โถมเข้าใส่จิตใจของเมิ่งชวน เขาร้องคำรามในใจอ่อนๆ แต่เสียงคำรามเบาๆนั้นก็ถูกความเงียบเข้ากลืนกิน
เมิ่งชวนคิดอะไรไมไ่ด้อีกต่อไปแล้ว
สิ่งเดียวที่เขาคิดได้คือที่ที่ดีที่สุดในโลกนั้นอยู่ใกล้แค่ข้างๆเขาแค่นั้นเอง เขาเกิดมาเพื่อที่จะลงไปที่นั่น! ไม่มีอะไรหยุดเขาได้
ฟิ้วว
และเพียงก้าวเดียว เขาก็ร่วงลงไป
เขาเข้าใกล้ก้นหลุมแห่งความพิศวงมากขึ้นเรื่อยๆ
ในที่สุดข้าก็มาถึง ในตอนที่เขาไปถึงก้นหลุมนั่นเอง จิตใจของเขาก็ว่างเปล่าพร้อมกับความรู้สึกสบายอย่างบอกไม่ถูก มันสบายมาก เหมือนกับทารกที่กลับมาอยู่ในครรภ์มารดา
‘โอ๋?’ เมิ่งชวนสะดุ้งตื่นขึ้นมา
เขาพบว่าตัวเองยืนอยู่ตรงทางออกอุโมงค์ หลิวชีเยว่อยู่ข้างๆเขา เธอตื่นขึ้นมาแล้วและตะโกนออกมา “อาชวน”
“ทำไมข้าถึงมาอยู่ที่นี่” เมิ่งชวนมองไปรอบๆ
“พอข้าตื่นขึ้นมาข้าก็ยืนอยู่ตรงนั้นแล้ว” หลิวชีเยว่ากล่าว เธอชี้ไปที่อุโมงค์ด้านหลัง “หลังจากที่รอพักนึงข้าก็เห็นเจ้าเดินมาแบบไม่มีสติ แล้วก็หยุดลงก่อนจะตื่น”
“ข้าเดินมาแบบไม่มีสติ?” เมิ่งชวนดูตกใจ “ข้าจำไม่ได้เลย”
ความรู้สึกที่สูญเสียความเป็นตัวเองนั้นน่ากลัวมาก ศิษย์ของเขาหยวนชูส่วนมากจึงไม่ชอบที่จะหมดสติ ที่พวกเขายอมฝึกฝนที่นี่ก็เพราะพวกเขามั่นใจในนิกายของตนเป็นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้น หลุมแห่งความพิศวงนี้ก็อยู่มาเป็นหมื่นปีแล้ว แต่ก็ไม่เคยมีอะไรร้ายๆเกิดขึ้นกับเหล่าศิษย์เลย
“นายท่านเมิ่งชวน” มีผู้ดูแลสองคนอยู่ตรงทางเข้า “ท่านร่วงลงไปตอนไปถึงขั้นที่หนึ่งของรอบที่สี่ขอรับ”
เมิ่งชวนพยักหน้า จิตใจของเขาแกข็งแกร่งขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับตอนที่เดินขึ้นแท่นบูชาแห่งความมืด เหมือนว่าประสบการณ์จะช่วยหล่อหลอมจิตใจของเขาไป
“ข้าหล่นลงไปตอนไปถึงขั้นที่สองของวงที่สาม ข้ายังแย่กว่าเจ้ามากเลยอาชวน” หลิวชีเยว่กล่าว
“นั่นก็เท่ากับห้าสิบก้าวบนแท่นบูชาแห่งความมืดแล้ว” เมิ่งชวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “มันดีมากแล้วล่ะ”
ผู้ดูแลร่างอ้วนกล่าวเสริม “นายท่านเมิ่งชวน นายหญิงหลิวชีเยว่ พวกท่านต้องพักผ่อนอย่างน้อยสิบวันถึงจะลงไปในหลุมแห่งความพิศวงนี้ได้อีกรอบขอรับ ในแง่ของการฝึกฝนจิตใจ ในสองเดือนแรกจะมีผลดีที่สุดขอรับ และยิ่งฝึกที่นี่นานเท่าไหร่ก็จะยิ่งขัดเกลาได้ช้ามากขึ้นเท่านั้นขอรับ และหลังครึ่งปี มันก็แทบจะไร้ประโยชน์ในการลงไปในหลุมแห่งความพิศวงขอรับ”
“ข้าเข้าใจ” เมิ่งชวนพยักหน้าและจากไปพร้อมกับหลิวชีเยว่
ทั้งคู่เดินตามทางบนภูเขาไป พูดคุยกันเกี่ยวกับหลุมแห่งความพิศวง
“มันมีอะไรอยู่ก้นของหลุมแห่งความพิศวงกันนะ? ทำไมมันถึงยั่วยวนได้ขนาดนั้น?” หลิวชีเยว่ถาม
“มันทรงพลังมาก” เมิ่งชวนพยักหน้า เขาไม่สามารถใช้แก่นสารแห่งจิตในรอบที่สามได้ ช่างน่าสะพรึงอะไรอย่างนี้! การที่ไปถึงก้นหลุมได้ ก็จะหมายความว่าจิตใจของคนๆนั้นแข็งแกร่งเป็นหนึ่งในสิบของมนุษย์ทุกคน หลุมแห่งความพิศวงมันคืออะไรกันแน่?
“อาชวน การฝึกที่หลุมแห่งความพิศวงสองเดือนแรกจะให้ผลดีที่สุด แล้วมันก็จะช้าลงในภายหลัง” หลิวชีเยว่กล่าว “เจ้าคิดว่าเจ้าจะผ่านรอบที่สี่ได้ภายในไม่กี่เดือนหรือเปล่า?”
เมิ่งชวนส่ายหน้าเบาๆ “ความแข็งแกร่งของจิตขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ประสบการณ์และสิ่งที่ได้พบเจอมาในชีวิตนั้นสำคัญ”
การเข้าไปในหลุมอย่างต่อเนื่องนั้นจะทำให้เกิดความเคยชินขึ้น หลังจากผ่านไปครึ่งปี การเข้าไปในหลุมก็จะเป็นเรื่องไร้ประโยชน์เลย
ตามที่หนังสือว่ามา การจะทำให้จิตใจของคนเราแข็งแกร่งขึ้นนั้นยากมากหากฝึกฝนในความสงบ แต่หากพวกเขาเข้าสู่สนามรบและอาบอยู่ในทะเลเลือด และได้ไปอยู่ท่ามกลางการต่อสู้ที่ตัดสินความเป็นและความตาย
ความเศร้าโศกที่ได้เห็นสหายต้องตาย ความสุขจากการสังหารราชาอสูรได้สำเร็จ ความรู้สึกไร้กำลังที่ได้เห็นทหารธรรมดามากมายต้องตายในสนามรบ… ความสุขของการแต่งงาน ความตื่นเต้นของการมีลูก ความปวดร้าวที่การฝึกวิชาต้องติดขัดเป็นสิบยี่สิบปี และความรู้สึกยินดีหลังจากที่สามารถก้าวผ่านมันไปได้…
ประสบการณ์ชีวิตเหล่านี้จะทำให้ทั้งใจและจิตกล้าแข็งขึ้น
ดวงใจเหมือนกับวัตถุดิบ ส่วนจิตใจก็เหมือนกับอาวุธ
หากอยากจะสร้างอาวุธที่แข็งแกร่งก็ต้องมีวัตถุดิบที่ยอดเยี่ยม
หากฝึกฝนอย่างสงบสุขโดยไม่มีประสบการณ์ชีวิตใดๆ พลังใจก็จะไม่เข้มแข็งขึ้นซักเท่าไหร่นัก เพราะไม่ว่าอย่างไร เทพอสูรที่ทรงพลังก็ต่างต่อสู้ในสนามรบมานับหลายปีก่อนจะลงไปที่หลุมแห่งความพิศวงเพื่อขัดเกลาจิตใจ นั่นจึงทำให้ประสิทธิภาพมันเพิ่มมากขึ้นเช่นเดียวกับผลลัพท์
“เดี๋ยวข้าจะคิดหาหนทาง” เมิ่งชวนกล่าว
การจะทำให้จิตใจกล้าแข็งขึ้นนั้นเป็นเรื่องยากมาก
เช่นชี่หยวนถงที่จิตใจยังอ่อนแอ แม้ว่าเขาจะได้เป็นศิษย์นิกายในแล้ว แต่เมิ่งชวนกับคนอื่นๆก็ไม่เคยเห็นหน้าเขาเลย ทุกๆคนคาดเดาเอาว่าเขาหยวนชูคงจะจัดการอะไรสำหรับเขาเอาไว้
เพราะจิตใจที่อ่อนแอของชี่หยวนถง เขาคงจะเป็นเทพอสูรระดับมหาสุริยันไม่ได้ตลอดทั้งชีวิตเลยด้วยซ้ำหากเขายังอยู่บนภูเขาอีกสิบปี การที่จะขัดเกลาจิตใจของเขานั้น เขาต้องลงจากภูเขาและเข้าสู่สนามรบ ประสบการณ์ในสนามรบจะช่วยทำให้จิตใจนั้นกล้าแข็งขึ้น
…
ยามกลางคืน
เมิ่งชวนที่กำลังหลับอยู่ได้ตกไปอยู่ในความฝัน
“กระโดดลงไปสิ”
เมิ่งชวนจ้องมองหมอกสีดำตรงหน้าเขาด้วยความมึนงง หมอกสีดำค่อยๆเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยจากทุกๆด้าน
เมิ่งชวนยิ้มแล้วกระโดดลงไปในหมอกสีดำ
ในตอนนี้หมอกสีดำคือสิ่งที่งดงามที่สุดในโลก เขามีชีวิตอยู่ก็เพื่อหมอกสีดำ
‘ไม่!’ จิตใจของเขาต่อต้านมันอย่างรุนแรง ‘ข้าไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อมัน ข้ายังมีชีวิตอยู่ ยังมีสิ่งอื่นที่ข้าต้องทำอยู่ ความคิดเหล่านี้เริ่มเข้ามาปกคลุมพร้อมกับเขาที่ต่อต้านความยั่วยวนของหมอกสีดำ’
“มาสิ” หมอกสีดำพุ่งตรงไปยังเมิ่งชวนและพยายามจะโอบล้อมเขา
‘ทำไมข้าถึงมีชีวิต’ จู่ๆสติของเมิ่งชวนก็ไปตั้งคำถามถึงความหมายของการมีชีวิต ‘ทำไมล่ะ?’
อ่านตอนล่าสุดที่ mynovel.co หรือ www.thai-novel.com
ในตอนนั้นเอง เขาก็จำเมิ่งต้าเจียง หลิวชีเยว่ และ…แม่ของเขาที่กำลังยิ้มให้เขาอยู่!
พ่อ แม่ ชีเยว่ เมิ่งชวนเข้าใจได้ในทันที ข้าคือเมิ่งชวน!
หลังจากที่จำได้ว่าเขาเป็นใคร ความฝันก็เริ่มบิดเบี้ยวไม่ชัดเจน
“ข้าคือเมิ่งชวน ข้าสาบานเอาไว้ว่าข้าจะสังหารอสูรทุกตัวบนโลกนี้ ข้าจะไปถูกเจ้าดึงดูดได้อย่างไร? หายไปซะ! เมิ่งชวนคำรามและทำลายความฝันให้หายไป สติของเขากลับมาจากฝันร้ายนี้ และเขาก็รู้สึกถึงร่างกายของตนได้ในที่สุด
ควั่บ
เมิ่งชวนดีดตัวลุกขึ้นมา หน้าผากของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ ข้างนอกยังมืดอยู่
“นี่ข้าฝันร้ายรึ?” เมิ่งชวนพึมพำเบาๆ ว่ากันว่าศิษย์หลายคนหลังจากเข้าไปในหลุมแห่งความพิศวงแล้วจะมีฝันร้าย แต่เขาไม่คิดเลยว่าเขาเองก็จะมีฝันร้ายเช่นกัน หลุมนั่นส่งผลขนาดนี้เลยรึ? เขาส่ายหัว จากหนังสือแล้ว อีกสิบวันคงจะไม่เป็นไรแล้ว
นี่จึงเป็นเหตุว่าทำไมเขาหยวนชูจึงอนุญาติให้ศิษย์เข้าไปในหลุมแห่งความพิศวงได้ทุกๆสิบวันเท่านั้น
ตอนที่ 108 หลุมแห่งความพิศวง
เมิ่งชวนเดินขึ้นไปบนแท่นบูชาแห่งความมืดอย่างมั่นคงในทุกๆก้าว
หมอกดำยังคงซึมเข้าสู่ร่างของเมิ่งชวนอย่างต่อเนื่อง
‘เจ้าอยากทำให้ข้าสับสนด้วยภาพลวงตาเหล่านี้รึ?’
หลังจากต้องทนทรมานราวกับอยู่ในนรกสองชั่วยามทุกวันเป็นเวลา 120 วัน จิตใจของเขาเฉียบคมดั่งกระบี่ที่แหลมคมมากขึ้นทุกครั้ง
จิตใจของเมิ่งชวนแข็งแกร่งและเฉียบแหลมมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งคำสาบานที่เขาได้ให้ไว้กับชีเยว่ก็ทำให้จิตใจของเขาแข็งแกร่งยิ่งไปกว่าเดิมอีก จิตใจของเขาแข็งแกร่งขึ้นมากเมื่อมีคนที่รัก
‘พังไปซะ!’ เขาทำลายภาพลวงตาด้วยพลังใจที่แข็งแกร่งของเขา ทำให้ยังมีสติอยู่ครบถ้วน
เขาก้าวขึ้นไปทีละขั้น
สามสิบขั้น ห้าสิบขั้น เจ็ดสิบขั้น เก้าสิบขั้น ความเร็วของเมิ่งชวนไม่ได้ช้าลงไปเลย เขาไปถึงขั้นที่ 90 ก่อนที่จะช้าลงเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเดินต่อไปก
“นี่มัน…”
“เกือบร้อยขั้น”
“ไม่ใช่ว่าท่านเมิ่งชวนพึ่งเข้าสู่เขาหยวนชูเมื่อปีที่แล้วเองไม่ใช่เหรอ? จิตใจของเขาแข็งแกร่งขึ้นขนาดนี้เลยรึ?” พ่อบ้านและคนใช้ต่างตกตะลึง พวกเขาเป็นคนจัดการดูแลแท่นบูชาแห่งความมืด พวกเขาจึงรู้อยู่แล้วว่าเมิ่งชวนไปถึงขั้นที่ 75 เมื่อปีที่แล้ว ยิ่งมีประสบการณ์และฝึกฝนอย่างขยันขันแข็งมากเท่าไหร่ จิตใจของคนๆนั้นก็จะค่อยๆแข็งแกร่งขึ้น แต่ถึงอย่างนั้น พลังใจของเมิ่งชวนกับแข็งแกร่งขึ้นอย่างมหาศาล
พ่อบ้านและคนรับใช้เฝ้าดูอย่างตั้งใจ แม้ว่าความเร็วของเมิ่งชวนจะช้าลง แต่เขาก็ยังเดินต่อไป
“ไปถึงขั้นที่ร้อยแล้ว! เขาถึงขั้นที่ร้อยแล้ว แต่ว่าก็ยังเดินต่อไปได้อยู่”
“เขาไม่น่าจะไปถึงยอดใช่มั้ย?”
…
‘มันเป็นภาพลวงตา แค่ภาพลวงตา หายไปซะ!’
เมิ่งชวนคำรามในใจ แต่ว่าภาพลวงตาก็ยังคงทะลวงเข้าใส่จิตใจของเขาอย่างไม่จบสิ้น แม้เขาจะทำลายภาพลวงตาชั้นแรกไปได้ แต่ชั้นที่สองและสามและชั้นถัดๆจากนั้นก็ยังคงอยู่ สติสัมปชัญญะของเขาเริ่มวุ่นวายจนทำให้เขาแทบจะแยกไม่ออกระหว่างความจริงกับภาพลวงตา
ไม่นาน หมอกสีดำก็กลับคืนสู่แท่นบูชาแห่งความมืด เมิ่งชวนหนีจากภาพลวงตาเหล่านั้นและกลับมามีสติเหมือนเดิม
‘ข้าคือเมิ่งชวน ข้ากำลังเดินขึ้นแท่นบูชาแห่งความมืด ในที่สุดเมิ่งชวนก็รู้สึกตัวและถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก’
เป็นความรู้สึกที่แย่มากที่สูญเสียความเป็นตัวเองไปกับภาพลวงตา
ตอนที่เมิ่งชวนเห็นยอดของแท่นบูชาแห่งความมืด เขามองลงไปและพบว่าอีกแค่ขั้นเดียวเท่านั้นเขาจะไปถึงยอดแล้ว
“ยินดีด้วยขอรับ ท่านเมิ่งชวน” หลังจากที่พ่อบ้านปิดแท่นบูชาแห่งความมืดไป พวกเขาก็แสดงความยินดีให้กับเมิ่งชวนในทันที “ข้าเชื่อว่าแม้ว่าท่านจะไม่ได้ตั้งใจฝึกฝนจิตใจ แต่ท่านก็จะไปถึงยอดได้ในปีหรือสองปี”
เมิ่งชวนพยักหน้าเบาๆ และเดินต่อไป
เขาเดินก้าวขึ้นไปเป็นก้าวสุดท้ายและยืนอยู่บนยอด บนยอดนั้นเล็กมาก แต่เมื่อมองดูรอบๆมันกลับแตกต่าง
เหล่าพ่อบ้านและคนใช้ต่างงุนงงเล็กน้อย ทำไมเขาถึงทำอย่างนั้น? พวกเขาปิดแท่นบูชาแห่งความมืดไปแล้ว จะขึ้นไปให้ถึงยอดทำไมล่ะ?
ข้าคงจะไม่มีโอกาสได้ขึ้นแท่นบูชาแห่งความมืดนี้ได้อีกต่อไปในอนาคต เมิ่งชวนรู้อยู่แล้ว ดังนั้นแล้วเขาจึงตัดสินใจยืนมองทิวทัศน์บนยอด
จากนั้นเขาก็ลงจากแท่นบูชา
เมิ่งชวนรู้สึกดีใจที่ในที่สุดเขาไปถึงยอดของแท่นบูชาและขั้นที่ 102 ได้ เขาพัฒนาขึ้นจากปีที่แล้วมากกว่าที่คิดเอาไว้ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้น่าประหลาดใจซักเท่าไหร่ นี่คงเป็นเพราะจิตใจที่แข็งแกร่งพอสำหรับการขัดเกลาหกประสงค์วินาศนั้นต้องมากกว่าการขึ้นถึงยอดของแท่นบูชาหลายเท่า หนทางของการขัดเกลาจุดที่เก้านั้นยาวไกลและยากลำบาก
…
อ่านตอนล่าสุดที่ mynovel.co หรือ www.thai-novel.com
ยามเย็นของวันที่ 26 ธันวาคม
หลังจากวาดภาพ ประลองและฝึกฝนอยู่ซักพัก เมิ่งชวนและหลิวชีเยว่ก็ไปยังส่วนที่ค่อนข้างแปลกของเขาหยวนชู
“หลุมแห่งความพิศวงนั้นอะไรที่แปลกประหลาดมาก อะไรที่อยู่ก้นหลุมก็ยังคงเป็นหนึ่งในสิบเรื่องประหลาดของเขาหยวนชู” เมิ่งชวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หลิวชีเยว่พยักหน้าด้วยความตื่นเต้นเช่นกัน “ข้าก็อ่านเรื่องนี้มาเหมือนกัน หลุมแห่งความพิศวงเป็นเหมือนเหวลึกไร้ก้น ไม่มีทางที่จะได้เห็นหน้าตาของมันจริงๆได้เลย หากผู้ใดที่สามารถไปถึงก้นหลุมแห่งความพิศวงนี้ได้ พลังใจของพวกเขาคงจะแข็งแกร่งขนาดที่ติดอยู่หนึ่งในสิบของมนุษย์ทุกคนเลย แค่พลังใจที่น่าสะพรึงขนาดนั้นก็เพียงพอแล้วที่จะขึ้นเป็นขุนนางเทพอสูรได้ภายในปีเดียวด้วยซ้ำ”
เมิ่งชวนพยักหน้า
หากมนุษย์คนใดสามารถลงไปถึงก้นหลุมแห่งความพิศวงนี้ได้ เขาหยวนชูคงจะให้ความสนใจกับคนๆนั้นมากกว่าเมิ่งชวนและเชวเฟิงเสียอีก คนที่สามารถไปถึงก้นหลุมได้นั้นมีพลังใจที่แข็งแกร่งพอเทียบเท่าได้กับท่านปรมาจารย์ในขอบเขตสรรสร้างเลยด้วยซ้ำ ร่างเทพอสูรอย่างร่างเทพสว่างโชติ ร่างอสูรมายา และวิชาของโลหะทมิฬอย่าง จ้าวอสูรฟ้าและทะเลโลหิตนิรันดร์นั้น เหมาะแก่คนที่มีจิตใจที่กล้าแข็งอย่างน่าสะพรึงเช่นนี้มาก พวกเขาสามารถขึ้นเป็นขุนนางเทพอสูรได้ภายในหนึ่งปีและราชาเทพอสูรได้ภายในไม่กี่สิบปีด้วยซ้ำ
แต่ถึงอย่างนั้น พลังใจไม่ได้เกิดจากความพรสวรรค์ ไม่ว่าครอบครัวของคนๆนั้นจะเป็นมายังไง ไม่ว่าพ่อแม่ของพวกเขาจะแข็งแกร่งเพียงไหน หรือไม่ว่าจะเกิดมาพร้อมกับแก่นสารแห่งจิตหรือเปล่า แต่การที่ขาดพลังใจที่แข็งแกร่งก็คืออ่อนแอ!
พลังใจนั้นจะค่อยๆเกิดขึ้นผ่านประสบการณ์ชีวิต ความยากลำบาก และอารมณ์ต่างๆที่หลากหลาย… มีหลายปัจจัยในเรื่องของพลังใจของแต่ละคน
คนหนุ่มยังขาดประสบการณ์! พวกเขายังตื้นเขินนัก! จะไปเทียบกับเทพอสูรที่ทรงพลังที่บุกตะลุยฝ่าทะเลเลือดมานับศตวรรษได้อย่างไร! พวกเขายังอ่อนกว่ามาก
ก่อนอายุห้าสิบ ไม่เคยมีมนุษย์คนไหนที่พลังใจเหนือกว่าราชาเทพอสูรเลย
เมิ่งชวนรู้ตัวเองดี
เขาผ่านการต่อสู้มากี่ครั้งแล้ว? กี่ครั้งแล้วที่เขาต้องพบกับความสิ้นหวัง? เทพอสูรระดับขุนนางชื่อดังต่างผ่านสิ่งนี้มามากจนน่าตกใจ หลังจากที่ต้องต่อสู้เพื่อมวลมนุษย์มานาน พลังใจของพวกเขาก็กล้าแข็งขึ้นเรื่อยๆยิ่งกว่าคนรุ่นใหม่ๆ หลายต่อหลายปี จิตใจของพวกเขาถูกทำให้แข็งแกร่งขึ้นด้วยหยดเลือด หยาดเหงื่อและหยาดน้ำตา
“เรามาถึงหลุมแห่งความพิศวงแล้ว”เมิ่งชวนกล่าว
หลุมแห่งความพิศวงนั้นเป็นเหมือนถ้ำที่ทอดยาวลึกลงไป
เมิ่งชวนและหลิวชีเยว่ยืนอยู่ตรงขอบหลุมและมองลงไป พวกเขามองไม่เห็นก้นหลุมที่มีหมอกสีดำปกคลุมด้วยซ้ำ
มีบันได้อยู่ข้างๆหลุมแห่งความพิศวง มันวนรอบตัวหลุมลงไปเรื่อยๆ หนึ่งรอบนับได้ 79 ก้าว และเท่าที่ตาเปล่าเห็นคือมีทั้งหมด 6 รอบ
“ในหนังสือบอกว่าหลุมแห่งความพิศวงมีอยู่ 9 รอบ” หลิวชีเยว่กล่าว “อีกสามรอบถูกหมอกสีดำบังอยู่”
“ไปถึงยอดของแท่นบูชาแห่งความมืดก็เทียบเท่าได้กับผ่านสามรอบในหลุมแห่งความพิศวงนี้” เมิ่งชวนกล่าว “ในการที่จะดูดซับหกประสงค์วินาศได้ ข้าต้องผ่านรอบที่สี่ไปให้ได้”
ยิ่งเขาลงไปลึกเท่าไหร่ก็จะยิ่งก้าวต่อไปยากมากเท่านั้น การที่จะผ่านรอบที่สี่ไปได้นั้นต้องมีพลังใจที่กล้าแข็งยิ่งกว่าการผ่านรอบที่สามหลายเท่านัก
หลังจากผ่านรอบที่สี่ไปได้ ก็จะสามารถดูดซับหกประสงค์วินาศเข้าไปโดยไม่ส่งผลกระทบต่อจิตใจได้
แต่ว่าในหลุมแห่งความพิศวงนี้มีบันได้วนลงไปถึงเก้ารอบ
“มีคนสองคนกำลังเดินอยู่” หลิวชีเยว่กล่าว
“ข้าเห็นแล้ว” เมิ่งชวนมองดูคนสองคนเดินลงบันไดหลุมแห่งความพิศวงไปอย่างระมัดระวัง คนแรกนั้นอยู่ที่รอบที่สามและกำลังลงไปรอบที่สี่ ส่วนอีกคนกำลังเดินอยู่ในรอบที่ห้าอย่างช้าๆ
“หนึ่งในนั้นคือศิษย์พี่จางเฟิง เทพอสูรระดับมหาสุริยัน” หลิวชีเยว่กล่าวในทันที “ส่วนอีกคนที่อยู่ด้านล่างคือขุนนางกล้วยไม้แก้ว”
เมิ่งชวนรู้จักพวกเขาเช่นกัน เพราะไม่ว่ายังไงมันก็คือข้อมูลของศิษย์ของเขาหยวนชูเช่นเดียวกับเขา ถึงอย่างนั้นเทพอสูรระดับมหาสุริยันและขุนนางเทพอสูรนั้นจะใช้เวลาส่วนมากในการต่อสู้อยู่ข้างนอก นานๆทีพวกเขาถึงจะกลับมาที่นิกาย ดังนั้นแล้วจึงพบเจอกันได้ยาก
เมิ่งชวนและหลิวชีเยว่มองดูพวกเขาอยู่ครู่หนึ่งและเห็นผลลัพท์
เมื่อศิษย์พี่จางเฟิงไปถึงขั้นที่ 26 ของรอบที่สี่ เขาก็เริ่มเดินลงไปที่ใจกลางหลุมแห่งความพิศวงอย่างโซซัดโซเซ เขาก้าวพลาดและร่วงลงไปในหมอกสีดำด้วยสีหน้าที่ไร้ความรู้สึกใดๆ
ขุนนางกล้วยไม้แก้วไปถึงขั้นที่ 62 ของรอบที่ห้า ก่อนจะเดินโซเซไปใจกลางหลุม ก่อนจะก้าวพลาดร่วงลงไป
การหล่นลงไปนั้นไม่ได้มีปัญหาอะไร พวกเขาก็แค่จะหมดสติไปครู่หนึ่งก่อนที่จะฟื้นคืนสติกลับมาอยู่ตรงนอกหลุม เกิดอะไรขึ้นตอนที่พวกเขาร่วงลงไปตรงก้นหลุมน่ะหรือ? ไม่มีใครรู้ และนั่นจึงเป็นเหตุว่าทำไมมันถึงเป็นหนึ่งในสิบเรื่องพิศวงของเขาหยวนชู
แม้แต่ขุนนางเทพอสูรยังผ่านรอบที่ห้าไปไม่ได้เลย เมิ่งชวนลอบถอนหายใจ
“ชีเยว่ ข้าพร้อมจะลองดูแล้ว” เมิ่งชวนกล่าว
“ข้าจะไปกับเจ้าด้วย” หลิวชีเยว่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ลองดูด้วยกันเถอะ”
ทั้งคู่เดินเข้าไปที่ทางเข้าหลุมแห่งความพิศวง มีผู้ดูแลสองคนรออยู่ตรงนั้น
“นายท่านเมิ่งชวน นายหญิงหลิวชีเยว่” ผู้ดูแลหญิงทักทายด้วยรอยยิ้ม “หลุมแห่งความพิศวงส่งผลกระทบต่อจิตใจอย่างมหาศาล ศิษย์หลายคนเกิดอาการฝันร้าย ดังนั้นแล้วหลังจากลงไป จะต้องพักผ่อนเป็นเวลาสิบวันเป็นอย่างน้อย ก่อนที่จะสามารถกลับมาที่หลุมแห่งความพิศวงได้ และทุกๆการลงไปจะต้องใช้ 500 แต้มเจ้าค่ะ”
“พวกเราเข้าใจ” เมิ่งชวนและหลิวชีเยว่พยักหน้า
“เชิญค่ะ” ผู้ดูแลหญิงยิ้มและเดินออกไปข้างๆ
“ข้าจะไปก่อน” เมิ่งชวนกล่าว บันไดนั้นแคบมาก มันกว้างเพียงสามฉื่อเท่านั้น ไม่เหมาะแก่การเดินไปด้วยกัน
เมิ่งชวนเดินลงบันไดไปในทันที แต่ว่าไม่มีภาพลวงตาเข้ามาจู่โจมใส่จิตใจของเขา เขารู้สึกได้แค่สติที่ค่อยๆจมลงไป หมอกสีดำในหลุมนั้นมันยั่วยวนเหมือนจะให้เขากระโดดลงไป
ตอนที่ 107 น่าตื่นใจ
คลังสมบัตินั้นเป็นพื้นที่พิเศษของเขาหยวนชู สมบัติและทรัพยากรจำนวนมากถูกเก็บไว้ที่นี่ เช่นเดียวกันกับคนรับใช้และพ่อบ้าน
จุดขัดเกลาที่แปดของร่างอสูรตัดสายฟ้า? พ่อบ้านสามคนและคนรับใช้กว่าสิบคนที่ให้บริการศิษย์อื่นที่ชั้นนี้ต่างได้ยินสิ่งที่เมิ่งชวนพูด พวกเขาได้แต่ตะลึงอยู่ในใจ พวกเขาอยู่ที่นี่มานาน และมันก็เป็นเวลานานมากแล้วที่คนที่ผ่านจุดขัดเกลาที่แปดของร่างอสูรตัดสายฟ้าได้ปรากฏขึ้น
“ข้าอยู่ที่คลังสมบัตินี้กว่าหกสิบปีแล้ว แต่ก็ยังไม่เคยเจอใครที่ผ่านจุดขัดเกลาที่แปดมาก่อนเลย”
“ท่านเมิ่งชวนพึ่งจะขึ้นมาอยู่บนเขานี้ได้แค่เพียงปีเดียว และเขาก็ผ่านจุดขัดเกลาที่แปดไปแล้ว ข้าว่าอนาคตของตระกูลท่านเมิ่งชวนคงจะประสบความสำเร็จไม่น้อยไปกว่านายน้อยห้าของราชาทะเลตงไห่เป็นแน่”
พ่อบ้านสองคนด้านหลังโต๊ะเคาน์เตอร์มองดูเมิ่งชวนและคุยกันผ่านกระแสเสียงอย่างลับๆ
คนที่จะมาเป็นพ่อบ้านนั้นอย่างน้อยต้องเป็นจอมยุทธระดับไร้ตำหนิหรือบางคนก็เป็นถึงระดับควบแน่นแก่นแท้
ไม่นาน ก็มีชายชราสวมเสื้อผ้าชุดเนียนเดินลงมา เป็นผู้อาวุโสอี่
“คารวะท่านผู้อาวุโสอี่” เมิ่งชวนทักทายด้วยท่าทางนอบน้อม
“เจ้าผ่านจุดขัดเกลาที่แปดแล้วอย่างนั้นหรือ? “ผู้อาวุโสอี่ยิ้มอย่างเป็นมิตร
“ศิษย์พึ่งจะผ่านไปเมื่อวานนี้เองขอรับ” เมิ่งชวนตอบอย่างตรงไปตรงมา
ผู้อาวุโสอี่พยักหน้าเบาๆ ด้วยความแข็งแกร่งของเขา เขาสามารถบอกได้ว่ากระแสพลังวินาศอีกาทองได้หลอมรวมเข้ากับร่างกายของเมิ่งชวนอย่างสมบูรณ์แบบ เขาสั่งการในทันที “ไป ไปเอาหกประสงค์วินาศมาขวดหนึ่ง”
“ขอรับ” ชายชุดฟ้าตอบอย่างสุภาพ
“หกประสงค์วินาศนั้นถูกเก็บเกี่ยวจากเมืองมนุษย์อย่างยากลำบาก” ผู้อาวุโสอี่กล่าว “ทุกๆขวดมีไอวินาศอยู่เก้าสาย มันไม่ได้หาง่ายๆ ดังนั้นแล้วจงดูดซับมันก็ต่อเมื่อตอนที่เจ้าคิดว่าพร้อมแล้วเท่านั้น! อย่าทำให้มันเปล่าประโยชน์”
เมิ่งชวนพยักหน้าด้วยท่าทางนอบน้อม “เข้าใจแล้วขอรับ”
ไม่นาน ชายชุดสีฟ้าก็หยิบขวดกระเบื้องสีแดงออกมา หลังจากรับไปแล้ว ผู้อาวุโสอี่ก็ยื่นมันให้กับเมิ่งชวน “หกประสงค์วินาศคือพลังวินาศชนิดสุดท้ายที่จำเป็นต่อการขัดเกลาร่างกายของเจ้า และมันก็เป็นอันที่พิเศษที่สุดเช่นกัน มันมีผลกระทบต่อจิตใจอย่างมหาศาล ดังนั้นเจ้าจึงควรฝึกฝนจิตใจเสียก่อน หากเจ้าไปไม่ถึงขั้นต่ำที่กำหนดก็อย่าดูดซับมันเข้าไป ไม่อย่างนั้นมันอาจจะทำลายจิตใจของเจ้าได้ ผลกระทบอาจจะติดอยู่เป็นสิบปีเลยก็ได้ เมื่อจิตใจเจ้าแข็งแกร่งพอแล้ว เจ้าสามารถลองขัดเกลามันได้ดู”
อ่านตอนล่าสุดที่ mynovel.co หรือ www.thai-novel.com
“ศิษย์จะจำไว้ขอรับ” เมิ่งชวนเคยอ่านหนังสือเมื่อนานมาแล้ว เขารู้ว่าการขัดเกลาจุดที่เก้านั้นอันตรายเพียงใด หากเขาดูดซับกระแสพลังวินาศในขณะที่จิตใจยังอ่อนแอ เขาอาจจะกลายเป็นคนบ้าที่ทำตามแค่สิ่งที่ใจปราถนา และแม้เทพอสูรของเขาหยวนชูจะช่วยเอาไว้ แต่ผลกระทบต่อจิตใจของเขานั้นอาจจะเหลือไปตลอดชีวิตเลยก็ได้
…
ต่อจากนี้เมิ่งชวนเตรียมได้ตัวขัดเกลาจิตใจของเขา! เขาหวังว่าพลังใจของเขานั้นจะไปถึงจุดขั้นต่ำสำหรับการขัดเกลากระแสพลังวินาศ
‘ข้าจะพักผ่อนซักวันให้จิตใจของข้ากลับสู่สภาพปกติ แล้วพรุ่งนี้ข้าจะไปที่แท่นบูชาแห่งความมืดเพื่อดูว่าข้าจะไปได้ไกลขนาดไหน’ เมิ่งชวนวางขวดหกประสงค์วินาศไว้ในตู้ ‘ข้าอยู่บนเขามาปีหนึ่งแล้ว อยากรู้จังว่าจิตใจของข้าแข็งแกร่งขึ้นแค่ไหนแล้ว’
ปีนี้ เขาฝึกฝนวิชากระบี่อย่างขยันขันแข็งทุกวัน เขาได้รับเจตจำนงกระบี่และเรียนรู้ท่าร่างดวงใจกระบี่มาแล้ว และได้ผ่านความทุกข์ทรมานจากกระแสพลังวินาศอีกาทอง 120 วันอีกด้วย
และในปีนี้ เขาก็ได้หมั้นกับหลิวชีเยว่เช่นกัน
แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่รู้ว่าพลังใจของเขานั้นเพิ่มขึ้นมากแค่ไหนเทียบกับปีที่แล้ว
…
วันที่ 25 ธันวาคม ในยามเช้าตรู่
เมิ่งชวนและหลิวชีเยว่ไปที่ตำหนักแม่น้ำสวรรค์ด้วยกัน วันนี้มีการสอนของปรมาจารย์ และคราวนี้ มีศิษย์อยู่ในตำหนักแม่น้ำสวรรค์ทั้งหมด 279 คน
ศิษย์ใหม่ได้มาถึงแล้ว! ศิษย์เก่าบางคนก็ผ่านเก้าถ้ำปริศนาและลงจากเขาไปแล้ว ส่วนเมิ่งชวนตอนนี้ก็ได้กลายเป็นศิษย์พี่หลังจากที่อยู่บนเขามาได้หนึ่งปี
เมื่อเมิ่งชวนและหลิวชีเยว่เข้าไปในตำหนัก ก็มีพ่อบ้านเดินมาหาและยิ้ม “นายหญิงหลิวชีเยว่ ที่นั่งของท่านเปลี่ยนไปนิดหน่อย โปรดตามมาขอรับ” การจัดที่นั่งเปลี่ยนไปนิดหน่อยเมื่อศิษย์ใหม่เข้ามา มีศิษย์ใหม่บางคนที่มีความสามารถมากอยู่
ส่วนเมิ่งชวนยังคงอยู่ที่เดิม อยู่ในแถวแรก
ตั้งแต่ที่เขาเรียนรู้ท่าร่างดวงใจกระบี่และไปถึงจุดขัดเกลาที่เจ็ด เขาก็ได้ขึ้นไปอยู่แถวหน้า เชวเฟิง เซี่ยวหยุนเยว่ และเทพอสูรคนอื่นๆที่เรียนรู้ร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษไปแล้วต่างนั่งอยู่ข้างหน้า และมีบางคนที่เรียนรู้ร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษก็อยู่ในแถวที่สองหรือสาม
หลิวชีเยว่นั่งข้างหลังเยื้องไปทางซ้ายของเมิ่งชวน เธอจะได้รับร่างเทพวิหคเพลิงที่สมบูรณ์ได้แน่ๆ เธอแค่ต้องการเวลาอีกนิด
“ดูสิ คู่รักนั่นที่เดินเข้ามาคือหลิวชีเยว่กับเมิ่งชวน”
“เมิ่งชวนไปถึงจุดขัดเกลาที่แปดของร่างอสูรตัดสายฟ้าในปีเดียวนับตั้งแต่เข้าร่วมเขาหยวนชู แล้วเขาก็เรียนรู้ท่าของโลหะทมิฬได้นานแล้วด้วย ความสามารถของเขาสูงมากขนาดที่พอๆกับลูกชายคนที่ห้าของราชาทะเลตงไห่ เชวเฟิงเลย ส่วนที่อยู่ข้างๆนั่นก็คือหลิวชีเยว่ เธอมีร่างเทพวิหคเพลิง พวกนั้นเป็นคู่รักที่ดังมากบนเขาหยวนชูของเราเลยล่ะ”
“ศิษย์พี่เมิ่งมาจากตระกูลเทพอสูรธรรมดาๆ ถ้าหากเขามาจากตระกูลเทพอสูรระดับราชาล่ะก็ เขาคงจะแข็งแกร่งกว่าตอนนี้มาก เชวเฟิงเป็นเทพอสูรตั้งแต่อายุสิบห้า ทำให้เขาเร็วกว่าศิษย์พี่เมิ่งสองสามปี นั่นก็เพราะตระกูลของเขา”
“การที่เรียนรู้วิชาจากโลหะทมิฬได้ในครึ่งปีนั้นเป็นเรื่องที่สุดยอดอย่างแท้จริง”
มีศิษย์หลายคนแอบพูดคุยเกี่ยวกับพวกเขา
ภายในครึ่งปี เมิ่งชวนนั้นคือศิษย์ที่น่าตื่นตามากที่สุดในตำหนักแม่น้ำสวรรค์ เขาพุ่งทะยานขึ้นไปอย่างรวดเร็ว จนทำให้ศิษย์หลายๆคนต้องตื่นตะลึง ในแง่ของความเร็ว เขาไวกว่าเชวเฟิงและเซี่ยวหยุนเยว่เสียอีก แต่ถึงอย่างนั้นเมิ่งชวนก็อายุสิบแปดไปแล้วตอนที่เขาเข้าสู่เขาหยวนชู ในขณะที่เชวเฟิงอายุสิบสามเท่านั้น นี่ทำให้เมิ่งชวนนั้นช้ากว่าในหลายๆด้าน แต่ถึงอย่างนั้น ศิษย์หลายๆคนก็เชื่อว่าความสามารถของเขานั้นไม่ด้อยไปกว่าของเชวเฟิงเลย
“เมิ่งชวน ยินดีด้วยที่ขัดเกลาจุดที่แปดได้สำเร็จ” เหยียนจินเดินเข้ามาหาเผยให้เห็นรอยยิ้มที่หาได้ยาก
“เจ้าก็รู้เรื่องนี้ด้วยหรือ?” เมิ่งชวนประหลาดใจ
“เมื่อเช้านี้ทุกคนพูดคุยเรื่องนี้กันที่ตำหนักแม่น้ำสวรรค์ ยังมีใครไม่รู้อีกหรือว่าเจ้าขัดเกลาจุดที่แปดของร่างอสูรตัดสายฟ้าได้สำเร็จ?” เหยียนจินถาม “แล้ว เจ้าวางแผนจะขัดเกลาจุดที่เก้าเมื่อไหร่รึ?”
“ข้าจะทดลองดู” เมิ่งชวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เหยียนจินพยักหน้าเบาๆ “เจ้าพึ่งจะมาอยู่บนเขาได้แค่ปีเดียว แน่นอนว่าเจ้ายังมีเวลาทดลอง แต่การที่เจ้าผ่านจุดขัดเกลาที่แปดไปได้นั้นแสดงว่าเจ้าเรียนรู้ร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษได้ดีเลย ที่เขาหยวนชูนี้คนที่ฝึกร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษส่วนมากมักจะได้แค่ขั้นต่ำ เรียนรู้ได้ดีนั่นยังหายาก ส่วนร่างเทพอสูรที่สมบูรณ์แบบนั้นนานๆทีกว่าจะได้เจอซักครั้ง ในหมู่ศิษย์ที่ยังไม่ลงจากภูเขา พี่ชายห้าของข้าเป็นแค่คนเดียวที่เรียนรู้ได้สมบูรณ์ แต่เขาก็เรียนร่างอสูรทรายดำ มันง่ายกว่าร่างอสูรตัดสายฟ้าของเจ้ามาก”
เมิ่งชวนพยักหน้า “แล้วการฝึกฝนของเจ้าเป็นอย่างไร?”
“ยังเร็วไป” เหยียนจินส่ายหน้าเบาๆแล้วกลับไปนั่งที่เดิม
เหยียนจินกลับไปนั่งเงียบๆที่นั่งของเขา ‘เมิ่งชวนผ่านจุดขัดเกลาที่แปดไปเรียบร้อยแล้ว ข้าว่าข้าจะต้องใช้เวลาอีกประมาณสามเดือนก่อนที่จะไปถึงขั้นต่ำสุดของเทพบัวฟ้า หากจะไปถึงระดับสูงก็คงจะต้องใช้เวลาอีกนาน ส่วนระดับสมบูรณ์น่ะหรือ? ข้าไม่เห็นความหวังเลย! แต่ถึงอย่างนั้นข้าต้องการร่างเทพอสูรที่สมบูรณ์แบบหากข้าอยากจะสู้กับราชาเทพอสูร’ เมื่อเหยียนจินฝึกฝนไปเรื่อยๆ เขาก็รู้สึกได้ว่าแม้เขาจะฝึกฝนอย่างหนัก แต่เมื่อเทียบกับเมิ่งชวนและพี่ห้าของเขา เชวเฟิงแล้ว เขานั้นช้ากว่าอย่างแน่นอน
แต่เขาก็ไม่เคยยอมแพ้
จู่ๆก็มีพลังที่มองไม่เห็นกระจายออกไปคลุมทั่วทั้งตำหนักแม่น้ำสวรรค์ ความเงียบเข้าปกคลุม เมิ่งชวนและคนอื่นๆยืนขึ้นในทันที ศิษย์ใหม่ที่ยังคงงงๆก็ยืนขึ้นตาม ปรมาจารย์เดินเข้ามาและมองกวาดดูศิษย์ทุกคน
“คารวะท่านปรมาจารย์ขอรับ” เหล่าศิษย์ก้มหัวด้วยความเคารพ
…
หลังจากหมดคาบที่ตำหนักแม่น้ำสวรรค์ หลิวชีเยว่ก็ไปหาขุนนางเทียนซิงโหวเพื่อฝึกวิชา ในขณะที่เมิ่งชวนไปที่แท่นบูชาแห่งความมืด
“นายท่านเมิ่งชวน” ที่แท่นบูชาแห่งความมืดก็มีพ่อบ้านและคนรับใช้เช่นกัน
“ข้าจะขึ้นไปบนแท่นบูชาแห่งความมืด” เมิ่งชวนกล่าว
พ่อบ้านพยักหน้าและกล่าว “ถ้าเช่นนั้นข้าจะเปิดแท่นบูชาแห่งความมืดให้ขอรับ” เมื่อพูดจบเขาก็เปิดกลไกข้างๆตัวเขา
“เริ่มได้เลยชอรับ” พ่อบ้านพูดด้วยรอยยิ้ม “หากนายท่านเมิ่งชวนหยุดบนแท่นบูชาและเดินต่อไปไม่ได้อีกข้าจะปิดมัน”
แม้ว่าแท่นบูชาแห่งความมืดจะช่วยฝึกฝนจิตใจได้ แต่ปกติแล้วมันถูกเหล่าศิษย์ของเขาหยวนชูใช้เพื่อการทดสอบพลังใจของพวกเขา ตราบใดที่พวกเขาสามารถไปถึงยอดได้ นั่นก็หมายความว่าพวกเขานั้นผ่านเงื่อนไขสำหรับการเป็นเทพอสูรระดับมหาสุริยัน
‘ในการสอบเข้าปีที่แล้ว ข้าหยุดลงที่ขั้นที่ 75 ข้าอยากรู้จังว่าในตอนนี้จะไปได้ไกลแค่ไหน’ เมิ่งชวนเดินก้าวขึ้นไปบนแท่นบูชาแห่งความมืด หมอกสีดำซึมเข้าไปในร่างของเมิ่งชวนในทันที ร่างกายของเขาสั่นเล็กน้อยแต่เขาก็ชินกับมันได้อย่างรวดเร็วและเดินต่อไป
พ่อบ้านและคนใช้นั้นต่างเฝ้ามองด้วยความสงสัยว่าเมิ่งชวนที่โด่งดังอยู่ในช่วงนี้จะไปได้ถึงขั้นไหนกัน
“มาคาดเดากันว่านายท่านเมิ่งชวนจะไปได้ไกลแค่ไหน”
“ข้าว่าเขาน่าจะไปได้ถึง 90 ขั้น”
“นายท่านเมิ่งชวนอยู่บนเขาได้แค่ปีเดียว มันคงจะไม่ง่ายขนาดนั้นในการไปถึงขั้นที่ 90” พ่อบ้านและคนใช้เหล่านี้มีชีวิตที่ค่อนข้างน่าเบื่อกัน พวกเขาพูดคุยกันด้วยความตื่นเต้น พวกเขารู้ว่าเมิ่งชวนไม่ได้ยินเสียงในขณะปีนแท่นบูชาแห่งความมืดแน่ๆ
ตอนที่ 106 ธันวาคมของอีกปี
วันเวลาผ่านไป เมิ่งชวนฝึกฝนวิชากระบี่ที่ถ้ำหมื่นกระบี่ทุกๆเช้า หลิวชีเยว่เองก็เพิ่มเวลาฝึกฝนที่บ่อเพลิงหินหลอมเช่นเดียวกัน
ในตอนบ่าย เมิ่งชวนวาดภาพโดยมีหลิวชีเยว่นั่งดูอยู่ข้างๆ เธอกำลังเรียนรู้วิธีการคัดลายมือ
สำหรับชีเยว่แล้วการวาดภาพนั้นยากเกินไป เธอคัดลายมือได้ดีกว่า ทุกๆครึ่งที่ทั้งคู่เงยหน้าขึ้น พวกเขาก็จะยิ้มออกมาเมื่อสบตากัน
จากนั้นทั้งคู่ก็จะประลองกันบนจิ้งหมิงเฟิง หลิวชีเยว่ไล่ยิงลูกศรใส่เมิ่งชวนที่ปัดป้องมัน จากนั้นเมิ่งชวนก็ไล่ตามหลิวชีเยว่ที่กำลังหนี
ทั้งคู่ไม่ปิดบังความสัมพันธ์อีกต่อไป
ที่เต๋าเจี่ยวหลิงและตำหนักแม่น้ำสวรรค์ ทั้งคู่แสดงความวใกล้ชิดกันจนเทพอสูรชายหลายๆคนที่พยายามตามจีบชีเยว่ได้แต่ถอนหายใจออกมา
…
ฤดูหนาวได้มาถึง ภาพทิวทัศน์ของใบไม้ที่ร่วงหล่นก่อนที่หิมะจะตามมา เมิ่งชวนและหลิวชีเยว่อยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข
เมิ่งชวนใช้เวลาสองชั่วยามในการขัดเกลาพลังวินาศในอ่างสมุนไพรทุกวัน เขาต้องทนทรมาณเหมือนจากนรก มันบั่นทอนทำลายจิตใจมาก แต่หลังที่เขาอดทนความเจ็บปวดนั่นได้ เขาก็จะมีข้าวต้มของชีเยว่คอยเขาอยู่ มันช่วยทำให้ความมุ่งมั่นของเขาเพิ่มขึ้นจนสามารถทนความเจ็บปวดทรมาณเหล่านี้ได้มากกว่าเดิม
15 วัน 30 วัน 50 วัน 80 วัน…เมิ่งชวนนับวันที่เขาขัดเกลาจุดที่แปดนี้ ทุกๆครั้งที่เขาทำเสร็จ เขาก็รู้สึกได้ว่าเข้าใกล้ความสำเร็จมากขึ้นกว่าเดิม อีกไม่นานแล้วเขาจะผ่านการขัดเกลาจุดที่แปด
ในที่สุด ในวันที่ 120 วันสุดท้ายของการซึมซับกระแสพลังวินาศก็มาถึงเมิ่งชวนจะเสร็จสิ้นจุดขัดเกลาที่แปด ช่างเป็นเรื่องบังเอิญที่วันนี้เป็นวันที่ 23 ธันวาคม วันที่ศิษย์ใหม่เข้าสู่เขาหยวนชูพอดี
เขาหยวนชูบนยอดหวงซุนจิง ผาแดงโลหิต
พิธีรับศิษยืกำลังเริ่มขึ้น
“…ทั้งหมดนี้คือเทพอสูรทั้งหมด 15,283 คน…” เจ้าเขาหยวนชูอธิบายให้ศิษย์ใหม่ฟัง
ข้างๆพวกเขาคือเหล่าเทพอสูรและศิษย์พี่ที่ยังไม่ได้เป็นเทพอสูร เมิ่งชวนเองก็เป็นหนึ่งในศิษย์พี่เหล่านั้น
เมื่อได้ยินสิ่งที่เจ้าเขาพูด เขาก็ได้แต่ถอนหายใจลึกๆ ปีที่แล้วมีเทพอสูรที่ตายไป 15,271 คน เพียงเวลาสั้นๆ ก็มีเทพอสูรของเขาหยวนชูถึง 12 คนตายไปแล้วอย่างนั้นหรือ?
หากรวมเทพอสูรธรรมดาๆไปด้วย คงจะมีเทพอสูรในราชวงศ์โจวที่ยิ่งใหญ่ที่ตายไปมากกว่านี้อีก คงจะประมาณหกสิบ และหากนับจากทั่วโลก มีเทพอสูรกว่าสองร้อยคนต้องตายทุกปี เทพอสูรส่วนมากต้องตายเพราะอาการบาดเจ็บรุนแรงหรือตายในสนามรบ มีเทพอสูรเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถใช้ชีวิตจนหมดอายุขัยได้ในวังวนของการต่อสู้กับอสูรอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
การสูญเสียเทพอสูรไปจำนวนมากเช่นนี้ก็แสดงให้เห็นได้ว่าการต่อสู้กับเหล่าอสูรนั้นรุนแรงแค่ไหน
มนุษย์ยังคงรักษาความเจริญรุ่งเรืองไว้ได้ หลายคนที่อยู่ในเมืองยังคงดื่มกินอย่างมีความสุขและรักษาจำนวนประชากรเอาไว้ได้เพราะเหล่าเทพอสูร เช่นเดียวกันกับเหล่าทหารมนุษย์ที่ไปถึงระดับชำระแก่นแท้ที่คอยต่อสู้ป้องกันเหล่าอสูรอย่างต่อเนื่อง นี่ทำให้อสูรที่หลุดเข้ามาในโลกมนุษย์นั้นต้องหนีไม่ก็ต้องหลบซ่อนการฆ่าล้าง
ข้าอยากจะฝึกฝนให้เสร็จโดยไว ลงจากภูเขา และสังหารพวกอสูรซะ เมิ่งชวนถอนหายใจ
…
ในคืนเดียวกัน
อุณหภูมิของน้ำเพิ่มขึ้นสูง เมิ่งชวนยังคงอดทนต่อความเจ็บปวด เขาใช้ความเจ็บปวดนั้นในการฝึกฝนจิตใจ
นี่เป็นวันสุดท้าย
120 วันโดยที่ไม่พัก และนี่คือวันสุดท้าย เมิ่งชวนรู้สึกได้ถึงความสำเร็จ แม้ว่าเขาจะวางแผนเอาไว้แล้ว แต่เขาก็รู้ว่าการทนทรมาณสองชั่วยามทุกวันเป็นเวลา 120 วันมันยากแค่ไหน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ทำสำเร็จ
เมิ่งชวนไม่กัดผ้าเช็ดตัวแล้ว เขาแค่จับกำแพงหินแน่นๆเท่านั้น ร่างของเขาเป็นสีแดงทั้งตัวด้วยเส้นเลือดที่ปูดโปน ถึงขนาดมีเลือดไหลออกมาจากผิวหนังของเขาเลยด้วยซ้ำ
ความเจ็บปวดมาจากส่วนลึกของร่างกาย แม้ตอนนี้มันยังเป็นเรื่องยากในการอดทนต่อความเจ็บปวด แต่เขาก็ยังทนไว้ได้เพราะแรงใจของเขา
ในที่สุดความเจ็บปวดก็จางหายไป เขารู้สึกว่าร่างกายเบาและสบายอีกครั้ง
เมิ่งชวนรู้สึกได้ว่ากระแสพลังวินาศอีกาทองได้หลอมรวมเข้ากับร่างกายของเขาอย่างสมบูรณ์ มันไม่ทำลายร่างกายของเขาอีกต่อไป
ใช่แล้ว เขาชูนิ้วขึ้นและมีประกายพลังวินาศสีดำทองปรากฏขึ้นตรงปลายนิ้วของเขา มันมีพลังในการทำลายสูงมาก เมิ่งชวนพยักหน้าเล็กน้อย ข้าขัดเกลาจุดที่แปดเรียบร้อยแล้ว
จากนั้นเขาก็ยืนขึ้นและระเหยน้ำที่อยู่บนตัวเขาออกจนหมดก่อนจะใส่ชุดคลุมแล้วเดินออกไป
หลิวชีเยว่ยืนยิ้มอยู่ตรงทางเดิน เธอมองไปที่เมิ่งชวน “ยินดีด้วยนะอาชวนที่ผ่านการขัดเกลาครั้งที่แปดแล้ว”
“ใช่แล้ว” เมิ่งชวนซ่อนความสุขไว้ไม่อยู่ “ในที่สุดข้าก็ทำสำเร็จ”
“การจะไปถึงจุดที่แปดได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆนะ” หลิวชีเยว่กล่าว “ครั้งสุดท้ายที่บนเขาหยวนชูมีคนไปถึงจุดที่แปดก็เมื่อ 83 ปีก่อน ส่วนคนที่ไปถึงจุดที่เก้าก็ 200 ปีก่อน อาชวน เจ้าผ่านจุดขัดเกลาที่แปดได้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ายังมีโอกาสจะไปถึงจุดที่เก้าอีกด้วย”
“จุดขัดเกลาที่เก้าไม่ง่ายเป็นแน่” เมิ่งชวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “กินข้าวกันเถอะ”
อ่านตอนล่าสุดที่ mynovel.co หรือ www.thai-novel.com
“เพื่อฉลองที่เจ้าผ่านจุดขัดเกลาที่แปดได้ วันนี้ข้าเลยเตรียมอาหารเพิ่มให้อีกนิดหน่อย” หลิวชีเยว่กล่าว
เมื่อทั้งคู่ไปถึงห้องอาหาร บนโต๊ะก็เต็มไปด้วยอาหารมากมาย
ทั้งสองนั่งลงและเริ่มกิน
แม้ว่าเมิ่งชวนดูจะกินอาหารอย่างมีความสุข แต่อันที่จริงแล้วเขานึกอะไรขึ้นได้หลายอย่าง
“มีอะไรหรือ? เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่?” หลิวชีเยว่ถาม
“ก่อนหน้านี้ที่เจ้าพูดถึงศิษย์พี่ของเขาหยวนชูที่ฝึกร่างอสูรตัดสายฟ้าได้ถึงจุดที่แปดและเก้าล่าสุดก็คือ 83 และ 200 ปี” เมิ่งชวนกล่าวเบาๆ “ตอนที่ข้าเลือกร่างเทพอสูรนี้ ข้าก็ได้ศึกษาประวัติของมันโดยละเอียด ศิษย์พี่เมื่อ 83 ปีที่แล้วชื่อเกาคง เขาได้กลายเป็นเทพอสูรระดับมหาสุริยัน ส่วนคนเมื่อ 200 ปีก่อนนั้นได้กลายเป็นเทพอสูรระดับขุนนาง”
“ข้ารู้จัก ขุนนางทะเลหวนสินะ” หลิวชีเยว่กล่าว
เมิ่งชวนพยักหน้า”เจ้ารู้ไหมว่าขุนนางทะเลหวนตายอย่างไร?”
หลิวชีเยว่นิ่งไปและส่ายหัวเบาๆ
“ข้าได้ลองหาข้อมูลอย่างละเอียดดู” เมิ่งชวนกล่าว “เกาคงตายที่ด่านเก้าจังหวะเมื่อ 36 ปีก่อน ตอนนั้นทางผ่านโลกที่ด่านเก้าจังหวะเกิดขยายขึ้น มีราชาอสูรระดับสามกว่าสามสิบตัวได้หลุดเข้ามา และยังมีราชาอสูรระดับสองอีกร้อยกว่าตัว ด่านเก้าจังหวะถูกบุกอย่างหนัก และเทพอสูรเจ็ดคนรวมไปถึงเกาคงได้ตายในการต่อสู้ ในตอนนี้ด่านเก้าจังหวะได้กลายเป็นเมืองด่านระดับกลางแล้ว โดยมีขุนนางเก้าจังหวะคอยคุม”
เมื่อนานมาแล้ว ไม่เคยมีอสูรอยู่ในโลกมนุษย์ มีแต่การต่อสู้กันระหว่างมนุษย์ด้วยกันเอง
แต่จู่ๆก็มีทางผ่านจำนวนมากปรากฏขึ้นและเชื่อมโลกมนุษย์เข้ากับโลกปีศาจเมื่อแปดร้อยปีก่อน
ในตอนแรกประตูพิภพนั้นหาได้ยากและมีขนาดเล็ก
แต่จู่ๆทางผ่านเหล่านั้นมันก็เพิ่มมากขึ้นและขยายตัว ในตอนนี้ราชวงศ์โจวที่ยิ่งใหญ่มีเมืองด่านขนาดใหญ่เจ็ดเมือง แต่จำนวนเมืองด่านขนาดเล็กและขนาดกลางนั้นมันเยอะมากจนน่าตื่นใจ
ตอนนั้น ที่ด่านเก้าจังหวะนั้นก็เกิดจากการขยายตัวของทางผ่าน
“การตายของเกาคงดูค่อนข้างปกติ” เมิ่งชวนส่ายหน้าเบาๆ “สำหรับขุนนางทะเลหวนแล้ว เขาผ่านการขัดเกลาจุดที่เก้าของร่างอสูรตัดสายฟ้า เขาเร็วมาก ขนาดราชาเทพอสูรหลายคนยังตามเขาไม่ทัน ขนาดราชาอสูรระดับห้าก็ยังตามเขาได้ยาก และจากบันทึกของเขาหยวนชู เขาตายระหว่างทำภารกิจพิเศษ”
“ภารกิจพิเศษ?” หลิวชีเยว่ก็งงเหมือนกัน
“ข้าไม่รู้ว่ามันคือภารกิจอะไร พวกเรายังไม่ใช่เทพอสูรด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงมีหลายสิ่งที่เป็นความลับสำหรับพวกเรา” เมิ่งชวนส่ายหน้าเบาๆ “เหล่าศิษย์พี่ที่ไปถึงจุดที่แปดหรือเก้าต้องตายด้วยเหตุผลหลายๆอย่าง”
“แม้พวกเขาจะตายไปในการต่อสู้ แต่พวกเราก็มีเทพอสูรที่แข็งแกร่งกว่าเกิดขึ้นมา” หลิวชีเยว่กล่าว
เมิ่งชวนพยักหน้ายิ้มๆ
แน่นอนอยู่แล้ว
บางทีคงเป็นเพราะแรงกดดันมหาศาล มนุษยชาติจึงต้องฝึกฝนอย่างหนัก มีการเกณฑ์ทหารจำนวนมาก ทำให้หลายคนต้องปลดปล่อยความสามารถของตนออกมา บางทีสงครามคงเป็นสิ่งที่หล่อหลอมเทพอสูรทุกๆคน ถึงอย่างนั้น ในช่วงแปดร้อยปีที่ผ่านมา มีเทพอสูรจำนวนมากได้ถือกำเนิดขึ้นมากกว่าแต่ก่อน แม้ว่าเทพอสูรระดับขุนนางและราชาจะตายไปอย่างต่อเนื่อง แต่เทพอสูรระดับขุนนางและราชาคนใหม่ๆก็จะขึ้นมาแทนที่!
…
วันรึ่งขึ้น เมิ่งชวนไปที่คลังสมบัติบนหวงซุนจิงคนเดียว
“ท่านเมิ่งชวน?” ข้างในคลังสมบัติ ชายชุดสีฟ้าตรงข้างหน้ายิ้มให้เมิ่งชวน “ไม่ทราบว่าท่านเมิ่งมาที่นี่ทำไมหรือขอรับ?”
“ข้าต้องการหกประสงค์วินาศหนึ่งขวด” เมิ่งชวนกล่าว
“หกประสงค์วินาศหนึ่งขวดใช้สามพันแต้มขอรับ” ชายชุดสีฟ้ากล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ข้าขัดเกลาจุดที่แปดของร่างอสูรตัดสายฟ้าเรียบร้อยแล้ว ข้าสามารถรับมันได้ฟรี” เมิ่งชวนกล่าว การขัดเกลาจุดที่เก้านั้นจะต้องใช้หกประสงค์วินาศถึงเก้าสิบขวด และเขาแลกพวกมันได้ไม่หมดหรอก!
“รับฟรี?” ชายชุดสีฟ้าตกใจ จุดขัดเกลาที่แปดของร่างอสูรตัดสายฟ้า? ครั้งล่าสุดที่เขาได้ยินเกี่ยวกับมันมันเมื่อกี่ปีมาแล้วกัน?
“ท่านเมิ่งชวน โปรดรอซักครู่นะขอรับ ข้าจะไปเรียกท่านผู้อาวุโสมา” ชายชุดสีฟ้าพูดอย่างตื่นตระหนก
ตอนที่ 105 จากนี้และตลอดไป ก็จะขอเดินอยู่เคียงคู่กับเธอ
‘ชีเยว่ได้เห็นแล้ว เธอคงจะเป็นกังวลมากแน่ๆ’ ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัวของเมิ่งชวน แต่ความเจ็บปวดจากกระแสพลังวินาศที่ทิ่มแทงไปทั่วร่างทำให้เขาหันไปคิดอย่างอื่นไม่ได้
เขาหลุดเสียงครางต่ำออกมาอย่างช่วยไม่ได้ เขากัดผ้าในปากแน่นอดทนต่อความเจ็บปวด
‘เทียบกับความตายและความสิ้นหวังแล้ว ความเจ็บปวดแค่นี้มันจะเป็นอะไรกันล่ะ? มาสิ เอาสิ’
เจ้านี่มันได้แค่ทำให้ข้าแข็งแกร่งมากขึ้นก็เท่านั้น! ภาพมากมายแวบเข้ามาในหัวของเมิ่งชวน พวกมันคือภาพที่อยู่ในรูป “แสงแดดยามเช้า” ภาพของความสิ้นหวังเหล่านั้น เช่นเดียวกับคนที่ต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตาย ภาพเหล่านั้นคอยเสริมความมุ่งมั่นของเขา ในสงครามที่โหดร้าย แค่ความเจ็บปวดจากการฝึกฝนมันจะไปเทียบกันได้อย่างไรกัน? หากเขาทนไม่ได้ คำสาบานที่จะสังหารอสูรทุกตนบนโลกนี้มันจะไม่เป็นแค่คำพูดไร้ค่าลอยๆอย่างนั้นรึ
ความยากของการสังหารอสูรทุกตนบนโลกนี้มันก็เหมือนกับภูเขาลูกใหญ่สูงตระหง่านเหนือเมฆ ส่วนความทุกข์ทรมาณจากการฝึกวิชาของเขานั้นมันก็เป็นแค่เนินเล็กๆเท่านั้นเอง
ตอนนี้ เขาต้องจัดการเนินเล็กๆนี้ให้ราบเรียบเสียก่อน!
จิตใจที่ตั้งมั่นของเขาอดทนรับความเจ็บปวดอย่างต่อเนื่อง ดาบที่ดีต้องตีตอนยังร้อน เช่นเดียวกันกับจิตใจของเขา มันก็เหมือนกับดาบที่ถูกตีให้คมขึ้นเรื่อยๆ
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด แต่ความเจ็บปวดในร่างกายของเขาก็บรรเทาลงในที่สุด ก่อนหน้านี้เขารู้สึกเหมือนอยู่ในนรก แต่เมื่อความเจ็บปวดหายไป เขารู้สึกเบาและโล่ง เขารู้สึกถึงความสบาย สบายตัวอย่างที่สุด เมิ่งชวนเข้าใจดีว่ามันก็เป็นแค่ภาพลวงตา เขาทนกับความเจ็บปวดและทรมาณมานาน จนในที่สุดเมื่อความเจ็บปวดได้หายไป มันก็ทำให้เขารู้สึกสบายอย่างที่สุด
การฝึกฝนร่างเทพอสูรของวันนี้จบลงแค่นี้ เมิ่งชวนยืนขึ้น พลังปราณไหลเวียนรอบร่างของเขา ก่อนที่หยดน้ำจะไหลออกไปจากร่างของเขา จากนั้นเขาก็หยิบผ้าคลุมขึ้นมาใส่และเดินออกไปอย่างสบายๆ
เอี๊ยด
เขาเปิดประตูไม้และพบกับหลิวชีเยว่ที่เดินเข้ามา หลิวชีเยว่ยิ้มและพูด “อาชวน เจ้าต้องหิวแน่ๆเลย ข้าทำอาหารไว้ให้เจ้าแล้ว”
เมิ่งชวนรู้สึกอบอุ่นหัวใจ เขารู้ดีว่าชีเยว่คอยดูแลเขาอย่างดี หากได้ใช้ชีวิตของเขาร่วมกับเธอไปตลอด…. มันจะดีมากแค่ไหนกัน แต่ถึงอย่างนั้นเขาและชีเยว่ก็ต้องฝึกวิชากันอย่างขยันขันแข็ง เขาหยวนชูเองก็คาดหวังกับเธอไว้มาก จากการที่เธอปลุกสายเลือดวิหคเพลิงขึ้นมา
พวกเขาทั้งคู่จะขี้เกียจไม่ได้
“หิวมากๆเลยล่ะ” เมิ่งชวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม ทั้งสองคนเดินไปนั่งที่โต๊ะ บนนั้นมีข้าวต้มสองถ้วยกับอาหารอีกหลายอย่าง
หลังจากที่เมิ่งชวนนั่งลงเขาก็เริ่มตักข้าวต้มคำใหญ่เข้าปากไปทันที เขาพยักหน้า “ข้าไม่เคยคิดเลยว่าข้าวต้มจะอร่อยได้อย่างนี้”
“ถ้าอย่างนั้นจะทำข้าวต้มให้เจ้าทุกวันหลังจากเจ้าฝึกเสร็จนะ” หลิวชีเยว่เองก็ตักข้าวต้มกินเช่นกัน “อาชวน เจ้าต้องเจ็บปวดเช่นนี้ทุกคืนเลยเหรอ?”
เมิ่งชวนยิ้มแล้วพูด “การเรียนรู้ร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษจะไปง่ายได้อย่างไรกัน? แค่เจ็บปวดในตอนนี้ ในอนาคตจะได้แข็งแกร่ง ข้าทนได้อยู่แล้ว”
“ผ่านมาห้าวันแล้วสินะตั้งแต่ที่เจ้าผ่านจุดขัดเกลาที่เจ็ดมาได้น่ะ?” หลิวชีเยว่ถาม
“ใช่แล้ว วันที่ห้า” เมิ่งชวนพยักหน้า
“เจ้าขัดเกลากระแสพลังวินาศทุกวันเลยหรือ?” หลิวชีเยว่ถาม
“เพราะอ่างสมุนไพร ร่างกายของข้าเลยฟื้นฟูได้เต็มที่สำหรับวันต่อไป แน่นอนว่าข้าต้องฝึกฝนทุกวัน” เมิ่งชวนกล่าว “ข้าต้องใช้เวลาที่มีฝึกฝนให้ดี”
หลิวชีเยว่กล่าวออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “แต่การขัดเกลาจุดที่แปดมันดูทรมาณมากเลยนะ ข้าถามพ่อบ้านหลิวมาแล้ว มันใช้เวลาตั้งสองชั่วยาม สองชั่วยามที่เต็มไปด้วยความทรมาณและความเจ็บปวด… ข้าไม่คิดว่าจิตใจของเจ้าจะทนรับความทรมาณเช่นนี้ทุกๆวันได้ อาจารย์ของข้าก็บอกว่าจิตใจมันมีขีดจำกัด ถ้ามากเกินไปมันอาจจะทำให้จิตใจแตกสลายเลยก็ได้นะ! ข้าคิดว่าเจ้าฝึกวิชาวันเว้นวันคงจะดีกว่านะ”
“ฮ่าๆ” เมิ่งชวนหัวเราะ “ชีเยว่ นี่เป็นเพียงแค่การขัดเกลาที่แปด การขัดเกลาที่เก้าจะต้องใช้พลังหกประสงค์วินาศ มันมีผลกระทบต่อจิตใจของข้ามากกว่านี้มาก ข้าต้องการที่จะไปให้ถึงจุดขัดกลาที่เก้าของร่างอสูรตัดสายฟ้านี้ จุดขัดเกลาที่แปดนี้มันก็ได้แค่ช่วยฝึกฝนจิตใจของข้าให้กล้าแข็งขึ้นเท่านั้นเอง”
“ถึงจะต้องเหนื่อยแต่ก็ต้องอดทน จิตใจของข้ากล้าแข็งขึ้นทุกครั้งที่ทำอย่างนี้ นี่เป็นโอกาสที่หาได้ยากเลยสำหรับการฝึกฝนจิตใจของข้า”เมิ่งชวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม”ทำไมข้าจะต้องหยุดพักการฝึกวิชาด้วยเล่า? ถ้าลดความถี่ลง ผลลัพท์มันก็จะลดลงด้วยสิ”
“ฝึกฝน?” หลิวชีเยว่ตกตะลึง
เธอไม่เคยคิดมุมนั้นมาก่อนเลย เธอคิดว่าความเจ็บปวดและทรมาณคือความยากลำบาก แต่อาชวนกลับเห็นว่ามันคือวิธีการฝึกฝนอีกแบบ การฝึกฝนจิตใจให้กล้าแข็ง! เขาเตรียมพร้อมแก่การขัดเกลาจุดที่เก้า
“วันนี้คือวันที่ห้าหลังจากที่ข้าเริ่มขัดเกลาจุดที่แปด” เมิ่งชวนกล่าว “ข้าเชื่อว่าหลังจาก 120 วัน พลังใจของข้าจะดีขึ้นกว่านี้มาก หากข้ามีพลังใจเพียงพอที่จะทนพลังหกประสงค์วินาศได้ล่ะก็ มันคงจะเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมมากเป็นแน่ แต่ถึงอย่างนั้นข้าก็คิดว่าหกประสงค์วินาศนั้นต้องมีพลังใจที่มากกว่านี้ มันคงไม่ง่ายขนาดนั้นเป็นแน่”
“อาชวน เจ้าเก่งมากแล้วล่ะ” หลิวชีเยว่บอกเขา “เจ้าพึ่งจะขึ้นเขามาเพียงปีเดียว แต่กลับเรียนรู้ร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษและโลหะทมิฬได้สำเร็จ”
“ข้ายังเรียนรู้ร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษไม่สำเร็จ”เมิ่งชวนกล่าว
“ถ้าเจ้าผ่านการขัดเกลาจุดที่เจ็ดมาแล้ว เจ้าก็สามารถได้รับร่างอสูรตัดสายฟ้าได้ตลอดนี่” หลิวชีเยว่กล่าว “ความเร็วในการฝึกฝนของเจ้านั้นน่าทึ่งมากตั้งแต่ที่เจ้าเข้านิกายมา เจ้าเรียนรู้ได้ไวกว่าเชวเฟิงและเซี่ยวหยุนเยว่อีก ไม่จำเป็นที่จะต้องทุ่มสุดตัวขนาดนั้นเลย”
เมิ่งชวนมองออกไปนอกหน้าต่าง คืนนี้มีเมฆเบาบาง แสงจันทร์เสี้ยวจางๆสาดส่องลงมา
“ชีเยว่” เมิ่งชวนกล่าว “การฝึกฝนของข้ามันไม่เกี่ยวกับการแข่งขันกับคนอื่น ข้าไม่สนใจว่าเชวเฟิงหรือเซี่ยวหยุนเยว่จะเป็นอย่างไร ที่ข้าคิดคือเทพอสูรที่ทรงพลังที่ทิ้งชื่อของตัวเองเอาไว้ในประวัติศาสตร์! ข้าอยากจะตามพวกเขาแล้วนำไปให้ได้ มีแค่ต้องมีพลังเทียบเท่าหรือมากกว่าเทพอสูรเหล่านั้นเท่านั้นข้าถึงจะสังหารอสูรทุกตัวบนโลกนี้ได้”
หลิวชีเยว่ฟังด้วยความงุนงง เธอไม่เคยได้ยินเมิ่งชวนพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน
“สังหารอสูรทุกตัวบนโลก?” หลิวชีเยว่พึมพำ เธอค่อนข้างตกใจ มันเป็นความฝันของมนุษย์และเทพอสูรตลอด800ปีที่ผ่านมา แต่ไม่มีใครเคยทำได้
“มันอาจจะฟังดูงี่เง่าไปหน่อย” เมิ่งชวนพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้ารู้ว่าข้าประเมินตัวเองสูงไป แม้แต่ท่านปรมาจารย์และคนอื่นๆที่เหนือกว่าเทพอสูรระดับราชายังไม่สามารถทำได้ พวกเขายังคงถูกเหล่าอสูรกดดันอยู่เรื่อยๆ พวกอสูรต่างสังหารมนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆ ทุกๆเมืองด่านต่างก็มีเทพอสูรที่ตายในการต่อสู้ แต่ข้าจะมุ่งหน้าต่อไปด้วยเป้าหมายนี้”
“แม้ว่าข้าจะสังหารอสูรทั้งหมดบนโลกไม่ได้ แต่ข้าจะพยายามสังหารมันให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้”เมิ่งชวนกล่าว”ตราบใดที่ข้าพยายามจนสุดกำลัง ถึงจะตายในสนามรบข้าก็ไม่มีสิ่งใดติดค้างแล้ว”
หลิวชีเยว่จับมือเมิ่งชวนและพูด “ข้าจะไปกับเจ้าด้วย”
“ข้าอยากเดินเคียงข้างกับเจ้าไปตลอดจนชีวิตนี้จะหาไม่” เมิ่งชวนมองตาหลิวชีเยว่ “สังหารอสูรทุกตนบนโลกนี้ ทวงคืนความสงบสุขคืนมา หรือไม่เราก็ต้องตายในสนามรบ”
หลิวชีเยว่หน้าแดงเล็กน้อย แต่เธอก็ยังพยักหน้า “ฝ่าฟันอุปสรรค์ทุกอย่างไปด้วยกัน” จากนั้นหลิวชีเยว่ก็หัวเราะ “นี่เจ้ากำลังขอข้าแต่งงานใช่ไหม?”
เมิ่งชวนมองหน้าเธอ “แล้วเจ้าตกลงหรือเปล่า?”
“ตอนที่อสูรบุกเข้ามา ตอนที่ข้าต่อสู้ที่ป้อมเพลิงตะวัน ตอนที่ป้อมเพลิงตะวันเกือบจะถูกอสูรบุกเข้ามาและสังหารทุกคนจนหมด” หลิวชีเยว่มองที่เมิ่งชวน “ข้าเห็นเจ้าวิ่งมาหาแต่ไกล เจ้าไม่รีรอเลยที่จะมาช่วยข้า และนั่นทำให้ข้าได้รู้ว่า… ข้าจะแต่งงานกับเจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้น”
เมิ่งชวนกุมมือชีเยว่และกระซิบบอก “ข้าสาบานว่าจะไม่ทำให้เจ้าผิดหวัง”
“ข้าเชื่อเจ้านะ อาชวน” แววตาของหลิวชีเยว่เต็มไปด้วยความสุข
ชั่วชีวิตนี้ พวกเขาจะเดินไปพร้อมๆกัน
พวกเขาจะสู้ในสนามรบและสู้จนตัวตาย เพื่อสังหารเหล่าอสูรให้สิ้น
ตราบชั่วชีวิตจะอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน และแม้จะตายจาก ก็จะอยู่คู่ในโลงเดียวกัน
ตอนที่ 104 ฝึกวิชาด้วยความเจ็บปวด
ในบ่ออาบน้ำที่ถ้ำของเมิ่งชวน
“นายท่่าน เตรียมน้ำร้อนเรียบร้อยแล้วขอรับ” พ่อบ้านหลิวกล่าวด้วยท่าทางนอบน้อม
“จำไว้ ให้มันร้อนอยู่ตลอดเวลา อย่าให้น้ำเย็นลง” เมิ่งชวนสั่ง “เอาล่ะ เจ้าไปได้แล้ว”
“ขอรับ” พ่อบ้านหลิวถอยออกไป
บ่อน้ำนั้นอยู่เหนือห้องต้มน้ำ และมีคนรับใช้อยู่ในห้องนั้นคอยเผาฟืนเพื่อรักษาอุณหภูมิเอาไว้
เมิ่งชวนหยิบน้ำเต้าสีเหลืองขึ้นมาแล้วดึงจุกออก เขาเทผงจำนวนมากลงในอ่างน้ำ มันเป็นสมุนไพรที่ถูกบดและผสมเอาไว้ มันจะช่วยในการขัดเกลาจุดที่แปดของเขา หลังจากเทสิ่งที่อยู่ในน้ำเต้าจนหมด น้ำอ่างน้ำก็กลายเป็นสีเขียวอ่อนในทันที จากนั้นเขาก็หยิบขวดหยกสามขวดและเทยาจากในนั้นออกมา เขาบดยาเหล่านั้นและโปรยมันลงในน้ำ
‘ยังดีที่สมุนไพรและยาเหล่านี้สามารถแลกได้ที่เขาหยวนชู หากข้าต้องไปเก็บเองล่ะก็คงจะยุ่งยากมากแน่’ เมิ่งชวนยิ้มในขณะที่โปรยลงไป
จากนั้นเขาก็หยิบขวดสีดำออกมา ในขวดนี้นั้นมีพลังวินาศอีกาทองอยู่! เมิ่งชวนจ้องมองมันพักหนึ่งก่อนจะดึงจุกออกมาเบาๆ เขาสูดลมหายใจเข้าลึกและใช้พลังปราณเพื่อดึงกระแสพลังวินาศออกมา กระแสพลังสีขาวทองลอยออกมาและเข้าสู่จมูกของเขา
หลังจากดูดซับกระแสพลังวินาศทั้งสองสายนั้นเข้าไป เมิ่งชวนก็ปิดจุกของขวดสีดำกลับเข้าไปทันที
เขาใช้วิชากระบี่สำหรับขัดเกลาในทันที โดยการใช้เจตจำนงแห่งกระบี่ เขาชี้นำร่างกายให้ดูดซึมกระแสพลังวินาศ ร่างกายของเขารุ่มร้อนไปทั่วร่าง ขนาดหัวของเขาเองก็ยังร้อนจี๋ แก่นสารแห่่งจิตคอยรักษาสติของเขาเอาไว้ในขณะที่ใช้วิชากระบี่สำหรับขัดเกลา ในที่สุดกระแสพลังวินาศอีกาทองสองส่วนสุดท้ายก็ถูกร่างกายของเขาดูซึมเข้าไปจนหมด และความร้อนในร่างกายของเขาค่อยๆหายไป
ยังไม่ถึงขีดจำกัดของข้า ข้ายังขัดเกลาได้ต่ออีก เมิ่งชวนหยิบขวดสีดำขึ้นมาและเปิดจุกออกอีกครั้ง กระแสพลังสีขาวทองสองอีกสองสายไหลเข้าสู่ร่างของเขาอีกครั้ง
ในตอนที่เขาดูดซึมกระแสพลังวินาศอีกาทองในขวดจนหมด เมิ่งชวนก็ยังไม่รู้สึกว่าถึงขีดจำกัดอยู่ดี แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่กล้าที่จะทำต่อ
‘ขัดเกลาด้วยกระแสพลังวินาศอีกาทองครั้งละขวดก็เพียงพอแล้ว หากข้าดูดซึมมากเกินไป ร่างกายของข้าคงจะทนไม่ไหวเป็นแน่’
เขาถอดเสื้อผ้าและลงไปในอ่างน้ำทันที
ในขณะที่เขานั่งลงพิงกำแพงหินของอ่างอาบน้ำที่เต็มไปด้วยสมุนไพร สมุนไพรทั้งหลายก็ค่อยๆซึบเข้าไปในร่างกายของเขา มันเข้าสู่กระดูกและกล้ามเนื้อ จนก่อกวนพลังวินาศที่เขาดูดซึมเข้าไปอย่างรุนแรง ขัดขวางไม่ให้มันผสมเข้ากับร่างกายของเขา
หลังจากเขาดูดซึมพลังวินาศอีกาทองเข้าไป มันก็เริ่มทำลายร่างกายของเขาแล้ว แต่ว่าเส้นประสาทในร่างกายของเขานั้นถูกทำลายลงก่อนที่มันจะได้รับรู้ความเจ็บปวดเสียอีก ขวดพลังอีกาทองหนึ่งขวดนั้นมีกระแสพลังวินาศอยู่เพียงเก้าสาย จากคัมภีร์แล้ว การดูดซึมกระแสพลังวินาศทั้งหมดพร้อมๆกันจะทำได้เพียงแค่เกิดอาการบาดเจ็บสาหัสต่อผู้ที่ผ่านการขัดเกลาจุดที่เจ็ดเท่านั้น แต่เขานั้นจะไม่ตาย
แต่หากเขาดูดซึมมากเกินไป ร่างกายของเขาคงจะพังลงไปจริงๆ สมุนไพรเหล่านี้ที่อยู่ในอ่างน้ำที่กำลังซึมเข้าไปในร่างของเขานั้นจะคอยรักษาส่วนที่เสียหาย สิ่งหนึ่งทำลาย อีกสิ่งหนึ่งคอยรักษา
เมิ่งชวนรู้สึกราวกับมีมดจำนวนนับไม่ถ้วนชอนไชในกระดูกและเนื้อของเขา ความเจ็บปวดทำให้ร่างของเขากระตุกอย่างควบคุมไม่ได้ ผิวหนังของเขาเป็นสีแดงก่ำ เส้นเลือดปูดโปน ความเจ็บปวดถาโถมเข้าใส่ในทันที ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานก่อนที่เขาจะหยิบผ้าเช็ดตัวที่เตรียมมาก่อนหน้านี้ยัดเข้าใส่ปาก
เขากัดผ้าขนหนูและส่งเสียงคำรามด้วยความเจ็บปวดออกมา
‘ทนไว้ ทนไว มันก็แค่ความเจ็บปวด ไม่ได้ถึงตาย’
หากเขาไม่มีสมุนไพรในอ่างน้ำเพื่อช่วยในการฝึกวิชาล่ะก็ ร่างกายแทบทุกส่วนของเขาก็จะได้รับบาดเจ็บ แม้เขาจะไม่รู้สึกเจ็บปวดมากนัก แต่เขาจะรักษาพวกมันอย่างไรล่ะ? เขาหยวนชูจะต้องทุ่มทุนมหาศาลในการรักษาเขา และมันจะต้องใช้เวลากว่าครึ่งปีเขาถึงจะหายดี มันเป็นอะไรที่โง่มากในการเสียเวลาครึ่งปีไปกับการดูดซับกระแสพลังวินาศอีกาทองหนึ่งขวด และการขัดเกลาจุดที่แปดจะใช้พลังวินาศอีกาทองถึง 120 ขวด เขาใช้เวลาหกสิบปีในการขัดเกลาจุดที่แปดอย่างเดียวไม่ได้หรอก
วิธีเดียวในการขัดเกลาจุดที่แปดก็คือการใช้อ่างสมุนไพร แม้ว่ามันจะเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส แต่มันก็ช่วยลดความเสียหายให้เหลือน้อยที่สุด และมันยังคอยช่วยรักษาเขาอย่างต่อเนื่อง ทำให้วันพรุ่งนี้เขามีพละกำลังเต็มเปี่ยม
อ่านตอนล่าสุดที่ mynovel.co หรือ www.thai-novel.com
‘ทนไว้ ทนไว้’ เมิ่งชวนกัดผ้าเช็ดตัวและจับขอบอ่างน้ำแน่น เขาจับแน่นจนทิ้งรอยนิ้วมือเอาไว้บนกำแพงหิน เลือดไหลออกมาจากเล็บที่แตกและไหลลงสู่อ่างน้ำ
เขานึกถึงภาพตอนที่อสูรบุกเมืองตงหนิง นึกถึงภาพของพ่อแม่ที่ใช้ร่างของตนเพื่อปกป้องลูกของพวกเขา แต่สุดท้ายก็ถูกสังหารอย่างไร้ปราณี ผู้อาวุโสสามที่เข้าไปขวางเหล่าอสูรเพื่อปกป้องลูกตระกูลที่ยังเด็กทั้งหลาย ก่อนที่สุดท้ายจะถูกสังหาร หรือสำนักเต๋าเพลิงตะวันที่ต้องเผชิญกับเหล่าอสูรจนแทบจะล่มสลาย
มีแค่ความแข็งแกร่งเท่านั้น!
หากแข็งแกร่งเขาก็จะสังหารอสูรและช่วยผู้คนเหล่านั้นได้!
ข้าอยากจะแข็งแกร่งมากกว่านี้!
ความเจ็บปวดเล็กน้อยแค่นี้จะไปทำอะไรได้ล่ะ? แทนที่จะต้องไปสิ้นหวังไร้หนทางไปต่อในภายหลัง ข้ายอมทนทรมาณในตอนที่อยู่ในเขาหยวนชูนี่เสียดีกว่า ข้าจะต้องแข็งแกร่งกว่านี้! ยิ่งข้าแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี! ความเจ็บปวดน่ะรึ? เอาสิ เจ็บปวดให้มากกว่านี้อีกสิ! ดวงตาของเมิ่งชวนเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง เขากัดผ้าเช็ดตัวจนมีเลือดไหลออกมาจากมัน
…
ในตอนกลางคืน ขุนนางเทียนซิงโหวกำลังสอนวิชา
หลิวชีเยว่และศิษย์อีกหกคนตั้งใจรับฟัง
“ป่ายอี่ ฟูฉาง เฉียนยู่” ขุนนางเทียนซิงโหวตะโกนด้วยความเย็นชา “พวกเจ้าสามคนอยู่ไม่ไกลจากการผ่านเก้าถ้ำปริศนา จากนั้นพวกเจ้าต้องลงจากภูเขาแล้วเจ้าสู่สนามรบ! ข้าเห็นว่าพวกเจ้าอยู่บนเขาหยวนชูมากเกินไปแล้ว มันสบายและสงบเกินไป พวกเจ้าพึงพอใจกับความสามารถของพวกเจ้าที่มีอยู่เท่านั้น พวกเจ้าไม่มีความคิดอยากจะแข็งแกร่งขึ้นเลย!”
ศิษย์ที่เป็นเทพอสูรทั้งสามคนตัวสั่น
“ศิษย์เน้นไปที่การฝึกส่วนตัวขอรับ” ป่ายอี่กล่าวตอบในทันที
“ศิษย์ด้วยขอรับ” ฟูชางและเฉียนยู่กล่าวเช่นกัน
“อย่างนั้นรึ? แต่จากที่ข้ารู้มา พวกเจ้าเอาแต่ไปตีสนิทกับคนอื่น เจ้าเอาแตต่อวดวิชาเกาฑัณฑ์ของพวกเจ้าที่เต๋าเจี่ยวหลิง อีกทั้งยังเชิญศิษย์เทพอสูรมากมายไปที่ถ้ำฝึกวิชาของเจ้าทุกๆวันอีกด้วย”ขุนนางเทียนซิงโหวกล่าว
ฟูฉางกล่าวด้วยท่าทางนอบน้อม “ท่านอาจารย์อีกเพียงหนึ่งปีพวกเราก็จะได้ลงจากเขา หลังจากที่ลงจากเขาแล้วพวกเราก็จะต้องสู้เคียงข้างเทพอสูรคนอื่นๆ ดังนั้นแล้วพวกเราควรจะทำความรู้จักกับคนอื่นๆเอาไว้ก่อนจะได้ทำงานร่วมกันได้อย่างสะดวกในภายหลัง”
“นี่เจ้ายังมีหน้ามาเถียงอีกรึ?” ขุนนางเทียนซิงโหวพูดอย่างเย็นชา “เจ้ารู้ไหมว่ามีเทพอสูรกี่คนที่ต้องต่อสู้กันในขณะที่พวกเจ้าได้ฝึกวิชากันอย่างสงบสุขบนเขาหยวนชูกัน!? ขนาดมนุษย์อายุยี่สิบหลายๆคนยังเสี่ยงชีวิตเข้ารับราชการทหาร แต่พวกเจ้ากลับปล่อยเนื้อปล่อยตัวอยู่บนเขา นี่พวกเจ้าไม่รู้สึกอับอายบ้างเลยรึอย่างไรกัน?”
ศิษย์ทั้งสามไม่กล้าพูดตอบซักคำเดียว พวกเขาเริ่มที่จะปล่อยเนื้อปล่อยตัวจริงๆ เพราะสุดท้ายแล้วการจะแข็งแกร่งขึ้นในตอนที่ใกล้จะได้ลงจากภูเขานั้นก็ยากมาก ดังนั้นพวกเขาเลยเริ่มเข้าหาคนอื่นๆด้วยสถานะอย่างเทพอสูรนักเกาฑัณฑ์ ความแข็งแกร่งของพวกเขานั้นอยู่อันดับต้นๆของศิษย์ที่ยังไม่ได้ลงจากภูเขา หากพวกเขาชวนศิษย์คนอื่นๆมา ศิษย์เหล่านั้นก็คงจะดีใจและเข้าร่วมด้วย
เพราะไม่ว่าอย่างไร คนอื่นๆก็อยากจะเป็นเพื่อนกับนักเกาฑัณฑ์ที่ทรงพลัง
“มีศิษย์ใหม่คนหนึ่งชื่อเมิ่งชวน” ขุนนางเทียนซิงโหวกล่าว
หลิวชีเยว่เงยหน้าขึ้น
ศิษย์เทพอสูรอีกห้าคนนั่งฟังอย่างสงบเสงี่ยม
ขุนนางเทียนซิงโหวกล่าวต่อ” เขาไปถึงจุดขัดเกลาที่เจ็ดของร่างอสูรตัดสายฟ้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เรียกได้ว่าเขาเรียนรู้ร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษได้สำเร็จ ยิ่งไปกว่านั้นเขาเองก็ยังเรียนรู้วิชาจากโลหะทมิฬจนสำเร็จเช่นกัน จากศิษย์กว่าสองร้อยคน นอกจากเชวเฟิงกับเซี่ยวหยุนเยว่ เขาคือคนที่สามที่ทำสำเร็จ แต่เขาก็ไม่ได้โอ้อวดยกตนเลยแม้แต่น้อย เขาไม่เคยทำอะไรแบบนั้น แต่กลับเลือกที่จะท้าทายจุดที่แปด”
“อะไรนะ?” ป่ายอี่และศิษย์เทพอสูรคนอื่นๆตกใจ
เขาเรียนรู้ร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษได้สำเร็จและเรียนรู้วิชาจากโลหะทมิฬได้อย่างนั้นรึ? พวกเขาไม่รู้เรื่องนี้เลย ไม่มีข่าวคราวเกี่ยวกับเรื่องนี้ใดๆ
แต่ขุนนางเทียนซิงโหวก็พูดต่อ “เขาฝึกฝนวิชากระบี่สี่ชั่วยามทุกวัน การขัดเกลาจุดที่แปดเองก็เจ็บปวดอย่างมหาศาล แต่เขาก็ทำมันต่อไปทุกวัน”
“เจ้าไม่รู้สึกละอายใจเมื่อเทียบกับเขาบ้างเลยงั้นรึ? เจ้าเอาแต่อวดวิชาเกาฑัณฑ์ของเจ้าอย่างเดียว เขาพึ่งจะขึ้นเขานี้มาได้แค่ครึ่งปี แต่เขาก็ไม่เคยโอ้อวดร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษหรือโลหะทมิฬของเขาเลยซักนิด แต่พวกเจ้ากลับเอาแต่อวดวิชาเกาฑัณฑ์ของเจ้าเหมือนว่ามันน่าภูมิใจนักรึ? แล้วพวกเจ้าก็ยังมีหน้ามาจัดงานเลี้ยงได้ทุกๆวันอีก? ในขณะที่พวกเจ้าเอาแต่ทำอย่างนั้น คนอื่นๆเขาก็แข็งแกร่งขึ้นกันหมดแล้ว!”
ศิษย์เทพอสูรต่างก้มหน้าก้มตาฟังอย่างเชื่อฟัง กลับกัน หลิวชีเยว่รู้สึกภูมิใจ
“ความแข็งแกร่งทุกๆส่วนของเจ้าที่เพิ่มขึ้นนั้นหมายถึงราชาอสูรอีกตนที่จะได้ตายลงด้วยน้ำมือเจ้า ช่วยชีวิตสหายเทพอสูรของเจ้า หรือแม้กระทั่งรักษาชีวิตของเจ้าในสนามรบเอาไว้!” ขุนนางเทียนซิงโหวกล่าวด้วยความโกรธเกรี้ยว “ในสนามรบจะไปทำความรู้จักกับคนอื่นๆมันก็ไร้ประโยชน์ สิ่งที่มีประโยชน์คือเกาฑัณฑ์ในมือของเจ้าต่างหาก! พวกเจ้าคือนักเกาฑัณฑ์! เทพอสูร! อย่าทำให้ข้าต้องอับอาย!”
“ขอรับ” พวกเขาไม่พูดอะไรออกไปอีก
…
หลังจากสอนจบ หลิวชีเยว่ก็รีบกลับไปที่จิ้งหมิงเฟิงด้วยความตื่นเต้น
“อาชวนๆ” หลิวชีเยว่อยากจะบอกเล่าเรื่องที่อาจารย์ของเธอ ขุนนางเทียนซิงโหวพูดในวันนี้
“นายท่านกำลังอาบน้ำสมุนไพรอยู่ขอรับ” พ่อบ้านหลิวกล่าวด้วยท่าทางนอบน้อม
“อาบน้ำสมุนไพร?” หลิวชีเยว่เอียงคอเล็กน้อย เธอเดินไปที่ห้องอาบน้ำและเปิดประตูเบาๆ เธอมองเข้าไป ตอนที่อยู่ที่จิงหู่เมิ่งนั้น เมิ่งชวนก็อาบน้ำสมุนไพรบ้างบางที เธอคุ้นชินกับมันนานแล้ว
เพียงมองแวบเดียว รอยยิ้มบนหน้าของเธอก็หายไปพร้อมกับสายตาที่ว่างเปล่า
เมิ่งชวนกัดผ้าเช็ดตัวและบีบกำแพงหินข้างๆด้วยมือทั้งสองข้าง เล็บของเขาแตกหักโชกไปด้วยเลือด ร่างกายของเขาสั่นระรัวในขณะที่มองไปยังบ่อน้ำตรงหน้า จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นและฉีกยิ้มออกมา แต่รอยยิ้มนั้นมันดูทรมาณ
“อาชวน เจ้าฝึกวิชาต่อไปเถอะ” หลิวชีเยว่ปิดประตูในทันที แต่ใบหน้าของเธอดูซีดเซียว
เธอกังวลเรื่องของเมิ่งชวน เธอเองก็ได้อ่านวิธีการฝึกฝนร่างอสูรตัดสายฟ้ามาเช่นกัน เธอรู้ว่าการขัดเกลาจุดที่แปดนั้นจะทรมาณมาก แต่เธอก็ไม่เคยเห็นด้วยตาตัวเอง แต่หลังจากที่เธอได้เห็นด้วยตาเธอเองแล้ว มันก็ทำให้เธอรู้ว่าเมิ่งชวนนั้นทรมาณมากแค่ไหน
ในตอนนั้น หลิวชีเยว่ได้แต่เกลียดตัวเองที่ไร้พลัง เธอไม่สามารถช่วยเมิ่งชวนคลายความเจ็บปวดนั้นได้เลย
ตอนที่ 103 การขัดเกลาจุดที่เจ็ด
ในห้องระดับ C ของถ้ำพลังวินาศอันธการบนยอดเขาว่านคูเฟิง
“นายท่านเมิ่งชวน ทางนี้ขอรับ” พ่อบ้านกล่าวด้วยท่าทางนอบน้อมขณะที่ผลักเปิดประตูหิน
เมิ่งชวนพยักหน้าและเดินเข้าไปในถ้ำพลังวินาศอันธการ
ถ้ำพลังวินาศอันธการจะต้องใช้ห้าสิบแต้มทุกๆหนึ่งชั่วยาม เป็นเพราะพลังวินาศอันธการนั้นหายาก และมันมีประโยชน์หลายอย่างแก่เทพอสูร หากเข้าห้องฝึกระดับ A จะต้องใช้ถึง 5000 แต้มทุกๆหนึ่งชั่วยามเลย แต่ถึงอย่างนั้น กระแสพลังวินาศในห้องระดับ A ก็เข้มข้นเกินกว่าที่มนุษย์ธรรมดาจะรับมือไหว
ขนาดในห้องระดับ C ยังทำให้สติของอัจฉริยะหลายคนต้องยุ่งเหยิงเลยด้วยซ้ำ
‘หนาวจริงๆ’ เมิ่งชวนเข้าไปในห้องและปิดประตู กระแสพลังวินาศอันธการที่เป็นหมอกสีดำจางๆกระจายอยู่เต็มห้อง กาน้ำร้อนกลายเป็นน้ำแข็งได้ก่อนที่มันจะตกลงพื้นได้ด้วยซ้ำ
ส่วนเมิ่งชวนที่ผ่านการขัดเกลามาทั้งหกครั้งได้นั้นก็สามารถทนไอเย็นเหล่านี้ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
กระแสพลังวินาศไหลเข้าสู่ร่างกายของเขา มันถาโถมเข้าใส่จิตใจของเขาอย่างรุนแรง
แก่นสารแห่งจิตคอยปกป้องสติของเขาเอาไว้ กันไม่ให้กระแสพลังวินาศสร้างความเสียหายใดๆ และทำให้สติของเขายังคงแจ่มชัด!
‘ได้เวลาเริ่มแล้ว’ เมิ่งชวนใช้ท่ากระบี่สำหรับขัดเกลาอีกรอบ กระแสพลังวินาศแต่ละชนิดนั้นมีท่ากระบี่สำหรับขัดเกลาที่แตกต่างกันไป และด้วยการชี้นำของเจตจำนงแห่งกระบี่ เขาสามารถปลดปล่อยพลังได้อย่างเต็มที่ทำให้สามารถดูดซึมกระแสพลังวินาศอันธการไปได้
แต่ถึงอย่างนั้น ในการขัดเกลาครั้งที่เจ็ดนี้ ความเร็วในการดูดซึมนั้นช้าลงกว่าเดิม โชคยังดีที่เขาสามารถคงสภาพจิตใจเอาไว้ได้แจ่มชัด!
เขาใช้วิชากระบี่สำหรับขัดเกลาครั้งแล้วครั้งเล่า
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งเมิ่งชวนก็หยุดมือ
ข้าทำสำเร็จแล้วอย่างนั้นรึ? เมิ่งชวนยิ้ม ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยพลังวินาศอันธการ มันเปลี่ยนร่างกายของเขาไปโดยสิ้นเชิง! ทุกๆการขัดเกลานั้นจะเปลี่ยนแปลงร่างกาย และทุกอย่างจะแสดงให้เห็นผลในช่วงแห่งความเป็นตายเพื่อการรับร่างอสูรตัดสายฟ้ามาครอบครอง
เมิ่งชวนชูนิ้วขึ้น กระแสพลังวินาศสีเทาขาวโผล่ขึ้นมาบนปลายนิ้วของเขา มันคือพลังวินาศที่เกิดขึ้นมาหลังจากการขัดเกลาครั้งที่เจ็ด
ผ่านจุดขัดเกลาที่เจ็ดในเวลา 53 วัน เมิ่งชวนพยักหน้า ตามหนังสือแล้วเรียกได้ว่าเขาฝึกได้เร็วมาก
‘หลังจากถึงจุดขัดเกลาที่เจ็ด ข้าสามารถเข้ารับจุดเปลี่ยนความเป็นตายและดึงอัสนีสวรรค์มาใส่ตัวได้ แต่ว่าร่างอสูรตัดสายฟ้าที่ข้าจะได้นั้นมันจะเป็นระดับที่ต่ำกว่า’ เมิ่งชวนยังไม่พอใจ แม้ว่าจะเป็นร่างอสูรตัดสายฟ้าที่ระดับต่ำกว่า แต่มันก็ยังไวกว่าเทพอสูรร่างอื่นๆทั้งสิ้น แต่ในด้านอื่นๆ รวมไปถึงความบริสุทธิ์ของพลังปราณ สายฟ้าในร่างของเขา และความแข็งแกร่งของพลังวินาศ มันจะอ่อนแอกว่าร่างอสูรตัดสายฟ้าที่ผ่านการขัดครั้งที่เก้ามาก
ข้าต้องผ่านจุดขัดเกลาที่เก้าให้ได้ จากที่ข้าประมาณดู ประสิทธิภาพในการขัดเกลาที่แปดของข้าจะค่อยๆลดต่ำลง ข้าอาจจะไม่สำเร็จด้วยซ้ำ
ประสิทธิภาพในการฝึกวิชาของเขานั้นสูงมาก เขาฝึกฝนอย่างรวดเร็วและร่างกายของเขาก็รับความเสียหายจากกระแสพลังวินาศแค่ช่วงสั้นๆ ดังนั้น จึงไม่น่ามีโอกาสที่ร่างของเขาจะทรุดตัว
แต่ถึงอย่างนั้น กระแสพลังวินาศสำหรับการขัดเกลาที่แปดและเก้านั้นน่าสะพรึงมาก
‘การขัดเกลาจุดที่แปด กระแสพลังวินาศอีกาทอง มันติดอันดับหนึ่งในสามของโลกเลยในด้านของการทำลายล้าง มันทรงพลังและรุนแรง และส่งผลกระทบต่อร่างกายอย่างมหาศาล ระหว่างฝึก ข้าจำเป็นต้องมีการสนับสนุนจากภายนอก การฝึกฝนครั้งนี้จะเจ็บปวดมาก’ เมิ่งชวนขมวดคิ้วนิดๆ กระแสพลังวินาศอีกาทองนั้นมีค่ามาก เขาหยวนชูขายมันให้แก่ศิษย์ในเป็นขวด ขวดเล็กๆขนาดเท่าฝ่ามือที่มีพลังอีกาทองอยู่ต้องใช้ถึงร้อยแต้ม! และการขัดเกลาครั้งที่แปดนี้จะใช้ถึง 120 ขวด
การขัดเกลาครั้งที่เก้านั้นใช้พลังหกประสงค์วินาศ มันเป็นหนึ่งในกระแสพลังวินาศที่ลึกลับมากที่สุด มันแปลกและแตกต่าง มันจะหลอมรวมเข้ากับร่างกายและจิตวิญญาณอย่างต่อเนื่อง หากแก่นสารแห่งจิตคอยกันมันไว้ มันก็จะดูดซึมเข้าไปไมไ่ด้ เมิ่งชวนเข้าใจดีว่าการขัดเกลาจุดที่เก้านี้ยากแค่ไหน ‘ข้าจะใช้แก่นสารแห่งจิตไม่ได้ ข้าต้องฝึกฝนจิตใจของข้า’
หากอยากจะเป็นเทพอสูรระดับมหาสุริยันจะต้องไปให้ถึงยอดของแท่นบูชาแห่งความมืดให้ได้ และการที่จะดูดซับกระแสพลังหกประสงค์วินาศได้นั้นจะต้องมีจิตใจที่แข็งแกร่งกว่านั้นเป็นสิบเท่า! มันมากมายจนจินตนาการแทบไม่ออก
กระแสพลังหกประสงค์วินาศเองก็มีค่ามากเหมือนกัน
พลังหกประสงค์วินาศขวดเล็กๆนั้นมีมูลค่าถึง 3000 แต้ม! มันมีค่ามากกว่าพลังวิาศอีกาทองมาก และจะต้องใช้ถึง 90 ขวดในการผ่านจุดขัดเกลาที่เก้า โดยรวมแล้วจะต้องใช้ถึง 270000 แต้ม!
โชคยังดีที่พวกมันจะถูกแจกให้ฟรีด้วยเงื่อนไขพิเศษ
อย่างศิษย์มนุษย์ที่ฝึกร่างอสูรตัดสายฟ้าไปถึงจัดขัดเกลาที่แปดจะได้รับกระแสพลังหกประสงค์วินาศฟรีๆ แต่ทุกๆครั้งที่เข้าไปรับ จะมีศิษย์พี่ของเขาหยวนชูมาตรวจสอบว่าขวดที่แล้วนั้นขัดเกลาได้โดยสมบูรณ์ดีหรือเปล่า
…
เมิ่งชวนรู้ดีว่าการขัดเกลาครั้งที่แปดและเก้านั้นยากมาก แต่หากสำเร็จ เขาก็จะทรงพลังยิ่งกว่าเดิมมากในอนาคต หากการเจ็บปวดในตอนนี้จะช่วยเพิ่มโอกาสที่เขาจะสังหารราชาอสูรได้ในอนาคต มันก็เป็นสิ่งที่เขายอมแลกโดยไม่คิด
ฟิ้ววว
หลังออกมาจากยอดเขาว่านคูเฟิง เมิ่งชวนก็มุ่งหน้าไปยังถ้ำของตน
อ่านตอนล่าสุดที่ mynovel.co หรือ www.thai-novel.com
“โอ๋?” ขุนนางเทียนซิงโหวที่เพิ่งเดินออกมาจากถ้ำโลหิตก็เห็นเมิ่งชวนพุ่งผ่านภูเขาจากไกลๆ
ใบหน้าที่หล่อเหลาของขุนนางเทียนซิงโหวมีรอยปานรูปไฟอยู่ตรงหว่างคิ้ว เขาเป็นหนึ่งในขุนนางเทพอสูรที่เก่งกาจในวิชาเกาฑัณฑ์ ในแง่ของวิชาเกาฑัณฑ์นั้น เรียกได้ว่าเขาเป็นหนึ่งในห้าอันดับแรกของเทพอสูรจากทั่วทั้งโลก และในฐานะนักเกาฑัณฑ์ สายตาของเขาเองก็ดีมากเช่นกัน! เมื่อเขาเพ่งพลังเข้าไปในดวงตา เขาสามารถมองเห็นกระแสพลังวินาศที่หลอมรวมเข้ากับร่างของเมิ่งชวนได้
เขาหลอมรวมเข้ากับกระแสพลังวินาศอันธการได้โดยสิ้นเชิงแล้ว และยังผ่านจุดขัดเกลาที่เจ็ดไปแล้วด้วยอย่างนั้นรึ? ขุนนางเทียนซิงโหวประหลาดใจมาก ‘เมิ่งชวนคนนี้เป็นเพื่อนในวัยเด็กของศิษย์ข้า หลิวชีเยว่ เขาน่าจะเข้าสู่เขาหยวนชูเมื่อปีที่แล้วนี่เอง เพียงแค่ครึ่งปีเขาก็ผ่านการขัดเกลาครั้งที่เจ็ดไปแล้วอย่างนั้นรึ?’
การขัดเกลาจุดที่เจ็ดนั้นคือเงื่อนไขขั้นต่ำในการได้รับร่างอสูรตัดสายฟ้า เมื่อเสร็จสิ้นการขัดเกลาจุดที่เจ็ดไปแล้ว ก็จะสามารถสร้างร่างอสูรตัดสายฟ้าขึ้นมาได้ จอมยุทธทุกคนที่มีร่างอสูรตัดสายฟ้านั้นไวอย่างน่าเหลือเชื่อ และพวกเขานั้นสำคัญมากๆในการต่อสู้
เขาเพิ่งออกมาจากยอดเขาว่านคูเฟิง แสดงว่าเขาคงจะเสร็จสิ้นการขัดเกลาด้วยกระแสพลังวินาศไปแล้ว ขุนนางเทียนซิงโหวนึกขึ้นมาได้ ‘ในการขัดเกลาจุดที่แปดและเก้านั้นจะต้องใช้พลังวินาศอีกาทองและพลังหกประสงค์วินาศ ไม่จำเป็นที่เขาจะต้องอยู่ในยอดเขาว่านคูเฟิงอีกต่อไป แสดงว่าเขาพึ่งจะผ่านการขัดเกลาจุดที่เจ็ดในวันนี้อย่างนั้นหรือ? จริงสิ ข้าต้องบอกให้ท่านเจ้าเขาทราบเดี๋ยวนี้เลย’
ฟิ้ววว
ขุนนางเทียนซิงโหวหายไปในพริบตา
…
ณ ตำหนักแม่น้ำสวรรค์
ชายผมยาวนั่งดื่มชาสบายๆอยู่ในตำหนักของเขาในขณะที่เจ้าเขาในชุดสีม่วงเดินเข้ามาหา
“นายเหนือ” เจ้าเขาหยวนชูทักทาย
“เหวินโหย่ว เจ้ามาหาข้าทำไมรึ?” ชายผมยาวยิ้ม
เจ้าเขาหยวนชูกล่าวตอบ “นายเหนือ ขุนนางเทียนซิงโหวได้บอกกับข้าว่าเมิ่งชวนคนนั้นได้ผ่านการขัดเกลาจุดที่เจ็ดสำหรับร่างอสูรตัดสายฟ้าไปเรียบร้อยแล้ว เขาได้ยืนยันด้วยตัวของเขาเอง”
“โอ้? ข้าไม่รู้ตัวเลย” ชายผมยาวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หากขุนนางเทียนซิงโหวเป็นคนยืนยันด้วยตัวเอง มันก็คงจะเป็นความจริง จะว่าไปแล้ว ข้าลืมบอกบางอย่างให้เจ้าฟัง”
เจ้าเขาหยวนชูมองดูชายผมยาวด้วยความงุนงง
“เมื่อสองเดือนก่อน เมิ่งชวนเข้าถึงเจตจำนงแห่งดาบและเรียนรู้วิชาดวงใจกระบี่ไปเรียบร้อยแล้ว ข้ากำลังหวังอยู่ว่าเขาจะผ่านจุดขัดเกลาที่เจ็ดไปได้อย่างรวดเร็ว และเขาก็ไม่ทำให้ข้าผิดหวังเลย”
“อะไรกัน? เขาเรียนรู้วิชาจากโลหะทมิฬได้สำเร็จอย่างนั้นหรือ?” เจ้าเขาหยวนชูรู้สึกตื่นเต้นยิ่งกว่าเดิม การที่มีทั้งร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษและวิชาของโลหะทมิฬนั่นก็หมายความว่าเขาหยวนชูจะได้เทพอสูรที่ทรงพลังมาอีกคนแล้ว!
“หากไม่มีแก่นสารแห่งจิตที่แข็งแกร่งพอก็จะไม่สามารถสืบทอดมรดกของโลหะทมิฬได้ เขาเรียนรู้มันได้เร็วขนาดนั้นได้อย่างไรกัน?” เจ้าเขาหยวนชูดูไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยินมา
“กระบี่จิตพิสุทธิ์เหมาะกับเขามาก”
“เขาเรียนรู้ท่าใดไปอย่างนั้นหรือ?” เจ้าเขาหยวนชูถาม
“ท่าแรก ท่าดวงใจกระบี่”
เจ้าเขาหยวนชูดูดีใจยิ่งกว่าเก่า เขาพยักหน้ารัวๆ “ดีๆๆท่าร่างดวงใจกระบี่คือหัวใจของกระบี่จิตพิสุทธิ์! มันเป็นทั้งท่าพื้นฐานและท่าที่แข็งแกร่งที่สุด การที่บรรลุเจตจำนงแห่งกระบี่ได้ด้วยท่านี้นั้นเรียกได้ว่าสุดยอดมาก ยอดเยี่ยม!”
“เอาล่ะ เจ้าเป็นเจ้าเขานะ ทำไมเจ้าถึงต้องตื่นเต้นกับศิษย์ที่พึ่งจะเรียนรู้วิชาโลหะทมิฬและร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษด้วยล่ะ?”
“แค่ได้เห็นเทพอสูรที่ทรงพลังเพิ่มขึ้นมาอีกคนข้าก็มีความสุขมากแล้ว”
ชายผมยาวมีความรู้สึกหลายอย่างผสมกันไป เขาพูดว่า “ข้าเคยเห็นเทพอสูรที่ทรงพลังและมีพรสวรรค์มามากมาย พวกเขาพุ่งขึ้นไปอย่างโชติช่วงอยู่เพียงชั่วครู่ แต่สุดท้ายเมื่อเวลาผ่านไปพวกเขาก็ต่างร่วงหล่น ในแปดร้อยปีที่ผ่านมานี้ มีเทพอสูรที่ไปไม่ถึงตามพรสวรรค์ของตนอยู่มากเกินไป”
นายเหนือดูจะไม่ค่อยตื่นเต้นเกี่ยวกับผลสำเร็จของเมิ่งชวนซักเท่าไหร่นัก เมิ่งชวนควบแน่นแก่นสารแห่งจิตได้ตั้งแต่ยังเป็นมนุษย์ และเขาก็เรียนรู้วิชาของโลหะทมิฬและร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษได้ แต่ถึงอย่างนั้นนายเหนือก็ยังมีความรู้สึกที่ผสมปนเปกันอยู่ เขาเคยเห็นอัจฉริยะที่คล้ายกันเหล่านี้มามากแล้วในอดีต
“ตราบใดที่เทพอสูรที่ทรงพลังยังคงปรากฏขึ้นมาเรื่อยๆ พวกเราจะต้องเอาชนะอสูรได้อย่างแน่นอน” เจ้าเขาหยวนชูกล่าว
“วันนั้นจะต้องมาถึง” แววตาของชายผมยาวดูดุร้าย
ตอนที่ 102 ก้าวหน้าด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ
“อาชวน” หลิวชีเยว่ทำหน้าดีใจ
“ชีเยว่” เมิ่งชวนเดินไปหาและชำเลืองมองเฉียนหยู “แล้วนี่คือ?”
เฉียนหยูยิ้มและพูด “ข้าชื่อเฉียนหยู เราเคยเจอกันที่คาบแนะนำของปรมาจารย์ที่ตำหนักแม่น้ำสวรรค์ และพวกเราก็ยังเคยเจอกันที่เต๋าเจี่ยวหลิงมาก่อนด้วย แค่พวกเรายังไม่เคยพูดคุยกันเท่านั้นเอง”
ที่เต๋าเจี่ยวหลิงเหล่าศิษย์ที่ยังไม่ได้เป็นเทพอสูรจะรวมตัวกันอยู่ตรงๆหนึ่ง ส่วนพวกศิษย์ที่เป็นเทพอสูรแล้วจะไปรวมตัวกันที่อื่น ดังนั้นพวกเขาจึงยังไม่เคยได้คุยกันอยู่แล้ว
“ศิษย์พี่เฉียน” ทักทายเมิ่งชวนด้วยรอยยิ้ม
“การสอบเข้าของปีนี้เจ้าทำได้ที่หนึ่งจริงๆสินะศิษย์น้อง?” เฉียนหยูถามด้วยรอยยิ้ม “ในฐานะรุ่นพี่ข้าขอบอกว่าทุกๆปีนั้นจะมีศิษย์ที่ฝึกร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษได้หนึ่งหรือสองคน การฝึกฝนร่างกายเทพอสูรระดับสูงพิเศษให้สำเร็จได้นั้นมันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หากเจ้าคิดว่าการฝึกฝนนั้นยากเย็น เจ้าควรจะยอมแพ้เสียแต่เนิ่นๆ ท่านอาจารย์ของข้าเองก็บอกไว้ว่าเวลาในการฝึกฝนวิชานั้นมีค่ามาก ดังนั้นเจ้าไม่ควรจะเสียมัน หากเจ้าใช้เวลาห้าปีในการฝึกฝนร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษโดยไม่มีความคืบหน้าใดๆ มันจะกลายเป็นความเสียหายครั้งใหญ่แน่”
“ชอบคุณสำหรับคำแนะนำ แต่การฝึกฝนร่างอสูรตัดสายฟ้าของข้านั้นค่อนข้างจะราบรื่นเลย” เมิ่งชวนกล่าว
“โอ้?” เฉียนหยูพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “มีศิษย์กว่า 200 คนที่ยังไม่ได้ลงจากภูเขา มีสองคนที่ฝึกฝนร่างอสูรตัดสายฟ้าได้สำเร็จ คนหนึ่งคือศิษย์น้องซางไท่ เขาได้เป็นเทพอสูรในการขัดเกลาที่เจ็ด ส่วนอีกคนคือศิษย์น้องเฮาชาง ในตอนนี้เขาอยู่ในจุดขัดเกลาที่เจ็ดเหมือนกัน”
“คนหลังใช้เวลาไปกว่าเจ็ดปีพยายามจะไปให้ถึงจุดขัดเกลาที่แปดก่อนเส้นตายสิบปี มีเพียงสองคนนี้เท่านั้นที่สำเร็จ น้องเมิ่ง ร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษนั้นมันยากกว่าที่เจ้าคิด ยิ่งเจ้าไปไกลมากเท่าไหร่มันก็จะยากมากขึ้นเท่านั้น บางทีเราก็ควรจะหยุดเสียตั้งแต่ตอนที่ควรหยุด”
“เอาล่ะ ข้าพูดมากเกินไปแล้ว เพราะไม่ว่าอย่างไรมันก็เป็นตัวเลือกของเจ้าเอง” เฉียนหยูยิ้มให้เมิ่งชวนก่อนที่จะมองไปที่หลิวชีเยว่ “น้องหลิว ข้าไม่รบกวนเจ้าแล้ว”
จากนั้นเฉียนหยูก็ออกไปจากถ้ำ
“ศิษย์พี่รักษาตัวด้วย” เมิ่งชวนกล่าวอย่างสุภาพ
“ศิษย์พี่รักษาตัวด้วย” หลิวชีเยว่กล่าวเสริม
เมื่อได้ยินทั้งสองพูดขึ้นมาพร้อมกัน เฉียนหยูก็ออกไปไวกว่าเดิม พอเขาหันหลังไปแล้วสีหน้าก็เปลี่ยนไป
‘เธอชอบอยู่เงียบๆคนเดียวรึ? เธอไม่ชอบให้ใครไปที่ถ้ำของเธอรึ? โกหก! เมิ่งชวนนั่นเข้าได้ตามใจต้องการเลยด้วยซ้ำ’ เฉียนหยูดูเหมือนจะไม่พอใจอยู่ ‘แล้วตระกูลข้ายังมีหน้ามาบอกให้ข้าพยายามแต่งงานกับเธออย่างนั้นรึ? มันจะไปมีโอกาสรึไง?’
มีเทพอสูรชายของเขาหยวนชูหลายคนที่อยากจะแต่งงานกับเทพอสูรหญิง เพราะไม่ว่าอย่างไรเทพอสูรที่ทรงพลังสองคนจะสามารถให้กำเนิดลูกที่น่าทึ่งออกมาได้
และการแต่งงานกับหลิวชีเยว่ที่ปลุกสายเลือดวิหคเพลิงมาแล้วนั้น มันก็เหมือนกับว่าได้เพิ่มสายเลือดวิหคเพลิงเข้าไปในตระกูล บนเขาหยวนชูนี้ แม้ศิษย์หลายคนจะใช้เวลาฝึกฝน แต่ก็มีบางคนที่เข้ามายุ่มย่ามกับหลิวชีเยว่
“มีมาอีกคนแล้วหรือ?” เมิ่งชวนมองดูอีกฝ่ายเดินไป เขารับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าสีหน้าของเฉียนหยูดูบิดเบี้ยวมากแค่ไหนผ่านขอบเขตการรับรู้ของเขา นั่นทำให้เขาได้แต่หัวเราะ “แล้วนี่คนที่เท่าไหร่แล้วล่ะ?”
“เขาเป็นคนที่สามแล้วที่มาที่ถ้ำของข้า” หลิวชีเยว่พูดอย่างช่วยไม่ได้ “น่ารำคาญจริงเชียว พ่อของข้าพูดถูก! พอข้าปลุกสายเลือดวิหคเพลิงขึ้นมา ตระกูลเก่าแก่หลายๆตระกูลก็จ้องแต่ส่งคนให้มาตามตื๊อข้า”
“เลิกพูดเรื่องนี้เถอะ” หลิวชีเยว่หันไปมองเมิ่งชวนด้วยความสงสัย “อาชวน ไม่ใช่ว่าเจ้าจะฝึกวิชากระบี่สามชั่วยามครึ่งทุกๆเช้าอย่างนั้นหรือ? ทำไมวันนี้กลับมาเร็วจังล่ะ?”
เมิ่งชวนกระซิบ “ข้าเข้าถึง “เจตจำนงกระบี่” แล้ว”
หลิวชีเยว่ดูดีใจ “เจ้าทำได้แล้วเหรอ?”
“ข้ายังเรียนรู้ท่าจากโลหะทมิฬไปแล้วด้วย” เมิ่งชวนกล่าวต่อ
ดวงตาของหลิวชีเยว่เบิกกว้างด้วยความตกตะลึง
การที่ศิษย์ในเข้าถึงขอบเขตแห่ง “เจตจำนง” นั้นเป็นเรื่องปกติ เพราะสุดท้ายแล้วศิษย์ในเหล่านี้ก็จะเลือกวิชาเทพอสูรระดับสวรรค์ที่มีการชี้นำของเจตจำนง เมื่อมีการชี้นำของเจตจำนง พวกเขาก็น่าจะไปถึงขอบเขตแห่ง “เจตจำนง” ได้ภายในไม่กี่ปี
อย่างไรก็ตาม มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถเข้าถึง “เจตจำนง” ได้ด้วยมรดกโลหะทมิฬ เพราะไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ทำได้แค่อ่านและดูคำอธิบายเท่านั้นหากพวกเขาไม่มีแก่นสารแห่งจิตที่แข็งแกร่งพอ มันยากเสียยิ่งกว่าการฝึกฝนร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษให้สำเร็จเสียอีก
“ท่าของโลหะทมิฬท่าไหนเหรอ?” หลิวชีเยว่พยายามเก็บความตื่นเต้นเอาไว้และถาม
“ท่าร่างแรกของวิชากระบี่จิตพิสุทธิ์” เมิ่งชวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “มันยังเป็นหัวใจหลักของวิชากระบี่นี้ด้วยเหมือนกัน”
“แสดงให้ข้าดูหน่อยสิ” หลิวชีเยว่รบเร้า “ข้ายังไม่เคยเห็นใครใช้ท่าของโลหะทมิฬเลย”
“ได้เลย” เมิ่งชวนพยักหน้า “ออกมากับข้า”
เขาเดินออกไปเช่นเดียวกันกับหลิวชีเยว่
เมิ่งชวนเดินออกไปจากถ้ำและมองขึ้นไปบนภูเขา ไม่นานเขาก็เลือกภูเขาที่ตั้งตระหง่านลูกหนึ่ง เขาเดินไปและพูด “ดูให้ดี”
หลิวชีเยว่มองดูอย่างตั้งใจ
ทันใดนั้น พลังและพลังปราณของเขาก็หลอมรวมเข้าด้วยกัน โดยมีเจตจำนงแห่งกระบี่คอยชี้นำ ก่อนที่เขาจะชักกระบี่ออกมาโดยไม่รีรอ!
ลำแสงกระบี่ดูจะเห็นได้ยากเมื่อมันพุ่งเข้าใส่หน้าผา มันเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ ก่อนจะเกิดเสียงระเบิดดังทุ้มขึ้นในตอนที่มันชนเข้ากับภูเขา
“เร็วอะไรอย่างนี้” หลิวชีเยว่เป็นนักเกาฑัณฑ์ เธอเห็นลูกศรที่พุ่งเร็วเป็นประจำอยู่แล้ว แต่ว่าความเร็วในการโจมตีของเมิ่งชวนนั้นทำให้เธอต้องประหลาดใจ เธอมองไปที่หน้าผา “ผานั่น…”
หน้าผาก็ยังคงอยู่ดี
ครืนนนน!
จากนั้นหน้าผาที่สูงกว่าสิบจั้งก็สลายไป กลายเป็นแค่ฝุ่นที่ลอยคลุ้ง เห็นได้ชัดว่ามันถูกระเบิดหยินหยางเปลี่ยนให้กลายเป็นฝุ่น
“พลังขนาดนี้!” หลิวชีเยว่ตะลึง “นี่คือพลังของท่าของโลหะทมิฬอย่างนั้นเหรอ?”
เมิ่งชวนคิดในใจ ‘นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของท่าร่างดวงใจกระบี่ ท่าดวงใจกระบี่นั้นก็มีชื่อเสียงในเรื่องของการโจมตีอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน ปกติแล้วการฟาดฟันหลายๆครั้งติดกันจะใช้เวลาซักพัก แต่ว่าท่าดวงใจกระบี่นั้นสามารถฟันออกไปอย่างต่อเนื่องได้อย่างไม่มีจำกัดและในแต่ละการฟาดฟันก็แทบจะไม่ห่างกันเลยด้วย ลำแสงกระบี่อันเดียว แม้มันจะมีเป้าหมายคือฟันใส่ใบมีดลมหนึ่งเล่ม แต่บางครั้งหากใบมีดลมสิบเล่มลอยเข้ามาพร้อมกัน มันก็สามารถผ่าใบมีดลมทั้งสิบนั้นได้พร้อมๆกัน นี่เป็นการแสดงให้เห็นว่าข้าชักกระบี่ได้ไวมากเท่าไหร่เท่านั้น’
หากเขาจะโจมตีออกไปอย่างต่อเนื่อง ศัตรูก็ต้องหลบไปมาเป็นระวิง มันอาจจะทนรับมือการโจมตีได้นิดหน่อย แต่สุดท้ายแล้วมันก็จะหมดท่า ยิ่งไปกว่านั้น ระเบิดหยินหยางก็จะสร้างความเสียหายอีกด้วย มันจะทนได้แค่ไหนกันเชียว?
แน่นอนว่าทุกๆท่าของโลหะทมิฬนั้นสุดยอด จึงเป็นเหตุว่าทำไมเทพอสูรหลายๆคนอยากจะฝึกฝนมันให้ได้
“อาชวน เจ้าเรียนรู้วิชาของโลหะทมิฬได้เรียบร้อยแล้ว ถ้าหากว่าเจ้าฝึกฝนร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษได้อีกด้วยล่ะก็” หลิวชีเยว่ดูตื่นเต้น “เจ้าจะกลายเป็นคนที่สามจากศิษย์กว่าสองร้อยคนที่ยังไม่ได้ลงจากเขาที่ฝึกร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษและโลหะทมิฬได้สำเร็จ”
“ข้าเองก็หวังอย่างนั้น แต่การฝึกร่างอสูรตัดสายฟ้ามันไม่ง่ายเลย” เมิ่งชวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ยิ่งไปกว่านั้น เขาอยากจะไปให้ถึงจุุดขัดเกลาที่เก้า ปกติแล้วคนที่ฝึกร่างเทพอสูรนี้จะหยุดอยู่ที่จุดที่เจ็ด จุดขัดเกลาที่แปดนั้นค่อนข้างหายาก และจุดที่เก้านั้นเรียกได้ว่าเป็นตำนานเลย
เมิ่งชวนสาบานว่าเขาจะสังหารอสูรทุกตัวบนโลกนี้ ดังนั้นยิ่งเขาแข็งแกร่งเท่าไหร่ก็ยิ่งดี หากเขาอ่อนแอเขาก็จะทำตามคำสาบานที่ให้ไว้ไม่ได้!
…
หลังจากหยุดฝึกร่างเทพอสูรของเขาไปกว่าห้าเดือน เมิ่งชวนก็ไปที่บ่อไอเหล็กวินาศอีกครั้ง คราวนี้เขาได้ไปที่ห้องที่ 2
กระแสพลังวินาศไหลผ่านท่ออกมาอย่างต่อเนื่องจนเต็มห้องขนาดห้าคูณห้าจั้ง
เมื่อกระแสพลังวินาศโดนตัวเขา มันก็ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายและเริ่มส่งผลต่อจิตใจของเขา แต่ว่าเมิ่งชวนก็ได้ใช้แก่นสารแห่งจิตเพื่อขจัดผลเสียทั้งหมดนั้นออกไป ทำให้เขายังคงสติเอาไว้ได้
มีเพียงตอนที่จิตใจของคนๆนั้นยังคงชัดเจนอยู่เท่านั้นถึงจะปลดปล่อยพลังออกมาได้เต็มที่ นี่เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดสำหรับเขาในการขัดเกลาร่างกายด้วยกระแสพลังวินาศ
เมื่อเมิ่งชวนใช้เจตจำนงกระบี่ของเขากับวิชากระบี่สำหรับขัดเกลา พลังพวยพุ่งออกมาจากร่างกายของเขาทุกๆการเคลื่อนไหว
อ่านตอนล่าสุดที่ mynovel.co หรือ www.thai-novel.com
ร่างกายของเขายังคงเหมือนเดิม แต่ทำไมเขาถึงสามารถปลดปล่อยพลังออกมาได้มากกว่าเดิมหลายสิบเท่าน่ะหรือ? นั่นก็เป็นเพราะเขานั้นสามารถควบคุมร่างกายได้ดีกว่าเดิมนั่นเอง เขาสามารถกระตุ้นร่างกายได้ดีขึ้นกว่าเก่าหลายสิบเท่า ด้วยเหตุนี้กล้ามเนื้อทุกๆส่วนของเขาก็ดูเหมือนถูกกระตุ้น พวกมันดูดซึมกระแสพลังวินาศเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง! มันดูดซึมเข้าไปด้วยความเร็วที่มากกว่าเก่า
ย้อนกลับไปตอนที่เขาใช้”พลังกระบี่”เพื่อควบคุมร่างกาย กระแสพลังวินาศเหล่านี้ก็ดูดซึมเข้าสู่ร่างของเขาเช่นกัน แต่ส่วนมากมันจะหายไป! เพราะว่าพวกมันส่วนมากหลายไป ดังนั้นเขาจึงดูดซึมได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ความเร็วในการดูดซึมกระแสพลังวินาศตอนนี้มันเร็วกว่าเดิมมากแล้ว เร็วกว่าตอนที่เขาใช้แก่นสารแห่งจิตพร้อมกับพลังกระบี่อีก
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม เมิ่งชวนรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดนิดๆบนร่างของเขา เขาดูดซึมกระแสพลังวินาศต่อไปอีกไม่ได้แล้ว ตอนนี้ร่างกายของเขานั้น “อิ่มตัว” และต้องการ “ย่อย” กระแสพลังวินาศ กระแสพลังวินาศเองก็เหมือนกับสารอาหาร หลังจากที่ร่างกายของเขาย่อยสารอาหารจนหมดเขาถึงจะค่อยหิวขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นเขาถึงจะมาดูดซึมอีกครั้ง
ความเร็วในการขัดเกลาของเขาตอนนี้นั้นไวกว่าเดิมมาก เมิ่งชวนเต็มไปด้วยความสุขตอนที่เดินออกมาจากห้อง
เขาขัดเกลาร่างกายทุกวัน และด้วยเจตจำนงกระบี่ที่คอยควบคุมร่างกายของเขาและแก่นสารแห่งจิตที่คอยรักษาสติเอาไว้ ทำให้เขาสามารถฝึกฝนได้เร็วขึ้นมาก
เพียงแค่สามวัน เขาก็ผ่านการขัดเกลาครั้งห้าไปแล้ว ก่อนจะใช้เวลาอีกสิบหกวันในการขัดเกลาครั้งที่หก
เมิ่งชวนเริ่มการขัดเกลาครั้งที่เจ็ด
ตอนที่ 101 พื้นฐานของ “เจตจำนงแห่งกระบี่”
ในยามเช้าตรู่ ตอนที่ท้องฟ้าที่ยังมืดสลัว
เมิ่งชวนไปที่ถ้ำหมื่นกระบี่คนเดียวพร้อมกับกระบี่บนเอว
ฟิ้ว เขากระโดดขึ้นไปสิบจั้งเข้าสู่ถ้ำที่คุ้นเคย หลังจากเดินผ่านทางแยกไปนิดหน่อย เขาก็เดินต่อไปอีกประมาณยี่สิบจั้งก่อนจะหยุด ลมแถวๆนี้นั้นรุนแรงกว่ามาก ใบมีลมนั้นเร็วและคมกว่าเดิม จอมยุทธระดับไร้ตำหนิธรรมดาอาจจะเสียชีวิตได้หากโดนใบมีลมเหล่านี้ฟันใส่ แต่ว่าเมิ่งชวนกลับยืนยิ้มและมองดูรอบๆ
ทุกครั้งที่เขาสามารถตัดใบมีดลมไปได้ เขารู้สึกถึงความสำเร็จ
อ่านตอนล่าสุดที่ mynovel.co หรือ www.thai-novel.com
ความลึกที่เขาเข้ามาได้ในถ้ำหมื่นกระบี่แสดงให้เห็นว่าท่าร่างดวงใจกระบี่ของเขานั้นยอดเยี่ยมแค่ไหน เขาเชื่อว่าอีกไม่นานก็คงจะเชี่ยวชาญพื้นฐานของท่าร่างดวงใจกระบี่แล้ว
เมิ่งชวนตั้งสมาธิและค่อยๆดึงพละกำลังและพลังปราณจากร่างออกมา ราวกับการเก็บแรงเอาไว้ก่อนกระโจนตระครุบเหยื่อ! มือขวาของเขาขยับโดยไม่มีสัญญาณบอกใดๆ เขาชักกระบี่ออกมา ลำแสงกระบี่หลายเส้นพุ่งผ่านอากาศ เมื่อมันโดนเข้ากับใบมีดลม พลังแปลกๆที่อยู่ในลำแสงกระบี่ก็ระเบิดออกมา
เขาฟาดฟันกระบี่อย่างต่อเนื่อง ลำแสงกระบี่หลายสิบลำที่พุ่งกระจายออกมาอย่างสวยงาม ลำแสงกระนั้นวาววับเหมือนกับน้ำ แต่เมื่อมันโดนเข้ากับเป้าหมายก็จะเกิดเสียงดัง ก่อนที่ใบมีดลมจะหายไป
มีเงื่อนไขสำคัญในการเชี่ยวชาญพื้นฐานของดวงใจกระบี่อยู่นิดหน่อย หนึ่งคือต้องชักกระบี่ให้ไว! วิชากระบี่นี้ต้องชักกระบี่ฟันอย่างต่อเนื่องโดยไม่หยุดพัก
ที่สำคัญที่สุดคือการผสมหยินและหยาง หยินคือพลังที่มาประจบกันในตัวกระบี่ เมื่อกระบี่ถูกเป้าหมาย หยินก็จะเปลี่ยนเป็นหยาง หยางนั้นมีหน้าที่เกี่ยวกับการปะทุของพลัง! การเปลี่ยนจากหยินเป็นหยางนั้นจะทำให้พลังเกิดปะทุขึ้นมาแบบพิเศษ และระเบิดหยินหยางนี้ก็เป็นผลมาจากวิชานั้น และด้วยพลังที่ระเบิดออกมานั้น ก็จะสามารถเก็บดาบกลับเข้าไปและเปลี่ยนกลายเป็นหยิน! และเมื่อฟันออกไปอีก การเปลี่ยนแปลงจากหยินเป็นหยางก็จะเกิดขึ้น และจะเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ
การทำให้วัฏจักรของหยินหยางนั้นเป็นไปอย่างต่อเนื่องเป็นอะไรที่ยากมากที่สุดของท่าดวงใจกระบี่ หากไม่มี “เจตจำนง” คอยชี้นำ วัฏจักรหยินหยางนั้นเป็นสิ่งที่เชี่ยวชาญได้ยาก คำอธิบายเป็นตัวอักษรที่เขียนไว้ในคัมภีร์ก็ไม่ชัดเจนเอามากๆ
โชคดีที่เมิ่งชวนมีรากฐานที่แข็งแกร่ง และมีประสบการณ์กับวิชาชักกระบี่ ที่เหมือนกับวิชาดวงใจกระบี่นี้มาก่อน ซึ่งทำให้เขาสามารถฝึกวิชาได้อย่างราบรื่น
ทุกๆวัน เขาฟาดฟันใบมีดลมหลายหมื่นใบ หลังจากผ่านไปครึ่งปี เข้าก็เข้าใจได้ถึงความลับหลายๆอย่างของวิชาดวงใจกระบี่ และเมื่อเขานำความรู้เหล่านั้นเข้ามารวมกันเป็นหนึ่ง เขาก็จะก้าวผ่านช่วงที่สำคัญได้
หยินคือการปกปิด หยางคือการปะทุ หยินเปลี่ยนเป็นหยาง หยางเปลี่ยนกลับเป็นหยิน หยินและหยางหมุนวนต่อไปไม่มีสิ้นสุด เช่นเดียวกันกับกระบี่ที่จะไม่หยุด เมิ่งชวนใช้วิชากระบี่ออกมาอย่างต่อเนื่อง ก่อให้เกิดเสียงระเบิดดังก้อง
ใบมีดลมเหล่านั้นมันไม่มีรูปแบบที่ตายตัว บางทีใบมีดลมสิบเล่มก็จะพุ่งเข้าใส่พร้อมๆกัน บางทีก็มีเพียงเล็กน้อย และไม่สามารถคาดเดาเส้นทางของพวกมันได้
อย่างไรก็ตาม หากเขาฟันออกไปเร็วพอ เขาก็จะสามารถตัดพวกมันได้ด้วยกระบี่ของเขา!
“เกือบแล้ว อีกนิดเดียว!”
เขาใช้วิชาดวงใจกระบี่หลายรอบ การหลอมรวมพละกำลังและพลังปราณนั้นก็เริ่มกลายเป็นทำเองโดยสัญชาตญาณ เช่นเดียวกันกับ “พลังกระบี่” ที่ค่อยๆเปลี่ยนแปลงไปอย่างช้าๆ เขาค่อยๆเข้าถึงความสมบูรณ์แบบมากขึ้นเรื่อยๆ และด้วยขอบเขตรับรู้ของเขา เขาสามารถบ่งบอกได้ถึงปัญหาเล็กๆของวิชากระบี่ของเขา
‘อีกแค่นิดเดียว อีกแค่นิดเดียวเท่านั้น’
ทุกๆการฟาดฟัน เขาก็ค่อยๆเข้าถึงความสมบูรณ์แบบมากขึ้นเรื่อยๆ
ฟิ้ว และในที่สุด เมื่อเขาฟันออกไปอีกครั้ง ในที่สุดเขาก็บรรลุเป้าหมายของตน
กล้ามเนื้อและกระดูกของเขาได้หลอมรวมกันอย่างมหัศจรรย์ พลังในตัวเขานั้นปะทุขึ้นมาหลายสิบเท่าจากปกติ พลังปราณในร่างต่างไหลเวียนด้วยจังหวะที่ประหลาด แต่พลังปราณนั้นกลับหลอมรวมเข้ากับร่างของเขาได้โดยสมบูรณ์
ความเร็วของลำแสงกระบี่เพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน ลำแสงกระบี่วูบไปมาเป็นภาพติดตาเมื่อมันพุ่งผ่าน และเมื่อมันโดนเข้ากับใบมีดลมก็เกิดเสียงละเบิดทุ้มๆขึ้น ก่อนที่อากาศรอบๆที่โดนใบมีดลมเข้าก็เกิดการบิดเบี้ยวเป็นทรงกลม
หากมันโดนเข้าใส่ราชาอสูรที่พึ่งกำเนิดใหม่ล่ะก็ ร่างกายของมันคงทนรับการโจมตีนี้ไมไ่ด้เป็นแน่ ระเบิดหยินหยางจะฉีกกระชากเครื่องในของพวกมัน ไม่บาดเจ็บสาหัสก็ถึงตาย
หากฟันไปสิบครั้งก็สามารถสังหารราชาอสูรที่พึ่งกำเนิดใหม่ได้เลย
อัจฉริยะเหนือชั้นที่เข้าใจ “เจตจำนงกระบี่” และยังเชี่ยวชาญการวิชาของโลหะทมิฬ สามารถสังหารราชาอสูรระดับหนึ่งได้ตั้งแต่ยังเป็นมนุษย์เลยด้วยซ้ำ
ตูมๆๆ! ทุกๆการระเบิดทำให้เกิดการสั่นสะเทือน ลำแสงกระบี่วูบไปมาเพราะการฟาดฟันแต่ละครั้งนั้นช่างไวจนมองไม่ทัน มันเหมือนกับลูกศร เมื่อถูกยิงออกไปแล้วมันก็จะโผล่ไปตรงหน้า! ส่วนวิถีของมันน่ะหรือ? เป็นไปไม่ได้เลยที่จะรู้แน่ชัด
ท่าดวงใจกระบี่ของเมิ่งชวนตอนนี้นั้นก็เหมือนกับลูกศรของนักเกาฑัณฑ์
‘เข้าเข้าใจมันแล้ว ข้าเชี่ยวชาญมัน’ เมิ่งชวนหยุดมือ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ‘ข้าเชี่ยวชาญวิชาดวงใจกระบี่แล้วยังเข้าถึงเจตจำนงของวิชาดวงใจกระบี่แล้วด้วย’
กระบี่จิตพิสุทธิ์มีทั้งหมดสิบแปดกระบวนท่า แต่ละท่ามี”เจตจำนง”ที่แตกต่างกัน นี่คือเหตุผลว่าทำไมการเรียนรู้วิชาในโลหะทมิฬจึงเป็นเรื่องยากมาก แม้ว่าจะไปถึงระดับของ “เจตจำนง” แล้ว แต่หากเจตจำนงนั้นไมไ่ด้เป็นอันเดียวกันกับที่ต้องการในท่าของโลหะทมิฬนั้นมันก็จะปล่อยพลังที่แท้จริงของท่าออกมาไม่ได้ แม้ภายนอกจะดูดี แต่ภายในนั้นขาดพลังอยู่
มีทางเดียวเท่านั้นที่จะเชี่ยวชาญวิชาสุดยอดของโลหะทมิฬได้! นั่นคือการฝึกฝนท่าท่าหนึ่งท่าเดียวเป็นเวลานาน หากทำเช่นนั้นก็จะสามารถไปถึงขอบเขตของ “เจตจำนง” ได้
เป็นไปไม่ได้เลยที่จะสืบทอดมรดกของโลหะทมิฬโดยไม่มีแก่นสารแห่งจิต ขนาดเมิ่งชวนยังไม่สามารถรับมรดกของโลหะทมิฬได้เพราะแก่นสารแห่งจิตที่อ่อนแอเกินไปเลย หากไม่มีแก่นสารแห่งจิต ที่คนๆนั้นทำได้ก็มีแค่อ่านคำแนะนำเท่านั้น
การเข้าถึงขอบเขตแห่ง “เจตจำนง” นั้นยากเกินไปหากไม่มีการชี้นำของเจตจำนง วิชาเทพอสูรของเขาหยวนชูระดับสวรรค์ โลกา และมนุษย์นั้นมีข้อมูลของการชี้นำของเจตจำนงอยู่
การเข้าถึงขอบเขตแห่ง “เจตจำนง” โดยไม่มีการชี้แนะของเจตจำนงนั้นอาจจะใช้เวลาเป็นสิบถึงยี่สิบปีเลย แต่หากมีการชี้นำของเจตจำนง คงจะใช้เพียงปีหรือสองปีเท่านั้น
หลังจากเสียแรงและเวลาไปกับโลหะทมิฬมามาก ในที่สุดอัจฉริยะหลายๆคนก็เลือกวิชาเทพอสูรระดับสวรรค์แทนเมื่อได้รู้ว่าไม่มีหวังแล้ว และหากฝึกวิชาเทพอสูรระดับสวรรค์ไปถึงจุดๆหนึ่งแล้ว มันก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากโลหะทมิฬซักเท่าไหร่อยู่ดี
นั่นจึงทำให้เกิดคำถามขึ้นมา เขาควรจะเลือกอะไรดี?
เมิ่งชวนสามารถเข้ากันได้ดีกับกระบี่จิตพิสุทธิ์ หากเขาฝึกกระบี่ตัดสายฟ้าหรือมังกรเพนจรเขาคงจะต้องใช้เวลากว่าหกปีในการเข้าถึงเจตจำนงของกระบี่ กระบี่จิตพิสุทธิ์นั้นมันเข้ากับเมิ่งชวนดีเกินไป
ในตอนที่อยู่ในเมืองตงหนิง เขาฟันลูกศรแปดพันดอกทุกๆวัน และในตอนนี้เขาก็ฝึกเช่นเดียวกันกับใบมีดลมเหล่านั้น และด้วยความคุ้นชินเหล่านั้นที่เป็นประสบการณ์ที่คอยสั่งสมมาได้ช่วยให้เขาเชี่ยวชาญท่าร่างดวงใจกระบี่ได้อย่างดี
และด้วยขอบเขตสิบจั้งของเขา เขาสามารถรับรู้ถึงแต่ละการฟาดฟันได้อย่างชัดเจน เขาเข้าใจความผิดพลาดของตัวเองและสิ่งใดที่ควรพัฒนา ดังนั้นประสิทธิภาพในการฝึกฝนของเขาจึงสูงมาก
และในที่สุดเขาก็เข้าถึง “เจตจำนงแห่งกระบี่” และเรียนรู้รากฐานของกระบี่จิตพิสุทธิ์ได้ในหนึ่งปี
อันที่จริงแล้วเทพอสูรส่วนมากเชี่ยวชาญวิชาจากโลหะทมิฬแค่เพียงไม่กี่ท่าเท่านั้น อย่างลูกชายคนที่ห้าของราชาทะเลตงไห่ เชวเฟิง ได้เรียนรู้ไปสามท่า เซี่ยวหยุนเยว่จากรัฐเจียงก็เรียนรู้ไปได้แค่ท่าเดียว นี่เป็นเพราะว่าพวกเขานั้นมีเวลาที่จำกัด และระดับขั้นของเทพอสูรพวกเขายังไม่สูงพอ ปกติแล้วเทพอสูรจะเรียนรู้วิชาของโลหะทมิฬได้หนึ่งท่าหลังจากขึ้นเป็นเทพอสูรระดับเดือนมืดมิด
ตราบใดที่ฝึกฝนท่าท่าหนึ่งไปจนเชี่ยวชาญอย่างมหาศาล เพียงแค่นั้นก็ครองโลกได้แล้ว!
อัจฉริยะมนุษย์ที่เข้าถึง “เจตจำนงแห่งกระบี่” สามารถสู้กับราชาอสูรระดับหนึ่งได้ แต่อัจฉริยะมนุษย์ที่เชี่ยวชาญท่าของโลหะทมิฬจะสามารถสังหารราชาอสูรระดับหนึ่งได้อย่างง่ายดาย
‘เจตจำนงของวิชาดวงใจกระบี่หรือ?’ เมิ่งชวนแบมือออกมา กระบี่มายาก็ปรากฏออกมา “พลังกระบี่” ได้ควบแน่นกลายเป็น “เจตจำนงกระบี่” จนมันเห็นได้ชัดด้วยตาเปล่า
กระบี่มายาบนมือเขานั้นเป็นสีดำและขาว มันคมมาก
การที่จะเข้าถึง “เจตจำนงกระบี่” ได้นั้น “พลังกระบี่” จะต้องเปลี่ยนแปลงไปอย่างมหาศาล แม้จอมยุทธระดับขั้น “พลัง” อยากจะเป็นเทพอสูรมากขนาดไหน ก็ยังมีอุปสรรคมากมายที่คอยขัดขวางพวกเขาอยู่ดี
ปกติแล้วระดับขั้นของ “เจตจำนง” นั้นจะอยู่ในขั้นของเทพอสูรระดับแดนอมตะ อย่างคนที่ฝึกร่างเทพอสูรระดับต่ำหรือกลางนั้นจะสามารถเป็นเทพอสูรระดับแดนอมตะได้อย่างง่ายดายหากพวกเขาเข้าถึงระดับขั้นของ “เจตจำนง” แล้ว
แต่เงื่อนไขของร่างเทพอสูรระดับสูงและสูงพิเศษนั้นก็ต้องเข้มงวดอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม หากเข้าถึงขอบเขตของ “เจตจำนง” ได้ ก็ถือได้ว่าพวกเขาถูกลิขิตให้เป็รเทพอสูรอยู่แล้ว
‘หากข้ายังอยู่ที่บ้านเกิด ข้ายังคงฟันลูกศรไปเรื่อยๆอยู่ดี หากข้าไม่ได้คัมภีร์กระบี่จิตพิสุทธิ์มา ข้าจะเข้าถึง “เจตจำนงกระบี่” ได้เมื่อไหร่ก็ไม่รู้’ เมิ่งชวนถอนหายใจ
บนเขาหยวนชู เขาสามารถเลือกวิชาของโลหะทมิฬได้อย่างอิสระ จะมีที่ไหนที่ทำอย่างนี้ได้อีกเล่า?
‘ข้าเข้าถึง “เจตจำนงกระบี่” แล้ว ข้าอยู่ห่างจากเทพอสูรอีกไม่ไกลเท่านั้น!’ เมิ่งชวนยิ้ม ‘ได้เวลาไปหาชีเยว่แล้ว ข้าสัญญากับเธอไว้ว่าจะแสดงเจตจำนงกระบี่ให้ดู’
…
บนจิ้งหมิงเฟิง
“ศิษย์น้องๆ!” ชายชุดเหลืองคนหนึ่งตะโกนจากด้านนอกถ้ำของหลิวชีเยว่
คนรับใช้ประตูปิดกันชายชุดเหลืองเอาไว้ หากไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของถ้ำ คนอื่นก็จะถูกห้ามไม่ให้เข้าไป ที่หลิวชีเยว่สามารถเข้าไปที่ถ้ำของเมิ่งชวนได้อย่างง่ายดายก็เพราะเมิ่งชวนได้สั่งข้ารับใช้ให้ปล่อยเธอเข้าไปอยู่แล้ว
“ศิษย์พี่เฉียน?” หลิวชีเยว่เดินมาข้างหน้าถ้ำด้วยความงุนงง “ศิษย์พี่ เข้ามาเถอะ”
ไม่ว่ายังไงเขาก็เป็นศิษย์พี่ เธอปล่อยให้เขาอยู่ข้างนอกไว้ไม่ได้
“ท่านมาที่นี่ทำไมหรือ ศิษย์พี่?” หลิวชีเยว่ถาม
ชายชุดเหลืองยิ้มและมองไปรอบๆถ้ำ “ศิษย์น้อง เจ้าตกแต่งที่พักได้งดงามดีจริงๆ”
หลิวชีเยว่ยิ้มและถามอีกครั้ง “ศิษย์พี่ ท่านมาทำไมหรือ?”
“ไม่ใช่ว่าคืนนี้อาจารย์จะทดสอบวิชาเกาฑัณฑ์ของพวกเรางั้นหรือ?” ชายชุดเหลืองกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ที่ข้ามาที่นี่ก็เพราะจะแข่งขันเกาฑัณฑ์กับเจ้ายังไงเล่า”
“ศิษย์พี่ ท่านเป็นเทพอสูรระดับแดนอมตะไปแล้ว ส่วนข้าก็ยังเป็นเพียงมนุษย์ ข้าเข้าถึง “พลัง” เกือบจะไม่ได้ด้วยซ้ำ และข้าก็ยังไม่เข้าถึง “เจตจำนง” ข้าจะแข่งกับท่านได้อย่างไรกัน?” หลิวชีเยว่ส่ายหน้า เธอเป็นศิษย์ของขุนนางเทียนซิงโหว นักเกาฑัณฑ์บนเขาหยวนชูหลายคนก็เป็นศิษย์ของ ขุนนางเทียนซิงโหว ศิษย์พี่เฉียหยูเองก็เป็นหนึ่งในศิษย์ของเขาเช่นกัน
“ฮ่าฮ่า ศิษย์น้อง สายเลือดวิหคเพลิงของเจ้าได้ตื่นขึ้นมาแล้ว วิชาเกาฑัณฑ์ของเจ้านั้นยอดเยี่ยมอยู่แล้ว” เฉียนหยูหัวเราะ “ข้าอยู่บนเขามาสิบปีแล้ว ข้าว่าข้าสามารถชี้แนะให้เจ้าได้ หากพวกเราช่วยเหลือกัน วิชาเกาฑัณฑ์ของพวกเราก็จะพัฒนาไปได้เร็วขึ้น”
หลิวชีเยว่ส่ายหน้าเบาๆ “ไม่จำเป็นเลย”
เฉียนหยูนิ่งอึ้ง
“ศิษย์พี่ ขอโทษด้วย ข้าแปลกๆไปหน่อย” หลิวชีเยว่พูดพร้อมหัวเราะเบาๆ “ข้าชอบอยู่คนเดียวเงียบๆ ไม่ชอบให้ใครมาที่ถ้ำของข้า ต้องขอโทษด้วยนะศิษย์พี่”
สีหน้าของเฉียนหยูเปลี่ยนไปเล็กน้อย เธอไม่ชอบให้คนมาที่ถ้ำของเธอ? นี่เธอกำลังไล่เขาไปอยู่รึเปล่า?
“ชีเยว่ๆ” เมิ่งชวนเดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข พ่อบ้านที่อยู่หน้าประตูไม่ได้หยุดเขาไว้ พวกเขายังทักทาย “ท่านเมิ่งชวน” ด้วยความเคารพด้วยซ้ำ
‘พวกเขาไม่ได้หยุดเขาไว้รึ?’ สีหน้าของเฉียนหยูเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เขารู้ว่าหลิวชีเยว่และเมิ่งชวนเป็นตัวติดกันแต่เด็ก แต่การที่เข้ามาที่ถ้ำของเธอได้โดยที่ไม่โดนขวางอะไรนั่นหมายความว่าพวกเขาไม่ใช่แค่สนิทกันอย่างเดียว!
‘เมิ่งชวนสามารถเข้ามาได้โดยไม่ต้องขอแม้ว่าเธอจะหลับอยู่ก็ได้อย่างนั้นหรือ? นี่พวกเขาสนิทกันแค่ไหนนี่?’
ตอนที่ 100 จุดติดขัดของการฝึกวิชา
บ่อไอเหล็กวินาศบนยอดเขาว่านคูเฟิงนั้นกว้างกว่ายี่สิบจั้ง ขนาดมันเทียบได้กับทะเลสาบเลยด้วยซ้ำ ไอพลังวินาศสีดำกำลังผุดขึ้นมาจากบ่อนั้น
ข้างๆบ่อนั้นมีห้องที่กำแพงทำมาจากหินอยู่หลายห้อง
ในห้องที่ 11 ที่ซึ่งกว้างห้าจั้ง มีท่ออยู่ตรงมุมที่คอยเชื่อมเข้ากับบ่อไอเหล็กวินาศอยู่ ไอวินาศสีดำที่ซึ่งไม่ได้เข้มข้นเท่ากับในบ่อได้ไหลเข้ามาสู่ห้องนี้
ฉ่าๆๆๆ!
ในขณะที่ไอเหล็กวินาศนั้นกำลังเข้าสู่ร่างกายของเขา เมิ่งชวนก็รู้สึกได้ว่าทั้งร่างของเขานั้นร้อนขึ้น จิตใจของเขาเองก็ถูกกระแสพลังวินาศเข้ามาปั่นป่วนด้วยเช่นกัน ภายใต้ผลของกระแสพลังวินาศ วิชากระบี่สำหรับขัดเกลาก็ด้อยประสิทธิภาพลง หากเป็นอัจฉริยะธรรมดาการยังมีสติอยู่ก็ยังเป็นเรื่องยากเลย แต่ถึงอย่างนั้นเมิ่งชวนก็มีแก่นสารแห่งจิตคอยช่วยเขาต่อต้านกระแสพลังวินาศเหล่านี้ และนี่ทำให้เขายังคงสติเอาไว้ได้ครบถ้วนสมบูรณ์ จนทำให้เขาสามารถใช้วิชากระบี่สำหรับขัดเกลาได้อย่างสมบูรณ์แบบ และให้กล้ามเนื้อของเขาใช้พลังออกมาได้อย่างเต็มที่
นี่คือเหตุผลว่าทำไมเมิ่งชวนถึงสามารถผ่านการขัดเกลาครั้งที่สี่ได้ในเวลาอันสั้น และในตอนนี้เขาก็ผ่านมาครึ่งทางสำหรับการขัดเกลาครั้งที่ห้า เขาสามารถทนผลจากกระแสพลังวินาศที่ส่งผลต่อจิตใจของเขาได้โดยสมบูรณ์แบบ
‘ขอบเขตวิชากระบี่ของข้ายังไม่สูงพอ ถ้าข้ายังไม่บรรลุ “เจตจำนงกระบี่” ข้าก็จะใช้พลังกายออกมาได้ไม่ถึงที่สุด ตอนนี้ร่างกายของข้าดูดซึมพลังวินาศได้ช้าลงมากแล้ว’ เมิ่งชวนเป็นกังวลเล็กน้อย ‘นับตั้งแต่วันแรกที่ข้าขัดเกลาครั้งที่ห้า ประสิทธิภาพของกระแสพลังวินาศที่เข้ามาขัดเกลาร่างของข้าก็ลดลงเรื่อยๆ ถ้าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้าอาจจะต้องใช้เวลาถึงหนึ่งปีในการขัดเกลาครั้งที่ห้า นี่ยังไม่รวมหากพรุ่งนี้ความเร็วในการซึมซับของข้ามันช้าลงไปกว่านี้อีก’
‘ถ้าอย่างนั้นการขัดเกลาครั้งที่หกล่ะ? จะต้องใช้ซักห้าปีหรือสิบปีกัน? แล้วครั้งที่เจ็ด แปด และเก้าล่ะ?’ เมิ่งชวนส่ายหัวเบาๆ
เขาหยวนชูนั้นมีหนังสือเกี่ยวกับจุดหมายของการฝึกร่างอสูรตัดสายฟ้ามากมาย
หากต้องการที่จะฝึกร่างอสูรตัดสายฟ้าไปให้สูงกว่านี้ ความคืบหน้าของพวกเขานั้นจะถูกจัดสินจากหลายๆอย่าง
อย่างแรกคือร่างกาย ยิ่งรากฐานของร่างกายแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งดูดซึมและหลอมรวมเข้ากับกระแสพลังวินาศได้ดีมากขึ้นเท่านั้น รากฐานเทพอสูรของเมิ่งชวนนั้นแข็งแรงมากกว่ามนุษย์ธรรมดาถึงสามเท่า แม้จะด้อยกว่าของเชวเฟิง แต่ว่าก็ไม่ได้ถือว่าแย่ มันน่าพึงพอใจเลยล่ะ รากฐานเทพอสูรนี้ที่เกิดมาจากหยดไขกระดูกหยกเทพอสูร ผลใจเหมันต์ และหญ้าวิญญาณดารา เรียกได้ว่าเป็นรากฐานเทพอสูรที่ดูดีเลยในหมู่อัจฉริยะหลายๆคน เมิ่งชวนรู้สึกซาบซึ้งในตระกูลและพ่อของเขามาก
อย่างที่สองคือพลังใจ ยิ่งพลังใจของคนๆนั้นแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี มันช่วยลดผลกระทบของกระแสพลังวินาศได้ พลังใจที่แข็งแกร่งจะช่วยทำให้เขาสามารถใช้วิชากระบี่สำหรับขัดเกลาได้ดียิ่งกว่าเดิม ด้วยแก่นสารแห่งจิต เมิ่งชวนยังคงมีสติอยู่ชัดเจนตลอดเวลา! เขาสามารถใช้วิชากระบี่ขัดเกลาร่างได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ! ตรงจุดนี้เขาได้คะแนนเต็มไป
สามคือระดับขอบเขต ร่างอสูรตัดสายฟ้านั้นต้องการให้ผู้ฝึกขั้นต่ำต้องอยู่ในระดับ “เจตจำนง” นี่เป็นเพราะ “เจตจำนง”นั้นจะช่วยให้ร่างกายของคนเราส่งพลังออกมาได้มากกว่า “พลัง” หลายเท่า! “เจตจำนง” ยังช่วยให้ผู้ฝึกใช้ร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด และนั่นก็จะทำให้สามารถดูดซึมกระแสพลังวินาศได้เพิ่มมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น “เจตจำนงกระบี่” จะช่วยทำให้เขาใช้วิชากระบี่สำหรับขัดเกลาได้สมบูรณ์แบบมากขึ้น และนั่นเองก็ช่วยทำให้สามารถดูดซึมได้มากขึ้นเช่นกัน
ดังนั้นผู้ฝึกจะต้องไปให้ถึงระดับเจตจำนงก่อนที่จะมีโอกาสไปถึงจุดขัดเกลาที่เจ็ด และนั่นก็เป็นเพียงแค่โอกาสเท่านั้นด้วย
อัจฉริยะหลยคนไปถึงระดับเจตจำนง แต่ยิ่งพวกเขาขัดเกลาร่างของตนไปมากเท่าไหร่ กระแสพลังวินาศก็ทรงพลังมากขึ้นเท่านั้น พวกเขาแทบจะรักษาสติเอาไว้ไม่อยู่ด้วยซ้ำตอนที่กระแสพลังวินาศเข้าทำร้ายจิตใจของพวกเขา ดังนั้น ประสิทธิภาพที่ได้จากวิชากระบี่สำหรับขัดเกลาก็ได้เพียงน้อยนิด หากพวกเขามีรากฐานเทพอสูรที่แข็งแรงพอ พวกเขาก็อาจจะได้เข้าถึงจุดขัดเกลาที่เจ็ด แต่หากรากฐานของพวกเขานั้นอ่อนแอ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีหวังที่จะไปถึงจุดขัดเกลาที่เจ็ด
ข้าจะลองใช้แก่นสารแห่งจิตดู เขารู้ว่าพลังวิญญาณคือพลังของแก่นสารแห่งจิต แก่นสารแห่งจิตนั้นเกี่ยวข้องกับร่างกาย และมันคงจะช่วยเสริมประสิทธิภาพของร่างกายได้ดีที่สุด
ตูม!
พลังของแก่นสารแห่งจิตหลอมรวมกับร่างกายของเขา เขาสามารถรับรู้ร่างกายของตัวเองได้ดีขึ้นหลายเท่า เลือดจากหัวใจก็สูบฉีดเหมือนสายน้ำ ปอดและลมหายใจก็เหมือนกับลมหวิวที่พัดในถ้ำหมื่นกระบี่ ด้วยการรับรู้ที่พัฒนาขึ้น เขาสามารถใช้พละกำลังและความเร็วได้มากกว่าเดิมหลายเท่าเมื่อใช้วิชากระบี่สำหรับขัดเกลา ผลของการขัดเกลาที่เขาได้รับนั้นไม่ได้น้อยไปกว่าการใช้ “เจตจำนง”เลย
ร่างกายของเขาดูดซึมกระแสพลังวินาศเข้าไปอย่างรวดเร็ว ประสิทธิภาพของการขัดเกลาเพิ่มขึ้นในทันที อย่างไรก็ตาม มันดูดพลังของแก่นสารแห่งจิตเข้าไปเร็วเกินไป ก่อนที่เขาจะใช้กระบี่สำหรับขัดเกลาครบจบหนึ่งท่า แก่นสารแห่งจิตของเขาก็หมดลงแล้ว
เมิ่งชวนส่ายหัว ผลการดูดซับกระแสพลังวินาศเพิ่มขึ้นหลายสิบเท่าตัว โชคไม่ดีที่มันอยู่ได้ไม่นาน ข้าฝึกได้ครั้งหนึ่งในตอนเช้า ในตอนกลางคืนเมื่อแก่นสารแห่งจิตของข้าฟื้นตัว ข้าก็จะฝึกได้อีกครั้ง ข้าสามารถขัดเกลาร่างกายด้วยกระแสพลังวินาศอย่างมีประสิทธิภาพที่สุดได้สองครั้งต่อวัน แต่ว่ามันสั้นเกินไป
ก่อนหน้านี้เขาฝึกวิชาเป็นเวลาหนึ่งชั่ยวยาม แต่ในตอนนี้เขาทำได้ไม่กี่วินาทีด้วยซ้ำ มันสั้นเกินไป
แม้จะทำได้วันละสองครั้งมันก็ยังคงใช้เวลาเป็นปี ยังมีจุดขัดเกลาที่หกและที่เจ็ดอยู่อีก… เมิ่งชวนส่ายหัว นี่ไม่ใช่หนทางออก
‘ทางสำเร็จห่างออกไปอีกเพียงครึ่งทาง ข้าจะพยายามเข้าถึง “เจตจำนงกระบี่” ให้ได้ก่อนที่ข้าจะขัดเกลาร่างกายต่อ หากข้าไปถึง “เจตจำนงแห่งกระบี่” ได้ ข้าก็คงจะผ่านจุดขัดเกลาที่ห้านี้ไปในในเวลาห้าวัน ไม่จำเป็นต้องใช้แก่นสารแห่่งจิตโดยสิ้นเปลืองทุกๆวัน มันไม่ดีต่อการฝึกฝนของข้าด้วยเหมือนกัน’
‘การขัดเกลาร่างกายด้วยกระแสพลังวินาศนั้นช้าเกินไป จากที่ในคัมภีร์ได้บอกเอาไว้ ข้าควรจะหยุด ยิ่งข้าโดนกระแสพลังวินาศมากเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งส่งผลกระทบต่อร่างกายของข้ามากเท่านั้น อัจฉริยะหลายคนถึงขั้นล้มลงสลบจนต้องหยุดไปในทันที ความเร็วในการขัดเกลาของข้านั้นช้า ไม่มีเหตุที่จะต้องฝืนต่อไปอย่างโง่เง่า’
อัจฉริยะบางคนก็ไปถึงขอบเขตของ “จิตจำนง” แล้ว แต่เพราะด้วยกระแสพลังวินาศที่ส่งผลต่อจิตใจ มันจึงทำให้พวกเขานั้นยังคงสติเอาไว้ได้ยาก นี่ทำให้การใช้วิชากระบี่สำหรับขัดเกลาไม่มีประสิทธิภาพสำหรับพวกเขา ร่างกายของพวกเขานั้นได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงหลังจากโดนกระแสพลังวินาศมากเกินไป
วิธีที่ดีที่สุดคือฝึกฝนจิตใจ อย่างการไปให้ถึงยอดของแท่นบูชาแห่งความมืด! หากมีพลังใจที่เพียงพอ จะยังพอสามารถใช้วิชากระบี่สำหรับขัดเกลาได้มีประสิทธิภาพประมาณ 6 ถึง 7 ส่วน แม้จะโดนผลกระทบจากกระแสพลังวินาศก็ตาม วิธีนี้คือความหวัง
แต่การฝึกฝนพลังใจนั้นยากนัก! ปกติแล้วต้องใช้เวลาสามถึงห้าปีสำหรับเหล่าอัจฉริยะในการฝึกจิตใจ เหล่าอัจฉริยะจะเสียเวลานานขนาดนั้นไม่ได้
รากฐานเทพอสูรถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ระดับชำระแก่นแท้ จะให้เปลี่ยนตอนนี้มันเป็นไปไม่ได้
และการไปให้สูงกว่านั้นมันยากเสียยิ่งกว่า
เขาหยวนชูให้เวลาศิษย์สิบปีในการเป็นเทพอสูรระดับสูงเป็นอย่างต่ำ ไม่อย่างนั้นก็จะถูกขับออกจากนิกายใน และด้วยข้อจำกัดของเวลาแล้ว การฝึกฝนร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษจึงยากเย็นมาก
นอกจากร่างเทพวิหคเพลิงและร่างเทพมังกรแล้ว นี่จึงทำให้เห็นได้ชัดเลยว่าทำไมร่างเทพอสูรห้าร่างจากทั้งสิบร่างอย่าง ร่างเทพหยวนชู ร่างเทพวัฏสังสาร ร่างอสูรตัดสายฟ้า ร่างอสูรสิบสามกระบี่วินาศ และร่างอสูรกายาทรงพลังนั้นฝึกฝนได้ยากที่สุด
หากข้าอยากจะไปถึงจุดขัดเกลาที่เก้าได้ ข้าจะต้องเข้าถึงเจตจำนงแห่งกระบี่ให้ได้ก่อน เมิ่งชวนออกจากห้องไปโดยไม่รีรอ
นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เขาจะหยุดฝึกร่างเทพอสูรและตั้งใจฝึกวิชากระบี่อย่างเดียว เวลาที่เขาใช้ในการฝึกร่างเทพอสูณก็ถูกเปลี่ยนมาใช้ฝึกกระบี่แทน
เขาใช้เวลาสามชั่วยามครึ่งในการฝึกทุกๆเช้า! หลังตอนเที่ยงเสร็จเขาก็วาดรูปในเวลาพักเหนื่อย แม้เขาจะชอบฝึกวิชากระบี่ไว แต่ไม่ว่าอย่างไรการฝึกในถ้ำหมื่นกระบี่เป็นเวลานานมันก็เหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างมาก การวาดรูปนั้นไม่มีขีดจำกัด เขาสามารถวาดทุกสิ่งที่ใจคิดได้ ช่วยให้จิตใจของเขาผ่อนคลายโดยสิ้นเชิง
หลังจากกินอาหารในตอนบ่าย เขาก็จะมุ่งหน้าไปยังถ้ำหมื่นกระบี่และใช้เวลาอีกสองชั่วยามในการฝึกท่าร่างดวงใจกระบี่ให้สมบูรณ์ สรุปแล้ว เขาใช้เวลาไปสิบเอ็ดชั่วโมงในการฝึกกระบี่จิตพิสุทธิ์ในแต่ละวัน!
…
เพียงชั่วพริบตาก็ถึงเดือนมิถุนายน
บนยอดจิ้งหมิงเฟิงตอนกลางคืน
“พ่อบ้านหลิว เมิ่งชวนไปตั้งแต่เมื่อไหร่หรือ?” หลิวชีเยว่วางจานลงบนโต๊ะและถาม
“ท่านเมิ่งชวนออกไปตอนเวลา 16:45 ขอรับ” พ่อบ้านหลิวกล่าวด้วยท่าทางนอบน้อม
“เข้าใจแล้ว เจ้ากลับก่อนได้เลย” หลิวชีเยว่บอก
“ขอรับ” พ่อบ้านหลิวกลับไปอย่างนอบน้อม
หลิวชีเยว่นั่งลงบนโต๊ะและมองดูอาหารที่เธอเตรียมมา ‘ช่วงนี้อาชวนฝึกจนดึกดื่นตลอดเลย ตั้งแต่ขึ้นมาบนเขาหยวนชูได้หกเดือน เขาก็ฝึกฝนอย่างบ้าคลั่งมากกว่าตอนอยู่ที่บ้านเยอะเลย’
ใจเธอรู้สึกปวดร้าวเล็กน้อย
หลังจากฝึกฝนหลายชั่วยาม ความเหนื่อยล้าของจิตใจก็จะทำให้ประสิทธิภาพในการฝึกลดลงด้วย จากที่อาจารย์ได้บอกมา เธอควรจะหยุดพักหากรู้สึกหมดแรงจริงๆและฝึกฝนได้ไม่มีประสิทธิภาพ การฝืนฝึกต่อไปมันก็ไม่มีประโยชน์อะไร
แต่ถึงอย่างนั้นเมิ่งชวนกลับฝึกฝนอย่างยาวนาน
เธออ่านหนังสือรออยู่ที่โต๊ะอย่างเงียบๆ
…
ตกดึก ในที่สุดเมิ่งชวนที่อ่อนล้าก็กลับไปที่ถ้ำของเขา
“อาชวน” หลิวชีเยว่ลุกขึ้น
“ชีเยว่” ใบหน้าที่อ่อนล้าของเมิ่งชวนดูสดใสขึ้นเมื่อได้เห็นหลิวชีเยว่
“ข้าทำอาหารให้เจ้าเองเลยนะ ลองดูสิ” หลิวชีเยว่กล่าว เธอเอามืออังที่จานแต่ละจานก่อนจะอุ่นมันขึ้นอย่างรวดเร็ว ใช้พลังของสายเลือดวิหคเพลิงในการอุ่นอาหารเป็นอะไรที่หาดูได้ยากจริงๆ
เมิ่งชวนมองดูจานที่กำลังร้อนขึ้น ไอน้ำลอยขึ้นมาจากน้ำซุป
ดูเขาจะรู้สึกซาบซึ้ง ชีเยว่คงจะรอเขามานานแล้ว
“โอ้ มีหมูสามชั้นของโปรดด้วย” เมิ่งชวนตาเป็นประกาย เขานั่งลงและหยิบตะเกียบขึ้นมา
อ่านตอนล่าสุดที่ mynovel.co หรือ www.thai-novel.com
“มากินด้วยกันสิ” เมิ่งชวนกล่าวขึ้น
“ไม่เป็นไรหรอก ข้าอิ่มแล้ว” หลิวชีเยว่กล่าว
“แต่ข้ารู้สึกหิวน่ะ” เมิ่งชวนกล่าวยิ้มๆ เขาฝึกฝนกระบี่จิตพิสุทธิ์มาเป็นเวลากว่าสองชั่วยามในถ้ำหมื่นกระบี่ เขาต้องหิวอย่างแน่นอนอยู่แล้ว
หลิวชีเยว่มองดูด้วยรอยยิ้ม แต่เธอก็ยังบอกกับเมิ่งชวน “อาชวน อย่าหักโหมฝึกหนักเกินไปล่ะ อาจารย์ของข้าบอกว่าถ้าโหมฝึกหนักมากเกินไปตอนที่เจ้าอ่อนแรงก็มีแต่จะส่งผลเสีย”
“ไม่ต้องกังวลหรอก ข้าเข้าใจ” เมิ่งชวนพยักหน้า
“ข้าบอกเจ้าไปกี่ครั้งก็เปล่าประโยชน์อยู่ดี” หลิวชีเยว่พูดอย่างไม่ค่อยพอใจ
เมิ่งชวนยิ้มไม่ได้แก้ตัวอะไร
หากเขาไม่ได้วาดภาพไปหนึ่งชั่วยามในตอนบ่าย เขาคงจะไม่มีแรงพอที่จะฝึกกระบี่ในตอนเย็นหรอก
เวลาในการวาดภาพของเขานั้นไม่ได้แน่นอน มันขึ้นอยู่กับอารมณ์ บางครั้งก็เร็ว บางครั้งก็นาน เขาไม่ได้จำกัดเวลากับการที่เขาได้มีความสุขกับตัวเอง ดังนั้นเมิ่งชวนจึงไม่มีเวลาที่แน่นอนตอนกลับมาในยามดึก บางครั้งหลิวชีเยว่ก็ต้องรออยู่นานพอควร
“ชีเยว่ ข้าเริ่มรู้สึกได้ว่า” เมิ่งชวนมองไปที่หลิวชีเยว่และพูดเบาๆ “ข้าใกล้จะบรรลุ“เจตจำนงกระบี่”แล้ว ในอีกครึ่งเดือนข้าคงจะไปถึงจุดนั้นได้”
“จริงหรือ?” หลิวชีเยว่ตาเป็นประกายเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“อีกไม่นาน ข้าจะใช้วิชากระบี่ให้เจ้าดู” เมิ่งชวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หลิวชีเยว่พยักหน้า ตาเธอดูสดใส เธอมีความสุขที่ได้เห็นเมิ่งชวนแข็งแกร่งขึ้น
ตอนที่ 99 การฝึกในถ้ำหมื่นกระบี่
*(เปลี่ยนจากท่าจิตกระบี่เป็นท่าดวงใจกระบี่)
ก่อนวันปีใหม่ ศิษย์ของเขาหยวนชูทุกคนขึ้นไปที่ยอดเขาเต๋าเจี่ยวหลิง
“ชน!”
“ชนนน!”
ศิษย์บางกลุ่มกำลังดื่มอย่างมีความสุข ข้างๆเองก็มีนักดนตรีคอยบรรเลงด้วยเช่นกัน อาหารมากมายก็มีเหล่าคนรับใช้คอยมาเสริมให้ตลอดเวลา
หลิวชีเยว่และเมิ่งชวนนั่งอยู่ด้วยกันและมองดูพลุที่ลอยขึ้นมาจากไกลๆ เหล่าคนรับใช้ที่ยิงพลุขึ้นเองก็มีความสุขมากเช่นกัน
“แค่พริบตาเดียวก็ก่อนปีใหม่เสียแล้ว นี่เป็นปีใหม่แรกเลยที่ข้าได้ฉลองบนเขาหยวนชู” หลิวชีเยว่นั่งพิงเมิ่งชวนด้วยความรู้สึกที่ไม่เหงาอีกต่อไป
“เราจะได้อยู่ที่นี่เป็นอีกสิบปี” เมิ่งชวนกล่าวยิ้มๆ “นี่จะเป็นช่วงเวลาสงบสุขครั้งสุดท้ายของพวกเรา ก่อนที่พวกเราจะถูกส่งไปยังสนามรบหลังจากลงเขาแล้ว”
หลังจากเข้าสู่เขาหยวนชูแล้ว ศิษย์จำนวนมากก็ลงเขาหลังจากสิบถึงสิบห้าปี บางคนก็ไวกว่านั้น อย่างหกปีนับจากเข้าสู่เขาหยวนชู
อ่านตอนล่าสุดที่ mynovel.co หรือ www.thai-novel.com
ศิษย์ที่มีความสามารถบางคนใช้เวลากว่ายี่สิบปีก่อนจะได้ลงจากภูเขา
ยิ่งมีพรสวรรค์มากเท่าไหร่ เก้าถ้ำปริศนาก็ยากขึ้นเท่านั้น อย่างนายน้อยห้าเชวเฟิง เขาเองก็อยู่บนเขามาสิบกว่าปีแล้ว และเมื่อปีที่แล้วเขาก็บรรลุไปถึง “จิตกระบี่” ในตอนนี้เขาทรงพลังมากกว่าเจ้าวังหยกสุริยันเสียอีก แต่ก็ยังไม่สามารถผ่านเก้าถ้ำปริศนาได้
‘การทดสอบเก้าถ้ำปริศนาของข้าในอนาคตก็คงจะยากมากเช่นกัน’ เขาสร้างแก่นสารแห่งจิตขึ้นมาได้ตั้งแต่ยังเป็นมนุษย์ ดังนั้นเงื่อนไขขั้นต่ำที่อาจารย์จะกำหนดสำหรับข้าคงจะเข้มงวดมาก หากเขาประสบความสำเร็จในการฝึกร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษและทักษะการเคลื่อนไหวจากโลหะทมิฬ การทดสอบคงจะยากมากเป็นแน่ แน่นอนว่าการที่เขาจะฝึกทั้งร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษได้พร้อมกับโลหะทมิฬนั้นมันไม่ง่ายเลย ในตอนนี้มีเพียงศิษย์สองคนที่ยังไม่ได้ลงจากภูเขาที่ทำได้ หนึ่งคือลูกชายคนที่ห้าของราชาทะเลตงไห่ เชวเฟิง ส่วนอีกคนคือเซี่ยวหยุนเยว่จากตระกูลเซี่ยวรัฐเจียง
“เราต้องเข้าสู่สนามรบหลังจากที่ลงจากภูเขาเลย เพราะฉะนั้นเราต้องฝึกฝนกันบนนี้ให้ดี พวกเราต้องแข็งแกร่งพอเท่านั้นถึงจะสังหารราชาอสูรที่ทรงพลังได้” หลิวชีเยว่กล่าว
“เฮ้ยเจ้าคู่รักตรงนั้นน่ะ? พวกเจ้ากำลังคุยอะไรกันอยู่? ทำไมไม่มาดื่มกับพวกข้าหน่อยเล่า?”ตงฟางตะโกนขึ้นเสียงดัง
“ใช่ๆๆๆ มานี่เลยๆ” หนิงอี้โบตะโกนออกมาในสภาพที่ดูเมาๆ
“คู่รัก?” หลิวชีเยว่หน้าแดงเมื่อเธอได้ยินเช่นนั้น
“ชีเยว่ ไปกันเถอะ” เมิ่งชวนยิ้มและดึงหลิวชีเยว่ไปด้วย หลิวชีเยว่ขึ้นเขามาโดยลำพัง ดังนั้นเธอจึงมารวมกลุ่มกับศิษย์ชุดใหม่นี้
ทุกๆเดือนจะมีการรวมตัวกันบนยอดเต๋าเจี่ยวหลิง ในวันที่ 10 20 และวันสุดท้ายของแต่ละเดือน
การรวมตัวกันนี้นั้นมีจุดประสงค์อย่างแรกเลยคือให้พวกเขาได้ผ่อนคลายและทำความรู้จักกัน เพราะไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็คือสหายร่วมรบในสนามรบ อย่างที่สอง ช่วยให้พวกเขาได้พูดคุยกันเกี่ยวกับปัญหาในการฝึกฝนที่เจอ ศิษย์ของเขาหยวนชูที่ยังอยู่บนเขาหลายคนได้ขึ้นเป็นเทพอสูรแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถให้คำแนะนำแก่ศิษย์น้องได้บางส่วน
อย่างที่สาม พวกเขาจะได้สามารถประลองวิชากันได้ คนที่เข้าสู่เขาหยวนชูนี้นั้นต่างก็เป็นอัจฉริยะ จึงเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะไม่ยอมรับความพ่ายแพ้เท่าไรนัก
และการรวมตัวกันในวันนี้พิเศษมาก มันคือวันก่อนวันขึ้นปีใหม่
“มาๆๆ เราปล่อยผ่านให้พี่สาวชีเยว่ได้ แต่เจ้านะเมิ่งชวน เจ้าน่ะเป็นชายชาตรี มาดื่มสามจอกเป็นการลงโทษเสียดีๆ!” ตงฟางหัวเราะ
“ก็ได้ๆ ข้าจะดื่มสามจอกด้วย” เมิ่งชวนไม่รีรอและกระดกเหล้าขาวสามจอกเข้าไปอย่างรวดเร็ว
เหยียนจินที่นั่งอยู่พร้อมถ้วยเหล้าขาวในมือก็เผยยิ้มเล็กๆตรงมุมปากออกมา
พวกเขาพูดคุยและดื่มสังสรรค์กัน
“ข้าว่าข้าคงจะมีพรสวรรค์ในการฝึกร่างเทพสองโลก ข้าเข้าใจพื้นฐานดีแล้วตอนนี้ บางทีข้าคงจะบรรลุร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษได้ในปีเดียวก็ได้” เหยียนชื่อถงที่อายุน้อยที่สุดกล่าว เขานั่งไขว่ห้างเท้าเปล่าในขณะที่แทะน่องไก่ไปด้วย
“น้องชาย อย่าพึ่งประมาทไป พื้นฐานของร่างเทพสองโลกน่ะเข้าใจง่าย แต่ส่วนที่ยากที่สุดคือเขตเป็นตายวิบัติทั้งสามรอบนั่น” หยานเฟิงกล่าวยิ้มๆ
“ไม่มีร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษร่างไหนธรรมดาหรอก” ฉู่หยงกล่าว
ทุกคนอารมณ์ดี
การฝึกวิชาของทุกคนไปได้สวยในตอนเริ่มต้น การฝึกร่างอสูรตัดสายฟ้าของเมิ่งชวนเองก็ไปได้อย่างราบรื่นเช่นกัน
“ดูพวกเจ้ามีความสุขกันเสียจริงนะ” ชายที่ดูสบายๆเดินมาหาพร้อมกับขวดเหล้าขาวในมือ เหมือนว่าเขาจะเมาอยู่ “ข้าคือเยว่ชิง ข้าเข้าสู่เขาหยวนชูก่อนหน้าพวกเจ้าสองปี ศิษย์ใหม่ตอนแรกๆก็ยิ้มแล้วหัวเราะกันอย่างนี้แหละ แต่ยิ่งฝึกไปหน้าก็ยิ่งเครียดกัน การฝึกร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษมันยากเกินไป จนถึงวันน้ีข้ายังฝึกร่างอสูรทรายดำไม่ได้เลย ช่างมันเถอะ ไม่พูดเรื่องนี้ดีกว่า วันนี้มันวันปีใหม่ ทำไมต้องพูดเรื่องอะไรแบบนั้นด้วยกัน? เอ้า ขอฉลองให้เหล่าศิษย์น้องทุกโคนน”
“หมดจอกครับพี่ชาย”
เมิ่งชวนและคนอื่นๆยกจอกขึ้น ในตอนนี้เขายังไม่คุ้นชินกับศิษย์พี่ทั้งหมดซักเท่าไหร่ แต่ถึงอย่างนั้นนานๆไปพวกเขาก็จะได้ทำความรู้จักกันมากขึ้นที่ยอดเต๋าเจี่ยวหลงนี้
พวกเขาต่างเป็นภาพลักษณ์ของราชวงศ์โจวที่ยิ่งใหญ่ พวกเขายังเด็ก
…
หลังวันขึ้นปีใหม่ วันแรกของปีก็เริ่มขึ้น เขาฝึกฝนตามปกติเหมือนเคย
เหล่าอัจฉริยะต่างขยันขันแข็ง พวกเขารู้ว่าหนุ่มสาวอายุยี่สิบหลายคนต้องเข้ารับราชการทหารและต่อสู้ในสนามรบในขณะที่พวกเขาได้อยู่อย่างสงบสุข ทำไมน่ะหรือ? เพราะว่าพวกเขาคือความหวังของมนุษย์ชาติยังไงเล่า! บนเขานี้นั้น พวกเขามีทั้งทรัพยากรและเคล็ดวิชาที่จำเป็น ศิษย์พี่หลายคนเองก็ทิ้งบันทึกการฝึกวิชาลับเอาไว้ให้ก่อนจะออกไปต่อสู้ข้างนอก
พวกเขานั้นเลือกได้ตามที่ใจต้องการ และยังมีท่านปรมาจารย์คอยช่วยเหลือเป็นการส่วนตัวอีก ดังนั้นพวกเขาจึงไม่อยากจะเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์
ถ้ำหมื่นกระบี่
ในวันที่ 6 มกราคม เมิ่งชวนไปยังถ้ำหมื่นกระบี่
เมื่อมองขึ้นไปก็จะเห็นถ้ำนับไม่ถ้วนบนนั้น ลมพัดแรงลอดผ่านถ้ำก่อให้เกิดเสียงดังเสียดแก้วหู ขนาดทำให้เห็น “ใบมีดลม” พัดผ่านถ้ำได้ด้วยตาเปล่าเลย
ถ้ำหมื่นกระบี่เป็นถ้ำที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ไม่จำเป็นต้องใช้แต้มใดๆในการฝึกฝนที่นี่
จากนี้ไปข้าจะฝึกวิชากระบี่ที่นี่ เมิ่งชวนกระโดดขึ้นไปสูงกว่าสิบจั้งและเข้าถ้ำไป
ฟิ้วๆๆๆๆๆ! ลมในถ้ำพัดรุนแรงพร้อมกับใบมีดลมที่ตัดผ่าน ถ้ำเหล่านี้นั้นอยู่ในสภาพที่แปลกประหลาด เป็นเพราะลมที่พัดแรงพวกนี้คอยเชือดเฉือนถ้ำมาหลายปี
ขณะที่เมิ่งชวนเดินผ่านถ้ำไป เขาก็หลบใบมีดลมอย่างสบายๆ ส่วนลมน่ะเหรอ? จอมยุทธระดับเขาแล้วมันไม่ใช่ปัญหาเลยซักนิด
หลังจากที่เดินเข้าไปในถ้ำกว่าร้อยจั้ง ลมก็เริ่มพัดแรงมากยิ่งกว่าเดิม เช่นเดียวกันกับใบมีดลม
ตามบันทึกของเขาหยวนชู เทพอสูรเกาเค่อถูกขังเดี่ยวเอาไว้ลึกในถ้ำหมื่นกระบี่นี้ ลมปราณของเขาถูกผนึกเอาไว้เพื่อกันไม่ให้เขาสร้างเขตแดน ใบมีดลมเหล่านี้เชือดเฉือนร่างกายของเขาอย่างต่อเนื่องเกิดความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ตัดมีดลมนั่นเป็นสองส่วนซะแทน
ในส่วนลึกของถ้ำหมื่นกระบี่นั้นมีใบมีดลมจำนวนนับไม่ถ้วนอยู่ มันสามารถเชือดเฉือนเทพอสูรที่พึ่งเกิดใหม่ได้เป็นชิ้นๆ ในช่วงสามปีที่เกาเค่อใช้เวลาอยู่ในถ้ำหมื่นกระบี่นี้ เขาได้สร้างกระบี่จิตพิสุทธิ์ขึ้นมาหลังจากที่ฟันใส่ใบมีดลมเหล่านั้นอย่างต่อเนื่อง และนั่นคือสิ่งที่ช่วยทำให้เขาครองได้ทั้งโลก เพราะสิ่งนี้เขาจึงขึ้นเป็นเทพอสูรระดับขุนนางได้ จากนั้นเขาก็เข้าไปในถ้ำหมื่นกระบี่ให้ลึกกว่าเดิมเพื่อฝึกวิชากระบี่ของเขา! และเมื่อเขาไปถึงจุดที่ลึกที่สุด เขาก็เชี่ยวชาญท่าร่างกระบี่จิตพิสุทธิ์และได้กลายเป็นเทพอสูรระดับราชา กระบี่จิตพิสุทธิ์นั้นถูกขัดเกลาเรื่อยมาหลายร้อยปี และกลายเป็นหนึ่งในอาวุธที่ทรงพลังที่สุดของมนุษย์
เมิ่งชวนพยักหน้าเล็กน้อย
รากฐานของกระบวนท่าทั้งสิบแปดของกระบี่จิตพิสุทธิ์คือท่าร่างท่าแรก ท่าดวงใจกระบี่
ท่าดวงใจกระบี่เป็นท่าร่างขั้นพื้นฐานที่สุดของกระบี่จิตพิสุทธิ์ แต่มันก็เป็นท่าสุดยอดของวิชากระบี่นี้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ฝึกกระบี่จิตพิิสุทธิ์หลายๆคนนั้น ท่าสามท่าต่อจากนี้นั้นแข็งแกร่งกว่า เพราะไม่ว่าอย่างไรก็มีเพียงคนไม่กี่หยิบมือเท่านั้นที่สามารถเปลี่ยนท่าดวงใจกระบี่ให้เป็นท่าที่ทรงพลังที่สุดได้
‘ได้เวลาเริ่มแล้ว’ เมิ่งชวนชักกระบี่ออกมาอย่างรวดเร็ว
ใบมีดลมเชือดเฉือนผ่านอากาศ ทิศทางของมันคาดเดาไม่ได้ ลำแสงกระบี่วูบตัดผ่านใบมีดสายลมเหล่านั้น! ใบมีดสายลมนั้นอ่อนแอ ดังนั้นเมิ่งชวนจึงสามารถตัดพวกมันได้อย่างง่ายดาย
ลำแสงกระบี่เก้าอันฟันโดนใบมีดลมไปทีละเล่ม แต่ว่ามันก็ยังมีเหลืออีกสองเล่มที่พึ่งเข้าหาเมิ่งชวน
‘โอ๊ะ?’ เมิ่งชวนขมวดคิ้ว ‘ตามคัมภีร์แล้ว ข้าต้องกันใบมีดลมได้ทุกเล่ม แต่ว่าใบมีดลมเหล่านี้ไม่ได้พุ่งเข้ามาพร้อมกัน ข้าต้องฟันมันให้ไว กระบี่ของข้าต้องไวกว่านี้ ข้าต้องฟันออกไปอย่างรวดเร็วและแม่นยำ’
มันแตกต่างจากเมื่อตอนที่เขาฝึกกับลูกดอก ก่อนหน้านี้ เมิ่งชวนจะฟันออกไปหนึ่งครั้งก่อนจะเก็บดาบเพื่อการโจมตีครั้งต่อไป
แต่ในตอนนี้ ใบมีดลมจำนวนมหาศาลพุ่งเข้าใส่เขาอย่างไม่เป็นแบบแผน เขาต้องชักกระบี่ออกมาและฟันใส่ให้เร็วหลายครั้ง ในชั่วพริบตา เขาต้องโจมตีเจ็ดถึงสิบครั้งเลยด้วยซ้ำ
‘ข้าจะไหลเวียนลมปราณตามวิธีที่เขียนไว้ในคัมภีร์กระบี่จิตพิสุทธิ์’ เมิ่งชวนเองก็ปรับตัวเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาไหลเวียนลมปราณตามวิธีที่เขารู้มาจากส่วนๆหนึ่งของท่าเบญจโลกาอัสนีเพื่อสร้างท่าชักกระบี่ของเขา
แต่ว่าวิชาที่เขาสร้างขึ้นมานั้นมันยังหยาบนัก
วิธีไหลเวียนลมปราณของกระบี่จิตพิสุทธิ์นั้นเหมาะแก่ท่าชักกระบี่มากที่สุด จะเรียกว่าเป็นท่าชักกระบี่ที่ดีที่สุดในโลกก็ไม่เกินเลย
เมื่อเมิ่งชวนเริ่มชิน ท่ากระบี่ของเขาก็พัฒนาขึ้น เขาใส่พละกำลังเก้าส่วนไปกับท่าชักกระบี่ ส่วนอีกสิบนั้นเขาส่งไปกับตัวกระบี่โดยตรง ความเร็วที่พุ่งออกมานั้นเรียกได้ว่ามหาศาล และในพริบตาเขาก็จะฟันต่อในทันที เขาทำเช่นนี้อย่างต่อเนื่อง กระบี่ของเขาไม่หยุดนิ่ง
นี่เป็นทางเดียวที่จะทำให้ตัดใบมีดลมได้มากขึ้นเรื่อยๆ
ใช่แล้ว มันควรจะเป็นอย่างนั้น เมิ่งชวนปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว เพราะไม่ว่ายังไงเขาก็ทุ่มเมไปมากกับท่าชักกระบี่ เขามีประสบการณ์มากอยู๋แล้ว ดังนั้นเขาจึงเรียนรู้ท่าดวงใจกระบี่ได้อย่างรวดเร็ว เขารับมือใบมีดลมในถ้ำและมุ่งหน้าต่อไปได้อย่างรวดเร็ว ยิ่งเขามุ่งหน้าเข้าไปมากเท่าไหร่ ใบมีดลมที่พุ่งเข้ามานั้นก็แข็งแกร่งและจำนวนมากขึ้นเท่านั้น ในตอนที่เทพอสูรเกาเค่อไปถึงจุดสิ้นสุดของถ้ำหมื่นกระบี่ เขาได้ใช้ท่าร่างดวงใจกระบี่นี้ในการขึ้นเป็นเทพอสูรระดับราชา แต่ในฐานะมนุษย์ เมิ่งชวนนั้นยังห่างไกลจากจุดๆนั้นมาก
…
เมิ่งชวนฝึกฝนอยู่ในถ้ำหมื่นกระบี่เป็นเวลาสามชั่วยามครึ่งทุกๆวัน เขาใช้เวลาสามชั่วยามในการฝึกท่าร่างดวงใจกระบี่ และอีกครึ่งชั่วยามในการฝึกทักษะการเคลื่อนไหว ท่าร่างซับซับ และท่าป้องกัน ท่าร่างบัวสีชาด ท่าร่างซึมซับและท่าร่างบัวสีชาดเป็นกระบวนท่าที่เก้าและที่ห้าของกระบี่จิตพิสุทธิ์ตามลำดับ
หลังออกมาจากถ้ำหมื่นกระบี่ เขาก็จะกลับไปที่ถ้ำของตนเพื่อพักผ่อน ในตอนบ่ายเขาจะใช้เวลาสองชั่วยามเพื่อขัดเกลาร่างกายกับกระแสพลังวินาศ และในตอนเย็นเขาก็จะวาดรูป เมื่อได้รู้มาว่าการวาดรูปนั้นส่งผลดีต่อแก่นสารแห่งจิตของเขา เขาจึงไม่หยุดพัก และอีกอย่างคือเขาชอบวาดรูปจากใจจริง
…
วันเวลาผ่านไป
การฝึกร่างอสูรตัดสายฟ้าของเมิ่งชวนผ่านไปโดยราบรื่น การขัดเกลาครั้งแรกเขาทำได้ในห้าวัน ครั้งที่สองเขาทำได้ในสิบสองวัน และครั้งที่สามทำได้ในสิบแปดวัน การฝึกฝนของเขานั้นราบรื่นมากและทำให้เมิ่งชวนมีความสุขมากๆ เท่าที่ดีแล้ว เขานั้นเหมาะแก่การฝึกร่างอสูรตัดสายฟ้าจริงๆ
แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ในเดือนถัดมา เขาก็พบเข้ากับปัญหา
ตอนที่ 98 ขัดเกลาร่างกายด้วยกระแสพลังวินาศ
“ถ้าเช่นนั้นศิษย์ควรฝึกฝนกระบี่จิตพิสุทธิ์หรือขอรับ?” เมิ่งชวนถาม
ปรมาจารย์พยักหน้า “หากเจ้าฝึกฝนกระบี่จิตพิสุทธิ์ เจ้าจะฝึกฝนวิชากระบี่ได้ไวกว่าการฝึกมังกรพเนจรหรือกระบี่ตัดสายฟ้ามาก สิ่งที่เจ้าควรมุ่งเน้นในตอนนี้คือการบรรลุให้ถึง “เจตจำนงกระบี่” เจตจำนงที่แท้จริงของวิชากระบี่นั้นสูงส่ง”
“ดังนั้น เจ้าจึงต้องเชี่ยวชาญในวิชากระบี่ให้ได้เสียก่อนที่จะบรรลุถึง “เจตจำนงกระบี่” หลังจากที่เจ้าฝึกกระบี่จิตพิสุทธิ์ไปถึงระดับ “จิตกระบี่” แล้วเท่านั้น เจ้าถึงจะเลือกวิชาบางส่วนของกระบี่มังกรพเนจรและกระบี่ตัดสายฟ้าเพื่อเสริมวิชากระบี่ของเจ้าได้”
เมิ่งชวนพยักหน้า “เข้าใจแล้วขอรับ”
ก่อนจะบรรลุถึง “จิตกระบี่” ที่เขาทำได้คือการฝึกฝนกระบี่จิตพิสุทธิ์เท่านั้น
“กระบี่จิตพิสุทธิ์มีสิบแปดกระบวนท่า ท่าแรกคือท่าร่างจิตกระบี่ มันเป็นรากฐานของวิชากระบี่นี้เลยล่ะ! ท่าร่างจิตกระบี่ยังเรียกอีกอย่างได้ว่าท่าชักกระบี่จิตพิสุทธิ์ได้เช่นกัน” ท่านปรมาจารย์กล่าวยิ้มๆ “ท่าชักกระบี่ที่เจ้าฝึกฝนมานั้นใกล้เคียงกับท่าร่างจิตกระบี่มาก นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมข้าจึงบอกว่าวิชานี้สามารถเข้ากันได้กับเจ้าถึงเก้าส่วน แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าก็ยังไม่สามารถรับมรดกของโลหะทมิฬได้ ที่เจ้าทำได้คือไปที่ศาลาชี้แนะและเลือกคัมภีร์ธรรมดามาเพื่อฝึกฝน”
“หากเจ้าฝึกฝนกระบี่จิตพิสุทธิ์ เจ้าสามารถไปที่ถ้ำพันกระบี่ของเขาหยวนชูได้ วิชากระบี่นี้ถูกคิดค้นขึ้นในตอนที่เทพอสูรเกาเค่อถูกลงโทษในถ้ำพันกระบี่นั้นเอง”
เมิ่งชวนแอบสงสัยอยู่ในใจ
‘ถูกลงโทษรึ?’
“เทพอสูรเกาเค่อติดอยู่ที่ระดับไร้ขอบเขตเพราะกายเนื้อที่อ่อนแอของเขา จึงไม่สามารถทำให้เขาไปถึงระดับสรรสร้างได้” ปรมาจารย์กล่าว “แต่ถึงอย่างนั้นวิชากระบี่จิตพิสุทธิ์นั้นก็เรียกได้ว่าเป็นวิชากระบี่สำหรับจอมยุทธ์ระดับสรรสร้างจริงๆ เรียกได้ว่ามันเป็นหนึ่งในมรดกวิชาอาวุธของมนุษย์ที่ทีงพลังที่สุด”
เมิ่งชวนพยักหน้าเล็กน้อย ในการฝึกฝนของเทพอสูรนั้น กายเนื้อ แก่นสารแห่งจิต และระดับวิชาอาวุธจะต้องแข็งแกร่ง
ผู้สร้างวิชากระบี่จิตพิสุทธิ์ติดอยู่กับการเป็นเทพอสูรระดับราชาเพราะกายเนื้อของเขานั้นอ่อนแอเกินไป
…
หลังจากที่เมิ่งชวนออกมาจากตำหนักแม่น้ำสวรรค์แล้ว เขาก็ไม่ได้รีบร้อนที่จะเลือกวิชากระบี่ กลับกัน เขาไปที่ห้องสมุดเพื่อค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับวิชากระบี่ทั้งสาม แม้เขาจะเชื่อใจอาจารย์ของเขา แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องตัดสินใจด้วยตัวเองอยู่ดี
โลหะทมิฬของกระบี่จิตพิสุทธิ์มีอยู่ด้วยกันสองอันที่เหมือนกัน อันหนึ่งอยู่ที่เขาหยวนชู อีกอันอยู่ที่ถ้ำสวรรค์ทรายดำ เมิ่งชวนอ่านทำความเข้าใจ ในสมัยแต่ก่อน เทพอสูรที่ทรงพลังมักจะสร้างมรดกของพวกเขาเอาไว้สองหรือสามชิ้น อย่างแรกเลยคือเพื่อป้องกันเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันจากการที่มรดกพังหรือสูญหาย มรดกเหล่านี้นั้นเรียกได้ว่าเป็นผลิตผลจากเลือดเนื้อ หยาดเหงื่อ และน้ำตาของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงอยากที่จะสร้างเอาไว้เพิ่มเติมซักหนึ่งหรือสองชิ้นอยู่แล้ว และสอง สำเนาของโลหะทมิฬนั้นก็เอาไว้แลกเปลี่ยนกันกับของนิกายอื่นได้
เขาหยวนชูมีโลหะทมิฬและเคล็ดร่างเทพอสูรเป็นจำนวนมาก ส่วนมากถูกสร้างขึ้นโดยถ้ำสวรรค์ทรายดำและเกาะสองโลก รวมไปถึงจอมยุทธจากนิกายอื่นๆด้วย
อย่างในเขาหยวนชูนี้มีสำเนาของกระบี่ตัดสายฟ้าแค่บางส่วนเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ถ้ำสวรรค์ทรายดำมีมรดกของกระบี่ตัดสายฟ้าทั้งหมด
นับตั้งแต่ที่พวกอสูรบุกรุกมาที่โลก นิกายใหญ่ทั้งสามของมนุษย์ได้ร่วมมือกันอย่างหนาแน่น ในอนาคต พวกเขาคงจะทำการแลกเปลี่ยนเพื่อนำกระบี่ตัดสายฟ้าตัวเต็มมาจากถ้ำสวรรค์ทรายดำเป็นแน่
เมิ่งชวนอ่านหนังสือไปเรื่อยๆเพิ่มความเข้าใจในวิชากระบี่ทั้งสาม และด้วยคำแนะนำของอาจารย์ มันก็ยิ่งทำให้เขามั่นใจ
‘ท่านอาจารย์พูดถูก กระบี่ตัดสายฟ้านั้นรุนแรงมากเกินไป มันไม่เหมาะแก่ข้า แต่ข้าก็ยังสามารถเลือกไปสักท่าสองท่าเพื่อใช้เป็นท่าลับได้ วิชากระบี่เหล่านี้ส่วนมากมักจะถูกปลดปล่อยออกมาอย่างบ้าคลั่ง อย่างท่าเบญจโลกาอัสนีนั้นก็เร็ว แต่รุนแรงและทรงพลัง’
‘กระบี่มังกรพเนจรนั้นเน้นหนักไปที่ความแปลกและการเปลี่ยนอย่างรวดเร็วของท่วงท่า ข้าสามารถเรียนรู้จากท่วงท่าที่คาดเดาไม่ถูกของมันได้’
วิชากระบี่ทั้งสามนี้มีทักษะการเคลื่อนไหวอยู่ในนั้นด้วย เมิ่งชวนรู้สึกอยากจะฝึกทักษะการเคลื่อนไหวของกระบี่มังกรพเนจร การที่ไม่สามารถคาดเดาได้จะทำให้สามารถสังหารศัตรูได้ง่ายขึ้นมาก
…
ที่ศาลาชี้แนะ เมิ่งชวนเลือกคัมภีร์ลับสำหรับการฝึกวิชากระบี่จิตพิสุทธิ์มาทั้งหมด และเลือกหนังสือสามเล่มที่มีคำแนะนำที่เป็นประโยชน์มากมายกลับไปที่ถ้ำฝึกวิชาของเขาด้วย หนังสือทั้งสามเล่มนั้นถูกเขียนขึ้นมาโดยเทพอสูรระดับราชาสามคนที่ฝึกกระบี่จิตพิสุทธิ์เช่นกัน พวกเขาทิ้งสิ่งนี้เอาไว้ให้ผู้ที่มาทีหลัง
“เตรียมน้ำร้อน ข้าจะอาบน้ำ” เมิ่งชวนสั่งหลังจากกลับไปถึงถ้ำฝึกวิชาในตอนดึก จากนั้นเขาก็นั่งอ่านคัมภีร์ฝึกวิชาของกระบี่จิตพิสุทธิ์อย่างตั้งใจ
โดยไม่มีคำแนะนำ เขาได้แต่อ่านและนั่งวิเคราะห์เนื้อหาอย่างช้าๆ และด้วยข้อชี้แนะที่เอามาด้วย มันก็ทำให้เขาเริ่มเข้าใจวิชากระบี่จิตพิสุทธิ์อย่างช้าๆ
หลังจากอ่านหนังสือจนดึกดื่น ในตอนเช้าเมิ่งชวนก็ฝึกท่าชักกระบี่ของเขาต่อ เขาไม่รีบร้อนที่จะฝึกวิชากระบี่จิตพิสุทธิ์ แต่เขาตัดสินใจที่จะเรียนรู้สิ่งที่อยู่ในคัมภีร์และบันทึกข้อชี้แนะทั้งหลายอย่างละเอียด หลังจากที่เข้าใจในวิชากระบี่นี้โดยละเอียดแล้ว เขาก็จะเริ่มฝึกฝนมัน
…
บนเขาหยวนชู ยอดเขาว่านคูเฟิงในตอนบ่ายวันรุ่งขึ้น
“ท่านเมิ่งชวน” มีคนรับใช้คอยเฝ้าอยู่หน้าทางเข้าถ้ำเขาว่านคูเฟิง มีคำสลักไว้อยู่ตรงหน้าถ้ำ ถ้ำเพลิงสามหยิน
เมิ่งชวนเดินไปหาด้วยรอยยิ้ม “ข้าขอห้องระดับ C”
“โปรดตามข้ามา” คนรับใช้นำทางไปทันที
เมิ่งชวนรู้สึกตื่นใจในยอดเขาว่านคู่เฟิง มีถ้ำพลังวินาศในเขาว่านคูเฟิงนี้มากมาย และพลังวินาศเหล่านั้นถูกนำมาจากทั่วทุกมุมโลกโดยเทพอสูรที่ทรงพลัง การที่พืชจะเติบโตในยอดเขานี้นั้นเป็นเรื่องยาก และมีเพียงแค่ไม่กี่ชนิดเท่านั้นที่อยู่รอด และในยอดเขาว่านคูเฟิงนี้ก็ไม่มีร่องรอยของต้นไม้เลยซักต้นเดียว
เพลิงสามหยินเป็นกระแสพลังวินาศอย่างแรกจากทั้งเก้าอย่างที่ต้องใช้เพื่อขัดเกลาร่างกายของเขาเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับร่างอสูรตัดสายฟ้า
เมิ่งชวนเป็นมนุษย์ ดังนั้นกระแสพลังวินาศในโถงระดับ C จึงเข้มข้นเพียงพอสำหรับเขา กระแสพลังวินาศเหล่านี้สามารถเปลี่ยนเมิ่งชวนให้กลายเป็นผงได้เลยด้วยซ้ำหากเขาเข้าไปในโถงระดับ A
“ในถ้ำเพลิงสามหยินนี้ การใช้งานโถงระดับ C จะใช้สิบแต้มต่อวันขอรับ” คนรับใช้กล่าวด้วยรอยยิ้ม “และแม้ท่านจะใช้เวลาไม่ถึง 12 ชั่วยาม แต่ก็จะนับเป็นหนึ่งวันเช่นกันขอรับ “
“เข้าใจแล้ว” เมิ่งชวนพยักหน้า วันละสิบแต้ม? นี่มันเป็นหนึ่งในที่ที่ใช้แต้มน้อยที่สุดแล้ว
ครืด
ประตูโถงเปิดออกและเมิ่งชวนก็เดินเข้าไป เขาปิดประตูหินด้านหลังให้แน่น
โถงนี้กว้างและยาวอย่างละ 5 จั้ง มีตะเกียงเจ้าพายุที่ติดอยู่ตลอดเวลา และเสื่อหนึ่งผืนในห้อง ไม่มีอะไรอื่นนอกจากนี้
กระแสพลังวินาศในนี้เบาบางมาก เมิ่งชวนสามารถมองเห็นไอสีแดงเข้มจางๆลอยอยู่ในโถงแห่งนี้ได้ด้วยตาเปล่า เขาเริ่มรู้สึกเหมือนมีเข็มกำลังทิ่มแทงบนผิวหนังของเขา
ได้เวลาเริ่มแล้ว เมิ่งชวนชักกระบี่ออกมาและใช้วิชากระบี่
วิชากระบี่นี้อยู่ในมรดกของร่างอสูรตัดสายฟ้า มันไม่ได้มีไว้สำหรับสังหาร แต่มันมีไว้สำหรับการขัดเกลากระแสพลังวินาศเหล่านี้ เมื่อใช้วิชากระบี่ ผู้ใช้จะต้องควบคุมกล้ามเนื้อของตนเพื่อออกแรงมากกว่าเดิม และนั่นจะทำให้กล้ามเนื้อเกร็งตัวและซึมซับกระแสพลังวินาศเข้าไปได้ ช่วยเพิ่มความเร็วในการซึมซับของร่างกาย
หายใจเข้า หายใจออก เขาใช้ “พลังกระบี่” เพื่อออกแรงที่มีทั้งหมดไปพร้อมกับใช้กระแสพลังวินาศเพื่อขัดเกลาวิชากระบี่ของเขา ยิ่งกล้ามเนื้อของเขาใช้พลังออกมาเท่าไหร่ พวกมันก็ยิ่งดูดซับพลังวินาศเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง
กระแสพลังวินาศสีแดงเข้มไหลสู่ร่างกายของเมิ่งชวนและค่อยๆเปลี่ยนแปลงร่างกายของเขา
ช้าๆ ใจของเมิ่งชวนเต็มไปด้วยความปั่นป่วนจนแทบบ้า
‘กระแสพลังวินาศนั้นจะส่งผลต่อจิตใจของคน ในตอนนี้ข้าพึ่งจะเริ่มฝึกและได้ซึมซับเพียงแค่พลังวินาศธรรมดาๆเท่านั้น แต่ข้ากลับเริ่มรู้สึกปั่นป่วนแล้ว’ เมิ่งชวนลอบถอนหายใจ เขาสามารถคงความชัดเจนในใจเอาไว้ได้และใช้วิชากระบี่ต่อไป
ผู้ฝึกจะต้องตั้งใจมากเมื่อใช้วิชากระบี่สำหรับการขัดเกลาร่างกาย มันจะไร้ประโยชน์หากใช้ไปโดยไม่ตั้งใจ
การเคลื่อนไหวต้องแม่นยำ ยิ่งเขาใช้แรงมากเท่าไหร่ กระแสพลังวินาศก็จะหลอมรวมเข้ากับร่างกายของเขามากขึ้นเท่านั้น! มันช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความเร็วในการซึมซับของเขา
…
เขาฝึกฝนต่อไปเกือบหนึ่งชั่วยามก่อนที่เริ่มรู้สึกเหมือนมีเข็มทิ่มแทงไปทั่วร่าง
อ่านตอนล่าสุดที่ mynovel.co หรือ www.thai-novel.com
‘ร่างกายของข้าถึงขีดจำกัดแล้ว’ เขาหยุดใช้วิชากระบี่สำหรับขัดเกลาในทันที ร่างกายของเขาจำเป็นต้องใช้เวลาในการปรับตัว
ครืด เมิ่งชวนเปิดประตูหินแล้วเดินออกไป
หากไม่ใช่เพราะว่าเขาต้องใช้กระแสพลังวินาศในการขัดเกลาร่างกาย การอยู่ในโถงนั้นมีแต่จะทำให้เขาเจ็บปวด
…
เขาหยวนชูนั้นสะดวกมาก ทรัพยากรทุกอย่างสำหรับการฝึกฝนร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษถูกจัดเตรียมเอาไว้อยู่แล้ว และพวกมันสามารถใช้แต้มแลกเอาได้
ทุกๆวันเมิ่งชวนจะเข้าไปฝึกในถ้ำเพลิงสามหยินระดับ C เป็นเวลาหนึ่งชั่วยาม เขาทำเช่นนี้เป็นเวลาห้าวัน และในตอนนี้ก็เป็นช่วงบ่ายของวันที่ 31
‘โอ๊ะ?’ หลังจากที่ใช้วิชากระบี่สำหรับขัดเกลาเป็นเวลากว่าชั่วโมง เมิ่งชวนก็รู้สึกได้ว่าเขานั้น “อิ่มตัว” แล้ว เขาหยุดมือในทันทีและสำรวจร่างกายของตนด้วยดวงตาแห่งจิต
ในสิ่งที่เขาเห็น เขาเห็นกระดูกและเนื้อเปล่งพลังวินาศสีแดงเข้มอ่อนๆออกมา กระทั่งเลือดของเขาก็เป็นเหมือนกัน
‘มันผสมเข้ากับไขกระดูกเสร็จสิ้นแล้วอย่างนั้นหรือ? ข้าขัดเกลาครั้งแรกเสร็จเรียบร้อยแล้วรึ?’ เมิ่งชวนชูนิ้วขึ้่นมา และในพริบตาก็มีกระแสพลังวินาศสีแดงเข้มลอยขึ้นจากปลายนิ้วของเขา เมื่อเขาเห็นดังนั้นก็ยิ้มออกมา ‘เพลิงสามหยินได้หลอมรวมกับร่างกายข้าเรียบร้อยแล้ว ในตอนนี้ร่างกายข้าสามารถสร้างเพลิงสามหยินออกมาได้นิดหน่อยแล้ว’
‘การขัดเกลาครั้งแรกนี้ง่ายสุดเพราะกระแสพลังวินาศอันนี้นั้นอ่อนที่สุดแล้ว มันจะมีผลกระทบก็ต่อเมื่อจิตใจของข้าอ่อนแอ ห้าวันรึ? เร็วใช้ได้’ เมิ่งชวนพยักหน้า ‘ข้าจะเริ่มขัดเกลาครั้งที่สองพรุ่งนี้’
ทุกๆคนที่ฝึกร่างอสูรตัดสายฟ้าต่างผ่านการขัดเกลาครั้งแรกไปอย่างง่ายดาย และยิ่งไปไกลเท่าไหร่ ความเร็วในการขัดเกลาก็จะช้าลงเท่านั้น บางทีอาจจะถึงขั้นเป็นบ้าหรือร่างกายล้มพับไป ถึงอย่างนั้น อัจฉริยะต่างๆก็จะหยุดมือในทันทีเมื่อรู้สึึกว่าอันตราย และพวกเขาก็ไม่มีทางอื่นนอกจากจะต้องยอมแพ้ในร่างเทพอสูรนี้หากว่าเป็นเช่นนั้น
ตอนที่ 97 สามกระบี่ว่องไว
ศิษย์ทุกคนเดินออกมาจากตำหนักแม่น้ำสวรรค์
เหยียนจินถูกพี่ของเขา เชวเฟิง ลากตัวไป ส่วนหลิวชีเยว่ต้องมุ่งหน้าไปฝึกวิชากับอาจารย์ท่านอื่น
ท่านปรมาจารย์นั้นคืออาจารย์ของศิษย์เขาหยวนชูทุกคนในช่วงสามร้อยปีที่ผ่านมานี้ เขาเพียงแค่ให้คำแนะนำนิดหน่อยแก่เหล่าศิษย์เท่านั้น ศิษย์ทั้งหลายยังคงต้องตามหาเส้นทางในการฝึกวิชาของตนด้วยตัวเองอยู่ดี! และหากพวกเขาโชคดี เทพอสูรคนอื่นๆก็อาจจะรับเป็นศิษย์ อย่างศิษย์ของเขาหยวนชูเองก็มีหลายคนที่ได้อาจารย์เป็นเทพอสูรระดับขุนนางหรือราชา
อาจารย์ของหลิวชีเยว่นั้นเป็นเทพอสูรระดับขุนนาง ขุนนางดาราสวรรค์ วิชาเกาฑัณธ์ของเขานั้นแข็งแกร่งขนาดที่สามารถเป็นภัยต่อเทพอสูรระดับราชาได้เลย และทางเขาหยวนชูก็ได้จัดให้เขามาเป็นอาจารย์ของหลิวชีเยว่โดยพิเศษ
…
หลังจากอ่านหนังสืออยู่ในห้องสมุดกว่าครึ่งชั่วยาม เมิ่งชวนก็กลับไปที่ตำหนักแม่น้ำสวรรค์
เวลาในยามนี้ได้ตกกลางคืนแล้ว ลมหนาวพัดโบก ตำหนักแม่น้ำสวรรค์ว่างเปล่าไม่มีใครอยู่ในนั้น
เมิ่งชวนเดินไปที่ประตูของตำหนักและพบร่างของคนๆหนึ่งเดินมาแต่ไกล เป็นชายชราสุดสีเทา เขาก้มหัวน้อยๆและพูด “ท่านเมิ่งชวน โปรดตามข้ามาขอรับ”
เมิ่งชวนพยักหน้าและเดินเข้าไปในตำหนักแม่น้ำสวรรค์
หลังจากผ่านทางที่คดเคี้ยวไปมา เขาก็เจอแม่น้ำสายเล็กๆในสวน มีชายผมยาวนั่งอยู่ตรงนั้น ขวดเหล้าขาวกำลังถูกอุ่น เขาเปิดดูบัญชีรายชื่อไปขณะดื่ม
ชายชราชุดสีเทาก้มหัวก่อนจะกลับออกไป
เมิ่งชวนเดินเข้าไปใกล้และพูดด้วยความเคารพ “ท่านอาจารย์”
“เมิ่งชวน เจ้าได้ฝึกฝนการวาดภาพแบบเต๋าตั้งแต่ยังเล็ก ศิลปินจากทั่วทั้งตงหนิงถูกว่าจ้างให้มาสอนเจ้า เจ้าสามารถวาดภาพม้าพยศได้ตั้งแต่อายุสิบสาม วิชาศิลป์ของเจ้านั้นช่างยอดเยี่ยมและเจ้าเองก็เรียกได้ว่าเป็นนักวาดชั้นยอดในปัจจุบัน นอกจากการฝึกฝนแล้ว เจ้ายังใช้เวลาหนึ่งชั่วยามในการวาดภาพในทุกๆวันอีกด้วย” ชายผมยาวยิ้มให้เมิ่งชวน “ข้าพูดถูกหรือเปล่า?”
เมิ่งชวนตกใจ
หลายคนเคยเห็นภาพม้าพยศ พ่อของเขา ผู้อาวุโสของตระกูลทั้งหลาย หลิวชีเยว่ หวินชิงผิง และอีกหลายคน
“การเกิดมาพร้อมกับแก่นสารแห่งจิตนั้นหายากมาก จากที่ข้าเคยรู้มา ในประวัติศาสตร์มนุษย์มีเพียงแค่สามคนเท่านั้นที่เคยเกิดมาพร้อมกับแก่นสารแห่งจิต ไม่พ่อหรือแม่ต้องไปให้ถึงระดับสรรสร้างและส่งต่อส่วนหนึ่งของความแข็งแกร่งของพวกเขามาให้แก่ลูก เพียงเท่านั้นลูกถึงจะเกิดมาพร้อมกับแก่นสารแห่งจิตได้” ชายผมยาวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แต่พ่อแม่ของเจ้านั้นอ่อนแอ ยังห่างไกลจากระดับสรรสร้างอีกมากนัก เห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะส่งต่อพลังมาให้เจ้า”
“มีความเป็นไปได้อย่างเดียวคือ เจ้าบรรลุการวาดภาพไปถึงระดับแห่งเต๋าและตามหาคำตอบของตัวตนในใจของเจ้า และนั่นคือเหตุที่ทำให้เจ้าสามารถควบแน่นแก่นสารแห่งจิตได้ทั้งที่ยังเป็นมนุษย์”
ชายผมยาวยิ้มให้เมิ่งชวน “ข้าพูดถูกหรือไม่?”
เมิ่งชวนตกใจ ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไรออกไป อีกฝ่ายก็เดาออกว่าเขาควบแน่นแก่นสารแห่งจิตผ่านทางภาพวาด
“ท่านปรมาจารย์ช่างสุขุมจริงๆขอรับ” เมิ่งชวนกล่าวด้วยท่าทางนอบน้อม
“ไม่เลยๆ ข้าเพียงแค่สัมผัสได้ถึงแก่นสารแห่งจิตของเจ้าได้ ข้าเลยเดาตามนั้นเท่านั้นเอง” ชายผมยาวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ นอกจากเด็กสามคนที่ได้รับพลังของพ่อแม่มา ที่เหลือก็สร้างแก่นสารแห่งจิตจากความช่วยเหลือจากภายนอกทั้งนั้น”
“พวกเขาต่างเก่งในการเล่นขิม วาดภาพ คัดลายมือ หรือกระทั่งการตีเหล็ก เมื่อความสามารถของพวกเขาไปถึงจุดๆหนึ่งแล้ว พวกเขาก็จะไปถึงจุดตามหาเต๋า ทุกครั้งที่พวกเขาหาคำตอบจากตัวตนในใจ จิตใจและวิญญาณของพวกเขาก็จะเปลี่ยนแปลง” ชายผมยาวกล่าว “แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นเรื่องยากที่คนจะไปถึงระดับเต๋าได้ผ่านการฝึกฝนอย่างอื่น มันหายากเกินไป”
“เราเคยฝึกฝนคนเช่นนี้มาก่อน แต่ว่ามันไร้ค่า! การจะให้ฝึกฝนศิลปินมากฝีมือนั้นเป็นไปไม่ได้เลย แม้จะได้เป็นศิลปินระดับสูงในตอนอายุเจ็ดสิบหรือแปดสิบมันก็สายไปแล้ว” ชายผมยาวกล่าว “ยิ่งไปกว่านั้น การใช้เวลาไปฝึกฝนวิชาเหล่านั้นมากเกินไปก็จะลดเวลาในการฝึกวิชาอาวุธของพวกเขาอีกด้วย”
“หลังจากที่ไปถึงระดับขึ้นแห่งเต๋าในวิชาอาวุธ คนเราก็จะสามารถหาคำตอบจากตัวตนในใจได้เช่นกัน” ชายผมยาวกล่าว “แต่เพราะไม่ว่าอย่างไรก็สามารถทำได้เช่นนั้นด้วยวิชาอาวุธ จึงไม่มีความจำเป็นที่เหล่าอัจฉริยะจะต้องเสียเวลาฝึกวิชาอื่นๆเพิ่มเติมเลย”
เมิ่งชวนเข้าใจ
ทุกๆวิชาก็เหมือนกันหมด การวาดรูปเองก็เป็นวิชา ไม่ต่างอะไรไปจากวิชาอาวุธ เมื่อคนเราเชี่ยวชาญในการใช้อาวุธมากเพียงพอ พวกเขาเองก็จะหาคำตอบจากตัวตนในใจได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม การวาดภาพนั้นเป็นสิ่งที่ช่วยทำให้คนเราเผยความรู้สึกในใจออกมา อาวุธมีไว้เพื่อสังหาร และการที่จะหาคำตอบจากตัวตนในใจได้นั้น คนๆนั้นก็จะต้องไปถึงระดับแห่งเต๋า
วิชาอาวุธนั้นมีหลายระดับขั้น หนึ่งเดียว พลัง เจตจำนง จิต และเต๋า มีเพียงการไปถึงระดับแห่งเต๋าเท่านั้นถึงจะหาคำตอบจากตัวตนในใจได้ แสดงให้เห็นถึงความยากลำบากในการไปถึงได้อย่างชัดเจน
“เจ้าเองก็นับได้ว่าเป็นอัจฉริยะในวิชากระบี่” ชายผมยาวกล่าว “แต่เจ้าเองก็เป็นอัจฉริยะในการวาดภาพอย่างไม่มีใครเทียบได้ เพียงภาพวาดของเจ้าอย่างเดียวก็เพียงพอที่จะประดับนามของเจ้าเอาไว้ในประวัติศาสตร์ไปอีกนับพันปี”
“ท่านอาจารย์ก็ชมศิษย์เกินไปขอรับ” เมิ่งชวนรู้สึกเขินอายกับคำชมเล็กน้อย
เขาไม่เคยแสดงงานวาดที่เขาภาคภูมิใจที่สุดต่อสาธารณะเลย สรรพชีวิตและแสงแดดยามเช้า เขารู้ว่าเมื่อเทียบกับศิลปินกับนักปราชญ์ที่โด่งดังในประวัติศาสตร์แล้ว เขาไมไ่ด้ด้อยไปกว่านั้นเลย สิ่งที่ท่านปรมาจารย์บอกนั้นไม่ได้เป็นการชมมากเกินไปซักนิดเดียว
การที่สามารถหาคำตอบจากตัวตนในใจได้นั่นก็หมายถึงวิชาของเขาได้ไปถึงจุดสูงสุดแล้ว เพียงมองดูภาพวาดก็สามารถทำให้คนอื่นๆหลงใหลได้อย่างง่ายดายแล้ว
“คนที่สามารถค้นหาคำตอบจากตัวตนในใจนั้นหาได้ยากมาก เพราะการฝึกฝนแก่นสารแห่งจิตนั้นยากมากๆ” ชายผมยาวกล่าว “แก่นสารแห่งจิตนั้นเกี่ยวข้องกับระดับเดือนมืดมิด ไร้ขอบเขต และสรรสร้าง แก่นสารแห่งจิตนั้นแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของเจ้า ยิ่งไปกว่านั้น ความลับในการควบแน่นแก่นสารนั้นต้องเก็บเอาไว้เป็นความลับ หากเหล่าอสูรรู้ว่าเจ้าควบแน่นแก่นอสูรได้ตั้งแต่ยังเป็นมนุษย์ พวกราชาอสูรคงจะต้องพยายามสังหารเจ้าเป็นแน่”
“เข้าใจแล้วขอรับ”เมิ่งชวนกล่าวด้วยท่าทางนอบน้อม
มีราชาอสูรมากมายหลบซ่อนอยู่ในโลกนี้ อย่างในตอนที่เมืองท่าถูกถล่ม ก็เป็นเหล่าราชาอสูรที่บุกเข้ามา พวกมันยังคงหลบซ่อนอยู่ในโลกมนุษยือีกมากมาย ขนาดมนุษย์ทวงคืนเมืองท่าได้ก็ยังเป็นไปได้ยากที่จะตามหาราชาอสูรพวกนั้น
นอกจากนี้ก็ยังมีทางผ่านโลกที่ไม่เสถียรที่ทำให้เหล่าราชาอสูรแอบลักลอบเข้ามาอยู่กับมนุษย์ได้อีกด้วย
นิกายอสูรฟ้าเกิดขึ้นมาได้อย่างไรน่ะหรือ? มันถูกสร้างขึ้นมาโดยราชาอสูรที่แอบลักลอบเข้ามาและยุยงให้มนุษย์หักหลังกันนั่นเอง
ราชาอสูรที่คอยหลบซ่อนพวกนี้นั้นจะคอยเวลาที่เหมาะสมเพื่อจะก่อปัญหา ความอันตรายของพวกมันเรียกได้ว่าอันตรายมาก
“เจ้าไม่ต้องกังวล” ชายผมยาวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตราบใดที่เจ้าไม่ได้ใช้พลังของแก่นสารแห่งจิต ก็จะไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าเจ้านั้นควบแน่นแก่นสารแห่งจิตไปแล้ว เว้นเสียแต่ว่าพวกเขาจะอยู่ในระดับสรรสร้าง”
“เทพอสูรระดับราชาและขุนนางอาจจะรู้หากเจ้าใช้พลังของมัน แต่ว่าตราบใดที่เจ้าทิ้งระยะห่างจากพวกเขาสักหนึ่งลี้ พวกเขาก็ไม่น่าจะรู้ตัว”ชายผมยาวกล่าว
เมิ่งชวนสงบสติลง
เขาเข้าใจแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องกังวลหากใช้พลังของแก่นสารแห่งจิตห่างจากเทพอสูรระดับราชาซักหนึ่งลี้
“จริงๆแล้ว เมื่อเจ้ากลายเป็นเทพอสูรระดับมหาสุริยันก็ไม่จำเป็นที่จะต้องซ่อนแก่นสารแห่งจิตแล้ว” ชายผมยาวกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ด้วยความสามารถระดับเจ้า ข้าว่าเจ้าคงจะได้เป็นเทพอสูรระดับมหาสุริยันในอีกสิบห้าปี”
เมิ่งชวนที่ฟังอยู่ก็พยักหน้า ในหมู่เทพอสูรระดับมหาสุริยัน ก็มีหลายคนที่ควบแน่นแก่นสารแห่งจิตไปได้แล้ว
“และแน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในการฝึกฝนของเทพอสูรนั้นคือกายเนื้อ แก่นสารแห่งจิต และระดับขั้นของวิชากระบี่เจ้า แก่นสารแห่งจิตของเจ้านั้นคือข้อได้เปรียบ แต่หากส่วนอื่นๆเจ้าทำไม่ได้ตามเงื่อนไข เจ้าก็ไม่สามารถไปถึงระดับเดือนมืดมิดได้” ชายผมยาวกล่าว “ในสามด้านนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือระดับวิชากระบี่ เจ้ายังไปไม่ถึงระดับแห่งเจตจำนง ดังนั้นเจ้าจึงยังอยู่อีกห่างไกล”
“เข้าใจแล้วขอรับ” เมิ่งชวนกล่าวด้วยท่าทางนอบน้อม เขายอมรับว่าเขานั้นชอบวิชากระบี่น้อยกว่าการวาดรูปเสียอีก
“ระดับขั้นของวิชากระบี่นั้นสำคัญยิ่งกว่ากายเนื้อหรือแก่นสารแห่งจิต ดังนั้น เจ้าควรจะเลือกวิชากระบี่ที่เหมาะสมสำหรับการฝึก” ชายผมยาวกล่าว “เขาหยวนชูของเรามีมรดกวิชากระบี่มากมาย เอาอย่างนี้เป็นไง? ใช้วิชากระบี่ที่เจ้าเชี่ยวชาญมากที่สุดมา แล้วข้าจะเลือกวิชากระบี่ที่เหมาะสำหรับเจ้าให้”
“ขอรับ”
เมิ่งชวนเดินไปตรงที่โล่งๆ พลังปราณของเขาควบแน่นเป็นหนึ่งเดียว เพียงพริบตา เขาก็พุ่งไปข้างหน้าเป็นสิบจั้ง ลำแสงกระบี่ตัดผ่านอากาศไปโดยไม่ทำให้เกิดลมเลย
นี่เป็นท่าที่เขาฝึกฝนมายาวนานที่สุดตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ ท่าชักกระบี่!
“ดี” ชายผมยาวพยักหน้าเล็กน้อย ท่าชักกระบี่ของเมิ่งชวนทำให้เขารู้สึกพึงพอใจ
เขาใช้ท่าชักกระบี่ติดต่อกันสามครั้ง จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นท่ากระบี่เงาจันทร์ก่อนจะเปลี่ยนเป็นกระบี่ปัดป้อง! และสุดท้ายเขาก็ใช้ท่าเบญจโลกาอัสนีที่ไม่สมบูรณ์ออกมา การฟันสองครั้งแรกคือเบญจโลกาอัสนี แต่ครั้งที่สามคือกระบี่เงาจันทร์
“ศิษย์ทำได้เพียงไม่กี่ท่าหรอกขอรับ” เมิ่งชวนพูดก่อนจะเก็บกระบี่ไป
“ฮ่าฮ่า” ชายผมยาวหัวเราะ “ข้าตกใจมากตอนที่เห็นเจ้าใช้เบญจโลกาอัสนี ในระดับเจ้า เจ้าจะใช้เบญจโลกาอัสนีได้อย่างไรกัน? กลายเป็นกว่าเจ้ารวมท่าที่ไม่สมบูรณ์เข้ากับอีกท่าหนึ่งแทน”
เมิ่งชวนกล่าวตอบ “ศิษย์ได้รับชิ้นส่วนของวิชากระบี่ตัดอัสนีมาขอรับ และศิษย์รับมรดกไปได้ด้วยจิต แต่ศิษย์รับมาได้เพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น”
“ไม่ว่าอย่างไรเจ้ายังเป็นมนุษย์อยู่ แก่นสารแห่งจิตของเจ้าอ่อนแอเกินไป” ชายผมยาวกล่าว “ร่างของเจ้าก็เหมือนกับภาชนะ และแก่นสารแห่งจิตก็เหมือนกับน้ำในภาชนะนั้น ร่างมนุาย์ของเจ้าก็เหมือนกับแก้วน้ำเล็กๆที่มีน้ำอยู่น้อย หากเจ้าไปถึงระดับมหาสุริยันได้ ร่างกายของเจ้าก็จะเป็นเหมือนโอ่งน้ำขนาดใหญ่ที่ใส่น้ำได้เยอะกว่าเดิม”
“ร่างกายของเจ้าคือสิ่งที่คอยจำกัดแก่นสารแห่งจิตเอาไว้” ชายผมยาวกล่าว
“เข้าใจแล้วขอรับ”
ว่ากันว่าหลังจากควบแน่นแก่นสารแห่งจิตในระดับมหาสุริยันแล้ว คนๆนั้นจะสามารถรับมรดกของโลหะทมิฬได้โดยสมบูรณ์ แต่ถึงอย่างนั้น แก่นสารแห่งจิตของเขาไม่สามารถรับมรดกของชิ้นส่วนโลหะทมิฬได้เลยด้วยซ้ำ ความต่างนี้มันช่างมากเหลือเกิน
“คุณภาพของแก่นสารแห่งจิตของเจ้านั้นสูง แต่มันแค่เล็กเกินไป” ชายผมยาวกล่าว “เมื่อเจ้ากลายเป็นเทพอสูรแล้ว แก่นสารแห่งจิตของเจ้าก็จะใหญ่กว่าเดิมมาก และเมื่อไรท่เจ้าสามารถทนรับมรดกของโลหะทมิฬได้ ข้าจะมอบมันให้แก่เจ้า”
อ่านตอนล่าสุดที่ mynovel.co หรือ www.thai-novel.com
“ขอบคุณขอรับท่านอาจารย์” เมิ่งชวนพูด
“จากวิธีที่เจ้าใช้วิชากระบี่ เห็นได้ชัดว่าเจ้าใช้กระบี่ไวได้อย่างยอดเยี่ยม” ชายผมยาวกล่าว “เขาหยวนชูของเรามีวิชากระบี่ของโลหะทมิฬทั้งหมดเก้าวิชา ในนั้นมีสามวิชาที่เป็นกระบี่ไว ทั้งสามอย่างนี้ได้แก่กระบี่ตัดอัสนีที่เจ้าพึ่งใช้ไปเมื่อครู่ กระบี่จิตจำนง และกระบี่มังกรพเนจร”
“อย่างไรก็ตาม กระบี่ตัดสายฟ้านั้นเข้ากันได้กับเจ้าเพียง 3 ส่วนเท่านั้น! วิชากระบี่นี้ถูกสร้างขึ้นมาโดยปรมาจารย์เทพอัสนีเมื่อสามหมื่นปีก่อน วิชากระบี่นี้อยู่ในด้านของความรุนแรงเสียมากกว่า มันไวมากๆก็จริง แต่มันก็รุนแรงมากเช่นกัน กระบี่ของเจ้ามันไม่รุนแรงมากขนาดนั้น ดังนั้นจึงมีความเข้ากันได้กับเจ้าเพียงแค่สามส่วน อย่างไรก็ตาม วิชากระบี่นี้เข้ากันได้ดีกับร่างอสูรตัดสายฟ้ามาก”
“กระบี่มังกรพเนจรนั้นไวมากและแปลกประหลาดมากเช่นกัน เจ้าเข้ากันกับมันได้ถึงห้าส่วน”
“กระบี่จิตพิสุทธิ์นั้นคือวิชากระบี่ไวในรูปแบบที่บริสุทธิ์กว่า มันเข้ากันได้กับเจ้าถึงเก้าส่วน”
ตอนที่ 96 ขจัดความสงสัย
ศิษย์ทุกคนนั่งลงขัดสมาธิตามเดิม ชายผมยาวเองก็นนั่งลงและยิ้ม “วันนี้มีศิษย์ใหม่เข้ามายี่สิบคน ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดีของเขาหยวนชูเราจริงๆ”
ยี่สิบ? ไม่ใช่ว่าต้องเป็นยี่สิบเอ็ดเหรอ? เมิ่งชวน เจ้าหญิงหลี่อิ๋ง ซงชา ฉู่หยง หยานเฟิงและศิษย์ใหม่คนอื่นๆงุนงงเล็กน้อย พวกเขาอดไม่ได้ที่จะหันไปดูรอบๆ เหยียนชื่อถงที่อายุน้อยที่สุดอยู่นี่แล้ว
‘ชี่หยวนถงหายไป!’ เมิ่งชวนตั้งใจมองและรับรู้ว่าชี่หยวนถงไม่ได้อยู่ในตำหนัก
ในหมู่ศิษย์ใหม่ มีเพียงชี่หยวนถงเท่านั้นที่หายไป
ชายผมยาวยิ้มเหมือนเดิม “หากมีสิ่งใดที่อยากจะถาม พวกเจ้าสามารถถามได้เลย”
“ท่านอาจารย์”
จากนั้นชายหนุ่มที่คิ้วคมเหมือนกระบี่และดวงตาเป็นประกายที่นั่งอยู่ด้านหลัง ก็ลุกขึ้นมาและก้มหัวด้วยความเคารพ “ศิษย์ฝึกร่างเทพบัวฟ้ามาได้สามปีแล้ว แต่ศิษย์ยังฝึกไปได้ถึงแค่ขั้นเพลิงวารีเกื้อหนุน ศิษย์ควรฝึกฝนต่อไปหรือไม่ขอรับ?”
“เจ้าฝึกได้ช้าเกินไป ร่างเทพบัวฟ้านั้นมีอยู่ทั้งหมดเจ็ดขั้นตอน และเจ้าไปถึงแค่ขั้นที่สอง เพลิงวารีเกื้อหนุนเท่านั้น อีกยี่สิบปีเจ้าก็ยังฝึกไม่สำเร็จหรอก เจ้าสามารถเปลี่ยนไปฝึกร่างเทพอสูรระดับแทนได้” ชายผมยาวกล่าว “นอกจากนี้เจ้าควรฝึกฝนวิชากระบี่ให้มากกว่านี้ หากเจ้าไปไม่ถึงระดับ “เจตจำนง” ในอีกสามปี ก็จะถือว่าช้าด้วยเช่นกัน”
“ขอรับ” ชายหนุ่มตอบด้วยความเคารพในขณะที่ตัดสินใจได้
เขาตั้งใจกับร่างเทพบัวฟ้ามากเกินไปในสามปีที่ผ่านมานี้จนมองข้ามวิชากระบี่ของเขาไปเสียอย่างนั้น เขารู้ว่ามีความหวังเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่เขาจะฝึกร่างเทพบัวฟ้าได้สำเร็จ แต่เขาไม่อยากยอมรับมัน เขายังคงมีความหวัง แต่ว่าด้วยคำพูดของปรมาจารย์ได้ช่วยทำให้เขาสามารถตัดใจได้โดยสิ้นเชิง
เพราะไม่ว่ายังไง หากไม่ได้เป็นเทพอสูรระดับสูงในอีกสิบปี ก็จะถูกขับไล่ออกจากนิกายใน!
‘ข้าก็แค่ต้องเป็นเทพอสูรระดับสูงแทน! ข้าจะตั้งใจในวิชากระบี่ของข้า หากข้าขัดเกลามันมากเพียงพอ มันอาจจะช่วยกลบช่องว่างระหว่างร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษและระดับสูงได้’
“ท่านอาจารย์” เด็กหนุ่มร่างผอมหลังงออีกคนยืนขึ้นและกล่าวด้วยท่าทางนอบน้อมว่า “ศิษย์ฝึกร่างอสูรตัดสายฟ้ามาได้หกปีแล้ว และในที่สุดศิษย์ก็ไปถึงจุดขัดเกลาที่เจ็ดได้เมื่อห้าวันก่อน ศิษย์ควรจะรับอัสนีสวรรค์ในขอบเขตความเป็นตายหรือควรจะไปให้ถึงจุดขัดเกลาที่แปดก่อนขอรับ?”
‘จุดขัดเกลาที่เจ็ด?’ จู่ๆศิษย์จำนวนมากก็หันไปมองเด็กหนุ่มหลังงอคนนั้นด้วยความตะลึง
ตราบใดที่คนๆนั้นไปถึงจุดขัดเกลาที่เจ็ดของร่างอสูรตัดสายฟ้าได้และเข้าสู่ระดับของ “เจตจำนง” แล้ว คนๆนั้นจะสามารถท้าทายขอบเขตความเป็นตายและเกิดใหม่เป็นเทพอสูรได้
นั่นหมายถึงเขาจะได้เป็นเทพอสูรระดับสูงพิเศษสำหรับเขาหยวนชูอีกคน
‘จุดขัดเกลาที่เจ็ด’ เมิ่งชวนตาเป็นประกายเมื่อได้ยินดังนั้น
เขาเลือกร่างอสูรตัดอัสนี เขารู้ว่าเคล็ดนี้จะใช้กระแสพลังวินาศของโลกเพื่อฝึกฝน ทุกๆครั้งที่เขาสามารถพัฒนาร่างกายให้แข็งแกร่งขึ้นด้วยพลังวินาศได้ นั่นนับเป็นหนึ่งการขัดเกลา ยิ่งร่างขัดเกลาไปมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งต้องใช้พลังวินาศที่ทรงคุณค่าและทรงพลังมากกว่าเดิม จากบันทึกที่เคยมีมา ร่างของคนเราจะสามารถขัดเกลาได้ถึงเก้าครั้ง
อ่านตอนล่าสุดที่ mynovel.co หรือ www.thai-novel.com
การขัดเกลาครั้งที่เก้าคือจุดที่สมบูรณ์แบบ เมื่อร่างของคนๆนั้นแข็งแกร่งเพียงพอก็จะสามารถสร้างร่างอสูรตัดอัสนีที่สมบูรณ์แบบในการท้าทายขอบเขตความเป็นตายได้ด้วยการดึงอัสนีสวรรค์เข้ามาใส่ร่างของตน
อันที่จริงแล้ว พลังวินาศนั้นเป็นอันตรายต่อกายเนื้อมาก และมันยังสามารถสร้างความเสียหายแก่จิตใจของคนๆนั้นได้อีกด้วย แม้ว่าอัจฉริยะหลายๆคนจะมีแรงใจที่กล้าแข็ง แต่เมื่อผ่านจุดขัดเกลาที่สามหรือที่สี่ไป ร่างกายของพวกเขาก็ทนรับไม่ไหวแล้ว หากร่างกายต้องรับกระแสพลังวินาศไปมากกว่านี้เพื่อฝึกฝน ร่างกายก็คงจะหยุดทำงานเป็นแน่ ทุกๆการขัดเกลาคือการเปลี่ยนแปลง และความอันตรายก็จะเพิ่มขึ้นตามนั้นเช่นกัน
“คงจะไม่คุ้มค่าที่จะยอมแพ้หลังจากที่ได้ฝึกฝนมาหกปี เจ้าจงขัดเกลาจุดที่แปดต่อไปก่อนจะเป็นเทพอสูรเถอะ” ชายผมยาวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แน่นอนว่าหากเจ้ายังไม่สามารถไปถึงจุดขัดเกลาที่แปดได้ในข้อกำหนดสิบปีให้เจ้าจงล้มเลิกและท้าทายขอบเขตความเป็นตายเพื่อเป็นเทพอสูรเสีย การเป็นเทพอสูรให้ได้ภายในสิบปีคือกฎเหล็กของเขาหยวนชู”
“ร่างกายและพลังชีวิตของมนุษย์นั้นจะขึ้นไปถึงขีดสุดตอนอายุยี่สิบ และจะคงที่อยู่ในช่วงอายุยี่สิบถึงสามสิบ แต่หลังจากอายุสามสิบหรือมากกว่า พลังชีวิตของคนๆนั้นจะลดลงอย่างรวดเร็ว เทพอสูรเช่นนั้นไม่มีอนาคตที่ดีซักเท่าไหร่นัก และยิ่งแก่ตัวการฝึกฝนก็จะยิ่งยากมากขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นพวกเจ้าต้องเป็นเทพอสูรให้ได้ก่อนอายุสามสิบนะ”
“ขอรับ/เจ้าค่ะ” ศิษย์ทุกคนตอบพร้อมเพรียงกัน ชายหนุ่มหลังงอก็ตอบด้วยท่าทางนอบน้อมก่อนจะกลับไปนั่งขัดสมาธิตามเดิม
ศิษย์คนอื่นๆมองเขาด้วยสายตาที่ต่างออกไป ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาไปถึงจุดขัดเกลาที่เจ็ดแล้ว! และเขาจะได้กลายเป็นเทพอสูรระดับสูงพิเศษในอนาคต
และด้วยศิษย์กว่าสองร้อยคนที่ได้รู้เรื่องนี้ ตระกูลใหญ่ๆในราชวงศ์โจวที่ยิ่งใหญ่ก็จะรู้ความสำเร็จของเขาเร็วๆนี้
…
ชายผมยาวตอบคำถามของศิษย์แต่ละคนที่มีข้อสงสัยในการฝึกวิชาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการฝึกฝนร่างเทพอสูร วิชาอาวุธ พลังแห่งจิตใจ รวมไปถึงคนที่มีปัญหาในการท้าทายเก้าถ้ำปริศนาด้วย เขาตอบทุกคำถาม
หลังจากผ่านไปครึ่งทาง ลูกชายคนที่ห้าของราชาทะเลตงไห่ เชวเฟิงก็ยืนขึ้นและถาม “ท่านปรมาจารย์ ศิษย์ยังคงไม่ผ่านเก้าถ้ำปริศนาเลยขอรับ และยังรู้สึกว่ายังอีกยาวไกลกว่าจะสำเร็จ ท่านอาจารย์ ได้โปรดบอกคำตอบให้ศิษย์ทีขอรับ ว่าเมื่อไหร่ศิษย์จะผ่านเก้าถ้ำปริศนาได้?” เขาอยู่บนเขามากว่าสิบปีแล้ว แต่ก็ยังลงจากเขาไม่ได้ เขาค่อนข้างจะเครียดพอสมควร เขาเองก็อยากจะสู้กับราชาอสูรไปพร้อมๆกับศิษย์คนอื่นๆด้วย
เขาแข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งมากยิ่งกว่าเทพอสูรที่ลงจากเขาไปแล้วเสียอีก แต่เขากลับยังไม่ผ่านเก้าถ้ำปริศนา!
“หากเจ้ายังแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆเหมือนในอดีต เจ้าจะสามารถลงจากเขาได้ในสามปี” ชายผมยาวกล่าว “แต่หากเจ้าเกิดการพัฒนาอย่างก้าวประโดด ในอีกครึ่งปีเจ้าคงจะลงจากเขาได้”
“เข้าใจแล้วขอรับ” เชวเฟิงตอบก่อนกลับไปนั่งขัดสมาธิตามเดิม
ในหลายสิบปีที่ผ่านมา เขาคือศิษย์ของเขาหยวนชูที่โดดเด่นที่สุด และในฐานะลูกชายของราชาตงไห่ที่น่าโดดเด่นมากที่สุดเช่นกัน พละกำลังของเขานั้นแข็งแกร่ง ครอบครัวได้เลียงดูเขามาอย่างสุดกำลัง สมบัติสมุนไพรที่เขาได้รับนั้นเยอะกว่าพี่น้องคนอื่นๆของเขามาก รากฐานเทพอสูรของเขานั้นแข็งแกร่งกว่าอัจฉริยะธรรมดาถึงห้าเท่า และได้กลายเป็นเทพอสูรระดับสูงพิเศษตั้งแต่อายุ 15 อีกทั้งยังเชี่ยวชาญเคล็ดวิชาสุดยอดของโลหะทมิฬด้วยเช่นกัน และในอายุ 22 เขาก็ได้เข้าถึงวิญญาณแห่งกระบี่
และนั่นทำให้ศิษย์คนอื่นๆชื่อชมเขา เซี่ยวหยุนเยว่จากรัฐเจียงแทบจะเทียบกับเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ
เงื่อนไขในการลงเขาหยวนชูของเขานั้นก็เข้มงวดมากเช่นกัน การดทดสอบเก้าถ้ำปริศนาเองก็ยากมาก พวกเขาไม่ปล่อยให้เขาลงเขาได้ง่ายๆแน่ หากว่าเขาไม่แข็งแกร่งพอที่จะปกป้องตัวเองได้ ก็อาจจะถูกพวกอสูรลอบสังหารเสียตั้งแต่ได้ลงจากเขา
…
การถามตอบกินเวลาไปกว่าหกชั่วโมง
การบรรยายของท่านปรมาจารย์จะมีขึ้นสามครั้งทุกเดือนที่ตำหนักแม่น้ำสวรรค์ ในวันที่ 5 15 และ 25 ของทุกๆเดือน
ดังนั้นศิษย์จึงไม่ได้มีปัญหามากนักในช่วงสิบวัน ที่มันกินเวลานานก็เพราะมีศิษย์กว่า 200 คนที่ถามคำถาม
“หากไม่มีใครมีคำถามแล้ว” ชายผมยาวกวาดสายตามองไปทั่วห้องและยิ้ม “ในเมื่อศิษย์ใหม่อยู่กันที่นี่แล้ว ข้าก็จะพูดถึงเรื่องที่ควรจะคำนึงถึง ข้าเห็นว่าเจ้าหลายคนได้เลือกร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษ ลองกันไปก่อนได้เลย! จากนั้นอีกสามปี หากเจ้ายังคิดว่ายังมีหวังอยู่ก็ฝึกต่อไปได้! แต่หากในสามปีให้หลังนั้นยังรู้สึกว่ามีโอกาสเพียงเล็กน้อย ก็ล้มเลิกและไปฝึกร่างเทพอสูรระดับสูงแทน”
“ในช่วงสามปีแรกเจ้าจะไม่สามารถฝึกฝนร่างเทพอสูรได้มากกว่าสองชั่วยามต่อวัน และจะใช้เวลาส่วนมากในการฝึกวิชาอาวุธของเจ้ามากกว่า หากสามารถใช้วิชาอาวุธได้อย่างคล่องแคล่วเพียงพอ เจ้าสามารถสู้กับคนที่ขอบเขตสูงกว่าเจ้าหนึ่งระดับได้เลยด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นพวกเจ้าไม่ควรหยุดฝึกวิชาอาวุธแม้แต่วันเดียว”
“แล้ววิชาอาวุธควรจะเลือกอย่างไรอย่างนั้นหรือ?”
“เคล็ดวิชาที่สุดยอดที่สุดของมนุษย์เรานั้นมาจากโลหะทมิฬ บนเขาหยวนชูนี้มีโลหะทมิฬทั้งหมดหกสิบสองชิ้น” ชายผมยาวกล่าว “แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องเป็นเทพอสูรระดับมหาสุริยันและควบแน่นแก่นสารแห่งจิตให้ได้ก่อนถึงจะรับมรดกของโลหะทมิฬได้”
“หากไม่ใช่อย่างนั้นก็ไม่มีทางเลยที่จะรับเจตจำนงของมรดกได้ ที่ทำได้ก็มีแค่อ่าน ดูรูป และทำตามคำแนะนำของคนอื่นเท่านั้น มรดกของโลหะทมิฬนั้นยากขึ้นเป็นสิบเท่าหากฝึกโดยไม่มีเจตจำนงคอยชี้แนะ”
“วิชาของเทพอสูรนั้นถูกแบ่งออกเป็นสามชนิด สวรรค์ โลกา มนุษย์ อันหลังนั้นสามารถอ่านสำหรับการอ้างอิงได้ แต่สองอย่างแรกนั้นลึกซึ้งมาก เจ้าจะได้เรียนรู้มันไปตลอดชีวิต เช่นเดียวกันหากมีเจตจำนงของมรดก การฝึกวิชาเทพอสูรระดับสวรรค์นั้นจะง่ายกว่าการฝึกวิชาในโลหะทมิฬ หากสามารถฝึกวิชาเทพอสูรระดับสวรรค์ได้จนเชี่ยวชาญ ความแข็งแกร่งของคนๆนั้นจะเทียบเท่าได้กับวิชาของโลหะทมิฬ”
“ในหมู่วิชาเทพอสูรระดับสวรรค์นั้น …”
…
ปรมาจารย์ได้อธิบายทุกอย่างที่ควรรู้ไว้โดยละเอียด มันชัดเจนกว่าที่เมิ่งชวนและคนอื่นๆได้เรียนรู้หลังจากอ่านหนังสือเสียอีก
หลายๆคนเข้าใจในการฝึกฝนของเทพอสูรมากขึ้น
“วันนี้ก็คงจบเพียงเท่านี้ พวกเจ้าสามารถไปได้แล้ว” ชายผมยาวลุกขึ้นยืนและจากไป
“ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพขอรับท่านอาจารย์” เหล่าศิษย์กล่าวด้วยท่าทางนอบน้อม
ศิษย์หลายๆคนเดินเกาะกลุ่มกันออกไป
“เมิ่งชวน ในอีกหนึ่งชั่วยามให้เจ้ามาหาข้าที่ตำหนักแม่น้ำสวรรค์” มีเสียงดังขึ้นในหูของเมิ่งชวน
ตอนที่ 95 ศิษย์
25 ธันวาคม
ลมหนาวที่เสียดแทงไปถึงกระดูกพัดส่งเสียงโหยหวนในขณะที่เมิ่งชวนกำลังฝึกฝนท่าชักกระบี่อยู่ในถ้ำสำรับฝึกซ้อมของเขา เขายังไม่ได้เลือกวิชากระบี่จากเขาหยวนชูเลย! เพราะว่าวันนี้จะมีการเข้าพบปรมาจารย์ ยังไม่สายเกินไปสำหรับเขาที่จะเลือกวิชากระบี่หลังจากทีไ่ด้รับคำแนะนำจากปรมาจารย์แล้ว
“อาชวนๆ” มีเสียงที่คุ้นเคยดังมาจากข้างนอก
“ชีเยว่ ” เมิ่งชวนเก็บกระบี่และเดินออกจากลานฝึกไป เขาเห็นชีเยว่กำลังวิ่งมาที่ที่พักของเขา เพราะว่าเมิ่งชวนได้ให้คำสั่งคนรับใช้ไว้แล้ว พวกเขาจึงไม่ได้หยุดเธอไว้
“อาชวนไปกันเถอะ วันนี้เจ้าจะได้เข้าพบปรมาจารย์แล้วนะ” หลิวชีเยว่กล่าว
“ข้าฝึกรอมาได้ชั่วยามหนึ่งแล้ว กำลังรอเจ้าอยู่เลย” เมิ่งชวนยิ้มและเดินออกไปพร้อมกับหลิวชีเยว่
ทั้งคู่เดินตามทางของจิ้งหมิงเฟิงไป หลังจากเดินไปได้ไม่นานพวกเขาก็เจอกับเจ้าหญิงหลี่อิ๋งในชุดสีขาวที่เดินออกมาจากถ้ำของเธอ
หลี่อิ๋งยิ้มในขณะที่เดินมาหา “ศิษย์พี่เมิ่ง ศิษย์พี่หลิว ช่างเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ”
เมื่อได้เห็นว่าเมิ่งชวนกับหลิวชีเยว่นั้นใกล้ชิดกันแค่ไหน หลี่อิ๋งก็ยังคงรักษารอยยิ้มไว้ได้ เธอรู้ว่าเมิ่งชวนและหลิวชีเยว่นั้นสนิทกันมากในวัยเด็ก พวกเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด แต่หลี่อิ๋งยังรู้สึกว่าเธอยังมีโอกาสอยู่! หลี่อิ๋งต้องการจะเป็นเทพอสูรที่ทรงพลัง ไม่ว่าจะมาจากก้นบึ้งของจิตใจหรือจากความคิดแข่งขันของตระกูลหลวง เธออยากจะได้สามีที่เป็นเทพอสูรและแข็งแกร่งกว่าเธอ
และเมิ่งชวนตรงตามสิ่งที่หลี่อิ๋งคิดเอาไว้
อันที่จริงแล้วหลี่อิ๋งอยากจะพูดคุยกับเมิ่งชวนให้มากกว่านี้เพื่อดูว่านิสัยของพวกเขานั้นเข้ากันได้หรือเปล่า แต่ว่าช่างน่าแปลกใจที่ทุกครั้งที่เธอไปหาเมิ่งชวน เธอก็จะพบเข้ากับหลิวชีเยว่แทบตลอด
แผนการของเธอถูกขัดขวางไปตั้งแต่แรกเลย!
“ศิษย์น้องหลี่” เมิ่งชวนและหลิวชีเยว่ยิ้มทักทาย
“วันนี้พวกเราจะเข้าพบปรมาจารย์ของเราอย่างเป็นทางการ” หลี่อิ๋งตามพวกเขาไป “เจ้ารู้หรือเปล่าว่าปรมาจารย์สุดยอดแค่ไหนหรือ?”
หลิวชีเยว่ยิ้มและพูดว่า “ข้าอยู่ที่นี่มากว่าครึ่งปีแล้วเลยรู้มาบ้างนิดหน่อย ปรมาจารย์ท่านนี้เป็นอาจารย์ให้แก่เหล่าศิษย์ของเขาหยวนชูมานานกว่าสามศตวรรษแล้ว”
เมิ่งชวนตกใจเมื่อได้ยินดังนั้น “ทุกๆปีเขาหยวนชูรับศิษย์ยี่สิบคน จะบอกว่าศิษย์ทั้งหกพันคนมีอาจารย์คนเดียวกันอย่างนั้นเหรอ?”
“ใช่แล้ว” หลิวชีเยว่พยักหน้า
หากพูดถึงอายุขัยของเทพอสูรแล้ว เทพอสูรระดับยาเมฆา แดนอมตะและมหาสุริยันอยู่ที่ 200 ปี มากกว่าอายุขัยของมนุษย์เป็นสองเท่า มีมนุษย์แค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่อายุเกินร้อยปี ส่วนมากก็ตายตั้งแต่ตอนอายุแปดสิบหรือเจ็ดสิบ เมิ่งเซียนกูอายุ 110 ปี.. เหล่าเทพอสูรมักจะเข้าร่วมในการต่อสู้ และร่างของพวกเขาก็จะเสียหายหลังจากผ่านไปหลายปี มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่อยู่จนถึง 200 ปี
เทพอสูรระดับเดือนมืดมิดมีอายุขัยอยู่ที่ 300 ปี แค่ดูจากอายุขัยก็สามารถบอกได้เลยว่าเทพอสูรระดับมหาสุริยันนั้้นพัฒนาไปกว่าเดิมมากแค่ไหนเมื่อไปถึงระดับเดือนมืดมิด
ส่วนเทพอสูรรระดับราชามีอายุขัยสูงสุด 500 ปี
“ฐานะของปรมาจารย์สูงมากๆเลยล่ะ ขนาดท่านเจ้าภูเขาและผู้อาวุโสอี่ยังต้องให้ความเคารพเขาเลยนะ” หลิวชีเยว่กล่าว
“ใช่แล้ว” เจ้าหญิงหลี่อิ๋งยิ้มและพูดว่า “ปรมาจารย์อยู่ในระดับที่สูงกว่าเทพอสูรระดับราชาอีก”
เมิ่งชวนตกใจ สูงยิ่งกว่าเทพอสูรระดับราชา? เขาอ่านหนังสือมากมายในห้องสมุดแต่ก็ไม่มีเล่มไหนเลยที่พูดถึงเรื่องนั้น เขาได้แค่สงสัยลอยๆว่ามีอะไรสูงกว่าเทพอสูรระดับราชาหรือเปล่า
“อายุขัยของปรมาจารย์นั้นนานมาก หากมีเขาอยู่ เขาหยวนชูก็จะไม่มีทางถูกทะลวงได้”เจ้าหญิงหลี่อิ๋งยิ้ม “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเมืองด่านที่สำคัญที่สุดจากเมืองด่านทั้งเจ็ดในราชวงศ์โจวที่ยิ่งใหญ่ ด่านลู่ถางได้ท่านคอยปกป้องเอาไว้น่ะ?”
“โอ๋?” เมิ่งชวนและหลิวชีเยว่ได้ความรู้ใหม่
พวกเขารู้ว่ามีด่านมากมายในราชวงศ์โจวที่ยิ่งใหญ่ ด่านฉินหยางที่อยู่ใกล้กับเมืองตงหนิงนั้นเป็นเพียงเมืองด่านที่ธรรมดาๆเท่านั้น! มีเมืองด่านแบบนั้นอยู่อีกเก้าเมืองในรัฐอู๋ และทั่วทั้งโลกก็ยังมีอีกมากมาย
อย่างไรก็ตาม มีเพียงด่านไม่กี่ด่านเท่านั้นที่โด่งดังไปทั่วโลกจริงๆ มีด่านใหญ่ๆเจ็ดด่านในราชวงศ์โจวที่ยิ่งใหญ่ ด่านอันไห่และด่านลู่ถางนั้นก็เป็นหนึ่งในนั้น เขารู้ว่าด่านลู่ถางเป็นด่านที่สำคัญที่สุดในหมู่เมืองด่านทั้งเจ็ดและกินพื้นที่กว้างขวาง แทบจะเทียบได้กับเมืองหยวนชูเลย แต่เขาไม่รู้ว่ามันจะถูกสิ่งที่เหนือกว่าราชาเทพอสูรคอยปกป้องเอาไว้
….
พวกเขาคุยกันไประหว่างทาง ในไม่ช้าทั้งสามคนก็มาถึงตำหนักแม่น้ำสวรรค์บนยอดหวงซุนจิง
ตำหนักแม่น้ำสวรรค์นั้นหรูหรามาก มีเสื่อมากมายวางอยู่บนพื้นและมีศิษย์จำนวนมากนั่งลงแล้ว
“ท่านเมิ่งชวน โปรดมานั่งที่นี่ขอรับ” ผู้ดูแลในตำหนักแม่น้ำสวรรค์นำศิษย์ใหม่ไปยังที่นั่งของพวกตน มีเหตุผลในการจัดที่นั่งอยู่ คนที่ได้รับการประเมินสูงๆจะได้นั่งอยู่ด้านหน้า
เมิ่งชวนนั่งลงบนเสื่อ
“อาชวน” หลิวชีเยว่นั่งลงในที่ของเธอเช่นกัน เธอนั่งติดอยู่ด้านซ้ายของเมิ่งชวน พวกเขาถูกจัดไว้ให้นั่งอยู่ด้านหน้า กลับกันเจ้าหญิงหลี่อิ๋งได้แต่นั่งข้างหลัง
ฟุบ
ในตอนนั้นเองก็มีชายหนุ่มชุดสีขาวที่เหน็บกระบี่ไว้ตรงเอวเดินเข้ามา ทั้งอาคารตกอยู่ในความเงียบ
“อาชวนดูนั่นสิ เขาคือลูกชายคนที่ห้าของราชาทะเลตงไห่ เชวเฟิง” หลิวชีเยว่พูดขึ้นมาผ่านกระแสเสียง
‘นั่นเขาหรือ?’ เมิ่งชวนพิจารณาอย่างตั้งใจ เขาสามารถสัมผัสได้ถึงกระแสพลังที่ทรงพลังจากชายหนุ่มในชุดคลุมสีขาว เขาแข็งแกร่งกว่าเจ้าวังหยกสุริยันเสียอีก เจ้าวังหยกสุริยันผ่านถ้ำเก้าปริศนาและลงจากเขาหยวนชูไปแล้ว แต่ว่าชายคนนี้กลับแข็งแกร่งกว่าเขาแต่กลับยังไม่ได้ลงจากเขา เมิ่งชวนรู้ว่าเงื่อนไขที่ศิษย์แต่ละคนจะลงจากภูเขาได้นั้นต่างออกไปขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละคน
อย่างเช่นผู้ที่ฝึกร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษจะมีเงื่อนไขที่ต่างจากคนที่ฝึกร่างเทพอสูรระดับสูง
“เขาเข้าถึง”พลัง”ได้ตั้งแต่อายุ 13 ปี” หลิวชีเยว่พูดผ่านกระแสเสียง “เขาเข้าสู่เขาหยวนชูในปีเดียวกันและกลายเป็นเทพอสูรเมื่ออายุ 15 เขาฝึกร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษร่างอสูรทรายดำ และสามารถฝึกมันเสร็จภายในสองปี เรียกได้ว่าเป็นปีศาจชัดๆ ว่ากันว่าเขาเรียนรู้ทักษะทุกอย่างจากโลหะทมิฬไปแล้วด้วย ทุกๆครั้งที่ปรมาจารย์สอนเขาจะถามนายน้อยห้าคนนั้นด้วย”
เมิ่งชวนพยักหน้า เขาได้รับเคล็ดร่างอสูรตัดสายฟ้ามาแล้วดังนั้นเขาจึงรู้ว่ามันยากแค่ไหน
หากไม่ได้ควบแน่นแก่นสารแห่งจิตก็ไม่มีทางเลยที่จะได้รับมรดกของโลหะทมิฬผ่านสำนึก ที่ทำได้ก็ได้แค่อ่านและทำตามที่หนังสือบอก หากไม่มีสำนึกของมรดกแล้ว การเรียนรู้โลหะทมิฬก็จะเป็นเรื่องยากมาก
“หากนับศิษย์ใหม่ทั้งหมด 21 คนแล้ว ตอนนี้ก็จะมีศิษย์ 273 คนที่ยังอยู่บนภูเขา” หลิวชีเยว่พูดผ่านกระแสเสียง “และมี 19 คนที่ฝึกร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษสำเร็จแล้ว”
เมิ่งชวนพยักหน้าเล็กน้อย “การฝึกร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษนั้นอยู่แล้ว จะว่าไปแล้วนอกจากลูกชายคนที่ห้าของราชาทะเลตงไห่แล้ว ไม่มีคนอื่นๆอีกแล้วเหรอ?”
อ่านตอนล่าสุดที่ mynovel.co หรือ www.thai-novel.com
“มีอีกคนใกล้ๆนี้เอง” หลิวชีเยว่ชำเลืองมองผู้หญิงในชุดคลุมสีเขียวอ่อนตรงหน้าเธอ “คนๆนั้นในชุดสีเขียวอ่อนตรงหน้าของเจ้า เธอคือเซี่ยวหยุนเยว่จากตระกูลเซี่ยวรัฐเจียง เธอเองก็ฝึกฝนร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษเหมือนกัน และเธอเองก็ฝึกเคล็ดจากโลหะทมิฬไปแล้วด้วยเช่นกัน แต่ถึงอย่างนั้นเธอเข้าถึง “พลัง” ตอนอายุ 15 และได้เป็นเทพอสูรตอนอายุ 23 หากเทียบกันแล้ว ความเร็วในการฝึกฝนของเธอนั้นยังช้ากว่าเชวเฟิง เธอฝึกร่างเทพกายาอมตะ แต่ข้าไม่รู้ว่าโลหะทมิฬที่เธอฝึกคืออะไร”
‘ร่างเทพกายาอมตะรึ?’เมิ่งชวนพยักหน้าเล็กน้อย
ในบรรดาร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษ มีหลายร่างที่เชี่ยวชาญในเรื่องของเขตแดน ร่างเทพกายาอมตะนั้นเรียกได้ว่าใช้เขตแดนได้แกร่งที่สุด และยังมีพลังชีวิตที่เหนือกว่าร่างเทพอสูรอื่นๆทั้งหมด
อย่างร่างอสูรสมุทรนิรันดร์จะสามารถฟื้นชิ้นส่วนร่างกายที่ขาดไปได้ในหนึ่งวัน แต่ร่างเทพกายาอมตะจะสามารถฟื้นคืนมาได้ในสิบนาที และเขตแดนของพวกเขานั้นแข็งแกร่งที่สุด และมีพลังชีวิตที่เยอะที่สุดด้วย! แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็อ่อนแอในการต่อสู้ระยะประชิด
โลหะทมิฬ เมิ่งชวนรู้ว่ากระบี่ตัดสายฟ้าที่เขาเรียนมาคือโลหะทมิฬ แต่ว่าเขาก็เรียนไปเพียงแค่ส่วนหนึ่งของท่ากระบี่หนึ่งท่า อัสนีเบญจโลกา
เมิ่งชวนเห็นตัวอย่างที่สมบูรณ์ในสำนึกของมรดก มันน่าสะพรึงกลัวจนจบ เห็นได้ชัดว่าความยากในการฝึกมันเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลเมื่อถึงท้ายๆ เขาไม่สามารถทนรับข้อมูลของท่าที่สมบูรณ์ท่าหนึ่งได้ด้วยซ้ำ
‘โอ้?’ เมิ่งชวนหันกลับมาและเห็นเหยียนจินเดินเข้ามาโดยมีผู้ดูแลนำทางมา เขานั่งอยู่ด้านหลังเมิ่งชวนเยื้องไปทางซ้าย
“เหยียนจิน” เมิ่งชวนและหลิวชีเยว่ทักทาย
เหยียนจินยิ้มและพยักหน้าเล็กน้อย แต่ก่อนที่เขาจะพูดอะไรออกมาสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป
นายน้อยห้าเชวเฟิงเดินขึ้นมาหาเหยียนจินพร้อมกับรอยยิ้มที่เหมือนกับสายลมยามฤดูใบไม้ผลิ เขายิ้มและพูด “น้องชาย การจะได้กับเจอเจ้านี่ไม่ง่ายเลยนะนี่ ตอนที่ข้าไปหาเจ้าที่ถ้ำเจ้าก็บอกว่าไม่อยากจะพบกับข้าเสียได้” มีเขตแดนที่มองไม่เห็นคอยกันพวกเขาจากรอบๆไว้อยู่ กันไม่ให้คนอื่นๆแอบฟังได้
“พวกเราไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเจอกัน” เหยียนจินกล่าวเรียบๆ
“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าไปเปลี่ยนชื่อที่หน่วยงานรัฐมาอย่างนั้นหรือ? ตอนนี้ชื่อเหยียนจินแล้วรึ?” เชวเฟิงถาม
“ใช่”เหยียนจินพยักหน้า
เชวเฟิงส่ายหน้าเบาๆ “ทำไมเจ้าต้องทำอย่างนั้นกัน? เจ้าก็รู้ว่าท่านพ่อสนใจอยู่แต่การฝึกและปกป้องด่านอันไห่ เขาจะมีเวลามาสนใจเรื่องเล็กน้อยพวกนี้ได้อย่างไรกัน? เรื่องก่อนหน้านั้นก็โทษท่านพ่อคนเดียวก็—-“
“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว” เหยียนจินพูดตัดอย่างเย็นชา
เชวเฟิงพูดออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “เอาเถอะ ถึงเจ้าไม่อยากจะรับรู้อะไรเกี่ยวกับครอบครัวเจ้า แต่อย่างน้อยก็ช่วยนับข้าว่าเป็นพี่ชายเจ้าเสียหน่อยเถอะ”
เหยียนจินมองเขา
พี่ชายของเขานั้นอายุมากกว่าเขาเพียงห้าปีและดูและเขาค่อนข้างดีตั้งแต่ยังเด็ก อย่างไรก็ตาม เขาเข้าสู่เขาหยวนชูตั้งแต่อายุสิบสาม ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้พบกันมาสิบปีแล้ว
“หลังจากที่ปรมาจารย์ให้คำแนะนำเราไปหาที่คุยดีๆกันเถอะ พวกเราไม่ได้เจอกันมาสิบปีแล้ว เด็กน้อยน้ำมูกย้อยคนนั้นยังไม่โตเลยนะ” เชวเฟิงยิ้มขณะเดินกลับไปนั่งที่เดิม
เหยียนจินเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย
คนที่สนิทกับเขาก็มีแต่พี่ชายห้าของเขา ไม่มีใครสามารถได้ยินบทสนทนา แต่ทุกคนก็สามารถรับรู้ได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขานั้นไม่ธรรมดา
“นั่นคือลูกชายคนที่เจ็ดของราชาทะเลตงไห่เหยียนจิน ข้าได้ยินมาว่าเขาได้ที่สี่จากการสอบเข้าของปีนี้”
“แค่อันดับสี่? เขายังด้อยกว่านายน้อยห้ามาก”
“ใครจะไปเทียบกับเขาได้กัน? ลูกชายของราชาทะเลตงไห่ทุกคนน่าทึ่งทั้งนั้นแหละ แต่ว่าลูกชายคนที่ห้าน่ะแข็งแกร่งที่สุด ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา เขาคือคนที่มีความสามารถน่าสะพรึงที่สุด” ลูกศิษย์คนอื่นๆแอบคุยกัน ทุกคนรู้ความสามารถอันน่าสะพรึงของเชวเฟิงกันมานานแล้ว
ในระหว่างที่เหล่าศิษย์คนอื่นๆกำลังคุยกันอยู่นั่นเอง
จู่ๆเมิ่งชวนก็รู้สึกได้ถึงกระแสพลังพิเศษที่กระจายเข้ามาปกคลุมร่างของศิษย์ทุกๆคน
กระแสพลังนี้นั้นอ่อนมาก ราวกับแสงจันทร์ที่สาดส่องลงบนร่างของทุกคน มันไม่มีแรงกดดัน มีแค่ความสบาย ศิษย์ทุกคนนิ่งเงียบ เทพอสูรกว่าสองร้อยคนและศิษย์มนุษย์กว่าร้อยคนก็ค่อยๆยืนขึ้นมา และศิษย์ใหม่ เมิ่งชวนกับคนอื่นๆก็ยืนขึ้นมาในทันที
จากนั้นก็มีชายผมยาวเดินเข้ามา เหล่าศิษย์ต่างก้มหัวทักทายด้วยความเคารพ “คารวะท่านปรมาจารย์”
ผิวของชายผมยาวคนนั้นเนียนราวกับหยก หลังจากที่เดินเข้ามาเขาก็กวาดสายตามองดูเหล่าศิษย์กว่าสองร้อยคน เมื่อเขาเห็นเมิ่งชวนเขาก็หยุดไปนิดหนึ่ง มุมปากเขายกขึ้นเล็กน้อยและยิ้ม “นั่งลงเถอะ”
ตอนที่ 94 ต่างคนต่างชะตาชีวิต (บทสุดท้ายของภาค)
‘จดหมายจากตระกูลอย่างนั้นหรือ?’ เมิ่งชวนรับจดหมายและอ่าน จากพ่อ? ‘พ่อพึ่งจะกลับไปเมื่อสองวันก่อนนี้เอง ทำไมถึงเขียนจดหมายมาไวจังล่ะ?’
แม้จะสงสัยว่าในจดหมายนั้นเป็นเรื่องอะไรแต่เขาก็ไม่ได้อ่านในทันที เขาหยิบเอายา สมบัติสมุนไพรและหนังสือสีดำเดินกลับไปที่ถ้ำของเขา
ตั้งแต่ที่เขาได้เป็นศิษย์ของเขาหยวนชู เขาก็อ่านหนังสืออยู่ในห้องสมุดตลอดเวลา ไม่ได้กลับไปที่ถ้ำของตนเลยซักครั้ง
…
บนจิ้งหมิงเฟิง ตรงพื้นที่ที่ค่อนข้างห่างไกล เมิ่งชวนนั่งอยู่บนก้อนหินก้อนใหญ่ขณะมองทะเลเมฆที่กว้างใหญ่ล่องลอยผ่านหุบเขาไป บนยอดเขาเองก็มีหิมะปกคลุมอยู่ตลอดเวลา
อ่านตอนล่าสุดที่ mynovel.co หรือ www.thai-novel.com
‘ท่านย่าทวดได้จากไปแล้ว’ เมิ่งชวนเก็บจดหมายของพ่อไป มันเป็นจดหมายที่บอกว่าเกิดอะไรขึ้นเท่านั้นเอง
ในเช้าวันที่ 23 ธันวาคม พ่อได้รีบกลับไปเมืองตงหนิง เขาบอกข่าวดีกับเมิ่งเซียนกูและเหล่าคนในตระกูล
ย่าทวดของเขานั้นบาดเจ็บหนักมาตั้งแต่การบุกรุกของอสูร เธอใช้พละกำลังที่มีทั้งหมด จนทำให้ร่างของเธอตกอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่มากว่าครึ่งปี แต่ถึงอย่างนั้น เพราะความมุ่งมั่นของเธอ เธอก็รอจนกว่าจะได้ข่าวว่าเมิ่งชวนได้เข้าสู่เขาหยวนชู หลังจากที่เธอได้ข่าวนี้มันก็ทำให้เธอมีความสุขและสบายใจ สิ่งที่ติดค้างในใจก็หายไปหมด และนั่นทำให้อาการของเธอทรุดลงอย่างรวดเร็ว
และในคืนนั้น หลังจากที่ย่าทวดได้สั่งเสียเหล่าคนในตระกูล เธอก็จากไปพร้อมกับรอยยิ้ม
มีจดหมายสองฉบับ อันหนึ่งมาจากพ่อของเขาและอีกอันมาจากย่าทวดของเขา
เมิ่งชวนค่อยๆคลี่จดหมายของย่าทวด
“เมิ่งชวน ข้าดีใจมากที่เจ้าได้อันดับหนึ่งในการสอบเข้าของเขาหยวนชู แต่ข้าคงจะไม่ได้เจอเจ้าอีกต่อไปแล้ว คืนนี้ข้าคงจะต้องไปแล้ว สิ่งที่ข้าอยากจะบอกเจ้าข้าจะเขียนมันลงในจดหมายนี้ อนาคตของเจ้านั้นยาวไกลกว่าของข้ามาก ข้าทำได้แค่ให้คำแนะนำแก่เจ้านิดหน่อยในฐานะเทพอสูรที่อยู่มาแปดสิบปี
“ข้อแรก พยายามพึ่งสหายร่วมรบของเจ้าในสนามรบ ในการต่อสู้เสียงเป็นเสี่ยงตายเช่นนี้ สหายของเจ้าสามารถช่วยชีวิตเจ้าได้หากเจ้าตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน อย่ามุทะลุเพียงเพราะว่าตนนั้นแข็งแกร่ง อย่างที่สอง พยายามเก็บซ่อนท่าไม้ตายเอาไว้ตลอด แม้จะเป็นตอนที่สังหารศัตรูก็พยายามเก็บไว้ให้เป็นความลับ พวกอสูรเก็บข้อมูลของเทพอสูรทุกคน เมื่อความลับของเจ้าถูกเปิดเผย เจ้าก็จะตกอยู่ในอันตราย อย่าบอกใครเด็ดขาดว่าวิชาที่ดีที่สุดของเจ้าคืออะไร บอกไปคนหนึ่งก็จะกลายเป็นสองคน จากสองคนก็จะกลายเป็นสาม เป็นสิบ และก็จะมีคนรู้อีกมากมาย”
“แม้เทพอสูรจะต่อสู้เพื่อมนุษย์ชาติ แต่มันก็ยังมีคนทรยศ พวกมันร่วมมือกับอสูรหากมีผลประโยชน์บางอย่าง พยายามอย่าเปิดเผยความสามารถของเจ้ามากเกินไป เก็บพลังที่แท้จริงเอาไว้เป็นความลับ”
“ข้อที่สาม ยิ่งเจ้าแข็งแกร่งเท่าไหร่ ในสนามรบเจ้าก็จะยิ่งมั่นใจเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นก็อย่าประมาทเกินไป พยายามหาทุกโอกาสที่จะทำให้เจ้าแข็งแกร่งขึ้นให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้บนเขาหยวนชู ยิ่งเจ้าแข็งแกร่งเท่าไหร่ก็ยิ่งดี! ข้าได้เห็นเทพอสูรมากมายที่ต้องตาย จำเอาไว้ ยิ่งเจ้าแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี”
“ไม่จำเป็นต้องโศกเศร้าเสียใจให้กับการจากไปของข้า ชีวิตของข้าเริ่มมาจากคนที่ไม่ได้สำคัญอะไรเลย ในตอนที่ข้าได้เข้าถึงพลังข้าก็อายุ 22 ไปแล้ว ไม่มีโอกาสได้เข้ารับการทดสอบของเขาหยวนชูด้วยซ้ำ ข้าเป็นได้แค่ศิษย์นอก หลังจากที่ได้ผ่านประสบการณ์เฉียดตายมามากมายและด้วยโชคที่มากพอ ข้าก็ได้มาเป็นเทพอสูร บางครั้งสหายของข้าก็สกัดอสูรที่เข้ามาโจมตีข้า และทำให้ข้ายังมีชีวิตได้มาจนถึงวันนี้หลังจากแปดสิบปีของการเป็นเทพอสูร”
“ข้าขึ้นนำตระกูลเมิ่งเพื่อให้ตระกูลกลับมาเฉิดฉายอีกครั้ง จนทำให้กลายเป็นหนึ่งในตระกูลเทพอสูรทั้งห้าในเมืองตงหนิง ข้ารอดมาได้นานพอที่จะเห็นเจ้าเข้าสู่เขาหยวนชูก่อนตาย ข้าไม่มีอะไรติดค้างอีกแล้ว”
“เส้นทางของเทพอสูรนั้นยากลำบาก เจ้าต้องก้าวเดินไปอย่างระมัดระวัง ถ้าเป็นไปได้ก็สังหารราชาอสูรให้ได้เยอะๆ! หาเรื่องอะไรมาให้ข้าโม้ให้สหายเก่าของข้าฟังในโลกหน้าบ้างนะ”
เมิ่งชวนเต็มไปด้วยความเจ็บปวดขณะอ่านจดหมาย เขารู้ว่าย่าทวดของเขาได้จากไปอย่างสงบ แต่ว่าเขากลับรู้สึกแย่
เธอใช้เงินสะสมของตระกูลเพื่อแลกเป็นหยดไขกระดูกหยกเทพอสูร และเธอยังโอนแต้มทั้งหมดที่สะสมมาตลอดแปดสิบปีในฐานะเทพอสูรเพื่อช่วยให้เขาฝึกวิชาได้ไวมากขึ้นในเขาหยวนชูอีกด้วย
เธอส่งต่อทุกอย่างมาให้เขา
ท่านย่าทวด ข้าจะนำตระกูลให้ได้ดี ตาของเมิ่งชวนแดงนิดหน่อย เขามองไปที่ทะเลเมฆที่กว้างใหญ่และพูดเบาๆ “ข้าจะจดจำคำสอนทั้งสามอย่างของท่าน และข้าก็จะสังหารราชาอสูรให้มากกว่านี้ด้วย ท่านย่าทวด หลับให้สบายขอรับ”
เมิ่งชวนมองไปทางตะวันออก ราวกับเขาเห็นบ้านเกิดที่ย่าทวดของเขาได้จากไป
ย่าทวดของเขาจากไปแล้ว เทพอสูรเมิ่งหยาน ผู้ที่ตลอดชีวิตได้ปกป้องมนุษย์ชาติได้จากไปแล้ว หากเทียบกับสหายหลายๆคนของเธอแล้วเธอเป็นคนที่โชคดี ที่ได้กลับมาบ้านเกิดและเฝ้าดูเด็กรุ่นใหม่ที่มีความสามารถ และยังมีเหล่าคนในตระกูลคอยอยู่เคียงข้างก่อนตาย
…
เมิ่งชวนอ่านหนังสือในห้องสมุดต่อไปอีกสองสามวัน แม้ว่าเขาจะตัดสินใจเลือกฝึกร่างอสูรตัดสายฟ้าไปแล้วก็ตาม แต่เขาก็ยังอ่านหนังสือของร่างอสูรสมุทรนิรันดร์ ร่างเทพวายุอัสนี ร่างเทพสว่างโชติ และร่างเทพอสูรอื่นๆด้วยเช่นกัน
หลังจากอ่านจบ เขาก็ไปที่ศาลาชี้แนะ
“เจ้าตัดสินใจได้แล้วรึ?” ผู้อาวุโสอี่มองเมิ่งชวน “เมื่อเจ้าตัดสินใจไปแล้ว เจ้าจะเลือกร่างเทพอสูรร่างอื่นไมไ่ด้ไปอีกสามปีนะ”
“ขอรับ ข้ามั่นใจ” เมิ่งชวนพยักหน้า “ร่างอสูรตัดสายฟ้าขอรับ” แม้ว่าเขาจะฝึกร่างอสูรตัดสายฟ้าไม่ได้ แต่เขาก็สามารถเลือกร่างเทพอสูรระดับสูงแทนได้อยู่ดี ร่างเทพวายุอัสนี ส่วนร่างอสูรสมุทรนิรันดร์นั้นไม่ใช่แนวเขา
“ได้สิ” ผู้อาวุโสอี่พยักหน้าเล็กน้อย เพียงสะบัดมือก็มีหนังสือสีดำลอยมาจากชั้นหนังสือข้างๆ “นี่คือสูตรการฝึกของร่างอสูรตัดอัสนี จดจำมันไว้ และส่งมันกลับมาถ้าเจ้าเสร็จแล้ว”
เมิ่งชวนเปิดหนังสือเล่มหนานั่งขัดสมาธิลงอ่านตรงนั้น เขาเปิดมันออก มีตัวอักษรและภาพในนั้น มีพลังสายฟ้าและพลังวินาศปกคลุมอยู่ในทุกหน้ากระดาษ ในขณะที่เขาจมอยู่กับโลกของหนังสือ สติของเขาก็เข้าไปอยู่ในนั้นจริงๆ
รอบๆข้างดูพร่ามัว
จากนั้นเขาก็เห็นชายร่างสูงผมกระเซิงนั่งขัดสมาธิอยู่ เขาเป็นคนเดียวกับคนที่อยู่ในชิ้นส่วนกระบี่ตัดสายฟ้าที่เขามีเลย
กระแสพลังวินาศหนาเตอะกระจายออกมาจากร่างของเขา หมอกสีดำนั้นแผ่ออกไปทั่วทิศทางพร้อมกับสายฟ้าที่พันรอบตัวเขา
เขาลืมตาขึ้นมา และเมิ่งชวนก็สบตาเข้ากับเขา ข้อมูลจำนวนมหาศาลพวยพุ่งเข้ามา
มันเป็นวิธีการฝึกฝนของร่างอสูรตัดอัสนีอย่างละเอียด มันเหมือนกับที่ในหนังสือเขียนบรรยายเอาไว้ อย่างไรก็ตาม ภาพการฝึกวิชาเหล่านั้นกลายเป็นชายตรงหน้าแสดงให้ดูโดยตรง และมันก็ติดลึกอยู่ในความทรงจำของเมิ่งชวน
จากนั้นไม่นาน เมิ่งชวนก็กลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง
“เจ้าคงจะเสร็จแล้ว” ผู้อาวุโสอี่โบกมือและเก็บหนังสือเล่มหนาออกไป
เมิ่งชวนอดไม่ได้ที่จะพูดออกมา “นี่เป็นเพียงพื้นฐานของร่างอสูรตัดอัสนี มีแค่ข้อมูลของระดับยาเมฆา แดนอมตะและมหาสุริยัน นอกจากนั้นก็ไม่มีอีกเลย”
“นี่เป็นหนังสือเล่มแรกของร่างอสูรตัดอัสนี ข้อมูลของระดับเดือนมืดมิดและสูงกว่านั้นจะอยู่ในเล่มที่สอง” ผู้อาวุโสอี่ยิ้ม
“แล้วเล่มที่สองอยู่ไหนหรือขอรับ?” เมิ่งชวนถาม
“ถึงมันวางอยู่ตรงหน้าเจ้า เจ้าก็ยังเรียนรู้มันไม่ได้อยู่ดี” ผู้อาวุโสอี่ยิ้ม “เจ้าต้องควบแน่นแก่นสารแห่งจิตของเจ้าให้ได้ก่อนถึงจะได้รับมรดกเล่มที่สอง”
“ท่านผู้อาวุโสขอรับ แก่นสารแห่งจิตคืออะไรหรือขอรับ?” เมิ่งชวนถามออกมา เขาอ่านหนังสือมากมายในห้องสมุด แต่สิ่งที่เขารู้ก็มีแค่แก่นสารแห่งจิตคือกุญแจสำคัญในการเป็นเทพอสูรระดับเดือนมืดมิด
ผู้อาวุโสอี่ยิ้ม “มนุษย์นั้นมีจิตวิญญาณ พวกมันอยู่ในทะเลแห่งสติที่อยู่ระหว่างคิ้วของเจ้า แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถมองเห็นหรือรับรู้พวกมันได้ หากคนๆนั้นสามารถฝึกฝนจิตวิญญาณของตนได้ มันก็จะควบแน่นเป็นแก่นสารแห่งจิต และพวกเขาก็จะสามารถเห็นวิญญาณของตนได้ มีเพียงศิษย์ของเขาหยวนชูที่ไปถึงระดับมหาสุริยันเท่านั้นถึงจะเรียนรู้วิธีการฝึกฝนแก่นสารแห่งจิต ถึงข้าจะมอบให้เจ้าเสียตั้งแต่ตอนนี้ แต่เจ้าก็จะไม่สามารถฝึกฝนจิตวิญญาณได้อยู่ดี”
เมิ่งชวนหวั่นใจ
‘มนุษย์มีจิตวิญญาณที่อยู่ท่ามกลางทะเลแห่งสติในระหว่างคิ้วหรือ? มันไม่สามารถรับรู้หรือมองเห็นได้? และเมื่อควบแน่นแก่นสารแห่งจิตได้ก็จะสามารถมองเห็นจิตวิญญาณได้อย่างนั้นหรือ?’
คนตัวเล็กที่อยู่ตรงหว่างคิ้วของข้านั้นคือแก่นสารแห่งจิต? เมิ่งชวนได้แต่เดา จากที่ผู้อาวุโสอี่กล่าว การฝึกฝนแก่นสารนั้นทางเขาหยวนชูจะมอบให้แก่เทพอสูรระดับมหาสุริยันเท่านั้น
“พวกอสูรเองก็พยายามตามหาความลับของแก่นสารแห่งจิตเช่นกัน เพราะฉะนั้นเจ้าต้องเก็บมันเป็นความลับหากเจ้าได้เรียนเรื่องของแก่นสารแห่งจิตไปแล้ว” ผู้อาวุโสอี่กล่าว “หากเจ้าเผยแพร่ความลับนั้น จะถือว่าเจ้าเป็นผู้ทรยศในทันที”
“ขอรับ” เมิ่งชวนพยักหน้า “มีเพียงเทพอสูรระดับมหาสุริยันเท่านั้นที่จะฝึกแก่นสารแห่งจิตได้อย่างนั้นหรือขอรับ?”
“จิตวิญญาณนั้นติดตัวพวกเรามาตั้งแต่เกิด” ผู้อาวุโสอี่กล่าว “บางคนเกิดมาพร้อมกับวิญญาณที่อ่อนแอ บางคนก็เกิดมาพร้อมกับวิญญาณที่แข็งแกร่ง อันที่จริงแล้วในประวัติศาสตร์ก็เคยมีคนที่เกิดมาพร้อมกับแก่นสารแห่งจิตด้วยเช่นกัน แน่นอนว่าหากมีอัจฉริยะอย่างนั้นปรากฏตัวขึ้นมาจริงๆ เหล่าอสูรคงจะยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อที่จะลอบสังหารเขาให้ได้เป็นแน่ สามพันปีที่ผ่านมานี้ พวกเราไม่เคยได้ข่าวว่ามีใครเกิดมาพร้อมกับแก่นสารแห่งจิตอีกเลย ทุกๆคนฝึกฝนจิตวิญญาณได้หลังจากถึงระดับมหาสุริยันกันทั้งนั้น หลังจากพยายามอย่างหนักหลายปี พวกเขาก็จะสามารถควบแน่นแก่นสารแห่งจิตขึ้นมาได้”
“เทพอสูรระดับมหาสุริยันจำนวนมากติดอยู่ในขั้นควบแน่นแก่นสารแห่งจิตนั่นแหละ จึงทำให้พวกเขากส่วนมากกลายเป็นเทพอสูรระดับเดือนมืดมิดไม่ได้ อธิบายเรื่องนี้มากไปก็ไม่ได้อะไรในตอนนี้ มันยังไวไปสำหรับเจ้า” ผู้อาวุโสอี่โบกมืออีกครั้ง หนังสือกองหนึ่งสิบเล่มลอยมา
“หนังสือทั้งสิบเล่มนี้เป็นบันทึกข้อมูลจากศิษย์ของเขาหยวนชูที่ฝึกร่างอสูรตัดอัสนีตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ พวกมันละเอียดมาก มันน่าจะตอบทุกคำถามที่เจ้าจะมีในการฝึกได้” ผู้อาวุโสอี่ส่งหนังสือสิบเล่มให้เมิ่งชวน “เจ้าสามารถเอาหนังสือสิบเล่มนี้กลับไปได้ แต่อย่าเอาลงจากเขา” เมื่อพูดจบเขาก็หลับตาทำสมาธิต่อ
“ขอรับ” เมิ่งชวนรับไปด้วยท่าทางนอบน้อม “ข้าขอลา”
จากนั้นเขาก็ออกจากศาลาชี้แนะไป
หลังจากที่เมิ่งชวนจากไป ผู้อาวุโสอี่ก็เปิดตาขึ้นและมองออกไป เขากระซิบกับตัวเอง “จิตรับรู้ของเขาสูงมาก เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในหลายร้อยปี หรือว่าเขาจะเกิดมาพร้อมกับแก่นสารแห่งจิตกันนะ? บางทีข้าคงจะคิดมากเกินไป ถึงอย่างไรข้าก็บอกทุกอย่างที่จำเป็นไปแล้ว” จากนั้นเขาก็หลับตา
…
‘ในสามพันปีที่ผ่านมา พวกเราไม่เคยได้ยินข่าวคราวว่ามีใครเคยเกิดมาพร้อมกับแก่นสารแห่งจิตเลย เทพอสูรทุกคนต่างฝึกฝนแก่นสารแห่งจิตในระดับมหาสุริยัน’ เมิ่งชวนรู้สึกหวั่นใจด้วยความกลัวอย่างช่วยไม่ได้หลังจากที่ออกมาจากศาลาชี้แนะ ‘ถ้าหากพวกอสูรรู้เรื่องนี้เขา พวกมันจะพยายามทุกวิถีทางเพื่อลอบสังหารเขาน่ะหรือ? โชคดีที่ข้าเชื่อฟังที่ท่านย่าทวดบอก ข้าไม่ได้ใช้พลังแห่งวิญญาณต่อหน้าคนอื่นๆในการสอบเข้า’
‘ถึงอย่างนั้น ผู้อาวุโสอี่ตั้งใจบอกเรื่องนี้กับข้าหรือเปล่า? หรือมันแค่เรื่องบังเอิญ ไม่ ผู้อาวุโสอี่เป็นเทพอสูรระดับราชา เป็นแผ่นหลังของมนุษย์ชาติ เขาต่อสู้เพื่อมนุษย์มาทั้งชีวิตจนกว่าชีวิตจะหาไม่ ไม่จำเป็นที่จะต้องถามถึงความซื่อสัตย์ของเขาแม้แต่น้อย ไม่ว่าเขาจะตั้งใจบอกมาหรือไม่ แต่มันก็เป็นคำแนะนำจากความปราถนาดี’
…
เมิ่งชวนเลือกร่างเทพอสูรของเขาได้เร็วกว่าศิษย์คนอื่นๆมาก อัจฉริยะคนอื่นๆค่อยๆตัดสินใจได้ทีละคน
“ข้าเลือกร่างอสูรกายาทรงพลังขอรับ” ชี่หยวนถงกล่าวด้วยความนอบน้อม
“ชี่หยวนถง เจ้ามาจากตระกูลชี่ เจ้าคงจะรู้ว่าการที่ไปหยุดอยู่ที่ขั้นที่ 17 บนแท่นบูชาแห่งความมืดหมายความว่าอย่างไรสินะ” ผู้อาวุโสอี่กล่าว
ชี่หยวนถงก้มหน้า”ข้าเข้าใจขอรับ”
“พลัวมตของเจ้ายังอ่อน แต่ว่าเจ้านั้นทำได้ยอดเยี่ยมในด้านอื่นๆ เพราะเหตุนั้นเขาหยวนชูจึงให้โอกาสเจ้า” ผู้อาวุโสอี่กล่าว “แต่หากเจ้าไม่สามารถทดแทนพลังใจที่หายไปได้ เจ้าก็คงไปได้ไม่ถึงระดับมหาสุริยันหรอก”
ชี่หยวนถงเงียบลง หากเขาไม่ได้เป็นเทพอสูรระดับมหาสุริยันมันคงจะน่าขายหน้ามาก
“ดังนั้น เขาหยวนชูจึงตัดสินใจว่าจะส่งเจ้าลงจากภูเขาไปด่านหยุนไท่หยางหลังจากเจ้าจดจำร่างเทพอสูรของเจ้าได้แล้ว เจ้าจะได้เป็นส่วนหนึ่งของแนวหน้าและเข้ารับราชการทหารเป็นเวลาหนึ่งปี” ผู้อาวุโสอี่กล่าว “ข้าหวังว่าสนามรบจะช่วยหล่อหลอมเจ้าด้วยสถานการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายนั้นได้ อีกหนึ่งปีเจ้าจะได้กลับมาสู่เขาหยวนชู”
“ขอรับ” ชี่หยวนถงไม่ลังเลเลย เขาต้องการที่จะชดเชยข้อบกพร่องนี้จริงๆ
หลังจากที่ชี่หยวนถงได้รับมรดกร่างเทพอสูรกายาทรงพลัง เขาก็ลงจากเขาและมุ่งหน้าไปยังด่านหยุนไท่หยางในทันที
กองรบแนวหน้าพบเจออันตรายมากที่สุดที่หน้าประตูเมือง โอกาสตายนั้นสูงมากที่สุด ชี่หยวนถงต้องไปประจำอยู่ที่นั่นเป็นเวลาหนึ่งปี นี่เป็นเพียงแผนส่วนแรกที่เขาหยวนชูเตรียมไว้ให้ชี่หยวนถง หากว่าพลังใจของเขายังคงไม่เพียงพอ ยังมีอีกหลายสิ่งที่รอคอยเขาอยู่….
ในฐานะอัจฉริยะที่เขาหยวนชูให้ค่า พวกเขาจะคอยดูแลและปล่อยให้เขาเติบโต
…
“ข้าเลือกร่างเทพบัวฟ้าขอรับ” เหยีนจินกล่าวเมื่อเข้าไปถึงศาลาชี้แนะ
“ข้าเลือกร่างเทพสองโลกขอรับ” เหยียนชื่อถงอายุสิบสามปีตัดสินใจได้แล้ว
“ร่างอสูรทรายดำขอรับ” จัวเซี่ยวบอกกับผู้อาวุโสอี่
“ร่างเทพเขาหยวนชูเจ้าค่ะ” เจ้าหญิงหลี่อิ๋งตัดสินใจเลือกได้ในที่สุด
…
เหล่าอัจฉริยะต่างได้เลือกเส้นทางของพวกเขาในอนาคต แต่ถึงอย่างนั้นตามที่เคยมีๆมา ส่วนมากพวกเขาก็จะฝึกฝนร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษได้ไม่สำเร็จ ในอีกสามปี พวกเขาก็จะเปลี่ยนไปฝึกร่างเทพอสูรระดับสูงแทน นี่เป็นเพราะร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษมีเงื่อนไขที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งนั่นก็คือการความเชี่ยวชาญระดับสำนึก และการไปให้ถึงระดับสำนึกนั้นมันเป็นสิ่งที่ขวางกั้นศิษย์ใหม่จำนวนมากเอาไว้
แต่ละคนต่างมีชะตาเป็นของตน
ไม่มีใครบอกได้ว่าพวกเขาเหล่านี้จะเติบโตไปได้ถึงขนาดไหน
จบภาค เขาหยวนชู
ตอนที่ 93 แต้ม
เหล่าศิษย์ใหม่นั่งอ่านหนังสือกันต่อเนื่องโดยไม่หยุดหย่อน อย่างคนที่ฝึกร่างเทพวารีจะสามารถเลือกร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษได้หกร่าง เหยียนจินที่ฝึกร่างเทพเพลิงน้ำแข็งสามารถเลือกร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษได้สี่ร่าง ได้แก่ ร่างเทพสองโลก ร่างเทพบัวฟ้า ร่างเทพวัฏสังสารและร่างเทพหยวนชู
ร่างเทพหยวนชูเกิดขึ้นมาโดยผู้ที่ก่อตั้งเขาหยวนชูขึ้นมา ถ้ำสวรรค์ทรายดำและเกาะสองโลกเองก็มีร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษเป็นของตัวเองเหมือนกัน
และเทพอสูรที่ทรงพลังจากอดีตคนอื่นๆก็ได้สร้างร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษอีกเก้าร่างขึ้นมา
ในแง่ของความยากในการฝึก ไม่จำเป็นต้องนับรวมร่างเทพวิหคเพลิงและร่างเทพมังกร เพราะว่าถ้าสายเลือดนั้นถูกปลุกขึ้นมาก็จะฝึกฝนได้โดยง่าย แต่หากไม่มีสายเลือดอยู่ ก็จะไม่มีทางที่จะฝึกร่างเทพอสูรนั้นได้เลย
ส่วนร่างอสูรกายาทรงพลัง ร่างอสูรสิบสามกระบี่วินาศ ร่างอสูรตัดสายฟ้า ร่างเทพหยวนชูและร่างเทพวัฏสังสารนั้น พวกมันฝึกฝนได้ยากพอๆกัน
ร่างเทพบัวฟ้า ร่างเทพกายาอมตะ ร่างอสูรสมุทรนิรันดร์ ร่างอสูรทรายดำและร่างเทพสองโลกนั้นยากลงมาหนึ่งขึ้น แต่ว่าความแข็งแกร่งก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน เพราะเหตุนั้น จึงมีหลายคนที่เลือกจะฝึกห้าร่างอย่างหลังมากกว่า
…
แต่ถึงอย่างนั้นเมิ่งชวนก็ไม่สนใจ
‘ไม่จำเป็นที่จะต้องเลือกร่างเทพอสูรระดับสูงเลย ร่างอสูรมายาสามารถควบคุมจิตใจของศัตรูได้ การฝึกฝนร่างเทพสว่างโชตินั้นเจ็บปวดที่สุด ร่างอสูรนานาพิษนั้นจำเป็นต้องเรียนรู้พิษหลายๆชนิด พวกมันไม่เหมาะสำหรับข้าในฐานะนักกระบี่เท่าไหร่’
‘ร่างอสูรอัสนีวารี ร่างเทพวายุอัสนี และร่างอสูรเงาลวงเองก็ด้อยกว่าร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษทั้งสองที่ข้าเลือกได้อยู่มาก ร่างอสูรสมุทรนิรันดร์ดีเยี่ยมในการคลุกวงในแต่ว่าความเร็วนั้นกลับอยู่ระดับกลางๆ ข้าเรียนวิชากระบี่เร็วมาตั้งแต่เด็ก ข้าจะยอมทิ้งมันไปได้อย่างไร?’
‘เพราะอย่างนั้นข้าเลยมีทางเลือกเดียว ร่างอสูรตัดสายฟ้า’
สิ่งนี้เหมาะกับเขาที่สุด
หลังจากตัดสินใจแล้วเมิ่งชวนก็อ่านหนังสือต่อ การอ่านนั้นช่วยเปิดโลกกว้างของคนเราได้
อย่างเช่น ในตอนที่สายวิชาร่างกายาเทพอสูรเริ่มปรากฏขึ้นในหนังสือ ในตอนนั้นก็เป็นเวลากว่า800ปีที่อสูรได้เริ่มบุกรุกเข้ามา
มนุษย์ตระหนักได้ว่าอสูรนั้นแข็งแกร่งกว่ามนุษย์มากในเรื่องของพลังกายภาพ แม้ว่าในเรื่องของพละกำลังเทพอสูรของมนุษย์จะไม่ด้อยไปกว่าราชาอสูรเลย แต่ว่าร่างกายของพวกเขานั้นอ่อนแอกว่าตามธรรมชาติ
ดังนั้น เทพอสูรมนุษย์บางคนก็ได้เริ่มที่จะสร้างสายวิชากายาเทพอสูรขึ้นมา พวกเขาพยายามทำให้ร่างของตนเทียบเคียงได้กับอาวุธศักดิ์สิทธิ์และสมบัติสวรรค์ แต่ว่าความพยายามเหล่านี้กลับมีบันทึกเอาไว้แค่เพียงไม่กี่ร้อยปี สายวิชานี้นั้นไม่สมบูรณ์มากๆ ระดับขั้นที่สูงที่สุดที่คาดเอาไว้ก็คือระดับมหาสุริยัน แต่คนจำนวนมากที่ฝึกกายาเทพอสูรนั้นไปไม่ถึงระดับมหาสุริยันด้วยซ้ำ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังต้องใช้สมบัติสมุนไพรและทรัพยากรจำนวนมากอีกด้วย นั่นจึงทำให้นิกายใหญ่ทั้งสามสั่งห้ามไม่ให้ศิษย์ในเรียนสายวิชากายาเทพอสูร ปล่อยให้ศิษย์นอกเป็นตัวทดลองไปก่อนดีกว่าเยอะ
เทพอสูรแบ่งออกเป็นห้าระดับ เมิ่งชวนดูข้อมูลเกี่ยวกับเทพอสูร
ระดับยาเมฆา ระดับกายาอมตะ ระดับมหาสุริยัน ระดับเดือนมืดมิด และระดับไร้ขอบเขต เทพอสูรระดับเดือนมืดมิดคือเทพอสูรขุนนางทั้งหลาย และระดับไร้ขอบเขตคือเทพอสูรระดับราชา
ยาเมฆา กายาอมตะ มหาสุริยัน…. ในสามระดับนี้ หากสู้กันก็ยังมีโอกาสที่คนระดับต่ำกว่าจะสู้ได้ แต่ว่าการให้เทพอสูรระดับมหาสุริยันสู้กับเทพอสูรระดับเดือนมืดมิดนั้นมันเป็นไปไม่ได้ แค่รอดออกมาได้ก็น่าประหลาดใจมากแล้ว ความต่างระหว่างทั้งสองระดับนั้นมากเกินไป มันยากมากๆที่จะผ่านจากระดับมหาสุริยันไปเป็นระดับเดือนมืดมิด ยากเสียยิ่งกว่าการเป็นเทพอสูรซะอีก เมิ่งชวนประหลาดใจมากๆเมื่ออ่านถึงตรงนั้น
ระดับมหาสุริยันนั้นด้อยกว่าระดับเดือนมืดมิดมาก
และการจะผ่านไปได้นั้นก็ยากมากๆเช่นกัน
แค่เทพอสูรระดับมหาสุริยันก็มีน้อยมากอยู่แล้ว อย่างเมิ่งเซียนกู หวินว่านไห่และศิษย์นอกหลายๆคน พวกเขาไม่สามารถไปถึงระดับมหาสุริยันได้ตลอดชีวิต ส่วนศิษย์ของเขาหยวนชูนั้น หากพวกเขาไม่ตายเสียก่อน ส่วนมากก็จะได้เป็นเทพอสูรระดับมหาสุริยัน อย่างไรก็ตาม มีเพียงเทพอสูรระดับมหาสุริยันหนึ่งในสิบห้าคนเท่านั้นที่จะได้เป็นเทพอสูรระดับเดือนมืดมิด แค่อัตราการบรรลุก็น้อยมากๆแล้ว
จอมยุทธมนุษย์ระดับควบแน่นแก่นแท้มีโอกาสที่จะขึ้นเป็นเทพอสูรได้น้อยเพราะว่าพวกเขาไม่มีโอกาสที่ได้ลงบ่อโลหิตเทพอสูร หากทุกคนมีโอกาสได้ลงบ่อโลหิตเทพอสูรและเผชิญห้วงแห่งความเป็นตาย ก็คงจะมีเทพอสูรเยอะมากกว่านี้แล้ว
กลับกัน การที่เทพอสูรระดับมหาสุริยันบรรลุเป็นเทพอสูรระดับเดือนมืดมิดนั้นมันก็แค่ยากเกินไปเท่านั้นเอง
‘แก่นสารแห่งจิต?’ ใจเมิ่งชวนปั่นป่วน
มีอุปสรรคมากมายที่ขวางกั้นการไปถึงระดับเดือนมืดมิดได้ หนึ่งในนั้นคือแก่นสารแห่งจิต เพียงควบแน่นแก่นสารแห่งจิตได้ ก็จะทำให้คนๆนั้นมีโอกาสที่จะได้เป็นเทพอสูรระดับเดือนมืดมิดแล้ว หากทำไม่ได้ทั้งชีวิตก็อย่าหวังเลยว่าจะได้บรรลุ เทพอสูรระดับมหาสุริยันหลายคนต่างติดอยู่ตรงขั้นนี้
‘แก่นสารแห่งจิตคืออะไร?’ คำอธิบายในหนังสือมันคลุมเครือเกินไป หลังจากที่ได้อ่านประโยคนั้น ในหัวของเมิ่งชวนก็เต็มไปด้วยความงุนงง เขายังคงหาข้อมูลเพิ่มในหนังสือเล่มอื่นๆ
แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็เจอหนังสือเพียงไม่กี่เล่มเท่านั้นที่พูดถึงแก่นสารแห่งจิต เมิ่งชวนอ่านไปกว่าร้อยเล่ม เขาอ่านหนังสือเกี่ยวกับร่างอสูรตัดสายฟ้า แต่ว่าเขาก็ไม่เจอข้อมูลเบื้องลึกของแก่นสารแห่งจิตเลย
ผ่านมาหนึ่งวันเต็มๆแล้ว เมิ่งชวนมองออกไปนอกถ้ำ ท้องฟ้ากลับมาสว่างอีกครั้งแล้ว เขาเดินไปหาเหยียนจินและแตะไหล่เบาๆ
เหยียนจินเงยหน้าขึ้นมามองเมิ่งชวนก่อนจะก้มกลับไปอ่านหนังสือต่อ “เจ้ากลับไปก่อนเลย ข้ายังตัดสินใจเลือกร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษไม่ได้”
เมิ่งชวนพยักหน้า
เหยียนจินสามารถเลือกร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษได้สี่ร่าง ต่างกับเขาที่ตัดสินใจไปได้ก่อนแล้ว
หลังจากที่เมิ่งชวนออกมาจากห้องสมุดก็พบว่ายังมีอีกสิบแปดคนที่ยังคงอ่านหนังสือต่อ พวกเขาเลือกร่างเทพอสูรที่จะฝึกไม่ได้ ศิษย์ใหม่เหล่านี้ไม่อยากจะหลับด้วยซ้ำ แค่โต้รุ่งไม่กี่วันสำหรับพวกเขามันสบายๆอยู่แล้ว เพราะไม่ว่ายังไงเหล่าคนรับใช้ก็จะคอยเอาอาหารและน้ำมาให้ถึงที่
ฟุบ
เมิ่งชวนเดินไปรอบๆยอดหวงซุนจิงอย่างรวดเร็ว ไม่นานเขาก็ไปถึงอาคารขนาดใหญ่หลังหนึ่ง มันมีถึงแปดชั้นและคนรับใช้มากมายที่อยู่ในนั้น
“ข้ามารับยากับสมบัติสมุนไพรของเดือนนี้” เมิ่งชวนเดินเข้าไป ชายชุดคลุมสีฟ้าที่ยืนอยู่ตรงหน้าเคาน์เตอร์ยิ้มและพูด “ท่านเมิ่ง ขอดูตราประจำตัวของท่านหน่อยขอรับ”
เมิ่งชวนหยิบตราประจำตัวของเขาออกมา
หลังจากชายชุดสีฟ้ารับไป ก็มีคนรับใช้คนหนึ่งเอากล่องไม้สีดำมาให้อย่างรวดเร็ว ตราประจำตัวแตะเข้ากับกล่องไม้สีดำ พลังปราณไหลเข้าไปในกล่องและมันก็เปิดขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติ
“ท่านเมิ่งชวน ท่านได้ที่หนึ่งของการสอบเข้าปีนี้ ท่านเจ้าเขาได้มอบยาและสมบัติสมุนไพรระดับสูงให้ท่านเป็นพิเศษ ท่านจะได้ยาพันดาราสิบเม็ดและสามพันแต้มทุกๆเดือน และผลอัสนีวิบัติทุกๆครึ่งปีขอรับ” ชายชุดคลุมสีฟ้ายิ้มก่อนจะหยิบหนังสือสีดำออกมาและส่งให้เมิ่งชวน “แต้มเหล่านี้สามารถแลกเป็นสมบัติสมุนไพรอย่างใดก็ได้ ราคาสำหรับแลกเปลี่ยนอยู่ในหนังสือนี้ขอรับ”
เมิ่งชวนเปิดดู
อ่านตอนล่าสุดที่ mynovel.co หรือ www.thai-novel.com
ยาที่ต้องกินอยู่เรื่อยๆนั้นจัดได้ว่าถูก ใช้แค่ไม่กี่แต้มก็แลกได้แล้ว อย่างเช่น ยาพันดาราหนึ่งเม็ดใช้แค่ห้าสิบแต้ม
สำหรับสมบัติสมุนไพรหายากนั้น พวกมันมีค่ามากกว่านั้น เช่นผลหัวใจเหมันต์ต้องใช้ถึง 38000 แต้ม ไขกระดูกหยกเทพอสูรหนึ่งหยดก็ต้องใช้ 102000 แต้ม หญ้าวิญญาณดารามีราคาอยูที่ 50000 แต้ม ในตอนนี้เขาหยวนชูมีหญ้าวิญญาณดาราอยู่แค่สองอันเท่านั้น แน่นอนว่าสมบัติสมุนไพรพวกนี้มีไว้ทำให้รากฐานเทพอสูรนั้นแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
‘ยา สมบัติสมุนไพรหายาก ขนาดพลังวินาศทุกอันในโลกนี้ยังมีให้แลกเลย โอ๊ะ?’ เมิ่งชวนเปิดดูด้านหลัง ตาเขาเป็นประกาย ‘เขาหยวนชูมีพื้นที่ฝึกพิเศษมากมายจริงๆ’
หากต้องการจะฝึกในพื้นที่ฝึกพิเศษจะต้องใช้แต้ม อย่างเช่นแท่นบูชาแห่งความมืดที่เอาไว้ฝึกฝนจิตใจของเรา การขึ้นแท่นบูชาแห่งความมืดหนึ่งครั้งต้องใช้ 100 แต้ม บ่อพลังแม่เหล็กวินาศก็ใช้ 100 แต้มต่อวัน บึงนานาพิษก็ใช้ 300 แต้มต่อวัน
…
เพราะการฝึกวิชาในที่เหล่านี้มันทำให้ร่อยหรอลง อย่างเช่นพลังวินาศ พิษหายาก หรือขนาดหมอกดำปริศนาจากแท่นบูชาแห่งความมืดก็จะค่อยๆหายไปจากการฝึกฝนเลย ยิ่งเดินขึ้นไปบนแท่นบูชาสูงเท่าไหร่ก็จะยิ่งดูดซึมหมอกเข้าไปมากเท่านั้น และเมื่อไปถึงยอดของแท่นบูชาแห่งความมืดก็จะดูดกลืนหมอกเข้าไปอย่างมหาศาล เมื่อศิษย์คนนั้นไปถึงยอดแล้ว เขาหยวนชูก็จะสั่งห้ามไม่ให้ศิษย์คนนั้นปีนแท่นบูชาอีก
ดังนั้นศิษย์ของเขาหยวนชูจึงต้องใช้แต้มของพวกเขาเพื่อแลกเปลี่ยนกับทรัพยากรและพื้นที่ในการฝึกฝนวิชา และเขาหยวนชูก็จะแจกแต้มเหล่านี้ทุกๆเดือน
“ทุกๆเดือน จะมีการแจกจ่ายสมบัติสมุนไพรและแต้ม เขาหยวนชูจะแจกให้เป็นเวลายี่สิบปีโดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆขอรับ” ชายชุดสีฟ้ากล่าวด้วยรอยยิ้ม “หากท่านสามารถผ่านถ้ำมหัศจรรย์ทั้งเก้าได้ในสิบปีและได้ลงจากเขาหยวนชู สมบัติสมุนไพรและแต้มที่เหลืออยู่ของอีกสิบปีที่เหลือจะถูกนำมาให้ท่านทีเดียวขอรับ”
เมิ่งชวนพยักหน้าเล็กน้อย พวกเขาไม่จำเป็นต้องไปเป็นทหาร พวกเขาไม่จำเป็นต้องเสี่ยงชีวิต แต่ได้รับการฝึกวิชาในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย อย่างไรก็ตาม นี่ก็เป็นแค่ช่วงเวลาแห่งความสงบสุขเล็กๆก่อนการเป็นเทพอสูร เมื่อพวกเขาผ่านถ้ำมหัศจรรย์ทั้งเก้าได้แล้ว พวกเขาก็ต้องเริ่มปกป้องมนุษย์ชาติ
“ท่านเมิ่งชวน ท่านยังมีแต้มอีก 185200 แต้มอยู่ในนามของท่านขอรับ” ชายชุดคลุมสีฟ้ากล่าว
“ข้ามีมากขนาดนั้นเลยงั้นรึ” เมิ่งชวนตะลึง เขาได้สมบัติสมุนไพรและแต้มต่อเดือนที่เยอะที่สุดก็จริง แต่มันก็แค่ 3000 ทุกๆเดือน หรือปีละ 36000
“เทพอสูรเมิ่งหยานได้โอนแต้มทั้งหมด 182200 แต้มของเธอให้ท่านขอรับ” ชายชุดคลุมสีฟ้ากล่าว
“ท่านย่าทวด?” เมิ่งชวนเงียบลง เขานึกขึ้นมาได้ว่าย่าทวดบอกเอาไว้ว่าจะโอนแต้มมาให้เขา
นี่คือแต้มทั้งหมดของย่าทวดเขาที่เก็บสะสมมาตลอดแปดสิบปีของการเป็นเทพอสูร นี่คงจะรวมไปถึงแต้มที่ได้รับจากการบุกรุกของอสูรในเมืองตงหนิงด้วย
“อีกอย่างนะขอรับ มีจดหมายจากครอบครัวท่านด้วย ท่านเมิ่งชวน” ชายชุดคลุมสีฟ้ายื่นจดหมายให้เขา
ตอนที่ 92 ผันผ่าน
ต่อมาไม่นาน
หญิงสาวชุดสีฟ้าพาศิษย์ใหม่ทั้ง21ไปที่ถ้ำขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง มีข้ารับใช้คอยเฝ้าอยู่หน้าถ้ำสองคน เมื่อพวกเขาเห็นคนที่เดินเข้ามาก็รีบก้มหัวทักทายในทันที “คารวะท่านๆทั้งหลาย”
เหล่าคนรับใช้นั้นเป็นเพียงคนธรรมดา พวกเขาคอยจัดการเรื่องจุกจิกในชีวิตประจำวันที่เขาหยวนชูและจะทักทายเหล่าศิษย์ในด้วยความเคารพ
“ตามข้ามา” หญิงสาวสีฟ้าเดินนำไป
เมิ่งชวนและคนอื่นๆเข้าไปในถ้ำ ข้างในนั้นคือช่องขนาดใหญ่ในภูเขา ผนังถ้ำประดับด้วยไข่มุกสีรุ้งขนาดมหึมา มันเปล่งแสงอ่อนๆอยู๋ตามผนังถ้ำ ที่ๆซึ่งมีชั้นหนังสือขนาดใหญ่ที่ถูกเทพอสูรทำขึ้น ชั้นหนังสือนั้นมีหนังสืออัดแน่น มีกว่าหมื่นเล่มในถ้ำแห่งนี้
หลังจากที่หญิงสาวชุดสีฟ้าเดินเข้าไป เธอก็นั่งขัดสมาธิลงบนก้อนหินก้อนหนึ่งและหันมามองเมิ่งชวนกับคนอื่นๆก่อนจะยิ้ม “พวกเจ้าเรียกข้าว่าอาจารย์น้าจิงยู่ก็ได้”
“คารวะอาจารย์น้าจิงยู่” เมิ่งชวนและคนอื่นๆพูดทักทายด้วยความเคารพ
“ศิษย์ของเขาหยวนชูจะต้องเป็นเทพอสูรขั้นสูงไม่ก็ขั้นสูงพิเศษ” หญิงสาวชุดสีฟ้ากล่าวด้วยรอยยิ้ม “เพวกเจ้าพึ่งจะได้เข้าร่วมนิกาย ข้าหวังว่าพวกเจ้าคงจะมีความมุ่งมั่นที่ยิ่งใหญ่ อย่างการเป็นเทพอสูรขั้นสูงพิเศษให้ได้”
นัยย์ตาของเมิ่งชวน เหยียนจิน หลี่อิ๋ง จินฮ้วนและเหยียนซื่อท่งเป็นประกาย
แน่นอนอยู่แล้วว่าพวกเขาอยากจะแข็งแกร่งที่สุด
“ร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษนั้นมีทั้งหมด12ร่าง อย่างเช่นร่างอสูรสิบสามกระบี่วินาศ ร่างอสูรสมุทรนิรันดร์ ร่างเทพบัวฟ้า ฯลฯ” หญิงสาวชุดสีฟ้ายิ้ม จากนั้นเธอก็โบกมือก่อนที่หนังสือจะลอยออกมาจากชั้นหนังสือไปหาเมิ่งชวนและคนอื่นๆ “พวกเจ้าทุกคนเอาหนังสือนี้ไปได้ อ่านมันให้ละเอียด ศิษย์ใหม่ทุกคนต้องอ่านหนังสือเล่มนี้ก่อนเป็นอย่างแรก”
เมิ่งชวนรับหนังสือมา
เป็นหนังสือสีดำทำมาจากวัตถุดิบพิเศษ ตรงปกมีคำเขียนเอาไว้อยู่ “รวมเคล็ดเทพอสูร”
“หนังสือรวมเคล็ดเทพอสูรนี้มีข้อมูลอย่างละเอียดของร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษทั้ง12ร่างและร่างเทพอสูรระดับสูงทั้ง27ร่างเขียนเอาไว้ จงอ่านมันเสียก่อน” หญิงสาวชุดสีฟ้ากล่าว “มีหนังสือมากมายที่เกี่ยวกับเคล็ดร่างเทพอสูรระดับสูงและสูงพิเศษอยู่มาก พวกมันถูกจัดเรียงเอาไว้แล้ว พวกเจ้าสามารถศึกษาได้ ลองคิดถึงเคล็ดร่างเทพอสูรที่พวกเจ้าต้องการและเลือกให้ดี”
“เพราะไม่ว่าอย่างไร ร่างเทพอสูรบางร่างก็เด่นในเรื่องของความอดทน บางร่างเหมาะแก่นักเกาฑัณฑ์ บางร่างเหมาะแก่การสู้ระยะประชิด ในขณะที่บางร่างอาจจะเหมาะสำหรับการลอบสังหาร ที่หากพิฆาตในกระบี่เดียวไม่ได้ ก็จะสามารถหนีไปไกลกว่าพันจั้งได้อย่างรวดเร็ว
“เคล็ดเทพอสูรที่เจ้าฝึกจะเป็นเส้นทางของเจ้าไปตลอดชีวิต เจ้าต้องพิจารณามันอย่างรอบคอบ เมื่อเจ้าเลือกเคล็ดได้แล้ว เจ้าจะต้องฝึกฝนเคล็ดวิชานั้นเป็นเวลาอย่างน้อยสามปี เจ้าจะเปลี่ยนเคล็ดวิชาที่เจ้าฝึกได้ก็ต่อเมื่อเคล็ดที่เจ้าเคยฝึกนั้นล้มเหลว” หญิงสาวที่สวมชุดสีฟ้ากล่าว “คิดให้รอบคอบ แม้ว่าเจ้าจะใช้เวลาครึ่งเดือนเพื่อคิดก็ยังคุ้มค่าอยู่ดี”
เมิ่งชวนและคนอื่นๆเข้าใจความสำคัญในการเลือกเคล็ดร่างเทพอสูรอย่างดี พวกเขานั่งขัดสมาธิอ่านหนังสือในมืออย่างตั้งใจ
เมิ่งชวนอ่านคำแนะนำของร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษในทันที
ซึ่งได้แก่ ร่างอสูรสิบสามกระบี่วินาศ ร่างอสูรกายาทรงพลัง ร่างเทพวัฏสังสาร ร่างเทพบัวฟ้า ร่างเทพหยวนชู ร่างเทพวิหคเพลิง ร่างเทพมังกร ร่างอสูรสมุทรนิรันดร์ ร่างอสูรตัดสายฟ้า ร่างเทพสองโลก ร่างอสูรทรายดำ และร่างเทพกายาอมตะ ร่างเหล่านี้เป็นร่างที่ทรงพลังมากและยากที่จะฝึกฝน
ร่างอสูรสิบสามกระบี่วินาศเรียกได้ว่าเป็นร่างเทพอสูรที่แข็งแกร่งที่สุดในการสู้ตัวต่อตัว มีเพียงคนที่ฝึกร่างเทพวายุหรือกายาทองคำเท่านั้นถึงจะฝึกได้ และต้องเข้าถึงสำนึกกระบี่ให้ได้ก่อนจะเรียนรู้เคล็ดนี้ กระแสพลังสิบสามวินาศนั้นจะก่อตัวเป็นกระบี่วินาศทั้งสิบสามต่อเมื่อมันหลอมรวมเข้ากับสำนึกกระบี่ของคนๆนั้นเท่านั้น และเมื่อมีกระบี่วินาศทั้งสิบสาม เมื่อนั้นถึงจะเริ่มฝึกเคล็ดร่างอสูรสิบสามกระบี่วินาศได้
อย่างไรก็ตาม การหลอมรวมสำนึกกระบี่เข้ากับกระแสพลังวินาศนั้นเป็นสิ่งที่อัจฉริยะหลายๆคนทนไม่ได้ กระแสพลังวินาศนั้นจะเข้าสู่สมองจนทำให้ควบคุมร่างกายเอาไว้ไม่ได้ ดังนั้นสิ่งที่พวกเขาทำได้คือการลบล้างกระบี่วินาศทิ้งและเปลี่ยนไปเรียนเคล็ดเทพอสูรชนิดอื่นแทน
แต่เมื่อคนๆนั้นฝึกจนเชี่ยวชาญแล้ว พวกเขาก็จะใช้เขตแดนได้อย่างเชี่ยวชาญเช่นกัน ขนาดที่ว่าสามารถใช้กระบี่วินาศทั้งสิบสามเพื่อสังหารศัตรูที่อยู่ไกลเป็นลี้ได้อย่างง่ายดาย! และพวกเขาเองก็ยังสามารถต่อสู้ในระยะประชิดได้เช่นกัน กระบี่วินาศทั้งสิบสามจะรวมเป็นหนึ่ง และพลังของมันนั้นก็รุนแรงอย่างมหาศาลเช่นกัน
และในการสู้ตัวต่อตัว ศัตรูของพวกเขาจะแตะตัวเขาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ พวกเขาจะโจมตีจากระยะไกลด้วยกระบี่วินาศทั้งหลาย อีกทั้งในการต่อสู้ระยะประชิดก็ยังน่ากลัวมากเช่นกัน นี่จึงทำให้ร่างอสูรสิบสามกระบี่วินาศเป็นร่างที่แข็งแกร่งในการต่อสู้ตัวต่อตัว
…
ร่างอสูรกายาทรงพลังเป็นร่างที่มีพละกำลังมากที่สุดของร่างเทพอสูรระดับพิเศษ! เมื่อยืนอยู่บนพื้น คนๆนั้นจะแข็งแกร่งอย่างจินตนาการไม่ได้ แต่หากอยู่ในอากาศก็จะแข็งแกร่งน้อยลงกว่าเดิมครึ่งหนึ่ง แต่แม้จะอยู่กลางอากาศ มันก็ยังเป็นร่างเทพอสูรที่ทรงพลังมากที่สุดในหมู่ร่างเทพอสูรอยู่ดี และนี่ทำให้เห็นได้ว่าพวกเขาจะแข็งแกร่งขนาดไหนเมื่อยืนอยู่บนพื้น
มีเพียงผู้ที่ฝึกกายาทองคำหรือร่างเทพโลกาเท่านั้นที่จะฝึกได้
…
ร่างเทพวิหคเพลิงนั้นเป็นร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษที่น่าสะพรึงที่สุดในการต่อสู้สุดกำลัง หากผลาญพลังชีพของตนเพื่อใช้วิชาวิหคเพลิงนิพพาน พวกเขานั้นคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่เทพอสูร แต่ถึงอย่างนั้นก็มีค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายไปอย่างมหาศาล จอมยุทธที่ใช้ร่างเทพวิหคเพลิงจะไม่ใช้วิชานั้นยกเว้นว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังจริงๆ
ร่างเทพวิหคเพลิงนั้นฝึกได้แค่ผู้ที่สายเลือดวิหคเพลิงตื่นขึ้นมาแล้วเท่านั้น
…
ร่างเทพมังกรนั้นก็เหมือนกับร่างเทพวิหคเพลิง มีเพียงผู้ที่สายเลือดมังกรเทพตื่นขึ้นมาเท่านั้นถึงจะฝึกได้
ร่างเทพอสูรที่มีตามสายเลือดนั้นมีเพียงร่างเทพวิหคเพลิงและร่างเทพมังกร เนื่องจากมันถูกสืบทอดตามสายเลือด ดังนั้นมนุษย์จึงหวังที่จะให้เหล่าเทพอสูรที่มีร่างเทพวิหคเพลิงและร่างเทพมังกรมีลูกหลานหลายๆคน
…
ทุกๆเคล็ดนั้นมีเงื่อนไขที่สำคัญมากก่อนที่จะได้ฝึกฝนมัน
‘มีเคล็ดวิชาของเทพอสูรระดับสูงพิเศษเพียงสองเคล็ดเท่านั้นที่เหมาะสมกับข้า ร่างอสูรตัดสายฟ้าและร่างอสูรสมุทรนิรันดร์’ เมิ่งชวนเปิดผ่านหนังสือในมือ ‘เอ ร่างอสูรตัดสายฟ้าดูจะมีชื่อเดียวกับวิชากระบี่ตัดสายฟ้าเลย มันเกี่ยวกันรึเปล่านะ?’
เมิ่งชวนยิ้มและอ่านคำอธิบายของร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษทั้งสองอย่างตั้งใจ
…
ร่างอสูรตัดสายฟ้านั้นคือร่างที่ไวที่สุดในหมู่ร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษ พวกเขาสามารถปล่อยสายฟ้าและกระแสพลังวินาศได้จากที่ไกล และยังสามารถสังหารศัตรูในการต่อสู้ระยะประชิดได้เช่นกัน การจู่โจมของพวกเขาไวราวกับสายฟ้า ทำให้พลังของพวกเขาดูน่าจดจำ
ด้วยความเร็วที่เหลือล้น พวกเขาสามารถสังหารได้จนราบคาบ
การฝึกร่างอสูรตัดอัสนีนั้นต้องฝึกร่างเทพอัสนีมาก่อน และมีรากฐานที่แข็งแกร่ง เช่นเดียวกันกับสำนึกกระบี่และพลังวินาศซึ่งหาได้ยาก และเมื่อเตรียมตัวจนพร้อม พวกเขาจะสามารถดึงเจ็ดอัสนีเข้ามาอยู่ในร่างได้เมื่อเข้าสู่บ่อโลหิตเทพอสูร และใช้อัสนีศักดิ์สิทธิ์เพื่อหล่อหลอมร่างกายของพวกเขารวมเข้ากับกระแสพลังวินาศ จนในที่สุดก็จะก่อเป็นร่างอสูรตัดสายฟ้า
แต่นั่นยังไม่หมด สิ่งที่อันตรายที่สุดคือพลังวินาศ หากคนๆนั้นทนพลังวินาศไม่ไหว ก็จะเกิดความโกลาหลขึ้นในจิตใจ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาต้องผ่านห้วงแห่งความเป็นตายในขณะนั้นด้วยเช่นกัน ดังนั้นหากร่างของคนๆนั้นแข็งแกร่งไม่พอ เขาก็จะต้องแตกสลายไปเพราะอัสนีทั้งเจ็ดนั้น
…
ร่างอสูรสมุทรนิรันดร์ เมิ่งชวนดูร่างอสูรอีกร่างที่เขาสามารถฝึกได้
ร่างอสูรสมุทรนิรันดร์นั้นเป็นร่างที่เชี่ยวชาญในเรื่องของเขตแดน เพียงสะบัดมือก็สามารถสร้างเขตแดนที่ครอบคลุมไปหนึ่งลี้แล้ว พวกเขามีพลังปราณที่ล้นเหลือและพละกำลังที่แก่งกล้า พวกเขามีความเร็วในการฟื้นตัวและพลังชีพที่สูง หากบาดเจ็บก็จะฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว ขนาดที่ว่าแขนและขาที่ขาดก็จะงอกขึ้นมาใหม่ได้
มีเพียงผู้ที่ฝึกร่างเทพวารีหรือร่างเทพอัสนีเท่านั้นที่จะฝึกฝนได้….
‘โอ๋?’ เมิ่งชวนขมวดคิ้ว ‘ความเร็วของร่างอสูรสมุทรนับว่าธรรมดาอย่างนั้นเหรอ?’
ร่างอสูรสมุรนิรันดร์นั้นแข็งแกร่งมาก
อ่านตอนล่าสุดที่ mynovel.co หรือ www.thai-novel.com
มันมีทั้งความสามารถในการควบคุมเขตแดน พละกำลังและพลังชีพที่มหาศาล รวมไปถึงพลังปราณที่ไร้สิ้นสุด แต่ถึงอย่างนั้นความเร็วก็ไม่ใช่จุดเด่นของมัน
…
‘ร่างอสูรสมุทรนิรันดร์’ ฉู่หยงตาเป็นประกายขณะที่อ่านหนังสือ
เขาเคยโด่งดังไปทั่วโลกตั้งแต่ยังเด็ก และเป็นที่อัจฉริยะอันดับหนึ่งของเมืองหลวง
ทำไมเขาถึงโด่งดังขนาดนั้นน่ะหรือ? ส่วนหนึ่งก็เพราะว่าตระกูลของเขา ตระกูลฉู่นั้นเป็นตระกูลอันดับต้นๆในราชวงศ์โจวที่ยิ่งใหญ่ มันเป็นตระกูลที่มีเทพอสูรระดับราชา
เพราะฉะนั้น เขาจึงได้เรียนรู้ข้อมูลพื้นฐานของร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษทั้งสิบสองร่างมาบ้างแล้ว
‘ข้าฝึกฝนร่างเทพวารีและเริ่มดึงสายฟ้าเพื่อหลอมรวมเข้ากับร่างของข้าในการเตรียมพร้อมสำหรับร่างอสูรสมุทรนิรันดร์นี้มาตลอด’ ดวงตาของฉู่หยงเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ‘เมื่อข้าฝึกร่างอสูรสมุทรได้จนเชี่ยวชาญแล้ว พละกำลังของข้าก็จะยอดเยี่ยม พลังปราณเองก็จะไร้ที่สิ้นสุด และข้าก็จะแทบเป็นอมตะ ข้าไม่ต้องกลัวใครเลยในการต่อสู้ตัวต่อตัว และถึงจะแลกกันบาดเจ็บทั้งคู่ ข้าก็จะฟื้นตัวขึ้นมาก่อนเป็นคนแรก’
เขาจะหายจากอาการบาดเจ็บอย่างรวดเร็ว แม้แขนและขาของเขาจะขาด แต่มันก็ใช้เวลาเพียงนิดหน่อยในการฟื้นฟู ส่วนถ้าเกิดแลกกันเจ็บน่ะเหรอ? จอมยุทธที่ใช้ร่างอสูรสมุทรนิรันดร์ชอบการต่อสู้แบบนั้นเป็นที่สุด เพราะว่าพวกเขาตายกันได้ยากมาก
…
ศิษย์21 คนอ่านหนังสืออย่างตั้งใจ นอกจากอัจฉริยะจากตระกูลเทพอสูรชั้นนำที่รู้จักอยู่บ้างเล็กน้อยแล้ว ศิษย์คนอื่นๆก็พึ่งจะได้รู้เรื่องร่างเทพอสูรระดับพิเศษเป็นครั้งแรก เช่นเดียวกับเมิ่งชวน
มีร่างเทพอสูรระดับสูงทั้งหมด 27 ร่าง มีหกร่างที่เหมาะแก่ข้า เมิ่งชวนพลิกหน้ากระดาษอ่านต่อไป ‘มีร่างเทพอสูรอย่าง ร่างอสูรมายา ร่างเทพสว่างโชติ และร่างอสูรนานาพิษ เป็นร่างที่ใครๆก็ฝึกได้ และยังมีร่างเทพวายุอัสนี ร่างอสูรเงาลวง และร่างอสูรอัสนีวารีที่เหมาะแก่ข้า’
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เมิ่งชวนและคนอื่นๆเดินดูหนังสือเพื่อหาข้อมูลที่ละเอียดมากกว่านี้ หลังจากที่นั่งอยู่บนก้อนหิ้นพักหนึ่ง หญิงสาวชุดสีฟ้าก็ออกจากถ้ำไปอย่างเงียบๆ
…
เมืองตงหนิง
สมาชิกตระกูลเมิ่งรู้สึกตื่นเต้นอย่างมากพร้อมๆกับอวดที่ว่าเมิ่งชวนได้กลายเป็นศิษย์ของเขาหยวนชู พวกเขายังอวดอีกว่าเมิ่งชวนได้ที่หนึ่งในการสอบเข้า แต่ถึงอย่างนั้นตระกูลเทพอสูรอื่นๆในเมืองตงหนิงก็ยังรอต่อไป หลังจากที่มีการประกาศอย่างเป็นทางการของรัฐเท่านั้นพวกเขาจึงจะเชื่อ
“ได้เป็นศิษย์ในของเขาหยวนชู? แถมยังได้ที่หนึ่งในการสอบเข้าอีก?”
“ได้ที่หนึ่งในหมู่อัจฉริยะของราชวงศ์โจวที่ยิ่งใหญ่เนี่ยนะ? เมิ่งชวนนี่สุดยอดไปเลยนะ”
“เมิ่งชวนจะได้เป็นขุนนางเทพอสูรรึเปล่านะ? เมืองตงหนิงของเราไม่เคยมีเทพอสูรระดับขุนนางมาเป็นพันปีแล้วนี่?”
ผู้คนในเมืองต่างพูดคุยกัน
เมิ่งชวนกลายเป็นความภาคภูมิใจของเมืองตงหนิง เมิ่งชวนมาจากเมืองตงหนิง เพราะฉะนั้นก็เลยเป็นเรื่องปกติที่คนของเมืองตงหนิงจะรู้สึกภูมิใจในความสำเร็จของเมิ่งชวน
ภายในตระกูลหวิน
เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!
หวินชิงผิงที่กำลังฝึกฟันกระบี่ได้ยินเสียงเครื่องเคลือบดินเผาในห้องอ่านหนังสือของพ่อเธอแตก เธออดไม่ได้ที่จะส่ายหัวเบาๆ หลังจากการรุกรานของอสูร หวินชิงผิงได้เติบโตขึ้นมามาก เธอรู้สึกว่าพ่อของเธอนั้นด้อยกว่าลุงหนึ่งและลุงสองของเธออย่างเทียบไม่ติด นับตั้งแต่ที่ถอนหมั้นไปจะมีอะไรให้เสียใจอีกล่ะ? เสียใจในการกระทำตอนนี้ไปก็ไม่ได้อะไรแล้วนี่?
“บ้าเอ้ย!” หวินฟู่อันเดินออกจากห้องอ่านหนังสือด้วยความโกรธ เขาตะโกนใส่คนรับใช้ที่อยู่ข้างนอกห้องอ่านหนังสือและเดินออกไป
อันที่จริงแล้วหวินฟู่อันไม่ได้เสียใจ เขาอับอาย!
‘ตระกูลเทพอสูรอื่นๆในเมืองตงหนิงต่างคิดว่าข้าเป็นแค่ตัวตลก’ หวินฟู่อันหัวเสีย ‘คนเรามันจะไปโชคดีตลอดได้อย่างไร ใครมันจะไปรู้ว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น? ไม่ก็ถ้าเมิ่งชวนได้เป็นเทพอสูรแล้ว เขาจะตกตายไปพร้อมกับราชาอสูรรึเปล่า?’
แม้ว่าภายนอกเขาจะพยายามทำดีกับตระกูลเมิ่งและพยายามเชื่อมความสัมพันธ์อีกครั้ง แต่ในใจหวินฟู่อันก็ยังหวังอยู่ลึกๆให้ทั้งเมิ่งชวนและตระกูลเมิ่งล่มไปซักวันหนึ่ง
แน่นอนว่าเขาไม่ได้ทำตามที่ใจคิด
…
ในเมืองเต็มไปด้วยการพูดคุยเรื่องนี้
แต่ถึงอย่างนั้น เมิ่งเซียนกูที่อยู่ในจวนบรรพบุรุษกลับนิ่งเงียบ
เมิ่งเซียนกูนั่งอยู่ที่โต๊ะและเขียนจดหมาย
แค่กๆๆ! หน้าของเมิ่งเซียนกูซีดเซียว เธอไอใส่มือซ้าย ที่ตอนนี้มีคราบเลือดสีแดงดำเข้มอยู่บนนั้น หน้าเธอแดงเพราะการไอนั่น แต่เธอก็ยังคงเขียนจดหมายต่อไป
เธอเขียนจดหมายเสร็จแล้ว มันจ่าหน้าถึงเมิ่งชวน สุดท้ายแล้วเธอก็ไม่มีโอกาสได้เจอกับเขาอีกแล้ว
‘ข้าเกรงว่าร่างของข้าคงจะอยู่ไม่รอดผ่านคืนนี้ไป’ เมิ่งเซียนกูมองออกไป เธอได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆลอยมาจากจวนบรรพบุรุษ เหล่าคนในตระกูลต่างมีความสุข ‘ข้า เมิ่งหยาน ข้าเป็นเทพอสูรและสังหารเหล่าราชาอสูร ในที่สุดข้าก็ได้เห็นหลานของข้า เมิ่งชวน ได้กลายเป็นศิษย์ในของเขาหยวนชูก่อนตาย ข้าไม่มีอะไรที่ติดค้างอยู่ในใจอีกแล้ว’
เหล่าคนในตระกูลเต็มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ
เขาเป็นคนแรกในตระกูลเมิ่งที่ได้เข้าสู่เขาหยวนชู เพราะงั้นมันจึงเป็นเรื่องปกติที่เหล่าคนในตระกูลจะรู้สึกภาคภูมิใจด้วยเช่นกัน
“เขาได้อันดับหนึ่งเลยเหรอ? แล้วเข้าเขาหยวนชูได้แล้ว?” เมิ่งเซียนกูเต็มไปด้วยความยินดีอย่างล้นเหลือเมื่อได้ยินข่าว “ดีๆ”
หลังจากพูดแค่ไม่กี่คำ เธอก็ยิ้มและเดินกลับไปที่พักของเธอช้าๆ
มีความคิดมากมายอยู่ในหัวของเธอ ความทรงจำเมื่อตอนที่เหล่ารุ่นพี่ในตระกูลคอยช่วยสอนเธอเมื่อเธอยังดัง ภาพของเหล่าเพื่อนๆเทพอสูรของเธอที่ตายไปที่ด่านอันไห่หลังจากที่เธอได้เป็นเทพอสูร
‘ข้าไม่ทำให้บรรพบุรุษของตระกูลเมิ่งต้องผิดหวัง คราวนี้ ตระกูลเมิ่งได้ผู้สืบทอดที่แข็งแกร่งกว่าข้าเป็นสิบ เป็นร้อยเท่ามากกว่าข้า สหายเก่าของข้าเอ๋ย ตระกูลเมิ่งของข้าได้มีคนเข้าไปสู่เขาหยวนชูแล้วนะ ในอนาคตเขาคงจะแข็งแกร่งมากกว่าพวกเราเสียอีก ข้าเชื่อว่าเขาจะสังหารราชาอสูรได้มากกว่าที่พวกเราทำอีก’ เมิ่งเซียนกูยิ้มในขณะที่เดินผ่านสวนเล็กๆของเธอ
…
ที่เขาหยวนชู
เมิ่งชวน เหยียนจิน ซงชา หลี่อิ๋ง ชี่หยวนถง เหยียนซื่อท่งและศิษย์คนอื่นๆต่างมีคนรับใช้มารอรับ หลังจากอาหารเช้า พวกเขาก็รองานพิธีอย่างตั้งใจ
“เหล่าศิษย์น้องทั้งหญิงชาย” ผู้เฒ่าหวังกล่าวยิ้มๆ “งานพิธีกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว ศิษย์น้องโปรดตามข้ามา”
“ไปกันเถอะ”
“พิธีกำลังจะเริ่มแล้ว”
“เราจะได้เข้าสู่เขาหยวนชูอย่างเป็นทางการแล้ว”
ศิษย์ทั้งยี่สิบเอ็ดคนต่างเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความคาดหวัง เหยียนชื่อถงนั้นดูมีความสุขที่สุด เขาวิ่งไปทั่วด้วยเท้าเปล่า เพราะว่าเขานั้นอายุน้อยสุด ทุกๆคนเลยปฏิบัติกับเขาเหมือนน้องชาย
พวกเขาเดินขึ้นไปตามทางภูเขาและไปสู่ยอดเขาหลักอย่างรวดเร็ว
“เมื่อก่อนพิธีต้อนรับศิษย์จะถูกจัดขึ้นที่โถงหลักหวงจิงเว่ย แต่ในช่วงสองสามร้อยปีที่ผ่านมานี้ก็ได้เปลี่ยนไปจัดที่ผาโลหิตแทน” หวังพูดขณะที่เดินนำไป
“ทำไมถึงเปลี่ยนที่หรือขอรับ?” เหยียนซื่อท่งถาม
หวังนิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะพูด “เดี๋ยวเจ้าก็รู้”
ผาโลหิตกว้างขวางและโล่งมาก ข้างๆเป็นหน้าผาสูง และมีเทพอสูรมากมายมารวมตัวกันที่นี่แล้ว
เมิ่งชวน เหยียนซื่อท่งและคนอื่นๆได้แต่ยืนรอ
“อาชวน” เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น
เมิ่งชวนหันกลับไปด้วยความประหลาดใจและได้พบกับชีเยว่ หลังจากที่ไม่ได้เจอเธอมาเกือบครึ่งปี กระแสพลังของชีเยว่เปลี่ยนไปมาก เธอดูมีพลังมากขึ้น และกระแสพลังก็ดูแข็งแกร่งขึ้น
“ชีเยว่” เมิ่งชวนยิ้ม
“เราเคยคุยกันไว้ว่าจะฝึกวิชาด้วยกันที่เขาหยวนชู” หลิวชีเยว่ยิ้มตอบ “ในที่สุดเจ้าก็มา”
“อืม” เมิ่งชวนพยักหน้า “จะว่าไปแล้ว พ่อกับลุงหลิวกลับไปที่เมืองตงหนิงแล้ว หากเจ้าอยากส่งจดหมายให้ส่งไปที่เมืองตงหนิงเลย”
ชีเยว่พยักหน้ารับคำ “หลังจากพิธีรับศิษย์ พวกเขาจะให้เจ้าเลือกถ้ำสำหรับฝึกวิชา ถำ้ของข้าอยู่ที่ยอดจิ้งหมิงเฟิง ยังเหลือถ้ำว่างๆอีกสองที่นะ ถ้าเจ้ายังไม่ได้คิดอะไรไว้ก็เลือกจิ้งหมิงเฟิงได้นะ”
“ข้าจะจำไว้” เมิ่งชวนพยักหน้า เขาอยากจะอยู่บนเขาเดียวกับหลิวชีเยว่อยู่แล้ว
ในขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกัน เสียงระฆังก็ดังขึ้น มันดังก้องไปทั่วทิศทาง
“กำลังจะเริ่มพิธีแล้ว” หลังจากที่หลิวชีเยว่บอกเมิ่งชวน เธอก็เดินกลับไปยืนอยู่ข้างๆศิษย์คนอื่นในทันที
ศิษย์ใหม่ทั้ง 21 คนยืนอยู่ตรงอื่น
ฟู่ว!ฟู่ว!ฟู่ว!
มีร่างสามร่างลอยลงมา ตรงกลางคือชายชราชุดสีม่วงผมสีขาว ข้างๆเขาคือราชาตงเหอและผู้อาวุโสอี่
“คารวะท่านเจ้าภูเขา” เทพอสูรกว่าสามร้อยคนยืนโค้งคำนับอย่างนอบน้อม เช่นเดียวกับคนที่ยังไม่ได้เป็นเทพอสูรอย่างหลิวชีเยว่เช่นกัน
ศิษย์ใหม่ทั้ง 21 คนโค้งคำนับเช่นกันก่อนจะลุกขึ้นยืน
“วันนี้เป็นวันที่ดี” ชายชราชุดสีม่วง “วันนี้เขาหยวนชูมีศิษย์ใหม่มากมาย ข้ามีความสุขมากที่ได้เห็นศิษย์ใหม่เข้ามาทุกๆปี”
เหล่าเทพอสูรรับฟัง
“ศิษย์ใหม่ทั้ยี่สิบเอ็ดเอ๋ย” ชายชราชุดสีม่วงมองไปที่เมิ่งชวนและคนอื่นๆ “นี่คือผาโลหิต เป็นที่ๆเทพอสูรของเขาหยวนชูทุกคนทิ้งภาพที่ระลึกเอาไว้เมื่อฝึกฝนจนเสร็จ”
เขาโบกมือในขณะที่กำลังพูด
ฟิ้ววว
จู่ๆตรงหน้าผาของผาโลหิตก็เปล่งแสงออกมาพร้อมกับร่างนับไม่ถ้วนที่ปรากฏขึ้น มันดูอลังการมากเลย! บางคนใส่เกราะและแบกกระบี่อยู่บนหลัง ส่วนบางคนก็ใส่ผ้าคลุมพร้อมกับกระบี่ที่เอว บางคนก็มีเกาฑัณฑ์และซองอยู่ข้างหลัง ทุกๆคนต่างมีรอยยิ้มอยู่บนหน้า ในดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
“สำหรับศิษย์ของเขาหยวนชูนั้นจะได้ลงจากเขาเข้าสู่สนามรบก็ต่อเมื่อผ่านถ้ำเก้ามายาไปแล้ว” ผู้อาวุโสชุดสีม่วงกล่าว “ในผานี้มีเทพอสูรอยู่ทั้งหมด 15,271 คน พวกเขาทุกคนได้ปกป้องมวลมนุษย์ด้วยการเข้าต่อกรกับอสูรในการต่อสู้ ในหมู่พวกเขา มี 11,968 คนที่ได้ตายไปในสนามรบ กว่าครึ่งนั้นไม่เคยพบศพ เทพอสูรที่เหลืออยู่กว่าสามพันคนนั้น แม้จะพักอย่างสงบสุขได้ แต่พวกเขาทุกคนก็เลือกที่จะใช้ชีวิตสู้ต่อไป”
“พวกเขาเหล่านี้คือเทพอสูรของเขาหยวนชูที่ต่อสู้กับเหล่าอสูรด้วยชีวิต นอกจากนั้นเราเองก็ยังมีเทพอสูรจำนวนนับไม่ถ้วนจากถ้ำสวรรค์ทรายดำและเกาะสองโลก อีกทั้งยังมีเทพอสูรธรรมดามากมายของนิกายนอก พวกเขาเองก็ตอบรับเสียงเพรียกแห่งหน้าที่ของตน”
ชายชราชุดสีม่วงชี้ไปที่ร่างเหล่านั้น “ในอนาคต ข้าเองก็จะเป็นหนึ่งในนั้น พวกเจ้าเองก็เช่นกัน”
เมิ่งชวนและคนอื่นๆมองดู
เทพอสูรกว่าหมื่นคนราวกับกองทัพ พวกเขาเต็มไปด้วยจิตวิญญาณในการต่อสู้
แต่พวกเขาตายกันหมดแล้ว
พวกเขาทุ่มเททั้งชีวิตเพื่ออุทิศให้แก่มนุษยชาติ
“เขาหยวนชูมีกฎเก้าข้อ ข้อแรกคือห้ามทรยศมวลมนุษย์ จงจำไว้ว่าหากเจ้ากล้าทรยศต่อมวลมนุษย์ เทพอสูรทุกคนจะตามล่าเจ้า!” ผู้อาวุโสชุดสีม่วงกล่าวอย่างเคร่งขรึม จากนั้นก็พูดต่อ “ตอนนี้ศิษย์ใหม่จะทำการจุดโคมไฟวิญญาณ”
ทั้งยี่สิบเอ็ดคนก้าวไปข้างหน้า
มีเทพอสูรยี่สิบเอ็ดคนที่ถือโคมไฟวิญญาณเดินเข้ามาหา
“ขอเลือดหนึ่งหยดลงบนนี้” เทพอสูรพูดกับเมิ่งชวน
เมิ่งชวนยื่นนิ้วออกไป และพลังปราณของเขาก็เจาะนิ้วมือได้อย่างง่ายดาย หยดเลือดไหลลงสู่ใจกลางของโคมไฟวิญญาณ
ฟุบบ
เปลวไฟสีเลือดพวยพุ่งขึ้นมา
ศิษย์ทั้ง 21 คนได้จุดตะเกียงวิญญาณของพวกเขา
“เอามันไปไว้ที่โถงโคมวิญญาณ” ชายชราชุดสีม่วงสั่ง เหล่าเทพอสูรที่ถือโคมไฟวิญญาณมุ่งหน้าไปยังโถงโคมวิญญาณอย่างรวดเร็ว เทพอสูรที่ออกไปต่อสู้ข้างนอก พวกเขาอาจจะตายไปโดยไม่มีใครรู้ และเมื่อดวงไฟวิญญาณนั้นดับลงก็หมายความว่าเทพอสูรคนนั้นได้สิ้นชีวิตลงแล้ว
จากนั้น เหล่าเทพอสูรก็เอาชุดคลุม ตรา และอุปกรณ์ต่างๆมาให้กับศิษย์ใหม่
เมิ่งชวนและคนอื่นๆรับไปด้วยท่าทางนอบน้อม
มีคำว่า “เมิ่งชวน” เขียนติดไว้บนตราสีฟ้า นี่เป็นตรายืนยันตนของเขา
‘ข้า เมิ่งชวน ได้เป็นศิษย์ของเขาหยวนชูแล้ว’ เมิ่งชวนมองดูร่างของเหล่ารุ่นพี่ของเขาด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้เป็นศิษย์ของเขาหยวนชู
…
หลังจากพิธีรับศิษย์ ศิษย์ใหม่อย่างเมิ่งชวนก็เริ่มเลือกถ้ำสำหรับพักอาศัย
“ศิษย์ทุกคนสามารถเลือกถ้ำที่จะไปอยู่ได้ ถ้ำที่พักนั้นกระจายอยู่ทั่วภูเขากว่าพันลูก พวกเจ้าสามารถเลือกได้ตามใจ ทุกๆถ้ำนั้นจะมีคนรับใช้สิบคนคอยดีแล ที่พวกเจ้าต้องทำก็มีแค่ฝึกฝนวิชา ปล่อยให้คนรับใช้จัดการเรื่องเล็กๆน้อยๆเถอะ” เทพอสูรที่ยืนอยู่ข้างหน้าเทือกเขาจำลองพูดยิ้มๆ “เลือกกันให้ไว ยังเหลืออีกกว่าพันที่ที่ยังว่าง”
ศิษย์ทั้งยี่สิบเอ็ดคนที่เปลี่ยนไปอยู่ในชุดของเขาหยวนชูก็มองดูเทือกเขาจำลองอย่างตั้งใจ
อ่านตอนล่าสุดที่ mynovel.co หรือ www.thai-novel.com
“ข้าขอเลือกอันที่อยู่ที่ตงทานเชียง” เหยียนซื่อท่งเลือกเป็นคนแรก เขาชี้ไปที่ถ้ำที่ตั้งอยู่บนภูเขาลูกหนึ่ง
เมิ่งชวนลองดูแล้วก็พบกับจิ้งหมิงเฟิง จิ้งหมิงเฟิงนั้นเป็นยอดเขาที่ค่อนข้างได้รับความนิยม และมีถ้ำเหลือให้พักอยู่สองที “ข้าขอเลือกถ้ำนี้ที่จิ้งหมิงเฟิง” ชี่เยว่กับเมิ่งชวนคุยกันไว้แล้ว
“เฉอหัวเปียวเปียว บนยอด”เหยียนจินกล่าว ถ้ำบนหุบเขาลูกนี้นั้นว่างเกือบทั้งหมดเพราะว่ามันอยู่ค่อนข้างไกล
“ข้าเลือกจิ้งหมิงเฟิงด้วย” เจ้าหญิงหลี่อิ๋งกล่าว
“หุบเขาฟ้าคำรน” ชี่หยวนถงชี้ไปที่ถ้ำหนึ่ง
ศิษย์ทั้งยี่สิบเอ็ดคนเลือกที่พักในถ้ำอย่างรวดเร็ว
“พวกเจ้าทุกคนเลือกถ้ำที่พักเสร็จแล้วสินะ” หญิงสาวชุดสีฟ้าเดินเข้ามา “ไปกันเถอะ ถึงเวลาเลือกเคล็ดเทพอสูรของพวกเจ้าแล้ว”
เหล่าศิษย์เดินตามหญิงสาวชุดสีฟ้าไป
“ตอนที่เจ้ายังเป็นมนุษย์นัก เจ้าทำได้แค่สร้างรากฐานเทพอสูร แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้พวกเจ้าเป็นเทพอสูรที่แท้จริง” หญิงสาวชุดสีฟ้ากล่าว “หลังจากผ่านขอบเขตความเป็นความตายและได้ก่อร่างเทพอสูรขึ้นมาเท่านั้นที่จะได้เป็นเทพอสูรที่แท้จริง เทพอสูรเองก็มีหลายระดับคุณภาพเช่นกัน อย่างเทพอสูรระดับต่ำถึงกลางนั้นหาได้ง่ายสุด เพราะว่าเมื่อศิษย์นิกายนอกได้สะสมแต้มเพียงพอที่จะผ่านขอบเขตแห่งความเป็นตาย พวกเขาก็จะได้เป็นเทพอสูรระดับต่ำไม่ก็กลางเพราะว่าส่วนมากมีความสามารถไม่มากพอและแก่เกินไป เพราะฉะนั้นเลยเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะได้เป็นเทพอสูรระดับสูง”
“ส่วนศิษย์ของเขาหยวนชูของเรานั้น พวกเขาจะต้องมีคุณภาพสูงไม่ก็มากกว่านั้น”
“ในสิบปีหากเจ้าไม่สามารถเป็นเทพอสูรระดับสูงได้ เจ้าจะถูกขับออกจากนิกายภายใน” หญิงสาวที่สวมชุดสีฟ้ายิ้มและกล่าว “แน่นอนพวกเจ้าทุกคนมีศักยภาพมากพอ จนถึงตอนนี้ มีเพียงร้อยกว่าคนเท่านั้นที่ถูกขับไล่”
เหล่าศิษย์ใหม่แอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก ศักภาพของเขานั้นเพียงพอที่จะเป็นเทพอสูรระดับสูงได้
“ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์เรานั้น พวกเรามีเคล็ดวิชาของเทพอสูรระดับบรรลุอยู่ 12 เคล็ด และเคล็ดของเทพอสูรระดับสูงอยู่ 27 เคล็ด” หญิงสาวชุดสีฟ้ากล่าว “เจ้าต้องพิจารณาเลือกเคล็ดที่จะเลือก เคล็ดวิชาเทพอสูรนั้นคือเส้นทางการฝึกวิชาของเจ้าในอนาคต”
ประเด็นคือชื่อยอดเขาของเหยียนจินมันมาจากเพลงนี้รึยังไงเนี่ย(雪花飘飘)
ตอนที่ 90 เมิ่งต้าเจียงกลับบ้าน
หลังจากการตัดสินใจอย่างรอบคอบ ราชาตงเหอและคนอื่นๆก็ได้ตันสินใจว่ายี่สิบคนที่จะได้นั้นคือใครบ้าง อันที่จริงแล้วตำแหน่งหลายๆที่มันตายตัวอยู่แล้ว มีแค่ไม่กี่ที่เท่านั้นที่ต้องตัดสินใจกัน
“ตัดสินเรียบร้อยแล้วสินะ” ราชาตงเหอยิ้ม
การรับเข้าเขาหยวนชูนั้นเป็นสิ่งสำคัญมากของทุกๆปี และเพื่อความยุติธรรม เทพอสูรระดับราชาและเทพอสูรระดับขุนนางที่เป็นคนตัดสินจะถูกเปลี่ยนไปทุกครั้ง พวกเขานั้นต้องแบกรับความรับผิดชอบหนักอึ้ง เพราะไม่ว่ายังไง เด็กๆเหล่านี้ก็จะเป็นรุ่นใหม่ของเขาหยวนชูในภายหน้า
…
เมิ่งชวนและเพื่อนๆนั่งคุยกันระหว่างรอ อัจฉริยะบางคนดูเป็นกังวลยิ่งกว่าเดิม ในที่สุดก็ผ่านไปครึ่งชั่วยามก่อนที่ราชาตงเหอและคนอื่นๆจะเดินออกมา
“พวกเขากำลังมา พวกเขากำลังมา!”
“เราจะทำการประกาศผลการคัดเลือก”
อัจฉริยะทุกคนต่่างมองไปที่ราชาตงเหอ เหล่าญาติๆและเพื่อนๆเองก็รู้สึกเป็นกังวลไม่แพ้กัน
นี่เป็นวินาทีสำคัญเลยล่ะ!
ชี่หยวนถงยืนมองอยู่ใกล้ๆเงียบๆ เขาเองก็กลัวว่าจะถูกคัดออกเพราะทำได้ไม่ดีในการทดสอบสุดท้าย
“การสอบเข้าเขาหยวนชูปีนี้สิ้นสุดลงแล้ว” ราชาตงเหอยิ้ม “ทั้งยี่สิบคนได้ถูกตัดสินออกมาแล้ว ไล่จากที่หนึ่งไปถึงยี่สิบจะได้แก่ เมิ่งชวน ซงชา หยานเฟิง เหยียนจิน หนิงอี้โบ จัวเซี่ยว ฉู่หยง จินฮ้วน ตงฟาง หลี่อิ๋ง… ชางกวนเฟิง ชี่หยวนถง…จางหลี่ หยูชาง คนที่มีรายชื่อดังนี้จะได้เข้าสู่เขาหยวนชู”
เหล่าอัจฉริยะและครอบครัวยืนฟังอย่างใจจดใจจ่อเฝ้ารอชื่อของพวกเขา บางคนก็ดีใจออกหน้าออกตา แต่บางคนก็เงียบสนิท
“ศิษย์รักของข้า เจ้าผ่าน เจ้าผ่านแล้ว เจ้าได้กลายเป็นศิษย์ของเขาหยวนชูแล้ว” ชายชราร่างอ้วนกอดศิษย์ของเขา จัวเซี่ยว จัวเซี่ยวเองก็ตื่นเต้นเช่นกัน “ข้าสอบติด! ข้าสอบติด!”
อันดับของจัวเซี่ยวเองก็สูงมาก เขาอยู่อันดับที่หก ดีกว่าของฉู่หยงและคนอื่นๆอีก
‘ข้าสอบผ่าน’
‘ข้าได้เป็นศิษย์ของเขาหยวนชูแล้ว’
หลายๆคนตื่นเต้นมาก นอกจากอัจฉริยะทั้งสิบคนที่มีรากฐานเทพอสูรที่แข็งแกร่งแล้ว อีกสิบคนที่เหลือต่างเป็นคนที่มีรากฐานปานกลางๆ และยังมีถึงเจ็ดคนที่ยังไม่เคยได้กินสมุนไพรหายากเลยด้วย
ในการทดสอบรอบคัดเลือกรอบที่สาม จิตรับรู้ และการทดสอบรอบสุดท้าย แท่นบูชาแห่งความมืด การทดสอบเหล่านี้มีไว้สำหรับทดสอบศักยภาพของคนๆนั้น ส่วนการทดสอบสุดท้ายรอบแรกนั้นมีไว้สำหรับทดสอบพละกำลังและความสามารถในการต่อสู้
ดังนั้น อัจฉริยะหลายๆคนจึงมีโอกาสที่จะได้รับการคัดเลือก
ชี่หยวนถงได้ยินชื่อของเขา เขาถูกจัดให้อยู่อันดับที่สิบห้า
‘ตราบใดที่ข้าได้เขาสู่เขาหยวนชู ข้าจะแซงหน้าเมิ่งชวนและคนอื่นๆไปให้ได้อย่างแน่นอน’ ชี่หยวนถงสาบานในใจ เขาเองก็จะขึ้นไปให้ถึงจุดสูงสุดของแท่นบูชาด้วย!
นับตั้งแต่เด็ก เขาไม่เคยแพ้ให้กับใครเลย เขาเชื่อว่าเขานั้นแข็งแกร่งที่สุด
“นอกจากทั้งยี่สิบคนแล้ว เหยียนชื่อถงเองก็จะได้เข้าสู่เขาหยวนชูด้วยเป็นกรณีพิเศษ” ราชาตงเหอกล่าว เสียงของเขาดังก้องไปทั่ว “รีบๆอำลาครอบครัวกับเพื่อนๆของเจ้าเสีย ข้าจะส่งพวกเขาลงไปในอีกไม่ช้า”
เขาหยวนชูเลือกไปทั้งหมด 21 คน เหยียนชื่อถงนั้นได้รับเลือกเป็นกรณีพิเศษเลยไม่เกี่ยวกับ20ที่นั้น
เขาหยวนชูรู้ดีว่าอัจฉริยะของปีนี้นั้นโดดเด่นเสียยิ่งกว่าของปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม กฎก็ต้องเป็นกฎ นอกจากกรณีพิเศษ ก็จะมีเพียงยี่สิบคนเท่านั้นที่จะได้รับการคัดเลือกเข้าไป ทรัพยากรของเขาหยวนชูเองก็มีจำกัด หากรับศิษย์มามากเกินไป ทรัพยากรที่ศิษย์ทุกๆคนจะได้ใช้ก็คงจะลดลง
“เยี่ยมๆๆ” เมิ่งต้าเจียงมองเมิ่งชวนอย่างมีความสุข “ในที่สุดลูกชายของข้าก็ได้เข้าสู่เขาหยวนชู หากย่าทวดของเจ้าได้รู้เรื่องนี้ ท่านคงจะมีความสุขมากๆเป็นแน่”
“ขอรับ” ใจของเมิ่งชวนพองโต หลังจากฝึกฝนมาหลายปี ในที่สุดเขาก็ได้เข้าสู่เขาหยวนชู
“ได้เวลาที่พ่อต้องไปแล้ว” เมิ่งต้าเจียงกล่าว “เหล่าอัจฉริยะของรัฐอู๋กับครอบครัวพวกนั้นเองก็จะกลับในวันนี้ ลุงหลิวกับพ่อก็จะกลับด้วยกัน หากเจ้าเจอชีเยว่บนเขาหยวนชู อย่าลืมบอกให้เธอส่งจดหมายไปหาที่เมืองตงหนิงบ้าง”
“ขอรับ” เมิ่งชวนพยักหน้า
จากรัฐอู๋มาเมืองหยวนชูนั้นไกลมากจริงๆ ขุนนางเมฆาใต้ที่พามาส่งที่นี่ก็ต้องพาส่งกลับไปด้วยเช่นกัน! นี่เป็นวิธีที่เร็วที่สุดแล้ว หากพวกเขาพลาดโอกาสนี้ กว่าเมิ่งต้าเจียงกับหลิวเยว่ป๋ายจะกลับถึงเมืองตงหนิงก็คงจะกินเวลานานเกินไป
“ฝึกฝนอยู่ในเขาหยวนชูให้ดีล่ะ” เมิ่งต้าเจียงยื่นมือออกไปลูบหัวลูกชาย เขายิ้มและพูดว่า “พ่อคงจะไม่ได้ช่วยเจ้าแล้ว การเดินทางที่เหลือนั้นก็ขึ้นอยู่กับตัวเจ้าแล้วล่ะ”
ใจของเมิ่งชวนรู้สึกแน่นขึ้นในขณะที่พยักหน้า
พ่อของเขาได้คอยอยู่เคียงข้างเขามานับหลายปี เป็นผู้ที่คอยชี้แนะแนวทางกระบี่และเป็นคู่ซ้อมมานาน พ่อของเขายังเป็นคนที่หาสมุนไพรหายากมาให้ และยังเป็นคนที่ช่วยชีวิตเขาไว้ในการบุกรุกของอสูร เรียกได้ว่าพ่อของเขานั้นเป็นดั่งต้นไม้ใหญ่ที่คอยปกป้องเขาจากหลายสิ่งหลายอย่าง
ในตอนนี้เขาได้เติบโตแล้วและจะได้เข้าไปฝึกวิชาในเขาหยวนชู ส่วนพ่อของเขานั้นก็จะกลับไปอยู่ที่เมืองเกิด ที่อยู่ห่างไกลหลายพันลี้
“ท่านพ่อ ข้าจะฝึกฝนจนเสร็จให้ได้โดยเร็ว จากนั้นข้าจะมุ่งหน้าลงจากเขาและไปหาท่านเมื่อถึงเวลา” เมิ่งชวนกล่าว
เมิ่งต้าเจียงยิ้มและพยักหน้า
ในไม่ช้า นอกจากยี่สิบเอ็ดคนที่ได้รับการคัดเลือกนั้น คนอื่นๆก็ต้องลงจากภูเขาโดยมีราชาตงเหอไปส่งที่เมืองหยวนชู
“พวกเจ้าทุกคน ตามข้ามา” หญิงสาวชุดสีฟ้ากล่าว เธอยกศิษย์ทั้งยี่สิบเอ็ดคนขึ้นและเหาะไปพร้อมๆกัน
ฟิ้วว
หลังจากที่บินผ่านเทือกเขาไป ในที่สุดก็ไปถึงยอดอันสูงตระหง่านของเขาหยวนชู
“นี่คือยอดเขาหลักของเขาหยวนชู หวงซุนจิง มันเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในหมู่เทือกเขานี้แล้ว” หญิงสาวชุดสีฟ้าพาเมิ่งชวนและคนอื่นๆเดินเข้าไปในสนาม
มีชายชราคนหนึ่งยืนรออยู่ในสวนอยู่แล้ว เขาก้มหัวและทักทาย “ท่านอาจารย์ป้า”
เด็กใหม่ทั้งยี่สิบเอ็ดคนนั้นดูจะสับสน อย่างไรก็ตาม เมิ่งชวนสามารถสัมผัสได้ว่ากระแสพลังของชายชราคนนั้นแข็งแกร่งเพียงใด เขาแข็งแกร่งกว่าเจ้าวังหยกสุริยันมากด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม เขากลับรู้สึกถึงความอ่อนแอแปลกๆ ราวกับกระแสพลังตรงหน้ามันเป็นเพียงเรื่องโกหก
“นี่เป็นศิษย์พี่ของพวกเจ้า ศิษย์พี่หวัง” หญิงสาวชุดสีฟ้ากล่าว “เทพอสูรของเขาหยวนชูจะคอยสนับสนุนซึ่งกันและกัน ผู้ที่ยังอยู่ต่ำกว่าระดับเดือนมืดมิดจะถือว่าเป็นรุ่นเดียวกัน พวกเจ้าจะถือว่าเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน ส่วนเทพอสูรระดับเดือนมืดมิดนั้นคือเทพอสูรระดับขุนนาง”
“คารวะ ศิษย์พี่หวัง” เมิ่งชวนและคนอื่นๆโค้งคำนับ
ชายชราหัวเราะ “คารวะศิษย์น้อง เป็นเรื่องที่น่ายินดีเสียจริงที่ได้เห็นน้องใหม่ทุกๆปี เขาหยวนชูของเราจะได้มีเทพอสูรมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม”
หญิงสาวชุดสีฟ้าพยักหน้า “วันนี้พวกเจ้าจะพักกันที่นี่ก่อน และจะมีพิธีต้อนรับในวันพรุ่งนี้ จากนั้นพวกเจ้าก็จะถือได้ว่าเป็นศิษย์ของเขาหยวนชู”
เมื่อพูดจบ เธอก็เดินจากไป
ศิษย์ทั้งยี่สิบเอ็ดคนไปที่ห้องพักชั่วคราวของตน และวันพรุ่งนี้พวกเขาก็จะได้เป็นศิษย์จริงๆของเขาหยวนชู
…
ตกกลางคืน
“ไปกันเถอะ กลับไปที่รัฐอู๋”
ที่ล้านด้านหน้าของอาคารรับรองรัฐอู๋ ขุนนางเมฆาใต้นั่งขัดสมาธิอยู่บนหลังนกสีแดงเพลิง ข้างหลังเขาคืออัจฉริยะเก้าคนและครอบครัวของพวกเขา เช่นเดียวกันกับเมิ่งต้าเจียงและหลิวเยว่ป๋าย ทุกคนพึ่งจะกินข้าวเย็นเสร็จในปริมาณที่พออิ่มท้อง
ฟิ้ววว
นกสีแดงเพลิงทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าผ่านเข้ากลุ่มเมฆอย่างรวดเร็ว มันเร็วขึ้นอย่างต่อเนื่องในขณะที่บินไปทางรัฐอู๋
เหล่าอัจฉริยะและครอบครัวที่อยู่บนหลังนกต่างครุ่นคิดในหลายๆเรื่อง มีอัจฉริยะสามคนจากรัฐอู๋ที่ถูกเลือก ซึ่งนับว่าเยอะมาก มีเมิ่งชวน เหยียนจิน และชางกวนเฟิง อัจฉริยะที่เหลือที่ยังอายุไม่ถึงยี่สิบยังสามารถลองได้ใหม่ปีหน้า แต่บางคนก็อายุยี่สิบแล้ว พวกเขาต้องรีบไปรับราชการทหารเพราะว่านี่ก็สิ้นปีแล้ว
แต่ละคนมีชะตาของตัวเอง
พวกเขาโบยบินผ่านค่ำคืนนี้ไป ใช้เวลาเกือบหกชั่วโมงกว่าจะถึงรัฐอู๋
นกสีแดงนั้นอยู่สูงจากพื้นประมาณสิบจั้งในขณะที่ขุนนางเมฆาใต้กล่าว “พวกเรามาถึงเมืองหยูฟางแล้ว คนที่จะลงที่นี่ก็สามารถลงได้เลย”
“ขอบคุณมาก ท่านขุนนาง” หญิงชราคนหนึ่งกระโดดไปพร้อมกับอัจฉริยะ
เวลาของเหล่าขุนนางเทพอสูรนั้นมีค่า และการพาเหล่าอัจฉริยะไปคัดเลือกที่เขาหยวนชูนั้นก็กินเวลาของขุนนางเมฆาใต้ไปสองสามวัน
เขาบินต่อไปเรื่อยๆทั่วรัฐอู๋ ส่งเหล่าอัจฉริยะและครอบครัวกับเพื่อนๆกลับไปยังเมืองของตน
“เมืองตงหนิงอยู่ข้างหน้านี้” ขุนนางเมฆาใต้กล่าวด้วยรอยยิ้ม นกยักษ์สีแดงเพลิงร่อนลงต่ำ
“ขอบคุณมากท่านขุนนาง” เมิ่งต้าเจียงและหลิวเย่ป๋ายขอบคุณสำหรับการช่วยเหลือ
“ไม่เลวเลยทั้งหลิวชีเยว่และเมิ่งชวน” ขุนนางเมฆาใต้เอ่ยคำชมที่หาได้ยากออกมา
เมิ่งต้าเจียงและหลิวเย่ป๋ายซ่อนรอยยิ้มเอาไว้มไ่อยู่ หลังจากโค้งคำนับด้วยท่าทางนอบน้อมแล้ว พวกเขาก็กระโดดลงพื้น
ฟิ้ววว
นกสีแดงเพลิงบินกลับขึ้นไปอย่างรวดเร็วและมุ่งหน้าไปอีกทางหนึ่ง
“ไปกัน รีบกลับกันเถอะ” เมิ่งต้าเจียงอดไม่ได้ที่จะใช้ทักษะการเคลื่อนไหวเพื่อรีบรุดกลับไปยังเมืองตงหนิง
“ดูเจ้าจะลนลานจริงนะ” หลิวเย่ป๋ายตามไป
แม้ว่าฟ้าจะมืดแล้ว แต่ประตูเมืองตงหนิงก็ยังเปิดอยู่ เหล่าพ่อค้าเร่ที่มาขายของและเหล่านักเดินทางก็เข้าไปในเมืองแล้ว เมิ่งต้าเจียงและหลิวเย่ป๋ายก็เดินเข้าไปพร้อมกัน
‘โอ๋? นั่นผู้อาวุโสเมิ่งนี่?’
‘เขาพานายน้อยเมิ่งชวนไปสอบเข้าเขาหยวนชูนี่ เขากลับมาแล้วหรือ?’
อ่านตอนล่าสุดที่ mynovel.co หรือ www.thai-novel.com
ยามที่ประตูจำเมิ่งต้าเจียงที่โด่งดังได้ในทันที
“ข้าไม่ไปจวนบรรพบุรุษตระกูลกับเจ้าด้วยนะ” หลิวเย่ป๋ายแยกทางกับเมิ่งต้าเจียงกลางคัน “ข้าขอกลับไปที่จิงหู่ก่อน”
“ได้สิ” เมิ่งต้าเจียงยิ้มและพยักหน้า จากนั้นเขาก็มุ่งหน้าไปยังจวนบรรพบุรุษอย่างรวดเร็ว
‘เอ๋ เมิ่งต้าเจียงกลับมาแล้วรึ?’ หนึ่งในเถ้าแก่ร้านข้างทางร้านหนึ่งจำเมิ่งต้าเจียงได้ ‘เขาดูจะเร่งรีบ แล้วยังดูตื่นเต้นด้วย อีกอย่างเขากลับมาคนเดียว หรือว่าเมิ่งชวนจะเข้าสู่เขาหยวนชูได้แล้วกัน? ข้าต้องรีบไปบอกตระกูลเดี๋ยวนี้เลย’ ตระกูลเทพอสูรนั้นทำธุรกิจมากมาย รวมไปถึงสายลับด้วย พอพวกเขาเห็นเมิ่งต้าเจียง ก็จะเลยรีบกลับไปรายงาน
ระหว่างทาง คนที่เห็นเมิ่งต้าเจียงก็ต่างเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
หากเมิ่งชวนพลาดกลับมา ทั้งพ่อและลูกคงจะกลับมาพร้อมกัน อีกอย่างเขาคงไม่มุ่งหน้าไปยังจวนบรรพบุรุษด้วยความตื่นเต้นขนาดนั้นแน่ แน่นอนว่าพวกเขาก็แค่เดา สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ยังต้องรอข่าวอย่างเป็นทางการอยู่ดี
เมิ่งต้าเจียงรีบรุดไปยังจวนบรรพบุรุษอย่างรวดเร็ว
เหล่าคนในตระกูลที่จวนบรรพบุรุษต่างฉงนใจ
“ท่านผู้อาวุโส?”
“ผู้อาวุโสกลับมาจากเขาหยวนชูแล้ว ผลการสอบเข้าของเมิ่งชวนเป็นอย่างไรบ้าง?”
“เมิ่งชวนไม่กลับมาด้วย เขาผ่านรึเปล่า?”
เหล่าคนในตระกูลต่างตื่นเต้นและคาดเดาไปต่างๆนาๆ
…
ที่โถงใหญ่ของจวนบรรพบุรุษ เมิ่งเซียนกูคุกเข่าภาวนาเพื่อเมิ่งชวน เธออยู่ในโถงนี้มาตั้งแต่วันที่20ธันวาคมแล้ว
เธอภาวนาขอให้เหล่าบรรพบุรุษอวยพรแก่เมิ่งชวนให้สอบผ่านโดยราบรื่น
“โอ้?” เมิ่งเซียนกูลืมตาขึ้นมา “ต้าเจียงกลับมาแล้วงั้นรึ?”
เธอยืนขึ้นมาพร้อมกับไม้เท้าในมือ ร่างของเธอหายวูบไปก่อนจะไปโผล่ตรงข้างหน้าสองสามจั้ง เธอไปที่ลานข้างหน้าจวนบรรพบุรุษ
มีคนของตระกูลมากมายกำลังยืนมุงกันอยู่ตรงลานด้านหน้า และเมิ่งต้าเจียงที่กำลังวิ่งมาทางนี้ก็หยุดฝีเท้าลงเมื่อได้เห็นเมิ่งเซียนกู
“ต้าเจียง เป็นอย่างไรบ้าง?” ใบหน้าที่ซีดเซียวของเมิ่งเซียนกูเต็มไปด้วยความคาดหวังและเสียงของเธอก็สั่นอยู่หน่อยๆ
คนในตระกูลต่างมองไปที่เมิ่งต้าเจียงด้วยความคาดหวัง
“ชวนเอ๋อร์ได้ที่หนึ่งในการสอบเข้าเขาหยวนชู!” เมิ่งต้าเจียงกล่าวอย่างตื่นเต้น “ตอนนี้เขาได้เป็นศิษย์ในของเขาหยวนชูแล้ว!”
ตอนที่ 89 การตัดสิน 1
หมอกสีดำซึมเข้าไปในร่างกายของเมิ่งชวนทุกย่างก้าวที่เขาเดินขึ้นแท่นบูชา ภาพลวงตายังคงเพิ่มความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง
ภาพลวงตานับไม่ถ้วนถาโถมใส่จิตใจของเขา ลากสติของเมิ่งชวนลงไปในเหวลึกไม่มีสิ้นสุด
‘ไม่มีใครหยุดข้าได้ ถ้าข้าทำลายภาพลวงตาพวกนี้ยังไม่ได้ ข้าจะฆ่าอสูรให้สิ้นได้อย่างไร?’ ความมุ่งมั่นของเมิ่งชวนแก่งกล้าราวกับกระบี่ กระบี่ที่มีไว้สังหารอสูรและมีไว้สำหรับตัดผ่าอุปสรรค์ในหนทางการฝึกวิชาของเขา
เขายังคงก้าวต่อไปด้วยความยากลำบาก แต่ยิ่งก้าวเดินไป หมอกสีดำก็หนาขึ้นเรื่อยๆ ผลกระทบที่เกิดจากหมอกต่อร่างกายและจิตใจก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าความมุ่งมั่นของเขาจะเหมือนกระบี่ แต่สติของเขากลับถูกปกคลุมไปด้วยภาพลวงตาจนหมด
พอความทรงจำยุ่งเหยิง ภาพลวงตาก็ดูสมจริงมากขึ้น เขาไม่รู้สึกถึงร่างกายอีกแล้ว
ตู้ม!
มีพลังที่มองไม่เห็นปรากฏขึ้นในจิตใจของเขา
‘โอ๊ะ? “พลังแห่งวิญญาณ” อย่างนั้นรึ?’ เมิ่งชวนได้สติในทันที ความทรงจำฟื้นคืนกลับมาอย่างสมบูรณ์ ทำให้ภาพลวงตาไม่ส่งผลกับเขาอีก แม้ว่าจะไม่ได้ใช้พลังแห่งวิญญาณโดยตรง แต่มันก็ช่วยขับไล่หมอกสีดำออกไปจากร่างของเขาก่อนที่จะโดนภาพลวงตาเข้าครอบงำได้
‘”พลังแห่งวิญญาณ”นั้นยอดเยี่ยม มันสามารถสกัดกั้นภาพลวงตาเหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย แต่ถ้าอย่างนั้นข้าจะฝึกฝนจิตใจของข้าได้อย่างไร?’ เขารั้ง”พลังแห่งวิญญาณ”เอาไว้ กันไม่ให้มันมาช่วยเขา ภาพลวงตาถาโถมเข้าใส่จิตใจของเขาอีกครั้ง ทำให้สติกลับไปจมลึกในหุบเหวไร้ที่สิ้นสุด แต่ถึงอย่างนั้น “พลังแห่งวิญญาณ”ก็ยังคอยช่วยให้เขามีสติเหลืออยู่นิดหน่อยได้
สติที่เหลืออยู่น้อยนิดนี้สามารถทำให้เขาวิเคราะห์ได้ว่าสิ่งใดคือภาพลวงตา แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่สามารถเป็นอิสระได้ นอกจากนี้เขาก็ไม่รู้สึกถึงร่างกายอีกด้วย สติของเขาเหมือนติดอยู่ในกรงแห่งความมืด
แม้จะสามารถทำลายกรงแห่งความมืดได้ด้วยพลังแห่งวิญญาณ แต่เมิ่งชวนไม่ทำเช่นนั้น
‘ข้าไม่รู้สึกถึงร่างกายของข้าสักนิด ข้าขยับตัวต่อไปไม่ได้แล้ว ข้าคงจะล้มเหลวเป็นแน่’
…
ที่ข้างนอก
ราชาตงเหอและคนอื่นๆกำลังเฝ้าดูจากไกลๆ หลังจากที่ชี่หยวนถงหยุด พวกเขาก็ให้ความสนใจกับเมิ่งชวนมากกว่าเดิม
ถ้าชี่หยวนถงเป็นอัจฉริยะที่หาได้ยากที่หลายสิบปีกว่าจะเจอ จิตรับรู้ของเมิ่งชวนเองก็เรียกได้ว่าน่าเหลือเชื่อ ความสามารถขนาดนั้นในช่วงหลายศตวรรษที่ผ่านมานี้เคยมีแค่ครั้งเดียว เพราะฉะนั้น เทพอสูรทุกคนจึงให้ความสนใจกับเมิ่งชวนมาก หากเมิ่งชวนขาดพลังใจ มันคงจะแย่กว่าที่ชี่หยวนถงทำได้แค่17ขั้นเป็นหลายสิบเท่า
30 ขั้น 40 ขั้น 50 ขั้น 60 ขั้น
เมื่อเห็นเมิ่งชวนยังคงก้าวเดินต่อไปอย่างช้าๆ เหล่าเทพอสูรก็เริ่มคลายกังวล การที่สามารถผ่านขั้นที่60ไปได้นั้นนั่นก็หมายความว่าเขามีพลังใจที่แข็งแกร่งมาก
หยานเฟิงหยุดลงที่ขั้ที่ 66 ส่วนเมิ่งชวนหยุดลงที่ขั้นที่ 68
“โอ๋? เมิ่งชวนกำลังจะหยุดรึ?”
“68 ขั้น ไม่เลว เขาได้อันดับสิบของการทดสอบนี้”
“การจะเป็นเทพอสูรระดับมหาสุริยันนั้นจะต้องไปให้ได้ถึง 103 ขั้น! ตอนนี้เขาไปถึงขั้นที่ 68 ตั้งแต่อายุ 18 เดี๋ยวเขาเองก็จะเติบโต ในอีกสิบปี เขาจะไปถึงจุดสูงสุดของแท่นบูชาได้อย่างง่ายดาย”
เหล่าเทพอสูรค่อนข้างพึงพอใจกับผลลัพธ์ของเมิ่งชวน
เมิ่งชวนหยุดอยู่ที่ขั้นที่ 68 ไปครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีดำจนหมด แต่ไม่นานดวงตาของเขาก็กลับมาเป็นปกติ และเมิ่งชวนก็ก้าวเดินต่อไป เมิ่งชวนโกรธในความไร้พลังของเขา ดังนั้นความมุ่งมั่นและความตั้งใจของเขาจึงเพิ่มขึ้น พลังใจของเขานั้นเป็นเหมือนกระบี่ที่ตัดผ่านภาพลวงตา ด้วยเหตุนั้นมันจึงยังทำให้เขามุ่งหน้าต่อไปได้
“โอ๋? เขากำลังจะหยุดฝีเท้า แต่ก็หลุดออกมาจากภาพลวงตาได้อย่างนั้นรึ? การที่สามารถก้าวผ่านขีดจำกัดได้ในเวลาแบบนี้หายากจริงๆ” ผู้อาวุโสอี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
ราชาตงเหอพยักหน้า”พลังใจของเขานั้นกล้าแข็งมาก หลังจากที่พบเจอกับปัญหา ใจของเขากลับแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม พลังใจของเขาสามารถแข็งแกร่งขึ้นได้มากกว่านี้อีกด้วยซ้ำ”
เหล่าเทพอสูรคอยเฝ้าดูอัจฉริยะที่ค่อยๆหยุดลงไปกันทีละคน
ซงชาหยุดอยู่ที 71 ขั้น เขาได้ที่ 8 จากอัจฉริยะทั้งหมด! เรียกได้ว่าสุดยอดมาก
และที่ขั้นที่ 75 เมิ่งชวนก็หยุดฝีเท้าลงอีก หมอกสีดำคลุมหัวของเขาอีกรอบ ดวงตาค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท แม้ว่าเขาจะพยายามดิ้นรน แต่ในที่สุดดวงตาก็กลายเป็นสีดำจนหมด ร่างของเขาไม่ไหวติงนิ่งเหมือนรูปปั้น
“75 ขั้น ดีมาก” ราชาตงเหอยิ้มและพยักหน้า มีพลังที่มองไม่เห็นยกเมิ่งชวนขึ้นและวางเขาลงในพื้นที่โล่งๆ หมอกสีดำแยกออกมาจากร่างของเขาอย่างรวดเร็วก่อนที่มันจะกลับไปที่แท่นบูชาแห่งความมืด
พอไม่มีหมอกสีดำในร่าง เมิ่งชวนก็กลับมาได้สติอย่างรวดเร็ว
ข้าถูกพาลงมาอย่างนั้นรึ? เมิ่งชวนมองขึ้นไป เขาพบอีกสี่คนที่ยังคงก้าวเดินต่อไป
คนที่มีรากฐานเทพอสูรที่แข็งแกร่งที่เหลืออยู่ในตอนนี้คือเหยียนจิน ส่วนอีกสามคนไม่ค่อยมีชื่อเสียงมากนัก
“เมิ่งชวน เจ้าไปได้ถึงขั้นที่ 75” เจ้าหญิงหลี่อิ๋งยิ้มขณะที่เดินผ่านมา ดวงตาเธอเป็นประกายดูน่ารัก “เจ้าได้อันดับที่ห้าจากหนึ่งร้อยคน แต่ว่าการจัดอันดับก็ไม่สำคัญมาก สิ่งที่จำเป็นสำหรับการขึ้นเป็นเทพอสูรระดับมหาสุริยันนั้นคือพลังใจ สิ่งที่เจ้าต้องทำก็มีแค่ไปให้ถึงยอดของแท่นบูชาแห่งความมืด เนื่องจากว่าเจ้าไปได้ถึงขั้นที่ 75 ข้าว่าในอีกสามสี่ปีเจ้าคงจะไปถึงยอดแล้วล่ะ”
เมิ่งชวนถอนหายใจ สมกับเป็นเจ้าหญิง เธอรู้อะไรหลายๆอย่างจริงๆ เขาไม่ค่อยรู้อะไรมากนักเกี่ยวกับเทพอสูรระดับมหาสุริยัน พ่อของเขานั้นเป็นสายกายาเทพอสูร และสายกายาเทพอสูรนั้นก็หยุดอยู่ที่ขอบเขตมหาสุริยัน
“แต่ว่าข้าทำได้แย่มากเลย ข้าไปได้แค่ 39 ขั้น ต่อจากนี้ไปข้าคงจะต้องตั้งใจให้มากกว่านี้” เจ้าหญิงหลี่อิ๋งกล่าวด้วยรอยยิ้ม “โชคดีที่ปกติแล้วการไปถึงระดับมหาสุริยันใช้เวลา 20-30 ปี ข้ายังมีเวลาเหลืออยู่อีกมากเพื่อจะเพิ่มพลังใจขึ้่นมา จะว่าไปแล้ว เจ้ารู้รึเปล่าว่าชี่หยวนถงนั่นไปได้แค่ 17 ขั้นน่ะ”
“17 ขั้น?” เมิ่งชวนตกใจ
อ่านตอนล่าสุดที่ my-novel.co หรือ www.thai-novel.com
“ใช่แล้ว ข้าว่าเทพอสูรของเขาหยวนชูคงจะปวดหัวกันไม่น้อย” หลี่อิ๋งกล่าว
เมิ่งชวนและหลี่อิ๋งพูดคุยกันจนเหยียนจินหยุดฝีเท้าลงที่ขั้นที่ 81 หลังจากที่เขาถูกเอาลงมาจากแท่นบูชาแล้ว ก็เหลืออัจฉริยะเพียงสองคน
จัวเซี่ยวไปได้ 85 ขั้น
จางหลี่ไปได้ 93 ขั้น
ผลการประเมินครั้งก่อนๆของจางหลี่นั้นอยู่ในระดับธรรมดามาก เขาได้ที่ 99 ในรอบคัดเลือก แต่ถึงอย่างนั้น เขากลับได้ที่หนึ่งในการทดสอบรอบสุดท้าย เขาไปได้ถึง 93 ขั้น เรียกได้ว่าไม่ไกลจากยอดเลย
จางหลี่และจัวเซี่ยวไม่เคยได้กินสมุนไพรมีค่าใดๆมาก่อน พวกเขาต่างมาจากตระกูลคนธรรมดาเท่านั้น และพวกเขาต้องอดทนบากบั่นมามาก
พวกเขาขาดแค่เพียงโอกาส ไม่มีความช่วยเหลือจากตระกูล เมิ่งชวนมองไปที่จัวเซี่ยวและจากหลี่ก่อนจะถอนหายใจ
นี่คือชะตากรรมของมนุษย์
หากเขาเติบโตในตระกูลใหญ่ ได้ใช้ชีวิตหรูหราตั้งแต่ยังเด็ก และได้กลายเป็นจอมยุทธด้วยการฝึกฝนที่มีประสิทธิภาพ พวกเขาคงจะไม่ต้องทนบากบั่นมามากขนาดนั้น และนั่นก็คงจะทำให้พวกเขาไปไม่ถึงขั้นที่93
“การทดสอบทุกอย่างจบลงแล้ว” ราชาตงเหอกล่าวด้วยเสียดังก้อง “พวกเจ้าไปพักได้ครึ่งชั่วยาม หลังจากที่พูดคุยตัดสินใจกันแล้ว จะเป็นการประกาศชื่อยี่สิบคนที่ถูกคัดเลือก”
ผลการคัดเลือกใกล้จะถูกตัดสินแล้ว
‘ข้าจะอยู่ในนั้นด้วยหรือเปล่า?’
‘ในรอบคัดเลือกข้าไม่ได้อยู่อันดับต้นๆ แต่ว่าข้าก็ทำได้ไม่เลว อย่างน้อยข้าก็พอทำได้อยู่กลางๆ ข้าคงจะได้ซักที่ 20’
หลายคนต่างเป็นกังวลในการตัดสินของเขาหยวนชู
สำหรับพวกเขาหลายๆคนแล้ว การที่ได้เข้าไปนั้นเรียกได้ว่าเป็นการเพิ่มสถานะของตนอย่างมาก! หากไม่ได้เข้าไป ก็จะต้องสะสมแต้มจากการรบไปทีละนิด ยิ่งไปกว่านั้นก็จะยังไม่มีอาจารย์ดีๆมาคอยชี้นำอีกด้วย ในเขาหยวนชู เทพอสูรที่ทรงพลังทั้งหลายก็จะคอยชี้แนะเหล่าศิษย์ของตน และพวกเขาก็จะได้รับอนุญาติให้เรียนรู้มรดกเทพอสูรที่แข็งแกร่งที่สุดได้อีกด้วย อีกทั้งก็ยังได้สมุนไพรหายากมาคอยบำรุงชุบเลี้ยงอีกต่างหาก เทพอสูรระดับมหาสุริยันส่วนมากของราชวงศ์โจวที่ยิ่งใหญ่ต่างมาจากเขาหยวนชู
เมิ่งชวนเดินไปหาเมิ่งต้าเจียง เหยียนจินเองก็ตามมาเช่นกัน
“พวกเจ้าทั้งคู่ทำได้ดีมาก” เมิ่งต้าเจียงกล่าวอย่างมีความสุข “จากที่ข้าดู พวกเจ้าทั้งคู่คงจะได้ติดอยู่ในนั้นอย่างแน่นอน”
“เหยียนจิน เจ้าได้อันดับที่เก้าในรอบคัดเลือก แถมยังเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในห้าของรอบสุดท้าย”เมิ่งชวนพยักหน้า “เจ้าสอบติดอย่างแน่นอนเลย”
“เจ้าเองก็คงจะเป็นที่หนึ่ง” เหยียนจินกล่าวยิ้มๆ หลังจากฝึกฝนมาอย่างหนักหลายปี เป้าหมายแรกของเขาคือการเข้าสู่เขาหยวนชู และดูๆแล้ว คงจะไม่มีอะไรที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้นหรอก
…
เหล่าเทพอสูรต่างพูดคุยกันเกี่ยวกับผลของเหล่าอัจฉริยะ
ส่วนราชาตงเหอ ชายผมกระเซิง หญิงสาวชุดสีฟ้าและผู้อาวุโสอี่นั้น พวกเขากำลังยุ่งอยู่กับการตัดสินยี่สิบอันดับแรก
“พลังใจของชี่หยวนถงยังขาดอยู่ แต่จิตรับรู้ของเขานั้นสูงมาก ตราบใดที่เขาสามารถเติมเต็มพลังใจที่หายไปได้ในอนาคต เขาคงจะกลายเป็นเทพอสูรที่ทรงพลังเป็นแน่ พวกเราควรจะต้องรับเขาเข้ามา” ชายผมกระเซิงกล่าว “ศิษย์คนอื่นๆอาจจะต้องใช้เวลานิดหน่อยเพื่อฝึกฝนจิตใจในแท่นบูชาแห่งความมืดนี้ แต่สำหรับชี่หยวนถง เราควรให้เขาใช้เวลากับตรงนี้มากกว่านี้”
“พวกเราควรคิดแผนสำหรับการฝึกฝนจิตใจของเขา” หญิงสาวชุดสีฟ้ากล่าว “เราสามารถวางแผนให้เขาตามชีวิตในวัยเด็กได้ อย่างเช่น จุดเปลี่ยนชีวิต หนีจากความสิ้นหวังอย่างเอาเป็นเอาตาย ทำงานเก็บเงิน ได้แต่งงานและมีลูก… ข้าคงจะต้องให้เขาอยู่ตรงนี้อีกสิบกว่าปีเพื่อทดแทนพลังใจที่ขาดไปนั่นได้”
“นั่นสินะ” ราชาตงเหอพยักหน้า “ข้าเห็นด้วยที่จะรับเขาเข้ามา แต่ว่าเรื่องของพลังใจนั้น… เราจะต้องวางแผนให้ละเอียด”
“ท่านไม่จำเป็นต้องเสียเวลากับเรื่องพวกนั้นหรอก” ผู้อาวุโสอี่กล่าวยิ้มๆ “มีพวกคนเฒ่าคนแก่มากมายบนภูเขาที่คิดแผนดีๆให้เด็กคนนั้นได้ ที่ผ่านมาเขาหยวนชูเองก็เคยมีอัจฉริยะที่เก่งกล้าแต่ขาดพลังใจด้วยเหมือนกัน”
คนที่มีความสามารถบางอย่างที่น่าเหลือเชื่อจะถูกพาเข้าสู่เขาหยวนชูโดยตรง
อย่างหลิวชีเยว่ที่มีสายเลือดร่างเทพวิหคเพลิง ทำให้เธอไม่จำเป็นต้องทดสอบใดๆและได้เข้าสู่เขาหยวนชูโดยตรง แม้ว่าระดับการฝึกฝนของเธอจะยังขาดหรือด้อยอยู่ก็ตาม แต่เขาหยวนชูก็จะหาทางแก้ไขทดแทนมันให้ได้
สำหรับอัจฉริยะธรรมดาๆนั้น การเสียเวลากับเรื่องนี้หมายความว่าการฝึกฝนในด้านอื่นๆก็จะต้องช้าไปด้วย และมันไม่คุ้มค่าสำหรับเขาหยวนชูที่จะคอยชุบเลี้ยงพวกเขา
อย่างไรก็ตาม มันก็ยังมีข้อยกเว้นสำหรับอัจฉริยะบางคน
“ตัดสินเรื่องของชี่หยวนถงได้แล้ว แล้วของจางหลี่ล่ะ? จางหลี่ได้ที่หนึ่งในการทดสอบแท่นบูชาแห่งความมืดนี้ แต่ว่าเขาดูกลางๆมากในการทดสอบอื่นๆ” หญิงสาวชุดสีฟ้ากล่าว “เขามีเพียงพลังใจที่แข็งแกร่ง แต่หากไม่มีความแข็งแกร่งที่มากพอ ในอนาคตจะต่อสู้กับเหล่าอสูรได้อย่างไรกัน?”
“เรียกได้ว่าธรรมดามากจริงๆ” ชายผมกระเซิงพยักหน้า “เราสามารถให้เขาลองฝึกฝนสายอสูรมายาได้”
“เขาคงจะไม่เหมาะกับสายอสูรมายาเท่าไรนัก ข้าว่ามีเพียงสายเทพสว่างโชติที่เหมาะสมกับเขา” ราชาตงเหอกล่าว
“รับเขาเข้ามาดีกว่า พวกเราสามารถให้เขาลองฝึกฝนทั้งสายเทพสว่างโชติและสายอสูรมายาได้ แต่หากเขาไม่สามารถขึ้นเป็นเทพอสูรระดับสูงได้ภายในสิบปี ก็ให้ขับไล่เขาออกจากนิกายในเสีย” ผู้อาวุโสอี่กล่าว เขาหยวนชูเองก็มีกฎ หากศิษย์ในอยากจะเป็นเทพอสูร อย่างน้อยก็ต้องเป็นเทพอสูรระดับสูงให้ได้! นี่เป็นอีกหนึ่งเหตุผลว่าทำไมเทพอสูรของเขาหยวนชูจึงแข็งแกร่ง เพราะหากพวกเขาไม่สามารถกลายเป็นเทพอสูรระดับสูงได้ในสิบปี พวกเขาก็จะต้องถูกขับไล่ออกจากนิกายในและไปเป็นศิษย์นอกแทน
ราชาตงเหอและคนอื่นๆปรึกษากันเกี่ยวอัจฉริยะไปทีละคน ทุกๆการรับเข้านั้นมีค่ามาก ดังนั้นพวกเขาจึงต้องจริงจัง
ตอนที่ 88 จะไปเป็นข้าได้อย่างไรกัน?
เหล่าอัจฉริยะที่อยู่บนแท่นบูชาต่างมีหมอกสีดำซึมเข้าร่างของพวกเขา
ในขณะเดียวกัน ชี่หยวนถงก็ฟื้นคืนสติกลับมาแล้ว เขามองดูรอบๆตัว มีเพียงเก้าคนเองเหรอที่ถูกคัดออก? ใจของเขาตกไปอยู่ตาตุ่ม ข้าได้ที่ 92 จากทั้งร้อยคนเหรอ?
เขานั้นทระนงตนมากแค่ไหนกัน?
เขาเคยดูถูกคนรุ่นราวคราวเดียวกันตั้งแต่ยังเด็ก พี่น้องเองก็ไม่สนใจสุงสิงด้วย ครอบครัวของเขาก็เลี้ยงดูด้วยทุกอย่างที่มีด้วยความหวังที่ตระกูลชี่จะได้มีเทพอสูรที่ทรงพลัง
เขานับว่าเมิ่งชวนเป็นคู่แข่งเพียงคนเดียวของเขา แต่ในตอนนี้ เขากลับได้อันดับเกือบท้ายๆของการทดสอบสุดท้ายนี่เลยด้วยซ้ำ
‘จิตใจของพวกเขาแข็งแกร่งกว่าของข้าอย่างนั้นเหรอ?’ ชี่หยวนถงมองดูเหล่าอัจฉริยะที่อยู่ด้านบน หลายคนไม่เคยที่จะได้กินสมบัติสมุนไพรหายากเลยด้วยซ้ำ แต่ก่อนเขาไม่เคยจะใส่ใจอะไรกับพวกนั้น แต่ในตอนนี้คนเหล่านั้นกำลังค่อยๆก้าวต่อไป ในขณะที่เขาถูกคัดออกมาแล้ว
…
อ่านตอนล่าสุดที่ my-novel.co หรือ www.thai-novel.com
‘ต้องพิจารณาศักยภาพของชี่หยวนถงใหม่โดยสิ้นเชิงเลย ข้าหวังว่าคงจะไม่มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดกับคนอื่นๆที่มีรากฐานเทพอสูรที่แข็งแกร่ง’ นี่เป็นความคิดที่เหล่าเทพอสูรกำลังคิดอยู่
เขาหยวนชูตัดสินค่าของเทพอสูรจากรากฐานที่แข็งแกร่ง ระดับขั้นการฝึกฝนที่สูง และความสามารถในการต่อสู้ที่ดี และพวกเขาเองก็หวังว่าเหล่าอัจฉริยะจะไม่ขาดในเรื่องของจิตใจด้วย
เหล่าอัจฉริยะค่อยๆล้มลงในขณะที่เดินขึ้น
“ฮ่าฮ่าฮ่า…”
จู่ๆเทพอสูรก็หัวเราะขึ้นมา เพราะในหมู่อัจฉริยะเหล่านั้น เหยียนชื่อถงได้หยุดอยู่ที่ขั้นที่22 ดวงตาของเขาเองก็เปลี่ยนกลายเป็นสีดำสนิท ราชาทะเลตงเหอยิ้มก่อนจะดึงหยานชื่อถงลงมา
“ราชาทะเลชีไห่ ลูกชายของท่านเองก็ไม่เลว”
“ใช่แล้ว การที่ไปถึงขั้นที่ 22 ของแท่นบูชาแห่งความมืดตั้งแต่อายุสิบสามนั้นยอดเยี่ยมมาก”
“จิตใจของเขายังกำลังเติบโต เขาสุดยอดมากที่ไปถึงขั้นที่ 22 ได้” เหล่าเทพอสูรพูดคุยพร้อมกับรอยยิ้ม
เหยียนซื่อท่งยังเป็นเด็ก อย่างไรก็ตามชี่หยวนถงเป็นผู้ใหญ่แล้ว โดยทั่วไปแล้วจิตใจของผู้ใหญ่จะเติบโตจนสุดแล้ว แต่เขาก็ไปได้ถึงแค่ขั้นที่ 17 นั่นทำให้เทพอสูรหลายๆคนถึงกับใจสลาย
‘ข้าแพ้จริงๆหรือนี่’ เหยียนซื่อท่งกลับมาได้สติ เขาอดไม่ได้ที่จะกำหมัดแน่นด้วยความขุ่นเคืองในขณะที่จ้องมองไปยังเหล่าอัจฉริยะที่ยังคงอยู่บนแท่นบูชาแห่งความมืด อย่างไรก็ตามเมื่อเขากวาดสายตาไปเห็นชี่หยวนถง เขาก็ยิ้มกริ่ม
…
ขั้นที่ 30 นั้น ถือเป็นความต้องการขั้นต่ำสำหรับเทพอสูรในอนาคตของเขาหยวนชู โชคยังดีที่อัจฉริยะคนอื่นๆที่เหล่าเทพอสูรได้ตั้งความหวังเอาไว้ สามารถผ่านความต้องการขั้นต่ำไปได้ จากอัจฉริยะร้อยคน มี26 คนที่ไปไม่ถึงขั้นที่ 30
“ฮะ?”
“ฉู่หยงก็หยุดด้วยหรือ?”
เทพอสูรขมวดคิ้วเล็กน้อย
อดีตอัจฉริยะอันดับหนึ่งของเมืองหลวง ฉู่หยง หยุดที่ขั้นที่ 38 ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีดำสนิทและเขายืนนิ่งเหมือนรูปปั้น แม้จะผ่านเกณฑ์ไปก็จริง แต่38นั้นก็ปานกลางมาก มันต่ำว่าค่าเฉลี่ยของอัจฉริยะทั้งร้อยคนเลยด้วยซ้ำ
แต่หลังจากนั้น เจ้าหญิงหลี่อิ๋งและจินฮ้วน ผู้ที่เร็วรองจากแค่เมิ่งชวน ก็หยุดลงที่ขั้นที่ 39
“อะไรน่ะ?”
“ทั้งสามคนหยุดตามๆกันเลย”
ราชาตงเหอและคนอื่นๆขมวดคิ้วเล็กน้อย นอกเหนือจากเหยียนซื่อถง ก็ยังมีคนที่รากฐานเทพอสูรแข็งแกร่งอยู่อีกสิบคน ซึ่งก็เป็นใครไปไม่ได้นอกจากฉู่หยง หยานเฟิง เมิ่งชวน เหยียนจิน ซงชา หลี่อิ๋ง จินฮ้วน หนิงอี้โบ ตงฟาง และชี่หยวนถง นอกจากหยานเฟิงที่ได้ลาภลอย คนที่เหลือนั้นต่างได้รับการดูแลเป็นอย่างดีจากตระกูล
ระดับขั้นการฝึกฝนและฐานรากเทพอสูรของพวกเขานั้นแข็งแกร่งมาก แต่ชี่หยวนถงกลับทำให้หลายคนต้องผิดหวังหลังจากที่เขาหยุดอยู่ที่ขั้นที่ 17 ฉู่หยงหยุดที่ขั้นที่ 37 ส่วนหลี่อิ๋งและจินฮ้วนหยุดที่ขั้นที่ 39 ผลลัพธ์ของพวกเขาต่ำกว่าค่าเฉลี่ย จากนั้นไม่นาน ตงฟางที่แข็งแกร่งก็ไปหยุดอยู่ที่ขั้นที่ 43 นับว่าอยู่ตามค่าเฉลี่ย ในอันดับที่ห้าสิบ
“มีอัจฉริยะสิบคนที่มีรากฐานเทพอสูรที่แข็งแกร่ง แต่ครึ่งหนึ่งกลับไปได้ต่ำกว่าขั้นที่ 50 รึ” เทพอสูรเฝ้าดูอย่างใจเย็น พวกเขาพอจะคาดเดาไว้อยู่แล้ว รากฐานเทพอสูรและพรสวรรค์ของแต่ละคนไม่ได้เกี่ยวอะไรกับความแข็งแกร่งของจิตใจ จากอัจฉริยะทั้งร้อยคน มี 61 คนที่ไปไม่ถึงขั้นที่ 50 และเป็นเรื่องปกติที่ครึ่งหนึ่งของคนที่มีรากฐานเทพอสูรที่แข็งแกร่งจะไปไม่ถึงขั้นที่ 50 อัตราส่วนนี้ถือว่าเป็นไปตามคาด
…
เวลาผ่านไป
เหล่าอัจฉริยะค่อยๆเดินขึ้นบันไดแท่นบูชาไปทีละก้าว
หนิงอี้โบไปหยุดที่ขั้นที่ 59 และถูกเอาลงมาจากแท่นบูชาแห่งความมืด
‘โอ้?’ พอหนิงอี้โบได้สติกลับมา เขาก็เงยหน้าขึ้นและพบว่ายังมีอีก 18 คนที่เหลืออยู่ และคนที่ช้าที่สุดกำลังอยู่ที่ขั้นที่ 60
ในหมู่อัจฉริยะที่เขาให้ความสนใจ มีเพียงเมิ่งชวน เหยียนจิน ซงชา และหยานเฟิงที่ยังคงกำลังก้าวเดินต่อไปอย่างยากลำบาก
เมิ่งชวนรู้สึกราวกับอยู่ในฝันร้ายที่ไม่มีวันตื่นขึ้นได้ เขารู้สึกได้ถึงร่างกาย แต่กลับเหมือนตกอยู่ในภวังค์
‘ทุกอย่างนี้เป็นภาพลวงตาทั้งนั้น มันเป็นของปลอม เดินต่อไป’ เมิ่งชวนพยายามรักษาจิตใจให้ชัดเจนในขณะที่บังคับให้ร่างกายของเขาเดินต่อไป
ภาพลวงตานั้นถาโถมเข้าใส่จิตใจของเขาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เขารู้สึกราวกับตกอยู่ในหุบเหวที่มืดมิดไร้ที่สิ้นสุด เขาเริ่มจะสบสนกับความทรงจำจริงๆและภาพลวงตา ราวกับภาพลวงตาเหล่านั้นมันเกิดขึ้นจริงๆ
‘ตื่นซะ ตื่นไว้’ เมิ่งชวนคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว ‘เจ้าทนต่อไปไม่ได้เพราะภาพลวงตาโง่ๆพวกนี้น่ะหรือ? เจ้าจะฆ่าอสูรทุกตนได้ยังไงกันถ้ามีพลังใจเพียงเท่านี้?’
เขาโกรธมาก เขาโกรธที่โดนภาพลวงตานั้นเข้าครอบงำ แต่ถึงอย่างนั้น ไม่ว่าเขาจะโกรธแค่ไหน แต่ความทรงจำก็เริ่มค่อยๆพร่ามัว เช่นเดียวกับสติของเขาที่ค่อยๆจมดิ่งลึกไปในภาพลวงตานั้น สิ่งปลอมๆก็ค่อยๆเข้าใกล้ความเป็นจริงมากขึ้นเรื่อยๆ
มีภาพลวงตาหนึ่ง เขาเป็นทหาร เขากับเหล่าสหายต้องถูกฝูงอสูรนับไม่ถ้วนถาโถมเข้าใส่ในสนามรบ และสหายร่วมรบของเขาก็ค่อยๆตกตายกันไปทีละคน
‘ข้าหยุดพวกมันไว้ไม่ได้ ข้าทำไม่ได้ ข้าจะทนรับมืออสูรจำนวนมากขนาดนั้นด้วยตัวคนเดียวได้อย่างไร ข้าจะต้องตายแน่ๆ’ เขาและสหายที่เหลืออยู่ถูกความกลัวเข้าครอบงำ อสูรจำนวนนับไม่ถ้วนถาโถมเข้ามาใส่ คนที่เหลืออยู่ก็มีอยู่แค่ไม่กี่คน สหายของเขาถูกฉีกกระชากเป็นชิ้นๆ เลือดสาดกระเซ็นไปทั่วร่างกาย
ในใจมีแต่ความกลัวและความสิ้นหวัง
สุดท้ายแล้ว เขาก็เป็นเพียงมนุษย์คนเดียวที่เหลือรอดอยู่ในสนามรบ! สหายของเขาทุกคนต่างนอนแน่นิ่งไม่ไหวติงขณะที่อสูรพุ่งเข้าใส่เขาอย่างบ้าคลั่ง
‘ไม่มีความหวังเหลืออยู่แล้ว! มันจบลงแล้ว!’
‘ไม่ นี่จะไปเป็นข้าได้ยังไงกัน? อ่อนแอและขี้ขลาด จะไปเป็นข้าได้ยังไง?’
เสียงคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยวดังขึ้นในใจของเขา
เขารู้สึกโกรธจากใจจริง
เขาโกรธที่ตัวเขาอ่อนแอ เขาโกรธที่ทุกอย่างนี้มันเป็นของปลอม!
‘แม้ว่าข้าเมิ่งชวนจะต้องตายที่นี่วันนี้ ข้าก็จะขอสังหารพวกอสูรจนกว่าข้าจะสิ้นใจ หากฆ่าสามารถสังหารได้หนึ่ง ข้าก็จะสังหารหนึ่ง หากข้าสามารถสังหารได้สิบ ข้าก็จะสังหารสิบ’ เมิ่งชวนคำรามในใจ ‘ข้าเมิ่งชวนไม่มีวันกลัวพวกอสูร! แม้จะต้องตายก็ตาม!’
ความมุ่งมั่นของเมิ่งชวนนั้นกล้าแข็งจนทำให้เขาหลุดออกมาจากภาพลวงตาได้ เขารู้สึกถึงร่างกายได้ชัดเจนขึ้น เมิ่งชวนกลับมาควบคุมสติได้อีกครั้ง และความทรงจำของเขาก็ค่อยๆชัดเจนขึ้นมา
เขานึกขึ้นได้ว่ายังอยู่บนแท่นบูชาแห่งความมืด
‘เดินหน้าต่อไป คิดถึงเมืองตงหนิงเอาไว้ คิดถึงเหล่าคนที่อ่อนแอที่ยอมใช้ร่างกายของตัวเองเพื่อปกป้องลูกเอาไว้ คิดถึงผู้อาวุโสสามที่ยอมเสียสละชีวิตเพื่อเหล่าคนในตระกูลสิ’
‘ผู้คนมุ่งต่อไปข้างหน้ามาหลายชั่วอายุคนแล้ว ข้าเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ข้าจะไปกลัวพวกอสูรได้อย่างไรกัน? ข้าสาบานว่าข้าจะสังหารมันจนหมด! และสิ่งแรกที่ต้องทำคือการตัดความอ่อนแอและความกลัวออกไปให้หมด!’
ความมุ่งมั่นของเมิ่งชวนกล้าแข็งขึ้นเรื่อยๆในขณะที่ก้าวเดินต่อไปบนแท่นบูชา
ตอนที่ 87 ที่เก้านับจากที่โหล่
ชายผมกระเซิงยิ้มและกล่าวออกมา “พี่หญิงจิงยู่ ท่านไม่ต้องคาดหวังอะไรมากก็ได้ อัจฉริยะพวกนั้นยังไม่เคยเข้ารับราชการทหาร พวกเขาคงจะทำได้ดีกว่านี้หากไปอยู่ในสนามรบซักห้าปี”
“เด็กพวกนี้เป็นอัจฉริยะ เวลาในการฝึกฝนของอัจฉริยะนั้นมีค่ามาก แล้วพวกเราจะปล่อยให้พวกเขาเติบโตอย่างช้าๆในสนามรบได้อย่างไรกัน?” หญิงสาวชุดสีฟ้ากล่าว
“เราค่อยมาพูดคุยตัดสินอันดับกันหลังจากการทดสอบรอบที่สองจบซะดีกว่า” ราชาตงเหอกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มการทดสอบรอบที่สองดีกว่า รอบนี้สำคัญที่สุด”
“รับทราบ” หญิงสาวชุดสีฟ้าและชายผมกระเซิงพยักหน้า
ยังเหลือการทดสอบรอบสุดท้ายอีกหนึ่งรอบ
หากการสังหารอสูรเป็นการตัดสินความสามารถในการต่อสู้และความแข็งแกร่งของเหล่าอัจฉริยะ การทดสอบรอบที่สองนี้ก็เป็นการตัดสินศักยภาพของพวกเขา
…
เหล่าอัจฉริยะถูกยกลอยขึ้นไปอีกครั้ง พวกเขาลอยขึ้นไปพร้อมกับเหล่าเทพอสูรและจากนั้นก็กลับลงพื้นบนเชิงเขากว้างๆ
“ข้าให้เวลาพวกเจ้าพักครึ่งชั่วยาม” ราชาตงเหอมองดูเหล่าอัจฉริยะที่กำลังหมดแรง หลายๆคนมีผ้าพันแผลที่เปือนเลือดพันอยู่ “ในอีกครึ่งชั่วยามจะเป็นการทดสอบส่วนที่สอง! นี่เป็นการทดสอบครั้งสุดท้ายของเขาหยวนชูแล้ว เมื่อจบลง พวกเราจะคัดเลือกยี่สิบคนที่จะได้เข้าสู่เขาหยวนชู”
เมิ่งชวนและคนอื่นๆนั่งขัดสมาธิในทันที พลังปราณไหลเวียนผ่านร่างกายเพื่อฟื้นฟูพลังของพวกเขากลับมา
“ถึงการทดสอบรอบสุดท้ายแล้ว”
“เทพอสูรของเขาหยวนชูต้องอย่างน้อยไปถึงระดับมหาสุริยัน หากไปไม่ถึงระดับนั้น ก็ไม่มีเหตุผลที่จะคอยชุบเลี้ยงพวกเขา” ขุนนางเมฆาใต้และเทพอสูรคนอื่นๆพูดคุยกัน แม้ว่าจะมีเทพอสูรจำนวนมากในราชวงศ์โจวที่ยิ่งใหญ่ แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นเทพอสูรระดับมหาสุริยัน
ในทางทฤษฎีแล้ว ระดับมหาสุริยันคือขีดจำกัดของกายาเทพอสูร
อย่างเช่นเมิ่งเซียนกู หวินว่านไห่ และคนอื่นๆนั้นต่างเป็นเพียงศิษย์ชั้นนอกของเขาหยวนชูเท่านั้น พวกเขาโชคดีพอที่จะได้กลายเป็นเทพอสูร และส่วนมากก็ไปถึงเพียงแค่ระดับแดนอมตะเท่านั้น ขนาดเจ้าวังหยกสุริยันเองก็ยังอยู่แค่ขั้นสอง ระดับแดนอมตะเท่านั้น เจ้าวังหยกสุริยันมาจากเขาหยวนชู เขาฝึกฝนกายาเทพอสูรและมีรากฐานเทพอสูรที่แข็งแกร่ง เพราะเหตุนั้นจึงทำให้เขาสามารถทนรับการโจมตีของราชาอสูรระดับสองได้ถึงสามตนพร้อมๆกัน
นี่เป็นเรื่องปกติสำหรับศิษย์ของเขาหยวนชู ด้วยรากฐานและพลังที่แข็งแกร่ง พวกเขาสามารถเอาชีวิตรอดได้อย่างง่ายดายแม้จะต่อสู้กับคนที่ระดับสูงกว่าหนึ่งขั้นก็ตาม! ยิ่งไปกว่านั้น การถึงระดับมหาสุริยันนั้นเป็นเพียงแค่เป้าหมายแรก
เจ้าวังหยกสุริยันยังหนุ่มมาก แน่นอนว่าเขายังห่างไกลขีดจำกัดของเขา และตอนนี้เขาถูกส่งไปปกป้องเมืองธรรมดาๆเมืองหนึ่งเป็นการชั่วคราว
…
เมิ่งชวนฟื้นตัวและฟื้นพลังปราณจนสมบูรณ์เหมือนเดิม
“ผ่านไปครึ่งชั่วยามแล้ว” เสียงของราชาตงเหอดังขึ้น
เหล่าอัจฉริยะที่นั่งขัดสมาธิอยู่เปิดตาและยืนขึ้นมองราชาตงเหอ เหล่าญาติๆและเพื่อนๆของพวกเขาพร้อมกับเหล่าเทพอสูรมากมายต่างเต็มไปด้วยความคาดหวัง
“การทดสอบสุดท้ายเป็นการทดสอบจิตใจของเจ้า” ราชาตงเหอชี้ไปที่แท่นบูชาขนาดใหญ่ แท่นบูชานั้นเป็นพีระมิดฐานสีเหลี่ยม แต่ละด้านมีบันไดสูงขึ้นไปกว่าร้อยก้าวและไปหยุดอยู่ตรงด้านบนสุด แท่นบูชาทำมาจากหินปูนที่มีรอยด่างกระจายอยู่ทั่ว เห็นได้ชัดว่ามันอยู่มานานแล้ว
“นี่คือแท่นบูชาแห่งความมืด เมื่อเจ้าเดินขึ้นไปบนแท่นบูชา เจ้าจะตกอยู่ในความมืดมิด และพวกเจ้าต้องตั้งสติเอาไว้ให้ได้ ยิ่งขึ้นไปสูงเท่าไหร่ได้ก็ยิ่งดี แต่เมื่อใดที่ถูกความมืดกลืนกิน เจ้าจะสอบตก”
“เอาล่ะ เริ่มกันได้เลย” ราชาตงเหอกล่าว
เมิ่งชวนและคนอื่นๆลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่พวกเขาจะแยกกันเดินขึ้นไปบนแท่นบูชาแห่งความมืด แต่ละด้านขึ้นไปกันยี่สิบคน ไม่ช้าก็มีคนเดินขึ้นไปเป็นคนแรก หมอกสีดำจางๆลอยขึ้นมาจากบันไดหินปูนนั้นและซึมเข้าไปในร่างของคนๆนั้น เด็กคนนั้นตัวสั่นไปหน่อยหนึ่งก่อนที่เขาจะก้าวต่อไป คนอื่นๆเองก็เดินขึ้นบันไดแท่นบูชาไปทีละก้าวๆ ระหว่างนั้นเองหมอกสีดำก็ลอยขึ้นมาจากใต้เท้าของพวกเขาและซึมเข้าไปในร่าง
ตึง!
เมิ่งชวนก้าวไปข้างหน้า หมอกสีดำจางๆลอยขึ้นมาจากขั้นบันไดหินปูนและซึมเข้าสู่ร่างกายของเขาและไหลเข้าไปที่หัวของเขาอย่างรวดเร็ว
อ่านตอนล่าสุดที่ my-novel.co หรือ www.thai-novel.com
เมิ่งชวนรู้สึกราวกับโลกกำลังหมุน เหมือนกับติดอยู่ในฝันร้าย ราชาอสูรและเหล่าอสูรฟ้ากระหายเลือดพุ่งเข้าใส่ พวกมันมีกระแสพลังที่น่าสะพรึงมากยิ่งกว่าราชาอสูรบึงพิษเสียอีก เมิ่งชวนรู้สึกร่างกายติดขัดยากที่จะขยับตัว
‘เดิน เดินต่อไป ทั้งหมดมันเป็นภาพลวงตา แค่ภาพลวงตา’ เมิ่งชวนโน้มน้าวใจตัวเองอย่างต่อเนื่อง เขาบังคับให้ร่างขยับ แต่ว่าร่างกายกลับติดขัดเสียยิ่งกว่าคนแก่อายุ 80 ทำให้เดินต่อไปได้ยาก
ยิ่งเขาก้าวเดินต่อไป หมอกสีดำที่ลอยออกมาจากหินปูนก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มันเข้าสู่ร่างของเขาอย่างต่อเนื่องและส่งผลกระทบต่อทั้งร่างกายและจิตใจ ทุกๆอย่าง
ภาพลวงตาก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ผลกระทบต่อร่างกายก็ยิ่งมากขึ้น เมิ่งชวนพยายามอย่างเต็มที่ที่จะบังคับให้ร่างกายของเขาก้าวเดินต่อไป
…
เหล่าอัจฉริยะต่างก้าวเดินอย่างเชื่องช้า ยิ่งไปสูงเท่าไหร่ก็ยิ่งช้าลงเท่านั้น
ตรงบันไดขั้นที่แปด มีอัจฉริยะคนหนึ่งหยุดฝึเท้าลง เขาไม่ขยับตัวหรือเคลื่อนไหวใดๆเป็นเวลาสิบห้าวินาทีก่อนที่หมอกสีดำจะปกคลุมหัวของเขาจนหมด ดวงตาของเขาเปลี่ยนกลายเป็นมืดมิด และตาขาวในดวงตาก็หายไป
หญิงสาวในชุดสีฟ้าขมวดคิ้ว “จิตของเขาอ่อนแอเกินไป คนที่มีจิตใจอ่อนแอแค่นี้จะไปถึงระดับขั้น “จิตวิญญาณ” ได้อย่างไร? จะเป็นเทพอสูรระดับมหาสุริยันได้อย่างไร?”
ในทุกๆวิชาต่อสู้เช่นวิชากระบี่และท่วงท่ากระบี่ มันมีระดับขั้นอย่าง “หนึ่งเดียว” “พลัง” และ “เจตจำนง” ในตอนนี้เมิ่งชวนกำลังพยายามเข้าถึง “เจตจำนงกระบี่” อยู่ ส่วนระดับขั้นที่สี่นั้นคือระดับขั้น “จิตวิญญาณ”
ฟิ้ว ราชาตงเหอโบกมือและพลังที่มองไม่เห็นก็ดึงอัจฉริยะคนนั้นลงมาจากแท่นบูชา
เมิ่งเขาลงมาจากแท่นบูชา หมอกสีดำก็กลับเข้าไปที่แท่นบูชาอย่างรวดเร็ว
พอไม่มีหมอกสีดำที่ส่งผลต่อเขา เขาก็ฟื้นคืนสติ จากนั้นเขาก็รู้ว่าเขาเป็นคนเดียวที่ไม่ได้อยู่บนแท่นบูชา เขายืนนิ่งๆอย่างงุนงง ‘นี่ข้าทำได้แย่ที่สุดในการทดสอบสุดท้ายเลยรึ?’
ในไม่ช้าก็มีอีกสองคนที่หยุดอยู่ตรงก้าวที่สิบ หมอกสีดำเข้าปกคลุมหัวพวกเขา ก่อนที่ตาขาวจะหายไปเหลือแต่ตาดำ พวกเขาถูกดึงลงมาจากแท่นบูชา
“เทพอสูรของเขาหยวนชูทุกคนจะต้องไปถึงระดับมหาสุริยันยกเว้นว่าจะตายในการต่อสู้เสียก่อน” ขุนนางทะเลชีไห่กล่าวขณะเฝ้าดู “ในตอนที่เข้ารับการทดสอบนี้ เด็กๆพวกนี้ส่วนมากก็อายุเกือบจะยี่สิบกันแล้ว อย่างน้อยก็ควรจะมีจิตที่กล้าแข็งประมาณสามส่วนของระดับมหาสุริยันสิ? การที่ไม่มีจิตที่กล้าแข็งระดับนั้นนั่นก็หมายความว่าโอกาสที่จะได้เป็นเทพอสูรระดับมหาสุริยันนั้นน้อยมาก”
“ศักยภาพของพวกเขาต่ำเกินไป” เทพอสูรคนอื่นๆเห็นด้วย
ไม่ว่ารากฐานเทพอสูรจะแข็งแกร่งเพียงไหน หรือไม่ว่าจะต่อสู้ได้เก่งกาจเพียงใด แต่พวกเขาก็มักจะถูกคัดออกหากผลการคัดเลือกรอบสุดท้ายแย่
จิตใจนั้นเป็นสิ่งที่พิเศษ บางครั้งมนุษย์เราก็มีจิตใจที่กล้าแข็ง แต่บางครั้งเทพอสูรเองก็ไม่ได้มีจิตใจที่กล้าแข็งมากเช่นกัน
เหล่าอัจฉริยะค่อยๆหยุดฝีเท้าลงเรื่อยๆ
“อย่างน้อยพวกเขาต้องไปให้ถึงขั้นที่ 30 หากไปไม่ถึงนั่น จิตใจพวกเขาก็คงอ่อนแอเกินไป” เหล่าเทพอสูรเฝ้าดู
“ฮะ?”
สีหน้าของเทพอสูรทุกคนเปลี่ยนไป ญาติๆและเพื่อนๆที่กำลังเฝ้าดูเองก็เปลี่ยนสีหน้าไปดูประหลาดใจเช่นกัน
ชี่หยวนถงร่างบางพร้อมกับค้อนยักษ์สองอันบนหลังของเขาในตอนนี้หยุดลงที่ขั้นที่ 17 เขายืนอยู่นิ่งๆพร้อมกับหมอกสีดำที่กำลังปกคลุมรอบหัวของเขา
“ไม่มีทาง!?”
“ชี่หยวนถง นี่เขา ไม่จริงน่า…”
เหล่าเทพอสูรประหลาดใจ
เขาเป็นหนึ่งในสองอัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดในการสอบเข้าปีนี้ ความสามารถทางกายภาพของเขาดีที่สุดอย่างแน่นอน จิตรับรู้ของเขาเองก็ค่อนข้างดีเช่นกัน เขารองเพียงจากเมิ่งชวนเท่านั้น! เรียกได้ว่าเขานั้นเป็นอัจฉริยะที่หาได้เพียงหนึ่งในสิบปีเท่านั้น
แต่เขากลับมาหยุดอยู่ที่ขั้นที่17จริงๆน่ะเหรอ?
“ขึ้นไปสิ” ชายผมกระเซิงขมวดคิ้ว นัยย์ตาของเขาเต็มไปด้วยความกังวล
ชี่หยวนถงตัวสั่นเหมือนกำลังดิ้นรน อย่างไรก็ตาม หมอกสีดำก็เข้ามาปกคลุมหัวของเขามากขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุดดวงตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีดำ จนสุดท้ายตาขาวก็หายไปจนหมด…
เขานิ่งเหมือนกับรูปปั้น ไร้การเคลื่อนไหว
“ชี่หยวนถงหยุดอยู่ที่ชั้น17เท่านั้นเองเหรอ?” เหล่าเทพอสูรใจสลาย พวกเขาดีใจมากๆทุกครั้งที่ได้พบกับอัจฉริยะที่แข็งแกร่ง นั่นหมายความว่าพวกอาจจะได้มีสหายที่ทรงพลังในอนาคต ชี่หยวนถงไปถึงแค่ขั้นที่17ในการทดสอบสุดท้าย มันทำให้พวกเขารู้สึกผิดหวังมากและได้แต่เป็นกังวล
“เฮ้อ” ราชาตงเหอส่ายหน้าเบาๆ เพียงพริบตา ชี่หยวนถงก็ลอยลงมาจากแท่นบูชา อันดับของเขาในการทดสอบนี้คือที่เก้านับจากที่โหล่
ตอนที่ 86 การทดสอบรอบสุดท้ายส่วนแรก
ในหุบเขาที่เต็มไปด้วยหมอก
“จัดรูปขบวนเร็ว!”
“จัดรูปขบวน!”
เหล่าอัจฉริยะตะโกนตามๆกัน พวกเขามีทั้งหมดร้อยกว่าคน แต่มีเพียงสิบคนเท่านั้นที่เทียบเคียงได้กับแม่ทัพอสูร! กลับกันมีแม่ทัพอสูรถึง 135 ตน และมีผู้นำอสูรอีกกว่าพันตน หากพวกเขาไม่ร่วมมือกันก็คงแพ้ไปอย่างรวดเร็ว
นักเกาฑัณฑ์สิบเอ็ดคนอยู่กลางกลุ่มและมีอัจฉริยะคนอื่นๆคอยปกป้องพวกเขา
เมิ่งชวนและชี่หยวนถงเป็นเพียงไม่กี่คนที่กล้าพุ่งเข้าใส่ทัพอสูร แต่นั่นก็เป็นได้แค่ความกล้าแบบโง่ๆ มีเพียงการร่วมมือกับคนอื่นเท่านั้นที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของพวกเขาให้มากขึ้นไปอีก
เขาเคยฝึกฝนในสำนักเต๋าตั้งแต่ยังเด็ก ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าการร่วมมือกันสำคัญอย่างไร
“มันกำลังมา” เหล่าอัจฉริยะต่างจับจ้องไปที่อสูรที่กำลังพุ่งเข้ามา
“ฟัน!” ตงฟางที่เป็นหนึ่งในคนที่แข็งแกร่งที่สุด ถือขวานและโล่ขนาดใหญ่ เขากระแทกโล่หนามของเขาส่งให้อสูรหมาป่าลอยออกไป จากนั้น ตงฟางก็เหวี่ยงขวานและฟันใส่ผู้นำอสูรเสือจนตาย
“กันไว้!” หลายๆคนยกโล่ขึ้นมากัน
มีกระบี่แทงออกจากกำแพงโล่เรื่อยๆและสังหารผู้นำอสูรอย่างไร้ปราณี
ในขณะนั้นเอง นักเกาฑัณฑ์สิบเอ็ดคนยิงลูกศรออกมาอย่างต่อเนื่อง เหล่าอัจฉริยะที่ติดร้อยอันดับแรกต่างเป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่แข็งแกร่ง ลูกศรพุ่งเข้าใส่เหล่าอสูรด้วยความเร็วมหาศาล พวกมันพุ่งเข้าใส่อสูรที่ถูกอัจฉริยะคนอื่นๆล่อเอาไว้ ในพริบตาเดียว ผู้นำอสูรหลายสิบตัวก็ตายไป
ในแง่ของการสังหารอย่างมีประสิทธิภาพ นักเกาฑัณฑ์นั้นสุดยอดที่สุด
รูปขบวนโล่วงกลมนี้นั้นราวกับเป็นเครื่องบดเนื้อ
กรรรรรร
ด้วยคำสั่งของเทพอสูรชุดสีแดง เหล่าอสูรเข้าโจมตีอย่างบ้าคลั่ง ไม่มีพวกมันตัวไหนกลัวความตาย พวกมันพุ่งเข้าใส่โล่อย่างต่อเนื่อง! อสูรบินเองก็พุ่งโฉบลงมาโจมตีเช่นกัน
อ่านตอนล่าสุดที่ my-novel.co หรือ www.thai-novel.com
ในขณะที่ผู้นำอสูรถูกสังหารอย่างต่อเนื่อง แม่ทัพอสูรก็เข้ามาถึงรูปขบวนของพวกเขาแล้ว
“แม่ทัพอสูรมาแล้ว”
“ทุกคนระวังตัว”
เหล่าอัจฉริยะระมัดระวังตัวมากกว่าเดิม พวกเขาเองก็อยากจะสังหารอสูรอยู่แล้ว และนี่ยังเป็นการทดสอบของเขาหยวนชูอีก แน่นอนว่าต้องอยากจะทำให้ได้ดีที่สุดอยู่แล้ว
กระแสพลังของแม่ทัพอสูรนั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่า แถมพวกมันยังตัวใหญ่กว่ามากอีกด้วย!
แม่ทัพอสูรแรดถือค้อนอยู่หนึ่งคู่ มันแกว่งค้อนเป็นวงกว้าง เมื่อมันเข้ามาใกล้ มันก็ส่งเสียงคำรามพร้อมกับฟาดค้อนลงบนพื้น
ปั้ง ฉู่หยงรับค้อนด้วยกระบี่ จากนั้นก็เบี่ยงมันออกและฟันเข้าไปที่เขาของอสูรแรด ส่วนค้อนอักอันนึงนั้นก็ร่วงลงกับพื้น
ฟิ้ว
มีลูกศรพุ่งผ่านมาทะลุหน้าของอสูรแรดไป มันแทงเข้าไปลึกเกือบหนึ่งฉื่อ แต่อสูรแรดไม่สนในอาการบาดเจ็บของมันแม้แต่น้อย
ฟุบ ลูกศรแทงทะลุผ่านดวงตาของมันลึกเข้าไปในหัว และหลังจากนั้นอสูรแรดจึงล้มทรุดลงไปในที่สุด
ฉู่หยงต้านอสูรเอาไว้ในขณะที่หลี่อิ๋งและซงชาสังหารแม่ทัพอสูรอย่างรวดเร็วด้วยลูกศรเพียงดอกเดียว
แต่ถึงอย่างนั้น ก็มีแม่ทัพอสูรเข้ามาหามากกว่าเดิม!
แม่ทัพอสูรรอบแรกนั้นทำให้รูปขบวนโล่ของพวกเขาแปรปรวน เหล่าอัจฉริยะไม่สามารถหยุดเหล่าแม่ทัพอสูรเอาไว้ได้
“อ๊ะ”
“ไม่ดีแล้ว”
ทันใดนั้นเอง รูปขบวนส่วนหนึ่งก็เริ่มพังลง แม่ทัพอสูรแมวที่เปลี่ยนเป็นเส้นแสงสีดำเข้ามาจู่โจมอย่างไม่กลัวตาย เหล่าอัจฉริยะล้มลงกับพื้น แต่ในขณะที่แมวอสูรนั้นกำลังจะฉีกกระชากมนุษย์ด้วยกรงเล็บของมัน พลังที่มองไม่เห็นก็ห่อหุ้มเหล่าเด็กๆและดึงพวกเขากลับไปที่ทางเข้าหุบเขา เทพอสูรของเขาหยวนชูช่วยคนที่บาดเจ็บเอาไว้
หากจะถูกฆ่า เทพอสูรจะช่วยเอาไว้ให้
‘พวกเราแพ้ทั้งแต่แม่ทัพอสูรโจมตีเข้ามาเลยอย่างนั้นรึ?’ เหล่าอัจฉริยะที่ถูกช่วยเอาไว้เต็มไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย พวกเขามองดูเหล่าอสูรที่พุ่งเข้าใส่รูปขบวนโล่วงกลมก่อนที่จะถูกยกกลับมาด้านหน้า
เมิ่งชวนไม่สนใจแม่ทัพอสูรตนอื่นและกลับไปป้องกันแม่ทัพอสูรแมวอย่างรวดเร็ว
ทั้งสองแข่งความเร็วกัน เขาใช้เบญจโลกาอัสนีที่ไม่สมบูรณ์ ท่าฟันสามท่า!
การโจมตีรวดเร็วที่สุดของกระบวนท่าของเขาคือกระบี่เงาจันทร์ กระบี่ของเขาฟันลงใส่ท้องของแม่ทัพอสูรแมว ทิ้งแผลลึกเอาไว้ จากนั้นก็มีลูกศรพุ่งทะลุหัวของอสูรแมวไป อสูรแมวเร็วก็จริง แต่ร่างของมันไม่ทนเท่าอสูรหมีหรืออสูรวัว
เมิ่งชวนหันกลับไปเห็นซงชาที่ส่งยิ้มมาให้ก่อนที่เขาจะยิงต่อไป
เมิ่งชวนเองก็รู้สึกได้ว่าเขาสามารถจัดการกับแม่ทัพอสูรได้ง่ายมากขึ้นแค่ไหนนับตั้งแต่การบุกรุกของอสูรที่เมืองหยวนชู ภายในครึ่งปีที่ผ่านมานี้ การผลักดัน “พลังกระบี่” ไปถึงขีดจำกัดทำให้เขานั้นแข็งแกร่งขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องโจมตีเกือบสิบครั้งถึงจะสังหารแม่ทัพอสูรได้ ถึงอย่างนั้น เขาก็สังหารแม่ทัพอสูรบางตนไม่ได้ โชคยังดีที่เขามีนักเกาฑัณฑ์คอยสนับสนุนอยู่ ลูกดอกของพวกเขานั้นไวกว่ากระบี่มาก
…
ผ่านไปครู่หนึ่ง
อัจฉริยะหลายๆคนทนรับมือไว้ไม่ค่อยไหวและถูกช่วยออกไปหลังจากที่แม่ทัพอสูรพุ่งเข้าใส่รูปขบวนโล่วงกลม
การทดสอบจบลง
“หยุด” เสียงของหญิงสาวในชุดสีแดงดังก้องไปทั่วหุบเขา อสูรทั้งหมดหยุดต่อสู้อย่างว่าง่าย
“กลับไปที่ถ้ำของพวกเจ้า” หญิงสาวคนนั้นสั่ง เหล่าอสูรวิ่ง คลาน หรือบินกลับไปที่ถ้ำของพวกมันในหน้าผาทันที และพวกมันก็ถูกล่ามตรวนเอาไว้ด้วยพลังที่มองไม่เห็น
มีเพียงคนเจ็ดคนที่เนื้อตัวโชกไปด้วยเลือดยืนอยู่ในหุบเขา เมิ่งชวน เหยียนจิน ชี่หยวนถง ฉู่หยง หยานเฟิง ซงชา และหลี่อิ๋ง
พวกเขายืนอยู่กับที่หอบหายใจถี่
“จบแล้วเหรอ?” หยานเฟิงถามด้วยเสียงแหบแห้ง
“ผ่านไปหนึ่งก้านธูปแล้ว” ฉู่หยงนั่งลงหมดแรง
“อสูรพวกนั้นมันบ้าชัดๆ” ชี่หยวนถงก็หมดแรงเช่นกัน
เหยียนจินยืนอยู่เงียบๆ นิ้วมือของเขาที่ถือกระบี่ทั้งสองเล่มเอาไว้ เริ่มเปลี่ยนกลายเป็นสีขาว
เมิ่งชวนถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“ขอบคุณทุกคนมาก” ซงชากล่าว “ถ้าไม่ได้พวกเจ้าคอยปกป้องพวกเราไว้ พวกเราคงจะไม่รอดถึงตอนนี้”
“ถ้าเจ้าอยากจะขอบคุณใคร ไปขอบคุณเมิ่งชวน เจ้านั่นพยายามอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องพวกเจ้าทั้งสอง” หยานเฟิงกล่าวพร้อมกับหอกในมือ
“นายน้อยเมิ่งสุดยอดจริงๆนะ” เจ้าหญิงหลี่อิ๋งหัวเราะ
เมิ่งชวนเพียงแต่พยักหน้าและไม่พูดอะไรกลับไป เขาหมดแรงแล้ว ในเวลาหนึ่งก้านธูปที่ผ่านมานี้ เขาตั้งใจอยู่กับการจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นไปทั่ว
เขาสามารถประเมินสถานการณ์รอบตัวเขาภายในขอบเขตสิบจั้งได้อย่างง่ายดาย เขาสามารถจัดการกับปัญหาทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้ และเขาเองก็ยังใช้ความเร็วของเขาเพื่อปกป้องนักเกาฑัณฑ์ทั้งสองเอาไว้ แน่นอนว่าคนอื่นๆเองก็พยายามอย่างเต็มที่เพื่อที่จะปกป้องนักเกาฑัณฑ์ทั้งสองเอาไว้เช่นกัน
นักเกาฑัณฑ์สามารถสังหารอสูรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า ในสนามรบ การปกป้องนักเกาฑัณฑ์นั้นสำคัญมาก
“พวกเจ้าทั้งสองแข็งแกร่งจริงๆ ตอนที่แม่ทัพอสูรสามตนนั้นใช้หมอกพิษ เจ้าทั้งคู่ก็พุ่งเข้าใส่ฝูงอสูรและสังหารแม่ทัพทั้งสามตัวไปได้” เจ้าหญิงหลี่อิ๋งรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา มันเป็นความทรงจำที่ไม่น่าพิศมัยเท่าไหร่ หากพวกเขาไม่ได้สังหารแม่ทัพอสูรสามตัวนั้นไป พวกเขาคงจะทนหมอกพิษเอาไว้ได้ไม่นาน
“การทดสอบรอบแรกจบแล้ว พวกเจ้าเจ็ดคนรีบกลับไปซะ” หญิงสาวชุดสีฟ้าสั่ง
เมิ่งชวนและคนอื่นๆมุ่งหน้ากลับไปที่หุบเขาในทันที
…
ราชาตงเหอ ชายผมกระเซิง และหญิงสาวชุดสีฟ้ากำลังประเมินเหล่าอัจฉริยะระหว่างการทดสอบอย่างแม่นยำ
“มีอัจฉริยะบางคนอยู่ในระดับที่สูงและมีรากฐานเทพอสูรที่แข็งแกร่ง แต่ถึงอย่างนั้น พอต้องมาอยู่ในการต่อสู้ที่ตึงเครียดกลับลนลาน พวกเขาปลดปล่อยพลังออกมาได้เพียงเจ็ดส่วนจากพลังที่มี พวกเขาถึงกับบ้าเลือดพุ่งออกไปที่สนามรบ จนทำให้รูปขบวนเสียหาย ทำให้กลายเป็นขัดขาคนอื่นแทน” หญิงสาวชุดสีฟ้าส่ายหัว “พวกนี้คือคนที่มีความสามารถในการต่อสู้น้อยมาก”
“การฝึกฝนได้ดีไม่ได้หมายความว่าจะต่อสู้ได้เก่ง” ชายผมกระเซิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ความสามารถในการต่อสู้นั้นสำคัญมาก เทพอสูรที่มีความสามารถในการต่อสู้สูงสามารถสังหารศัตรูที่แข็งแกร่งพอๆกันได้ถึงห้าตัว
“จากอัจฉริยะทั้งร้อยคน มีถึงเจ็ดคนที่ไม่มีความสามารถในการต่อสู้ จะดูแลพวกโง่เง่านี้ไปเพื่ออะไรกันเล่า?” หญิงสาวชุดสีฟ้ากล่าว “อัจฉริยะส่วนใหญ่ทำได้ตามที่หวัง พวกเขารู้ว่าจะต้องร่วมมือกันยังไงและไม่เป็นภาระให้แก่เพื่อนๆ มีเพียงสิบสองคนเท่านั้นที่ต่อสู้ได้เก่งจริงๆ”
ตอนที่ 85 ขึ้นเขาหยวนชู
เช้าวันรุ่งขึ้นหิมะก็หยุดลง หิมะหนาปกคลุมไปทั่วพื้นดิน
หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จเหล่าอัจฉริยะและญาติๆก็ไปรวมตัวกันที่ลานกว้างด้านหน้าอาคาร
‘ในที่สุดข้าก็มาถึงการคัดเลือกรอบสุดท้าย นี่เป็นโอกาสสุดท้ายของข้าแล้ว’ อัจฉริยะคนหนึ่งยืนอยู่ตรงมุมเพียงคนเดียว ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ‘นี่คือการเสี่ยงดวงครั้งสุดท้ายของข้า ข้าอายุยี่สิบแล้ว ข้าจะต้องติดอันดับให้ได้’
อัจฉริยะหลายคนนิ่งเงียบ ความกดดันนี้นั้นมันมากมายมหาศาล
แม้แต่องค์หญิงหลี่อิ๋งและคนอื่นๆที่ติดสิบอันดับแรกในรอบคัดเลือกไปอย่างฉิวเฉียดเองก็เป็นกังวล พวกเขาก็มั่นใจว่าจะสอบติด แต่พวกเขารู้สึกกลัว! หากจู่ๆเขาหยวนชูเปลี่ยนไปเลือกคนอื่นแล้วดันพวกเขาให้ขึ้นมาอยู่ในยี่สิบอันดับแรกล่ะ มันก็ยังน่ากังวลไม่ใช่เหรอ?
หลังจากการคัดเลือก คนที่น่าจะได้เข้าสู่เขาหยวนชูแน่ๆก็น่าจะมีเมิ่งชวน ชี่หยวนถงและซงชา
“พวกเขามาแล้ว”
“ราชาตงเหอและอื่นๆมากันแล้ว”
ทุกคนต่างนิ่งเงียบ เมิ่งต้าเจียงและเมิ่งชวนเงยหน้าขึ้นมองราชาตงเหอ ชายผมกระเซิงและหญิงสาวชุดสีฟ้าที่เดินเข้ามา ทั้งสามคนเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้ากลุ่มคน
ราชาตงเหอกวาดสายตามองไปยังทุกคนและพูดว่า “วันนี้เป็นวันคัดเลือกรอบสุดท้ายของเขาหยวนชู การคัดเลือกรอบสุดท้ายนี้จะเป็นโอกาสสุดท้ายของพวกเจ้า ตราบใดที่พวกเจ้าสามารถแสดงให้เห็นว่าแข็งแกร่งหรือมีคุณสมบัติเพียงพอ เขาหยวนชูของเราก็จะรับเจ้าเข้าไป แต่ว่าที่ว่างมีอยู่ยี่สิบที่เท่านั้น ดังนั้นพวกเจ้าส่วนใหญ่ก็จะถูกคัดออก”
ทุกคนรับฟังไปเงียบๆ
“ทำผลงานให้ดี พวกเจ้าแปดสิบสามคนปีนี้ก็อายุยี่สิบแล้ว” ชายผมกระเซิงกล่าวเช่นกัน “ถ้าเจ้าพลาดโอกาสนี้ เจ้าจะไม่มีโอกาสครั้งที่สอง”
“ไปกันได้” หลังจากที่ราชาตงเหอพูดจบ พื้นที่รอบตัวเขาก็บิดเบี้ยวก่อนจะห่อหุ้มทุกคนที่อยู่ที่ตรงนั้น ทุกคนต่างมองราชาตงเหอตรงๆไม่ได้อีกครั้งหนึ่ง
เมิ่งชวนรู้สึกถึงพลังที่มองไม่เห็นโอบล้อมเขาเบาๆ มีบางอย่างที่มองไม่เห็นอยู่ใต้เท้าของเขาคอยเป็นที่เหยียบ จากนั้นเขาก็ลอยขึ้นไป
เทพอสูรทั้งสามลอยขึ้นไปพร้อมกับคนเกือบสองร้อยคน พวกเขาบินไปยังเขาหยวนชูขนาดยักษ์ที่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางก้อนเมฆ
เขาเหาะกันได้เร็วขนาดนี้ทั้งๆที่แบกคนไปด้วยตั้งสองร้อยคนได้ยังไงกัน? เมิ่งชวนรู้สึกประหลาดใจเช่นกัน เหล่าอัจฉริยรู้สึกได้ว่าตัวเองลอยสูงขึ้นไปเรื่อยๆค่อยๆออกจากเมืองหยวนชูและมุ่งหน้าไปยังเขาหยวนชู
เขามองเห็นเขาหยวนชูได้อย่างชัดเจน และแม้จะเดินทางด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อของราชาตงเหอ แต่ก็ยังใช้เวลาถึงสิบนาทีกว่าจะถึง
เมิ่งชวนและคนอื่นๆรู้สึกตกใจมากเมื่อได้เห็นเขาหยวนชูใกล้ๆ
สูงตระหง่าน กว้างขวาง ยิ่งใหญ่…
มันใหญ่จนราวกับพวกเขาเป็นแค่เศษฝุ่นเล็กๆตรงหน้ามัน
ฟิ้ววว
หลังจากลอยผ่านเชิงเขาไป พวกเขาก็บินไปเรื่อยๆ ผ่านยอดเขาข้ามไปที่หุบเขา
ราชาตงเหอพาเหล่าอัจฉริยะทั้งหลายไปที่ทางเข้าของหุบเขาขนาดใหญ่ เทพอสูรมากมายมารวมตัวกันที่ทางเข้าแล้ว นอกจากขุนนางเมฆาใต้ ราชาทะเลชีไห่และเทพอสูรคนอื่นๆที่มาดูการทดสอบเมื่อวานแล้ว ยังมีเทพอสูรคนอื่นๆอีก พวกเขาอยู่กันประมาณห้าสิบคน
“นั่นเมิ่งชวนรึ?”
“จิตรับรู้ระดับ S?”
เทพอสูรที่เพิ่งมาดูการทดสอบ สังเกตเห็นเมิ่งชวน
หลังจากที่ราชาตงเหอร่อนลง เขาก็เดินไปที่ผู้อาวุโสที่ใส่ชุดผ้าเนื้อเนียน
“ผู้อาวุโสอี่” ราชาตงเหอกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านมาที่นี่เพื่อชมการคัดเลือกรอบสุดท้ายด้วยงั้นหรือ?”
“ท่านเจ้าเขาสั่งให้ข้ามาดูเมิ่งชวนที่ว่านี่เป็นการส่วนตัว” ผู้อาวุโสกล่าว ทั้งสองยืนอยู่ตรงหน้าเหล่าเทพอสูรคนอื่นๆ เทพอสูรคนอื่นๆนั้นมีท่าทีแสดงความเคารพทั้งสองอย่างเห็นได้ชัด เพราะทั้งสองนั้นเป็นเทพอสูรระดับราชาทั้งคู่ มีเทพอสูรระดับราชาอยู่เพียงน้อยนิด และพวกเขาเหล่านั้นจะมีสถานะที่สูงมากๆ ยิ่งไปกว่านั้น เทพอสูรระดับราชาส่วนมากจะต้องคอยคุมด่านขนาดใหญ่ ทำให้พวกเขาออกมาไม่ได้ ดังนั้นนี่จึงเป็นการหายากที่พบเทพอสูรระดับราชาถึงสองคนมาเฝ้าดูการทดสอบ
“ท่านเริ่มได้เลย” ผู้อาวุโสกล่าว “ข้าจะคอยดูอยู่ข้างๆ”
“เข้าใจแล้ว” ราชาตงเหอก้าวไปข้างหน้านิดหน่อยก่อนจะมองดูเหล่าอัจฉริยะ “การคัดเลือกรอบสุดท้ายมีสองส่วน ส่วนแรกคือการสังหารอสูร!”
แววตาของอัจฉริยะหลายคนลุกวาว บางทีการทดสอบรอบสุดท้ายของเขาหยวนชูจะเปลี่ยนไปบ้าง แต่ว่ามีเพียงการสังหารอสูรเท่านั้นที่ไม่ได้เปลี่ยนไป!
“พวกเจ้าหลายคนคงคิดว่ายังไม่ได้แสดงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเจ้าออกมาในรอบแรก ตอนนี้โอกาสของเจ้ามาถึงแล้ว การสังหารอสูรเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการแสดงความแข็งแกร่งของเจ้า” ราชาตงเหอชี้ไปที่หุบเขาตรงหน้า “ดูนั่น มีอสูรจำนวนนับไม่ถ้วนถูกขังอยู่ในหุบเขา อีกไม่นานเจ้าจะได้ต่อสู้กับพวกมัน เจ้าจะสังหารพวกมันกี่ตัวก็ได้ แต่ผู้นำอสูรสังหารแค่สิบตัวก็พอ จะสังหารไปกี่ตัวไปก็ไม่มีประโยชน์ ส่วนแม่ทัพอสูรน่ะหรือ? ยิ่งสังหารได้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี”
จากนั้นเมิ่งชวนและคนอื่นๆก็มองไปที่หุบเขา
หุบเขาขนาดใหญ่ถูกหมอกบดบังเอาไว้ ด้านหลังหมอกนั้นสามารถมองเห็นถ้ำและหน้าผาได้อย่างเลือนลาง และหากฟังเสียงดีๆแล้ว ก็จะได้ยินเสียงคำรามต่ำดังมาแต่ไกล
ถ้าบนหน้าผานั้นค่อนข้างจะไกลเลย เมิ่งชวนกะระยะทางจากความรู้สึกของเขาได้ประมาณหนึ่งลี้
‘อสูรนับไม่ถ้วนถูกขังอยู่ในหุบเขา? ทำไมเขาหยวนชูถึงขังอสูรไว้มากมายขนาดนี้? เพื่อทดสอบพวกเราอย่างนั้นหรือ?’ เมิ่งชวนสงสัยในจุดประสงค์ของเขาหยวนชู
“การทดสอบนี้ใช้เวลาหนึ่งก้านธูป” ราชาตงเหอกล่าวต่อ “หากพวกเจ้ากำลังจะถูกสังหาร ข้าจะเป็นคนช่วยเจ้าเอง เอาล่ะ ไปกันได้”
เมิ่งชวน เหยียนจิน ชี่หยวนถง ซงชา ฉู่หยง หยานเฟิง เหยียนซื่อท่ง จินฮ้วนและอัจฉริยะคนอื่นๆเดินไปที่หุบเขานั้น
ส่วนเหล่าญาติๆนั้นได้แต่มองดูการทดสอบอย่างเป็นกังวล
“ราชาตงเหอ” เทพอสูรชุดสีแดงกล่าวขึ้น
“เริ่มได้” ราชาตงเหอพยักหน้า
จากนั้นหญิงสาวชุดแดงก็ก้าวไปข้างหน้า ร่างของเธอวูบหายไปโผล่ตรงหน้าหุบเขานั้น
เมิ่งชวนและคนอื่นๆมองไปที่เทพอสูรชุดสีแดงด้วยความประหลาดใจ
เทพอสูรชุดสีแดงยังคงเดินต่อไป เธอค่อยๆเดินทีละก้าว เดินผ่านอัจฉริยะจำนวนมากก่อนจะไปถึงถ้ำใกล้ๆหุบเขานั้น
ทุกๆถ้ำมีอสูรที่ถูกตรวนเอาไว้อยู่ พวกมันเหล่านั้นขยับตัวไม่ได้ พวกมันต้องอาศัยอยู่ในถำ้มืดๆตลอดเวลาโดยมีความเกลียดชังมนุษย์ที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่จู่ๆโซ่ตรวนของพวกมันก็ร่วงลงสู่พื้น
“โอ?” อสูรในถ้ำดูประหลาดใจ ทำไมโซ่ที่ตรวนมันไว้อยู่ถึงปลดออก? อย่างไรก็ตาม พวกมันต่างมีความสุข
“พวกเราหนีกันได้แล้ว”
“ท่านราชาอสูรต้องช่วยพวกเราไว้แน่ๆ” พวกอสูรรีบออกมาจากถ้ำ
เทพอสูรชุดสีแดงเดินผ่านหุบเขาไป อสูรจำนวนมากกระโดดลงมาจากถ้ำเหล่านั้น อสูรบางตนกำลังปีนป่ายหน้าผาเหมือนกับเดินเล่น บางตนก็กำลังสยายปีกบินอยู่เหนือหุบเขา
พื้นดิน หน้าผา และท้องฟ้าเต็มไปด้วยอสูร มีพวกมันเป็นพันตัวตรงนั้น
“มีมนุษย์อยู่ที่นี่”
“ฆ่ามันซะ”
เหล่าอสูรพุ่งเข้าใส่เทพอสูรหญิงคนนั้น
“เงียบ” จู่ๆเธอก็พูดขึ้นมา มีคลื่นพลังที่มองไม่เห็นแผ่กระจายไปทั่วหุบเขาพร้อมกับเสียงของเธอ
เหล่าอสูรที่ก่อนหน้านี้ต่างวิ่งเต้นและทำท่าทีดุร้าย เงียบลงในทันทีและมองมาทางหญิงสาวชุดสีแดงด้วยความเคารพ
ภายในใจของเมิ่งชวนและคนอื่นๆรู้สึกสะพรึง
เพียงคำๆเดียวก็เพียงพอที่จะทำให้อสูรกว่าพันตัวนิ่งเงียบอยู่กับที่ได้อย่างนั้นหรือ?
เทพอสูรชุดสีแดงหันกลับมามองเมิ่งชวนและคนอื่นๆ “ที่ตรงนี้มีอสูรทั้งหมด 1227 ตัว มีผู้นำอสูรกว่าพันตัวในนั้น ส่วนแม่ทัพอสูรนั้นมีทั้งหมด 135 ตัว พวกเจ้าแค่ต้องปกป้องตัวเองให้ได้ก่อนที่จะคิดสังหารอสูรพวกนั้น”
สีหน้าของเหล่าอัจฉริยะเปลี่ยนไป ขนาดเมิ่งชวนและเหยียนจินยังทำหน้าขรึม พวกเขารู้ดีว่าแม่ทัพอสูรแข็งแกร่งขนาดไหน แต่ว่าที่ตรงนี้มีพวกมันเป็นร้อยตัวเลยรึ?
หากพวกเขาบุกเข้าไปเลย ก็คงจะไม่มีทางที่จะได้แตะตัวอีกฝ่ายด้วยซ้ำ แทนที่จะเป็นสังหารอสูร พวกเขานั่นแหละจะเป็นฝ่ายถูกสังหาร!
“ฆ่าสิ สังหารมนุษย์ทั้งหมดที่อยู่ตรงหน้าเจ้าสิ” เทพอสูรชุดสีแดงชี้ไปทางเมิ่งชวนและคนอื่นๆ
ดวงตาของอสูรนับพันที่เชื่อฟังในตอนแรกเปลี่ยนกลายเป็นสีแดงด้วยความบ้าคลั่ง พวกมันคำราม ส่งเสียงร้องดังก้องไปทั่วทั้งหุบเขาและพุ่งเข้ามาใส่เมิ่งชวนกับคนอื่นๆอย่างบ้าคลั่ง บางตนพุ่งโฉบมา ส่วนบางตัวก็ปีนป่ายหน้าผาลงมาอย่างว่องไว และส่วนมากก็พุ่งเข้าใส่จากพื้นดิน
เทพอสูรชุดสีแดงเฝ้ามองอย่างใจเย็น หลังจากนั้น เธอก็เหาะกลับไปที่ทางเข้า
“เริ่มขึ้นแล้ว”
ราชาตงเหอและเทพอสูรอีกคนเฝ้าดูอยู่นิ่งๆ ตรงข้างๆนั้นมีก้านธูปที่ถูกจุดเอาไว้
การทดสอบสังหารอสูรจะดำเนินไปด้วยเวลาหนึ่งก้านธูป
ตอนที่ 84 ผลอันดับ
ต่างคนต่างรีบวิ่งไปหาชายเคราแพะในทันที
“ทุกท่านไม่ต้องเป็นกังวลไป ข้าจะแขวนม้วนประกาศสีทองนี้ไว้บนกำแพงให้เห็นได้ชัดกันทุกคน” จากนั้นชายเคราแพะก็เดินไปตรงทางเดินและเปิดมันออกก่อนจะแขวนมันไว้บนกำแพง และเขาก็หัวเราะขึ้นมาเสียงดังและพูด “ทุกคนที่มีชื่ออยู่บนนี้จะได้พักอยู่ที่วังตะวันฉายนี้หนึ่งคืนกับคนในครอบครัวหนึ่งคน พรุ่งนี้เช้า พวกท่านจะได้ไปที่เขาหยวนชูเพื่อการสอบรอบสุดท้าย สำหรับคนที่ไม่ได้อยู่ในรายชื่อนี้โปรดออกไปได้”
ฟุบๆๆๆ!
เหล่าญาติๆและเพื่อนๆต่างก็ใช้ทักษะการเคลื่อนไหวรีบไปที่กำแพง พวกเขาตรวจดูรายชื่อที่อยู่บนม้วนกระดาษนั้นอย่างระมัดระวัง
อัจฉริยะบางคนไม่สนใจเรื่องศักดิ์ศรีมากนัก พวกเขาเองก็รีบใช้ทักษะการเคลื่อนไหวเพื่อรีบเข้าไปดูใกล้ๆ
‘ชื่อของข้าอยู่ที่ไหน? ชื่อของข้าอยู่ที่ไหน?’ เขาดูเป็นกังวล เขาหาชื่อของเขาไม่เจอบนม้วนกระดาษสีทองนั่น
‘อันดับที่ 39? ดีแล้ว อย่างน้อยข้าก็ผ่านรอบคัดเลือก ข้าจะต้องทำให้ทุกคนประหลาดใจที่ข้าจะผ่านในรอบสุดท้ายนี้นี่แหละ’
“ชื่อของลูกข้าอยู่ที่ไหน?”
“ข้าไม่ได้อยู่ใน 100 อันดับนี้ ช่างมันเถอะ”
…
เมิ่งชวนกับพ่อไม่ได้รีบร้อน พวกเขาเดินไปที่ม้วนประกาศสีทองพร้อมกับเหยียนจิน
“ไม่เป็นไร ถึงไม่ผ่านการคัดเลือกแต่ปีหน้าก็มาใหม่ได้” ชายคนหนึ่งที่่เห็นได้ชัดว่าแก่แล้วปลอบใจลูกชายเขา “ปีหน้าเจ้าจะอายุยี่สิบ ยังมีโอกาสเหลืออยู่อีกครั้ง ไม่ต้องกังวลไป อย่างน้อยเจ้าก็ผ่านขั้นต่ำของการสอบทั้งสามในปีนี้ ถ้าเจ้าฝึกฝนอีกซักปีและบรรลุไปได้อีกขั้น ข้าว่าเจ้าคงจะสอบเข้าได้ในปีหน้าแน่ๆ”
“ท่านพ่อ ในที่สุดข้าก็เข้าใจว่าในโลกนี้มีอัจฉริยะอยู่มากมายเพียงใด ถ้าเทียบกับพวกเขาแล้ว ข้านั้นธรรมดามาก ข้าจะต้องฝึกฝนให้หนักยิ่งกว่าเดิมเมื่อกลับไปแล้ว” ลูกชายของเขาพูดด้วยเสียงแผ่วเบา
ชายสูงวัยยิ้ม
ก่อนหน้านี้ลูกชายของเขานั้นค่อนข้างจะอวดดี เพราะไม่ว่าอย่างไรเขาก็เหนือกว่าเพื่อนๆคนอื่นในเมืองของเขาไปมากแล้ว เขาทำตามใจตนเองและทำตัวหยิ่งผยอง อย่างไรก็ตาม ความเย่อหยิ่งของลูกชายของเขาก็ได้ถูกทำลายลงไปจนหมดในตอนนี้ ในการสอบเข้าของเขาหยวนชูเขาเป็นได้เพียงอัจฉริยะระดับกลางๆเท่านั้น โชคยังดีที่เขามีโอกาสอีกครั้งหนึ่งที่สามารถลองได้ในปีหน้า
“ท่านผู้นำตระกูล ข้าจะไปเข้ารับราชการทหาร” หญิงสาวชุสีขาวพูดกับผู้อาวุโสผมสีเงินข้างๆเธอ “ความต่างระหว่างคนอื่นกับข้านั้นมากเกินไป ข้าไม่มีสิ่งใดจะแก้ตัวที่ไม่ได้เข้าสู่เขาหยวนชู”
ผู้อาวุโสผมสีเงินพยักหน้า “จงรับราชการทหารและสะสมแต้มเสีย เจ้ายังมีโอกาสที่จะได้ผ่านห้วงแห่งความเป็นความตายและกลายเป็นเทพอสูรอยู่”
หญิงชุดขาวพูดอย่างใจเย็น “ข้าจะตายในสนามรบ ไม่ก็ได้เป็นเทพอสูร” การเป็นเทพอสูรคือเป้าหมายในชีวิตของเธอ เธอไม่เคยคิดที่จะใช้ชีวิตแบบต่ำเตี้ย
อัจฉริยะและญาติๆของพวกเขาจากไปกันทีละคน เพราะว่าชื่อพวกเขาไม่ได้อยู่ในนั้น ยังไงก็ต้องไปอยู่แล้ว
“ไม่มีทาง ไม่มีชื่อข้าอยู่บนนั้น?” เด็กหนุ่มในชุดคลุมสีสดมองไปที่ม้วนประกาศสีทองอย่างงุนงง
“ไปกันเถอะ” ชายแก่ข้างๆเขาดึงเขาออกไป
“มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ ข้าต้องได้เข้าสู่เขาหยวนชูสิ ข้าต้องได้” เด็กหนุ่มคนนั้นพึมพำ
“ยอมรับความผิดพลาดของเจ้าเถอะ” ชายแก่กล่าว
“ข้าไม่ได้เข้าร่วมการทดสอบในรอบสุดท้าย เทพอสูรแห่งเขาหยวนชูมองไม่เห็นความสามารถที่แท้จริงของข้า พวกเขาต้องตัดสินใจผิดพลาดแน่ๆ” เด็กหนุ่มพึมพำกับตัวเอง
ชายแก่ส่ายหัวและถอนหายใจ ก่อนจะลากเขาออกไป
อัจฉริยะหลายคนต้องกลับออกไปเพราะว่ามีเพียงร้อยชื่อที่เขียนเอาไว้เท่านั้น
เมิ่งชวนชำเลืองมองอัจฉริยะที่ล้มเหลว ไม่ว่าจะนิ่งเงียบ โวยวายหรือเฉยเมย… มีการตอบสนองทุกรูปแบบ มันทำให้เขามีความรู้สึกที่ผสมปนเปกัน การเข้าสู่เขาหยวนชูสำหรับมนุษย์นั้นมันเหมือนกับจุดเปลี่ยนของชีวิต หลายๆคนตั้งความหวังไว้กับเมิ่งชวน แต่เขานั้นมีความพร้อมมาก และยิ่งไปกว่านั้น เขายังอายุสิบแปดเท่านั้น
เขาไม่เหมือนกับอัจฉริยะที่อายุยี่สิบปีไปแล้ว ซึ่งเป็นโอกาสสุดท้ายในการสอบเข้าเขาหยวนชู
“สุดยอดมาก นายน้อยเมิ่ง”
“นายน้อยเมิ่ง เจ้าได้ที่หนึ่งเลยนะ”
ก่อนที่เมิ่งชวนจะไปถึงม้วนประกาศสีทอง คนที่อยู่ด้านหน้าก็พูดยินดีกับเขา
“ที่หนึ่ง?”
เมิ่งชวนกับพ่อของเขาเดินผ่านฝูงชนเข้าไปและเจอกับม้วนประกาศสีทองในที่สุด อักษรบนม้วนกระดาษนั้นมันดูเหมือนกำลังปล่อยแรงกดดันออกมา
เขากวาดสายตามองไปทั่วกระดาษและพบชื่อของจินฮ้วน เหยียนจิน ฉู่หยงและอีกหลายคน และบนสุดก็มีชื่อ “เมิ่งชวน” เขียนเอาไว้อยู่
เมิ่งชวน A–, A +, S
ชี่หยวนถง A +, A , A +
ซงชา A +, A , A
…
เมิ่งชวนรู้สึกตัวหลังจากที่ได้เห็นสิ่งนี้ ชี่หยวนถงและซงชาได้รับการประเมินให้เป็น A + ในประเมินรอบแรก! เทพอสูรของเขาหยวนชูตัดสินต่างออกไปสำหรับนักเกาฑัณฑ์
ซงชาทำลายอุปสรรคกำแพงแสงได้น้อยกว่าเมิ่งชวนในทดสอบแรก แต่การผลประเมินของเขาได้เท่ากับชี่หยวนถง เห็นได้ชัดว่าเกณฑ์สำหรับนักเกาฑัณฑ์นั้นแตกต่างออกไป มีเพียงพวกเขาสองคนที่ได้รับ A + สำหรับการทดสอบแรก
มีเพียงสองคนที่ได้ A+ สำหรับการประเมินครั้งที่สอง หนึ่งคือจินฮ้วนส่วนอีกตัวคนเมิ่งชวน ในความเป็นจริงแล้วเมิ่งชวนเร็วกว่าจินฮ้วนอยู่หนึ่งส่วน ทำให้เขาถูกประเมินว่าดีกว่า แต่เมิ่งชวนได้รับ A + เท่านั้น เขาไม่ได้ถึง S เห็นได้ชัดว่ามันมีเกณฑ์ที่สูงมาก
ในบรรดาอัจฉริยะทั้งหมด มีเพียงเมิ่งชวนเท่านั้นที่ได้ S
‘S? S เนี่ยนะ มันโผล่ขึ้นมาในปีนี้จริงดิ?’ ชี่หยวนถงมองไปที่ S เพียงตัวเดียวในรายชื่อแล้วเงียบไป
ชี่หยวนถงได้ 2 A+ และ A ในรอบคัดเลือก นั่นเป็นคะแนนที่สุดยอดมาก แต่อย่างไรก็ตามเมิ่งชวนได้ถึงระดับ S
ชี่หยวนถงมองไปที่เมิ่งต้าเจียงและเมิ่งชวนซึ่งอยู่ไม่ไกล เขาหันหลังและเดินจากไป แต่ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยมุ่งมั่น ‘หลังจากการคัดเลือกรอบสุดท้าย ข้าจะกลายเป็นอันดับหนึ่งแน่นอน’
‘ที่เก้า’ เหยียนจินมองไปที่อันดับของเขาอย่างใจเย็น มีประมาณสิบคนที่มีฐานรากเทพอสูรที่เทียบเคียงได้กับเขา การที่ได้อยู่อันดับเก้านั้นถือว่าค่อนข้างต่ำ
‘ข้าฝึกฝนวิชากระบี่คู่ การทดสอบรอบแรกมันทำให้เห็นพลังของกระบี่เพียงเล่มเดียวเท่านั้น การทดสอบรอบสุดท้ายนี่แหละ จะแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งจริงๆของข้า’
เขายอมรับว่าเขาอ่อนแอกว่าเมิ่งชวน แต่เขายังแข็งแกร่งกว่าจินฮ้วนและคนอื่นๆ! แต่ถึงอย่างนั้นจินฮ้วนกลับได้ที่หก ในขณะที่เขาได้ที่เก้า
‘มี S อยู่จริงๆด้วยรึ?’ ฉู่หยง หยานเฟิง จินฮ้วน เจ้าหญิงหลี่อิ๋ง ตงฟาง หนิงอี้โบ เหยียนซื่อท่งและอัจฉริยะอื่นๆอีกมากมายตกใจเมื่อได้เห็นระดับ S โดยเฉพาะผู้ที่มาจากตระกูลเทพอสูรที่ทรงพลัง พวกเขารู้ดีว่าระดับ S นั้นหายากแค่ไหนในรอบคัดเลือกนี้
…
วังเพลิงตะวันฉายมีพื้นที่มากมายและได้เตรียมห้องพักเอาไว้สำหรับผู้เข้าสอบและคนในครอบครัวมานานแล้ว มีห้องจำนวนมาก รวมแล้วทั้งหมดสามร้อยห้อง และในตอนนี้ เหล่าอัจฉริยะและเพื่อนๆก็ได้เข้าไปพักกันแล้ว
เมิ่งชวนและเมิ่งต้าเจียงใช้ห้องที่อยู่ติดกันสองห้อง
ฟิ้ววว! แม้จะดึกแล้วแต่หิมะก็ยังไม่ยอมหยุด
เมิ่งชวนจ้องมองหิมะผ่านหน้าต่างขณะปล่อยความคิดให้ล่องลอยไป การสอบคัดเลือกรอบสุดทายจัดขึ้นพรุ่งนี้เช้า แม้ว่าเขาจะมั่นใจว่าจะได้สิทธิ์แน่ๆ แต่เขาก็ยังไม่มั่นใจในผลระดับสุดท้ายของเขา
‘เมื่อได้สิทธิ์แล้ว ก็จะได้เข้าสู่เขาหยวนชูอย่างเป็นทางการ ตามกฎของเขาหยวนชูแล้ว จะต้องไปถึงระดับที่สูงมากๆถึงจะลงจากเขาได้ ข้าสงสัยเหลือเกินว่าเมื่อไหร่ที่ข้าจะได้กลับบ้านเกิด ห้าปี? สิบปี?’
ตอนที่เขาได้กลับบ้านไปก็คงจะผ่านไปอีกนานโขแล้ว เขาคงจะไม่ได้เจอกับย่าทวดอีกครั้งเป็นแน่ ผู้นำตระกูลของเขาอายุเก้าสิบแล้ว มีมนุษย์แค่ไม่กี่คนที่มีชีวิตเกินร้อยปีได้ คงมีโอกาสน้อยที่พวกเขาจะได้เจอกันอีกครั้ง
‘ข้ารู้ว่าท่านกำลังตั้งหน้าตั้งตารอ ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง’ เมิ่งชวนสาบานเงียบๆ
…
ที่ไหนซักแห่งในวังตะวันฉาย
แสงเทียนที่พริ้วไหว
เมื่อราชาตงเหอเห็นหิมะตก เขาก็ยิ้มและเขียนจดหมายอยู่ในห้อง หลังจากที่เขียนจบ เขาก็ยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจ
“อาตง” ราชาตงเหอกล่าว เสียงของเขาส่งออกไปไกลกว่าครึ่งลี้
ไม่ช้า ก็มีร่างๆหนึ่งปรากฏขึ้นมาที่นอกบ้านพักของราชาตงเหอ
“เอาจดหมายนี้ไปส่งให้ท่านเจ้าเขา” ราชาตงเหอโบกมือ จดหมายลอยออกไป มันลอยออกนอกหน้าต่างและไปหาร่างๆหนึ่งในสวน
“ขอรับ” มีปีกงอกออกมาจากหลังของร่างนั้น เพียงวูบเดียว เขาก็พุ่งขึ้นไปบนอากาศและบินไปที่เขาหยวนชูอย่างรวดเร็ว
หิมะตกหนักบ่งบอกถึงการเก็บเกี่ยวที่อุดมสมบูรณ์ ราชาตงเหอมองหิมะข้างนอกแล้วยิ้ม ‘พวกเราได้พบหยกเม็ดงามที่ยังไม่ได้เจียรนัยอีกแล้ว ข้าหวังว่าเขาจะได้เติบโตเป็นเทพอสูรที่แข็งแกร่งเพื่อพวกเราเหล่ามนุษย์’
ตอนที่ 83 สิ้นสุดรอบคัดเลือก
เมิ่งต้าเจียงเฝ้าดูลูกชายของเขาจากไกลๆ
เทพอสูรที่ทรงพลังของเขาหยวนชูกำลังให้ความสนใจลูกของเขาอยู่ในตอนนี้ เทพอสูรทั้งสามที่ดูแลการคัดเลือกต่างจ้องมองไปที่เมิ่งชวนอย่างตั้งใจ มันแสดงให้เห็นว่าพวกเขาสนใจเมิ่งชวนมากแค่ไหน
เพียงคนเดียวเท่านั้น!
ในตอนนี้ลูกชายของเขาเหนือกว่าอัจฉริยะทุกคน ขนาดชี่หยวนถงที่เก่งกาจมากๆก็ยังทำได้ถึงแค่รอบที่เจ็ด แต่ลูกชายของเขาตอนนี้กำลังหลบลูกเห็บรอบที่สิบแล้ว เมิ่งต้าเจียงรู้สึกได้ถึงสายตาอิจฉาของเหล่าอัจฉริยะคนอื่นๆจ้องมองไปทางเมิ่งชวน
‘ชวนเอ๋อร์’ เมิ่งต้าเจียงรู้สึกภาคภูมิใจยิ่งกว่าเก่า
‘เหนียนหยุน ลูกของเราโดดเด่นเสียจริงๆ เขาต้องได้เข้าสู่เขาหยวนชูและได้รับการดูแลอย่างดีที่สุดแน่ๆ’ เมิ่งต้าเจียงใจเต้นพล่านในขณะที่มองดูอยู่ข้างๆ เขาดูจะตื่นเต้นยิ่งกว่าลูกชายของเขาที่เป็นคนสอบเองซะอีก
…
ในขณะเดียวกันที่เทพอสูรเฝ้ามองดู อัจฉริยะทั้งหลายต่างก็มองเมิ่งชวนด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย
รอบที่สิบยังคงดำเนินต่อไป ลูกเห็บที่ร่วงลงมานั้นเร็วจนน่าเหลือเชื่อ เมิ่งชวนกลายเป็นเพียงเงาที่พร่ามัวในขณะที่ขยับไปมา ทุกๆครั้งที่เขาขยับตัว มันดูราวกับลูกเห็บนั้นพุ่งผ่าน “ร่าง” ของเขาไป แต่ความจริงแล้วไม่มีลูกเห็บไหนเลยทีี่โดนตัวเขา
เมื่อลูกเห็บหยุดลง เมิ่งชวนก็ยังคงอยู่ในวงกลม
‘เขาผ่านรอบที่สิบไปได้อีกด้วย?’ ชี่หยวนถง ซงชา ฉู่หยง หยานเฟิง จินซิ่น เหยียนซื่อถง หลี่อิ๋งและอัจฉริยะคนอื่นๆต่างงุนงงกับภาพตรงหน้า ความห่างชั้นกันระหว่างพวกเขามันไกลเกินไป ในใจของพวกเขามีแต่ความรู้สึกไม่อยากเชื่อ!
‘เมิ่งชวนแข็งแกร่งขนาดนั้นเลยสินะ’ เหยียนจินมองดูร่างตรงหน้าอย่างใจเย็น
“ต่อได้!” น้ำเสียงของราชาตงเหอเต็มไปด้วยความคาดหวัง แววตาของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นในขณะที่ลูกเห็บร่วงลงมาด้วยความเร็วที่มากยิ่งกว่าเดิม แม้ว่าลูกเห็บเหมือนจะโดนตัวเมิ่งชวน แต่อันที่จริงมันได้แต่ทะลุผ่านภาพติดตาของเขาไปเท่านั้น
ภาพตรงหน้านี้ทำให้อัจฉริยะคนอื่นๆนิ่งอึ้ง ความต่างมันมากเกินไป
อ่านตอนล่าสุดที่ my-novel.co หรือ www.thai-novel.com
ฟุบ!
จู่ๆลูกเห็บก็กลายเป็นฝุ่นเมื่อมันโดนภาพติดตา เมิ่งชวนหยุด และลูกเห็บเองก็หยุดเช่นกัน
ทุกคนรู้ว่าเขาพลาดแล้ว
หลังจากหลบลูกเห็บจำนวนมากในรอบที่สิบเอ็ด ในที่สุดเมิ่งชวนก็พลาด แต่ผลลัพท์นั้นก็ทำให้เหล่าอัจฉริยะได้แต่พูดไม่ออก
“จิตรับรู้ของเขานั้นน่าเหลือเชื่อจริงๆ” ราชาตงเหอกล่าวด้วยรอยยิ้ม เขาพูดกับชายผมกระเซิงกับหญิงสาวชุดสีฟ้า “จิตรับรู้ของชี่หยวนถงเองก็แข็งแกร่งมากเช่นกัน แต่ความสามารถระดับนั้นอาจจะพบได้สองสามปีครั้ง แต่ว่า จิตรับรู้ของเมิ่งชวนนั้นเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในหลายศตวรรษเลยทีเดียว จิตรับรู้ขนาดนั้นจะทำให้เขาสามารถควบแน่นแก่นสารแห่งจิตได้อย่างง่ายดายเป็นแน่ ศักยภาพของเขานั้นช่างสุดยอด แต่ว่าที่สำคัญคือต้องเลี้ยงดูเขาให้ดี”
“เขายังต้องบรรลุให้ถึง “สำนึกกระบี่” และ “วิญญาณกระบี่” ก่อน …เขาต้องฝึกฝนไปทีละขั้นตอน” ชายผมกระเซิงเองก็พยักหน้า “ไม่มีสิ่งไหนทำสำเร็จได้ด้วยขั้นตอนเดียว ไม่ว่าเขาจะมีพรสวรรค์มากเพียงใด แต่มันก็จะไร้ประโยชน์หากเขาไม่ฝึกฝน”
“หยกที่ยังไม่ได้เจียรนัยมูลค่ามหาศาลมาอยู่ที่เขาหยวนชูของเราแล้ว นี่เป็นหน้าที่ของพวกเราที่จะต้องดูแลเลี้ยงดูเขาให้ดี” หญิงสาวชุดสีฟ้ากล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ใช่แล้ว” ราชาตงเหอพยักหน้า
กระแสพลังของทั้งสามคนนั้นเป็นอะไรที่ไม่มีมนุษย์คนไหนกล้าหันไปมอง เสียงของพวกเขานั้นตัดขาดจากคนนอกโดยสิ้นเชิง
…
เมิ่งชวนยังคงยืนอยู่ตรงนั้นด้วยความมึนงง ‘ข้ายังหลบลูกเห็บนั่นไม่ได้ ร่างกายของข้ายังคงช้าเกินไป’
เมิ่งชวนไม่รู้เลยว่า เมื่ออัจฉริยะคนอื่นๆพยายามจะหลบลูกเห็บ ก่อนอื่นพวกเขาจะมองด้วยตาก่อน หรือไม่ก็ใช้ขอบเขตของ“พลัง”ในการสัมผัสลูกเห็บ จากนั้นข้อมูลจะถูกส่งไปยังสมอง แม้การรับส่งข้อมูลนี้จะไวมาก แต่การตอบสนองจากสมองนั้นก็ยังต้องใช้เวลาอีกเหมือนกันเพื่อที่จะสั่งการไปยังร่างกาย
คนเรามีการตอบสนองต่อสิ่งเร้าอยู่สามขั้นตอน รับรู้ คิด ตอบสนอง
แต่สำหรับเมิ่งชวนแล้ว ขอบเขตสิบจั้งของเขานั้นเกิดมาจาก “จิตวิญญาณ” ในช่องว่างแห่งจิตของเขาที่สามารถรับรู้ได้ถึงบางอย่างโดยตรง จากนั้นจิตของเขาก็จะสามารถ “เห็น” ได้ทุกอย่าง เมื่อจิตของเขา “เห็น” แล้ว มันก็จะทำการคิดและตอบสนอง
ดังนั้นแล้ว เพราะเมิ่งชวนข้ามกระบวนการการส่งข้อมูลไปยังสมอง เพราะเขาสามารถ “เห็น” ได้ด้วยจิตโดยตรงก่อนที่จิตจะทำการคิด กระบวนการเหล่านี้รวดเร็วกว่าใช้สมองคิดซะอีก!
แต่สิ่งเดียวที่ยังคงเหมือนเดิมคือการที่สมองต้องสั่งการร่างกาย ตรงส่วนนี้เขาเหมือนกับอัจฉริยะคนอื่นๆ หากเมิ่งชวนหลอมรวมพลังแห่งวิญญาณเข้ากับร่างของเขา การสั่งการร่างกายก็จะทำผ่านพลังแห่งวิญญาณแทน และมันจะทำให้เขาเร็วกว่าเดิมขึ้นมาก! ถ้าทำอย่างนั้นเขาอาจจะอยู่ได้ถึงรอบที่สิบห้าเลยก็ได้!
อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้ใช้พลังแห่งวิญญาณ เขาแค่ใช้ความพิเศษของ “จิตวิญญาณ” ในช่องว่างแห่งจิตของเขาเท่านั้น และมันทำให้เขาสามารถผ่านรอบที่สิบไปได้ แม้จะพลาดไปในรอบที่สิบเอ็ดก็ตาม
“เมิ่งชวน” เสียงของราชาตงเหอดังขึ้น “ทำได้ดี”
เมื่อได้ยินคำชม เมิ่งชวนรู้สึกดีใจขึ้นมา
ราชาตงเหอหันกลับและออกไป
ชายผมกระเซิงยิ้มและพูดเสียงดัง “รอบคัดเลือกจบลงแล้ว พวกเจ้าไปพักกันได้ และจากผลลัพท์จากรอบคัดเลือกนี้ เขาหยวนชูจะคัดเลือกคนทั้งหมดหนึ่งร้อยคนที่จะได้เข้าร่วมการทดสอบในรอบสุดท้ายพรุ่งนี้ ส่วนคนที่ไม่ติดหนึ่งในร้อยนั้นจะถูกคัดออก”
เมื่อพูดจบ เขาและหญิงสาวชุดสีฟ้าก็หันหลังกลับออกไป แต่ก่อนที่พวกเขาจะออกไป พวกเขาหันกลับมามองเมิ่งชวนอีกครั้ง
“ฮ่าฮ่า” เหล่าเทพอสูรระดับขุนนางทั้งหลายที่เฝ้าดูการคัดเลือก ก็ลุกขึ้นและเดินออกไปเช่นกัน
“เมิ่งชวน ทำได้ดีมาก” เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นในหูของเขา เมิ่งชวนมองขึ้นไปและพบกับขุนนางเมฆาใต้ที่กำลังยิ้มให้เขาจากไกลๆ ก่อนที่เขาจะออกไปพร้อมกับเทพอสูรอีกคน
เมิ่งชวนยืนนิ่งๆอยู่ในวงกลมของเขา
“นายน้อยเมิ่ง โปรดตามมาขอรับ” จากนั้น พ่อบ้านของคฤหาสน์เพลิงตะวันก็เข้ามานำทางเขาไป
เมิ่งชวนพยักหน้า
ไม่นานเขาก็ไปถึงห้องโถงหนึ่ง มีอัจฉริยะมากมายที่นั่น เพื่อนและครอบครัวของพวกเขาเองก็อยู่ในนั้น เพียงเมิ่งชวนเข้าไป เขาก็ตกกลายเป็นเป้าสายตาของหลายๆคน
“ชวนเอ๋อร์” เมิ่งต้าเจียงทักทาย
“ท่านพ่อ” เมิ่งชวนยิ้ม
“ทำได้ดีมาก” เมิ่งต้าเจียงตบไหล่เมิ่งชวน “ถ้าย่าทวดของเจ้ารู้เรื่องก็คงจะดีใจมากๆเป็นแน่”
เมิ่งชวนพยักหน้าเบาๆ ย่าทวดของเขายังคงรอคอยข่าวดีอยู่ที่บ้านเกิดของพวกเขา
“รอดูกันเถอะ เขาหยวนชูต้องใช้เวลาซักพักในการคัดเลือกคนร้อยคน” เมิ่งต้าเจียงกล่าว “การจัดอันดับสำคัญมากๆ มันคงจะใช้เวลาซักพัก”
“นั่นสิ ข้าสงสัยจริงๆว่าข้าจะได้อันดับสูงแค่ไหน” เมิ่งชวนกล่าว
“ได้อยู่ในสองอันดับแรกไม่น่าจะใช่เรื่องยากแล้ว” เมิ่งต้าเจียงกล่าว “เพราะคนเดียวที่พอเทียบเคียงกับเจ้าได้คือชี่หยวนถง”
เมิ่งชวนพยักหน้าเช่นกัน “รอบแรกข้าอ่อนแอเกินไป”
เมิ่งชวนถูกจัดอยู่ในอันดับที่ยี่สิบสามในการทดสอบรอบแรก อย่างไรก็ตาม เขาได้ที่หนึ่งในการทดสอบที่สองและสาม
กลับกัน ชี่หยวนถงนั้นได้ที่หนึ่งในการทดสอบแรก ที่ห้าในการทดสอบที่สอง และที่สองในการทดสอบที่สาม และยังต้องบอกอีกว่าชี่หยวนถงนั้นต้องแบกค้อนทั้งสองของเขาเพื่อพุ่งผ่านอุโมงค์ในรอบที่สองอีกด้วย ซึ่งหนักเกือบสองร้อยจิน ความสามารถทางกายภาพของเขานั้นทรงพลังมากๆ
“เมิ่งชวน” เหยียนจินเดินมาหา คนอื่นๆมีเพื่อนและครอบครั้วกัน แต่ว่าเขานั้นอยู๋ตัวคนเดียว “ยินดีด้วย ข้าว่าเจ้าได้เข้ารอบสุดท้ายของเขาหยวนชูอย่างแน่นอน แถมข้าว่าเจ้าคงจะติดอันดับหนึ่งในสามด้วยซ้ำ”
“ข้าก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น” เมิ่งชวนยิ้ม
“เมิ่งชวน” เสียงใสของผู้หญิงดังขึ้น
เมิ่งชวนหันไปมอง
หญิงสาวชุดสีม่วงเดินเข้ามา เธอเป็นจุดสนใจในทุกๆที่ที่เธอเดินผ่าน เธอเกิดมาพร้อมกับบรรยากาศของชนชั้นสูง และรอยยิ้มที่งดงามบาดใจชายหลายๆคน
“ท่านเจ้าหญิง” เมิ่งชวนทักทายอย่างสุภาพ
“ข้าได้ยินเรื่องของเจ้ามาซักพักแล้ว” เจ้าหญิงหลี่อิ๋งกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แต่กลายเป็นว่าเจ้าแข็งแกร่งกว่าที่ข้าได้ยินมาเสียอีก เมื่อพวกเราได้เข้าสู่เขาหยวนชูแล้ว ข้าว่าพวกเราควรจะประลองกันข้าจะได้รู้ว่าเจ้าตะสามารถหลบลูกดอกของข้าได้หรือไม่”
หลังจากคัดเลือกทั้งสามรอบ หลี่อิ๋งมั่นใจมากๆในโอกาสที่จะได้เข้าสู่เขาหยวนชูของเธอ เธอเป็นนักเกาฑัณฑ์อันดับสองของอัจฉริยะในที่นี้ มีเพียงซงชาเท่านั้นที่แกร่งกว่าเธอ เขาหยวนชูให้ความสำคัญกับนักเกาฑัณฑ์มาก ดังนั้นเธอจึงมั่นใจมากว่าเขาหยวนชูจะรับเธอเข้าไปเพราะด้วยความแข็งแกร่งของเธอ
“หากถึงเวลานั้นก็มาได้ขอรับ” เมิ่งชวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าตกลงแล้วสินะ” เจ้าหญิงหลี่อิ๋งหันไปมองข้างๆ “นายน้อยเหยียน กระบี่คู่ของเจ้าเองก็ทรงพลังมากเช่นกัน พวกเราเองก็ควรประลองกันซักครั้งเมื่อได้เข้าสู่เขาหยวนชูแล้ว”
“ได้สิ” เหยียนจินตอบกลับอย่างงงๆ เขายินดีที่จะคว้าทุกโอกาสในการต่อสู้ เพราะในทุกๆการต่อสู้นั้นมันจะช่วยฝึกฝนตัวเขาด้วย
เจ้าหญิงหลี่อิ๋งยิ้มและเดินจากไปหลังจากที่ได้พูดคุยกันเล็กน้อย เธอเกิดในตระกูลหลวง ดังนั้นเธอจึงคุ้นชินกับการเข้าสังคมและทำความรู้จักกับคนที่สามารถช่วยเหลือเธอได้ ในสายตาของเธอนั้น เมิ่งชวนและเหยียนจินมีค่าที่จะทำความรู้จักด้วยอย่างเห็นได้ชัด
…
เวลาผ่านไป
บางครั้งบางคราวก็จะมีคนมาพูดคุยกับเมิ่งชวนและเมิ่งต้าเจียง! เพราะไม่ว่ายังไง ทุกๆคนต่างก็บอกได้ว่าเมิ่งชวนจะได้เข้าสู่เขาหยวนชูเป็นแน่ ถึงพวกเขาจะยังไม่รู้ผลลัพท์เลยก็ตามที
ท้องฟ้าค่อยๆมืดลงเมื่อพายุหิมะเริ่มทวีความรุนแรงขึ้น ทุกๆคนในห้องโถงเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อ
“ผลการจัดอันดับออกมาแล้ว!” มีเสียงดังมาแต่ไกล
ชายเคราแพะถือม้วนกระดาษสีทอง ด้านหลังเขามีพ่อบ้านคนอื่นๆที่เดินผ่านพายุหิมะเข้ามา
ผลการจัดอันดับของรอบคัดเลือกได้รับการตัดสินแล้ว เมิ่งต้าเจียงและเมิ่งชวนมองออกไป พวกเขาสงสัยแค่ว่าเขาจะได้ที่หนึ่งหรือที่สองเท่านั้น ที่สามนั้นคงจะไม่น่าเป็นไปได้! ส่วนอัจฉริยะคนอื่นๆพร้อมกับครอบครัวและญาติๆต่างก็รู้สึกเป็นกังวลยิ่งกว่าเดิม อัจฉริยะหลายคนไม่ติดอยู่ในร้อยอันดับแรก และนั่นทำให้พวกเขาหมดโอกาสในการเข้าร่วมการทดสอบรอบสุดท้าย
ตอนที่ 82 จิตรับรู้
ราชาตงเหอมีมาตรฐานสูง มีเพียงหลังจากที่เมิ่งชวน ซงชาและชี่หยวนถงผ่านรอบที่หกไปเท่านั้นเขาถึงจะพึงพอใจ
“ถ้าพวกเขาสามารถผ่านรอบหกมาได้ สามคนนี้จะได้ติดอันดับหนึ่งในสิบอย่างแน่นอน” ชายที่ดูกระเซอะกระเซิงกล่าวผ่านกระแสเสียง “เจ้าคิดว่าใครจะติดอันดับหนึ่งในสาม?”
“ชี่หยวนถงมีอะไรพิเศษ” หญิงสาวที่สวมชุดสีฟ้ากล่าว “ข้าเดิมพันว่าเขา”
“ข้าคิดก็ว่าน่าจะเป็นเขาเหมือนกัน ผลงานในสองส่วนแรกค่อนข้างดี อีกอย่างเขาดูเหมือนจะหลบลูกเห็บได้ง่ายๆอีกต่างหาก” ชายผมกระเซิงกล่าวชื่นชม “ข้าว่านี่คงยังไม่ใช่ที่สุดของเขา แต่ซงชากับเมิ่งชวนก็ยังไม่ถูกคัดออกเหมือนกัน ซงชาเป็นนักเกาฑัณฑ์ เขานั้นมีอนาคตที่ยาวไกล ส่วนเมิ่งชวนเองก็ไวมาก ข้าคิดว่าเขานั้นคงจะมีชีวิตอยู่ได้อีกนาน หากชีวิตยืนยาวมันก็มีหวังสำหรับทุกเรื่องอยู่แล้ว”
พวกเขาอารมณ์ดีที่ได้เห็นอัจฉริยะที่แข็งแกร่งขนาดนี้ เป้าหมายของเขาหยวนชูคือการคัดเลือกอัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดเพื่อมาดูแล
…
เหลืออยู่แค่สามคน ความตื่นเต้นทำให้เลือดของเมิ่งต้าเจียงเดือดพล่าน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เมิ่งชวนจะเป็นในหนึ่งในสามของการทดสอบส่วนที่สามนี้แน่ เมิ่งต้าเจียงพึงพอใจมาก
‘เพราะไม่ว่ายังไง อัจฉริยะทั้งหมดของราชวงศ์โจวที่ยิ่งใหญ่ต่างรวมกันอยู่ที่นี่! เมื่อได้เห็นความสำเร็จของลูกอย่างนี้แล้ว คนเป็นพ่อจะขออะไรได้อีกล่ะ?’
ในหัวของเขา ความคิดที่ว่าลูกชายของเขานั้นจะได้เป็นที่หนึ่งในการสอบเข้าเขาหยวนชูแล้วได้เขาหยวนชูคอยชุบเลี้ยงนั้นก็ปรากฏขึ้นมา แต่ว่ามันก็เป็นแค่ความคิดลอยๆ ประการแรกเขาไม่อยากกดดันลูกชายมากเกินไป ประการที่สองสมุนไพรหายากที่อัจฉริยะคนอื่นๆได้กินนั้นก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าของที่เมิ่งชวนได้รับเลย พวกเขาเองก็ยังได้รับคำแนะนำจากเทพอสูรที่ทรงพลัง สภาพแวดล้อมการฝึกของพวกเขาดีกว่าของเมิ่งชวนมาก
‘แต่นี้ก็ดีมากแล้ว’ เมิ่งต้าเจียงมองอย่างมีความสุข ดวงตาของรื้นน้ำตาขึ้นมา ‘ข้าคงจะสุขใจมากๆถ้าเขาได้เข้าสู่เขาหยวนชู’
…
ทุกคนจ้องไปที่เมิ่งชวน ซงชาและชี่หยวนถง
ราชาตงเหอยิ้ม ลูกเห็บจำนวนมากลอยอยู่ในอากาศก่อนที่มันจะเริ่มตกลงมาด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิม
เมิ่งชวน ซงชาและชี่หยวนถงต่างตั้งสมาธิอย่างเต็มที่ พวกเขาหลบลูกเห็บความเร็วสูงพวกนั้นในวงกลมเพียงหนึ่งจั้ง ลูกเห็บในตอนนี้มันเหมือนกับภาพติดตาในตอนที่มันร่วงลงมาจากระยะ15จั้ง ระยะทางมันใกล้เกินไป! ความเร็วเองก็มากเกินไป!
อ่านตอนล่าสุดที่ my-novel.co หรือ www.thai-novel.com
ฟิ้วๆๆๆๆ!
ซงชานั้นอาจจะดูธรรมดาและไม่น่าจดจำ แต่เขานั้นเป็นนักเกาฑัณฑ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในการสอบเข้าเขาหยวนชูครั้งนี้ เขาฝึกร่างเทพวายุ และสามารถสัมผัสได้ถึง “ลมหายใจวายุ” ทุกครั้งที่ลูกเห็บพุ่งเข้ามา เขาสามารถมองเห็นวิถีของพวกมันได้ และทำให้เขาสามารถหลบพวกมันจากข้อมูลที่ได้รับ! มันยากเกินไปที่จะมองเห็นลูกเห็บด้วยตาเปล่าเพราะระยะทางที่สั้นของพวกมัน ดังนั้นเขาจึงต้องพึ่งขอบเขตการรับรู้ของเขาเพื่อจะหลบมัน
เพราะเหตุนั้นเขาจึงมาถึงรอบที่เจ็ดได้ แต่อย่างไรก็ตาม ลูกเห็บที่ร่วงลงมานั้นไวมากยิ่งกว่าเดิม เขาสามารถสัมผัสได้ถึงลูกเห็บผ่านลมหายใจวายุ แต่ว่าลูกเห็บนั้นมันใกล้เกินไปที่เขาจะตอบสนองได้ทัน
เขาหลบลูกเห็บไปได้ห้าลูกอย่างฉิวเฉียด แต่ลูกเห็บลูกที่หกโดนเข้าที่ท้องของเขาก่อนที่จะได้หลบเสียอีก
‘ข้าทำไม่สำเร็จอยู่ดี’ ซงชาถอนหายใจ
เขาถูกพลังที่มองไม่เห็นยกขึ้นไป ในขณะนั้น เขาก็หันไปมองที่ทางเมิ่งชวนกับชี่หยวนถง พวกเขาทั้งสองนั้นยังคงหลบลูกเห็บอยู่
การเคลื่อนไหวของพวกเขาทั้งคู่นั้นต่างกัน เมิ่งชวนขยับตัวอย่างว่องไวและเป็นธรรมชาติ ในขณะที่ชี่หยวนถงหลบไปมาพร้อมกับหลับตา
เพียงพริบตารอบที่เจ็ดก็จบลง ซงชาถูกคัดออก ส่วนเมิ่งชวนกับชี่หยวนถงยังคงอยู่
‘ปีศาจชัดๆ พวกเราทำได้ถึงแค่รอบที่ห้า แต่เมิ่งชวนกับชี่หยวนถงสามารถทำได้ถึงรอบที่เจ็ดเลยเรอะ’ เจ้าหญิงหลี่อิ๋งดูจะตกใจ ลูกเห็บนั้นตกมาไวเกินไปจนทำให้หัวใจเธอสั่นระรัว แต่ถึงอย่างนั้นทั้งคู่ก็ยังสามารถหลบมันได้ ความเร็วในการตอบสนองขนาดนั้นมันน่าเหลือเชื่อเกินไป
‘สุดยอดขนาดนั้นเลยเหรอ?’ ฉู่หยงนิ่งเงียบ ในฐานะอัจฉริยะอันดับหนึ่งของเมืองหลวง ชื่อเสียงของเขาดังไปทั่วโลกเมื่อเจ็ดปีก่อน ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าเขาจะได้เป็นที่หนึ่งในการทดสอบครั้งนี้ แต่ไม่นึกฝันเลยว่าจะถูกนำไปในทุกๆด้าน เรียกได้ว่าเขานั้นอ่อนกว่าเมิ่งชวนและชี่หยวนถงถึงหนึ่งระดับ ขนาดซงชายังดูโดดเด่นกว่าเขาเลย ผลของซงชาในรอบที่สองและสามนั้นดีกว่าฉู่หยงมาก
แม้รอบแรกการโจมตีของฉู่หยงนั้นจะรุนแรง แต่ซงชานั้นเป็นนักเกาฑัณฑ์ ลูกดอกของเขาไวมาก มันอันตรายพอๆกับระดับชี่หยวนถงเลยด้วยซ้ำ
ฉู่หยงเข้าใจว่าเขาควรจะถูกจัดอันดับให้เป็นที่สองมากกว่า หยานเฟิงและเหยียนจินนั้นอยู่ในระดับเดียวกับเขา
มีคนที่แข็งแกร่งกว่าเจ้าเสมอ หัวใจของฉู่หยงเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย
‘ข้ายังห่างไกลจากหมอนั่นมาก’ เหยียนจินใจเย็นมากกับภาพตรงหน้า เขานับว่าพ่อของเขานั้นคือจุดหมายและรู้สึกได้ถึงความต่างมากมายในนั้น และเพื่อนของเขา เมิ่งชวนเองก็เหนือกว่าเขาไปแล้วเช่นกัน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานี้เขาได้แต่ไล่ตามเมิ่งชวน! เขาได้แต่ไล่ตามทั้งเมิ่งชวนและพ่อ ราชาทะเลตงไห่
แต่เขานั้นอดทน และก็จะยังคงไล่ตามต่อไป
…
“ทั้งสองคนมาได้ไกลขนาดนี้เลยรึ พวกเขาคงจะมีการรับรู้ของจิตที่สุดยอดแน่ๆ” เหล่าเทพอสูรที่ทรงพลังค่อนข้างประหลาดใจ
“ถึงจะยังไม่ได้เป็นเทพอสูร แต่ความสามารถในการรับรู้ของจิตนั้นแข็งแกร่งมาก! เหมือนว่าพวกนี้จะเกิดมาพร้อมกับการรับรู้ที่สุดยอดอยู่แล้ว”
“เป็นคนที่ควรค่าแก่การเลี้ยงดู”
เหล่าขุนนางเทพอสูรที่คอยดูแลหลายๆรัฐของราชวงโจวที่ยิ่งใหญ่ต่างมองเมิ่งชวนและชี่หยวนถงด้วยความพึงพอใจ
หามองจากภายนอก การทดสอบรอบที่สามนั้นคือการทดสอบความเร็วในการตอบสนอง อย่างไรก็ตาม สิ่งที่พวกเขานั้นกำลังทดสอบจริงๆคือความสามารถในการรับรู้ของจิต! มันเป็นหนึ่งในคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของการทดสอบในรอบคัดเลือกนี้ และมันก็เลยทำให้ต้องใช้ราชาตงเหอเป็นคนดูแลส่วนนี้โดยตรง
เมิ่งชวนและชี่หยวนถงชำเลืองมองกันและกัน นี่เป็นการแข่งขันกันระหว่างพวกเขาทั้งคู่
“ในรอบที่แปดนี้ พวกเจ้าแค่ต้องรอดให้ได้ ยิ่งอยู่ได้นานเท่าไหร่ยิ่งดี” ราชาตงเหอบอก จากนั้นลูกเห็บบนท้องฟ้าก็โปรยปรายลงมาอีกครั้ง
พิ้วๆๆๆ!
ลูกเห็บทุกๆลูกเร็วกว่าอันก่อนหน้า
ชี่หยวนถงที่ก่อนหน้านี้มั่นใจมากๆเริ่มจะลำบาก เขาหลับตาและการรับรู้โดยรอบก็ชัดเจนมากยิ่งขึ้น เขาสัมผัสได้อย่างคลุมเครือถึงลูกเห็บทุกลูกที่พุ่งเข้ามา
เขาหลบโดยสัญชาติญาณล้วนๆ อย่างไรก็ตาม เพราะว่าความเร็วของลูกเห็บที่เร็วขึ้นเรื่อยๆนั้น ทำให้ในที่สุดเขาก็ถึงขีดจำกัด
ปั้ก! และแล้วลูกเห็บก็กระแทกเข้าที่ไหล่ของเขา เขาหลบมันไม่ทัน เมื่อเขาลืมตาขึ้นมา ร่างของเขาก็ถูกพลังที่มองไม่เห็นห่อหุ้มร่างกายและเริ่มลอยขึ้นไปแล้ว เขาเห็นเมิ่งชวนยังคงหลบลูกเห็บที่ร่วงลงมาอย่างบ้าคลั่งไกลๆ
‘เขาทำได้ดีกว่าข้ารึ?’ ชี่หยวนถงขมวดคิ้ว เขารู้สึกว่าเขานั้นเหนือกว่าคนรอบตัวเขาตั้งแต่ยังเด็ก แต่ว่าเขาก็ไม่ชอบที่จะอวดพลังของเขา เขาเคยบดขยี้คนที่เรียกตัวเองว่าอัจฉริยะจากเมืองหยวนชูเมื่อนานมาแล้ว และเมื่อเขาเปิดเผยพลังแค่ส่วนหนึ่งของเขา เขาก็ถูกเมืองหยวนชูยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่ง แต่เขาไม่คิดเช่นนั้นเมื่อเหยียนชือถงอายุสิบสามปีได้เข้าถึง “พลัง” แต่เขาเชื่อว่าเหยียนชื่อถงจะไม่สามารถตามเขาทันได้
สุดท้ายแล้ว ก็ไม่มีใครตามเขาได้ทัน เขาแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆเพราะว่าอยากจะทำให้ทุกคนต้องตกใจในการสอบเข้าเขาหยวนชูนี้!
มันก็คงจะไม่เป็นไรหากเขาพยายามไม่เป็นจุดเด่นเหมือนอย่างเคย แต่เขานั้นต้องแสดงพลังที่มีทั้งหมดในการสอบเข้าเขาหยวนชูนี้ เพราะมันเป็นเพียงทางเดียวเท่านั้นที่จะทำให้เขาหยวนชูจะคอยดูแลเขาอย่างดี แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่คิดเลยว่าจะมีใครเหนือกว่าเขาในรอบที่สองและสามนี้ไปได้
‘เมิ่งชวนจากรัฐอู๋?’ ว่ากันว่าเขาอยู่ในตระกูลเทพอสูรแถบชนบทของรัฐอู๋ ในขณะที่เขากำลังคิดอยู่นั้น ฝนลูกเห็บก็หยุดลง
เมิ่งชวนที่ใส่เสื้อคลุมสีน้ำเงินพร้อมกับกระบี่ที่เอวยังคงยืนอยู่ในวงกลมของเขาอย่างเงียบๆ
‘เขาผ่านอย่างนั้นรึ?’ ชี่หยวนถงที่ลงมาแล้ว มองดูจากไกลๆ
“เมิ่งชวนผ่านรอบแปดไปแล้ว มีเขาแค่คนเดียว!” ทุกคนจ้องมอง
“ชวนเอ๋อร์” เมิ่งต้าเจียงมองไปที่เมิ่งชวนที่ยืนอยู่คนเดียว ข้างหน้าของเขาไม่ไกลคือราชาตงเหอ
ภาพนี้ทำให้เมิ่งต้าเจียงรู้สึกภูมิใจมากๆ นั่นแหละลูกของเขา!
…
“เขาสามารถหลบมันได้หมดอย่างนั้นรึ? จิตรับรู้ของเขาสุดยอดจริงๆ”
“ความสามารถในการรับรู้ของจิตเขาสูงมากจริงๆ”
เหล่าเทพอสูรยังคงเฝ้ามองอย่างตั้งใจ พวกเขาเองก็สงสัยมากๆเช่นกัน เมิ่งชวนเป็นคนเดียวที่ยังเหลืออยู่ เขาจะอยู่ได้นานอีกแค่ไหนกัน?
“ดีมาก” ราชาตงเหอยิ้มให้เมิ่งชวน “ทนเอาไว้ ยิ่งเจ้าทนได้นานเท่าไหร่ยิ่งดี ข้าจะเริ่มรอบที่เก้าแล้ว”
“ขอรับ” เมิ่งชวนพยักหน้า
เขาเข้าใจเหตุผลนี้ เขาต้องใช้พลังทั้งหมดที่มีในการสอบเข้าเขาหยวนชูเพื่อที่จะได้แสดงพลังของตนอย่างเต็มที่ ยกเว้นเสียแต่ช่องว่างแห่งจิตของเขา มันพิเศษเกินไป ขนาดเมิ่งเซียนกูที่เป็นเทพอสูรมาเกือบแปดสิบปีและมีสหายเทพอสูรที่รับใช้ราชาทะเลตงไห่หลายคนยังไม่เคยรู้จักสิ่งนั้นมาก่อนเลย สิ่งนี้ทำให้เธอทั้งดีใจและเป็นกังวล
มันเป็นได้ทั้งโอกาสที่แสนหวานหรือหายนะ ดังนั้นเขาจึงต้องตรวจสอบช่องว่างแห่งจิตอย่างรอบคอบก่อนที่จะตัดสินใจว่าจะบอกใครเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่ เมิ่งชวนนั้นเชื่อฟังเมิ่งเซียนกูอยู่แล้ว ย่าทวดของเขาไม่ทำร้ายเขาแน่
อดทน อดทนไว้จนถึงที่สุด เขตแดน “พลังกระบี่” ของเมิ่งชวนทำให้เขาสามารถสัมผัสได้ถึงลูกเห็บเช่นเดียวกับระยะสัมผัสสิบจั้งของเขา ขอบเขต “พลังกระบี่” ของเขานั้นทำให้เขาเห็นได้ลางๆ และระยะสัมผัสสิบจั้งของเขานั้นทำให้เห็นได้อย่างชัดเจน
หลบ ก้ม! เมิ่งชวนหลบได้อย่างลื่นไหล เขาฝึกฝนเช่นนี้มานานจนคุ้นชินกับการหลบแล้ว
เมื่อเวลาผ่านไป สีหน้าของเทพอสูรที่กำลังดูอยู่ก็เคร่งขรึมขึ้นมา
“อะไรนั่น?”
ฟุบๆๆ!
ชายผมกระเซิงและหญิงชุดสีฟ้ามาอยู่ข้างๆราชาตงเหอ
“รอบที่เก้ายังไม่ทำให้ถึงขีดจำกัดของเขาเลย” หญิงสาวในชุดสีฟ้ากล่าวด้วยความประหลาดใจ
“ไม่เลยซักนิด” ราชาตงเหอจ้องไปที่เมิ่งชวน ดวงตาของเขาเป็นประกาย
“จิตรับรู้ของเขาแข็งแกร่งขนาดนั้นเลยรึ?” ชายผมกระเซิงดูท่าทางไม่อยากจะเชื่อ
‘ฟู่ว ลูกเห็บหยุดแล้ว’ เมิ่งชวนยังคงยืนอยู่ในวงกลมของเขาหลังจากผ่านรอบที่เก้ามาได้
“ชี่หยวนถงทำได้ถึงแค่รอบที่เจ็ด แต่เมิ่งชวนผ่านรอบที่เก้ามาแล้ว!” ชายที่ดูกระเซอะกระเซิงไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง “ชี่หยวนถงเองก็สุดยอดมากแล้ว แต่ว่านี่เขาทำได้ดีกว่าชี่หยวนถงมากขนาดนั้นเลยรึ?”
“จิตรับรู้ของเขาเฉียบคมมากจนไม่น่าเชื่อ” หญิงชุดสีฟ้าพูดเบาๆ “การที่มีจิตรับรู้แข็งแกร่งขนาดนี้ ในอนาคต การควบแน่นแก่นสารแห่งจิตของเขาคงไม่ยากเลยสินะ?”
รอยยิ้มของราชาตงเหอเปล่งประกายมากยิ่งขึ้น เขาจ้องมองไปที่เมิ่งชวนและพูดเสียงดังว่า “เมิ่งชวน เจ้าทนต่อไป ยิ่งเจ้าทนได้นานเท่าไหร่ยิ่งดี ข้าจะเริ่มรอบที่สิบแล้ว”
จากนั้น ลูกเห็บก็เริ่มร่วงหล่นลงมาด้วยความเร็วสูง ความเร็วที่เพิ่มขึ้นมาอีกครั้ง
รอบที่สิบได้เริ่มขึ้นแล้ว!
ขุนนางเมฆาใต้ ขุนนางทะเลชีไห่และขุนนางเทพอสูรคนอื่นๆต่างเฝ้าดูเมิ่งชวนอย่างตั้งใจราวกับพวกเขากำลังมองไปที่สมบัติที่งดงามไร้ที่ติ
ตอนที่ 81 ศักยภาพ
ท้องฟ้ามืดครึ้ม หิมะตกหนัก
อัจฉริยะมากมายจ้องมองไปที่ลูกเห็บนับไม่ถ้วนบนท้องฟ้า เมื่อรอบที่สามเริ่มขึ้น ห่าฝนลูกเห็บก็ตกลงมาอีกครั้ง พวกมันพุ่งลงมาด้วยความเร็วที่เร็วกว่าเดิม
เร็วเกินไป อัจฉริยะหลายคนรู้สึกราวกับฝนลูกเห็บนั้นไปถึงตรงหน้าพวกเขาในพริบตา ไม่มีเวลาแม้แต่จะคิดและตอบโต้ ก่อนที่พวกเขาจะได้หลบ ลูกเห็บก็กระแทกโดนตัวไปแล้ว
‘มันจบแล้ว ข้าโดนเข้าแล้ว’
‘บ้าเอ้ย’
‘เร็วเกินไป’
อัจฉริยะหลายคนโดนลูกเห็บกระแทกใส่ จำนวนคนที่ถูกลูกเห็บกระแทกเข้าใส่ก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
พลังที่มองไม่เห็นยกพวกเขาขึ้นและเอาไปวางลงที่เหล่าผู้ชม
“ถึงจะผ่านเงื่อนไขขั้นต่ำของเขาหยวนชู แต่การที่ทนรอบที่สามไม่ได้แสดงว่าพวกนี้มีความเร็วในการตอบสนองแค่ธรรมดาๆ”
“ถ้าไม่มีความสามารถอย่างอื่นที่น่าพึงพอใจ ก็ไม่มีคุณค่าพอที่จะให้เขาหยวนชูชุบเลี้ยง” เหล่าเทพอสูรพูดคุยกัน มีเพียงอัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดเท่านั้นที่มีคุณสมบัติในการเข้าสู่เขาหยวนชู อัจฉริยะธรรมดาก็มีแต่จะเปลืองพลังของบ่อโลหิตเทพอสูร
…
รอบที่สามจบลงอย่างรวดเร็ว มีอัจฉริยะทั้งหมด 58 คนถูกโยนออกไป
ยังเหลืออัจฉริยะอยู่อีก 181 คนที่ยังคงยืนอยู่ในวงกลม ลูกเห็บหยุดลงชั่วขณะก่อนที่จะตกลงมาเป็นครั้งที่สี่ ความเร็วของมันเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
อ่านตอนล่าสุดที่ my-novel.co หรือ www.thai-novel.com
‘เร็วเกินไป’
‘นี่มัน…’ หลายๆคนเพียงแค่ได้เห็นลูกเห็บพุ่งผ่านไป กว่าที่สมองของพวกเขาจะตอบสนองทัน ลูกเห็บก็โดนเข้าที่ตัวแล้ว
ฟุบๆๆๆ!
อัจฉริยะหลายคนถูกยกลอยขึ้นไปในอากาศ ภาพนี้ทำให้เหล่าผู้ชมต้องร้องอุทานด้วยความตกใจ เพราะว่ามีคนมากเกินไปที่ถูกคัดออกในรอบที่สี่ จำนวนของอัจฉริยะที่ลอยอยู่กลางอากาศนั้นมากกว่าจำนวนคนที่เหลืออยู่ในวงกลมของตัวเองซะอีก
‘ข้ารอดมาได้ซะด้วย’ อัจฉริยะที่ยังคงอยู่ในวงกลมต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก เพียงหลังจากนั้นเท่านั้นที่พวกเขาพบว่ามีคนที่ยังยืนอยู่ในวงกลมน้อยขนาดไหน มี 102 คนที่สอบตกในรอบที่สี่ มีเพียง 79 คนเท่านั้นที่ยังเหลืออยู่
อัจฉริยะทั้ง 79 คนนี้เก่งกาจมาก พวกเขาได้กินสมุนไพรหายากเข้าไปจนทำให้รากฐานเทพอสูรนั้นแข็งแกร่ง หรือไม่ก็เป็นคนที่เก่งและมีความเร็วในการตอบสนองที่ดีมาก
แน่นอนว่ามีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มีรากฐานเทพอสูรเหมือนเมิ่งชวนและเหยียนจิน มีเพียงสิบคนเท่านั้นที่เป็นอย่างนั้น ส่วนมากก็ได้กินสมุนไพรหายากธรรมดาเข้าไปแค่อันสองอันเท่านั้น หรือบางคนก็ได้กินไขกระดูกหยกเทพอสูรเข้าไป แต่อย่างน้อยพวกเขานั้นก็แกร่งกว่าอัจฉริยะธรรมดาประมาณห้าถึงแปดส่วน และยิ่งรากฐานเทพอสูรนั้นแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ ร่างเทพอสูรของพวกเขาก็แกร่งมากเท่านั้น และแน่นอนว่าพวกเขานั้นสามารถตอบสนองได้ไวกว่าเช่นกัน
ฟู่ว ราชาตงเหอยืนกับที่และจ้องมองดูด้วยสายตาเย็นชา เพียงแค่อึดใจเดียว ลูกเห็บรอบที่ห้าก็ตกลงมา
ฟิ้วๆๆๆๆๆ!
ลูกเห็บจำนวนนับไม่ถ้วนได้โปรยปรายลงมาและอัจฉริยะทั้ง 79 คนก็พยายามอย่างเต็มที่ที่จะหลบมัน เหล่าผู้ชมที่เฝ้าดูจากระยะไกลต่างก็รู้สึกกังวล พวกเขารู้ว่าเขาหยวนชูจะคัดเพียงแค่ยี่สิบคน! แต่พวกเขานั้นจะเลือกอย่างไร? แน่นอนว่ามันคัดจากผลการคัดเลือกในรอบต่างๆ ผลการคัดเลือกสามรอบแรกและการคัดเลือกรอบสุดท้ายจะเอามารวมกันและตัดสินใจเลือกไปยี่สิบคน
ดังนั้น ยิ่งคนๆนั้นโดดเด่นมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีโอกาสที่จะได้เข้าไปในนั้น แต่หากคนๆนั้นไม่โดดเด่นในด้านใดเป็นพิเศษเลย พวกเขาก็ต้องทำให้ได้ดีในทุกๆด้าน มีเพียงเท่านั้นถึงจะได้เข้าไปอยู่ในยี่สิบคนนั้น
“นายน้อยสอง ท่านต้องทำให้ได้ ท่านต้องทำให้ได้” ชายชราเฝ้าดูอย่างเป็นกังวล
‘ศิษย์รักของข้า ศิษย์รักของข้า…. อีกนิดเดียว หากเจ้าผ่านรอบที่ห้านี้ไปได้ โอกาสที่เจ้าจะได้ไปอยู่ในนั้นก็จะสูงขึ้นมาก’ ชายชราร่างอ้วนคนหนึ่งเฝ้ามองอย่างเป็นกังวล ‘ข้ามันเป็นอาจารย์ที่ไร้ประโยชน์ ไม่สามารถหาซื้อสมุนไพรมีค่าใดๆมาให้เจ้าได้ เจ้าต้องทำให้ได้ด้วยตัวเอง’
สมบัติสมุนไพรที่หายากนั้นมีค่ามากเกินไป หากไม่ได้กินเข้าไปซักอันก็จะเสียเปรียบไปมาก การที่สามารถทนมาได้ถึงขนาดนี้เรียกได้ว่าเป็นคนที่มีความสามารถสูงมากจริงๆ
‘ชวนเอ๋อร์’ เมิ่งต้าเจียงเฝ้ามองดู ‘ชวนเอ๋อร์เคยต่อสู้กับราชาอสูรระดับสองมาก่อน และยังสามารถหลบหนีการติดตามแบบนั้นได้ ความเร็วในการตอบสนองต้องไวมากแน่ๆ’
ทุกคนเฝ้าดูอย่างเป็นกังวล
ลูกเห็บมันเร็วเกินไป มีอัจฉริยะหลายคนถูกกระแทกใส่ก่อนที่จะได้ตอบสนองอะไรเสียอีก พวกเขาถูกโยนออกไปกันทีละคน จนในที่สุดลูกเห็บรอบที่ห้าก็จบลง
‘เฮ้อ’ เขาไม่ผ่านรอบนี้ไปได้ ผู้ชมหลายคนก็ถอนหายใจเมื่อความหวังของพวกเขาต้องมาจบลงในรอบที่ห้า
‘เขาผ่านรอบนี้มาได้ ศิษย์รักของข้าผ่านรอบนี้มาได้’ ชายชราร่างอ้วนตื่นใจที่ได้เห็นศิษย์ของเขา ที่ไม่เคยได้กินสมุนไพรมีค่าใดๆ ได้ผ่านรอบที่ห้าไปได้
…
เมิ่งชวนมองไปรอบๆและพบว่ารอบๆเขานั้นมีคนเหลือน้อยเพียงใด มีเหลืออยู่เพียง 23 คนเท่านั้นนับจากรอบที่ห้า
อย่างผู้ที่มีรากฐานเทพอสูรที่แข็งแกร่งอย่างฉู่หยง หยานเฟิง เหยียนจิน ซงชาและเจ้าหญิงหลี่อิ๋งนั้นก็ผ่านไปได้เป็นเรื่องปกติ ส่วนอัจฉริยะสิบสามปี เหยียนชื่อถง แม้ว่ารากฐานเทพอสูรของเขาจะแข็งแกร่ง แต่เขาก็ยังห่างไกลจากจุดสูงสุดของ “พลัง” เพราะว่าเขาพึ่งเขาถึง “พลัง” มาไม่นานนี้เอง หากเขาพลาดที่จะเข้าถึงพลังแห่งฟ้าดิน การหลบเองนั้นก็จะยากด้วยเช่นกัน เพราะเหตุนั้นเขาจึงยังไม่ผ่านรอบที่ห้า
“มีสามคนที่ผ่านรอบที่ห้าโดยที่ไม่เคยได้กินสมบัติสมุนไพรใดๆเลย ร่างเทพอสูรของพวกเขานั้นอ่อนแอกว่ามาก” ชายที่ดูกระเซอะกระเซิงกล่าว “ร่างเทพอสูรของพวกเขาอ่อนแอ แต่ก็ยังสามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว พรสวรรค์ของพวกเขาช่างสูงมากจริงๆ”
“นั่นสินะ ซัวเซี่ยว ชังกวนเฟิงและหยู่ฉาง” หญิงสาวชุดสีฟ้าพยักหน้า “ทั้งสามคนนี้ควรค่าที่จะได้รับการดูแลจริงๆ อย่างไรก็ตาม พวกเขาพลาดที่จะสร้างรากฐานเทพอสูรให้แข็งแกร่งในระดับก่อกำเนิด ในอนาคตคงจะยากถ้าจะให้ตามมาทัน ไหนดูซิ…หากพวกเขาผ่านไปจนถึงรอบสุดท้าย และถ้าทำได้ดีในส่วนอื่นๆด้วย พวกเราคงจะคัดไปให้ได้อยู่”
ชายที่ดูกระเซอะกระเซิงพยักหน้า
ราชาตงเหอและทั้งสองเป็นคนจัดการการสอบนี้ พวกเขาเป็นผู้ตัดสินใจจัดอันดับ
เทพอสูรที่มีรากฐานที่แข็งแกร่งนั้นจะถูกให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกๆ ส่วนสามคนเหล่านั้น ที่ไม่เคยได้กินสมุนไพรมีค่ามาก่อนเลยนั้น การที่ผ่านเข้ามารอบที่ห้าได้ก็ทำให้พวกเขามีโอกาสที่จะได้เข้าสู่เขาหยวนชู ตราบใดที่พวกเขาทำได้ดี มันก็อาจจะเพียงพอที่เขาหยวนชูจะรับพวกเขาเข้าไป
…
มีอัจฉริยะเหลือเพียง 23 คน
ราชาตงเหอมองดูหนุ่มสาวทั้ง 23 อย่างใจเย็น แม้ว่าจะมีคนที่ยังไม่เคยได้กินสมุนไพรหายากมาก่อนแต่มีความสามารถที่สูง แต่ที่เขาหยวนชูต้องการนั้นคืออัจฉริยะที่มีความสามารถสูงแล้วก็มีรากฐานเทพอสูรที่แข็งแรง
ฟิ้ว รอบที่หกเริ่มขึ้นพร้อมกับลูกเห็บที่ตกลงมา ความเร็วของลูกเห็บเพิ่มขึ้นไปมากกว่าเดิมอีก
“เร็วเกินไปแล้ว”
ทันใดนั้นเองอัจฉริยะหลายคนก็โดนกระแทกเข้าไป รอบที่ห้านั้นเป็นที่สุดแล้วสำหรับใครหลายๆคน พวกเขารับความเร็วของลูกเห็บระดับนี้ไม่ไหวแล้ว
‘ทนเอาไว้’ เจ้าหญิงชุดสีม่วง หลี่อิ๋งพยายามจะอดทนเอาไว้ เธอรู้สึกได้ลางๆว่าอัจฉริยะคนอื่นๆถูกลูกเห็บกระแทกใส่ เธอพยายามที่จะรอดไปจากรอบที่หกนี้ให้ได้ แม้ว่าเธอจะเป็นเจ้าหญิงที่มีสถานะสูงมาก แต่การแข่งขันภายในราชวงศ์เองก็หนักหนาไม่แพ้กัน… ในฐานะตระกูลเทพอสูรอันดับหนึ่งในราชวงศ์โจวที่ยิ่งใหญ่ สถานะของเธอในฐานะเจ้าหญิงไม่ได้มีความหมายมากนัก ความแข็งแกร่งของเธอนั้นสำคัญกว่า
เจ้าหญิงที่ไปไม่ถึงระดับเทพอสูรไม่มีคุณค่าใดสำหรับตระกูล
พิ้ว!
ลูกเห็บเริ่มเร็วขึ้นและยากขึ้นเรื่อยๆที่จะหลบ จนท้ายที่สด ก็มีลูกเห็บพุ่งเฉียดซองธนูของเธอไป สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปในทันที ในฐานะจอมยุทธที่แท้จริง เธอสามารถควบคุมร่างกายได้อย่างดีเยี่ยม แต่การที่มีลูกเห็บสัมผัสโดนซองธนูของเธอนั้นหมายถึงความล้มเหลว
พลังที่มองไม่เห็นโอบล้อมเธอและเธอก็เริ่มลอยขึ้ยไป เธอเข้าใจว่าเธอไม่ผ่านรอบนี้ เธอหันไปมองรอบๆและพบว่ามีอัจฉริยะอีก 7 คนที่ยังเหลืออยู่ เธอจึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ‘ข้ายังมีโอกาสถูกคัดเลือกเป็นหนึ่งในยี่สิบอยู่’
‘ไม่ดีแล้ว’ ร่างของจินฮ้วนเปลี่ยนเป็นสายฟ้าขณะที่เขาพยายามอย่างเต็มที่ที่จะหลบครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ในที่สุดลูกเห็บมันก็รวดเร็วเกินความเร็วในการตอบสนองของเขา
จินฮ้วนเองก็ถูกพลังที่มองไม่เห็นพันรอบตัวเขาและยกขึ้นไป เขามองไปรอบๆ
เหลืออยู่หกคน
ก้ม!
เหยียนจินหลบอย่างสุดกำลัง เขาฝึกฝนร่างเทพเพลิงน้ำแข็งและเก่งในการต่อสู้ระยะประชิด ในการต่อสู้ระยะประชิดนั้น มีเส้นกั้นบางๆระหว่างความเป็นกับความตาย! ปกติแล้วเขาจะสามารถใช้กระบี่ทั้งสองเพื่อปัดป้องกับศัตรู แต่ในตอนนี้ เขาทำได้เพียงแค่หลบ เขาพยายามพึ่งสัญชาตญาณอย่างเต็มที่เพื่อที่จะหลบลูกเห็บที่ร่วงหล่นลงมา เพราะลูกเห็บนั้นมันเร็วเกินไป ทำให้เขาได้แต่ต้องเชื่อในสัญชาตญาณเท่านั้น
ฟุบ
ลูกเห็บเฉียดหลังของเหยียนจินไป เขาหน้าซีด เขาเองก็พลาดเช่นกัน
เขาเองก็ถูกห่อหุ้มด้วยพลังที่มองไม่เห็นขณะที่ลอยขึ้นไป
ตอนที่เหยียนจินลอยขึ้นไป เขาก็เห็นฉู่หยงและหยานเฟิงเช่นเดียวกัน พวกเขาเองก็พลาด
…
เมื่อลูกเห็บหยุดลง มีเพียงสามคนที่ยังเหลืออยู่ เมิ่งชวน ซงชาและชี่หยวนถง
อัจฉริยะคนอื่นๆมองพวกเขาด้วยอารมณ์ที่หลากหลายพร้อมกับทุกคนที่ต่างจ้องมองไปที่ทั้งสามที่เหลืออยู่
“ดี” ในที่สุดก็มีรอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าของราชาตงเหอ
ตอนที่ 80 การทดสอบรอบที่สาม
เมิ่งชวนและคนอื่นๆเฝ้าดูอย่างใจเย็น เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ยังมีคนกว่า 275 คนที่เข้าสอบ! อีกอย่าง ที่ว่างนั้นมีเพียง 20 ที่เท่านั้น การต่อสู้แย่งชิงนี้ยังไม่เริ่มต้นขึ้นด้วยซ้ำ
ตามหนังสือแล้วนั้น การจะเป็นเทพอสูรได้ คนๆนั้นต้องเข้าไปในบ่อโลหิตเทพอสูรและผ่านช่วงแห่งความเป็นความตาย เทพอสูรทุกๆคนนั้นใช้พลังจากบ่อโลหิตเทพอสูรเป็นจำนวนมาก ศิษย์ของเขาหยวนชูจึงจำเป็นต้องมั่นใจเต็มร้อยก่อนถึงจะได้รับอนุญาติให้เข้าไปเพื่อผ่านช่วงแห่งความเป็นความตาย ส่วนคนที่สอบตกในการทดสอบของเขาหยวนชูนั้นต้องเก็บสะสมแต้มเพื่อแลกเปลี่ยนกับการเข้าสู่บ่อโลหิตเทพอสูร เมิ่งชวนถอนหายใจ
บ่อโลหิตเทพอสูรนั้นมีค่าเกินไป มีเพียงเขาหยวนชู ถ้ำสวรรค์ทรายดำและเกาะสองโลกเท่านั้นที่มีไว้ในครอบครอง และทั้งสามนิกายก็คัดเลือกศิษย์ปีละเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
…
หญิงสาวชุดสีฟ้าเดินหันหลังกลับไปหาเหล่าเทพอสูร เธอนั่งลงและกระซิบกับราชาตงเหอ “ที่เหลือข้าขอฝากให้ท่านจัดการด้วย”
“ได้” ราชาตงเหอพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะลุกขึ้นยืน ทันใดนั้นเอง ทั้งโลกก็สั่นสะเทือน ท้องฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นสีดำ
“อย่ามอง”
เมิ่งชวน เหล่าอัจฉริยะและคนที่อยู่ข้างสนามต่างก็ไม่กล้ามองราชาตงเหอตรงๆ มันก็เหมือนกับการที่มนุษย์ธรรมดาไม่สามารถจ้องมองด้วงอาทิตย์ตรงๆได้! แม้แต่เทพอสูรที่พึ่งกำเนิดใหม่ในหมู่ผู้ชมก็ยังไม่สามารถมองไปยังราชาตงเหอได้ตรงๆ ราชาตงเหอไม่สะกดพลังไว้อีกต่อไป กลับกัน มันเริ่มแผ่กระจายออกมารอบๆตัวเขาเป็นคลื่น พลังของเขานั้นสามารถทำให้กระแสเลือดปั่นป่วนได้เลย เรียกได้ว่าหากพบกับกระแสพลังเช่นนี้นานๆอาจจะตายได้ด้วยซ้ำ
นี่คือเทพอสูรระดับราชาที่ยืนอยู่จุดสูงสุดของโลกมนุษย์ แค่เอ่ยนามพวกเขาก็สามารถทำให้ราชาอสูรหน้าถอดสีได้
ราชาตงเหอและราชาทะเลตงไห่อยู่ในระดับเดียวกัน
เมิ่งชวนและคนอื่นๆไม่กล้ามองเขาโดยตรง แต่ก็ยังสามารถได้ยินเสียงของเขาอยู่
“เราจะเริ่มการทดสอบรอบที่สามแล้ว ข้าจะเป็นคนดูแลเอง” เสียงของราชาตงไห่นั้นอ่อนโยนแต่ว่ามีความกดดันที่มองไม่เห็นอยู่ภายในนั้น “ในการต่อสู้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายนั้น ทุกๆการกระทำของเจ้าสามารถตัดสินชีวิตหรือความตายได้เลย หากเจ้านั้นตอบสนองช้าเกินไปนิดหน่อย เจ้าอาจจะต้องตายอย่างอนาถ ดังนั้นแล้ว ความเร็วในการตอบสนองของเจ้านั้นต้องไว”
“ในรอบที่สามนี้จะเป็นการทดสอบความเร็วในการตอบสนองของพวกเจ้า ยิ่งเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี”ราชาตงเหอกล่าว
เมิ่งชวนเองก็เห็นด้วยกับสิ่งที่ได้ยิน เขาได้ฟังมาจากย่าทวดว่าเจ้าวังหยกสุริยันนั้นไม่ปล่อยให้ราชาอสูรทั้งสามได้มีโอกาสโจมตีใส่เขาเลยแม้แต่น้อย นี่คือเหล่าคนที่แข็งแกร่งเป็นกัน พวกเขาไม่ปล่อยให้ศัตรูได้มีโอกาสโจมตีใส่ด้วยซ้ำ
อ่านตอนล่าสุดที่ my-novel.co หรือ www.thai-novel.com
เช่นเดียวกับที่ว่าเขาฝึกวิชาชักกระบี่อย่างไร ความเร็วนั้นก็เป็นส่วนหนึ่งของวิชาชักกระบี่ แต่อีกส่วนนั้นคือจิตวิทยา อีกฝ่ายนั้นจะไม่ทันตั้งตัวรับการโจมตีนี้แน่นอน! หากถูกโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัว ความเร็วในการตอบสนองนั้นเรียกได้ว่าเป็นจุดตัดสินความเป็นความตายเลย มันไม่ง่ายเลยสำหรับเขาหยวนชูที่จะชุบเลี้ยงเทพอสูรขึ้นมาได้ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องมีเงื่อนไขอันเข้มงวดในการตัดสินความเร็วในการตอบสนองของเทพอสูร
“หืม?” จู่ๆเมิ่งชวนก็รู้สึกถึงพลังที่ต่อต้านไม่ได้ยกตัวให้เขาลอยขึ้นไป เขาเห็นอัจฉริยะทั้งหมดก็ลอยขึ้นไปเช่นกัน ทุกๆคนนั้นดูจะตื่นใจกัน
ทั้ง 275 คนพุ่งขึ้นไปในอากาศและกระจายออกจากกัน พวกเขาลอยลงไปที่ที่หนึ่งในวังโดยที่แต่ละคนอยู่ห่างจากกันประมาณ 2 จั้ง พวกเขายืนอยู่บนแผ่นหินที่มีวงกลมกว้างประมาณหนึ่งจั้งสลักไว้บนนั้น
พวกเจ้าทุกคนจะต้องอยู่ในวงกลมของตัวเอง แล้วพวกเจ้าห้ามออกจากวงกลมนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ตาม” ราชาตงเหอกล่าวต่อ “จะมีลูกเห็บตกลงมาจากท้องฟ้า พวกเจ้าต้องหลบมันให้ได้ทุกชิ้น! หากเจ้าถูกลูกเห็บนั้นตกใส่ ไม่ว่าจะเป็นร่างของเจ้าหรืออาวุธของเจ้า จะนับว่าเป็นการสอบตก และการออกจากวงกลมก็นับว่าสอบตกเช่นกัน หากพวกเจ้ารอดลูกเห็บสองรอบแรกไม่ได้ พวกเจ้าก็สอบตก ยิ่งเจ้าหลบได้นานเท่าไหร่ยิ่งดีเท่านั้น”
เมิ่งชวนและคนอื่นๆมองขึ้นไป
ในท้องฟ้าที่มืดครึ้ม เกล็ดหิมะจำนวนนับไม่ถ้วนเริ่มรวมตัวกันในทันที พวกมันก่อตัวกลางอากาศและเปลี่ยนเป็นฝนลูกเห็บที่ใหญ่เท่านิ้วมือขึ้นมา ลูกเห็บเหล่านั้นอยู่เหนือหัวพวกเขาเพียง 15 จั้งเท่านั้น มันเป็นความสูงของอาคารที่สูงที่สุดของเมืองหยวนชู
อัจฉริยะทุกคนต่างเฝ้าดูลูกเห็บที่ปกคลุมท้องฟ้าด้วยความกังวล
พวกเขาไม่กล้ามองไปที่ราชาตงเหอ แต่สามารถจ้องมองไปที่ลูกเห็บได้
“เริ่มได้” ทันทีที่ราชาตงเหอพูดจบ ฝนลูกเห็บก็กระหน่ำลงมา
พิ้วๆๆ!
ลูกเห็บแต่ละลูกราวกับลูกศรที่ถูกจอมยุทธระดับไร้ตำหนิยิงมา พวกมันไวมาก แต่ว่าเมิ่งชวนก็เคยชินกับสิ่งนี้แล้ว
เป็นเวลาหลายปีแล้วที่เขาฝึกฝนโดยใช้ห่าฝนลูกดอกยิงเข้ามาใส่เขาทุกๆวัน และเมื่อความแข็งแกร่งและพลังของเขาเพิ่มขึ้น เขาก็บอกให้คนคุ้มกันของเขาขยับเข้ามาใกล้ขึ้นเพื่อที่จะได้มีความกดดันมากกว่านี้! มันจึงทำให้เมิ่งชวนได้บังคับให้ตัวเองผลักดันวิชาการเคลื่อนที่ ความเร็วในการตอบสนองและวิชากระบี่ของเขาไปจนถึงขีดสุด และทำให้พวกมันค่อยๆพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ
แต่ในการทดสอบนี้ วิชาการเคลื่อนที่นั้นไม่ได้สำคัญ! วงกลมที่กว้างเพียงหนึ่งจั้งนี้ หากว่าสามารถตอบสนองได้ไวพอก็สามารถที่จะหลบห่าลูกเห็บได้แล้ว กุญแจคือการตอบสนองให้ได้ทัน! หากไม่สามารถตอบสนองได้ทันก็จะโดนลูกเห็บเข้าไป
วิชากระบี่เองก็ไม่สำคัญเช่นกัน! การที่อาวุธโดนกระแทกเองก็หมายถึงสอบตกเช่นกัน การทดสอบนี้คือความเร็วในการตอบสนอง! เขาต้องตอบสนองให้ทัน
ฟิ้วๆๆๆ! ห่าลูกเห็บพุ่งเข้าไปใส่เขา ทันใดนั้นเองก็มีลูกเห็บสามลูกพุ่งลงมาใส่วงกลมของเมิ่งชวน จากนั้นก็มีอีกสองอัน แล้วก็สามอัน…
เมิ่งชวนรู้สึกผ่อนคลาย ลูกเห็บไมไ่ด้ลงมาพร้อมกันทั้งหมดแต่แบ่งมาเป็นชุดๆ มีเพียงแค่สองสามลูกเท่านั้นในแต่ละชุด
เมิ่งชวนไม่รู้ว่าความเร็วในการตอบสนองของเขาดีขึ้นมากแค่ไหนตั้งแต่เขาเริ่มฝึกซ้อม เพราะเขาผลักดันขีดจำกัดอยู่ทุกวัน! เขาผลักดันตัวเองไปสู่ขีดจำกัดเท่าที่เขาทนได้
ในตอนนี้มันก็เหมือนเขาแค่เดินเล่นอยู่ในสวน เพียงขยับนิดหน่อยลูกเห็บสองลูกก็พุ่งผ่านเขาไป มันกระแทกลงพื้นและกลายเป็นผงไป
ความเร็วในการตอบสนองของเขาไม่เพียงแต่รวดเร็ว แต่เขายังมีขอบเขตสัมผัสสิบจั้งซึ่งเป็นผลจากพลังวิญญาณคอยช่วยเขาไว้อีก ในระยะสิบจั้งนี้ เขาสามารถมองลูกเห็บได้อย่างชัดเจน และทำให้เขาหลบมันได้อย่างง่ายดาย
…
เหล่าผู้ชมต่างเฝ้ามองด้วยความเป็นกังวล
พวกเขาไม่กล้ามองไปที่ราชาตงเหอ และทำได้แค่เพียงจับจ้องไปที่อัจฉริยะกับฝนลูกเห็บจำนวนนับไม่ถ้วนบนท้องฟ้า เกล็ดหิมะเริ่มถ่าโถมลงมาหนาขึ้นจนบดบังทัศนวิสัยของพวกเขา
“นี่เป็นการทดสอบรอบที่สามแล้ว”
“รอบคัดเลือกมีเพียงสามรอบเท่านั้น การจัดอันดับจะจัดหลังจากรอบคัดเลือกนี้”
“เจ้าต้องอดทนไว้นะ” หลายคนเฝ้าดูอย่างเป็นกังวล พวกเขามองไปที่ความหวังและความภาคภูมิใจของตระกูล
เมิ่งชวนเองก็เป็นความหวังของตระกูลเมิ่ง เช่นเดียวกันกับอัจฉริยะหลายๆคนในที่นี้เช่นกัน
…
ราชาตงเหอควบคุมทุกอย่างโดยที่ไม่ได้แสดงออกอะไร ฝนลูกเห็บยังคงตกไปพักหนึ่งก่อนที่มันจะหยุดลง
“ต่อไป รอบที่สอง” ราชาตงเหอพูดเรียบๆ
ฝนลูกเห็บหยุดเพียงไม่กี่วินาทีก่อนที่มันจะตกลงมาอีกครั้ง
‘ตอนนี้เร็วกว่าเดิมเยอะเลย’ นอกระยะสิบจั้งนั้น เมิ่งชวนสามารถใช้เขตแดน “พลัง” ของเขาเพื่อตัดสินเส้นทางคร่าวๆของลูกเห็บได้ และเมื่อมันมาถึงระยะสิบจั้งของเขา เขาก็สามารถสัมผัสได้ถึงลูกเห็บได้อย่างชัดเจน! เขาตัดสินได้อย่างง่ายดายว่าความเร็วของลูกเห็บนั้นไวขึ้นกว่าเดิมประมาณสองส่วน
ฟุบๆๆๆ
เมิ่งชวนยังสัมผัสได้อีกว่าคนรอบๆตัวเขานั้นโดนเข้าไปทีละคนแล้ว! พวกเขาตอบสนองได้ไม่ทันเวลา ไม่ว่าจะเป็นร่างของพวกเขา อาวุธ หรือจะเป็นชุดที่โดนเข้าใส่!
“ไม่จริง…” อัจฉริยะถือค้อนขนาดใหญ่ไว้ในมือด้วยความสิ้นหวัง ค้อนของเขาพึ่งจะถูกลูกเห็บกระแทกเข้าใส่ก่อนที่จะมีพลังที่มองไม่เห็นพันรอบตัวและยกเขาขึ้น ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น อัจฉริยะคนอื่นๆที่สอบตกรอบนี้ก็ถูกยกขึ้นไปวางไว้ไกลๆ
“พวกเจ้าไม่สามารถทนลูกเห็บรอบที่สองได้เลยด้วยซ้ำ ความเร็วในการตอบสนองของพวกเจ้ามันช้าเกินไปเสียจริง” เสียงอันเยือกเย็นของราชาตงเหอดังขึ้นในหูของอัจฉริยะทุกคน “หากเจ้าต้องต่อสู้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายขึ้นมา พวกเจ้าได้ตายไปง่ายๆแน่”
เมื่อลูกเห็บรอบที่สองสิ้นสุดลง ก็มีอัจฉริยะทั้งหมดสามสิบหกคนที่ถูกยกขึ้นไปวางไวไกลๆ
เขาหยวนชูได้ตั้งให้ลูกเห็บรอบที่สองนั้นเป็นตัวตัดสิน เพราะว่ามันสามารถคัดเลือกออกไปได้เยอะมาก
และนี่ทำให้อัจฉริยะที่เหลืออยู่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก อย่างน้อยที่สุดแล้ว ข้าก็ทนไว้ได้ถึงสองรอบ ผ่านเงื่อนไขต่ำสุดแล้ว เหล่าอัจฉริยะที่ผ่านมาได้อย่างเฉียดฉิวรู้สึกยินดีที่พวกเขายังมีความหวัง
ฟิ้วว
หลังจากหยุดไปชั่วครู่ ลูกเห็บจำนวนนับไม่ถ้วนที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าก็เริ่มโปรยปรายลงมาเป็นครั้งที่สาม เขาหยวนชูนั้นต้องการจะคัดเลือกอัจฉริยะที่เก่งกาจจริงๆ พวกเขาไม่ได้ต้องการแค่คนที่ผ่านระดับต่ำสุด
ตอนที่ 79 หิมะอันแสนเยือกเย็น
เหล่าเทพอสูรพูดคุยหัวเราะกันอย่างสนุกสนานในขณะที่มองดูเหล่าอัจฉริยะพุ่งผ่านอุโมงค์ไปทีละคน
ในไม่ช้า ก็ถึงตาของเหยียนจิน
และแล้ว เหยียนจินก็ใช้เวลาไป 12 หยดน้ำเพื่อผ่านอุโมงค์ไป ความเร็วของเขาเท่ากับกับฉู่หยงซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม อันที่จริงแล้วเหยียนจินฝึกร่างเพลิงน้ำแข็ง และรากฐานเทพอสูรของเขาก็แข็งแกร่ง ความเร็วของเขานั้นสูงยิ่งกว่าจอมยุทธระดับควบแน่นแก่นแท้มาก นั่นเป็นเพียงเพราะเขาได้ประลองกับเมิ่งชวนที่เร็วกว่าเขามากหลายที
“ข้ายังช้ากว่ามาก” เหยียนจินกล่าวผ่านกระแสเสียงไปหาเมิ่งชวนเมื่อเดินกลับเข้ามา “ถ้าข้าคิดไม่ผิด ข้าคงไม่ติดสิบอันดับแรกหรอก” แม้ว่าเหยียนจินจะเป็นคนสันโดษ แต่เขาก็มักจะคุยกับเมิ่งชวน
“แต่เจ้าก็น่าจะติดสิบอันดับแรกนะ” เมิ่งชวนกล่าว
“มีหลายคนที่ฝึกร่างเทพอัสนีและร่างเทพวายุ พวกนั้นเก่งในเรื่องของความเร็ว และยังมีอีกหลายคนที่ยังไม่ถึงตาพวกเขาเลย” เหยียนจินกล่าว
“พวกนั้นส่วนมากรากฐานเทพอสูรไม่ค่อยแข็งแรง พวกนั้นเทียบกับเจ้าไม่ได้หรอก” เมิ่งชวนปลอบใจ
อย่างเช่นอัจฉริยะที่ฝึกร่างเทพอัสนีแต่มีรากฐานเทพอสูรที่อยู่กลางๆอาจจะใช้เวลาไป 15 หยดน้ำถึงจะผ่านอุโมงค์ได้ มันทำให้เห็นว่ารากฐานเทพอสูรนั้นสำคัญมากเพียงใด เมิ่งชวน เหยียนจิน ฉู่หยง หยานเฟิง ชี่หยวนถงและซงชาต่างก็มีฐานรากเทพอสูรที่แข็งแกร่งกว่าปกติถึงสามเท่า และนี่คือขีดจำกัดโดยประมาณ แม้ว่าพวกเขาจะใช้ยาสมุนไพรหายากเพื่อช่วยเพิ่มความแกร่งให้รากฐานเทพอสูร แต่มันก็อาจจะเพิ่มขึ้นจากสามเท่าเป็นเพียงสี่เท่าจากปกติเท่านั้น ซึ่งมันไม่คุ้มค่า
และมันก็เป็นเรื่องหายากที่เมิ่งชวนที่มาจากครอบครัวเทพอสูรธรรมดา จะมีรากฐานเทพอสูรเทียบได้กับคนที่มาจากตระกูลเทพอสูรหัวกะทิ
…
เวลาผ่านไป
เหล่าอัจฉริยะค่อยๆออกไปกันทีละคน และในที่สุดก็ถึงตาของนักเกาฑัณฑ์สองคนที่ดึงดูดความสนใจของทุกคน
นักเกาฑัณฑ์อันดับหนึ่งของวัยรุ่นในเมืองหลวง เจ้าหญิงหลี่อิ๋ง และนักเกาฑัณฑ์ที่ทำคะแนนได้ยอดเยี่ยมที่สุดในรอบแรก ซงชา
“19 หยด ต่อไปหลี่อิ๋งจากเมืองหลวง” ชายเคราแพะพูดเสียงดัง
อ่านตอนล่าสุดที่ my-novel.co หรือ www.thai-novel.com
เจ้าหญิงแห่งราชวงศ์โจวที่ยิ่งใหญ่ หลี่อิ๋ง เดินเข้ามาต่อ เธอแต่งกายด้วยชุดสีม่วงและดูเป็นผู้ดีตามธรรมชาติ เมื่อมองจากต้นตระกูลแล้ว เธอนั้นเหนือกว่าลูกหลานของตระกูลเทพอสูรระดับราชานิดหน่อย
อย่างน้อยในราชวงศ์โจวอันยิ่งใหญ่ ตระกูลหลวงหลี่ก็ยังคงเป็นตระกูลเทพอสูรอันดับหนึ่ง
วูบ!
เจ้าหญิงหลี่อิ๋งสะพายเกาฑัณฑ์ของเธอพร้อมกับลูกดอกและเปลี่ยนเป็นสายลมไป เธอพุ่งผ่านอุโมงค์ไปด้วยความเร็วอันมหาศาล แม้ว่าเธอจะเทียบไม่ได้กับความเร็วอันน่าสะพรึงของเมิ่งชวน แต่เธอก็เหนือกว่าอัจฉริยะคนอื่นๆที่ได้ลองก่อนหน้านี้หมด
ในไม่ช้า เธอก็พุ่งผ่านอุโมงค์ไป
“10 หยดน้ำ!”ชายเคราแพะประกาศผลออกมาและทำให้อัจฉริยะหลายๆคนต้องสูดลมหายใจเข้าด้วยความตื่นใจ เช่นเดียวกันกับญาติๆและเพื่อนๆของเธอ “พวกนักเกาฑัณฑ์คงจะเด่นแน่ เพราะพวกเขานั้นมักจะไวกว่า”
หลังจากองค์หญิง อีกไม่นานก็ถึงตาของซงชาหลังจากตาของคนอื่นอีกนิดหน่อย
“17 หยด ต่อไปซงซาแห่งรัฐหวงเหลียง”
ซงซาเป็นเด็กหนุ่มที่ดูธรรมดา และพร้อมกับลูกดอกและเกาฑัณฑ์ที่สะพายบนหลัง เขาก็เปลี่ยนเป็นสายลมเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม เหมือนว่าความเร็วของเขาจะเร็วกว่าของเจ้าหญิงหลี่อิ๋ง
“เขาก็เหมือนกับข้า เขาฝึกร่างเทพวายุและมีรากฐานเทพอสูรที่แข็งแกร่งมาก” องค์หญิงหลี่อิ๋งเฝ้ามองและขมวดคิ้ว “แต่ว่า เหมือนว่าระดับของเขานั้นจะสูงกว่าข้า เขาไปถึงจุดสูงสุดของพลังแล้ว! มันทำให้เขาทำได้ดีกว่าข้าในรอบแรกและไวกว่าข้าด้วย”
“เก้าหยด!” ชายเคราแพะตะโกนเสียงดังขึ้นไปอีก อัจฉริยะกว่า 120 คนได้ทำการทดสอบ แต่ว่าเขาเป็นเพียงอีกคนที่สามารถทำได้ต่ำกว่าสิบหยดน้ำนอกจากเมิ่งชวน
ซงซาเดินกลับไปอย่างใจเย็น
…
เป็นเรื่องยากมากที่จะผ่านอุโมงค์ทั้งเส้นได้ในสิบหยดน้ำ หลังจากที่ซงชาทำได้เก้าหยดแล้ว อัจฉริยจากรัฐเจียง หนิงอี้โบ ก็เปลี่ยนเป็นเส้นแสงและผ่านอุโมงค์ไป เขาใช้เวลาเพียงเก้าหยดน้ำเทียบได้กับซงชาเลย
หลังจากผ่านไปกว่าสองร้อยคน อัจฉริยะอีกคนก็ปรากฏขึ้นมา
“เร็วมาก”
“เร็วขนาดนี้!”
เป็นเด็กหนุ่มชุดสีดำถือหอกสั้น เขากลายร่างเป็นสายฟ้าได้อย่างสมบูรณ์ เขาเองก็ฝึกร่างเทพอัสนีเช่นกันและได้ไปถึงจุดสูงสุดของพลังแล้ว ความเร็วของเขานั้นทำให้ทุกคนพูดไม่ออก
ฟิ้ว
ในที่สุดเขาก็ออกมาและชายเคราแพะก็ตะโกนบอกผล”8 หยดน้ำ!”
‘โห?’ เด็กหนุ่มขมวดคิ้วเมื่อได้ยินดังนั้น ‘ข้าฝึกฝนร่างเทพอัสนีมาตลอด ข้าฝึกฝนการเคลื่อนไหวและวิชากระบี่บินมาอย่างหนัก อีกทั้งข้าเองก็ไปถึงจุดสูงสุดของพลังแล้ว ตระกูลข้าก็ได้ใช้สมุนไพรอันมีค่าถึงห้าชนิดกับข้า ความเร็วที่สุดของข้า… ช้ากว่าเมิ่งชวนจริงๆอย่างนั้นรึ?’
จินฮ้วนจากรัฐหยุน? เมิ่งชวนจำชื่อเด็กหนุ่มในชุดดำเอาไว้ ‘ในหมู่คนหนุ่มสาว ความเร็วของเขาใกล้เคียงกับข้ามากจริงๆ’
เมิ่งชวนเร็วกว่าเขาเพียงหนึ่งส่วนเท่านั้น
…
“จินฮ้วนจากรัฐหยุนมีความเร็วที่ดีทีเดียว ถ้านี่เป็นการสอบเข้าเมื่อปีก่อนเขาคงจะเร็วที่สุด”เทพอสูรคนหนึ่งถอนหายใจ
“การระเบิดพลังปราณของเขานั้นด้อยกว่าเมิ่งชวน!” ชายที่ดูกระเซอะกระเซิงยิ้ม “เพียงเสี้ยววินาที เมิ่งชวนก็ระเบิดพลังออกมาได้มากกว่าของจินฮ้วนได้ถึงสองเท่า เมิ่งชวนคงฝึกฝนเส้นลมปราณมามากถึงได้ปลดปล่อยพลังปราณออกมาได้อย่างนี้ นอกจากนี้ การควบคุมร่างกายและพลังปราณของเขานั้นถูกขัดเกลามามากกว่า และด้วยเหตุเหล่านี้จึงทำให้ความเร็วของเขานั้นไวกว่าของจินฮ้วน!”
“วิธีการหมุนเวียนปราณของเขานั้นช่างน่าประทับใจ มันไม่ด้อยไปกว่ามรดกเทพอสูรในเขาหยวนชูของเราเลย”
“บางทีเขาคงได้รับมรดกที่ไม่สมบูรณ์มา”
เทพอสูรที่อยู่ที่นี่ส่วนใหญ่ต่างเป็นเทพอสูรระดับขุนนาง และมีแม้กระทั่งระดับราชา! พวกเขาสามารถมองเห็นเบื้องหลังของการไหลเวียนพลังปราณของเมิ่งชวนได้อย่างชัดเจน
มันเป็นส่วนหนึ่งของวิชากระบี่ตัดอัสนี เบญจโลกาอัสนี ที่มันมีผลเช่นนี้ได้ก็ต่อเมื่อใช้พลังปราณที่มากกว่าปกติถึงสิบห้าเท่า และมันทำให้เขาไวกว่าจินฮ้วนเพียงหนึ่งส่วนเท่านั้น แต่แน่นอนว่า ถ้าเร็วกว่าก็ได้เปรียบมากแล้ว!
…
หลังจากจินฮ้วนจากรัฐหยุนแล้ว ก็ไม่มีใครสามารถผ่านอุโมงค์ภายในสิบหยดน้ำได้
“สุดท้าย ชี่หยวนถงจากเมืองหยวนชู” ชายเคราแพะกล่าวเสียงดัง
ทุกคนหันไปมอง
เมิ่งต้าเจียงเองก็มองไปที่เด็กหนุ่มร่างบางอย่างระมัดระวัง ชี่หยวนถงนั้นโดดเด่นมากในการทดสอบรอบแรก เขานั้นแข็งแกร่งกว่าคนอื่นๆในระดับเดียวกันมาก
ตูม!
ชี่หยวนถงแบกค้อนทั้งสองอันไว้บนหลังของเขาก่อนจะเปลี่ยนเป็นลำแสงสีดำในขณะที่พุ่งไป พื้นดินสั่นเล็กน้อยเมื่อเขาขยับ ทุกย่างก้าวนั้นน่าสะพรึง เขาพุ่งออกมาจากทางออกอย่างรวดเร็ว
“10 หยดน้ำ!” ชายเคราแพะตะโกนเสียงดัง คราวนี้เขาค่อนข้างจะใจเย็นขึ้นมา เพราะแม้การผ่านภายในสิบหยดนั้นจะน่าทึ่ง แต่ว่าขนาดเจ้าหญิงยังผ่านได้ในสิบหยดเลย แต่หากดูจากพลังของชี่หยวนถงแล้ว มันก็เป็นผลลัพท์ที่พอคาดเดาได้
เมิ่งชวนเองก็พยักหน้าเล็กน้อย ค้อนทั้งสองนั่นดูจะหนักกว่าสองร้อยจิน หากเขาทิ้งค้อนนั่นไป ความเร็วคงจะไวกว่านี้มาก และอาจจะผ่านได้ภายในเก้าหยดน้ำ! แต่ว่าจอมยุทธต้องไม่ทิ้งอาวุธไปง่ายๆ ชี่หยวนถงคงจะแกร่งน้อยกว่าเดิมถึงครึ่งหากไม่มีค้อนทั้งสองนั่น
ดังนั้นแล้ว เขาหยวนชูจึงตั้งกฏขึ้นมาหนึ่งอย่าง คนๆนั้นต้องถืออาวุธของตนไปด้วยใขณะที่พุ่งผ่านอุโมงค์ไป
เมื่อชี่หยวนถงกลับไป การทดสอบรอบที่สองก็จบลง มีเพียงสี่คนเท่านั้นที่ทำเวลาได้น้อยกว่า 10 หยดน้ำ
หนิงอี้โบจากรัฐเจียงและซงชาจากรัฐหวงเหลียงทำได้ไป 9 หยดน้ำ จินฮ้วนจากรัฐหยุนผ่านได้ใน 8 หยดน้ำและเมิ่งชวนจากรัฐอู๋ทำได้ 7 หยดน้ำ ความเร็วของเมิ่งชวนนั้นจัดได้ว่าเป็นหนึ่งในสามอันดับที่สูงที่สุดในการทดสอบของเขาหยวนชูช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมานี้เลย พละกำลังของชี่หยวนถงเองก็ติดอันดับหนึ่งในสามของคนที่แข็งแกร่งที่สุดในการสอบเข้าช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมาเช่นกัน ปีนี้ช่างเป็นปีที่สุดยอดของการสอบเข้าเขาหยวนชูจริงๆ
ยิ่งมีมาตรฐานสูงเท่าไหร่ ก็ยิ่งยากที่คนอื่นๆจะได้รับการคัดเลือกให้เข้าเรียน
ฟิ้ว หญิงสาวชุดสีฟ้ายืนอยู่นิ่งๆและสะบัดมือ อุโมงค์ขนาดยักษ์สลายหายไป เธอกวาดสายตามองเหล่าอัจฉริยะและพูดขึ้น “คน 19 คนที่ได้มากกว่ายี่สิบหยดน้ำจะต้องถูกคัดออก พวกเจ้าออกไปนั่งดูข้างๆได้”
ลมหนาวยังคงพัดไปพร้อมกับหิมะที่โปรยปรายลงมาใส่ทุกคน
อัจฉริยะทั้ง 19 นั้นต่างรู้สึกถึงลมหนาวที่เสียดแทงเข้าไปในกระดูก หิมะนั้นช่างหนาวเย็น แต่ในใจของพวกเขามันเหน็บหนาวเสียยิ่งกว่า หากพวกเขาไม่สามารถเข้าสู่เขาหยวนชูได้ พวกเขาก็ต้องมุ่งสู่สนามรบเพื่อเข้ารับราชการทหาร พวกเขาต้องทำงานหนักเพื่อสะสมแต้มจะได้ใช้งานบ่อโลหิตเทพอสูร ส่วนมากก็ต้องตกตายไปในช่วงที่สะสมแต้ม พวกเขาไม่มีแม้กระทั่งโอกาสที่จะได้ใช้งานบ่อโลหิตเทพอสูรด้วยซ้ำ
เมิ่งเซียนกูเป็นคนเดียวในหมู่เพื่อนของเธอที่สามารถเข้าสู่บ่อโลหิตเทพอสูรได้ เธอเป็นคนเดียวที่ได้กลายเป็นเทพอสูรในหมู่เพื่อนๆอัจฉริยะของเธอ
เหล่าอัจฉริยะเดินกลับไปหาเพื่อนๆและตระกูลที่ได้แต่ถอนหายใจขณะที่เฝ้าดูไปอย่างเงียบๆ
ตอนที่ 78 ความเร็วของเมิ่งชวน
‘ถึงตาข้าแล้ว’ เมิ่งชวนเดินขึ้นไปที่ทางเข้าอุโมงค์ในทันที ลมหนาวพัดมาพรัอมกับหิมะที่ตกลงมาบนใบหน้าของเขา ความเย็นที่สัมผัสบนใบหน้านั้นทำให้เขาตื่นเต้นมากยิ่งขึ้น
นี่เป็นการสอบเข้าเขาหยวนชูเลยนะ!
หลังจากผ่านการฝึกฝนมาหลายปี ในตอนนี้เขากำลังจะเข้าสู่เขาหยวนชูและกลายเป็นเทพอสูร! พ่อของเขากำลังมองจากไกลๆ และคนในตระกูลของเขาก็ต่างรอฟังข่าวดี และการทดสอบนี้เป็นจุดเด่นของเขา ดังนั้นเขาต้องคว้าโอกาสนี้เอาไว้อยู่แล้ว
เขาเงยหน้าขึ้นไปมองที่ครอบครัวของเขา พ่อของเขา เมิ่งต้าเจียงกำลังมองอยู่ พวกเขาสบตากันก่อนที่เมิ่งชวนจะหันกลับไปมองที่อุโมงค์ตรงข้างหน้า
‘พุ่งเข้าไป ด้วยความเร็วสูงสุดของข้า!’
พลังปราณของเมิ่งชวนปะทุขึ้นเป็นสิบห้าเท่าจากปกติ หลังจากการฝึกฝนมานานนับหลายปี เส้นลมปราณของเขานั้นสามารถทนทานต่อพลังที่รุนแรงเช่นนั้นได้ เขาเคลื่อนพลังปราณตามวิชาลับของอัสนีห้าโลกา และเมื่อรวมเข้ากับกายาเทพอสูรของเขาแล้ว มันก็ทำให้เขาพุ่งไปได้อย่างรวดเร็ว เขาเปลี่ยนกลายเป็นเส้นสายฟ้าและพุ่งผ่านอุโมงค์นั้นไป
ในทุกๆวันเขาจะฝึกท่าชักกระบี่แปดพันครั้ง และๆทุกครั้งเขาก็จะพุ่งไปด้านหน้าและชักกระบี่ออกมาในตอนที่ลูกศรถูกยิงออกมาพอดี! หากเขาอยากจะฟันลูกศรให้เร็วกว่านั้น เขาก็ต้องชักกระบี่ให้เร็วขึ้นและพุ่งเข้าใส่ให้ไวขึ้น
และมันทำให้เขาต้องพุ่งตัวด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อแปดพันครั้งทุกวัน! และเขาก็ฝึกวิชาการเคลื่อนไหวของเขากับห่าลูกศรหลายชั่วโมงทุกๆวัน
ยิ่งไปกว่านั้น เมิ่งชวนเริ่มการฝึกฝนนี้ตั้งแต่ก่อนที่เขาจะเข้าถึงระดับก่อกำเนิดเสียอีก ซึ่งเป็นระดับที่สำคัญมากแก่การสร้างรากฐานเทพอสูร! ในขณะที่คนเรากำลังเติบโต การฝึกฝนในช่วงนั้นจะให้ผลดีที่สุด และเช่นเดียวกัน หากเราฝึกฝนทุกวันการเปลี่ยนจากคนผอมแห้งไปเป็นคนกล้ามโตได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย
และการฝึกฝนในระดับก่อกำเนิดนั้นสำคัญมากกว่าการฝึกฝนของมนุษย์ในช่วงวัยรุ่นอีก
การที่เขามีร่างเทพอัสนีนั้นหมายความว่าเขาเก่งในด้านความเร็ว และผลที่ได้นั้นก็ขึ้นอยู่กับการฝึกฝนของเขา
เมิ่งชวนฝึกฝนจนถึงขีดสุดทุกวัน เพื่อทำให้ร่างเทพอสูรของเขานั้นเติบโตในช่วง “วัยรุ่น” ได้ดี กระดูกและกล้ามเนื้อของเขานั้นถูกเสริมให้ช่วยเพิ่มความเร็วอันน่าเหลือเชื่อนั่นไปอีก แม้ว่าคนอื่นจะมีร่างเทพอสูรเหมือนกันและมีรากฐานเทพอสูรที่แข็งแกร่ง แต่พวกเขาก็ยังคงด้อยกว่าเมิ่งชวนในเรื่องของความเร็วหากพวกเขาไม่ได้ฝึกฝนอย่างหนักแบบนั้นกัน
หากคนๆนั้นไม่ได้ผลักดันเส้นลมปราณของเขาไปจนถึงขีดสุดทุกๆวันและทำเช่นนั้นต่อเนื่องกันเป็นปี เขาก็คงจะไม่สามารถรับมือกับการปะทุพลังปราณสิบห้าเท่าจากปกติได้หรอก ทุกอย่างนี้เป็นผลมาจากการฝึกฝนมาอย่างยาวนาน ยิ่งไปกว่านั้น คนๆนั้นต้องเลือกเส้นทางให้ถูกสายด้วย
อ่านตอนล่าสุดที่ my-novel.co หรือ www.thai-novel.com
เมิ่งชวนมีเพียงเป้าหมายเดียว ความเร็วมหาศาล
ตูม!
เมื่อเขาพุ่งเข้าไปในทางที่คดเคี้ยวนั้น ความเร็วอันน่าเหลือเชื่อของเขานั้นก็สามารถทำให้ทุกคนรับรู้ได้ด้วยตาเปล่า มันเร็วกว่าอัจฉริยะคนอื่นๆที่ลองมาแล้วก่อนหน้านี้
เมื่อเมิ่งต้าเจียงเห็นดังนั้น ดวงตาของเขาก็รื่นน้ำตาไปด้วยความตื่นเต้น นั่นแหละลูกของเขา! ลูกของเขาที่เร็วกว่าคนอื่นๆทั้งหมด!
“ความเร็วขนาดนี้!”
“เร็วเกินไปแล้ว!”
คนอื่นๆต่างตกตะลึง
ไม่ว่าจะเป็นอัจฉริยะที่มองอยู่จากข้างสนาม หรือจะเป็นกระทั่งฉู่หยง หยานเฟิง หยานชื่อถง ซงฉะและคนอื่นๆต่างตกตะลึงเมื่อได้เห็น
มันเร็วเกินไป! ไม่จำเป็นต้องนับหยดน้ำด้วยซ้ำ นี่เป็นสิ่งที่รับรู้ได้ด้วยตาเปล่า ความเร็วของเขานั้นเร็วกว่าคนอื่นๆในระดับเดียวกันมากเลย!
เร็วกว่านี้! เร็วกว่านี้! ไปให้เร็วกว่านี้! เมิ่งชวนพุ่งผ่านอุโมงค์คดเคี้ยวนี้ มีบางส่วนที่เป็นเส้นตรงและบางส่วนที่คดเคี้ยว มันทำให้ทั้งอุโมงค์ดูราวกับงูเลื้อย
เมื่อผ่านไปครึ่งทาง เมิ่งชวนได้ใช้วิชากระบี่ของเขาเพื่อควบคุมร่างกายและพลังปราณ เขาในตอนนี้เหมือนกับลำแสงกระบี่ที่ตัดผ่านอากาศ ชายเคราแพะได้แต่หรี่ตาจ้องมองกาน้ำรั่วอย่างใจจดใจจ่อ หยดน้ำนั้นหยดไวมาก แต่เมื่อเทียบกับความเร็วของเมิ่งชวนแล้ว หยดน้ำเหล่านั้นมันดูช้ามากๆ
“โห?” หญิงสาวชุดสีฟ้าที่เป็นคนดูแลส่วนนี้เลิกคิ้วขึ้นและมองไปที่เด็กหนุ่มที่พึ่งเปลี่ยนตัวเองเป็นสายฟ้า “เขาเร็วขนาดนั้นเลยรึ?”
ตูม!
เมิ่งชวนออกมาจากอุโมงค์ในทันที
ชายเคราแพะที่กำลังใจจดใจจ่อกับกาน้ำรั่วเมื่อได้เห็นเมิ่งชวนออกมาก็ตะโกนขึ้นมาว่า “7 หยดน้ำ!”
เหล่าอัจฉริยะต่างตกตะลึง แม้ว่าพวกเขาต่างภาคภูมิใจและมีความมั่นใจในตัวเอง แต่พวกเขาก็ยังคงรู้สึกกดดันเมื่อได้เห็นความเร็วอันน่ากลัวนั้น
‘เขาเร็วขนาดนั้นเลยรึ?’ ดวงตาของฉู่หยงหรี่ลงเล็กน้อย เขามีรากฐานเทพอสูรที่ทรงพลัง แต่ต้องใช้ถึง 12 หยดน้ำกว่าจะผ่านอุโมงค์ไปได้ แต่เมิ่งชวนกลับใช้เพียงแค่ 7 หยด ‘นี่เขาเร็วกว่าข้าถึง 7 ส่วนเลยรึ?’
มันยังพอรับได้หากเขาเร็วกว่าแค่ 1 ส่วน แต่นี่ตั้ง 7 ส่วน
‘นี่คือความเร็วของเมิ่งชวนสินะ ข้าฝึกฝนวิชากระบี่คู่หยินหยางไฟน้ำแข็ง แต่ข้าก็ยังโดนเมิ่งชวนนำไปอยู่ดี’ เหยียนจินใจเย็นมาก เขาเป็นคนที่คุ้นเคยกับเมิ่งชวนมากที่สุดแล้วในหมู่อัจฉริยะเหล่านี้ และในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมานี้ที่อาคารรับรองรัฐอู๋ พวกเขาได้ประลองกันหลายครั้ง มันทำให้เขารู้ดีว่าความเร็วของเมิ่งชวนนั้นน่าสะพรึงมากขนาดไหน
หากเมิ่งชวนนั้นเหนือกว่าเขาโดยสิ้นเชิง เขาก็มั่นใจได้มากว่าเมิ่งชวนนั้นก็เหนือกว่าอัจฉริยะคนอื่นๆเช่นกัน
‘ตราบใดที่ข้าสามารถทุบเขาได้ มันก็จะพ่ายแพ้เป็นแน่ แต่ความเร็วของหมอนั่นมันมากเกินไป’ ชี่หยวนถงหน้าถอดสีนิดหน่อย เมิ่งชวนนั้นทำให้เขากดดัน
…
“พี่เมิ่ง ยินดีด้วย ลูกของท่านสุดยอดจริงๆ ความเร็วของเขานั้นมากที่สุดในหมู่มนุษย์เลยสินะ?”
“พี่เมิ่ง ด้วยความเร็วเช่นนี้ ข้าเชื่อว่าเขาจะได้เข้าสู่เขาหยวนชูอย่างแน่นอน” หลายคนรอบๆเมิ่งต้าเจียงแสดงความยินดีกับเขา เมื่อเมิ่งต้าเจียงมาอยู่ในกลุ่มคนเช่นนี้เขาก็อยากจะตะโกนอวดลูกชายอย่าง “ดูนั่นสิ นั่นล่ะลูกชายข้า” บ้าง แต่ว่าก่อนหน้านี้ไม่ค่อยมีใครให้ความสนใจเขาเท่าไหร่นัก แต่เพราะคราวนี้การทดสอบรอบที่สอง เมิ่งชวนทำคะแนนไปจนทุกคนต้องตกใจก็เลยทำให้เขาสามารถอวดได้
ความเร็วเป็นสิ่งสำคัญมาก ตราบใดที่คนๆนั้นเร็วพอ การโจมตีก็จะไม่อ่อนแอเกินไป แต่เพื่อให้มั่นใจว่ากระบี่ของเขานั้นจะเคลื่อนที่ได้เร็วที่สุด กระบี่นั้นต้องไม่หนักจนเกินไป กระบี่ของเมิ่งชวนเป็นกระบี่สองคม และตัวใบมีดนั้นก็บางมาก มันหนักเพียง 5 จินเท่านั้น สำหรับคนที่ฝึกวิชากระบี่ไวนั้น อาวุธของพวกเขานั้นจะต้องเบา เป็นไปไม่ได้เลยที่จะได้เปรียบเมื่อใช้วิชากระบี่เบาด้วยกระบี่ที่หนาและหนัก
กระบี่ที่เขาถือนันเบา และมันทำให้เขาสามารถผลักดันตัวเองด้วยความเร็วที่มากขึ้นได้
“ฮ่าๆ ตอนนี้ยังเป็นแค่รอบคัดเลือก ก็ยากที่จะบอกได้ว่าเขาจะได้เข้าสู่เขาหยวนชูหรือว่าเขาจะได้ที่เท่าไหร่กันอยู่ดี”เมิ่งต้าเจียงหัวเราะ
“ข้าได้ยินมาว่าสามอันดับแรกในการจัดอันดับครั้งสุดท้ายจะได้รับรางวัลมากมายจากเขาหยวนชู เมิ่งชวนอาจจะติดอยู่ในสามอันดับนั้นก็ได้” คนอื่นๆเริ่มพูดคุยกับเขา พยายามที่จะตีสนิทด้วย คนในที่นี้หลายๆคนต่างรู้ว่าโอกาสที่ลูกๆของพวกเขาจะสอบติดนั้นต่ำ แต่ว่ามันก็ดูเหมือนว่าเมิ่งชวนนั้นน่าจะติดแน่นอนอยู่แล้ว มันทำให้พวกเขาต่างอยากที่จะตีสนิทกับพ่อของเมิ่งชวน เมิ่งต้าเจียง เอาไว้
นี่เป็นเหตุว่าเส้นสายระหว่างตระกูลเทพอสูรนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร ยิ่งตระกูลใหญ่ เส้นสายก็จะมีมากตามไป
“ช่างเป็นความเร็วที่น่าทึ่งจริงๆ”
“ความเร็วของเขานั้นเทียบได้กับเทพอสูรระดับแดนอมตะเลยทีเดียว”
“การที่มนุษย์มีความเร็วเทียบเท่ากับเทพอสูรระดับแดนอมตะได้นี่ ช่างน่าชื่นชมจริงๆ”
เทพอสูรหลายคนเองก็ประหลาดใจเช่นกัน พวกเขาตาลุกวาว ในตอนนี้พวกเขาได้เจอกับเหล่าต้นกล้าที่ดี ชี่หยวนถงในรอบแรก และในตอนนี้ พวกเขาก็ได้เจอเมิ่งชวนในรอบที่สองนี้
เทพอสูรระดับยาเมฆานั้นเป็นเทพอสูรที่พึ่งกำเนิดใหม่ ส่วนเทพอสูรระดับแดนอมตะนั้นอยู่ในระดับที่สอง เที่ยบได้กับราชาอสูรระดับสองนั่นเอง
“ถ้าข้าจำไม่ผิด คนที่เร็วที่สุดในการสอบเข้าเขาหยวนชูเมื่อปีก่อนสามารถพุ่งผ่านอุโมงค์ได้ใน 9 หยดน้ำ” เทพอสูรชุดดำกล่าวพร้อมกับหัวเราะ “และเขานั้นก็เป็นอัจฉริยะที่ฝึกฝนร่างเทพอัสนีเหมือนกัน แต่ดูท่าแล้ว ความเร็วของเมิ่งชวนเร็วกว่าเด็กคนนั้นกว่าสามส่วนได้ แม้จะมีร่างเทพอัสนีเหมือนกัน แต่กว่าเขากลับไวกว่าถึงสามส่วน!”
“เมื่อปีก่อนข้าก็อยู่ที่นี่” ขุนนางเมฆาใต้กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เด็กคนนั้นเมื่อปีก่อนมีรากฐานของร่างเทพอสูรที่ไม่ด้อยไปกว่าของเมิ่งชวนเลย แต่ว่า ร่างเทพอัสนีของเขานั้นแตกต่างจากเมิ่งชวนอยู่หน่อย เมิ่งชวนนั้นเหมาะแก่การระเบิดความเร็วขึ้นมามากกว่า และเห็นได้ชัดว่าเขานั้นได้ผ่านการฝึกฝนที่หนักหนาและมีประสิทธิภาพมากกว่า”
“นั่นสินะ” เทพอสูรคนอื่นๆก็เห็นด้วย
“นอกจากนี้การปะทุพลังปราณของเขานั้นรุนแรงมาก รุนแรงยิ่งกว่าอัจฉริยะคนอื่นๆเสียอีก แต่ว่าเส้นลมปราณของเขากลับทนมันได้” ขุนนางเมฆาใต้กล่าวต่อ ด้วยความที่เป็นเทพอสูรระดับขุนนาง มันทำให้เขาสามารถเห็นพลังที่เมิ่งชวนปลดปล่อยได้อย่างชัดเจน “เขาสามารถเพิ่มพูนศักยภาพของตนเองได้ดีเลย ยิ่งไปกว่านั้น ระดับของเขานั้นก็สูงกว่าคนอื่นๆ เขานั้นได้ถึงจุดสูงสุดของพลังกระบี่ไปแล้ว และอยู่ห่างจากสำนึกกระบี่เพียงก้าวเดียวเท่านั้น และด้วยเหตุเหล่านี้ มันทำให้เขาสามารถเร็วกว่าคนที่เร็วที่สุดของปีที่แล้วได้ถึงสามส่วน”
“เมฆาใต้ เจ้ากำลังชื่นชมเด็กนั่นเพราะว่าเขามาจากรัฐอู๋ใช่ไหมเล่า?” ขุนนางทะเลตะวันตกแซว
“ข้าพูดเกินจริงไปรึ?” ขุนนางเมฆาใต้ชำเลืองมองเทพอสูรที่อยู่ใกล้ๆ “ข้าพูดความจริง”
“ฮ่าฮ่าฮ่า…”เทพอสูรอีกคนหัวเราะ
ตอนที่ 77 กาน้ำรั่ววัดเวลา
‘อย่างที่คาดเอาไว้ เด็กคนนี้สามารถทำลายได้ถึง 299 ชั้น’ ชายที่ดูกระเซอะกระเซิงเลิกคิ้วขึ้นด้วยความพึงพอใจเมื่อได้เห็น หลังจากที่ชี่หยวนถงโจมตีออกไป เขาก็ได้ตัดสินใจในทันทีและเพิ่มจำนวนกำแพงแสงขึ้นอีก 100 ชั้น! มันเป็นไปอย่างที่เขาคาดเอาไว้ ชี่หยวนถงพลาดแค่ชั้นสุดท้ายเพียงเท่านั้น ความสามารถในการควบคุมสิ่งที่ทรงพลังนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับเทพอสูร
ชายคนนั้นสะบัดแขนเสื้อและกำแพงแสงชั้นสุดท้ายก็หายไปเช่นกัน เขาหันหลังเดินกลับไปที่นั่ง ในขณะเดียวกันเขาก็ยิ้มและพูดว่า”ชี่หยวนถงนี่ก็ไม่เลวเหมือนกันนี่นา?”
เทพอสูรชุดดำที่อยู่ข้างๆก็ยิ้มและพูดว่า “ร่างเทพอสูรของชี่หยวนถงเทียบได้กับฉู่หยง หยานเฟิงและตงเฟิงเลยทีเดียว ระดับวิชาของเขาเองก็ใกล้เคียงกับพวกนั้นที่อยู่ในระดับ “พลัง” เช่นเดียวกัน แต่ทว่า พลังที่เขาปล่อยออกมานั้นแข็งแกร่งกว่ามาก แม้จะมีร่างเทพอสูรแบบเดียวกัน แต่เขากลับสามารถปลดปล่อยพลังออกมาได้เป็นสองเท่าของพวกนั้น เด็กคนนี้เหมาะแก่การเป็นสายพละกำลังเสียจริง”
“ใช่ อสูรมักมีร่างกายที่ทรงพลัง แต่ถึงอย่างนั้น ชี่หยวนถงก็คงจะสามารถบดขยี้อสูรระดับเดียวกันกับเขาได้อย่างง่ายดาย”
“เด็กคนนี้สามารถทรงพลังได้อย่างมหาศาลหากเดินตามสายพละกำลังไปจนสุด”
เหล่าเทพอสูรต่างกล่าวชม
แม้ว่าทุกปีจะมีคนหลายร้อยเข้าร่วมการทดสอบ แต่มีเพียงยี่สิบคนเท่านั้นที่ผ่าน และมีน้อยกว่านั้นอีกที่ทำให้ดวงตาของเหล่าเทพอสูรระดับราชาและขุนนางลุกวาวขึ้นมาได้
และพวกเขาก็ได้เจอกับชี่หยวนถงในการคัดเลือกรอบแรก
…
ชี่หยวนถงเดินไปต่อท้ายแถวอย่างใจเย็น คนอื่นๆมองไปที่ชี่หยวนถงในขณะที่คิดอะไรในใจ
‘ยอดเยี่ยม แม้ว่าการโจมตีของฉู่หยงและหยานเฟิงจะทรงพลังและมีพลังมากกว่าของข้าถึงสองเท่า แต่วิชากระบี่ของข้าไวกว่านี้มาก มันทำให้ข้าพอมั่นใจที่จะต่อสู้กับพวกเขาตรงๆ! แต่ว่าชี่หยวนถงนั้นต่างออกไป พละกำลังของเขามากกว่าของข้าถึงสี่เท่า ความต่างนี้มันมากเกินไป คงต้องใช้พลังแห่งวิญญาณเท่านั้นข้าถึงจะเอาชนะเขาได้’
ด้วยการใช้ “พลังแห่งวิญญาณ” ความแข็งแกร่งของเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล และทำให้การโจมตีของเขาเทียบได้กับของชี่หยวนถง ความเร็วของเขาเองก็เหนือกว่าของชี่หยวนถงมากเช่นกัน เมื่อเขาใช้”พลังแห่งวิญญาณ”กับราชาอสูรระดับสอง บึงพิษ เขาสามารทิ้งห่างได้อย่างง่ายดาย แต่ปัญหาเดียวของพลังแห่งวิญญาณก็คือมันหมดไวเกินไป
จากอัจฉริยะ 311 คน มี 12 คนที่สามารถทำลายกำแพงแสงได้เกินร้อย ข้าทำได้ 79 ชั้น และอยู่ในอันดับที่ 23 ส่วนเหยียนจินอยู่อันดับ 7
อ่านตอนล่าสุดที่ my-novel.co หรือ www.thai-novel.com
อัจฉริยะคนอื่นๆมีแผนของตัวเอง พวกเขารู้ระดับของตนเองดี
ในบรรดาอัจฉริยะ คนที่แข็งแกร่งก็จะแกร่งกว่านั้น คนที่แกร่งมาแต่เด็กนั้นก็จะแกร่งกว่าคนอื่นๆไปเกือบสองเท่า ตระกูลเทพอสูรยอมที่จะทำทุกอย่างเพื่อที่จะสร้างให้รากฐานเทพอสูรของพวกเขานั้นแข็งแกร่ง! และสิ่งนี้มันจะทำให้พวกเขานั้นแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าคนอื่นๆถึงสี่เท่า
อัจฉริยะธรรมดาที่สอบไม่ผ่านก็จะไม่สามารถเข้าสู่เขาหยวนชูได้ ส่วนเหล่าอัจฉริยะที่สุดยอดอยู่แล้วก็จะแข็งแกร่งมากขึ้นไปอีกหลังจากที่ได้เข้าสู่เขาหยวนชูและได้รับการฝึกอย่างดี
ระยะห่างของความแข็งแกร่งก็จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
นี่คือเรื่องปกติของเหล่าจอมยุทธที่แข็งแกร่ง พวกเขาจะรับทุกโอกาสที่จะได้แข็งแกร่งขึ้น! และในที่สุด พวกเขาก็จะมีโอกาสได้เป็นเทพอสูรระดับขุนนางหรือไม่ก็ราชาเลยด้วยซ้ำ แต่หากพวกเขานั้นอ่อนแอตั้งแต่ยังเด็ก… ความแตกต่างของพลังก็จะห่างกันเป็นฟ้ากับเหวเลยทีเดียว
เมิ่งชวนนั้นเลือกความเร็ว เขาคว้าทุกโอกาสเพื่อทำให้ตัวเองเร็วขึ้น! เขาเร็วมากจนแม้แต่เหยียนจินที่แข็งแกร่งใกล้เคียงกับเขานั้นก็ยังต้องปวดหัวเมื่อสู้ด้วยเลย
…
รอบคัดเลือกรอบแรกของเขาหยวนชูจบลงแล้ว เพื่อนและญาติๆที่ดูจากไกลๆต่างก็ความรู้สึกที่แตกต่างกันไป แต่ว่ายังมีการทดสอบอื่นๆอยู่อีก
ผู้หญิงชุดสีฟ้าที่นั่งอยู่ข้างๆราชาตงเหอก็ลุกขึ้นมา
เธอก้าวออกไปและมองดูเหล่าอัจฉริยะและพูดออกมา “การทดสอบในรอบแรกนั้นเกี่ยวกับพละกำลัง มีทั้งหมด17คนที่ไม่ผ่านการทดสอบ พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องทดสอบต่อไปแล้ว ออกไปนั่งมองข้างๆก็พอ”
ทีนทีที่เธอพูดจบ ผู้ดูแลก็เดินออกมาและพาอัจฉริยะเหล่านั้นกลับไปหาเพื่อนและญาติๆ
“ข้าเป็นนักเกาทัณฑ์ ข้านั้นไม่ค่อยแข็งแกร่งเมื่ออยู่ในระยะใกล้ แต่ลูกศรของข้านั้นเร็วมาก ข้า…” เด็กหนุ่มคนหนึ่งตะโกนออกมาด้วยความไม่พอใจ
‘โห?’
หญิงสาวที่ชุดสีฟ้าขมวดคิ้วและหันมอง เด็กหนุ่มคนนั้นก็หยุดพูดทันที เขาลอยขึ้นไปและถูกโยนลงที่ที่เพื่อนและครอบครัวของเขาอยู่ อัจฉริยะคนอื่นๆที่ถูกคัดออกไม่กล้าเปล่งเสียงออกมา อย่างไรก็ตาม จะบอกว่าไม่เศร้าใจก็ไม่ใช่ เพราะพวกเขาถูกคัดออกทั้งๆที่ยังไม่ผ่านรอบคัดเลือกด้วยซ้ำ
“เขาหยวนชูมีเหตุผลสำหรับกฎเหล่านี้” หญิงสาวที่สวมชุดสีฟ้ากล่าวอย่างใจเย็น “มีปัจจัยหลายๆอย่างในการสังหารศัตรู แต่หากการโจมตีนั้นอ่อนแอเกินไปจนเจ้าไม่สามารถสังหารอสูรได้แม้มันจะอยู่ตรงหน้าเจ้านิ่งๆก็ตาม แล้วมันมีเหตุผลอะไรกันล่ะที่เขาหยวนชูจะรับเจ้าเข้ามา? ทำลายกำแพงแสงให้ได้อย่างต่ำ20ชั้นนั้นก็เลยเป็นเงื่อนไขต่ำสุดที่เขาหยวนชูยอมรับได้”
แม่ว่านักเกาฑัณฑ์ที่สังหารอสูรได้เก่งที่สุดจะยิงลูกศรที่ไวมากๆออกมาได้ แต่ลูกศรนั้นก็เบากว่าหอกและค้อนมาก ทำให้ปกติแล้วมันมีพลังน้อยกว่า แต่ในรอบคัดเลือกรอบแรกนี้มีนักเกาฑัณฑ์เพียงสองคนที่ถูกคัดออก ส่วนคนอื่นๆนั้นผ่านตามข้อกำหนด ในหมู่พวกเขา คนที่แข็งแกร่งที่สุดมีชื่อว่าซงฉะจากแคว้นหวงเหลียง ลูกศรของเขาสามารถทะลุผ่านไปได้ถึง 65 ชั้น ความอันตรายของเขานั้นไม่น้อยไปกว่าชี่หยวนถงเลยทีเดียว
“คราวนี้ การทดสอบรอบที่สองจะเริ่มขึ้นแล้ว นั่นคือความเร็ว!” หญิงสาวที่สวมชุดสีฟ้าจ้องมองไปที่เหล่าอัจฉริยะ “หลังจากที่เจ้าได้เป็นเทพอสูร พวกเจ้าจะได้เจอกับการต่อสู้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมากมาย หากเจ้าอ่อนแอ สิ่งที่เจ้าพึ่งได้ก็มีแต่ความเร็วเพื่อที่จะหนี แต่หากเจ้าแข็งแกร่ง เจ้าก็จะใช้ความเร็วเพื่อสังหารอสูรได้ ความเร็วนั้นเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งของเทพอสูร หากเจ้าช้าเกินไปแม้ว่าเจ้าจะทรงพลังมากแค่ไหนก็ตาม เจ้าจะตายทันทีหากเจ้าหนีไม่ทัน และเมื่อเจ้าตาย ทุกอย่างก็ไร้ค่า”
“ความเร็วนั้นแทบจะเทียบได้กับชีวิตของเจ้าเลย”
ฟุบ!
หญิงสาวชุดสีฟ้าสะบัดมือ
อากาศตรงหน้าเกิดบิดเบี้ยวขึ้นในขณะที่พลงแห่งฟ้าดินมารวมกัน มันก่อตัวเป็นอุโมงค์สีน้ำเงินดูเหมือนงูขนาดยักษ์
“เส้นทางในอุโมงค์นี้ยาวกว่า 150 จั้ง” หญิงสาวชุดสีฟ้าชี้ไปที่กาน้ำทองแดงขนาดใหญ่ซึ่งอยู่ไม่ไกล “นั่นคือกาน้ำรั่วทองแดง มันจะวัดเวลาผ่านการหยดของน้ำ พวกเจ้าจะต้องผ่านทั้งเส้นทางนี้ภายในยี่สิบหยดน้ำ ยิ่งใช้เวลาน้อยเท่าไหร่ยิ่งดี ผู้ใดที่เกินยี่สิบหยดน้ำจะถูกคัดออก! จำเอาไว้ เอาอาวุธของพวกเจ้าติดตัวไปด้วยและห้ามใช้วิชาต้องห้ามเทพอสูร เริ่มได้!”
“ก่อนอื่นอู๋ชางจากรัฐหลงหยุน” ชายเคราแพะตะโกนออกมา
อู๋ชางมีกระบี่หนาเตอะอยู่บนหลังของเขา มันหนัก 58 จิน และเมื่อเคลื่อนที่ น้ำหนักของอาวุธก็ส่งผลต่อความเร็วในการเคลื่อนที่ของเขา อย่างไรก็ตาม กฎของเขาหยวนชูห้ามไม่ให้ทิ้งอาวุธของตน
ตูม!
อู่ชางพยายามเคลื่อนที่อย่างสุดกำลังและเปลี่ยนกลายเป็นเงาสีดำในขณะที่พุ่งผ่านอุโมงค์ไป บางขณะ เขาพุ่งไปเป็นเส้นตรง บางขณะ เขาพุ่งเลี้ยวออกไป หยดน้ำที่หยดลงมาจากกาน้ำรั่วทองแดงนั้นมันไวมากๆ
ฟิ้ว
ในที่สุดอู๋ชางก็ผ่านอุโมงค์คดเคี้ยวกว่า 150 จั้งนั่นได้
“19 หยดน้ำ! ต่อไปจางผิงจากรัฐเจียง” ชายเคราแพะกล่าว
เพียงเท่านั้นอู๋ชางที่หน้าเปื้อนเหงื่อก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ความเร็วไม่ใช่จุดเด่นของเขาเลย เขาเลยกลัวว่าจะไม่ผ่านข้อจำกัดด้วยซ้ำ
และเหล่าอัจฉริยะก็เข้าผ่านอุโมงค์คดเคี้ยวนั่นไปทีละคน
ทุกคนต่างกังวล
ยิ่งเร็วเท่าไหร่การจะเพิ่มความเร็วให้มากขึ้นไปอีกก็จะยากขึ้นเท่านั้น แม้ว่าร่างของคนๆนั้นจะแข็งแกร่งกว่าคนธรรมดามากมายหลายเท่า แต่ว่าความเร็วนั้นสามารถเพิ่มขึ้นได้เพียงแค่ไม่เท่าไหร่ บางคนมีพละกำลังที่มหาศาล แต่กลับเชื่องช้าและอืดอาด
เหล่าอัจฉริยะเริ่มคำนวณกันอย่างเป็นกังวลขณะที่มองไปที่กาน้ำรั่วทองแดงโบราณนั่น
แม้จะเป็นเวลาเกือบเที่ยงวัน แต่ท้องฟ้ากลับมืดดำ ในขณะที่เหล่าอัจฉริยะกำลังพุ่งผ่านอุโมงค์ หิมะก็เริ่มจะตก
“ถึงคราวฉู่หยงแล้ว” หลายคนจับจ้องไปที่ฉู่หยง
ฉู่หยงเป็นคนที่มีชื่อเสียงที่สุดในหมู่อัจฉริยะ60อันดับแรก
ฉู่ยงที่สวมชุดคลุมสีดำได้ถือกระบี่ขนาดใหญ่ไว้บนหลัง ร่างกายของเขาถูกปกคลุมไปด้วยน้ำสีดำและสายฟ้า ในขณะที่เขาเปลี่ยนเป็นแค่ลำแสงพุ่งผ่านอุโมงค์ไป ความเร็วของเขานั้นเรียกได้ว่าเร็วกว่าคนอื่นๆมากมาย ทำให้หลายๆคนต้องตกตะลึง
ฟิ้ว ในตอนที่ที่ฉู่หยงออกมาจากอุโมงค์ ชายเคราแพะก็ตะโกนว่า “12 หยด!”
ในบรรดาอัจฉริยะก่อนหน้าฉู่หยงนั้น นอกจากบางคนที่เกิน 20 หยด ส่วนมากก็จะอยู่กันที่ 18 ถึง 20 หยด นั่นก็เป็นเพราะหากคนๆนั้นไม่ได้มีร่างเทพอสูรที่เด่นในเรื่องความเร็วแล้ว มันก็เป็นเรื่องยากที่จะเร็วขึ้นได้ มีอัจฉริยะคนหนึ่งที่ฝึกร่างเทพอัสนี้ ก็ทำเวลาที่ดีที่สุดในตอนนั้นได้ก็คือ 15 หยด แต่ของฉู่หยงนั้นใช้ไปเพียง 12 หยดเท่านั้น
เขาเร็วกว่าคนก่อนหน้านี้ที่ใช้เวลาไปประมาณ 18 – 20 หยดน้ำ ในการต่อสู้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายนั้น การไวกว่าศัตรูนิดหน่อยนั้นก็เพียงพอที่จะตัดสินชะตากรรมได้ แม้จะเร็วกว่าเพียงห้าส่วนก็ตาม แต่การที่เร็วได้กว่าห้าส่วนเมื่อเทียบกับคนในระดับเดียวกันนั้น มันก็ทำได้ยากพอๆกับการแข็งแกร่งกว่าคนในระดับเดียวกันหลายเท่า
อัจฉริยะหลายคนปรากฏขึ้นมาเรื่อยๆ หยานเฟิงจากรัฐหยวนใช้เวลาไป 13 หยดน้ำ นี่เป็นผลลัพธ์ที่น่าทึ่งใจ
“20 หยด ต่อไปเมิ่งชวนจากรัฐอู๋” ชายเคราแพะตะโกน
ตอนที่ 76 ตาเมิ่งชวน
เมิ่งชวนเองก็ประทับใจฉู่หยงเช่นกัน ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขามีชื่อเสียงมากขนาดนี้ เพราะเขานั้นแข็งแกร่งจริงๆ!
หลังจากที่ฉู่หยงฟันเสร็จ เขาก็เก็บกระบี่เข้าฝักไปอย่างใจเย็นและหันหลังเดินออกไป คนถัดไปเดินขึ้นมาและทำลายกำแพงแสงได้32ชั้น
เหล่าอัจฉริยะลงมือกันทีละคน แต่ละคนให้ความสนใจมากว่าเมื่อไหร่จะเป็นตาของพวกเขา
“ต่อไป หยานเฟิงจากแคว้นหยวน” ชายเคราแพะตะโกน
ไม่มีใครที่นี่ให้ความสนใจเขาซักเท่าไหร่นัก
หยานเฟิงสูงและหล่อ เขามีคิ้วสีแดงเป็นเอกลักษณ์ แม้ว่าจะเป็นผู้ชาย แต่เขากลับมีชื่อที่เหมือนกับหญิงสาว เพราะ “เฟิง” นั้นแปลว่าวิหคเพลิง
เขากระชับหอกสีดำและพู่สีแดงตรงปลายหอกก็สะบัด
“พังซะ!” หยานเฟิงพุ่งไปด้านหน้าทันที และหลังจากก้าวไปสามก้าว เขาก็แทงหอกออกไป
หอกพุ่งทะลวงออกไปราวกับมังกร! มันพุ่งผ่านกำแพงแสงไปก่อให้เกิดหลุมขนาดใหญ่ ผลลัพท์ของเขาเลยที่ได้จึงใกล้เคียงกับฉู่หยงมาก ทุกคนที่ได้เห็นต่างตกใจ
“182 ชั้น!” ชายเคราแพะตะโกนเสียงสูงขณะที่มองดูชายหนุ่มคิ้วแดง
“หยานเฟิง?”
“หยานเฟิงจากแคว้นหยวนรึ? หมอนี่มาจากไหนกัน? ทำไมเขาถึงแข็งแกร่งขนาดนี้”
“อัจฉริยะกว่า 70 คนโจมตีใส่กำแพงแสงนั่น แต่มีเพียงสองคนคือฉู่หยงและหยานเฟิงเท่านั้นที่สามารถทำลายกำแพงแสงได้เกินร้อย มากสุดก็191 ชั้น รองลงมาก็ 182 ชั้น พวกเขาแข็งแกร่งกว่าคนอื่นๆจริงๆ” หลายๆคนพูดไม่ออก
อ่านตอนล่าสุดที่ my-novel.co หรือ www.thai-novel.com
แม้แต่เทพอสูรก็ยังรู้สึกเหลือเชื่อ
“พี่กงซุน แคว้นหยวนของเจ้าเก็บความลับเก่งเสียจริงนะ เพราะไม่ค่อยมีข้อมูลของหยานเฟิงที่เขาหยวนชูมากซักเท่าไหร่ ทำให้เขาถูกมองว่าเป็นอัจฉริยะธรรมดาเสียนี่” เทพอสูรกล่าวพร้อมกับหัวเราะขณะที่มองไปที่บันทึก เมื่อพวกเขามาดูการแข่งขันนั้น พวกเขาก็จะได้บันทึกมาด้วย และบันทึกนั่นก็บันทึกข้อมูลของอัจฉริยะทุกคนที่มีอยู่เอาไว้
“ข้าไม่รู้จริงๆนะนี่” กงซุนชี่หัวเราะเช่นกัน “เจ้าอาจจะไม่เชื่อข้า แต่หยานเฟิงมาจากตระกูลมนุษย์ธรรมดา ไม่ใช่จากตระกูลเทพอสูร เมื่อเขาอายุสิบสอง บ้านเกิดของเขาถูกอสูรบุกทำลาย พ่อแม่เขาตาย จากนั้นเขาก็ท่องไปทั่วโลก…และปีนี้เขาก็อายุสิบเก้า เมื่อกลับไปที่บ้านเกิดเขาก็แสดงพลังและมาเข้าร่วมการสอบเข้าของเขาหยวนชูปีนี้”
“มนุษย์จากตระกูลธรรมดาจะแข็งแกร่งขึ้นขนาดนี้ได้อย่างไรกัน? ร่างเทพอสูรของเขาเทียบได้กับฉู่หยงด้วยซ้ำ ตระกูฉู่ใช้สมบัติถึงแปดอย่างเลยนะที่ชุบเลี้ยงฉู่หยงขึ้นมา”
ต่างคนต่างพูดคุยกัน
ขุนนางเมฆาใต้หัวเราะ “ข้าจำได้ว่าเมื่อ 3000 ปีก่อน เทพอสูรเกาเฉิงเคยกินหญ้าอมตะเข้าไปตอนยังเด็ก จากนั้นคิ้วของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเลือด คิ้วของหยานเฟิงเองก็เป็นสีแดงเลือดเหมือนกัน เป็นไปได้ไหมว่าเขาได้กินหญ้าอมตะด้วย?”
“หญ้าอมตะ? แค่หญ้าอมตะเพียงหยิบมือก็สามารถเสริมให้รากฐานเทพอสูรที่ไม่สมบูรณ์ให้แข็งแกร่งได้แล้ว” ราชาตงเหอพยักหน้า
“การที่มนุษย์ธรรมดากินหญ้าอมตะเข้าไปเฉยๆนั้นค่อนข้างจะเปล่าประโยชน์เลย ผลลัพท์ของมันแสดงออกมาได้เพียงแค่สามส่วนเท่านั้น”
“แต่การโจมตีของหยานเฟิงนั้นไม่ธรรมดาเลยทีเดียว เด็กคนนี้ไปถึงจุดสูงสุดของ”พลังหอก”แล้ว อีกทั้งยังอยู่ไม่ไกลจาก “สำนึกหอก” เพียงไม่กี่ก้าวอีกด้วย ไม่เป็นการสูญเปล่าหรอกที่เขาได้กินหญ้าอมตะเข้าไป” เทพอสูรที่ทรงพลังเหล่านี้พูดคุยกันอย่างสบายๆ พวกเขาส่วนมากต่างเป็นเทพอสูรระดับขุนนาง พวกเขามาที่นี่เพียงเพราะพวกเขาเป็นคนที่ช่วยพาเหล่าอัจฉริยะมาจากแคว้นที่ตนรับผิดชอบ
พวกเขาไม่ค่อยสนใจในอัจฉริยะธรรมดาเท่าไรนัก พวกเขาหวังว่าจะมีอัจฉริยะที่แข็งแกร่งปรากฏตัวขึ้นมาและร่วมสู้ไปพร้อมกับพวกเขาในอนาคต
…
หลังจากหยานเฟิง ก็มีคนอีกเจ็ดคนก่อนในที่สุดจะถึงตาของเมิ่งชวน
“33 ชั้น ต่อไปเมิ่งชวนจากแคว้นอู๋” ชายเคราแพะตะโกน สายตามากมายจับจ้องมาที่เมิ่งชวน
ในสายตาของบางคน เมิ่งชวนเป็นหนึ่งในสิบอันดับของคนที่สอบเข้าปีนี้เลยด้วยซ้ำ มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ทุกคนต่างรู้จักเขา การสังหารแม่ทัพอสูรด้วยการฟันเพียงครั้งเดียวสองตนติดต่อกัน
ขุนนางเมฆาใต้นั่งดูไกลๆ
‘ชวนเอ๋อร์’ เมิิ่งต้าเจียงนั่งมองอย่างเป็นกังวล
เมิ่งชวนเดินไปข้างหน้าอย่างใจเย็น
นี่เป็นการสอบเข้าเขาหยวนชู ดังนั้นเขาควรจะต้องใส่แรงเต็มที่ นอกจากการใช้พลังแห่งวิญญาณ เขาจะโจมตีใส่เต็มแรง
‘ข้ารอมาสิบสองปีสำหรับวันนี้’ เพียงชั่วพริบตา ร่างกายและจิตใจของเขาก็เป็นหนึ่ง
เขาผลักดันขีดจำกัดของเขามาตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทำให้สายปราณของเขามีความยืดหยุ่นและกว้างขวาง ปราณของเขาเพิ่มขึ้นเป็นสิบห้าเท่าของปกติในทันที หลังจากที่ “พลังกระบี่” รวมเข้ากับปราณของเขา เขาก็ใช้วิชาลับนิดหน่อยเพื่อใช้อัสนีห้าโลกา สายฟ้าเริ่มพันรอบตัวเขาและค่อยๆหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ
ฟุบ
ลำแสงกระบี่สีฟ้าพุ่งออกมาและฟันผ่านกำแพงแสง จากนั้นลำแสงกระบี่ก็หายไปก่อนที่เขาจะเก็บกระบี่เข้าฝัก การชักกระบี่และเก็บกลับไปอย่างรวดเร็วจนดูเหมือนเขาไม่ได้ขยับตัวด้วยซ้ำ
‘พละกำลังไม่ใช่จุดแข็งของข้าจริงๆ’ เมิ่งชวนถอนหายใจและหันหลังกลับไป
“79 ชั้น ต่อไปฉีเฉาจากเมืองหยวนชู” ชายเคราแพะตะโกน อัจฉริยะคนใหม่เดินเข้ามาโจมตี
เทพอสูรต่างก็งุนงงขณะที่เปิดผ่านแผ่นข้อมูล
“แค่ 79 ชั้นเองรึ? พี่เมฆาใต้ ไม่ใช่ว่าเขาสังหารแม่ทัพอสูรได้ในการฟันเพียงครั้งเดียวอย่างนั้นรึ? อีกทั้งยังสังหารมันติดกันถึงสองตน เขาทำเช่นนั้นได้ด้วยพละกำลังเพียงเท่านั้นรึ?” เทพอสูรคนหนึ่งถาม
“แม่ทัพอสูรมีร่างกายที่แข็งแกร่ง และแม้วิชากระบี่ของเมิ่งชวนจะไม่ได้แย่ในหมู่อัจฉริยะ แต่หากจะสังหารแม่ทัพอสูร คงจะต้องฟันเป็นสิบกว่าที แต่เพียงครั้งเดียวนี่? ข้าว่าเขาไม่น่าจะแข็งแกร่งพอที่จะทำอย่างนั้นได้”
พวกเขามีสายตาที่เฉียบคม
“ที่เขาสังหารแม่ทัพอสูรสองตัวติดกันได้นั้นก็เพื่อจะช่วยหลิวชีเยว่”ขุนนางเมฆาใต้ยิ้ม”ปกติเขาไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้น”
“อย่างนี้นี่เอง”
“เขาแข็งกแกร่งขึ้นในขณะที่ช่วยคนอื่นอย่างนั้นรึ?” เทพอสูรคนอื่นๆค่อนข้างผิดหวัง พวกเขาอยากจะได้อัจฉริยะที่แข็งแกร่งในหมู่อัจฉริยะสามร้อยกว่าคนนี้ เมิ่งชวนนั้น เป็นหนึ่งในนั้น แต่กลับอ่อนแอกว่าที่พวกเขาคิดเอาไว้
…
ไม่นาน ก็ถึงตาของเหยียนจิน
“26 ชั้น ต่อไปเหยียนจินจากแคว้นอู๋”
“137 ชั้น!” เสียงแหลมดังออกมา เขาเป็นคนที่สามที่ได้เกินร้อยชั้น
เหยียนจินยังได้เยอะกว่าอีก
“เหยียนจิน ไม่เลวเลย เจ้าแข็งแกร่งกว่าข้าเสียอีก” เมิ่งชวนกล่าวผ่านการกระแสเสียง
“แต่ข้าแพ้เจ้าทุกครั้งที่เราประลองกัน” เหยียนจินหน้าบึ้ง และเดินไปต่อท้ายแถว
เมิ่งชวนนั้นพยายามเต็มที่แล้วสำหรับการทดสอบนี้ เพราะไม่ว่ายังไงก็มีหลายคนที่ฝากความหวังไว้กับเขา! เขารู้ว่าจุดแข็งของเขาคือความเร็ว เนื่องจากเขาฝึกร่างเทพอัสนี หากไม่ใช้”พลังแห่งวิญญาณ”พละกำลังของเขาก็จะธรรมดา การที่เขานั้นสามารถฟันผ่ากำแพงแสงได้ถึง 79 ชั้นนั้นก็เป็นการบ่งบอกว่ารากฐานเทพอสูรและ”พลังกระบี่”ของเขานั้นแข็งแกร่ง
ร่างเทพอสูรนั้นมีหลายประเภท บางร่างก็เก่งในด้านเสริมความแข็งแกร่ง บ้างก็ความเร็ว บ้างก็ความอดทน …
เช่นรากฐานเทพอสูรของเหยียนจินนั้นทัดเทียมได้กับเมิ่งชวน วิชากระบี่ของเขาอ่อนแอกว่านิดหน่อย แต่พละกำลังของเขามากกว่า เขาสามารถทำลายไปได้ถึง 137 ชั้น
ท้ายที่สุดแล้ว ยังไงก็ต้องยอมรับข้อเสียที่มาจากการเลือกร่างเทพอัสนี
‘รอบคัดเลือกมีสามส่วน ส่วนที่สองคือการทดสอบความเร็ว หากเป็นเรื่องของความเร็วข้าจะทำได้ดี’ เมิ่งชวนต้องระงับความปรารถนาที่จะปลดปล่อยศักยภาพของตัวเองเอาไว้
อัจฉริยะแต่ละคนค่อยๆเข้าไปทดสอบ
อัจฉริยะทุกคนมีความเชี่ยวชาญของตัวเอง นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาหยวนชูจึงมีการขีดขั้นต่ำเอาไว้ หากคนๆนั้นสามารถทำลายกำแพงแสงได้เกินยี่สิบชั้น พวกเขาก็จะได้สอบต่อไป
เมื่ออัจฉริยะแต่ละคนเข้าไปทดสอบเรื่อยๆ พวกเขาก็แสดงให้เห็นถึงวิชาของพวกเขาไปเรื่อยๆ ทำให้ทุกๆคนเริ่มทึ่งใจมากขึ้นไปอีก
และมีอัจฉริยะที่สามารถทำลายได้เกินร้อยชั้นปรากฏขึ้นมาเรื่อยๆ
อย่างไรก็ตาม มีเพียงสามคนเท่านั้นที่สามารถผ่านชั้น 150 ได้ มีคือฉู่หยง หยานเฟิงและ ตงฟาง ตงฟางนั้นทำได้ถึง 185 ชั้นด้วยขวานของเขา เหยียนซื่อท่งที่อายุสิบสามปีซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งเมืองหยวนชูก็โจมตีกำแพงแสงเช่นกัน เขาสามรถทำลายได้ถึง 73 ชั้นด้วยหอกของเขา มันช่างน่าทึ่งจริงๆ
“คนสุดท้าย ชี่หยวนถงจากเมืองหยวนชู” ชายเคราแพะตะโกน เขาเป็นอัจฉริยะคนสุดท้ายในการทดสอบรอบแรก
ชี่หยวนถงผอมและตัวเล็ก แต่เขาถือค้อนขนาดใหญ่ไว้ด้วยมือแต่ละข้าง แววตาของเขาเย็นชา
“ก่อนหน้านี้ชี่หยวนถงได้รับการยอมรับว่าเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของเมืองหยวนชู! แต่หลังจากที่เหยียนชื่อท่งได้เข้าถึงพลังตั้งแต่อายุสิบสาม เขาก็ถูกพรากอันดับหนึ่งไป”
“เมื่อสามปีก่อนเขาทำให้ทุกๆคนต่างประหลาดใจแต่หลังจากนั้นก็ไม่เคยปรากฏตัวออกมาอีกเลย ไม่รู้เลยว่าเขาฝึกวิชาไปถึงขนาดไหนกันนับจากวันนั้น” หลายคนพูดคุยเรื่องเขา เพราะไม่ว่ายังไงเมืองหยวนชูก็เป็นเมืองอันดับหนึ่งในราชวงศ์โจวที่ยิ่งใหญ่ การที่ได้เคยเป็นอันดับหนึ่งของเมืองหยวนชูนั้นก็ทำให้เขาดึงดูดความสนใจของคนจำนวนมากแล้ว อีกอย่างเขาเป็นหนึ่งในสิบตัวเต็งของการสอบครั้งนี้ด้วย
ชี่หยวนตงถือค้อนในมือแต่ละข้างด้วยสีหน้าที่เย็นชา จากนั้นเขาก็ก้าวออกไปและฟาดค้อนลง ในขณะที่เขาโจมตีนั้นร่างกายก็เปล่งแสงสีดำออกมา ค้อนของเขาเปลี่ยนไปเป็นภาพพร่ามัวก่อนจะกระแทกเข้ากับกำแพงแสงนั่น
ชายชุดกระเซอะกระเซิงที่เป็นคนคุมกำแพงแสงนั้นก็เปลี่ยนสีหน้าในทันที เพียงชั่วอึดใจ กำแพงแสงใหม่ก็ปรากฏขึ้นมาข้างหลังสองร้อยอันเดิม รวมทั้งหมด 300 ชั้น
ตูม! ค้อนที่ทรงพลังนั่นกระแทกผ่านกำแพงแสงเข้าไป เหลือเพียงแค่อันเดียวที่ยังคงอยู่
ชายเคราแพะอ้าปากค้างก่อนจะหายใจเข้าลึกๆและตะโกนออกมาว่า “299 ชั้น”
ทุกคนเงียบกริบ
คนอื่นๆเองก็อึ้งเช่นกัน 299 ชั้น? มีปีศาจเช่นนี้ในหมู่มนุษย์ด้วยหรือนี่? ส่วนเหล่าเทพอสูรนั้นต่างตาลุกวาวและจ้องไปที่ชี่หยวนตง
“เทพอสูรมากันแล้ว!” มีคนอุทานขึ้นมา
เมิ่งชวน เมิ่งต้าเจียงและเหยียนจินเงยหน้าขึ้นเห็นเส้นแสงสามเส้นพุ่งผ่านไป พวกเขาแทบจะมองไม่เห็นด้วยซ้ำว่ามีร่างสามร่างพุ่งผ่านไป คนที่นำอยู่คือชายสวมชุดผ้าเนื้อเนียน ที่ตามหลังเขามาคือผู้หญิงชุดสีน้ำเงินและชายชุดโทรมๆ
หือ? เมิ่งชวนและเหยียนจินรู้สึกปวดตา หัวใจเต้นเร็วขึ้นทำให้การไหลเวียนของเลือดไม่เสถียร พวกเขารีบมองลงมาทันที ไม่สามารถมองตรงไปที่พวกเขาได้
ไม่มีมนุษย์คนไหนกล้าเงยขึ้นไปมองอีกที เมิ่งต้าเจียงเองก็ก้มหัวลงมาเล็กน้อย
“พุ่งโดยใช้เพียงแค่พลังกายเท่านั้นรึ?”
“ทั้งสามคนใช้เพียงพลังกายเหาะมาเท่านั้น มีเพียงเทพอสูรระดับขุนนางเท่านั้นที่ทำเช่นนั้นได้”
“การสอบเข้าเขาหยวนชูทุกครั้งจะมีเทพอสูรระดับราชาและเทพอสูรระดับขุนนางอีกสองคนเป็นกรรมการ และคนที่นำหน้ามาคือราชาตงเหอ!” เมื่อฝูงชนก้มหัวกันพวกเขาก็พูดคุยกันผ่านกระแสเสียง คนเราจะสามารถปล่อยพลังปราณออกมาเพื่อส่งกระแสเสียงได้เมื่อเข้าถึง “พลัง” แล้ว คนส่วนมากในที่นี้จึงใช้การส่งกระแสเสียงเป็น
ฟุบๆๆ!
เทพอสูรจากเขาหยวนชูทั้งสามไปลงยืนตรงส่วนอื่นของวังตะวันฉาย
“ทุกๆท่าน ราชาตงเหอและเทพอสูรทั้งสองได้มาถึงแล้ว” มีพนักงานอยู่ในวังเพลิงตะวันเช่นเดียวกัน และหนึ่งในนั้นก็เป็นชายเคราแพะที่พูดเสียงดัง “ทุกท่านที่เข้าร่วมการสอบคัดเลือกของเขาหยวนชูโปรดเข้าแถวตามรายชื่อที่ข้าเรียก คนแรกอู๋ฉางจากรัฐหลงหยุน คนที่สองจางผิงจากรัฐเจียง คนที่สาม…”
เขาขานชื่อออกมาเรื่อยๆ หนุ่มสาวต่อแถวตามที่ถูกเรียก
“คนที่87 เมิ่งชวนจากรัฐอู๋”
หลังจากได้ยินเช่นนั้น เมิ่งต้าเจียงก็พูดขึ้นว่า “ถึงตาเจ้าแล้ว รีบไปเถอะ”
“ขอรับ” เมิ่งชวนวิ่งไปต่อแถวด้านหลังในทันที
อ่านตอนล่าสุดที่ my-novel.co หรือ www.thai-novel.com
“คนที่88 ฉีเฉาจากเมืองหยวนชู “ชายหนุ่มอีกคนเดินมายืนอยู่ข้างหลังเมิ่งชวน
…
มีคนเข้าร่วมการทดสอบของเขาหยวนชูทั้งหมด 312 คนในปีนี้
“ทุกท่าน ตามข้ามา” ชายเคราแพะกล่าวเสียงดัง เขาเดินนำไปและอัจฉริยะอีกสามร้อยกว่าคนก็ตามไปอย่างว่าง่าย ไม่ว่าจะเป็นเจ้าชายหรือเจ้าหญิง ลูกหลานของเทพอสูรระดับราชา หรือจะเป็นอัจฉริยะที่เก่งกาจก็ต้องทำตามกฎ เมื่อพวกเขาได้เห็นพลังของเทพอสูรระดับราชาและขุนนางทั้งสอง พวกเขาก็รู้สึกได้ถึงความแตกต่างของพลังอย่างมหาศาล
เพียงแค่มองแวบเดียวก็ทำให้กระแสเลือดปั่นป่วน มันทำให้พวกเขาอยากจะเป็นเทพอสูรมากยิ่งขึ้น
หลังจากที่พวกเขาออกจากลานกว้าง พวกเขาก็เดินผ่านประตูวังเข้าไป
พวกเขาไปถึงสวนในวังเล็กๆซึ่งมีกลุ่มเทพอสูรนั่งอยู่ห่างออกไป เทพอสูรที่พาอัจฉริยะมาจากยี่สิบสามแคว้นของราชวงศ์โจวที่ยิ่งใหญ่ อย่างขุนนางเมฆาใต้และคนอื่นๆ ต่างนั่งคุยหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ราชาตงเหอที่เป็นคนดูแลการสอบเข้านั้นก็นั่งอยู่บนที่นั่งตรงกลางและขุนนางอีกสองคนก็นั่งอยู่ข้างๆเขา
ราชาตงเหอแต่งตัวด้วยผ้าเนื้อเนียน เขาสะกดพลังของเขาเอาไว้ ทำให้เขาดูเหมือนเพียงคนธรรมดา อย่างไรก็ตาม ความน่าเกรงขามของเขานั้นต่างจากคนธรรมดา
“ขุนนางทะเลตะวันตก ลูกชายของเจ้าเข้าถึง”พลัง”ตั้งแต่อายุสิบสาม ความสามารถของเขาเรียกได้ว่าสูงเสียจริง! เด็กนั่นอาจจะได้ที่พิเศษเข้าสู่เขาหยวนชูโดยตรงได้เลยนะ ทำไมถึงต้องมาเข้าร่วมการทดสอบกันรึ?” ราชาตงเหอหัวเราะ
ขุนนางทะเลตะวันตกซึ่งนั่งอยู่ข้างๆเขาหัวเราะขึ้นและพูดว่า “พี่ชาย ลูกของข้าน่ะชอบทำตามใจตัวเอง เมื่อสองเดือนก่อนเขาเข้าถึง”พลัง”และตั้งใจว่าจะเข้าทดสอบของเขาหยวนชู เห็นบอกว่าอยากจะแข่งกับอัจฉริยะคนอื่นๆในโลกนี้ เด็กคนนี้ไม่ได้คิดอะไรมากนักหรอก เขาพึ่งเข้าถึง”พลัง”แถมคู่แข่งก็อายุมากกว่ามาก คนส่วนมากอยู่ในระดับสูงกว่าเขาอีกแถมยังมีประสบการณ์ในการต่อสู้มากกว่าเสียอีก ไม่ใช่ว่าเขากำลังหาเหาใส่หัวอย่างนั้นรึไงกัน? แต่ว่าเด็กนั่นก็ยังอยากจะมา”
“ให้เขาได้เปิดโลกกว้างก็ดี” ราชาตงเหอยิ้มขณะกวาดสายตามองอัจฉริยะกว่าสามร้อยคนที่เดินผ่านมา สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“ฮึ” ทันใดนั้นราชาตงเหอก็พ่นลมออกจมูกอย่างเย็นชา ราวกับว่าฟ้าร้องดังก้องไปทั่วลานของวัง
คนกว่าสามร้อยคนตกใจ ขนาดเทพอสูรยังต้องประหลาดใจ
“เขาหยวนชูของเราจำกัดอายุของผู้เข้าร่วมไม่ให้เกิน 20 ปี” ราชาตงเหอกล่าว “ในบรรดาพวกเจ้าทั้ง 312 คน มีหนึ่งคนอายุเกินยี่สิบปีแล้ว ถ้าเจ้าก้าวออกไปแต่โดยดีเจ้าจะถูกลงโทษเบาๆ แต่ถ้าข้าจับเจ้าได้ ข้าว่าเจ้าคงจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต”
“เกินยี่สิบ?” เมิ่งชวนและคนอื่นๆงุนงง
จากนั้นก็มีเด็กหนุ่มสองคนเดินออกมาจากกลุ่ม ทั้งสองคนหันหน้ามองกันอย่างตกตะลึง
คนแรกก้มหัวไปทางเทพอสูรด้วยความเคารพ “ข้าคือหวูว่านเฟิงจากรัฐชาง ข้าเป็นเด็กกำพร้าที่ตระกูลหวูรับเลี้ยงมา ข้าไม่รู้ว่าอายุที่แท้จริงของข้าคือเท่าใดขอรับ”
เด็กหนุ่มอีกคนก็กล่าวด้วยท่าทีนอบน้อม “ข้าคือเทียนกูจากรัฐอัน ตอนที่ข้ายังเด็ก บ้านเกิดของข้าถูกอสูรรุกรานและข้าก็เร่ร่อนไปทั่วทุกหนแห่ง ตอนนั้นข้ายังเด็กและข้าเองก็ไม่รู้อายุจริงๆของข้าเช่นกัน เมื่อตระกูลเทียนรับเลี้ยงข้า พวกเขาก็ได้ตัดสินใจให้ว่าข้าอายุห้าขวบขอรับ”
“เทียนกูจากรัฐอัน เจ้าอายุยี่สิบเอ็ดปี” ราชาตงเหอกล่าว “เจ้าอายุเกินข้อจำกัดและทำผิดกฎเขาหยวนชู แต่เพราะเจ้ายอมรับเอง ข้าจะให้เจ้าไปรับราชการทหารสิบปี”
“ขอรับ” เด็กหนุ่มโค้งคำนับด้วยท่าทางนอบน้อม
ปกติแล้ว การรับราชการทหารจะกินเวลาเพียงห้าปีเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม บางคนก็ใช้ประโยชน์จากการรับราชการทหารที่เกินปกติ เช่นเมิ่งต้าเจียง เขารับราชการทหารมาสิบปี ผูนำสำนักเต๋ากระจกทะเลสาบ เก๋อหยู ใช้เวลาสิบสองปีในด่านฉินหยางและสร้างวิชากระบี่ของเขา ดังนั้นการรับราชการทหารสิบปีนั้นจึงเป็นประโยชน์มากกว่าเสียอีก นี่ก็คงเป็นเพราะคนๆนั้นก้าวออกมาเองและในตอนเด็กยังเป็นคนเร่ร่อนอีก
‘ราชาเทพอสูรสามารถบอกอายุของพวกเราทั้งสามร้อยคนได้อย่างรวดเร็วขนาดนั้นเลยรึ?’ เมิ่งชวนแอบแปลกใจ เขารู้ว่าเขาหยวนชูมีวิธีประเมินอายุของผู้เข้าร่วม แต่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่า เทพอสูรจะรู้ได้เพียงแค่เหลือบมอง
เทียนกูจากรัฐอันเดินออกไปแต่โดยดี เขาไม่มีสิทธิ์ในการเข้าร่วมการสอบคัดเลือก
สำหรับหวูว่านเฟิงนั้นค่อนข้างดีใจ เห็นได้ชัดว่าอายุของเขาไม่เกินกำหนด
…
หนุ่มสาวทั้ง 311 คนยืนอยู่เฉยๆในขณะที่เหล่าญาติพี่น้องกลุ่มใหญ่เดินเข้ามาในวัง อย่างไรก็ตาม พวกเขายืนอยู่บนระเบียง
“ทุกคน” ชายที่ดูกระเซอะกระเซิงที่นั่งข้างๆราชาตงเหอก็ลุกขึ้นมา เขาก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว จากนั้นมองไปที่เหล่าอัจฉริยะก่อนจะพูดพร้อมกับหัวเราะว่า “การสอบเข้าเขาหยวนชูจะจัดขึ้นสองวัน วันนี้เป็นรอบคัดเลือก พรุ่งนี้เป็นรอบสุดท้าย”
“รอบคัดเลือกแบ่งออกเป็นสามส่วน ทุกๆส่วนนั้นต้องได้คะแนนถึงขั้นต่ำ สำหรับผู้ที่ไม่ถึงเกณฑ์จะถูกคัดออกทันที หลังจากผ่านสามส่วนแล้ว จะมีการประกาศคะแนนรวมออกมา ร้อยอันดับแรกจะผ่านรอบคัดเลือก ที่เหลือถูกคัดออก”
“รอบคัดเลือกรอบแรกคือ…” ชายที่ดูกระเซอะกระเซิงสะบัดแขนเสื้อและมีชั้นแสงหลายชั้นปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา ชั้นแสงเหล่านี้ยาวสิบจั้งกว้างสามสิบจั้งและหนาหนึ่งฉื่อ กำแพงแสงนี่มีอยู่กว่าสองร้อยอัน
“คำสั่งก็คือ พวกเจ้าแต่ละคนใช้พลังเต็มที่โจมตีใส่ข้า แต่จำไว้ เจ้าห้ามใช้วิชาต้องห้ามเทพอสูร ยิ่งเกราะลำแสงนี้แตกไปมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี อย่างต่ำเจ้าต้องทำให้ได้ยี่สิบอัน หากเจ้าทำลายได้ไม่เกินยี่สิบ เจ้าจะถูกคัดออก เริ่มได้” ชายผมกระเซิงยืนอยู่เฉยๆและควบคุมกำแพงแสงอย่างง่ายดาย
“ก่อนอื่นอู๋ฉางจากรัฐหลงหยุน” ชายเคราแพะประกาศ
เด็กหนุ่มผิวคล้ำเดินไปข้างหน้าอย่างเคร่งเครียด เขาชักกระบี่หนาๆของเขาออกมาและก้าวไปข้างหน้าก่อนจะฟันลงอย่างรุนแรง และลำแสงกระบี่สีดำก็ฟันผ่านเกราะแสงดังก้อง
“37 ชั้น ต่อไปจางผิงจากรัฐเจียง” ชายเคราแพะตะโกน
…
แต่ละคนมีโอกาสเพียงครั้งเดียวและฟันได้ครั้งเดียวเท่านั้น การโวยวายเพราะทำได้ไม่ถึงเป้านั้นไม่มีประโยชน์ ในการต่อสู้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกับอสูรนั้นไม่มีครั้งที่สอง
“29 ชั้น ต่อไปคือฉู่หยงจากเมืองหลวง” ชื่อของคนๆนี้ดึงดูดความสนใจของผู้คนจำนวนมาก
“ฉู่หยงจากเมืองหลวง?” เมิ่งชวนก็สนใจเช่นกัน แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยรู้เรื่องอัจฉริยะคนอื่นๆ แต่เขาก็เคยได้ยินชื่อฉู่หยงมาก่อน เขานั้นเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในอัจฉริยะแห่งเมืองหลวงเลยด้วยซ้ำ เมื่อเจ็ดปีก่อน ชื่อของเขาก็ดังไปทั่วโลกแล้ว และเขาเองก็จะสอบเข้าเขาหยวนชูด้วยในปีนี้
ฉู่หยงร่างสูงสวมเสื้อคลุมสีดำและถือกระบี่ขนาดใหญ่ไว้บนหลังของเขา เขาชักกระบี่ออกมาและร่างก็ปกคลุมไปด้วยสายฟ้าสีดำ พลังอันมหาศาลทำให้เหล่าอัจฉริยะที่อยู่ตรงนั้นรู้สึกถึงแรงกดดัน
เมิ่งชวนเองก็ตกใจเช่นกัน แรงกดดันที่คนๆนี้ปล่อยออกมานั้นรุนแรงยิ่งกว่าแม่ทัพอสูรอีก
“พัง!” เขาตะโกนเสียงดังก้อง
กระบี่ฟาดเข้าใส่กำแพงแสงและเกิดเสียงดังขึ้น ตูม
กำแพงแสงถูกทำลายในทันที เหลือเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่ยังคงอยู่
“191” ชายเคราแพะตะโกน คนอื่นๆส่งเสียงดังจอแจ อัจฉริยะกว่าห้าสิบกว่าคนได้ลองฟัน แต่กลับไม่มีใครทำลายได้เกินร้อยชั้นเลย แต่ฉู่หยงทำลายได้ถึง 191 ชั้น! ความแตกต่างมันช่างน่าเหลือเชื่อเสียจริง
ทุกคนตรงนี้ต่างจ้องมองมาที่เขา
มันช่างน่าตกใจ
คนดูหลายคนตกใจเช่นกัน มีเพียงผู้อาวุโสตาเดียวเท่านั้นที่หัวเราะ “ฮ่าฮ่า นั่นหลานชายข้าเอง หลานชายของข้าเป็นอย่างไรบ้าง? เป็นไงล่ะ!”
ช่างเป็นการโจมตีที่ทรงพลัง เมิ่งต้าเจียงก็ทึ่งเช่นกัน เขาภูมิใจในตัวลูกชายเขามาก แต่พลังของการโจมตีครั้งนี้ทำให้เขาตกใจ นี่เป็นการโจมตีที่สามารถเทียบเท่าได้กับเทพอสูรกำเนิดใหม่เลยทีเดียว แม้จะไม่ใช้วิชาต้องห้ามแต่เขาก็ยังน่าเกรงขาม!
ยามเช้าตรู่วันที่ 21 ธันวาคม
เมิ่งชวนนั่งอยู่บนเตียงและค่อยๆลูบดาบของเขาอย่างอ่อนโยน
“การฝึกฝนสิบสองปีที่ผ่านมานี่ก็เพื่อวันๆนี้เท่านั้น” เมิ่งชวนพึมพำเบาๆ ในที่สุดวันสอบเข้าเขาหยวนชูก็มาถึงแล้ว มันเป็นวันที่เขารอมาเนิ่นนาน
เมิ่งชวนนึกถึงคนมากมาย พ่อของเขา แม่ ย่าทวด ผู้นำตระกูล ผู้อาวุโสสาม และผู้อาวุโสในตระกูลอีกมากมายที่หวังอยากจะให้เขาเข้าสู่เขาหยวนชูได้
…
ที่ห้องข้างๆ เมิ่งต้าเจียงจ้องมองไปที่ภาพแขวนบนผนัง มันเป็นภาพของภรรยาเขา
‘ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง’ เมิ่งต้าเจียงมองไปที่ภาพวาด ‘ข้าทำทุกอย่างที่ข้าจะทำได้แล้ว ข้าทำให้ชวนเอ๋อร์สนใจในวิชากระบี่ ข้าประลองกับเขา ข้าหาอาจารย์ของสำนักเต๋าที่เข้ากับเขาให้ แต้มที่ข้าสะสมมาตลอดหลายปีที่ผ่านมาก็ถูกแลกเป็นผลใจน้ำแข็งให้ชวนเอ๋อร์ ข้าทำทุกอย่างที่ข้าจะทำได้แล้ว!’
‘ข้า เมิ่งต้าเจียง เป็นเพียงคนธรรมดา แต่ลูกชายที่ข้าเลี้ยงดูมาคือความภาคภูมิใจที่สุดของข้า! เหนียนหยุน ลูกของพวกเราจะได้เข้าสู่เขาหยวนชูอย่างแน่นอน’ เมิ่งต้าเจียงเองก็รู้สึกกังวลเช่นกัน
ทันใดนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงดังมาจากด้านนอก “นายน้อยเมิ่ง นายน้อยเหยียน ท่านขุนนางเรียกแล้วขอรับ พวกเขากำลังเตรียมพร้อมจะออกเดินทาแล้วง”
‘พวกเราจะต้องไปแล้วรึ?’ เมิ่งต้าเจียงเช็ดหางตาและเดินออกจากห้องไป เขาตะโกน “ฉวนเอ๋อร์ ชวนเอ๋อร์ ได้เวลาไปแล้ว”
เอี๊ยด
เมิ่งชวนเดินออกมาจากห้องพร้อมกระบี่ข้างเอว เขายิ้มให้พ่อ “เราไปกันเถอะ”
เมิ่งชวน เมิ่งต้าเจียงและเหยียนจินไปรวมตัวกันที่ทางเข้าของอาคารรับรอง
แม้ว่าจะมีหิมะตกเมื่อวานนี้ แต่หิมะที่อยู่ในสวนของอาคารรับรองก็ถูกจัดการไปนานแล้ว มีเพียงบนต้นไม้หรือหลังคาเท่านั้นที่ยังมีหิมะปกคลุมอยู่
อ่านตอนล่าสุดที่ my-novel.co หรือ www.thai-novel.com
“นายน้อยเมิ่ง”
“นายน้อยเหยียน” ทุกคนที่ทางเข้าทักทายพวกเขา
ในบรรดาคนหนุ่มสาวทั้งสิบสองคนมีเพียงเหยียนจินที่มาคนเดียว คนอื่นๆนั้นมีผู้ใหญ่มาด้วย
“ทุกคนมากันแล้วสินะ งั้นก็ไปกันเถอะ” ขุนนางเมฆาใต้เดินเข้ามาและกวาดสายตามองดู จากนั้นทุกๆคนก็เดินตามเขาออกไป
ภายในสวนที่กว้างขวางของอาคารรับรองมีนกสีแดงเพลิงรออยู่ พวกเขาขึ้นไปขี่บนหลังนกกันทีละคน
เมิ่งชวน เหยียนจินและเมิ่งต้าเจียงนั่งอยู่ที่ตรงๆส่วนหลังๆของนก
“ไปกันเถอะ” ขุนนางเมฆาใต้กล่าว
นกสีแดงเพลิงพุ่งขึ้นทันที เม่ื่อมองจากด้านบนจะสามารถมองเห็นถนนและอาคารที่สวยงามทุกแห่งในเมืองหยวนชู มันช่างเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่
…
ในขณะเดียวกันที่ตระกูลเมิ่งในเมืองตงหนิง
ในโถงใหญ่ของจวนบรรพบุรุษ เมิ่งเซียนกูนั่งคุกเข่าบนเบาะภาวนา เธอประสานมือเข้าด้วยกันอย่างคาดหวัง
“ท่านบรรพบุรุษโปรดอวยพรให้ให้พวกเรา โปรดอวยพรให้ลูกหลานตระกูลเมิ่งของเรา เมิ่งชวน โปรดให้เขาผ่านการทดสอบและเข้าสู่เขาหยวนชูได้” ใบหน้าของเมิ่งเซียนกูซีดเซียวดูใกล้ตาย เพราะการรุกรานของอสูรนั้นได้ทำร้ายร่างกายเธอมากเกินไป ร่างของเธอใกล้จะมอดดับแล้ว หากว่าไม่ใช่เพราะความมุ่งมั่นอันแรงกล้าของเธอ เธอคงจะไม่รอดจนถึงทุกวันนี้แล้ว
เมิ่งชวนคือความหวังของตระกูลเมิ่ง หากเธอเสียชีวิตไป เมิ่งชวนจะเป็นเสาหลักในอนาคต
ดังนั้น เธอจึงเฝ้ารอข่าวความสำเร็จของเมิ่งชวน จากนั้น เธอถึงจะได้จากไปโดยสงบ
…
‘อาชวน’ บนยอดเขาหยวนชู หลิวชีเยว่ใจลอย เธอมองออกนอกหน้าต่างไปที่ทะเลเมฆที่กว้างใหญ่และรู้สึกกังวลเล็กน้อย ‘อาชวนจะสอบวันนี้สินะ? เขาผ่านแน่นอนอยู่แล้ว!’
…
‘การสอบเข้าเขาหยวนชูคือวันนี้ วันที่ 21 ธันวาคม เขาจะได้เข้าสู่เขาหยวนชูได้รึเปล่านะ?’ อวิ๋นชิงผิงอดไม่ได้ที่จะคิดเช่นนี้ขณะที่เธอฝึกฟันกระบี่ในตอนเช้า จากนั้นเธอก็ส่ายหน้า ‘ทำไมข้าถึงต้องคิดเรื่องนี้กันนะ?’ เธอฝึกฝนวิชากระบี่ต่อไป
…
เมิ่งชวนและคนอื่นๆนั่งอยู่บนหลังนกสีแดง นกตัวนี้บินอยู่ที่ความสูงกว่าร้อยจั้ง มันไม่เร็วมาก ทำให้คนที่นั่งอยู่สามารถมีความสุขกับวิวทิวทัศน์ของเมืองหยวนชูได้ มันบินไปหลายลี้ก่อนจะค่อยๆบินต่ำลงมาอย่างช้าๆ มันลงจอดในวังที่กว้างใหญ่ และที่ด้านหน้าของวังนั่นเอง มีตัวอักษรสามตัวใหญ่ๆเขียนอยู่ วังตะวันฉาย
“ไปกันเถอะ” หลังจากที่ขุนนางเมฆาใต้พาส่งเมิ่งชวนและคนอื่นๆไปถึงจุดหมายปลายทาง เขาก็บังคับนกของเขาเบาๆ นกสีแดงเพลิงทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าไปสู่เขาหยวนชู
“พวกท่านตามข้ามาขอรับ” พนักงานคนหนึ่งจากอาคารรับรองที่มากับพวกเขากล่าว “ท่านขุนนางมีเรื่องที่ต้องทำขอรับ พวกท่านตามข้ามาก็พอ”
พนักงานคนนั้นยิ้มและพูดว่า “วังตะวันฉายนั้นเป็นพื้นที่สำรองของเขาหยวนชู ทุกๆปี การสอบเข้าเขาหยวนชูถูกจัดขึ้นทุกปีที่นี่ แน่นอนว่าอาคารรับรองเราได้ลงทะเบียนอัจฉริยะทั้งสอบสองของรัฐอู๋ไว้แล้ว ทุกๆท่านขอรับ โปรดตามข้ามาทางนี้ ข้าว่าในอีกครึ่งชั่วยาม เทพอสูรเขาหยวนชูจะมา การสอบเข้าจะเริ่มต้นเมื่อนั้นขอรับ”
“ขอบใจมาก คุณหวาง” จากนั้น พวกผู้ใหญ่ก็เริ่มคุยกัน
เมิ่งชวนและคนอื่นๆเข้าไปที่วังตะวันฉายพร้อมกัน
เมื่อมองผ่านประตูวังก็สามารถมองเห็นจัตุรัสได้ มีหนุ่มสาวจำนวนมากอยู่ในจัตุรัสนั้นแล้ว มีทั้งผู้ใหญ่และคนรับใช้อยู่ข้างๆด้วย
“ฮืม?” หลายๆคนมองมาเมื่อเห็นพวกเขาเดินเข้ามา
“นั่นคือคนจากรัฐอู๋ คนที่สวมเสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้มพร้อมกระบี่ข้างเอวนั่นชื่อเมิ่งชวน ว่ากันว่าเขาสังหารแม่ทัพอสูรสองตัวติดกันด้วยการฟันเพียงครั้งเดียว เป็นคนที่แข็งแกร่งมาก” หญิงสาวในชุดสีม่วงกล่าวขึ้นมาหลังจากหันไปดู “เขาหยวนชูมีที่ว่างยี่สิบที่ เขาต้องเป็นหนึ่งในนั้นแน่ๆ นอกจากนี้ ยังมีคนชุดขาวที่อยู่ข้างๆเขาอีก คนๆนั้นแข็งแกร่งกว่าจอมยุทธระดับควบแน่นแก่นแท้มากเลยทีเดียว อีกอย่าง เขายังเป็นลูกชายลำดับที่เจ็ดของราชาทะเลตงไห่อีกด้วย”
“ลูกชายคนที่เจ็ดของราชาทะเลตงไห่? เจ้าแน่ใจรึ?” เด็กหนุ่มร่างสูงข้างๆเธอถามด้วยความประหลาดใจ
“ระดับข้อมูลจากท่านเจ้าหญิงแล้วจะไปพลาดได้อย่างไรกัน?” เด็กหนุ่มอีกคนในชุดคลุมสีทองหัวเราะ
“เดิมทีเรื่องนี้เป็นความลับ แต่หลังจากที่ตรากระบี่ของราชาทะเลตงไห่ช่วยเมืองตงหนิงเอาไว้ ทางราชสำนักก็พบว่าลูกชายคนที่เจ็ดอันแสนลึกลับของราชาทะเลตงไห่ได้ไปที่เมืองตงหนิงภายใต้นามแฝงว่าเหยียนจิน” เด็กสาวชุดสีม่วงกล่าว “พวกเจ้าไม่ต้องกังวลมากหรอก การสอบเข้าเขาหยวนชูไม่สนใจว่าจะเป็นใครมาจากไหน มีเพียงความแข็งแกร่งและความเป็นไปได้เท่านั้น คราวนี้มีอัจฉริยะมากมายที่ดูจะเป็นปัญหาอยู่ เมิ่งชวนจากรัฐอู๋ หนิงอี่โบจากรัฐเจี๋ยง… คนดังๆทั้งหมดก็นับได้เป็นสิบคนแล้ว แถมยังคงมีคนที่ยังเก็บซ่อนความแข็งแกร่งเอาไว้อยู่อีก บางทีอาจจะมีบางคนที่เป็นม้ามืดก็ได้ ถึงข้าจะไม่ค่อยมั่นใจว่าจะได้เป็นหนึ่งในนั้นหรือเปล่า”
“เจ้าหญิง การยิงเกาฑัณฑ์ของเจ้าดีที่สุดในหมู่หนุ่มสาวในเมืองหลวงเลยนะ เจ้าต้องเข้าสู่เขาหยวนชูได้อย่างแน่นอน” เด็กหนุ่มในชุดสีทองกล่าวชม
…
กลุ่มของเมิ่งชวนรออยู่ด้วยกันเฉยๆ
จู่ๆก็มีเสียงเอะอะโวยวายดังมาจากด้านนอกวัง
เด็กหนุ่มชุดแดงเดินเท้าเปล่าเข้ามา คนกลุ่มหนึ่งตามมาหลังเขา ทั้งห้าคนมีกระแสพลังอันน่ากลัว เห็นได้ชัดว่าพวกเขาคือเทพอสูร
“ไม่เห็นต้องตามข้ามาเลย ทำไมต้องตามข้ามาด้วยกัน?” เด็กหนุ่มชุดแดงกล่าวด้วยความไม่พอใจ
“ฮ่าฮ่า ถงเอ๋อร์ วันนี้เจ้าเข้าร่วมการทดสอบของเขาหยวนชู พวกเราทุกคนต่างเป็นกังวล พวกเราเลยอยากจะมาดูกันยังไงเล่า”
“ในฐานะเจ้าปู่ของเจ้า ข้าอยากเห็นเจ้าเข้าสู่เขาหยวนชู” ผู้อาวุโสที่อยู่ข้างหลังเขาหัวเราะเบาๆ
เด็กหนุ่มชุดแดงก็ทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน ด้านหลังของเขามีพ่อแม่และผู้อาวุโสกับคนในตระกูลที่ดูมียศสูงตามมา
“นั่นคือหยานซื่อท่ง อัจฉริยะอันดับหนึ่งของเมืองหยวนชู เขาเป็นลูกชายคนเดียวของขุนนางทะเลตะวันตก เขามีพรสวรรค์มาก เขาเข้าถึง”พลัง”ได้แม้จะอายุเพียงสิบสามในปีนี้ด้วยซ้ำ! เพราะเขายังเด็กมาก ถึงเขาจะถูกจัดอันดับไปเกินยี่สิบ แต่เขาหยวนชูก็คงยังรับเขาเข้าอยู่ดี”
“ข้าหวังว่าเขาจะถูกจัดอันดับเกินยี่สิบนะ! เขายังอายุแค่สิบสามปีเอง ทำไมถึงมาแข่งกับพวกเรากัน?”
“ตระกูลหยานมีราชาถึงหนึ่งคน แถมยังมีขุนนางอีกหนึ่ง กับเทพอสูรเกือบยี่สอบคน การที่มีอัจฉริยะอีกคนเกิดขึ้นมาแบบนี้ มันช่างเป็นเรื่องนี่น่ายินดีเสียจริง…”ลูกหลานของตระกูลเทพอสูรโบราณทุกคนถอนหายใจด้วยความทึ่งใจ แม้แต่ตระกูลใหญ่ของเมืองหยวนชูและเมืองหลวงยังต้องเคารพตระกูลหยาน!
เมิ่งชวนและเมิ่งต้าเจียงแอบเงี่ยหูฟัง
พวกเขาไม่ค่อยได้ฟังข่าวสารอะไรมากมายนัก เลยไม่ค่อยได้ยินชื่ออัจฉริยะมากมายเท่าไหร่ ท้ายที่สุดแล้ว ตระกูลเมิ่งก็เป็นเพียงตระกูลเทพอสูรธรรมดาในเมืองตงหนิง ผู้นำของตระกูล เมิ่งเซียนกู ยังไม่ได้เข้าสู่เขาหยวนชูด้วยซ้ำ จึงเป็นเรื่องปกติที่เขาจะไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่
เมื่อเวลาผ่านไป ก็มีคนมารวมตัวกันในลานกว้างมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนจากเมืองหยวนชูหลายคน ส่วนมากมีผู้ใหญ่ตามมาสามถึงห้าคน
ปึง!
ในที่สุด ประตูของวังตะวันฉายก็ปิดลง กันไม่ให้คนที่มาสายเข้าร่วมได้หลังจากเลยเวลาที่นัดไว้
ใกล้จะได้เวลาเริ่มแล้ว หนุ่มสาวกว่าสามร้อยคนใจเต้นตึกตัก
ตอนที่ 73 มาถึงแล้ว (บทสุดท้ายของภาค)
หลังจากเขียนคำว่า “แสงแดดยามเช้า” ลงไป เมิ่งชวนก็พิจารณาภาพทั้งสามที่วางอยู่บนโต๊ะ
ตลอดหกเดือนที่ผ่านมานี้เขาใช้เวลาวาดภาพทั้งสามมาโดยตลอด ในตอนที่เขากดพู่กันลงไปนั้น เขารู้สึกได้ถึงความเศร้าโศก โกรธเกรี้ยว และสับสน เพราะสุดท้ายแล้ว มีผู้คนมากมายต้องตายในวันนั้น เขาต้องพบกับความตายมากมาย
แต่หลังจากวาดภาพเสร็จ หัวใจของเขาก็สงบลง อย่างไรก็ตาม ภายในใจที่สงบเยือกเย็นราวกับทะเลนั้น มีความปรารถนาที่จะต่อสู้อย่างไม่สั่นคลอน! มนุษย์นับไม่ถ้วนต่อสู้กับอสูรมาหลายชั่วอายุคน นั่นก็เพื่อความหวัง เพื่อคนที่รักและลูกหลาน พวกเขาทั้งหมดเต็มใจที่จะยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อสิ่งเหล่านั้น มนุษย์เองก็เต็มใจที่จะเสี่ยงชีวิตเช่นเดียวกับเทพอสูร
‘ข้าจะไม่ผลีผลาม ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่ให้แข็งแกร่งขึ้น ข้าจะกลายเป็นเทพอสูรที่ทรงพลัง และวันหนึ่ง มนุษย์เราจะปราบอสูรจนหมดสิ้น’
ไม่มีใครที่จะหยุดไม่ให้ดวงตะวันขึ้นมาได้
เอี๊ยด
เมิ่งชวนผลักประตูเดินเข้าไปในสวน ดวงอาทิตย์อัสดงย้อมท้องฟ้าให้เป็นสีแดง
เมิ่งชวนนั่งอยู่ที่สวนและตรวจสอบช่องว่างแห่งจิตของเขา ร่างเล็กๆในช่องว่างแห่งจิตของเขาไม่โปร่งแสงเหมือนเมื่อก่อนและมีตัวตนมากกว่าเดิมมาก
‘ที่ข้ามี”พลังแห่งวิญญาณ” มันเกิดมาจากการวาดภาพ ภาพวาดธรรมดานั้นไม่ช่วยอะไร มีแค่ภาพสรรพชีวิตและภาพแสงแดดยามเช้าเท่านั้นที่มันทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง สองปีหลังจากที่ข้าวาดภาพสรรพชีวิต ข้าก็วาดภาพมาทุกๆวันด้วยอารมณ์ที่เข้าถึงภาพนั้น แต่กลับไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรกับจิตวิญญาณของข้าเลย เห็นได้ชัดว่า การขัดเกลาจิตของข้านั้นไม่ง่ายเลย’
‘จิตของข้าเริ่มชัดเจนขึ้น แต่เขตแดนสิบจั้งก็ยังคงกว้างเท่าเดิม ขอบเขตสัมผัสของข้าก็ยังไกลหนึ่งลี้เท่าเดิม’ เมิ่งชวนรู้สึกงุนงง ‘ข้าจะลองวิชากระบี่ดู’
เพียงนึก เมิ่งชวนก็เปิดใช้งาน”พลังแห่งวิญญาณ”ทันที มันหลอมรวมกับปราณในร่างกายของเขาอย่างเรียบสนิท ทำให้ความสามารถในการควบคุมร่างของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล เพียงขยับตัวครั้งเดียว เขาก็พุ่งไปข้างหน้าเกือบสามจั้ง จากนั้นเขาก็ฟาดกระบี่ออกไป! ลำแสงกระบี่พุ่งผ่านอากาศ แต่ว่ามันไม่ทำให้อากาศขยับแม้แต่น้อย เพียงแค่มองท่วงท่าของเขาด้วยตาเปล่า มันก็ทำให้ใจสั่นสะท้านแล้ว
‘”พลังแห่งวิญญาณ”ไม่ได้แตกต่างออกไป ส่วนความแข็งแกร่งของข้ายังคงเหมือนเดิม’ เมิ่งชวนยังคงใช้วิชากระบี่ของเขาต่อไป
ลำแสงกระบี่สว่างขึ้นในสวน ทุกๆการโจมตีนั้นถูกปลดปล่อยออกมาสุดแรง!
ท่าที่ห้า ท่าที่หก ท่าที่เจ็ด… เมิ่งชวนยังคงฟาดฟันต่อไปอย่างมีความสุข เขาพบว่าเขามีพลังแห่งวิญญาณเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมมาก
อ่านตอนล่าสุดที่ my-novel.co หรือ www.thai-novel.com
กระบวนท่าที่สิบหก! หลังจากท่าที่สิบหก เขาก็พบว่า”พลังแห่งวิญญาณ”ของเขาใกล้หมดแล้ว และไม่สามารถโจมตีอย่างเต็มกำลังได้อีก
เขาเผยรอยยิ้มขณะยืนอยู่ในสวน ‘วิญญาณที่เปลี่ยนแปลงไปไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับความแข็งแกร่ง แต่”พลังแห่งวิญญาณ”กลับมีปริมาณเพิ่มขึ้น แต่ก่อนข้าสามารถโจมตีได้สูงสุดห้าครั้ง แต่ตอนนี้ข้าสามารถโจมตีได้ถึงสิบหกครั้ง’
…
ที่สวนข้างๆ เหยียนจินถือกระบี่ในมือทั้งสองข้างขณะจ้องไปข้างหน้า เขาจินตนาการภาพของชายกล้ามโต เย็นชา และดาบทัณฑ์สวรรค์ที่กระจายอยู่รอบท้องฟ้า
เป้าหมายของเหยียนจินคือการเอาชนะผู้ชายคนนั้น อย่างไรก็ตามหลังจากได้เห็นดาบทัณฑ์สวรรค์ ที่เป็นเพียงแค่ตรากระบี่เท่านั้น นั่นหมายถึงนั่นเป็นเพียงแค่หนึ่งในสิบของพลังกระบี่ทัณฑ์สวรรค์ที่แท้จริง เหยียนจินเข้าใจได้ว่าชายคนนั้นแข็งแกร่งมากขนาดไหนจริงๆ
“ข้าจะเอาชนะเจ้าให้ได้” เหยียนจินแกว่งกระบี่ของเขาอีกครั้ง ดวงตาของเขาจ้องมองไปที่ชายร่างใหญ่ตรงหน้า
…
วันเวลาผ่านไปขณะที่เมิ่งชวนและเหยียนจินฝึกวิชาทุกวัน ในช่วงเวลานี้ หลิวชีเยว่ก็ส่งจดหมายมาบ้างบางที ให้พ่อของเธออันหนึ่ง และให้เมิ่งชวนอีกอันหนึ่ง
เพียงพริบตาเดียว มันก็เข้าหน้าหนาวและเข้าเดือนธันวาคมแล้ว
หิมะแรก 18 ธันวาฯ สามวันก่อนการสอบเข้าเขาหยวนชู
ฟิ้วๆๆๆ
เมิ่งชวนใช้ท่าชักกระบี่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เพียงฟันออกไป พลังแห่งฟ้าดินนั้นครอบระยะกว้างออกไปเป็นร้อยจั้ง เขาสามารถรู้สึกได้ถึงทุกอย่างในระยะร้อยจั้ง
‘”พลังกระบี่”ของข้าฝึกฝนจนถึงขีดสุดแล้ว’
“พลัง”สามารถกระตุ้นพลังแห่งฟ้าดินได้ และเมื่อถึงขีดสุด เราจะสามารถใช้พลังฟ้าดินเพื่อรับรู้ทุกสิ่งที่ถูกห่อหุ้มด้วยพลังนั้นที่ใช้ออกมาได้! นี่เป็นเขตแดนที่ก่อเกิดมาจากพลังกระบี่
อย่างไรก็ตาม มันก็ยังมีข้อบกพร่องในเขตแดนนี้ หากใครใช้พลังแห่งฟ้าดินเพื่อรับรู้สิ่งนั้น การรับรู้ของพวกเขาอาจจะพร่ามัวหากเจอกับคู่ต่อสู้ที่สามารถควบคุมพลังแห่งฟ้าดินได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม ในระดับนั้นคนๆนั้นคงจะแข็งแกร่งมากกว่าหากใช้พลังกายหรือพลังปราณ
ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบัน เมิ่งชวนนั้นเก่งกว่าเดิมได้เกือบห้าเท่านับจากต้นปีนี้
เมื่อ “พลังกระบี่” ถึงจุดสูงสุด ขั้นตอนต่อไปคือการสร้าง “สำนึกกระบี่” ‘แต่ข้าจะสร้าง “สำนึกกระบี่” อย่างไรกัน?’ เมิ่งชวนสงสัย
“สำนึกกระบี่” เป็นระดับที่สามของวิชากระบี่ ความยากในการบรรลุ “สำนึกกระบี่” นั้นยากยิ่งกว่าการเป็นเทพอสูรเสียอีก นี่เป็นเพราะเงื่อนไขในการเป็นเทพอสูรนั้นคือการเข้าถึง “พลัง” ควบแน่นแก่นแท้ และเข้าสู่ห้วงความเป็นความตาย! ดังนั้น เทพอสูรที่พึ่งกำเนิดใหม่นั้นก็ยังคงอยู่ในแค่ระดับพลังเพียงเท่านั้น
‘ย่าทวดบอกข้าว่าเธอถึงระดับสำนึกกระบี่ตอนอายุห้าสิบ แม้เธอจะเป็นเทพอสูรตอนอายุสามสิบห้าก็ตาม นี่เป็นระดับสูงสุดที่เธอเคยไปถึง เมิ่งเซียนกูนั้นถือว่าเร็วแล้ว มีบันทึกว่าเทพอสูรที่พึ่งกำเนิดใหม่หลายคนนั้น กว่าจะเข้าถึงระดับสำนึกกระบี่ก็แปดสิบกว่าปีแล้ว บางคนกว่าจะเข้าถึงระดับสำนึกกระบี่ก็เข้าไปร้อยปีแล้ว’
ผู้ที่ได้กลายมาเป็นเทพอสูรนั้นต่างเป็นคนที่สุดยอด อย่างไรก็ตาม มันก็แสนยากเย็นที่จะเข้าถึงสำนึกกระบี่ได้ ส่วนมากยังติดอยู่ในระดับพลังนับหลายปี
‘ข้าจะไปอย่างช้าๆ อีกสามวันนับจากนี้ ก็จะเป็นการสอบเข้าเขาหยวนชูแล้ว หลังจากได้เข้าไปแล้ว ข้าจะไปขอรับการแนะนำ มันควรจะมีวิธีที่ดีกว่านี้ในการฝึกฝนสำนึกกระบี่ในเขาหยวนชู’
มุ่งให้สูง หากไม่ทำเช่นนั้นมันก็คงจะได้เป็นแค่ระดับธรรมดา หากเขาอยากจะเข้าถึงสำนึกกระบี่ เขาต้องทำในเขาหยวนชู และเพื่อสิ่งนั้น การลองผิดลองถูกนั้นคงจะนานเกินไป
ทันใดนั้น เขาก็ได้ยินเสียงใครบางคนเรียกเขา
“ชวนเอ๋อร์ นายน้อยหยาน แล้วคนจากรัฐอู๋มาแล้ว” เมิ่งต้าเจียงตะโกนเสียงดัง
‘คนจากรัฐอู๋มาที่นี่?’ เมิ่งชวนเก็บกระบี่ของเขาและเดินออกจากห้องไป เหยียนจินเองก็ทำเช่นเดียวกัน
เมิ่งชวนและเหยียนจินมองออกไปไกลและเห็นนกสีแดงเพลิงยักษ์พุ่งโฉบลงมาจากด้านบน ด้านบนเป็นกลุ่มคนจำนวนมากนั่งขัดสมาธิอยู่ พวกเขาลงจอดลงที่ทางเข้าหลักของอาคารรับรอง
“ไปดูกันเถอะ” เมิ่งต้าเจียงและหลิวเย่ป๋ายเรียกพวกเขา
เมิ่งชวนและเหยียนจินตามมา
เมื่อพวกเขามาถึงห้องโถงหลักของอาคารรับรอง คนกลุ่มใหญ่ก็มาถึง คนที่เดินนำไม่ใช่ใครอื่น ขุนนางเมฆาสวรรค์ที่แต่งตัวเรียบง่ายและประนีตนั่นเอง
เมิ่งชวนและคนอื่นๆเป็นจุดดึงดูดสายตาตั้งแต่เข้ามาแล้ว
“นั่นสินะเมิ่งชวน”
“เขาสังหารแม่ทัพอสูรสองตนติดๆกันได้” คนอื่นๆแอบกระซิบกัน
เมิ่งชวน เหยียนจิน หลิวเย่ป๋ายและเมิ่งต้าเจียงโค้งคำนับด้วยท่าทางนอบน้อม “คารวะท่านขุนนาง”
เมิ่งชวนยังสังเกตเห็นอีกว่ามีหนุ่มสาวกว่าสิบคนอยู่ในห้องโถง เกือบทั้งหมดมาพร้อมกับผู้ใหญ่ คนเหล่านี้คืออัจฉริยะของรัฐอู๋ทั้งหมดที่เข้าร่วมการสอบเข้าของเขาหยวนชู
“ดี” ขุนนางเมฆาใต้ยิ้มและพยักหน้า
“คนสิบสองคนจากรัฐอู๋ของเราจะเข้าร่วมการสอบคัดเลือกเขาหยวนชูด้วยเช่นกัน” ขุนนางเมฆาใต้กล่าวด้วยรอยยิ้ม “สองคนนี้มาจากเมืองตงหนิง คนนี้ชื่อเมิ่งชวน อีกคนชื่อเหยียนจิน พวกเขาไปเมืองหยวนชูเมื่อไม่กี่เดือนก่อน พวกเจ้าทำความรู้จักกันไว้ละกัน อีกอย่าง ในอีกสามวัน ในวันที่ 21 ธันวาคม จะมีการสอบเข้าเขาหยวนชู ข้าจะพาพวกเจ้าไปที่นั่นแต่เช้า เพราะฉะนั้นเตรียมตัวให้พร้อม”
“ขอรับ” ทุกคนรับทราบด้วยท่าทางนอบน้อม
สถานะของขุนนางเมฆาใต้นั้นสูงกว่าสถานะของพวกเขามาก ถ้าไม่ใช่เพราะเขาต้องคุ้มกันอัจฉริยะเหล่านี้ ก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่อัจฉริยะเหล่านี้จะได้พบเขา
“นายน้อยเมิ่ง ข้าชื่อหวังปู้หยูแห่งตระกูลหวังในเมืองอู๋” ลูกขุนนางที่ดูสง่างามวิ่งเข้ามาหาพร้อมกับรอยยิ้มในทันที “ข้าได้ยินมาว่าเจ้าสังหารแม่ทัพอสูรสองตนติดกันเลยอย่างนั้นหรือ? ข้าอยากพบเจ้ามาโดยตลอดหลังจากที่ได้ข่าว ในที่สุดข้าก็ได้พบกับเจ้าในวันนี้”
“นายน้อยหวัง” เมิ่งชวนทักทายอย่างสุภาพ
พวกผู้ใหญ่ออกไปเลือกที่พักของพวกเขา เด็กๆก็เริ่มพูดคุยกัน
“ไม่ดีแล้ว รัฐอู๋ของเรามีสิบสองคน ราชวงศ์โจวที่ยิ่งใหญ่มีทั้งหมด 23 รัฐ! แถมยังมีอัจฉริยะมากมายในเมืองหลวงแล้วก็เมืองหยวนชู แต่เขาหยวนชูรับเพียงแค่ 20 คน ถึงจะแบ่งกันยังไง บางรัฐก็ไม่ได้เข้ารอบด้วยซ้ำ!” ชายหนุ่มคุยกับเพื่อนของเขาอย่างไม่ค่อยพอใจ “แถมยังมีพวกอัจฉริยะที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษอย่างเมิ่งชวนอีก เป็นไปไม่ได้ที่จะสอบผ่านเลยด้วยซ้ำ”
“เขาหยวนชูประเมินจากหลายแง่มุม เราอาจมีโอกาสก็ได้” เพื่อนของเขากล่าวด้วยรอยยิ้ม
…
หลังจากทำความรู้จักกันแล้ว เหล่าหนุ่มสาวก็กลับไปที่ห้องของตัวเองและเริ่มเตรียมตัวสำหรับการสอบเข้าเขาหยวนชู การสอบเข้าครั้งนี้จะส่งผลต่ออนาคตของพวกเขา
บทสุดท้ายของภาคการต่อสู้แห่งเมืองตงหนิง
ด้วยการสะบัดพู่กัน เมิ่งชวนวาดภาพประตูผ่านโลกขึ้นมาตรงใจกลางของผ้าใบ ฝูงอสูรจำนวนมากทะลักออกมาจากมันกระจัดกระจายไปทั่วทิศทาง
เขาวาดภาพอย่างช้าๆ โดยเริ่มจากวาดร่างก่อน
เขาตั้งใจวาดอสูรตัวหนึงเป็นพิเศษในหมู่อสูรที่กำลังทะลักทะลวง มันเป็นอสูรตั๊กแตนตำข้าว เขาวาดมันอย่างระมัดระวัง เพราะมันเป็นอสูรที่ติดตรึงอยู่ในใจของเขามากที่สุดนับตั้งแต่ตอนอายุหกขวบ
…
ในขณะที่วาดภาพนั้น ร่างโปร่งแสงตัวเล็กในช่องว่างแห่งจิตของเขาก็เริ่มส่องสว่างออกมา ช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ นับตั้งแต่ที่เขาวาดภาพ “สรรพชีวิต” นี่เป็นครั้งที่สองที่มันมีการเปลี่ยนแปลง
…
เขาหมกมุ่นอยู่กับภาพวาดของเขาโดยมุ่งเน้นไปที่อสูรตั๊กแตนตำข้าวที่กำลังตามล่าครอบครัวหนึ่ง
พ่อวิ่งหนีขณะที่กำลังอุ้มลูก ส่วนคนเป็นแม่มุ่งโจมตีใส่อสูรตั๊กแตนตำข้าวพร้อมกระบี่ในมือ
เพียงฉากนี้ฉากเดียวมันกลับใช้เวลากว่าสองชั่วโมงถึงจะทำเสร็จ และนี่เป็นเพียงมุมๆหนึ่งในผืนผ้าใบอันใหญ่ยักษ์นี้เท่านั้น
เมื่อเขาหยุดวาดภาพ เมิ่งชวนก็รู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในช่องว่างแห่งจิต
‘คนร่างเล็กนั่นกำลังส่องแสง?’ เขารู้สึกประหลาดใจ แต่จากนั้นแสงก็ค่อยๆจางไปอย่างรวดเร็ว
‘สภาพของช่องว่างแห่งจิตนี้มันต้องมีอะไรเกี่ยวกับภาพวาดของข้าเป็นแน่’ เมิ่งชวนประหลาดใจมาก ตอนที่เขาอายุ 16 ปี เขาวาดภาพ “สรรพชีวิต” ซึ่งเป็นภาพวาดที่ดีที่สุดของเขาตลอดหลายปีที่ผ่านมา ในคืนนั้น เขาได้ค้นพบช่องว่างแห่งจิตนี้อีกทั้งพลังแห่งวิญญาณ แต่ในตอนนั้น เขาไม่รู้เลยซักนิดว่ามันจะเกี่ยวข้องกับภาพวาด
อาจเป็นเรื่องบังเอิญก็ได้
อารมณ์ของเขาในขณะที่กำลังวาดภาพนี้ก็พลุ่งพล่านไม่น้อยไปกว่าตอนที่เขาวาดภาพ “สรรพชีวิต” เลย คนร่างเล็กในช่องว่างแห่งจิตนั้นทำให้เขาคิดเช่นนี้
อ่านตอนล่าสุดที่ my-novel.co หรือ www.thai-novel.com
‘มันต้องมีอะไรเกี่ยวกับการวาดภาพเป็นแน่!’
‘ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีใครที่ก่อกำเนิดพลังวิญญาณปริศนานี่จากการวาดภาพ?’ หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่นาน เมิ่งชวนก็ยังคงนึกไม่ออก ‘ช่างมัน เมื่อข้าเข้าสู่เขาหยวนชูได้ เดี๋ยวข้าก็คงรู้เอง’
อย่างน้อยที่สุด “พลังแห่งวิญญาณ” นี่ก็ช่วยเขาไว้ได้มาก
…
ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เมิ่งชวนได้ใช้อารมณ์อันพลุ่งพล่านนี่ผสมเข้ากับภาพวาดอย่างเต็มที่ ภาพวาดนี้ใช้เวลาวาดนานมากเช่นกัน เขาวาดออกมาได้เพียงน้อยนิดขณะที่ใช้เวลาสองถึงหกชั่วโมงต่อวันในการวาด
หลังจากใช้เวลากว่าหกเดือนกับผ้าใบผืนนั้น ในที่สุดเขาก็วาดเสร็จ
มันเป็นภาพชุดหนึ่ง แบ่งได้ออกเป็นสามส่วน
ส่วนแรกยาว 16 ฉื่อ ตรงกลางของภาพวาดเป็นฝูงอสูรที่กำลังทะลักออกมาทุกทิศทาง พวกมันถล่มทุกสิ่งที่ขวางหน้า มีพ่อแม่ที่พยายามปกป้องลูก แต่กลับถูกหางอันแหลมคมของอสูรแทงเขาใส่
ในภาพนี้มีซากศพอยู่ทุกหนแห่ง เด็กคนหนึ่งยืนร้องไห้ขณะที่ผู้ใหญ่ต่อกรกับอสูร และยังมีพ่อที่วิ่งแบกลูกหนีไปในขณะที่แม่ต้านอสูรเอาไว้ด้วยกระบี่…
เมิ่งชวนวาดฉากทั้งหมดสามสิบแปดฉาก ทุกฉากแสดงให้เห็นถึงอสูรและมนุษย์อย่างชัดเจน และทุกฉากนั้นต่างก็เป็นภาพที่เขาเคยสัมผัสหรือเห็นด้วยตาของเขาเอง ทุกๆครั้งที่เขาวาดภาพ เปลวเพลิงในจิตใจของเขาก็ลุกโชติมากขึ้นไปอีก
…
ตรงส่วนด้านนอก ที่ห่างไกลจากอสูรพอสมควร มีลูกศิษย์สำนักเต๋า พ่อค้า และคนธรรมดาที่กำลังตื่นตระหนก
…
และตรงนอกสุดนั้น ก็มีเทพอสูรทั้งสามยืนอยู่ที่วังหยกสุริยัน เตรียมพร้อมต่อสู้
และยังมีสถานที่อื่นๆอีกมาก
ในสำนักเต๋า ศิษย์ที่อ่อนแอกว่าได้เข้าไปในอุโมงค์ ในขณะที่ศิษย์ที่แข็งแกร่งกว่านั้นเฝ้าดูอสูรที่ใกล้เข้ามาด้วยท่าทางที่มุ่งมั่นและประหม่า ด้วยการสั่งการจากอาจารย์หรือเจ้าสำนัก เหล่าจอมยุทธเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้
ไม่มีข้อยกเว้นใดๆ คนที่อ่อนแอ ไม่ว่าจะเป็นใครมาจากไหน ต่างเดินแถวเข้าอุโมงค์ไป
ส่วนคนที่แข็งแกร่ง ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่หรือเพศอะไร ต่างยืนอยู่ข้างกันเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้
…
ดวงอาทิตย์ที่ภาพวาดที่พึ่งจะขึ้นนั้น แสดงให้เห็นว่าการรุกรานของอสูรเกิดขึ้นในตอนรุ่งสาง
นี่เป็นเพียงภาพวาดแรกเท่านั้น
ภาพวาดที่สองมีความยาวประมาณ 18 ฉื่อ มันโหดร้ายและโชกเลือดกว่านี้มาก
ใจกลางของภาพแสดงให้เห็นถึงซากศพ ผลจากการโจมตีของเหล่าอสูร ร่างชายหญิงและเด็กต่างนอนแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น และบางร่างก็เป็นร่างของศิษย์สำนักเต๋า
การต่อสู้ปะทุขึ้นทุกที่
ทหารถือโล่พยายามต้านทานการโจมตีของอสูรในขณะที่อีกคนยิงโจมตีจากระยะไกล ท้องของมนุษย์ผู้นั้นถูกแทงแต่เขาก็ยังจับรัดอสูรเอาไว้แน่นเพื่อให้เพื่อนของเขาผ่าหัวอสูรด้วยกระบี่
มนุษย์บางคนฆ่าอสูรได้สำเร็จเนื่องจากกับดักที่พวกเขาวางไว้ อย่างไรก็ตาม ยังมีอสูรอีกมากมายรุดเข้ามาจากทุกทาง มีทั้งพ่อลูกคู่หนึ่งที่ร่วมกันจัดการกับอสูร มีกระทั่งทหารผ่านศึกที่ต่อสู้ด้วยเช่นกัน
…
เมิ่งชวนได้เห็นภาพที่น่าเศร้าเหล่านี้ด้วยตัวเอง มันเป็นภาพที่พบเห็นได้ทั่วในการรุกรานเมืองตงหนิง เขาวาดมันขึ้นมาจากความทรงจำ เขาวาดสายตาที่มุ่งมั่นของผู้ที่ยอมตกตายไปพร้อมกับอสูร และสหายของพวกเขาที่ต้องสู้ต่อไปอย่างเจ็บปวด…
ทำไมพวกเขาถึงต้องพยายามขนาดนั้น? ครั้งหนึ่งเมิ่งชวนเคยสงสัยในเรื่องนี้ แต่ในตอนที่เขาวาดรูปนี้ มันทำให้เขารู้คำตอบหลังจากที่ได้วาดผู้คนเหล่านี้
พวกเขาทำเพื่อความหวัง
พวกเขาทำเพื่อคนที่รักและความหวัง ความหวังที่จะได้เห็นดวงอาทิตย์ขึ้นอีกครา
พวกเขาต้องพยายามอย่างหนักเพื่อให้มั่นใจว่าครอบครัวของพวกเขาจะมีชีวิตอยู่
…
เขาวาดฉากที่สำนักเต๋าเพลิงตะวันพยายามอย่างเต็มที่ที่จะป้องกันในขณะที่เหล่าอสูรบุกเข้าไปในนั้น เหล่าทหารผ่านศึก ทหารประจำการ และหนุ่มสาวต่างพยายามที่จะป้องกันอย่างเต็มที่ ใช้ชีวิตของพวกเขาเป็นกำแพงเพื่อขวางกั้นไม่ให้อสูรบุกเข้าไปหาคนที่อ่อนแอกว่าที่หลบอยู่ในอุโมงค์
…
ตระกูลเทพอสูรเองก็ต่อสู้อย่างสุดกำลัง เหล่าผู้อาวุโสพุ่งไปข้างหน้าเพื่อต้านอสูรเอาไว้ เหล่าหนุ่มสาวเองก็สู้ด้วยเช่นกัน ผู้อาวุโสหัวล้านที่นำการตอบโต้กลับถูกหนวดอสูรแทงเข้าใส่อก แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังสามารถสังหารอสูรได้ด้วยการฟาดฟันเพียงครั้งเดียว
…
เทพอสูรที่วังหยกสุริยันเองก็ต่อสู้อย่างสุดกำลัง มีเทพอสูรคนหนึ่งได้ล้มลงไปแล้วและเทพอสูรหญิงอีกคนก็พยายามอย่างเต็มที่ที่จะรั้งเอาไว้ มีเพียงเทพอสูรชายคนสุดท้ายที่ต้องต่อสู้กับราชาอสูรทั้งสี่
พวกเขามีเพียงเทพอสูรคนเดียวที่ยังต่อสู้ได้อยู่ มันเป็นการต่อสู้ที่ช่างสิ้นหวัง
แต่มันก็เพื่อความหวังเช่นกัน
…
ดวงอาทิตย์ของอีกภาพนั้นอยู่สูงขึ้นมาอีกหน่อย
ภาพวาดทั้งผืนนี้แสดงให้เห็นถึงการต่อสู้ทุกหนทุกแห่ง มันใช้เวลาไปกว่าสามเดือนกว่าเมิ่งชวนจะวาดเสร็จ
…
ภาพที่สามยาว 16 ฉื่อ สถานการณ์ในสนามรบนั้นกลับตาลปัตร ผู้คนจากทั่วทุกสารทิศเริ่มโจมตีใส่อสูรในขณะที่พวกมันหนีไปอย่างตื่นตระหนก
พวกอสูรทุกตนกำลังหลบหนี พวกมันตื่นตระหนก ดูน่าสมเพชในขณะที่ถูกไล่สังหารไปทีละตัว พวกมันหนีอย่างเอาเป็นเอาตายไปที่ประตูผ่านโลกที่อยู่ตรงกลาง ที่ๆมันจากมา และตอนนี้ นั่นคือทางรอดของพวกมัน
ในขณะเดียวกัน ในรอบนอก ลำแสงกระบี่พุ่งลงมาจากท้องฟ้าและสังหารราชาอสูรในวังหยกสุริยันในขณะที่ราชาอสูรตนอื่นๆหนีไปอย่างน่าสมเพช
ในสำนักเต๋า ทุกๆคนต่างช่วยรักษาสหายที่บาดเจ็บของพวกเขา มีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ที่บาดเจ็บสาหัส
ผู้คนจำนวนมากไม่ว่าจะเพศอะไรต่างก็ตายในการต่อสู้ บางคนหล่อสวย หรือบางคนก็แก่หงำเหงือก คนที่เหลืออยู่ก็ได้แต่ร้องไห้เสียใจให้กับคนที่ตายไป
ทุกๆที่ ไม่ว่าจะเป็นบ้านเรือน ร้านอาหาร โรงน้ำชา ตระกูลเทพอสูร และอีกมาก ก็เริ่มที่จะรักษาคนเจ็บและขนย้ายซากศพแล้ว
สำหรับซากศพอสูรจำนวนมากที่กระจัดกระจายไปทั่วนั้น ไม่มีใครแม้แต่จะสนใจมอง พวกเขาส่วนมากต่างดูแลคนเจ็บและฝังศพคนตาย
แม้ว่าการต่อสู้จะได้รับชัยชนะ แต่ในภาพนี้กลับไม่มีความสุข กลับกัน เราสามารถรู้สึกได้ถึงความมุ่งมั่นในการต่อสู้จากภาพนี้ มันคือความมุ่งมั่นอันแรงกล้า! วีรบุรุษได้ตายไป แต่ว่าคนที่ยังอยู่นั่นก็จะมุ่งหน้าและสู้ต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง
ดวงอาทิตย์ขึ้นสูงในทิศตะวันออก
ภาพนี้ถูกวาดด้วยสีที่สว่างที่สุดจากทั้งสามภาพ
…
หลังจากที่เมิ่งชวนวาดภาพเสร็จ เขาก็นิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน ในที่สุด เขาก็เขียนคำสี่คำในภาพสุดท้าย “แสงแดดยามเช้า” ส่วนสองภาพแรกนั้นเขาไมไ่ด้ตั้งชื่อให้
ฟุบๆๆ เมิ่งชวน เมิ่งต้าเจียง หลิวเยว่ป๋ายและเหยียนจินกระโดดลงจากหลังนก
“จัดที่พักให้พวกเขา” ผู้อาวุโสคิ้วยาวบอกขณะที่เขายังคงนั่งอยู่บนหลังนก
“ขอรับ” คนของอาคารรับรองแคว้นอู๋ตอบด้วยท่าทางนอบน้อม
“หลิวเย่ป๋าย” ผู้อาวุโสคิ้วยาวมองไปที่หลิวเย่ป๋ายและพูดเรียบๆ “หลังจากที่ลูกสาวของเจ้าขึ้นไปบนเขาแล้ว เธอจะออกมาไม่ได้ก่อนจะเป็นเทพอสูรยกเว้นว่าจะมีเหตุผลพิเศษอะไร เจ้าสามารถคุยกันผ่านทางจดหมายได้ หากมีอะไรเร่งด่วน เจ้าสามารถมาที่ภูเขาเพื่อตามหาลูกสาวเจ้าได้”
“เข้าใจแล้วขอรับ” หลิวเย่ป๋ายยิ้มขณะมองลูกสาวของเขา หลิวชีเยว่ที่นั่งอยู่บนหลังนก เขาบอกสั่ง “ชีเยว่ จงฝึกฝนวิชาในเขาหยวนชูให้ดี หากมีปัญหาหรืออะไร ก็เขียนจดหมายมาหาข้า ข้าจะอยู่ที่อาคารรับรองแคว้นอู๋อีกสองสามเดือน”
“ค่ะ แล้วข้าจะเขียนถึง” หลิวชีเยว่ก็ไม่ค่อยอยากที่จะแยกทางกับพ่อของเธอ เธอหันไปมองเมิ่งชวน “อาชวน ข้าจะเขียนถึงเจ้าด้วยนะ”
เมิ่งชวนยิ้มและพยักหน้า
“เจ้าเด็กคนนี้นี่” หลิวเย่ป๋ายยิ้มและส่ายหน้า
“ไปกันเถอะ” ผู้อาวุโสคิ้วยาวเอามือแตะนกสีดำขนาดมหึมาเบาๆ มันพุ่งขึ้นไปในอากาศนำชายคิ้วยาวและหลิวชีเยว่ไปสู่เขาหยวนชูในตำนาน
“เขาหยวนชู” เมิ่งชวนและคนอื่นๆมองออกไป ภายในเมืองหยวนชูนี้ พวกเขาสามารถมองเห็นเทือกเขาขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ในกลุ่มเมฆ มันคือที่ที่เหล่าเทพอสูรของเมืองหยวนชูฝึกวิชากัน
“ท่านขอรับ” หนึ่งในคนดูแลของอาคารรับรองแคว้นอู๋กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้ห้องพักของอาคารรับรองค่อนข้างจะว่าง พวกท่านอยากจะแยกห้องหรือนอนรวมขอรับ?”
เมิ่งต้าเจียงกล่าว “ลูกชายของข้า เมิ่งชวนกับข้าจะอยู่ด้วยกัน ส่วนนายน้อยเหยียนจินและพี่หลิวนั้นแยกห้องกันนอน”
“สามห้องสินะขอรับ? แน่นอนว่า อาคารรับรองนี้ใหญ่โต พวกท่านสามารถเลือกได้ตามใจเลยนะขอรับ” ผู้ดูและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ในช่วงปลายปี จะมีอัจฉริยะหลายคนจากรัฐอู๋มาเข้าร่วมการสอบเข้าด้วย เพราะฉะนั้นในตอนนั้นจะมีคนมาเยอะแยะขอรับ”
ไม่ใช่ว่าใครจะเข้าพักที่อาคารรับรองแคว้นอู๋ได้
อ่านตอนล่าสุดที่ my-novel.co หรือ www.thai-novel.com
มีเฉพาะอัจฉริยะที่เข้าร่วมการทดสอบของเขาหยวนชูและเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่รัฐอู๋ส่งมาเท่านั้นที่มีสิทธิที่จะพักอยู่ที่นี่ คนที่ไม่ได้รับอนุญาติจะเข้าไม่ได้
เมิ่งชวนและคนอื่นๆเลือกแค่ห้องพักที่มีสวนเล็กๆใกล้ๆอาคารรับรอง
…
ในสวนเล็กๆ เมิ่งต้าเจียงวางทุกอย่างที่เอามาด้วยไว้ในห้อง “จากนี้ไปเราจะพักกันอยู่ที่นี่” เขายิ้มขณะมองไปที่ห้อง “ที่นี่ดีจริงๆ สะอาดด้วย”
“ท่านพ่อ ข้าขอห้องข้างๆ” เมิ่งชวนพูด
“รีบๆนอนเถอะ ยังมีเวลาอีกพอสมควรก่อนรุ่งสาง” เมิ่งต้าเจียงหัวเราะ แม้ว่าเขาจะรักษาความอ้วนเอาไว้ได้ แต่ใบหน้าของเขานั้นก็ซีดเซียว เพราะไม่ว่ายังไงเขาก็ใช้พลังของเขาไปเยอะ ตอนนี้เขาใช้เทคนิคลับของเขาเพื่อรักษาขนาดร่างของเขาเอาไว้ แต่เขาก็ต้องการการพักผ่อนและอาหารมากกว่านี้
เมิ่งชวนพยักหน้าและไปที่ห้องของเขา ห้องได้รับการตกแต่งอย่างเรียบง่าย มีเตียงและโต๊ะอ่านหนังสืออยู่ริมหน้าต่าง ข้างๆนั้นเป็นชั้นหนังสือที่มีหนังสืออยู่บ้าง
ขณะที่เมิ่งชวนนอนอยู่บนเตียงและจ้องมองดวงจันทร์ผ่านหน้าต่าง เขาก็รู้สึกได้ถึงอารมณ์ที่ยังขลุกมัวอยู่ในใจเขา มีอะไรหลายๆอย่างเกิดขึ้นในวันนี้ และมันส่งผลกระทบต่อจิตใจเขามาก
…
เมื่อรุ่งเช้า เมิ่งต้าเจียงไปเรียกเหยียนจินและหลิวเย่ป๋ายที่พักอยู่ข้างๆพวกเขา “มาเร็วๆ ไปกินข้าวเช้าด้วยกันเถอะ”
“อาหารเยอะดีจริงๆนะนี่” หลิวเย่ป๋ายกล่าวชื่นชมขณะที่มองไปที่โต๊ะอาหารในสวน
“ข้าให้คนจากอาคารรับรองมาส่งอาหารเช้าที่นี่ มากินข้าวกัน” เมิ่งต้าเจียงกล่าว “ปริมาณเท่านี้น่าจะเพียงพอให้เราอิ่มท้อง”
เหยียนจินพยักหน้าเช่นกัน เขานั่งข้างเมิ่งชวนและเริ่มรับประทานอาหาร เมิ่งชวนกินโจ๊กและซาลาเปา
“มีซาลาเปาเนื้อ ซาลาเปานึ่ง แล้วหมั่นโถวยักษ์ด้วย” เมิ่งต้าเจียงพูดอย่างกระตือรือร้น เขากินโจ๊กและกินหมั่นโถวเข้าไปช้าๆ เพราะไม่ต้องรีบร้อนอะไร
“วันนี้พวกเจ้าสองคนวางแผนจะทำอะไร” หลิวเย่ป๋ายอารมณ์ดี เขายิ้มและถามว่า “เจ้าอยากออกไปเที่ยวชมเมืองหยวนชูไหม”
เมิ่งชวนกล่าว “ข้าไปดูแผนที่ของเมืองหยวนชูมาแล้ว มันใหญ่เกินไป มีสถานที่มากมายให้จับจ่ายและสิ่งบันเทิงต่างๆมากมาย ข้าคิดว่ากว่าจะสำรวจครบทั้งเมืองก็คงจะผ่านไปเดือนนึงแล้ว ข้าขอฝึกฝนอยู่ที่นี่ดีกว่า “
“ข้าเองก็จะฝึกฝนอยู่ที่นี่ด้วย” เหยียนจินกล่าว
“เอาล่ะๆ พวกเจ้าฝึกวิชาไป พวกเราสองคนจะไปเดินเล่น” หลิวเย่ป๋ายกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ไม่นาน เมิ่งชวนและเหยียนจินก็กินอิ่ม และตอนนั้นเอง เมิ่งต้าเจียงก็เริ่มกินเร็วขึ้น เขายัดหมั่นโถวเข้าปากและซดโจ๊กจากถ้วยที่ยังอุ่นๆไปหมด
เหยียนจินถึงกับคิ้วกระตุกเมื่อได้เห็น เขาอดไม่ได้ที่จะหันไปมองเมิ่งชวน เมิ่งชวนไม่ได้กินเยอะ แต่พ่อของเขาเนี่ยสิ!
“ข้าไม่ชอบให้อาหารมันเหลือ” เมิ่งต้าเจียงหัวเราะเบาๆก่อนจะยืนขึ้น “เจ้าทั้งคู่ฝึกวิชากันให้สนุก พวกเราจะออกไปข้างนอก”
หลิวเยว่ป๋ายเดินออกไปจากสวนพร้อมๆกับเขา ทั้งสองคนเดินเล่นรอบๆรับรองอย่างเรื่อยเปื่อย อาคารรับรองนั้นกว้างใหญ่ และทิวทัศน์โดยรอบนั้นสวยงาม
“เจ้ายังไม่อิ่ม ใช่ไหมล่ะ?” หลิวเยว่ป๋ายแกล้งแหย่เมิ่งต้าเจียง
“การต่อสู้กับอสูรเมื่อวานนี้กินพลังข้ามากเกินไป ข้าต้องหาอะไรกินฟื้นฟู” เมิ่งต้าเจียงกล่าว “ไปหาอะไรกินกันเถอะ เดี๋ยวจะได้สั่งหมูกับแพะทั้งตัว”
“ได้เลย” หลิวเย่ป๋ายพยักหน้า
“จริงด้วย เรื่องที่สายเลือดวิหคเพลิงตื่นขึ้นในตัวชีเยว่ ข้าคิดว่าตระกูลหลิวน่าจะรู้เรื่องแล้ว” เมิ่งต้าเจียงกล่าว
“ฮึ ข้าหลีกเลี่ยงพวกนั้นมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่ครั้งนี้มันต่างออกไป ลูกสาวของข้าได้ปลุกสายเลือดวิหคเพลิงและเข้าสู่เขาหยวนชู ข้าจะไปกลัวอะไรเล่า?” หลิวเย่ป๋ายเย้ยหยัน “ถึงตระกูลหลิวจะรู้เรื่องนี้ พวกนั้นก็ได้แต่ต้องมาขอร้องข้าเท่านั้น”
“เจ้าคิดจะกลับไปหรือเปล่า?” เมิ่งต้าเจียงถาม
“หากมันไม่คืนหุบเขาต้าเจี้ยงให้ครอบครัวข้า ต่อให้ตายข้าก็จะไม่กลับไป” ใบหน้าของหลิวเย่ป๋ายมีความรังเกียจ “พวกมันก็จะพูดแต่เรื่องดีๆแล้วก็ขอร้องข้า แต่พอมาเป็นเรื่องคืนหุบเขาต้าเจี้ยง? ไม่มีทาง คงมีแค่ตอนที่ลูกสาวข้าได้ยศขุนนาง ตระกูลหลิวถึงจะยอมก้มหัวให้จริงๆ มันจะต้องคืนหุบเขาต้าเจี้ยงให้อย่างว่าง่ายด้วยซ้ำ”
“แต่งตั้งเป็นขุนนาง?” เมิ่งต้าเจียงพยักหน้าเล็กน้อย “นั่นคงจะยากแน่ๆ”
มันเป็นเรื่องยากมาก
ขุนนางเป็นหนึ่งในบุคคลที่ทรงพลังที่สุดในรัฐอู๋ จอมยุทธที่มีร่างเทพวิหคเพลิงจะทำให้มันดูทรงพลังมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ! ถึงตอนนั้นตระกูลหลิวคงจะเชื้อเชิญให้หลิวชีเยว่เป็นผู้นำตระกูลไปเลยด้วยซ้ำ
“อย่าคุยเรื่องน่ารำคาญพวกนี้จะดีกว่า ไปหาอะไรกินกันเถอะ” หลิวเย่ป๋ายกล่าว
…
ในอาคารรับรองแคว้นอู๋ เมิ่งชวนกูฝึกฝนตามปกติ อย่างไรก็ตาม เพราะว่าไม่มีคนรับใช้และยามคอยช่วยเหลือเขา เขาก็ทำได้แค่ฝึกท่าชักกระบี่เท่านั้น
ฟิ้วๆๆๆ!
กระบี่นิ่งเหมือนผิวน้ำตัดผ่านอากาศ แต่ว่ามันไม่มีแรงกระแทกอะไรใดๆ ในระดับเขาแล้ว แรงต้านอากาศนั้นไม่เป็นปัญหาเลยด้วยซ้ำเพราะพลังแห่งฟ้าดิน
เขาใช้วิชากระบี่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ในอดีต เมิ่งชวนให้ทหารยามยิงลูกธนูใส่เขา อย่างแรกมันช่วยการฝึกความแม่นยำของเขา และอย่างที่สอง ก็คือเพื่อให้แน่ใจว่าเขาจะเร็วขึ้นไปเรื่อยๆทุกๆการโจมตี
แต่ตอนนี้ เมิ่งชวนพบว่าการฝึกฝนของเขาแทบไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้จะไม่มีการช่วยเหลือของทหารยาม
ขอบเขตสัมผัสสิบจั้งของเขานั้นสามารถรับรู้ได้ถึงอานุภาคของฝุ่นในอากาศได้เลยด้วยซ้ำ! เขาสามารถฟันใส่มันได้ แล้วก็จะฝึกฝนความแม่นยำด้วยวิธีนี้ได้ แต่โชคไม่ดีที่ฝุ่นพวกนี้นั้นมีขนาดเล็กและเคลื่อนที่ได้ช้า ทำให้มันไม่ยากเท่าไรนัก
ส่วนความเร็วในการฟาดฟันแต่ละครั้งน่ะเหรอ? นั่นไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวลอีกต่อไป เพราะความแม่นยำของขอบเขตของเขา ความเร็วของการโจมตีแต่ละครั้งนั้นแม่นยำมาก ทำให้เขาสามารถตัดสินความเร็วในการฟาดฟันได้อย่างชัดเจน
และผลก็คือ แม้จะไม่มีทหารยามคอยช่วย แต่เขาก็ไม่ได้ด้อยประสิทธิภาพในการฝึกลงเลย เขายังสามารถฝึกฝนความแม่นยำและความเร็วของเขาได้อยู่
เขากินข้าวเที่ยงกับเหยียนจิน ส่วนเมิ่งต้าเจียงและหลิวเย่ป๋ายนั้น พวกเขายังไม่กลับมาจากการเดินเล่นเลย
หลังจากฝึกเสร็จ เมิ่งชวนกูใช้น้ำจากบ่อในสวนเพื่อล้างตัว หลังจากเปลี่ยนชุดเสร็จ เขาก็นั่งลงบนโต๊ะและเริ่มวาดรูป
เมิ่งชวนได้ให้เจ้าหน้าที่ของอาคารรับรองคอยซื้อของที่จำเป็นสำหรับการวาดรูปในตอนเช้า และแน่นอนว่าเขาจ่าย
เมืองตงหนิง
ขณะที่มองไปที่ผืนผ้าใบสีขาวราวกับหิมะ หัวใจของเขาก็เต็มไปด้วยความคิดเกี่ยวกับบ้านเกิด เมืองตงหนิง เขาถือพู่กันไว้ในมือ แต่เขายังไม่ลงมือ
เขารู้สึกอึดอัดแปลกๆ ตั้งแต่การรุกรานของอสูรเมื่อวานนี้จนถึงตอนนี้ ทุกๆอย่างมันราวกับเชื่อมกับบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ลึกๆในใจของเขา
เขาเคยเป็นแบบนี้ครั้งหนึ่งเมื่อตอนหกขวบ ในตอนนั้นเขาเป็นได้แค่ผู้ลี้ภัย แต่ในตอนนี้ที่เขาอายุสิบแปด เขาได้เข้าร่วมในการต่อสู้ของเมืองตงหนิง ความรู้สึกนี้มันต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
ในขณะที่ครุ่นคิดอยู่ อารมณ์ที่รุนแรงในจิตใจก็ระเบิดออกมา เขาเริ่มวาดรูปโดยไม่สนใจสิ่งอื่นใด
เมิ่งชวนและพ่อของเขาก็เห็นตัวแทนที่มาจากตระกูลเทพอสูรเช่นกัน
“เมิ่งชวน เจ้าคือความภาคภูมิใจของเมืองตงหนิงของเรา เราจะรอข่าวดีของเจ้าจากที่นี่ในเมืองตงหนิง” หวินฟู่เฉิงยิ้มขณะมองไปที่เมิ่งชวน “ถ้าเจ้าได้เป็นเทพอสูรแล้ว สังหารราชาอสูรให้ได้อีกเยอะๆล่ะ”
“แน่นอนขอรับ” เมิ่งชวนพยักหน้า
“ในตอนนั้น ข้าได้รับบาดเจ็บที่จุดตันเถียนจากด่านฉินหยาง ทำให้ข้าหมดความหวังที่จะได้เป็นเทพอสูร อย่างไรก็ตาม ข้าก็ยังยินดีที่จะได้มีเทพอสูรคนใหม่ของเมืองตงหนิง” หวินฟู่เฉิงยิ้ม เขามีความสุขอย่างจริงแท้
เมิ่งชวนพยักหน้าเล็กน้อย เขารู้เรื่องราวผลงานของผู้นำตระกูลหวิน หวินฟู่เฉิงมาไม่น้อยและค่อนข้างประทับใจเลยทีเดียว
“ยังเร็วไปที่จะเรียกชวนเอ๋อร์ว่าเทพอสูร เขายังต้องผ่านการทดสอบของเขาหยวนชูเสียก่อน” เมิ่งต้าเจียงกล่าวอย่างนอบน้อม
หวินฟู่เฉิงส่ายหน้าและพูดว่า “เขาสังหารแม่ทัพอสูรด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว และตอนนี้เขาอายุเพียง 18 ปีเท่านั้น หากมีความสามารถเช่นนี้จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะไม่ได้เข้าสู่เขาหยวนชู? น้องต้าเจียง ข้าอิจฉาเจ้าเสียจริงที่มีลูกชายที่แข็งแกร่งเช่นนี้”
“ข้าเองก็ประทับใจในการสอนของท่านเช่นกัน พี่เมิ่ง” ในที่สุดหวินฟู่อันก็พูดอะไรออกมาบ้าง แม้ท่าทางเขาจะดูไม่เต็มใจเท่าไหร่
“ข้าเข้าใจว่าพวกเจ้ากำลังยุ่งอยู่ พวกข้าจะไม่รบกวนเจ้าแล้ว แล้วก็ไม่ต้องไปส่งก็ได้” หวินฟู่เฉิงยิ้มขณะที่เขาพาหวินฟู่อันออกไป
เมิ่งต้าเจียงและเมิ่งชวนเฝ้าดูทั้งสองคนจากไป
“ผู้แข็งแกร่งทั้งสามของตระกูลหวินนั้นไม่ธรรมดาจริงๆ แต่หวินฟู่อันก็เป็นแค่คนธรรมดาๆ”เมิ่งต้าเจียงกล่าว “ย่าทวดของเจ้ายังบอกอีกว่าผู้นำของตระกูลหวินก็ทำได้ดีมากในการปกป้องเมืองตงหนิง! เขาได้ต่อสู้กับราชาอสูรอย่างเต็มที่ในตอนแรกพยายามปกป้องย่าทวดของเจ้า มีเพียงหลังจากที่เขาทรุดลงไปแล้วเท่านั้น ที่พวกราชาอสูรถึงมีโอกาสโจมตีใส่ย่าทวดเจ้า จนทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง เพียงเท่านี้ ก็ไม่มีสิ่งใดต้องใส่ใจมากกับตระกูลหวิน นี่เป็นสิ่งที่ย่าทวดเจ้าต้องการ”
“ท่านพ่อ” เมิ่งชวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านดูถูกข้าเกินไป ข้าไม่ได้ใส่ใจพวกเขาตั้งแต่แรกแล้ว สิ่งที่ข้าสนใจคือการเข้าสู่เขาหยวนชูและฝึกฝนเพื่อเป็นเทพอสูร”
เมิ่งต้าเจียงมองลูกชายด้วยความรู้สึกปลื้มปริ่ม ‘เหนียนหยุนลูกของเราสุดยอด สุดยอดจริงๆ’
…
อ่านตอนล่าสุดที่ my-novel.co หรือ www.thai-novel.com
ตกกลางคืน
วังหยกสุริยันมีชีวิตชีวามาก มีผู้คนจำนวนมากมารวมตัวกันที่นั่นเพื่อส่งเมิ่งชวน หลิวชีเยว่และเหยียนจิน
“เมิ่งชวน” เจ้าสำนักเก๋อหยูจากสำนักเต๋าจิงหู่รู้สึกตื่นเต้น “เตรียมตัวให้ดีหลังจากไปถึงเมืองหยวนชู ผ่านการทดสอบในเดือนธันวาคมและเข้าสู่เขาหยวนชูให้ได้!”
“ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่ขอรับ ท่านเจ้าสำนัก” เมิ่งชวนกล่าว
“พอมาคิดว่าข้า เก๋อหยู เคยสอนเทพอสูรจากเขาหยวนชูมาก่อน ฮ่าๆ ข้าอวดเรื่องนี้ได้ทั้งชีวิตข้าเลยด้วยซ้ำ” เก๋อหยูหัวเราะ
จงเฉียนเหอจากสำนักเต๋าเพลิงตะวันหัวเราะและพูดว่า”เจ้าแก่เก๋อ เมิ่งชวนเรียนรู้อะไรไปจากเจ้าบ้างกัน? หรือว่าเจ้าจะอวดไปหน้าด้านๆเล่า?”
“ทำไมจะไม่ล่ะ? ข้าสอนกระบี่ใบไม้ร่วงให้เขาตัวต่อตัวเยอะเลยนะ!” เก๋อหยูหันไปมอง “น้องต้าเจียงให้ข้าสอนกระบี่ที่ว่องไวให้เขาเพราะข้าเก่งเรื่องกระบี่ไว แม้ตอนนี้ข้าด้อยกว่าเมิ่งชวนไปแล้ว แต่ความภาคภูมิใจที่สุดของข้าคือการมีศิษย์ที่แข็งแกร่งกว่าข้า! ข้าดีใจจริงๆที่ศิษย์ของข้านำข้าไปแล้ว”
“นั่นเป็นแนวคิดที่ดี” จงเฉียนเหอพยักหน้าชื่นชม “ศิษย์ของเจ้าแข็งแกร่งกว่าพวกเราแล้ว”
“เจ้าสำนัก พวกเราจะกันแล้ว” หลิวชีเยว่กล่าวอำลาจงเฉียนเหอเช่นกัน
“เอาเลย” เจ้าสำนักจงกล่าวและยิ้มให้กับลูกศิษย์ของเขา เขารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่เคยมีโอกาสได้สอนสั่งเทพอสูรที่มีกายาวิหคเพลิง
หลังจากอำลาเจ้าสำนักเก๋อหยูแล้ว เมิ่งชวนก็เดินไปหาเหล่าเทพอสูร
เทพอสูรสองสามคนยืนอยู่ด้วยกัน หนึ่งในนั้นคือขุนนางเมฆาใต้ ในขณะที่อีกคนเป็นผู้อาวุโสคิ้วยาวจากเขาหยวนชู นอกจากนี้ยังมีเจ้าวังหยกสุริยันและเมิ่งเซียนกูยืนอยู่ข้างๆ
“ได้เวลาออกเดินทางแล้ว” ผู้อาวุโสคิ้วยาวพยักหน้าเล็กน้อย
เมิ่งเซียนกูหันไปมองเมิ่งชวนที่เดินเข้ามาและสั่งว่า “เมิ่งชวน เมื่อไปถึงเมืองหยวนชูเจ้าจงอยู่อย่างสงบ ไม่ต้องสนใจสิ่งอื่นใด มุ่งเน้นไปที่การฝึกวิชาของเจ้าและเตรียมความพร้อมสำหรับการสอบเข้าเขาหยวนชูปีนี้พอ”
“ไม่ต้องกังวลขอรับ ท่านย่าทวด” เมิ่งชวนกล่าวด้วยท่าทางนอบน้อม
“ข้าจะอยู่ในเมืองตงหนิงและจะรอข่าวดีของเจ้าที่จวนบรรพบุรุษ” เมิ่งเซียนกูมองเขาอย่างมีความหวัง
“ไปกันเถอะ” ผู้อาวุโสคิ้วยาวเร่งเร้า
มีนกสีดำขนาดใหญ่ตัวหนึ่ง ขนาดมันยืนอยู่บนพื้นและหุบปีก แต่มันก็ยังกินพื้นที่กว่าสิบจั้ง เหยียนจินในชุดสีขาวสะพายกระเป๋าก็นั่งอยู่บนหลังนกตัวนั้นไปแล้ว
“ไปกันเถอะ” หลิวเย่ป๋ายและหลิวชีเยว่ขึ้นไปบนหลังนก
“พวกเราก็ไปกันเถอะ” เมิ่งต้าเจียงและเมิ่งชวนก็กระโดดขึ้นไป หลังของนกมีความยาวเป็นสิบจั้ง มีที่ว่างเหลือเฟือแม้ว่าจะนั่งเหยียดขาก็ตาม
จากนั้นชายแก่คิ้วยาวก็นั่งคร่อมลงบนนก
“ไปกันเถอะ” เขาขยุ้มขนนกเบาๆ
และมันก็ส่งเสียงร้องดังก้อง ก่อนที่นกสีดำจะทะยานไปในอากาศ
“เมืองตงหนิง” เมิ่งชวนและหลิวชีเยว่มองลงไป หลังจากที่อาศัยอยู่ที่นี่มาเนิ่นนาน พวกเขาไม่อยากจะจากมันไป
ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืน เมืองตงหนิงถูกปกคลุมไปด้วยแสงจากโคมไฟ ทุกคนคร่ำครวญจนเสียงนั้นดังมาได้ยินหน่อยๆ ไม่มีหอนางโลมใดในเมืองเปิด
“ยังดีที่พวกเราชนะ “เมิ่งต้าเจียงพูด “เมืองตงหนิงจะกลับคืนสู่ความมีชีวิตชีวาอย่างในอดีตในไม่ช้า หากเราแพ้ มันก็คงจะเป็นโศกนาฏกรรม คงน่าเศร้าถ้าเป็นเช่นนั้น”
เหยียนจินมองลงไปเช่นกัน การตายของแม่และทุกอย่างที่เกิดขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาทำให้เขาเกลียดพ่อของเขา อย่างไรก็ตาม ผู้คนที่ด่านอันไห่ต่างก็เคารพราชาทะเลตงไห่ การโจมตีเพียงครั้งเดียวของเขาช่วยชีวิตเมืองตงหนิงไว้ได้ทั้งหมด มันทำให้เขามองพ่อของเขาแตกต่างไป
‘อย่างน้อยเขาก็คอยปกป้องผู้คนจำนวนมาก’ เหยียนจินพึมพำภายใต้ลมหายใจของเขา จากนั้นเขาก็มองตรงไป มันคือจุดที่เขาหยวนชูอยู่
เมิ่งชวนและหลิวชีเยว่จ้องมองที่เมืองตงหนิงเป็นเวลานานในขณะที่มันเล็กลงเรื่อยๆ ก่อนที่นกจะทะยานขึ้นเหนือเมฆไปจนไม่สามารถมองเห็นเมืองตงหนิงได้อีกต่อไป
เหนือกลุ่มเมฆมีดวงดาราที่ส่องสว่างงดงาม นกตัวยักษ์สยายปีกของมันกว้างจนยาวกว่ายี่สิบจั้ง มันส่งเสียงร้องขณะบินไป ทุกคนนั่งอยู่ในท่าขัดสมาธิ พวกเขาต่างสนใจในทิวทัศน์โดยรอบ ขนาดเมิ่งต้าเจียงและหลิวเยว่ป๋ายก็ยังไม่เคยขึ้นมาเหนือเมฆเลยซักครั้ง
“เราสามารถไปถึงเขาหยวนชูได้ก่อนฟ้าสาง” ชายแก่คิ้วยาวกล่าว จากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
…
ประมาณหกชั่วโมงต่อมา เมิ่งชวนและคนอื่นๆก็เห็นเขาหยวนชูท่ามกลางความมืดของกลางคืน
“นั่นคือเขาหยวนชู” ชายแก่คิ้วยาวชี้ไปข้างหน้า
“เขาหยวนชู?”
เมิ่งชวน เหยียนจิน หลิวชีเยว่และคนอื่นๆต่างก็มองอย่างตื่นเต้น เมื่อมองจากไกลๆ พวกเขาเห็นภูเขาขนาดยักษ์ที่สูงเสียดฟ้า เมิ่งชวนและคนอื่นๆเห็นว่าภูเขานี้นั้นยังสูงขึ้นไปเหนือกว่าเมฆเสียอีก
“เขาหยวนชูเป็นเทือกเขาที่สูงที่สุดในโลก” ผู้อาวุโสคิ้วยาวกล่าว “นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมนิกายของเราจึงก่อตั้งขึ้นที่นี่ นอกจากนี้นี่ยังเป็นนิกายที่เก่าแก่ที่สุดในโลกและมีประวัติศาสตร์อันยาวนานนับตั้งแต่ที่มนุษย์ยังเป็นแค่ชนเผ่า”
“เราจะไปที่เมืองหยวนชูก่อน” ชายแก่คิ้วยาวกล่าวขณะแตะขนนกเบาๆ
นกสีดำพุ่งโฉบลงข้างล่างทันที
หลังจากผ่านเมฆหนาไป พวกเขาก็เห็นเมืองขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นที่เชิงเขาหยวนชู เมื่อมองจากด้านบนก็จะเห็นว่าเมืองหยวนชูถูกแยกออกเป็นเมืองชั้นในและชั้นนอก
“เมืองหยวนชูมีประวัติที่ยาวนานพอๆกัน” ชายแก่คิ้วยาวกล่าว “ราชวงศ์ของมนุษย์ผันเปลี่ยนและเมืองหลวงก็เปลี่ยนแปร แต่เมืองหยวนชูนั้นไม่เปลี่ยนแปลง แต่ก่อนเมืองหยวนชูกว้างประมาณ 50 ลี้ กว้างประมาณเมืองธรรมดา แต่นับตั้งแต่ที่อสูรบุกเข้ามา ตระกูลเทพอสูรหลายตระกูลก็ย้ายมาอยู่ที่นี่เนื่องจากความปลอดภัย พวกเขาขยายออกไปเป็นเมืองชั้นนอก กำแพงของเมืองหยวนชูนั้นกว้างขวางนับร้อยลี้ ประชากรในเมืองนี้ตอนนี้ก็มากมายยิ่งกว่าเมืองหลวงเสียอีก และนี่ก็เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในราชอาณาจักรโจวที่ยิ่งใหญ่”
เมิ่งชวน หลิวชีเยว่ และเหยียนจินมองดูเมืองใหญ่ด้วยความประหลาดใจ มันใหญ่กว่าเมืองตงหนิงมาก
“เหยียนจิน เมิ่งชวน ข้าจะส่งพวกเจ้าทั้งสองไปที่พักรับรองแคว้นอู๋” ชายแก่คิ้วยาวกล่าว “พวกเจ้าสองคนจะอยู่ที่นั่นจนกว่าจะถึงการสอบเข้าปลายปีนี้”
“ขอรับ” เมิ่งชวนและเหยียนจินตอบ
ผู้อาวุโสคิ้วยาวพยักหน้าเล็กน้อย นกสีดำขนาดมหึมาได้พุ่งโฉบเข้าไปในเมือง ก่อนจะไปถึงอาคารหรูหราที่มีพื้นที่มากมาย มีแผ่นป้ายอยู่ด้านหน้าอาคาร ที่พักรับรองแคว้นอู๋
มีคนกลุ่มหนึ่งมายืนรอพวกเขาที่ด้านหน้าแล้ว เหมือนว่าจะรอแทบทั้งคืนเลย
ฟ้ิววว
เมื่อนกลงสู่พื้น คนเหล่านั้นก็โค้งคำนับ
‘เขาสังหารแม่ทัพอสูรได้อย่างไร?’
เมิ่งชวนรู้สึกอึดอัดใจ ย่าทวดของเขาได้สั่งให้เก็บช่องว่างแห่งจิตไว้เป็นความลับจนกว่าเขาจะรู้ว่ามันคืออะไรหลังจากเข้าไปในเขาหยวนชูแล้ว
“ท่านขุนนาง” เมิ่งชวนกล่าวด้วยท่าทางนอบน้อม “ตอนที่ข้าไปถึงสำนักเต๋าเพลิงตะวัน พวกอสูรก็ได้โจมตีป้อมเพลิงตะวันแล้ว ชีเยว่ก็ได้รับบาดเจ็บหนัก ข้าอยากจะช่วยเธอ ข้าจึงไม่ได้คิดอะไรอีกและพยายามจะหยุดพวกมันทั้งสอง ข้าไม่เคยคิดเลยว่าร่างกายของข้าจะปลดปล่อยพลังอันน่าเหลือเชื่อในสถานการณ์เช่นนั้นได้ วิชากระบี่ของข้ารุนแรงขึ้นและทำให้ข้าสามารถสังหารแม่ทัพอสูรได้ด้วยการฟันเพียงครั้งเดียว และแม่ทัพอสูรตนที่สองก็ตกตายตามไป”
“ความต้องการที่จะช่วยหลิวชีเยว่งั้นรึ?” ขุนนางเมฆาใต้นึกขึ้นได้ เขาพยักหน้าและยิ้ม “ดูเหมือนว่าหลิวชีเยว่จะสำคัญสำหรับเจ้ามาก สามารถกระตุ้นให้เจ้าแข็งแกร่งขึ้นได้”
ในสถานการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ความแข็งแกร่งคนเรามักจะพุ่งสูงขึ้น
เพื่อคนสำคัญที่สุด คนเราสามารถปลดปล่อยพลังอันมหาศาลได้ เรื่องแบบนี้เคยมีมาก่อนในอดีต แต่ว่ามีน้อยนิด อันที่จริงแล้ว ในประวัติศาสตร์ เคยมีเทพอสูรที่กระตุ้นพลังให้ปะทุได้ขึ้นมาถึงสิบเท่าในสถานการณ์คับขัน จนทำให้สามารถสังหารศัตรูได้ แต่ว่าจากนั้นไม่นาน เขาก็ต้องตายจากการที่ทั่วทั้งร่างฉีกขาด!
เทพอสูรระดับสูงๆนั้นสามารถปลดปล่อยพลังอย่างสุดกำลังได้โดยที่ไม่ก่อให้เกิดอันตรายแก่ตนเองแม้แต่น้อย แต่สำหรับผู้ที่ปลดปล่อยพลังออกมาหลายสิบเท่าในช่วงเวลาวิกฤตินั้น ส่วนมากมักจะจบลงที่ร่างกายรับไม่ไหว ยิ่งร่างกายแข็งแกร่งขึ้นมากเท่าไหร่ ความเสียหายก็มากขึ้นเท่านั้น การตายเพราะร่างกายรับไม่ไหวก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้
แน่นอนว่า…
เป็นเรื่องยากที่คนๆหนึ่งจะปลดปล่อยพลังได้สูงขึ้นหลายเท่า มันต้องมีสิ่งกระตุ้นอยู่หลายอย่าง บางคนเมื่อต้องเจอกับความตายตรงหน้ากลับเพิ่มพลังไม่ได้ ไม่ว่าจะโจมตีไปอย่างบ้าคลั่งแค่ไหนก็ตาม อย่างคราวเมิ่งชวนถูกราชาอสูรบึงพิษไล่ตาม ไม่ว่าใจของเขาอยากจะมีชีวิตรอดแค่ไหนก็ตาม แต่ความแข็งแกร่งของเขากลับเพิ่มขึ้นเพียงสองส่วนเท่านั้น
หรืออย่างจอมยุทธที่แข็งแกร่งขึ้นหลายเท่าจากปกติจะทำได้เพียงครั้งเดียวในชีวิต หากพวกเขาต้องเจอกับสถานการณ์คับขันอีก พวกเขาก็จะไม่สามารถระเบิดพลังอันแข็งแกร่งอย่างนั้นอีกได้
มันเป็นแค่เรื่องบังเอิญเท่านั้น!
“ชีเยว่และเมิ่งชวนเติบโตมาด้วยกัน” เมิ่งต้าเจียงอธิบายต่อพร้อมกับหัวเราะ “สิ่งที่เจ้าเด็กนี่คิดเป็นอย่างแรกหลังจากการบุกของอสูรนั้นคือช่วยชีเยว่”
“อย่างนี้เอง” ขุนนางเมฆาใต้พยักหน้า “แม้ว่าเจ้าจะยังไม่เข้าถึง “จิตกระบี่” แต่อสูรหลายตัวก็เห็นว่าเจ้าสังหารผู้บัญชาการอสูรไปได้ถึงสองตน นั่นเป็นสิ่งที่เจ้าซ่อนไม่ได้แน่! หากพวกอสูรรู้เรื่องนั้นขึ้นมา พวกมันอาจจะส่งอสูรฟ้ามาสังหารเจ้าได้”
“มันจะส่งอสูรฟ้าจะมาลอบสังหารรึ?” เมิ่งชวนและเมิ่งต้าเจียงรู้สึกกดดัน
อ่านตอนล่าสุดที่ my-novel.co หรือ www.thai-novel.com
ในระบบการฝึกฝนที่เหล่าอสูรสร้างขึ้นสำหรับผู้ทรยศมนุษย์ชาติ อสูรฟ้านั้นเทียบได้กับราชาอสูรและเทพอสูร
“เจ้าต้องการจะเข้าร่วมการทดสอบของเขาหยวนชูใช่ไหม?” ขุนนางเมฆาใต้กล่าว
“ข้าจะเข้าร่วมในปีนี้ขอรับ” เมิ่งชวนพยักหน้า
“เขาหยวนชูจะส่งคนมารับหลิวชีเยว่” ขุนนางเมฆาใต้กล่าว “เมื่อถึงเวลา เจ้าสามารถไปกับพวกเขาได้ เจ้าไปอยู่ที่เมืองหยวนชูได้พักหนึ่ง ไม่ต้องกังวลเรื่องอันตรายเมื่อเจ้าอยู่ที่นั่น”
“เมืองหยวนชู?” เมิ่งชวนและพ่อของเขามองหน้ากัน
เมืองที่เจริญรุ่งเรืองและปลอดภัยที่สุดในราชวงศ์โจวที่ยิ่งใหญ่นั้นไม่ใช่เมืองหลวง แต่เป็นเมืองหยวนชู
เมืองหยวนชูตั้งอยู่ที่เชิงเขาหยวนชู มีเทพอสูรจำนวนมากย้ายคนใกล้ชิดไปอยู่ในเมืองนั้น มีแม้แต่เทพอสูรผู้ทรงพลังอาศัยอยู่ในเมืองด้วยซ้ำ พวกเขาสามารถขอความช่วยเหลือจากเขาหยวนชูได้ด้วยซ้ำหากเกิดสถานการณ์คับขัน
นั่นเป็นเหตุว่าทำไมเมืองหยวนชูถึงเป็นเมืองที่ปลอดภัยที่สุดในราชวงศ์โจวที่ยิ่งใหญ่ ในแปดร้อยปีที่ผ่านมานี้ เมืองนี้ได้กลายเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองที่สุด
“ได้ขอรับ ข้าจะไปที่เมืองหยวนชู” เมิ่งชวนพยักหน้า
“ข้าไปกับเขาได้ไหม” เมิ่งต้าเจียงถาม
“ได้สิ” ขุนนางเมฆาใต้พยักหน้า “แต่เจ้าพาคนอื่นมาไม่ได้อีก”
เป็นเรื่องปกติที่คนในตระกูลจะตามมา ทุกๆปี อัจฉริยะที่เข้าร่วมการสอบคัดเลือกของเขาหยวนชูจะนำสมาชิกในตระกูลมาด้วย
แน่นอนว่า หากเขาหยวนชูยอมรับ ครอบครัวพวกเขาก็ต้องกลับบ้านกันไป
หลังจากพ่อลูกเมิ่งจากไป ขุนนางเมฆาใต้ก็ส่ายหัวเล็กน้อย ‘พอมาคิดว่ามันเป็นแค่ความแข็งแกร่งชั่ววูบ ข้าคิดว่าแคว้นอู๋ของพวกเราจะมียอดอัจฉริยะที่เข้าถึง “จิตกระบี่” ด้วยอายุเพียงสิบแปดปีเกิดขึ้นมาแล้วเสียอีก ข้าคิดมากเกินไป’ เขาดูจะผิดหวังเล็กๆ
อัจฉริยะที่มีสายเลือดวิหคเพลิงนั้นความสำคัญมาก แต่ยอดอัจฉริยะที่เข้าถึง “จิตกระบี่” ตั้งแต่ตอนอายุสิบแปดนั้นสำคัญยิ่งกว่า เพราะยอดอัจฉริยะเช่นนี้จะกลายเป็นเทพอสูรที่ทรงพลังอย่างแน่นอน แต่น่าเสียดายที่มันหายากเกินไป
…
ณ ตระกูลหวิน โถงใต้ดิน
หวินว่านไห่นั่งขัดสมาธิ ร่างของเขาถูกล้อมรอบไปด้วยเปลวไฟสีม่วงที่หมุนวนและผิวของเขาก็เป็นสีแดงก่ำ เทพอสูรนั้นมีพลังชีวิตที่มากมาย เขาได้รับบาดเจ็บอย่างหนักจนเกือบจะเสียชีวิต แต่หลังจากพักผ่อนเพียงสี่ชั่วโมงก็ทำให้อาการเขาดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“ท่านพ่อ” หวินฟู่เฉิงพร้อมกับพี่น้องของเขายืนอยู่ต่อหน้าหวินว่านไห่
“ข้าเรียกเจ้ามาเพราะข้ามีบางอย่างจะบอกเจ้า” หวินว่านไห่กล่าว “ข้าได้รับบาดเจ็บสาหัสระหว่างการรุกรานของอสูร ถ้าไม่ใช่เพราะการปกป้องของเมิ่งเซียนกูข้าคงตายไปแล้ว”
ใจของลูกๆเขาแน่นขึ้น
“ข้ารอดชีวิตมาได้” หวินว่านไห่กล่าว “ขุนนางเมฆาใต้ช่วยข้ากำจัดพลังอสูรในร่าง แต่พลังอสูรได้ทำให้รากฐานของข้าเสียหาย หากข้าต้องการ ข้าก็จะมีชีวิตอยู่อย่างน่าสมเพชไปได้อีกยี่สิบปี แต่ข้าไม่คิดอยากจะทำเช่นนั้นหรอก เพราะฉะนั้น ข้า หวินว่านไห่…จะพักฟื้นต่อไปในเมืองตงหนิงเป็นเวลาสิบปี ในสิบปีนี้ข้าจะดูแลลูกๆหลานๆในตระกูลของเราให้ดี และข้าจะแลกแต้มของข้าเพื่อสมบัติด้วยเช่นกัน ส่วนอีกสิบปีให้หลังนั้น ข้าจะมุ่งสู่สนามรบ”
ลูกๆของเขาเริ่มตื่นตระหนก
“ท่านพ่อ อาการบาดเจ็บของท่านร้ายแรงมาก ถึงท่านจะไม่ออกรบ เขาหยวนชูก็ไม่ตำหนิท่านหรอก”
“ท่านพ่อ ท่านได้ทำสิ่งดีๆด้วยการปกป้องเมืองตงหนิงมาแล้วไม่ใช่หรือ?” หวินฟู่อันและหวินฟู่หยูรีบพูด
หวินว่านไห่ขมวดคิ้วจ้องมองไปที่ลูกๆของเขา และพูดอย่างเย็นชา “ที่ตายของข้า หวินว่านไห่ คือสนามรบ! แม้ข้าจะต้องตาย แต่ข้าจะลากราชาอสูรให้ตกตายตามข้าไปด้วย!”
ลูกๆของเขาไม่กล้าแม้แต่จะพูด
“ข้าได้รับแต้มมาบ้างจากการปกป้องเมืองตงหนิง และอย่างที่ข้าได้บอกไปแล้ว แต้มทั้งหมดที่ข้าสะสมมาในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมาจะถูกแลกเป็นสมบัติสำหรับตระกูลของเราทั้งหมด ข้าฝากมันไว้ให้พวกเจ้าด้วย หวังว่าในสิบปีนี้ ตระกูลของเราจะกำเนิดผู้มีพรสวรรค์มาบ้าง” หวินว่านไห่ถอนหายใจ “ในตอนนี้ ข้ารู้สึกอิจฉาเมิ่งเซียนกูเสียด้วยซ้ำ เอาล่ะ พวกเจ้าไปกันได้แล้ว”
“ขอรับ” ลูกๆของเขาทำได้แค่ออกไปอย่างว่าง่าย
…
หวินฟู่อันนั่งอยู่ในห้องโถงด้วยสีหน้ามืดมน เรื่องที่ได้ยินมานั้นมันกะทันหันเกินไป ในใจของเขาเต็มไปด้วยความขุ่นมัว
“ฟู่อัน” หวินฟู่เฉิงเดินเข้ามา
“ท่านพี่” หวินฟู่อันลุกขึ้นต้อนรับเขาทันที
“ข้าเพิ่งได้รับข่าว” หวินฟู่เฉิงกล่าว “เขาหยวนชูส่งคนไปที่เมืองตงหนิงและจะพาหลิวชีเยว่ เมิ่งชวน และเหยียนจินไปในวันนี้ หลิวชีเยว่จะได้เข้าสู่เขาหยวนชูโดยตรง ส่วนเมิ่งชวนและเหยียนจินนั้นดูท่าว่าจะอยู่ที่เมืองหยวนชูและรอการสอบเข้าเขาหยวนชูในปีนี้”
“พวกเขาจะไปกันวันนี้แล้วอย่างนั้นหรือ?” หวินฟู่อันประหลาดใจ
“ใช่ นั่นเป็นเหตุผลที่วังหยกสุริยันไม่ได้เก็บเรื่องนี้เป็นความลับ ข้าเชื่อว่าตระกูลเทพอสูรอื่นๆก็รู้เรื่องนี้เช่นกัน”
หวินฟู่เฉิงพยักหน้า “หากเป็นหลิวชีเยว่หรือเหยียนจินก็ไม่เป็นไร พวกเขาเป็นชาวต่างถิ่น หากพวกนั้นกลายเป็นเทพอสูรที่ทรงพลัง แต่พวกเขาก็จะไม่กลับมาที่เมืองตงหนิง แต่เมิ่งชวนนั้นต่างออกไป ไม่มีทางที่คนนับหมื่นของตระกูลเมิ่งจะย้ายที่ด้วย และด้วยพรสวรรค์ของเขาที่เพียงพอที่จะสังหารแม่ทัพอสูรได้ เขาอาจจะผ่านการประเมินและเข้าสู่เขาหยวนชูได้ อิทธิพลของตระกูลเมิ่งในเมืองตงหนิงจะยิ่งใหญ่กว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้”
เปลือกตาของหวินฟู่อันกระตุกไม่หยุด
“ในตอนนั้น การถอนหมั้นมันทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเราแย่ลง อย่างไรก็ตามความสัมพันธ์นั้นสามารถปรับปรุงได้” หวินฟู่เฉิงกล่าว “คราวนี้ ท่านพ่อและเมิ่งเซียนกูสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กัน มันเป็นมิตรภาพที่ก่อเกิดจากสหายร่วมรบ เมิ่งเซียนกูถึงกับปกป้องท่านพ่อไว้ด้วยซ้ำ เราควรไปเยี่ยมเยียนและขอบคุณพวกเขา… เราควรไปขอบคุณเมิ่งเซียนกูที่ช่วยเหลือพ่อของเรา”
“มันเป็นการต่อสู้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ข้าว่าท่านพ่อช่วยเมิ่งเซียนกูไว้ใช่ไหม?” หวินฟู่อันกระซิบ
“มันเป็นแค่ข้ออ้างเท่านั้น! ข้ออ้างเพื่อไปเยี่ยมเยียน” หวินฟู่เฉิงขมวดคิ้วและตำหนิ “นอกจากนี้ท่านพ่อยังบอกว่าเมิ่งเซียนกูช่วยชีวิตเขาไว้ ในฐานะลูกชาย เราต้องไปเยี่ยมเยียนพวกเขาและขอบคุณ นอกจากนี้ เราต้องเตรียมของขวัญไปด้วย ประการแรกเป็นของขวัญสำหรับการขอโทษ ประการที่สองเป็นของขวัญยินดีสำหรับที่เมิ่งชวนได้เข้าสู่เขาหยวนชู แม้ความสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูลจะไม่สามารถคืนดีกันได้อย่างสมบูรณ์ แต่เราต้องไม่กลายเป็นศัตรูกัน ของขวัญเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว เตรียมตัวไปที่จวนบรรพบุรุษตระกูลเมิ่งพร้อมกับข้า”
“ข้าก็ต้องไปด้วยรึ?” หวินฟู่อันถาม
“เจ้าเป็นคนถอนการหมั้น แน่นอนว่าเจ้าต้องไป” หวินฟู่เฉิงพูดเรียบๆ
“ก็ได้” หวินฟู่อันทำได้เพียงพยักหน้าตอบกลับแต่โดยดี แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยพอใจ แต่เขาก็รู้ว่าเมื่อใดควรยอมโค้งคำนับ
…
ณ จวนบรรพบุรุษตระกูลเมิ่ง
ขณะที่พวกเขากำลังจะออกจากเมืองตงหนิงในวันนี้ เมิ่งชวนและเมิ่งต้าเจียงมาอำลาคนในตระกูลพวกเขา
และในตอนนี้ ตระกูลเทพอสูรอีกสี่ตระกูลของเมืองตงหนิงก็ส่งคนมาแสดงความเคารพด้วยเช่นกัน หลังจากแสดงความเคารพแก่ผู้อาวุโสตระกูลเมิ่งที่ตายไปในสนามรบ พวกเขาก็ไปพบกับเมิ่งชวนและเมิ่งต้าเจียง
ณ วังหยกสุริยัน
“ไม่เคยคิดเลยว่าลูกหลานของตระกูลหลิวจะมีสายเลือดวิหคเพลิงศักดิ์สิทธิ์” ขุนนางเมฆาใต้ใบหน้าที่เกลี้ยงเกลาไม่มีหนวดเครา รอยยิ้มของเขาทำให้เขาดูเหมือนนักปราชญ์ธรรมดาๆ “จะว่าไปแล้ว ไม่มีใครในตระกูลกงซุนปลุกสายเลือดวิหคเพลิงมาได้เกือบห้าร้อยปีแล้ว พอรวมหลิวชีเยว่ ก็มีสองคนที่มีสายเลือดวิหคเพลิงที่ต่างไม่ได้มาจากตระกูลกงซุน โลกนี้มันช่างน่าพิศวงยิ่งนัก”
หลิวเย่ป๋ายที่นั่งอยู่ข้างๆยิ้มขณะที่มองไปยังลูกสาวของเขา และกล่าว “ตระกูลหลิวของเราเคยแต่งงานกับตระกูลกงซุนในรุ่นยายข้า”
“ข้ารู้” ขุนนางเมฆาใต้พยักหน้า “เพื่อสายเลือดวิหคเพลิง ตระกูลกงซุนจึงห้ามไม่ให้มีการแต่งงานกับบุคคลภายนอก แต่หลังจากหลายศตวรรษที่ไม่มีผู้ใดปลุกสายเลือดขึ้นมาได้ อีกทั้งเพราะการคุกคามของอสูร ทำให้ในที่สุดตระกูลกงซุนก็เริ่มอนุญาตให้แต่งงานกับคนภายนอกได้ ฮ่าฮ่า กลับกลายเป็นว่าพอแต่งงานเช่นนี้แล้ว ดันทำให้พวกเราได้เทพอสูรที่มีร่างวิหคเพลิงเสียนี่”
“ข้าจะเป็นเทพอสูรได้อย่างนั้นหรือ?” หลิวชีเยว่อดไม่ได้ที่จะถาม “ข้าพึ่งจะเข้าถึงระดับ “หนึ่งเดียว” เมื่อปีก่อนเองนะคะ”
“การที่เจ้าไปถึงระดับ”หนึ่งเดียว”ได้ตั้งแต่อายุสิบหกนั้นไม่เลวเลย” ขุนนางเมฆาใต้พยักหน้า “ไม่ต้องกังวล เจ้าจะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอนหากเขาหยวนชูเลี้ยงดูเจ้า”
“ชีเยว่ เนื่องจากสายเลือดวิหคเพลิงของเจ้าได้ตื่นขึ้นมา เจ้าควรจะเป็นเทพอสูรเสีย” หลิวเย่ป๋ายกล่าว
ขุนนางเมฆาใต้กล่าวต่ออีกว่า “ข่าวคราวเกี่ยวกับร่างเทพวิหคเพลิงของเจ้าไปถึงเขาหยวนชูนานแล้ว พวกเขาคงส่งคนออกมาแล้ว แล้วก็คงน่าจะมาถึงเมืองตงหนิงวันนี้! เมื่อถึงเวลา เจ้าจะต้องออกเดินทางไปยังเขาหยวนชู”
“ข้าจะต้องไปวันนี้อย่างนั้นหรือ?” หลิวชีเยว่รู้สึกเหมือนทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเกินไป
“ถูกตัอง” ขุนนางเมฆาใต้พยักหน้า “ข้าอยู่ในเมืองตงหนิงไปตลอดไม่ได้ และไม่มีทางที่เขาหยวนชูจะสามารถส่งเทพอสูรที่ทรงพลังมาช่วยคุ้มกันได้ ดังนั้นจะปลอดภัยกว่าหากเจ้าเดินทางไปยังเขาหยวนชูในทันที”
หลิวเย่ป๋ายยังกล่าวอีกว่า “ชีเยว่ คราวนี้สายเลือดวิหคเพลิงของเจ้าได้ตื่นขึ้นมา เจ้าต้องฝึกฝนให้หนักเพื่อที่จะได้แข็งแกร่งกว่านี้นะ”
“ค่ะ” หลิวชีเยว่พยักหน้ารับคำ
เมื่อเธอได้เห็นการรุกรานของอสูร เธอก็ปรารถนาที่จะแข็งแกร่งขึ้นและกำราบอสูรเหล่านั้น
…
อ่านตอนล่าสุดที่ my-novel.co หรือ www.thai-novel.com
เมิ่งชวนและพ่อของเขาไปถึงวังหยกสุริยัน
“นายน้อยเมิ่งโปรดอยู่ที่นี่สักครู่ ท่านขุนนางกำลังคุยกับนายน้อยเหยียนอยู่” มีชายแก่นำทางไป เมิ่งชวนและเมิ่งต้าเจียงได้แต่รออยู่ข้างนอก พวกเขาก็เห็นหลิวเย่ป๋ายและหลิวชีเยว่นั่งอยู่ในศาลาด้วยเช่นกัน
“อาชวน” หลิวชีเยว่รู้สึกประหลาดใจ หลังจากการรุกรานของอสูร เธอไม่เห็นเมิ่งชวนเลย หลังจากที่เมิ่งชวนสังหารแม่ทัพอสูรสองตนที่สำนักเต๋าเพลิงตะวัน เขาก็ได้วิ่งล่อราชาอสูรบึงพิษออกไป…ส่วนหลิวชีเยว่นั้น เธอถูกนำตัวไปที่วังหยกสุริยันอย่างรวดเร็ว พวกเขาจึงไม่มีโอกาสได้คุยกัน
“ชีเยว่” เมิ่งชวนวิ่งไปหาอย่างมีความสุข “เจ้าสบายดีใช่ไหม? เจ้าดูบาดเจ็บหนักมากตอนที่อยู่ที่สำนักเต๋าเพลิงตะวัน”
“เป็นเพราะข้าใช้วิชาต้องห้ามนานเกินไป” หลิวชีเยว่ยิ้มและส่ายหน้า “แค่ต้องพักผ่อนเดือนเดียว”
เมิ่งชวนพยักหน้าเล็กน้อย
“อาชวน ขะ ข้า…” หลิวชีเยว่กระซิบ เธอไม่ค่อยอยากจะจากเขาไป “ข้าอาจจะต้องไปจากเมืองตงหนิงในวันนี้”
“เจ้าจะต้องออกจากเมืองตงหนิงวันนี้อย่างนั้นรึ?” เมิ่งชวนรู้สึกประหลาดใจ แต่เขาก็นึกถึงลูกธนูเพลิงที่หลิวชีเยว่ยิงออกมาได้ในทันที
“ทำไมจู่ๆเจ้าถึงต้องไปกันล่ะ?” เมิ่งต้าเจียงอดไม่ได้ที่จะถาม ชีเยว่เคยมาอาศัยอยู่ที่คฤหาสน์จิงหูเมิ่งตอนที่เธอยังเด็กมาก หลังจากผ่านมาหลายปี เขาก็รู้สึกราวกับว่าเธอเป็นลูกแท้ๆ เมิ่งต้าเจียงก็ไม่อยากจะจากเธอไปเช่นกัน
หลิวเย่ป๋ายกล่าว “สายเลือดวิหคเพลิงในตัวชีเยว่ตื่นขึ้น เขาหยวนชูต้องการจะพาตัวเธอไปทันที และเธอจะได้ไปฝึกฝนที่เขาหยวนชู”
“สายเลือดร่างเทพวิหคเพลิงตื่นขึ้นและกำลังจะไปเขาหยวนชู?” เมิ่งต้าเจียงค่อนข้างประหลาดใจ
เห็นได้ชัดว่าเขารู้จักร่างเทพวิหคเพลิง
ร่างเทพมีหลายประเภท โดยทั่วไปแล้วร่างเทพเช่นร่างอัสนีนั้นทรงพลังมากและฝึกยาก วิชาร่างเทพอัสนีระดับสูงๆนั้นเรียกได้ว่ายากที่จะเริ่มฝึกฝนมาก แต่ร่างเทพวิหคเพลิงนั้นมีเงื่อนไขที่ยากยิ่งกว่า คนนอกจะไม่สามารถฝึกวิชานี้ได้เลย มีเพียงผู้สายเลือดวิหคเพลิงตื่นขึ้นมาแล้วเท่านั้นที่สามารถฝึกฝนวิชาได้ เทพอสูรที่ใช้วิชาร่างเทพวิหคเพลิงนั้นหายากมากๆ ตระกูลกงซุนที่เรียกได้ว่าเป็นตระกูลของวิหคเพลิงก็ไม่มีผู้สืบวิชาในสายเลือดมากว่าห้าร้อยปีแล้ว
ในตอนนี้ มีเทพอสูรเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ใช้วิชาร่างเทพวิหคเพลิง รวมชีเยว่เข้าไปก็จะเป็นคนที่สอง
“เป็นความฝันของพวกเราที่ได้เข้าสู่เขาหยวนชู” เมิ่งต้าเจียงตอบและยิ้มให้หลิวชีเยว่ “พวกเราต้องยินดีกับชีเยว่”
“อาชวน” หลิวชีเยว่ไม่ค่อยอยากจะจากกับเขาซักเท่าไหร่
“ข้าก็จะเข้าสู่เขาหยวนชูธันวานี้ด้วยเหมือนกัน” เมิ่งชวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เมื่อถึงเวลานั้น เราจะได้พบกันอีก”
“จ้ะ” หลิวชีเยว่พยักหน้า แต่ก็ยังมีความอาลัยอยู่ในหัวใจ
…
ขณะที่เมิ่งชวนและหลิวชีเยว่กำลังสนทนากัน ขุนนางเมฆาใต้ก็กำลังพูดคุยกับเหยียนจินในห้องโถง
“ตรากระบี่ของราชาทะเลตงไห่ช่วยเมืองตงหนิงเอาไว้” ขุนนางเมฆาใต้ถอนหายใจ “นี่คือโชคชะตา หากเจ้าไม่ได้อยู่ในเมืองตงหนิง เมืองนี้อาจถูกพวกอสูรทำลายล้างไปแล้ว”
เหยียนจินยืนฟังอยู่อย่างสงบเสงี่ยม
“อย่างไรก็ตาม พวกมันจะต้องตรวจสอบเหตุผลที่มันบุกได้ไม่สำเร็จอย่างละเอียดแน่” ขุนนางเมฆาใต้กล่าว “ราชาทะเลตงไห่เฝ้าดูด่านอันไห่อยู่ตลอดเวลา และเพราะพลังของกระบี่ทัณฑ์สวรรค์นั้นเป็นเพียงหนึ่งหรือสองส่วนของราชาทะเลตงไห่ พวกอสูรก็น่าจะสรุปได้อย่างง่ายดายว่ามันเป็นเพียงตรากระบี่ การผนึกตรากระบี่นั้นยากมาก และต้องใช้ต้นทุนมหาศาล ราชาทะเลตงไห่ผนึกมันให้กับลูกๆของเขาเพียงบางคนเท่านั้น”
“ราชาทะเลตงไห่มีลูกเจ็ดคน ห้าคนเป็นเทพอสูรแล้ว มีเพียงคนสุดท้องสองคนเท่านั้นที่ยังเป็นมนุษย์ และลูกคนที่หกของเขาก็กำลังฝึกฝนอยู่ในตงไห่ มีเพียงเจ้าที่มาที่เมืองตงหนิง” ขุนนางเมฆาใต้กล่าว “แม้ว่าตัวตนของเจ้าจะถูกเก็บเป็นความลับ แต่พวกอสูรก็คงจะตามสืบได้อยู่ดี เมื่อพวกมันรู้ว่าเจ้าเป็นลูกชายของราชาทะเลตงไห่ พวกมันจะส่งพวกนิกายอสูรฟ้ามาสังหารเจ้า ดังนั้นเจ้าควรจะออกไปจากเมืองตงหนิงโดยไว”
“ไปจากเมืองนี้?” เหยียนจินตะลึง
“เจ้าอาจจะตายก็ได้” ขุนนางเมฆาใต้กล่าว “เจ้าสามารถตามข้าไปยังเมืองหลวงได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าจะสามารถคอยปกป้องเจ้าได้ และเจ้ายังสามารถกลับไปที่ด่านอันไห่ได้ด้วย! ไม่มีอะไรที่ต้องเป็นห่วงที่นั่น”
“ไม่” เหยียนจินส่ายหน้า “ข้าไม่อยากไปทั้งด่านอันไห่หรือเมืองหลวง”
ขุนนางเมฆาใต้ขมวดคิ้ว “ทำไมเจ้าถึงดื้อดึงขนาดนี้กัน?”
“ไม่ต้องกังวลไปท่านขุนนาง ข้าจะออกไปจากเมืองตงหนิง และพวกอสูรจะหาข้าเจอไม่ได้ง่ายๆหรอก” เหยียนจินกล่าว
“เจ้า…” ขุนนางเมฆาใต้ส่ายหน้า พอนึกย้อนไปในจดหมาย เขาก็นึกขึ้นได้ว่านายน้อยที่เจ็ดของตะกูลราชาทะเลตงไห่ที่เจ็ดนี้เป็นคนที่โดดเดี่ยวและค่อนข้างสุดโต่งในความคิดของเขา มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ
“แล้วถ้าอย่างนี้ล่ะ? เจ้าจะเข้าร่วมการคัดเลือกของเขาหยวนชูในปีนี้ใช่ไหม?” ขุนนางเมฆาใต้ถาม
“ขอรับ” เหยียนจินพยักหน้า
กฎของเขาหยวนชูนั้นเข้มงวด ยกเว้นว่าคนๆนั้นจะเป็นอัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบได้ ทุกๆคนก็ต้องเข้าร่วมการทดสอบกันหมด ไม่ว่าจะเป็นลูกชายของราชาทะเลตงไห่หรือเป็นเจ้าชายของราชวงศ์โจวที่ยิ่งใหญ่ก็ตาม ทุกคนเท่าเทียมกัน คนที่ไม่มีคุณสมบัติต้องถูกคัดออก
หลิวชีเยว่นั้นเป็นคนที่สองของโลกที่มีสายเลือดวิหคเพลิง ดังนั้นเธอจึงไม่จำเป็นต้องเข้ารับการทดสอบ เขาหยวนชูยอมรับเธอในทันที
แต่เหยียนจินยังต้องสอบอยู่
“ถ้าเช่นนั้น เจ้าสามารถไปยังเมืองหยวนชูได้เลย แล้วเจ้าจะได้เข้าร่วมการทดสอบของเขาหยวนชูในเดือนธันวานี้” ขุนนางเมฆาใต้กล่าว
เหยียนจินคิดครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า “ก็ได้”
เขาไม่ชอบด่านอันไห่ เมืองหลวงยิ่งไม่ชอบ ทั้งสองที่นั้นต่างมีคนจากตระกูลราชาทะเลตงไห่อยู่เต็มไปหมด
“จะมีคนจากเขาหยวนชูมารับหลิวชีเยว่วันนี้ เมื่อถึงเวลา เจ้าสามารถไปที่เมืองหยวนชูพร้อมกับพวกเขาได้” ขุนนางเมฆาใต้กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ขอรับ” เหยียนจินพยักหน้า
…
ในเวลาต่อมา เมิ่งต้าเจียงและเมิ่งชวนก็เข้าไปในห้องโถงและแสดงความเคารพต่อขุนนางเมฆาใต้
“ขุนนางเมฆาใต้” เมื่อเมิ่งชวนเห็นขุนนางเมฆาใต้ ใจเขาก็เต็มไปด้วยความตกใจ
ประสาทสัมผัสของเขาใช้ได้ผลมาตลอด แต่เขากลับไม่สามารถสัมผัสถึงการมีอยู่ของขุนนางเมฆาใต้ได้เลยแม้แต่น้อย อันที่จริงแล้ว แม้ว่าจะอยู่ในห้องเดียวกันและอยู่ห่างกันไม่ถึงสิบจั้ง ขอบเขตสิบจั้งของเขาก็ยังไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยซ้ำ
ต้องใช้ตาเปล่ามองเท่านั้นถึงจะเห็น
สถานการณ์แปลกๆดังกล่าวทำให้เมิ่งชวนตกใจ และเขาก็นึกได้ ‘เหนือฟ้ายังมีฟ้า แม้ว่าประสาทสัมผัสของข้าจะพิเศษและลึกลับ แต่มันก็ไร้ประโยชน์เมื่อยู่ต่อหน้าขุนนางเมฆาใต้’ เพราะอีกฝ่ายเป็นถึงหนึ่งในเทพอสูรที่แข็งแกร่งที่สุดในรัฐอู๋ มันทำให้เข้าใจได้ว่า “ประสาทสัมผัส” ของเขานั้นใช้ไม่ได้ผล
“คารวะท่านขุนนาง” เมิ่งต้าเจียงและเมิ่งชวนโค้งคำนับ
“พวกเจ้านั่งเถอะ” ขุนนางเมฆาใต้บอกขณะที่เขามองไปที่เมิ่งชวนอย่างสงสัย หลังจากที่นั่งลง เขาก็ถามว่า “เมิ่งชวน ข้าได้ยินมาว่าเจ้าสังหารผู้บัญชาการอสูรสองตนติดต่อกันที่สำนักเต๋าเพลิงตะวันใช่หรือไม่?”
“ขอรับ” เมิ่งชวนตอบ
“เจ้าเข้าถึงระดับ “สำนึกกระบี่” หรือยัง?” ขุนนางเมฆาใต้ถาม
หลอมรวมร่างกาย จิต และวิชาเข้าด้วยกันคือขั้นแรก “หนึ่งเดียว”
และเมื่อคนๆนั้นได้ก่อให้เกิดพลังที่เฉพาะตัวแล้วนั้น ความแข็งแกร่งก็จะเพิ่มขึ้นมหาศาล ขนาดที่ว่าสามารถใช้พลังแห่งฟ้าดินได้ “พลัง” คือระดับที่สอง
หากก้าวไปอีกขั้น “พลังกระบี่” ก็จะก่อเป็นรูปเป็นร่าง นั่นคือ “สำนึกกระบี่” มันเป็นสิ่งที่เฉพาะตัว “สำนึกกระบี่” นั้นลึกลับและยากที่จะหยั่ง เทพอสูรหลายคนอยู่ในระดับนี้ตลอดชีวิตของพวกเขาเลยด้วยซ้ำ “สำนึกกระบี่” คือขั้นที่สามของวิชากระบี่
“ไม่ขอรับ ข้ายังเข้าไม่ถึง “สำนึกกระบี่” ” เมิ่งชวนกล่าวตอบ
“โอ้” ขุนนางเมฆาใต้ผิดหวังเล็กน้อย
ว่ากันว่าหนุ่มน้อยนามเมิ่งชวนในเมืองตงหนิงได้สังหารแม่ทัพอสูรด้วยการฟันเพียงครั้งเดียว แถมยังสามารถสังหารพวกมันติดๆกันได้สองตัวอีก
สิ่งที่ขุนนางเมฆาใต้คิดในตอนแรกนั้นคือเมิ่งชวนได้เข้าถึง “สำนึกกระบี่” และเข้าถึงระดับสามของวิชากระบี่ การเข้าถึง “สำนึกกระบี่” ตั้งแต่ยังอายุ 18 นั้นทำให้คนๆนั้นกลายเป็นยอดอัจฉริยะที่เขาหยวนชูยังต้องตกใจ เขาคงจะได้รับเชิญในทันทีโดยที่ไม่ต้องเข้าร่วมการทดสอบเลยด้วยซ้ำ
น่าเสียดายที่เขาคิดมากไปเอง
“แล้วเจ้าสังหารแม่ทัพอสูรได้อย่างไร?” ขุนนางเมฆาใต้ถามด้วยความสงสัย
ด้วยการสั่งการของเจ้าวังหยกสุริยัน เหล่าทหารและจอมยุทธกดดันเหล่าอสูรให้หนีกลับไป
“แม้ว่าการสังหารอสูรจะสำคัญ แต่เอาตัวให้รอดนั้นสำคัญกว่า” จอมยุทธที่เป็นผู้นำตะโกน “เราต้องกดดันให้อสูรออกไปจากเมืองตงหนิงให้ไวที่สุด ใช้เกาฑัณฑ์หรือหอกสั้นจะดีที่สุด เข้าประชิดตัวให้น้อยเอาเท่าที่จำเป็น”
และเพราะคำสั่งที่ถ่ายทอดออกไปนั้น จึงทำให้เหล่าทหารและจอมยุทธแห่งเมืองตงหนิงสามารถขับไล่เหล่าอสูรออกไปได้อย่างไม่ยากเย็น อสูรที่หนีช้าก็จะถูกล้อมและสังหารทิ้ง นี่จึงทำให้พวกมันต่างหลบหนีอย่างสุดใจ
“หนีเร็ว!”
“เทพอสูรมันอยู่ที่นี่ แล้วราชาอสูรของเราอยู่ที่ไหนกัน?”
“ราชาอสูรต้องพ่ายแพ้แล้วเป็นแน่ มิฉะนั้นพวกเราคงไม่ต้องถอยหรอก” ขวัญกำลังใจของอสูรลดลงจนสิ้นขณะที่พวกมันหนีอย่างเอาเป็นเอาตาย
เจ้าวังหยกสุริยันจู่โจมใส่เป็นครั้งคราว แต่ส่วนใหญ่จะมุ่งเป้าไปที่อสูรที่แข็งแกร่ง
‘มีอสูรธรรมดามากเกินไป ถ้าเราไม่ต้อนมันให้จนมุม พวกมันก็จะกระจัดกระจายและสร้างความวุ่นวายไปทั่ว อาจจะทำให้เกิดปัญหาที่ใหญ่กว่านี้ได้ พวกแม่ทัพอสูรไม่ต้องคิดที่จะหนีไปได้หรอก พวกผู้นำอสูรข้าก็จะสังหารมันถ้าเป็นไปได้’ เมื่อใดก็ตามที่เจ้าวังหยกสุริยันเจอแม่ทัพอสูร เขาจะรีบรุดเข้าไปทันที ตราบใดที่เขาอยู่ในระยะร้อยจั้งจากศัตรู เขาสามารถสังหารมันด้วยเส้นใยบางเฉียบได้อย่างง่ายดาย
“ท่านแม่ทัพตายแล้ว”
“ผู้นำก็ตายแล้วเหมือนกัน” อสูรที่เหลือหนีไปด้วยความตื่นตระหนก
…
ฝ่ายหนึ่งต้องหนีอย่างเอาเป็นเอาตายในขณะที่เหล่าเทพอสูรต้อนมันจนมุม และเพียงครึ่งชั่วยาม อสูรทุกตัวก็หนีกลับไปยังแดนอสูรจนหมด
“การบุกรุกจบลงแล้ว” เมิ่งชวนเดินเข้าเมืองไปบนถนนพร้อมกับเมิ่งต้าเจียง พ่อของเขา
พื้นที่แถบที่อยู่ใกล้กับประตูผ่านโลกนั้นเละมากที่สุด มีคนตายมากมาย ที่อื่นนั้นยังดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด คนที่ระดับต่ำกว่าชำระแก่นแท้ไปหลบอยู่ใต้ดินทัน เพราะว่าการบุกรุกนี้ไม่นาน จึงทำให้พวกอสูรไม่มีเวลาพอที่จะบุกเข้าไปในอุโมงค์ ส่วนคนที่ออกมาป้องกันนั้นอยู่ระดับชำระแก่นแท้หรือสูงกว่า รวมๆแล้วมีกว่าพันคน
อ่านตอนล่าสุดที่ my-novel.co หรือ www.thai-novel.com
มีคนตายจากการต่อสู้ประมาณ 1,000 คน และคนตายในแถบประตูผ่านโลกนั้นมีกว่า 10,000 คน มันเป็นพื้นที่ที่น่าเศร้าที่สุด
นอกจากนี้หลายๆที่ในเมืองยังถูกทำลายจากการต่อสู้กันระหว่างอสูรและมนุษย์ บ้านเรือนพังทลาย ร้านอาหารถูกถล่ม ถนนพังเละเทะ ร่องรอยของการต่อสู้มีอยู่ทั่ว
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ร้านของพวกเราพังแล้ว” เด็กน้อยมองไปบนนถนนที่เละเทะและร้องไห้
“ไม่เป็นไรหรอกลูก” หญิงสาวกอดลูกของเธอและมองไปยังสามีที่โชกไปด้วยเลือด เธอยิ้มและพูดว่า “แค่พวกเรายังมีชีวิตอยู่และได้อยู่ด้วยกันอย่างนี้ มันก็ไม่เป็นไรแล้ว”
เด็กน้อยยังคงสับสน
ชายคนนั้นกอดภรรยาและลูกของเขาเบาๆก่อนพูดด้วยรอยยิ้มว่า “แค่มีชีวิตรอดอยู่ก็ดีแล้วล่ะ” เมื่อชั่วยามก่อน เขาได้สังหารอสูรไปสามตนพร้อมกับสหายของเขา เขารอดชีวิตมาได้โดยไม่ได้สูญเสียแขนขาหรืออะไร มันทำให้เขารู้สึกโชคดีมาก
“ฮ่าฮ่าฮ่า! เมืองตงหนิงรอดจากหายนะนี้ได้ คราวนี้เมืองก็จะสงบไปอีกสิบยี่สิบปี ฮ่าฮ่าฮ่า…” ชายชราพันผ้าพันแผลที่ปกคลุมไปด้วยเลือดถือเหล้าและหัวเราะ ระหว่างนั้นเขาก็เฝ้ามองดูผู้คนที่เริ่มปรากฏขึ้นมาบนท้องถนน คนธรรมดาอ่อนแอที่หลบอยู่ในอุโมงค์ใต้ดิน ตอนนี้ก็กลับออกมาหมดแล้ว สิ่งนี้ช่วยเพิ่มความมีชีวิตชีวาให้กับเมืองตงหนิง
“ลุงจาง ท่านคือฮีโร่!” ชายคนหนึ่งตะโกนขณะมองไปยังชายแก่
“ลุงจางมานี่เร็ว มาเอาตีนหมูนี่ไปทำน้ำซุปกินเสัยเถอะ” คนขายเนื้อพบว่าร้านของเขาไม่ได้เสียหายอะไร หมูที่เตรียมไว้ตอนเมื่อเช้ายังอยู่ เขาห่อตีนหมูคู่หนึ่งและมอบให้ชายชรา
เมื่อเห็นสิ่งนี้ทำให้เมิ่งชวนและพ่อของเขารู้สึกดีขึ้นมาก
“เทพอสูรนั้นความสำคัญมาก แต่ทหารมนุษย์ก็สำคัญไม่แพ้กัน” เมิ่งต้าเจียงกล่าวพร้อมกับถอนหายใจ “เป็นเพราะพวกเขาจึงทำให้เราสามารถสกัดกั้นอสูรจำนวนนับไม่ถ้วนเอาไว้ได้และป้องกันไม่ให้ผู้คนที่ซ่อนตัวอยู่ในอุโมงค์ถูกสังหาร ไม่ว่าเทพอสูรจะแข็งแกร่งขนาดไหน แต่ศัตรูมันมากขนาดไหนกันล่ะ? แต่แน่นอนว่าการต่อสู้ระหว่าเทพอสูรและราชาอสูรนั้นจะตัดสินผลของสงคราม หากเทพอสูรแพ้ ให้ทหารธรรมดาสู้ต่อไปก็ไร้ประโยชน์”
เมิ่งชวนพยักหน้าเล็กน้อย
เพื่อเมืองตงหนิงและเมืองมนุษย์นับไม่ถ้วนแล้ว เขาจะต้องกลายเป็นเทพอสูรให้ได้! หลังจากที่เขาเป็นเทพอสูรแล้วเท่านั้นถึงจะมีพลังพอที่จะปกป้องทุกอย่างได้
…
ณ จวนบรรพบุรุษ
เมิ่งชวนและพ่อของเขามาถึงจวนบรรพบุรุษ
โคมไฟสีขาวถูกติดประดับไว้ที่ทางเข้าจวน เหล่าคนในตระกูลต่างใส่ชุดไว้ทุกข์
“ท่านผู้อาวุโส” และจากนั้นคนในตระกูลก็นำชุดไว้ทุกข์มาให้พวกเขาใส่เช่นกัน
เมิ่งชวนและเมิ่งต้าเจียงใส่ชุดนั้น
“ไปหาท่านผู้อาวุโสสามกันเถอะ” เมิ่งต้าเจียงกล่าว มีจำนวนมากจากตระกูลเมิ่งเสียชีวิต ผู้อาวุโสสี่คนเสียชีวิต และคนในระดับก่อกำเนิดและชำระแก่นแท้อีกมายมาย
ผู้อาวุโสสามเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดที่ตายไป จึงถูกแล้วที่จะไปเคารพศพเขาเป็นคนแรก
โถงไว้อาลัยถูกจัดไว้เรียบร้อยแล้ว
“เจ้ามาแล้ว” ผู้นำตระกูล เมิ่งเหยียนผิง นั่งอยู่ข้างใน เขาดูแก่ลงอย่างมาก “กราบเคารพน้องสามเสียเถอะ”
“ขอรับ”
เมิ่งต้าเจียงกราบก่อนจากนั้นเมิ่งชวนก็ทำตาม
หลังจากกราบเคารพแล้ว เมิ่งชวนก็ยืนขึ้นและมองดูศพของผู้อาวุโสสาม สัปเปร่อได้แต่งหน้าศพไปแล้ว เขานอนอยู่ราวกับกำลังนอนหลับ ใบหน้าของเขาดูสงบมากกว่าปกติ
เมิ่งเหยียนผิงมองไปที่เมิ่งชวนและพูดด้วยเสียงทุ้ม “ที่น้องสามต้องการมากที่สุดตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ คือการที่เจ้าได้เข้าสู่เขาหยวนชูและกลายเป็นเทพอสูร เมิ่งชวน เจ้าอย่าทำให้เขาผิดหวังล่ะ”
“ขอรับ” เมิ่งชวนพยักหน้า “ข้าจะไม่ทำให้ผิดหวัง”
…
หลังจากเคารพผู้อาวุโสสามอยู่พักหนึ่ง พวกเขาก็ไปยังโถงไว้ทุกข์อื่น
บรรยากาศในจวนเมิ่งนั้นหนักและเศร้าโศก เพราะไม่ว่าอย่างไร คนในตระกูก็ตายไปหลายคน เด็กหลายคนยังงุนงง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น หลังจากที่เกิดการรุกรานของอสูรขึ้น แม้ว่าในจวนจะมีคนของตระกูลอาศัยอยู่กว่าสามพันคน แต่มีเกือบสองพันคนที่ยังไปไม่ถึงระดับก่อกำเนิด ก็หลบอยู่ในอุโมงค์ พวกเขาซ่อนอยู่ในอุโมงค์หลายชั่วโมงก่อนจะกลับออกมา โดยไม่ได้พบกับอันตรายใดๆ
พวกเขารู้สึกเหมือนว่าทุกอย่างมันเป็นเหมือนเดิม
อย่างไรก็ตาม มีโถงไว้อาลัยหลายแห่งถูกจัดในจวนบรรพบุรุษ และทั้งตระกูลก็เต็มไปด้วยความเศร้าโศก เหล่าเด็กๆไม่กล้าแม้จะงอแง
“กราบซะนะ” ดวงตาของพ่อแม่ของเด็กๆแดงก่ำ พวกเขาให้ลูกๆก้มกราบทีละคน ทุกๆครอบครัวที่สูญเสียใครไปต่างได้รับการเคารพ เพราะว่าพ่อแม่ของพวกเขารู้ว่าเป็นเพราะคนเหล่านี้ที่ทำให้พวกเขารอดชีวิตมาได้
เมิ่งชวนและเมิ่งต้าเจียงแวะเข้าไปในบ้านแต่ละหลังก่อนที่จะไปหาย่าทวดในที่สุด
“ท่านย่าทวด” พ่อลูกเดินเข้าไปในลานกว้าง
เมิ่งเซียนกูนั่งอยู่คนเดียวในสวน เธอไม่ชอบให้ใครมาดูแล แค่ก แค่ก ใบหน้าของเมิ่งเซียนกูซีดเซียว กระแสพลังของเธออ่อนลงเล็กน้อย ทำให้เธอคงสภาพเหมือนปกติได้ยาก
“ท่านย่าทวด อาการบาดเจ็บของท่าน…” เมิ่งชวนกล่าวอย่างเป็นห่วง
เมื่อเห็นเมิ่งชวน เมิ่งเซียนกูก็ยิ้ม “อ่า เจ้ามาแล้ว อาการบาดเจ็บของข้ามันเล็กน้อย ข้าอยู่ได้อีกไม่นานอยู่แล้ว ข้ามีความสุขมากที่เจ้าสามารถสู้กับราชาอสูรและป้องกันให้เมืองไม่ล่มสลายได้”
เมิ่งต้าเจียงก็พูดเช่นกัน “ท่านป้า ท่านไม่ต้องกังวลแล้ว พักผ่อนให้สบายเถอะ”
“ใช่ขอรับ พักผ่อนให้สบาย” เมิ่งชวนกล่าวตาม
เมิ่งเซียนกูเป็นเทพอสูรมาเกือบแปดสิบปี เธอเป็นเสาหลักของตระกูลก็ว่าได้ ตระกูลเมิ่งนั้นได้รับการปกป้องจากเธอ เมื่อมีเธออยู่ ตระกูลเมิ่งก็จะรู้สึกปลอดภัย แต่หากเธอไม่อยู่แล้ว มันก็ราวกับว่าตระกูลเมิ่งจะล่มสลาย
“ข้ารู้ตัวข้าดี” เมิ่งเซียนกูพูดพร้อมกับหัวเราะเบาๆ “ไม่ต้องห่วง ข้าไม่ตายไวขนาดนั้นหรอก ข้าจะทน…. ไม่ว่ายังไงข้าจะมีชีวิตอยู่จนถึงฤดูหนาวปีนี้ ข้าอยากได้ยินข่าวดีที่เจ้าสามารถเข้าเขาหยวนชูได้สำเร็จก่อนที่ข้าจะได้พักผ่อนอย่างสงบ”
ในตอนนั้น ก็มีเสียงเคาะประตูดังมาจากนอกสวนหย่อม
ประตูเปิดออก
ผู้นำตระกูล เมิ่งเหยียนผิงพูดจากด้านนอก “พี่สาม มีคนจากวังหยกสุริยันมา เขามาหาเมิ่งชวน”
“มีคนจากวังหยกสุริยันตามหาเมิ่งชวน?” เมิ่งเซียนกูขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ท่านเซียนกู” ชายอีกคนที่ยืนอยู่ด้านนอกพูดขึ้นมาด้วยความเคารพ “ขุนนางเมฆาใต้บอกกับพวกเราว่าเขาอยากจะพบกับนายน้อยเมิ่งขอรับ”
“ขุนนางเมฆาใต้?” เมิ่งเซียนกูตื่นตระหนก
ตำแหน่งของราชาทะเลตงไห่นั้นสูงส่งมาก และรัฐโดยรอบทั้งหมดก็ได้รับผลนั้นด้วย อย่างไรก็ตาม ขุนนางเมฆาใต้ก็เป็นเทพอสูรที่ทรงพลังมากเช่นกัน เป็นหนึ่งในผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในรัฐอู่ เขาเป็นคนที่ตอบรับการขอความช่วยเหลือของเมืองตงหนิง
“เมิ่งชวนเจ้ารีบไปเถอะ” เมิ่งเซียนกูพูด “ต้าเจียง เจ้าควรไปกับเขาด้วย”
“ขอรับ” เมิ่งชวนและเมิ่งต้าเจียงตอบ
สองพ่อลูกรีบเดินตามผู้ส่งสารไปวังหยกสุริยัน
ความเร็วของเหยียนจินนั้นด้อยกว่าเมิ่งชวนเป็นอย่างมาก เขาจึงเทียบไม่ได้กับราชาอสูรบึงพิษอย่างแน่นอน
หมอกสีดำใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว
‘ข้าหนีไปไม่พ้นแน่’ เหยียนจินมีความคิดมากมายแล่นเข้ามาในหัว
แม่ที่ตายไปแล้ว…
พ่อผู้เย็นชาของเขา…
ความเสียใจและความขุ่นเคืองในใจที่ทำให้เขาต้องทนทรมานมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา
ฟิ้ว หมอกสีดำกระจายออกไป และล้อมรอบเหยียนจิน
‘ก็คงต้องเป็นเช่นนั้นไป!’ เหยียนจินหลับตา และยอมรับความตายอย่างสงบ
…
‘อัจฉริยะของมนุษย์รึ? ข้าบี้เจ้าให้เละได้สบายๆเลย ฮ่าๆๆ’ บึงพิษพุ่งไปข้างหน้าอย่างมีความสุขเช่นเดียวกับที่มันได้สังหารจอมยุทธมนุษย์ไประหว่างทาง มันเชื่อว่าอัจฉริยะคนนี้ก็คงจะถูกมันขยี้ได้อย่างง่ายดายเช่นกัน
แต่ทันใดนั้นเอง
ตูม!
จู่ๆก็มีกระแสพลังลึกลับปรากฏขึ้นในหมอกสีดำที่ล้อมรอบเหยียนจิน มันกระจายออกไปทุกทิศทางพร้อมกับหมอกสีดำที่หายไป ทำให้โดยรอบกลับคืนสู่ปกติ
นั่นมัน…บึงพิษมองไปที่เหยียนจินด้วยความสะพรึง
มันเห็นเงากระบี่สีเทาปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของเหยียนจินซึ่งหลับตาอยู่ กระบี่สีเทานั้นลอยอยู่กับที่ คลื่นพลังที่มองไม่เห็นกวาดไปทั่วบริเวณ เมื่อมันกระแทกเข้าใส่บึงพิษ มันถึงกับต้องทรุดลง มันรู้สึกว่าหัวมันหมุนติ้วและทรุดตัวลงเสียงดัง มันพยายามดันตัวขึ้นและมองขึ้นไปอย่างยากลำบาก ในดวงตามันเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ‘ตรากระบี่? มนุษย์นี่มีตรากระบี่ผนึกอยู่ในร่างมันรึ?’
มีเพียงเทพอสูรไม่กี่คนที่สามารถทำสิ่งนี้ได้สำเร็จ มีเพียงผู้ที่เชี่ยวชาญกระบี่จนถึงที่สุดเท่านั้นที่ทำเช่นนั้นได้
ร่างที่พร่ามัวปรากฏขึ้นข้างกระบี่สีเทานั้น เป็นชายที่ดูเย็นชาและมีแข็งแกร่ง เขากวาดสายตามองรอบข้างอย่งเย็นชา
“เมืองตงหนิงรึ?” ชายที่ดูเย็นชาคนนั้นหันไปมองเหยียนจินก่อนที่จะมองไปที่บึงพิษที่กำลังคุกเข่า
“หึ” เขาพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา
จู่ๆอากาศโดยรอบก็ผันผวน
ตูม!
“เจ้าคือ…” ก่อนที่บึงพิษจะพูดจบ ก็มีคลื่นกระแทกโถมเข้าใส่มัน ร่างของมันก็กลายเป็นฝุ่นลอยไปกับสายลม
“อสูรกำลังบุกเมืองตงหนิงรึ?” ชายคนนั้นหันไปมองวังหยกสุริยัน เขากระแทกเสียงเบาๆ “ไป!”
กระบี่สีเทาทะยานไปในอากาศ มันพุ่งไปเกือบสองลี้ก่อนจะมาถึงวังหยกสุริยัน
…
ที่วังหยกสุริยันที่พังทลาย
หวินว่านไห่ได้รับบาดเจ็บหนัก ใบหน้าของเมิ่งเซียนกูซีดราวกับกระดาษ เธอกระชับไม้เท้าขณะพยายามอย่างเต็มที่ที่จะใช้เขตแดนเพื่อช่วยเจ้าวังหยกสุริยัน อย่างไรก็ตามเขตแดนเธอก็เริ่มสั่นไหว
‘หยุดมันไว้ หยุดพวกมัน’ เจ้าวังหยกสุริยันพยายามอย่างเต็มที่เพื่อจะหยุดราชาอสูรทั้งสาม
เขาต้องถ่วงเวลาให้มากกว่านี้
เขาไม่ยอมแพ้แน่
“เมิ่งเซียนกูเริ่มคุมเขตแดนไม่ไหวแล้ว มันทนต่อไปได้อีกไม่นานแล้ว สังหารเจ้าวังหยกสุริยันซะแล้วเมืองตงหนิงก็จะราบเป็นหน้ากลอง” ไป่เฉินพูดอย่างมีความสุข
“ฮ่าฮ่า ในที่สุดเมิ่งเซียนกูก็ทนไม่ได้แล้ว” ลิงขนสีดำหัวเราะเสียงดังขณะที่พุ่งไปเป็นลำแสงสีดำ มันพยายามอย่างเต็มที่เพื่อหลีกเลี่ยงเจ้าวังหยกสุริยันและหวังจะจัดการเมิ่งเซียนกู
ในตอนนั้นเอง ไป่เฉิน ทรราชคำรนและวานรก็มองขึ้นไปพร้อมๆกัน
เงากระบี่สีเทาพุ่งจากขอบฟ้ามาถึงวังหยกสุริยันในชั่วพริบตา
“ไม่!!!” ไป่เฉินทำหน้าหวาดกลัวและสิ้นหวังอย่างสุดขีดในขณะที่มันพยายามหนีไปให้ไกล
มันก้าวไปได้เพียงไม่กี่ก้าวก่อนที่เงากระบี่สีเทานั่นจะแทงลงมา ไป่เฉินคำรามพร้อมกับใช้กรงเล็บทั้งสองเพื่อปัดป้องมันสุดตัว ทันทีที่กระบี่กระทบเข้ากับกรงเล็บของมันพลังที่สะเทือนฟ้าดินก็ควบแน่นเป็นตัวกระบี่ และทันใดนั้น ลำแสงกระบี่นับพันก็พุ่งลงมาอย่างบ้าคลั่ง ไป่เฉินแหงนหน้ามองกระบี่นับพันดูลายตานั่น ดวงตาของมันเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง มันคำราม “นี่มันกระบี่ทัณฑ์สวรรค์ของราชาทะเลตงไห่! ทำไมมันถึงมาอยู่ที่นี่ได้?”
จากนั้น กระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนก็แทงใส่มัน ฉีกร่างอันแข็งแกร่งของมันเป็นชิ้นๆ
ราชาอสูรระดับสามไป่เฉินตายแล้ว!
“กระบี่ทัณฑ์สวรรค์ของราชาทะเลตงไห่!” ทรราชคำรนก็อึ้งเหมือนกัน
“ราชาทะเลตงไห่ต้องปกป้องด่านอันไห่ตลอดเวลาไม่ใช่รึ?” วานรไม่เชื่อสายตา อย่างไรก็ตาม การโจมตีนั้นทำให้พวกมันหวาดกลัวอย่างหนัก วานรและทรราชคำรนรีบหนีไปด้วยความตื่นตระหนก
‘กระบี่ทัณฑ์สวรรค์รึ?’ เจ้าวังหยกสุริยันก็เผยสีหน้าราวกับไม่เชื่อสายตา
‘นายเหนือมาที่นี่รึ?’ เมิ่งเซียนกูที่เคยเป็นลูกน้องของราชาทะเลตงไห่ก็ดูจะตกใจ
“อย่าคิดว่าจะได้หนี!” แม้ว่าเจ้าวังหยกสุริยันจะรู้สึกประหลาดใจ แต่เขาก็ยังไล่ตามทรราชคำรนและวานรไปอย่างรวดเร็ว
…
เหยียนจินนึกว่าเขาจะตายเสียแล้ว แต่เขากลับรู้สึกได้ถึงพลังอันแสนวิเศษแทนความตายของเขา
เขาลืมตาขึ้นอย่างงุนงง เพียงเพื่อได้เห็นบึงพิษกลายเป็นฝุ่นผงไปด้วยพลังอันมหาศาล จากนั้นเขาก็เห็นชายที่ดูเย็นชาที่ส่งกระบี่สีเทาไปยังวังหยกสุริยัน
“ตอนที่เจ้าเกิด ข้าได้ผนึกตรากระบี่ไว้กับเจ้า” ชายที่ร่างซีดจางพูด “พี่น้องของเจ้าทุกคนก็มีเหมือนกัน นั่นคือตรากระบี่เดียวเท่านั้น ไม่มีโอกาสครั้งสอง ในอนาคตเจ้าจะต้องรับผิดชอบเส้นทางของเจ้าเอง หากเจ้าตายในสนามรบ เจ้าจะตำหนิใครไม่ได้นอกจากความไร้ความสามารถของเจ้าเอง”
เมื่อพูดเช่นนั้นจบร่างนั้นก็หายไป
เหยียนจินจ้องมองด้วยความว่างเปล่า เขาก้มศีรษะลงเล็กน้อยและกระซิบ “เจ้ารู้ไหม นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้ยินเสียงเจ้าในรอบสิบปี ข้าเกือบจะลืมไปแล้วว่าเจ้าเป็นพ่อของข้า”
“เจ้าคิดว่าข้าจะขอบคุณเจ้าอย่างนั้นรึ? ฮ่าฮ่าฮ่า…”
เหยียนจินที่ปกติเป็นคนพูดน้อย กลับหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
…
ทรราชคำรนมีพละกำลังมหาศาล แต่มันตัวใหญ่เกินไป มันสลัดเจ้าวังหยกสุริยันไม่หลุด
ในการต่อสู้แบบหนึ่งต่อสอง เจ้าวังหยกสุริยันโจมตีแค่เพียงแปดครั้งก็สามารถทะลวงผ่านการป้องกันของทรราชคำรนได้แล้ว ก่อให้เกิดรูขนาดใหญ่ที่หน้าอกและทำให้หัวใจของมันกระจุย จากนั้นเขาก็เตะเข้าที่หัวของทรราชคำรน ก่อนที่ร่างของมันจะล้มลงไปและไม่ลุกขึ้นมาอีกเลย
ราชาอสูรวานรนั้นเร็ว เจ้าวังหยกสุริยันกำลังไล่ตามราชาอสูรวานร อย่างไรก็ตาม วานรขนดำนั่นเปลี่ยนเป็นลำแสงสีดำอีกทั้งยังใช้วิชาต้องห้ามเพื่อที่จะหนีอีกด้วย มันพยายามหนีอย่างสุดกำลังจนทำให้เจ้าวังหยกสุริยันตามมันไม่ทัน
วานรนั้นเร็วมาก มันรีบหนีไปด้วยความตื่นกลัว ไม่ใช่เพราะเจ้าวังหยกสุริยัน มันมั่นใจว่ามันจะหนีเจ้าวังหยกสุริยันได้ แต่ไม่ มันหวาดกลัวราชาทะเลตงไห่
ราชาทะเลตงไห่เป็นสิ่งใดกันแน่?
ตราบใดที่เขาอยู่ในเมืองตงหนิง เขาสามารถสังหารราชาอสูรระดับสองได้อย่างง่ายดายจากระยะไกล
‘ราชาทะเลตงไห่น่าจะประจำอยู่ที่ด่านอันไห่นี่ ทำไมมันถึงมาอยู่ในเมืองตงหนิงได้?’ วานรรีบหลบหนีไปที่ทางผ่าน
มันหยิบแตรเขาสัตว์ออกมาเป่า
หวู่วววววว
เสียงแตรทุ้มต่ำที่ใส่พลังอสูรเข้าไปด้วย ก็กระจายออกไปทั่วทุกทิศทางจนได้ยินทั่วเมืองตงหนิง
หลังจากเป่าแตรเขาสัตว์แล้ว มันก็พุ่งเข้าไปที่ทางผ่านโลกและกลับไปที่สภาเก้าในทันที
‘ข้ารอดกลับมาได้’ วานรขนดำถือกะระบองมองไปที่ทางผ่านโลกที่บิดเบี้ยวด้วยความหวาดกลัวที่หลงเหลืออยู่ในใจ มันรู้สึกโชคดี
ในขณะเดียวกันอสูรที่กระจัดกระจายไปทั่วเมืองก็ได้ยินเสียงแตร
“คำสั่งถอยรึ?”
“ราชาอสูรสั่งให้ถอย?”
แม้ว่าจะงุนงงแต่อสูรตนอื่นๆก็ยังถอยกลับไปอย่างรวดเร็ว
เจ้าวังหยกสุริยัน ที่ตามราชาอสูรวานรไม่สำเร็จก็ยืนอยู่บนยอดไม้ใหญ่ เขายืนอยู่นิ่งๆบนต้นไม้และมองดูอสูรจำนวนมากวิ่งกลับไปที่ทางผ่านโลก มันทำให้เจ้าวังหยกสุริยันถอนหายใจด้วยความโล่งอก พวกอสูรถอยกลับไปแล้ว ในที่สุดการบุกก็จบลงแล้ว
ตอนที่ 65 เหยียนจิน
“ท่านพ่อ ท่านซ่อนความจริงที่ว่าท่านเป็นเทพอสูรจากย่าทวดหรือไม่” เมิ่งชวนถาม
ย่าทวดของเขาอยากจะให้มีเทพอสูรในตระกูล
“ชวนเอ๋อร์ ข้าเป็นเทพอสูรด้วยเหตุผลบางอย่าง” สุดท้ายแล้วเมิ่งต้าเจียงก็เผยความลับให้ลูกของเขาฟังบางส่วน “อย่างแรก สิ่งนี้ต้องเก็บไว้เป็นความลับ ข้าไม่สามารถช่วยเหลือตระกูลได้อย่างเปิดเผย สอง ข้านั้นอ่อนแอเกินไปในฐานะเทพอสูร อันที่จริงแล้ว กายาเทพอสูรทุกคนนั้นอ่อนแอหมด”
“อ่อนแอมากเลยหรือ?” เมิ่งชวนงุนงง
“เมื่อแปดร้อยปีก่อน ตอนอสูรบุกเข้ามาครั้งแรก” เมิ่งต้าเจียงกล่าว “เทพอสูรและราชาอสูรต่อสู้กันในสงครามมากมาย เทพอสูรพบว่าในบรรดาอสูร พวกมันบางตัวมีความสามารถสูงและมีร่างกายที่แข็งแกร่งอย่างน่าสะพรึง ดังนั้นเทพอสูรระดับสูงจึงคิดหาวิธีที่จะนำความแข็งแกร่งนั้นมาใส่ตัวพวกเขา จึงก่อให้เกิดสายวิชากายาเทพอสูรขึ้น”
“เนื่องจากไม่เคยมีมาก่อนและไม่มีประสบการณ์ ระดับที่สูงที่สุดของกายาเทพอสูรที่มีคนเคยไปถึงจึงเป็นแค่ระดับมหาสุริยัน” เมิ่งต้าเจียงกล่าว “การจะก้าวไปถึงจุดนั้นได้ เจ้าต้องมีสมบัติมากมายเพื่อบำรุงร่างกาย มันฟุ่มเฟือยและสิ้นเปลืองเกินไป”
“มันสิ้นเปลืองเกินไปและดูไม่มีอนาคต และเคล็ดการฝึกวิชาที่ไม่สมบูรณ์ ทำให้การฝึกวิชานั้นยากลำบากมาก” เมิ่งต้าเจียงกล่าว “นี่คือเส้นทางที่ล้มเหลว บางทีเส้นทางนี้อาจจะสมบูรณ์ในอีกหลายพันปีนับจากนี้ แต่ตอนนี้มันยังไม่สมบูรณ์”
เมิ่งชวนพยักหน้าเล็กน้อย ไม่น่าแปลกใจที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน
“ผู้ที่สามารถเข้าสู่เขาหยวนชูล้วนเป็นอัจฉริยะ เป้าหมายแรกของพวกเขาคือการไปให้ถึงขอบเขตมหาสุริยัน” เมิ่งต้าเจียงกล่าว “แต่เป้าหมายแรกของพวกเขานั้นก็เป็นจุดขีดสุดที่จะเป็นไปได้ของกายาเทพอสูรแล้ว แค่นี้ก็ดูออกแล้วว่าพวกข้านั้นอ่อนแอขนาดไหน อย่างราชาทะเลตงไห่ที่เป็นเทพอสูรชื่อดัง เขาสามารถสังหารเทพอสูรระดับมหาสุริยันได้ด้วยการกวาดสายตาเพียงแวบเดียว การเป็นเหมือนราชาทะเลตงไห่นั้นต่างก็เป็นเป้าหมายของเทพอสูรทุกๆคนในเขาหยวนชู เจ้าเองก็ควรจะมุ่งไว้ด้วยเหมือนกัน”
“ขอรับ” เมิ่งชวนพยักหน้า
ราชาทะเลตงไห่…เขาคอยปกป้องด่านอันไห่มาโดยตลอด! ก่อนหน้านี้ย่าทวดก็เคยเป็นลูกน้องของเขาเช่นกัน แม้แต่ย่าทวดของเขาก็ยังบอกว่าความแข็งแกร่งของราชาทะเลตงไห่นั้นไม่ด้อยไปกว่าเทพอสูรที่มีชื่อเสียงในสมัยเติ้งเฟิงเลย แล้วตอนนี้พ่อของเขายังบอกว่าเขาสามารถสังหารเทพอสูรระดับมหาสุริยันได้เพียงกวาดสายตา?
“ท่านพ่อ เทพอสูรที่วังหยกสุริยันจะชนะหรือไม่ขอรับ” เมิ่งชวนถาม
“ข้าไม่รู้” เมิ่งต้าเจียงส่ายหน้า “ถ้าวังหยกสุริยันชนะ เมืองตงหนิงก็จะชนะ หากพวกเขาแพ้ เมืองตงหนิงก็จะเหลือเพียงซาก ลุงหลิวของเจ้าและข้า… ไม่สามารถหยุดมันได้แม้แต่น้อย”
“หวังว่าพวกเขาจะชนะ” เมิ่งชวนเชื่อว่าพวกเขาจะชนะ
เมิ่งต้าเจียงมองลูกชาย มีบางอย่างที่เขาไม่ได้พูดออกไป เพราะมันส่งราชาอสูรบึงพิษออกมา ได้นั่นแสดงว่าเหล่าอสูรนั้นได้เปรียบอยู่อย่างแน่นอน
…
และมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ
ที่วังหยกสุริยัน
วานรขนดำยกกระบองของมันขึ้นและพุ่งโจมตีเข้าใส่เมิ่งเซียนกู
หลังเมิ่งเซียนกูคือหวินว่านไห่ที่กำลังอ่อนกำลัง ที่ตอนนี้กระดูกหักและร้าว เขาไม่สามารถต่อสู้ได้อีกต่อไป
“บัดซบ!” เมิ่งเซียนกูตะโกน ทันใดนั้นฝ่ามือลวงตาก็พุ่งเข้าใส่ลิงขนสีดำ แต่พวกมันก็แตกกระจายเมื่อโดนกระบองสีดำนั่น
แกร๊ง
ไม้เท้าของเมิ่งเซียนกูปะทะเข้ากับกระบอง พลังที่ทำลายฝ่ามือลวงตาของเธอนั้นลดลงอย่างมาก เมื่อมันโดนไม้เท้าของเมิ่งเซียนกูกระแทกใส่อีกรอบ วานรขนดำก็ต้องถอยออกไป
แค่ก ใบหน้าของเมิ่งเซียนกูเริ่มแดงขณะที่เลือดไหลลงมาที่มุมปาก
ตูมๆๆๆๆๆ! เจ้าวังหยกสุริยันต่อยออกไปรัวๆ ทุกๆหมัดนั้นระรัวจนมองไม่ทัน และในที่สุด เขาก็สามารถดันราชาอสูรทรราชคำรนและไป่เฉินให้ถอยกลับไปได้ จากนั้นเขาก็ถอยกลับไปหาเมิ่งเซียนกูในทันที
“เมิ่งเซียนกูเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง์” เจ้าวังหยกสุริยันค่อนข้างกังวล “วานรตัวนั้นมันเร็วเกินไป ข้าไม่สามารถหยุดมันได้”
ในบรรดาราชาอสูร ทรราชคำรนมีพละกำลังมากที่สุด ในขณะที่วานรมีความว่องไวและความเร็วสูงสุด วานรนั่นเร็วพอๆกับเมิ่งชวนเลยทีเดียว ผลของการต่อสู้นั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆประการ ราชาอสูรระดับสามไป่เฉินนั้นแข็งแกร่งที่สุดอย่างแน่นอน มันเป็นตัวเดียวที่สามารถต่อสู้ได้สูสีกับเจ้าวังหยกสุริยัน
“ข้าทนการโจมตีได้อีกประมาณสามครั้ง” เมิ่งเซียนกูกล่าว “แต่หลังจากนั้นข้าก็ไม่ไหวแล้ว”
“ถ้าเจ้าหมดแรง ข้าก็คงจะหยุดมันไม่ได้เช่นกัน” เจ้าวังหยกสุริยันพูดอย่างขมขื่น
เพราะเขตแดนของเมิ่งเซียนกูที่ช่วยอยู่ มันทำให้เขาเหมือนเสือมีปีกอีกทั้งความแข็งแกร่งก็เพิ่มขึ้นเล็กน้อย เขตแดนนั้นยังช่วยสะกัดกั้นช่วยให้การโจมตีของศัตรูเบาลงอีกหน่อย นี่จึงเป็นเหตุว่าทำไมเขาถึงยังสามารถทนการโจมตีของศัตรูได้อยู่
ถ้าไม่ใช่เพราะเมิ่งเซียนกู เขาก็คงจะต้องหนีเอาตัวรอดแล้ว อาจจะหนีไม่ได้ด้วยซ้ำไป!
“ราชาอสูรวานร จงทำตามนี้! เราจะชนะเมื่อเมิ่งเซียนกูถูกสังหาร” ไปเฉินสั่ง “ไป!”
“ฮ่าฮ่า ตายซะ” ทรราชคำรนฮึกเหิม
ราชาอสูรทั้งสามผนึกกำลังกันเพื่อโจมตีอีกครั้ง
เจ้าวังหยกสุริยันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องป้องกัน อันที่จริงแม้ราชาอสูรบึงพิษจะหายไป แต่มันก็อ่อนแอที่สุดในราชาอสูรทั้งสี่ เพราะหมอกพิษนั้นถูกเขตแดนระงับไว้โดยสิ้นเชิง ส่วนการต่อสู้ระยะใกล้น่ะหรือ? ความสามารถในการต่อสู้ระยะใกล้ของบึงพิษถือว่าอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อเทียบกับราชาอสูรวานรที่รวดเร็วและราชาอสูรทรราชคำรนที่แข็งแกร่งมันยังด้อยกว่านัก
ทั้งสองฝ่ายปะทะกันอีกครั้ง ไป่เฉินและทรราชคำรนรั้งเจ้าวังหยกสุริยันไว้ขณะที่วานรเข้าไปโจมตีใส่เมิ่งเซียนกูอีกครั้ง
“อย่าแม้แต่คิดว่าจะได้ไป” เจ้าวังหยกสุริยันชกออกไปและแสงที่มีรูปเป็นหมัดก็ลอยพุ่งเข้าใส่วานร
เขาต้องคิดหาทางรั้งมันทั้งสามเอาไว้ เขาไม่สามารถปล่อยให้พวกมันโจมตีใส่เมิ่งเซียนกูได้ แต่เห็นได้ชัดว่ามันยากเกินไป
โดยเฉพาะการตรึงวานรขนดำนั่นให้อยู่กับที่
วานรแวบไปมาในรูปของแสงสีดำ มันหลบการขัดขวางของเจ้าวังและในชั่วอึดใจมันก็มาอยู่หน้าเมิ่งเซียนกูแล้ว เมิ่งเซียนกูไม่มีทางอื่นนอกจากต้องป้องกัน บาดแผลของเธอนั้นแย่ลงทุกคราเมื่อต้องสู้ระยะใกล้
“เซียนกู ข้าไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าเราสองคนจะต้องตายพร้อมกัน” หวินว่านไห่พูดพร้อมกับหัวเราะเบาๆ
“หุบปากเน่าๆของเจ้าซะ พวกเรายังไม่ตาย” เมิ่งเซียนกูก็พยายามอย่างเต็มที่ที่จะต้านเอาไว้
อย่างไรก็ตามเมิ่งเซียนกูก็รู้ว่าพวกเขากำลังตกอยู่ในสถานการณ์อันเลวร้าย
…
บึงพิษพุ่งไปที่วังหยกสุริยัน
ระหว่างทางมันเจอเหล่าอสูรและมนุษย์สู้กันอยู่ทั่ว
ด้านหน้าบึงพิษก็มีการต่อสู้ มนุษย์สามคนที่ร่วมมือกันได้อย่างดีเยี่ยม สองคนป้องกันอีกคนเป็นนักเกาฑัณฑ์คอยช่วยยิงใส่ แม้ว่าจะไม่ถึงขั้นยอดเยี่ยม แต่เขาก็แข็งแกร่งและแม่นยำพอ ลูกดอกของเขานั้นรุนแรง ในขณะที่สหายของเขาก็คอยต่อสู้ในระยะใกล้ และมีลูกดอกยิงใส่หัวของอสูร
“ทำได้ดี”
“สังหารตัวต่อไปกันเถอะ” จอมยุทธทั้งสามอยู่ในระดับก่อกำเนิดและเป็นทหารผ่านศึกที่มีการทำงานร่วมกันที่ยอดเยี่ยม พวกเขาสังหารอสูรได้มากกว่าสิบตัวแล้ว
ฟิ้วววว
หมอกสีดำลอยมาจากระยะไกลอย่างรวดเร็ว เมื่อมันผ่านบริเวณนั้น มันก็ส่งหมอกสีดำออกมาและกวาดผ่านทหารทั้งสามไป ทหารทั้งสามเบิกตากว้างเมื่อเห็นหมอก ก่อนจะกลายเป็นกองเลือดไป
บึงพิษไม่ได้คิดอะไรเลยซักนิด มันก็แค่สังหารมนุษย์นิดหน่อยก่อนไปถึงวังหยกสุริยัน
หลังจากนั้น มันก็ข้ามผ่านแม่น้ำ และเจอการต่อสู้อีกแห่ง
เด็กหนุ่มในชุดขาวถือกระบี่สองเล่มกำลังต่อสู้กับฝูงอสูร มีซากอสูรมากมายกองรอบเขา
ฟิ้ววว ความเย็นกระจายอยู่โดยรอบ ทำให้พวกอสูรนั้นช้าลง
เขาฟาดฟันกระบี่ทั้งสองเล่มและสังหารเหล่าอสูรไปอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าอสูรจะป้องกันอย่างไร มันก็ตายอยู่ดี
ฉับ
แม้แต่แม่ทัพอสูรสมิงก็ถูกสังหาร
‘ช่างเป็นมนุษย์ที่ทรงพลัง แม้ว่ามันจะเทียบไม่ได้กับเด็กถือกระบี่คนนั้น แต่มันก็ยังแข็งแกร่งพอกับแม่ทัพอสูร’ บึงพิษตกใจเล็กน้อย ‘น่าเสียดายที่ความแข็งแกร่งแค่นั้น มันไม่มีค่ารางวัลใดๆ’
มีอัจฉริยะมากมายในหมู่มนุษย์ที่สามารถเทียบได้กับแม่ทัพอสูร แม้เขาจะแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่ได้รับความสนใจจากพวกอสูรมากนัก
ในกลุ่มตระกูลเทพอสูรสมัยโบราณอย่างในเมืองหลวงราชวงศ์โจว หากมีความสามารถเพียงพอพวกเขาจะได้รับการดูแลอย่างมาก รากฐานเทพอสูรของพวกเขาจะแข็งแกร่งและมั่นคงมาก แม้จะเป็นมนุษย์ แต่พวกเขาก็สามารถเทียบได้กับแม่ทัพอสูร อย่างไรก็ตาม อัจฉริยะเหล่านี้จะไม่ไปเป็นทหารตอนที่ยังเป็นมนุษย์ แต่พวกเขาจะเข้าสู่เขาหยวนชูและกลายเป็นเทพอสูรและมาต่อกรกับเหล่าอสูร
หากให้อัจฉริยะเหล่านี้เข้ารับราชการทหารและต่อสู้ในสมรภูมิเลือดแบบนั้นก็คงจะเป็นความไม่รับผิดชอบมากเกินไป
‘แต่สังหารอัจฉริยะซะหน่อยก็ไม่เลว’ บึงพิษพุ่งไปยังชายหนุ่มชุดขาว
“หืม?” ชายหนุ่มในชุดขาวไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเหยียนจิน
วังหยกสุริยันได้ส่งทุกคนออกไปก่อนที่การต่อสู้ระหว่างเทพอสูรและราชาอสูรจะเริ่มขึ้น เพราะมนุษย์จะต้องโดนลูกหลงแน่ๆถ้ายังอยู่
เหยียนจินก็ออกมาเช่นกัน และระหว่างทางเขาก็สังหารอสูรไปมากมาย
‘ราชาอสูร?’ เหยียนจินตัวสั่นเมื่อเห็นร่างที่พร่ามัวในหมอกสีดำเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว
หลังจากการต่อสู้ที่สวนหิน แม้ว่ากลุ่มตระกูลของเขาจะส่งคนคุ้มกันที่แข็งแกร่งมา แต่พวกเขาก็ยังเป็นจอมยุทธระดับควบแน่นแก่นแท้เท่านั้น
นับตั้งแต่เหยียนจินมาถึงระดับไร้ตำหนิ ความแข็งแกร่งของเขาก็ไม่น้อยไปกว่าคนคุ้มกันของเขาเลย ดังนั้นพวกเขาจึงจากไปอย่างเงียบๆ เพราะไม่ว่ายังไง จอมยุทธระดับควบแน่นแก่นแท้ก็มีอะไรหลายอย่างต้องทำ
‘ทำไมข้าถึงเจอกับราชาอสูรกัน? ราชาอสูรน่าจะต้อฃต่อสู้กับเทพอสูรที่วังหยกสุริยันนี่?’ เหยียนจินหน้าถอดสี เขาไม่ลังเลที่จะหันหลังหนี เขาไม่มีความมั่นใจที่จะสู้กับมันได้แม้แต่น้อย
“เจ้าหนู เจ้าคิดว่าเจ้าจะหนีไปได้อย่างนั้นหรือ?” บึงพิษไล่ตามเหยียนจินไปอย่างรวดเร็ว หมอกดำปกคลุมรอบข้างโดยไว
ตอนที่ 64 ข่าวจากจวนบรรพบุรุษ
“เป็นเพราะอะไรเจ้าถึงกล้าท้าทายข้า?” ราชาอสูรบึงพิษเกรี้ยวกราด มันเป็นถึงราชาอสูรระดับสอง! แต่ถึงอย่างนั้นเทพอสูรที่พึ่งกำเนิดใหม่สองคนนี้จะร่วมมือกันสังหารมันอย่างนั้นรึ? ตลกเสียจริง
หมอกสีดำของบึงพิษที่โกรธเกรี้ยวขยายตัวอย่างรวดเร็ว เร็วจนครอบคลุมระยะร้อยจั้งได้ในพริบตา
พิษ? หมอกสีดำที่ต่างจากของบึงพิษก็ล้อมร่างกายของหลิวเย่ป๋ายเช่นกัน มันแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วทำให้หมอกพิษนั้นเริ่มจางลง
‘เขตแดนรึ?’ บึงพิษตื่นตระหนก เทพอสูรบางคนนั้นเชี่ยวชาญในการใช้เขตแดน และเมิ่งเซียนกูก็เป็นหนึ่งในคนที่ใช้ได้ดีที่สุด หมอกของมันถูกสกัดจนหมดสิ้น เพราะตอนนี้มันก็ต้องเจอกับจอมยุทธอีกคนที่เชี่ยวชาญในเขตแดน
เขตแดนของหลิวเย่ป๋ายราวกับจะจมบึงพิษลงไปในหนอง
“ตาย!”
“ตาย!”
เมิ่งต้าเจียงพุ่งเข้าใส่ตรงๆขณะที่หลิวเย่ป๋ายโจมตีจากจุดบอดด้วยกระบี่ของเขา
‘ข้าสามารถสังหารพวกมันทั้งคู่ได้ในการต่อสู้ตัวต่อตัว’ บึงพิษสะบัดหอกของมันและโจมตีอยางรุนแรง อย่างไรก็ตามเมิ่งต้าเจียงใช้วิชากระบี่ของเขาเพื่อรับมือ และการเคลื่อนไหวที่คาดเดาไม่ได้ของหลิวเย่ป๋ายทำให้เขาสามารถลอบโจมตีได้ ภายในหมอกสีดำมีหลิวเย่ป๋ายปรากฏขึ้นเจ็ดคน แต่คนโจมตีอย่างเงียบๆก่อนจะถอยหายกลับไปในหมอกสีดำ
“บัดซบ!”
บึงพิษเหวี่ยงหอกออกไปกว้างๆและโจมตีโดนหนึ่งในร่างของหลิวเย่ป๋าย ร่างนั้นสลายหายกลายเป็นหมอกดำดังเดิม แน่นอนว่านั่นไม่ใช่ร่างจริง
ตูม! เมิ่งต้าเจียงเหวี่ยงกระบี่ของเขาใส่และบึงพิษรีบสกัดทันที
พิ้ว! หลิวเย่ป๋ายอีกร่างพุ่งออกมาจากหมอกสีดำและแทงเข้าที่ข้างหลังของบึงพิษด้วยความเร็วดุจสายฟ้า
อย่างไรก็ตามหมอกหนึ่งจั้งรอบๆตัวบึงพิษนั้นแข็งมาก หลิวเย่ป๋ายเจาะหมอกสีดำเข้าไปได้เพียงนิดเดียว ก่อให้เกิดเพียงรอยแผลเล็กๆบนร่างของบึงพิษเท่านั้น หลิวเยว่ป๋ายกลอกตาก่อนจะถอยกลับทันที
…
ท่ามกลางซากปรักหักพังในตงหนิง สองเทพอสูรกำลังต่อสู้กับราชาอสูรบึงพิษ ความแข็งแกร่งของพวกเขาทำให้เมิ่งชวนอ้าปากค้างด้วยความตื่นใจ มันทำให้เขาตระหนักถึงความแตกต่างระหว่างตัวเขากับเทพอสูรทั้งสองได้อย่างรวดเร็ว
จากมนุษย์สู่เทพอสูร…
ความแข็งแกร่งนั้นมันก้าวกระโดด ช่องว่างนั้นช่างน่าอัศจรรย์
‘จากที่ราชาอสูรบอก พ่อเป็นกายาเทพอสูรสินะ? เขาสามารถเผชิญหน้ากับราชาอสูรแบบต่อหน้าได้ ในขณะที่ลุงหลิวนั้นพลิกแพลงและคล่องตัวกว่า เขาไม่สู้ต่อหน้าแต่ลอบโจมตีอยู่ตลอด พวกเขานั้นเข้าคู่กันได้อย่างยอดเยี่ยม นี่อาจเป็นผลลัพธ์จากการต่อสู้ร่วมกันนับไม่ถ้วน’ เมิ่งชวนดูการร่วมมือกันที่ไร้ตำหนิ คนหนึ่งหลอกล่อโจมตีต่อหน้า ส่วนอีกคนซุ่มลอบโจมตีทีเผลอ
บึงพิษถูกเมิ่งต้าเจียงกันเอาไว้ทุกครั้งที่เขาพยายามตามหลิวเย่ป๋าย บึงพิษโดนโจมตีนับสิบครั้งอย่างรวดเร็ว เทพอสูรทั้งสองนั้นแข็งแกร่งมาก ทำให้มันถึงกับบาดเจ็บสาหัส
‘แม่ทัพอสูรสิบสองตนจากทั้งสิบแปดเสียชีวิต นับตั้งแต่เทพอสูรสองคนเริ่มต่อสู้กับข้าก็ไม่มีแม่ทัพตนอื่นถูกสังหาร ดูเหมือนว่าเทพอสูรปริศนานั่นคือสองคนนี้ เห็นได้ชัดว่าพวกมันพึ่งเข้าถึงระดับยาเมฆาเมื่อไม่นานมานี้ ทำให้พวกมันเทียบได้กับราชาอสูรระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตามพวกมันมีประสบการณ์สูงและการร่วมมือกันที่ยอดเยี่ยม หากพวกมันทั้งคู่ร่วมมือกันแบบนี้ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่ได้เปรียบ แม้ว่าเจ้ากายาเทพอสูรดูจะได้รับบาดเจ็บ แต่อาการบาดเจ็บของข้าก็พอกัน ข้าใช้วิชาต้องห้ามมาซักพักแล้ว หากยอมแพ้ตอนนี้ ข้าจะต้องใช้เวลาเกือบเดือนกว่าจะกลับมาเป็นปกติได้ หากใช้วิชาต้องห้ามต่อไป รากฐานของข้าอาจเสียหายได้ด้วย’
บึงพิษไม่อยากเสี่ยงชีวิต มันใช้คาถาต้องห้ามของมันมานานเกินไปแล้วนับตั้งแต่ตอนไล่ล่าเมิ่งชวน…
มันไม่สามารถสังหารหรือทำให้กายาเทพอสูรอ่อนลงได้ อีกทั้งยังมีเทพอสูรที่ใช้เขตแดน ที่คอยซุ่มโจมตีใส่มันในเขตแดนนั้นอีก บึงพิษรู้สึกสังเวชใจ
‘อันที่จริงแผนตอนแรกก็มีแค่สังหารเทพอสูรที่แข็งแกร่งทั้งสามในวังหยกสุริยันนั่นก่อน หลังจากนั้น ข้าก็จะพาไป่เฉิน วานร กับทรราชคำรน และเหล่าอสูรมาทำลายล้างเมืองของมนุษย์’ บึงพิษไม่คิดอะไรมากหันหลังหนีไปทันที
ฟิ้ว
ด้วยการใช้คาถาต้องห้าม ทำให้บึงพิษเร็วกว่าตอนที่เมิ่งชวนเอาจริงด้วยซ้ำ เร็วกว่าทั้งเมิ่งต้าเจียงและหลิวเยว่ป๋าย
มันไม่ได้หนีไปทางเมิ่งชวน ดังนั้นหลิวเย่ป๋ายและเมิ่งต้าเจียงจึงไม่ได้ตามไป
“ราชาอสูรระดับสองทรงพลังจริงๆ” หลิวเย่ป๋ายก็หยุดใช้วิชาต้องห้ามเทพอสูรของเขา เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “พวกเราทั้งคู่เอาจริงแต่ก็ยังทำได้แค่ทัดเทียมกัน มันคงไม่รู้เป็นแน่ว่าเจ้าจะสู้ต่อไม่ได้หลังจากที่ไขมันเจ้าหมด”
เมิ่งต้าเจียงน้ำหนักลดไปแล้วกว่า 5 กิโลกรัม นับตั้งแต่ที่เขาปรากฏตัวเพื่อช่วยเมิ่งชวน “ฮืม เจ้าราชาอสูรนี่ใช้วิชาต้องห้ามมานานเกินไป หากสู้ต่อไป ข้าก็เสียเพียงน้ำหนักตัว ในขณะที่รากฐานของมันจะเสียหาย”
ฟิ้ว
เมิ่งชวนรีบวิ่งเข้ามาจากไกลๆ
ร่างกายของหลิวเย่ป๋ายถูกปกคลุมไปด้วยหมอกสีดำและใบหน้าของเขาถูกบังมิด “เจ้าต้องเก็บตัวตนของพวกเราไว้เป็นความลับ” หลังจากพูดเสร็จเขาก็จากไปทันทีและทิ้งให้พ่อลูกอยู่ตามลำพัง
“หืม?” เมิ่งชวนเห็นหลิวเย่ป๋ายออกไปอย่างรวดเร็วหลังจากเขามาถึงและตกตะลึง
ฟุบ เมิ่งต้าเจียงมาอยู่ข้างลูกชาย ร่างของเมิ่งต้าเจียงถูกปกคลุมไปด้วยกระแสพลัง ทำให้มองเห็นใบหน้าได้ไม่ค่อยชัดนัก
“ท่านพ่อ”
“อย่างที่คิด” เมิ่งต้าเจียงพูดก่อนพยักหน้า “เจ้าสามารถสัมผัสกระแสพลังในระยะครึ่งลี้ได้ ลุงหลิวกับข้าก็คงจะหนีไม่รอดจากการตรวจจับนั่น”
พลังที่เมิ่งต้าเจียงและหลิวเย่ป๋ายใช้นั้นแตกต่างจากปกติ โดยปกติแล้วพวกเขาจะใช้แค่แรงกายและกระแสปราณ
แต่ตอนนี้เมิ่งต้าเจียงได้ใช้กระแสพลังพิเศษที่ดูสดใส หลิวเย่ป๋ายใช้วิชาเขตแดน แม้แต่คนรู้จักก็ไม่สามารถจดจำกระแสพลังที่สดใสและวิชาเขตแดนได้เนื่องจากการปกปิดตัวตน
อย่างไรก็ตาม “สัมผัส” ของเมิ่งชวนไม่เพียงตรวจจับปราณและพลังอสูรได้เท่านั้น แต่ยังรวมถึงความเฉพาะตัวของกระแสพลังด้วย ไม่ว่าจะพยายามปิดบังตัวตนแค่ไหน แต่ความเฉพาะตัวของกระแสพลังก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
“ลุงหลิวและข้าซ่อนความแข็งแกร่งเอาไว้ด้วยเหตุผลบางอย่าง” เมิ่งต้าเจียงกล่าว “เจ้าต้องเก็บเอาไว้เป็นความลับเพื่อพวกเราด้วยนะ”
“ทราบแล้วขอรับ” เมิ่งชวนพยักหน้า
พวกเขาเป็นเทพอสูรแต่ซ่อนตัวตนที่แท้จริงและอาศัยอยู่ในเมืองตงหนิง แน่นอนว่าพวกเขามีความลับ และเนื่องจากพ่อของเขาและลุงหลิวไม่อยากจะอธิบาย การซักถามต่อไปก็ไร้ประโยชน์
“ไปกันเถอะ ตามข้าไปที่สำนักเต๋าจิงหู่” กล่าวเมิ่งต้าเจียง “จากนี้ไปเจ้าต้องอยู่กับข้าตลอด”
“ขอรับท่านพ่อ”ตอบเมิ่งชวน
“อย่าเรียกข้าว่าท่านพ่อตอนนี้ ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นเจ้าเผยตัวข้าไป” เมิ่งต้าเจียงกล่าวยิ้มๆ
เมิ่งชวนพยักหน้า “เข้าใจแล้วขอรับ”
ได้อยู่กับพ่อของเขา เทพอสูร มันก็ทำให้เขารู้สึกสบายใจมากขึ้น
ฟิ้วๆๆ!
กระแสพลังสดใสล้อมรอบตัวเมิ่งต้าเจียงและเมิ่งชวน พวกเขามุ่งหน้าไปยังสำนักเต๋าด้วยความเร็วที่เท่ากันในทันที
“ลุงหลิวกับข้ามีเรื่องที่ต้องจัดการ เมื่อตอนที่รู้ว่าอสูรบุกเราก็แยกกัน เขามุ่งหน้าไปที่สำนักเต๋าเพลิงตะวันและข้ามุ่งหน้าไปที่จวนบรรพบุรุษและจิงหูเมิ่ง ระหว่างทางพวกข้าก็สังหารแม่ทัพอสูรไปด้วย” เมิ่งต้าเจียงกล่าว “โชคดีที่ระหว่างเจ้าหนีมีเสียงเอะอะ ข้าจึงมาช่วยเจ้าทันพอดี”
“ถ้าท่านช้ากว่านี้ข้าอาจตายไปแล้วจริงๆก็ได้” เมิ่งชวนก็รู้สึกกลัว
“ใครจะไปคิดกันว่าพวกอสูรมันจะบุกเข้ามา?” เมิ่งต้าเจียงส่ายหน้า
“ท่านพ่อ จวนบรรพบุรุษเป็นอย่างไรบ้าง” เมิ่งชวนถาม
เมิ่งต้าเจียงกล่าว “ตระกูลเมิ่งของเราเป็นหนึ่งในห้าตระกูลเทพอสูร จึงไม่ค่อยโชคดีเท่าไรนัก กองทัพอสูรบุกเข้าไปที่จวนบรรพบุรุษ เมื่อข้าไปถึงก็มีคนตายไปแล้ว…. ผู้อาวุโสสี่คนตายไป ผู้อาวุโสสามก็เป็นหนึ่งในนั้น”
“ผู้อาวุโสสาม?” เมิ่งชวนผงะ
ชายแก่หัวล้านตัวผอมที่ติดตรึงในใจเขา เป็นคนที่ดุกับเด็กๆ เย็นชาและหัวโบราณ หากใครไม่เชื่อฟังเขาก็จะเอาไม้เท้ามาตี มันติดเป็นแผลใจของเขาตั้งแต่ยังเด็กเลยล่ะ
แต่ถึงอย่างนั้น หลังจากที่เขาเข้าถึงวิชาลับ ผู้อาวุโสสามก็เป็นคนให้มรดกเทพอสูรแก่เขา และแนะนำให้เก็บเอาไว้
“ท่านผู้อาวุโสสามเป็นคนที่แข็งแกร่ง” เมิ่งชวนพึมพำ
“ถูก เขาเป็นหนึ่งในที่ผู้แข็งแกร่งที่สุดในตระกูลเรา หากเขาระวังตัว เขาคงจะรอด แต่ว่าเขาก็เป็นตัวของตัวเอง เป็นคนที่นำการบุกเพื่อปกป้องเด็กๆ สุดท้ายแล้ว รยางค์อสูรก็แทงทะลุอกจนถึงแก่ความตาย” เมิ่งต้าเจียงกล่าว เขาอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก เพราะไม่ว่ายังไง พวกเขาก็เป็นผู้อาวุโส
เมิ่งต้าเจียงเหลือบมองลูกชายแล้วพูดว่า”อย่าคิดมาก ผู้อาวุโสสามทำด้วยความเต็มใจ ข้าเข้าใจอารมณ์นั้น เขาต้องพึงพอใจเป็นแน่ที่ได้ช่วยชีวิตเด็กๆไว้ได้มากเช่นนี้ หากเจ้าได้เข้าไปในเขาหยวนชูและกลายเป็นเทพอสูร ผู้อาวุโสสามคงจะหัวเราะอย่างมีความสุขในหลุมของเขาเป็นแน่”
“ขอรับ” เมิ่งชวนพยักหน้าเล็กน้อย
ตอนที่ 63 ท่านพ่อมาแล้ว
แม้จะตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้าย แต่เมิ่งชวนก็ไม่ยอมแพ้ เขาพยายามอย่างเต็มที่เพื่ออยู่รอด พยายามเคลื่อนที่ไปยังบริเวณที่แคบและรกร้าง ราชาอสูรบึงพิษสูงกว่า 3 จั้ง ดังนั้นเมิ่งชวนจึงหวังว่าพื้นที่แคบๆเหล่านี้จะสามารถส่งผลกระทบต่อมันได้ซักหน่อย
ฟิ้ว
อย่างไรก็ตาม บึงพิษนั้นราวกับสายลม มันเหยียบหลังคาและกิ่งไม้ก่อนจะไล่ตามเขาไปอย่างรวดเร็ว มันเข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆจนห่างกันเพียง10จั้ง
เมิ่งชวนสามารถ “มองเห็น” ผิวสีเขียวมันเลื่อมและดวงตาสีเทาที่ดูตื่นเต้นของมันได้
‘ข้าจะหนีได้อย่างไร? ข้าจะไปที่ไหน?’ เมิ่งชวนดิ้นรน
ตูม
จู่ๆก็มีพลังอันน่าสะพรึงพุ่งผ่านอากาศมาจากทางเหนือที่ห่างจากเมิ่งชวนเพียงหนึ่งลี้ มันเร็วมากจนแม้แต่เมิ่งชวนก็ยังสัมผัสแทบไม่ได้ มันเป็นหอกสั้นที่มีกระแสพลังสีเลือด หอกทะลวงผ่านอากาศจนอากาศโดยรอบระเบิดออก เพียงพริบตาเดียว มันก็เคลื่อนที่ไปครึ่งลี้เข้าใส่ราชาอสูรบึงพิษในทันที
“หืม?” บึงพิษตื่นตระหนก หอกสั้นมันทำให้รู้สึกถึงอันตราย มันไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าหมอกดำของมันจะกันไว้ได้หรือไม่ มันตวัดหอกยาวของมัน
แกร๊ง
มันปัดป้องหอกสั้น
“ราชาอสูร ชะตาเจ้าขาดแล้ว” มีเสียงตะโกนดังลั่นด้วยความเดือดดาลสะเทือนฟ้าดินมาจากร่างๆหนึ่งที่เต็มไปด้วยพลังมหาศาล ก่อนที่มันจะเข้ามาโจมตีเป็นครั้งที่สองด้วยหอกสั้น
ตูมๆๆ!
หอกสั้นพุ่งเข้ามาเรื่อยๆพร้อมกับจิตสังหารจากร่างๆนั้นที่พุ่งพวย บึงพิษพยายามปัดป้อง จนเมิ่งชวนมีโอกาสหนี
‘นั่นมัน?’ เมิ่งชวนจ้องไปที่ร่างที่กำลังพุ่งเข้าหาราชาอสูรอย่างงุนงง กระแสพลังของร่างนั้นทรงพลังมาก แต่มันก็เหมือนกับของพ่อของเขา แต่มันมีจิตสังหารและพลังที่มากมายยิ่งกว่าเป็นสิบเท่าจนน่าสะพรึง
กระแสพลังนี้เป็นแบบเดียวกับพ่อของเขา…เมิ่งชวนมองเห็นคนในกระแสพลังนั้นอย่างคลุมเครือ นั่นพ่อของเขา ที่ตอนนี้เบากว่าเดิม15กิโลกรัม เขาไม่อ้วนอีกต่อไป แต่กลับมีกล้ามเนื้อด้วยซ้ำ
ตั้งแต่เขาอายุได้หกขวบ พ่อของเขาก็น้ำหนักขึ้นเรื่อยๆ แต่เขาก็จำพ่อได้ในแวบแรก
‘นั่นพ่อหรือ?’เมิ่งชวนสับสนเล็กน้อย
‘ใช่พ่อตัวอ้วนที่หัวเราะอย่างมีความสุขทุกวันนั่นน่ะหรือ? ใช่คนที่คอยสอนวิชากระบี่ให้ข้าตั้งแต่ยังเด็ก แต่ก็มาดวลแพ้ทุกตาหลังจากที่ข้าขึ้นมาระดับไร้ตำหนิน่ะหรือ?’
เขาเข้าใจมาตลอดว่าพ่อของเขาเป็นเพียงจอมยุทธระดับไร้ตำหนิที่เข้าใจ”พลัง” และควบแน่นแก่นแท้ไม่สำเร็จ
ไม่…
ย่าทวดของเขาใช้เงินเก็บของทั้งตระกูลเพื่อแลกหยดไขกระดูกหยกของเทพอสูรมา ส่วนพ่อของเขา เขาได้ให้มาสองอย่าง ผลใจเหมันต์และหญ้าดารา ก่อนหน้านั้นเขาก็คิดไว้อยู่แล้วว่าพ่อของเขามีความลับเก็บซ่อนไว้อยู่ แต่ก็ไม่เคยคิดว่าพ่อจะเป็นเทพอสูร
“ฮ่าฮ่า มีเทพอสูรซ่อนอยู่จริงๆ” บึงพิษหัวเราะเสียงแหบ “จริงๆแล้วเจ้าก็เป็นแค่คนที่ฝึกกายาเทพอสูร ร่างของเจ้านั้นยังหยาบและไม่สมบูรณ์ดี ทำให้ไปสุดได้อยู่แค่ระดับมหาสุริยันมิใช่รึ?”
“แค่นี้ก็มากพอสำหรับการสังหารเจ้า” จิตสังหารของเมิ่งต้าเจียงพุ่งสูงขึ้นขณะที่เขาดึงกระบี่ออกมาและฟันใส่บึงพิษทันที
“เจ้าคิดวาเทพอสูรที่พึ่งเกิดใหม่อย่างเจ้าจะทำได้อย่างนั้นรึ?” บึงพิษกระหยิ่ม งูสีดำสองตัวก่อตัวจากหมอกสีดำพุ่งไปทางเมิ่งต้าเจียงทันที
แต่เมื่องูหมอกดำนั้นพันเข้าที่ร่างของเมิ่งต้าเจียง พวกมันกลับอ่อนลงกว่า90ส่วนเพราะกระแสพลังนั้น และผลกระทบที่เกิดขึ้นกับร่างของเมิ่งต้าเจียงนั้นมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น คนที่ฝึกกายาเทพอสูรนั้นไม่ได้ฝึกฝนวิชาปราณและมุ่งมั่นในการฝึกฝนร่างกายเพียงอย่างเดียว พิษเพียงเล็กน้อยนี้เป็นเพียงแค่เรื่องจิ๊บจ๊อย
กายาเทพอสูรนั้นค่อนข้างพิเศษ บึงพิษขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะพุ่งไปข้างหน้าพร้อมหอกของมัน คลื่นหอกทำให้อาคารแถบๆนั้นพังลง หอกอันทรงพลังแทงตรงเข้าใส่เมิ่งต้าเจียง.
“ตายซะราชาอสูร” ตาของเมิ่งต้าเจียงแดงก่ำ เขาใช้วิชาต้องห้ามเทพอสูรมานานพอควรและตอนนี้ก็อยู่ในอาการคลุ้มคลั่ง ลำแสงกระบี่ของเขาพุ่งเข้าหาบึงพิษ
เกือบไป…เขาเกือบจะสูญเสียลูกชายไปกับราชาอสูรนี่
เมื่ออสูรบุกเข้ามา เขาและหลิวเย่ป๋ายไปยังทางเหนือของเมืองเพื่อตรวจสอบภารกิจ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงระฆังของวังหยกสุริยัน พวกเขาต่างตระหนกก่อนจะแยกทางกันในทันที
หลิวเย่ป๋ายไปทางหนึ่ง สำนักเต๋าเพลิงตะวัน และระหว่างทางจะผ่านสำนักเต๋าอื่นๆและตระกูลด้วยเช่นกัน
เมิ่งต้าเจียงไปอีกทาง เขาผ่านจวนบรรพบุรุษตระกูลเมิ่งและจิงหูเมิ่ง
ไม่ว่าทั้งสองจะไปทางใด พวกเขาก็จะสังหารแม่ทัพอสูรที่พบ อย่างไรก็ตามทั้งคู่เป็นเพียงเทพอสูรที่กำเนิดใหม่ การที่ไม่ใช้วิชาต้องห้ามนั้นความเร็วของพวกเขาก็เทียบเท่าได้เพียงเมิ่งชวน ส่วนเมิ่งชวนนั้น เขาตรงไปยังสำนักเต๋าเพลิงตะวันทันที ดังนั้นเขาจึงไวกว่าหลิวเยว่ป๋าย
จากนั้น เมิ่งชวนก็ถูกบึงพิษเข้าจู่โจม การไล่ล่าทำให้พวกเขาไปไกลหลายสิบลี้ในพริบตา และเสียงของการปะทะกันนั้นก็ค่อนข้างดังจนดึงดูดความสในใจของเมิ่งต้าเจียง
เขาใช้คาถาต้องห้ามและปาหอกสั้นจากไกลๆออกไปเพื่อช่วยลูกชายของเขา
ในที่สุด เขาก็ช่วยลูกชายของเขาได้
อย่างไรก็ตาม ความจริงที่ว่าลูกชายของเขาเกือบถูกสังหารนั้นทำให้เมิ่งต้าเจียงเต็มไปด้วยความโกรธ เขาเหวี่ยงกระบี่อย่างบ้าคลั่งด้วยพลังที่มีจนกลายเป็นคลื่นกระบี่นับสิบ
“เจ้ากล้าท้าทายข้างั้นรึ? รนหาที่ตายเสียจริง” บึงพิษมีความมั่นใจในเผชิญหน้ากับเทพอสูรที่เพิ่งเกิดใหม่ มันฟาดหอกเข้าใส่
กายาเทพอสูรที่พึ่งกำเนิดใหม่และราชาอสูรระดับสองปะทะกัน
ครืน
ราวกับว่าโลกใบนี้กำลังสั่นสะเทือน
เมิ่งชวนหยุดวิชาต้องห้ามเทพอสูรของเขาแล้วยืนอยู่ห่างๆ แม้ว่าร่างกายของเขาและเส้นลมปราณจะเจ็บปวด แต่เขาก็ยังคงเฝ้าดูการต่อสู้อย่างเป็นกังวล พ่อของเขาและราชาอสูรกำลังต่อสู้กัน ทุกครั้งที่ทั้งสองปะทะกันก่อให้เกิดแรงกระแทกมหาศาล การโจมตีในแต่ละครั้งของพ่อมีพลังมากกว่าท่าชักกระบี่อัสนีขั้นสูงสุดของเขาเสียอีก ในพริบตาเดียว พ่อของเขาก็ก่อให้เกิดลำแสงกระบี่นับร้อยจากการฟาดฟันอย่างโกรธเกรี้ยว
พ่อของเขาก็ฝึกฝนท่ากระบี่ที่ว่องไวเช่นกัน พรสวรรค์กระบี่ไวของเมิ่งชวนอาจได้มาจากพ่อของเขาก็ได้ กล่าวกันว่าผู้ใช้กระบี่ที่เร็วที่สุดในตงหนิงคือเจ้าสำนักเต๋าจิงหู่ เก๋อหยู แต่ตอนนี้แม้แต่เมิ่งชวนก็แซงหน้าเขาไปแล้ว
อย่างไรก็ตามหลังจากได้เห็นกระบี่ที่รวดเร็วของพ่อในวันนี้ เขาก็รู้ว่าพ่อของเขาน่ากลัวแค่ไหน นี่คือเทพอสูรของจริง เทพอสูรนั้นแข็งแกร่งในทุกๆด้าน ความเร็วและความแข็งแกร่งนั้นสูงอย่างไม่น่าเชื่อ ความทนทานของเขาก็เช่นกัน แม้จะเป็นเพียงเทพอสูรที่พึ่งถือกำเนิดก็ตาม
…
ร่างๆหนึ่งพุ่งมายังสำนักเต๋าเพลิงตะวัน นั่นคือหลิวเยว่ป่าย
ชีเยว่ ใบหน้าของหลิวเย่ป๋ายซีดเซียวเมื่อเห็นเลือดและซากศพเกลื่อนไปทั่วสำนักเต๋า ‘ข้ามาสายเกินไปหรือเปล่า?’
เขารีบตรงไปที่ป้อมเพลิงตะวัน
ฟุบ
เขาเข้าไปในป้อมเพลิงตะวันผ่านหน้าต่างอย่างรวดเร็ว
“ท่านคือ?” ทหารคนหนึ่งซึ่งพักอยู่ข้างหน้าต่างและกำลังพันแผลให้เพื่อนของเขา ตกใจมากที่เห็นชายในชุดดำปรากฏตัว
“ชีเยว่” หลิวเย่ป๋ายพบหลิวชีเยว่ที่สีหน้าซีดเซียวพิงกำแพงอยู่ในทันที เขารีบวิ่งไปอย่างตื่นเต้น หลายคนในปราสาทที่กำลังพักผ่อนหรือพักฟื้น ต่างเห็นหลิวเย่ป๋ายวิ่งไปด้วยความรีบร้อน
“พ่อ?” หลิวชีเยว่ตะโกนด้วยความประหลาดใจ
“พี่หลิว” เจ้าสำนักจงพยักหน้า หลายคนรู้จักหลิวเย่ป๋าย เพราะถึงยังไง เขาก็เป็นจอมยุทธที่เข้าใจ”พลัง” เรียกได้ว่าอยู่ในระดับสูงของเหล่ามนุษย์ในเมืองตงหนิงเลย
หลิวเย่ป๋ายจับมือลูกสาวและตรวจสอบเธออย่างระมัดระวัง เขาขมวดคิ้วและพูดว่า”เจ้าใช้วิชาต้องห้ามเทพอสูรรึ? เจ้าต้องพักจนถึงเดือนหน้า ห้ามใช้ปราณหรือเกาฑัณฑ์เด็ดขาด”
“ค่ะ” หลิวชีเยว่พยักหน้า
“พี่หลิว” เจ้าสำนักจงพูดทันที “ลูกสาวของท่าน หลิวชีเยว่ ได้ปลุกสายเลือดวิหคเพลิงในตัวตอนที่พวกอสูรบุกเข้ามา”
“สายเลือดวิหคเพลิง?”หลิวเย่ป๋ายผงะ เขาทั้งประหลาดใจและงุนงง
“ท่านพ่อคะ ท่านพ่อ” หลิวชีเยว่พูดอย่างกังวล “อาชวนช่วยสำนักเต๋าเพลิงตะวันเมื่อครู่นี้ แต่ว่าราชาอสูรที่ปล่อยหมอกสีดำมันมาล่าเรา อาชวนล่อราชาอสูรออกไป เราต้องช่วยอาชวนนะคะ”
“ราชาอสูรกำลังไล่ตามเมิ่งชวน?” สีหน้าของหลิวเย่ป๋ายเปลี่ยนไป “พวกเขาไปทางไหน?”
“ทางนั้นค่ะ” หลิวชีเยว่ชี้ไปข้างนอก
“จำไว้นะ ส่งสัญญาณไฟทันทีหากมีอันตราย” หลิวเย่ป๋ายกล่าวอย่างจริงจังก่อนจะรีบวิ่งออกไปนอกหน้าต่าง
“ท่านพ่อ มันเป็นราชาอสูรนะ อย่าประมาทนะ” หลิวชีเยว่ก็ตื่นตระหนกเช่นกัน
“ไม่ต้องกังวล พ่อไม่คิดจะตายตอนนี้หรอก” เสียงของหลิวเย่ป๋ายดังขึ้นในหูของลูกสาว ก่อนจะพุ่งจากไปอย่างรวดเร็ว
…
ตูม
เมิ่งต้าเจียงปลิวชนเข้ากับร้านอาหารที่พังยับเยิน เลือดไหลลงที่ริมฝีปากของเขา
“สมกับเป็นกายาเทพอสูร ร่างของเจ้าแข็งแกร่ง ทนการโจมตีของข้ามาได้ตลอดเลย” บึงพิษหัวเราะอย่างเย็นชาแต่ในใจมันรู้สึกขมขื่น
เขาคิดจะสังหารเทพอสูรใหม่นี้รวดเดียวจบ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมมันถึงยังใช้วิชาต้องห้ามอยู่ มันใช้มาสิบห้าวินาทีแล้ว หากทำต่อไปมันคงแย่กว่านี้แน่
อย่างไรก็ตาม เทพอสูรที่กำเนิดใหม่นี้เป็นกายาเทพอสูร ที่ขึ้นชื่อเรื่องพลังกายที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษ การสังหารกายาเทพอสูรนั้นยากยิ่งกว่าการสังหารเทพอสูรธรรมดาสามคนเสียอีก อย่างไรก็ตาม เส้นทางนั้นถูกกำหนดไว้แล้ว กายาเทพอสูรนั้นหยุดลงแค่ที่ระดับมหาสุริยัน
“ฮืม?” สีหน้าของบึงพิษเปลี่ยนไปอย่างกะทันหันเมื่อมองไกลๆ
มีกระแสพลังที่น่ากลัวพุ่งออกมา หลิวเยว่ป่าวพุ่งมาเหมือนวิญญาณ
“เจ้ามาถึงซักที” เมิ่งต้าเจียงหัวเราะเสียงดัง “เร็วเข้า ช่วยข้าจัดการเจ้าราชาอสูรนี่หน่อย”
“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าต้องการความช่วยเหลือจากข้าอย่างนี้” หลิวเย่ป๋ายหัวเราะเสียงดังในขณะที่ชักกระบี่ออกและกระโจนใส่บึงพิษ “มาสังหารราชาอสูรด้วยกันเถอะ”
อนที่ 62 มันจะพอใจได้อย่างไรกัน
มันคือราชาอสูร เมิ่งชวนรู้สึกอึดอัด ราชาอสูรนั้นมีระดับเทียบเท่ากับเทพอสูร
หมอกสีดำปกคลุมไปทั่วบริเวณ
ในตอนนี้เขามีเพียงสองทางเลือกเท่านั้น อย่างแรกคือหนี เพราะไม่ว่าอย่างไรราชาอสูรบึงพิษก็ยังอยู่ห่างออกไปเกือบครึ่งลี้ ด้วยระยะทางเช่นนี้เขาคงมีโอกาสรอดสูงขึ้น ส่วนทางเลือกที่สองคือถูกหมอกสีดำนั่นกลืนกิน
‘ข้าอยากเห็นเหลือกเกินว่าราชาอสูรนั้นเก่งเพียงใด’ เมิ่งชวนไม่ได้เลือกที่จะหนี ป้อมเพลิงตะวันอยู่หลังเขา หากหมอกดำเข้าไปในป้อม ผู้คนนับไม่ถ้วนก็จะต้องตาย ผู้ที่ซ่อนตัวอยู่ลึกๆในอุโมงค์อาจรอด แต่ชีเยว่และคนอื่นๆที่ไม่ได้ซ่อนคงจะกลายเป็นเพียงกองเลือด
เขาไม่ลังเลที่จะหลอมรวม “พลังแห่งวิญญาณ” เข้ากับร่างกาย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาต้องต่อสู้กับราชาอสูร ภายใต้ภัยอันตรายถึงตายนี้ เขาพยายามควบคุมทุกส่วนของร่างกายให้ได้ “พลังแห่งวิญญาณ”ร่วมมือกับเขาเพื่อเสริมให้ร่างกายของเขาแข็งแกร่งยิ่งขึ้น เขากลายร่างเป็นสายฟ้าในทันที
ฟุบ
เมิ่งชวนพุ่งเข้าไปในหมอกสีดำในร่างสายฟ้า เขาเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ เขาเร็วยิ่งกว่าตอนที่สังหารแม่ทัพอสูรทั้งสามเสียอีก! แรงกดดันของราชาอสูรนั้นมากเกินไป
“หืม?” บึงพิษพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูงสุด แต่เมิ่งชวนไม่หนี กลับกัน เขากำลังพุ่งเข้าใส่จึงทำให้ช่องว่างเกือบครึ่งลี้นั้นหายไปในพริบตา
‘ช่างเป็นความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ!’ บึงพิษระวังตัว
‘ช่างเป็ฯหมอกพิษที่น่ากลัวอะไรเช่นนี้’ หลังจากพุ่งเข้าไปในหมอกดำ เมิ่งชวนก็สัมผัสได้ว่า ปราณของเขาสึกกร่อนอย่างรวดเร็ว โชคดีที่ปราณของเขามีความหนาแน่นมากกว่าเดิม 10 เท่าเนื่องจาก “พลังแห่งวิญญาณ” ผสานเข้ากับร่างกายของเขา ทำให้เขาสามารถทนได้นานขึ้นมาก ปราณป้องกันของข้าจะคงอยู่ได้เพียงไม่กี่วินาทีก่อนที่มันจะถูกกัดจนหมด ข้าต้องรีบ
เมิ่งชวนมาถึงหน้าบึงพิษทันที
หมอกสีดำรอบตัวบึงพิษหนาขึ้นเรื่อยๆแต่ขอบเขตประสาทสัมผัสสิบจั้งของเมิ่งชวนทำให้เขาสามารถ”มองเห็น”คู่ต่อสู้ของเขาได้ บึงพิษเป็นอสูรงูรูปร่างคล้ายมนุษย์ ที่มีผิวสีเขียวมันเลื่อม มันถือหอกและดวงตาสีเทาของมันก็จ้องมองมาที่เขาอย่างเย็นชา
“สังหาร!” จิตสังหารของเมิ่งชวนรุนแรงขึ้น และในตอนที่เขาเข้าประชิดนั้นเอง ก็มีลำแสงกระบี่ตวัดออกมา
ท่าชักกระบี่อัสนีขั้นสูงสุด!
อ่านบทล่าสุดที่ my-novel.co หรือ www.thai-novel.com
ลำแสงกระบี่เฉือนเข้าใส่ราชาอสูร
‘เป็นราชาอสูรแล้วยังไงเล่า? มันก็เป็นแค่สิ่งมีชีวิตชนิดอื่นเท่านั้น ยังไงมันก็ถูกสังหารได้!’ เขาเชื่อว่าเขานั้นแกร่งเกือบเท่าเทพอสูรนับตั้งแต่ตอนที่อยู่ในระดับหลอมแก่นแท้ และเขามีรากฐานที่แข็งแกร่งกว่าคนในระดับเดียวกัน อีกทั้งยังหลอม “พลังแห่งวิญญาณ” เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งได้อีกก้าวกระโดด เป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะทำอะไรราชาอสูรไม่ได้
ฟุ่วๆๆ! เขาฟาดกระบี่ของเขาผ่านหมอกสีดำรอบๆ หมอกสีดำสำหรับปกป้องนี้นั้นแข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ และการโจมตีของเขาก็อ่อนแอลงอย่างมาก เขาฟันผ่านหมอกสีดำได้เพียงหนึ่งชุ่น(3.3 เซนติเมตร)เท่านั้นก่อนที่มันจะหยุดลง
‘โจมตีเต็มแรงแต่ฟันเข้าเพียงหนึ่งชุ่นรึ?’ หมอกที่ปกป้องราชาอสูรนั้นหนาเป็นร้อยชุ่น
สิ่งนี้จึงเมิ่งชวนหมดกำลังใจ มันต่างกันเกินไป มากเกินไป!
บึงพิษยิ้มนิดๆเมื่อมันเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น มันไม่สนใจจะปัดป้องด้วยซ้ำ มันปล่อยให้เมิ่งชวนฟันใส่ตามใจ เพราะมันชอบที่ได้เห็นอัจฉริยะของมนุษย์สิ้นหวัง
หนี! หลังจากล้มเหลวในการโจมตี เมิ่งชวนก็ใช้คาถาต้องห้ามเทพอสูรทันที ปราณอันทรงพลังปะทุออกมาจากชีพจร กล้ามเนื้อและกระดูกของเขาก็เริ่มปลดปล่อยพลังที่เกินขีดจำกัดออกมา บวกกับ “พลังแห่งวิญญาณ” แล้ว เขาก็กลายร่างเป็นสายฟ้าและพุ่งออกไปไกลด้วยความเร็วมหาศาล
บึงพิษค่อนข้างประหลาดใจ แต่ก็หายประหลาดใจอย่างรวดเร็วและตามไป
…..
“นั่นเป็นราชาอสูรที่น่าสะพรึง” ภายในป้อมเพลิงตะวัน เจ้าสำนักจงและทหารมากประสบการณ์อีกหลายคนคาดเดาว่าที่มาของหมอกดำที่น่าสะพรึงนั้นคือราชาอสูร
“จบสิ้นแล้ว”
“รีบหนีเร็ว! แยกกันกันหนีซะ!” ทหารผ่านศึกคนหนึ่งตะโกนอย่างกระวนกระวาย
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นถัดมานั้นทำให้พวกเขาตกตะลึง
เมิ่งชวนได้เปลี่ยนเป็นสายฟ้าและพุ่งเข้าไปในหมอกสีดำ หลังจากนั้นไม่นาน เมิ่งชวนก็ออกมาจากหมอกดำและรีบหนีไปโดยไว
หมอกสีดำหดตัวลงอย่างรวดเร็วจนครอบคลุมเพียงแค่สิบจั้ง ภายในหมอกดำนั้น สามารถมองเห็นราชาอสูรตัวสูงสามจั้งกำลังไล่ตามเมิ่งชวนไป
ทั้งคู่เริ่มเกมไล่จับกันก่อนจะหายลับตาไปอย่างรวดเร็ว
“นายน้อยเมิ่งหนีไปทางอื่นเพื่อช่วยเรา เขาล่อให้ราชาอสูรออกไป” สีหน้าของเจ้าสำนักจงดูไม่ดีเท่าไหรนัก
“เขาทำเพื่อช่วยเรา” ทหารผ่านศึกและศิษย์สำนักเต๋าต่างเงียบ
“บางทีสำหรับเมืองตงหนิง สำหรับเผ่าพันธุ์มนุษย์ นายน้อยเมิ่งมีความสำคัญมากกว่าชีวิตหลายพันของพวกเราเสียอีก” ชายแก่แขนเดียวกล่าว
ทุกคนเงียบ บางคนยอมสละชีวิตเพื่อเมิ่งชวนด้วยซ้ำ! แต่ถึงอย่างนั้น แทบทุกคนก็อยากจะมีชีวิตอยู่
“อาชวน” หลิวชีเยว่มองไปไกล เธอมองไม่เห็นเขาอีกต่อไป แต่เธอก็ยังคงมองทางที่เขาหนีไปด้วยน้ำตาที่คลอในเบ้า
…
หลังจากเมิ่งชวนพุ่งออกมาจากหมอกดำ เขาก็หยุดใช้ “พลังแห่งวิญญาณ”ทันที เพราะมีเหลือเพียงนิดหน่อยเท่านั้น
หนี ขณะที่เขาใช้วิชาต้องห้าม ผิวของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเล็กน้อย เขาหนีไปราวกับสายฟ้าแลบ
“เมื่อครู่นี้เจ้าใช้วิชาอะไรกัน? ทำไมเจ้าถึงแข็งแกร่งขึ้นได้รวดเร็วขนาดนั้น?” บึงพิษดึงหมอกสีดำกลับมาให้ล้อมรอบตัวมันในระยะสิบจั้ง ก่อนหน้านี้หมอกสีดำปกคลุมไปเกือบครึ่งลี้ เพื่อจะจับเมิ่งชวน แต่มันกลับต้องประหลาดใจ เพราะความเร็วของเมิ่งชวนนั้นน่าทึ่งยิ่งนัก ความเร็วของเขายังมากกว่าราชาอสูรระดับสองอย่างมันเสียอีก “ความเร็วของเจ้าทำให้ข้าตกใจ แต่น่าเสียดายที่วิชากระบี่ของเจ้าอ่อนแอเกินไป อีกทั้งตอนนี้เจ้าช้าลงแล้วด้วย”
เมิ่งชวนเข้าใจได้ถึงความแตกต่าง ราชาอสูรแข็งแกร่งในทุกด้าน ส่วนเขานั้นเป็นเพียงแค่มนุษย์ธรรมดา มีหลายๆอย่างที่เขาไม่สมบูรณ์ แม้จะเรียกได้ว่าเขาเป็นอัจฉริยะในหมู่มนุษย์ แต่เขาก็ยังด้อยกว่าเทพอสูรและราชาอสูรมากเกินไปอยู่ดี
“เจ้าหนีไปไม่ได้หรอก” บึงพิษโบกมือและมีแสงพุ่งออกมาจากนิ้วของมัน มันคมกริบและอาจจะรุนแรงเสียยิ่งกว่าท่าชักกระบี่อัสนีของเมิ่งชวนที่แม้จะใช้ “พลังแห่งวิญญาณ” แล้วก็ตาม
ตูม!
เมิ่งชวนสัมผัสได้ถึงกระแสพลังอันแข็งแกร่งที่ยิงเข้ามาและหลบมัน
ลำแสงฉีกกระชากต้นไม้ใหญ่ข้างๆเขาก่อให้เกิดรูขนาดยักษ์บนลำต้น ลำแสงนั้นพุ่งไปต่ออีกนับสิบจั้งก่อนที่มันจะชนเข้ากับก้อนหินจนเกิดระเบิดขึ้น
เพียงแค่ชี้นิ้วก็รุนแรงเกินไปแล้ว นี่หรือคือความสามารถของราชาอสูร? เมิ่งชวนเข้าใจได้อย่างดีเกี่ยวกับความแตกต่างในด้านความแข็งแกร่ง การโจมตีใส่ศัตรูตัวนี้นั้นเป็นเรื่องที่โง่เขลาเกินไป!
‘มันหลบได้รึ?’ บึงพิษไล่ตามไปและชี้นิ้วไปที่เมิ่งชวนก่อนที่ลำแสงหลายลำพุ่งออกมา
ลำแสงทุกลำก่อให้เกิดหลุมขนาดยักษ์ไว้บนพื้นหรือทะลุผ่านบ้านจำนวนมาก พลังเหล่านี้มันทำให้ใจของเมิ่งชวนเต้นระรัว
โชคดีที่พวกเขาอยู่ห่างกันเกือบร้อยจั้ง แม้ว่าเมิ่งชวนจะหนีอย่างสุดกำลัง แต่เขาก็ยังรู้สึกได้ถึงลำแสงที่พุ่งเข้ามาโดยที่ไม่ต้องหันกลับไปมอง หรือก็คือ เขาสามารถหลบได้ก่อนนั่นเอง
“ฮึ่ม” นิ้วทั้งห้าของบึงพิษยิงลำแสงออกมาพร้อมกัน มันไม่ประหยัดพลังอีกต่อไป แต่ว่า เมิ่งชวนนั้นลื่นไหลมากเกินไป มันคิดไปด้วยซ้ำว่าเมิ่งชวนมีตาติดอยู่ตรงหัวหรือเปล่าถึงได้หลบได้ก่อนเช่นนี้
‘มันเป็นแต่มนุษย์แต่สังหารแม่ทัพอสูรได้อย่างง่ายดาย แถมยังเร็วกว่าข้าที่เป็นราชาอสูรระดับสองอีก แม้ว่ามันจะอ่อนแอในด้านอื่น แต่มันก็ยังเป็นแค่มนุษย์…. ที่แข็งแกร่งได้ขนาดนี้ มันต้องเป็นอัจฉริยะเป็นแน่ อัจฉริยะเช่นนี้มีค่าหัวสูงมากด้วย’ บึงพิษรู้สึกสนใจในเมิ่งชวน
แม้ว่าเทพอสูรจะทรงพลัง แต่อันตรายจากเทพอสูรต่อเหล่าราชาอสูรนั้นน้อยมาก
ในทางกลับกัน อัจฉริยะมนุษย์นั้นมีศักยภาพที่น่ากลัว หลังจากกลายเป็นเทพอสูรแล้ว พวกเขามีโอกาสที่จะได้กลายเป็นเทพอสูรระดับสูงที่น่ากลัวอีกด้วย ดังนั้นหากใครที่ถูกจัดเป็นอัจฉริยะ เหล่าอสูรจะตั้งค่าหัวจำนวนมหาศาลไว้
ในสายตาของบึงพิษ ชายหนุ่มตรงหน้าเขามีค่าหัวมหาศาล
‘ข้ายังเร็วไม่พอ เหอะ ช่างประไร เพื่อจัดการอัจฉริยะจะใช้วิชาต้องห้ามนิดหน่อยก็ไม่เห็นเป็นอะไร’ ผลกระทบของวิชาต้องห้ามนั้นน้อยหากใช้เพียงไม่นาน เมื่อคิดเช่นนั้น พลังอสูรของบึงพิษก็พวยพุ่งในทันที
เมิ่งชวนรู้สึกได้ถึงกระแสพลังของราชาอสูรในทันที ความเร็วของบึงพิษเพิ่มขึ้นก่อนที่ระยะทางจะถูกร่นเข้ามาอย่างรวดเร็ว
ไม่ดีแล้ว เมิ่งชวนยิ่งรู้สึกกังวล ระยะห่างระหว่างพวกเขาลดลงอย่างรวดเร็ว 80 จั้ง 60 จั้ง 40 จั้ง…มันลดลงอย่างรวดเร็ว
ฟุบ แม้ว่าเมิ่งชวนจะเร็วมากเมื่อใช้วิชาต้องห้ามที่ทำให้เขาสามารถพุ่งผ่านเขตบ้านเรือน ซากปรักหักพัง และแม่น้ำมากมาย แต่ราชาอสูรที่อยู่ข้างหลังเขานั้นเร็วกว่าอย่างชัดเจนหลังจากใช้วิชาต้องห้าม
“พลังแห่งวิญญาณ!”
เขาใช้พลังวิญญาณที่เหลืออยู่เพื่อเพิ่มความเร็ว
ความเร็วของเมิ่งชวนเพิ่มขึ้นเพื่อเพิ่มระยะห่าง แต่เขาก็ใช้ “พลังแห่งวิญญาณ”จนหมดอย่างรวดเร็ว ตอนนี้พวกเขาอยู่ห่างกัน60จั้ง และมันก็ลดลงเรื่อย
‘ข้าจะทำอย่างไร?ข้าจะทำอย่างไร?’ เมิ่งชวนหนีไปไม่หยุด เขายังไม่อยากตาย เขาคือความหวังของตระกูลเมิ่งและเขายังไม่ได้ทำตามคำสาบานต่อหน้าหลุมศพของแม่ของเขาเลย เขาต้องเป็น เทพอสูรให้ได้! เขายังไม่ได้ฆ่าราชาอสูรด้วยซ้ำ! หลังจากฝึกฝนมาหลายปี ความฝันมากมาย เขาจะมาตายอย่างนี้ได้อย่างไรกัน?
หนี! ทางรอดสุดท้ายที่เขาคิดได้ ทำให้ร่างกายของเขาหลอมรวมเข้ากับกระแสปราณยิ่งกว่าเดิม จนทำให้ความเร็วเพิ่มขึ้นอีก20ส่วน
ตำนานกล่าวไว้ว่าร่างกายนั้นมีศักยภาพมหาศาล ความแข็งแกร่งที่ถูกปลดปล่อยออกมาในการต่อสู้เป็นเพียงแค่ยอดส่วนเล็กๆของภูเขาน้ำแข็ง หากเทพอสูรที่ทรงพลังสามารถควบคุมร่างกายได้เต็มที่ พลังที่พวกเขาปลดปล่อยออกมาก็จะมากกว่ามนุษย์หลายสิบร้อยพันเท่า
อย่างไรก็ตาม การเพิ่มความเร็วได้20ส่วนของเมิ่งชวนนี้ก็ถึงขีดจำกัดแล้ว
30 จั้ง 20 จั้ง…
ในขณะที่ช่องว่างใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เมิ่งชวนก็รู้สึกได้ถึงพลังข้างหลังเขาที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
‘ข้าจะตายที่นี่งั้นรึ? ด้วยเงื้อมมือราชาอสูร?’ เมิ่งชวนเต็มไปด้วยความเศร้าโศกและคัดแค้น แต่ก็ทำอะไรไมไ่ด้
ตอนที่ 61 เมิ่งชวนและราชันอสูร
เมื่อมีตราอยู่ในมือ ราชันอสูรบึงพิษก็รู้สึกได้ถึงตำแหน่งของอีกทั้ง18ตราได้ในทันที เก้าอันนั้นไม่มีเจ้าของ แน่นอนว่าแม่ทัพอสูรทั้งเก้าได้ตกตายไปแล้ว
ฮืม? สำนักเต๋าเพลิงตะวัน? บึงพิษจับทิศทางได้ในทันที มีแม่ทัพสองตนอยู่ที่นั่น ตนหนึ่งตายไปแล้ว ส่วนแม่ทัพวัวยังมีชีวิตอยู่ เทพอสูรที่พึ่งจุติใหม่และอ่อนแอนั่นยังคงอยู่ที่สำนักเต๋าเพลิงตะวันและกำลังจะฆ่าแม่ทัพอสูรวัว ข้าต้องรีบแล้ว
บึงพิษรู้ว่าเทพอสูรลึกลับนั้นจะตามหาเหยื่อรายใหม่หลังจากมันสังหารแม่ทัพอสูรลงได้ ดังนั้น มีเพียงการตามหาแม่ทัพอสูรที่ยังมีชีวิตอยู่เท่านั้นถึงจะมีโอกาสเจอเทพอสูรลึกลับนั่น
ฟู่วว
บึงพิษหายวูบไปเมื่อมันเคลื่อนที่ และในระยะ 10 จั้งรอบๆตัวมันจะมีหมอกสีดำรายล้อมอยู่ เมื่อใดก็ตามที่หมอกสีดำนั้นสัมผัสโดนสิ่งอื่น ซากศพกลายเป็นแอ่งเลือด จอมยุทธที่ซ่อนตัวอยู่รอบๆก็ถูกหมอกฆ่าตาย พวกเขากลายเป็นเพียงแอ่งเลือด แม้ว่าบึงพิษจะไม่สนใจมนุษย์มากนัก แต่มันก็ไม่ได้คิดอะไรกับการฆ่ามดปลวกเล่นระหว่างทาง
มนุษย์ช่างน่าขัน บึงพิษเหลือบมองไปที่มนุษย์ที่เจอระหว่างทาง ถ้าไม่ใช่เพราะว่าข้าต้องตามหาเทพอสูรนั่นให้ได้ไวที่สุด ข้าคงจะสังหารมนุษย์ในเมืองนี้จนสิ้นหมดแล้ว
เมื่อความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นมาถึงจุดๆหนึ่งแล้ว มันก็มีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แม้ว่าจะให้มนุษย์ล้านคนสู้กับอสูรบึงพิษ พวกเขาก็จะไม่สามารถทำความเสียหายให้แก่มันได้เลยแม้แต่น้อย ในขณะที่มนุษย์ทั้งหมดจะถูกฆ่า แต่อันที่จริงแล้ว มนุษย์ก็คงจะหนีไปทั่วทิศทางเมื่อเห็นสถานการณ์เริ่มไม่ดี ไม่ว่าราชาอสูรจะแข็งแกร่งขนาดไหน แต่พวกมันก็ทำอะไรมากไม่ได้ นี่จึงเป็นเหตุว่าทำไมถึงต้องมีกองทัพอสูรขนาดยักษ์
ในเมืองด่านนั้น เหล่ามนุษย์ที่เป็นทหารต้องป้องกันเหล่าทัพอสูรที่เหมือนกับฝูงแมลง ส่วนราชาอสูรน่ะหรือ? นั่นเป็นหน้าที่ของเทพอสูร
ฟิ้ว
บึงพิษพุ่งไปทางสำนักเต๋าเพลิงตะวันด้วยความเร็วอันน่าสะพรึง
…
ที่สำนักเต๋าเพลิงตะวัน
“ถอย”
“ถอยเร็ว”
อ่านบทล่าสุดที่ my-novel.co หรือ www.thai-novel.com
เหล่าอสูรกำลังเสียกำลังใจ พวกมันกำลังเสียเปรียบ ทำให้เหล่าผู้นำอสูรสั่งให้ล่าถอย
ฟิ้วๆๆๆๆ! เหล่าปีศาจกระโดดออกหน้าต่างตามๆกันไป ส่วนผู้นำอสูรก็หนีด้วยความเร็วเต็มที่
“สังหารพวกมัน”
“สังหารพวกอสูรซะ!” แรงสู้ของมนุษย์เพิ่มขึ้นมหาศาล หอกสั้นแทงทะลุร่างของเหล่าอสูร หน้าไม้ยักษ์ยิงลูกดอกซึ่งเสียบพวกอสูรเหมือนลูกชิ้น มนุษย์ในป้อมเพลิงตะวันกลับมาได้เปรียบและโต้กลับเหล่าอสูร! พวกเขาไล่ตามสังหารอสูร
พวกอสูรนั้นฉลาด มันรับรู้ได้ว่าเมื่อแม่ทัพอสรพิษที่ตายไปแล้ว กับแม่ทัพวัวที่กำลังใกล้จะตาย มันไม่มีโอกาสชนะแม้แต่น้อย แม้แม่ทัพวัวจะหนีรอดออกมาได้ แต่จอมยุทธมนุษย์ก็จะหันมาสังหารพวกมันเสียเอง ความตายอยู่ไม่ไกล
เป็นสถานการณ์ที่กู้คืนไม่ได้แล้ว
ดังนั้นถ้าให้ดีก็ควรจะหนีไปให้ไวที่สุดในขณะที่จอมยุทธมนุษย์กำลังสู้กับแม่ทัพวัว ไม่ว่าจอมยุทธนั้นจะเก่งเพียงใด แต่มันก็มีเพียงหนึ่ง จอมยุทธปริศนานั่นจะฆ่าได้มากเพียงใดกันหากพวกมันหนีไปทุกทิศทาง?
พวกมันหนีได้ แต่ข้าหนีไม่ได้ แม่ทัพอสูรวัวใช้วิชาต้องห้ามที่สะเทือนดินฟ้าแล้ว ก่อให้เกิดคลื่นกระแทกรอบๆตัวมัน
แม่ทัพวัวตวัดตรีศูลของมันพยายามป้องกันลำแสงกระบี่ของเมิ่งชวน
ฟุบ
เมิ่งชวนเร็วมาก แต่เมื่อใดก็ตามที่เขาเข้าใกล้แม่ทัพวัว คลื่นกระแทกนั้นมันทำให้ความเร็วของเขาลดลงไปกว่า 3 ส่วน
ข้าแข็งแกร่งพอๆกับแม่ทัพอสูรนี่หากข้าไม่ใช้พลังแห่งวิญญาณ เมิ่งชวนส่ายหัวในใจ ช้าต่อไปไม่ได้แล้ว ข้าต้องรีบไปจวนบรรพบุรุษให้ได้โดยไว
ย่าทวดของเขาขอให้ช่วยปกป้องคนในตระกูลให้ได้มากที่สุด
แม้ว่าสำนักเต๋าทั้งแปดจะเป็นเป้าหมายหลักของอสูร แต่สำนักงานบริหาร คลังอาวุธ และตระกูลเทพอสูรทั้งห้าก็เป็นเป้าหมายรอง นี่จึงเป็นเรื่องของความปลอดภัยของสมาชิกในตระกูลเมิ่งทั้ง 3,000 คน ตราบใดที่ไม่มีเทพอสูรและราชาอสูร เขาก็พอจะเป็นคนช่วยยับยั้งได้ เขามั่นใจในการปกป้องตระกูลมาก แน่นอน หากเทพอสูรพ่ายในการต่อสู้กับราชาอสูรที่วังหยกสุริยัน เขาก็จะรีบหนีไปในทันทีตามคำแนะนำของท่านย่าทวด
เจ้าวังหยกสุริยัน ย่าทวด และคนอื่นๆจะต้องชนะแน่นอน สิ่งที่เมิ่งชวนทำได้คือหวัง ความคิดมากมายผุดขึ้นในใจของเขา แต่การต่อสู้ของเขากับผู้บัญชาการวัวก็ไม่ได้หยุดลง หลังจากโจมตีพลาดไปสองครั้ง เมิ่งชวนก็หลอมรวมพลังแห่งวิญญาณเข้ากับร่างกายอีกครั้ง
กระดูกและกล้ามเนื้อสอดประสานกันอย่างลงตัว กระแสปราณของเขาก็ราบลื่นยิ่งขึ้น ทั้งหมดนี้ทำให้พลังของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล เขาแข็งแกร่งมากขึ้นไปอีกระดับ
ความเร็วของมัน ดวงตาของผู้บัญชาการวัวเบิกกว้าง จอมยุทธมนุษย์นี่มีความเร็วที่น่าสะพรึงเหมือนตอนมันสังหารแม่ทัพอสรพิษเลย
ฟิ้ว
แม้ว่าคลื่นกระแทกนั้นจะขัดขวางร่างสายฟ้านั่น แต่เมิ่งชวนก็ยังเร็วอย่างไม่น่าเชื่ออยู่ดี แม่ทัพวัวแทบไม่มีเวลาตอบโต้ ตรีศูลในมือของมันแทบจะไม่ขยับไปไหนก่อนที่มันจะถูกแทงเข้าที่หน้าผาก ทะลุหัวของแม่ทัพวัวเข้าไป ก่อนที่สติของมันจะกลายเป็นดำมืด
แม่ทัพวัวตายแล้ว ร่างมหึมาของแม่ทัพวัวร่วงลงสู่พื้นฝุ่นตลบ
“แม่ทัพวัวก็ตายแล้วเหมือนกัน!”
“หนี!”
“หนีเร็ว!” เหล่าอสูรที่กำลังหนีอยู่ ต่างหวังว่าพวกมันจะก้าวได้ยาวกว่านี้ในขณะที่วิ่งกระจัดกระจายไปทั่ว
เมิ่งชวนมองกวาดผ่านพวกมัน หากมันกระจัดกระจายไปทั่วเช่นนี้ เขาคงสังหารได้เพียงสามถึงห้าตัว ไม่คุ้มค่าเวลาไล่ตาม
ฟุบ
เขารีบเข้าไปในป้อมเพลิงตะวันเพื่อไปหาชีเยว่
“งดงามมาก”
“ช่างน่าอัศจรรย์”
“ศิษย์พี่เมิ่ง ท่านคือพี่ใหญ่ของสำนักเต๋าทั้งแปดเลย!” ศิษย์สำนักเต๋าเพลิงตะวันคนหนึ่งตะโกนด้วยความตื่นเต้น
“นายน้อยเมิ่งเก่งเหลือเกิน เขาฆ่าแม่ทัพอสูรสองตนด้วยตัวคนเดียว” ทหารและทหารผ่านศึกก็รู้สึกประทับใจในเช่นเดียวกัน ทุกคนพูดคุยกันขณะเฝ้าดูเมิ่งชวนรีบไปที่ป้อมเพลิงตะวัน พวกเขาต่างรู้จักนายน้อยเมิ่งซึ่งเป็นคนที่มีชื่อเสียงในเมืองตงหนิง
ทันใดนั้นสีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไป และหันไปมองที่เดียวกัน
หลิวชีเยว่ ที่กำลังนอนพิงกำแพงอย่างอ่อนแรงก็ยิ่มอ่อนๆในขณะที่ดูเมิ่งชวนเข้ามาหา อย่างไรก็ตาม สีหน้าของเธอดูหวาดกลัวเมื่อเห็นบางสิ่งหลังเมิ่งชวน
“พี่เมิ่งระวัง!”
“นายน้อยเมิ่งระวัง!”
“อาชวนระวัง!”ทุกคนต่างร้องตะโกน
เมิ่งชวนไม่ทันสังเกตเห็นมันในตอนแรก แต่เขาสามารถสัมผัสได้ถึงกระแสพลังหนึ่งลี้จากตัวเขา เมื่อศัตรูเข้ามาใกล้ เขาก็สัมผัสได้ถึงกระแสพลังที่น่ากลัวในทันที กระแสพลังนั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่าย่าทวดของเขาเสียอีก นอกจากนี้ก็ยังเป็นเพราะย่าทวดของเขาได้รับบาดเจ็บอย่างหนักด้วย
“กระแสพลังที่น่ากลัวเช่นนี้” เมิ่งชวนหันหน้ากลับทันที
ฟุบ
ท้องฟ้าด้านหลังเขาปกคลุมไปด้วยหมอกสีดำ เมื่อสิ่งที่น่าสะพรึงนั่นอยู่ห่างออกไปหนึ่งลี้ หมอกสีดำก็ปกคลุมออกไปกว่าเกือบร้อยจั้ง และมันอยู่ห่างจากเขาไม่ถึงครึ่งลี้ด้วยซ้ำ
ฟู่ว
สิ่งมีชีวิตที่น่าสะพรึงกลัวเคลื่อนไหวด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ เร็วเสียยิ่งกว่าเมิ่งชวน
หมอกสีดำที่ปกคลุมท้องฟ้าไปเกือบครึ่งโผล่ขึ้นมาหน้าเมิ่งชวนในพริบตา ระยะสัมผัส 10 จั้งของเมิ่งชวนรู้สึกได้ถึงงูสีดำขนาดเล็กจำนวนนับไม่ถ้วนซึ่งมีขนาดเท่าฝุ่นอยู่ในหมอกนั้น ซากศพจำนวนมากที่เรียงรายอยู่ตามทางมายังสำนักเต๋าได้กลายเป็นแอ่งเลือดอย่างรวดเร็วเมื่อหมอกเคลื่อนผ่าน และในต้อนนั้นเอง หมอกสีดำที่เกิดจากงูขนาดเล็กนับไม่ถ้วนก็พุ่งเข้าใส่เมิ่งชวน
“เจ้าคนที่ฆ่าแม่ทัพอสูรทั้งสองเป็นเพียงแค่มนุษย์งั้นรึ! ช่างน่าประหลาดใจ” เสียงแหบแห้งเย็นชาดังลึกจากในหมอกดำ
ตอนที่ 60 มีเทพอสูรอีกคนรึ?
เมิ่งชวนมาถึงในช่วงเวลาสำคัญพอดีและสังหารแม่ทัพอสรพิษในการโจมตีเพียงครั้งเดียว ในขณะเดียวกัน ก็มีอีกสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ณ วังหยกสุริยันในเมืองตงหนิง
วังหยกสุริยันตอนนี้เหลือเพียงซากปรักหักพัง การต่อสู้ระหว่างเทพอสูรและราชาอสูรนั้นน่าสะพรึง อาคารในวังหยกสุริยันทั้งหมดพังทลายลง ขนาดคุกที่ไว้กักขังอสูรยังถูกทำลายเลย เหล่าอสูรที่อยู่ในนั้นกลายเป็นเพียงเศษเนื้อ ก่อนที่จะกลายเป็นเพียงกองเลือด
ไม่เหลือแม้แต่กระดูก มีเพียงเลือดเท่านั้น
ตูม!
หวินว่านไห่ปลิวไปเพราะแรงระเบิด และมีเหวลึกปรากฏขึ้นที่พื้น ร่างของเขาถูกล้อมรอบด้วยเปลวเพลิงสีม่วง ราวกับว่าเขาเป็นเทพแห่งเปลวเพลิง อย่างไรก็ตาม เขาก็ได้แต่กระอักเลือดออกมาในขณะที่นอนอยู่ก้นเหว เลือดของเขานั้นเต็มไปด้วยเปลวเพลิงสีม่วงที่เริ่มมอดดับ กระจายอยู่บนพื้น
“ตายซะ!” เงาสีดำพุ่งเข้ามาพร้อมกับร่างของวานรขนดำฟาดกระบองใส่หวินหวานไห่
เมิ่งเซียนกูที่ยืนอยู่ห่างๆก็รีบโบกมือด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เงามือโผล่ออกมาจากความว่างเปล่าและคว้าหวินว่านไห่ที่บาดเจ็บหนักออกไป มันทำให้กระบองของราชาอสูรวานรฟาดลงไปบนพื้นแทน เสียงระเบิดที่ตามมามันดังราวกับฟ้าผ่า เหลือไว้เพียงหลุมขนาดยักษ์กว้างกว่า10จั้ง ส่วนหวินว่านไห่นั้น ตอนนี้เขาหลบออกมาได้เพราะการดึงนั้น เขาเกือบจะโดนกระบองนั่นกระแทกใส่เพียงนิดเดียว
เมื่อพุ่งไปอยู่ข้างๆเมิ่งเซียนกูแล้ว หวินว่านไห่ก็กระซิบว่า “เซียนกู เจ้าช่วยชีวิตข้าไว้” เมื่อพูดออกมามันก็ทำให้เขาต้องกระอักเลือด
เมิ่งเซียนกูพยายามไม่คิดมาก เธอมองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม คลื่นที่มองไม่เห็นกระจายออกมาจากเธออย่างต่อเนื่องในขณะที่เธอพยายามก่อกวนราชาอสูรทั้งสามทีละเล็กทีละน้อยเพื่อช่วยเจ้าวังหยกสุริยัน
ในขณะนั้นเอง ร่างของเจ้าวังหยกสุริยันเริ่มเปล่งประกาย ฝ่ามือของเขาดูราวกับรูปแกะสลักหยก พลังทั้งมวลของเขานั้นอยู่ในมือทั้งสอง วิชากำปั้น วิชาฝ่ามือ วิชากรงเล็บ วิชานิ้ว … พวกมันช่างลึกลับ! เขาสามารถต้านทานราชาอสูรสามตนได้ด้วยตัวคนเดียว ราชาอสูรทรราชคำรน ที่สูงกว่าสิบจั้งและมีพละกำลังมหาศาล ยังมีราชาอสูรที่ใช้พิษและราชาอสูรระดับสาม ไป่เฉิน
และเพราะเขาเอาจริงด้วยเช่นกัน ไม่เช่นนั้น เขาคงจะสิ้นไปนานแล้วหากหวังพึ่งเมิ่งเซียนกูและหวินว่านไห่ที่บาดเจ็บ
หลังจากปะทะกันกลางอากาศ เจ้าวังหยกสุริยันก็ร่วงลงพื้นและถอยไปสองสามก้าว เมื่อเขากลับมารวมกลุ่มกับเมิ่งเซียนกูแล้ว หน้าซีดเซียวของเขาก็กลับมาเป็นปกติ
“เจ้ายังไหวหรือเปล่า?” เจ้าวังหยกสุริยันมองไปที่หวินว่านไห่
“ตอนนี้ข้าใช้วิชาต้องห้ามไปแล้ว ข้ายังต่อได้อีกเพียงสิบวินาทีเท่านั้น” หวินว่านไห่พูดเสียงต่ำ “จากนั้น ข้าคงจะถูกเจ้าวานรนั่นบี้จนเละ”
อ่านบทล่าสุดที่ my-novel.co หรือ www.thai-novel.com
“ท่านเจ้าวัง” เมิ่งเซียนกูกล่าว “หวินว่านไห่บาดเจ็บหนักเกินไป”
เจ้าวังหยกสุริยันก็รู้เช่นกัน ความแข็งแกร่งของศัตรูนั้นเหนือความคาดหมายของเขา ในบรรดาราชาอสูรทั้งสี่ ราชาอสูรระดับสองทุกตนนั้นต่างเก่งกาจ แต่ก็ไม่เท่าราชาอสูรระดับสาม ไปเฉิน
ส่วนพวกเขาน่ะหรือ?
เมิ่งเซียนกูมีอาการบาดเจ็บภายใน เธอทำได้แค่เพียงคอยช่วยกางเขตแดนอยู่รอบนอกเท่านั้น นี่เป็นทางที่ดีที่สุดสำหรับเมิ่งเซียนกูในการต่อสู้ครั้งนี้แล้ว หวินว่านไห่สามารถรับมือได้อีกนิดหน่อย แต่เมื่อราชันอสูรวานรและราชันอสูรทรราชคำรนร่วมมือกัน พวกมันก็บดขยี้หวินว่านไห่ได้อย่างง่ายดาย ในเวลาอันสั้น หวินว่านไห่โดนอัดจนเกือบตายแม้จะใช้วิชาต้องห้ามเทพอสูรแล้วก็ตาม
แม้ว่าเขาจะโชคดีที่ยังไม่สิ้น แต่ก็ยังได้รับบาดเจ็บสาหัส และไม่น่าจะทำอะไรได้มากในการต่อสู้ครั้งนี้
เจ้าวังหยกสุริยันต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีของราชาอสูรทั้งสี่พร้อมกัน ความหวังเริ่มเลือนราง
“เมืองตงหนิงอยู่ภายใต้การโจมตีอย่างหนัก แต่พวกเราไม่สามารถทำอะไรได้เลย” หวินว่านไห่พูด “หรือเราจะถ่วงเวลาดี?”
“ข้าได้ขอกำลังเสริมจากเมืองรัฐอู๋และเขาหยวนชูแล้ว” เจ้าวังหยกสุริยันกล่าว “ตอนนี้เราคงได้ แต่หวังว่าจะมีเทพอสูรที่ทรงพลังซึ่งอยู่ใกล้กับเมืองตงหนิงพอที่จะช่วยเราได้ทันเวลา มิฉะนั้นตงหนิงคงจะเหลือแต่ซาก”
“แปลก” เมิ่งเซียนกูกล่าว “ทำไมราชาอสูรถึงหยุด?”
หวินว่านไห่และเจ้าวังหยกสุริยันก็ประหลาดใจไม่แพ้กัน
เหล่าเทพอสูรเสียเปรียบในการต่อสู้มาโดยตลอดและราชาอสูรก็ได้เปรียบ ถ้าพูดตามหลักเหตุผลแล้ว เหล่าราชาอสูรควรจะใช้ทุกโอกาสนี้สังหารเทพอสูรทั้งสามให้ได้ ทำไมพวกมันถึงยั้งมือกัน?
…
ราชาอสูรทั้งสี่หยุดมือชั่วคราวเพราะมีบางอย่างที่สำคัญเกิดขึ้น
“ราชันอสูรไป่เฉิน” ราชันอสูรวานร ราชันอสูรทรราชคำรน และราชันอสูรบึงพิษมองไปที่ไปเฉิน ผู้นำของพวกมัน
“เกิดอะไรขึ้นรึ?” ทรราชคำรนถาม
ไปเฉินหยิบตราออกมาจากหน้าอกของมันและกวาดสายตาไปรอบๆ และพูดออกมา “ตรานี้ท่านจ้าวแห่งขุนเขา(ชานจิ่วเฉา)ให้ข้ามาเพื่อใช้ควบคุมกองทัพทั้งหมด และมันยังสามารถใช้ตรวจสอบตราของแม่ทัพอีกทั้ง 18 ได้ มันทำให้ข้ารู้ว่าแม่ทัพ 9 ตนจากทั้ง 18 ตนได้ตายไปแล้ว”
“พวกมันตายไปแล้วครึ่งหนึ่งเลยรึ?” ท่ามกลางหมอกสีดำ บึงพิษตกใจ
“เป็นไปไม่ได้” วานรอดไม่ได้ที่จะพูดออกมา “แม่ทัพอสูรเหล่านี้นั้นแข็งแกร่งมากในโลกมนุษย์นี้ และศัตรูของพวกมันทั้งหมดก็ยังเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา เป็นไปได้ยากที่พวกมันจะถูกสังหารในการต่อสู้ แต่พวกมันครึ่งหนึ่งกลับตายไปอย่างรวดเร็วเช่นนี้ได้อย่างไรกัน”
“ในเวลาที่บุกเข้ามา ข้าก็สัมผัสได้ว่ามีแม่ทัพได้ตายไปสองตนแล้ว” ไปเฉินกล่าว “แต่ตอนนั้นพวกเราต้องจัดการกับเทพอสูรสามทั้งสามจากวังหยกสุริยันนี้ ข้าไม่อยากให้พวกเจ้าเสียสมาธิ ดังนั้นข้าจึงไม่ได้พูดอะไร แต่หลังจากนั้นข้าก็รู้สึกได้ว่าเหล่าแม่ทัพนั้นต่างตายตกกันไปทีละตน และเมื่อครู่นี้เอง ข้าก็สัมผัสได้จากทางตะวันออกเฉียงใต้ และทางเหนือ แม่ทัพสามตนเสียชีวิตลงอย่างรวดเร็วติดต่อกันภายในไม่กี่ชั่วอึดใจ ตอนนี้พวกเราสูญเสียแม่ทัพไปถึงเก้าตนแล้ว หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้าคิดว่าทั้งสิบแปดคงจะตายจนหมด”
“มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน? แม่ทัพพวกนั้นถูกมนุษย์สังหารได้อย่างง่ายดายได้อย่างไรกัน? ทำไมแม่ทัพทั้งเก้าถึงถูกสังหารได้ง่ายดายเช่นนั้น? “ราชาอสูรทั้งสามก็กังวลเช่นกัน
วานรขมวดคิ้ว “ที่พวกเราไม่จบการต่อสู้กับเทพอสูรไวๆนั่นก็เป็นเพราะพวกเรามีความมั่นใจว่าทัพอสูรจะถล่มเมืองตงหนิงให้ราบได้ แต่หากกลับกลายเป็นว่ากองทัพอสูรของเราถูกทำลาย มันมีเหตุผลใดที่พวกเรายังต่อสู้อยู่ที่นี่?”
“มีเหตุผลเดียวที่แม่ทัพอสูรอีกเก้าตนจะถูกสังหาร” แววตาของไปเฉินเย็นชาขณะพูด “ยังมีเทพอสูรคนอื่นอยู่ในเมืองตงหนิงนี้อีก อาจจะมีมากกว่าหนึ่ง เทพอสูรเหล่านี้หลบซ่อนตัวแล้วสังหารอสูรอย่างไร้ปราณี”
ราชาอสูรทั้งสามเห็นด้วย หากแม่ทัพอสูรตนหนึ่งเสียชีวิต ก็อาจจะอ้างว่ามนุษย์ใช้กับดักและจำนวนคนเข้าโถมใส่ก็ได้
แต่กลับตกตายถึงเก้าตนภายในเวลาไม่นาน สิ่งที่พวกมันคิดได้อย่างเดียวคือ เทพอสูรลงมือแล้ว
“มันไม่กล้ามาช่วยวังหยกสุริยันสู้กับพวกเรา แสดงว่ามันยังไม่แข็งแกร่งพอ มันคงจะเป็นเทพอสูรเกิดใหม่ ยังอ่อนเยาว์ และอ่อนแอ” ไปเฉินกล่าว “ราชันอสูรบึงพิษ เอาตราของข้าไปและออกเดินทางโดยเร็ว มุ่งหน้าไปยังแม่ทัพอสูรที่ยังมีชีวิตอยู่ และเมื่อเจ้าพบเทพอสูรให้ฆ่าพวกมันทันที”
“ทราบแล้ว ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” บึงพิษที่ปกคลุมไปด้วยหมอกสีดำเหยียดแขนสีเขียวเลื่อมของมันออกมารับตรา “หากเป็นเทพอสูรที่พึ่งกำเนิดใหม่ข้าคงจะสังหารมันได้อย่างง่ายดาย”
ผู้ที่ได้รับเลือกจากชานจิ่วเฉานั้นต่างก็เป็นราชาอสูรระดับสองที่แข็งแกร่ง
ฟิ้ว
มันพุ่งไปทางตะวันออกเฉียงใต้พร้อมกับหมอกสีดำของมัน
…
หวินว่านไห่ เมิ่งเซียนกูและเจ้าวังหยกสุริยันถือโอกาสนี้กินยาเพื่อรักษาบาดแผล อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ทำหน้าถอดสีเล็กน้อยเมื่อเห็นราชาอสูรที่ปกคลุมไปด้วยหมอกดำแยกตัวออกไป
“ทำไมมันถึงแยกออกไปกัน?” ใจของเมิ่งเซียนกูอยู่ไม่สุข เธอรู้สึกกังวลกับความหวังของตระกูลเมิ่ง เมิ่งชวน แต่ตอนนี้ เธอไม่มีเวลาคิดมากแล้ว ราชาอสูรทั้งสามที่เหลืออยู่กำลังพุ่งเข้ามา
“ฆ่ามันซะ” ราชันอสูรไปเฉินและอีกทั้งสองตัวดูจะมุ่งมั่นมากกว่าเดิม ตอนนี้พวกมันกังวลเกี่ยวกับกองทัพอสูร หากทัพอสูรถูกสังหารจนหมดและแพ้สงคราม ชานจิ่วเฉาคงจะลงโทษพวกมันอย่างหนักเป็นแน่
ตูม!
เจ้าวังหยกสุริยันปะทะกับพวกมันอีกครั้ง มีเพียงเขาเท่านั้นที่สามารถต้านทานพวกมันได้! หากเขากันไว้ไม่ได้ ทั้งเมิ่งเซียนกูและหวินว่านไห่ ที่กำลังบาดเจ็บสาหัส คงจะถูกฉีกเป็นชิ้นๆภายในพริบตาแน่
ตอนที่ 59 หมดกำลังใจ
เมิ่งชวนรีบวิ่งจากจิงหู่เมิ่งไปยังสำนักเต๋าเพลิงตะวัน สิ่งที่เขาได้เห็นระหว่างทางนั้นมันทำให้ความรู้สึกอยากสังหารอสูรลุกโชนภายในตัวของเขา
เขาไม่ออมมือแม้แต่น้อยในขณะพุ่งผ่านพวกอสูร เมื่อเขาพุ่งผ่าน เหล่าอสูรก็จะถูกฆ่าเหมือนขยะ!
“รีบหนีเร็ว”
“นั่นมันเทพอสูรรึ?”
เหล่าอสูรต่างหลีกหนีเขาด้วยความกลัว หากมีโอกาสที่จะฆ่าได้ พวกอสูรก็ไม่ลังเลที่จะกระโจนเข้าใส่ อย่างไรก็ตามเมิ่งชวนนั้นแข็งแกร่งเกินไป แม้ว่าจะเข้าไปมากเท่าไหร่พวกมันก็จะถูกฆ่าตายจนหมดอยู่ดี พวกมันไม่สามารถหยุดเขาหรือทำให้เขาบาดเจ็บได้ ตอนนี้มันเป็นแค่เรื่องโชคเท่านั้น พวกอสูรต่างไม่อยากจะทำ
“พูดจาโอ้อวดเสียจริง ปล่อยเจ้ามนุษย์นี้ให้ข้าเถอะ” แม่ทัพอสรพิษกล่าว “โจมตีป้อมเพลิงตะวันต่อไปและจับตัวมนุษย์ผู้หญิงที่มีสายเลือดวิหคเพลิงเสีย”
“ได้” แม่ทัพวัวยังมั่นใจในตัวสหายของมัน
แกร๊ง!
แม่ทัพอสรพิษก้าวไปบนทางหิน และโจมตีใส่ทิ้งภาพติดตาไว้เบื้องหลัง
เมิ่งชวนพุ่งเข้าใส่ด้วยความเร็วที่เหนือกว่า
ทั้งสองปะทะกัน
ฟู่ว ร่างกายของแม่ทัพอสรพิษปล่อยไอพิษที่ไม่มีสีออกมาอย่างเงียบๆ ที่มันถูกเรียกว่าอสรพิษนั้นก็เพราะมันเก่งในเรื่องการใช้พิษนั่นเอง
‘พิษของข้าสามารถสังหารได้แม้กระทั่งแม่ทัพอสูรที่มีร่างกายที่ทรงพลังหลังจากผ่านไปเพียง30วินาที’ แม่ทัพอสรพิษมั่นใจอย่างยิ่ง ‘ร่างกายของมนุษย์นั้นอ่อนแอยิ่งกว่า ดังนั้นมันคงจะทันได้ไม่นาน ถึงข้าจะไม่โจมตี แต่อีกไม่นานมันก็จะตายหากสูดหายใจเข้าไป’
นอกจากนี้มันยังเก่งในเรื่องการต่อสู้ระยะประชิดอยู่พอสมควรด้วย
อ่านบทล่าสุดที่ my-novel.co หรือ www.thai-novel.com
ฟิ้ว
เมิ่งชวนที่มีสายฟ้าพันอยู่รอบ พอเข้ามาใกล้แม่ทัพอสรพิษ เขาก็สัมผัสได้ถึงหนอนบิดตัวเล็กๆซ่อนอยู่ในอากาศโดยรอบ หนอนบิดเหล่านี้มีขนาดเล็กเกินกว่าที่จะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า อย่างไรก็ตามขอบเขตสัมผัสของเมิ่งชวนนั้นทำให้เขาสามารถรู้สึกได้ถึงหนอนนั่นทุกตัว
หนอนโปร่งแสงตัวเล็กๆดิ้นไปมาในอากาศ
“หืม?” เมิ่งชวนเปลี่ยนเป็นลำแสงและเคลื่อนไปที่ขอบของไอพิษ ก่อนจะแตะมันเบาๆ
นับตั้งแต่ที่เขาควบแน่นแก่นเทพอสูร พลังปราณของเขาก็เปลี่ยนเป็นกระแสปราณซึ่งทรงพลังกว่ามาก กระแสปราณนั้นสามารถปกป้องเขาได้เช่นเดียวกันกับโจมตี เพราะรากฐานเทพอสูรของเมิ่งชวนนั้นมันแข็งแกร่งกว่าจอมยุทธธรรมดาๆแล้ว จึงทำให้กระแสปราณของเขานั้นบริสุทธิและอัดแน่นยิ่งกว่าคนอื่นๆ
เมื่อไอพิษสัมผัสกับปราณที่ปกป้องร่างกายของเขา ปราณของเขาก็เริ่มสึกกร่อน
ไอพิษนี้รุนแรงมาก หากไอพิษนี้อยู่รอบตัวข้า ปราณป้องกันของข้าคงจะหายจนหมดภายในไม่กี่อึดใจ และหากไอพิษเข้าสู่ร่างกายของข้า มันจะต้องเลวร้ายกว่านั้นเป็นแน่ เมิ่งชวนสรุปได้ทันทีว่าจะสู้กับแม่ทัพอสรพิษเป็นเวลานานไม่ได้! ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป ปราณของเขาคงจะหมดสิ้นเป็นแน่ และเมื่อเป็นเช่นนั้น เขาจะสู้กับศัตรูตัวอื่นอย่างไรกัน?
ข้าต้องใช้พลังแห่งวิญญาณอีกแล้วสินะ เมิ่งชวนถอนหายใจ แม่ทัพอสูรนั้นแข็งแกร่งมาก และทั้งสองตนที่ข้าได้เจอมา… ต้องใช้พลังแห่งวิญญาณในการสังหารมันลง
ตูม!
“พลังแห่งวิญญาณ” หลอมรวมกับร่างกายของเขา
การควบคุมร่างกายและกระแสปราณได้เพิ่มขึ้นจนน่าอัศจรรย์ ความรู้สึกที่ควบคุมร่างกายได้ตามใจนึกนั้นยังคงติดตรึงอยู่ในใจเขา ปราณที่ปกป้องร่างกายหนาแน่นขึ้นและทำให้ต้านทานพิษได้มากขึ้นอีกสิบเท่า มันทำให้เขาสามารถใช้งานร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น กล้ามเนื้อและกระดูกทุกส่วนนั้นใกล้เคียงกับคำว่าสมบูรณ์แบบเมื่อมันทำงานร่วมกัน และนี่ทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นอีกหลายเท่า ความเร็วที่น่าภาคภูมิใจก็ขึ้นไปถึงระดับที่เหนือจินตนาการ
วืด! แม่ทัพอสรพิษรู้สึกได้ว่าจอมยุทธมนุษย์ซึ่งเร็วกว่ามันอยู่แล้วได้เพิ่มความเร็วมากยิ่งขึ้นไปอีก มันมองเมิ่งชวนได้ไม่ชัดด้วยซ้ำ
‘เทพอสูรอย่างนั้นรึ?’ แม่ทัพอสรพิษตัวสั่นและใช้วิชาต้องห้ามโดยสัญชาตญาณ อย่างไรก็ตามในขณะที่มันใช้วิชาต้องห้าม จู่ๆลำแสงกระบี่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า และมันก็รู้สึกเหมือนมันลอยไปในอากาศ
“นี่มัน…” เขาเห็นร่างอสรพิษที่ไม่มีหัว นั่นคือร่างกายของข้ารึ? ข้าถูกสังหาร? แม่ทัพอสรพิษเข้าใจได้ในทันทีว่ามีเพียงหัวของมันเท่านั้นที่ลอยออกไป ส่วนร่างของมันยังคงยืนอยู่กับที่ และสติของมันอยู่ได้ไม่นานก่อนที่จะหายไป
…
สนามรบทั้งหมดเงียบลงในทันใด
แม้แต่อสูรที่บุกเข้าไปในป้อมเพลิงตะวันแล้วยังต้องผงะถอยไปสองสามก้าวและหยุดมือ พวกมันมองไปที่แม่ทัพอสรพิษที่ถูกตัดศีรษะอย่างงุนงง แม่ทัพเป็นศูนย์รวมใจของกองทัพอสูร แม่ทัพทุกตนเปรียบได้กับจอมยุทธที่ไร้เทียมทานภายใต้การปกครองของราชาอสูร แต่ในตอนนี้ แม่ทัพอสรพิษกลับถูกสังหาร?
“อสรพิษ?”แม่ทัพวัวที่กำลังสกัดลูกธนูของเจ้าสำนักจงก็ตกตะลึงเช่นกัน ‘อสรพิษที่ร่วมรบกับข้ามานานนับศตวรรษตายแล้วเช่นนั้นรึ? ด้วยการฟาดฟันเพียงครั้งเดียว?’
“เขาสังหารแม่ทัพอสูรได้ในการโจมตีครั้งเดียว?” มนุษย์นั้นมีปฏิกิริยาที่แตกต่างจากอสูรอย่างสิ้นเชิง มันคือความยินดี! แม้ว่าอสูรธรรมดาจะสามารถฆ่าได้โดยง่าย แต่พวกเขาไม่ค่อยมั่นใจที่เมิ่งชวนจะต่อสู้กับแม่ทัพอสูรได้
ทั้งนี้เจ้าสำนักจงและเหล่าจอมยุทธที่เคยรับราชการทหารต่างรู้ความจริง แม่ทัพอสูรนั้นแทบจะเป็นอมตะภายใต้ขอบเขตเทพอสูรหรือราชาอสูร
แค่มนุษย์อัจฉริยะเพียงคนเดียวยื้อยุดกับพวกมันได้ก็น่าประทับใจพอแล้ว แต่ว่า เขากลับสามารถสังหารมันได้ในการโจมตีเพียงครั้งเดียว?
“ช่วยกันอสูรพวกนี้และปล่อยแม่ทัพอสูรที่เหลือให้เมื่องชวนจัดการ” เจ้าสำนักจงเป็นคนแรกที่ตะโกนออกมา เสียงของเขาดังมาก และเหล่าจอมยุทธมนุษย์ต่างก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
“หลิวชีเยว่ หยุดใช้วิชาต้องห้าม เจ้าจงพักผ่อนซะ” เจ้าสำนักจงตะโกนออกมา
“ค่ะ” หลิวชีเยว่หยุดใช้วิชาต้องห้าม เธอยืนพิงกำแพงด้วยใบหน้าซีดเซียวและจ้องมองไปยังร่างที่คุ้นเคยผ่านทางหน้าต่าง
‘อาชวนมาแล้ว! เขาสังหารแม่ทัพอสรพิษด้วยการฟันเพียงครั้งเดียวด้วย ทุกคนรอดแล้ว!’ เธอรู้ว่าเมิ่งชวนมาเพื่อช่วยเธอ “อาชวน” หลิวชีเยว่กระซิบ
เมื่อคนรักรีบรุดเข้ามาเพื่อจะช่วยแม้จะต้องฝ่าดงอสูรมาก็ตาม มันทำให้หลิวชีเยว่รู้สึกอบอุ่นในใจ ความคิดมากมายแล่นเข้ามาในหัว แต่ความเจ็บปวดมันทำให้พลังของเธออ่อนลง
วิชาต้องห้ามเทพอสูรสร้างความเสียหายให้กับร่างกายของเธอมากเกินไป โชคดีที่ไม่ได้ใช้มันนานเกินไป ถ้านานกว่านี้มันจะไม่ใช่แค่ปวดแล้ว
“สังหารอสูรกลุ่มนี้ซะ” เจ้าสำนักจงโจมตีผู้นำอสูรข้างในป้อม ทำให้พวกมันต้องหลบทันที นักเกาฑัณฑ์ก่อนหน้าที้ทำอะไรพวกมันไม่ได้ แต่ว่าพวกมันไม่กล้าที่จะโดนลูกดอกของเจ้าสำนักจง หากมันโดนเข้าไปล่ะก็ อาจจะถึงตายหรือบาดเจ็บสาหัส
“ยิง!”
“สังหารพวกมัน!”
หน้าไม้ยักษ์ที่ก่อนหน้านี้ใช้ในการรั้งแม่ทัพอสูรได้หันมายิงใส่อสูรที่ขึ้นมาบนป้อมเพลิงตะวัน
ลูกดอกเหมือนหอกยิงออกไป ในระยะประชิด แม้แต่ผู้นำอสูรยังต้องหลบ เหล่าอสูรระดับสูงและระดับต่ำมากมายต่างถูกยิงทะลุ
ซุบๆๆๆ!
เจ้าสำนักจงไปอยู่กับกองกำลังหน้าไม้ยักษ์และสังหารผู้นำอสูรแพะ
การเปลี่ยนเป้าหมายจากการรั้งแม่ทัพอสูรเอาไว้มาเป็นยิงใส่ผู้นำอสูรนั้นให้ผลดีกว่ามาก อีกทั้งการตายของแม่ทัพอสรพิษนั้นก็ส่งผลต่อจิตใจของเหล่าอสูรอย่างมาก พวกมันจำนวนมากต่างคิดอยากถอยหนี หากแม่ทัพอสูรวัวตายอีกเช่นกัน มนุษย์ที่น่าสะพรึงคนนั้นคงจะเปลี่ยนเป้าหมายมาที่พวกมันแทน
ในป้อมเพลิงตะวัน กองกำลังของมนุษย์ก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น และกำลังใจของอสูรก็ลดลงอย่างมหาศาล และในชั่วพริบตา มนุษย์ก็กลับมาได้เปรียบ
…
เมิ่งชวนคอยดูสถานการณ์ในป้อมเพลิงตะวันอยู่ตลอด เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นมนุษย์กลับมาได้เปรียบ อย่างไรก็ตามชีเยว่ที่หน้าซีดและอ่อนแรงทำให้เขากังวล
“เจ้ามนุษย์?” แม่ทัพวัวจ้องมองเขาอย่างเคร่งขรึม
“เจ้าพร้อมที่จะตายหรือยัง?” เมิ่งชวนถามขณะถือกระบี่ เขาไม่ต้องไม่ดูถูกแม่ทัพอสูร ตอนที่เขาสังหารแม่ทัพอสูรพิษ เกล็ดสีเขียวของมันนั้นแข็งแกร่งมาก ถ้าเขาไม่ได้ใช้”พลังแห่งวิญญาณ” ก็คงจะไม่สามารถตัดผ่านมันไปได้ สิ่งนี้ทำให้เขาไม่พอใจ อสูรนั้นมีร่างกายที่ได้เปรียบกว่ามนุษย์
อสูรธรรมดาแข็งแกร่งกว่ามนุษย์มาก และร่างกายของแม่ทัพอสูรเหล่านี้แข็งแกร่งยิ่งกว่า
อย่างไรก็ตามเขายังสามารถฆ่าพวกมันได้
“เจ้ามนุษย์ ข้าสัมผัสได้ว่าเจ้ายังคงเป็นมนุษย์อยู่” แม่ทัพวัวพูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม “แต่การโจมตีของเจ้ามันช่างน่าสะพรึง เจ้าเป็นเทพอสูรที่เก็บซ่อนพลังไว้อย่างนั้นรึ?”
ตอนที่ 58 อาชวนมาแล้ว
เพียงวูบเดียว หลิวชีเยว่ก็ปรากฏขึ้นข้างๆเจ้าสำนักจงเฉียนเหอ พวกเขาร่วมมือกันเพื่อสกัดแม่ทัพอสูรทั้งสองเอาไว้
“ท่านเจ้าสำนัก” หลิวชีเยว่พูด “เปลวเพลิงพิเศษนี้มันสิ้นเปลืองพลังปราณของข้ามาก ข้าสามารถยิงได้อีกเพียง 80 ลูกเท่านั้น”
เจ้าสำนักจงไม่แปลกใจแม้แต่น้อย หลิวชีเยว่ยังอยู่เพียงช่วงปลายของระดับก่อกำเนิด การจะให้เธอรักษาร่างวิหคเพลิงสวรรค์ไว้นั้นเป็นเรื่องยาก
“อย่ากังวลไป พยายามถ่วงเวลามันเอาไว้” เจ้าสำนักจงกล่าว “เราจะต้านพวกมันให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้! เพราะตราบใดที่เทพอสูรชนะ เราก็จะรอด”
“ค่ะ” หลิวชีเยว่พยักหน้าและยิงเกาฑัณฑ์ด้วยพลังทั้งหมดของเธอ
“เจ้ายิงช้ากว่านี้ก็ได้” เจ้าสำนักจงกล่าว “ข้าจะใช้พลังเต็มที่ เจ้าแค่สนับสนุนข้าก็พอ แค่เรายื้อผู้นำทั้งสองนั้นเอาไว้ได้ก็เพียงพอแล้ว”
“ค่ะ” สีหน้าของหลิวชีเยว่เคร่งขรึม
…
“เรารอไม่ได้แล้ว ถ้าช้ากว่านี้อาจจะเกิดอะไรไม่คาดฝันขึ้น บางทีเทพอสูรอาจจะมาช่วยเด็กมนุษย์นี่ที่มีสายเลือดวิหคเพลิงสวรรค์อยู่ในตัว” แม่ทัพอสรพิษกล่าวกับสหายของมัน “เราต้องเร็ว ตราบใดที่เราจับผู้หญิงมนุษย์นั่นแบบเป็นๆได้ เราจะส่งกลับไปที่ประชุมเก้าอสูรในทันทีและมอบมันให้กับท่านเจ้าขุนเขา”
“ใช่ เจ้าพูดถูก ตราบใดที่เราจับผู้หญิงคนนี้ได้ ไม่ว่าจะสังเวยลูกน้องของพวกเราเพียงใดก็คุ้มค่า” แม่ทัพวัวก็เห็นด้วยเช่นกัน เหล่าอสูรปฏิบัติตามกฎของป่าและไม่สนใจอสูรชั้นต่ำที่เป็นลูกน้องใดๆ ในความเป็นจริงการต่อสู้ที่โหดร้ายและนองเลือดเหล่านี้เป็นสิ่งที่อสูรชอบ การต่อสู้เหล่านี้จะขจัดอสูรที่อ่อนแอและช่วยทำให้อสูรแข็งแกร่งขึ้น
ยิ่งตายมากเท่าไหร่มันก็เป็นการประหยัดอาหารแถมยังได้ทำให้ตัวที่แข็งแกร่งแข็งแกร่งยิ่งขึ้นไม่ใช่เหรอ?
ดังนั้นแล้ว เทพอสูรมนุษย์ที่ประจำอยู่ตามเมืองด่านต่างๆมักจะต้องเจอกับการรุกรานของอสูร
“บุก! พวกข้าจะรั้งนักเกาฑัณฑ์ไว้ ทำลายป้อมนี้ซะ!” แม่ทัพวัวคำราม
“บุก! ทำลายป้อมเพลิงตะวัน” แม่ทัพอสรพิษออกคำสั่งเช่นเดียวกัน
อ่านบทล่าสุดที่ my-novel.co หรือ www.thai-novel.com
“ฆ่า!”
“ฆ่า!”
“ฆ่า!”
ทันใดนั้น กลุ่มผู้นำอสูรก็พุ่งไปข้างหน้าพร้อมกับอสูรจำนวนมาก เมื่อกองทัพทั้งสองรวมตัวกันจำนวนของพวกมันก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก หลิวชีเยว่และเจ้าสำนักจงกำลังยุ่งอยู่กับการยื้อแม่ทัพทั้งสองเอาไว้ ทำให้นี่เป็นเรื่องง่ายสำหรับผู้นำ เพียงไม่กี่ชั่วครู่พวกมันก็วิ่งไปถึงด้านล่างของป้อมเพลิงตะวัน
ฝูงอสูรจำนวนมากกระโจนขึ้นไปที่หน้าต่างทันที
“ยิง!” ลูกดอกขนาดใหญ่พุ่งออกมาจากหน้าต่างและยิงทะลุร่างของอสูร อย่างไรก็ตาม อสูรนั้นมากเกินไป บางตัวกระโดดขึ้นไปบนหน้าต่างได้แล้ว
“พวกเรา โจมตี!” จอมยุทธมนุษย์กลุ่มใหญ่อยู่ในป้อม พวกเขาพยายามป้องกันเหล่าอสูรที่โถมเข้ามาผ่านทางหน้าต่าง
การต่อสู้ที่สำนักเต๋าเพลิงตะวันกลายเป็นการต่อสูระยะประชิดแล้ว
อสูรพุ่งเข้ามาไม่หยุดหย่อน ขนาดผู้นำอสูรยังนำการบุกด้วยซ้ำ พอผู้นำอสูรฟาดขวานลง หน้าไม้ยักษ์ก็ระเบิด ทหารและศิษย์ที่อยู่ที่หน้าไม้ปลิวไปด้านหลังเลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว พวกเขาตายในทันที
“ตาย!” จอมยุทธมนุษย์มีความได้เปรียบด้านภูมิประเทศ เป็นเพราะหน้าต่างจึงทำให้พวกเขาสามารถต่อสู้กับศัตรูที่เยอะเกินไปได้ พวกเขาฆ่าอสูรไปทีละตัวๆ เหล่าอสูรต่างร่วงลงไปกับพื้นเรื่อยๆ
เมื่อเจ้าสำนักจงเห็นฉากนองเลือดนี้ เปลือกตาของเขาก็กระตุกและสั่งทันทีว่า “จุดไฟสัญญาณ ปล่อยควันซะ”
“ขอรับ” ทันใดนั้น อาจารย์คนหนึ่งก็ตอบรับและไปจุดไฟสัญญาณ
การจุดไฟสัญญาณมันหมายความว่าสำนักเต๋าตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้าย อีกไม่ช้าก็คงจะถูกทำลาย
ในไม่ช้า หนึ่งในท่อควันขนาดใหญ่ของป้อมเพลิงตะวันก็เต็มไปด้วยควันที่ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ทั้งตงหนิงเมืองสามารถมองเห็นได้ ใครก็ตามที่รอดชีวิตอยู่ในเมืองตงหนิงรู้ดีว่าสิ่งนี้หมายถึงอะไร! สำนักเต๋าเพลิงตะวันกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังและร้องขอความช่วยเหลือ!
การต่อสู้นองเลือดก็ยังคงดำเนินต่อไป
“ตาย” ชายร่างกำยำถือโล่และขวานใหญ่ฟันใส่ผู้นำอสูร ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยเลือดและดวงตาของเขาเป็นสีแดง แต่แล้วผู้นำอสูรสองตนก็ร่วมมือกันและพุ่งใส่เขา “จอมยุทธมนุษย์นี่มันเข้าถึงพลังแล้ว ร่วมมือจัดการฆ่ามันเสีย”
ข้อได้เปรียบของความแข็งแกร่งของอสูรมันมากเกินไป
ผู้บัญชาการอสูรทุกตนนั้นน่าเกรงขาม พวกระดับสูงนั้นมีร่างกายที่เทียบได้กับระดับไร้ตำหนิ แม้มนุษย์จะได้เปรียบทางด้านพื้นที่ แต่พวกเขาก็ยังถูกกดดันและถูกบังคับให้ถอยร่นไปอยู่เรื่อยๆอยู่ดี
เมื่อจำนวนอสูรที่ขึ้นไปที่ป้อมเพิ่มขึ้น มนุษย์ก็เริ่มสูญเสียความได้เปรียบทางภูมิประเทศ
“ข้าจะยื้อไม่ไหวแล้ว” เจ้าสำนักจงมองไปทางหลิวชีเยว่ที่หน้าซีดเพราะใช้พลังปราณจนหมด แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็พยายามใช้วิชาต้องห้าม จากนั้นเขาก็มองไปที่นักรบมนุษย์ที่ถูกบังคับให้ล่าถอยในขณะที่กำลังปัดป้องเหล่าอสูร ไม่ว่าจะเป็นทหารที่มีประสบการณ์ ทหารเกษียณ หรือลูกศิษย์รุ่นเยาว์ของสำนักเต๋า พวกเขาต่างใช้วิชาต้องห้ามสู้จนสุดชีวิต
ไม่มีทางหนี ทำได้แค่เพียงใส่ให้เต็มที่
“ทุกๆตัวที่เราสังหารลงได้มีผล ถ้าข้าสังหารมันได้สอง ก็คุ้มค่าแล้ว!” ทหารผ่านศึกที่บาดเจ็บคนหนึ่งพุ่งไปขวางระหว่างลูกศิษย์สำนักเต๋ากับอสูร
“ศิษย์พี่ยี่ ถ้าพวกเรารอด เจ้าจะแต่งงานกับข้าไหม?”
“ได้สิ ข้าสัญญาเลย”
“ท่านพ่อ ข้าสังหารอสูรได้แล้วนะ” เหล่าศิษย์อายุน้อยทั้งหลายเริ่มบ้าคลั่ง พวกเขาอยู่ในระดับชำระแก่นแท้แล้ว และเรียกได้ว่ามีพรสวรรค์ในรุ่นของพวกเขา อย่างไรก็ตาม ตอนนี้พวกเขาจนมุม
น้ำตาไหลอาบแก้มเมื่อต้องเห็นเหล่าศิษย์พี่น้องต้องตายในการต่อสู้ พวกเขาก็จะเอาจริงเช่นกัน
“พวกเราจะแพ้รึเปล่า?” หลิวชีเยว่ที่กำลังใช้คาถาต้องห้ามเทพอสูรอยู่ก็ตัวสั่นเล็กน้อย “ท่านพ่อ อาชวน…ข้าอยากเจอพวกเขาอีกจริงๆ”
ในตอนนั้น หลิวชีเยว่คิดถึงพ่อของเธอมากเช่นเดียวกันกับอาชวน
ในฐานะนักเกาฑัณฑ์ หลิวชีเยว่มักใช้กระแสปราณเพื่อเสริมตาของเธอ มันทำให้เธอสามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ไกลออกไปได้อย่างชัดเจน ขณะที่เธอจ้องมองไปที่แม่ทัพอสูรทั้งสองขณะที่ยิงใส่พวกมัน ทันใดนั้นเธอก็สังเกตเห็นร่างที่เหมือนกับสายฟ้าพุ่งเข้ามา
“นั่นมัน…” หลิวชีเยว่อดไม่ได้ที่จะน้ำตาซึม พวกเขาเติบโตมาด้วยกัน แม้ว่าภาพนั้นจะเร็วมาก แต่เธอก็มั่นใจ “อาชวน! อาชวนมาแล้ว!”
“อาชวน!” หลิวชีเยว่ส่งเสียเรียกในทันที น้ำเสียงของเธอดูสั่นๆ “หนีไป! อย่ามาที่นี่! หนีไป ได้ยินข้ารึเปล่า!?”
ทั้งสำนักกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้าย คนระดับต่ำกว่าเทพอสูร เป็นไปไม่ได้ที่จะช่วยเหลือด้วยตัวคนเดียว ในสายตาของมนุษย์แทบทั้งหมด รวมไปถึงหลิวชีเยว่และเจ้าสำนักจง สถานการณ์ที่สำนักเต๋ากำลังเผชิญอยู่นี้มีเพียงเทพอสูรเท่านั้นที่จะช่วยได้
“นั่นมนุษย์” อสูรที่ยังกำลังมุ่งหน้าไปก็พบร่างที่ปกคลุมไปด้วยสายฟ้าพุ่งมาใส่พวกมัน
“เจ้ากล้าดียังไงมาโจมตีกองทัพอสูรของพวกเรา เจ้าต้องตายอย่างทรมาณ”
“ฉีกกระชากมันซะ”
อสูรเหล่านี้ไม่กล้าที่จะต่อสู้กับมนุษย์ที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเช่นนี้ในการต่อสู้ตัวต่อตัว แต่ตอนนี้พวกมันรวมสองกองทัพเข้าด้วยกัน และไปด้วยสหายที่จำนวนมาก จำนวนของพวกมันช่วยเพิ่มความมั่นใจ พวกมันรู้สึกว่าตราบใดที่ไม่ใช่เทพอสูร พวกมันจะฉีกใครก็ตามที่กล้าบุกเข้ามาเป็นชิ้นๆก็ได้
“ฆ่ามัน”
“ขยี้มัน!”
อสูรกลุ่มหนึ่งขว้างขวานหรือพ่นพิษออกมา บางตัวพ่นใย พยายามจะตรึงเมิ่งชวน
ฟิ้ว!
ร่างที่ปกคลุมด้วยสายฟ้ากลายเป็นภาพติดตาในขณะที่พุ่งทะยานไป เมิ่งชวนหลีกเลี่ยงอุปสรรคมากมายและพุ่งเข้าใส่ฝูงอสูรได้อย่างง่ายดาย
“เจ้ามนุษย์นี่รนหาที่ตายเสียจริง” อสูรวิ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง เนื่องจากอสูรกำลังโจมตีป้อมเพลิงตะวัน จึงมีฝูงอสูรจำนวนมากล้อมปราสาทอยู่ ทันใดนั้นอสูรเกือบร้อยตัวก็พุ่งเข้าหาเมิ่งชวนด้วยความมั่นใจ
ฉับฉับฉับฉับฉับฉับ!
ลำแสงกระบี่อันแพรวพราวเล่มวาดไปทั่วบริเวณ ลำแสงแต่ละอันมีความยาวหลายจั้งและความเร็วของพวกมันก็น่าสะพรึง อสูรอยู่กันแน่นเกินไปจนหลบไม่ได้
เพียงหกกระบี่ เขาก็หั่นผ่านอสูรเกือบร้อยตัวที่มาพุ่งเข้าใส่เขา และพื้นก็เต็มไปด้วยร่างอสูรที่ขาดเป็นชิ้น สิ่งนี้ทำให้การปิดล้อมป้อมหยุดลงครู่หนึ่ง เนื่องจากอสูรหลายตัวอดไม่ได้ที่จะมองไป เพราะไม่ว่าอย่างไร อสูรทั้งสองกองทัพก็มีจำนวนกว่าสองพันตน แต่ตอนนี้กว่าร้อยตนตกตายไปภายในชั่วพริบตาอย่างนั้นหรือ?
ทหาร ทหารผ่านศึก และศิษย์สำนักเต๋าก็เห็นเช่นกัน
พวกเขาเห็นสายฟ้าฟาดฟันผ่านพวกอสูรอย่างรวดเร็ว ลำแสงดาบอันแสนรวดเร็วพุ่งผ่านอากาศ อสูรจำนวนมากร่วงลงพื้นราวกับข้าวที่ถูกเกี่ยว
“ทั้งสองคนจัดการกับอสูรตัวอื่่นไป ปล่อยให้ข้าจัดการกับแม่ทัพอสูรทั้งสองตัวนี้เอง” เสียงดังก้องไปทั่วทั้งสำนักเต๋าเพลิงตะวันก่อนที่ร่างที่ปกคลุมไปด้วยสายฟ้านั้นจะพุ่งเข้าใส่แม่ทัพอสูรทั้งสอง
ตอนที่ 57 หลิวชีเยว่
“พวกเจ้าทุกคนรีบเข้าไปในป้อมเร็ว” เจ้าสำนักกล่าวกระตุ้น ทุกคนในสำนักเต๋าเพลิงตะวันต่างรีบเข้าไปในป้อม
ป้อมเพลิงตะวันเป็นป้อมปราการขนาดใหญ่อยู่ในสำนัก ซึ่งเป็นที่ที่เหล่าศิษย์พักอาศัยอยู่
“ส่วนคนที่อยู่ต่ำกว่าระดับชำระแก่นแท้จงเข้าไปในอุโมงค์”
“เร็วเข้าๆๆๆ”
ภายในป้อมเพลิงตะวัน ศิษย์จำนวนมากจากสำนักเต๋าถูกแบ่งออกเป็นหลายสิบกลุ่มและรีบวิ่งเข้าไปในอุโมงค์
ป้อมสำนักเต๋านั้นถูกสร้างขึ้นมาอย่างดีโดยช่างยอดฝีมือทำให้มันแตกต่างจากป้อมในแถบชนบทนี้ และมันมีราคาที่แพงมาก ทางราชสำนักได้ใช้เงินจำนวนมากเพื่อจ้างช่างฝีมือระดับสูงเพื่อออกแบบและสร้างมันขึ้นมา
ศิษย์สำนักเต๋าหลายพันคนเข้าไปในอุโมงค์
กึงๆๆๆ!
ทุกอุโมงค์เริ่มปิดลงด้วยกลไกต่างๆพร้อมกับกับดัก
การปิดใช้งานกับดักและกลไกนั้นสามารถทำได้จากภายในเท่านั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะทำเช่นนั้นจากภายนอก แม้ว่าอสูรจะบุกเข้ามา แต่ก็ยังต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าที่พวกมันจะทำลายการป้องกันได้
“เตรียมหน้าไม้!” หน้าไม้ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ที่หน้าต่างของป้อมเพลิงตะวัน
ศิษย์สำนักเต๋าเริ่มหมุนสายให้ยืดออกและใส่ลูกศรลงไปทีละคน จอมยุทธระดับชำระแก่นแท้นั้นสามารถออกแรงได้มากถึง500กิโลกรัม แต่ถึงกระนั้น พวกเขายังต้องใช้แรงเต็มที่ในการดึงสายให้ตึง ทุกๆดอกนั้นยาวราวกับหอก ขนาดกำแพงยังถล่มเมื่อถูกมันยิงใส่
“ยิง!” ทหารสั่งการ
ทหารที่มีหน้าที่ในการยิงหน้าไม้ยักษ์ล้วนเป็นทหารที่มีประสบการณ์หรือทหารผ่านศึกที่มีประสบการณ์ในการใช้หน้าไม้ยักษ์มาก่อนแล้ว สำหรับศิษย์ในระดับชำระแก่นแท้นั้น พวกเขาส่วนใหญ่เป็นแรงงานคนเช่นหมุนดึงสายและใส่กระสุน
จากคำสั่งนั้น ลูกดอกก็ยิงออกมาเรื่อยๆ อสูรชั้นต่ำหรืออสูรระดับสูงที่โดนยิงเข้าไปก็มีรูอยู่บนตัวพวกมัน
อย่างไรก็ตาม พวกอสูรก็พยายามหลบอย่างเต็มที่เช่นกัน พวกมันข้ามกำแพงของสำนักเต๋าเพลิงตะวันและพุ่งไปยังป้อมที่อยู่ไม่ไกล
“บุกเข้าป้อมไป” อสูรวัวสูงเท่าบ้านสองชั้นถือตรีศูล มันอาจจะไม่สะดุดตาในกองทัพ แต่ว่ามันแข็งแกร่งที่สุด มันคือแม่ทัพของทัพนี้ แม่ทัพวัว
ด้วยคำสั่งของแม่ทัพวัว พวกผู้นำทุกตนก็รีบนำกองทัพอสูรบุกเข้าไปที่ป้อมเพลิงตะวันในทันที
ฟิ้ว
ลำแสงลูกดอกพุ่งไปบนท้องฟ้า เร็วยิ่งกว่าลูกดอกหน้าไม้ พวกผู้ยำอสูรต่างพยายามหลบอย่างเต็มที่แต่ก็ยังถูกยิงแขนขาดอยู่ดี
“หือ?” มีผู้นำอสูรเพียงสิบตัวในกองทัพนี้ แม้ว่าพลังของหน้าไม้เหล่านั้นจะมหาศาล แต่ลูกดอกเองก็มีขนาดใหญ่มากเช่นกัน มันเหมือนกับหอก และความเร็วมันก็ไม่ได้เร็วมากเกินไป อย่างน้อยผู้นำอสูรก็สามารถหลบมันได้อย่างง่ายดาย
อย่างไรก็ตาม พลังของลูกดอกนี้มันไม่น้อยไปกว่าหน้าไม้ใหญ่นั้นเลย แต่มันเร็วยิ่งกว่านั้นเป็นสิบเท่า ภายในพริบตา มันก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกมันแล้ว พวกผู้นำต่างหลบไม่ทัน
“นักเกาฑัณฑ์มนุษย์”
“ระวังตัว” ผู้นำอสูรรู้สึกได้ถึงอันตราย
คนที่ยิงเกาฑัณฑ์ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากจงเฉียนเหอ เจ้าสำนักของสำนักเต๋าเพลิงตะวัน เขาเป็นนักเกาฑัณฑ์ระดับไร้ตำหนิเพียงคนเดียวในเมืองตงหนิงที่บรรลุถึงพลังแล้ว
“ฮึ” แม่ทัพวัวส่งเสียงในลำคออย่างเย็นชาและพุ่งไปข้างหน้า
“ยิง!” เจ้าสำนักจงระดมยิงแม่ทัพวัวด้วยลูกศรทันที และศรหน้าไม้กว่าสามสิบส่วนก็เบี่ยงไปทางมันเช่นกัน
ปังๆๆๆ! แม่ทัพวัวถือตรีศูลด้วยมือทั้งสองข้างในขณะที่เขาฟาดฟันมันเพื่อสกัดลูกศร แต่ว่ามันก็เหนื่อยมาก และในขณะเดียวกัน ลูกดอกนับไม่ถ้วนของนักเกาฑัณฑ์นั้นช่างน่าสะพรึง! จงเฉียนยิงลูกดอกจำนวนมากที่เทียบเท่าได้กับกระบวนท่าดาบของเมิ่งชวนในระยะใกล้เลย ผลก็คือ แม่ทัพวัวได้แต่ป้องกันตัวเอง
…
เพราะนักเกาฑัณฑ์เจ้าสำนักจงได้ยั้งแม่ทัพเอาไว้ ป้อมเพลิงตะวันก็ต้องตั้งรับกับการโจมตีของกองทัพอสูร
อย่างไรก็ตาม สีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
“อสูรมาอีกแล้ว!”
“มีกองทัพอีกกอง!”
บนยอดป้อมเพลิงตะวัน พวกเขาสามารถเห็นฝูงปีศาจจำนวนมากกำลังมุ่งหน้ามาแต่ไกล เห็นได้ชัดว่าเป็นกองทัพปีศาจอีกกองหนึ่ง
เมื่อกองทัพอสูรมาถึงใหม่ ขวัญกำลังใจของอสูรก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก! ในที่สุด พวกมันก็เสมอกัน พวกมันสูญเสียปีศาจมากไปแล้ว
“อสรพิษ รีบๆมาช่วยข้าเร็ว ช่วยข้าฆ่าเจ้านักเกาฑัณฑ์คนนั้น” แม่ทัพวัวคำราม
“ดูเหมือนอสูรวัวอย่างเจ้าก็ยังต้องการความช่วยเหลือจากข้าอยู่สินะ” แม่ทัพอสรพิษเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว มันอยู่ในร่างกึ่งมนุษย์ ร่างของมันปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีเขียว และมันมีเขี้ยวเล็บที่และขาที่แข็งแกร่ง! มันมีหางมังกรด้วยเช่นกัน
มันมุ่งหน้าไปหาแม่ทัพวัวอย่างรวดเร็ว
“พวกเราแย่แล้ว” เมื่อเจ้าสำนักจงเห็นดังนั้น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป แค่เขาหยุดแม่ทัพตนนึงไว้ได้ก็เต็มที่แล้ว แต่ถ้าแม่ทัพอสูรสองตนล่ะก็? แล้วถ้าเป็นฝูงผู้นำอสูรด้วยล่ะ? หากมันสามารถพิชิตป้อมเพลิงตะวันได้ จำนวนมนุษย์ที่ตายจะเยอะมหาศาล
“ยื้อมันเอาไว้”
“ยื้อเวลาไว้”
“ตราบใดที่เทพอสูรชนะ พวกเราก็จะชนะได้” เหล่าทหารคำราม พวกเขายังคงยิงหน้าไม้ใหญ่อย่างมีความหวัง ในขณะเดียวกันพวกเขาก็กระตุ้นเหล่าศิษย์สำนักเต๋า “รีบๆดึงสาย อย่ามัวแต่ยืนมองว่างๆ”
ในฐานะนักเกาฑัณฑ์ หลิวชีเยว่อยู่ร่วมกับนักเกาฑัณฑ์คนอื่นๆอีก 12 คน
พลเกาฑัณฑ์ทั้ง 12 คนนี้เป็นทหารหรือทหารผ่านศึกที่กลับจากราชการทหาร พวกเขาส่วนใหญ่อยู่ในระดับไร้ตำหนิ หลิวชีเยว่เป็นศิษย์สำนักเต๋าเพียงคนเดียวเท่านั้น เธออยู่ในช่วงปลายของระดับก่อกำเนิดและได้เข้าถึงวิชาลับแล้ว ดังนั้นเธอจึงถูกจัดให้อยู่ในทีมของพวกเขา
ฟิ้วๆๆๆ! หลิวชีเยว่และนักเกาฑัณฑ์อีก 12 คนเป็นไพ่ตาย ลูกศรของพวกเขานั้นเร็วมากเป็นอันตรายอย่างมากต่อเหล่าอสูร
โดยปกตินักเกาฑัณฑ์สามคนจำเป็นต้องร่วมมือกันเพื่อฆ่าอสูรชั้นสูง แต่ภายในพริบตา เหล่าอสูรชั้นสูงห้าสิบตัวก็ได้ตายตกไปด้วยเงื้อมมือของพวกเขา
อย่างไรก็ตาม ลูกดอกนั้นก็แทบจะไม่ส่งผลอะไรแก่แม่ทัพอสูรเลย แถมยังเป็นสองตัวด้วย
ไม่ดีแล้ว หลิวชีเยว่เป็นกังวล
จำนวนอสูรเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
ก่อนหน้านี้พวกเขาเสมอกันอยู่ แต่ตอนนี้ พวกเขาเสียเปรียบสิ้นเชิง ภายใต้การนำของแม่ทัพทั้งสอง ผู้นำอสูรกลุ่มใหญ่คำรามอย่างโกรธเกรี้ยวขณะที่ฝูงอสูรจำนวนมากพุ่งเข้าใส่
ข้ายื้อมันต่อไปไม่ไหวแล้วๆ หลิวชีเยว่ยิงลูกดอกออกมาอย่างบ้าคลั่ง เธอพยายามยิงผู้นำอสูรด้วยซ้ำ ตัวที่อ่อนแอที่สุดสามารถปล่อยรังสีอสูรได้ บางตัวถึงขนาดควบแน่นแก่นอสูรไปได้แล้ว พวกมันกันลูกดอกของเธอได้อย่างง่ายดาย
หลิวชีเยว่ตกอยู่ในความสิ้นหวังเมื่ออสูรเข้าใกล้ป้อมเพลิงตะวันมากขึ้นเรื่อยๆ
ทำไมถึงมีสองกองทัพกัน? เจ้าสำนักจงรู้สึกสิ้นหวังเช่นกัน ลูกศรของเขาถูกแม่ทัพวัวและอสรพิษปัดป้องอย่างต่อเนื่อง และมันก็มุ่งหน้าขึ้นมาเรื่อยๆ
ในความจริงแล้ว มีเพียงแม่ทัพอสูร 18 ตัวเพียงเท่านั้นในการรุกรานครั้งนี้ บางตัวไปไล่ล่ามนุษย์ คนตัวโจมตีตระกูลเทพอสูร ส่วนที่เหลือโจมตีไปโจมตีสำนักงานหลวง แม้ว่าสำนักเต๋าทั้งแปดจะมีความสำคัญ แต่ส่วนใหญ่ก็ถูกกองทัพอสูรเพียงกองเดียวโจมตี มีเพียงสำนักเต๋าสามแห่งเท่านั้นที่ถูกผู้นำอสูรทั้งสองโจมตี สำนักเต๋าเพลิงตะวันก็เป็นหนึ่งในนั้น
ไม่ นัยน์ตาของหลิวชีเยว่แดงก่ำเมื่อเธอเห็นอสูรที่เข้ามาใกล้
ฟิ้ว
เปลวไฟเริ่มลุกโชนขึ้นในดวงตาของเธอ จริงๆ เปลวไฟเหมือนเปลวไฟแห่งพลังปราณที่ปะทุออกมาจากมือของเธอ มันหลอมรวมเข้ากับลูกดอกของเธอ
ฟิ้ว ลูกศรพุ่งออกมา กระแสเพลิงเคลื่อนตัวด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ
ตูม!
เปลวไฟฉีกผ่านอสูรชั้นสูงและทะลุผ่านอสูรชั้นสูงอีกสองตัวและอสูรระดับต่ำอีกสามตัวที่อยู่ด้านหลังมัน หลังจากที่อสูรถูกยิงเปลวไฟก็ยังคงลุกไหม้ต่อไปจนพวกมันเหลือเพียงเถ้าถ่าน
ลูกศรดอกเดียวนำไปสู่ความตายที่ลุกไหม้ อสูรหกตัวถูกเผาเป็นเถ้าถ่าน ปีศาจจำนวนมากเห็นภาพเบื้องหน้านี้ และผู้นำอสูรทั้งสองตัวก็เห็นเช่นกัน
“มนุษย์ที่มีสายเลือดวิหคเพลิง?”แม่ทัพอสรพิษตื่นตระหนก
“ร่างเทพวิหคเพลิง?”แม่ทัพวัวมองไปที่นักเกาฑัณฑ์ที่อยู่ห่างไกล เป็นเด็กสาวที่ดวงตาดูลุกโชนด้วยเปลวไฟ
ชีเยว่มีสายเลือดเทพวิหคเพลิง? เจ้าสำนักจงตกใจเช่นกัน
มีร่างเทพอสูรสำหรับมนุษย์หลายประเภท ร่างเทพอสูรบางร่างสามารถฝึกฝนได้อย่างช้าๆ ในขณะที่บางร่างนั้นพิเศษ และไม่สามารถได้จากการฝึกวิชา เช่นร่างเทพวิหคเพลิงซึ่งเป็นร่างเทพอสูรที่พิเศษมาก มันถูกส่งผ่านทางสายเลือด
แม่ทัพอสูรล้วนมีสายเลือดของราชาอสูรภูผา อย่างไรก็ตามสายเลือดร่างเทพวิหคเพลิงของหลิวชีเยว่นั้นแข็งแกร่งกว่าของพวกมันมาก
“ชีเยว่ เร็ว ช่วยข้าจัดการแม่ทัพอสูรทั้งสองซะ หยุดมันให้ได้” เจ้าสำนักจงสั่งทันที
“ค่ะ” หลิวชีเยว่รู้สึกว่าร่างกายของเธอร้อนขึ้นเช่นกัน พลังที่เกิดขึ้นในร่างกายของเธอทำให้พลังปราณของเธอได้รับการเปลี่ยนแปลง ด้วยดวงตาที่ลุกเป็นไฟ เธอยิงไปที่แม่ทัพอสูรทั้งสองโดยไม่ลังเล
ฟิ้ว
ลูกศรของเธอเหมือนเปลวไฟ มันไม่ด้อยไปกว่าลูกศรของเจ้าสำนักจงเลย และเจ้าสำนักนั้นก็ยังยิงเกาฑัณฑ์อย่างเต็มกำลัง
ภายใต้ฝนลูกธนูแม่ทัพวัวและอสรพิษทำได้แค่ปัดป้อง
“อสรพิษ โอกาสของเรามาถึงแล้ว” แม่ทัพวัวค่อนข้างตื่นเต้นในขณะที่เขาส่งเสียง “มนุษย์ที่มีสายเลือดเทพวิหคเพลิงปรากฏตัวขึ้นแล้ว หากเราจับเธอได้เป็นๆ พวกเราจะได้แต้มมากกว่าทำลายสำนักเต๋าเสียอีกนะ”
“ฮิๆๆๆ มนุษย์ผู้หญิงคนนี้ยังเด็ก สายเลือดเทพวิหคเพลิงของเธอก็อ่อนแอมากเช่นกัน ตราบใดที่เราทะลวงป้อมนี้ไปได้ เราก็สามารถจับตัวเธอแบบเป็นๆอยู่ได้อย่างง่ายดาย” แม่ทัพอสรพิษเต็มไปด้วยความหวัง
ตอนที่ 56 สำนักเต๋าเพลิงตะวัน
ในตอนเช้าตรู่หลิวชีเยว่ออกจากจิงหูเมิ่งและวิ่งเลียบแม่น้ำไปอย่างรวดเร็ว บางครั้งเธอก็จะพุ่งข้ามผิวน้ำไปหลายสิบจั้ง บางครั้งเธอก็เหยียบกิ่งไม้และพุ่งต่อไปอย่างสง่างาม สำหรับหลิวชีเยว่แล้ว เส้นทางจากบ้านไปยังสำนักเต๋าเหมาะแก่การฝึกการเคลื่อนไหว นักธนูนั้นต้องเคลื่อนที่ให้ได้ปราดเปรียว
เพราะเหตุนี้จึงทำให้พวกเขาสามารถถอยออกห่างจากศัตรูได้อย่างรวดเร็ว! หลิวชีเยว่รู้สึกกดดันที่มีอัจฉริยะอย่างเมิ่งชวนอยู่กับเธอ
ในมุมมองของเธอนั้น อาชวนหักโหมเกินไป! เขาฝึกท่าชักกระบี่เป็น 8000 ครั้งทุกๆวัน จากนั้นจะฝึกฝนเป็นเวลาครึ่งชั่วยามภายใต้ฝนธนูไฟ นอกจากนี้เขายังมีเพลงกระบี่เงาจันทรและท่าฝึกอื่นๆ แม้ว่าเข้าถึง”พลัง”แล้ว แต่ก็ยังคงขยันขันแข็ง
สิ่งนี้ทำให้หลิวชีเยว่รู้สึกผิดที่จะพักผ่อน ด้วยเหตุนี้ เธอจึงตั้งใจฝึกมาก แม้ว่าความเร็วในการฝึกจะยังด้อยกว่าเมิ่งชวนและเหยียนจินที่ฝึกอย่างบ้าคลั่ง แต่ก็ดีกว่าเมื่อก่อนมาก นี่เป็นสาเหตุที่เธอเข้าถึงวิชาลับได้เมื่อปีก่อน
และเพราะเธอฝึกฝนการเคลื่อนไหวระหว่างเดินทางอยู่ตลอด ความเร็วในการเดินทางของเธอจึงมากกว่าที่เมิ่งชวนคาดคิด
เมื่อเสียงระฆังจากวังหยกสุริยันดังก้องไปทั่วทั้งเมือง หลิวชีเยว่ก็อยู่ห่างไปจากสำนักเต๋าเพลิงตะวันเพียงแค่ครึ่งลี้
การรุกรานของอสูรรึ? เมื่อหลิวชีเยว่ได้ยินเสียงระฆัง สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไป ความเร็วของเธอเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เธอเพิ่มความเร็วจนถึงขีดสุดและพุ่งไปที่สำนักเต๋าเพลิงตะวัน พ่อค้าแผงลอยและเหล่าผู้คนบนท้องถนนต่างเร่งรีบวิ่งหนีกัน
ซุบ
หลิวชีเยว่อยู่ในช่วงปลายของระดับก่อกำเนิดและเธอยังเข้าถึงวิชาลับ ความเร็วในการเคลื่อนที่ของเธอนั้นจึงเร็วมาก
เมื่อเธออยู่ห่างจากสำนักเต๋าเพลิงตะวันได้ร้อยจั้ง เธอก็เห็นกองทัพอสูรปรากฏตัวขึ้นมาด้านหลัง พวกอสูรปรากฏตัวออกมาทุกที่ บนท้องถนน หลังคา และบนท้องฟ้า พวกมันทั้งหมดต่างมุ่งหน้าไปที่สำนักเต๋าเพลิงตะวัน ภาพนี้ทำให้หลิวชีเยว่ใจสั่น นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นอสูรมากมายเช่นนี้
“เร็วเข้าๆๆ”
“รีบเข้าไปในสำนักเต๋าเร็ว” ที่ทางเข้าของสำนักเต๋ามีกลุ่มคนเช่นเจ้าสำนัก อาจารย์ และทหารจำนวนมากอยู่ สำนักเต๋ามีแปดแห่งและแต่ละสำนักก็อยู่ติดกับค่ายทหาร ดังนั้นทหารจึงสามารถเข้ามาเสริมการป้องกันได้ทันที
ซุบๆๆๆ!
ใบหน้าของเหล่าศิษย์สำนักเต๋าหลายคนแดงขึ้นขณะที่พวกเขารีบมุ่งไปที่สำนักเต๋า
ศิษย์ส่วนใหญ่ของสำนักเต๋าเพลิงตะวันอาศัยอยู่ในสำนัก เนื่องจากปราการในแถบชนบทมักจะส่งคนมาจำนวนมาก พวกเขาจึงอยู่ในสำนักเต๋าเนื่องจากไม่มีที่อาศัยอื่น มีคนแถบนี้จำนวนไม่น้อยเช่นกันที่อาศัยอยู่ในสำนักเต๋า เพราะที่อยู่ปกติไม่มีที่สำหรับฝึกวิชา มีเพียงศิษย์ไม่กี่คนเท่านั้นที่มาที่สำนักเต๋าทุกวัน
อย่างไรก็ตาม ที่ว่าน้อยนี้ก็เกือบๆพันคนแล้ว
เจ้าสำนักและคนอื่นๆต่างรู้สึกกังวล ตอนนี้ ทั้งพันคนน่าจะกำลังมา บางคนก็มาถึงแล้วแต่บางคนยังอยู่ระหว่างทาง
“หลิวชีเยว่ รีบเข้าไปเถอะ” เมื่อเจ้าสำนักเห็นหลิวชีเยว่มาถึง เขาก็รีบโบกมือ
“ค่ะ” หลิวชีเยว่รีบเข้าไปในสำนัก เธอหันกลับไปและเห็นผู้ใหญ่หลายคนสวมชุดเกราะและถืออาวุธ พวกเขารีบวิ่งไปอย่างรวดเร็ว พวกเขาส่วนใหญ่อยู่ในระดับชำระแก่นแท้ บางคนอยู่ในระดับก่อกำเนิดและมีไม่กี่คนที่อยู่ในระดับไร้ตำหนิ แต่ละคนนั้นต่างแบกคนไว้อยู่หนึ่งคน และมีอีกจอมยุทธอีกคนที่ดูแข็งแรงกำลังแบกคนไว้บนบ่าข้างละสองคน
“หาขวานมาให้ข้าหน่อย ข้ายอมทิ้งขวานเพื่อที่จะได้แบกเจ้าพวกนี้มาเร็วๆได้” ชายร่างกำยำวิ่งด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อและทิ้งหนุ่มสาวสี่คนที่เขาแบกมาลงพื้นอย่างรวดเร็ว
“พี่หวังไม่ต้องกังวล ที่สำนักเต๋ามีอาวุธเหลืออยู่มากมาย” เจ้าสำนักกล่าวทันที
“ข้าจะออกไปช่วยมาเพิ่มอีก” ชายร่างกำยำหันกลับหลังและวิ่งออกไป
เจ้าสำนักเต๋าเพลิงตะวันและทหารจำนวนหนึ่งถือคันธนูและลูกศร เมื่ออสูรเข้าใกล้มาได้ 200จั้ง เจ้าสำนักที่เข้าถึง “พลัง” แล้ว ก็เป็นคนแรกที่ยิงธนูออกไป
ฟิ้ววว
ลูกธนูพุ่งทะลวงอากาศ ทิ้งไว้เพียงภาพติดตาในขณะที่มันแทงเข้าที่หัวของปีศาจช้างขนาดยักษ์ ทำให้มันทรุดลงในทันที
“กองทัพอสูรมาแล้ว” หลิวชีเยว่ยังดึงคันธนูและลูกศรจากด้านหลังของเธอ เธออยากจะช่วยเช่นกัน แต่ด้วยความเร็วของเหล่าอสูร เธอมั่นใจว่าจะยิงโดนได้ในระยะ100จั้งเท่านั้น
“เร็วเข้าๆ! ทุกคนเข้าไปในสำนักเต๋าเร็ว!” สีหน้าของเจ้าสำนักเปลี่ยนไป “แม่ทัพอสูรอยู่ที่นี่ เร็วเข้า!”
“เร็ว!” ทหารทุกคนรวมถึงจอมยุทธระดับไร้ตำหนิสองสามคนที่พยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยชีวิตผู้คนก็เปลี่ยนสีหน้าไป และทุกคนก็รีบวิ่งเข้าไปที่สำนักเต๋า
หลังจากได้เข้าเป็นทหารในด่านฉินหยาง พวกเขารู้ดีว่าแม่ทัพอสูรนั้นน่ากลัวเพียงใด! การสู้กับแม่ทัพอสูรนั้นหมายถึงความตายชัดๆ
…
เมิ่งชวนเดินทางด้วยความเร็วเต็มที่
ฟิ้วๆๆ!
พวกมันสมควรตาย เพียงแวบเดียวเมิ่งชวนก็สามารถมองเห็นซากศพมนุษย์จำนวนมากได้ในระยะไกล เมื่อกองทัพอสูรผ่านเข้ามาที่โลกนี้และมาที่เมืองตงหนิง พวกมันก็กระจายออกไปทุกทิศทางอย่างรวดเร็ว ตอนที่วังหยกสุริยันส่งเสียงระฆัง มนุษย์จำนวนไม่น้อยก็เสียชีวิตไปแล้ว นี่เป็นจุดจบของคนที่อยู่ใกล้กับกองทัพอสูรมากเกินไป และไม่มีเวลาที่จะหลบซ่อนในถ้ำด้วยซ้ำ
คนธรรมดาจำนวนมากที่ไม่ได้ฝึกวิชาด้วยซ้ำ ต่างถูกเหล่าอสูรฆ่าทิ้งอย่างไร้ปราณี
มีซากศพอยู่ทั่วทุกที่
หลังจากผ่านบริเวณนั้นไป เมิ่งชวนก็ดูหม่นหมองลง
‘พวกอสูรสมควรถูกฆ่า พวกมันสมควรตาย!’ เมิ่งชวนรีบพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว แต่ก็อดไม่ได้ที่จะมองรอบตัวเขา ทันใดนั้นเขาก็เห็นอะไรบางอย่างที่มุมถนน
เป็นคู่สามีภรรยาคู่หนึ่งที่พยายามใช้ร่างของพวกเขาปกป้องลูกเอาไว้ แต่ทั้งคู่และเด็กกลับถูกเสียบ
ไอ้สารเลว! เมิ่งชวนตาแดงก่ำไปด้วยความโกรธเกรี้ยว เขานึกถึงพ่อแม่ของเขาขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
แม่ของเขาพุ่งเข้าใส่อสูรเพื่อยื้อมันไว้ พ่อของเขาอุ้มเขาหนีมาด้วยน้ำตาที่ไหลนองอยู่บนหน้า และไม่แม้แต่จะหันหลังกลับไปมอง มันทำให้เขามีชีวิตรอดอยู่ได้
แต่สามีภรรยาที่อยู่ตรงหน้าไม่สามารถปกป้องลูกของพวกเขาได้ด้วยซ้ำแม้จะต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม
‘ข้าสาบานเลยว่าข้าจะฆ่าพวกอสูรให้หมด ข้าจะฆ่าพวกมันให้หมด!’ เมิ่งชวนวิ่งต่อไปด้วยดวงตาแดงก่ำ
“มีมนุษย์อยู่ที่นั่น” มีอสูรสิบตัวที่แยกฝูงกันอยู่กำลังจะทำร้ายมนุษย์อยู่ไกลๆ พ่อและลูกคู่หนึ่งกำลังหนีจากบ้านที่อยู่ในขณะที่อสูรไล่ตามพวกเขาไป
ฟิ้ว
ในชั่วพริบตาเมิ่งชวนก็พุ่งไปหลายสิบจั้ง และเพียงตวัดกระบี่เพียงครั้งเดียว อสูรทั้งสามตัวก็แยกออกเป็นสองส่วน
พ่อลูกที่กำลังหลบหนีหันกลับมามองอย่างไม่น่าเชื่อ
“พี่เมิ่ง” เด็กหนุ่มมีความสุขมาก
เมิ่งชวนหันหน้าไปมองและจำได้ว่าเป็นศิษย์น้องจากสำนักเต๋าจิงหู่ เขาพยักหน้าเล็กน้อยและในพริบตาเดียว เขาก็พุ่งไปอีกหลายสิบจั้ง เขาพุ่งผ่านอสูรอีกเจ็ดตัวที่เหลือ กระบี่ของเขาสะท้อนแสงอาทิตย์ในขณะที่ผ่ามันออกเป็นสองส่วน ลำแสงกระบี่สองอันฟันใส่อสูรที่กำลังหนีอยู่ อสูรทั้งเจ็ดตายในทันที
เมิ่งชวนไม่แม้แต่จะหันไปมองและยังคงเดินต่อไป
“พ่อ นี่คือศิษย์พี่เมิ่ง พี่เมิ่งมาช่วยพวกเรา” เด็กหนุ่มกล่าว
“ใช่ ข้ารู้ว่าเป็นนายน้อยเมิ่ง” ชายวัยกลางคนเต็มไปด้วยความตื่นใจหลังจากที่รอดจากอันตราย เขาพูดต่อ “รีบๆหนีไปซ่อนแล้วตั้งกับดักอีกเถอะ”
“ขอรับ” เด็กหนุ่มพยักหน้า
สองพ่อลูกหายตัวไปอย่างรวดเร็วในแถบบ้านคน
…
เมิ่งชวนยังคงมุ่งหน้าต่อไป
ระหว่างทาง เขาเห็นร่างของเหล่าชายหญิงที่สวมเสื้อคลุมของสำนักเต๋าเพลิงตะวัน พวกเขาเสียชีวิตกันหมดแล้ว เห็นได้ชัดว่า พวกเขากำลังมุ่งหน้าไปยังสำนักเต๋าเพลิงตะวันแต่กลับพบกับอสูรซะก่อน!
เมิ่งชวนเงียบลง ในเวลาเดียวกัน เขาก็ตามหาหลิวชีเยว่เช่นกัน หรือว่าชีเยว่จะเจออันตรายแล้วหนีไปที่ไหนซักที่อย่างนั้นรึ? ข้าคลาดกับเธอเหรอ?
เขารู้สึกไม่สบายใจ
นอกจากนี้ยังเป็นไปได้ว่าชีเยว่ได้ถึงสำนักเต๋าเพลิงตะวันแล้ว เมิ่งชวนภาวนา แต่จิตสังหารในใจของเขารุนแรงยิ่งขึ้น ตอนนี้เขาอยู่ห่างจากสำนักเต๋าเพลิงตะวันเพียงแค่ครึ่งลี้
ทันใดนั้นเอง เขาก็เห็นควันสัญญาณจากแท่นไฟลอยขึ้นมา มันอยู่ทางสำนักเต๋าเพลิงตะวัน
เป็นควันจากแท่นสัญญาณไฟ สำนักเต๋าเพลิงตะวันจุดไฟสัญญาณอย่างนั้นเหรอ? เมิ่งชวนอึดอัดใจ พวกเขารับมือไม่ไหวแล้วอย่างนั้นเหรอ?
เมืองตงหนิงทั้งเมืองถูกบุก เว้นแต่จะตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังจริงๆ สำนักเต๋าจะไม่จุดสัญญาณไฟ
ร่างเมิ่งชวนวูบหายขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่ เขามองไปทางสำนักเต๋าเพลิงตะวัน เขาก็เห็นฝูงอสูรจำนวนมากกำลังล้อมไว้อยู่
เพียงแค่เหลือบมอง สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป มีอสูรประมาณ 2,000 ตัว มันต้องมีแม่ทัพอสูรสองตัวเป็นแน่!
เร็วเข้า เมิ่งชวนรู้สึกกระวนกระวาย เพียงพริบตาเดียว เขาก็มุ่งหน้าไปที่สำนักเต๋าเพลิงตะวัน
ลำแสงกระบี่สังหารทำให้อสูรหลายตัวต้องนิ่งอึ้ง
“เจ้าทั้งหมด หลีกไปซะ” แม่ทัพอสูรหมีดำจ้องมองมนุษย์ตัวจ้อยอย่างเย็นชา จากนั้นมันก็ส่งเสียงคำรามออกมา อสูรที่อยู่รอบตัวมันต่างหวาดกลัวและหนีไปอย่างรวดเร็ว พวกมันรู้ว่าแม่ทัพนั้นน่ากลัวเพียงใด หากสู้กันล่ะก็ รอบๆข้างอาจโดนลูกหลงไปด้วย และลูกหลงนั้นมีผลแค่อย่างเดียว นั่นคือความตาย
เมื่อเห็นพวกอสูรวิ่งหนีแม่ทัพอสูรหมีดำ เมิ่งชวนก็ระมัดระวังตัวมากขึ้นทันที แต่ในขณะระมัดระวังตัว เขาก็พุ่งเข้าใส่แม่ทัพอสูรหมีดำด้วยความเร็วสูงสุด
ผู้ที่ไม่ใช่เทพอสูรหรือราชาอสูร….ไม่ทำให้เขากลัวได้หรอก!
แม่ทัพอสูรหมีดำยืนนิ่งและจ้องมองไปที่เมิ่งชวนอย่างเย็นชา เมื่อเมิ่งชวนอยู่ห่างจากมัน10จั้ง มันก็คำราม
โฮกก
ราวกับสายฟ้า เสียงที่เกิดจากเสียงการคำรามพุ่งออกไปเป็นรูปพัด บ้านที่อยู่รอบๆต่างสั่นสะเทือนด้วยคลื่นเสียงและถล่มลง
เมิ่งชวนตกใจกับเสียงคำราม แต่เขารีบปิดหูด้วยกระแสปราณอย่างรวดเร็ว แต่ถึงแม้ว่าเขาจะปิดหูเอาไว้ แต่ร่างกายก็ชาไปทั้งตัวจากการสั่นสะเทือน เขารู้สึกเวียนหัวเล็กน้อยและจมูกก็มีเลือดไหลออกมา
ตึง! เมื่อสิ้นเสียงคำราม แม่ทัพอสูรหมีดำก็ก้าวไปข้างหน้า ราวกับภูเขาที่พุ่งเข้าใส่ เท้ายักษ์ของมันเหยียบลงบนเมิ่งชวน
แม้จะมีการสั่นสะเทือนรุนแรง แต่เมิ่งชวนก็ยังคงรักษาสติเอาไว้ได้ ภายในระยะสัมผัสสิบจั้งของเขา เขาสามารถสัมผัสได้ถึงผู้บังคับบัญชาอสูรหมีดำได้อย่างชัดเจน
เพียงวูบเดียว เขาก็หลบเท้าของอสูรหมีดำและฟันเข้าที่หัวของมัน อย่างไรก็ตาม เมิ่งชวนรู้สึกว่าการมองเห็นของเขามืดลง อุ้งเท้าหมียักษ์พุ่งมาหาเมิ่งชวนอย่างรวดเร็ว
ไม่ดีแล้ว เมิ่งชวนรีบหมุนเวียนกระแสปราณของเขาอย่างรวดเร็ว สายฟ้าปะทุออกจากร่างของเขา และเปลี่ยนทิศทางกลางอากาศหลบไปด้านข้าง อุ้งเท้าของหมียักษ์ก็ได้แต่ผ่านไปแบบไม่โดนอะไร
“ตาย!” แม่ทัพอสูรหมีดำคำรามขณะที่มันฟาดอุ้งเท้า การโจมตีที่น่าสะพรึงจนขย่มฟ้าดิน
ลมดำหมุนรอบตัวเมิ่งชวน การใช้ท่าการเคลื่อนที่ท่ามกลางสายลมสีดำทำให้เหนื่อยล้า
อุ้งเท้าหมียักษ์คู่หนึ่งพุ่งออกมาด้วยความเร็วสูง ความรุนแรงของมันจินตนาการแทบจะไม่ได้ รากฐานเทพอสูรของเมิ่งชวนแข็งแรงกว่าคนอ่ื่นๆในระดับเดียวกัน แต่ความแข็งแกร่งของเขาก็ยังคงด้อยกว่าอสูรหมีดำตัวนี้
เหยียนจินเก่งในการสู้กันซึ่งหน้า พละกำลังของเขาเยอะกว่าของข้ามาก บางทีอาจจะสามารถต้านทานการโจมตีของแม่ทัพอสูรหมีดำได้ก็ได้ หากข้าไม่ได้ใช้”พลังแห่งวิญญาณ” หากข้าโดนโจมตีเข้าข้าก็จะทำอะไรไม่ได้ แม้จะไม่ตายก็ตาม
อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่ได้เดือดร้อนมาก เพราะไม่ว่ายังไง ความเร็วของเขาก็สุดยอด!
วูบ
สายฟ้าวนรอบตัวเมิ่งชวน และในชั่วพริบตา เขาก็ไปถึงด้านหลังแม่ทัพอสูรหมีดำ
“ตาย!” เมิ่งชวนโจมตีใส่แม่ทัพอสูรหมีดำจากด้านหลัง
แม่ทัพอสูรหมีดำหันกลับมาและฟาดอุ้งเท้าของมันใส่ในทันที
ร่างของเมิ่งชวนที่ส่องสว่างเกิดวูบวาบขึ้นภายในลมสีดำที่อสูรหมีดำสร้างขึ้น
เจ้ามนุษย์นี้เร็วจริงๆแม่ทัพอสูรหมีดำประหลาดใจ ในแง่ของการเคลื่อนไหวมันด้อยกว่าเมิ่งชวนมาก อย่างไรก็ตามมันได้ฝึกฝนอุ้งเท้าให้รวดเร็วและว่องไว มันสามารถสร้างลมสีดำเพื่อสะกดศัตรูรอบตัวมันได้ เดิมทีมันมีความมั่นใจมาก แต่ตอนนี้มันรู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย อุ้งเท้าของมันไม่โดนเจ้ามนุษย์นี้เลย
ฟุบ
อุ้งเท้าของมันพลาดอีกครั้ง เมิ่งชวนฉวยโอกาสนี้ฟันใส่แม่ทัพอสูรหมีดำ
แกร๊กๆๆ! สีหน้าของเมิ่งชวนเปลี่ยนไป
ขนหนาแข็งเป็นครึ่งจั้งของอสูรหมีดำ เมื่อกระบี่ของเมิ่งชวนผ่านไปได้ แรงโจมตีมันก็หมดแล้ว และผิวหนังหนาๆภายใต้ขนหมีนั่นก็รับการป้องกันได้อย่างง่ายดายเช่นกัน
การโจมตีครั้งนี้ไม่ได้เลือด
หนาเกินไป ขนของมันยาวครึ่งจั้ง และหนังก็เกือบเท่ากัน…ข้าไม่สามารถสร้างความเสียหายได้เลย เมิ่งชวนเข้าใจทันที
แม่ทัพอสูรหมีดำตัวนี้มีพละกำลังมหาศาล การป้องกันที่แข็งแกร่ง และอุ้งเท้าที่มีพลังน่าสะพรึง อีกทั้งยังสร้างลมได้อีก
โฮกก!
หลังจากเมิ่งชวนโจมตีพลาด ดวงตาของมันก็ประกายด้วยความเย็นชา ด้วยระยะทางที่ใกล้เช่นนี้ มันก็คำรามออกมามในทันที
เมิ่งชวนสัมผัสได้ว่ามันจะทำอะไรด้วยเขตสัมผัสสิบจั้งของเขา
โฮกกก ในระยะใกล้เช่นนี้ เสียงคำรามก็เหมือนเสียงฟ้าผ่า และคลื่นเสียงก็กลืนกินเขา
ตูม!
ภายในชั่วพริบตา เมิ่งชวนได้หลอมรวม”พลังแห่งวิญญาณ”เข้าไปในร่างกายของเขา
เสียงหัวใจเต้น เสียงหายใจ และเลือดที่ไหลเวียน กล้ามเนื้อทุกมัด กระดูกทุกชิ้น และทุกเส้นเอ็นในร่างกายของเขามีกระแสปราณไหลผ่านเส้นชีพจร ทำให้เขาควบคุมร่างกายได้ดีขึ้น
เมิ่งชวนไม่ค่อยอยากจะใช้ “พลังแห่งวิญญาณ” มากนัก เพราะมันจะทำให้พลังวิญญาณที่สำรองเอาไว้หมดไวมาก เขาสามารถใช้ได้เพียงห้าครั้งเท่านั้น! หลังจากห้าครั้ง เขาต้องใช้เวลาครึ่งวันในการฟื้นตัว ปัจจุบันเมืองเมืองตงหนิงทั้งเมืองเป็นสนามรบ เขาต้องรักษา”พลังแห่งวิญญาณ”ของเขาไว้ให้มากที่สุดเผื่อเหตุฉุกเฉิน
เพราะหากตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง เขาอาจตายได้หากไม่มีพลังแห่งวิญญาณ
อย่างไรก็ตามการโจมตีด้วยกระบี่เมื่อก่อนหน้านี้แสดงให้เห็นว่าหนังของอสูรหมีนั้นแข็งแกร่งเพียงใด เขาไม่สามารถทำร้ายมันได้ และต้องใช้”พลังแห่งวิญญาณ”เพื่อยกระดับความแข็งแกร่งและฆ่าคู่ต่อสู้ของเขา ตราบเท่าที่เขาสามารถฆ่าแม่ทัพอสูรหมีดำได้ ที่สำนักเต๋าจิงหู่จะต้องเจอก็จะง่ายกว่ามาก
วูบ
กระแสปราณของเขาหลอมรวมกับร่างกายของเขาอย่างสมบูรณ์แบบ ความแข็งแกร่งและความเร็วที่ก้าวกระโดดครั้งใหญ่ทำให้พลังการต่อสู้ของเขาทวีคูณขึ้นหลายเท่า ความเร็วของเขาเพิ่มขึ้นไปยิ่งกว่าระดับเดิม สายฟ้าที่พันรอบร่างของเขาหนาแน่นขึ้นเป็นสิบเท่า ราวกับว่าเขาได้กลายเป็นเทพเจ้าสายฟ้าแล้ว
วูบ
เขาเหยียบไปบนร่างของอสูรหมี เหลือเพียงแค่ภาพติดตา และหลังจากนั้นก็ฟันเข้าใส่!
ตูม!
ลำแสงกระบี่บีบอัดเหมือนน้ำ มันยาวสิบจั้งและตัดผ่านขอของอสูรหมี
มันตัดผ่านขนหนาๆ หนังหมี กล้ามเนื้อ กระดูก….
และฟันผ่านไปจนหมด
เมื่อความเร็วถึงระดับหนึ่งลำแสงกระบี่จะคมมาก คมเกินกว่าที่ร่างกายของอสูรหมีดำจะรับมือได้ ร่างกายที่อสูรหมีภาคภูมิใจไม่สามารถต้านทานการปะทะเช่นนี้ได้
หัวของอสูรหมีดำที่ใหญ่กว่าบ้านเสียอีกก็ลอยขึ้นไปในอากาศ ดวงตาของมันยังคงเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ มันไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงสามารถฆ่ามันได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้มันเหนือกว่า การจู่โจมนั้นรวดเร็วมากจนมันไม่สามารถต้านทานหรือสกัดกั้นได้ ความคมของมันเป็นสิ่งที่ร่างของมันทนไม่ได้
แม่ทัพอสูรหมีดำตายแล้ว
ต้องไปแล้ว เมิ่งชวนไม่หยุดในขณะที่สายฟ้ารอบตัวเขาก็ยังไม่หยุด เขากลายร่างเป็นสายฟ้าและพุ่งไปที่สำนักเต๋าเพลิงตะวัน
…
อสูรที่อยู่ใกล้ๆและกำลังเฝ้ามอง พวกมันเต็มไปด้วยความมั่นใจในตัวแม่ทัพ
เมื่อพวกมันเห็นเมิ่งชวนพลาดที่จะทำร้ายผู้นำของมันได้ในการโจมตีครั้งแรก ปีศาจหลายๆตัวก็หัวเราะ
“มนุษย์นี่ช่างน่าหัวเราะจริงๆ”
“ท่านแม่ทัพมีสายเลือดราชาอสูรชานเฉา ร่างกายของมันเหมือนภูเขา ในกองพันอสูรทั้งเก้า ร่างของท่านแม่ทัพแข็งแกร่งที่สุดในหมู่ผู้ที่อยู่ต่ำกว่าราชาอสูร”
“มันได้แค่เกาให้ท่านแม่ทัพเท่านั้น”
“โดนเสียงคำรามของแม่ทัพในระยะใกล้ขนาดนั้น มันตายแล้วล่ะ”
เหล่าอสูรเฝ้ามองด้วยรอยยิ้ม
แต่หลังจากนั้น ร่างที่ล้อมรอบด้วยสายฟ้าก็โจมตีออกมาอย่างรุนแรง! ลำแสงกระบี่น้ำได้ตัดหัวอสูรหมีออก ทำให้อสูรทั้งหมดเงียบลง
แม่ทัพอสูรหมีดำตายแล้ว? ด้วยการฟันเพียงครั้งเดียว?
ในขณะที่พวกมันดูร่างที่แยกจากกันอย่างรวดเร็ว ไม่มีอสูรตัวไหนกล้าจะไปหยุดเขา! พวกมันต่างตกอยู่ในความสะพรึงกลัว
อสูรธรรมดาจะถูกลำแสงกระบี่ฟันขาดเป็นชิ้นแน่ ถ้าผู้นำอสูรไปล่ะ? ขนาดแม่ทัพก็ยังถูกสังหารด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว เพราะฉะนั้น หากผู้นำอสูรยังกล้าเข้าไปคงมีชะตาเช่นนั้นไม่ใช่รึ?
“แม่ทัพตายแล้ว เราจะทำอย่างไรดี?” ผู้นำอสูรที่เหลืออีกแปดตนลังเล
ทันทีแม่ทัพอสูรงูกล่าว “เมื่อโจมตีเมืองมนุษย์ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องมีตายกันอยู่แล้ว แม้แม่ทัพจะตายไปแล้ว แต่เราก็ต้องมุ่งหน้าต่อไปยังจุดหมาย โจมตีสำนักเต๋าจิงหู่ซะ”
“สำนักเต๋าของมนุษย์มีการป้องกันที่แน่นหนาที่สุด ทุกด้านมีการเสริมแกร่งเอาไว้ เมื่อมีแม่ทัพอยู่ เรายังสามารถบุกมันได้ แต่ตอนนี้ยังไม่เหมาะที่จะไปที่นั่น เราควรไปที่อื่น พวกเรายังฆ่ามนุษย์ได้ด้วยวิธีนี้”
“แต่สำนักเต๋า คือเป้าหมายที่สำคัญที่สุดของเรา”
“จะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเราฆ่ามันไม่ได้? มาฆ่ามนุษย์คนอื่นๆในเมืองกันดีกว่า” ผู้นำทั้งแปดเริ่มเถียงกัน
เหล่าอสูรทำตามกฎแห่งป่า ไม่มีผู้นำอสูรทั้งแปดตนไหนที่เหนือกว่ากันเอง
ดังนั้นกองทัพอสูรนี้จึงเริ่มแตกหมู่กัน บางตนยังคงเดินหน้าต่อไปและเตรียมพร้อมที่จะมุ่งหน้าไปที่สำนักเต๋าจิงหู่ เพื่อดูว่ามีกองทัพอสูรอื่นโจมตีหรือไม่ หากมีพวกมันก็สามารถเข้าร่วมได้ บางตนก็ทิ้งความคิดที่จะบุกสำนักเต๋าไปจนหมดและเริ่มล่ามนุษย์คนอื่นๆในเมืองตงหนิงแทน
…
ข้าทำทุกอย่างที่ทำได้แล้ว หากไม่มีแม่ทัพอสูร สำนักเต๋าจิงหู่ก็น่าจะรับมือไหวอยู่ เมิ่งชวนเปลี่ยนเป็นภาพติดตาก่อนจะมุ่งหน้าต่อไป เขาต้องตามหาชีเยว่เดี๋ยวนี้
เขาเสียเวลาไปเนื่องจากความชุลมุน และไม่สามารถเสียเวลาได้อีกต่อไป
ซุบๆๆๆ!
เขาพุ่งไปด้วยความเร็วเต็มที่
ตอนที่ 54 ถาโถม
“รั้งมันไว้”
“ตราบใดที่รั้งมันไว้ได้ มันก็จะตาย” ผู้นำอสูรทั้งสองสั่งในขณะที่ลูกน้องพวกมันพุ่งไปข้างหน้าอย่างไม่เกรงกลัวใดๆ มีอสูรนกห้าตัวพุ่งโฉบลงมาจากท้องฟ้า
เมิ่งชวนก็รู้สึกกดดันเช่นกัน
ผู้นำอสูรทั้งสองตัวนี้ หนึ่งในนั้นสามารถปลดปล่อยกลิ่นอายอสูรได้ ในขณะที่อีกตัวหนึ่งควบแน่นแก่นอสูรไปแล้ว เมิ่งชวนตัดสินความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายได้ในทันทีด้วยสัมผัสของเขา นอกจากนี้ยังมีอสูรระดับสูง 19 ตัวและอสูรระดับต่ำอีก 176 ตัว ‘หากข้าถูกพวกอสูรรั้งเอาไว้ ข้าก็จะถูกฝูงอสูรโถมเข้ามาทันที และหลังจากนั้นผู้นำทั้งสองตัวนั้นก็จะสังหารฆ่า’
‘แม้ว่าข้าจะแข็งแกร่งกว่าผู้นำอสูรทั้งสอง แต่แรงข้าก็มีจำกัด หากข้าถูกตรึงเอาไว้ ข้าก็จะถูกฉีกกระชากเป็นชิ้นๆ’
นี่คือสนามรบ อสูรกลุ่มใหญ่พุ่งเข้ามา ถ้าไม่ใช่เพราะขอบเขตการรับรู้ของเขาล่ะก็ เขาคงหลีกเลี่ยงกองทัพอสูรนี้ไปแล้ว
“สังหาร” แม้ว่าเขาจะรู้สึกต้องการ แต่เขาก็ไม่ได้ลดความเร็วลง เมื่อเทียบกับจอมยุทธในระดับเดียวกันแล้ว เขาสามารถรับมือกับการโจมตีแบบกลุ่มได้ดีมาก ขนาดทำให้ศัตรูโจมตีใส่ตัวเองยังได้เลย!
เมิ่งชวนปลดปล่อยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ เปลี่ยนเป็นติดตาและพุ่งเข้าหาอสูรตนหนึ่ง
“มันไม่หลบแต่พุ่งเข้าหาแทนอย่างนั้นรึ?”
“หยุดมัน”
“เร็วเข้า!”
อสูรทั้งสองร้อยตัวนั้นค่อนข้างจะกระจัดกระจายไปทั่ว และไม่ได้ล้อมเขาอย่างสมบูรณ์ก่อนที่เมิ่งชวนจะเริ่มโจมตี
‘ช้าไป’ ขณะที่เมิ่งชวนพุ่งไปข้างหน้า เขาก็ชักกระบี่ออกและกระบี่ก็เปล่งแสงขึ้น
เพียงวูบเดียว อสูรสามตัวก็ถูกหั่นเป็นชิ้น ลำแสงกระบี่ส่องแสงครั้งแล้วครั้งเล่า
เขาพุ่งตรงไปยังแม่ทัพอสูรหมีดำ ลำแสงกระบี่วูบขึ้นหลายครั้งและอสูร 30 ตัวที่ยังล้อมเขาได้ไม่ดีก็ถูกหั่นเป็นชิ้นได้อย่างง่ายดาย ลำแสงกระบี่นั้นยาวประมาณสองถึงสามจั้ง มันหั่นอสูรออกเป็นสองส่วนได้สบาย มันทำให้อสูรตัวอื่นๆที่พร้อมที่จะกระโจนเข้าใส่เขาต้องตัวสั่นด้วยความกลัว และยังกระโจนเข้ามาหาช้าลงอีกด้วย
เขารู้สึกได้ถึงอสูรที่กำลังพุ่งเข้ามาในขณะที่กำลังกวัดแกว่งกระบี่อย่างต่อเนื่อง ความเร็วของเขาจึงตกลงอย่างช่วยไม่ได้
“หลีก” ผู้นำอสูรสองตนพุ่งเข้ามา หนึ่งในนั้นเป็นอสูรแมงมุมในขณะที่อีกหนึ่งเป็นอสูรแพะ
แมงมุมอสูรนั้นไวกว่า มันถือกระบี่สองคมอยู่ในมือทั้งหกของมัน มันเข้าไปในระยะ5จั้งจากเมิ่งชวนเป็นตัวแรก โดยไม่มีสัญญาณใดๆ มันก็เปิดปากและปล่อยใยแมงมุมออกมาหวังจะห่อหุ้มเมิ่งชวนไว้ มันอยู่ใกล้และเร็วเกินไป
อย่างไรก็ตาม เพราะได้รับการฝึกฝนจากฝนธนูมาแล้ว ความเร็วในการตอบสนองของเมิ่งชวนก็สูงยิ่งกว่าเดิม นอกจากนี้ ทุกสิ่งในระยะสิบจั้งรอบตัวเขาก็อยู่ในขอบเขตประสาทสัมผัสเช่นกัน! ขณะที่อสูรแมงมุมเปิดปาก เมิ่งชวนก็เตรียมพร้อมในทันที
ร่างของเขาหายไป
อ่านตอนล่าสุดที่ mynovel.co หรือ www.thainovel.com
ใยแมงมุมสีขาวไปพันร่างของอสูรชั้นต่ำผู้โชคร้ายสองตัวแทน อสูรทั้งสองตัวนั้นร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดขณะที่พวกมันเปลี่ยนเป็นเนื้อบดอย่างรวดเร็วหลังจากถูกใยแมงมุมตรึงไว้กับพื้น เมื่ออสูรแมงมุมเห็นว่าท่าสังหารของมันนั้นพลาดก็รู้สึกไม่พอใจเสียเท่าไหร่นัก
“ตาย!” เมิ่งชวนใช้วิชาการเคลื่อนที่และโจมตีใส่ผู้นำอสูรทั้งสอง
อสูรแมงมุมฟาดฟันด้วยกระบี่สองคมของมัน และทันใดนั้นฝนกระบี่ก็ฟาดฟันลงมาใส่เมิ่งชวน ส่วนอสูรแพะนั้น มันเข้ามาโจมตีใส่ในระยะใกล้
ฉับฉับ
เมิ่งชวนเคลื่อนตัวไประหว่างผู้นำอสูรทั้งสอง เขาควบคุมสถานการณ์ได้ดีมาก เขาสามารถมองเห็นรูปแบบการโจมตีของแม่ทัพอสูรทั้งสองได้อย่างชัดเจน และเพียงกระบี่เดียว หนึ่งในกระบี่สองคมของอสูรแมงมุมก็ถูกเบี่ยงไปทางอสูรแพะ
‘เกิดอะไรขึ้น?’ อสูรแมงมุมและอสูรแพะตื่นตระหนก ทำไมพวกมันถึงฟันกันเอง?
พวกมันไม่รู้ว่าผู้นำนิกายอสูรฟ้าสาขาตงหนิงสองคนเคยเจอสถานการณ์คล้ายๆกับแบบนี้มาก่อน อย่างไรก็ตาม ตอนนั้นเมิ่งชวนทำแค่ตอนใช้ “พลังแห่งวิญญาณ” เท่านั้น แต่ในตอนนี้ เขาสามารถทำมันได้อย่างง่ายดาย
แก๊ง! อสูรแพะป้องกันการโจมตีของอสูรแมงมุมทันที
ฉับ
ที่ตามการโจมตีของอสูรแมงมุมก็เป็นการฟาดฟันที่อ่อนโยนไร้ซุ่มเสียงจากเมิ่งชวน
‘อะไรกัน?’ หัวใจของอสูรแพะสั่นสะท้าน ลำแสงกระบี่ถึงคอมันแล้ว และไม่นาน หัวมันก็ปลิวออกไป
ผู้นำอสูรแพะตายแล้ว
อสูรแมงมุมรู้สึกได้ถึงความผิดปกติในทันที แต่เมิ่งชวนหันกลับมาและฟันลงอย่างรุนแรง นี่เป็นกระบวนท่าแรกของอัสนีห้าโลกา! มันรวดเร็วมาก และสายฟ้าก็ถูกปล่อยออกมา พลังของสายฟ้ายังคงอ่อนแอมาก ร่างอันแข็งแกร่งของปีศาจแมงมุมจึงทนได้อย่างง่ายดายโดยไม่ก่อให้เกิดผลใดๆ อย่างไรก็ตามแรงอันน่าเหลือเชื่อของการโจมตีครั้งนี้ทำให้ยากที่จะกันเอาไว้ได้ โชคดีที่อสูรแมงมุมมีแขนอยู่หกแขน แต่กระบี่สองคมทั้งหกนั้นก็แทบจะป้องกันไม่ได้ ถึงอย่างนั้นก็ทำให้เกิดช่องว่าง
การโจมตีครั้งที่สองเข้ามาเร็วกว่าเดิม
เมื่อแมงมุมอสูรสัมผัสได้ถึงอันตรายถึงตาย มันก็อ้าปากและพยายามพ่นใยออกมาทันที แค่เพียงมันเปิดปาก เมิ่งชวนก็สัมผัสได้อย่างชัดเจน เขาไม่อยากโดนใยแมงมุมในระยะนี้ เขาใช้ “พลังแห่งวิญญาณ” ในกระบวนท่าที่สอง ทำให้ลำแสงกระบี่เคลื่อนที่เร็วขึ้น 30 เปอร์เซ็นต์ และเข้าไปซ้ำช่องว่างที่เปิดออก ฟันผ่านคอของมันไป
ก่อนที่แมงมุมอสูรจะได้พ่นใยออกมา หัวของมันก็ปลิวออก
เหล่าผู้นำอสูร อสูรแพะและอสูรแมงมุมเสียชีวิตทีละตน
อสูรรอบข้างตื่นตระหนก ผู้นำทั้งสองนั้นแข็งแกร่ง ตนหนึ่งสามารถปลดปล่อยกลิ่นอายอสูรได้ ในขณะที่อีกตนหนึ่งควบแน่นแก่นอสูรได้แล้ว กระนั้นพวกมันยังถูกสังหารในหนึ่งหรือสองกระบวนท่าเพียงเท่านั้นเองหรือ?
ข้าจะถูกพวกมันจับไม่ได้ เมิ่งชวนรู้ดีว่าเขาเผยเทคนิคออกไปนิดหน่อยแล้ว
ในแง่ของความแข็งแกร่ง เขาเหนือกว่าผู้นำอสูรทั้งสอง อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่ได้ต่างกันมากขนาดนั้น หากเป็นการสู้กันตัวต่อตัวล่ะก็ คู่ต่อสู้ของเขาคงจะใช้วิชาต้องห้าม และเขาคงจะต้องใช้สองถึงสามกระบวนท่าในการฆ่าอสูรแพะ และอาจจะต้องใช้ถึงสิบกระบวนท่าในการฆ่าแมงมุมอสูร
อย่างไรก็ตาม หากเขาต้องสู้แบบตะลุมบอนล่ะก็ เขาคงจะต้องถูกอสูรล้อมรอบเยอะกว่านี้ และเขาต้องใช้ทุกโอกาสในการช่วยชีเยว่ ดังนั้น เขาจะต้องผ่านอุปสรรค์พวกนี้ไปให้ไวที่สุด!
ก่อนอื่นเขาใช้ความเร็วทำให้พวกมันฟันกันเอง หลังจากนั้นก็ใช้โอกาสนั้นฆ่าอสูรแพะในการโจมตีครั้งเดียว ถัดมา เขาใช้แรงทั้งหมดกับพลังแห่งวิญญาณหลอมรวมเข้ากับวิชากระบี่เพื่อฆ่าอสูรแมงมุมโดยไว
ซุบบบ
เมิ่งชวนพุ่งเข้าหาแม่ทัพอสูรหมีดำ เขารู้สึกกดดันในขณะที่วางแผนเพื่อจัดการผู้นำอสูรทั้งสองโดยไว
อย่างไรก็ตาม ในสายตาของอสูรรอบๆ มนุษย์คนนี้น่ากลัวเกินไป! อย่างแรกเขากำจัดอสูรธรรมดาที่ล้อมรอบได้อย่างง่ายดายก่อนที่จะสังหารแม่ทัพอสูรสองตนในพริบตา เขามีพลังมากจนคาดไม่ถึงสำหรับใครก็ตามที่ไม่ใช่เทพอสูรหรือราชาอสูร
“ฮืม? “แม่ทัพอสูรในไกลๆเห็นการตายของอสูรแพะและอสูรแมงมุมซึ่งแข็งแกร่งพอๆกับเขา มันจึงรู้สึกอันตราย
นอกจากนี้เมิ่งชวนยังไม่เลือกที่จะหนี แต่กลับพุ่งเข้าหาแม่ทัพอสูรหมีดำ
“เจ้าฆ่าผู้นำทั้งสองของข้างั้นรึ?” แม่ทัพอสูรหมีดำมองดูอยู่ไกลๆ ร่างสูงห้าจั้งของมันสูงกว่าอาคารโดยรอบ แขนของมันหนายิ่งกว่าต้นไม้ และมันก็จ้องมองไปที่มนุษย์ตัวจ้อยด้วยความเย็นชา
“ในเมื่อมันต้องการจะตายนัก ล้อมมันซะ อย่าปล่อยให้มันหนีไปได้” อสูรหมีดำกล่าว “ฆ่าจะบดขยี้มันเสีย”
“ล้อมมัน”
“อย่าปล่อยให้มันหนี”
“ล้อมมัน”
กองทัพที่ก่อนหน้านี้พุ่งไปทางสำนักเต๋าจิงหู่เต็มแรง ก็หยุดตามคำสั่งของแม่ทัพและหันมาล้อมเมิ่งชวนแทน
อสูรเกือบหนึ่งพันตัว ที่กระจายไปเกือบหนึ่งลี้ เริ่มล้อมเขา แรงกดดันที่มีต่อเมิ่งชวนนั้นมหาศาล
เมิ่งชวนจ้องมองด้วยความเย็นชา
หากพวกมันไปถึงสำนังเต๋าจิงหู่ สำนักเต๋าจะต้องเจอปัญหาใหญ่แน่ๆ ด้วยอาวุธยุทโทปกรที่มีอยู่ สำนักเต๋าสามารถจัดการกับอสูรธรรมดาๆได้ อย่างไรก็ตาม หากต้องเจอกับแม่ทัพอสูรก็คงจะลำบาก หากต้องเจอกับแม่ทัพอสูรล่ะก็…. พวกเขาอาจต้องใช้คนจำนวนมากกว่านี้เพื่อช่วยป้องกัน ต้องใช้จำนวนเพื่อที่จะทดแทนความแข็งแกร่ง
“จับมัน” แม่ทัพอสูรหมีดำชี้ไปยังเมิ่งชวนที่กำลังพุ่งเข้ามา
อสูรนับร้อยที่อยู่ใกล้แม่ทัพกระโจนเข้ามา
“สังหารมัน!”
ในตอนนี้เอง เมิ่งชวนชักกระบี่ออกมา เขาฟาดฟันอย่างดุเดือด
ฉับๆๆๆ! ลำแสงกระบี่ที่ยาวหลายจั้งพุ่งออกมา ในพริบตาเดียว เมิ่งชวนก็เหวี่ยงกระบี่ไปกว่าร้อยครั้งแล้ว
ลำแสงกระบี่พุ่งเข้าใส่อสูรที่พุ่งเข้ามา
หลังจากตระหนักรู้ถึง”พลัง” เขาสามารถปลดปล่อยพลังปราณได้ หลังจากควบแน่นแก่นเทพอสูร พลังปราณจะได้รับการเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นกลายเป็นกระแสปราณ จนรากฐานของเขาแข็งแกร่งยิ่งกว่าจอมยุทธในระดับเดียวกัน ร่างกายของเขาและแก่นแท้ก็แข็งแกร่งขึ้นหลายเท่า! ลำแสงกระบี่ที่ดึงพลังจากฟ้าดินมาใช้นั้นก็ทำให้มันยาวขึ้นอีกหลายจั้ง! กระบี่นับร้อยพุ่งออกมาจนเหล่าอสูรหวาดหวั่น
ฉับๆๆๆๆๆๆ
ลำแสงกระบี่เร็วเกินไป แม้ว่าอสูรกลุ่มใหญ่จะหนีไปด้วยความตื่นตระหนก แต่พวกมันก็ถูกหั่นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย บางตัวก็ถูกผ่าครึ่ง ลำแสงกระบี่บางเล่มหั่นผ่านอสูรสามตัวพร้อมกันด้วยซ้ำ
ในพริบตาเดียว อสูรกว่าครึ่งร้อยตาย มีเพียงอสูรไม่กี่ตัวเท่านั้นที่โชคดีพอที่จะรอด พวกมันกลัวเกินกว่าจะพุ่งเข้าไปด้วยซ้ำ
‘พลังปราณของข้าหมดลงครึ่งหนึ่งในทันที ข้าทำแบบนี้บ่อยไม่ได้จริงๆ’ เมิ่งชวนรู้สึกเหมือนจุดตันเถียนของเขานั้นว่างยิ่งกว่าเดิม
ตอนที่ 53 หนึ่งกระบี่หนึ่งชีวิต
“ลุงเฉียน” เมิ่งชวนออกคำสั่ง “เปิดคลังอาวุธและให้ทุกคนหยิบไป หลังจากคนที่เหนือกว่าระดับชำระแก่นเลือกเสร็จ ก็ให้รีบไปสำนักเต๋าจิงหู่ในทันที”
“ขอรับ” ทุกคนตอบโดยพร้อมเพรียงกัน นัยน์ตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความเร่าร้อนและจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้
สำนักเต๋าจำเป็นต้องได้รับการปกป้องอย่างดี เมืองตงหนิงนั้นกำลังถูกโจมตีโดยอสูร ทั้งเมืองตกอยู่ในอันตราย และสำนักเต๋าอื่นๆก็อยู่ไกลเกินไป แม้แต่คฤหาสน์ของบรรพบุรุษก็อยู่ห่างออกไปกว่าสิบลี้แล้ว มันยากเกินไปสำหรับพวกเขาที่จะไปถึง ระหว่างทางพวกเขาอาจจะถึงตายเลยก็เป็นได้ แต่สำหรับสำนักเต๋าจิงหู่นั้นอยู่ใกล้
ซุบ ร่างหนึ่งพุ่งเข้าไปในคฤหาสน์เมิ่งไปที่สนามฝึก
ร่างนั้นตะโกน “เมิ่งชวน!” เขาคือชายแก่ผมสีดำ
“ท่านผู้อาวุโสที่ห้า” เมิ่งชวนจำคนๆนั้นได้ทันที
“คำสั่งของเมิ่งเซียนกู” ผู้อาวุโสผมดำพูดด้วยเสียงต่ำ “เมืองตงหนิงตกอยู่ในอันตรายร้ายแรง ดังนั้นเจ้าได้รับอนุญาตให้ทำอะไรก็ได้ อย่างไรก็ตาม ได้โปรดช่วยปกป้องสมาชิกทั้ง 3000 คนในคฤหาสน์บรรพบุรุษด้วย! กลุ่มตระกูลเทพอสูรทั้งห้าก็เป็นจุดที่เหล่าอสูรเล็งโจมตีเช่นกัน นอกจากนี้ หากเมิ่งเซียนกูและคนอื่นๆและราชาอสูรชนะ ผู้คนนับไม่ถ้วนในเมืองตงหนิงจะต้องหนี เจ้าเองก็ต้องหนีด้วย แต่จงไปคนเดียว เจ้าคือความหวังเดียวของตระกูลเมิ่ง จงอย่าอยู่ในสถานการณ์ที่อันตราย”
“เข้าใจแล้วขอรับ” เมิ่งชวนพยักหน้า เขาเข้าใจว่าย่าทวดของเขาต้องการอะไร
ตอนนี้ราชาอสูรกำลังถูกเหล่าเทพอสูรยื้อเอาไว้ และด้วยความเร็วของเมิ่งชวน ไม่มีใครหยุดเขาได้หากเขาต้องการจะไป! ดังนั้นเขาจึงได้รับอนุญาติให้ทำอะไรก็ได้ เมิ่งเซียนกูถึงกับหวังว่าเขาจะช่วยปกป้องสมาชิกทั้ง3000คนที่คฤหาสน์บรรพบุรุษเลยด้วยซ้ำหากเทพอสูรพ่ายแพ้ราชาอสูรจะมีอิสระที่จะสังหารหมู่ทั้งเมืองเมื่อนั้นเมิ่งชวนจะต้องหนี
“ข้าจะกลับไปที่คฤหาสน์ของบรรพบุรุษตอนนี้เลย เจ้าจะมากับข้าไหม?” ผู้อาวุโสผมดำกล่าว
“ข้าจะไปช่วยชีเยว่ก่อน ชีเยว่ยังคงกำลังไปยังสำนักเต๋าเพลิงตะวัน” เมิ่งชวนกล่าว “ข้าจะไปที่คฤหาสน์บรรพบุรุษหลังจากไปช่วยชีเยว่แล้ว”
“ตกลง” ผู้เฒ่าผมดำหันหลังและจากไป เวลาเป็นสิ่งมีค่า
ซึบ
เมิ่งชวนกระโดดข้ามกำแพงตรงสวนไป เขาเป็นเหมือนเปลวควันที่วูบผ่านไปในขณะที่กำลังมุ่งตรงไปยังสถาบันสำนักเต๋าเพลิงตะวัน เขตประสาทสัมผัสเขานั้นมีระยะอยู่ที่1ลี้ ดังนั้นเขาจึงมั่นใจว่าจะสามารถหาหลิวชีเยว่เจอในทันทีที่เธออยู่ใกล้ๆ
ชีเยว่อยู่ในระดับก่อกำเนิด และยังเป็นนักเกาฑัณฑ์ที่ไม่เก่งในการต่อสู้ระยะใกล้ หากเจออสูรกลุ่มใหญ่อาจมีปัญหาได้ จิตใจของเมิ่งชวนเต็มไปด้วยความรู้สึกเคร่งเครียด
พวกเขาเติบโตมาด้วยกัน
ชีเยวนั้นสำคัญมากสำหรับเขา เขาต้องปกป้องเธอ แม้ว่าพ่อของเขาและลุงหลิวจะอยู่ข้างนอกเช่นกัน แต่พวกเขาก็รับรู้ถึง “พลัง” มาได้นานแล้วอีกทั้งยังมีประสบการณ์ในการต่อสู้กับอสูรในสนามรบมานานหลายปี เมื่อร่วมมือกัน โอกาสที่จะจัดการกับสถานการณ์ได้ก็สูง และที่สำคัญที่สุด เขาไม่รู้ว่าพ่อของเขาหายไปไหน หาไปก็ไม่มีประโยชน์ อย่างไรก็ตาม เขารู้ว่าชีเยว่เดินทางไปสำนักเต๋าเพลิงตะวัน
ฟุบๆๆๆ!
เมิ่งชวนเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นเขาก็เห็นบางอย่างที่อยู่ห่างออกไป
อ่านตอนล่าสุดที่ mynovel.co หรือ www.thainovel.com
ร่างน่าเกลียดกำลังวิ่งอยู่บนถนนจากไกลๆ บางตัวก็วิ่งบนหลังคาในขณะที่บางตัวก็พุ่งไปในท้องฟ้า โดยทั่วไปแล้วอสูรจะสูงกว่ามนุษย์ บางครั้ง อสูรอาจจะใหญ่เกือบ2-3จั้งได้เลยทีเดียว! และพวกมันทุกตัวกำลังพุ่งเข้ามาหาเมิ่งชวน
‘มีอสูรมากมายเหลือเกิน เมิ่งชวนรู้สึกอึดอัดใจ ท่าทางแบบนี้ทางผ่านโลกคงจะอยู่ที่ไหนสักแห่งจากทางนั้น’ เมิ่งชวนเดา เหล่าอสูรต่างมุ่งหน้าไปในทิศทางต่างๆเมื่อมันออกมา
ไม่มีทางหลีกเลี่ยงอสูรระหว่างทางไปยังสำนักเต๋าเพลิงตะวันได้ ยังไงข้าก็ต้องบุกฝ่าเข้าไป เมิ่งชวนไม่ได้ชะลอลงในขณะที่มุ่งหน้าเข้าสู่ฝูงอสูร
ปกติแล้ว มนุษย์ธรรมดาสามัญนั้นเรียกได้ว่าไร้กำลังเมื่ออยู่ต่อหน้าพวกมันเป็นกองทัพ อย่างไรก็ตาม ความสามารถของเมิ่งชวนช่วยเพิ่มความกล้าของเขา เขารับรู้ทุกอย่างในระยะ1ลี้ อีกทั้งความเร็วอันน่าเหลือ มันทำให้เขาไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น
หืม? ในขณะที่เขาวิ่งใกล้เข้าใส่กองทัพอสูร เขาก็เห็นอสูรจำนวนมากกำลังต่อสู้อยู่
เหล่าจอมยุทธกำลังยื้อพวกมันไว้อยู่
โฮก! อสูรหมาป่าถูกตาข่ายพันแน่น มันส่งเสียงคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว แต่ไม่สามารถฉีกตาข่ายออกจากกันได้ จากนั้นหอกสั้นสามอันก็พุ่งออกมาจากบ้านและแทงทะลุร่างของอสูรหมาป่า มันร่วงลงไปตายกับพื้น
“บุกเข้าไปกัน” ทันใดนั้น อสูรห้าตัวก็พุ่งเข้าไปในบ้าน แต่ในห้องนั้นเต็มไปด้วยกับดักและมีจอมยุทธสามคนนอนรอซุ่มโจมตี
ในขณะที่อสูรมันพุ่งเข้ามา อสูรสองตัวก็ถูกพันด้วยเชือกก่อนที่หอกสั้นจะสังหารพวกมันลง!
เชือกเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการรับและสามารถติดตั้งได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นจึงเป็นสิ่งพื้นฐานสำหรับคนที่เป็นทหารในการวางกับดักเชือก เห็นได้ชัดว่ามีกับดักเชือกจำนวนมากตั้งอยู่ในบ้าน อย่างไรก็ตามอสูรไม่ได้โง่ มีเพียงอสูรสองตัวเท่านั้นที่โดนก่อนที่อาคารจะถูกทำลาย
ถ้าจะบอกว่าวิชาการต่อสู้ของมนุษย์นั้นยอดเยี่ยม พวกเขาวางกับดักและทำงานร่วมกัน แต่อสูรมีเพียงแค่ความสามารถเดียว มุ่งไปข้างหน้าและฆ่า!
“ดูเหมือนว่าพวกเราจะได้ตายกันที่นี่แล้วล่ะ” ชายชราแขนเดียวคนหนึ่งถือกระบี่พร้อมกับหัวเราะเบาๆ
ผู้หญิงตาเดียวสะพายถุงหอกสั้นไว้ที่หลัง เธอถือหอกสั้นในแต่ละมือและขว้างใส่พวกอสูรอีกครั้ง ความแข็งแกร่งของเธอในระยะประชิดเช่นนี้ อย่างในห้องนี้ นั้นแข็งแกร่งมาก แต่อสูรตั๊กแตนก็สามารถปัดมันได้อย่างง่ายดาย หญิงตาเดียวก็ยิ้มเช่นกัน “พวกเราทั้งสามยังอยู่ในระดับก่อกำเนิด ฆ่าปีศาจชั้นต่ำได้สามตัวก็คุ้มค่าแล้ว”
“คุณนาย ลุงจาง เรามาทำมันอีกรอบเถอะ ปีศาจทุกตัวที่ตายมีค่า” ชายร่างสูงที่ถือโล่และขวานขนาดใหญ่กล่าว
โดยรวมแล้วอสูรแข็งแกร่งกว่ามนุษย์มาก
ตัวอย่างเช่น ในกองทัพอสูร 18,000 ตนที่บุกมานี้ มีอสูรมากกว่าสองร้อยตัวที่สามารถปล่อยกลิ่นอายอสูรออกมาได้! ในเมืองตงหนิงมีเพียงประมาณแค่ยี่สิบคนเท่านั้นที่ตระหนักรู้ถึง “พลัง” แม้ว่าโดยทั่วไปแล้วมนุษย์สามารถจัดการกับอสูรสองหรือสามตัวได้สบายๆ แต่อสูรที่แข็งแกร่งที่สุดในกองทัพนั้นคือสิบแปดขุนพล! ขุนพลเหล่านี้นั้นเป็นสายเลือดชั้นสูงของราชาอสูร พวกมันแข็งแกร่งกว่ามนุษย์ระดับควบแน่นแก่นแท้มาก เรียกได้ว่าพวกมันเหมาะแก่การฆ่ามนุษย์ระดับควบแน่นแก่นแท้
และอสูรที่อ่อนแอที่สุดในบรรดาอสูร…ไม่ว่าพวกมันจะโหดแค่ไหนในการต่อสู้ แต่ร่างของพวกมันก็ทัดเทียมได้แค่เท่ากับมนุษย์ในระดับก่อกำเนิด เมื่อต้องสู้กันแบบนี้แล้ว จอมยุทธในชั้นก่อกำเนิจึงใช้กับดัก และทำให้พวกเขาสามารถสู้กับพวกมันได้อย่างเหนือกว่า
ดังนั้น แม้แต่เทพอสูรก็ต้องยอมรับว่าในแดนมนุษย์ อสูรสามารถบดขยี้มนุษย์ได้อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม เทพอสูรไม่ได้อ่อนแอไปกว่าราชาอสูรเลย ตราบใดที่เทพอสูรชนะ การสังหารอสูรธรรมดาก็เป็นเรื่องง่าย
“ฆ่ามัน!” ชายร่างสูง ชายร่างใหญ่ ผู้หญิงตาเดียวและชายแก่แขนเดียวก็ตะโกน พวกเขาเตรียมใจสำหรับการต่อสู้ครั้งสุดท้ายนี้ไว้แล้ว ในขณะที่อสูรทั้งสามพุ่งไปข้างหน้าเพื่อฉีกมนุษย์ทั้งสามเป็นชิ้นๆ
ฉับ
ลำแสงกระบี่พุ่งผ่านมา ลำแสงกระบี่หั่นอสูรทั้งสามตัวลง ทั้งสามตัวนั้นถูกผ่าครึ่งและไม่นานก็ลงไปอยู่บนพื้น
ร่างของเมิ่งชวนปรากฏขึ้นมาใกล้ๆบ้านหลังนั้นครู่หนึ่งก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อมองไปที่อสูรทั้งสามที่ถูกสังหารในพริบตา ชายร่างท้วมหญิง ตาเดียวและชายแก่แขนเเดียวต่างก็ตกตะลึงเมื่อได้เห็นเมิ่งชวนอยู๋ไกลๆ
“นายน้อยเมิ่งล่ะ”
“นายน้อยเมิ่งช่วยพวกเราไว้” พวกเขาทั้งสามรู้สึกมีความสุขที่รอดมาได้ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาอยากมีชีวิตอยู่ ถ้าเป็นไปได้
“ทำไมนายน้อยเมิ่งเป็นคนนำการโจมตีทัพอสูรล่ะ?” ผู้หญิงตาเดียวก็งุนงง
“อย่าเสียเวลาคิดเรื่องนี้ เร็วเข้า เราต้องปกป้องบ้านของลุงจาง “ชายร่างสูงรีบร้อน พวกเขาทั้งสามออกจากบ้านทันทีและไปที่จุดซุ่มโจมตีถัดไป
ในระหว่างการรุกรานของอสูร มนุษย์ใช้ภูมิประเทศให้เป็นประโยชน์ พวกเขาวางกับดักไว้ทั้งเมือง นี่เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ไม่มีทางที่พวกเขาจะเอาชนะอสูรได้จริงๆหากพวกเขาต่อสู้แบบตัวต่อตัว
…
“มีมนุษย์ที่กำลังต่อต้านอยู่ที่นั่น มุ่งหน้าไปที่นั่น” กองทัพอสูรกำลังรุกคืบ ในเวลาเดียวกันอสูรชั้นสูงกว่านั้นก็ได้ชักนำให้เหล่าอสูรชั้นต่ำนำพาความตายไปยัง ณ ที่นั้น
อสูรยอมจะเสียอสูรชั้นต่ำเพื่อชีวิตของจอมยุทธชั้นชำระแก่น เพราะไม่ว่ายังไง จอมยุทธระดับชำระแก่นในเมืองตงหนิงก็มีเพียงห้าถึงหกพันเพียงเท่านั้น
เมิ่งชวนฆ่าอสูรไประหว่างทาง ลำแสงดาบของเขาห่าพวกปีศาจไปนับสิบ มันเข้าตาผู้บัญชาการอสูรเข้าอย่างจัง
“มนุษย์นั่นแข็งแกร่งมาก มันน่าจะเป็นคนที่เข้าถึง “พลัง”แล้ว”
“ล้อมและสังหารมันซะ””
“สังหาร!”
แม่ทัพอสูรทั้งสองนำอสูรกว่าร้อยตนมาล้อมรอบเขา
“จัดการกับมนุษย์คนนั้นโดยเร็ว มุ่งหน้าไปที่สำนักเต๋ากระจกจิงหู่แล้วทำลายทิ้ง” แม่ทัพอสูรหมีดำออกคำสั่ง มันมีสายเลือดของราชาปีศาจชานเฉา ปีศาจหมีระดับควบแน่นแก่นนั้นจะสูงประมาณ2-3จั้ง แต่ว่าเจ้าตัวนี้สูง5จั้ง…มันแข็งแกร่งกว่าอสูรหมีระดับไร้ตำหนิทั่วไปหลายเท่า ร่างกายของมันแข็งแกร่งขึ้นมากดังนั้นมันจึงได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการมา
มันมีพลังมหาศาล มันสามารถทำให้บ้านแบนได้ด้วยก้าวเดียว เสียงของมันดังก้องไปไกลเกือบ2ลี้เลย
“มุ่งหน้าไปที่สำนักเต๋าจิงหู่”
“มุ่งหน้าไปที่สำนักเต๋าจิงหู่”
ผู้บังคับบัญชาอสูรหลายตัวภายใต้คำสั่งของมันเริ่มทวนคำสั่ง
“เร็วเข้า สังหารมนุษย์นี่ซะ” ผู้บัญชาการอสูรทั้งสองที่ล้อมตัวเขาอยู่ได้ยินคำสั่งของผู้บัญชาการหมี แม้มันจะมีพวกเข้ามารุมเมิ่งชวนมากแต่มันก็รู้สึกเครียด
‘มุ่งหน้าไปยังสำนักเต๋าจิงหู่?’ เมิ่งชวนตากระตุก ในขณะที่ความเยือกเย็นปรากฏขึ้นในดวงตาเขา
ในฐานะพี่ชายคนโตของสำนักเต๋าจิงหู่ การที่เขาเลือกที่จะช่วยชีเยว่ก่อนจะไปคฤหาสน์บรรพบุรุษมันทำให้เขารู้สึกเหมือนทำให้สำนักเต๋าต้องผิดหวัง
ในตอนนี้เขาเห็นทัพอสูรนับพันตัวกำลังมุ่งหน้าไปยังสำนักเต๋าจิงหู่ เขาปล่อยจิตสังหารเย็นเยียบออกมา
หากข้าสังหารแม่ทัพอสูรลงได้ อันตรายของทัพนี้ก็จะลดลงครึ่งหนึ่ง
ตอนที่ 52 การปะทุ
ลึกลงไปใต้เมืองตกหนิงอีกด้านหนึ่งของพื้นที่บิดเบี้ยว
เหล่าอสูรจำนวนมากรวมตัวกันที่นั่น ด้านหน้าของทัพอสูรคือกลุ่มของราชาอสูร กลิ่นอายของพวกมันต่างออกไปจากตัวอื่นๆ ในเวลาเดียวกันพวกมันก็มองไปยังผู้นำของมันที่สูงกว่า5จั้ง ชานจิ่วเฉา พื้นที่ปกครองของมันยิ่งใหญ่เกือบ 500 ลี้ มันมีราชาอสูรสิบตนและอสูรนับหมื่นนับแสนอยู่ภายใต้บังคับบัญชา
ชายชุดคลุมเทาเดินออกมาจากพื้นที่บิดเบี้ยวและมาเข้าเฝ้าชานจิ่วเฉา “ท่านจ้าวชาน อีกฝั่งของทางผ่านโลกนั้นอยู่ในราชวงศ์โจว แคว้นวู่ เมืองตงหนิงขอรับ”
“เมืองตงหนิง?” ชานจิ่วเชาอ้าปากหาวด้วยใบหน้าที่ดูน่าเกลียดน่ากลัว ก่อนจะพูดออกมาเสียงดัง “เมืองเล็กๆแค่นั้นมันไม่ใช่ปัญหาเลยแม้แต่น้อย”
ทันใดนั้น ราชาอสูรที่อยู่รอบๆมันก็เริ่มมีประกายไฟจุดขึ้นในดวงตา
“ทางผ่านโลกนี้เล็กเกินไป” ชานจิ่วเฉามอง “มีเพียงราชาอสูรชั้นสองเท่านั้นที่ผ่านเข้าไปได้”
“ราชาอสูรวานรจง ราชาอสูรทรราชคำรน ราชาอสูรบึงพิษ” ชานจิ่วเฉากล่าว
“ขอรับ” ทันใดนั้นวานรสีดำที่แบกเสา กลุ่มหมอกพิษสีดำ และอสูรคำรามที่สูงกว่าสิบจั้งก็ก้มหัวลง
“พวกเจ้าทั้งสามเป็นราชาอสูรชั้นสองที่ทรงพลังมากทีเดียว” ชานจิ่วเฉาจ้องมองไปที่ราชาอสูรพยัคฆ์ขาว “ไป่เฉิน เจ้าจะเข้าถึงระดับที่สามเร็วๆนี้ใช่หรือไม่?”
“ข้ายังต้องเตรียมตัวอีกสองสามวันขอรับ” ราชาอสูรพยัคฆ์ขาวกล่าวด้วยท่าทางนอบน้อม
ชานจิ่วเฉาพลิกมือ มีขวดสีดำปรากฏขึ้น และมันก็โยนไปให้ไป่เฉิน
ราชันอสูรไปเฉิน รับมันด้วยท่าทางนอบน้อม ตาของมันเป็นประกายเมื่อได้เห็นว่ามันคือสิ่งใด
“นี่คือผลึกโลหิตอสรพิษที่ข้าได้มาตอนสังหารมันที่ทางตอนเหนือ ด้วยการเตรียมการของเจ้าเจ้าจะเข้าสู่ระดับสามทันทีเมื่อกินมันเข้าไป” ชานจิ่วเฉากล่าว “กินมันหลังจากที่เจ้าเข้าสู่โลกมนุษย์แล้ว หลังจากฆ่าเทพอสูรในเมืองตงหนิง ให้มุ่งหน้าไปยังด่านฉินหยางที่ใกล้ที่สุด พวกเราจะจู่โจมร่วมกับเจ้าด้วย ถึงแม้จะโจมตีไม่สำเร็จแต่เจ้าก็ยังสามารถถอยกลับมายังแดนอสูรได้”
ทางผ่านโลกที่ไม่เสถียรนี้ทำให้มีเพียงแค่ราชาอสูรระดับสองเท่านั้นที่จะเข้าออกได้
เมื่อผ่านเข้าไปแล้ว ราชันอสูรไป่เฉินจะกลับผ่านทางประตูที่ไม่เสถียรนี้ไม่ได้ และทางกลับที่ใกล้ที่สุดก็มีเพียงแค่ด่านฉินหยาง
“ขอรับ” ไปเฉินตอบด้วยความนอบน้อม
“ราชันอสูรไปเฉิน เจ้าวานร ทรราชคำรน และบึงพิษ จงไปถล่มเมืองตงหนิงให้ราบเสีย” ชานจิ่วเฉากล่าว
“ขอรับ” ราชาอสูรทั้งสี่ตอบ
แม้ว่าชานจิ่วเฉาจะมีราชาอสูรมากกว่าสิบตนภายใต้บังคับบัญชา แต่ส่วนใหญ่เป็นราชาอสูรระดับหนึ่งเท่านั้น! ราชาอสูรระดับหนึ่งนั้นคือราชาอสูรที่พึ่งได้ขึ้นมาใหม่และยังมีรากฐานที่อ่อนแอ แต่ตราบใดที่พวกมันได้รับการฝึกฝนระยะหนึ่ง มันก็มีโอกาสที่จะขึ้นไปถึงระดับสอง
ดังนั้นพวกอสูรจะไม่ปล่อยให้ราชาอสูรระดับหนึ่งเป็นคนนำทัพ ราชาอสูรระดับหนึ่งยังมีความเป็นไปได้อยู่อีกมาก กลับกัน ราชาอสูรระดับสองนั้นคือทัพหลัก! เป็นเพราะราชาอสูรส่วนใหญ่มักจะหยุดอยู่ที่ระดับสอง เข้าถึงระดับสาม? เป็นเรื่องที่เกิดได้ยาก ส่วนการฝึกฝนให้ได้ถึงระดับชานจิ่วเฉานั้น เป็นเรื่องยากเย็นเหนือบรรยาย
อ่านตอนล่าสุดที่ mynovel.co หรือ www.thainovel.com
“พวกเจ้าทั้งสี่จะนำกองกำลังทั้งหมด 18,000 ตน ด้านหลังเจ้า ออกเดินทางเดี๋ยวนี้” ชานจิ่วเฉาสั่ง
ราชาอสูรทั้งสี่หันไปมองกองทัพอสูรที่อยู่เบื้องหลังพวกมันทันที
ชานจิ่วเฉาใช้เวลาไม่กี่ชั่วยามในการเรียกอสูร 18,000 เหล่านี้ ซึ่งเป็นจำนวนสูงสุดที่มันจะรวบรวมได้ในช่วงเวลาสั้นๆ แม้ว่ามันจะมีอสูรอยู่ใต้บังคับบัญชากว่าแสนตน แต่พวกมันก็อยู่แยกกันกระจัดกระจายในระยะ500ลี้นี้
นอกจากนี้ ชานจิ่วเฉายังต้องระวัง เมืองตงหนิงเป็นเมืองของมนุษย์ธรรมดาก็จริง แต่อาจจะมีเทพอสูรที่ทรงพลังอยู่ในนั้น ไม่ว่ามันจะส่งลูกสมุนไปเท่าไหร่มันก็เหมือนส่งพวกมันไปตาย! กองทัพที่ประกอบด้วยราชาอสูรสี่ตนและอสูรนับหมื่นนั้นเหมาะสมมาก ปกติแล้วกองกำลังเช่นนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้เมืองตงหนิงราบเป็นหน้ากลองได้ แต่ถึงพวกมันจะถูกกำจัดเนื่องจากสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด มันก็ไม่ทำให้กำลังพลของพวกมันลดลงไปมากมายแต่อย่างใด
“ออกเดินทาง” ราชันอสูรไป่เฉินออกคำสั่ง
ราชาอสูรทั้งสี่เดินเข้าไปในมิติบิดเบี้ยวนั้นก่อน ราชาอสูรทรราชคำรนที่ตัวใหญ่ที่สุดก็ลดตัวลงเหลือ3จั้งและเดินเข้าไป หลังจากนั้นผู้บัญชาการทัพอสูรสิบแปดตน ผู้นำนับร้อย และอสูรขนาดใหญ่นับพัน… และท้ายที่สุด อสูรชั้นต่ำกว่าหมื่นก็เดินตามเข้าไป
มิติบิดเบี้ยวมีขนาดจำกัด การที่จะผ่านกองกำลังขนาดใหญ่ไปนั้น จึงใช้เวลาชั่วครู่กว่าจะผ่านไปได้
…
ซูมๆๆ!
ราชันอสูรไปเฉิน ตามมาโดยราชาวานร ทรราชคำรน และบึงพิษ ก็ขึ้นสู่ผิวน้ำ ราชันอสูรไปเฉิน กลืนผลึกโลหิตที่อยู่ในขวดสีดำโดยไม่ลังเล ร่างกายของมันร้อนขึ้นทันทีเมื่อกระแสพลังของมันขยายออกไปอย่างรวดเร็ว สำหรับทรราชคำรน มันก็เปลี่ยนกลับไปเป็นขนาดเดิมสูงกว่า 10จั้ง มันสูงกว่าร้านอาหารที่หรูหราที่สุดในเมืองตงหนิงด้วยซ้ำ
“เทพอสูรของมนุษย์อยู่ในทิศทางนั้น” ไป่เฉินชี้ “ฆ่ามัน”
ทรราชคำรนยยิ้มกริ่ม “ฆ่าเทพอสูร ทำลายตงหนิงให้ราบ ฆ่ามนุษย์ให้สิ้น อย่าปล่อยให้เหลือรอด”
“ไป” ราชาอสูรทั้งสี่พุ่งตรงไปยังพระราชวังหยกสุริยันทันที
ราชาอสูรวานรกลายเป็นลำแสงสีดำที่เร็วและว่องไวที่สุด ร่างกายทั้งหมดของบึงพิษกลายเป็นหมอกสีดำที่ลอยอยู่เหนือหลังคา ส่วนทรราชคำรนนั้น เมื่อมันเดินพื้นดินก็สั่นสะเทือน ทุกย่างก้าวของมันบดขยี้บ้านที่อยู่ด้านล่างพร้อมกับร่างสูงกว่าสิบจั้งที่พุ่งไปข้างหน้า และในพริบตาไป่เฉินที่ก้าวไปยังระดับที่สามแล้วก็ปลดปล่อยกลิ่นอายอสูรออกมา มันแข็งแกร่งที่สุด ขนาดทรราชคำรนที่ตัวสูงใหญ่ยังเทียบกับมันไม่ได้
“แยกกลุ่มกันไปแล้วฆ่าพวกมนุษย์ให้หมดเสีย” อสูรจำนวนมากตามออกมา ก่อนที่มันจะเริ่มแยกกันเป็นกลุ่มแล้วออกไป
ทุกกลุ่มมีผู้นำอสูร อสูรตัวใหญ่ประมาณสิบตัว และชั้นต่ำประมาณเก้าสิบตัว
การที่จะเป็นผู้บัญชาการอสูรได้นั้น พวกมันจะต้องปล่อยกลิ่นอายอสูรเป็น! ผู้บัญชาการบางตัวนั้นถึงขนาดควบแน่นแก่นอสูรไปได้แล้วเลยด้วยซ้ำ
“พวกมนุษย์”
“มนุษย์อ่อนแอ”
พวกมันแยกกันไปอย่างรวดเร็วและเริ่มโจมตีใส่มนุษย์ที่พบระหว่างทาง
“ค้นหาสำนักเต๋าทั้งแปดในเมืองตงหนิงและสังหารเหล่าศิษย์มีความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ”อสูรกลุ่มใหญ่เริ่มมุ่งหน้าไปยังสำนักเต๋าทั้งแปด พวกมันได้รับแผนที่เมืองตงหนิงอยู่แล้วและรู้ตำแหน่งของสำนักทั้งแปดนั้น
สำนักเต๋าคือความหวังของเมืองนี้! เด็กๆและอัจฉริยะทั้งหลายที่จบจากสำนักเต๋ามีความเป็นไปได้ที่จะได้ขึ้นเป็นเทพอสูรคนต่อไป
หากเป็นเรื่องการฆ่าล้างมนุษย์ เหล่าอสูรจะทำลายสำนักเต๋าเป็นอย่างแรก! ฆ่าล้างศิษย์ของสำนักเต๋าทั้งหมดทำให้ขาดตอนไปนับสิบปี
“มันมาแล้ว”
เจ้าวังหยกสุริยันสัมผัสได้ถึงพลังของอสูรที่ไม่มีการปกปิดหวิน ว่านไห่ทำหน้าเคร่งขรึมขณะที่เมิ่งเซียนกูกระแทกไม้เท้าของเธอลงกับพื้น คลื่นที่มองไม่เห็นกระเพื่อมออกมาขณะที่สำรวจพื้นที่10ลี้โดยรอบ สีหน้าเมิ่งเซียนกูบิดเบี้ยว เธอกล่าว “มีราชาอสูรทั้งหมดสี่ตน หนึ่งในนั้นคือราชาอสูรระดับสาม ส่วนที่เหลือเป็นราชาอสูรระดับสอง”
“อะไรกัน?” สีหน้าของหวินว่านไห่เปลี่ยนไป “ทางผ่านโลกที่ไม่เสถียรแบบนี้ปล่อยให้ราชาอสูรระดับสามผ่านมาได้ด้วยรึ?”
ก๊อง!ก๊อง!ก๊อง!ก๊อง!ก๊อง!
ทันใดนั้นเอง ระฆังภายในพระราชวังหยกสุริยันก็ดังขึ้น จอมยุทธระดับไร้ตำหนิหลายคนกำลังตีระฆังอย่างต่อเนื่อง เสียงระฆังดังก้องไปทั่วเมือง
ภายในเมืองตงหนิง ที่เหล่าพ่อค้าเร่กำลังตั้งร้าน คนเดินไปเดินมา ผู้คนที่กำลังทำอาหารเช้า และเหล่าศิษย์สำนักเต๋าที่กำลังฝึกวิชา ต่างตกใจเมื่อได้ยินเสียงระฆัง สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไป และพ่อค้าเร่ก็วิ่งหนีให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้โดยไม่สนใจแผงลอยของพวกเขาเลย
“ซ่อนเร็ว!”
“เร็ว!”
ทุกๆอำเภอมีอุโมงค์ลึกอยู่ ผู้คนกว่า 100 คนทุกเพศทุกวัยวิ่งไปยังอุโมงค์
“อยู่ที่นี่ อย่าออกมา” ชายคนหนึ่งกับภรรยากล่าว
“พ่อคะ พ่อ.…”ลูกสาวของพวกเขาตะโกน
“พ่อต้องไปสู้กับอสูร” ชายคนนั้นยิ้มขณะที่เขาถือหอกและรีบวิ่งออกไป
มาตราการเมื่อต้องเผชิญกับอสูร
ทุกคนที่อยู่ต่ำกว่าระดับชำระแก่นแท้จะต้องซ่อนตัวอยู่ในอุโมงค์
ผู้ที่อยู่ในระดับชำระแก่นแท้ขึ้นไปไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่หรือเพศอะไรก็ต้องต่อสู้กับอสูร
การเข้าถึงระดับชำระแก่นแท้หมายความว่าคนๆนั้นจะต้องเป็นทหารเมื่ออายุย่างเข้ายี่สิบ และชายหญิงเหล่านี้ส่วนมากต่างมีประสบการณ์ในการต่อกรกับอสูร
…
ที่จิงหูเมิ่ง เมิ่งชวนที่กำลังฝึกท่าชักกระบี่ เมื่อได้ยินเสียงระฆังดังขึ้น ทหารยามที่คอยช่วยเหลือเขาก็หยุดมือ พร้อมกับสีหน้าของเมิ่งชวนเปลี่ยนไป
ระฆังเหล่านี้…ในระดับเร่งด่วนนี้…เขาเคยได้มันเมื่อตอนอายุได้หกขวบ
“รวมตัวกันมุ่งหน้าไปยังสำนักเต๋าที่ใกล้ที่สุด” ทหารยามในคฤหาสน์ตะโกนออกมาทันที พวกเขาเป็นทหารผ่านศึก ชีวิตอันสงบสุขในเมืองของพวกเขาไม่ได้ทำให้จิตวิญญาณในการต่อสู้หมดไป พวกเขาคุ้นเคยกับสิ่งนี้มานานในการรับราชการทหารห้าปี เมื่อต้องสู้กับอสูร มันเป็นการต่อสู้ถึงตาย! ทุกคนจะต้องสู้จนตัวตาย!
ตอนนี้เมืองตงหนิงจะกลายเป็นสนามรบ ใครก็ตามที่อยู่สูงกว่าระดับชำระแก่นแท้จะต้องเข้าร่วมสงคราม!
ตอนที่ 51 สามเทพอสูร
ในตอนเช้ามืด ชายในผ้าคลุมสีเทาเดินอยู่ในตรอก เขาหันออกไปทางถนน ก่อนจะแตะเบาๆและประตูที่ล็อคก็หายไป
“โอ้?”ชายแก่ที่กวาดลานอยู่เงยหน้าขึ้นมองด้วยความสงสัย เขาเห็นว่าประตูได้หายไป ฝุ่นคละคลุ้งไปทั่วขณะที่ชายผ้าคลุมเทาเดินเข้ามา
“ตอบข้ามา” เสียงของชายชุดเทานั้นแหบแห้งขณะที่เขามองไปที่ชายชราด้วยดวงตาสีเขียวของเขา “ที่นี่อยู่ในประเทศ แคว้น หรือเมืองใดกัน?”
กลิ่นอายอสูรหนาทึบปกคลุมร่างชายชรา
ประกายแสงในดวงตาของชายชราหายไปก่อนจะพูดขึ้นเนิบๆ “ที่นี่คือราชวงศ์โจว แคว้นอู๋ เมืองตงหนิง”
ชายชุดเทายังคงเดินเข้าไปในบ้านต่อไปในขณะที่ชายชราทรุดลงกับพื้น เสียชีวิต
เอี๊ยด ประตูอีกบานเปิดออก ก่อนที่ชายวัยกลางคนจะบิดตัวและเดินออกมา พร้อมกับพูด “ท่านพ่อ ท่านพ่อ…”
ทันใดนั้นเขาก็เห็นชายชุดคลุมสีเทาเดินเข้ามาเช่นเดียวกับร่างของพ่อที่แก่ชราของเขาที่ทรุดตัวอยู่ที่ลานบ้าน ประกายแสงในนัยน์ตาของชายวัยกลางคนหายไปไร้ชีวิต
“บอกข้ามา ที่นี่อยู่ในประเทศ แคว้น หรือเมืองใดกัน?”ชายผ้าคลุมเทาถามอีกครั้ง
“ที่นี่อยู่ในราชวงศ์โจว รัฐอู๋ เมืองตงหนิง” ชายวัยกลางคนตอบด้วยน้ำเสียงเนิบ
จากนั้นชายผ้าคลุมเทาก็หันหลังกลับออกไป
ส่วนอีกเจ็ดคนที่เหลือในบ้านหลังนั้น ก็ตายไปอย่างเงียบๆ
…
ในวังหยกสุริยัน
…เจ้าวังหยกสุริยันนั่งอยู่ในท่านั่งขัดสมาธิและฝึกฝนวิชาในขณะที่ร่างกายของเขาถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีขาว ทันใดนั้นเขารู้สึกว่าจี้หยกรอบเอวของเขานั้นร้อนขึ้น มันทำให้เขาใจสั่น แสงสีขาวรอบตัวของเขาหายไปในทันที และดึงจี้หยกสีดำที่ซ่อนอยู่ที่เอวของเขาออกมา
จี้หยกดำกำลังเรืองแสงสีแดง
“ตะวันออก” เจ้าวังหยกสุริยันถือจี้หยกดำและด้วยสีหน้าไม่สู้ดี “ราชาอสูรรึ?”
จี้ตรวจปีศาจนี้เขาได้รับมันมาจากเขาหยวนชูและเขาก็พกมันติดตัวตลอด มันจะทำให้รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายอสูรจากราชาอสูรในระยะ50ลี้
วังหยกสุริยันตั้งอยู่ตรงใจกลางเมือง และระยะยี่สิบห้ากิโลเมตรนั้นครอบคลุมทั้งเมือง เมืองหลายเมืองในราชวงศ์โจวนั้นมีเส้นผ่านศูนย์กลางตั้งแต่5ลี้ไปจนถึง40ลี้
แน่นอนว่าหากราชาอสูรไม่ได้ใช้วิชาสูรใดๆ จี้ก็จะไม่สามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอสูรที่เก็บเอาไว้ อย่างไรก็ตามตราบใดที่ราชาอสูรทำอะไรบางอย่าง ในที่สุดพวกมันก็ต้องใช้คาถาอสูร
อ่านตอนล่าสุดที่ mynovel.co หรือ www.thainovel.com
‘ราชาอสูรปรากฏตัวในเมืองตงหนิงอย่างนั้นรึ?’ เจ้าวังหยกสุริยันตื่นตระหนก ร่างของเขาหายวับไปจากห้องและขึ้นไปยืนบนหลังคาวัง
“มาจากทางนั้น” เจ้าวังหยกสุริยันตามทิศทางที่จี้หนกนำไปอย่างเร่งรีบ
…
ชายผ้าคลุมสีเทาถามคำถามเดียวกันนี้กับอีกสามครอบครัว
“ได้เวลาไปแล้ว” ชายผ้าคลุมเทาเดินไปแม่น้ำใกล้ๆที่มีความกว้างเพียง2จั้ง และเพียงเดินลงไป เขาก็ลงหายไปในนั้น
วูบ
……
เจ้าวังหยกสุริยันยืนอยู่บนหลังคาของโรงเตี๊ยมห้าชั้น เขามองไปทางทิศตะวันออกด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “กลิ่นอายอสูรหายไปแล้ว”
ซุบๆๆ!
อย่างไรก็ตามเจ้าวังหยกสุริยันก็ยังตามทางที่จี้หยกบอกไป ในเวลาไม่กี่อึดใจเขาก็มาถึงจุดที่กลิ่นอายอสูรปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรก
สามครอบครัวถูกฆ่าตาย เจ้าวังหยกสุริยันยืนอยู่บนหลังคาและรับรู้ทุกอย่างได้อย่างง่ายดาย “ศพไม่ได้รับความเสียหาย ราชาอสูรตนนี้ระวังตัวมากขนาดเสียงยังไม่มีเล็ดลอด” เจ้าวังหยกสุริยันขมวดคิ้ว ‘จู่ๆราชาอสูรก็ปรากฏตัวขึ้นในเมืองตงหนิงของเรา? หรือว่่าทางผ่านโลกจะปรากฏขึ้นในเมืองนี้อย่างนั้นหรือ’
ราชาอสูรมันระมัดระวังตัวมาก
เป็นเรื่องหายากที่พวกมันปรากฏตัวในเมืองมนุษย์เพียงลำพัง ยิ่งเป็นเมืองที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักอย่างเมืองตงหนิงแล้ว การที่ราชาปีศาจปรากฏตัวออกมาโดยไม่มีคำเตือนใดๆ แสดงว่ามีโอกาสสูงที่ทางผ่านโลกจะปรากฏขึ้นในเมืองนี้
หากนี่เป็นทางผ่านโลกใหม่จริงๆล่ะก็ การรุกรานของอสูรก็จะสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อในเมืองตงหนิงแห่งนี้ เจ้าวังหยกสุริยันรู้สึกอึดอัดใจ
…
ในเวลาต่อมา
เมิ่งเซียนกูที่กำลังถือไม้เท้ากับหวินว่านไห่มาถึงพระราชวังหยกสุริยัน
เมิ่งเซียนกูและหวินว่านไห่โค้งคำนับเล็กน้อย “ท่านเจ้าวัง”
“เชิญนั่ง” เจ้าวังหยกสุริยันนั่งด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ข้ามีข่าวร้าย”
สีหน้าของเมิ่งเซียนกูและหวินว่านไห่เปลี่ยนไปเล็กน้อย
“เมื่อครู่นี้ จี้ตรวจปีศาจของข้าได้พบราชาอสูรในตงหนิง” เจ้าวังหยกสุริยันกล่าว “ราชาอสูรมันใช้มนตร์อสูรของมันอย่างเงียบๆเพื่อฆ่าครอบครัวสามครอบครัวก่อนที่จะหายตัวไป ข้าเรียกจึงรีบพวกเจ้าสองคนด้วยมาโดยไว”
“ราชาอสูร?”
“ทำไมราชาอสูรถึงปรากฏตัวในเมืองตงหนิงกัน? เป็นไปได้ไหมว่ามีทางผ่านโลกเกิดขึ้น?” สีหน้าของเมิ่งเซียนกูและว่านไห่เปลี่ยนไป
เจ้าวังหยกสุริยันพยักหน้า”ข้าเองก็คิดเช่นนั้น เป็นไปได้สูงมาก ตอนนี้มีพวกเราเพียงสามคนในเมืองตงหนิงเท่านั้น หากอสูรบุกเข้ามาจริงๆ เราก็จำเป็นที่จะต้องผนึกกำลังกันเพื่อสังหารราชาอสูรที่เป็นผู้นำอสูรโดยเร็วที่สุด”
“ในเมื่อราชาอสูรมันแอบเข้ามา” เมิ่งเซียนกูกล่าวพร้อมกับเอนตัวเข้าไม้เท้าของเธอ “มีโอกาสสูงที่มันจะเป็นหน่วยสอดแนม มันต้องการยืนยันว่าที่นี่คือเมืองใด เมื่อมันรู้ว่าคือเมืองตงหนิง พวกอสูรก็จะรู้ถึงความแข็งแกร่งโดยประมาณของเมืองนี้ เพราะพวกมันมีข้อมูลเกี่ยวกับเมืองมนุษย์ทุกเมือง และพวกมันจะบุกก็ต่อเมื่อมันมั่นใจเท่านั้น เป็นเรื่องยากที่เราจะจัดการกับพวกมันได้”
“ข้าสงสัยว่าราชาอสูรจะมากันกี่ตน” หวินว่านไห่รู้สึกกดดันอย่างมาก
พวกเขาต้องสู้ มีเพียงแค่ตอนที่หมดความหวังหรือเจ้าวังหยกสุริยันสั่งเท่านั้นถึงจะหนีได้
การละทิ้งผู้อื่นถือเป็นความผิดร้ายแรงสำหรับเทพอสูร และการลงโทษโดยเขาหยวนชูนั้นรุนแรงมากเช่นกัน โทษประหารเป็นเรื่องปกติ
“ข้าไม่มีโอกาสได้สู้จริงๆจังๆมาสามปีแล้ว” เจ้าวังหยกสุริยันกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “นอกจากตัวข้าเองไม่มีใครรู้ว่าความแข็งแกร่งของข้าเพิ่มขึ้นมากแค่ไหนในช่วงสามปีที่ผ่านมา คราวนี้ พวกเจ้าทั้งสองคนต้องสนับสนุนข้า เราจะสังหารราชาอสูรที่แข็งแกร่งที่สุด เจ้าอสูรพวกนี้มันจะได้ใจถ้ามันเหนือกว่า แต่เมื่อหัวหน้าของพวกมันถูกฆ่า พวกที่อยู่เหลือจะหนีไปด้วยความหวาดกลัว”
“ในแดนมนุษย์ พวกเราเสียเปรียบ” เมิ่งเซียนกูพยักหน้า “หนทางเดียวที่จะรอดก็คือสังหารราชาอสูรไป”
“เมิ่งเซียนกู ข้าต้องการวิชาสอดแนมของเจ้า” เจ้าวังหยกสุริยันกล่าวอย่างจริงจัง “น้องหยุน ข้าจะให้เจ้าช่วยยั้งอสูรตัวอื่นเอาไว้”
“ข้าจะทำให้ดีที่สุด”เมิ่งเซียนกูและหยุนหว่านไห่กล่าว
ในไม่ช้าเมิ่งเซียนกูและหยุนหว่านไห่ก็เดินลงไปที่ข้างหน้าวังหยกสุริยันและสั่งการสมาชิกในตระกูลของพวกเขา
“กลับไปที่คฤหาสน์บรรพบุรุษและบอกผู้นำตระกูลว่าอาจมีอสูรบุกเข้ามาในเมืองตงหนิง บอกให้เตรียมพร้อมตามแผนการที่ตระกูลกำหนดไว้” เมิ่งเซียนกูสั่งสมาชิกตระกูลก่อนที่จะออกคำสั่งคนอื่นต่อ “รีบไปที่จิงหูเมิ่งและตามหาเมิ่งชวน บอกเขาว่าอาจมีอสูรมารุกรานเมืองตงหนิง ปล่อยให้เขา…”
หลังจากให้สั่งการโดยละเอียด สมาชิกทั้งสองกลุ่มก็มุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์บรรพบุรุษและจิงหู่เมิ่ง
หยุนหว่านไห่ก็สั่งตระกูลของเขาด้วยเช่นกัน ก่อนจะเดินมาพูดพร้อมรอยยิ้ม “อาเมิ่ง ข้าไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าเราจะได้มาสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กัน”
“เรียกมันว่าโชคชะตาก็ได้ “เมิ่งเซียนกูกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ไม่ว่าความขัดแย้งระหว่างทั้งสองตระกูลนั้นจะเป็นอย่างไร แต่เมื่อต้องเผชิญกับการรุกรานของอสูร ความขัดแย้งของพวกเขาก็ถือเป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อย
หวินว่านไห่และเมิ่งเซียนกูกลับไปที่วังหยกสุริยัน ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป เจ้าวังหยกสุริยัน เมิ่งเซียนกูและหวินว่านไห่จะต้องอยู่ด้วยกันตลอดเวลา พวกเขาเป็นความหวังเดียวของเมืองตงหนิง และจะไม่แยกจากกัน! เพราะหากแยกจากกันก็จะถูกจัดการลงได้อย่างง่ายดายเป็นแน่
…
ในยามรุ่งเช้า
เมิ่งชวน หลิวชีเยว่ เมิ่งต้าเจียงและหลิวเย่ป๋ายนั่งทานอาหารเช้าด้วยกัน
“ลุงหลิวและข้ามีเรื่องบางอย่างที่ต้องไปจัดการ พวกเราจะไม่กลับมาทานอาหารกลางวัน” เมิ่งต้าเจียงและหลิวเย่ป๋ายลุกขึ้นยืน
“ชอรับ” เมิ่งชวนและหลิวชีเยว่ตอบรับอย่างรวดเร็ว
…
หลิวชีเยว่ก็ทานอาหารเสร็จอย่างรวดเร็วเช่นกัน จากนั้นเธอก็ลุกขึ้นและพาดซองธนูไว้บนบ่าของเธอ เธอยิ้มและพูดว่า “อาชวน ข้ากินข้าวเสร็จแล้วเหมือนกัน เดี๋ยวข้าจะไปสำนักเต๋าเพื่อฝึกฝนเกาฑัณฑ์นะ”
“เจ้าจะกลับมาทานอาหารกลางวันไหม”เมิ่งชวนถาม
“ข้าไม่แน่ใจ” หลิวชีเยว่ยิ้มโบกมือและวิ่งออกไป
ตอนี้เธอกำลังอยู่ในช่วงปลายของระดับก่อกำเนิด และได้ค้นพบวิชาลับสำหรับเกาฑัณฑ์ของเธอ วิชาเกาฑัณฑ์ของเธอนั้นน่าทึ่งมาก สนามฝึกซ้อมในจิงหูเมิ่งนั้นเล็กเกินไปสำหรับเธอแล้ว หลิวชีเยว่ไปที่สำนักเต๋าทุกวันเพื่อฝึกฝน สนามเกาฑัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดอยู่ในสำนักเต๋า และสามารถให้เธอยิงเป้าที่อยู่ข้ามทะเลสาบ ไกลกว่าสามร้อยจั้ง
แม้ว่าหลิวชีเยว่จะเป็นนักเกาฑัณฑ์ที่เก่งที่สุดจากแปดสำนักเต๋า แต่เธอก็ฝึกฝนในระยะทาง ร้อยจั้งเพียงเท่านั้น นี่เป็นระยะที่เธอจะยิงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
เทศกาลล่าอสูรกำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่วัน ชีเยว่พยายามอย่างเต็มที่โดยหวังว่าจะได้แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของเธอ เมิ่งชวนยิ้มและทานอาหารจนเสร็จก่อนจะมุ่งหน้าไปที่สนามฝึกของเขา
ตอนที่ 50 ควบแน่นแก่นเทพอสูร
ไม่กี่วันต่อมา…
ในคืนที่เงียบสงัด เมิ่งชวนนั่งไขว่ห้างอยู่บนเตียงของเขา แสงจันทร์สาดส่องลงมาบนร่างของเขาผ่านทางหน้าต่าง
‘ร่างเทพอัสนีของข้าสมบูรณ์แบบแล้ว ตอนนี้ข้าสามารถลองควบแน่นแก่นของข้าได้’ เมิ่งชวนเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
การฝึกวิชาของมนุษย์มีอยู่ห้าระดับใหญ่ๆ
ระดับที่มีความคืบหน้าช้าที่สุดและใช้ทรัพยากรในการฝึกวิชามากที่สุดคือระดับก่อกำเนิด นี่เป็นขั้นที่คนๆหนึ่งเริ่มการชำระกายและค่อยๆรับพลังของเทพอสูร ในระหว่างขั้นตอนนี้ คนๆนั้นจะต้องกินอาหารเสริมจำนวนมาก เช่นยาโสมเพื่อรองรับการเพิ่มระดับ อย่างเช่นขนาดตระกูลเมิ่งจัดหาอาหารเสริมให้เขาอย่างไม่จำกัด แต่ก็ยังต้องใช้เวลาเกือบสามปีกว่าเขาจะเสร็จสิ้นกระบวนการนี้
สำหรับผู้ที่ไม่ร่ำรวยพอ หากไม่มีอาหารเสริมที่เพียงพอสำหรับการชำระกาย การเปลี่ยนแปลงของร่างกายจะเป็นไปได้อย่างช้าๆ อาจจะใช้เวลาเป็นสิบถึงยี่สิบปี และนอกจากนี้ พวกเขาจะเกิดการ”ขาดสารอาหาร” ทำให้ร่างกายและพลังปราณอ่อนแอกว่าจอมยุทธในระดับเดียวกัน
ตระกูลโจว ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับต่อสู้ในสวนหิน ได้มอบโสมพันปีที่มีมูลค่าหมื่นหยวนให้กับเมิ่งชวนเป็นการขออภัย อันที่จริงพวกเขาได้เก็บสิ่งนี้เอาไว้เพื่อนายน้อยพวกเขาเมื่อเขากำลังอยู่ในระดับก่อกำเนิด นี่เป็นข้อพิสูจน์ว่าการฝึกวิชาในระดับก่อกำเนิดนั้นแพงมากเพียงใด จอมยุทธหลายคนที่อยู่ในระดับก่อกำเนิดต้องหางานจำพวกผู้คุ้มกันหรือผู้ใต้บังคับบัญชาเพื่อที่จะได้หาวัตถุดิบสำหรับการฝึกฝนของพวกเขา
หากพวกเขามีความสามารถพอ ตระกูลอาจจะเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับพวกเขาได้เช่นกัน
ตัวอย่างเช่นเมิ่งชวนกับเหยียนจิน ไม่เพียงแต่มีทรัพยากรที่เพียงพอ แต่ยังมีพรสวรรค์สำหรับการสร้างรากฐานเทพอสูรของพวกเขาอีกด้วย
สำหรับเหม่ยหยวนจื่อนั้น เขาได้รับการดูแลโดยสำนักเต๋าและตระกูลเทพอสูร ทำให้เขาสามารถผ่านระดับก่อกำเนิดได้ภายในสามปี อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่สามารถหาสมบัติหายาก ที่สามารถสร้างรากฐานเทพอสูรให้แข็งแกร่งได้ และพรสวรรค์ของเหม่ยหยวนจื่อยังขาดอยู่เล็กน้อย จึงทำให้ท้ายที่สุดแล้วเขาไม่สามารถเข้าสู่เขาหยวนชูได้ หากเขามีพรสวรรค์เช่นลูกชายคนที่ห้าของราชาทะเลตงไห่ล่ะก็ เขาคงจะได้รับคัดเลือกจากเขาหยวนชูและได้รับการดูแลเป็นอย่างดี แม้ว่าเขาจะเป็นสามัญชนก็ตาม
กลับกันระดับไร้ตำหนินั้นมีค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด
ตราบใดที่เข้าถึงระดับไร้ตำหนิได้ พวกเขาก็ต้องการแค่เพียงไม่กี่เดือนสำหรับการเตรียมการที่จะลุถึงจุดสูงสุดของร่างมนุษย์ เมื่อถึงจุดๆนั้นแล้วก็ไม่มีเหตุผลที่จะฝึกต่อไป หากอยากจะพัฒนาร่างให้ไปไกลยิ่งกว่านั้นแล้วล่ะก็ ก็ต้องเป็นเทพอสูร!
การใช้พลังปราณเพื่อควบแน่นแก่นเทพอสูร คือคือจุดสุดท้ายก่อนถึงช่วงขอบเขตความเป็นความตาย นัยน์ตาของเมิ่งชวนเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
เมืองตงหนิงมีจอมยุทธระดับไร้ตำหนิเพียงสามคนเท่านั้น
แต่ในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา อัจฉริยะเกือบทั้งหมดที่ปรากฏตัวในเมืองตงหนิงได้ต่อสู้ในสงครามเพื่อจะสะสมแต้ม และมีเพียงไม่กี่คนที่ประสบความสำเร็จในการควบแน่นแก่นเทพอสูร
อย่างเช่นเมิ่งเซียนกูที่ได้กลายเป็นศิษย์นอกของเขาหยวนชู เธอต่อสู้อยู่เขตนอกมาโดยตลอด เพื่อนๆของเธอทุกคนนั้นแกร่งพอๆกับเธอและเกือบทั้งหมดประสบความสำเร็จในการควบแน่นแก่นเทพอสูร พวกเขาทำงานร่วมกันอย่างหนักเพื่อสะสมแต้มเพื่อแลกกับโอกาสที่จะลองช่วงขอบเขตความเป็นความตาย เมิ่งเซียนกูได้รับโอกาสในการเข้าสู่บ่อโลหิตเทพอสูรและพยายามพัฒนาหลังจากที่เธอมีแต้มเพียงพอ ความล้มเหลวหมายถึงความตาย เธอประสบความสำเร็จและดูดซับพลังภายในบ่อโลหิตเทพอสูรจนกลายเป็นเทพอสูร แต่สหายของเธอส่วนใหญ่ ที่ควบแน่นแก่นเทพอสูรได้สำเร็จ เสียชีวิตในการต่อสู้ระหว่างการสะสมแต้ม พวกเขาไม่มีโอกาสได้เข้าไปในบ่อโลหิตเทพอสูรเลยด้วยซ้ำ
มีเพียงสองคนที่ได้ลอง แต่มีเพียงเมิ่งเซียนกูเท่านั้นที่ประสบความสำเร็จ
เหม่ยหยวนจื่อก็จะทำแบบนั้นเช่นกัน เส้นทางสู่การเป็นเทพอสูรนั้นยากเย็น หากเขาไม่สามารถเข้าสู่เขาหยวนชูได้ ก็ทำได้เพียงแค่ทำงานให้หนักและสะสมแต้มเพื่อจะได้มีโอกาสในการเข้าสู่บ่อโลหิตเทพอสูร
จอมยุทธระดับไร้ตำหนิสามคนในเมืองตงหนิงเช่นหยุนฟู่เฉิง อยู่ในเมืองเพื่อใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเพราะพวกเขาไม่หวังที่จะเป็นเทพอสูรอีกต่อไป ส่วนผู้ที่ยังคงมีความหวังก็ยังคงอยู่ในสนามรบ
‘ด้วยร่างกายที่ไร้ตำหนิ กระแสปราณจะรวมตัวเป็นแก่น นั่นเป็นหนึ่งในเงื่อนไขที่จำเป็นสำหรับการเป็นเทพอสูรเท่านั้น ยิ่งข้าประสบความสำเร็จได้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี’ เมิ่งชวนหลับตาลง ‘ได้เวลาแล้ว’
อ่านตอนล่าสุดที่ mynovel.co หรือ www.thainovel.com
เขารวบรวมพลังปราณที่เข้มข้นลงในจุดตันเถียน หลังจากที่ร่างกายมนุษย์ถึงขีดสุด พลังปราณในจุดตันเถียนจะเข้มข้นที่สุด
จงปรากฏ!
กระแสปราณที่หนาราวกับหมอกเริ่มหลอมรวมกับพลังของเมิ่งชวน ส่วนหนึ่งของกระแสปราณรวมเข้ากับ”พลังกระบี่” มันทำให้พลังปราณเริ่มเปลี่ยนคุณภาพ สิ่งสำคัญก่อนจะควบแน่นแก่นนั้นคือต้องเข้าใจใน “พลัง”
พลังปราณกลั่นตัวเป็นลำแสงกระบี่ที่หนาแน่นกว่าเดิมมาก พวกมันเริ่มหมุนเวียนและรวมเข้าหากันสู่จุดศูนย์กลางราวกับปลาตัวเล็กจำนวนนับไม่ถ้วน
บีบอัด! บีบอัด!
เมิ่งชวนทุ่มเททุกอย่างเพื่อควบคุมพลังปราณและบีบอัดมันอย่างเต็มกำลัง ยิ่งบีบอัดได้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี และมื่อความหนาแน่นเข้าถึงระดับหนึ่งแล้ว มันก็จะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
ในขณะที่การเปลี่ยนสภาพและบีบอัดดำเนินต่อไป แสงกระบี่บางส่วนในบริเวณด้านในสุดก็เริ่มเสื่อมสภาพและถูกบีบให้กลายเป็นลูกบอล
การเปลี่ยนสภาพ การบีบอัด การควบแน่น!
“พลังกระบี่” นั้นต้องแข็งแกร่งมากพอถึงจะมีโอกาสที่จะควบแน่นแก่นเทพอสูรได้สำเร็จ ไม่อย่างนั้น มันจะกระจายออกไป ทำให้จอมยุทธหลายคนที่เข้าถึง”พลัง”แต่ไม่สามารถควบแน่นแก่นเทพอสูรได้ตลอดชีวิต
เมิ่งชวนเข้าใจ “พลังกระบี่” เมื่ออายุ 16 ในช่วงสองปีที่ผ่านมาเขาได้รับการฝึกฝนอย่างยากลำบากทุกวัน และยังได้ฝึกฝนการกระบวนท่าที่เหลืออยู่ของกระบี่ตัดอัสนีจนพัฒนาขึ้นมามาก และนี่คือวิธีที่ทำให้เขานำหน้าเหยียนจินได้โดยไม่ต้องใช้”พลังแห่งวิญญาณ”
พลังกระบี่ของเขาค่อนข้างแข็งแกร่งเลยทีเดียว
ตูม!
หลังจากพลังปราณของเขาโคจรมานานกว่าครึ่งชั่วยาม เมิ่งชวนก็ได้ยินเสียงดังก้องจากจุดตันเถียนของเขา แสงกระบี่และพลังปราณหมุนไปรอบๆเป็นเวลานานก่อนจะเปลี่ยนเป็นทรงกลมเล็กๆในที่สุด เจ้าสิ่งนี้มีชื่ออีกอย่างว่าแก่นแท้ มันมีสีขาวทำให้และพลังปราณของเขาถูกเปลี่ยนเป็นกระแสปราณอย่างสมบูรณ์ พลังของกระแสปราณนั้นยิ่งใหญ่กว่ามาก
แม้จะใช้กระบวนท่าเดียวกัน แต่กระแสปราณที่เสริมร่างกายจึงทำให้สามารถปลดปล่อยความแข็งแกร่งและความเร็วออกมาได้มากกว่าเดิม จึงทำให้ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นไปอีก
‘ข้าทำสำเร็จแล้ว’ เมิ่งชวนลืมตาและยิ้ม เขายื่นนิ้วออกไป
เปรี๊ยะๆๆ!
ประกายสายฟ้าแปลบปลาบอยู่บนปลายนิ้วของเขา
“หลังจากควบแน่นแก่นเทพอสูร ในที่สุดข้าก็สามารถปลดปล่อยสายฟ้าได้” เมิ่งชวนพึมพำเบาๆ ก่อนหน้านี้สายฟ้าภายในร่างกายของเขาทำได้แค่เพิ่มความเร็วในการไหลเวียนเท่านั้น ตอนนี้เขาสามารถปล่อยมันเพื่อทำร้ายศัตรูได้
ถ้าเขากลายเป็นเทพอสูรแล้วล่ะก็ เขาสามารถระเบิดสายฟ้าออกมาทางมือได้เลยด้วยซ้ำ! และการเปลี่ยนร่างเป็นสายฟ้าเพื่อเดินทางก็จะเป็นเรื่องปกติสำหรับเขา
และขั้นตอนสุดท้ายในการขึ้นเป็นเทพอสูรนั่นก็คือ ขอบเขตความเป็นความตาย
ศิษย์ของเขาหยวนชูไม่จำเป็นต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อสะสมแต้ม แต่พวกเขาต้องมั่นใจให้แน่นอนก่อนที่จะเข้าสู่บ่อโลหิตเทพอสูร
สำหรับเมิ่งเซียนกู เหม่ยหยวนจื่อและคนอื่นๆที่ขาดความสามารถ พวกเขาจำเป็นต้องสะสมแต้มเพื่อแลกกับโอกาส อย่างไรก็ตามแม้ว่าพวกเขาจะไม่มั่นใจเต็มร้อย แต่ว่าพวกเขาก็ยังสามารถลองพัฒนาได้ เพราะนี่เป็นโอกาสที่พวกเขาเสี่ยงชีวิตเพื่อได้มันมา
จากมุมมองของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เป็นการดีกว่าที่จะไม่เสียทรัพยากรอันมีค่าอย่างบ่อโลหิตเทพอสูรไปกับผู้ที่ไม่ค่อยมีโอกาสในการประสบความสำเร็จ
แต่บางครั้ง ผู้คนก็ต้องการความหวัง!
‘ในขณะที่กำลังพัฒนาตัวเองตอนอยู่ในบ่อโลหิตเทพอสูร ข้าจะถูกสายฟ้าฟาดใส่เพราะข้ามีร่างเทพอัสนี ขอบเขตความเป็นความตายของข้าจะยากมากๆเป็นแน่ ข้าต้องเตรียมตัวให้พร้อมยิ่งกว่าเดิม’
เมิ่งชวนอารมณ์ดียืนอยู่ริมหน้าหน้าต่างและจ้องมองดวงจันทร์ที่สว่างไสว
เขาได้สาบานตนเมื่ออายุได้หกขวบ ตอนนี้ เขาเข้าใกล้การเป็นเทพอสูรมากขึ้นไปอีกแล้ว
…
ช่วงเวลาในเมืองตงหนิงช่างสงบสุข ผู้คนในเมืองเริ่มพูดคุยเกี่ยวกับงานล่าอสูรที่กำลังจะจัดขึ้นทุกๆสามปี! ครั้งก่อนเมิ่งชวนและเหยียนจินต่างก็เด่นที่สุด คราวนี้ทั้งคู่ได้เข้าถึง”พลัง”แล้ว คราวนี้จะเป็นอย่างไรกัน?
“ข้าได้ยินมาว่าสำนักเต๋าลมมีศิษย์ชื่อจางฟาน เขาค้นพบวิชาลับตอนอายุสิบเจ็ด ตระกูลจางสร้างคนแข็งแกร่งออกมาอีกแล้วสิ”
“ไม่เห็นจะเก่งอะไร สำนักเต๋าเพลิงมีนักเกาฑัณฑ์หญิงชื่อหลิวชีเยว่ เธอเองก็ไม่ได้มาจากตระกูลเทพอสูรเช่นกัน เธอเข้าถึงวิชาลับได้ตั้งแต่ตอนอายุสิบหก เด็กคนนั้นแข็งแกร่งกว่าอีก เธอคงจะเป็นคนที่น่าประทับใจที่สุดในงานครั้งนี้”
“พวกเจ้าลืมไปแล้วรึ? ข้าได้ยินมาว่าปีนี้ทั้งนายน้อยเมิ่งชวนและนายน้อยเหยียนจินจะได้ขึ้นเวทีเป็นคนสุดท้ายด้วย”
“นายน้อยเหยียนจินช่างน่าเกรงขาม เขาเอาชนะจอมยุทธไร้ตำหนิได้ถึงสามคน นายน้อยเมิ่งชวนเองก็ตระหนักรู้ถึง”พลัง”ในเวลาเดียวกัน เขาก็ยอดเยี่ยม”
“ข้าได้ยินมาว่านายน้อยเหยียนจินเคยไปที่จิงหูเมิ่งหลายครั้ง แต่เขาไม่เคยชนะเลย”
ในโรงน้ำชาตอนกลางคืนที่ผู้คนกำลังพูดคุยกันอย่างตื่นเต้น บางคนก็กำลังนั่งดื่มในโรงเตี๊ยมหรือสนุกสนานที่หอนางโลม ในขณะที่คนทั่วไปก็เข้านอนเร็ว
และในตอนนั้นเอง—
ห้าจั้งใต้เมืองตงหนิง แผ่นดินเริ่มบิดเบี้ยว ดินและหินถล่มลงจนเป็นฝุ่น อีกฝั่งหนึ่งของพื้นที่บิดเบี้ยวนั้นมีภูเขาและนกยักษ์กว้างหลายหลายสิบจั้งทะยานอยู่บนท้องฟ้า ในไม่ช้าลำแสงสีดำก็พุ่งขึ้นมาจากภูเขาอันไกลโพ้นเข้ามาใกล้บริเวณที่บิดเบี้ยวนี้ มันเป็นลิงดำถือไม้เท้า
เจ้าลิงดำมองไปยังอากาศที่บิดเบี้ยวตรงหน้าแววตาอำมหิต
ตอนที่ 49 สิบแปดปี
หนึ่งปีผ่านไปนับตั้งแต่ที่นิกายอสูรฟ้าสาขาตงหนิงถูกทำลาย
ที่สนามฝึกในจิงหูเมิ่ง
เหยียนจินที่สวมชุดขาวถือกระบี่ไว้ในมือแต่ละข้าง รอบข้างเต็มไปด้วยบรรยากาศเยือกเย็น ทำให้พื้นที่รอบข้างดูพร่ามัว เขาจ้องมาทางเมิ่งชวนอย่างไม่วางตา
ตอนนี้เหยียนจินที่อายุสิบแปดปีก็เข้าถึงระดับไร้ตำหนิไปแล้วเช่นกัน! เขาได้ท้าทายกลุ่มจอมยุทธที่เชี่ยวชาญในการใช้”พลัง”ในเมืองตงหนิง อันที่จริงแล้วเขาได้ท้าทายจอมยุทธระดับไร้ตำหนิสามคนในเมืองตงหนิง หยุนฟู่เฉิง จางหยงและไป๋ซู่วาน แถมยังเอาชนะพวกมันได้ทั้งหมดเลยด้วยซ้ำ!
ในแง่ของวิชากระบี่เพียงอย่างเดียว เขาเป็นหนึ่งในคนที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองตงหนิงไปแล้ว นอกจากนี้เขายังมีรากฐานของเทพอสูรที่ทรงพลังอีกทั้ฃความแข็งแกร่งและความเร็วของเขาก็เหนือกว่าจอมยุทธไร้ตำหนิทั่วไป ดังนั้นมันจึงทำให้เขาสามารถเอาชนะทั้งสามคนยั้ยได้
อย่างไรก็ตามมีคนหนึ่งที่เขาไม่สามารถเอาชนะได้ และนั่นคือเมิ่งชวน!
“เหยียนจิน นี่จะเป็นท่าครั้งสุดท้ายในการประลองกันวันนี้” เมิ่งชวนในชุดเสื้อคลุมสีน้ำเงินกรมท่าถือกระบี่ไว้ในมือข้างหนึ่งขณะยืนอยู่ไกลๆ และโจมตีทันทีที่พูดจบ
วูบบบ!
เมิ่งชวนค่อยๆหายไปและโดนกระแสพลังที่เยือกเย็นเข้าใส่ แม้ว่ากระแสพลังเยือกแข็งจะส่งผลต่อความเร็วและการมองเห็นของเขา แต่สายฟ้าในร่างกายของเขาก็จุดประกายและขับเคลื่อนเขาไปด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ เขายังคงแข็งแกร่งกว่าเหยียนจินในทุกๆด้าน แม้ว่าจะโดนผลลบก็ตาม
ซุบ! ลำแสงกระบี่วาบขึ้น ไม่มีเสียงลมใดๆตอนที่เขาฟันลงมา ด้วยวิชากระบี่ของเขาในตอนนี้ แม้แต่อากาศก็ไม่ใช้อุปสรรคอีกต่อไป
เหยียนจินพยายามจะป้องกันอย่างเต็มที่ด้วยกระบี่ทั้งสอง
ภายในพริบตาก็มีเมิ่งชวนโผล่ออกมาเป็นแปดคน และแต่ละคนก็ฟาดฟันกระบี่ที่แตกต่างกันออกไป พวกมันทั้งหมดมุ่งเป้าไปที่จุดอ่อนวิชากระบี่คู่ของเหยียนจิน เมิ่งชวนไม่แยกร่างแต่อย่างใด ร่างแยกเหล่านั้นเป็นผลมาจากเคลื่อนไหวของเขา ลำแสงแปดกระบี่เหล่านี้พุ่งเข้าหาเหยียนจินทีละคน
เหยียนจินสามารถสัมผัสการฟันแปดครั้งของเมิ่งชวนได้อย่างชัดเจนจากขอบเขตเยือกแข็ง กระบี่ของเขาปัดการโจมตีออกไปเรื่อยๆ แต่ว่าราวกับการโจมตีของเมิ่งชวนนั้นกำลังฉีกการป้องกันของเพื่อทำให้เกิดช่องว่าง อย่างไรก็ตามเหยียนจินใช้พละกำลังทั้งหมดเพื่อสกัดกั้นการโจมตีทั้งแปดครั้งทำให้การโจมตีของเมิ่งชวนล้มเหลว
ซุบ
ในชั่วพริบตาเดียว เมิ่งชวนถอยก็ห่างออกไปหลายสิบก้าว ความเร็วนั้นมันทำให้เปลือกตาของเหยียนจินถึงกับกระตุก
‘เป็นความเร็วที่น่ากลัวซะจริง ว่ากันว่าการฝึกฝนร่างเทพอัสนีจะได้ความเร็ว แต่ความเร็วของเมิ่งชวนนั้นเรียกได้ว่าเป็นของอัจฉริยะของแท้เลย!’
“เหยียนจิน วิชากระบี่เต่าของเจ้านี่ทรงพลังมากขึ้นเรื่อยๆเสียจริงนะ แม้แต่วิชากระบี่ของข้าก็ไม่สามารถทำลายมันลงได้” เมิ่งชวนหัวเราะ “ช่างมันเถอะ ไม่จำเป็นต้องดวลต่อไปแล้ว”
“ขอขอบคุณ” เหยียนจินชักกระบี่กลับและมองไปที่เมิ่งชวน ก่อนจะพูดอย่างจริงจังว่า “ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังช่วยข้าฝึกฝนวิชากระบี่ของข้า”
“ฮ่าฮ่า ข้าก็กำลังฝึกวิชากระบี่ของข้าด้วยเช่นกัน” เมิ่งชวนเดินไปที่โต๊ะใกล้ๆและดื่มชาที่เขารินเอง
หลิวชีเยว่ ซึ่งนั่งอยู่ข้างๆโต๊ะหินและกำลังอ่านหนังสืออยู่ ก็โตเป็นสาวแล้วเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เธอเตี้ยกว่าเมิ่งชวนเกือบครึ่งหัว นั่นเพราะเขาเองก็อายุ 18 แล้วเช่นกัน จึงทำให้เขาสูงกว่าเมื่อก่อนมาก
“เหยียนจิน วิชาการเคลื่อนไหวและวิชากระบี่ของอาชวนนั้นรวดเร็ว เขาสามารถโจมตีหรือถอยได้ตามที่ใจ ไม่มีทางที่เจ้าจะทำอะไรเขาได้หรอก ยอมแพ้ซะเถอะ” หลิวชีเยว่กล่าวพร้อมกับทำหน้ามุ่ย
อ่านตอนล่าสุดที่ mynovel.co หรือ www.thainovel.com
“ข้ารู้ แต่ตราบใดที่วิชากระบี่ของข้าสามารถรั้งเขาไว้ได้ มันก็มีโอกาสที่จะเอาชนะเขาได้” เหยียนจินกล่าวอย่างจริงจัง
“ชีเยว่ วิชากระบี่น้ำแข็งหยินหยางของเหยียนจินอันตรายมาก ข้าไม่กล้าสู้ตรงๆด้วยซ้ำ” เมิ่งชวนกล่าว
รากฐานเทพอสูรของเขาแข็งแกร่งมาก และรากฐานเทพอสูรของเหยียนจินก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาเช่นกัน
ตามบัญญัติการฝึกวิชาทั้งเก้าที่เขารวบรวมมา เขาฝึกอย่างสุดขั้วและเร่งความเร็วให้ถึงขีดจำกัด แต่สำหรับเหยียนจินนั้น เขามุ่งเน้นไปที่การใช้วิชากระบี่คู่ และเชี่ยวชาญในการสู้ตรงๆมากกว่า
เขาแค่ไปได้ไกลกว่าเพียงแค่ก้าวเดียว
เขาเข้าใจ”พลังกระบี่”เร็วกว่าเหยียนจินครึ่งปี และสิ่งนี้ทำให้เขาได้เปรียบในการประลอง แต่เขาก็ยังไม่สามารถเอาชนะเขาได้
แต่ถ้าใช้ “พลังวิญญาณ” ผลมันก็จะต่างออกไป แต่ว่าเขาต้องเก็บมันไว้เป็นความลับ และจะไม่ใช้มันเว้นแต่จะเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายเท่านั้น ในการประลองนั้น เขาจะใช้แค่”พลังแห่งวิญญาณ”เมื่อประลองกับย่าทวดของเขาเท่านั้น
“เมิ่งชวน ปีนี้เจ้าจะไปที่เขาหยวนชูใช่ไหม?” เหยียนจินถาม
“แน่นอน” เมิ่งชวนพยักหน้า
เหยียนจินพยักหน้าเล็กน้อยและกล่าว “เราจะได้ประลองกันอีกครั้งในเดือนนี้” เมื่อพูดเช่นนั้นแล้วเขาก็หันหลังและเดินจากไป
“หมอนี่หยิ่งซะจริง ไม่รู้จักมารยาทเลย มาที่บ้านของเราอยู่บ่อยๆแท้ๆ แต่ก็ไม่เคยนำของขวัญมาให้เลย คำพูดก็เย็นชา จะว่าไป อาชวน เจ้าเคยช่วยชีวิตหมอนี่ไว้ด้วยซ้ำ” หลิวชีเยว่บ่นหลังจากเหยียนจินจากไป
“ด้วยอารมณ์แบบเขานั้น แค่นี้ก็สุภาพกับเรามากแล้ว มิฉะนั้นเขาคงจะไม่แม้แต่จะพูดกับเจ้าหรอก นอกจากนี้ เหตุผลที่ข้าประลองกับเขานั่นก็เพราะวิชากระบี่ของเขาจะสามารถช่วยขัดเกลาวิชากระบี่ของข้าได้ด้วยเช่นกัน”
หากตอนนี้เขาได้พบกับมู่หรงหยูอีกครั้ง แม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้”พลังแห่งวิญญาณ” แต่เขาก็คงสามารถบดขยี้และฆ่ามันได้อย่างง่ายดาย อย่างไรก็ตาม เมิ่งชวนก็ไม่คิดเรื่องนั้นแม้แต่นิดเดียว
หลังจากอ่านข่าวกรองจากนิกายอสูรฟ้าสาขาตงหนิงแล้ว เขาก็พบว่าสถานการณ์ระหว่างมนุษย์และอสูรรุนแรงแค่ไหน เขาจำเป็นต้องแข็งแกร่งขึ้น ในยุคนี้ หากไม่ใช้”พลังแห่งวิญญาณ”เขาก็จะไม่ได้ติดยี่สิบอันดับของอัจฉริยะรุ่นเยาว์ทั้งหมดในโลกด้วยซ้ำ ตัวอย่างเช่นย่าทวดของเขาได้กล่าวถึงลูกชายคนที่ห้าของราชาทะเลตงไห่ ผู้ซึ่งตระหนักรู้ถึง”พลัง”ตั้งแต่อายุสิบสามและกลายเป็นเทพอสูรตอนอายุสิบห้า มีอีกหลายคนที่โดดเด่นกว่าเขามาก แน่นอนว่าอัจฉริยะที่มีชื่อเสียงเหล่านี้ส่วนใหญ่ได้เข้าสู่เขาหยวนชูแล้ว
“อะไรนะ? อสูรบุกแดนมนุษย์ถึง129ครั้งเมื่อสองปีที่ผ่านมารึ?” หลิวชีเยว่มองไปที่หนังสือและอุทาน “อาชวน หนังสือในห้องหนังสือของเจ้ามันเป็นเรื่องจริงจริงหรือ?”
เมิ่งชวนเหลือบมองไปที่เธอ มันเป็นหนึ่งในหนังสือมากมายที่ย่าทวดให้มา
“ใช่แล้ว” เมิ่งชวนพยักหน้า “เราเป็นฝ่ายเสียเปรียบในการทำสงครามกับอสูร! อสูรมีพลังมากกว่า แต่สุดท้ายแล้วนี่คือโลกมนุษย์ พวกอสูรนั้นอาศัยอยู่ในภพอสูร พวกมันจะต้องมีทางผ่านมายังโลกนี้ และมนุษย์ได้สร้างเมืองขนาดใหญ่ที่ทางผ่านเข้าโลกเพื่อเป็นประตูที่มันคงและแน่นหนา โดยที่มีเทพอสูรที่ทรงพลังคอยคุ้มกันเอาไว้”
“ที่อสูรบุกโจมตีถึง 129 ครั้ง เมื่อสองปีก่อน ก็เนื่องจากทางผ่านเข้าโลกที่ปรากฏขึ้นเองตามธรรมชาติ สิ่งนี้ทำให้อสูรสามารถบุกเข้ามาได้ สำหรับทางผ่านเข้าโลกนั้น… ส่วนใหญ่มันไม่เสถียร บางอันอยู่ได้ครึ่งวัน ในขณะที่บางอันอยู่ได้เกือบสองสัปดาห์ แต่สุดท้ายแล้วพวกมันก็จะหายไป อันที่คงอยู่ตลอดนั้นมีไม่มาก”
“อย่างเช่นด่านฉินหยางของเมืองตงหนิงของเรา ก็เป็นทางผ่านโลกถาวรเพียงแห่งเดียวในช่วง 800 ปีที่ผ่านมา”
หลิวชีเยว่ปิดหนังสือ ข้อมูลในหนังสือทำให้เธอหวั่นไหว
“มีคนตายมากมาย ทุกการรุกรานมีแต่คนตาย” เสียงของหลิวชีเยว่ดูอ่อนแรง
“ตอนหกขวบข้าเคยเห็นมันด้วยตาตัวเอง” เมิ่งชวนพูดอย่างใจเย็น “ครั้งนั้น เมืองแต่ละเมืองต่างล่มสลายต่อๆกัน คนหลายแสนคนถูกสังหาร โชคดีที่ในที่สุดเทพอสูรก็มาถึง มิฉะนั้นข้าคงจะต้องตายในการรุกรานของอสูรนั้นเป็นแน่”
เหตุผลที่ทุกเมืองมีวังหยกสุริยันนั้นก็เพื่อปกป้องเมืองใหญ่ที่มีประชากรหนาแน่น ในสถานการณ์ที่เลวร้ายพวกเขาสามารถระดมเทพอสูรที่อยู่ใกล้เคียงเพื่อเสริมกำลังการป้องกันของเมืองได้
“โอ้ใช่ อาชวน เจ้าจะเข้าร่วมการประชุมล่าอสูรของวังหยกสุริยันหรือไม่?” หลิวชีเยว่ถาม “ยังเหลือเวลาอีกครึ่งเดือน”
“ข้าสัญญากับเจ้าสำนักแล้วว่าข้าจะไปเมื่อถึงเวลา” เมิ่งชวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าเองก็เข้าถึงวิชาลับแล้ว บางทีเจ้าอาจจะเป็นพลเกาฑัณท์เพียงคนเดียวในสำนักเต๋าก็เป็นได้ที่เข้าถึงมัน”
หลิวชีเยว่เงยหน้าขึ้น “แน่นอน แต่เมื่อเทียบกับอาชวนกับเหยียนจินแล้ว ข้ายังห่างไกลมาก”
เมิ่งชวนยิ้ม
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว อีกไม่กี่วันก็จะครบสามเดือนแล้วตั้งแต่ที่เขาเข้าถึงระดับไร้ตำหนิ พลังปราณของเขาเกือบจะสมบูรณ์แล้ว และตอนนี้สามารถที่จะลองควบแน่นแก่นเทพอสูรได้
‘ข้าจะทำสำเร็จในการลองครั้งแรกหรือเปล่านะ’
ในเมืองตงหนิงนี้ มีเพียงสามคนเท่านั้นที่ประสบความสำเร็จในการควบแน่นแก่นเทพอสูร โดยที่มีระดับต่ำกว่าเทพอสูร
ตอนที่ 48 ทุกสรรพสิ่ง (บทสุดท้ายของภาค)
“ถ้าหากมันหนีไปได้ ข้าคงจะต้องพาเจ้าไปที่เขาหยวนชู” เมิ่งเซียนกูกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณท่านย่าทวดมากขอรับ ไม่อย่างนั้น ข้าคงต้องเจอปัญหาใหญ่เป็นแน่” เมิ่งชวนกล่าวขอบคุณ
มู่หรงหยูที่ถูกมัดอยู่ข้างๆเหมือนเกี๊ยว จ้องไปที่เมิ่งชวนและพูดด้วยเสียงต่ำ “นายน้อยเมิ่ง ข้าประทับใจจริงๆ เจ้าทำตัวเหมือนจอมยุทธในระดับก่อกำเนิดที่พึ่งเข้าถึงวิชาลับ แม้ว่าจะแข็งแกร่งมากขนาดนี้ก็ตาม เจ้าซ่อนความลับไว้ได้อย่างดี ข้าแพ้แต่โดยดี พวกเราคำนวนไว้แล้ว รวมไปถึงความสามารถในการสอดส่องของเมิ่งเซียนกูและจ้าวตำหนักวังหยกสุริยันด้วยเช่นกัน หากพวกข้ามีเวลาแค่เพียงชั่วครู่ เทพมารพวกนี้คงจะไม่พบพวกข้าเป็นแน่ อย่างไรก็ตาม ข้าไม่เคยนึกฝันเลยว่าน้องๆของข้าจะตายด้วยน้ำมือของเจ้า ขนาดข้ายังถูกเจ้ายื้อเอาไว้เป็นเวลานานเลย!
มันถูกยื้อมานานเกินไป จนทำให้เมิ่งเซียนกูจับตัวมันได้ หากมันมีเวลามากกว่านี้ มันคงจะหลบซ่อนในถ้ำใต้ดิน และทำให้ยากที่จะเจอตัว
ดินและหินเป็นอุปสรรคอย่างมากต่อการจับสัมผัสใดๆ แม่น้ำก็ขัดขวางการจับสัมผัสได้ดีเช่นกัน ในตอนที่มู่หรงหยูกระโดดลงไปในแม่น้ำ เมิ่งชวนก็สัมผัสที่จับได้ก็หายไปอย่างรวดเร็ว หากมันมีเวลาอีกห้าวินาทีล่ะก็ แม้จะเป็นเมิ่งเซียนกูก็คงจะจับสัมผัสมันไม่ได้อย่างแน่นอน
“เจ้าหุบปากเสียดีกว่า” เมิ่งเซียนกูเหลือบมอง ในขณะที่ด้ายที่มองไม่เห็นแทงเข้าไปในร่างกายของมู่หรงหยู มู่หรงหยูไม่สามารถส่งเสียงได้อีกต่อไป มันมองไม่เห็นและไม่ได้ยินอีกต่อไป
“ตอนนี้มันจะไม่ได้ยินหรือมองเห็นอะไรทั้งนั้น” เมิ่งเซียนกูกระซิบ “ตอนที่เจ้าประลองกับพ่อของเจ้าและข้า…เจ้าแข็งแกร่งพอๆกับพ่อของเจ้า แต่ว่า ข้ารู้สึกว่าเจ้าแข็งแกร่งกว่านั้นหลายเท่าเมื่อตอนที่เจ้าปลดปล่อยพลังเต็มที่ก่อนหน้านี้ กระทั่งนำมู่หรงหยูไปได้ ขนาดรองหัวหน้าสาขาทั้งสองคนนั้นมันยังตายด้วยน้ำมือเจ้าเลย หรือนี่จะเป็นเพราะพื้นที่ตรงหว่างคิ้วของเจ้าอย่างนั้นรึ?”
“ขอรับ” เมิ่งชวนพยักหน้า “เพียงแต่ข้าใช้ท่าได้เพียงไม่กี่ท่าเท่านั้น ข้าสังหารรองหัวหน้าทั้งสองด้วยการสองท่าแรก และสามท่าที่เหลือนั้นทำได้แค่เพียงทำให้มู่หรงหยูบาดเจ็บสาหัส ข้าสังหารมันไม่ได้”
“สามารถแข็งแกร่งขึ้นได้มากเพียงนี้” เมิ่งเซียนกูขมวดคิ้วเล็กน้อย “ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน จำไว้ว่า เรื่องนี้จะต้องถูกเก็บเป็นความลับ แม้ว่าเจ้าจะได้เข้าร่วมการประเมินของเขาหยวนชู แต่ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเปิดเผยพื้นที่ตรงหว่างคิ้วของเจ้าหากเจ้ามั่นใจว่าจะผ่าน หลังจากที่เจ้าเข้าสู่เขาหยวนชูแล้ว ให้อ่านคู่มือและหาดูว่ามันหมายถึงอะไร จากนั้นเจ้าค่อยตัดสินใจได้ว่าจะบอกคนอื่นเกี่ยวกับการมีอยู่ของมันหรือไม่”
“อย่างไรก็ตาม พื้นที่ลึกลับเช่นนี้อาจเป็นเรื่องที่ดี มันอาจเกี่ยวข้องกับความลับบางอย่างด้วย” เมิ่งเซียนกูกล่าว
“เข้าใจแล้วขอรับ”เมิ่งชวนพยักหน้า
“เจ้าคิดว่าเจ้าจะไปถึงระดับไร้ตำหนิได้เมื่อไหร่?” เมิ่งเซียนกูถาม
“รากฐานเทพอสูรของข้าลึกซึ้งและแข็งแกร่งมาก ข้าจะอยู่ในระดับก่อกำเนิดนานกว่านี้อีกหน่อย ข้าคาดว่าจะไปถึงระดับไร้ตำหนิภายในสิ้นปีหรือต้นปีหน้า” เมิ่งชวนกล่าว
“เป็นเรื่องดีที่จะมีระยะเวลาเติบโตนานขึ้น” เมิ่งเซียนกูพยักหน้า “แม้ว่าเจ้าจะไปถึงระดับไร้ตำหนิภายในสิ้นปีนี้ เจ้าก็ต้องเสริมรากฐานของเจ้าอยู่ดี เป็นเรื่องดีหากเจ้าบีบอัดแก่นของเจ้าได้! จากนั้นเจ้าสามารถเข้าร่วมการประเมินของเขาหยวนชูได้ในปลายปีหน้า เจ้าควรเข้าร่วมการประเมินตอนอายุ 18 ปี แม้ว่าเจ้าจะล้มเหลว แต่เจ้าก็มีโอกาสเข้าร่วมได้อีกครั้งตอน19 ไม่ก็ 20”
ตามแผนของเมิ่งเซียนกู เขามีโอกาสทั้งหมดสามครั้ง
“ขอรับ” เมิ่งชวนพยักหน้า
“ไม่มีใครเห็นการสนทนานี้ใช่ไหม?” เมิ่งเซียนกูถาม
“ตอนนี้ค่อนข้างดึกและสถานที่ลอบสังหารที่นิกายอสูรฟ้าเลือกไว้นั้นค่อนข้างห่างไกล ไม่มีจอมยุทธอยู่”
“เอาล่ะ เจ้ากลับไปก่อนได้ แต่อย่าบอกใครเกี่ยวกับเรื่องในวันนี้” เมิ่งเซียนกูกล่าว “ให้ข้ารับผิดชอบการตายของพวกมันเอง”
“ขอรับ” เมิ่งชวนรู้สึกผ่อนคลาย เมิ่งเซียนกูไม่ได้โลภ ในฐานะที่เคยเป็นเทพอสูรมาเกือบ 80 ปี เธอไม่สนใจเรื่องชื่อเสียง สิ่งที่เธอทำคือการปกป้องเมิ่งชวน
อ่านตอนล่าสุดที่ mynovel.co หรือ www.thainovel.com
…
การต่อสู้ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ก็จบลงอย่างเงียบๆ
เมิ่งชวนกลับไปที่จิงหูเมิ่ง
“อาชวน เจ้าไม่ได้ไปที่คฤหาสน์ของบรรพบุรุษรึ? เจ้ากลับมาไวจัง” หลิวชีเยว่ที่พึ่งกลับก็พบว่าเมิ่งชวนอยู่ข้างหลังเธอ
“ข้าวิ่งมาเต็มแรง แน่นอนอยู่แล้วว่าข้าเร็ว” เมิ่งชวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หลิวชีเยว่ไม่รู้สึกเลยว่า ในช่วงเวลาที่พวกเขาแยกจากกัน ก็มีการต่อสู้กันอย่างลับๆ ที่มีผลสืบเนื่องยาวนานแห่งเมืองตงหนิง ได้เกิดขึ้น
…
ที่คฤหาสน์บรรพบุรุษตระกูลเมิ่ง ภายในห้องทรมาน
“ข้าสาบานว่าข้าจะบอกเจ้าทุกเรื่องที่ข้ารู้ หากปล่อยข้าออกไป!” มู่หรงหยูที่ถูกล่ามโซ่ตะโกน ร่างกายของมันสั่นสะท้าน
เมิ่งเซียนกูยืนอยู่นิ่งๆและพูดอย่างเฉยเมยว่า “อย่าฝันเลยว่าจะได้มีชีวิตอยู่ ตั้งแต่ที่ข้าจับเจ้าได้ เจ้าก็ชะตาขาดแล้ว แต่หากเจ้าบอกข้าว่านิกายอสูรฟ้าสาขาตงหนิงอยู่ที่ไหน ข้าจะปล่อยให้เจ้าได้ตายดี ไม่เช่นนั้น เจ้าจะไม่ได้ต้องทนการทรมาณเพียงสิบยี่สิบวัน แต่เป็นปี! เจ้าจะไม่ได้ตายอย่างที่หวังแน่ ต้องทนทรมาณทั้งวันทั้งคืน ติดอยู่ในนรกตลอดกาลไม่มีทางหนีรอด”
เมิ่งเซียนกูมีประสบการณ์ในการทรมานกากเดนเหล่านี้จากนิกายอสูรฟ้า
“สาขาตงหนิงรึ ไม่ไม่…” มู่หรงหยูไม่ยอมง่ายๆ “ปล่อยข้าออกไปเป็นๆก่อน ไม่อย่างนั้นก็อย่าหวังเลยว่าจะได้อะไรจากข้า”
“ถ้าอย่างนั้นก็รอดูกัน” เมิ่งเซียนกูจับไม้เท้าของเธอขณะที่ด้ายที่มองไม่เห็นแทงเข้าไปในร่างกายของมู่หรงหยู มู่หรงหยูร้องไห้ออกมาทันที
ในความเจ็บปวด เวลาดูเหมือนจะผ่านไปช้าลงหลายพันเท่า มู่หรงหยูประสบกับความทรมานที่ไม่มีที่สิ้นสุด
“ปล่อยข้าออกไป” ความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ทำให้มู่หรงหยูยังคงต่อต้าน แต่เมิ่งเซียนกูยืนนิ่งไร้ความรู้สึก ด้ายแทงเข้าไปในร่างกายของมู่หรงหยูและทรมานมัน
สองชั่วโมง สี่ชั่วโมง หกชั่วโมง…
เวลามันช่างผ่านไปอย่างเนิ่นนานสำหรับมู่หรงหยู มันถูกทรมานจนแทบคลั่ง มันอยากจะเป็นอิสระ มันต้องการที่จะหลุดพ้นจากความทรมาณไม่มีที่สิ้นสุดนี้
“ข้าจะพูด” มู่หรงหยูยอมแพ้ในที่สุด
ก่อนดวงอาทิตย์จะขึ้น มู่หรงหยูได้บอกทุกอย่างที่เมิ่งเซียนกูต้องการออกไป และหลังจากนั้น มันก็ได้รับสิ่งที่ต้องการ การปลดปล่อย!
เมิ่งเซียนกูเดินออกจากห้องทรมาน
ในไม่ช้า เมิ่งเซียนกูก็นำผู้อาวุโสออกเป็นเก้าคน และสมาชิกระดับก่อกำเนิด120 คนจากตระกูลเมิ่งที่ถูกแบ่งออกเป็นเจ็ดทีม และดำเนินการหลายอย่างพร้อมกัน
พวกเขาทำลายสำนักงานใหญ่และที่ซุ่มทั้งหกแห่ง ทั้งหกแห่งเป็นโรงรับจำนำ บ้านพักพ่อค้ารายใหญ่ บริษัทคุ้มกัน ฯลฯ และพวกมันก็ถูกตระกูลเมิ่งทำลายทิ้งจนหมดภายในสองชั่วโมง
…
บ่ายวันรุ่งขึ้น
เมิ่งเซียนกูย้ายไปที่จิงหูเมิ่งชั่วคราวอีกครั้ง
“ท่านย่าทวด หนังสือพวกนี้คือ?” เมิ่งชวนมองไปที่กล่องหนังสือในลานบ้าน นอกจากนี้ยังมีภาพวาดและสิ่งของอื่นๆ
“ข้าสอบปากคำมู่หรงหยูเมื่อคืนและได้ข้อมูลนิกายอสูรฟ้าสาขาตงหนิงมา” เมิ่งเซียนกูกล่าว “ผู้ใต้บังคับบัญชาคนอื่นๆของสาขาตงหนิงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผู้นำทั้งสามของพวกมันตายไปหมดแล้ว พวกมันโดนทีเผลอ และตระกูลเมิ่งของเราสามารถบุกจู่โจมพวกมันทั้งหมดได้ภายในหนึ่งชั่วยาม(2 ชั่วโมง) สาขาตงหนิงถูกกวาดล้าง มีจอมยุทธในระดับก่อกำเนิดเพียงคนเดียวเท่านั้นที่รอดพ้นไปได้”
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป นิกายอสูรฟ้าจะไม่มีหูตาในเมืองตงหนิง พวกมันจะไม่สามารถแทรกซึมเข้าไปในเมืองตงหนิงและสร้างเครือข่ายข้อมูลได้ในอีกไม่กี่ปีนี้เป็นแน่” เมิ่งเซียนกูยิ้ม “เมิ่งชวน เจ้าได้ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่เพื่อเมืองตงหนิง”
เมิ่งชวนยิ้ม รู้สึกมีความสุข
หากไม่มีนิกายอสูรฟ้ามาก่อปัญหาอยู่เสมอๆ เมืองตงหนิงจะปลอดภัยกว่าเดิมมาก อย่างไรก็ตาม เขาก็รู้ว่าเมื่อเวลาผ่านไป นิกายอสูรฟ้าจะค่อยๆแทรกซึมกลับเข้ามาในเมืองตงหนิงอีกครั้ง
“หนังสือเหล่านี้ข้าพบในที่ซ่อนของพวกมัน มันเหมาะสำหรับเจ้า” เมิ่งเซียนกูกล่าว “ลองอ่านดูว่าเจ้าจะเปิดโลกทัศน์ของเจ้าให้กว้างขึ้นได้หรือไม่”
“ขอรับ” เมิ่งชวนพยักหน้าก่อนจะเริ่มพลิกดูหนังสือ
หนังสือเหล่านี้กล่าวถึงความลับของโลกเป็นหลัก นิกายอสูรฟ้ารับผิดชอบในการตรวจสอบข้อมูลทุกประเภทที่เกี่ยวกับมนุษย์ มีหนังสือหลายเล่มที่มีข้อมูลที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
โลกนี้แบ่งออกเป็นสามส่วน มนุษย์มีสามราชวงศ์ที่ยิ่งใหญ่ ได้แก่ ราชวงศ์โจว ราชวงศ์ทรายดำ และราชวงศ์หยู ราชวงศ์โจวก่อตั้งขึ้นโดยนิกายที่เก่าแก่ที่สุดในโลก เขาหยวนชู ราชวงศ์ทรายดำก่อตั้งขึ้นโดยถ้ำทรายดำสวรรค์ ราชวงศ์หยูก่อตั้งขึ้นโดยเกาะสองโลก เมิ่งชวนพยักหน้าเล็กน้อย สำหรับเขาหยวนชู ถ้ำสวรรค์ทรายดำ เกาะสองโลก…พวกเขาเป็นสามนิกายสูงสุดของเผ่าพันธุ์มนุษย์
ทั้งสามนิกายยิ่งใหญ่เหล่านี้มีเทพอสูรที่ทรงพลังอยู่ในนั้น พวกเขาร่วมกันป้องกันการรุกรานของอสูร เพราะเหล่าอสูรนั้นแข็งแกร่ง
เมิ่งชวนอ่านบันทึก อสูรมีพลังมากกว่ามนุษย์มาก
มนุษย์ทั้งสามนิกายพยายามอย่างเต็มที่เพื่อป้องกันพวกมัน พวกเขาตั้งรับอย่างเต็มที่! เทพอสูรมีอิทธิพลในเมืองใหญ่ๆหลายที่ เช่นเทพอสูรที่มีชื่อเสียงอย่างราชาทะเลตงไห่ก็เป็นคนคุมเมืองปราการที่สำคัญและปกป้องเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมด
อย่างไรก็ตามทั้งสามนิกายไม่ได้สูญเสียดินแดนใดๆในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แม้จะถูกอสูรยึดครองเพียงชั่วคราว แต่ก็จะยึดคืนกลับมาอีกครั้งได้อย่างรวดเร็ว
‘พวกสวะนิกายอสูรฟ้า’ ยิ่งเขาอ่านเขาก็ยิ่งโกรธ
บางคนคิดว่าไม่มีความหวังสำหรับมนุษย์ บางคนหวังผลประโยชน์ที่จะได้รับจากอสูร ง่ายๆคือ พวกมันได้ก่อตั้งนิกายขึ้นมา มันคือนิกายอสูรฟ้า มันแทรกซึมเข้ามาในเผ่าพันธุ์มนุษย์ นิกายอสูรฟ้าแฝงตัวอยู่ทุกหนทุกแห่งเพื่อให้ข้อมูลมนุษย์แก่อสูร เหล่ามนุษย์เกลียดชังพวกมันอย่างหนัก นิกายอสูรฟ้าสาขาย่อยที่เมิ่งชวนกำจัดออกไปก็เป็นเพียงเม็ดทรายท้องทะเลอันกว้างใหญ่เท่านั้น
‘ข้ายังคงเป็นมนุษย์ สิ่งที่ข้าทำได้ยังคงเป็นเพียงแค่เรื่องเล็กๆน้อยๆ ข้าจะต้องแข็งแกร่งขึ้น’
…
การทำลายนิกายอสูรฟ้าสาขาตงหนิงเกิดขึ้นอย่างลับๆ มีเพียงระดับสูงของเมืองตงหนิงเท่านั้นที่รู้ สำหรับการเสียชีวิตของผู้นำนิกายอสูรฟ้าสาขาตงหนิงทั้งสาม ศาลจักรวรรดิตั้งให้เมิ่งเซียนกูเป็นคนรับผิดชอบ
วันคืนของเมืองตงหนิงสงบสุขและเงียบสงบมากตามปกติ
ในวันที่ 25 มีนาคม วังหยกสุริยันประกาศว่าเหยียนจินได้เข้าถึง “พลังกระบี่” แล้ว ทันทีที่ข่าวแพร่กระจาย มันสะเทือนทั้งห้าตระกูลเทพอสูรในเมืองตงหนิงทันที เพราะไม่ว่ายังไง เขาก็เข้าถึง “พลัง” ได้ตั้งแต่อายุสิบเจ็ด เขาเป็นคนที่น่าอัศจรรย์ เป็นอัจฉริยะที่เทียบได้กับปรมาจารย์จาง
สามวันต่อมา ตระกูลเมิ่งประกาศว่าเมิ่งชวนเข้าใจ “พลังกระบี่” ได้แล้วเช่นกัน เมื่อหวินฟู่อันแห่งตระกูลหยุนทราบข่าว เขาก็โมโหทุบเครื่องเคลือบลายครามที่เขาชอบทั้งหมดในห้องของเขา และสถานะของตระกูลเมิ่งก็เพิ่มขึ้นในบรรดาตระกูลเทพอสูรทั้งห้า ไม่มีสี่ตระกูลเทพอสูรใดกล้าที่ดูถูกดูแคลนพวกเขาอีกต่อไป ท้ายที่สุดแล้ว มันแน่นอนว่าเขาจะได้รับคัดเลือกจากเขาหยวนชูหลังจากที่เข้าใจ”พลัง”ตั้งแต่อายุ 17 ปี และอนาคตที่สดใสก็รอเมิ่งชวนอยู่
(จบภาคสอง บันทึกสรรพชีวิต)
ตอนที่ 47 ชะตาของมู่หรงหยู
‘จะรอดหรือไม่ก็ตอนนี้แหละ’ แม้ว่ามู่หรงหยูจะท้อแท้ แต่ความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ก็ยิ่งมากขึ้น
เขาใช้คาถาต้องห้ามและพุ่งไปที่แม่น้ำที่ไหลเชี่ยว แม้ว่าการเสียแขนจะทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง แต่คาถาต้องห้ามก็ทำให้เขาเร็วกว่าปกติมาก
เร็วเข้าๆๆ! มู่หรงหยูวิ่งหนีสุดชีวิต ในขณะที่ระวังเมิ่งชวนที่อยู่ด้านหลังไปด้วย
เมิ่งชวนตามเขาไปเรื่อยๆ
‘มันไม่ได้จะฆ่าข้าอย่างนั้นรึ? เหมือนว่าการปลดปล่อยพลังที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้ก็เป็นวิชาต้องห้ามประเภทหนึ่งเช่นกัน มันมีพรสวรรค์และความสามารถ มันคงไม่กล้าใช้วิชาต้องห้ามบ่อยเกินไป’ มู่หรงหยูรู้สึกโชคดีขึ้นมาบ้าง เพื่อชีวิตของเขาแล้ว เขาใช้คาถาต้องห้ามได้โดยไม่ลังเล แต่สำหรับอัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบอย่างเมิ่งชวน พวกมันจะทะนุถนอมร่างกายและจัดสรรการใช้วิชาต้องห้ามอย่างระมัดระวังเนื่องจากกลัวรากฐานจะเสียหาย
แม่น้ำเชา มู่หรงหยูมองไปที่แม่น้ำที่ไหลเชี่ยวตรงหน้าก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกดีใจ มันดำดิ่งลงไปทันที เปลี่ยนเป็นภาพติดตาขณะที่กระโดดลงไปดังตูม
การไล่ตามครั้งนี้กินเวลาไปไม่กี่ชั่วอึดใจ
อันที่จริงแล้วพวกเขาข้ามแม่น้ำมาพอสมควรแล้ว เช่นถนนที่รองหัวหน้าถูและเกาตายนั้นก็มีแม่น้ำกว้างประมาณ2จั้งอยู่
อย่างไรก็ตามลำธารนั้นแคบเกินไป แม้ว่ามันจะลงไปในลำสายน้ำนั้น แต่ศัตรูที่อยู่บนฝั่งก็สามารถตามเลียบขอบถนนไปได้อยู่ดี หากยังตามติดต่อไปเช่นนั้นล่ะก็ เมื่อเมิ่งเซียนกูมาถึง ยังไงมันก็ตายอยู่ดี
มีเพียงแม่น้ำที่กว้างและลึกเท่านั้นที่ทำให้มันรอดพ้นจากการไล่ตาม
นี่คือแม่น้ำเชา มันกว้างเกือบ80จั้ง มันตามข้าไปไม่ได้ มู่หรงหยูถลำลงไปในแม่น้ำลึกกว่าเดิม ยิ่งลึกเท่าไหร่ ยิ่งหาได้ยากขึ้นเมื่ออยู่บนฝั่ง
หลังจากดำน้ำลงไป มันก็รีบว่ายไปตรงกลางแม่น้ำเชาในทันที ที่ซึ่งเป็นจุดที่ลึกที่สุด
โอ้?
เมิ่งชวนที่ยืนอยู่ริมฝั่ง สามารถสัมผัสมู่หรงหยูได้ ในตอนแรกเขาสามารถสัมผัสมู่หรงหยูได้อย่างชัดเจน แต่เมื่อมู่หรงหยูดำลงไปเกือบ6จั้ง เขาก็ “มอง” ได้ไม่ค่อยชัดแล้ว รู้สึกแค่เพียงพลังที่มุ่งลึกลงไป และยิ่งลึกลงไปก็ยิ่งอ่อนลงเท่านั้น
มู่หรงหยูดำนลงไปลึกขึ้นและว่ายไกลออกไป
เมิ่งชวนไม่กล้าที่จะวิ่งตามไปบนผิวน้ำแม้แต่น้อย ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขาเขาสามารถเดินบนน้ำได้ แต่หากมู่หรงหยูโจมตีเขาเขาจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้าย หากถูกลากลงน้ำอาจจะถึงตาย
‘ดินและหินเป็นอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับขอบเขตการรับรู้ของข้า ส่วนน้ำคืออันดับสอง พอมันดำลงไปได้เพียงหนึ่งจั้ง ข้าก็รู้สึกไม่ได้แล้ว’ เมิ่งชวนหน้าซีด
มู่หรงหยูได้หายไปจากการรับรู้ของเขาแล้ว
ตรงกลางของแม่น้ำเชานั้นลึกเกือบ6จั้ง ส่วนอื่นๆของแม่น้ำนั้นลึกประมาณ2จั้ง แม้จะเป็นตรงชายฝั่งก็ตามที เพราะไม่ว่าอย่างไรเรือก็สามารถผ่านแม่น้ำสายนี้ได้
มันหนีออกไปจากการรับรู้ข้าไปแล้ว เมิ่งชวนยืนอยู่ริมชายฝั่งและมองไปที่แม่น้ำเชาที่เป็นประกายระยิบระยับ เขาครุ่นคิดอะไรหลายๆอย่าง
อ่านตอนล่าสุดที่ mynovel.co หรือ www.thainovel.com
…
ในขณะเดียวกัน…
เมิ่งต้าเจียงและหลิวเย่ป๋ายออกจากเมืองตงหนิงอีกครั้ง พวกเขาเดินทางออกนอกเมืองเป็นระยะๆทุกปี
อย่างไรก็ตาม เมิ่งเซียนกูยังอยู่ที่คฤหาสน์บรรพบุรุษเมื่อไม่นานมานี้เพราะเป็นช่วงตรุษจีน เมื่อเมิ่งชวนยิงพลุขอความช่วยเหลือที่เมิ่งเซียนกูเป็นคนให้ จึงทำให้เมิ่งเซียนกูที่ใส่พลังปราณลงไปในนั้น รู้สึกได้ในทันที
“ฮืม?” เมิ่งเซียนกูถือไม้เท้าของเธอและเดินออกมาจากที่พัก และเมื่อเดินออกไปก็พบกับพลุที่อยู่บนฟ้า
“เมิ่งชวนขอความช่วยเหลืออย่างนั้นรึ?”
เมิ่งเซียนกูรู้สึกอึดอัดใจขึ้นมา เธอกระแทกไม้เท้าลงพื้นเบาๆ คลื่นที่มองไม่เห็นก็กระจายออกไปในทันที มันรวดเร็วมาก ในชั่วพริบตา คลื่นได้กระจายออกไปเกือบสิบลี้ทุกทิศทางรวมทั้งบริเวณที่มีการจุดพลุด้วย
เธอรู้สึกได้ว่าเมิ่งชวนกำลังหลบหนีในขณะที่ชายคิ้วขาวมู่หรงหยู รองหัวหน้าสาขาถูร่างราวกับหมีและรองหัวหน้าสาขาเกาหลังค่อมก็ล้อมเขาไว้ได้
‘มู่หรงหยูอย่างนั้นรึ? หัวหน้านิกายอสูรฟ้าสาขาตงหนิงและรองหัวหน้าสาขาทั้งหมดอยู่ที่นี่ แม้แต่คนที่อ่อนแอที่สุดในทั้งสามก็ตระหนักรู้ถึง”พลัง”และสามารถปลดปล่อยกลิ่นอายอสูรได้ ส่วนมู่หรงหยูก็เรียกได้ว่าเกือบเป็นอมตะในขอบเขตเทพมารของมัน’ เมิ่งเซียนกูขมวดคิ้ว ‘เมิ่งชวนกำลังตกอยู่ในอันตราย!’
ร่างของเธอหายไปในทันที และรีบรุดไปให้ไวที่สุดเท่าที่จะทำได้
เธอไม่มีเวลาตรวจสอบอะไรอีก ตรวจสอบรังแต่จะทำให้เสียเวลา เธอต้องไปให้เร็วที่สุด! ในอดีตเธอเคยเข้าร่วมกองกำลังกับเทพอสูรคนอื่นๆที่ด่านอันไห่ ที่เธอต้องทำคือการการลาดตระเวนรอบๆ ควบคุมเขตแดนและทิ้งหน้าที่ต่อสู้ให้สหายของเธอ
วูบ
ไม่กี่ชั่วอึดใจ เมิ่งเซียนกูก็มาถึงบริเวณที่เธอเห็นเมิ่งชวนกำลังหลบหนี
เพียงแวบเดียวเธอก็เห็นร่างของรองหัวหน้าเกาแยกออกเป็นสองส่วน เห็นได้ชัดว่ากระบี่ได้ผ่าร่างของมันเป็นสองส่วน
‘หรือจะมีจอมยุทธคนอื่นมาช่วยเมิ่งชวนกัน?’ เมิ่งเซียนกูงุนงงในขณะที่กระแทกไม้เท้าของเธอลงพื้น ก่อให้เกิดคลื่นที่มองไม่เห็นอีกครั้ง
เธอพบศพที่ใหญ่ราวกับหมีอยู่ในพื้นที่อยู่อาศัยไม่ไกลจากนั้นในทันที มันคือร่างของรองหัวหน้าสาขาถูที่โดนบาดแผลลึกที่คอ
คลื่นที่มองไม่เห็นกระจายออกไปอีกสิบลี้
เธอพบมู่หรงหยูกำลังถูกเมิ่งชวนไล่ตามในทันที เห็นได้ชัดว่ามู่หรงหยูกำลังหลบหนีเมิ่งชวนที่ไล่ตามฆ่าเขา
‘เมิ่งชวนกำลังไล่ตามมู่หรงหยูอย่างนั้นรึ?’ เมิ่งเซียนกูงุนงง
เมื่อเธอพบร่างของรองหัวหน้าสาขาทั้งสอง เธอคิดว่ามีจอมยุทธมาช่วยเมิ่งชวนไว้ แต่ตอนนี้มันเป็นไปได้มากที่เมิ่งชวนจะฆ่าพวกมัน นอกจากนี้เขายังกำลังไล่ตามมู่หรงหยูที่เป็นอมตะอยู่ภายใต้ขอบเขตเทพอสูรด้วย
แม้ว่าจะประหลาดใจ แต่เมิ่งเซียนกูก็ยังรีบวิ่งไป
ทุกก้าวพุ่งไปไกลเป็นสิบจ้าง และทุกครั้งที่เท้าแตะพื้น คลื่นที่มองไม่เห็นก็กระจายออกไป
ในทุกย่างก้าว เธอตรวจสอบสถานการณ์ และมันส่งผลต่อความเร็วของเธอ อย่างไรก็ตามเมิ่งเซียนกูไม่กังวลอีกต่อไป ในขณะที่เธออยู่ใกล้มาก เธอก็มั่นใจว่ามู่หรงหยูหลบหนีไปไม่ได้เป็นแน่
‘เมิ่งชวนลงมือแล้วรึ?’ เมิ่งเซียนกูสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าเมื่อพวกเขาเข้าใกล้แม่น้ำเชา ความเร็วของเมิ่งชวนก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในขณะที่เฉือนมู่หรงหยู การโจมตีนั้นทำให้เธอต้องประหลาดใจ วิชากระบี่ที่รวดเร็วราวกับสายฟ้าและรุนแรงน่าสะพรึง มู่หรงหยูพยายามปิดกั้นด้วยวิชาต้องห้าม และในการลงกระบี่ครั้งที่สาม มันกลับนุ่มนวลและอ่อนโยน ทำให้มู่หรงหยูบาดเจ็บอย่างหนักจนขั้นแขนขาด
‘เมิ่งชวนหลานข้าแข็งแกร่งขึ้นขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?’
เมิ่งชวนมักจะประลองกับพ่อของเขาและเมิ่งเซียนกู
แต่ว่าการประลองเหล่านั้นเพียงเพื่อขัดเกลาความสามารถของเขา ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องหลอมรวมพลังวิญญาณ!
…
ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืน มู่หรงหยูกระโดดลงไปในแม่น้ำ และไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ
เมิ่งชวนที่ยืนอยู่ริมฝั่งก็ขมวดคิ้วและอารมณ์ไม่ดีอย่างเห็นได้ชัด ‘ถ้าปล่อยให้มันหนีไป มู่หรงหยูจะต้องรายงานสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่ให้พวกอสูรทราบอย่างแน่นอน และมันจะต้องส่งลูกน้องมาสังหารข้าเป็นแน่’
เขารู้ตัวดี ถึงจะไม่ใช้”พลังแห่งวิญญาณ”เขาก็เรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะ ยิ่งใช้พลังวิญญาณได้ มันก็ทำให้เขาเป็นหนึ่งในอัจฉริยะของโลกนี้เลยทีเดียว แค่เรื่องที่เขาสามารถไล่ตามมู่หรงหยู ที่ควบแน่นแก่นอสูรได้แล้ว มันทำให้เหล่าอสูรต้องให้ความสำคัญกับนายน้อยจากเมืองตงหนิงคนนี้เป็นแน่
โอ๊ะ? เขาสัมผัสได้ถึงกระแสพลังอันทรงพลังเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว มันเร็วยิ่งกว่าตอนที่เขาใช้พลังแห่งวิญญาณเสียอีก
ในไม่ช้า ร่างที่เป็นดังเงาก็มาถึงแม่น้ำเชา นั่นคือหญิงชราที่ถือไม้เท้า
ท่านย่าทวด ตาของเขาเป็นประกาย
เมิ่งเซียนกูยืนอยู่บนผิวน้ำในขณะที่ไม้เท้าของเธอแตะผิวน้ำอย่างนุ่มนวล แม่น้ำทั้งสายเริ่มสั่นสะเทือนและระลอกคลื่นก็กระจายออกไปทุกทิศทาง
ลึกลงไปในแม่น้ำ ที่ด้านล่างของแม่น้ำ มู่หรงหยูซึ่งกำลังหลบหนีด้วยความเร็วสูงก็รู้สึกว่ามีด้ายมาพันรอบตัวมันอย่างรวดเร็ว มันหน้าถอดสีและดิ้นรนสุดกำลัง อย่างไรก็ตาม ด้ายนี้มันเหนียวมากจนดิ้นไม่หลุด
เทพอสูร ใบหน้าของมู่หรงหยูเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ความสิ้นหวังที่เกิดจากความไร้กำลังเมื่อได้พบกับเทพอสูร
พลังอสูรของมันถูกปิดผนึกเมื่อด้ายเข้าสู่ร่างกายของมัน จากนั้นเส้นด้ายก็เริ่มดึงมู่หรงหยูขึ้นมาจากแม่น้ำและส่งให้มันลอยขึ้นไป
มันถูกโยนออกมาจากน้ำ
มู่หรงหยูเห็นหญิงชราถือไม้เท้าอยู่บนผิวน้ำ
เมิ่งเซียนกู มู่หรงหยูรู้สึกสิ้นหวัง สุดท้ายแล้วเธอก็ตามทัน
มู่หรงหยู เมิ่งชวนผ่อนคลายทันทีเมื่อเห็นมู่หลงหยูถูกลากขึ้นจากแม่น้ำ เขาไม่จำเป็นต้องกังวลว่าข่าวเขาจะหลุดไปอีกแล้ว มู่หรงหยูใช้เวลาแค่ไม่กี่อึดใจในการว่ายน้ำไปเกือบ50จั้ง ความเร็วของมันเทียบได้กับจอมยุทธระดับไร้ตำหนิบนบกเลยทีเดียว ปลายังไม่เร็วเท่ามันเลยด้วยซ้ำ
เมิ่งเซียนกูถือไม้เท้าของเธอแล้วเดินไปที่ริมฝั่งแม่น้ำ และลากมู่หรงหยูตามมาเหมือนกับเกี๊ยว
“ท่านย่าทวด” เมิ่งชวนโค้งคำนับด้วยท่าทางนอบน้อม
1 จั้งประมาณ 3.3 เมตร
2 ลี้ประมาณ 1 กิโลเมตร
ตอนที่ 46 กระบวนท่ากระบี่ที่สามของเมิ่งชวน
“พวกเราประเมินเจ้าต่ำเกินไป” มู่หรงหยู ผู้มีคิ้วสีขาวกับดวงตาสีทอง พูดด้วยเสียงต่ำ ก่อนจะกลายเป็นภาพติดตาและหนีไปทางตะวันออก
“จะหนีอย่างนั้นรึ?” เมิ่งชวนไล่ตามมันในทันทีโดยที่ไม่ใช้ “พลังแห่งวิญญาณ” และตามติดมู่หรงหยูได้ด้วยความเร็วปกติเพียงอย่างเดียว
พวกเขาวิ่งข้ามหลังคา ราวกับวิญญาณในยามค่ำคืน มีเพียงแค่เสียงลมพัด
“ฮับบี้ มีบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ด้านนอก”
“มันเงียบลงแล้ว” ภายในบ้านที่ถูกมู่หรงหยูและรองหัวหน้าสาขาถูชางบุกเข้าไป มีชายร่างผอมโผล่หัวออกมาจากด้านใต้เพดานที่พังลง เขามองไปข้างนอกอย่างระมัดระวัง ในความมืดนั่นเขามองเห็นชายร่างกำยำสูงเกือบสามเมตรนอนอยู่ไม่ไกลบนพื้น ร่างของมันถูกปกคลุมไปด้วยขนสีดำ มองแวบแรกดูราวกับเป็นหมีสีดำตัวใหญ่ ชายร่างผอมหน้าซีดแล้วกลับลงไป
“อย่าออกไปข้างนอก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่าไปเด็ดขาด”
“เกิดอะไรขึ้น?”
“ข้ามองไม่ชัด แต่ดูเหมือนอสูรหมีกำลังนอนอยู่ที่ลานบ้านของเรา มันสูงเกือบสามเมตร สูงกว่าหลังคานบ้านเราเสียอีก”
“อะไรนะ? อสูรรึ?”
ทั้งคู่ซ่อนตัวอยู่ข้างในและไม่กล้าออกไปอีก
…
ภายในไม่กี่วินาที มู่หรงหยูและเมิ่งชวนก็มาถึงแม่น้ำสายใหญ่
“โอ้?” เมื่อเมิ่งชวนเห็นแม่น้ำเขาก็เข้าใจได้ในทันที ‘เพราะหนีข้าทางบกไม่ได้ ก็เลยจะใช้แม่น้ำหลบหนีอย่างนั้นรึ? ข้าไม่เก่งสู้ใต้น้ำด้วยสิ’
สำหรับจอมยุทธแล้ว การว่ายน้ำและดำน้ำตามปกติมันไม่เพียงพอ
ร่างเทพอสูรบางร่างที่มีคุณสมบัติธาตุน้ำมีความสามารถที่ให้ผู้ใช้เคลื่อนไหวในน้ำได้ไวเสียยิ่งกว่าปลา พวกเขาไวมาก และยังรักษาความแข็งแกร่งไว้ได้ วิชาอสูรบางวิชาจากนิกายอสูรฟ้าทำให้ผู้ใช้ของมันรักษาความแข็งแกร่งในการต่อสู้ใต้น้ำได้ค่อนข้างสูง การฝึกฝนของเมิ่งชวนนั้นไม่ได้ช่วยให้เขาต่อสู้ในน้ำได้เก่งขึ้น เขาใช้พลังได้ไม่เต็มที่เมื่ออยู่ใต้น้ำด้วยซ้ำ
‘ฮึ! มันเร็วมาก มันต้องมีร่างเทพอัสนีเป็นแน่ แต่ข้าไม่คิดว่ามันจะกล้าตามข้าลงไปในน้ำเป็นแน่’ มู่หรงหยูพุ่งไปทางแม่น้ำ
ในตอนนี้ มู่หรงหยูเลิกคิดจะจับเมิ่งชวนแบบเป็นๆแล้ว ที่เขาต้องการมีเพียงการเอาชีวิตรอด นี่เป็นเพราะเมิ่งชวนเร็วจนเกิดคาด ขนาดยืมมือเขาฆ่าถูได้…มันทำให้ความมั่นใจของเขาหายไปจนสิ้น
‘ตราบใดที่ข้าสามารถหลบหนีไปได้และรายงานเรื่องนี้ให้ระดับสูง ข้าก็จะได้รับแต้มมากมาย เมิ่งชวนซ่อนความแข็งแกร่งไว้ได้ดีจริงๆ มันเข้าถึง “พลังกระบี่” ได้มาซักพักแล้ว’
วิชากระบี่ของเมิ่งชวนนั้นประณีตเกินไป ดูไม่เหมือนมือใหม่ที่เพิ่งเข้าใจ”พลังกระบี่”
ความจริงมันเป็นเวลานานกว่าครึ่งปีแล้วที่เมิ่งชวนตระหนักรู้ถึง “พลังกระบี่” นอกจากนี้เขาได้หลอมรวมเคล็ดของกระบี่ตัดอัสนีเข้ากับวิชากระบี่ของเขาทำให้มันงดงามยิ่งขึ้น ด้วยขอบเขตสิบก้าวของเขา เมิ่งชวนจึงเก่งกาจในการต่อสู้มาก และทำให้มู่หรงหยูรู้สึกได้ว่าเมิ่งชวนได้ตระหนักรู้ถึงพลังมาซักพักแล้ว
อ่านตอนล่าสุดที่ mynovel.co หรือ www.thainovel.com
‘มันน่าจะตระหนักรู้ “พลังกระบี่” เมื่อตอนอายุสิบหก ไม่สิ อาจจะตอนอายุสิบห้า เวลาในรายงานที่ว่ามันบรรลุวิชาลับตอนไหนน่าจะเป็นของปลอม มันน่าจะจะค้นพบวิชาลับตั้งแต่อายุสิบเอ็ดไม่ก็สิบสองปี ข้าเสียเปรียบให้แก่มันทั้งๆที่ข้าควบแน่นแก่นอสูรมาเป็นปีแล้ว พรสวรรค์ของมันช่างน่ากลัวยิ่งนัก ถ้าหากข้ารายงานเรื่องนี้ให้อสูรฟัง มันจะต้องถูกตั้งค่าหัวเป็นแน่ ถ้าเป็นเช่นนั้น ไม่นานมันก็จะตาย’
โอ๋? จู่ๆมู่หรงหยูก็รู้สึกว่าเมิ่งชวนเพิ่มความเร็วขึ้น ในพริบตามันก็อยู่ข้างหลังเขา มันเอาจริง ก่อนหน้านี้ที่เมิ่งชวนฆ่าถู มู่หรงหยูก็ได้เห็นความเร็วที่แท้จริงของเมิ่งชวน แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังตกใจอยู่ดีเมื่อได้เห็นเป็นครั้งที่สอง
มันเร็วเกินไป!
ฟุบ
หลังจากยืนยันว่ามู่หรงหยูจะหลบหนีไปทางแม่น้ำ เมิ่งชวนก็ไม่รอช้าอีกต่อไป เดิมทีแล้วที่เขาถ่วงเวลาก็เพราะจะรอให้ญาติผู้ใหญ่มา อย่างไรก็ตามหากเขารออีกฝ่ายจะกระโดดลงแม่น้ำและหนีไป
“ฆ่า!” เขาตัดสินใจเสี่ยงดวงเป็นครั้งสุดท้าย เขาหลอมรวม “พลังแห่งวิญญาณ” เข้ากับร่างกายของเขา การควบคุมร่างกายและพลังปราณของเขาสมบูรณ์แบบ ทำให้เมิ่งชวนรู้สึกมีอำนาจ เขาปลดปล่อยพลังของเขาและไล่ตามมู่หรงหยู ในจังหวะนั้นเอง เขาก็ตวัดกระบี่ของเขา
ขณะที่กระบี่ฟาดลงไปนั้น สายฟ้าในร่างของเขาก็ระเบิดออก
กระบวนท่าที่ 17 ของกระบี่ตัดอัสนี การโจมตีครั้งแรกของเบญจโลกาอัสนี!
หากท่าชักกระบี่นั้นมีไว้สำหรับการลอบโจมตี ถ้าเช่นนั้นเบญจโลกาอัสนีนั้นก็เป็นท่าจู่โจมที่รุนแรงที่สุด ที่มีพลังรุนแรงมหาศาล
การโจมตีครั้งนี้รวดเร็วราวกับสายฟ้าและท่วงท่าที่งดงามมาพร้อมกัน
มันเร็วมาก มู่หรงหยูรู้สึกว่าการโจมตีของเมิ่งชวนนั้นเร็วเกินไป การโจมตีนี้เร็วยิ่งกว่าครั้งก่อนๆเสียอีก
‘มันทำอะไรข้าไม่ได้หรอก’ มู่หรงหยูใช้วิชาต้องห้ามทันที ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นอย่างมาก และกระบี่คู่ของเขาก็ปิดผนึกพื้นที่ตรงหน้าอย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยเสียงอาวุธที่กระทบกัน มู่หรงหยูก็ปัดป้องการโจมตีได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ตูม!
เมิ่งชวนรุดโจมตีครั้งต่อไป
การโจมตีครั้งที่สองนั้นมีพลังของการโจมตีครั้งแรกติดไปด้วย สายฟ้าในร่างกายของเขาพุ่งสูงขึ้น พลังปราณของเขาก็พุ่งออกมาราวกับคลื่นยักษ์ ท่ากระบี่นี้รุนแรงเสียยิ่งกว่าเดิม แม้ว่าลำแสงกระบี่จะมีความยาวเพียงสามจ้าง แต่ก็แข็งแกร่งกว่าท่าชักกระบี่อัสนี้ขั้นสูงสุดที่เขาเคยใช้เมื่อก่อนหน้านี้
ภายใต้ท้องฟ้าที่มืดมิด ภาพในตาของมู่หรงหยูพร่ามัว ท่ากระบี่มันทำให้เขามองไม่เห็น
ป้าง! มู่หรงหยูเก่งกาจในกระบี่คู่ของเขาอยู่แล้ว เขาสามารถสกัดกั้นการโจมตีได้อย่างยากลำบาก อย่างไรก็ตามลำแสงนั้นมันส่งแรงกระแทกที่หนักหน่วงไปถึงอวัยวะภายในของเขา ร่างกายของมู่หรงหยูสั่นสะท้าน และโพรงจมูกของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นเลือด
คราวนี้ การโจมตีครั้งที่สาม! เมิ่งชวนเบิกตาที่เต็มไปด้วยจิตสังหารมหาศาล หลังจากที่ใช้ “พลังแห่งวิญญาณ” ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมิ่งชวนสามารถปลดปล่อยการโจมตีครั้งสุดท้ายได้เพียงครั้งเดียว มันเป็นฟางเส้นสุดท้าย
เขาใช้กระบวนท่ากระบี่ตัดอัสนีที่17ได้เพียงแค่นิดหน่อย เข้าเข้าใจแค่สองท่า ท่าที่สามเขายังไม่รู้
อย่างไรก็ตาม เขาใช้ความรู้เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวสองครั้งแรกเพื่อบรรลุการโจมตีครั้งที่สามในรูปแบบของตัวเอง สายฟ้าภายในร่างกายของเขาแผลงฤทธิ์ พลังปราณของเขาไหลผ่านเส้นชีพจรของเขาเป็นระลอกคลื่น เขาระงับพลังงานนี้ไว้ไม่อยู่ เขาไม่สามารถเปลี่ยนเส้นทางและส่งพลังงานไปสู่การโจมตีครั้งที่สี่ได้ สิ่งที่เขาทำได้คือปลดปล่อยพลังทั้งหมดของเขาออกมาโดยไม่คิดอะไรเลย
ขวับ
สายฟ้าและพลังปราณในร่างกายของเขาเข้าสู่กระบี่ในการโจมตีครั้งสุดท้ายของเขา
ขวับ
มันไม่เหมือนกับการโจมตีสองครั้งก่อนหน้านี้ การโจมตีสองครั้งแรกทรงพลังและทรงอำนาจ การโจมตีแต่ละครั้งเร็วและมีรุนแรงขึ้นกว่าก่อนหน้านี้ แต่การโจมตีครั้งที่สามนั้นอ่อนโยน มันคือกระบี่เงาจันทราที่เขาฝึกฝนมาเป็นเวลานาน! เขาเคยวิชานี้เพื่อฆ่าถูชาง อย่างไรก็ตามความเร็วในการฟาดกระบี่เงาจันทรานี้ไวยิ่งกว่าเดิม ท้ายที่สุดแล้ว พลังที่สะสมมาจากสองท่าแรก มันทำให้เขาใช้ท่ากระบี่เงาจันทราที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดออกมาได้
วิชากระบี่นั้นอ่อนโยนและสะพรึง และวิถีของมันก็คาดเดาไม่ได้
นี่เป็นการผสานระหว่างท่าที่เมิ่งชวนคิดขึ้นเอง ด้วยการผสานสองท่าแรกของเบญจโลกาอัสนี และต่อท่าที่สามด้วยกระบี่เงาจันทรา!
เป็นการผสมผสานกันระหว่างความรุนแรงและนุ่มนวล
‘แย่แล้ว’ มู่หรงหยูเคยชินกับการสกัดการโจมตีที่รวดเร็วและรุนแรง มันเตรียมพร้อมที่จะป้องกันการโจมตีครั้งที่สาม แต่ใครจะคิดว่าการโจมตีครั้งที่สามจะเปลี่ยนจากรุนแรงกลายเป็นอ่อนโยนในทันใด มู่หรงหยูพยายามจะปัดมันอย่างเอาเป็นเอาตาย
กระบี่ของมู่หรงหยูปะทะเข้ากับลำแสงกระบี่ แต่แสงนั้นเหมือนกับแสงจันทร์ที่สาดส่องลงมา มองเห็นได้ แต่จับต้องไม่ได้
เมื่อกระบี่คู่ของมู่หรงหยูสัมผัสกับลำแสงกระบี่ พลังแปลกๆก็ทะลวงการป้องกันของเขาเข้ามา และลำแสงกระบี่ก็โผล่ออกมาตรงหน้าเขา
‘ไม่ดีแล้ว’ ใจของมู่หรงหยูตกลงไปที่ตาตุ่ม เมื่อเขาปัดป้องการโจมตีไม่ได้ ได้แต่ยกแขนขึ้นมากัน
ฟึบ!
ลำแสงกระบี่อ่อนๆวูบขึ้น
แขนปลิวออกไป และรอยเลือดก็ปรากฏขึ้นมาบนอกของมู่หรงหยู
‘ข้าจะตายด้วยน้ำมือของเมิ่งชวนอย่างนั้นรึ?’ ใจของมู่หรงหยูเย็นวาบ แม้เขาจะรอดจากการโจมตี แต่เขาก็สูญเสียแขนไป และแผลเหวอะตรงหน้าอกของเขามันก็ทำให้แรงของเขาหายไปอย่างมาก ในตอนนี้เขามีกำลังเหลือเพียงครึ่งเดียว
ขนาดใช้แรงเต็มที่เขายังพ่ายแพ้
ด้วยพละกำลังที่มีเหลืออยู่เพียงครึ่งเดียว มู่หรงหยูจึงรู้สึกหมดกำลังใจ
‘ข้ายังฆ่ามันไม่ได้อย่างนั้นรึ?’ เมิ่งชวนขนลุกซู่ การใช้พลังวิญญาณมันทำให้เขาอ่อนแรง เขาใช้พลังเต็มที่ไม่ได้อีกแล้ว เมื่อไม่มีพลังวิญญาณ อย่างมากเขาก็แข็งแกร่งได้เท่ากับรองหัวหน้าสาขาทั้งสอง แม้มู่หรงหยูจะบาดเจ็บ แต่เขาก็ไม่มั่นใจว่าจะฆ่ามันได้
ตอนที่ 45 เจ้านี่มันปีศาจหรืออย่างไร!
ผู้นำสำนักอสูรฟ้าสาขาย่อยมู่หรงหยู และรองหัวหน้าสาขา ถูชาง นั้นเต็มไปด้วยความมั่นใจในตอนแรก พวกมันคิดว่าสามารถต้อนให้เมิ่งชวนจนมุมได้แล้วจากทั้งสามด้าน
แต่ใครจะไปคิดว่าเมิ่งชวนที่กำลังหลบหนีจะหันกลับมาและจู่โจม!
การโจมตีครั้งนั้นช่างน่าอัศจรรย์! วงกระบี่ที่สวยงามระยับตาที่ยาวกว่า 10 ก้าว! และมันฆ่าสหายของพวกมันไปในการฟันเพียงครั้งเดียว
‘พี่เกาตายแล้วอย่างนั้นรึ? แค่ในการโจมตีเดียวรึ?’ ถูรู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจ
‘ท่ากระบี่นั่น’ ชายคิ้วขาว มู่หรงหยู ก็ตื่นตระหนกไม่แพ้กัน ‘การจู่โจมนั้นเร็วและกะทันหันเกินไป มีแค่ข้าเท่านั้นที่พอจะป้องกันได้ น้องเกากับน้องถูกันมันไม่ได้เป็นแน่ เจ้าเมิ่งชวนมันพึ่งจะย่างเข้า 17 ในปีนี้เอง! มันจู่โจมเพียงครั้งเดียวก็ฆ่าน้องเกาที่สามารถปล่อยกลิ่่นอายอสูรได้ เจ้านี่มันปีศาจหรืออย่างไร?’
‘เมิ่งชวนมันแข็งแกร่งเกินไป ไม่ด้อยไปกว่าอัจฉริยะในตำนานเลย’ ถูลุกลี้ลุกลน เมิ่งชวนมีพลังมากเกินไปมีจนนึกไม่ถึง สมควรแล้วที่อัจฉริยะที่น่าสะพรึงเช่นนี้มีแค่ในตำนาน
“เมิ่งชวน เมิ่งชวน…” ชายหลังค่อมที่ตอนนี้มีเพียงลำตัวส่วนบน จับลงไปบนพื้นด้วยกรงเล็บของเขา มันยังคงยึดติดและจ้องมองไปที่เมิ่งชวน สำหรับจอมยุทธ์เช่นมันแล้ว แม้จะถูกผ่าร่างเป็นสองส่วนแต่ก็ยังคงรักษาชีวิตไว้ได้ครู่หนึ่ง
แทนที่จะหนีไป เมิ่งชวนหยุดและหันมามองที่ชายหลังค่อม
ฟุบ
เพียงสะบัดดาบ ก็มีจุดสีแดงปรากฏขึ้นระหว่างคิ้วของชายหลังค่อม และดวงตาของมันก็เบิกกว้าง ก่อนที่แขนของมันจะทรุดลงอย่างอ่อนแรงและไม่ส่งเสียงอีก
จากนั้นเมิ่งชวนก็มองไปทางถู และพูดเบาๆ “ถึงตาของเจ้าแล้ว” พูดจบเขาก็กลายเป็นภาพติดตาที่พึ่งเข้าใส่ถู ที่ผ่านมาเมิ่งชวนเล่นละครไว้ตลอด
เพราะเขาไม่มีทางเลือก
เขาคิดไว้แล้วว่าชายคิ้วขาวนั้นมีพลังมหาศาล ด้วยกระแสพลังที่มากกว่าพ่อหรือลุงหลิวด้วยซ้ำ แม้จะใช้พลังทั้งร่างหรือใช้ “พลังแห่งวิญญาณ” เข้าสมทบด้วย เขาก็ยังไม่มั่นใจเลยว่าจะจัดการกับมันได้ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะฆ่าศัตรูที่อ่อนแอกว่าไปก่อนทีละคน! เขาจึงล่อให้พวกมันตามมาและหนีไปทางชายหลังค่อมอย่างจงใจ
ท่าชักกระบี่นั้นเป็นแค่แผนรอง แผนของเขาจริงๆนั้นคือกลยุทธ์ทางจิตวิทยา ที่จะล่อให้ศัตรูคิดว่าจะจับเขาได้อย่างง่ายดาย และในจังหวะนั้นเองที่เขาจะฟาดฟัน!
มันเป็นเรื่องที่ไม่มีใครคาดคิด ตอนนั้นเองศัตรูจะประมาท และในตอนนั้นเองมันก็จะไร้การป้องกัน ในเสี้ยววินาทีนั้น ลำแสงกระบี่ก็ตัดผ่านคอของศัตรู
ดังนั้นกลยุทธ์ทางจิตวิทยาจึงมีความสำคัญต่อการชักกระบี่ จิตวิทยาเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เขาใช้ท่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกปัจจัยหนึ่งคือการทำซ้ำ 8000 ครั้งต่อวัน
หากเข้าปะทะกันโดยตรง ทั้งสองฝ่ายก็จะมีสมาธิกับสิ่งที่อยู่ข้างหน้าและเอาจริง ในตอนนั้น แม้เมิ่งชวนจะใช้ท่าชักกระบี่อัสนี ชายหลังค่อมก็จะกันมันได้โดยสัญชาตญาณอยู่ดี และความอันตรายของการจู่โจมครั้งนี้จะลดลงครึ่งหนึ่ง ลดโอกาสที่เมิ่งชวนจะฆ่ามันได้ เพราะถึงอย่างนั้น ศัตรูของเขาก็เป็นถึงจอมยุทธระดับไร้ตำหนิที่ตระหนักรู้ถึง ”พลัง” และสามารถใช้มนต์อสูรได้
นี่คือการต่อสู้ระหว่างชีวิตและความตาย จิตวิทยา สภาพแวดล้อม สภาพร่างกายขณะต่อสู้ ปัจจัยทุกอย่างมันกำหนดผลของการต่อสู้
…
เมื่อเห็นเมิ่งชวนฆ่าเกาและรีบวิ่งมาหาเขา หัวใจของถูก็เต้นรัว มันกำลังกลัว! “ศิษย์พี่ ช่วยข้าด้วย” ถูหันหลังและหนีไปทางมู่หรงหยู
อ่านตอนล่าสุดที่ mynovel.co หรือ www.thainovel.com
มู่หรงหยู พุ่งเข้าใส่สหายของเขาเต็มแรง ก่อนที่เมิ่งชวนจะตามทันถู เขาไปถึงถูก่อน
“เตรียมตัวตาย” มู่หรงหยูไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย เขาชักกระบี่คู่ขึ้นมาและพุ่งเข้าไปฟันใส่เมิ่งชวน
โอ๋? เมิ่งชวนขมวดคิ้ว
กระบี่คู่ทั้งสองจู่โจมเข้ามาพร้อมกับอายอสูรสีเทา ผ่าอากาศออกเป็นส่วนราวกับเต้าหู้ ไม่มีลำแสงกระบี่เกิดขึ้น ลำแสงกระบี่นั้นเกิดจากแรงดันอากาศความดันสูงที่เกิดจากการฟันด้วยความเร็วสูง ในระดับมู่หรงหยู เขาสามารถคุมพลังจากสวรรค์และผืนดินได้ แค่แรงดันอากาศมันไม่เป็นอุปสรรคหรอก
การโจมตีคู่นี้ชัดเจนมาก”ประสาทสัมผัส”ของเขาและมันช่างน่ากลัว มันไม่ได้ด้อยไปกว่าท่าชักกระบี่อัสนีของเขาเลย
ข้ากันมันไม่ได้เป็นแน่หากข้าไม่หลอม “พลังแห่งวิญญาณ” เข้าไปในร่าง เมื่อคิดได้เช่นนี้ เมิ่งชวนก็หันหลังกลับโดยไวและถอยออกไปประมาณ 6 ก้าว
ฟุบ
เขาใช้วิชาเคลื่อนกาย ราวกับหมาป่าล่าเนื้อที่วนไปรอบๆมู่หรงหยูและถู และในบางครั้งเขาก็จะพุ่งเข้าไปเพื่อโจมตี
ถูไม่มั่นใจที่จะสู้กับเขาโดยตรง สิ่งที่มันทำมีเพียงแค่หลบทุกครั้ง
“มันเร็วเกินไป” ถูพูดขึ้น “ศิษย์พี่ เราจะทำอย่างไรดี?”
“มันเร็วเสียยิ่งกว่าข้าเสียอีก แม้มันจะมีร่างอัสนีที่มีความเร็วเป็นเลิศ แต่มันก็ไม่น่าจะเร็วขนาดนี้ รากฐานเทพอสูรของมันแข็งแกร่งแค่ไหนกัน” มู่หรงหยูไม่อยากเชื่อสายตา มันได้ควบแน่นแก่นอสูรแล้ว แม้ว่ามันจะฝึกฝนเคล็ดวิชาที่ไม่ได้มุ่งเน้นไปที่ความเร็ว แต่ความเร็วของมันก็ยังนับว่าค่อนข้างเร็วอยู่ดี
อย่างไรก็ตามมันกลับแพ้เมิ่งชวนในความเร็ว
มันไม่รู้ว่ารากฐานเทพอสูรของเมิ่งชวนนั้นเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของความเร็วเขา กายภาพของเขานั้นเทียบได้กับของรองหัวหน้าสาขาถูและเกาในช่วงระดับก่อกำเนิดช่วงปลายเลยด้วยซ้ำ และก็เป็นเรื่องปกติที่ร่างเทพอสูรของเขานั้นนำถูไปไกล
อีกทั้งเขายังได้รับกระบี่ตัดอัสนี ซึ่งเขาได้เรียนรู้กายภาพบางส่วนและวิชาพิเศษของพลังปราณ ที่เพิ่มความหนาแน่นของสายฟ้าในร่างกายของเขา และมันทำให้ทำให้เขาเร็วขึ้น
ดังนั้น แม้ในสภาวะปกติ เขาสามารถเคลื่อนที่ได้เร็วกว่ามู่หรงหยู
“เราสู้มันต่อไปแบบนี้ไม่ได้” มู่หรงหยูติดต่อผ่านกระแสจิต “ถ้าเรายังยื้อต่อไปแบบนี้ ตระกูลเมิ่งจะมาถึงและพวเราทั้งคู่จะตายเป็แน่”
“แล้วเราจะทำอย่างไรดี?” ถูถาม
“นายน้อยเมิ่งเป็นคนมีจิตใจเมตตา เราจะฆ่าคนแถวๆนี้และบังคับให้มันสู้กับเรา ตราบใดที่พวกเรายังอยู่ใกล้พอ และด้วยการรักษาชีพของเจ้าแล้ว มันทำให้เจ้านั้นแข็งแกร่งกว่าน้องเกา เจ้าไม่ต้องกังวล อย่างมากเจ้าก็แค่ต้องร่ายมนตร์ต้องห้าม นอกจากนี้ ข้ายังอยู่ข้างเจ้า” มู่หรงหยูกล่าวผ่านกระแสจิต
“เข้าใจแล้ว” ถูหรี่ตาลง ดวงตาของเขาเปล่งประกายสีแดงและอายอสูรสีดำรอบตัวเขาก็หนาแน่นขึ้น “ถ้าข้าใช้คาถาต้องห้าม ข้าพอที่จะจับมันไว้ได้ชั่วครู”
ตูม! ตูม! ทั้งสองพุ่งไปยังบ้านที่อยู่ใกล้ๆา และพวกมันก็พุ่งทะลุกำแพงเข้าไป
“เจ้าอยากจะตายสินะ!” เมิ่งชวนตาแดงฉาน เขาไม่ได้เร่งร้อนจนถึงเมื่อครู่นี้
จอมยุทธของนิกายอสูรฟ้าทั้งคู่จะสิ้นหากเขาสามารถยื้อพวกมันไว้ได้นานพอที่ญาติๆของเขาจะมาถึง เขายิงพลุออกไปแล้ว และมันก็ไม่ไกลจากคฤหาสน์บรรพบุรุษที่เมิ่งเซียนกูอาศัยอยู่ อย่างไรก็ตาม ความสิ้นหวังให้ความกล้าแม้จะกับคนขี้ขลาดก็ตาม จอมยุทธนิกายอสูรฟ้าทั้งสองคนเริ่มจะเล็งไปที่ชาวบ้านธรรมดา
ตูม!
เมิ่งชวนไม่สามารถสนใจสิ่งอื่นได้ พลังแห่งวิญญาณหลอมรวมกับร่างกายของเขาในทันที เสียงหัวใจดังขึ้นให้ได้ยิน ราวกับว่ามีลมกรรโชกแรงในปอดของเขา เสียงการทำงานของอวัยวะภายในของเขาชัดเจนมาก เลือดพุ่งพล่านราวกับสายน้ำ และพลังปราณก็ไหลผ่านทุกเส้นลมปราณในร่างกายของเขา การควบคุมร่างกายและพลังปราณของเขาก็เพิ่มขึ้นถึงขีดจำกัดใหม่ในทันที
ความเร็วของเขาเพิ่มขึ้น! ก่อนหน้านี้เขาไวกว่ามู่หรงหยูเพียงไม่มาก แต่ตอนนี้ เขาเร็วกว่ามาก
มู่หรงหยูและถูเพิ่งจะทะลวงเข้าไปในบ้านก่อนที่จะรู้สึกว่ามีคนอยู่ด้านหลัง
“เจ้านี่มันเป็นปีศาจหรืออย่างไรกัน!” พวกมันทั้งคู่หัวใจเต้นระรัวไปด้วยความหวาดกลัว
เมิ่งชวนไม่เคยเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเช่นนี้มาก่อน
ก่อนหน้านี้เขาได้หลอมรวม”พลังแห่งวิญญาณ”เข้ากับกระบี่ของเขาเพื่อปลดปล่อยท่าชักกระบี่อัสนีขั้นสุดยอดเพียงเท่านั้น แต่ตอนนี้เขาได้ผลักดันตัวเองไปสู่ความเร็วสูงสุด ที่เป็นจุดเด่นของเขา และทำให้ทั้งคู่ต้องหวาดกลัว
“เอาจริงเถอะ” ท่ามกลางวิกฤตการณ์กลิ่นอายอสูรสีดำของถูเปลี่ยนเป็นสีแดงเล็กน้อย ก่อนกระแสพลังกระหายเลือดจะปะทุออกมาจากร่างเขา
มู่หรงหยูก็ฟันกระบี่คู่ของเขาใส่เมิ่งชวนเช่นกัน
วูบ
แต่เมิ่งชวนนั้นเร็วเกินไป เขาตรงไปหาถูเพื่อจะโค่นมันอีกคน
“ตายซะ” ถูรู้ว่าไม่มีทางหนี ความเร็วราวกับอสูรของเมิ่งชวนนั้นน่ากลัวเกินไป ไม่มีทางที่จะหลบหนีเลย สิ่งที่ทำได้คือเหวี่ยงขวานในมือด้วยกำลังทั้งหมดที่มี
“ตายซะ” กระบี่คู่ของมู่หรงหยูขยับอย่างประณีต และวาดส่วนโค้งไปที่เมิ่งชวน
ฟุบ
ร่างที่พร่ามัวของเมิ่งชวนมาอยู่ต่อหน้าถูในชั่วพริบตา เมิ่งชวนหลบกระบี่ของมู่หรงหยูด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ กระบี่อีกอันถูกปัดเบี่ยงออกไปโดยกระบี่ของเมิ่งชวน หลังจากฝึกปัดฝนธนูมาหลายปี ความสามารถในการป้องกันและการเบี่ยงเบนของกระบี่เขานั้นก็รวดเร็วขึ้นมาก
กระบี่คู่ลงเอยด้วยการมุ่งหน้าไปยังถูแทน
“อะไรกัน?” มู่หรงหยูและถูตกใจมาก
‘กลายเป็นการโจมตีใส่กันเองได้อย่างไรกัน?’ มู่หรงหยูชักดาบกลับในขณะที่ถูหลบ
ฉุบ
มันเป็นการฟันที่นุ่มนวล นุ่มนวลและแผ่วเบาจากความมืด
ในขณะที่ถูหลบกระบี่สองคมของมู่หรงหยู เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนจะพบว่าลำแสงกระบี่จางๆได้มาถึงคอของเขาแล้ว และมันก็ตัดผ่านเขาไปโดยที่ไม่ทันได้ตอบสนอง
มือที่กำขวานของถูคลายออกและขวานก็ตกลงพื้นพร้อมกับเสียงดัง เขาคว้าที่บาดแผลที่ลำคอแบบสั่นๆ เขายังอยากมีชีวิตอยู่ แต่การโจมตีครั้งนี้มันร้ายแรงเกินไป!
เมิ่งชวนเดินไปด้านข้างและมองถูที่กำลังจับคอด้วยความเย็นชา ก่อนจะมองไปที่มู่หรงหยูที่กำลังตกใจ
‘เป็นไปได้อย่างไรกัน? กลายเป็นข้าช่วยมันไปอย่างนั้นรึ?’ มู่หรงหยูไม่เชื่อสายตาตัวเอง
เมิ่งชวนไม่แปลกใจเลย
ตำแหน่งของมู่หรงหยูและถู ความเร็วในการเคลื่อนที่ และการเคลื่อนไหวทั้งหมดถูกเมิ่งชวนจับตามองไว้หมดแล้วในระยะ 10 ก้าวรอบตัว และความเร็วที่เกินจินตนาการ เขาแค่ต้องจัดวางตำแหน่งของตัวเองให้ดีและปัดป้องการโจมตีเต็มแรงของศัตรูใส่เพื่อนของตัวเอง
และเพียงเท่านั้นก็เพียงพอแล้วที่จะพรากเอาชีวิตถูไป
“เหลือเจ้าคนเดียวแล้ว” เมิ่งชวนมองไปที่มู่หรงหยู
ตอนที่ 44 การลอบสังหารในยามค่ำคืน
คืนที่ 6 กุมภาพันธ์
เมิ่งชวน หลิวชีเยว่และเหยียนจินเดินออกจากร้านอาหารหยุนเจียง
“คราวหน้าข้าจะเอาชนะเจ้าได้อย่างแน่นอน” เหยียนจินกล่าว
“แต่ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาเจ้าแพ้ไปแล้วสามครา” เมิ่งชวนกล่าวพร้อมกับหัวเราะ นับตั้งแต่ที่เมิ่งชวนต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ช่วยชีวิตเหยียนจินเมื่อคราวสวนหิน ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็เบ่งบาน เหยียนจินจะไปจิงหูเมิ่งเป็นครั้งคราวเพื่อประลองกับเมิ่งชวน เขามีรากฐานเทพอสูรที่แข็งแกร่งและวิชากระบี่คู่หยินหยางของเขาก็ทรงพลังเช่นกัน แม้เขาจะไม่รู้ แต่ว่าเมิ่งชวนก็เข้าถึง “พลัง” ได้เมื่อนานมาแล้ว
ดังนั้นในการประลองทั้งสามนัดกับเมิ่งชวน เหยียนจินจึงพ่ายแพ้อย่างหวุดหวิดเสมอ
ไม่มีอะไรที่เขาสามารถทำได้ ตอนนี้เมิ่งชวนต้องซ่อน “พลัง” ของเขาและปลดปล่อยมันออกมาได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้น การเอาชนะเหยียนจิน ที่ยังไม่ได้บรรลุถึง “พลัง” ก็ค่อนข้างง่าย แต่กลายเป็นว่าการเก็บซ่อนความแข็งแกร่งของเขานั้นยากยิ่งขึ้น
“ข้าเริ่มจะเข้าใจใน “พลัง” ขึ้นมาบ้างแล้วหลังจากที่ได้ประลองกับเจ้า” เหยียนจินมองไปที่เมิ่งชวน “ครั้งหน้า ข้าจะแข็งแกร่งกว่าตอนนี้เป็นแน่”
“ถ้าอย่างนั้นข้าจะรอ” เมิ่งชวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เข้าใจใน “พลัง”? อย่าโม้ดีกว่าน่า” หลิวชีเยว่ที่อยู่ข้างๆพูดขึ้น
“หึ” เหยียนจินขี้เกียจที่จะโต้เถียงและหันไปหน้าหนี
อย่างไรก็ตาม เมิ่งชวนสัมผัสได้ถึงกระแสพลังอันทรงพลังอยู่ห่างออกไปหลายสิบก้าวจากเหยียนจิน มันกำลังตามเขาไปอย่างลับๆ อันที่จริงแล้ว เมื่อใดก็ตามที่เหยียนจินมาจิงหูเมิ่งเพื่อประลองกับเขา กระแสพลังนั่นก็คอยเฝ้ารออยู่นอกที่พักของเขาเช่นกัน
คนรับใช้คนเก่าไม่ได้ติดตามเขาอีกต่อไป แต่กลับมีจอมยุทธลึกลับติดตามเขามาอย่างลับๆ เหมือนว่าตระกูลของเขาจะส่งคนคุ้มกันที่แข็งแกร่งกว่าเดิม หลังจากที่เขาได้รับบาดเจ็บครั้งล่าสุด
“อาชวน เหยียนจินบอกว่าเขากำลังจะบรรลุถึง “พลัง” แล้วเจ้าล่ะ?” หลิวชีเยว่ถาม “อย่าแพ้เขาล่ะ”
“ข้าจะบอกความลับอะไรให้เจ้าฟัง” เมิ่งชวนกระซิบ “ข้าคิดว่าข้าน่าจะบรรลุถึง “พลัง” ภายในไม่กี่เดือน”
“เจ้าเองก็รู้สึกถึง “พลังกระบี่” ด้วยหรือ?” หลิวชีเยว่รู้สึกประหลาดใจ แต่หูของเธอเริ่มเป็นสีแดง
“ใช่แล้ว แต่เจ้าต้องเก็บเป็นความลับนะ”
“แน่นอน ข้าจะเก็บเป็นความลับอย่างแน่นอน” หลิวชีเยว่พยักหน้าทันที
เมื่อเห็นชีเยว่เช่นนี้เมิ่งชวนก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาๆ
พวกเขาเดินไปพร้อมกันขณะมุ่งหน้ากลับบ้าน ตอนนี้ยังเป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ กลางคืนจึงยังหนาวเย็น ทั้งคู่เดินแนบชิดติดกันไป
‘ชีเยว่ก็โตขึ้นแล้ว’ เมิ่งชวนมองไปที่หลิวชีเยว่และถอนหายใจ เขาจำตอนที่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆน้ำมูกย้อยคนนี้ถูกลุงหลิวพามาฝากฝังที่ตระกูลเมิ่งได้อย่างชัดเจน เพียงชั่วพริบตา ตอนนี้เธอก็สิบหกปีแล้ว
แม้ว่าเขาจะขยันหมั่นเพียรฝึกฝนวิชาตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่เขาก็ใช้เวลาอยู่กับชีเยว่ทุกวัน และบางครั้งเขาก็จะถูกชีเยว่ลากออกไป “กินเลี้ยง” บ้าง แม้ว่าเขาจะต้องปวดใจกับเงินที่หายไป แต่ว่ามันก็เป็นช่วงเวลาที่มีความสุข
ลมหนาวต้นฤดูใบไม้ผลิที่พัดมามันหนาวไปถึงกระดูก แต่เมิ่งชวนกลับรู้สึกดี
‘โอ๊ะ?’ หัวใจของเขาสั่นสะท้าน เมื่อรู้สึกได้ถึงกระแสพลังอสูรที่ทรงพลังสามตัวปรากฏขึ้นหนึ่งลี้จากเขา และมันกำลังพุ่งมาหาเขาอย่างรวดเร็ว
‘มันเป็นจอมยุทธของนิกายอสูรฟ้าจากสวนหินร้างรึ?’ เมิ่งชวนจำหนึ่งในนั้นได้ทันที ในตอนนั้นพลังอสูรของชายหลังค่อมมันทิ่มแทงเข้ามาในร่างของเขา ทำให้เจ็บปวดอยู่ไม่น้อย ตอนนั้นท่านลุงของเขาได้ช่วยเขาขับไล่กลิ่นอายอสูรนั่นออกไป ดังนั้นเมื่อเขาสัมผัสถึงกระแสพลังของอสูรทั้งสามได้ ก็พบว่าหนึ่งในนั้นมันช่างคุ้นเคย เขาแน่ใจว่าต้องเป็นคนหลังค่อมแน่ๆ
มีสามกระแส กระแสพลังที่อ่อนแอกว่าทั้งสองนั้นคล้ายกับของพ่อและของคนอื่นๆ อย่างไรก็ตามมีอีกกระแสพลังที่แข็งแกร่งกว่าของพ่อและลุงหลิว พลังนี้มันช่างทรงพลังและแปลกประหลาด เมิ่งชวนรู้สึกได้ถึงความอันตราย
พวกมันเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว ‘มันเล็งข้าไว้อย่างนั้นรึ? หรือมันเล็งคนอื่น’ เมิ่งชวนได้แค่เดา
เขารีบตัดสินใจในทันทีและพูดกับหลิวชีเยว่ว่า “ชีเยว่ ข้าเพิ่งนึกอะไรบางอย่างได้ข้าต้องไปที่คฤหาสน์บรรพบุรุษทันที กลับไปได้เลยไม่ต้องมีข้า”
“เจ้ากำลังจะไปยังคฤหาสน์ของบรรพบุรุษหรือ? เข้าใจแล้ว” หลิวชีเยว่พยักหน้า “แต่อย่าให้เป็นเหมือนคราวก่อนอีกล่ะ ทิ้งข้าไว้แล้วไปที่หอเมฆาครามเพื่อฆ่ากลุ่มโจรเมฆาโลหิตสองคนนั่น”
“เจ้าคิดว่าจะได้เจอกับกลุ่มโจรเมฆาโลหิตง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ?” เมิ่งชวนหัวเราะ “เอาล่ะ ข้าจะไปแล้วนะ” เมื่อพูดเช่นนั้น เขาก็หันกลับหลังเดินไปทางคฤหาสน์บรรพบุรุษ
หลิวชีเยว่ไม่ได้คิดอะไรมากและเดินกลับไปที่คฤหาสน์เมิ่ง
…
‘พวกมันไม่ได้ตามชีเยว่แต่ยังตามข้ามาอยู่’ เมิ่งชวนเดินไปบนถนนที่เงียบเชียบ พลเมืองของเมืองตงหนิงส่วนใหญ่นอนหลับตั้งแต่หัวค่ำ เพราะเทียนมีราคาแพงมากและคนธรรมดาต้องประหยัด
นอกจากร้านอาหารและร้านน้ำชา หลายๆที่ก็ยังคงมืดสนิท
ลมหนาวพัดมา
เมิ่งชวนเดินไปคนเดียว
ซุบๆๆ!
จอมยุทธของนิกายอสูรฟ้าทั้งสามร่อนลงบนหลังคาอย่างเงียบๆ ในขณะที่พวกเขามองไปยังร่างเดินคนเดียวอยู่ไกลๆ ดวงตาของชายคิ้วขาวสะท้อนแสงสีทองจางๆ เขาสามารถมองเห็นได้ไกลเกือบหนึ่งกิโลเมตรตอนกลางคืน แต่ตอนกลางวันน้อยกว่านี้
“ศิษย์พี่ มันกำลังมุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์บรรพบุรุษของตระกูลเมิ่ง” ชายหลังค่อมกล่าวเบาๆ
รองหัวหน้าถูกล่าวทันที “เราต้องรีบจัดการทันที หากเราปล่อยให้มันเดินต่อไป เราจะอยู่ใกล้กับคฤหาสน์บรรพบุรุษของตระกูลเมิ่งมากเกินไป หากเราจู่โจมมันและมันส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ…เมิ่งเซียนกูคงจะมาถึงในไม่ช้า”
“ใช่” ชายคิ้วขาวพยักหน้า “ข้าจะซุ่มโจมตีเขาจากด้านหลังและจับมันไปเป็นๆ เจ้าสองคนต้องซุ่มโจมตีเขาจากด้านหน้า ถ้าเราซุ่มโจมตีล้มเหลว เราจะล้อมมันจากสามด้าน แทน มันหนีไปไหนไม่ได้”
ชายหลังค่อมและรองหัวหน้าถูพยักหน้า “ได้” ทั้งสองคนเชื่อมั่นในความสามารถของศิษย์พี่
“ไป” ชายคิ้วขาวออกคำสั่ง
ทั้งสามคนวิ่งแยกกันไปอย่างรวดเร็ว ชายคิ้วเข้าไปทางด้านหลังเงียบๆ ในขณะที่ชายหลังค่อมและอีกคนวิ่งไปข้างหน้าเพื่อปิดกั้นเส้นทางของเมิ่งชวน
…
‘มันมาแล้ว’ เมิ่งชวนสามารถสัมผัสได้มันได้อย่างชัดเจน และในตอนนี้เขากำลังสงบนิ่งรอ
กระแสพลังที่ทรงพลังกำลังมุ่งหน้าเข้ามาหาอย่างรวดเร็วโดยไม่ส่งเสียง
‘โอ๊ะ?’ เมิ่งชวนรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างขณะที่เขาหันหน้าไปทางชายคิ้วขาวที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 8 ก้าว ชายคิ้วขาวเป็นคนตัวสูง ดวงตาของเขายาวและหรี่ ม่านตาของเขาเป็นสีทอง คิ้วสีขาวของเขายาวจนมันลู่ลงมา กลิ่นอายอสูรสีเทาปกคลุมร่างกายของเขา และในมือทั้งสองข้างของเขาถือกระบี่สองคม
ตาของเขาปะกัน
เมื่อเมิ่งชวนเห็นจอมยุทธคิ้วขาวคนนั้น มันก็เปล่งพลังอสูรออกมา สีหน้าของมันเปลี่ยนไปโดยพลัน และเพียงวูบเดียว เขากลายเป็นภาพเบลอๆขณะพุ่งมาข้างหน้า
‘มันเจอข้าก่อนที่ข้าจะได้ทำอะไรเลยรึ’ มู่หรงหยูเป็นเหมือนนกยักษ์ในความมืดมิด แต่มันอยู่ห่างออกไปเกือบ 8 ก้าว ถึงอย่างนั้นก็ถูกเจอตัว และนี่ทำให้มันประหลาดใจมาก
มันไม่รู้ตัวว่า พอมันเข้าไปอยู่ในระยะ 10 ก้าวจากเมิ่งชวน เมิ่งชวนก็ “เห็น” มันได้อย่างชัดเจน และเขาหันกลับไปมองอย่างตั้งใจเพื่อดูศัตรู
มู่หรงหยูเชี่ยวชาญในการลอบโจมตีและลอบสังหาร มันมักจะซ่อนตัวอยู่ข้างหลังศัตรูโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว แต่ตอนนี้เขากลับโดนเจอตัวในค่ำคืนอันหนาวเหน็บนี้ทั้งที่ห่างออกไป 8 ก้าว มู่หรงหยูรู้สึกเจ็บใจ
‘มันแค่โชคดีที่หันกลับมาพอดี’ มู่หรงหยูไม่มีเวลาคิด
ซุบ!
เมิ่งชวนที่กำลังหนีได้นำพลุขอความช่วยเหลือออกมาใช้ทันที แสงพลุพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าเป็นที่เด่นสะดุดตาในความมืด
มู่หรงหยูตะโกนอย่างเย็นชา “สกัดมัน!”
‘วิ่ง’ เมิ่งชวนวิ่งหนีด้วยความตื่นตระหนก แต่เขาเร็วมาก
“นายน้อยเมิ่ง เจ้าเร็วขึ้นกว่าเดิมอีกนะ” ร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากความมืด ไม่ใช่ใครอื่นใดนอกจากชายหลังค่อมที่เปล่งกลิ่นอายอสูรสีเขียว ดวงตาสีเขียวของชายหลังค่อมจ้องมาที่เขาขณะที่กำลังพุ่งไปข้างหน้า
“อัจฉริยะพัฒนาเร็วเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว” อีกร่างหนึ่งวิ่งอยู่จากอีกด้าน รองหัวหน้าสาขากล้ามโตที่เปล่งกลิ่นอายอสูรสีดำ ถู หัวเราะเบาๆ ขณะที่ถือขวานขนาดใหญ่ เขาดูราวกับหมียักษ์
“อะไรกัน!?” เมิ่งชวนทำเหมือนกำลังโกรธเกรี้ยวและตื่นตระหนก
เบื้องหลังเขาคือจอมยุทธดวงตาสีทองคิ้วสีขาวที่น่าสะพรึง เขาพยายามที่จะหลบหนี แต่มีจอมยุทธอยู่ข้างหน้าเขา และแต่ละคนก็โจมตีเข้ามาจากทางด้านข้าง
“นิกายอสูรฟ้า! เจ้ากล้าซุ่มโจมตีข้าได้ยังไง! ตระกูลเมิ่งของข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปแน่นอน!” เขาตะโกน และหนีไปทางชายหลังค่อม
“ฮ่าฮ่า ตระกูลเมิ่งมาช่วยเจ้าได้ไม่ทันหรอก” เมื่อเห็นเมิ่งชวนเข้ามาหาเขา ชายหลังค่อมก็เข้ามาขัดขวางในทันที
กว่าครึ่งปีก่อน ชายหลังค่อมได้สู้กับเมิ่งชวน ในตอนนั้น มันยิงเล็บนิ้วมือใส่เขาจนทำให้เมิ่งชวนเกือบจะเสียชีวิตจากการบาดเจ็บสาหัส
ชายหลังค่อมมั่นใจมากๆ
“หยุด” ชายหลังค่อมสะบัดเล็บของเขาออกไปด้วยพลังอันน่าสะพรึงกลัว
ในระยะใกล้ขนาดนี้เมิ่งชวนแทบจะหลบไม่ได้เลย แต่นี่ทำให้ความเร็วของเขาลดลงมา
“ฮ่าฮ่า” ชายหลังค่อมหัวเราะเสียงดังขณะที่เขายื่นกรงเล็บอันแหลมคมออกมา มันกลายเป็นเงาคว้าเข้าไปที่เมิ่งชวน
เมิ่งชวนที่กำลังหลบหนีอย่างเอาตายโดนเล็บนั่นข่วนเข้าโดยไม่มีการเตือนใดๆ
เขาหลอม “พลังแห่งวิญญาณ” เข้าไปในร่าง พลังปราณของเขามากกว่าปกติถึงสิบห้าเท่า และร่างกายก็หลอมรวมไปอย่างสมบูรณ์แบบ หลังจากการหลอมรวมเสร็จ เขาปลดปล่อย “พลังกระบี่” ของเขาออกมา เมิ่งชวนฝึกฝนท่าชักกระบี่มาเป็นจำนวนมาก และมันเป็นการโจมตีที่เร็วที่สุด กระบวนท่าที่ 17 ของกระบี่ตัดอัสนีทำให้เขาได้ค้นพบวิธีที่ยอดเยี่ยมในการหลอมรวมร่างกายเข้ากับพลังปราณของเขา เมื่อใช้งาน มันจะทำให้สายฟ้าจากร่างเทพอัสนีของเขานั้นหนาขึ้น และทำให้เขาเร็วขึ้น
นับตั้งแต่ที่เขารวมความลับของกระบี่ตัดอัสนีเข้ากับท่าชักกระบี่ ความแข็งแกร่งของมันก็เพิ่มขึ้นเกือบ 50
สุดยอดท่าชักกระบี่อัสนี! ดวงตาของเขาส่องประกายด้วยความเย็นชา
ต่อจาก “พลังกระบี่” ก็มีพลังที่พวยพุ่งมาจากร่างของเขาที่เกิดมาจากพลังปราณ พลังที่สั่นคลอนโลกและสวรรค์ มันกลายมาเป็นกระบี่ที่น่าเกรงขามยาวหลาย10เมตร
ลำแสงกระบี่นั้นช่างสว่างจ้าจนยากที่จะมองเห็นดาบจริงๆ
ฉับ
ชายคนหลังค่อมที่ตอนแรกมั่นใจมาก พอมาเห็นลำแสงกระบี่มาปรากฏอยู่ตรงหน้า มันก็รีบใช้กรงเล็บทั้งสองปกป้องส่วนสำคัญของร่างโดยสัญชาตญาณ แต่ก่อนที่จะเห็นดาบนั่นฟันมามันก็เห็นเพียงท่อนล่างของตน
ร่างกายส่วนล่างของมันยังคงเคลื่อนไหว แต่ร่างกายส่วนบนตกลงไปบนพื้นแล้ว มันกลิ้งไปและย้อมพื้นให้เป็นสีเลือด
มันถูกฟันขาดเป็นสองท่อนในการโจมตีเพียงครั้งเดียว
ตอนที่ 43 ชิ้นส่วนโลหะทมิฬ
ภายในห้องโถง ชายหลังค่อมและถูมองไปที่ผู้นำสาขา
“ศิษย์พี่” ถูอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา “นี่เป็นส่วนหนึ่งของโลหะทมิฬจริงๆเช่นนั้นรึ?”
ชายคิ้วขาวพยักหน้า “ในประวัติศาสตร์ของเผ่าพันธุ์มนุษย์นี้ มีโลหะทมิฬบางส่วนได้หายไป และมันก็ได้รับการยืนยันว่าหายไปแปดชิ้น เหล่าอสูรก็ได้จดบันทึกหน้าตาของชิ้นส่วนทั้งแปดนั้นไว้เช่นกัน ในครานั้นที่ข้าได้อ่านผ่านบันทึกของพวกมัน ข้าก็ได้จดบันทึกเอาไว้แล้ว”
“เมื่อข้าบำเพ็ญวิชาบนภูเขา ข้าจะสามารถเข้าห้องสมุดได้เดือนละครั้ง” ถูกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แต่ข้ามักจะอ่านตำราวิชาเท่านั้น ไม่ได้สนใจที่จะอ่านหนังสือไร้ประโยชน์เหล่านั้นเลยด้วยซ้ำ ศิษย์พี่ ท่านเป็นคนที่เยี่ยมยอดจริงๆที่จดจำสิ่งเหล่านี้ไว้เสมอ มิฉะนั้นเราคงจะไม่รู้เรื่องโลหะทมิฬนี้แน่”
“ความรู้เหล่านี้นั้นถูกเก็บเป็นความลับสำหรับมนุษย์ แต่พวกอสูรไม่ได้ให้ความสนใจกับเจ้าสิ่งนี้มากนัก แม้ว่าพวกมันจะได้รับโลหะทมิฬไป… แต่พวกมันก็มิสามารถฝึกฝนได้ มันใช้เพื่อการอ้างอิงได้เท่านั้น” ชายคิ้วขาวกล่าว “ข้าระบุชิ้นส่วนที่กลุ่มโจรเมฆาเลือดขายจะให้เราได้แล้ว มันคือกระบี่ตัดอัสนี โลหะทมิฬของวิชากระบี่ตัดอัสนีนั้นถูกแยกออกเป็นยี่สิบหกส่วน”
“พวกอสูรกำหนดรางวัลสำหรับโลหะทมิฬที่สมบูรณ์ไว้อยู่ที่หนึ่งล้านแต้ม” ชายคิ้วขาวกล่าว
“หนึ่งล้านแต้ม” ชายหลังค่อมและถูตาลุกวาว
“จะให้รวบรวมทุกชิ้นส่วนมันก็เป็นไปไม่ได้ เพราะบางชิ้นนั้นได้ถูกเขาหยวนชู ถ้ำสวรรค์ทรายดำ และเกาะสองโลก เก็บรวบรวมไปนานแล้ว บางส่วนก็ตกไปอยู่ในเงื้อมมือของอสูร ในขณะที่บางส่วนได้กระจัดกระจายไปทั่วโลก แล้วจะเก็บรวบรวมอย่างไรงั้นรึ? เพราะเราไม่สามารถรวบรวมพวกมันได้ทั้งหมด ชิ้นส่วนชิ้นหนึ่งจึงมีค่าเท่ากับหนึ่งหมื่นแต้ม” ชายคิ้วขาวกล่าว “หนึ่งหมื่นแต้ม…แค่หนึ่งหมื่นแต้ม ราชาอสูรมันไม่ยอมเสี่ยงชีวิตเข้าเมืองมนุษย์หรอก แต่สำหรับพวกเรา มันคุ้มค่าที่จะเสี่ยง”
“มาเสี่ยงดวงกันเถอะ” ถูตาแดงก่ำลุกวาว
“ข้าอยู่ในนิกายอสูรฟ้ามาสามสิบปี แต่ข้ายังสะสมแต้มได้เพียง 1200 แต้มเท่านั้น”ชายหลังค่อมกัดฟัน “มารับความเสี่ยงกันเถอะ”
“กฎเหมือนเดิม หลังจากสำเร็จ ข้าจะได้หกสิบเปอร์เซ็นต์ เจ้าสองคนคนละยี่สิบ”ชายคิ้วขาวกล่าว “มีข้อขัดข้องไหม”
“ไม่”
“ท่านนำเลย” ถูและชายหลังค่อมตอบทันที
ในนิกายอสูรฟ้า ความแข็งแกร่งคืออำนาจ แม้ว่าพวกมันจะร่วมมือกัน แต่ก็ไม่สามารถเทียบได้กับผู้นำสาขา มันพอใจที่จะได้รับยี่สิบเปอร์เซ็นต์ในขณะที่หัวหน้าสาขารับไปหกสิบ
“ถ้าท่านไม่บอก เราก็คงไม่รู้ว่ามันคือชิ้นส่วนโลหะทมิฬ” ชายหลังค่อมกล่าว
“ตลอดหลายปีที่ข้าอยู่ในนิกายอสูรฟ้านี้ ข้าสะสมแต้มได้เพียง 5,000 แต้มเท่านั้น หากข้าได้รับ 6000 แต้มในครั้งนี้ …ข้าจะได้มีโอกาสเข้าสู่บ่อแปลงอสูรและกลายเป็นอสูรฟ้า” ชายผมสีขาวกล่าว
“ศิษย์พี่ ท่านควบแน่นแก่นอสูรมานานนับทศวรรษแล้ว เมื่อท่านได้เข้าสู่บ่อแปลงอสูร ท่านคงจะได้ก้าวขึ้นเป็นอสูรฟ้าเป็นแน่” ถูกล่าว
อสูรฟ้าคือเส้นทางการฝึกวิชาที่อสูรสร้างขึ้นสำหรับผู้ทรยศต่อมนุษย์ มันเทียบเท่ากับระดับราชาอสูรและเทพอสูรของมนุษย์
“เนื่องจากเราได้ตัดสินใจที่จะเสี่ยง” ชายคิ้วขาวกวาดสายตามองไปทั่ว แล้วพูดอย่างใจเย็น “เจ้าต้องเข้าใจว่าปฏิบัติการนี้อันตรายอย่างยิ่ง”
“ขอรับ” ชายหลังค่อมและถูดูเคร่งขรึม
“เมืองตงหนิงเป็นเมืองของมนุษย์ มีเทพอสูรจากวังหยกสุริยันเป็นคนคุม กลุ่มเทพอสูรทั้งห้าในตอนนี้ คงมีเทพอสูรอยู่สองหรือสามคนที่ยังอยู่ในเมือง หากเทพอสูรคนใดพบพวกเรา เราคงไม่มีทางรอดเป็นแน่” ชายคิ้วขาวกล่าว “อันที่จริง หากพวกเราโดนจอมยุทธของมนุษย์สกัดไว้ พวกเราก็ไม่มีทางรอดเช่นกันหากถูกพวกมันรุม”
“เข้าใจแล้ว” รองหัวหน้าสาขาทั้งสองพยักหน้า
นิกายอสูรฟ้า… สามารถซ่อนตัวอยู่ในเงามืดได้เท่านั้น
ท้ายที่สุดมันเป็นเพียงนิกายที่ก่อตั้งขึ้นโดยผู้ที่ทรยศเผ่าพันธุ์มนุษย์ แม้ว่าอสูรจะสร้างระบบการฝึกวิชาอสูรฟ้าที่ไม่เหมือนใครสำหรับผู้ทรยศเหล่านี้ แต่ความแข็งแกร่งโดยรวมของนิกายอสูรฟ้านั้นด้อยกว่ามนุษย์มาก ข้อได้เปรียบประการเดียวของพวกมันคือมันก็เป็นมนุษย์ นอกจากนี้อสูรฟ้ายังเชี่ยวชาญในการปกปิดกระแสพลัง ทำให้สามารถซ่อนตัวในเมืองของมนุษย์ได้ อย่างไรก็ตาม หากถูกเปิดเผยตัวตน มนุษย์ก็สามารถฆ่าพวกมันได้อย่างง่ายดาย
ชายหลังค่อมกล่าว “ท่านผู้นำ หากท่านใช้ขอบเขตเทพอสูรท่านก็แทบจะคงกระพัน หากพวกเราไวพอ เราก็จะสามารถหลบหนีไปได้อย่างง่ายดาย เทพอสูรเหล่านั้นมันคงจะมาถึงไม่ทันหรอก”
“อย่าประมาท” ชายคิ้วขาวกล่าว “ในบรรดามนุษย์ในเมืองตงหนิงมีสามคนที่สามารถยับยั้งข้าได้ หวินฟู่เฉิงของตระกูลหวิน จางหย่งจากตระกูลจาง และไป่ชูเหวินของตระกูลไป่ ทั้งสามคนล้วนเป็นจอมยุทธในระดับไร้ตำหนิ แม้ว่าพวกมันจะเทียบข้าไม่ได้ แต่พวกมันก็ยังรั้งข้าไว้ได้สักพัก ดังนั้นข้าต้องหลีกเลี่ยงทั้งสามคนให้มากที่สุด”
“ขอรับ”ทั้งคู่พยักหน้า
ผู้นำสาขานั้นแทบจะคงกระพันภายใต้ขอบเขตเทพอสูรในเมืองตงหนิง
สำหรับรองหัวหน้าสาขาสองคนนั้น พวกมันอ่อนแอกว่า แม้ว่าพวกมันจะเข้าถึงพลังแล้ว และรู้จักเวทมนตร์อสูรมากมาย แต่ก็ยังไปไม่ถึงระดับไร้ตำหนิ ในเมืองตงหนิงนั้น มีคนเป็นสิบที่สามารถต่อกรกับพวกมันได้
“ตามที่เจ้าสองคนพูด”ชายผมสีขาวกล่าว”กลุ่มโจรเมฆาโลหิตทั้งสองนั้นเสียชีวิตด้วยน้ำมือของเมิ่งชวนแห่งตระกูลเมิ่ง ดังนั้นชิ้นส่วนของโลหะทมิฬอาจอยู่ในมือของเขา”
“สมบัติชิ้นสำคัญเช่นนั้น มืออสูรโลหิตจ้าวชานจะต้องพกติดตัวไปด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย” ถูกล่าว “และข้ายังแอบตรวจสอบเรื่องนี้อย่างลับๆ ในตอนที่ร่างของกลุ่มโจรเมฆาโลหิตถูกจัดการ มีคนมากมายอยู่ตรงนั้นด้วย แต่พวกมันก็ไม่พบชิ้นส่วนโลหะทมิฬ มีโอกาสสูงที่มันจะอยู่ในมือของเมิ่งชวน”
ชายคิ้วขาวพยักหน้า “โลหะทมิฬนั้นลึกลับและยากจะหยั่งถึง เทพอสูรธรรมดานั้นเข้าศึกษาความลับของมันได้อย่างลำบาก มีเพียงเทพอสูรที่ทรงพลังและราชาอสูรบางส่วนเท่านั้นที่สามารถเข้าไปดูความลึกซึ้งของมรดกได้ เมิ่งชวนเพิ่งอายุได้เพียงสิบเจ็ดปี ดังนั้นมันคงไม่รู้ความลับอะไรจากสิ่งนั้นแน่ อย่างมาก มันก็จะคิดว่าเป็นชิ้นส่วนของเทพอสูร เพราะฉะนั้นมันคงไม่พกติดตัวทุกวันหรอก”
“ขอรับ”ชายหลังค่อมและดวงตาของถูลุกวาว
“ศิษย์พี่ ท่านหมายถึง…” ชายหลังค่อมกล่าวขึ้นมา
“โลหะทมิฬน่าจะอยู่ที่ไหนสักแห่งในจิงหูเมิ่ง” ชายคิ้วขาวกล่าว “แต่มันน่าจะอยู่ในที่ที่พักของเมิ่งชวน”
“ไปเปิดที่อยู่ของนิกายอสูรฟ้าของเราในเมืองตงหนิง แล้วคิดหาวิธีที่จะแทรกซึมเข้าไปในจิงหูเมิ่ง” ชายคิ้วขาวกล่าว “ค้นหาที่อยู่อาศัยของเมิ่งชวน หากสามารถขโมยชิ้นส่วนโลหะทมิฬมาได้เลยก็ยิ่งดี”
“ขอรับ” ทั้งคู่พยักหน้า
หากไม่จำเป็นพวกเขาก็ไม่อยากต่อสู้กับตระกูลเมิ่ง
มีกลุ่มจอมยุทธระดับไร้ตำหนิกลุ่มหนึ่งในตระกูลเมิ่ง พวกมันสามคนเข้าถึงพลังได้แล้ว นอกจากนี้ หลิวเย่ป๋ายก็เข้าถึงพลังได้แล้วเช่นกัน ที่สำคัญที่สุด ยังมีเทพอสูรที่น่ากลัว เมิ่งเซียนกู หากเมิ่งเซียนกูเจอพวกมันเข้า พวกมันคงจะหนีไม่รอดสักคน
ดังนั้นพวกมันจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้ไหวพริบ
…
สมาชิกของนิกายอสูรฟ้าที่ซุ่มซ่อนอยู่ในเมืองมนุษย์สามารถรวบรวมข้อมูลได้ดีที่สุด
พวกเขาใช้มนตร์อสูรเพื่อควบคุมบ่าวชราและสาวใช้ที่ทำความสะอาดลานของเมิ่งชวน เมื่อเมิ่งชวนฝึกท่าชักกระบี่ของเขา คนรับใช้และสาวใช้ก็จะเข้าไปในที่พักของเมิ่งชวนเพื่อทำความสะอาดพร้อมกับค้นหาไปด้วย พวกมันพบเงินที่เมิ่งชวนซ่อนไว้ด้วย แต่เนื่องจากใช้มนตร์อสูรควบคุมอยู่ จึงต้องทิ้งตั๋วเงินไว้ในจุดเดิมแต่โดยดีเพื่อป้องกันไม่ให้ศัตรูรู้สึกตัว
อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่พบชิ้นส่วนโลหะทมิฬ
เป็นเพราะเมิ่งชวนรู้ความลับของโลหะทมิฬมานานแล้ว มันมีค่ายิ่งกว่าหน้ามรดกของเทพอสูรที่เหลืออยู่ ที่ผู้อาวุโสคนที่สามมอบให้เสียอีก
ดังนั้นเขาจึงซ่อนทั้งชิ้นส่วนโลหะทมิฬและมรดกของเทพอสูรที่เหลืออยู่ในห้องใต้ดินลับของบิดาเขา มันเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดและมีกับดักมากมาย หากมีใครกล้าที่จะบุกรุกเข้าไปล่ะก็ ก็จะได้รู้กันทั้งจิงหูเมิ่งแน่นอน
เนื่องจากมันถูกซ่อนไว้อย่างดี และมีเพียงเมิ่งชวนและเมิ่งต้าเจียงเท่านั้นที่รู้วิธีเปิดใช้งานกลไกของห้อง
นิกายอสูรฟ้าพยายามทุกวิถีทางเพื่อค้นหาชิ้นส่วนโลหะทมิฬ แต่ก็ไม่มีประโยชน์
…
“เราจะทำอย่างไรกันดี? เราหามันไม่พบเลย” ผู้นำทั้งสามของนิกายอสูรฟ้าในเมืองตงหนิงนั่งลงในบรรยากาศที่ค่อนข้างบีบคั้น
“เราต้องได้รับหนึ่งหมื่นแต้มนั้น” แววตาของชายคิ้วขาวนั้นเย็นชาขณะที่เขากล่าว “เนื่องจากเราไม่สามารถหามันได้อย่างลับๆ เพราะฉะนั้นจึงมีวิธีเดียว—จับตัวเมิ่งชวนมา! แล้วพวกเราจะเค้นว่ามันซ่อนไว้ที่ไหน ด้วยวิธีนี้เราอาจได้รับชิ้นส่วนโลหะสีดำได้อย่างง่ายดาย ถ้ามันมอบมันให้กับตระกูล และถูกซ่อนไว้โดยตระกูลเมิ่งเราสามารถใช้เมิ่งชวนเพื่อบังคับให้ตระกูลเมิ่งแลกเปลี่ยนกับเราได้ ตระกูลเมิ่งให้ความสำคัญกับเมิ่งชวนอย่างมากตั้งแต่มันเข้าใจวิชาลับเมื่ออายุสิบห้าปี พวกมันยินดีที่จะแลกชิ้นส่วนโลหะสีดำเพื่อชีวิตของเขา”
ตอนที่ 42 กระบี่ตัดอสนี
เมื่อสติของเขากลับมา เขาก็เห็นชายร่างกำยำผมกระเซิงยืนอยู่บนยอดเขา ภูเขารอบๆที่ทอดยาวออกไปพร้อมกับลำน้ำที่ไหลผ่าน อีกดวงอาทิตย์ที่ทอประกายแสงอยู่บนท้องฟ้า
แต่ถึงเช่นนั้น ภูเขา แม่น้ำและดวงอาทิตย์มันก็ดูเลือนลางเมื่ออยู่หน้าชายคนนั้น
ชายร่างกำยำนั่นมองมาทางเมิ่งชวนก่อนจะหยิบกระบี่ดำขึ้น มันช่างเป็นกระบี่ที่ยาวยิ่งนัก
ตูม!
เขามองมาทางเมิ่งชวนอย่างเย็นชาก่อนจะเหวี่ยงกระบี่ของเขา
คลื่นกระบี่ที่น่าสะพรึงกลัวพุ่งมาใส่เขาอย่างรวดเร็วต่อ “ตา” ของเขา เมื่อเผชิญกับท่ากระบี่ที่น่าสะพรึงราวกับทำให้โลกแตกสลายได้ ไม่มีทางที่เมิ่งชวนจะหยุดตัวเองจากความรู้สึกกลัวได้ มันคือความกลัวแบบเดียวกับที่มนุษย์กลัวการถูกฟ้าผ่า นี่เป็นการโจมตีที่น่ากลัวยิ่งเสียกว่าฑัณท์สวรรค์… แต่ไม่มีทางที่เมิ่งชวนจะหลบได้ เขาทำได้แค่ทนรับมัน
ครืน…คลื่นกระบี่ประทะเข้าใส่จิตของเขา
“อ่า”
เมิ่งชวนดึงตัวเองออกจากชิ้นส่วนโลหะสีดำโดยพลัน เขากุมศีรษะด้วยความเจ็บปวดและมีเลือดไหลออกมาจากจมูก เขาส่งเสียงโอดโอยออกมาเนื่องด้วยความเจ็บปวด ก่อนที่เขาจะหมดสติไป
เป็นค่ำคืนที่เงียบสงัด
ผู้คนในจิงหูเมิ่งไม่รู้ว่านายน้อยเมิ่งชวนที่พวกเขาภาคภูมิใจมากได้หมดสติไปแล้ว
เวลาได้ล่วงเลยผ่านไป
หลายชั่วโมงต่อมา เมิ่งชวนก็สะดุ้งตัวงอ ก่อนจะค่อยๆลืมตาขึ้น
มันเจ็บ เมิ่งชวนรู้สึกปวดศรีษะราวกับมันจะแยกเป็นเสี่ยงๆ ความทรงจำของเขายุ่งเหยิง ไม่รู้แม้กระทั่งว่าตนเป็นใครอยู่ที่ไหน
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งเมิ่งชวนถึงมีสติกลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง
‘เมื่อคืนข้าตรวจสอบเจ้าชิ้นส่วนโลหะสีดำนั้น สติสัมปชัญญะของข้าถูกดึงเข้าไปและมันทำให้ปวดศรีษะ’
อาการของเมิ่งชวนนั้นหนักหนามาก เขานอนบนเตียงสักพักก่อนจะค่อยๆลุกขึ้น อย่างไรก็ตามเมื่อเขาลุกขึ้นนั่งเขาก็รู้สึกเวียนหัว มองออกไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าเริ่มสาง แต่ก็ยังคงเห็นดวงจันทร์อยู่ได้
มันเจ็บมาก เมิ่งชวนพยายามอย่างเต็มที่ที่จะยืนขึ้น แต่ร่างกายของเขาปฏิเสธ ก่อนที่จะล้มกลับไปบนเตียง เขาไม่สามารถรักษาสมดุลได้ และมีอาการปวดตุบๆที่ศีรษะ เขาพยายามที่จะตั้งสมาธิอย่างเต็มที่ และด้วยเหตุนั้น จึงทำให้เขาสามารถลุกขึ้นยืนและเดินได้ในที่สุด
ชิ้นส่วนโลหะสีดำนี้ทำให้ข้าต้องทุกข์ทรมานจริงๆ ในตอนนี้เมิ่งชวนไม่อยากได้มรดกที่อยู่ในชิ้นส่วนโลหะสีดำนี่ด้วยซ้ำ แค่คิดก็ทำให้หัวของเขารู้สึกปวดเสียดแทงมากพอแล้ว เห็นได้ชัดว่านี่ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมที่จะศึกษามรดกชิ้นนี้
อึกอึกอึก
หลังจากดื่มน้ำเย็นสองชามใหญ่ที่เขาเก็บไว้ตลอดทั้งคืนเขาก็ล้างหน้าด้วยน้ำเย็นเพื่อให้ตัวเองตื่น
เขาผลักเปิดประตูและยืนตรงทางเดินก่อนจะตะโกนเรียก “คนรับใช้”
สาวใช้รีบวิ่งไปที่ทางเข้าสนาม หลังจากเข้าไปแล้วเธอก็กราบเรียน “นายน้อย” ของเธอ
“เตรียมน้ำร้อนข้าอยากอาบน้ำ”
อาบน้ำตอนเช้าอย่างนั้นหรือ สาวใช้งุนงงเล็กน้อย แต่เธอไม่กล้าถามต่อ เธอกล่าวด้วยท่าทางนอบน้อมว่า “เจ้าค่ะ นายน้อย”
หลังจากนั้น—
ถังน้ำร้อนหลายถังถูกเทจนเต็มอ่างอาบน้ำ หลังจากที่เมิ่งชวนบอกให้คนรับใช้ออกไป เขาก็ถอดเสื้อผ้าและแช่ตัวในอ่างอาบน้ำ มันทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาก
การนอนลงไปนั้นสบายที่สุดเนื่องจากอาการปวดหัวนั่น และด้วยความงุนงง เขาก็หลับไปชั่วครู่ และเมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้งมันก็รู้สึกดีขึ้นมาก
‘ข้ารู้สึกดีขึ้นมากเลย’ จากนั้นเขาก็มองไปที่พื้นที่หว่างคิ้วของเขา เขาเห็นว่าคนโปร่งแสงตัวเล็กๆที่ยืนอยู่ตรงนั้นดูหรี่ลงกว่าเดิมมาก ดูเหมือนว่าความเสียหายจะค่อนหนัก
เขาตัวสั่นเล็กน้อย น้ำในอ่างเริ่มเย็นลงแล้ว เขาจึงลุกขึ้นเช็ดตัวก่อนจะใส่เสื้อผ้า
เมื่อเขาออกมาก็สั่งคนรับใช้ของไปว่า “สามวันนับจากนี้ ข้าจะหยุดฝึกวิชา ข้าต้องทำสมาธิ”
…
“นายน้อยไม่ได้ฝึกวิชารึ?”
“นายน้อยผ่าลูกดอกหน้าไม้แปดพันดอกทุกวัน นี่เขาหยุดฝึกสามวันจริงหรือ?”
“ช่วงนี้เขาฝึกฝนอยู่ตลอด บางคราการทำสมาธิอาจก่อให้เกิดผลดีขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อคืนที่ผ่านมาเขาได้ฆ่ากลุ่มโจรเมฆาโลหิตไปสองคน”
“ถูกตัอง หนึ่งในพวกมันคือหัตถ์โลหิตอสูร จ้าวชาน ข้าเชื่อว่าการต่อสู้นั่นจะต้องทำให้นายน้อยบรรลุสิ่งใดเป็นแน่ นั่นอาจเป็นสาเหตุที่เขาทำสมาธิ”
คนรับใช้และเหล่ายามพูดคุยกัน
…
การสังหารสมาชิกโจรเมฆาโลหิตสองคนนั้นง่ายมาก กลับกัน เขาได้รับบาดเจ็บอย่างหนักจากชิ้นส่วนโลหะทมิฬนั่นเสียมากกว่า อย่างไรก็ตามเมิ่งชวนไม่ได้รีบร้อน เขาตระหนักว่าอาการปวดหัวของเขาค่อยๆบรรเทาลงเมื่อเวลาผ่านไป และการควบคุมร่างกายของเขาก็ค่อยๆฟื้นตัว
ตลอดสามวันนี้ เขาใช้ชีวิตอย่างผ่อนคลาย อ่านชีวประวัติของเทพอสูรในขณะที่นอนอยู่บนเก้าอี้นอน และเรียนรู้อย่างสบายๆ
การพักผ่อนเช่นนี้ช่วยเร่งการฟื้นตัวของเขาขึ้นมา เขาสามารถเห็นได้ชัดว่าร่างโปร่งแสงตรงหว่างคิ้วของเขานั้นค่อยๆกลับมาชัดเจนเหมือนเดิม
ในวันที่สาม เมิ่งชวนเริ่มศึกษาข้อมูลที่เขาได้รับจากชิ้นส่วนโลหะทมิฬที่เสียหาย
‘มรดกที่ข้าได้รับมาคือกระบวนท่าที่สิบเจ็ดของกระบี่ตัดอัสนี เบญจมหาอัสนี นี่มันยังไม่เสร็จสมบูรณ์จริงๆรึ? ข้าไม่พบหนทางที่จะรอดไปได้โดยไม่หมดสติเสียก่อนเลย’
เมิ่งชวนหัวเราะดูถูกตนเอง เขาจำได้ว่าเมื่อสติของเขาถูกนำเข้าไปในชิ้นส่วนโลหะทมิฬ มีข้อมูลจำนวนมากได้เข้าสู่จิตสำนึกของเขาเมื่อเขาถูกกระบี่นั้นฟาด
อย่างไรก็ตาม สติของเขาสามารถต้านทานได้เพียงบางส่วนก่อนที่จะหมดสติไป นี่เป็นรูปแบบการป้องกันโดยสัญชาตญาณ
อย่างไรก็ตามเมิ่งชวนยังคงศึกษาข้อมูลของมรดกอย่างรอบคอบ ข้อมูลดังกล่าวมีความลับบางอย่างที่จะนำไปสู่กระบวนท่าที่สิบเจ็ดของกระบี่ตัดอัสนี
ทุกคำพูด ทุกกระเบียดนิ้ว และคำอธิบายที่มีข้อมูลอันไร้ขอบเขต ทำให้เมิ่งชวนรู้สึกถึงความบีบคั้น
การโจมตีของเบญจมหาอัสนีนั้นเป็นชุดของการโจมตีห้าครั้ง การโจมตีครั้งแรกนั้นน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก ในขณะที่การโจมตีครั้งที่สองนั้นทรงพลังยิ่งกว่า การโจมตีติดกันห้าครั้งที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ มันคือความแรงที่ไม่อาจจะจินตนาการได้
‘มรดกที่ข้าได้รับมานั้นเป็นเพียงการโจมตีสองครั้งแรกของเบญจมหาอัสนี แต่นั่นก็ถือเป็นวิชากระบี่ที่ซับซ้อนที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นมา’
เมิ่งชวนส่ายหน้า พลังกายภาพและพลังปราณที่ต้องใช้นั้นมันสูงเกินไป
…
อาการบาดเจ็บของเขายังไม่หายสนิท แต่มันก็ไม่ได้ส่งผลต่อการชักกระบี่หรือการเคลื่อนไหวของเขาอีกต่อไป
เมิ่งชวนฟื้นตัวได้เต็มที่ในเวลาสองเดือนหลังจากที่ได้รับมรดกของชิ้นส่วนโลหะทมิฬ จากนั้นเขาก็สามารถใช้งานพลังแห่งวิญญาณได้อีกครั้ง
และเขาก็ได้ตัดสินใจ
‘เว้นแต่ตัวตนจิตตรงหว่างคิ้วของข้าจะพัฒนา ข้าจะไม่ตรวจสอบชิ้นส่วนโลหะทมิฬนี่อีก’ และหลังจากที่เขาฟื้นตัวจนสมบูรณ์นั้น เขาก็เริ่มฝึกสองท่าแรกของเบญจมหาอัสนี
อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาได้ลอง ก็ตระหนักได้ว่าเขาไม่สามารถใช้มันได้ภายใต้สถานการณ์ปกติ แม้จะเข้าใจในพลังกระบี่ และการควบคุมร่างรวมไปถึงพลังปราณของเขานับได้ว่าสูงในหมู่มนุษย์ ถึงกระนั้นก็เป็นที่ชัดเจนว่ามันยังไม่เพียงพอสำหรับการฟาดฟันครั้งที่สอง มีเพียงการใช้พลังวิญญาณหลอมเข้าสู่ร่างเพื่อเสริมร่างกายและลมปราณเท่านั้นที่จะทำให้เขาสามารถฟาดฟันเป็นครั้งที่สองได้
เพียงฟาดฟันแค่ครั้งเดียว สายฟ้าในร่างของเขาก็ตอบรับ วิชานี้ช่างเข้ากันได้ดีกับร่างเทพอัสนี
เมื่อเขาใช้ทั้งสองท่า สายฟ้าในร่างก็พุ่งพล่านไปพร้อมกับลมปราณของเขา
น่าเสียดายที่เขาไม่มีหนทางสู่การย้ายกระบี่ครั้งที่สาม สิ่งที่เขาทำได้คือปล่อยสายฟ้าที่สะสมไว้พร้อมกับพลังปราณที่เพิ่มขึ้นในร่างกายของเขาเป็นการเคลื่อนไหวครั้งที่สาม
…
เวลาได้ล่วงเลยผ่านไป ฤดูหนาวผ่านพ้นไปและฤดูใบไม้ผลิก็มาถึง เวลาได้ผ่านไปอีกหนึ่งปี
ในห้องโถงสาขานิกายอสูรฟ้า
แอ๊ด ประตูค่อยๆถูกผลักเปิดออก ชายคิ้วขาวเดินออกมาโดยเอามือไพล่หลัง
“ศิษย์พี่” ชายหลังค่อมและชายกล้ามโตเผยรอยยิ้ม
“ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาที่ข้าเข้าฌาณ มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นในเมืองตงหนิงหรือไม่” ชายคิ้วขาวถาม
“ศิษย์พี่ เมืองตงหนิงยังคงเหมือนเดิม ถ้ามีอะไรสำคัญเกิดขึ้นเราคงจะปลุกท่านไปนานแล้ว”ชายกล้ามโตหัวเราะ
“เข้าใจล่ะ” คนคิ้วขาวพยักหน้า
ชายร่างกำยำดูเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างออก เขาหยิบม้วนหนังสือออกมาทันทีและส่งให้ชายคิ้วขาว
“จะว่าไปแล้ว ศิษย์พี่ เจ้าพวกกลุ่มโจรเมฆาโลหิตมันขายชิ้นส่วนโลหะทมิฬที่ชำรุดให้เราเมื่อไม่กี่เดือนก่อน แต่ศิษย์พี่เกาไม่ได้สนใจมัน แต่ข้าสัมผัสได้ถึงกระแสพลังของเทพอสูรที่ทรงพลังจากมัน มันอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของเคล็ดโลหะทมิฬในตำนานนั่นก็เป็นได้”
“เคล็ดโลหะทมิฬคือโลหะจากอุกกาบาต เจ้าได้ตรวจสอบว่ามันเป็นโลหะอุกกาบาตหรือยัง?” ชายคิ้วขาวถาม
“เมื่อข้าออกมาจากการเข้าฌาณ กลุ่มโจรเมฆาโลหิตสองคนนั้นตายไปนานแล้ว ข้าไม่ได้มีโอกาสสัมผัสกับชิ้นส่วนโลหะสีดำนั่นเสียด้วยซ้ำ” ชายกล้ามโตกล่าว
ชายคิ้วขาวพยักหน้า เขาหยิบภาพวาดและคลี่ออกดู ภาพวาดแสดงให้เห็นชิ้นส่วนโลหะสีดำที่เสียหายและรูปลักษณ์ที่ชัดเจนมาก
“ข้าจะไปตรวจสอบ” แม้ว่าชายคิ้วขาวจะพูดเช่นนั้น แต่เขาก็มุ่งหน้าไปยังที่พักของเขาโดยพลัน
…
ที่ห้องอ่านหนังสือใต้ดิน
มีหนังสือมากมายวางอยู่ที่นี่ ชายคิ้วขาวหยิบภาพวาดออกมาและพลิกดูหลายๆภาพก่อนที่จะดึงออกมาหนึ่งภาพ
ในภาพวาด มันมีเศษโลหะสีดำทั้งหมดยี่สิบหกชิ้น ชายคิ้วขาวเปรียบเทียบชิ้นส่วนโลหะสีดำยี่สิบหกชิ้นนั้นเข้ากับชิ้นส่วนโลหะสีดำในภาพวาดอย่างระมัดระวัง
รอยหักที่ขอบเหมือนกัน นี่เป็นส่วนหนึ่งของกระบี่ตัดอัสนีของเคล็ดโลหะทมิฬ ชายคิ้วขาวพยักหน้าเล็กน้อย หากเป็นเคล็ดโลหะทมิฬที่สมบูรณ์ล่ะก็ เหล่าปีศาจชั้นสูงคงจะมาต่อสู้เพื่อแย่งชิงมันมานานแล้ว แต่ชิ้นส่วนเล็กๆนั้นไม่ค่อยให้ความสนใจกับปีศาจชั้นสูงเสียเท่าไหร่ เนื่องจากเหล่าปีศาจเองก็มีมรดกของมัน ที่แข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าของมนุษย์เสียอีก
ตอนที่ 41 ข่าวแพร่กระจาย
เมิ่งชวนมองไปที่ศพของจ้าวชานก่อนจะหยิบนกหวีดออกจากเข็มขัดแล้วเป่า
เมื่อพลังปราณของเขาไหลเข้าสู่นกหวีด ก็เกิดเสียงหวีดดังขึ้นเสียดหู มันดังออกไปทั่วทุกทิศทาง สามารถได้ยินเป็นระยะทางไกลหลายลี้ นกหวีดนี้ใช้เพื่อรวบรวมคนของตระกูลเมิ่งที่อยู่โดยรอบ มีเพียงร้อยคนที่มีสถานะค่อนข้างสูงในตระกูลเท่านั้นที่มีนกหวีดนี้ คนทั่วไปในตระกูลจะมีเพียงพลุขอความช่วยเหลือมาตรฐานเท่านั้น พวกเขาสามารถจุดพลุขอความช่วยเหลือได้ในช่วงเวลาวิกฤต ซึ่งเป็นสัญญาณที่จะทำให้คนในตระกูลที่อยู่ใกล้เคียงรีบเร่งและให้ความช่วยเหลือ
วืด วืด วืด มีคนมาถึงคนแล้วคนเล่า
“นายน้อยเมิ่งชวนรึ” คนส่วนใหญ่ที่มาถึงเป็นจอมยุทธที่ทำงานให้กับตระกูลเมิ่ง มีคนจำนวนน้อยที่เป็นคนในตระกูลเมิ่ง ตระกูลเมิ่งมีขนาดใหญ่ และทรงอำนาจ ดังนั้นจึงต้องจ้างวานจอมยุทธหลายคน
“นี่คือศพของหัวหน้าคนที่สองของกลุ่มโจรเมฆาโลหิต จ้าวชาน” เมิ่งชวนชี้ไปยังศพที่อยู่ตรงหน้าเขา “นอกจากนี้ยังมีศพของโจรเมฆาโลหิตในหอเมฆาคราม ฝากดูแลด้วย”
“ขอรับ” ทุกคนตอบโดยพร้อมเพรียงกัน
เมิ่งชวนพยักหน้าและจากไป
ในตอนนี้กลุ่มคนที่มารวมตัวกันอยู่ก็เริ่มพูดคุย
“พี่ชายหวัง พาคนไปที่หอเมฆาครามและจัดการกับศพของโจรเมฆาโลหิต นอกจากนี้ให้ค้นหาว่านายน้อยเมิ่งชวนทำอะไรในหอเมฆาครามบ้าง” ผู้อาวุโสสั่ง ผู้อาวุโสคนนี้เป็นหนึ่งในเก้าพ่อบ้านงานภายนอกของตระกูลเมิ่ง เขามีสถานะที่ค่อนข้างสูงในตระกูลเมิ่ง และตระกูลของเขาก็ได้รับใช้ตระกูลเมิ่งมาสามชั่วอายุคนแล้ว ผู้ที่ถูกจัดให้อยู่ในตำแหน่งสำคัญ แม้ว่าจะไม่ได้ใช้นามสกุลเมิ่งย่อมต้องมีความสามารถเป็นธรรมดาอยู่แล้ว
ในทางตรงกันข้าม หากสมาชิกของตระกูลเมิ่งคนใดมีความสามารถที่ไม่ได้เรื่อง พวกเขาอย่างมากก็ได้แค่ไม่อดตาย สถานะของพวกเขาด้อยกว่าพ่อบ้านงานภายนอกมาก
“ขอรับ” ทันใดนั้น ผู้คนกว่าสิบคนก็มุ่งหน้าไปที่หอเมฆาคราม
“มืออสูรโลหิต จ้าวชาน จอมยุทธระดับไร้ตำหนิ” ผู้อาวุโสมองไปที่ศพบนพื้น และอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ “นายน้อยเมิ่งชวนแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าเดิมจริงๆ”
“นายน้อยเมิ่งชวนยังคงอยู่ที่ระดับก่อกำเนิด การที่จะสามารถฆ่าคนที่มีระดับพลังการฝึกปรือที่สูงกว่าได้นั้น เขาต้องมาถึงจุดสูงสุดของ “หนึ่งเดียว” เขาต้องอยู่ไม่ไกลจากการเข้าใจ “พลังกระบี่” เท่าไหร่นัก” คนอื่นๆที่อยู่รอบตัวเขา ก็อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจเช่นกัน
…
ข่าวของเมิ่งชวนฆ่าโจรเมฆาโลหิตสองคนแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว หนึ่งในผู้เสียชีวิตก็คือ มืออสูรโลหิต จ้าวชาน หอเมฆาครามเป็นสถานที่ซึ่งผู้คนเข้าออกบ่อยครั้ง ดังนั้นหลายคนจึงให้ความสนใจ มีบางคนที่พยายามติดตามไปดู “เมิ่งชวนปะทะมืออสูรโลหิตจ้าวชาน” แต่พวกเขาก็ไม่สามารถที่จะติดตามได้ทัน
เมื่อเมิ่งชวนเป่านกหวีดในเวลาต่อมา เขาก็ได้ดึงดูดผู้ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เข้ามามากมาย นอกเหนือจากบุคลากรในตระกูลเมิ่ง หลายคนยังเห็นศพของจ้าวชานด้วยตาของตัวเอง
…
ภายในห้องส่วนตัวในหอนางโลมแห่งอื่น
หวินฟู่อันกำลังสนทนากับเพื่อน และยังมีหญิงสาวสวยคอยอยู่เคียงข้างเขาด้วย ในตอนนี้ประตูก็เปิดออกและชายวัยกลางคนอีกคนก็เดินเข้ามาพร้อมด้วยรอยยิ้ม
“พี่จาง เรารอเจ้ามาเกือบหนึ่งชั่วโมงแล้ว” หวินฟู่อันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าต้องเป็นเจ้ามือดื่ม”
“พวกเจ้าทุกคนคงรู้เกี่ยวกับแม่เสือที่บ้านของข้า ไม่มีอะไรที่ข้าสามารถทำได้ ข้าได้แต่แอบออกมาตอนนี้” ชายวัยกลางคนยิ้มขณะที่เขานั่งลง เขาเงยหน้าขึ้นและกระดกแก้วเหล้า ถัดจากเขามีหญิงสาวสวยเติมถ้วยของเขาทันที ชายวัยกลางคนพูดต่ออย่างตื่นเต้น “มีข่าวใหญ่ที่ข้าอยากจะแลกเปลี่ยนกับเจ้าสองคน”
อ่านตอนล่าสุดที่ mynovel.co หรือ www.thainovel.com
“ข่าวใหญ่อะไรรึ” ชายหน้าตาร่ำรวยอีกคนถามอย่างสบายๆ ขณะที่เขาสวมกอดหญิงสาวข้างตัว
“ประมาณสองชั่วโมงก่อน มีบางอย่างเกิดขึ้นที่หอเมฆาคราม” ชายวัยกลางคนกล่าว “เมิ่งชวนของตระกูลเมิ่งไปที่หอเมฆาคราม…” ขณะที่เขาพูดเขาก็เหลือบไปที่หวินฟู่อัน
เปลือกตาของหวินฟู่อันกระตุก
“เขาไปที่หอเมฆาครามถื่อเป็นเรื่องใหญ่อะไรกัน” ชายที่ดูร่ำรวยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “มีเพียงครึ่งหนึ่งของผู้ที่รับใช้กองทัพเท่านั้นที่สามารถกลับมาอย่างมีชีวิต และส่วนใหญ่ได้แต่กลับมาพร้อมกับความพิการ เป็นเรื่องปกติที่จะไปหอนางโลมก่อนที่จะรับใช้ราชการทหาร”
“เขาไม่ได้ไปหอเมฆาครามหาผู้หญิง แต่ไปหาผู้ชายสองคน” ชายวัยกลางคนกล่าวอย่างพอใจ หวินฟู่อันและชายที่ดูร่ำรวยตกตะลึง
ชายวัยกลางคนพูดต่อว่า “พวกนั้นเป็นคนในกลุ่มโจรเมฆาโลหิตสองคน เมิ่งชวนไปที่หอเมฆาครามและทำการฆ่าโจรคนหนึ่งก่อน จากนั้นเขาก็ไล่ตามโจรที่มีชื่ออีกคนนั่นก็คือ มืออสูรโลหิต จ้าวชาน”
“มืออสูรโลหิต จ้าวชานงั้นรึ” หวินฟู่อันและชายผู้มั่งคั่งตื่นตระหนก
“จ้าวชานถูกตัดแขนข้างหนึ่งในที่เกิดเหตุ จากนั้นเขาก็หนีไปทันทีด้วยความหวาดกลัว เมิ่งชวนไล่ตามเขาไปประมาณหนึ่งลี้ แล้วค่อยฆ่าเขา” ชายวัยกลางคนกล่าวด้วยความประหลาดใจ “เขายอดเยี่ยมมาก ยอดเยี่ยมจริงๆ”
หวินฟู่อันอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “เขาสามารถฆ่ามืออสูรโลหิตจ้าวชานได้ด้วยรึ นั่นคือจอมยุทธในระดับไร้ตำหนิ ข้าประเมินว่าเมิ่งชวนน่าจะอยู่ในช่วงปลายของระดับก่อกำเนิด”
“หรือว่าเขาตระหนักรู้ถึง “พลัง” ” ชายวัยกลางคนเดา
“เป็นไปไม่ได้” หวินฟู่อันกล่าวทันที “ถ้าเขาตระหนักรู้ถึง “พลัง” พวกคนในหอเมฆาครามทั้งหมดจะต้องระบุได้แน่ ข่าวนี้คงจะแพร่กระจายไปทั่วเมืองแล้ว ถ้าหากเป็นเช่นนั้น”
“ถูกตัอง เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะตระหนักรู้ถึง “พลัง”” ชายที่ดูร่ำรวยกล่าวเสริม “เขามาถึงขั้น “หนึ่งเดียว” เมื่อปีก่อนเท่านั้น เขาจะไปรวดเร็วขนาดนั้นได้ยังไง ถ้าเขาเป็นเช่นนั้นจริงๆ… เขาก็ควรจะสามารถฆ่ามืออสูรโลหิตจ้าวชานได้ในหอเมฆาคราม แต่ในความเป็นจริงเนื่องจากเขาเชี่ยวชาญด้านความเร็ว การที่เขาสามารถฆ่าจ้าวชานได้หลังจากผ่านไปหนึ่งลี้ ย่อมหมายความว่าความแตกต่างระหว่างพวกเขานั้นไม่มากนัก”
“สิ่งที่พี่ไป๋พูดนั้นมีเหตุผล” หวินฟู่อันพยักหน้า
“ตระกูลของพวกเจ้าทั้งสองต่างรู้ดีว่าเมิ่งเซียนกูบาดเจ็บอย่างรุนแรง นั่นหมายความว่าเธอจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่กี่ปี” ชายผู้มั่งคั่งกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ดังนั้นเมื่อเขาบรรลุเคล็ดวิชาลับเมื่ออายุสิบห้าปี เธอจึงพยายามอย่างเต็มที่ในการดูแลเขา ด้วยประสบการณ์แปดสิบปีของเมิ่งเซียนกูในฐานะเทพอสูร และการดูแลเป็นอย่างดีของเธอ รากฐานเทพอสูรของเมิ่งชวนจะต้องแข็งแกร่งมาก แม้ว่าเขาจะอยู่ในช่วงปลายของระดับก่อกำเนิด แต่ช่องว่างระหว่างร่างกายของเขากับมืออสูรโลหิตจ้าวชาน ก็อาจจะไม่กว้างมากนัก เขาสามารถจัดการจ้าวชานได้อย่างชัดเจน เพราะเขามีวิชากระบี่ในขอบเขตที่สูงกว่า เขาน่าจะไปถึงจุดสูงสุดของระดับก่อกำเนิด ไม่แน่ว่าเขาอาจจะสามารถเข้าใจ “พลังกระบี่” ได้ภายในสองถึงสามปี”
“เข้าใจ “พลัง” ภายในสองหรือสามปีงั้นรึ” หวินฟู่อันหัวเราะเยาะ “พี่ไป๋ข้ายอมรับว่าเขาเป็นอัจฉริยะ แต่นั่นคงไม่ใช่เรื่องง่ายที่วิชากระบี่ของเขาจะก้าวรุดหน้าไปแบบนั้น บางทีเขาอาจจะบรรลุ “พลัง” หลังจากอายุยี่สิบก็เป็นได้”
“อย่าดูถูกเขา” ชายที่ดูร่ำรวยส่ายหน้า “ตระกูลไป๋ของเราคอยติดตามดูอยู่ เมิ่งชวนชักกระบี่ และยิงธนูหน้าไม้ทุกวัน แปดพันครั้งต่อวัน ว่ากันว่าเขาฝึกวิชาด้วยวิธีอื่นอีกด้วย… เขาขยันเป็นพิเศษจริงๆ”
“ใช่ ใช่ ใช่ เขาขยันขันแข็งมาก แต่ถ้าความขยันขันแข็งมีประโยชน์ละก็ เหล่าเทพอสูรก็คงจะมีไม่น้อย” หวินฟู่อันกล่าวต่อ หากการหมั้นหมายไม่ถูกยกเลิก เขาก็ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่เห็นเมิ่งชวนเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม หลังจากยกเลิกการหมั้นแล้ว เขากลับหวังว่าเมิ่งชวนจะกลายเป็นคนที่ไม่ประสบความสำเร็จมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ คนส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นนั้น หากหวินฟู่อันสามารถคาดเดาได้ถูกต้องภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ วีรบุรุษทั้งสามของตระกูลหวินจะกลายเป็นสี่วีรบุรุษของตระกูลหวิน
…
ข่าวดังกล่าวทำให้เกิดความโกลาหลไปทั่วโลกภายนอกตระกูลเมิ่ง และกลุ่มตระกูลเมิ่งก็อยู่ในอารมณ์ที่ตื่นเต้น เป็นสุข มีการถกเถียงกันอย่างดุเดือดทั่วทุกหนทุกแห่ง
ที่จิงหูเมิ่ง
“ชวนเอ๋อร์เจ้าออกไปทานอาหารเย็นกับชีเยว่ และตอนที่เจ้ากำลังเดินทางกลับ เจ้าได้ลงมือฆ่าโจรเมฆาโลหิตสองคนอย่างงั้นรึ” เมิ่งต้าเจียงมองไปที่ลูกชายของเขา ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
“พ่อรู้อยูู่แล้วว่าข้าสัมผัสกระแสพลังได้ภายในรัศมีหนึ่งลี้” เมิ่งชวนกล่าว “ข้ารู้สึกได้ถึงกระแสพลังคาวเลือดจากคนทั้งสองจากระยะไกล กระแสพลังนั้นข้นกว่าเพชฌฆาตที่เชี่ยวชาญในการตัดหัวคนในศาลของราชสำนัก นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าทำการสืบสวนต่อไปอีก และข้าได้ยินการสนทนาของพวกเขาจากระยะทางสิบก้าว และระบุตัวตนของจ้าวชานที่ปลอมตัวมาได้ โจรเมฆาโลหิตสองคนสมควรตายอยู่แล้ว อย่าว่าแต่มืออสูรโลหิตจ้าวชาน”
เมิ่งต้าเจียงพยักหน้าเล็กน้อย
“พ่อไม่ต้องกังวล ข้าไม่ได้ใช้ “พลังกระบี่” ทั้งหมดที่ข้าใช้เป็นเพียงความแข็งแกร่งที่มากกว่ามืออสูรโลหิตจ้าวชานเพียงเล็กน้อย และข้าได้ฆ่าเขาตอนที่ไม่มีใครอยู่” เมิ่งชวนกล่าว เขารู้สึกได้ถึงสภาพแวดล้อมในระยะหนึ่งลี้ ดังนั้นเขาจึงรู้ดีว่ามีใครอยู่รอบๆหรือไม่
“เยี่ยมมาก”
เมิ่งต้าเจียงพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม “ตอนนี้ผู้คนต่างพูดกันว่าวิชากระบี่ของเจ้ามาถึงจุดสูงสุดของขั้น “หนึ่งเดียว” แล้วและเจ้าก็อยู่ไม่ไกลจากการตระหนักรู้ถึง “พลังกระบี่” ในช่วงกลางของปีหน้าหากเราประกาศว่าเจ้าประสบความสำเร็จ “พลังกระบี่” ก็จะถือว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างธรรมดา อีกอย่างศาลของราชสำนักก็ได้ตรวจสอบแล้วว่าเป็นมืออสูรโลหิตจ้าวชานจริงๆ ส่วนผู้เสียชีวิตอีกคนก็ได้รับการตรวจหารอยสักและถูกระบุว่าเป็นกลุ่มโจรเมฆาโลหิตเช่นเดียวกัน”
“เงินสดและสมบัติที่พวกนั้นมีอยู่ รวมกับอาวุธเมื่อแปลงเป็นเงินพร้อมกับค่าหัวของราชสำนักจักรพรรดิ เป็นเงินทั้งสิ้น 160,000 หยวน” เมิ่งต้าเจียงหยิบตั๋วเงินออกมาหนึ่งปึก” นี่เป็นของขวัญจากตระกูล สินสงครามของเจ้า”
“จ้าวชานควักเงินจำนวนมากออกมาขอความเมตตาก่อนที่จะตาย” เมิ่งชวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พ่อไม่ต้องให้ข้าแล้ว”
“สินสงครามของเจ้าจะเป็นของเจ้า นั่นเป็นเรื่องปกติ เจ้าโตแล้ว ดังนั้นเจ้าควรจัดการกับพวกมันด้วยตัวเอง” เมิ่งต้าเจียงยื่นตั๋วเงินมาให้
เมิ่งชวนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมรับมันไว้
เงินหยวนหลายหมื่นหยวน… นั่นเทียบเท่ากับความมั่งคั่งทั้งหมดของตระกูลที่ร่ำรวยอย่างตระกูลโจว แม้แต่โจรเมฆาโลหิต นั่นก็เป็นเงินจำนวนมหาศาล
แต่สำหรับตระกูลเทพอสูรอย่างตระกูลเมิ่งแล้ว พวกเขาไม่ได้คิดอะไรเลย
…
เขากลับไปที่ห้องและเอนกายพิงเตียง ภายใต้แสงไฟยามค่ำคืน เมิ่งชวนพลิกดูตั๋วแลกเงินปึกหนา รวมกับเงินที่เขาได้รับจากจ้าวชานอีกเป็นจำนวนทั้งสิ้น 50,000 หยวน
“แม้กระทั่งในวัยของข้า สิ่งที่ข้าเคยมีมากที่สุดก็คือเงินห้าพันหยวนเท่านั้น” เมิ่งชวนถอนหายใจ แม้ว่าเขาจะมีชื่อเสียงและมีฐานะสูงส่งจากตระกูล แต่เขาก็ไม่ได้รับเงินเลย ตระกูลให้เงินช่วยเหลือเขารายเดือนเล็กน้อย และพ่อของเขาก็ให้เงินค่าขนมแก่เขาบ้าง เขาไม่ได้ใช้เงินมากนัก และเมื่อเวลาผ่านไปเขาก็สะสมเงินได้เพียงห้าพันหยวน เขาด้อยกว่านักธุรกิจที่ร่ำรวยหลายคน
แต่เขาได้รับมากมายขนาดนี้ในวันเดียว
หลังจากดูแล้ว เขาก็วางเงินไว้ข้างตัวอย่างสบายๆ และสายตาของเขาก็จ้องมองไปที่ชิ้นโลหะสีดำที่ห่อด้วยผ้าฝ้าย
เมื่อเทียบกับตั๋วเงินแล้ว เขามีความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับสมบัติเทพอสูรมากกว่า อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้คาดหวังมากมายนัก ไม่ว่าอย่างไร มันก็เสียหายมากเกินไป
นี่เป็นชิ้นส่วนโลหะสีดำที่เสียหาย เมิ่งชวนหยิบชิ้นส่วนโลหะสีดำขึ้นมา และกระแสพลังเทพอสูรที่กดดันอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ก็แผ่ออกมาจากชิ้นโลหะสีดำ สิ่งนี้ทำให้เมิ่งชวนระวังตัวมากขึ้น แม้ว่าห้องของเขาจะสว่างไสวด้วยแสงจันทร์ แต่เมิ่งชวนก็ไม่จำเป็นต้องใช้สายตาในการ “มอง” วัตถุต่างๆ จิตสัมผัสของเขาทะลุเข้าไปทุกตารางนิ้วของชิ้นโลหะสีดำ
ในขณะที่เขาตรวจสอบมัน ชิ้นส่วนของโลหะสีดำก็มีแรงดึงดูดที่มองไม่เห็นซึ่งส่งผลกระทบต่อเขา
เขารู้สึกว่าสติของเขาถูกดึงเข้าไปในชิ้นโลหะสีดำในทันที
ตอนที่ 40 เชือดโจรเมฆาโลหิต
เมิ่งชวนเข้ามาในห้องหรูหราอย่างสงบและสบสายตากับโจรทั้งสองคน
ชายร่างอ้วนและชายมีหนวดเคราลุกขึ้นอย่างระวัง แต่ก็ยังคงยิ้ม ในเมืองตงหนิงพวกเขาไม่กล้าที่จะก่อปัญหา ชายผู้มีหนวดเคราประสานมือและพูดว่า “คารวะนายน้อยเมิ่ง นายน้อยเมิ่งมาที่ห้องของพวกเรา ข้าสงสัยว่าท่านมีคำแนะนำอะไรที่จะบอกกับพวกเราพี่น้องรึ”
“ฆ่า”
เมื่อเสียงเงียบลง ลำแสงกระบี่ก็วาบขึ้น
กระบี่นี้รวดเร็วเกินไป
ตอนนี้เมิ่งชวนมาถึงช่วงปลายของระดับก่อกำเนิดมีรากฐานเทพอสูรที่แข็งแกร่ง และร่างเทพอสูรของเขาก็ไม่ด้อยไปกว่าผู้ฝึกวิชาระดับไร้ตำหนิ และยิ่งไปกว่านั้นเขาได้เข้าถึง “พลังกระบี่” แม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้กระบี่ แต่การหลอมรวมของร่างกายและจิตใจก็สามารถที่จะดึงศักยภาพของร่างกายออกมาให้แข็งแกร่งขึ้นได้เช่นกัน ด้วยความเชี่ยวชาญด้านความเร็ว การตวัดกระบี่เพียงครั้งเดียวก็ทำให้สองโจรในห้องนั้นรู้สึกหนาวเหน็บขึ้นมาในทันใด
“แย่แล้ว” ทั้งคู่รู้ว่ามีสิ่งผิดปกติ แต่ร่างกายของชายอ้วนอ่อนแอกว่า เขาไม่สามารถตอบสนองต่อลำแสงกระบี่ที่วาดผ่านลำคอของเขาได้ทัน
“โอ โอ โอ~” ชายร่างอ้วนยกมือกุมลำคอ แต่เลือดยังไหลพรั่งพรูออกมา ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและสิ้นหวัง เขารู้สึกได้ถึงชีวิตที่ทะลักออกจากร่างไปอย่างรวดเร็ว
“อะไรกัน” อย่างไรก็ตาม ชายที่มีหนวดเคราเป็นคนที่แข็งแกร่ง เขาตอบสนองได้เร็วกว่ามาก เขากระโดดออกไปนอกหน้าต่างโดยไม่ลังเล ในช่วงที่เมิ่งชวนตวัดกระบี่ เขารู้ดีว่าถึงแม้เขาจะสามารถต่อสู้กับเมิ่งชวนได้หลายสิบกระบวนท่า แต่ก็ไม่มีความหมายใดหากเปิดเผยตัวตนออกมาในเมืองตงหนิง เขาต้องหนีให้เร็วที่สุด
ยิ่งหน่วงเวลาไว้นาน จอมยุทธที่แข็งแกร่งก็จะมาถึง โอกาสรอดชีวิตก็จะลดน้อยลง
กระบี่นั้นฆ่าชายอ้วนด้วยการตวัดเพียงครั้งเดียว ร่างของเมิ่งชวนเลือนลางลงไปในทันที เมื่อเขาพุ่งตัวติดตามมืออสูรโลหิตจ้าวชานไปนอกหน้าต่าง วันนี้โจรสองคนนี้ลืมเรื่องการหลบหนีไปได้เลย
“มีอะไรเกิดขึ้นรึ”
แขกและผู้หญิงหลายคนในห้องโถงของหอเมฆาคราม เห็นว่ามีร่างสายหนึ่งพุ่งออกมาจากห้องหนึ่งในชั้นสองจากไป ติดตามมาด้วยร่างอีกสายที่เร็วกว่า พร้อมกับแสงกระบี่พาดผ่านท้องฟ้าฟาดฟันไปยังร่างที่อยู่ด้านหน้าอย่างโกรธเกรี้ยว
ขณะที่พุ่งตัวไปในอากาศก่อนลงสู่พื้น มืออสูรโลหิตจ้าวชานก็ได้สวมถุงมือสีดำไว้เรียบร้อยแล้ว จากนั้นมือของเขาก็ใหญ่ขึ้นราวกับใบลาน ฝ่ามือเขาขยายออกเป็นสองเท่าของคนธรรมดาแล้วพุ่งออกไปอย่างลึกลับขวางกั้นกระบี่เอาไว้
“บูม”
จ้าวชานรับรู้ได้ถึงพลังอันแข็งแกร่งที่ส่งผ่านแขนไปยังร่างกายของเขา จนอดไม่ได้ที่จะกระแทกเข้ากับพื้นหอเมฆาคราม เกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่บนพื้นไม้ เศษไม้ปลิวกระจัดกระจายไปทั่ว
แขกที่อยู่โดยรอบพากันล่าถอยไปอย่างรวดเร็ว การต่อสู้นั้นเป็นเรื่องธรรมดาอย่างมาก เป็นเรื่องปกติที่ผู้คนจะต่อสู้กันในสถานที่เช่นหอนางโลมแบบนี้ ซึ่งปกติแล้วการต่อสู้มักจะเกิดขึ้นเพราะความหึงหวง และการบาดเจ็นทางร่างกายนั้นก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่การต่อสู้ในครั้งนี้ดูเหมือนจะแตกต่างไปอย่างเห็นได้ชัด
“นั่นคือนายน้อยเมิ่ง”
แขกและผู้หญิงในหอนางโลมทั้งหมดมองการต่อสู้อยู่ในระยะไกล และก็ได้เห็นเด็กหนุ่มที่ร่อนลงสู่พื้น
ในขณะนี้เด็กหนุ่มที่ดูธรรมดาและเจียมเนื้อเจียมตัวนั้นเต็มไปด้วยจิตสังหาร ดวงตาที่เต็มไปด้วยแววความคิดฆ่าฟันนั้น ทำให้แขกและผู้หญิงในหอนางโลมนั้นกลัวจนขาสั่น
“อย่ารังแกคนมากเกินไปนายน้อยเมิ่ง ถ้าเจ้าคุกคามข้าจนมุม ข้าจะทำให้เจ้าตายไปพร้อมกับข้า” จ้าวชาน มืออสูรโลหิตลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากับการคุกคามด้วยใบหน้าดุร้าย
“จะฉุดข้าไปตายด้วยกันงั้นรึ” เมิ่งชวนเข้าไปหา “โดยเจ้านะรึ”
“ฮึ่ม”
จ้าวรีบวิ่งไปที่ฝูงชนพยายามที่จะจับตัวประกัน
อ่านตอนล่าสุดที่ mynovel.co หรือ www.thainovel.com
วืด
ร่างสายฟ้าของเมิ่งชวนประทุออกมากลายร่างเป็นเทพอัสนี เขารวดเร็วกว่าจ้าวชานมาก ก่อนที่มืออสูรโลหิตจะสามารถจับตัวประกัน กระบี่ก็ฟาดฟันเข้ามาแล้ว
“ฉั๊วะ” จ้าวชาน มืออสูรโลหิตใช้สองมือที่เหมือนพัดต่อต้าน เขาป้องกันได้อย่างสมบูรณ์แบบกับสองกระบี่ที่เมิ่งชวนฟาดฟันออกมา
แต่กระบี่ที่สามก็พุ่งตามมา
“ดูเหมือนว่าเขาจะแข็งแกร่งกว่าข้า ข้าไม่สามารถที่จะพัวพันกับเขาได้ ข้าต้องพยายามหาทางหลบหนีสุดความสามารถ ตอนนี้เป็นเวลากลางคืน… หากว่าข้าสามารถหนีจากเขาไปในความมืดได้ ข้าก็จะมีโอกาสที่จะหนีจากเมืองตงหนิง” จ้าวชาน มืออสูรโลหิตคิดในใจ
“วืด”
กระบี่ที่สามที่ยังคงฟาดฟันมาด้วยความเร็วมากเช่นเดิม
ขณะที่จ้าวชาน มืออสูรโลหิตกำลังปิดสกัดการโจมตีนั้น เขาก็พบว่าแสงกระบี่เหมือนจะกลายเป็นภาพลวงตา สัญชาตญาณการต่อสู้หลายปีทำให้เขารีบหลีกหนีแสงกระบี่ลวงตานั้น มันเกือบฟันโดนคอของเขา
ฉับ
แขนข้างหนึ่งปลิวขึ้นฟ้า
“มือของข้า” มืออสูรโลหิต จ้าวชานตาเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน แม้ว่าจะสามารถหลบหลีกกระบี่ที่น่ากลัวนั้นได้ แต่เมิ่งชวนก็ยังคงตัดแขนข้างหนึ่งของจ้าวชานออกไป
“หนี หนี หนี” จ้าวชาน มืออสูรโลหิตระงับความโกรธแค้นไว้ในส่วนลึกของใจ ในช่วงเวลานี้เขาไม่ลังเลที่จะปลดปล่อยวิชาเทพอสูรต้องห้ามออกมา ผิวกายของเขาเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงทันที พลังปราณของเขาถูกปลดปล่อยออกมาจนถึงขีดจำกัด ความเร็วและความแข็งแกร่งของเขาจะเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก แต่ยิ่งอยู่ในสถานะนี้นานเท่าไหร่ความเสียหายต่อร่างกายเขาก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น สถานเบาก็คือการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ กระดูก และเส้นชีพจร ซึ่งต้องใชเวลาพักฟื้นเป็นเวลาอย่างน้อยถึงหนึ่งปีครึ่ง และสถานหนักจะทำให้อวัยวะภายนอก อวัยวะภายในและตันเถียนได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง ซึ่งมีโอกาสที่เขาจะกลายเป็นคนพิการ
อย่างไรก็ตามหากเขาไม่ใช้วิชาเทพอสูรต้องห้าม แน่นอนว่าความตายเท่านั้นที่รอเขาอยู่
“บูม” วิชาต้องห้ามเทพอสูรปะทุออก จ้าวชาน มืออสูรโลหิตวิ่งอย่างบ้าคลั่งเข้าใส่กำแพงที่ใกล้ที่สุด ตามเส้นทางที่พุ่งผ่าน โต๊ะและเก้าอี้ตามทางเดินแตกสลายเป็นเส้นทาง ผนังไม้หนาถูกกระแทกกลายเป็นรูขนาดใหญ่ เขารีบพุ่งตัวผ่านออกไปอย่างรวดเร็ว
เพื่อความอยู่รอดเขาไม่มีเวลาที่จะผ่านประตูหรือหน้าต่าง เขาต้องพุ่งชนกำแพงหนีไป
“ฮึ่ม” โดยปราศจากรอยเลือดบนร่างแม้แต่น้อย เมิ่งชวนที่ถือกระบี่ไว้ในมือพลันเปลี่ยนเป็นพร่ามัว ขณะที่เขาไล่ตามจ้าวชานผ่านช่องแตกขนาดใหญ่นั้น
ลูกค้าหลายคนในหอเมฆาครามพากันถอนหายใจอย่างโล่งอก บางคนมองไปข้างนอกหน้าต่าง บางคนจ้องมองไปยังแขนที่สวมถุงมือสีดำบนพื้นด้วยความประหลาดใจ
“คนที่ถูกไล่ล่าก่อนหน้านี้ดูเหมือนจะมีความแข็งแกร่งในระดับไร้ตำหนิ”
“ถึงกระนั้นความแข็งแกร่งของเขาก็ยังด้อยกว่านายน้อยเมิ่งชวน”
“นายน้อยเมิ่งมาจากตระกูลเทพอสูร เป็นเรื่องปกติที่รากฐานเทพอสูรของเขาแข็งแกร่งกว่ามาก นอกจากนี้วิชากระบี่ของนายน้อยเมิ่งนั้นก็ยอดเยี่ยมมาก”
“ว่าไปแล้ว…วิชากระบี่ของนายน้อยเมิ่งอาจถึงจุดสูงสุดของขั้น “หนึ่งเดียว” แล้ว ในอีกปีหรือสองปีมีโอกาสที่เขาจะเข้าใจถึง “พลัง” ระดับไร้ตำหนิธรรมดาจะเปรียบเทียบกับเขาได้อย่างไร” ในขณะที่แขกพูดคุยกัน บางคนก็เข้าไปที่แขนที่ถูกตัดอย่างกล้าหาญ และถอดถุงมือสีดำออกอย่างระมัดระวัง และพวกเขาก็เห็นฝ่ามือสีแดงเลือดที่ใหญ่กว่าคนธรรมดาถึงสองเท่า
“มืออสูรโลหิตอย่างงั้นรึ”
“ใครกันที่ฝึกวิชาการต่อสู้ที่ชั่วร้ายเช่นนี้ หรือว่าจะเป็นมืออสูรโลหิตจ้าวชานงั้นรึ”
“มืออสูรโลหิตจ้าวชาน เป็นหัวหน้าคนที่สองของกลุ่มโจรเมฆาโลหิต เขาเป็นจอมยุทธในระดับไร้ตำหนิ แต่ถึงกระนั้นเขากลับถูกนายน้อยเมิ่งชวนไล่ตาม วิชากระบี่ของนายน้อยเมิ่งช่างน่าเกรงขามอย่างแท้จริง เขาอาจจะเข้าใจ “พลังกระบี่” ได้ในอีกปีหรือสองปีข้างหน้าแน่”
“จอมยุทธระดับไร้ตำหนิธรรมดาเช่นนี้จะเปรียบเทียบกับอัจฉริยะอย่างนายน้อยเมิ่งได้อย่างไร”
มีการถกเถียงกันวุ่นวายในหอนางโลม มีผู้กล้าจำนวนไม่น้อยที่ออกไปไล่ตามทั้งคู่ แต่เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่เร็วเท่าเมิ่งชวนหรือจ้าวชานผู้ใช้วิชาต้องห้าม
“ข้าเผยตัวออกไปได้อย่างไร วิชาการปลอมตัวของน้องสิบเอ็ดนั้นยอดเยี่ยมที่สุด ไม่มีใครสามารถมองผ่านข้าได้ หรือว่ามันอาจจะเป็นเจ้าโง่นั่นหลุดคำพูดออกไปให้กับพวกสาวๆในหอนางโลมนั่น” จ้าวชานเต็มไปด้วยความเกลียดชังและความวิตกกังวล ขณะที่พยายามวิ่งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
เมิ่งชวนวิ่งไล่ตามเขามาด้านหลัง
หลังจากไล่ตามไปหนึ่งลี้ พื้นที่รอบข้างก็เงียบสงบลง
“วูบ” ความเร็วของเมิ่งชวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
นี่เป็นเรื่องตลกอะไรกัน
เพราะว่าเมิ่งชวนฝึกฝนร่างเทพอัสนี เขาสามารถระเบิดความเร็วได้มากกว่าจ้าวชานเป็นอย่างมาก ต่อให้จ้าวชานใช้วิชาเทพอสูรต้องห้ามก็ยังคงด้อยกว่า เพราะว่ามีหลายคนเฝ้าดูที่หอเมฆาคราม ดังนั้นเมิ่งชวนจึงใช้พละกำลังเพียง 30% ทำให้เขาดูแข็งแกร่งกว่าจ้าวชานเล็กน้อย และเขาก็ใช้กำลังที่ 50% ตอนที่ตัดแขนของจ้าวชานออก นั่นเป็นเพราะว่าย่าทวดได้สั่งให้เขารอจนถึงปีหน้าในการเปิดเผยว่าเขาเข้าใจถึง “พลัง” แล้ว
ต่อหน้าคนอื่นเขาต้องทำตัวเป็นคนเจียมเนื้อเจียมตัว
“อะไรกัน” ทันทีที่พบว่าความเร็วของเมิ่งชวนเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน จ้าวชานก็ถูกกดดันจนบ้าคลั่ง “เป็นแบบนี้ไปได้ยังไง”
เมิ่งชวนที่พุ่งตัวเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็วนั้น กลายเป็นภาพพร่ามัว แม้แต่ระดับไร้ตำหนิอย่างจ้าวชานก็ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน ทันใดนั้นเขาก็พบว่ามีลำแสงกระบี่กำลังพุ่งเข้ามาหา ดังนั้นเขาจึงยกมือซ้ายขึ้นเพื่อสกัดกั้นมันไว้
ลำแสงกระบี่พลันเปลี่ยนทิศทาง
มันน่ากลัวถึงที่สุด
ลำแสงวาดผ่านขาข้างหนึ่งของเขา และขาก็กระเด็นไป
ในกรณีที่ไม่ใช้ “พลังกระบี่” เมิ่งชวนสามารถใช้กำลังได้เพียง 50% การโจมตีครั้งนี้มีความแข็งแกร่งเพียง 50% แต่ถึงกระนั้น เขาก็ได้นำเอา “พลังแห่งวิญญาณ” เข้ามาร่วมด้วย ทำให้ลำแสงกระบี่เพิ่มความเร็วขึ้นอีก 30% ขณะที่มันเข้าใกล้จ้าวชาน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้จ้าวชานสูญเสียขาแม้จะใช้วิชาเทพอสูรต้องห้ามก็ตาม
จ้าวชานล้มลงกับพื้น เขาสูญเสียแขนและขาไปแล้ว เขาเผยให้เห็นถึงความสิ้นหวัง ความสามารถในการควบคุมร่างกายในฐานะจอมยุทธระดับไร้ตำหนิ ทำให้เลือดไหลออกจากขาและแขนขาดช้าลง
“นายน้อยเมิ่ง ข้าไม่ได้เป็นศัตรูกับเจ้าเลย เจ้าไม่จำเป็นต้องฆ่าข้า” จ้าวชานกล่าวออกมาทันที ไม่มีทางที่เขาจะหลบหนีไปได้โดยที่ขาขาดไปข้างหนึ่ง เขายังสูญเสียแขนไปด้วย การฆ่าเขานั้นง่ายเหลือเกิน
อย่างไรก็ตามจ้าวชานยังมีชีวิตอยู่
เขาเป็นจอมยุทธในระดับไร้ตำหนิ ถึงแม้ว่าเขาจะสูญเสียแขนและขาไป แต่เขาก็ยังสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสบายๆ
“หือ เจ้าไม่ได้คร่าชีวิตผู้คนกว่าสามร้อยชีวิต ทั้งที่เจ้าไม่ได้เป็นศัตรูกับพวกเขาอย่างงั้นรึ” เมิ่งชวนเดินเข้าไปหาจ้าวชาน
“ข้ามีเงินและสมบัติ” จ้าวชานหยิบตั๋วเงินหนาๆปึกใหญ่ออกมาทันทีด้วยมือซ้าย “ที่นี่มีเงินมูลค่าเกือบ 40,000 หยวน และนี่ก็คือสมบัติล้ำค่า”
จ้าวชานหยิบชิ้นส่วนโลหะสีดำที่ห่อด้วยผ้าออกมา “สมบัติเทพอสูรนี้มีมูลค่าถึง 100,000 หยวน”
เขาไม่ได้บอกว่า โจรเมฆาโลหิตพยายามขายมันในราคา 100,000 หยวนแต่ไม่มีผู้ซื้อ
“ของพวกนี้จะเป็นของเจ้าทั้งหมด นายน้อยเมิ่ง” จ้าวชานกล่าวทันที “ทันทีที่เจ้าไว้ชีวิตสุนัขของข้า”
“ใช้ของที่เจ้ามีแลกกับความเมตตางั้นรึ” เมิ่งชวนเดินต่อไป
“ข้าเป็นหัวหน้าคนที่สองของกลุ่มโจรเมฆาโลหิต ข้ารู้ที่ตั้งของขุมทรัพย์ของพวกมัน” จ้าวชานกล่าวทันที “หากว่าเจ้ายอมปล่อยข้าไป ข้าจะบอกให้แก่เจ้า”
“ฉับ”
ลำแสงกระบี่วาบวับ
เมิ่งชวนที่เดินเข้ามาใกล้ หลมรวมเข้ากับ “พลังแห่งวิญญาณ” และตัดคอของจ้าวชานออกอย่างง่ายดาย
“เจ้า เจ้า…” ดวงตาของจ้าวชานเบิกกว้าง ทำไมถึงไม่ให้โอกาสเขามีชีวิตอยู่
“สมบัติของโจรอย่างพวกเจ้านั้นไม่ได้อยู่ในสายตาของข้า” เมิ่งชวนพูดอย่างใจเย็นขณะที่เขาเฝ้าดูจ้าวชานตาย
กลุ่มโจรเมฆาเลือดนั้นแข็งแกร่ง โดยมีโจรแปดคนในระดับไร้ตำหนิ และหัวหน้าที่เข้าถึง “พลัง” ในหมู่โจรนั้น อย่างไรก็ตามความแข็งแกร่งของหัวหน้าคนนั้นก็ไม่สามารถที่จะเทียบได้กับเมิ่งชวน ทรัพย์สมบัติของโจรจะมีค่าเทียบกับตระกูลเมิ่งได้อย่างไร เมิ่งชวนจึงไม่ได้ใส่ใจ สมบัติล้ำค่าที่เขาใช้ในการสร้างรากฐานเทพอสูรนั้น มีค่ามากกว่าทรัพย์สมบัติทั้งหมดของโจรเมฆาโลหิตไม่รู้กี่เท่า
เมิ่งชวนเอื้อมมือไปหยิบตั๋วเงินและมองไปยังชิ้นส่วนโลหะสีดำที่โผล่ออกมาจากผ้าฝ้าย “สมบัติเทพอสูรงั้นรึ ดูเหมือนว่าจะเสียหายมาก” เขาไม่คิดอะไรมากและปล่อยมันไว้ชั่วขณะ
ตอนที่ 39 หัวหน้าคนที่สองของกลุ่มโจรเมฆาโลหิต
เมื่อเขาเห็นผู้หญิงในหอนางโลมที่ตื่นเต้นใกล้เข้ามา เมิ่งชวนก็อดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนก เขาไม่เคยประหม่าขนาดนี้แม้จะเผชิญกับอสูร
“อย่ามารบกวนข้า” เมิ่งชวนยังคงทำสีหน้าเรียบเฉยในขณะที่เขาพูด
“พวกสาวๆ กรุณาหลีกไป อย่ามารบกวนนายน้อยเมิ่ง” เถ้าแก่เนี้ยกล่าวขึ้นมาทันที “นายน้อยเมิ่ง โปรดขึ้นมาชั้นบน โปรดขึ้นมาชั้นบน”
เถ้าแก่เนี้ยมีดวงตาที่เฉียบคม เธอสามารถบอกได้ว่านายน้อยเมิ่งไม่ได้สนใจหญิงนางโลมธรรมดาๆเหล่านี้เท่าไหร่นัก ไม่ว่าอย่างไร คนที่รับผิดชอบในการชักชวนแขกก็เป็นหน้าที่ของหญิงนางโลมธรรมดาทั่วไป คนที่ระดับอย่างแท้จริงในหอเมฆาครามจะไม่ได้แสดงตัวของพวกเธอง่ายดายนัก
ทายาทของตระกูลเทพอสูรที่มีพรสวรรค์สูงสุด ที่มีโอกาสเป็นเทพอสูรมักจะถูกรายล้อมไปด้วยคนรับใช้และสาวใช้ หากไม่มีรูปร่างหน้าตาที่ดีพอพวกเธออาจจะไม่สามารถดึงดูดนายน้อยเมิ่งได้เลย
“อัจฉริยะจากตระกูลเมิ่งผู้นี้ไม่เคยเข้าหอนางโลมมาก่อน นี่น่าจะเป็นครั้งแรกของเขา ถ้าเขาหลงใหลผู้หญิงคนหนึ่งคนใดจากหอเมฆาครามของเรา… หากข่าวนี้แพร่กระจายออกไป ชื่อเสียงของหอเมฆาครามของข้าจะเพิ่มขึ้นอย่างมากใช่หรือไม่” เถ้าแก่เนี้ยพาเมิ่งชวนไปยังห้องที่ดีที่สุดบนชั้นสอง
“นายน้อยเมิ่ง ห้องนี้เป็นห้องที่ดีที่สุด ท่านสามารถเห็นนักแสดงหญิงได้อย่างใกล้ชิดที่สุดได้ที่นี่” เถ้าแก่เนี้ยกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“ตกลง” เมิ่งชวนพยักหน้าเล็กน้อยและนั่งลง เขาอยู่ห่างจากเวทีด้านล่างหน้าต่างเพียงยี่สิบก้าวและมีมุมมองตรงไปที่เวที
ในตอนนี้ หญิงสาวสองคนก็เดินเข้ามาจากนอกประตู โดยถือถาดเครื่องดื่ม ผลไม้ และขนมขบเคี้ยว
“รับใช้นายน้อยเมิ่งให้ดี” เถ้าแก่เนี้ยสั่ง
“เจ้าค่ะ” พวกเธอเป็นฝาแฝดที่ยังไม่เติบโตเต็มสาว พวกเธอบอบบางมาก และดวงตาของพวกเธอก็กระจ่างสดใส ใบหน้าของพวกเธอแดงเล็กน้อย ขณะที่พวกเธอมองไปที่นายน้อยเมิ่งชวนอย่างประหม่า
เถ้าแก่เนี้ยยิ้มและกล่าวว่า “นายน้อยเมิ่ง เด็กสาวสองคนนี้อายุเพียง 16 ปี พวกเธอเรียนรู้การให้บริการจากอาจารย์ตลอดมา และยังไม่เคยให้บริการแขก วันนี้เป็นครั้งแรกที่พวกเธอให้บริการแขก”
สถานะของเมิ่งชวนนั้นสูงเกินไป ฝาแฝดคู่หนึ่งที่ยังเรียนไม่จบ สามารถรับใช้เขาได้ในฐานะสาวใช้เท่านั้น ถ้าเมิ่งชวนชื่นชอบฝาแฝดและพาพวกเธอไป หอเมฆาครามย่อมยินดีเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่านายน้อยเมิ่งชวนจะมีสถานะแบบไหนเขาก็ไม่มีวันทานอาหารอย่างเร่งรีบ
“นายน้อย” เด็กสาวทั้งสองนั่งลงข้างๆ เมิ่งชวนและช่วยเขารินไวน์
“นายน้อยเมิ่งหากมีสิ่งใดที่ท่านต้องการ เพียงแค่สั่งพวกเธอ” พูดจบแล้ว เถ้าแก่เนี้ยก็ออกจากห้องส่วนตัวพร้อมรอยยิ้มและปิดประตูตามหลังอย่างเงียบๆ
…
ในเวลาเดียวกัน ในห้องส่วนตัวอีกห้องบนชั้นสองของหอเมฆาคราม
มีเพียงชายอ้วนและชายมีหนวดเคราเท่านั้นที่ดื่มกินอยู่ในห้องนี้ ทั้งสองคนไม่ให้ใครมารับใช้พวกเขา
“เมื่อนายน้อยเมิ่งชวนมา พวกผู้หญิงข้างล่างก็แทบคลั่ง” ภายในห้องส่วนตัวชายอ้วนเย้ยหยัน “เราต้องการใช้ห้องส่วนตัวที่ดีที่สุด แต่หอเมฆาครามกลับไม่ยอมให้เราเข้าไป แต่เมื่อนายน้อยเมิ่งมา พวกเขาก็มอบห้องที่ดีที่สุดให้เขาทันที นอกจากนี้ให้คู่ฝาแฝดคู่นั้นด้วยจิ๊ จิ๊… พวกเธอล้วนยอดเยี่ยมจริงๆ สองวันที่ผ่านมาข้าสนุกมาก แต่ข้าไม่เคยเห็นฝาแฝดคู่นี้มาก่อน ดูเหมือนว่าหอเมฆาครามจะซ่อนของดีๆเอาไว้ เพียงแต่ไม่ได้มีไว้ให้พวกเรา”
“ข้าเคยได้ยินชื่อเมิ่งชวนมาก่อน” ชายมีหนวดเครานั่งอยู่ที่นั่นอย่างสบายๆ “เขาเป็นอัจฉริยะของหนึ่งในห้าตระกูลเทพอสูร ตระกูลเมิ่ง เขาเข้าถึงขั้น “หนึ่งเดียว” ตอนอายุสิบห้า เขาเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในตลอดทั่วทั้งเมืองตงหนิง เจ้าต้องทำตัวให้ดี อย่ายั่วโมโหเขา”
อ่านตอนล่าสุดที่ mynovel.co หรือ www.thainovel.com
“ข้าเข้าใจ เจ้าบอกว่าเราควรเก็บเนื้อเก็บตัวในเมืองตงหนิง และไม่ทำให้เกิดปัญหา” ชายอ้วนหัวเราะเบาๆ “ดูแล้วคนผิวบอบบางอย่างเมิ่งชวน ดูเหมือนจะมีรสนิยม”
“หุบปาก” ชายมีเคราขมวดคิ้ว
ชายอ้วนปิดปากและเพียงแค่ยิ้มเท่านั้น
“ดูเหมือนว่าเราจะขายของไม่ได้” ชายมีหนวดเคราพูดอย่างใจเย็น “เรามาสนุกอีกสองวันก่อนออกจากเมืองตงหนิง”
“กลับไปที่ภูเขาอีกแล้วรึ ช่างน่าเบื่อมากที่นั่น” ชายร่างอ้วนพึมพำ “คืนนี้ข้าจะสนุกให้มาก”
…
เมิ่งชวนดื่มขณะชมการแสดงด้านล่าง
บนเวทีด้านล่าง ผู้หญิงในชุดสีฟ้าสวมผ้าคลุมหน้าบางๆ เธอถือพิณไว้ในอ้อมแขน ได้ยินเสียงพิณล่องลอยไปทั่วหอนางโลม พ่อค้าที่ร่ำรวยโดยรอบ และแขกผู้มีเกียรติต่างส่งเสียงแผ่วเบา
แม้ว่าเมิ่งชวนดูเหมือนจะฟังเสียงพิณ แต่เขาก็ใช้การรับรู้ระยะสิบก้าวของเขาสังเกตห้องส่วนตัวอื่นๆบนชั้นสอง
ภายในขอบเขตนี้ทุกอย่างล้วนแต่ชัดเจนเป็นอย่างมาก
เขาสามารถ “ได้ยิน” เสียงยุงได้ด้วยซ้ำ ไม่ต้องพูดถึงบทสนทนาระหว่างชายมีหนวดเครากับชายอ้วน แม้ว่าพวกเขาจะลดเสียงลง และห้องส่วนตัวก็ติดตั้งฉนวนป้องกันเสียงรบกวน แต่เมิ่งชวนก็ยัง “ได้ยิน”
ออกจากเมืองตงหนิงแล้วเข้าไปในภูเขางั้นรึ เมิ่งชวนตกอยู่ในห้วงความคิด พวกเขาเป็นโจรอย่างงั้นรึ
“การแสดงพิณของพี่สาวกวน เป็นหนึ่งในสุดยอดของหอเมฆาคราม” เด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่รับใช้เมิ่งชวนพูดด้วยเสียงสดใส “อาจารย์ของเธอคือนายท่านหวังแห่งเมืองตงหนิง”
“อืม” เมิ่งชวนพยักหน้าเล็กน้อย
เช่นเดียวกับการวาดภาพ มีคนไม่มากนักที่ให้ความสำคัญกับดนตรีในยุคนี้ ไม่ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เมิ่งชวนกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญอันดับหนึ่งในการวาดภาพ ไม่ต้องพูดถึงการวาดภาพ “ชีวิต” ได้ยกระดับวิชาของเขาไปสู่อีกระดับหนึ่ง
มีคนจำนวนไม่มากนักที่เรียนพิณและเครื่องดนตรีอื่นๆ แต่พวกเขาก็ใช้เพื่อความบันเทิงเท่านั้น ในยุคนี้การฝึกวิชาได้รับการจัดอันดับให้เป็นอันดับหนึ่ง ในขณะที่ความบันเทิงนั้นมีฐานะที่ต่ำต้อยมาก
“เราสองคนศึกษาจะเข้ พวกเราได้เรียนรู้มันจากนายท่านเช่นเดียวกัน” หญิงสาวอีกคนพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลยิ่งขึ้น
“จะเข้ก็ไม่เลว” เมิ่งชวนแสดงความคิดเห็นอย่างสบายๆ ขณะที่เขาเฝ้าสังเกตชายทั้งสองคนต่อไป
คนมีเครา คนอ้วน…
เขาสามารถมองเห็นขนบนขามดได้ในระยะไม่เกินสิบก้าว ดังนั้นเขาจึงสังเกตเห็นทั้งสองอย่างละเอียดละออและเป็นธรรมชาติ เส้นผมบนใบหน้าทุกเส้นล้วนชัดเจนเป็นอย่างมาก
“หือ” เมิ่งชวนสังเกตว่าชายอ้วนไม่ได้ปลอมตัว แต่ชายมีเคราได้ปลอมแปลงโฉม
“เคราปลอม ผมปลอม ผิวหนังเทียมปิดบังใบหน้างั้นรึ หากไม่มีผมและเคราเขาจะดูเหมือน …” หัวใจของเมิ่งชวนเต้นระรัว ในฐานะสมาชิกของตระกูลเทพอสูร เขาคุ้นเคยกับคนที่มีค่าหัวในเมืองตงหนิง
เขานึกถึงใครบางคนทันที มืออสูรโลหิตจ้าวชาน
ชายป่าเถื่อน หัวโล้น ผอม มีไฝดำที่แก้มซ้าย อย่างไรก็ตามผิวปลอมได้ปิดไฝดำเอาไว้
นี่ถือเป็นวิชาการปลอมแปลงโฉมที่ยอดเยี่ยม แม้จากระยะใกล้ก็ไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นผิวหนังปลอม มีเพียง “สัมผัส” ของเมิ่งชวนเท่านั้น ที่สามารถระบุวิกผมและผิวหนังปลอมได้อย่างชัดเจน ภายใต้สัมผัสรับรู้ของเขา เขาสามารถมองเห็นรายละเอียดและข้อบกพร่องของสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นเส้นผมเรียบนั้นได้ด้วยตาเปล่า สิ่งนี้ทำให้เขากลายเป็นศัตรูตัวฉกาจของวิชาการแปลงโฉม
“เป็นเขารึ” จิตสังหารในใจของเขาพุ่งสูงขึ้น
มืออสูรโลหิตจ้าวชาน
เขามาจากเขตตันเซียนของเมืองตงหนิง เพื่อที่จะฝึกฝนมืออสูรโลหิต เขาได้สังหารผู้คนไปกว่าสามร้อยคนในเวลาไม่กี่ปี ทำให้ทุกคนในเขตตันเซียนตื่นตระหนก ต่อมาเขาหนีไปได้สำเร็จเมื่อเรื่องนี้ถูกเปิดเผย หลังจากถูกข้าราชบริพารจัดให้อยู่ในรายชื่อคนมีค่าหัว เขาก็เข้าร่วมกับโจรเมฆาโลหิตที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ซึ่งผู้ที่อ่อนแอที่สุดในบรรดาเมฆาโลหิตได้รับการกล่าวขานว่าอยู่ในระดับก่อกำเนิด
จำนวนของพวกเขามีไม่มากนัก แต่พวกเขาล้วนถูกมองว่าเป็นกลุ่มโจรที่ร้ายกาจ พวกเขามีฝีมือและฉลาด พวกเขาซ่อนตัวอยู่บนภูเขาที่ชายแดนรอยต่อของสามเมืองทำให้ยากที่จะจับตัวพวกเขาได้
“มืออสูรโลหิตจ้าวชาน” เมิ่งชวนหรี่ตาและยืนขึ้น
“นายน้อยเมิ่ง” เด็กสาวทั้งสองยืนขึ้นด้วยความงุนงง
“ฉันมีบางอย่างที่จะต้องทำ” ในขณะที่เขาพูด เขาก็หยิบธนบัตรมูลค่าหนึ่งร้อยหยวนวางไว้บนโต๊ะ แม้ว่าเขาจะไม่เคยมาที่นี่มาก่อน แต่ก็เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน หอนางโลมที่มีชื่อเสียงเช่นนี้ จะต้องเสียเงินอย่างน้อยยี่สิบหยวนสำหรับห้องส่วนตัว นี่เป็นห้องส่วนตัวที่ดีที่สุด และพวกเขาได้จัดสองสาวให้รับใช้เขา … แน่นอนว่าการที่เขานั่งอยู่ที่นั่นเพียงครู่เดียวก็ทิ้งเงินหนึ่งร้อยหยวนไว้ ย่อมต้องเป็นกำไรของหอเมฆาครามแน่นอน
“นี่…” สองสาวมองหน้ากันอย่างตกใจ การได้อยู่ร่วมกับทายาทของตระกูลเมิ่ง ซึ่งชื่อนี้เป็นที่รู้จักไปทั่วเมืองตงหนิง ทำให้พวกเธอมีความสุขมาก ตามความเป็นจริงพวกเธอมีความหวังอยู่บ้าง—- พวกเธอหวังว่านายน้อยเมิ่งจะสามารถไถ่ถอนพวกเธอออกไป
พวกเธอไม่ได้คาดคิดว่าเขาจะจากไปเร็วแบบนี้
เมิ่งชวนออกจากห้องส่วนตัว
เขามุ่งตรงไปยังห้องส่วนตัวที่มีโจรผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองอยู่ ไม่ต้งพูดถึงบาปที่กลุ่มโจรเมฆาโลหิตสร้างขึ้น เพียงแค่ 300 ชีวิตที่ตกตายในเขตตันเซียนของเมืองตงหนิงด้วยเงื้อมมือของคนเพียงคนเดียว ก็ทำให้เมิ่งชวนไม่สามารถระงับจิตสังหารของเขาได้ เขาได้เห็นการเข่นฆ่าจากอสูรและเห็นความสิ้นหวังของผู้คนที่ถูกสังหารว่าเป็นอย่างไร หลังจากประสบเหตุการณ์นั้น ความตั้งใจในการสังหารอาชญากรมืออสูรโลหิตก็ไม่ด้อยไปกว่าอสูร
มากไปกว่านั้น ความผิดร้ายแรงเหล่านี้ทำให้พวกเขากลายเป็นอสูรในร่างมนุษย์
พวกเขาทั้งสองสมควรตาย เมิ่งชวนมาถึงทางเข้าห้องส่วนตัว และผลักประตูเปิดออก
โจรทั้งสองซึ่งกำลังดื่มและเพลิดเพลินกับการแสดงในห้องส่วนตัว ต่างพากันหันหน้ามาด้วยความโกรธ แต่เมื่อพวกเขาเห็นทายาทของชนชั้นสูงเดินเข้ามา พวกเขาก็พากันตกใจ
ตอนที่ 38 หอเมฆาคราม
ทุกคนเงียบตกอยู่ในความเงียบงัน เมิ่งต้าเจียง และหลิวเย่ป๋ายจ้องมองไปที่เมิ่งชวนอย่างว่างเปล่า ไร้วาจาว่ากล่าว
เด็กอายุ 16 ปีเข้าใจ “พลัง” แล้วอย่างงั้นรึ อัจฉริยะในตำนานอยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้วอย่างงั้นรึ
ยามที่ลาดตระเวนอยู่ห้าคนก็รีบมาที่ลานบ้านเล็กๆนี้เช่นเดียวกัน พวกเขาก็ได้ยินเสียงกำแพงพังทลาย แต่ความเร็วของพวกเขานั้นช้ากว่าเมิ่งต้าเจียง และหลิวเย่ป๋ายอย่างเห็นได้ชัด
“นายท่าน” ยามทั้งห้าคนกล่าวด้วยท่าทางนอบน้อม หัวหน้ายามมองไปยังกำแพงที่พังทลาย และอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “กำแพงนี้…”
“อ๋อ ข้าซ้อมกับชวนเอ๋อร์ เลยทำให้มันเสียหายโดยไม่ได้ตั้งใจ” เมิ่งต้าเจียงกลับมามีสติและออกคำสั่งทันที “จัดหาคนให้มาซ่อมกำแพงพรุ่งนี้เช้า เอาล่ะ รีบออกไปได้”
“ขอรับ”
ยามทั้งห้าโค้งคำนับอย่างนอบน้อมและจากไป แต่อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ค่อนข้างงุนงง ถึงกับทำกำแพงพังในการซ้อมมืออย่างงั้นรึ นายท่านและนายน้อยช่างเก่งในด้านการสร้างปัญหาจริงๆ
ความเงียบกลับมาที่ลานบ้านอีกครั้ง เมิ่งต้าเจียงและหลิวเย่ป๋ายยังคงจ้องมองไปที่เมิ่งชวน
“พ่อ ลุงหลิว” เมิ่งชวนอดไม่ได้ที่จะพูด “พวกท่านสองคน…”
“ต้าเจียง ลูกชายของเจ้าช่างพิเศษ” หลิวเย่ป๋ายกระซิบ “เขาตระหนักรู้ถึง “พลัง” เมื่ออายุสิบหกปี สวรรค์ การเข้าสู่เขาหยวนชูเกือบจะเป็นสิ่งแน่นอนอยู่แล้ว ถ้าข้ามีลูกชายที่แข็งแกร่งขนาดนี้ ข้าคงจะตื่นจากความฝันพร้อมเสียงหัวเราะ”
ในขณะนี้ เมิ่งต้าเจียงก็พลันคิดถึงไปในเรื่องหลายๆเรื่อง ภรรยาของเขาได้สั่งให้เขาสอนเมิ่งชวนเป็นการส่วนตัวในขณะที่ฝึกกระบี่ เขาสอนลูกชายทุกวันตั้งแต่ยังเด็ก และเมิ่งชวนในวัยเยาว์ก็ฝึกฝนอย่างจริงจังเช่นเดียวกัน รากฐานของลูกชายเขานั้นมั่นคงมากและก็ได้ก้าวหน้าไปทีละก้าว จนกระทั่งเมื่ออายุสิบห้าปี สุดท้ายลูกชายเขาก็เริ่มเปล่งประกาย
ลูกชายเขากลายเป็นคนที่โดดเด่นที่สุดของตระกูลเทพอสูรทั้งห้า
ตอนอายุสิบหกได้เข้าใจรู้ถึง “พลัง” สิ่งนี้ทำให้เมิ่งชวนอยู่ในอันดับต้นๆของเมืองตงหนิง
ดวงตาของเมิ่งต้าเจียงอดไม่ได้ที่จะแดงขึ้น เขารู้ดีว่าลูกชายเขาทำงานหนักแค่ไหน เขายิ้มและดวงตาก็ชุ่มชื้น “ดีมาก ดีมาก”
“นั่นคือทั้งหมดที่เจ้าสามารถพูดได้งั้นรึ” หลิวเย่ป๋ายถาม
“พ่อ” เมิ่งชวนมองไปที่พ่อเขาเช่นกัน เขาขยันหมั่นเพียรในการฝึกวิชา นอกเหนือจากคำสาบานที่จะกลายเป็นเทพอสูรเพื่อสังหารอสูรแล้ว เขายังปรารถนาให้พ่อของเขารู้สึกภาคภูมิใจ ในฐานะลูกชาย การทำให้พ่อภูมิใจเป็นความปรารถนาอย่างหนึ่ง
เมิ่งต้าเจียงยิ้มและนำเอาพลุไฟออกมาในทันที เขาดึงชนวนแล้วพลุไฟก็พุ่งขึ้นไปสู่ท้องฟ้า มันสะดุดตามากในยามค่ำคืน
…
คฤหาสน์บรรพบุรุษตระกูลเมิ่ง
“โอ” เมิ่งเซียนกูเดินออกจากที่พักพร้อมกับไม้เท้า เธอจ้องมองไปยังพลุไฟบนท้องฟ้าอันห่างไกล เธอได้มอบพลุไฟนี้ให้กับเมิ่งต้าเจียงเป็นการส่วนตัว มันมีเครื่องหมายปราณของเธอประทับอยู่ ทำให้เธอสามารถรู้สึกได้เมื่อเปิดใช้งานในระยะห้าสิบกิโลเมตร
“ทำไมต้าเจียงถึงร้องขอความช่วยเหลืออย่างกะทันหัน” แม้ว่าเมิ่งเซียนกูจะงุนงงแต่เธอก็หายตัวไปจากบริเวณสนามหญ้า
…
ประมาณครึ่งนาที เมิ่งเซียนกูก็มาถึงจิงหูเมิ่ง เธอมาที่ลานเล็กๆ และก็เห็นกำแพงที่ถล่ม เธอเห็นพ่อลูกคู่นั้น เช่นเดียวกับหลิวเย่ป๋าย
“เกิดอะไรขึ้นงั้นรึ” เมิ่งเซียนกูมองไปยังกำแพงที่พังทลาย และรู้สึกงุนงงเล็กน้อย “ต้าเจียงดูเหมือนเจ้าจะไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ ทำไมจู่ๆเจ้าถึงร้องขอความช่วยเหลือ”
เธอให้พลุไฟแก่คนเพียงห้าคนเท่านั้น เมิ่งชวนและเมิ่งต้าเจียงเป็นสองคนในนั้น
“ป้า” ใบหน้าของเมิ่งต้าเจียงเปี่ยมไปด้วยความสุขที่ไม่สามารถควบคุมได้ เขากระซิบว่า “ชวนเอ๋อร์เข้าถึง “พลังกระบี่” แล้ว”
เมิ่งเซียนกูตกตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนที่ดวงตาของเธอจะสว่างขึ้น เธอมองไปที่เมิ่งชวนและถามว่า “เจ้าตระหนักรู้ถึง “พลังกระบี่” แล้วงั้นรึ”
“ขอรับ ย่าทวด” เมิ่งชวนกล่าวด้วยท่าทางนอบน้อม
“ไหน เจ้าช่วยแสดงให้ข้าดูหน่อยได้ไหม” เมิ่งเซียนกูถาม
เมิ่งชวนพยักหน้า และฟาดออกไปด้วยฝ่ามือของเขา ด้วยการหลอมรวมของ “พลังกระบี่” พลังปราณของเขาก็พุ่งออกจากฝ่ามือของเขา ส่งลำแสงกระบี่พร่ามัวที่ทอดยาวนับสิบก้าวตัดเข้าไปบนพื้น
“ปลดปล่อยพลังปราณได้” ร่างกายของเมิ่งเซียนกูสั่นสะท้านขณะที่เธอเฝ้าดู ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความตื่นเต้นขณะที่เธอพึมพำ “เยี่ยมมาก วิเศษมาก วิเศษเหลือเกิน”
เดิมทีแล้ว พลังปราณไม่มีรูปแบบ ดังนั้นจึงไม่สามารถที่จะส่งออกไปจากร่างกายได้หากไม่มีสื่อ แต่เมื่อได้รับการชักนำด้วย “พลัง” แล้ว มันก็จะเหมือนกับสายน้ำที่ไหลอ่อนๆ ก่อตัวเป็น “กระบี่” ที่แหลมคม ซึ่งก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงคุณภาพ
ศักยภาพนั้นจะถูกขุดออกมาได้มากขึ้น หากร่างกายนั้นถูกหลอมรวมด้วย “พลังกระบี่”
เมิ่งเซียนกูวางไม้เท้าลงแล้วหลับตาพึมพำเบาๆว่า “บรรพบุรุษได้อวยพรพวกเราแล้ว”
เมิ่งชวน เมิ่งต้าเจียง และหลิวเย่ป๋ายเงียบลง พวกเขาไม่ต้องการที่จะรบกวนเมิ่งเซียนกู
“ชวนเอ๋อร์” เมิ่งเซียนกูลืมตาขึ้นและนั่งลงบนม้านั่งหิน เธอยิ้มและพูดว่า “มานั่งนี่สิ”
เมิ่งชวนนั่งลงบนม้านั่งหินอย่างเชื่อฟัง
เมิ่งเซียนกูมองไปที่เมิ่งชวน ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความรัก เธอพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าไม่ได้มองเจ้าผิดไปเลย เจ้าตระหนักรู้ในเรื่อง “พลัง” เมื่ออายุสิบหกปี ต่อให้อยู่ในเมืองหลวงของราชวงศ์โจวอันยิ่งใหญ่ เจ้าก็จะได้รับการพิจารณาว่าเป็นอัจฉริยะ ตราบใดที่เจ้าไม่ได้ขี้เกียจ ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เจ้าจะต้องสามารถเข้าสู่เขาหยวนชูได้อย่างแน่นอน”
“ข้าจะไม่ขี้เกียจอย่างแน่นอน” เมิ่งชวนกล่าวทันที
“อย่างไรก็ตาม อย่าทะนงตัวเกินไป เจ้าต้องเข้าใจว่าต้องมีคนที่เก่งกว่าเจ้าเสมอ” เมิ่งเซียนกูกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตัวอย่างเช่นนายน้อยคนที่ห้าในตระกูลของราชาทะเลตงไห่ เขาโด่งดังไปทั่วโลก เขามาถึงขั้น “หนึ่งเดียว” เมื่ออายุสิบขวบ เขาตระหนักรู้ถึง “พลัง” เมื่ออายุสิบสาม และกลายเป็นเทพอสูรเมื่อเขาอายุสิบห้า แม้แต่อสูรก็ยังกลัวความสามารถของเขา และเสนอค่าหัวในการลอบสังหารเขา เขาหยวนชูให้ความสำคัญกับเขามาก เมื่อนายน้อยคนที่ห้านี้ตระหนักถึง “พลัง” เมื่ออายุสิบสาม เขาก็ถูกคัดเลือกเข้าสู่เขาหยวนชูในทันที”
“ข้าได้อ่านชีวประวัติเทพอสูรหลายคน” เมิ่งชวนพยักหน้า “แต่เมื่อเทียบกับเทพอสูรผู้อยู่ยงคงกระพันที่ทิ้งชื่อไว้ในประวัติศาสตร์แล้ว พรสวรรค์ของข้าก็ธรรมดามาก ข้าไม่กล้าที่จะหยิ่งผยองได้หรอก”
“ฮ่าๆ มีความทะเยอทะยานที่ดี เจ้าถึงกับเปรียบเทียบตัวเองกับเทพอสูรผู้แกร่งกล้าที่ทิ้งชื่อไว้ในประวัติศาสตร์” เมิ่งเซียนกูกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เป็นเรื่องดีที่จะมีความทะเยอทะยาน แต่ทางที่ดีก็ควรเก็บซ่อนข่าวเกี่ยวกับตัวเจ้าไว้ ทำให้มันเป็นความลับในตอนนี้ รอไปจนถึงปีหน้าค่อยประกาศ มันจะฟังดูน่าตกใจน้อยกว่ามากหากเด็กอายุสิบเจ็ดปีจะเข้าใจถึง “พลัง” “
“เข้าใจแล้ว” เมิ่งชวนพยักหน้า
การเข้าใจ “พลัง” ตอนอายุสิบหกจะทำให้เขากลายเป็นอัจฉริยะแม้แต่ในเมืองหลวง การเข้าใจ “พลัง” เมื่ออายุสิบเจ็ดปีจะทำให้เขาดูด้อยค่ามากขึ้น แต่เขาก็ยังถือได้ว่าเป็นอัจฉริยะในเมืองหากเทียบกับผู้นำตระกูลจาง
ถ้าหากว่าเขาเข้าใจ “พลัง” เมื่อตอนที่เขาอายุสิบแปดหรือสิบเก้าปี มันก็จะเกิดคำถามว่า เขาจะสามารถเข้าไปในเขาหยวนชูได้หรือไม่ ถ้าเขาเข้าใจ “พลัง” เมื่อเขาอายุยี่สิบปี เขาจะอยู่ในระดับเดียวกับเหม่ยหยวนจื่อ ซึ่งแทบจะไม่มีคุณสมบัติในการเข้าร่วมการทดสอบ โอกาสในการเข้าสู่เขาหยวนชูนั้นค่อนข้างน้อยมาก
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าจะอยู่ที่นี่” เมิ่งเซียนกูกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะมาฝึกชวนเอ๋อร์บ่อยๆ”
“ป้าร่างกายของท่าน…” เมิ่งต้าเจียงรู้สึกกังวลเล็กน้อย
“ไม่ต้องกังวล การซ้อมกับชวนเอ๋อร์จะไม่ทำให้อาการบาดเจ็บของข้าแย่ลง” เมิ่งเซียนกูยิ้ม
“ขอบคุณ ท่านย่าทวด” เมิ่งชวนกล่าวด้วยท่าทางนอบน้อม
เมิ่งเซียนกูเหลือบมองหลิวเย่อไป๋ที่อยู่ข้างตัวเธอ แล้วพูดว่า “หลิวเย่ป๋าย เจ้าต้องเก็บเรื่องของเมิ่งชวนไว้เป็นความลับ”
“ข้าสามารถรับรองเย่ป๋ายด้วยชีวิตของข้า” เมิ่งต้าเจียงกล่าว
“เซียนกูไม่ต้องกังวล ข้าเฝ้าดูชวนเอ๋อร์เติบโตขึ้นมาตั้งแต่เล็ก เขาก็เหมือนลูกของข้าเอง เป็นธรรมดาที่จะต้องเก็บงำเป็นความลับ” หลิวเย่ป๋ายกล่าว
ด้วยเหตุนั้นเมิ่งเซียนกูก็พยักหน้า
…
วันเวลาผ่านไป
เมิ่งชวนยังคงฝึกวิชาอย่างหนัก จอมยุทธที่แท้จริงไม่เคยหยุดปีนให้สูงขึ้น กาลเวลาหลายสิบปีก็เหมือนเพียงผ่านไปแค่วัน
เจ็ดวันหลังจากที่เมิ่งชวนตระหนักถึง “พลัง”
“อืม ข้ามั่นใจว่าต้องมีความสุขกับการกินแน่ๆ” หลิวชีเยว่พอใจมาก เมื่อเธอเดินเล่นกับเมิ่งชวนในตอนกลางคืน
“มันเป็นการเลี้ยงของข้า เจ้าจะไม่มีความสุขได้อย่างไร” เมิ่งชวนทำหน้ามุ่ย
“เจ้าเป็นอะไรไป นายน้อยเมิ่งผู้ยิ่งใหญ่ อาหารแค่สองมื้อมากเกินไปสำหรับเจ้าอย่างงั้นรึ” หลิวชีเยว่ส่งเสียงคำรามในคอ
“ร้านอาหารหยุนเจียงของตระกูลข้าเป็นร้านอาหารอันดับหนึ่งในเมืองตงหนิง แต่เจ้าปฏิเสธที่จะทานอาหารที่นั่นและเลือกร้านอาหารอื่น ข้าต้องใช้เงินเป็นจำนวนมากที่ร้านอาหารพวกนั้น”
“ไม่ว่าร้านอาหารหยุนเจียงจะอร่อยแค่ไหน เจ้าก็ไม่สามารถทานอาหารที่ร้านนั้นได้ตลอดไปใช่ไหม” หลิวชีเยว่กล่าว “เอาล่ะ ก็ได้ ข้าจะเลี้ยงเจ้าในวันพรุ่งนี้ เอาอย่างนี้ไหม”
“ต้องเป็นอย่างนั้นสิ” เมิ่งชวนกล่าวด้วยความพึงพอใจ ทันใดนั้นคิ้วของเขาก็ขมวดขึ้น และเขาก็จ้องมองไปยังที่ห่างไกล
“เกิดอะไรขึ้นงั้นรึ” หลิวชีเยว่สงสัย
“ชีเยว่ เจ้ากลับไปก่อนนะ ข้าเห็นเพื่อนคนหนึ่ง” เมิ่งชวนกล่าว “ข้าจะกลับไปในภายหลัง”
“โอ ได้แน่นอน อย่านอนดึกเกินไปล่ะ” หลิวชีเยว่พยักหน้าและจากไป
เมิ่งชวนมองในยังที่ห่างไกล เขาสามารถสัมผัสได้ถึงกระแสพลังของชีวิตทั้งหมดภายในระยะหนึ่งลี้ และที่ห่างออกไปประมาณครึ่งลี้ เขาก็สัมผัสได้ถึงกระแสพลังที่ดุร้ายกระหายเลือดสองดวง กระแสพลังเหล่านี้แปดเปื้อนไปด้วยชีวิตมากมาย เมิ่งชวนเคยวิเคราะห์กระแสพลังของเพชฌฆาต แม้แต่กระแสพลังสีเลือดบนมือพวกเขาเหล่านั้นก็ยังไม่หนาแน่นเท่ากระแสพลังทั้งสองนี้
กระแสพลังเลือดแบบนี้ ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องของสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วน มันโดดเด่นเฉพาะตัวอย่างมากในจิตสำนึกของเขา ทำให้เขารู้สึกสะอิดสะเอียนมากยิ่งขึ้น
“พวกเขาฆ่าคนไปกี่คนแล้วถึงได้มีกระแสพลังเลือดแบบนี้” เมิ่งชวนนึกในใจ “แต่กระแสพลังทั้งสองนี้ไม่ได้แข็งแกร่งเท่าไหร่นัก”
เมิ่งชวนก้าวไปข้างหน้า
ไม่นานเขาก็มาถึงด้านนอกหอนางโลม
“หอเมฆาครามงั้นรึ” เมิ่งชวนจ้องมองไปที่หอนางโลมที่อยู่ตรงหน้า ไฟด้านในนั้นสวยงามและมีผู้คนมากมายอยู่ข้างใน นอกจากนี้ยังมีเสียงหัวเราะพึงพอใจจากบรรดาหญิง นักธุรกิจที่ร่ำรวยหลายคนถูกชักนำเข้าไปข้างใน
“นี่เป็นครั้งแรกของข้าที่เข้าหอนางโลม” เมิ่งชวนเดินเข้าไป
“นายน้อย โปรดเข้ามา” แมงดาที่ประตูกล่าวอย่างสุภาพ
ทันใดนั้นดวงตาของแม่เล้าเก่าก็เบิกกว้าง “นายน้อยเมิ่ง”
“นายน้อยเมิ่งอย่างงั้นรึ” ทันใดนั้นหญิงสาวในหอนางโลมบางคนที่กำลังชักชวนแขกก็หันหน้ามา และก็เห็นเมิ่งชวนเดินเข้ามา
“นายน้อยเมิ่งชวน” บรรยากาศในหอนางโลมพลันเดือดพล่านขึ้นมาในทันที หญิงในหอนางโลมซึ่งต่างก็หลงเสน่ห์เขาอยู่แล้ว ดังนั้นพวกเธอจึงพุ่งเข้ามารุมล้อมเขาอย่างหลงใหล
ตอนที่ 37 พลัง
ชายหลังค่อมหยิบม้วนหนังสือและคลี่มันออก เขาขมวดคิ้วขณะมองไปที่ภาพวาดชิ้นส่วนโลหะสีดำ
ชายผู้สง่างามกล่าวต่อไปว่า “ชิ้นส่วนโลหะสีดำชิ้นนี้ไม่มีภาพประกอบหรือข้อความใดๆแต่มีกลิ่นอายของเทพอสูรผู้ยิ่งใหญ่ มันแข็งแกร่งกว่ากระแสพลังที่เหลืออยู่ในมรดกเทพอสูรทั่วไปมาก พวกเราเป็นเพียงปุถุชนและมีความรู้จำกัด ข้าเกรงว่าเราอาจพลาดสมบัติ”
“ก็ซื้อเลยสิ” ชายหลังค่อมขมวดคิ้วขณะมองดูภาพ
“กลุ่มโจรเมฆาโลหิตต้องการเงิน 100,000 หยวน ไม่ขาดแม้แต่หยวนเดียว” ชายผู้สง่างามกล่าวด้วยท่าทางนอบน้อม
“บ้าไปแล้วรึ หนึ่งแสนหยวนสำหรับอะไรที่เราไม่รู้อย่างงั้นรึ กลุ่มโจรเมฆาโลหิตบ้าไปแล้วจริงๆ” คนหลังค่อมส่ายหน้า “เอาล่ะ ข้ารู้เรื่องนี้แล้ว เจ้าออกไปได้”
“ถ้าเช่นนั้นแล้ว เราจะซื้อไหม” ชายผู้สง่างามถาม
“เจ้าจะเป็นคนจ่ายเงินหรือไม่” ชายหลังค่อมจ้องมอง
“ข้าเข้าใจแล้ว” ชายผู้สง่างามกล่าวด้วยท่าทางนอบน้อม “ข้าจะไม่ตัดสินใจโดยพละการ” เขาเดินนำผู้เฒ่าผมสีเงินออกไปทันที
รองหัวหน้าทั้งสองคนของสาขาตงหนิงมีอารมณ์แปรปรวน และผู้ใต้บังคับบัญชาก็ค่อนข้างกลัวเขา ในทางตรงกันข้ามหัวหน้าสาขานั้นควรค่าแก่การเคารพมากกว่า
“เป็นบ้าอะไรไปรึ เป็นมรดกของเทพอสูรแล้วจะเป็นไรไป เราไม่สามารถรับมรดกจากเทพอสูรได้อยู่แล้วเมื่อเราฝึกฝนวิถีอสูรฟ้า” ชายหลังค่อมมองไปที่ม้วนหนังสือในมือของตัวเองและหัวเราะเย้ยหยัน จากนั้นเขาก็โยนมันไปให้สาวใช้ข้างๆ “เมื่อพี่รองและหัวหน้าสาขาออกจากการเก็บตัว ก็ให้พวกเขาดู”
“ค่ะ” สาวใช้กล่าวด้วยท่าทางนอบน้อม
…
กลางคืน
หลังจากเสร็จสิ้นการฝึกวิชาและอาบน้ำยาจิตวิญญาณแล้ว ร่างกายของเมิ่งชวนก็กลับคืนสู่สภาวะสูงสุด
เขามาที่ลานเล็กๆของเขาและเริ่มส่วนที่สี่ของการฝึกฝนประจำวันนั่นคือท่าชักกระบี่ขั้นสูงสุด ในปีที่ผ่านมาเขาได้ผลักดันพลังปราณของเขาไปสู่ขีดจำกัดทุกวัน ทำให้เส้นชีพจรของเขาปรับตัวอย่างช้าๆ ร่างเทพอสูรของเขาสามารถปรับตัวได้มาก และเส้นชีพจรของเขาก็ยืดหยุ่นได้ดีเช่นกัน เขาสามารถปลดปล่อยพลังปราณได้ถึงสิบสองส่วนในตอนนี้เนื่องจากเส้นชีพจรของเขากว้างขึ้นและแข็งแกร่งขึ้น
พลังของการโจมตีของเขามาจากการผสมผสานระหว่างวิชา ร่างกาย และพลังปราณ จึงทำให้ศักยภาพของร่างกายสามารถปลดปล่อยพลังมหาศาลออกมาได้ในที่สุด
ความแข็งแกร่งของเพลงกระบี่นั้นเพิ่มขึ้นมาเพียงแค่สองเท่าเท่านั้น แม้ว่าจะใช้พลังปราณถึงสิบสองส่วนก็ตาม ในอดีตนั้น นี่ถือได้ว่าเป็นท่าไม้ตายภายใต้ข้อกำหนดที่จะไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย เมิ่งชวนไม่ยินดีที่จะใช้วิชาเทพอสูรต้องห้าม ตัวอย่างเช่น ลูกชายคนโตของตระกูลหวิน หวินฟู่เฉิงได้ใช้วิชาต้องห้ามโดยไม่ได้เตรียมการใดๆ ดังนั้นจึงทำให้รากฐานของเขาเสียหาย และทิ้งเขาไว้ให้สิ้นความหวังที่จะได้เป็นเทพอสูร
“ตอนนี้ข้ามีพลังแห่งวิญญาณแล้ว ข้าสามารถพยายามผลักดันขีดจำกัดของท่าชักกระบี่ขั้นสูงสุดให้ดียิ่งขึ้นไปกว่าเดิมได้” ตาของเขาเป็นประกาย
หลังจากนั้นเขาก็ตั้งสมาธิ ด้วยเจตจำนงอันทรงพลัง ทำให้พลังที่มองไม่เห็นของ พลังแห่งวิญญาณ ได้หลอมรวมกับร่างกายของเขาในทันที พลังปราณเริ่มไหลผ่านเส้นชีพจร อวัยวะ กระดูก และเลือดของเขาอย่างช้าๆ ความรู้สึกทั้งหมดของเขาเพิ่มสูงขึ้น และการควบคุมร่างกายของเขาก็เพิ่มขึ้นในระดับที่นึกไม่ถึงในทันที
เขาตกใจกับความรู้สึกนี้ทุกครั้งไป
อ่านตอนล่าสุดที่ mynovel.co หรือ www.thainovel.com
เมื่อไหร่ที่เขาจะสามารถควบคุมร่างกายของเขาให้อยู่ในขอบเขตดังกล่าวได้โดยไม่ต้องใช้พลังแห่งจิตวิญญาณของเขากัน
ตูม
ทันใดนั้นพลังปราณของเขาก็ปะทุขึ้นสิบห้าส่วน ภายใต้การชักนำของ พลังแห่งวิญญาณ ทำให้เส้นชีพจรของเขาสามารถทนต่อพลังปราณได้ ร่างกายของเขาเริ่มสร้างกลุ่มก้อนสายฟ้าจำนวนมาก หนาแน่นยิ่งกว่าปกติหลายเท่า เมื่อสายฟ้าก่อตัวขึ้นภายในร่างกายแล้ว ความเร็วของเมิ่งชวนก็พุ่งไปถึงระดับที่ไม่สามารถจินตนาการได้ ความเร็วนั้นถือเป็นความแข็งแกร่งของร่างเทพอัสนี เมื่อเขาขุดลึกลงไปในศักยภาพของร่างกายความเร็วของเขาก็เพิ่มขึ้นมาในระดับที่เหลือเชื่อ
แม้แต่ความแข็งแกร่ง ซึ่งเป็นด้านที่อ่อนแอจุดหนึ่งของเขา ก็ยังเพิ่มขึ้นมาหลายเท่า
วูบ
ลำแสงกระบี่สุกสกาวพุ่งข้ามผืนฟ้าขณะที่มันฉีกกระชากอากาศ ลำแสงกระบี่พุ่งออกไปไกลหลายสิบก้าว แล้วก็พุ่งเข้าชนกำแพงหิน เกิดเป็นร่องรอยขึ้น
เขาหยุด
พลังแห่งวิญญาณหายไป เขาหยุดการใช้พลังอย่างบ้าคลั่งในทันที ด้วยการใช้พลังแห่งวิญญาณเฉพาะเมื่อทำการโจมตี เขาก็จะใช้พลังปราณน้อยลง
“การโจมตีนี้ใช้พลังประมาณยี่สิบเปอร์เซ็นต์ของพลังแห่งวิญญาณของข้า” เมิ่งชวนพยักหน้าเล็กน้อย “ดูเหมือนว่าการใช้ท่าไม้ตายห้าครั้งจะเป็นขีดจำกัดของข้า ต้องลองดูอีกครั้ง”
เขาต้องการทำความคุ้นเคยกับท่าไม้ตายที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา เขาจ้องมองไปข้างหน้าราวกับว่ามีอสูรอยู่ตรงหน้าเขา เขาต้องการสังหารอสูรตนนี้และการทำเช่นนั้นจำเป็นต้องมีจิตสังหารที่รุนแรง ซึ่งทำได้ด้วยการรวมร่างกาย และจิตใจของเขาเป็นหนี่งเดียวเท่านั้นที่จะทำให้การหลอมรวมลึกซึ้งยิ่งขึ้น
“ฆ่า”
เขาปลดปล่อยลำแสงกระบี่ที่น่าสะพรึงกลัวออกมาอีกครั้ง
“ฆ่า”
เขาไล่ตามขีดจำกัดและความสมบูรณ์แบบ เมื่อพลังแห่งวิญญาณหลอมรวมเข้ากับร่างกายของเขา เขาก็พยายามหาวิธีที่จะขุดเอาศักยภาพของร่างกายออกมาให้มากยิ่งขึ้น เขารู้สึกเหมือนร่างกายของเขาเป็นเหมือนภูเขาน้ำแข็งขนาดใหญ่ และสิ่งที่เขาขุดออกมาจนถึงตอนนี้ก็เป็นเพียงแค่ส่วนปลายยอดของภูเขาน้ำแข็ง ตามชีวประวัติของเทพอสูร แม้แต่เทพอสูรที่ทรงพลังที่สุดก็ไม่กล้าพูดว่า พวกเขาได้ขุดศักยภาพของร่างกายจนถึงขีดจำกัดแล้ว
เมื่อการฝึกวิชาดำเนินต่อไปร่างกายของคนๆหนึ่งก็จะแข็งแกร่งขึ้น
“ฆ่า”
เขาพบว่าความสุขจากการที่ไม่ต้องฝืนยั้งไว้นั้นช่างเป็นที่น่ายินดียิ่งนัก ด้วยการเสริมพลังแห่งวิญญาณเข้าไป เขาก็ยิ่งหลงไหลไปกับการฝึกฝนมากขึ้น
ความแข็งแกร่งของเขามาบรรจบกันในขณะที่เขาเตรียมพร้อมที่จะโจมตี เมื่อเขาทำการโจมตี ความแข็งแกร่งทั้งหมดของเขาก็จะถูกปลดปล่อยออกมาภายใต้การชี้นำของ พลังแห่งวิญญาณ ความต้องการของเขาเป็นเหมือนคมมีด และในขณะที่เขาโจมตีออกไป เขาก็จะสามารถฆ่าอสูรทั้งหมดได้
“ตูม” กระแสพลังที่น่ากลัวรวมตัวกันรอบตัวของเมิ่งชวน ร่างกายของเขาดูเหมือนจะกลายเป็นกระบี่ ร่างกายและพลังปราณของเขารวมกันอย่างสมบูรณ์แบบ ภายใต้การนำทางของ “พลัง” ส่งผลให้เกิดการปะทุที่น่าหวาดหวั่นยิ่งขึ้น
กระบี่วาบวับและทิ้งรอยเสี้ยวจันทร์ไว้ในอากาศ มันเป็นเรื่องที่ชวนตื่นเต้น
ลำแสงกระบี่เร็วเกินไป และการฟันด้วยความเร็วสูงทำให้เกิดลำแสงที่คมมาก มันฉีกผ่านกำแพงสนามที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบก้าว เป็นเหตุกำแพงนั้นพังลงมา
หลังจากนั้นเขาก็เก็บกระบี่ของเขาและยืนตัวตรง
นี่คือ “พลัง” งั้นรึ เมิ่งชวนค่อนข้างประหลาดใจ เขาคาดการณ์ว่าเขาจะสามารถหยั่งรู้ในเรื่อง “พลัง” ในอีกไม่กี่วัน แต่เขาไม่คาดคิดว่าจะบรรลุถึง “พลัง” ในขณะที่เขากำลังหลอมรวมพลังแห่งวิญญาณเข้ากับท่าชักกระบี่ขั้นสูงสุดในวันนี้ เขาบรรลุถึงขั้น “พลัง” จากการโจมตีครั้งที่สี่
มีคำอธิบายมากมายเกี่ยวกับ”พลัง” ในหนังสือ อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะบรรยายอย่างไร เขาก็จะสามารถเข้าใจ “พลัง” ได้ในขณะที่เขารับรู้ถึงมันเท่านั้น
ทุกสิ่งในโลกล้วนมี”พลัง” ภูเขา น้ำ ดิน ลม ไฟ และท้องฟ้า กระทั่งทั้งโลก … ก็มี “พลัง” เพลงกระบี่ที่ทรงพลังอย่างแท้จริงต้องการ “พลังกระบี่” เมื่อมี “พลังกระบี่” คนผู้นั้นก็จะเหมือนกระบี่ ภายใต้การควบคุมของ “พลังกระบี่” ศักยภาพของร่างกายจะถูกขุดลึกลงไป ผู้คนสามารถใช้พลังของฟ้าดินเพื่อเสริมเติมตัวเองได้
ภายใต้กฎของ “พลัง” ความเชี่ยวชาญด้านพลังปราณของคนผู้หนึ่งก็จะปราณีตมากยิ่งขึ้น ซึ่งนี่ทำให้คนผู้นั้นสามารถปลดปล่อยพลังปราณออกนอกร่างกายได้เมื่อมีการต่อสู้
เกิดอะไรขึ้น นี่คือ “พลัง” อย่างงั้นรึ
ภายในจิงหูเมิ่ง เมิ่งต้าเจียง และหลิวเย่ป๋ายรีบออกจากห้องด้วยความตกใจ พวกเขาต่างรู้สึกว่ามี “พลัง” ปรากฏขึ้นภายในคฤหาสน์ของพวกเขา สิ่งนี้ทำให้พวกเขาตื่นตระหนก เพราะพวกเขารู้ว่าพวกเขาเป็นคนกลุ่มเดียวในคฤหาสน์ที่ได้รับ “พลัง” สำหรับบุคคลที่สามที่จู่ๆก็ใช้ “พลัง” ขึ้นกลางดึกนั้น มีโอกาสสูงที่บุคคลนั้นจะเป็นผู้บุกรุก
“ศัตรูแอบเข้ามางั้นรึ หรือว่าเขาตระหนักถึงพลัง มันมาจากที่พักของชวนเอ๋อร์” เมิ่งต้าเจียงและหลิวเย่ป๋ายต่างพากันกังวลขณะที่พวกเขารีบเร่งรุดไป
ในพริบตาพวกเขาสองคนก็รุดเข้าไปในลานที่พักของเมิ่งชวน และเห็นอีกฝ่ายยืนนิ่งอย่างงุนงงพร้อมกับกระบี่ในฝัก กำแพงด้านหนึ่งของลานได้พังทลายลง และมีเศษหินเศษอิฐอยู่ทั่วไป
“ข้าพอจะรู้ได้ไหมว่าสหายคนไหนที่มาเยี่ยมยังคฤหาสน์เมิ่ง กรุณาแสดงตัว” เมิ่งต้าเจียงตะโกนทันทีเมื่อเห็นสิ่งเหล่านี้
“ข้าไม่เห็นเขา ดูเหมือนเขาค่อนข้างเก่งทางด้านการซ่อนตัว” หลิวเย่ป๋ายแอบส่งเสียง “แต่เขาไม่ได้ทำร้ายเมิ่งชวน ดังนั้นเขาคงไม่ใช่ศัตรู”
ทั้งสองคนระมัดระวังตัวอย่างมาก
“พ่อ ลุงหลิว ไม่มีใครอยู่หรอก” หลังจากฟื้นคืนสติจากการประสบความสำเร็จ “พลังกระบี่” เมิ่งชวนก็รีบแจ้งเมิ่งต้าเจียง และหลิวเย่ป๋าย
“ไม่มีใครอีกงั้นรึ” เมิ่งต้าเจียง และหลิวเย่ป๋ายต่างก็ตกตะลึง
“พลังที่ไม่คุ้นเคยเมื่อกี้นี้คือ…” เมิ่งต้าเจียงมองไปที่ลูกชายของเขาและคาดเดาในใจ “ไม่ไม่ไม่ ข้าคงจะคิดมากไป”
เมิ่งชวนพยักหน้ารับ “ข้าตระหนักรู้ถึง “พลังกระบี่” แล้ว”
ตอนที่ 36 พลังแห่งวิญญาณ
ที่คฤหาสน์จิงหูเมิ่ง
เมิ่งชวนเพิ่งทำท่าชักกระบี่ซ้ำ 8,000 ครั้งเสร็จในช่วงบ่าย เนื่องจากเขาไปเยี่ยมย่าทวดในตอนเช้า
หลังจากทานอาหารกลางวันแล้ว เขาก็พักผ่อนเป็นเวลาสองชั่วโมง จากนั้นเขาก็เริ่มการฝึกขั้นตอนที่สองในกิจวัตรประจำวันของเขา นั่นก็คือฝึกเพลงกระบี่ป้องกันและวิชาการเคลื่อนไหว
“ยิง” คนรับใช้สั่ง
ทันใดนั้นจอมยุทธระดับก่อกำเนิดหน่วยแรกทั้งสิบคนก็ยิงธนูออกมาพร้อมกัน ต่อจากนั้นก็เป็นหน่วยที่สองแล้วหน่วยที่สาม
จอมยุทธสามหน่วยยิงธนูอย่างต่อเนื่อง
เมื่อรากฐานเทพอสูรของเมิ่งชวนแข็งแกร่งขึ้น ความแข็งแกร่งของเขาก็เพิ่มขึ้น ลูกศรที่ยิงโดยยามในระดับชำระแก่นแท้นั้นก็เหมือนกับปุยนุ่นสำหรับเขา ดังนั้นตระกูลเมิ่งจึงไม่ปล่อยให้มันผ่านไป ยอมเสียค่าใช้จ่ายรวบรวมจอมยุทธสามสิบคนที่ระดับก่อกำเนิดมาช่วยในการฝึกฝนของเขา โชคดีที่ตระกูลเมิ่งมีคนในตระกูลมากมาย จอมยุทธทั้งสามสิบคนจึงมีคนในตระกูลเมิ่งนอกเหนือจากยามกลุ่มเดิมด้วย ทุกบ่ายพวกเขาจะมาช่วยเขาเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง
“วืด วืด วืด” ลูกศรลูกแล้วลูกเล่าถูกยิงออกไป
เมิ่งชวนที่ยืนอยู่ตรงนั้น พบว่ามันเหมือนกับเวทมนตร์ เขาสามารถมองเห็นลวดลายสีแดงเข้มบนก้านลูกศรเหล็กดำเลือดม่วงแต่ละอันได้อย่างชัดเจน ทุกวิถีทางของลูกศรและการชนกันของพวกมันไม่ได้รอดพ้นจากการสังเกตของเมิ่งชวนได้
ไม่มีสิ่งใดซ่อนตัวจากเขาได้ในระยะสิบก้าว
เมิ่งชวนก้าวไปทางซ้ายและยืนนิ่ง ลูกศรเก้าดอกพุ่งผ่านเขาไป และลูกศรบางดอกก็พุ่งเฉียดเส้นผมของเขาไปในขณะที่ลูกอื่นๆพุ่งผ่านเอว มีเพียงลูกศรเพียงลูกเดียวเท่านั้นที่พุ่งเข้าหาหน้าอกของเขา เขาเหวี่ยงกระบี่และเบี่ยงเบนลูกศรไปอย่างง่ายดาย
เมิ่งชวนเพียงก้าวเดียวไปทางซ้ายและเบี่ยงลูกศรหนึ่งครั้ง เพื่อจัดการกับลูกศรสิบดอก
มันง่ายมากเหลือเกิน เมิ่งชวนยืนอยู่ในวงกลมที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณสิบก้าวและไม่ได้เคลื่อนไหวเร็วนัก อย่างไรก็ตามลูกศรก็พุ่งผ่านเขาไปโดยไม่สัมผัสเขาเลย เขาจะวาดกระบี่เป็นครั้งคราวเท่านั้น
“เกิดอะไรขึ้น”
“ทำไมนายน้อยดูผ่อนคลายจัง” จอมยุทธทั้งสามสิบคนต่างก็พากันตกใจเช่นกัน
“ข้ารู้วิถีของลูกศรทันทีที่ยิงออกมา ข้ารู้ได้ทันทีว่าจุดไหนปลอดภัย” เมิ่งชวนพบว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องที่แปลกมาก ราวกับว่าทุกสิ่งในรัศมีสิบก้าวเป็นอาณาเขตของเขา เขาสามารถทำนายเส้นทางทั้งหมดของลูกศรได้อย่างง่ายดาย ทำให้หลบลูกศรได้ง่ายมาก
“หยุด” จู่ๆเมิ่งชวนก็ตะโกนออกมา
จอมยุทธระดับก่อกำเนิดทั้งสามสิบคนก็พากันหยุดและมองไปที่เมิ่งชวน
“ก้าวมาข้างหน้า 20 ก้าว”
“ยี่สิบก้าวรึ” สมาชิกตระกูลเมิ่งคนหนึ่งกล่าวอย่างรีบร้อน “ระยะนี้ใกล้เกินไป เราอยู่ห่างจากท่านเพียงห้าสิบก้าว ท่านจะไม่มีเวลาตอบโต้หากเรายิงในระยะใกล้ขนาดนั้น ในความคิดของข้า เราควรเริ่มต้นด้วยการลดระยะห่างลงสิบก้าวก่อน”
อ่านตอนล่าสุดที่ mynovel.co หรือ www.thainovel.com
“ไม่เป็นไร เรามาลองดูก่อน” เมิ่งชวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฟังข้า ลดระยะทางลงยี่สิบก้าว”
ไม่มีใครหักล้างคำพูดของนายน้อยเมิ่ง ไม่ว่าอย่างไรมันก็ไม่มีหัวลูกศรและหัวของพวกมันก็ถูกห่อด้วยผ้า ไม่มีอะไรจะสามารถเกิดขึ้นได้
“วืด” จอมยุทธระดับก่อกำเนิดทั้งสามสิบคนเดินไปข้างหน้าทันทียี่สิบก้าว
“ยิง”
ไกของหน้าไม้ถูกเหนี่ยวและลูกศรก็พุ่งออกสู่อากาศ
ความแข็งแกร่งของพวกเขานั้นมากเกินไป ยามที่อ่อนแอก็ยังสามารถรวบรวมพละกำลังได้ถึง 2,500 กิโลกรัม และยามที่แข็งแกร่งกว่าก็สามารถรวบรวมพละกำลังได้เกือบ 5,000 กิโลกรัม เราสามารถจินตนาการได้ว่าลูกศรของพวกเขานั้นเร็วแค่ไหน
ในระยะทางสั้นๆแม้ว่าเมิ่งชวนสามารถรับรู้ทุกสิ่งในระยะสิบก้าวและร่างเทพอัสนีของเขาก็เร็วมาก แต่เขาก็ยังรู้สึกกดดันขึ้นมาในทันที
ก่อนหน้านี้เขารู้สึกผ่อนคลายมาก เพราะสามารถกำหนดพื้นที่ซึ่งปลอดภัยกว่าได้ การ “ตัดสินใจ” แบบนี้สามารถทำได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังต้องใช้เวลาพอสมควร เมื่ออยู่ในระยะใกล้เช่นนี้ เมิ่งชวนไม่มีเวลากำหนดพื้นที่ปลอดภัยอย่างสบาย เขาต้องอาศัยสัญชาตญาณและวิชาการเคลื่อนไหวของเขาในการหลบหรือปัดลูกธนูด้วยเพลงกระบี่ ทุกอย่างต้องอาศัยสัญชาตญาณ
พวกเขาอยู่ใกล้เกินไป จนไม่มีเวลาคิด
หลบ
ป้องกัน
ภายใต้ความกดดันนี้ เขาได้อาศัยพื้นที่สิบก้าวของเขาหลบหลีกด้วยพลังทั้งหมดที่มี อย่างไรก็ตามก็ยังมีลูกศรที่เขาไม่สามารถป้องกันหรือหลบหลีกพ้น
ลูกศรพุ่งไปที่ท้องน้อยของเขา
“ป้องกัน” เมิ่งชวนต้องการที่จะปิดสะกัด แต่เขาช้าเกินไป เขาได้แต่ดูลูกศรที่กำลังจะพุ่งเข้าที่หน้าท้องของเขา
“วืด”
ภายใต้ความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะหลบ พลังที่มองไม่เห็นได้พุ่งเข้ามาในกระบี่ของเขา กระบี่ของเขาจึงเคลื่อนที่เร็วขึ้นอีกเล็กน้อยทันที ด้วยเสียง “แกร๊ก” เขาป้องกันลูกศรไว้ได้
วืด วืด วืด วืด วืด วืด
ลูกศรตกลงมาอย่างรวดเร็วและรุนแรง
เร็วขึ้น เร็วยิ่งขึ้น เมิ่งชวนพยายามเต็มที่ที่จะหลบ
“ตูม”
พลังที่มองไม่เห็นได้หลอมรวมเข้ากับทุกส่วนในร่างกายของเขา
ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก หัวใจของเขาเต้นดัง และอวัยวะของเขาก็แจ่มชัดมาก เลือดไหลดังสายน้ำ มองเห็นกล้ามเนื้อทุกส่วนในร่างกายของเขาได้อย่างชัดเจน
ในทันใดนั้น การรับรู้และการควบคุมร่างกายของเขาก็ยิ่งยอดเยี่ยมมากกว่าเดิม
ร่างกาย จิตใจ และวิชายุทธหลอมรวมกันกลายเป็นหนึ่งเดียว เขาปลดปล่อยศักยภาพของร่างกาย
ในยามนั้น การหลอมรวมของร่างกาย จิตใจ และวิชาของเขาก็เข้าสู่สภาวะที่ล้ำลึก หัวใจสูบฉีดเลือด อวัยวะทั้งหมดต่างก็ทำงานอย่างเต็มที่ กล้ามเนื้อของเขาก็ท่วมท้นไปด้วยความแข็งแกร่ง ขณะที่พลังปราณก็ไหลเวียนไปในร่างอย่างสมบูรณ์แบบ ในทันใดนั้น ทุกกระบวนการและการไหลเวียนภายในร่างกายของเขานั้นก็เปลี่ยนไปเป็นสมบูรณ์แบบ และความสามารถในการใช้ศักยภาพของเขาก็เพิ่่มพูนมากขึ้นกว่าแต่ก่อน
วูบ
เขารู้สึกได้ทันทีว่า ร่างกายของเขาเบาขึ้น และคล่องตัวมากขึ้น เขาหลบลูกศรได้อย่างง่ายดาย ถ้าเขาเต็มใจ เขาสามารถเพิ่มความเร็วขึ้นไปได้อีก
“ความรู้สึกนี้วิเศษเกินไป ข้ารู้สึกได้ถึงความสามารถเกือบทุกอย่าง” การควบคุมร่างกายของเขาอย่างประณีตนั้นทำให้เมิ่งชวนรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอยู่บ้าง อย่างไรก็ตาม พลังที่มองไม่เห็นซึ่งหลอมรวมเข้ากับร่างกายของเขา ก็ทำให้เขาสิ้นเปลืองพลังเช่นเดียวกัน
เพียงไม่กี่วินาทีเขาก็รู้สึกเวียนหัว
“หยุด” เมิ่งชวนตะโกนออกมาทันที
ควับ ควับ ควับ
ยังมีลูกศรมอีกสามดอกพุ่งเข้าใส่เขา เขาแยกเขี้ยวด้วยความเจ็บปวด
“สุดยอด” จอมยุทธระดับก่อกำเนิดที่ยิงธนูต่างก็พากันตกตะลึง พวกเขายิงติดต่อกันเจ็ดครั้งในระยะใกล้ขนาดนั้น กระนั้นเมิ่งชวนก็ได้สะกัดกั้นลูกศรทั้งหมด และเพียงโดนลูกศรสามดอกในตอนท้าย
“น่าประทับใจจริงๆ”
“วิชาการเคลื่อนไหวนี้แปลกมาก แม้ลูกศรทั้งหมดนี้ แต่ก็ไม่มีลูกศรใดที่สามารถโจมตีท่านได้”
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ”
“น่าประทับใจมากที่เขาหลบพวกมันได้ เมิ่งชวนต้องคิดหาวิชาการเคลื่อนไหวที่แข็งแกร่งบางอย่างออกมาแน่ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะยังไม่เข้าใจทั้งหมด ในท้ายที่สุดเขาจึงถูกโจมตี” จอมยุทธระดับก่อกำเนิดต่างพากันประทับใจและดีใจ ส่วนใหญ่เป็นคนของตระกูลเมิ่ง ในขณะคนที่เหลือรับใช้ตระกูลเมิ่งมาเป็นเวลานาน ยิ่งเมิ่งชวนมีอำนาจมากเท่าไหร่พวกเขาก็ยิ่งภูมิใจมากขึ้นเท่านั้น
“นั่นคือทั้งหมดสำหรับวันนี้ ข้าต้องการทบทวนการฝึกวิชาของข้า” เมิ่งชวนกล่าว
“ขอรับ” ทุกคนยิ้มรับ
“วิชาการเคลื่อนไหวของนายน้อยพัฒนาขึ้นอย่างมาก เขาคงจะตระหนักรู้อะไรบางอย่าง”
“การฝึกวิชามีความสำคัญมาก มันยังเป็นสิ่งสำคัญมากเช่นเดียวกันที่จะต้องตระหนักรู้อยู่อย่างเงียบๆ” พวกเขาคุยกันอย่างตื่นเต้นขณะที่กำลังจากไป คนรับใช้ก็ถูกให้ออกไปเช่นเดียวกัน เมิ่งชวนเป็นคนเดียวที่เหลืออยู่ในสนามฝึกซ้อม
“เมื่อกี้นี้เป็นแรงประเภทไหนกัน” เมิ่งชวนตื่นเต้นเล็กน้อย
“เมื่อกี้นี้ ข้าได้ใช้พลังทั้งหมดของข้าเพื่อสกัดกั้นลูกศรเหล่านั้น ทันทีที่ข้าตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้าย ก็มีพลังที่มองไม่เห็นได้แทรกซึมเข้าไปในเพลงกระบี่ของข้า ทำให้พลังของมันเพิ่มขึ้น 50 เปอร์เซ็นต์ ไม่เพียงแค่นั้น พลังที่มองไม่เห็นนี้ได้หลอมรวมกับร่างกายของข้า ขณะที่ข้าหลบลูกศรที่เหลือ ความรู้สึกของการควบคุมร่างกายของข้านั้นช่างน่ามหัศจรรย์เหลือเกิน ความแข็งแกร่งของข้าเพิ่มขึ้นไปสู่ระดับใหม่ในทันที
การหลอมรวมของร่างกาย จิตใจ และวิชา ทำให้เกิดความแข็งแกร่ง ความเร็ว และการไหลเวียนของพลังปราณที่สมบูรณ์แบบ ที่สำคัญที่สุดก็คือ เขาไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆเลย สิ่งที่เขาทำทั้งหมดก็คือการปลดปล่อยศักยภาพของร่างกายออกมามากขึ้น
“พลังที่มองไม่เห็นนี้มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่มันปรากฏขึ้นจากเจตจำนงอันรุนแรงของข้า มันมีความเกี่ยวพันกับช่องว่างระหว่างคิ้วหรือไม่” เมิ่งชวนได้ลองคาด “เมื่อพลังที่มองไม่เห็นนี้หลอมรวมเข้ากับกระบี่ พลังงานที่ใช้ก็ไม่ได้มากมายเท่าไหร่นัก อย่างไรก็ตามเมื่อมันผสานเข้ากับร่างกาย การใช้พลังงานกลับเพิ่มมากขึ้นกว่าสิบเท่า ข้าแทบจะอยู่ได้ไม่ถึงสามวินาที”
“แต่นี่มันก็แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก” เมิ่งชวนไม่สามารถลืมความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมของการควบคุมร่างกายของเขาได้ “พลังนี้ลึกลับและไม่เป็นที่รู้จัก ข้าจะเรียกมันว่า “พลังแห่งวิญญาณ” เป็นการชั่วคราว”
…
ในอุโมงค์ลึกใต้ดินตอนกลางคืน
ชายผู้สง่างามเดินนำหน้าผู้อาวุโสผมสีเงิน ในไม่ช้าพวกเขาก็เห็นประตูบานใหญ่ เมื่อผลักมันให้เปิดออกก็เผยให้เห็นห้องโถงที่ว่างเปล่า มีสาวใช้สองคนยืนอยู่ข้างในนั้น
“ข้าต้องการพบหัวหน้าสาขา” ชายผู้สง่างามกล่าว
“ท่านหลี่โปรดรอสักครู่ ข้าจะส่งข้อความให้ในทันที” พนักงานหญิงพูดด้วยรอยยิ้ม จากนั้นเธอก็หันกายเดินเข้าประตูด้านข้างเพื่อรายงาน
ชายผู้สง่างามและผู้อาวุโสผมสีเงินรอคอยอย่างเงียบงัน
ในเวลาต่อมา
ชายหลังค่อมเดินออกมาจากประตูด้านข้าง สาวใช้ตามมาข้างหลังเขาด้วยท่าทางนอบน้อม ชายหลังค่อมนี้คือจอมยุทธนิกายอสูรฟ้าจากสวนหินร้าง ผู้ซึ่งเกือบจะสังหารเมิ่งชวนและเหยียนจิน
“คารวะรองหัวหน้าสาขาเกา” ชายผู้สง่างามและผู้อาวุโสผมสีเงินทักทายด้วยท่าทางนอบน้อม
บุคคลที่มีตำแหน่งสูงสุดในนิกายอสูรฟ้าสาขาตงหนิง คือหัวหน้าสาขาตามด้วยรองหัวหน้าสาขาสองคน
รองหัวหน้าสาขาเป็นจอมยุทธระดับไร้ตำหนิที่เข้าใจแนวคิดของ “พลัง” มานานแล้ว นอกจากนี้เนื่องจากเขาได้รับการฝึกฝนเพลงยุทธอสูรต่างๆ วิชาของเขาจึงน่ากลัวและเป็นเรื่องท้าทายหากจะต่อสู้ด้วย
“หัวหน้าสาขาและพี่สอง ตู ทั้งคู่กำลังเก็บตัวฝึกวิชา ข้าจึงต้องรับผิดชอบเรื่องสาขาตลอดครึ่งปีที่ผ่านมา” ชายหลังค่อมเดินเข้าไปในห้องโถงและนั่งลงอย่างสบายๆ เขาเหลือบมองคนทั้งสอง แล้วพูดว่า “พูดมาซิ มีอะไรที่เจ้าไม่สามารถจัดการได้ด้วยตัวเอง”
“โจรเมฆาโลหิตขายสมบัติให้เรา” ชายผู้สง่างามหยิบม้วนหนังสือและส่งให้สาวใช้ข้างตัวเขา จากนั้นสาวใช้ก็มอบมันให้กับชายหลังค่อม “นั่นคือภาพวาดของชิ้นส่วนโลหะสีดำ”
ตอนที่ 35 โจรเมฆาโลหิต
“อย่าทดลองอย่างสุ่มเสี่ยงกับช่องว่างระหว่างคิ้ว” เมิ่งเซียนกูกล่าว “การลองสุ่มนั้นอาจทำให้เจ้าได้ค้นพบประโยชน์หลายอย่าง แต่ก็อาจทำให้เกิดปัญหาที่แก้ไขไม่ได้เช่นเดียวกัน ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ”
เมิ่งชวนพยักหน้า
“ปล่อยให้ธรรมชาติดำเนินไป ในการฝึกวิชาของเจ้า เจ้าจะสามารถเข้าใจการใช้งานบางส่วนได้โดยธรรมชาติ” เมิ่งเซียนกูกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุด เมื่อเจ้าเข้าสู่เขาหยวนชูและค้นหาคู่มือเกี่ยวกับมัน เจ้าจะเข้าใจวิธีการใช้งานอย่างสมบูรณ์”
“ขอรับ ย่าทวด” เมิ่งชวนตอบอย่างนอบน้อม นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงถามพ่อและย่าทวดเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกัน มันเป็นพลังที่ไม่รู้จัก หากปราศจากประสบการณ์ของคนรุ่นก่อน การทดลองด้วยตัวเองนั้นจะอันตรายเกินไป
ตอนนี้เขามีความมั่นใจที่จะเข้าใจถึง “พลัง” ในอีกไม่นานนี้ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องเสี่ยง
“นอกจากนี้ เจ้าต้องเก็บงำเรื่องช่องว่างระหว่างคิ้วไว้เป็นความลับ” เมิ่งเซียนกูกวาดสายตามองไปที่พ่อและลูกชาย “แน่นอนว่าเราไม่สามารถบอกคนอื่นได้”
“ขอรับ” สองพ่อลูกตอบ
…
หลังจากไปเยี่ยมย่าทวดแล้ว เมิ่งชวนก็กลับไปที่คฤหาสน์จิงหูเมิ่ง และฝึกฝนต่อด้วยท่าชักกระบี่ซ้ำแปดพันครั้ง
ในสนามฝึกซ้อม
ยามถือหน้าไม้ยืนอยู่บนกิ่งไม้และเล็งไปที่พื้น
เมิ่งชวนยืนห่างออกไปหลายสิบก้าว พร้อมกระบี่ที่ยังคงอยู่ในฝัก
มีความรู้สึกที่แตกต่างไปจากในอดีตอย่างสิ้นเชิง เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงการเคลื่อนไหวของยามบนต้นไม้ อันดับแรกยามได้มองไปที่นายน้อยของเขา จากนั้นกล้ามเนื้อในมือของเขาก็เริ่มตึงขึ้น แล้วเขาก็เหนี่ยวไกด้วยนิ้ว ในระหว่างการเหนี่ยวไกนั้นเมิ่งชวนสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงช่วงเวลาที่ลูกศรในหน้าไม้ถูกยิงออกมา
วืด
ในขณะที่นิ้วของยามขยับ ร่างของเมิ่งชวนก็กระพริบวูบ
เมื่อลูกศรพุ่งออกไปลำแสงใบมีดก็วาดผ่านอากาศกระทบกับจุดสีแดงบนก้านลูกศร
“อา” ยามกระโดดด้วยความตกใจเมื่อลำแสงกระบี่พุ่งมาที่เขา มันเข้ามาใกล้กับหน้าไม้ในมือของเขามาก
“นี่ นี่…” ยามตกใจกลัว แม้แต่ยามและคนรับใช้คนอื่นๆที่เฝ้าดูอยู่ก็ตกใจเช่นเดียวกัน
ลูกศรนั้นถูกหั่นในขณะที่ยิงออกไปอย่างงั้นเหรอ ระยะทางช่างใกล้เกินไป
ผู้ฝึกยุทธยังต้องใช้เวลาในการตอบสนอง เวลาในการตอบสนองนั้นจะทำให้ลูกศรพุ่งออกไปได้ในระยะทางหนึ่ง
อ่านตอนล่าสุดที่ mynovel.co หรือ www.thainovel.com
“นี่คือการคาดเดาล่วงหน้า” เมื่อเห็นว่ายามตกใจมากแค่ไหน เมิ่งชวนก็สร้างเหตุผลขึ้นมา “หม่าซานยิงเกาทัณฑ์นี้นับครั้งไม่ถ้วน เมื่อข้าคาดเดาว่าเขาจะยิงลูกศร ข้าก็โจมตีทันที … ทันทีที่ลูกธนูพุ่งออกมา ข้าก็ฟันมันทันที”
“นายน้อย นั่นช่างน่าอัศจรรย์”
“นายน้อย การทำนายของท่านแม่นยำจริงๆ” ทุกคนยกย่องเขา
เมิ่งชวนยิ้ม
การคาดเดาล่วงหน้าจำเป็นต้องมีประสบการณ์มากมายและยังต้องมีโชคอีกด้วย นี่เป็นเพราะการกระทำของนักรบที่แข็งแกร่งนั้นจะทำให้ตาพร่ามัว ตัวอย่างเช่น ยามในระดับชำระแก่นแท้จะต้องใช้เวลานานแค่ไหนในการเหนี่ยวไก นอกจากนี้ด้วยเสื้อคลุมและกิ่งไม้ที่ปิดบังเขาไว้ แม้ว่าใครจะมองเห็นการกระทำของยามด้วยตาเปล่า แต่ก็จะสายเกินไปที่จะลงมือ
แต่เมิ่งชวนนั้นแตกต่างออกไป
เขาสามารถ “รับรู้” ทุกอย่างได้ละเอียดจนถึงที่สุด การเปลี่ยนแปลงในสายตาของยามและกระบวนการที่เขาเตรียมจะเหนี่ยวไก … ทุกอย่างล้วนชัดเจนอย่างถึงที่สุด
ไม่จำเป็นต้องทำนาย เขาสามารถโจมตีทันทีที่เขา “เห็น” มัน
“ถ้าเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะสามารถโจมตีโดนลูกศรได้ทุกครั้งที่มันพุ่งออกไป มันจะเป็นการยากสำหรับข้าที่จะฝึกฝนวิชากระบี่ของข้า อืม ข้าต้องตั้งกฎสำหรับตัวเอง ข้าต้องรอจนกว่าลูกศรจะถูกปล่อยออกมาก่อนจึงจะโจมตี” เขาตัดสินใจ ในเมื่อเขาติดตามความเร็วและความแม่นยำมาโดยตลอด หากพูดถึงท่าชักกระบี่
“อีกครั้ง” เมิ่งชวนสั่ง
“ขอรับ” หม่าซานรีบเตรียมตัวทันที มันน่ากลัวมากที่เห็นลำแสงกระบี่พุ่งผ่านเขาไป
วูบ
เขายิงธนูไปอีกลูก เมิ่งชวนยังคงเห็นกระบวนการทั้งหมดอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตามเขาเพียงแค่ดึงกระบี่ออกและฟาดฟันออกเมื่อลูกศรถูกยิงออกไป
ด้วยวิชาการเคลื่อนไหวของเขา ลำแสงกระบี่ไร้ตัวตนก็ได้ตัดผ่านจุดสีแดงบนก้านลูกศรไป ลำแสงกระบี่ตกลงบนลำต้นของต้นไม้ที่ห่อหุ้มด้วยโลหะและทิ้งรอยเอาไว้
นายน้อยไม่ได้คาดเดาใดๆแล้ว เท่านั้นยามและคนรับใช้ก็ค่อยสงบสติลง นี่เป็นเรื่องปกติ นี่เป็นวิธีที่นายน้อยของพวกเขาโจมตีในอดีต เมื่อตอนที่เขาทำท่าชักกระบี่ซ้ำแปดพันครั้งต่อวัน
เขาเริ่มต้นท่าชักกระบี่ซ้ำๆประจำวันในวันนี้ค่อนข้างสาย เพราะเขาไปที่คฤหาสน์ของบรรพบุรุษ คงจะเป็นเวลาบ่ายกว่าที่เขาจะทำเสร็จ
…
เมืองตงหนิงที่อยู่อาศัยของคนธรรมดา
ชายร่างอ้วนสวมหมวก และชายมีหนวดเคราเดินมาที่ประตูแล้วทำการเคาะประตู
ประตูเปิดออกและชายหน้าตาเหมือนลิงก็มองออกไปยังข้างนอก ทันใดนั้นเขาก็ยิ้มและกล่าวว่า “นายท่านสองจ้าว โปรดเข้ามา”
“อืม” ชายมีหนวดเคราตอบอย่างสั้นๆ ชายร่างอ้วนเดินตามหลังพี่ชายคนที่สองของเขาเข้ามาพร้อมด้วยรอยยิ้ม
ชายหน้าตาเหมือนลิงเดินนำทั้งสองเข้าไปในที่พักจนถึงห้องโถง
“พี่ชายจ้าว” ผู้เฒ่าผมเงินในห้องโถงยิ้มขณะที่ประสานมือคำนับ ลูกน้องของเขายืนอยู่ข้างหลัง
“พ่อบ้านได้รับสินค้าทั้งหมดของข้าหรือยัง” ชายมีหนวดเครานั่งลงอย่างสบายๆ โดยมีชายร่างอ้วนนั่งอยู่เคียงข้างเขา
“เราได้รับพวกมันเรียบร้อยแล้ว ข้าได้รับสินค้าสามชุด ตามส่วนลด 50% จะเป็นเงิน 16,800 หยวน เมื่อปัดเศษขึ้นไปมันจะเป็นเงิน 17,000หยวน” ผู้เฒ่าผมเงินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พี่จ้าวพอใจไหม”
ชายมีเคราพยักหน้าเล็กน้อย “สิ่งของพวกนี้เป็นของธรรมดา ข้ายังมีของมีค่าอยู่อีกสองสามชิ้น”
“ได้โปรดชี้แนะ” ดวงตาของผู้เฒ่าผมเงินสว่างขึ้น
“สิ่งแรกก็คือม้าหยก” ชายมีเคราหยิบกล่องไม้ออกมา เมื่อกล่องไม้ถูกเปิดออกก็เห็นม้าหยกที่วางอยู่ด้านใน ม้าหยกตัวใหญ่กว่าฝ่ามือเล็กน้อย มีสีขาวขุ่นและมีความอบอุ่น อย่างไรก็ตามผิวของม้าหยกขาวกลับเปล่งประกายสีแดงออกมาอย่างแปลกประหลาด
“นี่คือเครื่องประดับที่แกะจากหยกชั้นดี มันควรจะเป็นสมบัติที่เทพอสูรให้คุณค่า มันอาจถูกวางไว้บนโต๊ะทำงานของเทพอสูร หลังจากใช้เวลาอยู่ร่วมกันเป็นเวลานาน กลิ่นอายของเทพอสูรได้ถูกหลอมรวมเข้าไปในนั้น” ผู้เฒ่าผมเงินพยักหน้าเล็กน้อย “มันไม่ได้มีประโยชน์มากนักสำหรับการฝึกวิชา แต่มันนับว่าเป็นของหายาก ข้าสามารถให้เงิน 5,000 หยวนแก่เจ้าได้”
“5,500หยวน” ชายมีหนวดเครากล่าว
“ก็ได้ ตามที่เจ้าต้องการ พี่ชายจ้าว 5,500 หยวน” ผู้เฒ่าผมเงินหัวเราะ
ต่อจากนั้นก็เป็นสมบัติชิ้นที่ สอง สาม และสี่ รวมกันแล้วมีค่าใช้จ่ายทั้งหมด 20,000 หยวน แต่ละรายการล้วนหายาก
“นี่คือรายการสุดท้าย นี่เป็นสมบัติที่แท้จริง” ชายมีหนวดเครากล่าวอย่างจริงจัง ขณะที่เขาพูดเขาถอดผ้าคลุมช้นนอกและเสื้อคลุมช้นในออก จากนั้นเขาก็หยิบสิ่งของลึกลับที่ห่อด้วยผ้าฝ้ายออกมา
ผู้เฒ่าผมเงินสังเกตอย่างระมัดระวัง
ชายผู้มีหนวดเคราแกะผ้าฝ้ายออก ทันใดนั้นกระแสพลังที่เปี่ยมไปด้วยแรงกดดันก็เล็ดลอดออกมา
“กระแสพลังเทพอสูรงั้นรึ มันเป็นมรดกเทพอสูรอย่างงั้นรึ” ผู้เฒ่าผมเงินคาดเดาได้อยู่บ้าง แต่เมื่อเขาเห็นสิ่งของภายในเขาก็ขมวดคิ้ว “ทำไมมันจึงเล็กมาก ทำไมมันจึงไม่มีตัวอักษรเลย”
นี่คือชิ้นส่วนโลหะสีดำที่แตกหัก มันมีขนาดเท่าฝ่ามือเท่านั้น แม้แต่มรดกเทพอสูรธรรมดาหนึ่งหน้าก็จะมีขนาดเท่ากระดาษปกติ
“นี่คืออะไร” ผู้เฒ่าผมเงินถาม
“ข้าไม่รู้”
ชายร่างใหญ่มีเครากล่าว” ชิ้นส่วนโลหะสีดำนี้ไม่มีคำพูดใดๆบนพื้นผิวของมัน มันไม่มีเคล็ดวิชาใดๆ ในขณะเดียวกันก็เสียหายมากเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม … กลิ่นอายของเทพอสูรที่เปล่งออกมานั้นมีแรงกดดันอย่างมาก มันแข็งแกร่งกว่าชิ้นส่วนหน้ากระดาษของมรดกเทพอสูรธรรมดามาก”
“บางทีมันอาจจะเป็นชิ้นส่วนเล็กๆของอาวุธเทพอสูร” ผู้เฒ่าผมเงินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้ายินดีที่จะเสนอ 3,000 หยวน”
“มันไม่ใช่อาวุธ” ชายมีเคราส่ายหน้า “มันแบนมาก เหมือนกระดาษแผ่นหนึ่ง ข้านึกภาพไม่ออกเลยว่าอาวุธแบบไหนจะมีชิ้นส่วนแบบนี้”
“เจ้าเคยทดลองรับมรดกนี้แล้วหรือยัง” ผู้เฒ่าผมเงินถาม
มรดกเทพอสูรนั้นจะทำให้ใครๆก็สามารถจมดิ่งลงไปภายในเพื่อดูวิชาของเทพอสูรได้ มันส่งมรดกนี้ผ่านจิตสำนึก
ตัวอย่างเช่น ส่วนที่เหลือของเพลงกระบี่เทพอสูรของผู้อาวุโสสามที่ได้มอบให้กับเมิ่งชวนก็เป็นมรดกที่สืบทอดผ่านจิตสำนึก
“ไม่” ชายมีเคราส่ายหน้า “จอมยุทธในระดับไร้ตำหนิสองสามคนในค่ายของเราได้ลองใช้ทุกวิธีแล้ว แต่ก็ไม่มีใครประสบผลสำเร็จ”
“ถ้าอย่างนั้นนี่ก็ไม่ใช่มรดกของเทพอสูร” ผู้เฒ่าผมเงินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แม้ว่ากระแสพลังเทพอสูรจะหนาแน่นมาก แต่ข้าจะไม่เสนอราคามากกว่า 5,000 หยวนสำหรับของที่ไม่มีประโยชน์ใดๆ แม้ว่ามันจะเกี่ยวข้องกับเทพอสูรก็ตาม”
“100,000หยวน” ชายมีหนวดเครากล่าว “ไม่ขาดไปแม้แต่หยวนเดียว”
“100,000 หยวนรึ” ผู้เฒ่าผมเงินเบิกตากว้าง “เศษหน้ามรดกเทพอสูรที่แท้จริงเท่านั้นที่มีราคามากกว่า 100,000 หยวน อย่างไรก็ตามเจ้าก็ไม่สามารถที่จะรับมรดกได้เลยแม้แต่น้อย เจ้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร จะขอราคาสูงขนาดนี้ไปทำไม”
“ประการแรก กลุ่มโจรเมฆาเลือดต้องจ่ายราคาแพงพอสมควรสำหรับชิ้นส่วนโลหะสีดำชิ้นนี้ ประการที่สอง หากว่ามันได้รับกระแสพลังเทพอสูรที่ทรงพลังสุดยอด มันจะต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ” ชายมีหนวดเครากล่าว “100,000 หยวนเป็นราคาที่พี่ชายของข้ากำหนด ถ้าเจ้าต้องการ เจ้าก็ต้องจ่าย 100,000 หยวน”
“รอที่นี่ ให้ข้าถามนายของข้าดูก่อน” ผู้เฒ่าผมเงินกล่าวขณะที่เขาพยักหน้าให้กับลูกน้องของเขา
“ได้” ชายมีเคราและชายร่างอ้วนรออย่างอดทน
ในไม่ช้า
ชายผู้สง่างามก็เดินออกมา
“พี่จ้าว” ชายผู้สง่างามยิ้มขณะที่เขาพยักหน้า ในเวลาเดียวกันเขาก็มองไปที่ชิ้นโลหะสีดำและลังเล “ข้าขอดูหน่อยได้ไหม”
“ได้เลย” ชายมีเคราพยักหน้า
ชายผู้สง่างามค่อยๆลูบชิ้นโลหะสีดำหลังจากที่เขาถือมันไว้ในมือ หลังจากมองดูเป็นเวลานานเขากล่าวว่า “อันที่จริงกระแสพลังของเทพอสูรนั้นแข็งแกร่งมาก แต่ก็น่าจะเป็นชิ้นส่วนของสมบัติส่วนตัวของเทพอสูรที่แข็งแกร่ง มันอาจไม่มีประโยชน์ใดๆเลย ข้าสามารถเสนอเงินได้มากที่สุด 20,000 หยวนสำหรับความเสี่ยงนี้”
“ข้าบอกไปแล้วว่ามันต้องเป็น 100,000 หยวนไม่น้อยไปกว่านั้น” ชายมีหนวดเครากล่าว
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีอะไรที่เราสามารถทำได้ในเรื่องนั้น” ชายผู้สง่างามส่ายหน้าเบาๆ
“ได้”
ชายร่างใหญ่พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “เราจะอยู่ในเมืองตงหนิงอีกสองสามวัน หากเจ้าเปลี่ยนใจ เจ้าสามารถไปพบเราได้อีกครั้ง เจ้ารู้ดีว่าจะหาเราเจอได้อย่างไร”
“ตกลง” ชายผู้สง่างามพยักหน้า
“นี่คือเงิน 38,000 หยวนที่เราตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้” ผู้เฒ่าผมเงินวางธนบัตรสีเงินไว้ที่นั่น ชายมีหนวดเคราพลิกดูพวกมันหลังจากที่รับมันไว้แล้ว ธนบัตรแต่ละใบมีมูลค่าหน้าธนบัตร 1,000 หยวน ดังนั้นจึงมีธนบัตรทั้งหมด 38 ใบ
“ถึงเวลาที่เราต้องไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องส่งเรา” ชายมีเคราเดินนำชายร่างอ้วนออกไป
ชายผู้สง่างามมองดูพวกเขาจากไป ก่อนที่เขาจะขมวดคิ้วและพูดว่า “พ่อบ้านฟาง รีบวาดชิ้นโลหะสีดำให้เหมือนของจริง หลังจากทำเสร็จแล้วเราจะไปพบท่านหัวหน้าสาขา”
“ขอรับ” ผู้เฒ่าผมเงินตอบอย่างนอบน้อม
ชายผู้สง่างามครุ่นคิด หัวหน้าสาขาอาจสามารถระบุได้ว่าสมบัตินั้นคืออะไร
ตอนที่ 34 เยี่ยมย่าทวด
“บอกข้าทีว่าเกิดเรื่องอะไรกันแน่ ทำไมเจ้าทำอะไรลับๆล่อๆ” เมิ่งต้าเจียงมาที่สนามฝึกซ้อมแล้วนั่งลง เพราะว่าสนามฝึกซ้อมนั้นทั้งกว้างขวางและว่างเปล่า ไม่มีใครอยู่ใกล้พวกเขา จึงไม่ต้องกลัวใครแอบฟัง
“พ่อ” เมิ่งชวนยืนอยู่ที่นั่นชี้ไปที่หว่างคิ้วของตัวเองและถามด้วยเสียงเบาๆ “ท่านเคยได้ยินเกี่ยวกับช่องว่างระหว่างระหว่างคิ้วหรือไม่” เมิ่งชวนอยากจะรู้ว่าช่องว่างที่อยู่ระหว่างคิ้วของเขาคืออะไร หากเขาไม่รู้อะไรเลย สักวันหนึ่งเขาอาจยุ่งเกี่ยวกับการฝึกวิชาต้องห้ามบางอย่างและอาจได้รับทุกข์ทรมาน
ในแง่ของความไว้วางใจ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเมิ่งชวนเชื่อใจพ่อของเขามากที่สุด
“มีช่องว่างระหว่างคิ้วของเราด้วยรึ” เมิ่งต้าเจียงรู้สึกงงงัน “ชวนเอ๋อร์ ข้าไม่ค่อยเข้าใจว่าเจ้าหมายถึงอะไร”
“มันเป็นเช่นเดียวกับตันเถียนของเรา” เมิ่งชวนกล่าว “ตันเถียนของเรานั้นเป็นความว่างเปล่าที่สามารถกักเก็บพลังปราณของเราได้ ช่องว่างด้านหลังหว่างคิ้วก็เช่นเดียวกัน มันมีที่ว่างอยู่ที่นั่น และยังมีคนตัวเล็กๆซ่อนตัวอยู่ด้วย”
“ข้าไม่รู้ ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน” เมิ่งต้าเจียงส่ายหน้า “ชวนเอ๋อร์ ทำไมจู่ๆเจ้าถึงถามแบบนี้ เจ้าได้ยินเรื่องนี้มาจากไหน”
“นี่ไม่ใช่คำบอกเล่า” เมิ่งชวนกล่าวอย่างจริงจัง “เป็นเพราะข้าสามารถมองเห็นช่องว่างระหว่างคิ้วของข้าได้ ช่องว่างนั้นกว้างใหญ่และมีคนโปร่งแสงเล็กๆอยู่ข้างใน บุคคลนั้นดูเหมือนกับเป็นตัวข้า”
รูม่านตาของเมิ่งต้าเจียงหดเล็กลง “เจ้ารู้สึกอย่างไร” เมิ่งต้าเจียงซักไซ้
“ยอดเยี่ยม สุดยอด” เมิ่งชวนกล่าว “ข้ารู้สึกเหมือนกับข้าได้เกิดใหม่ เมื่อข้าหลับตา ข้าจะสามารถสัมผัสได้ถึงทุกสิ่งในระยะสิบก้าว ข้ายังรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงขนที่อยู่บนขาของมด ภายในรัศมีหนึ่งลี้ข้าจะสัมผัสได้ถึงกระแสปราณทั้งหมด ข้ายังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของแมวและสุนัขเหล่านั้นด้วย”
“เจ้าสามารถ ‘มองเห็น’ ทุกสิ่งในระยะสิบก้าวรอบๆตัวเจ้าได้แม้หลับตาอย่างนั้นรึ ทั้งยังสามารถรับรู้ในพื้นที่หนึ่งลี้ได้ด้วยรึ” เมิ่งต้าเจียงพบว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้ “ชวนเอ๋อร์ เจ้าได้รับเคล็ดการฝึกวิชาพิเศษบางอย่างที่เจ้ากำลังฝึกฝนอย่างลับๆอยู่หรือไม่”
“ไม่” เมิ่งชวนส่ายหน้า “ข้าไม่เคยแตะเคล็ดวิชาอื่นเลย หลังจากที่ข้าวาดภาพเสร็จเมื่อวานนี้ ข้ารู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย จากนั้นข้าก็เห็นช่องว่างระหว่างคิ้วผ่านตาจิต”
“นั่นฟังดูดี แต่ก็อาจเป็นอันตรายได้ อย่าประมาท” เมิ่งต้าเจียงกล่าว “ไปพบกับย่าทวดของเจ้ากันเถอะ”
“ตกลง” เมิ่งชวนพยักหน้า
…
เมิ่งเซียนกูได้รับบาดเจ็บหนักและเธอเหลือชีวิตอยู่อีกไม่มากนัก เธอห่วงใยเมิ่งชวนมากที่สุด เนื่องจากเขาเป็นความหวังของตระกูลเมิ่ง
การใช้สมบัติของตระกูลทั้งหมดเพื่อแลกกับหยดน้ำไขกระดูกหยกเทพอสูร และการโอนแต้มทั้งหมดที่เธอสะสมมาเป็นชื่อของเมิ่งชวนด้วยความเต็มใจ แสดงให้เห็นว่าเขามีความสำคัญกับเธอมากเพียงใด อาจกล่าวได้ว่าเพื่อเห็นแก่เมิ่งชวนเธอสามารถสละชีวิตได้
เมิ่งต้าเจียงและเมิ่งชวนเชื่อใจเธออย่างถึงที่สุด
ภายในคฤหาสน์บรรพบุรุษ
“ย่าทวด” เมิ่งชวนทักทายเธอด้วยความเคารพ
“ชวนเอ๋อร์ ทำไมเจ้าถึงมาที่นี่” เมิ่งเซียนกูนั่งอยู่บนสนาม เธอวางหนังสือลง และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าฝึกท่าชักกระบี่ซ้ำแปดพันครั้งทุกวัน เป็นเรื่องยากที่เจ้าจะมาหาข้าแต่เช้า”
เมิ่งต้าเจียงกล่าวในทันที “มีบางอย่างที่พิเศษเกิดขึ้นกับชวนเอ๋อร์”
“พิเศษรึ” หัวใจของนางฟ้าเมิ่งเขม็งเครียดขึ้น ขณะที่เธอถามว่า “มันคืออะไรรึ”
“ย่าทวด เมื่อคืนข้ามองเข้าไปในตัวเอง และค้นพบช่องว่างระหว่างคิ้วของข้า มันคล้ายกับช่องว่างในตันเถียน ช่องว่างนี้อยู่ระหว่างคิ้วและมีคนตัวเล็กุอยู่ข้างใน ดูเหมือนข้าทุกประการ”
สีหน้าของเมิ่งเซียนกูเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ช่องว่างระหว่างคิ้วของเจ้ารึ ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเช่นกัน”
“ป้า ท่านก็ไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเช่นเดียวกันรึ” เมิ่งต้าเจียงตกใจ
เมิ่งเซียนกูเป็นเทพอสูรมาประมาณแปดสิบปีแล้ว เธอมีเพื่อนเทพอสูรจำนวนมาก ดังนั้นปกติแล้วความรู้ของเธอต้องกว้างขวางมาก แต่ถึงกระนั้น เมิ่งเซียนกูกลับไม่เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับช่องว่างระหว่างคิ้วมาก่อน มันเป็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อ
นั่นหมายความว่ามันหาได้ยากมาก หายากมากๆ
“อย่ากระวนกระวาย ชวนเอ๋อร์ เจ้าพบความเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างหลังจากค้นพบช่องว่างระหว่างคิ้ว” เมิ่งเซียนกูถาม
“ชวนเอ๋อร์ กล่าวว่าเมื่อเขาหลับตา เขาสามารถมองเห็นทุกอย่างรอบตัวในระยะสิบก้าวได้อย่างชัดเจน แม้แต่ขาของมดและขนบนขาของมันก็ยังสามารถมองเห็นได้ชัดเจน นอกจากนี้เขายังสามารถสัมผัสได้ถึงกระแสพลังปราณทั้งหมดในระยะหนึ่งลี้” เมิ่งต้าเจียงอธิบายขณะที่เมิ่งชวนพยักหน้า
“หลับตาแล้วเห็นได้ถึงสิบก้าวงั้นรึ และสามารถรับรู้ได้ในรัศมีหนึ่งลี้งั้นรึ” เมิ่งเซียนกูงุนงง “เจ้าได้ปลดปล่อยพลังปราณของเจ้าด้วยหรือไม่”
“ข้ายังไม่เข้าใจถึง ‘พลัง’ ดังนั้นข้าจึงไม่สามารถปลดปล่อยพลังปราณของข้าได้” เมิ่งชวนกล่าว
“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่สามารถปลดปล่อยพลังปราณของเจ้าได้” เมิ่งเซียนกูส่ายหน้า “ข้ายังเก่งในด้านการสำรวจ ข้าสามารถสำรวจได้ไกลสิบลี้เพียงแค่คิด แต่นั่นเป็นเพราะร่างกายที่เป็นเทพอสูรของข้า ร่วมกับการใช้เคล็ดวิชาพิเศษที่ขึ้นอยู่กับการปลดปล่อยพลังปราณ แต่สำหรับเจ้า เจ้าไม่ได้ใช้วิธีการใดๆในการรับรู้กระแสพลังภายในรัศมีหนึ่งลี้ของเจ้า ข้าไม่เคยเห็นหรือได้ยินมาก่อน”
เมิ่งชวนสับสน
“เจ้าสามารถตรวจจับกระแสพลังของข้าได้หรือไม่” เมิ่งเซียนกูถาม
“ย่าทวด…” เมิ่งชวนสามารถมองเห็นเสื้อผ้าของเมิ่งเซียนกูบนผิวน้ำได้ด้วยตาเปล่า แต่เมื่อเขาหลับตาลง เขาก็รู้สึกเหมือนเมิ่งเซียนกูกลายเป็นมนุษย์ดวงตะวัน กระแสพลังที่น่ากลัวทำให้ยากที่เขาจะมองเห็นเธอได้อย่างชัดเจน
“ย่าทวด กระแสพลังของท่านแข็งแกร่งเกินไปจนข้ามองไม่ชัด” เมิ่งชวนกล่าว “อย่างไรก็ตามกระแสพลังของท่านแข็งแกร่งกว่ากระแสพลังของสิ่งมีชีวิตอื่นๆทั้งหมดในระยะหนึ่งลี้รวมกัน ข้ารู้สึกได้และมันก็พร่างพราวราวกับดวงอาทิตย์ มันยากที่จะมองไปตรงๆ แต่ก็สะดุดตามาก”
เมิ่งเซียนกูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดเบาๆว่า “ข้าไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับช่องว่างระหว่างคิ้ว แต่ข้าก็เคยได้ยินอย่างอื่น”
เมิ่งต้าเจียงและเมิ่งชวนตั้งใจฟัง
“มนุษย์มีจิตวิญญาณ เจ้าน่าจะเคยได้ยินเรื่องนี้มา” เมิ่งเซียนกูกล่าว
“ขอรับ” เมิ่งชวนและพ่อของเขาตอบอย่างจริงจัง การมีอยู่ของวิญญาณนั้นเป็นความรู้ทั่วไป
“แต่พวกเจ้ารู้ไหมว่าวิญญาณนั้นอยู่ที่ไหน” เมิ่งเซียนกูถาม
ทั้งสองส่ายหน้า
“ข้าได้ยินมาจากเพื่อนสนิทว่า วิญญาณนั้นตั้งอยู่ในทะเลแห่งจิตสำนึก” เมิ่งเซียนกูกล่าว “วิญญาณอยู่ในรูปแบบของมนุษย์ และเหมือนกับร่างกายของคนๆหนึ่ง ย้อนกลับไปตอนนั้น ข้าถามถึงที่อยู่ของทะเลแห่งจิตสำนีก ในตอนนั้นเขาได้แต่ชี้ไปที่หัวของตัวเองและบอกว่า เขาเองก็ไม่ค่อยรู้เรื่องนี้เหมือนกัน เขารู้แค่ว่าสิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการฝึกวิชาเทพอสูรที่ทรงอำนาจยิ่งกว่า”
“วิญญาณมีความเกี่ยวข้องกับการฝึกวิชาเทพอสูรที่ทรงอำนาจยิ่งกว่างั้นรึ” เมิ่งต้าเจียงและเมิ่งชวนตกอยู่ในห้วงความคิดอันลึกล้ำ
“ช่องว่างระหว่างคิ้วนั้นฟังดูคล้ายกับทะเลแห่งจิตสำนึก” เมิ่งเซียนกูกล่าว “เป็นเพราะว่าคนตัวจิ๋วนี้ก็อยู่ในรูปร่างของมนุษย์ด้วยเช่นกันและเหมือนกับร่างกายของเจ้า ดังนั้นนั่นอาจจะเป็นวิญญาณของเจ้า”
เมิ่งชวนพยักหน้าเล็กน้อย
“แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการคาดเดาของข้า” เมิ่งเซียนกูกล่าว “มันอาจจะจริงหรืออาจจะผิดก็ได้ เจ้าไม่อาจที่จะเชื่อใจข้าได้เต็มที่ในเรื่องนี้”
เมิ่งชวนพยักหน้า แต่เขารู้สึกเหมือนได้รับความรู้มามากมาย ดูเหมือนว่าคนเรามีทะเลแห่งจิตสำนึก และมีวิญญาณอยู่ภายในทะเลแห่งจิตสำนึก สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการฝึกวิชาเทพอสูรที่ทรงอำนาจยิ่งกว่า
“เจ้าทั้งคู่ต้องเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ถ้ามันเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างแท้จริงนั่นก็จะดีมาก แต่ถ้าหากมีการเปิดเผย… นั่นอาจมีปัญหา” เมิ่งเซียนกูกล่าว
“ถูกต้อง” เมิ่งต้าเจียงกล่าว “ถ้ามีอัจฉริยะสุดยอดขึ้นมาจริงๆ นิกายอสูรฟ้าจะต้องคิดหาวิธีที่จะลอบสังหารพวกเขา”
นิกายอสูรฟ้านั้นเห็นแก่ตัวและกังวลเกี่ยวกับผลประโยชน์ของตัวเองเท่านั้น
อย่างไรก็ตามหากอัจฉริยะผู้ไร้เทียมทานปรากฏตัวขึ้น อสูรก็จะให้รางวัลพวกนั้นหากการลอบสังหารนั้นสำเร็จ นี่นับว่าเพียงพอแล้วที่จะกระตุ้นให้นิกายอสูรฟ้ายอมเสี่ยงชีวิตเพื่อลอบสังหารเขา
มีอัจฉริยะน้อยยิ่งกว่าน้อยที่ถือได้ว่าสามารถสั่นคลอนโลกได้ พวกเขาเป็นคนที่อาจมีอิทธิพลต่อสถานการณ์โดยรวมระหว่างมนุษย์และอสูร สำหรับคนอย่างเหม่ยหยวนจื่อแล้วนิกายอสูรฟ้าไม่แม้แต่จะเหลือบมอง…เขาไม่แม้จะประสบความสำเร็จในการผ่านการประเมินเบื้องต้นในการเข้าสู่เขาหยวนชู ภัยคุกคามที่มีต่อเหม่ยหยวนจื่อคืออะไรบ้างนั้นสามารถจินตนาการออกมาได้ หากโชคไม่ดีเพียงเล็กน้อย เขาอาจตายในสนามรบและไม่สามารถกลายเป็นเทพอสูร อัจฉริยะอย่างเมิ่งชวนผู้ยังไม่สามารถเข้าถึง “พลัง” ก็ได้แต่ถือว่าเป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจในเมืองตงหนิงเท่านั้น อสูรไม่ได้ให้ความสนใจใดๆกับเขา
“สิ่งที่เจ้าต้องทำคือเก็บเป็นความลับ และทำการฝึกวิชาต่อไปตามปกติ จนกว่าเจ้าสามารถเข้าสู่เขาหยวนชูได้” เมิ่งเซียนกูกล่าว “เขาหยวนชูเป็นดินแดนแห่งการฝึกวิชาที่เก่าแก่ที่สุด เมื่อเจ้าเข้าสู่เขาหยวนชูและอ่านหนังสือที่มี ข้าเชื่อว่าเจ้าจะรู้ความลับเกี่ยวกับช่องว่างระหว่างคิ้ว”
“ขอรับ” เมิ่งชวนพยักหน้า
“นั่นถูกตัองแล้ว เก็บไว้เป็นความลับและฝึกฝนให้ดี” เมิ่งต้าเจียงกล่าว
“เจ้าควรตระหนักถึง ‘พลัง’ ให้เร็วที่สุด” เมิ่งเซียนกูกล่าว “ยิ่งเจ้าเข้าถึงได้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น นั้นจะช่วยให้เจ้าสามารถสร้างรากฐานเทพอสูรได้เร็วยิ่งขึ้น ยิ่งสร้างรากฐานได้ลึกโอกาสในการเข้าสู่เขาหยวนชูก็จะยิ่งมากขึ้น เหม่ยหยวนจื่อตระหนักถึง ‘พลัง’ เมื่ออายุ 20 ปี แม้ว่าเขาจะเสี่ยง … แต่โอกาสที่จะประสบความสำเร็จก็มีน้อย สุดท้ายเขาก็ล้มเหลว ดังนั้นเจ้าจะต้องตระหนักถึง ‘พลัง’ ให้ได้เมื่ออายุสิบเก้าปี โอกาสของเจ้าในการเข้าสู่เขาหยวนชูก็จะเพิ่มขึ้น เมื่อมีเวลาตระเตรียมรากฐานเทพอสูรให้แข็งแกร่งเพิ่มขึ้นอีก 1 ปี
จริงแล้วเมิ่งชวนอยากจะบอกว่าเขามั่นใจว่าจะบรรลุถึง “พลัง” ได้ภายในไม่กี่วันข้างหน้า แต่ในเมื่อยังไม่ประสบความสำเร็จ เขาก็รู้สึกว่านั่นเป็นแค่การคุยโอ้อวดเท่านั้น
ข้าจะบอกเจ้าพ่อและย่าทวดหลังจากที่ข้ารู้ถึง “พลัง”
ตอนที่ 33 การเปลี่ยนแปลง
เมิ่งชวนตื่นตระหนก
“นี่คืออะไรกัน ข้ารู้แค่ว่าสามนิ้วใต้สะดือคือตันเถียน และช่องว่างตันเถียนที่สามารถเก็บรวบรวมปราณไว้ได้ เหตุใดจึงมีช่องว่างระหว่างคิ้ว และสิ่งที่อยู่ในนั้นก็เหมือนกับข้าอีกด้วย” เมิ่งชวนงงงัน แต่เขาก็ทำการคาดเดาว่า “ในเมื่อสิ่งนี้มีลักษณะเหมือนกับข้า มันคือวิญญาณดังที่กล่าวขานกันในตำนานหรือไม่ หรือมันสร้างขึ้นจากความคิดความปรารถนาของข้า หรือจะเป็นสิ่งที่ไม่มีใครรู้จัก”
“ตำราของสถาบันสำนักเต๋าจิงหูได้รับแจกจ่ายมาตั้งแต่ต้นราชวงศ์หยวน ตำราของตระกูลเมิ่งของข้าก็สะสมมาหลายพันปีเช่นกัน ความรู้โดยทั่วไปในเรื่องการฝึกวิชานั้นถือได้ว่าสมบูรณ์มาก”
“ข้าอ่านตำราเหล่านั้นมานานแล้ว แต่ข้าไม่เคยเห็นตำราที่อ้างถึงช่องว่างระหว่างคิ้ว” เมิ่งชวนงุนงง เขาชอบอ่านหนังสือ เขาเป็นคนที่มีความรู้ดีจากตระกูลเทพอสูร แต่เขาก็ไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน มีช่องว่างและมีคนตัวเล็กซุกซ่อนอยู่ภายใน
ถึงแม้จะประหลาดใจ แต่เมิ่งชวนก็รู้สึกอยู่บางเบาว่านี่น่าจะเป็นสิ่งดี
เพราะว่า……
เขารู้สึกว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงในตัวเองที่เกิดใหม่แล้ว
“ความรู้สึกนี้เป็นสิ่งที่น่าสนใจและมหัศจรรย์มาก เมิ่งชวนหลับตาลง แต่ก็ยังหลีกเลี่ยงสิ่งของมากมายในห้องหนังสือได้อย่างง่ายดายขณะที่เขาก้าวเดินออกไป เขาเปิดประตูบ้านและเดินออกไปอย่างง่ายดาย
เขาหลับตาและเดินไปที่โต๊ะหินในสนามและนั่งลงบนเก้าอี้หิน
“ข้าเพียงหลับตาและบริเวณรอบๆที่ห่างออกไปสิบก้าวมันก็ชัดเจนอย่างถึงที่สุด” เมิ่งชวนลืมตาขึ้น ตอนนี้มันมืดและพร่ามัวมากจนมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นในตอนกลางคืน แต่ความรู้สึกของเขาในระยะสิบก้าวนั้นชัดเจนมาก แม้กระทั่งขนบนขาทั้งหกของมดตัวน้อยที่คลานอยู่บนผนังลาน เมิ่งชวนก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
ไม่ว่าจะเป็นด้านหน้าหรือด้านหลัง ด้านบนหรือใต้ดินทุกอย่างล้วนชัดเจน แต่ก็มองเห็นได้ชัดลึกลงไปใต้ดินเพียงสามก้าวเท่านั้น
ดวงตาสามารถเห็นได้เพียงแค่ด้านหน้า ไม่เห็นด้านหลัง และถ้ามืดหรือทึบก็จะยิ่งมองไม่เห็น
“ข้าสามารถมองเห็นสิบก้าวได้อย่างชัดเจน”
“และสามารถสัมผัสรับรู้ได้ถึงหนึ่งลี้”
เมิ่งชวนนั่งอยู่ในลานเล็กๆสามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจนถึงปราณทั้งหมดภายในหนึ่งลี้ โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่ตัวเขาเอง ปราณของมนุษย์ ปราณของสัตว์ และปราณของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดเขาสามารถรับรู้ได้
ตัวอย่างเช่นปราณของพ่อและลุงหลิวแข็งแกร่งที่สุดในคฤหาสน์จิงหูเมิ่งทั้งหมด
พ่อของเขา เมิ่งต้าเจียง มีปราณที่แข็งแกร่ง
ปราณของหลิวเย่ป๋ายคล้รยไม่มีตัวตน
ปราณของอีกกลุ่มหนึ่งที่อ่อนด้อยกว่าในระดับก่อกำเนิดนั้น ชีเยว่จะบริสุทธิ์ที่สุดในหมู่พวกเขา
พื้นที่ของจิงหูเมิ่งทั้งหมดนั้นยังมีสถานที่ด้านนอกคฤหาสน์เมิ่ง …
แต่ยิ่งไกลออกไปความรู้สึกก็ยิ่งพร่ามัวมากขึ้น
เช่นเดียวกับยามกลางวันที่ไม่มีสิ่งกีดขวาง ตาเปล่าจะสามารถมองเห็นได้ไกล แต่เมื่อไกลออกไปจะเห็นเพียงร่างที่ไม่ชัดเจนเท่านั้น
เช่นเดียวกับการรับรู้ของเมิ่งชวน เขารู้สึกได้ชัดเจนมากเมื่ออยู่ในระยะใกล้ ถ้าระยะทางไกลเขาจะรู้ได้แค่ว่ามีคนและสัตว์จำนวนเท่าไหร่ ใครแข็งแรงกว่า และใครที่อ่อนแอกว่าเท่านั้น
และถ้าเกินระยะหนึ่งลี้… มันก็จะมืดไม่สามารถรับรู้ได้
“เมื่อมองทุกอย่างในโลกตอนนี้ พวกมันล้วนแตกต่างไปจากเดิม” เมิ่งชวนลืมตาขึ้นและมองไปที่พืชนานาชนิดในลานบ้าน เขารู้สึกเหมือนกับว่า ที่เขาเห็นก่อนหน้านี้ เหมือนกับมองสิ่งต่างๆในหมอก ต่างเห็นอย่างคลุมเครือ แต่ตอนนี้เขาเห็นชัดเจนขึ้นนับร้อยเท่า สีสันของทุกสิ่งที่เขาเห็นนั้นสดใสกว่ามาก บนโต๊ะหินที่ราบเรียบในอดีตนั้น เขาสามารถมองเห็นหลุมเล็กๆมากมายจากการกัดกร่อนของสายลมและแสงแดด
เส้นผมที่ร่วงลงมานั้น ก่อนนี้จะรู้สึกว่าเส้นผมนั้นบางและเรียบลื่น แต่ในช่องว่างแห่งจิตนี้เขาสามารถ ‘เห็น’ ความหยาบกร้านมากมายบนพื้นผิวของเส้นผม เหมือนกับกิ่งไม้ที่มีผิวขรุขระมากมายรวมไปถึงร่องรอยความเสียหายในนั้น
ทุกอย่างดูจริงยิ่งกว่าเดิม
“ควับ”
ทันใดนั้นเมิ่งชวนก็ชักกระบี่ออกมาและฟาดฟันไปในความว่างเปล่า
เมิ่งชวนมองไปที่วิถีกระบี่ที่ฟันผ่านไปของเขา รู้สึกตื่นเต้นอยู่บ้าง
“เดิมทีดวงตาของข้าไม่เห็นข้อบกพร่อง มันเป็นการฟาดฟันที่สมบูรณ์แบบ … ตอนนี้กลับมีข้อบกพร่องมากมายอย่างงั้นรึ” เมิ่งชวนพึมพำ สมัยก่อนเขาใช้ดวงตาดูวิถีกระบี่ ก็พบว่ากระบี่นั้นทั้งรวดเร็วเหลือเกินและทรงพลังมหาศาล สามารถมองเห็นเพียงคลุมเครือ เขาคิดว่าท่ากระบี่นี้ดีมากพอ แต่ตอนนี้ภายใต้ช่องว่างแห่งจิตนี้ วิถีกระบี่จะถูกมองเห็นได้อย่างสมบูรณ์และชัดเจนกว่าร้อยเท่า
ทุกช่องว่างขาดเกินกันในวิถีกระบี่ทั่วท้องฟ้านั้นเห็นได้ชัดเจนมาก สิ่งนี้ทำให้เมิ่งชวนค้นพบความไม่สมบูรณ์ของวิถีกระบี่ในทันที
ในฐานะของผู้ที่หมกมุ่นอยู่กับการวาดภาพ การแสวงหาความงดงามนั้นเป็นสัญชาตญาณอย่างหนึ่ง
เมื่อมีสิ่งที่ไม่สมบูรณ์และไม่สอดคล้องกัน เขาจะทนไม่ได้
“ฝึกชักกระบี่” เมิ่งชวนเริ่มฝึกชักกระบี่ในตอนกลางคืน
ร่างกายของเขากลายเป็นลำแสงขณะฟาดฟันกระบี่ออกไป
การค้นพบความไม่สมบูรณ์เท่านั้นที่จะทำให้รู้ได้ว่าควรปรับปรุงตรงไหน
กระบี่แล้วกระบี่เล่า …
ทุกความพยายามสามารถทำได้ดีกว่าเดิม
หนึ่งชั่วโมงสองชั่วโมง …
เมิ่งชวนไม่เหนื่อยเลยแม้แต่น้อย ในทางกลับกันเขารู้สึกตื่นเต้นมาก เขารู้สึกว่าข้อบกพร่องในวิชากระบี่ของเขานั้นหายไป และท่ากระบี่ก็ค่อยๆสมบูรณ์แบบแม้จะอยู่ภายใต้ ‘ช่องว่างแห่งจิต’
“ควับ”
เป็นท่าชักกระบี่ฟาดฟันอีกครั้ง
แสงของกระบี่วาดโค้งเหมือนพระจันทร์เสี้ยว ถึงกับแฝงพลังของพื้นพิภพออกมาอย่างบางเบา ทำให้แสงของกระบี่เหมือนความฝัน วาบผ่านไป
เมิ่งชวน ซึ่งใช้วิชาท่าร่างของตนเองนั้น พลันเร็วกว่าปกติถึง 50% เขารู้สึกเหมือนกับตกอยู่ในภาพลวงตาว่าได้บินไปในสายลม ชั่วพริบตาเขาเขาก็ถลาไปไกลกว่าสามก้าว แม้ว่าเขาจะหยุดแล้ว แต่หัวใจของเขากลับเร่าร้อนอย่างมาก “ข้ารู้สึกถึงการมีอยู่ของ ‘พลัง’ มันเกือบแล้ว มันเกือบจะได้แล้ว”
“นับตั้งแต่ข้าเข้าถึงขั้น หนึ่งเดียว ข้าได้ฟันลูกศรวันละ 8,000 ครั้งและฝึกฝนอย่างหนักมาเป็นเวลากว่าหนึ่งปีครึ่ง จนกระทั่งวันนี้ ในที่สุดข้าก็รู้สึกถึง พลัง”
“ในอีกไม่กี่วัน ข้าจะต้องผ่านไปขั้นนั้นได้อย่างแน่นอน” เมิ่งชวนรู้สึกว่าคืนนี้อากาศดีจริงๆ
เขาฟันลูกศรวันละแปดพันครั้งในการฝึกฝนท่าชักกระบี่ ทุกครั้งเขาพยายามที่จะฟันลูกศรให้เร็วกว่าเดิม ให้รอยของพลังกระบี่ที่ตกลงบนต้นไม้ใหญ่ขยับไปได้มากกว่าเดิม เขามีรากฐานที่มั่นคงอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ และรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกัน มันเป็นท่ากระบี่เดียวที่เขาชื่นชอบและเป็นทิศทางที่ชัดเจน … ผลการฝึกฝนของเมิ่งชวนในปีครึ่งที่ผ่านมานั้นดีมากจริงๆ เขากลัวว่ามันจะดีกว่าของเทพอสูรโบราณเติ้งเฟิง มีประสิทธิภาพยิ่งกว่ยามเมื่ออยู่ในวัยเดียวกัน
หลังจากผ่านไปหนึ่งปีครึ่ง มันก็ไม่ได้อยู่ห่างจาก ‘พลัง’ มากเกินไปนัก แม้ว่ามันจะใกล้ถึงขีดจำกัดมากแล้วซึ่งทำให้พัฒนาการนั้นช้าลง เมิ่งชวนได้ทำงานหนักเป็นเวลาถึงหนึ่งปีครึ่ง และสุดท้ายก็ตระหนักว่า ‘พลัง’ นั้นเป็นเรื่องที่แน่นอนตายตัวอยู่แล้ว
แต่การเปลี่ยนแปลงของคืนนี้นั้น
ทำให้เขาก้าวไปอีกขั้นของวิชากระบี่ และเขาก็สัมผัสถึง ‘พลัง’ ในทันที
การก้าวเข้าไปอีกขั้นนั้นเป็นเรื่องใกล้ตัวมากขึ้น
…
ตีห้า แต่มันก็ยังมืดอยู่
เสียงระฆังยามเช้าในเมืองตงหนิงดังขึ้นแล้วและผู้คนที่ต้องการทำธุระภายใจเมืองก็รออยู่ที่ประตูเมืองเรียบร้อยแล้ว
“ครืน ~~~~” ประตูพระราชวังตงหนิงเปิดออก พ่อค้าขนสินค้า และผู้ใช้แรงงานก็เข้ามาในเมืองทีละคน ในเวลานี้ ก็มีร่างสองร่างปะปนอยู่ในฝูงชนและพวกเขาก็เข้ามาในเมืองอย่างง่ายดาย
“ข้าไม่ได้ไปที่หอเมฆาครามมาครึ่งปีแล้ว พี่สอง คราครั้งนี้เมื่อข้าเข้าเมือง ข้าต้องเล่นให้หนัก ข้าเกือบจะป่วยอยู่ในภูเขาแล้ว” คนทั้งสองเข้ามาในเมือง ชายร่างอ้วนสวมหมวกหัวเราะคิกคัก
“เอาล่ะเราไปทำธุระก่อน และแทนที่สมบัติทั้งหมดนี้ด้วยตั๋วเงิน หลังจากเสร็จธุระแล้วเราค่อยเล่นอย่างช้าๆนานสักสิบวันก่อนที่จะกลับไปที่ค่าย” ชายมีเคราที่อยู่ด้วยกันกล่าว
…
เมิ่งชวนฝึกฝนวิชากระบี่ตลอดทั้งคืนและในที่สุดก็หยุดยั้งลง
ตั้งแต่กลางคืนถึงรุ่งเช้า แม้จิตวิญญาณไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย แต่ร่างกายก็อ่อนล้าเช่นกัน เขาฝึกฝนวิชากระบี่มานานกว่าสี่ชั่วโมงและท้องของเขาก็คำราม
แปรงฟันล้างหน้า จากนั้นก็ค่อยไปทานอาหารเช้า
“อึก อึก” เมิ่งชวนถือโจ๊กชามใหญ่ ดื่มสองสามคำ จากนั้นก็กินบะหมี่อย่างสบายใจ
หลังจากกินบะหมี่ไปสามก้อนใหญ่แล้ว เมิ่งต้าเจียงพ่อของเขาก็เดินเข้าไปในห้องโถง และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ชวนเอ๋อร์ มันค่อนข้างเช้าไปนะสำหรับทานอาหารเช้าในวันนี้”
“ขอรับ”
เมิ่งชวนพยักหน้ารับ และกินต่ออย่างสบายใจ “อย่างไรก็ตาม พ่อ ข้ามีอะไรจะเล่าให้ฟังหลังจากนี้”
“ยังไม่บอกข้าตอนกินอาหารรึ ต้องรออีกรึ”เมิ่งต้าเจียงยิ้ม “ช่างลึกลับจริง”
เมิ่งชวนยิ้มและพูดกับสาวใช้ที่อยู่ด้านข้าง “โจ๊กอีกหนึ่งชาม”
“เจ้าค่ะ นายน้อย” สาวใช้รีบบริการโจ๊กทันที
ตอนที่ 32 สรรพชีวิต 2
เมิ่งชวนเดินดูคนขายของริมถนนที่ตะโกนเรียกคนให้มาซื้อของ ศิษย์สำนักเต๋าเดินไปด้วยกันสองคนบ้างสามคนบ้าง ต่างพูดจาฮาเฮสนุกสนาน
“ดูสินั่นศิษย์พี่เมิง”
“ศิษย์พี่เมิ่ง”
ศิษย์ของสำนักเต๋าจิงหูตะโกนทักทายออกมาด้วยความเคารพทันที
สิ่งที่เขาเห็นระหว่างทางทำให้เมิ่งชวนยิ้ม ทันใดนั้นเขาก็เห็นชายชราพิการอยู่ข้างถนน ชายชราพิการนั่งอยู่ที่ริมแม่น้ำเฝ้าดูคนเดินผ่านไปมา มีเบ็ดตกปลาอยู่ข้างตัว เขายิ้มและมองดู บางครั้งก็ดูดควันจากกล้องยาสูบกล้องใหญ่
เมิ่งชวนเป็นจิตรกรที่เฉลียวฉลาด ซึ่งสังเกตทุกอย่างด้วยความรอบคอบ เขาสัมผัสได้ถึงความสุขและสบายใจของชายชราพิการ “ความพึงพอใจ” ที่เปี่ยมล้นเป็นพิเศษ ‘แต่ผู้เฒ่าท่านนั้นพิการมาก ขาขาดข้างหนึ่งและมือก็ขาดข้างหนึ่ง’
“แม้จะพิการมากขนาดนี้ เขาก็ยังพึงพอใจและสนุกสนานอย่างนี้ได้ยังไง ในเมื่อเขาดูแย่ที่สุดบนถนนทั้งสาย แต่เขากลับมีความสุขมากที่สุดอย่างงั้นรึ” เมิ่งชวนเดินเข้าไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ท่านผู้เฒ่า” เมิ่งชวนเดินไปหาและพูดจาอย่างสุภาพ
“มีอะไรรึ”
ชายชราพิการหยิบยาเส้นก้อนใหญ่ด้วยแขนข้างเดียวนั้น แล้วก็มองไปดูและก็อดที่จะอุทานออกมาไม่ได้ว่า “นี่ไม่ใช่นายน้อยเมิ่งชวนหรือยังไง นายน้อยเมิ่งชวนมาคุยกับข้า คนแก่คนนี้จริงๆ ข้าต้องกลับไปบอกเมียของข้าเมื่อข้ากลับไป”
รอยยิ้มของชายชราพิการส่งผ่านไปยังคนอื่นได้อย่างง่ายดาย
เมิ่งชวนกล่าวว่า “ท่านผู้เฒ่า ข้าไม่รู้ว่าท่านมีความสุขมากแค่ไหน อะไรที่ทำให้ท่านมีความสุข”
“ดูสิ พวกวัยรุ่นกำลังฝึกวิชายุทธ และพวกผู้ใหญ่ก็ใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบ” ชายชราพิการชี้ไปที่ถนน “ข้ามีความสุขที่ได้เห็นทุกสิ่งนี้”
เมิ่งชวนผงะไปชั่วขณะ
“ที่ด่านฉินหยางในปีนั้น เผ่าพันธุ์อสูรได้รวมตัวกันเป็นกองทัพขนาดใหญ่ภายใต้การนำของกลุ่มราชาอสูรพวกมันต้องการจะเข้ามา” ชายชราพิการกล่าว “หากว่าพวกมันเข้าไปได้ เมืองตงหนิงทั้งเมืองและบริเวณโดยรอบก็จะต้องกลายเป็นเศษดินที่ไหม้เกรียมและไม่มีใครสามารถอยู่ได้ ไม่มีใครรอดชีวิต ตอนนั้น ข้า ชายชราคนนี้ รับใช้อยู่ที่ด่านฉินหยาง นับขึ้นไปถึงเทพอสูรนับลงไปถึงทหารทุกคน …พวกเราพากันต่อต้านอย่างหมดหวัง”
“เทพอสูรได้ต่อสู้กับราชาอสูร”
“พวกเราต่อต้านอสูรทุกตัวด้วยเช่นกัน ซากศพกระจัดกระจายไปทั่วทุกหนทุกแห่งและสหายหลายคนได้เสียชีวิต พวกเราคุยและหัวเราะกันคืนก่อนหน้านั้นและล้มลงในวันนี้ ตราบใดที่ยังมีลมหายใจพวกเราจะลากอสูรไปตายด้วยกัน” ขอบตาของชายชรามีร่องรอยชุ่มชื้นเล็กน้อย เขายิ้ม “พวกเราฆ่าจนดวงตาเป็นสีเลือด เมื่อพวกเราพบว่าไม่มีอสูรอยู่รอบตัวแล้ว ก็ไม่มีเพื่อนร่วมทางที่สามารถยืนอยู่ได้เหลืออยู่มากมายเท่าไหร่เช่นเดียวกัน”
“พวกเรารอดมาได้เพราะการสนับสนุนของเทพอสูรคนอื่นๆ และในที่สุดก็สามารถปกป้องด่านฉินหยางได้” ชายชราพิการยิ้ม “เราช่วยชีวิตผู้คนหลายสิบล้านคนรอบเมืองตงหนิง ครั้งนั้นทหาร 20 000 คนที่นั่น รอดชีวิตเพียง 1 633 คนเท่านั้น เทพอสูรทั้งห้าที่พิทักษ์ด่านฉินหยาง มีเพียงสองคนเท่านั้นที่ยังมีชีวิตอยู่”
“ทำไมทั้งที่พวกเราทุกคนแม้ว่าจะหมดหวัง แต่เรากลับไม่ต้องการที่จะหนีไปในสถานการณ์ที่สิ้นหวังนี้ นั่นเป็นเพราะพวกเราไม่ต้องการถูกฆ่าฝ่ายเดียว และเราก็ไม่ต้องการใ้ห้คนในตระกูลและลูกๆของเราถูกสังหาร … ข้าหวังว่าพวกเขาจะฝึกฝนอย่างปลอดภัย ดื่มเหล้าชามใหญ่ และโอ้อวดตนเอง หวังว่าพวกเขายังสามารถตบแต่งลูกสะใภ้มีลูกในอนาคต …” ชายชราพิการยิ้ม “ข้าออกมาทุกวัน มองไปยังผู้คนบนถนนสายนี้ ข้าก็คิดถึงเพื่อนร่วมทางที่ตกตายไปทุกคน มันคุ้มค่า”
“ข้าโชคดีมาก พี่น้องสองหมื่นคนรอดเพียงหนึ่งพันหกร้อยสามสิบสามคน ข้ารอดชีวิต ข้ายังสามารถกินซาลาเปาใส้เนื้อ กินปลา ดื่มเหล้า สูบกล้องยาสูบได้ … ฮ่าฮ่า …ข้ามีความสุขแค่ไหน” ชายชราพิการยิ้ม
เมิ่งชวนฟังอย่างเงียบงัน
ความสับสนที่เดิมมีอยู่ในใจของเขาหายไป
บางตระกูลที่น่าสังเวชทำเรื่องที่ไร้สาระจริงๆ เมื่อเทียบกับชายชรา
ตัวอย่างเช่น ตระกูลของพี่น้องหงหยู หงหยูต้องทำงานเป็นสาวใช้ในตระกูลใหญ่เพื่อหารายได้มาจุนเจือครอบครัว พ่อของเธอติดการพนัน ถูกกล่าวหาว่าเป็นหนี้สิน จะบอกว่าถูกหลอกอย่างงั้นรึ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้ นี่อาจจะเป็นการโกหกลูกชายของตัวเอง ใครควรจะถูกตำหนิหากว่าไม่อ่านตั๋วสัญญาอย่างรอบคอบ
“มีหลายพันคน”
“บางคนเต็มใจที่จะตกตาย”
“บางคนที่ถึงแม้จะตกสู่ขุมนรกก็ยังยิ้มอย่างสดใส”
“และผู้คนส่วนใหญ่ … ” เมิ่งชวนยังมองไปที่พ่อค้าแม่ค้าและคนเดินเท้าบนถนน “พวกเขาเต็มไปด้วยความคาดหวังและยุ่งวุ่นวายเพื่อชีวิตของตัวพวกเขาเอง”
…
เมิ่งชวนกลับบ้าน ทานอาหารกลางวัน และมาที่ห้องทำงาน
คลี่ม้วนกระดาษ เมิ่งชวนก็เริ่มวาดภาพ
มีอะไรมากมายในใจของเขาที่เขาอยากจะวาด
เขาเริ่มต้นด้วยการวาดเมืองตงหนิง …
…
นับตั้งแต่วันนี้ เมิ่งชวนก็ได้เพิ่มเวลาวาดภาพในช่วงเวลาอื่นของแต่ละวันขึ้นมานอกเหนือจากเวลาฝึกฝนตามปกติ
วาดภาพทุกวัน
ตั้งแต่ฤดูร้อนถึงฤดูใบไม้ร่วง การวาดภาพยังคงดำเนินต่อไปเป็นเวลานานกว่าสี่เดือน เมื่อใบไม้เปลี่ยนสีเป็นสีเหลืองและเริ่มร่วงหล่น ในที่สุดการวาดภาพก็เสร็จสิ้นลง
นี่คือม้วนภาพขนาดใหญ่ ที่กว้าง 2 เมตร และยาวถึง 5 เมตร
ครึ่งซ้ายของม้วนภาพทั้งหมดนั้นเป็นเมืองโบราณ เมืองตงหนิง
ที่เด่นชัดที่สุดเป็นคฤหาสน์หรูหราแห่งหนึ่ง นั่นก็คือบ้านบรรพบุรุษตระกูลเมิ่ง ในบ้านบรรพบุรุษตระกูลเมิ่ง มีหญิงชราถือไม้เท้ายืนอยู่ที่นั่น ทั้งตัวของเธอเปล่งแสงเรืองรองน่าหวาดหวั่น ด้านข้างมีคนในตระกูลจำนวนมาก เช่น ผู้นำตระกูล ผู้อาวุโสทั้งสาม และเมิ่งต้าเจียง เมิ่งชวนวาดภาพพวกเขาหลายสิบคนอย่างชัดเจน ในขณะที่คนในตระกูลคนอื่นๆนั้นเขาวาดเป็นเพียงแค่เงาร่าง
นอกบ้านบรรพบุรุษตระกูลเมิ่ง
หลิวชาง หัวหน้าแก๊งหมาป่าดำ ยืนโค้งคำนับด้วยความเคารพอยู่ที่นั่น เมิ่งชวนไม่เคยเห็นหลิวชางมาก่อนแต่เขามีภาพเหมือนอยู่ในเอกสาร เมิ่งชวนได้วาดเกินความเป็นจริงให้เห็นว่าภาพวาดหลิวชางนั้นแข็งแกร่งและดุร้ายกว่าตัวจริง แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าบ้านบรรพบุรุษของตระกูลเมิ่ง หลิวชางมีความเคารพและประจบประแจงเป็นอย่างมาก
ด้านหลังหลิวชางมี ‘โจวเฮ่อ’ ที่โค้งคำนับมากยิ่งกว่า โจวเฮ่อถึงกับยิ้มประจบให้แก่หลิวชาง ใบหน้าเปื้อนยิ้มถูกวาดขึ้นอย่างระมัดระวัง
ด้านหลังของโจวเฮ่อก็คือ หงหยูและตี่เชิ่ง ซึ่งเป็นคนที่ระมัดระวังและขี้อายมาก
ที่เหลือเป็นภาพของผู้คนในเมืองตงหนิงทั้งหมด
ผู้หญิงที่น่าสงสารหลายคนที่ถูกบังคับให้ขายตัวโดยครอบครัวของตัวเอง ร้องไห้และเดินไปยังสวนหินร้าง
นอกจากนี้ยังมีคนอีกมากมายหลายสิบคนที่ทำงานหนัก บางคนถึงกับแขนขาดและต้องทำงานด้วยมือข้างเดียว
นอกจากนี้ยังมีร้านอาหาร โรงน้ำชา ร้านก๋วยเตี๋ยว และสถานที่อื่นๆ คนขายของข้างถนน คนเดินเท้า ผีพนัน คนขายที่ดิน … แน่นอนว่ามีชายชราพิการที่แขนและขาขาดริมแม่น้ำ ตกปลา สูบยากล้อง ยิ้มและมองไปที่ถนนที่อยู่ถัดออกไป เขาอยู่ทางด้านขวาสุดขอดภาพทั้งหมด
เมิ่งชวนวาดภาพคนธรรมดาหลายร้อยคนในเมืองตงหนิง
จุดสนใจอยู่ที่สำนักเต๋า
ในลานฝึกสำนักเต๋าที่วาดโดยเมิ่งชวน มีเด็กวัยรุ่นและคนหนุ่มสาวที่ฝึกฝนวิชาอย่างหนัก และยังมีเจ้าสำนักเก๋อหยู ดื่มเหล้า และให้คำแนะนำอยู่ด้วย สำนักเต๋าอยู่ทางซ้ายสุดของเมืองตงหนิง โดยมีดวงอาทิตย์ขึ้นอยู่ถัดไป ศิษย์สำนักเต๋ากลุ่มนี้ก็คือพระอาทิตย์ขึ้นของเมืองตงหนิง เป็นความหวังทั้งหมดของเมืองตงหนิง
อย่างไรก็ตาม มันอยู่ทางขวาสุดนอกเมืองของทั้งเมืองตงหนิง
นอกเมือง กลุ่มคนหนุ่มสาวแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสำนักเต๋า… ภายใต้การจับตามองของกลุ่มพ่อแม่และสมาชิกในครอบครัว ออกจากเมืองตงหนิงและไปยังสถานที่อื่น
ด้านขวาสุดของภาพทั้งหมด
มันเป็นประตูพรมแดนที่แปดเปื้อนไปด้วยเลือด
มีเทพอสูรและราชาอสูรต่อสู้กัน เทพอสูรคือ ‘เมิ่งเซียนกู’ และราชาอสูรนั้นเป็นอสูรงูที่บินอยู่บนท้องฟ้า
ที่ชายแดนทหารนับไม่ถ้วนกำลังต่อสู้กับอสูร
ทหารเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นเพียงภาพร่าง แต่ก็มีบางคนที่วาดหน้าตาอย่างชัดเจน
ตัวอย่างเช่น ในหมู่ทหารมีพ่อของเขา เมิ่งต้าเจียง เจ้าสำนักเก๋อหยู ผู้นำตระกูลเมิ่ง สามผู้เฒ่า หลิวชาง โจวเฮ่อ … แม้ว่าคนเหล่านี้จะมีตัวตนที่แตกต่างกันไปในเมืองตงหนิง แต่ครั้งหนึ่งพวกเขาล้วนเคยมีตัวตนเป็นแบบเดียวกัน นั่นคือทหารเผ่ามนุษย์ที่ต่อสู้กับอสูร
“เสร็จ” เมิ่งชวนวาดคนร่างสุดท้าย นักรบที่แขนขาด เขาแทงกระบี่เข้าที่หัวของอสูร นักรบนั้นก็คือชายชราพิการ เขาจ้องมองไปที่อสูร แต่กลับเหมือนว่าเขากำลังจับจ้องไปที่ด้านซ้ายสุดของภาพวาด ไปที่เมืองตงหนิงอันเงียบสงบ
ภาพทั้งหมดวาดสิ่งที่เมิ่งชวนต้องการแสดงออก
เช่น หัวหน้าแก๊งหมาป่าดำ ‘หลิวชาง’ เขากลัวตระกูลเเทพอสูร แต่ก็ทำให้นักธุรกิจที่ร่ำรวยบางคนกลัว
โจวเฮ่อที่มีคำสั่งที่เด็ดขาดสามารถรวบรวมคนรับใช้ได้มากมาย แต่เขาก็มีความกลัวมากมายหลายอย่างเช่นกัน
เมิ่งต้าเจียงและคนอื่นๆ มีสถานะที่ค่อนข้างสูง แต่พวกเขาก็ต้องต่อสู้อาบเลือดที่ชายแดนเป็นเวลาสิบปีเช่นเดียวกัน
เทพอสูรอยู่สูงกว่านั้น เป็นเสาหลักของเผ่าพันธุ์มนุษย์
พวกเขาจำเป็นต้องปกป้องเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมด
ในม้วนภาพทั้งหมดนั้น คนธรรมดาถูกแบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม และผู้หญิงจากสวนหินร้างเหล่านั้นเป็นเพียงไม่กี่คนจากคนธรรมดาจำนวนนับไม่ถ้วน แม้ว่าคนธรรมดาเหล่านี้จะอ่อนแอและต่ำต้อย แต่ก็มีจำนวนมากที่สุดในม้วนภาพ พวกเขาถูกปกป้องโดยเเทพอสูร แต่พวกเขาก็เป็นรากฐานของเผ่าพันธุ์มนุษย์ คนธรรมดาจำนวนนับไม่ถ้วนสามารถให้กำเนิดเทพอสูรจากรุ่นสู่รุ่น ด้วยเหตุนี้ เผ่าพันธุ์มนุษย์จึงไม่เคยหยุดนิ่ง
ภาพรวมแสดงถึงสามลัทธิเก้ากระแส*
สิ่งที่วาดเป็นเพียงยอดของภูเขาน้ำแข็งของเผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่ยังเผยให้เห็นถึงสาเหตุที่เผ่าพันธุ์มนุษย์อยู่รอดมาได้จนถึงตอนนี้
ที่มุมขวาบนของม้วนภาพ เมิ่งชวนเขียนคำสามคำ”สรรพชีวิต”
สรรพชีวิต
มีผู้คนมากมายในที่นี้ เช่น เมิ่งเซียนกู เมิ่งต้าเจียง สามผู้อาวุโส หลิวชาง โจวเฮ่อ ชายชราที่พิการ เก๋อหยู ฯลฯ … ตัวละครเหล่านี้คือพวกเขา แต่ก็ไม่ใช่พวกเขา
“เสร็จแล้ว” เมิ่งชวนนั่งบนเก้าอี้ด้วยความรู้สึกพึงพอใจอย่างยิ่ง
เขาชอบวาดภาพมาตั้งแต่เด็ก
เป็นเพราะเขาชอบสังเกตสิ่งรอบข้างและจดบันทึกสิ่งที่เขาสังเกตด้วยปากกา ในช่วงแรกเขาวาดโครงร่างภายนอกและระบายสีสดใส ในภายหลังในรูป ‘ม้า’ เขาค่อยๆวาดเสน่ห์ของม้าจนดูเหมือนมีชีวิต ดังนั้นคนที่ไม่รู้วิธีการวาดภาพจึงตกใจเมื่อเห็นภาพวาดเหล่านี้และยินดีจ่ายในราคาสูง ในเวลานั้นเขาเป็นคนที่มีฝีมือที่สุดในการวาดภาพของตงหนิง
และวันนี้ … เขาก็ก้าวมาถึงอีกระดับหนึ่งแล้ว
สิ่งที่เขาวาดก็คือ ‘ใจ’ ของตัวเขาเอง
ดึงอารมณ์ที่รุนแรงทั้งหมดในใจของตนเอง และผสมผสานเข้ากับภาพวาด ในช่วงเวลาของการวาดภาพ ความรู้สึกสำเร็จและความพึงพอใจที่ยิ่งใหญ่ก็ได้เติมเต็มเข้าไปในใจของเขา
“สรรพชีวิต” เมิ่งชวนหลับตาและยิ้ม
ความพึงพอใจอันยิ่งใหญ่ในจิตใจของเขานั้นทำให้เขารู้สึกวิงเวียน
เขาไม่รู้ว่า
ในทะเลจิตที่หว่างคิ้วของเขานั้น
วิญญาณมนุษย์ที่อ่อนจางกำลังค่อยๆกลั่นตัว ในช่วงกว่าสี่เดือนของการวาดภาพ ‘สรรพชีวิต’ จิตวิญญาณของมนุษย์นี้ค่อยๆเปล่งแสงสว่างทางจิตวิญญาณออกมา และทำให้วิญญาณมนุษย์นี้รวมตัวคงสภาพอยู่อย่างนั้น และเมื่อมันถูกวาดออกมา วิญญาณก็จะยิ่งรู้สึกถึงความสมบูรณ์แบบ ในที่สุดจิตวิญญาณของมนุษย์นี้ก็กลั่นตัวจนแข็งถึงขีดสุด ‘ตูม’ เกิดเป็นรูปเป็นร่างแสดงให้เห็นถึงลักษณะที่แท้จริงของมัน
และในขณะนี้ เมิ่งชวนรู้สึกวิงเวียนอยู่ในหัวของตนเองอยู่เช่นกัน
จากนั้น เขาก็ “เห็น” เหมือนดังกับว่า ตัวเองกำลังฝึกฝนปราณอยู่ และเมื่อมองเข้าไปข้างในตัวเอง จิตสำนึกของเขา “เห็น” ช่องว่างอันกว้างใหญ่ระหว่างคิ้วของเขา และมีร่างยืนอยู่ในช่องว่างนี้ ซึ่งเหมือนกับตัวของเขาเอง
———————————————————–
สามลัทธิเก้ากระแส* 三教九流 หมายถึง
3 ลัทธิ (三教) ได้แก่ ศาสนาพุทธ ศาสนาขงจื๊อ ศาสนาเต๋า
9 กระแส (九流) หรือ 9 สาขาอาชีพ มีการแบ่งย่อยเป็นอีก 3 ระดับ คือ.-
ระดับที่ หนึ่ง 9 สาขาอาชีพ ระดับบน(上九流 ได้แก่.-
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ (神)、เซียน (仙)、จักรพรรดิ (皇帝)、ขุนนาง (官吏)、ต้มสุรา (烧锅)、โรงรับจำนำ(典当)、พ่อค้า(商贾)、เจ้าที่ดิน(客)、ชาวนา (种田)。
ระดับที่ สอง 9 สาขาอาชีพ ระดับกลาง(中九流) ได้แก่.-
บัณฑิต (举子)、แพทย์ (医生)、หมอดูฮวงจุ้ย(风水先生、阴阳先生)หมอดูพยากรณ์โชคชะตา(相命)、จิตรกร (丹青) หมอดูลักษณะนรลักษณ์ (书生)、ปัญญาชน(琴棋)、หลวงจีนพุทธศาสนา (僧)、นักพรตลัทธิเต๋า (道)、。
ระดับที่สาม 9 สาขาอาชีพ ระดับล่างได้แก่.-
หมอผี เขียนเลขยันต์ (巫) 画符念咒招神驱鬼的南方巫师;นางคณิกา 娼(明娼暗娼歌妓);ม้าทรง 大神(以跳唱形式治病的神仙附体的神巫);ยามรักษาการณ์ 梆(更夫);กัลบกหรือช่างตัดผม 剃头的(挑担走四方的理发师);นักดนตรี 吹手(吹鼓手、喇叭匠);นักแสดงปาหี 戏子(各类演员);กระยาจก 叫街(乞丐);คนขายน้ำตาลเป่า 卖糖(吹糖人的)
ตอนที่ 31 สรรพชีวิต 1
แปดวันต่อมา
คฤหาสน์จิงหูเมิ่ง
“ท่านอาจารย์เอกสารหลังปิดคดีในพระราชวังหยกสุริยันได้คัดลอกมาให้สำหรับตระกูลเมิ่งของเรา” เฉียนฟางหยิบแฟ้มหนาสิบสองชุดขึ้นมาและพูดว่า “ข้าได้รับทั้งหมดแล้ว”
“ลุงเฉียน นำเอกสารมาไว้ที่นี่” เมิ่งชวนพยักหน้า
“ขอรับ” เฉียนฟางวางแฟ้มหนาไว้ที่นั่นจากนั้นก็ถอยออกไป
เมิ่งชวนหยิบเอกสารชุดบนขึ้นมาและเริ่มอ่านผ่านไป คำนำเป็นบรรยายสั้นๆเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ตี่เชิงวัยแปดขวบต้องการช่วยพี่สาวของเขา เขาจึงขอร้องโจวเฉียน โจวเฉียนถูกพ่อของเขาขัดขวางและไม่สามารถออกไปช่วยเขาได้ เขาจึงส่งตี่เชิงไปขอร้องศิษย์พี่ของเขา ‘เมิ่งชวน’ เมิ่งชวนและโจวเฉียนมีความสัมพันธ์ที่ดี ดังนั้นพวกเขาจึงเข้ามาแทรกแซงในเรื่องนี้ เหยียนจินเข้ามาแทรกแซงเรื่องนี้ด้วยใจที่ไม่อาจยอมต่อความไม่เป็นธรรม …
…
โจวเฮ่อพาลูกชายของเขาไปที่คฤหาสน์เมิ่งเพื่อสารภาพผิดหลังจากทราบเหตุการณ์ เมิ่งต้าเจียงโกรธมากและเมิ่งชวนช่วยอ้อนวอนให้ยกโทษกับศิษย์น้อง …
…
“ในเอกสารนี้มีเพียงไม่กี่ประโยค แต่มิตรภาพระหว่างข้ากับโจวเฉียนเขียนได้ดีมากราวกับว่าข้ากำลังจะไปช่วยผู้คนเพราะเขา ข้ายังขอร้องให้พ่อช่วยละเว้นชีวิตพวกเขาด้วยเพราะเขาด้วยเช่นเดียวกัน” เมิ่งชวนหัวเราะเบาๆ “โจวเฮ่อคนนี้ฉลาดพอที่จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเข้าหาตระกูลเมิ่งของข้า เขาควรจะกลัวการแก้แค้นของตระกูลไป๋”
เขาสามารถเข้าใจ
ตระกูลพ่อค้าธรรมดาจะหวาดกลัวเพียงใดเมื่อเผชิญหน้ากับ “ตระกูลไป๋” ซึ่งเป็นตระกูลเทพอสูร ดังนั้นจึงต้องคิดหาวิธีชี้นำ เช่นผ่านคำสารภาพของพี่น้องหงหยู เช่นเมื่อตอนที่โจวเฮ่อตอบคำถามของพระราชวังหยกสุริยัน …ไม่จำเป็นต้องโกหกตราบเท่าที่จุดสนใจเปลี่ยนไปเล็กน้อย มันสามารถทำให้คนนอกคิดว่ามิตรภาพของเมิ่งชวนและโจวเฉียนนั้นมีมากกว่าปกติ
ตระกูลไป๋ก็จะอิจฉาอยู่บ้างเช่นเดียวกัน
เนื่องจากเหตุการณ์นี้ทำให้เมิ่งเซียนกูโกรธมาก ตระกูลไป๋ไม่ต้องการที่จะล่วงเกินตระกูลเมิ่งไปมากกว่านี้
เทพอสูรที่มีอายุเหลือเพียงหกหรือเจ็ดปี … ไม่มีใครอยากต่อสู้ด้วย
เมื่อพบว่าเมิ่งชวนและโจวเฉียนมีมิตรภาพที่ลึกซึ้ง ดังนั้นตระกูลไป๋จึงไม่ต้องการที่จะจัดการกับตระกูลโจวอีกต่อไป เนื่องจากไม่มีประโยชน์ที่จะจัดการกับตระกูลโจว เพราะเป็นเพียงแค่การระบายความโกรธเท่านั่น แต่มันอาจสร้างความโกรธแค้นให้กับเมิ่งชวนและตระกูลเมิ่ง
ดังนั้นตระกูลโจวจึงรอดไปแบบนี้
“โจวเฮ่อแห่งตระกูลโจวมีฝีมืออยู่บ้าง แต่ก็น่าสงสารอยู่เช่นกัน” เมิ่งชวนมองเห็นสถานการณ์อันตรายที่อีกฝ่ายกำลังเผชิญหน้าอยู่ ก้าวไปข้างหน้าคือหน้าผาหนึ่งหมื่นเมตรและการก้าวถอยหลังก็เป็นเหวลึกเช่นเดียวกัน ตระกูลไป๋ ตระกูลเมิ่ง แก๊งหมาป่าดำ … ไม่มีใครที่ตระกูลโจวสามารถล่วงเกินพวกเขาได้ พวกเขาจะล้มลงแตกกระจายหากพวกเขาไม่ระวัง
“ตามบันทึกเอกสารระบุว่า สมาชิกห้าคนของแก๊งหมาป่าดำในสวนหินร้างพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับนิกายอสูรฟ้า สามในห้าคนนี้ถูกจับเป็น หนึ่งคนหาย และหนึ่งคนฆ่าตัวตาย ตามคำสารภาพของผู้ต้องหาสามคนแยกกันสอบสวน แก๊งหมาป่าดำเป็นผู้บริสุทธิ์”
เมิ่งชวนไม่แปลกใจ
ไม่จำเป็นที่แก๊งอย่างแก๊งหมาป่าดำจะสมรู้ร่วมคิดกับนิกายอสูรฟ้า เพราะการสมรู้ร่วมคิดนั้นถ้าถูกค้นพบ พวกเขาต้องตายแน่นอน
“จับสมาชิกระดับสูงทั้งหมดของแก๊งหมาป่าดำและตรวจสอบพลังปราณของพวกเขา พบว่าไม่มีการฝึกฝนวิชาอสูร หลังจากการสอบสวนแยกจากกันแล้ว … ก็ตัดสินได้ว่าแก๊งหมาป่าดำเป็นผู้บริสุทธิ์แน่นอน”
“เนื่องจากแก๊งหมาป่าดำละเมิดกฎหมายศาลหลายครั้ง หลิวชางหัวหน้าแก๊งถูกตัดสินให้ไปที่ด่านฉินหยางเพื่อเข้ากองทัพหน่วยกล้าตาย และรับราชการในกองทัพเป็นเวลาสามปี รองหัวหน้าแก๊งคงหยูถูกตัดสินให้ทำงานเป็นกรรมกรสิบปี…”
เมิ่งชวนมองดูแล้วส่ายหน้าเบาๆ “แก๊งหมาป่าดำนี้ไม่เกี่ยวข้องกับนิกายอสูรฟ้า แต่คราครั้งนี้ เมื่อข้าเข้าใปตรวจสอบและพบสิ่งต่างๆมากมาย ตามปกติแล้วไม่มีหัวหน้าคนใดที่หนีความผิดพ้นไปได้”
แก๊งหมาป่าดำทำผิด
ในแก๊งค์แบบนี้ ต้องมีพวกอันธพาลอยู่หลายคน แม้ว่ากฎระเบียบของแก๊งจะเข้มงวด พวกอันธพาลก็จะยังคงฝ่าฝืนกฎหมายในรูปแบบต่างๆ
ครั้งนี้เมื่อทำให้ตระกูลเมิ่งและพระราชวังหยกสุริยันโกรธ ทั้งเมิ่งชวนและเหยียนจินได้รับบาดเจ็บสาหัส … เจียนตายที่นั่นด้วยมือของจอมยุทธนิกายอสูรฟ้า ดังนั้นแก๊งหมาป่าดำต้องได้รับโทษเป็นธรรมดา แต่บทลงโทษก็ไม่ได้หนักเกินไปนัก
…
“ตระกูลของเทพอสูรเหล่านี้ เมื่อพวกเขาพูดว่าจะสะบัดหน้าหนี พวกเขาก็สะบัดหน้าหนี จากที่เป็นสุนัขให้พวกเขามาหลายปี พวกเขาก็ทิ้งข้าไป โชคดีที่ข้ามีความสามารถในระดับไร้ตำหนี จึงถูกตัดสินให้อยู่ในกองทัพหน่วยกล้าตาย ที่ด่านฉินหยาง” หลิวชางถูกพาไปที่ฉินหยาง ปิดแล้วด่านฉินหยางอยู่ห่างจากเมืองตงหนิงเพียง 180 ลี้ และทหารคนธรรมดาจากเมืองตงหนิงเกือบทั้งหมดจะมารับราชการทหารที่นี่
หลิวชางโชคดีได้รับคำบอกใบ้ก่อนหน้านี้
“โชคดีที่ข้าฆ่าอาฉวน ไม่มีใครรู้ว่าข้าสงสัยสวนหินร้างมานานแล้ว” หลิวชางครุ่นคิดอยู่ในใจ “ทำให้ข้ารอดพ้นจากความตายนี้ได้”
ระหว่างทางไปยังด่านฉินหยางเขายังรู้สึกว่าค่อนข้างโชคดี
“อีกสามปีข้าจะกลับมา” หลิวชางมองกลับไปที่เมืองตงหนิง ผู้คุมที่ดูแลคุ้มกันด้านหลังดูแลเขาด้วยความสุภาพมาก เพราะไม่ว่าอย่างไรหัวหน้าแก๊งหมาป่าดำก็เป็นจอมยุทธในระดับไร้ตำหนิ
…
เมิ่งชวนนั่งอยู่ในสนามฝึกยุทธ และพลิกดูเอกสารต่างๆของตระกูลไป๋
แก๊งหมาป่าดำเป็นผู้บริสุทธิ์และตระกูลไป๋ก็ยิ่งบริสุทธิ์ผุดผ่อง แต่เนื่องจากว่าดินแดนที่ควบคุมโดยตระกูลไป๋ของพวกเขากลายเป็นรังของนิกายอสูรฟ้า ตระกูลไป๋จึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงความผิดได้ ได้รับความลำบากจากการลงโทษอย่างหนักของพระราชวังหยกสุริยัน หัวหน้าระดับสูงของแก๊งหมาป่าดำและสมาชิกในตระกูลไป๋หลายคนในแก๊งหมาป่าดำล้วนถูกตัดสินให้ลงโทษเพิ่มเติม ทั้งยังปรับเงินจำนวน 500,000 หยวนซึ่งทำให้ตระกูลไป๋เจ็บปวดมาก
“และพวกเธอ” เมิ่งชวนพลิกไปดูเอกสารต่างๆ
หลายคนถูกบันทึกไว้ในเอกสาร
บันทึกข้อมูลของผู้หญิงในสวนหินร้าง
“มันกลายเป็นเรื่องจริง”
“ผู้หญิงเหล่านี้ได้เซ็นสัญญากันทุกคน พวกเธอยังคงต้องกลับไปที่แก๊งหมาป่าดำและรับการฝึกอบรมและพวกเธอจะต้องไปที่ซ่องกับโรงงานในอนาคต” เมิ่งชวนส่ายหน้า แก๊งหมาป่าดำไม่ได้แตกสลายไปและตระกูลไป๋ก็จัดให้มีคนมาควบคุมแก๊งหมาป่าดำแทน จัดการเรื่องราวอย่างต่อไป สัญญาที่ลงนามแล้วนั้นได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย
สีหน้าของเมิ่งชวนเปลี่ยนไปเมื่อเขาดูต่อไป “ผู้ที่ถูกบังคับลักพาตัวส่วนใหญ่ลงท้ายคิดที่จะขายตัวให้กับแก๊งอย่างงั้นรึ”
คนในแก๊งส่วนใหญ่บังคับให้มีการลักตัวด้วยเหตุผลที่คล้ายกับหงหยูที่พ่อของเธอเป็นหนี้ก้อนโต เธอถูกพาตัวไปเพื่อใช้หนี้
ตอนนี้เธอได้กลับมาแล้ว …
แต่จะทำอย่างไรถ้าไม่จ่ายหนี้
หากว่าพวกเธอไม่สามารถชำระหนี้ได้ พวกเธอก็จะเป็นหนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ในท้ายที่สุดพวกเธอก็จะถูกบังคับให้ ‘ขายตัวโดยไม่สมัครใจ’ แม้แต่ ‘หงหยู’ เนื่องจากแก๊งหมาป่าดำกลัวมากจึงริเริ่มที่จะฉีกสัญญาทิ้งและยกเลิกไป จากนั้นตระกูลของพวกเธอก็สามารถรอดพ้นจากภัยพิบัติได้ชั่วคราว แต่พ่อของพี่น้องหงหยู … ผีพนันนั้น ถ้าเขายังเล่นการพนันต่อไปเขาก็จะโกงลูกของเขาซ้ำอีก
“บางครั้งเราก็ไม่สามารถช่วยเหลือได้” เมิ่งชวนมองไปที่ข้อความในเอกสาร ราวกับว่าเห็นผู้หญิงเดินไปหาสวนหินร้างอีกครั้ง
“เป็นอย่างไรบ้าง”
หัวใจของเมิ่งชวนรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าว เมื่อรู้สึกว่าเขาไม่สามารถช่วยเหลือได้ ราวกับว่าเขาติดอยู่ในหล่ม
ปัง เมิ่งชวนโยนเอกสารทิ้งแล้วเดินตรงไปข้างนอก
“อาชวนทานข้าวเที่ยงไหม” หลิวชีเยว่ตะโกนหลังจากที่เห็นด้านหลังของเมิ่งชวน
“ข้าจะไปเดินเล่น” เมิ่งชวนตอบ
“ออกไปตอนเที่ยงยังงั้นรึ” หลิวชีเยว่พึมพำและเดินกลับไปที่ห้องโถง เธอกินข้าวกับหลิวเย่ป๋ายและเมิ่งต้าเจียง เมิ่งต้าเจียงยิ้มและกล่าวว่า “ไม่เป็นไรปล่อยให้เขาออกไปพักผ่อน”
…
เมิ่งชวนรู้สึกเสียใจมากจริงๆ
โจวเฮ่อฉลาดและมีไหวพริบ เขาก็แค่ได้แต่หัวเราะ
เขาไม่เห็น ตอนจบของหลิวชาง หัวหน้าแก๊งหมาป่าดำ
แต่ผู้หญิงเหล่านั้น โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับการช่วยเหลือจากการถูกลักพาตัว และได้รับการช่วยเหลือกลับมาแต่พวกเธอก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะกลับไปยังหล่มโคลนนั้นอีกครั้งเท่านั้น
“โลกนี้กลายเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร” เมิ่งชวนบ่นพึมพำ ทันใดนั้นเขาก็เห็นร้านก๋วยเตี๋ยวอยู่ตรงหน้าเขา ตอนเที่ยงลูกค้าหลายคนกำลังนั่งกินก๋วยเตี๋ยวอยู่ในร้าน
“มาชิมหน่อยสิ มันหอมมั้ย” คู่สามีภรรยาอุ้มลูก พ่อยื่นซาลาเปาสีขาวที่แตกแล้วให้กับเด็กทารก เด็กทารกจับปากตัวเองแล้วพยักหน้าแล้วพูดว่า “มันหอมจริงๆ”
ทั้งคู่มองดูลูกชายแล้วยิ้มอย่างมีความสุข
ทั้งสองคนต่างก็สกปรก นิ้วของพวกเขาหยาบและเห็นได้ชัดว่าพวกเขาทำงานหยาบ แต่ในขณะนี้รอยยิ้มพวกเขานั้นสดใสจริงๆ
ในตอนนี้เมิ่งชวนตกใจกับรอยยิ้มของทั้งคู่ที่มองไปยังเด็กทารก
“มาเร็ว จิบหน่อย” ถัดจากทั้งคู่มีชายไม่สวมเสื้อสี่คน ที่มีผิวมันวาวและมีเหงื่อ พวกเขาถือชามใบใหญ่ดื่มเหล้าและคุยกันเสียงดัง ความยากลำบากในการทำงานถูกลืมไปอย่างสิ้นเชิง
“กินข้าวให้เสร็จเร็วๆแล้วไปหาพ่อเธอเมื่อพวกเรากินข้าวเสร็จ” ชายชราคนหนึ่งพูดกับเด็กหญิงที่กำลังกินก๋วยเตี๋ยวแยกกันอยู่ เด็กผู้หญิงพยักหน้าดวงตาของเธอเป็นประกายด้วยความคาดหวัง “ดีดี ไปหาพ่อกัน”
เสียงหัวเราะ การพูดคุย และแววตาที่มีความหวัง …
ดูทั้งหมดนี้แล้ว
เมิ่งชวนรู้สึกว่าหัวใจของเขาสดใสขึ้นมาอย่างมากในทันใดนั้น
ตอนที่ 30 ชะตากรรมของตระกูลโจว
ตอนนี้ทั้งเมืองตงหนิงเต็มไปด้วยข่าวลือและกลุ่มคนถูกระดมกำลังไปช่วยกันตรวจสอบ
ตอนนี้สองพ่ี่น้องหงหยูหนีไปอยู่บ้านเจ้านายของพวกเขา
คฤหาสน์โจว
โจวเฮ่อนั่งบนเก้าอี้ประธาน ใบหน้าของเขามืดมน และนายน้อยโจวเฉียนก็หน้าซีด
“คุณหนูหลิวขอให้พวกเราหนีให้เร็ว และพวกเราก็หนีไปอย่างหัวซุกหัวซุน” หงหยูพาน้องชายของเธอตี่เชิงมาด้วย เธอพูดว่า “ตอนนั้นมีคนจำนวนมากเสียชีวิต กระทั่งสมุนของแก๊งหมาป่าดำก็เสียชีวิต พวกเราพี่น้องหนีไปตลอดทาง ข้ากลัวมากเช่นกัน ดังนั้นข้าวิ่งมาบอกนายท่านก่อน”
“เจ้าทำถูกแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้า ข้าคงไม่รู้ว่าเจ้าตัวเล็กนี้ทำให้เกิดหายนะครั้งใหญ่อย่างนี้” โจวเฮ่อมองลูกชายของเขาอย่างเย็นชา “แกกล้ามากที่ไปขอให้นายน้อยเมิ่งชวนช่วย ทำไมเจ้าไม่บอกข้าว่าเกิดเรื่องใหญ่แบบนี้”
โจวเฉียนสั่นสะท้านเล็กน้อย “ข้าไม่ได้คาดหวังว่ามันจะเป็นแบบนี้ ข้าไม่ได้คาดหวังเลย หงหยู พี่ชายเมิ่งกับคนอื่นๆยังมีชีวิตอยู่หรือไม่“
“ข้าไม่รู้” หงหยูส่ายหน้า “ตอนนั้นเขาและนายน้อยของวังหยกสุริยันได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้ว หลังจากที่พวกเราหนีออกมาข้าก็ไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง”
“ข้าหวังว่าพวกเขาจะไม่เป็นไร” โจวเฮ่อกล่าวอย่างเฉยเมย “มิฉะนั้นตระกูลโจวของเราคงจะต้องจบสิ้นและไม่มีความหวังใดๆเหลืออีกเลย”
“พ่อ …” โจวเฉียนพูดขึ้นมาในทันที
“ขอให้โชคดีในตอนนี้ เพราะไม่ว่าจะเป็นแก๊งหมาป่าดำ ตระกูลไป๋ หรือตระกูลเมิ่ง พวกเราทั้งหมดคงจบสิ้น หากมีใครต้องการที่จะจัดการกับพวกเรา” โจวเฮ่อลุกขึ้นยืนและพูดว่า “โจวเฉียนเจ้าตามข้าไปที่คฤหาสน์เมิ่งทันที”
“ขอรับ” โจวเฉียนกล่าว เขาก็รู้สึกสับสนเล็กน้อยเช่นกัน
“และพวกเจ้าพี่น้องทั้งสองคน” โจวเฮ่อสั่ง “ถ้ามีคนจากศาลมาถามเจ้าเกี่ยวกับเรื่องของวันนี้เจ้าจะต้องทำตามที่ข้าบอก …”
“ขอรับ” สองพี่น้องหงยูรับคำ
…
โจวเฮ่อพาลูกชายรีบไปที่คฤหาสน์จิงหูเมิ่ง(คฤหาสน์กระจกทะเลสาบตระกูลเมิ่ง) พร้อมกับของขวัญชิ้นใหญ่
บนท้องถนนเขาเห็นกองทหารที่ถูกระดมมา
“พี่จาง พี่จาง เกิดอะไรขึ้น” โจวเฮ่อถามผู้นำกองทหารที่คุ้นเคยทันที
“มีคนจากนิกายอสูรฟ้าปรากฏตัว บุตรชายของตระกูลเมิ่ง เมิ่งชวน ได้รับบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้ทั้งเมืองกำลังถูกค้นหา” ผู้นำกองทหารพูดให้ฟังง่าย “เอาล่ะ ไม่ต้องพูดมากกว่านี้ พวกเราไปละ”
“พี่จาง พี่ต้องยุ่งแล้ว พี่ต้องยุ่งแล้ว” โจวเฮ่อยิ้ม
“พ่อ” โจวเฉียนที่อยู่ด้านข้างกระซิบ
“นายน้อยเมิ่งชวนยังมีชีวิตอยู่ นี่เป็นข่าวดี ดูเหมือนว่าฆาตกรนั่นเป็นคนของนิกายอสูรฟ้ารึ” โจวเฮ่อคิด “ไปกัน ไปคฤหาสน์เมิ่งกัน”
******
คฤหาสน์จิงหูเมิ่ง
เมิ่งชวนเอนกายอยู่บนเตียงแม้ว่าใบหน้าจะซีดเซียว แต่เขาก็มีกำลังใจดี
“เมิ่งชวน ในอนาคต หากเจอศัตรูที่แข็งแกร่งไม่อาจต้านทานได้ ให้รักษาชีวิตตัวเองไว้ให้ได้ก่อน” เมิ่งเซียนกูนั่งอยู่ข้างๆ พิงไม้เท้าและพูดว่า “เป็นเรื่องดีที่เจ้าช่วยเหยียนจิน แต่ถ้าเจ้ารวมตัวเองเข้าไป … มันไม่คุ้มค่า เจ้าควรรู้ว่าเจ้าเป็นความหวังของตระกูลเมิ่งทั้งหมด เจ้าสูญเสียตัวเองไม่ได้ และตระกูลเมิ่งของเราก็สูญเสียเจ้าไม่ได้เช่นกัน”
“ย่าทวด ร่างกายของคนจากนิกายอสูรในวันนั้นแข็งแกร่งมาก แต่ความเร็วทางด้านร่างกายนั้นไม่นับเร็วเท่าไรนัก ข้าคิดว่าข้าคงเอาตัวรอดได้แน่หลังจากช่วยเหยียนจินแล้ว ใครจะคิดว่าเล็บที่หักของคนนิกายอสูรฟ้าที่วันนั้นจะทรงพลังมาก เพียงท่าเดียวก็ทำให้ข้าบาดเจ็บสาหัส” เมิ่งชวนรู้สึกละอายใจมากเช่นกัน
“เจ้าพบคู่ต่อสู้มาแล้วกี่คนงั้นรึ อีกทั้งความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้ก็เหนือกว่าเจ้ามาก เจ้านั่นพลาดสิบครั้งก็ยังไม่เป็นไรเพราะเจ้าไม่สามารถทำร้ายเขาได้ แต่ถ้าเจ้าพลาดครั้งเดียวเจ้าก็จบสิ้น การเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งเช่นนี้ เจ้าไม่ควรพัวพันเขาโดยใช้โชคช่วย”
เมิ่งเซียนกูส่ายหน้า “ยิ่งไปกว่านั้นคนของนิกายอสูรฟ้าเป็นผู้ทรยศต่อเผ่าพันธุ์มนุษย์ พวกเขาฝึกฝนตามวิธีการที่เผ่าอสูรสร้างขึ้นให้พวกเขา การต่อสู้จะคล้ายกับอสูรมาก และร่างกายของพวกนั้นสามารถฝึกฝนไปเป็นอาวุธได้ เจ้าต้องระวังให้ดีในอนาคต คนที่พบกับนิกายอสูรฟ้าจะหลีกเลี่ยงพวกนั้นในทันที และไปให้ไกลที่สุด นอกจากว่าเจ้าจะมั่นใจว่าสามารถฆ่าพวกนั้นได้”
“ขอรับ” เมิ่งชวนรับคำ
เมื่อถึงตอนนี้ เมิ่งต้าเจียงก็เดินเข้ามาจากนอกบ้าน
“พ่อสถานการณ์เป็นยังไงบ้าง” เมิ่งชวนถาม
“คนของนิกายอสูรหนีเร็วเกินไปในวันนั้น และตอนนี้พวกเขากำลังสอบปากคำแก๊งหมาป่าดำอยู่” เมิ่งต้าเจียงกล่าว
“ผู้หญิงบริสุทธิ์ในสวนหินร้างอยู่ที่ไหนกันรึ” เมิ่งชวนถาม
“ในการต่อสู้ครั้งก่อนแก๊งหมาป่าดำถูกสังหารไป 5 คนและบาดเจ็บอีก 3 คน ผู้หญิงจากสวนหินร้างก็เสียชีวิตเช่นกัน และบาดเจ็บอีก 6 คนด้วย ยังมี… ผู้หญิงสามสิบแปดคนถูกพบว่าถูกขังอยู่ในสวนหลังบ้าน ชวนเอ๋อเจ้าได้ช่วยชีวิตคนเยอะมาก” เมิ่งต้าเจียงกล่าว “มีห้องโถงใต้ดินในสวนหินร้างซึ่งมีกระดูกผู้หญิงจำนวนมาก คนจากนิกายอสูรฟ้าควรจะอยู่ที่นั่นเป็นเวลานานเพื่อฝึกฝนวิชาอสูร”
เมิ่งชวนเงียบ
ยิ่งสงสารผู้หญิงที่ถูกฆ่ามากขึ้นเท่าไหร่ ความคิดที่จะฆ่าคนในนิกายอสูรฟ้ายิ่งรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น
“นายท่านขอรับ” มีเสียงจากคนข้างนอก “โจวเฮ่อพาลูกชาย โจวเฉียน มาขออภัยขอรับ”
“ขออภัยรึ” เมิ่งต้าเจียงงุนงง “ข้าจะไปดู”
…
ย่าทวดของเขาจากไปในเวลาไม่นาน
เมิ่งชวนนอนพักผ่อนบนเตียง ไออสูรในร่างของเขาถูกย่าทวดขับออกไปอย่างง่ายดาย สำหรับเทพอสูรแล้ว การขับไล่ไออสูรนี้เป็นเรื่องง่าย ในทางตรงกันข้าม การบาดเจ็บของกล้ามเนื้อและกระดูกจะใช้เวลาสองสามวันในการฟื้นตัวอย่างช้าๆ นี่ยังดีที่เป็นร่างเทพอสูรที่แข็งแกร่งเพียงพอ หากเป็นคนธรรมดาจะต้องใช้เวลาหลายเดือนในการฟื้นตัว
“ชวนเอ๋อ” เมิ่งต้าเจียงเปิดประตูและเดินเข้ามา “ดูเหมือนว่าเด็กคนที่ไปขอความช่วยเหลือจากเจ้านั้น มีเด็กคนหนึ่งชื่อโจวเฉียนหนุนหลังอยู่”
“Chuan’er.” Meng Dajiang opened
“โจวเฉียนรึ” เมิ่งชวนคิดสงสัย “ข้ารู้จักเขา ใช่แล้ว ศิษย์จากสำนักเต๋าจิงหูของเรานั่นเอง วันนี้ข้ายังได้ชี้แนะวิชากระบี่ของเขาด้วย”
เมิ่งต้าเจียงกล่าวว่า “หงหยูเป็นสาวใช้ส่วนตัวของเขา และความรู้สึกของเขาที่มีต่อเธอก็ดีมาก เดิมทีเขาต้องการช่วยสาวใช้เอง … แต่พ่อของเขาโจวเฮ่อหยุดเขาไว้ ดังนั้นเขาจึงให้เด็กชายตี่เชิงไปที่ร้านอาหาร เพื่อขอความช่วยเหลือจากเจ้าจนเกิดเหตุการณ์เหล่านั้นขึ้นมา ไม่คิดว่าทุกอย่างมาจากศิษย์น้องของสถาบันเต๋าของเจ้า ที่กล้าปล่อยให้ลูกชายของข้าเจอกับหายนะเช่นนี้ ข้าย่อมไม่ปรานีอย่างแน่นอน”
“พ่อ” เมิ่งชวนกล่าวว่า “ข้าคุ้นเคยกับโจวเฉียนมากและเขามีความสามารถมากทีเดียว ใจเขาไม่ได้คิดทำร้ายข้า ในความคิดของเขา นี่เป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับข้าในการแก้ไขปัญหาแก๊งหมาป่าดำ จริงแล้วมันก็ง่ายมาก มันเป็นโชคร้ายอย่างแท้จริงที่เราได้พบกับนิกายอสูรฟ้า เราไม่สามารถโกรธศิษย์น้องโจวเฉียนได้”
“เจ้า…” เมิ่งต้าเจียงส่ายหน้า
วันนี้เขากลัวจริงๆ
ถ้าไม่ใช่บ่าวชราใช้ยาโลหิตเทพ และไปพัวพันกับจอมยุทธของนิกายอสูรฟ้าไว้ ลูกชายของเขากับหลิวชีเยว่อาจจะตายไปแล้ว เมิ่งต้าเจียงจะไม่โกรธตระกูลโจวได้อย่างไร
“คนทำผิดต้องใช้หนี้” เมิ่งชวนเกลี้ยกล่อม “นี่คือความจริงที่ท่านสอนข้า”
“ก็ได้ ข้าปล่อยพวกเขาไปก็ได้ แต่ข้าจะไม่ปรานี ไม่ว่าอย่างไร เขาก็กำลังหลอกใช้เจ้า ทั้งยังไม่ได้บอกเจ้าด้วยซ้ำ” เมิ่งต้าเจียงพยักหน้า “โจวเฮ่อส่งของล้ำค่า “โสมพันปี” มาให้ มันเป็นสมบัติที่มีมูลค่าหนึ่งหมื่นหยวน ข้าจะรับมันไว้ ถือว่าข้าได้ยอมรับการขออภัยแล้ว โจวเฉียน เจ้าเด็กน้อยนั่นต้องถูกลงโทษบ้าง”
ก่อนหน้านี้โจวเฮ่อคุกเข่าขอโทษ แต่เมิ่งต้าเจียงก็ไม่ยอมรับมัน สมบัติทั้งหมดของตระกูลโจวรวมเป็นเงินจำนวนหลายหมื่นหยวนและเงินสดก็ยังมีไม่น้อย
โสมพันปีนี้ซื้อมาโดยบังเอิญ เพราะโจวเฮ่อเตรียมที่จะฝึกฝนลูกชายให้เข้าสู่ระดับก่อกำเนิด
ตอนนี้ใช้มันในการขออภัย โจวเฮ่อยังคงกลัวว่ามันจะไม่เพียงพอ
…
“จะทำยังไงดี จะทำยังไงดี” โจวเฮ่อยังคงคุกเข่าอยู่ที่นั่น โดยมีกล่องของขวัญอยู่ตรงหน้าเขา และศีรษะของเขาก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อ โจวเฉียนที่อยู่ด้านข้างมองไปที่พ่อของเขาด้วยความรู้สึกผิด “พ่อ มันเป็นความผิดของข้าทั้งหมด”
“ตอนนี้มันสายเกินไปที่จะพูดอะไร เขาไม่ยอมแม้จะรับของขออภัยนี้ด้วยซ้ำ พ่อของผู้มีพระคุณดูจะรำคาญตระกูลโจวของข้าอย่างเห็นได้ชัด” โจวเฮ่อกล่าว
ในตอนนี้ เมิ่งต้าเจียงก็เดินเข้ามาจากด้านนอกห้องโถง
“ผู้อาวุโสเมิ่ง” โจวเฮ่อคุกเข่าอ้อนวอน “ลูกตัวดีของข้าไม่มีทางเลือก ท่านสามารถลงโทษเขาได้ทุกอย่างที่ท่านต้องการ ตระกูลโจวของข้าจะไม่บ่นอะไรทั้งสิ้น ครั้งนี้โปรดยกโทษให้ตระกูลโจวของข้าด้วย”
“เมื่อลูกข้าขอร้องข้าในนามของเจ้าในครั้งนี้” เมิ่งต้าเจียงพูดอย่างใจเย็น “ของขวัญนั่นให้ทิ้งเอาไว้ พาลูกชายของเจ้ากลับบ้าน เฆี่ยนเขาหนึ่งร้อยครั้ง ให้เขานอนบนเตียง เพื่อไตร่ตรองตัวเอง”
“ขอรับ” โจวเฮ่อดีใจเป็นอย่างมาก “ท่านผู้อาวุโสเมิ่ง ถึงท่านไม่บอกข้า ข้าก็ต้องทำโทษเขาอยู่แล้ว โจวเฉียนขอบคุณผู้อาวุโสเมิ่งที่ยอมไว้ชีวิตเจ้าซะ”
“ผู้อาวุโสเมิ่ง” โจวเฉียนคุกเข่าและกล่าว
“ไป”
เมิ่งต้าเจียงขมวดคิ้วและโบกมือ
โจวเฮ่อยิ้มและจากไปพร้อมกับโจวเฉียน
โจวเฮ่อโล่งใจเมื่อเดินออกจากคฤหาสน์เมิ่ง
“ท่านพ่อ ตระกูลโจวของพวกเราอยู่ดีไหม” โจวเฉียนถาม
“น่าจะไม่มีปัญหา เขาบอกว่าต้องการจะลงแส้เจ้าแต่เขากลับขอให้ตระกูลโจวทำเอง เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้ต้องการชีวิตเด็กๆของเจ้า” โจวเฮ่อพูดอย่างเย็นชา “ต้องขอบคุณศิษย์พี่เมิ่งของเจ้าเป็นอย่างมาก ถ้าไม่ใช่เขาขอร้อง พ่อของเขาคงจะไม่ยอมยกโทษให้แบบนี้”
ตอนที่ 29 สืบสวนอย่างละเอียด
ด้านนอกสวนหินร้าง
การต่อสู้ที่น่าสะพรึงกลัวเกิดขึ้นระหว่างจอมยุทธของนิกายอสูรฟ้าผู้ปลดปล่อยไออสูร และบ่าวชราระดับไร้ตำหนิที่กินยาโลหิตเทพ
พวกเขาได้ปล่อยพลุขอความช่วยเหลือ มันจะใช้เวลาไม่นานสำหรับจอมยุทธจากตระกูลเทพอสูรทั้งห้าและวังหยกสุริยันจะมาถึง ชายหลังค่อมได้เปรียบ เขากดดดันผู้รับใช้ระดับไร้ตำหนิทุกด้าน และกำลังยุ่งอยู่กับการคิดเรื่องอื่นๆ เขามองไปที่บ่าวชราที่บ้าคลั่งอยู่ตรงหน้าด้วยความรังเกียจ “ยาโลหิตเทพช่างพิเศษเหลือเกิน พละกำลังส่วนใหญ่ของข้าถูกขัดขวางโดยสายน้ำที่ไหลรอบตัวเขา ยาโลหิตเทพช่วยให้เขามีพลังงานที่ไม่มีที่สิ้นสุด ตราบใดที่อำนาจของยาโลหิตเทพยังไม่จบสิ้นข้าก็เอาชนะเขาไม่ได้”
“ข้าไม่มีความหวังที่จะเอาชนะเขาได้ภายในสิบลมหายใจนี้ ลืมมันไปเสียเถอะ ข้าจะไปแล้ว ข้าจะตกอยู่ในอันตรายถ้าหากลากถ่วงไปนานกว่าสิบลมหายใจ” ชายหลังค่อมตัดสินใจแล้วก็หันกายจากไป
สิบลมหายใจคือช่วงเวลาปลอดภัยของเขา
ยิ่งเขาลากถ่วงไปนานเท่าไหร่….
จอมยุทธจากตระกูลเทพอสูรทั้งห้าและวังหยกสุริยันก็จะมีโอกาสมาถึงมากขึ้นเท่านั้น แม้ว่าเมืองตงหนิงจะมีขนาดใหญ่มากและสวนหินร้างก็ค่อนข้างห่างไกล และจอมยุทธที่แข็งแกร่งที่สุดอาจจะต้องใช้เวลามาถึงในสามสิบอึดใจ แต่าเขาไม่กล้าเสี่ยง จากมุมมองของเขา มันเป็นเรื่องดีที่จะฆ่าเมิ่งชวนและพวกได้ แต่หากเลือกไม่ได้ เอาชีวิตรอดไว้ก่อนนับเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
จอมยุทธของนิกายอสูรฟ้าแฝงตัวอยู่ในทุกมุมของโลกมนุษย์ พวกเขาระมัดระวังและเก็บเนื้อเก็บตัว นี่เป็นสัญชาตญาณ
“วืด”
ชายหลังค่อมรีบหันกลับและจากไป ร่างของเขาพร่ามัวและในพริบตาเขาก็พุ่งตัวผ่านสวนหินร้าง หายไปในยามค่ำคืน
“หือ” เมื่อบ่าวชราเห็นชายคนนี้จากไปในทิศตรงกันข้าม ไม่ได้ไล่ตามนายน้อยและคนอื่นๆอีกต่อไป เขาจึงไม่พัวพันกับอีกฝ่าย หากว่าเลือกที่จะเอาชีวิตรอดได้…. เขาก็จะเลือกที่จะเอาชีวิตรอดไว้เช่นเดียวกัน
“นายน้อย”บ่าวชรารีบตรงไปยังเหยียนจินและคนอื่นๆทันที
“เขาไปแล้วรึ” เหยียนจิน เมิ่งชวน และหลิวชีเยว่ถอนหายใจโล่งอก
“เมื่อข้าขัดขวางเขาไว้ เขาก็ไม่มีความมั่นใจที่จะติดตามพวกท่านทัน” บ่าวชราข่มพลังของตนเองอย่างแรงพร้อมกับพูดว่า “แม้ว่าเขาจะมีพลัง แต่เขาก็กลัวว่ากลุ่มตระกูลเทพอสูรทั้งห้าและพระราชวังหยกสุริยันจะมาถึง”
“ชีเยว่วางข้าลง” เมิ่งชวนพูดเสียงแหบ
“อาชวนเจ้ารู้สึกดีขึ้นไหม” หลิวชีเยว่วางเขาลงและถามทันที
“อาการบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อและกระดูกของข้าไม่เป็นอะไร แต่มันค่อนข้างลำบากอยูู่บ้างที่จะขับไล่ไออสูรออกไป ตอนนี้ข้าแทบจะไม่สามารถยับยั้งมันได้แล้ว ข้าอาจจะใช้เวลาสองสามวันในการขับไล่มันออกไปจนหมด” ไออสูรกำลังหมุนวนรอบกายของเขาอย่างแผ่วเบา
เหยียนจินเต็มไปด้วยเลือดและใบหน้าของเขาก็ซีดเผือด อย่างไรก็ตามเขายังคงพูดว่า “นายน้อยเมิ่ง คุณหนูหลิว เรื่องนี้เป็นเพราะข้า ถ้าเราทำตามที่นายน้อยเมิ่งบอก โดยให้คนของเราสั่งแก๊งหมาป่าดำส่งมอบหงหยูมาให้ นั่นคงไม่เกิดปัญหาทั้งหมดนี้ นั่นเป็นเพราะข้าค้นหาสวนหินร้าง จึงทำให้จอมยุทธของนิกายอสูรฟ้าปรากฏตัวขึ้น ทั้งหมดนี้เป็นเพราะข้า”
“ข้าก็ต้องการช่วยผู้หญิงที่น่าสงสารด้วยเช่นกัน พี่เหยียนจินอย่าคิดมากเลย”
ด้านข้าง บ่าวชรากล่าวทันทีว่า “ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณนายน้อยเมิ่ง จอมยุทธของนิกายอสูรฟ้ารวดเร็วเกินไปในการโจมตีนายน้อยจนกระทั่งข้าไม่สามารถที่จะช่วยเขาได้ทันเวลา ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณการโจมตีด้วยกระบี่ของท่าน นายน้อยของข้าจึงรอดชีวิต”
“ขอบคุณ”เหยียนจินกล่าว เขาจำการโจมตีที่เมิ่งชวนส่งออกไปในช่วงเวลาแห่งความสิ้นหวังนั้น การโจมตีที่ช่วยชีวิตเขา
อ่านบทล่าสุดที่ mynovel.co หรือ www.thainovel.com
“จะต้องขอบคุณข้าไปทำไมกัน ในเมื่อเราต้องผนึกกำลังกันต่อสู้กับศัตรู” เมิ่งชวนหัวเราะ แต่เขาอดไม่ได้ที่จะไอสองครั้งในขณะที่หัวเราะ การกระทำนี้ส่งผลกระทบต่อการบาดเจ็บของเขาจนทำให้ต้องทำหน้าบิดเบี้ยว
“วืด วืด”
ร่างสองร่างตกลงมาในทันที ความเร็วของพวกเขานั้นน่ากลัว นั่นทำให้บ่าวชรารู้สึกกระวนกระวายใจ
เมิ่งชวน หลิวชีเยว่ และเหยียนจินหันหน้าไปหาพวกเขา
“พ่อ” เมิ่งชวนและหลิวชีเยว่ตะโกนออกมาทันที
“ชีเยว่” หลิวเย่ป๋ายรีบมองไปยังลูกสาวของเขา
“ชวนเอ๋อร์” เมื่อเห็นไออสูรและเสื้อผ้าเปื้อนเลือดบนลูกชาย เมิ่งต้าเจียงก็อดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนก เขารีบคว้าแขนลูกชายและส่งพลังปราณเข้าสู่ร่างกายของลูกชาย
“พ่อ ข้าสบายดี ไม่เกิดอะไรขึ้น เป็นอาชวนและนายน้อยเหยียนจินที่ต่อสู้กับจอมยุทธของนิกายอสูรฟ้า” หลิวชีเยว่กล่าว
นั่นจึงค่อยทำให้หลิวเย่ป๋ายผ่อนคลายลง ลูกสาวของเขาไม่ได้รับอันตรายจริง
“เมิ่งชวนเป็นอย่างไรบ้าง” หลิวเย่ป๋ายถาม
“หลังจากที่จอมยุทธของนิกายอสูรฟ้าทำอันตรายชวนเอ๋อร์ เขาก็ไม่สามารถที่จะเผด็จศึกได้ ดังนั้นชวนเอ๋อร์จึงยังไม่เป็นไร และควรจะสามารถขับไล่ไออสูรออกจากร่างได้หมดสิ้นภายในสามวัน ส่วนเอ็นและกระดูกน่าจะฟื้นตัวได้ภายในสิบวัน” เมิ่งต้าเจียงผ่อนคลาย เขาค่อนข้างกลัวเมื่อสัมผัสได้ถึงไออสูรภายในตัวลูกชายของเขา
จอมยุทธที่สามารถปลดปล่อยไออสูรอาจฆ่าลูกชายของเขาได้จากเพียงสองสามท่าเพลง จากที่พวกเขาเห็นในตอนนี้ ผลลัพธ์นี้นับว่าพอรับได้
“แล้วชายจากนิกายอสูรฟ้าล่ะ” เมิ่งต้าเจียงสอบถาม
“เขาถูกข้ายับยั้งไว้ พอเขารู้ว่าเขาไม่สามารถฆ่านายน้อยและคนอื่นได้ เขาก็จากไปทันที” บ่าวชรากล่าว “ถ้าเขายังสู้ต่อ พวกท่านสองคนก็คงจะมาถึงและยับยั้งเขาได้”
แม้ว่าบ่าวชราจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อสะกดพลังของตัวเอง แต่กระแสพลังของเขาก็ยังคงพลุ่งพล่าน
“ยาโลหิตเทพรึ” หลิวเย่ป๋ายและเมิ่งต้าเจียงสามารถสรุปผลได้ และอดไม่ได้ที่จะมองไปที่เหยียนจิน
“คนรับใช้กลับมียาโลหิตเทพอย่างงั้นรึ เหยียนจินคนนี้มีเบื้องหลังแบบไหนกัน” พวกเขาสองคนค่อนข้างแปลกใจ แต่พวกเขาก็ไม่ได้คิดมากเกินไป เนื่องจากอีกฝ่ายไม่เคยประกาศตัวต่อสาธารณชน จึงไม่จำเป็นต้องตรวจสอบ ตามความเป็นจริง ถ้าเจ้าวังหยกสุริยันเต็มใจที่จะปกป้องเขา นั่นก็เป็นการพิสูจน์ทางอ้อมแล้วว่า เด็กหนุ่มชื่อเหยียนจินคนนี้มีเบื้องหลังที่ไม่ธรรมดา
“พวกเจ้าพบคนจากนิกายอสูรฟ้าได้อย่างไร”หลิวเย่ป๋ายถาม
“พวกเรามาที่นี่เพื่อช่วยเหลือผู้หญิงที่ถูกแก๊งหมาป่าดำลักพาตัวไป พวกเราเชื่อว่ามีผู้หญิงที่น่าสงสารมากกว่านี้ในสวนหินร้าง เรากำลังจะค้นหาตอนที่จอมยุทธของนิกายอสูรฟ้าปรากฏตัว” หลิวชีเยว่กล่าว
หลิวเย่ป๋ายกล่าวอย่างเย็นชา “ฐานที่มั่นของแก๊งหมาป่าดำนี้เป็นที่ซ่อนของจอมยุทธของนิกายอสูรฟ้าอย่างงั้นรึ ดูเหมือนว่าเราจะต้องสอบสวนแก๊งหมาป่าดำให้ดีแล้ว”
“ไม่ต้องห่วง” ดวงตาของเมิ่งต้าเจียงเย็นชา “ฐานที่มั่นของแก๊งหมาป่าดำทั้งหมดจะถูกตรวจสอบอย่างละเอียด ไม่มีใครสามารถหลบหนีการสอบสวนนี้ได้”
…
ฐานหลักของแก๊งหมาป่าดำที่มีการคุ้มกันอย่างแน่นหนา
หลิวฉางหัวหน้าแก๊งกำลังดื่มกินขณะที่ฟังเพลง
“อาจารย์” ร่างหนึ่งรีบเข้าไปในอาคาร
“หือ” หลิวฉางขมวดคิ้วขณะที่เขามองไปที่ชายหนุ่มที่วิ่งเข้ามา “อาฉวนทำไมเจ้าถึงสติแตกแบบนี้”
ชายหนุ่มเหลือบมองนักร้องข้างๆพวกเขา
“ออกไปก่อน” หลิวฉางสั่ง นักร้องต่างพากันเชื่อฟังยอมถอยออกไป เหลือเพียงอาจารย์กับศิษย์อยู่ข้างใน
จากนั้นเด็กหนุ่มก็พูดด้วยความเคารพ “ท่านอาจารย์มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นที่สวนหินร้าง ข้าไม่ได้รายงานท่านก่อนหน้านี้ว่ามีบางอย่างผิดปกติกับสวนหินร้าง มีผู้หญิงหายไปจากสวนหินร้างเป็นบางครั้ง แต่พวกเธอไม่ได้ไปอยู่ในซ่องโสเภณีที่ควบคุมโดยแก๊งหมาป่าดำของเรา ผู้หญิงที่หายตัวไปเป็นหญิงพรหมจารีซึ่งสามารถขายได้ในราคาสูง”
“ใช่ ข้าได้สั่งให้เจ้าไม่ต้องสนใจเรื่องนั้น ทำไมรึ เกิดอะไรขึ้นรึ” หลิวฉางถาม
“วันนี้นายน้อยเมิ่งชวน และคุณชายจากวังหยกสุริยันมาพร้อมกับคนกลุ่มหนึ่ง พวกเขาทำการค้นสวนหินร้างทั้งหมดและก็มีจอมยุทธที่น่ากลัวปรากฏตัวขึ้น” เด็กหนุ่มกล่าว “ร่างกายของเขาปกคลุมไปด้วยหมอกสีเขียวและเล็บของเขายาวมาก ดวงตาของเขาเป็นสีเขียว มันน่ากลัวมาก เขาโจมตีนายน้อยเมิ่งชวนและคนอื่นๆเข้าไปตรงๆ”
“หมอกเขียวรึ เล็บของเขายาวขึ้นและตาของเขาก็เป็นสีเขียวรึ” สีหน้าของหลิวฉางเปลี่ยนไป “แล้วต่อจากนั้น”
“การต่อสู้ครั้งนี้น่ากลัวมาก พี่น้องของเราและสตรีในสวนหินร้างหลายคนต้องบาดเจ็บล้มตาย พวกเราหนีกระจัดกระจาย” เด็กหนุ่มกล่าวอย่างร้อนรน “อาจารย์ ข้ามารายงานท่านด้วยความเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้านายน้อยเมิ่งชวนและคนอื่นๆตาย พวกเราคงต้องตกที่นั่งลำบากแน่ๆ”
“นายน้อยเมิ่งชวนยังมีชีวิตอยู่หรือไม่” หลิวฉางถาม
“ข้าไม่รู้ ข้ารีบหนีทันทีเมื่อข้ารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ข้าไม่กล้าอยู่ต่อ” เด็กหนุ่มกล่าวทันที
“อย่างงั้นรึ”
หลิวฉางถามว่า “เจ้าไม่ได้บอกใครว่าเจ้าสงสัยสวนหินร้างใช่มั้ย”
“ไม่ ข้าทำตามที่ท่านสั่งให้ทำ อาจารย์ ตอนนี้เราควรทำอย่างไรต่อไป” ชายหนุ่มถาม
“เจ้าประจำอยู่ในสวนหินร้าง หากตระกูลเทพอสูรทั้งห้าและวังหยกสุริยันตรวจสอบเรื่องนี้ พวกเขาอาจสอบสวนเจ้า” หลิวฉางกล่าว “ตอนนี้เป็นเวลาทุ่มสี่สิบห้า และประตูเมืองจะปิดเวลาสองทุ่มสิบห้า ยังมีเวลาให้เจ้าออกจากเมืองไปที่โจรม้าบินภูเขาตะวันออกและซ่อนตัวไว้ หากพวกเขาไม่ได้สอบสวนเจ้า ข้าค่อยขอเจ้าคืน จำไว้ว่า…ไปที่โจรม้าบินและเก็บไว้เป็นความลับ”
“ข้าเข้าใจแล้ว” เด็กหนุ่มพยักหน้า
“ออกไปเร็ว ยิ่งเร็วยิ่งดี” หลิวฉางกล่าว “เมื่อประตูเมืองปิดลง วังหยกสุริยันและตระกูลเทพอสูรทั้งห้าจะเริ่มการสืบสวนของพวกเขาไม่นานหลังจากนั้น พรุ่งนี้เจ้าจะออกไปไม่ได้”
“ขอรับ”
เด็กหนุ่มก็รู้สึกว่าจะปลอดภัยกว่าสำหรับเขาที่จะออกจากเมืองในตอนนี้เช่นเดียวกัน เขารีบออกจากฐานใหญ่ของแก๊งทันทีและมุ่งหน้าไปที่ประตูเมือง
หลังจากที่เขาวิ่งไปครึ่งกิโลเมตรจากสำนักงานใหญ่ของแก๊ง…
“ฟิ้ว” วัตถุบินลับวาบผ่านและแทงทะลุร่างของเด็กหนุ่ม
ดวงตาของเด็กหนุ่มเบิกกว้างและทรุดตัวลงกับพื้นอย่างรวดเร็ว
ในขณะนี้ หลิวฉางที่สวมหน้ากากก็ปรากฏตัวข้างๆเขา
“อาฉวน อาจารย์ไม่กล้าที่จะเชื่อมโยงตัวเองเข้ากับนิกายอสูรฟ้า ข้าคงจะถึงวาระสุดท้าย ถ้ากลุ่มตระกูลเทพอสูรพบว่าข้าได้ค้นพบบางสิ่งที่ผิดปกติในสวนหินร้างแต่เลือกที่จะเมินเฉย คนที่ตายเท่านั้นที่จะหุบปากตลอดไป อย่าโทษข้าเลย” หลิวฉางรีบไปจากบริเวณศพของเด็กหนุ่ม
…
หลังจากนั้น หลิวฉางก็กลับไปที่ฐานใหญ่ของแก๊งหมาป่าดำโดยไม่มีใครรู้
เขาวาดภาพอย่างสบายๆในห้องทำงาน
“ หลิวฉาง” มีเสียงโกรธเกรี้ยวดังขึ้น
หลิวฉางเดินออกจากห้องทำงานทันที เมื่อเขาเห็นชายวัยกลางคนชุดขาวอยู่ข้างนอกเขาก็พูดด้วยรอยยิ้มทันทีว่า “อา นายท่านสาม ข้าพอจะรู้ได้ไหมว่ามีอะไรเกิดขึ้น”
“เจ้ากำลังถามว่าเรื่องนี้คืออะไรงั้นรึ เจ้าเป็นขยะที่ไร้ประโยชน์” ชายวัยกลางคนสวมชุดขาวกล่าวพร้อมขบเขี้ยวเคี้ยวฟ้น “เจ้าสร้างปัญหาใหญ่ให้ข้า เรื่องการจัดการแก๊งหมาป่าดำ จอมยุทธของนิกายอสูรฟ้าปรากฏตัวในสวนหินร้าง”
“อะไรกัน นิกายอสูรฟ้ารึ นั่นไม่เกี่ยวอะไรกับข้า นั่นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้า” หลิวฉางเกือบจะร้องไห้ด้วยความตกใจ เขาพูดทันทีว่า “นายท่านสาม ท่านรู้ว่าข้าไม่กล้า”
“นายน้อยสองคนเมิ่งชวนและเหยียนจินจากวังหยกสุริยันได้รับบาดเจ็บสาหัส เมิ่งเซียนกูเกือบบ้า เธอได้เริ่มระดมกำลังตระกูลเมิ่งแล้ว นอกจากนี้เจ้าวังหยกสุริยันยังมีคำสั่งให้ดำเนินการสอบสวนร่วมกับตระกูลเมิ่ง คืนนี้ทั้งเมืองจะไม่มีทางได้สงบสุข” ชายวัยกลางคนสวมชุดขาวกัดฟัน “เจ้าขยะ รีบตามข้าไปพบพี่ชายของข้า”
ตอนที่ 28 ขอความช่วยเหลือ
“บูม” เหยียนจินที่สวมชุดขาวถือกระบี่ในมือทั้งสองข้าง ยืนอยู่ข้างหน้าสุดในขณะที่กระบี่สองเล่มของเขาเปลี่ยนเป็นสัญลักษณ์แทนหยินและหยาง สร้างกระแสพลังเวียนวนเพื่อปิดสกัดก้อนหิน
เหยียนจินปิดสกัดได้เกือบครึ่งหนึ่งของก้อนหินที่เคลือบด้วยกระแสพลังสีเขียว
ขนาบข้างเหยียนจินคือบ่าวชราที่อยู่ในระดับไร้ตำหนิ และเมิ่งชวน ปิดสกัดก้อนหินที่เหลือ
“เราสะกัดกั้นพวกมันได้” เมิ่งชวนฝึกฝนร่างเทพอัสนีและความเร็วของเขาก็เร็วเป็นพิเศษ กระบี่ของเขาเปลี่ยนเป็นภาพพร่ามัวทันทีขณะที่เขาปิดสกัดหินหลายก้อนนั้น แต่เขาก็ยังพบว่ามันต้องการพลังร่างกายของงเขาเป็นอย่างมาก บ่าวชราที่ใช้กระบี่อ่อนมีพลังในระดับไร้ตำหนิ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังดิ้นรนอย่างยากลำบากเช่นกัน ในทางตรงกันข้ามการออกอาวุธทุกครั้งของเหยียนจินนั้นทรงพลังอย่างยากหาที่เปรียบได้ และดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ใช้ความพยายามใดๆ ในการสกัดกั้นก้อนหินครึ่งหนึ่งนั้นเพียงลำพัง
หลิวชีเยว่ ซึ่งได้รับการปกป้องอยู่ด้านหลัง ไม่ลังเลที่จะนำเอาพลุขอความช่วยเหลือออกมาและใช้งานมันอย่างรวดเร็ว
“บูม”
พร้อมกับเสียงระเบิดดัง พลุไฟก็ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยความเร็วสูง
“รีบถอย” เมิ่งชวนรีบส่งเสียงคำราม เพราะชายหลังค่อมที่ขว้างก้อนหินอย่างสบายๆนั้นพุ่งเข้าใส่พวกเขาแล้ว
หลิวชีเยว่คว้าตัวตี่เชิงด้วยมือเดียวและอุ้มเด็กผู้หญิงอีกคนไปด้วย ขณะที่เธอพุ่งตัวออกไป
“ฮ่าฮ่าฮ่า มีความแข็งแกร่งในระดับก่อกำเนิดอย่างงั้นรึ ดูเหมือนว่าข้าจะจับตัวใหญ่ได้” เสียงหัวเราะของคนหลังค่อมดังก้องในสวนหินร้าง เขาพุ่งตรงไปที่เหยียนจิน “เห็นได้ชัดว่าเจ้านี่เป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุด พิจารณาถึงวิธีที่เขาสกัดกั้นหินหลายสิบก้อนนั้น”
“นายน้อย” บ่าวชราฟันกระบี่ออกไปข้างหน้า กระบี่อ่อนโค้งและแทงไปที่ดวงตาของชายหลังค่อม
ร่างของชายหลังค่อมพร่ามัวเล็กน้อย การโจมตีเพียงแค่โดนหลังของชายหลังค่อมเท่านั้น มันแทบจะไม่สามารถเจาะผิวหนังของอีกฝ่ายได้ ก่อนที่กล้ามเนื้อของอีกฝ่ายนั้นจะสกัดกั้นเอาไว้
วืด ชายหลังค่อมพุ่งตัวไปพร้อมกับกรงเล็บของเขาที่ปกคลุมไปด้วยไออสูรสีเขียวหนาทึบ เมื่อไม่สามารถหลบได้ทันเวลา เหยียนจินก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยกกระบี่ทั้งสองขึ้นมาป้องกัน
กรงเล็บฟาดเข้าที่กระบี่ทั้งสอง
“บูม”
พลังที่น่าหวาดหวั่นที่เหยียนจินไม่มีทางต้านทานได้ พุ่งเข้ามาหาตัวเขาจากกระบี่ของตัวเอง
แม้ว่าเขาจะเก่งในด้านการเปลี่ยนทิศทางของพลังและมีร่างศักดิ์สิทธิ์เพลิงน้ำแข็งซึ่งสามารถใช้การเบี่ยงเบนหยินหยางได้ดี แต่ความแตกต่างของความแข็งแกร่งนั้นมากเกินไป เขาถูกส่งกระเด็นกลับไปข้างหลังจากการโจมตีนั้น และกระแทกเข้ากับกำแพงด้านหลัง กำแพงของสวนหินร้างแตกกระจายออกทันที จนทำให้เหยียนจินล้มลงบนพื้น ร่างของเขาถูกปกคลุมไปด้วยเศษหินเศษอิฐ กระบี่เล่มหนึ่งของเขากระเด็นไปในอากาศ
ชายหลังค่อมไม่สนใจคนอื่นเลย เขาเพียงแค่จ้องไปที่เหยียนจินเพื่อที่จะฆ่า
เหยียนจินรู้สึกเจ็บปวดไปทั่วร่างกาย กระดูกของเขาร้าวหลายตำแหน่ง และเขาก็ได้สูญเสียความรู้สึกที่แขน เขาอยากจะลุกขึ้น แต่เขาไม่สามารถควบคุมร่างกายได้
ทรงพลังเกินไป ความแตกต่างมีมากเกินไป
อ่านบทล่าสุดที่ mynovel.co หรือ www.thainovel.com
“ฮ่าฮ่าฮ่า…” ชายหลังค่อมหัวเราะเสียงบาดหูและพุ่งเข้าใส่
“นายน้อย” บ่าวชราต้องการที่จะตามให้ทัน แต่ความเร็วของเขานั้นช้าเหลือเกิน ดวงตาของเขาอดไม่ได้ที่จะแสดงความโกรธ
“แค่ก แค่ก” เหยียนจินไอเป็นเลือด
“ข้าจะตายที่นี่งั้นรึ เรื่องนี้ข้ารับไม่ได้จริงๆ” การมองเห็นของเหยียนจินพร่ามัวอยู่บ้าง ขณะที่เขามองดูชายหลังค่อมพุ่งเข้ามา ภาพพร่ามัวที่เร็วยิ่งกว่าก็พุ่งเข้ามาจากด้านข้าง กระบี่วาดเป็นแนวโค้งที่สวยงามและชายหลังค่อมก็ไม่สามารถที่จะหลบได้
เพลงกระบี่ฟาดฟันจันทรา
ในแง่ของรากฐานของเทพอสูร รากฐานของเหยียนจินนั้นใกล้เคียงกับของเมิ่งชวน แม้ว่าเขาจะเกิดมาพร้อมกับพละกำลังมหาศาล และได้บริโภคสมุนไพรที่หายากทรงคุณค่าในขณะที่ฝึกฝนร่างเทพอสูร เพียงแต่พวกเขามีความเชี่ยวชาญแตกต่างกันเท่านั้น
เมิ่งชวนผู้ซึ่งฝึกฝนร่างเทพอัสนี มุ่งเน้นไปที่วิชาการเคลื่อนไหวของเขาและกระบี่ที่ว่องไว ข้อได้เปรียบของเขาคือความเร็ว เขาเร็วกว่าจอมยุทธในระดับไร้ตำหนิส่วนใหญ่ และเขาเร็วกว่าชายหลังค่อมด้วยซ้ำ
“คนทรยศจากนิกายอสูรฟ้า” ประกายความคิดฆ่าฟันผ่านวาบไปในดวงตาของเมิ่งชวน เลือดของเขาเดือดพล่านเมื่อสายฟ้าไหลผ่านร่างกายของเขา และเพิ่มความเร็วที่น่าอัศจรรย์ให้เขามากยิ่งขึ้นไปอีก เมิ่งชวนรู้ดีว่าเขาไม่สามารถรับมือกับจอมยุทธนิกายอสูรฟ้าที่น่ากลัวนี้ได้ ดังนั้นเขาจึงเฉือนไปที่ขาของคู่ต่อสู้ เขาต้องการทำร้ายขาของคู่ต่อสู้เพื่อทำให้อีกฝ่ายช้าลง จากนั้นพวกเขาก็จะมีโอกาสหลบหนี
“เพลงกระบี่ที่ว่องไวและการเคลื่อนไหวที่ชาญฉลาด สมกับเป็นอัจฉริยะจากตระกูลเมิ่ง” ในที่สุดชายคนหลังค่อมก็ชะลอช้าลงขณะที่มือซ้ายของเขาปัดออก
แคล๊ง
การโจมตีของเขาแปลกประหลาดและรวดเร็ว สกัดกั้นลำแสงกระบี่ได้อย่างง่ายดาย
เมื่อเห็นสถานการณ์เปลี่ยนไป เมิ่งชวนก็ถอยออกไปทันที ประกายแสงพุ่งเป็นเส้นโค้งออกมาจากกระบี่ขณะที่เขาถอยหนี มีประกายเย็นชาปรากฎขึ้นในดวงตาของชายหลังค่อม “เจ้าช่างอันตรายยิ่งกว่าเด็กที่สวมชุดขาวคนนั้นเสียอีก จงลิ้มรสดัชนีมลายสิ้นของข้า” จู่ๆเขาก็สะบัดมือขวา เล็บข้างหนึ่งของเขาก็ระเบิดออกและยิงไปที่เมิ่งชวนที่กำลังหลบหนี
“วิชาการเคลื่อนไหวที่น่ายกย่อง แต่เจ้าก็ยังตายอยู่ดี” ชายหลังค่อมมั่นใจมาก เล็บของเขาเป็นอาวุธที่ทรงพลังที่สุดของเขา เขาต้องใช้เวลาหนึ่งเดือนในการสร้างขึ้นมาใหม่หนึ่งชิ้น อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาปลดปล่อยพลังเต็มที่แล้วมันจะน่ากลัวอย่างยิ่ง การเคลื่อนไหวนี้เพียงพอที่จะฆ่าจอมยุทธระดับไร้ตำหนิธรรมดาทั่วไปได้
แย่แล้ว
เล็บมือสีดำที่คลุมด้วยหมอกสีเขียวนั้นเร็วเกินไป
เมิ่งชวนทำได้เพียงใช้กระบี่ปิดสกัดมันด้วยสัญชาตญาณ ที่ได้รับการฝึกฝนจากการปิดสกัดลูกศรทุกวัน เมื่อเผชิญหน้ากับความตายความสอดคล้องของร่างกาย จิตใจ และวิชาของเขานั้นทำให้เขาใช้ศักยภาพได้มากขึ้น
กระบี่ของเขาพุ่งเข้าสกัดกั้นเล็บมือสีดำ เมื่อพวกมันปะทะกัน ไออสูรที่น่าสะพรึงกลัวที่อยู่ภายในเล็บสีดำก็ระเบิดออกมา การเคลื่อนไหวของกระบี่ที่ยอดเยี่ยมนี้ได้เปลี่ยนวิถีของเล็บมือสีดำ โดยการหันเหกระแสพลังอสูรส่วนใหญ่ออกไป
อย่างไรก็ตามไออสูรบางส่วนได้เดินทางลงมาตามกระบี่และเข้าไปในร่างของเมิ่งชวน
“บูม”
เขารู้สึกว่าร่างกายของเขากระตุกขณะที่เขาถูกเหวี่ยงออกไป เขาสูญเสียความรู้สึกของมือขวาที่ใช้ถือกระบี่ไปในทันที เลือดพ่นออกมาจากปากขณะที่เขาล้มลงกับพื้น
ผลจากการกระแทกก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าก็คือไออสูรหนาแน่นที่เข้าไปในร่างกายของเมิ่งชวน มันทำให้เจ็บปวดเป็นอย่างมาก
“อาชวน” หลิวชีเยว่ที่อยู่ห่างไกลออกไปได้ดึงคันธนูและลูกศรออกจากซองธนูที่ด้านหลังของเธอออกมาแล้ว เธอกัดฟัน ดึงคันธนูและยิงไปที่ชายหลังค่อมทันที
วูบ วูบ วูบ
ลูกศรพุ่งออกมาทีละลูกติดตามกัน
“ไม่มีใครสามารถหลบหนีไปได้ พวกเจ้าทุกคนต้องตาย” ชายหลังค่อมไม่สนใจลูกศรโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าลูกศรจะพุ่งเข้าใส่เขาอย่างไร พวกมันก็ไม่สามารถที่จะแทงทะลุผิวหนังของเขาได้ ลูกศรของหลิวชีเยว่อ่อนแอเกินไป ไม่ว่าอย่างไร เธอก็เพิ่งก้าวเข้าสู่ระดับก่อกำเนิดและยังไม่ได้วิชาในขั้นหนึ่งเดียว รากฐานเทพอสูรของเธอก็ยังไม่แข็งแรงพอเช่นกัน หากเป็นจอมยุทธระดับไร้ตำหนิธรรมดา พวกเขาอาจต้องระมัดระวังในการต่อสู้กับเธอ อย่างไรก็ตามจอมยุทธของนิกายอสูรฟ้านั้นไม่สนใจเธอโดยสิ้นเชิง
“โอ” ทันใดนั้นสีหน้าของชายหลังค่อมก็เปลี่ยนไป และร่างกายของเขาพร่ามัว
วูบ
ลำแสงกระบี่ผ่านจุดที่เขาอยู่ นั่นคือบ่าวชรา
ในเวลานั้น กระแสน้ำได้หมุนวนรอบร่างของบ่าวชราเหมือนงูตัวเล็กๆ กระแสพลังของบ่าวชราแข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก ผิวหนังและดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดง
“ยาโลหิตเทพรึ” ชายหลังค่อมค่อนข้างประหลาดใจ เขามองไปที่บ่าวชรา “เมืองตงหนิงมียาโลหิตเทพด้วยรึ ดูเหมือนว่าเจ้าและนายน้อยของเจ้าจะมีเบื้องหลังที่ทรงอำนาจ”
“คุณหนูหลิวพานายน้อยข้าและนายน้อยเมิ่งชวนไปกับท่านก่อน” บ่าวชราตะโกนออกมาอย่างโกรธกริ้ว “ข้าจะรั้งเขาไว้”
“ได้เลย”หลิวชีเยว่วิ่งไปทันที อันดับแรกเธอเหวี่ยงเมิ่งชวนไปไว้บนหลังของเธอแล้วรีบทะยานไปหาเหยียนจิน
เหยียนจินมีอัตราการฟื้นตัวสูงมากและเขาก็ลุกขึ้นยืนได้แล้ว “ข้าเดินเองได้”
“ขอความช่วยเหลือกันก่อน” เมิ่งชวนใช้ความแข็งแกร่งทั้งหมดในการขับไล่ไออสูรในร่างกาย ขณะเดียวกันเขาก็พูดด้วยเสียงแหบขณะที่เขานำเอาพลุขอความช่วยเหลือออกมา
“บูม”
เหยียนจินรับพลุมาใช้งาน ส่งพลุไฟขึ้นสู่ท้องฟ้า จากนั้นเขาก็ส่งพลุขอความช่วยเหลือของตัวเองขึ้นไปบนท้องฟ้าบ้าง
“พวกเจ้าทั้งคู่รีบไป” หลิวชีเยว่ร้องด้วยความโกรธที่หงหยูและตี่เชิงที่ยังอยู่ใกล้ๆ สองพี่น้องกังวลในตัวผู้ช่วยชีวิตของพวกเขา แต่พวกเขาก็พยักหน้าและรีบวิ่งออกไปไกลในทันที สำหรับผู้หญิงคนอื่นๆและคนจากแก๊งหมาป่าดำ พวกเขาหนีไปนานแล้วด้วยความหวาดกลัว ยิ่งพวกเขาห่างจากการต่อสู้ที่น่ากลัวนี้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น ถึงกระนั้นพวกเขากว่าสิบคนที่ได้รับผลกระทบ พวกเขาหากไม่ตายก็พิการ
ในขณะเดียวกัน.
หลังจากกินายาโลหิตเทพความแข็งแกร่งของบ่าวชราก็ทวีคูณขึ้นหลายเท่า และเริ่มปะทะกับชายหลังค่อมแล้ว ชายหลังค่อมมีพละกำลังมหาศาลและร่างกายของเขาก็ดูคงกระพันชาตรี ทุกท่าเพลงของเขานั้นน่ากลัวผิดปกติ บ่าวชรานั้นเสียเปรียบโดยสิ้นเชิง แต่เขามีความยืดหยุ่นสูงและยังคงสามารถรั้งชายหลังค่อมไว้ได้
“บูม” เกิดการปะทะกัน กำแพงโดยรอบถูกทำลายลงจนเหลือเพียงแค่เศษซาก
วืด วืด วืด
“ลุงหวังไม่สามารถรั้งเขาไว้ได้นาน พวกเราไปกันเร็ว” เหยียนจินกล่าว หลิวชีเยว่ก็วิ่งออกไปพร้อมกับเมิ่งชวนที่อยู่ด้านหลังของเธอ
“ไปกันเถอะ” เมิ่งชวนกล่าว พวกเขาจะเป็นภาระถ้าพวกเขายังรั้งอยู่ มีเพียงหลังจากที่พวกเขาหนีไปแล้วบ่าวผู้ภักดีจึงจะหนีไปได้
…
เมื่อหลิวชีเยว่ส่งพลุขอความช่วยเหลือออกไปนั้น มันได้รับความสนใจจากผู้คนจำนวนมากในเมืองตงหนิง มันโดดเด่นมากในตอนกลางคืน
เมิ่งต้าเจียงและหลิวเย่ป๋ายกำลังรับประทานอาหารในห้องส่วนตัวที่ร้านอาหาร พวกเขาเห็นหางของพลุบนท้องฟ้าและการระเบิดผ่านทางหน้าต่าง
“นั่นเป็นชีเยว่” ทั้งสองจำเปลวไฟได้ทันที พลุขอความช่วยเหลือเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นเป็นพิเศษสำหรับรุ่นเยาว์ เพียงแค่ดูรูปร่างของดอกไม้ไฟ ก็สามารถรู้ได้ว่าใครเป็นผู้ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือออกมา
“ชีเยว่กำลังร้องขอความช่วยเหลืออย่างงั้นรึ” เมิ่งต้าเจียงและหลิวเย่ป๋ายต่างตกใจ
“วูบ”
หลิวเย่ป๋ายเปลี่ยนเป็นหมอกสีดำและกระโดดออกจากหน้าต่างไปในทันที
เลือดของเมิ่งต้าเจียงเดือดพล่านขณะที่เขาเปลี่ยนเป็นลำแสงสีดำและพุ่งออกไปจากร้านอาหาร
อย่างไรก็ตามเพียงไม่กี่วินาทีหลังจากที่พวกเขาวิ่งออกไป
“ปัง ปัง”
พลุอีกสองดอก
“นั่นชวนเอ๋อร์” เมิ่งต้าเจียงตะโกนอย่างกังวล
ตอนที่ 27 ไออสูรที่แพร่ออกมา
ในสวนหินร้างคำพูดของผู้หญิงทั้งเจ็ดทำให้เมิ่งชวน,เหยียนจินและหลิวชีเยว่ค่อนข้างตกตะลึง
“ให้ผู้หญิงทุกคนในอาคารเหล่านี้ออกมา” เหยียนจินกล่าวอย่างเคร่งเครียด เขาปฏิเสธที่จะเชื่อ
เมื่อเขายังเด็กสาวใช้ที่ดูแลเขาเป็นอย่างดี ถูกทรมานจนตายในสถานที่แบบนี้
“นำพวกเขาทั้งหมดออกไป” ชายชราในเสื้อคลุมหลากสียิ้มขณะที่เขาสั่ง สตรีมากกว่าสามสิบคนถูกนำตัวมารวมกัน
“นายน้อยเมิ่งรึ”
“นั่นคือเมิ่งชวนของตระกูลเมิ่ง” ดวงตาของผู้หญิงหลายคนสดใสขึ้นเมื่อเห็นเมิ่งชวน
ผู้คนนับไม่ถ้วนต่างอิจฉาริษยาอัจฉริยะของเมืองตงหนิง เมิ่งชวนมักจะเดินทางระหว่างคฤหาสน์ตระกูลเมิ่งและสำนักเต๋ากระจกทะเลสาบ หลายคนเคยเห็นเขาในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
“ถ้าพวกเจ้าถูกลักพาตัว เจ้าสามารถพูดออกมาดังๆ เจ้าไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการแก้แค้นของแก๊งหมาป่าดำ” เมิ่งชวนกล่าว “ พวกเขาไม่มีความกล้าที่จะทำเช่นนั้น”
“นายน้อยเมิ่ง แม้ว่าพวกเราบางคนจะร้องไห้และคร่ำครวญเมื่อตอนที่เรามา แต่ก็ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับแก๊งหมาป่าดำ ข้ามาที่นี่ด้วยตัวเองเพราะการแต่งงานของพี่ชาย พี่สาวพี่สาวที่อยู่ข้างข้าทุกคนต่างมีเรื่องเศร้าของพวกเธอ แต่พวกเราทั้งหมดล้วนเต็มใจ” ผู้หญิงคนหนึ่งกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“นายน้อยเมิ่ง…” ผู้หญิงเหล่านี้ต่างเต็มใจที่จะบอกเมิ่งชวน
ขณะที่เมิ่งชวน หลิวชีเยว่ และเหยียนจินฟัง ทั้งสามคนต่างก็สับสนยิ่งขึ้นกว่าเดิม พวกเขาสามารถบอกได้ว่าผู้หญิงเหล่านี้ไม่ได้มีความแค้นต่อแก๊งหมาป่าดำ พวกเขาตกใจมากเมื่อได้ยินเหล่าผู้หญิงพูดถึงความยากลำบากของตนเอง
พวกเขารู้ดีว่าชีวิตเป็นเรื่องยากสำหรับคนทั่วไป เนื่องจากกฎที่กำหนดโดยข้าราชบริพาร ผู้ที่ไปไม่ถึงระดับชำระแก่นแท้จะต้องรับใช้ในกองทัพ มิฉะนั้นงานที่มีให้กับพวกเขาจะมีอย่างจำกัด อย่างไรก็ตามผู้ที่เปิดธุรกิจขนาดเล็กและทำงานแปลกๆก็อาจหากินอิ่มท้องได้ แต่วันนี้ พวกเขาพบว่ามีผู้คนจำนวนมากกว่าที่ใช้ชีวิตอย่างน่าอนาถในหมู่คนทั่วไป ผู้ที่ป่วยหนัก หรือมีคนในตระกูลที่ติดการพนัน ผู้ที่ผ่านความอดอยาก หรือบ้านเกิดของพวกเขาถูกอสูรทำลาย…
ผู้หญิงเหล่านี้น่ารักดังนั้นพวกเธอจึงมีเส้นทางเลือกนี้ หากพวกเธอไม่ได้มีความสวยงามตั้งแต่ต้น ก็คงจะเดินเส้นทางนี้ไม่ได้
“พี่สาว” ตี่เชิงที่ยืนอยู่ด้านข้าง ร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น ดวงตาของเขาเบิกกว้างทันที เขาไม่รู้สึกอะไรเลยเมื่อได้ยินพวกผู้หญิงบ่น เพราะพ่อของเขาเองก็เป็นคนติดการพนัน ถ้าไม่ใช่เพราะพี่สาวของเขาทำงานเป็นคนรับใช้ในตระกูลใหญ่ ตระกูลของเขาก็คงจะจบสิ้นเช่นกัน
“ตี่เชิง” ผู้หญิงที่ถูกแก๊งหมาป่าดำพาตัวออกมา รีบวิ่งมาทันที
“ฮ่าฮ่า…” ชายชราหัวเราะ “เราพบตัวเธอแล้ว เกิดอะไรขึ้น ผู้หญิงคนนี้ถูกพามาที่สวนหินร้างของเราได้อย่างไรกัน ทำไมข้าจีงไม่รู้เรื่องนี้”
“ท่านผู้พิทักษ์” สมาชิกแก๊งกล่าวด้วยความเคารพ “พ่อของผู้หญิงคนนี้ชื่อหงหยู เป็นหนี้พวกเราแก๊งหมาป่าดำ300 หยวน นั่นเป็นเหตุผลที่ผู้ใต้บังคับบัญชาของเราพาลูกสาวของชายคนนี้มาซ่อนที่นี่ชั่วคราว มันเป็นการบังคับให้พ่อของเธอหาเงิน”
เมื่อชายชราได้ยิน เขาก็จ้องมองไปที่หัวหน้าเว่ยและพวกทั้งสามคนและตะโกนว่า “ทำไมเจ้าไม่บอกข้าว่าเจ้าซ่อนเธอไว้ที่นี่เพื่อเก็บหนี้ของเจ้า”
หัวหน้าเว่ยพลันตระหนักขึ้นมาได้ในทันทีและพูดด้วยรอยยิ้มประจบประแจงว่า “ท่านผู้พิทักษ์ เราจะกล้ารบกวนท่านด้วยเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ได้อย่างไร พวกเราเพียงแค่วางแผนที่จะซ่อนเธอไว้ที่นี่เพียงไม่กี่วัน เพื่อสร้างความหวาดกลัวให้กับนักพนันคนนั้น”
เมิ่งชวนและพวกขมวดคิ้วเมื่อได้ยินสิ่งนี้
อ่านบทล่าสุดที่ my-novel.co หรือ www.thai-novel.com
เมื่อหนี้เพิ่มมาจนถึงจำนวนหนึ่ง เจ้าหนี้ที่กักขังคนในตระกูลของผู้อื่นไว้ชั่วคราวเพื่อบังคับให้ตระกูลคืนหนี้นั้นจะถูกลงโทษด้วยการปรับที่ศาลเท่านั้น เว้นแต่หญิงที่ถูกลักพาตัวไปถูกบังคับให้เป็นโสเภณี ได้รับบาดเจ็บสาหัส หรือเสียชีวิต จึงจะได้รับการลงโทษอย่างหนัก
สำหรับหงหยูพี่สาวของตี่เชิง เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ได้รับบาดเจ็บ
“พี่ พวกเขารังแกเจ้าหรือเปล่า” ตี่เชิงกอดพี่สาวของเขาและถามในทันที
“เปล่าพวกเขาเพียงแค่ขังข้าไว้ในห้อง” หงหยูส่ายหน้า
“เราทำผิดพลาดไปหรือเปล่า” หลิวชีเยว่กระซิบเมื่อเธอเห็นสิ่งนี้
เหยียนจินขมวดคิ้ว
เมิ่งชวนมองไปที่กลุ่มผู้หญิง ทุกคนมีเรื่องราวของตนเอง แต่ไม่มีใครบังคับ สิ่งที่เขาประสบในวันนี้ ทำให้เขาได้เห็นอีกด้านหนึ่งของโลกใบนี้อย่างแท้จริง
“นายน้อย” บ่าวชราที่ยืนอยู่ข้างเหยียนจินหัวเราะเบาๆ “ถ้ามันผิดกฎหมาย แก๊งหมาป่าดำจะไม่ยอมให้เราเห็นได้ง่ายๆ”
ดวงตาของเหยียนจินสว่างขึ้น
“หงหยูผู้นี้ถูกบังคับอย่างไม่ต้องสงสัย นอกจากนี้แก๊งหมาป่าดำก็ยังไม่มีสัญญาผูกมัดเธอ เนื่องจากมีตัวอย่าง แน่นอนว่ามันต้องไม่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว” บ่าวชรากล่าวด้วยรอยยิ้ม “นอกจากนี้สถานที่ซึ่งหงหยูถูกคุมขังนั้นอยู่ด้านหลังของพื้นที่ ข้าค่อนข้างมั่นใจว่าต้องมีผู้หญิงน่าสงสารคนอื่นๆอยู่ในสถานที่นั้น”
คำพูดเหล่านี้ทำให้ใบหน้าของสมาชิกแก๊งหมาป่าดำเปลี่ยนไป ชายชราในชุดคลุมหลากสีมีใบหน้าที่ดูไม่ได้
“ใช่ เรื่องที่น่าสนใจจะต้องถูกซ่อนไว้อย่างรอบคอบมากกว่านี้” เหยียนจินกล่าวอย่างเย็นชา “ลุงหวัง ตรวจสอบพื้นที่นี้อย่างระมัดระวัง ข้าต้องการเห็นว่าแก๊งเล็กๆแบบนี้จะกล้าขนาดไหน”
“พวกท่านมิทำเกินไปรึ”
ใบหน้าของชายชรามืดลงขณะที่เขาก้าวไปข้างหน้าอีกสองสามก้าว ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาที่อยู่ข้างหลังเขาก็ก้าวไปข้างหน้าอีกสองสามก้าว ขวางเส้นทางข้างหน้าพวกเขา ชายชราในชุดคลุมหลากสีกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ตอนนี้คนที่พวกท่านต้องการจะช่วยชีวิตก็อยู่กับพวกท่านแล้ว พวกท่านไม่ไว้หน้าเราบ้าง แต่จะบีบบังคับเราต่อไปอย่างงั้นรึ”
“ถอยออกไป” เหยียนจินกล่าวอย่างเย็นชา
“นี่คืออาณาเขตของแก๊งหมาป่าดำ ทั้งยังเป็นพื้นที่ของตระกูลไป๋ด้วย” ชายชราหัวเราะอย่างเย็นชา “ พวกท่านตั้งใจที่จะมีเรื่องมีราวกับพวกเราใช่หรือไม่”
“ฮ่าฮ่า เจ้าช่างกล้านักในฐานะผู้พิทักษ์” บ่าวชรากล่าวพร้อมกับหัวเราะ “จะมีใครกล้าข่มขู่วังหยกสุริยันในเมืองตงหนิงบ้าง”
ในเมืองตงหนิงวังหยกสุริยันมีสถานะสูงสุดและเป็นตัวแทนของเขาหยวนชู
“ถ้าเจ้ากล้าขัดขวางการปฏิบัติการของวังหยกสุริยัน ข้าสามารถฆ่าเจ้าได้โดยตรง แก๊งหมาป่าดำของเจ้าควรรู้กฎนี้” บ่าวชราหยิบตราของวังหยกสุริยันออกมา และสีหน้าของสมาชิกในแก๊งก็ซีดลงในทันที พวกเขาอดไม่ได้ที่จะถอยหลัง ชื่อเสียงของวังหยกสุริยันนั้นยิ่งใหญ่เกินไป มีการกล่าวกันว่าราชสำนักของจักรพรรดิเป็นผู้ดูแลเรื่องคนธรรมดา ในขณะที่วังหยกสุริยันเป็นผู้ดูแลในเรื่องอื่นๆทั้งหมด
หากมีใครล่วงเกินวังหยกสุริยันพวกเขาจะต้องตายอย่างไร้ค่า
“ ผู้พิทักษ์อย่าปะทะกับวังหยกสุริยัน”
“ทนหน่อย”
“ไปรายงานเรื่องนี้ให้กับแก๊งกันเถอะ เราจะไม่สามารถขวางพวกเขาได้” สมาชิกแก๊งกล่าวอย่างรีบร้อน แม้ว่าจะเป็นอาชญากรรมร้ายแรงในการลักพาตัวผู้หญิง แต่แก๊งหมาป่าดำมีคนจำนวนมาก การลงโทษของข้าหลวงของจักรวรรดิอาจลงมาไม่ถึงตัวพวกเขาแม้ว่าพวกเขาจะได้รับการลงโทษก็ตาม
ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืน
ภายในสวนหินร้าง พวกผู้หญิงพากันเฝ้าดูอย่างกระวนกระวาย สมาชิกของแก๊งหมาป่าดำก็ถอยออกไปเช่นเดียวกัน หัวหน้าเว่ยและพวกทั้งสามคนไม่กล้าพูดอะไรแม้แต่คำเดียว
มีเพียงสีหน้าของชายชราเท่านั้นที่มืดหม่นลง เขายืนขวางทาง “ เราจะต้องปะทะกันจริงๆรึ”
“เจ้าคิดว่าตัวเองมีค่าพอรึ” บ่าวชราหัวเราะเบาๆ ในแง่ของประวัติความเป็นมา ตระกูลของเขาอยู่ไกลเกินกว่าที่ตระกูลเทพอสูรทั้งห้าในเมืองตงหนิงจะสามารถเทียบได้
“เปิดทาง” ดวงตาของเหยียนจินเย็นชา ความคิดที่ว่าผู้หญิงถูกทรมานจนตายนั้นกระตุ้นให้จิตสังหารของเขาเกิดขึ้น
“ฮ่าฮ่า ก็ได้ ข้าจะหลีกทางให้ เปิดทาง ปล่อยให้พวกเขาตรวจสอบ” ชายชราหัวเราะทำให้สีหน้าของบ่าวชราเปลี่ยนไป
ทันใดนั้น…
มีคนเดินออกมาจากเส้นทางที่ห่างออกไป
หลังของเขาค่อม แต่เขายังคงสูง ผมของเขากระเซิงและเขาเดินมาด้วยรอยยิ้มขณะที่เขามองไปยังเมิ่งชวน เหยียนจิน หลิวชีเยว่ และบ่าวชรา
แม้ว่าจะเห็นกระแสพลังของคนผู้นี้จำกัดอยู่แค่ระดับของคนธรรมดา แต่เมิ่งชวนก็สัมผัสได้ถึงภัยคุกคามที่น่ากลัวอย่างยิ่งพุ่งเข้ามาหา ราวกับว่ามีสัตว์ประหลาดที่น่ากลัวกำลังเข้ามาใกล้
“ข้าได้ยินมาว่าเจ้ากำลังจะตรวจสอบสถานที่นี้รึ” คนหลังค่อมยิ้ม “มีเส้นทางมากมายนำไปสู่ชีวิต แต่เจ้ากลับเลือกเส้นทางที่นำไปสู่ความตาย”
ทันทีที่เขาพูดจบ กระแสพลังสีเขียวที่เต็มเปี่ยมก็ปะทุออกมาจากร่างกาย พร้อมกับดวงตาก็เปล่งประกายสีเขียว ร่างกายใหญ่โตขึ้นและมีกล้ามเนื้อ เล็บก็ยาวขึ้นเช่นกัน เขายื่นมือออกไปทำให้ก้อนกรวดบนพื้นลอยขึ้นไปในอากาศเข้าไปในมือของเขา
“ข้าจะส่งพวกเจ้าไปตามทางของเจ้า” ชายหลังค่อมโบกกรงเล็บอันแหลมคมของเขา
ฟิ้วฟิ้วฟิ้วฟิ้วฟิ้วฟิ้วฟิ้ว
ก้อนหินหลายสิบก้อนพุ่งออกไป กระแสพลังสีเขียวปกคลุมหินทุกก้อนและความเร็วของพวกมันก็น่าตระหนก
ตูม ตูม ตูม
หินบางก้อนทะลุผ่านเสาไม้ ในขณะที่ก้อนอื่นๆทะลุผ่านหินใหญ่ และทำให้เกิดหลุมขนาดใหญ่ขึ้นอย่างง่ายดาย
“อ๊ากกกก” ตามเส้นทางที่หินผ่าน สมาชิกแก๊งสามคนและหญิงที่ไม่รู้เรื่องราวอีกสองคนถูกก้อนหินเจาะทะลุ เลือดกระเซ็นไปทุกหนทุกแห่งขณะที่พวกเขาเสียชีวิตคาที่
“ระวัง”เมิ่งชวนเพ่งสมาธิ ขณะที่เขาก้าวไปข้างหน้าชีเยว่และปลดกระบี่ที่ข้างเอวของเขาทันที หลิวชีเยว่ก็ดึงสองพี่น้องมาอยู่ข้างหลังเธอทันที
“นิกายอสูรฟ้าอย่างงั้นรึ ปล่อยกระแสพลังอสูรออกมาด้วยรึ” สีหน้าของบ่าวชราเปลี่ยนไปอย่างมาก ขณะที่เขาถือกระบี่อ่อน นายน้อยระวังตัว”
เหยียนจินดึงกระบี่ทั้งสองออกจากด้านหลังของเขา เขาพยายามอย่างเต็มที่เพื่อป้องกันการโจมตีด้วยกระบี่ทั้งสองเล่ม
ตูม ตูม ตูม
หินที่น่าหวาดหวั่นหลายสิบก้อนปกคลุมไปด้วยกระแสพลังสีเขียวปะทะกับพวกเขาทันที เมิ่งชวน บ่าวชรา และเหยียนจิน ต้องใช้กำลังเต็มที่เพื่อสกัดกั้นหินที่อันตรายเหล่านี้ หินทุกก้อนรู้สึกเหมือนกับหนักมาก พวกมันรุนแรงยิ่งกว่าลูกธนูที่ยิงโดยจอมยุทธในระดับก่อกำเนิด หินเหล่านี้น่ากลัวยิ่งกว่านักรบในระดับก่อกำเนิดหนึ่งร้อยคนที่ยิงธนูออกมาพร้อมกัน
ตอนที่ 26 ผู้หญิงจากสวนหินร้าง
“และทั้งสองคนนี้” เด็กในอ้อมแขนของบ่าวชราชี้ไปที่คนขี้เมาอีกสองคน “พวกเขาก็อยู่ที่นั่นด้วยเมื่อหัวหน้าเว่ยพาคนของเขาลักพาตัวพี่สาวของข้า”
“นั่นไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเราเลย”
“เราเพิ่งไปทำธุระ” คนขี้เมาทั้งสองไม่กล้าส่งเสียง หลังจากที่ถูกตี่เชิงชี้ตัว พวกเขาก็อธิบายด้วยความตื่นตระหนกทันที
เหยียนจินขมวดคิ้วและตะโกนว่า”พี่สาวของเขาอยู่ที่ไหน”
“นี่…” หัวหน้าเว่ยและลูกน้องสองคนสบตากันและเริ่มลังเล กฎของแก๊งนั้นเข้มงวด
“ถ้าเราไม่พบต้วเธอ พวกเจ้าทั้งสามคนจะต้องตาย” เหยียนจินพูดอย่างเย็นชา
“พวกเราจะพูด”
“เธอถูกส่งไปที่สวนหินร้างแล้ว” หัวหน้าเว่ยและคนอื่นๆรีบพูด
…
สวนหินร้างเป็นหนึ่งในฐานที่มั่นหลักหกแห่งที่แก๊งหมาป่าดำใช้เพื่อฝึกฝนสตรีโดยเฉพาะ ตั้งอยู่ทางภาคเหนือของเมืองตงหนิง
โฮ่งโฮ่ง
ท้องฟ้ามืดลงแล้วและอาจได้ยินเสียงสุนัขเห่าจากสวนหินร้างเป็นครั้งคราว เห็นได้ชัดว่าบริเวณนั้นมียามคอยตรวจตราอยู่
ทั้งสามคนของหัวหน้าเว่ยเป็นผู้นำทาง เหยียนจิน,เมิ่งชวนและคนอื่นๆก็ตามอยู่ด้านหลัง
“บริเวณนี้คือสวนหินร้าง ปกติจะมีผู้หญิงมากกว่าร้อยคนที่นี่ พวกเธอจะได้รับการฝึกฝน หากพวกเธอมีความสามารถพวกเธอจะถูกส่งไปยังซ่องหรูต่างๆ ถ้าพวกเธอไม่สามารถจัดการได้พวกเขาจะส่งพวกเธอไปที่ร้านค้าหญิงขายบริการ” หัวหน้าเว่ยกล่าวด้วยรอยยิ้มที่น่ารังเกียจ
“อาชวน นั่นน่าสนใจ ข้าเคยเห็นซ่องหรูสองสามแห่งในเมืองตงหนิงจากระยะไกล ข้าไม่เคยเห็นสถานที่ซึ่งพวกเขาฝึกผู้หญิง…” หลิวชีเยว่รู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษ “ข้าได้ยินมานานแล้วว่าผู้หญิงที่น่าสงสารบางคนถูกลักพาตัวมาที่นี่ ตอนนี้เราจะช่วยพวกเขา เราไม่อาจปล่อยสมาชิกแก๊งหมาป่าดำที่ชั่วร้ายเหล่านั้นหลุดไปได้”
“ข้าจะไม่ยอมละเว้นใครก็ตามที่ทำชั่ว” เมิ่งชวนตอบ
“เร็ว เปิดประตู ข้าเองเว่ย” หัวหน้าเว่ยกระแทกประตูและตะโกน
ประตูของสวนหินร้างเปิดออก
บ่าวชราเป็นคนเริ่มที่จะก้าวไปข้างหน้า เพียงการสะบัดมือของเขา ผู้เฝ้าประตูสองคนก็ถูกผลักปลิวไป เมื่อชนเสาไม้หรือพื้นพวกเขาก็อาเจียนออกมาเป็นเลือด
“มีคนโจมตี”
อ่านบทล่าสุดที่ my-novel.co หรือ www.thai-novel.com
“เข้ามาแล้ว”
“ใครกันที่กล้า”
“พวกนั้นกล้ามาที่พื้นที่ของแก๊งหมาป่าดำและทำตัวชั่วช้าอย่างงั้นรึ”
เกิดความปั่นป่วนและผู้คนจากทั่วสารทิศก็วิ่งเข้ามา
เหยียนจิน เมิ่งชวนและคนอื่นๆ ต่างรออยู่ที่สนามหญ้าด้านหน้า หัวหน้าเว่ย และพรรคพวก ยืนอยู่ด้านข้างอย่างระมัดระวังพร้อมกับก้มหัว ด้านหนึ่งคือวังหยกสุริยันและตระกูลเมิ่ง และอีกด้านหนึ่งคือแก๊งของพวกเขาเอง พวกเขาต่างกลัวทั้งสองฝ่าย
ชายกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว บางคนมีกระแสพลังที่แข็งแกร่งและมีความแข็งแกร่งในระดับชำระแก่นแท้
หัวหน้ากลุ่มเป็นชายสูงอายุในชุดคลุมหลากสีที่เข้าถึงระดับก่อกำเนิด
“นายน้อยเมิ่งรึ” ใบหน้าของชายชราในชุดคลุมหลากสีมีสีหน้าเย็นชา แต่เมื่อได้เห็นเมิ่งชวนใบหน้าของเขาก็บานราวกับดอกไม้ในทันที “เมื่อมาคิดว่านายน้อยเมิ่งจะมาที่บ้านซอมซ่อของข้า ข้ามีความสุขจริงๆ นายน้อยเมิ่งข้าพอจะช่วยท่านได้อย่างไรรึ นายน้อยเมิ่งโปรดพูดความในใจของท่านออกมา”
“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าลักพาตัวผู้หญิงงั้นรึ” เมิ่งชวนถาม
“ไม่ ไม่อย่างแน่นอน” ชายชราในชุดคลุมหลากสีกล่าวอย่างรีบร้อน “แก๊งหมาป่าดำของเราปฏิบัติตามกฎหมายมาโดยตลอด ทำไมเราต้องทำอะไรเช่นนั้น”
เมิ่งชวนชี้ไปที่หัวหน้าเว่ยและคนอื่นๆที่ก้มหัวลง “พวกเขาพูดอย่างนั้น”
ชายชรามองไปที่หัวหน้าเว่ย และคนอื่นๆอย่างเย็นชา
“ผู้พิทักษ์ นี่คือนายน้อยเมิ่ง คนนั้นมาจากวังหยกสุริยัน เราไม่มีทางเลือกเช่นกัน” หัวหน้าเว่ยกล่าวด้วยสีหน้าขมขื่น
“วังหยกสุริยันรึ” ตอนนี้ชายชราสังเกตเห็นเหยียนจินและบ่าวชรา
บ่าวชราหยิบตราวังหยกสุริยันออกมาแสดง
หัวใจของชายชราคนนั้นเต้นผิดจังหวะ “วังหยกสุริยันมีคนรับใช้และทหารมากมาย … แต่ผู้ที่สามารถถือครองตราสัญลักษณ์ของวังหยกสุริยันล้วนมาจากระดับบน มีไม่เกินสิบคน แล้วสองคนนี้เป็นใครกัน ทำไมข้าไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับพวกเขา”
“พี่สาวของเด็กคนนี้ถูกส่งมาที่นี่เมื่อประมาณสองชั่วโมงที่แล้วโดยเว่ยซานเต้า” เมิ่งชวนกล่าว
“เว่ยซานเต้าเพิ่งส่งคนมาที่นี่รึ” ชายชราหันหน้าและตะโกน ในขณะที่กระพริบตาเล็กน้อยไปยังผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา
ผู้ใต้บังคับบัญชากล่าวทันทีว่า”ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น ข้าจะไปหาเธอและพาเธอมาที่นี่”
“เร็วเข้า” ชายชรากระชากเสียง
ลูกน้องรีบวิ่งไปทันที
ชายชราหันหน้าและยิ้มให้กับเมิ่งชวนและพรรคพวก เขากล่าวทันทีว่า “ท่านเจ้านายแห่งวังหยกสุริยันและนายน้อยเมิ่งไม่ต้องกังวล แก๊งหมาป่าดำของเรามีความประพฤติดี เราไม่ลักพาตัวผู้หญิงอย่างแน่นอน”
“เจ้ายังปฏิเสธที่จะยอมรับมันอีกรึ” เสียงของเหยียนจินเย็นชา ขณะที่เขาจ้องมองไปทั่วบริเวณ “พี่สาวของเขาถูกลักพาตัวไปและมีผู้หญิงมากกว่าร้อยคนในบริเวณนี้ ข้าแน่ใจว่าหลายคนถูกลักพาตัวมาที่นี่โดยไม่ได้ตั้งใจ”
“ไม่อย่างแน่นอน” ชายสูงอายุกล่าว
“ผู้หญิงเจ็ดคนที่อยู่ในอาคารนั้น เอาออกให้หมด” บ่าวเฒ่าสั่ง
“ขอรับ ทันทีเลยขอรับ” ชายชราพยักหน้าและแสดงท่าทางไปยังผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา อย่างไรก็ตามเขาแอบตกใจ “ช่างน่าตกใจนัก เขารู้ว่ามีผู้หญิงเจ็ดคนอาศัยอยู่ข้างใน ทั้งที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยก้าวงั้นรึ”
ในไม่ช้า
ผู้หญิงเจ็ดคนก็ออกมา บางคนดูเหมือนเป็นหญิงสาว ในขณะที่คนอื่นๆอยู่ในวัยยี่สิบกว่าหรือสามสิบกว่า
“เจ้ามาที่นี่ด้วยความเต็มใจหรือถูกลักพาตัวมา” เหยียนจินกล่าวอย่างเคร่งขรึม “แค่บอกข้า อย่ากลัว พวกเรามาจากวังหยกสุริยัน และนี่คือนายน้อยของตระกูลเมิ่ง แก๊งหมาป่าดำไม่สามารถคุกคามเจ้าได้ เจ้าสามารถแก้แค้นได้ หากเจ้ามีความแค้นกับพวกเขา ตราบใดที่คนเหล่านี้ละเมิดกฎหมาย ก็จะไม่มีใครรอดพ้น”
“ผู้ที่ฝ่าฝืนกฎหมายจะไม่สามารถหลบหนีได้” เมิ่งชวนกล่าว “นี่คือคำสัญญาของข้าให้ไว้กับพวกเจ้า”
ชายชราหรี่ตาลงเมื่อได้ยินเช่นนั้น ลูกน้องข้างหลังต่างพากันมองหน้ากัน
ในบรรดาผู้หญิงเจ็ดคน ผู้สูงอายุคนหนึ่งหัวเราะอย่างไม่เห็นค่าของตัวเอง “นายน้อย พวกท่านทุกคนต้องยุ่งยากเปล่าประโยชน์แล้ว พวกเราทุกคนมาที่สถานที่มัวเมาแห่งนี้ก็เพราะพวกเราไม่มีที่จะไป ตัวอย่างเช่น ข้าถูกสามีทิ้ง ข้าไม่มีที่อยู่ ไม่มีที่ทำกิน และถูกรังแก เพียงแต่มาที่นี่เท่านั้นที่ข้าพอจะสามารถกินอาหารให้อิ่มเอมใจ และมีที่ให้ข้าพักพิงจากสิ่งต่างๆ เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ แก๊งหมาป่าดำก็หาทางออกให้ข้า”
เหยียนจิน,เมิ่งชวนและหลิวชีเยว่ตะลึง
มันแตกต่างจากที่พวกเขาจินตนาการไว้
ผู้หญิงอีกคนกล่าวว่า “นายน้อยข้าหนีจากภัยพิบัติและมาที่นี่ ไม่มีที่ให้ข้าไป และข้าก็อยู่ในสภาพอดอยาก ท่านจะสามารถเข้าใจถึงความรู้สึกนี้ได้หรือไม่ มันเปล่าประโยชน์ที่จะขอร้องผู้ใด ข้าผ่ายผอมจากความอดอยากจนต้องขายร่างกายและถูกทุกคนดูหมิ่น แก๊งหมาป่าดำที่รับข้ามาจากกลุ่มขอทานและหาทางออกให้ข้า”
“พ่อของข้าขายข้าเพื่อชดใช้หนี้ของเขา และถือได้ว่าข้าได้ชดใช้ความกรุณาของเขาที่เลี้ยงดูข้ามา” เด็กหญิงคนหนึ่งพูดอย่างเย็นชา “ตราบใดที่ข้าหาเงินในซ่องโสเภณีและปลดหนี้… ข้าจะได้รับอิสรภาพกลับคืนมาและมีเงินเพื่อใช้ชีวิตที่เหลืออยู่”
“ที่นี่ยอดเยี่ยมมาก เรามีเสื้อผ้าสวยๆใส่ เรามีพี่สาวน้องสาวให้เล่นสนุกด้วย มีอาหารที่ดีและเราไม่จำเป็นต้องทำงานหนัก” เด็กผู้หญิงหน้าเด็กยิ้มสดใส “ทำไมเราจะต้องการความช่วยเหลือ”
…
มีอุโมงค์ซุกซ่อนอยู่ในบริเวณนี้ ที่ปลายอุโมงค์เป็นห้องโถงลับ
ในห้องโถงใต้ดิน
ชายหลังค่อมนั่งอยู่ในท่าดอกบัว หมอกสีเขียวจางๆปกคลุมไปทั่วร่างกายของเขา และดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยแสงสีเขียวที่น่ากลัว
มีศพผู้หญิงคนหนึ่งข้างกายเขา มีรูที่หน้าอกของศพผู้หญิง เห็นได้ชัดว่าหัวใจของเธอถูกควักออกไปแล้ว
จิจิจิ เล็บมือขวายาวของคนหลังค่อมกุมหัวใจไว้ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้หัวใจแห้งอย่างมาก
ฟิ้ว
วืด
หมอกสีเขียวไหลเข้าสู่ร่างกายของชายหลังค่อมทางจมูกของเขา ก่อนที่เขาจะพ่นมันออกมาหลังจากที่ผ่านไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง
ก๊อก ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะดังขึ้นจากด้านนอก
“โอ้” สีหน้าของชายหลังค่อมเปลี่ยนไปเล็กน้อยขณะที่เขาพูดอย่างเย็นชา “มีอะไร” สมุนของเขากลับกล้ารบกวนขณะที่เขากำลังทำการฝึกเลยรึ
“นายท่าน มีชายหนุ่มสองสามคนและหญิงสาวอยู่ข้างนอกพร้อมกับชายชรา พวกเขามาจากวังหยกสุริยันและในหมู่พวกเขาคือเมิ่งชวนจากตระกูลเมิ่ง พวกเขาบอกว่าพวกเขามาที่นี่เพื่อช่วยเหลือพี่สาวของเด็กคนหนึ่ง” คนที่อยู่นอกห้องโถงพูดเบาๆ
“งั้นก็คืนพี่สาวของเด็กให้พวกเขาไปซะ” ชายหลังค่อมกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว “ข้าอยู่ในช่วงวิกฤติของการฝึกฝน ไม่จำเป็นต้องยั่วยุตระกูลเทพอสูรทั้งห้าหรือวังหยกสุริยัน”
“ถ้าพวกเขาต้องการค้นหาสวนหินร้างทั้งหมดล่ะ ข้าเกรงว่าความลับบางอย่างจะถูกเปิดเผย” บุคคลภายนอกห้องโถงกล่าว
“ห้ามไม่ให้พวกเขาค้น” ชายหลังค่อมกล่าวอย่างใจเย็น “ถ้าเจ้าไม่สามารถหยุดพวกเขาได้จริงๆ ชะตากำหนดให้เราต้องเปิดเผย ก็ฆ่าพวกนั้นและทิ้งสถานที่แห่งนี้เสีย นั่นจะเป็นการเตือนถึงตระกูลเทพอสูรทั้งห้าตระกูลและวังหยกสุริยันด้วย”
“ขอรับ” บุคคลภายนอกห้องโถงตอบด้วยความเคารพ
ชายหลังค่อมมองศพหญิงที่พื้นแล้วพูดเสียงเบาว่า “ข้าทนไม่ได้จริงๆที่จะต้องทิ้งสถานที่ดีๆสำหรับการฝึกวิชาที่ให้หญิงพรหมจารีบ่อยๆเช่นนี้”
ตอนที่ 25 เหยียนจินรับหน้าที่
ที่ชั้นสองของร้านอาหารหยุนเจียง
เมิ่งชวนและหลิวชีเยว่พบโต๊ะริมหน้าต่างและนั่งลงไป พนักงานของร้านได้ให้บริการพวกเขาอย่างอบอุ่น แน่นอนว่าพวกเขาต้องรู้จักลูกชายของเจ้านายอยู่แล้ว
“อาชวนมองไปที่นั่นสิ” หลิวชีเยว่กระซิบ
เมิ่งชวนหันไปมอง
บนชั้นสองของร้านอาหารที่คึกคักนั้นมีเด็กหนุ่มสวมชุดขาวที่มีสีหน้าเรียบเฉย ข้างๆเขาคือคนรับใช้สูงอายุ
“เขาเองรึ” เมิ่งชวนจำเขาได้ นั่นเป็นชายหนุ่มที่ชื่อเหยียนจิน จากพระราชวังหยกสุริยัน เหยียนจินเป็นคนที่ลึกลับมากและคนธรรมดาทั่วไปในเมืองตงหนิงก็แทบจะไม่เคยได้ยินชื่อเขามาก่อนเลย อย่างไรก็ตามทั้งห้าตระกูลเทพอสูร ข้าราชบริพาร และคนในระดับสูงอื่นๆของเมืองตงหนิง ต่างให้ความสนใจอย่างใกล้ชิดกับอัจฉริยะที่หาใครเทียบได้ยาก ซึ่งมีพรสวรรค์ไม่ด้อยไปกว่าของเมิ่งชวนผู้นี้ นอกจากนี้สถานะของเขายังเหนือกว่ามาก เนื่องจากเจ้าวังหยกสุริยันสนับสนุนเขา
เหยียนจินสังเกตเห็นว่ามีใครบางคนกำลังมองมาที่เขา จึงมองกลับไปที่เมิ่งชวน
เมิ่งชวนยิ้มพร้อมกับยกแก้วไวน์ขึ้นและแสดงท่าทางจากระยะไกล แต่เหยียนจินกลับหันหน้าหนี เขาไม่ยอมสนใจ
“หยาบคาย” หลิวชีเยว่เห็นการกระทำนี้และกระซิบว่า “อาชวนไม่ต้องสนใจเขา”
“มันเป็นเพียงธรรมชาติของเขา” เมิ่งชวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม เมื่อปีที่แล้วในงานเลี้ยงตัดอสูร เหยียนจินพูดกับเขาเพียงประโยคเดียวว่า อีกฝ่ายนั้นไม่ได้เอาเปรียบเขา เขาจึงเข้าใจบุคลิกของอีกฝ่ายตั้งแต่นั้นมา
“เจ้าช่างมีอารมณ์ดีจริงนะ” หลิวชีเยว่หยิบซี่โครงหมูซีอิ๊วชิ้นใหญ่ขึ้นมา “อืมซี่โครงหมูซีอิ๊วของร้านเจ้าดีกว่าของข้างนอก ข้าน้ำลายไหลทุกครั้งที่ได้กลิ่น จานนี้เป็นของข้าทั้งหมด”
“ไม่ต้องกังวลไป ไม่มีใครฉกมันไปจากเจ้าหรอก” เมิ่งชวนแกล้ง “ทำไมเจ้าถึงไม่อ้วนเมื่อเจ้ากินมากๆได้”
หลิวชีเยว่เลิกคิ้วขึ้นอย่างพอใจและกินต่อไปอย่างมีความสุข
ในขณะที่พวกเขากำลังรับประทานอาหารก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น
“นายน้อยเมิ่งชวน นายน้อยเมิ่งชวน… ได้โปรดช่วยพี่สาวของข้าด้วย” ทันใดนั้นก็มีเสียงของเด็กดังมาจากชั้นล่าง เต็มไปด้วยความกังวลและความมุ่งมั่น
เด็กจากตระกูลธรรมดาต้องการความกล้าหาญอย่างมากในการตะโกนขึ้นมาในร้านอาหารที่ดีที่สุดของเมืองตงหนิง
เมิ่งชวนสั่งพนักงานที่ชั้นสองทันทีเมื่อได้ยินเสียงและคำพูดของเด็ก “พาเด็กคนนั้นมาที่นี่”
“ขอรับ นายน้อย” พนักงานจากไปอย่างรวดเร็ว
ในไม่ช้า
เด็กหน้าตาสกปรกสวมเสื้อผ้าธรรมดาก็เดินมาที่ชั้นสอง เด็กคนนี้รู้สึกประหม่าเล็กน้อยเมื่อมาถึงโต๊ะของเมิ่งชวนและเห็นการตกแต่งภายในที่หรูหรา
อ่านบทล่าสุดที่ my-novel.co หรือ www.thai-novel.com
“เจ้าตัวเล็ก เจ้ากำลังตามหาข้าใช่ไหม” เมิ่งชวนยิ้มให้เด็ก
เมื่อตี่เชิงเห็นเมิ่งชวนตรงหน้าเขายิ้มให้ เขาก็สงบลง เขารีบคุกเข่าลงทันทีและคำนับ “คารวะนายน้อยเมิ่ง ข้าตี่เชิง ได้โปรดช่วยพี่สาวของข้าด้วย”
“เกิดอะไรขึ้นรึ ลุกขึ้นมาบอกข้า”
จากนั้นเด็กก็ยืนขึ้น
“พี่สาวข้าชื่อหงหยู เธอเป็นสาวใช้ของตระกูลใหญ่” ตี่เชิงกล่าว “เธอเป็นคนดีมาก ทุกครั้งที่เธอกลับมา เธอจะเอาอาหารอร่อยๆกลับมาให้ข้า แต่วันนี้เมื่อเธอกลับมาเธอก็ถูกหัวหน้าเว่ยลักพาตัวไป”
เด็กหนุ่มในชุดขาวเหยียนจิน ซึ่งอยู่ที่โต๊ะอื่น ปกติแล้วจะสามารถได้ยินสิ่งที่เด็กพูดอย่างชัดเจนด้วยพลังในระดับก่อกำเนิดของเขา เขาดื่มและฟังอย่างเงียบๆแต่สายตาของเขากลับเย็นเยียบลง
“ทำไมพวกนั้นถึงลักพาตัวพี่สาวของเจ้า” เมิ่งชวนถาม
“พวกนั้นบอกว่าพวกนั้นต้องการรับพี่สาวของข้าไปใช้หนี้” ตี่เชิงกล่าว “พวกนั้นบอกว่าพ่อของข้าเป็นหนี้พวกนั้น 300 หยวน อย่างไรก็ตาม พ่อบอกว่ายืมแค่ 10 หยวน แต่ตอนนั้นเขาอยู่ในสภาพครึ่งเมาและเป็นเวลากลางดึก เขาถูกหลอกให้พิมพ์ฝ่ามือบนตั๋วสัญญาใช้เงินที่ระบุเงิน 100 หยวน หนี้เพิ่มขึ้นและตอนนี้กลายเป็น 300 หยวน”
เมื่อได้ยินเช่นนี้เมิ่งชวนก็พยักหน้า เป็นเรื่องปกติที่สิ่งนี้จะเกิดขึ้นกับคนทั่วไป สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องหลอกลวงที่นักเลงในท้องถิ่นทำ แต่ก็ห้ามไม่ได้ นี่เป็นเพราะว่า ผู้ที่ยังไม่ถึงระดับชำระแก่นแท้ ไม่มีคุณสมบัติที่จะรับใช้ในกองทัพ หากไม่มีการรับใช้ในกองทัพพวกเขาก็จะถูกกำหนดให้ไม่สามารถที่จะยืนหยัดได้ พวกอันธพาลนั้นตะกละและเกียจคร้าน มีความสุขเมื่อพวกเขาถูกคุมขัง เนื่องจากได้รับอาหารในคุกฟรี
“พ่อของเจ้าเซ็นสัญญาผูกพันกับลูกสาวของเขาหรือไม่” เมิ่งชวนถามต่อ
“ไม่ เขาไม่ได้ทำ พ่อไม่ยอมเซ็น” เด็กพูดอย่างรีบร้อน
“โอ้ นักเลงท้องถิ่นกล้าลักพาตัวคนรึ” เมิ่งชวนตกใจ อันธพาลปกติแล้วมักจะก่ออาชญากรรมเล็กๆน้อยๆ พวกเขาไม่มีความกล้าที่จะก่ออาชญากรรมร้ายแรง เนื่องจากการลงโทษของศาลราชสำนักสำหรับอาชญากรรมร้ายแรงนั้นรุนแรงมาก การลงโทษสำหรับการลักพาตัวคือการตัดแขนขาและทำงานหนัก โทษประหารนั้นถือเป็นเรื่องปกติหากว่าทำเกินเลยไป
ต้องมีเหตุผลที่พวกเขากล้าก่ออาชญากรรมเช่นนี้
“หัวหน้าเว่ยชื่ออะไร เขาอาศัยอยู่ที่ไหน” เมิ่งชวนถามอีกครั้ง “เขามีเบื้องหลังเป็นอย่างไร”
“ข้าได้ยินมาแค่ว่าเขาชื่อเว่ยซานเต้าอาศัยอยู่ที่แม่น้ำหลิวตะวันออก พ่อของข้าบอกว่าหัวหน้าเว่ยเป็นสมาชิกของแก๊งหมาป่าดำ” เด็กพูดอย่างรีบร้อน
เมิ่งชวนพยักหน้า “ แก๊งหมาป่าดำรึ ไม่น่าแปลกใจเลย”
เมื่อพูดอย่างนั้นเมิ่งชวนโบกมือของเขาไปยังระยะไกล
“นายน้อย” ชายหนุ่มคนหนึ่งวิ่งมา
“มีสมุนของแก๊งหมาป่าดำที่เรียกว่าเว่ยซานเต้า มันอาจจะเป็นฉายา อาศัยอยู่ในบริเวณรอบแม่น้ำหลิวตะวันออก ให้พาเขามาที่นี่” เมิ่งชวนสั่ง “เอาหัวหน้าผู้รับผิดชอบจากแก๊งหมาป่าดำมาด้วย”
“ขอรับ” ชายหนุ่มกล่าวด้วยความเคารพ
เด็กหนุ่มในชุดขาวเหยียนจินพลันปรากฏตัวต่อหน้าเด็กคนนั้น
“เจ้าหนูน้อย นำทาง ข้าจะช่วยพี่สาวของเจ้าในตอนนี้” เหยียนจินพูดอย่างใจเย็น
ตี่เชิงผงะ
“เวลาเป็นของสำคัญ ถ้าเราสายเกินไปพี่สาวของเจ้าอาจจะตาย” เหยียนจินพูดอย่างเย็นชา “นำทาง”
“ขอรับ ขอรับ” ตี่เชิงยิ่งกังวลเกี่ยวกับพี่สาวของเขามากขึ้นเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“อาชวน เราไปดูกันดีกว่า” หลิวชีเยว่กระตือรือร้นที่จะเห็นเรื่องราวบานปลาย
เมิ่งชวนค่อนข้างแปลกใจที่เด็กหนุ่มลึกลับคนนี้ เหยียนจิน เกลียดชังความชั่วร้าย เขาพยักหน้าและพูดว่า “เอาล่ะ เราออกเดินทางกันเถอะ”
“ข้าจะนำทางไป” เมื่อได้เห็นเด็กหนุ่มชุดขาวลึกลับและนายน้อยเมิ่งติดตามมา เด็กก็ตื่นเต้นมากขึ้น
บ่าวชรามาที่ด้านข้างของเหยียนจินและกระซิบว่า “นายน้อย ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนี้…”
“จงเชื่อฟังคำสั่งของข้า” เสียงของเหยียนจินเย็นเยียบอยู่บ้าง
บ่าวชราผงะและทำตามทันทีโดยไม่โต้เถียงอะไรอีก
…
เหยียนจินเป็นคนที่เห็นใจคนอื่นมากที่สุด เขาได้ให้บ่าวชราอุ้มเด็กและให้เด็กชี้ทาง
พวกเขาวิ่งอย่างรวดเร็วมาก
“ดูเหมือนว่าเราไม่จำเป็นต้องไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกต่อไป” เมิ่งชวนและหลิวชีเยว่ตามมาข้างหลัง
“อาชวน ข้ามักจะรู้สึกว่าอารมณ์ของเหยียนจินค่อนข้างแปลกอยู่บ้าง” หลิวชีเยว่พูดเสียงเบา “เขาเย็นชา แต่เขาเต็มใจที่จะช่วยคนที่เขาไม่รู้จัก เจ้าอาจบอกว่าเขาเกลียดความชั่วร้าย แต่เขาอยู่ในเมืองตงหนิงมาเป็นเวลาอย่างน้อยหนึ่งปี แต่ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าเขาเป็นคนกล้าหาญ”
“ เขามีอารมณ์แปลกๆ แต่ก็ถือได้ว่าเป็นคนดี” เมิ่งชวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ในไม่ช้า
พวกเขาก็มาถึงแม่น้ำหลิวตะวันออก
“หัวหน้าเว่ยอยู่ที่นั่น” ตี่เชิงชี้อย่างตื่นเต้น “คนนั้น”
ครืด
ประตูสู่ลานกว้างถูกผลักให้เปิดออก เหยียนจิน และคนรับใช้เข้าไปก่อน ขณะที่เมิ่งชวนและหลิวชีเยว่ตามติดอยู่ด้านหลัง
ในขณะนั้น ชายสามคนที่กำลังดื่มสุราก็เดินออกมาจากบ้านหลักของที่แห่งนั้น หัวหน้ากลุ่มเป็นชายร่างกำยำเปลือยท่อนบน เขาถือไม้ลูกชิ้นไก่ไว้ในมือข้างหนึ่ง ขณะที่เขาเดินออกไปและก่นด่าว่า “ใครกล้ามาบ้านข้าแล้วทำตัวอวดดีเช่นนี้ เจ้าเอาความกล้ามาจากไหน นายน้อยเมิ่งรึ”
ขณะที่หัวหน้าเว่ยออกมาเขาเห็นเด็กสามคนชายชราและเด็ก
หัวหน้าเว่ยจำเมิ่งชวนได้ทันที
บุคคลที่มีชื่อเสียงในเมืองตงหนิง ผู้ที่มีศักยภาพที่จะเป็นเทพอสูรคนหนึ่ง ซึ่งเป็นเชื้อสายของตระกูลเมิ่ง… ธรรมดาแล้วเมิ่งชวนนั้นมีชื่อเสียงมากเกินไป สำหรับพวกนักเลงในท้องถิ่นแล้ว พวกเขารู้เกี่ยวกับบุคคลสำคัญในเมืองตงหนิงไม่น้อย พวกเขายังรู้ว่าต้องไมไปล่วงเกินอีกฝ่าย
เมิ่งชวนเป็นคนที่สมุนของแก๊งคนนี้เงยหน้ามอง แม้แต่หัวหน้าแก๊งของพวกเขายังต้องก้มหัวลงและไม่กล้าที่จะแสดงความไม่เคารพแม้แต่น้อย หากว่าตระกูลเมิ่งต้องการ แก๊งหมาป่าดำก็จะถูกกำจัดให้หมดไปในคืนเดียว
“เจ้าลักพาตัวพี่สาวของเขารึ”เหยียนจินถาม
หัวหน้าเว่ยเหลือบมองเด็กและจำตี่เชิงได้ทันที
“ข้าแค่ทำตามคำสั่ง” หัวหน้าเว่ยพูดอย่างเชื่อฟังทันที “แต่พี่สาวของเขาไม่ได้อยู่กับข้าแล้ว”
บ่าวชราหยิบตราออกและชูมันขึ้น “นี่คือตราของวังหยกสุริยัน นำพี่สาวของเด็กคนนี้กลับมาเดี๋ยวนี้ หากไม่พบตัวเธอ เจ้าจะถูกประหารชีวิต”
“ตราของหยกสุริยันรึ” เมื่อหัวหน้าเว่ยเห็นคำว่า ‘หยกสุริยัน’ สองคำอยู่บนนั้น ขาของเขาก็อดที่จะปวกเปียกไม่ได้
ในเมืองตงหนิงตระกูลเทพอสูรทั้งห้าไม่ควรยุ่งเกี่ยวด้วย
แต่มีบางอย่างที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้น นั่นคือพระราชวังหยกสุริยัน
ตระกูลเมิ่งและราชวังหยกสุริยันงั้นรึ ขาของหัวหน้าเว่ยสั่นสะท้าน และในใจของเขาก็ว่างเปล่า
ฤดูหนาวจากไป ฤดูใบไม้ผลิย่างเข้ามาแล้ว ชั่วพริบตา เมิ่งชวนก็อยู่ในระดับก่อกำเนิดมาเป็นเวลาหนึ่งปีแล้ว
ในช่วงเย็นของฤดูร้อนวันหนึ่ง ลมยามเย็นก็พัดพาความเย็นมาพร้อมกัน ในลานของสำนักเต๋ากระจกทะเลสาบค่อนข้างครึกครื้นมีชีวิตชีวา
“ข้าคือโจวเฉียน โปรดให้คำชี้แนะแก่ข้าด้วยศิษย์พี่เมิ่ง”เด็กหนุ่มคนหนึ่งโค้งคำนับด้วยความเคารพ
“ได้สิ” เมิ่งชวนพยักหน้า
วันนี้เขามาที่นี่เพื่อประลองกับเจ้าสำนักเต๋าเก๋อหยู ผู้ซึ่งได้เรียนรู้เคล็ด พลังกระบี่ มาเป็นเวลานานทั้งยังฝึกฝนวิชากระบี่ที่ว่องไวอีกด้วย เมิ่งชวนจะได้รับแรงบันดาลใจทุกครั้งที่เขาได้ประมือกับอีกฝ่าย ดังนั้นเขาจึงมักจะมาขอคำแนะนำทุกครึ่งเดือน แม้ว่าเจ้าสำนักเต๋าเก๋อหยูจะโลภมากและใจแคบ แต่เขาก็ยังคงเอาใจใส่ต่อศิษย์ที่มีความสามารถมากที่สุดของเขาเป็นอย่างดี
หลังจากซ้อมกับเจ้าสำนักแล้วเขาจะใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงในการให้คำแนะนำศิษย์น้อง สำหรับเขาการซ้อมกับพวกเขานั้นเป็นเรื่องง่ายดายเหลือเกิน อาจถือได้ว่าเป็นการพักผ่อนรูปแบบหนึ่ง
“ระวัง” เด็กหนุ่มโจวเฉียนพุ่งไปข้างหน้าอย่างกะทันหันและเริ่มการโจมตีหลายครั้ง แต่แม้เมิ่งชวนจะยืนอยู่ที่นั่นร่างกายของเขาก็เหมือนพร่ามัวอย่างแปลกประหลาด ไม่ว่าเด็กหนุ่มจะพยายามโจมตีอย่างหนักแค่ไหนเขาก็ไม่สามารถสัมผัสชายเสื้อของเมิ่งชวนได้
หลังจากปลดปล่อยทุกอย่างที่เขารวบรวมได้จากกระบี่แล้ว เขาก็บรรเลงท่าไม้ตายสุดท้าย เขาแทงไปข้างหน้าสิบสามครั้ง เพียงเพื่อที่จะพลาดไปในทุกครั้ง
โจวเฉียนค่อนข้างจะมีพรสวรรค์ในสำนักเต๋ากระจกทะเลสาบอยู่ไม่ใช่น้อย ตามคำบรรยายของอาจารย์ เขามีแนวโน้มที่จะไปที่ศาลาซานสุ่ยในปีหน้า อย่างไรก็ตามช่องว่างระหว่างเขาและเมิ่งชวนยังมากเกินไป
“ศิษย์พี่เมิ่งเก่งกาจยิ่งนัก”
“ตอนนี้ไม่มีศิษย์แม้แต่คนเดียวในสำนักเต๋าที่สามารถแตะต้องเสื้อผ้าของศิษย์พี่เมิ่งได้ ทั้งยังไม่สามารถต้านทานการโจมตีจากเขาได้แม้แต่ครั้งเดียว”
“ศิษย์พี่เมิ่งถูกลิขิตให้เป็นเทพอสูร” ศิษย์ที่เฝ้าดูอยู่ข้างๆกล่าว
บารมีของศิษย์พี่ใหญ่ในแต่ละรุ่นแตกต่างกันไป บางคนมีมาก บางคนมีน้อย
เมิ่งชวนเป็นศิษย์พี่ใหญ่ที่มีบารมีสูงสุดในสำนักเต๋าในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา ความแข็งแกร่งของเขานั้นไม่อาจจินตนาการได้ เหลือล้นเกินกว่าศิษย์อันดับสองในสำนักเต๋า เขายังเต็มใจที่จะเสียสละเวลาในการฝึกฝนอันมีค่าของเขาเพื่อชี้นำศิษย์น้องของเขาเป็นครั้งคราว อิทธิพลของตระกูลของเขายังสูงที่สุดตลอดทั่วทั้งเมืองแต่เขาก็ไม่เคยรังแกคนอื่น
หลายปัจจัยทำให้ศิษย์น้องเคารพรักศิษย์พี่ใหญ่ของเขาคนนี้
“ท่าสุดท้ายของเจ้าคือการเคลื่อนไหวของเพลงกระบี่ที่เรียกว่าสิบสามคลื่นหนุนเนื่อง” เมิ่งชวนกล่าว “ ในคัมภีร์ได้กล่าวไว้ชัดเจนเช่นกันว่าเมื่อวิชากระบี่นี้ถูกปลดปล่อยออกมา มันควรจะเหมือนกับยอดเขาที่หนุนเนื่องกันอยู่ตลอดเวลาราวกับเป็นหนึ่งเดียวกัน เจ้าได้ทำ ‘หนุนเนื่อง’ สำเร็จแล้ว แต่เจ้ายังไม่ได้บรรลุ ‘หนึ่งเดียว’ การเฉือนกระบี่ของเจ้านั้นกระจัดกระจายไร้ระเบียบ ซึ่งจะลดความแกร่งกร้าวของมันลงอย่างเห็นได้ชัด”
“หนึ่งเดียวรึ” โจวเฉียนพึมพำ ดูเหมือนเขาจะมีแนวความคิด แต่ก็ยังขาดอะไรบางอย่าง เขาเชื่อคำแนะนำของศิษย์พี่เมิ่ง
ในแง่ของวิชาและการเคลื่อนไหวแม้แต่อาจารย์ก็ยังบอกว่ามีเพียงเจ้าสำนักเก๋อหยูเท่านั้นที่สามารถเทียบได้กับศิษย์พี่เมิ่งได้ในสำนักเต๋ากระจกทะเลสาบทั้งหมด คำแนะนำของศิษย์พี่เมิ่งจะตรงไปตรงมามากกว่าคำแนะนำของอาจารย์ ในฐานะศิษย์ที่ยังไม่ได้เข้าไปในศาลาซานสุ่ย โจวเฉียนไม่มีสิทธิ์ที่จะให้เจ้าสำนักสอนเขาแบบตัวต่อตัว
“เพลงกระบี่อื่นๆของเจ้าไม่เลว มีข้อบกพร่องเฉพาะท่าไม้ตายของเจ้าเท่านั้นที่เห็นได้ชัดเจน ไปฝึกท่านี้ให้มากขึ้น เมื่อเจ้าเชี่ยวชาญแล้วเจ้าก็จะเชี่ยวชาญในเพลงกระบี่นี้มากขึ้น” สายตาของเมิ่งชวนกวาดไปที่ศิษย์น้องของเขาทุกคน ซึ่งต่างก็เต็มไปด้วยความคาดหวัง เขายิ้มและพูดว่า “มันเริ่มสายแล้ว ไปทานอาหารเย็นกัน ทุกคน” หลังจากกล่าวคำพูดนั้นแล้วเขาก็จากไป
เหล่าศิษย์น้องก็เข้าใจเช่นกันว่ากิจกรรมการให้คำแนะนำของศิษย์พี่เมิ่งสิ้นสุดลงแล้ว เพื่อนศิษย์หลายคนต่างพากันเดินไปที่ทางเข้าสำนักเต๋า
อ่านบทล่าสุดที่ my-novel.co หรือ www.thai-novel.com
“หือ” เมื่อเมิ่งชวนไปถึงทางเข้า เขาก็เห็นร่างหนึ่งสวมเสื้อคลุมสีแดง หลิวชีเยว่ เธอสูงขึ้นและไม่เตี้ยไปกว่าเมิ่งชวนเลย
“อาชวน อาชวน” หลิวชีเยว่ตะโกนทันที
“ฉีเยว่เจ้าอายุน้อยกว่าข้าหนึ่งปี แต่เจ้าเกือบจะสูงเท่าข้าแล้ว”
หลิวชีเยว่หัวเราะและกล่าวว่า “พ่อของข้าบอกว่าเด็กผู้หญิงเข้าสู่วัยแรกรุ่นเร็วกว่า นอกจากนี้ข้ายังได้ก้าวเข้าสู่ระดับก่อกำเนิดแล้ว ซึ่งนั่นช่วยเร่งการเจริญเติบโตของร่างกายข้า”
หลิวชีเยว่ซึ่งอายุ 15 ปีในปีนี้ ได้เข้าสู่ระดับก่อกำเนิดในเดือนนี้ อย่างไรก็ตามการยิงธนูของเธอยังคงชะงักค้าง การบรรลุขอบเขตหนึ่งเดียวนั้นยากเกินไป
“ไปกันเถอะ รีบไปที่ร้านอาหารหยุนเจียงเพื่อทานอาหารเย็นกันเถอะ” หลิวชีเยว่กล่าวทันที “เจ้าแพ้ข้า”
“ก็ได้ ก็ได้ ไปกันเถอะ” เมิ่งชวนพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้ เขาแพ้พนัน
หลังจากที่หลิวชีเยว่เข้าสู่ระดับก่อกำเนิด เมิ่งชวนได้อ้างว่าชีเยว่ไม่สามารถสัมผัสเขาได้แม้ว่าเธอจะยิงลูกศรหนึ่งร้อยลูกในขณะที่เขายืนอยู่ในวงกลมที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางสิบก้าว หลิวชีเยว่ปฏิเสธที่จะเชื่อเขา เมิ่งชวนเต็มไปด้วยความมั่นใจเมื่อได้ฝึกฝนวิชาการเคลื่อนไหวของเขาด้วยห่าลูกศร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อวิชาการเคลื่อนไหวดังกล่าวควบคู่ไปกับรากฐานร่างเทพอัสนีอันทรงพลังของเขา อย่างไรก็ตามนักแม่นธนูในระดับก่อกำเนิดนั้นยากที่จะรับมือเมื่อพวกเขาปลดปล่อยพลังเต็มที่ ลูกศรที่มีพลังของเทพอสูรร่วมกับวิชาการยิงธนู แน่นอนว่านั่นคือฝันร้าย มันน่ากลัวกว่าทหารยามที่ยิงธนูตามปกติ
โดยใช้วิชาการเคลื่อนไหวของเขาเมิ่งชวนหลบลูกศรเจ็ดสิบเก้าดอกติดต่อกัน แต่ลูกศรที่แปดสิบพุ่งเข้าใส่เสื้อผ้าของเขา
เขาแพ้
เมิ่งชวนยังคงมีความสุขแม้ว่าจะแพ้และตัดสินใจที่จะลองอีกครั้งในอีกไม่กี่วันต่อมา
ร้านอาหารหยุนเจียงเป็นร้านอาหารอันดับหนึ่งในเมืองตงหนิง การพาเธอมาที่นี่เป็นเรื่องฟุ่มเฟือยอยู่บ้าง แต่นี่คือร้านอาหารที่พ่อของเขาเปิด ดังนั้นเขาไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินเมื่อรับประทานอาหารที่นั่น
เด็กหนุ่มโจวเฉียนเฝ้าดูเมิ่งชวนและหลิวชีเยว่จากไป “ศิษย์พี่เมิ่งเข้ามาในศาลาซานสุ่ยเมื่ออายุสิบสามข้าต้องเข้าให้ได้ภายในอายุสิบห้า” เขาตัดสินใจอย่างลับๆและเดินไปอีกทางเพื่อกลับบ้าน
…
คฤหาสน์ตระกูลโจว
“นายน้อย”
“นายน้อย”
โจวเฉียนกลับบ้านและคนรับใช้ทุกคนต่างทำความเคารพ
ตระกูลโจวเดิมเป็นตระกูลธรรมดาในเมืองตงหนิง ต่อมาพ่อของโจวเฉียน โจวเฮ่อ ได้สร้างชื่อให้กับตัวเองเขาค่อนข้างเชี่ยวชาญและสามารถสร้างเส้นสายร่วมกับสหายจากสนามรบได้ หลังจากผ่านไปยี่สิบปีเขาสามารถสร้างธุรกิจของตระกูลได้ เขาถือได้ว่าเป็นผู้ประกอบการที่มีชื่อเสียงในเมืองตงหนิง
“นายน้อยโจว,นายน้อยโจว” ทันใดนั้นเอง ก็มีเด็กก็โผล่มาจากมุมหนึ่ง
“ตี่เชิงรึ” โจวเฉียนมองข้ามและยิ้ม “ทำไมเจ้าถึงอยู่ที่นี่”
ตี่เชิงเป็นน้องชายของสาวใช้และเขามักจะมาที่คฤหาสน์ คนรับใช้ในคฤหาสน์ชอบเด็กที่เชื่อฟังคนนี้
“นายน้อยโจว” ตี่เชิงคุกเข่าทันที “ช่วยพี่สาวของข้า ช่วยพี่สาวของข้าด้วย”
“น้องสาวของเจ้า เกิดอะไรขึ้นกับหงหยู” โจวเฉียนถามทันที
“เมื่อสักครู่ที่ผ่านมาหัวหน้าเว่ยพาผู้ชายมาที่บ้านของข้า เขาบอกว่าพ่อของข้าเป็นหนี้เขา 300 หยวน พ่อบอกว่าพ่อยืมเงินเขาแค่ 10 หยวนเท่านั้น ตอนนั้นพ่อกึ่งเมาอยู่ และเป็นหัวหน้าเว่ยที่จงใจหลอกพ่อ เขาให้พ่อพิมพ์ลายฝ่ามือของเขาในตั๋วสัญญาใช้เงินที่ระบุเงิน 100 หยวน” ตี่เชิงกล่าวทันที “ตอนนี้ดอกเบี้ยทำให้หนี้ของพ่อเพิ่มขึ้นเป็น 300 หยวน ตระกูลของเราจะสามารถจ่ายได้อย่างไร หัวหน้าเว่ยบังคับลักพาตัวน้องสาวของข้าไปเพื่อชำระหนี้ พ่อของข้าไม่ยอมพวกเขาจึงทุบตีพ่อข้า”
“พ่อของเจ้าเซ็นสัญญาโดยใช้หงหยูหรือเปล่า” โจวเฉียนเร่งรัด
“ไม่พ่อของข้าบอกว่า เขาจะไม่ทำร้ายน้องสาวของข้าแม้จะต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม” ตี่เชิงกล่าว
“เอาล่ะถ้าเจ้าไม่เซ็นสัญญาในสัญญา ถือได้ว่าพวกเขากำลังลักพาตัวผู้หญิงคนหนึ่ง” โจวเฉียนระงับความโกรธ พวกเขายังได้เรียนรู้กฎหมายของราชสำนักในสำนักเต๋ากระจกทะเลสาบอีกด้วย “หัวหน้าเว่ยคนนี้คือใคร”
“พ่อของข้าบอกว่าเขาเป็นขี้ข้าของแก๊งหมาป่าดำ ใครก็ตามที่อยู่ภายใต้ร่มธงของแก๊งหมาป่าดำจะทำให้คนอื่นเกิดความกลัว” ตี่เชิงกล่าวทันที
“ข้าต้องการเห็นว่าแค่อันธพาลคนเดียวกล้าแค่ไหนกัน” โจวเฉียนไม่สามารถสะกดกลั้นใจตัวเองได้อีกต่อไป “นำข้าไปหาหัวหน้าเว่ยคนนี้”
“หยุดอยู่ตรงนั้น” มีเสียงเย็นชาตะโกนมา
โจวเฉียนตะลึง เขาหันกลับไปและเห็นพ่อของเขา โจวเหอยืนอยู่ที่นั่น
“พ่อ” โจวเฉียนอ่อนลงทันทีที่ได้เห็นพ่อของตนเอง
“พาตี่เชิงออกไป” โจวเหอสั่งคนรับใช้ และคนรับใช้ก็พาเด็กออกไปข้างนอกทันที ตี่เชิงร้องและตะโกนว่า “นายน้อยโจว ท่านต้องช่วยพี่สาวของข้า เธอต้องเสร็จพวกมันแน่ถ้าท่านไม่ช่วยเธอ”
แต่พวกคนรับใช้ก็จับตัวเด็กได้อย่างง่ายดายและรีบนำเขาออก
“พ่อนักเลงคนนั้นมีส่วนร่วมในการลักพาตัว เราจะไม่ทำอะไรกับมันรึ” โจวเฉียนกล่าวอย่างกระวนกระวาย
“เจ้าโง่” โจวเหอพูดอย่างเย็นชา “เจ้าคิดว่าแค่ขี้ข้าจะกล้าลักพาตัวคนรึ เจ้านั่นกำลังทำงานเพื่อใครบางคนที่มีอำนาจมากกว่า เจ้านั่นช่วยแก๊งหมาป่าดำลักพาตัวผู้หญิงและฝึกพวกเธอก่อนที่สุดท้ายจะส่งพวกเธอไปที่ซ่อง นี่คือธุรกิจของแก๊งหมาป่าดำ แก๊งหมาป่าดำเป็นหนึ่งในสามแก๊งใหญ่ที่สุดในเมืองตงหนิงเบื้องหลังมันคือตระกูลเทพอสูรตระกูลไป่แก๊งหมาป่าดำเป็นคนที่ช่วยตระกูลไป๋ทำงานสกปรก”
“พ่อของเจ้าเป็นเพียงพ่อค้าเล็กๆ ข้าจะล่วงเกินแก๊งหมาป่าดำได้ยังไง” โจวเหอมองไปที่ลูกชายของเขา “แก๊งหมาป่าดำสามารถบดขยี้ตระกูลโจวของเราได้เหมือนมด เจ้าเข้าใจไหม”
“ข้าข้า…” โจวเฉียนรู้สึกแย่มาก “หงหยู หงหยู…” หงหยูรับใช้เขามาตั้งแต่เขาอายุแปดขวบ พวกเขามีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง
“เจ้าต้องการช่วยหงหยูหรือปกป้องตระกูลโจว” โจวเหอกล่าวอีกว่า “ข้า แม่ของเจ้า พี่ชายของเจ้า และคนกว่าร้อยคน รอดชีวิตมาได้ต้องขอบเจ้าตระกูลโจว เราไม่สามารถเข้าร่วมการต่อสู้นี้ได้”
“เราคุยกับแก๊งหมาป่าดำแล้วขอซื้อคืนได้ไหม” โจวเฉียนถาม
“ซื้อรึ”
โจวเหอยิ้มเยาะ “เจ้าไม่ได้ยินรึ หนี้ 300 หยวน และเจ้าต้องการให้แก๊งหมาป่าดำแหกกฎรึ เจ้าต้องมีเงินอย่างน้อย 1,000 หยวน จึงจะมีความหวังในการเจรจาต่อรอง สาวใช้คนหนึ่งมีค่าถึงพันหยวนรึ”
“แต่มันคุ้มค่า” โจวเฉียนกล่าว
“1,000 หยวนรึ เจ้ารู้ไหมว่าข้าเกือบจะตายเพื่อหาเงินหนึ่งพันหยวนแรกของข้า” โจวเหอเหลือบมองลูกชายของเขาอย่างเย็นชาก่อนจะหันไป “เจ้าตัดสินใจเองอย่าทำให้ข้าผิดหวัง”
หลังจากโจวเหอจากไปเขาก็สั่งหัวหน้ายาม “ไป จับตาดูนายน้อย หักขาเขาถ้าเขากล้าไป”
“ขอรับ” หัวหน้ายามตอบอย่างเชื่อฟัง
…
ช่วงเวลาต่อมา
ตี่เชิงสิ้นหวังอยู่นอกบ้านของตระกูลโจว โลกใหญ่โตเหลือเกินและเขาไม่รู้ว่าจะช่วยพี่สาวของเขาได้อย่างไร
“พี่สาว.”ตี่เชิงร้องไห้
วูบ.
ร่างหนึ่งกระโดดข้ามกำแพงและวิ่งไปที่ตี่เชิงอย่างรวดเร็ว
“นายน้อยโจว” ตี่เชิงดีใจที่ได้เห็นโจวเฉียน
“ไปที่ร้านอาหารหยุนเจียงแล้วหานายน้อยเมิ่งชวน เขาคือนายน้อยเมิ่ง และแก๊งหมาป่าดำก็ไม่มีค่าอะไรเมื่ออยู่ตรงหน้าเขา เขาจะช่วยหงหยูได้แน่นอน” โจวเฉียนกล่าวทันที
“ร้านอาหารหยุนเจียง นายน้อยเมิ่งชวนรึ” ดวงตาของตี่เชิงสดใสขึ้น
“ไปเร็วเข้า” โจวเฉียนกระตุ้น
ตี่เชิงวิ่งไปไกลอย่างรวดเร็ว
ในขณะนี้หัวหน้าองครักษ์กระโดดข้ามกำแพงและเห็นโจวเฉียน เขาส่ายหน้าเบาๆ “นายน้อยท่านทำให้นายท่านผิดหวังจริงๆ”
“เขาไม่ปล่อยให้ข้าตัดสินใจเองรึ ทำไม เจ้ามาที่นี่เพื่อจับข้ารึ” โจวเฉียนกล่าวพร้อมกัดฟันกรอด
“นายท่านบอกให้ข้าหักขาท่าน แต่… ท่านควรไปหาเขาเป็นการส่วนตัว บางทีหัวใจของเขาอาจจะอ่อนลงและละเว้นท่าน” หัวหน้ายามกล่าว “จำเป็นต้องให้ข้าทำ”
“ไม่จำเป็น ข้าย่อมไม่สามารถหลบหนีต่อหน้าเจ้าได้อยู่แล้ว” โจวเฉียนไม่พูดอะไรและกลับไปที่คฤหาสน์ อย่างไรก็ตามความคิดของเขาอยู่ที่ร้านอาหารหยุนเจียง “ศิษย์พี่เมิ่งท่านต้องช่วยหงหยู ท่านต้องช่วยเธอ”
ในความเห็นของโจวเฉียน มันเป็นเรื่องยากมากสำหรับเขาที่จะช่วยหงหยู แต่สำหรับศิษย์พี่เมิ่งแล้ว มันไม่มีค่าอะไรเลย
ตอนที่ 23 เรื่องราวของผู้คน (บทสุดท้ายของภาค)
สายฟ้าพุ่งผ่านร่างกายของเขา เดินทางผ่านแผนภูมิพลังปราณและหลอมรวมเข้ากับชีพจรทุกแห่งในร่างกาย ร่างกายของเขาเริ่มเปลี่ยนเป็นร่างเทพอัสนี
เมิ่งชวนลืมตาขึ้น หยิบกล่องหยกข้างตัวและเปิดมันออก จากนั้นก็กัดผลใจน้ำแข็งที่อยู่ข้างในไปสองคำ พลังงานที่เย็นยะเยือกก็ไหลลงคอเข้าไปในท้อง จากนั้นก็ค่อยๆแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย การเปลี่ยนแปลงของเขานั้นชัดเจนมากขึ้นหลังจากที่กล้ามเนื้อและกระดูกของเขาดูดซับพลังเย็นจากผลไม้ในขณะที่เขาหลอมรวมเข้ากับสายฟ้า
อันดับต่อไปก็คือสมุนไพรวิญญาณดารา เขาเปิดกล่องไม้และดึงใบไม้และรากบางส่วนจากสมุนไพรวิญญาณดาราที่ยังไม่เสียหาย ประมาณหนึ่งในสามสิบส่วนซึ่งเขากินมันให้หมดในเวลาหนึ่งเดือน
ปากของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นหอมสดชื่นขณะที่เขาเคี้ยวใบและรากเบาๆ จากนั้นจิตใจของเขาก็สั่นไหว ความรู้สึกอันมหัศจรรย์พุ่งเข้าไปในหัวของเขาก่อนที่จะส่งผ่านไปทั่วทั้งร่างกายของเขาอย่างช้าๆ ยอมให้ร่างกายของเขานั้นแข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปในขณะที่เขาเปลี่ยนร่าง
แม้ว่าเขาจะไม่รู้ต้นกำเนิดของผลใจน้ำแข็งและสมุนไพรวิญญาณดารา แต่ความเป็นจริงที่ว่าพ่อของเขาซึ่งเป็นคนอารมณ์ดีที่มักจะหัวเราะและไม่เคยบ่น เคยบอกว่าพวกมันไม่ได้ “หามาได้ง่ายๆ” และเขาต้อง “เห็นคุณค่าของพวกมัน” นั่นหมายความว่าพวกมันได้มายากมาก ราคาที่อยู่เบื้องหลังพวกมันก็อาจจะมหาศาลเช่นกัน สิ่งที่เขาทำได้ก็คือ ไม่ทำให้พวกเขาผิดหวังกับความหวังที่พวกเขาคาดหวังไว้
…
ในเดือนถัดไป เมิ่งชวนฝึกฝนตามแผนและกินน้ำไขกระดูกหยกเทพอสูร นอกจากนี้เขายังกินสมุนไพรวิญญาณดาราจนหมดสิ้น ทั้งยังใช้เวลาหลายชั่วโมงในการใช้ท่าชักกระบี่ 8000 ครั้งต่อวัน รวมไปถึงฝึกฝนวิชาการเคลื่อนไหวและเพลงกระบี่ เขาไม่เคยหยุดฝึกฝนเลย
ตามคู่มือ ผู้คนจะยังคงมีการเปลี่ยนร่างในช่วงแรกของร่างเทพอสูรตามที่ได้รับการฝึกฝน หากได้รับการฝึกฝนด้านใดด้านหนึ่งอย่างขยันขันแข็ง ร่างกายของคนผู้นั้นก็จะมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงไปตามด้านนั้น มันเหมือนกับต้นอ่อนที่กำลังเติบโต หากมีใครออกแรงผลักไปในทิศใดทิศหนึ่ง มันก็อาจจะเริ่มเติบโตไปในทิศทางนั้นได้เช่นกัน
การเปลี่ยนร่างเทพอสูรของเขาช้าลงอย่างเห็นได้ชัด วันหนึ่งใกล้สิ้นเดือนมิถุนายน เมิ่งชวนก็ได้นั่งกินแตงโมขณะที่อยู่บนสนามฝึกซ้อม
“เดือนแรกของการฝึกวิชาของข้านั่นหมายถึงการก้าวหน้าอย่างเฉียบพลัน ข้ายังได้กลืนกินทรัพยากรหายากถึงสามชิ้น พัฒนาการของข้านั้นเร็วอย่างน่าอัศจรรย์ เร็วมากจนแทบนึกไม่ถึง และสุดท้ายความเร็วในการก้าวหน้าของข้านั้นก็ได้ลดลงไปตามความคาดหมาย” เมิ่งชวนถอนหายใจ “รากฐานเทพอสูรของข้านั้นแข็งแกร่งและลึกซึ้งมาก ร่างกายและพลังปราณในช่วงเริ่มต้นของระดับก่อกำเนิดของข้านั้นเทียบเท่ากับผู้คนที่อยู่ในระดับก่อกำเนิดที่สมบูรณ์แล้ว”
ต้องรู้ว่าระดับก่อกำเนิดระยะเริ่มต้นจะทำให้เกิดมีการปรับปรุงห้าระดับพื้นฐานให้ยอดเยี่ยมจนถึงที่สุด ไม่ว่าอย่างไร นี่ก็เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้รับการฝึกฝนร่างเทพอสูร เพื่อทำให้พวกเขาสามารถครอบครองพลังของเทพอสูรได้ทีละน้อย
การที่สามารถมีคุณสมบัติเทียบเท่าระดับก่อกำเนิดที่สมบูรณ์แบบได้ ในขณะที่อยู่ในช่วงเริ่มต้นนั่นหมายความว่ารากฐานของเขานั้นแข็งแกร่งอย่างน่ากลัว
ถึงแม้การก้าวผ่านจาก “ระดับก่อกำเนิด” ไปสู่ “ระดับไร้ตำหนิ” จะเป็นความก้าวหน้าอย่างยิ่งใหญ่ แต่ก็มีการประเมินกันว่าเมิ่งชวนจะมีคุณสมบัติเทียบกับระดับไร้ตำหนิเมื่อเขาอยู่ในระดับก่อกำเนิดช่วงปลาย… สถานการณ์แบบนี้เป็นสิ่งที่ไม่เคยมีใครในเมืองตงหนิงทั้งหมดได้ยิน โดยปกติแล้วจะมีเพียงอัจฉริยะจากเมืองหลวง และเขาหยวนชูที่ได้รับการดูแลโดยตระกูลเทพอสูรในสมัยโบราณเท่านั้นจึงจะมีรากฐานของเทพอสูรแบบนั้น
“ชวนเอ๋อชวนเอ๋อ” เสียงของเมิ่งต้าเจียงดังมาแต่ไกล
“พ่อ” เมิ่งชวนวางแตงโมลงและใช้ผ้าขนหนูเช็ดปากก่อนจะวิ่งไป
จากนั้นไม่นานเขาก็เห็นพ่อของเขา เมิ่งต้าเจียง และผู้อาวุโสหัวโล้นผอมๆ ถือไม้เท้าเดินมา
“ผู้อาวุโสสาม” เมิ่งชวนถูกกระตุ้นให้เกิดความสนใจ เขากลัวผู้อาวุโสคนที่สามนี้มากที่สุดในบรรดาผู้อาวุโสของตระกูลเมิ่ง ผู้อาวุโสสามเป็นชายชราที่เย็นชาและปฏิบัติต่อผู้เยาว์รุ่นหลังอย่างดุร้าย โดยไม่มีคำเตือนซ้ำสอง เขาจะเหวี่ยงไม้เท้าทุบตีผู้เยาว์รุ่นหลังอย่างโหดเหี้ยม ไม่น่าแปลกใจที่ผู้เยาว์ทุกคนกลัวเขา
“ชวนเอ๋อร์ ทำไมเจ้าไม่แสดงความเคารพต่อผู้อาวุโสสามล่ะ”เมิ่งต้าเจียงกล่าว
เมิ่งชวนก้าวไปข้างหน้าและโค้งคำนับในทันที “สวัสดีขอรับ ผู้อาวุโสสาม”
อ่านบทล่าสุดที่ my-novel.co หรือ www.thai-novel.com
“อืม”
ผู้อาวุโสหัวโล้นผอมบางมองไปที่เมิ่งชวนและเมื่อเห็นเสื้อผ้าที่ชุ่มเหงื่อของเขา เพียงเท่านั้นเขาก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “เจ้าต้องทุ่มเทจิตใจให้กับการฝึกวิชา เจ้าจะแข็งแรงขึ้นได้อย่างไรหากไม่หลั่งเหงื่ออย่างเพียงพอใช่ไหม”
“ขอรับ” เมิ่งชวนตอบอย่างเชื่อฟัง เขาต้องเชื่อฟังเมื่อเขาเผชิญหน้ากับผู้อาวุโสคนที่สาม ไม่ควรโต้เถียงกับอีกฝ่ายไม่ว่าในสถานการณ์ใดก็ตาม ถ้าเขากล้าโต้กลับ เขาอาจจะโดนตีจากไม้เท้านั้น
“นี่คือกระดาษขาดหน้าหนึ่งของเพลงกระบี่ที่ข้าได้มาโดยบังเอิญเมื่อข้ายังเด็ก เจ้าสามารถดูได้” ผู้อาวุโสหัวล้านผอมหยิบกระดาษสีดำที่ห่ออย่างระมัดระวังและส่งให้เมิ่งต้าเจียงพร้อมกับห่อผ้า อย่างไรก็ตามเพียงแค่กลิ่นอายที่น่าสะพึงกลัวที่เล็ดลอดออกมาจากกระดาษสีดำแผ่นนั้นเมื่อแกะห่อก็ทำให้ทั้งเมิ่งชวนและเมิ่งต้าเจียงตกใจ
“มรดกเทพอสูรรึ” เมิ่งชวนและพ่อของเขาตกตะลึงสุดเปรียบปาน
มรดกเทพอสูรนั้นต้องการเทพอสูรที่ทรงอำนาจยิ่งใหญ่ใช้จ่ายด้วยราคามหาศาลในการสร้างมันขึ้นมา
ตัวอย่างเช่น เมิ่งเซียนกู ผู้นำตระกูลอวิ้น และเทพอสูรส่วนใหญ่ไม่มีคุณสมบัติในการสร้างมรดกเทพอสูร
“มันมีค่าเกินไป” เมิ่งต้าเจียงกล่าวทันที “ผู้อาวุโสสาม พวกเราไม่สามารถรับได้”
ผู้อาวุโสคนที่สามขมวดคิ้วและกล่าวว่า “ข้าให้มันกับเขา ดังนั้นเขาต้องยอมรับ ข้าจะไม่ให้มันกับเมิ่งชวนถ้าปรีชาฌาณการรับรู้ของเขาไม่เพียงพอ ในเมื่อตอนนี้เขาเป็นความหวังเดียวของตระกูลเมิ่งของเรา เขาจึงต้องยอมรับมัน นอกจากนี้นี่ก็ยังไม่ใช่มรดกเทพอสูรที่สมบูรณ์ มันเป็นเพียงเศษหน้าที่เหลืออยู่”
“เอาล่ะ ข้าจะกลับแล้ว” ผู้อาวุโสคนที่สามพยุงตัวเองด้วยไม้เท้าและหันกายกลับไป ในขณะเดียวกันเขาก็พูดอย่างเย็นชาว่า“เจ้าหนู เจ้าต้องทำอะไรด้วยตัวเอง อย่าทำให้ทุกคนผิดหวัง”
“ขอรับ ผู้อาวุโสสาม” เมิ่งชวนถือหน้ากระดาษสีดำที่ฉีกขาดที่ห่อผ้าอยู่และค่อนข้างซาบซึ้ง
โดยปกติเงินหนึ่งแสนหยวนจะเป็นราคาเริ่มต้นในการประมูลหน้าส่วนที่เหลือของมรดกเทพอสูร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความจริงที่ว่าหากมันเป็นเพลงกระบี่ นั่นจะทำให้มีค่ามากยิ่งขึ้น
นี่คือสิ่งที่หามาได้โดยบังเอิญเท่านั้น สำหรับเทพอสูรโบราณแล้วเงินมีความสำคัญเพียงเล็กน้อย ไม่มีใครยอมแลกมรดกเทพอสูรที่สมบูรณ์กับสิ่งของของคนธรรมดา
“หน้ามรดกเทพอสูรที่หลงเหลืออยู่นี้ควรเป็นของล้ำค่าที่สุดของผู้อาวุโสสาม ตอนนี้เขากลับมอบให้เจ้า”เมิ่งต้าเจียงกล่าว
“ขอรับ” เมิ่งชวนพยักหน้าและดึงผ้าออกมองไปที่หน้าวิชากระบี่
กระดาษสีดำบันทึกความลับสำคัญของท่ากระบี่ และสิ่งที่ควรรู้เมื่อใช้กระบวนท่า
ขณะที่เขาอ่านมัน เมิ่งชวนก็ค่อยๆดื่มด่ำไปกับมัน
หือ
เมิ่งชวนรู้สึกราวกับว่าเขาเข้าสู่ภวังค์ หลังจากเข้าสู่สภาวะจิตพิเศษนี้ เขาก็เห็นชายร่างผอมสูงกำลังร่ายรำเพลงกระบี่นี้อยู่ เพลงกระบี่ฟาดฟันจันทรา
กระบี่นั้นอ่อนโยนถึงที่สุดขณะที่มันพุ่งผ่านข้ามท้องฟ้า ที่เหลือทิ้งไว้เบื้องหลังก็คือส่วนโค้งที่สวยงาม ราวกับว่าดวงจันทร์บนท้องฟ้าถูกตัดออกไปทำให้มันเคลื่อนตัวตกลงมา
มันสวยงามและอ่อนโยน
เอ๋ เมิ่งชวนสะดุ้งตื่นและหลุดพ้นจากภาพลวงตา
“ชวนเอ๋อร์ เป็นอย่างไรบ้าง”เมิ่งต้าเจียงถามทันที
เมิ่งชวนจ้องกระดาษสีดำอย่างจริงจังและพูดเบาๆว่า “ดูเหมือนจะเป็นเพลงกระบี่ที่อ่อนโยนและสวยงาม แต่ในความเป็นจริงมันเหี้ยมโหดมาก” กลิ่นอายน่ากลัวที่เปล่งออกมาจากแผ่นกระดาษสีดำเพียงพอที่จะสร้างความตื่นตัวให้กับเมิ่งชวน
“เหี้ยมโหดมากรึ เจ้าจะฝึกฝนวิชานี้หรือไม่” เมิ่งต้าเจียงถาม
“แน่นอน” เมิ่งชวนกล่าวอย่างเคร่งขรึม “วิชากระบี่นั้นแบ่งออกเป็นหยินและหยาง วิชานี้ตกอยู่ภายใต้ความนุ่มนวลถึงที่สุดของหยิน นี่เป็นการเคลื่อนไหวที่สวยงามที่สุด เรียกว่าเพลงกระบี่ฟาดฟันจันทรา มันดูเหมือนจะสามารถเฉือนดวงจันทร์ลงได้ด้วยการฟาดฟันเพียงครั้งเดียว ข้ารู้สึกได้ว่ามรดกทางความคิดที่มีอยู่ในหน้าที่ฉีกขาดนี้จะสามารถทนต่อการถ่ายทอดมรดกได้สิบครั้งขึ้นไป ก่อนที่มันจะแยกสลายจากกันโดยสิ้นเชิง”
“ข้าจะใช้ประโยชน์จากโอกาสทั้งสิบนี้ให้เป็นประโยชน์และทำให้กระบวนท่านี้กลายเป็นหนึ่งในท่าไม้ตายของข้า”เมิ่งชวนกล่าว
ในขั้นต้นเขาได้วางแผนที่จะขัดเกลากระบวนท่าชักกระบี่ให้เป็นท่าสังหารเพียงอย่างเดียวของเขา แต่เพลงกระบี่ฟาดฟันจันทรานั้นสมบูรณ์แบบเกินไป นอกจากนี้เขายังมีโอกาสมากกว่าสิบครั้งที่จะได้รับประสบการณ์จากกระบวนท่ากระบี่
“อย่าทำให้โอกาสของมรดกสูญเปล่า” เมิ่งต้าเจียงเตือน “มันจะหายไปเมื่อใช้โอกาสทั้งหมดจนสิ้นแล้ว”
“ก่อนที่จะกลายเป็นเทพอสูร ข้าจะยอมให้ตัวเองใช้มันได้เก้าครั้งเท่านั้น”เมิ่งชวนกล่าว
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาเมิ่งชวนก็ได้เพิ่มกิจวัตรในช่วงบ่ายเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงในการฝึกวิชาของเขา ในชั่วโมงนี้เขาฝึกฝนเพียงท่าเดียว เพลงกระบี่ฟาดฟันจันทรา
…
เมืองตงหนิง ภายในห้องโถงที่ซ่อนอยู่ในพระราชวังหยกสุริยัน
ตรงกลางห้องโถงมีสระน้ำเย็นเยือก เหยียนจิน เด็กหนุ่มในชุดขาวนั่งอยู่ในท่าสมาธิดอกบัวภายในสระน้ำ มีเพียงหน้าอกของเขาเท่านั้นที่โผล่ให้เห็นเหนือน้ำ
อุณหภูมิที่ต่ำอย่างน่ากลัวนั้นทำให้ร่างกายของเด็กหนุ่มในชุดขาวแข็งตัว ผมและคิ้วของเขาปกคลุมไปด้วยน้ำค้างแข็งและใบหน้าของเขาซีด
“นายน้อย วันนี้ท่านฝึกฝนมาสี่ชั่วโมงแล้ว ถึงเวลาที่ท่านต้องออกจากสระเหมันต์” คนรับใช้เก่าแก่ตะโกน ขณะที่เจ้าวังหยกสุริยันเฝ้าดูอย่างสงบ
“ข้ามาถึงช่วงกลางของระดับก่อกำเนิดแล้ว ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปข้าจะฝึกฝนในสระเหมันต์เป็นเวลาหกชั่วโมงทุกวัน”เหยียนจินกล่าวอย่างเย็นชา
“น้องชาย การทำเกินตัวไม่ใช่เรื่องฉลาด สี่ชั่วโมงก็เพียงพอสำหรับเจ้าในการฝึกฝนร่างเทพอสูร” เจ้าวังหยกสุริยันกล่าว
“มันยังไปไม่ถึงไหน”
เหยียนจินกล่าวอย่างเย็นชา “พวกท่านทุกคนควรออกไปได้แล้ว”
เจ้าวังหยกสุริยันส่ายหน้าเบาๆ
“ไปกันเถอะ” เจ้าวังหยกสุริยันนำคนรับใช้เก่าแก่ออกไป ปล่อยให้เด็กหนุ่มที่สวมชุดขาวที่ถูกแช่แข็งฝึกฝนวิชาที่ยากลำบากของเขาต่อไป
…
เด็กหนุ่มหลายคนในเมืองตงหนิงต่างพากันฝึกฝนอย่างหนัก โดยเมิ่งชวนและเหยียนจินฝึกหนักเป็นพิเศษ
วันเวลาผ่านไป
ในช่วงเดือนสุดท้ายของปี เหม่ยหยวนจื่อได้ไปที่เมืองเมืองหวูโจวเป็นครั้งแรก จากนั้นก็ไปถึงแดนเขาหยวนชูที่ห่างไกลเพื่อเข้าร่วมการสอบคัดเลือก สุดท้าย… เหม่ยหยวนจื่อก็ไม่สามารถเข้าร่วมกับเขาหยวนชูได้ หลังจากล้มเหลวเขาก็ไปที่ด่านฉินหยางเพื่อรับราชการทหาร
เมื่อข่าวนี้แพร่กระจายไปยังเมืองตงหนิง ก็ทำให้หวินฟู่อันและคนอื่นๆรู้สึกเศร้าใจ พวกเขาได้แต่ถอนใจ
เมิ่งชวนเองก็รู้สึกถึงแรงกดดันด้วยเช่นกัน เกณฑ์ในการเข้าสู่เขาหยวนชูนั้นสูงมาก เขาต้องฝึกฝนอย่างหนักและแข็งแกร่งยิ่งกว่าเหม่ยหยวนจื่อจึงจะมีความหวัง
(จบภาคแรก วิชาลับใบไม้ร่วง)
ตอนที่ 22 สมบัติที่ซ่อนอยู่ของเมิ่งต้าเจียง
“ข้ากำลังคิดว่าจะเลือกร่างเทพสายฟ้า” เมิ่งชวนกล่าว “ก่อนที่ข้าจะกลายเป็นเทพอสูรข้าเชื่อว่าไม่มีอะไรผิดปกติกับทางเลือกของข้า อย่างไรก็ตามข้าไม่มีความมั่นใจที่จะบอกว่าการเลือกร่างเทพอัสนีจะเป็นความคิดที่ดีที่สุดเมื่อข้ากลายเป็นเทพอสูร ข้าจึงต้องการคำแนะนำจากท่านย่าทวด”
เขามองการณ์ไกล เขาไม่สามารถคิดถึงผลประโยชน์เฉพาะหน้าได้ เขายังต้องคิดถึงอนาคต
“โอ้ อย่างงั้นรึ” เมิ่งเซียนกูยิ้ม “บอกข้าสิ ทำไมเจ้าถึงเลือกร่างเทพสายฟ้า” เมิ่งต้าเจียงก็ฟังอยู่เช่นกัน
“ข้าเก่งในด้านความเร็ว” เมิ่งชวนกล่าว “ตอนนี้วิชาการเคลื่อนไหวและเพลงกระบี่ของข้านั้นจะยอดเยี่ยมที่สุดในด้านความเร็ว สำหรับร่างเทพอัสนีนั้นเร็วที่สุดในบรรดา 16 รากฐานของเทพอสูร ข้าคิดว่าการฝึกฝนควรปกปิดจุดอ่อนและเพิ่มเติมสิ่งที่ดีอยู่แล้ว ดังนั้นข้าจึงเลือกร่างเทพอัสนี มันจะทำให้วิชาการเคลื่อนไหวและเพลงกระบี่ของข้าเร็วยิ่งขึ้น”
“การหลอมรวมจุดแข็งรึ” ดวงตาของเมิ่งเซียนกูสว่างขึ้นขณะที่เธอพยักหน้าเห็นด้วย “แม้ว่าเจ้าจะอายุไม่มาก แต่เจ้าก็ถูกต้องอย่างแน่นอน ความธรรมดาเป็นสิ่งต้องห้ามเมื่อพูดถึงการฝึกฝนวิชา การทำตัวธรรมดาหมายความว่าเจ้าจะไม่สามารถฆ่าศัตรูได้ มีแต่จะถูกศัตรูฆ่าเท่านั้น”
“ร่างเทพอัสนีเหมาะสมหรือไม่หลังจากกลายเป็นเทพอสูร” เมิ่งชวนย้ำ
เมิ่งเซียนกูถอนหายใจ “หลังจากกลายเป็นเทพอสูรแล้วร่างเทพอัสนีจะน่ากลัวยิ่งกว่าเดิม ข้อดีของมันนั้นน่าประหลาดใจยิ่งกว่าตอนที่เจ้ายังเป็นคนธรรมดาเสียอีก ร่างกายจะเปลี่ยนเป็นสายฟ้าและความเร็วของสายฟ้านั้นก็ยอดเยี่ยม ท่าไม้ตายก็น่ากลัวเช่นกัน แม้ว่าจะไม่สามารถฆ่าศัตรูได้ ก็จะสามารถหลบหนีได้อย่างง่ายดาย อย่างไรก็ตามช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อความเป็นความตายไปสู่การเปลี่ยนจากคนธรรมดาไปสู่เทพอสูรมีความยากมากกว่าเมื่อเทียบกับร่างเทพอสูรทั่วไป”
“ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อความเป็นความตายยากยิ่งขึ้นกว่าเดิมรึ” เมิ่งชวนงุนงง
“สายฟ้าจะฟาดเจ้าเมื่อผ่านช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อความเป็นความตาย เจ้าจะตายหากไม่สามารถต้านทานพวกมันได้” เมิ่งเซียนกูกล่าว “ดังนั้นเจ้าต้องมีรากฐานที่แข็งแกร่งเพื่อต้านทานพวกมัน เกณฑ์ในการเป็นเทพอสูรก็จะสูงขึ้นเช่นกัน แน่นอนว่าเขาหยวนชูจะบอกเจ้าว่าเจ้าต้องไปถึงขั้นไหนเพื่อให้มีความมั่นใจอย่างเต็มที่ในการเป็นเทพอสูร”
“ข้าได้ยินมาว่าในเขาหยวนชูใครๆก็ต้องมีความมั่นใจเต็มร้อยก่อนที่พวกเขาจะทำอะไร แน่นอนว่าผู้ที่สามารถเข้าสู่เขาหยวนชูได้นั้นมีความสามารถมาก” เมิ่งเซียนกูกล่าวด้วยรอยยิ้ม “สำหรับพวกเราที่ขาดความสามารถเรามักจะเสี่ยงโชคโดยมีโอกาส 60–70% ท้ายที่สุดถ้าเรายังคงลากถ่วงต่อไปเราอาจเหลือโอกาสเพียง 40–50% เมื่ออายุมากขึ้น เป็นไปได้ที่อัตราความสำเร็จของเราจะลดลงเหลือ 20–30% อัตราความสำเร็จจะลดลงเรื่อยๆ”
ร่างกาย พลังปราณ ระดับชั้น ความเข้มแข็งของใจ รวมถึงสภาพจิตใจ …
การกลายเป็นเทพอสูรนั้นเกี่ยวข้องกับหลายแง่มุม
“เนื่องจากข้าต้องการพลังมากหลังจากกลายเป็นเทพอสูรแล้ว ดังนั้นข้าจะเลือกร่างเทพอัสนี” เมิ่งชวนกล่าว
“ได้เลย”เมิ่งเซียนกูพยักหน้าและกล่าวด้วยรอยยิ้ม“ แม้ว่าเจ้าจะกลายเป็นเทพอสูรในอนาคตเจ้าจะมีร่างเทพอสูรอัสนีอยู่ไม่กี่ประเภทให้เลือก ร่างเทพอสูรเหล่านี้ต่างก็มีข้อดีและข้อเสียเช่นกัน หากเจ้าสะสมพลังไว้เพียงพอ เจ้าก็จะสามารถเลือกร่างที่แข็งแกร่งกว่า หากเจ้าสะสมความแข็งแกร่งไม่เพียงพอเจ้าก็สามารถเลือกร่างที่อ่อนแอกว่าได้ ด้วยวิธีนี้จะง่ายกว่าในการผ่านช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อความเป็นความตาย”
“ขอรับ” เมิ่งชวนพยักหน้า แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม ด้วยบุคลิกของเขา เขาจะเดินตามเส้นทางที่แข็งแกร่งที่สุดโดยธรรมชาติ
มุ่งสู่สวรรค์
ไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องตั้งเป้าให้สูง ถ้าเขาไม่ได้มีเป้าหมายที่จะเป็นจอมยุทธที่ทรงอำนาจ เขาจะกลายเป็นหนึ่งได้อย่างไร
…
กลับไปที่คฤหาสน์กระจกทะเลสาบตระกูลเมิ่ง
เมิ่งต้าเจียงและเมิ่งชวนเดินเคียงข้างกัน
“ชวนเอ๋อร์เจ้าวางแผนที่จะฝ่าด่านเมื่อไหร่”เมิ่งต้าเจียงถาม
“คืนนี้”เมิ่งชวนกล่าว “ไม่จำเป็นต้องรอช้า”
“มากับข้าสิ” เมิ่งต้าเจียงนำทาง
แม้ว่าเมิ่งชวนจะรู้สึกงุนงงอยู่บ้าง แต่เขาก็ยังเดินตามพ่อของเขาไปยังอาคารที่พัก
“ตูม” เมื่อพวกเขาเข้าไปในอาคาร เมิ่งต้าเจียงดึงกลไกที่อยู่ใต้เตียง อุโมงค์ปรากฏขึ้นทันที
“อุโมงค์รึ” เมิ่งชวนรู้สึกประหลาดใจ เขาไม่รู้ว่าพ่อของเขาซ่อนห้องลับไว้ที่นี่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา
การสร้างอุโมงค์เป็นเรื่องปกติมาก ตัวอย่างเช่นป้อมในชนบทจะมีการสร้างอุโมงค์และห้องขนาดใหญ่ แม้ว่าอสูรจะบุกโจมตีป้อม แต่กองทัพก็จะซ่อนตัวอยู่ในอุโมงค์หลายร้อยแห่งที่อยู่ด้านล่าง พวกเขาจะดึงประตูหนาลงมาและซ่อนตัวเองไว้ข้างใน พวกอสูรต้องค้นหาอุโมงค์ลับและผ่านกับดักทุกชนิดเพื่อค้นหาผู้คนที่อยู่ข้างใน
อย่างไรก็ตามในเมืองมีการสร้างอุโมงค์ค่อนข้างน้อย
“ตูม ตูม”
ภายในอุโมงค์นี้ประตูหินอีกสองบานก็เปิดออกโดยกลไก
จากนั้นเขาก็มาถึงห้องลับ
“ชวนเอ๋อร์ร์นั่งลงก่อน” เมิ่งต้าเจียงกล่าว
เมิ่งชวนนั่งลงบนเสื่อด้วยความงุนงง เมิ่งต้าเจียงค้นไปตามชั้นวางหนังสือที่มีหนังสือแน่นขนัด เลือกหนังสือออกมาเล่มหนึ่งก่อนจะพลิกเปิด ที่ซ่อนอยู่ในหนังสือคือกล่องไม้
เมิ่งต้าเจียงถือกล่องไม้และนั่งขัดสมาธิตรงข้ามเมิ่งชวน เขาหยิบกล่องหยกอีกกล่องที่เขาเก็บไว้ใกล้กับหน้าอกของเขาออกมา
“เอาน้ำไขกระดูกหยกเทพอสูรให้พ่อก่อน” เมิ่งต้าเจียงกล่าว
เมิ่งชวนหยิบมันออกมาและส่งให้พ่อของเขา รู้สึกสับสนอยู่บ้าง
ตึก ตึก ตึก
เมิ่งต้าเจียงวางกล่องไม้ยาว กล่องหยก และขวดลายครามไว้บนพื้น
“ที่นี่มีสมบัติสวรรค์ทั้งหมดสามชิ้น” เมิ่งต้าเจียงหยิบกล่องหยกขึ้นมาก่อนและเปิดมัน ข้างในเป็นผลไม้สีขาวเหมือนน้ำแข็งที่ปล่อยอากาศเย็น “ นี่คือผลใจน้ำแข็งเจ้าสามารถบริโภคได้ทันทีในวันแรกที่เจ้าฝึกฝนร่างเทพอสูร”
หลังจากปิดกล่องหยกแล้วเมิ่งต้าเจียงก็ชี้ไปที่ขวดลายคราม “เจ้าสามารถกินไขกระดูกหยกของเทพอสูรที่ตระกูลมอบให้เจ้าได้ในวันที่สามของการฝึกฝนวิชาร่างเทพอสูร”
“ชิ้นสุดท้ายนี้…” เมิ่งต้าเจียงมองไปที่กล่องไม้ยาวและค่อยๆเปิดมันออก
ภายในกล่องไม้มีต้นไม้สีเขียวที่เปล่งแสงหลากสี ใบและรากต่างครบถ้วน “นี่คือสมุนไพรวิญญาณดาราในตำนาน มูลค่าของมันมากกว่าไขกระดูกหยกเทพอสูรหลายเท่า ตั้งแต่วันแรกของการฝึกฝนวิชาร่างเทพอสูร ให้กินไปเล็กน้อยทุกวัน ใบและรากก็ไม่ควรจะทิ้งไปเช่นกัน และกินมันให้หมดภายในหนึ่งเดือน”
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าจะมาที่ห้องนี้ทุกคืนเพื่อฝึกฝน” เมิ่งต้าเจียงกล่าว
เมิ่งชวนตะลึง “พ่อ สมบัติทั้งสามอย่างนี้เลยรึ” เมิ่งชวนไม่อยากจะเชื่อ
ย่าทวดได้รับบาดเจ็บหนักนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเธอจึงใช้เงินออมของตระกูลไปกับน้ำไขกระดูกหยกเทพอสูรเพียงหยดเดียวเพื่อดูแลเมิ่งชวน นั่นเป็นการกระทำที่บ้าคลั่งอยู่แล้ว
และตอนนี้พ่อของเขาหยิบสมบัติล้ำค่าอีกสองชิ้นออกมาด้วยงั้นรึ และหนึ่งในนั้นก็คือสมุนไพรวิญญาณดาราซึ่งมีค่ามากกว่าอีกด้วยรึ
“ในแง่ของคุณค่า สมุนไพรวิญญาณดาราเป็นสิ่งล้ำค่าที่สุด ถัดไปคือน้ำไขกระดูกหยกเทพอสูร จากนั้นผลใจน้ำแข็ง”เมิ่งต้าเจียงกล่าว “อย่างไรก็ตามทุกรายการนี้ไม่สามารถหาได้ง่ายๆ เจ้าต้องรู้ซึ้งถึงคุณค่าพวกมัน”
“พ่อของพวกนี้มาได้อย่างไร สมุนไพรวิญญาณดารานี้มีค่ายิ่งกว่าเงินออมเกือบทั้งหมดของตระกูลมิใช่รึ” เมิ่งชวนถามด้วยความไม่เชื่อ
“อย่าถาม”เมิ่งต้าเจียงขมวดคิ้ว
“เมื่อถึงเวลาที่เจ้าต้องรู้ เจ้าจะได้รู้” เมิ่งต้าเจียงถอนหายใจ “บางครั้งการเรียนรู้บางเรื่องเร็วเกินไปก็ไม่ดี สิ่งที่เจ้าต้องทำคือแข็งแกร่งขึ้น”
เมิ่งชวนพบว่าพ่อของเขานั้นค่อนข้างลึกลับ
ผลใจน้ำแข็ง สมุนไพรวิญญาณดารา… มาจากไหนกัน
ความลับอะไรที่พ่อของเขาผู้ซึ่งมักจะหัวเราะและทำงานร้านอาหารมีอยู่ อย่างไรก็ตามเนื่องจากพ่อของเขารู้สึกว่าเขานั้นยังไม่แข็งแกร่งพอ ดังนั้นเขาต้องฝึกฝนให้เหมาะสมยิ่งขึ้น
“เจ้าต้องดูแลพวกมันให้ดี” เมิ่งต้าเจียงกล่าว
“ข้าจะทำเช่นนั้น พ่อ” เมิ่งชวนตอบ
…
ในคืนนั้น
เมิ่งต้าเจียงนั่งอยู่ในห้องและจ้องไปภาพวาดที่แขวนไว้ซึ่งภรรยาของเขาวาด
“ชวนเอ๋อร์เติบโตขึ้นแล้ว”
เมิ่งต้าเจียงมองไปที่ผู้หญิงในภาพวาดซึ่งเป็นผู้หญิงที่เขารักมากที่สุดในชีวิตของเขา “เนี่ยหยุน ข้าได้มอบสมุนไพรวิญญาณดาราให้เขาแล้ว ไม่ต้องกังวลลูกของเราโดดเด่นมาก และยังมีโอกาสเป็นเทพอสูรอีกด้วย ข้าเลี้ยงดูเขาอย่างดี เขาโดดเด่นมาก กตัญญู และเชื่อฟัง …”
…
ในห้องใต้ดิน
เมิ่งชวนนั่งขัดสมาธิบนเบาะสวดมนตร์
เขาสั่งให้พลังปราณในตันเถียนเข้าสู่ชีพจรทีละจุดทั้งหมด 182 จุด ตามแนวทางที่กำหนดไว้ เมื่อเขาอยู่ที่ชีพจรจุดสุดท้าย ชีพจรทั้ง 182 จุดก็ได้สร้างแผนภูมิสามมิติที่สวยงามขึ้น โดยมีชีพจรแต่ละจุดเป็นจุดเชื่อมต่อ แผนภูมินี้ก็คือแกนกลางของร่างเทพอัสนี
ตูม
ทันทีที่แผนภูมิพลังปราณสามมิติก่อตัวขึ้นสายฟ้าก็เริ่มเล็ดลอดออกมา สายฟ้าเริ่มไหลผ่านแผนภูมิสามมิติ หลอมรวมเข้ากับทุกส่วนของร่างกายของเขา
“อา” เมิ่งชวนสามารถสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของร่างกายเมื่อสายฟ้าแต่ละสายไหลผ่านแผนภูมิพลังปราณสามมิติและหลอมรวมเข้ากับร่างกายของเขา
ตอนที่ 21 ระดับชำระแก่นแท้ขั้นสมบูรณ์
“ข้าไม่รู้จะพูดอะไรเกี่ยวกับเจ้าจริงๆ” หลิวเย่ป๋ายส่ายหน้าและยิ้ม เพื่อนที่ดีของเขาทำให้เขาพูดไม่ออก
อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ใช่เป็นเพราะพวกเขาชื่นชมกันและกันที่ยอมให้พวกเขาเป็นเพื่อนที่ดีเช่นนี้หรอกรึ
“เข้าไปในเมืองกันเถอะ” เมิ่งต้าเจียงกล่าว
พวกเขาสองคนมาถึงเมืองหอี๋ฟ่างอย่างเงียบๆ เป็นเวลาดึกและประตูเมืองก็ปิดไปแล้ว ยามพากันลาดตระเวนบนกำแพงเมือง อย่างไรก็ตามเมิ่งต้าเจียงและหลิวเย่ป๋าย พากันแยกย้ายเป็นสองเงาพร่ามัว ที่ค่อยกระโดดขึ้นไปสูงกว่ากำแพงเมืองนับร้อยก้าว ยิ่งไปกว่านั้นยังมีหมอกสีดำจางๆ ล้อมรอบตัวพวกเขาทำให้การตรวจจับในความมืดทำได้ยากขึ้น
ด้วยการกระทำเช่นนั้น ทั้งคู่ก็ได้เหินร่อนอยู่เหนือกำแพงเมืองกว่าร้อยก้าวอย่างเงียบๆ
“นายท่าน”
“นายท่าน” ที่บนกำแพงเมือง หวังเฉียนฝานได้นำผู้ใต้บังคับบัญชาหลายคนตรวจสอบกำแพงเมือง บรรดายามต่างพากันให้ความเคารพเขาเป็นอย่างมาก
ทันใดนั้นหวังเฉียนฟานก็ขมวดคิ้วและเงยหน้าขึ้น “ โอ”
“นายท่าน มีอะไรผิดไปรึ” รองหัวหน้าถามอย่างสงสัย
“ให้แน่ใจว่าทุกคนระมัดระวัง อย่าปล่อยให้อสูรแอบเข้ามา” หวังเฉียนฟานกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว เขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่เขาไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไม เขาเป็นจอมยุทธระดับไร้ตำหนิที่เข้าใจถึง “พลัง” และเป็นส่วนหนึ่งของกองทหารของเมืองอี๋ฟ่าง ไม่มีใครที่อยู่ต่ำกว่าระดับเทพอสูร สามารถหลบหนีความรู้สึกของเขาได้ แต่ถ้าเป็นเทพอสูรหรือราชันอสูรขึ้นมาจริงๆ …
ไม่มีความหมายสำหรับคนธรรมดาอย่างพวกเขาที่จะหยุดยั้งตัวตนเหล่านั้น
“ขอรับ” รองหัวหน้าตอบรับทันที
วืด
เมิ่งต้าเจียงและหลิวเย่ป๋ายแอบเข้าไปในเมืองอี๋ฟ่าง
“หัวหน้ากองทหารของประตูเมืองเป็นจอมยุทธที่รู้ถึงเคล็ดของ “พลัง” หากเราประมาทเราจะถูกเขาค้นพบ” หลิวเย่ป๋ายกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ถ้าเราถูกค้นพบเราคงอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน”
“ข้าทำให้เจ้าติดร่างแหมาด้วย” เมิ่งต้าเจียงกล่าว
“ทำไมพูดเช่นนั้นในระหว่างพวกเราด้วย” หลิวเย่ป๋ายถาม
…
คนรับใช้ในคฤหาสน์เมืองอี๋ฟ่างต่างก็รู้ดีว่าเพื่อนที่ดีสองคนของเจ้านายของพวกเขาได้มาเยี่ยมและเจ้านายก็จะต้อนรับพวกเขาอย่างอบอุ่น
“เอาล่ะเจ้าไปได้แล้ว” หลิวเย่ป๋ายสั่ง
“ขอรับ” นักธุรกิจที่ร่ำรวยนั้นเชื่อฟังเป็นอย่างดี
มีเพียงหลิวเย่ป๋ายและเมิ่งต้าเจียงหลงเหลืออยู่ในห้องโถง เมิ่งต้าเจียงจ้องมองไปที่แพะย่างขณะที่กำลังกิน ข้างกายมีเนื้อวัวจำนวนมาก
ง่ำ ง่ำ เมิ่งต้าเจียงอ้าปากกว้างและไม่ว่ากระดูกจะแข็งแค่ไหน เขาก็สามารถบดพวกมันให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยได้อย่างง่ายดาย เขากินเนื้อและบางครั้งก็หยิบน้ำเต้าขึ้นมาดื่มเหล้าที่อยู่ภายในนั้น
“ต้าเจียง เห็นเจ้ากินแบบนี้ทำให้ข้าหิว” หลิวเย่ป๋ายนั่งอยู่ที่นั่นและรินเหล้าให้กับตัวเอง เขาดื่มช้าๆและยิ้ม “เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ความอยากอาหารของเจ้านับว่าสุดยอดที่สุดในเมืองตงหนิง เจ้าสามารถจัดการเนื้อทุกอย่างกว่าห้าสิบกิโลกรัมให้หมดไปได้”
“เจ้าอิจฉาข้ารึ” เมิ่งต้าเจียงมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เขาหยิบไหขึ้นมาเติมน้ำเต้า เมื่อเต็มแล้วเขาหยิบขวดลายครามออกมาและใส่ยาสามเม็ดลงไปในน้ำเต้า
“ไม่ว่าอย่างไรข้าไม่เคยได้ยินวิธีการฝึกฝนวิชาของเจ้ามาก่อน แข็งแกร่งกว่าเดิมด้วยการกิน” หลิวเย่ป๋ายกล่าวพร้อมกับถอนหายใจ
เมิ่งต้าเจียงดื่มขณะกิน
หลังจากจัดการเนื้อเสร็จแล้ว เขาก็มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นประมาณห้ากิโลกรัม
“สิ่งนี้จะทำให้ความเร็วในการฟื้นตัวของข้ารวดเร็วยิ่งขึ้น ข้าได้หายจากอาการบาดเจ็บส่วนใหญ่ของวันนี้แล้ว” เมิ่งต้าเจียงกล่าว “และพรุ่งนี้ข้าก็จะหายเป็นปกติ อย่างไรก็ตามข้าได้เผาผลาญน้ำหนักมากเกินไปในการต่อสู้ครั้งก่อน การฟื้นตัวสู่สภาวะสูงสุดของข้านั้น ข้ายังต้องกินอาหารอีกห้าถึงหกวัน”
“กินช้าๆ ไม่ต้องเร่งรีบ” หลิวเย่ป๋ายยิ้ม “เมิ่งชวนจะเข้าสู่ระดับก่อกำเนิดได้เร็วที่สุดก็พฤษภาคม ยังมีเวลาเหลือเฟือ”
“ได้” เมิ่งต้าเจียงพยักหน้า
…
ในขณะที่อยู่ในคฤหาสน์เป็นเวลาหกวันนั้น หลิวเย่ป๋ายก็ได้จัดการเรื่องต่างๆอย่างลับๆ เมิ่งต้าเจียงนั้นกินดื่มและฝึกฝนอยู่ทุกวัน หลังจากหกวันไปแล้ว น้ำหนักของเขาก็เพิ่มขึ้นประมาณสี่สิบกิโลกรัม เขากลับไปเป็นคนอ้วนจากรูปลักษณ์ที่หล่อเหลาก่อนหน้านี้
เมื่อความแข็งแกร่งของเขากลับคืนสู่จุดสูงสุด เมิ่งต้าเจียงและหลิวเย่ป๋ายก็ออกจากเมืองอี๋ฟ่างอย่างเงียบๆ
“เกิดอะไรขึ้น” พ่อค้าผู้ร่ำรวยและคนรับใช้ทั้งหกในคฤหาสน์สุดหรูสะดุ้งตื่นจากความฝัน พวกเขารู้สึกราวกับว่าพวกเขาได้ฝันมาตลอดหกวันที่ผ่านมา ส่วนที่ว่าพวกเขาฝันถึงอะไรนั้นพวกเขาจำอะไรไม่ได้เลย
…
เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม เมิ่งต้าเจียงและหลิวเย่ป๋ายก็กลับไปถึงเมืองตงหนิง
“พวกเรากลับมาแล้ว” ทั้งสองต่างรู้สึกมีความสุขเหลือเกินเมื่อมองไปที่คฤหาสน์กระจกทะเลสาบตระกูลเมิ่งที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา
เมิ่งต้าเจียงสัมผัสกล่องหยกที่เขาเก็บไว้ใกล้หน้าอกของตนเอง ข้างในเป็นผลใจน้ำแข็ง เขาแลกมันมาโดยใช้แต้มจากการผจญภัยเสี่ยงตายมาเป็นเวลาหลายปี
“นายท่าน นายท่านหลิว” ยามที่ประตูมีท่าทางดีใจ
คนรับใช้รีบไปรายงานทันที “นายน้อย คุณหนู นายท่านทั้งสองกลับมาแล้ว”
เมิ่งต้าเจียงและหลิวเย่ป๋ายเข้าที่พักไปด้วยกัน ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงวัน เมิ่งชวนและหลิวชีเยว่กำลังทานอาหารกลางวัน พวกเขาประหลาดใจอย่างมากที่เห็นพ่อของพวกเขากลับมา
“พ่อ ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว เป็นเวลาเกือบครึ่งปีแล้วที่ท่านจากไป” หลิวชีเยว่วิ่งไปกอดหลิวเย่ป๋าย พ่อของเธอด้วยน้ำตาคลอเบ้า
“ข้ากลับมาแล้ว” หลิวเย่ป๋ายยิ้มขณะลูบผมของลูกสาว “ชีเยว่ เจ้าสูงขึ้นอีกแล้ว อีกไม่นานเจ้าก็จะทันข้า”
“พ่อ” เมิ่งชวนเดินไปหาพ่อ
“ข้าไปนอกเมืองเพื่อที่จะทำงาน ข้าเอาผงปลาบัวกลับมาด้วย” ใบหน้าอวบอิ่มของเมิ่งต้าเจียงเต็มไปด้วยรอยยิ้มขณะที่เขาตบกระเป๋าบนหลังแล้วหัวเราะเบาๆ “การจับปลาตากให้แห้งแล้วบดนั้นไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่ต้องใช้เวลา”
“พ่อ ท่านลุงหลิว ข้าคิดว่าพวกท่านยังไม่ได้กินข้าว มาร่วมกับพวกเรา” เมิ่งชวนอารมณ์ดีหลังจากพ่อของเขากลับมา
“ใช่ไปกินข้าวกันเถอะ” เมิ่งต้าเจียงกล่าวอย่างร่าเริง
“เมื่อพูดถึงเรื่องการกิน พ่อของเจ้าย่อมมีความสุข” หลิวเย่ป๋ายกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“เจ้าเป็นแค่คนกินน้อย ดูสิ เจ้าผอมแค่ไหนแล้ว” เมิ่งต้าเจียงเลิกคิ้วและเดินเข้าไปในห้องโถง
…
ในคืนวันที่ 11 พฤษภาคม เมิ่งชวนได้หลอมรวมร่างกาย จิตใจ และวิชาของเขาจนสมบูรณ์ ก้าวเข้าสู่ระดับชำระแก่นแท้ขั้นสมบูรณ์
เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม เมิ่งต้าเจียงพาเมิ่งชวนไปที่คฤหาสน์บรรพบุรุษ
เมิ่งเซียนกูกำลังกินของว่างอย่างสบายๆ ขณะที่เธออ่านหนังสือในมือ
“ท่านย่าทวด” เมิ่งชวนทักทายเมิ่งเซียนกู
“เจ้าได้ทำให้ระดับชำระแก่นแท้สมบูรณ์แล้วรึ” เมิ่งเซียนกูพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ เธอหยิบขวดลายครามและส่งให้เมิ่งชวน “ข้างในมีไขกระดูกหยกหนึ่งหยด เมื่อเจ้าเริ่มฝึกฝนวิชาร่างเทพอสูร เจ้าก็สามารถที่จะกินมันได้ เจ้าต้องกินมันภายในสามเดือนหลังจากที่ฝึกฝนร่างเทพอสูร หากผ่านพ้นเวลานั้นไป เจ้าจะพลาดช่วงเวลาสำคัญในการสร้างรากฐานเทพอสูร”
“ขอรับ” เมิ่งชวนรับคำอย่างเคร่งขรึม นี่เป็นสิ่งที่ตระกูลเมิ่งทุ่มทรัพย์สมบัติเกือบทั้งหมดเพื่อแลกมา
“เจ้าวางแผนที่จะฝึกฝนวิชาร่างเทพอสูรแบบไหน” เมิ่งเซียนกูถาม “การเลือกร่างเทพอสูรนั้นมีความสำคัญสูงสุด เมื่อเจ้าเลือกได้แล้วจะไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้ แม้ว่าเจ้าจะกลายเป็นเทพอสูรในอนาคตเจ้าก็จะต้องเดินตามเส้นทางเดิมนั้นไปตลอด”
“ตัวอย่างเช่นหากเจ้าเลือกร่างเทพอสูรเพลิง เจ้าจะสามารถเลือกได้เฉพาะร่างเทพอสูรที่คล้ายกับร่างเทพอสูรเพลิงเมื่อเจ้ากลายเป็นเทพอสูรในอนาคต และไม่มีทางเปลี่ยนเส้นทางของเจ้าได้อีก” เมิ่งเซียนกูกล่าว
แน่นอนว่าเมิ่งชวนรู้
ร่างเทพอสูรที่ฝึกฝนในระดับก่อกำเนิดจะเป็นรากฐาน ที่ให้คนผู้นั้นด้วยส่วนหนึ่งของพลังเทพอสูร
นอกจากได้เป็นเทพอสูรในอนาคตเท่านั้นจึงจะได้รับร่างเทพอสูรที่สมบูรณ์ได้
“มีร่างของเทพอสูรจำนวนมาก” เมิ่งเซียนกูกล่าว “มีร่างที่มีพลังป้องกันที่แข็งแกร่งมหาศาล สามารถเรียกได้ว่าเป็นร่างกายที่ไม่สามารถทำลายได้ นอกจากนี้ก็ยังมีร่างเทพอสูรที่มีพลังชีวิตแข็งแกร่งมาก ซึ่งสามารถแม้กระทั่งงอกแขนที่ถูกตัดขาดได้ ยังมีร่างที่มีพละกำลังมหาศาล ทั้งยังมีร่างที่เร็วมาก อีกทั้งมีร่างที่เก่งกาจในการตรวจจับและการลาดตระเวน บางร่างเก่งในการสร้างอิทธิพลต่อพื้นที่ ร่างเทพอสูรทุกตัวมีลักษณะเฉพาะของตัวเอง”
“และเมื่อเจ้าเลือกได้แล้วเจ้าจะต้องเดินตามเส้นทางนี้ไปตลอดชีวิต”
“ตระกูลเมิ่งของเรามีวิธีสร้างร่างเทพอสูรพื้นฐานทั้งหมดสิบหกร่าง” เมิ่งเซียนกูถามว่า “เจ้าคงเคยอ่านมาก่อนใช่ไหม”
“ข้าได้อ่านทั้งหมดแล้ว” เมิ่งชวนพยักหน้า วิชาสร้างร่างพื้นฐานของเทพอสูรนั้นสามารถฝึกฝนได้ก่อนที่จะกลายเป็นเทพอสูรเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับตระกูลเทพอสูรทุกตระกูลในการรวบรวมพวกมันไว้ทั้งหมด
“เจ้าวางแผนที่จะฝึกฝนร่างเทพอสูรตัวไหน” เมิ่งเซียนกูถาม
ตอนที่ 20 พ่อและลูกชาย
มียามทั้งหมดสามคนที่ทำหน้าที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนยิงเกาทัณฑ์
ในเวลาเดียวกันยามห้าคนมีหน้าที่รับผิดชอบในการบรรจุลูกศรลงในหน้าไม้ที่ว่างเปล่า หน้าไม้เหล่านี้ค่อนข้างซับซ้อน โหลดลูกศรได้ครั้งละสิบลูก
โชคดีที่ลูกศรทำได้ง่าย ลูกศรทุกลูกมีความยาวเท่ากับหนึ่งฝ่ามือและก้านไม้เมาพร้อมกันกับหัวลูกศร ทุกๆวันเมิ่งชวนต้องฟันลูกศรแปดพันลูก ดังนั้นช่างฝีมือจึงจำเป็นต้องสร้างก้านไม้ให้เพียงพอและติดตั้งหัวลูกศรไว้ที่พวกมันอย่างรวดเร็ว
“เร็วเข้า”
ทุกวันคนรับใช้จะส่งหัวลูกศรจำนวนหนึ่งไปที่โรงงาน
โรงงานจัดเด็กฝึกงานสิบคนรับผิดชอบในการทำก้านไม้และติดตั้งหัวลูกศร ตามคำสั่งของเมิ่งชวน ก้านไม้เหล่านี้ต้องการให้มีจุดสีแดงติดอยู่ เมื่อถึงเวลา เขาจะชักกระบี่และตัดฝานจุดสีแดงบนก้านไม้ การทำก้านไม้ไม่ใช่เรื่องยากนอกจากต้องใช้เวลานาน เมื่อเวลาผ่านไป หน้าไม้เหล่านั้นจะต้องได้รับการบำรุงรักษาและแม้กระทั่งเปลี่ยน
วูบ
เมิ่งชวนยืนอยู่ที่นั่น จากนั้นก็ชักกระบี่ออกมาทันที เมื่อประกายกระบี่วาบผ่าน เขาก็ผ่าลูกศรที่รวดเร็วราวกับผีออกจากกันด้วยประกายกระบี่ มันโดนจุดสีแดงของก้านไม้ ประกายที่หลงเหลือของกระบี่ก็จะตกลงบนลำต้นของต้นไม้ที่ห่อหุ้มด้วยโลหะ ทิ้งร่องรอยเอาไว้
“ข้าต้องเร็วกว่านี้” เขาแสวงหาความเร็วทุกครั้งที่ตวัดกระบี่
ร่างกายของเขา พลังปราณ และเพลงกระบี่หลอมรวมเข้าด้วยกัน ภายใต้ความปรารถนาอันแรงกล้า เขาได้ค้นพบศักยภาพของเขาอยู่ตลอดเวลาในขณะที่เขาไล่ตามความเร็วที่สูงกว่าเดิม
ร่างกายของคนเรามีศักยภาพมหาศาล ยิ่งค้นพบศักยภาพมากเท่าไหร่ก็จะสามารถปลดปล่อยพลังออกมาได้มากเท่านั้น การฝึกฝนด้วยการฝึกซ้ำแล้วซ้ำเล่านั้นมีประสิทธิภาพมากกว่าการสร้างมโนภาพ ในระหว่างขั้นตอนการตวัดกระบี่ซ้ำๆ ร่างกายของเขา พลังปราณ และเพลงกระบี่ของเขาก็เริ่มหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันและผูกพันกันแน่นมากขึ้น
แม้ว่าการพัฒนานี้จะละเอียดอ่อนมาก แต่เมิ่งชวนสามารถบอกได้ว่าเขามีพัฒนาการขึ้นจากรอยที่ทิ้งไว้บนผิวโลหะบนต้นไม้
ร่องรอยที่หลงเหลือจากแสงกระบี่จะค่อยๆเปลี่ยนตำแหน่งขึ้นทุกวัน แม้จะมีพัฒนาการเพียงเล็กน้อยก็ทำให้เขาพอใจ เขารู้ว่าเขามีพัฒนาการ วิชากระบี่ของเขาเริ่มเร็วขึ้นเรื่อยๆ
“ข้าต้องแม่นยำและเร็วขึ้น” รูปแบบการฝึกวิชาของเมิ่งชวนนั้นใช้จ่ายเงินอย่างฟุ่มเฟือย แต่ผู้ฝึกฝนระดับไร้ตำหนิเพียงไม่กี่คนที่ควรจะเป็นคู่ซ้อมของเขาก็ไม่จำเป็นอีกต่อไปอีก จำนวนเงินที่ใช้ทุกเดือนจึงกลับเปลี่ยนเป็นลดเล็กน้อย เพราะค่าใช้จ่ายในการจ้างผู้ฝึกฝนระดับไร้ตำหนิเพียงไม่กี่คนนั้นสูงเหลือเกิน
เมิ่งชวนปัจจุบันนี้ได้ค้นพบวิชาลับแล้ว จอมยุทธระดับไร้ตำหนิเพียงไม่กี่คนที่ได้ค้นพบวิชาลับมาก่อนนั้นช่วยเขาได้เพียงเล็กน้อย
…
สิ่งที่เขาเน้นเป็นเรื่องที่สองของการฝึกฝนประจำวัน ก็คือวิชาการเคลื่อนไหว และเพลงกระบี่สำหรับป้องกันตัว
“ยิง” คนรับใช้สั่ง
ฟับ ฟับ ฟับ ฟับ ฟับ ฟับ ฟับ
ยามระดับชำระแก่นแท้สิบคนและยามระดับก่อกำเนิดสองคนยิงศรออกมาพร้อมกัน ก้านลูกศรทำจากเหล็กดำเลือดม่วงแต่ไม่มีหัวลูกศร หัวลูกศรถูกคลุมด้วยผ้า
เมื่อลูกศรทั้งสิบสองลูกถูกยิงมาจากระยะหนึ่งร้อยก้าวที่อยู่ห่างออกไป แรงที่ส่งออกมาโดยยามระดับชำระแก่นแท้นั้นมีพลังมากถึง 500 กิโลกรัม ไม่จำเป็นต้องพูดว่ายามระดับก่อกำเนิดต้องให้ความรุนแรงที่มากกว่า เห็นได้ชัดว่าลูกศรนั้นเร็วแค่ไหน ในขณะที่กลุ่มลูกศรที่หนาแน่นถูกยิงเข้ามา เมิ่งชวนก็ต้องใช้วิชาการเคลื่อนที่เพื่อหลบหลีกให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ พร้อมกับใช้วิชากระบี่ของเขาเพื่อสกัดกั้นพวกมัน
“ยิง” ยามหน่วยแรกทั้งหมดถอยกลับ ยามหน่วยที่สองซึ่งมีระดับชำระแก่นแท้สิบคนและอีกสองคนในระดับก่อกำเนิดเช่นเดียวกันก็ได้ปล่อยลูกศรออกไป
“ยิง” ไม่นานนัก หน่วยที่สามซึ่งประกอบด้วยรูปแบบเดียวกับสองชุดแรก ก็ยิงออกไปอย่างพร้อมเพรียงกัน
ทั้งสามหน่วยผลัดกันยิง หลังจากหน่วยที่สามยิงเสร็จ หน่วยแรกก็พร้อมที่จะยิง
ทีละหน่วยยิงติดต่อกันไม่มีหยุด แต่ละชุดจะถูกปล่อยออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน และแต่ละครั้งลูกศรสองดอกจะมาจากยามในระดับก่อกำเนิด ลูกศรทั้งสองจะเร็วกว่าและทรงพลังมากกว่า พวกมันจะมีผลคุกคามอย่างมากเนื่องมาจากระยะทางที่สั้น ภายใต้ห่าลูกศร เมิ่งชวนจะโดนยิงเป็นบางครั้ง
เขาก็เช่นกัน ย่อมอ่อนเปลี้ยและเหนื่อยล้า
แต่เขาต้องอดทนต่อไป ยิ่งเหนื่อยมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งต้องการความมุ่งมั่นมากขึ้นเท่านั้น
ด้วยการใช้ภาวะแห่งจิตกดดันร่างกายและจิตใจให้เป็นหนึ่งเดียวกัน การหลอมรวมของร่างกายและจิตใจก็จะยิ่งลึกซึ้งขึ้น ซึ่งทำให้วิชาการเคลื่อนไหวของเขาเร็วยิ่งขึ้น คล่องตัวมากยิ่งขึ้น ทั้งยังเพิ่มความเร็วในการป้องกันด้วยกระบี่ของเขา
รูปแบบการฝึกนี้ต้องใช้ยามระดับชำระแก่นแท้ทั้งหมดสามสิบคนและยามระดับก่อกำเนิดหกคนเพื่อช่วยเหลือเขา และนี่ต้องใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงในแต่ละวัน
การยิงธนูอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงทำให้ยามหมดแรงแม้จะมีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียน เมิ่งชวนเองก็มาถึงขีดจำกัดของตัวเองเช่นเดียวกัน
…
เมื่อถึงยามดึก เมิ่งชวนซึ่งสามารถฟื้นฟูพลังปราณของเขาได้เต็มที่แล้ว ก็จะฝึกฝนขั้นสุดท้ายของวัน ท่าชักกระบี่ขั้นสูงสุด
เมิ่งชวนยืนอยู่คนเดียวโดยไม่ขยับ
ทันใดนั้น
ร่างกายของเขาเปลี่ยนเป็นเงามายา เคลื่อนตัวไปนัยร้อยก้าวในทันที และส่งลำแสงกระบี่ออกไป คราครั้งนี้วิชาการเคลื่อนไหวของเขาก็จะยิ่งรวดเร็ว และการฟาดฟันของเขาก็จะเร็วยิ่งกว่า เขานั้นเร็วยิ่งกว่าตอนกลางวันมาก
ทำไมวิชาการเคลื่อนไหวและเพลงกระบี่ของเขาถึงเร็วกว่าเดิม
นี่เป็นเพราะท่าชักกระบี่ขั้นสูงสุดจะถูกปลดปล่อยออกมาด้วยการใช้ปริมาณพลังปราณสูงสุด เขาจะรู้สึกเจ็บปวดบอบช้ำ จากการที่เข้าถึงขีดจำกัดของเส้นชีพจร หากเขาโคจรพลังปราณเพิ่มมากกว่านี้ไปยังเส้นชีพจร เขามั่นใจว่าพวกมันจะต้องได้รับความเสียหาย ด้วยการผลักดันตัวเองไปถึงขีดจำกัด การเคลื่อนไหวและเพลงกระบี่ของเขาก็ย่อมเร็วขึ้นตามธรรมชาติอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามพลังปราณของเขาจะถูกใช้ไปในอัตราที่น่าตกใจ เมื่อใดก็ตามที่เขาใช้ท่าชักกระบี่ขั้นสูงสุด แม้จะมีข้อบกพร่อง แต่มันก็ทรงพลังเป็นอย่างมาก
หนึ่งครั้ง สองครั้ง… เมิ่งชวนผลักดันตัวเองให้ถึงขีดสุดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ร่างของเขากลายเป็นภาพหลอนขณะที่เขาทิ้งประกายกระบี่ไร้ตัวตนไว้เบื้องหลัง
สามสิบเอ็ดครั้ง เมิ่งชวนก็หยุด เส้นชีพจรที่พลังปราณของเขาส่งผ่านนั้นเมื่อยขบ แต่ก็ยังไม่มีความเจ็บปวดใดๆ
“ข้าสามารถใช้ท่าชักกระบี่ขั้นสูงสุดได้ 31 ครั้งเท่านั้นหลังจากที่ผลักดันพลังปราณของข้าจนถึงขีด จำกัด ตามคำสอนของสำนักเต๋าร่างกายมีความมหัศจรรย์มาก กล้ามเนื้อและกระดูกจะแข็งแรงขึ้นภายใต้การฝึก หากเส้นชีพจรของข้าได้รับการฝึกฝนจนถึงขีดจำกัด พวกมันจะค่อยๆขยายกว้างขึ้นและทนทานขึ้น การหมุนเวียนของพลังปราณก็จะช่วยกระตุ้นเส้นชีพจรของข้าให้ปรับตัวเช่นเดียวกัน”
“ข้าต้องการให้เส้นชีพจรของข้าทนทานต่อการระเบิดพลังที่รุนแรงกว่านี้ ในกรณีที่เมื่อมีการต่อสู้แบบเอาชีวิตเป็นเดิมพันนั้นเกิดขึ้น วิชาการเคลื่อนไหวและเพลงกระบี่ของข้าจะต้องเร็วขึ้นจนถึงที่สุด”
การบังคับให้ร่างกายปรับตัวเข้ากับพลังปราณปริมาณมาก ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งในการหลอมรวมร่างกาย จิตใจ และวิชาของตนเอง เขาสามารถแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิมจากการการผสมผสานทั้งสองวิธีนั้นเข้าด้วยกัน
…
การฝึกฝนวิชาทั้งสามแบบนี้ร่วมกับการอาบยากินยาตามมาตรฐานเพื่อเร่งระดับชำระแก่นแท้ของเขาเป็นกิจวัตรประจำวันของเมิ่งชวน
เขาพากเพียรไม่หยุดหย่อน
วันเวลาผ่านไป
พ่อของเขาออกจากเมืองตงหนิง ร้านอาหารของพ่อของเขาอาจกล่าวได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งในเมืองตงหนิงเพราะมีเครื่องปรุงรสอย่างหนึ่งนั่นคือผงปลาบัว มันเป็นผงแป้งที่พิเศษมากที่บดจากปลาแห้ง ใช้เป็นเครื่องปรุงรสทำให้อาหารธรรมดานั้นอร่อยมาก ร้านอาหารกลายเป็นร้านที่ดีที่สุดในเมืองตงหนิงโดยอาศัยพลังของผงปลาบัว
ทว่า ต้นกำเนิดของปลาชนิดนี้คือ “ปลาบัว”อย่างงั้นรึ ตะกูลเทพอสูรอื่นๆในเมืองตงหนิงก็ต้องการที่จะรู้เช่นกัน
อย่างไรก็ตามเห็นได้ชัดว่าตระกูลเมิ่งนั้นได้เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ นี่คือปลาลึกลับตัวเล็กๆที่เมิ่งต้าเจียงได้ค้นพบ เขาออกไปนอกเมืองปีละสองครั้ง โดยการเดินทางแต่ละครั้งใช้เวลาหนึ่งถึงสองเดือนจึงจะสามารถนำผงปลาบัวลึกลับกลับมาได้
มันก็ไม่ได้แย่มากนัก ถึงแม้เมิ่งต้าเจียงใช้เวลาสามถึงสี่เดือนนอกบ้าน แต่หลิวเย่ป๋ายพ่อของชีเยว่จะใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ข้างนอก
…
ยามค่ำคืน
สองร่างเดินผ่านไปในป่ารกชัฏเหมือนกับภูตผี
“เรามาถึงเมืองอี๋ฟ่างที่อยู่ในรัฐหวูแล้ว ไปพักผ่อนที่เมืองอี๋ฟ่างกันเถอะ เจ้าต้องให้การบาดเจ็บของเจ้านั้นได้มีเวลาพักผ่อนอย่างเพียงพอ เจ้าไม่สามารถเดินทางต่อไปอีกได้” สองร่างนั้นก็ได้หยุดยั้งลง หนึ่งในนั้นคือหลิวเย่ป๋ายที่ค่อนข้างเสเพลและสง่างาม ส่วนอีกคนคือเมิ่งต้าเจียงซึ่งน้ำหนักได้ลดลงไป
เมิ่งต้าเจียงสวมชุดสีดำ หลังจากที่เขาน้ำหนักลด รูปร่างของเขาก็คล้ายกับตอนที่เขายังเด็ก เขาหล่อขึ้นมากกว่าเดิมเช่นเดียวกัน
ใบหน้าของเขาซีดและอดไม่ได้ที่จะไอออกมาเบาๆได้ “แค่กแค่ก” เมิ่งต้าเจียงปิดปากของเขาขณะที่ไอ อย่างไรก็ตามก็มีเลือดติดอยู่ในมือ
หลิวเย่ป๋ายอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “เจ้าทำเกินไปจริงๆ”
“ชวนเอ๋อร์กำลังจะเข้าสู่ระดับก่อกำเนิด ข้าต้องสะสมแต้มให้เพียงพอ” เมิ่งต้าเจียงกล่าว
หลิวเย่ป๋ายส่ายหน้าและพูดว่า “เจ้าเสี่ยงชีวิตมาหลายปีแล้ว ความพยายามทั้งหมดของเจ้าแลกเป็นผลใจน้ำแข็งหนึ่งผล คุ้มไหมกับการวางรากฐานเทพอสูรของลูกชายเจ้า”
เมิ่งต้าเจียงยิ้มอย่างเหนื่อยล้าและกล่าวว่า “ความภาคภูมิใจที่สุดในชีวิตของข้านี้ก็คือลูกชายของข้า ตราบใดที่มันเป็นการทำเพื่อชวนเอ๋อร์แล้ว มันก็คุ้มค่าไม่ว่าข้าจะจ่ายเท่าไหร่ก็ตาม”
ตอนที่ 19 เส้นทางการฝึกวิชาของเมิ่งชวน
เมิ่งต้าเจียงมองไปที่ลูกชายของตนเองและคิดถึงการต่อสู้ที่งานเลี้ยงตัดอสูรเมื่อสองวันก่อน เขาเข้าใจดีว่า แม้ว่าลูกชายของเขาจะยังเด็ก แต่ก็ถึงเวลาที่เขาจะต้องกางปีกโผบินแล้ว
“ก่อนที่ชวนเอ๋อร์จะสร้างร่างเทพอสูร ให้พาเขามาหาข้าเพื่อรับน้ำไขกระดูกหยกเทพอสูร” เมิ่งเซียนกูเตือน
“ขอรับ” เมิ่งต้าเจียงตอบ
น้ำไขกระดูกหยกเทพอสูรหยดหนึ่งนั้นมีค่าอย่างหาที่เปรียบมิได้
แม้แต่อัจฉริยะจากตระกูลเทพอสูรโบราณในเมืองหลวง พวกเขาก็ไม่สามารถที่จะรับน้ำไขกระดูกหยกเทพอสูรแม้เพียงสักหยดเพื่อสร้างรากฐานได้ โดยทั่วไปแล้วอัจฉริยะเพียงหนึ่งในศตวรรษเท่านั้นที่จะได้รับการดูแลอย่างเข้มงวดโดยตระกูลเทพอสูรโบราณ และสำหรับกลุ่มตระกูลเทพอสูรทั่วไปที่มีทรัพยากรจำกัด พวกเขาจะเดิมพันทุกสิ่งทุกอย่างกับเด็กเพียงคนเดียวอย่างตระกูลเมิ่งได้อย่างไรกัน
“ชวนเอ๋อร์เจ้าสามารถถามข้าได้หากเจ้ามีคำถามเกี่ยวกับการฝึกฝนวิชา” เมิ่งเซียนกูกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ เจ้าสามารถพูดคุยกับข้าได้หากเจ้าประสบปัญหา”
“ย่าทวด” เมิ่งชวนกล่าวทันทีว่า“ ข้ามีบางอย่างที่ยังค่อนข้างจะสับสน”
“ให้ข้าเดา เจ้าสงสัยว่าจะไปถึงขั้นต่อไปของ พลังกระบี่ ได้อย่างไร” เมิ่งเซียนกู กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ขอรับ” เมิ่งชวนพยักหน้า “ข้าเคยถามท่านเจ้าสำนักเต๋า เขาบอกเพียงว่าเขาค้นพบ พลังกระบี่ ด้วยการสร้างเพลงกระบี่ชั้นยอด”
“นั่นเป็นวิธีการอย่างหนึ่ง” เมิ่งเซียนกูพยักหน้าขณะที่เธอมองไปที่เมิ่งต้าเจียง “ต้าเจียง เจ้าผ่านขั้นต่อไปได้อย่างไร”
เมิ่งต้าเจียงนิ่งขึงขณะที่เขานึกย้อนกลับไป เขากล่าวว่า “ย้อนกลับไปตอนที่ข้ารับราชการทหาร สมาชิกแต่ละคนในทีมได้รับมอบหมายงานเฉพาะ ข้าต้องรับผิดชอบในการปราบอสูรที่มาก่อกวน ดังนั้นข้าจึงฝึกฝนกระบี่สามกระบวนท่าเป็นหลัก… ข้าอยู่ที่ด่านฉินหยางเป็นเวลาสิบปี หลังจากนั้นข้าก็กลับไปที่บ้านเกิด และได้เดินทางไปตามหัวเมืองต่างๆตลอดเส้นทาง และข้าก็บังเอิญเจอการต่อสู้ระหว่างผู้หญิงกับอสูร”
เมิ่งต้าเจียงมองไปที่เมิ่งชวนและยิ้ม “นั่นคือแม่ของเจ้า”
หัวใจของเมิ่งชวนสั่นสะท้าน แม่งั้นรึ
“แม่ของเจ้าสวยมาก ข้าไม่มีวันลืมภาพลักษณ์ของแม่เจ้าที่ต่อสู้กับอสูรภายใต้ดวงตะวัน ตอนนั้นข้าเปี่ยมไปด้วยพลัง ข้ารีบวิ่งไปข้างหน้าโดยไม่คิดอะไรเลยและใช้เพลงกระบี่ข้ายับยั้งอสูรได้อย่างง่ายดาย เพลงกระบี่ของข้าเหมือนอากาศธาตุและง่ายดายเป็นอย่างยิ่ง ข้าคิดว่า พลังกระบี่ เป็นแบบนั้นจริงๆ” เมิ่งต้าเจียงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ครั้งแรกที่ข้าพบแม่ของเจ้าคือวันที่ข้าได้ค้นพบ พลังกระบี่ นั่นบังเอิญแค่ไหน”
“ต้าเจียงสั่งสมประสบการณ์ในสนามรบมาสิบปีก่อนที่จะผ่านเข้าสู่ขั้นต่อไปในวันนั้น” เมิ่งเซียนกูกล่าว “ต้าเจียงได้รับการฝึกฝนเพียงสามกระบวนท่า ในขณะที่เจ้าสำนักเต๋าจิงหูได้สร้างเพลงกระบี่ชั้นยอด เจ้าสำนักเต๋ามุ่งเน้นไปที่รู้ให้กว้าง ส่วนต้าเจียงนั้นมุ่งเน้นไปที่รู้เชิงลึก ไม่มีใครเหนือกว่ากัน แต่ตามความเป็นจริงหากพูดถึงการยับยั้งศัตรูพ่อของเจ้าจะเก่งกว่า”
เมิ่งชวนก็พยักหน้าเช่นกัน “ข้าได้อ่านชีวประวัติของเทพอสูรเติ้งเฟิงมาก่อน เขาฝึกฝนกระบี่คนเดียวในภูเขาลึก เขาชักกระบี่หมื่นครั้งทุกวันเป็นเวลายี่สิบปี และเมื่อเขาออกจากภูเขา เขาก็ได้สังหารผู้ฝึกยุทธระดับไร้ตำหนิในการโจมตีครั้งเดียว ในขณะที่เขาอยู่ในระดับชำระแก่นแท้เท่านั้น”
“ถูกตัอง เพื่อให้สามารถบรรลุความสำเร็จนั้นการโจมตีครั้งเดียวจะต้องให้เกินขอบเขตของ พลังกระบี่ เขาเป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบในเชิงลึก เพียงแค่ว่าความสามารถของเขานั้นสูงกว่าพ่อของเจ้ามาก การโจมตีด้วยกระบี่ของเขานั้นช่างน่าอัศจรรย์มาก เขาได้รับคัดเลือกโดยตรงจากเขาหยวนชู เขาไม่จำเป็นต้องผ่านการทดสอบ” เมิ่งเซียนกูกล่าว “อย่างไรก็ตามการขาดคำแนะนำหมายถึงข้อบกพร่องร้ายแรงในเพลงกระบี่ของเขาเพราะเขารู้เพียงท่าเดียว ถ้าคนอื่นเข้าใจเขาอย่างถ่องแท้และกำหนดเป้าหมายไปที่จุดอ่อนของเขา เขาก็คงมีปัญหา แน่นอนว่าเขาได้รับคัดเลือกจากเขาหยวนชู ในขณะที่เขาแสดงถึงยอดของภูเขาน้ำแข็ง ดังนั้นเขาจึงแก้ไขจุดอ่อนนั้นได้อย่างรวดเร็ว เขามีพลังมากขึ้นและกลายเป็นไร้พ่ายอย่างแท้จริงในยุคนั้น”
เมิ่งชวนพยักหน้าเล็กน้อย
“ข้าใช้เวลาอยู่ที่ด่านอันไห่เป็นเวลานานและได้รับคำแนะนำจากราชาอันไห่” เมิ่งเซียนกูกล่าว “เป็นการยากที่จะประเมินว่าราชาอันไห่แข็งแกร่งเพียงใด เขามีสถานะที่สูงมากในเขาหยวนชู ในแง่ของความแข็งแกร่งเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าเทพอสูรเติ้งเฟิงที่เจ้ากล่าวถึงอย่างแน่นอน”
เห็นได้ชัดว่าเมิ่งชวนรู้ว่าราชาอันไห่ทรงอำนาจมากแค่ไหน
ในเมืองตงหนิง คนทั่วไปจะไปที่ด่านฉินหยางเพื่อรับราชการทหาร ส่วน เทพอสูรของเมืองตงหนิงนั้น ส่วนใหญ่ไปที่ด่านอันไห่ ผู้บัญชาการของด่านอันไห่ก็คือราชาอันไห่ แม้แต่ราชวงศ์โจวผู้ยิ่งใหญ่ก็ยังเคารพเขาอย่างมาก โดยมอบตำแหน่งราชาให้กับเขาโดยตรง
“ราชาอันไห่เคยบอกข้า” เมิ่งเซียนกูมองไปที่เมิ่งชวนและพูดต่อ “การฝึกฝนนั้นต้องทำตามสัญชาตญาณ และทำตามสิ่งที่ตนเองชอบมากที่สุดก่อนที่จะก้าวไปข้างหน้า เจ้าจึงจะไปได้ไกลยิ่งขึ้น เมื่อเจ้ามองย้อนกลับมาจากสองสามทศวรรษข้างหน้า เจ้าจะเหนือกว่าตัวตนในอดีตของเจ้าไปไกลมาก ข้าจะแบ่งปันคำพูดนี้กับเจ้าเช่นกัน ทำตามหัวใจของเจ้าและทำสิ่งที่เจ้าชอบมากที่สุด”
“ขอรับ” เมิ่งชวนพยักหน้า
…
เมิ่งชวน กลับไปที่สนามฝึกซ้อมจิงหูคฤหาสน์ตระกูลเมิ่ง เขานั่งกินผลไม้คนเดียวพร้อมกับครุ่นคิด
“คำแนะนำของราชาอันไห่ต่อย่าทวดของข้า และบัญญัติประการที่สี่จากบัญญัติเก้าประการที่ข้าคิดขึ้นมา “มือใหม่และปรมาจารย์” มีความคล้ายคลึงกันบางประการ” เมิ่งชวนรำพึงกับตัวเอง “เนื่องจากข้าทำตามสัญชาตญาณของตัวเองและทำในสิ่งที่หัวใจปรารถนา ข้าจึงสามารถทุ่มเทใจให้กับการฝึกฝนได้มากขึ้นและสนุกไปกับมัน สิ่งนี้จะทำให้ความรักของข้าลึกซึ้งยิ่งขึ้น ข้าจะมีโอกาสเป็นปรมาจารย์ได้เช่นเดียวกัน”
“หลังจากฟังเจ้าสำนัก พ่อ และย่าทวด ข้ารู้ว่าข้าควรจะฝึกฝนต่อไปอย่างไรโดยปฏิบัติตามบัญญัติเก้าประการของข้า” เมิ่งชวนมีความคิดอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามเขายังต้องฟังผู้อาวุโสของเขาที่เข้าถึงขั้น พลัง เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง
“บัญญัติประการที่หกในเก้าประการของการฝึกฝน เปลี่ยนสิ่งที่ได้เรียนรู้ให้เป็นระบบ วิธีนี้จะไม่มีข้อบกพร่องร้ายแรงใด ๆ สิ่งที่ตัดสินชีวิตและความตายของจอมยุทธมักขึ้นอยู่กับจุดอ่อนที่ร้ายแรงที่สุดของพวกเขา หากว่าพวกเขามีจุดอ่อนที่เห็นได้ชัดเจนก็จะตกเป็นเป้าในอนาคต ถ้าเขาถูกยับยั้งไว้ได้เขาก็จะสิ้นชีพ ความล้มเหลวหนึ่งครั้งก็เทียบเท่ากับการสูญเสียชีวิต แม้จะได้รับชัยชนะนับร้อยจากการใช้วิชาเดียวกันหากิน”
“เทพอสูรเติ้งเฟิงเก่งกาจจากการใช้เพียงท่าเดียว ย่าทวดยังกล่าวอีกว่า เทพอสูรเติ้งเฟิงมีข้อบกพร่องร้ายแรง โชคดีที่เขาได้รับคัดเลือกให้เข้าสู่เขาหยวนชูและได้แก้ไขข้อบกพร่องของเขา”
“ในฐานะผู้ใช้กระบี่มีเพียงสามด้านเท่านั้นคือการสังหารศัตรู การป้องกันตน และการหลบหนี การเคลื่อนไหวทั้งสามนี้ก่อตัวเป็นระบบ ต่อไปข้าจะมุ่งเน้นไปที่สามเส้นทางนี้”
“บัญญัติประการที่ห้า สร้างความก้าวหน้าในแต่ละวัน เปลี่ยนแปลงไปในทุกเดือน ความสำเร็จก็จะมาถึงในที่สุด”
“คนสมัยก่อนเคยกล่าวไว้ว่า “การสะสมแผ่นดินในปริมาณเล็กน้อยทุกวันเจ้าสามารถสร้างภูเขาได้ตามกาลเวลา ภูเขาจะทำให้เกิดลมได้ และนั่นจะทำให้ฝนตก รวบรวมแต่ละสายเข้า เจ้าก็จะสามารถสร้างทะเลสาบ ซึ่งจะทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตในน้ำ กลายเป็นผลดีต่อผู้คนและเอื้ออาทรต่อพวกเขา ไม่ว่าการกระทำแต่ละอย่างจะเล็กน้อยเพียงใดก็ตาม เจ้าก็จะได้ฝึกฝนหัวใจของนักบุญ ก้าวไปเพียงไม่กี่ก้าวในแต่ละวัน แล้วเจ้าจะเสร็จสิ้นการเดินทางเป็นพันไมล์ มหาสมุทรเป็นเพียงการรวมกันของแม่น้ำ ยูนิคอร์นในตำนานไม่สามารถไปถึงสวรรค์ได้ในก้าวกระโดดเดียว ม้าแก่ที่วิ่งไม่หยุดจะพาเจ้ากลับบ้าน ถ้าเจ้ายอมแพ้เจ้าจะไม่สามารถแม้จะหักไม้ผุสักชิ้น ความพากเพียรจะช่วยให้คนหนึ่งแกะทองคำเป็นรูปร่างได้ ไส้เดือนดินไม่มีกระดูกและกรงเล็บแต่ก็สามารถทะลุทะลวงขึ้นลงบนพื้นโลกได้ ปูเสฉวนที่มีหกขาและก้ามอีกสองข้าง ไม่สามารถสร้างบ้านของตัวเองได้โดยไม่ได้ใช้รูที่งูและปลาไหลเจาะเอาไว้”
“แต่นั่นก็ยังมีข้อบกพร่องร้ายแรง”
“แม้ว่าความคืบหน้าจะเกิดขึ้นทุกวัน แต่หากใครเดินเป็นวงกลมขนาดใหญ่พวกเขาก็จะต้องลงเอยที่จุดเดิม การเดินผิดทางจะไม่พาข้าไปยังจุดหมายที่อยู่ห่างออกไปพันไมล์”
“มันก็เหมือนกันกับการฝึกฝนวิชาเช่นกัน … หากไม่มีแนวทางที่ชัดเจนและฝึกฝนไปทุกอย่างก็มีโอกาสมากที่จะหลงทาง อาจเป็นไปได้ว่าข้าจะเดินเป็นวงกลม แม้ว่าจะใช้เวลาสิบหรือยี่สิบปีโดยมิได้อะไรออกมา นี่เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้การฝึกฝนวิชากระบี่เกือบทั้งหมดของเทพอสูรเติ้งเฟิงล้มเหลว”
“รุ่นน้องหลายคนฝึกฝนวิชากระบี่อย่างขยันขันแข็งเช่นเดียวกับเทพอสูรเติ้งเฟิง อย่างไรก็ตามหลายคนพบกับความล้มเหลว ส่วนใหญ่ยอมแพ้กลางคัน นั่นเป็นเพราะพวกเขาได้รับคำแนะนำจากสำนักเต๋าและคำแนะนำของผู้อาวุโสของพวกเขา ใครจะสามารถเพิกเฉยต่อการรบกวนจากโลกภายนอกและเสียเวลาแปดชั่วโมงทุกวันเพื่อฝึกฝนการเคลื่อนไหวเพียงท่าเดียวได้กัน”
“และแม้ว่าใครจะสามารถเพิกเฉยต่อการรบกวนทั้งหมดและฝึกฝนการเคลื่อนไหวเพียงท่าเดียว ก็ยังเป็นเรื่องปกติที่จะหลงทาง”
“แน่นอนว่ามีกรณีที่ประสบความสำเร็จเช่นกัน นั่นนำไปสู่คำพูดที่ว่า“ วิชาเดียวก็หากินได้” “
“ข้าต้องการแนวทางที่ชัดเจนเพื่อให้แน่ใจว่าข้ากำลังก้าวหน้า การมุ่งหน้าไปข้างหน้าโดยไม่มีการเลี้ยวหรืออ้อม ข้าจะไปให้ไกลกว่านี้ทุกวัน ในท้ายที่สุดข้าจะสามารถไปถึงจุดหมายที่อยู่ห่างออกไปหนึ่งพันไมล์ได้อย่างแท้จริง”
“ทำไมข้าถึงชอบกระบี่ที่ว่องไว เป็นเพราะมันรวดเร็ว ดังนั้นทิศทางที่ข้าจะเลือกก็คือความเร็ว”
…
สนามฝึกซ้อม
“นายน้อยข้าจะเริ่มได้หรือยัง” ยามยืนอยู่บนกิ่งไม้โดยมีหน้าไม้เล็งไปที่พื้น
“เริ่ม” เมิ่งชวนยืนนิ่ง
ควับ
ยามเหนี่ยวไกหน้าไม้และลูกศรก็พุ่งลงไปด้านล่างทันที
เมิ่งชวนชักกระบี่ของเขาและฟันออกอย่างฉับพลัน
เชี๊ยะ
ลูกศรถูกฟันขาดออกเป็นสองท่อนและลำแสงกระบี่ตัดผ่านต้นไม้หนาทึบทิ้งรอยไว้
“หากรอยที่ถูกบากไว้บนต้นไม้จากลำแสงกระบี่ยังคงเปลี่ยนตำแหน่งสูงขึ้นไป นั่นย่อมหมายความว่ากระบี่ของข้ากำลังเร็วขึ้น ข้าจะสามารถฟ้นลูกศรขาดครึ่งได้เร็วกว่าเดิม”
การฆ่าศัตรู การป้องกัน และการหลบหนี
เขาฝึกฝนเพียงท่าเดียวสำหรับฆ่า ตามสัญชาตญาณและความชอบที่มากที่สุด เขาจึงเลือกท่าชักกระบี่ เขาสนุกกับความเงียบขณะกระบี่ออกจากฝักและเสียงตัดผ่านสายลมของมัน การเคลื่อนไหวของกระบี่นั้นสวยงามมากจนเขาหลงใหลมันทุกครั้ง เขาพบว่าเสียงของลมที่ถูกตัดผ่านน่าพอใจยิ่งขึ้นทุกขณะที่เขาชักกระบี่ของเขาได้เร็วยิ่งขึ้น
เขาฝึกฝนเพียงท่าเดียวเพื่อไล่ตามความเร็ว
ความเร็ว เขาชอบมาตั้งแต่เด็ก
ยิ่งเร็วยิ่งดี
ฟิ้ว
ยามบนต้นไม้ยิงลูกศรอีกครั้ง ข้อดีของหน้าไม้คือการยิงที่มั่นคง ความเร็วของลูกศรแต่ละลูกสามารถรับประกันได้ว่าจะสม่ำเสมอกัน มีแต่เพียงการกระทำเช่นนั้น เมิ่งชวนจึงจะสามารถยืนยันได้ว่าความเร็วของกระบี่ของเขาเพิ่มขึ้น เขาไม่เพียงแต่ไล่ตามความเร็วเท่านั้น แต่ต้องมีความแม่นยำด้วย ในเสี้ยววินาทีนั้นเขาจำเป็นต้องฟันลูกศรให้ขาดออกด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว
ทุกวันเมิ่งชวนได้ฝึกฝนกระบวนท่าแรกนั่นคือท่าชักกระบี่ เขาจะชักกระบี่ของเขาและฟาดฟันลูกศรเป็นเวลาหกชั่วโมงเกือบแปดพันครั้ง
ท่าชักกระบี่นี้มีต้นกำเนิดมาจากท่าชักกระบี่ในเพลงกระบี่ใบไม้ร่วง มันเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรที่เขาหยวนชูได้ตัดสินใจใช้ในทุกสำนักเต๋าของราชวงศ์โจวอันยิ่งใหญ่ เพราะการเคลื่อนไหวของมันนั้นสมบูรณ์แบบ
ตอนที่ 18 การพบกับย่าทวดครั้งแรก
คฤหาสน์กระจกทะเลสาบตระกูลเมิ่ง
เมิ่งชวนฝึกเพลงกระบี่ใบไม้ร่วงในสนามฝึกซ้อม ร่างกายของเขาเหมือนลมกระโชกแรง ท่ามกลางประกายแสงกระบี่ที่กระพริบวูบวาบ เขาร่ายรำเพลงกระบี่ทั้งชุดเสร็จในพริบตา จากนั้นเขากึเดินไปที่ม้านั่งหินและนั่งลงจมอยู่ในห้วงความคิด
เขานึกถึงบทสนทนาของเขากับเจ้าสำนักเก๋อหยูเมื่อวานนี้
“ท่านเจ้าสำนักขอรับ หลังจากที่ข้าค้นพบวิชาลับ กระบี่ใบไม้ร่วงของข้าก็ถึงสภาพสมบูรณ์ ไม่มีช่องทางที่จะให้ปรับปรุงอีกต่อไป ข้าควรจะฝึกฝนอย่างไรต่อไปเพื่อค้นหาพลังกระบี่ “
“เมิ่งชวน ยิ่งเจ้าฝึกฝนวิชากระบี่มากเท่าไหร่ เจ้าก็จะต้องพึ่งพาตัวเองมากขึ้นเท่านั้น สิ่งที่ข้าสามารถสอนเจ้าได้นั้นมีจำกัด” เจ้าสำนักเก๋อหยูกล่าวพร้อมรอยยิ้มขณะที่เขาดื่มเหล้า “ข้าบอกเจ้าได้แค่ว่าข้าได้ค้นพบพลังอย่างไรเท่านั้น ย้อนกลับไปตอนที่ข้าอยู่ในสนามรบในเส้นทางฉินหยาง ข้าต้องเผชิญหน้ากับอสูรในการต่อสู้แบบเอาชีวิตเข้าแลก ข้าเริ่มพบว่าเพลงกระบี่ของข้าค่อนข้างเป็นภาระ ดังนั้นข้าจึงค่อยๆปรับเปลี่ยนเพลงกระบี่ของข้า”
“ข้าใช้อะไรก็ได้ที่ฆ่าอสูรได้ง่ายที่สุด หลังจากรับราชการทหารข้าได้ขออยู่ที่เส้นทางฉินหยาง และใช้เวลาสิบสองปีที่นั่น วันหนึ่ง เพลงกระบี่ที่สร้างขึ้นเองของข้าก็ได้มาถึงจุดสูงสุดและข้าก็ค้นพบพลังกระบี่” เจ้าสำนักเก๋อหยูกล่าว
“เพลงกระบี่ที่สร้างขึ้นเองรึ” เมิ่งชวนรู้สึกประหลาดใจ
“ถูกตัองแล้ว” เก๋อหยูยิ้มขณะดื่มเหล้า “เมื่อเจ้าฝึกฝนเพลงกระบี่ชั้นยอดจนสมบูรณ์แบบแล้ว เจ้าจะสามารถเข้าใจวิชาลับและเข้าถึงขั้นหนึ่งเดียว และเจ้าจะสามารถเข้าใจพลังกระบี่ได้หากเจ้าสร้างสุดยอดวิชาที่เรียกได้ว่าเป็นของเจ้าเอง”
“ท่านเจ้าสำนัก ท่านสร้างเพลงกระบี่แบบไหนรึ ขอข้าดูหน่อยได้ไหม” เมิ่งชวนถามอย่างสงสัย
“ฮ่าฮ่า ให้เป็นบุญตาของเจ้า” ในเวลานั้นเจ้าสำนักเก๋อหยูที่เมาไปแล้วครึ่งหนึ่งก็เริ่มตื่นเต้นขึ้นขณะที่เขาเริ่มแสดงเพลงกระบี่ของเขา
เพลงกระบี่ของเขานั้นน่ากลัวยิ่ง มหัศจรรย์ยิ่ง และดุร้ายยิ่ง
เก๋อหยูนั้นผอม แต่เขาถือกระบี่ยาวเหมือนลิงที่ถือกระบี่ กระบี่ส่งแสงวาววับล้อมรอบตัวเขาราวกับว่าทุกส่วนในร่างกายของเขาสามารถสร้างแสงกระบี่ได้ สนามกว้างหนาวเย็นลง ใบไม้นับไม่ถ้วนฉีกออกเป็นชิ้น ๆ และโบยบินอยู่ภายใต้ประกายกระบี่ เมิ่งชวนรู้สึกหนาวสั่นเมื่อได้เห็นเพลงกระบี่ที่น่ากลัวและมหัศจรรย์นี้
นี่เป็นเพียงการฝึกซ้อมให้ดูเท่านั้น ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับการสังหารศัตรูด้วยกำลังทั้งหมดของเขา มันอาจจะมีพลังมากกว่าสิบเท่าเมื่อต้องฆ่าศัตรู
นี่คือกระบี่ที่รวดเร็วที่สุดของเมืองตงหนิง
“เพลงกระบี่นี้ไม่เหมาะกับเจ้า” เจ้าสำนักเก๋อหยูสะบัดกระบี่เสียบเข้าไปในฝักที่ห้อยอยู่ข้างตัว เขายิ้มและพูดว่า “นี่เป็นเพลงกระบี่ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับข้า ข้าตัวเล็กและผอม แต่แขนค่อนข้างยาว เพลงกระบี่นี้เหมาะสำหรับโครงสร้างร่างกายของข้า สำหรับคนทั่วไปเช่นเจ้าก็ควรฝึกฝนกระบี่ใบไม้ร่วง กระบี่ใบไม้ร่วงถูกสร้างโดยเทพอสูรจากเขาหยวนชู ดังนั้นจึงเหมาะสมที่สุดที่จะใช้เป็นพื้นฐานด้วยเช่นกัน”
“สำนักเต๋าจิงหูไม่เหลืออะไรสอนเจ้าอีกแล้ว เพราะเจ้าได้ฝึกฝนกระบี่ใบไม้ร่วงจนสมบูรณ์แบบแล้ว เจ้าจะต้องพึ่งพาตัวเองแล้ว” เก๋อหยูกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ ในฐานะเจ้าสำนัก ข้าไม่มีความปรารถนาอื่นใดมากมาย ข้าแค่ต้องการสร้างเทพอสูรเขาหยวนชูเท่านั้นในชีวิตของข้า ฮ่าฮ่า หากเป็นเช่นนั้น ข้า เก๋อหยู ย่อมจะสามารถคุยโม้ไปได้ตลอดชีวิต”
…
เมิ่งชวนครุ่นคิดขณะที่เขานึกถึงบทสนทนา
“ชวนเอ๋อร์” เมิ่งต้าเจียงมาที่สนามฝึกซ้อม
“พ่อ.” เมิ่งชวนลุกขึ้นยืน
“มา ตามข้าไปที่คฤหาสน์ของบรรพบุรุษเพื่อพบกับย่าทวดของเจ้า” เมิ่งต้าเจียงกล่าว
เมิ่งชวนเต็มไปด้วยความตื่นเต้น “ย่าทวด…พ่อกำลังหมายถึง…”
“ใช่แล้ว เซียนกู” เมิ่งต้าเจียงกล่าวเบาๆ
ดวงตาของเมิ่งชวนสดใสขึ้น นี่คือความภาคภูมิใจของตระกูลเมิ่ง เป็นเสาหลักในการสนับสนุนตระกูลเมิ่ง เทพอสูรคนที่สองในประวัติศาสตร์ตระกูลเมิ่ง
“พ่อ เราไปกันเถอะ” เมิ่งชวนตื่นเต้นมากและแทบรอไม่ไหวที่จะได้เห็นย่าทวดของเขา
…
ในคฤหาสน์บรรพบุรุษ ที่อยู่อาศัยของเมิ่งเซียนกูดูธรรมดา เพียงแต่มีลานบ้านที่ใหญ่กว่าบ้านหลังอื่นในคฤหาสน์บรรพบุรุษเล็กน้อย
“ตามข้ามา” เมิ่งต้าเจียงพาเมิ่งชวนเข้าไปในลานอย่างระมัดระวัง ไม่กล้าส่งเสียงดัง
ในลานบ้านหญิงชราคนหนึ่งกำลังถือไม้เท้าดูดอกท้อ เธอมองดูดอกไม้ที่เพิ่งผลิบานอย่างตั้งอกตั้งใจ
เมิ่งชวนสังเกตอย่างรอบคอบ
หญิงชราเงียบมากเมื่อสังเกตเห็นดอกท้อราวกับว่าเธอกลายเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าดิน หากหลับตาลงก็คงไม่สามารถสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของหญิงชรา เมิ่งชวนเข้าใจว่าหญิงชราคนนี้น่าจะเป็นเมิ่งเซียนกู ย่าทวดของเขา
“เจ้าอยู่ที่นี่รึ” เมิ่งเซียนกูหันหน้าไปทางเธอและยิ้มให้กับคู่พ่อลูก
“เร็วเข้าทักทายย่าทวดของเจ้า” เมิ่งต้าเจียงกระตุ้นเบาๆ
จากนั้นเมิ่งชวนก็รีบไปข้างหน้า เขาคุกเข่าคำนับ “ สวัสดีขอรับย่าทวด”
“ลุกขึ้นเร็ว” เมิ่งเซียนกูนั่งลง “พวกเจ้าทั้งสองคนก็นั่งลง”
ดังนั้นเมิ่งต้าเจียงและเมิ่งชวนก็นั่งลงที่ด้านข้าง
เมิ่งชวนสงสัยมากเกี่ยวกับย่าทวด เขาสังเกตรูปร่างหน้าตาของเธออย่างระมัดระวัง เธอจะต้องสวยมากเมื่อยังเด็ก เมิ่งเซียนกูดูเหมือนคนทั่วไปในวัยสามสิบหรือสี่สิบก่อนที่เธอจะบาดเจ็บ
“ชวนเอ๋อร์มานี่ซิ เข้ามาใกล้ข้ามากกว่านี้” เมิ่งเซียนกูกล่าวอย่างอ่อนโยน
เมิ่งชวนนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ใกล้ๆในทันที
เมิ่งเซียนกูจับมือของเมิ่งชวนและมองไปที่เขา ยิ่งเธอมองมากเท่าไหร่เธอก็ยิ่งชอบเขามากขึ้นเท่านั้น นี่คือความหวังของตระกูลเมิ่ง
“ชวนเอ๋อร์เจ้าน่าจะอยู่ที่ระดับชำระแก่นแท้ที่สมบูรณ์ในอีกสองหรือสามเดือนข้างหน้านี้ใช่ไหม” เมิ่งเซียนกูถาม
“ใช่” เมิ่งชวนพยักหน้า
“ระดับสร้างรากฐาน ระดับกำเนิดปราณ ระดับชำระแก่นแท้ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพียงการหล่อหลอมรากฐานของเจ้า มันช่วยให้คนเราสามารถฝึกฝนร่างกายของพวกเขาให้สมบูรณ์ได้” เมิ่งเซียนกูกล่าว “เมื่อคนผู้หนึ่งอยู่ในระดับก่อกำเนิด พวกเขาจะเริ่มปลดเปลื้องพ้นธะความเป็นคนธรรมดา สร้างร่างเทพอสูรและค่อยๆครอบครองพลังของเทพอสูร นี่คือการเปลี่ยนแปลงตามลำดับธรรมชาติของชีวิต คล้ายกับมดที่กลายร่างเป็นเสือหรือเสือดาว เราจะค่อยๆเปลี่ยนจากคนธรรมดาไปเป็นเทพอสูร”
“ขั้นตอนแรกในการเปลี่ยนแปลงคือระดับก่อกำเนิด”
“ขั้นตอนนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง ในขั้นตอนนี้เราสามารถสร้างรากฐานเทพอสูรที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งได้ตราบเท่าที่มีการจัดหาสมบัติที่ล้ำค่ามากเพียงพอ ..”
“สร้างรากฐานของเทพอสูรรึ” เมิ่งชวนตะลึง
“การเติบโตของทารกในครรภ์มารดามีความสำคัญมาก” เมิ่งเซียนกูกล่าว “ตระกูลเทพอสูรโบราณบางตระกูลจะให้หญิงตั้งครรภ์กินสมบัติล้ำค่าทุกชนิด เมื่อคลอดออกมาแล้วลูกของพวกเขาจะเหนือล้ำเกินใคร”
“ระดับก่อกำเนิดนั้นก็คล้ายกับการเติบโตในครรภ์ของเทพอสูร” เมิ่งเซียนกูกล่าว “มันสามารถเปลี่ยนพรสวรรคฐของคนผู้หนึ่งได้ในช่วงเวลาที่วิกฤตที่สุด ข้าได้ใช้สมบัติทั้งหมดที่ตระกูลของเราเก็บมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา เพื่อแลกกับน้ำไขกระดูกหยกเทพอสูรหนึ่งหยด เมื่อเจ้าเริ่มสร้างร่างเทพอสูร เจ้าก็จะสามารถกินได้ทันที นั่นจะทำให้เจ้ามีรากฐานที่แข็งแกร่ง ความแข็งแกร่งของร่างกายและความบริสุทธิ์ของปราณของเจ้าจะเหนือกว่าคนรุ่นราวคราวเดียวกับเจ้า”
“น้ำไขกระดูกหยกเทพอสูรรึ” เมิ่งต้าเจียงตกใจ “ นี่…ป้าทำแบบนี้…” บางทีเงินออมของตระกูลเมิ่งกว่าครึ่งคงจะหมดไปแล้ว
ไม่มีการพูดคุยเรื่องนี้กับผู้นำตระกูลและผู้อาวุโส ดังนั้นเมิ่งต้าเจียงจึงไม่รู้
“นี่เป็นการตัดสินใจของข้าและข้าก็ได้ทำไปแล้ว” เมิ่งเซียนกูกล่าว “รากฐานของเทพอสูรนั้นสำคัญมาก หากเจ้าพลาดช่วงแรกสุดในช่วงระดับก่อกำเนิดก็จะไม่มีสมบัติใดในอนาคตที่สามารถเปลี่ยนรากฐานได้อีก มันคุ้มค่าที่จะใช้ทรัพยากรทั้งหมดของตระกูลเราสำหรับหนึ่งหยดของน้ำไขกระดูกหยกเทพอสูร”
ทันใดนั้นเองเมิ่งชวนก็รู้สึกกดดันเป็นอย่างมาก
เหตุใดย่าทวดจึงใช้ความพยายามทั้งหมดของเธอในเรื่องนี้ ถึงต้องการแลกเปลี่ยนสมบัติของตระกูลทั้งหมดเป็นน้ำไขกระดูกหยกเทพอสูรเพียงหยดเดียว และเหมือนจะเฉพาะสำหรับตัวเขาด้วย ปกติแล้วตระกูลจะรักษากฎเกณฑ์ที่ยุติธรรมมาโดยตลอด เขาเพียงแค่สำเร็จวิชาลับเท่านั้น การที่เขาจะได้กลายเป็นเทพอสูรหรือไม่นั้นยังไม่แน่นอน แต่ทำไมตระกูลถึงได้ดูแลเขามากขนาดนี้
“ชวนเอ๋อร์” เมิ่งเซียนกูยิ้มขณะมองเด็กที่ร่วมสายเลือดกับเธอคนนี้ เธอบอกได้ว่าเขารู้สึกไม่สบายใจ “ข้าได้รับบาดเจ็บสาหัสและสามารถมีชีวิตอยู่ได้อีกเจ็ดถึงแปดปี ดังนั้นข้าไม่สามารถรอได้อีกต่อไป ข้าต้องทำให้ดีที่สุดเพื่อดูแลเจ้า”
เมิ่งชวนตกตะลึง
เสาหลักของตระกูลสามารถอยู่ได้อีกเจ็ดถึงแปดปีเท่านั้นรึ
เมิ่งเซียนกูกล่าวต่อไปว่า“ ไม่เพียง แต่ข้าแลกเปลี่ยนน้ำไขกระดูกหยกเทพอสูรมาให้เจ้าเท่านั้น แต้มทั้งหมดที่ข้าสะสมกับเขาหยวนชูจากการต่อสู้กับอสูรมาเป็นเวลากว่า 80 ปีจะถูกโอนมาให้เจ้า ทันทีที่เจ้าสำเร็จพลังกระบี่ก่อนอายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์”
“ย่าทวดเจ้าสะสมแต้มนี้มาหลายปีแล้ว” เมิ่งต้าเจียงกล่าว
“มันคุ้มค่าตราบใดที่ตระกูลสามารถสร้างเทพอสูรขึ้นมาได้อีก” เมิ่งเซียนกูมองไปที่เมิ่งชวน “ชวนเอ๋อร์ เจ้าคือความหวังเดียวของตระกูลเรา ข้ามีความรู้สึกว่าเจ้าสามารถแบกรับภาระทั้งหมดนี้ได้”
เมื่อเมิ่งชวนอายุหกขวบเขาประสบกับหายนะ อารมณ์ของเขานั้นหนักแน่นเป็นพิเศษ ดังนั้นเขาจึงยอมรับมันได้อย่างรวดเร็ว เขาพยักหน้าและพูดว่า “ย่าทวดข้าไม่รู้ว่าข้าจะกลายเป็นเทพอสูรได้ไหม แต่ข้าจะทำทุกอย่างที่ทำได้”
“จงสงบสติอารมณ์เสียในตอนนี้” เมิ่งเซียนกูยิ้มและพยักหน้า “ดีแล้ว เจ้าไม่ทำให้ข้าผิดหวัง”
เมิ่งต้าเจียงรู้สึกกังวลอยู่บ้าง
“ต้าเจียง” เมิ่งเซียนกูกล่าว “บางทีเจ้าอาจไม่เห็นด้วยกับการที่ข้าบอกชวนเอ๋อร์ทุกอย่างและพนันทุกอย่างไว้กับเขา แต่การที่จะกลายเป็นเทพอสูรนั้น เราจะไม่มีความแข็งแกร่งได้อย่างไร เจ้าต้องเชื่อมั่นในตัวลูกชายของเจ้า เมิ่งชวนแข็งแกร่งกว่าที่เจ้าคิด”
ตอนที่ 17 สิ้นสุดงานเลี้ยงตัดอสูร
“วังหยกสุริยันนี้ปฏิบัติต่อเหมยหยวนจึ่อเป็นอย่างดี พวกเขายังหาหัวหน้าอสูรที่สร้างแก่นอสูรมาให้เขาต่อสู้ด้วยเป็นการเฉพาะ” หวินฟู่เฉิงหัวเราะเบาๆ “พวกเขาหวังว่าเหมยหยวนจื่อคนนี้จะใช้การต่อสู้ครั้งนี้เพิ่มโอกาสของตนเองที่จะเข้าสู่เขาหยวนชูในอนาคต”
“พี่ใหญ่ ท่านคิดว่าเหมยหยวนจื่อจะสามารถเข้าสู่เขาหยวนชูได้หรือไม่” หวินฟู่อันถาม “ถ้าหากว่าเขาสามารถเข้าสู่เขาหยวนชูกลายเป็นเทพอสูรได้ ข้าเกรงว่าเขาจะบดบังพวกเราตระกูลหวิน”
จากทั้งเมืองตงหนิงนั้น มีเพียงผู้นำตระกูลของตระกูลจางเท่านั้นที่เป็นเทพอสูรจากเขาหยวนชู
จะเกิดอะไรขึ้นถ้ามีอีกคน
“เข้าสู่เขาหยวนชูรึ เจ้าคิดว่ามันง่ายนักรึที่จะเข้าเขาหยวนชู” หวินฟู่เฉิงถามเบาๆ “ราชวงค์ต้าโจวมียี่สิบสามรัฐ แต่มีเพียงยี่สิบตำแหน่งเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น ทายาทของเทพอสูรจากเมืองหลวงและสถานที่อื่นๆก็ต้องการที่จะเข้าไปเช่นเดียวกัน อัจฉริยะที่เกิดจากตระกูลสามัญจะเข้าเขาหยวนชูนั้น…จะยากยิ่งกว่าทายาทของเหล่าเทพอสูรที่ทรงอำนาจพวกนั้น”
“แล้วเมิ่งชวนล่ะ” หวินฟู่อันอดถามไม่ได้ “เมิ่งเซียนกูต้องช่วยเมิ่งชวนอย่างถึงที่สุดอย่างแน่นอน”
“เมิ่งเซียนกูคือใครกัน” หวินฟู่เฉิงส่ายหน้าช้าๆ เขาใช้พลังของตนเองปกป้องพื้นที่ไม่ให้เสียงเล็ดรอดออกไป “เธอมิได้เข้าไปในเขาหยวนชู แม้กระทั่งท่านพ่อเองเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือการเข้าสู่เขาหยวนชู”
หวินฟู่อันพยักหน้า
การสามารถเข้าสู่เขาหยวนชูได้กลายเป็นเส้นแบ่งความแข็งแกร่งของเทพอสูร
ตราบใดก็ตามที่พวกเขาแข็งแกร่งพอ เขาหยวนชูก็จะรับพวกเขาเข้าไป
สำหรับเหมยหยวนจื่อนั้น เขาตระหนักถึงวิชา “พลังน้ำแข็ง” สายเกินไป มีโอกาสเพียงสองหรือสามส่วนเท่านั้น หวินฟู่เฉิงกล่าว “และข้าก็เข้าใจถึงสภาพจิตใจของเขา เขานั้นค่อนข้างหยิ่ง ต่อให้เขาได้เป็นเทพอสูรของเขาหยวนชูเองก็ตาม เขาก็ไม่ยินดีที่จะอยู่ที่ตงหนิง”
ในโลกนี้ นอกจากผู้ที่ผูกมัดอยู่กับตระกูลใหญ่แล้ว อัจฉริยะจากตระกูลทั่วไปที่ไม่มีความผูกพันนั้นมักจะไปตั้งหลักปักฐานอยู่ในเมืองหลวงหรือแม้กระทั่งย้ายครอบครัวของตัวเองนั้นไปอยู่ในพื้นที่เขาหยวนชู
……
หลายฝ่ายต่างพากันพูดถึงเหมยหยวนจื่อ
หลายคนรู้สึกว่าเหมยหยวนจื่อนั้นมีโอกาสน้อยมากที่จะเข้าสู่เขาหยวนชู แต่พวกเขาก็รู้ว่าอย่างน้อยเหมยหยวนจื่อนั้นก็ยังมีโอกาสอยู่ ซึ่งก็ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่น่าประทับใจแล้ว
“ระวังตัวให้ดี” เจ้าวังหยกสุริยันเตือน
“ขอรับ” เหมยหยวนจื่อที่ผอมบางยืนขึ้นและเดินไปยังเวทีประลอง
ที่เวทีประลองฝั่งตรงกันข้ามเขาเป็นร่างของสัตว์ประหลาดมีเปลือกหุ้มสีดำที่มีหน้าตาเป็นผู้หญิงที่มีแขนหกข้างมีเปลือกหุ้มสีดำล้อมรอบ มันยังมีหางแหลมสีดำที่เด่นชัดเป็นพิเศษ มันมองมาที่เหมยหยวนจื่อด้วยรอยยิ้มบางๆ น้ำเสียงของมันอ่อนโยน “เด็กน้อย ข้ารับรู้ได้ถึงความมีชีวิตชีวาที่เติบโตอยู่ในตัวของเจ้า”
เหมยหยวนจื่อดึงกระบี่ออกจากฝัก ความหนาวสะท้านก็กลั่นตัวขึ้น ในเวลานี้เหมยหยวนจื่อนั้นก็เหมือนกับภูเขาน้ำแข็งล้านปีที่ก่อตัวขึ้น อากาศก็เริ่มเยือกเย็นลง และพื้นเวทีประลองก็เริ่มเกาะตัวเป็นน้ำแข็ง
“พลังน้ำแข็งงั้นรึ” อสุรีตะขาบยิ้ม “แต่ดูเหมือนว่าเจ้าเพิ่งตระหนักรู้ได้ไม่นานนัก”
“ฆ่า”
ดวงตาของเหมยหยวนจื่อนั้นเปล่งประกายเย็นเยียบ
ร่างของเขาพลันแยกออกเป็นเจ็ดร่าง ร่างทั้งเจ็ดนั้นปรากฏตัวขึ้นในตำแหน่งที่แตกต่างกันไป ต่างพากันฟาดฟันกระบี่เข้าใส่อสุรีตะขาบนั้น
รังสีกระบี่เจ็ดเล่มพุ่งเข้าใส่อสุรีตะขาบที่อยู่ตรงกลางทันที
“พลังน้อยนิดแค่นี้ เจ้ายังแบ่งออกมาโจมตีอยู่รึ” อสุรีตะขาบที่ยืนอยู่ไม่ได้ขยับ แต่แขนทั้งหกของมันยื่นออกไปยังแต่ละทิศทางเพื่อรับมือ ตูม ตูมๆๆๆ ฝ่ามือของอสุรีตะขาบนั้นเป็นสีขาว แต่แข็งแกร่งมาก มันสามารถทำลายรังสีกระบี่ทุกสายที่เข้าปะทะได้
“วูบ”
ทันใดนั้นเหมยหยวนจื่อก็มาปรากฏตัวใกล้ๆกับอสุรีตะขาบ กระบี่ในมือพุ่งไปยังหัวของอสุรีตะขาบ มันเป็นวิชากระบี่ที่แปลกประหลาด แต่ก็เร็วกว่าและน่ากลัวกว่ากระบี่ก่อนหน้านี้ทั้งเจ็ดเล่ม
“หือ” อสุรีตะขาบนั้นประหลาดใจ สองมือของมันรวบคว้าจับตัวกระบี่
ม้นจ้องมองไปยังเหมยหยวนจื่อพร้อมกับแสยะยิ้ม “รังสีกระบี่ทั้งเจ็ดนั้นตั้งใจให้ข้าสับสน ส่วนนี่จึงเป็นท่าสังหารอย่างงั้นสินะ”
“ระเบิด” ดวงตาของเหมยหยวนจื่อเปล่งแสงประกาย
กระบี่ที่อยู่ในมือของอสุรีตะขาบพลันระเบิดออกมา ชิ้นส่วนของกระบี่แหลมคมนั้นก็พุ่งออกไป ชิ้นส่วนเหล่านั้นห่อหุ้มไปด้วยปราณ ด้วยระยะทางที่ใกล้กันเกินไปเศษอาวุธเหล่านั้นจึงพุ่งเข้าใส่ใบหน้าของอสุรีตะขาบจนมันต้องกรีดร้องโหยหวน
เหมยหยวนจื่อสร้างน้ำแข็งบนฝ่ามือสองข้าง แล้วแยกย้ายกันกระแทกเข้าตรงหน้าอกของอสุรีตะขาบ
“ตูม” อสุรีตะขาบถูกกระแทกปลิวออกไป
“นี่จึงเป็นท่าไม้ตายอย่างแท้จริง” เหมยหยวนจื่อมีสายตาเย็นชา เขารู้ดีว่าตนเองนั้นด้อยกว่าอสุรีตะขาบที่สามารถสร้างแก่นอสูรได้แล้ว ดังนั้นสิ่งแรกที่เขาต้องทำก็คือให้คนอื่นเข้าใจว่าเขานั้นเก่งในเรื่องกระบี่ แต่ตามความเป็นจริงแล้ว เขาหยั่งรู้ในเรื่องของพลังน้ำแข็ง การจะใช้กระบี่หรือหมัดฝ่ามือในการใช้พลังน้ำแข็งนั้นไม่มีความแตกต่าง กระบี่นั้นไม่ได้มีความสำคัญสำหรับเขา มีไว้เพียงเพือที่จะทำให้คนไขว้เขวเท่านั้น
อสุรีตะขาบนั้นที่หน้ามีบาดแผลเต็มไปด้วยเลือด ที่อกของมันยุบลงไป มันส่งเสียงร้องอย่างโหยหวนกราดเกรี้ยวขณะที่ปลิวถอยไปข้างหลัง “ร้ายกาจนัก เผ่ามนุษย์จงตายเสียเถอะ”
พลังปราณของอสุรีตะขาบที่โกรธแค้นนั้นพุ่งสูงขึ้นในทันที และแก่นอสูรของมันก็ระเบิดออกเมื่อพลังพุ่งขึ้นไปจนถึงจุดสูงสุด
“ตาย”
อสุรีตะขาบฟาดหกฝ่ามือของมันออกไปในคราวเดียวกัน แต่ทิศทางของฝ่ามือนั้นกลับแปลกประหลาดเมื่อมันฟาดออกไปยังสองสำนักเต๋าที่อยู่ใกล้ที่สุด สำนักเต๋าลี่หยาง และสำนักเต๋าเฟิงหยาง
ชุ ชุ ชุ ชุ
ชั่วขณะจิตนั้นฝ่ามือทั้งหกข้างก็ปลดปล่อยแสงสีดำหลายร้อยจุด มุ่งไปยังตำแหน่งที่สำนักเต๋าทั้งสองนั่งอยู่ หางของอสูรตะขาบนั้นก็ยกสูงขึ้นพร้อมกับเหล็กไนที่แหลมคมก็แทงเข้าไปยังเหมยหยวนจื่อที่ยังคงตกตะลึง
“แย่แล้ว”
“ระวัง”
เกิดความตกใจและสับสนอลหม่านในทุกทิศทาง
เจ้าสำนักทั้งสองคนของสำนักเต๋าลี่หยางกับสำนักเต๋าเฟิงหยางต่างตระหนกและโกรธเคืองขึ้นมาในทันที ศิษย์ทั้งสิบสองคนนั้นก็ยิ่งหวาดกลัว
“ข้าหยุดมันไว้ไม่ได้” เจ้าสำนักเต๋าทั้งสองเผชิญกับแสงสีดำนับร้อย ถือว่าเป็นโชคดีหากว่าพวกเขาสามารถปกป้องศิษย์ไว้ได้สักหนึ่งหรือสองคนขณะที่กำลังปกป้องตัวเองอยู่นั้น แต่ไม่มีทางที่เขาจะปกป้องศิษย์ทุกคนได้
“ชีเยว่” เมิ่งชวนก็ตื่นตัวขึ้นมาเช่นเดียวกัน เขากำลังเฝ้าดูการต่อสู้ แต่ก็เกิดวิกฤตขึ้นมาอย่างกระทันหัน อสุรีตะขาบได้โจมตีศิษย์สำนักเต๋าที่กำลังดูการต่อสู้อยู่อย่างงั้นเหรอ
“หยุด” เจ้าวังหยกสุริยันที่นั่งอยู่ตรงนั้นขมวดคิ้วเล็กน้อยและสั่งออกมาเบาๆ
ความว่างเปล่ารอบตัวพวกเขานั้นพลันสั่นสะท้าน
แสงสีดำหลายร้อยจุดที่รวดเร็วกว่าลูกศรนั้นพลันแตกสลายไปจนหมดสิ้น
อสุรีตะขาบสูญเสียการควบคุม มันถูกลากลอยขึ้นไปบนอากาศและไม่สามารถที่จะขยับเขยื้อนได้แม้แต่นิ้วเดียว มันจ้องมองไปยังเจ้าวังหยกสุริย้นที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ “เป็นไปไม่ได้ เจ้าไม่ควรจะสามารถหยุดข้าได้เมื่อข้าได้ทำลายแก่นอสูรจากระยะไกลเช่นนั้น…”
“ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้”
เจ้าวังหยกสุริยันลุกขึ้นและเดินเพียงสองก้าวเขาก็ไปถึงยังเวทีประลอง เขามองไปยังอสุรีตะขาบที่ถูกตรึงไว้อย่างสมบูรณ์ไม่มีทางต่อต้านได้ เขากล่าวว่า “ข้ามิคิดว่าเจ้าจะมีความกล้าที่จะทำลายแก่นอสูรและพยายามฆ่าผู้คนของเรา”
“ฮ่าฮ่าฮ่า” อสุรีตะขาบหัวเราะแหบโหย “เจ้าไม่ใช่ว่าต้องการใช้ข้าเพื่อฝึกฝนคนรุ่นเยาว์ของเจ้าอย่างงั้นรึ ข้าจะทำตามที่เจ้าต้องการไปทำไมกัน และไม่เพียงแค่นั้น ข้าก็ยังต้องการฆ่าคนรุ่นเยาว์ของเจ้าด้วย ยิ่งข้าฆ่าได้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น น่าเสียดายที่สุดท้ายมันล้มเหลวไม่มีใครที่ถูกฆ่าเลย แค่ก แค่ก-”
เลือดสีเขียวไหลออกมาที่มุมปาก
แก่นอสูรถูกทำลาย มันไม่สามารถที่จะมีชีวิตอยูได้นาน
“อีกไม่นาน โลกทั้งหมดก็จะตกเป็นของอสูร และตอนนั้นพวกเจ้าทุกคนก็จะต้องตายกันหมด พวกเจ้า—” อสุรีตะขาบตะโกนออกมา
“ฉั่วะ”
ทั้งตัวของอสุรีตะขาบถูกตัดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยด้วยเส้นด้ายที่มองไม่เห็น ชั่วพริบตาก็กลายเป็นแอ่งน้ำสีเขียวคล้ำ
“ไร้สาระ” เจ้าวังหยกสุริยันยิ้มหยันแล้วหันไปหาเหมยหยวนจื่อ เหมยหยวนจื่อเองยังคงตกตะลึง เขาไม่คาดคิดว่ามันจะฉวยโอกาสจากท่าไม้ตายของเขา มันจงใจยอมรับการโจมตีของเขาและกระเด็นถอยไปด้านหลังเพื่อที่จะเข้าไปใกล้กับเหล่าศิษย์ของสำนักเต๋าเพื่อถือโอกาสที่จะฆ่าศิษย์สำนักเต๋าเหล่านั้น ซึ่งตั้งแต่ต้นจนจบอสุรีตะขาบไม่ได้คิดที่จะต่อสู้กับเขาเลย
“มันเป็นเพียงแค่หัวหน้าอสูรที่สร้างแก่นอสูรได้ แต่ในเมื่อหัวหน้าอสูรตัวนี้ไม่เชื่อฟัง… เอาล่ะ เจ้าลงไปได้แล้ว” เจ้าวังหยกสุริยันสั่ง
“ขอรับ” เหมยหยวนจื่อพยักหน้ารับ
เจ้าวังหยกสุริยันยืนอยู่คนเดียวบนเวทีประลองและมองไปรอบๆ
ทุกคนที่เฝ้าดูการต่อสู้ต่างหลงเหลือความหวาดกลัวอยู่ในใจ การทำลายแก่นอสูรเพื่อต่อสู้แลกชีวิตของอสุรีตะขาบนั้นมันน่ากลัวมากจริงๆ
“เมื่อข้ากล้าที่จะจัดหัวหน้าอสูรที่สามารถสร้างแก่นอสูรมาใช้ในเวทีประลอง แน่นอนว่าข้าจะต้องรับรองว่าจะไม่เกิดข้อผิดพลาดใดๆ” เจ้าวังหยกสุริยันกล่าวอย่างไม่ใส่ใจนัก “งานเลี้ยงตัดอสูรครั้งนี้จบลงแล้ว”
จากนั้นเจ้าวังหยกสุริยันก็หันหลังจากไป เพียงไม่กี่ก้าว เขาก็หายไปจากสายตาของทุกผู้คน
“ทุกท่าน”
ตอนนี้ข้าหลวงก็ได้ยืนขึ้นและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ทุกท่านคงจะตกใจ แต่เมื่อมีเจ้าวังอยู่ที่นี่แล้ว หัวหน้าอสูรที่สามารถสร้างแก่นอสูรขึ้นมาได้นั้นเป็นได้แค่ตัวตลก ในงานเลี้ยงตัดอสูรในวันนี้ ศิษย์ของสำนักเต๋าทั้งแปดคงจะเห็นถึงพลังของอสูรเหล่านี้แล้ว อสูรเหล่านี้ต้องทนทรมานอยู่ในคุกทั้งยังล่ามโซ่ไม่สามารถที่จะแสดงความสามารถได้ถึงจุดสูงสุด ดังนั้นเมื่อพวกเจ้าไปถึงสนามรบ ศัตรูของพวกเจ้าจะยิ่งแกร่งกว่านี้ต่อให้พวกเจ้าร่วมมือกันพวกพ้องก็ตาม ดังนั้นศิษย์ของสำนักเต๋าทุกคนจะต้องฝึกฝนฝีมืออย่างขยันขันแข็งมากยิ่งขึ้น ในอนาคตพวกเจ้าจึงจะสามารถช่วยเหลือตัวเองและฆ่าอสูรได้มากขึ้น”
……
งานเลี้ยงตัดอสูรจบลงแล้ว
สิ่งที่อสุรีตะขาบทำนั้นทำให้บรรดาศิษย์ของสำนักเต๋าตื่นตกใจ อย่างไรก็ตามความแข็งแกร่งที่เหนือจินตนาการของเจ้าวังหยกสุริยันนั้นทำให้พวกเขาไฝ่ฝัน ต่อหน้าเจ้าวังหยกสุริยัน อสุรีตะขาบนั้นอ่อนแอเหมือนกับมดตัวหนึ่ง
“มันน่ามหัศจรรย์ เจ้าเห็นไหม แสงสีดำนับร้อยนั้นแตกสลายไปจนหมดสิ้น และอสูรตะขาบนั่นก็หยุดนิ่งไม่อาจขยับได้แม้แต่น้อย” หลิวชีเยว่ยังคงตื่นเต้นเป็นอย่างมากขณะที่เดินทางกลับบ้าน “ตั้งแต่ต้นจนจบ ข้ายังมิเห็นท่านเจ้าวังหยกสุริยันขยับเลยแม้แต่น้อย พล้ังเพียงเล็กน้อยของท่านก็น่าหวาดหวั่นยิ่งแล้ว”
“ชีเยว่ เจ้าเกือบถูกอสูรตะขาบนั่นฆ่า แต่เจ้ากลับตื่นเต้นมาก” เมิ่งชวนกล่าวอย่างจนใจ
“เจ้าไม่คิดว่าท่านเจ้าวังนั้นแข็งแกร่งรึ” หลิวชีเยว่ถาม
“เขาเป็นเทพอสูรจากเขาหยวนชู จะไม่แข็งแกร่งได้อย่างไรกัน” ความปรารถนาฉายชัดอยู่ในดวงตาของเมิ่งชวน เขาไฝ่ฝันที่จะได้เป็นเทพอสูรมาโดยตลอด
ตอนที่ 16 เหยียนจินกับเหมยหยวนจือ
ภายใต้ความสนใจของห้าตระกูลและแปดสำนักเต๋าแห่งเมืองตงหนิง เด็กหนุ่มในชุดขาวก้าวเดินขึ้นไปบนเวทีประลองอย่างใจเย็นโดยมีกระบี่ซ่อนอยู่ด้านหลัง มือของเขาไพล่ไปทางด้านหลังพร้อมกระบี่สองเล่มที่ยังอยู่ในฝัก
เขาถือกระบี่ไว้ในแต่ละมือ ปล่อยให้ปลายของมันชี้ไปยังพื้นขณะที่เขาจ้องมองไปยังอสูรพยัคฆ์อย่างเย็นชา
“เด็กหนุ่มอีกคนงั้นรึ” อสูรพยัคฆ์ใบหน้าบิดเบี้ยว มีรอยแผลอยู่บนใบหน้าของมัน ทั้งยังมีรอยแผลอีกนับสิบทั่วตัว และแผลที่ท้องน้อยของมันนั้นถือว่าใหญ่เป็นพิเศษ
“ฆ่า” มันไม่ต้องการที่จะชักช้าอีกต่อไป ดังนั้นมันจึงพุ่งตัวเข้าไปหา
เด็กหนุ่มชุดขาวก็พุ่งเข้าไปปะทะซึ่งหน้าเช่นเดียวกันพร้อมกับกระบี่ในมือทั้งสองข้าง
ตูม ตูม ตูม
อสูรพยัคฆ์และเด็กหนุ่มชุดขาว เหยียนจิน ปะทะเข้าไปอย่างตรงๆ แม้ว่าอสูรพยัคฆ์จะดูเหมือนมีพลังยิ่งกว่าด้วยความแข็งแกร่งและความเร็วที่มากมายมหาศาล ความได้เปรียบของมันนั้นกลับถูกจำกัด กระบี่สองเล่มของเด็กหนุ่มซุดขาว หนึ่งหยินหนึ่งหยาง เมื่อกระบี่เล่มหนึ่งถูกสะกด พลังก็จะถูกสะสมไปยังกระบี่อีกเล่ม ยิ่งมีแรงกดดันมากเท่าไหร่แรงสะท้อนกลับก็จะมีมากเท่านั้น
พวกเขาเดินหน้าชนกันอย่างสมบูรณ์
วิชากระบี่ของเด็กหนุ่มชุดขาวนั้นเห็นได้ชัดว่าบรรลุถึงขั้นหนึ่งเดียวแล้ว วิชาของเขานั้นกลมกลืน กระบี่ของเขานั้นเพิ่มบาดแผลให้กับอสูรพยัคฆ์เป็นบางครั้งคราว
“เพลงกระบี่ของเจ้าหนุ่มชุดขาวนี่ก็บรรลุขั้นหนึ่งเดียวแล้วเช่นเดียวกัน เขาไม่มีทางที่จะด้อยกว่าเมิ่งชวนแน่”
“ยิ่งไปกว่านั้น เขาดูเหมือนว่าจะเกิดมาพร้อมกับความแข็งแกร่งที่มากมายมหาศาล อย่างไรก็ตามเขาก็มิอาจที่จะเทียบกับอสูรพยัคฆ์ได้”
“ดูแล้วยังเยาว์วัยและแบบบาง แต่กลับมีเรี่ยวแรงมหาศาลอย่างงั้นรึ”
ทุกคนต่างพากันประหลาดใจ แม้เมิ่งชวนก็ไม่ได้เป็นข้อยกเว้น
เพราะว่ามีประชากรจำนวนมาก จึงมีคนพิเศษที่เกิดมาพร้อมกับความแข็งแกร่งมหาศาลหรือความเร็วที่สุดยอดปรากฏตัวขึ้นเป็นบางครั้ง ตัวอย่างเช่นเพื่อนศิษย์ของเขา “ว่านหม่าง” ที่เกิดมาพร้อมกับพลังมหาศาล พลังของเขาที่ระดับชำระแก่นแท้นั้นเทียบเท่ากับคนที่อยู่ในระดับก่อกำเนิดได้ อย่างไรก็ตามส่วนใหญ่แล้วผู้ที่เกิดมาพร้อมกับพลังมหาศาลนั้นจะมีกล้ามเนื้อมาก หาได้ยากที่จะเห็นใครสักคนแบบเด็กหนุ่มลึกลับ เหยียนจิน ที่จะเกิดมาพร้อมกับพลังมหาศาลในขณะที่มีร่างกายแบบนั้น
เมื่อบรรลุในขั้นหนึ่งเดียวแล้ว ร่างกาย จิตใจ และวิชาของเด็กหนุ่มชุดขาวนั้นก็หลอมรวมเป็นหนึ่ง ความแข็งแกร่งของเขาที่ปลดปล่อยออกมานั้นเทียบเท่ากับ 80% ของอสูรพยัคฆ์ ความเร็วของเขานั้นก็อยู่ที่ระดับ 70-80% ของอสูรพยัคฆ์เช่นเดียวกัน รวมเข้ากับวิชากระบี่คู่ของเขา เขาจึงไม่มีทางที่จะด้อยกว่ามันแม้แต่น้อย การเข้าปะทะโดยตรงนั้นยิ่งทำให้บาดแผลของอสูรพยัคฆ์เลวร้ายยิ่งไปกว่าเดิม
โฮก
อสูรพยัคฆ์คำรามอีกครั้งพร้อมกับขนสีเหลืองดำของมันก็เปล่งแสงขึ้น ความแข็งแกร่งของกรงเล็บของมันก็เพิ่มขึ้นยามเมื่อมันปลดปล่อยสายเลือดราชันอสูรเช่นเดียวกัน
บูม
เกิดเสียงระเบิดอย่างรุนแรง
เด็กหนุ่มชุดขาวใช้กระบี่ทั้งสองมือของเขาป้องกันขณะที่เขาถูกกระแทกกระดอนกลับหลังหลายก้าวจากการปะทะ เลือดไหลซึมออกมาจากมุมปาก เขากล้ำกลืนฝืนทรงตัวและจ้องมองไปยังอสูรพยัคฆ์อย่างเย็นชา
เขากล้าที่จะป้องกันมันตรงๆเลยงั้นรึ เมิ่งชวนรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง ใช่แล้ว สายเลือดราชันอสูรของอสูรพยัคฆ์สามารถที่จะบดขยี้เขาได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่กลับไม่มีประโยชน์เมื่อเจอกับเหยียนจิน นอกจากนี้เพลงกระบี่ของเขาก็เห็นได้ชัดว่ายอดเยี่ยมในการสะท้อนพลังกลับ
“หือ” อสูรพยัคฆ์ไม่อยากเชื่อสายตา มันรีบพุ่งตัวไปข้างหน้าเพื่อที่จะโจมตีให้ได้ต่อเนื่อง
ฉูดดดด…
แผลขนาดใหญ่ที่ช่องท้องของมันไม่อาจจะต้านทานการใช้พลังเต็มที่ของมันได้ รอยแผลเปิดออกมาอีกครั้ง และเลือดก็สาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณ และแม้กระทั่งรอยแผลอื่นๆบนร่างกายของมันก็เริ่มจะมีเลือดไหล
เมื่อเห็นเช่นนี้ เด็กหนุ่มชุดขาวก็พุ่งตัวไปข้างหน้าโดยไม่ลังเล โจมตีต่อเนื่องด้วยกระบี่ทั้งสองมือ
“เชี่ย เชี่ย ถ้าไม่ใช่เป้นเพราะว่าเจ้าเด็กคนก่อนหน้านี้สร้างบาดแผลมากมายพวกนี้ให้กันข้า…” อสูรพยัคฆ์นั้นโกรธเกรี้ยว บาดแผลอื่นๆนั้นเป็นแผลตื้นๆ แต่บาดแผลที่ท้องน้อยนั้นกว้างและลึกเกินไป เลือดที่ไหลออกมามากมายนั้นทำให้มันไม่สามารถที่จะสะกดบาดแผลไว้ได้อีกต่อไป
ถ้ามันอยู่ในสภาพสมบูรณ์ มันยินดียิ่งที่จะต่อสู้กับเด็กชุดขาวนี้
แม้ว่าเด็กชุดขาวนี้จะแข็งแกร่งและดุร้ายในการต่อสู้ประชิดตัว แต่มันไม่ได้กลัวความดุร้ายนั้น
กลับกันเป็นเด็กที่ใช้กระบี่นั้น เขาใช้วิธีการต่อสู้แบบสู้แล้วถอยหนี เขาลื่นไหลมาก กระบี่ของเขานั้นก็พลิกแพลงไม่สามารถคาดเดาได้ นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้มันได้รับบาดเจ็บหนักเช่นนี้
ควับ ควับ ควับ
อาการบาดเจ็บมากหลายทำให้มันไม่สามารถที่จะใชัพลังจากสายเลือดราชันอสูรได้อีกต่อไป อสูรพยัคฆ์ได้แต่พยายามต่อต้านอย่างแสนยากลำบาก แต่ความเร็วและความแข็งแกร่งของมันเห็นได้ชัดว่าลดน้อยถอยลงไป มันถูกเด็กหนุ่มชุดขาวกดไว้อย่างสมบูรณ์ และบาดแผลของมันก็ปรากฏขึ้นบนตัวของมันมากขึ้นเรื่อยๆ
“ชะตาของข้าถูกกำหนดไว้ตั้งแต่ตอนที่ข้าถูกจับโดยเทพอสูรของเผ่ามนุษย์” อสูรพยัคฆ์รู้ว่าชีวิตของมันนั้นมาถึงจุดจบแล้ว ดังนั้นเมื่อเด็กหนุ่มชุดขาวแทงมันด้วยท่าไม้ตาย มันจึงไม่ขัดขืน
ฉึก
กระบี่แทงเข้าไปที่หว่างคิ้วของอสูรพยัคฆ์ทะลุหัว
อสูรพยัคฆ์ดับดิ้น
มันไม่สามารถที่จะต่อสู้ได้ถึงสิบรอบในคราวเดียว แต่ตายเพียงแค่รอบที่สอง มันถึงกับตายในเงื้อมมือของเด็กหนุ่มระดับชำระแก่นแท้
“เขาฆ่ามันได้จริงๆ…” ในเวลานั้นก็มีแต่ความเงียบไปชั่วขณะ
เด็กหนุ่มชุดขาวดึงกระบี่ออกแล้วเดินลงจากเวที
“วังหยกสุริยัน เหยียนจิน เจ้าจะไม่สู้ต่อรึ” ข้าหลวงจากราชวังถาม พูดตามหลักแล้วตราบเท่าที่พวกเขาได้รับชัยชนะและอยู่บนเวที วังหยกสุริยันก็จะส่งอสูรที่แกร่งกว่าขึ้นมาให้
เด็กหนุ่มชุดขาวไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียวขณะที่เขาเดินกลับไปยังที่นั่งของตัวเอง
ข้าหลวงทำอะไรไม่ถูก
ในเมื่อเขาได้ออกไปจากเวทีประลองแล้ว ปกติแล้วนั่นหมายความว่าเขาได้ยอมละทิ้ง ดังนั้นข้าหลวงจึงรอให้ทหารของวังหยกสุริยันนำเอาศพของอสูรพยัคฆ์ออกไปแล้วจึงส่งอสูรตัวใหม่ขึ้นมา
“โอ”
เมิ่งชวนสังเกตเห็นว่าเด็กหนุ่มชุดขาวนั้นมายังบริเวณที่นั่งของสำนักเต๋าจิงหู หยุดและหันมาทางเมิ่งชวนและพูดอย่างเย็นชาว่า “ถ้าเจ้ามิได้ทำร้ายมันบาดเจ็บ ความเร็วของมันก็จะเร็วกว่านี้อีก 30% มันจะสามารถปลดปล่อยพลังของสายเลือดราชันอสูรได้เป็นระยะเวลานาน ข้าคงมิมีทางเลือกนอกจากจะหนี” เมื่อกล่าวเช่นนั้นแล้ว เขาก็เดินต่อไปยังที่นั่งของตนเอง
เสียงของเขานั้นค่อนข้างจะเย็นชา ขณะที่เขาพูดนั้น เจ้าสำนักและผู้อาวุโสทั้งหกของสำนักเต๋าจิงหูนั่งนิ่งเฉย
เหยียนจินกลับไปยังข้างกายเจ้าวังหยกสุริยันแล้วนั่งลง
“คนที่ชื่อเหยียนจินนี่พูดเพียงแค่ครั้งเดียวจากเวลาที่ผ่านมานี้และก็กับศิษย์พี่เมิ่งโดยตรงด้วย” ว่านหม่างกล่าวอย่างประหลาดใจ
“จริงด้วย จากเวทีประลองไปจนถึงเก้าอี้ของเขา เขาพูดเพียงแค่ประโยคเดียว เขาช่างเย็นชาจริงๆ” ป๋ายกวนพยักหน้า
เมิ่งชวนมองเด็กหนุ่มชุดขาวด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เขาสามารถรับรู้ถึงความภาคภูมิใจที่ฝังลึกลงไปในกระดูกของเด็กหนุ่มชุดขาวได้ ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายนั้นจะเย็นชาจนกระทั่งไม่สามารถที่จะเข้ากับคนอื่นได้ ไม่แม้จะตอบสนองกับคำถามของข้าหลวง แต่กลับมาพูดถ้อยคำแบบนั้นกับเมิ่งชวน เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ต้องการที่จะถือโอกาสจากสถานการณ์
“เหยียนจินคนนี้ดูเด็กมาก ดูเหมือนว่าจะเด็กกว่าเมิ่งชวนเสียอีก” ผู้นำตระกูลเมิ่ง เมิ่งเหยียนผิงกล่าวด้วยเสียงเบา
“เขาดูอายุไม่มากเท่าไหร่” เมิ่งต้าเจียงพูด “พรสวรรค์ของเขานั้นสูง แต่ว่าเขายังคงอยู่ในระดับชำระแก่นแท้ เขาอาจจะมีอายุได้แค่สิบห้าปีเป็นอย่างมาก”
ด้วยพรสวรรค์ระดับสูง ถึงแม้ว่าเขาไม่ได้มีตระกูลใหญ่หนุนหลัง เขาก็ยังสามารถได้รับการเลี้ยงดูจากสำนักเต๋า พลังการฝึกปรือของเขานั้นย่อมไม่ช้าลงไปแต่อย่างใด
“เริ่มแล้ว” ผู้นำตระกูลเมิ่งเหยียนผิงพูด อสูรตัวใหม่ถูกนำขึ้นเวทีประลอง
“นี่ก็เป็นหัวหน้าอสูรเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามมันเป็นเพียงแค่อสูรวัว ดูเหมือนว่าทางวังหยกสุริยันจะเตรียมอสูรพยัคฆ์ให้ชวนเอ๋อร์เป็นพิเศษ” เมิ่งต้าเจียงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม อสูรพยัคฆ์นั้นหายากกว่าและเก่งรอบด้าน ราวกับว่าไม่มีจุดอ่อน ถ้าไม่ใช่เพราะอดอาหารมาเป็นเวลานานที่ทำให้พละกำลังของมันลดลง ทั้งเมิ่งชวนกับเหยียนจินก็คงไม่มีคุณสมบัติพอที่จะสู้กับอสูรพยัคฆ์ที่เป็นถึงหัวหน้าอสูร
…
ศิษย์ของสำนักเต๋าทั้งแปดขึ้นไปบนเวทีประลองทีละคนต่อเนื่องกันไป
ศิษย์ที่อยู่ในระดับก่อกำเนิดนั้นปกติแล้วจะมีอายุมากกว่า ศิษย์คนที่มีอายุน้อยที่สุดมีอายุ 16 ปี และคนที่มีอายุมากที่สุดมีอายุ 20 ปี พวกเขาจะไม่สามารถอยู่ที่สำนักเต๋าได้อีกต่อไปถ้าพวกเขามีอายุมากกว่านี้ พวกเขาจะต้องไปรับราชการทหาร
ตามกฎของสำนักเต๋า ผู้ที่อยู่ในระดับชำระแก่นแท้จะสามารถฝึกฝนได้จนถึงอายุ 18 ปี และ 20 ปีสำหรับระดับก่อกำเนิด ส่วนผู้ที่อยู่ในระดับไร้ตำหนินั้น ทันทีที่คนผู้นั้นบรรลุถึงระดับไร้ตำหนิ พวกเขาก็จะต้องจากสำนักเต๋าไปเพราะว่าสำนักไม่มีอะไรที่จะสอนพวกเขาได้อีกแล้ว
การต่อสู้ดำเนินต่อไป ชั่วพริบตาก็เป็นเวลาเที่ยง
ศิษย์ในระดับก่อกำเนิดก็ได้เสร็จสิ้นการต่อสู้ของพวกเขาแล้วเช่นเดียวกัน
ศิษย์ 24 คนที่อยู่ในระดับก่อกำเนิดโดยปกติแล้วจะยิ่งแข็งแกร่งกว่ามาก สามคนในหมู่พวกเขานั้นได้เรียนรู้วิชาลับ และทั้งสามคนนี้ก็ได้สร้างรากฐานของระดับก่อกำเนิดแล้ว พวกเขายิ่งทรงพลังยิ่งกว่าเมิ่งชวนกับเหยียนจินเสียอีก ดังนั้นการต่อสู้จึงยิ่งตื่นเต้น อย่างไรก็ตามศิษย์สามคนที่ได้เรียนรู้วิชาลับนั้นกลับด้อยกว่าพวกเขาสองคนในด้านของศักยภาพ มีสองคนที่ได้เรียนรู้วิชาลับเมื่ออายุได้สิบแปดปี ในขณะที่อีกคนหนึ่งนั้นได้เรียนรู้เมื่ออายุได้สิบเก้าปี โอกาสที่พวกเขาจะกลายเป็นเทพอสูรนั้นยิ่งต่ำกว่าพวกเขาสองคนมากนัก
พ่อของเมิ่งชวน เมิ่งต้าเจียง และสมาชิกอีกคนของตระกูลเมิ่ง เมิ่งจู ได้เรียนรู้วิชาลับเมื่อพวกเขามีอายุได้สิบเก้าปี โอกาสที่พวกเขาจะได้เป็นเทพอสูรนั้นก็ค่อนข้างน้อยเช่นเดียวกัน
ปัจจุบัน คนที่มีพรสวรรค์สูงสุดในหมู่รุ่นเยาว์ของเมืองตงหนิงก็คือเหมยหยวนจื่อ ผู้ที่เข้าถึงขั้น “พลัง”
อันดับสองก็คือเมิ่งชวน
อันดับที่ตามมาก็คือสามคนที่อยู่ในระดับก่อกำเนิดที่เรียนรู้ถึงวิชาลับ
แน่นอนว่าเด็กหนุ่มชุดขาว เหยียนจินนั้น ก็เทียบเท่าได้เท่ากับเมิ่งชวนเช่นเดียวกัน ตามจริงแล้วเขาน่าจะโดดเด่นยิ่งกว่าเสียด้วยซ้ำ เพียงแต่ว่าเขาเหมือนจะเป็นชาวต่างชาติ มิฉะนั้นเป็นไปไม่ได้ที่ตระกูลเทพอสูรทั้งห้านั้นจะไม่เคยได้ยินชื่อเขา
“ศิษย์ทุกคนของสำนักเต๋าทั้งแปดได้ต่อสู้กันไปหมดแล้ว” ข้าหลวงจากราชวังกล่าวด้วยเสียงอันดัง เสียงของเขานั้นสะท้อนก้องไปทั่วพื้นที่ “ต่อไปจะเป็นการต่อสู้สุดท้ายของงานเลี้ยงตัดอสูร”
“การต่อสู้สุดท้ายเหรอ” ทุกคนต่างพากันประหลาดใจ กระทั่งเมิ่งชวนที่ฟังอย่างตั้งใจ ก็ยังคิดว่ามันจบไปเรียบร้อยแล้วเสียอีก
ข้าหลวงจากราชวังพูดต่อด้วยรอยยิ้ม “ศึกสุดท้ายจะเป็นการต่อสู้ของเหมยหยวนจื่อกับหัวหน้าอสูร อสูรตะขาบที่ได้สร้างแก่นอสูรแล้ว”
“เหมยหยวนจื่ออย่างงั้นเหรอ ข้ามิคิดว่าเขาจะลงต่อสู้ในวันนี้ด้วย” เมิ่งชวนคิด ดวงตาของเขาเป็นประกาย
ตอนที่ 15 สายเลือดราชันอสูรที่ซุกซ่อนไว้
เมิ่งชวนยืนอยู่บนเวทีประลองอย่างเงียบๆขณะที่ทหารสองคนลากร่างของอสูรแกะลงไป โดยมีทหารอีกสองสามคนที่ทำความสะอาดเวทีประลอง
ตามกฏของงานเลี้ยงตัดอสูร ศิษย์ของสำนักเต๋าจะสามารถต่อสู้กับอสูรตัวใหม่บนเวทีประลองได้ตราบเท่าที่พวกเขาชนะ วังหยกสุริยันจะส่งอสูรที่แข็งแกร่งกว่าเดิมมาต่อสู้กับพวกเขาตราบเท่าที่พวกเขามีความสามารถพอ
ในตอนนี้ รถนักโทษคันใหม่ก็ถูกเข็นเข้ามา
หือ
แก้วตาของเมิ่งชวนหดเล็กลง มีอสูรที่ผอมมากอยู่ในกรงขังนั้น แต่มันมีร่างกายที่ใหญ่โตเพราะว่ามันมีโครงกระดูกที่ใหญ่ แม้ว่ามันจะนั่งขัดสมาธิอยู่ในกรง ร่างกายของมันก็ยังใหญ่โตมาก ดวงตาสีเหลืองเข้มของมันนั้นกวาดไปทั่ว ร่างกายของมันนั้นปกคลุมไปด้วยขนแห้งสีเหลืองสลับดำ
“อสูรพยัคฆ์รึ” เมิ่งชวนตื่นตัวขึ้นในทันที
“มันเป็นอสูรพยัคฆ์”
“มันเป็นอสูรพยัคฆ์” บรรดาศิษย์ของสำนักเต๋าพากันอุทานออกมา ในบรรดาอสูรทั้งหมด ที่มีมากที่สุดจะเป็นอสูรหมูกับอสูรหมาป่า พวกมันส่วนใหญ่จะเป็นอสูรธรรมดาทั่วไป แต่บางครั้งก็จะมีอสูรที่ทรงพลังเกิดขึ้นมา อย่างไรก็ตามอสูรพยัคฆ์นั้นจะหายากและไม่ว่าพวกมันจะอ่อนแอแค่ไหนมันก็มีพลังอยู่ในระดับของหัวหน้าอสูร
ข้าหลวงจากวังหัวเราะเสียงดังและกล่าวว่า “ทุกคน นี่เป็นหนึ่งในบรรดาหัวหน้าอสูรของงานเลี้ยงตัดอสูร ยิ่งไปกว่านั้น มันเป็นอสูรพยัคฆ์ แน่นอนว่ามันได้หิวโหยเป็นเวลานาน และร่างกายของมันก็อ่อนแอลงเป็นอย่างมาก กล้ามเนื้อของมันนั้นแย่ลงหลงเหลือพลังอยู่เพียงสามในสิบส่วนจากพลังสูงสุดของมันเท่านั้น มันจะมาเป็นคู่ต่อสู้กับเมิ่งชวน และก็จะเป็นคู่ต่อสู้ให้กับศิษย์สำนักเต๋าในระดับก่อกำเนิดด้วยเช่นเดียวกัน พวกเจ้าทุกคนจะต้องระมัดระวังตัวไว้แม้ว่าความแข็งแกร่งของมันนั้นจะลดลงไปมากแล้วก็ตาม มันก็ยังคงแข็งแกร่งกว่าพวกเจ้า ระวังตัวไว้ให้ดี”
ปัง
ประตูกรงถูกดึงเปิดออก ชายแขนเดียวมองไปยังอสูรพยัคฆ์และกล่าวเสียงเย็นเยียบ “เจ้าสามารถที่จะกลับไปยังกรงของเจ้าหลังจากที่ชนะสิบรอบติดต่อกัน และเจ้าก็จะได้เพลิดเพลินกับอาหารและเหล้าเป็นเวลาหนึ่งเดือน”
“สิบรอบรึ”
อสูรพยัคฆ์เดินออกจากกรงอย่างช้าๆพร้อมกับค้อมร่าง พร้อมกับมองไปยังรอบกาย
มันสามารถรับรู้ได้ถึงการคุกคามที่น่าหวาดหวั่นมาจากคนมากกว่าสิบคนในหมู่ผู้ชมรอบๆเวทีประลอง เจ้าสำนักเต๋าทั้งแปด เหล่าจอมยุทธจากห้าตระกูล เหล่าจอมยุทธจากราชสำนัก เหมยหยวนจือจากวังหยกสุริยัน ชายแขนเดียว และคนอื่นๆอีก รวมทั้งหมดมากถึงสิบแปดคน ต่อให้มันอยู่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ คนน่ากลัวเหล่านี้ก็สามารถที่จะฆ่ามันทันทีที่เข้าปะทะ อย่างไรก็ตามมันไม่รู้ว่ามากกว่าครึ่งของจอมยุทธในเมืองตงหนิงได้มาอยู่ที่นี่แล้ว
แต่แน่นอนว่า คนที่น่ากลัวมากที่สุดก็คือคนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์
เจ้าวังหยกสุริยันนั่งอยู่บนที่นั่น และสิ่งที่มันรับรู้ได้จากเขาก็เหมือนกับตะวันที่เพียงแค่ปลดปล่อยพลังของเขาออกมาเพียงแค่เล็กน้อยก็เพียงพอที่จะฆ่ามันแล้ว
“คู่ต่อสู้ของข้าคนแรกคือเจ้าเด็กน้อยคนนี้รึ” อสูรพยัคฆ์จ้องมองไปยังเมิ่งชวนที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของสนามประลอง “ช่างอ่อนแอเสียจริง”
“อสูรพยัคฆ์” ความตั้งใจของเมิ่งชวนเพิ่มขึ้นเป็นสิบสองส่วน ประกายตารวมตัว แต่จิตสังหารของเขานั้นปะทุออกมาอย่างคลุ้มคลั่ง
แต่ทว่าเขายังคงไม่เคลื่อนไหวอยู่ในจุดเดิม อยู่ที่ขอบของเวทีประลอง อสูรพยัคฆ์นั้นจะต้องระวังตัวไม่ให้ออกจากเวทีประลอง ทันทีที่มันออกจากเวทีประลองมันก็จะถึงแก่ความตาย
เมิ่งชวนวางแผนที่จะตรวจสอบอสูรพยัคฆ์ก่อนที่จะตัดสินใจวางแผนการต่อสู้
วูบ
ทันทีที่อสูรพยัคฆ์ตวัดกรงเล็บเข้าใส่เขา กลิ่นคาวเลือดก็โชยพัดมาถึงตรงหน้าของเขาภายในชั่วพริบตา
ฟุบ
เมิ่งชวนพุ่งถอยพร้อมกับตวัดกระบี่สวนกลับแต่ก็ถูกป้องกันได้จากกรงเล็บของอสูรพยัคฆ์ จนทำให้เมิ่งชวนต้องต้องตื่นตัวก้าวถอยหลังไปอีกสองสามก้าวเมื่อเขาลงแตะพื้น
“ความเร็วของมันไม่ด้อยไปกว่าข้า” เมิ่งชวนตกตะลึง “ความแข็งแกร่งนั้นมีมากกว่าข้าถึงสองเท่า และนี่เป็นเพียงแค่สามในสิบส่วนของแรงทั้งหมดของมัน โชคยังดีที่แม้ว่ามันจะเชี่ยวชาญการต่อสู้ แต่ความเชี่ยวชาญของมันยังไม่บรรลุถึงขั้น “หนึ่งเดียว”
“ถ้าข้าสามารถใช้จุดแข็งของข้าโจมตีจุดอ่อนของมันได้”
“ข้าก็มีโอกาสที่จะฆ่ามันได้”
เขาตัดสินใจในทันที
เดิมทีแล้วบรรดาศิษย์ของสำนักเต๋าจะเป็นกังวลเมื่อต้องต่อสู้กับอสูรเป็นครั้งแรก นับว่าเป็นเรื่องน่าประทับใจหากว่าพวกเขาสามารถที่จะปลดปล่อยพลังออกมาได้ถึง 70% ของพลังทั้งหมด อย่างไรก็ตามเมิ่งชวนนั้นต่างออกไป ความโศกเศร้าที่ฝังลึกอยู่ในใจตั้งแต่ยังเยาว์วัยนั้นได้ปะทุออกมาเมื่อเขาได้เผชิญหน้ากับอสูร ทำให้เขายิ่งกระตือรือล้น มีสมาธิมากขึ้น ร่ายกายและจิตใจนั้นหลอมรวมลงตัวยิ่งกว่าเดิม ทำให้ความแข็งแกร่งของเขานั้นระเบิดออกมา เข้าสู่สภาวะการต่อสู้
เขาอยู่ในสภาวะที่ดีที่สุด ความสามารถของเขานั้นได้แสดงออกมาจนถึงที่สุด
“เจ้ากลับสามารถที่จะหนีไปได้ด้วยรึ น่าสนใจ” อสูรพยัคฆ์ส่งเสียงคำรามลึกก่อนที่มันจะพุ่งตัวเข้ามาหาอีกครั้ง
เมิ่งชวนถือโอกาสที่จะเข้าปะทะกับมันโดยการพุ่งตัวไปข้างหน้า ความเร็วของเขานั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าอสูรพยัคฆ์ ที่แตกต่างจากอสูรพยัคฆ์ที่พุ่งเข้ามาหาอย่างทื่อๆนั้น การเคลื่อนไหวของเขานั้นกลับไม่สามารถคาดเดาได้เหมือนกับลมที่พัดโหมกระหน่ำ
พวกเขาพุ่งตัดผ่านกันไป
ทันทีที่พวกเขาพบกัน กระบี่ของเมิ่งชวนนั้นฟาดออกไปอย่างเงียบงัน โจมตีด้วยท่ากระบี่ใบพลิกผัน ในเพลงกระบี่ใบไม้ร่วง ซึ่งจะโจมตีคู่ต่อสู้ในวิถีทางที่ยากจะคาดเดา
ประกายกระบี่วาดผ่านท้องน้อยของอสูรพยัคฆ์ เฉือนเข้าไปในผิวหนังที่เต็มไปด้วยเส้นขน
“เจ้าทำให้ข้าบาดเจ็บอย่างงั้นรึ” อสูรพยัคฆ์หยุดชะงักและสัมผัสกับท้องน้อยของมัน ดูเหมือนจะยิ่งโกรธกว่าเดิม
เมิ่งชวนเพียงแค่จ้องมองดูมัน จากนั้นตะโกนออกมาว่า “ฆ่า” ก่อนที่เขาจะพุ่งตัวไปข้างหน้าอีกครั้ง
ฉับ ฉับ
พวกเขาพุ่งผ่านกันไปอีกครั้ง
เมิ่งชวนไม่เข้าปะทะซึ่งหน้ากับอสูรพยัคฆ์เลยแม้แต่น้อย เขาอาศัยวิชาท่าร่างที่พิสดารเข้าโจมตีและหลีกหนี เขารู้ดีว่าถ้าตัวเขาเองนั้นเขาพัวพันกับมันซึ่งหน้า อสูรพยัคฆ์ที่ทรงพลังสามารถที่จะทำให้เขาบาดเจ็บได้ ตอนนี้มันเพียงได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยจากทุกกระบี่ที่เขาฟาดฟัน แต่ถ้าหากว่าเขาถูกกรงเล็บของอสูรพยัคฆ์เข้า เขาอาจจะได้รับบาดเจ็บสาหัส หรือตกตายก็เป็นไปได้
ในเวทีประลอง อสูรพยัคฆ์นั้นไล่ตามเมิ่งชวนอย่างบ้าคลั่งในขณะที่เขานั้นเข้าปะทะอย่างฉาบฉวยครั้งแล้วครั้งเล่า
ทุกการเข้าปะทะ อสูรพยัคฆ์ก็จะมีบาดแผลเพิ่มบนร่างของมัน
เห็นได้ชัดว่าวิชากระบี่ของเขานั้นดีกว่า
เมื่อบาดแผลของอสูรพยัคฆ์มีเพิ่มมากขึ้น อาการบาดเจ็บของอสูรพยัคฆ์ก็ยิ่งแย่ลง
ฉั๊วะ
กระบี่อีกสายพาดทับเข้าไปยังบาดแผลเดิมที่ท้องน้อยของอสูรพยัคฆ์ เปิดปากแผลให้กว้างขึ้นกว่าเดิมอีกสามเท่า เลือดสาดไปทั่ว จนทำให้อสูรพยัคฆ์ต้องเดินอย่างทุลักทุเล มันจ้องมองเด็กหนุ่มชาวมนุษย์ด้วยดวงตาแดงก่ำ ในขณะที่เมิ่งชวนนั้นก็จ้องตอบกลับอย่างเย็นชา
“เขาสามารถทำให้อสูรพยัคฆ์บาดเจ็บสาหัสได้จริงๆ”
“ทำไมข้าจึงรู้สึกเหมือนกันว่าเมิ่งชวนไม่ได้เป็นคนที่เพิ่งเข้าถึงเขตหนึ่งเดียวไม่นานมานี้ การโจมตีของเขาดูเหมือนจะรุนแรงขึ้นกว่าเดิมทุกครั้ง”
“เขาใจเย็นมาก เขาไม่ได้ให้โอกาสอสูรพยัคฆ์แม้แต่น้อย”
ผู้นำของห้าตระกูล เจ้าสำนักเต๋าทั้งห้า และจอมยุทธของราชวัง ต่างพากันพูดคุยกัน เห็นได้ชัดว่าพวกเขานั้นค่อนข้างประทับใจ
“อาชวน” หลิ่วชีเยว่เป็นกังวลอย่างมาก ทุกกระบี่ที่ฟาดฟันลงไปบนร่างของอสูรพยัคฆ์นั้นทำให้เธอรู้สึกกังวลใจ ไม่ว่าอย่างไรนี่ก็เป็นอสูรระดับหัวหน้า
“นี่คือสิ่งที่เมิ่งชวนตามหาอย่างนั้นเหรอ” ความคิดของหวินชิงผิงสับสนขณะที่เธอมองดู ในสายตาของเธอนั้น เมิ่งชวนที่โง่เขลาและเหมือนท่อนไม้นั้นมีเพียงการฝึกวิชาฝีมืออยู่ในใจของเขาและอ่อนโยนจนเกินไปซึ่งเธอไม่ชอบมันเลย แต่ทว่าบนเวทีประลองวันนี้เขาได้สร้างความหวาดหวั่นให้เกิดขึ้นด้วยการใช้กระบี่เดียวตัดหัวอสูรแกะ และในตอนนี้เขายังต่อสู้พัวพันกับอสูรพยัคฆ์อีกด้วย แม้ว่าเขาจะซุกซ่อนจิตสังหารเอาไว้ แต่นั่นกลับทำให้เขาดูน่ากลัวและดุร้ายยิ่งกว่าเดิม…
นี่หรือคือเมิ่งชวน
นี่เป็นตัวตนที่แท้จริงของเขาใช่ไหม หวินชิงผิงรู้สึกว่าเธอนั้นทำผิดพลาดมาในอดีต เมิ่งชวนคนที่ดูเหมือนคนโรแมนติกอ่อนโยนนั้นดูจะเก่งกล้าสามารถในระหว่างการต่อสู้อาบเลือด
บางทีการได้แต่งงานกับเขาก็คงจะไม่เลวเหมือนกัน
แต่ทว่า สิ่งที่ตระกูลของเธอทำนั้นไม่สามารถที่จะย้อนกลับคืนมาได้
…
บาดแผลบนท้องน้อยของอสูรพยัคฆ์นั้นลึก อย่างไรก็ตามกล้ามเนื้อของมันนั้นบีบรัดเอาไว้เพื่อหยุดยั้งไม่ให้เลือดไหล แต่ถึงอย่างนั้นความเร็วของมันก็ได้รับผลกระทบ มันจ้องมองอย่างโกรธแค้นไปยังเมิ่งชวนพร้อมกับปลดปล่อยกลิ่นอายอสูรแผ่กระจายออกมา
อย่างไรก็ตามเมิ่งชวนนั้นไม่ได้สนใจในกลิ่นอายอสูร เขาเหมือนกับนักล่าผู้เยือกเย็นที่เตรียมพร้อมที่จะเอาชีวิตของมันทุกขณะจิต
วืด
เมิ่งชวนพุ่งทะยานไปข้างหน้าอีกครั้ง
“โฮก” ขณะที่ทั้งสองฝ่ายนั้นย่นระยะทางเข้าหากัน อสูรพยัคฆ์ก็ได้คำรามขึ้นขณะที่มันพุ่งเข้าหา
ด้วยเสียงคำรามนั้น คลื่นสีดำบิดเบี้ยวก็แผ่ทะลักไปยังทุกทิศทาง
ขนสีเหลืองสลับดำของอสูรพยัคฆ์นั้นพลันเปล่งประกาย ขณะเดียวกันตวงตาของมันก็เปล่งแสงสีทองออกมา พลังจากกรงเล็บของมันนั้นก็ทะลักล้นออกมาอย่างรุนแรง
“โอ จริงแล้วมันมีสายเลือดของราชันอสูรอย่างงั้นรึ มันถูกคุมขังมานานนับปีแต่พวกเรากลับไม่รู้แม้แต่น้อย มันซุกซ่อนตัวตนไว้เป็นอย่างดีทีเดียว” ผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ เจ้าวังหยกสุริยันตื่นตัวขึ้นมาในทันที พลังที่มองไม่เห็นครอบคลุมไปทั่วทุกมุมของเวทีประลอง ขณะที่เขาเตรียมตัวที่จะเข้าไปขัดขวางได้ทุกขณะจิต นี่เป็นความผิดพลาดของเจ้าวังหยกสุริยันที่จัดหาอสูรที่เกินความคาดหมายของพวกเขามา
เมื่อเสียงคำรามนั้นปะทะกับตัวเขา เมิ่งชวนรู้สึกว่าหูและหัวของเขานั้นอื้ออึง ทว่าเมื่อยิ่งวิกฤติเขาก็ยิ่งตั้งสมาธิ นี่ทำให้เขานั้นสามารถคงความตื่นตัวเอาไว้ได้ เมื่อเผชิญหน้ากับกรงเล็บอันแกร่งกร้าวเขาก็เปลี่ยนไปเป็นตั้งรับ เวลาหลายปีมานี้เขาได้ปกป้องตัวเองจากธนูของชีเยว่อยู่ทุกวัน ดังนั้นเขาจึงมีสูงส่งมากในด้านการป้องกันตัว
บูม
เมิ่งชวนรู้สึกได้ถึงแรงที่หนักหน่วงและน่าหวาดกลัวหาใดเปรียบทะลักเข้าใส่กระบี่ของเขา และพุ่งเข้าสู่ร่างกายของเขาขณะที่เขานั้นถูกเหวี่ยงปลิวไปทางด้านหลัง
ขณะที่เขาถูกกระแทกปลิวกลับหลังนั้น เมิ่งชวนก็พลันใช้เท้าสะกิดพื้นเวทีประลองด้านล่างทำให้การพุ่งตัวไปข้างหลังของเขานั้นเร่งเร็วยิ่งขึ้น
อสูรพยัคฆ์รีบติดตามมาอย่างดุร้าย แต่มันก็ไม่สามารถที่จะกระโดดตามเมิ่งชวนไปได้ทัน
เขารีบถอยจากเวทีประลองและลงสู่พื้นอย่างโซซัดโซเซโดยพยายามที่จะใช้กระบี่ของเขาค้ำประคองไว้
“อึก” เขาอดไม่ได้ที่จะกระอักเลือดออกมาหนึ่งคำ หน้าขาวซีด มีเลือดไหลซึมออกมาจากหูของเขา เนื่องมาจากการคำรามก่อนหน้านั้น
“หนีไปได้รึ”
อสูรพยัคฆ์จ้องมองไปยังเมิ่งชวนที่อยู่ด้านล่าง รู้สึกตกใจเป็นอันมาก
เพราะว่าเผชิญหน้ากับความตาย มันถูกบีบให้เปิดเผยสายเลือดราชันอสูรที่ซุกซ่อนเอาไว้ พยัคฆ์คำรามปกติแล้วจะสามารถทำให้ศัตรูของมันหยุดชะงักได้ในเวลาวิกฤติ และมันก็จะถือโอกาสนั้นฆ่าศัตรู แต่ทว่าเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนนี้กลับยังสามารถที่จะป้องกันการโจมตีของมันแม้ว่าจะมีเลือดออกจากหู และไม่ลังเลที่จะสะกิดพื้นเวทีเพื่อที่จะเร่งการถอยหนีขณะที่ถูกส่งกระเด็นกลับไปด้านหลัง จนทำให้การโจมตีครั้งต่อไปของมันล้มเหลว
“ชวนเอ๋อร์” เมิ่งต้าเจียงรีบพุ่งเข้ามา ขณะเดียวกัน หลิวชีเยว่ก็รู้สึกเป็นกังวลเช่นกัน
“ํเมิ่งชวนคนนี้…” เจ้าวังหยกสุริยันดวงตาเป็นประกายเมื่อเขาเห็นเช่นนั้น จอมยุทธหลายคนอาจจะอยู่ในระดับที่สูงกว่า และวิชาการต่อสู้ของพวกเขาก็ทรงพลังกว่าในการฝึกฝน แต่ทว่าเมื่อมาถึงการต่อสู้หมายชีวิต ถือว่าเป็นสิ่งที่น่าประทับใจแล้วหากว่าพวกเขาสามารถปลดปล่อยพลังออกมาได้ถึง 6-7 ส่วนของความสามารถทั้งหมด แต่ก็มีบางคนที่ก้าวไปได้ไกลกว่านั้น การที่พวกเขาจะปลดปล่องพลังออกมาได้มากกว่าปกติของพวกเขานั้นหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับสติปัญญา เจตจำนง อารมณ์ และปัจจัยอื่นๆอีกหลายอย่าง ผู้ที่เก่งในด้านการต่อสู้นั้นจะสามารถฆ่าศัตรูได้มากถึงสามสี่คนแม้ว่าจะมีระดับพลังยุทธเดียวกันก็ตาม
“นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ต่อสู้กับอสูรใช่ไหม” เจ้าวังหยกสุริยันพึงพอใจมาก “ข้าหวังว่าเขาจะสามารถกลายเป็นเทพอสูรได้อย่างแท้จริง”
เมิ่งชวนก็สามารถรู้สึกได้ว่าการฟังเสียงของเขานั้นกำลังกลับคืนมา เมิ่งต้าเจียงได้ใช้ปราณแท้ของเขาตรวจสอบขณะที่เขากล่าวว่า “ชวนเอ๋อร์ ไม่เป็นไรแล้ว หูของเจ้านั้นได้รับบาดเจ็บจากคลื่นสั่นสะเทือน เจ้าจักหายดีในไม่กี่วัน”
“ขอรับ” เมิ่งชวนพยักหน้า
“เจ้าฉลาดมากที่ล่าถอยจากเวทีประลองเมื่อกี้นี้ อสูรพยัคฆ์นั้นมีสายเลือดของราชันอสูรปะปนอยู่” เมิ่งต้าเจียงกล่าวอย่างเคร่งเครียด “เนื่องจากว่ามันถูกเปิดโปงแล้ว ดังนั้นมันจะถูกส่งไปยังนครหลวงถึงแม้ว่ามันจะรอดชีวิตก็ตาม”
“ต่อไป…” ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้น
เมิ่งชวนมองไปและก็เห็นว่าคนพูดนั้นเป็นข้าหลวงจากราชวัง ข้าหลวงนั้นยิ้มและกล่าวด้วยเสียงดังฟังชัดว่า “วังหยกสุริยัน เหยียนจิน”
“เอ๋” ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างพากันตกใจ
เขาไม่ได้เป็นศิษย์ของสำนักเต๋าทั้งแปด
ต่อจากเมิ่งชวนไม่ใช่เป็นคนของสำนัยเต๋าทั้งแปดหรอกหรือ ทำไมจึงเป็นคนของวังหยกสุริยัน
“วังหยกสุริยันของเราก็มีรุ่นเยาว์อยู่เช่นเดียวกัน เขาอยากจะลอง” เจ้าวังหยกสุริยันยิ้มและพยักหน้าให้กับชายหนุ่มชุดขาวด้านหลังเขา
ชายหนุ่มชุดขาวยืนขึ้นและเดินไปยังเวทีประลอง
“อะไรกัน เขาก็ยังอยู่ในระดับชำระแก่นแท้รึ” มีจอมยุทธอยู่มากมาย พวกเขาสามารถพิจารณาจากกลิ่นอายของชายหนุ่มได้ว่าเขายังไม่ได้ฝึกร่างเทพอสูร และยังอยู่ในระดับชๅระแก่นแท้”
“จะจัดการกับอสูรพยัคฆ์ด้วยระดับชำระแก่นแท้อย่างงั้นรึ” ทุกคนต่างพากันแปลกใจเล็กน้อย
แม้กระทั่งเมิ่งชวนเองก็ยังประหลาดใจ เขารู้เป็นอย่างดีว่าอสูรพยัคฆ์นั้นแข็งแกร่งเพียงใด
ตอนที่ 14 ตาของเมิ่งชวน
หลังจากที่อสูรสุกรถูกฆ่า รถบรรทุกนักโทษอีกคันก็ถูกดึงเข้ามาข้างใน ภายในนั้นเป็นอสูรหมาป่าที่ตัวใหญ่กว่า อสูรหมาป่านั้นก้มตัวลงเล็กน้อยเพราะว่าหัวของมันชนเข้ากับซี่กรงด้านบนรถบรรทุกนักโทษ มันจับซี่กรงเหล็กไว้ด้วยกรงเล็บของมันและจ้องมองไปยังมนุษย์ที่อยู่ด้านนอก
“แคล้ง” ชายแขนข้างเดียวเปิดกรงและพูดกับอสูรหมาป่าอย่างใจเย็นว่า “ตามที่กฏได้พูดไว้ก่อนหน้านี้ ถ้าเจ้าสามารถที่จะชนะสามเกมติดต่อกัน เจ้าก็สามารถที่จะกลับไปใช้ชีวิตอย่างผู้ชนะพร้อมกับอาหารรสเลิศไวน์ชั้นดี และถ้าเจ้าทำผิดกฏเจ้าก็จะถูกหั่นเป็นชิ้นๆ”
“ข้ารู้”
อสูรหมาป่าคำรามเสียงต่ำและก้าวขึ้นไปบนเวทีประลอง มันได้เห็นในทันทีว่ามีเลือดที่ข้นและกลิ่นอายอสูรอยู่
เจ้าหมูโง่นั่น
แม้ว่าอสูรระดับล่างจะต่อสู้กันเอง แต่มันก็รู้สึกเสียใจในตอนนี้ ที่มันก็อาจจะตายอยู่บนเวทีนี้เช่นเดียวกัน
แต่ความจริงก็คือ—–
ปีศาจหมาป่าได้ชนะสามครั้งติดต่อกัน ซึ่งไม่เพียงแต่มันจะทำให้เด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์ได้รับบาดเจ็บสาหัสไปหนึ่งคน แต่มันยังสามารถที่จะกระชากแขนของเด็กหนุ่มอีกคนออกมาด้วย ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะรักษาแขนขาดนั้นได้
หลังจากที่อสูรหมาป่ากลับคืนไปแล้วนั้น ตามปกติก็จะต้องเปลี่ยนไปเป็นอสูรตัวอื่นแทน
การต่อสู้ดำเนินต่อไป
เด็กหนุ่มชาวมนุษย์และอสูรต่างต้องการที่จะเข่นฆ่าอีกฝ่าย
เหล่าศิษย์ของสำนักเต๋าทั้งแปดนั้นต่างพากันมีท่าทางเคร่งเครียด และบางคนก็กลายเป็นวิตกกังวล เพราะว่าพวกเขาทุกคนจะต้องขึ้นไปบนเวที นี่ไม่ใช่การประลองฝีมือภายในสำนัก แต่เป็นการต่อสู้ที่เดิมพันด้วยความเป็นความตายอย่างแท้จริง และอสูรก็ไม่ออมมือให้อย่างแน่นอน
หลิ่วชีเยว่ได้แสดงตัวขึ้นเช่นเดียวกัน เธอได้ฆ่าอสูรแมว แต่เธอก็ถูกบีบให้กระโดดออกจากเวทีประลองเมื่อต้องเผชิญหน้ากับอสูรเสือดาวที่ดุร้ายยิ่งกว่า
…..
“ศิษย์สำนักเต๋ายี่สิบสามคนได้ออกมาต่อสู้แล้ว” ผู้นำตระกูล เมิ่งเหยียนผิงกระซิบ “ต้าเจียง ถึงตาของเมิ่งชวนแล้ว”
“อืม” เมิ่งต้าเจียงก็ได้มองไปยังเมิ่งชวน ที่อยู่กันสำนักเต๋าจิงหู (กระจกทะเลสาบ)
ใช่แล้ว
ถึงตาของเมิ่งชวนแล้ว
ในฐานะศิษย์เพียงคนเดียวที่ล่วงรู้วิชาลับ เขาจึงได้ขึ้นบนเวทีแสดงตัวเป็นคนสุดท้าย
“ศิษย์พี่เมิ่งระวังตัวไว้ด้วย” อกของวั่นมั่งถูกพันด้วยผ้าพันแผล มีเลือดไหลซึมออกมา “อสูรนั้นเจ้าเล่ห์มาก”
“ข้าเข้าใจแล้ว” เมิ่งชวนพยักหน้า
ศิษย์เต๋าที่ได้ขึ้นไปบนเวทีก่อนหน้านั้นส่วนใหญ่นั้นจะระมัดระวังตัวกันเป็นอย่างมาก คนที่ได้รับบาดเจ็บหนักมีเพียงแค่หกคนและสามารถรักษาให้หายขาดได้ มีเพียงแค่หนึ่งคน… ที่ถูกอสูรหมาป่าฉีกแขนออก ศิษย์สำนักเต๋า “ไป๋ฟ่งฉี” คนในตระกูลของหนึ่งในห้าเทพอสูร เขาได้แต่ร้องไห้หลังจากที่กระโดดออกจากเวที
ปู่ของเขาที่มาที่นี่ด้วยในวันนี้ ดุด่าเขา “เจ้าร้องไห้ทำไม เจ้าจะโทษใครได้ในเมื่อเจ้าก็รู้ว่าอสูรหมาป่านั้นทรงพลังมาก แต่เจ้าก็ยังบ้าบิ่น เจ้าคงไม่เพียงแค่เสียแขนข้างหนึ่งจากการต่อสู้ตัวต่อตัวหากว่าอสูรไม่มีโซ่คล้องอยู่ ถ้าเจ้าอยู่ในสนามรบเจ้าก็คงจะเสียชีวิต กลับไปฝึกฝนให้ดี ตระกูลของเรายังมีวิชากระบี่แขนเดียวอยู่”
แม้ว่าจะโกรธ ดวงตาของปู่ก็ยังอดแดงไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรนี่ก็เป็นหลานชายของเขา และเขาก็ภาคภูมิใจในหลานชายคนนี้เสมอมา
เหล่าศิษย์สำนักเต๋าต่างพากันเห็นอกเห็นใจไป่ฟ่งฉีเพราะว่าเขาได้เสียแขนเมื่อเขามีอายุเพียงสิบหกปี
แต่เจ้าตำหนัก ข้าหลวง และผู้อาวุโสของห้าตระกูลส่วนใหญ่แล้วจะมีท่าทางเยือกเย็น เพราะว่าพวกเขาได้เห็นสิ่งที่โหดร้ายยิ่งกว่านี้ร้อยเท่าพันเท่ามาแล้ว งานเลี้ยงตัดอสูรครั้งนี้นั้นเป็นเพราะเขาหยวนชูไม่ต้องการให้ผู้มีความสามารถตายเสียตั้งแต่เข้าสู่สนามรบครั้งแรก ดังนั้นจึงให้เขาประสบกับการเคี่ยวกรำ เสียตั้งแต่ตอนที่อายุยังน้อย ได้รับประสบการณ์มากขึ้น ให้พวกเขาตั้งอกตั้งใจฝึกฝน และมีความระมัดระวังในสนามรบ
“มีผู้ได้รับบาดเจ็บหกรายและพิการหนึ่งคน มีอสูรสิบสองตัวขึ้นบนเวทีประลอง และพวกมันห้าตัวที่ตาย” เมิ่งชวนนั้นใจเย็นมาก เขาไม่มีความกลัวและความตึงเครียด
นับตั้งแต่เมื่อเขาอายุได้หกขวบ เขาได้เห็นอสูรที่น่าหวาดกลัวมากมาย ในครั้งนั้นคนมากกว่าแสนที่ถูกฆ่า ถ้าไม่ใช่เพราะว่ามีเทพอสูรมาถึง คงจะมีคนเหลือรอดไม่กี่คนในระยะทางหลางสิบกิโลเมตรนั้น และคนตายก็คงเพิีมขึ้นมากเป็นเท่าตัว เทพอสูรเพียงคนเดียวเป็นเหตุให้อสูรพ่ายแพ้และหลบหนีไปอย่างหวาดกลัว ทำให้เผ่ามนุษย์ที่หลบหนีกระจัดกระจายโชคดีมีชีวิตรอด นอกจากนี้เมิ่งชวนก็สามารถรอดชีวิตมาได้ด้วยความพยายามอย่างสิ้นหวังของพ่อและแม่ของเขา และการเข้ามาร่วมต่อสู้ของเทพอสูรในภายหลัง
ไม่ว่าอย่างไร นี่ก็เป็นการสู้แบบตัวต่อตัว อสูรถูกบีบให้อยู่แต่บนเวที และเด็กเผ่ามนุษย์ก็จะสามารถที่จะรอดชีวิตได้ตราบเท่าที่พวกเขากระโดดออกจากเวที… นี่นับว่าปรานีมากแล้ว
“ต่อไป สำนักเต๋าจิงหู (กระจกทะเลสาป) เมิ่งชวน” เสียงของข้าหลวงดังขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย
สายตาทุกคู่จับจ้องไปยังเมิ่งชวนชั่วระยะเวลาหนึ่ง
เมิ่งชวนนั้นกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในเมืองตงหนิงในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ ทุกคนรู้ว่าเมืองตงหนิงนั้นได้มีผู้มีพรสวรรค์ขึ้นมาอีกคนที่จะมีโอกาสได้เป็นเทพอสูร
“ระวังตัวด้วย” เจ้าสำนักเก๋อยูเตือน
“ขอรับ ท่านเจ้าสำนัก” เมิ่งชวนยืนขึ้นและเดินไปที่เวทีประลอง
“อาชวน แสดงให้พวกเขาเห็นว่าเจ้าเป็นอย่างไร” หลิ่วชีเยว่ที่อยู่ในหมู่ของสำนักเต๋าลี่หยางเหวี่ยงกำปั้นขึ้นไปบนอากาศ
“ดูข้าให้ดี” เมิ่งชวนยิ้ม
ในพื้นที่ตระกูลอวิ๋น หวิน(อวิ๋น)ฟู่เฉิงก็มองดูเขาจากระยะไกล พร้อมกับกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ฟู่อัน เมิ่งชวนดูเหมือนจะอารมณ์ดีนะ แต่เขาไม่มีชะตาคู่กับชิงผิง”
“ไม่มีชะตาต้องกัน” หวินฟู่อันยิ้มขณะที่มองไปยังเมิ่งชวน แต่ประกายตาเขาเย็นลงไปกว่าเดิมอีกสามองศา
ยิ่งเมิ่งชวนฉลาดเฉลียวมากเท่าไหร่ หัวใจของเขาก็ยิ่งไม่ยินดี
ในทางกลับกัน เป็นหวินชิงผิงที่วิตกกังวลในเวลานั้น วันนี้เธอก็ได้ตื่นเต้นขึ้นมา เมื่อเธอได้เห็นอสูรในตำนานเป็นครั้งแรก อสูรทั้งน่าเกลียดและดุร้าย
ที่นั่งประธาน
เจ้าวังหยกสุริยันนั่งอยู่ที่ตรงนั้น สายตาก็จับจ้องไปยังร่างของเมิ่งชวนพร้อมกับรอยยิ้ม เขาพูดกับคนข้างๆตัวว่า “หยวนจือ เมิ่งชวนคนนี้ยังมีอายุเพียง 15 ปีก็ได้ตระหนักถึงวิชาลับแล้ว เจ้าเป็นอันดับหนึ่งในหมู่ผู้เยาว์ของตงหนิงในวันนี้ และเขาก็เป็นคนที่สอง นอกจากนี้เขาก็ยังอยู่ในตระกูลเมิ่ง เมิ่งเซียนกูจะต้องพยายามอย่างหนักที่จะฝึกเขาแน่ๆ และเส้นทางของเขาก็จะราบรื่นมากกว่าเจ้า”
“สร้างหนทางด้วยตัวเอง ข้าเองก็จะเข้าเขาหยวนชูในปีนี้” เหมยหยวนจือ ชายหนุ่มร่างผอมพูด “และหลายวันมานี้ท่านเจ้าวังก็ได้ชี้แนะข้าหลายจุด”
“ก็เป็นเพียงแค่การชี้แนะธรรมดา ข้ายังคงต้องเตือนเจ้าว่าเจ้านั้นนับได้ว่าเป็นอัฉริยะอันดับหนึ่งของวังหยกสุริยัน แต่โอกาสที่เจ้าจะได้เข้าสู่เขาหยวนชูนั้นก็มีเพียงแค่ ยี่สิบสามสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น” เจ้าวังหยกสุริยันยิ้มและกล่าวต่ออีกว่า “ถ้ามีอัจฉริยะมากกว่านี้ในปีนี้ ความหวังที่เจ้าจะได้เข้าสู่เขาหยวนชูนั้นก็จะน้อยลงเท่านั้น หยวนจือ เจ้ามีแผนก็จริง แต่ว่าเจ้าจะทำอย่างไรถ้าเจ้าล้มเหลว”
“อย่าเพิ่งคิดถึงมันตอนนี้ รอจนกว่าจะล้มเหลวเสียก่อน” เหมยหยวนจือพูด
เจ้าวังหยกสุริยันไม่ได้พูดอะไรต่อไป แต่มองไปยังเวทีประลองด้วยความสนใจ เขานั้นปรารถนาที่จะให้คำชี้แนะแก่เหมยหยวนจือได้มีความรู้ เพื่อที่เผ่ามนุษย์นั้นจะได้มีเทพอสูรเพิ่มขึ้นอีกสักคนเป็นกำลังในสงคราม แน่นอนว่า “เมิ่งชวน” ก็มีศักยภาพในสายตาของเขาเช่นกัน
เมิ่งชวนก้าวขึ้นไปบนเวที
“อสูร” เมิ่งชวนมองไปยังอสูรแกะที่ยืนอยู่บนเวทีประลอง อสูรแกะนั้นมีร่างกายที่สูงและกำยำมีแขนที่ทรงพลัง เขายาวแหลมคม ดวงตาที่มีแสงสีเขียวจ้องมองไปยังเมิ่งชวน
“มนุษย์ ถ้าเจ้ากลัว ก็จงรีบลงไปซะ” ปีศาจแกะพูดด้วยเสียงคำราม “คู่ต่อสู้ของข้าสองคนก่อนหน้านี้ รวมไปถึงนักธนูยังต้องตกใจกระโดดออกจากเวที”
อสูรแกะนั้นเป็นหนึ่งในอสูรที่ดีที่สุดในบรรดาอสูรทั้งสิบสองตัวที่ปรากฏตัวขึ้น
จงใจจัดไว้ด้านหลัง เพื่อให้เมิ่งชวนได้ลิ้มลองด้วย
“กลัวรึ จากเจ้านะรึ” เมิ่งชวนมองดูมัน แววตาเปลี่ยนไป เปี่ยมไปด้วยความคิดฆ่าฟัน
“สายตาของชวนเอ๋อร์” แม้ว่าเมิ่งต้าเจียงจะมองดูจากระยะไกล แต่เขาก็ยังรู้สึกตกใจ ลูกชายของเขาปกติแล้วจะเป็นคนจิตใจดีงาม และไม่เคยมีจิตสังหารเช่นนั้น
“ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่หนีไปรึ ข้าชอบมนุษย์น้อยผู้กล้าหาญ” อสูรแกะพูด พุ่งตรงเข้ามาหาพร้อมสร้างภาพติดตาไว้มากมาย
เมิ่งชวนเพียงแค่มองไปที่มัน สมาธิจิตใจตั้งมั่นอยู่กับการต่อสู้
กันอสูรเหล่านี้ เขามีแต่ความคิดฆ่าฟันไม่รู้จบสิ้น
“ตาย”
ทันทีที่อสูรแกะเข้ามาถึง มันก็คำรามและตวัดกรงเล็บของมัน และเงากรงเล็บสีเทาก็วาดผ่านฟ้า
“เวลานี้แหละ” ความคิดของเมิ่งชวนไหววูบ และทันใดนั้นเองร่างกายและจิตใจของเขาก็กลายเป็นหนึ่งเดียว
ความคิดฆ่าฟ้นผสมผสานไปกับความเกลียดที่มีต่ออสูรมานับตั้งแต่เด็ก ทำให้เมิ่งชวนในเวลานี้นั้นผสานจิตใจและร่างกายเข้าได้อย่างสมบูรณ์มากกว่าเดิม ขับเคลื่อนพลังที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าปกติ
เทพอสูรโบราณนั้นกล่าวว่าความสามารถของมนุษย์นั้นยิ่งใหญ่ พลังที่ไม่อาจคาดคิดนั้นสามารถที่จะปลดปล่อยออกมาได้ในเวลาวิกฤติ
เมื่อเมิ่งชวนต่อสู้กับอสูรนั้น…พลังและความแข็งแกร่งนั้นเหนือกว่าการฝึกปกติที่สำนักเต๋าจิงหูมากมายนัก
“ฟับ”
ประกายกระบี่วาดออกไปอย่างรวดเร็ว
กระบี่ที่ปลุกเร้าวิญญาณ กระบี่ที่มีแต่จิตสังหาร
ดวงตาของอสูรแกะนั้นเบิ่งกว้างจนกลมโต สัญชาตญาณของมันรับรู้ถึงความตาย มันพยายามที่จะหยุดยั้งไว้ด้วยแขนของมันเอง แต่มันก็ไม่สามารถที่จะสัมผัสกับประกายนั้นได้ ประกายกระบี่นั้นไม่ได้เคลื่อนที่เป็นเส้นตรง แต่เป็นเส้นโค้งที่ไม่มีทิศทางที่ชัดเจน วาดผ่านแขนของมันที่พยายามจะปิดสกัดได้อย่างง่ายดายและตวัดเข้าไปที่คอของมัน
ฉับ
กระบี่ของเมิ่งชวนนั้นกลับคืนเข้าไปในฝัก ราวกับว่าเขานั้นไม่ได้ขยับเขยื้อน แต่ตำแหน่งของเขานั้นเปลี่ยนไปห้าสิบเมตร
“ครึกกกก” อสูรแกะนั้นพุ่งไปข้างหน้าอีกสองสามก้าวก่อนที่จะล้มคว่ำหน้าลงไปบนพื้น ในขณะที่หัวของอสูรแกะนั้นกลิ้งไปยังอีกด้านหนึ่ง พื้นนั้นอาบย้อมไปด้วยเลือดแดง
เพียงแค่การตวัดดาบครั้งเดียว
อสูรแกะตกตาย
เสียงอุทานเกิดขึ้นดังเซ็งแซ่ พวกเขาเคยเห็นความแข็งแกร่งของอสูรแกะมาก่อนหน้านั้น มันมีทักษะการต่อสู้ แม้กระทั่งผู้ที่มีทักษะการต่อสู้และทรงพลังก็ยังยากที่จะเอาชนะมัน ดังนั้นมันจึงสามารถที่จะเอาชนะการต่อสู้สองครั้งได้อย่างง่ายดายติดต่อกัน แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเมิ่งชวนแล้ว มันกลับถูกฆ่าเพียงกระบี่เดียว
เมิ่งชวนมองไปยังศพของอสูรแกะแล้วกระซิบแผ่วเบา “เจ้าเป็นอสูรตนแรกที่ข้าฆ่า”
ตอนที่ 13 เผ่ามนุษย์และเผ่าอสูร
เมิ่งชวน ศิษย์สำนักเต๋าทั้งหมดและบรรดาเด็กวัยรุ่นของตระกูลใหญ่ต่างก็พากันมองดูอย่างระมัดระวัง ในเมึ่อพวกเขาเกือบทุกคนจะต้องเข้าเป็นทหารในอนาคต ซึ่งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
“อสูรสุกร” ชายหนุ่มท่าทางแข็งแกร่งที่มีโล่ในมือซ้ายและขวานในมือขวา กระโดดขึ้นไปบนเวทีประลอง จ้องมองไปยังอสูรสุกรที่อยู่อีกด้านของเวทีประลอง
อสูรสุกรจ้องมองไปยังเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์ แยกเขี้ยวคมกริบ คำรามด้วยเสียงต่ำแปลกๆ “โฮ่โฮ่ ….” จากนั้นก็พุ่งตัวเข้าไปหาในทันที
บูม
อสูรสุกรนั้นอาละวาดไปทั่วอย่างรวดเร็ว
“เร็วมาก”
“ความเร็วนี้เทียบได้กับระดับก่อกำเนิด เป็นเรื่องจริงที่อสูรตัวเล็กๆโดยทั่วไปมีร่างกายเทียบเท่ากับระดับก่อกำเนิด” ศิษย์หลายคนของสำนักเต๋าต่างพากันหวาดหวั่น นี่เป็นสัตว์อสูรตัวเล็กๆที่ธรรมดาที่สุดแล้ว
ชายหนุ่มคนนั้น จางหรู่ชาง ได้ถอยไปยังอีกฟากหนึ่งในเวลานั้นเมึ่ออีกฝ่ายกำลังจะเข้าปะทะ เขาประคองโล่ไว้ด้วยมือซ้ายของเขา และในเวลาเดียวกันเขาก็ฟันไปที่ตีนของอสูรสุกรด้วยมือขวา
อสูรสุกรพุ่งเข้ามาหาเขาเร็วเกินไปและไม่สามารถที่จะเปลี่ยนทิศทางได้ แต่มันก็ยังสามารถใช้แขนขวาของมันใช้ศอก “ปัด” โล่ของเขา ชายหนุ่มจางหรู่ชางรู้สึกถึงแรงที่พุ่งเข้ามาปะทะ เขาก็อดไม่ได้ที่จะเซถอยไปข้างหลังสามก้าว ทำให้ขวานในมือของเขาก็จามวืดไป
“หนังสือกล่าวว่า อสูรนั้นมีร่างกายที่แข็งแกร่ง แต่การต่อสู้ของพวกมันนั้นแย่กว่าพวกเรา ใช่แล้ว ชายหนุ่มจางหรู่ชางนั้นท่องอยู่ในใจ “แต่มันก็ป่าเถื่อนยิ่งกว่า ข้าไม่อาจจะผิดพลาดได้ ข้าต้องหาโอกาสที่จะฆ่ามันภายในครั้งเดียว”
“ฮู่มมมม” อสูรสุกรนั้นดวงตายิ่งมายิ่งบ้าคลั่ง และยิ่งต่อสู้อย่างดุร้าย
และเพียงแต่บนเวทีประลอง
อสูรสุกรนั้นหยิ่งผยองเป็นอันมาก มันมีทั้งความแข็งแกร่งและความเร็วที่เยี่ยมยอด ต่อให้เป็นการเคลื่อนไหวสะเปะสะปะหากสัมผัสเข้ากับเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์ เด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์ก็จะกระเด็นกลับหลัง แต่เด็กหนุ่มชาวมนุษย์เองก็ทรหดเช่นเดียวกัน ด้วยการก้าวเท้าที่สวยงาม เขาก็จะไม่โดนกระแทกอย่างจังๆ โล่ของเขาเองก็ทรงพลังเช่นเดียวกัน สามารถที่จะป้องกันอสูรสุกรได้อย่งาสมบูรณ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างลื่นไหล
“เด็กตระกูลจางคนนี้เก่งในการใช้โล่จริงๆ”
“ป้องกันได้ทั้งหมด ไม่เปิดโอกาสให้อสูรสุกรเลย”
“ข้าไม่รู้ว่าถ้าอสูรสุกรซ่อนไม้ตายไว้หรือไม่” ผู้อาวุโสของห้าตระกูลต่างพากันพูดคุย
ทันใดนั้น—–
ความเร็วกรงเล็บของอสูรสุกรก็พลันเพิ่มขึ้น
นี่เกินกว่าความคาดหมายของจางหรู่ชาง สีหน้าเขาเปลี่ยนไปอย่างมาก เขารีบหดหัวเข้าไปภายใต้โล่
“ปัง” กรงเล็บกรีดลงไปบนโล่อย่างโกรธเกรี้ยว แม้ว่ามุมของโล่นั้นจะทำให้อสูรสุกรรู้สึกอึดอัด แต่กรงเล็บก็ยังทำให้โล่นั้นกระเด็นขึ้น ชายหนุ่มจางหรู่ชางรีบใช้ความแข็งแกร่งของตัวเองเหินกลับไปอย่างรวดเร็วและออกไปพ้นจากเวที
ทันทีที่เขาได้สัมผัสพื้นนอกเวทีประลอง จางหรู่ชางก็กระอักเลือดออกมาพร้อมกับใบหน้าซีดเผือด
“มันร้ายกาจจริงๆ มันซ่อนความแข็งแกร่งเอาไว้” จางหรู่ชางจ้องมองไปยังอสูรสุกรในเวทีประลอง
“เจ้าวิ่งได้เร็วนัก” อสูรสุกรกล่าวด้วยเสียงต่ำ
“อะไรกัน”
“อสูรสุกรนี้ยังเก็บแรงเอาไว้ด้วยรึ”
“มันคงน่ากลัวมากถ้าเผยออกมาในเวลาวิกฤต” บรรดาศิษย์ของสำนักพรตต่างพากันรู้สึกหวาดหวั่นอยู่บ้าง โชคดีที่คนแรกที่ขึ้นไปบนเวทีนั้นเป็นจางหรู่ชางที่มีความระมัดระวังและเก่งทางด้านป้องกันตัว ถ้าเปลี่ยนไปเป็นศิษย์สำนักพรตคนอื่น ก็คงจะประสบความสูญเสียอย่างมาก
“มันซุกงำฝีมือไว้จริงๆ” บรรดาเหล่าผู้อาวุโสของห้าตระกูลพากันพูดคุยอย่างสบาย พวกเขาล้วนมีประสบการณ์ในการต่อสู้กับอสูรในสนามรบมาก่อน ต่างรู้กันอย่างชัดเจนว่าอสูรนั้นดุร้ายเพียงใด ฉากที่เห็นตรงหน้านี้ถือว่า “สุภาพ” ต่อพวกเขาเป็นอย่างมาก
ข้าหลวงที่ดูแลรายชื่อก็กล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มกว้าง “อสูรทุกตัวล้วนฉลาด และก็รู้จักวางแผน ไม่สามารถประมาทได้ เอาล่ะ ต่อไป สำนักเต๋าชุนหยู เซี่ยฮู่สง”
บนเวที
อสูรสุกรยังคงยืนอยู่ที่นั้น ที่ต่ำลงไปด้านหนึ่งนั้นเป็นชายที่มีแขนข้างเดียว มันกล่าวว่า “ข้าชนะเกมแรก”
“ถ้าเจ้าชนะสามรอบติดต่อกัน เจ้าสามารถกลับไปที่ห้องขังได้” ชายแขนเดียวกล่าว
“ดี” อสูรสุกรพยักหน้า แต่ดวงตาของมันนั้นเต็มไปด้วยประกายของความดุร้าย ถ้าเป็นไปได้มันต้องการที่จะฆ่าเด็กหนุ่มชาวมนุษย์นั่น เพียงแค่ฆ่าได้สักคนมันก็จะได้อิ่มหนำสำราญไปกับอาหารรสเลิศและเหล้ายาไปเป็นเวลาถึงสิบวัน ยิ่งคิดยิ่งโกรธแค้น เมื่อมันนั้นถูกจับมาด้วยเผ่าพันธ์มนุษย์และมีชีวิตอยู่อย่างน่าสังเวช แน่นอนว่ามันต้องการที่จะตอบโต้อย่างหนัก
ชายหนุ่มคนที่สอง เซี่ยฮู่สง นั้นใช้มีดด้วยทักษะที่ยอดเยี่ยม
ท่าเท้าของเขานั้นลึกลับ อสูรสุกรนั้นไม่สามารถที่จะสัมผัสตัวเขาใด้
สุดท้ายเขาก็ได้โอกาส
“ฉึก” มีดพุ่งออกไป แทงเข้าไปในร่างของอสูรสุกร หลังจากที่ทะลุผ่านขนหนาเข้าไปแล้ว มีดของเขาก็ติดอยู่กับกล้ามเนื้อของอสูรสุกร ซึ่งทำให้ใบหน้าของเซี่ยฮู่สงนั้นเปลี่ยนไปในทันที
“แย่แล้ว” เขาไม่ลังเลที่จะปล่อยมือจากมีดและรีบล่าถอยในทันที อย่างไรก็ตาม อสูรสุกร ก็ได้ถือโอกาสนั้นตะปบไปยังเซี่ยฮู่สงอย่างดุร้าย และทำให้เซี่ยฮู่สงนั้นถูกตบ ทำให้ศิษย์หลายคนพากันเป็นกังวล
ผู้อาวุโสระดับสูงของห้าตระกูลและข้าหลวงทุกคนยังคงเยือกเย็น ทั้งหมดนี้นับเป็นเรื่องเล็กน้อย
เซี่ยฮู่สงนั้นปลิวออกมาจากเวทีประลอง เลือดกระเซ็นไปบนท้องฟ้า
โชคยังดี…
เซี่ยฮู่สงนั้นได้สวมชุดเกราะประจำตระกูลไว้ แต่เขาก็ยังได้รับบาดเจ็บสาหัสแม้ว่าจะไม่สิ้นชีวิต นับว่าเป็นโชคดีที่เขาสามารถที่จะรักษาตัวได้หลังจากได้รับการพักผ่อนเป็นเวลาหลายเดือน
“ต่อไป สำนักเต๋าเฟิงหยาง หรวนมี่”
“นักธนูหรวนมี่” ชื่อของเขาได้รับความสนใจจากคนหลายคนที่อยู่ที่นั่นในทันใด นักธนูทุกคนนั้นล้วนมีความสำคัญเป็นอย่างสูง เมิ่งชวนก็มองดูอีกฝ่ายอย่างระมัดระวัง เพราะว่าน้องสาวของเขาชีเยว่ก็เป็นนักธนูเช่นเดียวกัน การต่อสู้ระหว่างหรวนมี่กับอสูรแน่นอนว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สามารถใช้เป็นสิ่งอ้างอิงได้
หรวนมี่นั้นค่อนข้างมีชื่อเสียงในหมู่ผู้เยาว์ของเมืองตงหนิง เขาเกิดมาในตระกูลธรรมดา แต่การที่เขาได้กลายเป็นนักธนูนั้นทำให้สิ่งต่างๆเปลี่ยนแปลงไป เขากลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงในหมู่ศิษย์ของสำนักเต๋าเฟิงหยาง แขนของเขานั้นยาว และตอนนี้เมื่อเขากระโดดขึ้นไปบนเวทีประลองพร้อมกับธนูใหญ่ เขาก็ยืนที่ขอบเวทีและเริ่มยิงโดยไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
“ฟิ้ว”
ลูกศรพุ่งทะยานไปในอากาศ
รวดเร็วเหลือเกิน นักธนูที่ตั้งใจอย่างเต็มที่นั้นช่างน่าหวาดกลัวเหลือเกิน
ในเวลาเดียวกัน อสูรก็เหวี่ยงกรงเล็บของมันและุฟาดลูกศรดอกแรกปลิวไป กรงเล็บอีกข้างของมันก็ใช้ปกป้องส่วนหัวของมันซึ่งนับได้ว่าเป็นจุดอ่อน
แต่หลังจากนั้นลูกศรดอกที่สองก็เจาะเข้าไปในต้นขาของมัน และปักติดอยู่ในต้นขาของมัน กระบี่ธรรมดาทั่วไปของผู้ที่อยู่ระดับชำระแก่นแท้จะลดพลังลงไปอย่างมากหลังจากที่ทะลุผ่านขนของอสูรสุกร แต่ลูกศรกลับปักทะลุต้นขาของมันได้อย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งทำให้เกิดผลกระทบต่อการวิ่งของอสูรสุกร หรวนมี่ นักธนูรุ่นเยาว์นั้นเคลื่อนตัวอย่างเยือกเย็นในขณะที่ยิงศรดอกที่สามและสี่
ฉึก ฉึก
ศรดอกที่สามและสี่นั้นก็ยังคงยิงไปยังขา กล้ามเนื้อของอสูรสุกรนั้นถูกปักตรึงด้วยลูกศรและมีเลือดให้เห็นเพียงเล็กน้อย แต่อย่างไรก็ตามมันก็วิ่งได้ด้วยความเร็วที่เหลือเพียงครึ่งเดียว ชายหนุ่มหรวนมี่รู้สึกผ่อนคลายขึ้น เขาวิ่งวนไปรอบเวทีประลองขณะที่ยิงศรออกไปอย่างต่อเนื่องทีละดอก
“ตาย”
“จงตายซะ” อสูรสุกรรู้สึกได้รางๆว่าความตายนั้นกำลังเข้ามาเยือน มันยิ่งบ้าคลั่งยิ่งกว่าเดิมและต้องการที่จะเข้าไปใกล้นักธนู
แต่ว่าขาของมันนั้นไม่สามารถที่จะเร่งให้เร็วกว่านี้ได้อีกแล้ว และแม้ว่าระยะห่างระหว่างพวกเขานั้นไม่ได้ไกลมาก แต่มันก็เหมือนเป็นช่องว่างที่ไม่สามารถย่นให้ใกล้กว่านี้ได้
ร่างของอสูรสุกรนั้นถูกยิงเข้าไปทั้งหมด 12 ดอก มันส่งเสียงโหยหวนขณะที่กำลังพยายามที่จะวิ่ง ศรดอกที่ 12 นั้นก็ได้โอกาสที่จะเจาะทะลุหัวของอสูรสุกรซึ่งนับว่าเป็นจุดอ่อนของมัน สุดท้ายลูกศรนั้นก็ทำให้อสูรสุกรล้มลงกับพื้น ชักกระตุกและไม่สามารถที่จะลุกขึ้นมาได้อีก
“พลังของอสูรนั้นแข็งแกร่งจริง” หรวนมี่พึมพัม
“ทำได้ยอดเยี่ยม”
“สวยงามมาก”
มีเสียงเชียร์เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาศิษย์ของสำนักเต๋าเฟิงหยาง
“ลากมันลงไป” ชายที่มีแขนเดียวที่อยู่ด้านข้างของเวทีประลองสั่งทหารที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของเขา และทันใดนั้นทหารสองคนก็ขึ้นไปที่เวทีประลองและลากร่างของอสูรสุกรลง เหลือทิ้งไว้แต่เพียงเลือดบนเวทีประลองเท่านั้น
ไม่มีใครสนใจในการตายของอสูรสุกร
อสูรนั้นเป็นผู้ที่บุกรุกเข้ามาฆ่าฟ้นมนุษย์ มนุษย์เองก็เพียงแค่ต้องการที่จะปกป้องบ้านเกิดของตนเองเท่านั้น แต่ถึงกระนั้นผู้คนจำนวนมากก็ยังต้องตกตาย ครึ่งหนึ่งนั้นตายจากการรับใช้กองทัพ คนที่รอดชีวิตหลายคนก็ยังต้องกลายเป็นคนพิการ เราสามารถเห็นได้ว่ามนุษย์ต้องจ่ายไปมากมายเพียงใด
ผู้คนนับไม่ถ้วนถูกสังหาร จนกระทั่งได้เขาหยวนชูได้จัดตั้งวังหยกสุริยันในทกเมืองและได้ส่งเทพอสูรไปปกป้องคนธรรมดา เทพอสูรนั้นได้ปกป้องทั้งสี่ทิศและกำจัดอสูรทุกตัวที่กล้าลักลอบเข้ามาในพื้นที่ของเผ่ามนุษย์ ด้วยวิธีนี้จึงทำให้สถานการณ์ของเผ่ามนุษย์นั้นมีเสถียรภาพ ความเกลียดชังที่มนุษย์มีต่ออสูรนั้นแม้ใช้น้ำหมดมหาสมุทรก็มิอาจจะชำระล้างออกไปได้
ตอนที่ 12 – งานเลี้ยงตัดอสูร
ขึ้นสามค่ำเดือนสาม
รถม้าคันใหญ่สองคันได้หยุดลงที่ด้านนอกประตูตำหนักหยกสุริยัน สำนักกระจกทะเลสาบท่านประมุข ‘เก๋อหยู่’ ได้ลงมาจากรถม้าคันด้านหน้า ที่ด้านหลังนั้นยังได้มีรถม้าที่ยังมีคนเดินลงมากันถึงหกคน ซึ่งก็คือเมิ่งชวน หวู่ฉี่ ว่านหมางรวมถึงศิษย์ในสำนักรวมเป็นทั้งหมดหกคน ภายในห้องโดยสารกว้างขวางเป็นอย่างยิ่ง ทั้งหกแม้จะนั่งรวมกันก็ไม่รู้สึกว่าอึดอัดไม่
“ตำหนักหยกสุริยัน” เมิ่งชวนและพวกทั้งหกคนต่างก็ได้เงยหน้าขึ้นกำลังมองไปที่ตำหนักหลังนี้
ตำหนักหยกสุริยันถือเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ของทั่วทั้งเมืองตงหนิง จ้าวตำหนักหยกสุริยันเองก็ถือเป็นการดำรงอยู่ที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองตงหนิง
ตำนานเล่าขานของ ‘เขาหยวนชู’ ในราชวงศ์ต้าโจวทุกจวนภายในเมืองล้วนแต่ถูกสร้างขึ้นจากตำหนักหยกสุริยัน อีกทั้งยังต้องส่งศิษย์หนึ่งคนมาประจำอยู่ที่ตำหนักหยกสุริยัน จ้าวตำหนักหยกสุริยันนับได้ว่าเป็นผู้ที่มีความแข็งแกร่งที่ประจำอยู่ภายในตำหนัก!เทพอสูรที่แข็งแกร่งที่สุดในรอบร้อยปีของเมืองตงหนิง บรรพบุรุษตระกูลจางท่านนั้นเองก็ได้มาฝากตัวกับเขาหยวนชู บัดนี้เองก็ได้คอยเฝ้าอยู่ในพื้นที่ทางด้านนอก
“ตามข้าเข้าไป” ในระหว่างที่เก๋อหยู่กล่าวก็ได้เดินนำออกไป เมิ่งชวนและคนที่เหลือก็ได้ติดตามอยู่ทางด้านหลังเข้าสู่ประตูตำหนักหยกสุริยัน
เวลานี้ทางด้านหลังเองก็ได้มีรถม้าหรูแล่นมาถึง พร้อมกับมีคนลงมาจากบนรถม้า
เมิ่งชวนพวกเขาจึงค่อยหันกลับมามอง
“อือ?” เมิ่งชวนหันไปมองอวิ๋นชิงผิง และยังพบอวิ๋นฟู่อันแล้ว อวิ๋นฟู่อันยังได้พาฮูหยินร่วมทางมาด้วย
“งานเลี้ยงตัดอสูรแห่งตำหนักหยกสุริยัน ก็ถือเป็นการชุมนุมที่พบได้ยากของเมืองตงหนิง ทางราชสำนักและห้าสุดยอดตระกูลเทพอสูรก็ล้วนแต่ส่งคนมา” ประมุขเก๋อหยู่กล่าวออกมาอย่างไม่คิดอะไร “กระนั้นทุกตระกูลก็ยังถูกจำกัดให้ส่งคนมาเข้าร่วมได้มากที่สุดเพียงสิบคนเท่านั้น”
……
“เป็นเมิ่งชวน” อวิ๋นชิงผิงและเหล่าคนในตระกูลที่ได้อยู่รวมกัน ก็ได้พบเห็นเมิ่งชวน ชั่วขณะนี้ภายในจิตใจของนางพลันบังเกิดความซับซ้อน
ถึงอย่างไรนับตั้งแต่จำความได้ ก็ได้ถูกบอกเอาไว้ว่า——นั่นเป็นคู่สมรสของเจ้า เป็นคนที่จะใช้ชีวิตร่วมกันไปตลอดชีวิต!
ถึงแม้จะสามารถยกเลิกสัญญาหมั้นหมายได้เป็นที่สำเร็จ แต่ภายในจิตใจกลับยังคงแตกต่างไปจากคนอื่นมากอีกทั้งยังพึ่งจะยกเลิกสัญญาหมั้นหมายไปได้ไม่นาน……เมิ่งชวนกลับมีความก้าวหน้าราวกับติดปีก รู้แจ้งเคล็ดวิชาลับ สำเร็จเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่เจิดจรัสไปทั่วทั้งเมืองตงหนิง แม้แต่คนในตระกูลญาติสนิทมิตรสหายก็ยังพูดกันเช่นนี้ แน่นอนว่าย่อมต้องทำให้จิตใจของนางเกิดความว้าวุ่นกันอยู่บ้าง
กระนั้น อวิ๋นชิงผิงก็เข้าใจดี นางเองก็ไม่นึกเสียใจ เพราะว่าเมิ่งชวนต่อให้ร้ายกาจกว่านี้ ก็มิใช่สิ่งที่นางต้อง!
“เด็กน้อยอย่างพวกเจ้าทั้งหลาย ล้วนแต่จงดูเอาไว้ให้ดี” ตระกูลอวิ๋นท่านผู้นำตระกูล ‘อวิ๋นฟู่เฉิง’ ที่มีรูปร่างค่อนข้างกำยำ ก็ได้หันไปมองผู้เยาว์ทั้งหก “รอจนกระทั่งพวกเจ้าอายุครบยี่สิบจนเข้ารับราชการ ต่างก็จำเป็นที่จะต้องออกไปฆ่าฟันกับอสูร ครั้งนี้พวกเจ้าก็จะได้เห็นถึงความโหดเหี้ยมของสัตว์อสูรเองกับตา ถ้าหากผู้ใดถูกสัตว์อสูรทำให้ตื่นกลัวจนต้องหลับตา เมื่อกลับไปจะต้องถูกกักบริเวณเป็นเวลาสิบวัน!”
“ขอรับ ท่านพ่อ(ลุงใหญ่)” อวิ๋นชิงผิงและผู้เยาว์ชายหญิงรวมหกคนก็ได้ตอบอย่างว่านอนสอนง่าย
อวิ๋นฟู่เฉิง พี่ใหญ่ตระกูลอวิ๋น หนึ่งในสามบุรุษผู้โดดเด่นที่สุดได้ปรากฏตัวแล้ว
ในยามที่รับราชการด่านฉินหยางเองก็ได้รับคุณประโยชน์สูงสุด ไม่เพียงแต่จะรู้แจ้งท่วงท่า แต่ยิ่งมีความสำเร็จหลอมโอสถ เพียงแต่ในเวลาที่เข้าสังหารกับอสูรยังได้กระตุ้นเคล็ดวิชาต้องห้ามนานจนเกินไป บาดเจ็บจนถึงรากฐาน สิ้นหวังสู่การเป็นเทพอสูรไปจนนิรันดร์
“พี่ใหญ่ พวกเรารีบเข้าไปเถอะ อย่าได้มัวแต่ขวางประตูเช่นนี้แล้ว” อวิ๋นฟู่อันยิ้มแย้มแล้วตอบ ที่เบื้องหน้าพี่ใหญ่เขาเองก็ได้ทักทายด้วยความยิ้มแย้มมาตลอด แม้พี่ใหญ่จะด่าเขา เขาเองก็ทำได้แต่อดทนเอาไว้เท่านั้น! ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ในหมู่กองทัพของด่านฉินหยาง ภายใต้เบื้องหน้าราชสำนัก ก็ล้วนแต่จะยิ่งเป็นที่ยอมรับพี่ใหญ่อวิ๋นฟู่เฉิงเขา
“อือ เข้าไปเถอะ” อวิ๋นฟู่เฉิงพยักหน้า
พวกเขาสองพี่น้องต่างก็ได้พาฮูหยินมาด้วย รวมไปจนถึงผู้เยาว์ทั้งหกก็ได้เดินเข้าสู่ตำหนักหยกสุริยันไปพร้อมกัน
………..
บนลานกว้างภายในตำหนักหยกสุริยันแห่งหนึ่ง ได้มีเวทีประลองขนาดใหญ่อยู่แห่งหนึ่ง รอบข้างของเวทีประลองยังได้จัดวางเก้าอี้ไว้อยู่มากมาย
แปดสำนักใหญ่ ห้าตระกูลใหญ่ ขุนนางรับใช้ราชสำนัก ตำหนักหยกสุริยันล้วนแต่ได้เข้าประจำตำแหน่งกันแล้ว
เมิ่งชวนย่อมนั่งอยู่ในภายในใจกลางพื้นที่ของสำนักกระจกทะเลสาบ
“ชวนเอ๋อ” ท่านผู้นำตระกูลเมิ่งเหยียนผิง เมิ่งต้าเจียงได้กำลังนำผู้เยาว์ตระกูลเมิ่งทั้งแปดเข้ามาเพื่อทำความรู้จักกัน เมิ่งต้าเจียงยังได้ขยิบตาให้กับเมิ่งชวน
“ท่านพ่อข้าก็นะ” เมิ่งชวนพึมพำ
“แต่ละสำนักใหญ่ต่างก็มีผู้เยาว์มากันอย่างคับคั่ง” เมิ่งชวนก็พบได้ในทันที ห้าตระกูลใหญ่ โดยส่วนใหญ่แล้วก็มักจะมีชนชั้นระดับสูงพากลุ่มผู้เยาว์มากัน ก็เพื่อที่จะให้เหล่าผู้เยาว์ได้มาเปิดหูเปิดตา : “เป็นตระกูลอวิ๋น ผู้นำตระกูลอวิ๋นฟู่อันถึงกับยังพาฮูหยินมาด้วยแล้ว แต่ก็น่าจะเป็นเช่นนั้น……ผู้เยาว์ในตระกูลอวิ๋นที่อยู่ในวัยต่ำกว่ายี่สิบปีแต่มากกว่าหกขวบปี ก็มีเพียงแค่หกคนเท่านั้น”
ตระกูลอวิ๋นช่างมีคนน้อยกันเกินไปแล้ว
บรรพบุรุษตระกูลอวิ๋นถือเป็นรุ่นที่หนึ่ง รุ่นที่สองก็คือห้าบุตรหนึ่งธิดา รุ่นที่สามก็คืออวิ๋นชิงผิงและคนในรุ่นนี้……
ทั่วทั้งตระกูลอวิ๋นก็มากันแค่สิบคน
การมาเข้าร่วมกับตำหนักเมฆาสุริยันงานเลี้ยงตัดอสูรครั้งนี้ ผู้เยาว์ที่อยู่ในวัยที่ถึงเกณฑ์ทั้งหมดก็ได้มากันหมดแล้ว อีกทั้งยังสามารถพาฮูหยินได้อีก
และเหล่าผู้เยาว์จากทางด้านสี่ตระกูลใหญ่ที่เหลือเพื่อที่จะเข้ามารับชมการต่อสู้ กลับต้องเกิดการช่วงชิงกันภายในอย่างดุเดือดกันเลยทีเดียว
“จ้าวตำหนักหยกสุริยันได้มาถึงแล้ว”
ความเป็นระเบียบเรียบร้อยพลันเกิดขึ้น
ผู้คนในสถานที่แห่งนี้ทั้งหมดล้วนแต่ลุกขึ้นยืน แม้แต่ขุนนางใหญ่จากราชสำนักผู้นั้นเองก็ยังต้องลุกขึ้นยืน อีกทั้งยังเป็นฝ่ายคารวะทักทายก่อน
“จ้าวตำหนักหยกสุริยัน?” เมิ่งชวนก็ได้ละสายตามองไป
นั่นกลับเป็นบุรุษหนุ่มร่างกำยำสูงใหญ่ผู้หนึ่ง เขาที่มีรูปร่างแข็งแกร่งราวกับสลักออกมาจากหยกศิลา ก็ได้ก้าวเดินออกมาทีละก้าว ล้วนแต่ราวกับว่าเป็นการดำรงอยู่ที่น่าจับตามองที่สุดในใต้หล้า แววตาที่เปล่งเป็นประกายของเขา ในช่วงเวลาที่เขาหันหน้ามองเข้ามาไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็อดไม่ได้ที่จะต้องก้มหน้าลงเล็กน้อย ไม่กล้าที่จะสบตากับเขา การดำรงอยู่ที่แข็งแกร่งที่สุดของเมืองตงหนิงท่านนี้ ก็เหมือนดั่งเทพผู้ปกปักของเมืองตงหนิง
อีกทั้งยังเป็นเทพอสูรที่ได้ก้าวออกมาจากเขาหยวนซู!
จ้าวตำหนักหยกสุริยันเดินมาจนถึงที่นั่งเจ้าตำหนัก แล้วนั่งลงในทันที ถึงแม้จะนั่งอยู่ แต่กลับแผ่ซ่านพลังอำนาจที่ยากจะอธิบายออกมาได้ปกคลุมไปทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้าน ถึงแม้จะเป็นประมุขเก๋อหยู่ที่มีบุคลิกการวางตัวตามสบาย แต่เมื่ออยู่เบื้องหน้าจ้าวตำหนักหยกสุริยันก็ยังต้องให้ความยำเกรงและระมัดระวังกันอยู่บ้าง
“อือ?” ในยามนี้เมิ่งชวนพวกเขาจึงค่อยสังเกตเห็นว่า ที่ด้านหลังของท่านจ้าวตำหนักหยกสุริยันทั้งสองด้านยังได้ยืนเอาด้วยบุรุษหนุ่มซูบผอมรวมไปจนถึงบุรุษหนุ่มชุดขาวอีกคน
“บุรุษที่ซูบผอมผู้นั้นก็คือเหมยหยวนจือ บุรุษหนุ่มชุดขาวเป็นผู้ใดกัน?” เมิ่งชวนถึงกับอดไม่ได้ที่จะสงสัยขึ้นมา
“ศิษย์พี่เมิ่ง เจ้าทราบว่าบุรุษหนุ่มชุดขาวนั้นเป็นผู้ใดอย่างงั้นหรือ?” ว่านหมางถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“ไม่รู้จัก” เมิ่งชวนส่ายหน้า
“เหมยหยวนจือที่ยืนอยู่ทางด้านหลังจ้าวตำหนักหยกสุริยันก็ยังแล้วไป บุรุษหนุ่มชุดขาวนั้นยังเป็นผู้ใดอีกกัน?” ในบริเวณอื่นเองก็ได้กล่าวถกเถียงกันออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ เห็นได้ชัดว่าทุกคนต่างก็สังเกตเห็นบุรุษหนุ่มชุดขาวกันแล้ว
ในเวลานี้ ใต้เท้าข้าหลวงก็ได้เดินนำหน้าขึ้นมา พร้อมกับหันไปมองบริเวณโดยรอบ ส่งเสียงดังออกมา : “ทุกท่าน งานเลี้ยงตัดอสูรแห่งตำหนักหยกสุริยันที่สามปีจะจัดขึ้นหนึ่งครั้ง อีกทั้งยังเป็นเขาหยวนชูที่เป็นฝ่ายบัญญัติเอาไว้ เพื่อเป็นการบ่มเพาะฝึกฝนเหล่าผู้เยาว์ที่โดดเด่นจากแต่ละจวน ทำให้เหล่าผู้เยาว์ที่โดดเด่นก่อนที่จะเข้าสู่สนามรบ สามารถที่จะสู้กับเหล่าอสูรกันได้ก่อน เพื่อที่จะเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากเหล่าสัตว์อสูรอย่างแท้จริง เช่นนี้ อนาคตในยามที่เข้าสู่สนามรบ ก็จะมีโอกาสที่จะมีชีวิตรอดได้อีกหลายส่วน ทุกท่านคงจะรับทราบในความหวังดีของเขาหยวนชูกันแล้ว”
“กฎของการงานเลี้ยงตัดอสูรนี้ อัจฉริยะทุกท่านเองก็จงฟังเอาไว้ให้ละเอียดแล้ว” ใต้เท้าข้าหลวงเปล่งเสียงดังกังวาน : “การต่อสู้ด้วยความเป็นความตายกับเหล่าอสูรบนเวทีประลองในครั้งนี้ หากพบว่าไม่สามารถต้านทานเอาไว้ได้ ขอเพียงแค่กระโดดลงจากเวทีประลองก็จะสามารถมีชีวิตรอดได้ พวกเจ้าเองก็ไม่จำเป็นต้องเป็นกังวลว่าจะเกิดเรื่องเหนือความคาดหมายไป เพราะว่า ยังมีเจ้าสำนักอยู่ ย่อมไม่มีทางที่จะเกิดเรื่องเหนือความคาดหมายขึ้นอย่างแน่นอน”
ในระหว่างที่ใต้เท้าข้าหลวงกล่าวก็ได้หันไปยิ้มแย้มกับจ้าวตำหนักหยกสุริยัน
“แน่นอนว่า ผู้คนที่อยู่ด้านนอกเวทีประลองเองก็ห้ามมิให้สอดมือเข้ายุ่งเกี่ยว เพราะนั่นอาจจะเป็นการทำให้ศึกความตายต้องเกิดความหม่นหมอง นี่ก็คือกฎของงานเลี้ยงตัดอสูร ที่ไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามมิให้ฝ่าฝืน” ใต้เท้าข้าหลวงกล่าวขึ้นอย่างเย็นชา : “สามารถบอกต่อพวกเจ้าก่อนเลยก็ได้ว่า ตามประวัติศาสตร์ ที่ตายอยู่บนเวทีประลองแห่งนี้ แม้แต่แขนหักขาขาดอยู่บนเวทีประลองเองก็มี หากว่าเกิดกลัวขึ้นมา ก็จงปล่อยวางโอกาสในครั้งนี้ไปได้ในทันที”
กระนั้นกลับหาได้มีคนคิดที่จะยอมทิ้งโอกาสในครั้งนี้ไป
ในช่วงที่ไปรับใช้ราชสำนัก บนสนามรบย่อมต้องเกิดอันตรายที่มากยิ่งกว่า หากว่าละทิ้งโอกาสในครั้งไป ก็มีแต่จะกลายเป็นที่หัวเราะเยาะไปทั่วทั้งเมืองตงหนิงกันแล้ว
“ประเสริฐ เช่นนั้นงานเลี้ยงตัดอสูร ก็เริ่มขึ้นได้” ใต้เท้าข้าหลวงกล่าวจบก็ได้กลับมายังตำแหน่งของตัวเอง
รถเข็นกรงคันหนึ่งก็ได้ค่อยๆ ถูกเข็นออกมา
ภายในรถเข็นกรงยังได้กักเอาไว้ด้วยอสูรสุกรตนหนึ่ง อสูรสุกรตนนี้มีร่างกายราวสองจั้ง ร่างกายยังเต็มไปด้วยกล้ามเนื้ออวบอ้วนขนดำ สาดทอแววตาจับจ้องมองเหล่าผู้คนที่นั่งกันอยู่ทางด้านนอก ภายในแววตายังเปี่ยมไปด้วยรังสีสังหาร
“อยู่อย่างว่าง่ายหน่อย” บุรุษแขนเดียวที่ลากรถเข็นกรงเข้ามาก็ได้เอ่ยปากกล่าว
เมื่อได้ยินเสียงของบุรุษแขนเดียวผู้นี้ อสูรสุกรถึงกับต้องสั่นระริกไปทั้งร่าง ภายในแววตายังแฝงเอาไว้ด้วยความหวาดกลัว
“ขอเพียงเอาชนะในขณะที่ยังอยู่บนเวทีประลองได้ ก็จะให้เจ้าได้กินจนอิ่มหนำมื้อหนึ่ง ขอเพียงแค่สามารถฆ่าผู้เยาว์เผ่ามนุษย์ เจ้าก็จะได้รับอาหารเลิศรสสุราชั้นดีเป็นเวลาสิบวัน” บุรุษแขนเดียวที่ต่อ “แต่ว่าเจ้าห้ามออกไปจากเวทีประลอง หากหาญกล้าออกจากเวทีประลอง จะได้รับหมื่นพันมีดเชือดเฉือนไปจนตาย!”
“ข้าทราบแล้ว” อสูรสุกรเปล่งเสียงดังทุ้มต่ำ พ่นวาจาออกมาเป็นเสียงมนุษย์
รถเข็นกรงถูกลากมาถึงด้านข้างเวทีประลองเวทีประลอง
เปิดประตูกรง
“ขึ้นไปเถอะ” บุรุษแขนเดียวกล่าวอย่างเย็นชา
อสูรสุกรย่างก้าวอย่างเชื่องช้า จนขึ้นสู่บนเวทีประลอง บนข้อมือข้อเท้าของมันยังมีโซ่อันหนักหน่วงตรึงเอาไว้อยู่ ในเวลาที่มาถึงบนเวทีโซ่เหล่านี้ก็ได้ถูกทุบไปมา
เมิ่งชวนมองดูอย่างถี่ถ้วน จนเขารู้สึกได้ว่าอสูรสุกรตัวนี้ถือครองพลังอันมหาศาลเอาไว้ ขนหมูสีดำนั้นยังมีความเหนียวจนไม่ต่างอะไรไปจากเกราะหนัก อสูรสุกรเองก็ได้มองไปยังรอบบริเวณอย่างเปี่ยมไปด้วยรังสีฆ่าฟัน ในสายตาของมัน เผ่ามนุษย์รอบบริเวณล้วนแต่ถูกมองว่าศัตรู!ความบ้าคลั่งในสายตาของมัน ยังเต็มไปด้วยรังสีสังหารที่เกลียดชังอย่างรุนแรงจนทำให้เหล่าผู้เยาว์บางส่วนจิตใจสั่นไหวกันขึ้นมา คล้ายกับผู้เยาว์จากตระกูลอวิ๋นที่อ่อนวัยที่สุดในวัยเพียงแปดขวบปีถึงกับแตกตื่นจนใบหน้าซีดเผือด พร้อมกับเข้าสวมกอดมารดาตัวเอง
“ห้ามกอด” อวิ๋นฟู่อันดุบุตรชายของตัวเอง พร้อมทั้งสายตาอันเย็นเยียบมองไปที่ภรรยา : “มารดามากเมตตาบุตรก็จะยิ่งล้างผลาญ!”
และในเวลานี้ ข้าราชการราชสำนักหันไปมองรายชื่อ แล้วส่งเสียงกล่าวขึ้นว่า: “ศิษย์ระดับชำระแก่นแท้ขึ้นสู่เวทีประลองก่อน คนที่หนึ่ง จางหรู่ชางแห่งสำนักเหล่ยหยาง
ตอนที่ 11 เข้าพบจ้าวตำหนักหยกสุริยัน
เมืองตงหนิง ภายในห้องหรูหราบนชั้นสามของเหลาสุรา ในชั้นนี้ก็นับว่าเป็นชั้นที่หรูหราชั้นหนึ่ง
อวิ๋นฟู่อันที่กำลังดื่มสุราที่พึ่งสุขสม ฟังบทเพลงทำนองเสนาะอันไพเราะ
ด้านข้างยังได้มีสตรีชุดเขียวบรรเลงพิณอยู่ ทางหนึ่งดีดพิณขับขานแผ่วเบา นี่ได้ทำให้อวิ๋นฟู่อันต้องส่ายหัวด้วยความเคลิบเคลิ้มเป็นอย่างมาก
เพียงการขับร้องบรรเลงทำนองเพียงหนึ่งบท
“เซียงยิน บัดนี้การบรรเลงเจ้ายิ่งน่าดึงดูดได้มากยิ่งขึ้นแล้ว ในใจข้าล้วนแต่แทบจะลอยคว้างไปตามการขับขานของเจ้าแล้ว” อวิ๋นฟู่อันกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“พี่ใหญ่อวิ๋น ท่านชมเชยเกินไปแล้ว ข้ายังนับว่าอ่อนด้อยนัก ยังต้องร่ำเรียนกับท่านอาจารย์อีกมากอักโข” สตรีชุดเขียวกล่าว
“นั่นไม่เหมือนกันนั้นไม่เหมือนกัน อาจารย์ท่านนั้นของเจ้าแม้นว่าจะมีความช่ำชองที่ลึกล้ำ แต่ก็อยู่ในวัยที่อายุมากแล้ว กล่องเสียงนั้นจะขับขานสู้เจ้าออกมาได้อย่างไรกัน? ดังนั้นแล้ว ในด้านนี้จะอย่างไรก็ยังคงต้องพึ่งพรสวรรค์ กล่องเสียงของเจ้านี้นับว่ามีความโดดเด่นนัก ไม่ว่าจะขับขานบทเพลงใดก็ล้วนแต่น่าฟังเป็นอย่างยิ่ง” อวิ๋นฟู่อันยังคงกล่าวชมเชย
“เช่นนั้นข้าก็คงต้องขับร้องให้พี่ใหญ่อวิ๋นอีกสักบทเพลงแล้ว” สตรีชุดเขียวชม้ายมุมปากยิ้ม แล้วหันกลับไปบรรเลงพิณอีกครา
แน่นอนว่าที่นางทำอยู่ย่อมต้องเป็นการกล่อมอวิ๋นฟู่อันเท่านั้น
ท่านทวดตระกูลอวิ๋นผู้นั้นมีบุตรห้าหนึ่งบุตรี ในหมู่พี่ใหญ่ทั้งสาม กลับต้องเติบโตขึ้นมาอย่างยากลำบาก ประสบเคราะห์กรรมความยากลำบากร่วมกับผู้เป็นบิดา บัดนี้ต่างก็นับเป็นยอดฝีมือระดับไร้ตำหนิกันแล้ว อีกทั้งยังมีอีกสองท่านที่ล้วนแต่รู้แจ้ง ‘ท่วงท่า’ กันแล้ว นับว่ามีข้อมือที่ร้ายกาจเป็นอย่างยิ่ง ได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘สามบุรุษตระกูลอวิ๋น’ ในทางกลับกันเจ้าสี่และเจ้าห้ารวมไปจนถึงบุตรีคนสุดท้อง กลับหาได้รับความลำบากอะไรมากมายนัก
ก็คล้ายกับอวิ๋นฟู่อัน ในยามที่เขายังเด็ก บิดาก็ได้สำเร็จเป็นเทพอสูร วันเวลาที่ผันผ่านมาจึงเป็นไปได้อย่างราบรื่น เมื่อในเวลานั้นบรรพชนตระกูลอวิ๋นพึ่งจะก้าวข้ามระดับ จดจ่ออยู่การแก่นแท้ของการฝึกปรือ จึงไม่ได้มีเวลามากพอที่จะมาสนใจส่วนสั่งลูกหลาน ดังนั้นลูกทั้งสามคนนี้จึงไม่เอาไหน
อวิ๋นฟู่อันกลับไม่ได้มีอะไรมากเป็นพิเศษ เพราะว่าการที่เป็นบุตรชายคนเล็ก ที่เที่ยวเล่นกันอยู่ในกลุ่มลูกหลานคุณชาย จึงมีแต่ความเจ้าเล่ห์เพทุบายยิ่งนัก
จากที่สังเกตการณ์กระทำและคำพูด ที่เหยียบย่ำข่มเหงผู้คนล้วนแต่เป็นเรื่องที่สามารถทำได้อย่างเฉียบคม เกี่ยวกับการลงมือด้วยวิธีสกปรกเองก็ยังถือว่าจัดการได้อย่างสมบูรณ์แบบ……ดังนั้นสามบุรุษตระกูลอวิ๋นจึงชมชอบน้องชายผู้นี้เป็นอย่างยิ่ง จึงมักมอบหมายเรื่องต่างๆ ให้น้องชายไปทำได้อย่างวางใจ อีกทั้งน้องชายยังสามารถทำเรื่องต่างๆ ได้อย่างหมดสมบูรณ์แบบเลยทีเดียว
ดังนั้น อวิ๋นฟู่อันที่ถือกุมอำนาจไว้อย่างล้นหลามอยู่ในมือ!คนในตระกูลมากมายก็ล้วนแล้วแต่ก็มีเขาเป็นผู้รับผิดชอบ
เขาที่พูดออกมาเพียงประโยคเดียว ก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้มีชื่อเสียงในใต้หล้านี้มลายหายไปได้ในทันที วาจาเพียงประโยคเดียวที่ทำให้สตรีไม่คุ้นหน้าสามารถมีเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงขึ้นได้
“อือ~~” อวิ๋นฟู่อันที่กำลังฟังเสียงทำนองเสนาะอยู่ ก็ได้มีเสียงดังแทรกเข้ามาอย่างแผ่วเบาที่กำลังฟังเสียงทำนองเสนาะ ยังคงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาอยู่
ทันใดนั้นที่ด้านล่างเหลาสุราก็ได้มีเสียงฮือฮาดังขึ้น อีกทั้งยังเป็นเสียงที่อยู่พอสมควร สิ่งนี้ได้ทำให้อวิ๋นฟู่อันขมวดคิ้วเล็กน้อย
ภายในห้องหรูหราเดิมที่มีแต่เพียงเสียงทำนอง ที่ด้านบนชั้นสามของเหลาสุราเองก็มีห้องหับเพียงห้องเดียว ย่อมต้องเงียบสงบเป็นอย่างยิ่ง แต่บัดนี้กลับต้องมีเสียงเอะอะดังขึ้นมา
“เป็นไปได้ยังไงกัน?” อวิ๋นฟู่อันขมวดคิ้วเอ่ย “อาฟู่ เจ้าลองไปดูหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น?”
“ขอรับ นายท่าน” ข้ารับใช้ด้านนอกประตูจึงได้เดินลงไปทันที
ไม่นานนัก ข้ารับใช้ผู้นั้นก็ได้เดินกลับมาแล้ว ที่ด้านนอกยังได้มีเสียงดังขึ้นมาว่า: “นายท่าน เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว”
อวิ๋นฟู่อันยกมือขึ้น สตรีชุดเขียวจึงค่อยหยุดการบรรเลงพิณทันที พร้อมกับอยู่ในท่าทีสุขุมทันที เพื่อที่จะไม่เป็นการรบกวนนายท่านอวิ๋นท่านนี้ นางเองก็เป็นคนที่รู้สึกหนักเบาเป็นอย่างดี
“เข้ามา” อวิ๋นฟู่อันกำชับ
ข้ารับใช้จึงได้ผลักประตูเข้ามา เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ: “ไม่แต่เพียงจะเป็นเหลาสุราแห่งนี้ เกรงว่าที่ทั่วทั้งเมืองตงหนิงต่างก็คึกคักกันนั้น ล้วนแต่เป็นเพราะคุณชายเมิ่งชวน”
“เขามีเรื่องอะไรกัน?” อวิ๋นฟู่อันขมวดคิ้ว มุมปากยังซ่อนเร้นไว้ด้วยความไม่พอใจอยู่เล็กน้อย บัดนี้ทั่วทั้งตระกูลเมิ่งของเขาก็คงจะชื่นชมกันไม่คลาย ตระกูลอวิ๋นเขาที่เจริญรุ่งเรืองมาโดยตลอด แต่กลับต้องมาถูกตระกูลเมิ่งทำให้ตกต่ำลง
“ในสำนักกระจกทะเลสาบ เมิ่งชวนได้กระตุ้นดาบใบไม้ร่วงเคล็ดวิชาลับสามใบไม้ร่วงออกมาได้แล้ว อีกทั้งยังโค่นล้มแต่เดิมที่เป็นศิษย์พี่ใหญ่ของสำนักกระจกทะเลสาบ——ผู้ที่อยู่ในขั้นสูงสุดระดับก่อกำเนิดนาม ‘หวู่ฉี่’ จนสำเร็จเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของสำนักกระจกทะเลสาบไปในตอนนี้” : ข้ารับใช้เอ่ยปากกล่าว : “สามารถที่จะกระตุ้นเคล็ดวิชาลับออกมาได้ แล้วยังสามารถใช้เพียงระดับชำระแก่นแท้ โค่นล้มขั้นสูงสุดระดับก่อกำเนิดลงได้……เห็นได้ชัดว่าเขาได้รู้แจ้งในวิชาดาบในเคล็ดวิชาลับไปแล้ว นายท่าน——”
“ออกไป!”
จากนั้นก็ได้ทอสีหน้ามัวหมองหันไปกล่าวต่ออวิ๋นฟู่อันด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
ด้านข้ารับใช้เองก็มิกล้าปริปากออกมาไม่ ทำได้แต่เพียงออกไปอย่างว่าง่าย ออกไปพร้อมกับขณะที่ประตูปิดตัวลงในเวลาเดียวกัน
อวิ๋นฟู่อันนั่งลงอย่างเงียบเชียบ จากนั้นก็ได้ยันกายเดินมาจนถึงบริเวณหน้าต่าง พร้อมกับเกิดหน้าต่างออก พร้อมกันนั้นก็ได้มีเสียงดังจากบนถนน
“เมิ่งชวน” “เคล็ดวิชาลับ” ยังคงเป็นคำที่ยังสามารถได้ยินอยู่
เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้ได้กลายเป็นสนใจของทั่วทั้งเมืองตงหนิงในขณะนี้แล้ว
“เจ้าเด็กน้อยผู้นี้ก้าวข้ามระดับแล้วจริงหรือ?” อวิ๋นฟู่อันทอสีหน้ามนหมอง “เหอะ รู้แจ้งเคล็ดวิชาลับแล้วจะยังไง? มิใช่ว่ายังคงห่างไกลจากเทพอสูรอยู่ดี”
โครม
หน้าต่างพลันถูกปิดลงในทันที
……
ทั่วทั้งเมืองตงหนิง สามตระกูลเทพอสูรอื่นที่เหลือเองก็รู้สึกสนใจอยู่เหมือนกัน!เพราะว่าก่อนหน้าตระกูลอวิ๋นไม่นาน อีกทั้งยังพึ่งยกเลิกการหมั้นหมาย มิหนำซ้ำยังเป็นสัญญาหมั้นหมายของอวิ๋นชิงผิงและเมิ่งชวน
หากทราบว่าเมิ่งชวนสามารถควบคุมเคล็ดวิชาลับได้ด้วยวัยเพียงสิบห้าปี เกรงว่าตระกูลอวิ๋นก็คงจะตัดสินใจเลือกอีกทางแล้ว
แต่การกำเนิดสุดยอดผู้มีพรสวรรค์เพียงคนเดียว ก็ยังคงมีโอกาสที่จะเป็นไปได้ต่ำด้วยอย่างงั้นหรือ?
ตระกูลอวิ๋นเองก็ไม่กล้าที่จะชักช้า!
เนื่องจากเป็นเพราะตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ จากการตั้งสัญญาหมั้นหมาย เมื่อย่างเข้าสู่วัยสิบแปดขวบปีก็จะถือว่าต้องเข้าสู่พิธีสมรส เพราะเมื่อถึงวัยยี่สิบปีก็จะต้องเข้ารับราชการ ตระกูลอวิ๋นจึงไม่กล้าที่จะชักช้า ย่อมต้องยกเลิกสัญญาหมั่นหมายเอาไว้ก่อนเป็นดีที่สุด
“พึ่งจะควบคุมเคล็ดวิชาลับได้ ยังนับว่าห่างจากคำว่าเทพอสูรมากนัก” ตระกูลอวิ๋นเองก็ทำได้แต่เพียงปลอบโยนตัวเองอยู่เช่นนี้
……
ณ ทะเลสาบจิงหูจวนตระกูลเมิ่ง
“อาชวน เจ้าบอกกับข้ามาตามตรง เจ้าใช่ทราบอยู่แล้วใช่หรือไม่ในตอนที่เดิมพันกับข้า ก็ได้ก้าวข้ามระดับแล้วอย่างงั้นหรือ?” หลิ่วชีเยว่จับจ้องไปที่เมิ่งชวน
“เจ้านับว่าฉลาดเลยทีเดียว” เมิ่งชวนยิ้มและพยักหน้า “กระนั้นก็พึ่งจะก้าวข้ามมาได้ไม่นานนัก”
“เจ้า เจ้า……” หลิ่วชีเยว่ที่ไม่รู้ว่าสมควรที่จะกล่าวอะไรออกมาได้
“ข้าเองก็ได้บอกไปแล้วว่าข้าจะเอาตำแหน่งนี้มาให้ได้ เจ้ากลับยังไม่คิดที่จะเชื่อ แล้วยังคิดที่จะมาเดิมกับข้า ยังจะไปโทษใครได้อีก?” เมิ่งชวนยิ้มแล้วถามกลับ “เป็นไรไป เสียใจที่แผนการผิดพลาดอย่างงั้นหรือ?”
หลิ่วชีเยว่เพ่งตามอง: “ข้าหลิ่วชีเยว่พูดคำไหนคำนั้นไม่มีทางที่จะคืนคำ!”
“เลื่อมใส เลื่อมใส ข้ารู้สึกเลื่อมใสน้องชีเยว่จริงๆ” เมิ่งชวนกล่าวชมเชยออกมาไม่หยุด “เช่นนั้นข้าก็คงจะต้องรอให้น้องชีเยว่เลี้ยงข้าวมื้อเย็นให้แก่ข้าสักหลายเดือนแล้ว”
“ก็คิดซะว่าเป็นรางวัลที่อาชวนเจ้ารู้แจ้งเคล็ดวิชาลับเถอะ” หลิ่วชีเยว่รู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม “คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าอาชวนเจ้าจะเจ้าเล่ห์ได้ถึงเพียงนี้”
“ชวนเอ๋อ” เสียงๆ หนึ่งก็ได้ดังมาจากในที่ห่างไกล
“ท่านพ่อเรียกข้า ข้าคงต้องไปก่อนแล้ว” เมิ่งชวนก็ได้กระโดดจากไปในทันที
หลิ่วชีเยว่ส่งเสียงดังชิออกมา: “เจ้าคนหลอกลวง ช่างเก่งกล้าในเรื่องหลอกลวงจริงๆ กระนั้นก็ยังนับว่าร้ายกาจเลยทีเดียว ถึงกับผนวกวิชาดาบเป็นหนึ่งในขั้นแรกได้แล้ว”
……
ณ ภายในลานฝึกยุทธ์
“ท่านพ่อ” เมิ่งชวนยืนอยู่เบื้องหน้าผู้เป็นบิดา
“เจ้าสามารถบรรลุวิชาดาบได้ บิดาเองก็เบิกบานมากเหมือนกัน” เมิ่งต้าเจียงที่กำลังมองไปที่บุตรชาย พร้อมกับกล่าวออกมา
“แต่เจ้าเองก็อย่าได้ลำพองหลงระเริงไป ยังมี ‘ท่วงท่า’ ‘หลอมโอสถ’ ‘ด่านเป็นตาย’ อันเป็นสามด่านใหญ่ที่ยังอยู่เบื้องหน้าเจ้าอยู่ ที่จะยากลำบากในทุกย่างก้าว จนทำให้คนข้างกายช่วยเหลือเจ้าได้น้อยนัก ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ายังทำได้แต่เพียงพึ่งพาตัวเจ้าเองเท่านั้น”
“บุตรเข้าใจแล้ว” เมิ่งชวนตอบรับ
“เจ้าได้มุ่งมั่นสู่การฝึกปรือมาตั้งแต่ยังเล็ก บิดาเองก็ไม่ขอกล่าวมากความแล้ว จงเพียรพยายามให้มากไว้ ฝึกปรือสำเร็จสู่การเป็นเทพอสูร!” เมิ่งต้าเจียงยังคงกล่าวให้กำลังใจ
“อือ” เมิ่งชวนพยักหน้าตอบ
“พวกเราเองก็นานแล้วที่ไม่ได้ประลองกัน มาเถอะ พวกเราสองพ่อลูกมาประลองกัน” เมิ่งต้าเจียงยิ้มแล้วกล่าว
“ขอรับ!” เมิ่งชวนเองก็เปี่ยมล้นไปด้วยภาวการณ์ต่อสู้
แน่นอนว่าผู้เป็นบิดาย่อมต้องเป็นผู้แข็งแกร่งระดับไร้ตำหนิที่ถือครองสภาวะดาบไปแล้ว ในเมืองตงหนิงเองก็นับได้ว่าเป็นดั่งจุดสูงสุดที่เป็นรองแค่เพียงเทพอสูรเท่านั้น ย่อมสามารถจัดการบุตรชายจนอยู่ในสภาพอย่างไรก็อยู่แล้ว
……
ในยามเย็น
เมิ่งชวนที่กำลังวาดภาพอยู่ภายในห้องอักษร นี่กลับถือเป็นภาพม้วนยาวม้วนหนึ่ง เมื่อคืนที่พึ่งวาดการรู้แจ้งสามใบไม้ร่วงไป แต่เมื่อในยามนั้นกลับวาดออกมาเพียงแค่บางส่วนเท่านั้น
บนภาพวาดฉากที่ตนเองเพียรพยายามฝึกปรืออยู่บนลานฝึกยุทธ์ ฉากที่ตนเองได้โค่นล้มหวู่ฉี่บนลานประลองยุทธ์ แล้วยังมีช่วงเวลาที่เดินออกมาจากสำนัก ฉากที่บิดาและผู้อาวุโสทุกท่านมาให้การต้อนรับ บิดายังได้ลูบหัวของตัวเอง ที่ด้านข้างยังได้มีภาพอีกม้วนหนึ่งที่เป็น ‘หลิ่วชีเยว่’ เบิกตากลมโตจับจ้องมองมาด้วยอาการตกใจ
เมิ่งชวนฉีกยิ้มขึ้นเล็กน้อยแล้ววาดต่อ เขาที่ได้ทุ่มเทความรู้สึกอันลึกล้ำในใจของตัวเองออกมา ขีดเขียนวาดผ่านปลายพู่กันด้วยจิตใจที่เต็มไปด้วยความรู้สึก
ภาพม้วนนี้ ได้มีความรู้สึกอันลึกล้ำแฝงเอาไว้
ขณะที่ผ่านไปอย่างเนิ่นนาน
ม้วนภาพวาดเมื่อถูกวาดจนเสร็จ เมิ่งชวนก็จึงค่อยได้เงยหน้าขึ้นมามอง มองไปยังด้านนอกหน้าต่างที่เป็นที่ท้องฟ้าได้มืดมิดลง
“สามใบไม้ร่วง” เมิ่งชวนเองยังได้สลักอักษรทั้งสามคำนี้ไว้บนทางด้านซ้ายของม้วนภาพวาด
ภาพม้วนนี้เรียกกันว่าเป็นสามใบไม้ร่วง
ในขณะที่กำลังดูภาพม้วนนี้ เมิ่งชวนเองก็บังเกิดความสงบขึ้นอย่างไร้ที่เปรียบ
……
เมืองตงหนิงที่อยู่ในช่วงที่คึกคัก
บุรุษหนุ่มชุดขาวผู้หนึ่งก็ได้เดินเข้ามาสู่ถนนหนทางพร้อมกับข้ารับใช้ผู้ชรา
“เมืองตงหนิงนี้นับว่าครึกครื้นเลยทีเดียว” บุรุษหนุ่มชุดขาวก็ได้กล่าววาจาประโยคนี้ขึ้น แต่บนใบหน้ากลับไร้ซึ่งอารมณ์
“นี่ก็คือเมืองที่มีประชากรกว่าร้อยหมื่น ย่อมต้องครึกครื้นอยู่แล้ว” ข้ารับใช้ผู้ชราตอบ “นายน้อย หลายปีต่อจากนี้พวกเราก็จะมาอาศัยอยู่ในเมืองตงหนิงแล้วอย่างงั้นหรือ? หรือไม่ก็ ไปเมืองโจวดีหรือไม่?”
“ที่แห่งนี้นับเป็นบ้านเกิดของมารดาข้า ข้าจะอยู่ที่นี่” บุรุษชุดขาวกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ข้ารับใช้ผู้ชราเองก็อับจนคำพูด
อารมณ์ของนายน้อย ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่สามารถจัดการได้
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงสนทนาดังมาจากทางด้านของถนนทางเดิน—— “คุณชายเมิ่งชวนช่างร้ายกาจยิ่งนักถึงกับรู้แจ้งเคล็ดวิชาลับแล้ว บัดนี้เขายังอยู่ในวัยเพียงสิบห้าขวบปีมิใช่หรอกหรือ?”
“มิผิด ยังอยู่ในวัยสิบห้าขวบปีเท่านั้น ในความเห็นข้า คุณชายเมิ่งชวนในอนาคตคงจะสำเร็จเป็นเทพอสูรได้แล้ว”
จากที่ได้ยินจากคำสนทนาเหล่านั้น ข้ารับใช้ผู้ชราก็ได้หัวเราะพร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ : “คิดไม่ถึงว่าเมืองตงหนิงแห่งนี้จะมีผู้มีพรสวรรค์ด้วย เขากับนายน้อยท่านยังอยู่ในวัยเดียวกันอีกด้วย”
“เมิ่งชวน……” บุรุษหนุ่มชุดขาวพลันกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“นายน้อย ตามมาทางด้านนี้ด้วย ทางด้านหน้าก็คือตำหนักหยกสุริยันแล้ว” ข้ารับใช้ผู้ชรากล่าว “พวกเรายังคงไปกราบเรียนต่อท่านจ้าวตำหนักหยกสุริยันกันก่อนเถอะ”
“อือ” บุรุษชุดขาวพยักหน้า
ตอนที่ 10 ความหวังของตระกูล
บรรดาลูกศิษย์ตระกูลเมิ่งเหล่านี้ต่างก็ได้วิ่งกันมุ่งหน้าเข้ามาพร้อมกับตะโกนขึ้นมาเสียง อีกทั้งยังตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง เพียงชั่งครู่เดียวก็กลับเป็นที่สนใจของผู้คนภายในตระกูลมากมายที่อาศัยอยู่ภายในจวนบรรพชน เหล่าคนในตระกูลแต่ละคนฟังกันฉงนสนใจ อะไรกันนะ? ไม่ได้ยินมาผิดใช่หรือไม่ เมิ่งชวนรู้เคล็ดวิชาลับแล้ว?
“หยุดอยู่ตรงนั้น” คนในตระกูลผู้หนึ่งก็ได้คว้าเด็กหนุ่มเอาไว้อย่างรวดเร็ว แล้วพลันกล่าวขึ้นว่า : “จงบอกเล่ามาให้กระจ่าง แท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
“ท่านอา เป็นพี่เมิ่งชวน” เด็กหนุ่มผู้นั้น ที่ยังอยู่ในวัยเพียงสิบสามขวบปี บัดนี้จึงค่อยกล่าวออกมาด้วยความลิงโลด : “วันนี้เป็นวันจัดอันดับตัดสินกันในสำนักกระจกทะเลสาบเรา พี่เมิงชวนได้ขึ้นไปประลองที่ด้านบนเวทีประลอง กระตุ้นใช้ออกด้วยดาบใบไม้ร่วงจากเคล็ดวิชาลับ’ สามกระบี่ใบไม้ร่วง’ แม้แต่ท่านประมุข อาจารย์ผู้ฝึกสอนพวกเขาก็ตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งเช่นเดียวกัน”
“ดาบใบไม้ร่วงของเคล็ดวิชาลับสามใบไม้ร่วงอย่างงั้นหรือ?” คนในตระกูลรูปร่างกำยำผู้นี้ถึงกับต้องกลอกตาจนกลมโต : “เมิ่งชวนปีนี้พึ่งจะอายุครบสิบห้าปีสินะ ถึงกับรู้แจ้งเคล็ดวิชาลับด้วยวัยเพียงสิบห้าขวบปีอย่างงั้นหรือ?”
เพียงแต่พบว่าทั่วทั้งจวนบรรพชน เหล่าคนในตระกูลแต่ละจุดต่างก็มีบรรดาผู้เยาว์เหล่านั้นคอยถามไถ่ ต่างก็เกิดเป็นเสียงฮือฮากันดังขึ้น
ชายชราผอมแห้งหัวโล้นผู้หนึ่งก็ได้หรี่ดวงตาเงี่ยหูฟังอยู่จากทางด้านข้าง จากที่ได้ยินเหล่าผู้เยาว์พวกนี้ต่างก็แย่งกันกล่าว ดวงตาถึงกับเป็นประกายขึ้นมาแล้ว ถึงกับอดไม่ได้ที่จะพึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ : “สวรรค์ทรงเมตตา สวรรค์ทรงเมตตาตระกูลเมิ่งเราจริงๆ”
“ผู้อาวุโสสาม เรื่องน่ายินดีอันเป็นสิริมงคลล้นฟ้าได้บังเกิดขึ้นแล้ว เมิ่งชวนเขาได้รู้แจ้งเคล็ดวิชาลับแล้ว” จากนั้นก็ได้มีคนในตระกูลวิ่งเข้ามาเพื่อบอกกล่าว
“รู้แล้วล่ะ!” ชายชราผอมแห้งหัวโล้นราวกับแช่แข็งใบหน้าที่เอิบอิ่มไปด้วยความสุขจนมากล้น พร้อมกับหันหน้าเดินจากไป
เขาก็คือหนึ่งในผู้อาวุโสตระกูลเมิ่งที่เข้มงวดที่สุดคนหนึ่ง เพียงแต่ชายชราผอมแห้งหัวโล้นที่สะบัดหน้าจากไป ตรงส่วนของมุมปากกลับยังยกสูงขึ้นมาเล็กน้อย
……
จวนบรรพชนตระกูลเมิ่งนับว่ากินพื้นที่กว้างใหญ่เป็นอย่างยิ่ง ถึงอย่างไรก็มีคนในตระกูลอาศัยกันอยู่มากกว่าสองพันคน
ภายในลานฝึกยุทธ์แห่งหนึ่งของจวนบรรพชน
บรรดาเหล่าผู้เยาว์กลุ่มหนึ่งที่กำลังฝึกการใช้อาวุธอย่างดาบกระบี่ขวานหอกเป็นต้นกันอยู่ เมิ่งต้าเจียงผู้อ้วนฉุกำลังนั่งมองอยู่จากทางด้านข้าง
“อือ ทางด้านนอกเหตุใดถึงได้วุ่นวายกันถึงเพียงนี้?” เมิ่งต้าเจียงขมวดคิ้วเล็กน้อย ระหว่างนั้นก็ได้มีเสียงอันวุ่นวายเข้ามาใกล้ขึ้นทุกที ด้วยการที่เขานับเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีความสามารถในระดับไร้ตำหนิ จึงสามารถที่จะได้ยินเสียงท่ามกลางความวุ่นวายเป็นคำว่า ‘เมิ่งชวน’ ‘รู้แจ้งเคล็ดวิชาลับ’ ได้
เมิ่งต้าเจียงสะท้านไปจนถึงจิตวิญญาณ
เสมือนฤดูเหมันต์ถูกกลบทับด้วยวารีหนาวเหน็บสาดใส่ เขาถึงกับหัวสมองสะท้านจนแน่นิ่งเล็กน้อย
“เป็นข้าที่ฟังผิดไปงั้นหรือ?” เมิ่งต้าเจียงเกิดความกระวนกระวายอยู่บ้าง แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นยืนพร้อมกับมุ่งหน้าไปที่ลานฝึกยุทธ์
“ต้าเจียง ต้าเจียง” ชายชราที่สง่างามท่านหนึ่งกับเหล่าคนในตระกูลมากมายได้เข้ามากันอย่างพร้อมเพรียง ชายชราที่สง่างามตื่นเต้นเบิกบานจนแดงก่ำไปทั้งหน้า
“ท่านอาห้า” เมิ่งต้าเจียงรีบเข้าไปต้อนรับ : “เป็นอย่างไรไปแล้ว?”
“เรื่องน่ายินดีครั้งใหญ่ เป็นเรื่องน่ายินดีครั้งใหญ่” ชายชราผู้สง่างามตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง
“อ๋อ?” เมิ่งต้าเจียงที่ทั้งตื่นเต้นระคนกระวนกระวาย ถึงแม้จะพอที่จะคาดเดาได้ แต่ก็ยังมีความต้องการที่จะทำความเข้าใจให้กระจ่างแจ้งชัดเจน
ชายชราผู้สง่างามกล่าว: “ได้มีเหล่าผู้เยาว์บางส่วนกลับมาจากสำนักกระจกทะเลสาบเพื่อแจ้งกับภายในตระกูล ว่าบุตรชายเจ้าเมิ่งชวนในยามที่อยู่ในการคัดเลือกจัดอันดับสำนัก ได้กระตุ้นใช้เคล็ดวิชาลับสามใบไม้ร่วงแล้ว นั่นที่แม้แต่ท่านประมุข อาจารย์ฝึกสอนแล้วยังศิษย์อีกนับพันคนต่างก็ประจักษ์เห็นเองเดียวตาตัวเอง ย่อมต้องไม่เป็นเท็จอย่างแน่นอน ฮาฮาฮา……สวรรค์ไม่ทอดทิ้งตระกูลเมิ่งเราแล้วจริงๆ อีกทั้งยังเมตตาตระกูลเมิ่งเราแล้ว”
“ชวนเอ๋อกระตุ้นใช้เคล็ดวิชาลับสามใบไม้ร่วงออกมาอย่างงั้นหรือ?” เมิ่งต้าเจียงที่เพียงรู้สึกหัวสมองร้อนผ่าว ในใจพลันเกิดความร้อนรุ่มขึ้น
นั่นก็คือบุตรชายของเขา!
“ต้าเจียง บุตรชายเจ้าร้ายกาจนัก”
“ตระกูลเมิ่งเราจะต้องยิ่งเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นแล้ว จะกลัวก็แต่ว่าจะเกิดเป็นเทพอสูรคู่ในสำนักเดียวเท่านั้น” เหล่าผู้คนในตระกูลก็ได้กำลังกล่าวกันด้วยความตื่นเต้น นอกเสียจากท่านผู้นำตระกูลกับผู้อาวุโส ตามปกติคนในตระกูลจะไม่อาจทราบถึงเรื่องที่เมิ่งเซียนกูได้รับบาดเจ็บสาหัสได้
“ผู้อาวุโสทั้งสองท่าน เซียนกูได้เรียกให้พวกท่านไปเข้าพบ” ระหว่างนั้นก็ได้มีคนนำคำสั่งถ่ายทอดมา
“พวกเราจะต้องเดี๋ยวนี้”
เมิ่งต้าเจียง ชายชราผู้สง่างามต่างก็ได้เข้ามากันอย่างไล่เลี่ย เพียงแต่เมิ่งต้าเจียงในตอนนี้แม้กระทั่งในยามที่เดินเหินก็ยังแทบจะลอยไปตามสายลมแล้ว
……
เมิ่งเซียนกูกับท่านผู้นำตระกูลเมิ่งเหยียนผิงเดิมที่กำลังเดินหมากกันอยู่ บัดนี้ก็ได้หยุดลงแล้ว ภายในเรือนได้รวมเอาไว้ด้วยผู้อาวุโสทั้งแปดท่าน เหล่าผู้อาวุโสแต่ละคนต่างก็ตื่นเต้นนับหมื่นส่วน ยังมีผู้อาวุโสที่ไม่ได้อยู่ในจวนบรรพชน ที่ยังไม่ได้ล่วงรู้ถึงข่าวดีครั้งนี้
“เจ้าหนูพวกนั้นแต่ละคนก็ช่างวิ่งกันเร็วเสียจริง” ชายชราผอมแห้งหัวโล้นค่อนข้างที่จะมีชีวิตชีวา : “ล้วนแต่กำลังกล่าวกันถึงเรื่องที่เมิ่งชวนได้กระตุ้นเคล็ดวิชาลับสามใบไม้ร่วง”
“ครานี้นับว่าดียิ่งนัก ถึงกับรู้แจ้งเคล็ดวิชาลับด้วยวัยเพียงสิบห้าขวบปี……ด้วยพรสวรรค์เช่นนี้ นับว่าหาได้ด้อยไปกว่าเหมยหยวนจือนั้นกันแล้ว”
“ต้าเจียง เจ้านับว่าให้กำเนิดบุตรที่ดีแล้วเลยทีเดียว
“ต้าเจียงนับว่ามีส่วนที่สั่งสอนได้ดี”
เหล่าผู้อาวุโสในตระกูลกลุ่มนี้ต่างก็กำลังกล่าวด้วยความตื่นเต้น เมิ่งต้าเจียงเบอกบานจนถึงกับหัวเราะคิกคักออกมา เขารู้สึกว่าวันนี้นับได้ว่าเป็นวันที่เขามีความสุขที่สุดในรอบหลายปีมานี้
“นับตั้งแต่ที่ได้ทราบข่าวสารนี้ ข้าก็สามารถที่จะตายตาหลับได้แล้ว”
“สวรรค์คุ้มครองตระกูลเมิ่งเราแล้ว”
เหล่าผู้อาวุโสที่เกรงกลัวว่าทางต้นตระกูลจะเกิดการล่มสลาย ถึงแม้พวกเขาจะอยู่ในช่วงบั้นปลายชีวิตแล้วก็ตาม แต่พวกเขาก็ยังคงคาดหวังที่จะให้ตระกูลสามารถที่จะเจริญรุ่งเรืองกันต่อไป
ความเจริญรุ่งเรืองของตระกูล พี่น้องคนในตระกูลของพวกเขา ย่อมต้องส่งผลให้เหล่าลูกหลานมีชีวิตที่ดีขึ้นได้ เมื่อเวลาล่วงเลยนานเข้า พวกเขาก็จะสามารถรวมตระกูลเป็นปึกแผ่นได้ตั้งแต่เนิ่นๆ
“ดูพวกเจ้าแต่ละคนสิ” เมิ่งเซียนกูที่นั่งอยู่ทางด้านนั้นก็ได้ยิ้มน้อยๆ ขึ้นมา : “เด็กน้อยเมิ่งชวนผู้นี้ที่สามารถรู้แจ้งเคล็ดวิชาลับได้ ย่อมนับเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างแน่นอน แต่พวกเจ้าก็ยังพึ่งดีใจกันเร็วจนเกินไป”
เหล่าผู้อาวุโสงุนงงกันทันที
เมิ่งเซียนกูจึงได้กล่าวต่อ : “ตอนนี้เมิ่งชวนพึ่งจะก้าวเข้าสู่ขั้นแรกเท่านั้น ยังนับว่าอยู่ห่างไกลจากคำว่าเทพอสูรอีกยาวไกล เขายังต้องรู้แจ้งท่วงท่าดาบ แล้วยังต้องหลอมโอสถ แล้วยังต้องฝ่าด่านเป็นตายในขั้นตอนสุดท้าย! นี่จึงถือเข้าเกณฑ์ของสามสำนักใหญ่……บัดนี้ก็อย่าได้คิดว่าเขานั้นเก่งกาจมากถึงเพียงนั้น จนทำให้เขาลืมเลือนซึ่งทุกสิ่ง สิ่งที่เขาจำเป็นต้องทำ ก็คือการตั้งมั่นฝึกปรือ ทางที่ดีก็รู้แจ้งท่วงท่าดาบก่อนวัยยี่สิบปี เช่นนั้นยังพอที่จะมีความหวังที่จะเข้าสู่เขาหยวนชูได้สักสามส่วน หากว่าสามารถเข้าเขาหยวนชูได้ นั่นย่อมสามารถสำเร็จเป็นเทพอสูรได้อย่างแท้จริง”
“เขาหยวนชู!” ท่านผู้นำตระกูลเมิ่งเหยียนผิงรวมไปจนถึงเหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายล้วนแต่ทอดวงตาเป็นประกาย
นั่นเปรียบเสมือนดั่งสถานที่แห่งการฝึกปรือที่เก่าแก่ที่สุดของทั้งใต้หล้าแล้ว
ทั้งลี้ลับและแข็งแกร่ง
เมืองตงหนิงในรอบร้อยปีมานี้มีแค่เพียงบรรพชนตระกูลจางเพียงคนเดียวเท่านั้น หากสามารถเข้าสู่เขาหยวนชูได้เป็นที่สำเร็จ ตระกูลจางเองก็จะสามารถสำเร็จเป็นเสาหลักแห่งตระกูลเบญจาเทพอสูรเมืองตงหนิงได้
“หากว่าไม่สามารถเข้าสู่เขาหยวนชูได้ เช่นนั้นเส้นทางการฝึกปรือของเมิ่งชวนก็จะเป็นได้อย่างยากลำบากยิ่ง” เมิ่งเซียนกูกล่าวต่อ : “ก่อนหน้านี้ข้าเองก็ได้รู้แจ้งเคล็ดวิชาลับด้วยวัยสิบหกปีท่วงท่า ก็ยังไม่อาจสามารถเข้าร่วมกับเขาหยวนชูได้ จะเป็นก็ได้แต่ศิษย์สายนอกของเขาหยวนชู ประสบพบพานกับอันตรายที่เกือบเอาชีวิตไม่รอด จึงค่อยมีวาสนาสำเร็จเป็นเทพอสูรได้ ก่อนหน้านี้ข้าที่ยังอยู่ในกลุ่มกองกำลังเสริม คนเหล่านั้นล้วนแต่มีพรสวรรค์ใกล้เคียงกับข้า แต่กลับมีเพียงข้าแค่คนเดียวที่สามารถสำเร็จเป็นเทพอสูรได้ ส่วนที่เหลือทุกคนล้วนแต่ตายกันจนสิ้น”
“เมิ่งชวน ไม่เพียงแต่จะต้องมีท่วงท่าดาบ ผนึกโอสถ ฝ่าด่านผ่านเกณฑ์ความเป็นตายของสามสำนักใหญ่นี้ อีกทั้งยังจำเป็นที่จะต้องรู้แจ้งท่วงท่าดาบให้ได้ก่อนวัยยี่สิบปีจึงจะสามารถนับว่าเข้าเกณฑ์การฝึกฝนของสำนักได้” เมิ่งเซียนกูกล่าวอย่างหนักแน่น
เหล่าผู้อาวุโสในที่แห่งนี้ก็ล้วนแต่เงียบเชียบกันขึ้นมา
สำเร็จเป็นเทพอสูรถึงกับยากลำบากมากจริงๆ
เมิ่งชวนในตอนนี้ จะว่าไปแล้ว ก็ยังเป็นเพียงความหวังที่เปรียบเสมือนดั่งต้นกล้าอ่อนสู่การเป็นเทพอสูรเท่านั้น ทำให้ในตระกูลสามารถมองเห็นความหวังกันได้เท่านั้น
“ต้าเจียง” เมิ่งเซียนกูกล่าวกำชับ : “เจ้าจงไปยังสำนักกระจกทะเลสาบเพื่อไปรับตัวเมิ่งชวน แล้วก็จงเตรียมพร้อมสู่การชุมนุมพิฆาตอสูรที่จะเกิดขึ้นในตำหนักหยกสุริยันเอาไว้ให้ดี รอจนกระทั่งหลังจากที่พ้นการชุมนุมพิฆาตปีศาจ เมิ่งชวนก็สมควรที่จะสงบลงได้แล้ว แล้วค่อยพามาพบข้า”
(T/L : ชุมนุมพิฆาตอสูร เปลี่ยนจากอสูร(魔) เป็น ปีศาจ(妖)จากคนแปลท่านก่อนให้ตรงตามต้นฉบับจีน)
“ขอรับ” เมิ่งต้าเจียงคารวะตอบ
“พวกเจ้าเองก็ไปกันได้แล้ว” เมิ่งเซียนกูกำชับ : “จงจำไว้ อย่าได้ปล่อยให้เมิ่งชวนหลงระเริงจนเกินไป การเปลี่ยนให้เขากลายเป็นลำพอง นั่นก็จะมีแต่เป็นการทำร้ายเขาเท่านั้น”
“ขอรับ” เหล่าผู้อาวุโสเปล่งเสียงตอบกลับมาอย่างหนักแน่น
ผู้ใดยังอาจหาญที่จะมาทำลายเมิ่งชวนอีกกัน นั่นแทบจะเป็นเรื่องที่ไม่อาจอยู่ร่วมโลกกับตระกูลเมิ่งกันได้แล้ว!
ไม่นานนัก เหล่าผู้อาวุโสต่างก็จากไปกันแล้ว ภายในเรือนนี้จึงเหลือไว้แค่เพียงเมิ่งเซียนกูกับท่านผู้นำตระกูลสองพี่น้อง
“พี่หญิงสาม ท่านเกือบจะทำให้พวกเขาแตกตื่นไปแล้ว” ท่านผู้นำตระกูลเมิ่งเหยียนผิงยิ้มแล้วกล่าว : “ข้าเองก็รู้ว่าท่านเองก็มีความสุขเป็นอย่างยิ่ง”
“ย่อมมีความสุขอย่างแน่นอน” เมิ่งเซียนกูจึงค่อยกล่าวออกมาอย่างผ่อนคลาย : “ข้าสำเร็จเป็นเทพอสูรมาก็เกือบแปดสิบปีแล้ว อีกทั้งยังได้สะสมวาสนาที่มาจากเขาหยวนชูไว้มากมาย อีกทั้งยังได้เชื่อมสัมพันธ์เป็นมิตรกับคนอีกมากหลาย!หากว่าตระกูลไม่ได้มีต้นกล้าที่ดีเช่นนี้ สิ่งที่ข้าสะสมเอาไว้ก็คงจะต้องสูญเปล่ากันแล้ว บัดนี้เมิ่งชวนมีพรสวรรค์เหนือล้ำ ข้าย่อมต้องช่วยเหลือเขาด้วยพลังทั้งหมดอีกครั้ง เขาจะต้องก้าวไปได้ไกลเสียยิ่งกว่าข้าในตอนต้นอย่างแน่นอน”
“อือ เขาจะต้องสำเร็จเป็นเทพอสูรได้อย่างแน่นอน” เมิ่งเหยียนผิงกล่าว
“ย่อมทำได้แน่นอน!” ภายในแววตาของเมิ่งเซียนกูเต็มไปด้วยความเฝ้ารอ
……
สำนักกระจกทะเลสาบ เมิ่งชวนที่กำลังเดินออกสู่ภายนอก บรรดาศิษย์ในสำนักที่อยู่โดยรอบตลอดทางล้วนแต่เรียกขานเขาว่า: “ศิษย์พี่เมิ่ง” มิหนำซ้ำยังดูสนิทสนมเป็นอย่างยิ่ง
เมิ่งชวนพยักหน้าเล็กน้อยเพื่อเป็นคำตอบ จากนั้นก็มุ่งหน้าเดินไปยังด้านนอก
“อือ?”
พึ่งจะเดินมาถึงประตูทางเข้า ก็ได้พบว่าที่ด้านนอกประตูสำนักได้ยืนไว้ด้วยคนกลุ่มหนึ่ง ผู้ที่อยู่ทางด้านหน้าก็คือเมิ่งต้าเจียงผู้อ้วนฉุ ที่ด้านข้างยังได้มีชายชราผอมแห้งหัวโล้น ชายชราผู้สง่างามและผู้อาวุโสภายในตระกูลอีกหลายต่อหลายท่าน
“ท่านพ่อ ผู้อาวุโส” เมิ่งชวนก็ได้เดินเข้าไป
“เจ้าเด็กคนนี้” เมิ่งต้าเจียงยื่นมือลูบหัวของเมิ่งชวน ยิ้มแล้วกล่าว : “ทำให้บิดาเจ้าแทบตกใจจนหัวใจกระเด็นกระดอนแล้ว”
การได้รับการลูบหัวจากบิดา เมิ่งชวนจึงได้แต่สะกดอดกลั้นอย่างเชื่อฟัง ดูไปแล้วแม้จะดูว่านอนสอนง่ายกันอยู่บ้าง แต่ตามความเป็นจริงกลับเบิกบานขึ้นมากเป็นพิเศษ
“ฮาฮา แม้แต่พวกเราก็ยังถูกทำให้ตกใจกันแล้ว”
“เมิ่งชวน ทำได้ไม่เลว” เหล่าผู้อาวุโสในตระกูลทั้งหลายท่านต่างก็ได้หัวเราะออกมาแล้วกล่าว เห็นได้ชัดว่าเปี่ยมไปด้วยความสุขล้น
“ไป กลับบ้านกันเถอะ” เมิ่งต้าเจียงกล่าวออกมาด้วยจิตใจที่เบิกบาน การมีบุตรเช่นนี้ แล้วยังต้องไปต้องการสิ่งใดอีก?
“อือ”
เมิ่งชวนตอบรับ ติดตามบิดาบังเกิดเกล้าพวกเขากลับไปพร้อมกัน
ตอนที่ 9 กายาเทพอสูร
“มาเถอะ!” เมิ่งชวนกำลังมองไปที่ด้านล่างเวที สาดทอแววตาเป็นประกาย
เมื่อหวู่ฉี่ได้ยินคำสั่งของท่านประมุขก็บังเกิดความตะลึงขึ้นมาบ้าง แต่ก็สาดทอแววตาเป็นประกาย กำลังมองเมิ่งชวนที่อยู่บนเวทีประลอง ยิ้มแย้มหัวเราะออกมา : “ได้ เช่นนั้นก็มาสู้กันสักตั้ง”
ซวบ
เขาทางหนึ่งก้าวขึ้นไปถึงเวทีประลองแล้ว เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ยังถือว่ารวดเร็วเสียยิ่งกว่ามาก
“เคร่ง” เขาได้หยิบโล่ที่อยู่แผ่นหลังมาไว้ในมือ พร้อมกับดึงดาบใหญ่ด้ามหนึ่งออกมาจากภายในโล่ ดาบใหญ่ด้ามนี้มีลักษณะเป็นสีดำ สาดเป็นประกายสีแดงเล็กน้อย
มือหนึ่งถือโล่ มือหนึ่งหยิบถือดาบใหญ่เล่มหนา หวู่ฉี่ยืนอยู่ทางด้านนั้น สงบนิ่งมิสั่นไหวดุจขุนเขาสูง พร้อมกับปลดปล่อยพลังสภาวะไร้รูปลักษณ์ออกมา จนทำให้ศิษย์พี่ศิษย์น้องที่ชมอยู่โดยรอบมากมายล้วนแต่อดไม่ได้ที่จะอกสั่นขวัญแขวน
“ศิษย์พี่หวู่ฉี่ฝึกปรือกายาเทพอสูร คงจะเป็นกายาเมฆาอสูรมืดแล้ว” เมิ่งชวนกล่าว นั่นได้ทำให้แม้แต่เขาเองก็ยังต้องแตกตื่นกับพลังสภาวะบรรยากาศของกายาเทพอสูรเหล่านี้
“มิผิด เป็นกายาเมฆาอสูรมืดนี้แหลาะ!” หวู่ฉี่กล่าวจบก็ได้บุกเข้าหาเมิ่งชวนอย่างกะทันหัน บุกฝ่าโจมตีเข้าใส่เพียงคนเดียว จนเหมือนดั่งมีทัพใหญ่กดดันเข้ามา!แต่กลับหาได้มีความพลิกแพลงของกระบวนท่าไม่ แต่เป็นเพียงการโจมตีที่อาศัยความเร็วมหาศาลอย่างหมดจด
“ตูม”
หวู่ฉี่ที่กำลังถือโล่พุ่งเข้ามาใกล้จนถึงตรงหน้า รวดเร็วดุจดั่งภาพมายา ใช้โล่เข้ากระแทกใส่เมิ่งชวนไปในบัดดล พลังทำลายเช่นนี้นับว่าสามารถที่จะถล่มบ้านเรือนหลังหนึ่งจนแหลกลาญได้แล้ว
เพียงแต่เมิ่งชวนที่ขยับเท้าเคลื่อนไหว ก็ได้ขยับโล่นี้โจมตีเข้าไปยังทางด้านของหวู่ฉี่ เกิดเป็นประกายดาบฟันเข้าใส่หวู่ฉี่
“ตายซะ” วินาทีนั้นโล่ของหวู่ฉี่ได้แหวกม่านอากาศเข้ามา พร้อมกับดาบเล่มใหญ่ที่ได้ถูกฟันเข้ามาด้วยความช่ำชองเป็นอย่างยิ่ง ปะทะเข้ากับดาบนั้นของเมิ่งชวนเข้าด้วยกัน
ครืน——
ดาบสองด้ามปะทะเข้าด้วยกัน จนเกิดเป็นสะเก็ดไฟสาดกระเซ็น
หวู่ฉี่ถอยหลังไปหนึ่งก้าวจึงค่อยทรงกายได้มั่นคง ด้านเมิ่งชวนกลับต้องกระเด็นลอยไปหลายจั้งจึงค่อยทรงตัวได้
“กระตุ้นเคล็ดวิชาลับ ถึงกกับสามารถระเบิดพลังออกมาได้แข็งแกร่งถึงเพียงนี้เชียว?” หวู่ฉี่ถึงกับต้องหรี่ตาลง
ฝึกปรือระดับปุถุชน:สร้างรากฐาน กลั่นลมปราณ ชำระแก่นแท้ ก่อกำเนิด ไร้ตำหนิ
ในส่วนนี้การฝึกปรือสามขั้นแรกล้วนแต่ยังนับว่าเป็นชั้นสามัญ สามารถที่ฝึกปรือจนเกิดเป็นลมปราณ อีกทั้งยังทำให้กายาปุถุชนค่อยๆ ที่จะแข็งแกร่งขึ้น ด้วยความห่างชั้นในด้านนี้จึงยังมิถือว่าแตกต่างกันมากนัก
แต่ความหมายของ ‘ก่อกำเนิด’ ในขั้นที่สี่ ก็คือการหลุดพ้นและไปก่อกำเนิด!เพราะขั้นที่หนึ่งจะเริ่มฝึกปรือกายาเทพอสูรใหม่ จะทำให้คนธรรมดาเริ่มถือครองพลังอันมหาศาลของเทพอสูรมาได้บางส่วน นี่จึงเป็นระดับที่เพิ่มพูนขึ้นมาได้จนน่าตกใจกันอยู่บ้าง ที่ฝึกปรือหวู่ฉี่ก็จะเป็นกายาเมฆาอสูรมืด และเมื่อเข้าถึงขั้นสูงสุดของระดับก่อกำเนิด พลังและความเร็วของเขาจะเพิ่มพูนขึ้นจนเป็นที่น่าตกใจ เรียกได้ว่าห่างไกลไปจากขั้นสูงสุดของระดับชำระแก่นแท้ไปอย่างห่างไกล
ถ้าหากเป็นการปะทะกันระหว่างระดับชำระแก่นแท้ตามปกติ หากว่าเป็นการใช้ดาบคู่ฟาดฟันเข้ามา เขาก็ยังสามารถใช้ฟันระดับชำระแก่นแท้ให้ตายได้ในดาบเดียว
ต่อให้เป็นผู้อยู่ในชำระแก่นแท้จะถือโล่เอาไว้ ก็มีแต่ต้องถูกฟันจนกระอักเลือดในดาบเดียว
ช่างถือเป็นพลังที่มหาศาลมากจนเกินไปแล้ว!
“เขาที่พึ่งจะระเบิดพลังอันมหาศาลออกมา จนใกล้เคียงกับพลังเจ็ดส่วนของข้า นี่ก็เหมือนกับได้ถือครองขีดพลังในช่วงตอนปลายในระดับก่อกำเนิดของข้าเองแล้ว” หวู่ฉี่เองก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างยิ่ง : “นี่ก็คือพลังอำนาจของเคล็ดวิชาลับอย่างงั้นหรือ?”
เขาที่ทราบความน่าสะพรึงกลัวของเคล็ดวิชาลับมาตั้งแต่แรก
อีกทั้งในศึกนี้ เขาเองก็คงยากที่จะมีชัยเหนือกว่าได้
“ข้ายังนับว่ามีความหวังที่จะมีชัยเหนือกว่าได้อยู่” หวู่ฉี่กัดฟันพร้อมกับพุ่งเข้ามาอีกครั้ง โถมเข้าใส่ดุจดั่งพลทหารม้าอันเกรียงไกร บุกทะลวงเข้ามาอย่างรุนแรง
“ข้าหยิบยืมเคล็ดวิชาลับเพื่อระเบิดพลังออกมาแต่ก็ยังถือว่าน้อยกว่าเขาอยู่บ้าง สามใบไม้ร่วง อย่างไรก็ตามก็ยังถือเป็นเคล็ดวิชาลับที่มุ่งเน้นไปที่ความรวดเร็วอยู่ดี” เมิ่งชวนลอบกล่าวกับตัวเอง แต่เมื่อขยับร่างกายในจุดที่ห่างออกไปก็ได้มี ‘เมิ่งชวน’ ปรากฏขึ้นมาอีกคนหนึ่ง
“อยู่ทางนี้สินะ!” หวู่ฉี่ฝึกปรือกายาเมฆาอสูรมืด โดดเด่นได้เหนือกว่าในการประสาทสัมผัส จนสามารถสัมผัสได้ถึงการบุกเข้ามาจากเงาที่อยู่อีกทางด้านหนึ่ง
เมื่อเทียบเปรียบกับป๋ายกวนยังนับว่ามีพลังที่จะสวนกลับได้อยู่บ้าง
หวู่ฉี่ แม้แต่เคล็ดวิชาลับ’ สามกระบี่ใบไม้ร่วง’ จะมีความเร็วที่เพิ่มขึ้นอย่างมากกระนั้นก็ยังสัมผัสได้ จนเกิดเป็นการตอบสนองได้อย่างทันควัน
“ตูม” ดาบด้ามหนาของเขา พลันฟาดฟันเข้ามาอีกหนึ่งดาบ
“เคร้ง!!!”
ดาบของเขากลับฟันใส่อากาศธาตุ แต่โล่ในมือของเขากลับยังสามารถต้านรับดาบที่ลึกลับซับซ้อนของเมิ่งชวนเอาไว้ได้
“เร็วยิ่งนัก ข้ายังต้องฟันโดนเพียงอากาศธาตุแล้ว” หวู่ฉี่ร้อนรนขึ้นจับใจ โชคยังดีที่เขาได้ใช้โล่คอยระวังป้องกันอยู่โดยรอบ มือหนึ่งถือโล่มือหนึ่งถือดาบใหญ่ กระตุ้น《สองผสานเคล็ดดาบทักษะโล่》อันเป็นสุดยอดวิชาประจำสำนักของสำนักกระจกทะเลสาบที่แท้จริงออกมา การใช้สุดยอดวิชาประจำสำนักก็ย่อมนับว่ามีโอกาสที่จะมีชีวิตรอดได้เป็นอย่างมาก ดังนั้นหวู่ฉี่จึงได้เลือกสุดยอดวิชาประจำสำนักที่มีความเหมาะสมกับเขาอย่างกายาเมฆาอสูรมืด
กายาเมฆาอสูรมืด ได้ผนวกเคล็ดดาบทักษะโล่สองผสานเข้าด้วยกัน
ในด้านการป้องกันแทบจะไม่มีช่องโหว่เลยด้วยซ้ำ อีกทั้งยังมีการโจมตีที่ดุดัน เขาเองก็นับว่าเป็นศิษย์อันดับหนึ่งในระดับก่อกำเนิดอันเลื่องชื่อของสำนักกระจกทะเลสาบ
“สองผสานเคล็ดดาบทักษะโล่ หนึ่งหยิน หนึ่งหยาง ย่อมต้องร้ายกาจอย่างแน่นอน กระนั้น ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะสามารถต้านข้าได้สักกี่กระบวนท่า” เสียงของเมิ่งชวนยังคงดังก้อง บุกทะลวงจู่โจมเข้ามา
“ไม่ต้องแล้ว เจ้าทำอะไรข้าไม่ได้หรอก” ทางด้านที่หวู่ฉี่ยืนอยู่นั้น ดาบโล่ได้ผสานเข้าด้วยกันเพื่อต้านรับดาบที่พลิ้วไหวรวดเร็วของเมิ่งชวน
“พรวด”
“พรวด”
“ถี่”
เมิ่งชวนได้กระตุ้นท่าร่างจนถึงความเร็วสูงสุด ประกายดาบสายแล้วสายเล่า ที่กำลังกระตุ้นใช้ออกมาอยู่ก็คือวิชาดาบใบไม้ร่วง
ในตอนแรกเริ่มหวู่ฉี่ที่ได้ต้านทานยังถือว่ามีความกล้าหาญอยู่บ้าง แต่เมิ่งชวนที่ใช้ออกด้วยดาบแล้วดาบเล่า แทบจะเกิดขึ้นภายใต้ลมหายใจเดียว จนทำให้เขาที่ต้องคอยต้านทานยิ่งมาก็ยิ่งกินแรงมากยิ่งขึ้น จนในที่สุดสภาวะการป้องกันต่อกระบวนท่าสุดท้ายก็เกิดความเปลี่ยนแปลง เมิ่งชวนได้ผ่านการใช้วิชาดาบต่อเนื่อง ทำลายการป้องกันของเขาที่แทบจะไร้ซึ่งจุดอ่อนจนยิ่งฟาดฟันก็ยิ่งปรากฏให้เห็นชัดขึ้น
เพียงแค่หกดาบ ก็สามารถกดดันจนหวู่ฉี่ยังถึงกับต้องซวนเซถอยหลัง กล้ำกลืนต้านรับต่อไป
“เช้ง”
ประกายอันเฉียบคมพลันแล่นขึ้นอย่างรวดเร็ว
หวู่ฉี่เองก็ไม่อาจใช้โล่เข้าต้านทานได้ทัน ปลายดาบก็ได้จ่อเอาไว้ที่ลำคอของเขาเอาไว้แล้ว
“นี่……” หวู่ฉี่ที่กำลังก้มหน้ามองดาบด้ามนี้จ่ออยู่ที่ลำคอ จับจ้องมองเมิ่งชวนที่อยู่ตรงหน้า
นี่นับว่าเป็นครั้งแรกที่เขาได้ประมือกับผู้ถือครองเคล็ดวิชาลับในระดับชำระแก่นแท้ อีกทั้งยังต้องพ่ายแพ้อย่างอเนจอนาถ
“ข้าแพ้แล้ว” หวู่ฉี่กล่าวอย่างหมดแรง : “เคล็ดวิชาลับนับว่าน่าหวาดกลัวกว่าที่ข้าคิดเอาไว้ยิ่งนัก ไม่เพียงแต่จะสามารถทำให้เจ้าระเบิดความเร็วที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าได้ แม้กระทั่งวิชาดาบก็ยังมีความสำเร็จที่เฉียบคมกว่ามาก”
เมิ่งชวนพยักหน้า
มิผิด
เคล็ดวิชาลับ ก็คือกายใจทักษะทั้งสามอย่างรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน แน่นอนว่าย่อมสามารถที่จะระเบิดพลังความเร็วออกมาได้อย่างมากมายมหาศาล
ครั้งหนึ่งเทพอสูรบรรพกาลได้เคยกล่าวเอาไว้ กายหยาบของมนุษย์จะสามารถเสริมพลังได้เป็นอย่างมาก คนผู้หนึ่งที่เป็นเพียงคนสามัญมิเคยฝึกปรือมาก่อน การจะยกวัตถุนับร้อยชั่งก็ยังเรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่กินแรง แต่ถ้าหากสามารถปรับสมดุลได้อย่างสมบูรณ์แบบ ปรับสมดุลพลังกายที่มาจากกระดูกทุกข้อ กล้ามเนื้อทุกส่วน เขาผู้นั้นก็จะสามารถระเบิดพลังกายโดยที่สามารถยกสิ่งที่มีน้ำหนักนับหมื่นชั่งได้! แน่นอนว่านั้นย่อมเป็นพลังกายที่ได้รับการปรับสมดุลทั้งหมดจนอยู่ในระดับที่สมบูรณ์แบบเท่านั้น
เพียงแต่ตามความเป็นจริง วิชาดาบวิชากระบี่ที่นับเป็นขั้นศิลปะที่เหนือล้ำยิ่งกว่า การจะสามารถปรับสมดุลได้ยิ่งนับเป็นเรื่องที่น่าตกใจกว่ามากเลยทีเดียว
การผสานหนึ่งขั้นสู่วิชาดาบสู่ศิลปะเฉพาะทางย่อมถือเป็นก้าวแรกที่ยิ่งใหญ่
เคล็ดวิชาลับสามใบไม้ร่วง ที่สามารถเพิ่มพูนพลังได้อย่างล้นหลาม เพิ่มพูนความเร็วจนเป็นที่น่าตกใจ! ทำให้พลังของเมิ่งชวนเข้าถึงระดับของหวู่ฉี่ (ขั้นสูงสุดระดับก่อกำเนิด) ได้ประมาณเจ็ดส่วนได้ รวดเร็วได้จนสามารถกดดันหวู่ฉี่ อีกทั้งยังสามารถควบคุมวิชาดาบได้แยบคายยิ่งกว่า กระบวนท่าดาบได้ถูกผนวกผสานเข้าสู่ระดับที่สมบูรณ์แบบ ไม่เพียงแต่แค่การใช้ดาบอย่างต่อเนื่องเจ็ดดาบ อีกทั้งยังสามารถทลายสองผสานเคล็ดดาบทักษะโล่ที่เพิ่มพูนพลังป้องกันขึ้นอีกมากมายได้
“นับจากนี้เป็นต้นไป เจ้าก็จะถือเป็นศิษย์ที่แข็งแกร่งในหมู่ศิษย์หลายพันคนในสำนักกระจกทะเลสาบแล้ว” หวู่ฉี่จับจ้องมองไปที่เมิ่งชวนพร้อมทั้งกล่าวออกมา : “เจ้าก็คือศิษย์พี่ใหญ่ในรุ่นนี้ของสำนักกระจกทะเลสาบแล้ว”
แม้ว่าสำนักกระจกทะเลสาบจะยึดหลักผู้เข้าสำนักก่อนหลัง
แต่ศิษย์พี่ใหญ่ของสำนัก……ก็ย่อมเป็นศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนักอยู่แล้ว หลังจากที่โค่นล้มหวู่ฉี่ลง เมิ่งชวนย่อมสามารถสำเร็จเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของสำนักกระจกทะเลสาบ
กล่าวจบ หวู่ฉี่ก็ได้เดินลงจากเวทีประลองไปในทันที
“ศิษย์พี่ใหญ่เมิ่งชวน!” ทันใดนั้นก็ได้มีเสียงตะโกนร้องให้กำลังใจจากเหล่าศิษย์น้องทั้งหลายดังสนั่น
“ศิษย์พี่ใหญ่!”
“ศิษย์พี่ใหญ่!”
ศิษย์พี่ใหญ่ ถึงอย่างไรก็ต้องดูว่ามีบารมีมากพอหรือไม่
ศิษย์พี่ใหญ่ที่เคยได้รับการยอมรับหลายแต่หลายคนของสำนักกระจกทะเลสาบที่ผ่านมา ล้วนแต่ไม่ได้มีสิ่งที่เรียกว่าบารมี เพราะไม่ได้มีความสามารถที่โดดเด่นอะไรมากนัก อีกทั้งยังไม่ได้รู้แจ้งเคล็ดวิชาลับ!อีกทั้งยังอยู่ห่างไกลจากคำว่าทักษะศิลปะอีกไกลโข เช่นนั้นไม่แน่ว่าก็คงจะต้องถูกบรรดาศิษย์น้องก้าวข้ามไปได้ภายใต้การประลองยุทธ์อย่างแน่นอน!
แต่เมิ่งชวนกลับแตกต่างออกไป!
เขาที่รู้แจ้งเคล็ดวิชาลับ ในยามที่อยู่ในระดับชำระแก่นแท้ก็สามารถโค่นล้ม ‘ขั้นสูงสุดระดับก่อกำเนิด’ อย่างหวู่ฉี่ลงได้ อีกทั้งเมิ่งชวนอีกไม่นานก็จะสามารถก้าวเข้าสู่ระดับก่อกำเนิด เมื่อถึงเวลาศิษย์ร่วมสำนักคนอื่นๆ ที่นับว่ามีความสนิทสนมกับเขากันอยู่บ้างก็ยิ่งเริ่มคุยโอ่อวดกันมากขึ้น……ตัวอย่างเช่นแม้กระทั่งระดับก่อกำเนิดก็ยังไม่สามารถรับกระบวนท่าของเขาได้แม้สักกระบวนท่าเดียว!
คนผู้หนึ่งที่นับได้ว่าเป็นศิษย์พี่ใหญ่ที่ไร้ผู้ต้านอย่างแน่นอน จึงจะสามารถทำให้เหล่าศิษย์น้องบังเกิดความเชื่อมั่นได้อย่างหมดใจ
“ฮาฮาฮา……เอาละ ลงมากันเถอะ” ท่านประมุขเก๋อหยู่ก็ได้หัวเราะร่า ยากนักที่จะมีบรรยากาศเช่นนี้ได้ : “ให้เหล่าศิษย์น้องระดับชำระแก่นแท้คนอื่นๆ ออกมาทำการประลองทำการตัดสินชิงอันดับกันอีกสักสองคนเถอะ”
“ขอรับ” เมิ่งชวนจึงค่อยได้เดินลงไปทันที
“คารวะศิษย์พี่เมิ่ง” ว่านหมางเหลียนผสานมือแล้วกล่าวด้วยความเคารพ
“คารวะศิษย์พี่เมิ่ง” บรรดาศิษย์ตึกขุนเขาธาราที่อยู่โดยรอบก็ได้ยิ้มแย้มและแสดงการคารวะ ยังมีศิษย์ร่วมสำนักกันอีกบางส่วนที่ต่างก็บังเกิดความคิดที่จะได้สานสัมพันธ์อันดีกันขึ้นมาบ้าง พวกเขาต่างก็ทราบดีว่าพวกเขาและเมิ่งชวนนั้นแทบจะแตกต่างกันเกินไปแล้ว ซึ่งนั้นก็คือสุดยอดผู้มีพรสวรรค์อันดับหนึ่งอันดับสองของทั่วทั้งเมืองตงหนิง ความหวังสู่การสำเร็จเป็นเทพอสูรในอนาคต
……
ซวบซวบซวบ!!!
ลูกศิษย์ตระกูลเมิ่งแต่ละคนต่างก็กำลังกระตุ้นวิชาตัวเบา มุ่งทะยานไปยังจวนบรรพชน
“เดรัจฉานน้อยอย่างพวกเจ้าแต่ละคน จะหนีไปกันเร็วถึงเพียงนี้ไปทำไมกัน” ประตูหลักจวนบรรพชนตระกูลเมิ่งที่มีความใหญ่โตยิ่ง ย่อมต้องมีเหล่าองครักษ์ประจำตระกูลเฝ้ากันอยู่ บรรดาคนในตระกูลต่างก็ย่อมรู้จักเหล่าผู้เยาว์ภายในตระกูลเหล่านี้กันอยู่แล้ว
“เมิ่งชวนรู้แจ้งเคล็ดวิชาลับแล้ว” บุคคลแรกที่ตะโกนออกมาเสียงดังก็คือผู้เยาว์ที่มาจากตระกูลเมิ่ง จนทำให้เหล่าคนในตระกูลที่เป็นองครักษ์เฝ้าประตูต่างก็ตะลึงลานกันขึ้นมาบ้าง ในยามที่พวกเขายังตกอยู่ในอาการตกตะลึงอยู่ ผู้เยาว์นั้นก็ได้มุ่งหน้าตรงดิ่งเข้าไปยังภายในจวนบรรพชนพร้อมกับตะโกนขึ้นเสียงดังอย่างต่อเนื่องว่า: “เมิ่งชวนรู้แจ้งเคล็ดวิชาลับแล้ว!”
ลูกศิษย์ตระกูลเมิ่งคนอื่นจึงค่อยกระโจนเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
แต่ละคนล้วนแต่ตะโกนกันเสียงดังกึกก้อง
“เมิ่งชวนรู้แจ้งเคล็ดวิชาลับแล้ว”
“ศิษย์พี่เมิ่งรู้แจ้งเคล็ดวิชาลับแล้ว”
“เมิ่งชวน ได้รู้แจ้งเคล็ดวิชาลับในสำนักกระจกทะเลสาบแล้ว!”
ตอนที่ 7 การคัดเลือกของสำนักกระจกทะเลสาบ
เมิ่งชวนอดไม่ได้ที่จะลองอีกครั้ง พริบตาเดียวร่างกายจิตใจทักษะสามอย่างรวมเป็นหนึ่ง เมื่อคนเคลื่อนไหวแสงกระบี่ก็บุกทะลวงไปด้านหน้า เห็นแต่เพียงเงาติดตาที่ทิ้งไว้ในลานฝึก พร้อมกับกระบี่ที่น่ากลัววูบวาบไปทั่วจนเห็นแค่เพียงลำแสง
รวดเร็ว! ว่องไว!
นี่คือทักษะลับ ‘ขั้นที่สามกระบี่ใบไม้ร่วง’
ท่าร่างรวดเร็วและยากที่จะคาดเดา! ทักษะกระบี่ว่องไวและพลิ้วไหว!
หลังจากร่ายรำกระบี่ติดต่อกันถึงสิบครั้ง เมิ่งชวนก็หยุด เขายากที่จะระงับความตื่นเต้นนี้ได้ “ขั้นที่สามกระบี่ใบไม้ร่วง หนึ่งใบไม้ร่วงหล่นแต่ยาวนานถึงสามฤดูใบไม้ร่วง! ในที่สุดข้าก็เข้าใจได้แล้ว! ข้าทำได้แล้ว!”
“ในที่สุดก็บรรลุขั้นหนึ่งเดียวของทักษะกระบี่ได้เสียที!”
“ข้าเมิ่งชวน มีความหวังที่จะได้กลายเป็นเทพอสูร!”
เมิ่งชวนตื่นเต้นมากจริงๆ
เขาฝึกกระบี่ใบไม้ร่วงตั้งแต่อายุสิบเอ็ดปี
เป็นเวลากว่าสี่ปีแล้ว
ตลอดสี่ปีมานี้เขาไม่เคยหย่อนหยาน และพยายามฝึกหนักอยู่ตลอดเวลา เพราะเขารู้ดีว่า มีหลายคนที่มีพื้นฐานทักษะกระบี่ที่โดดเด่นมาก ไม่ว่าจะเป็นสำนักไหนก็มีคนเหล่านี้เช่นกัน เมื่อนับรวมทั้งแปดสำนักแล้วผู้ฝึกยุทธ์ที่โดดเด่นก็มีเป็นจำนวนมาก…แต่ทว่าเก้าในสิบส่วนล้วนติดแหง่กอยู่ที่หน้าประตู ‘ขั้นหนึ่งเดียว’ นานมาก สุดท้ายก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นคนธรรมดา ชั่วชีวิตนี้หากขึ้นเป็นระดับไร้ตำหนิก็นับว่าไม่เลวแล้ว
แต่นั่นไม่ใช่เป้าหมายของเมิ่งชวน เขาต้องการจะกลายเป็นเทพอสูร! ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหน หรือทรมาณมากเพียงใด แต่เป้าหมายของเขาก็มีแค่หนึ่งเดียว นั่นก็คือ——เทพอสูร!
เขายังจำไม่ลืม ตอนอายุหกขวบเขาถูกมัดไว้บนหลังของท่านพ่อ ขณะที่ท่านพ่อกำลังหลบหนีจากฝูงอสูร ในช่วงวิกฤติ ท่านแม่ตัดสินใจที่จะไม่หนีและพุ่งเข้าไปสังหารเหล่าอสูรพวกนั้น เพื่อถ่วงเวลาเอาไว้
นี่ก็เพื่อให้เขาหลบหนีไปได้อย่างปลอดภัย!
เมิ่งชวนที่อยู่บนหลังของท่านพ่อ มองเห็นท่านแม่ของตนจมหายไปกับคลื่นอสูร ในตอนนั้นเมิ่งชวนร้องไห้ราวจะขาดใจ ขณะที่บิดาได้แต่หลั่งน้ำตาอย่างเงียบๆและพยายามวิ่งหนีต่อไปโดยไม่หันกลับไปมอง สุดท้าย…เมิ่งชวนจึงรอดมาได้
“การฝึกฝนจำต้องฝึกตั้งแต่เนิ่นๆ ร่างกายมนุษย์นั้น อายุยี่สิบปีคือช่วงที่รุ่งโรจน์ที่สุด หลังจากนั้นก็จะค่อยๆถดถอยลงเรื่อยๆ”
เมิ่งชวนคิดในใจว่า “ตอนนี้อัจฉริยะอันดับหนึ่งของเมืองตงหนิงก็คือ ‘เหมยหยวนจือ’ อายุสิบห้าเข้าใจทักษะลับ อายุยี่สิบเข้าใจ ‘พลังน้ำแข็ง’ ดังนั้นจึงสามารถอาศัยอยู่ในวังหยกสุริยัน และได้ฝึกฝนอยู่ที่นั่นได้”
เหมยหยวนจือ มีพื้นเพมาจากครอบครัวธรรมดาในเมืองตงหนิง มารดาเป็นสาวใช้ ส่วนบิดาก็เป็นเพียงผู้ฝึกยุทธ์ระดับก่อกำเนิด
ตอนที่เหมยหยวนจือเข้าใจทักษะลับเมื่ออายุสิบห้าปี ได้สร้างความตกตะลึงไปทั่วสำนัก ทั้งสำนักต่างทุ่มเทอบรมเลี้ยงดูเขา กระทั่งตระกูลเทพอสูรก็ยังอยากยกบุตรหลานที่เป็นผู้หญิงให้กับเขา แต่เหมยหยวนจือทุ่มเทจิตใจไปกับการฝึกฝน จึงไม่ถูกล่อลวงด้วยผลประโยชน์จากตระกูลเทพอสูร…สุดท้าย ในวันที่สิบสองเดือนหนึ่งของปีนี้ เหมยหยวนจือก็เข้าใจ ‘พลังน้ำแข็ง’ อายุเพียงยี่สิบปีแต่กลับตระหนักถึง ‘พลัง’ ได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงมีโอกาสได้เสี่ยงโชคเข้าร่วมสำนักโบราณที่เก่าแก่ที่สุดอย่าง ‘เขาหยวนชู’
ตามกฏของเขาหยวนชูแล้ว ผู้ที่สามารถเข้าร่วมการทดสอบนั้น ต้องมีอายุไม่เกินยี่สิบปี
“ข้าบรรลุขั้นหนึ่งเดียวแล้ว นี่คือก้าวแรกของข้า ยังมีประตู ‘พลังกระบี่’กับ ‘การควบแน่น’อยู่ มิอาจหย่อนหยานได้” เมิ่งชวนครุ่นคิด เมื่อมองไปรอบๆ ก็พบว่าในลานฝึกอันเงียบสงบนั้นมีเพียงเขาแค่คนเดียว ต้นไม้ดอกไม้และใบหญ้าเหล่านั้นล้วนเขียวขจี
“ช่างบังเอิญเสียจริง” เมิ่งชวนอุทานออกมา “วันนี้คือวันที่ยี่สิบเจ็ดเดือนสอง ข้าสามารถบรรลุขั้นของวิชากระบี่ได้ก่อนวันคัดเลือกภายในสำนักแค่เพียงหนึ่งวัน”
บนโลกนี้ บางครั้งก็ปรากฏเรื่องบังเอิญเช่นนี้
……
วันที่สอง เช้าวันที่อากาศแจ่มใส
เมิ่งชวน หลิ่วชีเยว่นั่งทานอาหารเช้าด้วยกัน
วันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งวันที่ตระกูลเมิ่งพยายามอย่างหนักเพื่ออบรมชนรุ่นหลัง พวกเขาได้เชิญผู้ฝึกยุทธ์ระดับไร้ตำหนิจากข้างนอกมาฝึกฝนลูกหลานของตระกูล ‘เมิ่งต้าเจียง’ ผู้ฝึกยุทธ์ระดับไร้ตำหนิที่ตระหนักพลังกระบี่ก็เป็นประโยชน์ด้วยเช่นกัน ช่วงนี้เขาอาศัยอยู่ที่เรือนบรรพบุรุษ และคอยอบรมรุ่นเยาว์ในเรือนบรรพบุรุษ ส่วนเมิ่งชวนนั้น…เขามีโอกาสได้รับคำชี้แนะจากบิดามาหลายครั้ง กระบวนท่าของบิดาชุดนั้นเขาคุ้นเคยยิ่งกว่าใคร
ส่วนบิดาของชีเยว่ ‘หลิ่วเย่ป๋าย’ ค่อนข้างลึกลับมาก เวลาส่วนใหญ่เขามักจะออกไปข้างนอก
“อาชวน วันนี้เป็นวันคัดเลือกของสำนักข้า พวกเจ้าก็คัดเลือกวันนี้เหมือนกันหรือเปล่า” หลิ่วชีเยว่ถามอย่างสนใจ “ข้าได้รับเลือกแล้วนะ”
“วันนี้ข้าก็จะคว้าโอกาสนั่นมา” เมิ่งชวนยิ้มน้อยๆ
“มั่นใจขนาดนั้นเชียว?” หลิ่วชีเยว่ยิ้มพลางกล่าวว่า “ระดับชำระแก่นแท้ยังไม่สมบูรณ์ แต่กลับมั่นใจว่าจะแย่งตำแหน่งสามอันดับแรกของสำนักมาได้?”
“ถ้าหากข้าชนะเจ้าจะทำยังไง” เมิ่งชวนถาม
หลิ่วชีเยว่จ้องมองเมิ่งชวนอย่างถี่ถ้วน จากนั้นก็หัวเราะคิกคัก “ถ้าหากเจ้าชนะ ข้าจะทำอาหารเย็นให้เจ้าทานหนึ่งเดือน แต่ถ้าเจ้าแพ้ หึๆ เจ้าจะต้องยกภาพวาดอาชาให้ข้า! เจ้ากล้าพนันรึไม่?”
เมิ่งชวนหัวเราะ
ทักษะการวาดรูปของเขาเหนือกว่าพวกปรมาจารย์วาดภาพที่เก่งที่สุดในเมืองตงหนิงนานแล้ว แน่นอนอีกสาเหตุหนึ่งก็เป็นเพราะมีปรมาจารย์วาดภาพที่เมืองตงหนิงน้อยด้วย
ภาพวาดอาชา คือผลงานชิ้นเอกของเมิ่งชวนในปัจจุบัน เป็นม้วนภาพวาดยาว โดยมีอาชาหนึ่งร้อยตัวแสดงท่าทางที่ไม่ซ้ำกัน ซึ่งเมิ่งชวนใช้เวลาปีกว่าถึงจะวาดมันสำเร็จ ตอนที่หลิ่วชีเยว่เห็นมันครั้งแรกก็โลภอยากได้ทันที แม้แต่อวิ๋นชิงผิงตอนที่เห็นมันครั้งแรก ก็กล่าวว่ายอมแลกอัญมณีสองชิ้นกับเงินอีกสามพันตำลึง แต่เมิ่งชวนก็ไม่ยอมแลก
“ถ้าข้าแพ้ข้าต้องยกภาพอาชาให้กับเจ้า แต่ถ้าเจ้าแพ้เจ้าจะทำอาหารเย็นให้ข้าแค่หนึ่งเดือน นี่มันไม่เอาเปรียบกันไปหน่อยเหรอ?” เมิ่งชวนกล่าวอย่างสงสัย
“หนึ่งเดือนนั่นแหละดีแล้ว! เจ้ากล้ารึไม่?” หลิ่วชีเยว่ถลึงตาใส่เมิ่งชวน
“ปกติก็เป็นเรื่องยากที่เจ้าจะทำอาหารให้ข้าทานสักครั้ง ก็ได้ ข้ารับคำท้า” เมิ่งชวนกัดฟันพูด “ตอนที่แพ้ เจ้าอย่าเสียใจทีหลังก็แล้วกัน”
“เชอะ ถ้าหากเจ้าแพ้ เจ้าก็อย่าเสียใจทีหลังเหมือนกันล่ะ!” หลิ่วชีเยว่วางตะเกียบลง ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไป “ข้าไปสำนักก่อนล่ะ วันนี้เที่ยง เจ้าอย่ากลัวจนไม่กล้ากลับบ้านนะ”
“วางใจเถอะ” เมิ่งชวนทานโจ๊กอย่างช้าๆ ด้วยท่าทางอารมณ์ดี ในเมื่อชีเยว่ยินดีที่จะทำอาหารเย็นให้เขาทานตั้งเดือนหนึ่ง แล้วเหตุใดเขาต้องปฏิเสธด้วยล่ะ?
หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ เมิ่งชวนก็เช็ดมุมปาก จากนั้นก็เดินทางไปยังสำนัก
******
สำนักกระจกทะเลสาบ
หลังจากที่เมิ่งชวนมาถึงสำนัก ก็พบศิษย์ในสำนักพากันมายืนอยู่บริเวณเวทีประลองกันอย่างเนืองแน่น
“ศิษย์พี่เมิ่งต้องชนะแน่นอน”
“ศิษย์พี่เมิ่งจะต้องคว้าตำแหน่งสามอันดับแรกได้”
เหล่าศิษย์น้องชายและศิษย์น้องหญิงหลายคนต่างก็ตื่นเต้นมาก พวกเขารู้ว่าวันนี้คือการตัดสินการคัดเลือก และทางสำนักก็ตั้งใจให้พวกเขาได้รับชมการต่อสู้ของศิษย์พี่ในตึกขุนเขาธารา เนื่องจากบางครั้งเมิ่งชวนก็ยินดีให้คำแนะนำแก่ศิษย์น้องทุกคน ดังนั้นจึงมีหลายคนที่สนับสนุนเมิ่งชวน
“แม้ข้าอยากจะให้ศิษย์พี่เมิ่งชนะ แต่พูดกันตามตรง ในการแข่งขันระหว่างศิษย์ระดับชำระแก่นแท้สิบอันดับแรกเมื่อคราวที่แล้ว ศิษย์พี่เมิ่งไม่ได้โดดเด่นอะไรนัก ความหวังที่เขาจะติดหนึ่งในสามอันดับแรกนั้นมีไม่มาก”
“ศิษย์พี่ว่านหม่าง ศิษย์ป๋ายก้วน ติดสิบอันดับแรกจากการแข่งขันเมื่อครั้งที่แล้ว อันดับหนึ่งนั้นคงไม่พ้นสองคนนี้ ข้าคิดว่าพวกเขาสองคนคงได้ที่ว่างไปวังหยกสุริยันแล้ว” ศิษย์น้องชายและศิษย์น้องหญิงหลายคนพากันซุบซิบกันอย่างครื้นเครง มีบางคนสนับสนุนศิษย์พี่ที่ตนชอบกันอย่างตาบอด แต่บางคนก็วิเคราะห์กันอย่างตั้งใจ แต่มีสิ่งหนึ่งที่พวกเขาคิดเห็นตรงกัน——นั่นก็คือคาดหวังกับการประลองที่กำลังจะเริ่ม
รอบๆเวทีประลองในระยะสิบฟุตถูกปิดกั้น ไม่อนุญาตให้พวกลูกศิษย์เข้ามาใกล้ในระยะนี้
เมิ่งชวนยืนรออยู่ก่อนแล้วในขณะที่คนอื่นๆพากันทยอยมาถึง นอกจากนี้ก็มีคำสั่งจากเหล่าอาจารย์ให้ตรวจสอบอาวุธของตัวเอง เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครเปิดคม
ตอนนี้เอง ชายร่างเล็กที่เต็มไปด้วยกลิ่นสุราทั้งร่างก็กอดไหสุราเดินเข้ามา
“เจ้าสำนัก”
“เจ้าสำนัก”
ศิษย์ทุกคนพากันคำนับอย่างนอบน้อม แม้แต่เหล่าศิษย์ทั้งยี่สิบสองคนจากตึกขุนเขาธาราก็คำนับอย่างสุภาพ ‘เก๋อหยู่’ คือเจ้าสำนักกระจกทะเลสาบ ชื่อเสียงของเก๋อหยู่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ทั้งโลภมากและขี้เมา แล้วยังกระทำเรื่องที่น่าอายอยู่หลายครั้ง
“เอาล่ะ ทุกคนมากันครบแล้วสินะ” แม้เก๋อหยู่จะหน้าแดงก่ำด้วยความเมา และกลิ่นสุราคละคลุ้งไปทั่ว แต่ศิษย์ทุกคนกลับประพฤติตัวอย่างเชื่อฟัง แม้แต่เหล่าอาจารย์ผู้ช่วยสอนก็ยังไม่กล้าพูดอะไรออกมา ฉายานักกระบี่อันดับหนึ่งของเมืองตงหนิงนั้น ไม่ได้มาเพราะโชคช่วยแต่เป็นประสบการณ์จากการฆ่าฟัน
“ศิษย์ระดับก่อกำเนิดทั้งหกคน รีบขึ้นไปเร็วเข้า” เก๋อหยู่ประกาศต่อไปว่า “พวกเขาทั้งหกคนจะเริ่มการประลองก่อน เพื่อคัดเลือกสามอันดับแรก”
“คารวะเจ้าสำนัก”
ตอนนั้นเองก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งโค้งคำนับ “ข้ากับศิษย์พี่จางเพิ่งจะทะลวงระดับก่อกำเนิดมาได้ไม่นาน และยังอยู่ระดับก่อกำเนิดระดับต้น พลังของพวกเรายังตื้นเขินนัก ดังนั้นการประลองในวันนี้จึงขอยอมแพ้”
“คารวะเจ้าสำนัก เมื่อคืนวานข้าได้ท้าประลองไปแล้ว และพ่ายแพ้ถึงสามรอบ” ชายหนุ่มร่างกำยำผู้หนึ่งกล่าวขึ้นมา
“หือ?”
เก๋อหยู่ได้ยินดังนั้นก็พยักหนัก เขาเข้าใจความแข็งแกร่งของเหล่าลูกศิษย์ดี “ก็ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น งานชุมนุมสังหารอสูรที่วังหยกสุริยันครั้งนี้ ก็ให้อู๋ฉีกับสองพี่น้องตระกูลเว่ยรับหน้าที่ไป”
“ขอรับ” พวกอู๋ฉีทั้งสามคนที่อยู่ระดับก่อกำเนิดต่างกล่าวออกมาอย่างยินดี
อู๋ฉี คือผู้ฝึกยุทธ์ระดับก่อกำเนิดระดับสมบูรณ์
ส่วนพี่น้องตระกูลเว่ย คือผู้ฝึกยุทธ์ระดับก่อกำเนิดระดับปลาย ความแข็งแกร่งของพวกเขานั้นทรงพลังมาก
“ศิษย์ระดับชำระแก่นแท้จากตึกขุนเขาธาราทั้งสิบหกคน” เก๋อหยู่หันไปมองเมิ่งชวนและคนอื่นๆ “พวกเจ้าทุกคนมีสิทธิ์ที่จะแย่งชิงโอกาสนี้ ข้าจะบอกกฎอีกครั้ง ทุกคนมีโอกาสขึ้นมาบนเวทีได้! พวกเจ้าจะต้องรับคำท้าทายจากศิษย์ระดับเดียวกัน ตราบใดที่สามารถเอาชนะได้ห้ารอบ ก็สามารถคว้าตำแหน่งหนึ่งในนั้นไปครอง อีกอย่าง…ถ้าหากพวกเจ้าพ่ายแพ้ถึงสองครั้ง ก็ไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมการประลอง”
“เอาล่ะ ตอนนี้ก็เริ่มการประลองได้” เก๋อหยู่กล่าวออกมาพร้อมยกไหสุราขึ้นดื่ม
ศิษย์ระดับชำระแก่นแท้ทั้งสิบหกคนพลันนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
ขึ้นไปบนเวที และต้องชนะการประลองติดต่อกันถึงห้ารอบจึงจะคว้าตำแหน่งได้? เช่นนั้น ผู้ที่ขึ้นไปบนเวทีคนแรกก็ซวยที่สุดนะสิ!
การขึ้นไปบนเวทีเป็นคนที่สาม น่าจะได้เปรียบกว่าคนที่ขึ้นไปสองคนแรก
“ใครจะเป็นคนแรก?” ศิษย์ระดับชำระแก่นแท้ส่วนใหญ่ต่างก็หันไปทางชายหนุ่มสองคน หนึ่งในนั้นคือ ‘ว่านหม่าง’ ชายหนุ่มร่างกำยำที่มีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้า ส่วนอีกคนคือ ‘ป๋ายก้วน’ ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งที่ดูเย็นชา ในการแข่งขันระหว่างศิษย์สิบอันดับแรก สองคนนี้มักจะเป็นผู้ตัดสินใจก่อนเสมอ
“เจ้าจะขึ้นไปก่อนหรือไม่?” ว่านหม่างหันไปมองป๋ายก้วนด้วยดวงตาที่เป็นประกาย
“ถ้าเจ้าอยากขึ้นไป เจ้าก็ขึ้นไปสิ” ป๋ายก้วนตอบกลับอย่างเย็นชา
ตอนนั้นเอง——
ก็มีเงาร่างหนึ่งได้ก้าวเท้าออกมา และขึ้นไปบนเวทีเป็นคนแรก ซึ่งคนคนนั้นก็คือเมิ่งชวน
เมิ่งชวนกวาดสายตามองคนที่อยู่เบื้องล่างที่แสดงท่าทีตกตะลึง แล้วกล่าวว่า “อันดับหนึ่งของการประลองนี้ ข้าคงต้องขอรับไว้”
ตอนที่ 8 ทักษะลับ ‘ขั้นที่สามกระบี่ใบไม้ร่วง’
การกระทำของเมิ่งชวนทำให้ศิษย์ระดับชำระแก่นแท้ของตึกขุนเขาธาราพากันตกตะลึง ในตึกขุนเขาธารา เมิ่งชวนไม่ได้โดดเด่นอะไรนัก อีกทั้งอายุค่อนข้างน้อย แม้ว่าบิดาของเขาจะเป็นถึงว่าที่หัวหน้าตระกูลเมิ่ง แต่เมิ่งชวนก็ไม่เคยทำตัวโอ้อวด ดังนั้นศิษย์ร่วมสำนักจึงมีความประทับใจต่อเมิ่งชวนค่อนข้างดีมาก แต่ครั้งนี้กลับแย่งขึ้นเวทีประลองก่อน แล้วยังกล่าวอีกว่า “อันดับหนึ่งของการประลองนี้ ข้าคงต้องขอรับไว้”
ซึ่งนั่นหมายความว่าไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตาไม่ใช่รึ
“ศิษย์พี่เมิ่งขึ้นไปบนเวทก่อนงั้นรึ?”
“ทำไมเขาถึงขึ้นไปเป็นคนแรกล่ะ?”
“น่าจะรอให้ผ่านสองคนแรกไปก่อน แล้วค่อยขึ้นอีกทีก็ยังไม่สายนะ” ห่างออกไป เหล่าศิษย์น้องที่อยู่รอบลานประลองพากันซุบซิบอย่างประหลาดใจ
กระทั่งเจ้าสำนักที่กำลังดื่มสุราอยู่ก็ยังประหลาดใจเล็กน้อย เขาเป็นคนโลภและรักสุรา จึงได้ประโยชน์จาก ‘เมิ่งต้าเจียง’ ที่เป็นเถ้าแก่ของภัตตาคารอาหารอันดับหนึ่งแห่งเมืองตงหนิงอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นเขาจึงพลอยเอ็นดูบุตรชายของเมิ่งต้าเจียงไปด้วย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเมิ่งชวนไม่เคยอาศัยอำนาจของตระกูลทำเรื่องเลวร้าย และเมิ่งต้าเจียงก็ให้สิทธิประโยชน์กับเขามากมาย
“เร็วเข้า ใครอยากจะประลองกับเมิ่งชวนก็รีบขึ้นมา” เก๋อหยู่กระตุ้น
“ข้าเอง”
ป๋ายก้วนเจ้าของใบหน้าเย็นชาได้ก้าวเท้าออกมาและเดินขึ้นไปบนเวทีประลอง เขามองเมิ่งชวนด้วยแววตาเย็นยะเยือก ก่อนจะหัวเราะเยาะ “เมิ่งชวน เจ้าอยากได้อันดับหนึ่งของการประลองนี้ ได้ถามข้าก่อนรึยัง”
ในการแข่งขันชิงสิบอันดับแรกระหว่างศิษย์ระดับชำระแก่นแท้ เขาก็สามารถคว้าอันดับหนึ่งมาได้ทุกครั้ง มีแค่ครั้งนี้ที่พ่ายแพ้ให้กับว่านหม่าง
ในหมู่ศิษย์ระดับชำระแก่นแท้ของตึกขุนเขาธารา มีเพียงว่านหม่างผู้ที่มีพละกำลังแข็งแกร่งมาตั้งแต่กำเนิดเท่านั้นที่จะทำให้เขาระมัดระวังตัวได้ ส่วนศิษย์คนอื่นๆเขาไม่เคยเห็นอยู่ในสายตา ตอนที่เมิ่งชวนขึ้นไปเป็นคนแรก เขาก็คิดว่าจะเป็นผู้ชม แต่พอเมิ่งชวนกล่าวว่า ‘อันดับหนึ่งของการประลองนี้ ข้าคงต้องขอรับไว้’ เขาก็เกิดความรู้สึกอยากจะสั่งสอนเมิ่งชวนขึ้นมา
“เชิญ” เมิ่งชวนตอบกลับ
“ตรงไปตรงมาดีนี่”
ป๋ายก้วนชักกระบี่สองเล่มออกมาจากด้านหลัง กระบี่ยาวคู่นี้ไม่ได้เปิดคม การประลองในหมู่ศิษย์ด้วยกันนั้น พวกเขาจะทำให้อาวุธของตัวเองทื่อ
ป๋ายก้วนถือกระบี่อย่างละข้าง ดวงตาจ้องมองไปที่เมิ่งชวน ก่อนจะกล่าวว่า “เจ้ากับข้าประมือกันมาแล้วเจ็ดครั้ง แต่ไม่มีครั้งไหนที่เจ้ารับมือข้าได้เกินสิบกระบวนท่า”
“ทักษะกระบี่คู่ของท่านทรงพลังจริงๆ” เมิ่งชวนพยักหน้าชื่นชม
ป๋ายก้วนเก่งกาจมากจริงๆ แม้แต่ว่านหม่างผู้มีพละกำลังแข็งแกร่งมาตั้งแต่กำเนิดก็ยังโชคดีเอาชนะเขาได้แค่ครั้งเดียว ซึ่งนั่นเป็นเพราะทักษะกระบี่คู่! เขาคือผู้เชี่ยวชาญกระบี่คู่ที่แท้จริง ซึ่งจำเป็นต้องเคลื่อนไหวทั้งสองอย่างพร้อมกัน กระบี่สองเล่มก็เปรียบเสมือนนักกระบี่สองคนที่ร่วมมือกัน…ต้องต่อสู้กับนักกระบี่แบบนี้ ก็เหมือนเผชิญหน้ากับนักกระบี่คู่ที่เข้าขากันอย่างสมบูรณ์แบบ ดังนั้นเหล่าศิษย์ชำระแก่นแท้ของตึกขุนเขาธาราจึงพ่ายแพ้ให้กับเขา
“การที่เจ้ากล้าขึ้นมาเป็นคนแรก ข้าก็ขอชื่นชมในความกล้า ฉะนั้นข้าจะใช้ท่าไม้ตาย ‘เฉือนใจ’ เพื่อให้เจ้ายอมรับความพ่ายแพ้ทั้งปากและใจ” ป๋ายก้วนผู้หยิ่งผยองได้บอกถึงทักษะที่ตนจะใช้ต่อจากนี้โต้งๆ เพื่อเป็นการสั่งสอนเมิ่งชวน เขาจะใช้ทักษะที่แข็งแกร่งที่สุดกดดันเมิ่งชวน
“แสดงออกมาเลย” เมิ่งชวนไม่รีบร้อน ความเข้าใจต่อทักษะลับของเขาได้ก้าวไปอีกระดับแล้ว ฉะนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องรีบลงมือก่อน ปล่อยให้อีกฝ่ายมีโอกาสแสดงทักษะลับอย่างสมบูรณ์ดีกว่า
ฟ้าว
ป๋ายก้วนลงมือทันที
มือที่ถือกระบี่ทั้งสองข้างเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว แม้จะมั่นใจแต่เขาก็ยังทุ่มพลังทั้งหมด กระบี่พุ่งตรงไปทางเมิ่งชวน ท่าร่างของเขาดูแปลกมาก เดี๋ยวก็โผล่ไปทางซ้ายทีขวาที ทำให้ยากที่จะระบุตำแหน่งที่แท้จริงของเขาได้
พริบตาเดียว เขาก็ทะยานเข้าไปใกล้เมิ่งชวนที่อยู่อีกด้านหนึ่งของเวที
“ตาย” ป๋ายก้วนแสยะยิ้มให้กับเมิ่งชวน กระบี่คู่ได้แสดงท่าไม้ตาย ‘เฉือนใจ’ ออกมา แม้ว่าคมกระบี่จะทื่อ แต่ด้วยทักษะนี้เมิ่งชวนก็บาดเจ็บได้
ประกายแสงคมกระบี่คู่สว่างวูบ ขณะฟันไปที่ร่างของเมิ่งชวน
“หือ?” ป๋ายก้วนเบิกตากว้างอย่างตกใจ เพราะเขารู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกำลังฟันอากาศอยู่
ตอนนั้นเองเขาก็รู้สึกเย็นยะเยือกที่ลำคอ
เขารีบหันกลับไปมอง
เป็นเมิ่งชวนที่ยืนอยู่ด้านหลังเขา และถือกระบี่วางไว้ที่คอของป๋ายก้วน
“เป็นไปได้ยังไง ทำไมเจ้าถึงเร็วขนาดนี้?” ป๋ายก้วนยากจะทำใจเชื่อได้ “ทำไมข้าถึงมองไม่ชัด”
เขาไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ศัตรูที่ยืนอยู่ตรงหน้า พริบตาเดียวกลับไปยืนอยู่ด้านหลัง และเอากระบี่จ่อคอเขา
เห็นได้ชัดว่าการฆ่าเขามันง่ายพอๆกับการฆ่าไก่
ตอนแรกเก๋อหยู่ยังกอดไหสุราอย่างสบายอารมณ์ แต่จังหวะที่ยกขึ้นดื่มและมองไปบนเวที เขาก็ต้องตกตะลึงขึ้นมา ดวงตาของเขาเบิกกว้างขณะมองฉากนี้อย่างไม่อยากจะเชื่อ กระทั่งไหสุราในมือก็ยังร่วงลงมากระแทกพื้นจนแตกเป็นเสี่ยงๆ สุราไหลเจิ่งนองไปทั่วพื้น แต่เก๋อหยู่ก็ไม่แม้แต่จะปรายตามองสุราที่หกราดพื้นเลยแม้แต่น้อย สายตาของเขาจับจ้องไปที่เมิ่งชวน
“ทักษะลับ ‘ขั้นที่สามกระบี่ใบไม้ร่วง’ ข้าเก๋อหยู่อบรมศิษย์แบบนี้ออกมาได้ด้วยรึ?” เก๋อหยู่พึมพำกับตัวเองเบาๆ เขาเป็นเจ้าสำนักมาสิบห้าปี แต่ไม่เคยอบรมอัจฉริยะที่คาดว่าจะเป็นเทพอสูรมาก่อน
เหล่าอาจารย์และผู้ช่วยต่างก็มองหน้ากันอย่างงงๆ พวกเขามองเห็นอย่างชัดเจนว่าเมิ่งชวนใช้ทักษะอะไร และเข้าใจว่านี่หมายความว่าเช่นไร
“เป็นทักษะลับ ‘ขั้นที่สามกระบี่ใบไม้ร่วง’ ”
“ทักษะลับกระบี่ใบไม้ร่วง ‘ขั้นที่สามกระบี่ใบไม้ร่วง’! สำนักกระจกทะเลสาบของข้าปรากฏศิษย์ที่สามารถเข้าใจทักษะลับได้ ปีนี้เมิ่งชวนอายุเพียงสิบห้า แค่สิบห้าปีกลับครอบครองทักษะลับได้แล้ว นี่เป็นเรื่องจริงรึนี่!”
“สำนักกระจกทะเลสาบของเรา ปรากฏศิษย์ที่เข้าใจทักษะลับตั้งแต่อายุสิบห้าปี!”
“สำนักกระจกทะเลสาบของเรา! ฮาฮา…”
เหล่าอาจารย์ที่อุทิศตนเพื่อสำนักมาชั่วชีวิตพากันตื่นเต้นขึ้นมา นี่คือช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ที่สุดของพวกเขา ทั้งสำนักได้อบรมสั่งสอนศิษย์มามากมาย เป้าหมายก็เพื่อเลี้ยงดูอัจฉริยะที่สามารถกลายเป็นเทพอสูรได้ในอนาคต
บัดนี้ สำนักกระจกทะเลสาบได้ปรากฏอัจฉริยะเช่นนั้นขึ้นมาแล้ว แบบนี้จะไม่ให้เหล่าอาจารย์ตื่นเต้นได้อย่างไร? จะไม่ให้พวกเขาคลุ้มคลั่งได้อย่างไร?
ถ้าหากบอกว่าเหล่าอาจารย์พากันตื่นเต้น เช่นนั้นพวกลูกศิษย์นับพันที่มองดูฉากนี้ก็น่าจะเข้าขั้นบ้าคลั่งขึ้นมา
“สวรรค์!”
“ข้าไม่ได้ตาฝาดใช่ไหม?”
“นี่คือ…”
“ข้าเห็นศิษย์พี่เมิ่งสองคน คนหนึ่งอยู่ด้านหน้าศิษย์พี่ป๋าย อีกคนอยู่ด้านหลังศิษย์พี่ป๋าย?”
“ทักษะลับ ‘ขั้นที่สามกระบี่ใบไม้ร่วง’ นี่ต้องเป็นทักษะลับ ‘ขั้นที่สามกระบี่ใบไม้ร่วง’ ของกระบี่ใบไม้ร่วงแน่ๆ! เจ้าสำนักเคยบรรยายให้พวกเราฟังมาแล้ว”
“ที่แท้ก็เป็นทักษะลับ ‘ขั้นที่สามกระบี่ใบไม้ร่วง’!”
เสียงพูดคุยพลันดังกระหึ่มขึ้นมา แม้แต่ศิษย์จากตึกขุนเขาธาราก็ตะลึงงันเช่นกัน
วินาทีนั้น ตั้งแต่เจ้าสำนัก ไปจนถึงเหล่าศิษย์สามัญต่างก็พากันพูดคุยอย่างตื่นเต้น ทุกคนล้วนก็เข้าใจอย่างชัดเจนว่าการที่เด็กอายุสิบห้าสามารถใช้ทักษะลับได้นั้นมันหมายความว่าอะไร!
“ฟิ้ว” ในบรรดาศิษย์มากมายที่รายล้อมรอบเวทีนั้น จู่ๆก็มีศิษย์คนหนึ่งวิ่งออกจากสำนัก
“เร็วเข้า รีบกลับไปที่เรือนบรรพบุรุษ ไปรายงานให้คนในตระกูลทราบ”
“เร็ว รีบกลับไปรายงาน!”
ศิษย์ในสำนักกระจกทะเลสาบบางส่วนก็มาจากตระกูลเมิ่ง เมื่อมีศิษย์จากตระกูลเมิ่งคนแรกที่วิ่งออกไป ก็มีคนที่สองและสามตามมา พวกเขามุ่งหน้าไปยังตระกูลของตัวเอง พวกเขาอยากจะนำข่าวดีนี้ไปแจ้งให้คนในตระกูลทราบ! ด้านหนึ่งคือพวกเขาอยากมีส่วนร่วมกับเรื่องที่น่ายินดี อีกด้านคือเมื่อพวกเขากลับไปรายงานข่าวนี้กับตระกูล ทางตระกูลอาจจะตบรางวัลให้กับพวกเขา
รายงานข่าวดี จึงได้รางวัล นี่ไม่ใช่เรื่องสมควรหรอกเหรอ โดยเฉพาะข่าวดีเทียมฟ้าเช่นนี้
ฟิ้วววว….ศิษย์ตระกูลเมิ่งแต่คนต่างก็ใช้ทักษะตัวเบาวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
“ทักษะลับ ‘ขั้นที่สามกระบี่ใบไม้ร่วง’?” ป๋ายก้วนบนเวทีที่มองเห็นทักษะไม่ชัด เมื่อได้ยินเสียงพูดคุยจากผู้คนรอบๆเวที จึงเพิ่งนึกได้ว่าเมิ่งชวนใช้ทักษะอะไร เขาเข้าใจแล้วว่าทักษะที่อีกฝ่ายใช้ก็คือกระบี่ใบไม้ร่วง
“เจ้าเข้าใจทักษะลับแล้วรึ?”
ป๋ายก้วนแสดงสายตาที่ซับซ้อนขณะมองไปทางเมิ่งชวน
“หลังจากติดคอขวดมาสองปี ในที่สุดข้าก็บรรลุแล้ว” เมิ่งชวนพยักหน้า
ป๋ายก้วนทั้งอิจฉาทั้งริษยา ตัวเขาเองไม่ใช่ว่าติดคอขวดเช่นกันหรือ? เขาสามารถใช้กระบี่คู่พร้อมกันได้ ทำให้พลังรบของเขาเหนือกว่าศิษย์รุ่นเดียวกันหลายขุม แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงติดอยู่คอขวด เขาปรารถนาที่จะเข้าใจทักษะลับยิ่งกว่าใคร
“มิน่าล่ะเจ้าถึงขึ้นมาเป็นคนแรก เเบบนี้นี่เอง เจ้าในตอนนี้กับพวกข้าทุกคนล้วนคนละชั้น” ป๋ายก้วนกล่าวเสียดสี ก่อนจะเดินลงมาจากเวที
แต่วินาทีนี้ไม่มีใครสนใจป๋ายก้วน
สายตาของทุกคนยังจ้องมองไปที่เมิ่งชวนเด็กหนุ่มวัย ‘สิบห้าปี’ บรรดาศิษย์จากตึกขุนเขาธาราแสดงสีหน้าตกใจและอิจฉาออกมา แม้แต่ศิษย์ระดับก่อกำเนิดทั้งหกคนก็ยังรู้สึกอิจฉาไม่แพ้กัน เพราะว่าพวกเขายังตระหนักรู้ทักษะลับไม่ได้! อันที่จริงแล้ว ผู้ฝึกยุทธ์ระดับก่อกำเนิดส่วนใหญ่ต่างก็ไม่สามารถเข้าใจทักษะลับได้ ชั่วชีวิตจึงติดอยู่ระดับนี้ตลอดกาล
หากเข้าใจทักษะลับ ก็สามารถก้าวเข้าสู่ระดับไร้ตำหนิได้
“ฮ่าฮ่าฮ่า” เจ้าสำนักเก๋อหยู่ที่ตัวเปื้อนสุราเล็กน้อยพลันหัวเราะออกมาเสียดัง “นี่คือทักษะกระบี่ใบไม้ร่วงที่ข้าสอนเจ้าไปจริงๆ อู๋ฉี!”
อู๋ฉีชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับอย่างนอบน้อม “ศิษย์อยู่นี่!”
ในบรรดาศิษย์ระดับก่อกำเนิดทั้งหกคนเขาคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย ปีนี้เขาอายุสิบเก้าแล้ว ระดับการบ่มเพาะก็อยู่ที่ระดับก่อกำเนิดสมบูรณ์
“เจ้าขึ้นไปประลองกับเมิ่งชวนซะ!” ดวงตาของเก๋อหยู่เป็นประกาย ขณะออกคำสั่งกับอู๋ฉี
“ให้ข้าประลองกับอู๋ฉี?” เมิ่งชวนที่อยู่บนเวทีก็หันหน้ากลับมามอง อู๋ฉีคือผู้ฝึกยุทธ์ระดับก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์ เป็นศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนักกระจกทะเลสาบ และยังเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของสำนักอีกด้วย
ตอนที่ 6 ทุ่มเทอบรม
เรือนบรรพบุรุษตระกูลเมิ่งสดชื่นคึกคักมาก แต่ละคนพากันเข้าแถวเพื่อรอรับเม็ดยา
“เยอะมาก”
“แจกเม็ดยามากขนาดนี้เชียวเหรอ?”
คนในตระกูลที่ได้รับเม็ดยาวิเศษต่างก็พากันตกใจ หญิงสาวคนหนึ่งที่จูงมือลูกสาววัยเจ็ดขวบมารับทรัพยากรในการฝึกฝนเดือนนี้ ก็ตกตะลึงเช่นกัน “เมื่อก่อน บุตรสาวของข้าได้เงินเดือนละสองสามตำลึง กับยาปราณโลหิตหนึ่งเม็ด แต่ตอนนี้ได้เงินถึงสามสิบสองตำลึง กับยาปราณโลหิตสิบเม็ด? สามวันใช้ยาปราณโลหิตหนึ่งเม็ดงั้นรึ?”
บุตรสาวของนางอายุเพียงเจ็ดขวบ ไม่ค่อยสนใจการฝึกฝน จึงได้รับเพียงทรัพยากรขั้นพื้นฐานที่สุดที่ตระกูลจะมอบให้กับเด็กรุ่นใหม่ ทว่าตอนนี้ดูเหมือนจำนวนของมันจะเพิ่มขึ้นมาอย่างมาก
“ทุกคน หัวหน้าตระกูลได้กล่าวด้วยตนเองว่า ตั้งแต่เดือนนี้เป็นต้นไป คนในตระกูลที่อายุต่ำกว่ายี่สิบปี ทุกเดือนจะได้รับเงินและเม็ดยามากกว่าเดิมสิบเท่า” คนในตระกูลที่มีหน้าที่แจกจ่ายทรัพยากรก็อธิบายสาเหตุออกมา บอกหนึ่งกระจายไปสิบ รู้สิบกระจายไปร้อย ไม่ช้าเรื่องนี้ก็แพร่กระจายไปทั่วเรือนบรรพบุรุษตระกูลเมิ่ง
เด็กรุ่นเยาว์ในตระกูล แบ่งออกเป็นห้าระดับตามความก้าวหน้าของการฝึกฝน
ดูเหมือนว่าเมิ่งเหวินอิงและเมิ่งชวน คือคนที่อยู่ระดับสูงสุด เป็นกลุ่มที่ถูกให้ความสำคัญในการอบรม
ยังมีระดับสอง ระดับสาม…
ตอนนี้แม้แต่เด็กรุ่นเยาว์ธรรมดา ก็ได้เงินเดือนละสามสิบสองตำลึง กับยาปราณโลหิตสิบเม็ด
“หัวหน้าตระกูล ครอบครัวที่มีรุ่นเยาว์อายุต่ำกว่ายี่สิบปีแต่มากกว่าหกขวบขึ้นไปนั้น มีมากกว่าสองพันคนเชียวนะ ทางตระกูลสามารถแบกรับค่าใช้จ่ายนี้ไหวหรือ?” บ่าวรับใช้ชราถามอย่างเป็นกังวล หัวหน้าตระกูลเมิ่งเหยียนผิงยืนมองคนในตระกูลรับทรัยพากรอยู่ไกลๆ ก่อนจะตอบเสียงเรียบว่า “วางใจเถอะ ตระกูลสะสมทรัพยากรมาหลายปี แม้จะแจกจ่ายเช่นนี้ไปอีกสิบปีก็ยังแบกรับไหว”
แต่บ่าวชราก็ยังคงกังวลอยู่ดี
รายได้ของตระกูลเทพอสูรน่าตกใจก็จริง แต่รายจ่ายก็มหาศาลเช่นกัน ตอนนี้ทางตระกูลพยายามเลี้ยงดูรุ่นเยาว์รุ่นนี้ โดยมิให้พวกเขาเสียค่าใช้จ่ายในการฝึกฝนเป็นเวลาสิบปี! โดยหวังว่าจะมีต้นกล้าที่พอจะมีความหวังได้กลายเป็น ‘เทพอสูร’
……
จวนเมิ่งข้างทะเลสาบกระจก
เมิ่งต้าเจียงพาคนสิบกว่าคนกลับมาที่จวน
“นายท่าน” เหล่าหญิงรับใช้ต่างกล่าวออกมาด้วยความเคารพ
“นายน้อยล่ะ?” เมิ่งต้าเจียงเอ่ยถาม
“นายน้อยอยู่ที่ลานฝึกเจ้าค่ะ” หญิงรับใช้คนหนึ่งตอบ
เมิ่งต้าเจียงขมวดคิ้วมุ่น เงยหน้ามองท้องฟ้า บัดนี้พระอาทิตย์เอนไปทางทิศตะวันตก นี่ยามเซินแล้วนี่[15.00-17.00] “เวลานี้เขายังฝึกกระบี่อยู่อีกรึ?”
เขานำกลุ่มคนมุ่งหน้าไปทางลานฝึก หูก็ได้ยินเสียงแหลมเล็กของกระบี่คำรามออกมา “พวกเจ้ารออยู่ที่นี่” กล่าวจบก็เดินเข้าใกล้ มองทะลุรูบนกำแพงที่โอบล้อมรอบลานฝึก สามารถมองเห็นเงาร่างของเด็กหนุ่มผู้หนึ่งอย่างเลือนลาง และแสงวิบวับของคมกระบี่ คงกำลังฝึกกระบี่ใบไม้ร่วงสินะ
“เฉียนฟาง” เมิ่งต้าเจียงหันไปกวักมือเรียกชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่ยืนอยู่มิไกล เฉียนฟางคือบ่าวรับใช้ของเมิ่งชวน เขารีบเร่งฝีเท้าเดินเข้ามา
“ข้ามีเรื่องอยากถามเจ้า” เมิ่งต้าเจียงกระซิบพูด “ชวนเอ๋อฝึกกระบี่นานแค่ไหนแล้ว?”
“นายท่าน นายน้อยเริ่มฝึกกระบี่ตั้งแต่ตอนเช้า นอกจากเวลาพักทานอาหารแล้ว ก็ไม่หยุดฝึกเลย!” เฉียนฟางตอบตามตรง
“ฝึกนานขนาดนี้เชียว?” เมิ่งต้าเจียงขมวดคิ้ว
“แม้แต่ในช่วงกลางคืนหลังจากที่อาบน้ำแล้ว นายน้อยก็จะฝึกกระบี่ต่ออีกหนึ่งชั่วโมงจึงจะเลิก” เฉียนฟางอดไม่ได้ที่จะกล่าวต่อไปว่า “ช่วงหลายวันมานี้ นอกจากเวลาทานอาหาร นอนหลับ วาดรูป อาบน้ำ และฝึกชำระแก่นแท้แล้ว…ที่เหลือก็ฝึกกระบี่ วันวันหนึ่งฝึกกระบี่ประมาณหกเจ็ดชั่วโมง”
“หลายวันมานี้เหรอ?” เมิ่งต้าเจียงพึมพำกับตนเอง
หลายวันมานี้เหรอ?
อะไรเป็นแรงกระตุ้นให้บุตรชายของเขาฝึกกระบี่อย่างบ้าคลั่งเช่นนี้?
เพราะการยกเลิกการหมั้นงั้นรึ?
“ขอรับ เพิ่งมาเป็นช่วงสองสามวันมานี้!” เฉียนฟางกล่าว “ก่อนหน้านี้นายน้อยเกิดความสนใจบางอย่าง จึงให้ข้าน้อยไปกว้านซื้อชีวประวัติของเหล่าเทพอสูรมาให้ ในช่วงนั้นก็มิได้ฝึกอย่างบ้าคลั่งเช่นนี้ แต่ไม่รู้ว่าสองสามวันมานี้เป็นอะไร จู่ๆก็เกิดขยันฝึกไม่หยุดเช่นนี้ได้”
……
ผ่านไปสักพัก ณ ลานฝึก
เมิ่งชวนกำลังจมดิ่งไปกับการฝึก 《กระบี่ใบไม้ร่วง》
“ชวนเอ๋อ” เมิ่งต้าเจียงส่งเสียงเรียก
“ท่านพ่อ” เมิ่งชวนหยุดมือ จากนั้นก็หันไปมองเมิ่งต้าเจียงที่เดินนำกลุ่มคนประมาณสิบกว่าคนเข้ามา
เมิ่งต้าเจียงยิ้มกว้าง “ชวนเอ๋อ ทางตระกูลตัดสินใจที่จะให้ความสำคัญในการอบรมพวกเจ้า ดังนั้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ระดับชำระแก่นแท้แปดคน ระดับก่อกำเนิดสามคน จะมาเป็นคู่ซ้อมให้กับเจ้า”
“ไม่ใช่ว่าข้าก็มีผู้คุ้มกันเป็นคู่ซ้อมรึ?” เมิ่งชวนแปลกใจเล็กน้อย
เดิมทีเขาก็มีผู้คุ้มกันที่อยู่ระดับชำระแก่นแท้แปดคน และผู้คุ้มกันระดับก่อกำเนิดอีกสองคน ผลัดกันมาเป็นคู่ซ้อมกระบี่ให้กับเขาเป็นบางครั้ง
“คนพวกนั้นล้วนเป็นผู้คุ้มกันของเจ้า แต่คนเหล่านี้คือผู้เชี่ยวชาญในการฝึกซ้อม ยกตัวอย่างเช่นระดับชำระแก่นแท้ทั้งแปดคนนี้ พวกเขาล้วนเป็นนักธนูที่ยอดเยี่ยม บางคนก็เชี่ยวชาญอาวุธลับ…สิ่งนี้จะช่วยให้การฝึกฝนของเจ้าแข็งแกร่งขึ้น” เมิ่งต้าเจียงพูดต่อไปว่า “ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาต่างก็เป็นผู้คุ้มกัน ด้วยฐานะผู้คุ้มกันแล้ว พวกเขาไม่สามารถมาเป็นคู่ซ้อมให้กับเจ้าบ่อยๆได้ใช่ไหม ”
เมิ่งชวนพยักหน้า
ผู้คุ้มกันล้วนได้รับค่าจ้าง ทำงานเท่าไหร่ก็ได้เงินเท่านั้น หากให้มาเป็นคู่ซ้อมเป็นบางครั้งก็ไม่เป็นไร แต่ถ้านานๆไปก็อาจจะทำให้พวกเขาไม่พอใจได้
“ส่วนระดับก่อกำเนิดทั้งสามคนนี้พวกเขาคงจะช่วยเจ้าได้มาก ที่สำคัญนี่คือ…” เมิ่งต้าเจียงชี้นิ้วไปที่บุรุษร่างผอมหนวดยาวผู้หนึ่ง “ท่านนี้คือหวางชั่ง ฉายา ‘กระบี่ไร้เงา’ เป็นผู้อาวุโสระดับไร้ตำหนิ”
“ผู้อาวุโสหวาง” เมิ่งชวนโค้งกายคำนับอย่างสุภาพ ผู้ฝึกยุทธ์ระดับไร้ตำหนิมีฐานะที่สูงส่งอย่างมากในเมืองตงหนิง หวางชั่งคือรองหัวหน้าของสำนักรักษาความปลอดภัยในเมือง
“คุณชายเมิ่งเกรงใจเกินไปแล้ว” หวางชั่งกล่าวยิ้มๆ
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ทุกเดือนจะมีผู้ฝึกยุทธ์ระดับไร้ตำหนิหกคนมาอบรมเจ้า และทุกท่านจะมาเป็นคู่ซ้อมของเจ้าคนละห้าวัน วันละหนึ่งชั่วโมง” เมิ่งต้าเจียงกล่าวอย่างจริงจังว่า “การเชิญผู้อาวุโสระดับไร้ตำหนิมาสั่งสอนเจ้าถึงหกคน นับว่าตระกูลใช้จ่ายไปเพื่อเจ้ามิน้อย ฉะนั้นเจ้าจงตั้งใจ”
“ขอรับ” เมิ่งชวนแอบตกตะลึงเล็กน้อย
ผู้ฝึกยุทธ์ระดับไร้ตำหนิ แต่ละคนล้วนเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในเมืองตงหนิง เวลาของพวกเขานั้นมีค่า เป็นไปไม่ได้ที่จะให้พวกเขามาติดตามเมิ่งชวนทุกวัน พวกเขาต่างก็มีภาระหน้าที่ของตัวเองมากมายอยู่แล้ว การที่ยินยอมสละเวลามาฝึกฝนเมิ่งชวนห้าวันวันละหนึ่งชั่วโมงก็นับว่าให้เกียรติตระกูลเมิ่งมากแล้ว ทางตระกูลถึงกับเชิญผู้ฝึกยุทธ์ระดับไร้ตำหนิมาหกคน…เพื่อให้แน่ใจว่าเมิ่งชวนจะได้รับการสั่งสอนจากระดับไร้ตำหนิทุกวัน
“ชวนเอ๋อ ลูกผู้ชายที่มีอุดมการณ์เทียมฟ้า จะไร้ภรรยาข้างกายได้อย่างไร? เจ้าตั้งใจฝึกฝนก็เป็นเรื่องดี แต่มิจำเป็นต้องแบกรับความคาดหวังของตระกูลเกินไปนัก” เมิ่งต้าเจียงกล่าวจบก็เดินจากไป
เมิ่งชวนตะลึงงันไปครู่หนึ่ง ไร้ภรรยาข้างกาย?
ท่านพ่อพูดเยี่ยงนี้หมายความว่าเช่นไร?
“ท่านพ่อ อะไรคือไร้ภรรยาข้างกาย?” เมิ่งชวนรีบตะโกนถาม
“จงหยุดคิดฟุ้งซ่านซะ” เมิ่งต้าเจียงกล่าวสั้นๆ แล้วเดินออกจากลานฝึกไป
“แล้วข้าคิดอะไรเล่า?” เมิ่งชวนบ่นออกมา จากนั้นก็มองไปยังคู่ซ้อมที่อยู่รอบๆ ดวงตาพลันสุกสกาววาววับขึ้นมา
ทักษะกระบี่ เดิมทีก็มีไว้สำหรับการฆ่า
มีคู่ซ้อมเช่นนี้ ผลลัพธ์จากการฝึกฝนก็จะยิ่งดีขึ้น แม้ว่าในอดีตจะเคยมีผู้คุ้มกันเป็นคู่ซ้อมให้ แต่ว่าคนเหล่านั้นจะเทียบคนที่อยู่ตรงหน้าได้อย่างไร? ตั้งแต่ระดับชำระแก่นแท้ ก่อกำเนิดไปจนถึงไร้ตำหนิ คู่ซ้อมเช่นนี้หาได้ยาก!
……
ด้วยเหตุนี้ ตั้งแต่วันนั้น เมิ่งชวนจะฝึกทักษะดาบตั้งแต่ฟ้ายังมิสาง ส่วนตอนเช้าจรดเที่ยงก็จะฝึกกับคู่ซ้อม
บ่ายจรดเย็น ก็จะฝึกคนเดียวต่อ และอาศัยช่วงนี้ไตร่ตรองถึงการต่อสู้ในรอบเช้า
……
《กระบี่ใบไม้ร่วง》เมื่อความคิดของเมิ่งชวนเปลี่ยนไป และปล่อยใจถลำลึก เขาก็เริ่มรู้สึกได้ถึงเสน่ห์ของในแต่ละท่าทั้งแปดสิบเอ็ดท่าของ《กระบี่ใบไม้ร่วง》และรู้สึกว่ากระบวนท่าทั้งแปดสิบเอ็ดนี้ดูงดงามเป็นพิเศษ ไม่ช้าเขาก็ค้นพบวิธีที่จะฝึกทักษะลับ ‘ตรีใบไม้ร่วง’
เนื่องจากฝึกกระบวนท่าทั้งแปดสิบเอ็ดท่าต่อเนื่องกัน จึงค่อยๆค้นพบเรื่องนี้ ความงดงามทั้งแปดสิบเอ็ดท่า…ที่สามารถเชื่อมโยงถึงกันได้
เช่นกระบวนท่าที่หนึ่งฟาดฟัน เมื่อฟันดาบออกไปแล้ว ก็สามารถพลิกแพลงเป็นกระบวนท่าที่สอง ‘โคจรพระจันทร์’ เป็นท่วงท่าที่แปลกประหลาดและเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่ว จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นกระบวนท่าที่สาม ‘เปิดเมฆ’ จากท่วงท่าประหลาดและคล่องแคล่วก็แปรเปลี่ยนเป็นการฆ่า ต่อด้วยกระบวนท่าที่สี่…
ท่าแล้วท่าเล่า
ราวกับก้อนหินที่กลิ้งตกจากภูเขา ยิ่งกลิ้งยิ่งเร็ว!
ท่วงท่าแต่ละกระบวนท่าล้วนเชื่อมโยงกัน เหมือนคลื่นยักษ์ที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ก่อให้เกิดพลังที่ไม่อาจจะต้านทานได้!
“กระบวนท่าทั้งแปดสิบเอ็ด ถ้าหากเชื่อมโยงกันได้จริงๆ เช่นนั้นพลังของมันก็พุ่งไปถึงขีดจำกัด และข้าก็จะสามารถใช้ทักษะลับออกมาได้อย่างเป็น ‘ธรรมชาติ’ ตามที่หนังสือได้กล่าวไว้!” เพราะเข้าใจถึงจุดนี้ ดังนั้นเมิ่งชวนจึงฝึกกระบี่อย่างบ้าคลั่ง
ถ้าหาก ‘ความงดงาม’ ของกระบวนท่าทั้งแปดสิบเอ็ดเชื่อมต่อกัน ถ้าเช่นนั้นกระบี่ก็จะเฉือนวิถีของ ‘ลม’ และแต่ละท่าก็จะเชื่อมต่อกันประหนึ่งภูษาไร้รอยตะเข็บ
จังหวะช้าเร็วของทักษะกระบี่ เปลี่ยนแปลงไปราวกับจังหวะของดนตรีที่บรรเลงโดยธรรมชาติ
ทุกกระบวนท่ากระบี่ล้วนสวยงาม เชื่อมโยงกันจนกลายเป็นภาพวาดรูปหนึ่ง
เพราะสัมผัสถึงชายขอบขั้นที่ตนหวัง เมิ่งชวนจึงยิ่งกระหาย
วันแล้ววันเล่า…
ความสวยงามของทักษะบี่เมิ่งชวน ก็เชื่อมโยงกันจนเกือบจะสมบูรณ์ ‘ช่องว่าง’ ก็ยิ่งน้อยลงไปเรื่อยๆ
จังหวะกระบี่ก็ไพเราะมากขึ้น จังหวะที่ติดขัดก็ลดลง
วิถีกระบี่ ทวีความงดงามมากยิ่งขึ้น
ความก้าวหน้านี้สามารถรู้สึกได้ เมิ่งชวนรู้สึกได้ว่าตนเองนั้นกำลังก้าวเข้าใกล้ระดับนั้นไปทีละก้าวๆ
ต้นไม้ใบหญ้าดอกไม้ด้านข้างของลานฝึกเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเขียว พริบตาเดียวก็ใกล้จะสามเดือนแล้ว เมิ่งชวนก็ยังคงฝึกฝนเหมือนเช่นเคย เขาค่อยๆเข้าใกล้ระดับมากขึ้นเรื่อยๆ เข้าใกล้มากขึ้น
“ฟุ่บ”
เมิ่งชวนฝึกฝนอีกครั้ง แต่ครั้งนี้จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าความสวยงามที่ตัวเองไล่ตามมานานเริ่มหลอมรวมเข้ากับเลือดเนื้อและกระดูกของเขา หลอมรวมเข้ากับจิตวิญญาณของเขา เมื่อเขาแสดงทักษะกระบี่ออกมา ก็บรรลุสภาวะหนึ่งเดียวของ ‘ร่างกายจิตใจทักษะ’ เขารับรู้ได้อย่างชัดเจน กระบี่ในมือของเขาฟันทะลุแม้กระทั่งกำแพงลม! ร่างกับกระบี่เป็นหนึ่งเดียวกัน เมื่อกระบี่ทะลวงฟันไปด้านหน้า ความเร็วก็เพิ่มขึ้นจนน่ากลัว
เมื่อทักษะกระบี่แสดงออกมา วินาทีนั้น ก็ปรากฏเมิ่งชวนอีกคนที่อยู่ห่างออกไปนับสิบฟุต มีเมิ่งชวนสองคนปรากฏขึ้นมาพร้อมกัน
ในอากาศยังคงปรากฏแสงสะท้อนของกระบี่ที่วาดโค้งออกไป
ไม่นาน ‘เมิ่งชวน’ อีกคนก็สลายไป
“ข้า ข้าตระหนักรู้งั้นหรือ?” เมิ่งชวนตะลึงงันอยู่กับที่
ตอนที่ 5 บรรพชนกลับมาแล้ว
วันที่เก้าเดือนสอง บริเวณทุ่งร้างนอกเมืองตงหนิง ท้องฟ้ามืดครึ้ม
“แกว๊ก” เสียงกู่ร้องของวิหคดังสนั่นไปทั่วบริเวณ หากแหงนหน้ามองก็จะพบร่างขนาดใหญ่กำลังร่อนลงมาจากหมู่เมฆา บนหลังของมันมีเงาร่างสองเงากำลังนั่งอยู่
“ตู้ม!”
เมื่อใกล้จะถึงพื้น ปีกขนาดใหญ่ของมันก็กระพือจนเกิดลมพายุพัดกวาดไปทั่ว พื้นดินทุ่งร้างพลันสั่นไหวขึ้นมา เส้นสายฟ้ากระจายไปทั่วทุกสี่ทิศ ก่อนจะสลายไป
ตอนนั้นเอง เงาร่างทั้งสองก็กระโดดลงมาจากหลังวิหคยักษ์
คนหนึ่งเป็นหญิงวัยกลางคน ส่วนอีกคนเป็นหญิงชราที่ถือไม้เท้า
“ศิษย์น้องฮวง ข้ามาถึงแล้ว ข้ามาถึงบ้านเกิดของข้าแล้ว เจ้ากลับไปเถอะ” หญิงชราที่กุมไม้เท้าหันไปส่งยิ้มให้สตรีที่อยู่ข้างกาย
“พี่เมิ่ง” ในดวงตาของหญิงวัยกลางคนเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตา ‘พี่เมิ่ง’ ของนางเมื่อก่อนมิได้แก่ชราถึงเพียงนี้ ทว่าอาการบาดเจ็บในครั้งนี้ กลับทำให้นางดูแก่ชราขึ้น แต่ก็ยังมองออกว่าใบหน้านี้ เมื่อครั้นยังเป็นสาวรุ่นสตรีตรงหน้าก็คือสาวงามผู้หนึ่ง
“จากกันครั้งนี้ เกรงว่าพวกเราคงมิได้เห็นหน้ากันอีก” หญิงชราถอนหายใจแล้วคลี่ยิ้มออกมา “แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีสำหรับข้า อย่างน้อยก่อนจะตายข้าก็ได้กลับมาที่บ้านเกิด ได้ใช้ช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตที่บ้านเกิดแห่งนี้ หากตายในสงคราม คงกลายเป็นเพียงดินเหลืองกองหนึ่ง”
“พี่เมิ่ง ถ้าหากท่านต้องการความช่วยเหลือจากข้า ส่งจดหมายมาให้ข้าได้ทุกเมื่อ ข้าฮวงเซียงหนิงจะพยายามอย่างเต็มที่” หญิงวัยกลางคนกล่าวออกมาด้วยท่าทีจริงจัง
“หากต้องการให้เจ้าช่วย ข้าจะบอก” หญิงชรากล่าวยิ้มๆ “เอาล่ะ เจ้ารีบกลับไปเถอะ”
หญิงวัยกลางคนจ้องมองหญิงชราตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็กระโดดขึ้นไปบนหลังวิหค ไม่ช้าวิหคยักษ์ตนนั้นก็กางปีกสองข้าง แล้วกระพือส่งร่างตนเองทะยานขึ้นไปในอากาศ
วูบบบ
เกิดประกายอสนีบาตขึ้น วิหคยักษ์พุ่งทะยานผ่านนภาไปอย่างรวดเร็ว ไม่ช้าก็หายไปจากเส้นขอบฟ้า
หญิงชรามองส่งสหายจากไปจนลับสายตา จากนั้นก็หันไปทางเมืองตงหนิง บนใบหน้ามีรอยยิ้มประดับ “ได้เวลากลับบ้านแล้ว สามารถเป็นใบไม้ร่วงคืนสู่รากได้ นับว่าสวรรค์ก็เมตตาข้ามิน้อย!”
“ตึง”
ไม้เท้าในมือของหญิงชรา เคาะกับพื้นเบาๆ ทันใดนั้นก็เกิดความผันผวนในอากาศขึ้นมา คลื่นพลังแพร่กระจายออกไปทั้งสี่ทิศ ครอบคลุมบริเวณโดยรอบนับร้อยฟุต
นางถือไม้เท้าแน่น ขณะที่ถูกห่อหุ้มด้วยคลื่นพลัง จากนั้นก็มุ่งหน้าไปที่เมืองตงหนิง ทุกย่างก้าวของนางสามารถเดินทางไกลได้หลายสิบฟุต แม้ว่าจะเดินผ่านกองคาราวานเหล่านั้นบนท้องถนน แต่คนเหล่านั้นดูเหมือนจะไม่เห็น ‘หญิงชรา’ เลย พวกเขายังคงพูดคุยหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
ไม่นานป นางก็มาเข้าถึงหน้าประตูทางเข้าเมือง
“เมืองตงหนิง”
หญิงชราบีบไม้เท้าแน่น ขณะจ้องมองเมืองอันใหญ่โตตรงหน้า
นี่คือบ้านเกิดของนาง! คือสถานที่ที่นางใช้ชีวิตในวัยเยาว์
หญิงชราเผยรอยยิ้มน้อยๆก่อนจะเดินหน้าก้าวเข้าไปด้านใน ฝูงชนที่อยู่ตรงหน้าประตูนั้นรวมทหารยามไปด้วย แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครเห็นหญิงชราเลยสักคน ราวกับว่าหญิงชราผู้นี้ไม่ได้มีตัวตนอยู่บนโลก นางเดินเข้ามาในเมือง และเดินลัดเลาะไปตามท้องถนน จนกระทั่งมาถึงเรือนบรรพบุรุษของตระกูลเมิ่ง
จากนั้นก็เข้าไปในเรือนบรรพบุรุษ
ยามลาดตระเวนของตระกูลมากมาย ก็คล้ายกับมองไม่เห็นหญิงชรา
“อึกอึกอึก” ณ ลานเล็กในเรือนบรรพบุรุษ ชายชราร่างอ้วนท้วมกำลังดื่มเหล้าอย่างกลัดกลุ้ม
“ผิงผิง นี่เจ้าแอบดื่มเหล้าอีกแล้วรึ?” เสียงหนึ่งดังขึ้นในลานเล็ก
ชายชราอ้วนท้วมตื่นตระหนกไปถึงวิญญาณ เขารีบหันไปมองรอบๆ แล้วกล่าวอย่างไม่แน่ใจว่า “พี่หญิงสาม เป็นท่านใช่ไหม?”
ในลานเล็กปรากฏร่างของหญิงชราถือไม้เท้าผู้หนึ่งขึ้นมา ใบหน้านั้นกำลังมองมาที่เขาด้วยรอยยิ้ม
“พี่หญิงสาม”
ดวงตาของชายชราร่างอ้วนพลันแดงก่ำ เขาคือน้องชายเพียงคนเดียวของ ‘เมิ่งเซียนกู่’ แม้จะมีผู้อาวุโสคนอื่นๆในตระกูลเรียกนางว่า ‘พี่หญิงสาม’ แต่นั่นก็เพราะว่าตระกูลใหญ่เกินไป อย่างไรเสียตระกูลของพวกเขาก็มีประวัติศาสตร์เป็นพันปี ลูกหลานในตระกูลแตกแขนงไปหลายสาย ชายชราร่างอ้วนมีนามว่า ‘เมิ่งเหยียนผิง’ เป็นหัวหน้าตระกูลเมิ่งคนปัจจุบัน เขาอายุน้อยกว่าเมิ่งเซียนกู่เกือบยี่สิบปี ตอนยังเล็กก็ได้เมิ่งเซียนกู่นำมาเลี้ยงดู นางเป็นทั้งมารดาทั้งพี่สาวสำหรับเขา
ในใจของเขานั้น พี่หญิงสามยังคงอ่อนเยาว์ งดงาม และทรงอำนาจมิเสื่อมคลาย แม้ว่าตอนนี้จะแก่มากแล้ว
“ร้องไห้ทำไม ข้ายังมีชีวิตอยู่ไม่ใช่รึ?” หญิงชราหัวเราะ
“พี่หญิงสาม อาการบาดเจ็บของท่านรักษาไม่ได้จริงหรือ?” ชายชราร่างท้วมเอ่ยถามทันที
“ตราบใดที่ไม่ลงสนามรบ ก็ยังมีชีวิตอยู่ได้เจ็ดแปดปี” หญิงชราตอบกลับเสียงเรียบ “มนุษย์เกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดา เทพอสูรก็เช่นกันแม้จะมีชีวิตยืนยาวแต่ก็มีจำกัดอยู่ดี มีอะไรต้องเสียใจ เวลาแค่นี้ก็เพียงพอที่จะให้ข้าจัดระเบียบตระกูลเมิ่งของเราได้ ข่าวที่ข้าบาดเจ็บสาหัสคงแพร่มาถึงที่นี่แล้วสินะ เมืองตงหนิงมีการเคลื่อนไหวอะไรไหม?”
“สัญญาหมั้นหมายระหว่างตระกูลอวิ๋นกับตระกูลเมิ่งเราถูกยกเลิกไปแล้ว เป็นสัญญาหมั้นหมายของเจ้าหนูเมิ่งชวน” ชายชรากล่าวต่อไปว่า “ส่วนตระกูลอื่นๆ ตระกูลเทพอสูรทั้งสี่มีการเคลื่อนไหวเล็กน้อย แต่ก็ไม่มีใครกล้ายั่วยุตระกูลเมิ่งของเรา”
“อืม การหมั้นหมายในปีนั้น เกิดขึ้นเพราะอวิ๋นว่านไห่อยากจะยืมอิทธิพลของตระกูลเมิ่ง แต่บัดนี้เมื่อข้าบาดเจ็บหนัก การที่เขาจะยกเลิกการหมั้นหมายของพวกเด็กๆก็นับว่าเป็นเรื่องปกติ”
ทันใดนั้นหญิงชราก็กล่าวเสียงขรึมว่า “จริงสิ ผิงผิง…”
“พี่หญิงสาม ข้าเก้าสิบแล้วนะ แถมยังเป็นหัวหน้าตระกูลอีกด้วย เรียกชื่อเต็มๆของข้าได้รึไหม?” ชายชราอดประท้วงขึ้นมาไม่ได้
“อ้อ ได้ได้ได้ เห็นแก่หน้าเจ้า” หญิงชราหัวเราะ “เมิ่งผิงผิง ไปเรียกพวกผู้อาวุโสในตระกูลมารวมตัวกันที่โถงเพลิงโหม ข้าอยากจะพบพวกเขา”
“เมิ่งผิงผิงอะไรกันเล่า ข้าชื่อเมิ่งเหยียนผิง” ชายชราบ่นกระปอดกระแปด แต่ก็เร่งฝีเท้าไปเรียกรวมตัวเหล่าผู้อาวุโส
พี่หญิงเป็นทั้งมารดาและพี่สาว ที่เลี้ยงเขาจนเติบใหญ่
คอยปกป้องเขา จนเขามีวันนี้
ได้ยินพี่หญิงเรียกเขาว่า ‘ผิงผิง’ หัวหน้าตระกูลเมิ่งเหยียนผิงก็ก้าวเดินด้วยทีท่าสบายใจ
******
เรือนบรรพบุรุษตระกูลเมิ่ง โถงเพลิงโหม
มีแค่เรื่องสำคัญเท่านั้นจึงจะสามารถมาที่นี่ได้ วันนี้ บริเวณรอบๆโถงเพลิงโหมได้การคุ้มกันอย่างแน่นหนา
ภายในโถง
เมิ่งเซียนกู่ถือไม้เท้ายืนอยู่ตรงนั้น นางเงยหน้าขึ้นมองแผ่นป้ายในโถงที่จารึกตัวอักษรไว้สองคำ—— ‘เพลิงโหม’
หัวหน้าตระกูลและเหล่าผู้อาวุโสต่างก็ยืนกันอย่างนอบน้อม ไม่มีใครกล้าส่งเสียงออกมาเลยสักคน
หากมองในแง่ของอายุ…
ปีนี้เมิ่งเซียนกู่มีอายุหนึ่งสิบสองปี เป็นผู้อาวุโสที่สุดในตระกูล ในแง่ความแข็งแกร่ง เมิ่งเซียนกู่กลายเป็นเทพอสูรได้ตอนอายุสามสิบห้าปี นางคอยปกป้องคุ้มครองตระกูลเมิ่งมาแปดสิบปี ซึ่งตระกูลเมิ่งก็เจริญรุ่งเรืองถึงแปดสิบปี ไม่มีใครสงสัยบารมีของนางในตระกูลเมิ่ง เพียงแค่นางสั่งคำเดียว เกรงว่าคนในตระกูลก็พร้อมกระโจนลงไปตายแทนอย่างมิต้องสงสัย
นางจ้องมองตัวอักษร ‘เพลิงโหม’ อยู่นาน ก่อนจะหันหลังกลับมา สายตามองกวาดไปยังเหล่าผู้อาวุโสที่อยู่ที่นี่ ผู้อาวุโสแต่ละคนต่างก็ก้มหน้าลงด้วยท่าทางเกร็งๆ
“ลูกหลานตระกูลเมิ่งของข้ารุ่นนี้ มีใครพอมีสวรรค์จะได้เป็นเทพอสูรบ้างไหม?” เมิ่งเซียนกู่สอบถาม ตระกูลเมิ่งแม้ว่าจะดิ้นรนอยู่ในเมืองตงหนิงมาเป็นพันปี แต่กลับมีเทพอสูรปรากฏขึ้นมาเพียงสองคนเท่านั้น คนหนึ่งคือบรรพชนอวี๋ซานเมื่อห้าร้อยปีก่อน ส่วนอีกคนก็คือนางเมิ่งเซียนกู่ ในช่วงเวลาของพวกเขา นี่คือช่วงเวลาที่ตระกูลเมิ่งรุ่งเรืองถึงขีดสุด ฉะนั้นเมิ่งเซียนกู่จึงคาดหวังอย่างมาก…
ว่าจะสามารถเลี้ยงดูเทพอสูรคนที่สามในประวัติศาสตร์ตระกูลเมิ่งออกมาได้
ตอนแรกนางยังสามารถอดทนและค่อยๆเฟ้นหาลูกหลานที่เหมาะสมเพื่อรับมาสั่งสอน แต่ตอนนี้ไม่มีเวลาแล้ว แม้จะเป็นเพียงไม้พุ่มเตี้ยแต่นางก็ต้องคว้าไว้
“พรสวรรค์ของต้าเจียงสูงมาก อายุสิบเก้าตระหนักรู้ทักษะกระบี่ลับ อายุสามสิบตระหนักรู้พลังกระบี่ บัดนี้อายุได้สี่สิบเจ็ดปีแล้ว…เขายังพอมีหวังที่จะกลายเป็นเทพอสูร” ชายหัวโล้นร่างผอมเอ่ยออกมา
“ต้าเจียง?”
เมิ่งเซียนกู่หันไปมองเมิ่งต้าเจียงที่ยืนอยู่ด้านข้าง
“ท่านป้า” เมิ่งต้าเจียงขยับร่างอวบอ้วนของตนเพื่อคารวะ
“ควบแน่นตันรึยัง?” เมิ่งเซียนกู่สอบถาม
เมิ่งต้าเจียงส่ายหน้า
เมิ่งเซียนกู่พลันย่นคิ้ว สี่สิบเจ็ดปี กระทั่งควบแน่นตันก็ยังทำไม่ได้ ความหวังที่จะกลายเป็นเทพอสูรเลือนรางลงทุกที
“แล้วพวกเด็กรุ่นเยาว์ล่ะ” เมิ่งเซียนกู่ถามต่อ
“รุ่นเยาว์ มีสามคนที่พอมีหวัง” หัวหน้าตระกูลเมิ่งเหยียนผิงรีบพูดขึ้น “เมิ่งจู้เด็กคนนี้อายุยี่สิบสามปี ระดับไร้ตำหนิ รับราชการทหารอยู่ที่ด่านฉิ้นหยาง ตอนอายุสิบเก้าปีตระหนักรู้ทักษะลับ แล้วยังมี ‘เมิ่งเหวินอิง’ เด็กสาวคนนี้อายุสิบหกปี ตอนอายุสิบสองสำเร็จทักษะกระบี่ระดับสูงสุด ยังมีบุตรชายของต้าเจียง ‘เมิ่งชวน’ ปีนี้อายุสิบห้า สำเร็จทักษะกระบี่ระดับสูงสุดตอนอายุสิบสาม เมิ่งเหวินอิงกับเมิ่งชวนต่างยังเด็กทั้งคู่ แต่ยังไม่มีวี่แววว่าจะตระหนักรู้ทักษะลับ”
เมิ่งเซียนกู่นิ่งเงียบ
เมิ่งจู้ สิบเก้าปีตระหนักรู้ทักษะลับ มันช้าเกินไปสำหรับการกลายเป็นเทพอสูร! เพราะว่าไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะตระหนักรู้ถึง ‘พลัง’ ความเป็นไปได้ที่จะกลายเป็นเทพอสูรนั้นยิ่งห่างไกลเกินไป
เมิ่งเหวินอิงกับเมิ่งชวน คนหนึ่งสิบหก คนหนึ่งสิบห้า เวลาก็กระชั้นชิดนัก ทว่าจุดสำคัญคือไม่มีใครตระหนักรู้ถึงทักษะลับนี่สิ
แม้ว่านางอยากจะเลือกไม้พุ่มเตี้ย แต่กลับไม่มีให้เลือกเลยสักต้น
“พวกเจ้ากลับไปเถอะ” เมิ่งเซียนกู่กล่าวเสียงเยือกเย็น “สองสามปีต่อไปนี้ จะต้องเพิ่มความเข้มงวดในการเลี้ยงดูเด็กรุ่นเยาว์ของตระกูลทั้งหมด นี่คือเรื่องใหญ่สำหรับตระกูล ส่วนเรื่องอื่นๆนั้นไม่สำคัญ ก่อนที่ข้าจะตาย ข้าจะต้องได้เห็นต้นกล้าแห่งความหวังที่จะกลายเป็นเทพอสูร”
เห็นได้ชัดว่าไม่มีเด็กคนในโดดเด่นเข้าตาเลยสักคน จึงทำได้เพียงหว่านแหไปทั่ว โดยหวังว่าอาจจะมีเด็กที่มีพรสวรรค์เก่งกล้าในหมู่รุ่นเยาว์อายุแปดเก้าขวบ สิบเอ็ดหรือสิบสองปีโผล่ขึ้นมา
“ขอรับ” หัวหน้าตระกูลและเหล่าผู้อาวุโสตอบรับพร้อมกัน
“เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงความรุ่งเรืองและล่มสลายของตระกูล ฉะนั้นจะล่าช้ามิได้ ถ้าหากใครคิดหาผลประโยชน์เข้าตัวล่ะก็ ข้าจะจัดการด้วยกฎตระกูล!” เมิ่งเซียนกู่กล่าวจบ นางก็ถือไม้เท้าเดินออกไป
ตอนที่ 4 นี่เป็นเรื่องดี
จวนเมิ่ง ณ.ห้องหนังสือ
ฝึกกระบี่มาทั้งวัน แม้ว่าจิตใจจะยังคงฮึกเหิม แต่ร่างกายก็สูญเสียพลังปราณจนเหนื่อยล้า จำเป็นต้องพักผ่อน เมื่อเมิ่งชวนมาถึงห้องหนังสือเขาก็เริ่มทำกิจวัตรประจำวันที่เคยทำอยู่ทุกวัน——วาดรูป
กระดาษแผ่นหนึ่งถูกที่ทับกระดาษทับไว้ ด้านข้างก็มีจานสีที่งดงามวางอยู่ สีต่างๆที่อยู่ด้านในล้วนมีคุณภาพที่ยอดเยี่ยม
เมิ่งชวนจดจ่ออยู่กับการวาดรูป
ตั้งแต่เด็ก เมิ่งชวนชื่นชอบการวาดรูปมาก
บางทีอาจจะเป็นเพราะว่ามารดาวาดรูปเก่ง จึงสอนบุตรชายวาดรูป นี่เป็นหนึ่งสิ่งที่เขาหลงใหลมากที่สุดตั้งแต่เด็ก ตอนอายุเพียงสามสี่ขวบเคยวาดรูปติดต่อกันนานถึงสามสี่ชั่วโมง กระทั่งลืมกินข้าว เขาไม่รู้สึกเหนื่อยเลย แม้ร่างกายจะเปรอะเปื้อนไปด้วยสี แต่จิตใจกลับเบิกบานเป็นอย่างมาก มารดายังเคยกล่าวว่า “ลูกแม่พรสวรรค์ของเจ้าช่างโดดเด่นยิ่ง อนาคตอาจจะกลายเป็นจิตรกรเอกอันดับหนึ่งในใต้หล้า ภาพวาดรูปหนึ่งมีค่าเท่าทองพันชั่ง”
ตั้งแต่เกิดมาในตระกูลเมิ่ง บิดามารดารักใคร่ทะนุถนอม มิเคยเจอเรื่องกังวลให้หม่นหมองใจ
จนกระทั่งอายุหกขวบ…
หายนะครั้งนั้น ได้คร่าชีวิตผู้คนไปมากกว่าหนึ่งแสนคน มารดาก็เป็นหนึ่งในนั้น
ด้วยการคุ้มครองของบิดามารดาเขาจึงหลบหนีกลับไปที่เมืองตงหนิงได้ ตั้งแต่นั้นมาเขาก็ทุ่มเทแรงกายแรงใจไปกับการฝึกฝน อย่างไรก็ตามเขาจะแบ่งเวลาไปวาดรูปหนึ่งชั่วโมงทุกวัน ขณะวาดรูป เขาเหมือนจะลืมความเหนื่อยล้าจากการฝึกซ้อม กระทั่งรู้สึกว่าได้ย้อนกลับไปเป็นเด็ก ที่มีมารดาคอยชี้แนะการวาดรูปอยู่ข้างกาย จิตใจพลันสงบนิ่งอย่างบอกมิถูก
ตอนนี้เขาอายุสิบห้าปี
เป็นเวลากว่าทศวรรษที่วาดรูป เขาได้คำนับปรมาจารย์ศิลปะมาหลายคน และประสบความสำเร็จเหนือกว่าอาจารย์ทุกครั้ง มารดาพูดถู พรสวรรค์ด้านวาดรูปของเขาโดดเด่นจริงๆ อย่างน้อยก็เหนือกว่าพรสวรรค์ด้านกระบี่ของตัวเอง
แต่จะมีประโยชน์อะไร?
จิตรกรเอกผู้เยี่ยมยอด สามารถฆ่าอสูรได้ไหมล่ะ?
“ก๊อกก๊อกก๊อก” เสียงเคาะประตูอย่างเร่งร้อนดังมาจากนอกห้อง
“หือ?”
เมิ่งชวนหันไปมองด้านนอกอย่างสงสัย “ยามที่ข้าวาดรูป ปกติแล้วจะไม่มีใครมารบกวนข้า หรือว่าจะเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น?”
วางพู่กันแล้วเดินไปเปิดประตู เป็นเมิ่งต้าเจียงบิดาของเขาที่ยืนอยู่ด้านนอก ปกติแล้วเขามักจะมีรอยยิ้มพริ้มพรายอยู่บนหน้า แต่วันนี้สีหน้ากลับดูเคร่งขรึมยิ่งนัก
“ชวนเอ๋อ ตามข้าไปที่เรือนบรรพบุรุษ” เมิ่งต้าเจียงกล่าว
“ขอรับ”
เมิ่งชวนมิคิดลังเล เขารีบเดินตามบิดาออกไปทันที “ท่านพ่อ เหตุใดช่วงสองสามวันมานี้ท่านถึงไปที่เรือนบรรพบุรุษบ่อยๆ?”
“ไม่มีอะไร” เมิ่งต้าเจียงไม่กล่าวอะไรมาก
“งั้นที่ให้ข้าไปที่เรือนบรรพบุรุษ มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น?” เมิ่งชวนถามขึ้นมาอีก ตั้งแต่เกิดมาเขาเคยไปที่เรือนบรรพบุรุษแค่สี่ห้าครั้งเท่านั้น
เมิ่งต้าเจียงเหลือบมองบุตรชาย แล้วกล่าวว่า “เกี่ยวกับสัญญาหมั้นหมายระหว่างเจ้ากับอวิ๋นชิงผิง ตระกูลเมิ่งกับตระกูลอวิ๋นปรึกษากันแล้วว่า จะยกเลิกการหมั้นหมายระหว่างพวกเจ้า”
“ยกเลิกการหมั้นหมาย?” เมิ่งชวนตกใจ “ท่านพ่อ ทำไมจู่ๆถึงได้ยกเลิกการหมั้นหมายล่ะ?”
“เจ้าตัดใจไม่ได้?” เมิ่งต้าเจียงไปที่บุตรชาย
“เปล่า” เมิ่งชวนส่ายหน้า “ข้ากับอวิ๋นชิงผิงสองสามเดือนถึงจะเจอกันครั้งหนึ่ง นิสัยของเราเข้ากันไม่ได้ การยกเลิกการหมั้นหมายถือว่าเป็นเรื่องดีสำหรับข้า”
ปีนี้เมิ่งชวนอายุสิบห้าปี ยังไม่เข้าใจว่าความรักเป็นเช่นไร
สำหรับอวิ๋นชิงผิงแล้ว เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นเหมือนน้องสาวที่คุ้นเคยเท่านั้น
“คิดได้เช่นนั้นก็ดี ตอนนี้ ตระกูลอวิ๋นและตระกูลเมิ่งเห็นด้วยที่จะยกเลิกการหมั้นหมาย” เมิ่งต้าเจียงกล่าวต่อไปว่า “เมื่อไปถึงเรือนบรรพบุรุษ จงฟังให้มาก พูดให้น้อย”
“ขอรับ” เมิ่งชวนพยักหน้าตกลง
……
เรือนบรรพบุรุษตระกูลเมิ่ง ตั้งอยู่ฝั่งทิศตะวันตกของเมืองตงหนิง มีพื้นที่ขนาดใหญ่ มีผู้คนอาศัยอยู่มากกว่าสองพันคน จากใจกลางที่พวกเขาตั้งอยู่เดินจากใต้ไปเหนือได้ประมาณครึ่งกิโลเมตร
รากฐานตระกูลเมิ่งอยู่ที่ชนบท เพราะการคุกคามจากพวกอสูร ทำให้ชาวบ้านตามชนบทสร้างป้อมปราการขึ้นมาปกป้องตัวเอง ในแต่ละป้อมจะมีคนหลายพันคนอยู่ด้านใน ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่คนตระกูลเดียวกันจะรวมตัวกันอยู่ในป้อมป้อมหนึ่ง ตระกูลเมิ่งหยั่งรากที่เมืองนี้กว่าพันปี จึงมีป้อมปราการขนาดใหญ่ถึงสามป้อม เมื่อรวมกันแล้วก็จะมีผู้คนมากกว่าหมื่นคน ในเมืองตงหนิง ตระกูลขนาดใหญ่เช่นนี้ก็มีไม่น้อย
แต่คุณสมบัติที่พิเศษของตระกูลเมิ่งก็คือ พวกเขามีเทพอสูรอยู่ในตระกูล
ดังนั้นพวกเขาจึงกลายเป็นหนึ่งในห้าตระกูลเทพอสูรที่ยิ่งใหญ่ของเมืองตงหนิง
“ผู้อาวุโส”
“ผู้อาวุโส”
ภายในเรือนบรรพบุรุษค่อนข้างเป็นระเบียบเรียบร้อย หน่วยลาดตระเวนของตระกูลเมื่อเห็นสองพ่อลูก ก็คำนับเมิ่งต้าเจียงแล้วเรียกอีกฝ่ายว่า ‘ผู้อาวุโส’
ความแข็งแกร่งของเมิ่งต้าเจียงติดหนึ่งในสามอันแรกของตระกูล นับว่าอายุยังน้อย พอมีความหวังที่จะกลายเป็นเทพอสูร และยังเป็นว่าที่หัวหน้าตระกูลคนถัดไป
“หืม?”
เมิ่งชวนเดินตามบิดาเข้าไปในห้องโถงต้อนรับ
ในห้องโถงถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่งและมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่นั่งอยู่ ด้านหนึ่งเป็นคนตระกูลเมิ่ง อีกด้านเป็นคนตระกูลอวิ๋น เพียงแต่ว่าบรรยากาศค่อนข้างจะตึงเครียดอย่างเห็นได้ชัด เมิ่งชวนมองแวบเดียวก็ดูออก ผู้อาวุโสของตัวเองมีหลายคนที่แสดงสีหน้าไม่ค่อยดีออกมา
“พี่ต้าเจียงมาแล้ว” อวิ๋นฟูอันลุกขึ้นพลางฉีกยิ้มออกมา “หนังสือหมั้นหมายได้นำมาด้วยไหม”
“นำมา” เมิ่งต้าเจียงพยักหน้า
อวิ๋นฟูอันกล่าวยิ้มๆว่า “ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ไม่คัดค้านเรื่องการยกเลิกการหมั้น พี่ต้าเจียง ก็คงไม่คัดค้านเช่นเดียวกันหรอกใช่ไหม?”
เมิ่งต้าเจียงยืนอยู่กับที่ พลางหัวเราะออกมา “หากสองตระกูลมีเจตนาจะเกี่ยวดองกันด้วยการแต่งงาน ก็นับว่าเป็นเรื่องดี แต่ในเมื่อมิมีความคิดเช่นนั้น การยกเลิกการหมั้นหมายตั้งแต่เนิ่นๆก็นับว่าเป็นเรื่องดีเช่นกัน นี่คือหนังสือหมั้นหมาย”
ขณะที่พูดก็หยิบหนังสือหมั้นหมายออกมาจากอก แล้วประคองสองมือส่งไปให้อวิ๋นฟูอัน
หลังจากอวิ๋นฟูอันรับมา ก็เปิดอ่านรายละเอียดด้านใน เมื่อเห็นลายเซ็นบนหนังสือ เขาก็พยักหน้า นี่คือหนังสือหมั้นหมายในตอนนั้น ลายเซ็นนี้คือลายมือของบรรพชนทั้งสองมิผิดแน่
“อวิ๋นฟูอัน กรุณาฉีกหนังสือหมั้นหมายที่นี่เถอะ” ชายชราหัวโล้นร่างผอมแห้งฝั่งตระกูลเมิ่งกล่าวออกมา
“ฮาฮา ไม่ต้องกังวลว่าข้าจะนำกลับไป แล้วฉวยโอกาสนำมันออกมาในอนาคต เพื่อบีบบังคับเมิ่งชวนให้แต่งงานกับบุตรสาวข้า” อวิ๋นฟูอันกล่าวยิ้มๆ “พวกท่านวางใจเถอะ ข้าไม่ทำเรื่องน่าละอายเช่นนั้นแน่!”
พูดจบ “แควกกก——” อวิ๋นฟูอันก็ฉีกหนังสือหมั้นหมายในมือทิ้งซะ
“หนังสือหมั้นหมายข้าได้ฉีกทิ้งไปแล้ว ทุกท่านก็คงเห็นอย่างชัดเจน สบายใจเถอะ” อวิ๋นฟูอันกวาดสายตามองไปที่เหล่าผู้อาวุโสตระกูลเมิ่งด้วยรอยยิ้มในดวงตา “ในเมื่อไม่มีเรื่องอันใดแล้ว งั้นพวกข้าต้องขอลา”
พูดจบก็เดินออกไป โดยมีคนตระกูลอวิ๋นเดินตามหลังออกมา
จังหวะที่เดินผ่านเมิ่งชวน อวิ๋นฟูอันก็หยุดเดิน แล้วมองเมิ่งชวนด้วยแววตายิ้มแย้ม “หลานเมิ่ง เจ้าจำไว้นะ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เจ้ากับชิงผิงบุตรสาวของข้าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก”
“ขอรับ ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก” เมิ่งชวนตอบกลับ
อวิ๋นฟูอันพยักหน้าอย่างพอใจ ก่อนจะพาคนของตนจากมา
เมิ่งต้าเจียงมองอวิ๋นฟูอันที่จากไป พร้อมย่นคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะบอกอย่างเยือกเย็นว่า “ชวนเอ๋อ การหมั้นหมายก็ยกเลิกไปแล้ว เจ้ากลับไปก่อนเถอะ พ่อยังมีธุระที่นี่”
“ขอรับ” เมิ่งชวนมองเหล่าผู้อาวุโสแวบหนึ่ง แล้วเดินจากไป
ปึง~~~
เมื่อบานประตูปิดลง ทั้งห้องโถงก็ตกอยู่ภายใต้แสงสว่างจากเทียนเล่มหนา
“รังแกกันเกินไปแล้ว!” ชายชราหัวโล้นร่างผอมกระแทกไม้เท้าลงกับพื้นอย่างเกรี้ยวกราด เสียงกระเบื้องแตกหักดังสะท้อนไปทั่วห้อง
“ปากบอกปรึกษากับพวกเรา แต่ความจริงแล้วกลับไม่ให้ทางเลือกพวกเราเลย รึคิดว่าพวกเราหน้าหนาอยากจะเกี่ยวดองกับพวกมันใจจะขาด?” ตอนนั้นเองชายชราท่าทางสุขุมผู้หนึ่งกล่าวเสียงเย็นขึ้นมาว่า “หากกล้าไปก่อความวุ่นวายที่ตระกูลอวิ๋น เกรงว่าบรรพชนของตระกูลอวิ๋นคงตบเจ้าตาย!”
“ยกเลิกงานหมั้นก็ดีเหมือนกัน หากพวกเราใช้การหมั้นหมายไปบีบบังคับตระกูลอวิ๋น เพื่อให้เด็กสองคนแต่งงานกัน แล้วจะมีประโยชน์อะไร? มีแต่จะทำให้ตระกูลอวิ๋นเคียดแค้น ที่เกี่ยวดองกันก็เพราะอยากเป็นพันธมิตรไว้ช่วยเหลือกันและกัน การมีความแค้นต่อกัน มิใช่สิ่งที่เราต้องการ อีกอย่างสำหรับตระกูลเมิ่งของพวกเรา การหมั้นหมายเป็นเพียงเรื่องเล็ก แต่อาการบาดเจ็บของพี่หญิงสามต่างหากที่เป็นเรื่องใหญ่ เรื่องนี้สั่นคลอนรากฐานของตระกูลเมิ่งได้” ชายชราท่าทางสง่างามผู้นั้นหันไปถามชายชราอ้วนท้วมที่อยู่ด้านหน้าสุด “หัวหน้าตระกูล อาการบาดเจ็บของพี่หญิงสาม ไม่สามารถรักษาได้จริงหรือ?”
ชายชราร่างท้วมย่นคิ้วแล้วพูดว่า “อีกสองวัน พี่หญิงสามจะกลับมาที่ตงหนิง เมื่อถึงตอนนั้นค่อยว่ากันอีกที”
เมิ่งต้าเจียงที่ยืนอยู่ด้านข้างได้ยินดังนั้น ก็ขมวดคิ้วแน่น
เสาหลักตระกูลเมิ่งกำลังล่มสลาย เหล่าผู้อาวุโสตระกูลเมิ่งจึงพากันกังวล
ตระกูลเมิ่งเก็บข่าวนี้ไว้เป็นความลับ มีเพียงเหล่าผู้อาวุโสเท่านั้นที่ทราบ ถ้าหากเรื่องนี้เผยแพร่ออกไป คนในตระกูลหลายหมื่นคนคงพากันตื่นตระหนก ความวุ่นวายมากมายจะบังเกิด
ตอนนี้…
มีแค่ระดับสูงของสี่ตระกูลเทพอสูรเท่านั้นที่ทราบข่าวนี้ แต่ไม่มีใครเผยแพร่ออกไป เพราะเกรงว่าพวกลูกหลานตาบอดของตนจะไปกระตุ้นความโกรธของตระกูลเมิ่งเข้า อย่างไรเสีย ‘เมิ่งเซียนกู่’ ก็ยังไม่ตาย หรือต่อให้เมิ่งเซียนกู่ตายไปจริงๆ แต่นางก็ยังมีสหายที่เป็นเทพอสูรอยู่มากมาย ตราบใดที่ไม่ทำอะไรเกินเลย สหายของนางก็คงไม่ยื่นมือเข้ามาแทรก
อย่างไรก็ตามถ้าหากไม่มีเทพอสูร ตระกูลเมิ่งก็ไม่มีทางได้รับภารกิจสำคัญ เมื่อไม่สามารถแบกรับภารกิจสำคัญได้ ก็เป็นธรรมดาที่จะไม่คู่ควรได้รับอำนาจพิเศษใดใด
หน้าที่และอำนาจต้องเท่าเทียม
โลกในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ธรรมดา ไปจนถึงเทพอสูร มิมีใครสามารถหลีกพ้นหน้าที่ไปได้
มนุษย์ธรรมดาต้องฝึกฝนถึงระดับชำระแก่นแท้ ไม่ว่าหญิงหรือชาย เมื่ออายุครบยี่สิบปีจะต้องเข้ารับราชการทหารห้าปี! ซึ่งมีเพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้นที่มีชีวิตรอดกลับมาได้ ทุกคนล้วนอยากฝึกให้ถึงระดับชำระแก่นแท้ เพราะว่าหากอ่อนแอเกิน ก็ไม่สามารถรับราชการทหารได้ ตามกฎหมาย หากไม่รับราชการทหารก็ไม่อนุญาตให้ประกอบอาชีพส่วนใหญ่ได้ เป็นเพียงคนชนชั้นล่าง ที่มีชีวิตอย่างแร้นแค้น
ส่วนเทพอสูร คือกระดูกสันหลังของมนุษยชาติ เทพอสูรทุกคนตลอดชีวิตล้วนอุทิศตนให้กับการต่อสู้เพื่อปกป้องมวลมนุษย์ แม้ว่าจะกลับไปพักผ่อนที่บ้านเกิด ก็ยังต้องปกป้องบ้านเกิดเมืองนอนเช่นกัน
ดังนั้น เทพอสูรจึงเป็นที่ยกย่องและเคารพของผู้คน ตระกูลของพวกเขาจึงพลอยรุ่งเรืองไปด้วย แต่ถ้าหากเทพอสูรตายไปหรือไม่สามารถแบกรับหน้าที่สำคัญได้ ตระกูลของพวกเขาก็ต้องถอยออกจากตำแหน่งสำคัญเป็นธรรมดา
******
เมื่อเมิ่งชวนกลับถึงบ้าน ท้องฟ้าก็ใกล้ค่ำแล้ว
“อาชวน รีบมานั่งกินข้าวเร็ว ได้ยินว่าเจ้ากับลุงเมิ่งไปที่เรือนบรรพบุรุษ ยังคิดว่าวันนี้พวกเจ้าน่าจะกลับมาทานอาหารเย็นไม่ทันเสียอีก” หลิ่วชีเยว่กำลังนั่งดื่มโจ๊กทานขนมปังเเผ่น เมิ่งชวนนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม บ่าวหญิงจึงนำโจ๊กถ้วยหนึ่งมาวางไว้ตรงหน้า เมิ่งชวนดื่มโจ๊ก ขณะที่ปล่อยใจให้ครุ่นคิดถึงเรื่องอื่น
“ทำไมเจ้าถึงไม่พูดอะไรสักคำ เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ” หลิ่วชีเยว่ถาม
“อ้อ”
เมิ่งชวนหลุดจากภวังค์ แล้วตอบกลับส่งๆว่า “ตระกูลอวิ๋นและตระกูลเมิ่งปรึกษากัน แล้วตัดสินใจที่จะยกเลิกการหมั้นหมายของข้ากับอวิ๋นชิงผิง”
“ยกเลิกการหมั้นหมาย?” หลิ่วชีเยว่ตาเป็นประกายขึ้นมา
“อือ เมื่อครู่นี้ หนังสือหมั้นหมายก็ถูกฉีกที่นั่น” เมิ่งชวนพยักหน้า
หลิ่วชีเยว่เพ่งพินิจเมิ่งชวนอย่างละเอียด แล้วถามว่า “ทำไม เจ้ารู้สึกปวดใจรึที่ยกเลิกงานหมั้น? ขนาดดื่มโจ๊กยังมัวเหม่ออยู่อีก?”
“เปล่า” เมิ่งชวนส่ายหน้า “เดิมทีข้ากับอวิ๋นชิงผิงนิสัยก็เข้ากันไม่ได้อยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าเจ้าก็รู้อยู่แล้วเหรอ ยกเลิกการหมั้นนี้ นางสบายใจ ส่วนข้าก็โล่งอก นี่เป็นเรื่องดีสำหรับนางและข้า แล้วทำไมข้าจะต้องปวดใจด้วยเล่า”
“งั้นเจ้าเหม่อทำไม?” หลิ่วชีเยว่ไล่บี้ต่อ
“ข้าคิดว่ามีบางอย่างผิดปกติ” เมิ่งชวนขมวดคิ้ว “เดิมทีการหมั้นหมายนี้บรรพชนของพวกเราก็เป็นผู้จัดการด้วยตนเอง ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมาขอยกเลิกงานหมั้นถึงบ้าน แต่อย่างน้อยตระกูลอวิ๋นก็ควรจะส่ง ‘สามอันดับแรกของตระกูลอวิ๋น’ มาด้วย นี่คือการแสดงความเคารพขั้นพื้นฐานต่อตระกูลเมิ่งของพวกเรา แต่ว่าครั้งนี้กลับมีเพียงผู้อาวุโสอันดับห้า และคนที่ไม่มีประโยชน์อย่างอวิ๋นฟูอันมาด้วย นี่ไม่ใช่ว่าเป็นการดูถูกตระกูลเมิ่งหรือ นี่คือข้องสงสัยประการแรก”
“ประการที่สอง ในห้องโถงตอนนั้น เหล่าผู้อาวุโสแต่ละคนล้วนมีสีหน้าที่ไม่ดีนัก แต่พวกเขาก็ทนข่มกลั้นตั้งแต่ต้นจนจบ ผู้อาวุโสของพวกเรานิสัยดีแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
“ประกายที่สาม ปกติเวลาที่อวิ๋นฟูอันเผชิญหน้ากับบิดาของข้า เขาจะแสดงท่าทางเอาใจใส่ และกริยาที่นอบน้อมเป็นอย่าง แต่วันนี้เขากลับแสดงท่าทีเย่อหยิ่ง ความนอบน้อมเหล่านั้นหายไปไหนแล้ว?”
“ที่สำคัญคือ การยกเลิกการหมั้นหมาย เบื้องหลังของเรื่องนี้จะต้องมีเหตุผลอะไรแน่ๆ แต่จะมีเหตุผลอะไรกัน ถึงทำให้การหมั้นหมายโดยบรรพชนทั้งสองตระกูลถูกยกเลิก? ”
เมิ่งชวนมองหลิ่วชีเยว่ “ข้ากำลังเดาว่าเป็นเพราะตระกูลอวิ๋นมีผู้สนับสนุนที่ยิ่งใหญ่กว่า! หรือเป็นเพราะตระกูลเมิ่งของพวกเรา”
หลิ่วชีเยว่ได้ยินดังนั้นก็ตกใจขึ้นมา “อาชวน ดูไม่ออกเลยจริงๆ ว่าเจ้าคิดมากถึงเพียงนี้? ”
“ข้าก็แค่เดาไปเรื่อย ในเมื่อท่านพ่อมิยอมบอกข้า ก็แสดงว่าเขาคงมีเหตุผลของเขา” เมิ่งชวนหัวเราะ
“คนถูกยกเลิกการหมั้นยังมีหน้ามาหัวเราะได้อีกนะ รีบกินขนมปังของเจ้าเถอะ” หลิ่วชีเยว่ยิ้มกว้าง
“กินแล้วกินแล้ว” เมิ่งชวนหยิบขนมปังแผ่นขึ้นมาแล้วกัดคำใหญ่
ตอนที่ 3 นายช่างกับปรมาจารย์
เมิ่งชวนอ่านชีวประวัติอย่างละเอียด บางส่วนก็เป็นชีวประวัติของบรรพชนจากตระกูลใหญ่อื่น ๆ ที่ส่งเสริมการเผยแพร่เกียรติประวัติของบรรพชน! บางคนก็มีชื่อเสียงจริงๆ ซึ่งคนธรรมดาทั่วไปเป็นผู้เขียนชีวประวัติของเขาขึ้นมา ทำให้เทพอสูรเหล่านั้นมีชีวประวัติของตัวเองที่แตกต่างกันถึงสิบเวอร์ชั่น บางอันก็เป็นสำนักที่เขียนชีวประวัติของเทพอสูรขึ้นมา มีแม้กระทั่งเทพอสูรบางคนที่ลงมือเขียนชีวประวัติของตัวเองออกมาอย่างอลังการณ์เกินจริง เพราะอยากให้ชนรุ่นหลังจดจำเรื่องราวของตนได้
“ชีวประวัติเหล่านี้ ส่วนใหญ่จะเล่าเรื่องราวทั่วไป แต่สิ่งที่มีประโยชน์ต่อการบ่มเพาะของข้า บางเล่มก็กล่าวเพียงไม่กี่ประโยค กระทั่งบางเล่มก็ไม่มีประโยชน์สำหรับข้า”
“ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องราวเหล่านี้ บางเรื่องก็มีความน่าเชื่อถือสูง บางเรื่องก็มีความน่าเชื่อถือต่ำ จำต้องแบ่งประเภทไว้”
เมิ่งชวนเป็นลูกหลานตระกูลเทพอสูร หลังจากได้รับการสั่งสอนจากสำนักกระจกทะเลสาบ รากฐานจึงมั่นคงขึ้น ทักษะดาบก็ฝึกฝนจนสามารถประสบความสำเร็จมากมาย อยู่ห่างจาก ‘เขตหนึ่งเดียว’ เพียงก้าวเดียว
ด้วยพื้นฐานเช่นนี้…
เขาจึงมีความสามารถแยกแยะได้ว่าในชีวประวัติเหล่านั้นสิ่งไหนที่ประโยชน์สำหรับเขา
“ฝึกกระบี่โดยมิใช้จิตใจ ก็เป็นเพียงทาสกระบี่ ฝึกกระบี่โดยใช้จิตใจ จึงจะกลายเป็นนายกระบี่” เมิ่งชวนอ่านประโยคหนึ่งในชีวประวัติที่จักรพรรดิกระบี่เหนือได้ชี้แนะลูกหลาน
เมิ่งชวนจ้องประโยคนั้นพลางครุ่นคิด “จักรพรรดิกระบี่เหนือ ได้ชี้แนะประโยคนี้กับชนรุ่นหลังระดับไร้ตำหนิผู้หนึ่ง ในปีนั้นทักษะกระบี่ของชนรุ่นหลังคนนั้นก็ได้บรรลุขั้นหนึ่งเดียว โดยปกติแล้วการฝึกฝนก็ควรที่จะใช้จิตใจลงไปด้วย จักรพรรดิกระบี่เหนือกลับเน้นย้ำประโยคนี้…เห็นได้ชัดว่า ทักษะกระบี่ของผู้บ่มเพาะระดับไร้ตำหนิคนนั้น คงจะใช้จิตใจไม่พอสินะ”
……
เมิ่งชวนยังคงอ่านชีวประวัติของเทพอสูรอย่างต่อเนื่อง
บางครั้งบางคำไม่กี่คำที่เทพอสูรทิ้งไว้ หรือแม้กระทั่งเหตุการณ์บางอย่าง ก็จะทำให้เมิ่งชวนครุ่นคิดและเกิดการคาดเดาต่างๆ
สำหรับคนทั่วไปแล้วดูเหมือนจะเป็นเรื่องเล่าธรรมดา
แต่ในสายตาของคนที่ตั้งใจแล้ว จะมองเห็นเหตุผลบางประการที่ทำให้เทพอสูรเหล่านั้นแข็งแกร่งขึ้นมาได้
“ทักษะเดียว สามารถหากินทั่วใต้หล้า สังหารศัตรู ใช้เพียงกระบวนท่าเดียว ตราบใดที่ปล่อยกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดออกมาก็เพียงพอแล้ว จะมัวฝึกฝนทักษะมากมายให้ยุ่งยากทำไม” ในชีวประวัติเล่มนี้ได้กล่าวไว้เช่นนั้น เมื่อสามพันปีก่อนเทพอสูรผู้แข็งแกร่งนาม ‘เว่ยเฟิงดาบอสูร’ ได้กล่าวประโยคนี้กับศิษย์น้องผู้หนึ่ง สำหรับชีวประวัติเกี่ยวกับเว่ยเฟิงดาบปีศาจผู้นี้ ในเมืองตงหนิงนั้นมีถึงสิบห้าเวอร์ชั่น
บางเล่มก็เขียนประโยคที่คล้ายๆกันว่า “ทักษะเดียว สามารถหากินทั่วใต้หล้า สังหารศัตรู ใช้เพียงกระบวนท่าเดียว ตราบใดที่ปล่อยกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดออกมาก็เพียงพอแล้ว”
เมิ่งชวนก็จดบันทึกคำพูดนี้เช่นกัน
นอกจากชีวประวัติเหล่านี้แล้ว เมิ่งชวนยังให้ความสำคัญกับคติประจำตระกูลของตระกูลเทพอสูรที่มีชื่อเสียง
คติประจำตระกูล คือคำพูดที่เทพอสูรได้ทิ้งไว้ให้อนุชนรุ่นหลัง เป็นธรรมดาที่จะต้องเป็นเรื่องที่เทพอสูรคิดว่ามันคือสิ่งสำคัญอย่างแน่นอน
ยิ่งจดบันทึกมากเท่าไหร่ เมิ่งชวนก็ยิ่งตกใจมากเท่านั้น
“ต้องเรียนรู้จากเขา จึงจะเป็นเหมือนเขา หากไม่ใฝ่เรียนรู้ ก็จะเป็นได้แค่คนโง่เขลา การเรียนรู้จากเทพอสูรที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ จุดนี้มิผิดแน่! เรื่องราวในชีวประวัติ ล้วนเป็นเศษเล็กเศษน้อย ถ้าหากมีพื้นฐานไม่หนาแน่นพอ เกรงว่าคงเดินหลงผิดได้ง่าย” เมิ่งชวนตระหนักได้ถึงจุดนี้ เพราะเมื่อสังเกตคำขวัญของตระกูลอื่น ๆแล้ว พวกเขาล้วนให้ความสำคัญเกี่ยวกับพื้นฐานการบ่มเพาะ
ด้วยคำสั่งสอนนี้ ตระกูลต่างๆจึงได้ส่งลูกหลานเข้าสำนัก เพื่อดำเนินการฝึกฝนในระบบที่สมบูรณ์แบบที่สุด
เพราะสำนักทุกเมืองใหญ่ในราชวงศ์โจว…ถูกก่อตั้งโดยสำนัก ‘เขาหยวนชู’ ซึ่งเป็นสำนักเก่าแก่ที่สุดของใต้หล้า ระบบการสอนของสำนัก ก็เป็นสิ่งที่เขาหยวนชูกำหนดขึ้นมา มีแค่การฝึกฝนในสำนัก จึงจะสามารถทำให้รากฐานมั่นคง
แน่นอนว่าเป็นเพียงการชี้แนะรากฐาน ทักษะกระบี่ของเมิ่งชวนขาดเพียงก้าวเดียวก็จะไปถึงขั้นหนึ่งเดียวได้ ฝึกฝนอยู่ในสำนักมาเจ็ดปี อะไรที่ควรสอนก็ได้สอนไปหมดแล้ว ที่เหลือเขาจำเป็นที่จะต้องค้นคว้าด้วยตัวเอง
“รากฐานของข้าเพียงพอแล้ว ตอนนี้ข้าขาดแค่เพียงก้าวเดียวก็จะทะลวงไปอีกขั้นได้”
“สิ่งที่ข้าได้บันทึกในวันนี้ ได้สร้างแรงบันดาลใจให้แก่ข้ามากมาย”
“แต่นี่ มิอาจรีบร้อนได้ ข้าอ่านหนังสือพวกนี้แค่รอบเดียว ยังต้องจัดระเบียบอีกรอบ หลักการในการฝึกฝนบางอย่าง หากมีเทพอสูรสามท่านกล่าวตรงกัน จึงจะถูกจัดได้ว่าคุ้มค่าที่เชื่อ”
……
วันแล้ววันเล่า
ยิ่งเมิ่งชวนรวบรวมมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้ความรู้เพิ่มมากเท่านั้น รวมเข้ากับ ‘กฎเหล็กการฝึกฝน’ ของสำนักกระจกทะเลสาบ ซึ่งเป็นกฎการฝึกฝนที่เขาหยวนชูกำหนดมา เมื่อสองอย่างนี้รวมกัน ก็ยิ่งทำให้เมิ่งชวนเข้าใจมากยิ่งขึ้น
“เอาล่ะ”
ตกดึกคืนนั้น เมิ่งชวนมองสมุดบันทึกตรงหน้าของตนเอง แล้วเผยรอยยิ้มน้อยๆ
“ห้าวันมานี้ สำคัญกว่าฝึกฝนมาตลอดห้าปีของข้า” เมิ่งชวนมองสมุดบันทึกตรงหน้าด้วยความตื่นเต้น ความเข้าใจของเขาในการฝึกฝนกระจ่างชัดมากขึ้น
บัญญัติการฝึกข้อที่หนึ่ง รากฐานสำคัญที่สุด เช่นเดียวกับรากฐานของบ้าน การเข้าฝึกฝนในสำนักนั้น นับว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
บัญญัติการฝึกข้อที่สอง จำนวนครั้งสำคัญมาก ไม่ว่าจะมีความคิดมากมายในหัว ก็มิสู้ฝึกฝนสักหมื่นครั้ง! ฝึกชักกระบี่หมื่นครั้งทุกวัน ฝึก ‘เงาโลหิตสังหาร’ หมื่นรอบทุกวัน ประโยคนี้ มีเทพอสูรถึงสิบสองคนที่พูดตรงกัน
บัญญัติการฝึกข้อที่สาม ทักษะเดียว สามารถหากินทั่วใต้หล้า! คล้ายกับข้อที่สอง สังหารศัตรูควรใช้เพียงกระบวนท่าเดียว ฝึกฝนกระบวนท่าเดียวจนเชี่ยวชาญ ยังมีประโยชน์กว่าการฝึกท่าไม้ตายนับสิบกระบวนท่า
บัญญัติการฝึกข้อที่สี่ การฝึกฝนเป็นเรื่องที่ยากลำบาก และการข่มกลั้นยืนหยัดฝึกต่อไป สุดท้ายก็ได้เป็นแค่นายช่าง! มีเพียงแค่สนุกไปกับมัน หมกหมุ่นอยู่กับมัน และตรึกตรองความลึกลับทุกกระบวนท่า จึงจะสามารถสำเร็จเป็นปรมาจารย์
เมิ่งชวนเข้าใจความหมายที่จักรพรรดิเหนือได้กล่าวว่า “ฝึกกระบี่โดยมิใช้จิตใจ ก็เป็นเพียงทาสกระบี่ ฝึกกระบี่โดยใช้จิตใจ จึงจะกลายเป็นนายกระบี่” ผู้บ่มเพาะดูเหมือนจะฝึกฝนอย่างตั้งใจ แต่มิได้ใช้จิตใจในการฝึกอย่างแท้จริง ใช้จิตใจอย่างแท้จริง…สิ่งนี้คงหมายถึงการสนุกไปกับมัน หมกหมุ่นอยู่กับมัน โยนความคิดอื่นออกไปให้หมด และทุ่มเทความสนใจให้กับมัน ประหนึ่งสาวกผู้คลั่งไคล้ แล้วจักประสบความสำเร็จ และสามารถกลายเป็นปรมาจารย์ได้ มิฉะนั้น ก็จักเป็นเพียงนายช่างคนหนึ่ง
บัญญัติการฝึกข้อที่ห้า ความก้าวหน้าในแต่ละวัน จักเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งในแต่ละเดือน สุดท้ายก็จะประสบความสำเร็จ…
บัญญัติการฝึกข้อที่หก…
……
บัญญัติการฝึกมีทั้งหมดเก้าข้อ
ในแต่ละข้อล้วนเป็นสิ่งที่เทพอสูรมากกว่าสามท่านขึ้นไปคิดเห็นตรงกัน และเมิ่งชวนก็คิดว่าเป็นหลักการที่น่าเชื่อถือ
“ข้าจะต้องฝึกกระบี่ทุกวันวันละหลายชั่วโมง แม้ว่าร่างกายจะเหนื่อยล้าเพียงใด ก็ต้องกัดฟันฝึกต่อไป ข้าเคยคิดว่ายิ่งตั้งใจมากก็เท่ากับใช้จิตใจมาก แต่เห็นได้ชัดว่าข้ายัง ‘ใช้จิตใจ’ ไม่พอ ข้าควรที่จะสนุกไปกับการฝึกกระบี่ ควรที่จะหมกหมุ่นอยู่กับมัน และไตร่ตรองทุกกระบวนท่าจึงจะถูก ” เมิ่งชวนคิดว่าจุดนี้ คือปัญหาใหญ่สำหรับตัวเอง การฝึกฝนช่างยากเย็นยิ่งนัก
ปกติแล้วช่วงบ่ายเขาจะวาดภาพหนึ่งชั่วโมง นี่เป็นความสุขที่มีสีสันมากที่สุดในชีวิตของเขา และเป็นงานอดิเรกที่เขาชอบมากที่สุดตั้งแต่เด็ก ในขณะที่วาดรูป ความเหนื่อยล้าจากการฝึกจะถูกลืมเลือน จิตใจก็จะสงบนิ่ง
ดังนั้น เขาจึงยืนหยัดที่จะทำงานอดิเรกนี้ต่อไปปีแล้วปีเล่า
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า สภาพจิตใจของเขาจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก
“หากข้ายังคงทำเหมือนเมื่อก่อน แม้จะขยันฝึกฝนแค่ไหน แต่สุดท้ายก็เป็นได้แค่นายช่าง” เมิ่งชวนรู้สึกทนไม่ไหว เขาวางสมุดบันทึกลง แล้วลุกขึ้นเดินออกจากห้องหนังสือมุ่งหน้าไปที่ลานฝึก
เมื่อมาถึงลานฝึกเขาก็เริ่มฝึกฝน《กระบี่ใบไม้ร่วง》
แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกับเมื่อก่อน
ครั้งนี้เขาเพียงแค่ฝึกกระบี่ใบไม้ร่วงกระบวนท่าที่หนึ่ง ‘ฟาดฟัน’ เมิ่งชวนโยนความคิดทั้งหมดออกจากหัว ทุ่มเทสมาธิและจิตใจทั้งหมดไปกับทักษะ ราวกับว่าในใต้หล้านี้มีเพียงกระบี่ในมือเท่านั้น! ทันทีที่กระบี่ถูกฟันออกไป ก็รู้สึกได้ถึงความเงียบสงัดในยามที่กระบี่ฟันออกมา รู้สึกได้ถึง ‘สายลม’ ที่ถูกกระบี่ตัดผ่าน ทักษะกระบี่ก็ยังคงเป็นทักษะชุดเดิม แต่ทัศนะคติกลับเปลี่ยนไป ทำให้สิ่งที่ ‘มองเห็น’ ก็เปลี่ยนไปด้วย
ตอนยังเด็กที่เลือกกระบี่เร็ว ก็เพราะเมิ่งชวนชอบมันจากใจจริง เพียงแต่การฝึกฝนซ้ำแล้วซ้ำเล่าในทุกวันก็ได้สร้างความเหนื่อยล้าให้แก่เขา จนความชื่นชอบค่อยๆลดลง กระทั่งวันนี้เมื่อทัศนะคติของเขาได้เปลี่ยนไป ร่างกายและจิตใจก็กลับมารับรู้ทักษะกระบี่ได้อีกครั้ง
ความรู้สึกชื่นชอบได้ถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง
กระบี่ฟาดออกไปอย่างเงียบงัน
วิถีกระบี่ ราวกับรอยวาดที่งดงาม ยิ่งเขาพยายามเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้วิถีกระบี่งดงามมากเท่านั้น จังหวะตัดฝ่า ‘สายลม’ ก็รวดเร็วขึ้นทุกขณะ! ทักษะกระบี่ที่ทรงพลังอย่างแท้จริงนั้นแฝงไปด้วยความสวยงาม ตอนนี้ทักษะกระบี่ของเมิ่งชวนก็เข้าใกล้เป้าหมายไปอีกหนึ่งขั้น
เมิ่งชวนลองใช้ทักษะเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า พยายามฟาดกระบี่ออกไปอย่างรวดเร็วและเงียบเชียบ ทำให้การตัดฝ่า ‘สายลม’ รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
เมิ่งชวนฟันกระบี่ติดต่อกันถึงห้าสิบครั้ง ในใจก็รู้สึกสนุกขึ้นมา
“การฝึกที่แท้จริงควรจะเป็นเช่นนี้!” เมิ่งชวนทั้งตื่นเต้นทั้งดีใจ เขาเปลี่ยนเป็นกระบวนท่าที่สอง ‘โคจรพระจันทร์’
……
วันที่สองที่เมิ่งชวนฝึกตามบันทึกที่ตนเองสรุปมา ณ.โถงใหญ่ใต้ดินของตระกูลอวิ๋น
“พรึ่บพรึ่บ~~~”
ตรงกลางโถงใหญ่ ปรากฎเปลวไฟสีม่วงลุกโชนขึ้นมา
ท่ามกลางเปลวไฟสีม่วงนั้นมีชายชราผมดำผู้หนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ ท่าทางของเขาเหมือนไม่ได้รับอันตรายใดใดจากเปลวไฟนั่น
“ท่านพ่อ ท่านเรียกหาข้ารึ?” อวิ๋นฟูอันเดินเข้ามาในห้องโถงอย่างนอบน้อม และมิกล้าเข้าไปใกล้บิดา แม้จะอยู่ห่างจากบิดาแต่ก็สัมผัสได้ถึงความร้อนระอุที่พวยพุ่งออกมา ทำให้อากาศบริเวณนั้นบิดเบี้ยวเล็กน้อย
“ฟูอัน” ชายชราผมดำลืมตาขึ้น ดวงตาของเขาฉายแววสงบ “เมื่อครู่ข้าเพิ่งได้รับข่าวหนึ่งมา หญิงชราผู้นั้นของตระกูลเมิ่งได้เข้าต่อสู้กับพวกอสูรที่ด่านอันไห่ และได้รับบาดเจ็บหนัก เกรงว่าคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน บางทีคงจะกลับมาที่ตงหนิงในอีกไม่กี่วัน”
อวิ๋นฟูอันกล่าวอย่างตกใจว่า “ท่านพ่อ หญิงชราผู้นั้นที่ท่านเอ่ยถึงคือเมิ่งเซียนกู่เยี่ยงนั้นรึ?”
“ใช่ เป็นนาง”
ชายชราผมดำพยักหน้าเล็กน้อย
“เป็นไปได้ไหมว่าข่าวนี้อาจจะผิดพลาด?” อวิ๋นฟูอันไม่กล้าที่จะเชื่อ “ไม่ใช่ว่าเมิ่งเซียนกู่คือนักตรวจสอบที่เก่งกาจที่สุดหรือ ภายในรัศมีสิบลี้นั้นมิมีสิ่งใดที่สามารถรอดพ้นไปจากสายตาของนางได้ นางไม่จำเป็นที่จะต้องออกไปสู้อยู่แนวหน้า ทำไมจู่ๆถึงได้รับบาดเจ็บหนักได้เล่า?”
“ข่าวนี้ไม่ผิดพลาด” ชายชราผมดำกล่าวอย่างสงบ “ราชาอันไห่ได้เชิญหมอฝีมือดีเป็นจำนวนมากมารักษานาง แต่อาการบาดเจ็บของหญิงชรานั้นร้ายแรงเกินไป มันสายเกินไปแล้วที่ช่วยนางทัน ข่าวนี้เผยแพร่ไปทั่วด่านอันไห่ นี่ไม่ใช่ความลับ! ถ้านางหยุดต่อสู้ และรักษาตัวอย่างระมัดระวัง ก็จะสามารถยืดอายุขัยได้เจ็ดแปดปี แต่ถ้ายังต่อสู้ต่อ เกรงว่าอายุขัยของนางจะยิ่งสั้นลง”
“ยืดอายุขัยมากที่สุดแค่เจ็ดแปดปี?” อวิ๋นฟูอันอดไม่ได้ที่จะพูดออกมา “หากไม่มีเมิ่งเซียนกู่ ตระกูลเมิ่งมิใช่ว่าจบสิ้นแล้วรึ?”
“ห้าตระกูลเทพอสูรผู้ยิ่งใหญ่ของเมืองตงหนิง ไม่ช้าก็อาจจะเปลี่ยนเป็นสี่ตระกูลเทพอสูรผู้ยิ่งใหญ่” ชายชราผมดำพยักหน้าพลางกล่าวออกมา
ตระกูลหนึ่ง จะรุ่งโรจน์ได้นั้นก็ต้องมีเทพอสูร
ในทำนองเดียวกัน หากไม่มีเทพอสูร ตระกูลนั้นก็จะเปลี่ยนเป็นตระกูลธรรมดา
“ตระกูลเมิ่งสูญเสียคุณสมบัติที่จะครอบครองตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่ และผลประโยชน์ของเมืองตงหนิง ” ชายชราผมดำกล่าวอย่างเยือกเย็น “จริงสิ ในปีนั้นมีสัญญาหมั้นระหว่างชิงผิงและเด็กเมิ่งชวนตระกูลเมิ่งใช่หรือไม่ เจ้าไปที่ตระกูลเมิ่งสักครั้ง ขอให้พวกเขาคืนสัญญาหมั้นมา และฉีกสัญญานั่นทิ้งซะ! ตระกูลเมิ่งในตอนนี้…ไม่คู่ควรที่พวกเราจะเกี่ยวดองด้วย”
“ขอรับ” อวิ๋นฟูอันรับคำอย่างนอบน้อม
“แต่ก่อนที่หญิงชรานั่นจะตาย เราก็ไม่ควรกระทำเรื่องที่น่าเกลียด” ชายชราผมดำกล่าวจบก็หลับตาลง
อวิ๋นฟูอันจึงกล่าวลาและจากไปอย่างเงียบๆ
……
“อะไรนะ? ยกเลิกสัญญาหมั้นหมาย?” อวิ๋นชิงผิงมองบิดาของตนอย่างตื่นตระหนก
ไม่ใช่ว่าบิดาไม่เห็นด้วยหรอกเหรอ? แล้วทำไมจู่ๆถึงได้กลับคำขึ้นมาล่ะ?
“พ่อเพียงแค่มาบอกเจ้าเท่านั้น” อวิ๋นฟูอันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “วันนี้ข้าจะไปที่ตระกูลเมิ่ง และช่วยเจ้ายกเลิกสัญญาหมั้น”
“ตระกูลเมิ่งจะยอมมอบสัญญาหมั้นเหรอท่านพ่อ?” อวิ๋นชิงผิงอดถามออกมามิได้
“พวกเขาจะต้องมอบมันออกมา” อวิ๋นฟูอันกล่าวอย่างเชื่อมั่น หากบิดาของเขาทราบข่าวแล้ว ตระกูลเมิ่งก็น่าจะทราบข่าวบรรพชนของตนแล้วเช่นกัน พวกตระกูลใหญ่ล้วนเข้าใจกันดี ต่อต้านไปก็เหมือนจะเป็นการดูถูกตัวเอง
อวิ๋นชิงผิงกล่าวต่อไปว่า “ท่านพ่อ ข้าอยากจะยกเลิกงานหมั้นก็จริง แต่ไม่อยากจะฉีกหน้าพวกเขา นี่จะเป็นการทำให้สองตระกูลมองหน้ากันไม่ติด ถ้าไม่อย่างนั้น เราเชิญลุงเมิ่งมาพูดคุยเรื่องนี้เงียบๆ…”
“ไม่จำเป็นต้องทำให้มันยุ่งยากขนาดนั้น” อวิ๋นฟูอันหัวเราะออกมา “เอาล่ะๆ เรื่องนี้ให้ข้าจัดการเอง ส่วนเจ้านะรอฟังข่าวดีอยู่ที่เรือนะจะดีกว่า”
ยามเช้า
ณ สนามฝึกจวนเมิ่งริมทะเลสาบจิ้งหู หลิ่วชีเยว่กำลังฝึกยิงธนู ส่วนเมิ่งชวนกำลังฝึกกระบี่อยู่ที่มุมสนาม
“ขวับขวับ”
เพลงกระบี่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ทั้งแปลกและยากที่จะเข้าใจได้
อีกทั้งความเร็วก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นี่คือทักษะกระบี่ชั้นยอดที่คนธรรมดาก็สามารถเรียนรู้ได้ มันถูกเรียกว่า 《กระบี่ใบไม้ร่วง》
ตอนเขาอายุหกขวบได้ผ่านการทดสอบจากตระกูล ผลปรากฎว่าพรสวรรค์ทางด้านกระบี่นั้นค่อนข้างสูง และเขาก็ชื่นชอบการฝึกกระบี่ด้วย เพราะ…มันเร็ว!
หลังจากฝึกพื้นฐานกระบี่ที่บ้านสองปี ตอนอายุแปดขวบ บิดาของเขาเมิ่งต้าเจียงก็ส่งเขาเข้าสำนักกระจกทะเลสาบที่เป็นหนึ่งในแปดสำนักใหญ่ของเมืองตงหนิง! ‘เก๋อหยู่’ เจ้าสำนักกระจกทะเลสาบแม้ว่าจะดูเป็นคนธรรมดาทั่วไป แต่กลับเป็นปรมาจารย์กระบี่อันดับหนึ่งของเมืองตงหนิง
เก้าขวบ เมิ่งชวนได้ฝึกพื้นฐานกระบี่จนสมบูรณ์ มีรากฐานที่มั่นคง จึงได้รับการถ่ายทอดวิชา 《กระบี่ท่องลม》
สิบเอ็ดขวบ ฝึกวิชา《กระบี่ท่องลม》จนเชี่ยวชาญ เจ้าสำนักจึงได้ถ่ายทอดวิชา 《กระบี่ใบไม้ร่วง》ที่เป็นวิชากระบี่ชั้นยอดให้กับเขาด้วยตัวเอง
สิบสองขวบ
จนกระทั่งบัดนี้อายุได้สิบห้าปี
“น่าเสียดาย แม้ว่ากระบี่ใบไม้ร่วงของข้าจะยอดเยี่ยม แต่ก็ยังไม่สมบูรณ์” เมิ่งชวนหยุดฝึกแล้วมองกระบี่ในมือ พลางย่นคิ้ว “ข้าจะรู้ทักษะลับของกระบี่ใบไม้ร่วงได้เยี่ยงไร? แล้วจะบรรลุขั้น ‘หนึ่งเดียว’ ขั้นที่หนึ่งของนักดาบได้ยังไง?”
วิชาดาบวิชากระบี่วิชาธนูและอื่น ๆ
ทุกอย่างล้วนมีทักษะ
ขั้นแรกคือ ‘หนึ่งเดียว’ เป็นการบ่งชี้ว่าร่างกาย หัวใจ ทักษะทั้งสามสิ่งนี้เป็นหนึ่งเดียวกัน ซึ่งจะช่วยดึงศักยภาพที่น่าเหลือเชื่อออกมาได้
ขั้นที่สอง ถูกเรียกว่า ‘พลัง’ ฟ้าดินล้วนมีพลัง! ขุนเขามีพลังแห่งขุนเขา สายน้ำมีพลังแห่งสายน้ำ นักกระบี่ก็ควรแสดงพลังของกระบี่ออกมาให้ได้เหมือนฟ้าดิน ขุนเขาสายน้ำ สายลมและอัคคี ใช้กระบี่ ก็ควรที่จะมีพลังกระบี่! ซึ่งนั่นคือขั้นที่สูงขึ้นไป
อย่างไรก็ตามเมิ่งชวนได้วางรากฐานมาหลายปี แน่นอนว่ารากฐานของเขาย่อมมั่นคงอย่างมาก ดังนั้นจึงขาดอีกแค่ก้าวเดียวก็จะบรรลุขั้น ‘หนึ่งเดียว’ แล้ว
แต่กลับเป็นก้าวเดียวที่…ยากเย็นเหลือเกิน!
“แม้ว่าเมืองตงหนิง จะมีนักดาบนักกระบี่มากมาย แต่คนที่สามารถบรรลุขั้นหนึ่งเดียวได้นั้นกลับน้อยยิ่งนัก” เมิ่งชวนเข้าใจจุดนี้อย่างชัดเจน “มีเพียงแค่บรรลุขั้นหนึ่งเดียว จึงจะกลายเป็นยอดฝีมือที่แท้จริง มิฉะนั้นก็เป็นเพียงผู้มีฝีมือธรรมดาๆ”
ผู้มีฝีมือเหล่านั้น แม้ว่าจะมีปราณที่แข็งแกร่ง แต่ก็เป็นเพียงเป้ามีชีวิตที่มีพลังและความเร็วบ้างแค่นั้น
เมื่อเผชิญหน้ากับยอดฝีมือที่แท้จริง เพียงกระบวนท่าเดียวก็ถูกสังหารแล้ว
“ตามคำอธิบายของกระบี่ใบไม้ร่วง กระบี่ใบไม้ร่วงแบ่งออกเป็น 81 กระบวนท่า ตราบใดที่ฝึกทั้ง 81 กระบวนท่าจนบรรลุถึงแก่น ก็จะได้รับทักษะลับ ‘ตรีใบไม้ร่วง’ แต่กว่าจะถึงตรงนั้นก็ต้องบรรลุขั้น ‘หนึ่งเดียว’ เสียก่อน” เมิ่งชวนรู้สึกหมดหนทาง เนื่องจากหนังสือที่เกี่ยวกับหนึ่งเดียวนั้น บรรยายหัวข้อเรื่องนี้เพียงย่อหน้าสั้น ๆ
รายละเอียดเพิ่มเติมใดใดล้วนไม่มี กระทั่งเคล็ดลับเล็กๆน้อยๆก็ไม่มีบันทึกไว้
‘จะเรียนรู้ทักษะลับจงปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ’ คำพูดนี้มันซับซ้อนเกินไป วิชา《กระบี่ใบไม้ร่วง》เขาก็ฝึกมาได้สองปีเต็มแล้ว ทุกวันล้วนฝึกฝนอย่างมิเกียจคร้าน แต่ทำไมถึงยังไม่สามารถตระหนักรู้ทักษะลับ ‘อย่างเป็นธรรมชาติ’ ได้ล่ะ?
“การฝึกฝนทั่วไปแบ่งออกเป็น 5 ระดับ สร้างรากฐาน กำเนิดปราณ ชำระแก่นแท้ ก่อกำเนิด ไร้ตำหนิ ระดับก่อกำเนิดถ้าอยากจะบรรลุไประดับไร้ตำหนิ…ทักษะของพวกนักดาบนักกระบี่จำเป็นที่จะต้องแตะขั้นหนึ่งเดียว มีเพียง ‘ร่างกายหัวใจทักษะสามอย่างรวมเป็นหนึ่ง’ ถึงจะมีพลังที่แท้จริงของระดับก่อกำเนิดได้ แล้วจึงจะสามารถทะลวงขั้นไร้ตำหนิได้” เมิ่งชวนแอบคิดในใจ “ทุกตระกูลต่างก็มียาและทรัพยากรมากพอที่จะทำให้กลายเป็นระดับก่อกำเนิดได้ไม่ยาก แต่จะสามารถเป็นระดับไร้ตำหนินั้นกลับมีน้อยยิ่งกว่าน้อย”
เมิ่งชวนเริ่มฝึกระดับสร้างรากฐานตั้งแต่อายุ 6 ขวบ
เก้าขวบเข้าสู่ระดับฝึกภายใน สิบสองขวบระดับชำระแก่นแท้ ตามการคาดการณ์ของเมิ่งชวน เดือนหกปีนี้เขาน่าจะฝึกระดับชำระแก่นแท้ได้สมบูรณ์และก้าวไปสู่ ‘ระดับก่อกำเนิด’ ความเร็วในระดับนี้ถือว่าเป็นเรื่องปกติสำหรับลูกหลานสายหลักของตระกูลเทพอสูร ก็เหมือนกับอวิ๋นชิงผิงและพวกลูกหลานจอมขี้เกียจของตระกูลเทพอสูร หลังจากที่กินยาไปเป็นจำนวนมาก พออายุสิบห้าก็จะก้าวเข้าสู่ระดับชำระแก่นแท้
การฝึกฝนทั่วไปมี 5 ระดับใหญ่ๆ : สร้างรากฐาน กำเนิดปราณ ชำระแก่นแท้ ก่อกำเนิด ไร้ตำหนิ
จากนั้นก็จะขึ้นไปเป็น ‘เทพอสูร’
ระดับไร้ตำหนิสู่เทพอสูร!
การจะกลายเป็นเทพอสูรนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก ในช่วงร้อยปีที่ผ่านมาเมืองตงหนิงมีผู้ที่กลายเป็นเทพอสูรแค่ไม่กี่คน
“ข้าสาบานต่อหน้าหลุมศพของท่านแม่ ว่าชาตินี้ข้าจะกลายเป็นเทพอสูร และสังหารเหล่าอสูรร้ายเพื่อแก้แค้นให้กับท่าน” เมิ่งชวนลดกระบี่ลง และเหม่อมองกระบี่ในมือ ตอนนั้นยังเด็กจึงไม่รู้อะไรมากนัก แต่บัดนี้เขาเข้าใจแล้วว่าการจะเป็นเทพอสูรได้นั้นมักยากแค่ไหน แต่เขาจะไม่ยอมแพ้ไม่ว่ามันจะยากแค่ไหนก็ตาม “ข้าจะต้องเชี่ยวชาญ ‘หนึ่งเดียว’ ที่เป็นขั้นแรกให้เร็วที่สุด ในอนาคตยังจะต้องเชี่ยวชาญ ‘พลัง’ ขั้นที่สองอีก แบบนี้แล้วจึงจะพอมีหวังที่จะได้เป็นเทพอสูร”
ทันใดนั้น——
“ชวนเอ๋อร์” เงาร่างหนึ่งก็เดินผ่านเข้ามาทางประตูของสนามฝึก
เมิ่งชวนหันไปมอง “ท่านพ่อ”
ชายวัยกลางคนร่างท้วมที่เดินยิ้มเข้ามาผู้นี้ ก็คือบิดาของเขาเมิ่งต้าเจียง เขาเปิดร้านอาหาร! แน่นอนว่ายังเป็นร้านอาหารอันดับหนึ่งของเมืองตงหนิง ขณะเดียวกันก็เป็นว่าที่หัวหน้าตระกูลคนถัดไปของตระกูลเมิ่ง
ความแข็งแกร่งของเมิ่งต้าเจียงนั้นนับว่าพิเศษมาก ในบรรดายอดฝีมือที่อยู่ต่ำกว่าระดับเทพอสูร เขานับว่าเป็นผู้ที่แข็งแกร่งคนหนึ่ง และยังฝึกกระบี่อีกด้วย แม้ว่าเขาจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับไร้ตำหนิที่เชี่ยวชาญ ‘พลังกระบี่’ แต่เนื่องจากเขาอายุ 47 ปี ดังนั้นความหวังที่จะกลายเป็นเทพอสูรจึงลดน้อยลงไปทุกที!
“ลุงเมิ่ง” หลิ่วชีเยว่เดินเข้ามาหา
“วันที่สามเดือนสาม คืองานชุมนุมสังหารอสูรวังหยกสุริยัน ชีเยว่คือนักธนู ดังนั้นสำนักตะวันฉานจึงมอบสิทธินี้ให้กับนางแน่นอน” เมิ่งต้าเจียงกล่าว หลิ่วชีเยว่พยักหน้า เมิ่งต้าเจียงหันไปมองบุตรชายตัวเอง “ชวนเอ๋อ แล้วเจ้าล่ะ สำนักกระจกทะเลสาบมอบสิทธินี้ให้กับระดับชำระแก่นแท้แค่สามคน เจ้าคิดว่าตัวเองมีโอกาสจะได้ไปไหม?”
“ไม่” เมิ่งชวนรู้จักตัวเองดี เขากล่าวต่อไปว่า “ศิษย์สิบอันดับแรกของสำนักกระจกทะเลสาบของข้าล้วนอยู่ระดับชำระแก่นแท้ ช่องว่างของพวกเราไม่ได้แตกต่างกันมากนัก ข้าหวังว่าจะสามารถแย่งชิงสิทธิได้ แต่ก็มีความเป็นไปได้มากว่าจะล้มเหลว แต่ถ้าหากข้าสามารถตระหนักรู้ทักษะลับของวิชากระบี่ใบไม้ร่วง ถ้าอย่างนั้นคงพอมีโอกาสบ้าง แต่น่าเสียดายที่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่สามารถตระหนักรู้ได้ ท่านพ่อ ท่านมีเคล็ดลับอะไรในการตระหนักรู้ทักษะลับไหม?”
“ฮาฮา เจ้าสำนักของพวกเจ้าเป็นถึงปรมาจารย์กระบี่อันดับหนึ่งของเมืองตงหนิงเชียวนะ เขาควรที่จะเป็นผู้สอนเจ้า” เมิ่งต้าเจียงหัวเราะ “สำหรับทักษะลับ ข้าคิดว่าขอเพียงแค่ฝึกให้มากขึ้น ฝึกให้หนักขึ้น บางทีก็อาจจะตระหนักรู้ได้”
เมิ่งต้าเจียงก็ไม่รู้เช่นกัน
ไม่มีเคล็ดลับอะไรทั้งนั้น
“อย่าคิดมากเลย รุ่นเยาว์ระดับชำระแก่นแท้ทั้งเมืองตงหนิงนั้น ก็ยังไม่มีใครสามารถตระหนักรู้ทักษะลับได้สักคน” เมิ่งต้าเจียงกล่าวยิ้มๆว่า “บิดาเจ้าที่ถือว่าเป็นรุ่นเยาว์ตระกูลเมิ่งที่โดดเด่นที่สุดของรุ่น ก็มาตระหนักรู้ทักษะลับตอนอายุสิบเก้า”
“แต่ในตำนานบอกว่า บรรพบุรุษตระกูลจางสามารถตระหนักรู้ทักษะลับตอนอายุ 13 ปี และวิชากระบี่ได้บรรลุขั้นหนึ่งเดียว” เมิ่งชวนแย้งขึ้นมา
“บรรพบุรุษตระกูลจาง เป็นเพียงคนเดียวในรอบร้อยปีของเมืองตงหนิงที่สามารถขึ้นเขาหยวนชูได้ ดังนั้นตระกูลจางจึงกลายมาเป็นผู้นำของตระกูลเทพอสูรทั้งห้า” เมิ่งต้าเจียงพูดเสริมว่า “เจ้าอย่าได้รีบร้อนไป เมื่อห้าร้อยปีก่อนบรรพบุรุษอวี๋ซานของตระกูลเรา ก็สามารถตระหนักรู้ทักษะลับเมื่อตอนอายุสิบแปดปี ไม่ใช่ว่าสุดท้ายเขาก็ได้เป็นเทพอสูรตอนแปดสิบรึ? คนมีความสามารถต้องใช้เวลาจึงจะประสบความสำเร็จ ท้ายที่สุดก็ได้เป็นเทพอสูร”
เมิ่งชวนย่อมรู้ดี
ตอนยังเล็ก มารดามักจะเล่านิทานเกี่ยวกับการเติบโตของเทพอสูรให้ตัวเองฟังมากมาย และตัวเขาเองก็คอยรบเร้าให้บิดามารดาเล่านิทานให้ฟังอยู่บ่อยๆ!
นอกจากวาดรูปแล้ว การฟังนิทานเกี่ยวกับเทพอสูรก็เป็นสิ่งที่เขาชื่นชอบมากที่สุด
บิดาจะซื้อชีวประวัติของเทพอสูรที่แข็งแกร่งและมีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์มามากมาย แล้วอ่านให้เขาฟัง
“ท่านแม่ สักวันหนึ่ง ข้าจะกลายเป็นเทพอสูรให้ได้” เมิ่งชวนคิดในใจอย่างแน่วแน่
……
บ่ายวันนั้น เมิ่งชวนได้มาที่สำนักกระจกทะเลสาบ เพราะมีคาบเรียนวิชากระบี่ที่เจ้าสำนักจะเป็นผู้สอนด้วยตัวเอง ในฐานะเจ้าสำนัก ในห้าวันเขาสามารถสอนแค่คาบเดียว
ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงคาบเรียนในตอนเช้าก็จบลง
“ยังทะลวงไม่ได้สินะ”
“ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ทักษะกระบี่ของข้าจะทะลวงไปขั้นหนึ่งเดียวได้” เมิ่งชวนถอนหายใจขณะเดินอยู่ในสำนัก ช่วงสองปีที่ผ่านมาเขาเอาแต่ครุ่นคิดเกี่ยวกับ ‘ทักษะลับกระบี่ใบไม้ร่วง’ แทบจะทุกวัน จนใกล้จะเป็นบ้าอยู่แล้ว
เมื่อเดินมาถึงพื้นที่โล่งกว้าง ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดดังขึ้นมา
เมิ่งชวนหันไปมองตามต้นเสียง
อาจารย์หม่าของสำนัก กำลังก่นด่าเหล่าลูกศิษย์อย่างโมโหจนน้ำลายกระเด็นเป็นฝอย
“ต้องเรียนรู้จากเขา จึงจะเป็นเหมือนเขา หากไม่ใฝ่เรียนรู้ ก็จะเป็นได้แค่คนโง่เขลา พวกเจ้าเข้าใจไหม?” อาจารย์หม่ากล่าวอย่างเดือดดาล “ข้าต้องการให้พวกเจ้าเรียนรู้แต่สิ่งดีๆ ไม่ต้องไปเรียนรู้สิ่งแย่ๆ เรียนรู้แต่สิ่งแย่ๆ…มีแต่จะทำให้เจ้าตกต่ำลง! หากการบ่มเพาะของพวกเจ้าไปไม่ถึงชำระแก่นแท้ ชั่วชีวิตนี้ก็คงไม่มีโอกาสอีกต่อไป แต่ถ้าหากขึ้นไปถึงระดับชำระแก่นแท้ได้ พออายุยี่สิบที่ต้องรับราชการเป็นทหาร และต้องออกไปสังหารพวกอสูร หากมิเสียหยาดเหงื่อในตอนนี้ เมื่อถึงเวลาพวกเจ้าอาจจะต้องเสียโลหิต กระทั่งชีวิตก็อาจจะสูญสิ้น คนที่ไปรับราชการทหารและสามารถรอดชีวิตมาได้ก็มีไม่ถึงครึ่ง! พวกเจ้าหวังจะตายในสนามรบ หรือรอดชีวิตกลับมา?”
“ดูเมิ่งชวนจากตระกูลเมิ่งสิ อายุสิบสามปีก็สำเร็จวิชากระบี่ใบไม้ร่วง และได้เข้าตึกขุนเขาธาราของสำนักกระจกทะเลสาบ และได้รับการสั่งสอนจากเจ้าสำนักโดยตรง! การสำเร็จวิชากระบี่นั้น ไม่มีทางลัดใดใดทั้งสิ้น มีแค่ต้องเรียนรู้ให้หนัก ข้าได้ยินมาว่าเมิ่งชวนฝึกหนักในทุกๆวันทุกๆเวลา แล้วพวกเจ้าล่ะ ได้มองดูตัวเองบ้างไหม?”
“ต้องเรียนรู้จากเขา จึงจะเป็นเหมือนเขา เรียนรู้จากเมิ่งชวนให้มากๆ เข้าใจไหม?”
อาจารย์หม่าดุเสียงดัง ทำให้เหล่าลูกศิษย์ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ
ขณะที่กำลังสั่งสอนอยู่นั้น อาจารย์หม่าก็เหลือบไปเห็นเมิ่งชวนที่ยืนอยู่ไม่ไกล เขาพยักหน้าให้พร้อมยิ้มออกมา แต่ทว่าดวงตาของเมิ่งชวนกลับเป็นประกายขึ้นมา เขาเร่งรุดกลับไปที่จวนของตัวเองทันที
เมื่อกลับมาถึงจวน เมิ่งชวนก็ตรงไปที่ห้องหนังสือทันที
“ต้องเรียนรู้จากเขา จึงจะเป็นเหมือนเขา หากไม่ใฝ่เรียนรู้ ก็จะเป็นได้แค่คนโง่เขลา ต้องเรียน ข้าจะต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจให้มากขึ้น!” เมิ่งชวนพูดกับตัวเอง ดวงตาเปล่งประกายขึ้นเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับความตื่นเต้นที่ทวีเพิ่มมากขึ้น “ต้องเรียนรู้จากเหล่าเทพอสูรที่แข็งแกร่ง! ข้าจะต้องเรียนรู้จากผู้ที่แข็งแกร่งในประวัติศาสตร์ ข้าต้องเรียนรู้จากพวกเขา!”
“ยอดฝีมือไร้พ่ายล้วนทิ้งชื่อไว้ในประวัติศาสตร์ หลายคนได้กลับสู่เถ้าธุลีดินไปแล้ว แต่ชีวประวัติของพวกเขากลับยังคงได้รับการกล่าวขาน ไม่ว่าจะผ่านไปเป็นพันปีหรือหมื่นปีก็ยังได้รับการกล่าวขาน!”
“ชีวประวัติพวกเขา ก็คือบันทึกของพวกเขา”
เมิ่งชวนเงยหน้ามองกองหนังสือเหล่านั้น “ตอนที่ข้ายังเด็ก ท่านพ่อท่านแม่ได้ซื้อชีวประวัติของเทพอสูรมาให้ข้ามากมาย”
ขณะพูดก็หยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมา
เปิดหนังสืออ่าน
เล่มนี้ได้บอกเล่าถึงเรื่องราวของเทพอสูรนาม ‘เติ้งฟง’ ผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคสมัย ในชีวประวัติได้บันทึกเรื่องราวของเติ้งฟง เขาเติบโตมาจากหมู่บ้านเล็กๆในหุบเขาลึกแห่งหนึ่ง ไม่มีอาจารย์คอยชี้แนะ บิดาที่เป็นสมาชิกครอบครัวเพียงคนเดียวได้สอนวิชา ‘ชักกระบี่’ ให้เขา ก็มาตายจากไป ดังนั้นเขาจึงใช้ชีวิตลำพังในหุบเขาลึก กับวิชาชักกระบี่…ทุกวันเขาจะใช้เวลาสี่ชั่วโมงในการฝึกชักกระบี่หมื่นครั้ง และไม่เคยเรียนวิชากระบี่อย่างอื่นเลย
เด็กกำพร้าที่อยู่ตามลำพังในหุบเขาลึก ทุกวันฝึกชักกระบี่ห้าหมื่นครั้งภายในสี่ชั่วโมง เป็นเวลายี่สิบปี
เขาออกจากหุบเขาลึก เข้าสู่สังคมมนุษย์อย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว ด้วยพลังระดับชำระแก่นแท้ และวิชาชักกระบี่…เขาสามารถสังหารยอดฝีมือที่อยู่ระดับไร้ตำหนิได้อย่างง่ายดาย ทักษะดาบของเขาขึ้นไปถึงระดับที่น่าเหลือเชื่อแล้ว เมื่อข่าวนี้แพร่กระจายออกไป เขาก็ได้รับคัดเลือกเข้า ‘เขาหยวนชู’ ทันที และกลายเป็นศิษย์เขาหยวนชู ตั้งแต่นั้นมาเขาก็ได้เดินบนเส้นทางสู่เทพอสูร
……
หนังสือเล่มนี้ค่อนข้างยาว และได้บันทึกการกระทำหลายอย่างของเติ้งฟงหลังจากที่ได้กลายเป็นเทพอสูร ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นที่เคารพและชื่นชมของคนรุ่นหลัง
สำหรับการฝึกฝนนั้นมีบันทึกน้อยมาก เพียงแค่เขียนว่า ‘ทุกวันเขาจะใช้เวลาสี่ชั่วโมงในการฝึกชักกระบี่หมื่นครั้ง เป็นเวลายี่สิบปี’
แต่สำหรับเมิ่งชวนแล้ว ประโยคนี้มีความหมายสำคัญสำหรับเขามาก
“ยอดฝีมือคนนี้ มีพัฒนาการทักษะดาบที่ค่อนข้างช้า แต่เขาก็ทุ่มเวลาไปกับการฝึกชักกระบี่ห้าหมื่นครั้ง” เมิ่งชวนขมวดคิ้ว “เขาใช้เวลาสี่ชั่วโมงทุกวันในการฝึก นี่อธิบายได้ว่าทุกครั้งที่จะฟันกระบี่ออกไปล้วนสะสมกำลัง และใช้จิตใจอย่างมาก จากนั้นก็ชักดาบออกมา! ทำเช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า…สะสมกำลังแล้วระเบิดออกมาในครั้งเดียว ทำแบบนี้ห้าหมื่นครั้ง จึงใช้เวลาไปสี่ชั่วโมง”
“ใช้จิตใจ? ฝึกแค่ท่าเดียว? ฝึกหลายครั้ง?”
เมิ่งชวนนั่งอยู่หน้าโต๊ะหนังสือแล้วหยิบพู่กันมาจดไว้ จากนั้นก็พลิกชีวประวัติของเทพอสูรอีกคนแล้วอ่าน
เขาจำเป็นต้องค้นหา ‘จุดร่วมที่เหมือนกัน’ ของเหล่าเทพอสูรผู้ยิ่งใหญ่จากชีวประวัติของพวกเขา
ต้องเรียนรู้จากเขา จึงจะเป็นเหมือนเขา หากไม่ใฝ่เรียนรู้ ก็จะเป็นได้แค่คนโง่เขลา
ต้องเรียนรู้…จากบุคคลที่แข็งแกร่ง!
เรียนรู้จากเหล่าเทพอสูรไร้พ่ายในประวัติศาสตร์!
“อาเฉียน” เมิ่งชวนหันไปเรียกคนที่อยู่ด้านนอก
“นายน้อยขอรับ” เสียงตะโกนที่อยู่ด้านนอกดังขึ้นมา
“ท่านพาคนไปกับท่านสองคน ซื้อชีวประวัติของเหล่าเทพอสูรในเมือง! นอกจากนี้คำขวัญประจำตระกูลของตระกูลเทพอสูรก็ต้องนำมาให้ข้าด้วย เร็วที่สุด!” เมิ่งชวนสั่งการ
“ขอรับ ข้าจะรีบไปจัดการเดี๋ยวนี้” อาเฉียนตอบรับอย่างรวดเร็ว
ราชวงศ์ต้าโจว เขตอู่โจว เมืองตงหนิง
ณ ทางเข้าหลัก ‘สำนักกระจกทะเลสาบ’ หนึ่งในสำนักที่ยิ่งใหญ่ของเมืองตงหนิง ปรากฏร่างของเด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่สะพายกระบี่ไว้ข้างเอวและเดินเข้ามาในสำนักอย่างผ่าเผย
“ศิษย์พี่เมิ่ง”
“ศิษย์พี่เมิ่งอรุณสวัสดิ์”
“อรุณสวัสดิ์ศิษย์พี่เมิ่ง”
เหล่าศิษย์ในสำนักรอบๆต่างก็พากันทักทายอย่างกระตือรือร้น
เด็กหนุ่มนามเมิ่งชวนพยักหน้าให้เหล่าศิษย์น้องกลุ่มนั้น ซึ่งความจริงแล้ว ‘เหล่าศิษย์น้องชายและหญิง’ ต่างก็มีอายุมากกว่าเขา อย่างไรก็ตามกฎของสำนักกระจกทะเลสาบให้ความสำคัญกับความแข็งแกร่งเป็นอันดับแรก เมื่อสองปีก่อนเขาได้เข้าสู่ ‘ตึกขุนเขาธารา’ ของสำนักกระจกทะเลสาบ ศิษย์ทั้งยี่สิบสองคนตึกขุนเขาธารา คือยี่สิบสองคนที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนักกระจกทะเลสาบ ซึ่งศิษย์เหล่านั้นล้วนได้รับความชื่นชมและเป็นเป้าหมายที่พวกเขาจะไปให้ถึง และในบรรดาศิษย์เหล่านั้น ‘ศิษย์พี่เมิ่ง’ คือผู้ที่ได้รับความเคารพนับถือเป็นพิเศษ เพราะว่าศิษย์พี่เมิ่งจะมาชี้แนะพวกเขาเป็นบางครั้ง ส่วนพวกศิษย์พี่ชายและศิษย์พี่หญิงตึกขุนเขาธาราคนอื่นๆก็ขี้เกียจจะมาเสียเวลากับพวกเขา
“คุณชาย คุณชาย” ทันใดนั้นเสียงที่คุ้นเคยก็ดังมาจากด้านข้าง
จากนั้นก็มีสาวน้อยชุดเขียวคนหนึ่งวิ่งเข้ามา เมื่อเมิ่งชวนเห็นนางก็ยกยิ้มขึ้นมา “รุ่ยจู๋ เจ้ามาที่นี่ทำไม?”
“คุณหนูของข้าน้อยต้องการเชิญคุณชายไปเที่ยวที่ซานตงด้วยกัน เมื่อคืนมีหิมะตกหนัก ซานตงหลังหิมะตกคงงดงามมากแน่ๆ” สาวน้อยชุดเขียวกล่าวยิ้มๆ
“ไปเที่ยวซานตง?” เมิ่งชวนขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “ซานตงไกลเกินไป หากไปเที่ยวซานตงเกรงว่าคงต้องค้างคืนที่นั่น รอจนพรุ่งนี้เช้าจึงจะสามารถกลับมาได้”
สาวน้อยกล่าวเสียงใส “ตระกูลอวิ๋นมีจวนตากอากาศที่ซานตงหลังหนึ่งพอดี สามารถพักค้างแรมที่นั่นได้”
เมิ่งชวนส่ายหน้า “กลับไปบอกชิงผิง อีกหนึ่งเดือนให้หลังจะมีงานชุมนุมสังหารอสูรที่วังหยกสุริยัน ข้าต้องตั้งใจฝึกซ้อมเพื่อเตรียมความพร้อม ไม่สามารถไปเป็นเพื่อนนางได้”
“แต่…” สาวน้อยแสดงท่าทีลังเล
“เจ้ากลับไปบอกนางตามนี้เถอะ” เมิ่งชวนกำชับอีกว่า “อีกเรื่อง ให้ชิงผิงใช้เวลาในการฝึกฝนให้มากขึ้น อย่าได้คิดจะออกไปเที่ยวเล่นที่ไหน”
“เจ้าค่ะ” สาวน้อยชุดเขียวตอบรับอย่างเชื่อฟัง ก่อนจะกลับไปรายงาน
เมิ่งชวนส่ายหน้าเล็กน้อย
‘อวิ๋นชิงผิง’ คู่หมั้นเด็กผู้นี้มักจะสร้างความปวดหัวให้แก่เขาอยู่เสมอ
…
สำนักกระจกทะเลสาบสร้างขึ้นที่ชายฝั่งทะเลสาบจิ้งหู ส่วนชายฝั่งตะวันตกนั้นมีจวนคฤหาสน์มากมาย และหนึ่งในนั้นก็ยังมี ‘จวนเมิ่ง’ อีกด้วย
“นายน้อย” ยามสองนายที่เฝ้าอยู่หน้าประตูจวน เมื่อเห็นเมิ่งชวนเดินเข้ามาก็ทำความเคารพอย่างนอบน้อม
“ท่านพ่อข้าอยู่ที่จวนรึไม่?” เมิ่งชวนถาม
“เมื่อครู่เรือนบรรพบุรุษได้ส่งคนมา นายท่านจึงรีบออกไปทันที” ยามผู้หนึ่งเอ่ยตอบ
เมิ่งชวนพยักหน้าอย่างเข้าใจ จากนั้นก็เข้าไปในจวน
“ฟิ้วฟิ้วฟิ้ว!!!” ไม่นานเขาก็ได้ยินเสียงลูกศรดังแผ่วขึ้นมา เมิ่งชวนหันไปมองตามเสียงก็พบว่ามาจากลานฝึก
ที่ลานฝึกมีสาวน้อยชุดแดงนางหนึ่งกำลังง้างคันธนูแล้วยิงลูกศรออกไปทีละดอก ฉับพลันลูกศรดอกนั้นก็ปักทะลุเป้าที่อยู่ห่างออกไปสิบจั้ง จากนั้นลูกศรดอกหลังก็จะทะลวงลูกศรดอกแรกแล้วปักที่เป้า
เมิ่งชวนยืนมองอยู่ด้านข้างลานฝึก
นางมีนามว่าหลิ่วชีเยว่ เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของ ‘หลิ่วเย่ป๋าย’ พี่น้องร่วมเป็นร่วมตายของบิดาเขา
ปีนั้นตอนที่เขาแปดขวบ…
หลิ่วเย่ป๋ายพาบุตรสาวมาที่จวนเมิ่ง ตั้งแต่นั้นก็อาศัยอยู่ที่นี่ตลอด
ชีเยว่กับเขาคล้ายกันมาก นั่นก็คือไม่มีแม่ตั้งแต่เด็ก ตอนที่ยังเล็ก เขากับชีเยว่ก็ได้ฝึกฝนมาด้วยกัน จนกระทั่งตอนนี้ ความผูกพันธ์จึงลึกซึ้ง
“อาชวน เจ้ากลับมาแล้วเหรอ” สาวน้อยชุดแดงตาเป็นประกายขึ้นมาเมื่อเห็นเมิ่งชวน “ยิงเป้านิ่งแบบนี้มันน่าเบื่อจริงๆ มามามา รีบมาเป็นเป้าให้ข้าหน่อยเร็ว ถ้าไม่ใช่ว่ารอเจ้า ข้าคงไปที่สำนักแล้ว ลานยิงธนูที่สำนักใหญ่กว่านี้หลายเท่า”
“ได้ ข้าจะเป็นเป้าให้เอง”
เมิ่งชวนหัวเราะแล้วเดินที่ใจกลางลานฝึก
สาวน้อยเปลี่ยนถุงลูกศร เป็นลูกศรไร้หัว สายตาของนางจับจ้องไปที่เมิ่งชวน “อาชวน ระวังตัวให้ดี อย่าถูกข้าตีจนจมูกเขียวหน้าบวมเข้าล่ะ”
“เจ้าเองก็ระวังตัวไว้ ครั้งนี้ข้าจะทำลายศรไข่มุกเจ็ดดาราของเจ้าให้ได้” เมิ่งชวนตั้งสมาธิ
สาวน้อยชุดแดงหัวเราะหึหึ ก่อนที่นิ้วของนางจะเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วราวกับภาพหลอน พริบตาเดียวคันธนูก็ถูกง้างออกแล้วยิงลูกศรออกมา คล้ายกับว่าไม่จำเป็นต้องเล็ง
ฟิ้วฟิ้วฟิ้ว!!! ลูกศรแต่ละดอกถูกยิงออกมาอย่างต่อเนื่อง ทุกครั้งที่หยิบลูกศรออกมาจากถุงลูกศรด้านหลังคันธนูก็ถูกง้างแล้วยิง หยิบอีกครั้งง้างคันธนูแล้วยิง….ท่าทางเป็นธรรมชาติเหมือนมนุษย์ทั่วไปกำลังหายใจ ลูกศรแต่ละดอกพุ่งออกไปด้วยความเร็วที่น่าตกใจ มีพลานุภาพที่แข็งแกร่งเท่าเทียมกัน
“ฟุ่บฟุ่บฟุ่บ” เมิ่งชวนชักกระบี่ที่ข้างเอวออกมา
กระบี่วาดโค้งออกไป ด้านหน้าราวกับกลายเป็นอาณาเขต ลูกศรที่พุ่งเข้ามาล้วนถูกปัดตก
“อาชวนทักษะกระบี่ของเจ้าร้ายกาจขึ้นเรื่อยๆเลยนะ แต่จะพัฒนาจนทำลายศรไข่มุกเจ็ดดาราของข้าได้ไหมนะ” ขณะที่สาวน้อยกำลังยิงลูกศรออกมาก็ยังกล่าวหยอกล้อออกมาด้วย เห็นได้ชัดว่าการยิงลูกศรแบบนี้เป็นเรื่องที่สบายมาก
“ฟิ้ว!”
สิ้นเสียงนี้ สาวน้อยคนนั้นก็ยิงลูกศรชุดใหม่ออกมา ลูกศรฝ่าอากาศเข้ามาพร้อมกับเสียงร้องที่แหลมหู
“มาเลย!” เมิ่งชวนตั้งใจมากยิ่งขึ้น
“ฟุ่บ” “ฟุ่บ”
เมิ่งชวนเหวี่ยงกระบี่เป็นแนวโค้งเหมือนวงกลมเพื่อสกัดลูกศรดอกนั้น แต่ศรไข่มุกเจ็ดดาราเป็นท่าไม้ตายที่ใช้ลมปราณเป็นจำนวนมาก ความเร็วของลูกศรจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เพียงลูกศรหกดอก กระบี่ของเมิ่งชวนก็สกัดไม่ได้ ทำให้หน้าอกของเขาเจ็บแปล๊บขึ้นมา ร่างของเขาอดไม่ได้ที่จะซวนเซ เกรงว่าหน้าอกคงเป็นรอยเขียวช้ำอย่างแน่นอน
“ยังสกัดไม่ได้สินะ” เมิ่งชวนส่ายหัวอย่างจนใจ
“กระบวนท่าไม้ตายทั้งห้าที่ข้าฝึกฝนจนสำเร็จ เจ้าสามารถสกัดได้ถึงได้สี่กระบวนท่า เหลือแค่ ‘ศรไข่มุกเจ็ดดารา’เท่านั้น” สาวน้อยชุดแดงยิ้ม “แค่นี้ก็ถือว่าเก่งมากแล้ว ที่สำนักนะ แม้แต่ขั้นชำระแก่นแท้ก็ยังไม่มีใครสามารถสกัด ‘ศรสามมายา’ ของข้าได้ แต่เจ้ากลับทำได้”
“ข้าสกัดลูกศรเจ้าตั้งแต่เด็ก ย่อมแข็งแกร่งกว่าคนในสำนักเจ้าเล็กน้อย” เมิ่งชวนส่ายหัว “เจ้าใช้แค่ศรไร้หัว ถ้าหากเพิ่มหัวลูกศรเข้าไป ความเร็วของลูกศรจะไวกว่านี้เยอะ กระบวนท่าไม้ตายทั้งห้าของเจ้า….เกรงว่าต่อให้ข้าใช้เวลาสักครึ่งชีวิตก็ไม่อาจสกัดได้”
“อาชวน หรือเจ้าไม่ได้ฟังที่ข้าพูด? ขั้นเดียวกัน ยังไม่มีใครสามารถต้านทานการโจมตีของเทพธนูผู้นี้ได้นะ” สาวน้อยกล่าวออกมาอย่างภูมิใจ
“ชีเยว่…ถ้ามีการต่อสู้ที่แท้จริง ข้าจะวิ่งไปหาเจ้าคนแรก” เมิ่งชวนหัวเราะออกมา
“เทพธนูคนนี้มีองค์รักษ์นะ” สาวน้องชุดแดงแสยะยิ้ม “องค์รักษ์ของข้าจะขัดขวางเจ้า จากนั้นเจ้าก็จะกลายเป็นเป้าหมายของข้า หึๆ ไม่แน่ว่าในอนาคตเจ้าอาจจะกลายมาเป็นองค์รักษ์ก็ได้!”
เมิ่งชวนยิ้มบางๆ
เขารู้ถึงความน่ากลัวของเทพธนูผู้นี้ดี ไม่ว่าจะเป็นกองกำลังใด นักธนูมือฉมังก็จะมีตำแหน่งที่สูงส่งมาก และได้รับการปกป้องเป็นอย่างดี
ชีเยว่น้องสาวของเขาก็นับว่าเป็นนักธนูที่มีพรสวรรค์มาก
“อาชวน ที่เจ้าสำนักพวกเจ้าเรียกหาพวกเจ้าในวันนี้ ก็เพื่อพูดถึงงานชุมนุมสังหารอสูรวังหยกสุริยันเหรอ?” หลิ่วชีเยว่เอ่ยถาม
“อืม สำนักตะวันฉานของเจ้าบอกเรื่องนี้หรือยัง” เมิ่งชวนถาม
“บอกแล้ว! ในบรรดาสิบศิษย์อันดับแรกขั้นชำระแก่นแท้ของสำนักตะวันฉานมีข้าแค่คนเดียวที่เป็นนักธนู เจ้าสำนักจึงมอบสิทธินี้ให้ข้าโดยตรง” หลิ่วชีเยว่กล่าวว่า “กำจัดอสูรในงานชุมนุมสังหารอสูรวังหยกสุริยัน นี่เป็นสิ่งที่นักธนูอย่างข้าถนัดที่สุด ”
เมิ่งชวนกล่าวยิ้มๆ “สำนักกระจกทะเลสาบมอบสิทธิให้ขั้นชำระแก่นแท้เพียงสามสิทธิ แม้ว่าข้าจะเป็นหนึ่งในสิบอันดับแรกของขั้นชำระแก่นแท้ แต่ก็ยังต้องแย่งสิทธิพวกนี้ ถ้าหากไม่มีสิทธิเหล่านั้น ข้าไม่มีคุณสมบัติที่จะไป”
“งั้นเจ้าก็พยายามเข้านะ” หลิ่วชีเยว่หัวเราะคิกคัก
“อย่าประมาทไป ในงานชุมนุมสังหารอสูรวังหยกสุริยัน ตอนที่เจ้าเผชิญหน้ากับอสูร อย่าได้ให้พวกมันประชิดตัวเข้าได้” เมิ่งชวนพูด “พวกเราต้องฝึกฝนให้หนักขึ้น”
ขณะที่เมิ่งชวนเงาร่างหนึ่งก็โจนทะยานจากไป
“ถ้าเจ้าแน่จริงก็ตามข้าให้ทัน”
หลิ่วชีเยว่ทะยานร่างจากไปพร้อมทั้งหันหลังกลับมายิงธนูใส่
…
อีกด้านหนึ่ง ‘ตระกูลอวิ๋น’ คือหนึ่งในห้าตระกูลเทพอสูรที่ยิ่งใหญ่ของเมืองตงหนิง
อวิ๋นชิงผิงกำลังชงชาให้ ‘อวิ๋นฝูอัน’ บิดาของนางอยู่
“ท่านพ่อโปรดชิม” อวิ๋นชิงผิงวางจอกชาลงตรงหน้าบิดา ตอนนั้นเองนางก็เหลือบไปเห็นรุ่ยจู๋สาวใช้ที่กำลังกลับมาจากไกลๆ ก็อดตาเป็นประกายขึ้นมามิได้ กระทั่งส่งเสียงเรียกออกไป “รุ่ยจู๋!”
รุ่ยจู๋เพียงเดินเข้ามาอย่างนอบน้อม
“ว่ายังไง เมิ่งชวนพูดยังไงบ้าง?” อวิ๋นชิงผิงรีบไตร่ถามขึ้นมา
“คุณชายเมิ่งกล่าวว่า อีกไม่นานก็จะถึงงานชุมนุมสังหารอสูรวังหยกสุริยัน เขาจึงต้องตั้งใจฝึกซ้อมเพื่อเตรียมความพร้อม ดังนั้นจึงไม่สามารถไปเที่ยวที่ตงซานเป็นเพื่อนคุณหนูได้” รุ่ยจู๋กล่าวเสียงแผ่ว
“ไม่ไป?”
อวิ๋นชิงผิงเริ่มเดือดดาลขึ้นมา “นอกจากฝึกฝึกฝึกยังรู้จักอะไรบ้าง!”
“คุณชายเมิ่งยังให้ข้าน้อยมาบอกคุณหนูว่า ตั้งใจฝึกให้มากกว่านี้ อย่าได้คิดจะออกไปเที่ยวเล่นที่ไหน” รุ่ยจู๋พูดขึ้นอีก
“เขายังกล้ามาสอนข้า?”
อวิ๋นชิงผิงทวีความโมโหขึ้นมา
“ข้าคิดว่าเมิ่งชวนกล่าวถูกต้องแล้ว” อวิ๋นฝูอันที่นั่งอยู่ตรงนั้นจิบชาอย่างพอใจ แล้วกล่าวว่า “เจ้าควรจะตั้งใจฝึกฝนให้มากขึ้น อย่าได้เสียเวลาไปกับการเที่ยวเล่น”
“ท่านพ่อ เมิ่งชวนผู้นี้อย่างกับท่อนไม้” อวิ๋นชิงผิงมองอวิ๋นฝูอัน แล้วอดพูดไม่ได้ว่า “ตอนที่ข้าอายุเพิ่งครบเดือน พวกท่านก็ให้ข้ากับเมิ่งชวนหมั้นหมายตั้งแต่แบเบาะ! แต่นิสัยของพวกเราสองคนกลับไม่เหมือนกันเลย ข้าชอบเที่ยวเล่น ชอบเชิญสหายมากมายไปเที่ยวเล่นกับข้า แต่เขากลับชอบฝึกฝน วาดรูป และชอบความสงบ ยามที่ข้ากับเขาพูดคุยกัน ล้วนไม่เคยถูกคอกันเลยสักนิด หลังจากนี้ถ้ากลายเป็นภรรยาของเขา ข้าคงบ้าตายเร็วๆแน่”
“เจ้าก่อความวุ่นวาย มีเขาคอยควบคุมเจ้าจึงจะดี” อวิ๋นฝูอันคลี่ยิ้มออกมา
อวิ๋นชิงผิงเดินมาหยุดอยู่ข้างกายบิดา ก่อนจะกอดแขนบิดาแล้วเขย่าพลางพูดว่า “ท่านพ่อ ข้าขอร้อง ไปที่ตระกูลเมิ่งแล้วไปบอกกับท่านลุงเมิ่งว่ายกเลิกการหมั้นระหว่างข้ากับเขา”
“อย่าแม้แต่จะคิด!” อวิ๋นฝูอันที่ดื่มชาพลางปฏิเสธโดยตรง
“ท่านพ่อ!”
อวิ๋นชิงผิงกล่าวเสียงดัง “ทำไมพวกท่านต้องบังคับให้ข้าแต่งงานกับเขาด้วย? ปีนั้น ข้าเพิ่งอายุครบเดือนมิรู้ความอันใด ก็ถูกหมั้นหมายเสียแล้ว พวกท่านรู้ได้อย่างไร ว่าหากเมิ่งชวนเติบโตมาเขาจะกลายเป็นแบบนี้? พวกท่านก็ไม่รู้ แต่กลับยืนยันเสียงแข็งว่าจะให้ข้าแต่งกับเขา พวกท่านไม่สนใจความคิดของข้าเลย ท่านไม่รู้สึกว่ามันเกินไปหน่อยเหรอ?”
“เมิ่งชวนก็ไม่เลว” อวิ๋นฝูอันพูดขึ้น “ในบรรดารุ่นเยาว์ของห้าตระกูลเทพอสูรเมืองตงหนิง เขาถือว่ายอดเยี่ยมมาก”
“เขาดีก็จริง แต่ข้าไม่ชอบเขา!” อวิ๋นชิงผิงกล่าวอย่างโมโห “ข้าไม่อยากแต่งงานกับอัจฉริยะที่พูดภาษาเดียวกันไม่ได้”
อวิ๋นฝูอันวางจอกชาลงเบาๆ หนังตากระตุกจังหวะหนึ่ง ก่อนจะเหลือบมองบุตรสาวอย่างเยือกเย็น
อวิ๋นชิงผิงใจสั่นขึ้นมา
แต่ความถือดีในใจก็ทำให้นางยังคงดื้อแพ่ง สบตากับบิดา!
“เกือบครึ่งปีแล้ว ที่เจ้าพูดกับข้าเรื่องยกเลิกการหมั้นถึงหกครั้ง” อวิ๋นฝูอันกล่าวเสียงเย็นชา “ดูเหมือนว่าพ่อจะเอ็นดูเจ้ามากเกินไป จนเจ้าไม่รู้อะไรเลย วันนี้ข้าจะพูดกับเจ้าให้ชัดเจน”
อวิ๋นชิงผิงมองบิดา
อวิ๋นฝูอันกล่าวต่อไปว่า “การแต่งงานของเจ้ากับเมิ่งชวน ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องระหว่างพวกเจ้าสองคน แต่ยังเป็นเรื่องของตระกูลอวิ๋นกับตระกูลเมิ่งด้วย! ตระกูลอวิ๋นของพวกเราแม้ว่าจะเป็นหนึ่งในห้าตระกูลเทพอสูร แต่ก็เพิ่งตั้งถิ่นฐานที่เมืองตงหนิงได้เพียงสิบปี คนในตระกูลก็มีเพียงไม่กี่สิบคน รากฐานยังเปราะบาง แต่ตระกูลเมิ่งเป็นตระกูลเทพอสูรที่หยั่งรากลึกที่เมืองตงหนิงมาหลายพันปี คนในตระกูลก็มีมากกว่าหมื่น! บิดาเมิ่งชวน ‘เมิ่งต้าเจียง’ ก็เป็นว่าที่ผู้นำตระกูลคนถัดไปของตระกูลเมิ่ง และเจ้าก็เป็นเด็กสาวเพียงคนเดียวในรุ่นที่สามของตระกูลอวิ๋น เจ้ากับเมิ่งชวนต้องแต่งงานกัน ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเมิ่งกับตระกูลอวิ๋นจึงจะได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น นี่คือประโยชน์อย่างมากสำหรับตระกูลอวิ๋น”
“ท่านปู่ก็ฝึกฝนจนกลายเป็นเทพอสูรแล้วนี่” อวิ๋นชิงผิงคัดค้านออกมา “มีท่านปู่อยู่ด้วย ใครจะกล้าลงมือกับตระกูลอวิ๋น! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วทำไมจะให้ข้าใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายขึ้นหน่อยมิได้?”
“สะดวกสบาย? สะดวกสบายคือให้เจ้าสามารถแต่งงานกับใครก็ได้ ที่เจ้าอยากจะแต่งด้วยนะหรือ?” อวิ๋นฝูอันแค่นเสียงหัวเราะ
“ทำไม ไม่ได้เหรอ?” อวิ๋นชิงผิงกล่าวอย่างดื้อรั้น “เพื่อตระกูล ก็ต้องเสียสละข้าอย่างนั้นเหรอ? ท่านพ่อ พวกท่านไม่รู้สึกละอายใจบ้างเลยหรือ?”
“หุบปาก!”
อวิ๋นฝูอันลุกขึ้นยืน ก่อนจะชี้นิ้วใส่บุตรสาวแล้วตะคอกออกมาว่า “อวิ๋นชิงผิง เวลาเจ้าอยากออกไปเที่ยวเล่น ยามและข้ารับใช้ต่างก็ติดตามเจ้าไปเป็นกลุ่ม เจ้าอยากกินปลามังกรในฤดูหนาว ก็มีใครบางคนจัดการหามาให้เจ้า เจ้าอยากฝึกฝนโดยไม่ต้องกังวล ทรัพยากรอันล้ำค่าส่วนใหญ่ก็ให้เจ้าใช้ เพื่อให้เจ้าสามารถทะลวงขั้นชำระแก่นแท้ในปีนี้ ข้าเชิญยอดฝีมือให้มาชี้แนะเจ้าแบบตัวต่อตัว เจ้าอ่อนแอ ข้าก็เชิญยอดฝีมือขั้นก่อกำเนิดถึงสามคนมาคุ้มครองเจ้าในที่มืด ค่าใช้จ่ายในการเชิญยอดฝีมือขั้นก่อกำเนิดเดือนหนึ่งต้องใช้เงินถึงห้าร้อยสองตำลึง และยังมีสมบัติอื่นๆอีกมากมาย…”
“เพื่อสิ่งที่เจ้าเรียกว่าสะดวกสบายไร้ความกังวล เจ้ารู้ไหมว่าตระกูลต้องเสียไปมากเท่าไหร่?” อวิ๋นฝูอันจ้องบุตรสาวตาเขม็ง
อวิ๋นชิงผิงนิ่งงัน
นางไม่ได้โง่
เพียงครุ่นคิดเล็กน้อย ก็รู้ว่าเพื่อรักษาชีวิตสะดวกสบายเช่นนี้ ตระกูลต้องใช้จ่ายไปกับนางจนน่าตกใจ
“เจ้าได้รับผลประโยชน์จากตระกูลไปมากมาย เมื่อจำเป็นที่จะต้องแบกรับภาระเจ้าก็ควรรับผิดชอบ!” อวิ๋นฝูอันตะคอกใส่อย่างเกรี้ยวกราด “คิดแต่จะรับประโยชน์ โดยไม่ต้องทำอะไร? เพ้อฝันสิ้นดี!”
“อีกเรื่อง ข้ารู้ว่ามีเด็กหนุ่มคนหนึ่งในสำนักของเจ้า ชื่อจางชงใช่ไหม ช่วงนี้เขาเอาใจใส่เจ้าน่าดูเลยสิ?” อวิ๋นฝูอันยกยิ้มอย่างเย็นชา “เจ้าหนุ่มนั่นเป็นสายรองของตระกูลจาง คงคู่ควรที่จะแต่งงานกับบุตรสาวของอวิ๋นฝูอันผู้นี้สินะ ไม่ต้องส่องกระจกก็น่าจะดูออกว่าตัวเจ้านั้นไม่มีค่าอะไร!”
“ท่านพ่อ ข้ากับศิษย์พี่จางไม่ได้มีอะไรกัน…” อวิ๋นชิงผิงพยายามอธิบาย
“หากข้าพบว่าพวกเจ้าล้ำเส้น และทำให้หน้าตาของตระกูลอวิ๋นของข้ากับตระกูลเมิ่งแปดเปื้อน ไม่เพียงแต่ที่มันจะตาย แม้แต่เจ้า! ข้าก็ตัดความสัมพันธ์พ่อลูก!” อวิ๋นฝูอันมองบุตรสาวด้วยแววตาเยือกเย็นปนน่ากลัว “เมื่อถึงตอนนั้นอย่าได้ตำหนิว่าข้าไร้หัวใจ”
อวิ๋นชิงผิงรู้สึกหนาวเหน็บไปทั่วหัวใจ
ตั้งแต่เกิดมานางไม่เคยเห็นด้านที่เย็นชาของบิดาเลย ปีนี้นางเพิ่งสิบห้าเท่านั้น
“บุตรสาวข้า” สีหน้าอวิ๋นฝูอันค่อยๆผ่อนคลาย “การแต่งงานทางการเมือง ต่อให้เขาจะน่าเกลียดหรือไร้ความสามารถ เจ้าก็ต้องแต่ง ตอนนั้นข้ากับแม่ของเจ้าก็แต่งงานกันเพราะเหตุนี้ ท่านปู่ของเจ้าเป็นผู้ตัดสิน ไม่อาจเลือกได้! อีกอย่าง เมิ่งชวนผู้นั้นก็เป็นบุคคลที่ไม่เลวเลย เจ้าโชคดีมากแล้ว”
พูดจบ อวิ๋นฝูอันก็เหลือบมองไปที่รุ่ยจู๋สาวใช้ที่ยืนตัวสั่นงันงกอยู่ด้านหลังของบุตรสาว แล้วกำชับไปประโยคหนึ่งว่า “รุ่ยจู๋ จับตาคุณหนูของเจ้าไว้ให้ดี อย่าให้นางทำผิดพลาดไป”
“เจ้าค่ะ” รุ่ยจู๋รีบตอบกลับ
อวิ๋นฝูอันจึงสะบัดแขนเสื้อเดินจากไป
อวิ๋นชิงผิงยืนอยู่กับที่ นางมองเงาร่างที่เดินจากไปของบิดา ในพลันนึกประโยคหนึ่งขึ้นมา “แม้แต่เจ้า! ข้าก็ตัดความสัมพันธ์พ่อลูก! เมื่อถึงตอนนั้นอย่าได้ตำหนิว่าข้าไร้หัวใจ” ประโยคนี้กระตุ้นความหวาดหวั่นให้กับอวิ๋นชิงผิงเป็นอย่างมาก
นางรู้สึกว่า โลกนี้แตกต่างจากที่นางเคยคิดมาตลอดหลายปี