ทันใดนั้นฉินซางยังไม่เข้าใจความหมาย แต่กลับเป็นฉินห้าวเสียอีกที่นานทีสมองจะไวสักครั้ง เข้าใจในพริบตา พูดเสียงกร้าวกับเซี่ยงชินชินที่อยู่ด้านข้างทันที “ตั้งแต่วันนี้ต่อไป มึงไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลฉินอีก!”
“เดี๋ยวทนายจะส่งหนังสือข้อตกลงการหย่ามา ถ้ายังรู้จักดีชอบก็รีบเซ็นซะ! ไม่งั้น…มึงก็อย่าหวังว่าจะลงเอยดีๆ เลย!”
เซี่ยงชินชินราวกับถูกฟ้าผ่ากลางแจ้ง มองฉินห้าวตาค้าง “คุณ..คุณพี่ คุณพี่ทำอย่างนี้กับฉันได้ยังไง?”
ฉินห้าวมองเธอด้วยความรำคาญ “ใครเป็น ‘คุณพี่’ ของตัวกาลกิณีอย่างมึงกัน?!”
“วันนี้เกือบถูกมึงทำตายแล้วไหมล่ะ ถ้ายังปล่อยนานไป ชีวิตกูไม่ต้องอยู่ในมือมึงหรอกเหรอ?”
เซี่ยงชินชินเหม่อลอยไปทันที นั่งเผละอยู่กับพื้น เธอรู้ดี หากไม่มีฐานะสะใภ้ตระกูลฉิน เกียรติยศชื่อเสียงที่เคยมีก็ต้องสูญสิ้น
“พี่ใหญ่ พี่ว่าแบบนี้ดีไหมครับ?”
เมื่อเคลียเรื่องจบ ฉินห้าวก็มองฉินซางอย่างประจบ ส่วนฉินซางก็มองเซี่ยงเส้าหลง เซี่ยงเส้าหลงไม่เผยอารมณ์ใดๆ แต่เมื่อเห็นสภาพนี้แล้วฉินซางก็โล่งอกไปที “ไสหัวกลับไปสำนึกผิดที่บ้าน ถ้ากล้าออกบ้านโดยไม่มีคำสั่งฉันแม้แต่ก้าวเดียว ฉันจะตัดขาแกทิ้งซะ!”
“ครับ! ครับ! ผมจะกลับบ้านเดี๋ยวนี้แหละ!”
ฉินห้าวเร่งพาคนของตัวเองเผ่นไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นฉินซางก็มองเซี่ยงเส้าหลง “นายพลน้อยครับ ที่ผมออกบ้านมาวันนี้ก็เพราะมีธุระของตระกูล รู้ว่านายพลน้อยอยู่ที่นี่ก็เลยตั้งใจมาเยี่ยมเยือน แต่ด้วยเวลาที่จำกัด ไม่อาจอยู่ต่อได้ ไว้ธุระผมเรียบร้อยแล้วต้องกลับมาดื่มกับท่านให้หนำใจไปเลยครับ!”
เซี่ยงเส้าหลงพยักหน้ายิ้ม “ได้! ฉันจะไปส่ง!”
ฉินซางไม่ได้ปฏิเสธ ทั้งสองพูดคุยกันตลอดทาง เดินไปทางที่จอดรถใต้ดิน แต่เมื่อเดินเลี้ยวมุมแล้วไฟก็ดับพรึบ เสียงฝีเท้าดังลั่น ครั้นแล้วชายกำยำล่ำสันกลุ่มหนึ่งก็ขวางอยู่หน้าเซี่ยงเส้าหลงด้วยอาวุธครบมือ
“แกก็คือเซี่ยงเส้าหลง?”
ชายกำยำหัวล้าน ปากคาบไม้จิ้มฟันที่เป็นหัวหน้า ทำหน้าวางอำนาจ
ฉินซางที่อยู่ด้านข้างสายตานิ่งทันที ขณะที่จะก้าวหน้าไป เซี่ยงเส้าหลงก็ยื่นมือขวางแล้วทำหน้าหยิบหยอกมองเขา “ผมเอง แล้วยังไง?”
“เหอะๆ…ในเมื่อยอมรับก็ง่ายหน่อย”
“มีคนจ้างให้ฉันมาเชิญแกไปด้วยหน่อย ถ้ายังรู้ความก็ตามพวกเราไปดีๆ ถ้าพูดไม่รู้เรื่อง… เหอะๆ งั้นฉันก็ต้องยืดเส้นยืดสายหน่อยแล้ว”
ขณะที่เซี่ยงเส้าหลงกำลังจะพูด ทันใดนั้นก็มีเสียงดังมาจากข้างหลัง “พวกคุณทำอะไรกันน่ะ?!”
เมื่อเสียงดังมา ชายล่ำเตี้ย ผิวคล้ำเล็กน้อยที่สวมชุดเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็เดินมาจากด้านหลัง
เมื่อเห็นการแต่งกายของเขา ชายหัวล้านก็หงุดหงิด “ไอ้ยามหน้าเหม็น ไม่ใช่กงการอะไรของแก ไม่อยากตายก็ไสหัวไปซะ!”
แต่ใครจะรู้ว่าเขากลับไม่ตกใจหนี ทั้งยังขวางอยู่หน้าเซี่ยงเส้าหลงกับฉินซาง แล้วพูด “พวกคุณเป็นผู้อาศัยที่นี่ใช่ไหมครับ?”
“ผมเป็นยามของที่นี่ ชื่อหลัวผิง พวกคุณวางใจเถอะครับ ผมต้องประกันความปลอดภัยของพวกคุณแน่!”
จากนั้นก็หันไปทางชายหัวล้าน พูดอย่างผดุงความยุติธรรม “พวกคุณโปรดรีบออกไปด้วย! ไม่งั้น…ผมจะแจ้งความ!”
“โอ้โห…ไม่กลัวตายจริงด้วยไอ้สัส!”
ชายกำยำหัวล้านพลันหัวเราะ “ไอ้ยามหน้าเหม็น มึงรู้ไหมว่ากูเป็นคนของใคร?!”
“ท่านกุ้น ผู้มีอำนาจแห่งโลกไต้ดินเมืองอ๋องเซี่ยง เคยได้ยินไหม?”
หลัวผิงทำหน้าจริงจัง “ผมไม่สนใจว่าคุณจะเป็นท่านอะไร แต่ที่นี่เป็นเขตความรับผิดชอบผม ผมจะไม่ยอมให้ผู้อาศัยที่นี่ได้รับอันตรายแม้แต่นิดเดียว!”
“ผมจะบอกอีกครั้งนะครับ ขอให้พวกคุณไปจากที่นี่เดี๋ยวนี่!”
“ไอ้ยามหน้าเหม็น! ไว้หน้าแล้วยังไม่รู้จักรักษาหน้า!”
ชายกำยำหัวล้านอารมณ์ขึ้นทันที “ทุกคน จัดการมันซะ!”
คนที่ชายกำยำหัวล้านพามาล้วนเป็นผู้ร้ายเดนตายทั้งนั้น แต่ละคนล้วนถืออาวุธพุ่งมาทางหลัวผิง เมื่อนั้นฉินซางก็รู้สึกดีกับยามคนนี้เล็กน้อย แต่ขณะที่จะเข้าไปช่วย เซี่ยงเส้าหลงก็ยื่นมือขวางไว้ ดวงตานิ่ง “เดี๋ยว”
หลัวผิงไม่หวาดหวั่นสักนิด ยืนมั่นดั่งต้นไม้หยั่งราก เมื่อชายกำยำเข้ามาใกล้ตัวถึงได้ออกแรงข้อมือไป ตั้งเอวมั่นแล้วเหวี่ยงไหล่ ทันใดนั้นชายกำยำที่หนักไม่ต่ำกว่าร้อยกิโลกรัมก็ปลิวออกไปสามเมตรราวกับถูกรถยนต์พุ่งเข้ามาชน! ฉินซางเลิกคิ้วทันที “เป็นกังฟู?”
เซี่ยงเส้าหลงยิ้มบาง “หมัดแปดทิศ ชิดบรรพต!”
“บาทาดุจขุนเขา บ่าไล่มีพลองฟ้า! กังฟูของเขาคงฝึกมาไม่ต่ำกว่าสิบปีแน่!”
ชายกำยำที่ดูแข็งแกร่งแต่ละคน หาใช่คู่ต่อสู้ของหลัวผิงไม่ ชิดบรรพตสำคัญที่หนึ่งแรงพิชิตสิบ เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ที่มีกำลังทัดเทียม จะต้องโค่นในคราวเดียวจบ
ฟืบ!
แต่ทันใดนั้นร่างกายหลัวผิงก็ชะงักกึก เหนือหน้าผากมีปากกระบอกปืนเย็นเฉียบจ่อเขาอยู่
“เอาอีกสิ! มาเลย!”
“เก่งมากไม่ใช่เหรอไง?”
ชายหัวล้านถือปืน มองหลัวผิงด้วยท่าทางโอหัง
แม้จะเป็นกังฟู แต่เมื่อถูกปืนจ่อศีรษะในระยะประชิดอย่างนี้ หลัวผิงก็ไม่กล้าขยับเหมือนกัน
“ไอ้สัส! ไอ้ยามหน้าเหม็น! คิดว่าตัวเองเป็นใครฮะ?!”
“ถ้ากูต้องการให้แกตาย ก็ง่ายยิ่งกว่าเหยียบแมลงซะอีก!”
“ตอนนี้ คุกเข่าลง!”
หลัวผิงหน้าแดงก่ำ ถลึงตาแค้นใจ
“แหม ยังกล้าจ้องกูอีกแน่ะไอ้สัส เชื่อไหม? กูจะให้มึงตายเดี๋ยวนี้แหละ!”
หลัวผิงกัดฟันแน่น เขาฝึกยุทธ์มาแต่เด็กจนความกล้าฝังลึกอยู่ในจิตใจ หากลำพังเขาคนเดียวก็ยอมตายเสียดีกว่าจะก้มหัว แต่เมื่อคิดว่ายังมีแม่ชราที่ล้มหมอนนอนเสื่อ ยังต้องอาศัยเงินเดือนอันน้อยนิดของเขาดำรงชีพแล้ว…เขาไม่ได้กลัวแต่ แต่ไม่อาจตาย และตายไม่ได้ต่างหาก!
เมื่อคิดถึงจุดนี้ ใบหน้าเขาก็ขมขื่น จากนั้นเข่าทั้งสองก็ค่อยๆ ย่อลง
ก็ขณะที่เขากำลังจะคุกเข่าลงพื้น มือคู่หนึ่งก็จับบ่าเขาไว้ จากนั้นใบหน้าสัตย์จริงของเซี่ยงเส้าหลงก็สะท้อนอยู่ในดวงตาเขา “สหาย เข่าลูกผู้ชาย คุกเข่าให้แค่ฟ้าดินกับพ่อแม่เท่านั้น คนชั่วแบบนี้เหรอจะคู่ควร?”
หลัวผิงคัดจมูกเกือบน้ำตาไหล เขาเป็นแค่ยามด้อยความรู้ ไปถึงไหนก็มีแต่คนดูถูก แต่คำพูดประโยคนี้ของเซี่ยงเส้าหลงกลับทำให้เขาฮึกเหิมขึ้นมา!
เพราะเซี่ยงเส้าหลงเห็นเขาเป็นคนคนหนึ่ง มอบศักดิ์ศรีที่ลูกผู้ชายคนหนึ่งควรมี!
“ไอ้สัส! ไอ้ลูกหมา! มึงว่าใครเป็นคนชั่วฮะ?!”
ชายกำยำหัวล้านบันดาลโทสะทันที หันลำปืนเล็งไปที่เซี่ยงเส้าหลง
ดวงตาเซี่ยงเส้าหลงสงบนิ่ง “ผมจะเตือนคุณไว้ก่อนนะ อย่าเอาปืนมาชี้ผม”
“ไอ้สัส! กูจะเอาปืนชี้มึงนี่แหละ มึงจะทำไม?!”
ชายหัวล้านถือปืน วางกล้าม
ฟืบ!
เงาหนึ่งผ่านไปในแวบเดียว ชายหัวล้านรู้สึกเหมือนมีอะไรแวบๆ จากนั้นมือก็อ่อนแรงลง เมื่อได้สติกลับคืนมาก็เห็นฉินซางถือปืนเล็งมาที่ศีรษะตัวเอง
ทหารที่สามารถอยู่ข้างตัวเซี่ยงเส้าหลงได้ มีใครบ้างที่ไม่เยี่ยมยอดเก่งทั้งบุ๋นและบู้?
“นายพลน้อยครับ จัดการมันเลยไหมครับ?”
ดวงตาฉินซางเย็นยะเยือก
ถึงเขาจะออกจากกองทัพชายแดนเหนือแล้ว แต่ชายแดนเหนือมีคำสั่งประกาศิตที่ไม่ได้บันทึกไว้ ใครก็ตามที่ไม่เคารพนายพลน้อย ฆ่าไม่เว้น!
นัยน์ตาเซี่ยงเส้าหลงแวบความเย็นเฉียบ “ความผิดไม่ถึงตาย นิดหน่อยก็พอ!”
“รับทราบ!”
ฉินซางหรี่ดวงตา ทันใดนั้นข้อมือทั้งสองที่ราวกับเหล็กกล้าก็จับมือของชายหัวล้านที่ถือปืนอยู่ ทำเอาชายหัวล้านตะลึงงัน “ไอ้สัส! มึงจะทำอะไร กูเป็น…”
“อ๊าก!”
แกรก! ตามเสียงน่าอนาถนั้น ข้อมือของชายกำยำก็ถูกฉินซางหักทันที จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “แกน่าจะดีใจนะที่นายพลน้อยไม่ถือสา ไม่งั้น…แค่ที่แกกล้าใช้ปืนชี้นายพลน้อย ฉันก็จะทำให้แกต้องตกนรกทั้งเป็นแล้ว!”
ไม่ว่าจะเป็นใครมาก่อน แต่เมื่อเข้ามาอยู่ในกองทัพชายแดนเหนือแล้วก็จะประทับตราชายแดนเหนือตลอดชีวิต สำหรับเซี่ยงเส้าหลง นั่นเป็นความศรัทธาที่สลักอยู่ในก้นบึ้งของจิตใจ ไม่ว่าใครก็ล่วงเกินไม่ได้
“มึง…มึงกล้าหักมือกู?!”
ชายหัวล้านกุมมือที่หัก สีหน้าเคียดแค้น “หรือว่าไม่กลัวท่านกุ้นจะจัดการพวกมึงหรือไง?!”
“ท่านกุ้น?”
ฉินซางยิ้มเย็นไม่แยแส “ให้เขาลองดูก็ได้นี่”
“ได้! มึงกล้ามาก!”
ชายหัวล้านโทรศัพท์ทันที พูดไปไม่นานก็วางสาย จากนั้นก็ยิ้มเย็นพูด “ไอ้ลูกหมา ท่านกุ้นจะมาเดี๋ยวนี้แหละ! อีกเดี๋ยว มึงก็จะได้รู้ว่าอะไรที่เรียกว่าผลกรรมของความวู่วาม!”
เป็นจริงดังนั้น ไม่นานก็มีคนหลายสิบคนเดินเข้ามาอย่างอุกอาจ คนที่เป็นหัวหน้าหน้าบวมตุ๊ต๊ะ ปากคาบซิการ์ เสียงมาก่อนที่คนจะมาถึงก็มาก่อน “ใครวะที่อยากตาย! กล้ามาแตะลูกน้องกู?”
“ท่านกุ้น พวกมันครับ!”
ชายหัวล้านกุมมือที่หัก ชี้ฉินซาง พูดเสียงดัง “ท่านกุ้น! ต้องจัดการให้พวกเราด้วยนะครับ! มีคนกล้ามาหักมือผมในถิ่น นี่มันตั้งตัวเป็นศัตรูกับท่านกุ้นชัดๆ!”
ฉินซางหันกลับไปช้าๆ สองมือไขว้หลัง มองหน้าตาของท่านกุ้นแล้วพลันหัวเราะ “อ้อ นายก็คือท่านกุ้น?”
ซิการ์ในปากท่านกุ้นร่วงลงกับพื้นทันที เขาเบิกตาโพลง ทำหน้าตะลึง
“บังอาจ! เห็นท่านกุ้นแล้วยังไม่คุกเข่าคารวะอี·ก?!”
เพียะ!
ท่านกุ้นตบชายหัวล้านกระเด็นทันที จากนั้นไขมันก็สั่นกระเพื่อมไปทั้งตัว วิ่งต๊อกๆ มาอยู่หน้าฉินซาง ทำหน้าประจบ “คุณชายฉิน ได้มาพบคุณที่นี่ กุ้นน้อยดีใจจังเลยครับ!”