บทที่ 199 การแข่งขัน (2)
หนานหรงชินหวางองดูหลัวซิวในเวทีแข็ขัน และพูดอย่างเคร่งขรึม “เจ้ามีอะไรจะพูด”
เผชิญกับคำถามของราชายุทธ์หลายคน สีหน้าหลัวซิวไม่ได้เปลี่ยน ทำความคำรบต่อหนานหรงชินหวาง เอ่ยเสียงราบเรียบ “ข้าทำเพื่อคือการช่วยคนขอรับ”
“ตลก แข็งขันไม่สนความเป็นตาย หากใครๆก็สามารถช่วยคนได้ การแข่งขันจะไม่เป็นเรื่องตลกหรอกหรือ?” เหลยเว่ยหลงกล่าวพร้อมกับเยาะเย้ย
“งั้นก่อนหน้านี้มีคนช่วยชีวิตของเฉิงเซวียน หมายถึงอะไรขอรับ?” หลัวซิวโต้กลับอย่างเย็นชา
ทันทีที่คำกล่าวนี้ออกมา ปรมาจารย์ระดับ 5 ของแก๊งนักค่ายกลก็ขมวดคิ้วทันที
“เจ้าเป็นแค่ชายหนุ่มอายุน้อยคนหนึ่งเท่านั้น มีสิทธ์อะไรเทียบกับราชาจอมยุทธ์ได้? ” เหลยเว่ยหลงเยาะเย้ยอย่างดูถูก
หลัวซิวเพิกเฉยต่อการยั่วยุของเหลยเว่ยหลง สายตามองไปยังหนานหรงชินหวาง
ทุกอย่างในการต่อสู้เพื่อแย่งชิงโควต้าเ ป็นท่านผู้นี้ที่เป็นจอมยุทธ์แข็งแกร่งของราชวงศ์กษัตริย์มาเป็นผู้จัด
หนานหรงชินหวางขมวดคิ้ว “ถ้าไม่มีกฎเกณฑ์ จะไม่สามารถสร้างความแข็งแกร่งส่วนรวมได้ เว้นแต่ฝ่ายใดที่อยู่ในการแข่งขันจะยอมรับความพ่ายแพ้ ไม่มีอย่างนั้นจะไม่มีใครสามารถเข้าไปยุ่งได้ หลัวซิวและอาจารย์จู่วช่าว เข้ามาขวางการแข่งขัน ถือเป็นการละเมิดกฎ พวกเจ้าสองคนเอาหินพลังจิตออกมาคนละหนึ่งหมื่นชดเชยให้อีกฝ่าย”
ขณะพูด หนานหรงชินหวางกวาดสายตาไปทั่วผู้คน “หากใครกล้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวการแข่งขันอีก อย่าโทษข้าที่ลงโดยอย่างไร้จิตใจ!”
คำพูดของหนานหรงชินหวางนี้ ใครๆ ก็ฟังออกว่าเขาลำเอียงต่อหลัวซิว
“ท่านชินหวางนี่…”
ขณะที่เหลยเว่ยหลงกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ก็เห็นดวงตาที่เย็นชาของหนานหรงชินหวางที่มองมา “เจ้าสงสัยการตัดสินใจของข้าหรือ?”
สีหน้าของเหลยเว่ยหลงแข็งกระด้าง เขาพูดคำว่าไม่กล้าซ้ำกันหลายรอบ เขาทำได้เพียงกลืนคำที่จะพูดลงไปในท้อง
หลัวซิวหยิบแหวนเก็บของออกมาแล้วโยนให้หวางชวนที่อยู่ตรงข้ามโดยไม่พูดอะไรทันที
หวางฉวนคนนี้ เห็นได้ชัดว่าพ่ายแพ้แล้ว แต่เขากลับลอบโจมตี หากไม่ใช่สถานการณ์เป็นอย่างนี้ หลัวซิวจะไม่เลือกการประนีประนอมอย่างนี้
“อาจารย์จู่วช่าวมีข้อโต้แย้งใด ๆ ต่อการตัดสินใจของข้าหรือไม่?” หนานหรงชินหวางมองไปยังปรมาจารย์ระดับ 5 ซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ
ชายชราผู้มีชื่อว่าจู่วช่าวหยิบแหวนเก็บของออกมาทันที สะบัดนิ้วของเขา แหวนก็กลายเป็นลำแสงและบินไปที่หลัวซิวที่อยู่บนเวทีแข่งขัน
หลังจากนั้น หนานหรงชินหวางก็พูดอีกครั้ง “ข้าประกาศว่า หวางฉวนชนะการต่อสู้ในครั้งนี้!”
ไม่มีใครคัดค้านการตัดสินใจของหนานหรงชินหวาง แม้ว่าเหยียนซีโร่วดูเหมือนจะชนะ แต่หวางฉวนก็ฉวยโอกาสลอบโจมตีเพราะความฟุ้งซ่านของนาง
สีหน้าของหวางฉวนแสดงออกถึงความยินดี เขาไม่ได้คาดหวังว่าสถานการณ์สุดท้ายจะพลิกผันเช่นนี้ ได้โควตาแดนปริษา แล้วยังได้หินพลังจิตเป็นการชดเชยอีกด้วย
“อาจารย์ ข้า…” เหยียนซีโร่วดูเศร้าใจ
“ฮึ่ม!” ไป่หุ้ยเหลียน เหลือบมองหลัวซิวอย่างเย็นชา หากไม่ใช่เขา เหยียนซีโร่วก็จะไม่ฟุ้งซ่านในการแข่งขัน ทำให้คู่ต่อสู้ของนางสามารถใช้ประโยชน์จากมันได้
แต่นางเพิกเฉยเรื่องที่หากว่าไม่ใช่หลัวซิวให้เหยียนซีโร่วยืมดาบ เหยียนซีโร่วจะไม่สามารถชนะหวางฉวนได้
ใจคนเป็นอย่างนี้ มีแต่จะโยนความรับผิดให้ผู้อื่น
เรื่องนี้เป็นเพียงการรบกวนเล็กน้อยในการแข่งขันเท่านั้น แม้ว่าหนานหรงชินหวางจะตั้งใจลำเอียงหลัวซิว แต่เขาก็ยังคงยุติธรรมในเรื่องการตัดสินใจ
การแข่งขันยังคงดำเนินต่อไป ยกเว้นสวีเสว่ที่เคยชนะการท้าทายแข็งขันแล้วได้รับโควต้าก่อนหน้านี้ คนอื่นๆ ทั้งหมดล้มเหลวในการท้าทาย
ผู้ชนะทั้งสิบคน แต่ละคนได้รับเหล็กสี่เหลี่ยมเล็กๆที่สลักคำว่า ‘เทียนหวู’ หนึ่งปีข้างหน้าหลังจากประตู้เข้าสู่แดนปริศนาได้เปิด ผู้ถือเหล็กสี่เหลี่ยมเล็กๆนี้ สามารถไปที่เมืองหลวงและรับคุณสมบัติเพื่อเข้าสู่แดนปริษาได้
หลังจากผ่านการแข่งขัน การต่อสู้เพื่อชิงโควต้าได้สิ้นสุดลง และรับรองรายชื่อสิบคนสุดท้าย
อีกหนึ่งปีถึงจะเปิดประตูสู่แดนปริษา ซึ่งหมายความว่าสิบคน รวมทั้งหลัวซิว ยังมีเวลาอีกหนึ่งปีในการฝึกฝนความแข็งแกร่งของพวกเขาให้เพิ่มขึ้นอีกด้วย
สำหรับเหล็กสี่เหลี่ยมเล็กๆเทียนหวู ไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครกล้าแย่งชิง หากมีผู้ใดกล้าทำเช่นนั้น จะทำให้ตระกูลฝานของราชวงศ์กษัตริย์ไม่พอใจ ไม่ต้องพูดถึงการเข้าสู่แดนปริศนานี้ และจะถูกไล่ล่าสังหารจากราชวงศ์ผู้แข็งแกร่ง
ตามความตั้งใจของหัวหน้าเสิ่นหยวนหนาน คือหลังจากที่หลัวซิวกลับไปแล้ว ก็ฝึกฝนอยู่ที่เขตการปกครองโตว้ไห่อย่างตั้งใจ พยายามให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นก่อนที่แดนปริศนาจะเปิด
และหลังจากการแข่งขันจบลง มีผู้คนมากมายมาที่องค์กรนักล่ายุทธ์ไม่หยุด ในนามกองกำลังใหญ่เพื่อมาชักชวนหลัวซิวให้เข้าร่วมกองกำลังใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังพวกเขา
ในประเทศเทียนหวู มีสิบตระกูลชนชั้นสูงและหกสำนักที่มีอำนาจมากที่สุด ราชวงศ์ ตระกูลฝานนั้นเป็นตระกูลแรกในสิบตระกูลชนชั้นสูง และฐานะใหญ่มากที่สุด
หนานหรงชินหวางมาพบหลัวซิว ไม่ได้พูดถึงเรื่องของยาหิมะแย้ม และเงื่อนไขในการชักชวนเขาก็สูงมาก
หลัวซิวไม่ตอบตกลงและไม่ได้ปฏิเสธ เพียงแต่กล่าวว่าเขาจะพิจารณาเข้าร่วมกองกำลังหลังจากที่เขาออกมาจากแดนปริษาในหนึ่งปีข้างหน้า
ในเวลาเดียวกัน หลัวซิวได้ข่าวว่าคนของสำนักไป๋ซิงกู่ ได้ออกจากเขตการปกครองชิงฮัวแล้ว เหยียนซีโร่วไม่ได้มาหาเขา
ข่าวนี้ทำให้สีหน้าของหลัวซิวขรึมลงทันที เพราะดาบระดับกลางที่เขาให้เหยียนวีโร่วยืม ก็ถูกคนของสำนักไป๋ซิงกู่
หลัวซิวไม่ได้สงสัยว่าเหยียนซีโร่วไม่อยากคืนดาบ ต้องเป็นผู้ที่แข็งแกร่งของสำนักไป๋ซิงกู่พบว่าเป็นกาบและเกิดความโลภ ขึ้นมา ดังนั้นจึงจากไปโดยไม่บอกลา ไม่พูดอะไรกับเขาสักคำก็จากไปโดยตรง
อย่างที่ทุกคนทราบกันดี แม้ว่าหลัวซิวจะเป็นสมาชิกที่มีพรสวรรค์และความสามารถขององค์กรนักล่ายุทธ์ แต่เขาไม่มีอำนาจเบื้องหลังใดๆ ก่อนที่เขายังไม่แข็งแกร่งพอ จะไม่มีใครกลัวเขาจริงๆ
เรื่องของกระบี่ยุทธ์ หลัวซิวไม่ได้รีบไปตาม แม้ว่าเขาสามารถขอให้หัวหน้าเสิ่นหยวนหนานออกหน้าแทนเขา แต่กระบี่ยุทธ์ระดับกลางก็เพียงพอที่จะทำให้คนสำนักไป๋ซิงกู่หักหน้าได้
“ของของข้า จะเอาได้ง่ายอย่างนั้นหรือ?”
หลัวซิวทิ้งเรื่องนี้ไว้ชั่วคราว ข้างหน้ายังมีโอกาสให้สำนักไป๋ซิงกู่เอาคืนมาอย่างเชื่อฟัง
ก่อนจากไป หนานหรงชินหวางได้วางจดหมายรับรองให้หลัวซิว ด้วยจดหมายรับรองนี้ เขาสามารถไปยังเมืองหลวงของประเทศเทียนหวู และเข้าไปฝึกฝนในวิทยาลัยพระวงศ์
วิทยาลัยพระวงศ์เป็นที่ที่ตระกูลฝานของราชวงศ์ เพื่อปลูกฝังนักอัจฉริยะ มีสถานที่และวัสดุการฝึกฝนที่ดีที่สุด ดีกว่าสำนักอื่นๆ
ในบรรดาสมาชิกที่มีความสามารถขององค์กรนักล่ายุทธ์ ยกเว้นหลัวซิว ในพื้นที่สิบสามเขตการปกครอง มีเซี่ยหย่ง เท่านั้นที่ได้รับโควตาเข้าไปในแดนปริศนา
การต่อสู้เพื่อแย่งชิงได้สิ้นสุดลง กองกำลังทั้งหมดที่รวมตัวกันในเขตการปกครองชิงฮัวได้แยกย้ายกันไป
หลัวซิวถูกหัวหน้าเสิ่นหยวนหนานพาใช่ค่ายกลการเคลื่อนย้าย กลับไปยังเขตการปกครองโตว้ไห่
########################
บทที่ 198 การแข่งขัน (1)
เฉิงเซวียนสูดหายใจเข้าลึก ๆ ใบหน้าของเขาซีดและพูดอย่างไม่เต็มใจ
เสียงปรบมือดังขึ้นจากล่างเวทีแข่งขัน เนื่องจากการต่อสู้นั้นยอดเยี่ยมมาก หลัวซิวได้แสดงความแข็งแกร่งของตนเองออกมาอย่างแท้จริง และด้วยดาบที่ทำจากพลังจิตแท้ของเขา เอาชนะปรมาจารย์นักค่ายกลระดับ 4 ได้
การแข่งขันดำเนินต่อไป และในไม่ช้าก็ถึงตาเหยียนซีโร่ว
คู่ต่อสู้ที่นางเลือกคือจอมยุทธ์นักฝึกจิตขั้น 2 ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 7 ในบรรดาจอมยุทธ์อายุน้อย ชื่อ หวางฉวน
เหยียนซีโร่วก้าวเข้าสู่เวทีแข่งขัน ทันใดนั้นก็ดึงดูดความสนใจของทุกคน นางสวมชุดยาวสีขาว ถือดาบอยู่ในมือ ชุดของนางกระพือไปมาราวกับนางฟ้า
“คนงาม แม้ว่าพลังของเจ้าไม่ได้อ่อนแอ แต่เลือกข้าเป็นคู่ต่อสู้ คือความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดของเจ้า”
บนหลังของหวางฉวน แบกหอกสงความสีเขียวอยู่ข้างหลังเขา ดวงตาของเขาเฉียบคมราวกับมีด
เหยียนซีโร่วไม่พูดอะไร แค่ลูบกระบี่ยุทธ์ที่หลัวซิวมอบให้ ดูเหมือนว่ามีกระบี่ยุทธ์เล่มนี้อยู่เคียงข้าง สามารถทำให้นางไม่เกรงกลัวความยากลำบากใดๆ
“เริ่มเถอะ” ดวงตาคู่สวยเผยความเฉยเมย จ้องไปที่คู่ต่อสู้อย่างเย็นชา
“บูม!”
หวางฉวนส่งเสียงเย็นชาออกมา เหยียบพื้นด้วยฝ่าเท้าของเขา และหอกสงครามพุ่งออกไปราวกับมังกรเขียวคำรามอย่างดุดัน พุ่งเข้าหาเหยียนซีโร่ว
“แคร่ง!”
กระบี่ยุทธ์ของเหยียนซีโร่วออกมาจากฝัก ดาบเคลื่อนตัวราวกับสายน้ำ และมีเจตนาฆ่าที่ซ่อนอยู่ในความงาม
ในช่วงเวลาสั้นๆ ทั้งสองต่อสู้บนเวทีหลายสิบรอบ
ร่างของหวางฉวนถอยกลับ จ้องไปที่หอกสงครามในมือด้วยสีหน้าขรึม และเห็นว่ามีรอยดาบและรอยแตกบนนั้น ได้รับความเสียหายในการต่อสู้
“ดาบคมอะไรอย่างนี้!”
หลายคนที่ดูการต่อสู้ที่อยู่ด้านล่างเวทีแข่งขัน ต่างก็มองเห็นเบาะแสเช่นกัน
หอกสงครามของหวางฉวนเป็นอาวุธระดับล่างขณะนี้ ได้รับความเสียหายหลังจากต่อสู้หลายสิบรอบ หมายความว่าดาบในมือของ เหยียนซีโร่ว เป็นอาวุธระดับสูง?
จอมยุทธ์นักฝึกจิตช่วงปลายจำนวนมากต่างเปร่งกระกายเร่าร้อนออกมา เพราะอาวุธระดับสูงเป็นอาวุธที่ราชายุทธ์ใช้กัน ปรมาจารย์ฝึกจิตส่วนมากจะใช้อาวุธระดับกลาง บางคนที่มีเบื้องหลังใหญ่ถึงจะได้ใช้อาวุธสูงเท่านั้น
อาวุธแข็งแกร่งอยู่ในมือ สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งของตนเองได้มากกว่าสองหรือสาม
และดาบในมือของเหยียนซีโร่ว เป็นดาบที่ก่อนหน้านี้หลัวซิวให้นางยืม หลัวซิวไม่ใช่อาวุธก็แข็งแกร่งแล้ว หากยังใช้อาวุธระดับสูง งั้นก็ต้องแข็งแกร่งกว่าเดิมสิ
แต่ทุกคนไม่รู้ว่าระดับของกระบี่ยุทธ์เล่มนี้ จริงๆแล้วเป็นอาวุธระดับกลาง ไม่ใช่ระดับต่ำ
แต่การฝึกฝนของเหยียนซีโร่วนั้นไม่เพียงพอที่จะกระตุ้นพลังของดาบระดับสูงนี้ ดังนั้นทุกคนจึงนึกว่ามันเป็นดาบระดับต่ำ
ดาบระดับต่ำเล่มหนึ่ง ถึงแม้ราชายุทธ์จะอยากได้ แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะเกิดความโลภ แต่ถ้าเป็นดาบระดับกลางก็จะอีกเรื่องหนึ่ง เพราะมันคืออาวุธที่ราชายุทธ์จะใช้กัน
“แคร่ง! แคร่ง! แคร่ง!”
บนเวที อาวุธประทะกันจนเกิดประกายไฟ เงาของหอกและดาบไขว้กัน ฉีกอากาศพลังจิตแท้ผันผวนอย่างรุนแรง
หากพูดถึงความแข็งแกร่งจริง เหยียนซีโร่วแย่กว่าหวางฉวนเล็กน้อย แต่ดาบระดับกลางเล่มหนึ่ง ก็เพียงพอที่จะชดเชยช่องว่างที่ไม่ได้ห่างกันมากนักได้
“ แคร่งแคร่ง!”
เสียงคมชัดดังมาจากเวทีแข่งขัน หลังจากประทะกันนับไม่ถ้วน หอกสงครามของฉวน ไม่สามารถต้านทานการฟันของกระบี่ยุทธ์ระดับกลางได้ เสียงหักดังขึ้นมา
ทันทีที่อาวุธแตกหัก การโจมตีของหวางฉวนก็หยุดลงทันที
เหยียนซิโร่ว รีบฉวยโอกาสนี้ทันที แสงดาบชี้คิ้วของคู่ต่อสู้ในทันที
สีหน้าของหวางฉวนหดหู่ลงทันที “หากเจ้าไม่ได้ใช้กระบี่ยุทธ์ระดับนี้ ข้าจะไม่แพ้ให้เจ้าเด็ดขาด”
หากการต่อสู้ครั้งนี้พ่ายแพ้ สิ่งที่จะสูญเสียคือโควตาในแดนปริศนา และในชีวิตนี้ก็จะไม่มีโอกาสอีกต่อไป
มีหยาดเหงื่อบาง ๆ ซึมออกมาบนหน้าผากของเหยียนซีโร่ว ความแข็งแกร่งของนางนั้นอ่อนกว่าหวางฉวนจริง ๆ ถ้านางใช้ดาบตัดอาวุธของคู่ต่อสู้ ผู้ที่พ่ายแพ้ก็จะเป็นนาง
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ นางก็ยิ่งรู้สึกขอบคุณหลัวซิวมากขึ้นไปอีก ดวงตาสวยอดไม่ได้ที่จะมองไปยังหลัวซิว
ขณะที่นางละสายตาไปจากเขา ดวงตาของหวางฉวนมีความเหี้ยมผุดขึ้นมา
“ระวัง!”
หลัวซิวสังเกตเห็นแล้วตะโกนเตือนทันที
เห็นหวางฉวนใส่พลังจิตแท้ลงไปในหอกที่หัก และแทงไปยังจุดตันเถียนของเหยียนซีโร่วอย่างเหี้ยมโหด
ถ้าเขาแทงลงไปสำเร็จ แม้ว่าจะไม่ตาย พลังจิตแท้ที่มาจากการฝึกฝนก็จะหายสาบสูญไป เขาช่างเลวร้ายและโหดเหี้ยมนัก
“วูบ!”
หลัวซิวใช้ตามลมล่าจันทรา ร่างราวกับแสง ไปถึงบนเวทีทันที ยื่นมือออกดึงเหยียนซีโร่วไปด้านหลัง
“ฉึก!”
หวางฉวนใช้แรงทั้งหมดในการแทง แทงลงไปบนร่างของหลัวซิวอย่างโหดเหี้ยม เลือดสาดประเด็นไปทุกที่
แม้ว่าร่างเนื้อของเขาจะถึงขั้นร่างยุทธ์ขั้นสูงสุดขีด เทียบเท่ากับร่างเนื้อระดับสูงสูง แต่ก็ไม่สามารถต้านทานการโจมตีของอาวุธระดับล่างได้โดยไร้ความเสียหาย
“ไปตายซะ!”
ละเลยบาดแผลบนร่างกาย หลัวซิวยกมือขึ้นและฟันออกไปดาบเปลวไฟดำรุกโชนถึงสิบฟุต
“พรึบ พรึบ!”
ในขณะนี้ ร่างอีกสองร่างปรากฏตัวขึ้นบนเวทีแข่งขัน คนหนึ่งคืออาจารย์ของเหยียนซีโร่ว ผู้อาวุโส ไป๋หุ้ยเหลียน ของสำนักไป๋ซิงกู่ อีกคนเป็นผู้อาวุโสของหวางฉวน และอีกคนเป็นชายชราผู้เป็นราชายุทธ์
เห็นแค่ผู้อาวุโสตระกูลหวางเอื้อมมือไปคว้า ก็บดขยี้ดาบเปลวไฟดำที่หลัวซิวฟันลงมา และปกป้องหวางฉวนให้อยู่ข้างหลังเขา
ไป่หุ้ยเหลียนก็ปรากฏตัวข้างเหยียนซีโร่วเช่นกัน
“หลัวซิว เจ้าได้รับบาดเจ็บแล้ว” เหยียนซีโร่วมองท้องน้อยของหลัวซิวที่ถูกหอกหักแทงอย่างเป็นกังวล
“ไม่ต้องกังวล เป็นแค่อาการบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น” หลัวซิวปลอบโยนเธอ และดึงหอกหักที่ออกมาโดยตรง
โชคดีที่ร่างเนื้อของเขาแข็งแกร่ง และหอกหักไม่ได้แทงเข้าจุกตันเถียนของเขา แค่บาดเจ็บเพียงเท่านั้น
“หลัวซิว เจ้าช่างกล้านัก กล้าดียังไงมาขวางการแข่งขันโดยไม่ได้รับอนุญาต!” เหลยเว่ยหลง เจ้าสำนักของสำนักเหลยหวู่ จู่ๆ ก็ลุกขึ้นยืนจากที่นั่งรับชมและตะคอกอย่างเคร่งขรึม
“การแข็งขันครั้งนี้สำคัญมาก หากสามารถเข้าไปยุ่งแบบได้ง่ายๆ มารยาทอยู่ไหน?” ผู้อาวุโสของสำนักชิงเทียนเจี้ยนก็ตะคอกด้วยท่าทีที่ไม่ดี
“หนานหรงชินหวางขอรับ ชายผู้นี้เข้ามายุ่งการแข่งขันโดยไม่ได้รับอนุญาต เขาควรได้รับการลงโทษอย่างรุนแรง!” ยังมีคนจำนวนมากที่เป็นราชายุทธ์ผู้เข้มแข็งจากกองกำลังอื่นต่างก็เห็นด้วย
“หลัวซิวเป็นการช่วยคน!” มีเพียงหัวหน้า เสิ่นหยวนหนานเท่านั้นที่โต้กลับอย่างเย็นชา
########################
บทที่ 197 ยอมรับความพ่ายแพ้
หลัวซิวเหวี่ยงดาบเปลวไฟสีดำออกไปปิดกั้นแส้ยาวงูเหลือมเลือดทั้งหกที่โจมตีจากด้านหน้า ป้องกันได้อย่างไร้ที่ติ
ทันใดนั้น แส้ยาวงูเหลือมเลือดอีกสามแส้ก็โจมตีมาอย่างรวดเร็ว
“ดาบดับสิ้น!”
สีหน้าหลัวซิวราบเรียบ เปล่งเสียงต่ำออกมา ให้ดาบฆ่าห้วงยุทธ์เพิ่มพลังในมือดาบของเขา แสงกระบี่เปลวไปดำฉีกทุอย่างเพื่อป้องกัน
เสียงคำรามดังมาจากเวทีการแข่งขัน แส้ยาวงูเหลือมเลือดหกอันที่เกิดจากค่ายกลการสังหารระดับ 4 ถูกแสงกระบี่เปลวไปดำฟันจนแตกกระจาย
ค่ายกลระดับ 4 ขั้นแรก มีพลังมากที่สุดเทียบเท่ากับระดับ 3 ของการฝึกจิต และหลัวซินในตอนนี้ แม้จะไม่ได้แสดงไพ่ตายมากมายออกมา ก็สามารถเผชิญกับฝึกจิตขั้น 4ได้
วิธีการทั้งหมดในระดับนี้ ไร้ประโยชน์สำหรับเขาทั้งนั้น
“บูม!”
หลัวซิวฟันดาบอีกครั้ง ค่ายกลระดีบ 4 ขั้นแรกก็แตกออกมา
วินาทีที่ค่ายกลถูกทำลาย หลัวซิวได้ใช้ตามลมล่าจันทรา เหมือนลำแสงวิ่งไปยังเฉิงเซวียนที่อยู่ไม่ไกล
เห็นหลัวซิวทำลายค่ายกลของตัวเองได้อย่างง่ายดาย ดวงตาของ เฉงเซวียนหรี่ลง แต่ก็อยู่ในความคิดของเขาเหมือนกัน
เพราะมีข่าวลือว่าหลัวซิวมีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับการฝึกจิตขั้น 7 หากไม่สามารถทำลายค่ายกลระดับ 4 ขั้นแรกได้ ก็ไม่สามารถผ่านด่านหอคอยมังกรบินชั้น 7 ได้
“ค่ายกล!”
เฉิงเซวียนถอยกลับอย่างรวดเร็ว และธงค่ายเก้าแสงก็บินออกจากร่างของเขาอีกครั้ง เปลี่ยนเป็นม่านแสงสีเขียวที่ปกคลุมร่างของเขา
เห็นดาบเปลวไฟดำฟันลงบนม่านแสงสีเขียว เกิดเป็นระลอกคลื่น โล่ม่านแสงผิดรูปเล็กน้อย แต่ไม่ได้แตกออกจากกัน
ค่ายกลการป้องกันระดับ 4 ขั้นกลาง!
ค่ายกลระดับนี้ มีพลังของปรมาจารย์ยุทธ์การฝึกจิตขั้นแรกแล้ว
สีหน้าของหลัวซิวไม่ได้เปลี่ยนแปลง เขาคาดเดาว่าค่ายกลระดีบ 4 ยังไม่ใช่ไพ่ตายของเฉิงเซวียน
“พลังแปรเสวียนเทียน!”
หลัวซิวใช้พลังหกเท่าโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย เหมือนกับดาบเปลวไฟดำพุ่งทะยาน พลังแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
บูม! บูม! บูม! …
ร่างเนื้อที่เทียบได้กับร่างยุทธ์ขั้นสูงรวมกับพลังแปรเสวียนเทียนหกเท่า หลัวซิวเหมือนมังกรบ้าคลั่งในรูปร่างมนุษย์ การรุกของเขานั้นรุนแรงและแข็งแกร่ง
ค่ายกลป้องกันม่านแสงที่ห่อหุ้มเฉิงเซีวยนสั่นสะเทือนรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และแสงก็ค่อยๆ อ่อนลง ราวกับว่ามันจะแตกสลายในอีกวินาทีครั้งหน้า
“ไปตายซะเถอ!”
จู่ๆ ยันต์หยกสีเขียวก็ปรากฏขึ้นในมือของเฉิงเซวียน และพลังอันน่าสะพรึงกลัวถูกส่งออกมาจากยันต์หยก
นักกลั่นยาเก่งในการกลั่นยา นักหลอมอาวุธเก่งด้านการหลอมอาวุธและชุดเกราะ และนักค่ายกลเก่งด้านการทำค่ายกลและสร้างสมบัติต่างๆ
ยันต์ คือผนึกของภูมิปัญญาของนักค่ายกล ซึ่งรวมรูปแบบการก่อตัวของยันต์ที่ซับซ้อนกลั่นให้อยู่ในหยกขนาดเล็ก ซึ่งสามารถกระตุ้นพลังอันทรงพลังได้ในทันที
นักค่ายกลที่แท้จริง ในมือจะมีธงค่ายและยันต์อย่างแน่นอน ความหลากหลายของวิธีการแปลก ๆ ที่ไม่รู้จบทำให้จอมยุทธ์ธรรมดายากต่อการป้องกัน
ระดับยันต์ต่างกัน ระหว่างที่ทำหยกที่ใช้ก็ต่างกัน
ยันต์หยกสีเขียว ทำจากหยกเขียว ซึ่งแสดงถึงระดับ 5 !
ยันต์เขียวนี้เป็นไพ่ตายของเฉิงเซวียน แค่ยันต์นี้เพียงอย่างเดียวก็มีค่าเท่ากับหินพลังจิตนับหมื่น
เพื่อที่จะชนะโควต้าในแดนปริศนามาได้ ไม่ว่าเครื่องรางหยกจะมีค่าเพียงใด ในขณะนี้เฉิงเซวียน ก็ไม่สนใจอะไรแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเขาสามารถเอาชนะหลัวซิวได้ต่อหน้าผู้คน เขาก็จะต้องได้รับเกียรติสูงสุด แน่นอนว่าจะต้องมีกองกำลังต่างๆ ที่แย่งชิงตัวเขา เมื่อถึงเวลานั้นจะขาดทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนเหรอ?
เมื่อเห็นว่าค่ายกลการป้องกันระดับ 4 ขั้นกลางกำลังจะถูกหลัวซิวทำลาย เฉิงเซวียนกัดฟันและบดขยี้เครื่องรางหยกเขียวในมือเขาให้แตก เจตนาฆ่าอย่างดุเดือดและน่าสะพรึงกลัวได้แผ่ออกมา
แสงสีเขียวพุ่งเข้าหาหลัวซิวราวกับเป็นการฝึก อากาศสั่นสะเทือนผันผวน
เมื่อยันต์ระดับ 5 ถูกใช้ ก็เปรียบได้กับการโจมตีหนึ่งครั้งของราชายุทธ์ธรรมดา
การแข่งขันเพื่อชิงโควต้า ไม่จำกัดวิธีการต่อสู้ของจอมยุทธ์ แค่สามารถฆ่าหรือเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ ก็จะได้โควต้าสุดท้ายมาได้
“เจ้าตายแน่! สามารถตายได้ภายใต้ยันต์ระดับ 5 เจ้าก็สามารถหลับตาตายอย่างสงบได้แล้ว”
รอยยิ้มน่าสยดสยองปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเฉิงเซวียน ยันต์ระดับ 5 ฆ่าจอมยุทธ์การฝึกจิตผู้หนึ่งเป็นเรื่องง่ายดายมาก
“ไม่ดี!” เสิ่นหยวนหนานซึ่งนั่งอยู่บนที่นั่งผู้ชม ลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ ใบหน้าเป็นกังวล
ไม่ว่าจะเพื่อส่วนรวมหรือส่วนตัว เขาไม่สามารถนั่งดูเกิดเรื่องได้
ใต้เวทีการแข่งขัน เหยียนซีโร่วที่เห็นภาพนี้ ในใจกระตุกอย่างกังวล
จอมยุทธ์อื่นๆ บางคนดูเป็นเรื่องสนุก บางคนกำลังจ้องมองอย่างจริงจัง เฝ้าดูด้วยการแสดงออกที่แตกต่างกัน
“เจ้ายินดีเร็วเกินไปแล้ว”
ทันใดนั้น เสียงเยาะเย้ยก็มาจากเวทีการแข่งขัน
ทุกคนจมองไป เห็นแต่พลังจิตที่เปร่งกระกายอยู่บนเวที ร่างๆหนึ่งค่อยๆ โผล่ขึ้นมาด้านหลังเฉิงเซวียน
เดิมทีที่เฉิงเซีวยนได้ใช้ค่ายกลการป้องกันระดับ 4 ขั้นกลาง ม่านแสงได้แตกออกจนหมด
“เป็น…เป็นไปไม่ได้! ทำไมเจ้าไม่โดนยันต์ระดับ 5 ฆ่าตาย?” เฉิงเซวียนอุทานด้วยใบหน้าที่เปลี่ยนไป
“จิตสำนึกของเจ้าไม่สามารถล็อคตัวข้าไว้ได้ ไม่ว่ายันต์ระดับ 5 ทรงพลังมากแค่ไหน ตามพลังการฝึกจิตของเจ้าแล้วไม่สามารถควบคุมได้ ยิ่งไม่สามารถโจมตีข้าได้เลย มีประโยชน์อะไรเล่า?”
หลัวซิวยิ้มเยาะเย้ยและไม่ให้เฉิงเซวียนมีโอกาสตอบโต้ใดๆ ดาบที่เกิดจากเปลวไฟดำ ฟันลงไปทันที
“หยุดนะ!”
ในที่นั่งสำหรับผู้ชม นักค่ายกลชายชราคนหนึ่งที่หน้าอกเขามีตราระดับ 5 ก็ลุกขึ้นยืนทันทีด้วยความตกใจและตะโกนเสียงดัง
กฎของการแข่งขันรอบที่สาม ไม่มีข้อจำกัดว่าไม่อนุญาตให้มีผู้ตาย
แต่อัจฉริยะที่สามารถผ่านเข้ารอบที่สามจากวีรบุรุษรุ่นเยาว์ 100,000คน แต่ละคนล้วนเป็นขุมทรัพย์ของกองกำลังต่างๆ
ดังนั้นเมื่อมองเห็นกระบี่ยุทธ์ของหลัวซิวฟันลงไปยังคอของเฉิงเซวียน ตัวแทนราชายุทธ์ของแก๊งนักค่ายกลก็ไม่สามารถนั่งนิ่งอยู่ได้
“วูม!”
แสงสีกากีควบแน่นเป็นรูปโล่ปรากฏขึ้นด้านหลังเฉิงเซวียน
ดาบเปลวไฟดำของหลัวซิวฟาดฟันลงไป พลังที่สะท้อนกลับมาทำให้ดาบเปลวไฟดำแตกเป็นผงทันที
เมื่อมองดู โล่แสงสีกากียังคงนิ่งอยู่เหมือนเดิม พันกันด้วยค่ายกลลายเส้นและยันต์
“นี่ก็คือความสามารถของปรมาจารย์นักค่ายกลขั้น 5 เหรอ?” ดวงตาของหลัวซิวหรี่ลงเล็กน้อย ประหลาดใจและตะลึงเล็กน้อย
ในทางทฤษฎี ความสามารถเขาถึงปรมาจารย์นักค่ายกลระดับ 5 แต่หลัวซิวไม่ใช่ปรมาจารย์นักค่ายกลระดับ 5 อย่างแน่นอน
ปรมาจารย์นักค่ายกลขั้น 5 ที่แท้จริง เกือบจะหลุดพ้นจากพันธนาการของธงค่ายรูปแบบแล้ว จิตสำนึกจะควบคุมพลังฟ้าดิน สามารถวาดรูปแบบค่ายกลอักษรกลางอากาศได้ ผสานการโจมตีและการป้องกันเข้าด้วยกัน
และหากปรมาจารย์นักค่ายกลระดับ 5 ใช้ธงค่ายในการจัดตั้ง พลังก็จะยิ่งแกร่งมากกว่า ในบรรดาราชายุทธ์ระดับเดียวกัน การต่อสู้นั้นน่าทึ่งมาก
ในเมื่อมีปรมาจารย์นักค่ายกลระดับ 5 เข้ามาเกี่ยวข้อง หลัวซิวจึงถอยห่างออกไปหลายสิบเมตรและไม่ได้โจมตีอีกต่อไป
“ข้ายอมแพ้”
########################
บทที่ 196 เครื่องรางระดับ 5
“ให้ตายเถอะ ไอ้เวรนั่น!”
ฉากที่หลัวซิวให้เหยียนซีโรว่ยืมดาบของเขา ถูกช่าวชูเจิ้งฉีมองเห็นอย่างชัดเจน
ต่อหน้าผู้อื่น เหยียนซีโร่วเป็นคู่หมั้นของเขา สัญญาการสมรสนี้ได้สร้างพันธมิตรระหว่างสำนักชิงเทียนเจี้ยนและสำนักไป๋ซิงกู่
แต่เหยียนซีโร่ว นางผู้นี้ ไม่มีสีหน้าที่ดีต่อเขาแม้แต่น้อย นั่นเป็นเหตุผลที่เขาใช้วิธีที่น่ารังเกียจบางอย่างในการแข่งขันเอาชีวิตรอดรอบแรกโดยตั้งใจจะแย่งมา
อาศัยอยู่ในสำนักชิงเทียนเจี้ยนตั้งแต่เด็ก เขาถูกห้อมล้อมด้วยรัศมีของอัจฉริยะเสมอมา ไม่มีใครกล้าปฏิเสธเขามาด่อน และไม่เคยมีสิ่งที่เขาต้องการแล้วไม่ได้
เขาควบคุมทุกอย่างอยู่ในกำมือ แต่ผู้ชายคนนี้ที่ชื่อหลัวซิวได้ปรากฏตัวและได้ทำลายทุกอย่างทั้งหมด
ช่าวชูเจิ้งฉีกลั้นความโกรธของเขาไว้ไม่ระเบิดอารมณ์ออกมานั่งอยู่บนที่นั่งผู้ชม ราชายุทธ์ผู้แกร่งแกร่งแห่งสำนักชิงเทียนเจี้ยน สีหน้าของเขาดูไม่ค่อยดีมากนัก
จอมยุทธ์หญิงนางหนึ่งในสำนักไป๋ซิงกู่ นั่นก็คืออาจารย์ของเหยียนซีโร่ว สีหน้าผ่อนคลาย มุมปากยิ้มบางๆ
หลังจากผ่านชั้นเจ็ดของหอคอยมังกรบินแล้ว หลัวซิวก็ได้พิสูจน์ความแข็งแกร่งและพรสวรรค์ของตัวเองอย่างไม่ต้องสงสัย และเขาก็ได้รับคัดเลือกจากราชวงศ์ หากอำนาจที่อยู่เบื้องนี้สามารถดึงสำนักไป๋ซิงกู่มาเป็นฝ่ายเดียวกันได้ ผลประโยชน์ก็ไม่จำเป็นต้องพูดมาก
อันที่จริงแล้วสำหรับสำนักไป๋ซิงกู่ เหยียนซีโร่วสามารถชนะผลประโยชน์สูงสุดให้กับสำนักได้ นี่เป็นภาพที่นางอยากจะมองเห็นมากที่สุด
“ได้ยินมาว่าดาบเร็วของหลัวซิวนั้นดีมาก เขาให้ดาบของเขากับคนอื่น ถ้ามีใครมาท้าเขา เขาจะเผชิญกับมันอย่างไร”
บางคนในฝูงชนขมวดคิ้ว รู้สึกว่าการกระทำของหลัวซิว ไม่เหมาะสมเล็กน้อย
“ฮ่าฮ่า ซูซีคิดว่าเขาแข็งแกร่งมากจนสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้โดยไม่ต้องใช้ดาบ”
บนเวทีการแข่งขัน การต่อสู้ยังดำเนินต่อไป
ในบรรดาคนที่อยู่ในอันดับท้ายๆ ของสิบ ตาหนึ่งหรือสองตากะพริบ และหลังจากเห็นหลัวซิ่วมอบดาบให้เหยียนซีโร่ว พวกเขามีความคิดที่ต่างออกไป
ทุกคนต่างก็รู้ดีกว่า หลัวซิวเป็นจอมยุทธ์ดาบ สำหรับจอมยุทธ์ดาบแล้ว หากในมือไร้ดาบ ความแข็งแกร่งก็จะลดลงอย่างมากโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้
แน่นอนว่ายังมีคนที่ไม่ได้โง่เขลาเช่นนี้ ดาบหนึ่งได้ส่งออกไปแล้ว หรือว่ายังไม่อนุญาตให้เขามีดาบเล่มที่สองเหรอ?
แต่ในเวลานี้ คนส่วนใหญ่ถูกการแข่งขันเพื่อชิงโควตาของแดนปริศนาปิดบังสายตา อารมณ์กระวนกระวายและกระสับกระส่าย เป็นการง่ายที่จะละเลยเรื่องสามัญสำนึกบางอย่างไป
ในขณะนั้น ชายหนุ่มชุดขาวก็กระโดดขึ้นไปบนเวทีแข่งขันและพูดเสียงดังว่า “ข้าต้องการท้าทายหลัวซิว ผู้ที่อยู่อันดับหนึ่ง!”
ทันทีที่คำพูดนี้ออกมา ทุกคนก็โกลาหลทันที เพราะทุกคนรู้ดีว่าในสิบอันดับแรก ความแข็งแกร่งของหลัวซิวนั้นแข็งแกร่งที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย!
การที่สามารถผ่านชั้นเจ็ดของหอคอยมังกรบิน หมายความว่าเขามีความแข็งแกร่งแดนฝึกจิตขั้น 7
“ชายหนุ่มคนนี้ นึกว่าหลัวซิวไม่มีดาบอยู่ในมือก็เป็นเสือที่ไร้กรงเล็บจริงๆเหรอ?”
“สัตว์ร้ายที่แข็งแกร่งจริงๆ ไม่ขู่ผู้คนด้วยกรงเล็บ”
มีการถกเถียงกันมากมายบนเวทีการแข่งขัน และทุกคนต่างก็จ้องมองไปบนเวที อยากจะดูว่าฮีโร่หนุ่มคนไหนที่สมองร้อนจนลุกเป็นไฟ ที่กล้ายั่วยุหลัวซิว
ตามหลักแล้วหลังอันดับสิบ ผู้ที่จับฉลากได้เลขสิบ มีโอกาสมากที่สุดที่จะไปเผชิญหน้ากับหลังซิว แต่ในขณะนี้มันเร็วกว่ากำหนด
ในไม่ช้าก็มีคนรู้จักชายหนุ่มในชุดขาวบนเวทีการแข่งขัน ชายคนนี้เป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของแก๊งนักค่ายกล ชื่อ เฉิงเซวียน“หลัวซิว เจ้าฆ่าเพื่อนของข้า ยี่ซวน ในการแข่งขันความเป็นความตาย วันนี้ข้าจะสั่งสอนเจ้า ผู้ที่ผ่านด่านหอคอยมังกรบินชั้น 7 ว่าได้รับชื่อเสียงจอมปลอมหรือไม่”
เฉิงเซวียนที่อยูบนเวทีการแข่งขันนั้นสายตาเย็นชา เขาเป็นคนที่ไม่ออกตัวในหมู่อัจฉริยะหลายคน แต่ความแข็งแกร่งของเขานั้นแข็งแกร่งที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
หลัวซิวเหลือบมองช่าวชูเจิ้งฉีด้วยสายตาที่เย็นชา เพราะมีเพียงช่าวชูเจิ้งฉีและเหยียนซีโร่วเท่านั้นที่รู้ว่าเขาฆ่ายี่ซวน
เป็นไปไม่ได้ที่เหยียนซีโร่วจะพูดเรื่องนี้ออกไป เพราะฆ่าอัจฉริยะของแก๊งนักค่ายกลนั้น เทียบเท่ากับการรุกรานแก๊งนักค่ายกล
หากไม่ใช่เหยียนซีโร่ว งั้นก็ต้องเป็นช่าวชูเจิ้งฉีอย่างไม่ต้องสงสัย
ช่าวชูเจิ้งฉีเองก็รู้สึกถึงความเย็นยะเยือกในดวงตาของหลัวซิว แต่เขากลับยิ้มอย่างเย็นชาอย่างไม่ได้จริงจังกับมันมากนัก
ถูกท้าทายโดยตรง ตามกฎของการแข่งขัน หลัวซิวไม่สามารถปฏิเสธได้
นอกจากนี้ เขาไม่จำเป็นต้องปฏิเสธเลย
“ตามที่เจ้าปรารถนา”
หลัวซิวก้าวเข้าสู่เวทีการแข่งขัน เผชิญหน้ากับเฉิงเซวียน
บนที่นั่งผู้ชมของราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่ง หลายคนมองดูหลัวซิวด้วยสายตาที่ซับซ้อน และคนส่วนใหญ่ไม่ต้องการให้อัจฉริยะอย่างเขาเติบโตขึ้นไปอีก
เพราะสิ่งนี้มีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อความสมดุลของอำนาจในสิบสามเขตการปกครองของประเทศเทียนหวู
แน่นอนว่าจนถึงตอนนี้ อัจฉริยะอย่างนี้ ตอนนี้แค่เพิ่งจะแสดงความแข็งแกร่งออกมาเล็กน้อยเท่านั้น ยังไม่ได้เติบโตโดยสมบูรณ์ ไม่เพียงพอที่จะเป็นกังวล
ไม่ว่าอัจฉริยะจะแข็งแกร่งขนาดไหน ทันทีที่ถูกฆ่าตายโดยที่ยังไม่เติบโต เขาก็แย่ยิ่งกว่าอะไรเสียอีก
สำนักชิงเทียนเจี้ยน สำนักเหลยหวู่ แก๊งนักค่ายกล แก๊งหลอมอาวุธและราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่งที่มาชมการแข่งขัน เหมือนจะบรรลุข้อตกลงพิเศษบางอย่างจากมุมตาของพวกเขา
บนเวทีการแข่งขัน เฉิงเซวียนจ้องหลัวซิวนิ่ว “ข้ายอมรับว่าสามารถผ่านด่านหอคอยมัวกรบินชั้น 7 ได้ เจ้าแข็งแกร่งมากจริงๆ แต่ข้าอาจจะไม่แพ้ให้เจ้าก็ได้”
ขณะพูด เฉิงเซวียนยกมือขึ้นและโบกมือ และแหวนเก็บของบนนิ้วของเขาก็เปล่งประกายเจิดจ้า ธงค่ายเก้าสายบินออกมาและลอยไปทุกทิศทางราวกับลำแสง
นักค่ายกลที่แท้จริงไม่เก่งในการต่อสู้ระยะประชิด แต่อาศัยค่ายกลรูปแบบการระดมพลังฟ้าดิน เป็นวิธีที่น่าสะพรึงกลัวในการต่อสู้กับศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าตนเอง
การวางค่ายกลของเฉิงเซวียนดูแล้วเหมือนเขาทำมาบ่อยครั้ง หลัวซิวไม่ทันหยุดเขา
ม่านแสงสว่างขึ้น จากนั้นแสงเลือดเก้าแสงรวมตัวเป็นแส้ยาวปรากฏขึ้นในค่ายกล
นี่คือรูปแบบค่ายกลการสังหารระดับ 4!
ทันใดนั้น แส้สีเลือดเก้าเส้นก็กระตุก เหมือนกับงูเหลือมเลือดเก้าตัว และค่ายกลยันต์ลายเส้นต่างๆ สั่นไหว กระจายความแปรปรวนอันทรงพลังของพลังฟ้าดิน
หลัวซิวรู้ดีว่าการเผชิญหน้าแบบตัวต่อตัวกับนักค่ายกล ต้องต่อสู้ระยะประชิดเท่านั้นถึงจะมีโอกาสชนะ
“กระบี่เพลิงเพลิง!”
เห็นแค่มือของหลัวซิวยื่นมือออกไปจับ เพลิงมรณะควบแน่นขึ้นในฝ่ามือ กลายเป็นดาบที่มีเปลวไฟสีดำลุกโชน
พลังจิตแท้ควบแน่นและแปรสภาพเป็นดาบ!
“ช่างเป็นการฝึกฝนพลังจิตแท้บริสุทธิ์จริงๆ!” ฝูงชนอุทานออกมา เพราะผู้ที่ใช้วิธีนี้ได้ ส่วนใหญ่คือปรมาจารย์ยุทธ์ฝึกจิตช่วงปลาย พลังจิตแท้จึงบริสุทธิ์พอที่จะกลั่นตัวเป็นอาวุธ
วิธีนี้เรียกอีกอย่างว่าการควบแน่นจิตให้เป็นอาวุธ
“บูม! บูม! บูม!…”
########################
บทที่ 195 ประมูลยา (2)
ยารักษาอาการบาดเจ็บถือเป็นของที่ล้ำค่า เมื่อประกอบกับยาหิมะแย้มเม็ดนี้อยู่ในระดับ 6 สำหรับจักรพรรดิ์ยุทธ์แล้ว อาจไม่ใช่ของที่ล้ำค่านัก และสำหรับราชายุทธ์ เท่ากับได้ชีวิตเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งชีวิต
ในห้องส่วนตัวห้องหนึ่ง หนานหรงชินหวางขมวดคิ้ว ด้วยฐานะของเขาแล้ว ปกติจะรู้ล่วงหน้าว่าการประมูลในครั้งนี้มีของอะไรบ้าง แต่ในนั้นไม่มียาหิมะแย้ม
“ราชายุทธ์ในประเทศเทียนหวู ไม่มีทางที่จะมียาหิมะแรกแย้ม และปรมาจารย์กลั่นยาระดับ 6 ก็มีแต่ในราชสำนักของพวกเราเท่านั้น”
แววตาของหนานหรงชินหวางสั่นคลอน “คงไม่ใช่เม็ดที่ข้ามอบให้เม็ดนั้นหรอกนะ ?”
เมื่อคิดได้เช่นนี้ สีหน้าของหนานหรงชินหวางก็ดูไม่พอใจนัก ของที่เขามอบให้กลับถูกผู้อื่นนำออกมาประมูล การกระทำเช่นนี้เท่ากับไม่ไว้หน้ากันชัด ๆ
แต่เมื่อลองคิดดูอีกครั้ง ของสิ่งนี้เมื่อตนเองมอบให้แล้ว อีกฝ่ายจะจัดการเช่นไรก็เป็นเรื่องของเขา
“เด็กหนุ่มถือว่าใจกล้าไม่น้อย” ในห้องส่วนตัว หนานหรงชินหวางส่งเสียงฟึดฟัดอย่างไม่สบอารมณ์ เขารู้สึกไม่พอใจหลัวซิวเล็กน้อย
ในการประมูล ณ ขณะนี้ ราคาประมูลของยาหิมะแย้มสูงถึง 70,000 ก้อนหินพลังจิตแล้ว
“ข้าให้ 80,000 !”
จู่ ๆ หนานหรงชินหวางที่นั่งอยู่ในห้องส่วนตัวก็พูดขึ้น
ทันทีที่คำพูดนี้ดังขึ้น บรรยากาศในการประมูลก็เงียบสงัดลงทันที ในแง่ของผลการฝึกตน อาจมีคนที่อยู่เหนือกว่าหนานหรงชินหวาง แต่ในแง่ของฐานะ ใครจะกล้าแข่งขันกับราชวงศ์ ?
หลัวซิวเองก็ได้ยินเสียงนี้ เขารู้ว่าหนานหรงชินหวางเป็นผู้เสนอราคาประมูล จึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มมุมปากออกมาอย่างหดหู่
ยาหิมะแย้มเม็ดนี้ นานหรงชินหวางเป็นผู้มอบให้ และตอนนี้ หนานหรงชินหวางก็จ่ายเงินซื้อกลับไปอีกครั้ง ?
แต่หลัวซิวก็เข้าใจในเจตนาของการกระทำในครั้งนี้ของหนานหรงชินหวาง คงเพื่อบอกกับตัวเองว่า อีกฝ่ายพอจะคาดเดาอะไรบางอย่างออกแล้ว
ในเมื่อไม่มีใครสู้ราคา ยาหิมะแย้มเม็ดนี้จึงกลับไปอยู่ในมือของหนานหรงชินหวางอีกครั้ง
งานประมูลในครั้งนี้มีคนเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก แต่คนที่ซื้อของจริง ๆ นั้นมีอยู่ไม่มาก เพราะของที่นำออกมาประมูลก็มีอยู่เพียงเท่านี้
อันที่จริงแล้ว คนส่วนมากมาเพื่อดูว่าคู่ต่อสู้ในการประลองของตนเองนั้น ซื้อสมบัติอะไรเอาไว้ในมือบ้าง
หลังจากผ่านการคัดเลือกในรอบที่สอง ตอนนี้ก็เหลือเพียงผู้ที่มีรายชื่ออยู่ใน 20 อันดับแรกเท่านั้น แต่ละคนล้วนอยู่ห่างจากการคัดเลือกรายชื่อรอบสุดท้ายของผู้มีสิทธิ์เข้าไปในแดนปริศนาอีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้น
……
เช้าวันรุ่งขึ้น หลัวซิวมาถึงจัตุรัสกลางเมืองของเขตการปกครองชิงฮัว
ตรงจัตุรัสกลางเมืองมีเวทีประลองสูงประมาณ 5 เมตรตั้งอยู่ มีความยาวและความกว้างราว ๆ 200 เมตร และดูสง่างามเป็นอย่างมาก
บริเวณโดยรอบของเวทีประลอง มีฝูงชนมายืนรวมตัวกันอยู่มากมายแล้ว เรียกได้ว่าเป็นคลื่นฝูงชน ห่างออกไปไม่ไกล มีการสร้างอัฒจันทร์และจัดวางเก้าอี้เอาไว้ เพื่อให้ราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่งที่มีอำนาจต่าง ๆ ได้นั่งชมการประลอง
การประลองยุทธ์เพื่อแย่งชิงสิทธิ์รอบสุดท้าย เรียกได้ว่าเป็นสึกแห่งศักดิ์ศรีระหว่างอัจฉริยะระดับชั้นนำทั้ง 20 คน ที่มาจาก 13 เขตการปกครอง
รายชื่อผู้ที่จะได้เข้าไปในแดนปริศนามีเพียงแค่สิบคนเท่านั้น จากการต่อสู้กันของคนกว่าหนึ่งแสนคนจนกระทั่งถึงตอนนี้ เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในหมื่น !
นี่เรียกได้ว่าเป็นความโหดร้ายในการต่อสู้แข่งขันบนวิถีของนักยุทธ์ ความรุ่โรจน์และความสำเร็จของนักยุทธ์ทุกคน เบื้องหลังล้วนเต็มไปด้วยความพ่ายแพ้ล้มเหลวของคนรุ่นเดียวกันนับไม่ถ้วน
กฎในการประลองยุทธ์นั้นง่ายมาก ผู้แข่งขันทั้ง 20 คน จะถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม 10 อันดับแรกจะถูกจัดอยู่ในกลุ่มที่ 1 ส่วนอันดับที่ 11 ถึง 20 จะต้องประลองกับ 10 อันดับแรก หากเอาชนะได้ก็จะสามารถขึ้นไปยืนแทนที่ได้
แต่ละคนจะประลองได้เพียงหนึ่งครั้ง และสามารถถูกท้าประลองได้เพียงหนึ่งครั้ง
“อันดับแรก ขอให้ผู้กล้าหนุ่มสาวที่มีรายชื่ออยู่ในสิบอันดับแรก ขึ้นมาบนเวทีประลองก่อน” หนานหรงชินหวางพูดขึ้นเสียงดัง
เมื่อพูดจบ ก็มีคนค่อย ๆ ทยอยกระโดดขึ้นไปบนเวทีการประลองทีละคน ๆ ดึงดูดเสียงตะโกนโห่ร้องจากฝูงชนที่ยืนดูอยู่โดยรอบเป็นระยะ ๆ
ในบรรดาคนเหล่านี้ ดูเหมือนหลัวซิวจะได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะเขาไม่เพียงแต่มีคะแนนสะสมอยู่ในอันดับ 1 เท่านั้น แต่เป็นอัจฉริยะเพียงคนเดียวที่สามารถเข้าไปในชั้นที่ 7 ของหอคอยมังกรบินได้
นอกจากพวกของหลัวซิวทั้งสิบอันดับแล้ว คนที่เหลืออีกสิบคนจะต้องจับฉลาก คนที่จับได้หมายเลข 1 สามารถเลือกคู่ต่อสู้ของตนเองได้ก่อนเป็นคนแรก และทำเช่นนี้ต่อกันไปเรื่อย ๆ
คนที่จับฉลากได้หมายเลข 10 เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง แต่งกายธรรมดา มีชื่อว่า ลวี่หลัน มีผลการฝึกตนอยู่ในระดับปรมาจารย์ฝึกจิตขั้น 3
ส่วนคู่ต่อสู้ที่นางเลือกก็คือสวีเสว่ซึ่งอยู่ในอันดับ 10 แต่เป็นผู้หญิงที่มีผลการฝึกตนอยู่ในระดับปรมาจารย์ฝึกจิตขั้น 3 เช่นเดียวกัน
ทั้งสองคนล้วนเป็นผู้หญิง อีกทั้งผลการฝึกตนก็บรรลุถึงระดับปรมาจารย์ฝึกจิตขั้น 3 เรียกได้ว่าเป็นหญิงแกร่ง และมีความสามารถที่แตกต่างกันไม่มาก
ทันทีที่ผู้หญิงทั้งสองขึ้นไป ก็ต่อสู้กันอย่างดุเดือด เจ้ารุกข้ารับ ดาบและกระบี่สองประกายแวววาว
บริเวณโดยรอบของเวทีประลองทั้งสี่ด้าน มีการตั้งค่ายคุ้มกันระดับ 5 เอาไว้ จึงไม่ต้องเป็นห่วงว่าการประลองจะส่งผลกระทบต่อฝูงชนที่ยืนดูอยู่โดยรอบ
หญิงสาวทั้งสองต่อสู้กันอย่างดุเดือดจนกำลังจะดำเนินไปถึงช่วงที่เข้มข้นที่สุด ต่างคนต่างค่อย ๆ งัดท่าไม้ตายของตนเองออกมาแสดง
หญิงสาวที่ชื่อว่าลวี่หลันกินยาเข้าไปหนึ่งเม็ด ซึ่งเป็นยาที่สามารถกระตุ้นศักยภาพของนางในระยะเวลาอันสั้น ทำให้ผลการฝึกตนของนางสามารถยกระดับขึ้นสู่ปรมาจารย์ฝึกจิตขั้น 4 ภายในระยะเวลาเพียง 15 นาที
ส่วนคู่ต่อสู้ของนาง สวีเสว่ ก็เลือกใช้ยันต์คุ้มกัน ซึ่งสามารถต้านทานการโจมตีของยอดฝีมือปรมาจารย์ฝึกจิตช่วงกลางได้โดยไม่ได้รับความเสียหาย
ในที่สุด ลวี่หลันไม่สามารถทำลายเกราะป้องกันม่านแสงระดับ 4 ได้ภายในระยะเวลา 15นาที จึงพ่ายแพ้การประลอง
ร่างกายของสวีเสว่เองก็สูญเสียพลังไปมาก เหงื่อไหลเปียกชุ่มออกมา ใบหน้าอันงดงามของนางซีดเผือด การใช้ยันต์หยกชั้นกลางระดับ 4 ทำให้นางสูญเสียพลังไปไม่น้อย
อีกทั้งยันต์เป็นสมบัติที่ใช้ได้เพียงครั้งเดียว ยันต์ผืนนั้นต้องแลกด้วยหินพลังจิตมูลค่าสูงกว่าหมื่นก้อน
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร นางก็ได้มีสิทธิ์เข้าไปอยู่ในรายชื่อของผู้ที่จะได้เข้าไปในแดนปริศนา เมื่อเทียบกับยันต์ที่ต้องใช้หินพลังจิตนับหมื่นก้อนแลกมา ก็ยังถือว่าเทียบกันไม่ได้เลย
เพื่อต่อสู้แย่งชิงสิทธิ์ เรียกได้ว่าต้องทุ่มเทในทุก ๆ ด้านจนเลือดตาแทบกระเด็น
จากนั้น การประลองของคู่ที่สองก็เริ่มขึ้น ผู้ท้าประลองเป็นชายหนุ่มที่ชื่อว่าไป๋หงเซวียน คู่ต่อสู้ที่เขาท้าประลองก็คือปรมาจารย์ฝึกจิตขั้น 3 ที่มีรายชื่ออยู่ในอันดับที่ 8
การประลองยกนี้ดึงดูดความสนใจเป็นอย่างมาก ไป๋หงเซวียนโจมตีคู่ต่อสู้จนพ่ายแพ้ และขึ้นไปแทนที่ การประลองสำเร็จ
ผู้ชมต่างพากันอุทานขึ้นว่า การเอาชนะการประลองในครั้งนี้ สำหรับไป๋หงเซวียนแล้ว นับว่าเป็นเพราะโชคอย่างไม่ต้องสงสัย
ส่วนชายหนุ่มที่พ่ายแพ้กลับนิ่งอึ้งไป จากนั้นจึงกระอักเลือดและล้มหมดสติลงกับพื้น
“ซีโรว่”
หลัวซิวเดินเข้าไปหาเหยียนซีโรว่ จากนั้นจึงดึงกระบี่ยาวที่อยู่ด้านหลังออกมา แล้วยื่นให้กับนาง
“หลัวซิว นี่เจ้า……” เหยียนซีโรว่แสดงสีหน้างุนงง
“ในกระบี่เล่มนี้ มีห้วงกระบี่ของข้าซ่อนอยู่ เจ้าสามารถสำแดงออกมาในการประลอง เพื่อชิงสิทธิ์ในการเข้าแดนปริศนาได้” หลัวซิวพูดขึ้นเช่นนี้
รายชื่อของเหยียนซีโรว่ไม่ถูกจัดอยู่ในสิบอันดับแรก ไม่ว่าจะเพราะทั้งสองคนเคยผ่านประสบการณ์ความเป็นความตายร่วมกันมาในการประลองเพื่อความอยู่รอด หรือเป็นเพราะความผูกพันทางจิตวิญญาณอย่างลึกซึ้งของพวกเขาจากการผ่านวัฏจัจักรชีวิตมานับครั้งไม่ถ้วน หลัวซิวล้วนจำเป็นต้องช่วยเหลือนาง
“เจ้ามอบกระบี่ให้ข้าแล้ว หากมีคนท้าประลองกับเจ้า แล้วเจ้าจะทำเช่นไร ?” เหยียนซีโรว่ส่ายหัว และได้ยื่นมือออกไปรับกระบี่
“ไม่ต้องเป็นห่วง ถึงแม้จะไม่มีกระบี่ ในบรรดาคนเหล่านี้ ก็ไม่มีใครสามารถเอาชนะข้าได้” ใบหน้าของหลัวซิวเต็มไปด้วยความมั่นใจอย่างยิ่ง
หลัวซิวกล้าพูดเช่นนี้ เป็นเพราะเขามีความมั่นใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เขาฝึก《วิชาพลังมังกรแท้》สำเร็จ ความสามารถของเขาก็แข็งแกร่งยิ่งขึ้น หากเข้าไปในหอคอยมังกรบินอีกครั้ง การเข้าไปในชั้นที่ 7 คงไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
ใบหน้าอันงดงามของเหยียนซีโรว่แดงก่ำขึ้นเล็กน้อย หลัวซิวปฏิบัติเช่นนี้ต่อนาง แล้วจะให้หัวใจของนางไม่รู้สึกพิเศษต่อหลัวซิวได้อย่างไร ?
“ขอบคุณนะ”
นางเอ่ยขอบคุณ ไม่คิดจะปฏิเสธอีกต่อไป และยื่นมือไปรับกระบี่มา
“เช้ง !”
ดึงกระบี่ออกมาเล็กน้อย แสงของคมดาบสะท้อนออกมา ทำให้ดวงตาอันงดงามของเหยียนซีโรว่ปรากฏความประหลาดใจขึ้น
“เป็นกระบี่ยุทธ์ชั้นกลางระดับล่างจริงหรือ ?”
ริมฝีปากแดงระเรื่อของนางขยับเล็กน้อย ยากที่จะปกปิดอาการตกใจเอาไว้ อาวุธระดับนี้แม้แต่ราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่งเอง ก็ยากที่จะมีไว้ในครอบครอง อาวุธที่ล้ำค่าเช่นนี้ หลัวซิวกลับยกให้นางใช้ง่าย ๆ แบบนี้เลยหรือ ?
ในใจของเหยียนซีโรว่ ตอนนี้เต็มไปด้วยความตื้นตัน ไม่ใช่เพียงเพราะหลัวซิวทำดีกับตนเองเท่านั้น แต่เป็นเพราะความไว้วางใจที่เขามอบให้ด้วย
########################
บทที่ 194 ประมูลยา (1)
“มีอะไร ?” หลัวซิวถาม
“ศิษย์พี่หลัว อาจารย์ให้ข้ามาบอกท่านว่า พรุ่งนี้เป็นการประลองยุทธ์เพื่อแย่งชิงสิทธิ์รอบสุดท้ายแล้ว เขตการปกครองชิงฮัวกำลังจะจัดงานประมูลขึ้น น่าจะมีสมบัติหลายอย่างปรากฏขึ้น ท่านจะไปหรือไม่”
ท่าทีที่หลินเจียเอ๋อร์มีต่อหลัวซิวในตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าดีกว่าแต่ก่อนมาก อีกทั้งยังแสดงออกถึงความเคารพและความอ่อนน้อมถ่อมตนอีกด้วย
“งานประมูล ?”
เดิมทีหลัวซิวตั้งใจจะพูดว่าไม่อยากไป แต่หลังจากนั้นแววตาก็เป็นประกายทันที “ข้าจะตามไปเดี๋ยวนี้”
จากนั้น เขาก็หันหลังแล้วเดินกลับไปที่ห้องลับ จากนั้นจึงหยิบยาที่ทิ้งอยู่บนพื้นกลับขึ้นมาอีกครั้ง ยาพวกนี้คือขยะสำหรับเขา แต่ถ้าหากนำไปที่งานประมูล จะต้องมีคนจำนวนมากที่ยินดีซื้ออย่างแน่นอน
สำหรับหลัวซิวแล้ว นี่เรียกว่าการนำของไร้ค่ามาใช้ให้เกิดประโยชน์ นำขยะมาเปลี่ยนเป็นหินพลังจิต สามารถนำไปซื้อยาวิเศษได้ และนำมากลั่นเป็นยาบริสุทธิ์ด้วยตัวเอง
ด้วยการนำทางของเสิ่นหยวนหนาน หลัวซิวเรียกให้ลู่เมิ่งเหยาเดินทางไปงานประมูลกับเขาด้วย
เสิ่นหยวนหนานเหลือบมองหลัวซิวอยู่ตลอดเวลา เขารู้สึกสงสัยในใจว่าหลัวซิวได้รับรางวัลอะไรจากการผ่านชั้นที่ 7 ของหอคอยมังกรบิน แต่เรื่องแบบนี้ถือเป็นเรื่องส่วนตัว เขาจึงไม่สะดวกที่จะถาม
หลัวซิวไม่ได้พูดเรื่องนี้กับใคร ไม่ว่าเขาจะบอกว่าตนเองได้รับรางวัลอะไร ก็ล้วนแต่ดึงดูดความอยากรู้อยากเห็นและความโลภได้นับไม่ถ้วน เมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่พูดเสียจะดีกว่า ใครจะคิดอย่างไรก็ช่าง
อีกทั้งเขาเริ่มฝึก《วิชาพลังมังกรแท้》แล้ว ต่อไปเวลาต่อสู้กับผู้อื่น คนอื่นก็จะสามารถมองวิธีการต่อสู้ของเขาออกว่าไม่เหมือนกับแต่ก่อน และก็น่าจะพอเดาออกว่าสิ่งที่เขาได้รับก็คือวรยุทธ์วิชาหนึ่ง
ในงานประมูลมีผู้คนคับคั่ง ราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่งจำนวนมาก เมื่อเห็นพวกของเสิ่นหยวนหนาน ต่างก็ทักทายอย่างยิ้มแย้ม ถึงขั้นยอมวางฐานะที่สูงส่งของราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่งลง ต่างหันไปพยักหน้าและยิ้มให้กับหลัวซิว
ตอนนี้ เรียกได้ว่าหลัวซิวเป็นยอดฝีมือหนุ่มที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุด ตลอดเส้นทางที่เดินผ่าน สามารถดึงดูดสายตาของผู้คนนับไม่ถ้วน
ลู่เมิ่งเหยาเดินเคียงข้างหลัวซิวด้วยความตื่นเต้น จู่ ๆ นางก็ตระหนักได้ว่า ช่องว่างระหว่างตนเองและหลัวซิว นับวันจะยิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ สิ่งนี้ทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
ด้วยฐานะราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่งของเสิ่นหยวนหนาน จึงย่อมได้รับห้องส่วนตัวในงานประมูล
ในห้องส่วนตัว หลัวซิวเรียกบริกรเข้ามาคนหนึ่ง แล้วถามว่า : “ข้าจะนำของบางอย่างออกประมูลได้หรือไม่ ?”
“ได้แน่นอนครับ แต่จะต้องได้รับการยืนยันจากเจ้าหน้าที่ประมูลของเราเสียก่อนว่าของที่จะนำมาประมูลนั้นเป็นของมีค่า” บริกรเอ่ยตอบด้วยคามเคารพ
“เอ๊ะ ? เจ้าคิดจะเอาอะไรออกมาประมูลอย่างนั้นหรือ ?” เสิ่นหยวนหนานหันมองด้วยความอยากรู้
“ตอนนี้การเงินฝืดเคือง จึงคิดจะขายของบางอย่างเพื่อนำไปแลกกับหินพลังจิตครับ” หลัวซิวพูดด้วยรอยยิ้ม
“เจ้านะหรือการเงินฝืดเคือง ?” เสิ่นหยวนหนานแสดงท่าทีโมโหออกมา เขารู้ว่าในช่วงนี้เด็กหนุ่มได้รับของมีค่ามากมาย และมีฐานะที่มั่งคั่งอย่างมาก
“เชิญท่านชายตามข้ามา”
ตอนนี้เอง บริกรพูดด้วยความเตารพ “ข้าจะพาท่านไปทำสัญญาขายสมบัติ”
“อืม นำทางไปเถอะ” หลัวซิวพูดพลางพยักหน้า
หลัวซิวหันไปบอกกล่าวกับเสิ่นหยวนหนานและลู่หมิงเหยา จากนั้นจึงเดินตามบริกรออกจากห้องส่วนตัวไป
ในห้องที่สว่างไสว หลัวซิวหยิบยาที่อยู่ในแหวนเก็บของทั้งหมดออกมา จากนั้นจึงวางลงต่อหน้าชายชรามีที่เส้นผมและหนวดเคราสีขาว
“ยาไขกระดูกหยกระดับ 4 ยาพระแสงระดับ 5 ?”
ชายชราผู้นี้เป็นปรมาจารย์ฝึกจิต เมื่อจู่ ๆ ได้เห็นยาระดับ 4 ขึ้นไปอันล้ำค่าจำนวนมากขนาดนี้ ก็รู้สึกตกใจ
หลังจากเขาหยิบขวดหยกขวดสุดท้ายขึ้นมาดม มือที่เหี่ยวย่นของเขาก็อดไม่ได้ที่จะสั่นเทา “สวรรค์ นี่มันยาหิมะแย้มระดับ 6 ไม่ใช่หรือ ?”
ยาที่หลัวซิวนำออกมาเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่มีฤทธิ์ในการรักษาอาการบาดเจ็บ โดยมากมาจากตอนที่เขาได้รับบาดเจ็บอยู่ในหอคอยมังกรบิน ผู้มีอำนาจที่ต้องการผูกมิตรกับเขาเหล่านั้น จึงได้มอบยาเหล่านี้ให้แก่เขา
ในบรรดายาระดับเดียวกันแต่ออกฤทธิ์ต่างกัน ยาที่ใช้สำหรับรักษาอาการบาดเจ็บ ถือว่าเป็นยาที่มีมูลค่ามากที่สุด
เพราะยารักษาอาการบาดเจ็บระดับสูงเพียงเม็ดเดียว ในบางเวลาก็สามารถรักษาชีวิตของคนเอาไว้ได้ และเมื่อเปรียบเทียบกับชีวิตของตนเองแล้ว ยังมีอะไรที่สำคัญกว่านี้อีก ?
ยาที่หลัวซิวนำออกมาเหล่านี้ ในนั้นมียาไขกระดูกหยกระดับ 4 อยู่ 12 เม็ด มียาพระแสงระดับ 5 อยู่ 4 เม็ด และมียาหิมะแย้มระดับ 6 อยู่ 1 เม็ด
ยาสำหรับรักษาอาการบาดเจ็บเหล่านี้ โดยปกติแล้วไม่อาจประเมินค่าได้ และมีอยู่เป็นจำนวนน้อยไม่แพร่หลาย แน่นอนว่าย่อมเพียงพอกับการนำออกมาประมูลในงานประมูลระดับนี้
โดยเฉพาะยาหิมะแย้มระดับ 6 น่าจะเพียงพอที่จะทำให้ราชายุทธ์ต่างคลั่งไคล้ได้
อันที่จริงแล้วการจัดงานประมูลในครั้งนี้ ถูกจัดขึ้นเพื่อการประลองยุทธ์ในวันพรุ่งนี้ ในความเป็นจริงแล้ว เป็นเพราะการประลองยุทธ์เพื่อแย่งชิงสิทธิ์ในครั้งนี้ ที่ทำให้มีราชายุทธ์จำนวนมากมารวมตัวกันที่เขตการปกครองชิงฮัว พวกเขาเหล่านี้ต่างหากที่เป็นแขกคนสำคัญที่ผู้จัดงานประมูลจับตามอง !
“เรื่องนี้ ข้าต้องการให้ท่านปิดเป็นความลับ” หลัวซิวพูดอย่างเคร่งขรึม
อย่างไรเสีย ของที่เขานำออกมาล้วนแล้วแต่เป็นของที่ผู้อื่นมอบให้ ถ้าหากมีใครรู้เข้าว่าเขานำของเหล่านี้ออกมาประมูล จากนั้นก็ให้คนที่มอบของให้แก่เขาเหล่านั้น นำหินพลังจิตมาซื้อกลับไป คงไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่นอน
“นี่เป็นกฎ ท่านชายวางใจเถอะครับ” ชายชรารีบยิ้มแล้วตอบรับ
ชายชรารีบใส่รายชื่อยาเหล่านี้ลงในตารางการประมูลทันที
ตอนที่หลัวซิวกลับมาถึงห้องส่วนตัว การประมูลก็เริ่มขึ้นแล้ว ของที่นำออกมาประมูลได้แก่ อาวุธ วรยุทธ์ ทักษะยุทธ์ และยังมีเกราะ รวมไปถึงยาอีกด้วย
“ทุกท่าน ของประมูลชิ้นนี้เป็นเกราะชั้นสูงชุดหนึ่ง ทำมาจากหนังสัตว์ของเสือแสงเงินล่าลม อีกทั้งยังได้รับการวาดสัญลักษณ์ลายเส้นค่ายกลจากปรมาจารย์ค่ายกลระดับ 4 อีกด้วย ซึ่งเพียงพอที่จะป้องกันอาวุธชั้นสูงได้โดยไม่ได้รับความเสียหาย”
ผู้นำเนินงานประมูลพูดเสียงดังบนเวที และหันมองไปยังผู้ชมโดยรอบ “ราคาประมูลเริ่มต้นของชุดเกราะชุดนี้คือหินพลังจิตชั้นล่าง 4000 ก้อน และเพิ่มราคาในแต่ละครั้งไม่น้อยกว่า 100 ก้อน ผู้มีพรสวรรค์ทุกท่านที่จะเข้าร่วมการประลองยุทธ์ในวันพรุ่งนี้ ถ้าหากมีชุดเกราะชุดนี้อยู่ในมือ จะช่วยเพิ่มโอกาสในการชนะให้มากขึ้นอย่างแน่นอน !”
“หินพลังจิต 4300 ก้อน !”
“ข้าให้ 4500 !”
“……”
ชุดเกราะมักมีราคาที่สูงกว่าอาวุธในระดับเดียวกัน ไม่ช้าชุดเกราะชุดนี้ก็ถูกคนประมูลไปด้วยหินพลังจิตจำนวนกว่า 6000 ก้อน”
สินค้าที่ปรากฏขึ้นในช่วงแรกของการประมูล โดยมากเป็นของขั้น 4 ซึ่งไม่มีประโยชน์กับราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่งที่มีอำนาจต่าง ๆ นัก แต่สำหรับปรมาจารย์ฝึกจิตที่จะเข้าร่วมการประลองยุทธ์เพื่อแย่งชิงสิทธิ์ กลับแย่งกันเสนอราคา ซึ่งถือว่ามีการแข่งขันกันอย่างดุเดือด
สินค้าที่นำออกมาประมูล ก็มีเพียงอาวุธ เกราะ ยา และยันต์พวกนี้ ซึ่งหลัวซิวมีครบทุกอย่าง จึงไม่ได้สนใจ
หลังจากผ่านไปสักพัก การประมูลก็ดำเนินมาจนเกือบจะสิ้นสุด ของที่ปรากฏขึ้นในตอนนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นของที่อยู่ในขั้น 5 ทำให้ราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่งที่เข้าร่วมงานประมูลในครั้งนี้ทุกคน ต่างตาลุกวาว
ในขณะเดียวกันนี้ ยาไขกระดูกหยกและยาพระแสงของหลัวซิวเหล่านั้น ต่างก็ได้รับการประมูลในราคาที่สูง หากยังไม่นับรวมยาหิมะแย้มระดับ 6 ที่เก็บเอาไว้ตอนท้ายสุด ตอนนี้หลัวซิวก็มีรายได้เกือบสูงถึง 200,000 ก้อนหินพลังจิตแล้ว
“ยินดีกับแขกผู้มีเกียรติในห้องหมายเลข 3 ที่ประมูลอาวุธอาวุธระดับชั้นล่างชิ้นนี้ไปได้ในราคา 30,000 ก้อนหินพลังจิต”
ใบหน้าของผู้ดำเนินการประมูลเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ปืนยาวระดับชั้นล่างกระบอกหนึ่ง เพิ่งจะถูกขายไปในราคาที่สูง
ในความเป็นจริงแล้ว หากจะว่ากันตามราคาปกติ อาวุธระดับชั้นล่างจะมีราคาประมาณ 20,000 ก้อนหินพลังจิต นักหลอมอาวุธที่จะสามารถหลอมอาวุธระดับชั้นล่างออกมาได้นั้นมีอยู่น้อยมาก และวัสดุที่ใช้หลอมก็หาได้ยากเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ส่งผลให้จำนวนอาวุธระดับชั้นล่างมีไม่เพียงพอกับความต้องการ จึงทำให้มีราคาที่สูง”
“ของที่จะนำออกมาประมูลเป็นชิ้นต่อไป ถือเป็นของสำหรับปิดงานประมูลในวันนี้”
ผู้ดำเนินการประมูลพูดเสียงดัง เขาพูดชักจูงขึ้นก่อนหนึ่งประโยค จากนั้นก็มีหญิงสาวคนหนึ่ง เดินขึ้นมาพร้อมถาดสีแดง
หลังจากผ้าสีแดงถูกเปิดออก ขวดหยกเนื้อละเอียดใสก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกคน
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าของส่วนใหญ่ที่ถูกบรรจุอยู่ในขวดหยกก็คือยา
“ยาวิเศษสำหรับรักษาอาการบาดเจ็บ ยาหิมะแย้มระดับ 6 ราคาประมูลเริ่มต้นอยู่ที่ 5,000 ก้อนหินพลังจิต ราคาเพิ่มขึ้นทุกครั้งไม่น้อยกว่า 1,000 !”
“อะไรนะ ! ยาหิมะแย้มหรือนี่ ?”
“นี่เป็นของที่ใช้สำหรับช่วยชีวิต แม้แต่ราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่ง หากได้รับบาดเจ็บสาหัส กินเข้าไปเพียงเม็ดเดียวก็สามารถช่วยชีวิตเอาไว้ได้โดยไม่ต้องกังวล !”
เมื่อผู้ดำเนินการประมูลประกาศออกมาว่าสิ่งนี้คือยาหิมะแย้ม ราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่งทุกคนต่างตกตะลึงจนลุกขึ้นจากเก้าอี้
########################
บทที่ 193 วิชากลั่นยา
“ทายาทผู้สืบทอดที่อ่อนแอ สมตามปรารถนาที่เจ้าต้องการ”
เสียงของเทพแห่งวัฏจักรชีวิตดังขึ้นในหัวอย่างกะทันหัน หลังจากนั้นร่างกายของหลัวซิวหายไปจากห้องลับ ปรากฏตัวขึ้นภายในโลกของลูกแก้วความเป็นตาย
วงล้อวัฏจักรขนาดใหญ่ลอยขึ้น ดวงดาวส่องประกายระยิบระยับท้องฟ้ายามค่ำคืน ควบแน่นจักรภพอันไร้ที่สิ้นสุด
“ทายาทผู้สืบทอดที่อ่อนแอ เจ้าได้เข้าข่ายเงื่อนไขตามต้องการของการรับของขวัญจากผังกดดั้งเดิมรอบที่สามแล้ว”
เสียงของเทพแห่งวัฏจักรชีวิตดังขึ้น หลังจากนั้นมีแสงสายหนึ่งบินออกมาจากวงล้อวัฏจักร ตรงเข้ามาหาหลัวซิวราวกับดาวตก
“มาแล้ว!”
แววตาของหลัวซิวสั่นไหว ยื่นมือออกไปจับแสงที่บินเข้ามา
ทันทีที่มือสัมผัสโดนแสง มีเคล็ดความรู้สายหนึ่งหลั่งไหลเข้าไปในหัว ราวกับได้เติมเต็มความรู้อันยิ่งใหญ่
“ทายาทผู้สืบทอดที่อ่อนแอ เจ้าได้รับของขวัญครั้งที่สามจากกฎผังดั้งเดิมแล้ว หวังว่าเจ้าจะฝึกตนบรรลุถึงแดนราชายุทธ์ในเร็ววัน ได้รับของขวัญครั้งที่สี่”
หลังจากเสียงของเทพแห่งวัฏจักรดังขึ้นอีกครั้ง มีแสงสายส่องสว่างขึ้น ส่งตัวหลัวซิวออกจากโลกของลูกแก้วความเป็นตาย
ร่างของหลัวซิวปรากฏตัวขึ้นในห้องลับอีกครั้ง ภายในหัวมีภาพความทรงจำปรากฏขึ้นทีละภาพ ภาพความทรงจำพวกนี้หลอมรวมเข้ากับความทรงจำของเขา เหมือนกับเขาเป็นคนประสบเหตุมาด้วยตนเอง
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ตอนที่หลัวซิวลืมตาขึ้น ในแววตามีความผันผวนที่ไม่รู้จบปรากฏขึ้น
“คิดไม่ถึง……”
ความทรงจำขนาดใหญ่หลอมรวมเข้าด้วยกัน ทำให้เขารู้สึกเหนื่อยและมึนงงเล็กน้อย มุมปากอดไม่ได้ที่จะกระตุกให้เห็นรอยยิ้มที่ขมขื่น
เดิมทีคิดว่าของขวัญครั้งที่สามจากผังกฎดั้งเดิม จะได้รับวิชาที่ร้ายกาจแขนงใดแขนงหนึ่ง แต่สิ่งที่ได้ยิน กลับแตกต่างจากที่เขาคิดไปโดยสิ้นเชิง
วิชากลั่นยา!
ความทรงจำของขวัญครั้งที่สามของผังกฎดั้งเดิมคือวิชากลั่นยา
สิ่งที่เขาหลอมรวมเป็นประสบการณ์ของปรมาจารย์กลั่นยาระดับจักรพรรดิขั้นเจ็ด รวมไปถึงความรู้เกี่ยวกับการกลั่นยา ทักษะ และรวมไปถึงประสบการณ์
เพียงแต่ สำหรับเงื่อนไขและผลการฝึกตนของเขาในตอนนี้ ยังไม่สามารถกลั่นยาเม็ดจักรพรรดิระดับเก้า
ผู้ฝึกยุทธ์ยิ่งฝึกตนถึงช่วงหลัง การก้าวสู่แดนแต่ละขั้นก็จะยิ่งยากมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นความแตกต่างของแต่ละขั้นเล็ก ก็จะมีความแตกต่างกันมาก
ดังนั้น ยาเม็ดที่สามารถหนุนเสริมการผลการฝึกตนให้เร็วขึ้นก็จะมีค่าสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นี่ก็เป็นอีกเหตุผลว่าทำไมยาเม็ดระดับสี่ขึ้นไปถึงขาดแคลนมากขนาดนี้
ฝึกกายจำเป็นต้องมียาเม็ด เพิ่มพูนระดับผลการฝึกตนจำเป็นต้องมียาเม็ด ฝึกการสำนึกและดวงจิต ก็จำเป็นต้องมียาเม็ด
เส้นทางของการฝึกยุทธ์ พื้นฐานที่สุดคือทรัพยากร
และวิชากลั่นยา สามารถทำให้หลัวซิวไม่ต้องกังวลเรื่องทรัพยากร ถ้าหากมองในมุมของวิสัยทัศน์ที่ไกลออกไป วิชากลั่นยาจะมีความหมายและประโยชน์มากต่อการฝึกของเขาในอนาคต
ยิ่งไปกว่านั้น วิชากลั่นยาที่เป็นของขวัญจากผังกฎดั้งเดิม ย่อมไม่ธรรมดา
เขาพลิกมือนำยาพระแสงเม็ดหนึ่งออกจากแหวนเก็บของ นี่เป็นยาเม็ดรักษาอาการบาดเจ็บระดับห้าของกองกำลังหนึ่งในเขตการปกครองชิงฮัว หนึ่งเม็ดมีมูลค่าสูงถึงหมื่นหินพลังจิต
เมื่อก่อน หลัวซิวไม่ได้รู้สึกอะไรกับยาเม็ด ทว่าตอนนี้ได้รวมเป็นหนึ่งเดียวกับความทรงจำของปรมาจารย์กลั่นยาจักรพรรดิระดับเก้า ความพิเศษที่แฝงอยู่ในยาเม็ดนี้ เขาสามารถมองเห็นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
“ขยะ!” มองเพียงแค่เดียว ปากของเขาพ่นคำพูดแบบนี้ออกมาสองคำ
ยาเม็ดที่เหมือนกัน ก็มีการแบ่งระดับดีหรือไม่ดี เพราะยิ่งมีสิ่งเจือปนอยู่ในยาเม็ดน้อยเท่าไหร่ ผลของยาก็จะยิ่งดีขึ้นเท่านั้น
สิ่งเจือปนเกินครึ่งก็เท่ากับเป็นยาที่ไร้ประโยชน์ ไม่เพียงสรรพคุณต่ำ ยังจะทิ้งสิ่งเจือปนไว้ในร่างกาย ส่งผลกระทบต่อการฝึกตน
ยาเม็ดทั่วไปที่เป็นนิยมในหมู่ของผู้ฝึกยุทธ์ ส่วนใหญ่จะเป็นยาเจ็ดส่วน น้อยลงมาคือยาแปดบส่วน น้อยมากคือยาเก้าส่วน และยาบริสุทธิ์ที่ไม่มีสิ่งเจือปนเลยแม้แต่นิดเดียว เรื่องนี้แทบจะเป็นตำนานเลยก็ว่าได้
แต่ความรู้เกี่ยวกับการกลั่นยาในความทรงจำของหลัวซิวเพิ่มขึ้น มีสิ่งเจือปนสองส่วน นั่นหมายความว่ายาแปดส่วนที่นิยมในหมู่ผู้ฝึกยุทธ์คือยาที่ไร้ประโยชน์!
สามารถกลั่นยาเก้าส่วน ถึงจะมีสิทธิ์ถูกเรียกว่านักกลั่นยา ในหมู่ของนักกลั่นยา คนที่มีทักษะที่ล้ำลึก สามารถกลั่นยาเม็ดบริสุทธิ์ที่ไม่มีสิ่งเจือปนเลยแม้แต่นิดเดียว
หลัวซิวได้รับการสืบทอดความทรงจำของปรมาจารย์กลั่นยา เขากลายเป็นบุคคลที่สามารถกลั่นยาเม็ดบริสุทธิ์
สำหรับเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการกลั่นยา ปัจจุบันหลัวซิวมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้น้อยมาก
หลัวซิวโยนยาพระแสงมูลค่าหมื่นหินพลังจิตในมือทิ้งอย่างไม่ใส่ใจ โดยไม่คิดจะมองแม้แต่แวบเดียวราวกับเป็นขยะ
ไม่ใช่ยาเม็ดบริสุทธิ์ หลังจากใช้แล้วจะทำให้ทิ้งพิษไว้ในร่างกาย ยิ่งใช้นานเท่าไหร่ พิษสะสมในร่างกายก็จะยิ่งมากขึ้น จะส่งผลกระทบต่อเส้นทางการฝึกตน
“ไม่แปลกเลยทำไมประเทศเทียนหวูถึงมีข้อจำกัดการฝึกตนอยู่ที่จักรพรรคยุทธ์ แปดในสิบเป็นเพราะยาเม็ดโดยเกินไป บวกกับไม่สามารถขับพิษสะสมในร่างกายออก ถึงจะมีพรสวรรค์แค่ไหน ก็อย่าคิดทะลวงให้ถึงขั้นที่สูงกว่า” หลัวซิวพูดพึมพำกับตัวเอง
หลังจากที่ผลการฝึกตนบรรลุถึงฝึกจิต หากอาศัยเพียงหินพลังจิตในการฝึกตน ความก้าวหน้าจะช้ามาก ปรมาจารย์ยุทธ์ทุกคนล้วนแต่ใช้ยาเม็ดเพื่อการฝึกตน และถ้าคุณภาพของยาต่ำเกิน มันจะกลายเป็นปัญหาที่ผูกมัดกับผู้ฝึกยุทธ์
ผลการฝึกตนของหลัวซิวที่บรรลุถึงระดับปัจจุบัน ยาเม็ดที่เคยใช้มีน้อยมาก บางทีพิษของยาอาจจะไม่ส่งผลกระทบอะไรมาก
ทันใดนั้น เขานำยาเม็ดทั้งหมดที่อยู่ในแหวนเก็บของออกมา ทุกเม็ดล้วนแต่เป็นยาเจ็ดส่วน ไม่มียาแปดส่วนแม้แต่เม็ดเดียว
“เพี๊ยะ! เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!……”
ยาเม็ดขั้นสูงที่ราชายุทธ์มากมายใฝ่หาถูกหลัวซิวโยนลงพื้นอย่างไม่ใส่ใจ
ภาพนี้ถ้ามีพวกราชายุทธ์ที่อยู่ด้านนอกมาเห็นเข้า เกรงว่าคงจะหน้ามืดตามัวสู้กับเขาอย่างสุดชีวิตแน่นอน
หลังจากที่กลั่นเป็นยาเม็ดก็จะไม่สามารถปรับเปลี่ยนคุณภาพของยา นี่คือความรู้เบื้องต้นของสายทางยา
สำหรับหลัวซิวในตอนนี้ ถ้าหากใช้ยาเม็ดแสดงว่าต้องเป็นยาเม็ดบริสุทธิ์ ยาเม็ดไร้ประโยชน์อย่าว่าแต่ใช้ ไม่มีสิทธิ์แม้แต่อยู่ในแหวนเก็บของของเขาด้วยซ้ำ
รวมเป็นหนึ่งเดียวกับความทรงจำของปรมาจารย์กลั่นยาจักรพรรดิระดับเก้า สภาพจิตใจของหลัวซิวเริ่มเกิดการหลุดพ้นออกจากแนวคิดทางโลก
ทันใดนั้น หลัวซิวค้นพบวิธีกลั่นยาวิญญาณหยินหยางระดับหกในความทรงจำ เนื่องจากแผลแห่งเทพจิตของเหยียนเยว่เอ่อร์มีเพียงยาเม็ดระดับหกเท่านั้นถึงสามารถรักษาได้
สำหรับมาตรฐานการกลั่นยาโดยรวมของประเทศเทียนหวู ถึงจะมีปรมาจารย์ที่สามารถกลั่นยาเม็ดระดับหก แต่มาตรฐานยังไม่สามารถทำให้ผู้คนเคารพ ยิ่งไปกว่านั้นคาดว่าอัตราความสำเร็จต่ำมาก
“น้ำแร่วิญญาณ ผลหู่หยางจู หญ้าวิญญาณ……”
หลัวซิวพูดพึมพำกับตนเอง หลังจากนั้นนำวัตถุดิบกลั่นยาวิญญาณหยินหยางออกมา
สามอย่างที่อยู่ด้านหน้าเป็นวัตถุดิบหลัก ส่วนที่เหลือเป็นพวกยาวิเศษที่ช่วยหนุนเสริม การกลั่นยาทุกชนิด วัตถุดิบหลักหายากและมีราคาสูงมาก
น้ำแร่วิญญาณสามารถพบได้ในพื้นที่ที่เต็มไปด้วยพลังด้านลบ ส่วนผลหู่หยางจูพบได้ในสถานที่ที่มีแต่พลังด้านบวก โดยเฉพาะหญ้าวิญญาณเป็นยาวิเศษระดับหก จ่ายด้วยราคาหนึ่งแสนหินพลังจิตก็แทบจะหาซื้อไม่ได้
“ไม่รู้ว่าตอนนี้เหยียนเยว่เอ่อร์เป็นยังไงบ้างแล้ว”
ภายในใจของหลัวซิวเกิดความรู้สึกลังเลเล็กน้อย ศัตรูที่ตามฆ่าเหยียนเยว่เอ่อร์แข็งแกร่งเกินไป และถ้าหากไม่สามารถรักษาแผลแห่งเทพจิตของนางให้หาย ผลการฝึกตนก็ไม่สามารถฟื้นฟู ไม่รู้ต้องพบกับความยากลำบากมากแค่ไหน
ในตอนนั้นเอง ค่ายกลต้องห้ามที่อยู่ด้านนอกห้องลับถูกสัมผัส
หลัวซิวลุกขึ้นยืน เปิดประตูห้องลับ สังเกตเห็นหลินเจียเอ่อร์ยืนอยู่ด้านนอกห้องลับ
########################
บทที่ 192 ชื่อเสียงดังก้องทั่วใต้หล้า (2)
เผชิญหน้ากับการชักชวนของหนานหรงชินหวาง หลัวซิวไม่ได้ปฏิเสธและไม่ได้ตอบตกลง
“แก๊งไม่มีการคุ้มครองสมาชิกอัจฉริยะ ปัจจุบันเจ้ามีชื่อเสียงโด่งดัง ได้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของผู้คน สามารถใช้โอกาสนี้เข้าร่วมกับกองกำลัง มันเท่ากับว่าเจ้ามีที่พึ่งพิงอยู่เบื้องหลัง” หัวหน้าแก๊งเสิ่นหยวนหนานพูด
สำหรับเรื่องนี้ เป็นเรื่องจริงที่หลัวซิวก็รู้สึกหวั่นไหวเล็กน้อย เหตุผลที่เขาไม่อยากเข้าร่วมกับกองกำลัง ด้านหนึ่งครอบครัวความลับของตนเองโดนเปิดเผย ด้านหนึ่งเพราะไม่อยากถูกกฎเกณฑ์ของกองกำลังควบคุม
แต่ศัตรูของเขาก็มีไม่น้อย บางคนอยู่ในที่สว่าง บางคนอยู่ในที่มืด ไม่มีที่พึ่งพิงอยู่เบื้องหลัง ก็ถือว่าค่อนข้างอันตราย
และเมื่อไหร่ที่มีคนต้องการลงมือกับเขา จะต้องส่งยอดฝีมือที่แข็งแกร่งมาสังหารเขาแน่นอน เพราะรู้ว่าเขาสามารถผ่านด่านชั้นที่เจ็ดของหอคอยมังกรบิน ไม่มีทางส่งผู้ฝึกจิตธรรมดามาเล่นงานเขา หรือแม้กระทั่งอาจจะมีราชายุทธ์ลงมือด้วยตัวเอง
พลังแปรเสวียนเทียนยี่สิบสี่เท่า ผนึกวงล้อชีวิตแห่งเหล่าทวยเทพสามารถสังหารคู่ต่อสู้ข้ามระดับ แต่เมื่อไหร่ที่เผชิญหน้ากับระดับราชายุทธ์ ไม่ต่างกับแมลงเม่าเขย่าต้นไม้ ต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย
จนกระทั่งถึงตอนนี้ การแข่งขันรอบที่สองได้สิ้นสุดลงแล้ว รายชื่อที่ติดยี่สิบอันดับแรกเข้าสู่รอบที่สาม ส่วนคนอื่นถูกตัดสิทธิ์
หลิวซิวโดนราชวงศ์ชักชวน กองกำลังอื่นไม่กล้าแย่ง แต่นอกเหนือจากเขา ก็มีอัจฉริยะส่วนหนึ่งที่โดดเด่นเช่นกัน หนึ่งในนั้นคือแก๊งอัจฉริยะแบบเซี่ยหย่ง ไม่ได้เข้าร่วมกับกองกำลังใด แทบจะได้รับคำชักชวนจากทุกกองกำลังใหญ่
การแข่งของรอบที่สามคือประลองยุทธ์!
อัจฉริยะยี่สิบคนจะจับคู่ขึ้นต่อสู้บนเวทีประลองยุทธ์เป็นคู่ ผู้ชนะเลื่อนระดับ เข้าสู่การแข่งขันรอบต่อไป ผู้แพ้โดนคัดออก
เนื่องจากอัจฉริยะยี่สิบอันดับแรกส่วนใหญ่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ดังนั้นเวลาของการประลองยุทธ์จึงถูกกำหนดไว้ที่เจ็ดวันหลังจากนี้
ด้วยวิธีการของแต่ละกองกำลัง นอกจากอาการบาดเจ็บที่ไม่สามารถรักษา ไม่เช่นนั้นเวลาเจ็ดวันเพียงพอที่จะฟื้นฟูแล้ว
หลังจากนั่งเรือรบกลับเขตการปกครองชิงฮัว หลัวซิวเก็บตัวฝึกตนในห้องลับของแก๊งสาขานักล่าอสูร
กองกำลังอื่นไม่กล้าชักเชิญ แต่ก็มีกองกำลังส่วนหนึ่งที่อยากจะสร้างความสัมพันธ์ไมตรีกับอัจฉริยะผู้ปราดเปรื่องคนนี้ ทยอยกันส่งยาเม็ดรักษาอาการบาดเจ็บที่ล้ำค่ามาให้
หนึ่งในนั้น โดยเฉพาะหนานหรงชินหวางใจกว้างมาก เขาส่งยาหิมะแย้มซึ่งเป็นยารักษาอาการบาดเจ็บระดับหกมาด้วยตนเองหนึ่งเม็ด!
ราคาของยาหิมะแย้มหนึ่งเม็ด มีราชายุทธ์ไม่น้อยที่แม้ต้องขายบ้านขายสมบัติก็ไม่มีปัญญาซื้อ
เพราะเหตุนี้จึงสามารถเห็นถึงความจริงใจของหนานหรงชินหวาง อย่างไรก็ตามเขาในฐานะคนของราชวงศ์ หากสามารถชักชวนอัจฉริยะที่มีความสามารถส่งมาเข้าร่วม เขาก็จะได้รับการชื่นชมและรางวัลจากจักรพรรดิเช่นกัน
ในขณะเดียวกัน ข่าวที่เกี่ยวกับหลัวซิวสามารถผ่านด่านชั้นที่เจ็ดของหอคอยมังกรบินได้แพร่กระจายไปทั่วหกเมืองของประเทศเทียนหวู และไปถึงหูของกองกำลังใหญ่ในเมืองหลวง
ข้อมูลโดยละเอียดรวมทั้งภูมิหลังและประวัติของหลัวซิว ถูกวางอยู่บนโต๊ะของสมาชิกระดับสูงของแต่ละกองกำลัง
หลังจากนั้นสามวัน อาการบาดเจ็บของหลัวซิวได้ฟื้นฟูหมดแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นผู้เป็นอมตะถูกกระตุ้น ปราณแท้ควบแน่นมากขึ้น
ถ้าหากเป็นผู้ฝึกยุทธ์ปกติ หากอาการบาดเจ็บสาหัสเกินไป แม้จะฟื้นฟูกลับมาเป็นเหมือนเดิมแต่ก็ยังจะส่งผลกระทบทำให้ผลการฝึกตนตกลง ส่วนหลัวซิวเนื่องจากสามารถปลุกผู้เป็นอมตะ ไม่เพียงจะไม่พบกับอาการแทรกซ้อนที่ตามมาทีหลัง ยังสามารถเปลี่ยนเคราะห์ให้ลาภเพิ่มพูนพลัง ถึงขั้นถูกเรียกว่าคนเหนือคน
ทว่าผู้เป็นอมตะย่อมไม่ใช่สิ่งที่สามารถกระตุ้นได้ตามใจชอบ ไม่เช่นนั้นหลัวซิวคงไม่จำเป็นต้องไปพยายาม แค่ฝืนใช้พลังแปรเสวียนเทียนทำให้ตนเองได้รับบาดเจ็บในยามว่างก็เพียงพอแล้ว
ถ้าหากหลัวซิวทำแบบนั้นจริง มีแต่จะทำให้ตนเองได้รับบาดเจ็บสาหัสโดยเปล่าประโยชน์ ผลการฝึกตนก็ไม่มีการพัฒนาแต่อย่างใด
เส้นทางการฝึกตน ไม่มีเทคนิคลับ มีเพียงระเบิดศักยภาพของตนเองออกมาภายใต้แรงกดดันความเป็นความตาย ฝ่าทะลวงขีดจำกัดของตนเองไปทีละขั้น ถึงจะสามารถไปได้ไกลขึ้น
สิ่งที่เรียกว่าผู้เป็นอมตะ อันที่จริงก็เป็นวิธีการแบบหนึ่งในการกระตุ้นศักยภาพและขัดเกลาเจตจำนงแห่งการฝึกยุทธ์์ ไม่ใช่เพื่อพัฒนาความแข็งแกร่งของผู้ฝึกยุทธ์
อย่างไรก็ตามหากไม่มีการต่อสู้ที่เอาเป็นเอาตาย ไม่สามารถกระตุ้นศักยภาพของผู้ฝึกยุทธ์ ความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นจะมาจากไหน?
เกี่ยวกับเรื่องของหลัวซิว เสิ่นหยวนหนานรวบรวมรายงานฉบับหนึ่ง ส่งมอบให้สาขาใหญ่ที่อยู่ในเมืองหลวงของประเทศเทียนหวู
การประเมินอัจฉริยะระดับเหลืองขั้นสูงไม่เพียงพอต่อการวัดศักยภาพของหลัวซิวแล้ว เพื่อยกระดับการประเมินระดับของอัจฉริยะ จำเป็นต้องผ่านสาขาใหญ่
และหลังจากที่อาการบาดเจ็บของหลัวซิวฟื้นฟูกลับมา เขาเริ่มทำการฝึกฝนวิชาพลังมังกรแท้ในห้องลับ
ส่วนการชักชวนของหนานหรงชินหวางในนามราชวงศ์ คำตอบของหลัวซิวคือหลังออกจากดินแดนลึกลับแล้วค่อยว่ากัน
สำหรับหนานหรงชินหวางก็ไม่ได้รู้สึกไม่สบอารมณ์แต่อย่างใด เขาพูดเพียงแค่ว่า หากหลัวซิวต้องการ ราชวงศ์ประเทศเทียนหวูยินดีต้อนรับเขาทุกเมื่อ ยิ่งไปกว่านั้นจะบ่มเพาะเขาอย่างเต็มที่
ชี่ไห่ในจุดตันเถียน ปราณเป็นตายแท้สองระดับควบแน่นอยู่ในวงล้อแห่งชีวิตเหล่าทวยเทพ และหลังจากที่ฝึกพลังมังกรแท้ ด้านข้างของวงล้อชีวิตแห่งเหล่าทวยเทพ มีมังกรขาวดำตัวหนึ่งที่กำลังม้วนตัวปรากฏขึ้น
นี่คือมังกรขาวดำ เกิดจากการควบแน่นของการฝึกพลังมังกรแท้โดยใช้ปราณเป็นตายสองระดับ
ยิ่งไปกว่านั้นหลัวซิวยังพบว่า ในบันทึกของวิชาพลังมังกรแท้มีห้วงยุทธ์ที่ลึกซึ้งแบบหนึ่งแฝงอยู่ ชื่อห้วงยุทธ์มังกรแท้
ด้วยวิธีนี้ อาศัยพลังมังกรแท้หนุนเสริมการฝึกวงล้อชีวิตแห่งเหล่าทวยเทพ และใช้พลังก่อรวมวิญญาณควบแน่นการสำนึก หลัวซิวจึงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องของวิชายุทธ์
ส่วนวิชาวัชรยักษ์ครองร่างและพลังทมิฬซวนโหลว วิชายุทธ์ระดับเจ็ดทั้งสองสามารถละทิ้งได้แล้ว
เกี่ยวกับการประลองยุทธ์์ของหลัวซิวหลังจากนี้สี่วัน หลัวซิวไม่ได้รู้สึกกังวลแต่อย่างใด สำหรับการติดอันดับรายชื่อของแดนปริศนาไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขา
สิ่งที่เขากำลังพิจารณาในตอนนี้คือ จะทำอย่างไรให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้น เพราะตามเท่าที่เขารู้มา แดนปริศนาเป็นสถานที่ค่อนข้างอันตราย ไม่ใช่สิ่งที่ชั้นเจ็ดของหอคอยมังกรบินจะสามารถเทียบได้
แดนปริศนาจะเปิดหนึ่งครั้งทุกสามสิบปี อัจฉริยะรุ่นใหม่ระดับแนวหน้าแปดสิบคนประเทศเทียนหวูเข้าไปด้านใน อัตราการตายเกินครึ่ง!
บางคนตายเพราะความอันตรายของแดนปริศนา และมีบางคนตายเพราะเกิดความขัดแย้งกับอัจฉริยะคนอื่น
“ข้ามีไพ่ตายอยู่ในมือไม่น้อยแต่ความแข็งแกร่งค่อนข้างต่ำ จำเป็นเตรียมความพร้อมให้มาก เพื่อรับประกันไม่ให้เกิดการสูญเสีย”
หลัวซิวนั่งขัดสมาธพูดพืมพำอยู่ในห้องหลับ พูดอย่างกะทันหัน “เทพแห่งวัฏจักรชีวิต ปัจจุบันข้าบรรลุถึงแดนฝึกจิต เป็นไปได้หรือไม่ที่จะเข้าไปในลูกแก้วความเป็นตาย?”
ตอนที่เพิ่งเข้าสู่แดนชี่ไห่ หลัวซิวได้รับของขวัญของผังกฎดั้งเดิม วิชาดาบเร็ว
ก็เพราะอาศัยเคล็ดวิชาระดับสูงของดาบเร็ว ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ข้ามระดับสังหารศัตรูที่แข็งแกร่งครั้งแล้วครั้งเล่า
จนกระทั่งผลการฝึกตนบรรลุถึงแดนพรสวรรค์ เขาได้รับของขวัญจากผังกฎดั้งเดิมอีกครั้ง——พลังแปรเสวียนเทียน!
ถ้าหากไม่มีพลังแปรเสวียนเทียน หลัวซิวไม่รู้ว่าตัวเองจะสามารถอยู่มาจนถึงวันนี้หรือเปล่า
เป็นอย่างที่เทพแห่งวัฏจักรชีวิตพูด ของขวัญที่ผังกฎดั้งเดิมมอบให้จะมุ่งเน้นไปที่การเสริมความแข็งแกร่งของเขา
“ไม่รู้ว่าครั้งต่อไปที่ข้าได้รับของขวัญจากผังกฎดั้งเดิม จะเป็นผลประโยชน์แบบไหน?” ภายในใจของหลัวซิวรู้สึกคาดหวังมาก
########################
บทที่ 191 ชื่อเสียงดังก้องทั่วใต้หล้า (1)
“นี่……เขาผ่านชั้นที่หก? เขาทำได้อย่างไร?”
จิตใจของหลินเจียเอ่อร์ไม่สามารถสงบนิ่ง จากตอนแรกที่ไม่พอใจ นางค่อยๆยอมรับความจริงเรื่องที่ว่าตนเองสู้หลัวซิวไม่ได้ แต่นางไม่เคยคิดว่าระหว่างทั้งสองคนจะแตกต่างกันมากมายเพียงนี้
ชั้นที่สี่และชั้นที่หก ดูแล้วก็เหมือนห่างกันเพียงสองชั้น แต่ความหมายของมันแตกต่างกันไปโดยสิ้นเชิง
ยิ่งไปกว่านั้นในบรรดาคนทั้งห้าร้อย มีเพียงแปดคนที่สามารถผ่านเข้าไปถึงชั้นที่หก คะแนนรวมเพิ่มขึ้นเจ็ดร้อยคะแนน
นอกจากหลัวซิว อีกเจ็ดคนล้วนแต่เป็นผู้ฝึกจิตขั้นสี่สามคน ผู้ฝึกจิตขั้นสามสี่คน
นอกจากคนทั้งแปด คนที่เหลือขอเพียงยังมีชีวิตรอดก็จะถูกส่งตัวออกมา หยุดอยู่ชั้นทีหก
ทันใดนั้น มีเสียงอุทานขึ้นจากฝูงชน แม้แต่ผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ที่อยู่บนเรือรบก็อดไม่ได้ที่จะหวั่นไหว
บนแผ่นศิลาหยกเขียว อัจฉริยะผู้ฝึกจิตขั้นสี่ที่ติดอันดับสอง ชื่อของเขาหายไปอย่างไร้ร่องรอยกะทันหัน
“ตายแล้ว?”
ทุกคนเบิกตากว้าง บรรยากาศโดยรอบเงียบสงบลงทันที
อัจฉริยะที่แท้จริงคนหนึ่งตายแล้ว เรื่องนี้เป็นการสูญเสียและได้รับผลกระทบครั้งใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัยสำหรับกองกำลังต้นสังกัดของเขา
สามารถบรรลุถึงระดับฝึกจิตขั้นสี่ก่อนอายุสามสิบปี ในประเทศเทียนหวูถือเป็นอัจฉริยะระดับแนวหน้า กลับตายไปทั้งแบบนี้ในหอคอยมังกรบิน
บนเรือรบ ผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ชราคนหนึ่งน้ำตาหลั่งไหล เพราะคนที่ตายไปคือหลานชายของเขา และเป็นอัจฉริยะรุ่นหลังที่โดดเด่นที่สุดของเขา
“ซ่า! ซ่า! ซ่า! ซ่า!……”
แสงสีขาวบินออกจากหอคอยมังกรบินทีละสาย มีร่างเงาของผู้ฝึกยุทธ์รุ่นใหม่ปรากฏขึ้นทีละคน ตกลงมาอยู่บนพื้นที่โล่งด้านนอกหอคอยมังกรบิน มีทั้งคนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส หน้าซีดขาว และบางคนลมหายใจรวยรินใกล้สิ้นใจ
ราชายุทธ์ที่อยู่บนเรือรบตกใจกับภาพนี้ ร่างกายของทุกคนสั่นไหว ปรากฏตัวขึ้นข้างกายของอัจฉริยะตนเอง บางคนป้อนยาเม็ด บางคนโคจรพลังรักษา สถานที่เกิดเหตุเริ่มเกิดความโกลาหลขึ้นเล็กน้อย
และในตอนนั้นเอง รายชื่อของหอคอยมังกรบินเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน
“มีคนขึ้นไปเป็นอันดับหนึ่งแล้ว!”
“สวรรค์ คะแนนของหมอนี่เพิ่มขึ้นอย่างกะทันหันแปดร้อยคะแนน!”
มีคนสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของรายชื่อบนศิลาหยกเขียว ทุกคนพากันฮือฮาขึ้นมาทันที
สายตาของทุกคนจับจ้อง พบว่ารายชื่ออันดับหนึ่งบนแผ่นศิลาหยกเขียวเปลี่ยนเป็นชื่อของ——หลัวซิว!
“ตอนแรกหลัวซิวคนนี้ติดอันดับแปด คะแนนเพิ่มขึ้นแปดร้อยคะแนนอย่างกะทันหันกระโดดขึ้นเป็นอันดับหนึ่ง หรือเขาสามารถผ่านด่านชั้นที่เจ็ดแล้ว?”
ราชายุทธ์ทุกคนหันไปสบตากัน ความตกใจปรากฏขึ้นในแววตาพร้อมกัน
ชั้นที่เจ็ดของหอคอยมังกรบินหมายความว่าอะไร ภายในใจของราชายุทธ์ทุกคนรู้ดี เพราะอัจฉริยะที่สามารถผ่านชั้นเจ็ดของยุคสมัย ล้วนแต่ได้รับของรางวัลที่ล้ำค่า
ในตอนนั้นเอง มีแสงสีขาวบินออกมาจากหอคอยมังกรบินอีกหนึ่งสายลงสู่พื้น หลังจากนั้นร่างของหลัวซิวปรากฏตัวขึ้น
บนร่างกายของเขาเต็มไปด้วยเลือด กล้ามเนื้อฉีกขาด ผมเผ้ายุ่งเหยิง ท่าทางดูสะบักสะบอมมาก
นี่ย่อมไม่ใช่สภาพที่เขาเสแสร้งออกมาแน่นอน มันเป็นเพราะการฝืนใช้พลังแปรเสวียนเทียนยี่สิบสี่เท่าจึงส่งผลทำให้พลังสะท้อนกลับได้รับบาดเจ็บสาหัส
หัวหน้าแก๊งเสิ่นหยวนหนานรู้สึกตื่นเต้นจนลูกตาแทบจะหลุดออกมา ร่างกายสั่นไหว ไปปรากฏตัวขึ้นข้างกายของหลัวซิวโดยตรง
“ไอ้หนู ไม่เลวเลย!”
เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าวันนี้ต้องมาอิจฉาความโชคดีของเหวินเซวียนหงมากขนาดนี้ คิดไม่ถึงว่าจะสามารถคัดเลือกอัจฉริยะแบบนี้
ในรอบพันปีที่ผ่านมา คนที่สามารถไปถึงชั้นที่เจ็ดของหอคอยมังกรบินมีไม่ถึงสิบคน นั่นหมายความว่าหลัวซิวคนนี้ เป็นอัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบได้ในรอบร้อยปี!
บางทีอาจจะมีคนคิดว่าบุคคลหายากในรอบร้อยปีนับประสาอะไรไม่ได้เลย เพราะอายุไขของผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์มากมายล้วนมากกว่าพันปี
แต่ประเทศเทียนหวูเพิ่งก่อตั้งขึ้นได้ไม่นาน อัจฉริยะที่หาได้ยากในรอบร้อยปี ก็ถือว่าล้ำค่ามากแล้ว
อัจฉริยะที่เคยฝ่าไปถึงชั้นที่เจ็ดของหอคอยมังกรบิน ในบรรดาทั้งหมดมีสองคนที่ไม่ตาย หนึ่งในนั้นได้กลายเป็นหนึ่งในสิบจักรพรรดิยุทธ์์ผู้ยิ่งใหญ่ ส่วนอีกคนเป็นราชายุทธ์ขั้นเก้าจุดสูงสุด!
เสิ่นหยวนหนานนำยาเม็ดรักษาอาการบาดเจ็บระดับห้าส่งไปให้หลิวซิว
หลัวซิวก็ไม่ได้ปฏิเสธ ยื่นมือออกไปรับมาแล้วกลืน “ขอบคุณผู้อาวุโส”
“ขอบคุณอะไรกัน เมื่อเทียบกับอัจฉริยะอย่างเจ้า ยาเม็ดระดับห้านับอะไรไม่ได้เลย” เสิ่นหยวนหนานแสยะยิ้ม
ส่วนผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์และผู้ฝึกยุทธ์ส่วนใหญ่ของกองกำลังอื่น สายตาของแต่ละคนที่มองหลัวซิว ราวกับกำลังมองสัตว์ประหลาด
ผ่านด่านชั้นที่เจ็ด มันก็จริงที่ทำให้ทุกคนตกใจมาก แต่สิ่งที่ทำให้ผู้คนตกใจมากกว่านั้นคือดูเหมือนหมอนี่เพิ่งจะอายุสิบห้า ยิ่งไปกว่านั้นผลการฝึกตนยังเป็นแค่ฝึกจิตขั้นหนึ่ง?
ในบรรดาผู้ที่ผ่านชั้นที่เจ็ดของทุกยุคสมัย มีคนไหนบ้างที่ไม่ใช่อายุยี่สิบกว่า และผลการฝึกตนบรรลุถึงฝึกจิตขั้นสี่ขึ้นไป?
นี่มันใช่อัจฉริยะในรอบพันปีที่ไหน เห็นได้ชัดว่าเป็นอัจฉริยะที่ยากจะได้พบในรอบพันปี!
สามารถจินตนาการได้เลย ในช่วงเวลาต่อจากนี้ เรื่องที่เกี่ยวข้องกับเด็กหนุ่มที่ชื่อหลัวซิวคนนี้ต้องบานสะพรั่งดั่งดอกไม้ลอยโชยไปทั่วประเทศ ทำให้กองกำลังนับไม่ถ้วนตกตะลึง!
อัจฉริยะที่ปราดเปรื่องเช่นนี้ ราชวงศ์ประเทศเทียนหวูต้องหวั่นไหว สิบตระกูลใหญ่ต้องบ้าคลั่งเพราะเรื่องนี้
ยิ่งไปกว่านั้นคนคนนี้เป็นสมาชิกอัจฉริยะของแก๊งสาขานักล่าอสูร แก๊งไม่ได้จำกัดการเข้าร่วมเป็นสมาชิกร่วมกับกองกำลังอื่น สามารถชักชวนเข้าได้ทุกเมื่อ
สิ่งที่ทำให้ผู้คนสนใจมากที่สุดคือ เขาสามารถผ่านชั้นที่เจ็ด แล้วเขาได้รับของรางวัลแบบไหน?
“ฮ่าฮ่า สมกับเป็นวีรบุรุษในหมู่คนหนุ่มสาว น้องชายทำให้ข้าได้เปิดหูเปิดตาครั้งใหญ่”
หนานหรงชินหวางกระโดดลงมาจากเรือรบ เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าหลัวซิว บนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “น้องชายสนใจมาบุกเบิกที่เมืองหลวงของประเทศเทียนหวูหรือเปล่า?”
เห็นได้ชัดคำพูดประโยคนี้ของหนานหรงชินหวางเป็นการชักชวน ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเป็นตัวแทนของราชวงศ์樊家 ซึ่งเป็นกองกำลังที่ใหญ่ที่สุดของประเทศเทียนหวู
ยิ่งกว่านั้น หนานหรงชินหวางออกหน้า กองกำลังจากสิบสามเขตปกครองอื่น เริ่มทยอยกันล้มเลิกความคิดที่อยู่ในใจ
เพราะในประเทศเทียนหวู นอกเหนือจากกองกำลังใหญ่ระดับแนวหน้า ไม่มีใครกล้าแย่งคนกับราชวงศ์ประเทศเทียนหวู
เซี่ยหย่งกินยาเม็ดรักษาอาการบาดเจ็บหนึ่งเม็ด สีหน้าที่ซีดขาวแล้วฟื้นฟูกลับมาเป็นสีแดง เขาเป็นสมาชิกอัจฉริยะของแก๊งเขตการปกครองชิงฮัว เป็นชั้นเหลืองเหมือนกัน และผลการฝึกตนฝึกจิตขั้นสาม
แต่คิดไม่ถึงว่าหลัวซิวคนนี้จะทำได้ดีกว่าตนเอง สามารถฝ่าด่านชั้นที่เจ็ดของหอคอยมังกรบิน?
เขาก็บุกไปถึงชั้นที่เจ็ดเหมือนกัน และรู้ถึงความน่ากลัวของชายชุดดำถือดาบคนนั้น เพียงแค่ดาบเดียว ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บ ต้องส่งเสียงตะโกนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หนีเอาชีวิตรอดในช่วงสามอึดใจอย่างบ้าคลั่ง
ถึงจะเป็นแบบนั้น ในเวลาช่วงสามอึดใจ เขาก็เกือบจะตายภายใต้คมดาบของชายชุดดำ
สถานการณ์ของเซี่ยหย่งยังถือว่าดี มีอีกหลายคนที่บุกไปถึงชั้นที่เจ็ดเหมือนกัน แต่ตอนอยู่ในสภาวะที่หมดสติ หรือไม่ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส
และครั้งนี้ถึงขั้นมีอัจฉริยะฝึกจิตขั้นสี่คนหนึ่งตายลงในชั้นที่เจ็ด
สีหน้าของช่าวชูเจิ้งฉีก็เคร่งขรึมลง เขาเองก็คิดไม่ถึงว่าหลัวซิวจะสามารถทำได้โดดเด่นมากขนาดนี้ แม้กระทั่งหนานหรงชินหวางที่มียศฐาบรรดาศักดิ์ก็ไปชักชวนด้วยตนเอง
หลันเจียเอ่อร์ยิ่งถึงกับใช้มือกุมปากตนเอง ในแววตาปรากฏให้เห็นอารมณ์ของการไม่สามารถยอมรับเรื่องนี้
มีเพียงใบหน้าของเหยียนซีโรว่ที่มีรอยยิ้มแฝงเล็กน้อย นางไม่สนใจว่าหลัวซิวจะทำสถิติได้ดีมากแค่ไหน สิ่งที่นางสนใจคือความปลอดภัยของเขาและทุกอย่างเรียบร้อยดี
วินาทีนี้ จิตใจของทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์เริ่มซับซ้อน
ราชายุทธ์ของกองกำลังใหญ่ทั้งสิบสามเขตปกครอง ตอนนี้ก็รู้ดีอยู่แก่ใจ เมื่อไหร่ที่เด็กหนุ่มที่ชื่อหลัวซิวถูกราชวงศ์ชักชวนไป เมื่อเป็นแบบนั้น จะต้องห้ามล่วงเกินคนคนนี้เด็ดขาด!
อัจฉริยะแบบนี้หากเติบโตขึ้น จะกลายเป็นบุคคลที่น่าสะพรึงกลัว บุคคลที่สามารถกวาดต้อนเป็นหนึ่งในเขตปกครอง
“บัดซบ!”
สีหน้าของเจ้าสำนักเหลยเว่ยหลงแห่งสำนักเหลยหวู่เคร่งขรึมจนน่ากลัว เขารู้ดีอยู่แก่ใจ ในตอนนั้นหลัวซิวคนนี้เคยประกาศจะเหยียบสำนักเหลยหวู่ให้ล่มจมและเอาหัวเขาไป
และสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกโกรธมากกว่านั้นก็คือ เขาไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าตนเองไปล่วงเกินหมอนี่ตั้งแต่เมื่อไหร่
########################
บทที่ 190 วิชาพลังมังกรแท้
“ผนึกวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ!”
หลัวซิวไม่ได้ฟันกระบี่ออกไป แต่ใช้ผนึกที่แข็งแกร่งที่สุดแทน แสงสีขาวดำโดยรอบประสานกัน บนหน้าอกมีภาพเงาของวงล้อปรากฏขึ้น
“นี่คือ……”
รูม่านตาของชายชุดดำขยายใหญ่
โครม!
ภาพเงาของวงล้อบินออกไป เสียงระเบิดที่ดังสนั่นแสบแก้วหูดังขึ้นภายในพื้นที่ของชั้นเจ็ด ปราณดาบรูปร่างมังกรทองถูกพลังของวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพที่กลายเป็นภาพเงาวงล้อทำลายทันที ภายในนั้นมีพลังยี่สิบสี่เท่าแฝงอยู่ ราวกับแผ่นโม่พุ่งตรงเข้าไปบดขยี้ชายชุดดำ
เดิมทีชายชุดดำต้องการหลบตามสัญชาตญาณ แต่กลับโดนกลิ่นอายพลังของวงล้อชีวิตแห่งเหล่าทวยเทพตรึงเอาไว้
“วิชามังกรพลังแท้!”
ชายชุดดำอ้าปากส่งเสียงคำราม ฟันดาบออกไปสุดแรง ปราณดาบที่เหมือนกับมังกรสีทองของจริงพุ่งออกไปพร้อมกับเสียงคำราม
เสียงระเบิดที่ดังสนั่นก้องท้องฟ้าดังขึ้นอีกครั้ง ร่างกายของชายชุดดำลอยกระเด็นถอยหลังแตกเป็นเสี่ยง
“ชนะแล้ว……”
หลัวซิวใช้ผนึกวงล้อแห่งชีวิตเหล่าทวยเทพด้วยพลังยี่สิบสี่เท่า ตอนนี้ผลการฝึกตนของเขาถูกเผาผลาญจนหมด ทรุดตัวก้นทิ่มลงกับพื้น ไม่สามารถขยับแม้กระทั่งนิ้วมือ
ผนึกวงล้อแห่งชีวิตเหล่าทวยเทพแข็งแกร่งมากก็จริง แต่ทุกครั้งที่ใช้จะโดนดูดซับผลการฝึกตนจนหมด นอกจากตกอยู่ในช่วงเวลาที่จำเป็น จะไม่ใช้ส่งเดชเด็ดขาด
โชคดี ทุกครั้งที่ใช้ผนึกแขนงนี้ ล้วนแต่สามารถทำให้เขาสังหารศัตรูที่แข็งแกร่ง ไม่เช่นนั้นภายใต้สถานการณ์ที่อ่อนแรงแบบนี้ ขอเพียงแค่มีใครคนใดคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น ก็สามารถฆ่าเขาได้อย่างง่ายดาย
ทว่าในตอนนั้นเอง พื้นที่ตรงหน้ามีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น ชายชุดดำที่แตกสลายหายไปแล้วปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าอีกครั้ง
“นี่มันเรื่องอะไรกัน?” สีหน้าของหลัวซิวเปลี่ยนไป จะตะโกนเสียงดังเพื่อออกจากที่นี่ทันที
“ไม่ต้องกังวล ผู้เข้ารับการทดสอบเจ้าได้ผ่านด่านที่เจ็ดแล้ว” ชายชุดดำพูดด้วยน้ำเสียงที่เฉยเมย
“ผ่านแล้ว?”
“ใช่” ชายชุดดำพยักหน้า พูด “ตอนนี้เจ้าสามารถเลือกรางวัลผ่านด่านชั้นที่เจ็ด เจ้าสามารถเลือกวิชายุทธ์ และสามารถเลือกยาเม็ด สมบัติ แต่เจ้าเลิกได้เพียงสิ่งเดียวเท่านั้น”
ในขณะที่พูด ชายชุดดำโบกมือ กลางอากาศมีภาพที่เลือนลางปรากฏขึ้น
ตำราหยกหนึ่งม้วน ขวดหยกหนึ่งขวด ชุดเกราะหนึ่งชุด กระบี่ยุทธ์หนึ่ง
หลัวซิวตัดชุดเกราะและกระบี่ออกโดยตรง เพราะตอนนี้เขายังไม่ต้องการใช้มัน ยิ่งไปกว่านั้นรางวัลที่หอคอยมังกรมอบให้อย่างมากก็เป็นแค่ระดับดิน
ม้วนตำราหยก ไม่จำเป็นต้องพูดมาก คาดว่าน่าจะเป็นวิชายุทธ์ ส่วนขวดหยกเป็นยาเม็ด
ชายชุดดำพูดอธิบายเสริม “เลือกม้วนตำราหยก ข้ามีวิชายุทธ์ระดับแปดให้เจ้าเลือกหลายแบบ วรยุทธ์ ทักษะยุทธ์ วิชาท่าร่าง เจ้าเลือกได้ตามสบาย
เลือกยาเม็ด มียาเม็ดที่เพิ่มพูนผลการฝึกตน ขัดเกลาร่างกาย ขัดเกลาการสำนึก รักษาอาการบาดเจ็บสารพัด เจ้าเลิกได้ตามใจชอบ
ชุดเกราะและกระบี่ยุทธ์เป็นของระดับล่าง”
“ข้าเลือกม้วนตำรา วิชายุทธ์!” หลัวซิวพูดอย่างไม่ลังเล
ของล้ำค่าที่สุดในใต้หล้าคือวิชายุทธ์ที่ถูกสืบทอด หลัวซิวรู้จักความแข็งแกร่งของตัวเองในปัจจุบันดี สิ่งที่พึ่งพาก็คือวิชาหลายแขนงที่ตนเองฝึก
หากเป็นวิชายุทธ์ระดับเจ็ด เขาเองก็ไม่ได้สนใจ แต่ถ้าเป็นวิชายุทธ์ระดับแปด แม้แต่ประเทศเทียนหวูก็มีไม่เท่าไหร่
พลังก่อรวมวิญญาณที่เขาฝึกเป็นวิชาลับที่ไม่ถ่ายทอดให้กับคนภายนอกของตระกูลเหยียน เหยียนเยว่เอ่อร์ก็เป็นเพราะสถานการณ์ที่พิเศษจึงถ่ายทอดให้เขา หากไม่มีวิชาพลังก่อรวมวิญญาณระดับแปด หลัวซิวยังไม่สามารถสำเร็จการสำนึกได้เร็วขนาดนี้
หลังจากที่ความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เข้าใช้วงล้อแห่งชีวิตเหล่าทวยเทพหนุนเสริมการฝึกพลังก่อรวมวิญญา ถึงกระนั้นก็ไม่มีประโยชน์อะไรมาก และวัชรยักษ์ครองร่างของเขาก็มีการพัฒนาที่มีขีดจำกัด อย่างมากก็แค่สามารถฝึกจนถึงร่างยุทธ์ขั้นสูง
“ดั่งเจ้าปรารถนา”
ชายชุดดำพยักหน้าเล็กน้อย โบกมือ ภาพเงาหายไป หลังจากนั้นมีม้วนตำราสามม้วนรออยู่ตรงหน้าหลัวซิว “วิชายุทธ์ ทักษะยุทธ์ วิชาท่าร่าง มีอย่างละแขนง เจ้าเลือกได้เพียงอย่างเดียว”
หลัวซิวปลดปล่อยการสำนึกออกไป ม้วนหยกม้วนแรกเป็นวิชายุทธ์ระดับแปดแขนงหนึ่ง ชื่อวิชาพลังมังกรแท้ สามารถควบแน่นปราณแท้ให้กลายเป็นมังกร มีพลังมังกรแฝง อานุภาพการทำลายล้างเพิ่มสูง เป็นวิชาที่ชายชุดดำใช้ตอนสู้กับเขา
ที่สามารถติดอยู่ในรายชื่ออันดับแปด วิชาพลังมังกรแท้ยังเป็นวิชาที่ใช้ฝึกพลังจิตและร่างแขนงหนึ่ง ผลของการขัดเกลาร่างกายดีเยี่ยม สูงสุดสามารถฝึกถึงร่างยุทธ์ขั้นจักรพรรดิ
วรยุทธ์์แขนงนี้กำลังเป็นที่ต้องการของหลัวซิวในปัจจุบัน
แทบจะในทันที หลัวซิวเกือบจะเลือกวิชาพลังมังกรแท้โดยตรง แต่เขาก็ยับยั้งห้ามใจตัวเอง ดูทักษะยุทธ์และวิชาท่าร่างที่อยู่ด้านหลังต่อ
ม้วนหยกม้วนที่สองคือทักษะยุทธ์ระดับแปด ชื่อวิชากระบี่บัวเขียว รุกและรับในหนึ่งเดียวอานุภาพไม่ธรรมดา
ม้วนยกม้วนที่สามคือวิชาท่าร่างระดับแปด วิชาเตโชแปรรุ้ง เมื่อไหร่ที่ฝึกสำเร็จร่างกายเป็นดั่งแสงสายรุ้ง ความเร็วอยู่เหนือตามลมล่าจันทราที่เขาฝึก
เรียกได้ว่าวิชายุทธ์ทั้งสามแขนงนี้ ทุกแขนงล้วนแต่ไม่ธรรมดา ในบรรดาวิชายุทธ์ระดับแปดนับไม่ถ้วน ต้องติดอันดับแนวหน้าอย่างเห็นได้ชัด
“ข้าเลือกวิชาพลังมังกรแท้ดีกว่า” หลัวซิวลังเลสักพัก ยื่นมือออกไปหาม้วนหยกที่บันทึกวิชาพลังมังกรแท้
ชายชุดดำพยักหน้าด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย โบกมือ ม้วนหยกอีกสองเล่มหายไปในทันที
“การที่เจ้าสามารถผ่านการทดสอบชั้นที่เจ็ด แสดงว่าเจ้ามีพรสวรรค์ที่เหนือชั้น ถ้าหากเจ้าสามารถผ่านชั้นที่แปดหรือแม้กระทั่งเก้า ของรางวัลที่ได้รับก็จะยิ่งมีค่ามากขึ้น” ชายชุดดำพูดแบบนี้
หลังจากได้ยินคำพูดประโยคนี้ หลัวซิวอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่น เพียงแค่ชั้นเจ็ดเขาก็ต้องฝืนใช้พลังแปรเสวียนเทียนยี่สิบสี่เท่าแล้ว ตอนนี้ร่างกายเริ่มแตกร้าว อยู่ในสภาวะของอาการบาดเจ็บสาหัส ไปชั้นที่แปดทั้งแบบนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นการรนหาที่ตาย
ยิ่งไปกว่านั้นแม้ตนเองจะอยู่ในสภาวะที่สมบูรณ์ หลัวซิวก็ไม่มั่นใจว่าจะสามารถผ่านการทดสอบชั้นที่แปด คู่ต่อสู้ที่ปรากฏขึ้นในชั้นที่แปด จะเป็นผู้ฝึกจิตขั้นเก้า
“ไม่ไปต่อแล้ว ข้าจะออกไป” หลัวซิวยับยั้งห้ามใจของรางวัลที่ล่อใจ ไม่ต้องสงสัยในคำพูดของเขาเลย
ทันทีที่เขาพูดคำพูดประโยคนี้ออกมา มีแสงสีขาวปกคลุมร่างกายของเขา เพียงแค่เวลาช่วงสามอึดใจ เขาก็จะถูกต้องออกจากที่นี่
ชายชุดดำเห็นการตัดสินใจของหลัวซิวก็ไม่ได้พูดอะไร ร่างกายของเขาหายไปโดยตรง
……
เรือรบที่อยู่บนหอคอยมังกรบิน สายตาของผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์จับจ้องศิลาหยกเขียวไม่กระพริบตา
ผู้ฝึกยุทธ์์ที่ปราดเปรื่องแห่งยุคห้าร้อยคน หลังจากที่เข้าไปในหอคอยมังกรบิน ตายไปแล้วสามสิบกว่าคน
ตอนนี้ ยังเหลือเพียงไม่กี่คนที่ยังยืนหยัดอยู่ในหอคอยมังกรบิน
ใบหน้าของหลินเจียเอ่อร์ซีดขาวเล็กน้อย นางบุกไปถึงชั้นที่สี่ เอาชนะคู่ต่อสู้ฝึกจิตขั้นหนึ่ง แต่ก็ต้องจ่ายด้วยราคาที่ไม่เบาเช่นกัน ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีทางเลือกจึงทำได้แต่ละทิ้งการไปต่อชั้นที่ห้า
ผู้คนส่วนใหญ่ล้วนหยุดอยู่ที่ชั้นที่สี่ มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถผ่านด่านชั้นที่ห้า ส่วนคนที่สามารถผ่านด่านชั้นที่หก มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
“หมอนั่นยังไม่ออกมา? หรือว่าตายอยู่ด้านในแล้ว?”
หลินเจียเอ่อร์กวาดสายตามองโดยรอบ ไม่เห็นแม้แต่เงาของหลิวซิว ไม่แน่ใจอดไม่ได้ที่จะคาดเดา
ในมุมมองของนาง แม้หลัวซิวจะเป็นผู้ฝึกจิตขั้นหนึ่ง สามารถบุกไปถึงชั้นที่ห้าก็ถือว่าไม่ธรรมดาแล้ว บางทีอาจจะเป็นเพราะค่อนข้างมั่นใจในตนเอง บุกไปถึงชั้นที่หก เพราะเหตุนี้จึงเอาชีวิตไปทิ้งที่นั่น
ทว่าหลินเจียเอ่อร์กลับสังเกตเห็นเหยียนซีโรว่ พบว่าอีกฝ่ายก็กำลังกวาดสายตามองโดยรอบ แอบคิดในใจผู้หญิงคนนี้ก็น่าจะกำลังตามหาหลิวซิวเช่นกัน
ไม่นาน สายตาของหลินเจียเอ่อร์จับจ้องไปที่รายชื่ออันดับแปดบนศิลาหยกเขียว มันเป็นชื่อของหลัวซิวและยังไม่ได้หายไป นั่นหมายความว่าเขายังมีชีวิต
และสิ่งที่ทำให้นางตกใจคือคะแนนรวมของหลัวซิว อยู่ที่หนึ่งพันแปดร้อยคะแนนแล้ว เพิ่มขึ้นเจ็ดร้อยคะแนนจากการแข่งในรอบแรก!
########################
บทที่ 189 สู้อย่างเต็มกำลัง
“ดูเหมือนจะเป็นอัจฉริยะสมาชิกขององค์กรนักล่ายุทธ์ หลังจากผ่านการแข่งเอาตัวรอดในรอบแรก ผลการฝึกตนทะลวงจากฝึกจิตครึ่งก้าวสู่ฝึกจิตขั้นหนึ่ง”
“ฝึกจิตขั้นหนึ่งสามารถสังหารฝึกจิตขั้นสามผ่านด่านชั้นที่หก แต่กลับต้องมาหยุดลงในชั้นที่เจ็ด”
“เหอะเหอะ ชั้นที่เจ็ดมันผ่านง่ายขนาดนั้นเลยหรือ? แม้จะเป็นฝึกจิตขั้นสี่ที่ติดอันดับหนึ่ง ก็ไม่สามารถผ่านไปได้”
“ผ่านชั้นที่หกก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว ฝึกจิตขั้นสามลงไปต้องใช้อาวุธวิเศษและวิธีการพิเศษถึงสามารถผ่านได้ แม้จะเป็นฝึกจิตขั้นสามเหมือนกัน การผ่านด่านก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะฝึกจิตขั้นสามในหอคอยมังกรบินไม่ใช่ฝึกจิตขั้นสามทั่วไป”
ผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์์ที่อยู่บนเรือรบทั้งหลายพูดคุยกัน สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่รายชื่ออันดับบนศิลาหยกเขียว
หลัวซิวผ่านด้านเร็วมาก ดังนั้นรายชื่อของเขาจึงขึ้นไปเป็นอันดับสองชั่วคราว
แต่อีกไม่นานคนอื่นที่สามารถผ่านด่านชั้นที่หก คะแนนของพวกเขาก็จะไล่ตามมาจนทัน
ในขณะเดียวกัน มีคนบางกลุ่มถูกส่งตัวออกมาจากหอคอยมังกรบิน ส่วนใหญ่สีหน้าซีดขาว ไร้ร่องรอยของเลือด บางคนก็มีคราบเลือดติดอยู่ที่มุมปาก บนร่างกายเต็มไปด้วยเลือดสีแดงสด ได้รับบาดเจ็บสาหัส
ยิ่งไปกว่านั้นยังมีคนบางกลุ่ม กลิ่นอายที่ประทับอยู่บนศิลาหยกเขียวหายไป แสดงว่าตายแล้ว!
“เอาชนะข้า แล้วจะได้รับรางวัลที่สามารถผ่านด่านไปได้”
ชายชุดดำถือดาบที่ปรากฏตัวขึ้นไม่ได้ลงมือทันที แต่พูดกับหลัวซิวด้วยน้ำเสียงที่เฉยเมยแทน
“เจ้าสามารถพูด?” หลัวซิวแสดงสีหน้าประหลาดใจ
ทว่าชายชุดดำกลับไม่ได้อธิบายอะไร เพียงแค่เดินถือดาบก้าวเข้ามาหาหลัวซิว
หลัวซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย สัมผัสได้ถึงความไม่ธรรมดาของหอคอยมังกรบิน ก่อนหน้านี้ตั้งแต่ชั้นที่หนึ่งถึงหก คู่ต่อสู้ที่ปรากฏตัวขึ้นจะลงมือโดยตรง ไม่มีการพูดคุยแม้แต่คำเดียว เหมือนกับสิ่งมีชีวิตที่ร้ายจิตใจ
แต่คู่ต่อสู้ที่ปรากฏตัวขึ้นในชั้นที่เจ็ดกลับสามารถพูดได้ ยิ่งไปกว่านั้นตั้งแต่ฉันที่เจ็ดขึ้นไป ขอเพียงแค่ผ่านด่านก็จะได้รับของรางวัล
เมื่อเป็นแบบนี้ก็หมายความว่าชั้นที่เจ็ดเป็นเหมือนลุ่มแม่น้ำที่แบ่งเขต แม้ในอดีตที่ห่างไกล คนที่สามารถผ่านด่านชั้นที่เจ็ดก็มีแต่อัจฉริยะที่แท้จริง
ก่อนที่จะสามารถฝ่าทะลวงปรมาจารย์ฝึกจิต หลัวซิวสามารถต้านทานฝึกจิตขั้นสี่ด้วยพลังทั้งหมดที่มี
ปัจจุบันผลการฝึกตนบรรลุถึงฝึกจิตขั้นสี่ แต่เผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งฝึกจิตขั้นเจ็ด ยังคงอยู่ห่างชั้นกันไป
หากให้เวลาเขาในการเพิ่มพูนผลการฝึกตนอีกสองสาม ผ่านด่านชั้นที่เจ็ดย่อมไม่ใช่เรื่องยาก แต่ด้วยพลังในปัจจุบัน เขาเองก็ไม่มีความมั่นใจมากเท่าไหร่
“ลองสู้อย่างเต็มกำลังก็แล้วกัน เมื่อไหร่ที่เผชิญกับความอันตราย ต้านทานเวลาสามอึดใจออกจากที่นี่น่าจะไม่ยาก” หลัวซิวคิดในใจ
ทันใดนั้น ชายชุดดำถือดาบเพิ่มความเร็วอย่างกะทันหัน เพียงแค่พริบตาเดียวมาปรากฏตัวตรงหน้าพร้อมกับปลดปล่อยพลังดาบที่บ้าคลั่งออกมา
กระบี่ยุทธ์ถูกชักออกจากฝัก ทันทีที่ดาบและกระบี่กระทบกัน ประกายไฟสาดกระจายไปทั่ว หลัวซิวส่งเสียงอู้อี้ร่างกายลอยกระเด็นออกไป
“แข็งแกร่งมาก!”
แววตาของหลัวซิวเย็นชาลง ภายในใจเต็มไปด้วยความตกใจ
สิ่งที่เขาตกใจไม่เพียงเป็นเพราะปราณแท้ของคู่ต่อสู้แข็งแกร่งมาก อย่างไรก็ตามฝึกจิตขั้นเจ็ดมีปราณแท้ระดับนี้ก็เป็นเรื่องปกติ
สิ่งที่ทำให้เขาตกใจของจริงคือการโจมตีของชายชุดดำคนนี้มีห้วงดาบแฝงอยู่ เขาสามารถควบคุมพลังห้วงยุทธ์!
ในประเทศเทียนหวู ราชายุทธ์มากมายไม่สามารถควบคุมห่วงยุทธ์ การฝึกจิตที่สามารถเข้าใจแก่นแท้ของห้วงยุทธ์ยิ่งหายากยิ่ง มีเพียงอัจฉริยะระดับแนวหน้า
เมื่อเป็นแบบนี้ก็หมายความว่า คู่ต่อสู้ที่หลัวซิวกำลังเผชิญหน้าไม่ใช่ฝึกจิตขั้นเจ็ดทั่วไป แต่เป็นยอดฝีมือฝึกจิตขั้นเจ็ดระดับแนวหน้า
ถ้ายอดฝีมือฝึกจิตขั้นเจ็ดแบบนี้เดินออกไป เกรงว่าปรมาจารย์โลกยุทธ์ขั้นเก้ามากมายก็คงไม่ใช่คู่ต่อสู้
คู่ต่อสู้แข็งแกร่งแบบนี้ หลัวซิวไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกหวาดกลัว ในทางกลับกันเจตนาแห่งการต่อสู้ของเขายิ่งพุ่งสูงขึ้น
ตอนที่เขาเพิ่งก้าวเข้าสู่แดนพรสวรรค์ สามารถสังหารปรมาจารย์พรสวรรค์ขั้นเก้า
แม้จะบรรลุถึงแดนฝึกจิต การต่อสู้ก็เพิ่มระดับความยากขึ้น แต่เขามีไพ่ตายมากมาย ใช่ว่าจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของบุคคลระดับนี้
“หึ่ม!”
ชายชุดดำฟันดาบออกไปอีกครั้ง ห้วงดาบล็อคเป้ามาที่ตัวของหลัวซิว ทำให้เขาไม่สามารถหลบพ้นการฟันครั้งนี้ แม้จะมีวิชาเคลื่อนย้ายที่ล้ำลึกเพียงใดก็ตาม
“พลังแปรเสวียนเทียน!”
หลัวซิวพูดเสียงเบา โคจรพลังหกเท่า แสงกระบี่เปลวไฟสีดำปะทุขึ้น พลังเพิ่มพูนขึ้นจำนวนมหาศาล
“ปัง!”
อาศัยพลังที่เพิ่มขึ้นหกเท่า หลัวซิวสามารถต้านทานการโจมตีครั้งนี้เอาไว้ได้ ร่างกายของเขาไม่ได้ลอยกระเด็นออกไป เพียงแค่ถอยหลังไปครึ่งก้าว
“ฮืม?”
ชายชุดดำที่สีหน้าไร้อารมณ์เผยให้เห็นความประหลาดใจ ราวกับกำลังตกใจที่ผู้ฝึกจิตขั้นหนึ่งมีพลังถึงระดับนี้
สีหน้าที่เปลี่ยนไปของชายชุดดำอยู่ในสายตาของหลัวซิว ทำให้เขายิ่งมั่นใจว่าหอคอยมังกรบินไม่ธรรมดา
ได้ยินมาว่าสมบัติขั้นห้าบางอย่างสามารถได้รับภูมิปัญญาทางจิตวิญญาณ ทั่วทั้งหอคอยมังกรบิน อันที่จริงสามารถพูดได้ว่าเป็นสมบัติค่ายกลขนาดใหญ่ ระดับของสมบัติชิ้นนี้ก็น่าจะไม่ต่ำ บางทีหลังผ่านเดือนผ่านตะวันมายาวนาน อาจจะมีภูมิปัญญาทางจิตวิญญาณ หรือไม่ก็มันมีภูมิปัญญาทางจิตวิญญาณแต่เดิมอยู่แล้ว
ในโบราณประวัติศาสตร์ที่ถูกบันทึกเอาไว้ ยุคสมัยโบราณที่ห่างไกล เคยมีอารยธรรมโลกยุทธ์ที่แข็งแกร่งมากกว่าปัจจุบัน
“บูม!”
ในตอนนั้นเอง ชายชุดดำเริ่มฟันดาบออกมาอีกครั้ง บนดาบแสงสีทองสั่นไหว ปราณดาบกวาดต้อน แสดงทักษะยุทธ์ออกมา
““炼火剑”
หลัวซิวก็โคจรปราณแท้ ใช้พลังหกเท่าแสดงทักษะยุทธ์ขั้นเจ็ดออกมา เปลวไฟสีดำปะทุขึ้นราวกับแม่น้ำที่เชียว
บูม!
กระบี่และดาบปะทะเข้าหากันอีกครั้ง หลัวซิวรู้สึกเพียงมีพลังที่บ้าคลั่งสายหนึ่งถูกส่งตรงเข้ามาจากกระบี่ยุทธ์ กลายเป็นปราณดาบฉีกกระชากภายในร่างกาย แม้เป็นร่างยุทธ์ขั้นสูง ก็ต้องเลือดและลมปราณพลุ่งพล่านรู้สึกเจ็บปวดจนทะลวงถึงหัวใจ
“วงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ!”
หลัวซิวคิดในใจ วงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพที่อยู่ในจุดตันเถียนชี่ไห่เริ่มหมุนอย่างรวดเร็ว พยายามสยบปราณดาบที่กำลังฉีกกระชากในร่างกาย บดขยี้ สลาย!
แต่ว่าการโจมตีของชายชุดดำที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกลับไม่หมดเพียงเท่านี้ ฟาดฟันอย่างต่อเนื่องราวกับพายุฝนที่บ้าคลั่ง
การโจมตีของชายชุดดำดุดันมากเกินไป ทำให้หลัวซิวทำได้แต่ตั้งรับไม่หยุด แทบจะไม่มีโอกาสได้โต้ตอบ
กระบี่ยุทธ์ฟาดฟันม่านพลังดาบที่ลมไม่สามารถผ่านทะลุ จิตใจของหลัวซิวอยู่ในดินแดนที่นิ่งสงบเหมือนน้ำก้นบ่อ รอคอยโอกาสโจมตีกลับอย่างอดทน
บูม!
ดาบที่บ้าคลั่งถูกฟันออกไป กำลังเพิ่มสูงขึ้นร้อยเท่าอย่างกะทันหัน หลัวซิวใช้กระบี่ตั้งรับ ถูกระเบิดจนลอยกระเด็นออกไป มีเลือดสีแดงกระอักออกมาจากปาก
ชายชุดดำใช้โอกาสที่อยู่เหนือกว่าไล่โจมตีต่อ ฟันดาบออกใบ มีเสียงคำรามของมังกรดังขึ้น ปราณดาบที่เป็นรูปร่างมังกรยาวหลายฟุตพุ่งออกมากวาดต้อนสี่ทิศ
สิ่งที่ชายชุดดำแสดงออกมาในตอนนี้ เห็นได้ชัดเป็นวิชายุทธ์ที่ค่อนข้างร้ายกาจแบบหนึ่ง ปราณดาบกลายเป็นรูปร่างมังกร ไม่เคยพบไม่เคยเห็น
และในขณะเดียวกัน หลัวซิวมีทางเลือกเพียงสองทาง หนึ่งคือตะโกนเสียงดัง หลังจากช่วงสามอึดใจจะถูกส่งออกจากที่นี่
ทางเลือกที่สองคือเสี่ยงอันตรายโคจรพลังแปรเสวียนเทียนยี่สิบสี่เท่า บางทีอาจจะมีโอกาสสังหารคู่ต่อสู้ในพริบตาเดียว
เพราะผลการฝึกตนของเขาบรรลุถึงฝึกจิตขั้นหนึ่งแล้ว บนพื้นฐานแบบนี้มีพลังเพิ่มขึ้นยี่สิบสี่เท่า เป็นไปไม่ได้ที่ร่างยุทธ์ขั้นสูงในตอนนี้จะสามารถแบกรับไหว
พลังสะท้อนกลับจะทำให้เขาตกอยู่ในอาการบาดเจ็บสาหัส ถ้าไม่สามารถสังหารคู่ต่อสู้ บางทีชีวิตของเขาอาจจะต้องมาจบลงที่นี่
ในช่วงเวลาคับขัน หลัวซิวกัดฟันตัดสินใจอย่างแน่วแน่
“พลังแปรเสวียนเทียน! ตามลมล่าจันทรา!”
เขาโคจรพลังแปรเสวียนเทียนหกเท่าอย่างกะทันหัน บวกกับวิชาเคลื่อนย้ายที่รวดเร็ว เพียงแค่พริบตาเดียว พุ่งตรงเข้าไปหาปราณดาบรูปร่างมังกร
ในขณะที่ร่างกายกำลังจะพุ่งชนเข้ากับปราณดาบรูปร่างมังกร หลัวซิวส่งเสียงคำราม พลังแปรเสวียนเทียนยี่สิบสี่เท่าทำงานทันที!
พลังอันน่าสะพรึงกลัวที่บ้าคลั่งสายหนึ่งระเบิดออกมาจากตัวของหลิวซิว
วินาทีนี้ สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายน่าสะพรึงกลัวที่ระเบิดออกมาจากตัวหลัวซิวอย่างกะทันหัน แววตาของชายชุดดำอดไม่ได้ที่จะสั่นไหว
########################
บทที่ 188 ฝึกเซียนขั้นเจ็ด
“อนุญาตให้ผู้ปราดเปรื่องทั้งห้าร้อยคนจากสิบสามเขตปกครองเข้าสู่หอคอยมังกรบิน กองทัพพยัคฆ์ดำห้ามขวาง เฝ้าประจำการห่างสามร้อยเมตร”
เงารูปร่างมนุษย์พูดขึ้นอย่างเชื่องช้า เสียงดังกังวานไปทั่วฟ้าดิน
ในขณะเดียวกัน มีกลิ่นอายความน่าเกรงขามของจักรพรรดิผู้ครองบัลลังก์แผ่ซ่านออกมา ภายใต้แรงกดดัน ทุกคนเกิดความรู้สึกอยากคุกเข่าลงพื้น
นี่คือจักรพรรดิของประเทศเทียนหวู เพียงแค่ร่างอวตารที่กลายร่างมาจากต่อสำนึกบนฎีกา ก็สามารถสยบทั่วใต้หล้า
“รับคำสั่ง!”
กองทัพพยัคฆ์ดำที่อยู่ด้านล่างตอบพร้อมกัน เสียงดังสนั่นก้องไปทั่วท้องฟ้า
เพียงแค่พริบตาเดียว กองทัพพยัคฆ์ดำถอนตัวออกจากหอคอยมังกรบิน เฝ้าประจำการนอกรัศมีสามร้อยเมตรของหอคอยมังกรบิน
ฎีกาปิดประกบกัน ร่างเงาของจักรพรรดิหายไป ฎีกาสีทองบินกลับมาที่มือของหนานหรงชินหวาง
หลังจากนั้น เรือรบร่อนลงอย่างเชื่องช้า ลอยอยู่ห่างจากหอคอยมังกรบินประมาณสิบเมตร
“ผู้เข้าแข่งขันทั้งห้าร้อยคนของรอบที่สองลงไป” หนานหรงชินหวางพูด
“ครับ!”
ทุกคนตอบรับ หลังจากนั้นมีทั้งคนกระโดดลงไป หรือก้าวเดินบนท้องฟ้า สู่พื้นที่อยู่ใกล้กับหอคอยมังกรบิน
เมื่อเทียบกับหอคอยมังกรบินของสำนักเซียวเหยา หอคอยมังกรบินของจริงแห่งนี้ดูยิ่งใหญ่อลังการกว่า ด้านข้างมีแผ่นศิลาหยกสีเขียวตั้งตระหง่าน
หนานหรงชินหวางและผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ไม่ได้ลงจากเรือ เห็นเพียงหนานหรงชินหวางพูดขึ้นอีกครั้ง “ทุกคนก้าวออกมา ปลดปล่อยกลิ่นอายของตัวเองลงบนป้ายหยก”
มีเพียงปลดปล่อยกลิ่นอายลงบนศิลาหยกเขียว หลังจากที่เข้าสู่หอคอยมังกรบิน บนป้ายหยกถึงจะแสดงจำนวนชั้นที่ผ่านเข้าไป และนำมาใช้เป็นสถิติของบุคคลนั้น
คนทั้งห้าร้อยเริ่มทยอยการปลดปล่อยการสำนึกของตนเอง การรับรู้ และรวมไปถึงกลิ่นอายลงบนป้ายหยก ชื่อของแต่ละคนลอยขึ้นมา ยิ่งไปกว่านั้นยังเรียงตามรายชื่อสถิติการแข่งเอาชีวิตรอดในรอบแรก
ด้านหลังของอันดับมีเครื่องหมายของคะแนน หลังจากเข้าไปในหอคอยมังกรบิน สามชั้นแรกไม่ได้รับคะแนนแต่อย่างใด มีเพียงไปถึงชั้นที่สี่ จะได้รับคะแนนหนึ่งร้อยคะแนน ชั้นที่ห้าสองคะแนน ชั้นที่หกสี่ร้อยคะแนน ชั้นที่เจ็ดแปดร้อยคะแนน ชั้นที่แปดหนึ่งพันหกร้อยคะแนน ชั้นที่เก้าสามพันสองร้อยคะแนน
ระเบียบการคัดเลือกนี้ถูกใช้มาเป็นเวลานับพันปี
หลัวซิวมองคะแนนของตนเองแวบหนึ่ง ติดอันดับที่ยี่สิบสามด้วยคะแนนหนึ่งพันหนึ่งร้อยกว่าคะแนน
หนานหรงชินหวางที่อยู่บนเรือรบก้าวเดินบนอากาศ หยิบป้ายคำสั่งหยกขาวแผ่นหนึ่งออกมา ประทับลงบนร่องที่อยู่ด้านข้างประตูใหญ่ของหอคอยมังกรบิน
“โครม…”
ประตูที่สูงมหึมาเริ่มขยับ หลังจากนั้นเปิด
หนานหรงชินหวางพูดอีกครั้ง “หลังจากที่ทุกคนเข้าไปในหอคอยมังกรบิน จะถูกส่งตัวเข้าไปในพื้นที่ที่แตกต่างกันออกไปเพื่อทำการทดสอบ เมื่อไหร่ที่เผชิญหน้ากับอันตรายที่ไม่สามารถรับมือ เพียงแค่ตะโกนเสียงดัง จะถูกส่งตัวออกมาภายในช่วงสามอึดใจ”
พูดถึงตรงนี้ คำพูดของหนานหรงชินหวางเปลี่ยนทิศทางอย่างกะทันหัน “แต่ว่า พวกเจ้าต้องทำเท่าที่จะทำได้ ไม่เช่นนั้นพวกเจ้าอาจจะต้านทานได้ไม่ถึงสามช่วงอึดใจ และตายอยู่ด้านใน!”
“ตอนนี้พวกเจ้าเข้าไปได้แล้ว”
หลังจากสิ้นเสียงของหนานหรงชินหวาง คนทั้งห้าร้อยเริ่มทยอยกันเข้าไปในหอคอย แม้หนานหรงชินหวางจะพูดอย่างชัดเจนแล้วว่าด้านในอันตรายมาก แต่ก็ยังคงไม่มีใครยอมถอนตัวในช่วงเวลาแบบนี้
เส้นทางของการฝึกยุทธ์ยากเย็นแสนทรหด คนทั้งห้าร้อยสามารถยืนโดดเด่นอยู่เหนือผู้คนนับแสน มีใครบ้างที่ไม่มีจิตใจมั่นคงหนักแน่น มีใครบ้างที่ไม่ใช่อัจฉริยะที่เติบโตขึ้นจากการฆ่าฟัน?
ด้านในของประตูหินที่ถูกเปิดออกเป็นสีขาวทั้งหมด ไม่สามารถมองเห็นสภาพที่อยู่ด้านในของหอคอย หลังจากเดินเข้าไป มีพลังจิตที่แข็งแกร่งของฟ้าดินถาโถมเข้ามา
กวาดสายตามองโดยรอบ หลัวซิวนอกจากตนเอง เขามองไม่เห็นคนอื่น เห็นได้ชัดผู้เข้าแข่งขันคนอื่นหลังจากที่เข้ามาในหอคอยมังกรบิน ทุกคนถูกส่งตัวไปในพื้นที่ที่แตกต่างกันออกไป
ด้านบนเหนือหัวเป็นท้องฟ้าที่เหมือนกับโดนเปลวไฟแผดเผาก้อนเมฆ พื้นดินสีน้ำตาลเข้ม เต็มไปด้วยความรกร้าง
ภายในหอคอยมังกรบินสามารถใช้วิธีการทุกอย่าง แม้ความสามารถจะไม่ได้แข็งแกร่งมาก หากมีของวิเศษที่ร้ายกาจมาก ก็สามารถทำคะแนนได้สูงเช่นกัน
สำหรับเรื่องนี้ ทุกคนรู้ดีอยู่แก่ใจ โดยเฉพาะอัจฉริยะของกองกำลังใหญ่พวกนั้น มีใครบ้างที่ไม่มีของร้ายกาจติดตัวชิ้นสองชิ้น?
ของวิเศษก็แสดงถึงความแข็งแกร่งอีกรูปแบบหนึ่ง ไม่ถือว่าเป็นการโกง
ทันใดนั้น หน้าของหลัวซิวมีแสงสีขาวค่อยๆรวมตัวกันจนกลายเป็นสสาร กลายเป็นผู้ชายชุดขาวถือกระบี่ยาวในมือ กลิ่นอายที่ปลดปล่อยออกมาเป็นพรสวรรค์ขั้นแปด
ภายในหอคอยมังกรบิน คู่ต่อสู้ที่ต้องเจอในทุกชั้น ความแข็งแกร่งถูกกำหนดไว้แล้ว
คู่ต่อสู้ของชั้นแรกคือแดนพรสวรรค์ขั้นแปด ชั้นที่สองคือแดนพรสวรรค์ขั้นเก้า ชั้นที่สามคือฝึกจิตครึ่งก้าว
และตั้งแต่ชั้นที่สี่ขึ้นไปคือฝึกจิตขั้นหนึ่ง ชั้นที่ห้าคือฝึกจิตขั้นสอง ชั้นที่หกคือฝึกจิตขั้นสาม
เมื่อไหร่ที่ถึงชั้นที่เจ็ด เล่ากันว่าคู่ต่อสู้ที่ปรากฏตัวขึ้นจะเป็นฝึกจิตขั้นเจ็ดโดยตรง!
อายุสามสิบลงไป การฝึกฝนถึงระดับฝึกจิตขั้นเจ็ดเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ นี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมถึงมีคนของประเทศเทียนหวูผ่านชั้นเจ็ดไปได้ไม่ถึงสิบคนในรอบนับพันปี
แม้คนที่สามารถผ่านชั้นที่เจ็ดไปได้ ก็ล้วนแต่อาศัยของวิเศษที่ร้ายกาจและวิชาลับ
ส่วนคู่ต่อสู้ชั้นที่แปด เล่ากันว่าเป็นฝึกจิตขั้นเก้า เคยมีอัจฉริยะที่สามารถผ่านชั้นที่เจ็ดเข้าสู่ชั้นที่แปด แต่ปรากฏว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะสามารถผ่านชั้นที่เจ็ด กลับไม่เคยได้ออกมาอีกเลย กลิ่นอายที่ประทับอยู่บนป้ายหยกหายไป แสดงว่าตายแล้ว!
สำหรับหลัวซิวในปัจจุบัน คู่ต่อสู้พรสวรรค์ขั้นแปดไม่คู่ควรที่จะเอ่ยถึง เห็นเพียงชายชุดขาวพุ่งเข้ามาพร้อมกับกระบี่ เปลวไฟที่อยู่โดยรอบลุกโชนขึ้น เห็นได้ชัดว่าถูกกระตุ้นจากปราณแท้พรสวรรค์ของธาตุไฟ
หลัวซิวก้าวออกไปข้างหน้า ชี้นิ้วแขนข้างขวาออกไป แสงของกระบี่เปลวเพลิงมอดดับลงทันที ส่วนชายชุดขาวพรสวรรค์ขั้นแปดลอยกระเด็นถอยหลัง ร่างกายระเบิดกลางอากาศ
ชั้นที่หนึ่งผ่านไปได้อย่างง่ายดาย หลังจากนั้นมีแสงสีขาวส่องสว่างขึ้น ปกคลุมหลัวซิวหายไปโดยตรง
คู่ต่อสู้ภายในชั้นที่สองเป็นพรสวรรค์ขั้นเก้า หลัวซิวสามารถสั่งหารได้อย่างง่ายดายเช่นกัน หลังจากนั้นถูกส่งตัวไปยังชั้นที่สาม
ในเวลาเพียงครู่เดียว หลัวซิวสามารถผ่านสามชั้นแรกมาถึงชั้นที่สี่โดยตรง
ในขณะเดียวกัน ศิลาหยกเขียวที่อยู่ด้านนอกหอคอย คะแนนของทุกคนก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง มีคนผ่านชั้นที่สี่ คะแนนเพิ่มขึ้นหนึ่งร้อยคะแนนแล้ว
แต่ว่าหนานหรงชินหวางและรวมไปถึงผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ของกองกำลังใหญ่รู้ดี ชั้นที่ถึงจะสามารถดึงคะแนนให้ห่างอย่างแท้จริง!
เพราะถึงจะเดินมาถึงชั้นที่ห้า อย่างมากก็แค่เพิ่มขึ้นสามร้อยคะแนนเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อไหร่ที่ผ่านชั้นที่หก คะแนนที่เพิ่มขึ้นคือสี่ร้อย!
สี่ร้อยคะแนนดูเหมือนจะไม่มาก แต่กลับเพียงพอที่จะทำให้อันดับเกิดการเปลี่ยนแปลง
ภายในพื้นที่ชั้นที่สี่ของหอคอยมังกรบิน คู่ต่อสู้ที่ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าของหลัวซิวเป็นผู้ฝึกจิตขั้นหนึ่ง
“หนึ่งร้อยคะแนนมาอยู่ในมือแล้ว”
วิชาเคลื่อนย้ายตามลมล่าจันทราปรากฏ หลัวซิวปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าคู่ต่อสู้ในพริบตา กระบี่ยุทธ์ถูกชักออกจากฝัก สังหารในกระบี่เดียว
ฝึกจิตขั้นหนึ่งเหมือนกัน หลัวซิวกลับฆ่าคนในระดับเดียวกันง่ายเหมือนเรื่องดื่มน้ำกินข้าว
เดิมทีสิ่งที่หลัวซิวฝึกฝนก็คือดาบเร็ว บวกกับกระบี่สังหารห้วงยุทธ์ที่เขาสามารถสัมผัสถึง ทำให้เขามีพลังที่แข็งแกร่ง สามารถทำลายศัตรูได้อย่างรวดเร็ว
ดังนั้นการฝ่าด่านของเขาจึงเร็วมาก ไม่นานก็มาถึงชั้นที่เจ็ด ด้านหน้ามีชายชุดดำถือดาบยุทธ์ปรากฏตัวขึ้น
ฝึกจิตขั้นเจ็ดถือว่าอยู่ในระยะหลัง ส่วนหลัวซิวเป็นแค่ผู้ฝึกจิตขั้นหนึ่ง อยู่ในจำพวกฝึกจิตระยะแรกเท่านั้น
พูดถึงผลการฝึกตนในแง่ของปราณแท้และพลังจิต ความสามารถของอีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่าเขาไปเยอะมาก
ในรอบพันปีที่ผ่านมา ผู้คนที่มาถึงชั้นเจ็ดมีไม่น้อย แต่คนที่สามารถผ่านชั้นเจ็ดไปได้กลับมีเพียงไม่กี่คน ยิ่งไปกว่านั้นยังมีอัจฉริยะมากมายที่ต้องดับสิ้นลงที่นี่
ผ่านด้านสี่ชั้นรวดมาถึงชั้นที่หก คะแนนของหลัวซิวเพิ่มขึ้นเจ็ดร้อยคะแนน
“หลัวซิวคนนี้เป็นใคร คะแนนเพิ่มขึ้นเจ็ดร้อยคะแนนเร็วขนาดนี้ ไปถึงชั้นที่เจ็ดแล้วเหรอ?”
########################
บทที่ 187 หอคอยมังกรบิน
ตอนที่หลัวซิวสังเกตเห็นเรือยักษ์ ดวงตาทั้งคู่ลุกวาวเป็นประกายทันที
อย่างไรเขาก็ถือเป็นปรมาจารย์ค่ายกลคนหนึ่ง แม้จะไม่เคยเห็น แต่ก็เคยได้ยินเรื่องของเรือรบ มันเป็นของวิเศษที่มีแต่ผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งถึงมีสิทธิ์ขับเคลื่อน
ตัวเรือจำเป็นต้องได้รับการขัดเกลาโดยปรมาจารย์ด้านการหล่อหลอม หลังจากนั้นให้ปรมาจารย์ค่ายกลสลักอักษรรูนและยันต์ลงไป ทรัพยากรที่ต้องใช้ค่อนข้างสูง
เหตุผลที่เรียกเรือรบ เป็นเพราะมีความสามารถในการทำศึกที่แข็งแกร่ง
ก่อนอื่นคือบนเรือมีการติดตั้งปืนใหญ่พลังจิต ใช้หินพลังจิตเป็นตัวขับเคลื่อนพลังงาน ระเบิดพลังจิตธรรมดาเพียงแค่ลูกเดียว มีอานุภาพเพียงพอที่จะสังหารปรมาจารย์ฝึกจิต!
นอกเหนือจากนี้ บนตัวเรือมีการสลักอักษรรูนและยันต์ มีทั้งค่ายกลสังหาร ค่ายกลพันธนาการ ค่ายกลคุ้มกัน ล้วนแต่เป็นค่ายกลที่ซับซ้อนและแข็งแกร่งมาก และจำเป็นต้องใช้เวลาหลายปีภายใต้ความพยายามของปรมาจารย์รับร้อย ถึงจะเสร็จสมบูรณ์
เรือรบมีการแบ่งเป็นสี่ระดับ ได้แก่ ล่าง กลาง สูง และสุดยอด ในบรรดาทั้งหมดที่ธรรมดามากที่สุดคือเรือรบระดับล่าง และเพียงพอที่จะทำให้ผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิ์ยุทธ์ขายบ้านขายทรัพย์สินก็ยังไม่มีปัญญาซื้อ
หนานหรงชินหวางที่รับผิดชอบในการแข่งครั้งนี้ไม่ใช่ผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์์ เรือลำนี้ก็ย่อมไม่ได้เป็นของเขา แต่เป็นของราชวงศ์ประเทศเทียนหวู
ในมุมมองของผู้คนมากมาย ที่ราชวงศ์ประเทศเทียนหวูยอมปล่อยให้หนานหรงชินหวางนำเรือรบลำนี้มา เป็นเพราะต้องการแสดงความน่าเกรงขามของราชวงศ์ แสดงความแข็งแกร่งของราชวงศ์
“เรือลำนี้น่าเกรงขามมาก ถ้าข้ามีแบบนี้สักลำก็คงจะดีไม่น้อย”
“เจ้าฝันไปเถอะ ถึงให้เจ้าหนึ่งลำ เจ้ามีปัญญาขับเคลื่อนหรือ?”
“ได้ยินมาว่ากันขับเคลื่อนเรือรบจำเป็นต้องใช้พลังจำนวนมหาศาล แม้แต่จักรพรรดิยุทธ์ทั่วไปก็ไม่มีปัญญาขับเคลื่อน”
……
ทันทีที่ทุกคนสังเกตเห็นเรือรบลำนี้ ภายในใจเต็มไปด้วยความตกใจ เพราะนี่เป็นสิ่งของในตำนาน อย่าว่าแต่สิบสามเขตปกครองของประเทศเทียนหวู่ แม้จะเป็นดินแดนทั้งหกเมือง ก็แทบจะไม่มีของชั้นสูงแบบนี้
เล่ากันว่าทั่วทั้งประเทศเทียนหวู่ มีแต่ราชวงศ์ของประเทศเทียนหวู่ที่มีเพียงเรือรบระดับล่างสองลำ ถ้าหากเปิดอานุภาพการทำลายล้างทั้งหมด ต้องเป็นอาวุธสังหารที่น่าสะพรึงกลัวในสนามรบอย่างแน่นอน
เรือรบลำนี้ดูเหมือนจะไม่ใหญ่ แต่บนดาดฟ้าและพื้นที่ภายในกลับโล่งกว้างมาก เห็นได้ชัดว่าเป็นพื้นที่ที่ก่อตัวขึ้นจากค่ายกล คล้ายคลึงกับหลักการของแหวนเก็บของ
เรือรบระดับล่างหนึ่งลำ เพียงพอที่จะจุคนหนึ่งพันคน
ทันทีที่หลัวซิวก้าวขึ้นบนเรือรบ ภายในใจเริ่มพลุ่งพล่านอย่างไม่สามารถควบคุม บนเรือรบมีการสลักอักษรรูนและยันต์ไว้มากมาย ละเอียดอ่อนและซับซ้อนมาก อยู่เหนือขอบเขตการเข้าใจของเขา
ในอนาคตหากตนเองสามารถครอบครองเรือรบแบบนี้สักลำ บินอยู่เหนือน่านฟ้าของสำนักเหลยหวู่โดยตรง มันจะน่าเกรงขามเพียงใด?
“หลัวซิว”
มีเสียงที่อ่อนโยนสายหนึ่งดังขึ้นอย่างแผ่วเบา หลัวซิวหันไปมอง สังเกตเห็นเหยียนซีโรว่ทันที
ขอเพียงแค่ได้เจอผู้หญิงคนนี้ หลัวซิวราวกับไม่สามารถควบคุมจิตใจของตัวเอง ทำให้เขาอยากรู้ว่ามันเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวแบบไหนกันแน่ ถึงสามารถทะลวงวัฏจักรการกลับชาติมาเกิดของฟ้าดิน หลบซ่อนอยู่ในส่วนลึกของจิตวิญญาณตนเอง?
“ซีโรว่” หลัวซิวก็ยิ้มทักทาย แม้มีการต่อต้านอิทธิพลของสิ่งยึดเหนี่ยวเล็กน้อย แต่โดยพื้นฐานภายในจิตใจ หลัวซิวไม่ได้รังเกียจผู้หญิงคนนี้
เทพแห่งวัฏจักรชีวิตก็เคยพูดแล้ว เหยียนซีโรว่เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวของเขา เรื่องนี้การกลับชาติมาเกิดไม่สามารถเปลี่ยนแปลง
หลินเจียเอ่อร์ที่มากับหลัวซิวมองด้วยความสงสัยแวบหนึ่ง อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
นางรู้ว่าข้างกายของหลัวซิวมีผู้หญิงที่ชื่อลู่เมิ่งเหยา และตอนนี้ก็มีผู้หญิงที่งดงามแบบนี้ปรากฏขึ้นอีกคน หมอนี่เป็นคนประเภทเจ้าชู้หลายใจด้วยหรือ?
คิดถึงตรงนี้ ภายในใจของนางเกิดความรู้สึกรังเกียจหลัวซิวเพิ่มอีกเล็กน้อย ส่งเสียงฮึ่มแล้วหันหลังเดินจากไป สิ่งที่เธอรังเกียจมากที่สุดก็คือผู้ชายเจ้าชู้
หลินเจียเอ่อร์จะคิดยังไง หลัวซิวขี้เกียจไปสนใจ
“ไอ้เด็กเมื่อวานซืนใช้ได้เลยนะ” หัวหน้าแก๊งเสิ่นหยวนหนานกะพริบตาใส่หลัวซิว ในรอยยิ้มมีความหมายที่ลึกซึ้งแอบแฝง
“โครม……”
หลังจากที่ทุกคนขึ้นเรือกันหมดแล้ว เรือรบลอยขึ้น พุ่งขึ้นบนท้องฟ้าทันที
ความเร็วในการบินของเรือรบลำนี้เร็วมาก แม้ผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์์จะบินอย่างเต็มกำลัง ก็ยากที่จะไล่ตามทัน
ม่านพลังแสงก่อตัวขึ้นปกคลุมเรือรบทั้งลำ กระแสลมที่อยู่ด้านนอกโหมกระหน่ำ แต่คนที่อยู่ด้านในกลับไม่รู้สึกแม้แต่นิดเดียว ทุกคนรู้สึกนุ่มนวลและสบาย
ม่านพลังแสงของค่ายกลบนเรือรบอย่างน้อยก็เป็นค่ายกลระดับห้า อานุภาพปืนใหญ่พลังจิตและค่ายกลสังหาร แม้แต่อสูรระดับสี่ถึงห้าก็ไม่กล้ายุ่งด้วย
หลังจากนั้นหนึ่งชั่วโมง เรือรบได้บินเข้าไปในเทือกเขาที่ติดต่อกันไร้ที่สิ้นสุดแห่งหนึ่ง
ไม่นาน ทุกคนที่อยู่บนเรือรบก็สังเกตเห็นใจกลางของเทือกเขา มีหอคอยสูงหนึ่งร้อยฟุตตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น
หอคอยสูงดังมังกร เชิดหน้าขึ้นบนฟ้า ปลดปล่อยออร่าสีขาวจางๆออกมา ค่อนข้างดูสะดุดตา
นี่ ก็คือหอคอยมังกรบินที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วประเทศเทียนหวู
หอคอยแห่งนี้ถูกสืบทอดต่อกันมายาวนานแค่ไหนไม่มีใครรู้ ก่อนที่จะมีการก่อตั้งประเทศเทียนหวู หอคอยมังกรบินก็ตั้งตระหง่านอยู่ตรงนี้แล้ว
ในขณะเดียวกัน หลัวซิวสังเกตเห็นโดยรอบของหอคอยมังกรบิน มีกองกำลังทหารฝึกยุทธ์ประจำการอยู่ตรงนั้น ซึ่งเป็นของราชวงศ์เทียนหวู
ราชวงศ์ตระกูลฝานปกครองประเทศ หกเมืองสิบสามเขตปกครองมีกลุ่มกองกำลังมากมาย ราชวงศ์สามารถสยบทั้งหมด ด้านหนึ่งเป็นเพราะเดิมทีราชวงศ์มีรากฐานที่แข็งแกร่ง อีกด้านหนึ่งเป็นเพราะราชวงศ์บัญชาการสองเหล่าทัพ องครักษ์มังกรขาวและกองทัพพยัคฆ์ดำ
ในบรรดาองครักษ์มังกรขาว ส่วนมากจะเป็นนักค่ายกล นักกลั่นยาและนักหลอมอาวุธ ส่วนกองทัพพยัคฆ์ดำเป็นนักรบที่แข็งแกร่งของจริง แม้แต่ทหารธรรมดาก็เป็นถึงปรมาจารย์พรสวรรค์ นายกองเล็กเป็นปรมาจารย์ฝึกจิต ผู้บัญชาการเป็นราชายุทธ์์ แม่ทัพใหญ่เป็นบุคคลระดับจักรพรรดิยุทธ์ขึ้นไป
หอคอยมังกรบินแห่งนี้ รับผิดชอบโดยผู้บัญชาการระดับราชายุทธ์คนหนึ่งพร้อมกับกองทัพพยัคฆ์ดำหนึ่งหน่วย
หอคอยมังกรบินมีทั้งหมดเก้าชั้น ภายในมีพื้นที่เป็นของตัวเอง
เล่ากันว่า คนที่สามารถขึ้นไปถึงชั้นเจ็ดของหอคอยมังกรบินขึ้นไป จะได้รับรางวัลมากมาย และเป็นสถานที่ที่กองกำลังยุคสมัยโบราณใช้ประเมินลูกศิษย์ของตนเอง
ประเทศเทียนหวูก่อตั้งขึ้นมายาวนานนับพันปี ผ่านเดือนผ่านตะวันที่ผ่านมา ผู้ฝึกยุทธ์ที่สามารถขึ้นไปถึงชั้นเจ็ดมีไม่เกินสิบคน
ยิ่งไปกว่านั้น หอคอยมังกรบินและแดนปริศนามีมรดกสืบทอดที่เหมือนกัน เงื่อนไขการเข้าไปคือต้องมีอายุต่ำกว่าสามสิบปี
ในบันทึกทางประวัติศาสตร์ของประเทศหวู ก่อนอายุสามสิบ แม้แต่อัจฉริยะถูกปลูกฝังโดยกองกำลังขนาดใหญ่ซึ่งมีทรัพยากรมากมาย ยังมากก็สามารถฝึกตนถึงแดนฝึกจิตขั้นเจ็ด
และแม้กระทั่งผู้ฝึกจิตขั้นเจ็ดระดับแนวหน้า คนที่สามารถขึ้นไปถึงชั้นเจ็ดของหอคอยมังกรบินก็มีไม่เกินสิบคน ซึ่งเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นถึงความยาก
ส่วนในยุคสมัยที่ห่างไกลในอดีตมีคนสามารถขึ้นไปถึงชั้นเก้าหรือเปล่า ยิ่งไม่มีใครรู้ อย่างน้อยในประวัติศาสตร์ของประเทศเทียนหวู สถิติที่ถูกบันทึกไว้สูงที่สุดคือชั้นเจ็ด
เรือรบบินเข้าไปใกล้ ทหารพยัคฆ์ดำพันกว่าคนที่อยู่โดยรอบรอด้วยท่าทางที่สุขุม
หลัวซิวเงยหน้าขึ้นมอง เห็นเพียงกองทัพพยัคฆ์ดำพวกนี้ล้วนแต่สวมใส่ชุดเกราะสีดำ หมวกเกราะเป็นรูปร่างของหัวเสือ รวมเข้าด้วยการก่อตัวขึ้นเป็นค่ายกลขนาดใหญ่ กินอายแห่งการสังหารควบแน่น มีกลิ่นอายที่ทำให้ผู้คนรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนสะพรึงกลัวแผ่ซ่านออกมาอยู่ตลอดเวลา
นี่คือความน่าเกรงขามของกองทัพพยัคฆ์ดำแห่งประเทศเทียนหวู กองพลหนึ่งพันคนรวมตัวกันก่อตัวขึ้นเป็นค่ายกล แม้แต่ผู้แข็งแกร่งระดับราชายุทธ์ก็ต้องโดนบีบจนถอยเก้าสิบลี้
เล่ากันว่าประเทศเทียนหวูมีกองทัพพยัคฆ์ดำทั้งหมดหนึ่งหมื่นนาย หนึ่งพันนายเป็นหนึ่งกองพล มีผู้บัญชาการราชายุทธ์สิบคน
หนึ่งกองพลของกองทัพพยัคฆ์ดำเพียงพอที่จะทำลายกองกำลังอย่างสำนักเซียวเหยาและสำนักเหลยหวู่ได้อย่างง่ายดาย
หนานหรงชินหวางยืนอยู่บนดาดฟ้า พูดเสียงดังฟังชัด “ข้าได้รับคำสั่งควบคุมดูแลการต่อสู้ของสิบสามเขตปกครอง ซึ่งเป็นพระราชกฤษฎีกาของกษัตริย์”
ในขณะที่พูด หนานหรงชินหวางฎีกาม้วนหนึ่งออกมาโยนขึ้น ฎีกากางออกเองกลางอากาศ
บนฎีกาไม่มีตัวอักษรถูกบันทึก หลังจากที่เปิดออก มีรูปร่างของมนุษย์สีทองที่น่าเกรงขามปรากฏขึ้น
########################
บทที่ 186 หอคอยมังกรบินแห่งเขามังกรหมอบ
บนจัตุรัส มีแผ่นศิลาสีดำตั้งอยู่ตรงนั้นหนึ่งแผ่น ตัวอักษรสีทองถูกแกะสลักเรียงรายอยู่บนนั้น ในขณะเดียวกันก็มีการทำสัญลักษณ์แต่ละคนได้คะแนนเท่าไหร่
ผู้ที่ติดอันดับหนึ่งคือชายหนุ่มคนหนึ่งที่ชื่อเจ้าหินดำอาศัยผลการฝึกตนแดนฝึกจิตขั้นสี่ ได้รับคะแนนรวมทั้งหมดหนึ่งพันสามร้อยกว่าคะแนน
ด้านหลังของเขาก็เป็นผู้ฝึกจิตขั้นสี่สองคน หนึ่งในนั้นคือช่าวชูเจิ้งฉี ติดอันดับสาม
สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่แผ่นศิลา ดวงตาของคนหนุ่มสาวแต่ละคนลุกวาวเป็นประกาย กำลังหาชื่อของตัวเองบนแผ่นศิลา
ไม่นาน หลัวซิวก็เจอชื่อของตัวเอง ชื่อของเขาติดอันดับที่ยี่สิบสาม อันดับนี้ไม่ได้ถือว่าสูงมาก แต่ก็ไม่ได้ต่ำเกินไป อย่างไรก็ตามนี่เป็นเพียงการแข่งขันรอบแรกเท่านั้น
ต่อจากนั้นหลัวซิวเจอชื่อของเหยียนซีโรว่ที่ด้านหลัง อันดับคืออันดับที่ยี่สิบเจ็ด
หลังจากดูอันดับเรียบร้อย มีทั้งคนดีใจมีทั้งคนรู้สึกเศร้า ติดห้าร้อยอันดับแรก แม้จะอยู่ห่างจากสิบอันดับแรกอีกยาวไกล แต่ก็ยังมีโอกาสเข้าสู่การแข่งขันรอบที่สอง
และคนที่ติดสิบอันดับแรก ในขณะที่กำลังรู้สึกโล่งอกก็ต้องเฝ้าระวังไปด้วย เพราะการติดสิบอันดับแรกในการแข่งรอบแรก มันไม่สามารถบ่งบอกถึงอะไรได้อย่างแม่นยำ การแข่งขันต่อจากนี้มีแต่โหดร้ายและน่ากลัวยิ่งขึ้น
หลังจากการแข่งขันรอบแรกสิ้นสุดลง คนที่ติดอันดับห้าร้อยแรก จะมีเวลาพักผ่อนและเตรียมตัวสามวัน
หลังจากนี้สามวัน คนทั้งห้าร้อยต้องมารวมตัวกันที่จัตุรัสแห่งนี้ ทำการคัดเลือกรอบที่สองต่อ
“ฮ่าฮ่า ไอ้หนู คิดไม่ถึงว่าจะติดอันดับที่ยี่สิบสาม”
หลังจากที่กลับมา บนใบหน้าของหัวหน้าแก๊งเสิ่นหยวนหนานเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เขารู้สึกพึงพอใจกับสถิติของหลัวซิวมาก
อย่างไรก็ตามในมุมมองของเขา แม้หลัวซิวจะมีพลังที่เทียบเท่ากับปรมาจารย์ฝึกจิต ทว่าท้ายที่สุดผลการฝึกตนของเขาต่ำเกิน สามารถเจิดจรัสท่ามกลางอัจฉริยะมากมายขนาดนี้ ถือเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย
และเมื่อเทียบกับอันดับของหลัวซิว หลินเจียเอ๋อร์สมาชิกอัจฉริยะของแก๊งเขตการปกครองโตว้ไห่ กลับติดอันดับที่ร้อยกว่า
ผลการฝึกตนของนางบรรลุถึงพรสวรรค์ขั้นเก้าแล้ว สถิตินี้โดดเด่นกว่าผู้ฝึกจิตครึ่งไปเยอะมาก แต่หากต้องการแย่งสิบอันดับแรก กลับมีความเป็นไปได้น้อยมาก
ภายในใจของหลินเจียเอ่อร์ยังคงรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย นางรู้สึกว่าผลการฝึกตนของหลัวซิวสูงกว่าตนเองเพียงน้อยนิด เขามีสิทธิ์อะไรติดอันดับยี่สิบสาม ส่วนตนเองกลับต้องมาอยู่ร้อยอันดับหลัง?
และในขณะนั้นเอง เสิ่นหยวนหนานสังเกตถึงผลการฝึกตนของหลัวซิว เขาแสดงสีหน้าประหลาดใจ “ไอ้หนูเจ้าทะลวงแดนฝึกจิตแล้ว?”
ในฐานะที่เป็นผู้แข็งแกร่งแดนราชายุทธ์ขั้นห้า การรับรู้ของเสิ่นหยวนหนานเฉียบคมเพียงใด เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่เปลี่ยนไปบนตัวของหลัวซิว
“บังเอิญโชคดีทะลวงผ่านก็เท่านั้น” หลัวซิวยิ้มติดตลก
“โชคดีบ้านเจ้าสิ! สามารถทะลวงได้เป็นเพราะความสามารถของเจ้า เส้นทางของการฝึกตนมีคำว่าโชคดีด้วยหรือ?” เสิ่นหยวนหนานเบ้ปาก ยิ้มแล้วพูดตำหนิ
ที่จริงภายในใจของเขาก็รู้สึกอิจฉาเล็กน้อย อัจฉริยะเช่นนี้เหตุใดไม่ปรากฏที่เขตการปกครองโตว้ไห่ แต่ไปปรากฏขึ้นที่เขตการปกครองหยุนหลงของเหวินเซวียนหง?
ทั้งที่เขตปกครองโตว้ไห่กว้างใหญ่ไพศาลมากกว่าเขตปกครองหยุนหลง ประชากรก็มีมากกว่า โอกาสที่จะมีอัจฉริยะปรากฏขึ้นก็ควรจะสูงกว่า ทว่าเขตปกครองหยุนหลงไปทำอะไรถึงโชคดี มีอัจฉริยะแบบนี้ปรากฏขึ้น?
ต้องบอกก่อน หลัวซิวเพิ่งอายุสิบห้าปี!
คิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยุนหนานอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียดาย หากหลัวซิวเกิดเร็วกว่านี้ไม่กี่ปี ด้วยความเร็วในฝึกตนของเขาคิดจะแย่งสิบอันดับแรกเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว แต่น่าเสียดายเวลาไม่คอยคน แดนปริศนาจะเปิดเพียงครั้งเดียวในรอบสามปี
ในบรรดาอัจฉริยะที่เข้าร่วมการแข่ง มีฝึกจิตขั้นสี่สามคน ฝึกจิตขั้นสามแปดคน หลัวซิวทะลวงถึงฝึกจิตขั้นหนึ่งอย่างกะทันหัน คิดจะแย่งสิบอันดับแรก ไม่ใช่เรื่องง่าย
ได้ยินอาจารย์ของตนเองบอกว่าหลัวซิวบรรลุดินแดนปรมาจารย์ฝึกจิต จิตใจของหลินเจียเอ่อร์รู้สึกสับสนขึ้นมาทันที แอบคิดในใจหมอนี่โชคดีชะมัด ถึงว่าเหตุใดสามารถติดอันดับยี่สิบสาม
หากตนเองก็มีผลการฝึกตนของฝึกจิต อันดับจะต้องสูงขึ้นอย่างแน่นอน
ครั้งแรกที่เจอกัน อาจารย์เสิ่นหยวนหนานก็บอกว่าตนเองสู้หลัวซิวไม่ได้ ดังนั้นหลินเจียเอ่อร์จึงรู้สึกไม่พอใจมาโดยตลอด และพยายามพิสูจน์ให้เห็นว่าตนเองแข็งแกร่งกว่าเขา
ทว่าจนกระทั่งถึงตอนนี้ นางเพิ่งเกิดความรู้สึก ความเร็วในการฝึกตนของหลัวซิวเร็วเช่นนี้ นางจะสามารถไล่ตามเขาทันหรือ?
เวลาของการพักผ่อนเตรียมพร้อมสามวัน สำหรับผู้เข้าแข่งขันคนหนุ่มสาวผู้ฝึกยุทธ์ นี่ถือเป็นโอกาสที่เหมาะสมในสำหรับการทะลวงระดับการฝึกฝน
อย่างไรก็ตามการแข่งเอาตัวรอดในรอบแรก ต้องผ่านประสบการณ์เข่นฆ่าวันละไม่น้อย ผู้คนมากมายค้นพบโอกาสในการทะลวงภายใต้สถานการณ์ความเป็นความตาย แต่เนื่องจากอยู่ในสถานการณ์อันตราย ตั้งแต่เริ่มจนจบจึงไม่มีโอกาสฝ่าทะลวงก็เท่านั้น
ได้รู้ข่าวหลัวซิวผ่านเข้ารอบที่สอง ยิ่งไปกว่านั้นยังติดอันดับค่อนข้างอยู่แนวหน้า ลู่เมิ่งเหยารู้สึกดีใจมาก แต่หลังจากที่นางได้ยินว่ามีผู้คนตายมากมายในการแข่งเอาชีวิตรอด อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกลัวเล็กน้อย โชคดีที่หลัวซิวกลับมาอย่างปลอดภัย ยิ่งไปกว่านั้นยังติดอันดับที่ไม่เลว
เพียงแค่รอบแรก ฝูงชนนับแสนถูกคัดออกเหลือเพียงห้าแสน พวกคนที่ถูกคัดออก มีสองสามหมื่นคนที่ไม่ทันบีบยันต์หยกแดงให้แหลกจนต้องเอาชีวิตไปทิ้งที่นั่น อัตราการตายถือว่าไม่น้อย
และการต่อสู้แย่งชิงของรอบที่สอง จะปฏิบัติตามกฎการแข่งเหมือนทุกครั้ง จะเดินทางไปที่หอคอยมังกรบินบนเขามังกรหมอบ
หอคอยมังกรบินแห่งนี้ ย่อมไม่ใช่สิ่งที่หอคอยมังกรบินของสำนักเซียวเหยาสามารถเทียบได้
ในประเทศเทียนหวูมีกองกำลังมากมาย ล้วนแต่สร้างหอคอยมังกรบิน แต่หอคอยมังกรบินพวกนี้ ล้วนแต่สร้างตามแบบของหอคอยมังกรบินแห่งเขามังกรหมอบ
หอคอยมังกรบินของเขามังกรหมอบ เป็นโบราณวัตถุที่หลงเหลือจากยุคโบราณ เอากันว่าเป็นสถานที่ปลูกฝังลูกศิษย์ของกองกำลังโบราณใดกองกำลังหนึ่ง
เวลาต่อจากนี้สามวัน หลัวซิวยังคงรักษาความสมดุลผลการฝึกตนฝึกจิตขั้นหนึ่งของตนเองเอาไว้ และในระหว่างนี้ ผู้ฝึกยุทธ์หนุ่มสาวมากมายก็กำลังฝ่าทะลวงผลการฝึกของตนเอง
เพียงแต่สิ่งที่แตกต่างจากหลัวซิวคือทันทีที่คนพวกนั้นทะลวงได้สำเร็จ ไม่มีเวลาเพียงพอมาทำให้ผลการฝึกตนสมดุลแล้ว
มีผู้ฝึกจิตครึ่งก้าวมากมายที่ทะลวงถึงดินแดนฝึกจิต มีผู้ฝึกแดนพรสวรรค์ขั้นก้าวไม่น้อยที่ทะลวงถึงการฝึกจิตครึ่งก้าว
ส่วนพวกคนที่อยู่เหนือกว่าแดนฝึกจิต กลับฝ่าทะลวงได้น้อยมาก อย่างไรก็ตามเมื่อไหร่ที่ผลการฝึกตนมาถึงระดับนี้ คิดจะพัฒนาอีกก้าวไม่ใช่เรื่องง่าย
ยิ่งกว่านั้นในระหว่างนี้ ผู้เข้าแข่งขันห้าร้อยคนที่เข้าสู่การแข่งรอบที่สองต่างก็กำลังเตรียมความพร้อม หลังจากนั้นสามวัน ทุกคนไปรวมตัวกันที่ใจกลางจัตุรัสขนาดใหญ่ของเขตการปกครองชิงฮัว
ตอนที่หลัวซิวมาถึงที่นี่ สังเกตเห็นผู้คนหลายหมื่นมารวมตัวกันอยู่โดยรอบของจัตุรัส ส่วนใจกลางจัตุรัส มีเรือขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตรงนั้น ความยาวหลายสิบฟุต บนลำตัวของเรือมีตราสัญลักษณ์รูนของค่ายกลและยันต์นับไม่ถ้วน
“นี่คือ…….เรือรบ?”
########################
บทที่ 185 ความหลงใหลวัฏจักรชีวิต
ตั้งแต่ได้พบกับเหยียนซีโรว่ เขาก็พบว่า เขามีความรู้สึกพิเศษที่ไม่สามารถบรรยายได้ต่อนาง
“เจ้าคงคิดได้แล้วว่าเหตุผลที่เจ้ารู้สึกพิเศษนั้น เป็นเพราะผู้หญิงที่อยู่กับเจ้า คือความหลงใหล” ทวยเทพแห่งวัฏจักรชีวิตพูดออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“ความหลงใหล? หลงใหลอะไร? ” หลัวซิวรู้สึกสับสน
“ประสบการณ์ของวัฏจักรชีวิต ก็เป็นสิ่งที่ไม่สามารถลบเลือน นั่นคือความหลงใหล” ทวยเทพแห่งวัฏจักรชีวิตเอ่ย
สิ่งมีชีวิตทั้งหมดนั้น เมื่อตายแล้ว ตามวัฏจักรชีวิต ทุกอย่างก็จะกลายเป็นความว่างเปล่า ทุกสิ่งที่เจ้าเคยประสบพบเจอนั้นจะถูกบันทึกไว้ในวัฏจักรชีวิต บันทึกไว้ในวัฏจักรชีวิตหลังความตายไม่มีอะไรสามารถพรากไปได้
และมีความคิดอย่างหนึ่ง ที่แม้แต่วัฏจักรชีวิตก็ไม่สามารถต้านไว้ได้ และไม่สามารถหยุดไว้ได้ แม้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะว่างเปล่า ความคิดนั้นจะยังคงอยู่ในส่วนลึกที่สุดของจิตวิญญาณ
นี่ ก็คือความหลงใหล
ความหลงใหลแตกต่างจากความเพียร สามารถวิ่งผ่านอดีต ปัจจุบัน และข้ามผ่านวัฏจักรชีวิตได้
ความหลงใหลบางอย่างจะค่อยๆ ลดลงและหายไปหลังจากได้สัมผัสวัฏจักรชีวิต แต่ความหลงใหลบางอย่าง แม้จะผ่านวัฏจักรชีวิตแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ก็ยังคงอยู่
จากการอธิบายของทวยเทพแห่งวัฏจักรชีวิต หลัวซิวจึงได้รู้ ว่าในชาติภพใดชาติภพหนึ่งของตนที่ผ่านมานั้น ต้องมีชาติภพใดที่เขาเคยเกี่ยวข้องกับเหยียนซีโรว่ สิ่งนี้ทิ้งร่องรอยของความหลงใหลอยู่ในส่วนลึกในจิตวิญญาณของเขา แม้จะผ่านวัฏจักรชีวิตแล้วก็ไม่สามารถเลือนหายไปได้
หลัวซิวอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอยากรู้อยากเห็น ว่าชาติภพที่ผ่านมาของตนนั้น แท้จริงแล้วเคยผ่านสิ่งใดมาก่อน
“สำหรับเรื่องราวในชาติก่อนของเจ้า ความประสงค์ของกฎการเวียนว่ายตายเกิด ข้าไม่สามารถบอกเจ้าได้ นอกจากรอให้ผลการฝึกตนของเจ้าบรรลุถึงแดนที่กำหนดแล้ว เจ้าจึงจะมีคุณสมบัติในการสอดส่องวัฏจักรชีวิต” ทวยเทพแห่งวัฏจักรชีวิตเอ่ย
หลังจากนั้นโดยไม่ทันได้ให้หลัวซิวถามสิ่งอื่นเพิ่มเติม จิตสำนึกของเขาก็ออกมาจากลูกแก้วความเป็นตาย และหลับใหลต่อไปในความมืดมิด
ไม่รู้ว่านานเท่าไร ในที่สุดหลัวซิวก็ตื่นขึ้นจากอาการหมดสติ
เมื่อเขาลืมตา ก็พบกับเหยียนซีโรว่ที่นั่งขัดสมาธิรักษาบาดแผลอยู่ข้างกายเขา
เสื้อผ้าสีขาวของนางยังคงเปื้อนเลือด และอาการบาดเจ็บของนางก็ฟื้นจนเป็นปกติแล้ว อีกทั้งการสำนึกก็ได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งสี่ทิศตลอดเวลา ดังนั้นเมื่อหลัวซิวฟื้นขึ้น นางก็สามารถรู้ได้ในทันที
สายตาประสานกัน หลัวซิวคิดไปถึงเรื่องที่ทวยเทพแห่งวัฏจักรชีวิตได้บอกเขา ในใจนั้นไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไร
ต้องมีการพบกันระหว่างเขากับเธอในชาติภพก่อน และคงเป็นสิ่งที่ทำให้ต้องจดจำ มิฉะนั้นคงจะไม่ทิ้งร่องรอยของความหลงใหลอยู่ในส่วนลึกในจิตวิญญาณของเขา แม้จะผ่านวัฏจักรชีวิตแล้วก็ไม่สามารถเลือนหายไปได้
“เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”
เหยียนซีโรว่ถามด้วยความเป็นห่วง นางรู้ดีว่าหลัวซิวมีความสามารถพิเศษบางอย่างในการฟื้นฟู แต่อาการบาดเจ็บก่อนหน้านี้ของเขารุนแรงเกินไป เธอจึงยังกังวลอยู่เล็กน้อย
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลัวซิวจึงสังเกตได้ว่าผลการฝึกตนของเขา กลับบรรลุการฝึกจิตขั้นหนึ่งในขณะที่เขากำลังหมดสติอยู่ และก้าวเข้าสู่แดนปรมาจารย์ฝึกจิตพอดี
เห็นได้ชัดว่า เพราะเขาฝืนใช้การเคลื่อนไหวพลังแปรเสวียนเทียนยี่สิบสี่เท่า บาดแผลอันน่าสะพรึงกลัวที่เกิดจากผลกระทบฟันเฟือง ทำให้เกิดพลังอมตะ
ไม่เพียงแต่สามารถเลื่อนขั้นผลการฝึกตน บาดแผลทั้งหมดก็ยังสามารถฟื้นฟูจนหายเป็นปลิดทิ้ง
“ข้าไม่เป็นไรแล้ว เวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้ว?” หลัวซิวถามหลังจากดึงสติกลับมาได้
“ตอนนี้เป็นวันที่เจ็ดแล้ว อีกสามชั่วโมง ทุกคนก็จะถูกส่งกลับไปที่เขตการปกครองชิงฮัว” เหยียนซีโรว่ตอบ
หลัวซิวพยักหน้า สังเกตเห็นว่าทั้งสองอยู่ในถ้ำที่มืดมิด และท้องฟ้าด้านนอกก็มืดแล้ว แสงจันทร์ที่เหมือนน้ำค้างแข็งสีเงินโปรยปรายไปทั่วภูเขาและป่าไม้
“ตามสถิติการแข่งขันเอาชีวิตรอดในรอบแรก ในท้ายที่สุด เฉพาะผู้ที่อยู่ใน 500 อันดับแรกเท่านั้นที่จะผ่านได้ มีผู้เข้าแข่งขันกว่าแสนคน ตราบใดที่รวบรวมคะแนนมากกว่าได้300 คะแนน ก็เพียงพอแล้ว
ในใจหลัวซิวครุ่นคิดเล็กน้อย เขาและเหยียนซีโรว่มียันต์หยกเกือบพันอยู่กับตัว อีกสามชั่วโมงที่เหลือนั้นไม่จำเป็นต้องออกไปล่า ก็สามารถผ่านรอบแรกและเข้าสู่รอบที่สองได้แฃ้ว
เมื่อคิดได้เช่นนั้น หลัวซิวใช้เวลาที่เหลือของตน เพื่อทำให้ผลการฝึกตนที่เพิ่งบรรลุนั้นเสถียรขึ้น
พลังอมตะ ถึงแม้จะไม่สามารถบรรลุแดนร่างเนื้อ แต่ทุกครั้งที่เจ็บหนักและไม่ตายนั้น ผลการฝึกตนจะเพิ่มขึ้นทุกครั้ง ร่างเนื้อจะได้รับบัพติศมาแห่งการเปลี่ยนแปลง
หลัวซิวสามารถรับรู้ได้ว่าตนนั้นอยู่ห่างจากร่างยุทธ์ขั้นสูงไม่ไกลแล้ว
แดนร่างเนื้อในเวลานี้ สามารถฝืนเคลื่อนพลังแปรเสวียนเทียนหกเท่าได้ บังคับกระตุ้นพลังยี่สิบสี่เท่า มีอันตรายถึงชีวิต
ถ้าหากสามารถบรรลุถึงแดนร่างยุทธ์ขั้นสูง ก็จะสามารถเคลื่อนพลังแปรเสวียนเทียนหกเท่าได้อย่างง่ายดาย แม้ว่าจะฝืนกระตุ้นพลังยี่สิบสี่เท่าหนึ่งหรือสองครั้ง หากอาศัยความสามารถในการฟื้นฟูลายเส้นชีวิตและพลังอมตะ ก็ไม่น่าจะเป็นอันตรายถึงชีวิต
อย่างไรก็ตาม การกระทำนี้ที่มีความเสี่ยงจำพวกนี้ หลัวซิวคิดว่าต่อไปควรจะทำมันให้น้อยที่สุด ท้ายที่สุด แม้พลังอมตะนั้นจะเป็นสิ่งที่ดี แต่หลักการสำคัญคือต้องไม่ตาย
อย่างเช่นครั้งนี้ หากไม่มีเหยียนซีโรว่อยู่ข้างกาย เขาสลบอยู่ในป่า สุดท้ายอะไรจะเกิดขึ้น คงยากที่จะคาดเดา
วิถีชีวิตของผู้ฝึกยุทธ์ หนึ่งในนั้นคือ อย่าทำให้ตัวเองตกอยู่ในอันตราย
ในช่วงสามชั่วโมงที่เหลือ ผู้ที่มีคะแนนเพียงพอในมือแล้ว พวกเขาเลือกที่จะจำศีลและไม่ต่อสู้กับผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ อีกต่อไป แต่ผู้เข้าแข่งขันที่มียังไม่ถึง 300 คะแนนก็กำลังมองหาคู่ต่อสู้อย่างบ้าคลั่ง
เจ็ดวันแห่งการแข่งขันเอาชีวิตรอด วันสุดท้ายเป็นวันที่บ้าคลั่งและวุ่นวายที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
ทันใดนั้น หลัวซิวที่อยู่ระหว่างฝึกตนก็ลืมตาขึ้น รู้สึกได้ถึงความผันผวนเล็กน้อยที่ส่งออกมาจากแหวนเก็บของ
แม้ว่าจะเก็บไว้ในแหวนเก็บของ แต่ก็ไม่รู้ว่ามีพลังอะไรมากระตุ้นยันต์หยกแดง พลังแห่งช่องว่างความผันผวนถูกส่งออกมาและพันรอบไว้ร่างกาย
ทันใดนั้น ความรู้สึกโลกหมุนก็เกิดขึ้น เมื่อสถานการณ์ปัจจุบันกลับเข้าสู่ภาวะปกติ หลัวซิวก็พบว่าตนนั้นถูกส่งกลับออกมาที่เขตการปกครองชิงฮัวแล้ว
ยังคงเป็นลานจัตุรัสขนาดใหญ่ที่พาทุกคนไปสู่ป่าดึกดำบรรพ์ แต่จำนวนผู้เข้าร่วมการแข่งขันนับแสน ตอนนี้เหลือไม่ถึงสองพันคนแล้ว
สี่ทิศรอบลานจัตุรัส มีฝูงชนจำนวนมากรวมตัวกัน ทุกคนจ้องไปที่ผู้ฝึกยุทธ์หนุ่มสาวจำนวนมากที่ถูกส่งกลับมา ดวงตาที่เต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา ความแค้น และความโกรธเคืองนั้นซับซ้อนมาก
ชายวัยกลางคนสวมชุดคลุมหมางเผ่าสีดำยืนอยู่ในอากาศ มองดูผู้คนเบื้องล่าง
คนผู้นี้คือหนึ่งในราชวงศ์แห่งประเทศเทียนหวู เขาคือหนานหรงชินหวาง รับผิดชอบเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันชิงอันดับจากสิบสามเขตการปกครอง
“ก่อนอื่นขอแสดงความยินดีกับวีรบุรุษรุ่นเยาว์ทุกท่านที่ผ่านการแข่งขันการเอาชีวิตรอดรอบแรก ห้าร้อยอันดับแรกในหมู่พวกเจ้า จะได้รับสิทธิ์ตรงไปยังรอบที่สองส่วนคนที่เหลือทั้งหมดจะถูกคัดออก!” หนานหรงชินหวางมีสีหน้ายิ้มแย้ม และพูดออกมาช้า ๆ
เสียงของเขาไม่ดัง แต่กลับเข้าหูคนหลายแสนคนได้อย่างชัดเจน
########################
บทที่ 184 บรรลุฝึกจิต
พลังหกเท่า และเพิ่มอีกสี่เท่า!
พลังยี่สิบสี่เท่า พลังจิตแท้ความเป็นตายระดับที่สอง กระบี่สังหารห้วงยุทธ์ ระเบิดพลังออกมาในคราเดียวกัน
“ชิ้ง!”
กระบี่ยุทธ์ในมือของช่าวชูเจิ้งฉีกระเด็นออกไปในทันที ข้อต่อระหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วชี้แตกออก เลือดสีแดงสดไหลออกมา
สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างมาก คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะมีวิชาที่เก่งกาจกว่านี้อีก สามารถระเบิดการโจมตีแบบบังคับได้ในพริบตา
“ถอย!”
ใบหน้าของช่าวชูเจิ้งฉีนั้นไม่ได้มีความสบายใจเหลืออยู่เหมือนก่อนหน้านี้ อีกทั้งยังก้าวถอยหลังไปพร้อมกับสีหน้าที่หวาดกลัว
บนหน้าอกของเขา เสื้อผ้าถูกฉีกขาด หากว่าเขาถอยช้ากว่านี้เล็กน้อย จะต้องได้รับบาดเจ็บแน่นอน
“ผู้ชายคนนี้ สามารถระเบิดพลังอันน่าสะพรึงกลัวแบบนี้ออกมาได้อย่างไรกัน” เขามองไปที่หลัวซิวด้วยความตกใจและโกรธ พลังของดาบในตอนนี้ทำให้เขารู้สึกถูกคุกคามจริงๆ
และคนที่ทำให้เขารู้สึกถูกคุกคามได้นั้น กลับเป็นเพียงชายหนุ่มระดับฝึกจิตครึ่งเท่านั้น
ผลการฝึกตนยิ่งถึงระดับท้าย ๆ ความห่างชั้นของแดนเล็ก ๆ ทุกแดน พลังนั้นก็ยิ่งมีความเหลื่อมล้ำอย่างมาก
และวิชายิ่งเลิศอย่างพลังแปรเสวียนเทียนนี้ คือวิถีแห่งการต่อสู้แบบข้ามขั้นสุด ๆ !
ท่ามกลางบันทึกวิชายิ่งเลิศ มันไม่ง่ายเหมือนสองเท่าถึงห้าเท่าอย่างที่เห็น
อย่างเช่นพลังสองเท่าของขั้นที่หนึ่ง คือการเพิ่มกำลังขึ้นเป็นสองเท่าบนพื้นฐานเดิมของตนเอง ซึ่งง่ายมากที่จะสำแดงออกมา
เมื่อถึงพลังสามเท่าของขั้นที่สอง คือพื้นฐานของสองเท่า จะเพิ่มขึ้นสามเท่า หรือก็คือหกเท่านั่นเอง
แต่พลังสี่เท่าของขั้นที่สาม นั่นคือการมีพลังหกเท่าเป็นฐาน และเพิ่มขึ้นไปอีกสี่เท่า!
ซึ่งนั่นก็หมายความว่า การลงมือของหลัวซิวเมื่อครู่ อันที่จริงมันมีความแข็งแกร่งถึงยี่สิบสี่เท่าของตัวเขาเอง!
ท่ามกลางวิชายิ่งเลิศอย่างพลังแปรเสวียนเทียน สามารถฝึกให้ถึงขั้นที่หนึ่งได้ ก็สามารถระเบิดพลังสองเท่าออกมาได้
ฝึกถึงขั้นที่สอง ต้องการร่างเนื้อของร่างยุทธ์ระดับสูง ถึงจะสามารถระเบิดพลังสามเท่าบนพื้นฐานของพลังสองเท่าได้ ซึ่งก็คือพลังหกเท่านั่นเอง
ฝึกถึงขั้นที่สาม ต้องการร่างเนื้อของร่างยุทธ์ระดับราชายุทธ์ ถึงจะสามารถระเบิดพลังยี่สิบสี่เท่าได้
และขึ้นที่สี่ ต้องการร่างเนื้อของร่างยุทธ์ระดับมกุฏยุทธ์ ถึงจะสามารถระเบิดพลังร้อยเท่าได้!
เมื่อนานมาแล้ว หลัวซิวคิดว่าพลังสูงสุดแค่สามารถเป็นได้เพียงห้าเท่าของพลัง และในภายหลังที่สามารถกระตุ้นขั้นที่สองได้ ถึงพบว่าพลังนั้นไม่ใช่แค่เพียงเพิ่มขึ้นสามเท่า แต่เป็นหกเท่า!
หลัวซิวในตอนนี้ แม้แต่ร่างยุทธ์ขั้นสูงยังไม่สามารถบรรลุถึง ยังห่างชั้นกับร่างยุทธ์ระดับราชายุทธ์อยู่มากนัก การบังคับกระตุ้นพลังแปรเสวียนเทียนขั้นที่สาม ร่างเนื้อนั้นเดิมทีก็ไม่สามารถรับได้ กล้ามเนื้อถูกฉีกออก เลือดสีแดงสดไหลออกมาราวกับเขื่อนแตก
แต่ในเวลานี้ เขาไม่สามารถกังวลอะไรได้มากมายเช่นนั้น
เมื่อโจมตีช่าวชูเจิ้งฉีจนล่าถอยไปได้ หลัวซิวพลิกมือหยิบยาขึ้นมาหนึ่งเม็ดพร้อมทั้งโยนใส่ปาก
ยาที่เขาใช้นั้นคือยาระเบิดเทพจิต เมื่อยาออกฤทธิ์ ผลการฝึกตนก็ค่อย ๆ เพิ่มสูงขึ้น เพิ่มขึ้นมาถึงสามแดนเล็ก ข้ามด่านประตูฝึกจิต บรรลุถึงระดับฝึกจิตขั้นสาม
ผลการฝึกตนที่เพิ่มขึ้นจากการใช้ฤทธิ์ยาระเบิดเทพจิตช่วยนั้น หลัวซิวระงับช่วงเวลาที่เข้าใกล้การระเบิดของร่างเนื้อไว้ได้ชั่วคราว
ตามลมล่าจันทรา!
เขาพุ่งตัวเป็นลำแสง บินไปตรงหน้าของเหยียนซีโรว่ และในนาทีนี้เอง ขวานคู่ของเหมิงขวงก็ถูกเขวี้ยงเข้ามาอย่างเต็มแรง
“ตายซะ!”
หลัวซิวระเบิดพลังแปรเสวียนเทียนขั้นที่สามพลังยี่สิบสี่เท่าอีกครั้ง เขาออกดาบอย่างรวดเร็ว แม้กระทั่งการสำนึกก็ไม่สามารถตรวจจับได้ มีเพียงแสงวาววับจากคมดาบที่ผ่านไป เปล่งประกายเสียจนแสบตา
มือขวานคู่อย่างเหมิงขวงตาเบิกโพลง ร่างถูกฉีกเป็นชิ้นๆ และถูกหลัวซิวฟันจนขาดเป็นส่วน ๆ
“อะไรกัน!”
ยี่ซวนมีสีหน้าดูหวาดกลัว ซิวหลัวคนนี้ ทำไมอยู่ดี ๆ ถึงแข็งแกร่งได้ขนาดนี้ ก่อนหน้านี้ยังทำได้เพียงทำให้เหมิงขวงบาดเจ็บสาหัส แต่เวลานี้กลับสามารถฆ่าเหมิงขวงได้อย่างง่ายดาย?
“เจ้าก็ตายซะ!”
หลัวซิวสะบัดดาบปล่อยเปลวไฟดำแห่งปราณกระบี่ออกไป ด้วยพลังยี่สิบสี่เท่าที่ช่วยเสริมอยู่นั้น ลำแสงปราณกระบี่ก็สามารถยามได้ถึงหลายสิบฟุต บดบังทั่วทั้งฟ้าและพื้นดิน!
“หนี!”
ยี่ซวนหยิบยันต์วาตะออกมา และกำลังจะทำลายมันเพื่อหนีไป
ในเวลาเช่นนี้ เขาใช้ธงค่ายสร้างค่ายกลป้องกันระดับสี่ขึ้น เพื่อป้องกันตนเองรอบทิศ
“ปัง!”
เปลวไฟดำแห่งปราณกระบี่ที่น่าสะพรึงนั้นตรงเข้าไปทำลายค่ายกลป้องกันจนสิ้น และตัดร่างของยี่ซวนให้ขาดเป็นสองท่อน
เมื่อสายตาของหลัวซิวกวาดไปมองทางช่าวชูเจิ้งฉีนั้น อีกฝ่ายกลับลอยขึ้นฟ้าหนีไปเสียแล้ว เขารู้สึกหวาดกลัวอย่างมากกับพลังต่อสู้อันน่าสะพรึงกลัวที่เขาได้เห็นในขณะนั้น
ฝืนใช้พลังแปรเสวียนเทียนขั้นที่สามซึ่งเกินขีดจำกัดของตัวเองถึงสามครั้งติดต่อกัน ต่อให้เป็นฤทธิ์ของยาระเบิดเทพจิตไม่ยังไม่สามารถควบคุมได้ หลัวซิวมีความรู้สึกว่าการรับรู้ของตนนั้นยิ่งนานไปก็ยิ่งพร่ามัวขึ้นเรื่อย ๆ ร่างของเขาล้มลงไปทางด้านหลัง
“หลัวซิว!”
เหยียนซีโรว่ที่ยืนอยู่ด้านหลังนั้นรีบวิ่งเข้ามาพยุงเขาไว้ ก็พบว่าร่างของเขามีแต่รอยแตกเต็มไปหมด ลมหายใจก็ไม่สม่ำเสมอ
“ทำไมเจ้าถึงโง่เช่นนี้”
เหยียนซีโรว่ตาแดง นางรู้ดีว่าถ้าไม่ใช่เป็นเพราะช่วยนาง หลัวซิวก็จะสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างเป็นอิสระ ใครก็ไม่สามารถต้านเขาไว้ได้
แต่เป็นเพราะช่วยนาง เขาถึงได้เลือกใช้วิชายิ่งเลิศในการกระตุ้นศักยภาพ จนเขาต้องทนทุกข์กับการแว้งกัดอย่างรุนแรงของวิชานั้น
ไม่มีพลังอำนาจใดที่ได้มาเปล่า ๆ โดยไม่ต้องเสียอะไรไป ถึงแม้จะเป็นพลังพื้นฐานของผู้ฝึกยุทธ์ ก็ต้องฝึกหนักและต่อสู้เพื่อให้ได้มาทีละนิด
นางเองก็ได้รับบาดเจ็บ แต่หากเทียบกับหลัวซิวแล้วนั้น กลับไม่มีทางที่จะเทียบกันได้เลย
ในระหว่างที่สมองกำลังมึนงงอยู่นั้น แสงดาวดวงน้อยก็ปรากฏขึ้นในความมืด
“หืม?”
เมื่อหลัวซิวชำเลืองมอง ก็เห็นวัฏจักรชีวิตขนาดใหญ่ห้อยอยู่เหนือหัว เขาอดไม่ได้ที่จะสงสัย
เขาจำได้ว่า เพราะเขาสำแดงพลังแปรเสวียนเทียนยี่สิบสี่เท่าและเกินขีดจำกัดของตนเองจนสลบไป เหตุใดจึงได้มาอยู่ภายในลูกแก้วความเป็นตายได้?
“ผู้สืบทอดที่อ่อนแอ เจ้าช่างน่าประทับใจเสียจริง”
ทันใดนั้น เสียงของทวยเทพแห่งวัฏจักรชีวิตก็ดังขึ้น
เมื่อได้ยินประโยคนั้น หลัวซิวชะงักไปชั่วครู่ ไม่แน่ใจว่าทวยเทพแห่งวัฏจักรชีวิต แท้จริงแล้วกำลังชมเขาหรือกำลังด่าเขากันแน่
แต่ทวยเทพแห่งวัฏจักรชีวิตก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรดับความคิดของเขา พลางพูดต่อ “พลังอมตะนั้น ถึงแม้จะไม่ตายตราบใดที่ยังมีลมหายใจ อีกทั้งยังสามารถสลายและเกิดใหม่ด้วยความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น แต่ร่างเนื้อของเจ้านั้นเพิ่งจะถึงร่างยุทธ์ขั้นสูง ยังห่างไกลร่างยุทธ์ระดับราชายุทธ์อีกมากนัก บังคับใช้พลังยี่สิบสี่เท่า นั่นเพียงพอให้ร่างเนื้อเจ็บปวดจากการแตกสลาย ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะอดทนได้เลย”
“หากทนความเจ็บปวดไม่ไหว เจตจำนงก็จะพังทลายลง ตัวหยั่งรู้สลายหายไป นั่นจะเป็นความตายที่แท้จริง พลังอมตะก็ไม่สามารถช่วยอะไรเช้าได้”
“แต่เจ้าไม่เพียงแต่สามารถอดทนต่อความเจ็บปวดนั้นได้ ยังได้รับผลกระทบเพียงแค่สลบไป เจ้ารู้หรือไม่ว่าเป็นเพราะอะไร?”
ได้ยินเช่นนั้น หลัวซิวเกิดความรู้สึกสงบเสงี่ยมขึ้นเล็กน้อย เขาคาดไม่ถึงจริง ๆ ว่าการบังคับใช้พลังยี่สิบสี่เท่านั้น จะมีผลกระทบที่น่ากลัวเช่นนี้
และในตอนที่เห็นเหยียนซีโรว่ได้รับบาดเจ็บ เขาก็กระทำลงไปในทันที โดยไม่ได้คำนึงถึงผลที่จะตามมา
หรือแม้กระทั่งตัวเขาเองจะสามารถอดทนกับความเจ็บปวดจากการฉีกแตกของร่างเนื้อนั้นได้หรือไม่ เขาเองก็ไม่ได้แน่ใจนัก
ถ้าจะพูดจริงๆ อาจเป็นเพราะความคิดสุดโต่งของเขาในขณะนั้น เจตจำนงอันแรงกล้าของเขาทำให้เขาสามารถอดทนกับความเจ็บปวดจากการฉีกแตกของร่างเนื้อได้
และด้วยเหตุที่เขาทุ่มสุดตัวเช่นนั้น เพียงเพราะเหยียนซีโรว่บาดเจ็บ?
สิ่งนี้ทำให้ในใจของหลัวซิวเต็มไปด้วยความสงสัย
########################
บทที่ 183 วิกฤตในวิกฤต
ทันทีที่สังเกตเห็นหลัวซิว ยี่ซวนก็สะบัดมือนำธงค่ายออกมา สร้างค่ายยากเย็นและตรึงพื้นที่นี้ไว้ทันที
ด้วยการนำของช่าวชูเจิ้งฉี คนกลุ่มหนึ่งได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าของหลัวซิวแหละเหยียนซีโรว่
“ซีโรว่ ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอกันอีก” ช่าวชูเจิ้งฉีมองมาที่เหยียนซีโรว่ ในดวงตาของเขาฉายแววรอยยิ้มแห่งความเยาะเย้ย
“ไอ้เด็กเวรไร้ยางอาย!” เหยียนซีโรว่กัดริมฝีปากแดงสดนั้น นัยน์ตาเผยแววแห่งการสังหาร
ช่าวชูเจิ้งฉีหัวเราะเสียงดัง “สำนักไป๋ซิงกู่จำคู่เจ้าให้ข้าแล้ว เจ้าได้ขึ้นชื่อว่าเป็นคู่หมายของข้า หากเจ้าไม่ติดตามข้า ข้าจะลงไม้ลงมือกับเจ้าได้หรือ?”
พูดถึงตรงนี้ ช่าวชูเจิ้งฉีรี่ตาลง “ข้าสงสัยยิ่งนัก พูดกันตามจริง เส้นลมปราณของเจ้าถูดตัดขาด จุดตันเถียนได้รับความเสียหาย ผลการฝึกตนควรจะหายไปหมดแล้ว เจ้าฟื้นฟูได้อย่างไรกัน?”
ตั้งแต่ต้นจนถึงวันนี้ ช่าวชูเจิ้งฉีไม่แม้แต่จะมองมาทางหลัวซิวสักครั้ง เรียกได้ว่าไม่เห็นใครอยู่ในสายตาเลย
ยี่ซวนขมวดคิ้ว เดินเข้าไปข้าง ๆ ช่าวชูเจิ้งฉีพลางกระซิบกระซาบเสียงเบา
“แค่นักยุทธ์ระดับฝึกจิตครึ่งก็เท่านั้น ต่อให้ครอบครองห้วงยุทธ์ได้แต่ก็ไม่ได้มีค่ามากพอให้ต้องกังวล มันควรจะรู้ว่าควรทำลายยันต์หยกแดงเพื่อหนีเอาชีวิตรอด ไม่เช่นนั้นก็ต้องตายอย่างไม่มีทางเลือก” ช่าวชูเจิ้งฉีพูดขึ้นโดยไม่ลังเล
หลัวซิวพอจะเดาเรื่องราวได้บ้างแล้ว สำนักไป๋ซิงกู่เพื่อจะเป็นพันธมิตรกับสำนักชิงเทียนเจี้ยน จึงได้จับคู่เหยียนซีโรว่กับช่าวชูเจิ้งฉี
แต่ตัวเหยียนซีโรว่เองไม่เห็นด้วย ช่าวชูเจิ้งฉีจึงลอบโจมตีนางในตอนที่นางไม่ได้เตรียมตัว และใช้กำลังกับนาง
พลังเดียวกันท่ามกลางเขตการปกครองชิงฮัว สำนักชิงเทียนเจี้ยนนั้นแข็งแกร่งกว่าสำนักไป๋ซิงกู่อย่างมาก หากคิดตามแนวคิดของช่าวชูเจิ้งฉี แม้ว่าจะแข็งแกร่งกว่าอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งสำนักไป๋ซิงกู่แล้วอย่างไร? สำนักไป๋ซิงกู่อยู่ภายใต้การควบคุมของสำนักชิงเทียนเจี้ยน ก็ทำได้แค่กล้ำกลืนฝืนทน ต่อให้โกรธเพียงใดก็ต้องเก็บไว้
ยิ่งไปกว่านั้น การหมั้นของคนทั้งสองได้ดำเนินไปแล้ว สิ่งต่าง ๆ ได้ทำไปแล้วนั้นไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ สำนักไป๋ซิงกู่จึงใช้โอกาสนี้ที่จะเพิ่มเต็มเชื้อไฟ เพื่อขยายอิทธิพลของพวกเขา โดยจัดการให้เหยียนซีโรว่ อัจฉริยะอันดับหนึ่งคนนี้ยอมพ่ายแพ้แก่เขา
เมื่อรู้เช่นนี้ ในใจของหลัวซิวก็พลุ่งพล่านไปด้วยจิตสังหาร
“หืม?”
ช่าวชูเจิ้งฉีสามารถรับรู้ได้ถึงจิตสังหารของหลัวซิวที่ตรึงเขาไว้ “กล้าใช้จิตสังหารกับข้า เจ้าเด็กนี่ไม่กลัวตายหรืออย่างไร?” เขาพูดพลางขมวดคิ้ว
หลังจากพูดจบ ก็มีฝึกจิตขั้นหนึ่งสามคนก็ลงมือทันที หนึ่งในนั้นคือหญิงสาวผมทองที่เคยไล่ตามฆ่าเหยียนซีโรว่
“ไปให้พ้น!”
จิตสังหารสีแดงเลือดหมุนวนอยู่รอบตัวเขา หลัวซิวระเบิดพลังออกมา กระบี่สังหารแห่งห้วงยุทธ์ถูกเหวี่ยงออกไป
เมื่อเห็นเช่นนั้น ยี่ซวนและเหมิงขวงต่างก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไป ยังคงมีความรู้สึกกลัวต่อสถานการณ์ที่เคยประสบพบเจอมา
และปรมาจารย์ยุทธ์ฝึกจิตขั้นหนึ่งที่เข้าไปโจมตีหลัวซิวทั้งสามคนนั้น วินาทีที่ถูกกระบี่สังหารห้วงยุทธ์ตรึงไว้ ก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน
“ตาย!”
กระบี่สังหารหลอมรวมกับห้วงยุทธ์ ดาบนั้นของหลัวซิวยิ่งเพิ่มความรวดเร็ว แสงดาบแวบขึ้นราวกับดาวที่ตกลงมาจากฝากฟ้า ฝึกจิตขั้นหนึ่งปรมาจารย์ยุทธ์คนหนึ่งคือขาดกระเด็นและตายคาที่ทันที
หลังจากนั้น เขาก้าวขึ้นไปในอากาศ และแสงดาบเปลวไฟสีดำก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าหญิงสาวผมทองในพริบตา
หญิงสาวผมทองถูกพลังอันน่าสะพรึงกลัวของหลัวซิว ตรึงไว้จนไม่สามารถขยับตัวได้ รีบหยิบยันต์หยกแดงออกมาและทำลายมันในเวลาเดียวกันก็ก้าวถอยหลังไปอย่างรีบร้อน เพียงแค่ต้องอดทนอีกห้าลมหายใจ ก็จะสามารถออกจากที่แห่งนี้ได้แล้ว
แต่ยังไม่ทันถึงสองอึดใจ ร่างของนางก็กระเด็นออกไปกลางอากาศ และฉีกขาดออกเป็นเสี่ยง ๆ เลือดสด ๆ สาดกระจายเต็มไปทั่วผืนดิน
กระบี่ยุทธ์ของปรมาจารย์ฝึกจิตคนที่สามถูกวางลงบนไหล่ของหลัวซิว แววตาเผยความดีใจออกมา พลางคิดว่าตนจะได้ฆ่าชายหนุ่มที่เก่งกาจเช่นนี้ เขาต้องได้ครอบครองยันต์หยกจำนวนมากแน่นอน
“ชิ้ง!”
ด้วยความรวดเร็ว ปรมาจารย์ยุทธ์ฝึกจิตขั้นหนึ่งคนนี้ก็นิ่งไป กระบี่ยุทธ์ระดับสูงสุดของเขา กลับไม่สามารถฟันผู้ชายคนนี้ให้ขาดออกเป็นสองท่อนได้ ทำได้แค่เพียงสร้างบาดแผลเล็ก ๆ ไว้ที่ไหล่ของเขาเท่านั้น?
ทันใดนั้น แสงดาบเปลวไฟสีดำก็พุ่งผ่าน ผ่าร่างของเขาออกเป็นสองส่วน
เพียงแค่ชั่วอึดใจเดียวเท่านั้น ปรมาจารย์ฝึกจิตทั้งสามก็จบชีวิตลงที่นี่!
แต่รังสีสีเลือดรอบตัวหลัวซิวนั้น ก็ยิ่งเพิ่มพูนความเข้มข้นขึ้นไปอีก
รังสีสังหาร เดิมทียิ่งฆ่ามากเท่าไร ก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น นอกจากนี้ยังจำเป็นต้องฆ่าอีกฝ่ายที่มีผลการฝึกตนแข็งแกร่งกว่าตนเอง จึงจะสามารถผนึกรวมรังสีสังหารที่เข้มข้นได้
“ไอ้สารเลว!”
ช่าวชูเจิ้งฉีเผยสีหน้าโกรธแค้น มือดีของเขาสามคนถูกฆ่า ทำให้เขาต้องลงมือด้วยความโกรธ กระบี่ยุทธ์สีเขียวอ่อนปรากฏขึ้นในมือ ฟาดฟันไปทางหลัวซิว
“ชิ้ง!”
กระบี่ยุทธ์ทั้งสองปะทะกัน หลัวซิวถอยหลังสามก้าว และช่าวชูเจิ้งฉีเองก็ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง
“เก่งเหลือเกินเจ้าเด็กคนนี้ ข้าประเมินเจ้าต่ำไป” ช่าวชูเจิ้งฉีถึงจะเย่อหยิ่ง แต่ก็ไม่ใช่คนโง่ จากการประมือกันเมื่อครู่ ถึงจะอาศัยผลการฝึกตนของฝึกจิตขั้นสี่ แต่ก็ทำได้แค่เพียงให้เขาถอยหลังไปได้สามก้าวเท่านั้น เห็นได้ชัดเจนว่าชายคนนี้เก่งกาจเพียงใด
“ยี่ซวน เหมิงขวง เจ้าทั้งสองไปจัดการเหยียนซีโรว่ อย่าให้นางหนีไปได้ ข้าจะไปฆ่าเจ้านี่ก่อน” ช่าวชูเจิ้งฉีเอ่ยปากพูด
ถึงแม้จะรู้สึกว่าพลังของ ‘ซิวหลัว’ คนนี้ไม่ธรรมดา แต่ช่าวชูเจิ้งฉีก็ยังเต็มไปด้วยความมั่นใจ เพราะถึงยังไงตนก็เป็นปรมาจารย์ยุทธ์ฝึกจิตขั้นสี่ และอีกฝ่ายก็ยังไม่ถึงแดนฝึกจิตเลยด้วยซ้ำ
“ป้าบ! ป้าบ! ป้าบ! …”
หลัวซิวฝ่าเท้าเยียบลงบนพื้นดิน ด้ามกระบี่ยุทธ์ที่อาบไปด้วยเลือดนั้นพุ่งตรงไปทางช่าวชูเจิ้งฉี กระบี่สังหารห้วงยุทธ์ที่ผ่านการร่ายมนต์นั้น ยิ่งรวดเร็วและแหลมคมมากขึ้นเปลวไฟดำแห่งปราณกระบี่เกิดเป็นลำแสง ตัดทำลายทุกสิ่งอย่าง
อย่างไรก็ตาม ผลการฝึกตนของช่าวชูเจิ้งฉีนั้นสูงกว่าเขามากนัก อาศัยพลังจิตแท้ที่บริสุทธิ์และวิชาดาบอันวิจิตรบรรจง ก็จะสามารถโจมตีหลัวซิวจนไม่อาจต้านทานได้
ถึงอย่างไร พลังจิตแท้ของหลัวซิวนั้นก็เทียบเท่ากับฝึกจิตขั้นหนึ่ง การสำนึกรวมกับห้วงยุทธ์ อย่างมากที่สุดก็ทัดเทียมเสมอเหมือนฝึกจิตขั้นสาม
อีกมุมหนึ่ง เหยียนซีโรว่ถูกยี่ซวนและเหมิงขวงล้อมโจมตี สถานการณ์อันตรายยังคงเกิดขึ้นไม่หยุดจนใกล้จะต้านทานไว้ไม่ไหวแล้ว
“ผุก!”
แสงเลือดสาดส่อง เหยียนซีโรว่ถูกแสงสีเลือดแห่งค่ายสังหารระดับสี่พุ่งทะลุไหล่ซ้าย เลือดไหลทะลักออกมาไม่หยุด
และในวินาทีที่หลัวซิวเห็นนางบาดเจ็บ จิตสังหารและความโกรธมหาศาลที่อธิบายไม่ได้ก็ผุดขึ้นในใจเขา
ความรู้สึกนี้ควบคุมไม่ได้ ราวกับว่ามันมาจากสัญชาตญาณส่วนลึกในจิตวิญญาณ
ช่าวชูเจิ้งฉีก็สามารถสังเกตได้ถึงความโกรธในแววตาหลัวซิว รอยยิ้มเยือกเย็นที่มุมปากผุดขึ้น “เจ้าเด็กนี่ชอบเหยียนซีโรว่งั้นหรือ? น่าเสียดายที่หลังจากฆ่าเจ้าไปแล้ว นางก็จะกลายเป็นของเล่นของข้า เจ้าคงจะไม่อยากเห็นภาพนั้นแน่ ๆ”
“ข้าคือช่าวชูเจิ้งฉี เมื่อถูกใจเป็นผู้หญิงคนไหน ก็ไม่มีใครกล้าปฏิเสธข้ามาก่อน!”
“ไปตายซะ!”
หลัวซิวตะโกนด้วยความโกรธ พลังหกเท่าของพลังแปรเสวียนเทียนเพิ่มขึ้นและเคลื่อนไหว แสงดาบเปลวไฟสีดำที่เขาฟาดฟันออกมานั้นพุ่งสูงขึ้น พลังเพิ่มขึ้นหกเท่า
“ชิ้ง!”
ช่าวชูเจิ้งฉีไม่ทันได้ตั้งรับ เขาถูกกระแทกถอยหลังไปสองก้าว
“เป็นการโจมตีที่รุนแรงจริง ๆ หากไม่ใช่เพราะผลการฝึกตนของข้าบรรลุถึงฝึกจิตขั้นสี่ แรงดาบเมื่อครู่ ข้าคงจะต้ายไหวไม่ไหว”
ใบหน้าของช่าวชูเจิ้งฉีพลันเคร่งขรึมขึ้นมา แต่เขาก็ไม่ค่อยกังวลเท่าไรนัก เพราะฝึกจิตขั้นสี่แข็งแกร่งกว่าฝึกจิตขั้นสามมากที่เดียว การโจมตีระดับนี้ไม่เป็นภัยต่อตัวเขา
ยิ่งไปกว่านั้น ‘ซิวหลัว’ คนนี้ต้องมีวิชาลับบางอย่างในการเพิ่มพลังโจมตี มันเป็นไปไม่ได้ที่จะสำแดงต่อไปอย่างไม่สิ้นสุด
หลัวซิวผลักดันการเคลื่อนไหววิชาพลังแปรเสวียนเทียนอย่างไม่ลดละ แต่กลับพบว่าพลังนั้นเท่ากันกับช่าวชูเจิ้งฉี ยังทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้เด
ในขณะเดียวกัน เหยียนซีโรว่ที่อยู่ภายใต้การโจมตีของยี่ซวนและเหมิงขวง ก็ได้รับบาดเจ็บอีกครั้ง ชุดสีขาวนั้นเปื้อนไปด้วยเลือดสีแดงสด
“แค่หกเท่ายังไม่พอ อย่างนั้นถ้าเพิ่มอีกสี่เท่าล่ะ?”
หลัวซิวบังคับการเคลื่อนไหวพลังแปรเสวียนเทียนขั้นที่สาม พลังพลุ่งพล่านในร่างกาย ทัดเทียมเสมอเหมือนร่างเนื้อของร่างยุทธ์ขั้นสูงทั่วไป รอยแตกเปิดออกทีละส่วนอย่างไม่สามารถต้านทานพลังอันทรงพลังนี้ได้
########################
บทที่ 182 บุญคุณที่ช่วยชีวิต
“ปัง!”
รัศมีอันเจิดจ้าไร้สิ้นสุดปะทุ แสงสีขาว แสงสีเลือด และเปลวไฟสีดำประสานกันกระจายไปทั่วท้องฟ้า
หลัวซิวมีเลือดออกที่มุมปาก ร่างกายซวนเซไปด้านหลัง แต่เขากลับไม่เผยความลังเลแม้แต่น้อย พลิกมือฟาดฟันดาบออกไปอีกครั้ง ทำให้ม่านแสงที่ก่อตัวขึ้นของค่ายยากเย็นระดับสี่แตกออก และกระโจนออกมา
ยี่ซวนทำได้แค่มองหลัวซิวหนีไป แต่ไม่กล้าตามไป สายตาทอดมองไปไม่ไกล เห็นเหมิงขวงยืนเหม่ออยู่กลางอากาศ
ทันใดนั้นเอง ร่างกายของเหมิงขวงก็โซเซ แล้วก็กระอักเลือดออกมาอึกใหญ่ ในเวลานี้ยี่ซวนถึงได้สังเกตว่า ตรงบริเวณอกของเหมิงขวงถูกดาบปักทะลุหลังอยู่
ยี่ซวนรีบเข้าไปพยุงเหมิงขวงไว้ และไม่ได้ฉวยโอกาสแย่งชิงยันต์หยกจากเหมิงขวง เพราะอาจารย์ของทั้งสองเป็นสหายแห่งชีวิตและความตาย และยังเป็นความตั้งใจของท่านอาจารย์ที่จะให้พวกเขาร่วมมือกันต่อสู้กับศัตรูในการแข่งขันการเอาตัวรอดนี้
“ไอ้ ‘ซิวหลัว’นั่น มันเข้าใจวิชาห้วงยุทธ์ ถ้าหากข้าไม่ได้หลบตำแหน่งหัวใจ ในช่วงเวลาแห่งความเป็นตายนั้น ข้าคงตายด้วยดาบเล่มนั้นไปแล้ว” เหมิงขวงพูดด้วยน้ำเสียงอิดโรยและยังไม่หายตกใจกับสถานการณ์เมื่อครู่
ยี่ซวน ได้ยินเช่นนั้น หนังตาก็กระตุกทันที อีกฝ่ายเข้าใจวิชาห้วงยุทธ์งั้นหรือ? แต่นั่นเป็นสิ่งที่ราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่งยังอยากจะเข้าใจ
“ตอนนี้เจ้าบาดเจ็บ เราต้องหาสถานที่หลบภัยเพื่อรักษาตัว ระยะเวลาเจ็ดวันนั้น ยิ่งถึงช่วงท้าย ๆ ก็ยิ่งฆ่ากันอย่างเข้มข้นมากขึ้น”
ยี่ซวนพูดด้วยเสียงราบเรียบ ทันใดนั้นก็พาเหมิงขวงลงสู่พื้นนด้วยกัน เพราะว่าลอยตัวกลางอากาศนั้น มันง่ายต่อการเป็นเป้าสายตา
และการต่อสู้เมื่อครู่นี้ ย่อมดึงดูดความสนใจของผู้เข้าแข่งขันคนอื่นได้อย่างแน่นอน และเมื่อมีคนพบว่าเหมิงขวงบาดเจ็บสาหัส เกรงว่าจะมีปรมาจารย์ฝึกจิตจำนวนมากจะประดังกันเข้ามาเหมือนฉลามได้กินเลือด
ป่าดึกดำบรรพ์ในเวลานี้ กระแสการเคลื่อนไหวกำลังพลุ่งพล่านอีกทั้งเวลาก็ค่อย ๆ ผ่านไป
ผ่านไปสามวัน การล้างกระดาษผู้เล่นครั้งใหญ่ได้จบลง ผู้ที่มีพลังอ่อนแอทั้งหมดถูกคัดออก ผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งก็ต่างรวมกลุ่มกันอยู่ ไม่มีใครที่กล้าเคลื่อนไหวคนเดียว
อย่างไรเสีย ถ้าฝึกจิตขั้นหนึ่งสามถึงสี่คนรวมกัน ก็จะกลายเป็นอัจฉริยะ การฝึกฝนวิชายุทธ์อย่างน้อยต้องมีระดับเจ็ดขึ้นไป แม้ว่าจะเป็นฝึกจิตขั้นสามหรือขั้นสี่ต่างก็ต้องล่าถอย
ดังนั้น เหล่าอัจฉริยะที่มีพลังแข็งแกร่งพอ ๆ กันก็เริ่มที่จะร่วมมือกัน ยันต์หยกขาวจะถูกแบ่งตามความขยันของแต่ละคน
แต่ในช่วงเวลานี้ หลัวซิวก็ได้ซ่อนตัวอยู่ในสถานที่ลับ
การใช้ดาบเมื่อสองวันก่อน แม้ว่าจะทำให้เหมิงขวงบาดเจ็บสาหัสได้ แต่เหมิงขวงก็เป็นร่างยุทธ์ขั้นสูง สำแดงการโจมตีของวิชายุทธ์ระดับเจ็ด ก็ทำให้เขาบาดเจ็บไม่เบาเช่นกัน
แต่ใช้วิธีฟื้นฟูลายเส้นชีวิต ก็ใช้เวลาเพียงครึ่งวันก็สามารถฟื้นฟูอาการบาดเจ็บได้แล้ว ส่วนเวลาอีกหนึ่งวันครึ่งที่เหลือ หลัวซิวใช้ไปกับการรักษาบาดแผลให้หญิงสาวชุดขาว
หญิงสาวชุดขาวคนนี้มีผลการฝึกตนของแดนฝึกจิตขั้นสาม อีกทั้งยังบรรลุนปรมาจารย์ค่ายกลระดับสี่ เมื่อบาดแผลฟื้นฟูแล้ว จะต้องเป็นคู่หูที่ดีมากแน่ ๆ
สำหรับการเปิดเผยความลับบางอย่างของเขา หลัวซิวกลับไม่มีกะจิตกะใจไปกังวลอะไรแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นในใจเขาก็คิดแต่จะคอยช่วยเหลือเธออยู่เสมอ
ความรู้สึกเช่นนี้ ราวกับว่าหญิงสาวชุดขาวคนนี้มีความสำคัญกับเขามากกว่าสิ่งใด เขาจำเป็นต้องดูแลนาง ไม่สามารถทนดูให้นางได้รับบาดเจ็บได้
หลัวซิวแน่ใจได้ว่า ความรู้สึกเช่นนี้ไม่ใช่เพราะหญิงสาวชุดขาวสำแดงวิชาเสน่ห์อะไรใส่เขา เพียงแต่ตัวเขาเองก็ไม่สามารถตอบได้ว่าที่แท้แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
หญิงสาวชุดขาวชื่อว่า ‘เหยียนซีโรว่’
นางรู้ดีว่า บาดแผลของนางนั้น ถ้าหากไม่ได้ยาจิตสมุนไพรเพิ่มพลังที่สามารถฟื้นฟูจุดตันเถียนและเส้นลมปราณได้ คงจะไม่มีโอกาสฟื้นฟูได้แบบนี้
เปลวไฟดำแห่ง สิ่งที่เธอไม่อยากเชื่อก็คือ ชายหนุ่มชุดคลุมยาวดำคนนี้กลับใช้เวลาเพียงครึ่งวัน ก็สามารถฟื้นฟูเส้นลมปราณที่แตกและจุดตันเถียนที่ได้รับบาดเจ็บของนางได้
นี่ต้องเป็นพลังงานที่น่ากลัวมากอย่างแน่นอน เพราะว่าผลการฝึกตนของผู้ฝึกยุทธ์ยิ่งแข็งแกร่งมากเพียงใด บาดแผลที่ได้รับก็ยิ่งฟื้นฟูได้ยากมากเท่านั้น อีกทั้งยาระดับสูงหลาย ๆ ตัวก็หายากมาก ถึงแม้จะมีนักกลั่นยาระดับสูงหรือแม้แต่ปรมาจารย์กลั่นยา แต่การกลั่นยาวิเศษวิเศษนั้น ก็ยังเป็นสิ่งที่หาได้ยากอยู่ดี
“ข้าน้อยเหยียนซีโรว่ ขอบคุณท่านชายเป็นอย่างสูงที่ช่วยชีวิตข้าน้อยไว้”
เหยียนซีโรว่ไม่รู้ทำไมคนแปลกหน้าคนนี้ถึงใจดีกับนาง ถึงขึ้นยอมที่จะเปิดเผยความสามารถพิเศษของเขา
นางรู้ดี ในตอนแรกอีกฝ่ายไม่ได้รักษาบาดแผลให้นางเพราะว่าไม่ต้องการเปิดเผยความสามารถพิเศษ แต่สุดท้ายเพราะว่าต้องการช่วยนาง จึงไม่ได้ปิดบังความสามารถนั้นต่อไป
เหยียนซีโรว่ไม่ได้รู้สึกว่าการกระทำของอีกฝ่ายนั้นผิดแปลกอะไร เพราะเห็นได้ชัด ๆ ว่าเขาสามารถทิ้งนาง ให้นางรับผิดชอบตนเอง
และเขาก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น หรือแม้จะปกป้องเธอจากการต่อสู้ใหญ่ระหว่างยี่ซวนและเหมิงขวง ทั้งยังได้รับบาดเจ็บอีก
ไม่เพียงเท่านี้ เขายังไม่ได้เรียกร้องอะไรจากนาง และไม่ได้คิดจะล่วงเกินอะไรนางตลอดช่วงเวลาที่นางอยู่ด้วยกันที่นี่
เหยียนซีโรว่ประทับใจผู้ชายคนนี้มาก ตั้งแต่เล็กจนโต นางเป็นเด็กกำพร้าและไม่รู้ว่าพ่อแม่ของนางเป็นใครต่อมาก็ถูกผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งแห่งสำนักไป๋ซิงกู่รับไปเลี้ยง ไม่เคยมีใครใจดีกับนางขนาดนี้
“ไม่เป็นไร รักษาเจ้าหายแล้ว ถ้ามีเจ้าคอยช่วย ก็จะสามารถเก็บรวบรวมยันต์หยกได้มากขึ้น” หลัวซิวพูดออกไปเช่นนี้
“ไม่ว่าอย่างไร เจ้าก็ช่วยชีวิตข้าไว้” เหยียนซีโรว่ยืนขึ้น พร้อมทั้งทำความเคารพหลัวซิว
“ข้าหวังว่า เจ้าจะไม่บอกบุคคลที่สามเกี่ยวกับเรื่องราวของข้า” หลัวซิวพูดเสียงราบเรียบ
เหยียนซีโรว่ตอบตกลงในทันที ต่อให้อีกฝ่ายไม่เอ่ยปาก นางก็ไม่เคยคิดจะพูดอะไรมั่วซั่ว นางจะไม่ทำอะไรที่จะเป็นการทรยศต่อผู้มีพระคุณของนาง
“ข้าชื่อหลัวซิว” เนื่องด้วยความรู้สึกพิเศษต่อเหยียนซีโรว่ในใจ ทำให้หลัวซิวเผลอตัวบอกชื่อตัวเองออกมา
จากนั้นอีกสามวันต่อมา หลัวซิวร่วมมือกับเหยียนซีโรว่ ออกล่าผู้ฝึกยุทธ์ที่เข้าแข่งขันจำนวนมาก ได้รับยันต์หยกขาวจำนวนมาก
ทุกครั้งที่ได้รับยันต์หยกขาว ทั้งสองคนจะแบ่งเท่ากัน ท่ามกลางการออกล่าอย่างบ้าคลั่ง ในมือของทุกคนต่างก็มียันต์หยกขาวนับพันชิ้น
เจ็ดวันกับการแข่งขันเอาชีวิตรอด เหลือเพียงวันสุดท้ายแล้ว ในขณะนี้ ผู้คนที่ยังอยู่ในป่าดึกดำบรรพ์เหลือไม่ถึงสองพันคนแล้ว
จากหลักแสน เหลือเพียงสองพัน แค่เพียงรอบแรกของการแข่งขันคัดจำนวนเท่านั้น ก็สามารถคัดคนส่วนใหญ่ออกไปได้มากถึงเพียงนี้
มากกว่าครึ่งหนึ่งของ 2,000 คนที่เหลือเป็นปรมาจารย์ฝึกจิต ระดับฝึกจิตครึ่งส่วนน้อยก็ภายใต้คำสั่งของปรมาจารย์ฝึกจิต ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นการง่ายที่จะถูกปรมาจารย์ฝึกจิตล่า และแย่งยันต์หยกไป
เมื่อเดินเข้าป่า ทั้งสองคนต่างก็กระจายการสำนึกของตนออกไป สังเกตกับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวคุณ
ทันใดนั้น สายตาของหลัวซิวและเหยียนซีโรว่ ก็มองไปในทิศทางเดียวกัน
ภายใต้การสำนึกของหลัวซิว มีผู้ฝึกยุทธ์เผ่าพันธุ์มนุษย์หกคนปล่อยลมหายใจแห่งชีวิต และทั้งหมดนั้นคือปรมาจารย์ฝึกจิต
หัวหน้าคือชายหนุ่มที่มีสีหน้าเย็นชา มีผลการฝึกตนแห่งฝึกจิตขั้นสี่ ท่ามกลางอัจฉริยะผู้เข้าแข่งขันนับแสน เขาคือหนึ่งในคนที่ผลการฝึกตนสูงที่สุด
ในขณะเดียวกัน หลัวซิวก็สังเกตได้ว่ามีหนึ่งในหกคนนั้น คือหญิงสาวผมทองที่เคยไล่ตามฆ่าเหยียนซีโรว่ก่อนหน้านี้
ยังมีอีกสองคน คือคนที่หลัวซิวเคยประมือมาก่อนหน้านี้ แก๊งนักหลอมอาวุธอัจฉริยะเหมิงขวงและแก๊งนักค่ายกลอัจฉริยะยี่ซวน
เห็นได้ชัดว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นในไม่กี่วันที่ผ่านมาซึ่งนำพวกเขามารวมกลุ่มกัน
“นั่นคือช่าวชูเจิ้งฉี!” เหยียนซีโรว่พูดถึงผู้นำหนุ่มคนนั้น
ช่าวชูเจิ้งฉีคือศิษย์อัจฉริยะที่มีพลังอันดับหนึ่งแห่งสำนักชิงเทียนเจี้ยน เขตการปกครองชิงฮัว อายุ 28 ปี ฝึกตนถึงแดนฝึกจิตขั้นสี่
ทำไมช่าวชูเจิ้งฉีถึงลงไม้ลงมือกับเหยียนซีโรว่ หลัวซิวก็ไม่อาจจะรับรู้เหตุผลนั้นได้ เหยียนซีโรว่เองก็ไม่ได้อธิบายออกมา
ในขณะที่ทั้งสองพบคนกลุ่มนี้ การสำนึกทั้งหกของอีกฝ่ายนั้นก็กวาดเข้ามาเช่นกัน
“‘ซิวหลัว’!”
########################
บทที่ 181 ดาบดับสิ้น
รอยยิ้มบนใบหน้าของยี่ซวนพลันเจื่อนลงทันที และการแสดงออกของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
เขารู้สึกราวกับว่า การสำนึกของเขาถูกฟันด้วยดาบคม ความเจ็บปวดที่ชัดเจนนั้นมาจากตัวหยั่งรู้ ร่างกายซวนเซเล็กน้อยจนต้องถอยหลังไปสองก้าว
ขณะที่เขาถอยกลับ ธงค่ายระดับเก้าก็มีแสงเปล่งประกาย บินเข้าไปภายในถ้ำหิน และถูกหลัวซิวเก็บลงแหวนเก็บของ
ในขณะเดียวกัน หลัวซิวก็เดินออกมาจากถ้ำหิน เขามองไปที่ยี่ซวนและเหมิงขวงซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายสิบเมตร
ยี่ซวนกำลังจะเตือนเหมิงขวงว่าคนผู้นี้ไม่สามารถจัดการได้ง่าย ๆ แต่กลับเห็นเหมิงขวงกระโดดเข้าไปก้าวใหญ่ พูดเสียงดัง “ไอ้หนุ่มชุดดำ จงมอบยันต์หยกที่เจ้ามีมาให้หมด แล้วทำลายยันต์หยกแดงเสีย ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า!”
ในเวลานี้ ไม่มีค่ายกลขวางกั้น การสำนึกของเขาจึงตรวจพบหญิงสาวคนหนึ่งบาดเจ็บสาหัสอยู่ในถ้ำ แววตาเป็นประกาย “เฮ้ย ๆ มีลูกไก่ได้รับบาดเจ็บด้วยนี่ ข้าจะได้เล่นสนุกด้วยเสียหน่อย!”
สิ้นสุดคำพูดเหมิงขวง สีหน้าหญิงสาวชุดขาวในถ้ำหินนั้นก็พลันซีดเซียว ริมฝีปากที่ซีดขาวเม้มแน่น
แต่เมื่อหลัวซิวได้ยินประโยคนั้น จิตสังหารขนาดมหึมาก็ปรากฏขึ้นในใจของเขา โดยไม่มีเหตุผล
ปั้ง!
จิตสังหารสีเลือดระเบิดออก รอบกายเขาถูกปกคลุมไปด้วยลำแสงสีเลือด รัศมีจิตสังหารเหล่านี้เผยให้เห็นลมหายใจของปรมาจารย์ฝึกจิตหลายท่านที่ซ่อนเร้นอยู่ นั่นหมายความว่า เขาได้ฆ่าปรมาจารย์ยุทธ์ระดับฝึกจิตผู้แข็งแกร่งไปแล้วหลายคน!
ยี่ซวนมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป ด้วยพลังของเขานั้น หากต้องปะทะกับปรมาจารย์ยุทธ์ระดับเดียวกัน ก็คงไม่แพ้ง่าย ๆ แต่หากต้องการฆ่านั่นจะเป็นสิ่งที่ยากลำบากมาก
ไม่ว่าอย่างไร ทุกคนที่สามารถฝึกตนจนถึงปรมาจารย์แดนฝึกจิต ต่างก็ไม่ใช่คนธรรมดา
และชายหนุ่มชุดคลุมยาวดำตรงหน้านั้น ยังไม่บรรลุถึงแดนฝึกจิต แต่มือของเขากลับถูกย้อมไปด้วยชีวิตของปรมาจารย์ฝึกจิตหลายคน ชายคนนี้เป็นใครกันแน่?
อีกทั้งเมื่อตอนที่เผชิญหน้ากัน ยังมีจิตสังหารที่แพร่ออกมาจากการสำนึกอันน่าสยดสยอง และแหลมคมราวกับดาบ ทำให้ยี่ซวนรู้สึกว่า ชายคนนี้ที่ไม่เอาไหนในด้านค่ายกลนั้น กลับไม่สามารถเอาชนะได้ง่าย ๆ
แต่เขานั้นยังไม่ทันได้เตือน เหมิงขวงก็กระโดดนำหน้า พุ่งตรงไปยังหลัวซิวที่อยู่หน้าถ้ำพร้อมทั้งปล่อยพลังหมัดออกไป
หลัวซิวไร้ซึ่งความหวาดกลัว ด้วยจิตสังหารสีเลือดที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกายของเขา เขาได้ปล่อยพลังหมัดออกไปเช่นเดียวกัน
ปัง!
หมัดทั้งสองตรงเข้าปะทะกัน หลัวซิวซวนเซไปทางด้านหลังเล็กน้อย ร่างเนื้อตกเป็นเบี้ยล่างในการเผชิญหน้ากัน
ได้ยินเสียงกระดูกหักดังขึ้น คนที่บาดเจ็บนั้นกลับไม่ใช่หลัวซิว แต่เป็นเหมิงขวงที่แข็งแกร่งกว่าจากแดนร่างเนื้อ
“นี่มันเรื่องอะไรกัน?” กระดูกนิ้วมือแตกหักเป็นสามท่อน ทำให้เหมิงขวงทั้งตกใจและโกรธในเวลาเดียวกัน
อย่างที่รู้ นี่คือการหมุนเวียนพลังแห่งความตายของหลัวซิว ณ วินาทีที่เผชิญหน้ากัน ได้ทำลายลายเส้นชีวิตของเขา นี่จึงสามารถทำให้เกิดการบาดเจ็บจากกระดูกที่หักได้
จงใจโจมตีลายเส้นชีวิต คือวิธีการเฉพาะของพลังแห่งความเป็นตาย ในประเทศเทียนหวูที่เล็กเช่นนี้ แต่กลับไม่มีใครสามารถล่วงรู้ความลึกลับนี้ได้
“ปัง!”
เมื่อเห็นฝ่าเท้าของหลัวซิวเหยียบลงบนพื้นอย่างรุนแรง ร่างนั้นยืนขึ้นและกระโดดขึ้นไปกลางอากาศ มุ่งไปทางเหมิงขวง
การสำนึกอัดแน่นแล้ว ท่ามกลางตัวหยั่งรู้ การสำนึกนั้นมีรูปร่างเหมือนกระแสน้ำวน หลุดพ้นจากพันธนาการแห่งสวรรค์และโลก
ถึงแม้เขาจะยังไม่บรรลุถึงแดนปรมาจารย์ฝึกจิต แต่กลับสามารถครอบครองความสามารถทุกอย่างที่มีแค่ปรมาจารย์ฝึกจิตเท่านั้นที่จะมีได้
“ปัง! ปัง! ปัง! …”
ในระยะเวลาอันสั้น หลัวซิวกับเหมิงขวงต่อสู้กันด้วยร่างเนื้ออยู่กลางอากาศ
ในใจของเหมิงขวงรู้สึกหงุดหงิดใจถึงขีดสุด ร่างยุทธ์ขั้นสูงของตนนั้นเห็นได้ชัดว่าแข็งแกร่งกว่าชายหนุ่มชุดคลุมยาวดำตรงหน้ามากเพียงใด แต่ทุกครั้งที่ประมือกัน เขากลับได้รับบาดเจ็บอย่างไร้สาเหตุ กลับกันอีกฝ่ายกลับยิ่งสูงยิ่งแข็งแกร่ง ทำให้เขาถูกกดเป็นเบี้ยร่าง
“ยี่ซวน ไม่ลงมือหรือไร?”
เหมิงขวงตะโกนด้วยความโกรธ พลางหยิบขวานคู่จากข้างหลังมาถือไว้
ด้วยความทะนงตัวเขานั้น เดิมทีจะไม่ยอมร่วมมือกับยี่ซวนต่อสู้กับศัตรู แต่ในเวลานี้ศัตรูของเขาดูแปลกประหลาดและเอาชนะได้ยาก ทำให้เขาไม่มีทางเลือกให้ต้องขอความช่วยเหลือจากยี่ซวน
และในเวลานี้เอง หลัวซิวกลับล่าถอยไป ร่างกายเปลี่ยนเป็นลำแสง พุ่งเข้าไปภายในถ้ำ
เขาเข้าไปในถ้ำหิน ยื่นมือซ้ายออกมาโอบหญิงสาวชุดขาวที่บาดเจ็บสาหัสเข้าไว้ในอ้อมกอด ทันใดนั้นมือขวาก็ขว้ากระบี่ ตวัดดาบให้ทลายถ้ำให้เปิดออก จากนั้นจึงลอยตัวขึ้นไปบนฟ้า
ไม่ว่าจะเป็นยี่ซวนหรือเหมิงขวง หลัวซิวมั่นใจไม่ว่าคนไหนเขาก็เอาชนะได้
แต่ว่า ถ้าหากทั้งสองร่วมมือกัน คนหนึ่งเข้าประชิด อีกคนใช้วิชาค่ายกล หลัวซิวสงสัยว่าอัตราการชนะนั้นคงมีไม่มาก
อีกทั้งหญิงสาวชุดขาวก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส ทำให้เข้าไม่สามารถออกไปฆ่าศัตรูได้อย่างเต็มที่ ดังนั้นการล่าถอยจึงเป็นตัวเลือกที่ชาญฉลาด
“จะไปไหน!”
เหมิงขวงที่ในมือถือขวานคู่นั้นกู่ร้องด้วยความโกรธ แสงสีขาวที่คมและแข็งแกร่งปรากฏขึ้นบนขวาน เป็นการหลอมรวมกันของพลังการโจมตีที่แข็งแกร่งและปราณแท้Attrทองที่มีชื่อเสียง
“ไปให้พ้น!”
หลัวซิวตะโกนเสียงดัง กระบี่ยุทธ์ดินระดับกลางถูกฟันออกมา เกิดเพลิงมรณะลุกท่วม
“ปัง!”
พลังแห่งกระบี่และขวานชนกัน หลัวซิวใช้โอกาสนี้ในการล่าถอย ส่วนทางด้านเหมิงขวงนั้นถูกลอบโจมตีจากพลังแห่งความตาย อวัยวะภายในได้รับบาดเจ็บ เสียงกรีดร้องดังขึ้น ร่างกายไม่สามารถขยับเขยื้อนได้
หลัวซิวฉวยโอกาสนี้ ใช้วิชาท่าร่างตามลมล่าจันทราเร่งความรวดเร็วในการลอยตัว และถอนหนีออกไปด้วยความรวดเร็ว
“ฮึ่ม!”
แต่ในเวลานี้ ม่านแสงลักษณะเหมือนชามคว่ำ ได้ครอบลงมาจนไม่เห็นท้องฟ้า
ยี่ซวนลงมือแล้ว ภายในชั่วเวลาไม่กี่วินาที ก็ได้สร้างค่ายยากเย็น ปกคลุมฝ้าดินของอีกฝั่งเอาไว้แล้ว
ในขณะเดียวกัน มือของยี่ซวนก็ได้กำตราวิชาไว้ และสร้างค่ายสังหารขึ้นมาอีก จิตสังหารที่พลุ่งพล่านออกมาเหมือนคมดาบ กดให้หลัวซิวจมดิ่งลงไป
เมื่อทั้งสองรวมพลังกัน หลัวซิวก็ไม่สามารถต้านทานได้ ร่างของเขากระเด็นออกไปพร้อมเลือดที่ปรากฏตรงริมฝีปาก
ถึงอย่างนั้น หลัวซิวก็ไม่ได้ปล่อยหญิงสาวชุดขาวลง เขาต่อสู้ด้วยมือเดียวจนถึงที่สุด
“ถ้าเจ้าวางข้าลง ไม่แน่เจ้าอาจจะหนีไปได้ทัน” เมื่อเห็นหลัวซิวที่บาดเจ็บเพราะช่วยนางไว้ หญิงสาวชุดขาวจึงพูดออกมาด้วยความไม่สบายใจ
ชายหนุ่มคนนี้ที่ไม่รู้ได้รู้จักกับนาง เขาช่วยชีวิตนางไว้ น้ำใจอันยิ่งใหญ่ของเขาที่ไม่สามารถตอบแทนได้ และขณะนี้เขาต้องมาได้รับบาดเจ็บเพราะปกป้องนาง ทำให้หญิงสาวชุดขาวร็สึกผิดอยู่ในใจ
“หุบปาก!”
หลัวซิวพูดเสียงเย็น ภายใต้สถานการณ์คับขันเช่นนี้ ท่าทีของเขาดูไม่เป็นมิตรนัก
หญิงสาวชุดขาวเผยใบหน้าบูดบึ้ง แอบคิดในใจว่า ผู้ชายคนนี้นี่มันยังไงกัน นางพูดก็เพื่อตัวเขาเอง แต่เขากลับมาดุนาง?
“เด็กน้อย เจ้าคงจะเป็น ‘ซิวหลัว’ สินะ ได้ยินมาว่าเจ้าเป็นสมาชิกอัจฉริยะแห่งองค์กรนักล่ายุทธ์ ชื่อเสียงเรื่องลือในเขตการปกครองโตว้ไห่ แต่ถ้าหากวันนี้เจ้าไม่ทำลายยันต์หยกแดงเสีย เจ้าคงต้องตายด้วยน้ำมือของท่านปู่อย่างข้าแล้วล่ะ”
ร่วมมือกับยี่ซวนและลอยตัวอยู่กลางอากาศ เหมิงขวงได้ใจ พูดพลางหัวเราะด้วยความสะใจ
หากใช้การรวมพลังของทั้งสองคน ต่อให้เป็นฝึกจิตระดับสี่ก็สามารถโจมตีจนแพ้พ่ายได้ นับประสาอะไรกับแค่ระดับฝึกจิตครึ่งเพียงคนเดียว?
หลัวซิวใช้ประโยชน์จากบันทึกขององค์กรนักล่ายุทธ์ สามารถรับรู้ได้ถึงข้อมูลของอัจฉริยะที่เข้าร่วมการแข่งขันคนอื่น ๆ และแน่นอนเหมิงขวงกับยี่ซวนเขาก็สามารถรับรู้ได้เช่นกัน
จิตสังหารสีเลือดแพร่กระจายไปทั่วทั้งตัว ชายหนุ่มชุดคลุมยาวดำ ฆ่าระดับฝึกจิตได้ ร่องรอยต่าง ๆ นั้นเหมือนกับกลิ่นอายของ‘ซิวหลัว’แห่งเขตการปกครองโตว้ไห่
หลัวซิวไม่พูดอะไร ใช้วิชาการบิน พุ่งเข้าหายี่ซวน
ในสองคนนี้ มีเพียงคนเดียวที่ฆ่ายี่ซวน ได้เท่านั้นที่จะก้าวไปข้างหน้าและถอยกลับได้อย่างอิสระ
“เจ้าเด็กไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง เจ้าคิดว่าข้าทั้งสองเหมือนกับพวกระดับฝึกจิตทั่วไปอย่างที่เจ้าเคยฆ่างั้นหรือ?”
เหมิงขวงบันดาลโทสะ สาวเท้าก้าวให้ขึ้นมาด้านหน้า รวมกับการโจมตีของค่ายสังหารระดับสี่ที่ยี่ซวนสร้างไว้ ท่าทีของเข้าเต็มไปด้วยความยิ่งผยอง
เกิดการปะทะกันอย่างดุเดือดและการต่อสู้ก็ปะทุขึ้นในทันที
ปราณกระบี่เปลวไฟแห่งสีดำโหมกระหน่ำสู่ท้องฟ้า ขวานศึกอันดุเดือดเขย่าโลก!
“ขวานฉีกสวรรค์และตัดปฐพี!”
เหมิงขวงรอบตัวนั้นเปล่งประกายไปทั่ว เรียกใช้วิชายุทธ์ระดับเจ็ด
สำหรับพลังอันยิ่งใหญ่ของอัจฉริยะ ทุกคนต่างก็มีการฝึกตนของวิชายุทธ์ระดับเจ็ด แต่ท่ามกลางนักยุทธ์ทั่วไปนั้น แต่กลับมีเพียงผู้แข็งแกร่งระดับราชายุทธ์เท่านั้นที่จะมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้รับการฝึกตนของวิชายุทธ์ระดับเจ็ด
ขวานคู่นี้ฟาดฟันออกไป ราวกับว่าชิ้นส่วนสวรรค์และโลกนี้จะต้องแหลกสลาย
เผชิญหน้ากับการโจมตีที่แข็งแกร่งเช่นนี้ หลัวซิวพ่นออกมาเพียงคำเดียว “ฆ่า!”
เพลิงมรณะระเบิดปะทุขึ้น หลัวซิวสะบัดกระบี่ออกไป ลำแสงสีดำเย็นเยือก รังสีแห่งความตายเต็มไปในอากาศ พร้อมทั้งจิตสังหารก็พลุ่งพล่าน
ดาบนี้ ผสมเข้ากับห้วงยุทธ์ของเขา ดาบแห่งจิตสังหาร!
และดาบนี้ ก็ได้รับการตั้งชื่อจากหลัวซิวว่าดาบดับสิ้น!
########################
บทที่ 180 หลอมรวมเป็นการสำนึก
หญิงสาวชุดขาวมึนงงอยู่ชั่วขณะ แต่ทันใดนั้นก็ฟื้นคืนสติ มองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง
เมื่อสายตาของนางตกไปอยู่ที่ร่างของหลัวซิว ความเยือกเย็นแวบผ่านดวงตาอันงดงามพร้อมกับคำพูดที่ระแวดระวัง “เจ้าเป็นใคร?”
เสียงของนางดูอิดโรย แต่กลับไพเราะราวเสียงจากธรรมชาติ ทำให้คนฟังได้ยินแล้วใจสั่น
“เจ้าถูกไล่ฆ่า ข้าช่วยเจ้าไว้” หลัวซิวตอบตามความจริง
ในขณะนั้นเอง หญิงสาวชุดขาวก็สังเกตเห็นว่าเสื้อผ้าและผ้าคลุมหน้าของนางไม่มีอะไรที่ผิดปกติไปจากเดิม จึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก แล้วมองไปยังหลัวซิวอีกครั้งแววตาที่ซาบซึ้งเปล่งประกายในดวงตาที่สวยงามของนาง
“ข้าขอบใจ” นางพยายามฟื้นตัวลุกขึ้น เอาหลังพิงเข้ากับผนังถ้ำหิน และพูดกับหลัวซิวด้วยน้ำเสียงอิดโรย
หลัวซิวพยักหน้า แล้วหันสายตาไปอีกทาง
ไม่รู้ว่าทำไม เมื่อสบตากับหญิงสาวชุดขาว ใจของเขาก็หยุดไม่ได้ที่จะหวั่นไหว เมื่อเห็นท่าทีที่อิดโรยของนาง เขาก็อดไม่ได้ที่คิดอยากจะปกป้องนาง
หลัวซิวไม่แน่ใจว่าความรู้สึกเช่นนี้มาจากไหน นี่ทำให้เขาต้องระวังตัวกับหญิงสาวชุดขาวคนนี้ เพราะเขารู้สึกว่าจิตใจแบบนี้ไม่ปกติ
หญิงสาวชุดขาวเหมือนจะสามารถรับรู้ได้ถึงความระวังตัวของหลัวซิวที่มีต่อตัวนาง มันทำให้นางรู้สึกทำตัวไม่ถูก หรือนางยังสามารถทำร้ายเขาได้อีกอย่างนั้นหรือ?
บาดแผลบนตัวนางถูกขยับโดยไม่ทันระวัง หญิงสาวชุดขาวเจ็บจนหน้านิ่วคิ้วขมวด ใบหน้าซีดเซียว ร่างบางสั่นไหวไปทั้งตัว
ภายใต้การพินิจพิเคราะห์ ก็สามารถรับรู้ได้ถึงความรุนแรงของการบาดเจ็บ นัยน์ตาของหญิงสาวชุดขาวเผยให้เห็นแววของความสิ้นหวัง
ดูจากการบาดเจ็บของนางในตอนนี้ ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการเคลื่อนไหว แม้แต่จะทำลายยันต์หยกแดงเพื่อหายออกไปจากที่นี่ก็ยังไม่สามารถทำได้
ไม่ต้องพูดถึงการฟื้นตัวที่สิ้นหวัง เพราะหากแม้ต้องตกไปอยู่ในมือของใคร เกรงว่าตอนจบคงไม่สวยงามเป็นแน่
“เจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัส อย่าเพิ่งฝืนขยับตัว”
ถึงแม้หลัวซิวจะกดความรู้สึกพวกนั้นไว้ข้างใน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงนาง
“หืม?” ในเวลานี้เอง หลัวซิวก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไป รับรู้ถึงการสำนึกที่กวาดผ่านมาทางด้านนอกของค่ายกล ทั้งยังทำให้ค่ายกลเกิดความผันผวนอีกด้วย
ทั้งนี้ การสำนึกที่ส่งเข้ามาสำรวจนั้นไม่ใช่แค่หนึ่ง แต่เป็นสอง
“สวบ! สวบ!”
เสียงร้าวทั้งสองดังขึ้นเกือบจะในทันที ดังขึ้นภายนอกรอบ ๆ ค่ายกลที่หลัวซิวสร้างไว้
“หึ ใครกันที่สร้างค่ายกลนี้ขึ้นมา ฝีมือช่างหยาบกระด้างเสียจริง” หนุ่มชุดหยินหยางคนหนึ่งพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
กลางอกของหนุ่มชุดหยินหยาง มีตรานักค่ายกลระดับสี่แขวนอยู่
“เฮอะ ๆ นักค่ายกลนอกรีต จะทัดเทียมเสมอเหมือนอัจฉริยะแห่งแก๊งนักค่ายกลอย่างเจ้าได้อย่างไร?”
ข้าง ๆ หนุ่มชุดหยินหยาง มีชายหนุ่มร่างกำยำยืนอยู่ตรงนั้น เขาตัวสูงกว่าแปดฟุต ดูราวกับเป็นยักษ์ตัวเล็ก ๆ ผิวพรรณผ่องใสเป็นประกายระยิบระยับ มีขวานขนาดใหญ่สองอันที่พาดไปทางด้านหลัง
ภายในถ้ำหิน หลัวซิวกระจายการสำนึกออกไป เมื่อสังเกตพบทั้งสองคนนั้น แววตาก็พลันสั่นไหวเล็กน้อย
ตามสถิติที่องค์กรนักล่ายุทธ์มีบันทึกอยู่ในมือ ในนั้นมีบันทึกเกี่ยวกับทั้งสอง คนหนึ่งคืออัจฉริยะแห่งแก๊งนักค่ายกล ยี่ซวน ส่วนอีกคนคืออัจฉริยะแห่งแก๊งนักหลอมอาวุธ เหมิงขวง
ยี่ซวนฝึกวิชาค่ายกล สามารถใช้ความคิดสร้างค่ายกลระดับสี่โจมตีศัตรูได้ อีกทั้งตัวเขายังมีผลการฝึกตนแห่งแดนฝึกจิตขั้นสอง พลังที่แท้จริงนั้นสามารถเทียบเท่าได้กับปรมาจารย์ยุทธ์แห่งฝึกจิตขั้นสี่!
ปรมาจารย์ยุทธ์ฝึกจิตขั้นสี่ ที่จริงถือได้ว่าเป็นผู้แข็งแกร่งแห่งแดนฝึกจิตระดับกลางแล้ว
ระดับสามกับระดับสี่ ระดับหกกับระดับเจ็ด ล้วนเป็นแดนลุ่มน้ำเล็ก ๆ เก้าแห่ง ดูเหมือนไม่แตกต่างกันเท่าไร แต่ความแข็งแกร่งนั้นแตกต่างอย่างก้าวกระโดด
เหมิงขวงเก่งกาจเรื่องการหลอมอาวุธ และยังเป็นหนึ่งในปรมาจารย์หลอมอาวุธระดับสี่ และนักหลอมอาวุธทุกคนต่างก็เป็นการกลั่นร่างอย่างปราณีต ร่างเนื้อน่าทึ่ง และเหมิงขวงคนนี้ก็คือผู้โหดเหี้ยมที่บรรลุถึงร่างยุทธ์ขั้นสูงแห่งแดนร่างเนื้อ!
หญิงสาวชุดขาวร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่การสำนึกกลับยังใช้การได้อย่างดี นางก็สามารถรับรู้ได้ถึงการมาของทั้งสองคนที่ด้านนอก ใบหน้าเรียวงามยิ่งซีดเซียวลงไปอีกไม่น้อย
นางยังจำที่มาของทั้งสองได้ แต่ชายหนุ่มชุดคลุมยาวดำที่ช่วยนางเอาไว้คนนี้ แม้แต่แดนฝึกจิตก็ยังไม่บรรลุ สามารถรักษาตัวเองได้หรือไม่ก็ยังไม่สามารถตอบได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการยื่นมือเข้ามาช่วยนางเลย
“ของเล่นโง่ ๆ อย่างค่ายกลระดับสี่ แค่สะบัดมือก็สามารถทำลายได้แล้ว”
ด้านนอกของถ้ำ ยี่ซวนพลิกมือหยิบเอาธงค่ายสีทองออกมา เมื่อสะบัดมือ ธงค่ายก็กลายเป็นสำแสงสีทองพุ่งไปทางด้านหน้า
เสียงปุ้งปั้งก้องกังวาน…
ตามด้วยเสียงดังสนั่นของแผ่นดินไหว ค่ายกลระดับสี่ที่หลัวซิวสร้างไว้ก็พลันสลายไปโดยสิ้นเชิง ถูกคนทำลายราบเป็นนาบกลอง
ถึงแม้หลัวซิวจะมีระดับความรู้ทฤษฎีเทียบเท่าปรมาจารย์ค่ายกลระดับห้า แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้มีการสืบทอดสารพัดวิชาเหมือนดั่งเช่นเหล่าแก๊งนักค่ายกล เขาก็เปรียบเสมือนพวกนอกรีต
ค่ายกลถึงทำลาย ธงค่ายที่ซ่อนไว้ก็ปรากฏขึ้นมา
“หืม? ลายเส้นสัญลักษณ์ที่ปรากฏบนธงค่ายของค่ายกลพวกนี้ มีความประณีตอยู่ไม่น้อย…”
ยี่ซวนรี่ตาลง สังเกตุเห็นลายเส้นสัญลักษณ์ที่อยู่บนธงค่าย
ระดับค่ายกลของหลัวซิวมาจากความเข้าใจในรูปแบบดั้งเดิม ในความลึกลับที่มากมายนั้นก็ถูกเขานำมาผสมอยู่ในการสร้างค่ายด้วย
ยี่ซวนคืออัจฉริยะแห่งแก๊งนักค่ายกล ได้รับการปลูกฝังอย่างเป็นระบบ สำหรับวิสัยทัศน์และความเข้าใจของวิชาค่ายกล ห่างชั้นกับหลัวซิวมากนัก แค่แวบเดียวก็สามารถมองความลึกลับที่ซ่อนไว้ในธงค่ายเหล่านี้ออกแล้ว
“นักค่ายกลชั้นต่ำเช่นนี้ มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะครอบครองธงค่ายระดับนี้หรือ?”
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ยี่ซวนปล่อยการสำนึกให้ม้วนออกไป ยึดเอาธงค่ายทั้งหมดมาเป็นของตน
ในถ้ำหิน ได้ยินยี่ซวนพูดถึงการสร้างค่ายกลของตนด้วยคำดูถูกต่าง ๆ นา ๆ สีหน้าของหลัวซิวก็พลันหม่นลง
อีกทั้งเวลานี้ อีกฝ่ายกลับกำลังจะแย่งเอาธงค่ายของตนไปด้วยนั้น การสำนึกของหลัวซิวก็สามารถรู้ได้ในทันที
เวลาที่นักค่ายกลวาดลายเส้นสัญลักษณ์ ภายในธงค่ายจะทิ้งรอยประทับของตนไว้ นักค่ายกลคนอื่น ๆ ที่ต้องการแย่งชิงธงค่ายต้องลบรอยประทับของอีกฝ่ายให้หมดไปก่อน แล้วประทับรอยของตนเองลงไปถึงจะสามารถเอาไปได้
ด้วยเหตุนี้ เมื่อยี่ซวนกระจายการสำนึกของตนเองออกไป การสำนึกระหว่างคนทั้งสอง ก็ชนกันอยู่ภายในธงค่าย
หลัวซิวเพิ่งจะหลอมรวมเป็นการสำนึก ยังไม่นิ่ง แต่ยี่ซวนคือนักค่ายกลตัวจริง มีวิชาการฝึกตนที่ประณีต และการสำนึกที่แข็งแกร่ง
เมื่อชนเข้าด้วยกัน การสำนึกของหลัวซิวก็พังทลายลงทันที
“ฮะฮ่า การสำนึกช่างบอบบาง ไม่แปลกเลยที่สร้างค่ายกลระดับสี่ได้ได้เหมือนขยะเช่นนี้” ยี่ซวนที่อยู่ด้านนอกถ้ำหินหัวเราะเสียงดังด้วยความผยอง
ทันใดนั้น จู่ ๆ ก็มีเจตนาฆ่าฟันทะลุผ่านการสำนึกเข้ามา!
########################
บทที่ 179 หลอมรวมเป็นการสำนึก
หญิงสาวผมทองหนีไปได้ หลัวซิวก็ไม่ได้ตามนางไป เพราะถึงอย่างไรปรมาจารย์ฝึกจิตเหาะเหินเดินอากาศขึ้นไปสูงมากได้ เขาก็หมดหนทาง
ก้มหน้ามองหญิงสาวชุดขาวที่สลบไม่ได้สติอยู่ในอ้อมกอดเขา หลัวซิวรู้สึกสับสนเล็กน้อย
ก่อนนี้ หญิงสาวชุดขาวใช้ค่ายกลระดับสี่โจมตีผู้ฝึกยุทธ์นับร้อยจนหมดสิ้น เขาทำได้เพียงมองแผ่นหลังนางจากที่ไกล ๆ
แต่ในตอนนี้ ทั้งสองกลับใกล้ชิดกันมากเหลือเกิน ใบหน้าของหญิงสาวชุดขาวมีผ้าคลุมหน้าไว้ กลับทำให้หลัวซิวรู้สึกกระวนกระวายใจ
ราวกับว่ามีอะไรพิเศษเกี่ยวกับหญิงสาวชุดขาวที่ดึงดูดเขา
ความรู้สึกเช่นนี้ไม่สามารถหาคำพูดใดมาแทนได้ พูดไม่ออกบอกไม่ถูก
หลัวซิวไม่ได้ดึงผ้าคลุมหน้าของหญิงสาวชุดขาวออกเพื่อชมความงามของใบหน้า แม้ว่าอีกฝ่ายจะอยู่ในอาการสาหัส แต่เขาไม่ควรทำการกระทำที่เสียมารยาทเช่นนั้น
เสาะหาถ้ำหินที่สามารถหลบซ่อนได้ ใกล้ ๆ ถ้ำหิน หลัวซิวใช้ธงค่ายจัดวางค่ายกลซ่อนงำระดับสี่ ค่ายกลป้องกัน ค่ายยากเย็นและค่ายสังหาร
เขาซื้อธงค่ายมาจากเขตการปกครองโตว้ไห่ ก่อนหน้าที่จะมาเขตการปกครองชิงฮัว ธงค่ายว่างเปล่าก็ถูกเติมแต่งด้วยค่ายกลลายเส้นและสัญลักษณ์เรียบร้อยแล้ว
เพียงแต่ วิธีการต่อสู้เฉพาะของนักค่ายกลนั้น หลัวซิวไม่อาจจะเข้าใจหลักการได้
อย่างเช่นกงซุนเชียนจี ผู้นำตระกูลกงซุน ที่ต่อสู้กับเหยียนเยว่เอ๋อร์ในตอนนั้น รอบตัวของเขาก็ล้อมไปด้วยธงค่าย ระหว่างที่คิดนั้นก็จัดการปูค่ายกลไปด้วย
วิธีเช่นนั้น คือวิธีการต่อสู้ของนักค่ายกล ว่ากันว่าการฝึกตนต้องใช้วิธีการพิเศษบางอย่าง และมีเพียงแก๊งนักค่ายกลเท่านั้นที่มีสามารถสืบทอดได้
กงซุนเชียนจีสามารถสืบทอดได้นั้น เพราะเขาคือลูกศิษย์ของปรมาจารย์ค่ายกลท่านใดท่านหนึ่งในแก๊งนักค่ายกล และตัวเขาเองหลังจากได้เป็นปรมาจารย์ค่ายกลระดับห้า ก็กลลายเป็นผู้อาวุโสกิตติมศักดิ์ของแก๊งนักค่ายกลแห่งเขตการปกครองโตว้ไห่
ในถ้ำหิน หลัวซิวจับมือเรียวยาวของหญิงสาวชุดขาวที่สลบไม่ได้สติ ส่งพลังจิตแท้เข้าไปภายในร่างกายหมุนเปลี่ยนเป็นพลังแห่งชีวิต ตรวจสอบอาการบาดเจ็บของนาง
จั้งฝู่เสียหาย เส้นลมปราณขาด จุดตันเถียนชี่ไห่ได้รับบาดเจ็บ อาการบาดเจ็บเช่นนี้สำหรับผู้ฝึกยุทธ์ส่วนใหญ่นั้น ถือว่าเป็นผู้ไร้ความสามารถแล้ว
นี่เป็นสิ่งที่ทำให้หลัวซิวต้องขมวดคิ้วตลอดเวลา ดูจากพลังของหญิงสาวชุดขาว อาศัยเพียงทั้งนักยุทธ์ทั้งสามคนเมื่อครู่นี้ จะทำให้นางบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ได้อย่างไร?
ถอดแหวนเก็บของออกมาจากบนมือของหญิงสาวชุดขาว หลัวซิวอยากเปิดดูว่าด้านในนั้นจะมียารักษาบาดแผลหรือไม่
แต่บนแหวนเก็บของกลับมีค่ายกลต้องห้ามวาดไว้อยู่ คนที่ไม่รู้ค่ายกลก็ยากที่แก้ค่ายกลนี้ แน่นอนว่าจะไม่สามารถเปิดแหวนเก็บของและหยิบเอาของด้านในได้
นักค่ายกลส่วนมากต่างก็ใช้วิธีเช่นนี้ ป้องกันไม่ให้ใครมาขโมยสมบัติของตน
ค่ายกลต้องห้ามบนแหวนเก็บของ อยู่ในระดับของนักค่ายกลระดับสี่ สำหรับหลัวซิวแก้ได้ไม่ยาก
ถึงแม้จะใช้วิธีฟื้นฟูลายเส้นชีวิตก็สามารถรักษาหญิงสาวชุดขาวได้ แต่นั่นถือว่าเป็นความลับส่วนตัวของหลัวซิว อย่างไรก็ไม่ยอมเปิดเผยง่าย ๆ แน่นอน
หญิงสาวชุดขาวกับตนไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกัน เป็นธรรมดาที่เป็นไปไม่ได้ที่จะเปิดเผยความลับของเขา เพียงเพราะความรู้สึกพิเศษบางอย่าง
ดังนั้น หลัวซิวจึงได้ออกแรงอยู่ครู่หนึ่งเพื่อเปิดแหวนเก็บของ จากนั้นจึงหยิบขวดหยกที่มียารักษาบาดแผลอยู่ออกมาสองสามขวด
“ยาไขกระดูกหยกระดับสี่ ยาพระแสงระดับห้า…”
ในขวดหยกมียารักษาตัวระดับสี่และระดับห้าสองชนิด โดยเฉพาะยาพระแสงระดับห้า ต่อให้เป็นราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่งก็ยังหายาคงจิตรักษาตัวให้ได้สักเม็ด!
อย่างไรเสีย อยู่ท่ามกลางสิบสามเขตการปกครองแห่งประเทศเทียนหวู ปรมาจารย์ระดับห้านั้นหายากเกินไป ผู้ฝึกยุทธ์ในแผ่นดินสิบสามเขตการปกครองมีจำนวนไม่น้อยกว่าสิบล้าน แต่จำนวนปรมาจารย์ระดับห้ากลับมีเพียงแค่หลักสิบเท่านั้น หากแบ่งจำนวนปรมาจารย์กลั่นยา ปรมาจารย์ค่ายกล ปรมาจารย์หลอมอาวุธ ปรมาจารย์ระดับห้า ของทุกแขนงก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
แต่ก็เป็นเพราะจำนวนที่น้อยนิดเช่นนี้ ตำแหน่งนั้น ๆ จึงได้เป็นที่เคารพ และนี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมสี่แก๊งใหญ่ อย่างแก๊งนักค่ายกล แก๊งนักหลอมอาวุธและแก๊งนักกลั่นยาที่มีจำนวนไม่มาก กลับสามารถเคียงคู่องค์กรนักล่ายุทธ์ได้
หลัวซิวก็คิดไม่ถึง หญิงสาวชุดขาวคนนี้เพียงแค่ผลการฝึกตนของฝึกจิตขั้นสาม แต่กลับมีของดีอย่างยาพระแสงไว้ครอบครอง
เห็นได้ชัดว่า หญิงสาวชุดขาวคนนี้คงมาจากมหาอำนาจที่ใดสักที่
นำเอายาไขกระดูกหยกและยาพระแสงอย่างละหนึ่งเม็ด ใส่เข้าไปในปากของหญิงสาวชุดขาว หลัวซิวก็นั่งขัดสมาธิรออยู่ข้าง ๆ อย่างใจเย็น
……
ก่อนหน้านี้ที่หลัวซิวได้ปะทะฝีมือกับปรมาจารย์ฝึกจิตทั้งสาม ทำให้เกิดความเคลื่อนไหวแบบอึกทึกครึกโครม มีผู้ฝึกยุทธ์จำนวนไม่น้อยที่ให้ความสนใจ จึงได้ส่งคลื่นพลังจิตเข้ามาเงียบ ๆ และหลบซ่อนตัวอยู่ไม่ไกล
“การต่อสู้จบลงแล้วหรือ?”
“มีเพียงคราบเลือดอยู่รอบ ๆ แต่ไม่เห็นใคร ดังนั้นการต่อสู้คงจะจบลงแล้ว”
“ดูจากคลื่นพลังจิตในที่แห่งนี้ คงจะเป็นการประมือของปรมาจารย์ฝึกจิต อย่างน้อยต้องมีหนึ่งคนที่ถูกฆ่าตาย”
“สามารถฆ่าปรมาจารย์ฝึกจิตได้ แล้วยังทำให้อีกฝ่ายไม่สามารถใช้ยันต์หยกแดงเพื่อหลบหนีได้อีก ความแข็งแกร่งของท่านผู้นั้นจะต้องไม่ใช่เรื่องเล็กแน่ ๆ เราจะต้องระมัดระวัง”
ตอนที่คนพวกนี้มาถึง หลัวซิวได้ออกไปจากตรงนั้นแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้ ว่าใครที่เคยต่อสู้กันอยู่ที่นี่
ทุกคนที่เข้าร่วมในการแข่งขันคัดจำนวนคนนี้ หากสามารถรอดจากการล้างกระดาษผู้แข่งขันในตอนแรกได้ คนที่ยังเอาตัวรอดได้ในตอนนี้ล้วนแล้วแต่มีแผนการที่ดีและแข็งแกร่ง
ในขณะเดียวกัน ท่ามกลางแก๊งนักค่ายกลแห่งเขตการปกครองชิงฮัว มีแผ่นหินสีดำสูงสิบแปดฟุต
บนแผ่นหินสีดำนี้ มีชื่อปรากฏอยู่หนาแน่นกว่า 500 ชื่อ แต่ละชื่อเป็นสีทองและสะดุดตา
ชื่อที่ปรากฏบนแผ่นหินสีดำ คือ 500 อันดับแรกของการแข่งขันเอาชีวิตรอดในรอบแรก การจัดอันดับ จะพิจารณาจากจำนวนยันต์หยกขาวในมือของแต่ละคน
ด้านหลังแต่ละรายชื่อ จะมีจุดปรากฏอยู่ และแต่ละจุดแสดงถึงยันต์หยกขาว
ผู้แข็งแกร่งที่มาจากสิบสามเขตการปกครองอันยิ่งใหญ่ ในเวลานี้ พวกเขาต่างมารวมตัวกันใกล้กับแผ่นหินสีดำ โดยให้ความสนใจอย่างใกล้ชิดกับการเปลี่ยนแปลงในการจัดอันดับ
เจ็ดวันแห่งการแข่งขันเอาชีวิตรอด ในขณะนี้เพิ่งผ่านไปเพียงวันเดียว การจัดอันดับ 500 อันดับแรก ความแตกต่างของคะแนนระหว่างกันนั้นไม่ห่างกันสักเท่าไร จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงอีกแน่นอน
ผู้ที่อยู่ในรายชื่อเป็นอันดับที่หนึ่งในขณะนี้ คือเซี่ยหย่ง 821 คะแนน
แต่เดิมการแข่งขันเอาชีวิตรอดเริ่มขึ้นในป่าลึก ชายหนุ่มชุดชาวคนหนึ่งกำลังล้างมืออยู่ริมแม่น้ำ บนใบหน้าประดับไปด้วยรอบยิ้มอันอ่อนโยน แต่มือคู่นั้นกลับเต็มไปด้วยคราบเลือด ที่ไม่ว่าจะล้างเท่าไรก็ไม่สามารถลบกลิ่นคาวเลือดให้หมดไปได้เลย
ในทันทีที่ถูกส่งมาที่จุดเริ่มต้นของป่านี้ เขาก็ได้กระจายการสำนึกของตนเอง แค่ระยะเวลาสั้น ๆ เพียงหนึ่งวัน กลับฆ่าคนไปแล้วไม่รู้เท่าไร หนึ่งในนั้นมีระดับฝึกจิตครึ่ง คือปรมาจารย์ยุทธ์ฝึกจิตขั้นหนึ่ง!
ชายหนุ่มชุดขาว ก็คือเซี่ยหย่ง องค์กรนักล่ายุทธ์เขตการปกครองชิงฮัว อัจฉริยะขั้นเหลืองระดับสูง
ถึงแม้ว่าจะเป็นเวลากลางคืน แต่พื้นป่าแห่งนี้กลับไม่ได้เงียบสงบลงไปตามกาลเวลา ดั่งสายน้ำไหล การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป สำหรับอัจฉริยะทุกคน แดนปริศนาคือโอกาสครั้งหนึ่งครั้งเดียวในชีวิต
……
ในถ้ำหิน หลัวซิวลืมตาขึ้นท่ามกลางความมืด ทุกสิ่งในรัศมีหลายร้อยเมตรนั้นเหมือนดั่งเปลวเพลิง สามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน แม้แต่ลมพัดเศษใบไม้ปลิวต่างก็ไม่สามารถเล็ดลอดจากกระแสสัมผัสของเขา
“ในที่สุดก็บรรลุแล้ว!”
นัยน์ตามีแสงสีขาวสลับดำระยิบระยับอย่างเจิดจ้า จิตใจของหลัวซิวเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เพราะในที่สุดเขาก็อาศัย‘พลังก่อรวมวิญญาณ’ ปรับเปลี่ยนกระแสสัมผัสจิตวิญญาณ ผนึกรวมกลายเป็นการสำนึกที่นับไม่ถ้วน
เทวทูตกับพลังจิตแท้ สองอย่างนี้ทั้งหมดที่ต้องใช้คือโอกาสก็จะสามารถบรรลุฝึกจิตได้อย่างราบรื่น กลายเป็นปรมาจารย์ยุทธ์ผู้แข็งแกร่งได้แล้ว
สายตานั้นทอดมองไปที่ร่างของหญิงสาวชุดขาว นางยังคงสลบไม่ได้สติอยู่เช่นเดิม ผลของยาไขกระดูกหยกและยาพระแสงนั้นไม่ได้ชัดเจน อย่างไรเสีย อาการบาดเจ็บของนางก็รุนแรงเกินไปอยู่ดี
ทันใดนั้นเอง ขนตาของหญิงสาวชุดขาวก็สั่นเล็กน้อย นัยน์ตาคู่นั้นค่อยเปิดขึ้น…
########################
บทที่ 178 อำนาจของตราแห่งความตาย (2)
“ไปให้พ้น!”
หลัวซิวปล่อยรังสีสังหารสีแดงเลือดออกมารอบตัว ภายใต้การรวมกระบี่สังหารของห้วงยุทธ์ กลายเป็นปราณกระบี่สีแดงเลือด สะท้อนกลับปราณกระบี่สีทองของนางผู้นั้นจนแหลกสลายไป
วินาทีต่อมา หลัวซิวใช้แขนข้างหนึ่งโอบหญิงสาวชุดขาวที่หมดสติไว้ แล้วลอยขึ้นไปในอากาศ เทียบได้กับการระเบิดพลังร่างเนื้อของร่างยุทธ์ขั้นสูงทั่วไป หมัดหนึ่งถูกปล่อยอัดไปยังหญิงสาวผมทอง
ผู้หญิงผมทองคนนั้นคือผลการฝึกตนของปรมาจารย์ยุทธ์แห่งการฝึกจิตขั้นหนึ่ง กระบี่สองเล่มในมือของนางถูกหมัดหลัวซิวต่อยกระจายด้วยแรงที่ไม่มีใครเทียบได้ การโจมตีอย่างดุเดือดทำให้นางลอยตีลังกาไป พร้อมเลือดออกที่มุมปาก
“หยุดมือ!”
ชายชุดสีดำและชุดสีฟ้าทั้งสองมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป ใครจะไปคาดคิดว่าชายหนุ่มชุดดำตรงหน้าจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ไม่เพียงแต่สามารถหยุดการโจมตีได้อย่างง่ายดาย ยังสามารถใช้หมัดโจมตีกลับปรมาจารย์ฝึกจิตจนบาดเจ็บได้
“เป็นเพียงแค่ระดับฝึกจิตครึ่ง แม้จะยืนลอยบนอากาศยังทำไม่ได้ จงตายเสียเถอะ!”
ชายหนุ่มชุดสีฟ้าฟาดฟันอย่างดุเดือดด้วยลำแสงกระบี่ยาวกว่าสิบเมตร และฟันไปทางหลัวซิวอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า
“จงสลายไป!”
หลัวซิวเอื้อมมือไปหยิบกระบี่ยุทธ์ที่อยู่ในฟักด้านหลังเขาออกมา เมื่อกระบี่นั้นถูกฟันออกไป ลำแสงกระบี่ยาวกว่าสิบเมตรก็ถูกตัดจนสลาย
ในเวลาเดียวกัน ร่างของเขาก็ร่วงลงมาจากกลางอากาศ เนื่องจากเขายังไม่ได้ฝึกจนถึงแดนที่สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้
ถึงแม้จะยังไม่สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ แต่ก่อนที่ร่างของหลัวซิวจะตกลงกับพื้น ดาบอีกเล่มก็ถูก ฟันออกไป
วิชายุทธ์ระดับเจ็ด กระบี่เพลิง!
เพลิงมรณะหลอมรวมกันเป็นปราณกระบี่เปลวไฟดำยาวนับสิบเมตร อีกทั้งปราณกระบี่นี้ยังหลอมรวมพลังกระบี่สังหารห้วงยุทธ์ไว้อีกด้วย
และพลังที่ประกอบไปด้วยห้วงยุทธ์นี้ ปรมาจารย์ฝึกจิตทั้งสามคนนั้นก็สามารถรับรู้ได้
“ไม่ได้การ รีบถอยก่อน!”
ชายชุดดำตะโกนเสียงดัง เพราะเขาสามารถสัมผัสได้ อำนาจของกระบี่ยุทธ์ครั้งนี้ เปรียบได้กับการลงมือของปรมาจารย์ยุทธ์ฝึกจิตระดับสี่
และพวกเขาทั้งสามพี่น้อง ต่างก็เป็นเพียงแค่ฝึกจิตระดับหนึ่ง
แม้ว่าชายชุดดำจะถอยกลับอย่างรวดเร็ว แต่ชายหนุ่มชุดฟ้าและหญิงผมทองนั้นมีปฏิกิริยาช้ากว่าเล็กน้อย
และเพราะปฏิกิริยาช้ากว่าเล็กน้อยนั้น ร่างทั้งสองจึงถูกตรึงไว้ด้วยกระบี่สังหารห้วงยุทธ์ของหลัวซิว
พลังของห้วงยุทธ์เดิมทีมาจากการปราบปรามของโลกยุทธ์ ภายใต้แรงกดดันของกระบี่สังหารห้วงยุทธ์นี้ อีกสามคนมีความรู้สึกราวกับว่าพวกเขากำลังเผชิญหน้ากับราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่ง
“เขาเป็นใครกันแน่? แม้แต่แดนฝึกจิตยังไปไม่ถึง แต่กลับสามารถครอบครองห้วงยุทธ์”
ชายชุดดำที่เผชิญหน้าอยู่เป็นคนแรกนั้นรู้สึกกดดันขึ้นมา และไม่กล้าที่จะดูถูก
“ห้วงยุทธ์นั้นถึงแม้จะเก่งกาจ แต่ผลการฝึกตนของเจ้านั้นไม่สูง ดูสิว่าข้าจะฆ่าเจ้าอย่างไร!” ทันใดนั้นแววตาของชายชุดดำก็เป็นประกายขึ้นมา “ตายซะ!”
คุณลักษณะที่เยือกเย็นของพลังจิตแท้หลอมรวมกัน เกิดเป็นแท่งน้ำแข็งแหลมคมครั้งแล้วครั้งเล่า ราวกับเกิดพายุหิมะ ที่กำลังกลืนกินหลัวซิวเข้าไป
“วิชากระจอก ๆ”
หลัวซิวกระตุกมุมปากแสดงความดูถูก แม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะร่ายวิชายุทธ์ระดับเจ็ด แต่ด้วยผลการฝึกตนของฝึกจิตขั้นหนึ่ง ต้องการที่จะบรรลุให้ตนเองนั้นทัดเทียมเสมอเหมือนร่างเนื้อของร่างยุทธ์ขั้นสูงทั่วไป การป้องกันนั้นยังอ่อนเกินไป
“ตราชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ!”
“ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! …”
แท่งน้ำแข็งแหลมคมพุ่งโจมตีบนร่าง เศษน้ำแข็งกระเซ็นนับไม่ถ้วน หลัวซิวเหมือนเข้าไปอยู่ในดินแดนที่ไร้มนุษย์ แสดงวิชาท่าร่างตามลมล่าจันทราแล้วกระโดดขึ้นไปในอากาศปรากฏตัวอยู่หน้าชายชุดดำ
ชายชุดดำตกใจจนหน้าซีด ไม่กล้าที่จะเชื่อว่า ชายหนุ่มต้องหน้าไม่เพียงแต่ครอบครองห้วงยุทธ์ อีกทั้งยังสามารถไปถึงร่างยุทธ์ระดับสูงแห่งแดนการกลั่นร่าง
ตัวเขานั้นก็เป็นหนึ่งในอัจฉริยะที่มีพลังโดดเด่น น่าเสียดายที่หากเทียบกับชายหนุ่มชุดคลุมยาวดำ ตนเองนั้นกลับห่างชั้นไม่เพียงแค่หนึ่งดาวครึ่ง
คิดได้ดังนั้น เขาก็คิดที่จะเหาะเหินเดินอากาศ ด้วยความคิดว่าชายหนุ่มชุดคลุมยาวดำไม่สามารถเดินบนอากาศได้ น่าจะตามเขามาไม่ทัน?
เปลวไฟดำแห่ง ณ เวลานี้ หลัวซิวที่อยู่ตรงหน้าเขายกมือขึ้นและตบมาทางเขา กลางฝ่ามือนั้นปรากฏรูปวงกลมที่มสีขาวและดำผสานกันขึ้น
ด้วยเหตุนี้จึงได้ปรากฏ ภาพเสมือนวัฏจักรชีวิตของวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ
หลัวซิวเก็บซ่อนวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ เข้าใจความลึกลับของชีวิตและความตายแห่งวัฏจักรชีวิต เข้าใจวิธีการผนึกนี้ มันแตกต่างจากขอบเขตของวิชายุทธ์ธรรมดามานานแล้ว
ผนึกรูปแบบนี้ พร้อมด้วยการรับรู้และความเข้าใจของเขาเกี่ยวกับ และพัฒนาต่อไป พลังนั้นก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นไปอีก
ภายใต้อำนาจของตราชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ สีหน้าของชายชายชุดดำซีดเซียว ในใจของเขาคิดได้เพียงอย่างเดียว หนี!
ไม่เช่นนั้นเขาต้องตายแน่นอน!
เขาใช้ทุกวิถีทางเพื่อต่อต้าน เปลวไฟดำแห่ง พลังของตราชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพนั้นช่างน่ากลัวเหลือเกิน ฝ่ามือประทับบนหน้าอกของชายชุดดำ ด้วยพลังระเบิด ในเสี้ยววินาทีร่างของชายชุดดำก็แหลกสลาย ฉีกขาดออกจากกัน
หลังจากชายชุดดำตายไป ยันต์หยกขาวนับสิบร่วงหล่นจากละอองเลือดที่กระเซ็น ก็ถูกหลัวซิวเก็บเข้ามาทั้งหมดด้วยมือเดียว
ส่วนยันต์หยกแดงที่สามารถช่วยชีวิตและหลบหนีได้ เพราะชายชุดดำนั้นไม่เคยคิดว่าจะถูกฆ่าตาย ก็เลยไม่ได้คิดที่จะทำลายยันต์หยกแดงเพื่อหนี
ในป่าแห่งการแข่งขันที่มีชีวิตและความตายเป็นเดิมพัน ถึงแม้โดยปกติแล้วหลัวซิวจะฆ่าคนน้อยมาก แต่หากได้ลงมือแล้วเขาก็จะไม่ปรานี
ชายชุดดำคนนี้และอีกสองคนร่วมกันรุมฆ่าเขา หากเขาอ่อนข้อให้นั่นหมายถึงตัวเขาเองที่โง่เง่า
อีกทั้ง ตราชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ วิชายุทธ์นี้เขาไม่ได้ใช้มันบ่อย ๆ และเมื่อมันถูกแสดง มันจะแสดงความสามารถพิเศษซ้ำแล้วซ้ำเล่า และพลังของมันนั้นน่าทึ่งมาก
ชายหนุ่มชุดฟ้ากับหญิงสาวผมทองที่เหลือยู่มีสีหน้าหวาดหวั่น ชายชุดดำเป็นพี่ชายคนโตของพวกเขา มีพลังที่แกร่งที่สุด แต่กลับถูกอีกฝ่ายข้าตายแล้ว?
“น้องหญิงสาม รีบหนีไป!”
ชายหนุ่มชุดฟ้าตะโกนเสียงดัง ไม่รีบเร่งที่จะเขาไปต่อสู้กับหลัวซิว เพื่อให้น้องหญิงสามของเขาหนีไปได้ง่ายขึ้น แต่เขาพยายามเหาะลอยไปบนอากาศ หนีนำไปก่อน
เรื่องของความสัมพันธ์นั้น ระหว่างผู้ฝึกยุทธ์นั้นล้ำค่ายิ่งกว่าสิ่งใด ยิ่งเมื่อต้องเผชิญกับวินาทีแห่งความตาย สามารถไม่ทรยศต่อญาติพี่น้องและเพื่อนฝูงก็ถือว่าไม่เลวแล้วคน คนส่วนใหญ่ไม่ต้องพูดถึงญาติหรือเพื่อนฝูง แม้แต่ภรรยาและลูกของตนก็สามารถทิ้งได้เพื่อเอาชีวิตรอด
ทั้งสามคนนั้น ผลการฝึกตนต่างเป็นผู้ฝึกจิตขั้นหนึ่ง พลังของทั้งสามกลับมีทั้งมากและน้อย ชายชุดดำแข็งแกร่งที่สุด ดังนั้นหลัวซิวจึงตั้งใจฆ่าเขาเป็นคนแรก
เหลือสองคน ชายหนุ่มชุดฟ้าแข็งแกร่งกว่าหญิงสาวผมทองเล็กน้อย
“กระบี่เพลิง!”
หลัวซิวคว้ากระบี่ยุทธ์ที่อยู่ด้านหลังออกจากฝัก เพลิงมรณะหลอมรวมกันกลายเป็นดาบเปลวเพลิงอัสนี และตามชายหนุ่มชุดฟ้าที่หนีไปก่อนแล้วไป
ดาบเปลวเพลิงอัสนีไม่เหมือนปกติที่เคยใช้ เมื่อใช้กระบี่เพลิงซึ่งเป็นวิชายุทธ์ระดับเจ็ด สามารถยกระดับพลังธาตุไฟปราณแท้แห่งพลังจิตแท้ได้
เพลิงมรณะอัดแน่นไปด้วยพลังของธาตุไฟ แน่นอนว่ายังเป็นช่วงของการเพิ่มชั้นเชิงของกระบี่เพลิง
ชายหนุ่มชุดฟ้ามีความคิดแค่เพียงหนีไปจากตรงนี้ แต่เมื่อรู้สึกได้ถึงอันตรายที่ไล่ตามมาเบื้องหลัง แม้อยากจะโต้กลับสักเท่าไรแต่มันก็สายไปแล้ว เสียงฉับดังขึ้น ดาบเปลวเพลิงอัสนีตัดขาเขาจนหักทั้งสองข้าง
กลางอากาศ ชายหนุ่มชุดฟ้ากรีดร้องโหยหวน บาดแผลที่ถูกตัดขาทั้งสองข้าง มีรัศมีแห่งความตายอันน่าสยดสยองเข้ามาในร่างกายของเขา ความเจ็บปวดอันน่าสลดใจที่ดูเหมือนจะกัดกินชีวิตของเขา ทำให้เขาเจ็บปวดจนอยากตายให้รู้แล้วรู้รอด
หลัวซิวไม่ได้ขัดศรัทธาของคนตรงหน้า มือหนึ่งตวัดดาบ ลำแสงหลายเส้นถูกออกมาปล่อยออกมาจากดาบเปลวเพลิงอัสนี พุ่งตรงไปฆ่าชายหนุ่มชุดฟ้าตายในทันที
ในขณะเดียวกัน หญิงสาวผมทองคนสุดท้ายที่หลบหนีไปได้แล้วนั้น ใช้ประโยชน์จากปรมาจารย์ฝึกจิตที่สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้นั้น ลอยขึ้นไปบนฟ้าสูง หลัวซิวจึงไม่อาจตามไปได้
########################
บทที่ 177 อำนาจของตราแห่งความตาย (1)
“พลังนี่ช่างน่ากลัวเหลือเกิน เขาไม่ใช่ระดับฝึกจิตครึ่งทั่วไป แต่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่กลั่นร่าง!” ระดับฝึกจิตครึ่งคนหนึ่งที่ถูกโจมตีจนได้รับบาดเจ็บ ยิ่งมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป
ในเวลาเดียวกัน หลัวซิวรวบรวมจิตสังหารและยกกระบี่วาววับขึ้นอีกครั้ง โจมตีระดับฝึกจิตครึ่งอีกคนจนกระเด็นออกไปพร้อมเลือดที่กลบปาก
จอมยุทธ์ใหญ่สิยกว่าคนที่เหลือ เมื่อเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกอกสั่นขวัญแขวนไปตาม ๆ กัน
คาดไม่ถึงว่าระดับฝึกจิตครึ่งก็ไม่สามารถต่อกรได้ หรือนี่จะเป็นอสูรกายที่โพล่ออกมาจากที่แห่งใด?
“มอบยันต์หยกขาวให้ข้า ทำลายยันต์หยกสีแดงของพวกเจ้าเสีย”
รอบกายหลัวซิวล้อมรอบไปด้วยรังสีอาฆาตสีเลือดอยู่ในอากาศ พลางก้องพูดเสียงอย่างไม่แยแส
จอมยุทธ์ระดับฝึกจิตครึ่งทั้งสองและอีกสิบกว่าคนได้ยินคำพูดนั้น สีหน้าก็พลันเปลี่ยนไปเป็นลำบากใจขึ้นมาทันที
ที่ต้องให้คนเหล่านี้ทำลายยันต์หยกแดง ความจริงแล้วหลัวซิวคำนึงถึงเมื่อตนยึดยันต์หยกของพวกเขามาแล้ว คนพวกนี้คงจะแค้นฝังใจอย่างแน่นอน ไม่แน่ว่าอาจจะไปร่วมมือกับคนอื่น ๆ แล้วกลับมาแก้แค้นเขาอีกก็ได้
“อย่าท้าทายกับความอดทนของข้า” เมื่อเห็นว่าคนเหล่านี้ยังคงลังเลไม่ยอมตัดสินใจเสียที หลัวซิวจึงเตือนอีกครั้ง
คนเหล่านี้ต่างก็มีสีหน้าที่ไม่เต็มใจ อยู่ ๆ ชายระดับฝึกจิตครึ่งคนหนึ่งก็ตะโกนขึ้นมาเสียงดัง “ทุกคนแยกย้ายแล้วหนีไป!”
ก่อนที่เสียงของจะสิ้นสุดลง เขาก็เป็นคนแรกที่เคลื่อนไหวและเลือกทิศทางที่จะหลบหนีด้วยความเร็วที่เร็วที่สุด
จากนั้นคนอื่น ๆ ก็ค่อยเริ่มทำตาม และในเวลานั้นเอง สถานการณ์ตรงหน้าก็เหมือนกับลิงที่ตื่นตระหนกวิ่งไปคนละทิศคนละทาง
หลัวซิวขมวดคิ้ว คนพวกนี้ถือว่าฉลาดมากจริง ๆ ใช้วิธีนี้เขาจับทุกคนไม่ได้แน่นอน
“ดูเหมือนว่า ข้าจะใจดีเกินไป”
เมื่อคิดได้เช่นนั้น แววตาของหลัวซิวก็เผยความเยือกเย็นขึ้นวูบหนึ่ง ถ้าเขาโจมตีคนเหล่านี้หรือฆ่าพวกเขาโดยตรง ก็จะไม่มีใครสามารถหลบหนีได้
การกำหนดจำนวนของแดนปริศนามันสำคัญต่อตัวเขาเช่นกัน หลัวซิวไม่ยินยอมให้ความใจดีเพียงน้อยนิดของเขา ทำให้เกิดเรื่องผิดพลาดขึ้น
กระแสสัมผัสถูกแพร่ออกไป ตรึงนักยุทธ์ระดับฝึกจิตครึ่งคนแรกที่จะหนีเอาไว้ หลัวซิวแพร่กระจายวิชาตามลมล่าจันทรา จากนั้นจึงไล่ตามออกไป
เพียงเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงต่อมา หลัวซิวก็สามารถไล่ตามคู่ต่อสู้ได้ ครั้งนี้เขาไม่พูดอะไรแม้แค่คำเดียว เขาก็จัดการฆ่าพวกเขาด้วยปราณกระบี่เปลวไฟดำห้าสายทันที
เพลิงมรณะรวมตัวกันเป็นปราณกระบี่ ในเวลานี้ต่างจากเมื่อก่อนเล็กน้อย เพราะพรแห่งกระบี่สังหารห้วงยุทธ์ พลังของปราณกระบี่นั้นแข็งแกร่งมากขึ้น เทียบเท่ากับฝีมือแห่งปรมาจารย์ฝึกจิตขั้นต้นได้เลย
พวกระดับฝึกจิตครึ่งพยายามดิ้นรนต้านการต่อสู้ แต่ความเป็นจริงแล้วพลังนั้นห่างชั้นกับหลัวซิวเกินไป เผชิญหน้ากันเพียงไม่กี่อึดใจ ก็สามารถทำลายยันต์หยกแดงได้ด้วยมือเดียว
“ต่อให้ข้าทำลายยันต์หยกจนสิ้นแล้ว ก็ไม่มีมีวันยกให้เจ้า!”
อาจจะเป็นเพราะถูกหลัวซิวทำให้ถูกคัดออก นักยุทธ์หนุ่มระดับฝึกจิตครึ่งคนนี้ก็รู้สึกเคียดแค้น หยิบเอายันต์หยกขาวออกมาจากแหวนเก็บของ และทำลายมันตรงนั้น
เหตุผลที่เขากล้าทำเช่นนี้ เพราะเขาคิดว่าเขาได้บดทำลายยันต์หยกแล้ว ไม่เกินห้าการหายใจก็จะถูกส่งออกไปนอกเขต ไม่มีเหตุผลต้องกลัวว่านักยุทธ์หนุ่มชุดดำคนนี้จะทำอะไรเขาได้
เมื่อเห็นการกระทำเช่นนี้ของอีกฝ่าย ความเยือกเย็นในดวงตาหลัวซิวยิ่งรุนแรงขึ้น
ถ้าไม่ใช่เพราะผู้ชายคนนี้เป็นผู้นำ ยันต์หยกขาวของทั้งสิบกว่าคนเหล่านั้นจะต้องตกอยู่ในมือหลัวซิวแล้วเป็นแน่
แต่ไอ้เวรนี่ไม่เพียงแต่ไม่สำนึกในเมตตาขอวหลัวซิวแล้ว ยังทำลายยันต์หยกอีก ทำให้เขาไม่ได้อะไรเลย
“หาเรื่องตาย!”
จิตสังหารรอบกายหลัวซิวนั้นปราศจากการอดกลั้นแม้แต่น้อย
หากเขาใจดีด้วย คนอื่นก็จะไม่เห็นค่า แต่กลับคิดว่าอ่อนแอและหลอกลวงได้ง่าย
เช่นนั้นแล้ว ก็ไปถามหาความเมตตาจากแม่เจ้าเถอะ!
หลัวซิวตัดสินใจเปลี่ยนความคิดในชั่ววินาที
“ชิ้ง!”
กระบี่ยุทธ์ดินระดับกลางถูกดึงออกจากฟักที่อยู่ด้านหลัง แสงกระบี่เย็นวาบพาดผ่าน ศีรษะของนักยุทธ์ระดับฝึกจิตครึ่งคนนั้นกระเด็นออกจากบ่าในทันที พร้อมด้วยสายเลือดอุ่น ๆ ที่พุ่งกระจายออกมาเป็นสาย
จนกระทั่งตอนที่ใกล้จะตาย เขาจึงได้รู้ว่าเขาโง่เง่ามากแค่ไหน คิดไปเองว่าทำลายยันต์หยกแดงไปแล้วชีวิตก็จะปลอดภัย แต่ความจริงแล้วนั้นฝ่ายตรงข้ามมีความสามารถในการฆ่าเขาให้ตายได้ในทันที
ไม่ต้องพูดถึงเวลาห้าการหายใจ ต่อให้มีเวลาเพียงแค่หนึ่งกาหายใจเข้า หากอีกฝ่ายต้องการฆ่าเขา เกรงว่าแม้แต่โอกาสที่จะได้ทำลายยันต์หยกก็คงไม่มี
ถ้าหากให้โอกาสที่สองกับเขาได้เริ่มใหม่ เขาต้องเป็นคนมอบยันต์หยกขาวให้เอง และคงจะไม่ยั่วโมโหชายที่น่ากลัวคนนี้แน่นอน
น่าเสียดาย ชีวิตคนเรานั้นมีเพียงแค่หนึ่งชีวิต ไม่มีโอกาสที่สองให้เริ่มต้นใหม่
ไม่ทันรู้ตัว เวลาหนึ่งวันก็ได้ผ่านพ้นไป หลัวซิวได้ฆ่าอสูรกายระดับสามไปหนึ่งตัว และก่อกองไฟที่ริมทะเลสาบ
วันแรกของการแข่งขันเอาชีวิตรอด เขาได้รับยันต์หยกขาวมาประมาณสามสิบอัน เมื่อนับแล้วดูเหมือนจะไม่มาก แต่นี่เป็นเพียงวันแรกของการแข่งขันเท่านั้น
เมื่อเวลาผ่านไป ผู้ฝึกยุทธ์วัยเยาว์ก็ยิ่งน้อยลงทุกที แต่คนที่จะสามารถรอดไปจนถึงท้ายที่สุดได้ ยันต์หยกในมือของทุกคนนั้นก็มีจำนวนไม่น้อยเลย
แน่นอน ยันต์หยกในมือนั้นยิ่งมีเยอะมากเท่าไร พลังนั้นก็ยิ่งแข็งแกร่ง ยิ่งต่อกรด้วยยากมากขึ้นเท่านั้น
และก่อนฟ้ามืด หลัวซิวยังเห็นการทะเลาะวิวาทของคนนับร้อย ในนั้นส่วนมากเป็นนักยุทธ์พรสวรรค์ขั้นปฐมภูมิและนักยุทธ์ช่วงกลาง ส่วนน้อยคือนักยุทธ์ช่วงหลังและจอมยุทธ์ใหญ่ ระดับฝึกจิตครึ่งมีอยู่ไม่เกินห้าคน
เดิมทีหลัวซิวยังวางแผนที่จะตกปลาในน่านน้ำแห้งความวุ่นวาย และใช้โอกาสนั้นในการแย่งชิงยันต์หยกให้มากขึ้น แต่กลับสังเกตเห็นว่ารอบ ๆ สถานที่ต่อสู้นั้น ก็มีคนวางกับดักค่ายสังหารระดับสี่และค่ายยากเย็นไว้
คนสุดท้ายที่ลงมือ คือหญิงชุดชาวที่มีผลการฝึกตนแห่งการฝึกจิตขั้นสาม โดยมีค่ายสังหารระดับสี่และค่ายยากเย็นเป็นตัวช่วย สถานที่ต่อสู้นั้นมีผู้คนนับร้อย ยันต์หยกทั้งหมดก็ตกลงไปในกระเป๋าของหญิงคนนั้นเช่นกัน
หลัวซิวไม่ได้ขัดแย้งกับผู้หญิงในชุดขาว เปลวไฟดำแห่ง การต่อสู้เพื่อเข้ารอบเพิ่งเริ่มต้นขึ้นและไม่ควรเผชิญหน้ากับผู้คนที่อยู่เหนือกว่าระดับฝึกจิตเร็วเกินไป
“รอบแรกของการแข่งขันเอาตัวรอดมีทั้งหมดเจ็ดวัน การต่อสู้ในช่วงสองวันแรกนั้นจะไม่รุนแรง และคาดว่าการต่อสู้จริงจะเกิดขึ้นในช่วงสองสุดท้าย” หลัวซิวคิดเช่นนั้นอยู่ในใจ
ทันใดนั้น หลัวซิวก็หรี่ตามองขึ้นไปบนฟ้าไม่ไกลนัก
เห็นร่างสี่ร่างลอยอยู่บนท้องฟ้า สามคนในนั้นกำลังไล่ล่าผู้หญิงคนหนึ่ง
ผู้หญิงที่ถูกไล่ล่าสวมชุดสีขาว แต่ในขณะนี้มีคราบเลือดอยู่เต็มไปหมด เห็นได้ชัดว่านางได้รับบาดเจ็บสาหัส
หลัวซิวรี่ตา สังเกตเห็นผู้หญิงในชุดขาวที่ถูกตามล่า คือนักยุทธ์หญิงที่มีผลการฝึกตนแห่งการฝึกจิตขั้นสามคนนั้น ที่โจมตีผู้ฝึกยุทธ์นับร้อยจนราบ
ในตอนนี้ท้องฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว หลัวซิวจุดกองไฟอยู่ข้างทะเลสาบ สำหรับคนสี่คนที่ลอยอยู่ในอากาศนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาจะเป็นที่สะดุดตามากเพียงใด
ผู้หญิงในชุดขาวอาจได้รับบาดเจ็บสาหัสและค่อนข้างอ่อนแรงเกินไป และร่างกายที่บอบบางของเธอจึงได้ตกลงมาจากอากาศด้วยความอ่อนแรง
ตกลงมาจากความสูงขนาดนั้น หากไม่ใช่การกลั่นร่างของผู้ฝึกยุทธ์ คงจะต้องหักเป็นเจ็ดแปดท่อนแน่นอน และผู้หญิงชุดขาวเองก็ได้รับบาดเจ็บอยู่ เกรงว่าอาการบาดเจ็บจะต้องรุนแรงขึ้นอีก
“เดิมทีป่าแห่งนี้กว้างใหญ่มาก และมีผู้เข้าร่วมการแข่งขันนับแสนคน นี่แค่วันแรกข้าก็เจอเจ้าถึงสองครั้ง ถือว่าเป็นโชคชะตา ข้าจะช่วยเจ้าสักครั้ง”
หลัวซิวลุกขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ร่างของเขาขยับ และเขาก็ปรากฏตัวขึ้นใต้ผู้หญิงในชุดขาว เอื้อมมือออกไปจับเธอ และกอดเธอไว้ในอ้อมแขนของเขา
เขารู้ดี สามคนนั้นที่ตามฆ่าหญิงชุดขาวสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ ต้องเป็นปรมาจารย์ยุทธ์ระดับฝึกจิตแน่นอน
อีกฝ่ายก็สังเกตเห็นเขาแล้วเช่นกัน และเมื่อผู้หญิงชุดขาวได้รับบาดเจ็บ เขาก็คงจะต้องต่อสู้กับพวกเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
จะว่าไป ฉากที่ผู้หญิงชุดขาวกำจัดผู้ฝึกยุทธ์ไปหลายร้อยคนด้วยค่ายกลระดับสี่นั้น ยังคงตราตรึงใจหลัวซิวจริงๆ
นั่นเป็นเหตุผลที่เขาลงมือช่วยเหลือเธอ แม้ว่ามันอาจจะสร้างปัญหาบางอย่างก็ตาม
ในขณะที่ได้ใกล้ชิดกับนาง หลัวซิวจึงได้รู้ว่าอาการบาดเจ็บของผู้หญิงชุดขาวนั้นรุนแรงเพียงใด จั้งฝู่แตกสลายไปหมด แม้กระทั่งชี่ไห่และจุดตันเถียนก็ได้รับบาดเจ็บไปด้วย
มีรอยฝ่ามือสีดำและม่วงบนหลังของนาง ดูเหมือนว่าจะถูกโจมตีจากด้านหลัง และได้รับบาดเจ็บสาหัส
สามคนที่ไล่ตามผู้หญิงชุดขาว ผู้ชายสองคนและผู้หญิงหนึ่งคน ชายหนุ่มสองคน คนหนึ่งชุดดำ คนหนึ่งชุดสีฟ้า และอีกคนคือผู้หญิงผมสีทองยาว
“น้องหญิงสาม ฆ่าเจ้านั่นเสีย”
ทั้งสามอยู่กลางอากาศ ทอดสายตามองหลัวซิวที่อยู่บนพื้นดิน ชายชุดดำพูดอย่างเย็นชา
“ได้!”
ผู้หญิงผมสีทองยาวคนนั้นหยิบกระบี่ยุทธ์สองเล่มออกมาจากแหวนเก็บของ สองมือถือกระบี่ เส้นริ้วปราณกระบี่สีทองราวสิบเมตรปล่อยออกมา พุ่งมาทางหลัวซิวเพื่อฆ่า
########################
บทที่ 176 แย่งชิงยันต์หยกขาว
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่ชายหนุ่มชุดดำปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเขา พลางพูดนิ่ง ๆ ว่า “ส่งยันต์หยกขาวที่อยู่กับเจ้ามา ข้าหวังว่า ข้าจะไม่ต้องพูดเป็นครั้งที่สาม”
ชายหนุ่มที่ยืนเผชิญหาอยู่นั้นกัดฟันและพูดว่า “ถ้าข้าส่งยันต์หยกขาวให้แล้ว เจ้าจะปล่อยข้าไปหรือไม่?”
ใช้เวลาเพียงชั่วครู่ เขาก็สามารถไตร่ตรองได้อย่างชัดเจน ต่อให้ยอมยกยันต์หยกขาวให้ไป เพียงแค่ตนเองยังอยู่ที่นี่ ก็สามารถไปแย่งยันต์หยกขาวจากคนอื่นมาได้ ยังไงก็ยังมีโอกาส
“ได้” หลัวซิวพยักหน้า
เขาต้องการเพียงแค่ยันต์หยก ถ้าไม่ต้องต่อสู้ได้ก็จะเป็นการดี อย่างไรเขากับผู้ท้าชิงคนอื่น ๆ ก็เกี่ยวพันกันเพียงแค่การแข่งขันเท่านั้น ไม่ใช่ศัตรูคู่แค้นกัน
“ให้เจ้า”
ชายหนุ่มตรงหน้าหยิบยันต์หยกขาวออกมา โยนมันไปทางหลัวซิว จากนั้นจึงหมุนตัวหนีออกไปด้วยความรวดเร็ว
หลัวซิวเอื้อมมือไปจับยันต์หยกขาวไว้ และไม่ได้ตามชายหนุ่มคนนั้นที่เพิ่งหนีไป
“ในผู้เข้าร่วมการแข่งขันเกือบแสนคน มีแค่ครั้งนี้ที่เพิ่งได้รับยันต์หยกขาวหนึ่งชิ้น ยังตั้งเก็บอีกหลายชิ้นไม่รู้ต้องใช้เวลาอีกนานเพียงใด
หลัวซิวยิ้มอย่างขมขื่น แต่อยู่ ๆ นัยน์ตาก็พลันพลันสว่าง พึมพำขึ้นมาว่า “จอมยุทธ์พวกนั้นที่มีพลังแกร่งกล้า จะต้องรวบรวมยันต์หยกขาวได้มากแล้วแน่ ๆ ข้าเพียงแค่ต้องตามหาคนพวกคน ก็จะสามารถแย่งชิงยันต์หยกจำนวนมากได้ภายในครั้งเดียว หากทำเช่นนี้การรวบรวมยันต์หยกนั้นก็จะเร็วขึ้นมากทีเดียว”
เมื่อคิดได้เช่นนั้น หลัวซิวก็ทำการกระจายกระแสสัมผัสของตนเอง มองหาบางคนที่มีลมหายใจแห่งพลังชีวิตที่แข็งแกร่ง
สำหรับลมหายใจแห่งพลังชีวิตนั้น จะอยู่กับคนในระดับชั้นที่ต่ำกว่าจอมยุทธ์ใหญ่ หลัวซิวไม่ได้ให้ความสนใจใด ๆ แม้ว่าจะไปแย่งชิ่งมันมา ก็จะสามารถแย่งมาได้มากที่สุดแค่หนึ่งหรือสองยันต์หยก ซึ่งมันเป็นการเสียเวลาเปล่า
เพียงชั่วครู่ หลัวซิวได้กักเก็บพลังชีวิตแห่งผู้ฝึกยุทธ์สายสาม
ผู้ฝึกยุทธ์ทั้งสามคนเดินมาพร้อมกัน อาจจะมีการทำข้อตกลงกันไว้แน่ ๆ พวกเขาร่วมกันต่อสู้กับผู้ฝึกยุทธ์ที่เข้าร่วมแข่งขันคนอื่น ๆ และแย่งชิงเอายันต์หยกขาว
เมื่อหลัวซิวปรากฏกายตรงหน้าผู้ฝึกยุทธ์ทั้งสาม ชายหนุ่มผิวคล้ำคนหนึ่งในกลุ่มนั้น กล่าวขึ้นอย่างเย็นชา “กล้าดีนี่ ถึงกล้าที่จะมาปรากฏตัวต่อหน้าเราทั้งสามคน”
ระหว่างการสนทนานั้น อีกสองคนที่อยู่ข้าง ๆ เขาก็แยกออกมา และยืนรอบรอบตัวของหลัวซิวไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้เขาหนีไปได้
“ลงมือ!”
โดยไม่ได้ให้โอกาสหลัวซิวเอ่ยปากพูดอะไร ชายหนุ่มทั้งสามคนนั้นก็เผยรัศมีแห่งปราณแท้พรสวรรค์ออกมาจากร่างกาย สองคนนั้นคือผลการฝึกตนแห่งพรสวรรค์ชั้นสาม มีเพียงชายหนุ่มผิวคล้ำคนนั้นที่มีพรสวรรค์ระดับสี่
ท่ามกลางผู้ฝึกยุทธ์วัยเยาว์ที่เข้าร่วมกันฝึกฝนร่วมแสนคนนั้น พรสวรรค์ขั้นปฐมภูมินั้นมีเยอะที่สุด เปลวไฟดำแห่ง ผู้ฝึกตนถึงแดนพรสวรรค์ที่อายุต่ำกว่าสามสิบ ตราบใดที่มีความสามารถเพียงพอและพรสวรรค์ของตัวเองนั้นไม่แย่ โดยทั่วไปก็ทำได้
ตามสถิติจากองค์กรนักล่ายุทธ์ นักยุทธ์พรสวรรค์ขั้นปฐมภูมิที่เข้าร่วมการแข่งขันนั้น มีอยู่ราว ๆ แปดหมื่นกว่าคน นักยุทธ์พรสวรรค์ระดับกลางมีประมาณหนึ่งหมื่นกว่าคน จอมยุทธ์ใหญ่มีเพียงหลักพัน ผู้ฝึกจิตครึ่งและปรมาจารย์ฝึกจิตรวมกันมี เพียงแค่หลักสิบเท่านั้น
ในความจริง คนส่วนมากก็รู้กันดีอยู่แล้ว ผู้ที่จะสามารถเข้ารอบสิบคนสุดท้าย ย่อมเป็นหนึ่งในผู้คนหลักสิบเหล่านั้นอย่างแน่นอน
และตัวของหลัวซิวเอง คือหนึ่งในผู้เข้าแข่งขันหลักสิบที่ทรงพลังที่สุด ท่ามกลางผู้ฝึกยุทธ์วัยเยาว์ร่วมแสนคนนั้นเอง!
ระหว่างการเพิ่มขึ้นของปราณแท้ ผู้ฝึกยุทธ์วัยเยาว์ทั้งสามก็วิ่งเขามาทางหลัวซิว ทุกการโจมตีนั้นไร้ความปราณี กระบี่เป็นประกายและกระบี่ที่วาบวับ
แม้จะมีความเหนือกว่าด้านจำนวนคน แต่สำหรับหลัวซิวแล้วนั้น กลับไม่ได้รู้สึกถึงการคุกคามแม้แต่น้อย
ในเวลาเพียงชั่วครู่ ร่างทั้งสามก็ลอยออกไปข้างหลัง เลือดสดปรากฏขึ้นบนมุมปากของพวกเขา
ไม่จำเป็นต้องให้หลัวซิวเอ่ยปาก ทั้งสามคนนั้นก็หยิบยื่นยันต์หยกขาวออกมาให้เขาด้วยตนเอง รวมทั้งหมดหกชิ้น
เห็นได้ชัดว่าสามคนนี้ได้กำจัดอีกสามคนไปแล้ว
การแข่งขันเอาชีวิตรอดรอบแรกเพิ่งเริ่มต้นไม่ถึงครึ่งวัน และกลับมีคนถูกคัดออกไปแล้วไม่รู้กี่คน
คนที่ถูกคัดออกนั้นต่างเป็นนักยุทธ์พรสวรรค์ขั้นปฐมภูมิ บางคนที่โชคดี ได้เจอกับยอดฝีมือเช่นหลัวซิว เขาเพียงแย่งชิงยันต์หยก แต่ไม่ได้ลงมือคนฆ่าหรือบังคับให้ออกจากการแข่งขัน
แต่ก็มีบางคนที่โชคไม่ดีนัก ไม่เพียงแต่จะไม่ทันแม้แต่จะได้ยอมมอบยันต์หยก พวกเขาก็จะถูกโจมตีและบาดเจ็บ หรือแม้กระทั่งถูกฆ่าตายไปเลย
ท้ายที่สุด แม้ว่าจะบดขยี้ยันต์หยกสีแดง การหายตัวนั้นก็ต้องใช้เวลาถึงห้าอึดใจ
แต่สำหรับผลการฝึกตนของจอมยุทธ์ยอดฝีมือระดับพรสวรรค์ขึ้นไปนั้น ในเวลาห้าอึดใจสามารถทำอะไรได้มากมาย
ถึงแม้หลัวซิวจะฆ่าคนไปไม่น้อย แต่ก็ไม่เคยที่จะไล่ฆ่าคนแบบสะเปะสะปะ มันคือหลักการของเขา
มีบางคนคิดว่า ผู้เข้าแข่งขันฝ่ายตรงข้ามนั้นคือศัตรู ก็จะทำการโจมตีและฆ่าทิ้งอย่างไร้ความปราณี และนี่ก็เป็นหลักการเช่นกัน
ต่างโลก ต่างแผนการ ต่างหลักการ ไม่มีสิ่งใดถูกผิด เพียงแค่นิสัยและใจกลางของโลกยุทธ์นั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
“ปัง!”
เสียงดังเกิดขึ้นกลางป่า มีการส่งความผันผวนอย่างรุนแรงของพลังจิตออกมา
เมื่อหลัวซิวรับรู้ได้ถึงความผันผวนของพลังจิต เขารีบวิ่งไปในทันที และยืนจ้องมองมันจากระยะไกลบนกิ่งก้านของต้นไม้โบราณ
เห็นเพียงผู้ฝึกยุทธ์หลายสิบคนในป่าไกลๆ กำลังต่อสู้ฟาดฟันฆ่ากัน ทักษะยุทธ์ต่าง ๆ อยู่นำออกมาใช้ ภาพตรงหน้านั้นวุ่นวายโกลาหลอย่างมาก
ผู้คนนับสิบนี้ ต่างก็เป็นจอมยุทธ์ใหญ่ผู้ปรีชาสามารถ ท่ามกลางคนเหล่านั้นมีหนึ่งถึงสองคนที่บรรลุถึงระดับฝึกจิตครึ่ง เรียกได้ว่าเป็นกลุ่มอันดับต้นๆ ในบรรดาและคนเลยทีเดียว
หนึ่งในผู้ฝึกยุทธ์ระดับฝึกจิตครึ่ง การสำนึกนั้นได้ตรวจสอบการเคลื่อนไหวรอบตัวอยู่ตลอดเวลา เมื่อหลัวซิวปรากฏตัวขึ้นใกล้ ๆ การสำนึกก็สามารถสัมผัสได้ในทันที
“ทุกท่าน บางคนกำลังนั่งอยู่บนภูเขาดูเสือต่อสู้ คงพยายามจับปลามือเปล่า” ฝึกยุทธ์ระดับฝึกจิตครึ่งคนนี้ก็ตะโกนทันที
“ถ้าเช่นนั้นก็ต้องกำจัดเขาก่อน!”
“ได้!”
“มาร่วมมือกัน แล้วพวกเราค่อยตัดสินผู้ชนะ”
ผู้คนนับสิบคนบรรลุข้อตกลงอย่างรวดเร็ว ค่อย ๆ หยุดการต่อสู้ ผิวปากพร้อมมุ่งหน้าไปยังที่ตั้งของหลัวซิว
สองคนในนั้นคือนักยุทธ์ระดับฝึกจิตครึ่ง พวกเขาเคลื่อนไหวเร็วที่สุด การสำนึกได้กักขังหลัวซิวเอาไว้แน่น
เผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ แต่กลับไม่มีความหวาดกลัวปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลัวซิว ในทางกลับกันกลับมีรอยยิ้มบาง ๆ ปรากฏขึ้น
พลังกระบี่เย็นพุ่งเข้ามาตรงหน้า หลัวซิวกำหมัดชกออกไป ทำลายมันจนแหลกเป็นผุยผง
ทันทีหลังจากนั้น เขาเหยียดแขนขึ้นไปในอากาศ แม้ว่าเขาจะลอยตัวบนอากาศไม่ได้ แต่ก็สามารถก้าวกระโดดขึ้นไปในอากาศได้ จากนั้นจึงพุ่งเข้าไปเพื่อฆ่านักยุทธ์ระดับฝึกจิตครึ่งทั้งสอง
“การแผ่กระจายพลังจิตแท้ เขาก็เป็นนักยุทธ์ระดับฝึกจิตครึ่ง!”
นักยุทธ์ระดับฝึกจิตครึ่งทั้งสองเมื่อรับรู้ถึงพลังของหลัวซิว ต่างก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไป
ระดับฝึกจิตครึ่งเหมือนกัน แต่ถ้าหากต่อสู้กันขึ้นมาจริง ๆ ระดับฝึกจิตครึ่งที่มีพลังจิตแท้นั้น พลังนั้นจะแข็งแกร่งกว่าระดับฝึกจิตครึ่งที่มีการสำนึกหลายเท่า
เพราะพลังจิตแท้สามารถระเบิดพลังที่แข็งแกร่งมากกว่า ห่างชั้นจากปราณแท้จนไม่อาจเทียบได้
“กระบี่สังหาร!”
หลัวซิวสะบัดนิ้วขึ้น รังสีสังหารสีแดงเลือดก็รวมเข้าด้วยกันและกลายเป็นกระบี่วาบวับ ในขณะเดียวกันเจตนาการต่อสู้ของกระบี่สังหารก็ถูกปลดปล่อยออกมา ก่อให้เกิดลมพลังที่เฉียบคม พุ่งตรงไปยังผู้ฝึกยุทธ์ร่วมสิบคนตรงหน้า
“รังสีสังหารช่างน่ากลัวนัก ชายผู้นี้ฆ่ายอดฝีมือไปกี่คนแล้ว?”
นักยุทธ์ระดับฝึกจิตครึ่งทั้งสองนั้นสามารถรับรู้ได้ถึงเจตนาฆ่านี้ พลันประหลาดใจขึ้นมา เพราะพวกเขารู้สึกถึงพลังปราณของปรมาจารย์ฝึกจิต
อย่าบอกนะว่า ว่าเจ้าหนุ่มชุดดำตรงหน้าเคยฆ่าปรมาจารย์ฝึกจิต?
แต่ไม่ว่าอย่างไรการต่อสู้ก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว ไม่มีหนทางใหถอยกลับ คนหนึ่งคือน้ำแข็ง คนหนึ่งคือไฟ ทั้งสองรวบรวมวิชาที่ฝึกมาทั้งหมดเข้าโจมตีด้วยหวังปลิดชีพหลัวซิว
“ปึง!”
เห็นเพียงแค่หลัวซิวกวาดปลายนิ้วออกไป แสงกระบี่แห่งจิตสังหารที่ควบแน่นนั้น ก็ทำลายการโจมตีของนักยุทธ์ระดับฝึกจิตครึ่งทั้งสองจนสิ้น
“อะไรกัน? เป็นไปได้อย่างไร?”
ระดับฝึกจิตครึ่งทั้งสองตกใจสุดขีด ต่อให้อีกฝ่ายรวบรวมพลังจิตแท้ และพลังนั้นจะแข็งแกร่งมากว่าเขาทั้งสองคนรวมกันสักเพียงใจ แต่มันเป็นไปไม่ได้ที่จะบดขยี้พวกเขาทั้งสองอย่างง่ายดายเช่นนี้
นักยุทธ์ระดับฝึกจิตครึ่งคนหนึ่งถูกจิตสังหารของหลัวซิวขังไว้ กระบี่สีเลือดพุ่งมาเพื่อฆ่า เขาหยิบกระบี่ขึ้นมาเพื่อต่อต้านทันที
“ชิ้ง!”
กระบี่ยุทธ์ชั้นสูงไม่ได้ถูกหลัวซิวโจมตีจนสลายไปในทันที แต่ว่าพลังที่แข็งแกร่งนั้น กลับกระแทกเข้ากลับนักยุทธ์ระดับฝึกจิตครึ่งคนนี้จนลอยออกไป เลือดพุ่งออกจากปากของเขา
บทที่ 175 ศึกแย่งชิงสิทธิ์ (2)
ผู้อาวุโสสวมเสื้อแพรสีฟ้าเดินเข้ามา ตามด้วยชายหนุ่มที่มีใบหน้ายิ้มแย้ม ดูแล้วสุภาพอ่อนโยน
ผู้อาวุโสเสื้อแพรเป็นหัวหน้าแก๊งขององค์กรนักล่ายุทธ์เขตการปกครองชิงฮัว ชื่อหยวนสง และชายหนุ่มที่อยู่ข้างหลังชื่อเซี่ยหย่ง เป็นอัจฉริยะขั้นเหลืองระดับสูงเหมือนกับหลัวซิวซึ่ง
แต่เมื่อเทียบกับหลัวซิวแล้ว ตอนนี้เซี่ยหย่งอายุยี่สิบปี แต่ผลการฝึกตนของเขาอยู่ในแดนฝึกจิตขั้น3 แล้ว
อายุยี่สิบปีแต่สามารถฝึกฝนจนถึงระดับนี้ได้ และคาดหวังว่าจะฝึกฝนไปถึงแดนราชายุทธ์ก่อนอายุสี่สิบปี และมีโอกาสเข้าสู่แดนจักรพรรดิยุทธ์ก่อนอายุหนึ่งร้อยปี!
จากนั้น หัวหน้าแก๊งของเขตการปกครองอื่น ๆ ต่างก็มาถึงที่นี่แล้วเช่นกัน และในบรรดานั้นมีคนรู้จักหัวหน้าแก๊งเสิ่นหยวนหนานไม่น้อย
สิบสามเขตการปกครอง มีสมาชิกที่เป็นอัจฉริยะสิบสามคน มีขั้นเหลืองระดับล่าง ขั้นเหลืองระดับกลาง และขั้นเหลืองระดับสูงบางส่วน
ในอดีต ศึกแย่งชิงสิทธิ์แต่ละครั้ง และในสิบสิทธิ์นั้น สมาชิกอัจฉริยะของสี่องค์กรใหญ่นั้นสามารถครอบครองสิทธิ์ได้มากกว่าครึ่งหนึ่ง
และในสี่องค์ใหญ่นั้น องค์กรนักล่ายุทธ์ครอบครองสิทธิ์สักส่วนใหญ่ สาเหตุหลักมาจากองค์กรนักล่ายุทธ์มีค่ายกลเพียบพร้อม กลั่นยา และอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์ในการหลอมอาวุธนั้นน้อยเกินไป ซึ่งทำให้อีกสามองค์กรนั้นดึงดูดคนที่เป็นอัจฉริยะเข้ามาอยู่ในองค์กรน้อยกว่า
อย่างไรก็ตาม เมื่อมีค่ายกลเพียบพร้อม กลั่นยา และอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์ด้านการหลอมอาวุธ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่พิเศษ
“ฮ่า ๆ หนุ่ม ๆ ทั้งหลายสามารถทำความรู้จักกันก่อน หวังว่าการประลองรอบแรกในวันพรุ่งนี้ พวกเจ้าจะสามารถช่วงชิงเป็นหนึ่งในสิบได้”
ประธานหยวนสงมองสมาชิกอัจฉริยะทั้งสิบสามคน รวมทั้งหลัวซิวด้วย และกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หลังจากนั้น หยวนสงกล่าวต่อไปว่า “ในบรรดาพวกเจ้า ถ้าใครสามารถได้สิทธิ์ของแดนปริศนา องค์กรจะให้รางวัลพวกเจ้าอย่างหนัก ไม่ว่าจะเป็นวิชายุทธ์ เกราะนักยุทธ์ หรือยาล้ำค่า และรับรองว่ารางวัลนั้นมากมาย จนทำให้พวกเจ้าประหลาดใจอย่างแน่นอน!”
อ่าน มหายุทธ์ สะท้านภพ บท 175
สำหรับรายละเอียดเฉพาะของรางวัลนั้น หยวนสงไม่ได้เปิดเผยแต่อย่างใด แต่ด้วยสถานะขององค์กรนักล่ายุทธ์ รางวัลนั้นไม่ธรรมดาแน่นอน
……
และการพักอยู่ในองค์กรนักล่ายุทธ์ชั่วคราว เวลาหนึ่งวันนั้นผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น หลัวซิวที่อยู่ในห้องก็ลืมตาขึ้นมาทันที และเขาได้ปรับสถานะของตนเองให้อยู่ในระดับสูงสุด
ไม่มีพลานุภาพที่เฉียบขาด ทุกพลังของเขาถูกยับยั้งจนสุดขีด และไอสังหารก็ถูกปกปิดไว้
ค่ายวาร์ปแบบสุ่มของแก๊งนักค่ายกล ถูกสร้างขึ้นในลานที่กว้าง และแต่ละครั้งนั้นสามารถส่งคนได้เป็นหมื่นในคราวเดียว และต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นหินพลังจิตจำนวนมากมาย
อัจฉริยะที่เข้าร่วมการประลองแต่ละคนได้รับยันต์หยกแดง และยันต์หยกขาว หลังจากทำการส่งคนไปสองครั้งแล้ว ทุกคนก็ปรากฏตัวขึ้นตามที่สถานที่สุ่มในป่าดงดิบ
ในกระบวนการส่งนั้น กาลเวลาเริ่มบิดเบี้ยว และหลังจากผ่านความมืดที่อยู่ตรงหน้าแล้ว ไม่นานความสงบก็กลับมาเยือนอีกครั้ง
หลัวซิวหรี่ตามองไปรอบ ๆ และเก็บยันต์สองชิ้นที่อยู่ในมือเอาไว้
ป่าดงดิบเงียบสงบ และบางครั้งก็จะมีเสียงสัตว์คำราม ลมพัดเบา ๆ และเสียงใบไม้ดังกรอบแกรบ
ในป่าดงดิบแห่งนี้มีผู้เข้าร่วมการประลองประมาณประมาณหนึ่งหมื่นคน หลังจากหลัวซิวเดินไม่นาน และรับรู้ถึงลมหายใจแห่งชีวิตที่เป็นของจอมยุทธ์
หลัวซิวกระโดด และผ่านป่าดงดิบไปอย่างรวดเร็ว และช่วงเวลาที่ผ่านมานั้นเขาได้ฝึกฝน‘พลังก่อรวมวิญญาณ’ แต่ยังไม่ได้ผนึกรวมการสำนึก จึงยังไม่สามารถเหาะเหินเดินฟ้าได้
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าจะสามารถเหาะเหินเดินฟ้าได้ แต่ถ้าเหาะเหินเดินฟ้าในเวลานี้ เขาจะกลายเป็นเป้าหมายของผู้อื่นได้อย่างง่ายดาย
นี่คือการล่า ซึ่งไม่ใช่การล่าอสุรกาย แต่เป็นการล่ามนุษย์!
ชายหนุ่มสวมชุดเกราะนักยุทธ์สีฟ้า และถือดาบยาวซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้ เขาซ่อนดาบและลมหายใจความระมัดระวัง มีแสงประกายอยู่ในดวงตาของเขาราวกับอสูรป่า
ชายหนุ่มมีรอยแผลเป็นบนใบหน้า และเขาเก่งในการต่อสู้เป็นอย่างมาก เขามีประสบการณ์เอาชีวิตรอดในป่าดงดิบมามากมาย และเขามีความมั่นใจเต็มที่ว่าจะได้รับอันดับที่ดีในการประลองการเอาตัวรอดรอบแรก
ชายหนุ่มไม่เคยคิดว่าตนเองจะติดหนึ่งในสิบ ปีนี้เขาอายุยี่สิบสี่ปี และมีผลการฝึกตนอยู่ในแดนพรสวรรค์ขั้น8 เขาเพียงแค่หวังว่าจะสามารถผลงานได้ดีในศึกแย่งชิงสิทธิ์ครั้งนี้ และเข้าตาองค์กรใหญ่ที่ทรงพลัง
ทันใดนั้น หูของเขาขยับเล็กน้อย และเขาได้ยินเสียงแผ่วเบาดังขึ้นกลางอากาศ
“มีคนมา”
ชายหนุ่มรู้สึกตึงเครียด และเตรียมพร้อมที่จะโจมตี ขอเพียงแค่เป้าหมายเข้ามาในระยะซุ่มโจมตี เขาก็จะทำการโจมตีทันที
ไม่นาน ชายหนุ่มที่สวมชุดดำปรากฏตัวขึ้น และดวงตาที่สดใสคู่นั้นมองตรงไปยังพุ่มไม้ที่เขาหลบซ่อนตัวอยู่
“แย่แล้ว ข้าถูกค้นพบแล้ว…….” ทำให้หัวใจของชายหนุ่มเต้นแรง
แม้ว่ากระแสสัมผัสพลังวิญญาณของหลัวซิวจะยังไม่ผนึกรวมเป็นการสำนึก แต่ความสามารถในการรับรู้ของเขาไม่ด้อยไปกว่าปรมาจารย์ฝึกจิต
โดยเฉพาะการรับรู้ถึงลมหายใจแห่งชีวิต ไม่ว่าวิธีการปกปิดของเขาจะยอดเยี่ยมแค่ไหน ขอแค่เป็นสิ่งมีชีวิต ก็ไม่มีอะไรต้องหลบซ่อน
ชายหนุ่มที่หลบซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้นั้นถูกค้นพบเป็นคนแรก ซึ่งถือว่าเขานั้นโชคร้ายที่ได้พบกับหลัวซิว
“มอบยันต์หยกขาวที่อยู่บนตัวเจ้าออกมา”
หลัวซิวเดินตรงเข้าไปทันที และเขาสัมผัสได้ถึงชายหนุ่มที่หลบซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้ และคลื่นพลังจิตแท้กระจายออกมาจากร่างกาย
“ลมปราณพลังจิตแท้ ฝึกจิตครึ่ง?”
สีหน้าของชายหนุ่มที่หลบซ่อนตัวเปลี่ยนไปมาก และแอบด่าตนเองที่โชคร้าย ได้พบกับยอดฝีมือระดับนี้ก่อน
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็ใช้วิชาท่าร่างทันที และหลบหนีด้วยความเร็วที่เร็วสุด
ในฐานะนักล่าที่มีประสบการณ์โชกโชน สิ่งแรกที่ต้องเตรียมพร้อมคือวิชาท่าร่างที่ยอดเยี่ยม
เนื่องจากการต่อสู้กับอสุรกายในป่าดงดิบ อาจเผชิญกับวิกฤตความเป็นและความตายได้ตลอดเวลา และความเร็วที่ยอดเยี่ยมของวิชาท่าร่างนั้น เป็นพื้นฐานของการช่วยชีวิต ซึ่งจะทำให้ตนเองมีชีวิตยืนยาวขึ้น
อาศัยความเร็วที่ยอดเยี่ยมของวิชาท่าร่าง ทำให้ชายหนุ่มรอดตายหลายครั้ง และเนื่องจากเขามีพรสวรรค์ไม่มากนัก เขาจึงดิ้นรนฝึกฝนไปจนถึงแดนพรสวรรค์ขั้น8
เขามั่นใจความเร็วในวิชาท่าร่างของตนเองเป็นอย่างมาก มีอยู่ครั้งหนึ่งเนื่องมาจากยาวิเศษระดับ4 ทำให้เขาเกิดความขัดแย้งกับจอมยุทธ์ใหญ่คนหนึ่ง ไม่กล่าวถึงเรื่องที่เขาอาศัยความเร็วของวิชาท่าร่างจนสามารถแย่งยาวิเศษมาได้ แล้วยังสามารถหลบหนีการไล่ล่าได้สำเร็จ
“บรรลุผลวิชาท่าร่างระดับ5?”
เมื่อเห็นท่าทางการหลบหนีของชายหนุ่ม หลัวซิวเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
นักฝึกยุทธ์ทั่วไปที่สามารถบรรลุผลวิชาท่าร่างระดับ5 นั้นน่าชื่นชมและน่าทึ่งมาก แต่สำหรับอัจฉริยะที่เกิดมาพร้อมกับพลังอันยิ่งใหญ่ มันไม่มีความหมายอะไรเลย
“ฮ่า ๆ เขาไม่ได้ตามมา คงเป็นเพราะเขารู้ว่าตามข้าไม่ทันแน่นอน”
ชายหนุ่มให้ความสนใจข้างหลังของตนเองอยู่ตลอดเวลา และพบว่าตนเองไม่ได้ถูกไล่ตาม สีหน้ามีความปิติ
แต่ครู่ต่อมา เพียบชั่วพริบตาเดียวรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาหยุดนิ่ง และเท้าคู่นั้นก็หยุดลงทันที สีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก!
########################
บทที่ 174 ศึกแย่งชิงสิทธิ์ (1)
เขตการปกครองโตว้ไห่กลับมาคึกคักอีกครั้ง นั่นเป็รเพราะชายหนุ่มชื่อ‘ซิวหลัว’ กลับมาสร้างความวุ่นวายอีกครั้ง
ซิวหลัวปรากฏตัวครั้งแรกที่บริเวณใกล้วัดกวนเหลย ตอนนั้นผลการฝึกตนยังเป็นแดนพรสวรรค์ขั้น6
เมื่อตอนที่เขาปรากฏตัวในเขตการปกครองโตว้ไห่ครั้งที่สอง ผลการฝึกตนของเขานั้นกลายเป็นแดนพรสวรรค์ขั้น9แล้ว
และครวนี้ซิวหลัวปรากฏตัวเป็นครั้งที่สาม เขาสามารถรอดพ้นจากมือของปรมาจารย์โลกยุทธ์ระดับแดนฝึกจิตขั้น9 โดยไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ!
ซึ่งได้ยืนยันแล้วว่าคราวนี้ร่างกายของซิวหลัวนั้นมีคลื่นพลังจิตแท้ และมันก็ผนึกรวมสมบูรณ์แล้ว ก้าวเข้าสู่แดนฝึกจิตครึ่งแล้ว
เขาปรากฏตัวสามครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งห่างกันไม่นาน ในเวลาเพียงไม่กี่เดือน ความก้าวหน้านั้นรวดเร็วมาก สามารถเรียกได้ว่าเป็นปีศาจ
ลู่เมิ่งเหยาประสบความสำเร็จบรรลุไปถึงแดนพรสวรรค์ขั้น3 และหลังจากที่ออกจากห้องแล้วนางก็ได้ยินเรื่องนี้ นางจึงไปเยี่ยมหลัวซิวทันที
เพียงแต่หลังจากหลัวซิวกลับมาในองค์กรนักล่ายุทธ์แล้วเขาก็ฝึกตนปิดขัง และฝึกฝน‘พลังก่อรวมวิญญาณ’อยู่ในห้องลับ โดยหวังว่าตนเองจะสามารถผนึกรวมการสำนึกได้โดยเร็ว และสามารถเหาะเหินเดินฟ้าได้
เวลาผ่านไปเรื่อย ๆ หลัวซิวและลู่เมิ่งเหยาต่างอยู่ในองค์กรนักล่ายุทธ์ตลอด ทำให้สำนักเหลยหวู่ไม่มีโอกาสลงมือใด ๆ
ไม่ทันได้รู้ตัว เหลือเวลาอีกหนึ่งปีก่อนที่แดนปริศนาจะเปิด และศึกแย่งชิงสิทธิ์กำลังจะจัดขึ้นเร็ว ๆ นี้
หัวหน้าแก๊งเสิ่นหยวนหนานกล่าวว่า เหวินเซวียนหงนั้นได้ฝึกตนปิดขังแล้ว เพื่อพยายามหาทางบรรลุราชายุทธ์ขั้น5 ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่เป็นโอกาสที่หายากสำหรับนักฝึกยุทธ์ที่ถูกพันธนาการอยู่ในราชายุทธ์ขั้น4 มาเป็นเวลานานนับร้อยปี
ดังนั้น เหวินเซวียนหงจึงไม่สามารถพาหลัวซิวไปเข้าร่วมศึกแย่งชิงสิทธิ์ในครั้งนี้ได้ ก่อนที่จะเขาจะฝึกตนปิดขัง เขามอบหมายให้เสิ่นหยวนหนานพาหลัวซิวไปที่นั่น
สำนักต่าง ๆ ในสิบสามเขตการปกครองของประเทศเทียนหวู จำเป็นต้องประลองเพื่อแย่งชิงสิบสิทธิ์นั้น และกระทั่งอาจไม่สามารถกระจายไปหนึ่งเขตการปกครองล่ะหนึ่งสิทธิ์
จากสิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าสิทธิ์ของแดนปริศนานั้นมีค่าเพียงใด
สถานที่จัดการประลองสำหรับศึกแย่งชิงสิทธิ์นั้น อยู่ในเขตการปกครองชิงฮัว และสำหรับสิบสามเขตการปกครองของประเทศเทียนหวู เขตการปกครองชิงฮัวถูกจัดเป็นอันดับที่หนึ่ง
ขณะที่ศึกแย่งชิงสิทธิ์ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ทำให้เขตการปกครองชิงฮัวคึกคักขึ้นมาด้วย เพราะสำนักจากทั่วสารทิศมารวมตัวกันที่นี่
แม้ว่าสุดท้ายจะมีเพียงสิบคนเท่านั้นที่จะได้รับสิทธิ์ไปแดนปริศนา แต่สำนักต่าง ๆ ยังคงส่งศิษย์หัวกะทิมาเข้าร่วม และหลายคนนั้นไม่ได้มาเพื่อแย่งชิงสิทธิ์ แต่เพื่อให้เหล่าลูกศิษย์ที่มีความอัจฉริยะในสำนักได้มาหาประสบการณ์กับการประลองที่ทุกคนต่างคาดหวังนี้
สำนักเหลยหวู่ หอหย่งชาง และตระกูลกงซุน ต่างมายืมค่ายวาร์ปกับองค์กรนักล่ายุทธ์ในเขตการปกครองโตว้ไห่
ถึงแม้ค่ายวาร์ปนี้จะสร้างโดยปรมาจารย์ระดับสูงของแก๊งนักค่ายกล แต่สำหรับเมืองใหญ่ในประเทศเทียนหวูนั้น มีเพียงองค์กรนักล่ายุทธ์เท่านั้นที่มีค่ายวาร์ป
หลัวซิวและคนอื่น ๆ กำลังเตรียมออกเดินทาง นำโดยหัวหน้าแก๊งเสิ่นหยวนหนาน โดยพาหลัวซิว หลินเจียเอ๋อร์ และลู่เมิ่งเหยานั่งค่ายวาร์ปเดินทางไป
เหตุผลที่พาลู่เมิ่งเหยาไปด้วย เป็นเพราะหลัวซิวไม่วางใจที่จะให้นางอยู่ในเขตการปกครองโตว้ไห่คนเดียว และการอยู่แต่ในองค์กรนักล่ายุทธ์ และไม่สามารถออกไปข้างนอกเป็นเวลานาน จะทำให้นางรู้สึกหดหู่
ค่าใช้จ่ายในการเดินทางข้ามเขตการปกครองนั้นไม่สูงนัก แต่คราวนี้เนื่องจากเป็นการเข้าร่วมศึกแย่งชิงสิทธิ์ในแดนปริศนา ทำให้หลัวซิวและคนอื่น ๆ ไม่ต้องจ่ายค่าเดินทาง
เขตการปกครองโตว้ไห่และเขตการปกครองชิงฮัวนั้นห่างไกลกันมาก และบางสถานที่นั้นไม่สามารถเดินทางด้วยค่ายวาร์ปได้
ดังนั้น หลัวซิวและคนอื่น ๆ เดินทางมาถึงเขตการปกครองชิงฮัวนั้น ใช้เวลาประมาณสองวัน
ระหว่างทาง จาการชี้แนะของหัวหน้าแก๊งเสิ่นหยวนหนาน ทำให้หลัวซิวรู้เรื่องราวเกี่ยวกับศึกแย่งชิงสิทธิ์ครั้งนี้คร่าว ๆ ไม่เพียงแต่จะมีลูกศิษย์อัจฉริยะจากสำนักต่าง ๆในสิบสามเขตการปกครองเข้าร่วมเท่านั้น แต่ยังมีอัจฉริยะของสี่องค์กรใหญ่ในสิบสามเขตการปกครองเข้าร่วมอีกด้วย ซึ่งสามารถกล่าวได้ว่าเป็นการรวมตัวของอัจฉริยะอย่างแท้จริง
ข้อจำกัดของศึกแย่งชิงสิทธิ์คือสำหรับผู้ที่มีอายุต่ำกว่าสามสิบปีเท่านั้น และผลการฝึกตนอยู่ในแดนพรสวรรค์ขึ้นไป ว่ากันว่ามีคนไม่น้อยได้ก้าวเข้าสู่แดนฝึกจิตแล้ว และมีผู้ที่อยู่ในแดนฝึกจิตครึ่งเหมือนหลัวซิวมากมาย
เป็นเรื่องยากมาก ที่จะโดดเด่นจากอัจฉริยะกลุ่มนี้และได้รับสิทธิ์
นอกจากนี้ ศึกแย่งชิงสิทธิ์ ไม่ใช่การประลองโดยตรงเพื่อตัดสินผู้ชนะหรือผู้แพ้ แต่จะต้องผ่านการประลองสามรอบ เพื่อชิงตำแหน่งสิบอันดับ
การประลองรอบแรก เป็นการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด!
ณ.แก๊งนักค่ายกลของเขตการปกครองชิงฮัว ได้มีสร้างค่ายวาร์ปไว้ อัจฉริยะทุกคนที่เข้าร่วมในศึกแย่งชิงสิทธิ์ จะถูกสุ่มส่งไปยังป่าดงดิบซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองหลายร้อยลี้
ในป่าดงดิบนั้น มีอสุรกายมากมาย พวกมันมีกรงเล็บที่ดุร้าย และยังมีอันตรายอยู่ทุกหนทุกแห่ง
อัจฉริยะที่เข้าร่วมประลองแต่ละคนจะได้รับยันต์หยกสองชิ้น คือยันต์หยกแดง และยันต์หยกขาว
เมื่อเผชิญกับอันตรายที่เป็นภัยคุกคามถึงชีวิต ขอเพียงแค่ขยี้ยันต์หยกแดง ก็จะถูกส่งตัวกลับมาในเมืองภายในพริบตา
และเมื่อกลับมาแล้ว ยันต์หยกขาวจะร่วงหล่น และยิ่งสะสมยันต์หยกขาวได้มากเท่าใด อันดับก็จะยิ่งสูงขึ้นมากเท่านั้น
ซึ่งหมายความว่าจะมีการต่อสู้ระหว่างอัจฉริยะที่เข้าร่วมประลอง เพราะแต่ละคนมียันต์หยกขาวเพียงชิ้นเดียว หากต้องการอันดับมากกว่านี้ ต้องแย่งชิงยันต์หยกขาวของผู้อื่น
หลังจากผ่านไปเจ็ดวัน สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้ถูกส่งตัวกลับมา ยันต์หยกแดงจะทำงานเองทันที และส่งทุกคนกลับมาในเมือง
“ผู้เข้มแข็งอยู่รอด ผู้แข็งแกร่งคือเจ้า นี่คือหนทางเอาตัวรอดสำหรับนักฝึกยุทธ์” หัวหน้าแก๊งเสิ่นหยวนหนานบอกกับหลัวซิวและหลินเจียเอ๋อร์ ถึงกฎของศึกแย่งชิงสิทธิ์
ไม่มีข้อจำกัดในการลงชื่อสำหรับศึกแย่งชิงสิทธิ์ ขอเพียงแค่มีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไข อายุต่ำกว่าสามสิบปี และผลการฝึกตนอยู่ในแดนพรสวรรค์ขึ้นไป ก็มีสิทธิ์ลงชื่อเข้าร่วมการประลอง
เนื่องจากมีผู้ลงชื่อเข้าร่วมการประลองมากมาย จึงมีจุดลงชื่อหลายร้อยจุดอยู่ในเขตการปกครองชิงฮัว
ถึงกระนั้นจุดลงชื่อหลักก็ยังเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย เพราะแดนปริศนา 30 ปีจะเปิดเพียงครั้งเดียว และจำกัดให้ผู้ที่มีอายุต่ำกว่าสามสิบปีเข้าไปเท่านั้น ซึ่งหมายความว่าตลอดชีวิตของทุกคนนั้นมีโอกาสเข้าไปครั้งเดียวเท่านั้น ถ้าพลาดแล้วก็จะไม่มีโอกาสอีก
สิบสามเขตการปกครองนั้นเป็นเมืองที่ใหญ่มาก และมีอัจฉริยะมากมาย ศึกแย่งชิงสิทธิ์ทุกครั้ง สร้างความโกลาหลวุ่นวายนับไม่ถ้วน จำนวนคนที่สมัครเข้าร่วมประลองนั้นเกือบหนึ่งแสนคนแล้ว!
เพราะไม่เพียงแค่มีนักฝึกยุทธ์อัจฉริยะจากสำนักต่าง ๆ ในสิบสามเขตการปกครองเท่านั้น แต่ยังรวมถึงอัจฉริยะบางคนที่ฝึกฝนด้วยตนเองที่ตรงตามเงื่อนไข ก็จะเข้าร่วมการประลองด้วย
ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อได้อันดับที่ดีหรือสร้างผลงานได้ดี บางทีอาจจะเข้าตาสำนักใหญ่ที่ทรงพลัง และนำไปบ่มเพาะความสามารถต่อไป
องค์กรนักล่ายุทธ์มีสถานะพิเศษ ดังนั้นหลัวซิวและหลินเจียเอ๋อร์จึงไม่ต้องเข้าแถวลงชื่อเข้าร่วมการประลอง หัวหน้าแก๊งเสิ่นหยวนหนานได้ติดต่อกับองค์กรนักล่ายุทธ์ในเขตการปกครองชิงฮัว ทำให้พวกเขาได้รับสิทธิ์เข้าประลองโดยตรง
องค์กรนักล่ายุทธ์ในเขตการปกครองชิงฮัว หลัวซิวและหลินเจียเอ๋อร์ยืนอยู่ด้านหลังหัวหน้าแก๊งเสิ่นหยวนหนาน
“ฮ่า ๆ ศิษย์พี่เสิ่น พวกเราไม่ได้พบกันหลายสิบปีแล้วใช่ไหม?”
ทันใดนั้นก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้นมา…….
########################
บทที่ 173 เจ้าไม่สามารถหลบหนีได้หรอก
“งั้นหรือ?”
หลัวซิวโค้งปากเล็กน้อย ทันใดนั้นร่างนั้นเป็นประกาย และเขาแสดงวิชาตามลมล่าจันทรา ราวกับลมกระโชก ซึ่งเร็วราวกับดาวตก
หลัวซิวไม่ได้คิดที่จะต่อสู้กับเล่อเผิงเฉิงตั้งแต่แรก เขารู้ว่าถึงแม้ความแข็งแกร่งของตนเองจะก้าวหน้าไปมาก แต่เขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของแดนฝึกจิตขั้น9
“คิดหนี? มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก”
ดวงตาของเล่อเผิงเฉิงประกายดุดัน เขาเหาะเหินเดินฟ้า และไล่ตามหลัวซิวไป
และจอมยุทธ์พรสวรรค์สี่คนที่ตามเล่อเผิงเฉิงมา ก็ไล่ตามมาเช่นกัน แต่ความเร็วนั้นช้ากว่ามาก และเพียงครู่เดียวก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ปรมาจารย์ฝึกจิตสามารถเหาะเหินเดินฟ้าได้ เมื่อเปรียบความเร็วแล้ว แม้ว่าวิชาตามลมล่าจันทราของหลัวซิวจะเป็นวิชายุทธ์ระดับ7 และเขาได้ฝึกฝนจนสำเร็จแล้ว แต่ไม่นานเขาก็ไล่ตามทัน
“ตายเสียเถอะ!”
เล่อเผิงเฉิงสะบัดมือและปล่อยพลังฝ่ามือ จากนั้นพลังจิตแท้พุ่งออกมา กลายเป็นตาข่ายขนาดใหญ่คลุมไปที่ร่างของหลัวซิว
เกิดความโกลาหลวุ่นวายบนถนน และเนื่องจากกลัวว่าตนเองจะได้รับผลกระทบ ทำให้ผู้คนที่เดินสัญจรไปมาต่างหลบหนีไปทั่วสารทิศ
ขณะที่เห็นว่าหลัวซิวกำลังจะถูกตาข่ายขนาดใหญ่ปกคลุม แต่ความเร็วของเขานั้นเพิ่มขึ้นทันที และร่างที่อยู่กลางอากาศนั้นเคลื่อนไปด้วยความประหลาด สามารถหลบหนีจากขอบเขตของตาข่ายขนาดใหญ่ได้
วิชาที่หลัวซิวใช้เป็นทักษะการสร้างพลังของวิชาดาบเร็ว
“ไอ้หนุ่ม เจ้าไม่สามารถหลบหนีได้หรอก!”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเล่อเผิงเฉิงหายไปอย่างไร้ร่องรอย เผยให้เห็นไอสังหารที่รุนแรงในดวงตา
เขาได้ตัดสินใจที่จะไม่ยั้งมือไว้ไมตรีอีกต่อไป และฆ่าหลัวซิวด้วยผลการฝึกตนที่ทรงพลังของปรมาจารย์โลกยุทธ์!
ขอเพียงแค่ฆ่าเขา ไม่ว่าจะเป็นความลับที่อยู่ในตัวเขา และไม่ว่าสิ่งที่ได้จะเป็นอะไร มันก็จะกลายเป็นของตนเอง
ดึงดาบออกจากแหวนเก็บของ พลานุภาพบนร่างของเล่อเผิงเฉิงปะทุขึ้นทันที และพลังจิตแท้ก็ถูกปลุกเสกเบิกเนตรลงบนดาบ
“ดาบดับอัสนีตก!”
วิชาที่เล่อเผิงเฉิงใช้คือวิชายุทธ์ขั้นสุดยอดระดับ6 และด้วยผลการฝึกตนของปรมาจารย์โลกยุทธ์ของเขานั้น มันทรงพลังกว่าวิชายุทธ์ระดับ7 ของหลัวซิวมาก!
ทักษะยุทธ์ที่นักฝึกยุทธ์ระดับต่ำแสดงออกมา ไม่ว่าจะระดับสูงเพียงใด ยังด้อยกว่าทักษะยุทธ์ทั่วไปที่นักฝึกยุทธ์ระดับสูงแสดงออกมา
นี่คือความแตกต่างและช่องว่างของผลการฝึกตน
แสงสีฟ้าประกายออกมาจากดาบ และกลายเป็นสายฟ้าพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ จนทำให้เกิดเสียงดัง
สายฟ้าที่พุ่งขึ้นต่อเนื่องก่อให้เกิดพายุใหญ่ และผู้คนที่เดินสัญจรไปมาบนถนนบางคน ที่ไม่มีเวลาหลบหนีก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ชั่วพริบตาผู้คนบาดเจ็บและเสียชีวิตนับสิบ
และขณะที่เขาแสดงทักษะยุทธ์ เล่อเผิงเฉิงได้ปล่อยพลานุภาพของปรมาจารย์โลกยุทธ์ แล้วตรึงหลัวซิวด้วยการสำนึก ทำให้เขาไม่สามารถหลบหนี ทำได้เพียงแค่ต่อต้านอย่างหนัก
เพราะตนเองนั้นเป็นแค่เพียงจอมยุทธ์พรสวรรค์เท่านั้น จะต้านทานการโจมตีของเขาได้อย่างไร?
อย่างไรก็ตาม เวลาต่อมาสีหน้าของเล่อเผิงเฉิงเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน พริบตาเดียวหลัวซิวนั้นหลุดพ้นจากการตรึงของการสำนึก
ไอสังหารที่พลุ่งพล่านวนอยู่รอบตัวหลัวซิว ราวกับกระแสน้ำวนสีแดงเลือด ไอสังหารทุกเส้นเป็นเหมือนแสงดาบสีเลือด ซึ่งเป็นพลานุภาพที่ไม่สามารถต้านทานได้
ห้วงยุทธ์กระบี่สังหาร!
ก่อนหน้านั้นหลัวซิอาศัยห้วงยุทธ์กระบี่สังหาร กระทั่งสามารถหลุดพ้นจากแรงกดดันที่มีพลานุภาพของยอดฝีมือราชายุทธ์เสิ่นหยวนหนานได้ นับประสาอะไรกับการตรึงการสำนึกของปรมาจารย์ฝึกจิต?
“ที่แท้เป็นห้วงยุทธ์นี่เอง!”
ไอสังหารในดวงตาของเล่อเผิงเฉิงยิ่งดุดันขึ้น ผลการฝึกตนของเขาอยู่ระดับแดนฝึกจิตขั้น9 แล้ว แต่เขายังไม่เข้าใจความลึกลับของห้วงยุทธ์ ซึ่งหลัวซิวนั้นเป็นแค่จอมยุทธ์พรสวรรค์ กลับสามารถควบคุมห้วงยุทธ์ได้?
คนเช่นนี้ปล่อยเอาไว้มิได้ มิเช่นนั้นต่อไปจะเกิดปัญหาไม่รู้จบ
“บูม ๆ ๆ……”
ลมพายุที่เกิดจากสายฟ้า ทำให้ห้องใต้หลังคาถล่มลงมา และฝุ่นปลิวกระจายไปทั่วท้องฟ้า
และการโจมตีครั้งนี้ไม่ได้เป็นอันตรายถึงชีวิต เพราะหลังจากหลัวซิวหลุดพ้นจากการตรึงของการสำนึกแล้ว เขาก็หลบหนีไปทันที
เป็นแค่จอมยุทธ์พรสวรรค์คนหนึ่งเท่านั้น แต่กลับทำให้ตนเองที่เป็นถึงปรมาจารย์โลกยุทธ์ที่มีเกียรติ ลงมือสามครั้งแล้วแต่ก็ไม่สามารถจับเขาได้
สิ่งนี้ทำให้สีหน้าของเล่อเผิงเฉิงเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก เขาปล่อยการสำนึกออกไป และตรึงร่างของหลัวซิวอย่างรวดเร็วอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้เล่อเผิงเฉิงรู้สึกหดหู่จนแทบกระอักเลือดคือตอนที่การสำนึกของเขาตรึงหลัวซิวอีกครั้ง แต่อีกฝ่ายนั้นกลับยืนอยู่หน้าประตูใหญ่ขององค์กรนักล่ายุทธ์แล้ว
สี่องค์กรใหญ่นั้นตั้งอยู่ไม่ไกลนัก และเล่อเผิงเฉิงลงมือถึงสามครั้งแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถจับตัวหลัวซิวได้ และปล่อยโอกาสให้หลัวซิวหนีเข้าไปในองค์กรนักล่ายุทธ์
ไอสังหารที่รุนแรงของดาบได้ทำลายการตรึงของการสำนึก และเล่อเผิงเฉิงจ้องมองหลัวซิวด้วยดวงตาที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
“ปรมาจารย์โลกยุทธ์ ก็แค่นั้น”
ห่างออกไปหลายร้อยเมตร หลัวซิวจ้องมองเล่อเผิงเฉิงอยู่กลางอากาศด้วยแววตาเยาะเย้ย
“เจ้า สมควรตาย!”
เล่อเผิงเฉิงรู้สึกโกรธแค้น แต่ภาพที่เสิ่นหยวนหนานลงมือฆ่าคนนั้นยังตรึงตาตรึงใจอยู่ ทำให้เขาไม่กล้าที่จะไล่ล่าไปที่หน้าประตูใหญ่ขององค์กรนักล่ายุทธ์
หลัวซิวยิ้มเยาะเย้ยอีกครั้ง และไม่อยากจะสนใจเขาอีก จากนั้นก็เดินเข้าไปในองค์กรนักล่ายุทธ์
“ไอ้หนุ่ม ผนึกปราณสมบูรณ์ ฝึกจิตครึ่งแล้ว?”
ทันทีที่หลัวซิวกลับมาถึง เขาก็พบกับท่านหัวหน้าแก๊งเสิ่นหยวนหนาน
ดวงของหัวหน้าแก๊งเสิ่นเป็นประกาย และจ้องมาที่เขา “ผลการฝึกตนของไอ้หนุ่มนั้นสูงกว่าเจ้าหนึ่งแดนใหญ่ แต่เจ้าสามารถหลบหนีจากเงื้อมมือของเขาได้ เจ้านี่เก่งใช่ย่อย”
เสิ่นหยวนหนานเป็นผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ขั้น5 และมีการสำนึกที่ทรงพลัง เขาสามารถมองเห็นภาพที่เกิดขึ้นภายนอกเมื่อสักครู่ได้อย่างชัดเจนโดยผ่านการสำนึก
หลัวซิวยิ้มเล็กน้อยและกล่าวอย่างถ่อมตนว่า “ถ้าผู้อาวุโสไม่ช่วยข้า อย่างน้อยข้าต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะถึงขั้นนี้”
สำหรับเรื่องนี้ เสิ่นหยวนหนานมุ่ยปาก “นั่นเป็นเพราะเจ้ามีความสามารถ ที่สามารถฝ่าฟันแรงกดดันจากความเป็นและความตายจนบรรลุได้”
เมื่อกล่าวถึงเหตุการณ์นั้น ด้วยสภาพจิตใจของเสิ่นหยวนหนานที่มีชีวิตอยู่มาหลายร้อยปีแล้ว เขารู้สึกชื่นชมในความเด็ดเดี่ยวและความกล้าหาญของชายหนุ่มที่อายุสิบห้าปีคนนี้
อย่างน้อยที่สุด ตอนสมัยที่เขายังเป็นหนุ่มนั้นเขาไม่เคยมีเจตจำนงที่มั่นคงและเชื่อมั่นในวิชายุทธ์ มิเช่นนั้นเขาจะไม่มีวันหยุดอยู่ที่แดนราชายุทธ์
เจตจำนงและความเชื่อไม่ใช่สิ่งที่คิดว่ามีมันก็จะมี ซึ่งมันสามารถเข้าใจได้ แต่ไม่สามารถถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูดได้
“ผู้อาวุโส ตอนนี้ข้าอยู่ในแดนฝึกจิตครึ่งแล้ว ไม่รู้ว่าต้องทำได้อย่างไรถึงจะสามารถเหาะเหินเดินฟ้าได้?”
หลัวซิวอดไม่ได้ที่จะแสดงความสงสัยที่อยู่ภายในใจออกมา ก่อนหน้านั้นตอนอยู่ในสำนักยุทธ์ชิงหยุน ผลการฝึกตนของเจ้าสำนักยุทธ์นั้นอยู่ในแดนฝึกจิตครึ่ง แต่เขาสามารถเหาะเหินเดินฟ้าได้
และตอนนี้ หลัวซิวก็บรรลุถึงแดนเดียวกันแล้ว แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจวิธีเหาะเหินเดินฟ้า
ถ้าเขาสามารถเหาะเหินเดินฟ้าได้ เขาก็จะสามารถเพิ่มความเร็วของตนเองได้ และเขาสามารถฝึกการหลบหนีที่บันทึกไว้ในวิชาท่าร่างระดับ7 ตามลมล่าจันทรา
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เสิ่นหยวนหนานเบิกตากว้าง และอดไม่ได้ที่จะหัวเราะและดุว่า “ไอ้หนุ่ม เจ้านั้นละโมบมากเกินไปแล้ว การเหาะเหินเดินฟ้านั้นต้องเป็นปรมาจารย์ฝึกจิตเท่านั้นถึงจะสามารถทำได้ ส่วนพวกที่อยู่ในแดนฝึกจิตครึ่งที่สามารถเหาะเหินเดินฟ้าได้นั้น เป็นเพราะหลังจากที่พวกเขาผนึกรวมการสำนึก แล้วฝึกพลังจิตแท้หลายสิบปีถึงจะสามารถทำได้”
“และไอ้หนุ่มอย่างเจ้า เพิ่งเข้าสู่แดนฝึกจิตครึ่ง และยังไม่ได้ผนึกรวมการสำนึก ก็อยากจะเหาะเหินเดินฟ้าแล้วหรือ?”
“ถ้าต้องการเหาะเหินเดินฟ้า จำเป็นต้องฝึกการสำนึก และการสำนึกจะผนึกรวมและไหลเวียนอยู่ในสติแล้ว ถึงจะสามารถหลุดพ้นจากพันธนาการแห่งสวรรค์และโลกได้ หลังจากผนึกรวมการสำนึกแล้ว เจ้าจะเข้าใจด้วยตนเอง”
########################
บทที่ 172 ยอมให้จับโดยไม่ขัดขืน
หลังจากเห็นหลัวซิวเดินออกไปจากองค์กรนักล่ายุทธ์แล้ว โสว่หยวนโหย่วก็เดินตามออกไป ถ้ามีคนจากสำนักเหลยหวู่มาทำร้ายเขา ตนเองสามารถช่วยเขาได้ เมื่อเป็นเช่นนั้นเขาก็จะได้ติดหนี้บุญคุณตนเอง
“เป้าหมายปรากฏตัวแล้ว คนผู้นี้น่าจะเป็น‘หลัวซิว’!”
“ข้าจะไปรายงานผู้คุมกฎเล่อ พวกเจ้าคอยจับตาดูให้ดี”
“ศิษย์พี่วางใจเถอะ ‘หลัวซิว’เจ้านั้นช่างใจกล้านัก หลังจากล่วงเกินสำนักเหลยหวู่ของพวกเราแล้ว ยังจะกล้าออกมาเดินวางมาดอีก”
นักฝึกยุทธ์ของสำนักเหลยหวู่หลายคนที่นั่งแกร่วอยู่ใกล้ประตูขององค์กรนักล่ายุทธ์ สังเกตเห็นหลัวซิวเดินออกมา จึงแอบกระซิบกระซาบทันที
หลัวซิวเหลือบมองไปยังสถานที่ซ่อนตัวของคนเหล่านั้นโดยตั้งใจและเหมือนไม่ตั้งใจ จากนั้นถอนสายตา แล้วเดินมุ่งหน้าไปที่แก๊งนักหลอมอาวุธ
สำหรับนักฝึกยุทธ์พวกนั้นคิดว่าหลัวซิวยังไม่รู้ว่าพวกเขาหลบซ่อนอยู่ที่นี่ ซึ่งหลัวซิวนั้นไม่เคยเห็นพวกเขาอยู่ในสายตา
เขาคาดเดาว่าการที่คนเหล่านี้ไม่ได้ลงมือทันที น่าจะเป็นเพราะพวกเขากำลังไปเชิญปรมาจารย์ฝึกจิตอยู่ และแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะเชิญราชายุทธ์มา ตามรายงานของสำนักเหลยหวู่แล้ว ตนเองนั้นยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะเรียกร้องให้ราชายุทธ์เป็นคนออกโรงเอง
ยอดฝีมือที่สามารถฝึกฝนจนถึงแดนราชายุทธ์ ล้วนมีความเย่อหยิ่งของยอดฝีมือราชายุทธ์ และเป็นเรื่องปกติที่จะดูถูกเหยียดหยามเด็กรุ่นหลังระดับล่าง
ปกติสี่องค์กรใหญ่มักจะอยู่ห่างกันไม่มากนัก และไม่นานหลัวซิวก็มาถึงแก๊งนักหลอมอาวุธ
เหตุผลที่เขามาที่นี่ก็เพื่อจะซื้อธงค่าย เพราะไม่ว่าจะยังไงตนเองนั้นก็เป็นอาจารย์ค่ายกลขั้น5 ถ้าไม่ใช้ประโยชน์แล้ว มันก็จะทำให้ความสามารถที่มีอยู่นั้นสูญเปล่า?
แม้ว่าตอนนี้กระแสสัมผัสพลังวิญญาณของเขาจะยังไม่ได้เปลี่ยนเป็นการสำนึก แต่ก็ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก และเขาสามารถควบคุมธงค่ายเพื่อการสร้างค่ายกลระดับ4 ได้แล้ว
ธงค่ายยังถูกแบ่งออกเป็นระดับต่าง ๆ ตามระดับของค่ายกล เขาต้องการสร้างค่ายกลระดับ4 ซึ่งจำเป็นต้องมีธงค่ายขั้น4
ราคาของธงค่ายขั้น4หนึ่งชุดนั้นขึ้นอยู่กับคุณภาพของวัสดุ ต้องใช้หินพลังจิตประมาณสี่ถึงห้าพันก้อน
แน่นอน นี่หมายถึงธงค่ายที่ว่างเปล่า ซึ่งเป็นค่ายกลที่ไม่มีลายเส้นและสัญลักษณ์ใด ๆ
หากเป็นชุดธงค่ายขั้น4ที่สามารถสร้างค่ายกลได้โดยตรง ราคาจะสูงกว่านี้มาก ซึ่งต้องใช้หินพลังจิตหลายหมื่นก้อนถึงจะสามารถซื้อได้
หลัวซิวซื้อธงค่ายวางเปล่าขั้น4หนึ่งชุด และถ้าเป็นธงค่ายที่มีลายเส้นและสัญลักษณ์สมบูรณ์แล้ว จะมีขายที่แก๊งนักค่ายกลเท่านั้น
“ในฐานะที่ขาเป็นอาจารย์ค่ายกลขั้น5 แม้ว่าข้าจะยังไม่มีการสำนึก แต่ก็น่าจะสามารถสลักลายเส้นและสัญลักษณ์ของค่ายกลระดับ4 บนธงค่ายที่ว่างเปล่าได้?”
หลังจากยื่นหินพลังจิตแล้ว หลัวซิวเก็บธงค่ายที่ว่างเปล่าไว้ โดยคิดเช่นนั้นอยู่ในใจ
ขณะที่หลัวซิวเดินออกมาจากแก๊งนักหลอมอาวุธ เขาขมวดคิ้ว และเห็นว่าเล่อเผิงเฉิงรออยู่ข้างนอกพร้อมกับจอมยุทธ์พรสวรรค์ของสำนักเหลยหวู่
“หลัวซิว พวกเราพบกันอีกแล้ว”
ด้านนอกของ แก๊งนักหลอมอาวุธ เล่อเผิงเฉิงมองหลัวซิวด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก
เขาเป็นปรมาจารย์โลกยุทธ์ระดับแดนฝึกจิตขั้น9 ถ้าอยู่ภายใต้น้ำมือของเขาเองแล้ว เว้นเสียแต่ว่าหลัวซิวจะได้รับการคุ้มครองจากยอดฝีมือขององค์กรนักล่ายุทธ์ มิเช่นนั้นหลัวซิวไม่สามารถหลบหนีไปได้อย่างแน่นอน
สีหน้าของหลัวซิวราบเรียบ เพียงแค่มองเล่อเผิงเฉิงด้วยสายตาที่เย็นชา และมีจอมยุทธ์พรสวรรค์อยู่ข้างหลังเขาอีกสี่คน น่าจะเป็นคนที่เฝ้าอยู่บริเวณประตูขององค์กรนักล่ายุทธ์ก่อนหน้านั้น
เหตุผลที่ว่าทำไมพวกเขาถึงได้ส่งคนมาแค่นี้ ซึ่งแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเล่อเผิงเฉิงมีความมั่นใจในความแข็งแกร่งของตนเองมาก และไม่ต้องการความช่วยเหลือจากผู้อื่น
“คนผู้นี้คือ ‘หลัวซิว’ ใช่ไหม? ดูแล้วยังอายุน้อยอยู่เลย”
“อายุน้อยก็เก่งขนาดนี้ ถ้าต่อไปเติบโตขึ้นแล้วมันจะน่าทึ่งขนาดไหน?”
“แต่น่าเสียดายคราวนี้คนที่ลงมือคือผู้คุมกฎเล่อของสำนักเหลยหวู่ เขาเป็นถึงปรมาจารย์โลกยุทธ์ และที่นี่ก็ไม่ใช่องค์กรนักล่ายุทธ์ ไม่มีใครสามารถปกป้องเขาได้”
ขณะนี้มีคนมากมายเฝ้าดูอยู่รอบ ๆ และต่างก็วิพากษ์วิจารณ์ต่าง ๆ นานา
เล่อเผิงเฉิงจ้องมองหลัวซิว และพบว่าเมื่อเผชิญหน้ากับตนเองแล้ว ชายหนุ่มคนนี้ไม่ได้ประหม่าหรือกลัวแม้แต่น้อย ซึ่งทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเล็กน้อย
“หลัวซิว เพื่อเห็นแก่หน้าหลานสาวเมิ่งเหยา ขอเพียงแค่เจ้ายอมให้จับโดยไม่ขัดขืน ข้าก็จะไม่ทำร้ายเจ้า” เล่อเผิงเฉิงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
“ยอมให้จับโดยไม่ขัดขืน?”
หลัวซิวยิ้มเยาะเย้ย การยอมให้จับโดยไม่ขัดขืนนั้นต่างอะไรกับการรนหาที่ตาย?
ไม่กล่าวถึงเรื่องที่ว่าตนเองได้สังหารยอดฝีมือของสำนักเหลยหวู่ไปมากมาย แม้แต่สายตาที่เล่อเผิงเฉิงมองตนเองนั้นก็มีแววละโมบ และมีความคิดละโมบอยากได้ความลับจากตนเองแน่นอน
บางครั้ง สัญชาตญาณของนักฝึกยุทธ์นั้นไวมาก และหลัวซิวเชื่อในสัญชาตญาณของตนเอง เล่อเผิงเฉิงไม่มีเจตนาดีต่อตนเองอย่างแน่นอน
“ถ้าอยากจะจับข้า มันก็ขึ้นอยู่กับว่าผู้คุมกฎเล่อมีความสามารถนั้นหรือไม่?”
หลัวซิวกล่าวอย่างเย็นชา และก้าวเดินไปข้างหน้า
“คนที่ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี!” รอยยิ้มบนใบหน้าของเล่อเผิงเฉิงหายไปทันที และร่างกายของเขาก็กลายเป็นภาพลวงตาทันที
ด้วยผลการฝึกตนของปรมาจารย์โลกยุทธ์ ซึ่งการมองด้วยตาเปล่านั้นยากที่จะจับร่องรอยได้ ต้องอาศัยการสำนึกเท่านั้นที่จะสามารถตอบสนองได้
อาศัยพลังการสำนึกและพลังจิตแท้ ปรมาจารย์ฝึกจิตสามารถบดขยี้จอมยุทธ์พรสวรรค์ได้อย่างง่ายดาย
เพียงแต่ชั่วพริบตา เล่อเผิงเฉิงก็ปรากฏตัวต่อหน้าหลัวซิว ยื่นมือหนึ่งออกมา พลังจิตแท้ผนึกรวมบนฝ่ามือ อากาศสั่นสะท้าน นิ้วทั้งห้ากางออกไป จากนั้นก็ล็อกคอหลัวซิวเอาไว้
การเคลื่อนไหวนี้เล่อเผิงเฉิงไม่ได้ใช้ทักษะยุทธ์ใด ๆ ด้วยผลการฝึกตนของปรมาจารย์โลกยุทธ์จัดการกับจอมยุทธ์พรสวรรค์ ถ้าเขายังใช้ทักษะยุทธ์ มันคงกลายเป็นเรื่องตลก
ถึงกระนั้น พลังจิตแท้ผนึกรวมในมือนั้นรวดเร็วมาก และแข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ กล่าวได้ว่าไม่เกรงกลัวสิ่งที่รออยู่ข้างหน้า
ภายใต้มือนั้น แม้แต่ฝึกจิตขั้นปฐมภูมิก็ยากที่จะต้านได้
โสว่หยวนโหย่วที่อยู่กลางฝูงชนจ้องมองฉากนี้ รูม่านตาของเขาหดลง และเตรียมพร้อมที่จะช่วยหลัวซิวตลอดเวลา
และขณะนี้เอง หลัวซิวเคลื่อนไหวทันที เขาปล่อยพลังหมัดออกไปทันที แล้วกระแทกกับฝ่ามือของเล่อเผิงเฉิง
เมื่อเห็นฉากนี้ทำให้ทุกคนประหลาดใจ ไอ้หนุ่มคนนี้บ้าไปแล้วเหรอ?
ผลการฝึกตนของจอมยุทธ์พรสวรรค์ปะทะกับพลังจิตแท้ของปรมาจารย์โลกยุทธ์?
เขาคิดว่าตนเองเป็นร่างยุทธ์สูงสุดหรือ?
สีหน้าของเล่อเผิงเฉิงแสดงความตกใจเล็กน้อย จากนั้นยิ้มเยาะทันที เขารู้ว่าหลัวซิวแสดงความสามารถทางร่างเนื้อของร่างยุทธ์ชั้นสูงในนามของ‘ซิวหลัว’ที่บริเวณใกล้วัดกวนเหลย
กล่าวได้ว่าร่างยุทธ์ชั้นสูงนั้นเป็นวีรบุรุษต่อหน้าจอมยุทธ์พรสวรรค์ แต่ต่อหน้าปรมาจารย์โลกยุทธ์อย่างเขาแล้ว ยังไม่มีคุณสมบัติที่จะทำให้เขาสนใจ
หมัดของหลัวซิวปะทะกับฝ่ามือของเล่อเผิงเฉิงอย่างรุนแรง
พลังจิตแท้ของปรมาจารย์โลกยุทธ์นั้นแข็งราวกับเหล็ก และถึงแม้ร่างกายของหลัวซิวยังไม่ถึงระดับร่างยุทธ์สูงสุด แต่หลังจากการเปลี่ยนแปลงผู้เป็นอมตะคราวที่แล้ว ด้วยพลังของร่างยุทธ์ชั้นสูงนั้นสามารถเปรียบได้กับร่างยุทธ์สูงสุดทั่วไปแล้ว
นี่ยังหมายความว่าร่างกายของเขานั้นเทียบเท่ากับนักยุทธ์ระดับสูง
“บูม!”
พลังอันแข็งแกร่งถูกส่งผ่านไป ซึ่งเป็นพลังที่ดุร้าย ทำให้สีหน้าของเล่อเผิงเฉิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย
อย่างไรเสียผลการฝึกตนของปรมาจารย์โลกยุทธ์นั้นไม่ใช่ชื่อเสียงที่จอมปลอม เล่อเผิงเฉิงนั้นสามารถขจัดพลังที่ดุร้ายนั้นได้อย่างง่ายดาย และร่างกายของเขายังคงนิ่ง
ฝ่ายหลัวซิวนั้นกลับถอยออกไปกว่าสิบเมตร
“แดนฝึกจิตขั้น9 ไม่ใช่สหาย ก็คือศัตรู”
หลัวซิวหรี่ตาลงเล็กน้อย หมัดมือขวาของเขานั้นชาและเจ็บปวดมาก หากเขาไม่เคยประสบกับการเปลี่ยนแปลงผู้เป็นอมตะ แล้ว เขาอาจจะไม่สามารถรับการโจมตีเมื่อสักครู่ได้
“สามารถรับมือของข้าได้หนึ่งกระบวนท่า ทำให้ข้าตกใจยิ่งนัก น่าเสียดายที่เจ้ายังเด็กเกินไป ถ้าให้เวลาเจ้าอีกสิบปี ข้าจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า”
เล่อเผิงเฉิงยิ้มเยาะเย้ยและกล่าวว่า “แต่เกรงว่าเจ้าจะไม่มีเวลามากขนาดนั้นแล้ว”
“งั้นหรือ?”
########################
บทที่ 171 ความเป็นห่วงของผู้อาวุโส
หลังจากขายทุกอย่างให้องค์กรนักล่ายุทธ์แล้ว หลัวซิวได้รับหินพลังจิตชั้นล่างเป็นจำนวนทั้งหมดห้าหมื่นก้อน
เขายังมีของดีอยู่ในมืออีกหลายชิ้น เช่นหนังเสือ กระดูกเสือ พลังและเลือดของเสือสองหัวเขมือบลึก และยาอสูร!
การต่อสู้ระหว่างนักฝึกยุทธ์ นอกจากตัวนักยุทธ์แล้ว เกราะนักยุทธ์นั้นเป็นเกราะป้องกันที่ขาดไม่ได้เช่นกัน
เสือสองหัวเขมือบลึกเป็นอสูรระดับ5 ถ้าปรมาจารย์หลอมอาวุธระดับ5 เป็นคนหลอมเกราะหนัง มันจะสามารถต้านการโจมตีของกองทัพดินได้ และถึงแม้จะเป็นนักยุทธ์ระดับชั้นล่าง ยังสามารถตอบโต้การโจมตีส่วนใหญ่ได้ ซึ่งมันเป็นของดีที่สามารถนำมาช่วยชีวิตได้
เพียงแต่เกราะนักยุทธ์ระดับเดียวกันนั้น มีราคาแพงกว่านักยุทธ์ระดับเดียวกันมาก ดังนั้นแม้ว่าจอมยุทธ์จำนวนมากจะมีหินพลังจิต แต่พวกเขาก็ใช้มันเพื่อฝึกฝนพัฒนาผลการฝึกตน โดยทั่วไปแล้วจะไม่ยอมเสียหินพลังจิตมากมายเพื่อไปซื้อเกราะนักยุทธ์ที่ราคาค่อนข้างแพง
เกราะนักยุทธ์ระดับล่างไม่ค่อยมีประโยชน์มากนัก ส่วนเกราะนักยุทธ์ระดับสูงนั้นแพงเกินไป ดังนั้นหลัวซิวจึงเห็นจอมยุทธ์ที่สวมเกราะนักยุทธ์เพียงไม่กี่คนเท่านั้น
สำหรับกระดูกและฟันของเสือสองหัวเขมือบลึกแล้ว เป็นวัตถุดิบสำหรับการกลั่นของกองทัพดิน และมูลค่าของมันนั้นไม่ต่ำอย่างแน่นอน พลังและเลือดสามารถนำมาสลักยันต์ ส่วนยาอสูรระดับ5นั้นเป็นที่ชื่นชอบของนักกลั่นยา
ยาอสูร ประกอบด้วยพลังงานบริสุทธิ์ที่ผนึกรวมจากพลังจิตของอสุรกาย และต้องเป็นอสุรกายระดับ5 ขึ้นไปเท่านั้นถึงจะสามารถผนึกรวมได้
ยาอสูรนั้นแตกต่างจากลูกแก้วโลหิตที่ได้จากอสูรกายในแดนนานาอสูร และจอมยุทธ์นั้นไม่สามารถดูดซับพลังอสุรกายที่อยู่ในนั้นได้โดยตรง มีเพียงนักกลั่นยาที่ใช้ยาวิเศษหลายชนิด ถึงจะสามารถขจัดพลังอสูรที่อยู่ภายในนั้นได้ แล้วเปลี่ยนเป็นพลังจิตที่บริสุทธิ์ ถึงจะสามารถให้นักฝึกยุทธ์กลืนกินได้
หลังจากที่นักกลั่นยาได้กลั่นยาอสูรระดับ5แล้ว ยอดฝีมือราชายุทธ์สามารถนำยาไปใช้เพื่อบรรลุถึงแดนเล็กได้ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความล้ำค่าของยา
เหตุผลที่หลัวซิวไม่นำของดีเหล่านั้นออกมา นั่นเป็นเพราะตนเองนั้นอ่อนแอเกินไป อย่างไรเสีย เสือสองหัวเขมือบลึกนั้นเป็นอสูรระดับ5 แม้แต่ราชายุทธ์จะฆ่ามันก็เป็นเรื่องยาก ซึ่งทำให้เขายากที่จะอธิบายเรื่องนี้
แม้ว่าเขาจะสร้างเรื่องโกหกเพื่ออธิบาย แต่คนอื่นอาจจะไม่เชื่อ
ก่อนที่อาการบาดเจ็บจะหาย เพื่อหลีกเลี่ยงที่จะตกเป็นเป้าหมายของสำนักเหลยหวู่ ทำให้หลัวซิวไม่กล้าออกจากองค์กรนักล่ายุทธ์
หลังจากเวลาผ่านไป อาการบาดเจ็บของหลัวซิวค่อย ๆ ฟื้นตัวจากการไหลเวียนตามธรรมชาติของผู้เป็นอมตะ และเมื่อถึงเวลานั้นร่างของเขาเกือบจะเต็มไปด้วยปราณแท้ปราณเป็นตาย2ระดับ และเขาสามารถผนึกรวมพลังจิตแท้ปราณเป็นตาย2ระดับได้โดยตรง
เมื่อผนึกรวมเป็นพลังจิตแท้แล้ว ถือว่าได้ผ่านธรณีประตูแห่งการฝึกจิตไปครึ่งหนึ่งแล้ว และทั้งหมดนั้นก็เพื่อการฝึกจิตครึ่ง
นักฝึกยุทธ์อื่น ๆ จะผนึกรวมการสำนึกก่อน เพราะการผนึกรวมพลังจิตแท้นั้นต้องใช้เวลานาน
แต่เขานั้นกลับผนึกรวมพลังจิตแท้ก่อน แต่ยังไม่ได้ผนึกรวมการสำนึก
ดังนั้น ในช่วงเวลาที่ร่างกายของเขากำลังฟื้นตัว หลัวซิวจึงตั้งใจฝึกฝน‘พลังก่อรวมวิญญาณ’ และเมื่อกระแสสัมผัสพลังวิญญาณผนึกเป็นการสำนึกแล้ว ด้วยพลังของการสำนึกและพลังจิตแท้ จะสามารถบรรลุไปถึงแดนฝึกจิตได้
เมื่อก้าวสู่แดนฝึกจิตแล้ว ก็จะกลายเป็นปรมาจารย์โลกยุทธ์ ซึ่งในประเทศเทียนหวูแล้วสามารถถือว่าเป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง และสามารถปกป้องตนเองได้
ลู่เมิ่งเหยาฝึกฝนอย่างหนักเช่นกัน นางเป็นคนที่มีความสามารถมาก บวกกับหินพลังจิตและยาพรสวรรค์ระดับ3 ที่ได้รับจากหลัวซิว ทำให้ผลการฝึกตนของนางก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว และไม่นานนางก็จะบรรลุไปถึงแดนพรสวรรค์ขั้น3แล้ว
วันนี้ หลัวซิวนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องลับ ดวงตาที่ปิดของเขาลืมขึ้นมาทันที และมีความปีติปรากฏบนใบหน้า
ทุกครั้งที่กระตุ้นผู้เป็นอมตะ เหมือนได้เกิดใหม่ เพราะนี่คือการเปลี่ยนแปลงที่ผ่านความเป็นและความตาย ซึ่งบ่งบอกถึงความลึกลับของความเป็นและความตาย
เป็นไปตามที่เขาคาดการณ์ไว้แต่แรก ปราณแท้ปราณเป็นตาย 2 ระดับได้ชุบและผนึกรวมในร่างกายนับครั้งไม่ถ้วน และตอนนี้มันได้กลายเป็นพลังจิตแท้ที่ใกล้จะหนาแน่นแล้ว
ไม่เพียงเท่านั้น แม้ว่าระดับที่บรรลุถึงร่างเนื้อของเขานั้นจะยังไม่ได้รับการปรับปรุง แต่เส้นลมปราณของเขากว้างขึ้นและแข็งแกร่งขึ้น
การที่เส้นลมปราณกว้างขึ้นและแข็งแกร่งขึ้น นั่นหมายความว่ามันสามารถต้านและรองรับพลังที่แข็งแกร่งกว่าได้ และตอนที่ไหลเวียนเพื่อกระตุ้นพลังจิตแท้ สามารถระดมพลังที่มากขึ้นเพื่อต่อสู้กับศัตรูทันที
นอกจากนี้ ร่างกายได้ผ่านการเกิดใหม่ ถึงแม้จะเป็นร่างยุทธ์ชั้นสูงของแดนร่างเนื้อ แต่มันแข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อน และเกือบถึงระดับร่างยุทธ์สูงสุดทั่วไป
หลัวซิวรู้สึกว่าตอนนี้ถ้าเขาเผชิญหน้ากับผู้ที่มีผลการฝึกตนอยู่ในระดับฝึกจิตขั้น2 เขาจะสามารถฆ่าคู่ต่อสู้ได้อย่างง่ายดาย
ไม่จำเป็นต้องกลัวผู้ที่มีผลการฝึกตนอยู่ในระดับฝึกจิตขั้น1จนถึงฝึกจิตขั้น3แล้ว
ถึงแม้จะเป็นการฝึกจิตช่วงกลางขั้น4ก็ยังสามารถต่อสู้แบบตัวต่อตัวได้ และถ้าหากใช้พลังของห้วงยุทธ์กระบี่สังหาร แล้ว การฆ่าคู่ต่อสู้นั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องยาก
เมื่อเทียบกับการความก้าว หน้าทางด้านผลการฝึกตนแล้ว ช่วงเวลานี้การฝึกฝน‘พลังก่อรวมวิญญาณ’ของหลัวซิวนั้นก้าวหน้าไม่มากนัก
เพราะการผนึกรวมพลังวิญญาณนั้นยากกว่าการพัฒนาผลการฝึกตน
“คราวนี้ หัวหน้าแก๊งเสิ่นช่วยข้าได้มาก อย่างน้อยก็ช่วยให้ข้าไม่ต้องฝึกฝนอย่างหนักเป็นเวลาหลายปี!”
หลังจากเดินออกมาจากห้องลับแล้ว หลัวซิวเดินมาถึงประตูห้องของลู่เมิ่งเหยา พบว่านางกำลังฝึกฝนอยู่ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้รบกวน
หลังจากนั้น เขาก็เดินออกไป และเดินมาที่ห้องโถงขององค์กรนักล่ายุทธ์
“สีหน้าของท่านชายหลัวดูมีความสุข อาการบาดเจ็บหายดีแล้วใช่ไหม?”
ในห้องโถง หลัวซิวเห็นผู้อาวุโสโสว่หยวนโหย่วถามด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณ สำหรับความเป็นห่วงของผู้อาวุโสโสว่ ข้าหายดีแล้ว” หลัวซิวตอบด้วยรอยยิ้ม
“ท่านชายหลัวกำลังจะออกไปข้างนอกหรือ? ถึงแม้ว่าคนของสำนักเหลยหวู่จะไม่กล้ามาหาเรื่องที่นี่แล้ว แต่ก็ยังมีคนแอบซุ่มอยู่” โสว่หยวนโหย่วกล่าวเตือน
สำหรับเรื่องนี้ หลัวซิวยิ้มและกล่าวว่า “ไม่เป็นไร ข้ากำลังอยากจะออกไปยืดเส้นยืดสายอยู่พอดี”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ โสว่หยวนโหย่วแสดงความประหลาดใจ แอบคิดว่าหลัวซิวเป็นคนที่กลัวว่าโลกจะไม่วุ่นวาย ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เขาทำให้เกิดการต่อสู้หลายครั้งในเขตการปกครองโตว้ไห่
“ถ้าเมื่อก่อนมีคนหลบซ่อนตัวอยู่ในองค์กร แล้วกองกำลังจากทั่วสารทิศจะพาคนบุกมาถึงประตู ท่านหัวหน้าแก๊งจะแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น แต่ครั้งที่แล้วท่านหัวหน้าแก๊งฆ่าคนของสำนักเหลยหวู่ด้วยตนเอง แสดงให้เห็นว่าท่านหัวหน้าแก๊งให้ความสำคัญกับหลัวซิวมาก” โสว่หยวนโหย่วคิดอยู่ในใจ
เขาอายุมากแล้ว เขาไม่มีความหวังที่จะสามารถบรรลุไปถึงระดับราชายุทธ์แล้ว และเขาเป็นคนที่มีความคิดเฉียบแหลมกว่าคนธรรมดาทั่วไป
########################
บทที่ 170 ท้าทายผู้อาวุโสงั้นรึ
ฟื้นแล้ว ก็หมายความว่าอาการของเขาดีแล้วส่วนหนึ่ง
วินาทีที่ลืมตา ความเจ็บปวดของร่างกายทำให้เขาหายใจเข้าลึกๆและกัดฟันแน่น
“หลัวซิว นายฟื้นแล้วหรอ?”
ในตอนที่หลัวซิวฟื้น บนใบหน้าลู่เมิ่งเหยาเต็มไปด้วยความสุข ถามอย่างเป็นห่วง
สามวันที่ผ่านมา หล่อนดูแลอยู่เคียงข้างหลัวซิวตลอดเวลา สีหน้าดูโทรมโทรม
หลัวซิว เห็นว่าเสื้อผ้าที่ตัวเองใส่นั้นสะอาดเรียบร้อย ไม่มีแม้แต่คราบเลือด
ไม่ต้องสงสัยเลยลู่เมิ่งเหยา ต้องเป็นคนเปลี่ยนเสื้อให้เขาแน่นอน คราบเลือดหล่อนก็เป็นคนเช็ดให้ นอกจากหล่อนคงไม่มีผู้คนที่สองจะทำแบบนี้ให้ แถมยังค่อยเฝ้าอยู่ห้องข้างไม่หลับไม่นอน
ทำให้หลัวซิวรู้สึกซึ้ง เอ็งด้านเพราะหล่อนดูแลตนเอง อีกอย่างเพราะความรู้สึกที่หล่อนให้กับตนเอง
“ฉันไม่เป็นอะไรแล้วเธงก็ไปพักผ่อนเถอะ หน้าของเธอดูโทรมไปหมดเลย” หลัวซิว ยื่นมือไปจับที่หน้าห้องเธอ พูดอย่างอ่อนโยน
การกระทำที่อ่อนโยนเช่นนี้ ทำให้ลู่เมิ่งเหยาหน้าแดง ไม่เพียงแต่ไม่ปฏิเสธ ในใจยังรู้สึกมีความสุข
เหมือนความห่างเหินของทั้งสองที่ผ่านมาเพราะเรื่องต่างๆ จะลดน้อยลง
และเธอเองก็เหนื่อยแล้วจริง ไม่ได้เหนือที่ร่างกาย แต่เหนื่อยที่ใจ
เห็นหลัวซิวไม่เป็นอะไรแล้ว เธอก็รู้สึกโล่งอกและรู้สึกง่วงทันที
หลัวซิวกอดหล่อนเข้ามาในอ้อมกอด อย่างอ่อนโยน “นอนสักแป๊บเถอะ”
และในตอนนี้ นอกห้องมีกับดับที่วางไว้ มีการเคลื่อนไหว มีคนไป สัมผัสโดนกับดับ
หลัวซิววางตัวลู่เมิ่งเหยา เดินไปที่ประตูและเปิดประตูห้องลับ
ในองค์กรนักล่ายุทธ์จะไม่มีใครมารบกวนโดยไม่มีเหตุผล เขาคิดว่าน่าจพเป็นคนของภายในของแก๊ง
นอกประตู มีสาวสวยยืนอยู่ ใส่เสื้อสีฟ้ากระชับตัว สะพายดาบไว้ด้านหลัง ดูแล้วแท่ๆ
ผู้หญิงคนนี้ คือลูกศิษย์ของเสิ่นหยวนหนาน หลินเจียเอ๋อร์
“คุณ林 มีธุระอะไรครับ?”
นี่เป็นครั้งแรกที่หลัวซิวดูผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า หล่อนมีหุ่นที่ดีมาก เสื้อที่กระชับทำให้เห็นรูปร่างได้อย่างชัดเจน พร้อมกับใบหน้าที่สวยงาม ผิวพรรณที่ผ่องขาว ไม่แพ้ลู่เมิ่งเหยาสักเท่าไหร่เลย
แต่หลัวซิวกลับสังเกตเห็นว่า สายตาที่หลินเจียเอ๋อร์มองตัวเอง เหมือนจะ ดูถูก?
“นายฟื้นแล้วหรอ?” หลินเจียเอ๋อร์ ไม่มีความหมายใดใดที่จะเป็นห่วงเขา น้ำเสียงเย็นชาอย่างชัดเจน
“นี่คือยาที่อาจารย์ให้มา” ระหว่างที่พูดหลินเจียเอ๋อร์ก็เอาขวดยกให้กับหลัวซิว
ยาที่เสิ่นหยวนหนานหัวกน้าแก๊งเอาให้จะธรรมดาได้ไง หลินเจียเอ๋อร์ ไม่เข้าใจว่าไอ้หนุ่มที่กล้าท้าทายอาจารย์ของตนเองจนได้แผล ทำไมอาจารย์ต้องให้ยารักษากับเขาด้วย
หลินเจียเอ๋อร์เผลอมองไปเห็นลู่เมิ่งเหยาที่นอนอยู่บนเตียง นัยน์ตาเต็มไปด้วยดูถูก คิดอยู่ว่าหลัวซิวพึ่งฟื้นก็อยากจะเล่นผู้หญิงแล้วเหรอ?
หลัวซิวไม่รู้ที่หลินเจียเอ๋อร์คิดกับเขา ถึงแม้จะรู้ เขาก็ไม่เข้าใจความคิดแปลกของหล่อน
ยื่นมือรับยามา ยาที่เสิ่นหยวนหนานให้เป็นยาระดับห้าแน่นอน ของดีแบบนี้ถึงแม้ไม่ต้องใช้ หายก็ต้องเอาไว้
และเขาเองก็ไม่อยากจะเปิดเผยเรื่องที่ตนเองสามารถหายได้โดยอัตโนมัติ ถ้าไม่ใช้ยาก็รักษาตัวเองได้ จะทำให้มีคนมากมายสงสัย
หลินเจียเอ๋อร์ ทำภารกิจส่งยาเรียบร้อยกำลังจัดหันหลังจากไป แต่พบว่าหลัวซิวเดินตามหลังตนเอง
“นายเดินตามฉันทำไม?” หลินเจียเอ๋อร์หยุดเดินและขมวดคิ้ว
หลัวซิว ไม่เข้าใจว่าทำไมผู้หญิงคนนี้เย็นชากับตัวเองขนาดนี้ แต่เขาก็ไม่ถึงขั้นที่ต้องมาประจบ พูดด้วยน้ำเสียงปกติว่า “ฉันไม่ได้เดินตามเธอแต่ฉันจะไปหาผู้อาวุโส”
“อะไรนะ? ท้าทายอาจารย์ฉันแพ้แล้วตอนนี้จะไปท้าทายผู้อาวุโสงั้นเหรอ?” ในตอนที่หลินเจียเอ๋อร์พูดคำนี้ ทำหน้าประชดประชันได้ยิ้มอย่างเย็นชา
“ท้าทาย?”
หลัวซิวอึ้ง เขางงกับผู้หญิงคนนี้มาก ผู้หญิงคนนี้คงจะคิดว่าที่ตนเองได้แพ้แบบนี้เพราะท้าทายหัวหน้าแก๊งเสิ่น?
ฉันไม่ได้เป็นบ้านะ ไม่ได้ว่างถึงขั้นไปท้าทายผู้แข็งแกร่งชายุทธ์
“ผู้หญิงคนนี้แปลกจริงๆ ”
หลัวซิว ไม่อยากจะอธิบายให้กับหลินเจียเอ๋อร์ เดินผ่านตัวเธอไปตรงตรงจะไปที่พักของลผู้อาวุโส
“คุณหลัว อาการดีขึ้นไหมครับ?”
เห็นหลัวซิวมาหาตนเองโสว่หยวนโหย่วยกมือไปทางเขา เกรงใจมาก
เขาไม่รู้ว่าทำไมหลัวซิวถึงถูกหัวหน้าแก๊งตี แต่ก็จะไม่คิดมั่วอย่างที่หลินเจียเอ๋อร์คิด
“ขอบคุณที่ผู้อาวุโสเป็นห่วงครับ มียาระดับห้าของ沈หัวกน้าแก๊ง อีกไม่นานก็คงจะหายดี” หลัวซิวพูดเช่นนี้
“ไม่ทราบว่าคุณหลัว มาหากระผมมีอะไรครับ?”
หลังจากทั้งสองนั่งลงโสว่หยวนโหย่วถาม
“คือแบบนี้ครับ ในมือของผมมีของอยากจะแรกเป็นหินพลังจิต”
หลัวซิวเอาแหวนเก็บของออกมาหลายวง นายนี้ต่างก็เป็นของของนักยุทธ์ที่เขาฆ่าไม่มีประโยชน์อะไรเลย
ในตอนที่เข้าสู้พรสวรรค์ขั้น9 แทบจะใช้เห็นพลังจนหมด ของพวกนี้เก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์แถมยังกินที่ จะต้องขายทิ้งอยู่แล้ว
โสว่หยวนโหย่วยิ้มแล้วพยักหน้า จากนั้นดูของที่อยู่ในแหวนเก็บของ ไม่นานก็รู้แล้ว
“คุณหลัว ของพวกนี้ราคาไม่ถือว่าสูง แต่จำนวนเยอะ จะขายได้ ห้าหมื่นหินพลังจิต” โสว่หยวนโหย่วพูด
ห้าหมื่นหินพลังจิตดูเหมือนจะไม่น้อย แต่ถ้าเปลี่ยนไปเป็นพลังจิตชั้นกลาง ก็แค่ห้าร้อยก้อน
นี่ก็เป็นเพราะว่าเขาฆ่าหังเซี่ยงเฉิน ปรมาจารย์ฝึกจิตคนนั้น ถ้านับพวกนักยุทธ์พรสวรรค์ที่เขาฆ่า ทั้งหมดรวมกันก็แค่สามหมื่นกว่า
ปกติแล้ว จะมีเป็นพัน ปรมาจารย์ฝึกจิตเป็นหมื่น ผู้แข็งแกร่งชายุทธ์อย่างน้อยก็หลายหมื่น
บอกได้เลยว่า ผลการฝึกตนของหลัวซิวไม่สูง แต่ของที่เขาใช้ไปนั้น เทียบเท่ากับสมบัติของผู้แข็งแกร่งชายุทธ์หลายคนแล้ว
เฮ้ยตาพูดแบบนี้ไม่ได้หมายความว่าผู้แข็งแกร่งชายุทธ์จน จะเป็นเพราะว่าผู้แข็งแกร่งชายุทธ์เองก็ต้องใช้มากมาย ทรัพย์สินที่ได้มาก็แลกกับการพัฒนาผลการฝึกตน
ถ้ามีคนคนหนึ่งสะสมแต่ไม่ใช้พัฒนาผลการฝึกตน งั้นสักวันหนึ่งก็จะทุกคนฆ่าตาย สมบัติจะมากขนาดไหนก็อยู่ในกำมือของผู้อื่น
ดังนั้นก็เลยมีจอมยุทธ์ มากมายเดินไปทั่ว น้อยมากที่จะมีสมบัติ มีแต่ผลการฝึกตน ที่การฝึกตนถึงขีดจำกัด ไม่สามารถที่จะก้าวต่อไปได้ ในมือก็จะมีทรัพย์สินเก็บไว้ให้กับรุ่นต่อไป
########################
บทที่ 169 ทำลายขีดจำกัด
ในวินาทีที่ใกล้กับความตาย หลัวซิวทำลายขีดจำกัดของตนเอง ใจกลางแห่งวิถียุทธ์ แดนวิชากระบี่ พลังสังหาร ทั้งหมดนี้รวมเป็นหนึ่งรวมเป็นหนึ่งดาบ ได้สรุปข้อคิดอย่างอัศจรรย์
อาฆาตแค้นปลายเป็นดาบ จากนั้นกลายเป็นใช้จิตควบคุมดาบ ใช้ดาบฆ่าห้วงยุทธ์
ห้วงยุทธ์ บอกได้เลยว่าคือเฉพาะของผู้แข็งแกร่งชายุทธ์ ปรมาจารย์ฝึกจิต ส่วนน้อยที่อัจฉริยะก็คิดได้
ส่วนหลัวซิว เป็นเพียงแดนพรสวรรค์ แต่อยู่เหนือแดนนี้ เขาแทบจะจะเท่ากับผู้แข็งแกร่งชายุทธ์มากมายแล้ว
และส่วนราชายุทธ์บางส่วน ต่างก็ตระหนักรู้ถึงห้วงยุทธ์ไม่ได้
พูดตามหลักการแล้วถ้าไม่มีตัวสำนึกก็จะไม่สามารถรู้ห้วงยุทธ์และหลัวซิวเป็นอ แต่กลับทำเรื่องที่ผิดปกติได้สำเร็จ
ในระหว่างที่เสิ่นหยวนหนานตกตะลึงก็รีบเก็บพลังจากรักหังสีเขียวทั้งหมด
หลัวซิวผนึกรวมเป็นดาบห้วงยุทธ์หลังกรีดการควบคุมตัวจากราชายุทธ์ รีบถอยหลังอย่างรวดเร็ว
“ปั้ง!”
สุดท้ายหลัวซิวก็ไม่สามารถหลีกได้ทั้งหมด ถูกระฆังสีเขียวอ่อนเฉียด ทำให้น่างกายแทบจะแตะสลาย ร่างกายกระเด็นออกไป เดือดเต็มไปหมด สลบคาที่
เสิ่นหยวนหนานรีบไปรับตัวหลัวซิวไว้ รีบเช็คอาการของเขา พบว่าเขาไม่ได้ ยังมีลมหายใจอยู่
“แม่มึงสิ คนที่ไม่มีชีวิตคือมึง แต่กูกลับตกใจขนโรงหัวใจจะกำเริบ”
เห็นหลัวซิว พี่อาการหนักแต่ไม่ตาย เสิ่นหยวนหนานถอนหายใจหัวร้อนแล้วด่า
“ไอ้หนุ่มนี้ อายุน้อยๆ ก็ผนึกรวมเป็นความอาฆาตต่างกับคนในระดับเดียวกับตน เห็นได้ชัดว่าฆ่าพรสวรรค์ไปหลายคน ถึงขั้นมีปรมาจารย์ฝึกจิต ไอ้หนุ่มนี้เป็นคนดุร้ายจริงๆ !”
“และไอ้หนุ่มนี้ก็กล้ามาหาฉัน ให้ฉันใช้พลังราชายุทธ์ลงมือจนทำให้เขารู้สึกถึงความตาย ไอ้นี่ก็โหดร้ายกับตนเองนี่หน่า!”
“ตอนที่ดวรจะร้ายก็ร้าย ไม่ว่าจะกับตัวเองหรือศัตรู ถ้าไอ้หนุ่มนี้โตขึ้น เก่งแน่ๆ !” เสิ่นหยวนหนานพูดพึมพำ เอายาออกมาเปิดปากหลัวซิวแล้วยัดเข้าไป
เขาเป็นถึงผู้แข็งแกร่งชายุทธ์ ยาที่พบอย่างน้อยก็เป็นยาระดับห้า หนึ่งเม็ดเทียบเท่านับพันก้อนหินพลังจิต ถ้าไม่ใช่เพราะถูกชะตา เขาไม่ให้ใครใช้หรอก
และในตอนนี้ หลินเจียเอ๋อร์กำลังมาทางที่พักของเสิ่นหยวนหนาน พิเปิดประตู ก็รับรู้ถึงพลังจิตที่อยู่ในห้อง
เงยหน้าขึ้น มองไปทางห้องที่รกไปหมด เหมือนเพิ่งผ่านสงครามมา
“อาจารย์นี่เกิดอะไรขึ้น?” หลินเจียเอ๋อร์ไม่เข้าใจ
“เจียเอ๋อร์มาพอดีเลย ส่งไอ้หนุ่มนี้กลับไปให้อาจารย์หน่อย” เสิ่นหยวนหนานพูด
“ไอ้หนุ่มนี้ ถูกวิชาเฉียนคุนติ่งเจิ้นของอาจารย์ตีเกือบตาย แต่อาจารย์ให้กินยาไปแล้ว คงไม่ตายหรอก”
เสิ่นหยวนหนานพูดอย่างไม่สนใจ แต่ทำให้หลินเจียเอ๋อร์ตกใจอย่างมาก
อาจารย์เป็นถึงผู้แข็งแกร่งชายุทธ์ คงไม่ตีหลัวซิวอย่างไรเหตุผล อีกอย่างอาจารย์ยังให้ยากับเขาด้วย ยาหนึ่งเม็ดระดับที่ห้า หล่อนรู้ดีว่าเทียบเท่ากับราคาเท่าไหร่
หรือหลัวซิวมาท้าทายอาจารย์ จากนั้นถูกตีเป็นแบบนี้?
ตอนตอนที่สมองมีความคิดนนี้ สิ่งแรกที่หลินเจียเอ๋อร์ไหวตัวคือ มันจะบ้าไปแล้ว!
“ถึงแม้หลัวซิวจะมีความสามารถ แต่ก็ใกล้เคียงกับตัวเอง ถ้ามาท้าทายราชายุทธ์ ไม่รู้ฟ้าไม่รู้ดินจริงๆ เลย”
ในใจของหล่อนแบ่งหลัวซิวไปตามจำพวกที่คิด และในใจก็มีความไม่พอใจที่อาจารย์บอกว่าตนเองสู้เขาไม่ได้บนอยู่
เสิ่นหยวนหนานไม่ได้อธิบายอะไรมาก ไม่รู้ด้วยว่าเพราะคำพูดหนึ่งคำของตนเองทำให้ลูกศิษย์มีความคิดแปลกแปลก
เดินไปตรงหน้า เอาแขนของหลัวซิวไว้ที่ไหล่ของตนเอง หลินเจียเอ๋อร์ เพิ่งจะสังเกตเห็นว่าบัตรแผลของหลัวซิวหนักแค่ไหน
เอ็นในร่างกายขาดนับไม่ถ้วน พลังในร่างกายใช้จนหมด เสื้อผ้าฉีกขาดแทบจะปิดไม่มิดถ้าไม่ใช่เพราะมียาระดับห้าคอยช่วยรักษา อาการแบบนี้ยากที่จะฟื้นดี
แต่ในใจของหลินเจียเอ๋อร์ก็แอบพูดว่าสมน้ำหน้า ใครให้ไอ้นี่ไม่รู้ฟ้าดินกล้าท้าทายผู้แข็งแกร่งชายุทธ์?
ศักดิ์ศรีของผู้แข็งแกร่งชายุทธ์จะให้ท้าทายได้เช่นไร?
หลินเจียเอ๋อร์เพิ่งพยุงหลัวซิวเดินออกไป เสิ่นหยวนหนานก็มีเลือดออกที่มุมปาก เมื่อกี้ใสตอนสุดท้ายเขาเก็บพลังกลับ ถูกกระทบน้อยนิด
ศักดิ์ศรีของผู้แข็งแกร่งชายุทธ์ ทำให้เขาคอยอดกลั้นไว้ จะให้ลูกศิษย์ที่เข้ามาพอดีเห็นไม่ได้
พยุงหลัวซิวที่สลบ หลินเจียเอ๋อร์ เขาไปถึงหน้าประตูที่คอยฝึกตนส่ง
ลู่เมิ่งเหยาก็กำลังจะมาหาหลัวซิว เห็นเขาสนิทสนมกับผู้หญิงแบบนี้ สีหน้าเปลี่ยนไปน้อยนิด
หล่อนไม่รู้จักสักคนนี้ แต่เห็นได้ชัดว่า ผู้หญิงคนนี้สวยไม่แพ้ตนเอง และพลังก็สูงกว่าตนเองด้วย
ลู่เมิ่งเหยาไม่รู้จักหลินเจียเอ๋อร์ แต่หลินเจียเอ๋อร์รู้จักหล่อน
“เธอคือลู่เมิ่งเหยาใช่ไหม หลัวซิวไม่รู้ที่ต่ำที่สูงกล้าไปท้าทายอาจารย์ของฉัน ก็เลยมีแผลติดตัว ไหนๆ เธอก็มาแล้ว พยุงเขาเข้าไปเถอะ”
เห็นลู่เมิ่งเหยา หลินเจียเอ๋อร์ก็ไม่อยากจะพยุงหลัวซิวต่อ เธอยังไม่เคยสนิทสนมกับผู้ชายใกล้ขนาดนี้มาก่อน
ลู่เมิ่งเหยา ไม่รู้ว่าอาจารย์ที่ผู้หญิงคนนี้พูดคือใคร แต่ด้วยน้ำเสียงของฝั่งตรงข้ามทำให้เธอรู้สึกว่า ความสัมพันธ์ของหล่อนกับหลัวซิวไม่ใช่อย่างที่ตัวเองคิด
ได้ยินว่าหลัวซิวมีบัตรแผล เธอเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าเสื้อผ้าของหลัวซิวฉีกขาด ทั้งตัวเปื้อนเลือดไปหมด
สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความกังวลรีบไปพยุงเขา
หลินเจียเอ๋อร์ ไม่ได้อธิบายอะไรมาก มองไปทางเสื้อที่พยุงหลัวซิวและมีคราบเลือดติดด้วยสีหน้ารังเกียจ หันหลังแล้วเดินกลับ
ในห้องลับ ลู่เมิ่งเหยาวางตัวหลัวซิวนอนราบ จากนั้นตากน้ำมาเช็ตตัวให้เขา
บัตรแผลที่เปิดกว้างทำให้เธอตกใจไปหมด เธอไม่รู้ว่าทำไมหลัวซิวถึงถูกตีจนเป็นสภาพนี้ อาจารย์ขนมผู้หญิงคนนั้นคือใครทำไมจะต้องลงมือหนักขนาดนี้?
ลู่เมิ่งเหยารู้สึกสงสารและเริ่มน้ำตาไหล แอบด่าตนเองว่าไม่มีประโยชน์ ถ่วงเป็นอย่างเดียว ให้หลัวซิวมาปกป้องตนเองทุกครั้ง และตนเองก็ทำอะไรไม่ได้ ช่วยอะไรเขาก็ไม่ได้
……
จิตอยู่ภายใต้ความมืดมน หลัวซิว รู้ว่าครั้งนี้อาการของตนเองหนักมาก ไม่แพ้ครั้งที่แล้วที่ถูกมังกรเจียวเขาเดียวเกล็ดม่วงตามฆ่า ที่ใกล้สภาพตาย
ทำให้เขารู้สึกตื้นตันและขอบคุณเสิ่นหยวนหนาน ถ้าขั้นสุดท้ายเขาไม่ได้เก็บพลังคืน ถึงแม้เขาจะได้ข้อคิดในเวลาใกล้ตาย ก็จะถูกระฆังกระแทกจนตัวสลาย
ถ้าเปลี่ยนไปเป็นคนปกติ อาการแบบนี้ตายอย่างเดียว
และในเวลาเดียวกัน หลัวซิว ก็รับรู้ถึงการไหลเวียนของยาที่กำลังส่งไปทั่วร่างกาย ถึงไหมเขาไม่ต้องการยาในการฟื้นคืน แต่ก็จำความห่วงใยและการดูแลของเสิ่นหยวนหนานไว้
ขนาดนี้หลัวซิวยังรู้สึกได้ถึงการหมุนเวียนของจิตวิญญาณ เขาสำเร็จแล้วในเรื่องที่สัมผัสความตาย อาการของเขากำลังดีขึ้น
อาจจะเป็นเพราะครั้งที่แล้วไม่สำเร็จ ครั้งนี้ก็เลยทำให้อาการหายดี
แต่ครั้งนี้ตามที่คาดกันแล้ว อาการของเขาจะหายดีทั้งหมด คงจะต้องใช้เวลาสองสามเดือน
แต่ดีที่องค์กรนักล่ายุทธ์ปลอดภัย แค่ใจนิ่งรอให้แผลหายดี เขาก็จะมีชีวิตใหม่ที่ดี พลังก็จะพัฒนาขึ้นอีกเยอะ
หลังจากนั้นสามวัน หลัวซิวตื่นจากสลบ จิตก็จากความมืดกลับสู่สภาพชีวิตจริง!
บทที่ 168 ล้มเลิกความคิด เป็นไปไม่ได้
เสิ่นหยวนหนานทำตาโตค้าง “ภายใต้ความเป็นกับความตาย ง่ายต่อการพัฒนาจริง พังก่อนและตั้งหลักทีหลัง แต่ที่ใช้ชีวิตเสี่ยงเลยนะ ไม่ระวังหน่อยก็จะตาย!”
“และถ้าแกตายไปก็ไม่มีอะไรแล้ว อย่าว่าแต่ผ่านพ้นอะไรบ้าบอเลย”
เสิ่นหยวนหนานปฏิเสธความคิดของหลัวซิวทันที อยากจะให้เขาล้มเลิกความคิดนี้
เป็นผู้แข็งแกร่งชายุทธ์ เขาเองรู้ดีว่าสัมผัสความตายและกดดันมีโอกาสทำให้ผ่านพ้นได้จริง แต่เรื่องอันตรายแบบนี้ จะต้องให้ร่างกายถึงขีดจำกัดสุดๆ รู้ว่าตนไม่มีทางไปต่อได้ถึงจะใช้วิธีแบบนี้
และหลัวซิวยังเป็นหนุ่ม แต่ตั้งใจอดทนหลายปี ผ่านพ้นแดนฝึกจิตเป็นเรื่องที่สำเร็จแน่นอน
ใจร้อนอยากไปเร็ว เหมือนคนขี้ขลาด เป็นข้อห้ามในนักยุทธ์!
หลัวซิวเองก็เข้าใจเรื่องนี้ แต่เขาไม่อยากจะเสียเวลาในการฝึกตน เพราะเหยียนเยว่เอ๋อร์ไม่รู้ไปไหน ตายเกิดก็ไม่รู้
เขาจำเป็นต้องมีพลังอันแกร่งกล้า ถึงจะช่วยเธอได้
เขาหล่อนมีอะไรเกิดขึ้น หลัวซิวจะไม่มีทางให้อภัยตนเองที่ดูแลไม่ได้แม้กระทั่งแฟนของตนเอง
“ท่านครับ ขอร้องแล้วครับ!” หลัวซิวยังคงพูดอย่างยืนหยัด
รับรู้ได้ถึงความคิดที่ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงของหลัวซิว เสิ่นหยวนหนานหรี่ตามองไปทางเขา นัยน์ตาเต็มไปด้วยความเห็นชอบ ตกใจ เสียดาย หลายอารมณ์ซับซ้อน
เขาเริ่มชื่นชมผู้ชายวัยสิบห้านี้ที่อยู่ตรงหน้า
เพราะเสิ่นหยวนหนานเองใช้เวลานานถึงสิบเจ็ดปีในแดนราชายุทธ์ขั้น5 เขาถามตนเองว่ามีความคิดที่กล้าไปเสียงตายไหม
สถานการณ์ตายขอเกิด ถ้าสำเร็จก็จะไปได้ไกล ไปสู้ท้องฟ้าที่กว้างใหญ่กว่า
แต่ถ้าไม่สำเร็จ มีทางเดียวคือตาย ทุกอย่างกลายเป็นว่างเปล่า!
ผู้แข็งแกร่งชายุทธ์มีอายุขัยได้มากถึงพันปี ตอนนี้เสิ่นหยวนหนานผ่านไปแล้วสามร้อยกว่าปีแล้ว ถึงแม้ชีวิตนี้จะไม่พัฒนาได้อีก แต่ก็ยังใช้ชีวิตได้อีกราวๆ เจ็ดร้อยกว่าปี
“ไอ้หลัวซิวนี่ อาจจะเป็นเพราะยังหนุ่มก็เลยไม่กลัว ดังนั้นเทียบกับไอ้แก่อย่างตัวเองถือว่าเก่งและมีเสน่ห์!”
ในสายตาของเสิ่นหยวนหนาน ข้อห้ามของนักยุทธ์ หลัวซิวก็ทำไปแล้วคืออยากรีบพัฒนาตนเอง
แล้วเขาเองไม่เคยขี้ขลาดทำผิดข้อห้ามเหรอ?
ไหนๆ ตนเองก็ทำผิดไปแล้ว มีสิทธิ์อะไรที่จะว่าหลัวซิวหล่ะ?
ตั้งแต่ที่มาอยู่ที่เขตการปกครองโตว้ไห่แก๊ง มองไปทั่วก็ไม่มีใครเป็นคู่แข่งของตนเองสักคน เสิ่นหยวนหนานก็มีความอวดของความเป็นราชายุทธ์ คนที่จะทำให้เขาชื่นชมได้ มีน้อยมาก!
“หลัวซิว แกรู้ไหมว่าทำแบบนี้อันตรายแค่ไหน? ระหว่างความตาย อย่างละครึ่ง ฉันเองก็ไม่สามารถควบคุมแรงได้ อาจจะพลาดทำให้แกตาย”
เสิ่นหยวนหนานพูดเตือนอีกครั้ง เขาตัดสินใจแล้ว ถ้าหลัวซิวไม่เปลี่ยนความคิด ถ้าเขายังยืนยันแบบเดิม ตัวเองก็จะทำให้เขาสมหวัง
เสิ่นหยวนหนานคิดว่าเขาพูดขนาดนี้แล้ว หลัวซิวก็จะคิดไตร่ตรองก่อน แต่ที่เขาคิดไม่ถึงคือ หลัวซิวไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
“คุณท่าน ลงมือเถอะครับ”
หลัวซิวสายตาเฉียบคม เผยพลังออกไป ความอาฆาตเผยออกมาหมด ดูเหมือนดาบที่แหลมคม แข็งกร้าว
สัมผัสความตายแต่ไม่ตาย ไม่ใช่เพียงแต่ทำให้เป็นบาดแผลหนักใกล้ตาย จะต้องรู้สึกถึงความตายและเป็นต่อสู้จริงและคอยต่อสู้กับความตาย
“ได้!”
ดวงตาของเสิ่นหยวนหนานมีแสงประกาย ยกมือตบไปทางหลัวซิว ฝ่ามือเต็มไปด้วยผนึกรวมพลังจิตแท้ ปล่อยแสงเขียว
ในวินาทีที่เสิ่นหยวนหนานลงมือ หลังของหลัวซิวก็มีคาบออกมา ที่ตัวมีดมีไฟนรกผนึกรวม ออกแรงเต็มตัว ไม่เก็บแรงไว้ม้าแต่น้อย
การฟันครั้งนี้ของเขา บอกได้เลยว่าแรงเทียบเท่ากับปรมาจารย์แดนฝึกจิตขั้น4ได้แล้ว
“ปั้ง!”
คายที่แรงเช่นนี้พอเผชิญกับฝ่ามือของเสิ่นหยวนหนาน แค่ทำให้เขาหยุดไปสักแป๊บ พลังอันน่ากลัวส่งผ่านดาบมา ทำให้หลัวซิวเลือดพุ่งทันที ต่อด้วยร่างกายกระเด็นออกไป
นี่ไม่ได้แปลว่าร่างของเสิ่นหยวนหนานแข็งแกร่ง แต่เป็นเพราะฝ่ามือของเขาใช้พลังจิตแท้ห่อหุ้มอยู่ ดาบของหลัวซิวฟันไม่ขาดการป้องกันของพลังจิตแท้แม้แต่น้อย
แววตาของเสิ่นหยวนหนานก็หยุดนิ่งสักแป๊บ เขาตั้งใจควบคุมแรงของตัวเอง แต่แรงที่ออกไปเมื่อกี้ก็พอที่จะฆ่า武宗ขั้นต้นแล้ว แต่หลัวซิวแค่เลือดพุ่งและมีแผลในเพียงเล็กน้อย
“ระดับแบบนี้ยังไม่เพียงพอ ฉันไม่รู้สึกถึงความกดดันจากความตายเลย” หลัวซิวตะโกนพูด
“ทำตามที่แกขอ!”
เสิ่นหยวนหนานปลดปล่อยแรงที่ควบคุมไว้อีกหน่อย ออกพลัง4ขั้น หนึ่งทีปล่อยออกไป พลังจิตแท้ผนึกรวมเป็นระฆังสีเขียวอ่อน ทับไปทางหลัวซิว
ทักษะยุทธ์ระดับ7 วิชาเฉียนคุนติ่งเจิ้น!
แรงของการตีครั้งนี้ เป็นปรมาจารย์ฝึกจิตขั้น4ไม่ตายก็เจ็บหนัก
สีหน้าของหลัวซิวเต็มไปด้วยความน่ากลัว การตีนี้ เขารับรู้ได้ถึงความตายแล้ว
“พลังแปรเสวียนเทียน!”
“ตราธรรมจุติมรณะ!”
หลัวซิวใช้วิชาอาถรรพณ์และวิชาตราประทับพร้อมกัน ขาวดำผสมเป็นร่างเงาวงเวียนอยู่ในฝ่ามือ จำนั้นฝ่ามืออีกข้างดันไปข้างหน้า เริ่มวิชาตราประทับ
“ปั้ง!……”
เงาลวงวัฏจักรความเป็นตายและเตาใหญ่เขียวกระแทกอย่างหนัก ภายใต้พลังแปรเสวียนเทียนกลายเป็นวิชาอาถรรพณ์สามเท่าและเพิ่มเรื่อยๆ เตาใหญ่เขียวและเงาลวงวัฏจักรแตกสลายพร้อมกัน
หลัวซิวเองก็ไม่ได้สบายนัก ได้รับพลังกระทบ เลือดพุ่งกระฉูด
“รับมือได้งั้นเหรอ?”
นัยน์ตาของเสิ่นหยวนหนานมีความกลัวเผยออก แรงเมื่อกี้ ปรมาจารย์ฝึกจิตขั้น4ไม่ตายก็เจ็บหนัก หลัวซิวกลับรับได้ หรือพลังของเขาจะรับปรมาจารย์ฝึกจิตขั้น4ได้แล้ว?
และเขา เพิ่งจะจอมยุทธ์ใหญ่ และเพิ่งจะอายุสิบห้า!
แต่เสิ่นหยวนหนานเองก็สังเกตเห็นว่า เมื่อกี้หลัวซิวใช้เวทสองแบบ หนึ่งแบบคือวิธีลับที่เบ่งความสามารถที่ซ่อนไว้ อีกแบบคือเงาเครื่องขาวดำ เป็นเวทที่เก่งและเห็นได้ยากมาก
เทียบกับปราณแท้ที่เห็นได้บ่อย พลังแห่งความเป็นตายเห็นได้ยาก เสิ่นหยวนหนานก็เลยไม่รู้
ไม่ว่าจะเป็นยังไง เขาแน่ใจได้แล้วว่าหลัวซิว ที่สุดของอัจฉริยะ ไม่ว่ายังไงก็ห้ามตีเขาให้ตาย
“คุณท่านครับ ผมต้องการแรงกดดันที่มากกว่านี้”
สองครั้งติดต่อกัน ถึงแม้หลัวซิวจะมีแผลที่หนักแต่ก็ยังรู้สึกว่าไม่พอ
นัยน์ตาของเสิ่นหยวนหนาน มีแสงประกายเบ่งออกมา จอยผมขาวที่อยู่ข้างๆ ไม่มีลมแต่ขยับเอง “รับครั้งที่สามของฉันไว้!”
เขาควักมือไปจับ พลังจิตรอบด้านมารวมกัน ครั้งนี้ เขาใช้ ควบคุมฟ้าดินที่มีเพียงผู้แข็งแกร่งชายุทธ์จะมี
ที่เขาใช้อยู่ก็ยังคงเป็นของ วิชาเฉียนคุนติ่งเจิ้น แต่ใช้พลังของราชายุทธ์ออกแรง ราชายุทธ์ปกติไม่ตายก้เจ็บหนัก ต่ำกว่าราชายุทธ์ตายทางเดียว!
ไม่เพียงแต่เท่านี้ ภายใต้แรงกดดันจากราชายุทธ์ หลัวซิวเองก็ถูกล็อกตัว ทำได้เพียงมองดูรังสีเขียวพุ่งมาทางหน้าผาก
นอนสะจากว่า เขาสามารถสู้กลับรอบนี้ได้ ไม่อย่างงั้นก็ดิ้นจากแรงกดดันของราชายุทธ์และหลบหนีไป
ด้วยพลังของเขาแล้ว ทำขั้นนี้ไม่ได้แน่นอน
ความตายยิ่งอยู่ยิ่งเข้าใกล้ หลัวซิวถึงขีดที่ใกล้จะตายแล้ว
และนี่ก็คือสิ่งที่เขาต้องการ!
“อ้า!……”
ระฆังสีเขียงจะมากระแทกที่หน้าผากของเขาแล้ว วินาทีต่อไปก็จะสลายตัว หลัวซิวเงยหน้าร้องดัง ดาบบินออกมา
ดาบนี้ฟัน ผนึกรวมความคิดที่ดื้อด้านของเขา!
ดาบนี้ฟัน รวบรวมความกล้าที่ไม่เคยมีมาก่อน!
คาบนี้ฟัน การรวมตัวของความอาฆาตทั้งหมด!
ใจกลางแห่งวิถียุทธ์ แดนวิชากระบี่ พลังสังหาร ทั้งหมดนี้รวมเป็นหนึ่งรวมเป็นหนึ่งดาบ!
วินาทีที่ฟันออกไป หลัวซิวรู้สึกความกดดันที่มาจากราชายุทธ์ถูกแทนที่ไปแล้วครึ่งหนึ่ง ถึงแม้จะไม่ค่อยชินกับแรกกดดัน แต่ไม่สามารถที่จะควบคุมตัวเขาไว้ได้แล้ว สามารถขยับตัวได้แล้ว
เห็นระฆังสีเขียวห่างไกลจากหน้าผากของหลัวซิวแค่สามคืบ นัยน์ตาของเสิ่นหยวนหนานเต็มไปด้วยความตื่นเต้น กำลังจะเก็บพลังกลับคืนมา ถ้าหลัวซิวถูกระฆังตีตายจริงๆ จะเสียดายอัจฉริยะไปคนหนึ่งแล้วจริงๆ
ทันใดนั้น เสิ่นหยวนหนานเห็นหลัวซิวฟันดาบออกมา ทันใดนั้นตกใจจนหุบปากไม่ได้
“ห้วงกระบี่!เขาผ่านพ้นไปแล้วงั้นเหรอ?”
########################
บทที่ 167 สามลมหายใจไม่ไป ตายทางเดียว!
ภายใต้แรงกดดันมหาศาลนี้ อมากมายจากสำนักเหลยหวู่รู้สึกว่าตัวเองถูกภูเขาทับตัวทันที แต่ละคนเลือดพุ่ง คุกเข่าบนพื้น ทั้งตัวขยับไม่ได้แม้กระทั่งนิ้วมือ
รวมถึงสามคนปรมาจารย์ฝึกจิต ต่างก็หน้าซีด นัยน์ตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“สามลมหายใจไม่ไป ตายทางเดียว!!”
เสียงที่เต็มไปด้วยความเกรงขามดังขึ้นบนหัวของผู้ที่อยู่ละแวกองค์กรนักล่ายุทธ์
สิ่งที่ตามมาคือ ฟ้าดินแปดด้านก่อรวมพลังจิตทะลักไหลเข้ามา มีแสงสีเขียวอ่อนรวมตัวเป็นรูปฝ่ามือใหญ่ ใหญ่จนแทบจะปิดท้องฟ้า
“ควบคถมฟ้าดิน ผู้แข็งแกร่งชายุทธ์!”
เสียงตกใจส่งต่อๆ กันมา ภายใต้ความกดดันนี้ ปรมาจารย์ฝึกจิตที่ปกติจะโอ้อวดไม่เห็นผู้ใดในสายตากลับเล็กเหมือนมด
การฝึกยุทธ์ถึงขั้นแดนราชายุทธ์ ก็จะรวบรวมอากาศใช้ได้ เทียบเท่ากับการควบคุมฟ้าดิน
และพลังแบบนี้ เรียกว่าควบคุมฟ้าดิน!ผู้แข็งแกร่งชายุทธ์เท่านั้นที่จะมีฝีมือแบบนี้!
หลัวซิวเองก็รับรู้ได้ถึงแรงกดดันที่มาจากผู้แข็งแกร่งชายุทธ์ แน่นอนว่าเขาพบมาหลายคนแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นฝีมมือการควบคุมฟ้าดินเช่นนี้
ผู้ที่มีพลังมากเช่นนี้ แน่นอนว่าต้องเป็นเสิ่นหยวนหนานหัวหน้าย่อยของเขตการปกครองโตว้ไห่ ไม่จำเป็นต้องแสดงตัว ก็สามารถรควบคุมหินพลังจิตไว้ในกำมือ
“ปั้ง!”
ทันใดนั้นฝ่ามือแสงสีเขียวอ่อนกดลงมา หินพลังจิตรวมตัวอยู่ในฝ่ามือ เห็นคลื่นด้วยตาเปล่าได้อย่างชัดเจน
พุ!พุ!พุ!……
อจากสำนักเหลยหวู่ที่ล้อมอยู่หน้าประตูต่างก็เลือดพุ่ง ร่างกายเริ่มแตกตัว ปรมาจารย์ฝึกจิตสามคนที่เป็นผู้นำก็เลือดพุ่งและถอยหลัง สีหน้าดูหวาดกลัวไปหมด
ปั้ง……
คลื่นมากมายกวาดมา ผู้ที่ยืนดูรอบๆ ก็ถูกพัดไปพัดมาและถอยหลัง พวกที่ผลการฝึกตนไม่ค่อยดียิ่งแล้วใหญ่เลย นั่งลงกองพื้น ขนทั้งสองข้างสั่นไปหมด
ในตอนที่แสงสีเขียวอ่อนเริ่มจางหายไป ทุกคนเงยหน้ามองไป เห็นแต่ผู้คนหลายสิบคนของสำนักเหลยหวู่ รวมถึงอต่างก็เสียชีวิตไปหมด
แม้กระทั่งสามคนปรมาจารย์ฝึกจิต ก็มีแต่เล่อเผิงเฉิงคนเดียวที่มีชีวิตรอด อีกสองคนตัวระเบิดตาย!
“เล่อเผิงเฉิง เห็นแก่หน้าอาจารย์ของแก จะไว้ชีวิตไว้ ไสหัวกลับไปบอกเหลยเว่ยหลง ถ้ากล้าทำเรื่องที่มาท้าทายองค์กรนักล่ายุทธ์อีก สำนักเหลยหวู่ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะอยู่ต่อแล้ว” เสียงที่เย็นชาของเสิ่นหยวนหนานเข้าไปในหูของเล่อเผิงเฉิง
อาจารย์ของเล่อเผิงเฉิงคือราชายุทธ์ระดับอาวุโสของสำนักเหลยหวู่ เห็นพบหน้ากับเสิ่นหยวนหนานหลายครั้ง ก็เลยไว้ชีวิต
ฉากที่เกิดขึ้นนอกองค์กรนักล่ายุทธ์ ทำให้คนที่ดูต่างก็อึ้งไปหมด
ราชายุทธ์แกร่งไม่จำเป็นต้องปรากฏตัวก็สามารถรวบรวมหินพลังจิตในฝ่ามือ ยกมือก็สามารถฆ่าจอมยุทธ์พรสวรรค์หลายสิบคน
นี่เป็นพลังขั้นเทพขั้นไหน?
เทียบกันแล้ว ขั้นที่ต่ำกว่าราชายุทธ์ต่างก็เป็นเพียงมด……
ราชายุทธ์นั้นก็เก่งมากแล้ว แล้วที่ยิ่งกว่าจักรพรรดิ์ยุทธ์และมกุฏยุทธ์ล่ะ?
หลัวซิวรู้ดีว่าตัวเองก็ไม่สามารถรับมือกับหินพลังจิตเมื่อกี้ที่ปรากฏจากฝ่ามือ
และนี่ก็ทำให้เขาเข้าใจความแตกต่างระหว่างตนเองกับเหยียนเยว่เอ๋อร์ว่าห่างกันมากแค่ไหน หล่อนเป็นถึงสิบในหนึ่งของประเทศเทียนหวู จักรพรรดิ์ยุทธ์เทียนเฟิ่ง!
ถ้าอยู่ในตอนที่หล่อนแกร่งกล้าที่สุด เสิ่นหยวนหนานยืนอยู่ตรงหน้าก็คงเหมือน ปรมาจารย์ฝึกจิตยืนอยู่ตรงหน้าของเสิ่นหยวนหนานรับมือไม่ได้แม้กระทั่งหนึ่งทีมั้ง?
อีกอย่าง เสิ่นหยวนหนานเป็นแค่ราชายุทธ์ขั้นห้า อยู่ในระดับราชายุทธ์ก็จะเป็นกลาง คนที่เก่งกว่าเขาก็มีมากมาย
เรื่องนี้ ทำให้เป็นข่าวไม่เล็กในเขตการปกครองโตว้ไห่
และสำหรับเรื่องนี้ สำนักเหลยหวู่ที่มีนามดังที่สุดในเขตการปกครองโตว้ไห่ก็ถูกกระทบอย่างมาก
แต่สำนักเหลยหวู่ไม่กล้าพูดอะไร กลับกันหัวหน้าเหลยเว่ยหลงไปขอโทษที่องค์กรนักล่ายุทธ์ด้วยตนเอง
เวลาจากนั้นต่อมา ก่อนที่การแข่งขันแย่งชิงโควต้าของแดนปริศนาจะมาถึง หลัวซิวคอยฝึกตนอยู่ที่ห้องลับขององค์กรนักล่ายุทธ์
ลู่เมิ่งเหยาก็รู้ว่าตัวเองออกจากองค์กรนักล่ายุทธ์ไม่ได้ ถึงแม้ สำนักเหลยหวู่ไม่กล้าหาเรื่องขององค์กรนักล่ายุทธ์ แต่ถ้าเธอออกไป สำนักเหลยหวู่ก็ไม่ต้องเกรงใจอะไรลงมือได้เลย
เพราะมีความสัมพันธ์ของหลัวซิว เธอก็เลยมีห้องส่วนตัวที่องค์กรนักล่ายุทธ์
หลังจากที่ผลการฝึกตนถึงพรสวรรค์ขั้น9 หลัวซิวเริ่มรู้สึกว่าการฝึกตนของตนเองช้าลงไปมาก และหินพลังจิตชั้นกลางก็ไม่สามารถช่วยให้ตนเองพัฒนาผลการฝึกตนได้เหมือนเช่นเคยแล้ว
ถ้าเรื่องนี้ให้จอมยุทธ์คนอื่นๆ รู้ คงจะหมดคำพูด เพราะนักยุทธ์ในโลกแดนฝึกจิตต่างก็ใช้หินพลังจิตชั้นล่างในการฝึกตน มีแต่เพียงน้อยคนที่มีคนคอยหนุนหลังถึงจะได้ใช้พลังจิตชั้นกลาง
ส่วนหลัวซิวใช้หินพลังจิตชั้นกลางตั้งแต่แดนฝึกชี่ไห่ น้อยครั้งที่จะใช้หินพลังจิตชั้นล่าง
เขาชินกับข้อดีในการใช้หินพลังจิตชั้นกลางแล้ว ตอนนี้อยู่ดีๆ ก็ช้าลง ในเวลานี้กลับไม่ชิน
สาเหตุที่เกิดเหตุนี้ เพราะหลังจากที่ถึงพรสวรรค์ขั้น9 ก็จะพบเจอกับเรื่องฝ่าฟันอุปสรรคของการฝึกจิต
จากจอมยุทธ์ใหญ่ถึงปรมาจารย์ฝึกจิต ขั้นแรกก็คือทำให้จิตวิญญาณผนึกรวมตัวเป็นจิตที่อีกระดับสูงกว่า ขั้นที่สองคือนำปราณแท้พรสวรรค์ผนึกรวมเป็นพลังจิตแท้
อยากจะผนึกรวมให้เป็นพลังจิตแท้ต้องใช้ปราณแท้พรสวรรค์มากมายมาบีบอัด จอมยุทธ์ใหญ่มากมายต้องใช้เวลาหลายปีถึงหลายสิบปีมาเสร็จสิ้นขั้นตอนนี้ และใช่ว่าทุกคนจะสำเร็จ
นี่ต้องใช้เวลาในการผ่านพ้น ถึงแม้จะใช้หินพลังจิตชั้นกลางมาฝึกตน ก็ใช่ว่าจะสำเร็จมในคราวเดียว
แน่นอนว่ามีสองวิธีจะทำให้หลัวซิวผนึกรวมป็นพลังจิตแท้
อย่างที่หนึ่ง ใช้หินพลังจิตชั้นสูง หรือวัตถุที่เหนือกว่าชั้นที่สี่ จำพวกของที่มีพลังจิตมาก ก็สามารถแปลให้เป็นพลังจิตแท้
อย่างที่สอง คือสัมผัสความตายแต่ไม่ตาย พังก่อนและตั้งหลักทีหลัง
หินพลังจิตชั้นสูงหนึ่งก้อน เที่ยบเท่ากับหมื่นก้อนหินพลังจิต ขั้นที่สูงกว่าจักรพรรดิ์ยุทธ์级ถึงจะใช้
ถึงแม้หลัวซิวจะเคยได้รับสมบัติรของจักรพรรดิ์ยุทธ์ซูจิ้งหยุนที่เหลือไว้ แต่ก็เป็นเพียงหินพลังจิตนับร้อยก้อน
และหินพลังจิตชั้นสูงนับร้อยก่อนเขาใช้หมดในการฝึกตนก่อนหน้านี้ตั้งนานแล้ว ไม่อย่างงั้นก็คงไม่พุ่งมาถึงพรสวรรค์ขั้น9ในแดนจอมยุทธ์ใหญ่เร็วขนาดนี้
ดังนั้น ทางเลือกที่ใช้หินพลังจิตชั้นสูงเป็นไปไม่ได้แล้ว
เงียบไปสักแป๊บ หลัวซิวไปเยี่ยมหัวหน้าย่อยเสิ่นหยวนหนาน
“แกจะให้ฉันตีนายจนเป็นอาการหนัก แถมใกล้ความตายด้วย?”
หลังจากที่เสิ่นหยวนหนานฟังที่หลัวซิวพูดจบ ก็ทำตาโตค้าง เคราใต้คางจะปิดตั้งอยู่แล้ว
หลัวซิวพยักหน้าอย่างจริงจัง พูดว่า “ผมรู้สึกว่าการฝึกตนถึงขีดจำกัดแล้ว ต้องการให้ความตายมากดดัน”
“พูดเล่น!”
########################
บทที่ 166 ไม่มีน้ำใจ
เงียบไปสักแป๊บ เปลี่ยนเรื่องและถามว่า การพัฒนาของหลัวซิวจะเร็วผิดปกติ ต้องมีวิธีลับอะไรแน่นอน
แต่ความลับนี้จะเป็นอะไร นอกจากหลัวซิวคงไม่มีใครจะรู้
สำหรับเรื่องนี้ หลัวซิวเองก็ไม่มีอะไรที่จะปกปิด พยักหน้า “เล่อเผิงเฉิงคือเพื่อนร่วมตายของพ่อเธอ อาจจะดีกับเธอมากๆ แต่ในสายตาของเขาฉันคือคนนอก ที่เขาฝึกตนคือปรมาจารย์ฝึกจิต แต่ในตอนนั้นฉันไม่ถึงแม้กระทั่งชั้นพรสวรรค์”
“ขอโทษ เพราะฉันปากมากเอง” ลู่เมิ่งเหยาพูดอย่างรู้สึกผิด ถุงอายุของเธอจะมากกว่าหลัวซิว แต่ไม่ได้เข้าสังคมเยอะ ไม่รู้ความโหดร้ายของมนุษย์
แต่ก็หลังผ่านเรื่องมามากมาย ความคิดของลู่เมิ่งเหยาเริ่มเป็นผู้ใหญ่ ไม่ใส่สาวน้อยที่ยังไม่รู้เรื่องอะไรแล้ว
“ไม่เป็นไร ฉันไม่ได้โทษเธอ” หลัวซิวยิ้มและปลอบใจเธอ เรื่องที่เขาพัฒนาเร็ว คนในเขตการปกครองหยุนหลงคงรู้กันเยอะ ไม่อย่างงั้นลู่เมิ่งเหยาคงไม่พูด เรื่องแบบนี้กระดาษห่อไฟไม่ได้หรอก
ตามด้วยพลังของเขายิ่งอยู่ยิ่งแข็งแกร่ง ก็ถูกลิขิตไว้แล้วว่าจะอยู่ในสายตาของผู้ฝกฝนเช่นเดียวกัน แค่มีคนตั้งใจไปสืบ ก็จะรู้ว่าผลการฝึกตนของเขาพัฒนาในเวลาที่สั้นมาก
หลัวซิวรู้ดีว่านี่ไม่ใช่ปัญหาเล็กๆ สำหรับตนเอง เพราะไม่ใช่ผู้แข็งแกร่งทุกคนใจกว้างเหมือนเหวินเซวียนหง เย่เซี่ยงโต่ว เสิ่นหยวนหนาน
เขาจะต้องแข็งแกร่งให้เร็วที่สุด ถ้าถูกโลกยุทธิ์สักแห่งคอยจ้องมองเขาเองจะมีอันตราย
หลังเงียบไปสักแป๊บ ลู่เมิ่งเหยาปรับอารมณ์และพูดว่า “เหตุผลที่ฉันหนีออกมาจากสำนักเหลยหวู่ ก็เพราะว่าสำนักเหลยหวู่บังคับให้ฉันแต่งงานกับคุฯชายเทียนซานเสว่ ฉันตายก็ไม่ยอม ก็เลยเสี่ยงหนีออกมาจากสำนักเหลยหวู่”
“เป็นอย่างที่คิดจริงด้วย!” แววตาของหลัวซิวเฉียบคม
พูดไปพูดมา สำนักเหลยหวู่ถึงแม้จะไม่เคยหาเรื่องตนเองโดยตรง แต่ความแค้นที่มีต่อกันไม่น้อยเลยแม้แต่น้อย
จากนั้นลู่เมิ่งเหยาเล่าเรื่องที่ หลายปีก่อนคุณพ่อลู่เฟยเฉินพาเธอไปหาที่คุ้มครองจากสำนักเทียนซานเสว่
“ไม่ต้องกังวล ที่องค์กรนักล่ายุทธ์นี้ อย่าว่าเขาเป็นคุฯชายเทียนซานเสว่เลย ถึงแม้จะเป็นรางวงศ์แห่งประเทศเทียนหวูก็ไม่กล้ามาโวยวายที่นี่” หลัวซิวพูดเช่นนี้
“อื่ม” ลู่เมิ่งเหยาพยักหน้า ก่อนหน้านี้ที่เธอหนีออกมา เธอคิดไว้แล้วถ้าถูกจับตัวกลับไปให้ตายก็จะไม่แต่งงานกับคุณชายเทียนซานเสว่
การปรากฏตัวของหลัวซิว ทำให้ใจเธอที่หลงทางนิ่งลงเยอะ เหมือนแค่มีหลัวซิวอยู่ เธอก็ไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว เหมือนวันนั้นที่อยู่เขตการปกครองหยุนหลง หลัวซิวฆ่าโกวจินชวนเพื่อเธอ
ถ้าไม่ใช่เพราะหลัวซิวอยู่ ความบริสุทธิ์ของเธอคงจะถูกโกวจินชวนเอาไปตั้งนานแล้ว
เธอพึ่งจะรู้ว่า หลัวซิวสำคัญสำหรับตัวเองมากแค่ไหน ทำให้เธอรู้สึกเสียใจในการตัดสินใจของครั้งที่แล้ว ตอนนี้ก็เลยทำให้ทั้งสองเกิดความห่างเหิน
“หลัวซิวขอโทษ……” ลู่เมิ่งเหยายิ่งคิดยิ่งเสียใจ น้ำตาเริ่มไหล
“ผ่านไปแล้ว แค่มีฉันอยู่ จะรับปากเรื่องความปลอดภัยเธอ” หลัวซิวพูดกับเธออย่างปรอบใจ
พอได้ยินเช่นนี้ ลู่เมิ่งเหยายิ่งซึ่งไปใหญ่และยิ่งรู้สึกผิดด้วย
หลัวซิวรีบเปลี่ยนเรื่องคุย “ในช่วงเวลานี้ ฉันจะเดินทางไปเข้าร่วมชิงรายชื่อที่เขตการปกครองชิงฮัว เธอรู้เรื่องนี้ไหม?”
“ที่นายพูดคือการแข่งขันชิงรายชื่อที่แดนปริศนาใช่ไหม?” ลู่เมิ่งเหยาเองก็รู้เรื่องนี้ “ได้ยินมาว่า ทั้ง13ฝ่ายต่างก็จะสั่งนักเรียนที่เก่งที่สุดเข้าร่วมการแข่งขันชิงรายชื่อนี้”
“ถึงเวลาเธอไปกับฉันละกัน แค่เธออยู่กับฉัน และยังมีหัวหน้าแก๊งเสิ่น เหลยเว่ยหลงก็ไม่กล้ามาแตะต้องตัวเธอแล้ว” หลัวซิวพูด
……
ประตูหน้าขององค์กรนักล่ายุทธ์ ปรมาจารย์ฝึกจิตผู้คุมกฎสามคนเป็นผู้นำ สำนักเหลยหวู่นักยุทธ์หลาย10ฝ่ายล้อมปิดอยู่ที่นี่
องค์กรนักล่ายุทธ์จะปกป้องนักยุทธ์ทั่วโลก แค่อยู่ในขอบเขตของสมาคม ก็ไม่สามารถที่จะลงมือกับใครทั้งนั้น
แต่เป็นไปไม่ได้ที่คนๆ หนึ่งจะซ่อนอยู่ในองค์กรนักล่ายุทธ์ได้ตลอด เพื่อป้องกันลู่เมิ่งเหยาและหลัวซิวใช้วาร์ปหนีออกไปจากที่นี่ อหลายคนอีกมากมายก็เข้ามาในองค์กรนักล่ายุทธ์ คอยจ้องมองที่รอบๆ ห้องค่ายวาร์ป
“ที่ห้องรับแขกสมาคมนี้ยังไม่มีใครเห็นพวกเขาสองคน”
ผ่านไปสักแป๊บ มีอเดินออกมา รายงานกับเล่อเผิงเฉิงว่า “ฉันไปสืบบ่อแสมาจากผู้ที่เฝ้าค่ายวาร์ปแล้ว วันนี้ยังไม่มีคนใช้ค่ายวาร์ปไปที่อื่น”
“หรือไอ้หนุ่มนั่นจะเป็นผู้อัจฉริยะที่องค์กรนักล่ายุทธ์ ต้องการ?”
เล่อเผิงเฉิงขมวดคิ้ว ในเมื่อคนไม่อยู่ที่นี่ งั้นอยู่ใมในแก๊งแน่นอน และมีแต่สมาชิกเท่านั้นที่จะเข้าไปในองค์กรนักล่ายุทธ์
ถึงแม้ สมาชิกอัจฉริยะไม่ได้ถูกผู้แข็งแกร่งขององค์กรนักล่ายุทธ์คอยคุ้มครองที่ลับ แต่ฐานะสมาชิกพรสวรรค์ขององค์กรนักล่ายุทธ์ก็ไม่ธรรมดาแล้ว
และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ถูกองค์กรนักล่ายุทธ์ตั้งเป็น สมาชิกอัจฉริยะ ในตัวต้องมีความสามารถอันพิเศษมากๆ แน่นอน แค่มีโอกาสเติบโตต้องเป็นอันตรายแน่นอน
นอกแก๊งเต็มไปด้วยคนของสำนักเหลยหวู่ หลัวซิวรู้อย่างละเอียดดี
แค่เขาไม่สนใจ มีเสิ่นหยวนหนานที่อยู่ราชายุทธ์ขั้น5คอยเฝ้า ใครจะกล้าหาเรื่อง?
สามคนจากปรมาจารย์ฝึกจิตพาคนล้อมรอบหน้าประตู ทำให้นักยุทธ์มากมายที่เข้าออกแก๊งตกใจ และคนของสำนักเหลยหวู่จะตรวจสอบทุกคนที่ออกจากแก๊งอย่างละเอียด
การกระทำแบบนี้ ถือว่าเป็นการท้าทายองค์กรนักล่ายุทธ์อีกแบบแล้ว
มีคนมากมายรู้ว่าตำแหน่งขององค์กรนักล่ายุทธ์เกินพวก ไม่ธรรมดา แต่ปกติพวกของสำนักเหลยหวู่ก็ทำตัวอวดเก่งที่เขตการปกครองโตว้ไห่มาจนชิน ก็เลยไม่รู้สึกอะไร
โสว่หยวนโหย่วเดินออกจากองค์กรนักล่ายุทธ์ด้วยสีหน้าที่เย็นชา
คนของสำนักเหลยหวู่คุ้นเคยกับคนแก่ที่เดินออกมาอย่างดี รู้ว่าเขาคือผู้อาวุโสของย่อยของเขตการปกครองโตว้ไห่แก๊ง เป็นปรมาจารย์ฝึกจิตผู้แข็งแกร่ง
เห็นแต่โสว่หยวนโหย่วมองไปทางสำนักเหลยหวู่ด้วยสายตาที่เย็นชา พูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า “ผู้อาวุโสให้ฉันมาบอกคนของสำนักเหลยหวู่ ให้เวลาสามลมหายใจ ไสหัวไป!” ”
หลังจากคำนี้ออกมา นักยุทธ์ของสำนักเหลยหวู่หลายคนอึ้ง ผู้คุมกฎจิตที่เป็นคนนำสามคนก็ขมวดคิ้ว
“ผู้อาวุโส มีคนฆ่าคนของสำนักเหลยหวู่และหนีเข้าไปในแก๊ง ฝ่ายเราก็ไม่ได้ลงมือในเขตของแก๊ง ท่านทำแบบนี้ คงจะไร้น้ำใจเกินไปแล้วมั้ง?” ผู้คุมกฎจิตหนึ่งคนพูดด้วยน้ำเสียงต่ำ
“หนึ่งลมหายใจ!” โสว่หยวนโหย่วไม่สนใจฝั่งตรงงข้าม นับเวลาอย่างเย็นชา
“พวกเราสำนักเหลยหวู่เป็นถึงอำนาจอันดับแรกของเขตการปกครองโตว้ไห่ แค่คำเดียวของท่านก็ให้พวกเราไสหัวไป คงจะเกินไปละมั้ง? จะให้พวกเราสำนักเหลยหวู่เอาหน้าไปไว้ที่ไหน?”
“สองลมหายใจ!” โสว่หยวนโหย่วหัวเราะในใจ อำนาจอันดับหนึ่งในเขตการปกครองโตว้ไห่แล้วเป็นอะไร? ในสายตาขององค์กรนักล่ายุทธ์เป็นแค่เศษฝุ่น
“พวกเราไปเถอะ” เล่อเผิงเฉิง สังหรณ์ไม่ดี ก็เลยพูด
แต่พวกเขายังไม่ทันไป โสว่หยวนโหย่วก็พูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า “สามลมหายใจแล้ว”
ในตอนที่เขาพูดสามลมหายใจ นัยน์ตาของทุกคนหดตัว อยากจะรอดูว่าพวกสำนักเหลยหวู่ไม่ได้จากไปหลังสามลมหายใจ องค์กรนักล่ายุทธ์จะจัดการยังไง
ผู้คุมกฎจิตสองคนที่อยู่ข้างๆ เล่อเผิงเฉิงมองไปรอบๆ รู้สึกว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ส่วนโสว่หยวนโหย่วที่อยู่ด้านหน้าจะเป็นปรมาจารย์ฝึกจิต?แต่ฝ่ายของตนเองมีสามคน และเป็นผู้ฝึกจิตเช่นเดียวกัน
ทันใดนั้น มีความกดดันอันมหาศาลเกิดขึ้นอย่าน่าตกใจ!
########################
บทที่ 165 ห่างเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น !
ผู้คนที่ยืนอยู่บนถนนต่างตกตะลึง จอมยุทธ์ใหญ่ที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามเองก็แสดงสีหน้าตกใจเช่นกัน มือของเขากุมดาบที่ส่องประกายแสงสีฟ้าเอาไว้ แล้วจ้องมองไปที่หลัวซิวอย่างระมัดระวัง
เขาเองก็มีผลการฝึกตนระดับจอมยุทธ์ใหญ่ แต่เมื่อลองถามตัวเองดูแล้ว เขาคงไม่สามารถฆ่าจอมยุทธ์แดนพรสวรรค์ช่วงท้ายทั้งสามคนได้อย่างรวดเร็วและหมดจดเช่นนี้
“เจ้าเป็นใครกันแน่ ? กล้าฆ่าคนของสำนักเหลยหวู่เราบนท้องถนนเช่นนี้” จอมยุทธ์ใหญ่ผู้นี้รู้ตัวดีว่าตนเองนั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ ขณะที่พูด เขาก็ค่อย ๆ เดินถอยร่นไป
ฆ่าผู้ฝึกตนของสำนักเหลยหวู่ในเขตการปกครองโตว้ไห่ ย่อมจะต้องมีผู้ฝึกจิตที่แข็งแกร่งออกมาฆ่าคนผู้นี้อย่างแน่นอน ไม่จำเป็นที่ตนเองจะต้องเอาชีวิตไปเสี่ยง
อีกทั้ง ดูเหมือนว่าชายหนุ่มชุดคลุมยาวดำคนนี้จะละม้ายคล้ายกับ “ซิวหลัว” ที่ปรากฏตัวขึ้นเมื่อช่วงก่อน ได้ยินมาว่า “ซิวหลัว” ผู้นั้น ใช้วิชาปราณกระบี่เปลวไฟดำด้วยเช่นกัน และเป็นร่างยุทธ์ชั้นสูง สามารถทำลายนักยุทธ์ชั้นกลางได้
มีคุณสมบัติหลายอย่างที่ตรงกัน เขาจึงเกือบจะมั่นใจอย่างสมบูรณ์ว่าคนผู้นี้คือซิวหลัวอย่างแน่นอน !
ซิวหลัวผู้นี้ แม้แต่ผู้ฝึกจิตครึ่งยังฆ่าได้ จึงสามารถฆ่าจอมยุทธ์ใหญ่ได้ง่ายดายเหมือนสุนัข !
เมื่อเห็นจอมยุทธ์ใหญ่ของสำนักเหลยหวู่ผู้นี้มีสีหน้าที่เปลี่ยนไป หลัวซิวก็เดาออกทันทีว่าอีกฝ่ายคงจะเดาออกแล้วว่าคนเองนั้นคือซิวหลัว
แต่เขาก็ไม่สนใจหากฐานะนี้ต้องถูกเปิดเผย เพราะในไม่ช้าเขาก็จะไปเข้าร่วมการประลอง เพื่อเข้าชิงรายชื่อผู้ที่จะได้เข้าไปในแดนปริศนากับเสิ่นหยวนหนานแล้ว รอให้เขากลับมาอีกครั้งเสียก่อน ไม่แน่ว่าอาจมีกำลังที่จะต่อสู้กับราชายุทธ์ได้
ส่วนคนในครอบครัวของตนเอง มีองค์กรนักล่ายุทธ์คอยปกป้องอยู่ ต่อให้เหลยเว่ยหลงจะใจกล้าแค่ไหน เขาก็ไม่มีทางกล้าแตะต้องเด็ดขาด
ส่วนจอมยุทธ์ใหญ่ที่อยู่ต่อหน้าคนนี้ หลัวซิวเองก็ไม่คิดจะไว้ชีวิต ตนเองได้ให้โอกาสหนีแก่เขาแล้ว ในเมื่ออีกฝ่ายเลือกที่จะลงมือ ก็มีเพียงแค่ความตายที่รออยู่เท่านั้น
สำแดงวิชาท่าร่างตามลมล่าจันทรา ดูเหมือนว่าหลัวซิวจะไปปรากฏตัวต่อหน้าจอมยุทธ์ใหญ่ผู้นั้นในทันที เพลิงมรณะค่อย ๆ แผ่ซ่านออกมาจากตัวเขาทีละสาย แล้วกลายเป็นแสงสว่างของเปลวไฟกระบี่ดำ ก่อตัวขึ้นเป็นตาข่ายขนาดใหญ่ และสกัดกั้นหนทางในการถอยหนีของอีกฝ่าย
กระบวนท่านี้ เป็นทักษะยุทธ์ที่บันทึกอยู่ในกระบี่เพลิง
จอมยุทธ์ใหญ่ผู้นั้นระมัดระวังตัวอยู่ตลอดเวลา เมื่อเห็นหลัวซิวลงมือ เขาก็ตั้งสติได้ในทันที ดาบที่อยู่ในมือของเขาส่องแสงประกายของสายฟ้าออกมา และฟันลงไปอย่างแรง
ดาบเล่มนี้เป็นของชั้นสูง ซึ่งเขาเพิ่งจะซื้อมาด้วยเงินเก็บออมทั้งหมดที่มีเมื่อไม่นานมานี้ ปรมาจารย์ยุทธ์ฝึกจิตผู้แข็งแกร่งจำนวนมาก มักจะใช้ดาบในระดับนี้
ทว่า ของชั้นสูงที่เปรียบเสมือนสมบัติล้ำค่าของจอมยุทธ์ใหญ่ เมื่ออยู่ต่อหน้าของหลัวซิว ก็เป็นเพียงแค่ของไร้สาระเท่านั้น !
ร่างเนื้อของเขาบรรลุถึงจุดสูงสุดของร่างยุทธ์ชั้นสูงนานแล้ว ซึ่งอยู่ห่างจากร่างยุทธ์ขั้นสูงเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น !
เขาใช้นิ้วมือชี้ออกไป ดาบชั้นสูงก็สั่นอย่างรุนแรง พลังมหาศาลแผ่ซ่านออกไป ทำให้จอมยุทธ์ใหญ่สำนักเหลยหวู่กำดาบด้วยความเจ็บปวด แขนของเขาราวกับจะสูญเสียความรู้สึกไป
สิ่งนี้ทำให้จอมยุทธ์ใหญ่สำนักเหลยหวู่รู้สึกหวาดกลัวอย่างอธิบายไม่ถูก เขาจึงรีบนำยันต์หยกออกมาจากแหวนเก็บของอย่างรวดเร็ว
เพียงแต่เขายังไม่ทันจะได้บดขยี้ยันต์หยกเพื่อใช้งาน เปลวไฟกระบี่ดำก็รวมตัวกันเป็นตาข่ายใหญ่และคลุมลงมา ทำลายร่างกายจนแหลกเป็นชิ้น ๆ มีเลือดไหลออกมาราวกับสายน้ำ และล้มลงบนพื้นในที่สุด
นี่คือยันต์โจมตีขั้น 4 ที่ถูกปรับแต่งขึ้นโดยปรมาจารย์นักค่ายกล สามารถโจมตีได้เทียบเท่ากับการลงมือของปรมาจารย์ยุทธ์ฝึกจิต
เขาคิดว่าจะใช้ยันต์นี้ ถึงแม้จะไม่สามารถฆ่าอีกฝ่ายได้ แต่อย่างน้อยก็จะอาศัยจังหวะนี้ในการหลบหนี แต่คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะลงมืออย่างรวดเร็วเช่นนี้ ยังไม่ทันจะได้ใช้ยันต์ ก็ถูกฆ่าตายเสียแล้ว
“หลัวซิว เจ้า……”
ลู่เมิ่งเหยาคิดไม่ถึงเลยว่าหลัวซิวจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ จอมยุทธ์ใหญ่เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาก็เป็นเหมือนกับสุนัข ที่ถูกโจมตีจนตายในคราวเดียว
หรือว่าเขาจะเป็น “ซิวหลัว” ที่อยู่ในข่าวลือ ?
เมื่อเห็นหลัวซิวเก็บสมบัติของจอมยุทธ์ที่ถูกฆ่าตายทั้งสี่อย่างชำนาญ ลู่เมิ่งเหยาก็รู้สึกสับสนเล็กน้อย ในช่วงที่แยกจากนางไป หลัวซิวผ่านอะไรมาบ้างกันแน่ ?
ระยะเวลาสั้น ๆ เพียงแค่หนึ่งปี จากการกลั่นร่างขั้น 2 บรรลุถึงจอมยุทธ์ใหญ่แดนพรสวรรค์ขั้น 9 นางจึงพอเข้าใจแล้วว่าทำไมในตอนนั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะหนีไป เป็นเพราะเกรงว่าอาเล่อจะสนใจความลับที่ซ่อนอยู่ในตัวของเขา
หากเป็นเมื่อก่อน นางเชื่อว่าอาเล่อไม่มีทางทำอะไรหลัวซิวอย่างแน่นอน แต่หลังจากที่ประสบกับเหตุการณ์ครั้งนี้แล้ว นางกลับพบว่า อาเล่อผู้นั้นไม่ใช่คนดีอย่างที่ตนเองคิดเอาไว้
เพราะคนที่ตามจับนางทั้งสี่คน ล้วนแล้วแต่เป็นลูกสมุนของเล่อเผิงเฉิงทั้งสิ้น ถ้าหากไม่มีคำสั่งของเล่อเผิงเฉิง พวกเขาจะกล้าปฏิบัติต่อนางเช่นนี้ได้อย่างไร ?
“ไปกันเถอะ พวกเราไปที่องค์กรนักล่ายุทธ์กันก่อน”
หลัวซิวเก็บแหวนเก็บของทั้งสี่ขึ้นมา จากนั้นจึงหันไปพูดกับลู่เมิ่งเหยาที่ยังคงยืนสับสนอยู่
“อืม……” ลู่เมิ่งเหยาใจลอยเล็กน้อย นางไม่ทันสังเกตว่าหลัวซิวพูดอะไร
“ข้าฆ่าคนของสำนักเหลยหวู่สี่คน ไม่ช้าจะต้องมียอมฝีมือระดับผู้ฝึกจิตขึ้นไปตามมาแน่นอน พวกเรารีบไปกันเถอะ”
หลัวซิวพูดขึ้นอีกหนึ่งประโยค จากนั้นจึงจูงมือของลู่เมิ่งเหยา แล้วเดินตรงไปยังองค์กรนักล่ายุทธ์
ฝูงชนที่ยืนมุงดูอยู่โดยรอบไม่มีใครกล้าขวาง เพราะผู้ร้ายคนนี้อาจจะเป็นซิวหลัว ที่ฆ่าจอมยุทธ์ใหญ่ได้เหมือนสุนัข !
ในเขตปกครองโตว้ไห่ สำนักเหลยหวู่ถือว่ามีอิทธิพลสูงสุด แม้แต่ยอมฝีมือระดับผู้ฝึกจิตก็ยังไม่กล้าล่วงเกินง่าย ๆ
แต่กองกำลังทั้งหมดในเขตการปกครองโตว้ไห่ ล้วนเกรงกลัวความยิ่งใหญ่ของสำนักเหลยหวู่ มีเพียงแก๊งใหญ่ทั้งสี่ที่ถือเป็นข้อยกเว้น
นักค่ายกลบนโลกนี้ เกือบจะทั้งหมดล้วนมาจากแก๊งนักค่ายกล
นักกลั่นยาบนโลกนี้ เกือบจะทั้งหมดล้วนมาจากแก๊งนักกลั่นยา
นักหลอมอาวุธบนโลกนี้ เกือบจะทั้งหมดล้วนมาจากแก๊งนักหลอมอาวุธ
กองกำลังต่าง ๆ เพื่อที่จะฝึกฝนนักค่ายกล นักกลั่นยา และนักหลอมอาวุธของตนเอง ล้วนแล้วแต่ส่งไปเรียนที่สามแก๊งใหญ่นี้ทั้งสิ้น
ส่วนองค์กรนักล่ายุทธ์ นักฝึกตนแทบจะทั้งหมดบนโลกนี้ ต่างก็มีรายชื่ออยู่ในแก๊ง เพื่อรับป้ายแบ่งระดับของนักล่าอสูรที่เหมาะสม
ส่วนนายท่านตระกูลกงซุน กงซุนเชียนจีผู้นั้น เป็นนักค่ายกลขั้น 5 ได้ยินมาว่าเป็นศิษย์คนโปรดของท่านหัวหน้าแก๊งของสาขาแก๊งนักค่ายกล
และในบรรดาแก๊งใหญ่ทั้งสี่นี้ องค์กรนักล่ายุทธ์ถือว่ามีฐานะที่สูงส่งกว่า และถือเป็นผู้นำของแก๊งใหญ่ทั้งสี่ !
องค์กรนักล่ายุทธ์ได้กำหนดกฎเกณฑ์ขึ้นว่า ไม่ว่าศัตรูของเจ้าจะเป็นใคร เพียงแค่เจ้าเข้ามาในองค์กรนักล่ายุทธ์ ก็จะได้รับการคุ้มครองจากองค์กรนักล่ายุทธ์ หากใครกล้าเข้ามาลงมือในองค์กร ก็เท่ากับรนหาที่ตาย จะต้องถูกผู้แข็งแกร่งขององค์กรนักล่ายุทธ์ตามฆ่า
กฎข้อนี้ คุ้มครองผู้ฝึกตนทั้งหมดในโลก ซึ่งทำให้คนรู้สึกทั้งรักทั้งเกลียด
ในเวลาเดียวกันนี้ การปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งของซิวหลัว ก็แพร่กระจายไปทั่วเมืองอย่างรวดเร็วราวกับพายุ
ผ่านไปสองเดือนกว่า “ซิวหลัว” กลับมาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้บริเวณใกล้วัดกวนเหลย เป็นเพราะผู้แข็งแกร่งของสำนักเหลยหวู่ไม่อยู่ที่นั่นด้วย ดังนั้นในสายตาของคนส่วนใหญ่แล้ว เด็กหนุ่มที่เรียกตัวเองว่า “ซิวหลัว” ผู้นั้น จงใจที่จะใช้โอกาสนี้ยั่วยุสำนักเหลยหวู่
แต่ครั้งนี้ “ซิวหลัว” ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งที่ใจกลางเมืองของเขตการปกครองโตว้ไห่ และฆ่าจอมยุทธ์ที่เป็นยอดฝีมือของสำนักเหลยหวู่ไปถึงสี่คน และหนึ่งในนั้นยังเป็นจอมยุทธ์ใหญ่อีกด้วย !
เขตการปกครองโตว้ไห่ ถือเป็นพื้นที่ของสำนักเหลยหวู่
***
“เมิ่งเหยา เรื่องของเจ้าสำนักน้อยแห่งสำนักเทียนซานเสว่มีที่มาที่ไปอย่างไร ?” หลังจากเข้าไปในองค์กรนักล่ายุทธ์ หลัวซิวก็ขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถามขึ้น
สำหรับคำถามนี้ ลู่เมิ่งเหยากลับเงียบไปทันที บนใบหน้าปรากฏร่องรอยของความหมองเศร้า ช่างดูน่าสงสารยิ่งนัก
อาจกล่าวได้ว่านางนั้นโชคร้าย เดิมทีเป็นผู้มีพรสวรรค์ แต่กลับเป็นโรคชีพจรขาดธาตุไฟ หลังจากรักษาโรคชีพจรขาดธาตุไฟอย่างยากลำบากจนหายดี สำนักเซียวเหยาก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างกะทันหัน บิดาของนาง ลู่เฟยเฉิงมาเสียชีวิตลงในการต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจ
นางยังไม่ทันจะคลายจากความโศกเศร้าที่ต้องสูญเสียผู้เป็นพ่อไป หลังจากมาถึงสำนักเหลยหวู่ กลับต้องมาเผชิญกับการสู่ขอจากเจ้าสำนักน้อยแห่งสำนักเทียนซานเสว่อีก ภายใต้แรงกดดันจากผู้อาวุโสของสำนักเหลยหวู่ ทำให้นางต้องจำใจหลบหนีออกมา
หากไม่ใช่เพราะได้พบกับหลัวซิวเข้า เกรงว่านางคงจะหนีมาไม่ถึงองค์กรนักล่ายุทธ์ ก็คงจะถูกจอมยุทธ์ทั้งสี่จับตัวกลับไปอย่างแน่นอน
“หลัวซิว ตอนนั้นเจ้าจากไปโดยไม่ลา เป็นเพราะกลัวว่าอาเล่อจะเกิดความละโมบในความลับที่ซ่อนอยู่ในตัวของเจ้าใช่ไหม ?”
########################
บทที่ 164 ซิวหลัวปรากฏตัวอีกครั้ง
ภายในห้องลับ หลัวซิวที่กำลังฝึกตนปิดขัง จู่ ๆ ก็ลืมตาทั้งสองข้างขึ้นมา ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เขาจึงรู้สึกไม่สบายใจอยู่ตลอดเวลา
หลังจากที่การฝึกตนก้าวเข้าสู่แดนพรสวรรค์แล้ว และเปิดการรับรู้จิตวิญญาณ จากนั้นผลการฝึกตนก็พัฒนาขึ้น การรับรู้จิตวิญญาณนับวันจะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น และมักจะเกิดลางสังหรณ์ขึ้นเสมอ
การฝึกตนปิดขังเป็นเวลาสองเดือน เขาสามารถฝึกตนถึงแดนพรสวรรค์ขั้น 9 ได้สำเร็จ เปลี่ยนจากจอมยุทธ์ กลายเป็นจอมยุทธ์ใหญ่
ทว่าตอนที่เขากำลังรักษาความมั่นคงของผลการฝึกตนที่เพิ่งบรรลุมาหมาด ๆ ในหัวของเขาจู่ ๆ ก็ปรากฏใบหน้าของลู่เมิ่งเหยาขึ้นมา ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความโศกเศร้า และมีคราบน้ำตา……
“หรือนางต้องเจอกับปัญหาในสำนักเหลยหวู่ ?”
ถึงแม้ในตอนนั้นจะมีสาเหตุมาจากลู่เฟยเฉินผู้เป็นพ่อของนาง ที่ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองต้องเกิดความบาดหมางกัน
แต่ในใจของหลัวซิว ความรู้สึกที่เขามีต่อลู่เมิ่งเหยาคือความจริงใจ
ถึงแม้จะหมดหนทางที่จะอยู่ร่วมกัน และเป็นคู่รักที่ก้าวเดินไปบนหนทางการฝึกตนด้วยกัน แต่ก็ยังถือว่าเป็นเพื่อนสนิทที่เคยผ่านความยากลำบากมาด้วยกัน
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็ไม่อาจฝึกตนปิดขังต่อได้อีก จึงลุกแล้วเดินออกจากห้องลับไป
ตอนแรกที่เขามาถึงองค์กรนักล่ายุทธ์สาขาเขตการปกครองโตว้ไห่ ชายชราระดับฝึกจิตที่ออกมาต้อนรับเขามีชื่อว่าโสว่หยวนโหย่ว เป็นผู้อาวุโสของสาขาเขตการปกครองโตว้ไห่ อยู่ในตำแหน่งพนักงานต้อนรับ
“ท่านโสว่ ช่วงนี้เกิดอะไรขึ้นในสำนักเหลยหวู่บ้างหรือไม่ ?”
หลัวซิวหาโสว่หยวนโหย่วจนเจอ และเอ่ยปากถามขึ้นทันที
องค์กรนักล่ายุทธ์มีข้อมูลข่าวกรองที่ละเอียดที่สุดอยู่ในมือ ในฐานะที่เป็นสมาชิกอัจฉริยะ รวมไปถึงยังครอบครองขั้นเหลืองระดับสูงอีก หลัวซิวจึงสามารถรับรู้ข่าวสารมากมายได้จากองค์กรโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
เช่นเดียวกับตอนที่เขาได้รับแผนที่โดยย่อของเทือกเขากวนเหลยจากองค์กร ก็เพราะเหตุผลเดียวกัน
ทรัพยากรต่าง ๆ ที่อยู่ในมือขององค์กรนักล่ายุทธ์ อยู่ไกลกินกว่าที่กองกำลังธรรมดา ๆ จะเทียบได้
“หากจะพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในสำนักเหลยหวู่ ดูเหมือนว่าช่วงนี้จะมีอยู่หลายเรื่อง”
โสว่หยวนโหย่วไตร่ตรองเล็กน้อยแล้วพูดว่า : “ประการแรกคือเมื่อสองเดือนก่อน เจ้าสำนักแห่งสำนักเหลยหวู่ เหลยเว่ยหลงและกงซุนเชียนจี ได้สะกดรอยตามจักรพรรดิยุทธ์ซึ่งได้รับบาดเจ็บ และมีผลการฝึกตนที่ถดถอยลง แต่ในที่สุดก็ยังตามตัวกลับมาไม่สำเร็จ
จากนั้นก็มีชายหนุ่มชุดคลุมยาวดำนามว่าซิวหลัวปรากฏตัวขึ้น มีข่าวลือว่าสักวันเขาจะเหยียบสำนักเหลยหวู่ให้จมดิน และตัดหัวของเหลยเว่ยหลงมาให้ได้
จากนั้น ก่อนหน้านี้ไม่นาน เจ้าสำนักน้อยแห่งสำนักเทียนซานเสว่ เดินทางมายังเขตการปกครองโตว้ไห่ แล้วเข้าเยี่ยมเยียนสำนักเหลยหวู่เพื่อทำการสู่ขอ ได้ยินมาว่าต้องการสู่ขอผู้หญิงที่ชื่อว่าลู่เมิ่งเหยา เดิมทีผู้หญิงคนนี้เป็นลูกสาวของเจ้าสำนักเซียวเหยา”
ข่าวที่อยู่ในมือขององค์กรนักล่ายุทธ์ ทำให้รู้ว่าเด็กหนุ่มชุดคลุมยาวดำนามว่าซิวหลัว อันที่จริงแล้วคือหลัวซิวที่ยืนอยู่ตรงหน้า
ในเมื่อหลัวซิวเคยขู่ว่าจะเหยียบสำนักเหลยหวู่ให้จมดิน และตัดหัวของเจ้าสำนักเหลยเว่ยหลงมาให้ได้ ดังนั้นเมื่อเขาถามถึงข่าวคราวของสำนักเหลยหวู่ โสว่หยวนโหย่วจึงตอบออกมาตรง ๆ
หลัวซิวขมวดคิ้ว ทั้งสามเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสำนักเหลยหวู่ ล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับเขาทั้งสิ้น
จักรพรรดิยุทธ์ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บที่เหลยเว่ยหลงและกงซุนเชียนจีสะกดรอยตาม ไม่ต้องถามกู้ว่าเป็นเหยียนเยว่เอ๋อร์
ส่วนที่เขาคาดเดาสาเหตุที่ทำให้จิตใจของเขาไม่สงบ นั่นเป็นเพราะเกิดปัญหาขึ้นกับลู่เมิ่งเหยา
ตอนนี้เอง หลัวซิวได้ยินเสียงเอะอะโวยวายจากถนนด้านนอก ดังเข้ามาในองค์กรนักล่ายุทธ์
และในขอบเขตการรับรู้ถึงสิ่งมีชีวิตของหลัวซิว มีลมหายใจของชีวิตที่เขารู้สึกคุ้นเคยปรากฏขึ้น
“เมิ่งเหยา ?”
หลัวซิวขยับร่างกาย และหายตัวไปต่อหน้าต่อตาของโสว่หยวนโหย่ว การเคลื่อนไหวที่รวดเร็วดุจสายลม เกิดแสงสว่างวาบสีเงินอยู่ใต้ฝ่าเท้า ราวกับกำลังไล่ตามดวงจันทร์บนท้องฟ้า
นี่คือวิชาท่าร่างขั้น 7 ตามลมล่าจันทรา ระหว่างการเคลื่อนไหว มีความเร็วมากกว่าวิชาท่าร่างวิชาเงาเศษสิบช่องหลายเท่านัก
ปิดขังฝึกตนทุกขเวทนาสองเดือน ไม่เพียงแต่เพิ่มระดับผลการฝึกตนเท่านั้น แต่เพิ่งจะบรรลุวิชายุทธ์ขั้น 7 อีกสองวิชา ซึ่งหลัวซิวต้องฝึกฝนอย่างหนัก
เมื่อมีรากฐานที่มั่นคงในวิชายุทธ์ วิชายุทธ์ขั้น 7 ทั้งสองวิชานี้ ต่างก็ฝึกตนถึงแดนบรรลุผลได้ในระยะเวลาอันสั้น
หลังจากรับรู้ถึงลมหายใจของลู่เมิ่งเหยา หลัวซิวก็พุ่งตรงออกจากองค์กรนักล่ายุทธ์โดยไม่คิด ในระยะเวลาสั้น ๆ เพียงสิบลมหายใจ สายตาของเขาก็มองเห็นลู่เมิ่งเหยา
ใบหน้าของลู่เมิ่งเหยาซีดเผือด ฝีเท้าของนางดูอ่อนแรง และวิ่งโซซัดโซเซมุ่งหน้ามาที่องค์กรนักล่ายุทธ์
ห่างจากนางออกไปไม่ไกลทางด้านหลัง มีผู้ฝึกตนสองสามคนกำลังวิ่งตามมาอย่างรวดเร็ว และตะโกนด่าทอด้วยความโกรธเพื่อให้นางหยุด
ผู้คนที่เดินผ่านไปมาต่างหลีกทางให้ พวกเขาจำได้ว่าสัญลักษณ์ที่อยู่บนตัวของผู้ฝึกตนเหล่านี้เป็นของสำนักเหลยหวู่ จึงกลัวว่าจะพลอยติดร่างแหไปด้วย หากล่วงเกินเข้าจะต้องเดือดร้อนเป็นแน่
“ขอแค่ข้าหนีเข้าไปในองค์กรนักล่ายุทธ์ได้ คนของสำนักเหลยหวู่คงไม่กล้าลงมือจับตัวข้าในองค์กรนักล่ายุทธ์อย่างแน่นอน”
เมื่อเห็นว่ากำลังจะหนีเข้าไปในองค์กรนักล่ายุทธ์แล้ว แววตาของลู่เมิ่งเหยาก็เต็มไปด้วยความหวังทันที
“หลัวซิว ?”
มีร่างหนึ่งปรากฏขึ้นต่อหน้านาง ลู่เมิ่งเหยาตกใจ และน้ำเสียงของนางก็สั่นเครือเล็กน้อย
“เมิ่งเหยา เจ้าเป็นอะไรไป ?” หลัวซิวเดินเข้าไปหา เขาขมวดคิ้วแล้วหันมองผู้ฝึกตนของสำนักเหลยหวู่สองสามคนที่วิ่งตามมาทางด้านหลัง
“ลู่เมิ่งเหยา เจ้าเป็นศิษย์ใจกลาง แต่กลับเห็นแก่ตัวและหนีออกมาจากสำนักเช่นนี้ ยังไม่รีบสารภาพความผิดแล้วตามพวกเรากลับไปรับโทษแต่โดยดีอีกหรือ ?”
ผู้ฝึกตนสี่คนวิ่งตามมา หนึ่งในนั้นตะโกนขึ้นเสียงดัง
หลัวซิวรู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับลู่เมิ่งเหยาในสำนักเหลยหวู่แล้ว นางหลบหนีออกมาจากสำนักเหลยหวู่ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นเพราะไม่ต้องการแต่งงานกับเจ้าสำนักน้อยแห่งสำนักเทียนซานเสว่
ดังนั้น เขาจึงเดินตรงไปข้างหน้า แล้วใช้สายตาเย็นชาจ้องมองผู้ฝึกตนทั้งสี่ของสำนักเหลยหวู่ แล้วพูดออกมาเพียงคำเดียวว่า “ไสหัวไป !”
ในบรรดาทั้งสี่คนนี้ มีสองคนอยู่ในแดนพรสวรรค์ขั้น 7 หนึ่งคนอยู่ในแดนพรสวรรค์ขั้น 8 และอีกหนึ่งคนเป็นจอมยุทธ์ใหญ่ในแดนพรสวรรค์ขั้น 9
หลัวซิวเองก็สังเกตเห็น ผลการฝึกตนของลู่เมิ่งเหยาบรรลุถึงแดนพรสวรรค์ขั้น 2 ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ
เพราะก่อนที่ลู่เมิ่งเหยาจะเป็นโรคชีพจรขาดธาตุไฟ ตัวนางเองเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์สูงมาก และเคยอยู่ห่างจากการบรรลุถึงแดนพรสวรรค์เพียงก้าวเดียวเท่านั้น
หลังจากโรคชีพจรขาดธาตุไฟหายดีแล้ว นางก็สามารถบรรลุถึงแดนพรสวรรค์ได้รวดเร็วเช่นนี้ ถือเป็นเรื่องปกติ
“เจ้าสวะ คนอย่างเจ้าคิดจะทำตัวเป็นผู้กล้าช่วยสาวงามอย่างนั้นหรือ ? เจ้ากล้ายุ่งเรื่องของสำนักเหลยหวู่เราอย่างนั้นหรือ ? ฆ่ามัน !”
ใบหน้าของจอมยุทธ์ใหญ่ผู้เป็นหัวหน้าเต็มไปด้วยเจตนาฆ่า เขาออกคำสั่งกับจอมยุทธ์แดนพรสวรรค์ที่ยืนอยู่ด้านข้างทั้งสามคน
จอมยุทธ์แดนพรสวรรค์ทั้งสามคนสำแดงวิชาท่าร่างโดยไม่รอช้า พวกเขาชักกระบี่ออกมา แล้วพุ่งตรงเข้าไปด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
ในเขตการปกครองโตว้ไห่แห่งนี้ ไม่มีใครกล้าแสดงท่าทีหยิ่งยโสต่อหน้าคนของสำนักเหลยหวู่เช่นนี้ พวกโง่เช่นนี้ถือว่ามีอยู่น้อยนัก
ไม่ต้องพูดว่าคนพวกนี้มาเพื่อจับตัวลู่เมิ่งเหยา ต่อให้ไม่ใช่ แค่เพียงเพราะสาเหตุเรื่องเหยียนเยว่เอ๋อร์ หลัวซิวก็ไม่คิดจะญาติดีกับสำนักเหลยหวู่เลยแม้แต่น้อย มีให้เพียงแค่เจตนาฆ่าเท่านั้น
เขาขยับร่างกาย ไม่ได้หยิบกระบี่ออกมา ทำเพียงแค่กางนิ้วทั้งห้าออก แล้วรวบรวมเพลิงมรณะ รวมตัวออกมาเป็นปราณกระบี่เปลวไฟดำห้าสาย และพุ่งเข้าไปห่อหุ้มจอมยุทธ์แดนพรสวรรค์ทั้งสามเอาไว้ทันที
ลมหายใจแห่งความตายที่เย็นเยือกค่อย ๆ แผ่ซ่านออกมาอย่างน่ากลัว !
“ฟึบ !”
จอมยุทธ์แดนพรสวรรค์ขั้น 7 คนหนึ่งยังไม่ทันจะได้ตั้งสติ ร่างกายของเขาก็ถูกปราณกระบี่เปลวไฟดำทั่งห้าสายฉีกออกเป็นชิ้น ๆ ทันที เลือดสีแดงสดสาดกระเซ็นไปทั่ว
“เขาคือจอมยุทธ์ใหญ่……”
จอมยุทธ์แดนพรสวรรค์ขั้น 8 ผู้นั้นสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่หลัวซิวปล่อยออกมา สีหน้าของเขาตกตะลึง เพียงแต่เขายังไม่ทันจะพูดจบ ปราณกระบี่เปลวไฟดำที่น่ากลัวทั้งห้าสายก็พุ่งตรงเข้ามาทันที จากนั้นก็เกิดเสียงดังฟึบ เขาลงไปนั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้นด้วยร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลทันที
ส่วนจอมยุทธ์แดนพรสวรรค์อีกคนที่เหลือ หลัวซิวใช้กำปั้นทุบออกไป เกิดเสียงดังเช้ง ดาบชั้นกลางที่อยู่ในมือของอีกฝ่ายแหลกละเอียดทันที
ปราณแท้ที่ปกป้องร่างกายเปรียบเสมือนกระดาษหนึ่งแผ่น เมื่อถูกกำปั้นทุบทำลายในทันที หน้าอกของเขาก็ถูกกำปั้นของหลัวซิวทุบจนยุบลงไป ส่วนร่างของเขาลอยกระเด็นออกไปไกลหลายร้อยเมตร เลือดสีแดงสดสาดกระเซ็น และตายในทันที
จอมยุทธ์ที่ถือว่าเป็นยอดฝีมือในแดนพรสวรรค์ช่วงท้ายทั้งสามคน ถูกฆ่าตายในการเผชิญหน้ากับเขาเพียงครั้งเดียว โดยไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงที่จะต่อต้านเลยแม้แต่น้อย
########################
บทที่ 163 แดนปริศนา
“ภายในเวลาอีกไม่ถึงสองปี แดนปริศนาก็จะเปิดออกแล้ว จะต้องเป็นการต่อสู้กันระหว่างผู้แข็งแกร่งอย่างแน่นอน ก่อนที่แดนปริศนาจะเปิด จะมีการประลองเกิดขึ้น กองกำลังต่าง ๆ จากทั้งสิบสามเขต ถึงเวลานั้นก็จะส่งคนมาเข้าร่วม”
นี่เป็นครั้งที่สองที่หลัวซิวได้ยินเกี่ยวกับแดนปริศนาแล้ว แต่ไม่รู้ว่าแดนปริศนานี้เมื่อเทียบกับแดนนานาอสูรแล้ว จะเป็นเช่นไรบ้าง ?
แดนปริศนา เป็นพื้นที่พิเศษที่ผู้แข็งแกร่งในสมัยโบราณทิ้งเอาไว้ มีความลึกลับนานาประเภทซ่อนอยู่
ในอาณาเขตของประเทศเทียนหวู มีแดนลึกลับขนาดใหญ่ทั้งสิ้นสามแห่งได้แก่ แดนปริศนา แดนอเวจี และแดนนานาอสูร
ในแดนปริศนาเต็มไปด้วยบรรยากาศที่หนาวเหน็บ ในสภาพแวดล้อมที่พิเศษเช่นนั้น เป็นสถานที่ที่ให้กำเนิดสมบัติของโลกและสวรรค์ขึ้นมากมาย รวมไปถึงสมบัติล้ำค่านานาชนิด
ไม่ว่าจะฝึกตนด้วยพลังเช่นไร เมื่ออยู่ในแดนปริศนาก็จะได้รับประสมการณ์และสิ่งที่เป็นประโยชน์มากมายมหาศาล
ข้อสันนิษฐานเพียงอย่างเดียวที่มีอยู่ก็คือ เราสามารถใช้ชีวิตอยู่ในแดนปริศนาได้
กองกำลังต่าง ๆ ในประเทศเทียนหวูต่างมีสถานการณ์ที่ซับซ้อน คนที่จะเข้าไปในแดนปริศนาได้มีจำนวนจำกัด จึงจำเป็นต้องต่างฝ่ายต่างแย่งชิง อีกทั้งการเข้าไปในแดนปริศนามีข้อจำกัดว่าต้องมีอายุต่ำกว่าสามสิบปี และอยู่ในระดับแดนพรสวรรค์ขึ้นไป !
หากไม่เป็นไปตามเงื่อนไขในการเข้าสู่แดนปริศนา ต่อให้เป็นจักรพรรดิผู้แข็งแกร่ง ก็ไม่อาจหาวิธีบุกรุกเข้าไปในแดนปริศนาได้
ปกติแล้วการประลองจะถูกจัดขึ้นล่วงหน้า ทั้งสิบสามเขตมารวมตัวกัน จะมีเพียงสิบคนเท่านั้นที่ได้รับคัดเลือก นั่นหมายความว่าคนที่ทำผลงานได้ดีที่สุดสิบอันดับแรก จึงจะมีโอกาสเข้าไปในแดนปริศนา
นอกจากนี้ ทั้งหกเมืองของประเทศเทียนหวู ต่างก็มีสิบอันดับรายชื่อของตนเอง ราชวงศ์ของประเทศเทียนหวูเอง ก็มีสิบอันดับรายชื่อด้วยเช่นกัน
เมื่อรวมเข้าด้วยกันแล้ว จะมีรายชื่อที่สามารถเข้าไปในแดนปริศนาได้ทั้งสิ้นแปดสิบคน !
ผู้ฝึกตนในประเทศเทียนหยู มีอยู่นับร้อยล้านคน เมื่อได้รายชื่อทั้งแปดสิบอันดับออกมาแล้ว พวกเขาทั้งแปดสิบคน ก็จะเป็นตัวแทนคนหนุ่มสาวที่แข็งแกร่งที่สุดของประเทศเทียนหวู
นี่เป็นการประลองครั้งใหญ่ของเหล่าอัจฉริยะ
ในองค์กรนักล่ายุทธ์ หลัวซิวได้รับห้องลับในการฝึกตนส่วนตัว
ภายในห้องลับ หลัวซิวนั่งขัดสมาธิอยู่ เขาหยิบหินพลังจิตระดับกลางในแหวนเก็บของออกมา รวมไปถึงหยิบหินพลังจิตระดับสูงจำนวนหนึ่งที่เคยได้รับเป็นของที่ระลึกจากจักรพรรดิซูจิ้งหยุนออกมาด้วย
หินพลังจิตเหล่านี้วางกองรวมกันอยู่ สมบัติเหล่านี้ส่องสงประกายแวววาว จนสว่างไปทั่วทั้งห้องลับ แผ่ซ่านพลังฟ้าดินจิตอันเข้มข้นออกมา ระหว่างที่กำลังหายใจก็สัมผัสได้ถึงผลการฝึกตนของตนเองที่ค่อย ๆ สูงขึ้น
หลัวซิวหยิบอุปกรณ์ค่ายผนึกปราณขั้น 5 ออกมา เตรียมที่จะอาศัยพลังของหินพลังจิตเหล่านี้ ทำให้ผลการฝึกตนบรรลุถึงแดนพรสวรรค์ขั้น 9
เมื่อเทียบกับประเทศเทียนหวูแล้ว เขตการปกครองหยุนหลงและโตว้ไห่ ไม่มีความสำคัญอะไรเลยสักนิด และเมื่อเทียบกับโลกที่กว้างใหญ่นี้แล้ว ประเทศเทียนหวูเอง ก็ไม่มีความสำคัญเลยสักนิดเช่นเดียวกัน
ระหว่างที่กำลังใช้ความคิด วงล้อชีวิตแห่งเหล่าทวยเทพตรงจุดตันเถียนในชี่ไห่ก็เกิดการหมุนขึ้น หลัวซิวมั่นใจในตัวเองอย่างมากว่า การก้าวเดินของเขาจะไม่ถูกจำกัดอยู่แค่ตรงนี้อย่างแน่นอน
“แต่ก่อนหน้านี้ ก่อนอื่นต้องยกระดับความแข็งแกร่งของตนเองให้เพิ่มขึ้นเสียก่อน เพื่อครอบครองความสามารถของจักรพรรดิยุทธ์แล้ว จึงจะสามารถหยัดยืนในประเทศเทียนหวูได้ และไม่จำเป็นต้องคอยสังเกตสีหน้าของคนอื่นอีกต่อไป”
สูดหายใจเข้าเต็มปอดหนึ่งครั้ง หลัวซิวรู้ดีว่าถึงแม้ตนเองจะมีศักยภาพ แต่ตอนนี้ความแข็งแกร่งของเขายังอ่อนแอเกินไป เขาในตอนนี้ แม้แต่ผู้แข็งแกร่งในระดับฝึกจิตขั้น 4 ขึ้นไปสักคน เขาก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้อยู่ดี
เคลื่อนไหววรยุทธ์ พลังฟ้าดินจิตอันเข้มข้นไหลเวียนไปทั่วร่างกาย ปราณแท้ปราณเป็นตาย 2 ระดับแต่ละเส้นค่อย ๆ รวมตัวกันที่จุดตันเถียน วงล้อชีวิตแห่งเหล่าทวยเทพหมุนเร็วขึ้นเรื่อย ๆ และควบแน่นขึ้นเรื่อย ๆ
ในขณะเดียวกัน ในสมองของเขาก็ปรากฏภาพที่สองของผังกฎดั้งเดิมขึ้นมา และสัมผัสรับรู้ได้ถึงความลึกลับของความเป็นความตาย
……
ตอนนี้ ชื่อเสียงของชิวหลัวกำลังดังกระฉ่อนไปทั่วเขตปกครองโตว้ไห่
แต่ไม่ว่าโลกภายในจะเผยแพร่ข่าวลือของชื่อปลอมนี้ออกไปเช่นไร ระยะเวลาสองเดือนต่อจากนี้ หลัวซิวไม่ออกจากห้องลับแม้เพียงครึ่งก้าว และเวลาก็ค่อย ๆ ผ่านไป
เส้นทางของการฝึกตน หากไม่ก้าวไปข้างหน้าก็จะต้องถอยหลัง ท่าทีในการฝึกตนอย่างขยันขันแข็งเช่นนี้ ทำให้ผลการฝึกตนของหลัวซิวก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ปราณแท้ปราณเป็นตายสองระดับก็ผนึกกันอย่างแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ
แต่ในสำนักเหลยหวู่ ลู่หมิงเหยากลับต้องเผชิญกันปัญหา
ตอนอายุสิบห้าปี เป็นโรคชีพจรขาดธาตุไฟ ไม่เพียงแต่ทำให้ผลการฝีกตนของนางล้มเหลวเท่านั้น แต่ยังเป็นอันตรายถึงชีวิตอีกด้วย
เพื่อรักษาอาการโรคชีพจรขาดธาตุไฟ พ่อของนาง ลู่เฟยเฉิน ได้คิดหาทุกวิถีทาง หายาและสมบัติที่มีAttrน้ำนานาชนิดมา เพื่อช่วยยับยั้งพลังธาตุไฟในร่างกายของนาง
ในเมืองเสว่ซานของประเทศเทียนหวู มีสำนักหนึ่งชื่อว่าสำนักเทียนซานเสว่ มีวรยุทธ์ที่เป็นใจกลางในการถ่ายทอดวิชาหนึ่ง มีชื่อว่าวิชาใจเยือก อยู่ในวิชายุทธ์ระดับ 8
ลู่เฟยเฉินเคยพาลู่หมิงเหยาเดินทาไปเมืองเสว่ซาน คิดที่จะไปขอวิชาใจเยือกให้ลู่เมิ่งเหยาฝึกตน ทำเช่นนี้ก็จะสามารถอาศัยพลังของความเย็นช่วยต่อต้านพลังของธาตุไฟเอาไว้ได้ อีกหลายปีให้หลัง ไม่แน่ว่าโรคชีพจรขาดธาตุไฟ อาจรักษาให้หายขาดได้
ทว่า วิชายุทธ์ระดับแปดถือเป็นใจกลางในการถ่ายทอด แน่นอนว่าสำนักเทียนซานเสว่ไม่ยอมเผยแพร่ให้กับคนนอก แต่บุตรชายของเจ้าสำนักเทียนซานเสว่กลับรู้สึกชอบพอลู่เมิ่งเหยา จึงเสนอว่าต้องให้นางแต่งงานกับตนเอง แล้วจะมอบวิชาใจเยือกให้กับนาง
เจ้าสำนักน้อยแห่งสำนักเทียนซานเสว่ผู้นั้นทั้งน่าเกลียดและมีชื่อเสียงฉาวโฉ่ ด้วยเหตุนี้ลู่เมิ่งเหยาจึงรีบปฏิเสธทันที นางยอมตายดีกว่าจะต้องยอมแต่งงาน
ในตอนแรกเรื่องนี้ก็ดูเหมือนจะจบลงด้วยดี แต่ทว่าตอนนี้ การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของสำนักเซียวเหยา ลู่เฟยเฉินมาเสียชีวิตลง ลู่เมิ่งเหยาเองก็ต้องเดินทางออกจากเขตการปกครองโตว้ไห่ และกลายเป็นศิษย์ของสำนักเหลยหวู่
เมื่อเจ้าสำนักน้อยแห่งสำนักเทียนซานเสว่รู้เรื่องนี้เข้า ก็เดินทางไปสู่ขอกับสำนักเหลยหวู่ทันที
เมื่อก่อนตอนที่อยู่สำนักเซียวเหยา มีลู่เฟยเฉินผู้เป็นพ่อคอยร่วมมือกับปรมาจารย์ขงชิงหยูเพื่อช่วยกันปกป้อง จึงไม่เกิดปัญหาขึ้น
แต่ในสำนักเหลยหวู่ เธอไร้ญาติขาดมิตร แม้ว่าจะได้รับการดูแลจากเล่อเผิงเฉิง แต่เขาก็เป็นเพียงแค่ผู้คุมกฎคนหนึ่งของสำนักเหลยหวู่เท่านั้น ซึ่งไม่มีความสำคัญอะไรเลย
“เมิ่งเหยา สำนักเทียนซานเสว่แห่งนั้น หลายปีมานี้ทีอิทธิพลที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ควบคุมเมืองทั้งเมือง ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่สำนักเหลยหวู่จะเทียบได้ หากเจ้าแต่งงานกับเจ้าสำนักน้อยแห่งสำนักเทียนซานเสว่ ผลประโยชน์ที่จะได้รับคงมากมายเกินกว่าที่จะจินตนาการได้”
ภายในห้อง เล่อเผิงเฉิงกำลังพูดเกลี้ยกล่อมลู่เมิ่งเหยา
“ต้อให้ข้าต้องตายก็ไม่มีวันแต่งงานกับเขา” ลู่เมิ่งเหยาปฏิเสธออกมาโดยไม่ลังเล นางรู้สึกเจ็บปวดหัวใจมาก
ถ้าหากเป็นลู่เฟยเฉินผู้เป็นพ่อ ขอเพียงแค่นางไม่อยากแต่ง ต่อให้สำนักเทียนซานเสว่จะมีอิทธิพลสักแต่ไหน ก็ไม่มีวันยอมให้นางบังคับตัวเองทำในสิ่งที่ไม่เต็มใจอย่างแน่นอน
ส่วนอาเล่อผู้นี้ ถือเป็นเพื่อนตายของพ่อ เขาปฏิบัติต่อนางอย่างดี แต่ความสัมพันธ์ก็ยังไม่สนิทสนมกันมากนัก
ส่วนเล่อเผิงเฉิงและผู้อาวุโสของสำนักเหลยหวู่ หากสามารถเป็นทองแผ่นเดียวกันกับสำนักเทียนซานเสว่ได้ ก็คงจะร่วมมือกันอย่างไม่ต้องสงสัย ทำไมจะไม่ใช่ล่ะ ?
“เมิ่งเหยา อาเล่อเองก็ดีกับเจ้าไม่น้อย หลังจากที่เจ้าเข้ามาในสำนักเหลยหวู่ ก็ไม่เคยให้เจ้าต้องคับข้องใจเลยแม้แต่น้อยใช่ไหม ?”
เล่อเผิงเฉิงถอนหายใจออกมา แล้วพูดว่า : “เรื่องนี้อาเองก็ไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจ เพราะเจ้าสำนักรับปากตกลงการสู่ขอของเจ้าสำนักน้อยแห่งสำนักเทียนซานเสว่ไปแล้ว”
“ข้าไม่แต่ง !” ท่าทีของลู่เมิ่งเหยาแน่วแน่อย่างที่เป็นมาตลอด
นางอดไม่ได้ที่จะคิดถึงหลัวซิวอีกครั้ง ถ้าหาก……ถ้าหากไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมากมาย หลัวซิวคงจะต้องอยู่ข้างกายของตนอย่างแน่นอนใช่ไหม ?
เพียงแต่โชคชะตามักเล่นตลกกับคน นางรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับหลัวซิวดี เป็นการยากที่จะกลับไปเหมือนเมื่อก่อน
########################
บทที่ 162 พบเสิ่นหยวนหนาน
ผ่านไปครู่หนึ่ง ชายผู้ไว้จอนสีขาวเหลือบเงินสองข้างเดินเข้ามาภายในห้อง
ชายผู้นี้สวมใส่ชุดสีเขียว เขามีนามว่าเสิ่นหยวนหนาน เป็นหัวหน้าผู้ดูแลองค์กรนักล่ายุทธ์ทั้งหมดในเขตการปกครองโตว้ไห่
ด้านหลังของเขา มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินตามมา ดู ๆ ไปแล้วอายุประมาณสิบห้าสิบหกปี
“เจ้าคือเด็กอัจฉริยะที่เหวินเซวียนหงรับเอาไว้สินะ ?” เสิ่นหยวนหนานหรี่ตามองหลัวซิว
“ผู้น้อยหลัวซิวคารวะผู้อาวุโส” หลัวซิวเดินเข้าไปคำนับ
ท่านหัวหน้าแก๊งเหวินเซวียนหงเคยบอกเขาว่า ผลการฝึกตนของเสิ่นหยวนหนานผู้นี้ อยู่ในระดับราชายุทธ์ขั้น 5 ซึ่งแข็งแกร่งกว่าเหวินเซวียนหง
ส่วนเจ้าสำนักเหลยเว่ยหลงแห่งสำนักเหลยหวู่ ถึงแม้จะถูกขนานนามว่าเป็นผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งของเขตการปกครองโตว้ไห่ แต่กลับอยู่ในแดนราชายุทธ์ขั้น 4 เท่านั้น
ดังนั้นที่ถูกขนานนามว่าเป็นผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่ง ก็เป็นเพียงแค่เปลือกนอกเท่านั้น
“พ่อหนุ่มถือว่ามีมารยาทและไม่หยิ่งยโส” ใบหน้าของเสิ่นหยวนหนานปรากฏรอยยิ้มออกมา ราวกับว่ารู้สึกพึงพอใจหลัวซิวอย่างมาก
แต่หลังจากนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็จางหายไปทันที รัศมีอันทรงพลังของราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่งแผ่ซ่านออกมาจากร่างกายของเขา ราวกับภูเขาลูกใหญ่ ที่กำลังพุ่งเขาไปกดดันหลัวซิว
พลังที่ส่งออกมาเต็มไปด้วยแนวคิดทางศิลปะที่ลึกซึ้งของโลกยุทธ์ หลัวซิวไปอาจป้องกันได้จึงถอยร่นไปครึ่งก้าว
“บูม !”
ไอสังหารสีเลือดถูกปลดปล่อยออกมา หลัวซิวเองก็ปลดปล่อยพลังของเขาออกมาเช่นกัน ดูราวกับคลื่นของกองภูเขาซากศพและทะเลสีเลือด เต็มไปด้วยเจตานาฆ่าที่รุนแรงจนหาที่เปรียบไม่ได้
เพียงแต่ว่า เมื่อเทียบกับพลังของราชายุทธ์อย่างเสิ่นหยวนหนานแล้ว พลังของเขาไม่อาจเทียบได้ติดแม้เพียงปลายเล็บ ทำให้ร่างกายของเขาได้รับแรงกดดันจนล่าถอยออกไปไม่หยุด
ภายได้แรงกดดันของพลังมหาศาลนี้ ไอสังหารที่หลัวซิวปล่อยออกมาถูกบีบอัดและผนึกรวมไม่หยุด สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกหัวใจเต้นแรงอย่างยิ่ง
ไอสังหารถึงแม้จะมีสีเลือด แต่ก็เป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตน ถ้าหากสามารถควบแน่นและผนึกรวมได้ มันจะกลายเป็นกระบี่ได้หรือไม่ ?
เมื่อคิดได้เช่นนี้ หลัวซิวก็หลับตาลง ไอสังหารบนร่างกายของเขาทั้งหมดถูกกดดันจนต้องไปรวมอยู่ในที่เล็ก ๆ เท่านั้น แต่เมื่อเกิดการผนึกรวมมากขึ้น ก็เกิดเป็นพลังอันคมกริบของกระบี่ยุทธ์ขึ้นมา
ขณะที่หลัวซิวคิดที่จะเปลี่ยนไอสังหารให้เป็นกระบี่ แล้วทลายแรงกดดันของคู่ต่อสู้ เสิ่นหยวนหนานกลับเรียกพลังกลับคืนทันที ทำให้เขารู้สึกราวกับว่ากำลังทุบกำปั้นลงไปในอากาศ ไม่มีความรู้สึกใด ๆ เลยแม้แต่น้อย
“เหอะ ๆ เจ้าเข้าใจลึกซึ้งถึงต้นแบบของห้วงยุทธ์แล้ว ถ้าหากสามารถรวบรวมไอสังหารให้กลายเป็นกระบี่ได้ รอให้เจ้าไปถึงแดนฝึกจิตและได้ครอบครองการสำนึก เจ้าก็จะสามารถควบคุมห้วงยุทธ์ได้ ห้วงกระบี่ !” เสิ่นหยวนหนานพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณผู้อาวุโสที่ชี้แนะ”
หลัวซิวโค้งคำนับ ห้วงกระบี่ถือเป็นห้วงยุทธ์ชนิดหนึ่ง หากเขาใช้ไอสังหาร วิชากระบี่ และการสำนึกผนึกรวมจนกลายเป็นห้วงยุทธ์ ก็จะเกิดเป็นห้วงกระบี่
ส่วนห้วงยุทธ์ของเสิ่นหยวนหนานผู้นี้ ให้ความรู้สึกที่หนักแน่นดุจภูเขา และเต็มเปี่ยมไปด้วยแรงกดดัน ซึ่งก็คือห้วงภูเขา
จักรพรรดิยุทธ์เทียนเฟิ่งเหยียนเยว่เอ๋อร์ ห้วงยุทธ์โหมกระหน่ำไปด้วยเปลวไฟ ซึ่งก็คือห้วงเปลวไฟ
“การที่เจ้าตระหนักรู้เป็นเพราะความสามารถในการรับรู้ของเจ้า ส่วนข้าก็แค่ชี้แนะเพียงเล็กน้อยเท่านั้น” เสิ่นหยวนหนานยิ้มและพูดว่า : “ข้ากลับรู้สึกอิจฉาเจ้าเหวินเซวียนหงผู้นั้น ในเขตการปกครองโตว้ไห่ของข้า ไม่มีอัจฉริยะที่จะเทียบเคียงกับเจ้าได้เลย”
ทันทีที่คำพูดนี้ถูกกล่าวออกมา เด็กสาวที่เดินตามหลังเสิ่นหยวนหนานมาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ราวกับไม่เห็นด้วยในสิ่งที่เขาพูด
ตอนนี้หลัวซิวไม่ใช่เด็กหนุ่มที่เพิ่งก้าวเข้าสู่สังคมใหม่อีกต่อไปแล้ว แต่เขามีความเข้าใจเกี่ยวกับโลกของการฝึกตนเป็นอย่างดี
สถานะของแก๊งทั้งสี่นั้นยิ่งใหญ่ องค์กรนักล่ายุทธ์ถือเป็นผู้นำของแก๊งทั้งสี่ ซึ่งกล่าวได้ว่าอยู่ในตำแหน่งที่สำคัญ
ประเทศเทียนหวู ในโลกกว้างใหญ่ใบนี้ ก็เป็นเพียงแค่ผืนดินเล็ก ๆ ผืนหนึ่ง กองกำลังที่แข็งแกร่งกว่าประเทศเทียนหวูนั้น มีอยู่นับไม่ถ้วน
เท่าที่หลัวซิวรู้ กองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดในประเทศเทียนหวูก็คือ ราชวงศ์ของประเทศเทียนหวู มีจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งเป็นผู้นำ
จักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งอยู่ในประเทศเทียนหวูโดยปราศจากศัตรู ยืนอยู่ในจุดสูงสุด แต่ถ้าหากนับรวมทั้งโลกใบนี้ กลับซึ่งไร้ความสำคัญ
สาขาและองค์กรใหญ่ขององค์กรนักล่ายุทธ์กระจายอยู่ทั่วโลก เป็นกองกำลังที่ยิ่งใหญ่จนใคร ๆ ต่างนึกภาพออก
ในประเทศเทียนหวู องค์กรนักล่ายุทธ์เปิดรับสมาชิกอัจฉริยะ และมีเงื่อนไขที่เข้มงวดอย่างยิ่ง ยอมที่จะขาดแคลนดีกว่าได้คนที่ด้อยคุณภาพ
ถึงแม้องค์กรนักล่ายุทธ์จะไม่ให้ความคุ้มครองแก่สมาชิกอัจฉริยะ แต่ขอเพียงแค่เจ้ามีพรสวรรค์และความสามารถที่สูงส่ง ก็จะได้รับผลประโยชน์อย่างไม่รู้จบจากองค์กร เพื่อพัฒนาความสามารถของตนเอง
ความสามารถถึงจะเป็นจุดกำเนิดและความเป็นนิรันดร์ของทุกสิ่ง
แดนพรสวรรค์ขั้น 8 ที่มีอายุเพียงสิบห้าปี ในสถานที่อันห่างไกลอย่างประเทศเทียนหวู ถือว่าหาได้ยากยิ่ง
เด็กสาวที่เดินตามหลังเสิ่นหยวนหนานมา มีอายุสิบห้าปีเช่นเดียวกัน นางชื่อว่าหลินเจียเอ๋อร์ เป็นสมาชิกอัจฉริยะที่องค์กรนักล่ายุทธ์สาขาเขตการปกครองโตว้ไห่รับเอาไว้
ในเขตทั้งสิบสามเขตของประเทศเทียนหวู จะมีสมาชิกอัจฉริยะอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น เมื่อหลินเจียเอ๋อร์ได้รับความสนใจจากเสิ่นหยวนหนานผู้นี้ นั่นหมายความว่านางจะต้องมีพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดา
อายุสิบห้าปี ผลการฝึกตนอยู่ในแดนพรสวรรค์ขั้น 7 การฝึกตนทั่วทั้งร่างกาย อยู่ในวิชายุทธ์ระดับ 7 !
เมื่อได้ยินเสิ่นหยวนหนานพูดว่าตนเองนั้นเทียบไม่ได้กับหลัวซิวที่ยืนอยู่ตรงหน้า หลินเจียเอ๋อร์ก็รู้สึกไม่พอใจ เพราะตั้งแต่เล็กจนโต คนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ไม่มีใครจะเทียบกับนางได้ ในใจของนางจึงมีความเย่อหยิ่งที่ไม่ยอมแพ้ให้กับผู้อื่น
สวมชุดกระโปรงยาวสีน้ำเงิน คิ้วที่เรียวงามของนางขมวดเล็กน้อย ถึงแม้จะรู้สึกไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้โต้แย้งขึ้นมาในทันที
เสินหยวนหนานสังเกตเห็นถึงความไม่พอใจของหลินเจียเอ๋อร์ ที่เขาพูดว่านางนั้นไม่อาจเทียบกับหลัวซิวได้ อันที่จริงแล้วไม่ใช่เพราะผลการฝึกตนของหลัวซิว เหนือกว่านางเพียงแค่แดนเล็กเท่านั้น
เป็นที่รู้กันดีว่า หลัวซิวผู้นี้สามารถสังหารจอมยุทธ์ใหญ่และผู้ฝึกจิตครึ่งได้ ในขณะที่ตนเองอยู่เพียงแค่แดนพรสวรรค์ขั้น 6 เท่านั้น และมีเบาะแสบางอย่างที่อาจยืนยันได้ว่า แม้แต่ปรมาจารย์ยุทธ์ฝึกจิตที่มีนามว่าหังเซี่ยงเฉินผู้นั้น ก็อาจตายด้วยน้ำมือของเขาเช่นกัน
ส่วนหลินเจียเอ๋อร์ ถึงแม้จะมีพรสวรรค์ที่ไม่เลว แต่ความแข็งแกร่งของนาง เทียบได้กับระดับจอมยุทธ์ใหญ่เท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น หลัวซิวซึ่งอายุยังน้อยผู้นี้กลับมีไอสังหารที่น่าตกใจ แสดงให้เห็นว่าผ่านประสบการณ์การต่อสู้มาเป็นเวลานาน ประสบการณ์และทักษะการต่อสู้ของคนประเภทนี้ จะต้องเต็มเปี่ยมจนหาตัวจับได้ยาก
เสิ่นหยวนหนานพิสูจน์ความแข็งแกร่งของผลการฝึกตนของหลัวซิวด้วยตนเองแล้ว และยกระดับพรสวรรค์ของเขา ขึ้นสู่ชั้นเหลืองระดับสูง
ด้วยความสามารถของหลัวซิวในตอนนี้ เขาสามารถเลือกวิชายุทธ์ระดับ 7 ได้สามวิชา เสิ่นหยวนหนานมอบรายชื่อวิชาให้แก่เขา
บนกระดาษรายชื่อนี้ มีรายชื่อของวิชายุทธ์ระดับ 7 อยู่นับสิบวิชา มีทั้งวรยุทธ์ ทักษะยุทธ์ และวิชาท่าร่าง
ในประเทศเทียนหวู วิชายุทธ์ระดับเจ็ดวิชาเดียวก็เพียงพอที่จะขึ้นเป็นผู้สืบทอดหลักของกองกำลังที่ยิ่งใหญ่ได้แล้ว ตาในองค์กรนักล่ายุทธ์ กลับมีมากมายเช่นนี้ ภูมิหลังเช่นนี้ ทำให้หลัวซิวรู้สึกตื่นตกใจไม่น้อย
สำหรับหลัวซิวแล้ว วรยุทธ์ในวิชายุทธ์ระดับ 7 ไม่ได้มีความหมายต่อเขามากนัก มีเพียงแค่ทักษะยุทธ์และวิชาท่าร่าง ที่ยังคงขาดแคลนอยู่
หลังจากการเลือกสรร เขาเลือกทักษะยุทธ์หนึ่งวิชา ชื่อว่าวิชากระบี่เพลิง เหมาะกับจอมยุทธ์ฝึกตนที่ฝึกปราณแท้火属性 เพลิงมรณะของเขาตรงตามเงื่อนไขพอดี อีกทั้งยังมีพลังมี่เหนือกว่าปราณแท้ธาตุไฟธรรมดา ๆ
จากนั้น เขาก็เลือกวิชาท่าร่างอีกหนึ่งวิชา ชื่อว่าตามลมล่าจันทรา ซึ่งละเอียดอ่อนกว่าวิชาท่าร่างวิชาเงาเศษสิบช่องมาก
หลังจากผลการฝึกตนโลกยุทธ์ถึงระดับปรมาจารย์ยุทธ์ฝึกจิตแล้ว ก็จะสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ วิชายุทธ์วิชาท่าร่างทั่วไปจึงไม่มีประโยชน์ ดังนั้นจึงเหมาะสมที่จะใช้วิชาท่าร่างในการฝึกตนระดับการฝึกจิตขึ้นไป ซึ่งมีชื่อเรียกว่าเหาะเหินเดินฟ้า ซึ่งสามารถเพิ่มความเร็วในการเหาะเหินเดินอากาศได้
หลัวซิวเลือกวิชา “ลมล่าจันทรา” เพื่อว่าหลังจากที่ผลการฝึกตนบรรลุไปถึงระดับการฝึกจิตแล้ว ก็สามารถนำมาใช้กับวิชาเหาะเหินเดินฟ้าได้
เมื่อเห็นว่าหลัวซิวไม่ได้เลือกวรยุทธ์ เสิ่นหยวนหนานก็ไม่รู้สึกแปลกใจ เพราะการที่หลัวซิวมีความสามารถอย่างเช่นตอนนี้ได้ คงจะต้องมีการวางแผนอย่างแน่นอน
นอกจากวิชายุทธ์ระดับ 7 แล้ว อัจฉริยะในขั้นเหลืองระดับสูง ทุกปีจะได้รับทรัพยากรในการฝึกตนเป็นหินพลังจิตระดับกลางหนึ่งพันก้อน
หินพลังจิตระดับกลางหนึ่งพันก้อนดูเหมือนจะเป็นจำนวนที่ไม่มากนัก แต่ถ้าหากเปลี่ยนเป็นหินพลังจิตระดับล่าง เทียบได้กับหนึ่งแสน ซึ่งเกือบจะเทียบได้กับทรัพย์สินของราชายุทธ์ธรรมดา ๆ คนหนึ่งเลยทีเดียว
อันฉริยะที่อยู่ในระดับขั้นเหลือง มีเพียงแค่ขั้นเหลืองระดับสูงที่จะได้รับหินหลังจิตระดับกลางหนึ่งพันก้อน ส่วนระดับล่างและระดับกลาง จะได้รับเพียแค่วรยุทธ์วิชายุทธ์เท่านั้น
ระดับพรสวรรค์ยิ่งสูงขึ้นไหร่ ก็จะได้รับความสำคัญมากขึ้นเท่านั้น ต่อให้เป็นองค์กรนักล่ายุทธ์ ทรัพยากรก็มีอยู่อย่างจำกัดเช่นกัน
########################
บทที่ 161 แดนพรสวรรค์ขั้น 8
ประการแรกเพื่อทำให้หังเซี่ยงเฉินระมัดระวังตัวน้อยลง และเกิดความประมาท จากนั้นตนเองจึงอาศัยโอกาสนี้เคลื่อนไหวพลังแปรเสวียนเทียน และใช้กระบี่ฆ่าศัตรูด้วยพลังที่รวดเร็วและรุนแรงปานสายฟ้า
ประการที่สอง และเพื่อกระตุ้นผู้เป็นอมตะ
เพียงแต่ว่าอาการบาดเจ็บในครั้งนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่รุนแรงเท่ากับคราวที่ถูกมังกรเจียวเขาเดียวเกล็ดม่วงไล่ฆ่า ไม่ถึงขั้นบาดเจ็บจนอาจถึงแก่ชีวิต ผู้เป็นอมตะจึงไม่ถูกกระตุ้น ผลการฝึกตนจึงไม่พัฒนาขึ้นแม้แต่น้อย
ครั้งนี้หลัวซิวใช้เวลาสามวันในการฟื้นฟูอาการบาดเจ็บ แต่กลับหมดคำจะพูด เพราะเท่ากับว่าครั้งนี้ถูกแทงโดยเปล่าประโยชน์
ทว่าหลังจากการทดลองในครั้งนี้ ก็ทำให้เขารู้วิธีกระตุ้นผู้เป็นอมตะ จะต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ได้รับบาดเจ็บจนอาจถึงแก่ชีวิต และใช้ความคิดที่แน่วแน่ในการเอาชีวิตรอด ประคองร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บเอาไว้ได้โดยไม่ตาย ผู้เป็นอมตะจึงจะถูกกระตุ้น
กระตุ้นผู้เป็นอมตะ ข้อดีนั้นคงไม่ต้องพูดถึง แต่นั่นเท่ากับการเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยง หากไม่ระวัง อาจจะต้องตายจริง ๆ ก็ได้ !
“ข้าสัมผัสได้ถึงต้นแบบบางส่วนของห้วงกระบี่แล้ว แต่ที่ยังขาดอยู่ก็คือพลังของการสำนึก !”
การผสมผสานระหว่างไอสังหารและวิชากระบี่ ทำให้หลัวซิวคว้าโอกาสนี้เอาไว้ได้อย่างเฉียบขาด
ดังนั้นหลังจากการฟื้นฟูอากรบาดเจ็บ เขาก็หลบซ่อนตัวอยู่ในเทือกเขากวนเหลย และตั้งใจฝึกตนพลังก่อรวมวิญญาณ
นี่เป็นวรยุทธืการึกวิญญาณระดับ 8 ซึ่งมีค่ายิ่งกว่าวิชาวัชรยักษ์ครองร่าง และพลังทมิฬซวนโหลวมากนัก
เวลาค่าย ๆ ผ่านไป หลัวซิวซึ่งกำลังหมกมุ่นอยู่กับการฝึกตน ไม่รู้ว่าวันเกิดครบรอบสิบห้าปีของเขานั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว
เขาอยู่ในเทือกเขากวนเหลย ใช้เวลาฝึกฝนสามเดือนเต็ม !
ประการแรกคือผลการฝึกตน เพิ่มขึ้นจากแดนพรสวรรค์ขั้น 6 เป็นแดนพรสวรรค์ขั้น 8 ภายในแหวนเก็บของ หินพลังจิตหายไปกว่าครึ่ง เพราะต้องเก็บบางส่วนเอาไว้ใช้งาน ประกอบกับหินพลังจิตที่เหลืออยู่ก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้เขาบรรลุถึงขั้น 9 ได้
หลัวซิวเชื่อว่าตนเองจะใช้เวลาไม่นานเพื่อไปถึงแดนพรสวรรค์ขั้น 9 เมื่อไปถึงแดนจอมยุทธ์ใหญ่ขั้นเก้า สิ่งที่เขาต้องเผชิญหน้าก็คือ บรรลุการฝึกจิต
ทั่วทั้งประเทศเทียนหวู ปรมาจารย์ยุทธ์ฝึกจิตมีอยู่เป็นจำนวนน้อย เพราะแดนพรสวรรค์สามารถฝึกตนได้ง่าย แต่ถ้าหากคิดจะบรรลุถึงการฝึกจิต ถือว่าเป็นเรื่องยากกว่าหลายเท่าตัวนัก
จอมยุทธ์แดนพรสวรร๕มีอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ปรมาจารย์ยุทธ์ฝึกจิตกลับมีอยู่เพียงหยิบมือ แต่ละคนเมื่ออยู่ในกองกำลังหลัก ล้วนแล้วแต่เป็นศูนย์กลางของพลังและมีอำนาจสูงสุด
ไม่รู้ว่ามีผู้ฝึกตนจำนวนเท่าไหร่ที่ต้องติดอยู่ในแดนพรสวรรค์ขั้น 9 และฝึกจิตครึ่ง และในที่สุดก็ไม่อาจผ่านพ้นไปได้
สถานที่ที่หลัวซิวเลือดฝึกตนปิดขัง คือส่วนลึกของเทือกเขากวนเหล่ย
ระยะเวลาสามเดือน นอกจากผลการฝึกตนที่เพิ่มขึ้นถึงแดนพรสวรรค์ขั้น 8 แล้ว เขาฝึกตนพลังก่อวิญญาณ ก็ทำให้การรับรู้จิตวิญญาณแข็งแกร่งขึ้น จนเกือบจะรวมตัวเป็นการสำนึก
และหากต้องการบรรลุแดนฝึกจิต การฝึกฝนการสำนึกออกมาได้ก็ถือเป็นก้าวแรก เมื่อมาถึงขั้นนี้ก็คือแดนฝึกจิตครึ่ง
ก้าวที่ยากที่สุดในการบรรลุการฝึกจิตก้าวที่สองก็คือ การรวมตัวปราณแท้แดนพรสวรรค์ให้เป็นพลังจิตแท้
การรวมตัวพลังจิตแท้จะต้องอาศัยทรัพยากรสมบัติมากมาย หรือไม่ก็ยา หรืออาจจะเป็นสมบัติล้ำค่าจากสวรรค์และโลก ไม่มีสิ่งใดเลยที่ไม่ใช่ของล้ำค่า
แม้แต่ผู้มีอำนาจอย่างสำนักเหลยหวู่ การจะฝึกฝนปรมาจารย์ยุทธ์ฝึกจิตออกมาสักคน ก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายเลย
แต่ทรัพยากรที่หลัวซิวจำเป็นต้องใช้ในการฝึกกลั่นร่างวรยุทธ์วิชาวัชรยักษ์ครองร่าง ประกอบกับการบรรลุผลการฝึกตน ถือว่าเป็นจำนวนที่มากมายมหาศาล
หากไม่มีกองกำลังหลักคอยสนับสนุน หากต้องการทรัพยากรที่เพียงพอต่อการฝึกตนของตนเองมาไว้ในมือ คงจะเป็นเรื่องที่ยากลำบากมากอย่างไม่ต้องสงสัย
อีกทั้งยิ่งเป็นทรัพยากรในการฝึกตนระดับสูง ก็ยิ่งหาได้ยาก และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมบรรดาผู้ฝึกตนจึงมักเกิดเรื่องเข่นฆ่ากันเพื่อแย่งชิงทรัพยากรสมบัติ
หากไม่คว้าโอกาสที่จะได้ครอบครองสมบัติ ทำเพียงแค่เดินผ่านไป คนอื่นก็จะพัฒนาไปข้างหน้า ส่วนตนเองนั้นก็ต้องย่ำอยู่ที่เดิม
ผู้แข็งแกร่งเป็นที่เคารพนับถือ ส่วนผู้ที่ชนะจึงจะอยู่รอด นี่คือความจริง
เคลื่อนไหววิชาวัชรยักษ์ครองร่างเพื่อปลอมตัว จากนั้นหวังซิวจึงเดินทางออกจากเทือกเขากวนเหลย
ร่างเนื้อของเขาฝึกฝนจนถึงร่างยุทธ์ชั้นสูง จึงเคลื่อนย้ายกล้ามเนื้อและโครงสร้างภายในร่างกายเพื่อปลอมตัว แต่วิธีการเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้ ไม่จำเป็นต้องใช้ยา
เพียงแต่วิธีการที่ง่ายดายนี้ เมื่อต้องพบกับผู้ที่มีการรับรู้จิตวิญญาณที่แข็งแกร่งกว่าตนเอง ก็จะถูกมองเห็น
ความแข็งแกร่งในการรับรู้จิตวิญญาณของหลัวซิวในตอนนี้ มีเพียงแค่ปรมาจารย์ยุทธ์ฝึกจิตระดับการสำนึกเท่านั้น ที่จะสามารถมองเห็นได้
ในสถานการณ์ปกติ ไม่มีปรมาจารย์ยุทธ์ฝึกจิตคนไหน ว่างถึงขนาดจะใช้การสำนึกคอยสอดส่องดูใบหน้าที่แท้จริงของผู้อื่น
ดังนั้น หลัวซิวจึงเดินเข้าเมืองไปอย่างเปิดเผย และไม่ถูกสงสัยเลยสักนิด
คนที่สวมใส่ชุดคลุมยาวสีดำมีอยู่เป็นจำนวนมาก ใครจะไปคิดว่า ซิวหลัว ชายหนุ่มชุดคลุมยาวดำที่มีชื่อเสียงโด่งดังจะเป็นเขา ?
มาถึงองค์กรนักล่ายุทธ์สาขาเมืองโจว๋ชิง หลัวซิวก็นั่งรถม้ามาถึงเขตการปกครองโตว้ไห่
เมื่อนับดูเวลา เขาอายุสิบห้าปีแล้ว ตามกฎขององค์กรนักล่ายุทธ์ ทุกปีสมาชิกที่มีพรสวรรค์จะต้องเข้าร่วมการทดสอบการประเมินระดับอัจฉริยะ
และที่ที่มีคุณสมบัติในการจัดการประเมิน มีเพียงหน่วยงานใหญ่ ๆ เท่านั้น ส่วนสาขาย่อยธรรมดา ๆ ไม่มีอำนาจในการจัด
เดินทางมาไกลเป็นพันลี้ ถึงเขตการปกครองหยุนหลงเพื่อเข้าร่วมการทดสอบ ช่างไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย ดังนั้นหลัวซิวจึงเดินทางมายังสาขาขององค์กรในเขตการปกครองโตว้ไห่
ใส่ป้ายนักล่าเข้าไปในกลไก ทางเดินพิเศษสำหรับสมาชิกที่อยู่ภายในประตูหินถูกเปิดออก จากนั้นหลัวซิวจึงเดินเข้าไป
ชายชราเดินเข้ามาต้อนรับ “ท่านชายหลัว เชิญทางนี้ครับ”
จากการรับรู้ของหลัวซิว ผลการฝึกตนของชายชราผู้นี้อยู่ในระดับการฝึกจิตขั้น 1 ด้วยความเย่อหยิ่งของปรมาจารย์ยุทธ์ฝึกจิต แต่กลับต้อนรับเขาด้วยท่าทีเช่นนี้ ถือว่าน่านับถือ
แต่เขาก็ไม่ได้สนใจนัก ด้วยความสามารถในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารขององค์กรนักล่ายุทธ์ การที่เขาใช่ชื่อซิวหลัวในการสร้างเรื่องที่วัดกวนเหลย เกรงว่าจะถูกรู้เข้านานแล้ว
ความสามารถของเขา เทียบได้กับผู้ฝึกจิตทั่วไป แต่ที่สำคัญก็คือผลการฝึกตนของเขานั้นไม่สูง อีกทั้งอายุยังน้อย และมีศักยภาพที่ไร้ขีดจำกัด จึงเป็นธรรมดาที่จะได้รับความเคารพ
อีกทั้ง เขาเป็นสมาชิกอัจฉริยะขั้นเหลืองระดับกลาง มีฐานะในองค์กรนักล่ายุทธ์ เทียบเท่าได้กับปรมาจารย์ยุทธ์ที่อยู่ระดับการฝึกจิตช่วงกลาง
เมื่อนำทางหลัวซิวเข้าไปถึงห้องลับ ชายชราก็เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม : “ท่านชายหลัวมาที่นี่เพื่อเข้าร่วมการประเมินประจำปีหรือ ?”
“ใช่แล้ว” หลัวซิวพูดพลางพยักหน้า
“ตามข้อมูลที่ปรากฏอยู่ของท่านชายหลัว ท่านอยู่ในขั้นเหลืองระดับกลาง ปีนี้อายุครบสิบห้าปี จะต้องมีผลการฝึกตนถึงระดับแดรพรสวรรค์ขั้น 3”
ขณะที่พูดอยู่นั้น ชายชราก็หยิบลูกแก้วคริสทัลออกมาวางบนโต๊ะ “เชิญท่านชายหลัวส่งพลังปราณแท้เข้าไปในลูกแก้วคริสทัล เพื่อวัดระดับผลการฝึกตนของท่าน”
ลำดับขั้นตอนเหล่านี้ หลัวซิวเองไม่ได้สนใจนัก เขาเดินไปด้านหน้าตามคำสั่ง จากนั้นจึงวางฝ่ามือลงบนลูกแก้วคริสทัล
หลังจากส่งผ่านพลังปราณแท้ แสงสีดำก็สว่างวาบขึ้น หลัวซิวปิดบังแก่นแท้ของปราณแท้ปราณเป็นตาย 2 ระดับเอาไว้ เอาถ่ายทอดเพียงแค่ปราณแท้ทมิฬของAttrความตาย
ขั้นแรกลูกแก้วคริสทัลส่องแสงเป็นประกายออกมาสามครั้ง แสดงให้เห็นว่าผลการฝึกตนของหลัวซิวบรรลุถึงระดับแดนพรสวรรค์แล้ว
จากนั้น ลูกแก้วคริสทัลก็ส่องแสงเป็นประกายต่อเนื่องอีกแปดครั้ง หมายความว่าในแดนพรสวรรค์ เขามีผลการฝึกตนอยู่ในขั้น 8 แล้ว
“แดนพรสวรรค์ขั้น 8 ?”
สีหน้าของชายชราเปลี่ยนไปเล็กน้อย แน่นอนว่าเขารู้ดีว่าหลัวซิวคือซิวหลัว แต่จากข่าวสารที่ได้รับมา สามเดือนก่อน เขายังอยู่ในแดนพรสวรรค์ขั้น 6 นี่เขาสามารถบรรลุถึงแดนพรสวรรค์ขั้น 8 ได้รวดเร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ ?
แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องถึงความเป็นส่วนตัวของหลัวซิว ชายชราจึงไม่สะดวกที่จะเอ่ยถาม มิเช่นนั้นจะเป็นการทำลายกฎได้
ทุกคนต่างมีความลับของตนเอง เพียงแต่จะเป็นความลับที่ใหญ่หรือเล็กเท่านั้น แต่ไม่ว่าจะเป็นความลับใหญ่หรือเล็ก การซักถามความลับของผู้อื่น ก็ถือเป็นเรื่องต้องห้าม
“สิบห้าปี แดนพรสวรรค์ขั้น 8 ท่านชายหลัวสามารถขึ้นสู่ขั้นเหลืองระดับสูงได้แล้ว แต่เรื่องของอำนาจในการเลื่อนระดับนั้นต้องให้ท่านหัวหน้าแก๊งเป็นผู้ตัดสินใจ” ชายชรากล่าว
“ท่านชายหลัวโปรดรอสักครู่” ชายชราหันไปทำความเคารพหลัวซิว จากนั้นจึงไปแจ้งเรื่องต่อหัวหน้าสาขาของเขตการปกครองโตว้ไห่
########################
บทที่ 160 ซิวหลัวและหลัวซิว
“ถูกหังเซี่ยงเฉินชุบมือเปิบไปเสียแล้ว”
“เขาต้องการจะเอาชีวิตของเด็กหนุ่มผู้นี้ ไปแลกกับยากลั่นจิตของสำนักเหลยหวู่ ใครกล้าแย่งชิงกับเขา คงจะต้องต่อสู้กันจนตายไปข้างหนึ่งอย่างแน่นอน”
“ชีวิตของเด็กหนุ่มผู้นี้อาจไม่มีค่าพอจะเทียบได้กลับยากลั่นจิต ในเมื่อหังเซี่ยงเฉินลงมือเช่นนี้ ก็หลีกทางให้เขาจะดีกว่า”
ปรมาจารย์ยุทธ์ฝึกจิตสองคน ที่แอบสะกดรอยตามมาตลอดทางจากวัดกวนเหลย เห็นหังเซี่ยงเฉินเริ่มลงมือแล้ว และเห็นว่าชายหนุ่มชุดดำผู้นั้นกำลังจะถูกฆ่าตาย จึงล่าถอยกลับไปอย่างเงียบ ๆ
ภายในขอบเขตของการรับรู้ถึงชีวิต ปรมาจารย์ยุทธ์ฝึกจิตทั้งสองคนค่อย ๆ ถอยห่างออกไปไกล จนกระทั่งหายไปจากขอบเขตของการรับรู้
ดวงตาของหลัวซิวเป็นประกาย ในเมื่อคนที่หลบซ่อนตัวอยู่ในความมืดได้จากไปแล้ว เขาจึงไม่จำเป็นต้องออมแรงอีกต่อไป
อันที่จริงแล้ว เขาแอบสังเกตถึงการเคลื่อนไหวรอบตัวของเขาตั้งแต่ต้น
“เหอะ ๆ พวกถ้ำมองไปแล้ว คราวนี้เจ้าก็ตายได้แล้ว !”
หังเซี่ยงเฉินหัวเราะเยาะเสียงดัง “พ่อหนุ่ม ที่ข้าไม่ฆ่าเจ้า ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ใครมาขโมยหัวของเจ้าไปได้ เจ้ามีค่าคู่ควรกับยากลั่นจิต !”
ทันใดนั้น พลังจิตแท้ของหังเซี่ยงเฉินก็ปะทุออกมา ดาบของเขาพุ่งออกไปด้วยพลังที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าครั้งก่อนหน้าหลายเท่า
แววตาของหลัวซิวเย็นชา เมื่อต้องเผชิญหน้ากับดาบนี้ เขาทำเพียงแค่เอี้ยวตัวเล็กน้อยเพื่อหลีกเลี่ยงจุดสำคัญเท่านั้น
เกิดเสียงดังฉึบ เลือดสาดกระเซ็นออกมา ดาบฟันเข้าที่ไหล่ด้านซ้าย จนเกือบจะตัดแขนข้างหนึ่งของหลัวซิวขาดออกมา
“ตอนนี้รู้ความแตกต่างระหว่างแดนฝึกจิตกับแดนพรสวรรค์แล้วหรือยัง ?”
หังเซี่ยงเฉินยิ้มเยาะ ในสายตาของเขา การที่แดนพรสวรรค์ขั้น6 ตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งจะไม่สามารถหลบเลี่ยงการโจมตีของตนได้นั้น ถือเป็นเรื่องปกติ
แต่วินาทีต่อมา ดวงตาของหังเซี่ยงเฉินกลับเบิกโพลงขึ้นทันที
ไม่รู้ว่ากระบี่แทงทะลุจุดตันเถียนของเขาตั้งแต่เมื่อไหร่
“นี่……นี่มันเป็นไปไม่ได้……การสำนึกของข้าไม่ทันสังเกตเห็นดาบของเจ้า……”
ก้มหน้าลงมองกระบี่ที่แทงทะลุจุดตันเถียน หังเซี่ยงเฉินสัมผัสได้ถึงผลการฝึกตนของปรมาจารย์ยุทธ์การฝึกจิตที่ลดลงอย่างรวดเร็ว
จุดตันเถียนถูกทำลาย ผลการฝึกตนที่ฝึกมาอย่างยากลำบากตลอดระยะเวลาสี่สิบสามปี ถูกทำลายลงจนสูญสิ้น
เคล็ดวิชาในการเพิ่มพลังแปรเสวียนเทียนขึ้นเป็นหกเท่า การสำนึกของปรมาจารย์ยุทธ์ไม่อาจรับรู้ได้ทัน
เกิดเสียงดังฉึบ หลัวซิวดึงกระบี่ออกมา เลือดสีแดงสดสาดกระเซ็นไปทั่ว จากนั้นกระบี่ก็ส่องประกาย และแทงทะลุไปที่คอของปรมาจารย์ยุทธ์ฝึกจิต หังเซี่ยงเฉิน ผู้นี้
หลัวซิวหยิบแหวนเก็บของของอีกฝ่ายขึ้นมา และใช้เปลวไฟดำเผาศพจนกลายเป็นเถ้าถ่าน จากนั้นจึงใช้วิชาท่าร่างเดินทางออกไปจากที่นี่อย่างรวดเร็ว
ระหว่างทาง เขาพยายามอดทนต่อความเจ็บปวด เขาดึงดาบที่ปักอยู่ที่ไหล่ซ้ายออกมา แล้วใช้พลังชีวิตสมานบาดแผลเพื่อห้ามเลือด
จากนั้น หลัวซิวก็เดินทางไปในป่าอย่างรวดเร็ว เขาเปลี่ยนทิศทางอยู่หลายครั้งเพื่อป้องกันไม่ให้ถูกสะกดรอยตาม
……
เขตการปกครองโตว้ไห่ เทือกเขากวนเหลย มีคนชื่อซิวหลัวปรากฏตัวขึ้น
ข่าวแพร่สะพัดไปถึงเมืองโจว๋ซิง รวมไปถึงทั่วทั้งเขตการปกครองโตว้ไห่อย่างรวดเร็ว แม้แต่ผู้ฝึกตนในเขตการปกครองหยุนหลง ยังได้ยินชื่อของเด็กหนุ่มที่เรียกตัวเองว่า “ซิวหลัว” เป็นผู้ฝึกตนในแดนพรสวรรค์ชั้น 6 สามารถฆ่าจอมยุทธ์ใหญ่และผู้ฝึกจิตครึ่งได้ !
เด็กหนุ่มที่ชื่อซิวหลัวผู้นั้นถึงกับข่มขู่ว่า วันหนึ่งเขาจะเหยียบสำนักเหลยหวู่ให้จมดิน และตัดหัวของเจ้าสำนักเหลยหวู่ออกมาให้ได้ !
หลังจากที่สำนักเหลยหวู่รู้ข่าวเรื่องนี้ ทุกคนในสำนักต่างรู้สึกโกรธจัด
“ซิวหลัว ?”
ในเขตการปกครองโตว้ไห่ ลู่เมิ่งเหยา ซึ่งตอนนี้เป็นจอมยุทธ์แดนพรสวรรค์ขั้น 1 หลังจากที่ได้ยินเรื่องของซิวหลัว ในสมองก็อดนึกถึงหลัวซิวไม่ได้
หลัวซิว ซิวหลัว ?
นางไม่ได้นำทั้งสองคนมาเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน เพียงแต่เพราะคำว่าซิวหลัว จึงทำให้นึกถึงหลัวซิวขึ้นมา
ตอนที่แยกจากกัน นางจำได้ว่าหลัวซิวยังไม่ได้เข้าสู้แดนพรสวรรค์
ระยะเวลาเพียงแค่ไม่กี่เดือนสั้น ๆ ต่อให้หลัวซิวจะฝึกตนได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่มาทางฝึกตนถึงแดนพรสวรรค์ขั้น 6 ได้
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องการฆ่าจอมยุทธ์ใหญ่ได้ในทันที และการสังหารผู้ฝึกจิตครึ่ง
“ข้าฝึกตนถึงแดนพรสวรรค์แล้ว หากในตอนแรกเจ้ายอมเข้าร่วมกับสำนักเหลยหวู่ด้วย ไม่แน่ว่าอาจก้าวสู่แดนพรสวรรค์แล้ว”
ตอนนั้น หลังจากที่หลัวซิวเดินทางเข้ามาในเมืองโจว๋ชิงพร้อมกับตนเองและอาเล่อ เขาก็จากไปโดยไม่ร่ำลา
“ตอนนี้เจ้ายังสบายดีอยู่ไหม ?”
ลู่เมิ่งเหยาเอนตัวลงข้างหน้าต่างและจับแก้มของนาง คิดถึงทุกช่วงเวลาที่อยู่ร่วมกับหลัวซิว
ภายหลังนางลองคิดดูอย่างละเอียด ก็พอจะเข้าใจถึงสาเหตุที่หลัวซิวจากไปโดยไม่ร่ำลา หากจะว่ากันตามตรงก็เป็นเพราะตัวนางเองที่พูดเรื่องความเร็วในการฝึกตนของเขาขึ้นมา เขากลัวว่าอาเล่อจะทำไม่ดีต่อเขา
“อาเล่อเป็นเพื่อนตายของพ่อข้า จะปฏิบัติต่อเจ้าไม่ดีได้อย่างไรกัน ?” ลู่เมิ่งเหยาถอนหายใจออกมา
“เมิ่งเหยา”
ประตูห้องถูกผลักออก ชายวัยกลางคนเดินเข้ามา เขามองดูลู่เมิ่งเหยาด้วยรอยยิ้ม
“อาเล่อ”
ลู่เมิ่งเหยาเอ่ยเรียก และรีบถามขึ้นว่า : “ได้ข่าวของหลัวซิวบ้างไหมคะ ?”
หลังจากที่หลัวซิวหายตัวไป นางก็ขอร้องให้เล่อเผิงเฉิงช่วยออกตามหาที่อยู่ของเขา นางเชื่อว่าหากได้อธิบายกับหลัวซิวอย่างชัดเจน เขาจะต้องยินยอมเข้าร่วมกับสำนักเหลยหวู่อย่างแน่นอน
“ตอนนี้ยังไม่มี แต่ว่าเจ้าวางใจเถอะ อาจะออกตามหาอย่างสุดกำลัง” เล่อเผิงเฉิงพูดด้วยรอยยิ้ม
อันที่จริงแล้วเขาเองก็สงสัยว่าซิวหลัวที่ปรากฏตัวขึ้นที่วัดกวนเหล่ย อาจจะเป็นหลัวซิว แต่เขาไม่คิดว่าเด็กหนุ่มที่ยังไม่อาจเข้าสู่แดนสวรรค์ในตอนนั้นได้ จะสามารถพัฒนาความสามารถได้อย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้
ไม่แน่ว่าอาจเป็นแค่เรื่องบังเอิญ ซิวหลัวและหลัวซิวอาจจะเป็นคนละคนกัน
ในใจของเล่อเผิงเฉิงคิดเช่นนี้
นับตั้งแต่ที่รู้ว่าหลัวซิวใช้ระยะเวลาสั้น ๆ ไม่ถึงครึ่งปี ในการไต่ระดับจากการกลั่นร่างขั้น 2 ขึ้นสู่แดนฝึกชี่ไห่ อีกทั้งยังสามารถข้ามขั้นไปฆ่าโกวจินชวนซึ่งเป็นผู้ฝึกตนแดนพรสวรรค์ได้ เล่อเฉิงเผิงก็มั่นใจว่าในตัวของเด็กหนุ่มคนนี้จะต้องมีความลับซ่อนอยู่
ไม่แน่ว่าอาจได้รับการถ่ายทอดวิชาจากผู้แข็งแกร่งสักท่าน หรือไม่แน่ว่าอาจฝึกตนในวิชายุทธ์ที่ทรงพลัง หรืออาจมีสมบัติล้ำค่าที่ทรงพลังบางอย่างอยู่ในครอบครอง
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด เล่อเผิงเฉิงก็รู้สึกว่าหากตัวเขาได้มาครอบครอง จะต้องเป็นโอกาสที่ดีอย่างแน่นอน
มิเช่นนั้นหลัวซิวจะหนีไปทำไม ? ยิ่งเขาหนี ก็ยิ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าบนตัวของเขาจะต้องมีความลับซ่อนอยู่
จากการบอกเล่าของลู่เมิ่งเหยา เล่อเผิงเฉิงได้รับรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างนางและหลัวซิว ขอแค่ลู่เมิงเหยายังอยู่ในสำนักเหลยหวู่ ไม่ช้าก็เร็วเด็กหนุ่มคนนั้นจะต้องเดินทางมาที่นี่ด้วยตนเองแน่นอน
ในเขตการปกครองโตว้ไห่ ข่าวลือเกี่ยวกับเด็กหนุ่มที่ชื่อซิวหลัวเริ่มหนาหูขึ้นเรื่อย ๆ
“ได้ยินว่าหลังจากซิวหลัวคนนั้นออกจากวัดกวนเหลยแล้ว มีปรมาจารย์ยุทธ์ฝึกจิตสองคนแอบสะกดรอยตามไป”
“ปรมาจารย์ยุทธ์อาวุโสทั้งสองท่านกล่าวว่า มีปรมาจารย์ยุทธ์ท่านหนึ่งนามว่าหังเซี่ยงเฉินฆ่าซิวหลัวตายแล้วไม่ใช่หรือ ?”
“ดูเหมือนซิวหลัวผู้นั้นจะหนีไปแล้ว ส่วนปรมาจารย์ยุทธ์หังเซี่ยงเฉินก็ตายไปโดยไร้ร่องรอย !”
“แดนพรสวรรค์ขั้น 6 เก่งกาจขนาดนั้นเชียวหรือ ?”
“เจ้าจะไปรู้อะไร ? ได้ยินมาว่าซิวหลัวผู้นั้นฝึกวิชายุทธ์ระดับ 8 มือของเขาถือกระบี่ยุทธ์ระดับล่าง อีกทั้งยังมีสมบัติขั้นสูง มากมาย น่าจะเป็นอัจฉริยะที่มาจากกองกำลังหลักสักแห่ง”
ข่าวลือทุกอย่าง ล้วนมีพื้นฐานมาจากการเล่าต่อความเท็จกันไป จากนั้นยิ่งเล่าก็ยิ่งฟังดูร้ายแรงมากขึ้น
คำพูดจำนวนมากยังไม่ได้รับการยืนยันที่แน่นอน แต่ตอนที่ผู้คนนำไปลือและพูดคุยกัน กลับฟังดูเหมือนเป็นเรื่องจริง และกลัวว่าคนอื่นจะไม่เชื่อ
ทว่า ท่ามกลางข่าวลือเหล่านี้ ก็มีบางส่วนที่เป็นเรื่องจริง หลัวซิวฝึกตนวิชายุทธ์พลังก่อรวมวิญญาณระดับ 8 จริง และกระบี่ยุทธ์ที่อยู่ในมือของเขาก็อยู่ในระดับล่าง อีกทั้งยังเป็นของชั้นกลางในระดับล่าง
หังเซี่ยงเฉินผู้นั้นเป็นปรมาจารย์ยุทธ์ เขาใช้พลังทั้งหมดโจมตีด้วยดาบเดียว แม้แต่หลัวซิวซึ่งอยู่ในร่างยุทธ์ชั้นสูง ยังได้รับบาดเจ็บไม่น้อย
การป้องกันดาบนั้น อันที่จริงแล้วเป็นเรื่องที่หลัวซิวจงใจ
บทที่ 159 แดนห้วงกระบี่
กระบี่นี้ ไม่เพียงแต่เป็นการรวมตัวของเพลิงมรณะ แต่ยังผสานเจตนาฆ่าของเขาเข้าไปด้วย ราวกับค่อยแอบแทรกซึมเข้าไปในกระบี่เล่มนี้
“ข้าเคยบอกแล้วว่า ดาบเร็วของเจ้าทำอะไรข้าไม่ได้ !”
การสำนึกของโม่โจวผูกติดอยู่กับกระบี่ เขาขยับตัว ทำให้กระบี่ของหลัวซิวแทงทะลุอากาศไป
แต่ทว่า เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ถูกกระบี่ทำร้ายเข้า แต่กลับมีพลังรุนแรงปกคลุมรอบตัวเขา ทำให้โม่โจวรู้สึกว่าร่างกายของตนเองกำลังถูกฉีกออก
“นี่มัน……หรือว่านี่คือห้วงกระบี่ ?”
โม่โจวใจเต้นรัว แต่เขาก็รีบปฏิเสธการคาดเดาของตนเองทันที เพราะหากเป็นห้วงกระบี่จริง กระบี่ที่แทงมาเมื่อครู่ คงพรากชีวิตเขาไปเรียบร้อยแล้ว
ห้วงยุทธ์ไม่ใช่สิ่งที่แดนพรสวรรค์จะตระหนักรู้และเข้าใจได้
เพราะห้วงยุทธ์ ต้องใช้พลังการสำนึกเพื่อควบคุม ซึ่งนี่หมายความว่า เกณฑ์ต่ำสุดที่จะตระหนักรู้แล้วเข้าใจห้วงยุทธ์ จะต้องเป็นผู้ที่อยู่ในแดนฝึกจิต
เมื่อครู่ หลังซิวได้ส่งผ่านเจตนาฆ่าไปที่ดาบเร็ว เพราะไม่มีการสำนึก ถึงแม้จะไม่สามารถตระหนักรู้ห้วงกระบี่ได้ แต่กลับสัมผัสได้ถึงความลึกลับบางอย่างของห้วงกระบี่
“พลังแปรเสวียนเทียน !”
หลัวซิวใช้ดาบอีกครั้ง แต่ดาบยังไม่ทันจะฟันลงไป ก็เกิดไอสังหารเลือดพุ่งขึ้นมาอย่างรุนแรง ทำให้โม่โจวรู้สึกเจ็บปวดไปทั่วร่างกาย ทำให้เขาเข้าใจในทันทีว่า ถึงแม้เด็กหนุ่มผู้นี้จะยังไม่เข้าใจห้วงกระบี่ แต่กลับสัมผัสถึงความลับบางอย่างที่อยู่ในห้วงกระบี่เรียบร้อยแล้ว
ดาบนี้ถูกขับเคลื่อนด้วยพลังแปรเสวียนเทียนหกเท่า ปราณกระบี่เปลวไฟดำพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า และแผ่รัศมีอันน่าสะพรึงกลัว ที่ดูราวกับจะสามารถทำลายทุกสิ่งให้แหลกเป็นผุยผงได้ออกมา
กระบี่นี้รวดเร็วถึงขนาดการสำนึกไม่อาจจับการเคลื่อนไหวของมันได้ แม้แต่อากาศก็ถูกฉีกออกจากกัน ปรากฏแสงวาบราวกับฝนดาวตก
“ห้วงกระบี่หรือ ? ดูเหมือนจะยังขาดอะไรไปบางอย่าง……”
การรวมตัวกันของเจตนาฆ่าและดาบเร็ว ทำให้หลัวซิวสัมผัสได้ถึงต้นแบบของห้วงกระบี่
กระบี่เล่มนี้เกิดประกายของเปลวไฟดำขึ้นมาในทันใด ทั้งเฉียบคงและแข็งแกร่ง
“หยุดก่อน ! ข้าไม่ใช่ศัตรูของเจ้าอีกแล้ว”
ภายใต้กลิ่นอายของไอสังหารเลือด โม่โจวส่งเสียงคร่ำครวญออกมา และถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว
กระบี่นี้ การสำนึกไม่อาจจับร่องรอยการเคลื่อนไหวได้ เขารู้ดีว่าไม่อาจป้องกันได้ หากยังไม่ยอมแพ้อีก เกรงว่าคงจะต้องกลายเป็นวิญญาณที่ตายอยู่ภายใต้กระบี่เล่มนี้
เมื่อเห็นโม่โจวล่าถอยด้วยความกลัว ฝูงชนต่างตกตะลึง โม่โจวผู้สูงส่งที่อยู่ถึงระดับแดนฝึกจิตครึ่ง แต่กลับยอมแพ้ให้กับเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ?
เด็กหนุ่มคนนี้ดูเหมือนว่าจะมีอายุเพียงสิบห้าปีเท่านั้น ?
เด็กหนุ่มอายุสิบห้าปี แต่สามารถโจมตีปรมาจารย์ยุทธ์ฝึกจิตได้ คงเรียกได้ว่าเป็นสัตว์ประหลาด !
หากวันใดวันหนึ่งข้างหน้าก้าวเข้าไปในแดนราชายุทธ์ ไม่แน่ว่าตำแหน่งผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งของเขตการปกครองโตว้ไห่ อาจมีการเปลี่ยนมือจริง ๆ
หลัวซิวแสยะยิ้มออกมา พลังของกระบี่ยังคงไม่ลดลง
“เจ้าคิดจะฆ่าข้าเพื่อเอาใจสำนักเหลยหวู่ ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า แต่กลับคิดจะให้ข้าเห็นใจในโลกนี้มีเรื่องดีเช่นนี้ที่ไหนกัน ?”
หลัวซิวยังไม่ทันจะพูดจบ คมดาบของกระบี่ก็แทงทะลุลำคอของโม่โจวเรียบร้อยแล้ว
กระบี่ที่อาบไปด้วยเลือดถูกดึงออกมา โม่โจวล้มลงไปกับพื้น เลือดไหลทะลักออกมาจากแผล
บริเวณใกล้ ๆ หลัวซิว มีร่างที่ไร้วิญญาณของจอมยุทธ์ใหญ่สามท่าน และปรมาจารย์ยุทธ์อีกหนึ่งท่านนอนนิ่งอยู่
เลือดฉาบไปทั่วพื้นดิน ทำให้ผู้พบเห็นต่างรู้สึกตื่นตกใจ
กวาดสายตามองไปรอบ ๆ นอกจากปรมาจารย์ยุทธ์ฝึกจิตเพียงไม่กี่คน คนอื่น ๆ ต่างไม่มีใครกล้าสบตาเขา
เช้ง !
เก็บกระบี่กลับเข้าฝัก จากนั้นหลัวซิวก็เดินจากไป ฝูงชนต่างเปิดทางให้เขา ไม่มีใครกล้าขัดขวาง
ปรมาจารย์ยุทธ์ที่เหลืออยู่ไม่กี่คนเหล่านั้น ไม่ใช่คนของสำนักเหลยหวู่ พวกเขาต่างมองดูชายหนุ่มชุดคลุมยาวดำเดินจากไปด้วยแววตาที่สั่นคลอน
หากฆ่าเด็กหนุ่มคนนี้ได้ ไม่แน่ว่าอาจผูกมิตรกับสำนักเหลยหวู่ได้
แต่ก็มีปรมาจารย์ยุทธ์บางคนที่มีความหยิ่งทะนงในตนเอง และไม่คิดที่จะลดตัวลงไปเอาอกเอาใจสำนักเหลยหวู่
ออกจากบริเวณใกล้เคียงของวัดกวนเหลย หลัวซิวยังไม่ทันที่จะเดินไปไหนไกลนัก ตรงหน้าของเขามีชายวัยกลางคน สวมใส่ชุดสีดำ กำลังยืนพิงต้นไม้ และลูบดาบขึ้นสนิมที่อยู่ในมือของเขาอยู่
ดาบนั้นดูเหมือนจะเก่าและเสื่อมสภาพ แต่กลับมีพลังที่รุนแรงแอบซ่อนอยู่
ก่อนที่สายตาของเขาจะมองเห็นคนผู้นี้ หลัวซิวก็สัมผัสได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่ายแล้ว
อีกทั้งการสำนึกของอีกฝ่าย ก็พุ่งเป้ามาที่เขาจากระยะที่อยู่ห่างออกไปกว่าร้อยเมตรนานแล้ว
การกำหนดเป้าหมายของจิตสำนึก เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้เป็นปรมาจารย์ยุทธ์ฝึกจิตท่านหนึ่ง
“ข้าต้องการยากลั่นจิต หากฆ่าเจ้าหนึ่งคน ก็จะแลกยาได้หนึ่งเม็ด !”
ชายชุดดำกล่าวออกมาอย่างไม่แยแส แววตาของเขาฉาบไปด้วยความเย็นชา ดวงตาคบกริบราวกับดาบที่พุ่งทะลุจิตวิญญาณของคนได้
ยากลั่นจิตเป็นยาระดับ 4 หากกินเข้าไปแล้วสามารถทำให้ปรมาจารย์ยุทธ์ที่อยู่ต่ำว่าการฝึกจิตขั้น 3 สามารถยกระดับแดนเล็กได้
ยาเช่นนี้ ถือได้ว่าเป็นของล้ำค่า มีเพียงปรมาจารย์กลั่นยาที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีเท่านั้น จึงจะสามารถกลั่นออกมาได้
จึงมีวางขายอยู่เพียงจำนวนน้อย อีกทั้งมีราคาที่สูงมาก ซึ่งปกติแล้วปรมาจารย์ยุทธ์ฝึกจิตไม่อาจสู้ราคาได้
ส่วนการเก็บรวบรวมยาวิเศษแล้วเชิญนักกลั่นยาช่วยกลั่น ไม่เพียงแต่ยาวิเศษที่หาได้ยากเท่านั้น แต่ข้อแลกเปลี่ยนก็สูงลิบลิ่วเช่นกัน
เป็นการยากที่จะตัดสินผลการฝึกตนว่าสูงหรือต่ำด้วยการสัมผัสลมหายใจ แต่โชคดีที่หลัวซิวนั้นเคยสัมผัสกับปรมาจารย์ยุทธ์ฝึกจิตมาไม่น้อย จึงพอจะตัดสินออกมาได้ ชายชุดดำที่อยู่ตรงหน้า มีผลการฝึกตนในระดับฝึกจิตขั้น 1
ฝึกจิตขั้น 1 หลัวซิวไม่รู้สึกกลัว
ชายชุดดำหันมองหลัวซิวด้วยแววตาเย็นชา “หากข้าจะฆ่าเจ้านั้นเป็นเรื่องที่ง่ายมาก ความแตกต่างระหว่างแดนฝึกจิตและแดนพรสวรรค์นั้น เป็นสิ่งที่เจ้ายากจะจินตนาการได้”
ชายชุดดำหยุดลูบดาบ แต่กลับถือดาบเล่มนั้นเดินตรงเข้ามาหาหลัวซิว “ปรมาจารย์ยุทธ์ฝึกจิต ฝึกการสำนึก รวมตัวพลังจิตแท้ ฆ่าแดนพรสวรรค์ราวกับสุนัข”
“โอ้อวดความแข็งแกร่งของเจ้าให้ข้ารู้อย่างนั้นหรือ ? ไม่แน่ว่าเจ้าอาจจะเป็นปรมาจารย์ยุทธ์คนแรกที่ตายด้วยน้ำมือของข้าก็ได้” หลัวซิวพูดเยาะเย้ย
“ฮ่าฮ่า ข้า หังเซี่ยงเฉิน ฝึกยุทธ์มากว่าสี่สิบสามปี และอยู่ในแดนปรมาจารย์ยุทธ์ ถ้าหากแพ้ให้กับแดนพรสวรรค์ตัวเล็ก ๆ อย่างเจ้า มันจะไม่ฟังดูน่าตลกไปหน่อยหรือ ?”
ชายชุดดำไม่รู้สึกโกรธแต่กลับหัวเราะออกมา เขาเคลื่อนไหวร่างกายอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า และมายืนอยู่ตรงหน้าหลัวซิว
ดาบขึ้นสนิมเปล่งประกายพลังที่รุนแรงออกมา และแทงเข้าไปที่หน้าอกของหลัวซิว
หลัวซิวดึงกระบี่ออกจากฝัก เขายกกระบี่ขึ้นป้องกัน พลังที่พุ่งออกมาจากดาบทำให้ตัวของเขาลอยกระเด็นไป และร้องคร่ำครวญออกมา
ปรมาจารย์ยุทธ์ฝึกจิตทรงพลังอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นความเร็วหรือว่าพลัง จอมยุทธ์ใหญ่และฝึกจิตครึ่งต่างไม่อาจเทียบได้
ระดับวิชาดาบของอีกฝ่าย เทียบเท่ากับดาบเร็วของเขา ล้วนแต่อยู่ในแดนบริบูรณ์
ซึ่งส่วนนี้ หลัวซิวไม่เกิดข้อได้เปรียบเลยแม้แต่น้อย
อีกทั้งอีกฝ่ายยังมีการสำนึก พลังจิตแท้ ซึ่งเรียกได้ว่ามีความสามารถที่เหนือกว่าเขาในทุกด้าน
การโจมตีหนึ่งครั้งทำให้ต้องล่าถอย แต่ใบหน้าของหลัวซิวกลับเผยรอยยิ้มออกมา “เจ้ายิ่งแข็งแกร่งยิ่งดี ข้ากลัวว่าเจ้าจะแข็งแกร่งไม่พอ”
ไอสังหารเลือดแผ่ซ่านออกมา หลัวซิวผสานเจตนาฆ่าเข้ากับวิชากระบี่ ทำให้เกิดต้นแบบของห้วงกระบี่ขึ้น
“สัมผัสถึงบางส่วนของห้วงกระบี่แล้วหรือ ? แต่น่าเสียดายที่ไม่ใช่ห้วงกระบี่ของจริง”
หังเซี่ยงเฉินผงะไปเล็กน้อยในตอนแรก แต่ก็กลับมาหัวเราะเยาะในทันที การสำนึกพุ่งเป้ามาที่หลัวซิว และไม่เกรงกลัวต่อแรงกดดันจากไอสังหารเลือดเลยม้แต่น้อย
ถึงแม้ไอสังหารเลือดของหลัวซิวจะรุนแรง แต่ก็สร้างแรงกดดันต่อผู้ฝึกตนที่อยู่ในระดับต่ำกว่าการฝึกจิตเท่านั้น หากต้องการสร้างผลกระทบต่อปรมาจารย์ยุทธ์ฝึกจิต สิ่งที่เขาจำเป็นต้องทำก็คือการฆ่าปรมาจารย์ยุทธ์ฝึกจิต และผนึกรวมไอสังหารที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
วิชาท่าร่างที่หังเซี่ยงเฉินผู้นี้ใช้ รวดเร็วกว่าวิชาเศษเงาสิบช่องของหลัวซิว ดาบขึ้นสนิมที่อยู่ในมือเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วจนไม่อาจคาดเดาได้ การโจมตีนั้นยากที่จะป้องกัน
เวลาเพียงช่วงสั้น ๆ หลัวซิวก็ถูกดาบแทงเข้าไปหลายแผล ทั่วทั้งตัวของเขาเปียกโชกไปด้วยเลือด ส่วนชุดคลุมยาวดำถูกพลังอันน่ากลัวของมีดฟันขาดจนกลายเป็นเศษผ้า
ถึงแม้จะตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน แต่หลัวซิวก็เป็นร่างยุทธ์ขั้นสูงแดนร่างเนื้อ จึงพอจะป้องกันได้หลายครั้งจนไม่ทำให้ถึงแก่ชีวิต
วิชาท่าร่างวิชาเงาเศษสิบช่องถูกสำแดงออกมาอย่างเต็มกำลัง หลังซิวพยายามอย่างเต็มที่ที่จะหลบแสงของดาบที่ฟันลงมานับครั้งไม่ถ้วน
########################
บทที่ 158 ตัดหัวทีละคน
“ตายซะเถอะ !”
เวินชิวเซิงปล่อยพลังปราณแท้ไฟออกไปอย่างบ้าคลั่ง หอกยาวค่อย ๆ สั่น ราวกับมังกรพ่นไฟที่กำลังจะตื่นขึ้นมา
“ย่า !”
หลัวซิวเองก็ตะโกนออกมาเพียงหนึ่งคำ ฝ่ามือและนิ้วของเขาออกแรงในทันที เกิดเสียงดังแกรกปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน ปลายหอกถูกเขาบีบจนแหลกละเอียด
และในตอนนี้เอง หลัวซิวชี้นิ้วของเขาออกไป กระบี่เปลวไฟดำเรื่องแสงขึ้น นิ้วมือนี้ส่งผ่านพลังออกไปราวกับกระบี่ที่เป็นของชั้นสูง และรวดเร็วปานสายฟ้า
การเคลื่อนไหวของเวินชิวเซิงหยุดนิ่งในทันที และปราณแท้ไฟที่อยู่รอบ ๆ ตัวเขาก็ดับลง ดวงตาของเขาเบิกโพลง และเกิดรูเลือดที่น่าตกใจปรากฏขึ้นระหว่างคิ้วของเขา
ตอนนี้ทุกคนต่างใจเต้นรัว !
ร่างเนื้อที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง เป็นกระบี่ที่รวดเร็วจริง ๆ !
ร่างเนื้อร่างยุทธ์ชั้นสูง เปรียบเสมือนนักรบชั้นสูงที่ใช้นิ้วมือแทนกระบี่ อาศัยความรวดเร็วและแน่วแน่ในการสังหารจอมยุทธ์ใหญ่ !
“กระบี่ที่สมบูรณ์แบบ !”
“เด็กคนนี้อยู่ในแดนวิชากระบี่ ซึ่งสามารถเทียบได้กับปรมาจารย์ยุทธ์ฝึกจิตจำนวนมาก !”
คนจำนวนมากต่างรู้สึกตกใจ เพราะปรมาจารย์ยุทธ์จำนวนมากล้วนอยู่ในวิชายุทธ์แดนบริบูรณ์ ปรมาจารย์ยุทธ์ฝึกจิตที่จะเข้าใจห้วงยุทธ์อย่างถ่องแท้ ถือว่ามีอยู่เพียงน้อยนิด
นิ้วกระบี่ทำให้ทุกคนต่างตกตะลึง
ปรมาจารย์ยุทธ์ฝึกจิตหลายคนที่กำลังสัมผัสรับรู้ห้วงดาบอยู่ที่เชิงเขาต่างรู้สึกประหลาดใจ เด็กหนุ่มวัยเพียงแค่สิบหน้าปี ไม่ต้องพูดถึงการฝึกตนถึงร่างยุทธ์ขั้นสูง แต่ยังสามารถฝึกตนวิชาดาบเร็วได้อย่างสมบูรณ์ และใช้เพียงนิ้วเดียวในการฆ่าจอมยุทธ์ใหญ่อีก ?
ไม่ต้องพูดถึงกองกำลังอันดับหนึ่งของเขตการปกครองโตว้ไห่อย่างสำนักเหลยหวู่ แม้แต่ในสำนักใหญ่ทั่วทั้งหกเมืองของประเทศเทียนหวู ก็ไม่แน่ว่าจะปรากฏอัจฉริยะเช่นนี้
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า หากผู้ที่มีพรสวรรค์เช่นนี้เติบโตขึ้นมา ไม่แน่ว่าสักวันเขาอาจจะเหยียบสำนักเหลยหวู่ให้จมดินได้จริง ๆ และอาจจะตัดหัวของเหลยเว่ยหลงลงมาได้
ท่ามกลางฝูงชนที่ยืนอยู่โดยรอบ เดิมทีมีคนหลายคนที่คิดจะลงมือตัดหัวของชายหนุ่มชุดคลุมยาวดำ เพื่อเอาใจคนของสำนักเหลยหวู่ แต่ตอนนี้กลับยืนมองร่างไร้วิญญาณของเวินชิวเซิงที่นอนอยู่บนพื้นด้วยความตะลึง
คนเหล่านี้บางคนยังมีความสามารถที่ไม่อาจเทียบกับเวินชิวเซิงได้ เมื่อครู่หากเป็นตนเอง ก็คงจะต้องถูกเด็กหนุ่มคนนี้ฆ่าตายด้วยนิ้วเพียงนิ้วเดียวเช่นกัน
ถึงแม้ชายหนุ่มชุดคลุมยาวดำผู้นี้จะมีผลการฝึกตนอยู่เพียงแค่ระดับแดนพรสวรรค์ชั้น 6 แต่ไอสังหารเลือดที่วนเวียนอยู่ทั่วตัวนั้นน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง ส่วนความสามารถก็น่ากลัวยิ่งกว่า ผู้ที่อยู่ในระดับต่ำกว่าปรมาจารย์ยุทธ์ฝึกจิต เกรงว่าคงจะมีน้อยคนนักที่สามารถต่อสู้กับเขาได้
แต่เมื่อพวกเขาคิดว่าที่นี่มีคนอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ชายหนุ่มชุดคลุมยาวดำมีเพียงแค่ตัวคนเดียว คนเหล่านี้จึงสงบจิตใจลงได้ และมีแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ย
“มีใครจะฆ่าข้าอีก ออกมา !”
หลัวซิวยืนตระหง่านอยู่ เขามองไปยังบรรดาผู้แข็งแกร่งที่อยู่รอบ ๆ และพูดออกมาอย่างหยิ่งผยองอีกครั้ง
ครึ่งปีก่อน เขาทำได้เพียงแค่เฝ้ามองแดนพรสวรรค์ แต่ตอนนี้ เขาสามารถฆ่าผู้ฝึกตนในแดนพรสวรรค์ได้เหมือนกับฆ่าสุนัข แล้วทำไมจะต้องเก็บซ่อนความทะนงตนเอาไว้ด้วย ? แต่ควรที่จะเปิดเผยให้อยู่คู่กับโลกนี้ตลอดไป !
“อย่าสามหาวให้มันมากนัก !”
มีคนสี่คนเดินออกมา ใบหน้าเผยให้เห็นเจตนาฆ่าอย่างชัดเจน ทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นผู้ฝึกจนระดับจอมยุทธ์ใหญ่ ซึ่งมีฝีมือไม่ด้อยไปกว่าเวินชิวเซิงผู้นั้นเลย
ดูเหมือนว่าทั้งสี่คนจะหารือกันมาเป็นอย่างดี เมื่อก้าวเข้ามาก็ลงมือทันที และพุ่งตรงเข้าสังหารหลัวซิวพร้อมกัน
“ฆ่า !”
หลัวซิวตะโกนออกมาเบา ๆ ไอสังหารเลือดของอสุรกายแดนพรสวรรค์นับร้อยที่ถูกตัดหัวเข้ามารวมตัวกันอย่างล้นหลาม และพุ่งเข้าใส่จอมยุทธ์ใหญ่ทั้งสี่คนทันที
ในเวลาเดียวกันนี้ เขาก็เดินตรงไปด้านหน้าทีละก้าว ๆ ติดต่อกันทั้งหมดเก้าก้าว
มีร่างของคนสองคนกระเด็นออกมาทันที มีเลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว คนหนึ่งถูกแทงทะลุลำคอ ส่วนอีกคนถูกแทงทะลุหัวใจ
ทุกคนรู้สึกหัวใจเต้นระส่ำ นี่มันน่ากลัวเกินไปแล้ว จอมยุทธ์ใหญ่สองคนถูกฆ่าตายทันทีเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเขา ?
แม้แต่ยอดฝีมือที่อยู่ห่างจากการฝึกจิตเพียงแค่ครึ่งก้าวจำนวนหลายคน ต่างก็ตกตะลึงจนตาค้าง ต่อให้เป็นพวกเขา ก็คงไม่อาจจัดการได้อย่างรวดเร็วหมดจดเช่นนี้
ในขณะที่หลัวซิวฆ่าจอมยุทธ์ใหญ่ทั้งสองคน อีกสองคนที่เหลือก็โจมตีลงมาบนตัวของเขาพอดี
การฝึกตนของเขาคือดาบเร็ว จึงให้ความสำคัญกับการฆ่าในคราวเดียว ดังนั้นตอนลงมือโจมตีศัตรูจึงไม่มีการป้องกันตัวละไม่มีการออมแรง
แม้แต่ร่างยุทธ์ขั้นสูง การโจมตีของจอมยุทธ์ใหญ่ก็ใช่ว่าเป็นสิ่งที่อาจมองข้ามได้ หลัวซิวส่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดและถอยร่นไปสามก้าว เขาได้รับบาดเจ็บภายในเล็กน้อย
“เขาได้รับบาดเจ็บแล้ว !”
เมื่อเห็นดังนั้น จอมยุทธ์ใหญ่ทั้งสองคนก็แสดงสีหน้ายินดีออกมา และไม่คิดที่จะสนใจสหายทั้งสองที่ถูกฆ่าไป
เพียงแต่พวกเขายังไม่ทันจะหุบยิ้ม รอยยิ้มนั้นก็ต้องหยุดนิ่งอยู่บนใบหน้าของพวกเขาไปตลอดกาล
กระบี่ที่อยู่ด้านหลังของหลัวซิวถูกดึงออกจากฝักในทันที เพลิงมรณะรวมตัวและระเบิดพลังออกมา จอมยุทธ์ใหญ่คนหนึ่งถูกตัดขาดเป็นสองท่อน เลือดไหลทะลักออกมาราวกับสายน้ำ
ส่วนจอมยุทธ์ใหญ่อีกหนึ่งคนที่เหลือ ก็ถูกนิ้วมือด้านซ้ายของเขาทำลายจิตวิญญาณจนแตกดับ
กระบี่ของเขารวดเร็วมาก แม้แต่การรับรู้ของจอมยุทธ์แดนพรสวรรค์ยังไม่อาจตอบสนองได้ทัน มีเพียงผู้ฝึกจิตที่ควบคุมการสำนึกเท่านั้น ที่สามารถจับวิถีและความเร็วของกระบี่ได้
ภายในร่างกาย พลังของปราณเป็นตาย 2 ระดับกำลังเปลี่ยนแปลง กลายเป็นพลังแห่งชีวิต และซ่อมแซมลายเส้นชีวิตที่เสียหาย
เพียงครู่เดียว อาการบาดเจ็บที่เกิดจากการโจมตีของจอมยุทธ์ใหญ่ทั้งสอง ก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
หลังจากฆ่าจอมยุทธ์ใหญ่ทั้งสามอย่างต่อเนื่อง ซึ่งพวกเขาล้วนแล้วแต่อยู่ในระดับแดนพรสวรรค์ชั้น 9 ไอสังหารบนตัวของหลัวซิวก็ยิ่งเข้มข้นขึ้น
แม้แต่นักล่าที่ฝึกฝนอยู่ภายนอกมาหลายปี ก็น้อยนักที่จะมีการรวมตัวของไอสังหารจนเข้มข้นเช่นนี้ เพราะการฆ่าผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกัน บนร่างกายจะไม่เกิดการรวมตัวของไอสังหาร มีเพียงแค่การฆ่าศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าตนเองเท่านั้น ร่างกายจึงจะมีการรวมตัวของไอสังหารที่รุนแรง
ผู้ที่สามารถต่อสู้ข้ามระดับได้ ล้วนแล้วแต่เป็นอัจฉริยะ แต่ถึงแม้จะเป็นอัจฉริยะ แต่การที่จะรวมตัวไอสังหารเลือดได้ออกมาชัดเจนขนาดนี้ จะต้องฆ่าศัตรูที่มีผลการฝึกตนแข็งแกร่งกว่าตนเองกี่คนกัน ?
“เป็นเด็กหนุ่มที่หยิ่งยโส มีความสามารถที่น่าทึ่ง ถือว่าเจ้าไม่เลวเลย”
น้ำเสียงเย็นชาดังขึ้น ผู้พูดคือยอดฝีมือแดนฝึกจิตครึ่งผู้หนึ่ง การรับรู้ของคนผู้นี้ได้ถูกเปลี่ยนไปถึงขั้นการสำนึกแล้ว
“เด็กหนุ่มหยิ่งยโสเกินไปไม่ใช่เรื่องดีนัก เพราะจะต้องชดใช้ให้กับสิ่งนี้”
ฝึกจิตครึ่ง ผนึกรวมการสำนึก คนผู้นี้กล้าก้าวออกมาทั้ง ๆ ที่หลัวซิวฆ่าจอมยุทธ์ใหญ่ต่อเนื่องกันไปถึงสามคนแล้ว นั่นแสดงให้เห็นว่าเขาไม่กลัวดาบเร็วที่ไม่อาจคาดเดาได้นี้
ไม่ว่าดาบของเจ้าจะเร็วแค่ไหน การสำนึกก็สามารถจับร่องรอยของความเร็วได้ และสามารถควบคุมสถานการณ์การต่อสู้ทั้งหมดได้ การมองเห็นทุกสิ่งได้อย่างชัดเจน นี่คือการฝึกจิตครึ่ง !
คนผู้นี้มีชื่อว่าโม่โจว เขาเป็นผู้ฝึกฝนด้วยตนเอง อยู่ในแดนฝึกจิตครึ่ง
เนื่องจากตระกูลเหยียนมีการออกคำสั่งค้นหา ทำให้ยอดฝีมือของทั้งสามของกำลังหลัก ได้แก่ สำนักเหลยหวู่ ตระกูลกงซุน และหอหย่งชาง ต่างก็ออกตามหาที่อยู่ของเหยียนเยว่เอ๋อร์
ด้วยเหตุนี้ โดยรอบบริเวณวัดกวนเหลย ผู้ฝึกตนของทั้งสามกองกำลังหลัก ล้วนแล้วแต่มีผลการฝึกตนที่ต่ำกว่าการฝึกจิต มิเช่นนั้นโดยปกติแล้ว หากมีคนกล้าพูดจาสามหาวเช่นนี้ เพียงแค่ปรมาจารย์ยุทธ์ฝึกจิตของสำนักเหล่ยหวู่คนเดียว ก็สามารถลงมือฆ่าชายหนุ่มชุดคลุมยาวดำคนนี้ได้แล้ว
จะว่าไปแล้ว หลัวซิวเองก็รู้ว่าที่แห่งนี้ไม่มีผู้แข็งแกร่งของกองกำลังหลักทั้งสาม ที่อยู่ในระดับเหนือกว่าการฝึกจิต จึงกล้าโอ้อวดเช่นนี้
เขามีความกล้าหาญ แต่เขาก็ไม่ใช่คนโง่ เรื่องที่รู้ว่าทำแล้วต้องตาย เขาไม่มีทางลงมือทำเด็ดขาด
“ดาบเร็วของเจ้าทำอะไรข้าไม่ได้หรอก”
โม่โจวผู้นี้ไม่ได้พูดเล่น พลังที่แข็งแกร่งปรากฏขึ้นบนร่างกายของเขา และเกิดแสงสีขาวขึ้นรอบตัว แหลมคมราวกับดาบ
ปราณแท้Attrทองขึ้นชื่อเองการโจมตีที่ทรงพลัง !
ฝึกจิตครึ่ง อยู่เหนือกว่าจอมยุทธ์ใหญ่ขั้น 9 ผู้ทรงพลังมาก ถึงแม้ดาบเร็วของหลัวซิวจะอยู่ในแดนบริบูรณ์ แต่ก็ยากที่จะทดแทนความแตกต่างของผลการฝึกตนได้
หลัวซิวไม่พูดอะไร เขาก้าวออกไป แล้วโจมตีด้วยหมัด
ไม่จำเป็นต้องใช้กระบี่ อาศัยเพียงแค่ทักษะการปล่อยพลังของดาบเร็ว ไม่ว่าเขาจะปล่อยหมัดหรือใช้ฝ่ามือ ก็รวดเร็วพอ ๆ กับการใช้กระบี่
โม่โจวส่งเสียงฟึดฟัดด้วยความโมโห เขารวมตัวปราณแท้แล้วใช้ฝ่ามือปะทะกับหมัด ปราณแท้金系และเพลิงมรณะตรงเข้าปะทะกัน จนเกิดเสียงดังขึ้น
“เป็นการโจมตีที่ประหลาดจริง ๆ”
รู้สึกถึงกลิ่นอายของความเย็นและความตายแผ่ซ่านเข้ามาในร่างกาย โม่โจวรู้สึกว่าฝ่ามือของเขาชาและสูญเสียความรู้สึกทันที สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ขอแค่ความสามารถไม่อยู่เหนือตนเองมากนัก พลังแห่งความตายก็พอจะทำลายลายเส้นชีวิตของคู่ต่อสู้อย่างมองไม่เห็นได้ วิธีการที่แปลกประหลาดเช่นนี้ โม่โจวไม่มีทางเข้าใจถึงความลับที่ซ่อนอยู่นี้ได้เลย
“ฆ่า !”
เจตนาฆ่าของหลัวซิวเพิ่มขึ้นจนถึงขีดสุด กระบี่ถูกดึงออกจากฝัก และฟันลงไปอย่างรุนแรง
########################
บทที่ 157 ร่างยุทธ์ชั้นสูง แดนร่างเนื้อ
ในที่สุด ชายหนุ่มชุดสีน้ำเงินก็หน้าถอดสี ชายหนุ่มชุดคลุมยาวดำผู้นี้คือใครกัน ? กล้าถึงขนาดไม่เห็นตระกูลเหลยอยู่ในสายตา และยังกล้าฆ่าตนเองอีก ?
หลัวซิวเคลื่อนไหวร่างกายและเข้ามายืนอยู่ต่อหน้าชายหนุ่มชุดสีน้ำเงินเพียงชั่วพริบตาเดียว จากนั้นจึงใช้ฝ่ามือตบไปที่ศีรษะของเขาโดยไร้ความปรานี
“ไปตายซะ !”
ดาบปรากฏขึ้นในมือของชายหนุ่มชุดสีน้ำเงิน ลมแรงพัดผ่านอากาศ มีแสงสว่างวาบจาง ๆ ปรากฏขึ้น และพุ่งตรงเข้าใส่ฝ่ามือของหลัวซิว
“เช้ง !”
ฝ่ามือและดาบปะทะกัน จนเกิดเสียงดังฟังชัด
พลังมหาศาลถูกส่งผ่านมาจากดาบ ทำให้ร่างกายของชายหนุ่มชุดสีน้ำเงินสั่นไหว เขาเดินโซเซถอยหลังไปหลายก้าว จากนั้นจึงมีเลือดไหลทะลักออกมาจากปากของเขา
ดาบที่อยู่ในมือของชายหนุ่มชุดสีน้ำเงินเป็นของชั้นสูง จึงไม่แตกสลายเพราะฝ่ามือของหลัวซิว หลังจากปะทะกับดาบแล้ว บนฝ่ามือของเขาก็เกิดเพียงร่องรอยสีขาวเหลือทิ้งไว้
หลัวซิวเดินใกล้เข้ามา เขาใช้นิ้วของเขาแทนกระบี่ เพื่อรวมพลังเพลิงมรณะ
ชายหนุ่มชุดสีน้ำเงินยกดาบขึ้นมาเพื่อป้องกันนิ้วกระบี่นั้น พลังมหาศาลถูกส่งผ่านมาอีกครั้ง ดาบหลุดจากมือและลอยกระเด็นไป ส่วนมือที่ถือดาบเอาไว้ก็เปียกโชกไปด้วยเลือด
สิ่งนี้ทำให้ชายหนุ่มชุดสีน้ำเงินตื่นตกใจอย่างมาก เขารีบถอยร่นไปทันที แต่นิ้วกระบี่ของหลัวซิวกลับตามเขาไปอย่างรวดเร็วเหมือนกับเงา จนเขาไม่อาจหลบเลี่ยงได้
“เจ้าเป็นใครกันแน่ ? ทำไมถึงต้องการฆ่าข้า ? เจ้ากับข้ามีความแค้นอะไรต่อกันอย่างนั้นหรือ ?” เขาตะโกนถามด้วยความโกรธ
แต่หลัวซิวกลับไม่ได้เอ่ยตอบเขา มีเพียงแววตาที่เต็มไปด้วยไอสังหารอย่างรุนแรง
ชายหนุ่มชุดสีน้ำเงินหันมองฝูงชนที่อยู่รอบ ๆ เขากวาดสายตาและตะโกนเสียงดังขึ้นทันทีว่า : “พ่อของข้าคือผู้คุมกฎสำนักเหลยหวู่ ใครสามารถฆ่าคนคนนี้แล้วช่วยข้าเอาไว้ได้ ข้า เหลยมู่เหยียน จะตอบแทนให้อย่างงาม !”
เขารู้ดีว่าตนเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของชายหนุ่มชุดคลุมยาวดำคนนี้ ดังนั้นจึงต้องอาศัยฐานะของศิษย์ตระกูลเหลยในการขอความช่วยเหลือ
“หยุดเดี๋ยวนี้ !”
เมื่อได้ยินคำมั่นสัญญาจากเหลยมู่เหยียน ก็มีคนก้าวออกมาทันที เผยให้เห็นผู้ฝึกตนระดับจอมยุทธ์ใหญ่
จากการฝึกจิต จอมยุทธ์ใหญ่อยู่ในระดับแดนพรสวรรค์ขั้น 9
ทว่าหลัวซิวกลับทำเหมือนไม่ได้ยิน นิ้วกระบี่ของเขาแผ่ปราณกระบี่ที่เกิดจากการรวบรวมเพลิงมรณะออกมา เกิดเสียงดังฉึบ ทะลุผ่านคิ้วของเหลยมู่เหยียนไป
มีรูเลือดขนาดเท่านิ้วมือปรากฏขึ้นที่หน้าผาก การเคลื่อนไหวของเหลยมู่เหยียนหยุดชะงักลงทันที และล้มลงไปที่พื้นดังตุ้บ
จอมยุทธ์ใหญ่แดนพรสวรรค์ขั้น 9 ผู้นั้นรีบวิ่งเข้ามา เขาเป็นชายวัยกลางคนที่มีหนวดเคราเต็มใบหน้า
เมื่อเห็นเหลยมู่เหยียนถูกฆ่าตาย สีหน้าของเขาก็ไม่สู้ดีนัก จอมยุทธ์ใหญ่ส่งเสียงฟึดฟัดด้วยความโมโห “ท่านยอดฝีมือฆ่าศิษย์ของตระกูลเหลยแล้ว ไม่ทราบว่าจะกล้าทิ้งชื่อแซ่เอาไว้หรือไม่ ?”
ในความคิดของเขา คนผู้นี้กล้าลงมือฆ่าศิษย์ของตระกูลเหลย คงจะต้องมีฐานะและภูมิหลังที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
“หลีกไป !”
หลัวซิวตะคอกออกมาอย่างเย็นชา ไอสังหารอันรุนแรงแผ่ซ่านออกมา จนสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายเลือด
เมื่อยอมยุทธ์ใหญ่ผู้นั้นต้องเผชิญหน้ากับไอสังหารอันรุนแรงของหลัวซิว สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างมาก ไอสังหารที่น่ากลัวเช่นนี้ ไม่แน่ว่าคนผู้นี้อาจจะฆ่ายอมยุทธ์แดนพรสวรรค์มาแล้วนับไม่ถ้วน !
เพราะยิ่งฆ่ายอดฝีมือมามากเท่าไหร่ ไอสังหารที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างกายก็จะยิ่งน่ากลัวมากขึ้นเท่านั้น
หลัวซิวฆ่าคนมาไม่มาก แต่ในแดนนานาอสูร เข้าฆ่าอสุรกายแดนฝึกชี่ไห่และแดนพรสวรรค์ไปแล้วเกือบพัน ซึ่งนี่ทำให้ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยไอสังหารเลือด
“นักฆ่ามีนามว่า ซิวหลัว !”
หลัวซิวกวาดสายตาเย็นชาของเขาไปรอบ ๆ และพูดอย่างดุดันว่า : “บอกตระกูลเหลวว่าสักวัน ข้าจะเหยียบสำนักเหลยหวู่ให้จมดิน และตัดหัวของเหลยเว่ยหลงมาให้ได้ !”
เหยียบสำนักเหลยหวู่ให้จมดิน และตัดหัวของเหลยเว่ยหลงมาให้ได้ ?
คำพูดที่น่ากลัวเช่นนี้ถูกเอ่ยออกมาจากปากของเด็กหนุ่มอายุเพียงสิบสี่สิบห้าปีเท่านั้น ทำให้ผู้ฝึกตนจำนวนมากที่อยู่ที่นั่น ต่างก็รู้สึกว่า—ไร้สาระ !
นี่เรียกว่าหยิ่งยโสหรือจองหอง ?
เจ้าสำนักเหลยหวู่สูงส่งแค่ไหน ถือครองตำแหน่งราชายุทธ์ในเขตการปกครองโตว้ไห่ เด็กหนุ่มผู้นี้ช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเอาเสียเลย ถึงกล้าพูดจาเย่อหยิ่งเช่นนี้
ขณะที่หลัวซิวเอ่ยคำพูดเช่นนี้ออกมา แววตาของผู้ฝึกตนจำนวนมากต่างดูซับซ้อนขึ้น
เหลยเว่ยหลงมีอิทธิพลอย่างมากในเขตการปกครองโตว้ไห่ อีกทั้งยังเป็นผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งของเขตการปกครองโตว้ไห่ และเป็นราชายุทธ์อันดับหนึ่งอีกด้วย !
ส่วนในความคิดของคนส่วนใหญ่ คำพูดที่ชายหนุ่มชุดคลุมยาวดำผู้นี้พูดออกมา ถือว่าเป็นคำพูดที่น่ารังเกียจ และมีหลายต่อหลายคนที่คิดจะฆ่าเขา เพื่อเอาใจสำนักเหลยหวู่
เป็นแค่เด็กหนุ่มอายุเพียงสิบห้าปีเท่านั้น ถึงแม้จะมีความสามารถที่ไม่ธรรมดา แต่ก็ใช่ว่าจะเอาชนะจอยุทธ์ใหญ่ได้ ?
ยิ่งไปกว่านั้น ที่นี่ไม่ได้มีจอมยุทธ์ใหญ่เพียงแค่สองคนเท่านั้น แต่ยังมีผู้ฝึกตนที่อยู่ในระดับฝึกจิตครึ่งอีกหลายคน !
“ช่างสามหาวและหยิ่งผยองจริง ๆ ถึงแม้ลูกวัวแรกเกิดแต่กลับไม่เกรงกลัวเสือ ถือว่าช่างกล้าหาญอย่างน่าประหลาดใจ แต่อย่างไรเสียก็ถือว่ารนหาที่ตายอยู่ดี !”
จอมยุทธ์ใหญ่ที่ตั้งใจจะช่วยเหลยมู่เหยียนเอาไว้ในตอนต้น ส่งเสียงฟึดฟัดออกมาด้วยความโมโห เขายื่นมือไปหยิบหอกยาวออกมา “ข้า เวินชิวเซิง จะขอดูหน่อยซิว่าความสามารถของเจ้าแน่จริงอย่างเช่นคำพูดของเจ้าหรือไม่”
หลัวซิวหันมองเวินชิวเซิงด้วยสายตาเย็นชา “จะฆ่าข้าเพื่อเอาใจสำนักเหลยหวู่อย่างนั้นหรือ ? เจ้าช่างรนหาที่ตายจริง ๆ !”
เด็กหนุ่มอายุเพียงสิบกว่าปี แต่กลับไปเห็นจอมยุทธ์ใหญ่แดนพรสวรรค์ชั้น 9 อยู่ในสายตา !
ฝูงชนโดยรอบต่างจับจ้องไปที่หลัวซิวเป็นตาเดียวกัน พวกเขาคิดไม่ออกจริง ๆ ว่าเด็กหนุ่มคนนี้หยิ่งยโสและโง่เขลาหรือไม่รู้จักรักตัวกลัวตายกันแน่
เวินชิวเซิงไม่เพียงไม่โกรธ แต่กลับหัวเราะออกมา “ตัวข้าฝึกฝนวิชายุทธ์มากว่าสี่สิบปี แล้วจะมัวโกรธเด็กที่ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างเจ้าทำไมกัน ?”
จากที่คนอื่น ๆ ที่อยู่โดยรอบประเมินดูแล้ว ชายหนุ่มที่เรียกตนเองว่า “ซิวหลัว” ผู้นี้ น่าจะเป็นผู้ฝึกตนแดนพรสวรรค์ขั้น 6 เท่านั้น แต่อาศัยร่างยุทธ์ขั้นสูงในการฆ่าเหลยมู่เหยียนซึ่งอยู่ระดับแดนพรสวรรค์ขั้น 7 แต่หากเปรียบเทียบความสามารถกับจอมยุทธ์ใหญ่แล้ว ถือว่ายังห่างไกลกันมาก เรียกได้ว่าไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงจริง ๆ
“หนุ่มน้อย เจ้าอยากจะตายเช่นไรดีล่ะ ?” เวินชิวเซิงส่งสายตาขี้เล่นออกมา
“อยากฆ่าข้าเพื่อเอาใจสำนักเหลยหวู่ เจ้าจะต้องเสียใจ !” ท่าทีของหลัวซิวเย็นชาอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
ในขณะที่พูดนั้น หลัวซิวก็กวาดสายตามองคนอื่น ๆ ที่อยู่โดยรอบ “มีใครอยากฆ่าข้าเพื่อเอาใจสำนักเหลยหวู่อีกไหม ? จงออกมาพร้อมกันให้หมด วันนี้ข้าจะรับมือในคราวเดียว”
ทันทีที่ได้ยิน ทุกคนต่างตกตะลึง เด็กหนุ่มคนนี้เสียสติไปแล้วหรืออย่างไร ? เขายังกล้าหยิ่งยโสกว่านี้อีกไหม ?
เวินชิวเซิงที่ยืนอยู่ตรงข้ามก็ผงะไปเช่นกัน เด็กหนุ่มชุดคลุมยาวดำคนนี้เสียสติไปแล้วจริง ๆ ท่าทีของเขาแสดงออกชัดเจนว่าไม่เห็นจอมยุทธ์แดนพรสวรรค์เหล่านี้อยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย เขาคิดว่าตนเองเป็นใครกัน ? เป็นปรมาจารย์ยุทธ์ฝึกจิตผู้แข็งแกร่งอย่างนั้นหรือ ?
สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ปรมาจารย์ยุทธ์ฝึกจิตหลายคนที่กำลังสัมผัสรับรู้ห้วงดาบอยู่ที่เชิงเขาต่างขมวดคิ้วมองมา เป็นแค่จอมยุทธ์แดนพรสวรรค์ขั้น 6 ตัวเล็ก ๆ แต่กลับกล้าหยิ่งยโสเช่นนี้เชียวหรือ ?
จอมยุทธ์แดนพรสวรรค์จำนวนมากยืนล้อมรอบอยู่ โดยมีหลัวซิวยืนตระหง่านอยู่ตรงกลาง
ที่นี่ วันนี้ เขาจะใช้ชื่อ “ซิวหลัว” ประกาศให้โลกรับรู้ว่า เขาจะเหยียบสำนักเหลยหวู่ให้จมดิน และตัดหัวของเจ้าสำนัก เหลยเว่ยหลง มาให้ได้ !
“เจ้าเด็กจองหอง จงตายเสียเถอะ ไม่จำเป็นต้องอาศัยคนอื่นหรอก แค่ข้าคนเดียวก็สามารถฆ่าเจ้าได้แล้ว !”
ร่างกายของเวินชิวเซิงระเบิดพลังปราณแท้ไฟออกมา ทันทีที่ขยับหอก เปลวไฟก็เผาไหม้อยู่ในอากาศเป็นระลอกคลื่น
หอกพุ่งตรงไปอย่างรวดเร็วและรุนแรง คลื่นความร้อนพุ่งสูงขึ้น จอมยุทธ์ใหญ่อยู่ในท่าทีที่น่าเกรงขามอย่างยิ่ง ทำให้ผู้ฝึกตนอยู่ในระดับต่ำกว่าจอมยุทธ์ใหญ่จำนวนไม่น้อยที่อยู่โดยรอบ ต่างรู้สึกได้ถึงแรงกดดัน
ส่วนหลัวซิว ซึ่งอยู่ภายใต้แรงกดดันอันมหาศาลนี้ ดูราวกับว่าจะถูกเปลวไฟกลืนกินจนกลายเป็นเถ้าถ่านได้ทุกเมื่อ
ทว่าในตอนนี้เอง กลับมีไอสังหารเลือดแผ่ซ่านออกมา ราวกับกระบี่อันคมกริบ ทำลายพลังของจอมยุทธ์ใหญ่เวินชิวเซิงจนแตกสลายไปหมดสิ้น
ฝ่ามือข้างหนึ่งยื่นออกมา เกิดการรวมตัวของเปลวไฟดำ จากนั้นจึงยกมือขึ้นคว้าปลายหอกซึ่งแหลมคมที่สุด
“ร่างยุทธ์ชั้นสูง แดนร่างเนื้อ !”
สายตาของฝูงชนต่างจับจ้องไปที่เดียวกัน ถึงแม้หอกของเวินชิวเซิงจะเป็นของชั้นกลาง แต่หากอาศัยแรงผลักดันจากผลการฝึกตนของจอมยุทธ์ใหญ่ ต่อให้เป็นร่างยุทธ์ชั้นสูง ก็เพียงพอที่จะทำลายแนวป้องกันได้
ถึงแม้ร่างยุทธ์ชั้นสูงจะแข็งแกร่ง แต่เด็กหนุ่มซิวหลัวผู้นี้มีผลการฝึกตนที่ไม่สูง จึงไม่อาจดึงพลังออกมาใช้ได้มากนัก
บทที่ 156 เป็นศัตรูกับสำนักเหลยหวู่
บริเวณรอบนอกของเทือกเขากวนเหลย การต่อสู้ครั้งใหญ่ระหว่างผู้แข็งแกร่งระดับราชายุทธ์ กระจายไปทั่วทุกหนแห่งราวกับพายุใหญ่
ลูกแก้วโลหิตฝึกจิตทั้ง 17 ลูกถูกกลืนกินเข้าไปทั้งหมดเพื่อใช้ในการกลั่นแปร ในที่สุดร่างเนื้อของหลัวซิวก็พัฒนาไปถึงจุดสูงสุดของร่างยุทธ์ชั้นสูง อีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้นก็จะก้าวข้ามไปถึงร่างยุทธ์ขั้นสูงแล้ว หากสามารถฝึกร่างเนื้อถึงขั้นนี้ได้ อาศัยเพียงพลังของร่างเนื้อเพียงอย่างเดียว ก็จะก้าวเข้าสู่การฝึกจิตขั้นสุดท้ายของปรมาจารย์ยุทธ์ !
ตอนนี้ผลการฝึกตนของเขาอยู่ในแดนพรสวรรค์ขั้น 6 เรียบร้อยแล้ว อาศัยเพียงแค่ร่างยุทธ์ชั้นสูงก็สามารถต่อสู้กับผู้ฝึกจิตขั้นปฐมภูมิได้ ยิ่งหากได้รับยาระเบิดเทพจิต พลังแปรเสวียนเทียน และวงล้อชีวิตแห่งเหล่าทวยเทพ ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับผู้ฝึกจิตขั้น 4 ก็ยังสามารถปกกันตนเองได้
สำหรับจอมยุทธ์ในแดนพรสวรรค์ขั้น 6 ความแข็งแกร่งเช่นนี้ถือว่าไม่ธรรมดา แต่หลัวซิวยังรู้สึกไม่พึงพอใจ เขาต้องการพลังที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น !
หลัวซิวยังไม่ออกจากเทือกเขากวนเหลย แต่เขากลับเดินทางต่อไปยังสถานที่ที่อยู่ใจกลางเทือกเขาแห่งนี้ซึ่งก็คือ วัดกวนเหลย !
บริเวณโดยรอบของวัดกวนเหลย จะมีจอมยุทธ์จำนวนมากมารวมตัวกันอยู่ในทุก ๆ วัน แต่ละคนล้วนแล้วแต่อยู่ในแดนพรสวรรค์ขึ้นไป พวกเขาอาศัยห้วงดาบที่แพร่กระจายอยู่โดยรอบสถานที่แห่งนี้ในการฝึกฝนวิชายุทธ์ของตนเอง
ทันทีที่ก้าวเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ ห้วงดาบที่รุนแรงก็พุ่งตรงเข้าใส่ทันที หากไม่สามารถต้านทานแรงกดดันจากห้วงดาบได้ การฝึกตนก็จะพังทลายลงและตายในทันที
แต่โดยปกติแล้วผู้ที่ฝึกตนถึงแดนพรสวรรค์ ล้วนมีจิตใจที่แน่วแน่มั่นคง หากอาศัยแรงกดดันจากห้วงดาบในการฝึกตน ก็จะสามารถทะลวงขีดจำกัดของร่างกายตนเองได้ และสัมผัสแดนที่สูงขึ้นผ่านห้วงดาบได้
ที่นี่ถือเป็นสถานที่อันล้ำค่าในการบรรลุวิชายุทธ์ แต่ก็เต็มไปด้วยอันตรายเช่นเดียวกัน ถ้าหากก้าวเข้าไปในส่วนที่อยู่ลึกขึ้นโดยปราศจากพลังที่มากพอ ก็จะต้องพบกับห้วงดาบที่มีความรุนแรงและน่ากลัวมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะสามารถฉีกผู้ฝึกตนจนแหลกออกเป็นชิ้น ๆ ได้
โดยปกติแล้ว จอมยุทธ์ในแดนพรสวรรค์สามารถหยุดอยู่เพียงแค่รอบนอกสุดเท่านั้น มีเพียงปรมาจารย์ยุทธ์ฝึกจิตเท่านั้นที่สามารถเดินไปถึงเชิงเขาได้ และราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่งสามารถบรรลุห้วงดาบที่บริเวณไหล่เขาได้
ส่วนวัดกวนเหล่ยที่อยู่บนยอดเขา ได้ยินมาว่ามีเพียงจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งรวมไปถึงราชายุทธ์ที่ทรงพลังเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถเข้าไปได้
หลัวซิวไม่ได้อยู่ตรงบริเวณรอบนอกนานนัก เขามุ่งหน้าไปยังเชิงเขาที่มีวัดกวนเหลยตั้งอยู่บนยอดเขาทันที
เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวของหลัวซิว ผู้ฝึกตนที่บรรลุห้วงดาบอยู่บริเวณรอบนอกจำนวนไม่น้อยต่างแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาทันที บ้างก็ดูถูก บ้างก็เย้ยหยัน บ้างก็รู้สึกมีความสุขเมื่อเห็นความทุกข์ของผู้อื่น
“ผู้มาเยือนจงหยุดเดี๋ยวนี้ ท่านชายของข้ากำลังบรรลุห้วงดาบอยู่ที่นี่ ห้ามรบกวนเด็ดขาด !”
ผู้ฝึกตนจำนวนเจ็ดถึงแปดคนเข้ามาขวางทางเอาไว้ หนึ่งในนั้นตะโกนด้วยน้ำเสียงดุดันใส่หลัวซิวที่กำลังเดินใกล้เข้ามา
คนเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นจอมยุทธ์ที่มีผลการฝึกตนอยู่ในแดนพรสวรรค์ ด้านหลังของพวกเขา มีชายหนุ่มแต่งกายด้วยชุดสีน้ำเงินกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ และมีลำแสงสีฟ้าจาง ๆ เปล่งประกายออกมารอบตัวเขา แสดงให้เห็นว่าเป็นการฝึกตนโดยใช้ปราณแท้Attrสายฟ้า
และในเขตการปกครองโตว้ไห่ มีเพียงสำนักเหลยหวู่เท่านั้น ที่ฝึกตนโดยใช้ปราณแท้Attrสายฟ้า
หลัวซิวหรี่ตาลงเล็กน้อย เขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงภาพของเจ้าสำนักเหลยหวู่ เหลยเว่ยหลง ถูกล้อมรอบไปด้วยโค้งสายฟ้า และโจมตีเหยียนเยว่เอ๋อร์จนได้รับบาดเจ็บเมื่อคืนนี้
จากนั้นก็มีไอสังหารอย่างรุนแรงปรากฏขึ้นมาในดวงตาของเขา
ถ้าหากเป็นจอมยุทธ์คนอื่น คงเลือกที่จะเดินอ้อมไป โดยไม่คิดที่จะล่วงเกินคนของสำนักเหลยหวู่ แต่หลัวซิวกลับไม่สนใจคำขู่ของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย และยังคงเดินมุ่งหน้าต่อไป
“บังอาจ !”
ด้านหน้า มีจอมยุทธ์แดนพรสวรรค์ขั้น 7 สีหน้าดุดันยืนอยู่ เขาดึงดาบออกจากเอวพร้อมตะโกนเสียงดัง “ถ้าหากเจ้ากล้าก้าวเข้ามาอีก ก็อย่าโทษที่ข้าต้องลงมือ”
หากเป็นปรมาจารย์ยุทธ์ฝึกจิต พวกเขาคงไม่กล้าเข้ามาขวางอย่างแน่นอน แต่นี่เป็นแค่จอมยุทธ์แดนพรสวรรค์ขั้น 6 กลับบังอาจถึงเพียงนี้เชียวหรือ ?
“หลีกไป !”
หลัวซิวขยับตัวและใช้เงาเศษเก้าสาย เพียงชั่วพริบตาเดียวก็ไปปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าจอมยุทธ์แดนพรสวรรค์ขั้น 7 ที่กำลังพูดอยู่ และใช้นิ้วจิ้มเข้าไป
จอมยุทธ์แดนพรสวรรค์ขั้น 7 ผู้นี้รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก ถึงแม้จะดูเหมือนเป็นนิ้วที่ธรรมดา แต่กลับรู้สึกว่าไม่อาจต้านทานได้
ทว่าเขาก็ตะโกนออกมาด้วยความโกรธทันที จากนั้นจึงยกดาบและฟันลงไปบนนิ้วของคู่ต่อสู้
หลัวซิวมีสีหน้าเรียบเฉย ส่วนจอมยุทธ์แดนพรสวรรค์ผู้นี้ รวมไปถึงพรรคพวกของเขาที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ต่างหัวเราะเยาะออกมาไม่หยุด หากชายหนุ่มคนนี้ไม่ยอมหดมือของเขา นิ้วของเขาจะต้องถูกฟันจนขาดอย่างแน่นอน
“เช้ง !”
นิ้วมือและดาบกระทบกัน แต่กลับไม่ปรากฏภาพที่เลือดสีแดงสดสาดกระเซ็นออกมา แต่กลับปรากฏเป็นเสียงของโลหะกระทบกันจนเกิดประกายไฟออกมา
เกิดเสียงดังกรอบ ดาบชั้นกลางแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ จอมยุทธ์แดนพรสวรรค์ขั้น 7 ผู้นั้นกระอักเลือดออกมา และมีสีหน้าหวาดกลัว
ฉากนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ผู้ฝึกตนหลายคนที่ได้เห็นกับตาตนเองต่างก็ตกตะลึง
การฝึกวิชากลั่นร่าง ร่างยุทธ์ชั้นสูง !
การทำลายดาบชั้นกลางให้แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ด้วยนิ้วเพียงนิ้วเดียว มีเพียงผู้ฝึกตนในร่างยุทธ์ชั้นสูงเท่านั้นที่จะสามารถทำได้ อาศัยร่างยุทธ์ขั้นสูง หรืออาศัยเพียงแค่พลังของร่างเนื้อก็สามารถก้าวเข้าสู่การเป็นปรมาจารย์ยุทธ์ฝึกจิตได้แล้ว
จอมยุทธ์ทั้งเจ็ดแปดคนนี้ ใช้ฐานะของศิษย์สำนักเหลยหวู่ ขวางทางผู้ฝึกตนคนอื่น ๆ อยู่ที่นี่ ถือเป็นการกระทำที่หยิ่งผยองยิ่งนัก
แต่ตอนนี้ กลับมีคนที่ไม่กลัวคำขู่ของสำนักเหลยหวู่เลยแม้แต่น้อย และลงมือทำร้ายคนโดยไร้ความปรานี
ที่นี่เป็นเขตรอบนอกของวัดกวนเหลย จอมยุทธ์แดนพรสวรรค์จำนวนมากต่างหันมองมา จากนั้นบรรยากาศก็เงียบสงัดลงทันที
“กล้าแตะต้องคนของสำนักเหลยหวู่เรา เจ้าอยากรนหาที่ตายหรือ ?” จอมยุทธ์แดนพรสวรรค์คนอื่น ๆ ที่ยืนอยู่ด้านข้างตั้งสติขึ้นมาได้ พวกเขาต่างจ้องหลัวซิวตาเขม็ง และตะโกนออกมาด้วยสีหน้าดุร้าย
“คนของสำนักเหลยหวู่แล้วยังไง ?” หลัวซิวเหลือบตามองอย่างไม่แยแส “คนที่ลงมือคือคนในสำนักเหลยหวู่ของเจ้า !”
ชายหนุ่มชุดสีน้ำเงินที่กำลังนั่งขัดสมาธิสัมผัสรับรู้ห้วงดาบอยู่ไม่ไกลลืมตาขึ้น เขาขมวดคิ้วแล้วหันมองมาทางด้านนี้ “ใครกล้ารบกวนข้า จงฆ่ามันซะ !”
ชายหนุ่มชุดสีน้ำเงินมีท่าทีเย่อหยิ่ง เพียงเพราะมีคนรบกวนการสัมผัสรับรู้ห้วงดาบของตนเอง จึงเอ่ยปากสั่งฆ่า
หลังจากที่เขาออกคำสั่ง จอมยุทธ์แดนพรสวรรค์เหล่านั้นก็ชักดาบขึ้นมาด้วยสีหน้าของฆาตกร และพุ่งเข้าโจมตีหลัวซิว
ตอนนี้เอง ไม่มีใครสนใจเรื่องการต่อสู้อย่างยุติธรรม ฉากที่ทำลายดาบชั้นกลางด้วยนิ้วเพียงนิ้วเดียวเมื่อครู่ ทำให้รู้ได้ในทันทีว่าคนผู้นี้นั้นไม่ธรรมดา จึงต้องร่วมมือกันฆ่าจึงจะสำเร็จ
หลัวซิวแสยะยิ้มออกมาและแสดงท่าทีดูถูก คนพวกนี้ก็เป็นแค่พวกหัวมังกุท้ายมังกรเท่านั้น ไม่มีค่าพอที่จะให้เขาชักดาบออกมาเสียด้วยซ้ำ !
“วิชาเงาเศษสิบช่อง !”
หลัวซิวใช้วิชาท่าร่าง การเคลื่อนไหวของเขารวดเร็วราวกับแสง เงาเศษเก้าสายทำให้ยากที่จะแยกแยะร่างจริงออกได้
“ตุบ !”
เขาใช้เท้าเตะไปที่หน้าอกของจอมยุทธ์แดนพรสวรรค์ผู้หนึ่ง เพลิงมรณะทำลายลายเส้นชีวิต หน้าอกของอีกฝ่ายแยกออกเป็นเสี่ยง และมีเลือดสาดกระเซ็นออกมา
จากนั้น หลัวซิวก็ยกมือขึ้นโบก ปราณกระบี่เปลวไฟดำกวาดไปโดยรอบ จอมยุทธ์แดนพรสวรรค์เหล่านั้นทั้งหมดกระอักเลือดและลอยกระเด็นออกไปทันที
ตัวคนเดียว แต่ดูราวกับเสือที่เข้ามาในฝูงแกะ สามารถเอาชนะจอมยุทธ์แดนพรสวรรค์ชั้น 7 ระดับยอดฝีมือจำนวนเจ็ดแปดคนได้อย่างง่ายดาย !
เมื่อชายหนุ่มชุดสีน้ำเงินเห็นฉากนี้ เขาก็ตกตะลึงจนตาค้างทันที
หลังจากเหลือบมองบรรดาลูกสมุนที่ล้มระเนระนาดอยู่บนพื้น ชายหนุ่มชุดสีน้ำเงินก็ยังคงนั่งขัดสมาธิต่อไป และพูดออกมาอย่างเฉยชาว่า : “คิดว่าตนเองนั้นมีฝีมือที่ไม่ธรรมดา จึงไม่เห็นสำนักเหลยหวู่ของข้าอยู่ในสายตาอย่างนั้นหรือ ?”
“แล้วยังไง ?” หลัวซิวยังคงตอบกลับเช่นนี้
เมื่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังดูถูกเหยียดหยามตนเอง ชายหนุ่มชุดสีน้ำเงินก็แสดงความโกรธออกมา : “เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าแซ่เหลย ?”
แซ่เหลย เป็นทายาทสายตรงใจกลางสำนักเหลยหวู่ อีกทั้งเจ้าสำนักในอดีต ล้วนมีแซ่เหลยทั้งสิ้น !
ในเขตการปกครองโตว้ไห่ ไม่มีใครกล้าล่วงเกินศิษย์ของตระกูลเหลย เพราะตระกูลเหลยเป็นผู้ดูแลสำนักเหลยหวู่
ขณะที่ชายหนุ่มชุดสีน้ำเงินเอ่ยปากออกมาว่าตนเองนั้นแซ่เหลย จอมยุทธ์แดนพรสวรรค์จำนวนมากที่ยืนอยู่โดยรอบต่างแสดงสีหน้าหวาดกลัวออกมาทันที เพราะต่างรู้กันดีว่าตระกูลเหลยมีอิทธิพลที่กว้างขวางในเขตการปกครองโตว้ไห่
ในขณะที่ชายหนุ่มแซ่เหลยกำลังคิดว่า การที่เขาพูดภูมิหลังของตนเองออกมา อีกฝ่ายจะต้องหวาดกลัวอย่างแน่นอน แต่ทว่าหลัวซิวกลับหัวเราะออกมาทันที
“คนของตระกูลเหลย ? ดีมาก ถ้าอย่างนั้นจะฆ่าเจ้าเสียก่อน ถือว่าเป็นการคิดดอกเบี้ยเล็กน้อย !”
หลัวซิวเผยไอสังหารออกมาอย่างเปิดเผย และเดินตรงเข้าไปหาชายหนุ่มในชุดสีน้ำเงิน
########################
บทที่ 155 จักรพรรดิ์ยุทธ์เทียนเฟิ่ง
ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว หลัวซิวพบหลุมต้นไม้ที่ซ่อนอยู่ในบริเวณใกล้เคียง
ที่นี่คือรอบนอกของเทือกเขากวนเหลย อสูรกายที่คอยรบกวนอยู่นั้น พลังที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือระดับพรสวรรค์
แต่เขาก็ไม่ได้สนใจ หยิบเอาผังค่ายคุ้มกันระดับห้าและชิ้นส่วนหินพลังจิตระดับกลาง เพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด
ในโพลงต้นไม้ หลัวซิวนั่งขัดสมาธิ นำเอาหินพลังจิตระดับกลางนับร้อยชิ้นออกมา เริ่มใช้ค่ายผนึกปราณ
การกลั่นร่าง ไม่เพียงแต่ต้องผนึกรวมเลือดปราณชุบร่างเนื้อ ยังต้องมีพลังฟ้าดินจิตมากพอเพื่อมาบำรุงร่างกาย
หยิบเอาลูกแก้วโลหิตระดับฝึกจิตออกมาจากแหวนเก็บของ ตลอดสามวันมานี้มีลูกแก้วโลหิตระดับฝึกจิตเหลืออยู่สิบเจ็ดลูก หลัวซิวกลืนลงไปแล้วสี่ลูก และวันนี้คือลูกที่ห้า
ครึ่งชั่วโมงต่อมา กลั่นแปรลูกแก้วโลหิตระดับฝึกจิตลูกที่ห้า ลมหายใจอสูรกายเข้าผสมวูบวาบอยู่ในร่างกาย แต่ด้วยการกัดเซาะของพลังปราณเป็นตายสองระดับก็สลายไปอย่างรวดเร็ว
“ปัง!”
และในเวลานี้เอง เสียงดังสนั่นดังออกมายอดของเทือกเขากวนเหลย รวมเข้ากับผสมกับความปั่นป่วนและความผันผวนของพลังจิต
วินาทีนั้น ไม่ว่าจะเป็นอสูรกายที่หลบซ่อนอยู่ในป่า หรือจะเป็นพรานที่ซ่อนตัวอยู่ในป่าชั่วข้ามคืน พวกเขาต่างมองขึ้นไปในอากาศด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
ท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มืดมิด สามร่างปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า สองคนอยู่ข้างหนึ่ง คนหนึ่งอยู่อีกคนหนึ่ง เผชิญหน้ากันอย่างสง่างาม
ฝั่งที่ยืนอยู่คนเดียวนั้น คือผู้หญิงคนหนึ่ง สวมชุดนักยุทธ์รัดตัว สีดำ ร่างกายที่บอบบางมีส่วนเว้าส่วนโครง รอบตัวมีเปลวเพลิงหมุนวนล้อมรอบตัว ผมหางม้าสีแดงเพลิงปลิวไสวอยู่ด้านหลัง
อีกฝากหนึ่งคือผู้ชายสองคน คนหนึ่งหุ่นกำยำถือดาบ รอบตัวมีสายฟ้าเส้นเล็ก ๆ วนรอมรอบเป็นสาย
อีกคนใบหน้ามีเคราขาว สวมชุดนักปราชญ์สีขาว ล้อมรอบด้วยธงขนาดเท่าฝ่ามือเก้าผืน
หลัวซิวออกมาจากต้นไม้ เมื่อเขาเห็นมองเห็นผู้หญิงคนนั้นเพียงแวบแรก ดวงตาของเขาก็แข็งค้างในทันที
เหยียนเยว่เอ๋อร์!
ชายสองคนที่อยู่ตรงข้ามกับนางด้วยรัศมีอันรุ่งโรจน์และตระหง่านของพวกเขา ความน่าประทับใจอย่างผู้แข็งแกร่งระดับราชายุทธ์!
“เหลยเว่ยหลง กงซุนเชียนจี แค่เจ้าเพียงสองคน ก็กล้าหยุดข้าอย่างนั้นหรือ” เหยียนเยว่เอ๋อร์ตะโกนอย่างเย็นชา ด้วยใบหน้าที่เย็นยะเยือก
“พวกข้าเพียงทำตามคำสั่ง คงต้องล้ำเส้นแม่นางแล้ว” เหลยเว่ยหลงพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
“เมื่อครึ่งเดือนก่อน สามผู้อาวุโสสูงสุดแห่งตระกูลเหยียนได้บัญชาให้ตรวจสอบเทือกเขากวนเหลยค้นหาร่องลอยของเจ้า จักรพรรดิ์ยุทธ์เทียนเฟิ่งยอมสยบเสียดีกว่า ไม่เช่นนั้นข้าเกรงว่าจะทำเจ้าบาดเจ็บ” กงซุนเชียนจีพูดพลางยิ้มบาง ๆ
“หากจักรพรรดิยุทธ์เทียนเฟิ่งไม่มีแผลแห่งเทพจิต ข้าคงไม่อาจหาญขวางทาง แต่ผลการฝึกตนของเจ้าในตอนนี้ลดลงเหลือเพียงแดนฝึกจิต เจ้าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่คู่ควรสำหรับข้าทั้งสอง”
“หากผลการฝึกตนของข้าฟื้นฟู จะต้องทำลายสำนักเหลยหวู่และตระกูลกงซุนให้หมดสิ้น!” ในดวงตาคู่สวย ของเหยียนเยว่เอ๋อร์ มีจิตสังหารพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
“เจ้าหักหลังตระกูลเหยียนอย่างไรก็ต้องถูกโทษประหาร เจ้าจะรอดหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะเจ้าไม่เต็มใจที่จะถูกจับไปดี ๆ ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องล่วงเกิน! ”
กงซุนเชียนจีส่งเสียงฮึอย่างเย็นชา สะบัดปลายนิ้วขึ้น ธงขนาดเท่าฝ่ามือเก้าผืนรอบร่างลอยออกไป กลายเป็นค่ายกลลอยอยู่กลางอากาศ “เหลยเว่ยหลง ไม่ลงมือรึ?” เขาทักท้วงด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
เหลยเว่ยหลงเคลื่อนตัวอย่างว่องไว เข้าไปสู่กลางค่ายกล ดาบในมือของเขามีพลังทำลายล้างทุกสิ่ง สายฟ้าดั่งธนูทั้งสี่ทิศ พุ่งไปทางเหยียนเยว่เอ๋อร์
เมื่อเห็นฉากตรงหน้า ในใจหลัวซิวร้อนเป็นไฟ แต่ผลการฝึกตนของเขาต่ำเกินไป ไม่สามารถลอยขึ้นไปได้ ทำได้แค่มองเหยียนเยว่เอ๋อร์ถูกราชายุทธ์ทั้งสองล้อมโจมตีต่อหน้าต่อตา แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้
เหลยเว่ยหลงเป็นถึงเจ้าสำนักสำนักเหลยหวู่ ส่วนกงซุนเชียนจีเป็นผู้นำตะกูลกงซุน และเป็นปรมาจารย์ค่ายกลระดับห้า!
วิชาค่ายกล หากสามารถฝึกถึงระดับห้า ด้วยการสำนึกที่เป็นผลการฝึกตนของราชายุทธ์ สามารถควบคุมธงให้ก่อตัวเป็นค่ายกลเพื่อสังหารศัตรู ความแข็งแกร่งนั้น แข็งแกร่งกว่าราชายุทธ์ระดับเดียวกันอย่างมาก
ทั้งเหลยเว่ยหลงและกงซุนเชียนจี พลังของทั้งสองไม่ได้ด้วยไปกว่าราชายุทธ์ผู้กล้าแกร่งของเหวินเซวียนหง
ผู้แข็งแกร่งระดับราชายุทธ์ทั้งสองลงมือ การขู่บังคับที่ยิ่งใหญ่ได้กวาดล้างเทือกเขากวนเหลย เหล่าอสูรกาย จอมยุทธ์เผ่าพันธุ์มนุษย์ ต่างก็ทั้งหวาดกลัวและวิตกกังวล
“ปัง!”
ร่างหนึ่งตกลงมาจากฟากฟ้าเหมือนดาวตก เปลวเพลิงที่แผดเผาอยู่รอบตัวนั้น ทำให้หลัวซิวรู้ได้ในทันทีว่าเป็นเหยียนเยว่เอ๋อร์
แม้ว่าจะเป็นจักพรรดิยุทธ์ แต่เพราะแผลแห่งเทพจิต ผลการฝึกตนตกลงมาถึงชั้นฝึกจิต เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีของราชายุทธ์ทั้งสองในที่สุดก็พ่ายแพ้
หลัวซิวใจสั่นระรัว เมื่อวิชาท่าร่างเงาเศษสิบช่องกำลังถึงขีดสุด พุ่งไปทางตำแหน่งที่เหยียนเยว่เอ๋อร์ตกลงมา
กงซุนเชียนจีใช้การสำนึกควบคุมค่ายกล สร้างค่ายยากเย็น กักกั้นพื้นที่ เพื่อหยุดไม่ให้เหยียนเยว่เอ๋อร์หนีไป
เหลยเว่ยหลงตกลงมาจากกลางอากาศ บนดาบมีร่องรอยของเลือด เขาเป็นคนที่อยู่ในการต่อสู้และโจมตีจักรพรรดิยุทธ์เทียนเฟิ่ง เหยียนเยว่เอ๋อร์จนบาดเจ็บ!
จักรพรรดิยุทธ์เทียนเฟิ่ง คือฉายานามของเหยียนเยว่เอ๋อร์ สิบผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์แห่งประเทศเทียนหวู แต่ละท่านต่างก็มีฉายานามเป็นของตนเอง
“ปัง!”
ทันใดนั้น เปลวเพลิงอันน่าเกรงขามก็ลุกโชนขึ้นในภูเขาและป่าไม้
ภาพฟีนิกซ์ขนาดมหึมาปรากฏขึ้นกลางอากาศ ร่างของเหยียนเยว่เอ๋อร์ค่อย ๆ ลอยขึ้นช้า ๆ พร้อมกบบรรยากาศเย็นยะเยือกน่าสะพรึงกลัวโอบล้อมตัวนางไว้
ที่ปากของเธอมีเลือดออก มีเลือดออกเป็นแผลที่บริเวณเอว
“เหลยเว่ยหลง กงซุนเชียนจี พวกเจ้าจงจำไว้ พวกเจ้าจะต้องเสียใจ!”
น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยแรงอาฆาตของเหยียนเยว่เอ๋อร์ มือเรียวคู่หนึ่งชูขึ้น ภาพฟีนิกซ์ส่งเสียงคำรามและกระพือปีก
ทันใดนั้น เปลวเพลิงก็เต็มท้องฟ้า และเปลวเพลิงอันโชติช่วง ทำให้ผู้คนไม่สามารถมองได้โดยตรง
“แย่แล้ว นางหนีไปได้แล้ว!”
“นางใช้พลังขนาดนี้ แผลแห่งเทพจิตที่กดไว้ต้องกำเริบอีกแน่ ตามนางไป!”
เปลวเพลิงค่อย ๆ ดับไป เหลยเว่ยหลงและกงซุนเชียนจีต่างเปื้อนไปด้วยขี้เถ้า เสื้อผ้าของเพวกขาไหม้เกรียม ทันใดนั้นก็บินขึ้นไปบนท้องฟ้าและไล่ตามไปยังทิศทางที่เหยียนเยว่เอ๋อร์หนีไป
เมื่อหลัวซิวมาถึงก็เห็นเพียงภูเขาและป่าไม้ ที่เต็มไปด้วยร่องรอยสีดำไหม้เกรียมอยู่ทุกหนทุกแห่ง
“สำนักเหลยหวู่ ตระกูลกงซุน!”
แววตาของหลัวซิวเต็มไปด้วยแรงอาฆาต เขากำหมัดแน่น จำชื่อของเหลยเว่ยหลงและกงซุนเชียนจีอย่างขึ้นใจ
ความรู้สึกที่ไม่สามารถปกป้องผู้หญิงของตัวเองได้ ทำให้หลัวซิวแทบทนไม่ไหว เขาต้องการพละกำลังและความแข็งแกร่งอย่างเร่งด่วน!
ข้าต้องการที่จะแข็งแกร่งขึ้น… !
ถ้าหากไม่มีลูกแก้วความเป็นตาย บางทีในชีวิตปกติของเขา คงจะไม่ได้สัมผัสกับความคับแค้นใจและความเกลียดชังมากมายระหว่างโลกยุทธ์
หรืออาจจะได้อาศัยอยู่ที่ชุมชนหมู่บ้านผานฉือ เลี้ยงลูกเลี้ยงหลาน
ในโลกนี้ มีความเป็นไปได้มากเกินไป และมีทางเลือกอีกมากมาย แต่การหลอมรวมของลูกแก้วความเป็นตาย ชะตากรรมของหลัวซิวก็เป็นไปไม่ได้ที่จะมีทางเลือก
เพราะเขาเลือกเส้นทางของจอมยุทธ์ เขาจึงถูกกำหนดให้ต้องฆ่าในทุกหนทาง ไม่ว่าจะเดินบนกระดูก หรือถูกเหยียบหัวและทำลายล้างโดยผู้อื่น
เมื่อก่อน ผลการฝึกตนของจางหลู่เหลียงแห่งจอมยุทธ์แดนพรสวรรค์ขั้นเก้า มันทำให้เขารู้สึกวิกฤตและฝึกตนอย่างสิ้นหวัง
ทุกวันนี้ เขาฆ่าเหล่าพรสวรรค์ขั้นเก้าเหมือนฆ่ามด ถึงอย่างนั้นผลการฝึกตนของราชายุทธ์โกวหงยี่ ก็ถูกฆ่าตายด้วยการตั้งค่าหัวราคาสูง ซึ่งก็คือกระบี่ยุทธ์ระดับชั้นล่างสิบด้าม!
แต่กลับไม่เคยมีช่วงเวลาใดที่เหมือนวินาทีนี้ เขารู้สึกถึงความอ่อนแอและต่ำต้อยของตัวเอง
และไม่ใช่ศัตรูทุกคนที่สามารถผ่านการตั้งค่าหัวเพื่อฆ่าขององค์กรนักล่ายุทธ์ อย่างเช่นเหลยเว่ยหลงและกงซุนเชียนจี ราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่งเช่นนี้ ไกลเกินกว่าจะเทียบกับโกวหงยี่ หลัวซิวยังไม่สามารถแม้แต่จะได้หาสิ่งตอบแทนที่เหมาะสมสำหรับราคาค่าหัว
บทที่ 154 พบกันอีกครั้งเมื่อพรหมลิขิต
เมื่อสวมเสื้อผ้าเสร็จ เหยียนเยว่เอ๋อร์พูดออกมาเบา ๆ “พวกเราควรไปได้แล้ว”
เดิมทีที่นางมาที่แดนนานาอสูรก็เพื่อหญ้าวิญญาณ และตอนนี้แผลแห่งเทพจิตของนางนั้นก็ดีขึ้นมาประมาณสามในสิบส่วนแล้ว พลังยาของหญ้าวิญญาณก็ได้เพียงเท่านี้ ต่อให้อยู่ที่นี่ต่อไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา
ถึงแม้แผลแห่งเทพจิตจะดีขึ้นมาเพียงสามส่วน ส่วนผลการฝึกตนของนางก็ฟื้นฟูระดับที่บรรลุถึงฝึกจิตขึ้นเก้าแล้ว เพียงแค่ไม่เจอผู้แข็งแกร่งระดับที่บรรลุถึงราชายุทธ์ ก็ไม่น่าจะเป็นอันตรายอะไร
พลังจากผลการฝึกตนนั้นหากต้องการฟื้นฟูจนสมบูรณ์ ต้องการยาระดับหกยาวิญญาณหยินหยางถึงจะใช้ได้
หลัวซิวก็ช่วยไม่ได้ พลังของเขายังอ่อนแอเกินไป เมื่อเทียบกับเหยียนเยว่เอ๋อร์ยังมีช่องว่างที่ไม่สามารถผ่านไปได้
ถ้าหากผู้ชายคนหนึ่ง อ่อนแอกว่าผู้หญิงของเขา ในโลกที่ผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์เป็นที่เคารพนั้น จะไปมีอนาคตได้อย่างไร?
ถ้าหากตนไม่มีพลังระดับจักพรรดิยุทธ์ เกรงว่าเมื่อออกจากแดนนานาอสูรไปแล้ว ทั้งสองจะไม่มีวันได้พบกันอีก
การไปจากแดนนานาอสูร จำเป็นต้องใช้ค่ายวาร์ปบนแท่นบูชาเก่าแก่ กลับจากพื้นที่ที่สามไปยังพื้นที่ที่สองแล้วกลับไปที่พื้นที่แรก จากนั้นจึงสามารถออกไปได้
ค่ายวาร์ปบนแท่นบูชาในพื้นที่ที่สามนั้น จำเป็นต้องใช้ผลการฝึกตนเป็นแรงกระตุ้น เวลานี้เหยียนเยว่เอ๋อร์ฟื้นฟูผลการฝึกตนแดนฝึกจิตได้พอดี ไม่จำเป็นต้องบูชาด้วยโลหิต
ตลอดทั้งทางมานี้ เหยียนเยว่เอ๋อร์ใช้พลังอัสนี บุกเข้าไปในแดนที่เหล่าอสูรกายระดับฝึกจิตยึดครองอยู่ ตามล่าลูกแก้วโลหิตระดับฝึกจิตได้ทั้งหมด16ลูก
นางเอาลูกแก้วโลหิตเหล่านี้ยื่นให้หลัวซิว พลางกล่าวว่า “ลูกแก้วโลหิตสามารถกลั่นร่างได้ แต่กลับทำให้เส้นเลือดของจอมยุทธ์เผ่าพันธุ์มนุษย์นั้นไม่บริสุทธิ์ จะส่งผลกระทบต่อการเข้าแดนต่าง ๆในภายหน้า ทางที่ดีอย่าใช้เยอะเกินไป”
เหยียนเยว่เอ๋อร์ไม่รู้ว่า ภายใต้ผลกระทบของลูกแก้วความเป็นตายนั้น หลัวซิวถือได้ว่าเป็นกรณีพิเศษของความเป็นตายสองระดับ พลังลูกแก้วโลหิตของอสูรกายจะส่งผลกระทบต่อจอมยุทธ์ทั่วไป แต่สำหรับเขาที่มีร่างกายเป็นตายสองระดับจะไม่มีผลกระทบใดใด
อาจเป็นเพราะความสัมพันธ์พิเศษระหว่างคนทั้งสอง ดังนั้นใจของหลัวซิวในเวลานี้ จึงเกิดความรู้สึกผิดต่อเหยียนเยว่เอ๋อร์
เป็นเพราะเขาอ่อนแอเกินไป ถึงแม้ว่าจะใช้ยาระเบิดเทพจิตก็ยังไม่สามารถต้านทานมังกรเจียวเขาเดียวเกล็ดม่วงได้ เพราะถ้าหากเหยียนเยว่เอ๋อร์ไม่เข้ามาช่วยเขา ก็คงจะไม่หมดสติไปอีกครั้ง และอาจจะไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นในภายหลัง
จากพื้นที่ที่สาม ไปยังพื้นที่ที่สอง ถึงพื้นที่แรก …
ตลอดจนออกจากแดนนานาอสูร และได้เจอกับเทือกเขากวนเหลยอีกครั้งนั้น ระหว่างหลัวซิวกับเหยียนเยว่เอ๋อร์ต่างก็เงียบใส่กันมาตลอดทาง
“ข้าไปล่ะ”
หลังจากออกมาจากแดนนานาอสูร เหยียนเยว่เอ๋อร์ยืนอยู่ข้างกายหลัวซิว นัยน์ตาคู่งามนั้นแสดงออกถึงบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้
สามร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว แสวงหาการแก้แค้นอย่างสุดใจ เวลาผ่านไปหลายปี ไม่คาดคิดว่าจะเกิดเรื่องเหลวไหลกับเด็กหนุ่มเช่นนี้
หลัวซิวแววตาสั่นไหว เขาอยากรั้งนางไว้ แต่ก็ไม่มีเหตุผลที่จะรั้งนางไว้
นางมีความแค้นฝีงลึกดั่งมหาสมุทร ต่อให้นางไม่ได้พูดออกมา หลัวซิวก็สามารถรู้สึกได้แต่พลังของเขานั้นอ่อนแอเกินไป ไม่สามารถช่วยอะไรนางได้เลย
“เราจะได้พบกันอีกหรือไม่” หลัวซิวเอ่ยปากถาม
“อาจได้เจอ หากวันใดที่เจ้าสามารถไปถึงแดนจักพรรดิยุทธ์ได้ หรืออาจจะไม่”
ระหว่างที่พูด เหยียนเยว่เอ๋อร์ได้หยิบหยกอสูรจันทราคู่และภาพปริศนาออกมาจากแหวนเก็บของ ส่งให้หลัวซิวพลางกล่าว “หินพลังจิต ข้ายังไม่ให้เจ้าแล้วกัน ทิ้งไว้กับข้าจะได้ใช้ประโยชน์
สำหรับหยกอสูรจันทราคู่และภาพปริศนา หลัวซิวไม่ได้ปฏิเสธ เพราะการล่าอสูรกายในแดนนานาอสูรได้รับลูกแก้วโลหิตนั้น สำหรับจอมยุทธ์ทั่วไปนั้นไม่ได้มีประโยชน์มากนักแต่สำหรับเขากลับสามารถเพิ่มความเร็วให้เลื่อนขั้นระดับที่บรรลุถึงแดนร่างเนื้อ
“ซิวหลัว นี่คงไม่ใช่ชื่อจริง ๆ ของเจ้าสินะ” เหยียนเยว่เอ๋อร์อยู่ดี ๆ ก็ถามขึ้น
“ข้าชื่อหลัวซิว”
“ข้ายังรู้สึกว่า ‘ซิวหลัว’ ชื่อนี้เพราะกว่าอยู่ดี ดับชีพเพื่อชื่อเสียง อาบเลือดคงกระพัน ข้าก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ที่ข้าจะได้เอาเลือดของศัตรู มาเซ่นท่านแม่ที่ตายไปแล้วได้” นัยน์ตาคู่งามของเหยียนเยว่เอ๋อร์สั่นไหวด้วยความเศร้าโศก
ก่อนนี้ นางคือผู้ยิ่งใหญ่ระดับจักพรรดิยุทธ์ข้ามโลก มีพลังมหาศาลเช่นนี้แล้วแต่ก็ยังล้างแค้นไม่ได้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าศัตรูของนางแข็งแกร่งเพียงใด
“หากวันใดที่พลังของข้าแข็งแกร่งขึ้น จะล้างแค้นให้เจ้าในนามของซิวหลัวเอง” หลัวซิวตอบกลับนาง
เหยียนเยว่เอ๋อร์ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ เขย่งส้นเท้ายกลอยขึ้นจากพื้น ประทับจูบลงบนริมฝีปากของหลัวซิวเบา ๆ จากนั้นก็ลอยขึ้นตัวกลางอากาศ และค่อย ๆ หายไปท่ามกลางเทือกเขากวนเหลย
“หลัวซิว แล้วพบกันอีกครั้งเมื่อพรหมลิขิต…”
หลัวซิวตกอยู่ในความเศร้าโศก นางคือจักพรรดิยุทธ์ เป็นเพราะแผลแห่งเทพจิต ผลการฝึกตนจึงได้ลดลง แต่ในที่สุดก็จะสามารถฟื้นฟูได้ และมองลงมาจากสวรรค์
แต่เขา กลับเป็นแค่พรสวรรค์ตัวเล็ก ๆ พยายามอย่างหนักยังต้องบรรลุแดนฝึกจิต
เหยียนเยว่เอ๋อร์สามารถลอยตัวกลางอากาศได้ เหล่าอสูรกายในเทือกเขากวนเหลยยังไม่กล้าประมาท แต่เขาหลัวซิวกลับต้องเดินเท้าออกไป
พลังการรับรู้กระจายออกไป ในส่วนที่ลึกเข้าไปของเทือกเขากวนเหลย มีอสูรกายระดับฝึกจิตอยู่ไม่น้อยที่ยึดครองที่แห่งนี้
สามวันต่อมา หลัวซิวเดินออกมาจากส่วนลึก เดินออกมาถึงรอบนอกของเทือกเขา
ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้ม อาจจะต้องใช้เวลาอีกหนึ่งวัน ถึงจะสามารถเดินออกจากเทือกเขากวนเหลยไปได้
หลัวซิวเตรียมหาที่หลบภัยก่อนมืด จากนั้นก็กลืนลูกแก้วโลหิตเพื่อยกระดับพลังของร่างเนื้อ
ร่างนั้นเดินผ่านป่าเล็ก ๆ และในการรับรู้ของหลัวซิว มีลมหายใจของจอมยุทธ์เผ่าพันธ์มนุษย์หลายคน
เขากระโดดขึ้นไปบนกิ่งไม้หนาทึบ แม้ว่าท้องฟ้าจะมืดเล็กน้อย แต่เขาก็ยังมองเห็นระยะทางไกลกว่า300เมตร
ในป่าถัดไปไม่ไกล มีร่างห้าร่างนั่งขัดสมาธิอยู่รอบกองไฟ และบนกองไฟนั้นมีอาหารย่างไว้อยู่
ในห้าคนนี้ มีผู้ชายสามคนและผู้หญิงสองคนชายวัยกลางคนคนหนึ่งตื่นตัวมากที่สุด ดูเหมือนจะตระหนักถึงสายตาที่สอดส่องอยู่ เขายืนขึ้นและหันกลับมาในทันที เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าเป็นใคร?”
เมื่อเห็นการกระทำของชายวัยกลางคน คนอื่นๆ อีกสามคนที่อยู่รอบตัวเขาก็ตื่นตัวเช่นกัน เด็กสาวคนหนึ่งที่ดูอายุน้อยที่สุดมีท่าทีตื่นตระหนก ดวงตาคู่นั้นมองไปรอบๆ
การตระหนักรู้ของชายวัยกลางคนนั้นทำให้หลัวซิวรู้สึกประหลาดใจ เห็นได้ชัดว่านี่คือนานพรานที่สั่งสมประสบการณ์มาอย่างสูง
“ข้าเพียงผ่านมาทางนี้ ไม่ได้มีเจตนาร้าย”
หลัวซิวกระโดดลงมาจากกิ่งไม้ แล้วจึงสาวเท้าเดินเข้าไป
ด้วยใบหน้าที่ค่อนข้างอ่อนวัยนั้น ดูเหมือนว่าคนเหล่านี้จะได้คลายความระมัดระวังลงเล็กน้อย แต่ชายวัยกลางคนที่ดูเป็นผู้นำยังคงหน้านิ่วขมวดคิ้ว “น้องชาย มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”
ภูเขาที่แห้งแล้งและป่าดิบสามารถเห็นการฆ่าได้ทุกที่ นายพรานที่ช่ำชองทุกคน ต้องดิ้นรนจากเส้นกั้นระหว่างชีวิตและความตายทีละก้าว ไม่ว่าชายหนุ่มตรงหน้าจะคิดร้ายหรือไม่ก็ตาม ชายวัยกลางคนก็ไม่ต้องการมีปฏิสัมพันธ์กับคนแปลกหน้าในป่า เว้นเสียแต่ว่าจะจำเป็น
“ลุงหยาง ระแวงเกินไปแล้ว ดูเขาสิอายุน่าจะไม่ห่างจากข้าเท่าไรนัก” เด็กสาวที่อยู่ในกลุ่มพึมพำขึ้นมา
“คุณหนู ท่านสัมผัสโลกนี้น้อยเกินไป ไม่รู้จักความชั่วร้ายของจิตใจคน” ชายวัยกลางคนพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย แต่สายตานั้นจับจ้องอยู่ที่หลัวซิวไม่ละสายตา。
หลัวซิวสามารถเข้าใจความรอบคอบของชายวัยกลางคนได้ นี่คือการรับประกันความปลอดภัยสำหรับนายพรานที่มีคุณสมบัติในการอยู่รอดในป่า
“ขอโทษที่รบกวน ข้าขอตัว” เขากล่าวพลางยกมือขึ้นคำนับ หลัวซิวกระโดดขึ้นและหายเข้าไปในป่าอันมืดมิด
เช่นเดียวกับกลุ่มนายพรานทั้งห้าในตอนนี้ ท่ามกลางเทือกเขากวนเหลยที่พบมากที่สุด ด้วยพลังสายตาของหลัวซิว เป็นธรรมดาที่จะเห็นได้ว่า เหตุที่ชายวัยกลางคนมีความระแวดระวังอย่างสูงนั้น คงหนีไม่พ้นเด็กสาวที่อยู่ในกลุ่มคนนั้น
เห็นได้จากสรรพนามที่ชายวัยกลางคนใช้เรียกสาวน้อยในกลุ่มว่า ‘คุณหนู’ พวกเขาทั้งสี่คน คงจะพาคุณหนูออกมาสัมผัสประสบการณ์รอบนอกเทือกเขากวนเหลย
หากไม่ได้รับการคุ้มครองจากกลุ่มชายวัยกลางคน คงจะเป็นเรื่องยากมากสำหรับหญิงสาวที่อ่อนประสบการณ์ เพื่อเอาชีวิตรอดในโลกนี้
########################
บทที่ 153 ถอนพิษ
สามวันผ่านไป อสูรกายระดับฝึกจิตในเขตแดนอื่น ๆ ที่อยู่ใกล้เคียงก็เริ่มมีการเคลื่อนไหว พวกมันรับรู้ได้ว่าพลังของมังกรเจียวเขาเดียวเกล็ดม่วงนั้นได้หายไปแล้ว มีอสูรกายที่มีความกล้าสูง ๆ อยู่สิงสามตัว ได้ปล่อยพลังการสำนึกเข้ามาสำรวจยังริมทะเลสาบแห่งนี้
หลัวซิวกำลังฝึกพลังก่อรวมวิญญาณปรับแต่งการรับรู้จิตวิญญาณของตัวเอง เมื่ออสูรกายระดับฝึกจิตแพร่การสำนึกเข้ามานั้น เขาก็สามารถรับรู้ได้ทั้งหมด
และพอดีกับเหยียนเยว่เอ๋อร์ที่อาการหนักอยู่นั้นก็ฟื้นขึ้นมา การสำนึกอันแรงกล้าที่แพร่ออกมาจากร่างของนาง ก็ได้ทำลายการสำนึกของเหล่าอสูรกายให้สลายไปจนหมดสิ้น
เหล่าอสูรกายระดับฝึกจิตที่หลบซ่อนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลต่างก็มีสีหน้าหวาดกลัว ถึงแม้มังกรเจียวเขาเดียวเกล็ดม่วง แต่กลับมีพลังที่แกร่งกล้ามากกว่าเดิมยึดคลองอยู่ที่ริมทะเลสาบแห่งนั้น
สามารถฆ่ามังกรเจียวเขาเดียวเกล็ดม่วงได้ เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เข้ามายึดดินแดนแห่งใหม่ผู้นี้มีพลังที่แข็งแกร่งมากกว่าเพียงใด ทำให้พวกมันไม่กล้าที่ย่างกรายเข้ามายึดครองที่แห่งนี้
เมื่อเห็นเหยียนเยว่เอ๋อร์ฟื้นขึ้น ดวงตาของหลัวซิวก็รี่ลง
ว่ากันตามจริง เขาก็ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้จะปฏิบัติต่อเขาอย่างไรเมื่อนางฟื้นขึ้นมา ด้วยลมหายใจที่แผ่ออกมาจากร่างกายของนางตอนนี้ แข็งแกร่งกว่าลู่เฟยเฉิน ปรมาจารย์คนก่อนของนอกสำนักเซียวเหยาเสียอีก!
ฝึกจิตขั้นเก้า ครึ่งทางสู่ราชายุทธ์?
เมื่อเทียบกับเหยียนเยว่เอ๋อร์ ซึ่งมีผลการฝึกตนที่แข็งแกร่งเมื่อครั้งยังอยู่ที่แดนจักพรรดิยุทธ์ ไม่ว่าครึ่งทางสู่ราชายุทธ์หรือฝึกจิตขั้นเก้าก็คงไม่ใช่เรื่องเรื่องสำคัญอะไรเลย
เหยียนเยว่เอ๋อร์มองมาที่หลัวซิว แต่แล้วใบหน้างดงามนั้นก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย
“ตอนที่ข้าสลบไป นางให้ข้ากินหญ้าวิญญาณหรือ?” เหยียนเยว่เอ๋อร์ถามพลางขมวดคิ้ว สีหน้าแดงระเรื่อ
“ใช่” หลัวซิวตอบตามตรง
“กี่ลูก?”
“เจ็ดลูก …”
คำถามและคำตอบง่าย ๆ ผ่านไป ความผิดปกติของร่างกายเหยียนเยว่เอ๋อร์เริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ หน้าสวยแดงก่ำ ริมฝีปากแดงถูกขบเบา ๆ นัยน์ตาสวยพร่ามัวเล็กน้อย
“นี่เจ้า… ให้ข้ากินหญ้าวิญญาณเจ็ดลูกอย่างนั้นเหรอ?” เหยียนเยว่เอ๋อร์มองหลัวซิวด้วยความโกรธเคือง เปลวเพลิงที่อยู่ในใจเริ่มปะทุขึ้นเรื่อย ๆ
หญ้าวิญญาณมีผลในการรักษาเทพจิตวิญญาณ เป็นยาชนิดพิเศษ แต่กลับมีส่วนผสมคล้าย ๆ กับยาราคะซึ่งเป็นพิษอยู่ด้วย
ถ้าหากใช้หญ้าวิญญาณร่วมกับยาวิเศษอื่น ๆ จะได้เป็นยาฟื้นวิญญาณ พิษในยาวิเศษนั้นจะถูกหลอมรวมกับยาชนิดอื่น ๆ และความเป็นพิษจะสลายไป
ถ้าหากใช้น้ำจากยาวิเศษโดยตรง ในปริมาณน้อย ก็ยังพอที่จะใช้ผลการฝึกตนมากดพิษนั้นไว้ได้
แต่ว่า หลัวซิวกลับใช้นางกินมันไปถึงเจ็ดลูก รวมเข้ากับที่นางกินไปก่อนหน้านี้อีกสี่ลูก รวมทั้งหมดเท่ากับสิบลูกพอดี!
หญ้าวิญญาณสิบลูกที่เต็มไปด้วยพิษ เทียบกับยาราคะแล้วยังร้ายแรงยิ่งกว่า ไม่ว่าจะเป็นหญิงสาวที่บริสุทธิ์ผุดผ่องเพียงใดก็ยังต้องตกอยู่ในไฟราคะ
อีกทั้งพิษชนิดนี้ วิธีการแก้พิษนั้นเหมือนกับยาราคะ จำเป็นต้องร่วมรักตามแบบฉบับดั้งเดิม
หลัวซิวไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับการกลั่นยาหรือยาวิเศษเลย แน่นอนว่าย่อมไม่เข้าใจข้อห้ามเหล่านี้
“อย่าบอกนะว่าข้ากับตานี่ต้อง … ?” เหยียนเยว่เอ๋อร์กัดฟันด้วยความอัดอั้น แต่ไฟในใจมันแผดเผาไปทั่ว การโคจรของพลังจิตแท้ไม่มีผลในการระงับแม้แต่น้อย
หลัวซิวก็สามารถรู้สึกได้ว่าสภาพของเหยียนเยว่เอ๋อร์นั้นมีบางอย่างผิดแปลกไป ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยได้พบใคร แต่เมื่อดูจากท่าทางของนางแล้ว ก็คงพอจะได้เดาได้ไม่มากก็น้อย
“คือ… ข้าก็ไม่รู้ว่ามันจะเป็นเช่นนี้ ตอนนี้จะทำยังไงดี? ข้าจะช่วยเจ้าได้อย่างไร?” หลัวซิวพูดออกมาด้วยท่าทางเก้อเขิน
เหยียนเยว่เอ๋อร์อดกลั้นไฟที่แผดเผาอยู่ภายในร่างกาย นางรู้ดีว่าหลัวซิวทำไปเพื่อช่วยนาง หากไม่ได้กินหญ้าวิญญาณเข้าไปเยอะขนาดนั้น ตอนนี้นางก็น่าจะยังคงไม่ได้สติอยู่คงเป็นไปไม่ได้ที่จะฟื้นได้เร็วขนาดนี้
“ข้าจะลองดูว่าจะช่วยเจ้าได้หรือไม่”
หลัวซิวเดินตรงขึ้นมา วางมือไว้ด้านหลังตรงตำแหน่งหัวใจ ปล่อยพลังแห่งชีวิตเข้าไปในร่างกายของนาง ลองกลั่นแปรพิษในร่างกายนาง
จังหวะที่หลัวซิววางมือลงบนแผ่นหลังของนาง ภายในร่างกายของเหยียนเยว่เอ๋อร์ก็รุ่มร้อนดั่งมีคนโยนฟืนแห้ง ๆ ลงไปโหมเป็นเชื้อเพลิงให้ไฟราคะโหมกระหน่ำอยู่ภายในกายนาง ดวงตาคู่สวยก็ยิ่งพล่ามัวมากขึ้น
ผิวขาวดังหิมะเริ่มอมชมพูปรากฏขึ้น หลัวซิวเก็บความคิดที่ยุ่งเหยิงนั้น สำรวจเข้าไปภายในร่างกายของเหยียนเยว่เอ๋อร์ ภายในเส้นลมปราณมีเส้นพิษไหลเวียนอยู่
พลังแห่งชีวิตกลายเป็นไฟ ห่อหุ้มด้วยเส้นพิษสีแดง หลัวซิวได้กำลังจะลองว่าจะสามารถกลั่นแปรได้หรือไม่
แต่ว่า ไม่ทันได้ลองแก้พิษให้นาง เหยียนเยว่เอ๋อร์ที่หันหลังให้เขาก็พลันหันหลังกลับมา เรือนร่างของนางรุ่มร้อนดั่งไฟสุมโอบรัดเขาไว้
ปฏิกิริยาแรกของหลัวซิวคือต่อต้าน ต่อให้เหยียนเยว่เอ๋อร์จะสวยสดงดงามเพียงใด แต่หากเขาได้ล่วงเกินนางไปแล้ว สิ่งที่จะรักษาไว้ไม่ได้ ไม่ใช่ความบริสุทธิ์แต่เป็นชีวิตน้อย ๆ ของเขาเอง
ถึงแม้จะเป็นพละกำลังจากร่างยุทธ์ระดับสูงของหลัวซิว แต่กลับไม่สามารถขัดขืนจนเป็นอิสระได้ เหยียนเยว่เอ๋อร์คือร่างยุทธ์ชั้นสูง นางมีพละกำลังแข็งแกร่งกว่าเขา
หลัวซิวสาบาน เป็นประสบการณ์ที่ชีวิตนี้เขาคงลืมไม่ลงอย่างแน่นอน ภายใต้พละกำลังของเหยียนเยว่เอ๋อร์ที่กดเขาไว้ หลัวซิวไม่สามารถต่อต้านได้เลยชุดที่สวมใส่อยู่นั้นใกล้จะถูกดึงจนแทบขาด จากนั้นเขาก็ถูกกดลงกับพื้นและไม่สามารถขัดขืนได้เลย ความแตกต่างของความแข็งแกร่งนั้นมากเกินไป!
ร่างกายของเหยียนเยว่เอ๋อร์นั้นเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ สมบูรณ์แบบจนไม่สามารถหาคำใดมาเปรียบได้ ความงดงามไร้ที่เปรียบเช่นนี้ โอบกอดเขาไว้และตัวเขาเองก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ หลัวซิวไม่ใช่นักบุญที่จะทนนั่งนิ่งเฉย
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานเท่าไร เหยียนเยว่เอ๋อร์ค่อย ๆ ได้สติกลับคืนมา พบว่าเสื้อผ้าบนร่างกายของนางนั้นขาดลุ่ย ขดตัวอยู่ในอ้อมแขนของหลัวซิว ด้วยท่าทางที่คลุมเครืออย่างยิ่ง
เมื่อนึกถึงการศึกที่ทั้งสองเผชิญอย่างยาวนานก่อนหน้านี้ สมองของนางก็พลันว่างเปล่า
หลัวซิวนั้นตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ในฐานะผู้ชาย เขาถูกผู้หญิงบีบบังคับให้ต้องทำเรื่องเช่นนั้น ความรู้สึกแบบนี้มัน…
เหยียนเยว่เอ๋อร์ได้สติกลับคืนทั้งหมดแล้ว ทำให้หลัวซิวรู้สึกกังวลใจเล็กน้อย ร่างกายแข็งทื่อ ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
หรือต้องบอกนางว่า เขาถูกนางผลักลงไป เขาคือผู้เสียหาย เช่นนั้นหรือ?
เหยียนเยว่เอ๋อร์พอจะเข้าใจแล้วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ใบหน้าสวยนั้นถึงจะเย็นชา แต่ก็ไม่ได้ใช้กำลังรุนแรง
“คือว่า …”
หลัวซิวไม่รู้จริง ๆ ว่าควรพูดอะไร เขารู้ดีว่าเหยียนเยว่เอ๋อร์ในตอนนี้อันตรายขนาดไหน ทว่าความเร่าร้อนและตัณหา มันจะทำให้เขาลืมไม่ลงไปตลอดชีวิตอย่างแน่นอน
นางคือผู้หญิงคนแรกในชีวิตเขา เลือดสีแดงสดที่เปื้อนอยู่บนพื้นดินโคลนนั้น บ่งบอกทุกอย่างแล้ว
บรรยากาศพลันเงียบลง แววตาคู่สวยเหยียนเยว่เอ๋อร์แฝงไปด้วยความเย็นชา สายตาคู่นั้นจับจ้องมาที่หลัวซิวไม่ละสายตา
“ข้าจะรับผิดชอบเจ้า ถึงแม้จะเป็นสถานการณ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เจ้าก็ถือว่าเป็นผู้หญิงของข้าแล้ว”
หลังจากสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ หลัวซิวก็ชิงเปิดปากพูดออกมาก่อน
“ข้าไม่สนใจว่าเจ้าเคยอยู่ในฐานะใด หรือเป็นคนแบบไหน หรือบางทีเจ้าอาจจะรู้สึกว่าข้าเป็นเพียงจอมยุทธ์พรสวรรค์ผู้ต่ำต้อย ไม่คู่ควรกับเจ้าที่เป็นถึงระดับจักพรรดิยุทธ์ผู้แข่งแกร่ง แต่อีกไม่นาน ข้าก็จะได้เป็นจักพรรดิยุทธ์และแข็งแกร่งยิ่งขึ้น” หลัวซิวกล่าวโดยไม่ลังเล
ได้ครอบครองลูกแก้วความเป็นตาย เข้าใจวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ ปลุกพลังอมตะเหนือธรรมชาติแล้ว หลัวซิวเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ
“ข้ามีศัตรู และศัตรูนั้นแข็งแกร่งกว่าที่เจ้าจะจินตนาการได้ เจ้าไม่กลัวหรือ?” เหยียนเยว่เอ๋อร์พูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“ข้าไม่กลัว ไม่ว่าศัตรูของเจ้าจะเป็นใคร แม้ว่าจะเป็นมกุฏยุทธ์ เจ้ายุทธจักรหรือแม้แต่มหาจักรพรรดิยุทธ์ ข้าก็ฆ่าเพื่อเจ้าได้ เพราะเจ้าคือผู้หญิงของข้าฉัน!” หลัวซิวพูดด้วยน้ำเสียงแน่วแน่
นัยน์ตาของเหยียนเยว่เอ๋อร์สั่นไหวเล็กน้อย นางใช้ชีวิตท่ามกลางความโกรธแค้นมา300ปี นางไม่เคยคาดคิดว่าจะมีใครมาทำให้นางรู้สึกประทับใจได้
ถึงแม้ชายผู้นี้จะอ่อนแอมาก แต่นางกลับรู้สึกได้ว่า เขาไม่ได้ตั้งใจจะโกหกนางแน่นอน
“ขอชุดให้ข้าหนึ่งชุด” เหยียนเยว่เอ๋อร์ไม่มีความตั้งใจที่จะพูดถึงเรื่องนี้อีกต่อไป
หลัวซิวยื่นแหวนเก็บของของนางคืนให้นาง
########################
บทที่152 ลูกแก้วโลหิตฝึกจิต
นางยกมือเรียวสวยขึ้น เปลวเพลิงปะทุ กลายเป็นดาบเพลิงขนาดใหญ่ราวสามร้อยเมตร และตัดเข้าไปในกรงเปลวไฟ
ฉึก!
เลือดพุ่งกระฉูดราวกับธนู หัวมหึมาตกลงมาจากกลางอากาศ เลือดอสูรกายสีม่วงกระเซ็นก็เหมือนกับน้ำ ร่างไร้วิญญาณของมังกรเจียวเขาเดียวเกล็ดม่วง กระแทกลงบนพื้นอย่างแรง ละอองฝุ่นดินกระจายฟุ้งขึ้นเต็มท้องฟ้า
เมื่อเห็นมังกรเจียวเขาเดียวเกล็ดม่วงถูกฆ่าตายแล้ว ในที่สุดหลัวซิวก็สามารถหายใจได้เต็มปอด แอบคิดอยู่ในใจว่าตนไม่นั้นไม่ต้องตายแล้ว ในเวลาเดียวกันเขาก็รู้สึกประหลาดใจไม่น้อย ที่เหยียนเยว่เอ๋อร์ใช้เวลาเพียงชั่วครู่ แต่กลับสามารถฟื้นฟูพลังได้มากขนาดนี้
แต่ความคิดนั้นเพิ่งผุดขึ้นมาได้ไม่นาน เหยียนเยว่เอ๋อร์ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาก็พลันอ่อนแรง ล้มลงบนร่างของเขา
ใบหน้าของนางซีดขาวราวกับกระดาษ ผิวที่ขาวราวกับหิมะของนางแตกออกและมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด
ถึงแม้ว่าตนแทบจะไม่มีแม้แต่แรงขยับนิ้ว แต่หลัวซิวกลับใช้ลูกแก้วความเป็นตาย เพื่อให้รู้สึกได้ว่าพลังของเหยียนเยว่เอ๋อร์กำลังทรุดตัวลงอย่างต่อเนื่อง
เห็นได้ชัดว่า พลังของนางนั้นไม่ได้ถูกฟื้นฟู แต่เป็นการฝืนร่างกายที่บาดเจ็บสาหัส ฆ่ามังกรเจียวเขาเดียวเกล็ดม่วง โดยไม่คำนึงถึงผลที่ตามมา
“เพียงเพราะช่วยข้าหรือ?”
หลัวซิวจิตใจสั่นไหวเล็กน้อย
ความคิดที่ดูเหมือนจะบ้าๆ บอๆ ผุดขึ้นในใจ หลัวซิวฝืนความบาดเจ็บบนร่างกายที่ให้แทบจะขาดใจไว้ เขาอุ้มเหยียนเยว่เอ๋อร์ขึ้น และออกไปจากที่นี่อย่างรวดเร็ว
ที่นี่มีการต่อสู้เกิดขึ้น อาจจะทำให้เหล่าอสูรกายฝึกจิตตัวอื่น ๆ ที่อยู่ในแดนใกล้เคียงตื่นตะหนก แค่ถูกข่มขู่โดยความดุร้ายของ มังกรเจียวเขาเดียวเกล็ดม่วง แม้จะปลอดภัยไปสักระยะ แต่ก็ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาระยะยาว
หลัวซิวที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสเป็นทุนเดิม กับความคิดบ้า ๆ เหมือนหวนคืนสู่แสงสว่าง ฝืนอุ้มอีกร่างที่บาดเจ็บหนีออกมาก แต่กลับได้หนีไปไกลสักเท่าไร ก็เกิดกระอักเลือดขึ้นมา ดวงตาทั้งสองพลันมืดมัวและล้มลงบนพื้น
บาดแผลนั้นรุนแรงมากขึ้น อีกทั้งผลการฝึกตนถูกใช้จนหมดสิ้น เป็นไปไม่ได้ที่จะใช้พลังแห่งชีวิตเพื่อซ่อมแซมเส้นชีวิตที่เสียหาย
แต่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังนี้ ในสภาพจิตใจที่เหนื่อยล้าของหลัวซิว แต่กลับไม่หยุดที่จะสร้างภาพดั้งเดิมทั้งเก้าของวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ
สติที่ง่วงซึมรู้สึกถึงกระแสลึกลับที่ไม่รู้จบ วงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพได้เงียบและหยุดลงเนื่องจากความอ่อนล้าของผลการฝึกตนถูกใช้จนหมดสิ้น ทันใดนั้นท่ามกลางจุดตันเถียนก็เกิดไหลเวียนขึ้นมา พ่นพลังแห่งชีวิตและความตายที่บริสุทธิ์ออกมา!
ความตายที่ดีที่สุด คือการมีชีวิตต่อ!
ในขณะที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสและกำลังจะตายนั้น ตราบใดที่ความคิดหนึ่งยังไม่ตาย ก็จะสามารถร้องขอชีวิตให้โลกหลังความตาย แตกสลายและยืนหยัดขึ้นได้!
“ผู้สืบทอดที่อ่อนแอ ปลุกพลังอมตะเหนือธรรมชาติ?”
ในลูกแก้วความเป็นตาย ความตกใจปรากฏขึ้นในน้ำเสียงของเทพแห่งวัฏจักรชีวิต เดิมทีมักจะไม่แยแสต่อคนทั่วไป แต่กลับแสดงอารมณ์ออกมา
“สามารถปลุกพลังเหนือธรรมชาติลำดับหนึ่งที่แดนพรสวรรค์ได้ นับเป็นโอกาสที่ดีทีเดียว” เทพแห่งวัฏจักรชีวิตพึมพำกับตัวเอง จากนั้นจึงได้กลับมานิ่งเฉยเหมือนดังเก่า
ผู้สืบทอดทุกคนที่เขาได้ประสบพบเจอ ต่างได้ปลุกพลังแห่งความเป็นอมตะขึ้น แต่ที่เทพแห่งวัฏจักรชีวิตตกใจนั้น คือผู้สืบทอดรุ่นนี้สามารถปลุกความสามารถนี้ได้ที่แดนพรสวรรค์
ผู้สืบทอดคนก่อน ๆ คนที่เก่งกาจที่สุด ก็สามารถปลุกพลังอมตะที่แดนจักพรรดิยุทธ์ได้
พลังเหนือธรรมชาติ พลังจิต! กักเก็บความลึกลับที่คนธรรมดาไม่เข้าใจ เป็นปริศนา!
พลังอมตะที่เรียกว่า ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ ก็จะไม่มีวันตาย อีกทั้งวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพจะทำงานด้วยตัวเอง เพื่อฟื้นฟูจากอาการบาดเจ็บ สามารถแตกสลายและยืนหยัดขึ้นใหม่ พลังก็จะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
แต่หากผู้สืบทอดของลูกแก้วความเป็นตายต้องการปลุกพลังอมตะเหนือธรรมชาตินี้ จำเป็นต้องยอมรับเงื่อนไขสองข้อ
ประการแรกคือสถานการณ์ใกล้ตาย ประการที่สอง มีจิตตานุภาพที่แข็งแกร่ง สามารถปลดปล่อยศักยภาพจากภายใน ด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่สามารถบรรลุเงื่อนไขสำหรับการปลุกพลังอมตะเหนือธรรมชาติ
ก่อนนี้หลัวซิวเกิดความคิดบ้าระห่ำ เจตจำนงที่จะบังคับร่างที่บาดเจ็บให้ออกจากลานต่อสู้ ทำให้สามารถบรรลุเงื่อนไขสองประการได้โดยไม่ตั้งใจ
การหมดสติ เป็นการป้องกันตนเองจากจิตใต้สำนึกเมื่อได้รับบาดเจ็บสาหัส
วงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพทำงานด้วยตัวเองภายในจุดตันเถียน อาการบาดเจ็บของเขาจึงเริ่มฟื้นฟูขึ้นด้วยความรวดเร็ว
เวลาผ่านไปเพียงชั่วครู่ หลัวซิวได้ลืมตาขึ้นมา ความลับทุกอย่างเกี่ยวกับพลังอมตะเหนือธรรมชาติก็ผุดขึ้นมาอย่างท่วมท้น
“แบบนี้ถือว่าหากรอดมาได้จะได้รับพรยิ่งใหญ่หรือไม่?” แววตาของหลัวซิวแฝงไปด้วยความยินดี
ไม่เพียงแค่อาการบาดเจ็บของเขาจึงเริ่มฟื้นฟูขึ้นด้วยความรวดเร็ว ผลการฝึกตนของเขาก็ยังพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนทะลุไปถึงแดนพรสวรรค์ขั้นหกแล้ว!
“ถ้าข้ารอดจากอาการบาดเจ็บสาหัสได้บ่อย ๆ การพัฒนาผลการฝึกตนก็คงจะเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ?”
ในใจของหลัวซิวเต็มไปด้วยความตกใจและความอัศจรรย์ใจ ด้วยพลังเหนือธรรมชาตินี้ ตราบใดที่ตนยังไม่ตาย ผลการฝึกตนก็จะพัฒนาอย่างรวดเร็วจนทำลายกฏดั้งเดิม!
อย่างไรก็ตาม พลังอมตะนี้ใช่ว่าจะอยู่ยงคงกระพัน มันสามารถพัฒนาแค่เพียงผลการฝึกตน ร่างกายและระดับที่บรรลุถึงนั้น ตนต้องฝึกตน
เพื่อให้ได้มันมา
การรับรู้แพร่กระจายออกไปทั่วทั้งสี่ทิศ ไม่มีอันตรายคุกคาม เขาไม่ได้สลบไปนานนัก
ถึงเหยียนเยว่เอ๋อร์จะยังอยู่ในอาการสลบ แต่สถานการณ์ไม่ได้เลวร้ายอะไร เพราะท้ายที่สุด ด้วยความช่วยเหลือของหญ้าวิญญาณ นางได้ค่อย ๆ ฟื้นฟูแผลแห่งเทพจิตแล้ว
หลัวซิวแบกเหยียนเยว่เอ๋อร์ขึ้นมา มุ่งหน้าไปยังทะเลสาบที่เคยเป็นแดนของมังกรเจียวเขาเดียวเกล็ดม่วง
มังกรเจียวเขาเดียวเกล็ดม่วงถึงจะตายไปแล้ว แต่เพราะความดูร้ายของมันในอดีต เหล่าอสูรกายฝึกจิตที่อยู่ใกล้ ๆ นั้น ก็ไม่กล้าที่จะเหยียบเข้าไปที่แดนนั้นง่าย ๆ
หลัวซิวเมื่อมาถึงริมทะเลสาบ ก็พบว่าหญ้าวิญญาณยังเหลืออีกสี่ลูก
เขาหยิบหญ้าวิญญาณขึ้นมาหนึ่งลูก บีบคางเหยียนเยว่เอ๋อร์เบา ๆ บีบยาวิเศษให้แตกเป็นน้ำ จากนั้นหยดเข้าไปในปากนาง
ทำแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก จนครบทั้งสี่ลูก
ตอนที่ถูกมังกรเจียวเขาเดียวเกล็ดม่วงตามฆ่าอยู่นั้น เขาสูญเสียกระบี่ยุทธ์ระดับกลางไป แต่หลัวซิวกลับได้ลูกแก้วโลหิตฝึกจิตมาแทน!
ลูกแก้วโลหิตลูกนี้ แน่นอนว่าต้องได้มาจากตอนที่มังกรเจียวเขาเดียวเกล็ดม่วง หลังจากถูกตัดคอโลหิตของมันก็รวมกันจนกลายเป็นลูกแก้วโลหิต
หากกล่าวว่า ลูกแก้วโลหิตระดับพรสวรรค์มีส่วนผสมของเลือดปราณเข้มข้น เป็นสิบเท่าของลูกแก้วโลหิตระดับชี่ไห่
ถ้าเช่นนั้น ลูกแก้วโลหิตระดับฝึกจิตลูกนี้ในมือของหลัวซิว ก็ถือได้ว่าเป็นสามสิบเท่าของลูกแก้วโลหิตระดับพรสวรรค์!
ความแตกต่างของแบบทวีคูณนี้ บ่งบอกถึงความแตกต่างในแดนฝึกจิตและแดนพรสวรรค์ ความแข็งแกร่งแตกต่างกันมากกว่าสามสิบเท่า!
พรสวรรค์และฝึกจิต เป็นแหล่งลุ่มน้ำแห่งการฝึกตนขนาดใหญ่ เมื่อฝึกจิตระดับที่บรรลุถึงผลการฝึกตน จะได้ชื่อว่าปรมาจารย์ยุทธ์
ซึ่งหมายถึงปรมาจารย์โลกยุทธ์
ผู้แข็งแกร่งในระดับที่บรรลุถึง การรับรู้ของจิตวิญญาณจะเข้มข้นและเกิดการเปลี่ยนแปลงต่อไป กลายเป็นการสำนึก และพรสวรรค์ก็เปลี่ยนแปลงสูงขึ้น กลายเป็นพลังจิตแท้
ไม่เพียงเท่านั้น เริ่มจากฝึกจิตระดับที่บรรลุถึง มีเพียงจอมยุทธ์เท่านั้นที่สามารถบินบนท้องฟ้าได้
หลัวซิวนั้นไม่ได้กลืนลูกแก้วโลหิตระดับฝึกจิตในทันที เพราะว่าในลูกแก้วโลหิตลูกนี้มีพลังมากมายมหาศาล การกลั่นแปรของเขานั้นต้องใช้เวลา ยิ่งไปกว่านั้น เวลานี้เหยียนเยว่เอ๋อร์ยังสลบไม่ฟื้น พื้นที่ที่สามกำลังตกอยู่ในอันตราย
เขาก็ไม่รู้ว่าความดุร้ายของมังกรเจียวเขาเดียวเกล็ดม่วงในอดีตจะคงอยู่ได้นานแค่ไหน เขาจึงได้เริ่มค้นหารอบทะเลสาบอีกครั้ง จึงได้พบกับหญ้าวิญญาณอีกสามลูก
ทั้งสามลูกนั้น เขาก็ทำเช่นเดิม บีบมันให้แหลก แล้วหยดลงไปในปากของเหยียนเยว่เอ๋อร์
“ยังไม่รู้ว่าจะออกจากดินแดนลึกลับแห่งหมื่นอสุรกายได้อย่างไร” เขานั่งลงข้าง ๆ เหยียนเยว่เอ๋อร์ หลัวซิวหยิบหยกอสูรจันทราคู่ออกมา พึมพำกับตัวเอง
ด้วยฤทธิ์ของหญ้าวิญญาณทั้งเจ็ดลูก อาการของเหยียนเยว่เอ๋อร์ก็ค่อย ๆ คงที่ แผลแห่งเทพจิตก็ค่อย ๆ ฟื้นฟูแล้ว
น่าเสียดายที่หญ้าวิญญาณเป็นเพียงแค่ยาวิเศษลำดับสี่ สำหรับเทพจิตของผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์อย่างนางนั้น ผลจากการฟื้นฟูไม่ชัดเจน หากคาดหวังการฟื้นฟูที่สมบูรณ์แบบนั้นจึงเป็นไปไม่ได้
มันยากที่จะจินตนาการว่าที่แท้แล้วนางต่อสู้กับใครมา ถึงได้ทำให้เทพจิตของตัวเองบาดเจ็บรุนแรงได้เพียงนี้
########################
บทที่ 151 เหยียนเยว่เอ๋อร์กลับมาช่วยคน
หลัวซิวทั้งตกใจทั้งโกรธ มังกรเจียวเขาเดียวเกล็ดม่วงตัวนี้ฝึกจิตขั้นสามแล้วก็จริง แต่ความแข็งแกร่งนั้นต้องแข็งแกร่งกว่าการฝึกจิตขั้นสามทั่วไปอย่างแน่นอน
ก่อนหน้านี้ เหยียนเยว่เอ๋อร์พูดแค่ว่าเป็นอสูรกายที่ฝึกจิตขั้นสี่ แต่ไม่ได้บอกว่าเจ้าอสูรกายที่ยึดถิ่นฐานอยู่ที่นี่ ที่แท้แล้วคือมังกรเจียวเขาเดียวเกล็ดม่วง!
ร่างสูงราวหนึ่งร้อยสี่สิบเมตรลอยอยู่กลางอากาศ ดวงตาแดงก่ำคู่ใหญ่หลุบตาลงมองมนุษย์ตัวเล็กราวกับหมด เมื่อมังกรเจียวเขาเดียวเกล็ดม่วงอ้าปาก ลำแสงสีม่วงที่เต็มไปด้วยพลังปีศาจก็ถูกพ่นออกมา และพุ่งเข้าหาหลัวซิวด้วยความเร็วราวกับสายฟ้า
หลัวซิวรีบสาวเท้าวิ่งหนี ต่อให้มียาระเบิดเทพจิตอยู่กับตัว แต่เขาก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าอสูรกายตัวนี้อยู่ดี
เสียงคำรามดังกึกก้อง ลำแสงสีม่วงตกกระทบลงสู่พื้น ระเบิดจนกลายเป็นหลุมลึกจนมองไม่เห็นก้นหลุม มังกรเจียวเขาเดียวเกล็ดม่วงไล่ตามโจมตีอย่างดุร้าย ป่าทึบที่เต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ถูกทำลายราบเป็นนาบกองในทันที
เหยียนเยว่เอ๋อร์ได้ยินเสียงของการต่อสู้ ก็รีบเข้าไปในดินแดนของมังกรเจียวเขาเดียวเกล็ดม่วง ตามหาหญ้าวิญญาณกลับมา
มังกรเจียวเขาเดียวเกล็ดม่วงเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วราวกับสายลมพัด จนไม่สามารถเปรียบเทียบได้กับการเคลื่อนไหวของหลัวซิว
ความจริงแล้วหลัวซิวนั้นไม่ได้หนีออกมาไกลสักเท่าใดนัก ยิ่งถูกมังกรเจียวเขาเดียวเกล็ดม่วงไล่ตามมาติด ๆ ลำแสงสีม่วงถูกยิงออกมาราวลูกธนู สามารถที่จะบดร่างยุทธ์ชั้นสูงของเขาให้สลายได้ในทันที
หลัวซิวกลิ้งลงกลับพื้น หลบหลีกการโจมตีจากลำแสงสีม่วง ท่ามกลางเสียงระเบิดที่ดังอึกทึกครึกโครม หลัวซิวก็ได้เคี้ยวยาระเบิดเทพจิตที่อยู่ในปากของเขา
ในชั่วพริบตา เรียวแรงมหาศาลก็ปะทุขึ้นภายในร่างกาย เติมเต็มร่างกายของหลัวซิวด้วยความรู้สึกแข็งแกร่งอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ทันทีที่กรงเล็บสีม่วงปรากฏอยู่เหนือศีรษะ หลัวซิวเงื้อมือจับกระบี่ เมื่อเสียงกึกก้องดังขึ้น กระบี่ของนักยุทธ์ระดับชั้นกลางก็ฟันเข้าไปในทันที
เลือดสีม่วงสองสามหยดของอสูรกายไหลออกมา ด้วยฤทธิ์ของกระบี่นักยุทธ์ระดับชั้นกลาง ก็สามารถทำได้เพียงสร้างบาดแผลขาดไม่เล็กไม่ใหญ่ไว้บนฝ่าเท้าของมังกรเจียวเขาเดียวเกล็ดม่วง
แน่นอนว่าเป็นเพราะพลังของหลัวซิวนั้น ไม่เพียงพอที่จะทำให้กระบี่นักยุทธ์ระดับชั้นกลางสำแดงฤทธิ์ได้ แต่ร่างกายของพวกอสูรกายนั้น เดิมทีก็แข็งแกร่งอยู่แล้ว เกล็ดของเจ้ามังกรเจียวเขาเดียวเกล็ดม่วง เรียกได้ว่าเป็นขีดจำกัดสูงสุดของร่างยุทธ์ ใกล้เคียงกับร่างยุทธ์ของแดนกษัตริย์แล้ว
พลังมหาศาลถูกส่งออกมาจากฝ่าเท้าสีม่วง ทำให้หลัวซิวถึงกับร้องออกมาเสียงดัง มุมปากมีเลือดออกเล็กน้อย ร่างของเขากระเด็นออกไปตามแรง ชนเข้ากับหินก้อนใหญ่จนแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ
แม้ว่าจะเคี้ยวยาระเบิดเทพจิตไปแล้ว เขาก็ยังคงไม่ใช่ศัตรูที่คู่ควรกับเจ้ามังกรเจียวเขาเดียวเกล็ดม่วงตัวนี้อยู่ดี
“โฮก!”
มังกรเจียวเขาเดียวเกล็ดม่วงอาปากคำรามก้อง ครั้งนี้สิ่งที่ออกมาจากปากของมันไม่ใช่ลำแสงสีม่วง แต่เป็นสายฟ้าสีน้ำเงิน!
พลังแปรเสวียนเทียน!
หลัวซิวใช้วิชาโคจรพร้อมตวัดกระบี่ตั้งรับ แม้ว่าจะเป็นการใช้พลังประคองไว้ถึงหกเท่า กระบี่ยุทธ์ในมือของเขายังคงไม่สามารถรับแรงปะทะของสายฟ้า เกิดเสียงดังกริ๊งและหลุดออกจากมือของเขาไป พลังของสายฟ้าถูกส่งผ่านกระบี่ยุทธ์ตรงไปที่ร่างของเขา ทำให้เขาชาไปทั้งร่าง ผิวไหม้ดำ ร่างกายภายในได้รับบาดเจ็บหนัก
นี่ต้องเป็นพลังอันน่ากลัวของมังกรเจียวเขาเดียวเกล็ดม่วง พลังฝึกจิตของอสุรกายทั่วไปนั้นเทียบไม่ได้เลย
“หนี!”
นี่คือความคิดหนึ่งเดียวที่ผุดขึ้นมาให้หัวของหลัวซิว เขาไม่คู่ควรที่จะเป็นคู่ต่อสู้กับเจ้าอสูรกายตัวนี้เลย
ยาระเบิดเทพจิตยังมีอีกสองลูก แต่เขากลับไม่กล้าใช้ ไม่เช่นนั้นพลังมหาศาลของยาจะทำให้จุดตันเถียนในร่างกายของเขาระเบิดแหลกสลายไปได้
เส้นทางที่เขาเลือกวิ่งนี้ไปนั้น คือทะเลสาบอันเป็นดินแดนเก่าก่อนของมังกรเจียวเขาเดียวเกล็ดม่วงพอดี เขาทำได้เพียงฝากความหวังไว้ที่เหยียนเยว่เอ๋อร์ ผู้หญิงคนนั้นได้ยืมพลังของหญ้าวิญญาณเพื่อฟื้นฟูพลังส่วนหนึ่งไปแล้ว
ระหว่างที่กำลังหนีหัวซุกหัวซุน บางครั้งหลัวซิวก็ถูกมังกรเจียวเขาเดียวเกล็ดม่วงตามได้ทัน ทุกครั้งที่เขาต้านการโจมตีจากเจ้าอสูรกายตัวนี้เขาก็จะได้รับบาดเจ็บทุกครั้งไป ไม่ทันไรเขาก็มีเลือดท่วมไปทั้งตัว
นับตั้งแต่หลัวซิงดึงความสนใจจากมังกรเจียวเขาเดียวเกล็ดม่วงออกไป จนถึงเมื่อเขาลากเจ้าอสูรกายตัวนี้กลับมา ทั้งหมดนี้ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง
ทางด้านริมฝั่งทะเลสาบ เหยียนเยว่เอ๋อร์ก็ได้สูบเอาพลังจากหญ้าวิญญาณไปแล้วสามลูก เทพจิตของนางที่เต็มไปด้วยรอยร้าว ถูกห่อด้วยจุดสีฟ้าอ่อน และค่อย ๆ ถูกซ่อมแซม
นางได้หยิบหญ้าวิญญาณออกมาอีกหนึ่งลูก และโยนเข้าปากพร้อมเคี้ยวมันในทันที ความขมของยานั้นแพร่ซ่านอยู่ภายในร่างกายของนางพลังที่สูญเสียไปจากบาดแผลก็ค่อย ๆคืนกลับมา
ในขณะที่ใช้หญ้าวิญญาณ นางหยิบยาระดับห้าที่พกติดตัวอยู่ออกมาอีกสองสามลูก ถึงแม้จะไม่สามารถรักษาแผลแห่งเทพจิตได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ แต่ก็เพียงพอแล้วที่จะพานางกลับเข้าสู่การฝึกตนแล้ว
“โฮก!”
ขณะที่กำลังอยู่ในช่วงเวลาสำคัญของการฟื้นฟูอาการบาดเจ็บอยู่นั้น เสียงคำรามของเจ้ามังกรเจียวเขาเดียวเกล็ดม่วงก็ดังมาจากที่ไกล ๆ นางลืมตาขึ้น เห็นหลัวซิวที่กำลังกระเสือกกระสนวิ่งหนี ทั้งตัวอาบไปด้วยเลือด และกำลังถูก มังกรเจียวเขาเดียวเกล็ดม่วงไล่ตามฆ่า
“โทษที แต่ก่อนแดนนี้ไม่ใช่เจ้าอสูรกายตัวนี้ แต่เป็นเสือแสงเงินล่าลม”
เมื่อเห็นหลัวซิวในสภาพเช่นนั้น ความรู้สึกผิดก็แสดงขึ้นบนใบหน้าของเหยียนเยว่เอ๋อร์ ตอนที่นางค้นพบสถานที่นี้ ก็ผ่านไปเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว ที่แท้เจ้าอสูรกายเสือแสงเงินล่าลมที่เคยประจำอยู่ที่แดนนี้ คงจะถูกเจ้ามังกรเจียวเขาเดียวเกล็ดม่วงฆ่าตายหรือไม่ก็ถูกไล่ออกไปแล้ว
“ข้าแทบจะยื้อไว้ไม่ไหวแล้ว เจ้าฟื้นฟูพลังได้หรือยัง?” หลัวซิวตะโกนพูดเสียงดัง
“ช่วยยื้อไว้ให้ข้าอีกครู่ แค่อีกครู่ด้วยก็เรียบร้อยแล้ว”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลัวซิวก็กัดฟันแน่น พลังแห่งชีวิตและความตายถูกรวมเข้าไว้ระหว่างฝ่ามือและนิ้วมือ ทันใดนั้นก็หันกลับไปเผชิญหน้ากับมังกรเจียวเขาเดียวเกล็ดม่วงที่กำลังไล่ตามฆ่าเขาอยู่
“ตราชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ!”
ตราชีวิตปรากฏขึ้นบนนิ้วทั้งสิบของเขา พลังของปราณเป็นตายสองระดับปะทุออกมาอย่างรุนแรง แปลงร่างเป็นวิญญาณจุติขนาดราวสามสิบเมตรทะยานสู่ท้องฟ้า อัดแน่นไปด้วยความลึกลับไม่มีที่สิ้นสุด และพุ่งเข้าชนมังกรเจียวเขาเดียวเกล็ดม่วง
มังกรเจียวเขาเดียวเกล็ดม่วงพ่นสายฟ้าสีม่วงออกมา สร้างแรงกระทบกระเทือนให้กับวิญญาณจุติได้ แต่ไม่ได้ทำให้แตกสลายไป สิ่งนั้นทำให้มันมันคำรามออกด้วยความโมโหมันใช้เขาเดียวบนหัวของมันชนเข้ากับวิญญาณจุติอย่างดุร้าย
ปัง !
เสียงดังสนั่น วิญญาณจุติแตกสลาย ด้วยความโกรธที่อัดแน่นถูกผลักออกมา หลัวซิวกระอักเลือดและกระเด็นลอยออกไป
ตราชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพที่นำออกมาใช้เมื่อครู่ คาดว่าจะเป็นการดึงพลังทั้งหมดของเขาออกมาแล้ว
“อ้อก”
มังกรเจียวเขาเดียวเกล็ดม่วงที่พุ่งชนด้วยความรุนแรง ก็คำรามออกมาด้วยความเจ็บปวด เขาบนหัวของมันเด็มไปด้วยเลือด นี่เป็นการบาดเจ็บจากพลังของตราชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ
หลัวซิวตกลงมาบนฝุ่นผง ตลอดทางที่ถูกตามฆ่านี้ ทั้งร่างของเขาเต็มไปด้วยบาดแผล ผลการฝึกตนก็ถูกใช้จนหมด วินาทีนี้แม้แต่จะขยับนิ้วยังยาก
มังกรเจียวเขาเดียวเกล็ดม่วงที่กำลังโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ดวงตาแดงก่ำของมันแฝงไปด้วยแรงสังหาร ร่างสูงราวหนึ่งร้อยสี่สิบเมตรที่ลอยอยู่กลางอากาศพุ่งทะยานลงมา ปากใหญ่อาบเลือด เขี้ยวฟันแหลมคมนั้น ตั้งใจจะฉีกเขาออกเป็นชิ้น ๆ
วินาที่แห่งความเป็นความตาย ร่างหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าของหลัวซิว มือเรียวยาวยื่นออกไปโจมตีมังกรเจียวเขาเดียวเกล็ดม่วง
ร่างที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา แน่นแน่ว่าต้องเป็นเหยียนเยว่เอ๋อร์อย่างไม่ต้องสงสัย
มือเรียวยาวของนางแม้จะดูบอบบาง แต่เมื่อใดที่ได้ออกแรงตบ ทันใดนั้น เปลวไฟที่โหมกระหน่ำก็พุ่งออกมาอย่างดุเดือด กลายเป็นนกฟีนิกซ์
มังกรเจียวเขาเดียวเกล็ดม่วงถูกบดบังโดยเปลวเพลิงฟีนิกซ์ เกล็ดสีม่วงบนตัวของมันก็ถูกเผาจนทำให้เสียงเกิดเสียงดังชี่ชี่
“กรงไฟมังกร ตรึง!”
สิบนิ้วของเหยียนเยว่เอ๋อร์สะบัดพลิกไปมา เปลวไฟที่โหมกระหน่ำกลายเป็นกรง เจ้ามังกรเจียวเขาเดียวเกล็ดม่วงถูกขังอยู่ในกรงขังกลางอากาศ
มังกรเจียวเขาเดียวเกล็ดม่วงคำรามด้วยความกราดเกรี้ยว แต่ก็ไม่สามารถทำลายกรงนั้นออกมาได้
ใบหน้าสะสวยของเหยียนเยว่เอ๋อร์ขาวซีด ในขณะที่หลัวซิวเกือบจะถูกฆ่าตายนั้น นางยืนหยัดที่จะหยุดการฟื้นตัวของอาการบาดเจ็บ และลงมือทันที แผลแห่งเทพจิตที่เพิ่งฟื้นตัวได้เพียงเล็กหน่อย ดูเหมือนกำลังจะแตกออกมาอีก
นางเป็นคนมีหลักการ คนที่สมควรฆ่า นางก็จะฆ่าโดยไม่มีความเห็นใจ หากต้องสังเวยด้วยเลือดมนุษย์ก็จะทำโดยไม่ลังเล เรียกได้ว่าโหดเหี้ยม
แต่สำหรับหลัวซิวที่เคยช่วยชีวิตตนไว้ นางจึงไม่สามารถเห็นเขาตายไปต่อหน้าต่อตาได้ แม้ว่าแผลแห่งเทพจิตจะไม่มีวันฟื้นตัว แต่นางก็ไม่สามารถต่อต้านกับหัวใจนักสู้ของตัวนางเองได้
“เปลวเพลิงแห่งดาบ ตัด!”[1][1]
########################
บทที่ 150 มังกรเจียวเขาเดียวเกล็ดม่วง
วิชายุทธ์วิชานี้ถูกเรียกว่าเป็นระดับแปด ชื่อพลังก่อนรวมวิญญาณ เป็นวิชาแขนงที่ใช้ในการฝึกวิญญาณ ฝึกตราสำนึก ฝึกเทพจิต
ตามที่เหยียนเยว่เอ่อร์พูด นางก็อาศัยวิชาก่อนรวมวิญญาณ เข้าถึงความลึกลับของห่วงยุทธ์เปลวไฟในแดนฝึกจิต
วิญญาณยิ่งแข็งแกร่ง การสำนึกยิ่งแข็งแกร่ง ก็ง่ายต่อการเข้าถึงแดนโลกยุทธ์มากขึ้น เพราะแดนโลกยุทธ์ดูเหมือนจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณของผู้ฝึกยุทธ์อย่างใกล้ชิด และเป็นส่วนขยายของพลังจิต
การรับรู้ เป็นพลังแบบหนึ่งของพลังจิต ส่วนการสำนึกควบแน่นมาจากพลังจิต ส่วนเทพจิตคือแก่นแท้ของพลังจิต
การฝึกครั้งนี้ดำเนินไปเจ็ดวัน
เนื่องลูกแก้วโลหิตพรสวรรค์เห็นผลไม่ชัดเจนแล้ว หลังจากกลืนกินลูกแก้วโลหิตหนึ่งร้อยกว่าลูก ร่างเนื้อของหลัวซิวก็ไม่ได้ฝากทะลวงถึงร่างยุทธ์ขั้นสูง ยังอยู่ห่างจากจุดสูงสุดของร่างยุทธ์ไม่น้อย
ผลการฝึกตนของเขาถูกยกระดับขึ้นเป็นพรสวรรค์ขั้นสี่ ภายใต้การหนุนเสริมของหินพลังจิตนับร้อยและค่ายผนึกปราณระดับห้า
ดินแดนของโลกยุทธ์ ผลการฝึกตนง่ายต่อการยกระดับ เพียงมีทรัพยากร พรสวรรค์ และเวลาที่เพียงพอ การฝึกถึงระดับดินแดนที่ลึกซึ้งไม่ใช่เรื่องยาก
เพียงแต่ผลการฝึกตนยิ่งสูงขึ้น ทรัพยากรที่จำเป็นสำหรับการยกระดับก็จะยิ่งสูงขึ้น ดังนั้นปรมาจารย์ผู้ฝึกจิตและผู้แข็งแกร่งขึ้นไป จึงมีน้อยมากอย่างที่เห็น
ในประเทศเทียนหวู ปรมาจารย์ฝึกจิตสามารถปกครองเมืองหนึ่งเมือง ถูกขนานนามผู้ปกครองหนึ่งทิศ! ราชายุทธ์สามารถก่อตั้งสำนัก ถูกขนานนามผู้ครอบครองหนึ่งเขต ผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ถึงขั้นยืนอยู่ระดับแนวหน้าของประเทศเทียนหวู ก้าวข้ามทุกสรรพสิ่ง!
หากเป็นผู้แข็งแกร่งมงกุฎยุทธ์ที่อยู่เหนือจักรพรรดิยุทธ์ สามารถทำลายประเทศเทียนหวูด้วยพลังของตัวเองเพียงลำพังได้อย่างง่ายดาย!
ใจกลางของแท่นบูชาโบราณ หลัวซิวนำหยกอสูรจันทราคู่ออกมา ปลูกถ่ายปราณแท้เข้าไป จันทราสีเงินและจันทราสีเลือดเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ประสานหนุนซึ่งกันและกัน
เหยียนเยว่เอ่อร์ลงมือสังหารจอมยุทธ์ทั้งเจ็ดที่สูญเสียผลการฝึกตนอย่างโหดเหี้ยมด้วยสีหน้าที่ร้ายอารมรณ์ พลังและเลือดรวมตัวกันในอากาศ หลั่งไหลเข้าสู่หยกอสูรจันทราคู่ทั้งสอง
ภายในจิตใจของหลัวซิวรู้สึกทนรับไม่ได้ กลับฝืนบังคับทำให้จิตใจของตัวเองเฉยชา มนุษย์หนึ่งมีจิตใจที่เมตตาไม่ใช่เรื่องผิด แต่ก็ต้องดูด้วยว่ามันเป็นเวลาไหน
หลังจากแสงสว่างสายหนึ่งส่องประกายระยิบระยับขึ้น หลิวซิวยื่นมือออกไปเก็บหยกอสูรทั้งสอง ร่างของเขาและเหยียนเยว่เอ่อร์ถูกส่งหายไปจากที่นี่ทันที
ศพทั้งเจ็ดร่างที่สูญเสียพลังและเลือด เริ่มเลือนรางทีละนิดจนสุดท้ายหายไปอย่างสมบูรณ์ เหมือนกับอสูรที่สูญเสียลูกแก้วอสูร เป็นภาพที่แปลกตามาก
หลังจากที่ปรากฏตัวขึ้นในเขตที่สาม หลัวซิวปลดปล่อยประสาทการรับรู้ออกเป็นวงกว้างทันที พบว่าโดยรอบไม่มีอสูรที่แข็งแกร่งอาศัยอยู่
“เขตที่สามเป็นอสูรระดับฝึกจิตทั้งหมด เจ้าอย่าเดินเพ่นพ่านไปทั่ว” หลังจากที่มาถึง สีหน้าของเหยียนเยว่เอ่อร์ดูจริงจังขึ้นมาทันที
แม้หลัวซิวคนนี้จะมีพลังที่แข็งแกร่งมาก บางทีอาจจะสามารถวัดฝีมือกับอสูรฝึกจิตทั่วไป แต่ถ้าเจอกับอสูรฝึกจิตขั้นสามขึ้นไป ไม่มีทางต้านทานได้อย่างแน่นอน
ส่วนตัวของนางในตอนนี้ก็ไม่สามารถใช้พลังแม้แต่นิดเดียว เมื่อไหร่ที่หลัวซิวไม่สามารถต้านทาน ชะตากรรมของนางก็พอจะคาดเดาได้
ไม่ต้องให้เหยียนเยว่เอ่อร์เตือน หลัวซิวก็รู้ถึงความอันตราย นำภาพปริศนาออกมา พบว่าเขตที่สามในภาพปริศนา มีพื้นที่ที่ถูกทำสัญลักษณ์เอาไว้ มันคือตำแหน่งที่อยู่ของหญ้าคืนวิญญาณ
ภายในแดนนานาอสูร เขตที่หนึ่งเต็มไปด้วยอสูรระดับชี่ไห่ จำนวนมากถึงนับแสน สามารถมองเห็นฝูงอสูรได้ทุกแห่ง
เขตที่สองล้วนแต่เป็นอสูรระดับพรสวรรค์ มีจำนวนค่อนข้างน้อย แต่ก็มีหลายแสนตัว
ส่วนอสูรระดับฝึกจิตของเขตที่สามมีนับหมื่น แต่เนื่องจากพื้นที่กว้างใหญ่ ดังนั้นอสูรทุกตัวจึงมีอาณาเขตเป็นของตัวเอง ความหนาแน่นค่อนข้างน้อย ขอเพียงแค่ระวังตัว ก็ไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องการถูกปิดล้อมโจมตี
ตามเส้นทางของภาพปริศนา หลัวซิวพาเหยียนเยว่เอ่อร์เดินอยู่ในป่าทึบด้วยความระมัดระวัง
ทันใดนั้น ฝีเท้าของเขาหยุดชะงักอย่างกะทันหัน เหยียนเยว่เอ่อร์ตื่นตัวขึ้นมาทันที กวาดสายตามองโดยรอบด้วยความระมัดระวัง
นางคิดว่าการที่หลัวซิวหยุดชะงักอย่างกะทันหัน ต้องเป็นเพราะสัมผัสได้ถึงภัยอันตราย
“ด้านหน้ามีอสูรระดับฝึกจิตหนึ่งตัว ความแข็งแกร่งอยู่ในระดับฝึกจิตขั้นสามขึ้นไป พวกข้าเดินอ้อมไปแทน”
หลัวซิวพูดขึ้นอย่างเชื่องช้า
เขาสัมผัสได้ถึงภัยอันตรายจริง แต่ไม่ใช่รู้สึกตัวตอนที่ภัยอันตรายคุกคามเข้ามา เป็นการรับรู้ล่วงหน้า
เหยียนเยว่เอ่อร์มองหลัวซิวด้วยความประหลาดใจ นางพบว่าเด็กหนุ่มคนนี้ค่อนข้างลึกลับ มีวิธีการที่แม้แต่นางเองก็ไม่เข้าใจ
ตามหลัก ในขณะที่การรับรู้ของเดินพรสวรรค์สัมผัสได้ถึงอสูรระดับฝึกจิต อสูรฝึกจิตก็จะต้องสัมผัสถึงเขาด้วยเช่นกันถึงจะถูก
เพียงแต่หลัวซิวสิ่งที่หลัวซิวใช้ไม่ใช่การรับรู้ทางวิญญาณของแดนพรสวรรค์ แต่เป็นลูกแก้วความเป็นตายที่รับรู้กลิ่นอายความเป็นตาย การรับรู้แบบนี้จะไม่ถูกคนอื่นสัมผัสหรือพบเห็น
ระหว่างทาง หลัวซิวไม่ได้เกิดการต่อสู้ขึ้นกับอสูรที่อาศัยอยู่ในละแวกนี้แม้แต่ตัวเดียว บางครั้งพบอสูรฝึกจิตทั่วไปที่ตนเองสามารถสยบได้ เขาเองก็จะหลีกเลี่ยงไม่ไปสังหาร เพียงแค่จดจำตำแหน่งที่อยู่ของอสูรพวกนี้เอาไว้
ตามที่เหยียนเยว่เอ่อร์พูด ขอเพียงได้หญ้าคืนวิญญาณมา แม้จะไม่สามารถกลั่นให้มันกลายเป็นยาฟื้นวิญญาณ แต่ก็มีผลต่อแผลแห่งเทพจิต ทำให้พลังส่วนหนึ่งของนางฟื้นฟูกลับมา
ขอเพียงสามารถฟื้นฟูพลังของนางกลับมาได้ส่วนหนึ่ง ก็ไม่จำเป็นต้องกลัวสัตว์อสูรส่วนใหญ่ภายในเขตที่สาม
คนทั้งสองใช้เวลาสามวัน ในที่สุดก็เดินทางมาถึงเขตพื้นที่ตั้งของหญ้าคืนวิญญาณที่ถูกทำสัญลักษณ์ไว้บนภาพปริศนา
“เมื่อก่อนข้าเคยมาแดนนานาอสูร ในพื้นที่เติบโตของหญ้าคืนวิญญาณมีอสูรฝึกจิตขั้นสี่ตั้งถิ่นฐานอยู่หนึ่งตัว”
ที่เหยียนเยว่เอ่อร์พูดเช่นนี้ นางเคยเป็นแข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ ย่อมไม่เห็นหญ้าคืนวิญญาณระดับสี่อยู่ในสายตา ดังนั้นจึงไม่ได้เก็บมันไปด้วย
“ฝึกจิตขั้นสี่ ฆ่าสู้ไม่ได้” หลัวซิวขมวดคิ้ว เป็นเพราะเขารับค่าตอบแทนจึงยอมช่วยเหยียนเยว่เอ่อร์ตามหาหญ้าคืนวิญญาณ แต่เขาก็ไม่ยอมเสี่ยงอันตรายเช่นกัน
“ข้าย่อมไม่มีทางสั่งให้เจ้าไปตายอย่างสูญเปล่า สิ่งที่เจ้าต้องทำคือล่ออสูรตัวนั้นออกไป ข้าจะแอบเข้าไปเก็บหญ้าคืนวิญญาณเอง”
ในขณะที่พูด เหยียนเยว่เอ่อร์นำขวดหยกสีเขียวออกมาจากหน้าอกของตนเอง ส่งไปให้หลัวซิวแล้วพูด “ด้านในเป็นยาระเบิดเทพจิตสามเม็ด ใช้สามเม็ดสามารถทำให้พลังของเจ้าเพิ่มขึ้นสามขั้นเล็กในเวลาครึ่งชั่วโมงยาม ด้วยพลังของเจ้า เพียงพอรับมือกับอสูรตัวนั้น”
ยาระเบิดพลังเทพจิตรเป็นยาเม็ดที่ไร้ระดับชนิดหนึ่ง ไม่ว่าใครก็ตามที่ใช้ ล้วนแต่สามารถเพิ่มพลังสามขั้นเล็กในเวลาครึ่งชั่วยาม
แน่นอน หากผลการฝึกตนอยู่ในระดับสูง ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะลดลง ถ้าหากเป็นผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ อย่างมากก็สามารถเพิ่มพลังได้หนึ่งขั้นเล็ก
ถึงจะเป็นแบบนั้น ยาระเบิดพลังเทพจิตก็ล้ำค่ามาก มันเป็นอาวุธสังหารในสนามรบ
บนขวดหยกมีความอบอุ่นของเหยียนเยว่เอ่อร์แฝงอยู่ เห็นได้ชัดนางพกติดตัวไว้ตลอดเวลา แม้จะมอบแหวนเก็บของให้หลัวซิวแล้ว แต่ของดีที่แท้จริงล้วนแต่อยู่บนตัวของนาง
แต่หลัวซิวก็ไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้ มียาระเบิดเทพจิต เขามั่นใจว่าน่าจะรับมือกับอสูรฝึกจิตขั้นสี่ได้แล้ว
หลัวซิวเป็นคนไม่ชอบพูดไร้สาระ นำยาระเบิดพลังเทพจิตอมไว้ในปาก พุ่งเข้าตรงเข้าไปผืนป่าที่อยู่ตรงหน้า ทิ้งภาพติดตาไว้ตรงตำแหน่งเดิมสายหนึ่ง
“โหง!”
เสียงคำรามที่โกรธเกรี้ยวดังขึ้น ราวกับพายุโหมกระหน่ำหมู่เมฆ ต้นไม้ใหญ่ล้มระเนระนาด คลื่นน้ำทะยานท้องนภา
ภายในผืนป่าแห่งนี้มีทะเลสาบแห่งหนึ่ง อสูรที่มีความยาวสามฟุต บนตัวเต็มไปด้วยเกล็ดสีม่วง มีเขาหนึ่งเขางอกออกมาจากกลางหัวทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
มังกรเจียวเขาเดียวเกล็ดม่วง!
ทันทีที่หลัวซิวเข้าสู่อาณาเขตของมัน อสูรตัวนี้พุ่งออกมาด้วยความโกรธ เล่ากันว่ามังกรเจียวเขาเดียวเกล็ดม่วงมีสายเลือดของมังกรจริงที่แท้จริง หากสามารถพัฒนาไปถึงระดับมงกุฎยุทธ์ขั้นเจ็ด สามารถถอดร่างมังกรเจียวกลายเป็นมังกรของจริง!
ทันทีที่มังกรเจียวเขาเดียวเกล็ดม่วงปรากฏขึ้น สีหน้าของหลัวซิวเปลี่ยนไปทันที
“เหยียนเยว่เอ่อร์ เจ้ากล้าหลอกข้า! ?”
########################
บทที่ 149 การฆ่าไม่มีผิดถูก
เหยียนเยว่เอ่อร์ถอดแหวนโบราณที่อยู่บนนิ้วมือออกมาหนึ่งวง ยื่นส่งให้หลัวซิวโดยตรง
“ภายในแหวนมีกระบี่อ่อนชั้นกลางหนึ่งเล่ม หินพลังจิตชั้นกลางสามหมื่น หินพลังจิตชั้นสูงหนึ่งพัน และมีวรยุทธ์ระดับแปดหนึ่งวิชา!”
นี่เป็นค่าตอบแทนที่เหยียนเยว่เอ่อร์จ่ายเพื่อให้หลัวซิวลงมือ
สมบัติจำนวนนี้มีมูลค่าเกือบเทียบเท่าคลังสมบัติที่หลัวซิวได้มาจากราชายุทธ์ปู้เฉิน!
เห็นได้ชัด เหว้ยหยุนกู่ เหอปาซานและคนอื่นที่อยู่ฝั่งตรงข้ามไม่มีปัญญานำสมบัติจำนวนนี้ออกมา
“ข้าฆ่าคนจำเป็นต้องมีเหตุผล สมบัติจำนวนนี้ก็คือเหตุผลที่ข้าฆ่าคน!”
การฝึกยุทธ์จำเป็นต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมาก การฆ่าเพื่อทรัพยากรเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ทั่วไปในโลกของจอมยุทธ์
ถ้าหากพวกเหว้ยหยุนกู่ไม่ได้เป็นคนประเภทสมควรตาย หลัวซิวย่อมไม่มีทางฆ่าคนที่ไม่ไม่รู้อะไรเลยเพียงเพื่อทรัพยากรความมั่งคั่ง
แต่อยู่บนโลกใบนี้ มีผู้ฝึกยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จคนไหนบ้างไม่เคยมือเปื้อนเลือด?
เหว้ยหยุนกู่เพื่อฝึกวิชามารฆ่าคนทั้งหมู่บ้านสามร้อยกว่าชีวิต เหาปาซานมีกิเลสตัณหาเป็นสันดาน ล่วงประเวณี ปล้นสะดม ไม่เช่นนั้นก็คงไม่มาตกอยู่ในมือของเหยียนเยว่เอ่อร์
และจอมยุทธ์พรสวรรค์คนอื่น บนตัวของทุกคนล้วนแต่รายล้อมด้วยกลิ่นอายที่ชั่วร้าย ไม่รู้มีกี่ชีวิตที่ต้องตายด้วยมือของพวกเขา
แม้กระทั่งหลิวซิวเอง คนที่เขาเคยฆ่ายังน้อยอีกหรือ?
ในเมืองเมืองชิงหยุน เขาฆ่าองครักษ์เกราะเขียวหนึ่งคนหนึ่งกระบี่ไม่รู้มากน้อยเท่าไหร่ อสูรที่เขาเคยฆ่าก็มีนับไม่ถ้วน ในโลกของผู้แข็งแกร่งโลกยุทธ์เป็นเจ้า มือของใครไม่เคยเปื้อนเลือด?
การฆ่าไม่มีถูกผิด มีเพียงจิตใจ!
รับแหวนที่เหยียนเยว่เอ่อร์ส่งมาเก็บ หลัวซิวเงยหน้าขึ้นมองไปทางเหว้ยหยุนกู่และคนอื่น ปลดปล่อยกลิ่นอายแห่งการฆ่าที่บานสะพรั่ง
สีหน้าของเหว้ยหยุนกู่และเหอปาซานเปลี่ยนไปทันที รู้ตัวแล้วว่าทั้งสองคนจำเป็นต้องตัดสินความเป็นความตายกับหลัวซิว
ส่วนจอมยุทธ์พรสวรรค์ทั้งเจ็ดที่อยู่ด้านหลัง ถูกทำลายผลแห่งการฝึกตนไปหมดแล้ว ไม่สามารถเข้าสู่สนามรบ
“อยากฆ่าพวกเขา ยังจำเป็นต้องใช้เลือดพวกเขามาสังเวยค่ายวาร์ปเข้าสู่เขตที่สาม”
เห็นหลิวซิวเตรียมตัวลงมือ เหยียนเยว่เอ่อร์ถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วพูดเตือน
ชายชุดขาวดูแล้วเหมือนนักปราชญ์ ท่าทางสุภาพเรียบร้อยและเป็นมิตร แต่ทันทีที่โบกมือกลับเต็มไปด้วยกลิ่นอายของคาวเลือด ปราณแท้สีแดงสดเหมือนเลือดคน มีพลังกัดกร่อนแฝงอยู่ด้านใน
สิ่งที่เหยียนเยว่เอ่อร์พูดไม่ผิด เห็นได้ชัดเหว้ยหยุนกู่คนนี้ใช้วิธีการบางอย่างกลืนพลังและเลือดเพื่อฝึกวิชามาร
วิชามารแบบนี้เรียกว่าวิชาโลหิตมาร จำเป็นต้องดูดเลือดของมนุษย์ เป็นสิ่งที่เลวร้ายและอันตรายอย่างยิ่ง
ทว่า เมื่ออาคมเลือดเจอกับเพลิงมรณะ กลับเป็นเหมือนหิมะที่ถูกโยนเข้าไปในกองไฟที่ร้อนระอุ ละลายในทันที
หลัวซิวลงมืออย่างไร้ความปราณี ฟันกระบี่ยุทธ์ชั้นกลางออกไป ปราณแท้โลหิตมารไม่สามารถต้านทานแม้แต่นิดเดียว
เสียงดังฉึก เลือดสีแดงสดพุ่งกระฉูด ศีรษะของเหว้นหยุนกู่ลอยกระเด็นออกไปไกล เลือดอุ่นพุ่งพรวดดั่งน้ำพุ
เหว้นหยุนกู่พรสวรรค์ขั้นเจ็ดถูกฆ่าด้วยกระบี่เดียว!
ดาบเร็วของหลัวซิว มีเพียงปรมาจารย์ยุทธ์แดนฝึกจิตอาศัยการสำนึกหนุนเสริม ถึงจะสามารถต้านทาน
และแดนฝึกจิตลงไป นอกเสียจากฝึกวิชาอย่างใดอย่างหนึ่งจนอยู่ในระดับแดนบริบูรณ์ ไม่เช่นนั้นไม่มีใครสามารถต้านทานกระบี่ของเขาได้เกินหนึ่งกระบวนท่า
เห็นเหว้ยหยุนกู่โดนฆ่า ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่เหอปาซานตกใจจนขวัญหาย ปฏิกิริยาแรกของเขาคือหันหลังแล้ววิ่งหนี
แต่ทันทีที่เขาหันหลัง แสงกระบี่สีดำสายหนึ่งพุ่งไปถึงตัวเขา ทะลวงหลังศีรษะของเขาจนทะลุ สมองสาดกระเซ็น
จอมยุทธ์ทั้งเจ็ดที่โดนทำลายผลการฝึกตนรู้สึกเย็นวูบในใจ ส่วนเหยียนเยว่เอ่อร์กลับขมวดคิ้ว เพราะหลัวซิวฆ่าคนพวกนี้ จะนำเลือดไปสังเวยค่ายวาร์ปอย่างไง?
สะบัดคราบเลือดที่ติดอยู่บนกระบี่ยุทธ์ หลัวซิวมองไปทางจอมยุทธ์ทั้งเจ็ดที่โดนทำลายผลการฝึกตน
ในแดนนานาอสูร ไม่มีผลการฝึกตน ถึงหลัวซิวจะไม่ฆ่าพวกเขา คนพวกนี้ก็ยากจะเอาชีวิตรอด
จอมยุทธ์ทั้งเจ็ดไม่กล้าหายใจแรงเลยด้วยซ้ำ เพราะกลัวจะทำให้หลัวซิวเทพแห่งการสังหารคนนี้โกรธ
ไม่มีใครยินดีไปตาย ถึงแม้ไม่มีผลการฝึกตนจะถูกกำหนดไม่สามารถเอาชีวิตรอดในแดนนานาอสูร พวกเขาก็ยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อให้ได้นานที่สุด
“ถึงแม้จะโดนเจ้าฆ่าไปสองคน แต่ใช้คนทั้งเจ็ดมาสังเวยเลือดก็ถือว่าเพียงพอ”
เสียงของเหยียนเยว่เอ่อร์เบาบาง แต่น้ำเสียงกลับเย็นชามาก เพื่อเข้าไปเขตที่สามตามหาหญ้าคืนวิญญาณฟื้นฟูแผลแห่งเทพจิตได้สำเร็จ แม้ต้องใช้วิธีการสังเวยเลือด นางก็จะทำ
หลัวซิวไม่ได้พูดอะไร เพราะเขาเองก็อยากไปล่าอสูรที่เขตสามเพื่อรับลูกแก้วฝึกจิต ตามคำบอกเล่าของเหยียนเยว่เอ่อร์ แม้มีหยกอสูรจันทราคู่อยู่ในมือ หากไม่มีผลการฝึกตนฝึกจิต ก็ไม่สามารถเข้าสู่เขตที่สาม
มีเพียงใช้วิธีการสังเวยโลหิต ถึงจะสามารถชดเชยผลการฝึกตนที่ไม่เพียงพอ
คนพวกนี้ไม่ได้เป็นญาติมิตรสหายกับเขา หลัวซิวย่อมไม่มีทางช่วยคนพวกนี้จนทำให้ตนเองต้องสูญเสียโอกาสที่จะทำให้แดนร่างเนื้อพัฒนาไปอีกขั้น
ภาพปริศนาอยู่ในแหวนเก็บของที่เหยียนเยว่เอ่อร์ให้เขา บันทึกอยู่ในม้วนหยกเล่มหนึ่ง มีของเส้นทางเขตที่หนึ่งถึงเขตที่สามอย่างชัดเจน และรวมไปถึงภาพโดยรวมส่วนหนึ่งของเขตที่สี่
ตามเส้นทางบนภาพปริศนา คนทั้งกลุ่มมุ่งตรงไปพื้นที่สุดทางของเขตที่สอง โดยมี หลัวซิวเป็นผู้นำ
ระหว่างทาง มีอสูรมากมายขวางทาง ในเวลาสั้นๆเพียงสามวัน หลัวซิวฆ่าอสูรไปทั้งหมดเกือบสามร้อยตัว ซึ่งเทียบเท่ากับต้องฆ่าอสูรวันละเกือบหนึ่งร้อยตัว
เนื่องจากการสังหารมากเกินไป ส่งผลให้เมื่อไหร่ที่หลัวซิวปลดปล่อยกลิ่นอายออกมา บนตัวมีแสงสีเลือดจางๆปรากฏขึ้นรายล้อมร่างกาย มันคือกลิ่นอายแห่งการสังหารที่ควบแน่นกลายเป็นกลิ่นอายที่ชั่วร้าย
กลิ่นอายแห่งการสังหารที่ชั่วร้ายมีผลของการสยบ สัตว์อสูรและจอมยุทธ์ทั่วไปภายใต้แรงกดดันของกลิ่นอายสังหาร กลัวตั้งแต่ยังไม่ทันได้สู้
ตลอดการฆ่าระหว่างทาง หลัวซิวได้รับลูกแก้วโลหิตพรสวรรค์หนึ่งร้อยกว่าลูก
ในขณะที่เข้าใกล้พื้นที่สุดทางของเขตที่สองมากขึ้น อสูรที่เจอระหว่างทางก็แข็งแกร่งมากขึ้น แต่ละตัวสามารถเทียบกับพรสวรรค์ขั้นเจ็ดขึ้นไป โดยเฉพาะจ่าฝูงที่แข็งแกร่งบางตัว ถึงขั้นสามารถเทียบกับปรมาจารย์จอมยุทธ์และระดับฝึกจิตครึ่ง
ผลการฝึกตนของจอมยุทธ์ทั้งเจ็ดถูกทำลาย เหยียนเยว่เอ่อร์ไม่สามารถลงมือ อาศัยกำลังของหลัวซิวเพียงคนเดียว เริ่มรู้สึกเหนื่อยทีละนิด
ตอนไปถึงแท่นบูชาโบราณของพื้นที่สุดทางเขตที่สาม สภาพของหลัวซิวผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าฉีกขาด
ท่าทางดูสะบักสะบอม แต่บนตัวกลับมีกลิ่นอายสังหารที่ทำให้ผู้คนรู้สึกสะพรึงกลัวรายล้อม และหลังจากผ่านประสบการณ์การเข่นฆ่าครั้งนี้ พลังของเขาก็กำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เหยียนเยว่เอ่อร์ก็เริ่มเข้าใจความแข็งแกร่งของหลัวซิวมากขึ้น เด็กหนุ่มคนนี้ดูแล้วเหมือนเพิ่งจะมีอายุสิบสี่สิบห้า ด้วยผลการฝึกตนพรสวรรค์ขั้นสาม สามารถพูดได้ว่าศัตรูที่อยู่ระดับฝึกจิตลงไปไม่มีใครเทียบได้ ไม่ต้องพูดถึงสิบตระกูลใหญ่ของประเทศเทียนหวู แม้แต่กลุ่มมหาอำนาจทั้งสามที่มีอิทธิพลสูงสุด ก็ไม่มีทางปลูกฝังอัจฉริยะแบบนี้ออกมาได้แน่นอน
ในละแวกใกล้เคียงแท่นบูชาค่ายวาร์ปของเขตที่สอง ไม่มีอสูรแต่อย่างใดมาอาศัยอยู่ที่นี่ ด้วยแท่นบูชาโบราณเป็นจุดศูนย์กลาง ในรัศมีพื้นที่สิบลี้จึงเป็นพื้นที่ปลอดภัย
ก่อนเข้าสู่เขตที่สาม หลัวซิวเตรียมตัวกลืนกินลูกแก้วโลหิตเพิ่มระดับแดนร่างเนื้อที่นี่ อย่างไรก็ตาม ยิ่งเขาแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ ความมั่นใจในการเอาชีวิตรอดในเขตที่สามก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
ในเมื่อเขารับแหวนของเหยียนเยว่เอ่อร์และในเมื่อได้ลงมือช่วยเหลือแล้ว ก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด หลังจากเข้าสู่เขตที่สาม ช่วยนางตามหาหญ้าคืนวิญญาณต่อ
หยิบแหวนของเหยียนเยว่เอ่อร์ออกมา การรับรู้แทรกซึมเข้าไปด้านใน ทันทีที่เคลื่อนไหวทางจิต มีหินพลังจิตชั้นกลางนับร้อยก้อนกระจายออกมาโดยรอบ
หลังจากนั้น หลัวซิวหยิบผังค่ายระดับห้าออกมา เมื่อเป็นแบบนี้ก็จะสามารถดูดซับพลังของหินพลังจิตและพัฒนาผลการฝึกตนได้เร็วขึ้น
ในขณะที่โคจรวิชาดูดซับพลังจิตเพื่อฝึกตน หลัวซิวหยิบม้วนหยกออกมา สิ่งที่บันทึกอยู่ในม้วนหยก มันคือวรยุทธ์ระดับแปดที่เหยียนเยว่เอ่อร์พูดถึง
การรับรู้แทรกซึมเข้าไปในม้วนหยก เคล็ดวิชายุทธ์ที่ถูกบันทึกไว้ด้านในหลั่งไหลเข้ามาในหัวสมองอย่างต่อเนื่อง
########################
บทที่ 148 ทางเลือก
เรือนร่างที่สมบูรณ์แบบอยู่ต่อหน้าเช่นนี้ ภายในใจของหลัวซิวเองก็เริ่มเกิดความคิดที่แปลกประหลาด เขานึกถึงตอนที่รักษาโรคชีพจรขาดธาตุไฟของลู่เมิ่งเหยาอย่างกะทันหัน มันก็เป็นภาพแบบนี้ไม่ใช่เหรอ?
เมื่อเห็นหลัวซิวกำลังนึกถึงเรื่องราวในอดีตแล้วถอนหายใจ เหยียนเยว่เอ่อร์ก็พอจะคาดเดาได้ว่าเขาคิดถึงเรื่องอะไรในอดีต
เรือนร่างถูกมองจนหมดแล้ว เหยียนเยว่เอ่อร์ไม่ได้รู้สึกเขินอายจนทำอะไรไม่ถูกเหมือนกับผู้หญิงทั่วไป นางรับเสื้อมาจากมือของหลัวซิวอย่างนิ่งสงบ หลังจากนั้นสวมเสื้อผ้าของเขาโดยตรง และไม่ได้ขอให้เขาหันหลังไป
แต่ทว่าหลิวซิวกลับรู้ ผู้หญิงที่ดูเหมือนจะเข้มแข็งคนนี้ ตอนที่นางกำลังหมดสติได้แสดงด้านอ่อนแอที่อยู่ในส่วนลึกของหัวใจออกมา
“ขอบคุณที่ช่วยข้า” หลังจากสวมเสื้อผ้าเรียบร้อย คนทั้งสองนั่งหันหน้าเข้าหากันภายในถ้ำ เหยียนเยว่เอ่อร์พูดขอบคุณหลัวซิว
“เจ้าคงจะไม่ตอบแทนบุญคุณด้วยความแค้นหรอกมั้ง?” หลัวซิวยิ้มแล้วพูดติดตลก บรรยากาศที่น่าอึดอัดเริ่มผ่อนคลายลงเล็กน้อย
เหยี่ยนเยว่เอ่อร์มองหลัวซิว ริมฝีปากสีแดงกระตุกขึ้นเล็กน้อย ดวงตาที่สวยงามแฝงไปด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อเจ้ากลัวข้าจะลงมือกับเจ้า แล้วเหตุใดต้องช่วยข้า?”
จากการฝึกฝนอย่างหนักมายาวนานสามร้อยปี น้อยครั้งที่นางจะใกล้ชิดกับคนนอก จิตใจที่สงบนิ่งเหมือนน้ำในก้นบ่อเริ่มเกิดคลื่น
หลัวซิวไม่ได้บอกว่าเป็นเพราะความอ่อนแอที่นางแสดงออกมาจากภายในใจ ทำให้เขาเกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ
ความอ่อนแอของผู้หญิงคนนี้ราวกับถูกเก็บเป็นความลับไว้ในส่วนลึกของหัวใจ
ในตอนนั้นเอง สายตาของหลัวซิวเย็นชาลง เงยหน้าขึ้นมองไปทางด้านนอกของถ้ำ
ภายใต้ประสาทสัมผัสของเขา มีกลิ่นอายของจอมยุทธ์มนุษย์หลายคนกำลังเข้าใกล้สถานที่แห่งนี้อย่างต่อเนื่อง
เห็นปฏิกิริยาของหลัวซิว เหยียนเยว่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น นางไม่สามารถใช้การสำนึก ย่อมไม่สามารถรับรู้มีคนกำลังเข้าใกล้
“มีคนมาแล้ว” หลัวซิวพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม
หลังจากได้ยิน สีหน้าของเหยียนเยว่เอ่อร์เปลี่ยนไปเล็กน้อย “เป็นเหว้ยหยุนกู่และเหอปาซาน”
เห็นหลัวซิวแสดงสีหน้าที่สงสัย เหยียนเยว่เอ่อร์พูดอธิบาย “พวกเขาสองคนโดนข้าปลูกกฎห้ามเหว้ย น่าจะตามปฏิกิริยาของกฎห้ามเหว้ยมา พวกเขาสัมผัสได้ถึงเทพจิตของข้าได้รับความเสียหาย สูญเสียการควบคุมกฎห้ามเหว้ย ดังนั้นจึงตามหาที่นี่จนพบ”
หลังจากได้ยินคำว่ากฎห้ามเหว้ย สีหน้าของหลัวซิวเปลี่ยนไปเล็กน้อย เพราะเมื่อไหร่ที่ถูกลงกฎห้ามเหว้ย ความเป็นตายก็จะอยู่ในการควบคุมของคนอื่น กลายเป็นทาสรับใช้
คนทั้งสองลุกขึ้นยืนเดินออกจากถ้ำ
แอ่งน้ำด้านข้างของน้ำตก หลัวซิวมองไปด้วยความสงสัย เห็นชายฉกรรจ์ร่างใหญ่และผู้ชายสวมชุดสีขาว และคนที่ถูกมัดรวมกันเจ็ดคน
ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ก็คือเหอปาซาน ส่วนชายชุดสีขาวคือเหว้ยหยุนกู่
เป็นเหมือนกับที่เหยียนเยว่เอ่อร์พูด พวกเขาสัมผัสได้ถึงกฎห้ามเหว้ยที่สูญเสียการควบคุมในทะเลแห่งการสำนึก โดยทั่วไปแล้วมันหมายความว่าเหยียนเยว่เอ่อร์ตายแล้วหรือไม่ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส และไม่สามารถใช้แม้กระทั่งการสำนึก
ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์แบบไหน สำหรับพวกเขาสองคนแล้ว ล้วนแต่เป็นโอกาสที่เหมาะที่สุดสำหรับการปลดกฎห้ามเหว้ย
และตอนนี้เห็นเหยียนเยว่เอ่อร์เดินออกมาจากถ้ำ ในเมื่อนางไม่ตาย เห็นได้ชัดว่าต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสแน่นอน จึงสูญเสียการควบคุมกฎห้ามเหว้ย
บนใบหน้าของเหอปาซานเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่น่ากลัว “นางหนู ตอนที่เจ้าปลูกกฎห้ามเหว้ยใส่ข้า เคยคิดหรือไม่ว่ามันจะมีวันนี้?”
ส่วนเหว้ยหยุนกู่ชายชุดขาวสายตาของเขากำลังจ้องหลัวซิวที่อยู่ด้านข้างของเหยียนเยว่เอ่อร์ เหยียนเยว่เอ่อร์สูญเสียแม้กระทั่งการควบคุมกฎห้ามเหว้ย เห็นได้ชัดว่าได้รับบาดเจ็บสาหัสจนไม่ต้องกังวลแล้ว แต่เด็กหนุ่มที่อ้างตนว่าชื่อหลิวซิว กลับเป็นศัตรูตัวฉกาจอย่างไม่ต้องสงสัย
เขาจำได้อย่างชัดเจน หวงหยวนซานที่มีระดับการฝึกฝนดินแดนพรสวรรค์ขั้นแปดโดนเขาฆ่าด้วยกระบี่เดียว!
“คุณชายหลัวซิว ผู้น้อยเหว้ยหยุนกู่”
ผู้ชายชุดสีขาวยกมือขึ้นประสานคารวะให้กับหลิวซิวแล้วพูด “ข้าโดนลงกฎห้ามเหว้ย ความเป็นตายไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวเอง ขอเพียงคุณชายหลัวซิวส่งผู้หญิงที่อยู่ข้างกายให้ข้า ข้าจะจดจำบุญคุณของคุณชายไว้แน่นอน”
ท่าทีของเหว้ยหยุนกู่คนนี้สุภาพเป็นมิตร เห็นได้ชัดไม่ต้องการสร้างความสัมพันธ์ที่เลวร้ายกับหลัวซิว
เหยียนเยว่เอ่อร์ส่งเสียงฮึ่มอย่างเย็นชา ชี้เหว้ยหยุนกู่แล้วพูดกับหลัวชิว “เจ้าเห็นท่าทีของคนผู้นี้สุภาพเป็นมิตร เป็นเพราะหวั่นเกรงในพลังของเจ้า แต่หากเจ้าได้รู้ว่าคนผู้นี้เพื่อฝึกวิชามาร ถึงขั้นสังหารชาวบ้านของหมู่บ้านแห่งหนึ่งไปสามร้อยกว่าชีวิต เจ้าจะไม่คิดเช่นนี้”
หลังจากนั้น เหยียนเยว่เอ่อร์ชี้ไปที่เหอปาซานชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ “คนผู้นี้มีกิเลสตัณหาเป็นสันดาน ล่วงประเวณี ปล้นสะดม เคยมีความคิดที่ชั่วร้ายกับตัวข้า เหตุนี้จึงโดนข้าปลูกกฎห้ามเหว้ย ควบคุมชีวิตของเขา”
“หากไม่ได้เป็นเพราะเพื่อสังเวยเลือดเปิดแท่นบูชาค่ายวาร์ปของแดนนานาอสูร ข้าไม่มีทางไว้ชีวิตพวกเขาอย่างแน่นอน”
“ฮึ่ม พวกเราไม่ใช่คนดี แล้วผู้หญิงอย่างเจ้าเป็นคนดีเหรอ? เจ้าพาพวกเรามาถึงแดนนานาอสูร ทั้งหมดก็เพื่อฆ่าพวกเรา ใช้พลังและเลือดของจอมยุทธ์สังเวยค่ายกล แล้วจิตใจของเจ้าอำมหิตเพียงใด?” เหว้ยหยุนกู่พูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
เหยียนเยว่เอ่อร์ไม่คิดแบบนั้น พูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย “ที่ผ่านมาข้าสังหารคนล้วนมีหลักการ อย่างเช่นขยะอย่างพวกเจ้าก็สมควรตายแต่แรก ใช้เลือดของพวกเจ้าเป็นเครื่องสังเวยแล้วมันอย่างไร?”
ขณะที่พูด เหยียนเยว่เอ่อร์มองไปทางหลัวซิว “ไม่ว่าจะเป็นทั้งทาสร้อยคนหรือเหว้ยหยุนกู่ เหอปาซานและรวมไปถึงจอมยุทธ์พรสวรรค์ที่ถูกข้าพาเข้ามาในแดนนานาอสูร ล้วนแต่เป็นบุคคลที่เคยก่อกรรมทำเข็ญมานับไม่ถ้วน คนเช่นนี้ปล่อยไว้ก็มีแต่จะสร้างความเดือดร้อน!”
ที่นางพูดคำพูดเหล่านี้กับหลัวซิว อันที่จริงแล้วก็เป็นเพราะว่าไม่อยากให้หลัวซิวคิดว่าตนเองเป็นพวกผู้หญิงจิตใจอำมหิต
“ผู้หญิงอำมหิตอย่างเจ้าใช้เลือดสังเวยค่ายกล เจ้ายังมีเหตุผลอีกหรือ?”
“คุณชายหลัวซิวอยากฟังคำพูดเหลวไหลของนาง ระวังโดนอาคมของนาง ชีวิตตกอยู่ในความเสี่ยง!”
จอมยุทธ์พรสวรรค์ทั้งเจ็ดคนที่โดนทำลายผลการฝึกตนก็ตะโกนพูดด้วยความโกรธ
คนพวกนี้ เจ้าพูดคำข้าพูดคำ หลัวซิวกลับไม่รู้สึกหวั่นไหวแม้แต่นิดเดียว
ถูกหรือผิดเรื่องมันไม่เกี่ยวกับข้า!
แม้เขาจะลงมือช่วยเหลือเหยียนเยว่เอ่อร์ แต่บุญคุณความแค้นของเหยียนเยว่เอ่อร์และเหว้ยหยุนกู่รวมไปถึงคนอื่นไม่เกี่ยวข้องกับเขา!
เขาไม่จำเป็นต้องปกป้องผู้หญิงคนนี้ ยิ่งไปกว่านั้นนางยังเคยคิดฆ่าเขาเพื่อแย่งชิงหยกอสูร
สังเกตเห็นหลัวซิวคนนี้ไม่มีท่าทีหวั่นไหว เห็นได้ชัดเหยียนเยว่เอ่อร์ก็คาดคิดไม่ถึงว่าจิตใจของเขาจะหนักแน่นขนาดนี้ ไม่ได้รับผลกระทบต่อคนนอกแม้แต่นิดเดียว
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหลัวซิวคนนี้มีหลักการของตัวเอง อาศัยเพียงลมปาก ไม่สามารถทำให้เขายื่นมือเข้ามาช่วยนางรับมือกับเหว้ยหยุนกู่และเหอปาซาน
“หากต้องการเข้าเขตที่สาม แม้มีหยกอสูรจันทราคู่ก็จำเป็นต้องใช้พลังและเลือดของจอมยุทธ์มาสังเวย เจ้าช่วยข้าลงมือหนึ่งครั้ง ข้าจะบอกความลับที่เกี่ยวข้องกับแดนนานาอสูรให้เจ้า!” เหยียนเยว่เอ่อร์พูดเช่นนี้
“คุณชายหลัวซิวอย่าเชื่อคำพูดของผู้หญิงคนนี้ แม้นางจะได้รับบาดเจ็บ กลับสามารถใช้การสำนึกปลูกกฎห้ามเหว้ย ความแข็งแกร่งของนางต้องเป็นผู้แข็งแกร่งระดับปรมาจารย์ฝึกจิตขึ้นไปอย่างแน่นอน หากใช้พลังและเลือดของนางมาสังเวย ผลลัพธ์ที่ได้ย่อมต้องดีกว่าพวกข้า” เหว้ยหยุนกู่พูด
ตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นเขาหรือเหยียนเยว่เอ่อร์ ล้วนแต่ต้องพยายามดึงหลัวซิวมาอยู่ฝั่งของตนเอง
“ใช้เลือดของพวกเขาทั้งเก้าสังเวยก็เพียงพอ ขอเพียงเจ้าพาข้าเข้าไปในเขตที่สาม ข้าพร้อมจะบอกความลับให้เจ้า ผลประโยชน์ที่เจ้าได้รับไม่สามารถประเมิน”
“คุณชายหลัวซิว ผู้หญิงคนนี้มีจิตใจที่โหดเหี้ยมอำมหิต หากเจ้าเชื่อนาง เมื่อไหร่ที่พลังของนางฟื้นฟูกลับมา ต้องฆ่าเจ้าเป็นคนแรกอย่างแน่นอน”
ทั้งสองฝ่ายโต้แย้ง หลัวซิวยังคงไม่รู้สึกหวั่นไหว
ในโลกของผู้แข็งแกร่งเป็นเจ้า ผู้คนทั่วใต้หล้าทำเพื่อผลประโยชน์ หลัวซิวก็ไม่มีข้อยกเว้น
########################
บทที่ 147 เหยียนเยว่เอ่อร์หรือ
น้ำตกสูงชันร้อยฟุตที่พลุ่งพล่าน หลิวซัวตักน้ำขึ้นมาดื่มสองสามอึกที่แอ่งน้ำด้านล่างของน้ำตก
ทันใดนั้น รูม่านตาของเขาหดเล็กลงเล็กน้อย สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายชีวิตที่อ่อนมากสายหนึ่ง
แม้กลิ่นอายสายนี้จะอ่อนมาก แต่กลับรู้สึกคุ้นเคย
กวาดสายตามองโดยรอบ ไม่นานสายตาของหลัวซิวก็จับจ้องไปที่ถ้ำลับแห่งหนึ่งที่อยู่ข้างแอ่งน้ำของน้ำตก
ผ่านไปสักพัก หลัวซิวเดินมาถึงภายในถ้ำ หรี่สายตาลงเล็กน้อย
เห็นเพียงผู้หญิงผมสีแดงคนหนึ่งนอนอยู่บนพื้นภายในถ้ำ ราวกับหมดสติ สีหน้าซีดขาว ดวงตาทั้งคู่ปิดสนิท กลิ่นอายชีวิตอ่อน ราวกับพร้อมที่จะตายทุกเมื่อ
หลัวซิวขมวดคิ้ว ถึงแม้จะโดนฝ่ามือตราแห่งความเป็นตาย แต่ด้วยความสามารถของเหยียนเยว่เอ่อไม่ควรสาหัสถึงขั้นนี้ถึงจะถูก
เขาไม่ได้สงสัยว่าเหยียนเยว่เอ่อร์คนนี้แกล้งหมดสติ เพราะลูกแก้วความเป็นตายไม่มีทางสัมผัสกลิ่นอายชีวิตผิด
“ท่านแม่…”
เหยียนเยว่เอ่อร์ที่หมดสติพูดละเมอออกมาอย่างกะทันหัน คิ้วของนางขมวดแน่น ท่าทางอ่อนแอไร้ที่พึ่ง ทำให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะคิดสงสาร
หลัวซิวก้าวเท้าเดินเข้าไป เหยียนเยว่เอ่อร์ยังคงไม่รู้สึกตัว
ภายใต้สถานการณ์ที่อยู่ใกล้ หลัวซิวตรวจสอบด้วยการรับรู้พลังชีวิต พบว่าอาการบาดเจ็บบนตัวของเหยียนเยว่เอ่อร์หนักมาก มันมีสัญญาณของร่างเนื้อกำลังจะพังทลาย
และต้นตอของอาการบาดเจ็บพวกนี้ มันเป็นเพราะตัวหยั่งรู้ในดวงวิญญาณนางได้รับความเสียหาย!
เมื่อการรับรู้ของหลัวซิวสำรวจไปถึงตัวหยั่งรู้ในดวงวิญญาณของนาง เขาสัมผัสได้ถึงแรงกดดันของการสำนึกที่แรงกล้าสายหนึ่ง แม้มันจะอ่อนมาก แต่กลับมีความน่าเกรงขามของจักรพรรดิปกครองทั่วใต้หล้าที่ไม่สามารถคาดเดา
ความรู้สึกแบบนี้ หลัวซิวก็เคยสัมผัสถึงตอนโดนซูจิ้งหยุนยึดร่างในหุบเขากุ่ยอิน
“หรือว่าเหยียนเยว่เอ่อร์คนนี้เป็นผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ เป็นเพราะเทพจิตได้รับความเสียหายอย่างหนักจึงส่งผลให้ผลการฝึกตกลง?” หลัวซิวคาดเดา เมื่อเป็นแบบนี้ก็สามารถอธิบายได้ว่าทำไมนางถึงมีการสำนึกและครอบครองห้วงยุทธ์
แต่ไม่ว่ายังไง เหยียนเยว่เอ่อร์คนนี้แม้จะดูเหมือนอ่อนแอ แต่ในความเป็นจริงจิตใจของนางโหดเหี้ยม เพื่อที่จะเปิดแดนลับถึงขั้นยอมสังเวยเลือดของคนนับร้อย เพื่อต้องการแย่งหยกอสูร ถึงขั้นเคยลงมือคิดจะฆ่าเขา
แต่ทว่า เดิมทีนี่ก็เป็นโลกที่ผู้แข็งแกร่งเป็นเจ้า ผู้อ่อนแอเป็นมด ผู้ฝึกยุทธ์คนไหนบ้างที่ไม่มีจิตใจเยือกเย็นอำมหิต?
“ท่านแม่…เยว่เอ่อร์จะต้องแก้แค้นให้ท่าน! ……” เหยียนเยว่เอ่อที่กำลังหมดสติพูดละเมออีกครั้ง
“นางเป็นผู้หญิงที่มีอดีต”
ภายนอกแข็งแกร่ง ภายในอ่อนแอ เหยียนเยว่เอ่อในตอนนี้ทำให้หลัวซิวเกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจอย่างช่วยไม่ได้
หลัวซิวขมวดคิ้ว สภาพจิตใจแบบนี้ไม่เหมาะกับโลกใบนี้ อย่างเช่นคนของตระกูลกงซุนพวกนั้น ทั้งหมดเป็นเพราะเขาเกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ สุดท้ายเกือบจะโดนคนพวกนั้นลอบฆ่า
“โฮง!”
เสียงอสูรคำรามดังมาจากนอกถ้ำอย่างกะทันหัน มีอสูรหลายตัวพุ่งเข้ามา แต่ละตัวแยกเขี้ยวที่น่ากลัว ดวงตาที่ดุร้ายแดงก่ำ
แววตาของหลัวซิวเย็นชาลง ชี้นิ้วออกไป ปราณกระบี่เปลวเพลิงสีดำควบแน่น สังหารพวกอสูรที่ที่พุ่งเข้ามาก่อนหลายตัวตายทันที
ในบรรดาอสูรสี่ตัว มีอสูรเพียงตัวเดียวที่กลายเป็นลูกแก้วโลหิต
กลิ่นคาวเลือดที่อบอุ่นลอยคลุ้ง อีกไม่นานจะดึงดูดอสูรมากกว่านี้มาที่นี่
“ช่างเถอะ ข้าจะขอเป็นคนดีอีกครั้งก็แล้วกัน”
แม้จะรู้ว่าการเห็นอกเห็นใจเป็นสิ่งต้องห้าม แต่ท้ายที่สุดหลัวซิวเป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุสิบสี่ปี ภายในใจยังคงมีร่องรอยของความเมตตา
หลังจากดีดเพลิงมรณะหลายลูกออกเผาซากของอสูรสามตัวกลายเป็นเถ้าถ่าน จากนั้นยกแขนขึ้น ปราณแท้พุ่งออกไปกวาดต้อนกลิ่นคาวเลือดที่อยู่ภายในถ้ำหายไปกับอากาศ
หลังจากนั้นหลัวซิวหยิบผังค่ายออกมาวางไว้ตรงทางเข้าของถ้ำ
นั่งขัดสมาธิลงที่ด้านข้างของเหยียนเยว่เอ่อร์ หลังจากที่ผ่านการสำรวจอาการบาดเจ็บ หลัวซิวรู้ซึ้งถึงความสามารถของตัวเอง เขายังไม่สามารถรักษาแผลแห่งเทพจิต
แต่เขาสามารถใช้วิธีการซ่อมแซมเส้นชีวิต ทำให้ร่างเนื้อที่กำลังจะพังทลายของนางคงที่ เพื่อระงับอาการบาดเจ็บและแพร่กระจายของเทพจิต
ประคองเหยียนเยว่เอ่อร์ที่หมดสติลุกขึ้น ฝ่ามือทั้งสองข้างของหลัวซิวประทับลงบนแผ่นหลังของเหยียนเยว่เอ่อร์ พลังแห่งความเป็นตายสองระดับกลายเป็นพลังชีวิตภายในร่างกาย ไหลผ่านฝ่ามือทั้งสองข้างเข้าไปในร่างกายเหยียนเยว่เอ่อร์ เริ่มทำการซ่อมแซมเส้นชีวิตที่กำลังจะพังทลายในร่างกายของนาง
……
ในขณะที่กำลังหมดสติ จิตสำนึกของเหยียนเยว่เอ่อร์จมอยู่ในโลกที่ว่างเปล่าและมืดมิดแห่งหนึ่ง
หลังจากที่ต่อสู้กับเด็กหนุ่มที่เรียกตัวเองว่า‘หลัวซิว’ นางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าด้วยความสามารถของนางในตอนนี้ จะโดนเด็กหนุ่มแดนพรสวรรค์ขั้นสามคนหนึ่งโจมตีจนได้รับบาดเจ็บ
ดูจากภายนอกก็เหมือนไม่ได้สาหัสอะไรมากมาย แต่มันกลับไปกระตุ้นโดนแผลแห่งจิตเทพที่ระงับอาการเอาไว้ ภายใต้สถานการณ์ที่ปะทุขึ้นอย่างเต็มกำลัง ทำให้ทะเลแห่งการสำนึกของนางแทบจะพังทลาย เมื่อร่างเนื้อไม่มีจิตเทพที่แข็งแกร่งคอยสนับสนุนก็แทบจะพังทลายลงเช่นกัน
นางรู้สึกว่าตัวเองอยู่ในความฝันที่ยาวนานมาก ฝันเห็นภาพตอนเด็กขณะที่เห็นแม่ของตัวเองโดนคนอื่นฆ่าต่อหน้าต่อตา หลังจากนั้นฝันเห็นตอนที่ตัวเองกำลังฝึกฝนอย่างหนักทั้งหมดก็เพื่อวันหนึ่งจะสามารถแก้แค้นให้กับแม่ด้วยมือตัวเอง
ในเวลาสามร้อยปี ในที่สุดนางก็สามารถฝึกฝนมาจนถึงระดับแดนจักรพรรดิ์ยุทธ์ ติดหนึ่งในสิบจักรพรรดิยุทธ์ของประเทศเทียนหวู!
ถึงจะเป็นแบบนั้น นางยังคงไม่มีกำลังพอที่จะแก้แค้น และตระกูลของนางก็คิดอยากให้นางแต่งงานกับลูกชายของศัตรู!
ชั่วขณะหนึ่ง นางรู้สึกเหมือนฝันเห็นตัวเองนอนอยู่ในอ้อมกอดของแม่ นั่นเป็นช่วงเวลาของความอบอุ่นและความสุขเพียงน้อยนิดในช่วงชีวิตสามร้อยปีของนาง
ในขณะที่ไม่รู้สึกตัว จิตสำนึกของนางเริ่มตื่นขึ้นทีละนิด พลังที่สูญเสียไปราวกับกำลังกลับมาทีละนิด……
“ข้าต้องตื่นขึ้นมา ข้าต้องแก้แค้น!” ภายในจิตใจของนางราวกับกำลังส่งเสียงคำรามอย่างบ้าคลั่ง
เพื่อที่จะรักษาอาการบาดเจ็บให้เหยียนเยว่เอ่อร์ หลัวซิวเผาผลาญผลการฝึกไปจำนวนมาก
เขาไม่กล้าผลาญผลการฝึกจนหมด ไม่อย่างนั้นเมื่อไหร่ที่ผู้หญิงคนนี้ตื่นขึ้นมา ถ้าหากนางมีเจตนาที่คิดจะฆ่าเขา เกรงว่าเขาคงไม่มีพลังที่จะโต้ตอบ
ดังนั้น ทุกครั้งที่ผลการฝึกเผาผลาญไปถึงครึ่ง หลัวซิวจะนำหินพลังจิตออกมาจากแหวนเก็บของเพื่อฟื้นฟูผลการฝึกตน
โชคดีที่เขาขายกระบี่ยุทธ์และวิชาระดับล่างไปจนหมด ทำให้เขามีหินพลังจิตอยู่ในมือจำนวนมาก
การรักษาครั้งนี้ดำเนินไปถึงเจ็ดวันเต็ม ในที่สุดหลิวซิวก็สามารถฟื้นฟูเส้นชีวิตที่กำลังจะพังทลายของเหยียนเยว่เอ่อร์เสร็จสมบูรณ์ สามารถทำให้อาการคงที่ได้ชั่วคราว การปะทุของแผลแห่งจิตเทพก็คงที่ชั่วคราว
แต่นางจะลงมือสู้กับคนอื่นไม่ได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นแผลแห่งจิตเทพของนางก็จะปะทุอีกครั้ง
จิตสำนึกที่กำลังหลับใหลเริ่มฟื้นฟูกลับมา กลิ่นอายเปลวเพลิงที่ร้อนระอุกำลังเพิ่มขึ้นในร่างกายของเหยียนเยว่เอ่อร์
“บูม!”
เปลวไฟปราณแท้โหมกระหน่ำบนร่างกายของนาง ชุดยุทธ์รัดรูปถูกเผาไหม้กลายเป็นเถ้าธุลีในพริบตาเดียว ผิวขาวเรียวราวกับหยก เปิดเผยต่อหน้าหลัวซิว
ในขณะเดียวกัน เหยียนเยว่เอ่อร์ลืมตาที่ปิดสนิทขึ้นทันที
วินาทีที่ตื่นขึ้น การสำนึกของนางแผ่ขยายออกเป็นวงกว้าง สัมผัสได้ถึงหลัวซิวที่อยู่ด้านหลังของตัวเอง ในขณะเดียวกันก็รู้ ที่นางสามารถฟื้นขึ้นมาได้เพราะได้รับการช่วยเหลือจากคนคนนี้
เพียงแต่ทันทีที่นางเริ่มใช้กันสำนึก รู้สึกปวดหัวอย่างรุนแรง ทะเลแห่งการสำนึกแทบจะพังทลาย ส่งเสียงครวญครางออกมาเล็กน้อย รีบดึงการสำนึกที่กระจายออกไปกลับมาทันที
ทันทีที่เหยียนเยว่เอ่อร์ตื่นขึ้น หลัวซิวเองก็รีบถอยหลังแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย “แผลแห่งเทพจิตของเจ้าคงที่ชั่วคราว ถ้าหากเจ้าใช้การสำนึกอีก เมื่อไหร่ที่ทะเลแห่งการสำนึกพังทลาย ข้าไม่สามารถช่วยเจ้าเป็นครั้งที่สองแล้ว”
หลังจากได้ยินคำพูดประโยคนี้ เหยียนเยว่เอ่อร์ขมวดคิ้ว ในขณะเดียวกันก็พบว่าเรือนร่างของตัวเองไม่มีอะไรปิดบังแม้แต่ชิ้นเดียว ในแววตาเริ่มปรากฏให้เห็นความเขินอาย
หุ่นของนางโค้งเว้านูนได้สัดส่วน ผิวขาวเนียนราวกับหยก สามารถเรียกได้ว่าเป็นความงามอันไร้ที่ติที่ผู้ชายนับไม่ถ้วนต่างฝ่ายหา วินาทีนี้ เป็นครั้งแรกที่โดนผู้ชายเห็นหมดทุกอย่าง
ในแหวนเก็บของก็มีพวกเครื่องนุ่งห่ม แต่ตอนนี้กลับไม่สามารถใช้ปราณแท้การสำนึก จึงไม่สามารถนำออกมาได้
ในขณะที่นางไม่รู้ว่าควรจะทำยังไง หลัวซิวนำเสื้อผ้าชุดหนึ่งออกมาส่งให้นาง “นี่เป็นเสื้อผ้าของข้า เจ้าเอาไปใส่ก่อนเถอะ”
เมื่ออยู่ในร่างที่เปลือยเปล่า ภายในจิตใจสามร้อยปีของเหยียนเยว่เอ่อร์เกิดความรู้สึกวุ่นวาย
########################
บทที่ 146 เหนือคนยังมีคน เหนือฟ้ายังมีฟ้า
พลังแปรเสวียนเทียนสามเท่าทำให้ร่างกายได้รับภาระมากขึ้น โชคดีที่หลัวซิวฝ่าทะลวงร่างยุทธ์ชั้นสูงได้สำเร็จ หรือว่าสามารถแบกรับการสะท้อนกลับของวิชายิ่งเลิศ
โคจรวิชาลับ ออร่าบนร่างกายของหลัวซิวเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่เปลี่ยนแปลงไปบนร่างกายของเขา เหยียนเยว่เอ่อร์ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามขมวดคิ้ว
เนื่องจากต้องระงับอาการบาดเจ็บของเทพจิต พลังที่นางสามารถใช้จึงมีไม่มาก ดังนั้นนางจึงพยายามไม่เคลื่อนไหว เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้อาการบาดเจ็บของเทพจิตแย่ลง
“วิชาเงาเศษสิบช่อง!”
หลัวซิวเคลื่อนไหว เงาภาพติดตาเก้าสายปรากฏ ยากต่อการระบุร่างจริง
เขาถือกระบี่ไว้ในมือ พริบตาเดียวไปปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเหยียนเยว่เอ่อร์ ไฟสีขาวดำลุกโชนขึ้นบนกระบี่ เหมือนแสงแห่งหยินหยางเป็นตาย แทงตรงไปที่กลางหว่างคิ้วของเหยียนเยว่เอ่อร์
แสงเหนือ!
กระบวนท่านี้เป็นสุดยอดกระบวนท่าหนึ่งวิชากระบี่แสงเหนือ!
กระบวนท่านี้ของหลัวซิวเร็วจนถึงขีดสุด ภายใต้พลังที่เพิ่มขึ้นสามเท่า สิ่งที่ทำให้เขาตกใจยิ่งกว่านั้นก็คือพลังที่เพิ่มขึ้นไม่ใช่สามเท่าตามปกติ แต่เป็นการเพิ่มสามเท่าอีกครั้งบนพื้นฐานของพลังสองเท่า รวมทั้งหมดเป็นพลังหกเท่า!
เผชิญหน้ากับกระบวนท่านี้ แม้แต่เหยียนเยว่เอ่อร์ก็สัมผัสได้ถึงภัยอันตรายสายหนึ่ง
เห็นเพียงนางเรียกกระบี่อ่อนที่บางยาวเล่มหนึ่งออกมาจากแหวนเก็บของ ภายใต้คมกระบี่ที่สั่นไหวเกร็งตรงทันที และมีเปลวไฟลุกโชนขึ้น
กระบวนท่าที่แฝงไปด้วยเปลวไฟแห่งห้วงยุทธ์พุ่งออกไป แม้จะเป็นฝึกจิตขั้นสองก็ยากที่จะต้านทาน
หลัวซิวย่อมไม่กลัว นี่เป็นกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาในปัจจุบัน ด้วยพลังแปรเสวียนเทียนที่เพิ่มขึ้นหกเท่า หลอมรวมปราณเป็นตายสองระดับกลายเป็นเปลวไฟ ถ้าหากยังไม่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ของเหยียนเยว่เอ่อร์ นั่นคงเป็นสิ่งที่โชคชะตาของเขาถูกกำหนด
ติง!
ประกายไฟสาดกระเซ็นสี่ทิศ กระบี่ที่แหลมคมปลดปล่อยปราณกระบี่ไปทั่วสารทิศ ทำให้พื้นที่อยู่โดยรอบทุกทะลวงเป็นหลุมบ่อ
กลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวราวสามารถทำลายทุกสรรพสิ่งถูกส่งผ่านเข้าไปในร่างกายของหลัวซิว พลังสายนี้แฝงไปด้วยห้วงยุทธ์ ถึงจะเป็นปราณแท้ของปราณเป็นตายสองระดับก็ยากจะสลาย ทันใดนั้นกระอักเลือดสีแดงสดออกมา
ทว่าเหยียนเยว่เอ่อร์ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็ไม่ดีไปกว่าเท่าไหร่ หลัวซิวอาศัยภายใต้สถานการณ์ที่พลังเพิ่มขึ้นหกเท่า กระบี่อ่อนของนางโดยกระบี่ยุทธ์ชั้นกลางสะเทือนออก มือซ้ายของหลัวซิวมีพลังปราณเป็นตายสองระดับควบแน่น ซัดตราสัญลักษณ์ออกไป จู่โจมใส่ไหล่ขวาของนาง
ตราฝ่ามือนี้คือตราแห่งความเป็นตายที่หลัวซิวเรียนรู้มาจากต้นกำเนิดผังกฎ อานุภาพของมันรุนแรงกว่าวิชากระบี่แสงเหนือไปเยอะมาก
เห็นเพียงร่างกายของเหยียนเยว่เอ่อร์สั่นสะท้าน พลังปราณความเป็นตายสองระดับถาโถมเข้าไปในร่างกาย เทพจิตที่ได้รับบาดเจ็บแทบจะระงับไม่อยู่
นางส่งเสียงอู้อี้ ร่างกายถอยหลังอย่างรวดเร็ว ร่างกายสั่นไหวไปมาหายเข้าไปในป่าสีเลือด
หลัวซิวไม่ได้ไล่ตามจู่โจม ถึงแม้จะโจมตีเหยียนเยว่เอ่อร์จนได้รับบาดเจ็บ เขาเองก็ต้องจ่ายด้วยราคาที่ไม่เบา
ก่อนอื่นคือพลังหกเท่าของพลังแปรเสวียนเทียนสะท้อนกลับ ทำให้ร่างกายของเขาส่งความรู้สึกที่เจ็บปวดเหมือนโดนฉีกกระชากมาเป็นระลอก ถ้าหากเหยียนเยว่เอ่อร์ไม่ถอย เขาใช้พลังอีกครั้ง เกรงว่าร่างของแดนร่างยุทธ์ขั้นสูงคงต้องพังทลายแน่นอน
นอกจากนี้ กลิ่นอายเปลวไฟที่แฝงไปด้วยห้วงจิตกำลังสร้างความเสียหายภายในร่างกายของเขาอย่างบ้าคลั่ง เขาจำเป็นต้องโคจรพลังทั้งหมดถึงจะสามารถระงับมันได้
หลังจากผ่านการต่อสู้ครั้งนี้ ในที่สุดหลัวซิวก็รู้แล้วว่าอะไรคือเหนือคนยังมีคน เหนือฟ้ายังมีฟ้า
เพลงกระบี่ที่รวดเร็วของแดนบริบูรณ์ ปราณความเป็นตายสองระดับ สุดยอดวิชาลับพลังแปรเสวียนเทียน ทำให้เขาคิดมาโดยตลอดว่าแดนฝึกจิตลงไปไม่มีใครสามารถเอาชนะเขา แม้จะเป็นปรมาจารย์ผู้แข็งแกร่งระดับฝึกจิตขั้นหนึ่ง เขาก็สามารถสยบลง
แต่เหยียนเยว่เอ่อร์คนนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นแดนพรสวรรค์ กลับหลอมรวมการสำนึก ฝึกห้วงยุทธ์จนสำเร็จ เหนือกว่าเขาในทุกด้าน
ถ้าหากไม่ได้เป็นเพราะนางโดนฝ่ามือของเขาซัดจนได้รับบาดเจ็บที่ไหล่ขวาตกใจจนหนีไป ลงมืออีกเพียงกระบวนท่าเดียวก็สามารถฆ่าเขาได้แล้ว
การต่อสู้ครั้งนี้ สำหรับหลัวซิวถือเป็นบทเรียนครั้งสำคัญ ทำให้ความคิดที่มั่นใจในตัวเองลดต่ำลง สะเทือนโดนจิตใจของตัวเอง
แต่ทว่าเขากลับไม่รู้ ที่เหยียนเยว่เอ่อร์มีความสามารถระดับนี้ เป็นเพราะเดิมทีนางเป็นผู้แข็งแกร่งระดับจักพรรดิยุทธ์ หน้าตาของนางถึงจะดูเหมือนเด็กสาว ทว่าอันที่จริงนางมีอายุอยู่มาสามร้อยกว่าปีแล้ว!
และนางก็ไม่ได้เป็นเพราะตกใจจนหนีไป แต่เป็นเพราะเนื่องจากเทพจิตได้รับผลกระทบ เมื่อไหร่ที่อาการบาดเจ็บประทุขึ้นอย่างเต็มกำลัง ไม่จำเป็นต้องให้หลัวซิวลงมือ ชีวิตของนางก็ตกอยู่ในความเสี่ยงเช่นกัน จำเป็นต้องหาสถานที่ปลอดภัยป้องกันระงับแผลแห่งเทพจิต
……
กลับมาถึงถ้ำ หลัวซิวฝังหินพลังจิตชั้นกลางลงในผังค่ายคุ้มกันอีกครั้ง หลังจากนั้นนำมันไปวางไว้ที่หน้าปากถ้ำ
ถึงแม้จะสามารถป้องกันการโจมตีได้เพียงครั้งเดียว แต่นั่นก็ทำให้เขามีเวลาตอบสนองที่เพียงพอ
สิ่งที่หลัวซิวรู้สึกเสียใจมากที่สุดในตอนนี้ก็คือไม่ได้เตรียมธงค่ายที่ใช้สำหรับตั้งค่ายกลมา ไม่อย่างนั้นด้วยฝีมือของเขา ตั้งค่ายกลระดับสามสองสามอัน ผลลัพธ์ที่ได้ดีกว่าผังค่ายกลระดับห้าแน่นอน
เขาบรรลุถึงมาตรฐานของปรมาจารย์ค่ายกลระดับห้า แต่เนื่องจากขีดจำกัดของผลการฝึกตน จึงทำได้แค่ตั้งค่ายกลระดับสาม
ปัดความคิดฟุ้งซ่านทิ้งไปทั้งหมด หลัวซิวสงบจิตใจเริ่มโคจรวงล้อชีวิตแห่งเหล่าทวยเทพ
ตั้งแต่เข้าใจกฎดั้งเดิมชุดแรกอย่างถ่องแท้ หลัวซิวเริ่มเข้าใจวรยุทธ์ของวงล้อชีวิตแห่งเหล่าทวยเทพ พลังหยางบริสุทธิ์ที่ฝึกในตอนแรกถูกทิ้งไปแล้ว
ในขณะเดียวกัน เหยียนเยว่เอ่อร์ก็หลบอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งเพื่อระงับแผลแห่งเทพจิต เมื่อเทียบกันแล้ว อาการบาดเจ็บของนางร้ายแรงกว่าของหลัวซิวไปเยอะ
……
หลังจากนั้นสามวัน หลัวซิวที่อยู่ในถ้ำลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า อาศัยพลังรักษาของผังลายเส้นชีวิต ขอเพียงแค่เขายังมีลมหายใจ ถึงจะบาดเจ็บรุนแรงแค่ไหนก็สามารถฟื้นฟูกลับมา
พลังเปลวไฟที่แผงไปด้วยห้วงยุทธ์สายนั้นไหลเวียนเข้าไปในจุดตันเถียน ถูกเขาใช้วงล้อแห่งชีวิตทำลายจนสิ้นซาก
ในตอนที่เขารักษาโรคชีพจรขาดธาตุไฟของลู่เมิ่งเหยาได้ดูดซับพลังแห่งเปลวไฟ จึงทำให้บนตัวของเขาก็มีพลังแห่งเปลวไฟ เพราะเหตุนี้ตอนที่เขาทำลายเปลวไฟห้วงยุทธ์ เขาสัมผัสได้ถึงความพิศวงของเปลวไฟห้วงยุทธ์สายหนึ่ง
ห้วงยุทธ์พันแปลกร้อยประหลาด ตามอัตราของจอมยุทธ์ที่แตกต่างกันออกไป กลยุทธ์ที่แตกต่าง นิสัยที่แตกต่าง ร่างกายที่แตกต่าง ความเข้าใจอย่างถ่องแท้ของห้วงยุทธ์ก็แตกต่างกัน
เล่ากันว่าหากผลการฝึกฝนบรรลุถึงระดับจักรพรรดิยุทธ์ ห้วงยุทธ์ยังสามารถยกระดับหลอมรวมกลายเป็นเทพจิต ยกตัวอย่างเช่นเหยียนเยว่เอ่อร์ที่ครอบครองเปลวไฟห้วงจิต หากนางหลอมรวมเทพจิต ก็จะกลายเป็นเปลวไฟเทพจิต
ตระกูลเหยียนเมืองกู่เจี้ยน เชี่ยวชาญการฝึกพลังแห่งเปลวไฟ
“เหยียนเยว่เอ่อร์คนนั้นไม่รู้ไปไหนแล้ว สามวันที่ผ่านมาก็ไม่ได้มาหาเรื่องฉัน หรือว่าเข้าไปในเขตที่สามแล้ว?”
มิติแดนปริศนาแห่งนี้มีการแบ่งเขตที่แตกต่างกันออกไป หลัวซิวไม่ได้รู้อะไรมาก และไม่รู้เงื่อนไขข้อจำกัดหลังเข้าไปเขตอื่น
หลังจากที่เดินออกจากถ้ำ หลัวซิวก็เริ่มล่าอสูรในเขตสองต่อ ได้รับลูกแก้วโลหิตพรสวรรค์ ตั้งแต่เริ่มจนจบขยายประสาทสัมผัสจิตวิญญาณเป็นวงกว้าง ป้องกันเหยียนเยว่เอ่อร์ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน
เวลาล่วงเลยผ่านไปทีละนิด เป็นเวลาครึ่งเดือนกว่าที่เข้าสู่แดนนานาอสูรแห่งนี้โดยไม่รู้ตัว
ในระหว่างนี้ หลัวซิวสังหารอสูรรับลูกแก้วโลหิต ระดับร่างเนื้อของร่างยุทธ์ชั้นสูงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
แต่เมื่อพลังแห่งร่างกายแข็งแกร่งขึ้น เขากลับพบว่าผลของลูกแก้วโลหิตพรสวรรค์อ่อนลงแล้ว ไม่เพียงพอให้เขาฝึกถึงขั้นสูงสุดของร่างยุทธ์
“ถ้าหากต้องการฝ่าทะลวงแดนร่างเนื้อ จำเป็นต้องใช้ลูกแก้วโลหิตที่มีระดับสูงกว่า!”
หลัวซิวครุ่นคิดในใจ แดนนานาอสูรแห่งนี้ เขตที่หนึ่งเป็นอสูรระดับชี่ไห่ เขตที่สองส่วนใหญ่เป็นอสูรระดับพรสวรรค์ อย่างนั้นเขตที่สาม ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด น่าจะเป็นอสูรระดับจิตเทพ!
มีเพียงสังหารอสูรระดับจิตเทพถึงจะได้รับลูกแก้วโลหิตที่มีระดับสูงกว่า ถึงจะสามารถฝึกร่างเนื้อให้ไปถึงระดับที่สูงกว่า
หลัวซิวอดไม่ได้ที่จะคิดเดินทางไปเขตสาม
ด้วยความสามารถโดยรวมของเขาในตอนนี้ น่าจะสามารถสังหารอสูรระดับเทตจิตทั่วไปได้แล้ว แต่ถ้าหากเจอกับพวกอสูรระดับเทพจิตที่แข็งแกร่ง คงทำได้แต่ต้องหนีเอาชีวิตรอด
โครม……[1][1]
########################
บทที่ 145 การต่อสู้
ร่างยุทธ์ขั้นสูงสู้กับร่างยุทธ์ระดับกลางของมนุษย์ได้โดยไม่มีความเสียหาย สามารถต้านทานการโจมตีของปรมาจารย์ฝึกจิตได้บ้าง
ในเวลานี้ ดวงตาของหลัวซิวหรี่ลงในทันใด รู้สึกได้ถึงการสั่นไหวจากผังค่ายซ่อนงำระดับ 5 ที่ทางเข้าถ้ำ
“การรับรู้จิตวิญญาณแข็งแกร่งจริงๆ! ไม่ ไม่ถูกต้อง! นี่ไม่ใช่การรับรู้จิตวิญญาณ เป็นการสำนึก ขั้นปรมาจารย์ฝึกจิตขึ้นไปเท่านั้นถึงจะกลั่นออกมาเป็นพลังการสำนึก!”
ในถ้ำ หลัวซิวลุกยืนขึ้นทันที สีหน้าเคร่งขรึมอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
“หาเจอแล้ว!”
เหยียนเย่วเอ๋อร์ได้จำกัดขอบเขตการค้นหาของเธอให้แคบลงเรื่อยๆ ทำอย่างนี้การสำนึกของนางจะตรวจสอบได้ละเอีอดยิ่งขึ้น และในที่สุดนางก็พบสถานที่ที่น่าสงสัย
ร่างขยับ นางก็บินออกไป ร่างกายบอบบางร่อนไปชั่วครู่กลางอากาศชั่วขณะ แล้วเพิ่มความเร็วที่รวดเร็ว
ไม่นานนางก็มาถึงบริเวณถ้ำ
“ไม่น่าแปลกใจเลยที่ข้าจะหาเจ้ายากอย่างนี้ เพราะเป็นผังค่ายซ่อนงำระดับ 5” ดวงตาสวยงามของเหยียนเย่วเอ๋อร์ หรี่ลงเล็กน้อย
ผังค่ายซ่อนงำระดับ 5 แม้แต่การสำนึกของราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่งก็ไม่สามารถตรวจสอบได้ แต่เหยียนเย่วเอ๋อร์นั้นไม่ธรรมดา แสามารถหาตำแหน่งผังค่ายซ่อนงำได้
เห็นแค่นางค่อยๆ ยื่นมือเรียวออกมา ผังค่ายสีบรอนซ์ก็ถูกจับมาเป็นผังค่ายซ่อนงงำระดับ 5
บนผังค่ายมีหินพลังจิตชั้นกลางฝังอยู่
ไม่มีผังค่ายซ่อนงำ การสำนึกของเหยียนเย่วเอ๋อร์ก็กวาดไปที่ถ้ำ และล็อกตัวหลัวซิวที่อยู่ในถ้ำได้ทันที
ในเวลาเดียวกัน หลัวซิวเดินไปถึงที่ทางเข้าถ้ำ เผชิญหน้ากับนางจากระยะไกล
“หลัวซิว เจ้าคิดว่าผังค่ายซ่อนงำระดับ 5 สามารถต้านทานข้าได้เหรอ?” เหยียนเย่วเอ๋อร์หัวเราะเบา ๆ
“คุณเย่วเอ๋อร์ หมายความว่าอย่างไร? จะเป็นศัตรูกับข้าเหรอ?” หลัวซิวพูดเสียงต่ำ
เหยียนเยว่เอ๋อร์ไม่ปฏิเสธ พูดเรียบๆ ว่า “ข้าต้องการหยกอสูรวงนั้นในมือเจ้า”
“หากข้าไม่ให้ล่ะ?”
“งั้นข้าก็ทำได้แค่แย่งแล้ว…”
เหยียนเย่วเอ๋อร์ยิ้มอย่างไม่แยแส เปลวไฟใต้ฝ่าเท้าของนางสั่นไหว และนางก็ตบฝ่ามือออกไป เปลวไปกลายเป็นฟีนิกซ์เพลิง พุ่งไปหาหลัวซิว
“บูม!”
ฟีนิกซ์เพลิงกระแทกเข้ากับม่านแสงของค่ายกลคุ้มกัน ควันหลงแผ่ขยายออกไป ทำลายพืชพันธุ์ทั้งหมดภายในหนึ่งร้อยเมตร และทำให้พื้นที่แถวนั้นราบเรียบก้อนหินกลายเป็นกรวด
หินพลังจิตชั้นกลางที่ถูกฝังอยู่บนผังค่ายคุ้มกันแตกออกเป็นชิ้นๆ ม่านแสงของค่ายกลหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ผังค่ายหมุนเวียนด้วยพลังงานจากหินพลังจิต ก่อนหน้านี้ที่เหยียนเย่วเอ๋อร์ตบลงมาไม่ใช่เพื่อทำลายผังค่ายคุ้มกันระดับ 5 แต่เป็นค่ายกลที่ต่อต้านการโจมตีของนางเลยได้สูบพลังงานทั้งหมดออกมาจากหินพลังจิตโดยทันที
นี่ก็คือข้อเสียของผังค่าย
ไม่ให้โอกาสหลัวซิวในฝังหินพลังจิตลงบนผังค่าย เหยียนเย่วเอ๋อร์วูบมาถึงข้างหลัวซิว และตบหน้าอกของเขาด้วยเปลวไฟ
“ฮึ!”
ตามด้วยเสียงต่ำที่ส่งเสียงออกมา ดวงตาของหลัวซิวมีความเย็นชาผุดออกมา หลัวซิวถอยหลังไปครึ่งก้าว สายตาขรึม เขาเพิ่งไปถึงร่างยุทธ์ชั้นสูง กลับถูกฝ่ามือของเหยียนเย่วเอ๋อร์ตบจนเลือดออก พลังเปลวไฟนางผู้นี้มีมากและบริสุทธ์ ร่างกายที่ดูเหมือนบอบบาง แต่ก็เป็นจอมยุทธ์ที่ฝึกวิชากลั่นร่าง!
เหยียนเย่วเอ๋อร์ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ดวงตาสวยเปล่งประกายแวววาว ดูเหมือนประหลาดใจเล็กน้อย “เจ้าถึงร่างยุทธ์ขั้นสูงแล้ว?” เหยียนเย่วเอ๋อร์ไม่แปลกใจไม่ได้ เพราะตอนที่หลัวซิวกลั่นแปรลูกแก้วโลหิตชี่ไห่ลูกแรก นางก็รู้แล้วว่าร่างเนื้อของเขาเป็นแค่ร่างยุทธ์ระดับกลางเท่านั้น แม้จะมีลูกแก้วโลหิตพรสวรรค์เพียงพอ ก็ไม่ควรจะถึงร่างยุทธ์ชั้นสูงได้เร็วอย่างนี้
เพราะพลังในลูกแก้วโลหิตจะทำให้พลังในร่างกายจอมยุทธ์แปรป่วนมีสิ่งเจือปนในเลือด จะต้องขจัดสิ่งเจือปนออก ผนึกรวมปราณให้เป็นหนึ่งเดียว ถึงจะสามารถไปอีกขึ้นหนึ่งได้
เห็นได้ชัดว่าหลัวซิวที่อยู่ข้างหน้านี้ มีเทคนิคที่ทรงพลังบางอย่างสามารถขจัดสิ่งเจือปนออกไปได้และผนึกรวมปราณ
ได้อย่างรวดเร็ว
ในขณะที่เหยียนเย่วเอ๋อร์ครุ่นคิด หลัวซิวก็สังเกตหญิงสาวนางนี้เหมือนกัน
เมื่อครู่ที่โจมตี เหยียนเยว่เอ๋อร์ก็ปล่อยพลังออกมาเล็กน้อย อาจจะอยู่ในพรสวรรค์ระดับ 7 แต่พลังเปลวไฟบริสุทธิ์และแข็งแกร่งของนาง แม้จอมยุทธ์ใหญ่ก็ไม่สามารถเทียบได้
นอกจากนี้ หญิงนางนี้ยังมีการสำนึกอีกด้วย พลังปราณกว้างใหญ่และคาดเดาไม่ได้ ความแข็งแกร่งโดยรวมของนางเทียบได้กับปรมาจารย์ฝึกจิต
ทันใดนั้น จิตสังหารอันรุนแรงก็ปะทุขึ้นระหว่างคนทั้งสอง หลัวซิวและเหยียนเย่วเอ๋อร์โจมตีพร้อมกัน
“โครม!”
กระบี่ยุทธ์ระดับชั้นล่างออกจากฝัก แม้พลังในตอนนี้ของหลัวซิวยังไม่สามารถปล่อยพลังของกระบี่ยุทธ์นี้ออกมาเต็มที่ แต่ด้วยความคมชัดของกระบี่ยุทธ์นี้ แม้แต่ร่างยุทธ์แดนคิงก็ไม่กล้าดูถูก
เหยียนเยว่เอ๋อร์ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามหยิกผนึกนิ้ว พลังเปลวไฟลุกโชนรวมตัวเป็นเกลียวดาบเพลิง มากมายราวกับฝน ดาบหลายร้อยเล่มฟันหลัวซิว
ดาบเพลิงทุกเล่มสามารถเจาะทะลุร่างยุทธ์ระดับกลาง แม้ว่าหลัวซิวจะถึงร่างยุทธ์ชั้นสูงแล้วก็ตาม หากถูกดาบเพลิงหลายร้อยเล่มฟันโดน ถึงไม่ตายก็ต้องเจ็บหนัก
พรึบ! พรึบ! พรึบ! …
ดาบเพลิงทุกเล่มถูกหั่นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ความเร็วดาบของหลัวซิวนั้นเร็วราวกับสายฟ้า กระบี่ยุทธ์ก่อตัวเป็นตาข่ายดาบ ดาบเพลิงฟันลงมาก็จะถูกหั้นเป็นชิ้นๆ
“ช่างเป็นดาบที่เร็วจริงๆ! น่าเสียดาย เจ้าไม่เข้าใจความหมายของห้วงกระบี่ วิชาดาบเร็วแค่ไหน มันก็เป็นแค่กลอุบายเท่านั้น”
ในดวงตาของเหยียนเย่วเอ๋อร์ เปล่งประกายด้วยความประหลาดใจ จากนั้นนางก็แสดงความดูถูกออกมา
วิชาดาบแดนบริบูรณ์ อาจเป็นเรื่องยากสำหรับจอมยุทธ์พรสวรรค์และจอมยุทธ์ฝึกจิตทั่วไป แต่สำหรับนางแล้ว มันไม่มีความหมายอะไรเลย
เห็นมือหยกของนางหยิกผนึก ปล่อยหมัด ทุกที่ที่เปลวไฟร้อนรุ่มผ่านไป ก็มีระลอกคลื่นในอากาศ ราวกับว่าจะเผาทุกสิ่งในโลกนี้!
“นี่…นี่คือแดนห้วงยุทธ์งั้นหรือ?”
หลัวซิวปลิวออกไปพร้อมกระบี่ ใบหน้าของเขาน่าเกรงขาม
ทักษะยุทธ์ที่เหยียนเย่วเอ๋อร์ใช้นั้นทรงพลัง ต่ำที่สุดก็คือวิชายุทธ์ระดับ 7 !
ไม่เพียงแค่นั้น พลังปราณแท้ของนางยังมีแดนห้วงเผาทุกสิ่ง ทำให้เขารู้สึกว่าพลังปราณแท้ในร่างกายของเขากำลังจะถูกจุดไฟเผาไหม้
ถ้าไม่ใช่เพราะพลังพิเศษแห่งชีวิตและความตายที่เขาฝึกฝน เกรงว่าการโจมตีเมื่อครู่นี้จะไม่ใช่กระเด็นออกไป แต่เป็นบาดเจ็บสาหัส
และเหยียนเยว่เอ๋อร์ใช้ห้วงยุทธ์เปลวไฟเพื่อต้านทานพลังแห่งความตาย ทำให้หลัวซิวไม่สามารถทำลายเส้นชีวิตของนาง
กล่าวโดยไม่ลังเลได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นยุทธ์การฝึกตน แดนยุทธ์ หรือยุทธ์ร่างเนื้อ ในทุกๆด้าน หลัวซิวสู้เหยียนเย่วเอ๋อร์ไม่ได้!
“มอบหยกอสูรจันทราสีเงินมา ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า!”
ดวงตาสวยของเหยียนเย่วเอ๋อร์จ้องหลัวซิว และพูดอย่างยโส
ถ้าไม่ใช่เพราะเทพจิตได้รับบาดเจ็บ นางก็จะเป็นจักพรรดิยุทธ์ ประเทศเทียนหวูจะมีคนไม่เกินสิบคนที่สามารถสู้นางได้!
สายตาหลัวซิวไม่สั่นคลอน แม้ว่าเหยียนเย่วเอ๋อร์จะแข็งแกร่งมาก แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ตนเองก้มศีรษะขอความเมตตา
ดวงตาของเขาเย็นชา ใช้พลังแปรเสวียนเทียนสามเท่าอย่างลับ!ๆ
########################
บทที่ 144 ตามหาซิวหลัว
ตอนแรก ปัญหานี้ไม่ชัดเจน แต่ยิ่งกลืนลูกแก้วโลหิตมากขึ้น ปัญหาก็จะยิ่งเด่นชัดขึ้น
ดังนั้นหลัวซิวไม่ได้กลืนลูกแก้วโลหิตทั้งสิบสองเม็ดนี้ให้หมดเพื่อให้แดนร่างกายแกร่งขึ้นในทันที แต่รวมไฟสองระดับความเป็นตายในร่างกาย กลั่นแปรสิ่งเจือปนในร่างกาย ให้พลังที่ปั่นป่วนกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน
แดนนานาอสูรนี้เต็มไปด้วยอสูร หลัวซิวฝึกฝนอยู่ที่นี่ก็ไม่กล้าประมาท ทางเข้าหน้าถ้ำ เขาได้ทิ้งผังค่ายคุ้มกันระดับ 5 และผังค่ายซ่อนงำระดับ 5 ไว้หน้าทางเข้าถ้ำอย่างละอันทันที
ผังค่ายเหล่านี้เป็นสมบัติที่ราชายุทธ์ปู้เฉินเหลือไว้ แค่ใช้หินพลังจิตในการทำงาน ไม่ต้องใช้พลังของจอมยุทธ์ให้ค่ายกลทำงาน
แน่นอนว่าค่ายกลที่ไม่ต้องการควบคุมแบบนี้ พลังจะด้อยกว่าค่ายกลที่นักค่ายกลควบคุมเอง
เปลวไฟสีขาวดำไหลเวียนอยู่ในเส้น จากนั้นก็ผลิบานจากภายในสู่ภายนอกผิวกาย
พลังแห่งชีวิตลึกลับไร้จุดสิ้นสุด ไฟสองระดับความเป็นตายที่สร้างขึ้นมามีประโยชน์อย่างไร้ขอบเขต กลั่นแปรสิ่งเจือปนในร่างกาย ให้พลังแปรป่วนกลายเป็นหนึ่งเดียวเป็นเรื่องที่ง่ายดาย
ความลึกลับของสองระดับความเป็นตาย สำหรับหลัวซิวเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจ แต่รู้สึกได้ถึงพลังที่แข็งแกร่งนี้
ไม่ต้องพูดถึงสองระดับความเป็นตายแม้ว่าจะแยกพลังแห่งชีวิตและพลังแห่งความตายออกจากกัน ก็ทำให้เขามีพลังที่เหนือกว่าจอมยุทธ์ทั่วไป
ผนึกรวมลมหายใจ และกลั่นแปรสิ่งเจือปน หลัวซิวคิดในใจ หากร่างกายของเขาสามารถชุบร่างเนื้อถึงขั้น 1 บรรลุผล ร่างกายจะเทียบได้กับนักยุทธ์ชั้นสูง ไม่รู้ว่าสามารถใช้พลังสามเท่าของพลังแปรเสวียนเทียนหรือไม่?
พลังแปรเสวียนเทียน วิชายิ่งเลิศนี้ สามารถกระตุ้นพลังได้ 2 ถึง 5 เท่า ยิ่งกระตุ้นพลังมากเท่าไหร่ก็ยิ่งรับภาระบนร่างกายมากขึ้นเท่านั้น จนถึงตอนนี้หลัวซิวสามารถใช้ความพลังเพียงสองเท่าเพื่อต่อสู้กับศัตรูเท่านั้น
…
โลกยุทธ์ แบ่งออกเป็นฐานการฝึกตน ฐานแดน และมีฐานร่างเนื้อ
ตามความรู้ปัจจุบันของหลัวซิว ฐานการฝึกตนแบ่งออกเป็นเก้าแดน ได้แก่ กลั่น ชี่ไห่ พรสวรรค์ ฝึกจิต ราชายุทธ์ จักรพรรดิยุทธ์ มกุฏยุทธ์ เจ้ายุทธจักร มหาจักรพรรดิยุทธ์
แดนแบ่งออกเป็นวิชาและยุทธ์ วิชามีสี่แดน คือ สำเร็จแรก สำเร็จน้อย บรรลุผล บริบูรณ์ หลังจากเข้าสู่ยุทธ์ จะควบคุมห้วงยุทธ์ได้อย่างเชี่ยวชาญ
และร่างเนื้อ แบ่งเป็นร่างยุทธ์ชั้นแรก ร่างยุทธ์ชั้นกลาง ร่างยุทธ์ชั้นสูง ร่างยุทธ์ขั้นสูง ร่างยุทธ์แดนคิง ร่างยุทธ์แดนจักรพรรดิ์ ร่างยุทธ์แดนมกุฏ ร่างยุทธ์แดนเจ้ายุทธจักร ร่างยุทธ์แดนมหาจักรพรรดิยุทธ์!
ร่างเนื้อปัจจุบันของหลัวซิว อยู่ในร่างยุทธ์ขั้นกลาง เข้าใกล้ร่างยุทธ์ขั้นสูง!
ขณะที่เขากลืนลูกแก้วโลหิตพรสวรรค์เพื่อชุบร่างเนื้อ เหยียนเยว่เอ๋อร์บินไปมาในป่าพื้นที่เขต 2 เพื่อจับจอมยุทธ์พรสวรรค์ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสกำลังจะเสียชีวิต
“ถ้าไม่ใช่เพราะเทพจิตของข้าบาดเจ็บ ต้องใช้ยาคืนวิญญาณเพื่อกลั่นยาฟื้นวิญญาณในการรักษา จำเป็นต้องยุ่งยากเช่นนี้หรือ?”
ยกเว้นหลัวซิวและหวงหยวนซานที่ได้เสียชีวิตไปแล้ว จอมยุทธ์พรสวรรค์เจ็ดคนถูกควบคุมและจุดตันเถียนต่างก็ถูกทำลาย
“คุณเหยียน เจ้าทำลายผลการฝึกตนและจับตัวพวกข้ามา หมายความว่าอย่างไร?” สีหน้าจอมยุทธ์พรสวรรค์ทั้งเจ็ดคน เต็มไปด้วยโทสะ
ฐานยุทธ์ถูกทำลายลง จอมยุทธ์แดนกลั่นร่างก็สามารถฆ่าพวกเขาได้อย่างง่ายดาย
สำหรับจอมยุทธ์คนหนึ่ง ฐานยุทธ์ถูกทำลาย รับไม่ได้ยิ่งกว่าถูกห่าตายอีก
“แม้ว่าฐานการฝึกฝนของพวกข้าจะถูกทำลาย พวกข้าก็จะไม่ยอมให้เจ้าดูถูกพวกข้า เจ้ากล้าก็ฆ่าข้าซะ!” มีคนกัดฟันแน่นพร้อมคำราม
“หุบปาก!”
เหยียนเย่วเอ๋อร์ส่งเสียงเย็นชาออกมา ดวงตาที่สวยงามของนางเย็นชา ความกดดันทรงพลังแผ่กระจายออกจากร่างกายที่บอบบางของนาง
ความกดดันที่แผ่กระจายออกมาจากร่างกายของนาง ทำให้จอมยุทธ์พรสวรรค์ทั้ง 7 คนรู้สึกถึงความหวาดกลัวที่มาจากจิตวิญญาณ แม้เผชิญหน้ากับปรมาจารย์ฝึกจิตถึงผู้ชนะแห่งโลกยุทธ์ ก็ไม่เคยทำให้พวกเขารู้สึกเช่นนี้
คุณหนูที่มาจากที่มาจากเมืองกู่เจี้ยนของตระกูลเหยียน เป็นใครกันแน่ และผลการฝึกฝนของนางถึงไหนแล้ว?
จิตใจของทุกคนอดไม่ได้ที่จะมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี
ชายชุดขาวก้าวออกมา ปิดผนึกคอของจอมยุทธ์พรสัวรรคทั้ง 7 เพื่อไม่ให้พวกเขาส่งเสียงออกมา ชายร่างกำยำก็ก้าวออกมาช่วย มัดจอมยุทธ์พรสวรรค์ทั้ง 7 ไว้ด้วยกัน
“หลัวซิวผู้นั้นไปไหน?”
การสำนึกของเหยียนเย่วเอ๋อร์ปกคลุมทั่วพื้นที่ขนาดใหญ่ของป่าสีเลือดอย่างท่วมท้น คิ้วเรียวขมวดแน่น
แดนนานาอสูรนี้ ตั้งแต่พื้นที่เขต 3 ต้องสังเวยเลือดถึงจะเข้าไปได้ ดังนั้นเหยียนเย่วเอ๋อร์จึงจับจอมยุทธ์พรสวรรค์ทั้ง 7 มาหมด เพื่อจะใช้ในการสังเวย
สำหรับอสูรเหล่านั้นที่อยู่ในแดนนานาอสูรนี้ ไม่สามารถนำมาสังเวยเลือด
เป็นเพราะมีข้อห้ามยากๆมากมาย ตระกูลเหยียนได้ครอบครองแดนนานาอสูรมาเป็นเวลาหลายพันปี อย่างมากที่สุดพวกเขาได้สำรวจถึงพื้นที่เขต 4 เท่านั้น
เนื่องจากเข้าสู่พื้นที่เขต 3 ต้องใช้จอมยุทธ์พรสวรรค์ในการสังเวยเลือด พื้นที่เขต 4 ต้องใช้ปรมาจารย์ฝึกจิตมาสังเวยเลือด และเขตที่ 5 ต้องใช้ราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่งในการสังเวยเลือด!
แม้จะเป็นตระกูลเหยียน ก็ไม่สามารถที่จะสังเวยเลือดของราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่ง
แต่ หากมีหยกอสูรจันทราคู่ ก็ไม่มีข้อจำกัดมากแบบนั้น แค่มีฐานการฝึกฝนเพียงพอสามารถใช้หยกอสูรจันทราคู่เพื่อเข้าสู่พื้นที่เขตที่สูงขึ้นโดยไม่ต้องสังเวยเลือด
เข้าสู่พื้นที่เขต 3 แม้จะมีหยกอสูรจันทร์คู่ ก็ต้องฝึกฝนถึงแดนฝึกจิต
เพราะเทพจิตได้รับบาดเจ็บ ผลการฝึกตนของเหยียนเย่วเอ๋อร์ตกลงมาถึงพรสวรรค์ ตามหลักแล้วแค่มีหยกอสูรจันทราคู่อยู่ในมือก็ไม่สามารถเข้าสู่พื้นที่เขต
อย่างไรก็ตาม ข้อบกพร่องนี้คือสามารถทำได้โดยการสังเวยเลือด ก็เข้าสู่พื้นที่เขต 3 ได้อย่างง่ายดาย
ดังนั้นนางจึงต้องเอาหยกอสูรจันทราสีเงินในมือของหลัวซิวมาให้ได้
ไม่อย่างนั้น แม้นางจะสามารถฟื้นฟูการฝึกฝนของนางถึงแดนฝึกจิตได้ในพื้นที่เขต 2 จึงจะสามารถเข้าสู่พื้นที่เขต 3 ด้วยการสังเลยเลือด
“ต้องหาเจ้านั่นให้เจอ!”
เหยียนเย่วเอ๋อร์กระโดดขึ้น สำนึกจำกัดขอบเขตการค้นหาให้แคบลง
…
ในถ้ำ ภายใต้ผังค่ายซ่อนงำระดับ 5 เหยียนเย่วเอ๋อร์ ไม่พบที่ซ่อนตัวของเขา
เขากลืนลูกแก้วโลหิตพรสวรรค์ทีละตัวลูกๆ ร่างเนื้อของหลัวซิวแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ในไม่ช้าก็ถึงขีดจำกัดของร่างยุทธ์ขั้นกลาง อีกนิดหนึ่งก็จะถึงร่างยุทธ์ขั้นสูง
กล้ามเนื้อและกระดูกในร่างกายของเขาสั่นไหวด้วยแสงสีทองจาง ๆ เมื่อกลืนลูกแก้โลหิตพรสวรรค์ลูกสุดท้ายลงไป เลือดคลั่งไหลเวียนไปทั่วร่างกาย ความเจ็บปวดผ่านไปทั่วร่าง
ใบหน้าของหลัวซิวซีดเผือด เลือดไหลออกจากจมูกและปากของเขา ร่างกายสั่นเทา เขาคาดไม่ถึงว่าร่างยุทธ์ขั้นกลางไปถึงร่างยุทธ์ขั้นสูงจะเจ็บปวดขนาดนี้
ราวกับว่ากระดูกของร่างกายทุกตารางนิ้วถูกบดขยี้และประกอบขึ้นใหม่อีกครั้ง เนื้อและเลือดถูกไฟแผดเผา แล้วเกิดใหม่
ม่านระหว่างร่างยุทธ์และแดนแตกเป็นเสี่ยงๆ พลังของร่างเนื้อที่แข็งแกร่งกว่าท่วมท้นไปทั่วทั้งร่างกาย และความเจ็บปวดก็เกิดขึ้นอีกครั้ง ทำให้หลัวซิวเวียนหัวเกือบจะเป็นลม
เส้นเลือดบนหน้าผากปูดโปน แม้จะเจ็บปวดจนจะทนไม่ไหว เขาทำได้เพียงอดกลั้น
ไม่รู้ว่าสถานะนี้คงอยู่นานแค่ไหน อาจจะแค่ช่วงเวลาสั้นๆ แต่สำหรับหลัวซิวนั้นนานมาก
เมื่อความเจ็บปวดในร่างกายค่อยๆ ลดลง เสื้อคลุมสีดำบนร่างหลัวซิวก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ
“นี่คือร่างยุทธ์ขั้นสูงเหรอ?”
หายใจเข้าลึก ๆ หลัวซิวค่อย ๆ ยกมือขึ้นและกำหมัด รู้สึกถึงความแข็งแกร่งของร่างกายตนเอง
########################
บทที่ 143 กักขังวิญญาณ
ทันทีที่มีการกล่าวถึงลูกแก้วโลหิต สายตาของบางคนก็แอบมองไปยังหลัวซิว ก่อนหน้านี้ในพื้นที่เขต 1 เขาและหวงหยวนซานได้รวบรวมลูกแก้วโลหิตมากที่สุด หวงหยวนซานไม่ใช่จอมยุทธ์ที่ฝึกวิชากลั่นร่าง ดังนั้นลูกแก้วโลหิตถูกเก็บไว้ในแหวนเก็บของ ตอนนี้ตกไปอยู่ในมือของหลัวซิวทั้งหมด
หญ้าคืนวิญญาณที่เหยียนเยว่เอ๋อร์ต้องการอยู่ในพื้นที่เขต 3 นางคุ้นเคยกับเส้นทางที่นี้เป็นอย่างดี ภายใต้การนำของนาง ทุกคนค่อยๆ เข้าไปข้างในพื้นที่เขต 2
หลัวซิวกระจายการรับรู้ของเขา สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน รู้สึกว่ามีเหงื่อเย็นซึมออกมาด้านหลังของเขา ภายในขอบเขตการรับรู้ของเขา มีอสูรระดับ 3 อย่างน้อยหนึ่งพันตัวที่กำลังซ่อนตัวอยู่ และมีอสูรหลายสิบตัวนั้นเทียบได้กับจอมยุทธ์ใหญ่ ทำให้เขารู้สึกได้ถึงอันตราย
อสูรระดับ 3 ขั้นสูง! ภายในขอบเขตที่เขาสามารถรับรู้ได้ ก็มีอสูรระดับ 3 ขั้นสูง จำนวนหลายสิบตัว และพื้นที่เขต 2 จะมีอสูรระดับ 3 ขั้นสูง จำนวนเท่าไหร่?
แม้ว่าความแข็งแกร่งของเขาจะเพียงพอที่จะไม่กลัวผู้ที่อยู่ภายใต้ปรมาจารย์ฝึกจิต แต่หากถูกล้อมโดยอสูรระดับสามระดับ 3 ขั้นสูงหลายตัว อันตรายอย่างยิ่ง
เขาสามารถฆ่าจอมยุทธ์ใหญ่แดนพรสวรรค์ขั้น 9 ได้อย่างง่ายดาย เพราะสิ่งที่เขาฝึกฝนคือวิชาดาบเร็ว และได้บรรลุถึงแดนบริบูรณ์แบบแล้ว!
ดาบเร็ว เกี่ยวกับการฆ่าในครั้งเดียว และฐานการฝึกฝนของเขาไม่สูง ซึ่งทำให้คู่ต่อสู้รู้สึกดูหมิ่นได้ง่าย
นอกจากนี้ยังมี ชพลังแปรเสวียนเทียนวิชายิ่งเลิศนี้ ก่อนหน้านี้ที่เขาฆ่าหวงหยวนซานในครั้งเดียว เพราะเขาได้แอบใช้นี้!
หากเขาเผชิญหน้ากับปรมาจารย์ฝึกจิต แม้ว่าจะเป็นฝึกจิตระดับ 1 ที่ ธรรมดาที่สุด การรับรู้จิตวิญญาณก็จะเปลี่ยนเป็นการสำนึก แม้ว่าดาบของเขาจะเร็วมาก แต่ก็ยากที่จะเป็นภัยคุกคามต่อปรมาจารย์ฝึกจิต
เดินอยู่ในป่าที่มีกิ่งก้านสีแดงเลือด อสูรสามตัวพุ่งออกมาอย่างดุเดือด
อสูรทั้งสามตัวนี้เทียบเท่ากับพรสวรรค์ขั้นปฐมภูมิ และไม่เป็นภัยคุกคามต่อผู้คนด้วย
หลัวซิวก้าวออกไปหนึ่งก้าว แเปลวไฟแห่งความตายผุดขึ้นมาบนฝ่ามือหลายเป็นพลังดาบและเจาะหัวของอสูรหนึ่งในนั้นให้ตายในครั้งเดียว
อสูรอีก 2 ตัวถูกฆ่าด้วยจอมยุทธ์พรสวรรค์ขั้น 7 สองคน สำหรับจอมยุทธ์คนอื่นๆ ที่มีฐานการฝึกฝนต่ำกว่า ไม่กล้าแย่งกับคนทั้งสามคน
ในแดนนานาอสูร ทุกคนรู้ดีว่าต้องไม่ไปรุกรานพวกที่แข็งแกร่งกว่าตนเอง
ในอสูรสามตัว มีศพอสูรสองตัวค่อยๆ เบลอ แต่ละตัวกลั่นลูกแก้วโลหิตสีแดงออกมา
หนึ่งในลูกแก้วโลหิต มาจากอสูรที่หลัวซิวฆ่า และพรสวรรค์ขั้น 7 ผู้ที่ไม่ได้ลูกแก้วโลหิต มีสีหน้าผิดหวัง
หลัวซิวยื่นมือเก็บลูกแก้วโลหิต เขาดีใจมาก ลูกแก้วโลหิตพรสวรรค์ลูกนี้ มีเลือดปราณเทียบเท่ากับลูกแก้วโลหิตชี่ไห่ถึงสิบเท่า!
“ลูกแก้วโลหิตน่าจะเพียงพอสำหรับการกลั่นร่างของข้าให้บรรลุผลขั้น 1 และอาจถึงขั้นบริบูรณ์อีกด้วย! หากลูกแก้วโลหิตฝึกจิต อาจจะสามารถฝึกฝนวิชาวัชรยักษ์ครองร่างถึงขั้น 2 ได้!”
ถ้ามีใครรู้ถึงความคิดของหลัวซิว ก็ตกใจมากแน่ เพราะเขาต้องการพึ่งการกลืนลูกแก้วโลหิตในการฝูกฝนวิชากลั้นร่างถึงนักยุทธ์ระดับชั้นล่าง หากประสบความสำเร็จ แค่พลังของเนื้อหนังของเขา แทบจะสู้กับปรมาจารย์โลกยุทธ์แดนฝึกจิตขั้น9ได้!
ในเวลานี้ เสียงคำรามของสัตว์ร้ายที่ซ่อนตัวอยู่ก็ดังก้องอยู่ในป่าทึบ
“ไม่ รีบไปจากที่นี่เร็ว!”
ใบหน้าสวยงามของเหยียนเย่วเอ๋อร์เปลี่ยนไป กล่าวว่า “อสูรตัวนั้นที่ไม่มีลูกแก้วโลหิต กลิ่นเลือดจะดึงดูดอสูรตัวอื่นๆ ในบริเวณใกล้เคียงมา และทันทีที่ถูกฝุงอสูรล้อมรอบก็จะมีอันตราย!”
ขณะที่พูดเหยียนเย่วเอ๋อร์ขยับร่างกายก่อน บินไปยังส่วนลึกของป่าด้วยความเร็วที่รวดเร็วมาก
ชายร่างกำยำและชายเสื้อขาวตามไปเปรียบเสมือนเงา เหมือนผู้พิทักษ์ที่จงรักภักดีที่สุด
สีหน้าคนอื่นๆ ก็เปลี่ยนไป ไม่มีใครกล้าที่จะอยู่กับที่ ต่างก็บินตามไปอย่างรวดเร็ว
สีหน้าหลัวซิวก็เปลี่ยนไปในทันที ภายใต้การรับรู้ของเขา อสูรพรสวรรค์หลายร้อยตัวพุ่งมายังสถานที่แห่งนี้
ทุกคนใช้การเคลื่อนไหวด้วยความเร็วจนสุดขีด แต่บางคนก็เร็ว บางคนก็ช้า และเมื่อมีอสูรมากขึ้นเรื่อยๆ กลุ่มคนก็แตกแยกจากกันอย่างรวดเร็ว
“บูม! บูม! บูม!…”
เสียงสั่นสะเทือน ต้นไม้ล้มลง หินแตก รวมกับเสียงคำรามด้วยโทสะของมนุษย์จอมยุทธ์ เสียงคำรามของอสูร เกิดความโกลาหลในป่าสีแดงสด
ในสายตาของหลัวซิว เหยียนเย่วเอ๋อร์ได้หายตัวไปแล้ว มีอสูรอยู่ทุกหนทุกแห่ง และเขาไม่รู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน
…
เหยียนเยว่เอ๋อร์ยืนเงียบ ๆ บนลำต้นหนาของต้นไม้สีแดงสด ผมยาวสีแดงเพลิงปลิวไสวอยู่ข้างหลังศีรษะของนาง ริมฝีปากสีแดงยิ้มน้อยๆอย่างเย็นชา
ด้านหลังนาง ชายร่างกำยำและชายชุดขาว สีหน้าเคารพและไม่พูดอะไร
คนสองคนนี้เป็นข้ารับใช้ที่เธอรับไว้หลังจากหลบหนีจากตระกูลเหยียน และถูกกักขังวิญญาณด้วยมือของนางเอง พวกเขาจะไม่ละเมิดคำสั่งใดๆ ของนาง
กักขังวิญญาณ เป็นวิธีการควบคุมอย่างหนึ่ง เป็นการฝังวิชาอย่างหนึ่งลงไปในวิญญาณของอีกฝ่ายหนึ่ง ความคิดเดียวก็สามารถทำให้ผู้ที่ถูกกักขังวิญญาณไม่สามารถควบคุมความเป็นหรือตายของตัวเองได้
แต่วิธีการกักขังวิญญาณนี้ต้องเป็นผู้ที่มีการสำนึกแข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์ถึงจะใช้ได้เท่านั้น
เหยียนเย่วเอ๋อร์เป็นผู้มีการสำนึก ในขณะนี้ จิตสำนึกของนางได้ปกคลุมไปทั่วป่าสีเลือดนี้ ภาพจอมยุทธ์พรสวรรค์ทั้งหลายที่ดิ้นรนสุดชีวิตภายใต้การล้อมของอสูรอยู่ในสายตานางหมด
“พวกเจ้าทั้งสองรอข้าอยู่ที่นี่”
เหยียนเยว่เอ๋อร์พูดเสียงเรียบ จากนั้นร่างกายบอบบางของนางก็หายเข้าไปในป่า
เมื่อเห็นร่างของนางหายไป ความเคารพบนใบหน้าของชายร่างกำยำและชายชุดขาวก็หายไป ล้วนแสดงความขมขื่นและไม่เต็มใจออกมา
เมื่อก่อน ชายร่างกำยำเห็นว่าเหยียนเย่วเอ๋อร์หน้าตางดงามเลยเอ่ยแซวนาง แต่กลับถูกนางยกนิ้วชี้และได้รับบาดเจ็บสาหัส จากนั้นถูกฝังวิชากักขังวิญญาณ
ชายชุดขาวถูกฝังวิชากักขังวิญญาณ ตามที่เหยียนเย่วเอ๋อร์กล่าว เป็นเพียงเพราะนางไม่ชอบเขา ซึ่งทำให้เขารู้สึกแย่มาก
หลังจากนั้นไม่นาน เหยียนเย่วเอ๋อร์ก็กลับมาพร้อมมือสองข้างที่จับคนไว้ เป็นจอมยุทธ์พรสวรรค์สองคนที่เข้าสู่แดนนานาอสูรด้วยกัน
ร่างกายทั้งสองคนปกคลุมไปด้วยบาดแผลจากกรงเล็บของอสูร ลมหายใจอ่อนแรงมาก มีเพียงรอยฝ่ามือบนจุดตันเถียนเท่านั้น ซึ่งไม่ได้เกิดจากอสูร แต่ถูกเหยียนเย่วเอ๋อร์ทำลายพลังไป
“แค่ก แค่ก แค่ก…”
ในถ้ำที่ซ่อนอยู่ เสื้อคลุมสีดำของหลัวซิวฉีกขาดไปหมด หน้าอกของเขาเต็มไปด้วยเลือด มีบาดแผลไปทั่วร่างกาย
แม้ว่าความแข็งแกร่งของเขาจะเพียงพอที่จะกวาดล้างแดนพรสวรรค์ แต่ภายใต้การล้อมรอบของอสูรแดนพรสวรรค์หลายร้อยตัว เขาสามารถหลุดพ้นจากการล้อมรอบได้ ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส
ในแหวนเก็บของ มีลูกแก้วโลหิต 12 ลูกเพิ่มขึ้น ซึ่งได้มาจากการฆ่าอสูรตอนออกมาจากการล้อมรอบของเหล่าอสูร ลูกแก้วโลหิต 12 ลูกนี้ เป็นลูกแก้วโลหิตพรสวรรค์ น่าจะสามารถทำให้เขาฝึกวิชากลั่นร่างถึงแดนบรรลุผล
แต่หลังจากที่หลัวซิวกลืนลูกแก้วโลหิตมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาก็พบว่าลูกแก้วโลหิต กลั่นมาจากสารพลังเลือดปราณทั้งร่างของอสูร เลือดปราณของอสูรกับเลือดปราณของมนุษย์ แตกต่างกันมาก
ดังนั้นในกระบวนการกลั่น การเปลี่ยนเลือดปราณของอสูรให้เป็นเลือดปราณของตัวเอง จะทำให้พลังของตนเองปั่นปวน
########################
บทที่ 142 การสังเวยเลือด
บนแท่นบูชา ทุกคนเห็นค่ายกลเป็นแสงเงินโลหิต ค่ายกลนี้เหมือนแสงที่ปรากฏขึ้นจากอากาศเหมือนตอนเข้าสู่แดนลับมาก มีความแตกต่างเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
หลัวซิวเป็นผู้บรรลุถึงนักค่ายกลระดีบ 5 แม้แต่เขาก็ดูความลับของแสงนี้ไม่ออก เห็นได้ชัดว่าระดับของค่ายกลนี้ห่างไกลเกินขอบเขตของความเข้าใจของเขา
แต่หลัวซิวก็คิดขึ้นมาได้ว่า เหยียนเยว่เอ๋อร์ เดิมทีมีเพียงหยกอสูรจันทราคู่ เปิดประตูแดนลับต้องสังเวยเลือดหลายร้อยคน แต่ใช้หยกอสูรจันทราคู่เปิดประตูไม่จำเป็นสังเวยเลือด
และเข้าสู่พื้นที่เขต 2 ต้องใช้หยกอสูรจันทราคู่เหมือนกัน หรือว่าเหยียนเย่วเอ๋อร์วางแผนไว้แล้วว่าจะสังเวยเลือดตั้งแต่แรก?
ผู้คนที่จะนำมาสังเวยเลือดมาจากไหน?
เมื่อคิดถึงจุดนี้ หลัวซิวอดรู้สึกตะลึงไม่ได้ คนที่เหมาะสมต่อการสังเวยเลือด ต้องเป็นพวกจอมยุทธ์พรสวรรค์ที่นางพาเข้ามา!
เลือดของจอมยุทธ์พรสวรรค์คนหนึ่งถูกใช้ในการสังเวยเลือด ผลที่ได้เทียบได้กับจอมยุทธ์ชี่ไห่สิบกว่าคน และการสังเวยเลือดจอมยุทธ์พรสวรรค์ห้าคนก็เท่ากับผลการสังเวยเลือดของคนร้อยคนขึ้นไป!
“ช่างเป็นจิตใจที่ชั่วร้ายอะไรเช่นนี้!”
เมื่อเข้าใจแล้ว หลัวซิวมองไปที่เหยียนเยว่เอ๋อร์อีกครั้งด้วยสายตาที่เคร่งขรึม นางผู้นี้ดูเหมือนอายุไม่ถึงยี่สิบปี จิตใจทำไมถึงชั่วร้ายแล้วยังไม่วางชีวิตของผู้อื่นไว้ในสายตาแบบนี้?
เหมือนรู้สึกได้ถึงสายตาของหลัวซิวที่มองมาทางตน เหยียนเยว่เอ๋อร์ขมวดคิ้ว
“ดูเหมือนว่าชายหนุ่มผู้นี้จะรู้แผนก่อนหน้านี้ของนางแล้ว”
ดวงตาสวยงามคู่นั้น จ้องไปที่หลัวซิว เหยียนเยว่เอ๋อร์กล่าวอย่างสงบว่า “นำหยกอสูรจันทราเงินออกมา เราจะเข้าสู่พื้นที่เขต 2”
“ใช่ คุณชายหลัวรีบนำหยกอสูรออกมาเถอะ เขต 2 ต้องมีอสูรระดับสูงแน่ จะได้รับลูกแก้วโลหิตดีกว่านี้!”
จอมยุทธ์คนอื่น ๆ ต่างก็เร่งเขา ตลอดทางนี้ได้ลูกแก้วโลหิตมา ทุกคนกลั่นแปรและได้เสริมเลือดปราณให้แกร่งขึ้น รู้สึกถึงได้ประโยชน์ดีๆ
“แดนนานาอสูรนี้เป็นสมบัติล้ำเลิศจริงๆ หากมีลูกแก้วโลหิตเพียงพอ และมีวิชากลั่นร่างที่ดี…” หลายคนมีกำลังใจเพิ่มขึ้น แต่วิชากลั่นร่างมีค่ามากกว่าวิชาปกติทั่วไป พวกเขาล้วนแต่เป็นผู้ฝึกตนที่ไม่เป็นทางการ ทานลูกแก้วโลหิตมีผลในการทำให้เลือดปราณแข็งแกร่งและกลั่นร่างเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
แม้ว่าจะไม่ได้ผลการกลั่นร่างที่ดีนัก แต่การกลืนลูกแก้วโลหิตก็เป็นประโยชน์ต่อผู้ฝึกยุทธ์เช่นกัน และลูกแก้วโลหิตนี้หากนำออกไปขาย จะมีจอมยุทธ์กลั่นร่างจำนวนมากที่เต็มใจราคาสูงเพื่อซื้อแน่นอน
หลัวซิวเยาะเย้ยในใจ คนเหล่านี้อาจยังไม่เข้าใจ เข้ามาในแดนนานาอสูรง่าย แต่จะออกไปยาก
คาดว่าเหยียนเยว่เอ๋อร์ผู้นี้มีเจตนาร้ายที่พาคนเหล่านี้เข้ามา ไม่ให้คนเหล่านี้มีชีวิตออกไปด้วยซ้ำ!
อีกอย่าง หลัวซิว มองเหยียนเยว่เอ๋อร์คนนี้ไม่ออก ลมหายใจชีวิตก็เหมือนกับคนธรรมดาและดูผลการฝึกฝนของนางไม่ออก
นำหยกอสูรจันทราสีเงินออกมา หลัวซิวคิดจะดูว่าเหยียนเย่วเอ๋อร์คนนี้มีแผนร้ายอะไร และเขาก็ไม่รู้ว่าจะออกจากแดนนานาอสูรได้อย่างไร
หยกอสูรทั้งสองปล่อยแสงสีแดงและสีเงินออกมา คล้านพระจันทร์สีเลือดและพระจันทร์สีเงินที่กำลังลอยขึ้น ทุกคนยืนอยู่กลางค่ายกลแสง
เหยียนเย่วเอ๋อร์ยื่นมือเก็บหยกอสูรหนึ่งวง แต่ไม่ได้แตะหยกอสูรวงนั้นของหลัวซิว
แต่เมื่อหลัวซิวกำลังจะเก็บหยกอสูรอีกตัวหนึ่ง หัวหน้าจอมยุทธ์พรสวรรค์ขั้น 8 ก็ลงมือทันที
“หยกอสูรนี้ ข้าเอาแล้ว!”
จอมยุทธ์พรสวรรค์ขั้น 8 ผู้นี้ เป็นชายวัยกลางคนชื่อ หวงหยวนซาน เสียงของเขาเต็มไปด้วยพลังและอำนาจ
เขาไม่กล้าแย่งหยกอสูรของเหยียนเย่วเอ๋อร์ อย่างหนึ่งเป็นเพราะเขาไม่กล้ารุกรานตระกูลเหยียน อีกอย่างหนึ่งเพราะมีตาเหยียนเย่วเอ๋อร์คนเดียวที่รู้วิธีออกไปจากแดนนานาอสูร
เขาเป็นผู้ที่มีผลการฝึกตนสูงสุดในที่นี้ หยกอสูรสำคัญอย่างนี้ ต้องอยู่ในกำมือของเขาเองถึงจะถูก!
แต่มือของเขายังไม่ได้แตะโดนหยกอสูร หลัวซิวใช้ความเร็วที่เร็วกว่าเก็บหยกอสูร
“โครม!”
ทันทีที่หยกอสูรทั้งสองถูกเก็บออกไป ค่ายวาร์ปได้เปิดออก หลังจากที่ปวดหัวเวียนศรีษะครู่หนึ่ง ทุกคนก็ปรากฏตัวขึ้นในพื้นที่เขต 2
เพิ่งถูกส่งมา หวงหยวนซานก็ตะโกน “พ่อหนุ่ม เอาหยกอสูรออกมา!”
ในขณะที่พูด หวงหยวนซานได้เคลื่อนไหว แสงสีขาวออกมาจากมือของเขาและพุ่งไปทางหลัวซิว เพื่อจะฆ่าเขา
แสงสีขาวนี้มีความคมชัด ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเขาเป็นผู้ที่ฝึกฝนด้านองค์ประกอบทั้งห้า เป็นปราณแท้พรสวรรค์ลักษณะโลหะ
แต่หลัวซิวลงมือเร็วกว่าเขา!
แอบใช้พลังแปรเสวียนเทียนอย่างลับๆ กระบี่ยุทธ์ที่อยู่ข้างหลังหลัวซิวก็บินออกจากฝัก เจตนาการฆ่าที่รุนแรงก็แผ่ขยายออกไป ทำให้จอมยุทธ์คนอื่นๆ ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงรู้สึกได้ถึงความหนาวเหน็บถึงกระดูก
แสงดาบส่องประกายผ่านวูบไป ร่างของหลัวซิวยังคงยืนอยู่ที่เดิม แต่ศรีษะของหวงหยวนซานถูกโยนขึ้นไปในอากาศพร้อมเลือดร้อนที่พุ่งออกมา
ด้วยดาบเล่มเดียว ฆ่าพรสวรรค์ขั้น 8 !
จอมยุทธ์ที่เพิ่งถูกเคลื่อนย้ายมายังพื้นที่เขต 2 ต่างตกตะลึงกับภาพนี้!
กระบี่ยุทธ์ไม่ได้กลับเข้าไปในฝัก หลัวซิวหวาดมองไปยังคนอื่นๆด้วยสายตาที่เย็นชา จอมยุทธ์ทั้งหลายไม่มีใครกล้าสบตาเขา ข้าไม่ลังเลเลยที่จะใช้ พลังแปรเสวียนเทียน ไพ่ตายใบนี้ เพื่อทำให้ทุกคนกลัว!
แค่เจ้ามีความแข็งแกร่งเพียงพอ ผู้อื่นจะไม่กล้าแตะต้องเจ้า ไม่กล้าโลภสมบัติบนร่างกายของเจ้า มีแต่กลัวเจ้าเท่านั้น!
จอมยุทธ์สายตาดีไม่กี่คน แอบเหล่มองไปที่กระบี่ยุทธ์ในมือของหลัวซิว ในชั่วขณะที่หวงหยวนซานถูกฆ่า กระบี่ยุทธ์เล่มนี้มีเจตนาฆ่าที่น่าสะพรึงกลัวระเบิดออกมา ไม่ใช่นักยุทธ์ระดับธรรมดาแน่นอน
หรือเป็นกระบี่ยุทธ์ชั้นล่าง? นั่นเป็นอาวุธที่มีเพียงราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่มีคุณสมบัติที่จะมีอยู่ในมือได้ ชายผู้นี้คือใครกัน ถึงแค่การฝึกฝนพรสวรรค์เท่านั้น กลับสามารถจับกระบี่ยุทธ์ชั้นล่างได้?
บางคนประหลาดใจ บางคนหวาดกลัว บางคนเคารพ สายตาที่ซับซ้อนมากมายมองไปที่หลัวซิว แต่ไม่ว่าอย่างไร ไม่มีใครกล้าต่อต้านซิวหลัวผู้นี้ หวงหยวนซานผู้ซึ่งถูกฆ่าเป็นหลักฐานที่ดี
แม้ว่าบางคนจะมีใจ แก็ได้แต่ซ่อนมันไว้ข้างในใจลึก ๆ ไม่กล้าแสดงออก
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครกล้าแสดงความเป็นศัตรูต่อเขาอีก หลัวซิวเรียกกระบี่ยุทธ์มาเก็บเข้าไปในฝัก ฆ่าหวงหยวนซานทำให้ผู้อื่นหวาดกลัวนั้นมีประสิทธิภาพมากอย่างไม่ต้องสงสัย แต่หลัวซิวสังเกตเห็นว่ามีเพียงสายตาของเหยียนเย่วเอ๋อร์ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก
หญิงสาวนางนี้ไม่ธรรมดา!
หลัวซิวแอบระวัง เขาไม่คิดว่าได้ลูกแก้วอัญมณีแห่งความเป็นความตาย ก็ไม่ดูถูกคนรุ่นเขาไว้ในสายตา เพราะโลกนี้กว้างใหญ่ เต็มไปด้วยสิ่งมหัศจรรย์ เขามีโอกาสได้ คนอื่นก็อาจจะได้เหมือนกัน
นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนเสียชีวิตหลังจากเข้าสู่แดนนานาอสูร ไม่ใช่เสียชีวิตเพราะการต่อสู้กับอสูร แต่เป็นการต่อสู้กันภายใน
“พื้นที่เขต 2 มีแต่อสูรระดับ 3 เทียบได้กับจอมยุทธ์พรสวรรค์ ทุกคนควรระวัง” เหยียนเยว่เอ๋อร์กล่าว ทำลายความเงียบลง
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฝูงชนไม่ได้แสดงอาการหวาดกลัวออกมา ในทางกลับกัน หัวใจของพวกเขาเต้นแรง ยิ่งอสูรระดับสูง ผลของลูกแก้วโลหิตที่กลั่นออกมา จะยิ่งได้ผลดีขึ้น!
########################
บทที่ 141 ความลับลูกแก้วโลหิต
พวกเขาเดินเข้าไปในป่าลึกแห่งนี้โดยไม่รู้ตัว บางครั้งจะพบยาวิเศษที่เติบโตที่นี่ ส่วนใหญ่เป็นยาระดับหนึ่ง ระดับสองจะน้อยกว่า
ยาวิเศษระดับนี้ จอมยุทธ์พรสวรรค์ไม่สนใจสักนิด และแน่นอนว่าไม่มีใครเก็บยาวิเศษพวกนี้
ระหว่างทาง มักจะมีอสูรระดับ2 ออกมาโจมตี สำหรับจอมยุทธ์พรสวรรค์ เพียงแค่ยกมือขึ้นก็สามารถฆ่าพวกมันได้อย่างง่ายดาย
“โฮก!”
อสูรเสือตัวหนึ่งกระโดดออกมาจากพุ่มไม้ อ้าปากที่เต็มไปด้วยเลือดและพุ่งไปฆ่าหลัวซิวที่ใกล้ที่สุด
หลัวซิวรู้สึกได้ถึงการมีตัวตนอยู่ของอสูรเสือตัวนี้ตั้งนานแล้ว เขาค่อย ๆ ยกมือขึ้นและชี้ออกไป พลังดาบที่ควบแน่นด้วยเปลวไฟแห่งมรณะก็พุ่งออกไป เจาะทะลุหัวของอสูรเสือ มันเสียชีวิตทันที
แต่ที่น่าแปลกก็คือ หลังจากที่อสูรเสือถูกฆ่า ร่างกายของมันก็ค่อยๆเบลอ เลือดทั้งหมดรวมตัวกัน ลูกแก้วสีเลือดขนาดเท่าเล็บมือก็ปรากฏขึ้นบนพื้น
ภาพแปลก ๆนี้ ดึงดูดความสนใจของผู้อื่นที่มาด้วยกัน
“เจ้าโชคดีจริงๆ ฆ่าอสูรระดับ2 ยังมีลูกแก้วโลหิตอีกด้วย” เหยียนเยว่เอ๋อร์ผู้ซึ่งเดินอยู่ด้านหน้ากล่าว
“ลูกแก้วโลหิต? นี่คืออะไร?” หลัวซิวคว้าลูกแก้วโลหิตมาอยู่ในมือของเขา รู้สึกได้ว่าในลูกแก้วขนาดเล็กนี้เต็มไปด้วยพลังงที่แข็งแกร่ง
“ลูกแก้วโลหิตถูกสร้างขึ้นจากพลังทั้งหมดของอสูรในแดนนานาอสูร จอมยุทธ์ได้กลั่นแปร สามารถเสริมพลังปราณของตัวเองให้แกร่งขึ้น มีผลต่อการกลั่นร่าง หากผู้ที่ฝึกตนด้วยวิชาการกลั่นร่าง ผลจะดียิ่งกว่า”
เหยียนเยว่เอ๋อร์กล่าว “ความลับของลูกแก้วโลหิต มีคนรู้น้อยนักในประเทศเทียนหวู”
ตามที่เหยียนเยว่เอ๋อร์กล่าว ลูกแก้วโลหิตนี้สามารถมีผลในการกลั่นร่าง เป็นสมบัติล้ำค่าอย่างแน่นอน แต่สมบัติประเภทนี้ถูกผูกขาดโดยพวกที่มีอำนาจ จอมยุทธ์ธรรมดาไม่รู้จักการมีอยู่ของสมบัติประเภทนี้ด้วยซ้ำ
และลูกแก้วโลหิตชนิดนี้ จะได้จากการฆ่าอสูรในแดนนานาอสูรเท่านั้น
หลัวซิวรู้สึกได้ถึงพลังแข็งแกร่งจากลูกแก้วโลหิต หลังจากครุ่นคิดชั่วครู่ เขาก็กลืนลูกแก้วโลหิตลงไป พลังแข็งแกร่งได้รับการกลั่นแปรอย่างรวดเร็ว ในขณะที่เลือดปราณแข็งแกร่งขึ้น ร่างกายก็แข็งแรงขึ้นเล็กน้อย
สิ่งนี้ทำให้สีหน้าของหลัวซิวดูตะลึง ลูกแก้วโลหิตสามารถกลั่นร่างได้ ก็หมายความว่าถ้ามีลูกแก้วโลหิตเพียงพอ เขาจะสามารถฝึกวิชาวัชรยักษ์ครองร่างไปสู่ขั้นที่สูงขึ้นได้?
เนื่องจากลูกแก้วโลหิตชนิดนี้ มีแต่ในแดนนานาอสูรถึงจะได้มา จะเห็นได้ว่าเป็นเพราะปริภูมิของแดนนานาอสูรหรือว่าผู้ยิ่งใหญ่ในสมัยโบราณ ได้เปิดปริภูมินี้โดยเฉพาะ เพื่อเลี้ยงอสูร เพื่อล่าลูกแก้วโลหิต?
หลังจากได้รู้ถึงประโยชน์ของลูกแก้วโลหิตแล้ว จอมยุทธ์พรสวรรค์อื่นๆ ที่มาด้วยกัน สายตาร้อนแรง แย่งกันไล่ล่าอสูร
…..
ใกล้เทือกเขากวนเหลย ชายชราสามคนที่มีผมสีขาวและมีเครายืนอยู่กลางท้องฟ้า สีหน้าเคร่งขรึม
“เหยียนเยว่เอ๋อร์ได้ขโมยแผนที่แดนนานาอสูรและหยกอสูรจันทราสีเลือด จากข้อมูล นางเข้ามาที่นี่พร้อมกับทาสหลายร้อยคนและจอมยุทธ์ไม่เป็นทางการ”
“ทาสหลายร้อยคนต้องเป็นพวกที่สังเวยโลหิตเพื่อเปิดแดนลับ ส่วนจอมยุทธ์ไม่เป็นทางการเหล่านั้น ก็ต้องใช้สำหรับสังเวยโลหิตด้วย”
“ในฐานะน้องสาวแท้ๆของนายท่าน ทางตระกูลดีกับนางมาก คาดไม่ถึงว่านางจะไม่คิดที่จะตอบแทน แล้วยังทรยศต่อตระกูลด้วย!”
“ทางเข้าสู่แดนนานาอสูร จะปรากฏขึ้นแบบสุ่มทุกๆสิบปี มีแต่แผนที่ลับเท่านั้นที่จะหาพิกัดจริงๆ เทือกเขากวนเหลยใหญ่อย่างนี้ พวกข้าไปหาที่ใดกันเล่า?”
“แม้จะขุดลงไปที่พื้นสามฟุตก็ต้องหานางให้พบ ทันทีที่พวกข้าปล่อยให้นางเข้าไปในแดนนานาอสูร มันจะยากมากหากพวกข้าจะหานางเจอ พวกข้าจะบอกนายน้อยตำหนักจื่ออย่างไร?”
ผู้อาวุโสที่เป็นผู้นำในทั้งสามคนพ่นเสียงออกมาอย่างเย็นชา แบมือหยิบกล่องส่งเสียงออกมา เตรียมเรียกผู้คนมาเพื่อค้นเทือกเขากวนเหลย
……
เดินอยู่ในป่าที่มืดครึ้ม จะมีอสูรพุ่งออกมาจากพุ่มไม้ข้างๆเป็นบางครั้ง พวกหลัวซิวเดินลึกเข้าไปมากขึ้น พวกเขเจอการโจมตีจากอสูรก็มากขึ้นเรื่อยๆ
ระหว่างทาง พวกเขาถูกโจมตีจากอสูรเป็นกลุ่มสามครั้ง อสูรระดับ2 จำนวนนับไม่ถ้วนที่ถูกฆ่าตาย
ได้ฆ่าอสูรจำนวนมาก การเก็บเกี่ยวของทุกคนก็ไม่น้อย จอมยุทธ์เกือบทุกคนจะได้ลูกแก้วโลหิตหลายลูก ผู้ที่ได้ลูกแก้วโลหิตมากที่สุดคือหลัวซิวกับจอมยุทธ์แดนพรสวรรค์ขั้น 8
ได้ลูกแก้วโลหิตมานั้นไม่ใช่เรื่องง่าย โดยทั่วไป ฆ่าอสูรระดับ2 ยี่สิบตัวจะได้ลูกแก้วโลหิตหนึ่งลูก เรียกได้ว่าเป็นการพึ่งโชคก็ว่าได้
เหยียนเยว่เอ๋อร์และคนสองคนที่อยู่ข้างๆนาง ต่างจากหลัวซิวและคนอื่นๆ พวกนางไม่ได้รวบรวมลูกแก้วโลหิต ทุกคนก็ไม่ได้สนใจ เพราะนางมาจากตระกูลเหยียน ลูกแก้วโลหิตระดับต่ำเช่นนี้ย่อมไม่วางไว้ในสายตา
สี่ชั่วโมงต่อมา หลัวซิวได้ลูกแก้วโลหิตเป็นจำนวนมาก อสูรระดับสองในพื้นที่เขตที่1นี้ไม่สามารถต้านทานการยกนิ้วของเขาได้ ระหว่างทางนี้ เขาฆ่าอสูรทั้งหมดกว่า 300 ตัว และได้ลูกแก้วโลหิตมา13 ลูก
คนอื่นๆก็ได้ฆ่าอสูรจำนวนไม่น้อย ฆ่าอสูรเป็นเวลานานติดต่อกัน แม้ว่าจะเป็นอสูรระดับระดับ2 พลังของทุกคนก็ใช้ไปไม่น้อย
มีเพียงเหยียนเยว่เอ๋อร์ที่ฆ่าอสูรน้อยมาก กับจอมยุทธ์แดนพรสวรรค์ขั้น 8 และหลัวซิวสามคนที่เสียงพลังไปเพียงเล็กน้อย
เหยียนเยว่เอ๋อร์เป็นเพราะไม่ได้ฆ่าอสูรสักตัว หลัวซิวและจอมยุทธ์แดนพรสวรรค์ขั้น 8 มีปราณแท้มากอยู่แล้ว ฆ่าด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว ดังนั้นเสียปราณแท้น้อย
หลังจากที่ลูกแก้วโลหิตทั้ง 13 ลูก ได้กลั่นแปรหมดแล้ว ร่างกายของหลัวซิวก็แข็งแรงเป็นสองเท่าจากในตอนแรก ถึงขีดจำกัดของสำเร็จน้อย อีกนิดหนึ่งก็จะถึงขั้นแรกของบรรลุผล เทียบได้กับนักยุทธ์ระดับชั้นสูง!
แม้วิชาวัชรยักษ์ครองร่างจะเป็นวิชายุทธ์ระดับ5 แต่ภายหลัง หลัวซิวพบว่านี่เป็นวิชายุทธ์ที่ไม่สมบูรณ์ มีสองขั้น ขั้น 1สามารถชุบร่างเนื้อเทียบเท่ากับนักยุทธ์ชั้นสูง แบ่งเป็นแดนเล็กสี่แห่ง ได้แก่ สำเร็จแรก สำเร็จน้อย บรรลุผลและบริบูรณ์
ขั้น1บริบูรณ์แล้ว ร่างกายสามารถเทียบได้กับนักยุทธ์ขระดับชั้นสูง แม้ว่าจะเป็นการโจมตีจากปรมาจารย์ฝึกจิตธรรมดา ก็ยังสามารถต้านทานได้บ้าง
และวรยุทธ์ขั้น 2 สามารถไปถึงได้แค่สำเร็จแรกเท่านั้น ไม่มีเนื้อหาต่อไป
นี่ก็หมายความว่าวิชายุทธ์นี้แค่สามารถชุบร่างเนื้อให้ร่างกายมีระดับนักยุทธ์ระดับชั้นล่างเท่านั้น
ร่างกายแข็งแกร่งขึ้น ทำให้หลัวซิวอารมณ์ดี ลูกแก้วโลหิตอสูรระดับ 2 ก็มีผลมหัศจรรย์เช่นนี้ หากเป็นลูกแก้วโลหิตที่มาจากอสูรระดับสูง ผลจะต้องดีกว่าอย่างแน่นอน
เขาอาจจะสามารถฝึกฝนวิชาวัชรยักษ์ครองร่างที่นี่ถึงระดับที่สองได้!
เหยียนเยว่เอ๋อร์รู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงในร่างกายของหลัวซิว มีความประหลาดใจผ่านวาบขึ้นมานดวงตาที่สวยงามของนาง แอบคิดว่าไอ้ชายหนุ่มคนนี้ที่เรียกตัวเองว่าหลัวซิว ได้ฝึกฝนวิชาการกลั่นร่าง และดูเหมือนว่าเขาจะฝึกฝนไปถึงขระดีบที่ไม่ต่ำอีกด้วย
ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วโมง ทุกคนก็มาถึงจุดสิ้นสุดของป่า
ใจกลางของที่โล่ง มีแท่นบูชาสูงประมาณ 6 ถึง 7 เมตร เหนือแท่นบูชา มีแสงเงินโลหิตวูบวาบซึ่งค่อนข้างคล้ายกับลำแสงค่ายกลตอนที่เข้าสู่แดนลับ
“สามารถเข้าสู่พื้นที่เขตที่ 2 จากที่นี่ได้ ต้องใช้หยกอสูรจันทราคู่เพื่อเปิดค่ายกล”
########################
บทที่ 140 มุ่งหน้าไปยังแดนนานาอสูร
“ข้ามีแผนที่ลับจริง หากท่านเองก็อยากไปแดนนานาอสูร ร่วมเดินทางไปด้วยกันได้” สาวผมแดงกล่าว
“แดนปริศนาเป็นห้วงเวลาพิเสษที่หลงเหลือมานับแต่โบราณ ในบรรดาสามแดนปริศนาของประเทศเทียนหวูเรา แดนนานาอสูรลึกลับที่สุด ว่ากันว่ามีสมบัตินับไม่ถ้วน” จอมยุทธ์พรสวรรค์ขั้นแปดคนนั้นร่วมพูดด้วย
“ถ้าข้าจะไป มีเงื่อนไขอันใด?” หลัวซิวถามออกมาตรงๆ เขาไม่คิดว่าโลกนี้จะมีเรื่องดีที่ได้มาง่ายดาย
ในเมื่อแดนนานาอสูรนี่ถูกเรียกขานว่าเป็นหนึ่งในสามแดนปริศนาของประเทศเทียนหวู ดูท่าแดนปริศนาที่หัวหน้าแก๊งเหวินเซวียนหงพูดถึง คงเป็นหนึ่งในนั้น
“ข้าต้องการหญ้าคืนวิญญาณต้นหนึ่ง หลังจากเข้าไปในแดนปริศนาแล้ว พวกท่านต้องร่วมตามหาหญ้าคืนวิญญาณกับข้า ส่วนสมบัติอื่นๆที่หาได้ในแดนปริศนา ผู้ใดหาพบก็เป็นของผู้นั้น” เหยียนเยว่เอ๋อร์พูดแบบนี้
“หญ้าคืนวิญญาณ?” หลัวซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย หญ้าคืนวิญญาณเป็นยาวิเศษขั้นห้า สามารถสร้างยาฟื้นวิญญาณซึ่งเป็นยาขั้นห้า สามารถรักษาการบาดเจ็บของจิตวิญญาณจิตเทพได้
หญ้าคืนวิญญาณเป็นวัตถุยาหลักในการสร้างยาฟื้นวิญญาณ ถึงระดับจะไม่ถือว่าสูงมาก แต่นับว่าหาได้ยากยิ่ง ทำให้ราคาของยาฟื้นวิญญาณสูงค่าซะยิ่งกว่ายาขั้นหกบางชนิด
จากนั้นเหยียนเยว่เอ๋อร์ก็เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับแดนนานาอสูรให้กับหลัวซิว
แดนนานาอสูรมีเจ็ดเขต จากรอบนอกสุดถึงรอบในสุด ทุกเขตมีค่ายกลปิดผนึกห้ามเข้าไว้หมดหญ้าคืนวิญญาณที่เหยียนเยว่เอ๋อร์พูดถึงเติบโตอยู่ในเขตที่สาม
ส่วนทาสนับร้อยที่อยู่ด้านนอกห้องใต้หลังคาเป็นของบูชายัญที่เตรียมไว้เพื่อเปิดแดนปริศนา
พอได้ยินคำนี้ สายตาหลัวซิวกระตุกทันที เพื่อเปิดแดนปริศนาแห่งหนึ่งต้องใช้เลือดของคนร้อยคน เหยียนเยว่เอ๋อร์คนนี้ดูเป็นสาวน้อยอ่อนแอ จิตใจกลับโหดร้ายเพียงนี้
หลัวซิวเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงคำว่ารู้หน้าไม่รู้ใจ
ในห้องโถง นอกจากสองคนที่อยู่ข้างกายเหยียนเยว่เอ๋อร์แล้ว อีกสิบคนที่เหลือเป็นจอมยุทธ์พรสวรรค์กระจัดกระจายที่โดนนางเชิญมา
ส่วนเรื่องการเชิญระดับพรสวรรค์แต่ไม่มีปรมาจารย์ฝึกจิต ดูท่าคงกังวลว่าผู้แข็งแกร่งปรมาจารย์ฝึกจิตจะเกิดละโมบแย่งชิงแผนที่ลับในมือนาง
เป้าหมายที่แท้จริงของเหยียนเยว่เอ๋อร์หลัวซิวไม่รู้แน่ชัด แต่สำหรับแดนนานาอสูรซึ่งเป็นหนึ่งในสามดินแดนลึกลับนั้น หลัวซิวค่อนข้างสนใจ และรอคอยอยู่ลึกๆ
ในมือเหยียนเยว่เอ๋อร์ มีแผนที่อย่างละเอียดของเส้นทางวัดกวนเหลยภาพหนึ่ง เส้นทางที่ผ่านไปก็เป็นเขตปลอดภัย ไม่ได้เจออสุรกายระดับสามขึ้นไป
สองวันต่อมา ทั้งหมดมายังป่าสงบเงียบ ในป่านี้มีถ้ำขนาดใหญ่ที่ลึกไม่เห็นก้น
ที่นี่ดูแล้วไม่มีอะไรเป็นพิเศษ แต่ตามคำพูดของเหยียนเยว่เอ๋อร์แล้ว ที่นี่เป็นทางเข้าแดนนานาอสูร
เขาเห็นเหยียนเยว่เอ๋อร์เดินมาข้างถ้ำขนาดใหญ่ หยิบหยกแขวนเดือนเสี้ยวที่ห้องที่คอลงมากำไว้ในมือ
“กิ๊ง!”
หยกแขวนเดือนเสี้ยวในมือนางเปล่งประกายเย้ายวนประหลาด หยกแขวนที่อยู่ในอ้อมกอดของหลัวซิวอันนั้นก็กระตุกแรงขึ้นมา และแผ่ซ่านกระแสไอเย็นออกมา
“ฟิ้ว!”
หยกแขวนพุ่งลอยออกจากในอ้อมอก และมาค้างกลางอากาศอยู่เหนือหัว
“อีกครึ่งหนึ่งของหยกอสูรจันทราคู่อยู่ในมือท่าน?”
เหยียนเยว่เอ๋อร์เห็นภาพนี้เข้า อดมองหลัวซิวอย่างสงสัยไม่ได้
นางพลันนึกถึงครั้งแรกที่เขามองตนแล้วจับจ้องหยกแขวนของตนเขม็ง ที่แท้ก็มิได้เป็นการจาบจ้วงของชายลามก หากเป็นเพราะเขาก็มีหยกแขวนที่เหมือนกัน
หลัวซิวไม่รู้ว่าหยกอสูรจันทราคู่คืออะไร แต่ก็พอแน่ใจได้ว่า คงจะเกี่ยวข้องกับแดนนานาอสูร
“ถ้าหยกอสูรจันทราคู่ประสานกัน ไม่ต้องบูชายัญเลือดก็สามารถเปิดแดนนานาอสูรได้” ตอนเหยียนเยว่เอ๋อร์พูด หยกอสูรจันทร์เสี้ยวชิ้นนั้นในมือนางก็พุ่งขึ้นกลางอากาศ ไปประสานกับหยกอสูรชิ้นนั้นของหลัวซิว
หยกอสูรชิ้นหนึ่งส่องแสงสีเลือด ประหนึ่งจันทราสีเลือด
หยกอสูรชิ้นหนึ่งส่องแสงเงิน ประหนึ่งจันทราสีเงิน
หยกอสูรจันทราสีเลือดก็คือชิ้นนั้นของเหยียนเยว่เอ๋อร์ หยกอสูรจันทราสีเงินคือชิ้นที่อยู่กับหลัวซิว
ตามคำพูดของเหยียนเยว่เอ๋อร์ ถ้ามีหยกอสูรจันทราคู่อยู่ด้วยกัน ก็ไม่ต้องบูชายัญเลือด
เห็นแค่จันทราสีเลือดและจันทราสีเงินที่ลอยกลางอากาศค่อยๆเข้าใกล้กัน จนแนบชิดประสานกัน
“ปิ้ง!”
ถ้ำขนาดใหญ่ด้านล่างส่องแสงสีเลือดและสีเงิน สองแสงสอดประสานกันกลายเป็นค่ายกลแสงขนาดใหญ่ที่ดูซับซ้อน
นี่เป็นค่ายกลหนึ่งที่มีการสอดประสานของอักขระค่ายกล ตัวหนังสือกระพริบที่ดูซับซ้อนลึกซึ้ง ลอยอยู่ด้านบนถ้ำ
เหยียนเยว่เอ๋อร์กระโดดขึ้นไป หยุดลงที่ด้านบนแสงที่สีเลือดสีเงินสอดประสานกัน แสงกลุ่มนั้นดูแข็งแรงนัก ไม่ได้ทำให้นางหล่นลงมา
“ทุกคนขึ้นมาเถิด จะเข้าแดนปริศนาแล้ว” เหยียนเยว่เอ๋อร์ก้มหน้ามองพลางบอกทุกคน
ชายชุดขาวที่เดินมากับนางและชายร่างยักษ์ไม่ได้ลังเลใดๆ และกระโดดขึ้นไปยืนหลังนาง
คนอื่นก็ไม่สงสัย พุ่งทะยานขึ้นไป และมองแสงใต้ฝ่าเท้าอย่างแปลกใจ รู้สึกว่ามันเหลือเชื่อมาก
รอจนทุกคนขึ้นไปยืนบนค่ายกลแสงหมดแล้ว เหยียนเยว่เอ๋อร์ยื่นมือไปจับหยกอสูรสองอันที่ลอยอยู่กลางอากาศ
หลัวซิวตากระตุก ลงมือพร้อมกัน คว้าจับหยกอสูร
สุดท้ายเหยียนเยว่เอ๋อร์จับได้หยกอสูรชิ้นนั้นที่เป็นของนาง และหลัวซิวก็จับได้อีกชิ้น
ในพริบตาที่หยกอสูรสองชิ้นถูกเก็บไป แสงสว่างจ้าวาบขึ้น ผู้คนที่ยืนอยู่บนค่ายกลแสงพลันหายไปไร้ร่องรอย ด้านบนของถ้ำขนาดใหญ่ก็กลับสู่ความสงบ ประหนึ่งไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
ส่วนทาสร้อยคนที่โดนเหยียนเยว่เอ๋อร์พามา ก็ได้แต่อยู่ที่นี่ หาทางรอดเอาเอง
พริบตาที่โดนแสงโอบอุ้ม หลัวซิวรู้สึกเหมือนนั่งวาร์ป ร่างกายโดนแรงในห้วงอากาศบีบรัด ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน
เหมือนผ่านไปแค่พริบตาเดียว หลัวซิวรู้สึกว่าสองขาของตนยืนลงบนพื้น และกวาดตามองรอบๆอย่างระแวดระวัง พบว่าตนอยู่ในป่าทึบมืดแห่งหนึ่ง
ในเวลาเดียวกัน เขาก็เห็นพวกเหยียนเยว่เอ๋อร์
แดนปริศนาเป็นห้วงเวลาพิเศษที่หลงเหลือมานับแต่โบราณ และมันแสดงว่าทุกคนไม่ได้อยู่ในประเทศเทียนหวู แต่อยู่ในห้วงเวลาที่แบ่งแยกกับโลกภายนอก
ตามตำนานเล่าว่าห้วงอากาศของแดนปริศนาเริ่มสร้างในสมัยโบราณ หลัวซิวคิดไม่ออกเลยว่ามันเป็นอย่างไร ถึงทำได้ถึงขั้นนี้
นอกจากหลัวซิวแล้ว จอมยุทธ์พรสวรรค์คนอื่นก็มองไปรอบด้าน สายตาเต็มไปด้วยความระแวดระวังและแปลกใจ
“ที่นี่เป็นเขตแรก หญ้าคืนวิญญาณที่ข้าต้องการมีแต่ในเขตที่สาม” เหยียนเยว่เอ๋อร์ค่อยๆพูดขึ้น ดวงตางามมองหลัวซิว
เพราะหยกอสูรจันทราคู่อีกชิ้นหนึ่งอยู่ในมือหลัวซิว
ตระกูลเหยียนมีหยกอสูรแค่ชิ้นเดียว ทุกครั้งที่เปิดแดนปริศนาต้องใช้เลือดคนร้อยคนบูชายัญ และกว่าจะข้ามผ่านเขตที่หนึ่งไปเขตที่สอง จากเขตที่สองไปเขตที่สาม ก็ต้องใช้เลือดบูชายัญ
นี่เป็นสาเหตุที่เหยียนเยว่เอ๋อร์พาจอมยุทธ์พรสวรรค์พวกนั้นมา เลือดของจอมยุทธ์พรสวรรค์ต้องให้ผลลัพธ์ได้ดียิ่งกว่าเลือดจอมยุทธ์ระดับชี่ไห่พวกนั้นแน่
“พวกคนที่เข้ามาจะไม่สามารถรอดออกไปได้ ขอเพียงได้หยกอสูรในมือเขามา ไม่ต้องใช้เลือดบูชายัญ ข้าก็สามารถไปเขตที่สามได้”
เหยียนเยว่เอ๋อร์คิดในใจแบบนี้
“ทุกคนตามข้ามา พวกเราจะไปเขตที่สองกันก่อน”
เหยียนเยว่เอ๋อร์ดูเหมือนไม่ได้มาแดนนานาอสูรเป็นครั้งแรก นางเดินนำทุกคนมุ่งตรงไปยังเบื้องหน้า
########################
บทที่ 139 เจอหยกแขวนเดือนเสี้ยวอีกครั้ง
สาวผมแดงนั่นรู้สึกว่าสายตาชายผู้นี้จับจ้องที่หน้าอกตน สายตางดงามพลันแล่นปลายประกายตาเย็นเยียบ
“บังอาจ กล้าไร้มารยาทต่อหน้าคุณหนูของเรา?” ด้านข้างที่นั่งสาวน้อยคนนั้น ชายร่างใหญ่กำยำคนหนึ่งตะคอกดังขึ้น
หลัวซิวได้สติกลับมา และรู้ว่าการกระทำของตนเมื่อครู่ดูเสียมารยาทไปหน่อย
ในตอนที่เขากำลังจะขอโทษออกมา ชายร่างใหญ่ที่ตะคอกเมื่อครู่กลับก้าวเท้าออกมา และยื่นนิ้วมือออกมาสองนิ้วจะจิ้มเข้าตาเขา
สีหน้าหลัวซิวขรึมลงทันที เขาเพียงแต่เหม่อลอยมองไปนิดหน่อย อีกฝ่ายกลับคิดจะแทงตาเขาบอดเลยรึ?
หลัวซิวเข้าใจมานานแล้วว่าโลกนี้ไร้เหตุผลสิ้นดี มีเพียงฝีมือเท่านั้นที่จะสามารถมีสิทธิ์พูดได้
นี่คือโลกของผู้แข็งแกร่ง!
ดังนั้นตอนนิ้วของชายร่างแกร่งจะทิ่มตาตน หลัวซิวไม่พูดพร่ำทำเพลงสะบัดฝ่ามือใส่ทันที
“เพี๊ยะ!”
เสียงตบหน้าดังสนั่นกลางห้องโถง ชายร่างใหญ่นั่นเหมือนไม่คิดว่าหลัวซิวจะลงมือ หรือเขาอาจจะคิดแล้ว แต่อีกฝ่ายลงมือเร็วเกินไป จนเขาไม่ทันได้สติ
โดนหลัวซิวสะบัดฝ่ามือเข้าไป ร่างชายร่างใหญ่หมุนคว้างกลางอากาศหลายครั้งก่อนจะล้มลงพื้น ใบหน้าด้านหนึ่งบวมปูดขึ้นมา เป็นรอยฝ่ามือสีแดงม่วงก่ำ
ในห้องโถง มีทั้งหมดสิบสามคน ในพริบตาที่หลัวซิวลงมือ หลายคนชักกระบี่ออกจากฝัก สีหน้ากัดเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“หาเรื่องตาย!” ชายร่างใหญ่ที่โดนตบอายจัดจนเป็นโกรธ แผ่ซ่านประกายปราณแท้ออกมาทั้งตัว แผ่ซ่านรังสีพรสวรรค์ขั้นสาม
“แค่พรสวรรค์ขั้นสามเท่านั้น กล้าไร้มารยาทกับข้า?”
หลัวซิวแค่นเสียงหึ ก้าวเท้าออกไป และสะบัดไปอีกฝ่ามือหนึ่ง
เขารู้ดีถึงโลกในตอนนี้ ยิ่งเจ้าแข็งแกร่ง คนอื่นยิ่งกลัวเจ้า หากเจ้ามีเมตตายอมอ่อนข้อให้ผู้อื่น ผู้อื่นกลับรู้สึกว่าเจ้าอ่อนแอรังแกได้ง่าย
อ่าน มหายุทธ์ สะท้านภพ บท 139
การลงมือของหลัวซิวเร็วแค่ไหนกัน? ชายร่างใหญ่พึ่งโกรธจัด ก็โดนตบอีกครั้ง ร่างกายหมุนคว้างลอยออกไป
คนอื่นในห้องโถงพากันกรูเข้ามา กลับเห็นสาวผมแดงที่นั่งเป็นประธานอยู่ยกมือขึ้นปราม คนอื่นจึงไม่ได้ทำอะไร
ชายร่างใหญ่ที่โดนตบติดกันสองครั้งก็รู้ตัวละว่า ชายหนุ่มชุดดำเบื้องหน้าตนเก่งกาจกว่าตนมากนัก แต่สายตาที่เขาเพ่งมองหลัวซิวกลับเต็มไปด้วยความโกรธจัด
สาวน้อยชุดแดงมองจากที่สูง จ้องมองหลัวซิวด้วยสายตาไม่พอใจ พูดเย็นเยียบว่า “คุณชายท่านนี้ลำพองตนนัก ไม่เห็นพรสวรรค์ขั้นสามในสายตาเลยรึ?”
ระหว่างที่สาวผมแดงพูดคำนี้ รวมถึงชายชุดขาวที่เป็นพรสวรรค์ขั้นเจ็ด ก็มีอีกสามรังสีพุ่งขึ้นมาในห้องโถง ในนั้นมีสองคนเป็นพรสวรรค์ขั้นเจ็ด และมีคนหนึ่งเป็นถึงพรสวรรค์ขั้นแปด!
ในบรรดาสิบสามคนของห้องโถง รวมถึงสาวผมแดง ตบะสี่คนนี้สูงที่สุด อีกเก้าคนที่เหลือ มีพรสวรรค์ขั้นหนึ่งถึงสามเจ็ดคน พรสวรรค์ขั้นสี่หนึ่งคน
มีเพียงตบะของสาวผมแดงเท่านั้นที่หลัวซิวมองไม่ออก นางดูราวกับมีสมบัติบางอย่างปกปิดรังสีอยู่
“ใช่แล้วอย่างไร?” หลัวซิวพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย สำหรับเขาแล้ว ต่ำกว่าปรมาจารย์ฝึกจิตล้วนแต่ยากจะเป็นคู่ต่อสู้ได้ สำหรับเขาแล้วพรสวรรค์ขั้นสามเรียกได้ว่าไม่คณามือตนเลย
“โอหังนักเจ้าหนู!”
จอมยุทธ์ที่เป็นระดับพรสวรรค์ขั้นสามสองคนได้ยินดังนั้นตะคอกดัง พลางกระโดดพุ่งสูง ตรงไปหาหลัวซิว
สำหรับการลงมือของสองคนนี้ สาวผมแดงมีสีหน้าเรียบเฉย และไม่ได้ออกเสียงห้ามปราม
หลัวซิวไม่ได้ชักกระบี่ การฝึกวิชาวัชรยักษ์ครองร่าง ทำให้ร่างเนื้อของเขายิ่งเปรียบเทียบได้กับนักยุทธ์ของชั้นกลาง
แทบจะในพริบตาเดียวกัน เขายื่นนิ้วออกไปสองนิ้ว ประกายไฟทมิฬสีดำผสานกันกลายเป็นรังสีกระบี่ ยิงออกจากปลายนิ้ว
วินาทีที่หลัวซิวลงมือ ประกายไฟทมิฬแผ่ซ่านรังสีอำมหิตน่ากลัวออกมา ยอดฝีมือพรสวรรค์ขั้นแปดที่มีตบะสูงที่สุดในห้องโถงมีสีหน้าเคร่งเครียด ประกายไฟสีดำนั่นทำเขารู้สึกกดดัน
“ชิ้ง!ชิ้ง!….”
แสงเลือดสองสายแผ่ซ่าน จอมยุทธ์สองคนที่เป็นพรสวรรค์ขั้นสามแค่นเสียงอึก ไหล่โดนรังสีกระบี่แทงทะลุ ประกายไฟทมิฬได้ทำร้ายเส้นชีพจร ทำให้สีหน้าพวกเขาซีดเผือดมาก
“ข้ายั้งฝีมือไว้แล้ว ไม่งั้นตอนนี้พวกเจ้าสองคนกลายเป็นซากศพไปแล้ว”
หลัวซิวพูดเสียงเย็น ยังไงซะเขาไม่ได้จิตใจโหดเหี้ยมเพียงนั้น ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ลงมือรุนแรง
สะบัดไปนิ้วใดนิ้วหนึ่ง ก็ทำพรสวรรค์ขั้นสามสองคนพ่ายแพ้ หรือแม้กระทั่งหากเขาไม่ได้ยั้งมือไว้ คงฆ่าพรสวรรค์ขั้นสามสองคนนั้นตายไปในพริบตาแล้ว
ฝีมือที่หลัวซิวแสดงออกมา ทำให้บรรดายอดฝีมือพรสวรรค์มากมายในที่นั้นต่างมีสีหน้าต่างๆกันไป
ชายชุดขาวที่ยืนข้างสาวผมแดงนั้นถ่ายทอดเสียงให้นางว่า “คุณหนู คนผู้นี้ดูราวเป็นพรสวรรค์ขั้นสามบางมีอาจจะใช้วิชาลับซ่อนตบะเอาไว้ ฝีมือไม่ด้อยไปกว่าข้าเลย เขากลับดูมีอายุราวสิบห้าสิบหกเพียงเท่านั้น คงมีที่มาไม่ธรรมดาแน่”
พอได้ยินดังนั้น คิ้วบางของสาวผมแดงขมวดเล็กน้อย อายุประมาณสิบห้าก็มีฝีมือระดับยอดฝีมือเปรียบเทียบได้กับพรสวรรค์ขั้นเจ็ด ปกติมีแต่อำนาจใหญ่บางแห่งเท่านั้นที่จะฝึกฝนอัจฉริยะเยี่ยงนี้ออกมาได้
“คุณชายท่านนี้มีนามว่ากระไรรึ อาจารย์คือผู้ใด?” สาวผมแดงถามขึ้น
“ซิวหลัว!”
หลัวซิวไม่ได้เอ่ยนามจริงของตนออกมา เพราะไม่อยากให้ครอบครัวที่เมืองชิงหยุนเจอกับปัญหาโดยไม่จำเป็น
ชื่อซิวหลัวนี้ ไม่ว่าใครได้ยินก็รู้ว่าไม่ใช่ชื่อจริง หรือแม้แต่กำเนิดของตนหลัวซิวก็ไม่เอ่ยถึงแม้เพียงสักคำ
แต่สาวผมแดงก็ไม่ได้สนใจ และพูดเสียงเบาว่า “คุณชายซิวหลัวเป็นแขก เชิญนั่งเถิด!”
หลัวซิวเล็งเห็นแล้ว ในห้องโถงนี้ นอกจากสาวผมแดงรวมถึงชายชุดขาวข้างกายนางและชายร่างยักษ์แล้ว อีกสิบคนที่เหลือล้วนนั่งอยู่ที่ที่นั่งด้านบนในห้องโถง
หลัวซิวเองก็ไม่เกรงใจ เดินไปนั่งลงที่หนึ่งเลย จากนั้นก็มีสาวใช้นำเหล้าออกมามอบให้
แต่ว่าเหล้านี้หลัวซิวกลับไม่แตะต้องเลย เขากังวลว่าอีกฝ่ายอาจจะวางยาพิษในเหล้าก็ได้
สายตาของหลัวซิวมองไปยังหยกแขวนเดือนเสี้ยวที่คอสาวผมแดงเป็นระยะ พลันนึกถึงช่วงก่อนระหว่างเส้นทางวัดกวนเหลย ศิษย์ที่ได้รับบาดเจ็บของตระกูลกงซุนชื่อดังคนหนึ่งก็มีหยกแขวนเช่นนี้ และหยกแขวนอันนั้นมิอาจเก็บเข้าแหวนเก็บของได้
ตอนนั้นเขาหวังดี ศิษย์ตระกูลกงซุนชื่อดังคนนั้นกลับลอบทำร้ายเขา เรื่องนั้นหลัวซิวจำได้แม่นยำมาก ดังนั้นตอนที่เห็นหยกแขวนเดือนเสี้ยวนั่นถึงรู้สึกคุ้นเคย
ระหว่างหยกแขวนเดือนเสี้ยวสองอันนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกันเยี่ยงไรเล่า?
บรรยากาศในห้องโถงเริ่มเงียบสงัด สีหน้าจอมยุทธ์สามคนที่โดนหลัวซิวทำร้ายต่างมีสีหน้าไม่เป็นธรรมชาติ
โดยจอมยุทธ์ระดับพรสวรรค์ขั้นแปดที่มีตบะสูงที่สุดยืนขึ้น สายตาจับจ้องไปที่หลัวซิว พลางยกมือคารวะว่า “คุณชายซิวหลัวท่านนี้มาถึงเส้นทางวัดกวนเหลย เพื่อแดนนานาอสูรด้วยรึ?”
“แดนนานาอสูร?” หลัวซิวสงสัย แต่สีหน้ากลับไม่ได้แสดงออกเลย
“หรือว่าคุณชายซิวหลัวไม่รู้จักแดนนานาอสูร?” พอเห็นสีหน้าสงสัยของหลัวซิว จอมยุทธ์พรสวรรค์ขั้นแปดคนนั้นออกหน้าอธิบายให้ว่า “แดนนานาอสูรเป็นหนึ่งในสามดินแดนพิศวงของประเทศเทียนหวู เพียงแต่ตำแหน่งดินแดนพิศวงนี่หายากยิ่งนัก มีแต่ตระกูลเหยียนแห่งเมืองกู่เจี้ยนเท่านั้นที่ได้ถือครองแผนที่ลับ พวกข้าเองก็ติดตามคุณหนูเหยียนเยว่เอ๋อร์มายังที่แห่งนี้”
ได้ยินดังนั้นหลัวซิวถึงรู้ว่า สาวผมแดงคือคุณหนูจากตระกูลเหยียนแห่งเมืองกู่เจี้ยน
เมืองกู่เจี้ยนตระกูลเหยียน หลัวซิวเคยได้ยิน เป็นหนึ่งในสิบตระกูลใหญ่ของประเทศเทียนหวู เป็นตระกูลอันดับต้นที่มีจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่ง!
แต่สิ่งที่ทำให้หลัวซิวสงสัยคือ ในเมื่อมีแต่ตระกูลเหยียนที่มีแผนที่ลับ แล้วเหตุใดเหยียนเยว่จึงพาบรรดาจอมยุทธ์เดินทางมายังแดนปริศนานี้ด้วยล่ะ?
เส้นการเดินทางในแผนที่ลับเรียกได้ว่าลึกลับซับซ้อน ถ้าเพียงเปิดเผยออกไป มิเท่ากับว่าอำนาจอื่นจะสามารถเข้ามายังแดนนานาอสูรได้ด้วยรึ?
########################
บทที่ 138 ความรู้สึกคุ้นเคย
ประเภทยาราคาสูงค่านัก เท่าที่หลัวซิวรู้ ทั่วทั้งเขตการปกครองหยุนหลงมีเพียง ปรมาจารย์กลั่นยาขั้นห้าคนเดียวที่ปักหลักอยู่ที่แก๊งนักกลั่นยา มีราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่งมากมายยื่นคำร้องขอยา
“ยาผนึกเลือด?” สายตาเหวินเซวียนหงเป็นประกาย มันคือยารักษาขั้นห้า
ยิ่งระดับยารักษายิ่งสูง ผลลัพธ์ของการรักษาก็ยิ่งดี และจะไม่มีผลข้างเคียง เรียกได้ว่าเป็นของดีที่ใช้รักษาชีวิต
หลัวซิวยังมียาที่ช่วยเพิ่มพูนและฟื้นฟูตบะอยู่อีก แต่ยาเหล่านั้นเขาไม่ได้หยิบออกมา เพราะรอตบะของเขาเพิ่มพูนถึงระดับราชายุทธ์ ก็จะได้ใช้เอง
มูลค่ายาผนึกเลือดสามขวดนี้ มีราคาเท่ากับหินพลังจิตห้าหมื่น
จากนั้นหลัวซิวก็เอาทักษะยุทธ์ระดับ5และวิชายุทธ์ระดับหกนับไม่ถ้วนที่ตนใช้ไม่ได้ออกมาอีก หัวหน้าแก๊งเหวินเซวียนหงประมาณค่าออกมา ของทั้งหมดรวมกันแล้ว คงจะมีราคาเท่ากับหินพลังจิตเจ็ดแสน!
ของมากมายขนาดนี้ สาขาย่อยของแก๊งของเขตการปกครองหยุนหลงคงกินไม่ไหวหรอก ต้องผ่านช่องทางภายในมากระจายออก
หลัวซิวรอที่องค์กรนักล่ายุทธ์สามวัน ผลลัพธ์จากหัวหน้าแก๊งเหวินเซวียนหงดีไม่เลว จัดการส่งแหวนเก็บของมาใส่มือเขา
ของทั้งหมดแปรขายกลายเป็นหินพลังจิต มูลค่าถึงเจ็ดแสนห้าหมื่น!
ตามความหมายของหลัวซิวคือให้แบ่งส่วนหนึ่งให้หัวหน้าแก๊งเหวินเซวียนหง แต่เหวินเซวียนหงกลับยืนกรานไม่รับ
มีหินพลังจิตพวกนี้ หลัวซิวก็สามารถซื้อทรัพยากรสมบัตินานาชนิดที่ตนต้องการ มาเพิ่มพูนฝีมือตนได้แล้ว
นั่งวาร์ป หลัวซิวมายังเมืองเกายี่ที่อยู่ติดกับเส้นทางวัดกวนเหลยจากเขตการปกครองเมืองหยุนหลง
วิชาดาบเร็วของเขาในตอนนี้ฝึกฝนจนถึงระดับบริบูรณ์ หากพัฒนาไปอีกขั้น ก็จะใช้วิชาเป็นตัวนำเข้าเพื่อรับรู้ห้วงกระบี่
เพียงแต่การรับรู้ห้วงกระบี่ไม่มีต้นสายปลายเหตุบอกกล่าวให้รู้เลยตั้งแต่ต้น ดังนั้นเป้าหมายของเขาในครั้งนี้คือมุ่งหน้าไปยังวัดกวนเหลย เพื่อยืมห้วงดาบที่มีอยู่บริเวณนั้นมาขัดเกลาห้วงกระบี่ของตน
“โครมบึ้ม…”
ยามหลัวซิวปรากฏตัวอยู่ขอบแดนของเส้นทางวัดกวนเหลย ท้องฟ้าพลันเกิดเสียงกัมปนาทอันแสบแก้วหู จากนั้นพายุฝนก็โหมกระหน่ำ
ตอนนี้หลัวซวิวได้ทะยานผ่านภูเขาแห่งนี้ ต่อให้เป็นพายุฝนโหมกระหน่ำ เขายังคงไม่ลังเลในมือถือแผนที่ และเข้าไปในป่า
ปกติแล้ว การคมนาคมระหว่างเขตการปกครองหยุนหลงกับเขตการปกครองโต้วไห่ต้องผ่านเส้นทางวัดกวนเหลย ถ้าอ้อมรอบนอกไป ขอเพียงไม่โชคร้ายเจออสุรกายขั้นสูง ปกติไม่มีอันตรายอันใดมาก
ครั้งนี้หลัวซิวกลับไม่ได้อ้อมไป แต่ทะลวงตรงกลางเข้าไปเลย เขาต้องการผ่านใจกลางของป่าแห่งนี้
สามวันต่อมาหลัวซิวปรากฏตัวอยู่ในจุดส่วนลึกของเส้นทางวัดกวนเหลย พื้นที่นี้มักโดนอสุรกายร้ายกาจระดับสี่ขึ้นไปเข้าครอบครอง แม้กระทั่งยังมีอสุรกายขั้นห้า เปรียบเทียบได้กับราชายุทธ์ซ่อนเร้น
ในสถานที่เช่นนี้หลัวซิวไม่กล้าเสี่ยงกระจายการรับรู้จิตวิญญาณของตน ได้แค่อาศัยการรับรู้ชีวิตมาตรวจสอบว่ารอบข้างมีอสุรกายร้ายกาจอยู่หรือไม่
“มีคน”
หลัวซิวรับรู้ได้ว่า ด้านหน้าไม่ไกลนักมีลมหายใจชีวิตของจอมยุทธ์อยู่หลายคน
ที่นี่เป็นพื้นที่อันตรายของเส้นทางวัดกวนเหลย ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งระดับปรมาจารย์ฝึกจิตก็ไม่อาจย่างกรายเข้าไปโดยง่ายได้ เหตุใดจึงมีจอมยุทธ์มาอยู่ที่นี่ได้เล่า?
ถ้าเป็นผู้แข็งแกร่งระดับปรมาจารย์ยุทธ์หรือราชายุทธ์ก็ยังพอได้ ในการรับรู้ของหลัวซิว ลมหายใจของจอมยุทธ์มนุษย์หลายคนนั่นดูไม่มีระดับปรมาจารย์ยุทธ์หรือราชายุทธ์อยู่เลย
ถ้าเป็นผู้แข็งแกร่งระดับปรมาจารย์ยุทธ์หรือราชายุทธ์จริง ในเวลาเดียวกับที่หลัวซิวรับรู้ถึงอีกฝ่าย จิตเทพของอีกฝ่ายก็ต้องรับรู้ถึงตัวตนเขาได้เช่นกัน
การเก็บรักษาลมหายใจ หลัวซิวเดินขึ้นหน้า ตามระยะห่างระหว่างทั้งคู่ที่เข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เขาพบลมหายใจจอมยุทธ์มนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนอีกฝ่ายมีคนเยอะมาก เกือบร้อยคน!
แต่ที่ทำให้หลัวซิวแปลกใจมากที่สุดคือ จอมยุทธ์มนุษย์พวกนี้ที่เขารับรู้ได้ ส่วนมากตบะน้อยนิดทั้งนั้น เป็นระดับกลั่นร่างซะส่วนมาก ฝีมือเท่านี้เหตุใดมาอยู่ที่จุดลึกที่สุดของเส้นทางวัดกวนเหลยได้กัน?
หลัวซิวขมวดคิ้ว รู้สึกเรื่องนี้ไม่ชอบมาพากล
จากนั้นหลัวซิวเห็นคนพวกนั้นในที่ว่างที่หนึ่ง
ในพริบตาที่หลัวซิวปรากฏตัว การรับรู้ที่แข็งแกร่งก้อนหนึ่งไหล่ผ่านร่างเขาไป ต่อให้เขาเก็บลมหายใจดีมาก ยังคงโดนคนรับรู้ได้อยู่ดี
คนที่สามารถมีการรับรู้แข็งแกร่งแบบนี้ได้ ต้องไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดาแน่ ทำเอาใจหลัวซิวกระตุกวูบ
“สหายในเมื่อมาแล้ว เหตุใดไม่ปรากฏตัวเล่า?”
ศูนย์กลางที่ว่างมีศาลาอันหนึ่งวางอยู่ ชายหนุ่มในชุดชุดขาวราวขงจื๊อเดินออกมา พลางมองมายังต้นไม้ที่หลัวซิวซ่อนตัวอยู่
หลัวซิวรู้ดีว่าซ่อนตัวต่อไม่ได้แล้ว เลยก้าวออกมา ในการรับรู้ของเขา ตบะชายชุดขาวผู้นี้เป็นพรสวรรค์ขั้นเจ็ด
และเมื่อครู่คือการรับรู้ของชายชุดขาวคนนี้ผ่านร่างเขาไป
ถึงจะเป็นพรสวรรค์ขั้นเจ็ด แต่ความรู้สึกที่ชายชุดขาวมีให้กับหลัวซิว กลับเก่งกาจกว่าจางหลู่เหลียงซึ่งเป็นระดับจอมยุทธ์
ในจุดลึกของเส้นทางวัดกวนเหลย จู่ๆก็มีห้องใต้หลังคาปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า ทำให้ผู้คนอดสงสัยไม่ได้
เมื่อเห็นการปรากฏตัวของหลัวซิว ผู้คนนับร้อยรอบห้องใต้หลังคาไม่ได้มีท่าทีอะไร แต่ละคนสีหน้าดูอิดโรย
หลัวซิวสังเกตเห็นว่าใบหน้าคนพวกนี้มีรอยสักสีแดงอยู่ เห็นได้ชัดว่าคนพวกนี้เป็น…ทาส!
เพราะมีแต่ทาสเท่านั้น ที่ใบหน้าจะมีรอยสัก เรียกกันว่ารอยสักทาส เป็นการใช้ฝีมือค่ายกลพิเศษชนิดหนึ่งมาประทับตรา ไม่อาจใช้ยาทำให้หายไปได้
มีคนเข้ามาจุดลึกของเส้นทางวัดกวนเหลย และยังนำทาสนับร้อยมาด้วย มีจุดประสงค์อันใดกัน?
ค่ายกลของหลัวซิวมาถึงระดับปรมาจารย์ค่ายกลขั้นห้าแล้ว
ดังนั้นเขาเลยมองออกแต่แวบแรกว่า การจัดวางรอบห้องใต้หลังคามีค่ายกลขั้นสี่และตัวห้องใต้หลังคานี้ก็เป็นสมบัติค่ายกลชิ้นหนึ่ง สามารถเก็บเข้าแหวนเก็บของ และพกพาติดตัวได้
ทุกอย่างล้วนแสดงออกมาว่า คนที่มาอยู่ที่นี่ไม่ง่ายเอาเสียเลย
“สหายเชิญ!”
ชายชุดขาวทำท่าเชื้อเชิญ ใบหน้าเผยรอยยิ้มเป็นมิตรออกมา
หลัวซิวมองค่ายกลรอบห้องใต้หลังคาหนึ่งที ถ้าเป็นแค่ค่ายกลขั้นสี่ก็ไม่เป็นอันตรายอันใดกับเขา
พอแน่ใจว่าไม่มีอันตราย หลัวซิวจึงพยักหน้า และเดินตามชายชุดขาวเข้าไปในห้องใต้หลังคา
ช่องว่างภายในห้องใต้หลังคาใหญ่มาก เหมือนเป็นห้องโถงใหญ่ ที่นั่งประธานมีสาวน้อยผมยาวเคลียบ่าในชุดต่อสู้รัดรูปนั่งอยู่
รูปร่างสาวน้อยนางนี้โดนชุดรัดรูปจนเห็นสัดส่วนเย้ายวนเร่าร้อน ขาวขาวเรียวดุจหิมะคู่นั้น ผมยาวสยายคลุมบ่ายาวถึงเอว แต่มันกลับไม่ใช่สีดำปกติ แต่เป็นสีแดงเพลิง
แวบแรกที่หลัวซิวเห็นหญิงสาวคนนี้ เขารู้สึกถึงความร้อนแรงของเปลวเพลิง และหน้าตาสาวน้อยนางนี้ก็งดงามหาใดเปรียบด้วย
และสิ่งที่หลัวซิวสนใจที่สุดไม่ใช่ใบหน้าและรูปร่างของสาวน้อยคนนี้ แต่เป็นที่คอระหงขาวเนียนมีหยกแขวนเดือนเสี้ยวห้อยประทับหน้าหน้าอกอยู่
หยกแขวนนี้หลัวซิวรู้สึกคุ้นเคยนัก แต่นึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน
########################
บทที่ 137 แดนปริศนา
พลังทมิฬซวนโหลว วิชายุทธ์นี้ถือเป็นระดับสูงในหมู่ระดับเจ็ด เป็นวรยุทธ์ที่ซูจิ้งหยุนซึ่งเป็นผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์เคยฝึกฝน
คนปกติฝึกฝนพลังทมิฬซวนโหลว ฝึกฝนระดับพรสวรรค์คือปราณหยินมรณะส่วนที่หลัวซิวผนึกรวมคือประกายไฟทมิฬ เป็นการผสมผสานระหว่างพลังความตายและพลังเปลวไฟส่วนวิชาวัชรยักษ์ครองร่างเป็นการชุบร่างเนื้อ ให้แข็งแรงเต็มไปด้วยพลังชีวิต เป็นการผสมผสานระหว่างพลังชีวิตและพลังเปลวไฟ สามารถผนึกรวมเป็นไฟแห่งชีวิต。
หลังจากฝึกฝนวรยุทธ์สองแขนงนี้ไปได้ครึ่งเดือน หลัวซัวยื่นนิ้วออกมา ประกายไฟขาวดำที่ปลายนิ้ววนเวียนรุ่มร้อนไปมา
จากนั้นเขาคิด ประกายไฟเป็นตายก็ปรับเปลี่ยนไปมาระหว่างประกายไฟทมิฬและไฟแห่งชีวิต ดูลึกลับอย่างไร้ที่สิ้นสุด
ในนี้พลานุภาพแข็งแกร่งที่สุดย่อมเป็นประกายไฟเป็นตายขาวดำที่ผสานพลังความเป็นตายสองระดับไว้อยู่แล้ว
ต่อให้เป็นจอมยุทธ์พรสวรรค์ชั้น9 ก็ไม่อาจต้านทานพลานุภาพของประกายไฟดำขาวเป็นตายได้ ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งระดับฝึกจิตขั้นหนึ่งยังต้องโดนเผาจนบาดเจ็บ!
นี่เท่ากับเป็นไพ่ตายใบที่สองนอกจากพลังแปรเสวียนเทียนของหลัวซิว!
ตอนแรกเขาแอบใช้พลังแปรเสวียนเทียนฆ่าจางหลู่เหลียง ต่อให้เป็นปรมาจารย์ฝึกจิตอย่างเย่เซี่ยงโต่วคนนั้นก็มองไม่ออก
ต่อมาหลัวซิวทำการฝึกฝนวิชายุทธ์ระดับเจ็ดทั้งสองวิชา จนสามารถฝึกฝนวรยุทธ์ทั้งสองแขนงมาอยู่เป็นระดับเดียวกันวรยุทธ์ที่มีมาแต่เดิมแล้ว
ร่างเขาเพียงพอเปรียบเทียบได้กับนักยุทธ์ระดับกลางชั้นสูง ด้านการโจมตี แค่สะบัดมือเล็กน้อยก็ยังแข็งแกร่งกว่ากระบี่เงามืด
ฝีมือมาถึงระดับนี้ได้ กระบี่เงามืดไร้ความหมายไปแล้ว
วิชากระบี่ระดับบริบูรณ์สามารถใช้ได้ตามใจนึก หลัวซิวเองก็เคยลองว่าจะรับรู้ห้วงกระบี่ได้รึไม่ จากวิชากระบี่ไปถึงโลกกระบี่ แต่ด้วยระดับของหลัวซิวในตอนนั้นกลับยากที่จะรับรู้ได้
การรับรู้ของระดับโลกยุทธ์มันยากมาก ผู้แข็งแกร่งระดับราชายุทธ์มากมายต่างไม่มีหนทางรับรู้แดน โดยชะงักค้างอยู่ที่ระดับบริบูรณ์
ถึงห้วงกระบี่จะไม่สามารถรับรู้ในเวลาอันสั้น แต่หลัวซิวกลับรู้ลึกซึ้งสำหรับการรับรู้ของวิชาดาบเร็ว
“ถึงเวลาจากไปแล้ว”
วันนี้หลัวซิวเดินออกจากบ้าน ไม่ได้ไปลาพ่อแม่ ต่อให้ช่วงนี้เขาอยู่ที่บ้าน แต่เวลาส่วนใหญ่ของเขาก็เอามาเข้าฌาน
พ่อแม่เองก็รู้ว่าเขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ครอบครัวพวกเขาสามารถอยู่ได้อย่างสงบสุขเป็นเพราะหลัวซิวทั้งนั้น
เพราะถ้าเขาไม่ได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกอัจฉริยะขององค์กรนักล่ายุทธ์ ก็จะไม่มีการคุ้มครองจากองค์กร คาดว่าทั้งครอบครัวคงตายภายใต้การลอบทำร้ายของจางหลู่เหลียงกับโกวหงยี่นานแล้ว
หลัวซิวรู้ดีว่า ขอเพียงฝีมือตนเพิ่มพูนแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ขอแค่ตนยังเป็นสมาชิกอัจฉริยะขององค์กรนักล่ายุทธ์ ภายในเขตการปกครองหยุนหลง ความปลอดภัยของครอบครัวเขาก็ไม่ต้องให้เขาเป็นห่วงแล้ว
ระหว่างเดินอยู่บนถนนในเมือง หัวใจของหลัวซิวสงบมาก จางหลู่เหลียงกับโกงหงยี่ตายแล้ว เขาจะออกเดินไปบนหนทางไล่ตามจุดสูงสุดของผู้แข็งแกร่งโลกยุทธ์
“ครั้งหน้าไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเมื่อไหร่กัน”
เขานั่งวาร์ปมาถึงแก๊งสาขาย่อยของเขตการปกครองเมืองหยุนหลง
“ตอนนี้เจ้าเป็นสมาชิกอัจฉริยะขั้นเหลืองระดับกลาง หากมีโอกาสให้ไปสำนักงานใหญ่ของเมืองหลวงเทียนหวูเพื่อสิทธิ์รายชื่อของแดนปริศนา” เหวินเซวียนหงบอก
“แดนปริศนา?”
“นั่นเป็นมรดกที่เก่าแก่แห่งหนึ่ง โดนค่ายกลแข็งแกร่งปกคลุมไว้ กลายเป็นพื้นที่เล็กๆหลังจากเจ้าไปแล้วจะรู้เอง” เหวินเซวียนหงไม่ได้อธิบายอะไรมาก
ตามคำพูดของเหวินเซวียนหง แดนปริศนาจะเปิดทุกๆสามสิบปี เพราะข้อห้ามข้อจำกัดของค่ายกลมีเพียงคนที่อยู่ระดับต่ำกว่าราชายุทธ์เท่านั้นจึงจะเข้าไปได้ ทุกครั้งที่เปิดค่ายแต่ละอำนาจจะแย่งชิงรายชื่อที่มีสิทธิ์เข้าไป
ยังเหลือเวลาอีกราวสองปีกว่าจะถึงวันที่แดนปริศนาเปิดอีกครั้ง
“ผู้อาวุโสเหวิน ข้าอยากจัดการเรื่องบางอย่างโดยอาศัยผ่าoทางองค์กรนักล่ายุทธ์ ไม่รู้ว่าจะได้หรือไม่?” จู่ๆหลัวซิวก็พูดขึ้นมาในห้อง
“หือ? เจ้าจะขายของรึ?”
พอเหวินเซวียนหงได้ยินคำพูดนี้ มีหรือจะไม่เข้าใจความหมายของหลัวซิว ก่อนหน้านี้ที่หลัวซิวหยิบกระบี่ยุทธ์ระดับชั้นล่างออกมาสิบเล่มทีเดียวเลย ทำเอาเขาตกใจไม่น้อยเลย
พอนับรวมๆดูแล้ว สมบัติที่หลัวซิวนำออกมาก็มีค่าเท่ากับหินพลังจิตหนึ่งแสนกว่าแล้ว หรือว่าในมือเขาจะมีสมบัติอย่างอื่นอีก?
ในแหวนเก็บของของหมอนี่มีสมบัติมากมายแค่ไหนกันนะ?
ทุกคนล้วนมีความลับเป็นของตัวเอง หลัวซิวไม่พูด เหวินเซวียนหงก็ไม่สะดวกใจจะถาม
เห็นเพียงหลัวซิวพยักหน้า เขาหยิบกระบี่ยุทธ์ระดับชั้นล่างที่เหลืออยู่ในแหวนเก็บของแปดเล่มออกมา มาตั้งเรียงกันบนโต๊ะตรงหน้าพวกเขา
การที่เลือกจะจัดการของพวกนี้ผ่านทางเหวินเซวียนหง เป็นเพราะหลัวซิวเชื่อใจหัวหน้าแก๊งเหวินคนนี้ ถ้าหากท่านหัวหน้าแก๊งคนนี้เกิดละโมบขึ้นมา คงลงมือไปนานแล้ว
หลังจากที่ตบะของตนได้พัฒนาจนถึงระดับพรสวรรค์ การเพิ่มพูนตบะก็เริ่มยากขึ้นเรื่อยๆ และการฝึกกลั่นร่างวรยุทธ์วิชาวัชรยักษ์ครองร่างก็ต้องการทรัพยากรจำนวนมาก มีเพียงต้องจัดการสมบัติในมือที่ไม่สามารถใช้ได้ชั่วคราวออกไป จึงจะสามารถเพิ่มพูนสิ่งที่การฝึกฝนของเขาต้องการได้
“เจ้านี่ได้รับโอกาสเยี่ยงใดมากันแน่?” พอเห็นหลัวซิวหยิบกระบี่ยุทธ์ระดับชั้นล่างแปดเล่มออกมาอีก ต่อให้เหวินเซวียนหงเป็นราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่ง ก็ยังอดเบิกตากว้างไม่ได้
แบบนี้เท่ากับว่ากระบี่ยุทธ์ระดับชั้นล่างที่หลัวซิวนำออกมามีถึงยี่สิบเล่มเลยทีเดียว!
ส่วนเรื่องที่ว่าตนมีสมบัติมากมายเพียงนี้ ในเมื่อหลัวซิวเชื่อใจเหวินเซวียนหง ย่อมไม่มีทางปิดบังอีก พลางหัวเราะว่า “ผู้อาวุโสรู้เรื่องราชายุทธ์ปู้เฉินหรือไม่?”
“ราชายุทธ์ปู้เฉิน? …” สายตาเหวินเซวียนหงแล่นปลาบ “เมื่อหลายร้อยปีก่อนเหมืนอจะมีคนเช่นนี้ เป็นปรมาจารย์หลอมอาวุธขั้นห้าระดับสุดยอด!”
องค์กรนักล่ายุทธ์พูดได้ว่าเป็นองค์กรที่ข้อมูลข่าวสารครบเครื่องที่สุดในใต้หล้า เหวินเซวียนหงในฐานะผู้กุมบังเหียนของแก๊งของเขตการปกครองหยุนหลง เขารู้ดีเรื่องเกี่ยวกับเขตการปกครองหยุนหลงมากที่สุด
“ว่ากันว่าราชายุทธ์ปู้เฉินนั่นหายไปตั้งแต่เมื่อเจ็ดร้อยปีก่อน นอกจากว่า…”
หลัวซิวพยักหน้า “ข้าได้รับมรดกที่ราชายุทธ์ปู้เฉินเหลือไว้”
เขารู้ว่าหัวหน้าแก๊งเหวินเซวียนหงต้องเดาเรื่องนี้ได้แน่ โชคดีเลยยอมรับออกมาตรงๆเลย
“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง” เหวินเซวียนตงสูดหายใจเข้าลึก ราชายุทธ์ปู้เฉินเป็นปรมาจารย์หลอมอาวุธขั้นห้าระดับสูง หลัวซิวได้รับสมบัติมรดกที่หลงเหลือไว้ การที่สามารถหยิบกระบี่ยุทธ์ชั้นสูงออกมาได้มากมายขนาดนี้ก็สามารถอธิบายมันได้แล้วล่ะ
ราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่งธรรมดา สมบัติอย่างมากก็แค่หินพลังจิตชั้นล่างประมาณสองสามแสน
และถ้าสามารถพัฒนาสเป็นปรมาจารย์ค่ายกลขั้นห้า ปรมาจารย์กลั่นยา ปรมาจารย์หลอมอาวุธ ถ้าเช่นนั้นจะมีฐานะหลายแสนหรือถึงล้าน ก็ไม่ใช่ปัญหา
การจัดวางค่ายกลของอำนาจสำนักต่างๆต้องการนักค่ายกล การฝึกฝนจอมยุทธ์ต้องการยา การรบต้องการอาวุธ สิ่งเหล่านี้เป็นของที่ไม่สามารถขาดได้เลย
กระบี่ยุทธ์ระดับชั้นล่างเล่มหนึ่ง มีราคาเท่ากับหินพลังจิตสองหมื่น กระบี่ยุทธ์ระดับชั้นล่างแปดเล่มที่หลัวซิวหยิบออกมานี่ก็เกือบจะเป็นหินพลังจิตสองแสนแล้ว
เหวินเซวียนหงในฐานะผู้กุมบังเหียนของแก๊งของเขตการปกครองหยุนหลง ทรัพย์สมบัติที่มีไม่ใช่อะไรที่ราชายุทธ์ธรรมดาจะเทียบได้ แต่ถ้าจู่ๆหยิบหินพลังจิตออกมามากมายขนาดนี้ ก็คงปวดใจไม่น้อย
“ยังมีสมบัติอะไรอีก?”
เหวินเซวียนหงมองหลัวซิวอย่างรอคอยเล็กน้อย ปรมาจารย์หลอมอาวุธขั้นห้าคนหนึ่งไม่มีทางจะมีของแค่นี้ เขาจำได้ว่าตอนแรกที่หลัวซิวขอให้เขาลงมือ ยังหยิบยาขั้นห้าออกมาขวดหนึ่งเลย
หลัวซิวเองก็ไม่อ้อมค้อม ในเมื่อพูดเปิดอกกันแล้ว ก็ไม่มีอะไรต้องปิดบังกันอีก
เขาสะบัดมือหนึ่งที และหยิบยาขั้นห้าสามขวดออกมาจากในแหวนเก็บของอีก มันคือยาผนึกเลือด
########################
บทที่ 136 ฝึกฝนสองวิชา
ดาบเร็วของแดนบริบูรณ์ทำให้เขาดีใจมากแล้ว ถ้าเป็นระดับต่ำกว่าปรมาจารย์ฝึกจิตแทบจะหาคู่ต่อสู้ได้ยาก แต่พลังสองเท่าที่เพิ่มพูนจากพลังแปรเสวียนเทียนกลับสามารถฆ่าจอมยุทธ์พรสวรรค์ขั้นเก้าได้ในพริบตา มันออกจะน่ากลัวไปหน่อยแล้ว
นี่มันคือการหมายความว่า หากทุ่มเทหมดกำลัง ต่อให้ปรมาจารย์ยุทธ์ผู้แข็งแกร่งที่ฝึกจิตขั้นหนึ่ง เขาก็สามารถต้านทานได้อยู่บ้าง?
แน่นอน การที่สามารถฆ่าจางหลู่เหลียงได้อย่างง่ายดาย สาเหตุสำคัญก็เป็นเพราะจางหลู่เหลียงเป็นเพียงแค่จอมยุทธ์ที่ธรรมดาที่สุด หากเจอกับจอมยุทธ์ที่ร้ายกาจกว่านี้ หลัวซิวอยากเอาชนะ คงไม่ง่ายดายเพียงนี้
ไม่ว่าจะอย่างไร การที่สามารถฆ่าจางหลู่เหลียงได้ ทำให้หลัวซิวดีใจมากแล้ว และรู้จักฝีมือของตนเองใหม่
สายตาจับจ้องไปที่หินนิพพานที่อยู่ไม่ไกล หลัวซิวคืนกระบี่เข้าฝัก พูดเสียงเรียบว่า “ผู้อาวุโสเย่ยังไม่คิดออกมารึ?”
ด้านการรับรู้ถึงชีวิตของเขา ต่อให้เจ้าเก็บซ่อนลมหายใจดีเพียงใด ขอเพียงเป็นสิ่งมีชีวิต หลัวซิวก็สามารถมองเห็นได้ชัดเจน
เย่เซี่ยงโต่วเดินออกมาจากด้านหลังหินนิพพาน มองดูหลัวซิวด้วยสีหน้าตกตะลึง
“นี่เจ้าสามารถฆ่าจางหลู่เหลียงซึ่งเป็นพรสวรรค์ขั้นเก้าได้ และยังพบว่าข้าซ่อนตัวอยู่?”
สายตาเย่เซี่ยงโต่วเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ เขาไม่คิดเลยว่า ระยะเวลาสั้นแค่สองสามเดือน หลัวซิวก็เติบโตมาถึงขั้นนี้แล้ว
เขาเห็นหลัวซิวออกจากเมือง กลัวว่าเขาจะโดนคนของจางหลู่เหลียงลอบฆ่า เลยตามไปปกป้องเงียบๆ แต่ไม่คิดว่าหลัวซิวไม่ต้องการความช่วยเหลือจากตนเลย และยังอาศัยแค่กำลังของตนเอง ก็สามารถฆ่าจางหลู่เหลียงซึ่งมีตบะเป็นจอมยุทธ์ได้อีกด้วย
ไม่เพียงเท่านั้น เขายังฆ่าจางหลู่เหลียงได้อย่างง่ายดาย ใช้เพียงแค่สามกระบี่เท่านั้น!
ดาบเร็วของแดนบริบูรณ์ จอมยุทธ์พรสวรรค์ในวัยสิบสี่ปี พ่อหนุ่มนี้เป็นปีศาจหรือไงเนี่ย?
“ขอบคุณผู้อาวุโสที่แอบมาคุ้มครองขอรับ”
หลัวซิวคารวะขอบคุณ สำหรับสิ่งอื่น เขาไม่ได้อธิบาย เพราะเขารู้ว่าเย่เซี่ยงโต่วไม่มีทางคิดละโมบโอกาสบนตัวเขา ไม่งั้นคงลงมือแย่งชิงตั้งแต่แรกเจอไปแล้ว
เขาหยิบแหวนเก็บของของจางหลู่เหลียงขึ้นมา ในนั้นไม่มีสมบัติล้ำค่าอันใด เป็นเพียงหินพลังจิตและยาระดับสาม ยังมีกระบี่ยุทธ์ของชั้นกลางที่จางหลู่เหลียงเคยใช้ตอนมีชีวิตอยู่
การตายของจางหลู่เหลียงไม่อาจเก็บงำซ่อนเร้นไว้ได้ และตัวหลัวซิวเองก็ไม่คิดจะปิดบังอยู่แล้ว
หลังจากกลับเข้าเมือง เขานั่งวาร์ปมายังเขตการปกครองเมืองหยุนหลงเพื่อเข้าพบหัวหน้าแก๊งเหวินเซวียนหง
““แดนพรสวรรค์แล้ว?”
ในเมื่อรู้ก่อนแล้ว แต่พอเห็นหลัวซิวเป็นระดับพรสวรรค์แล้วจริงๆ เหวินเซวียนหงยังอดตกใจไม่ได้
เพราะนี่มันเพียงแค่ไม่กี่เดือน หลัวซิวก็บรรลุขั้นแล้ว
ระดับพรสวรรค์ในวัยสิบสี่ปี ต่อให้มองไปทั่วประเทศเทียนหวู ก็เรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะระดับสุดแล้ว
“เจ้าฆ่าจางหลู่เหลียงแล้ว ต่อไปคิดจะทำอันใด?” เหวินเซวียนหงถามยิ้มๆ
“ข้าคิดจะประกาศภารกิจรางวัลนำจับ ฆ่าโกวหงยี่” หลัวซิวพูดออกมา
ครั้งนี้เขากลับมาคือต้องการถอนรากถอนโคน ในเมื่อมีการคุ้มครองจากองค์กรนักล่ายุทธ์ แต่ก็ยากจะรับรองได้ว่าครอบครัวของตนจะไม่มีอันตราย
ระหว่างพูด หลัวซิวหยิบกระบี่ยุทธ์ระดับชั้นล่างสิบเล่มออกมาวางบนโต๊ะ
เหวินเซวียนหงหรี่สายตาลง “เจ้านี่ร่ำรวยกว่าข้าเสียอีก”
กระบี่ยุทธ์ระดับชั้นล่างเล่มหนึ่งต้องใช้หินพลังจิตชั้นล่างหนึ่งหมื่นกว่าชิ้นมาเป็นค่าตอบแทน ฐานะราชายุทธ์ทั่วไปก็มีเพียงแค่สองหมื่นกว่าเท่านั้น
พริบตาเดียวหลัวซิวหยิบออกมาสิบเล่ม ราคาเท่ากับหินพลังจิตหนึ่งแสนกว่า เพียงพอให้ผู้แข็งแกร่งระดับราชายุทธ์ขั้นแปดหวั่นไหวแล้วล่ะ
รางวัลนำจับในการฆ่าคน สำหรับฐานะคนที่ประกาศภารกิจจะปิดเป็นความลับ นี่เป็นกฎที่ไม่อาจละเมิดได้ขององค์กรนักล่ายุทธ์
สำหรับหลัวซิวแล้ว วิธีเช่นนี้เป็นวิธีที่ถอนรากถอนโคนได้สมควรที่สุดแล้ว
จากนั้นเหวินเซวียนหงประเมินพรสวรรค์ของหลัวซิวอีก เพิ่มพูนจนถึงขั้นเหลืองระดับกลาง สามารถได้รับสิทธิ์การฝึกฝนวิชายุทธ์ระดับหกสามวิชา
แต่หลัวซิวไม่คิดจะเสียเวลาไปกับการฝึกฝนวิชายุทธ์ระดับหก ด้วยดาบเร็วแดนบริบูรณ์ของเขาในตอนนี้ ไม่ต้องแสดงทักษะยุทธ์ใด จะสามารถเปรียบเทียบได้กับทักษะยุทธ์ขั้นหก
วรยุทธ์เขามีวัฏจักรการเวียนว่ายตายเกิด ขอเพียงทำความเข้าใจผังกฎดั้งเดิมที่สองดีๆ แทบมิต้องไปตามหาวรยุทธ์อื่นมาฝึกเลย
สำหรับวิชาท่าร่างเงาเศษสิบช่องชนิดนี้ถึงจะเป็นทักษะยุทธ์ระดับ5 แต่สำหรับเขาในตอนนี้เพียงพอแล้ว
แผนของหลัวซิวในตอนนี้ เพิ่มพูนตบะไปจนถึงพรสวรรค์ขั้นสามฝึกฝนวิชายุทธ์ระดับเจ็ด!
ภารกิจรางวัลนำจับประกาศออกไปแล้ว เวลาต่อมา หลัวซิวคอยอยู่เป็นเพื่อนพ่อแม่และพี่สาวตนที่บ้านตลอด
ครึ่งเดือนผ่านไป ข่าวหนึ่งสะท้านไปทั่วเขตการปกครองหยุนหลง!
สำนักเซียวเหยาซึ่งเป็นอำนาจใหญ่ของเขตการปกครองหยุนหลง ผู้อาวุโสโกวจินชวนในแก๊งถูกฆ่าตาย!
ส่วนว่าใครฆ่า ทั่วทั้งสำนักเซียวเหยาไม่มีใครรู้ เจ้าสำนักคนใหม่ตี๋ซือกู่เกรี้ยวกราด จัดกำลังคนทั่วทั้งสำนักสืบหาตัวฆาตกร
พริบตาเดียว จิตใจผู้คนทั่วทั้งเขตการปกครองหยุนหลงระส่ำระส่าย ส่วนหลัวซิวกลับเฉยๆสบายๆ
ใครเป็นคนลงมือฆ่าตี๋ซือกู่กันแน่ ตัวหลัวซิวเองก็ไม่รู้ พวกประกาศรับฆ่าคนแบบนี้ ไม่เพียงปกปิดฐานะคนให้ประกาศภารกิจเป็นความลับ ฐานะคนที่มารับภารกิจก็ปิดเป็นความลับด้วย
จางหลู่เหลียงกับตี๋ซือกู่กลายเป็นคนตายกันหมด หลัวซิววางใจลงได้สักที ไม่ต้องกังวลถึงความปลอดภัยของครอบครัวตนอีก
ไม่ทันรู้ตัว ผ่านไปอีกเดือนหนึ่ง ตบะของหลัวซิวเพิ่มถึงพรสวรรค์ขั้นสอง
นับแต่ตบะเพิ่มถึงระดับพรสวรรค์ ความเร็วในการฝึกฝนเริ่มช้าลงมา แต่เขากลับไม่ร้อนใจ ก่อนที่ตบะจะเพิ่มถึงระดับพรสวรรค์ขั้นสามเขาเตรียมอยู่ที่เมืองชิงหยุนกับครอบครัวของตน
ผ่านไปอีกหนึ่งเดือน ถึงวันแต่งงานของหลัวซิ่วเอ๋อร์พี่สาวเขากับหลิวหยวน
ภายในเมืองชิงหยุนตกแต่งประดับประดาโคมไฟ หลิวหยวนเป็นลูกชายเจ้าตระกูลตระกูลหลิว วันแต่งงานย่อมจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่
ใบหน้าของท่านพ่อหลัวซงหลินและท่านแม่หลิวชูหยุนเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ที่ควรค่าแก่การพูดถึงคือ ท้องน้อยของท่านแม่หลิวชูหยุนค่อยๆโตขึ้น มีครรภ์อีกแล้ว ตามที่ท่านหมอจับชีพจร จะเป็นลูกชาย
“แบบนี้ข้าก็วางใจที่จะจากไปได้ละ”
ในฐานะน้องชายเจ้าสาว น้องเมียของเจ้าบ่าว การแต่งงานครั้งนี้หลัวซิวย่อมต้องเข้าร่วมแน่อยู่แล้ว
ตระกูลต่างๆในเมืองชิงหยุนล้วนมาแสดงความยินดี งานดูครึกครื้นยิ่งนัก
“เยี่ยงนี้แล้ว ข้าวางใจที่จะจากไปได้แล้วล่ะ”
เห็นครอบครัวตนใช้ชีวิตอย่างมีความสุข หัวใจของหลัวซิวรู้สึกสงบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ชีวิตสุขสงบไม่เหมาะกับการฝึกยุทธ์ เขาต้องจากไปอยู่ดี แต่ไม่อยากให้การจากไปของตนทำให้ครอบครัวต้องเศร้าใจ
เขาได้รับลูกแก้วความเป็นตายมา การจะไล่ตามไปยังจุดสูงสุดของการฝึกยุทธ์ ถูกกำหนดไว้แล้วว่าตนมิใช่คนในโลกเดียวกับครอบครัว
ผ่านไปอีกครึ่งเดือน ในที่สุดตบะของหลัวซิวบรรลุพรสวรรค์ขั้นสามแล้ว
รวมๆแล้ว เขาใช้เวลาเกือบสามเดือนฝึกฝนจากพรสวรรค์ขั้นหนึ่งจนถึงขั้นสาม
ความเร็วในการฝึกฝนเยี่ยงนี้ เพียงพอให้เรียกได้ว่าอัจฉริยะ
ในแหวนเก็บของ หลัวซิวหยิบวิชายุทธ์ระดับเจ็ดออกมาสองเล่ม หนึ่งคือวิชาวัชรยักษ์ครองร่าง สองคือพลังทมิฬซวนโหลว
อย่างแรกเป็นวรยุทธ์กลั่นร่าง หากฝึกฝนสำเร็จ สามารถฝึกฝนร่างกายให้ชุบร่างได้ เทียบเท่ากระบี่ยุทธ์ระดับชั้นล่าง สามารถจัดการราชายุทธ์ด้วยร่างเนื้อได้!
อันหลังคือวรยุทธ์ในการฝึกฝนพลังทมิฬ บนAttr เป็นการผสานพลังแห่งความตายระหว่างความเป็นตายสองระดับ
หลัวซิวคิดจะฝึกวรยุทธ์ทั้งสองแขนงเลย
########################
บทที่ 135 ฆ่าจางหลู่เหลียง
“พรสวรรค์ในอายุสิบสี่ปี เพียงพอที่จะได้รับการประเมินว่าเป็นอัจฉริยะจากขั้นเหลืองระดับกลางแล้ว “เย่เซี่ยงโต่วบ่นพึมพำ
ในองค์กรนักล่ายุทธ์ การประเมินระดับของอัจฉริยะยิ่งสูง อำนาจก็จะยิ่งมากขึ้น และจะได้รับความสำคัญจากระดับสูงของแก๊งมากขึ้นด้วย
“ด้วยอำนาจของข้า อย่างมากจะสามารถประกาศภารกิจรางวัลนำจับระดับใดได้?” หลัวซิวเอ่ยปากถาม
“ระดับต่ำกว่าขั้นเหลือง อย่างมากจะเชิญราชายุทธ์ลงมือได้ หากเป็นขั้นเหลืองระดับกลาง ขอเพียงมีเงื่อนไขเพียงพอ สามารถเชิญจักรพรรดิยุทธ์ได้เลย!” สายตาเย่เซี่ยงโต่วเป็นประกาย
“จักรพรรดิยุทธ์?” หลัวซิวสีหน้าสงสัย “ในเขตการปกครองหยุนหลงมีจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งด้วยรึ?”
เท่าที่เขารู้ ในเขตการปกครองหยุนหลง คนที่มีตบะแก่กล้าที่สุดคือหัวหน้าแก๊งเหวินเซวียนหง เป็นผู้แข็งแกร่งที่เป็นระดับราชายุทธ์ขั้นสี่
เย่เซี่ยงโต่วส่ายหัวบอก “อย่าว่าแต่ในเขตการปกครองหยุนหลงไม่มีจักรพรรดิยุทธ์ ทั่วทั้งประเทศเทียนหวูสิบสามเขตการปกครองก็ไม่มีจักรพรรดิยุทธ์ แต่八州และเมืองหลวงของประเทศเทียนหวูมีจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่ง!”
“ขอเพียงเจ้าสามารถให้เงื่อนไขที่น่าพอใจกับพวกเขาได้ จะมีจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งนั่งวาร์ปมาที่เขตการปกครองหยุนหลง”
ยามพูดคำนี้ เย่เซี่ยงโต่วจ้องหลัวซิวเขม็ง เขาสงสัยนักว่าหลัวซิวไปเจออะไรมา ไม่เพียงสามารถฝึกฝนจนเพิ่มระดับด้วยความเร็วในเวลาเพียงครึ่งปีเท่านั้น และยังได้สมบัติมามากมายขนาดนี้
เขาจำได้ดีว่า ตอนแรกหลัวซิวเอาวิชายุทธ์ระดับหกวรยุทธ์ และสมบัติขั้นห้าหลายอย่างไป
สมบัติขั้นห้า วิชายุทธ์ระดับเจ็ดสามารถเชิญราชายุทธ์ได้ หากจะเชิญจักรพรรดิยุทธ์ ต้องเป็นสมบัติขั้นหก,วิชายุทธ์ระดับแปด!
หากหลัวซิวสามารถหาสมบัติระดับนั้นมาได้ งั้นสิ่งที่หลัวซิวไปเจอมามันช่างน่ากลัวยิ่งแล้ว
ต้องรู้ไว้นะว่า ในประเทศเทียนหวูสิบสามเขตการปกครองไม่มีจักรพรรดิยุทธ์เลย ไม่มีสมบัติขั้นหก และไม่มีวิชายุทธ์ระดับแปด
“ข้าคงเชิญจักรพรรดิยุทธ์ไม่ไหว” หลัวซิวหัวเราะออกมา อย่าว่าแต่เขาเชิญไม่ไหว ต่อให้เชิญไหว ในช่วงเวลาแบบนี้ก็ไม่อาจทำได้
หากให้คนอื่นรู้ว่าพรสวรรค์ตัวน้อยอย่างเขากลับมีมรดกจักรพรรดิยุทธ์อยู่ในมือ น่ากลัวว่าอำนาจพวกนั้นในประเทศเทียนหวูสิบสามเขตการปกครองต้องเกิดความละโมบแน่ โจมตีทั้งที่ลับที่แจ้ง มาทุกวิธีการ เขาต้องกินไม่ได้นอนไม่หลับแน่
ส่วนเรื่องจะเปิดเผยสมบัติขั้นห้าของระดับราชายุทธ์สักหน่อย นั่นไม่เป็นไร
“ไม่ว่าอย่างไร ครั้งนี้ต้องถอนรากถอนโคนให้สิ้นซาก จะได้ไม่เป็นภัยภายหลัง!”
ครั้งนี้หลัวซิวตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว
การประเมินของระดับอัจฉริยะ ต้องไปทำที่แก๊งสาขาของเขตการปกครองเมืองหยุนหลง อีกสาขาหนึ่งของสิบแปดเมืองที่เหลือไม่มีสิทธิ์การประเมินให้เป็นระดับอัจฉริยะได้
แต่ว่าก่อนไปที่เขตการปกครองเมืองหยุนหลง หลัวซิวยังมีอีกเรื่องที่ต้องทำ
นับจากออกจากบ้านมา หลัวซิวไม่ได้เปลี่ยนโฉมหน้าตัวเอง และไม่ได้ปิดบังร่องรอย เขามุ่งตรงไปที่ประตูเมืองเลย
สายลับที่คอยวนเวียนรอบบ้านหลัวเอาข่าวนี้กลับไปบอกจางหลู่เหลียงซึ่งเป็นเจ้าตระกูลจาง
“ออกจากเมืองแล้ว?” พอจางหลู่เหลียงรู้เรื่อง สายตาส่อแววคมปลาบวาบ
หลัวซิวพึ่งจะออกจากเมือง ก็รับรู้ได้ว่าโดนคนสะกดรอยตามตลอด
ในการรับรู้ของเขา รังสีแข็งแกร่งค่อยเข้าใกล้มาเรื่อยๆ เขายิ้มมุมปากเย็นเยือก
ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม หลัวซิวอยู่ห่างจากเมืองชิงหยุนแล้ว เขายืนนิ่งกับที่ ไม่นานร่างของจางหลู่เหลียงก็ปรากฏขึ้นต่อสายตาเขา
เขารู้ว่าถ้าเขาออกมาคนเดียว จางหลู่เหลียงต้องไม่อยู่นิ่งแน่ เขาทำแบบนี้เพื่อล่อตาเฒ่าจางหลู่เหลียงออกมานอกเมือง
ต่อให้จางหลู่เหลียงเป็นจอมยุทธ์ที่มีระดับพรสวรรค์ขั้นเก้า แต่หลัวซิวมีไพ่ตายมากมาย เลยไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา
และเขายังจะอาศัยจางหลู่เหลียงมาทดสอบพลานุภาพของพลังแปรเสวียนเทียนดูสักหน่อย
“ไอ้สัตว์เดรัจฉาน รู้ทั้งรู้ว่าข้าจะฆ่าเจ้า ยังกล้าออกจากเมืองคนเดียวรึ?” สายตาจางหลู่เหลียงเต็มไปด้วยแววอาฆาตและความเย็นเยือก
จากนั้นสิ่งที่จางหลู่เหลียงคาดไม่ถึงคือ หลัวซิวกลับตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ข้ารอเจ้าออกจากเมืองนี่ล่ะ”
พอได้ยินดังนั้น จางหลู่เหลียงตะลึง และสังเกตเห็นว่าตบะของหลัวซิวมาถึงระดับพรสวรรค์ขั้นหนึ่งแล้ว เขาอดเลิกคิ้วไม่ได้
“เจ้าถึงระดับพรสวรรค์แล้ว? ดูท่าเจ้าจะเจอโอกาสไม่ธรรมดาเลยนะ แต่ขอเพียง
ฆ่าเจ้าได้ ทุกอย่างของเจ้าจะเป็นของข้าล่ะ!”
ระหว่างที่พูด สีหน้าชราของจางหลู่เหลียงพลันดุดันขึ้น เขาสะบัดมือ สายรุ้งสีเลือดฟาดไปที่หลัวซิว
“เพี๊ยะ!”
สายรุ้งสีเลือดนี้เกิดจากการรวมตัวของปราณแท้พรสวรรค์ ด้วยตบะของจางหลู่เหลียงสร้างมันออกมา อำนาจนั้นเพียงพอให้ฆ่าพรสวรรค์ขั้นหนึ่งธรรมดาคนหนึ่งได้ในพริบตาเลย
“ชิ้ว!”
หลัวซิวชักกระบี่ออกมา ประกายกระบี่สีดำปราดเปรียวราวสายฟ้าแลบ พุ่งฟันสายรุ้งสีเลือดเส้นนั้นออกไป
“หือ?”
พอเห็นหลัวซิวสกัดกั้นการโจมตีของตนได้ จางหลู่เหลียงตกใจไม่น้อย เพราะความแตกต่างระหว่างพรสวรรค์ขั้นเก้ากับพรสวรรค์ขั้นหนึ่งมันมากนัก
เมื่อฝึกโลกยุทธ์จนถึงระดับพรสวรรค์ คือจอมยุทธ์ และมีแต่ขึ้นถึงขั้นเก้าเท่านั้นจึงจะเรียกว่า จอมยุทธ์
จอมยุทธ์สะบัดมือครั้งเดียวสามารถจัดการระดับพรสวรรค์ขั้นหนึ่งได้งายยิ่งกว่าปอกกล้วย แต่หลัวซิวกลับต้านทานไว้ได้ มันช่างเหลือเชื่อจริงๆ
ไม่เพียงแค่นั้น เขายังพบว่าถึงตบะของหลัวซิวจะเป็นพรสวรรค์ขั้นหนึ่ง แต่ปราณแท้ของเขากลับหนามากเป็นพิเศษ แทบจะถึงระดับพรสวรรค์ขั้นห้าแล้ว
ในเวลานี้เอง ร่างของหลัวซิวพกพาเงาเศษเก้าสาย ประกายกระบี่รวดเร็วดุจสายฟ้าพุ่งเข้ามาหาเขา
กระบี่ของหลัวซิวเร็วถึงขีดสุด ทำให้จางหลู่เหลียงยิ่งตะลึง เขาไม่เห็นกระบี่ของจอมยุทธ์พรสวรรค์คนไหนจะเร็วได้ขนดานี้ ทำให้จอมยุทธ์อย่างเขารู้สึกโดนบีบคั้นราวกับเผชิญหน้าความตาย
“วิชากระบี่บรรลุผล?”
จางหลู่เหลียงอุทานอย่างตะลึงหนึ่งคำ ในมือพลันปรากฏดาบรบเล่มหนึ่ง ออกมารับรังสีกระบี่ของหลัวซิวโดยอัตโนมัติ
“แกร๊ง!”
ดาบกระบี่ปะทะกัน ประกายไฟแปร๊บปร๊าบ เกิดเสียงฟิ้วฟิ้วดังขึ้นในอากาศ แต่ในตอนนี้เอง จางหลู่เหลียงพลันรู้สึกเจ็บปวดราวเนื้อจะฉีกขาดที่หน้าอก เขาหลบตัวออกอย่างรวดเร็ว ตกใจแทบวิญญาณหลุดออกจากร่าง
เขาไม่ได้สังเกตเลยสักนิดว่าหลัวซิวฟันกระบี่ที่สองเมื่อไหร่ หากมิใช่เขาได้สติไว คงต้องโดนกระบี่นั่นฟันขาดเป็นสองท่อนไปแล้ว
“กระบี่ไวนัก หรือว่าจะเป็นวิชากระบี่บริบูรณ์?” รอยแผลที่หน้าอกมีเลือดไหลริน จางหลู่เหลียงรู้สึกเหงื่อออกที่แผ่นหลัง
เขาคิดไม่ถึงว่าหลัวซิวสามารถฝึกดาบเร็วจนถึงระดับนี้ได้ ต้องรู้ไว้นะว่า ตบะของจอมยุทธ์อย่างเขาก็แค่ฝึกวิชาดาบจนถึงแดนสำเร็จน้อยเท่านั้นเอง
ปกติมีแต่ปรมาจารย์ยุทธ์ผู้แข็งแกร่งที่แดนฝึกจิตเท่านั้นจึงจะสามารถฝึกฝนวิชากระบี่ได้จนถึงแดนบรรลุผล และมีเพียงไม่กี่คนในนั้นฝึกจนถึงแดนบริบูรณ์
ต่อให้ตบะของตนจะสูงกว่าหลัวซิวมากนัก แต่บนตัวชายหนุ่มคนนี้เต็มไปด้วยสิ่งแปลกๆ ดูแค่วิชากระบี่แดนบริบูรณ์นี่ น่ากลัวตนจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาล่ะ
พอคิดถึงตรงนี้ จางหลู่เหลียงคิดอย่างแรกเลยคือต้องหนี ไม่งั้นคงต้องตายในน้ำมือชายหนุ่มคนนี้แน่
แต่ตอนนี้เอง หลัวซิวสะบัดกระบี่อีกครั้ง บนกระบี่เงามืดส่องประกายไฟมรณะแห่งความตาย และกระบี่นี้ไม่ว่าจะเป็นความเร็วหรือพลานุภาพ ล้วนเพิ่มเป็นสองเท่าทั้งสิ้น!
จางหลู่เหลียงยังไม่ทันได้สติ ร่างทั้งร่างก็โดนตรึงอยู่กับที่ เขามองหลัวซิวอย่างไม่อยากยอมแพ้ อ้าปากราวกับจะพูดอะไร แต่หัวเขากลับหลุดจากคอลงมาดื้อๆ เลือดสดสาดกระเซ็น
“ร้ายกาจเพียงนี้?”
มองดูจางหลู่เหลียงที่โดนฟันคอขาด ขนาดตัวหลัวซิวเองยังอดตะลึงไม่ได้[1][1]
########################
บทที่ 134 กลับบ้าน
มาวันนี้คนที่รู้ประวัติเมื่อก่อนของเขายังน้อยมาก และเขาได้กินยาย้ายร่างไขกระดูก ไม่ได้แสดงหน้าตาที่แท้จริงออกมา ราชายุทธ์ ปรมาจารย์ยุทธ์มากมายในที่นั้นถึงจะใช้จิตเทพแล้วดูออกว่าเขาปลอมแปลงใบหน้า แต่ไม่ได้คิดไปในทางอื่นกัน
หากมีคนเริ่มสืบหาประวัติก่อนหน้านี้ของเขา ต้องมีคนจำนวนมากสนใจเขาแน่ ถึงเวลานั้นเรื่องยุ่งยากต่างๆนานาจะวิ่งเข้าหาเขาแน่
“ฝีมือข้ายังด้อยนัก…”
เมื่อเข้ามาในป่า จิตใจของหลัวซิวเริ่มหนักอึ้งขึ้น
เมื่อครู่โดนจิตเทพของปรมาจารย์ยุทธ์และราชายุทธ์แต่ละคนตรวจสอบ หลัวซิว รู้ถึงอันตรายเช่นนั้นได้ดี หากโดนคนพวกนี้รู้ความลับของเขา ผลลัพธ์รู้ได้เลยว่าจะเป็นอย่างไร
ในขณะเดียวกันเขารู้สึกขอบคุณเย่เซี่ยงโต่วกับหัวหน้าแก๊งเหวินเซวียนหงยิ่งนัก พวกเขาเคงเดาได้ว่าเขาต้องได้รับโอกาสพิเศษมาแน่ แต่กลับมิมีแก่ใจละโมบ เย่เซี่ยงโต่วยังแนะนำตนให้กับเหวินเซวียนหง กลายเป็นหนึ่งในสมาชิกอัจฉริยะภายในขององค์กรนักล่ายุทธ์
ท่ามกลางเขตการปกครองหยุนหลง คนที่รู้อดีตที่ผ่านมาของเขามีไม่น้อย มันทำให้หลัวซิวรับรู้ถึงอันตรายมากขึ้น
….
อาศัยความสามารถในการรับรู้ชีวิต หลัวซิวหลบหลีกพื้นที่ที่มีอสูรที่แข็งแกร่ง ตามสัญลักษณ์บนแผนที่แบบง่ายๆ เดินผ่านป่าโบราณนี้ จะตรงไปเขตการปกครองหยุนหลง
นับจากศึกการแย่งชิงตำแหน่งเจ้าสำนักสำนักเซียวเหยาจบสิ้นลง ตี๋ซือกู่กลายเป็นเจ้าสำนักสำนักเซียวเหยาคนใหม่ คนที่เดิมเป็นทางสายเขา ฐานะในสำนักก็พุ่งขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว
หลังจากการสืบสวน โกวหงยี่แน่ใจว่า คนที่ฆ่าโกวจินชวนหลานชายตน คงจะเป็นหลัวซิว
เขาสืบประวัติหลัวซิว รู้ว่าชายหนุ่มที่เกิดจากสำนักยุทธ์ชิงหยุนคนนี้กลับฝึกฝนจากการกลั่นร่างขั้นสองจนถึงชี่ไห่ขั้นห้าในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี
ไม่เพียงแค่นั้น เขายังสืบได้ว่าหลัวซิวหลัวซิวเคยประกาศภารกิจรางวัลนำจับ ให้องค์กรนักล่ายุทธ์ด้วยสมบัติขั้นห้าได้เชิญเย่เซี่ยงโต่วซึ่งเป็นปรมาจารย์ฝึกจิตลงมือ และยังเชิญหัวหน้าแก๊งเหวินเซวียนหงออกหน้าให้
ลองคิดดูว่าจอมยุทธ์ชี่ไห่คนหนึ่งมีสมบัติขั้นห้าได้ยังไง? และยังฝึกฝนเร็วขนดานี้?
“คนผู้นี้ต้องเจอโอกาสใหญ่หลวงมาแน่!”
หลังจากสืบเรื่องราวเหล่านี้ได้ โกวหงยี่ได้ส่งจางหลู่เหลียงซึ่งเป็นผู้ดูแลนอกสำนักไปที่เมืองชิงหยุน คอยจับตาดูพ่อแม่และพี่สาวของหลัวซิวไว้
ครอบครัวของหลัวซิวมีองค์กรนักล่ายุทธ์คอยคุ้มครอง เขาไม่กล้าบุ่มบ่ามทำอะไร ทำเพียงแค่ให้คนไปจับตาดูไว้ เขาเชื่อว่าหลัวซิวต้องปรากฏตัวแน่
เมืองเกายี่เป็นเมืองที่อยู่ใกล้เส้นทางวัดกวนเหลยมากที่สุดในเขตการปกครองหยุนหลง
นี่เป็นครั้งที่สองที่หลัวซิวมายังที่นี่ หลังจากเข้าเมือง เขารีบมุ่งตรงไปที่องค์กรนักล่ายุทธ์ซื้อหินพลังจิตไปสองร้อยกว่า นั่งค่ายวาร์ป มุ่งตรงไปเมืองชิงหยุน
เวลาผ่านไปนาน เขาเริ่มคิดถึงพ่อแม่และพี่สาว ตอนเข้าสำนักยุทธ์ฝึกฝนเขาอายุสิบปี เลยได้พบกับครอบครัวน้อยครั้งนัก
จากนั้นหลัวซิวรู้ดีว่า พ่อแม่พี่สาวไม่สามารถฝึกยุทธ์ได้ ต่อให้มียาที่ช่วยให้อายุยืนยาว ก็อยู่ได้อย่างมากสองร้อยปี ส่วนเขาเป็นจอมยุทธ์พรสวรรค์แล้ว อย่างน้อยจะอยู่ได้อีกสามร้อยปี
จากการเพิ่มพูนแดนตบะของเขา เขายังมีวันเวลาที่จะอยู่อีกยาวนาน ส่วนครอบครัวของเขาจะกลับคืนสู่พื้นดินตามวันเวลาอันยาวนาน
มีการคุ้มครองขององค์กรนักล่ายุทธ์ พ่อแม่พี่สาวของหลัวซิวอยู่อย่างสงบและปลอดภัย
หลังจากฤทธิ์ยายาย้ายร่างไขกระดูกคลายไป หลัววิวมายังหน้าประตูบ้านในเมือง
ในเวลาเดียวกับที่หลัวซิวปรากฏตัว ข่าวก็ได้ลอยเข้าหูจางหลู่เหลียงอย่างรวดเร็วที่สุด
“เจ้าหนูนั่นกลับมาแล้ว?”
นับแต่ได้รับคำสั่งจากผู้อาวุโสโกวหงยี่มาคอยจับตามองบ้านหลัว จางหลู่เหลียงจึงอาศัยอยู่ในบ้านจางของเมืองชิงหยุน
พอรู้ว่าหลัวซิวกลับมาแล้ว เขารีบหยิบกล่องส่งเสียงออกมาส่งข่าวให้ผู้อาวุโสโกวหงยี่ซึ่งเป็นส่วนของสำนักเซียวเหยา
พ่อแม่พี่สาวของหลัวซิวไม่รู้เรื่องของหลัวซิวเท่าไหร่ การกลับมาของเขานำพาบรรยากาศยินดีปรีดาของบ้าน
ในห้องรับแขก ทุกคนไต่ถามสารทุกข์สุกดิบ หลัวซิ่วเอ๋อร์พี่สาวของหลัวซิว ด้านข้างมีชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่ เขาเป็นศิษย์ตระกูลหลิวในเมืองชิงหยุน ทั้งคู่หมั้นหมายกันแล้ว
ชายหนุ่มคนนี้ชื่อว่าหลิวหยวน เป็นลูกชายของเจ้าตระกูลหลิวคนปัจจุบัน มีตบะชี่ไห่ขั้นห้า
พอเห็นพี่สาวตนหมั้นหมายแล้ว หลัวซิวรู้สึกสบายใจขึ้น เขามองออกว่า หลัวซิ่วเอ๋อร์กับหลิวหยวนรักใคร่กันดี และหลิวหยวนมาใกล้ชิดพี่สาวตนก็ไม่ได้มีเป้าหมายอะไรอย่างอื่น
ชีวิตเรียบง่ายของครอบครัวทำให้หลัวซิวสบายใจ แต่ในขอบข่ายการรับรู้ของเขา รอบๆบ้านหลัวมีจอมยุทธ์มากมายมาคอยวนเวียนจับตาดู สายตาหลัวซิวพลันปรากฏแววเย็นเยียบขึ้น
หลัวซิวไม่ได้ปิดบังร่องรอยของตน ดังนั้นตอนเขากลับมา ไม่เพียงแต่จางหลู่เหลียงได้รับข่าวแก๊งสาขานักล่าอสูรแห่งเมืองชิงหยุนเองก็ได้รู้ว่าเขากลับมาแล้วเช่นกัน
เพราะครอบครัวของหลัวซิวได้รับการคุ้มครองจากองค์กรนักล่ายุทธ์ จอมยุทธ์มากมายที่วนเวียนรอบบ้านหลัว นอกจากคนของจางหลู่เหลียงแล้ว ยังมีคนขององค์กรนักล่ายุทธ์ด้วย
จวงหนานเทียนแวะมาเยี่ยมเยียนถึงเรือน ตอนเขาเห็นหลัวซิวครั้งแรก แสดงสีหน้าตกใจออกมาทันที “เจ้าบรรลุพรสวรรค์แล้ว?”
ตั้งแต่สำนักยุทธ์ชิงหยุนปรับเปลี่ยนมากมาย จวงหนานเทียนได้ลาออกจากตำแหน่งผู้อาวุโสสำนักยุทธ์แล้ว หัวหน้าเย่เซี่ยงโต่วเลยส่งเขามาดูแลความปลอดภัยให้บ้านหลัว
ช่วยไม่ได้ที่จวงหนานเทียนจะตกตะลึง เพราะเขารู้ดีว่า ครึ่งปีก่อนหน้านี้หลัวซิวยังเป็นแค่ระดับการกลั่นร่างขั้นสอง ตอนนี้กลับพรสวรรค์แล้ว ความเร็วในการฝึกฝนเยี่ยงนี้ไม่เคยมีมาก่อนเลย เป็นไปได้อย่างไรกัน?
เกี่ยวกับตบะตนเอง หลัวซิวมิได้อธิบาย ข่าวที่จวงหนานเทียนเอามาทำให้แววตาคมปลาบของเขาวาบขึ้น รังสีอำมหิตแผ่ซ่าน
“บัดนี้จางหลู่เหลียงอยู่ที่เมืองชิงหยุน ได้รับคำสั่งโกวหงยี่มาจับตาดูครอบครัวของข้า?” หลัวซิวมือถือข่าวสาร แค่นเสียงเย็น ในเมื่อโกวหงยี่ลงมือ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เขาจะสงสัยว่าการตายของโกวจินชวนเกี่ยวข้องกับตน
สำหรับจางหลู่เหลียงนั่น เป็นศัตรูคู่อาฆาตกับหลัวซิวอยู่แล้ว
ในเมื่อเป็นศัตรูคู่อาฆาต งั้นก็ให้มันตาย!
นี่คือความคิดในใจของหลัวซิว
แต่หลัวซิวเองก็รู้ดีว่า แค่ฆ่าจางหลู่เหลียงคนเดียวยังไม่พอ คนที่อันตรายที่สุดคือโกวหงยี่นั่น เขาเป็นผู้อาวุโสส่วนในของสำนักเซียวเหยา เป็นผู้แข็งแกร่งของราชายุทธ์แดน
ถึงในสายตาคนนอกครอบครัวของตนจะได้รับการคุ้มครองจากองค์กรนักล่ายุทธ์ โกวหงยี่นั่นอาจจะไม่กล้าบุ่มบ่ามทำอะไร แต่รับประกันไม่ได้ว่าเขาจะไม่ใช้วิธีการต่ำช้า
หลัวซิวไม่อยากให้เรื่องของตนเกี่ยวพันถึงพ่อแม่และพี่สาว ดังนั้นไม่ว่ายังไงก็ตาม เขาต้องกำจัดอันตรายทั้งหมด
หัวหน้าแก๊งเหวินเซวียนหงให้ความสำคัญกับเขามาก แต่ติดที่กฎของแก๊งเลยไม่สามารถช่วยออกหน้าให้เขาได้ หนทางเดียวคือประกาศภารกิจรางวัลนำจับ
พอมาที่แก๊งสาขานักล่าอสูรแห่งชิงหยุน หลัวซิวเจอกับเย่เซี่ยงโต่ว
เหมือนกับจวงหนานเทียน ตอนเย่เซี่ยงโต่วพบว่าหลัวซิวเป็นตบะแดนพรสวรรค์แล้ว สีหน้าชรานั่นเต็มไปด้วยการตกตะลึงและไม่เชื่อสายตา
########################
บทที่ 133 ไม่ยอมเลิกชักชวน
ในกลุ่มร้อยคน มีไม่ถึงสิบคนที่สามารถรอดพ้นการตามฆ่าของอสูรม้าทองเกล็ดม่วงได้ ชายหนุ่มตรงหน้านี้เป็นแค่พรสวรรค์ขั้นหนึ่ง กลับสามารถหนีรอดมาได้ และอายุน้อยเท่านี้กลับสำเร็จวิชากระบี่ ต่อให้มีอาจารย์คอยชี้แนะ ก็ต้องมีพรสวรรค์ไม่น้อยแน่
หลัวซิวดูออกถึงการชักชวนของจงฉางผิง แต่เขาไม่คิดจะเข้าร่วมหอหย่งชาง เลยตอบปฏิเสธไปด้วยสีหน้ารู้สึกผิดว่า “ข้าน้อยมิคิดจะเข้าร่วมสำนักใด”
พอเห็นหลัวซิวปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมาอย่างนี้ สีหน้าจงฉางผิงกระอักกระอ่วนเล็กน้อย แต่ก็ฟังออกจากน้ำเสียงของหลัวซิวว่า เขาไม่ได้เป็นศิษย์สำนักอื่น
“สหายน้อยท่านนี้ไม่ลองคิดดูสักหน่อยรึ? ด้วยพรสวรรค์ของเจ้าหากเข้าร่วมหอหย่งชาง ต้องได้รับการสนับสนุนและอบรมสั่งสอนแน่ ไม่ว่าจะเป็นยา หินพลังจิตหรือวิชายุทธ์วรยุทธ์ระดับสูง มีพร้อมไว้เสร็จสรรพเลย” จงฉางผิงบอก
“เหอะเหอะ หอหย่งชางของพวกเจ้ามีอะไรดี จงฉางผิงเจ้าตัดสินใจเองได้รึ?”
ในตอนนี้เองมีเสียงหัวเราะลอยมา ชายหนุ่มฉกรรจ์คนหนึ่งเดินเข้ามา สายตามองสำรวจหลัวซิว “เจ้าพรสวรรค์ไม่เลว หากยอมเข้าร่วมตระกูลกงซุนของข้า ข้าจะให้ยาพรสวรรค์สิบเม็ด หินพลังจิตหนึ่งพัน วิชายุทธ์ระดับหกหกเล่มกับเจ้า!”
ชายหนุ่มผู้นี้ดูราวยี่สิบกว่าปี ตบะพรสวรรค์ชั้น7 ดูเย่อหยิ่งยิ่งนัก
เห็นได้ชัดว่า ไม่ใช่แค่หอหย่งชางอยากชักชวนหลัวซิว ในขณะเดียวกันตระกูลกงซุนซึ่งเป็นหนึ่งในสามอำนาจใหญ่ของเขตการปกครองโต้วไห่ก็คิดจะชักชวนเช่นกัน
เพราะอัจฉริยะที่มีตบะเพียงพรสวรรค์ชั้น1ก็สามารถฝึกฝนวิชากระบี่จนบรรลุได้นั้นมีไม่มากเลย แถมดูหลัวซิวแล้วยังไม่ถึงยี่สิบปี อายุแค่นี้กลับมาได้ถึงขั้นนี้ เรียกได้ว่าไม่ง่ายเลย
“สำนักเหลยหวู่ของข้าให้สัญญากับสหารน้อยได้เลยว่าจะกลายเป็นศิษย์ใจกลาง ขอเพียงสหายน้อยฝึกฝนจนถึงระดับพรสวรรค์ชั้น3 ก็จะได้รับสิทธิ์ในการฝึกฝนวิชายุทธ์ระดับเจ็ด!” สตรีวัยกลางคนคนหนึ่งเดินจากตีนเขามา ดูเป็นผู้แข็งแกร่งปรมาจารย์ฝึกจิตแดนคนหนึ่ง
พอคำพูดนี้ออกมา ชายหนุ่มจากตระกูลกงซุนและจงฉางผิงต่างมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก สิทธิ์ในการฝึกฝนวิชายุทธ์ระดับเจ็ดไม่ใช่อะไรที่พวกเขาจะสามารถตัดสินใจได้
ยิ่งไปกว่านั้น สำนักเหลยหวู่เป็นอำนาจใหญ่อันดับหนึ่งของเขตการปกครองโต้วไห่ การถ่ายทอดมรดกวิชายุทธ์ไม่ใช่อะไรที่ตระกูลกงซุนกับหอหย่งชางจะเทียบเคียงได้เลย
สำนักเหลยหวู่สามารถเอาวิชายุทธ์ระดับเจ็ดออกมาให้ศิษย์ใจกลางฝึกฝนได้ง่ายๆ แต่ตระกูลกงซุนกับหอหย่งชางทำไม่ได้
ตระกูลกงซุนก็มีวิชายุทธ์ระดับเจ็ด แต่มีเพียงผู้สืบทอดสายตรงของเจ้าตระกูลเท่านั้นที่มีสิทธิ์ฝึกฝน ส่วนหอหย่งชางไม่มีการสืบทอดของวิชายุทธ์ระดับเจ็ด วิชายุทธ์ระดับหกกลับมีไม่น้อย
ยิ่งไปกว่านั้น สตรีวัยกลางคนผู้นี้ยังเป็นผู้แข็งแกร่งระดับปรมาจารย์ฝึกจิต การที่โดนผู้แข็งแกร่งระดับนี้ชักชวนด้วยตัวเอง แสดงถึงการให้ความสำคัญของสำนักเหลยหวู่ที่มีต่อหลัวซิวแล้วล่ะ
ไม่ว่าจะเป็นประโยชน์ หรือฐานะของคนชักชวน สำนักเหลยหวู่ได้เปรียบเห็นๆ
หลัวซิวกำหมัดคารวะกลับ “ขอบน้ำใจในความหวังดีของผู้อาวุโสทั้งหลาย ข้อน้อยมิมีความคิดจะเข้าร่วมสำนักใดในตอนนี้”
สิ่งที่ทำให้ทุกคนคาดไม่ถึงคือ หลัวซิวยังคงปฏิเสธการชักชวนของสตรีวัยกลางคน
สตรีวัยกลางคนขมวดคิ้วเล็กน้อย ใต้หล้านี้มีคนกล้าปฏิเสธข้อเสนอเย้ายวนอย่างวิชายุทธ์ระดับเจ็ด? ต้องรู้ไว้นะว่าแดนฝึกจิตของปรมาจารย์ยุทธ์มากมาย ที่ฝึกฝนกันก็เป็นแค่วิชายุทธ์ระดับหก มีแต่ผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์บางคนเท่านั้นจึงมีสิทธิ์ฝึกฝนวิชายุทธ์ระดับเจ็ด
และการมีสิทธิ์ได้ฝึกฝนวิชายุทธ์ระดับเจ็ดในแดนพรสวรรค์ มีแต่อัจฉริยะระดับสูงของแต่ละอำนาจใหญ่เท่านั้น
“ไม่ทราบว่าอาจารย์ของสหายน้อยเป็นผู้อาวุโสท่านใดรึ?” สตรีวัยกลางคนถาม ในสายตานาง อายุยังน้อยก็สามารถฝึกฝนวิชากระบี่สำเร็จ นอกจากพรสวรรค์ของตนแงแล้ว ต้องมีอาจารย์ดังคอยชี้แนะอยู่ด้านหลังแน่
และชายหนุ่มคนนี้สามารถปฏิเสธข้อเสนอเย้ายวนอย่างวิชายุทธ์ระดับเจ็ด เห็นได้ชัดว่าอาจารย์ต้องเป็นผู้แข็งแกร่งท่านหนึ่งที่สามารถทำให้เขาได้รับการฝึกฝนวิชายุทธ์ระดับเจ็ดแน่
“อาจารย์ของข้าน้อยคือหัวหน้าแก๊งเหวิน” หลัวซิวตอบออกมา
เขารู้ดีว่า ถ้าตนไม่ยอมบอกที่มาของอาจารย์ ต้องทำให้คนสงสัยแน่ บางทีอาจจะโดนจับตามอง เหมือนที่เล่อเผิงเฉิง
“หัวหน้าแก๊งเหวิน?” สตรีวัยกลางคนขมวดคิ้วเล็กน้อย “หมายถึงหัวหน้าแก๊งเหวินท่านนั้นแห่งเขตการปกครองเมืองหยุนหลง?”
“ใช่ขอรับ” หลัวซิวพยักหน้า เขารู้ว่าหากไม่มีอำนาจหนุนหลังต้องมีปัญหาแน่ ดังนั้นจึงได้แต่ยกหัวหน้าแก๊งเหวินเซวียนหงออกมาขัดตาทัพ
พอเห็นหลัวซิวยืนยัน สตรีวัยกลางคนพลันยิ้มบอก “ในเมื่ออาจารย์ของสหายน้อยเป็นหัวหน้าแก๊งเหวินเซวียนหง ดูท่าจะเป็นสมาชิกอัจฉริยะภายในขององค์กรนักล่ายุทธ์แล้วล่ะสิ”
พอสตรีกลางคนพูดแบบนี้ ชายหนุ่มจากตระกูลกงซุนและจงฉางผิงต่างอดไม่อยู่มีสีหน้าตกตะลึง
ปรมาจารย์ยุทธ์,ราชายุทธ์มากมายที่กำลังรับรู้ห้วงดาบที่ตีนเขาและกลางเขายังพุ่งเป้าสายตามาทางนี้
สมาชิกภายในขององค์กรนักล่ายุทธ์ แบ่งเป็นสมาชิกอัจฉริยะและสมาชิกที่ได้รับการชักชวนเข้าไปเหมือนกับจวงหนานเทียน ถึงจะได้รับตำแหน่งผู้อาวุโสที่แก๊งเมืองชิงหยุน อันที่จริงแล้วไม่ถือว่าเป็นสมาชิกภายในขององค์กรนักล่ายุทธ์ ต้องเรียกว่าสมาชิกที่ได้รับการชักชวนเข้าไป
แต่สมาชิกอัจฉริยะภายในขององค์กรนักล่ายุทธ์ การชักชวนเข้มงวดยิ่งนัก ชายหนุ่มตรงหน้านี้มีตบะพรสวรรค์ขั้นหนึ่ง ต่อให้เป็นเงื่อนไขมาตรฐานและการประเมินของขั้นเหลืองระดับล่าง ขั้นต่ำก็ต้องอายุสิบหกปี
พอรู้ว่าหลัวซิวเป็นสมาชิกอัจฉริยะภายในขององค์กรนักล่ายุทธ์ สายตาคนมากมายในที่นั้นเริ่มมีประกายรุ่งโรจน์ยิ่งขึ้น
เพราะองค์กรนักล่ายุทธ์ไม่มีกฎห้ามมิให้สมาชิกอัจฉริยะภายในเข้าร่วมอำนาจอื่น ว่ากันว่าการปฏิบัติขององค์กรนักล่ายุทธ์ที่มีต่อสมาชิกอัจฉริยะภายในไม่ถือว่าดีมาก
“สหายน้อย เท่าที่ข้ารู้ องค์กรนักล่ายุทธ์ไม่ได้ให้การปกป้องสมาชิกอัจฉริยะภายใน มีแต่เสนอวิชายุทธ์ และไม่เสนอทรัพยากรให้ฝึกฝน”
สตรีวัยกลางคนพูดเสียงเนิบว่า “ขอเพียงสหารน้อยเข้าร่วมสำนักเหลยหวู่เรา ด้วยฐานะศิษย์ใจกลางของเจ้า มิมีผู้ใดในเขตการปกครองโต้วไห่กล้ารังแก และทุกปียังจะได้รับยาและหินพลังจิตจำนวนมาก มีทรัพยากรให้ฝึกฝนเหล่านี้ เชื่อว่าการฝึกฝนของเจ้าจะเพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าเดิม”
สตรีกลางคนผู้นี้ดูจะรู้กฎระเบียบขององค์กรนักล่ายุทธ์เป็นอย่างดี
ข้อดีไม่น้อยจริงๆ แต่หลัวซิวยังคงไม่อยากเข้าร่วมอำนาจสำนักใด เพราะเมื่อเข้าไป ก็ต้องแบกรับภาระหน้าที่ด้วย และจะทำให้เขาสูญเสียอิสระไป
ฝึกฝนจอมยุทธ์เพื่ออันใดกัน?
บางคนเพื่ออำนาจ ฐานะ บางคนเพื่อความเป็นนิรันดร์
ส่วนหลัวซิวฝึกฝนเพื่อท่องเที่ยวไปในโลก ไร้สิ่งผูกมัด ในบรรดาอำนาจสำนักต่างๆมันยาก ระหว่างที่ท่องเที่ยวโลกกว้าง หลัวซิวก็รับรู้เรื่องนี้ได้อย่างลึกซึ้งแล้ว
และเป็นเพราะประสบการณ์ในการท่องเที่ยวด้านนอก ทำให้หลัวซิวยกเลิกความคิดที่จะเข้าร่วมอำนาจสำนักต่างๆ
ต่อให้ต้องเข้าร่วมสำนักใหญ่สำนักหนึ่ง เขาก็ไม่เลือกสำนักเหลยหวู่ เพราะเล่อเผิงเฉิงรู้ความลับของเขา ถ้าเกิดโดนคนอื่นรู้ความลับของเขาอีก รับประกันไม่ได้ว่าสำนักเหลยหวู่จะไม่มีคนอื่นละโมบอีก
เพียงเวลาสั้นไม่ถึงหนึ่งปี เขาฝึกฝนจากการกลั่นร่างขั้นสองจนถึงแดนพรสวรรค์ ไม่ว่าใครก็คงคิดว่าเขาต้องมีพรสวรรค์ฟ้าประทานแน่
“ข้าน้อยยังมิมีความคิดจะเข้าร่วมอำนาจสำนักใด ขอผู้อาวุโสโปรดเข้าใจด้วย” หลัวซิวยังคงปฏิเสธการชักชวนของสตรีกลางคนอย่างนอบน้อม
สตรีกลางคนมีสีหน้าผิดหวัง แต่ไม่ได้บีบคั้นอันใด “หากสหายน้อยคิดจะเข้าร่วม สำนักเหลยหวู่ของเรายินดีต้อนรับทุกเมื่อ”
หลัวซิวคารวะขอบคุณ และหันไปยกมือคารวะผู้คนรอบตน จากนั้นจากไป
########################
บทที่ 132 ชักชวน
ทุกที่ในบริเวณวัดกวนเหลยล้วนเต็มไปด้วยห้วงดาบ จอมยุทธ์ที่มาถึงที่นี่ล้วนเลือกบริเวณหนึ่งมารับรู้ ไม่ข้องเกี่ยวกัน เงียบมาก
เสียงร้องที่ดังมากะทันหันนี้ดึงดูดความสนใจจากคนไม่น้อย โดยเฉพาะจอมยุทธ์พรสวรรค์มากมายที่กำลังรับรู้ห้วงดาบอยู่ในบริเวณรอบนอก
สำหรับจอมยุทธ์พรสวรรค์แล้ว ปรมาจารย์ฝึกจิตเป็นระดับสูงมาก เรียกได้ว่ากล้าแกร่งยืนหนึ่ง สะท้านไปทุกทิศ
มองด้านอำนาจใหญ่ๆ เป็นบุคคลระดับผู้คุมกฎอาวุโส ฐานะสูงส่ง
แต่ว่าที่นี่ ผู้แกร่งระดับปรมาจารย์ฝึกจิตคนหนึ่งกลับตายฉับพลัน ตายทันที
ภูเขาที่วัดกวนเหลยอยู่เป็นเขตศูนย์กลางแล้ว จากตีนเขาไปถึงกลางเขา ล้วนเป็นจุดรับรู้ห้วงดาบของปรมาจารย์ฝึกจิต
เทียบกับจอมยุทธ์พรสวรรค์มากมายที่ไม่ค่อยได้มาที่นี่ ราชายุทธ์ปรมาจารย์ยุทธ์พวกนั้นที่อยู่บนเขากลับสงบนิ่งมากกว่า สีหน้ามิได้เปลี่ยนแปลงอะไร
ชายวัยกลางคนคนหนึ่งเดินเข้าไป และเก็บรวบรวมซากศพและข้าวของปรมาจารย์ยุทธ์ที่ตายไปนั่นมารวมกันให้มากเท่าที่ทำได้
ชายวัยกลางคนคนนี้กับปรมาจารย์ฝึกจิตคนที่ตายไป ล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งของตระกูลกงซุนแห่งเขตการปกครองโต้วไห่
“อ๊า!”
ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องขึ้นอีก เสียงร้องครั้งนี้กลับออกมาจากด้านหลังของหลัวซิว อยู่ในรอบนอกของเขตนี้
จอมยุทธ์พรสวรรค์คนหนึ่งล้มลงพื้น เลือดไหลออกเจ็ดทวาร ไม่อาจรับการบีบคั้นของห้วงดาบได้ ตายคาที่!
หลัวซิวตวัดกระบี่ฟาดฟันรังสีดาบที่ฟันลงมา และหันไปมองหนึ่งครั้ง พบเงาร่างหลายร่างที่คุ้นเคยเล็กน้อย
ในหลายคนนี้ จอมยุทธ์หอหย่งชางที่เดิมเดินทางมากับเขา เหลือเพียงเจ็ดแปดคน และไม่เห็นคนอื่นอีก
หากมิมีสิ่งใดผิดพลาด คนอื่นคงตายอยู่ในท้องของอสูรม้าทองเกล็ดม่วงแล้ว
หนึ่งในนั้นเป็นหนึ่งในจอมยุทธ์สามคนที่เป็นหัวหน้าของกลุ่มร้อยคนชายวัยกลางคนในชุดสีฟ้า หลัวซิวจำได้ว่าคนผู้นี้ชื่อว่าจงฉางผิง
ในมรดกของจอมยุทธ์พรสวรรค์ที่ตายไป ก็โดนคนเก็บเอาไว้ คนไม่น้อยยังคงหวาดกลัวอยู่ แต่กลับไม่มีใครกล้าส่งเสียงดังโวยวาย มิเช่นนั้นหากไปรบกวนผู้แข็งแกร่งที่กำลังรับรู้ห้วงดาบอยู่ อาจจะกลายเป็นหาเรื่องตายมาให้ตนเองได้
วัดกวนเหลยถูกแบ่งออกเป็นดินแดนอันตรายสีม่วงเข้ม เพราะว่าขั้นตอนในการรับรู้ห้วงดาบนั้นหากไม่ระวังเพียงนิด ก็จะตายคาที่ได้
เพื่อป้องกันการโดนคนรบกวนในระหว่างที่รับรู้ห้วงดาบ อำนาจทุกฝ่ายต่างตกลงกันไว้ว่า หากมีคนมารบกวนการรับรู้ของคนอื่น จะรวมตัวกันโจมตีทันที
เวลานี้หลัวซิวใกล้จะเดินถึงตีนเขาแล้ว ห้วงดาบที่เต็มเปี่ยมในที่นี้ ต่อให้เป็นจอมยุทธ์พรสวรรค์ก็ยากจะรับมือได้ เขาเองก็อาศัยดาบเร็วของแดนบรรลุผลในมือ ถึงสามารถต้านทานการฆ่าฟันของรังสีดาบที่ห้วงดาบปประกอบร่างขึ้นมาได้
ในที่นี้ประโยชน์ของตบะบำเพ็ญสูงดูไม่เด่นชัดนัก เพราะการจะต้านทานรับห้วงดาบได้ พิจารณาจากแดนโลกยุทธ์มิใช่ตบะ
ตบะที่แสดงออกมาของหลัวซิวเป็นจอมยุทธ์พรสวรรค์ขั้นหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย การที่เขาสามารถเดินเข้าใกล้ตำแหน่งตีนเขาได้ ดึงดูดความสนใจจากคนอื่นไม่น้อยเลย
“ชายผู้นี้อายุยังน้อย ดูแล้วไม่เกินยี่สิบปี กลับสำเร็จวิชากระบี่แล้ว”
“คิดถึงตอนแรกที่ข้าฝึกฝนวิชาหมัดจนถึงแดนบรรลุผล ตอนนี้อยู่ในระดับพรสวรรค์ขั้นเก้า ใช้เวลาเกือบสี่สิบปีเลยทีเดียว”
“สามอำนาจใหญ่อย่างสำนักเหลยหวู่ ตระกูลกงซุน หอหย่งชาง มิเคยได้ยินว่ามีอัจฉริยะแบบนี้มาก่อน” ที่ตีนเขาและกลางเขามีน้ำเสียงคุยกันไปมาของปรมาจารย์ฝึกจิต แต่ละคนมองสบตากัน ต่างประหลาดใจกับที่มาของหลัวซิว
พริบตาเดียวผ่านไปเกือบครึ่งเดือนแล้ว จอมยุทธ์ที่มาบริเวณวัดกวนเหลยเพื่อรับรู้ห้วงดาบยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากจอมยุทธ์ของเขตการปกครองโต้วไห่แล้ว ยังมีจอมยุทธ์ของเขตการปกครองหยุนหลง
ในบรรดาจอมยุทธ์เหล่านี้ มีผู้แข็งแกร่งที่กำลังฝึกฝน ส่วนมากเป็นผู้แข็งแกร่งที่มาจากสำนักเหลยหวู่ ตระกูลกงซุน หอหย่งชาง สำนักเซียวเหยา
บนเขาที่วัดกวนเหลยอยู่ ผู้แข็งแกร่งทุกคนต่างยึดพื้นที่ไว้ที่หนึ่ง รับรู้ห้วงดาบ เพื่อเพิ่มพูนแดนโลกยุทธ์ของตน
หลัวซิวเองก็ฟาดฟันกระบี่ไม่หยุดในหมู่รังสีดาบที่ถาโถมเข้ามาราวฝน ทั้งตัวเขาเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ การบีบคั้นของห้วงดาบทำให้เขาเริ่มหายใจลำบาก
แกร่งมากเกินไปแล้ว รังสีดาบที่ห้วงดาบสร้างออกมาเรื่อยๆไม่หยุดหย่อน ถ้าไม่ใช่เพราะเขาฝึกฝนดาบเร็ว น่ากลัวจะโดนกระบี่นับหมื่นเสียบทะลุหัวใจ ตายคาที่ไปนานแล้ว
ห้วงดาบไม่หยุด รังสีดาบก็มาไม่รู้จบ อานุภาพของรังสีดาบเพิ่มพูนไม่หยุด ทำให้เขาต้านทานลำบากมากขึ้นทุกที
หรือว่าข้าจะต้องหยุดลงที่ตรงนี้รึ?
หลัวซิวรู้ดี ตอนนี้ถึงขีดจำกัดของเขาแล้ว วิชากระบี่แดนบรรลุมาถึงตอนนี้ เป็นขีดจำกัดแล้ว
ถ้าเขายังเดินหน้าต่อ ต้องต้านทานห้วงดาบที่แข็งแกร่งกว่านี้ไม่ไหว และต้องตายแน่
แต่หลัวซิวกลับไม่ถอย ยังคงกัดฟันอดทน เขาจะหาจุดที่จะบรรลุได้ภายใต้การบีบคั้นอันหนักหน่วงนี้
ระหว่างที่หลัวซิวตั้งรับรังสีดาบนับไม่ถ้วนพุ่งฟาดฟันเข้ามา ถ้าเขายังไม่ถอยอีก ต้องตายแน่
ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งผุดขึ้นในหัว ยามเผชิญหน้ารังสีดาบอำมหิตนั่น มุมปากเขากลับยกขึ้นยิ้มเป็นนัย
ข้อมือสะบัด กระบี่ในมือเขาขยับแล้ว กระบี่พุ่งออกไปในรูปโค้ง ฟาดฟันรังสีดาบที่โจมตีเข้ามาจนแหลกสลายไป
กระบี่ของเขาเร็วมากขึ้นแล้ว เหนือชั้นกว่าวิชากระบี่บรรลุผล เกิดเป็นระดับใหม่
ดาบเร็ว บริบูรณ์แล้ว!
กระบี่ เร็วถึงขีดสุด ไม่มีสิ่งใดที่ไม่สามารถถูกทำลายด้วยความเพียร และไม่มีอะไรที่จะคงอยู่นิรันดร์กาล
แดนบริบูรณ์ เรียกได้ว่าเป็นแดนที่สูงที่สุดที่วิชากระบี่จะไปถึงแล้ว ถ้าไปได้อีกขั้น จะเข้าสู่ระดับโลกกระบี่ ได้บรรลุห้วงกระบี่
แต่หลัวซิวรู้ดีว่า ความปรารถนาในการรับรู้ห้วงกระบี่นั้นยังขาดประสบการณ์แดนใจ วิชากระบี่บริบูรณ์ถือเป็นขีดจำกัดของเขาแล้ว
เป็นคน อย่าละโมบโลภมาก
รังสีดาบรอบๆไม่สามารถสร้างผลกระทบอะไรกับเขาได้แล้ว เขาสะบัดกระบี่นิดหน่อยก็สามารถฟาฟันรังสีดาบที่เข้ามากระจุย
เขาไม่ได้เดินหน้าต่อ การที่สามารถมายืนตรงนี้และเพิ่มระดับดาบเร็วจนถึงแดนบริบูรณ์ได้นั้นถือเป็นผลกำไรมหาศาลแล้ว เขาพอใจมาก
พอเห็นหลัวซิวล่าถอย จอมยุทธ์พรสวรรค์จำนวนไม่น้อยในเขตรอบนอกนั้นต่างมองมาทางเขา ปรมาจารย์ฝึกจิตหลายคนที่อยู่ตีนเขา แววตาพวกเขามีประกายสงสัย
ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าวิชากระบี่ของเขาได้บรรลุถึงแดนบริบูรณ์แล้ว ทุกคนต่างคิดว่าเขาไม่อาจต้านทานการบีบคั้นของห้วงดาบ จึงได้ล่าถอยไป
ที่สงสัยเพราะว่า มีแต่อยู่ภายใต้การบีบคั้นของห้วงดาบเท่านั้น จึงจะสามารถอาศัยโอกาสรับรู้นี้มาเพิ่มพูนแดนของตนเองได้ ชายหนุ่มผู้นี้พรสวรรค์ไม่เลว อนาคตยังอีกไกลไม่อาจคาดเดาได้ เหตุใดคิดละทิ้งตรงนี้ล่ะ?
ผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์บางส่วนที่กลางเขาเดิมคาดหวังกับหลัวซิว พอตอนนี้เห็นเขาล่าถอย พากันส่ายหัว เจออันตรายก็ถอย จิตใจเช่นนี้ยากจะไปได้ไกลในโลกยุทธ์
“สหายท่านนี้ โปรดหยุดก่อน”
พอเห็นหลัวซิวทำท่าจะออกจากเขตนี้ของวัดกวนเหลย ปรมาจารย์แดนพรสวรรค์ชั้น9คนหนึ่งพลันเอ่ยปากรั้งหลัวซิวไว้
“ท่านจงมีกระไรรึ?” หลัวซิวมองไปตามเสียง เห็นคนที่ร้องเรียกตนไว้ก็คือปรมาจารย์ของหอหย่งชาง จงฉางผิง
จงฉางผิงยกมือขึ้นคำนับเขา หัวเราะบอก “ข้าเห็นวิชากระบี่ของสหายน้อยท่านนี้เป็นแดนบรรลุผล ไม่ทราบว่าอาจารย์ของสหายน้อยคือผู้ใดกัน มีสำนักหรือไม่?”
จงฉางผิงนี่เห็นได้ชัดว่า เขาพบว่าฝีมือหลัวซิวไม่ด้อยเลย เลยคิดจะชักชวน หากสามารถชักชวนอัจฉริยะให้หอหย่งชางได้ ในฐานะผู้แนะนำ เขาก็จะได้รับรางวัลจากระดับสูงของหอหย่งชาง
########################
บทที่ 131 รับรู้ห้วงดาบ
ในหัวของหลัวซิวปรากฏเงาร่างคนๆหนึ่ง ในมือถือดาบรบเล่มหนึ่ง รังสีอำมหิตอันน่ากลัวค่อยระเบิดออกจากร่าง แต่ละดาบฟาดฟัน
“ตึก ตึก ตึก…”
หลัวซิวถอยหลังไปสามก้าว สีหน้าซีดเผือดเล็กน้อย
เมื่อครู่เขารับรู้ได้ถึงว่ามีห้วงดาบฟาดฟันมาที่ตน อันที่จริงเป็นภาพลวงตาที่ขอบเขตสร้างขึ้นชนิดหนึ่งและหลงเหลืออยู่ในห้วงดาบ
ขอบเขตได้กระโดดออกจากขอบข่ายของวิชายุทธ์ธรรมดา หลัวซิวยังห่างไกลจากการควบคุมขอบเขตของห้วงยุทธ์ของตนได้มากนัก ดังนั้นในการปะทะขอบเขตเมื่อครู่ จึงพ่ายแพ้ลงในฉับพลัน ในเวลาเดียวกัน หลัวซิวสังเกตเห็นหินนิพพานสีเขียวหนึ่งอันอยู่ไม่ไกลเบื้องหน้า ด้านบนมีรอยดาบ
ห้วงดาบที่เขารับรู้ได้เมื่อครู่ ได้ส่งผ่านมาจากรอยดาบบนหินนิพพานอันนั้นนี่เอง
“ห้วงดาบเหลือรอย?”
หลัวซิวหรี่ตามอง และเดินขึ้นหน้าไปอีกก้าว
ทันใดนั้นในหัวเขาพลันปรากฏเงาร่างหนึ่ง ฟาดฟันดาบ พกพารัศมีหินนิพพาน ประหนึ่งเวลาหยุดชะงักลงณบัดนั้น
“ข้ารับดาบนี้ไม่ได้!”
หลัวซิวพลันเกิดความคิดเยี่ยงนี้ออกมา และถอยหลังไปอย่างไม่รู้ตัว เมื่อครู่เขาถอยหลังติดกันสามก้าว เป็นเพราะมิอาจรับดาบเยี่ยงนี้ได้
แต่ครั้งนี้หลัวซิวกลับทนอดกลั้นไม่ถอย ภายใต้การบีบคั้นของห้วงดาบที่ไม่ยอมแพ้ไม่ลดละเยี่ยงนี้ สีหน้าเขายิ่งซีดเผือด รู้สึกราวกับหายใจมิออก
แข็งแกร่งนัก!
หลัวซิวตกตะลึงยิ่งนัก หากว่ามีคนฟันดาบเยี่ยงนี้ออกมาจริงๆ เขาต้องโดนฆ่าตายในฉับพลันแน่ ไม่ว่ากระบี่เขาจะเร็วเพียงใด ท่วงท่าว่องไวแค่ไหน หากเพราะห้วงดาบที่ไม่ยอมแพ้ไม่ลดละเยี่ยงนี้สะกดร่างเขาไว้หมด ไร้หนทางหนีได้
บรึ้ม!
เพราะหลัวซิวไม่ได้ถอยหนี ดาบนี้ประหนึ่งฟาดฟันลงมาที่ตนจริงๆ ทำให้สมองของเขารู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรง จากนั้นก็กระอักเลือดคำโตออกมา
หลังจากกระอักเลือดออกมา สีหน้าหลัวซิวซีดเผือดหนักกว่าเดิม แต่เขายังคงไม่ถอยหนี ในสมองปรากฏภาพดาบนั้นไม่หยุด โดยเฉพาะรังสีไม่ยอมแพ้ไม่ลดละนั่น ทำให้เขาคลับคล้ายรับรู้ขึ้นมาได้เล็กน้อย
ข้อมือสั่นเล็กน้อย กระบี่เงามืดลอยเข้ามือ เขาหลับตาฟันกระบี่ออกไป โดนอากาศด้านหน้าเกิดเป็นเสียงตัดขาด ประกายกระบี่สีดำขาวพล่านออกมา ทำให้ห้วงดาบอันร้ายกาจพุ่งเข้ามาหา จนแทบจะบีบให้สลายไป
หลัวซิวลืมตาขึ้น ดาบเมื่อครู่เรียกได้ว่าเลียนแบบความมุ่งมั่นของดาบนั้นที่ไม่ยอมแพ้ไม่ลดละ ถึงจะเป็นการเลียนแบบ หากกลับยิ่งใหญ่กว่ากระบวนท่ากระบี่สามกระบวนท่าของวิชากระบี่แสงเหนือที่บันทึกไว้ในทักษะยุทธ์ระดับ5เสียอีก
หลัวซิวตื่นเต้นยิ่งนัก หากเขาสามารถบรรลุความล้ำลึกของห้วงกระบี่ได้ เหนือกว่าขอบข่ายของวิชากระบี่ได้ และเข้าไปสู่ระดับโลกกระบี่ได้ ฝีมือของเขามีหรือจะพัฒนาขึ้นเพียงระดับเดียว?
แต่หลิวซิวก็รู้ดีว่า ตนยังห่างชั้นจากการบรรลุห้วงกระบี่มากนัก การเลียนแบบดาบนั้นเป็นเพียงการเลียนแบบแค่รูปร่างแต่ไร้จิตวิญญาณเท่านั้น
หลังจากสงบจิตใจลงได้ หัวใจอันลิงโลดด้วยความดีใจของเขาประหนึ่งโดนน้ำเย็นสาดราด การเลียนแบบผู้อื่นถือเป็นหนทางที่ผิดพลาดทางหนึ่ง สิ่งที่เขาต้องทำมิใช่เลียนแบบหากเป็นสัมผัสมันตรงๆ และบรรลุโลกกระบี่ของตนเอง
และเขายังห่างไกลจากระดับชั้นโลกกระบี่นัก สิ่งแรกที่ควรทำไม่ใช่ไปลองบรรลุความล้ำลึกของแดนโลกยุทธ์ แต่เป็นการเลื่อนระดับวิชากระบี่ของตนจากแดนบรรลุผลไปถึงแดนบริบูรณ์
ระดับที่บรรลุถึงโลกยุทธ์ ประหนึ่งการฝึกบำเพ็ญเพียร ต้องทีละก้าวทีละก้าว หากมีความคิดที่จะบรรลุห้วงกระบี่อย่างรวดเร็วจากวิชากระบี่ไปยังโลกกระบี่ มันจะเป็นการเดินเส้นทางผิด จำต้องไปตามขั้นตอน ต้องฝึกฝนวิชากระบี่จนถึงแดนบริบูรณ์เสียก่อน
หลังจากในใจมีความคิดเช่นนี้ หลัวซิวจึงก้าวเท้าเดินไปทางหินนิพพานที่มีรอยดาบอยู่ ในหัวปรากฏภาพที่ดาบนั้นฟาดฟันลงมาไม่หยุด
เขายิ่งเข้าใกล้รอยดาบนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ ห้วงดาบที่แฝงไม่ยอมแพ้ไม่ลดละไว้ยิ่งน่ากลัว ประหนึ่งจิตวิญญาณก็จะโดนฟันขาดไปด้วย
ระหว่างที่กำลังจมอยู่ในการรับรู้ชนิดนี้ กระบี่เงามืดในมือหลัวซิวก็สะบัดฟาดฟันเป็นพักๆ ภายใต้การบีบคั้นของห้วงดาบเช่นนี้ แดนวิชากระบี่ก็ค่อยๆเพิ่มขึ้น
ในที่สุดหลัวซิวเดินมายืนหน้าหินนิพพาน ยื่นมือออกไปลูบรอยดาบบนหินนิพพาน
คลับคล้ายความมุ่งมั่นที่ไม่ยอมแพ้ไม่ลดละนั่นเริ่มชัดเจนในหัวมากขึ้น ประหนึ่งมีเงาร่างหนึ่งเต็มไปด้วยเลือดเงยหน้าตะโกนขึ้นฟ้าท่ามกลางพายุฝน ไม่ยอมแพ้ให้กับโชคชะตา
“ห้วงยุทธ์เป็นการผสมผสานของแดนใจกับโลกยุทธ์เข้าด้วยกันใช่หรือไม่?” หลัวซิวคล้ายกับรับรู้ได้
เขาอายุเพียง14 และไม่มีแดนใจเยี่ยงนั้น วิชากระบี่ของเขาก็ไม่ได้ไปถึงระดับแดนบริบูรณ์ ไม่สามารถผสานแดนใจเข้าในวิชากระบี่ และเปลี่ยนเป็นห้วงกระบี่ได้
การรับรู้ห้วงดาบ สัมผัสที่หลัวซิวได้มามากที่สุดคือ ตนเริ่มเข้าใจในแดนโลกยุทธ์ และรับรู้มันด้วยตัวเอง
จิตใจต้องอาศัยประสบการณ์ และหลัวซิวอายุยังน้อย ประสบการณ์ก็ยังน้อย มิใช่เขารับรู้ไม่พอ
ในตอนนี้เอง สายตาหลัวซิวชะงัก รับรู้ถึงรังสีน่ากลัวแล่นผ่านร่างเขาไป
เขาเหลือบตาขึ้นมอง ร่างในชุดสีม่วงเหาะผ่านกลางอากาศ ห้วงดาบอันร้ายกาจซึ่งมีเต็มเปี่ยมรอบๆวัดกวนเหลยดูไม่มีผลกระทบอะไรกับคนผู้นี้เลย
นี่เป็นชายชุดม่วง เมื่อครู่เป็นจิตเทพของเขา ผ่านหลัวซิวไป
“เด็กน้อยที่แดนพรสวรรค์คนหนึ่งกล้ามารับรู้ห้วงดาบที่วัดกวนเหลย ใจกล้าไม่น้อย”
ชายชุดม่วงมองหลัวซิวเรียบๆ จากนั้นสองมือไขว้หลัง มุ่งตรงไปที่วัดกวนเหลยบนยอดเขา
มองตามแผ่นหลังชายชุดม่วงที่จากไป หลัวซิวถอนหายใจเล็กน้อย สามารถเหาะเหินเดินอากาศในละแวกวัดกวนเหลยได้ อย่างน้อยต้องแข็งแกร่งระดับราชายุทธ์
ถ้าแบ่งวัดกวนเหลยออกเป็นสามเขต จุดที่หลัวซิวอยู่ก็แค่รอบนอก จากนั้นจะเป็นดินแดนกลาง จนถึงวัดกวนเหลยสุดท้าย
ยิ่งเข้าลึก ห้วงดาบยิ่งแกร่ง ในนั้นยังมีอันตรายยิ่งใหญ่แฝงอยู่ เพราะในการรับรู้ห้วงดาบ หากตนมิสามารถรับการบีบคั้นของห้วงดาบได้ ก็จะจิตสำนึกพังทลาย จิตวิญญาณแตกสลาย
ชายชุดม่วงเมื่อครู่คงจะมาเพื่อรับรู้ห้วงดาบเช่นกัน และยังพุ่งตรงขึ้นไปวัดกวนเหลยที่ยอดเขาอีก แดนโลกยุทธ์ของเขาต้องก้าวไปถึงระดับสูงมากแน่
หลัวซิวมิใช่จอมยุทธ์คนแรกที่มารับรู้ห้วงดาบในบริเวณวัดกวนเหลย ดังนั้นเพียงแค่โดนชายชุดม่วงมองหนึ่งที และไม่ได้สนใจอีก
เขาเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ ห้วงดาบที่โผเข้ามายิ่งเพิ่มพูนร้ายกาจมากขึ้น รังสีดาบนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นกลางอากาศ ประหนึ่งฝนเม็ดเล็กมารวมตัวกันปกคลุมลงมาที่หลัวซิว
ทุกรังสีดาบเพียงพอเอาชีวิตได้เลย ทั้งตัวหลัวซิวทุ่มเทความสนใจไปที่จุดเดียว กระบี่เงามืดในมือสะบัดอย่างรวดเร็ว ทำลายรังสีดาบแต่ละอัน
ไม่ช้าไม่นานก็มีคนจำนวนหนึ่งมายังบริเวณวัดกวนเหลย มีจอมยุทธ์พรสวรรค์ และก็มีปรมาจารย์ฝึกจิต รวมถึงผู้ชนะแห่งโลกยุทธ์
“อ๊า!”
ทันใดนั้นมีเสียงร้องเจ็บปวดดังจากตีนเขา ผู้แข็งแกร่งในแดนปรมาจารย์ฝึกจิตคนหนึ่ง หัวโดนระเบิดจนกลายเป็นหมอกเลือด ล้มลงบนพื้นอย่างไร้หัว ตายคาที่
########################
บทที่ 130 หลบหนี
ถึงแม้ทางนี้จะมี90กว่าคน แต่ก็ไม่มีใครกล้าต้านทานอสูรม้าทองเกล็ดม่วง ต่อให้เป็นจอมยุทธ์ที่นำทีมมาทั้ง3คน ก็เกรงว่าถ้าเผชิญหน้ากับมันก็อาจจะถูกฉีกเป็นชิ้นๆ
“แคร่ก!”
ในท้องฟ้ายามค่ำคืน มีแสงสายฟ้าฟาดผ่านเข้ามา ค่ำคืนนี้ ช่างเป็นคืนที่น่ากลัวจนใจเต้นสำหรับเหล่าจอมยุทธแดนพรสวรรค์ทั้งหลาย
หลัวซิวก็วิ่งหนีไปขับเขาด้วย เขาไม่คิดหรอกว่าตนเองจะมีพลังต้านทานอสูรม้าทองเกล็ดม่วงได้
วิชาท่าร่างถูกเขาใช้ออกมาอย่างสุดขีดความสามารถ อีกนิดเดียวก็จะเป็นวิชาท่าร่างถึงแดนบริบูรณ์แล้ว ในความเคลื่อนไหวนั้นจะมีเงาเศษเก้าสายผ่านออกมา ราวกับผีในความมืด หาร่องรอยไม่ได้
“เฮือก!เฮือก!เฮือก!……”
เสียงโอดโอยดังขึ้น อสูรม้าทองเกล็ดม่วงมันน่ากลัวกว่าฝูงแมงมุมพิษลายเสือหลายเท่า หลังจากค่ายกลถูกทำลาย ทุกวินาทีจะมีคนถูกฉีกเป็นชิ้นกลืนกินเข้าไป
สายฟ้าหลายสายสาดเข้ามา ที่ท้องฟ้ามีฝนพรำลงมา ฝนตกไม่หนัก
ตอนที่สายฟ้าส่องสว่างไปทั้งป่านั้น หลัวซิวเห็นจอมยุทธ์แดนพรสวรรค์ขั้น9ที่เป็นคนนำทีมมา ถูกกรงเล็บสีม่วงตะครุบจนแหลกเป็นละอองเลือด
“หนี!”
มีเพียงคำเดียว ที่ผุดขึ้นมาในหัวของหลัวซิว
“โฮก!”
อสูรม้าทองเกล็ดม่วงคำรามเสียงสนั่นหวั่นไหว ท่าทางวิ่งหนีอย่างรวดเร็วของหลัวซิวก็นิ่งไป สัมผัสได้ว่ามีพลังที่น่ากลัวจับตัวเขาไว้
สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที คิดไม่ถึงว่าตนเองหนีไปไกลขนาดนี้ ยังถูกอสูรม้าทองเกล็ดม่วงจับตามองอีกจนได้
เสียงโครมครามดังขึ้นจากด้านหลัง ต้นไม้ใหญ่โค่นล้ม อสูรม้าทองเกล็ดม่วงพุ่งเข้ามาโจมตี หลัวซิวเห็นดวงตาสีเขียวที่น่ากลัวส่องสว่างเป็นลางๆ และเขาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ
เป็นอสูรถึงระดับ4 จะมีตัวสำนึก สัมผัสได้ถึงบริเวณโดยรอบ หลัวซิวคาดว่าตนเองหนีเร็วเกินไป ดังนั้นก็เลยดึงจุดสนใจของอสูรม้าทองเกล็ดม่วง สัตว์เดรัจฉานตัวนี้ล่ากลุ่มจอมยุทธ์เหมือนมันเป็นนักล่าอสูรเสียเอง
ขอเพียงอยู่ในขอบเขตประสาทสัมผัสของมัน ก็จะไม่มีใครสามารถหลบการตามล่าของมันได้
อสูรม้าทองเกล็ดม่วงเสมือนกับผู้แข็งแกร่งระดับปรมาจารย์ฝึกจิต ตัวสำนึกครอบคลุมในขอบเขตที่จำกัด
หลัวซิวเร่งความเร็วของตนเองให้สูงที่สุด สถานที่ที่เขาวิ่งผ่านจะเป็นเงาเศษทิ้งไว้ ยากจะแยกแยะจริงเท็จ
แต่ต่อให้เป็นแบบนั้น ความเร็วของเขาก็ยังสู้อสูรม้าทองเกล็ดม่วงไม่ได้ อสูรที่น่ากลัวตัวนี้ แค่กระโดดทีเดียว ก็ไปได้ไกลกว่าหลายร้อยเมตร ไม่สนใจสิ่งกีดขวางใดๆ ต้นไม้ใหญ่ล้มโค่น หินพลังทลาย
“พลังแปรเสวียนเทียน!”
หลัวซิวก็ใช้วิชาอาถรรพณ์ ทันใดนั้นความเร็วก็เพิ่มขึ้นมา วูบเดียว ก็ทิ้งระยะห่างกับอสูรม้าทองเกล็ดม่วง
วิชาดาบเร็วเดิมทีก็เป็นทักษะที่เพิ่มพลัง เอามาใช้กับวิชาท่าร่างก็เพิ่มความเร็วได้เหมือนกัน
บวกกับพลังที่เพิ่มจากพลังแปรเสวียนเทียน ความเร็วที่หลัวซิวเพิ่มขึ้นมา เพียงพอที่จะเทียบเท่าปรมาจารย์ฝึกจิตที่เก่งๆ ได้เลย
แต่ว่าหลังจากเพิ่มพลังแล้ว หลัวซิวก็รู้ว่าเลือดลมไหลเวียนมาก มึนๆ หัว เพราะว่าใช้พลังแปรเสวียนเทียน ทำให้ร่างกายต้องแบกรับ
แต่ว่าตอนนี้จะมาสนใจอะไรมากไม่ได้แล้ว ถ้าถูกอสูรม้าทองเกล็ดม่วงตามมาได้ล่ะก็ จะต้องตายแน่นอน
ไม่นาน ในประสาทสัมผัสของหลัวซิว ระยะห่างของเขากับอสูรม้าทองเกล็ดม่วง ก็ห่างมากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนว่าอสูรระดับ4ตัวนั้นจะล้มเลิกการตามฆ่าเขาแล้ว
อสูรม้าทองเกล็ดม่วงได้มีสติปัญญาแล้ว ตอนแรกมันตามฆ่าหลัวซิว ก็เพราะสนใจเหยื่อที่มีความรวดเร็วเท่านั้นเอง พอมันเห็นว่าเหยื่อมีความเร็วมาก เหยื่ออื่นๆ ก็หนีไปไกลหมดแล้ว
ดังนั้นอสูรม้าทองเกล็ดม่วงก็เลยล้มเลิกตามฆ่าหลัวซิว แต่ไปตามฆ่าเหยื่ออื่นแทน
เพื่อที่จะได้กินเหยื่อเดียว แต่ต้องทิ้งเหยื่ออื่นๆ ไป อสูรม้าทองเกล็ดม่วงไม่ได้โง่อย่างนั้น
หลัวซิวก็คิดถึงจุดนี้ได้ ในใจก็รู้สึกว่าโชคกี เขาไม่กล้าอยู่ที่เดิม ยังคงรักษาความเร็วนั้นไว้และรีบออกไปจากขอบเขตบริเวณนี้
ไม่นาน ท้องฟ้าก็ค่อยๆ สว่างขึ้นมา หลัวซิวก็สัมผัสได้ว่าผลการฝึกตนของตนเองเสียหายไปเยอะ ก็เลยหาที่กำบังเพื่อฟื้นพลังเสียหน่อย
หยิบผังค่าย2อันออกมาจากแหวนเก็บของ มีผังค่ายซ่อนงำขั้น5และผังค่ายคุ้มกัน
ผังค่าย ก็ถูกเรียกว่าอุปกรณ์ค่ายกล เป็นสมบัติที่อาจารย์ค่ายกลใช้ในการฝึก เอาค่ายกลประทับลงด้านบน ต่อให้เป็นจอมยุทธ์ที่ไม่รู้เรื่องค่ายกล ก็สามารถใช้หินพลังจิตมาขับเคลื่อนได้
เพื่อความปลอดภัย หลัวซิวก็เลยใช้ผังค่ายระดับ5
เขาได้ขุมทรัพย์ของราชายุทธ์ปู้เฉินที่ทิ้งไว้ ด้านในผังค่ายระดับ5ไม่น้อย แต่ไม่มีผังค่ายที่ใช้โจมตีได้
ผ่านไปครึ่งวัน หลัวซิวก็ฟื้นตัวมาจนถึงขีดสุด ก็หยิบแผนที่ย่อของเทือกเขากวนเหลยออกมา ก็พบว่าเมื่อคืนที่วิ่งหนีตาย ตอนนี้ได้เข้ามายังส่วนลึกของเทือกเขากวนเหลยแล้ว
ในนี้ อาจจะเจอกับอสูรระดับ4ขึ้นไปได้ตลอดเวลา ในขณะเดียวกัน หลัวซิวก็ยังพบว่า ตำแหน่งที่ตนเองอยู่นั้น อยู่ใกล้ๆ วัดกวนเหลยแล้ว
พอเก็บผังค่ายแล้ว หลัวซิวก็ค่อยๆ เดินไปยังที่ตั้งของวัดกวนเหลย เขาเดินไม่เร็วนัก ประสาทสัมผัสถูกปล่อยออกมาตลอดเวลา ถ้าพบว่ามีพลังของอสูรที่แข็งแกร่ง ก็จะรีบเดินอ้อมไปทันที
ผ่านไปเกือบ1วัน หลัวซิวสัมผัสได้ถึงพลังที่แหลมคมพุ่งเข้ามาทางด้านหน้า
ด้านหน้าไม่ไกลออกไป เป็นยอดเขาที่มีความสูงหลายร้อยเมตร ที่ยอดเขานั้น มีวัดแห่งหนึ่ง นั่นก็คือวัดกวนเหลย
ใช้วัดกวนเหลยเป็นจุดศูนย์กลาง ขอบเขตโดยรอบ10ลี้ ล้วนเต็มไปด้วยพลังคมดาบที่ส่งออกมา ในพื้นที่นี้ สามารถพบเจอลำธารพาดผ่านกันตลอดทาง ร่องรอยที่ไม่รู้ว่าผ่านมานานแค่ไหนแล้ว มีไอสังหารส่งออกมาตลอดเวลา ทำให้คนเห็นแล้วกลัว
ที่นี่ เป็นพื้นที่ของผู้แข็งแกร่งที่ชื่อว่า กวนเหลย มาฝึกตน หลัวซิวไม่รู้ว่าคนที่ชื่อกวนเหลยมีระดับพลังแค่ไหน แต่สามารถทิ้งร่องรอยที่เก่าแก่แบบนี้ไว้ได้ ผ่านไปหลายปีก็ยังมีห้วงดาบหลงเหลือไว้ อย่างน้อยก็คงจะเป็นผู้แข็งแกร่งระดับจักพรรดิยุทธ์เลยแหละ
จ้องตามองไป ที่บริเวณใกล้ๆ วัดกวนเหลย หลัวซิวไม่เห็นเงาของจอมยุทธ์คนอื่นๆ เลย เขาบ่นพึมพำเบาๆ แล้วก็เดินหน้าต่อไป
หลัวซิวเดินไม่เร็ว ตอนนี้เขาอยู่แค่บริเวณรอบนอกเท่านั้น ถึงแม้จะมีห้วงดาบรุนแรง แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคอะไรต่อเขา
แต่ว่าพอเขาเข้าไปลึกขึ้น ห้วงดาบที่พุ่งเข้ามากลับรุนแรงและแหลมคมมากขึ้น
บริเวณใกล้ๆ วัดกวนเหลยไม่มีอสูรอาศัยอยู่เลย คงจะเป็นเพราะว่ากลัวห้วงดาบที่รุนแรงและแหลมคมนี้ ทำให้สัญชาตญาณของอสูรในป่าล้วนรู้สึกว่าที่นี่มีผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งมาซ่อนตัวฝึกวิชาที่นี่
ทันใดนั้น หลัวซิวก็หยุดฝีเท้า กระบี่เงามืดทางด้านหลังก็สั่นๆ เหมือนจะมีดาบรบไร้รูปลักษณ์ฟันมาที่เขา
“เพล๊ง!”
กระบี่ยุทธ์ออกจากฝัก หลัวซิวแกว่งกระบี่ฟันไปทางอากาศด้านหน้า รัศมีกระบี่สีดำสาดออกมาเป็นสาย
########################
บทที่ 129 อสูรม้าทองเกล็ดม่วง
ไม่เพียงเท่านั้น ทุกคนยังสังเกตเห็นอีกด้วยว่า เชียนก้วนยังคงทำท่ากำกระบี่ไว้ด้วยมือขวาไว้ เหมือนว่าเขายังไม่ทันได้ชักกระบี่ออกมาเลย ก็กระเด็นออกไปแล้ว
ที่หน้าอกของเชียนก้วน มีรอยเลือด ถ้าไม่ใช่เพราะคนลงมือออมมือให้ กระบี่นี้ก็คงฟันลึกเข้าไปในตัวเขาแล้ว
ทุกคนโดยรอบก็ตกใจตาโตกันออกมา ในใจก็ตื่นตระหนก มีคนออกกระบี่รวดเร็วแบบนี้ด้วยหรือนี่?
แม้แต่จอมยุทธ์ทั้ง3คนที่เป็นคนนำทีม ก็เผยสีหน้าเล็กน้อย วิชายุทธ์ในโลกนี้อาศัยความเร็ว ทุกคนล้วนรู้ดี แต่คนที่สามารถทำได้เร็วจนไม่มีใครทำลายได้นั้น มันมีน้อยมาก
ชายชุดฟ้าที่หาเรื่องก่อนก็อึ้งจนอ้าปากค้างไป ตอนที่สายตาของหลัวซิวมองมาที่เขานั้น เขาก็ต้องกลืนน้ำลายลงคอไป สีหน้าค่อนข้างเกรงกลัว
หลัวซิวไม่ได้ลงมือต่อ เพราะถึงอย่างไร นอกจากคนที่มาประกาศรับเพิ่มอีก6คนแล้ว คนที่เหลือล้วนเป็นคนของหอหย่งชาง ถ้าไม่จำเป็น เขาก็ไม่อยากจะไปหาเรื่องกองกำลังใหญ่แบบนี้
“พอได้แล้ว น้องชายคนนี้มีพลังไม่เบา แดนพรสวรรค์ขั้น1 แต่กระบี่รวดเร็วเทียบเคียงแดนพรสวรรค์ขั้น4ได้เลย มีพลังของแดนพรสวรรค์ช่วงกลางเลย”
จอมยุทธ์นำทีมทั้ง3คนนั้น มีชายวัยกลางคนคนหนึ่งพยักหน้าพูดว่า “ในเมื่อเชียนก้วนมาแล้ว ถ้ายินดี ก็เดินทางตามมาด้วยกันเถอะ”
เพิ่งสิ้นเสียงของชายวัยกลางคนคนนั้น ก็มีคนจูงม้าคอขนเขาเดียวมาหลายตัว
ทั้ง101คน ขี่คนละตัว ใช้ม้าคอขนเขาเดียวแทนการเดินเท้า ถือว่าหรูหรามาก ต้องรู้ก่อนว่าม้าคอขนเขาเดียวเป็นอสูรระดับ3ที่ได้รับการฝึกมาแต่ละตัวราคาหลายพันหินพลังจิต
แน่นอนว่า ม้าคอขนเขาเดียวใช้เป็นแค่พาหนะ ไม่ได้ให้พวกหลัวซิวไปใช้เลย
ม้าคอขนเขาเดียววิ่งเร็วมาก ใช้เวลาเพียงครึ่งวัน ทุกคนก็เดินทางมาถึงรอบนอกของเทือกเขากวนเหลย
ทุกคนลงมาจากม้าคอขนเขาเดียว มีคนคอยรับผิดชอบดูแลม้าพวกนี้ที่ด้านนอกเขา ทุกคนก็เข้าไปในป่า โดยมีจอมยุทธ์3คนเป็นผู้นำ
อสูรซ่อนตัวอยู่ในป่าดึกดำบรรพ์ แต่พอเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์แดนพรสวรรค์ทั้ง101คนรวมตัวกันเป็นทีม ถ้าโผล่ออกมาก็จะถูกฆ่าตาย ศพของอสูรระดับ2ไม่มีใครไปสนใจ วัสดุที่ได้ ล้วนไม่อยู่ในสายตาของจอมยุทธ์แดนพรสวรรค์
แต่ว่าพอเข้าไปลึกมากขึ้นเรื่อยๆ อสูรที่ทุกคนเจอก็ถึงระดับ3 ใครเป็นคนฆ่าตาย ก็จะได้ของทั้งหมดไป
ส่วนอสูรระดับ4ไม่ได้ออกมา เห็นได้ชัดว่าหอหย่งชางก็ได้ควบคุมความปลอดภัยของเส้นทางไว้แล้ว มีผู้แข็งแกร่งคอยกำจัดอสูรระดับสูงพวกนี้เพื่อเปิดทาง จนสามารถไปถึงยังที่ตั้งของวัดกวนเหลยได้
หนึ่งในอันตรายที่สุดนั้น ก็คือเจอกับฝูงแมงมุมพิษลายเสือ มันเป็นแมงมุมพิษที่มีลายเสือ ถ้าถูกกัดเพียงครั้งเดียว ต่อให้เป็นจอมยุทธ์แดนพรสวรรค์ก็ต้องตาย แต่ละตัวขนาดเท่ากับอ่างล้างหน้า ออกมาจากต้นไม้ใหญ่ มีหลายร้อยตัว
เป็นอสูรระดับ3อย่างหนึ่ง เขี้ยวพิษและต่อมพิษล้วนมีราคาไม่เบา แต่เนื่องจากพวกมันอยู่กันเป็นฝูง เลยตามล่ายาก
แมงมุมพิษลายเสือรวดเร็วมาก ในทีมมีคนตายไป7-8คน และมี30กว่าคนถูกพิษ ถึงแม้จะกินยาแก้พิษไปแล้ว แต่หน้าก็ยังซีดขาว
สนามรบดูไม่จืด เต็มไปด้วยรอยเลือดและกลิ่นคาวของของเหลว ศพของแมงมุมพิษลายเสือก็เกลื่อนไปหมด
สีหน้าของจอมยุทธ์ทั้ง3ก็ค่อนข้างหนักใจ ยังไม่ถึงวัดกวนเหลย ก็สูญเสียคนไปมากมายขนาดนี้ ถือว่าไม่เป็นมงคล
แต่ที่โชคดีก็คือ ที่นี่ห่างจากพื้นที่ของวัดกวนเหลยไม่ไกลแล้ว ฝูงแมงมุมพิษลายเสือก็เสียมาก และถอยไปแล้ว ไม่อย่างนั้นสู้สุดชีวิต เกรงว่าก็คงจะสูญเสียไปอีกหลายคน
หลังจากจัดความเรียบร้อยของทีมแล้ว ก็เริ่มเดินทางกันต่อไป พอเห็นว่าท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว ทั้งทีมก็ตั้งค่ายพักกันที่ในป่าหิน
วัดกวนเหลยอยู่ที่พื้นที่ใจกลางคของเทือกเขากวนเหลย ถ้าต้องการจะไปถึงที่นั่น อย่างน้อยต้องใช้เวลา2วัน
ในจอมยุทธ์ผู้นำทีมทั้ง3คน มีชายแก่คนหนึ่งเป็นอาจารย์ค่ายกลขั้น3 หลังจากทีมได้ตั้งค่ายในป่าหินแล้ว เขาก็เริ่มตั้งค่ายกลขึ้นในป่าหิน
หลัวซิวเองก็มีความรู้ถึงระดับอาจารย์ค่ายกลขั้น5แล้ว ถึงแม้ในมือจะไม่มีธงค่าย และไม่อาจตั้งค่ายกลได้ แต่ก็มองออกว่า ชายแก่คนนี้ตั้งเป็นค่ายกลที่ปิดกันสัญญาณพลัง ค่ายกลป้องกัน ค่ายยากเย็นและค่ายจิ่วเสวียน
เทือกเขากวนเหลยในยามค่ำคืนมันอันตรายแน่นอน โดยเฉพาะตำแหน่งที่ทุกคนอยู่นั้น ถือว่าเป็นส่วนลึกแล้ว ดังนั้นการตั้งค่ายกลขึ้นมา ถือว่าใช้ได้ผลดีเลยทีเดียว
พอฟ้าเริ่มมืดลงเรื่อยๆ เสียงคำรามของสัตว์ในป่าก็ดังขึ้นเป็นระยะ นอกจากคนที่สู้กับแมงมุมพิษลายเสือจนบาดเจ็บแล้ว คนอื่นๆ ก็ล้วนมีสติกันตลอดเวลา ถึงแม้รอบๆ จะต่างค่ายกลไว้แล้ว แต่ก็ไม่มีคนละทิ้งการระวังภัย
หลัวซิวเอนหลังพิงเสาหิน ดวงตาค่อยๆ ปิดลง ประสาทสัมผัสก็ปล่อยออกมา ในหัวก็มีผังกฎดั้งเดิม ภาพที่2ของวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพโผล่ออกมา แล้วก็ทำความเข้าใจความลึกซึ้งภายใน
เมื่อเทียบกับภาพที่1 ภาพที่2ดูลึกซึ้งกว่ามาก ต่อให้เป็นรายละเอียดเล็กน้อย ด้วยผลการบรรลุของหลัวซิวในตอนนี้ ก็ยากที่จะทำความเข้าใจได้
“โฮก!”
ทันใดนั้นเอง เสียงคำรามก็ดังสนั่นขึ้น จอมยุทธ์แดนพรสวรรค์90กว่าคนก็ตกใจกับเสียงที่ดังขึ้น ทุกคนลืมตาขึ้น สีหน้าก็ขะมักเขม้น
ถึงแม้จะมีค่ายกลแยกส่วนกันเอาไว้ แต่เสียงคำรามนี้ทำให้ทุกคนล้วนเลือดสูบฉีดไปตามกัน เห็นได้ชัดว่าอสูรที่สามารถคำรามออกมาแบบนี้ได้ คงจะไม่ธรรมดา
เสียงคำรามเข้าใกล้มาเรื่อยๆ ในยามค่ำคืน ถึงแม้จะมองไม่ชัดเจน แต่จอมยุทธ์แดนพรสวรรค์ล้วนมีความสามารถด้านประสาทสัมผัส รู้ว่ามีสัตว์ตัวใหญ่โผล่ขึ้นมาในประสาทสัมผัสของพวกเขา
เป็นอสูรตัวใหญ่ที่มีเกล็ดสีม่วงรอบตัว ที่ลำคอมีขนสีขาวเป็นกระจุกใหญ่ ตัวยาวประมาณ23เมตร เป็นตัวผู้เต็มวัย สายตาที่โหดร้ายเผยแสงสีเขียวของอสูรออกมา
“อสูรม้าทองเกล็ดม่วง!” จอมยุทธ์นำทีมคนหนึ่งพูดออกมาอย่างตกใจ
“คุณพระช่วย ทำไมพวกเราถึงได้มาเจอกับเจ้าน่ากลัวตัวนี้ได้?” จอมยุทธ์นำทีมอีก2คนก็สีหน้าเปลี่ยนไปเหมือนกัน
คนอื่นในทีม ก็ล้วนมีสีหน้าดูไม่จืดเหมือนกัน
อสูรม้าทองเกล็ดม่วงเป็นอสูรระดับ4 อสูรม้าทองเกล็ดม่วงที่โตเต็มวัย มีพลังเทียบเท่าปรมาจารย์ฝึกจิตขั้น9เลยทีเดียว
เจ้าอสูรที่น่ากลัวนี้ ต่อให้เป็นปรมาจารย์โลกยุทธ์พบเข้า ก็ต้องหลีกทางให้มัน ฆ่าได้ยาก
ได้ยินว่าถ้าอสูรม้าทองเกล็ดม่วงลอกคราบเพื่อเพิ่มหลัง ก็จะสามารถเข้าสู่โลกยุทธ์ เทียบเท่าราชายุทธ์ มีปีสองปีก ชื่อว่าอสูรขนทองปีกม่วง พลังเท่ากันกับเสือสองหัวเขมือบลึก
ถึงแม้รอบๆ ป่าหินจะตั้งค่ายปิดกั้นสัญญาณพลังแล้ว แต่ไม่ได้ผลกับอสูรม้าทองเกล็ดม่วง เพราะว่าค่ายกลระดับ3มันยังไม่พอ
“โครม!”
เสียงสนั่นหูก็ดังเข้ามา เสียงฉีกขาดดังขึ้น ทำให้สีหน้าของทุกคนดูไม่จืดมากยิ่งขึ้น
อสูรม้าทองเกล็ดม่วงกำลังโจมตีค่ายกลป้องกันรอบๆ ป่าหิน
ค่ายกลระดับ3 เมื่อเผชิญกับอสูรแข็งแกร่งแบบนี้ ก็เหมือนมีไว้แต่ไร้ประโยชน์ ไม่อาจจะต้านทานได้นานเท่าไร
“หนี!”
ไม่รู้ว่าใครตะโกนออกมา ทุกคนก็วิ่งหนีกันไปคนละทิศคนละทาง
########################
บทที่ 128 วัดกวนเหลย2
ไม่รอให้ฝั่งตรงข้ามคว้าคอเสื้อได้ หลัวซิวก็หันไป มือขวายื่นออกไปอย่างเร็ว จับข้อมือของชายวัยกลางคนคนนั้นไว้
“ไอ้เด็กนี่ ถ้าเอ็งไม่ลงสมัคร ก็ไสหัวไป”
ชายวัยกลางคนส่งเสียงไม่พอใจ ปราณแท้ระดับแดนพรสวรรค์ก็ขับเคลื่อน ขอมือสั่นๆ เพื่อจะให้มือของหลัวซิวสั่นจนแยกออกไป
แต่ปราณแท้ที่เขาใช้กลับเหมือนดินเหนียวลงในทะเล มือของหลัวซิวเหมือนเหล็กกล้ามัดไว้ ไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย
“ใครบอกว่าผมจะไม่สมัคร?” หลัวซิวส่งเสียงไม่พอใจ แล้วก็สะบัดมือไป ชายวัยกลางคนคนนั้นก็เสียสมดุล ถอยหลังเซไปหลายก้าว ชนคนด้านหลังถอยไปกันหมด
“ทำไมถึงลงไม้ลงมือกันล่ะเนี่ย? ทุกคนก็อยากจะลงสมัคร ไม่ใช่เอ็งแค่คนเดียว” คนหลายคนถูกชายวัยกลางคนคนนั้นชนเข้า ต่างมีสีหน้าไม่เป็นมิตร
ชายวัยกลางคนคนนั้นก็ส่งเสียงดังขึ้นมา “เอ็งนี่ อาศัยว่าตนเองเก่งหน่อยก็มาโอหัง ดูเสียบ้างว่าคนอื่นเขาพอใจรึเปล่า”
เห็นๆ อยู่ว่าชายวัยกลางคนคนนั้นลงมือก่อน แต่กลับเป็นความผิดของหลัวซิวเสียนี่
“ทุกคนเข้าไปเลย เอาไอ้เด็กนี่โยนออกไป” ชายวัยกลางคนพูดโวยวายต่อ
มีหลายคนเข้าไปล้อมไว้ ท่าทางเหมือนจะลงมือ คนรอบๆ ก็มีสีหน้ารอชมความสนุก
หลัวซิวเผยสายตาเย็นชา แล้วก็เอื้อมมือไปจับกระบี่ที่ด้านหลัง
“เพล๊ง!”
เสียงกระบี่ยุทธ์ออกจากฝัก ดังขึ้นในฝูงชน เสียงที่ดังใส ดังขึ้นในหูของทุกคน
คนมากมายเห็นแสงสีดำผ่านเข้ามาแล้วหายไป เวลาต่อมากระบี่เงามืดของหลัวซิวก็กลับเข้าฝักแล้ว
เห็นชายวัยกลางคนที่หาเรื่องคนนั้นยืนนิ่งอยู่ที่เดิม มีขนตาหลายเส้นหลุดลอยลงมา
“นี่เอ็ง……..” ชายวัยกลางคนปากสั่นๆ ตกใจไม่น้อย เขารู้ดี ว่าถ้าฝ่ายตรงข้ามอยากจะฆ่าตนเองล่ะก็ เมื่อครู่นี้ ตนเองก็ได้ตายไปแล้วล่ะ
กระบี่เร็วมาก!
สายที่ของคนรอบๆ ที่มองหลัวซิวไปอีกครั้งนั้น เริ่มมีความกลัวๆ ขึ้นมา คนที่มีพลังแบบนี้ จะหาเรื่องด้วยไม่ได้
พวกคนที่เอ่ยว่าจะสั่งสอนหลัวซิวก่อนหน้านี้ ก็ล้วนเงียบกริบ กลืนน้ำลายตัวเองกันไป บางคนก็ตกใจจนถอยหลังไปหลายก้าว
นี่คือหลักการดำรงชีวิตของระหว่างจอมยุทธ์ด้วยกัน ใครเก่งใครใหญ่!
“ฮ่าๆ วิชาดาบเร็วที่เท่มาก ยังเหลืออีก3ตำแหน่ง น้องชายคนนี้จะเข้าร่วมไหม?”
ชายตัวใหญ่ของหอหย่งชางที่รับผิดชอบมาหาคนที่นี่ ก็เห็นความวุ่นวายตรงจุดนี้ ก็เลยเอ่ยขึ้นมา แล้วยิ้มไปทางหลัวซิว
“ขอน้อมรับคำเชิญ” หลัวซิวยิ้มพยักหน้า
ฝูงชนถอยเปิดเป็นทางให้ หลัวซิวก็เดินเข้าไป ภายใต้สายตาที่อิจฉาของคนอื่นๆ หลัวซิวก็ได้ยืนกับอีก3คนที่ถูกเลือก
“ยังเหลืออีก2ตำแหน่ง ใครมีผลการฝึกตนสูงได้ก่อน!” ชายตัวใหญ่พูดเสียงดัง
ไม่นาน ก็มีอีก2คนถูกเลือก ภายใน6คน หลัวซิวพบว่านอกจากตนเองแล้ว คนอื่นอีก5คนมีผลการฝึกตนต่ำที่สุด ก็คือแดนพรสวรรค์ขั้น5 คนที่ผลการฝึกตนสูงที่สุด เป็นชายชุดสีกรม แดนพรสวรรค์ขั้น7
“ทุกท่านเชิญตามผมมา” พอเลือกคนได้แล้ว ชายตัวใหญ่ก็เริ่มพูดกับพวกของหลัวซิว
“เห็นว่าน้องชายคนนี้อายุน้อยมาก เหมือนจะอายุ20 ไม่ทราบว่ามีผลการฝึกตนระดับไหนแล้ว?” ชายตัวใหญ่ก็ถามหลัวซิว
ถึงแม้จะใช้ยาย้ายร่างไขกระดูกแล้ว แต่ก็เปลี่ยนได้แค่หน้าตา ดังนั้นหลัวซิวยังคงดูเป็นหนุ่มอยู่มาก
“แดนพรสวรรค์ขั้น1” หลัวซิวไม่ได้ปิดบังผลการฝึกตนของตนเอง
“แดนพรสวรรค์ขั้น1งั้นหรือ?” ชายตัวใหญ่ก็อึ้ง อีก5คนข้างๆ เขาก็มีสีหน้าแปลกๆ เหมือนกัน
ก่อนหน้านี้ที่หลัวซิวชักกระบี่ออกมา พวกเขาก็เห็นแล้ว ต่อให้เป็นคนระดับแดนพรสวรรค์ขั้น5ก็ยากที่จะหลบได้ นี่มันไม่ได้หมายความว่า หมอนี่เป็นแดนพรสวรรค์ขั้น1 แต่มีพลังเทียบเท่าแดนพรสวรรค์ขั้น5หรอกหรือนี่?
ถ้าหากพวกเขารู้ว่า กระบี่เมื่อครู่นี้ยังไม่ใช่ระดับพลังที่แท้จริงของหลัวซิวล่ะก็ แถมหลัวซิวก็ไม่ได้อายุ20อีกด้วย แต่อายุ14ปี ไม่รู้ว่าคนพวกนี้จะคิดกันอย่างไร
ที่ประตูเมืองของเมือโจว๋ซิง มีจอมยุทธ์เตรียมพร้อมออกเดินทาง
หอหย่งชางเป็นหนึ่งในกองกำลังทั้ง3ของเขตการปกครองโตว้ไห่ มีความหมายว่าต้องการให้โลกยุทธ์เกรียงไกรตลอดไป
ครั้งนี้หอหย่งชางจัดทีม100คน เตรียมไปสำรวจบริเวณใกล้ๆ วัดกวนเหลย คนที่นำทีมก็คือจอมยุทธ์แดนพรสวรรค์ขั้น9สามคน
จอมยุทธ์พรสวรรค์ของหอหย่งชางไม่ได้มีเพียงเท่านี้ เพียงแต่คนอื่นๆ ล้วนยุ่งกับงานอื่นๆ และก็มีคนไม่คิดอยากจะไปวัดกวนเหลย จอมยุทธ์3คนนี้จัดงานครั้งนี้มา ดังนั้นก็เลยหาคนได้แค่94คน
ตอนที่ชายตัวใหญ่พาพวกของหลัวซิวทั้ง6คนมานั้น สายตาของทุกคนก็อดหันไปมองไม่ได้
ชายตัวใหญ่มีชื่อว่าเฟิ๋งซาง เขาเดินเข้าไปรายงานรายละเอียดของทั้ง6คนให้กับจอมยุทธ์ทั้ง3
พอได้ยินว่า หนึ่งใน6คนที่รับเข้ามา มีหนึ่งคนมีระดับแดนพรสวรรค์ขั้น1 จอมยุทธ์ทั้ง3ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
สำหรับทีมทั้ง100คนนี้แล้วนั้น เกินมา1คน หรือขาดไป1คน ก็ไม่ได้มีผลอะไรมาก
“เหอะ แค่แดนพรสวรรค์ขั้น1 พลังแบบนี้ก็มีสิทธิ์ที่จะไปวัดกวนเหลยกับทีมหอหย่งชางของพวกเรางั้นหรือ?”
ชายหนุ่มสวมชุดสีฟ้า รูปร่างผมสูงส่งเสียงไม่พอใจ ชี้นิ้วไปทางหลัวซิว แล้วพูดว่า “เอ็งออกไปเสีย เพื่อนกูจะเข้ามา”
“มีสิทธิ์อะไรที่ผมจะต้องให้?” หลัวซิวขมวดคิ้ว
“หือ?” ชายชุดฟ้ามองหลัวซิว สายตาแฝงความเย้ยหยัน “นี่มึงกำลังถามกูงั้นหรือ?”
หลัวซิวไม่มีสีหน้าอะไร ไม่ได้พูดอะไร
ชายชุดฟ้าก็ยิ้มเย็นที่มุมปาก “ก่อนหน้านี้เพื่อนกูหมั่นฝึกฝนปิดขังอยู่ แต่ว่าตอนนี้ได้ออกมาแล้ว กำลังรีบเดินทางมา มึงแน่ใจนะว่าจะไม่ยอมให้สิทธิ์นี้?”
ในขณะเดียวกัน ชายชุดฟ้าก็เงยหน้ามองประตูเมือง ก็เห็นชายหนุ่มชุดขาวเดินถือกระบี่เข้ามา
ชายชุดฟ้าก็รีบหัวเราะ แล้วพูดออกมาว่า “พี่เชียนก้วน ทีม100คนไม่มีที่เหลือแล้ว ที่ของพี่ถูกไอ้หมอนี่มันแย่งไปแล้ว”
ชายหนุ่มชุดขาวที่ชื่อเชียนก้วน เดินเข้ามา พอได้ยินดังนั้นก็สะดุ้ง “ก็แค่ระดับแดนพรสวรรค์ขั้น1เอง”
จอมยุทธ์ทั้ง3ที่นำทีม ก็เห็นการทะเลาะกันทางฝั่งนี้เหมือนกัน แต่ว่าพวกเขาไม่ได้เข้ามายุ่ง และก็ไม่ได้ส่งเสียงห้าม
จริงๆแล้ว สำหรับทีม100คนนี้ จะมีเพิ่มมาอีกคนก็ไม่เป็นอะไร ชายชุดฟ้าตั้งใจหาเรื่อง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ชายชุดฟ้าและเชียนคุนก็เป็นศิษย์ของหอหย่งชาง ถือว่าเป็นคนกันเอง
“มึงแค่ก็แดนพรสวรรค์ขั้น3เท่านั้นเอง” สิ่งที่ทำให้ทุกคนคิดไม่ถึงก็คือ หลัวซิวก็ไม่ได้ยอมถอยแม้แต่อย่างใด เผชิญหน้ากับเชียนคุน ยิ้มเยาะกลับไป
“รนหาที่ตาย!”
เชียนก้วนสาดสายตาไป มือขวาถือกระบี่ เหมือนจะรีบลงมือทันที
“เพล๊ง!”
เสียงกระบี่ยุทธ์ออกจากฝักดังขึ้น แสงสีดำพาดผ่านราวสายฟ้า จากนั้นก็มีเลือดสาดออกมา ร่างของเชียนก้วนกระเด็นลอยออกไป กระอักเลือดเต็มปาก
########################
บทที่ 127 วัดกวนเหลย1
พลังของเขานั้น เดิมทีก็สามารถสู้กับคนที่มีพลังสูงกว่าได้ ตอนนี้ยังมีวิชายิ่งเลิศอย่างพลังแปรเสวียนเทียนเพิ่มเข้มาอีก ถ้าหากว่าต้องสู้กับระดับแดนพรสวรรค์ขั้น9อย่างจางหลู่เหลียง หลัวซิวมั่นใจว่าสามารถเอาชนะฝั่งตรงข้ามได้แน่นอน
ต่อให้เป็นยอดฝีมือระดับฝึกจิตครึ่งอย่างเจ้าสำนักชิงหยุน ก็ไม่แน่ว่าจะสามารถต้านทานพลังที่ระเบิดออกมาของพลังแปรเสวียนเทียนได้
ตอนที่หลัวซิวลืมตาขึ้นมานั้น ก็พบว่าตนเองออกมาจากลูกแก้วความเป็นตาย แล้วกลับมาในห้องลับแล้ว
เวลาต่อจากนี้ หลัวซิวก็จะเตรียมทำความเข้าใจและฝึกพลังแปรเสวียนเทียน พอฝึกสำเร็จ ก็จะเป็นเวลาที่เขาได้กลับไปยังเขตการปกครองหยุนหลง!
เขาไม่มีทางลืมจางหลู่เหลียงนายท่านตระกูลจางอย่างที่คอยจะเอาชีวิตเขาหลายต่อหลายครั้ง ก่อนหน้านี้เป็นเพราะไม่มีพลังที่แข็งแกร่ง ในเมื่อตอนนี้ได้บรรลุถึงขั้นแดนพรสวรรค์แล้ว ทั้งยังได้วิชายิ่งเลิศอย่างพลังแปรเสวียนเทียนมาอีก แค้นนี้ ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ชำระ
อีกอย่าง เขาก็เป็นห่วงความปลอดภัยของพ่อแม่และพี่สาว ถึงแม้จะมีองค์กรนักล่ายุทธ์คอยปกป้อง แต่ถึงแม้ไม่มีใครกล้าลงมือกับครอบครัวเขาโดยตรง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีใครกล้าใช้วิธีชั่วช้าอื่นๆ
เพื่อที่จะตัดตัวปัญหา การตัดรากถอนโคนถึงจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด
……
ในเมืองใหญ่ๆ ของประเทศเทียนหวู ในสี่แก๊งใหญ่ล้วนมีค่ายวาร์ป เนื่องจากค่ายวาร์ปมีราคาการก่อสร้างสูง อย่างต่ำที่สุดก็ต้องใช้อาจารย์ค่ายกลขั้น5เป็นคนติดตั้ง ดังนั้นกองกำลังทั่วไปไม่มีความสามารถที่จะติดตั้งค่ายวาร์ปได้
กองกำลังที่มีค่ายวาร์ป ถึงจะเรียกว่าเป็นกองกำลังที่ยิ่งใหญ่ของจริง
ระยะทางที่ส่งไปยิ่งไกลเท่าไร การบำรุงรักษาค่ายกลก็ยิ่งมากเท่านั้น ดังนั้นการใช้ค่ายวาร์ปของสี่แก๊งใหญ่ ก็จะมีราคาที่ค่อนข้างสูง
เช่น ตอนนั้นที่หลัวซิวอยู่ในเขตการปกครองหยุนหลง ส่งจากเขตการปกครองหยุนหลงไปยังเมืองชิงหยุน ใช้200หินพลังจิตชั้นล่าง
จากเมือโจว๋ซิงของเขตการปกครองโตว้ไห่ส่งไปยังเมืองของเขตการปกครองหยุนหลง อย่างน้อยก็ต้องใช้200พลังจิตชั้นกลาง ราคาสูงเป็นเท่าตัว
ราคานี้ ถึงแม้จะเป็นคนระดับปรมาจารย์ฝึกจิตก็ไม่อยากจ่าย คนระดับราชายุทธ์จะใช้งานเพื่อความรวดเร็ว ก็ยังเสียดายเงินเหมือนกัน
ถึงแม้หลัวซิวจะเป็นสมาชิกภายในระดับสมาชิกพรสวรรค์ขององค์กรนักล่ายุทธ์ แต่ทรัพยากรขององค์กรก็ไม่มีให้ใช้ฟรีๆ เขาต้องการส่งจากเมือโจว๋ซิงไปยังเมืองชิงหยุนของเขตการปกครองหยุนหลง ต้องใช้300หินพลังจิตชั้นกลาง
ก่อนหน้านี้ที่เร่งฝึกตน ก็ได้ใช้หินพลังจิตชั้นล่างและชั้นกลางไปหมดแล้ว ต่อมาก็ไปล่าอสูรได้มาเล็กน้อย เหลือหินพลังจิตชั้นล่างไม่ถึงหมื่นแล้ว
และ300หินพลังจิตชั้นกลาง เทียบเท่ากับสามหมื่นหินพลังจิตชั้นล่าง
ถึงแม้ในมือหลัวซิวจะยังมีหินพลังจิตชั้นสูงอีกหลายร้อยเม็ด ที่ได้มาจากในแหวนเก็บของจักพรรดิยุทธ์ซูจิ้งหยุนจากหุบเขากุ่ยอิน
ระดับชั้นของหินพลังจิตยิ่งสูง พลังจิตที่แฝงอยู่ด้านในยิ่งบริสุทธิ์ ก็จะยิ่งเหมาะกับการฝึกตน เช่นถ้าจอมยุทธ์แดนพรสวรรค์ใช้หินพลังจิตชั้นล่างฝึกฝนล่ะก็ ผลลัพธ์จะน้อยมาก ผลการฝึกตนยิ่งสูง ก็ยิ่งต้องการทรัพยากรที่ใช้ในการฝึกตนยิ่งสูง
ตอนที่ซูจิ้งหยุนยังมีชีวิต ก็เป็นผู้แข็งแกร่งระดับจักพรรดิยุทธ์ ในแหวนเก็บของมีหินพลังจิตชั้นสูงแค่ไม่กี่ร้อยเม็ด แต่มันมีค่ามาก
ถ้าเอาหินพลังจิตชั้นสูงมาจ่ายเพื่อใช้งานค่ายวาร์ป ก็จะดูโจ่งแจ้งเกินไป เกรงว่าคนในองค์กรนักล่ายุทธ์ก็อาจจะเกิดความโลภขึ้นมาได้ เพราะทุกคนไม่ได้จะเป็นคนที่ใสสะอาดเสียทุกคน
หลัวซิวรู้ว่าตนเองยังมีพลังน้อย จะทำอะไรก็เลยคำนึงถึงผลได้ผลเสียทุกๆ ด้าน
พอคิดถึงจุดนี้ หลัวซิวก็ตัดสินใจจะผ่านเทือกเขากวนเหลยอีกครั้ง ขอเพียงกลับไปยังในเขตการปกครองหยุนหลง พอถึงตอนนั้นค่อยใช้ค่ายวาร์ป ราคาก็จะไม่สูงขนาดนั้นแล้ว
หลังจากนั้นครึ่งเดือน หลัวซิวใช้ยาย้ายร่างไขกระดูกแปลงโฉม แล้วเดินออกจากองค์กรนักล่ายุทธ์
ในครึ่งเดือนนี้ หลัวซิวได้ฝึกพลังแปรเสวียนเทียนสำเร็จระดับต้นแล้ว สามารถทำให้พลังตนเองเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าได้ในพริบตาแล้ว
วิชาแบบนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีอะไรจำกัด เช่นพลังแปรเสวียนเทียน ทุกครั้งที่ใช้ ร่างกายของจอมยุทธ์จะแบกรับอย่างหนัก ถ้าใช้งานบ่อยๆ ก็จะทำร้ายตนเอง
ตามหลักแล้ว พลังแปรเสวียนเทียนสามารถเพิ่มพลังได้สูงสุด5เท่า แต่ว่ายิ่งเพิ่มพลังไปมากเท่าไร ร่างกายก็จะแบกรับมากเท่านั้น
“หอหย่งชางจัดทีมสำรวจวัดกวนเหลย ทีมสำรวจยังขาดอีก6คน ต้องการคนระดับแดนพรสวรรค์ขึ้นไป”
หลัวซิวเพิ่งออกมาจากองค์กรนักล่ายุทธ์ ก็เห็นชายตัวใหญ่มาตะโกนที่หน้าประตูใหญ่
“วัดกวนเหลยงั้นหรือ?”
“ผมจะไป!”
“ผมมีระดับแดนพรสวรรค์ขั้น3 ผมจะลงทะเบียน!”
ที่หน้าประตูขององค์กรนักล่ายุทธ์ ก็ครึกครื้น ยอดฝีมือแดนพรสวรรค์มากมายเข้าไปมุง
“กองกำลังสามไม่ค่อยเชิญคนนอกไปสำรวจสามกองกำลังใหญ่เท่าไรนัก”
“นั่นสิ ได้ยินว่าที่วัดกวนเหลยอันตรายมาก แต่ว่ามีของมีค่ามากมาย ได้ยินว่ามีผู้แข็งแกร่งระดับราชายุทธ์ก็ยังไปทำความเข้าใจห้วงดาบที่นั่นด้วย”
“ฮ่าๆ ไปกับทีมของหอหย่งชาง เผื่อจะได้ของดีมากับเขาบ้าง น่าจะดีกว่าไปตามล่าอสูรระดับ2เยอะเลย”
หอหย่งชางรับสมัครคนอย่างครึกครื้น
ขอเพียงเป็นคนที่รู้จักเทือกเขากวนเหลย ก็ไม่มีคนที่ไม่รู้จักวัดกวนเหลย
วัดกวนเหลยอยู่ใจกลางของเทือกเขากวนเหลย บนแผนที่ย่อที่หลัวซิวได้มา มันถูกวาดเป็นเขตสีม่วงเข้ม
หุบเขากุ่ยอินอยู่ในเขตสีแดง บอกว่าเป็นเขตอันตราย
แต่วัดกวนเหลยอยู่ในเขตสีม่วงเข้ม บอกว่าอันตรายมาก!
ได้ยินว่าที่มาของเทือกเขากวนเหลย เพราะเป็นเทือกเขาที่เคยเป็นที่ฝึกตนของผู้แข็งแกร่งคนหนึ่ง ชื่อกวนเหลย
วัดกวนเหลย ก็คือสถานที่ที่ผู้แข็งแกร่งคนนั้นใช้ฝึกวิชา บริเวณใกล้ๆ ของวัดกวนเหลยอาจมีอันตรายเกิดขึ้นได้ตลอด แต่ในขณะเดียวกันก็มีของล้ำค่า และโชคอีกมากมายด้วยเหมือนกัน
กวนเหลย เป็นผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งที่ใช้ดาบ ได้ยินว่ามีผลงานด้านวิชาดาบสูงมาก จอมยุทธ์ผู้แข็งแกร่งที่ใช้ดาบทั้งหลาย ล้วนมาตามชื่อนี้ เพื่อมาหาร่องรอยที่กวนเหลยทิ้งไว้ มาทำความเข้าใจวิชาดาบอันล้ำลึก
ปัจจุบันหลัวซิวก็ถือว่ามีความรู้ด้านการฝึกตนพอสมควร นอกจากการแบ่งระดับผลการฝึกตนแล้ว การแบ่งระดับที่บรรลุถึงวิชาสู่ลัทธิ
ไม่ว่าจะเป็นวิชาหมัด วิชาฝ่ามือ วิชากระบี่ วิชาดาบ ล้วนอยู่ในขอบเขตของวิชา แยกเป็น สำเร็จแรก สำเร็จเล็กน้อย บรรลุผล บริบูรณ์
เช่นดาบเร็วของหลัวซิวฝึกจนบรรลุผล ก็เท่ากับแดนบรรลุผลของวิชากระบี่
ถ้าสามารถเหนือกว่าแดนบริบูรณ์ของวิชากระบี่ได้ ก็จะเป็นวิชาสู่ลัทธิออกนอกขอบเขตของวิชากระบี่ ไปถึงระดับของโลกกระบี่
เท่าที่หลัวซิวรู้ ผลการบรรลุแรกของบรรลุลัทธิ คือ ห้วงยุทธ์ เช่น ห้วงหมัด ห้วงกระบี่ ห้วงดาบ
เดิมทีจากความคิดเดิมของหลัวซิวนั้น คิดไว้ว่ารอให้วิชาดาบเร็วของตนเองฝึกถึงแดนบริบูรณ์ก่อน แล้วค่อยไปทำความเข้าใจห้วงดาบที่ใกล้ๆ วัดกวนเหลย จากนั้นก็ทดลองทำความเข้าใจห้วงกระบี่ของตนเอง
แต่ว่าที่ไปเทือกเขากวนเหลยครั้งนี้ เขาก็อยากจะไปดูวัดกวนเหลยเหมือนกัน ในเมื่อมีคนตั้งทีมจะไปที่นั่น ก็ถือว่าเป็นโอกาสที่ไม่เลว
“หลบไป กูจะไปลงชื่อ!”
เสียงโมโหดังขึ้นในกลุ่มคน เนื่องจากมีคนอยากลงสมัครจำนวนมาก มีคนเบียดเข้าไปไม่ถึง ก็เลยรีบร้อนกันขึ้นมา
ลมแรงโจมตีเข้ามาจากด้านหลังหัว ชายวัยกลางคนคนหนึ่งยื่นมือไปคว้าคอเสื้อด้านหลังของเขา
########################
บทที่ 126 ได้รับของกำนัลอีกครั้ง
บางอาจจะเป็นเพราะว่าฝั่งตรงข้ามเป็นคนที่จะต้องตายอยู่แล้ว หลัวซิวก็เลยไม่ต้องระวังตัวอะไร
“ผมเป็นคนของตระกูลกงซุน ถูกคนลอบทำร้าย เลยบาดเจ็บหนัก ผมมีสิ่งของบางอย่าง หวังว่าสหายคนนี้จะช่วยเอาไปส่งที่ตระกูลกงซุนให้ด้วย”
ชายหนุ่มพูดอย่างอ่อนแรงไปด้วย มือสั่นๆ ไปด้วย แล้วก็หยิบหยกแขวนรูปจันทร์เสี้ยวออกมาหนึ่งอัน
“ถ้ามีโอกาส เดี๋ยวผมจะเอาไปส่งให้” หลัวซิวหยักหน้า แล้วก็ยื่นมือไปรับไว้
แต่ตอนที่หลัวซิวยื่นมือกำลังจะไปรับหยกแขวนนั้น ชายหนุ่มคนนั้นก็มีสายตาอำมหิตขึ้นมา ในมือก็มีมีดพกโผล่ขึ้นมา แล้วพุ่งแทงไปยังหัวใจของหลัวซิว
“สึบ!”
เลือดกระเด็น ต่อให้หลัวซิวตอบสนองได้เร็ว แต่ว่าไม่ได้คิดระวังคนคนนี้ มีดสั้นนั้นบาดหน้าอกของหลัวซิวเป็นแผล เลือดก็ไหลออกมาทันที
หลัวซิวก็หน้าบึ้ง ถ้าไม่ใช่เพราะเขาหลบได้ทัน มีดสั้นของฝั่งตรงข้ามก็คงจะแทงหัวใจตนเองไปแล้ว
ชายหนุ่มก็เหมือนจะคิดไม่ถึงเหมือนกันว่าหลัวซิวจะหลบได้เร็วแบบนี้ ตอนกำลังอึ้งไปนั้น กำปั้นของหลัวซิวก็ต่อยเข้ามา
“รอเดี๋ยว……”
ชายหนุ่มกำลังจะพูด แต่ก็ถูกหลัวซิวต่อยเข้าที่หัว เดิมทีก็บาดเจ็บใกล้ตายอยู่แล้ว ยังจะถูกหมัดของหลัวซิวไปอีก ก็เลยตายคาที่ไปเลย
หลัวซิวมีสายตาเย็นชา ในใจก็ยิ่งเย็นชามากกว่า เป็นเพราะว่าเขามีจิตใจเมตตาขึ้นมา จนเกือบจะทิ้งชีวิตไปแล้ว ใจคนมันน่ากลัว
เพียงแต่ที่หลัวซิวไม่เข้าใจก็คือ ชายหนุ่มคนนี้จะตายอยู่แล้ว ตนเองเข้ามาเพื่อช่วยเหลือ ทำไมถึงคิดจะฆ่าตนเองล่ะ
หลัวซิวก็เก็บแหวนเก็บของและหยกแขวนของชายหนุ่มคนนั้นไว้ แล้วก็เดินจากไป โดยไม่มองร่างของเขาแม้แต่หางตา
ในแหวนเก็บของมีป้ายบัญชาการหนึ่งกัน ด้านบนเขียนไว้ว่า “กงซุน” ชายหนุ่มคนนั้นก็น่าจะเป็นคนของตระกูลกงซุน
นอกจากนั้นก็ยังมีหินพลังจิต แล้วก็ยาบางส่วน มีเพียงหยกแขวนรูปจันทร์เสี้ยวที่ค่อนข้างแปลก มันไม่สามารถเอาเก็บไว้ในแหวนเก็บของได้
นี่เป็นครั้งแรกที่หลัวซิวเพิ่งเคยเห็นสิ่งของที่ไม่สามารถเก็บไว้ในแหวนเก็บของได้ พอนึกได้ว่าหยกแขวนอันนี้ เอามาจากหน้าอกของชายหนุ่มคนนั้น น่าจะเป็นของติดตัว คงจะไม่ใช่ของธรรมดา
หลัวซิวใช้เวลาศึกษาสักพัก สุดท้ายก็ไม่เข้าใจว่าหยกแขวนอันนี้มีเอาไว้ทำอะไร
ใช้ยาย้ายร่างไขกระดูก แล้วหลัวซิวก็กลับมาในเมือโจว๋ซิง
เอาวัสดุที่ได้จากบนตัวอสูรระดับ3มาขายให้กับองค์กรนักล่ายุทธ์ก่อน จากนั้นหลัวซิวก็สั่งห้องลับส่วนตัวหนึ่งห้อง เพื่อเตรียมฝึกตนให้บรรลุระดับต่อไป
ระยะเวลา1เดือน ผลการฝึกตนของเขาก็มั่นคงแล้ว ภายใต้การเตรียมพร้อมทั้งหมด จะบรรลุแดนพรสวรรค์ในเวลานี้ เหมาะสมที่สุด
ในห้องลับ เนื่องจากหินพลังจิตถูกใช้หมดแล้ว ในมือเหลือเพียงไม่กี่พันเม็ดแล้ว แล้วก็มีหินพลังจิตขั้นสูงหลายร้อยเม็ด หลัวซิวเอาไว้เตรียมใช้งาน
การฝึกตนปิดขังเพื่อบรรลุแดนพรสวรรค์ครั้งนี้ หลักๆ ก็อาศัยยาจิ้นเทียนและหินหยินเข้าช่วย
หยิบหินหยินออกจากแหวนเก็บของ กำไว้ในมือ จากนั้นหลัวซิวก็หยิบยาจิ้นเทียนหนึ่งเม็ดกินลงไป หลังจากยาละลาย พลังของยาที่มากมาย ก็กระจายไปทั่วร่าง
ในขณะเดียวนั้นเอง เขาก็ขับเคลื่อนวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ ปราณหยินในหินหยินก็ถูกดูดซึมตลอดเวลา ผนึกกันเป็นปราณเป็นตาย2ระดับ
ปราณแท้มารวมกันที่จุดตันเถียน หมุนรอบวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ กลายเป็นวังวน
แดนชี่ไห่จะบรรลุถึงแดนพรสวรรค์ มี2ขั้นตอน ขั้นตอนแรก ก็คือปราณแท้รวมกันและหมุนเป็นวังวน หรือเรียกว่า ปราณแท้วังวน
ขั้นตอนที่สอง ก็คือการปลั่นแปรพลังAttr จนกลายเป็นปราณแท้พรสวรรค์ปราณแท้ของหลัวซิวนั้น เดิมทีก็มีพลังของปราณเป็นตาย2ระดับอยู่แล้ว ดังนั้นตอนที่ปราณแท้วังวนรวมตัวกันนั้น ก็ถือว่าได้บรรลุขั้นต่อไปแล้ว
เพียงแต่ปราณแท้วังวนที่เพิ่มปรากฏขึ้นมานั้น ยังไม่มั่นคง จะต้องพลังจิตที่มากพอมาทำให้มั่นคง ไม่อย่างนั้นถ้าปราณแท้วังวนสลายไป ก็จะบรรลุขั้นไม่ทำเร็จ
ผ่านไปไม่นาน ยาจิ้นเทียน4เม็ดก็ถูกหลัวซิวกินไปจนหมด หินหยินสีดำ ก็หม่นหมองไปเรื่อยๆ จากสีดำกลายเป็นสีเทา จากนั้นก็กลายเป็นสีขาว
จนกระทั่งหลังจากที่หินหยินสลายกลายเป็นผงแล้ว ปราณแท้วังวนที่รวมตัวกันในจุดตันเถียนของหลัวซิว ก็ได้มั่นคงเรียบร้อยแล้ว
พื้นที่ในจุดตันเถียนนั้น ปราณเป็นตาย2ระดับที่มีสีขาวดำได้หมุนเป็นวง เหมือนกับดาวเพชรในแม่น้ำ
ตรงกลางของดาวเพชรขนาดใหญ่ วงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพค่อยๆ หมุน ราวกับเป็นดวงดาวดวงหนึ่ง ที่เป็นนิรันดร์
หลังจากบรรลุแดนพรสวรรค์แล้ว หลัวซิวก็รู้สึกได้ทันทีว่าประสาทสัมผัสทั้ง6ของตนเองตอบสนองได้ดีมากขึ้น ภายในพื้นที่3ลี้โดยรอบ มีการเคลื่อนไหวอะไร ก็ไม่อาจหลบหลีกประสาทสัมผัสของเขาได้
ก่อนหน้านี้ ตอนที่หลัวซิวยังไม่ถึงขั้นแดนพรสวรรค์ หลัวซิวก็ได้มีพลังกระแสสัมผัสพลังวิญญาณแล้ว และพอผลการฝึกตนมาถึงระดับแดนพรสวรรค์ ความสามารถนี้มันก็แก่งกล้าขึ้นมาก แผ่ระยะประสาทสัมผัสไปได้กว้างมากขึ้น
คนที่มีพลังกระแสสัมผัสพลังวิญญาณ นอกจากจะเป็นคนที่เป็นฝีมือที่ซ่อนเร้นแล้วเท่านั้น ไม่อย่างนั้นใครที่เข้ามาใกล้ในระยะ3ลี้ ก็จะถูกเขารับรู้ได้หมด
นอกจากกระแสสัมผัสพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งขึ้นแล้ว หลัวซิวก็ยืนมือออกมา ปราณเป็นตาย2ระดับมารวมที่ฝ่ามือ รวมเป็นพลังมาที่ยากจะคาดเดา
รวมปราณเป็นพลัง กระแสสัมผัสพลังวิญญาณ ความสามารถ2อย่างนี้ถึงจะเป็นพลังของจอมยุทธ์แดนพรสวรรค์แตกต่างจากแดนชี่ไห่
“ในเมื่อเราได้บรรลุถึงขั้นแดนพรสวรรค์แล้ว ก็น่าจะได้ของกำนัลจากกฎดั้งเดิมอีกครั้งแล้วสินะ?” หลัวซิวก็คิดขึ้นในใจอย่างมุ่งหวัง
ของกำนัลครั้งก่อนของกฎดั้งเดิม ทำให้เขาได้วิชาดาบเร็วมา แค่อาศัยดาบเร็วมือเดียว ก็ฆ่าศัตรูได้สบายๆ วิชาดาบก็ถึงแดนบรรลุสมบูรณ์แล้ว บวกกับผลการฝึกตนระดับแดนพรสวรรค์ขั้น1 คนที่น้อยกว่าระดับปรมาจารย์ฝึกจิต ยากจะสู้เขาได้
เทพแห่งวัฏจักรชีวิตเคยบอกไว้ว่า ของกำนัลที่กฎดั้งเดิมให้มานั้น จะเอนเอียงไปทางช่วยเหลือด้านพลังของผู้สืบทอด นี่ทำให้ในใจของหลัวซิวมีหวังจะได้มากๆ
วิญญาณตอบสนองลูกแก้วความเป็นตาย ตามด้วยแรงกระตุกที่ส่งออกมา ร่างกายของหลัวซิวก็หายไป ในห้องลับนี้ มีเพียงลูกแก้วแสงสีขาวดำที่ลอยอยู่กลางอากาศ
เงยหน้ามองวัฏจักรโบราณที่เป็นนิรันดร์นั้น ทุกครั้งที่เห็น หลัวซิวก็จะถอนหายใจขึ้นในใจทุกครั้ง
ไม่รู้ว่าตนเองจะต้องฝึกถึงขั้นไหน จึงจะสามารถควบคุมกฎการเวียนว่ายตายเกิดดั้งเดิม และวัฏจักรได้
“ผู้สืบทอดตัวน้อย เจ้าได้บรรลุถึงขั้นแดนพรสวรรค์แล้ว สามารถได้รับของกำนัลจากกฎดั้งเดิมอีกครั้ง”
เสียงของเทพแห่งวัฏจักรชีวิตดังขึ้น จากนั้นก็มีแสงลอยออกมา แสงลอยมาตรงหน้าของหลัวซิว
แสงกลุ่มนี้ ก็คือของกำนัลจากกฎดั้งเดิม แค่จะเป็นอะไรนั้น ยังไม่สามารถรู้ได้
หลัวซิวก็ยื่นมือออกไปจับแสงไฟตรงหน้า ทันใดนั้นข้อมูลต่างๆ ก็ไหลเข้ามาในหัว
พลังแปรเสวียนเทียน วิชายิ่งเลิศขั้นสุดยอด หลังจากฝึกสำเร็จ สามารถระเบิดพลังที่มากกว่าพลังเดิมของตนเองได้ถึง3-5เท่า
“วิชายิ่งเลิศงั้นหรือ?……”
หลัวซิวแยกข้อมูลจากของกำนัลที่กฎดั้งเดิมให้มา หนึ่งในนั้น นอกจากจะมีวิธีการฝึกพลังแปรเสวียนเทียนแล้ว ก็ยังพูดถึงวิชาที่สูงกว่าวิชายุทธระดับ9 นั่นก็คือวิชายิ่งเลิศ!
ส่วนพลังแปรเสวียนเทียน เป็นวิชายิ่งเลิศที่เหนือกว่าวิชายุทธ์ระดับ9 ไม่ใช่วรยุทธ์ และไม่ใช่ทักษะยุทธ์หรือวิชาท่าร่างอะไร แต่เป็นวิชาอาถรรพณ์
วิชายิ่งเลิศแขนงนี้ ถือได้ว่าเป็นแข็งแกร่งมาก ถ้าในตอนที่กำลังสู้กับคนอื่นนั้น พลังของตนเองก็สูงขึ้นได้5เท่า คู่ต่อสู้ที่สูสีกับตนเองอยู่นั้น ก็จะรับมือไม่ได้ หรือไม่ก็อาจจะถูกฆ่าได้ในพริบตา
“ถ้าสามารถฝึกพลังแปรเสวียนเทียนสำเร็จ คนในระดับพลังเดียวกัน จะมีใครสู้ได้อีกเล่า?” หลัวซิวยิ้มอย่างมั่นใจ ระดับที่เข้าพูดถึง ไม่ใช่แดนเล็ก แต่เป็นแดนใหญ่
เช่น แดนพรสวรรค์ขั้นที่1-9 ก็คือแดนใหญ่[1][1]
########################
บทที่ 125 หยกแขวนเดือนเสี้ยว
ในหินหยินมีปราณหยินแฝงอยู่ ตามระดับแล้ว จะสูงกว่าพลังฟ้าดินจิตทั่วไป แต่ว่าตอนนี้หลัวซิวยังไม่คิดจะใช้หินหยินมาฝึกเพื่อบรรลุขั้น เพราะว่าถ้าหากไม่สามารถบรรลุแดนพรสวรรค์ได้ล่ะก็ ก็จะเสียดายหินหยินที่หามาอย่างยากลำบากเสียเปล่าๆ
อีกอย่าง ผลการฝึกตนของเขาเพิ่งบรรลุมาจากแดนชี่ไห่ขั้น6มาจนถึงขั้น9 ยังจะใช้เวลาเพื่อทำให้มันมั่นคงก่อน
นอกจากนี้ ก่อนที่จะฝึกเพื่อบรรลุแดนพรสวรรค์นั้น หลัวซิวจะต้องเตรียมตัวอย่างมาก เพื่อป้องกันข้อผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นได้
ได้ผลโหวหยางมา4เม็ดจากในเทือกเขากวนเหลย ถ้าสามารถกลั่นเป็นยาจิ้นเทียนได้ล่ะก็ อาศัยพลังของยาจิ้นเทียน บวกกับหินหยิน อัตราการบรรลุก็สูง
เท่าที่หลัวซิวรู้มา จอมยุทธ์ระดับแดนชี่ไห่ขั้น9ขั้นสูงนั้น ล้วนจะต้องฝึกเพื่อบรรลุหลายครั้ง มีเพียงอัจฉริยะที่มีคุณสมบัติโดดเด่นจริงๆ ถึงจะสามารถบรรลุได้
หลัวซิวู้ดีว่าคุณสมบัติของตนเองไม่ดีพอ ไม่อย่างนั้นตอนที่ตนเองอายุ10-11ปี ก็คงจะไม่ฝึกได้แค่แดนกลั่นร่างขั้น2หรอก
ถ้าไม่มีลูกแก้วความเป็นตาย บางทีเขาก็อาจจะถูกสำนักยุทธ์ชิงหยุนละทิ้งไปแล้ว จากนั้นก็กลับไปหมู่บ้านผานฉือกับพ่อตนเอง แล้วก็เหมือนกับคนทั่วไป ที่ไม่มีผลงานอะไรเลย ใช้ชีวิตไปวันๆ แล้วก็ตายไป
เดินออกมาจากห้องลับ หลัวซิวหยิบสมบัติค่ายกลขั้น4ออกมา2อัน แล้วก็แลกกับองค์กรเพื่อเอาหินพลังจิต2หมื่นเม็ด จากนั้นก็ใช้ หินพลังจิต2พันเม็ด แลกยาย้ายร่างไขกระดูกมา1ขวด
ยาย้ายร่างไขกระดูกเป็นยาระดับ3 หลังจากใช้แล้ว สามารถเปลี่ยนใบหน้าตนเองได้ ยกเว้นปรมาจารย์ฝึกจิตที่สามารถตรวจสอบได้ ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีใครมองออก
ตอนนี้หลัวซิวบุกนอกสำนักเซียวเหยา ก็ใช้พลังของยาย้ายร่างไขกระดูกนี่แหละ
ด้วยสมาชิกขั้นเหลืองระดับล่าง อย่างหลัวซิว ก็มีสิทธิ์ที่จะแลกยาระดับ3ได้ หนึ่งในนั้นก็มียาจิ้นเทียน สิ่งสำคัญของการที่จะบรรลุแดนพรสวรรค์
จะบรรลุจากแดนชี่ไห่ไปแดนพรสวรรค์ ต่อให้มีพรสวรรค์มากแค่ไหน ถ้าไม่มียาจิ้นเทียน อัตราการบรรลุได้สำเร็จก็จะน้อยมาก ไม่รู้ว่ามีจอมยุทธ์แดนชี่ไห่ขั้น9มากมายแค่ไหน ที่ค้นหาทั่วทิศเพื่อต้องการเอายาจิ้นเทียนมาได้สักเม็ดหนึ่ง
ถ้าหลัวซิวซื้อยาจิ้นเทียนได้ที่องค์กรนักล่ายุทธ์ล่ะก็ หินพลังจิตชั้นล่างหมื่นเม็ด แลกยาจิ้นเทียน1เม็ด
และที่เขารู้มา ราคาของยาจิ้นเทียนปกติในตลาด มีราคาหนึ่งหมื่นห้าพันหินพลังจิตชั้นล่าง
ยาจิ้นเทียนสามารถใช้ผลโหวหยางแลกได้ ผลโหวหยาง1เม็ดสามารถแลกยาจิ้นเทียนได้1เม็ด
เดิมทีหลัวซิวยังคิดที่จะรวบรวมยาที่จะทำยาจิ้นเทียน จากนั้นก็ไปแก๊งนักกลั่นยา ตามหานักกลั่นยาขั้น3มากลั่นยาจิ้นเทียน ในเมื่อองค์กรนักล่ายุทธ์สามารถแลกได้ หลัวซิวก็เลยหยิบผลโหวหยางออกมา3เม็ด แล้วก็แลกเป็นยาจิ้นเทียนทั้งหมด
มียาจิ้นเทียน4เม็ดนี้ บวกกับหินหยินที่แฝงปราณหยินเอาไว้1ก่อน หลัวซิวก็อาจจะเพียงพอที่จะบรรลุแดนพรสวรรค์ได้แล้ว
ใช้ยาย้ายร่างไขกระดูกไปหนึ่งเม็ด แล้วหลัวซิวก็เดินออกมาจากองค์กรนักล่ายุทธ์
เขาพบว่ามีจอมยุทธ์หลายคนมาวนเวียนอยู่แถวหน้าประตูใหญ่ขององค์กรนักล่ายุทธ์ ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าเป็นคนที่เล่อเผิงเฉิงส่งมาจับตาดูตนเอง
แต่ว่าของเพียงเล่อเผิงเฉิงไม่อยู่ทีนี่ จอมยุทธ์ชี่ไห่ธรรมดาและจอมยุทธ์พรสวรรค์ก็ไม่มีทางมองออก ว่านี่คือพลังของยาย้ายร่างไขกระดูก
แล้วหลัวซิวก็ไปสืบข่าวในเมือง รู้มาว่าตอนที่เขาปิดขังฝึกตนที่องค์กรนักล่ายุทธ์นั้น ลู่เมิ่งเหยาได้ออกไปจากเมืองโจว๋ซิงแล้ว ไปสำนักเหลยหวู่ของเขตการปกครองโตว้ไห่แล้ว
ช่วงเวลานี้เขาก็ไม่ได้ออกมา ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเล่อเผิงเฉิงจะไปด้วยหรือเปล่า แต่ว่าหลัวซิวรู้สึกว่า ถ้าเล่อเผิงเฉิงสนใจในความลับของตัวตนเขาจริงๆ ล่ะก็ คงจะไม่ไปไหนแน่
และหลัวซิวยังรู้สึกอีกว่า ข่าวที่เมิ่งเหยากลับออกไป ก็คงจะเป็นเพราะเล่อเผิงเฉิงตั้งใจปล่อยข่าวออกมา จุดประสงค์ก็เพื่อที่จะทำให้เขาคิดว่าเล่อเผิงเฉิงจากไปแล้ว แบบนี้เขาก็จะได้ปลอดภัย แต่จริงๆ แล้วเล่อเผิงเฉิงไม่ได้จากไปไหน และกำลังรอให้เขาปรากฏตัวออกมาเอง
ในโลกนี้ใจคนมันอันตราย หลัวซิวจะต้องป้องกันไว้ก่อน ดังนั้นหลังจากกินยาย้ายร่างไขกระดูกไป ค่อยเดินออกมาจากองค์กรนักล่ายุทธ์
เวลาต่อจากนี้อีก1เดือน หลัวซิวก็ฝึกฝนอยู่ที่ในเทือกเขากวนเหลย อาศัยพลังของกระแสสัมผัสพลังชีวิต เขาตามล่าอสูรกายระดับ3ไปทั่ว และระหว่างที่ต่อสู้กับอสูรกายพวกนั้นหลัวซิวก็ได้ฝึกฝนพลัง และวิชายุทธ์ของตนเอง
ผลการฝึกตนเพิ่มขึ้นเร็วมาก ทำให้หลัวซิวมั่นใจมาก ก็เลยลองที่จะตามหาอสูรกายระดับ4สักตัว เพื่อดูว่าตนเองยังห่างจากปรมาจารย์ฝึกจิตอีกมากแค่ไหน
พอเผชิญหน้า เขาก็แทบสู้ไม่ได้เลย ถ้าไม่ใช่วิชาท่าร่างเศษเงาสิบช่องมีความเร็วมาก ก็เกรงว่าคงจะตายภายใต้ปากของอสูรกายไปแล้ว
หลัวซิวมองดูพลังของตนเอง อาจจะเทียบได้กับระดับพรสวรรค์ขั้น7โดยประมาณ ถ้าสามารถบรรลุแดนพรสวรรค์ล่ะก็ ก็จะสามารถเทียบกับระดับพรสวรรค์ขั้น9ได้ จนกระทั่งรับมือกับระดับฝึกจิตครึ่งได้
เวลาหนึ่งเดือนนี้ หลัวซิวฆ่าอสูรกายระดับ3ไปร้อยกว่าตัว บางครั้งก็เจอตัวเก่งๆ ในระดับ3 ก็ได้รับบาดเจ็บบ้าง จนกระทั่งเกือบเอาชีวิตไม่รอดหลายครั้ง
“โฮก!”
หมีดำดวงตาสีแดงตัวหนึ่งยืนขึ้นสองขา อ้าปากคำราม เคี้ยวแหลมคม
ไม่ไกลจากหมีดำตัวนี้ หลัวซิวเดินออกมาจากเงาต้นไม้ ชุดสีดำบนตัวเขาขาดวิ่นไปไม่น้อย แต่ดวงตาทั้งสอง หลับมีสมาธิ และมีความตั้งมั่นอย่างมาก
หมีดำ อสูรกายระดับ3ตัวนี้ มีพลังเทียบเท่ากับพรสวรรค์ขั้น5 บางทีอาจจะกลัวพลังที่น่ากลัวของมนุษย์ตรงหน้า มันดูเหมือนจะคำรามอย่างน่ากลัว แต่ลำตัวใหญ่ๆ ของมันกลับถอยหลังไปเรื่อยๆ
อสูรกายมีสัญชาตญาณของความอันตรายเป็นอย่างดี บนร่างของมนุษย์นี้ มีพลังอาฆาตแพร่ออกมา มันสามารถรับรู้ได้ถึงพลังของอสูรกายที่ไม่ได้ด้อยกว่าตัวมันเอง แต่กลับตายด้วยเงื้อมมือของมนุษย์ผู้นี้
การฝึกตนจะขาดทรัพยกรไม่ได้ การล่าอสูรกาย ไม่เพียงเป็นการฝึกพลังฝีมือเท่านั้น วัสดุที่ได้จากบนตัวของอสูรกายก็สามารถเอาไปแลกเป็นหินพลังจิตได้ ดังนั้นช่วงเวลานี้หลัวซิวก็เลยล่าอสูรกายระดับ3ไปไม่น้อย
ในแหวนเก็บของเต็มไปด้วยวัสดุระดับ3ทุกรูปแบบ น่าจะมีราคาหลายพันหินพลังจิตชั้นล่างแล้ว
ตอนที่หลัวซิวกำลังจะเตรียมฆ่าหมีดำระดับ3ตัวนี้นั้น ก็มีเสียงเท้ารีบร้อนเข้ามา จากนั้นก็มีชายวัยรุ่นคนหนึ่ง เนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือด วิ่งสะดุดออกมาจากพุ่มไม้ แล้วล้มลงพื้น
หลัวซิวจ้องมองไป พบว่าพลังชีวิตบนตัวขอวัยรุ่นชายคนนี้เหลือน้อยมาก ผังลายเส้นชีวิตก็แทบจะสลายไปหมดแล้ว สภาพแบบนี้ นอกเสียจากจะมียาวิเศษที่ฝืนชะตาฟ้าได้ ไม่อย่างนั้นก็คงช่วยอะไรไม่ได้ ต้องตายแน่นอน
ตอนที่จุดสนใจของหลัวซิวกำลังถูกชายวัยรุ่นคนนี้ดึงดูดไปนั้น หมีดำระดับ3ตัวนั้นก็เหมือนถูกปล่อยตัว หันหลังวิ่งหนีไปทันที
หลัวซิวไม่ได้ตามไปฆ่าหมีดำตัวนั้น แต่ก้าวเท้าเดินไปข้างชายวัยรุ่นที่ได้รับบาดเจ็บคนนั้น
เขาฆ่าคนมาก็ไม่น้อย แต่หลัวซิวก็ไม่ใช่คนที่ไร้น้ำใจ
บนโลกที่แก่งแย่งชิงดีแบบนี้ แทบทุกวินาทีล้วนมีคนต้องจบชีวิตไป สำหรับการมีลูกแก้วความเป็นตาย และฝึกกฎการเวียนว่ายตายเกิดได้อย่างหลัวซิว ตามที่พลังได้สูงขึ้นเรื่อยๆ หลักการที่เขาเข้าใจมันก็มีมากขึ้น
“เพื่อนท่านนี้ ได้โปรดช่วยเหลือด้วย…….”
ชายวัยรุ่นเลือดท่วมตัวคนนี้ พอเห็นหลัวซิวเดินมา ก็เอ่ยพูดอย่างอ่อนแรง[1][1]
########################
บทที่ 124 ฝึกตนปิดขัง
ที่กึ่งกลางของห้อง มีโต๊ะตัวหนึ่ง ชายวัยกลางคนชุดสีเทานั่งอยู่ที่นั่น
หลัวซิวหยิบตรานักล่าอสูรของตนเองยื่นออกไป ชายวัยกลางคนชุดสีเทาก็ใช้อุปกรณ์ค่ายกลอ่านข้อมูลบนตรานั้น
“คุณเป็นสมาชิกขั้นเหลืองระดับล่างขององค์กร ภายในอำนาจ สามารถหาข้อมูลได้โดยไม่ต้องมีค่าใช้จ่าย คุณต้องการรู้เรื่องอะไร?” ชายชุดเทายิ้มถาม ท่าทางเป็นมิตร
สมาชิกถายในขององค์กรนักล่ายุทธ์ แยกเป็นสมาชิกพรสวรรค์และสมาชิกภายนอก หนึ่งในนี้ ตำแหน่งของสมาชิกพรสวรรค์จะสูงกว่าสมาชิกภายนอก พนักงานบริการในองค์กร ส่วนใหญ่ก็จะเป็นสมาชิกภายนอก ส่วนมากจะบริการพื้นฐานต่างๆ ให้กับสมาชิกพรสวรรค์
พอหลัวซิวบอกความประสงค์ไป ชายชุดเทาก็ไปเอาข้อมูลออกมา หลัวซิวหาข้อมูลเกี่ยวกับป้ายบัญชาการเหลยหวู่ก่อน พบว่าเหมือนกับที่เล่อเผิงเฉิงบอกไว้ คนที่มีป้ายบัญชาการเหลยหวู่ สามารถร้องขอต่อสำนักเหลยหวู่ได้หนึ่งเรื่อง ลู่เมิ่งเหยาอาศัยป้ายบัญชาการเหลยหวู่นี้ ไม่เพียงจะได้เป็นศิษย์ใจกลางของสำนักเหลยหวู่ บวกกับพรสวรรค์ของเธอ จะต้องได้รับการชุบเลี้ยงเป็นอย่างดีแน่นอน
อีกอย่าง ท่าทางของเล่อเผิงเฉิงที่ปฏิบัติต่อลู่เมิ่งเหยาก็ดูจริงใจ เธอเข้าร่วมกับสำนักเหลยหวู่ คงจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว
จากนั้นหลัวซิวก็เอาข้อมูลที่ตนเองได้มาจากการไปฆ่าอสูรการที่เทือกเขากวนเหลยออกมา แล้วขายให้กับองค์กรเพื่อแลกกับหินพลังจิต หนึ่งในนี้รวมถึงข้อมูลของอสูรงูปีกเขียวด้วย
ส่วนข้อมูลของท่าเสือสองหัวเขมือบลึก หลัวซิวก็ยังไม่ได้เอาออกมา เพราะมันเป็นถึงอสูรกายที่มีพลังเทียบเท่าราชายุทธ์ขั้น5เลย ถ้าจอมยุทธ์แดนชี่ไห่เล็กๆ อย่างเขา หยิบออกมาขาย มันก็จะดูโจ่งแจ้งเกินไป
สำหรับหลัวซิวในตอนนี้แล้วนั้น เขาไม่ขาดทรัพยากรในการฝึกตน ดังนั้นก็เลยไม่จำเป็นต้องเสี่ยงอันตรายจนเกิดเป็นจุดสนใจ
ถ้าหากว่าสักวันได้เลื่อนถึงขั้นสุดยอดปรมาจารย์ ต่อให้มีความลับมากมายแค่ไหน ก็ไม่มีใครกล้ามาเตะต้อง
……
เขตการปกครองโตว้ไห่มี3กองกำลังใหญ่ คือ สำนักเหลยหวู่ ตระกูลกงซุน หอหย่งชาง
ใน3กองกำลังใหญ่นี้ สำนักเหลยหวู่เป็นอันดับ1 มีผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ขั้น7คนหนึ่งนั่งเป็นประธาน
ประเทศเทียนหวูมี13เขตการปกครอง แต่ละเขตการปกครองจะมีหนึ่งสำนัก เรียกว่าสิบสามสำนักแห่งเทียนหวู สำนักเซียวเหยาอยู่ลำดับที่11 สำนักเหลยหวู่อยู่ลำดับที่7
เล่อเผิงเฉิงเป็นปรมาจารย์ฝึกจิตแห่งโลกยุทธ์ขั้น9 มีตำแหน่งผู้คุ้มกฎในสำนักเหลยหวู่ แต่เขายังมีอีกหนึ่งตัวตน ก็คือ เป็นพ่อลูกกับผู้อาวุโสคนหนึ่งของสำนักเหลยหวู่
ในที่ตั้งของสำนักเหลยหวู่ นายท่านของ3ตระกูลใหญ่เมืองโจว๋ซิงล้วนเข้ามาเยี่ยมเยือน
ในห้องที่แยกออกมาเดี่ยวๆ ห้องหนึ่ง เล่อเผิงเฉิงก็พบกับนายท่านของตระกูลเยี่ยน
“นายท่านเยี่ยน คุณรู้ไหมว่าทำไมผมถึงนัดพบกับคุณเป็นการส่วนตัว?” เล่อเผิงเฉิงพูดอมยิ้มกับนายท่านเยี่ยน
“ท่านเอ่อ……” นายท่านเยี่ยนก็มีสีหน้ากลัวๆ ลูกชายของเขาเป็นอย่างไร ไม่มีใครรู้ดีไปว่าคนเป็นพ่ออีกแล้ว
เยี่ยนชิวอาศัยอำนาจของตระกูลเยี่ยนในเมืองโจว๋ซิงทำเรื่องชั่วช้ามา ไม่ใช่แค่วันสองวัน โดยเฉพาะช่วงนี้ทำร้ายหญิงสาวไปมากมาย เพื่อต้องการจะฝึกพลังเก็บหยิน
เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าลูกชายตนเองก็ยังไปก่อเรื่องจนได้ จะไปฉุดผู้หญิงที่ถือป้ายบัญชาการเหลยหวู่ไม่ว่า ลูกชายของเขายังจะพาคนไปชิงป้ายบัญชาการเหลยหวู่ในมือของฝั่งตรงข้ามอีก สุดท้ายก็ต้องจบชีวิตไปเพราะเหตุนี้
“เมิ่งเหยาเป็นหลานสาวของผม โชคดีที่เธอไม่ได้รับอันตรายอะไร อีกอย่างลูกชายของคุณ เยี่ยนชิว ก็ได้ตายไปแล้ว ผมก็จะไม่ติดใจเอาความอะไรอีก”
“ขอบคุณท่านมาก” นายท่านเยี่ยนรีบคุกเข่าลง แล้วขอบคุณ
เล่อเผิงเฉิงพยักหน้า “ตอนนี้ผมมีงานที่จะให้คุณไปจัดการ หนุ่มน้อยคนหนึ่งที่มาพร้อมกับหลายสาวผม ชื่อว่า หลัวซิว ตอนนี้อยู่ในองค์กรนักล่ายุทธ์ ผมต้องการให้คุณส่งคนไปสอดแนมดูการเคลื่อนไหวขององค์กรนักล่ายุทธ์ ถ้ามีคนนี้โผล่ออกมา ให้รีบบอกผมทันที”
“ถ้าเรื่องแค่นี้ยังทำไม่ได้อีกล่ะก็ ตระกูลเยี่ยนของคุณ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมีอยู่อีกต่อไป”
“ครับ ท่าน ผมจะจัดการเรี่องนี้ให้ดีที่สุด” นายท่านเยี่ยนรีบพูดขึ้นมาทันที
ในองค์กรนักล่ายุทธ์ หลัวซิวขอห้องลับสำหรับฝึกตนปิดขังไว้ห้องหนึ่ง
เขารู้ดีว่าผลการฝึกตนของตนเองยังด้อยเกินไป ดังนั้นก็เลยจะอาศัยโอกาสนี้ ใช้ทรัพยากรที่มี เพิ่มพลังให้กับตนเอง
ในห้องลับมีค่ายกลอยู่ เพื่อปิดกั้นการสอดแนมของการรับรู้ของตัวสำนึก และพลังที่จะเล็ดรอดออกไป ทั้งยังเป็นเครื่องระวังภัยให้อีกด้วย
การปิดขังฝึกตนที่องค์กรนักล่ายุทธ์ ปกติแล้ว จะไม่มีปัญหาเกี่ยวความปลอดภัย
การฝึกตนของจอมยุทธ์ ปกติจะดูดซึมเอาพลังฟ้าดินจิต สถานที่ที่มีพลังจิตเข้มข้น ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะยิ่งดี
นอกจากนี้ก็ยังใช้ยา หรือสมบัติต่างๆ มาช่วยเพิ่มผลการฝึกตน
ในมือของหลัวซิว มีอุปกรณ์ค่ายผนึกปราณขั้น5 เอาหินพลังจิตชั้นกลางใส่ลงไป สามารถเพิ่มความเร็วการฝึกฝนได้เป็นสิบเท่า!
เอาหินพลังจิตชั้นล่างและหินพลังจิตชั้นกลางทั้งหมดออกมาจากแหวนเก็บของ แล้วมากองไว้ข้างๆ ภายใต้การทำงานของค่ายผนึกปราณ พลังจิตของหินพลังจิตก็แพร่ออกมา รวมตัวกันอยู่รอบตัวหลัวซิว
ฝึกฝนภายใต้พลังจิตที่เต็มเปี่ยมแบบนี้ หลัวซิวฝึกฝนได้เร็วมาก ไม่นานก็บรรลุจากแดนชี่ไห่ขั้น6เป็นขั้น7……
จากนั้น ก็เป็นแดนชี่ไห่ขั้น7ช่วงกลาง ช่วงหลัง ขั้นสูง แล้วก็บรรลุแดนชี่ไห่ขั้น8
ฝนจนลืมวันเวลา เวลาครึ่งเดือนผ่านไปเร็วมาก ตอนที่หลัวซิวลืมตาขึ้นมานั้น ก็เห็นหินพลังจิตนับหมื่น ถูกดูดซึมจนกลายเป็นผงสีขาวไปหมดแล้ว
พอรับรู้ได้ถึงพลังอันแข็งแกร่งในร่างกาย หลัวซิวก็หายใจเข้าลึกๆ หลัวซิวได้มาถึงแดนชี่ไห่ขั้น9แล้ว
พลังของปราณเป็นตาย2ระดับขับเคลื่อนไปทั่วกาย หลัวซิวสัมผัสได้ว่าตนเองแข็งแกร่งมาก และสิ่งที่ได้มาพร้อมกับระดับพลังที่เพิ่มขึ้น ความเข้าใจในผังกฎดั้งเดิมภาพแรกของวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพก็มีมากขึ้น ในที่สุดก็เข้าใจเนื้อหาในผังกฎดั้งเดิมภาพแรกหมดแล้ว
เนื้อหาในผังกฎดั้งเดิมนี้ เต็มไปด้วยวรยุทธ์ วิชายุทธ์ ค่ายกล
วรยุทธ์ก็คือวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ ผนึกรวมปราณเป็นตาย2ระดับ จะเป็นปราณแท้ที่แข็งแกร่งกว่าจอมยุทธ์ทั่วไปฝึกออกมา ถึงขนาดปราณแท้ที่จอมยุทธ์พรสวรรค์ฝึกออกมา ก็ยังไม่อาจจะเทียบกับปราณเป็นตาย2ระดับได้เลย
ทักษะยุทธ์คือตราแห่งความเป็นตาย ทักษะยุทธ์แขนงนี้ไม่มีระดับขั้นที่ชัดเจน ผลการฝึกตนยิ่งสูง พลังที่ใช้กับวิชานี้ก็จะยิ่งรุนแรง และวิชานี้มีช่วงของการพัฒนาที่กว้างมาก วิชายุทธ์ระดับ7ไม่อาจเทียบได้เลย
ถึงแม้ผลการฝึกตนจะถึงแดนชี่ไห่ขั้น9แล้ว แต่ใจของหลัวซิวก็ไม่ดีใจขึ้นมา เพราะว่าเขาเสียหินพลังจิตไปเป็นจำนวนมาก
หินพลังจิตหลายหมื่นเม็ด จนแทบจะเป็นทรัพย์สินทั้งหมดของราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งเลยทีเดียว หลังจากถูกเขาใช้ไปจนหมดสิ้นแล้ว ก็ยังไม่อาจบรรลุถึงแดนพรสวรรค์ได้
หนึ่งในเหตุผลนั้น ก็เป็นเพราะว่าระดับของปราณเป็นตาย2ระดับนั้นค่อนข้างสูง เวลาฝึกก็ต้องเสียพลังจิตจำนวนมหาศาล
ในขณะเดียวก็หมายความว่า ถ้าตอนที่หลัวซิวจะบรรลุแดนพรสวรรค์นั้น ก็คงจะต้องสูญเสียพลังจิตอีกจำนวนมาก อาศัยเพียงแค่หินพลังจิตอย่างเดียว คงจะยากที่จะบรรลุได้
########################
บทที่ 123 ปฏิเสธการเข้าร่วม
หลัวซิวก็รีบยกมือคำนับพูดว่า “กระผมอยู่ข้างนอกเสียคุ้นเคยแล้วครับ ไม่ชอบอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ของสำนัก ขอให้ผู้อาวุโสเห็นใจด้วย”
คำพูดนี้ของเขา ถือว่าอ้อมค้อมมากแล้ว แสดงออกชัดเจนว่าเขาไม่อยากตามไปอยู่ในสำนักเหลยหวู่ด้วย ถ้าหากเขาพูดไปแบบนี้แล้ว เล่อเผิงเฉิงก็ยังจะพาตัวเขาไปให้ได้ล่ะก็ ก็คงจะมีใจคิดเป็นอื่นอย่างแน่นอน
แต่ว่า ที่หลัวซิวพูดไปแบบนี้ เหมือนจะฉลาด แต่ก็ยังด้อยอยู่มาก เขาไม่ยากเข้าร่วมสำนักเหลยหวู่มากเท่าไร เล่อเผิงเฉิงก็ยิ่งคิดว่าบนตัวเขามีความลับมากขึ้นไปอีก ที่ไม่อยากเข้าร่วม ก็เพราะกลัวจะเปิดเผยความลับในตัวออกมา
“ฮ่าๆ ไม่อยากเข้าร่วมสำนักเหลยหวู่ ผมก็ไม่บังคับ คุณปกป้องหลานเมิ่งเหยามาจนถึงเขตการปกครองโตว้ไห่ ผมก็สมควรแสดงความขอบคุณเสียหน่อย งั้นของสิ่งนี้ ก็ให้เป็นการตอบแทนก็แล้วกัน”
ขณะพูด เล่อเผิงเฉิงก็หยิบยันต์หยกออกมาหนึ่งกัน “นี่คือยันต์หยกที่มีค่ายกลขั้น4 ได้กระตุ้นจนสามารถเผยการโจมตีของปรมาจารย์ฝึกจิตได้แล้ว”
ยันต์หยกอันนี้มีค่าควรเมือง จอมยุทธ์ชี่ไห่ทุกคนล้วนอยากได้ หลัวซิวแกล้งสงสัย และแกล้งทำเป็นตื่นเต้น แล้วก็รับเอามา
เล่อเผิงเฉิงยิ้มพยักหน้า “ตอนนี้พวกเธอกลับเข้าเมืองไปกับอาก่อน มีอาอยู่ด้วย ตระกูลเยี่ยนและตระกูลต้วนไม่กล้าทำอะไรแน่”
3คนอยู่บนเส้นทางกลับไป เล่อเผิงเฉิงก็จะแอบสอบถามข้อมูลของหลัวซิวจากลู่เมิ่งเหยาบ่อยๆ
เพราะว่าเล่อเผิงเฉิงเป็นเพื่อนร่วมเป็นร่วมตายกับพ่อตนเอง ลู่เมิ่งเหยาก็ไม่มีใจคิดจะระวังตัว ก็เลยบอกสิ่งที่รู้ออกไปจนหมด
ภายในเวลาสั้นๆ ไม่ถึงปี ตั้งแต่ระดับกลั่นร่างขั้น2จนถึงชี่ไห่ขั้น6 และยังมีพลังเทียบเท่าจอมยุทธ์พรสวรรค์ขั้น4อีกอย่างนั้นหรือ?
หลัวซิวก็กังวลในใจ รู้สึกเสียดายเล็กน้อยที่ตอนแรกตนเองไม่ได้บอกกับลู่เมิ่งเหยาไว้ก่อน ว่าอย่าบอกเรื่องนี้กับคนอื่น
“หลานสาวเมิ่งเหยา อาการโรคชีพจรขาดธาตุไฟของเธอหายดีแล้วใช่ไหม?” เล่อเผิงเฉิงกับลู่เฟยเฉินเป็นเพื่อนร่วมเป็นร่วมตายกันมา ก็เลยรู้ว่าก่อนหน้านี้ลู่เมิ่งเหยามีอาการโรคชีพจรขาดธาตุไฟ
“ใช่ค่ะ ก็ได้หลัวซิวช่วยเหลือ เขาช่วยรักษาฉันให้หายค่ะ” ลู่เมิ่งเหยายิ้มตอบกลับไป โดยไม่รู้ว่ายิ่งเธอพูดมากเท่าไร หลัวซิวก็อันตรายมากเท่านั้น
ที่เธอเล่าเรื่องของหลัวซิวให้กับเล่อเผิงเฉิงนั้น ก็เพราะหวังว่าสำนักเหลยหวู่จะสนใจในตัวหลัวซิว เพียงแต่ว่าหลัวซิวไม่อยากเข้าร่วมสำนักเหลยหวู่ นี่จึงทำให้เธอรู้สึกเสียใจ
เธอรู้ดีว่า ถ้าจอมยุทธ์คนหนึ่งไม่มีสำนักค่อยสนับสนุน ก็จะประสบผลสำเร็จได้ยาก อนาคตเธออยากจะแก้แค้นให้กับลู่เฟยเฉิน ก็เลยได้แต่เลือกเข้าร่วมกับสำนักเหลยหวู่
เธอก็รู้อีกว่า ถ้าครั้งนี้แยกกับหลัวซิวแล้ว ทั้งสองคนก็คงจะแยกทางกันไปจริงๆ แล้ว
ไม่แปลก นี่มันเป็นการเลือกอีกครั้ง ครั้งก่อนเธอเลือกพ่อตนเอง เลยออกไปจากหลัวซิว แต่งงานกับโกวจินชวน ถ้าไม่ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้น ทุกอย่างมันก็จะกลายเป็นจริงไปหมดแล้ว
แต่ครั้งนี้ เธอก็ต้องเลือกที่จะเข้าร่วมกับสำนักเหลยหวู่อีกครั้ง จะต้องแยกทางกับหลัวซิวอีกครั้ง
หลังจากนั้นครึ่งวัน ทั้ง3คนก็เดินทางมาถึงเมืองโจว๋ซิง
ตอนที่ยังไม่เข้าเมือง ตระกูลเยี่ยนและตระกูลต้วนก็ได้ข่าวคราวแล้ว แต่ก็ไม่ได้โผล่หน้าออกมา เห็นได้ชัดว่ารู้จักตัวตนของเล่อเผิงเฉิงดี
“พวกเธอไปฆ่าเยี่ยนชิว ลูกชายคนเดียวของเจ้าตระกูลเยี่ยน คงจะมีทางเดียวก็คือ เข้าร่วมสำนักเหลยหวู่ ตระกูลเยี่ยนถึงจะไม่กล้าทำอะไรคุณ” เล่อเผิงเฉิงยิ้มพูดออกมา
หลัวซิวก็ฟังความหมายที่พูดออกได้ แต่ว่าเขาไม่อยากเข้าร่วมสำนักเหลยหวู่ ดังนั้นก็เลยแกล้งทำเป็นฟังไม่เข้าใจ
“หลัวซิว นายก็เข้าไปที่สำนักเหลยหวู่กับฉันเลยก็แล้วกัน นายอยู่ข้างนอกคนเดียวไม่มีสำนักคอยเป็นที่พักพิงให้ ยากจะฝึกฝนได้” ลู่เมิ่งเหยาพูดโน้มน้าว
“ไม่แล้วล่ะ ผมวางแผนไว้ว่าจะไปท่องเที่ยวและฝึกฝนตนเองไปเรื่อยๆ” หลัวซิวยิ้มตอบ
เขารู้ดีว่า ที่เล่อเผิงเฉิงยังไม่ลงมือตอนนี้ ก็เพราะว่ามีลู่เมิ่งเหยาอยู่ด้วย และเขาก็ไม่รู้ว่าบนตัวตนเองนั้นมีความลับอะไรซ่อนอยู่ ถ้าเขารู้ว่าบนตัวหลัวซิวมีสิ่งล้ำค่าอย่างลูกแก้วความเป็นตาย ต่อให้ลู่เมิ่งเหยาอยู่ด้วย ก็ต้องลงมือเป็นแน่
ถ้าหากว่าเขาตามเข้าไปที่สำนักเหลยหวู่ นั่นถึงจะเป็นการเข้าปากเสือ มีความลับและสิ่งล้ำค่าอะไร ก็ต้องบอกออกมาจนหมด และอาจจะไม่มีทางรักษาชีวิตเอาไว้ได้ด้วย
บนโลกใบนี้ มีคนดีและคนชั่ว เหมือนกับเจ้าสำนักชิงหยุน ผู้อาวุโสจวง เย่เซี่ยงโต่ว ถือว่าเป็นคนที่ทำดี ส่วนเล่อเผิงเฉิงคนนี้ หลัวซิวรู้สึกว่าเขาไม่ใช่คนดีอะไร
บางทีเขาอาจจะดีกับลู่เมิ่งเหยา เพราะว่าเข้าเป็นเพื่อนร่วมตายกับลู่เฟยเฉิน แต่หลัวซิวถือว่าเป็นคนนอก
เล่อเผิงเฉิงก็พาหลัวซิวกับลู่เมิ่งเหยาเดินทางไปยังที่ตั้งของสำนักเหลยหวู่
ตอนที่เดินทางผ่านองค์กรนักล่ายุทธ์ หลัวซิวก็ใจเต้น
“พอดีผมนึกได้ว่าจะไปทำธุระที่องค์กรนักล่ายุทธ์หน่อยน่ะครับ ผู้อาวุโสกับเมิ่งเหยา เดินทางไปก่อนเลยก็ได้ครับ เดี๋ยวผมจะตามไปทีหลัง” หลัวซิวพูดแบบนี้ออกไป
“หืม? มีเรื่องสำคัญอะไรที่จะต้องเอาไว้จัดการทีหลังไม่ได้เลยหรือ?” เล่อเผิงเฉิงขมวดคิ้ว
“นั่นสิ หลัวซิว ฉันก็ไม่เห็นได้ยินว่านายมีเรื่องอะไรที่ต้องมาจัดการที่องค์กรนักล่ายุทธ์เลยนะ” ลู่เมิ่งเหยาก็มองไปที่หลัวซิวแปลกๆ เหมือนกัน
พอที่เธอพูดออกมาแบบนี้ เล่อเผิงเฉิงก็เผยสายตามองจิกออกมา ยิ่งมั่นใจมากขึ้นกว่าเดิม ว่าบนตัวหลัวซิวคนนี้ จะต้องมีความลับอะไรแน่ๆ ตอนแรกก็ไม่ยอมเข้าร่วมกับสำนักเหลยหวู่ ตอนนี้ก็บอกว่าจะไปที่องค์กรนักล่ายุทธ์อีก คาดว่าคงจะหาทางปลีกตัวออกไป
จากที่เข้าทำความรู้จักจากสิ่งที่ลู่เมิ่งเหยาเล่าบอกมาทั้งหมด บนตัวหลัวซิวคนนี้คงจะมีความลับไม่น้อย ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นผู้สืบทอดของผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์คนไหนสักคน มันผิดปกติเกินไป
อายุ14มีพลังระดับชี่ไห่ขั้น6 บางทีอาจจะไม่ได้ดูน่าตื่นเต้นมากนัก แต่ว่าใช้เวลาไม่ถึงปี บรรลุจากแดนกลั่นร่างขั้น2มาถึงแดนชี่ไห่ขั้น6ได้ นี่มันค่อนข้างฝืนชะตาฟ้าแล้ว
เล่อเผิงเฉิงอดใจอยากที่จะลงมือจับตัวหลัวซิวคนนี้ไว้ แต่ว่าเขามองออกว่า หลานสาวเมิ่งเหยาคิดกับหมอนั่นไม่ธรรมดา ถ้าลงมือไป หลานสาวคนนี้จะมองตนเองอย่างไร
พูดจากบางมุมมอง เล่อเผิงเฉิงก็ถือว่าเป็นคนยึดถือคุณธรรมดา ถึงแม้ลู่เฟยเฉินจะตายไปแล้ว ความสัมพันธ์ดั่งพี่น้องร่วมเป็นตาย ก็ถูกนำมาปฏิบัติต่อลู่เมิ่งเหยาเป็นอย่างดี และจริงใจ
“เหอะๆ ในเมื่อมีเรื่องที่จะไปจัดการ ก็คุณก็ไปเถอะ” เล่อเผิงเฉิงยิ้มพูด สำหรับเขาแล้ว จอมยุทธ์แดนชี่ไห่คนหนึ่ง ขอเพียงยังอยู่ในเขตการปกครองโตว้ไห่ ก็หนีไม่พ้นเงื้อมมือของเขาหรอก
พอเห็นว่าเล่อเผิงเฉิงไม่ลงมือ ในใจหลัวซิวก็โล่งอกไป เขาพูดขอบคุณ แล้วก็เดินไปยังองค์กรนักล่ายุทธ์
หลังจากเข้าประตูใหญ่ไป ด้านมุมหนึ่งของห้องโถงขององค์กรนักล่ายุทธ์ ก็จะมีทางเดินอีกทาง มีแต่พนักงานภายในขององค์กรแสดงตรานักล่าอสูร ก็จะสามารถเข้าออกได้
“สวัสดีค่ะคุณหลัว”
หลังจากเข้าไปด้านในแล้ว ผู้หญิงรูปร่างดีคนหนึ่งก็ออกมาต้อนรับ แล้วทำความเคารพหลัวซิว
“ผมต้องการจะหาข้อมูลที่นี่หน่อยครับ” หลัวซิวพูดไปตามตรง
“คุณหลัวเชิญตามฉันมาเลยค่ะ”
ภายใต้การนำทางของผู้หญิงคนนี้ หลัวซิวก็มาถึงยังห้องหนึ่ง ผนังทั้งสี่ด้าน ล้วนเป็นชั้นหนังสือ ด้านบนมีหนังสือมากมาย
########################
บทที่ 122 เล่อเผิงเฉิง
“พวกเราออกไปได้แล้ว”
หลัวซิวลุกขึ้น แล้วหันไปพูดกับลู่เมิ่งเหยา
10วันมานี้เขาศึกษาค่ายกลตลอดเวลา ลู่เมิ่งเหยาก็อยู่เฝ้าข้างๆ ตลอด
“นายรู้เรื่องค่ายกลด้วยงั้นหรือ?” ลู่เมิ่งเหยาพูดด้วยสีหน้าแปลกใจ
เท่าที่เธอรู้มา ตั้งแต่ที่หลัวซิวเข้าสำนักยุทธ์มาตอนอายุ10ขวบ ก็ไม่เคยได้สัมผัสกับเรื่องค่ายกลอะไรเลย ส่วนที่หลัวซิวเพิ่งได้เคยสัมผัสกับค่ายกลเมื่อครึ่งเดือนก่อน แถมยังมีความรู้ไปถึงระดับอาจารย์ค่ายกลขั้น5อีกด้วย เธอไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน
หลัวซิวไม่ได้บอกว่าตนเองมีความรู้ถึงระดับอาจารย์ค่ายกลขั้น5 เพราะเรื่องนี้มันดูจะเป็นไปได้ยาก ถ้าไม่ใช่เพราะว่าได้ความรู้จากผังกฎดั้งเดิมของวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ เขาก็ไม่มีทางที่จะมีความรู้ถึงระดับนี้ได้
ในเมื่ออธิบายไม่ได้ หลัวซิวก็เลยไม่พูดดีกว่า เรื่องมันเกี่ยวข้องกับความลับของตนเอง เรื่องแบบนี้หลัวซิวจะบอกกับคนอื่นง่ายๆ ไม่ได้ ต่อให้เป็นคนที่ตนเองสนิทที่สุด ก็ไม่อาจจะบอกกล่าวไปง่ายๆ
“ผมไปเจอภาพเกี่ยวกับค่ายกลของหุบเขากุ่ยอินในถ้ำ”
หลัวซิวหาเหตุผลขึ้นมาอ้าง “เดี๋ยวคุณเดินตามผม เดินตามทุกก้าวห้ามพลาด”
พอเห็นลู่เมิ่งเหยาพยักหน้า หลัวซิวก็เริ่มออกเดิน เดี๋ยวเดินหน้า เดี๋ยวถอยหลัง บางทีก็ย่ำเท้าที่เดิม หรือไม่ก็หมุนตัวบ้าง
จนกระทั่งสุดท้าย สภาพของหุบเขาก็เปลี่ยนไป จากที่เคยมีต้นไม้ใบหญ้าเขียวชอุ่ม ก็กลับกลายเป็นรกร้างไร้สิ่งมีชีวิตทันที และทางเข้าออกของหุบเขา ก็ปรากฏขึ้นมาแล้ว
พอเห็นดังนั้น ลู่เมิ่งเหยาก็เข้าใจขึ้นมาได้ ว่าภาพในหุบเขาก่อนหน้านี้ เป็นแค่ภาพลวงตาจากผลของค่ายกล ความรกร้างถึงจะเป็นสภาพความเป็นจริงของหุบเขากุ่ยอิน
เทพจิตของซูจิ้งหยุนได้แหลกสลายเป็นผุยผงไปแล้ว หินหยินก็ถูกหลัวซิวเก็บมาแล้ว หุบเขากุ่ยอินแห่งนี้ นอกจากจะมีค่ายกลขั้น6ที่เข้าได้ออกไม่ได้แล้วนั้น ก็ไม่มีอันตรายอื่นเลย
หลังจากที่หุบเขากุ่ยอินของเทือกเขากวนเหลยถูกค้นพบแล้วนั้น ก็มีจอมยุทธ์ตายไปไม่น้อย ถ้าไม่มีพลังระดับอาจารย์ค่ายกลขั้น6 พอเข้าค่ายกลนี้ไป ก็จะถูกขังอยู่ด้านใน
ถึงแม้ในเขตการปกครองหยุนหลงและเขตการปกครองโตว้ไห่จะมีอาจารย์ค่ายกลขั้น5 ถึงแม้จะบอกว่าจะไม่ถูกขังอยู่ด้านใน แต่ก็ปกป้องการแทรกซึมเข้าโจมตีของปราณหยินไม่ได้ คนพวกนั้นที่เคยบุกรุกเข้าหุบเขากุ่ยอิน คงจะถูกซูจิ้งหยุนดูดวิญญาณไปเอามาฟื้นฟูเทพจิตของตนเองไปหมด
ถูกขังอยู่ในหุบเขากุ่ยอินเป็นเวลา10วัน หลัวซิวก็หลุดพ้นจากการตามฆ่าของตระกูลเยี่ยนในเมืองโจว๋ซิงได้
แต่ว่าเขาก็ยังไม่กล้าพาลู่เมิ่งเหยาไปเมืองโจว๋ซิง ในมือก็ยังไม่มียาย้ายร่างไขกระดูกเอาไว้แปลงโฉม ถ้าถูกคนจับได้ ก็จะลำบาก
ทางเดียวก็คือ อ้อมเมืองโจว๋ซิงไป เดินทางไปยังเมืองอื่นๆ ของเขตการปกครองโตว้ไห่ เพื่อตามหาที่ตั้งของสำนักเหลยหวู่
เหตุที่เกิดในหุบเขากุ่ยอิน และการตื่นฟื้นขึ้นมาของเทพแห่งวัฏจักรชีวิต ทำให้หลัวซิวรับรู้ได้ว่าพลังของตนเองยังคงด้อยมาก ถ้าเจอกับอันตรายร้ายแรง เขาก็แทบจะเอาตัวเองไม่รอด คงจะพาลู่เมิ่งเหยาไปตลอดไม่ได้
ถ้าซูจิ้งหยุนไม่ได้เลือกหลัวซิว แต่ไปเลือกตัวลู่เมิ่งเหยาล่ะก็ ตอนนี้เธอก็คงกลายเป็นอีกคนไปแล้ว
ดังนั้น เรื่องที่สำคัญที่สุด ก็คือพาลู่เมิ่งเหยาไปส่งที่สำนักเหลยหวู่
แต่ว่า ทั้งสองคนยังไม่ทันออกไปจากเทือกเขากวนเหลยเลย หลัวซิวก็สัมผัสได้ว่ามีตัวสำนึกขนาดใหญ่มาตกลงที่ข้างๆ ตัวเขากับลู่เมิ่งเหยา จากนั้น คนวัยกลางคนในชุดสีม่วงก็ปรากฎขึ้นตรงหน้าของทั้งสองคน
ใสความรู้สึกของหลัวซิว ชายวัยกลางคนชุดม่วงคนนี้มีพลังแข็งแกร่งมาก อย่างน้อยก็น่าจะเป็นผู้แข็งแกร่งปรมาจารย์ฝึกจิต
ชายวัยกลางคนชุดม่วงก็มองหลัวซิวนิ่งๆ จากนั้นสายตาก็เปลี่ยนไปมองลู่เมิ่งเหยา ถึงแม้พวกเขาจะสวมหมวกและผ้าคลุมหน้า แต่ฝั้งตรงข้ามมีตัวสำนึก การแปลงโฉมแบบนี้แทบจะไม่ได้ผล
“เธอก็คือยัยหนูที่มีป้ายบัญชาการเหลยหวู่ใช่ไหม?” ชายวัยกลางคนชุดม่วงก็ค่อยๆ เอ่ยถามขึ้นมา
พอได้ยินดังนั้น หลัวซิวก็ตกใจ หรือว่าชายวัยกลางคนชุดม่วงคนนี้ก็จะมาแย่งชิงป้ายบัญชาการเหลยหวู่เหมือนกัน?
“ใช่แล้วค่ะ ผู้อาวุโส” ลู่เมิ่งเหยาตอบไปตามตรง
ชายวัยกลางคนชุดม่วงพยักหน้า จากนั้นก็มองหลัวซิว “ไอ้หมอนี่กล้าไม่เบา มีพลังแค่ระดับชี่ไห่ขั้น6 ก็กล้าฆ่าคนของตระกูลเยี่ยน ความกล้าแบบนี้น่าชื่นชม”
พอเห็นว่าหลัวซิวและลู่เมิ่งเหยามีสีหน้าระแวดระวัง ชายวัยกลางคนชุดม่วงก็พูดขึ้นมานิ่งๆ ว่า “พวกเธอไม่ต้องกังวลไป ผมไม่มาแย่งชิงป้ายบัญชาการเหลยหวู่หรอก ผมคือเล่อเผิงเฉิง เป็นผู้คุ้มกฎของสำนักเหลยหวู่ ได้ยินว่าคนที่ถือป้ายบัญชาการเหลยหวู่ปรากฏตัวขึ้นที่นี่….”
เล่อเผิงเฉิงยังไม่พูดไม่ทันจบ ลู่เมิ่งเหยาก็พูดอย่างตกใจขึ้นมาว่า “คุณก็คืออาเล่องั้นหรือ?”
ลู่เมิ่งเหยาก็ถอนผ้าปิดหน้าออก “อาเล่อ ฉันคือเมิ่งเหยาเองค่ะ”
“เมิ่งเหยาหรือ?” เล่อเผิงเฉิงแปลกใจก่อน แล้วก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ แล้วก็เคลื่อนตัวมาปรากฏตัวตรงหน้าลู่เมิ่งเหยาอย่างรวดเร็ว “เธอคือเมิ่งเหยา ลูกสาวของเฮียลู่งั้นหรือ?”
“อาได้ยินว่าสำนักเซียวเหยาเกิดเรื่อง ไม่รู้ว่าตอนนี้เฮียลู่เป็นอย่างไรบ้าง?”
“พ่อฉัน……”
จากบทสนทนาของลู่เมิ่งเหยาและเล่อเผิงเฉิง หลัวซิวก็รับรู้ว่า ตอนที่ลู่เฟยเฉินหนุ่มๆ นั้น เคยท่องเที่ยวฝึกตนไปพร้อมกับเล่อเผิงเฉิง มีความสัมพันธ์ที่สนิทสนมกันมาก
แต่ป้ายบัญชาการเหลยหวู่เป็นสิ่งของที่สำคัญมากของสำนักเหลยหวู่ คนที่มีป้ายบัญชาการเหลยหวู่ สามารถร้องขอเรื่องอะไรก็ได้เรื่องหนึ่งต่อสำนักเหลยหวู่ ถ้าคำร้องนั้นไม่มากเกินไป สำนักเหลยหวู่ก็จะตอบรับ
แต่เล่อเผิงเฉิงเหมือนจะมีตัวตนไม่ธรรมดาอยู่ในสำนักเหลยหวู่ ตอนนั้นถึงได้ให้ป้ายบัญชาการเหลยหวู่ที่ไม่ธรรมดาอันนี้แก่ลู่เฟยเฉิน
“เหอะ ตระกูลต้วนและตระกูลเยี่ยนของเมืองโจว๋ซิงเบื่อชีวิตแล้วล่ะมั้ง ป้ายบัญชาการเหลยหวู่ของหลานสาวกู ก็ยังกล้ามาแย่งชิง ไม่รู้จักความตายซะแล้ว”
พอได้ยินลู่เมิ่งเหยาเล่ามาทั้งหมด บนตัวของเล่อเผิงเฉิงก็เผยพลังอาฆาตออกมาแรงกล้า ในสายตาของเขา ตระกูลใหญ่ทั้งสองในเมืองโจว๋ซิงแทบจะไม่มีค่าให้เอ่ยถึงด้วยซ้ำ
ถึงแม้หลัวซิวจะมองผลการฝึกตนของเล่อเผิงเฉิงไม่ออก แต่จากการพิจารณาจากพลังชีวิตแล้ว ก็น่าจะเป็นปรมาจารย์โลกยุทธ์รุ่นเดียวกับลู่เฟยเฉิน
“ในเมื่อเฮียลู่ได้จากไปแล้ว ต่อไปเธอก็ติดตามอาไปฝึกฝนที่สำนักเหลยหวู่ก็แล้วกัน เพื่อที่สักวันจะสามารถแก้แค้นให้กับพ่อเธอได้” เล่อเผิงเฉิงกล่าว
“ขอบคุณอามากค่ะ ต่อไปฉันจะพยายามฝึกฝน เพื่อแก้แค้นให้พ่อ” ลู่เมิ่งเหยาก็พูดขึ้นมาอย่างฮึกเหิม
ก่อนหน้านี้หลัวซิวไม่เคยได้ยินลู่เมิ่งเหยาพูดถึงเรื่องแก้แค้นเลย เห็นได้ชัดว่าเธอได้แต่เอาเรื่องแก้แค้นเก็บไว้ในใจอย่างเดียว คนที่สามารถทำร้ายลู่เฟยเฉินจนสาหัสได้ จะต้องเป็นระดับราชายุทธ์แน่ๆ
“อาเล่อคะ นี่คือหลัวซิว มีพรสวรรค์มาก แม้แต่จอมยุทธ์พรสวรรค์ก็สามารถฆ่าได้ ถ้าไม่ได้เขาล่ะก็ เมิ่งเหยาก็คงไม่ได้มาพบคุณอาแล้วค่ะ”
ลู่เมิ่งเหยาแนะนำหลัวซิวให้เล่อเผิงเฉิงรู้จัก แล้วก็เล่าเรื่องที่หลัวซิวฆ่าโกวจินชวนและซงซานเอ้อร์สง
หลัวซิวพูดว่า แย่ลแล้ว ขึ้นในใจ จอมยุทธ์ที่มีพลังแค่ระดับชี่ไห่ขั้น6อย่างเขา สามารถฆ่าจอมยุทธ์พรสวรรค์ได้ ต่อให้เป็นคนโง่ ก็รู้ได้ว่าเขาต้องได้ของดีอะไรมาแน่ๆ
ยิ่งกว่านั้นเล่อเผิงเฉิงคนนี้ เป็นถึงปรมาจารย์โลกยุทธ์ ด้วยความฉลาดของเขา พอได้ยินก็คงจะคาดเดาได้แน่นอน
ไม่ผิด พอได้ยินลู่เมิ่งเหยาพูดขึ้นมา สายตาของเล่อเผิงเฉิงก็มองไปยังตัวหลัวซิว สายตาว่อกแว่กไปมา แล้วยิ้มพูดว่า “พรสวรรค์แบบนี้ ก็สามารถที่จะไปสำนักเหลยหวู่กับอาได้ ขอเพียงแค่ตั้งใจฝึกฝนดีๆ จะได้เป็นศิษย์ใจกลาง ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร”
ลู่เมิ่งเหยาเจอเรื่องราวมาน้อย ขาดความคิดที่ล้ำลึก แต่หลัวซิวกลับมองน้ำเสียงและสายตาของเล่อเผิงเฉิงออก ว่ามีสิ่งผิดปกติ
########################
บทที่ 121 หินหยิน
“นายระวังตัวด้วย” ลู่เมิ่งเหยาพยักหน้า เธอไม่รู้ว่าเมื่อครู่นี้หลัวซิวทำอะไรลงไป แต่สามารถรับรู้ได้ว่าคงทำเรื่องที่ไม่ธรรมดาแน่ๆ ทำให้เธอรู้ว่ายิ่งไม่ค่อยเข้าใจหลัวซิวมากขึ้น เหมือนกับว่าบนตัวของหนุ่มน้อยอายุ14ปีคนนี้ จะเต็มไปด้วยความลึกลับ
เธอรู้ว่าบนตัวของหลัวซิวจะต้องมีความลับอะไรแน่ๆ ไม่อย่างนั้นก็จะอธิบายไม่ได้ว่า ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี ไม่ว่าจะเป็นผลการฝึกตนหรือพลังฝีมือ ก็ล้วนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ในถ้ำทั้งหนาวและชื้น ยิ่งลึกเข้าไป กลิ่นอายของความตายก็เข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ
ทันใดนั้น หลัวซิวก็รู้สึกเจ็บๆ ที่เท้า พอจ้องมองดูลงไป เขามองเห็นเศษอะไรบางอย่างเล็กเท่าขนาดของเล็บมือ เมื่อครู่นี้เขาเหยียบโดนมันไป ทำให้เท้าของเขาได้รับบาดเจ็บ
เศษเล็กๆ พวกนี้มีลักษณะพิเศษ ยิ่งเดินเข้าไปลึก ก็ยิ่งพบว่ามีเศษแบบนี้10กว่าชิ้น ถ้าเศษพวกนี้มารวมตัวกัน ก็น่าจะเป็นกองทัพดิน
หลัวซิวคาดเดา นักยุทธ์นี้ น่าจะเป็นอาวุธที่ซูจิ้งหยุนใช้ตอนยังมีชีวิตอยู่ ไม่รู้ว่าเขาพบกับคู่ต่อสู้แบบไหน ไม่เพียงนักยุทธ์แตกเป็นเสี่ยง ร่างกายก็แหลกเป็นผุยผง เหลือเพียงเศษเสี้ยวของเทพจิตที่ดำรงอยู่น้อยนิด
ผ่านไปสักพัก หลัวซิวก็มาถึงยังส่วนลึกที่สุดของถ้ำ ติดตามที่มาของกลิ่นอายแห่งความตาย เขามองเห็นก้อนหินสีดำขนาดเท่ากำปั้น
และข้างๆ หินสีดำนั้น ก็มีโครงกระดูกที่ไม่เหลือชิ้นดีแล้ว มือซ้ายของโครงกระดูกนั้น สวมแหวนเก็บของอยู่หนึ่งวง บนพื้นก็ยังมีเศษอาวุธและเสื้อเกราะ
โครงกระดูกนี้ น่าจะเป็นของซูจิ้งหยุน จักพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งคนนั้น
หลัวซิวค่อยๆ เดินเข้าไป พอมั่นใจว่าไม่มีอันตราย ก็ยื่นมือจะเข้าไปหยิบหินสีดำก้อนนั้น
ตอนที่จะหยิบกินสีดำก้อนนั้น พลังเย็นบางอย่างก็ไหลเข้าร่างกาย ทำให้เขารู้สึกว่าจะแข็งทื่อและชาไปทั้งตัว
“ที่แท้ก็เป็นหินหยิน ผู้สืบทอดตัวน้อย เจ้าโชคดีไม่เบาเลยนะ” ในหัวของหลัวซิว เกิดเป็นเสียงของเทพแห่งวัฏจักรชีวิตขึ้นมา
เวลาปกติ เทพแห่งวัฏจักรชีวิตจะไม่สนใจเขา แต่ส่งเสียงออกมาตอนนี้ เห็นได้ชัดว่า สิ่งที่ถูกมันเรียกว่าหินหยินก้อนนี้ จะไม่ธรรมดา
“ในหินหยินแฝงไปด้วยปราณหยิน เป็นพลังแห่งความตายอีกอย่างหนึ่ง ถ้าเอาไปกลั่นแปรดูดซึมเข้าไป จะทำให้เพิ่มผลการฝึกตนได้ไม่น้อย”
“พลังแห่งความตายมีหลายแบบงั้นหรือ?” หลัวซิวถามขึ้นมาอย่างสงสัย
“พูดแบบนี้ก็ถูก และไม่ถูก เพราะว่าพลังแห่งชีวิต และพลังแห่งความตายนั้น ถือว่าเป็นของขอบเขตกฎเกณฑ์แล้ว และภายใต้กฎเกณฑ์ ก็มีพลังที่มีหลายคุณสมบัติ ที่แฝงไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย”
“ดั่งเช่นในหยินหยาง Attrหยินจะแฝงพลังแห่งความตาย Attrหยางจะแฝงพลังแห่งชีวิตถึงแม้จะเพิ่มไปจนถึงขั้นกฎเกณฑ์ กฎชีวิตและกฎความตาย ก็จะอยู่เหนือกว่ากฎหยินหยาง”
“หินหยินตรงหน้าเจ้า มีสภาพธรรมดาๆ แต่สำหรับจอมยุทธ์ชี่ไห่อย่างเจ้า ก็เพียงพอที่จะใช้ได้แล้ว”
ที่เทพแห่งวัฏจักรชีวิตพูดมานี้ หลัวซิวค่อนข้างไม่เข้าใจ แต่เขากลับรู้ว่า หินหยินก้อนนี้ มีผลต่อการเพิ่มผลการฝึกตนของเขามาก
หลัวซิวรีบเก็บหินหยินก้อนนี้มาทันที แล้วก็ถอดแหวนที่มือซ้ายบนโครงกระดูกของซูจิ้งหยุน ด้านในมีหินพลังจิตชั้นกลางนับหมื่นเม็ด แล้วก็ยังมีหินพลังจิตชั้นสูงอีกหลายร้อยเม็ด
นอกจากนี้ยังมีม้วนหยกอีก2อัน ทำให้หลัวซิวตาเป็นวาวขึ้นมา
เท่าที่เขารู้มา มีเพียงระดับปรมาจารย์ฝึกจิตขึ้นไปเท่านั้น จึงจะสามารถใช้ดวงจิตแกะสลักม้วนหยกได้ จะต้องถึงระดับแดนพรสวรรค์ และมีพลังกระแสสัมผัสพลังวิญญาณจึงจะสามารถอ่านเนื้อหาบนม้วนหยกได้
ดังนั้น สิ่งของในระดับสูงนั้น ล้วนจะบันทึกลงในม้วนหยก และคนที่มีสิทธิ์จดบันทึกม้วนหยกได้ ได้ยินว่าอย่างต่ำที่สุด ก็ต้องเป็นวิชายุทธ์ระดับ7
นอกจากหินพลังจิตและหินพลังจิตอีกสองอันแล้ว ในแหวนเก็บของนี้ กลับไม่มีนักยุทธ์ยา และของล้ำค่าอย่างค่ายกลอะไรเลย
หลัวซิวสามารถปล่อยพลังกระแสสัมผัสพลังวิญญาณออกมาได้แล้ว ดังนั้นก็เลยเอาม้วนหยกสองอันนั้นออกมา แล้วสัมผัสไปด้านบนนั้น เนื้อหาที่ม้วนหยกบันทึกไว้ ก็ไหลเข้าสู่สมอง
ม้วนหยกอันหนึ่งบันทึกค่ายกลเอาไว้ หนึ่งในค่ายกลที่สูงที่สุด ถึงระดับอาจารย์ค่ายกลขั้น6
ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ซูจิ้งหยุนผู้ตาย ไม่ได้เป็นเพียงจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่ง แต่ยังเป็นอาจารย์ค่ายกลที่ถึงขั้น6อีกด้วย
ม้วนหยกอีกอันหนึ่งบันทึกวิชายุทธ์ระดับ7ไว้ คือวิชาพลังทมิฬซวนโหลว
ในนั้นยังมีทักษะยุทธ์ วิชาท่าร่างของพลังทมิฬซวนโหลวด้วย
หลัวซิวเคยได้ยินว่า วิชายุทธ์ที่มีวรยุทธ์ ทักษะยุทธ์ วิชาท่าร่างรวมเป็นชุดไว้ ถึงจะเป็นวิชายุทธ์ที่สมบูรณ์แบบ
ส่วนวิชายุทธ์ของสำนักยุทธ์และสำนักเซียวเหยาที่แยกทักษะยุทธ์ วรยุทธ์ วิชาท่าร่างนั้น ล้วนไม่นับว่าเป็นวิชายุทธ์ที่สมบูรณ์แบบ
วงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพของหลัวซิว นับว่าเป็นวิชายุทธ์ที่สมบูรณ์แบบ แต่ไม่ว่าจะเป็นวรยุทธ์ ทักษะยุทธ์ หรือวิชาท่าร่าว ล้วนจะต้องให้เขาไตร่ตรองเอาเองจากผังกฎดั้งเดิมทั้ง9ภาพเอาเอง
หลังจากเก็บของพวกนี้แล้ว หลัวซิวก็ค้นหาอย่างละเอียดอีกครั้ง พอไม่พบของมีค่าอื่นๆแล้ว ก็ค่อยออกจากถ้ำมา
หินหยินถูกเขาเก็บไปแล้ว ดังนั้นก็เลยไม่มีพลังความเย็นแพร่ออกมาแล้ว
พอเห็นหลัวซิวเดินออกมาจากถ้ำ ลู่เมิ่งเหยาไม่รู้ว่าเขาเกิดอะไรขึ้นบางด้านใน แต่ว่าหลัวซิวไม่ได้บอกอะไร เธอเองก็ไม่อยากเข้าไปถามเอง
จากบันทึกในม้วนหยก หุบเขานี้ถูกค่ายยากเย็นระดับ6ปกคลุมไว้ ซูจิ้งหยุนสร้างทิ้งไว้ ปากถ้ำเป็นประตูค่ายกล เข้าได้อย่างเดียว ออกไม่ได้
ถ้าอยากจะทำลายค่ายยากเย็นระดับ6นี้ มีเพียง2วิธี หนึ่งคือใช้กำลังทำลาย อีกหนึ่งวิธีคือ หาประตูค่ายกลให้พบ
เพียงแต่ว่า ถ้าอยากจะใช้กำลังทำลายค่ายยากเย็นระดับ6นี้ อย่างน้อยจะต้องมีพลังระดับจักพรรดิยุทธ์ถึงจะไหว
“ถ้าพวกเราอยากจะออกไปจากที่นี่ ก็จะต้องทำลายค่ายกลในหุบเขานี้เสีย”
พอตะโกนบอกกับลู่เมิ่งเหยาแล้ว หลัวซิวก็เริ่มตั้งใจศึกษาม้วนหยกที่บันทึกรายละเอียดค่ายกลไว้
ก่อนหน้านี้เคยศึกษาค่ายกลพื้นฐานที่ได้มาจากจางไห่เฟย ทางทฤษฎี ได้มีความรู้ระดับอาจารย์ค่ายกลขั้น3แล้ว ดังนั้นหลักการที่บันทึกลงในม้วนหยกอันนี้ ถึงแม้จะซับซ้อนมาก แต่ก็ไม่ยากที่หลัวซิวจะเข้าใจได้
ระหว่างที่วิจัยค่ายกลอยู่นั้น ผังกฎดั้งเดิมภาพแรกของวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ ก็ปรากฏขึ้นในหัว ตัวหนังสือและลวดลายพวกนั้นก็เริ่มมีชีวิต ประกอบเข้าด้วยกันอย่างหลากหลายรูปแบบ
ไม่ทันไร ก็ผ่านไป10วัน หลัวซิวก็ค่อยๆ ลืมตาออกมา
ก่อนหน้านี้ เขาอ่านผังกฎดั้งเดิม ก็เหมือนกับอ่านคัมภีร์สวรรค์ ไม่เข้าใจสัญลักษณ์พวกนั้นว่ามีความหมายอย่างไร
จนกระทั่งที่ได้ค่ายกลพื้นฐานจากในแหวนของจางไห่เฟย ใช้ความรู้ด้านค่ายกลมาประมวนด้วยกัน ก็เลยเข้าใจถึงจุดที่ไม่เคยเข้าใจได้มาก่อน
จากจุดเล็กๆ ขยายกว้างและลึกมากขึ้น ในที่สุดก็ทำให้เขาเข้าใจผังกฎดั้งเดิมภาพแรกได้อย่างมาก ทั้งยังมีความรู้ด้านทฤษฎีค่ายกลถึงระดับนักค่ายกลระดับ5เลยทีเดียว
ที่บอกว่าเป็นด้านทฤษฎีนั้น เพราะว่าผลการฝึกตนของหลัวซิวยังต่ำ ให้วัสดุและธงค่ายแก่เขา เขาก็ไม่สามารถสร้างค่ายกลระดับ5ออกมาได้ และไม่สามารถสร้างสมบัติค่ายกลระดับ5ออกมาได้
ไม่ต้องพูดถึงระดับ5 ด้วยผลการฝึกตนของเขา อย่างมากก็แค่ตั้งค่ายระดับ3ออกมาได้เท่านั้น
แต่ว่าด้วยความรู้ด้านค่ายกลในตอนนี้ ถ้าอยากจะออกไปจากค่ายยากเย็นแห่งนี้ ก็ไม่ได้เป็นเรื่องยากอะไรแล้ว
########################
บทที่ 120 ครองวิญญาณ
หากมีตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ คนคนเดียวสามารถที่จะปกครองสำนักเซียวเหยาและสำนักเหลยหวู่ที่มีอำนาจยิ่งใหญ่ได้อย่างสบายๆ
ส่วนชื่อของซูจิ้งหยุนนั้น หลัวซิวไม่เคยได้ยินมาก่อน
ในหุบเขาแห่งนี้หลัวซิวสัมผัสได้ว่ามีพลังของวิญญาณหลบซ่อนอยู่ ว่ากันว่าการฝึกตนในโลกยุทธ์หากเข้าถึงแดนฝึกจิตแล้ว จิตวิญญาณของจอมยุทธ์จะผลึกรวมกลายเป็นเทพจิต เขาไม่รู้สึกถึงพลังงานของสิ่งมีชีวิต แสดงให้เห็นว่าซูจิ้งหยุนผู้นี้ไม่เหลือร่างกายอยู่แล้ว แต่เหลืออยู่เพียงเทพจิตเท่านั้น
หลัวซิวไม่เคยได้ยินว่ามีผู้ใดจะอาศัยเพียงเทพจิตแล้วยังมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ แม้แต่ผู้แข็งแกร่งของแดนจักรพรรดิยุทธ์ก็ตาม เมื่อร่างกายสลายไปแล้ว เทพจิตก็จะสลายไปด้วย โดยทั่วไปจะอาศัยสมบัติพิเศษบางอย่างที่ทำให้ผู้ที่สูญเสียร่างกายไปแล้วยังคงอาศัยเพียงเทพจิตแล้วยังมีชีวิตอยู่ต่อไปได้
ซูจิ้งหยุนที่ซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาแห่งนี้ คงจะอยู่ได้ด้วยสภาพนี้เช่นกัน
ในขณะที่หลัวซิวเงียบไปนั้น วิญญาณอันทรงพลังก็ได้ส่งเสียงออกมาจากส่วนลึกของถ้ำ
“เป็นแค่จอมยุทธ์ชี่ไห่ธรรมดาแต่สามารถควบคุมพลังความเป็นตายได้ ฟ้าคงประทานรางวัลใหญ่ให้แกแน่ๆ งั้นซูจิ้งหยุนขอใช้ร่างนี้กลับไปเกิดใหม่ก็แล้วกัน!”
ในสมองของหลัวซิวมีเสียงหัวเราะเย็นเยียบสะท้อนก้อง พลังของวิญญาณอันแก่กล้าได้แทรกซึมเข้ามาในร่างกายของเขา
“ครองวิญญาณ?”
สีหน้าของหลัวซิวแปรเปลี่ยน เขาเคยได้ยินว่าผู้แข็งแกร่งในแดนฝึกจิตขึ้นไป หลังจากที่ร่างกายสูญสลายไปแล้วก่อนที่เทพจิตจะสูญสลายไปสามารถครองวิญญาณและดูดกลืนวิญญาณของจอมยุทธ์คนอื่นได้รวมทั้งเทพจิตด้วย จากนั้นก็จะยึดครองร่างกายของอีกฝ่าย
จอมยุทธ์ชี่ไห่ไม่สามารถใช้วิญญาณหยั่งรู้ ได้ มีเพียงจอมยุทธ์ที่ฝึกตนเข้าสู่แดนพรสวรรค์แล้วเท่านั้นถึงจะมีพลังพลังกระแสสัมผัสพลังวิญญาณหรือที่เรียกกันว่าตัวสำนึก
หากเข้าสู่แดนปรมาจารย์ยุทธ์ฝึกจิตแล้ว วิญญาณจะผนึกรวมกลายเป็นเทพจิต ทำให้ตัวสำนึกยิ่งแข็งแกร่งขึ้น
สิ่งที่เรียกว่าการครองวิญญาณนั้น คือการใช้พลังของจิตวิญญาณแทรกซึมเข้าไปในตัวหยั่งรู้ของอีกฝ่ายและดูดกลืนจิตวิญญาณ จากนั้นก็จะสามารถยึดครองร่างกายของอีกฝ่ายหนึ่งได้
ดังนั้นเมื่อพลังจิตวิญญาณของซูจิ้งหยุนแทรกซึมเข้าไปในตัวหยั่งรู้ของหลัวซิวแล้ว ความคิดของเขาก็จะถูกลากจูงเข้าไปยังตัวหยั่งรู้ของตัวเอง
จิตวิญญาณของหลัวซิวได้หลอมรวมเข้ากับลูกแก้วความเป็นตายแล้ว ในตัวหยั่งรู้ที่รางเลือนแล้ว ลูกแก้วเม็ดหนึ่งที่มีสีดำสลับขาวก็ได้ลอยขึ้นมา
“อะไรน่ะ”
จิตวิญญาณของซูจิ้งหยุนปรากฏขึ้นเป็นรูปร่างของคนที่เป็นเพียงภาพลวงตา แล้วเข้ามาในตัวหยั่งรู้ของหลัวซิว
เขามองเห็นลูกแก้วความเป็นตายที่อยู่ในตัวหยั่งรู้ของหลัวซิว และรู้สึกราวกับว่าสามารถรับรู้ได้ถึงความลึกลับของความตายดั้งเดิมและพลังชีวิต
เดิมทีซูจิ้งหยุนเป็นผู้แข็งแกร่งในจักรพรรดิยุทธ์ที่ฝึกฝนพลังแห่งความตาย ตอนที่เขาเห็นลูกแก้วความเป็นตายนั้น เขาก็รู้ได้ทันทีว่านี่คือสมบัติล้ำค่ามากชิ้นหนึ่ง หากได้ครอบครองอนาคตของเขาจะต้องประสบความสำเร็จอย่างรุ่งเรือง
“ฮ่าๆ สวรรค์ไม่ลำเอียงกับข้าเกินไปนัก ถึงได้มอบโอกาสดีๆ อย่างนี้มาให้!”
ซูจิ้งหยุนหัวเราะร่าพลางยื่นมือออกไปหมายจะคว้าลูกแก้วความเป็นตายเอาไว้ เขาพบว่าจิตวิญญาณของจอมยุทธ์ชี่ไห่คนนี้ได้หลอมรวมเข้ากับลูกแก้วความเป็นตาย ขอแค่เอาลูกแก้วเม็ดนี้กลั่นแปร ไม่เพียงแต่จะได้สมบัติล้ำค่าเท่านั้น แต่ยังสามารถกลั่นแปรจิตวิญญาณของอีกฝ่ายได้และครอบครองร่างกายของตัวเอง
ทว่าในตอนนั้นเอง พลังที่ลูกแก้วความเป็นตายส่งออกมาได้แปรเปลี่ยนไป มือของซูจิ้งหยุนยังไม่ทันจะสัมผัสโดนลูกแก้วความเป็นตาย ลูกแก้วพลันแตกกระจายออกเป็นเสี่ยงแล้วหายไป
ต่อจากนั้นลูกแก้วความเป็นตายได้ส่งพลังดูดกลืนวิญญาณออกมา ดึงดูดเทพจิตของซูจิ้งหยุนเข้าไปในลูกแก้วความเป็นตาย
หลัวซิวอ้าปากค้างมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นาทีต่อมาจิตสำนึกของเขาก็ได้เข้าสู่โลกของลูกแก้วความเป็นตาย
เหนือศีรษะของเขาปรากฏทะเลจักรวาลดวงดารา ดาวแต่ละดวงที่ส่องประกายแสงนั่นก็คือจิตวิญญาณของคนหนึ่งคนที่อยู่ในจักรวาลแห่งนี้
วัฏจักรชีวิตโบราณได้ล่องลอยอยู่ในอากาศอย่างนี้มาตั้งแต่โบราณสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
จากการเปลี่ยนแปลงผู้สืบทอดของลูกแก้วความเป็นตายที่ผ่านมาหลายต่อหลายคน มีเพียงสิ่งนี้ที่สามารถควบคุมวัฏจักรชีวิตของสรรพสิ่งตลอดมาอย่างไม่เคยแปรเปลี่ยน
“ผู้สืบทอดตัวน้อย……”
เสียงเทพจิตวิญญาณในวัฏจักรชีวิตดังขึ้น ราวกับดังสะท้อนก้องอยู่ในจักรวาลดวงดาราที่กว้างใหญ่ไพศาลนี้
ครั้งที่แล้วที่มาที่นี่ หลัวซิวได้รับผังกฎดั้งเดิมที่เก้าของวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ รวมทั้งวิชาการฝึกฝนวิชาดาบเร็ว คนก่อนหน้าคือผู้สืบทอดความเป็นตายดั้งเดิมทุกคนจะได้รับคนต่อมาคือเขาที่บรรลุจอมยุทธ์ชี่ไห่และได้รับมอบผังกฎดั้งเดิมนี้
เทพแห่งวัฏจักรชีวิตเคยกล่าวเอาไว้ว่า รอให้เขาฝึกตนจนบรรลุจากแดนชี่ไห่เข้าสู่แดนพรสวรรค์ เขาถึงจะได้มาที่นี่เพื่อรับมอบผังกฎดั้งเดิมอีกครั้ง
แต่เขายังไม่ทันจะบรรลุเข้าสู่แดนพรสวรรค์เลย กลับได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง
คราวที่แล้วเป็นเพราะชีวิตของเขาได้รับการคุกคาม ส่วนคราวนี้เป็นเพราะว่าเขาเกือบถูกครองวิญญาณ
“ผู้สืบทอดตัวน้อยคงจะดีใจสินะ ผู้ที่จะครองวิญญาณของเจ้าเป็นเพียงจักรพรรดิยุทธ์เล็กๆ คนหนึ่งเท่านั้น แถมยังมีเทพจิตที่ผุพังอีกด้วย” เสียงของเทพแห่งวัฏจักรชีวิตดังขึ้นมาด้วยอารมณ์สงบนิ่ง
“หากผู้ที่จะครองวิญญาณของเจ้าเป็นผู้แข็งแกร่งในแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ เจ้าคงตายไปแล้ว วัฏจักรของความเป็นตายดั้งเดิมก็จะเลือกเจ้าของใหม่ด้วยตัวเอง เพื่อเลือกผู้สืบทอดคนต่อไป”
“เมื่อมีกฎความเป็นตายดั้งเดิมคุ้มครองอยู่ ครั้งแรกของการได้รับการคุกคามเอาชีวิต รวมทั้งครั้งแรกที่เจ้ากำลังจะถูกครองวิญญาณ ตามเจตจำนงเดิมของกฎดั้งเดิม ข้าจะช่วยเจ้าได้เพียงหนึ่งครั้ง หวังว่าเจ้าจะดูแลตัวเองให้ดีนะผู้สืบทอดตัวน้อย……”
เทพแห่งวัฏจักรชีวิตไม่ให้โอกาสหลัวซิวได้ทันพูดอะไร เมื่อเขาพูดจบแล้วก็รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ที่สัมผัสได้ จากนั้นสติของหลัวซิวก็กลับคืนมาแล้วเข้าสู่ร่างเดิมของตัวเอง
เมื่อหลัวซิวลืมตาขึ้นมา ก็เห็นลู่เมิ่งเหยากำลังมองมาที่ตัวเองด้วยสีหน้ากังวล
เมื่อนึกถึงตัวเองที่เกือบถูกครองวิญญาณ ความรู้สึกของเขาตอนนี้ก็ยังคงรู้สึกหวาดกลัวอยู่
ถ้าจะพูดให้ถูกนั่นเป็นเพราะพลังของเขานั้นอ่อนแอเกินไป หากไม่ได้ลูกแก้วความเป็นตายล่ะก็ จอมยุทธ์ชี่ไห่เล็กๆ อย่างเขาคงจะถูกซูจิ้งหยุนยึดครองวิญญาณไปแล้ว
จิตวิญญาณที่มีพลังงานสมบูรณ์ได้ลอยออกมาจากลูกแก้วความเป็นตาย จากนั้นจิตวิญญาณของหลัวซิวก็ได้ดูดรับเข้าไป เขารู้ว่านี่คือพลังที่อยู่ในเทพจิตอันผุพังของซูจิ้งหยุน
ส่วนสติสัมปชัญญะของเทพจิตที่จักรพรรดิยุทธ์ซูจิ้งหยุนแอบสะสมเอาไว้นั้น ก็ถูกกฎดั้งเดิมของลูกแก้วความเป็นตายกำจัดไปจนหมด
จะว่ากันตามจริงแล้วนี่ถือเป็นคราวซวยของซูจิ้งหยุน เทพแห่งวัฏจักรชีวิตยึดถือกฎดั้งเดิม ซึ่งนั่นก็คือจะคุ้มครองเมื่อผู้สืบทอดถูกครองวิญญาณครั้งแรกเท่านั้น และซูจิ้งหยุนบังเอิญเป็นคนแรกพอดี แสดงว่านี่คือคราวตายของเขาแล้ว
จากนั้นไม่นาน เมื่อหลัวซิวได้ดูดรับพลังแห่งจิตวิญญาณนี้เข้าไปแล้ว เขาก็ตื่นเต้นที่รู้ว่าตัวเองไม่ต้องใช้ดวงตาก็สามารถมองเห็นสิ่งรอบตัวที่อยู่ภายในระยะร้อยกว่าเมตรได้อย่างเลือนรางแล้ว
“นี่คือ…… พลังกระแสสัมผัสพลังวิญญาณ?” หลัวซิวแอบตื่นเต้น ตามที่เขารู้มามีเพียงจอมยุทธ์แดนพรสวรรค์เท่านั้นที่จะมีความสามารถใช้พลังกระแสสัมผัสพลังวิญญาณ
ส่วนจอมยุทธ์พรสวรรค์ที่พลังค่อนข้างอ่อนแอ ก็จะไม่มีความพร้อมที่จะมีความสามารถเช่นนี้
แต่เขาที่เป็นเพียงจอมยุทธ์ชี่ไห่ขั้น 6 กลับมีความสามารถขนาดนี้
แม้ว่าซูจิ้งหยุนจะตายแล้ว แต่พลังความตายที่ลอยคลุ้งอยู่ในหุบเขายังคงไม่สลายไป
“เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่นะ”
พลังความตายในหุบเขาแห่งนี้ถูกหลัวซิวดูดรับและกลั่นแปรไปจนหมด ดังนั้นเขาจึงวางแผนที่จะเข้าไปสำรวจดูในถ้ำสักหน่อย
และด้วยในถ้ำแห่งนี้เต็มไปด้วยพลังแห่งความตาย ลู่เมิ่งเหยาจึงไม่สามารถรับมือกับพลังงานเช่นนี้ได้ จึงต้องปล่อยให้เธอรออยู่ด้านนอกก่อน
########################
บทที่ 119 หุบเขากุ่ยอิน
ทุกวันนี้หลัวซิวคือที่พึ่งเดียวของเธอ
หลัวซิวใช้มือโอบลู่เมิ่งเหยาเอาไว้ เพื่อให้เธอเข้ามาใกล้ตัวเขามากขึ้น เช่นนี้แล้วเธอจะได้ไม่ถูกความเย็นยะเยือกปกคลุม
“ผมคิดว่า พวกเราคงเดินหลงเข้ามาในหุบเขากุ่ยอินแล้วล่ะ” หลัวซิวกล่าวเสียงเครียด
จากแผนที่คร่าวๆ ของเทือกเขากวนเหลยที่เขาได้รับมา เทือกเขากุ่ยอินเป็นพื้นที่ที่มีสัญลักษณ์สีแดงปรากฏ และสัญลักษณ์สีแดงในแผนที่นั้นหมายถึงพื้นที่อันตราย
“เทือกเขากุ่ยอิน?” สีหน้าของลู่เมิ่งเหยาเต็มไปด้วยความทุกข์ใจ
เทือกเขากวนเหลยตั้งอยู่ระหว่างพื้นที่ของเขตการปกครองหยุนหลงกับโตว้ไห่ และเป็นสถานที่ที่มีจอมยุทธ์ของทั้งสองเขตการปกครองมารวมตัวกันมากที่สุด
ณ เทือกเขากวนเหลยแห่งนี้มีพื้นที่อันตรายสองจุดด้วยกัน หุบเขากุ่ยอินคือหนึ่งในนั้น และเป็นสถานที่ที่จอมยุทธ์จากทั้งสองเขตการปกครองเพียงได้ยินชื่อก็ขนลุกซู่
ทั้งหุบเขานี้ปกคลุมทั่วไปด้วยหมอกสีดำ ที่เต็มไปด้วยพลังงานเห็นความตาย
จากการรับรู้ของลูกแก้วความเป็นตาย หลัวซิวจึงมุ่งหน้าเข้าไปในพื้นที่ลึกขึ้นของหุบเขากุ่ยอิน
“ตามผมมา”
หลัวซิวดึงมือของลู่เมิ่งเหยาเอาไว้ คนทั้งสองเดินไปตามการรับรู้ของลูกแก้วความเป็นตายด้วยความระมัดระวัง
ในเมื่อตอนนี้ยังหาทางออกไม่เจอ หลัวซิวจึงถือโอกาสนี้เดินเข้าไปในเทือกเขาอินกู่ลึกขึ้น ในหมอกสีดำนี้เต็มไปด้วยพลังความตาย สำหรับจอมยุทธ์คนอื่นนี่อาจทำให้พวกเขาถึงแก่ความตายได้เลย แต่สำหรับหลัวซิวที่ครอบครองลูกแก้วความเป็นตายเอาไว้นั้น กลับไม่ได้รับผลกระทบใดๆ
เมื่อเห็นว่าหลัวซิวลากตนเองเข้าไปยังพื้นที่ลึกขึ้นของหุบเขากุ่ยอิน ร่างของลู่เมิ่งเหยาก็ยิ่งหนาวสั่น แต่ว่าเธอเองก็รู้ดีว่าตอนนี้ยังไม่รู้ว่าทางออกอยู่ที่ใด จึงได้แต่เดินตามหลัวซิวไปติดๆ จนร่างกายของทั้งสองแทบจะแนบกันสนิท
“ฮี่ๆ ……”
เกิดเสียงหัวเราะชั่วร้ายดังออกมาจากพื้นที่ลึกเข้าไปของหุบเขา ราวกับว่าเสียงหัวเราะนี้ดังออกมาจากทุกทิศทุกทาง หมอกสีดำรอบตัวก็เริ่มเกิดแรงกระเพื่อมขึ้นมา พลังความตายอันหนาวยะเยือกก็ยิ่งเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ
“ตัวอะไรลับๆ ล่อๆ อยู่น่ะ” หลัวซิวตวาดออกไป
และในตอนนั้นเอง หมอกที่ลอยวนอยู่บริเวณรอบๆ กลับแปรเปลี่ยนเป็นหัวกะโหลกขนาดมหึมา แล้วอ้าปากปล่อยพลังดูดกลืนวิญญาณมวลใหญ่ออกมา
“อ้า……”
ลู่เมิ่งเหยาส่งเสียงหวาดผวา ข้อแรกเป็นเพราะเธอตกใจหัวกะโหลกสีดำขนาดมหึมาอันนั้น และอีกข้อหนึ่งคือพลังดูดกลืนวิญญาณนั้นแข็งแกร่งมาก หากโดนหัวกะโหลกนั้นดูดกลืนเข้าไป มีแต่เบื้องบนเท่านั้นที่จะรู้ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป
หลัวซิวชักกระบี่เงามืดออกมาแล้วปักลงพื้น ทว่าพลังดูดกลืนวิญญาณอันแข็งแกร่งนั้นยังคงลากตัวเขาเข้าไป กระบี่เงามืดที่ปักอยู่บนพื้นจนเกิดเป็นร่องก็ยังคงถูกดูดจนเคลื่อนที่เข้าใกล้หัวกะโหลกมากขึ้นเรื่อยๆ
หากเป็นเช่นนี้ต่อไปจะต้องถูกหัวกะโหลกอันนี้ดูดกลืนเข้าไปอย่างแน่นอน เพียงแต่จะเป็นเมื่อไหร่ก็เท่านั้น
ตอนนี้ในหัวของหลัวซิวจึงปรากฏภาพผังกฎดั้งเดิมภาพแรกขึ้น จุดตันเถียนชี่ไห่ของวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพกำลังหมุนวนอย่างรวดเร็วในนาทีนี้
“ตราแห่งความเป็นตาย!”
หลัวซิวใช้นิ้วบีบเอาไว้แน่น พลังความเป็นตายสีขาวสลับดำปะทุออกมา บริเวณหน้าอกของเขาเกิดภาพเสมือนวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพกระจุกหมุนวนอยู่
ภาพวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพเคลื่อนที่พุ่งไปข้างหน้าตามมือของหลัวซิวที่ผลักออกไป และเข้าไปปะทะกับหัวกะโหลกที่หลอมรวมมาจากหมอกสีดำนั้น
ตู้ม!
หลังจากเกิดเสียงดังสนั่น หัวกะโหลกสีดำขนาดมหึมาอันนั้นพลันแตกระเบิดแหลกละเอียด พลังความเป็นตายเย็นเยียบพุ่งเข้าใส่หลัวซิวอย่างต่อเนื่อง และยังเข้าไปในร่างกายของเขาด้วย
พลังงานทั้งหมดนี้ถูกลูกแก้วความเป็นตายดูดกลืนเข้าไปจนหมด จากนั้นจึงพ่นทั้งพลังความเป็นและความตายออกมาหมุนวนอยู่ในเส้นลมปราณและกระจายทั่วทั้งร่างกาย
ฉึก……
ราวกับภายในร่างกายมีโซ่ตรวนถูกปลดล็อกออก ร่างกายของหลัวซิวลอยขึ้นสูง การฝึกตนของเขาพลันบรรลุถึงขั้นชี่ไห่ขั้น 6
“อย่างนี้นี่เอง”
สายตาของหลัวซิวเปล่งประกายวิบไหว เขาค้นพบว่าหมอกสีดำที่ปะทุออกมาจากหุบเขานี้มีพลังแห่งความตายอยู่ เขาอาศัยลูกแก้วความเป็นตายดูดรับเข้าไปแล้วกลั่นแปรเอามาใช้กับตนเพื่อช่วยในการฝึกตนได้
ของที่ช่วยในการยกระดับการฝึกตนนี้ดีกว่าการดูดกลืนพลังฟ้าดินเข้าไปหลายเท่านัก ไม่เช่นนั้นแล้วการฝึกตนของเขาคงไม่บรรลุชี่ไห่ขั้น 6 ได้รวดเร็วขนาดนี้
“พลังความเป็นตาย? แค่จอมยุทธ์ชี่ไห่ธรรมดาคนหนึ่งแท้ๆ ถึงขั้นสามารถควบคุมพลังความเป็นตายได้เลยรึ” มีเสียงประหลาดใจดังสะท้อนออกมาจากด้านลึกสุดของหุบเขา
“พวกเล่นตุกติก!” มุมปากของหลัวซิวปรากฏรอยยิ้มเย็น จากนั้นจึงพาลู่เมิ่งเหยามุ่งหน้าลึกเข้าไปในหุบเขา
พลังแห่งความตายเป็นสิ่งน่ากลัวสำหรับจอมยุทธ์คนอื่น แต่สำหรับเขาแล้วกลับเป็นของบำรุง เมื่อเขากำราบสิ่งที่ซ่อนตัวอยู่ในหุบเขากุ่ยอินได้ หลัวซิวจึงไม่มีความจำเป็นต้องกลัวอะไรอีก
วงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพหมุนวนอย่างรวดเร็วในจุดตันเถียนชี่ไห่ ในสถานที่ที่หลัวซิวเคลื่อนกายผ่านไป หมอกสีดำได้แทรกซึมเข้าไปในร่างกายของเขาเรื่อยๆ ทำให้การฝึกตนของเขายกระดับจากชี่ไห่ขั้น 6 ช่วงต้นเป็นชี่ไห่ขั้น 6 ช่วงกลาง และยังคงกำลังยกระดับเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ
ผ่านไปพักใหญ่ หลัวซิวก็เข้าไปอยู่ในส่วนลึกของหุบเขาและเห็นถ้ำแห่งหนึ่ง พลังแห่งความตายที่ลอยปกคลุมอยู่บนหุบเขาแห่งนี้มีต้นกำเนิดมาจากถ้ำนี้นั่นเอง
หลัวซิวไม่ฝืนบุกเข้าไปในถ้ำแห่งนี้ แต่กลับนั่งคุกเข่าลงบนพื้นแล้วใช้พลังงานทั้งหมดโคจรวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ
ผังกฎดั้งเดิมที่เก้าของวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ ในความเป็นจริงแล้วมีความมหัศจรรย์ของวิชายุทธ์แฝงอยู่ในนั้น หลัวซิวตระหนักถึงความมหัศจรรย์นั้นจึงรวมเข้ากับพลังหยางบริสุทธิ์จนเป็นหนึ่ง
อันที่จริงวรยุทธ์อย่างพลังหยางบริสุทธิ์นั้น สิ่งที่ฝึกฝนคือปราณหยางบริสุทธิ์ แต่เป็นเพราะลูกแก้วความเป็นตายของหลัวซิว การโคจรดั้งเดิมของพลังหยางบริสุทธิ์เมื่อถูกเปลี่ยนเส้นทางแล้ว สิ่งที่ฝึกฝนออกมาได้จึงกลายเป็นปราณเป็นตาย 2 ระดับ
ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า อันที่จริงแล้ววรยุทธ์ที่หลัวซิวฝึกฝนนั้นไม่ใช่พลังหยางบริสุทธิ์อีกแล้ว
เมื่อมีการโคจรของวรยุทธ์ หมอกสีดำบนหุบเขาแห่งนี้จึงเคลื่อนที่รวมเข้าสู่หลัวซิวอย่างบ้าคลั่ง รอบกายของเขาจึงปกคลุมไปด้วยหมอกสีดำ
ลู่เมิ่งเหยาไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็พบว่าตัวเองไม่ได้ถูกไอเย็นยะเยือกโจมตีอีกแล้ว จึงมั่นใจว่าหลัวซิวจะต้องวางแผนอะไรบางอย่างไว้แน่ๆ ดังนั้นจึงยืนคอยคุ้มกันอยู่ข้างกายเขา แล้วมองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง
ภายในชั่วระยะเวลาสั้นๆ หมอกสีดำในหุบเขาก็ถูกหลัวซิวดูดรับเข้าไปจนเริ่มเบาบางลง
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงดังเข้ามาในหูของหลัวซิวว่า “หยุดเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องดูดรับเข้าไปอีกแล้ว”
หลัวซิวแค่นหัวเราะ เขาไม่ใส่ใจสิ่งที่ได้ยิน จากนั้นจึงดูดหมอกดำบนหุบเขาแห่งนี้ไปจนหมด หมอกโดยส่วนมากจะถูกลูกแก้วความเป็นตายดูดรับลงไป มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ถูกลูกแก้วความเป็นตายแปรเปลี่ยนกลายเป็นปราณเป็นตาย 2 ระดับ และทำให้การฝึกตนของเขายกระดับไปถึงชี่ไห่ขั้น 7
หลัวซิวยังคงไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น เขายังโคจรวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ พลังแห่งความตายที่สมบูรณ์มากกว่าหมอกสีดำก็ได้ฟุ้งกระจายออกมาจากถ้ำ และโดนหลัวซิวดูดกลืนเข้าไปในช่วงระยะเวลาสั้นๆ
“หนุ่มน้อย อย่าลงมือเกินไปนักเลย หากแกยังคิดจะออกไปจากที่นี่ ฉันแนะนำให้แกหยุดได้แล้ว”
เสียงที่ดังลอดออกมาจากถ้ำมีเจตนาที่จะข่มขู่ชัดเจน “หุบเขาแห่งนี้ ฉันได้ใช้ค่ายกลปิดตายเอาไว้แล้ว ส่วนแกเป็นแค่จอมยุทธ์ชี่ไห่ ต่อให้ผู้ที่อยู่ในแดนราชายุทธ์ หากไม่มีนักค่ายกลขั้น 6 คอยช่วยเหลือก็อย่าหวังเลยว่าจะออกจากที่นี่ไปได้”
“แล้วทำไมข้าต้องเชื่อคำพูดแกด้วยล่ะ เจ้าจะปล่อยข้าออกไปง่ายๆ เชียวรึ” หลัวซิวยิ้มแค่นยิ้ม
“เฮอะ ข้าซูจิ้งหยุนเป็นจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งไม่มีความจำเป็นอะไรต้องหลอกจอมยุทธ์ชี่ไห่ตัวเล็กๆ” น้ำเสียงแข็งกระด้างดังก้องออกมาจากภายในถ้ำ
“จักรพรรดิยุทธ์?” หลัวซิวหรี่ตา ในการแบ่งแดนฝึกตนของโลกยุทธ์ ลำดับต่อจากราชายุทธ์ นั่นก็คือจักรพรรดิยุทธ์
เขตการปกครองหยุนหลงอันกว้างใหญ่ไม่มีจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งสักคน สำนักเซียวเหยาที่มีอำนาจล้นฟ้าก็ยังมีเพียงราชายุทธ์ที่นั่งบัลลังก์เท่านั้น
อำนาจของเขตการปกครองโตว้ไห่ยิ่งใหญ่กว่าเขตการปกครองหยุนหลง แต่ตามที่หลัวซิวเคยรู้มา ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดยังเป็นเพียงราชายุทธ์ขั้น 7 เท่านั้น
สำหรับจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งนั้น ว่ากันว่ามีเพียงแผ่นดินแปดเมืองของประเทศเทียนหวู รวมทั้งเมืองของประเทศเทียนหวูเท่านั้นที่มี
########################
บทที่ 118 รอดชีวิต
แน่นอนว่าหลัวซิวไม่มีทางปล่อยให้ซงซานเอ้อร์สงมีโอกาสใช้วิชาประสานโจมตีอีก เขาเคลื่อนกายไปปรากฏตรงหน้าของทั้งสอง กระบี่เงามืดที่ส่องประกายราวสายฟ้าสีดำแทงแหวกอากาศออกไป
หากไม่ได้ใช้วิชาประสานโจมตีเข้ามาช่วย พลังของซงซานเอ้อร์สงก็ไม่ต่างอะไรกับจอมยุทธ์พรสวรรค์ขั้น 1 ธรรมดาทั่วไปที่ไม่ได้มีความโดดเด่นอะไรมากนัก
ดังนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับวิชาดาบเร็วที่รวดเร็วมากของหลัวซิว พวกเขาจึงรับมือไม่อยู่
“ฉึก! ฉึก!……”
โลหิตพุ่งกระชูดออกเป็นสาย ร่างของซงซานเอ้อร์สงล้มลงไปนอนเป็นศพกองอยู่บนพื้น
เยี่ยนชิวที่ขี่ม้าคอขนเขาเดียวอยู่ไม่ไกลนักยืนเหม่อมองเหตุการณ์ตรงหน้า วิชาประสานโจมตีของซงซานเอ้อร์สงที่สามารถจัดการจอมยุทธ์พรสวรรค์ขั้น 4 ได้กลับถูกจอมยุทธ์ชี่ไห่ธรรมดาคนหนึ่งสังหาร
“แก……แกเป็นใครกันแน่” แม้ว่าเขาจะเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยตัวเอง แต่เยี่ยนชิวก็ยังมองหลัวซิวอย่างไม่อยากจะเชื่อ จอมยุทธ์ชี่ไห่คนหนึ่งจะมีพลังที่กล้าแกร่งขนาดนี้ได้อย่างไร นี่มันผิดธรรมชาติ
“ไปถามยมบาลที่ยมโลกสิ!”
หลัวซิวเสียงแข็ง ตอนนี้ความอาฆาตแค้นของเขาแผ่ซ่าน เขาแสดงวิชาเงาเศษสิบช่อง กระบี่เงามืดในมือของเขาสั่นไหว กระบี่ส่องประกายออกมาราวกับรุ้งสีดำ
ปฏิกิริยาแรกของเยี่ยนชิวนั่นคือตั้งท่าจะควบม้าคอขนเขาเดียวหนีไป ทว่าเขายังไม่ทันจะได้ขยับตัว กระบี่เงามืดก็พุ่งเข้ามาเสียบที่คอของเขาเสียแล้ว
เยี่ยนชิวอ้าปากกว้าง ดวงตาของเขาถลึงออกมา โลหิตไหลซิบออกมาจากมุมปาก เขาไม่อยากยอมแพ้ คุณชายตระกูลเยี่ยนที่ยิ่งใหญ่เช่นเขาจะมาตายง่ายๆ แบบนี้ได้อย่างไร
ไม่ว่าจะเป็นตอนที่อยู่ที่นอกเขตการปกครองหยุนหลงหรือว่าตอนอยู่ที่เทือกเขากวนเหลยก็ตาม ลู่เมิ่งเหยาล้วนเคยเห็นหลัวซิวฆ่าคนมาก่อน ดังนั้นจึงไม่รู้สึกอะไรเมื่อเห็นหลัวซิวลงมือสังหารเยี่ยนชิวและพวกต่อหน้าต่อตาเช่นนี้
ตอนที่หลัวซิววางเธอลงจากบนหลัง ตอนนั้นเธอถึงจะตระหนักได้ว่าหลัวซิวได้ฆ่าจอมยุทธ์พรสวรรค์ไปแล้วสองคน ทั้งๆ ที่ยังแบกเธอเอาไว้บนหลัง
เมื่อถูกวางลงกะทันหัน ลู่เมิ่งเหยาจึงแอบรู้สึกว่าตัวเองสูญเสียการควบคุมตัว
หลัวซิวไม่ได้กล่าวอะไร และไม่รู้ด้วยว่าตอนนี้ลู่เมิ่งเหยากำลังคิดอะไรอยู่ เขาเก็บสมบัติของศพทั้งสามร่างด้วยความชำนาญ แล้วจึงจะหันไปกล่าวกับลู่เมิ่งเหยาว่า “ได้匹ม้าคอขนเขาเดียวตัวนี้มา พวกเราจึงจำเป็นต้องหนีจากที่นี่ไปให้เร็วที่สุด”
การที่เยี่ยนชิวกล้ากลั่นแกล้งรังแกทั้งหญิงชายในเมืองโจ๋วซิงเช่นนี้ แสดงว่าที่มาที่ไปของเขาจะต้องธรรมดาอย่างแน่นอน ผู้มีอำนาจที่อยู่เบื้องหลังของเขาจะต้องออกคำสั่งสังหารตนอย่างแน่นอน
“พวกเราจะไปที่ไหนคะ” ตั้งแต่เดินทางมาจากเขตการปกครองหยุนหลง ลู่เมิ่งเหยาไม่เคยแสดงความเห็นใดๆ ไม่ว่าจะไปที่ไหนและมุ่งหน้าไปทางใดล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของหลัวซิวทั้งสิ้น
“เทือกเขากวนเหลย” หลัวซิวชี้ไปยังทิวเขาที่ถูกหมอกปกคลุมจนเห็นลางๆ อยู่ในที่ไกลๆ ลูกนั้น
เพิ่งจะออกมาจากเทือกเขากวนเหลยแท้ๆ แต่ต้องมุ่งหน้ากลับไปอีก หลัวซิวเองก็รู้สึกเซ็งเช่นกัน
เขากระโดดพาร่างของตัวเองขึ้นไปนั่งบนหลังม้าคอขนเขาเดียว หลัวซิวยื่นมือให้ลู่เมิ่งเหยาแล้วดึงเธอขึ้นมา
“ไป!”
ม้าคอขนเขาเดียวมีนิสัยอ่อนโยน เมื่อถูกหลัวซิวใช้เท้ากระทุ้งที่ท้อง มันก็วิ่งทะยานไปยังทิศทางของเทือกเขากวนเหลย
ไม่นานนัก ท่านหลิวผู้อาวุโสเคราขาวจึงปรากฏตัวขึ้น และเห็นศพสามร่างนอนจมอยู่ในกองเลือด
“เป็นวิชากระบี่ที่เฉียบขาดนัก”
ท่านหลิวสังเกตร่องรอยการต่อสู้ที่ปรากฏอยู่ในบริเวณนั้น เมื่อเห็นบาดแผลที่อยู่บนร่างของศพ สีหน้าของเขาจึงเคร่งขรึมขึ้น
ขนาดเขาเป็นจอมยุทธ์พรสวรรค์ขั้น 4 ยังไม่แน่ใจในตัวเองเลยว่าหากต้องปะทะกับซงซานเอ้อร์สงจะสามารถรับมือพวกเขาได้หรือไม่
เดิมทีท่านหลิววางแผนเอาไว้ว่าจะแอบซ่อนตัวบนถนนเส้นที่มุ่งหน้ากลับเข้าเมืองโจ๋วซิงที่เขาจะต้องผ่านแน่ๆ และจะแอบซุ่มโจมตีเพื่อชิงป้ายบัญชาการเหลยหวู่ตอนที่เยี่ยนชิวและซงซานเอ้อร์สงเดินทางกลับ
แต่เขาไม่คิดเลยว่า เยี่ยนชิวและซงซานเอ้อร์สงนอกจากจะไม่สามารถแย่งป้ายบัญชาการเหลยหวู่กลับมาได้ยังโดนฆ่าตายอีก
“หรือว่าจะมียอดฝีมือปรากฏตัวขึ้น แล้วช่วยพวกเขาไป หรือว่าชายหญิงคู่นี้ข้างกายจะมียอดฝีมือคอยคุ้มกันอยู่” ท่านหลิวขมวดคิ้วพลางครุ่นคิด เขาไม่มีทางเชื่อเด็ดขาดว่านี่จะเป็นฝีมือของจอมยุทธ์ชี่ไห่เพียงคนเดียว
“หนีไปที่เทือกเขากวนเหลยงั้นหรือ” ท่านหลิวแกะร่องรอยของม้าคอขนเขาเดียว แล้วมองไปยังเทือกเขากวนเหลย
ท่านหลิวหยิบกล่องส่งเสียงออกมาแล้วรายงานเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นที่นี่กับตระกูลต้วนที่อยู่เมืองโจว๋ซิง
เยี่ยนชิวเป็นลูกคนเดียวของตระกูลเยี่ยน เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น เมืองโจ๋วซิงจะต้องเกิดความโกลาหลใหญ่โตแน่นอน
ตระกูลเยี่ยนทราบข่าวภายในเวลาอันรวดเร็ว เมื่อเจ้าตระกูลอย่างเยี่ยนหยวนรู้ก็โกรธมาก จึงได้ออกประกาศจับไปทั่วเมือง ในเวลาเดียวกันก็ส่งยอดฝีมือจำนวนมากไปที่เทือกเขากวนเหลยเพื่อสังหารฆาตกร
ตระกูลเยี่ยนและตระกูลต้วนก็ส่งกำลังคนออกมาเช่นกัน เพราะทั้งสองตระกูลต่างรู้ดีว่าอีกฝ่ายหนึ่งครอบครองป้ายบัญชาการเหลยหวู่เอาไว้
ไม่ว่าตระกูลใดก็ตามที่ได้รับป้ายบัญชาการนี้มา ก็จะได้รับผลประโยชน์มากมายไม่รู้จบ
หากไม่สามารถแย่งมาได้สำเร็จ แล้วปล่อยให้อีกฝ่ายที่ครอบครองป้ายบัญชาการเหลยหวู่กลายเป็นศิษย์ใจกลางของสำนักเหลยหวู่ หรือนำป้ายบัญชาการไปขอให้สำนักเหลยหวู่กำจัดตระกูลเยี่ยนหรือตระกูลต้วนนั่นจะกลายเป็นความหายนะ
ดังนั้นไม่ว่าจะอย่างไร พวกเขาต้องจับหนุ่มสาวคู่นั้นมาให้ได้
เทือกเขากวนเหลยกว้างใหญ่ไพศาล กำลังที่ตระกูลเยี่ยนกับตระกูลต้วนส่งออกมาก็ไม่น้อย แต่หากต้องการหาคนทั้งสองให้เจอในผืนป่ารกชัฏและแผ่อาณาเขตกว้างขวางขนาดนี้กลับไม่ต่างอะไรจากการงมเข็มในมหาสมุทร
หลัวซิวคิดไว้แล้วว่าจะต้องเป็นเช่นนี้ ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะหนีเข้ามาในเทือกเขากวนเหลย
หลังจากพระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว หลัวซิวกับลู่เมิ่งเหยาก็เดินทางเข้าไปในหุบเขาแห่งหนึ่ง
ในหุบเขานี้เป็นพื้นที่ที่มีต้นไม้ใบหญ้าขึ้นสมบูรณ์ แต่เงียบสงัดไร้ซุ่มเสียง จากกระแสสัมผัสของหลัวซิว นอกจากต้นไม้ใบหญ้าพวกนี้แล้ว เขาก็ไม่พบพลังงานอื่นใด และไม่พบสิ่งมีชีวิตอื่นใดด้วย
“พวกเราออกไปจากที่นี่กันเถอะ”
ความแปลกประหลาดของหุบเขานี้ทำให้หลัวซิวเกิดความรู้สึกระแวง ปฏิกิริยาของเขาคือรรีบจูงมือลู่เมิ่งเหยาออกไปจากที่นี่
ทว่าในตอนนั้นเอง ทางเข้าออกหุบเขากลับปรากฏหมอกสีดำลอยคลุ้งขึ้นมา ความหนาวยะเยือกที่กระจายไปทั่วทำให้หลัวซิวรู้สึกหนาวสะท้าน
และลู่เมิ่งเหยาที่มีร่างกายบอบบางอยู่แล้วพลันตัวสั่นระริกขึ้นมา ใบหน้าของเธอขาวซีด
“นี่มัน……เกิดเรื่องอะไรขึ้น” แววตาของลู่เมิ่งเหยาปรากฏความหวาดกลัวขึ้นมา และนี่เป็นความกลัวที่เกิดจากความไม่รู้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น
หลัวซิวเริ่มรู้สึกได้ว่าลูกแก้วความเป็นตายกำลังสั่นเบาๆ เมื่อความเย็นยะเยือกเคลื่อนตัวปกคลุมเข้ามาใกล้ ก็ถูกลูกแก้วความเป็นตายดูดรับเข้าไป ความหนาวสะท้านพลันมลายหายไปเป็นปลิดทิ้ง
ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ นั้น หุบเขาแห่งนั้นถูกหมอกสีดำปกคลุมไปทั่วจนมองไม่เห็นทางเข้าออก ราวกับนี่เป็นค่ายกลขนาดใหญ่ที่ขังเขากับลู่เมิ่งเหยาเอาไว้ในนี้
เมื่อความเย็นเยียบถาโถมเข้าใส่ ทำเอาริมฝีปากของลู่เมิ่งเหยาเปลี่ยนเป็นสีเขียว ตัวของเธอแข็งทื่อ ความหนาวเย็นนี้แม้ว่าจะโคจรปราณแท้แล้ว แต่ก็ไม่สามารถทุเลามันลงหรือก่อให้เกิดประโยชน์อะไรใดๆ ขึ้นมา
เมื่อเห็นลู่เมิ่งเหยาทรุดลงกับพื้น หลัวซิวก็รีบพยุงเธอขึ้นมา ตอนนั้นจึงสัมผัสได้ว่าในร่างกายของเธอเต็มไปด้วยความหนาวยะเยือกนี้ แต่ตอนที่คนทั้งสองสัมผัสโดนตัวกัน ลูกแก้วความเป็นตายในตัวของหลัวซิวก็ได้ดูดมันออกไปจนหมด
ลู่เมิ่งเหยาที่เกือบจะหมดสติไปแล้วเมื่อได้สติกลับคืนมาก็คว้าตัวหลัวซิวไว้ด้วยความกลัวและไม่กล้าที่จะปล่อยมือเขาอีก “หลัวซิว ที่นี่มันที่ไหนกันแน่”
ตั้งแต่เกิดความเปลี่ยนแปลงในสำนักเซียวเหยา พ่อของเธอได้รับบาดเจ็บหนักและสิ้นชีพไปจากสงครามเจ้าสำนัก หลังจากนั้นเหตุการณ์ที่เธอต้องเผชิญล้วนเต็มไปด้วยความน่าหวาดกลัว ทำให้เธอไม่รู้สึกถึงความปลอดภัยอีก
########################
บทที่ 117 วิชาประสานโจมตี
“องครักษ์ จับตัวพวกมันสองคนเอาไว้!”
ซงซานเอ้อร์สงตะโกนไปยังองครักษ์ที่ยืนไกลๆ อยู่ตรงประตูเมือง
แน่นอนว่าองครักษ์ประจำประตูเมืองย่อมรู้จักผู้ดูแลที่ได้รับบรรณานาการมาของตระกูลเยี่ยน ทุกคนจึงชักกระบี่ออกมาจากฝักแล้วขวางประตูเมืองเอาไว้
ในเวลาเดียวกันยังมีคนอีกสองคนเริ่มทำหน้าที่ปิดประตูเมือง เมื่อประตูเมืองถูกปิดลงก็เท่ากับพวกเขาจนตรอกไร้หนทางหลีกหนีอย่างแท้จริง
บริเวณประตูเมืองที่มีคนจำนวนมากสัญจรเข้าออก ตอนนั้นพลันเกิดความอลหม่านขึ้น ทุกคนต่างพากันถอยหลังไปหลบข้างๆ เพราะกลัวว่าตนเองจะโดนลูกหลงไปด้วย
สีหน้าของหลัวซิวยังคงไม่แปรเปลี่ยน แต่ลู่เมิ่งเหยากลับมีสีหน้ากังวล
ทันใดนั้นเอง หลัวซิวก็เริ่มออกแรงบีบมือของลู่เมิ่งเหยาแรงขึ้น แล้วยกเธอขึ้นไปแบกไว้ด้านหลัง
ก้อนเนื้อนุ่มนิ่มตรงหน้าอกเบียดเข้ากับหลังของหลัวซิว ทำให้ลู่เมิ่งเหยารู้สึกเจ็บจนขมวดคิ้ว จากนั้นเธอจึงรับรู้ได้ถึงเสียงลมดังหวีดหวิวเข้ามาในหูของเธอ
หลัวซิวใช้ความเร็วเต็มที่ เขาเคลื่อนผ่านสถานที่รอบกายด้วยเงาเศษแปดสายเพื่อมุ่งหน้าไปยังประตูเมือง
องครักษ์ที่อยู่ตรงประตูส่วนใหญ่จะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่บรรลุถึงระดับการกลั่นร่าง และผู้ที่เป็นหัวหน้าองครักษ์ก็เป็นเพียงผู้ฝึกตนถึงชี่ไห่ขั้นสามเท่านั้น
แน่นอนว่าผู้ที่มีพลังในระดับนี้ไม่สามารถขัดขวางหลัวซิวได้แน่
“กริ๊ง!”
ทุกครั้งที่กระบี่เงามืดแหวกว่ายไปในอากาศ เสียงคมมีดจะดังก้องและตามมาด้วยโลหิตสาดกระเซ็น
เขารู้ความจริงที่ว่าการที่จะอยู่บนโลกใบนี้ให้รอดได้ ห้ามใจอ่อนกับศัตรูอย่างเด็ดขาด ต้องลงมืออย่างโหดเหี้ยม ไร้ปราณีและเด็ดเดี่ยว
วิชาเงาเศษสิบช่องของแดนบรรลุผลยังไม่มีทีท่าจะช้าลง ความเร็วของหลัวซิวทะยานเพิ่มขึ้น องครักษ์ที่กำลังจะปิดประตูเมืองยังไม่ทันจะรู้ตัวก็ถูกกระบี่เงามืดฟันเข้าที่ลำคอเสียแล้ว
“ชั่วช้า แกกล้าสังหารองครักษ์ของเมืองเชียวรึ!”
เกิดเสียงเท้าของสัตว์ดังขึ้น หลัวซิวเหลียวหลังไปมองจึงเห็นว่าเยี่ยนซิวกำลังขี่ม้าคอขนเขาเดียวไล่กวดมา
ม้าคอขนเขาเดียวเป็นอสูรระดับ 3 ที่มีฝีเท้ารวดเร็ว ความเร็วที่เพิ่มขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ แม้ว่าจะสู้หลัวซิวไม่ได้ แต่มีความอึดกว่ามากนัก ไม่เหมือนกับหลัวซิวที่ใช้วิชาท่าร่างในการเคลื่อนที่ทำให้สูญเสียปราณแท้ไปอย่างมาก
“ขึ้นม้า!”
เมื่อเห็นว่าซงซานเอ้อร์สงไม่สามารถตามหลัวซิวทัน เยี่ยนชิวจึงรีบแผดเสียงออกคำสั่งให้ยอดฝีมือพรสวรรค์ทั้งสองคนนี้ขึ้นมานั่งด้วยกัน
ม้าคอขนเขาเดียวมีแผ่นหลังกว้าง ดังนั้นต่อให้คนทั้งสามขึ้นมานั่งพร้อมๆ กันก็ยังไม่เบียด แถมยังไม่ส่งผลต่อความเร็วของมันอีกด้วย
รูปร่างของเมืองโจว๋ซิงที่อยู่ด้านหลังของเขาเริ่มเล็กลงและรางเลือนลงเรื่อยๆ
หลังจากผ่านไปสองชั่วยาม หลัวซิวจึงหยุดแล้วหันหน้ากลับไปมองคนทั้งสามที่ขี่ม้าคอขนเขาเดียว
หลังจากวิ่งหนีมาสองชั่วยาม ก็ได้เดินทางมาถึงทุ่งหญ้ารกร้างกว้างใหญ่ จากกระแสสัมผัสพลังชีวิตของหลัวซิวแล้วเขาไม่พบว่ามีอะไรตามมาด้านหลัง
ลำพังเพียงจอมยุทธ์แดนพรสวรรค์ขั้น 1 สองคน หลัวซิวไม่มีทางกลัว ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลอะไรต้องหนีอีก
ส่วนจอมยุทธ์ชี่ไห่ระดับหกอย่างเยี่ยนชิว ก็ไม่ได้อยู่ในสายตาของหลัวซิวเช่นกัน
“ซานซงเอ้อร์สง พวกแกช่วยฉันจัดการไอ้หมอนั่นที” เยี่ยนชิวแสยะยิ้มออกมา
ซงซานเอ้อร์สงไม่กล่าวอะไร แม้ว่าจะเป็นจอมยุทธ์พรสวรรค์ แต่เมื่อต้องรับมือกับจอมยุทธ์ชี่ไห่ คนทั้งสองก็ต้องร่วมมือกัน
นี่เป็นความเคยชินที่ถูกฝึกฝนมามากกว่า 10 ปี และความเคยชินนี้ได้กลายเป็นหนึ่งเดียวกันไปแล้ว พวกเขาที่อยู่ในพรสวรรค์ขั้น 1 เมื่อร่วมมือกันสามารถฆ่าจอมยุทธ์แดนพรสวรรค์ขั้น 3 ไปได้หลายคนแล้ว บางครั้งยังสามารถจัดการยอดฝีมือขั้น 4 ได้อีกด้วย
ทั้งสองดึงกระบี่ออกมาจากฝัก ผู้หนึ่งฟันไปที่แขนของหลัวซิว อีกผู้หนึ่งฟันไปที่ขาของหลัวซิว เห็นได้ชัดว่าพวกเขาทำตามคำสั่งของเยี่ยนชิวโดยเลือกที่จะจัดการแขนขาของเขาก่อน
หลัวซิวสัมผัสได้ถึงความเป็นหนึ่งเดียวของซงซานเอ้อร์สง และตอนนี้เขาได้ถูกปิดกั้นเอาไว้ทุกทางหนี แม้ว่าวิชาท่าร่างจะยอดเยี่ยมมากเพียงใด ก็ยากที่จะรับมือการร่วมมือกันเช่นนี้ได้
“วิชากระบี่พรากชีวี!”
หลัวซิวขับเคลื่อนปราณแท้ กระบี่เงามืดเรืองเพลิงมรณะ ออกมา จากนั้นจึงเริ่มร่ายรำวิชากระบี่แสงเหนือขั้นที่สอง ไม่ว่าจะเป็นกำลังหรือความเร็วในการโจมตีล้วนเหนือกว่าวิชากระบี่สะท้อนแสงขั้นที่หนึ่ง
สีหน้าของซงซานเอ้อร์สงยังคงไร้อารมณ์ใด พวกเขามั่นใจในการประสานโจมตีของตัวเองมากๆ อย่าว่าแต่จอมยุทธ์ชี่ไห่เลย แม้แต่จอมยุทธ์พรสวรรค์ก็ยังสู้พวกเขาไม่ได้
แต่เมื่อหลัวซิวร่ายรำกระบี่ในมือของตัวเองแล้ว ดวงตาของพวกเขาทั้งสองพลันเบิกกว้าง แววตาฉาบไปด้วยความพรั่นพรึง
“ฟึ่บ! ฟึ่บ!”
เสียงดังสะท้อนกังวาน เกิดประกายแสงพุ่งสว่างวาบ แรงอาฆาตแค้นเย็นยะเยือกถ่ายทอดจากกระบี่มายังร่าง ทำให้พวกเขารู้สึกว่าพลังชีวิตของตัวเองกำลังถูกดูดกลืนเข้าไปเรื่อยๆ
“กระบี่ว่องไวนัก และมีพลังงานที่น่าประหลาด”
สีหน้าของซงซานเอ้อร์สงเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว พวกเขาทั้งสองใช้กระบี่โจมตีเข้าไปพร้อมๆ กัน แต่อีกฝ่ายกลับสามารถป้องกันเอาไว้ได้ เห็นได้ชัดว่าเขามีความว่องไวมากเสียจนทำให้กระบี่ของคนทั้งสองกระเด็นออกมาพร้อมๆ กัน
วิชายุทธ์บนโลกใบนี้ ความเร็วถือเป็นสิ่งที่ยากจะรับมือ ดาบเร็วทำให้คนหวาดหวั่น สำหรับซงซานเอ้อร์สงที่ถนัดในการประสานโจมตีนั้นกลับไม่เป็นปัญหาอะไร
แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขากังวลนั่นก็คือ พลังงานประหลาดที่ถ่ายทอดจากกระบี่มาที่ร่างกายของพวกเขา ทำให้แขนของพวกเขาที่ถือกระบี่เอาไว้ได้รับแรงกระทบจนรู้สึกชา
พวกเขาทั้งสองคนไม่รู้ว่า พลังเพลิงมรณะที่แผ่ออกมาจากการสัมผัสโดนกระบี่นั้น ได้ทำลายลายเส้นชีวิตของมือข้างที่พวกเขาถือกระบี่ไปแล้ว และเป็นเพราะหลัวซิวยังฝึกตนอยู่ในระดับที่ไม่สูงมากนัก พลังงานที่แผ่ออกมาจึงยังไม่แข็งแกร่ง มิเช่นนั้นแล้วการโจมตีเพียงครั้งเดียวจะสามารถทำลายแขนของพวกเขาได้ในทันที
หากเทียบกับจอมยุทธ์ยอดฝีมือในแดนพรสวรรค์แล้ว ไม่ว่าจะเป็นทักษะยุทธ์หรือวิชาท่าร่างของหลัวซิวล้วนแข็งแกร่งกว่าจอมยุทธ์พรสวรรค์อยู่หนึ่งขั้น
ความโดดเด่นของจอมยุทธ์พรสวรรค์อยู่ที่ปราณแท้พรสวรรค์ของพลัง Attr ที่แข็งแกร่ง และบังเอิญว่าเพลิงมรณะของหลัวซิวสามารถชดเชยจุดนี้ได้ และนี่เองคือสาเหตุที่ทำให้เขากับจอมยุทธ์พรสวรรค์สามารถทัดทานกันได้เมื่อต้องเผชิญหน้ากัน
แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงจอมยุทธ์ชี่ไห่ขั้น 5 แต่โดยภาพรวมแล้วเขาอยู่ในระดับของแดนพรสวรรค์ขั้น 4 แล้ว
ซงซารเอ้อร์สงสบตากัน ไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ยคำใดพวกเขาทั้งสองต่างเข้าใจความหมายของอีกฝ่ายได้ทันที พลังงานสีดำแปลกประหลาดทำให้เขาเกิดความหวาดหวั่น ดังนั้นพวกเขาจึงวางแผนกันว่าจะใช้วิธีการประสานโจมตีเพื่อกำราบให้สำเร็จ
“มังกรคู่ชิงหยุน!”
ร่างของซงซานเอ้อร์สงปรากฏลำแสงสีเขียวส่องแสงวิบไหว ปราณแท้ในพลัง Attr คือปราณแท้ธาตุไม้พรสวรรค์
มือข้างหนึ่งของพวกเขาถือกระบี่ อีกด้านส่งพลังตราประทับ ปราณแท้บนเรือนร่างส่องสว่างรวมเข้าด้วยกัน
“โฮ่!”
ราวกับเกิดเสียงมังกรคำรามแว่วดังขึ้น ซงซานเอ้อร์สงหยิบกระบี่ของตัวเองออกมา กระบี่ฟาดฟันจนเกิดแสงรวมเป็นหนึ่ง และบังเกิดเป็นภาพรูปร่างราวกับมังกรสีเขียว ที่ร้องคำรามแล้วพุ่งทะยานไปยังหลัวซิว
พลังการโจมตีครั้งนี้เทียบเท่ากับพลังทั้งหมดของจอมยุทธ์พรสวรรค์ขั้น 4
หลัวซิวหยิบยันต์หยกสีเหลืองออกมาจากแหวนเก็บของแล้วออกแรงบีบจนแตก ม่านสำแสงได้ปกคลุมไปทั่วร่างกายของเขา
ยันต์หยกคือสมบัติล้ำค่าของนักค่ายกล และชิ้นที่หลัวซิวกำลังใช้อยู่นั้นคือเกราะป้องกันสามชั้นยันต์หยกที่หลอมมาจากหยกเหลือง
“วิชากระบี่แสงเหนือ!”
และในเวลาเดียวกันนั้น หลัวซิวก็ได้ใช้กระบวนท่า 3 ที่แข็งแกร่งที่สุดของวิชากระบี่แสงเหนือ
วิชากระบี่แสงเหนือคือวิชายุทธ์ระดับ 5 แต่หลัวซิวยังไม่ได้ฝึกถึงแดนบริบูรณ์ ดังนั้นกระบวนท่ากระบี่แสงเหนือนี้จึงยังไม่เต็มรูปแบบ
แต่ถึงกระนั้น พลังกระบวนท่าของวิชากระบี่แสงเหนือก็ยังร้ายกาจกว่าวิชากระบี่สะท้อนแสงและกระบี่พรากชีวีมากนัก
เกิดเสียงดังฉึก ปราณแท้พรสวรรค์ที่ก่อตัวรวมเป็นภาพมังกรเขียวลวงตาถูกกระบี่เงามืดฟันจนลำแสงสีเขียวระเบิดประสานซ่านเซ็น แต่หลัวซิวได้เกราะป้องกันม่านแสงของตนเป็นเกราะป้องกันเอาไว้
ซงซานเอ้อร์สงถลึงตาค้าง อ้าปากหวอ พวกเขาไม่คิดเลยว่าจอมยุทธ์ชี่ไห่คนหนึ่งจะสามารถรับมือวิชาประสานโจมตีได้เช่นนี้
บทที่ 116 ป้ายบัญชาการเหลยหวู่
ราคาของแผนที่โดยคร่าวในเมืองโจว๋ซิงคือหินพลังจิตชั้นล่าง 2 ก้อน หลังจากที่หลัวซิวเข้าเมืองมาแล้วจึงซื้อมาฉบับหนึ่ง ตามรายละเอียดที่ระบุไว้บนแผนที่ หลัวซิวจะยังไม่ไปที่องค์กรนักล่ายุทธ์ แต่จะพาลู่เมิ่งเหยาไปยังฐานที่ตั้งของสำนักเหลยหวู่ก่อน
สำนักเหลยหวู่ถือว่าเป็นสำนักที่มีอำนาจมากในเขตการปกครองโตว้ไห่แห่งนี้ ในเมืองโจว๋ซิงที่มีเจริญรุ่งเรืองแห่งนี้ก็มีฐานที่ตั้งอยู่เช่นกัน
ทว่าหลัวซิวกับลู่เมิ่งเหยายังไม่ทันจะเดินไปถึงฐานที่ตั้งของสำนักเหลยหวู่ ก็มีชายหนุ่มสวมชุดสีแดงเพลิงคนหนึ่งออกมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าของคนทั้งสองแล้วขวางทางเอาไว้ ใบหน้าของหนุ่มชุดแดงคนนี้โอหังวางโต ด้านหลังของเขายังมีผู้ติดตามที่พกอาวุธมาด้วยอีกสองคน
“พวกแกสองคนเพิ่งมาถึงเมืองโจว๋ซิงใช่ไหม” หนุ่มชุดแดงเอ่ยถามขึ้น ทว่าสายตาของเขาจับต้องไปที่ลู่เมิ่งเหยาอยู่ตลอดเวลา
หลัวซิวขมวดคิ้ว เขาสัมผัสได้ว่าหนุ่มชุดแดงคนนี้มาด้วยเจตนาไม่ดี แต่ตอนนี้เขาเพิ่งมาถึงเมืองโจว๋ซิงจึงไม่อยากก่อเรื่องให้วุ่นวาย
ทว่าหลัวซิวยังไม่ทันเอ่ยปากพูด หนุ่มชุดแดงก็เบนสายตามาที่เขาแล้วกล่าวอย่างเรียบง่ายว่า “ผู้หญิงที่ติดตามมากับแกคนนี้ไม่เลวเลยนะ ต่อไปให้เธอมาอยู่กับฉันก็แล้วกัน”
สีหน้าของหลัวซิวเปลี่ยนไป เขาไม่คิดว่าหนุ่มชุดแดงจะเป็นอันตพาลแบบนี้ ท่าทางของเขาโอหังวางโต เชิดหน้าสูงมองฟ้า ชัดเจนว่าเขาจะต้องเป็นบุคคลใหญ่โตของกลุ่มอำนาจกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งในเมืองโจว๋ซิงอย่างแน่นอน ถึงไม่เห็นหัวใครทั้งนั้น
เขาเหลือบมองลู่เมิ่งเหยา จึงเห็นว่าเธอกำลังส่ายหน้าด้วยความสับสน การที่ต้องเจอกับเหตุการณ์แบบนี้ตั้งแต่เขามาเยือนเขตการปกครองโตว้ไห่ทำให้เธอหวาดกลัว
ลู่เมิ่งเหยายืนอยู่ข้างหลังหลัวซิว มือน้อยๆ ของเธอจับชายเสื้อของเขาไว้แน่น เธอรู้ตัวดีว่าตัวเองคือคนที่ไร้ที่พึ่ง ดังนั้นที่พึ่งเดียวที่เธอมีก็คือหลัวซิว
หนุ่มชุดแดงขมวดคิ้ว “ที่เมืองโจว๋ซิงแห่งนี้ ไม่เคยมีใครกล้าปฏิเสธเยี่ยนชิวมาก่อน”
ระหว่างที่เขากล่าว ผู้ติดตามมาด้านหลังทั้งสองคนก็เริ่มแสดงท่าทีข่มขู่คุกคามออกมา
หลัวซิวพยายามสงบความโกรธของตัวเองเอาไว้ เขารู้ดีว่าบนผืนแผ่นดินนี้มักจะใช้กำลังพูดคุยกัน อีกฝ่ายไม่เห็นจอมยุทธ์ชี่ไห่ตัวเล็กๆ อย่างเขาอยู่ในสายตาอยู่แล้ว
แต่หนุ่มชุดแดงคนนี้ทั้งโอหังและดูถูกคนอื่น
สำหรับหลัวซิวแล้ว การฝึกตนของหนุ่มชุดแดงคนนี้ไม่มีอะไรน่ากังวล ก็แค่จอมยุทธ์ชี่ไห่ชั้น 6 คนหนึ่งเท่านั้น แต่คนทั้งสองที่ติดตามมาข้างหลังนั้นกลับไม่ธรรมดาเพราะเป็นถึงจอมยุทธ์แดนพรสวรรค์ขั้น 1
“หึๆ สาวคนนี้หน้าตาไม่เลวเลย มิน่าเยี่ยนชิวถึงชอบ”
ในตอนนั้นเอง มีเสียงหัวเราะของสาวน้อยชุดเขียวดังขึ้น ด้านหลังของเธอมีผู้อาวุโสเคราขาวติดตามมา
สาวชุดเขียวอายุยังไม่มากนัก ทว่าฝึกตนถึงจอมยุทธ์ชี่ไห่ขั้น 7 แล้ว การฝึกตนของผู้อาวุโสเคราขาวผู้นั้นยิ่งสูงกว่าเพราะบรรลุถึงแดนพรสวรรค์ขั้น 4 แล้ว
“สาวตระกูลต้วนคิดจะทำลายแผนการของฉันอีกแล้วหรือ” หนุ่มชุดแดงที่มีนามว่าเยี่ยนชิวเอ่ยด้วยใบหน้าเย็นเฉียบ
สาวชุดเขียวแซ่ต้วนหัวเราะเสียงแข็ง “ใครๆ เขาก็รู้กันทั่วว่าคนชื่อเยี่ยนชิวเอาแต่เที่ยวรังแก เด็ก คนแก่และก็ผู้หญิงเท่านั้น แถมยังได้ยินมาว่าแกฝึกพลังเก็บหยิน อยู่อีก ในเวลาเพียงครึ่งเดือนนี้มีผู้หญิงโดนแกข่มเหงไปแล้วสิบกว่าคน หากอาศัยแค่พรสวรรค์ง่อยๆ ของแกอย่างเดียว จะฝึกได้ถึงชี่ไห่ขั้น 6 เชียวหรือ”
เมื่อได้ยินคำพูดของสาวชุดเขียวคนนี้ สีหน้าของเยี่ยนชิวก็ยิ่งโกรธเกรี้ยว คนทั้งสองเริ่มทำสงครามน้ำลายกันกลางถนน
หากฟังจากบทสนทนาที่ทั้งสองกำลังถกเถียงกันอยู่นั้น หลัวซิวพอจะสรุปได้ว่าหนุ่มชุดแดงเยี่ยนชิวผู้นี้อันที่จริงแล้วค่อนข้างกลัวสาวชุดเขียวอยู่ไม่น้อย
ส่วนเรื่องพลังเก็บหยิน หลัวซิวพอได้ยินมาบ้าง เป็นวิชามารที่ใช้หยินมาเสริมหยาง เป็นวรยุทธ์ระดับ 6 สูงสุด จึงไม่ได้ต้องการคนที่มีคุณสมบัติอย่างหลัวซิว เพียงแค่ต้องใช้สตรีมาช่วยเสริมให้เพียงพอ การฝึกตนจะยิ่งพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็ว
ในขณะเดียวกันหลัวซิวก็เริ่มสังเกตได้ว่าบริเวณรอบๆ ไม่มีใครสนใจมุงดูเหตุการณ์นี้ มีเพียงคนที่มองมาด้วยความสงสัยเท่านั้น แต่ก็มองมาด้วยความระมัดระวังแล้วรีบเดินหนีไปอย่างไม่อยากเข้ามาข้องเกี่ยว
จากจุดนี้แสดงให้เห็นว่าสถานะของคนทั้งสองในเมืองโจว๋ซิงแห่งนี้ไม่ธรรมดา
“ต้วนหงเอ๋อร์ วันนี้ฉันจองผู้หญิงคนนี้แล้ว อย่าคิดว่าตระกูลต้วนของเธอมีสำนักเหลยหวู่หนุนหลังอยู่แล้วจะไม่เห็นหัวคนอย่างฉันอยู่ในสายตานะ” เยี่ยนชิวกล่าวพลางชี้ไปที่ลู่เมิ่งเหยาที่อยู่ด้านหลังหลัวซิว
ตระกูลต้วน? สำนักเหลยหวู่?
เมื่อได้ยินเยี่ยนชิวกล่าวออกมาเช่นนี้ หลัวซิวจึงนึกถึงเป้าหมายของการมาเยือนที่เขตการปกครองโตว้ไห่ออก นั่นก็คือพาลู่เมิ่งเหยาไปส่งที่สำนักเหลยหวู่
ตามที่เขารู้ ก่อนที่ลู่เฟยเฉินจะตายได้ทิ้งของแทนใจไว้ให้ลู่เมิ่งเหยา เพียงใช้ของแทนใจนี้ก็จะสามารถเข้าสำนักเหลยหวู่ได้
ลู่เมิ่งเหยาเองก็เป็นคนเฉลียวฉลาด แน่นอนว่าเธอย่อมเข้าใจสถานการณ์ตอนนี้ เธอจึงรีบหยิบป้ายบัญชาการที่มีตัวอักษรคำว่าเหลยหวู่ออกมา
“ป้ายบัญชาการเหลยหวู่?”
เมื่อเห็นป้ายบัญชาการในมือลู่เมิ่งเหยา ไม่ว่าจะเป็นต้วนหงเอ๋อร์ หรือว่าเยี่ยนชิว ต่างร้องออกมาด้วยความตกใจ
จากสีหน้าท่าทางของคนทั้งสองก็พอจะเดาได้ว่า ป้ายบัญชาการเหลยหวู่ชิ้นนี้ไม่ใช่ของธรรมดา
“น้องหญิง ไม่ทราบว่าได้ป้ายบัญชาการนี้มาจากไหน” ต้วนหงเอ๋อร์ก้าวออกมาพลางเอ่ยถาม ดวงตาของเธอจ้องไปที่ป้ายบัญชาการในมือของลู่เมิ่งเหยา
“พ่อของฉันทิ้งไว้ให้” ลู่เมิ่งเหยาตอบตามความจริง
“เธอยกป้ายบัญชาการนี้ให้ฉันได้ไหม แลกกับอะไรก็ได้ตามที่เธอต้องการ” ต้วนหงเอ๋อร์เสนอออกมา
เมื่อต้วนหงเอ๋อร์กล่าวออกมาเช่นนี้ หลัวซิวจึงมั่นใจได้ในทันทีว่าป้ายบัญชาการชิ้นนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ เสียแล้ว
ลู่เมิ่งเหยาไม่ต้องรอให้เขาบอกก็ตระหนักประเด็นนี้ได้ อีกอย่างป้ายบัญชาการอันนี้ยังเป็นป้ายที่พ่อทิ้งไว้ให้เธอ เธอย่อมไม่ยอมยกให้ใคร
“ขอโทษด้วย ของที่พ่อทิ้งเอาไว้ให้ฉัน ฉันไม่สามารถยกให้เธอได้” ลู่เมิ่งเหยากล่าวปฏิเสธ
“ฮ่าๆ ป้ายบัญชาการสำนักเหลยหวู่ต้องเป็นของฉัน!”
เยี่ยนชิวที่อยู่อีกด้านหนึ่งหัวเราะเสียงดังออกมา สายตาของเขาจ้องไปที่ป้ายบัญชาการเหลยหวู่ที่อยู่ในมือลู่เมิ่งเหยา
“ซงซานเอ้อร์สง ไปเอาป้ายบัญชาการเหลยหวู่มาให้ได้ ฉันต้องการทั้งป้ายบัญชาการและผู้หญิงคนนี้”
“ครับ!”
ผู้ติดตามทั้งสองของเยี่ยนชิวกล่าวรับพร้อมกัน หนึ่งในนั้นยื่นมือออกไปหมายจะแย่งป้ายบัญชาการมาจากลู่เมิ่งเหยา
“คุณหนู จะให้ฉันไปแย่งป้ายบัญชาการนั้นมาด้วยไหม” ผู้อาวุโสที่อยู่ตามหลังต้วนหงเอ๋อร์กล่าวขึ้นมา
สายตาของต้วนหงเอ๋อร์เป็นประกาย เธอรู้ดีว่าป้ายบัญชาการเหลยหวู่จะทำให้ผู้ที่ครอบครองกลายเป็นศิษย์ใจกลางของสำนักเหลยหวู่ แม้ว่าตระกูลต้วนของเธอจะมีอำนาจในเมืองโจว๋ซิงแห่งนี้ แต่ก็เป็นได้เพียงผู้ติดตามนอกสำนักเหลยหวู่เท่านั้น
“ฟึ่บ!”
หลัวซิวเริ่มลงมือ กระบี่เงามืดเรืองแสงกระบี่สีดำออกมา
ซงซานเอ้อร์สงก็ดึงมีดออกมาเช่นกัน จากนั้นจึงได้ยินเสียงกระบี่กระทบกันจนเกิดดวงไฟกระเด็นออกมาเมื่อกระบี่ฟาดฟันใส่กัน
หลัวซิวหาโอกาสถอยหนี พร้อมดึงลู่เมิ่งเหยาไปด้วย เขาวิ่งหนีโดยมุ่งหน้าไปยังด้านนอกประตูเมือง
เขาคิดว่าการเดินทางไปยังองค์กรนักล่ายุทธ์เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด คนพวกนี้ไม่มีทางกล้าลงมือในองค์กร แต่จากตำแหน่งตอนนี้ยังห่างไกลอยู่มากนัก
เขาไม่สนใจซงซานเอ้อร์สงที่ฝึกตนในแดนพรสวรรค์ขั้น 1 แต่ผู้อาวุโสที่อยู่ในแดนพรสวรรค์ขั้น 4 ที่ติดตามต้วนหงเอ๋อร์มาต่างหากที่ทำให้เขากลัว
ทั้งสองฝ่ายลงมือกันกลางแจ้ง ถนนสายนั้นจึงชุลมุนวุ่นวายขึ้นมา คนสัญจรไปมาต่างพากันวิ่งหาที่หลบเพราะกลัวว่าตัวเองจะพลอยเดือดร้อนไปด้วย
“ท่านหลิว” ต้วนหงเอ๋อร์หันไปส่งสายตาให้ผู้อาวุโสเคราขาวที่อยู่ข้างกาย
ท่านหลิวพยักหน้าแล้วหายตัวอย่างรวดเร็วเข้าไปในฝูงชน
เยี่ยนชิวเองก็สังเกตเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ริมฝีปากของเขาปรากฏรอยยิ้มเย็น แม้ว่าซงซานเอ้อร์สงจะอยู่ในแดนพรสวรรค์ขั้น 1 แต่ชำนาญการต่อสู้แบบประสานโจมตี ผู้ที่มีพรสวรรค์ช่วงกลางลงไปไม่นับว่าเป็นคู่แข่งของพวกเขา
บนถนนใหญ่ของเมืองโจว๋ชิง หลัวซิวพาลู่เมิ่งเหยาวิ่งทะยานหนีออกไปด้วยความเร็ว โดยมีซงซานเอ้อร์สงตามมาในระยะที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
เป็นเพราะเขาต้องพาลู่เมิ่งเหยาหนีไปด้วย ทำให้ไม่สามารถใช้ความเร็วอย่างเต็มที่ของตัวเองได้
########################
บทที่ 115 บรรลุค่ายกล
เป็นไปตามคำกล่าวที่ว่า “ปลากับอุ้งตีนหมีไม่ใช่สิ่งที่จะได้มาพร้อมกันง่ายๆ” หากต้องการประสบความสำเร็จในโลกยุทธ์ก็ไม่สามารถปันเวลาไปศึกษาค่ายกล การกลั่นยาและการหลอมอาวุธได้
จอมยุทธ์ที่ตั้งใจศึกษาค่ายกล การกลั่นยาและการหลอมอาวุธนั้น จะมีความก้าวหน้าในโลกยุทธ์ช้ากว่า
แต่ก็แน่นอนว่ายังมีบุคคลที่มีความสามารถสูงเป็นพิเศษบางคน ที่ศึกษาทั้งสองอย่างไปพร้อมๆ กันและประสบความสำเร็จอย่างมาก
หลัวซิวหยิบตำราความรู้ค่ายกลเล่มนั้นขึ้นมา ในความเป็นจริงแล้ว เขาไม่ได้วางแผนที่จะเดินทางสายค่ายกล แต่ต้องการที่จะมีความเข้าใจในค่ายกลมากขึ้นก็เท่านั้น
เขารู้ตัวว่าวันข้างหน้าเขาจะต้องออกไปฝึกฝนอยู่ในโลกภายนอก จึงอยากศึกษาความรู้ที่เกี่ยวข้องกับค่ายกลเพิ่มขึ้น หากวันหนึ่งต้องเจอกับจอมยุทธ์ที่เลือกฝึกฝนค่ายกล เขาจะได้ไม่โง่เขลาเสียจนเกินไป
บริเวณชายแดนเทือกเขากวนเหลย ด้วยความระแวดระวังของหลัวซิวทำให้เขาไม่ประสบกับอันตรายใดๆ และด้วยระยะทางที่เข้าใกล้เขตการปกครองโตว้ไห่มากขึ้นเรื่อยๆ หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะรู้ว่าทั้งสองกำลังจะต้องจากกัน ลู่เมิ่งเหยาจึงยิ่งพูดน้อยลงเรื่อยๆ และเวลาส่วนใหญ่ก็เอาแต่นิ่งเงียบ
ตอนที่หลัวซิวศึกษาตำราค่ายกลอยู่นั้น เธอมักจะเหม่อลอยมองเขา ส่วนตัวหลัวซิวเองกลับไม่รู้ตัว
ตอนนี้หลัวซิวไม่รู้ความคิดของลู่เมิ่งเหยา ในขณะที่เขาเริ่มอ่านตำราค่ายกลนั้น เขาก็ถูกความรู้ต่างๆ ในการใช้ค่ายกลดึงดูดเข้าไปอย่างไม่รู้ตัว
ค่ายกลถือเป็นวิชายุทธ์ที่โดดเด่นแขนงหนึ่ง จอมยุทธ์ต้องใช้อุปกรณ์มากมายในการสร้างธงค่าย แกะสลักลายค่ายและสัญลักษณ์ เพื่อดึงดูดพลังฟ้าดินมาใช้ได้ตามวัตถุประสงค์ตามที่ตนต้องการ
ระหว่างขั้นตอนเหล่านี้ วงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพในจุดตันเถียนก็หมุนวนอย่างรวดเร็วขึ้นมาเอง ภาพผังกฎดั้งเดิมภาพแรกก็ยิ่งปรากฏในความคิดแจ่มชัดขึ้น สัญลักษณ์รูปร่างแปลกประหลาดและลายเส้นแต่ละเส้นในผังกฎก็เป็นส่วนหนึ่งของความน่ามหัศจรรย์ของค่ายกลอย่างไม่นึกฝัน
ไม่เพียงเท่านี้ ลูกแก้วความเป็นตายที่ผนึกรวมเข้ากับจิตวิญญาณเป็นหนึ่ง ก็ส่งพลังลึกลับบางอย่างที่ยากจะอธิบายเป็นคำพูด ทำให้เขารู้สึกว่าความลึกลับซับซ้อนต่างๆ ของค่ายกลนั้นอันที่จริงเป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก
หลัวซิวอ่านตำราค่ายกลนี้จนจบภายในสามวัน หลัวซิวเข้าใจในภาพรวมทั้งหมดของทฤษฎีค่ายกลตั้งแต่ขั้นหนึ่งถึงขั้นสามที่อธิบายเอาไว้ และนี่เองที่ทำให้เขายิ่งรู้สึกว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ
แต่หลัวซิวก็ตระหนักบางอย่างขึ้นมา เขาไม่เชื่อว่าความเข้าใจของตัวเองจะเฉียบขาดเช่นนั้น แต่จะต้องเป็นผลมาจากลูกแก้วความเป็นตายอย่างแน่นอน
ลูกแก้วความเป็นตายเป็นส่วนหนึ่งของกฎธรรมฟ้าดินดั้งเดิม สิ่งที่เรียกว่าดั้งเดิมนั้นมีทุกอย่างรวมอยู่อย่างสมบูรณ์ ทุกสรรพสิ่งล้วนพัฒนามาจากกฎดั้งเดิม ค่ายกลเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
ในทางทฤษฎี ตอนนี้หลัวซิวจัดอยู่ในกลุ่มอาจารย์นักค่ายกลขั้น 3 แต่อย่างไรก็ตาม เขายังไม่เคยได้ลองใช้งานจริง เขาจึงไม่อาจยืนยันได้
การจะสร้างค่ายกลต้องอาศัยธงค่ายมาช่วย นักค่ายกลจำนวนมากที่ใช้ธงค่ายก็ต้องไปขอให้นักหลอมอาวุธช่วยสร้างให้ หลังจากนั้นอาจารย์นักค่ายกลจะแกะสลักสัญลักษณ์ลายค่าย เอาไว้ด้านบน นั่นถึงจะถือว่าเป็นการสร้างค่ายกลที่มีพลังยิ่งใหญ่ได้สำเร็จ
หลัวซิวไม่มีธงค่ายไว้ในครอบครอง แม้ว่าเขาจะรู้สึกข้องใจอยู่บ้าง แต่ก็ไร้หนทางที่จะทดสอบได้ว่าตนเองนั้นสามารถสร้างค่ายกลขั้น 3 ได้หรือไม่
เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก หลัวซิวกับลู่เมิ่งเหยาอยู่ที่เทือกเขากวนเหลยมาเป็นเวลาครึ่งเดือนแล้ว
ในช่วงเวลานี้หลัวซิวเก็บเกี่ยวประสบการณ์ไปได้หลายสิ่งหลายอย่าง โดยเฉพาะความเข้าใจที่มีต่อเส้นทางของค่ายกล ทำให้เขาเข้าใจปัญหาที่เมื่อก่อนไม่เข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้ง
การฝึกตนของเขาก็ก้าวหน้าขึ้นตามลำดับ ใช้เวลาไม่นานนักก็สามารถบรรลุชี่ไห่ระดับ 6 อีกทั้งยังสามารถยกระดับแดนวิชายุทธ์ได้อย่างรวดเร็ว วิชาดาบเร็วก็สามารถผ่านแดนสำเร็จน้อยเข้าสู่แดนบรรลุผลได้แล้ว
วิชาท่าร่างเงาเศษสิบช่องก็สามารถพัฒนาเป็นเงาเศษ 8 สาย ทำให้เพิ่มความรวดเร็วขึ้น
เวลาผ่านไปอย่างเงียบสงบ ลู่เมิ่งเหยาเองก็ไม่ได้ผ่อนปรณการฝึกตนของตัวเอง เธอฝึกตนจนบรรลุชี่ไห่ระดับ 6 ได้ก่อนหลัวซิวเสียอีก
และนี่เองที่ทำให้หลัวซิวตระหนักได้ว่าพรสวรรค์การฝึกตนของตัวเองไม่ได้โดดเด่นเหนือคนอื่น อย่างน้อยๆ พรสวรรค์ของลู่เมิ่งเหยาก็ยังดีกว่าเขา การที่เขาประสบความสำเร็จได้อย่างทุกวันนี้ ทั้งหมดเป็นผลมาจากลูกแก้วความเป็นตาย
“ผมได้ครอบครองสมบัติอย่างลูกแก้วความเป็นตาย หากผมยังไม่สามารถสร้างคุณูปการในโลกยุทธ์ได้ นั่นไม่เท่ากับทำให้โชคชะตาที่มีต้องเสียเปล่าไปหรอกหรือ”
หลัวซิวมีความมั่นใจในเส้นทางโชคชะตาของตัวเองมาก
ในแผ่นดินที่กว้างใหญ่นี้ ผู้นำที่มีความโดดเด่นจำนวนมากต่างพยายามเดินทางเข้าสู่เส้นทางโลกยุทธ์ขั้นสูง เขาได้ยินเรื่องเล่าชีวประวัติของผู้แข็งแกร่งจำนวนมากมาตั้งแต่เด็ก เขาเองก็มีความปรารถนาที่จะกลายเป็นผู้แข็งแกร่งแบบนั้นตั้งแต่อายุสิบสี่แล้วเช่นกัน
เวลาผ่านไปยี่สิบกว่าวัน หลัวซิวได้พาลู่เมิ่งเหยาเดินทางผ่านเทือกเขากวนเหลยเข้าสู่เขตการปกครองโตว้ไห่
ระหว่างเขตการปกครองหยุนหลงกับเขตการปกครองโตว้ไห่ มีแผ่นดินอัตรายของเทือกเขากวนเหลยคั่นกลางอยู่ และคล้ายว่าจะไม่เคยมีจอมยุทธ์ชี่ไห่คนใดเคยเดินผ่านพื้นที่ตรงนี้ไปได้
แม้ว่าจะเดินอ้อมรอบนอกเทือกเขากวนเหลยก็ตาม แต่ก็มักจะมีอสูรระดับ 3 ปรากฏตัวออกมาบ่อยๆ และบางครั้งอาจมีอสูรระดับ 4 ที่มีพลังเทียบเท่ากับปรมาจารย์ฝึกจิตโผล่ออกมาด้วย
หลัวซิวเองก็อาศัยกระแสสัมผัสพลังชีวิต เป็นตัวช่วย เขาจึงรู้สถานที่ซ่อนตัวของอสูรตัวใหญ่ๆ และหลีกเลี่ยงอันตรายมาได้หลายต่อหลายครั้ง
ในช่วงเวลาครั้งเดือนที่ผ่านมานี้ หลัวซิวได้กำจัดอสูรกายระดับ 2 มาแล้วหลายตัว และยังมีอสูรกายระดับ 3 ทั่วไปอีกจำนวนหนึ่ง ในแหวนเก็บของของเขาจึงมีสิ่งของมากมายที่เก็บมาได้จากร่างของอสูรกาย
เมืองโจว๋ซิงของเขตการปกครองโตว้ไห่ ตั้งอยู่บริเวณใกล้เคียงกับเทือกเขากวนเหลย จึงเป็นสถานที่ที่จอมยุทธ์ที่เดินทางฝึกตนแวะเวียนมาบ่อยๆ
เมื่อจอมยุทธ์ได้ผ่านการฝึกตน โดยเผชิญอันตรายจากเทือกเขากวนเหลยแล้ว หลังจากที่เก็บสมบัติมาได้เป็นจำนวนมากก็มักจะนำมาขายที่เมืองโจ๋วซิงเพื่อแลกกับทรัพยากรอื่นๆ ที่ช่วยในการฝึกตนที่ตัวเองต้องการ
ณ ทางเข้าออกเมืองโจ๋วซิงมีชายหญิงคู่หนึ่งเดินทางมาถึง ผู้ชายสวมชุดนักยุทธ์แนบเนื้อสีดำ สะพายกระบี่ยุทธ์ไว้เล่มหนึ่ง ใบหน้าคมคาย ดวงตาสีดำขลับ สีหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ใด
ส่วนผู้หญิงเป็นสตรีที่งดงาม ใบหน้าได้รูป แววตาเป็นประกายราวน้ำค้างในฤดูใบไม้ผลิแต่ยังคงเคลือบไว้ด้วยความเศร้าบางๆ
หญิงชายที่เดินทางมาถึงเมืองโจ๋วซิงคู่นี้ คือหลัวซิวกับลู่เมิ่งเหยานั่นเอง
ค่าใช้จ่ายในการเข้าเมืองคือหินพลังจิตชั้นล่างหนึ่งก้อน ซึ่งไม่เป็นปัญหาอะไรเลยสำหรับจอมยุทธ์ชี่ไห่
เมืองโจ๋วซิงเป็นเมืองที่เจริญมาก แม้ว่าเนื้อที่อาจจะสู้เขตการปกครองหยุนหลงไม่ได้ แต่ในด้านของสิ่งแวดล้อมรอบตัวที่เต็มไปด้วยการเข่นฆ่ากันในโลกยุทธ์ และความวุ่นวายโกลาหลนั้นยังห่างไกลกับเขตการปกครองหยุนหลงมาก
ตามข้อมูลที่หลัวซิวเคยรู้มา ประเทศเทียนหวูมีเขตการปกครองทั้งสิ้น 13 เขตและเมืองอีก 8 เมือง และในเขตการปกครองทั้ง 13 เขตนี้ ชื่อชั้นของเขตการปกครองหยุนหลงไม่เจริญเท่าเขตการปกครองโตว๋ไห่ เนื่องจากถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 12 และเขตการปกครองโตว๋ไห่ถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 7
หากเทียบกับสำนักเซียวเหยาที่แข็งแกร่งเพียงสำนักเดียวในเขตการปกครองหยุนหลงแล้ว ในด้านอื่นๆ ของเขตการปกครองโตว้ไห่ซับซ้อนกว่าในทุกๆ ด้าน
“ข้อมูลของเทือกเขากวนเหลยแบบละเอียดเลยจ้า……”
เมื่อเดินเข้าไปในเมืองแล้ว ก็ได้ยินพ่อค้าแม่ค้าตะโกนขายแผนที่แบบต่างๆ รวมทั้งข้อมูลทรัพย์สมบัติ ในจำนวนนี้มีทั้งของจริงและของปลอม แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้เกี่ยวข้องกับเทือกเขากวนเหลยทั้งสิ้น
นอกจากนี้ยังมีของที่เกี่ยวกับเขตการปกครองโตว้ไห่ การแนะนำกลุ่มการปกครองของเมืองโจว๋ซิง รวมทั้งแผนที่คร่าวๆ
สำหรับจอมยุทธ์จำนวนมากที่มาฝึกตนที่เทือกเขากวนเหลยนี้ แผนที่เป็นสิ่งของที่จำเป็นอย่างไม่ต้องสงสัย แผนที่สักฉบับจึงถือเป็นสิ่งของที่หาค่าไม่ได้ การที่หลัวซิวมีอยู่ในครอบครองของตัวเองได้เพราะได้มาจากองค์กรนักล่ายุทธ์
ยิ่งพื้นที่ที่กว้างขวางและอันตรายมากเท่าไหร่ การที่จะวาดแผนที่ออกมาได้ยิ่งเป็นเรื่องยากมากเท่านั้น ในองค์กรนักล่ายุทธ์มีเพียงสมาชิกที่มีพรสวรรค์สูงเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์ได้ครอบครองแผนที่ของพื้นที่สักเขตหนึ่ง
########################
บทที่ 114 ความรู้ค่ายกล
ในมือของหลัวซิวยังคงถือกระบี่เปื้อนเลือดเอาไว้ เขารีบไล่ตามมาโดยยังไม่ได้เช็ดเลือดที่เปื้อนมุมปากออก เสื้อผ้าของเขาขาดวิ่น สภาพตอนนี้ดูสะบักสะบอม
“ฮ่าๆ มีทางดีๆ ให้เดินตั้งหลายทาง แต่แกกลับเลือกเดินเข้ามาในประตูนรกซะเอง!”
เมื่อเถียนกวงโหย่วเห็นหลัวซิว เขาก็เงยหน้าหัวเราะร่า แล้วกล่าวด้วยสีหน้าอำมหิต “ส่งผลโหวหยางมาซะดีๆ แล้วฉันจะไม่ทำลายซากศพแกทิ้ง”
เขาเป็นจอมยุทธ์ชี่ไห่ระดับเจ็ด เขาจึงไม่เห็นจอมยุทธ์ชี่ไห่ระดับห้าอยู่ในสายตา
การที่เถียนกวงโหย่วไม่มีสมองไม่ได้หมายความว่า จางไห่เฟยกับเหมียวเฟยเฟยจะโง่ตามเขาไปด้วย
จางไห่เฟยเห็นกระบี่เปื้อนเลือดที่อยู่ในมือของหลัวซิวก็เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่างขึ้น
“อยากได้ผลโหวหยางรึ ได้สิ”
หลัวซิวอมยิ้มพลางกล่าวอีกว่า “แต่ต้องแลกด้วยชีวิตของแก”
ตอนที่ได้ยินครึ่งประโยคแรก เถียนกวงโหย่วกำลังจะกล่าวชมออกไปว่าเขาเป็นเด็กที่ว่าง่ายดีมาก แต่เมื่อได้ยินประโยคหลัง อารมณ์ของเขาจึงเกรี้ยวกราดขึ้นมา เขาวิ่งเข้าใส่หลัวซิวพลางกุมกระบี่ในมือเอาไว้
“ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ตายซะเถอะ!”
กระบี่ในมือของเขาเปล่งประกายวิบไหว แรงอาฆาตของเถียนกวงโหย่วพลุ่งพล่าน เขาเตรียมลงมืออย่างดุเดือด
“ฟึ่บ!”
หลัวซิวแกว่งไกวกระบี่ยุทธ์ในมือ ลำแสงหนาวยะเยือกของกระบี่ยุทธ์นำพามาซึ่งโลหิตสีแดงฉาน
ดวงตาของเถียนกวงโหย่วเบิกกว้าง ร่างของเขาหยุดชะงักลง โลหิตพุ่งกระชูดออกมาจากลำคอของเขาก่อนจะล้มคว่ำลงไปนอนจมในกองเลือด
กระบี่ในมือของเขาหักออกเป็นสองชิ้น
ในช่วงเวลาสั้นๆ นั้นเอง หลัวซิวได้ใช้กระบี่ฟันไปที่กระบี่ของเขา จากนั้นจึงแทงเข้าที่ลำคอเพียงครั้งเดียวและปลิดชีวิตเขาลงในทันที
เหมียวเฟยเฟยเห็นดังนั้นสีหน้าของเธอจึงซีดเผือด เธอหันตัววิ่งหนีไปทันทีโดยไม่พูดไม่จาแล้วหายตัวเข้าไปในป่าที่มีต้นไม้ขึ้นรก
จากไห่เฟยเองก็อยากจะหนีเช่นกัน การลงมือของหลัวซิวเมื่อครู่นั้นทำให้เขาหวาดผวา การฝึกตนของหมอนี่ต้องไม่ใช่แค่ชี่ไห่ระดับห้าอย่างแน่นอน อีกอย่างกระบี่ยุทธ์เล่มนั้นของเขายังสามารถฟันกระบี่ชั้นล่างขาดได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ แสดงว่าจะต้องเป็นของนักยุทธ์ชั้นสูงอย่างแน่นอน
เนื่องจากก่อนหน้านี้เขาเป็นคนควบคุม เพื่อกำจัดอสูรงูปีกเขียว ดังนั้นตอนนี้เขาจึงสูญเสียปราณแท้ของตนไปหมด แม้ว่าเขาจะกินยาฟื้นฟูเข้าไปแล้ว แต่ก็ฟื้นฟูกลับมาได้เพียงบางส่วนเท่านั้น หากเขาหนีไม่พ้นก็คงถูกจับตัวได้แน่ ดังนั้นเขาจึงหันไปหวังจะคว้าตัวลู่เมิ่งเหยาเอาไว้
ทว่าแม้ว่าหลัวซิวจะรู้ตัวช้ากว่า แต่ก็ยังเคลื่อนไหวได้เร็วกว่า
แสงกระบี่ลอยทะลุแหวกอากาศ ตอนนั้นสีหน้าของจางไห่เฟยแปรเปลี่ยน เขาจึงล้มเลิกความตั้งใจที่จะจับตัวลู่เมิ่งเหยาไปในทันที
สีหน้าของหลัวซิวไร้ความรู้สึก เขายื่นกระบี่ยุทธ์ออกไปตัดคอของจางไห่เฟยอย่างเด็ดขาดไร้ความปรานี
จางไห่เฟยรีบใช้ค่ายกลรูประฆังคว่ำออกมาจนเกิดเป็นม่านสีขาวสว่างปกคลุมรอบตัวของเขาเอาไว้
กระบี่ยุทธ์ของหลัวซิวปะทะเข้ากับม่านลำแสงนั้น ทำให้ม่านลำแสงสั่นสะเทือนราวสายน้ำ แต่ยังคงไม่ฉีกขาด จางไห่เฟยจึงใช้โอกาสนี้หลบหนีไปอย่างรวดเร็ว
ในฐานะที่เป็นนักค่ายกลระดับ 3 การต่อสู้ของจางไห่เฟยสามารถเทียบเท่าได้กับจอมยุทธ์พรสวรรค์ หากเขาอยู่ในสภาวะที่สมบูรณ์เต็มที่ เขาไม่มีทางกลัวหลัวซิวอย่างแน่นอน แต่เวลานี้เขาจำเป็นต้องหนี
อีกอย่างตอนนี้สมบัติค่ายกลที่เขาใช้คือผังค่ายระดับ 3 แต่หลัวซิวใช้กระบี่ยุทธ์ฟันลงไปเพียงครั้งเดียว ม่านลำแสงของผังค่ายก็ค่อยๆ จางลง คาดว่าหากฟันลงไปอีกสักครั้ง ม่านลำแสงของผังค่ายก็คงจะแตกกระจุย
รูปการณ์เช่นนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่ากระบี่ยุทธ์ในมือของหลัวซิวจะต้องอยู่ในระดับสูงแน่นอน และอาจจะเหนือกว่าขอบเขตของนักยุทธ์ไปแล้ว หรือว่านี่จะเป็นกระบี่ยุทธ์ดิน?
จางไห่เฟยยังหนีไปได้ไม่ไกลนัก หลัวซิวก็ไล่ตามมาทันและกระบี่ยุทธ์ดินก็พุ่งทะยานแหวกอากาศออกมา
เกิดเสียงดัง “ฉึก” ม่านลำแสงของผังค่ายแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ ค่ายกลระฆังคว่ำในมือของจางไห่เฟยส่งเสียงแกร๊ก และปรากฏรอยร้าวออกมา
“แย่แล้ว!”
สีหน้าของจางไห่เฟยแปรเปลี่ยน จากนั้นเขาจึงรีบหยิบยันต์หยก ออกมาและเตรียมจะบีบยันต์หยกในมือให้แตกละเอียด ทันใดนั้นเขารู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ทะลุมาจากด้านหลัง กระบี่ยุทธ์เล่มหนึ่งปักทะลุร่างกายของเขา ใบหน้าของเขาจึงดำคล้ำและหมดสติในทันที
หลัวซิวดึงกระบี่ออกมาแล้วยอบตัวลงไปใช้เสื้อผ้าของจางไห่เฟยเช็ดเลือดที่เลอะอยู่บนกระบี่
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาฆ่าคน อีกอย่างคนที่เขาฆ่ายังเป็นคนที่สมควรฆ่าอีก ดังนั้นใจของเขาจึงไม่เกิดแรงกระเพื่อมใดๆ
เขาหยิบยันต์หยกในมือของจางไห่เฟยขึ้นมา หลัวซิวสังเกตดูจึงพบว่านี่คือยันต์วาตะ ด้านบนสลักคำว่าค่ายวาตะระดับ3เอาไว้ เมื่อใดที่บีบมันแตกจะทำให้ความเร็วของผู้ที่บีบมันแตกเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า
ทว่าจางไห่เฟยยังไม่ทันจะบีบยันต์วาตะจนแตก ก็ถูกหลัวซิวแทงตายเสียก่อน ไม่อย่างนั้นแล้วเขาคงจะหนีไปได้
จากนั้นหลัวซิวจึงหยิบแหวนเก็บของของจางไห่เฟยขึ้นมา ด้านในมีหินพลังจิตชั้นล่างหลายร้อยก้อน และยังมียาอีกจำนวนหนึ่งและสมบัติค่ายกลอีกหลายชิ้น
ตอนนั้นลู่เมิ่งเหยายังคงแอบอยู่ในพุ่มไม้หนาอย่างร้อนใจ ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความกังวล
เสียงฝีเท้าดังขึ้น เมื่อเห็นว่าเป็นหลัวซิวกลับมาแล้ว เธอจึงถอนใจอย่างโล่งอก ในเมื่อหลัวซิวกลับมาได้แล้วแสดงว่าเขาได้ฆ่าจางไห่เฟยตายแล้ว
“เธอไม่เป็นไรใช่ไหม” เมื่อหลัวซิวเห็นเธอจึงเอ่ยถามขึ้น
“ไม่เป็นไรค่ะ” ลู่เมิ่งเหยาส่ายหน้า จากนั้นจึงหยิบสนับข้อมือเก็บของส่งให้หลัวซิว
สนับข้อมือเก็บของอันนี้คือของเถียนกวงโหย่ว หลังจากที่หลัวซิวสังหารเขาแล้วและออกไปล่าจางไห่เฟย ลู่เมิ่งเหยาจึงค้นพบสิ่งนี้
“พวกเรารีบไปจากที่นี่กันเถอะ”
หลังจากนั้นไม่นาน หลัวซิวก็พาลู่เมิ่งเหยากลับไปยังโพรงถ้ำ แล้วใช้กระบี่ยุทธ์ดิน ชำแหละร่างของอสูรงูปีกเขียวออก
เมื่อลู่เมิ่งเหยาเห็นศพของงูขนาดมหึมาที่ยาวถึงสิบจั้ง เธอก็ชะงักงันไม่ขยับเขยื้อน
“เขาทำได้ยังไง” ลู่เมิ่งเหยามองด้านหลังของหลัวซิว ตอนนั้นเธอยิ่งรู้สึกราวกับว่าตัวเองไม่รู้จักเขา
หลังจากเก็บสิ่งของมาจากอสูรงูปีกเขียวแล้ว หลัวซิวก็รีบพาลู่เมิ่งเหยาออกไปจากที่นั่น แม้ว่าจางไห่เฟยกับเถียนกวงโหย่วจะถูกเขาฆ่าตายไปแล้ว แต่สตรีที่มีนามว่าเหมียวเฟยเฟยผู้นั้นหลบหนีไปได้ ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขายังมีพรรคพวกหลงเหลืออยู่หรือไม่
ในมือของหลัวซิวตอนนี้มีแผนที่คร่าวๆ ของเทือกเขากวนเหลยที่ได้มาจากองค์กรนักล่ายุทธ์ ดังนั้นหลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม คนทั้งสองก็ออกจากที่เดิมไปได้ไกลมากแล้ว
อาณาเขตของเทือกเขากวนเหลยกินบริเวณกว้าง หลัวซิวเองก็ไม่กล้าเข้าไปในดินแดนที่ลึกเข้าไปมากกว่านี้ แม้ว่าเขาจะวางแผนเดินทางผ่านไปยังเขตการปกครองโตว้ไห่ แต่เขาก็ตั้งใจเพียงจะเดินอยู่รอบนอกและเดินอ้อมๆ จนผ่านไปเท่านั้น
หลังจากที่หลัวซิวเล่าแผนการของตัวเองให้ลู่เมิ่งเหยาฟังแล้ว สีหน้าของเธอก็ปรากฏความไม่สบายใจ “หลังจากที่เอาฉันไปส่งที่สำนักเหลยหวู่แล้ว คุณตั้งใจจะไปที่ไหนต่อคะ”
“ไปตามโชคชะตา อยู่ที่ไหนก็สุขใจเหมือนบ้านทั้งนั้น” หลัวซิวยิ้มพลางกล่าวตอบ
เมื่อเดินอยู่ในป่าเขา คนทั้งสองต่างตกอยู่ในความเงียบ
เมื่อใช้กระแสสัมผัสพลังชีวิตช่วย หลัวซิวจึงสามารถหลบเลี่ยงอสูรกายระดับ 3 ขึ้นไปได้ หลังจากที่เดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ พวกเขาก็เริ่มออกห่างจากเขตการปกครองหยุนหลงมากขึ้น
จากแหวนเก็บของของจางไห่เฟย หลัวซิวค้นเจอความรู้เกี่ยวกับค่ายกลเล่มหนึ่งที่อธิบายรายละเอียดวิธีการต่างๆ ของค่ายกลเอาไว้
จางไห่เฟยเป็นอาจารย์ค่ายกลขั้น 3 การที่เขาพกตำราเช่นนี้ติดตัวก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
ก่อนหน้านี้หลัวซิวไม่เคยคิดจะศึกษาวิธีการในการทำค่ายกล แต่หลังจากผ่านเหตุการณ์อสูรงูปีกเขียวมาแล้ว เขาจึงค้นพบความร้ายกาจของค่ายกล
การใช้ค่ายกล ไม่เพียงแต่ทำให้อาจารย์นักค่ายกลผลิตสมบัติค่ายกลต่างๆ ออกมาได้เท่านั้น แต่ยิ่งทำให้การกำจัดศัตรูทำได้ง่ายราวกับมีทางลัด ยกตัวอย่างเช่นจอมยุทธ์ชี่ไห่ระดับเก้าอย่างจางไห่เฟย การที่เขาใช้ค่ายกลขั้น 3 ได้ ทำให้เขามีพลังเทียบเท่ากับจอมยุทธ์พรสวรรค์
แต่น่าเสียดายที่เขาต้องการสังหารอสูรงูปีกเขียว ซึ่งไม่อาจนำไปเปรียบกับอสูรกายระดับ 3 ธรรมดาได้ สุดท้ายจึงมีจุดจบที่ล้มเหลวเช่นนี้
ตอนที่เขายังอยู่ที่สำนักยุทธ์ชิงหยุน หลัวซิวได้เรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับค่ายกลมาบ้าง ว่ากันว่าวิธีในการสร้างค่ายกลนั้นซับซ้อนมาก ผู้มีพรสวรรค์สูงเท่านั้นที่จะสามารถเรียนรู้จนบรรลุได้ อาจารย์นักค่ายกลหลายคนต้องใช้เวลาเรียนรู้ตลอดชีวิต และด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้พวกเขาเสียโอกาสที่จะก้าวหน้าในโลกยุทธ์ไป
########################
บทที่ 113 ยาแก้พิษ
หากพิษนั้นสามารถฆ่าอสูรงูปีกเขียวตายได้ ต่อให้หลัวซิวไม่โดนอสูรงูปีกเขียวกลืนลงไป หลัวซิวก็ต้องตายอยู่ดี
และหากหลัวซิวตาย ลู่เมิ่งเหยาก็รู้ดีว่าการที่ตัวเองอยู่ในมือของกลุ่มคนชั่วกลุ่มนี้ จุดจบของเธอก็คงเลวร้ายพอกัน
เมื่อความคิดดำเนินมาถึงตรงนี้ ลู่เมิ่งเหยาจึงดึงดาบเล่มหนึ่งออกมาจากแหวนเก็บของแล้วจ่อไปยังจางไห่เฟยที่กำลังควบคุมค่ายกลอยู่
ต่อให้เธอมาร่วมมือกับคนพวกนี้แล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าจะต้องตกอยู่ในเงื้อมมือของพวกเขา
“นังสารเลวรนหาที่ตาย!”
เถียนกวงโหย่วหัวเราะเย็นยะเยือก เขาดึงดาบที่ส่องประกายออกมาดังกริ๊งก่อนจะจ่อไปที่ลู่เมิ่งเหยา
ในเวลาเดียวกัน หลัวซิวที่อยู่ในค่ายยากเย็นก็กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นกัน
เขายังไม่ได้กินยาแก้พิษเข้าไป แต่ภายในพื้นที่จำกัดที่มีค่ายยากเย็นห้อมล้อมเอาไว้นั้น อสูรงูปีกเขียวได้โจมตีเขาราวกับพายุที่สาดซัดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้เขาต้องเผชิญอันตรายอยู่รอบตัว
“เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง! ……”
ในเวลาเดียวกันอสูรงูปีกเขียวก็พยายามทำลาย ค่ายยากเย็น อย่างต่อเนื่อง ปรากฏเป็นแสงสีขาวสว่างวาบก่อให้เกิดแรงสั่นสะเทือนไปทั่ว
หลัวซิวไม่ได้เอากระบี่ออกมาต่อสู้กับอสูรงูปีกเขียว เขาเพียงเอาร่างกายและจิตใจของตัวเองเข้าไปอยู่ในวิชาท่าร่างเงาเศษสิบช่องเพื่อหลบหลีกการโจมตีของอสูรงูปีกเขียวที่ถาโถมเข้าใส่
เพลิงมรณะสามารถป้องกันหมอกพิษสีดำได้ดี แต่ก็ยังคงมีสารพิษบางส่วนที่แทรกซึมเข้าไปในร่างกายของเขา ทำให้สีหน้าของหลัวซิวกลายเป็นสีเขียวพิลึกพิลั่น
ทันใดนั้นเอง เกิดแรงอาฆาตอันหนักอึ้งแพร่กระจายไปทั่วบริเวณอย่างรวดเร็ว คมมีดสีแดงปรากฏขึ้นกลางท้องฟ้า แล้วโจมตีเข้าใส่ลำตัวใหญ่มโหฬารของอสูรงูปีกเขียวราวกับลูกธนูที่ทะยานออกจากคันธนู
หากใช้เพียงค่ายยากเย็นอย่างเดียวไม่สามารถทำอะไรอสูรงูปีกเขียวได้ และไม่นานนักอสูรงูปีกเขียวก็จะสามารถหลุดออกมาจากการถูกขังอยู่ในค่ายยากเย็นได้ ดังนั้นจางไห่เฟยจึงต้องรีบใช้ ค่ายสังหารระดับ3
ค่ายสังหารระดับ3มีหน้าที่สำหรับสังหาร การโจมตีของมันเทียบเท่าได้กับจอมยุทธ์พรสวรรค์ แม้ว่าเกล็ดของอสูรงูปีกเขียวจะแข็งแกร่งเพียงใด แต่ก็ยากจะทานทนกับการโจมตีของค่ายสังหารระดับ3ที่โหมเข้าใส่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ฟ่อวว!”
อสูรงูคำรามออกมาด้วยความโมโห จากนั้นจึงหยุดการโจมตีหลัวซิว หางงูที่แข็งราวเหล็กกล้าส่ายไปส่ายมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อปะทะเข้ากับค่ายยากเย็นจึงเกิดเป็นลำแสงสีขาวสว่างวาบ
ไม่นานนักจึงเกิดเสียงปะทะดังสนั่น ลำแสงของค่ายยากเย็นพลันระเบิดออกกลายเป็นลำแสงแหลกละเอียดที่กระเซ็นไปทั่วทั้งท้องฟ้า
อสูรงูปีกเขียวหลุดออกมาจากพันธนาการ เกล็ดบนลำตัวของมันถูกทำลายไปแล้วไม่น้อยและมีเลือดไหลซึมออกมาทั่วลำตัวของมัน
ดวงตารูปขีดตั้งสีแดงของมันอัดแน่นด้วยแรงพยาบาท หลังจากที่มันทำลายค่ายยากเย็นออกมาได้แล้ว มันก็เงยหน้าพ่นหมอกพิษสีดำทะมึนพุ่งตรงออกไปโจมตีพวกของจางไห่เฟยและเถียนกวงโหย่ว
“แย่แล้ว หนีเร็ว!”
สีหน้าของจางไห่เฟยเปลี่ยนเป็นซีดเผือดอย่างรวดเร็ว การควบคุมค่ายกลทำให้เขาสูญเสียปราณแท้ไป ทว่าตอนนี้อสูรงูปีกเขียวยังไม่ตายแค่ได้รับบาดเจ็บ
ในเวลาเดียวกัน เขาก็สังเกตเห็นหลัวซิวที่หลุดออกจากการพันธนาการมาพร้อมๆ กับอสูรงูปีกเขียว เขาถูกขังเอาไว้ภายในค่ายยากเย็นเดียวกับอสูรงูกปีกเขียวแท้ๆ แต่กลับยังไม่โดนอสูรงูกลืนลงท้องไปหรอกหรือ
อีกอย่างตอนนี้ยาแก้พิษที่มีพิษน่าจะออกฤทธิ์แล้ว แต่ทำไมเขายังมีชีวิตอยู่
หรือว่า……ที่จริงแล้วเขายังไม่ได้กินยาแก้พิษลงไป?
จางไห่เฟยยังคงคิดไม่ออกว่าหลัวซิวทำได้อย่างไร ต่อให้ไม่ได้กินยาแก้พิษลงไป แต่เขารับมือกับหมอกพิษของอสูรงูปีกเขียวได้อย่างไร จอมยุทธ์ชี่ไห่ขั้นห้าจะต่อสู้กับอสูรงูปีกเขียวโดยที่ยังมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร
แต่ตอนนี้จางไห่เฟยไม่มีเวลาขบคิดอะไรมากนัก เขาหยิบยาแก้พิษออกมากลืนลงท้องไป แล้วรีบรุดถอยหลังหนีไปอย่างรวดเร็ว
เถียนกวงโหย่วกับเหมียวเฟยเฟยที่จับตัวลู่เมิ่งเหยาเอาไว้ก็พากันถอยหลังหนีเช่นกัน เถียนกวงโหย่วยังไม่ลืมที่จะคว้าตัวลู่เมิ่งเหยาหนีไปด้วยกัน เพราะเขาไม่สามารถทำใจปล่อยให้ผู้หญิงสวยขนาดนี้ตายไปต่อหน้าต่อตาได้
อสูรงูปีกเขียวได้ระบายความโกรธแค้นที่ตัวเองได้รับบาดเจ็บไปที่พวกของจางไห่เฟย หลัวซิวอยู่ด้านหลังอสูรงูปีกเขียวไม่ไกลนักจึงหยิบกระบี่ยุทธ์ของนักยุทธ์ระดับชั้นล่างออกมาจากแหวนเก็บของ
การต่อสู้กับอสูรขั้น 3 ที่มีความทนทานสูงเช่นนี้ การใช้กระบี่ยุทธ์ของนักยุทธ์ย่อมสามารถหวังผลถึงชีวิตของมันได้
เขารับปราณแท้เข้าไป กระบี่ยุทธ์ของนักยุทธ์จึงปรากฏเพลิงมรณะสีดำออกมาปกคลุมไว้อีกชั้น ตอนนี้ร่างกายของหลัวซิวปรากฏเงาเศษ 7 สายออกมาต่อเนื่อง กระบี่ยุทธ์ของเขาคล้ายสายฟ้าสีดำที่ฟาดฟันลงบนตัวของอสูรงูสีเขียวอย่างกราดเกรี้ยว
เกล็ดงูที่แข็งแกร่งเมื่อเจอกับกระบี่ยุทธ์ของนักยุทธ์กลับกลายเป็นเพียงกระดาษใบหนึ่งที่ฉีกขาดกระจุย กลิ่นคาวเลือดอบอวลไปทั่ว ความเจ็บปวดทรมานทำให้อสูรงูปีกเขียวร้องคำรามอย่างกราดเกรี้ยว
อสูรงูปีกเขียวส่งเสียงฟ่อวว ร่างของหลัวซิวจึงกระเด็นหมุนติ้วออกไปกลางอากาศแล้วตกอยู่ห่างออกไปกว่าสิบกว่าเมตร
ลำตัวของอสูรงูปีกเขียวม้วนงอ กระบี่ของหลัวซิวไม่ได้โจมตีเข้าที่ลำตัวของมันเพียงอย่างเดียว แต่เพลิงมรณะยังแผดเผาเข้าไปถึงจิตวิญญาณของมันด้วย
หลัวซิวหยิบยาแก้พิษออกมา แล้วบดขยี้จนแตกละเอียดก่อนจะเอามันทาไปบนกระบี่ยุทธ์
หลังจากนั้นเขาจึงหยิบกระบี่ยุทธ์ออกมาอีกครั้งแล้วพุ่งตรงเข้าไปแทงฉึกเข้าที่ตัวของอสูรงูปีกเขียว ตอนนั้นจึงปรากฏบาดแผลใหญ่ทิ้งเอาไว้
“ฟึ่บ!”
หลัวซิวโดนหางงูตวัดใส่ แม้ว่าเขาจะดึงกระบี่ยุทธ์ออกมาป้องกันเอาไว้ แต่ก็ป้องกันพละกำลังของมันเอาไว้ได้เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ร่างของเขากระเด็นออกไปไกล ริมฝีปากของเขาเริ่มปรากฏเลือดไหลซึมออกมา
เมื่ออสูรงูปีกเขียวโดนโจมตีจนได้รับบาดเจ็บรุนแรงหลายระลอกเช่นนี้ มันก็มุ่งหน้ากลับไปที่โพรงอย่างรวดเร็วเพื่อหลบเลี่ยงศัตรูของมัน
แต่ขณะที่อสูรงูปีกเขียวเลื้อยกลับมาถึงปากถ้ำ ลำตัวมโหฬารของมันก็ระเบิดแตกเป็นเสี่ยงร่วงลงบนพื้น จากนั้นมันจึงสิ้นใจตายไปอย่างรวดเร็ว
จากการรับรู้ของหลัวซิว จิตวิญญาณของอสูรงูปีกเขียวถูกกัดกร่อนซ้ำแล้วซ้ำเล่า สารพิษอันตรายของมันยังคงสะสมอยู่ในตัวของมัน
เมื่อนึกถึงยาแก้พิษที่เขาบดจนละเอียดแล้วทาไว้บนกระบี่ยุทธ์ สีหน้าของหลัวซิวจึงมืดครึ้มลง ตอนนั้นเองเขาจึงเข้าใจแล้วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
หลัวซิวกวาดตามองไปรอบตัว ตอนนี้เขาไม่เห็นจางไห่เฟยและพวกแล้ว เห็นได้ชัดว่าตอนที่อสูรงูปีกเขียวหลุดออกจากพันธนาการ พวกเขาก็รู้ตัวว่าไม่สามารถฆ่ามันให้ตายได้ ดังนั้นจึงรีบถอยหนีไปอย่างรวดเร็ว
หลัวซิวยังไม่เข้าไปแตะต้องศพของอสูรงูปีกเขียว แต่เขาพยายามตามหารอยเท้าที่วุ่นวายจนเจอแล้วตามไปอย่างรวดเร็ว
หลัวซิวใช้กระแสสัมผัสพลังชีวิต กระจายออกไป ทำให้เขาสามารถรับรู้ได้ว่าภายในบริเวณ 1 กิโลเมตรนี้มีสิ่งมีชีวิตอยู่บ้างหรือไม่
ระยะเวลาเพียงครู่เดียว ภายในขอบเขตการรับรู้ของหลัวซิว เขาก็สามารถหาตำแหน่งของจางไห่เฟยและพวกจนเจอ
บริเวณที่มีต้นไม้รกชัฏแห่งหนึ่ง เมื่อจางไห่เฟยกับพวกค้นพบว่าอสูรงูปีกเขียวไม่ได้ไล่ตามมาแล้ว พวกเขาจึงตัดสินใจปักหลักกันอยู่บริเวณนั้น
“โธ่เอ๊ย ไม่คิดเลยว่าสุดท้ายพวกเราจะคว้าน้ำเหลว”
สีหน้าของจางไห่เฟยตอนนี้ดูไม่ได้ การใช้ค่ายกลระดับ 3 ต้องใช้สิ่งของจำนวนมาก แต่ตัวเขากลับไม่ได้รับอะไรตอบแทนเลย แถมยังเกือบเอาชีวิตไม่รอด ครั้งนี้หากเป็นการทำธุรกิจก็ขาดทุนยับเยิน
“พี่ใหญ่ ทำไมไอ้หลัวอะไรนั่นถึงไม่ตายล่ะ” เถียนกวงโหย่วถามอย่างแคลงใจ ก่อนที่พวกเขาจะหนีออกมา ตอนที่ค่ายยากเย็นถูกทำลายแล้ว เขาเห็นกับตาว่าหลัวซิวยังคงปลอดภัยดี
“ฉันเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน มันคงไม่ได้กินยาแก้พิษเข้าไปล่ะมั้ง อีกอย่างการที่มันรับมือกับอสูรงูปีกเขียวอยู่ได้เป็นเวลานานขนาดนั้น แสดงว่ามันไม่ใช่คนธรรมดาแน่”
ระหว่างที่จางไห่เฟยกล่าว เขาก็หยิบยาที่ช่วยฟื้นฟูปราณแท้ออกมาแล้วกลืนลงไป
“การที่จอมยุทธ์ชี่ไห่ระดับห้าอย่างเขาไม่ตายถือว่าโชคดีมากนัก แต่นี่ดูเหมือนว่าเขาจะเอาผลโหวหยางมาได้ด้วย ฉันกับเฟยเฟยจะไปตามหาตัวมัน แล้วเอาผลโหวหยางกลับมาให้ได้”
เถียนกวงโหย่วกล่าวพลางหันไปมองลู่เมิ่งเหยาที่ถูกจับตัวเอาไว้ ก่อนจะฉีกยิ้มออกมา “สาวน้อย รอให้พี่กลับมาก่อนนะแล้วจะมาดูแลน้องอย่างดีเลยล่ะ”
“ไม่ต้องออกไปตามหาฉันหรอก ฉันอยู่นี่แล้ว”
ในตอนนั้นเองก็มีเสียงคนคนหนึ่งดังขึ้นกะทันหัน หลัวซิวเดินออกมาจากพุ่มไม้หนาทึบและเดินเข้ามา
########################
บทที่ 112 อสูรงูปีกเขียว
ในใจของหลัวซินกำลังหัวเราะเยาะ ทว่าสีหน้าที่ปรากฏออกมากลับไม่ได้แสดงความไม่พอใจใดๆ “ได้ ฉันจะไปล่ออสูรงูปีกเขียวมาเอง”
จางไห่เฟยแสยะยิ้มออกมา “น้องหลัวไม่ต้องห่วง ขอเพียงน้องกินยาแก้พิษนี้เข้าไป ก็ไม่ต้องกลัวหมอกพิษของเดรัจฉานนั่นอีก ขอแค่รีบวิ่งกลับมาให้ทันเท่านั้น อสูรงูก็จะติดค่ายกลของพวกเรา”
หลัวซิวพยักหน้าแล้วรับยาแก้พิษมาจากปากของจางไห่เฟย วงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพของจุดตันเถียน กระตุกเบาๆ ทำให้เขารับรู้ถึงความอันตรายที่แผ่ซ่านออกมาจากยาแก้พิษที่อยู่ในมือของเขา
“ยาแก้พิษเม็ดนี้ไม่ปกติ” หลัวซิวหรี่ตา แต่เขาก็ไม่ได้พูดออกไป
“หลัวซิว……” ลู่เมิ่งเหยามองหลัวซิวด้วยความเป็นห่วง แม้ว่าเธอจะรู้ดีว่าพลังของหลัวซิวนั้นแข็งแกร่งมาก แต่อสูรงูปีกเขียวไม่สามารถนำไปเปรียบเทียบกับโกวจินชวนได้
“วางใจเถอะ ผมไม่เป็นอะไรหรอก” หลัวซิวกล่าวปลอบ จากนั้นจึงเดินมุ่งหน้าตรงไปยังทิศทางของถ้ำอย่างระมัดระวัง
จางไห่เฟยกับเถียนกวงโหย่วสบตากัน เมื่อเห็นหลัวซิวเดินห่างไปไกลแล้ว มุมปากของพวกเขาจึงปรากฏรอยยิ้มเย็นๆ ขึ้นมา
ยิ่งเข้าใกล้ปากถ้ำมากเท่าใด กลิ่นคาวที่น่าสะอิดสะเอียนก็ยิ่งเข้มข้นขึ้น หลัวซิวได้ใช้กระแสสัมผัสพลังชีวิตสัมผัสรอบๆ ตัว ในโพรงถ้ำที่ใหญ่ที่สุด หลัวซิวสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตที่ลุกโชนราวเปลวเพลิงของอสูรงูปีกเขียวส่งตรงมาจากส่วนลึกสุดของโพรงถ้ำ
จิตวิญญาณและพลังชีวิตของอสูรกายนั้นห่างไกลจากจอมยุทธ์และมนุษย์มาก ดังนั้นจึงสัมผัสได้ถึงการมีตัวตนที่รุนแรงกว่า
ไม่นานนัก หลัวซิวก็หยุดอยู่ห่างจากโพรงไม่ถึงสิบเมตร ปราณของอสูรงูปีกเขียวที่อยู่ในโพรงจึงเข้มข้นขึ้นมาก
“มันเจอเราแล้ว”
หัวใจหลัวซิวกระตุกวูบ ตอนนั้นเขาไม่หลบซ่อนตัวตนอีก เขาปล่อยทุกอย่างออกมา ร่างของเขาปรากฏเศษเงาที่พุ่งตรงไปยังต้นโหวหยางที่อยู่อีกมุมหนึ่งด้วยความเร็วจี๊
เมื่อจางไห่เฟย เถียนกวงโหย่วและเหมียวเฟยเฟยที่อยู่ในมุมไกลๆ เห็นหลัวซิวพุ่งตัวไปยังต้นโหวหยาง สีหน้าจึงแปรเปลี่ยนเป็นความเหลือเชื่อ
ข้อแรกพวกเขาตกใจที่ความเร็วของหลัวซิวนั้นเร็วมากจนเศษเงาปรากฏ อีกข้อหนึ่งคือตกใจที่อสูรงูปีกเขียวมองเห็นเขาแล้ว แต่เขายังกล้าเข้าไปแย่งผลโหวหยางมาอีก เด็กหนุ่มคนนี้มีความบ้าระห่ำมากทีเดียว
“เขากลับมาไม่ได้แน่” จางไห่เฟยกล่าวอย่างเยือกเย็น
เขารู้ดีว่าความเร็วของอสูรงูปีกเขียวนั้นเร็วแค่ไหน หากตอนที่หลัวซิวโดนเจอตัวแล้วตัดสินใจหันหัวหนีออกมายังมีโอกาสหนีทัน แต่เขากลับวิ่งเข้าไปยังต้นโหวหยางอีก แน่นอนว่าเขาจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย
หากหลัวซิวตาย เขาจะส่งผู้หญิงแซ่ลู่คนนั้นเข้าไปต่อ แม้ว่าเขาจะรู้สึกเสียดายหากต้องเสียหญิงงามไป แต่หากเทียบกับผลโหวหยางแล้ว ผู้หญิงคนเดียวไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไรเลย
“ฟู่!”
แรงอาฆาตหมายเอาชีวิตพุ่งทะยานออกมาจากโพรงดำทะมึนราวกับน้ำป่าที่ไหลทะลัก
ร่างของมันเป็นงูใหญ่ที่มีเกล็ดสีเขียวปกคลุมตลอดทั้งตัว ราวกับเป็นถังกักเก็บน้ำน้อยใหญ่ ส่วนหัวงูเป็นสามเหลี่ยมแบนราบ ดวงตารูปเส้นตรงดิ่งอำมหิตเย็นยะเยือก
ที่ถูกเรียกว่าอสูรงูปีกเขียวเพราะด้านหลังของงูใหญ่ตัวนี้ มีส่วนปีกใสราวปีกจักจั่นที่หากมันคลี่ออก อสูรงูปีกเขียวตัวนี้จะเหาะเหินเคลื่อนที่อยู่กลางอากาศได้
หลัวซิวสัมผัสได้ถึงความชั่วร้ายน่าสยดสยองที่เข้มข้นมาจากด้านหลังของตัวเอง หลัวซิวจึงมั่นใจแล้วว่าอสูรงูปีกเขียวได้ปรากฏตัวออกมาแล้ว
อสูรงูปีกเขียวปักหลักอยู่ที่นี่เพราะผลโหวหยาง สรรพคุณความเป็นยาวิเศษของมันสามารถเพิ่มพลังให้กับมันได้ และนี่เองที่ทำให้มันทำใจกินผลโหวหยางลงไปไม่ได้สักที
และตอนนี้กลับมีคนคิดจะมาแย่งผลโหวหยางไปจากมัน อสูรงูปีกเขียวโมโหจนส่งเสียงร้องพลางอ้าปากกว้างๆ ของมันที่เต็มไปด้วยเลือดหวังจะเขมือบหลัวซิว
การเคลื่อนไหวของอสูรงูปีกเขียวนั้นรวดเร็วมาก มันส่ายหัวไปมาราวกับสายฟ้าสีเขียว
หลัวซิวไม่ได้หันกลับไปมอง แต่รับรู้สึกได้ถึงลมเย็นๆ ที่ปะทะเข้าที่ตัวพลางส่งเสียงหวีดดัง เขายังคงไม่ตื่นตระหนก เขาสลับวิชาท่าร่างที่ตนมีภายในชั่วพริบตาเหลือทิ้งไว้เพียงเศษเงา
“ตู้ม!”
อสูรงูปีกเขียวงับโดนเพียงอากาศว่างเปล่าส่งผลให้ก้อนหินบางส่วนถูกมันงับแตกละเอียด ลำตัวงูที่ยาวถึงสิบจั้งเคลื่อนที่ออกมาจากโพรงถ้ำที่กำลังส่งเสียงระเบิด
ระยะห่างสิบกว่าเมตรได้หายวับไปภายในชั่วพริบตาของหลัวซิว หลังจากหลบการเขมือบของอสูรงูปีกเขียวได้แล้ว หลัวซิวก็รีบเพิ่มความเร็วแล้วยื่นมือออกไปเด็ดผลโหวหยางทั้งสี่มาอย่างรวดเร็ว
“ฟู่วว! ……”
อสูรงูปีกเขียวโมโห มันชูคอขึ้นแล้วอ้าปากพ่นหมอกพิษดำทะมึนที่เหม็นคาวคละคลุ้งออกมาปกคลุมไปทั่วร่างของหลัวซิว
หมอกพิษนี้ร้ายแรงมาก อากาศที่เป็นพิษทำให้เกิดเสียงปั้งๆ ออกมา เมื่อหมอกพิษที่น่ากลัวปกคลุมไปทั่วร่างของเขา หลัวซิวก็เริ่มสงสัยขึ้นมาอีกว่ายาแก้พิษนั้นใช้ได้จริงหรือไม่
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังสงสัยด้วยว่าพวกจางไห่เฟยได้ใส่อะไรบางอย่างลงไปในนี้
หลัวซิวผนึกรวมปราณแท้ ร่างของเขาปรากฏเพลิงมรณะช่วงเวลาที่เปลวไฟสีดำปะทะเข้ากับหมอกพิษสีดำนั้น ก็มีเสียง ชี่ๆๆๆ ดังออกมา
แม้ว่าหลัวซิวจะกลั้นลมหายใจแล้ว แต่เขายังคงรู้สึกเวียนหัว เป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่าหมอกพิษของอสูรงูปีกเขียวนั้นรุนแรงมากแค่ไหน
ในช่วงเวลานั้น หลัวซิวไม่กล้าที่จะหยุด เขากระตุ้นวิชาท่าร่างเร็วเต็มขีดสุด และมุ่งหน้าเข้าไปทางจางไห่เฟยอย่างรวดเร็ว
เมื่อผลโหวหยางถูกแย่งไปแล้ว อสูรงูปีกเขียวไม่มีทางหยุดไล่กวด ทั้งคนทั้งงู ทั้งตัวใหญ่และตัวเล็กล้วนเคลื่อนตัวไปอย่างรวดเร็ว ทำให้อยู่ห่างจากค่ายกลน้อยลงเรื่อยๆ
“ไอ้หมอนี่ยังหนีออกมาได้อีกรึ” เถียนกวงโหย่วถลึงตา สถานการณ์ดังเช่นเมื่อครู่นี้หากเป็นเขาคงตายไปแล้วแน่
“เขาคงกินยาแก้พิษเข้าไปแล้วล่ะ ถึงแม้ว่าจะไม่โดนงูกัดตาย แต่……” จางไห่เฟยหัวเราะเสียงเย็น
“มาแล้ว ทุกคนเตรียมพร้อม!”
ทันใดนั้นหลัวซิวก็ได้พุ่งทะยานเข้ามาในขอบเขตของค่ายกล ส่วนอสูรกายก็ได้สยายปีกสีใสของตัวเองออกมา ลำตัวงูมโหฬารลอยอยู่กลางอากาศด้วยระยะห่างเพียงสามฟุต มันบินทะยานด้วยความเร็วราวสายฟ้า
“ฟึ่บ!”
แสงสว่างสีขาวสว่างวาบขึ้นเป็นรูปร่างราวระฆังคว่ำ ครอบอสูรงูปีกเขียวเอาไว้ในพื้นที่เล็กๆ กลางอากาศ
จางไห่เฟยได้ใช้งานค่ายกลที่ตนจัดวางเอาไว้แล้ว
ในตอนนั้น จางไห่เฟย เถียนกวงโหย่ว เหมียวเฟยเฟยและลู่เมิ่งเหยาได้อยู่นอกบริเวณของค่ายกลแล้ว
แต่เมื่อจางไห่เฟยใช้งานค่ายกล กลับขังหลัวซิวกับอสูรงูปีกเขียวอยู่ภายในค่ายกลด้วยกัน
“หลัวซิวยังอยู่ข้างใน!”
สีหน้าของลู่เมิ่งเหยาแปรเปลี่ยน เธอตะโกนเข้าใส่จางไห่เฟยที่เป็นผู้ควบคุมค่ายกล “รีบปล่อยหลัวซิวออกมาสิ”
“หุบปาก!”
เถียนกวงโหย่วชักมีดออกมา พลางหันปลายมีดไปยังลู่เมิ่งเหยา “พี่ใหญ่กำลังควบคุมค่ายกล ห้ามรบกวน ไม่อย่างนั้นฉันจะแทงแกให้ตายเดี๋ยวนี้!”
ส่วนเหมียวเฟยเฟยก็มีสีหน้าไร้ความรู้สึก เธอหยิบมีดสั้นเล่มหนึ่งออกมาแล้วจ้องเขม็งไปทางลู่เมิ่งเหยา
“แก……พวกแก……” ตอนนี้ลู่เมิ่งเหยากำลังโกรธจัด
“ไม่มีใครช่วยมันได้ทั้งนั้น ยาแก้พิษเม็ดนั้นเดิมทีก็มีพิษร้ายแรงในตัวอยู่แล้ว ถ้าไม่มีไอหมอนั่นเป็นเหยื่อล่อ อสูรงูปีกเขียวจะโดนฆ่าตายได้ยังไง” เถียนกวงโหย่วแสยะยิ้มพลางกล่าว
เหตุการณ์ดำเนินไปตามแผนการที่พวกเขาวางเอาไว้ เมื่อดำเนินมาถึงตอนนี้ เถียนกวงโหย่วจึงไม่คิดจะปิดบังอะไรต่อไปอีก
เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าของลู่เมิ่งเหยาพลันซีดเผือด เธอเข้าใจความหมายของเถียนกวงโหย่วทันที การที่พวกเขาให้หลัวซิวไปล่องูออกมาจากถ้ำนั้นเป็นส่วนหนึ่งของแผนการ แถมยาแก้พิษนั้นยังมีพิษซ่อนอยู่ในตัว หากหลัวซิวโดนอสูรงูปีกเขียวกลืนลงไป นั่นเท่ากับว่าอสูรงูก็จะโดนวางยาพิษตายไปด้วย
########################
บทที่ 111 ต้นโหวหยาง
เมื่อล่วงเลยมาถึงตอนนี้แล้ว จางไห่เฟยจึงไม่อยากกล่าวอย่างอ้อมค้อมอีกจึงพูดออกมาตามตรงว่า “หากข่าวของต้นโหวหยางแพร่ออกไป จะต้องดึงดูดเหล่าจอมยุทธ์พรสวรรค์มาอย่างแน่นอน ในเมื่อฉันบอกเรื่องนี้กับท่านทั้งสองแล้ว หากท่านทั้งสองไม่ร่วมมือล่ะก็……”
คำพูดหลังจากนี้จางไห่เฟยไม่ยอมพูดต่อ แต่ความกดดันที่ส่งออกมาจากร่างกายเขาและพรรคพวกก็พอที่จะอธิบายคำพูดต่อจากนี้ได้แล้ว
แน่นอนว่าหลัวซิวไม่กลัวอีกฝ่าย เพราะแม้แต่ผู้ที่มีพรสวรรค์ขั้น 2 อย่างโกวจินชวน เขายังสังหารมาแล้ว หากต้องลงมือจริงๆ เขามั่นใจว่าเขาสามารถจัดการคนทั้งสามคนนี้ได้อย่างแน่นอน
แต่เมื่อดูจากท่าทางของอีกฝ่าย เขาคิดว่าข่าวเรื่องต้นโหวหยางคือเรื่องจริง และหากสามารถเอาผลโหวหยางมาได้จริงๆ หลัวซิวเชื่อว่าตัวเองจะใช้เวลาไม่นานนักในการบรรลุแดนพรสวรรค์ได้อย่างแน่นอน
“ได้ พวกเราตกลงร่วมมือด้วย” หลัวซิวยิ้มพร้อมเอ่ยตอบ
แม้ว่าใบหน้าเขาจะยิ้มแย้ม ทว่าลึกๆ ภายในของเขากลับยิ้มไม่ออก เขามั่นใจว่า หากได้ผลโหวหยางมาครอบครองเมื่อไหร่ จางไห่เฟยและพวกจะต้องลงมือแน่ เพราะหากตัดคู่แข่งออกไปได้สักสองคน ทำไมพวกเขาจะไม่ลงมือทำล่ะ
ชัดเจนว่าเขากับลู่เมิ่งเหยาเป็นจอมยุทธ์ชี่ไห่ขั้นห้า แต่จางไห่เฟยยังกล้าพูดเรื่องต้นโหวหยางออกมาอย่างหน้าตาเฉย แถมยังบังคับให้พวกเขาทั้งสองคนเข้าร่วมทีมเดียวกันอีก นี่แสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้เห็นจอมยุทธ์ชี่ไห่ขั้นห้าอย่างพวกเขาอยู่ในสายตา
“ฮ่าๆ ดีมาก มีท่านทั้งสองมาร่วมทีม โอกาสที่พวกเราจะได้ผลโหวหยางก็จะยิ่งมีมากขึ้น ถ้าทุกอย่างสำเร็จ ฉันรับรองว่าจะไม่เอาเปรียบท่านทั้งสองแน่”
เมื่อเห็นหลัวซิวรับปาก จางไห่เฟยจึงหัวเราะออกมา ความพยาบาทที่แพร่ออกมาในตอนแรกได้มลายหายไป
แต่หลัวซิวกลับสังเกตเห็นความเยือกเย็นในดวงตาของจางไห่เฟยได้อย่างรวดเร็ว นี่ยิ่งเป็นเครื่องยืนยันว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นถูกต้อง
อีกฝ่ายคงคิดว่าสามารถจัดการเขาได้อย่างอยู่หมัดแน่ แต่เมื่อถึงเวลาใครจะเป็นฝ่ายชนะก็ยังคงเป็นสิ่งที่ยากจะยืนยัน
ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนนี้ ลู่เมิ่งเหยาไม่ปริปากพูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว สำหรับเธอไม่ว่าหลัวซิวไปที่ไหน เธอก็จะตามไปด้วย ไม่เช่นนั้นแล้วหัวใจของเธอคงรู้สึกเปล่าเปลี่ยวไร้ที่พึ่ง
ในเรื่องแผนการชั่วร้ายของจางไห่เฟยและพวก ลู่เมิ่งเหยากลับไม่ได้สนใจเท่าไหร่นัก เพราะเธอเคยเห็นพลังของหลัวซิวมาแล้ว ไม่ว่าใครก็ตามที่ดูถูกเขาเพราะดูเพียงการฝึกตนของเขาเพียงอย่างเดียว ก็เท่ากับรนหาที่ตายเอง
“สาวลู่เป็นคนเมืองไหนหรือ”
คนทั้งสามเดินทางไปด้วยกัน เถียนกวงโหย่วรุดขึ้นหน้ามาคุยกับลู่เมิ่งเหยา
ลู่เมิ่งเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย สายตาลวนลามของอีกฝ่ายทำให้เธอรู้สึกขยะแขยง ใครเลยจะไม่รู้ถึงเจตนาของเขา
เมื่อเห็นว่าลู่เมิ่งเหยาไม่สนใจตน เถียนกวงโหย่วก็ไม่อยากหาเรื่องใส่ตัว จึงแค่นยิ้มออกมาอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก และไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่ในใจของเขาคิดไปแล้วว่าหากเขาได้ผลโหวหยางมาอยู่ในมือเมื่อไหร่ สตรีนางนี้ไม่มีทางหลุดลอดเงื้อมมือของเขาไปได้
และเขายังมั่นใจด้วยว่าจางไห่เฟยกับเหมียวเฟยเฟยไม่มีทางขวางตนอย่างแน่นอน เพราะบนเทือกเขากวนเหลยแห่งนี้มักจะมีอสูรกายปรากฏตัวออกมาไล่ฆ่าคนอยู่เป็นประจำ สถานการณ์จึงมักจะตึงเครียดเสมอ ดังนั้นหากจะออกมาจับผู้หญิงสักคนฆ่าให้ตายเล่นๆ ก็ถือเป็นเรื่องปกติ
ตอนแรกเขาวางแผนไว้ว่าเขาจะขึ้นเตียงกับเหมียวเฟยเฟย แต่เขาเพิ่งจะมารู้ตอนหลังว่าจางไห่เฟยเคยขึ้นเตียงกับเหมียวเฟยเฟยมาก่อนแล้ว เขาจึงจำใจต้องล้มเลิกความคิดนี้ไป
แม้ว่าเหมียวเฟยเฟยจะมีเรือนร่างที่ไม่เลว แต่หากเอาไปเทียบกับสาวลู่แล้ว ถือว่ายังห่างชั้นกันอยู่มาก
“ไม่ทราบว่าอสูรกายที่เร้นกายอยู่บริเวณต้นโหวหยางคือตัวอะไร” หลัวซิวถามขึ้น
“อสูรงูปีกเขียว” สีหน้าของจางไห่เฟยนิ่งเฉย
“แล้วพวกเราห้าคนจะจัดการมันได้หรือ” หลัวซิวเลิกคิ้ว เพราะตามที่เขาเคยได้ยินมาอสูรงูปีกเขียวคืออสูรกายขั้นสาม แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในระดับสูงที่สุด แต่ก็นับได้ว่าอันตรายมาก พลังของมันเทียบเท่าได้กับพรสวรรค์ขั้น 4
อีกทั้งสิ่งที่ทำให้อสูรงูปีกเขียวน่ากลัวที่สุดนั้นคือหมอกพิษของมัน หากไม่ทันระวังสูดดมเข้าไปแม้เพียงเล็กน้อย ต่อให้เป็นจอมยุทธ์พรสวรรค์ขั้น 9 ก็มีโอกาสที่จะสิ้นชีพได้เช่นกัน
“ไม่ต้องกังวลไป ฉันมียาแก้พิษระดับ 3 ที่สามารถถอนหมอกพิษได้ แถมฉันยังเป็นนักค่ายกลขั้น 3 อีก ถึงตอนนั้นขอแค่จัดเตรียมค่ายกลไว้ให้ดี ก็ไม่ต้องกังวลอะไรกับอสูรงูปีกเขียวอีกแล้ว” จางไห่เฟยกล่าว
หลัวซิวคิดไม่ถึงว่าจางไห่เฟยจะเป็นถึงนักค่ายกลขั้น 3 ฐานะของนักค่ายกลน่ายกย่องมากกว่าจอมยุทธ์มากนัก ต่อให้เขาฝึกวิชาชี่ไห่ขั้น 9 ก็ตาม แต่ด้วยฐานะของนักค่ายกลขั้น 3 นั้นแม้แต่จอมยุทธ์พรสวรรค์ยังต้องสุภาพนอบน้อมกับพวกเขาเพื่อไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่งกันง่ายๆ
คนทั้งห้ามุ่งหน้าต่อไปข้างหน้า พวกเขาเดินผ่านสถานที่ที่รกร้างห่างไกล แต่ก็ยังจัดได้ว่าอยู่รอบนอกของเขากวนเหลย
เมื่อเดินทางผ่านหนทางที่มีหญ้าขึ้นสูงเท่าตัวคนมาได้แล้ว ก็ปรากฏถ้ำที่มีความสูงราวสองร้อยเมตรขึ้นตรงหน้าคนทั้งห้า
หน้าผาแห้งแล้งมีโพรงน้อยใหญ่ปรากฏอยู่มากมาย เสียงลมลอดผ่านส่งเสียงแหลม ในมุมเล็กๆ ที่ไม่มีผู้ใดสนใจมุมหนึ่ง มีต้นไม้เล็กๆ สีแดงเพลิงเติบโตอยู่บนกองหินระเกะระกะ ต้นไม้ต้นเล็กๆ นี้มีความสูงประมาณสามฉื่อ ใบของมันสีแดงเพลิงราวเปลวไฟ ตามกิ่งก้านสาขาของมันมีผลคล้ายพุทราห้อยอยู่สี่ผล
สถานที่แห่งนี้รกร้างห่างไกล ต้นโหวหยางมาเติบโตอยู่ในสถานที่แห่งนี้จึงไม่เคยมีใครพบเจอ กล่าวได้ว่าจางไห่เฟยและพวกมีโชคไม่น้อย
ทว่าบรรยากาศรอบกายอบอวลไปด้วยกลิ่นคาวเลือด พื้นดินบริเวณรอบๆ นี้ยังมีรอยงูเลื้อยปรากฏอยู่อย่างชัดเจน อสูรงูปีกเขียวที่จางไห่เฟยพูดถึงคงจะเร้นกายอยู่ในถ้ำบริเวณใกล้ๆ กับต้นโหวหยางอย่างแน่นอน
หลัวซิวหรี่ตาลง สำหรับเขาขอแค่ยืนยันได้ว่ามีผลโหวหยางอยู่จริงก็ถือว่ามาไม่เสียเที่ยวแล้ว
แววตาของจางไห่เฟย เถียนกวงโหย่วและเหมียวเฟยเฟยเริ่มปรากฏแรงปรารถนาอันแรงกล้าออกมา เพราะเมื่อได้ผลโหวหยางมาเมื่อไหร่ นั่นเท่ากับว่ามีสิ่งรับประกันการบรรลุแดนพรสวรรค์ได้แล้ว
“ฉันจะเตรียมวางค่ายกลเอาไว้ก่อน คนที่เหลือคอยช่วยฉันด้วย” จางไห่เฟยกล่าว จากนั้นนำธงค่ายขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือออกมาจากแหวนเก็บของ
หลัวซิวไม่เคยรู้จักวิธีการในสายค่ายกลมาก่อน แน่นอนว่าเขาย่อมไม่เข้าใจว่าสิ่งที่จางไห่เฟยกำลังเตรียมอยู่คือค่ายกลชนิดไหน
แต่จากที่หลัวซิวเคยรู้มา ค่ายกลสามารถแบ่งออกได้เป็นสี่ประเภท นั่นคือ ค่ายสังหาร ค่ายยากเย็น ค่ายจิ่วเสวียน และ ค่ายคุ้มกัน
หากต้องการจะต่อสู้กับอสูรกายขั้น 3 อย่างอสูรงูปีกเขียวที่เทียบเท่าได้กับจอมยุทธ์พรสวรรค์ หลัวซิวเดาว่าค่ายกลที่จางไห่เฟยกำลังเตรียมอยู่นั้นจะต้องเป็นค่ายสังหาร ค่ายยากเย็นหรือไม่ก็ ค่ายคุ้มกัน
เวลาผ่านไปกว่าครึ่งชั่วยามกว่าจางไห่เฟยจะเตรียมวางค่ายกลสำเร็จ แล้วกล่าวกับหลัวซิวว่า “ฉันจัดวางค่ายยากเย็นและ ค่ายสังหาร เอาไว้อย่างละหนึ่งที่ ค่ายกลระดับ 3 ทั้งสองอันนี้บวกกับการร่วมมือของพวกเราทั้งหมด มีความเป็นไปได้มากกว่าหกส่วนที่จะฆ่าอสูรงูปีกเขียวได้สำเร็จ”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ จางไห่เฟยจึงหยิบเม็ดยา เม็ดสีเขียวออกมาหนึ่งเม็ด “ในหมู่พวกเราจะต้องมีสักคนหนึ่งที่ไปล่ออสูรงูปีกเขียวออกมา ฉันจะต้องอยู่ตรงนี้เพื่อควบคุมค่ายกล ดังนั้นคงจะต้องรบกวนท่านอื่นๆ ด้วย”
หลังจากจางไห่เฟยกล่าวประโยคนี้ออกมา เถียนกวงโหย่วจึงมองไปที่หลัวซิวกับลู่เมิ่งเหยาแล้วกล่าวว่า “ท่านทั้งสองฝึกตนไม่ค่อยแข็งแกร่งนัก การจะลงมือฆ่าอสูรงูปีกเขียวได้จำเป็นต้องอาศัยแรงของพวกเรา ดังนั้นให้พวกท่านรับหน้าที่ในการล่ออสูรงูปีกเขียวออกมาก็แล้วกัน”
“สาวลู่เป็นสตรีบอบบาง จึงเหมาะกับหน้าที่นี้ที่สุด เรื่องนี้ยกให้พี่หลัวเป็นคนจัดการ” เถียนกวงโหย่วกล่าวพลางหัวเราะออกมา
ได้ยินดังนั้นหลัวซิวก็ขมวดคิ้ว เขารู้แต่แรกแล้วว่าการที่คนทั้งสามลากตนกับลู่เมิ่งเหยาเข้ามาด้วยไม่ได้มีเจตนาที่ดีนัก การล่ออสูรงูปีกเขียวออกมาเป็นหน้าที่ที่เสี่ยงมาก อสูรงูปีกเขียวนั้นปราดเปรียวว่องไว บางทียังไม่ทันจะล่อออกมาได้สำเร็จ อาจจะเข้าไปอยู่ในปากของมันแล้วก็เป็นได้
“พี่เถียนกล่าวมีเหตุผล ในเมื่อทุกคนจะร่วมหัวจมท้ายกันแล้ว ทุกคนต้องออกแรง พวกเรามีหน้าที่ฆ่าอสูรงูปีกเขียว ส่วนพวกของน้องหลัวก็เป็นส่วนหนึ่งของทีม ดังนั้นก็ต้องออกแรงช่วยเหลือด้วยเช่นกัน”
จางไห่เฟยเองก็มองไปทางหลัวซิว สายตาของเขาแสดงความหมายข่มขู่ออกมาอย่างชัดเจน
ลู่เมิ่งเหยาจับแขนเสื้อของหลัวซิวเอาไว้แน่น แสดงว่าเธอเองก็รับรู้ถึงความอันตรายในตอนนี้แล้ว
########################
บทที่ 110 ต้นโหวหยาง
เข้าสู่เทือกเขากวนเหลย ในสมองของหลัวซิวได้ระลึกถึงข้อมูลต่าง ๆ ของที่นี่ที่ได้รับมาจากองค์กรนักล่ายุทธ์
จอมยุทธ์ที่มาฝึกฝนหาประสบการณ์ที่เทือกเขากวนเหลยมีจำนวนมาก จอมยุทธ์ชี่ไห่นับเป็นการดำรงอยู่ที่มีระดับต่ำที่สุด ปกติแล้วต่างได้ฝึกล่าสัตว์อยู่ที่เขตแดนรอบนอกของเทือกเขากวนเหลย ไม่กล้าก้าวเท้าเข้ามาเหยียบพื้นที่ที่ลึกเข้ามาหน่อยเลยสักนิด ไม่เช่นนั้นอาจมีอันตรายถึงชีวิต
แม้ว่าจะอันตรายมากเพียงใด แต่จอมยุทธ์ที่มาฝึกฝนหาประสบการณ์ที่เทือกเขากวนเหลยกลับมีนับไม่ถ้วน เพราะทรัพยากรของที่นี่ค่อนข้างจะอุดมสมบูรณ์ แม้แต่ผู้ที่ดำรงอยู่ในแดนผู้ชนะแห่งโลกยุทธ์ ก็จะต้องเข้าไปตามหาสมบัติล้ำค่าในจุดที่ลึกเข้าไปของเทือกเขา
ปกติแล้วจอมยุทธ์ที่ออกมาฝึกฝนหาประสบการณ์มักจะรวมตัวกันเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มใหญ่ จอมยุทธ์ที่กล้าเดินทางเพียงลำพัง ล้วนเป็นจอมยุทธ์ผู้แข็งแกร่งที่เชื่อมั่นในฝีมือของตน
พึ่งจะเข้ามาในเทือกเขากวนเหลยได้ไม่นาน หลัวซิวก็ได้เผชิญหน้ากับอสูรระดับ 2 อยู่หลายตัว
แม้ว่าอาศัยกระแสสัมผัสพลังชีวิตจะสามารถหลีกเลี่ยงพื้นที่ที่อสุรกายเหล่านั้นจำศีลไปได้ แต่หลัวซิวมาที่นี่เพื่อฝึกฝนหาประสบการณ์ เป็นธรรมดาที่ไม่จำเป็นต้องระมักระวังเช่นนี้
วัสดุที่อยู่บนร่างของอสุรกายเหล่านั้นเขาไม่ได้เก็บเอามาจนหมด เลือกเอาเพียงชิ้นที่มีค่าที่สุดเก็บเข้าไปยังแหวนเก็บของ
ทันใดนั้นเอง ภายใต้กระแสสัมผัสพลังชีวิตของหลัวซิว ได้รับรู้ถึงพลังชีวิตของจอมยุทธ์สองสามคน
ไม่นานนัก เงาร่างมนุษย์สามสายก็ได้ปรากฏขึ้นในสายตาของหลัวซิว เดินตรงเข้ามายังทางที่เขาและลู่เมิ่งเหยายืนอยู่
คนที่มานั้นเป็นชายสองหญิงหนึ่ง คนหนึ่งเป็นชายวัยกลางคน สวมเกราะหนัง เหน็บกระบี่ไว้ที่เอง คนหนึ่งเป็นชายหนุ่ม หน้าตาดุร้าย สะพายดาบยุทธ์เอาไว้บนหลัง สวมเกราะนักรบ
คนสุดท้ายนั้นเป็นสตรีนางหนึ่ง สวมชุดนักรบรัดรูป รูปร่างนูนเว้าเป็นทรง พราวเสน่ห์อย่างที่สุด
ในตอนที่หลัวซิวพบกับทั้งสามคนนี้เข้า ฝ่ายตรงข้ามก็ได้สังเกตเห็นเขาและลู่เมิ่งเหยาเช่นกัน
ทั้งสามคนนี้น่าจะเป็นนักล่าอสูรที่ได้ฝึกรบราฆ่าฟันที่ด้านนอกอยู่ตลอดทั้งปี กลิ่นความอันตรายที่มองไม่เห็นแผ่ซ่านออกมาจากร่างกาย
ลู่เมิ่งเหยายืนอยู่ที่ข้างกายหลัวซิว และได้สัมผัสถึงความอันตรายนี้เช่นกัน มีท่าทางประหม่าเล็กน้อย นางขยับตัวเข้าใกล้หลัวซิว
จอมยุทธ์ที่เข้ามาฝึกฝนหาประสบการณ์อยู่ที่นี้นั้นมีมากมาย ดังนั้นได้พบกับจอมยุทธ์คนอื่นอยู่ที่นี่ หลัวซิวก็ไม่ได้แปลกใจเลย
อย่างไรก็ตามเขายังมองไปยังทั้งสามคนที่กำลังเดินใกล้เข้ามาด้วยความระมัดระวังที่อยู่ภายในใจเช่นกัน เพราะในที่ที่ห่างไกลผู้คนเช่นนี้ การลงมือฆ่าคนนั้นเป็นเรื่องที่ปกติมาก
“น้องชายท่านนี้เชิญ”
ในตอนที่ทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างกันสิบกว่าเมตร ฝ่ายตรงข้ามทั้งสามคนก็ได้หยุดลง แสดงให้เห็นว่าพวกตัวเองทั้งสามคนไม่ได้คิดร้ายอะไร
คนที่กล่าวขึ้นมานั้นคือชายวัยกลางคนที่นำหน้า มีผลการฝึกตนในระดับชี่ไห่ขั้น 9 ทว่าหลัวซิวกลับรู้สึกว่าเขาร้ายกาจกว่าจอมยุทธ์ชี่ไห่ขั้น 9 ที่เขาได้สังหารเมื่อตอนอยู่ที่เขตการปกครองหยุนหลงอีกมาก
หลัวซิวเองก็กุมหมัดโค้งตัว “ไม่ทราบว่าทั้งสามท่านมาเรื่องอันใด?”
“ข้าน้อยจางไห่เฟย สองท่านนี้เป็นผู้ร่วมทางของข้า เถียนกวงโหย่ว เหมียวเฟยเฟย” ชายวัยกลางคนไม่ได้ตอบคำถามของหลัวซิวโดยตรง แต่ตัวแนะนำพวกตัวเองทั้งสามคนก่อน
เถียนกวงโหย่วก็คือชายหนุ่มที่สะพายดาบเอาไว้บนหลังผู้นั้น ใบหน้าแฝงไปด้วยความโหดร้าย ดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนดีสักเท่าไหร่นัก ส่วนเหมียวเฟยเฟยนั้นได้ยิ้มพลางพยักหน้ามองมาทางหลัวซิว
ผลการฝึกตนของทั้งสองคนนั้น ด้อยกว่าจางไห่เฟยเล็กน้อย ล้วนเป็นชี่ไห้ขั้น 8
ทว่าหลัวซิวกลับได้สังเกตเห็นว่า ตอนที่สายตาของเถียนกวงโหย่วมองลู่เมิ่งเหยานั้น พลันเปลี่ยนเป็นร้อนแรงขึ้นมา
เพราะหุ่นของลู่เมิ่งเหยานั้นสวยงามมาก รูปร่างสูงโปร่ง โดยเฉพาะรัศมีที่ไม่ธรรมดานั่นรวมเข้ากับแววตาเศร้าสร้อย ทำให้เถียนกวงโหย่วรู้สึกกระสับกระส่ายภายในใจขึ้นมาทันที
“ข้าชื่อหลัวซิว นี่คือเพื่อนร่วมทางของข้า แม่นางลู่” หลัวซิวเองก็กล่าวแนะนำ
เขาไม่ได้เอ่ยชื่อของลู่เมิ่งเหยาออกมา เพราะไม่ว่ายังไงที่นี่ก็ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของเขตการปกครองหยุนหลง มาแน่ว่าทั้งสามนี้อาจจะรู้จักนางก็ได้
“น้องหลัว แม่นางลู่ ที่ข้าเสียมารยาทเข้ามารบกวน ความจริงแล้วคืออยากขอเชิญให้ทั้งสองท่านมาร่วมกลุ่มกับเรา ไม่ทราบทั้งสองท่านมีความเห็นเช่นไร?” จางไห่เฟยกล่าวขึ้นมา
ได้ยินคำพูดประโยคนี้ ปฏิกิริยาแรกของหลัวซิวก็คือก็คือปฏิเสธ เพราะเขารู้ดีว่าการฝึกหาประสบการณ์ที่ด้านนอก จิตใจคนยากแท้หยั่งถึง ต่อให้ต้องรวมกลุ่มเดินทาง หลัวซิวก็ต้องเลือกคนที่พึ่งพาและเชื่อใจได้
แต่ทั้งสามคนนี้สำหรับเขาแล้ว ไร้ซึ่งความเข้าใจใด ๆ เลย ยิ่งไปกว่านั้นเข้ามาอีกฝ่ายก็จะร่วมเดินทางเลย ใครจะทราบได้ล่ะว่ามีจุดประสงค์ร้ายอะไรหรือเปล่า?
ทว่ายังไม่ทันที่หลัวซิวจะได้เอ่ยปากปฏิเสธ จางไห่เฟยคนนั้นก็ได้กล่าวขึ้นมาอีกครั้ง: “พวกเราได้พบต้นโหวหยางเข้าต้นหนึ่ง แต่ใกล้ ๆ กับต้นโหวหยางมีอสูรระดับ 3 จำศีลอยู่ พวกเราสามคนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเดรัจฉานนั่น ดังนั้นก็เลยอยากเชิญคนเข้ามาร่วมด้วย”
“ต้นโหวหยาง?”
หลัวซิวหรี่ตาเล็กน้อย เขารู้ว่าต้นโหวหยางเป็นยาวิเศษระดับ 3 ชนิดหนึ่ง ผลโหวหยางที่อยู่บนต้นนั้น เป็นยาหลักที่ใช้กลั่นยาจิ้นเทียน
ยาจิ้นเทียนเป็นยาระดับ 3 เป็นยาล้ำค่าที่จอมยุทธ์ชี่ไห่ใช้เพื่อทะลวงแดนพรสวรรค์ เนื่องด้วยผลโหวหยางนั้นหาได้อยาก ดังนั้นแม้ว่ายาชนิดนี้จะมีระดับที่ไม่สูงนัก แต่กลับมีค่ากว่ายาระดับสี่จำนวนมาก
แม้ว่าหลัวซิวจะได้รับคลังสมบัติของราชายุทธ์ปู้เฉิน ในนั้นก็มียาระดับห้าอยู่ไม่น้อย แต่ส่วนมากล้วนใช้เพื่อเพิ่มระดับผลการฝึกตน ฟื้นฟูผลการฝึกตน รักษาอาการบาดเจ็บ ยาชนิดที่สามารถทะลวงช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่ออย่างยาจิ้นเทียน กลับไม่มีเลยสักเม็ด
หลัวซิวเองก็คิดไม่ถึงว่า ตนนั้นพึ่งจะมาถึงเทือกเขากวนเหลย กลับได้พบเบาะแสของต้นโหวหยางเข้าอย่างไม่คาดฝัน
แม้ว่าจอมยุทธ์ชี่ไห่ทะลวงแดนพรสวรรค์อาจไม่จำเป็นต้องใช้ยาจิ้นเทียน แต่ถ้าหากทานยาจิ้นเทียนเข้าไปเมื่ออยู่ในชี่ไห่ขั้น 9 ก็จะสามารถทะลวงได้โดยเร็ว แต่ถ้าหากไม่ใช้ยาจิ้นเทียน อย่าวน้อยก็จะต้องพยายามสะสมอยู่ในชี่ไห่ขึ้น 9 เป็นเวลาหลายปี ถึงจะสามารถทะลวงขั้นได้
โดยเฉพาะสำหรับพวกจอมยุทธ์ที่พรสวรรค์ไม่ค่อยจะดีนัก จะต้องใช้ยาจิ้นเทียนถึงจะสามารถทะลวงได้ ไม่อย่างนั้นละก็จะต้องอยู่ในแดนชี่ไห่ไปตลอดชีวิต
สามารถทะลวงสู่แดนพรสวรรค์ได้หรือไม่นั้น มีความสำคัญกับผู้ฝึกยุทธ์มาก เพราะตราบใดที่ได้ทะลวงเข้าสู่แดนพรสวรรค์ อายุขัยก็จะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว มีอายุขัยอยู่ที่ประมาณสามร้อยถึงห้าร้อยปี!
เพราะเหตุนี้ มูลค่าของยาจิ้นเทียน สามารถจินตนาการได้
แต่ถ้าหากไม่มีผลโหวหยาง ก็จะไม่สามารถกลั่นยาจิ้นเทียนออกมาได้ แต่ให้เป็นในสำนักใหญ่ที่มีอิทธิพลอย่าสำนักเซียวเหยา ยาจิ้นเทียนก็หาได้ยากมาก ต่อให้เป็นศิษย์ใจกลาง น้อยคนนักที่จะมีคุณสมบัติใช้มัน
แต่ถึงแม้ว่าหลัวซิวจะอายุยังน้อย แต่ก็ไม่ใช่คนโง่ เขาไม่เชื่อหรอกว่าบนโลกใบนี้จะมีเรื่องดี ๆ อย่างบุญหล่นทับ
ยังไม่ต้องพูดถึงว่ามีต้นโหวหยางอยู่จริง ๆ หรือไม่ หรือต่อให้มี เกรงว่าคงจะไม่สามารถเอามาได้ง่าย ๆ เช่นนั้น ไม่อย่างนั้นละก็พวกจางไห่เฟยทั้งสามรถคนจะยอมเอาผลประโยชน์ที่ดีเช่นนี้มาแบ่งปันได้ยังไง?
“น้องหลัว แม่นางลู่ ความล้ำค่าของผลโหวหยาง คิดว่าไม่จำเป็นต้องให้ข้าพูด ทั้งสองท่านก้คงจะทราบดี” จางไห่เฟยกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
ในตอนที่ฝ่ายตรงข้ามพูดประโยคนี้ออกมานั้น หลัวซิวสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าไอสังหารจากร่างของคนพวกนี้ได้รุนแรงขึ้นมาอีกหลายเท่า
เหมือนกับว่าถ้าหากหลัวซิวและลู่เมิ่งเหยาปฏิเสธ พวกเขาก็จะลงมือฆ่าคนทันที
########################
บทที่ 109 เลือกอีกครั้ง
เก็บกระบี่เงามืดคืนเข้าไปในฝัก หลัวซิวรวบรวมปราณแท้ออกมาเป็นเปลวไฟสีดำ ไม่นานก็เผาร่างไร่วิญญาณของโกวจินชวนและจอมยุทธ์ชี่ไห่ทั้งห้าคนนั้นจนสิ้นซาก
“พวกเราจะอยู่ที่นี่นานไม่ได้ ฝังศพท่านพ่อของเจ้าเสร็จ พวกเราต้องรีบจากไปทันที”
หลัวซิวกล่าวไป พลางทำลายร่องรอย ขณะเดียวกันนั้นก็ได้เก็บสมบัติเก็บของของพวกโกวจินชวนลง
จากนั้น เขาและลู่เมิ่งเหยาก็ได้ช่วยกันขุดหลุม และเอาร่างไร้วิญญาณของลู่เฟยเฉินฝังลงไป และตั้งศิลาจารึก
ลู่เมิ่งเหยาโขกศีรษะคำนับน้ำตาไหลอาบแก้ม จากนั้นทั้งสองคนก็ได้เดินทางกลับสู่เขตการปกครองหยุนหลง
หลังจากที่กลับมาถึงองค์กรนักล่ายุทธ์ หลัวซิวเข้าใจดีว่าอีกไม่นานสำนักเซียวเหยาก็จะสังเกตพบว่าโกวจินชวนได้หายตัวไป จากนั้นก็สืบหาความมาตามเบาะแส และสงสัยถึงตนและลู่เมิ่งเหยาในที่สุด
บิดามารดาและพี่สาวมีองค์กรคอยดูแล หลัวซิวไม่ต้องเป็นกังวล เขาเตรียมที่จะไปจากเขตการปกครองหยุนหลง ออกไปฝึกฝนหาประสบการณ์ที่โลกภายนอก
สถานที่ที่เขาเลือกออกไปฝึกฝนหาประสบการณ์ ก็คือเทือกเขากวนเหลย ตั้งอยู่ที่เขตแดนติดต่อกันระหว่างเขตการปกครองหยุนหลงและเขตการปกครองโตว้ไห่
“ข้าจะไปกับเจ้าด้วย”
หลังจากที่หลัวซิวได้บอกความคิดที่จะออกไปฝึกฝนหาประสบการณ์ให้ลู่เมิ่งเหยาฟัง ปฏิกิริยาแรกของนางก็คือกล่าวคำพูดเช่นนี้ออกมา
ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ เรื่องทุกอย่างที่ได้เกิดขึ้นติดต่อกันมา ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองคนนั้นลุ่มลึกขั้นมาเล็กน้อย
“ข้าจะไปฝึกฝนหาประสบการณ์ที่เทือกเขากวนเหลย มันค่อนข้างจะอันตราย บิดาของเจ้าได้ทิ้งป้ายบัญชาการเอาไว้ให้เจ้าชิ้นหนึ่ง เพียงแค่เจ้าใช้ค่ายวาร์ปจากที่นี่ไปยังเขตการปกครองโตว้ไห่ ก็สามารถเดินทางไปที่สำนักเหลยหวู่ได้แล้ว” หลัววิวกล่าวเช่นนี้
“ข้า……ข้าอยากอยู่ด้วยกันกับเจ้า” เบ้าตาของลู่เมิ่งเหยาแดงเล็กน้อย
“ก็ได้”
หลัวซิวได้แต่รับปาก เขาเองก็รู้ว่าลู่เมิ่งเหยาไร้ที่พึ่งพิง นอกจากนี้ในหัวใจของหลัวซิว เขาไม่ได้ปล่อยว่าความรู้สึกที่มีให้ลู่เมิ่งเหยาไปจนหมดสิ้น แม้ว่าตอนนั้นนางได้เลือกที่จะไปจากตน แต่ยังไงนั่นก็เป็นเพราะนางมีความลำบากใจของตัวเอง หลัวซิวสามารถเข้าใจได้
อีกอย่างเพียงแค่ข้ามเทือกเขากวนเหลยไปก็จะสามารถไปถึงเขตการปกครองโตว้ไห่ พอถึงตอนนั้นค่อยพานางเดินทางไปที่สำนักเหลยหวู่ก็ได้เช่นกัน
ผลการฝึกตนของลู่เมิ่งเหยาคือชี่ไห่ขั้น 5 และได้รับนักล่าอสูรตรา 2 ดาวมาก่อนหน้านี้นานแล้ว เพราะเหตุนี้ทั้งสองใช้ค่ายวาร์ป วาร์ปจาก เขตการปกครองหยุนหลงไปที่ เมืองเกายี่
เมืองเกายี่ อยู่ใกล้ เทือกเขากวนเหลยที่สุด หลังจากที่ออกมาจากองค์กรนักล่ายุทธ์ ทั้งสองได้ซื้อม้ามาหนึ่งตัว และออกจากตัวเมืองในทันที
ไม่นาน ข่าวการหายตัวไปของโกวจินชวนก็ได้กระจายไปถึงในสำนักเซียวเหยา และได้สืบหาไปตามเบาะแส และได้รู้ว่าโกวจินชวนได้สะกดรอยตามหลัวซิวและลู่เมิ่งเหยาออกไปจากเมือง
ผู้อาวุโสโกวหงยี่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ออกคำสั่งให้สืบหาร่องรอยของหลัวซิวและลู่เมิ่งเหยา ได้ทราบว่าพวกเขาสองคนปรากฏตัวที่ เมืองเกายี่ และได้เดินทางมุ่งหน้าไปที่ เทือกเขากวนเหลย
……
ระยะห่างระหว่างเมืองเกายี่และเทือกเขากวนเหลยนั้น ความจริงแล้วก็มีระยะทางที่ค่อนข้างจะไกลพอสมควร หลัวซิวและลู่เมิ่งเหยาขี่ม้าตัวเดียว เดินทางมาแล้วเจ็ดวัน ก็ยังคงไม่ถึงที่ตั้ง เทือกเขากวนเหลย
บางทีอาจเป็นเพราะการจากไปของลู่เฟยเฉิน ทำให้ลู่เมิ่งเหยากลายเป็นคนไม่ค่อยพูด ไร้ซึ่งความเบิกบานร่าเริงอย่างเมื่อก่อน
มีบางครั้งที่ทั้งสองคนได้พักผ่อนระหว่างทางหลัวซิวได้เข้าป่าหาล่าสัตว์ ลู่เมิ่งเหยาก็จะรู้สึกกระวนกระวาย มีเพียงตอนที่หลัวซิวอยู่ข้างกาย อารมณ์ของนางถึงจะสงบลง
สำหรับนางแล้ว หลัวซิวเป็นเพียงที่พึ่งเดียวของนางบนโลกใบนี้ การตายของบิดา ส่งผลกระทบต่อจิตใจของนางเป็นอย่างมาก ทำให้นางพะวงในเรื่องต่าง ๆ นานา
ครึ่งเดือนต่อมา เดินตามแผนที่ที่ได้มาจากองค์กรนักล่ายุทธ์มาเป็นเวลานาน ในที่สุดก็ได้มองเห็น เทือกเขากวนเหลยที่มีเมฆหมอกปกคลุมอยู่เลือนราง
ทันใดนั้น พลังกดทับอันแรงกล้าได้ร่วงหล่นลงมาจากฟ้า ทำให้สีหน้าของหลัวซิวเปลี่ยน แผงขนของม้าที่อยู่ใต้เป้ากางเกงเหมือนกับว่าไม่อาจทนรับแรงกดทับนี้ได้เช่นกัน จึงร้องออกมาอย่างวิตกกังวล
ลู่เมิ่งเหยาที่นั่งอยู่ด้านหลังของเขาก็สัมผัสได้ถึงพลังกดทับที่ว่า ใบหน้างดงามได้ซีดเซียวลง
“จะเป็นยอดฝีมือของสำนักเซียวเหยาที่ได้ตามมาสังหารพวกเราหรือไม่?”
หลัวซิวได้พยายามฝืนทนกับแรงกดทับนี้ พบว่าที่บนฟ้ามีเงาร่างมนุษย์สายหนึ่งได้ลอยผ่านไป แรงกดทับอันทรงอานุภาพนี้ ได้กระจายออกมาจากร่างของเราร่างมนุษย์ที่ลอยผ่านไปนั่นเอง
เป็นชายสวมอาภรณ์สีม่วงผู้หนึ่ง สายตาของเขาเพียงแค่มองผ่านหลัวซิวและลู่เมิ่งเหยาที่อยู่ด้านล่างไปอย่างเฉยเมย จากนั้นก็ลอยบินไป และหายลับขอบฟ้าไปไกลโพ้น
ภายในใจหลัวซิวรู้สึกเกรงขาม ชายสวมอาภรณ์สีม่วงผู้นั้นสามารถลอยในอากาศได้ อย่างน้อยก็เป็นผู้แข็งแกร่งแดนปรมาจารย์ฝึกจิต และดูจากรัศมีพลังแล้ว คนผู้นี้แข็งแกร่งกว่าลู่เฟยเฉินอีกมากนัก แม้กระทั่งไม่ด้อยไปกว่าหัวหน้าแก๊งเหวินเซวียนหง น่าจะเป็นผู้ที่อยู่ในแดนผู้ชนะแห่งโลกยุทธ์
ผู้แข็งแกร่งเช่นนี้ พบได้ไม่มากนักใน เขตการปกครองหยุนหลง
“เป็น ราชายุทธ์เย่หยาง” จู่ ๆ ลู่เมิ่งเหยาที่อยู่ด้านหลังหลัวซิวก็ได้กล่าวขึ้นมา นางดูออกแล้วว่าชายคนนั้นเป็นใคร
“ราชายุทธ์เย่หยางเป็นผู้แข็งแกร่งในกลุ่มฝึกตนโดยไม่มีสังกัด ในตอนที่ข้าอายุสิบสามขวบเคยได้เจอครั้งหนึ่งพร้อมกับท่านพ่อของข้า” ลู่เมิ่งเหยากล่าวออกมาเช่นนี้
หลัวซิวพยักหน้า สำหรับเรื่องที่ ผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ผู้หนึ่งได้มาที่บริเวณใกล้เคียง เทือกเขากวนเหลย เขาไม่แปลกใจเลยสักนิด
เทือกเขากวนเหลยเป็นพื้นที่ที่ค่อนข้างจะกว้างขวาง มีเขตแดนกว้างใหญ่ แทบจะเป็นครึ่งหนึ่งของ เขตการปกครองหยุนหลง ไม่ว่าจะเป็นจอมยุทธ์ชี่ไห่ หรือเป็นปรมาจารย์ฝึกจิต หรือแม้กระทั่ง ผู้ชนะแห่งโลกยุทธ์ ต่างก็มักจะมาค้นหาสมบัติทรัพยากรต่าง ๆ ที่ เทือกเขากวนเหลย
ตามข้อมูลที่ได้มาจากองค์กรนักล่ายุทธ์ ที่ เทือกเขากวนเหลยมีนักยุทธ์หลอมอาวุธอยู่มากมาย วัสดุล้ำค่าที่ใช้ในการสร้างสมบัติล้ำค่า และยังมียาวิเศษระดับต่าง ๆ อีกมากมาย นอกเหนือจากนี้แล้วยังมี อสุรกายที่ร้ายกาจ ชิ้นส่วนต่าง ๆ บนร่างกายของพวกมันต่างก็เป็นสมบัติล้ำค่า
ที่แห่งนี้เป็นที่รวมตัวของเหล่าผู้แข็งแกร่ง หลัวซิวเข้าใจดีว่าอาศัยผลการฝึกตนในแดนชี่ไห่ของตัวเอง คิดจะตั้งรากฐานอยู่ที่นี่ มันไม่ง่ายเลย
มองดูลู่เมิ่งเหยาที่อยู่ด้านหลัง ตอนนี้นางได้ใช้ผ้าคลุมหน้าเอาไว้ เพราะใบหน้าของนาง ก็ค่อนข้างจะนำมาซึ่งปัญหาเอาได้ง่าย
ในเมื่อได้เดินมาถึงตรงนี้แล้ว ตามอุปนิสัยของหลัวซิวก็ไม่มีทางที่จะถอยหลังอย่างแน่นอน เส้นทางในการฝึกยุทธ์ หากไม่มีหัวใจที่ไร้ซึ่งความเกรงกลัว การก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของโลกยุทธ์นั้นก็เป็นเพียงฝันเลื่อนลอย
บริเวณใกล้เคียงเทือกเขากวนเหลย เป็นเหมือนกับเขาปาฉีที่อยู่ใกล้กับเมืองชิงหยุน มีสถานที่รวมตัวของเหล่าจอมยุทธ์เช่นกัน จอมยุทธ์ไม่น้อยที่มาฝึกฝนหาประสบการณ์ที่เทือกเขากวนเหลยต่างก็เลือกหยุดพักอยู่ที่นี่ อาจจะหยุดพักผ่อน หรืออาจจะแลกเปลี่ยนซื้อขายสมบัติของตัวเอง
สถานที่เช่นนี้ ไม่ได้มีสี่แก๊งใหญ่อยู่ และไม่ได้สร้างค่ายวาร์ปขึ้น ดังนั้นจึงไม่สามารถวาร์ปมาได้โดยตรง
ทว่าหลัวซิวไม่ได้ไปยังสถานที่รวมตัวแห่งนั้น เพราะเขารู้ว่ามีสมบัติบางอย่างที่สามารถใช้ส่งข้อความได้ ภายในจุดรวมตัวของเทือกเขากวนเหลย จะต้องมีจอมยุทธ์ของสำนักเซียวเหยาอยู่แน่ ทันทีที่ตนและลู่เมิ่งเหยาปรากฏตัวขึ้น จะต้องกลายเป็นเป้าหมายอย่างแน่นอน
เดินอ้อมผ่านจุดรวมตัว หลัวซิวได้ผูกม้าไว้กับต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง จากนั้นก็พาลู่เมิ่งเหยาเดินเท้าไปที่เทือกเขากวนเหลย
การฝึกตนในโลกยุทธ์ หากเพียงแค่ปิดขังฝึกตนทุกขเวทนายากที่จะประสบผลสำเร็จได้ ผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์ทุกคนแต่งก็ได้ผ่านความทุกข์ทรมานมามากมาย ผ่านการฝึกฝนด้วยความเป็นตาย ถึงได้ประสบผลสำเร็จ
เป้าหมายในครั้งนี้ของหลัวซิว ก็คือเดินข้ามเทือกเขากวนเหลยทะลุผ่านไปยังเขตการปกครองโตว้ไห่ การเดินข้ามเทือกเขากวนเหลยนั้นเดิมที่ก็เป็นการฝึกฝนตนเอง ในขณะเดียวกันหลังจากที่ได้ไปถึงเขตการปกครองโตว้ไห่ ก็สามารถพาลู่เมิ่งเหยาไปส่งที่สำนักเหลยหวู่ได้
ระหว่างลู่เมิ่งเหยากับเขานั้น หลัวซิวบอกไม่ได้เหมือนกันว่าเป็นความรู้สึกเช่นไร
แม้ว่าจะมีอายุเพียงสิบสี่ปี แต่หลัวซิวคิดว่าตัวเองได้ผ่านประสบการณ์ด้านความรักมาแล้วสองครั้ง ครั้งแรกคือการแอบชอบหลิวหยู่ซินในตอนที่อยู่สำนักยุทธ์ชิงหยุน ครั้งที่สองคือความรักที่มีใจตรงกันกับลู่เมิ่งเหยา
แต่ความรักในครั้งนี้กลับทำให้เขารู้สึกว่าโลกนี้ไม่แน่นอน และทำให้เขาให้ความสำคัญกับเรื่องความรักน้อยลง สิ่งที่เขาต้องการนั้น คือก้าวขึ้นเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในโลกยุทธ์
########################
บทที่ 108 เพลิงมรณะ
นางทราบดี โกวจินชวนมีผลการฝึกตนในระดับจอมยุทธ์พรสวรรค์ และยังมีจอมยุทธ์ชี่ไห่ขั้น 9 เป็นผู้ช่วยอีกห้าคน ตนไม่สามารถขัดขืนได้เลยสักนิด นอกจากนี้ยังทำให้หลัวซิวต้องพลอยรับเคราะห์ไปด้วย
“เจ้าจะถอดเสื้อผ้าเอง หรือจะให้ฆ่าฉีกเสื้อผ้าของเจ้าออกเป็นชิ้น ๆ? ถ้าหากเจ้าเชื่อฟัง อย่างมากก็แค่ถูกพวกข้าไม่กี่คนสรรหาความสุข หากเจ้าไม่เชื่อฟัง พอถึงตอนนั้นข้าจะถอดเสื้อผ้าของเจ้าออกให้หมดและนำเจ้าไปทิ้งไว้บนถนนในเขตการปกครองหยุนหลง ต่อให้เจ้าตาย ข้าเชื่อว่าจะต้องมีผู้ชายไม่น้อยที่สนใจเจ้าแน่”
หัวใจของโกวจินชวนนั้นวิปริตอย่างแท้จริง เข้าชอบบีบบังคับให้สตรีเชื่อฟังเขาเช่นนี้เป็นอย่างมาก และสตรีที่ไม่เชื่อฟังเขา ต่างก็มีจุดจบที่อนาถสิ้นดี
“อ้ากกก!……”
ทันใดนั้นเอง เสียงร้องโหยหวนก็ได้ดังลอยมากระทบหูติดต่อกัน ควบคู่ไปกับเสียงเลือดสาดกระเซ็น
โกวจินชวนขมวดคิ้ว นึกว่าผู้ติดตามพวกนั้นได้สังหารหลัวซิวไปเสียแล้ว เงยหน้าหันไปดู กลับพบว่าหลัวซิวยังคงยืนอยู่ตรงนั้นไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ส่วนพวกคนที่ติดตามมากับเขานั้น กลับล้วนนอนอยู่ในกองเลือด
“พวกขยะ สู้เดรัจฉานก็ไม่ได้!” หลัวซิวถือกระบี่เปื้อนเลือดเอาไว้ในมือ ตอนที่เขาลงมือนั้น ไม่ได้ยังมือเลยแม้แต่น้อย
ไม่เพียงเท่านั้น การเคลื่อนไหวของเขาไม่มีการหยุดชะงักเลยสักนิด เสียงกระบี่เงามืดสั่นสะท้านหนึ่งครั้ง เขาได้ทิ้งเศษเงาเอาไว้ ณ จุดเดิม วินาทีที่โกวจินชวนมองมา กระบี่ก็ได้ฟันเข้าใส่อีกฝ่าย
โกวจินชวนพลันสีหน้าเปลี่ยนไป เขาคิดไม่ถึงว่าหลัวซิวจะสามารถสังหารจอมยุทธ์ชี่ไห่ขั้นเก้าทั้งห้าคนได้โดยง่ายเช่นนี้
“เจ้าคนไม่รู้จักความเป็นตาย ข้าอยู่ในขั้นแดนพรสวรรค์เชียวนะ!”
โกวจินชวนตวาดขึ้นมา พลังปราณแท้พรสวรรค์ได้ส่องแสงสีฟ้าน้ำทะเลออกมาจากร่าง เหมือนดั่งระลอกคลื่นซัดกระเซ็น
ผลการฝึกยุทธ์ถึงแดนพรสวรรค์ ก็จะสามารถฝึกพลังAttr ปราณแท้ที่ผสมพลังAttr เอาไว้ ถูกเรียกอีกอย่างว่าพลังปราณแท้พรสวรรค์
ที่โกวจินชวนฝึกนั้นเป็นพลังปราณแท้Attrน้ำ ซัดออกมาหนึ่งครั้ง พลังปราณแท้เป็นเหมือนดั่งคลื่นลมที่ถาโถม พุ่งเข้าใส่เสียงกระบี่ที่หลัวซิวฟันเข้ามา
กระบี่เงามืดและพลังปราณแท้พรสวรรค์Attrน้ำ กระแทกกัน หลัวซิวรู้สึกได้ทันทีว่ามีพลังอันแข็งแกร่งได้ต่อต้านกระบี่ยุทธ์ในมือของเขาเอาไว้ ในขณะเดียวกันนั้นก็มีพลังบางอย่างได้ผ่านเข้ามาทางกระบี่เงามืด เหมือนดั่งจะกระแทกให้กระบี่ยุทธ์ที่อยู่ในมือนั้นหลุดลอยออกไป
และนี่ก็คือพลังปราณแท้พรสวรรค์ที่ได้ผสมพลัง Attr เอาไว้ แข็งแกร่งกว่าพลังปราณแท้ของจอมยุทธ์ชี่ไห่อีกมาก
หลัวซิวเปลี่ยนกระบวนท่าในทันที วิชากระบี่สะท้อนแสงถูกใช้ออกมา ดาบเร็วเป็นเหมือนดั่งลำแสง ปรากฏขึ้นและหายไปอย่างรวดเร็ว พุ่งแทงเข้าไปยังจุดกึ่งกลางระหว่างคิ้วของโกวจินชวน
กระบี่นี้ หลัวซิวไม่ได้ยังมือเลยแม้แต่น้อย จอมยุทธ์ชี่ไห่ขั้น 9 ก็ไม่อาจหลบได้ทันอย่างแน่นอน ถูกแทงทะลุไปในกระบี่เดียว และตายทันที
แต่โกวจินชวนเป็นจอมยุทธ์พรสวรรค์ มีการตอบสนองที่เร็วกว่าจอมยุทธ์ชี่ไห่ขั้น 9 อีกมาก หลบไปได้อย่างหวุดหวิด กระบี่เงามืดแทงผ่านจอนผมของเขาไปอย่างแนบชิด
แม้ว่าจะหลบไม่ให้โดนจุดสำคัญอย่างจุดกึ่งกลางระหว่างคิ้วไปได้ แต่แรงลมที่เกิดขึ้นจากคมกระบี่นั้น กลับกรีดจนเกิดรอยแผลขึ้นที่ใบหน้าของเขา เลือดสด ๆ ไหลออกมา
“ไอ้เดรัจฉาน แกรนหาที่ตาย!”
โกวจินชวนโกรธจัด หยิบเอาดาบยุทธ์เล่มหนึ่งออกมาจากแหวนเก็บของ นำพาแสงดาบสีฟ้าน้ำทะเล ปกคลุมเข้าไปหาหลัวซิว
เห็นเพียงเงาร่างของหลัวซิวเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เดิมทีคิดว่าอาศัยผลการฝึกตนแดนพรสวรรค์ของตน แค่ยกมือขึ้นก็จะสามารถเอาชีวิตของจอมยุทธ์ชี่ไห่คนหนึ่งได้อย่างง่ายดาย กลับคิดไม่ถึงว่าวิชาท่าร่างของหลัวซิวจะร้ายกาจเช่นนี้ การจู่โจมของเขาโจมตีไม่โดนอีกฝ่ายเลยสักนิด เสียแรงไปโดยเปล่าประโยชน์
ในตอนนี้เอง ร่างของหลัวซิวได้ปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาเหมือนดั่งวิญญาณร้าย กระบี่เงามืดโบกสะบัด กระบวนท่าที่สองของวิชากระบี่แสงเหนือ กระบี่พรากชีวีถูกใช้ออกมา!”
เอาชีวิตได้ภายในกระบี่เดียว เร็วเหมือนดั่งสายฟ้า แค่ชั่ววินาทีก็ได้ปรากฏขึ้นที่ลำคอของโกวจินชวน ผิวหนังที่ลำคอยังสามารถสัมผัสได้ถึงคมกระบี่ที่ทิ่มแทงเข้า
โกวจินชวนได้สัมผัสถึงการคุกคามจากความตาย สัญชาตญาณโดยกำเนิดของจอมยุทธ์พรสวรรค์ สั่งให้เขาหงายตัวล้มไปด้านหลัง กระบี่ยุทธ์ของหลัวซิวทิ่มแทงในอากาศ ไม่อาจลงมือสำเร็จ
ถูกหลบได้ติดต่อกันทั้งสองกระบี่ หลัวซิวแอบกล่าวอยู่ในใจว่าจอมยุทธ์พรสวรรค์จัดการได้ไม่ง่ายจริง ๆ ฝีมือของเขาในตอนนี้สามารถปลิดชีวิตของจอมยุทธ์ชี่ไห่ได้อย่างง่ายดาย แต่ต้องการสังหารจอมยุทธ์พรสวรรค์ จะต้องใช้เล่ห์เหลี่ยมบ้างถึงจะได้
โกวจินชวนเองในตอนนี้ก็หวาดกลัวขึ้นมา เขาไม่สามารถจินตนาการได้จริง ๆ ว่าจอมยุทธ์ชี่ไห่คนหนึ่งจะร้ายกาจถึงเพียงนี้ ถ้าหากไม่ใช่เพราะเขาตอบสนองได้เร็วพอ เกรงว่าคงกลายเป็นวิญญาณใต้คมกระบี่ของหลัวซิวไปเสียแล้ว
นึกมาถึงตรงนี้ เขาไม่มีอารมณ์ที่จะไปคิดเรื่องย่ำยีหาความสุขกับสตรีอีกแล้ว เขาแสดงวิชาท่าร่างออกมาในทันที เพื่อที่จะหนีไปจากที่แห่งนี้
เขาเชื่อว่า ขอเพียงตนหนีไปที่บริเวณใกล้เคียงเขตการปกครองหยุนหลง ก็จะสามารถเชิญยอดฝีมือพรสวรรค์ของสำนักเซียวเหยาออกมาได้ สังหารเจ้าหนุ่มคนนี้ พอถึงตอนนั้นลู่เมิ่งเหยาก็ยังคงหนีรอดออกไปจากเงื้อมมือของตนไม่ได้
เป็นธรรมดาที่หลัวซิวจะต้องไม่ปล่อยให้เขาหนีไป เขาตามออกไปโดยทิ้งเศษเงาเอาไว้เป็นสาย ๆ วิชาเงาเศษสิบช่องในแดนบรรลุผล เร็วเกินกว่าที่โกวจินชวนจะสามารถทัดเทียมได้
ไอมรณะที่มืดมนประดุจดั่งเปลวไฟลอยขึ้นมาจากตัวกระบี่ หลัวซิวฟันกระบี่ออกมาอีกครั้ง ฟันเข้าไปที่บริเวณหัวใจด้านหลังของโกวจินชวน
“พลังAttr?” โกวจินชวนตกใจหน้าถอดสี จากกระบี่ยุทธ์ของหลัวซิว คำสัมผัสได้ถึงAttrเปลวไฟ
ทว่าเปลวไฟของหลัวซิวนั้นค่อนข้างจะแปลกประหลาด ดำสนิทราวกับหมึก และยังผสมไปด้วยไอมรณะและสิ้นหวัง
โกวจินชวนไม่เข้าใจจริง ๆ ว่า จอมยุทธ์ชี่ไห่คนหนึ่งสามารถฝึกพลังAttr ออกมาได้เช่นไร เขารีบแกว่งดาบยุทธ์ในมือออกไปขวางเอาไว้ ถ้าหากรู้แต่แรกว่าหลัวซิวร้ายกาจถึงเพียงนี้ เขาจะต้องไปพาคนตามมาเพียงลำพังอย่างแน่นอน แต่จะไปเชิญยอดฝีมือในสำนักเซียวเหยามาช่วยอีกแรง
“แคร่ง!”
ดาบและกระบี่กระทบเข้าด้วยกัน แม้ว่าโกวจินชวนจะสามารถรับกระบี่นี้ของหลัวซิวเอาไว้ได้ แต่เปลวไปที่ดำที่แตกกระเซ็นออกมานั้น กลับได้ตกลงบนร่างกายของเขา เป็นเหมือนดั่งนอนแมลงวันเซาะไซร้กระดูกขึ้นมาทันที เผาไหม้เนื้อหนังของเขา แม้กระทั่งเหมือนกับว่าวิญญาณก็ได้ถูกเผาไหม้ไปด้วย ความเจ็บปวดเช่นนี้หาใช่คนธรรมดาจะสามารถทนรับได้
โกวจินชวนร้องโอดโอยออกมาด้วยความเจ็บปวด และในเวลานี้เอง กระบี่เงามืดก็ได้เข้ามาถึงภายในพริบตา เสียงฉับดังขึ้น ตัดศีรษะของเขาขาดในบัดดล เสียงร้องโอดโอยก็ได้ขาดหายไป
ลู่เมิ่งเหยาที่ตกใจจนทำอะไรไม่ถูกก็คิดไม่ถึงว่าหลัวซิวจะสามารถสังหารโกวจินชวนได้ เดิมคิดว่าตนนั้นจะหนีรอดจากชะตากรรมที่ถูกย่ำยีไม่ได้ ทว่าหลัวซิวกลับได้ช่วยนางเอาไว้อีกครั้ง
แต่ว่า……โกวจินชวนเป็นถึงยอดฝีมือจอมยุทธ์พรสวรรค์ หลัววิวอย่างมากก็แค่ชี่ไห่ขั้น 5 เขาทำได้อย่างไรกัน?
หลัวซิวเองก็ตกตะลึงเล็กน้อย เขาเองก็นึกไม่ถึงว่าเปลวไฟมรณะที่ตนได้รวบรวมขึ้นมานั้น จะมีอานุภาพที่ทรงพลังเช่นนี้ สะเก็ดไฟที่กระเด็นออกมาเมื่อกระทบร่างของศัตรู กลับทำให้โกวจินชวนทุกทรมานอย่างสุดขีด และทิ้งกันป้องกันไปภายในชั่ววินาที
หากไม่ใช่เพราะเหตุนี้ กระบี่สุดท้ายนั่นของเขา คงไม่สามารถปลิดชีวิตของโกวจินชวนได้อย่างง่ายดายเช่นนี้
“พลังมรณะและพลังแห่งเปลวไฟรวมเข้าด้วยกัน ต่อไปนี้จะเรียกเจ้าว่าเพลิงมรณะแล้วกัน” ภายในใจของหลัวซิวนั้นทั้งตะลึงทั้งดีใจ ถ้ารู้ว่าอานุภาพของเพลิงมรณะ รุนแรงถึงขนาดนี้ตั้งแต่แรก เขาคงไม่ต้องยุ่งยากเช่นนั้น ก็สามารถสังหารอีกฝ่ายได้แล้ว
และเขาก็เชื่อว่า อาศัยอานุภาพของเพลิงมรณะ บวกกับดาบเร็วของตน สามารถจู่โจมสังหารจอมยุทธ์พรสวรรค์ระยะแรกได้โดยไม่ใช่ปัญหา
สำหรับจอมยุทธ์พรสวรรค์ระยะกลางตั้งแต่ขั้นสี่ขึ้นไป แม้ว่าเขาจะไม่เคยประมือด้วย แต่คาดว่าก็คงไม่อาจต้านทานอานุภาพของเพลิงมรณะได้
########################
บทที่ 107 คนไร้ยางอาย
เข้าเดินเข้าไปตบไหล่ลู่เมิ่งเหยาเบา ๆ “เมิ่งเหยา ท่านพ่อของเจ้าได้จากไปแล้ว แต่ท่านหวังว่าเจ้าจะมีชีวิตต่อไป เจ้าจะต้องเข้มแข็งขึ้นมา
เอ่ยตามจริง หลัวซิวไม่รู้จริง ๆ ว่าควรจะปลอบใจคนอื่นเช่นไร
ลู่เมิ่งเหยาโผเข้าหาอ้อมกอดของเขา ไม่อาจควบคุมความโศกเศร้าที่อยู่ภายในใจได้ การจากไปอย่างกะทันหันของบิดา ทำให้นางรู้เหมือนกับว่าได้สูญเสียที่พึ่งทั้งหมดไป
และก่อนที่นางจะสูญเสียบิดาไปนั้น นางก็ได้สูญเสียหลัวซิวไปแล้ว ราวกับว่าตัวนางไม่เหลืออะไรอยู่เลย
ช่วงเวลาสามวันมานี้ หลัวซิวคอยอยู่ที่ข้างกายลู่เมิ่งเหยา นางดูอ่อนเพลียตรอมใจมากยิ่งขึ้น แต่บางทีอาจเป็นเพราะมีหลัวซิวคอยอยู่ข้างกาย ในที่สุดนางก็ได้ค่อยคลายความโศกเศร้าลง
“ข้าอยากจะนำร่างของท่านพ่อไปฝังไว้ที่ภูเขานอกเมือง”
หลังจากที่อารมณ์ได้สงบลงมาบ้าง ลู่เมิ่งเหยาก็ได้บอกความคิดของตนออกมา “ตอนที่ข้ายังเป็นเด็ก ท่านพ่อมักจะพาข้าไปเล่นที่ภูเขาแห่งนั้นอยู่บ่อยครั้ง สอนข้าฝึกวิชายุทธ์”
คงเป็นเพราะได้หวนนึกถึงอดีตที่ได้ใช้ชีวิตร่วมกับบิดา ขอบตาของลู่เมิ่งเหยาได้แดงก่ำขึ้นมาอีกครั้ง น้ำตาคลอเบ้า
“ข้าจะไปกับเจ้า” หลัวซิวกล่าว
ลู่เฟยเฉินได้ตายไปแล้ว หลัวซิวก็ไม่ได้เคียดแค้นหรือมีอคติกับเขาอีกต่อไป
ร่างไร้วิญญาณของลู่เฟยเฉินได้ถูกใส่ไว้ในโลงศพ จากนั้นก็ถูกลู่เมิ่งเหยาเก็บเข้าไปในแหวนเก็บของ
แม้ว่าเรื่องชิงตำแหน่งเจ้าสำนักจะผ่านไปครึ่งเดือนกว่าแล้ว แต่ในตอนที่หลัวซิวและลู่เมิ่งเหยาพึ่งจะเดินออกมาจากองค์กรนักล่ายุทธ์นั้น เขาก็สัมผัสได้ว่ามีคนคอยจับตามองอยู่
อารมณ์ของลู่เมิ่งเหยานั้นไม่ค่อยจะดีนัก เลยไม่ได้สังเกตเห็นอะไร ในการรับรู้ของหลัวซิว มีคนหกคนกำลังสะกดรอยตามอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก หนึ่งในนั้นมีชายหนุ่มสวมอาภรณ์ผ้าดิ้นสีสันสดใส ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นยอดฝีมือในแดนจอมยุทธ์พรสวรรค์!
หลัวซิวไม่ได้เอ่ยเตือนลู่เมิ่งเหยา แม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะมีจอมยุทธ์พรสวรรค์อยู่ผู้หนึ่ง แต่จากการสัมผัสพลังชีวิต ผลการฝึกตนของคนผู้นี้ไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนดั่งจางหลู่เหลียง น่าจะเป็นแดนพรสวรรค์ขั้น 2
หลังจากที่ผลการฝึกตนได้พัฒนาถึงชี่ไห่ขั้น 5 ฝีมือของหลัวซิวก็ได้พัฒนาขึ้นมาไม่น้อย ปราณเป็นตาย 2 ระดับที่รวบรวมออกมาจากวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพในจุดตันเถียนได้กลายตัวเป็นของเหลว เหมือนดั่งทะเลสาบ
แดนพรสวรรค์ขั้น 2 ผู้หนึ่ง เขาไม่ได้เกรงกลัวเลยสักนิด อาศัยกลเม็ดของตน น่าจะสามารถต้านทานได้
“คิดไม่ถึงว่าจะไม่ได้อาศัยค่ายวาร์ปขององค์กรนักล่ายุทธ์ออกไปจากเขตการปกครองหยุนหลง สวรรค์เข้าข้างข้าจริง ๆ!”
ชายหนุ่มในชุดผ้าดิ้นสีสันสดใสผู้นั้น จ้องมองแผ่นหลังของลู่เมิ่งเหยาด้วยสายตาเยือกเย็น กล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก
“คุณชาย จะให้แจ้งนอกสำนักและในสำนัก ส่งยอดฝีมือมามากหน่อยหรือเปล่าขอรับ?” จอมยุทธ์ชี่ไห่ขั้น 9 กล่าวเสียงเบา
“จอมยุทธ์ชี่ไห่สองคนเท่านั้นเอง ข้าสามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย เจ้าสงสัยในฝีมือของข้าหรืออย่างไร?” ชายหนุ่มในชุดผ้าดิ้นสีสันสดใสกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“ข้าน้อยไม่กล้า คุณชายเป็นถึงจอมยุทธ์พรสวรรค์ สามารถจัดการกับจอมยุทธ์ชี่ไห่เพียงสองคนได้อย่างง่ายดายอยู่แล้ว” จอมยุทธ์ชี่ไห่ขั้น 9 เงียบเหมือนดั่งจักจั่นในยามหน้าหนาว
“พวกจับจับตาดูให้ดี ไม่มีลู่เฟยเฉินเป็นที่พึ่ง ลู่เมิ่งเหยาถูกกำหนดให้เป็นผู้เชยชมแต่เพียงผู้เดียว รอข้าเล่นเบื่อแล้ว ถึงตอนนั้นจะยกเป็นรางวัลให้พวกเจ้าได้สนุก” ชายหนุ่มในชุดผ้าดิ้นสีสันสดใสกล่าวพลางยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
ได้ยินดังนั้น พวกผู้ติดตามของชายหนุ่มในชุดผ้าดิ้นสีสันสดใสต่างก็ดวงก็เป็นประกายขึ้นมาทันที แต่ก่อนนั้น ลู่เมิ่งเหยาเป็นหญิงสาวที่น่าภูมิใจของสำนักเซียวเหยา ศิษย์หญิงไม่น้อยของสำนัก ต่างไม่อาจทัดเทียมกับความสวยของนางได้ ถ้าหากได้ดมดอมสตรีเช่นนี้ ต่อให้ต้องอายุสั้นลงถึงสิบปีก็คุ้มแล้ว!
โดยไม่รู้ตัว หลัวซิวและลู่เมิ่งเหยาก็ได้เดินออกมาจากเขตการปกครองหยุนหลงเป็นที่เรียบร้อย
ห่างออกมาไม่ไกลจากเมืองสักเท่าไรนัก มีภูเขาลูกเล็กที่เขียวขจีอยู่แห่งหนึ่ง เต็มไปด้วยดอกไม้ใบหญ้า ทิวทัศน์ไม่เลวเลย
ที่ตีนเขา มีป่าไผ่สีเขียวสดใสอยู่แห่งหนึ่ง ที่ด้านข้างมีแม่น้ำหนึ่งสาย สายน้ำไหลเชี่ยว ใสจนมองเห็นก้น
หาสถานที่ที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง ลู่เมื่องเหยาได้นำเอาโลงศพของบิดา ออกมาจากแหวนเก็บของ เตรียมที่จะฝังในที่แห่งนี้
“โลงศพ? ดูเหมือนว่าลู่เฟยเฉินได้ตายไปแล้ว”
จู่ ๆ เสียงหัวเราะเยาะเย้ยก็ได้ดังลอยมา ตามด้วยเสียงฝีเท้าที่กระชั้นชิด ชายหนุ่มในชุดผ้าดิ้นสีสันสดใสพร้อมผู้ติดตามห้าคน เดินตรงเข้ามาทางด้านนี้
หลัวซิวได้สังเกตเห็นคนพวกนี้มาตั้งนานแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้แปลกใจอะไร ส่วนลู่เมิ่งเหยานั้นได้หันไปตามเสียง เมื่อเห็นชายหนุ่มในชุดผ้าดิ้นสีสันสดใสที่นำหน้า ใบหน้างดงามก็เปลี่ยนสีไปทันที
“โกวจินชวน เป็นเจ้าเอง? เจ้ามาที่นี่ทำไม? เจ้าสะกดรอยตามข้า?”
เมื่อได้ยินเสียงตกใจจตนทำอะไรไม่ถูกของลู่เมิ่งเหยา หลัวซิวถึงได้ทราบว่า ชายหนุ่มในชุดผ้าดิ้นสีสันสดใสที่นำหน้าผู้นี้ ก็คือโกวจินชวนที่ลู่เฟยเฉินจะให้ลู่เมิ่งเหยาแต่งงานด้วยนั่นเอง
โกวจินชวนผู้นี้ เป็นหลานชายของโกวหงยี่ผู้อาวุโสในสำนัก และยังเป็นหนึ่งในศิษย์ในสำนัก มีผลการฝึกตนในระดับจอมยุทธ์พรสวรรค์ ก็ไม่น่าแปลกใจเลยสักนิด
เพราะไม่ว่าจะเป็นในฐานะอะไร จะต้องมีผลการฝึกตนในระดับจอมยุทธ์พรสวรรค์ ถึงจะมีคุณสมบัติเป็นศิษย์ในสำนัก
นอกจากโกวจินชวนผู้นี้ ชายหนุ่มที่ติดตามอยู่ข้างกายของเขาทั้งห้าคน ล้วนมีผลการฝึกตนอยู่ในระดับชี่ไห่ขั้น 9 น่าจะล้วนเป็นศิษย์นอกสำนัก
ในสำนักเซียวเหยา มีศิษย์นอกสำนักที่เลือกที่จะเข้าอาศัยศิษย์ในสำนัก ผู้อ่อนแอพึ่งพิงผู้แข็งแกร่ง บวกกับภูมิหลังที่ไม่ธรรมดาของโกวจินชวน มีศิษย์นอกสำนัก พึ่งพิงติดตามเขา ก็เป็นเรื่องที่แสนจะธรรมดา
“เหอะ ๆ เมิ่งเหยา ข้าเป็นคู่หมั้นของเจ้านะ เจ้าควรจะดีใจที่ได้พบข้าถึงจะถูก” โกวจินชวนลูบคางพลางกล่าว
“ข้าไม่มีความสัมพันธ์อะไรกับเจ้า เจ้าอย่ามาพูดจาเหลวไหลอยู่ที่นี่! เจ้าเป็นคนเยี่ยงไรเจ้ารู้แก่ใจดี ลูกศิษย์ผู้หญิงของทั้งนอกสำนักและในสำนักถูกท่าย่ำยีมากี่คนแล้ว” ใบหน้าที่งดงามของลู่เมิ่งเหยาเต็มไปด้วยความโมโหพลางกล่าว
“เมิ่งเหยา จะพูดเช่นนี้ไม่ได้นะ เรื่องแบบนี้ต่างฝ่ายต่างก็เต็มใจทั้งนั้น ผู้หญิงพวกนั้นสามารถขึ้นเตียงกับข้าได้ ถือเป็นเกียรติของพวกนาง
ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนหน้านี้ท่านลุงลู่เตรียมที่จะยกเจ้าให้แต่งกับข้า เพียงแต่ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างกะทันหัน ดังนั้นพวกเราถึงยังไม่ได้แต่งงานกัน ในวันนี้ท่านลุงลู่พึ่งจากไปยังไม่นานนัก หรือว่าเจ้าจะเป็นลูกเนรคุณ?”
ในขณะที่กล่าว โกวจินชวนก็ได้มองไปรอบ ๆ ลูบคางพลางกล่าว: “สถานที่แห่งนี้ทิวทัศน์งดงาม เจ้าจะฝังคนตายเอาไว้ที่นี่มันค่อนข้างจะทำลายบรรยากาศไปหน่อย พอดีที่นี่ไม่มีคนอื่นอยู่ ข้าคิดว่าพวกเราสู้กันในป่าก็ไม่เลว”
จากนั้น โกวจินชวนก็ได้ชี้ไปที่หลัวซิว “เจ้าหนุ่มคนนี้คงจะเป็นหลัวซิวสินะ ได้ยินว่าเจ้าชอบมันมาก ไม่รู้ว่าถูกข้าย่ำยีต่อหน้าคนที่ตนรักนั้น ในใจเจ้าจะรู้สึกเช่นไร?”
หลังจากที่กล่าวจบ โกวจินชวนก็หัวเราะเสียงดัง เหมือนกับรู้สึกว่าความคิดนี้ของตัวเองนั้นน่าสนใจไม่เบา
“โกวจินชวน เจ้ามันคนจิตวิปริต!” ลู่เมิ่งเหยาโกรธจนตัวสั่น
“ฮ่า ๆ เจ้าพูดถูก ข้าเป็นคนโรคจิตแล้วยังไง? หญิงสารเลวเจ้าก็รู้ดีไม่ใช่หรือ? วันนี้ลู่เฟยเฉินได้ตายไปแล้ว ตัวเจ้าสำหรับข้าแล้ว ก็เป็นเพียงแค่ของเล่นใต้เป้ากางเกงเท่านั้นเอง ข้าอยากจะมีความสุขกับเจ้าเช่นไร ก็จะทำเช่นนั้น!”
โกวจิ่วชวนเลียริมฝีปาก ยื่นมือชี้ไปทางหลัวซิว และออกคำสั่งกับเหล่าผู้ติดตาม: “พวกเจ้าจัดการกับเจ้าหนุ่มคนนี้ซะ อย่าพึ่งฆ่า ข้าจะให้มันดูว่าข้าย่ำยีมีความสุขกับผู้หญิงสารเลวคนนี้เช่นไร!”
“ขอรับ!”
จอมยุทธ์ชี่ไห่ขั้น 9 ทั้งห้าคนยิ้มเยาะพลางเดินเข้าไปปิดล้อมหลัวซิวเอาไว้ ในสายตาของพวกเขาปะปนไปด้วยความบ้าคลั่งที่ร้อนแรง หนึ่งในนั้นกล่าวพลางยิ้มอย่างชั่วร้าย: “รอคุณชายเล่นจนพอใจแล้ว ก็คงจะถึงทีพวกเราแล้วสินะ?”
เมื่อคำพูดนี้ถูกกล่าวออกมา อีกสีคนที่เหลือก็หัวเราะขึ้นมาอย่างพอใจ เป็นที่ประจักษ์พวกมันได้ทำเรื่องแบบนี้มาแล้วหลายครั้ง
หลัวซิวเงียบมาตั้งแต่ต้นจนจบ มีเพียงดวงตาคู่นั้นที่เยือกเย็นเหมือนดั่งลำแสงที่เย็นยะเยือก มองดูกลุ่มชายหนุ่มที่ปิดล้อมเข้ามา ราวกับกำลังมองคนตาย
และในเวลานี้ โกวจินชวนก็ได้ก้าวเท้าเดินเข้าไปทางลู่เมิ่งเหยา “เมิ่งเหยา ข้าแนะนำทางที่ดีเจ้าอย่าได้ขัดขืน ต่อให้เจ้าตัวตาย ข้าก็สามารถมีความสุขกับร่างไร้วิญญาณของเจ้าได้ ถ้าเจ้าไม่อยากตาย ทางที่ดีก็เชื่อฟังอย่างว่าง่าย”
“เจ้า……โกวจินชวนเจ้าต้องไม่ตายดีแน่!” ลู่เมิ่งเหยาโมโหจนร่างบอบบางสั่นสะท้าน บิดาพึ่งสิ้นใจไปได้ไม่นาน ตัวเองก็ต้องเผชิญหน้ากับการถูกย่ำยีแล้วอย่างนั้นหรือ?
########################
บทที่ 106 กรรมตามสนอง
หลัวซิวเองก็เข้าใจความหมายของหัวหน้าแก๊งเหวินเซวียนหง ในเมื่อเรื่องราวทางฝั่งลู่เมิ่งเหยานับว่าได้คลี่คลายแล้ว เขาเองก็ตั้งใจแล้วว่านับจากวันนี้เป็นต้นไป จะมุ่งความสนใจไปที่การฝึกยุทธ์
เหวินเซวียนหงไม่ได้อยู่กับหลัวซิวนานเท่าไหร่นัก ที่ให้ความสำคัญกับหลัวซิวเป็นพิเศษ ก็เพราะพรสวรรค์ของหลัวซิวไม่เลว และชายหนุ่มผู้นี้ทำให้เขามองดูแล้วรู้สึกสบายตาเท่านั้น
บนโลกใบนี้ไม่ขาดแคลนอัจฉริยะ แต่ขาดแคลนอัจฉริยะที่สามารถเติบโตเป็นผู้แข็งแกร่งได้
หลังจากที่เหวินเซวียนหงจากไป หลัวซิวก็เริ่มฝึกตนอยู่ภายในห้อง ภายในช่วงเวลาที่ผ่านมานั้น เขามุ่งความสนใจไปที่การทำความเข้าใจวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพและวิชาดาบเร็ว สำหรับเรื่องเพิ่มผลการฝึกตนของตัวเองนั้น เขาไม่ได้ให้ความสำคัญนัก
ตอนที่ถูกจางหลู่เหลียงทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บที่นอกสำนักเซียวเหยา ทำให้เขาได้รู้ถึงความสำคัญของการฝึกตน ถ้าหากความสามารถของข้าศึกและข้านั้นแตกต่างกันอยู่ในระดับที่แน่นอนแล้ว ก็จะสามารถบดขยี้คู่ต่อสู้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ยกตัวอย่างเช่นจางหลู่เหลียงเองก็เป็นเช่นนี้ หากพูดถึงระดับที่บรรลุถึง เขาอาจเทียบหลัวซิวไม่ได้ ทว่าว่าผลการฝึกตนนั้นสูงกว่าหลัวซิวมาก จึงสามารถทดแทนความแตกต่างของระดับที่บรรลุถึงในวิชายุทธ์ได้
ผลการฝึกตน ระดับที่บรรลุ ล้วนสำคัญทั้งนั้น
หลัวซิวทำความเข้าใจผังกฎดั้งเดิมของวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ บวกกับบำเพ็ญตนวิชาดาบเร็ว ระดับที่บรรลุถึงในวิชายุทธ์ของหลัวซิวค่อนข้างจะสูง จอมยุทธ์พรสวรรค์หลายคนยังไม่อาจทัดเทียมกับเขาได้
แต่ผลการฝึกตนของเขานั้นค่อนข้างจะต่ำไป อยู่เพียงแค่วิชาชี่ไห่ขั้น3 เท่านั้น
เพิ่มระดับผลการฝึกตนนั้นง่ายกว่าการเพิ่มระดับของระดับที่บรรลุถึงอีกมาก เพียงแค่มีทรัพยากรที่เพียงพอ พรสวรรค์ดีพอก็ได้แล้ว อาศัยอุปกรณ์ค่ายผนึกปราณขั้น5 บวกกับหินพลังจิตชั้นกลาง หลัวซิวได้หมกมุ่นอยู่กับการเพิ่มระดับการฝึกตนโดยเร็ว
……
หลังจากที่หลัวซิวได้จากไป ลู่เมิ่งเหยาไม่ทราบว่าตัวเองได้ร้องไห้ไปนานแค่ไหนแล้ว จนกระทั่งสุดท้ายถึงขนาดที่ร้องไห้จนสลบไป
เมื่อนางงัวเงียตื่นขึ้นมา ก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียง บิดาลู่เฟยเฉินนั่งอยู่ข้างโต๊ะที่ห่างออกไปไม่ไกลนัก
“หลัวซิว……”
ภาพการจากลาของนางและหลัวซิวได้ปรากฏขึ้นมาในสมองของนาง โดยเฉพาะประโยคที่ว่า “ข้าไม่โทษเจ้า” ยิ่งทำให้ในใจของนางเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
นางทราบดีว่า เพราะนาง หลัวซิวเกือบต้องตายเพราะเหตุนี้ แม้แต่บิดามารดาและพี่สาวของเขาล้วนต้องพลอยรับเคราะห์ไปด้วย
ทว่าคนที่ทำเรื่องพวกนั้น กลับเป็นบิดาผู้ที่รักและเอ็นดูนางที่สุด ส่วนนางสุดท้ายแล้วเพื่อบิดาของตน เลือกที่จะแยกทางกับหลัวซิว นับจากนี้ไปเดินคนละทาง
“เมิ่งเหยา ฟื้นแล้วหรือ” ลู่เฟยเฉินมองมา
“ท่านพ่อ หลัวซิวล่ะ?” ลู่เมิ่งเหยาพลันนึกขึ้นมาว่าหลังจากที่หลัวซิวได้สังหารลูกศิษย์ของนอกสำนักเหล่านั้นแล้ว เขาได้หนีออกไปได้ไหม ถูกจับตัวได้หรือเปล่า ได้รับบาดเจ็บหรือไม่?
เมื่อนึกถึงเรื่องพวกนี้ นางก็มองบิดาของตนด้วยความกังวลใจ
ลู่เฟยเฉินทอดถอนใจ กล่าว: “หลัวซิวได้หนีเข้าไปในองค์กรนักล่ายุทธ์……”
เมื่อได้ยินว่าหลัวซิวไม่เป็นอะไร ลู่เมิ่งเหยาก็วางใจ จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง: “ท่านพ่อ ได้โปรดอย่าทำร้ายหลัวซิวอีกเลยได้หรือไม่? ข้ารับปากแต่งกับโกวจินชวน”
นางรู้ว่าหลัวซิวได้สังหารลูกศิษย์ของนอกสำนักไปหลายคน ถ้าหากทางสำนักเซียวเหยาเอาเรื่องขึ้นมา ทั่วทั้งเขตการปกครองหยุนหลงคงไม่มีที่ให้หลัววิวอยู่ได้อีกต่อไป
“ได้ พ่อรับปากว่าจะไม่เอาความเรื่องนี้” ลู่เฟยเฉินยิ้มกล่าวปลอบใจนาง
ทว่าในสายตาของลู่เฟยเฉินได้มีลำแสงอันเย็นยะเยือกแวบผ่านไป ที่เขารับปากลู่เมิ่งเหยาก็เพื่อปลอบประโลมความรู้สึกของนาง ให้เขาปล่อยหลัวซิวเดรัจฉานน้อยนั่นไป จะเป็นไปได้ยังไง?
……
เวลาผ่านไปอย่างเงียบ ๆ กว่าจะรู้ตัวก็ผ่านไปเป็นเดือนแล้ว
ในช่วงเวลาที่ผ่านมานั้น หลัวซิวไม่ได้ออกไปจากองค์กรนักล่ายุทธ์เลย ได้ปิดขังฝึกตนทุกขเวทนามาโดยตลอด มีผู้ใดมารับกวน
รวมถึงเหล่าสำนักยุทธ์ทั้งหลายของสิบแปดเมืองในเขตการปกครอง ก็ไม่พบเบาะแสใด ๆเกี่ยวกับเขาเลย แต่ภายใต้คำสั่งของลู่เฟยเฉิน ก็ยังคงได้สั่งคนให้คอยจับตาดูแต่ละสาขาขององค์กรนักล่ายุทธ์อยู่ตลอดเวลา
ในวันนี้ หลัวซิวที่อยู่ในห้องค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา ช่วงเวลาหนึ่งเดือนเต็ม ๆ เขาใช้หินพลังจิตชั้นกลางไปทั้งหมดหนึ่งร้อยกว่าก้อน ผลการฝึกตนได้บรรลุติดต่อกันสองขั้นเล็ก ได้เข้าถึงแดนวิชาชี่ไห่ขั้น2
เขาเพิ่งจะเดินออกมาจากห้อง ก็ได้พบกับหัวหน้าแก๊งเหวินเซวียนหง ถึงได้รู้ว่า ในช่วงที่เขากักตัวฝึกตนอยู่นั้น ได้เกิดเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งขึ้นที่สำนักเซียวเหยา
ครึ่งเดือนก่อน เจ้าสำนักเซียวเหยาได้ถึงแก่กรรมลง ลู่เฟยเฉินยังไม่ทันได้ให้ลู่เมิ่งเหยาบุตรสาวของตนแต่งกับโกวจินชวน ศึกการช่วงชิงตำแหน่งเจ้าสำนักพร้อมที่จะเริ่มขึ้นได้ทุกเมื่อ
ขงชิงหยูแย่งชิงตำแหน่งเจ้าสำนักไม่สำเร็จ ตี๋ซือกู่ขึ้นเป็นเจ้าสำนักคนใหม่ เส้นสายของฝั่งขงชิงหยูถูกกดขี่
“สิบวันก่อน ลู่เฟยเฉินได้รับบาดเจ็บหนัก พาลู่เฟยเฉินหลบหนีออกมาจากสำนักเซียวเหยา ตอนนี้ได้พักอยู่ในองค์กรนักล่ายุทธ์” หัวหน้าแก๊งเหวินเซวียนหงได้บอกข่าวแบบนี้กับหลัวซิว
เพราะก่อนหน้านี้เขาได้กักตัวฝึกตน ดังนั้นหัวหน้าแก๊งเหวินเซวียนหงจึงได้รอให้เขาออกจากการเก็บตัวก่อน ถึงได้บอกเรื่องนี้กับหลัวซิว
หลัวซิวเองก็คิดไม่ถึง ว่าเรื่องราวจะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างกะทันหันเช่นนี้
ภายในห้องที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง หลัวซิวได้พบเข้ากับลู่เมิ่งเหยาที่น้ำตาไหลอาบหน้า นางมีใบหน้าซีดเซียว ดูเหมือนตรอมใจยิ่งนัก
บนเตียงที่อยู่ภายในห้อง ลู่เฟยเฉินหายใจรวยริน ในสายตาของหลัวซิว ลายเส้นชีวิตของเขามืดมนไร้แสงสว่าง รายล้อมไปด้วยไอมรณะที่มืดดำ
ลู่เฟยเฉินนั้นเป็นปรมาจารย์โลกยุทธ์ฝึกจิตขั้น 9 เดิมทีลายเส้นชีวิตจะกระจายแสงสีน้ำเงินออกมา ทว่าในเวลานี้ ที่ลายเส้นชีวิตกระจายออกมากลับเป็นไอมรณะที่มืดมน เห็นได้ชัดว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานนัก แม่ว่าปราณเป็นตาย 2 ระดับของหลัวซิวสามารถซ่อมแซมลายเส้นชีวิต แต่เขาทราบดีว่าผลการฝึกตนของตนนั้นต่ำเกินไป สถานการณ์ของลู่เฟยเฉินในตอนนี้ เขาเองก็ไม่สามารถทำอะไรได้
ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้เขาสามารถช่วยได้ สำหรับศัตรูที่เคยคิดจะเอาชีวิตเขา และยังลงมือกับคนในครอบครัวของตน แม้ว่าจะมีความสัมพันธ์กับลู่เมิ่งเหยาอยู่ ก็ไม่แน่ว่าหลัวซิวจะลงมือช่วยเขา
“หลัวซิว เข้ารู้ว่าภายในใจของเจ้าควรที่จะแค้นข้า แต่ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่โทษเมิ่งเหยาเพราะเรื่องนี้ นางชอบเจ้ามาก ถ้าหากไม่ใช่เพราะพ่อไร้ความสามารถอย่างข้า นางจะต้องไม่ยอมแยกจากเจ้าแน่”
อาจเป็นเพราะความใกล้ตาย เลยพูดดีขึ้นมา ลู่เฟยเฉินจ้องมองหลัวซิว และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สงบ: “หลังจากที่ข้าตายไป หวังว่าเจ้าจะดูแบเมิ่งเหยาแทนข้า เพื่อบรรลุแดนผู้ชนะ ข้าถูกความโลภครอบงำ เจ้าอย่าได้โทษนาง”
“ท่านพ่อ!……” ลู่เมิ่งเหยาร่ำร้องอย่างโศกเศร้าเสียใจ
ลู่เมิ่งเหยามองบุตรสาวของตนด้วยรอยยิ้ม “เมิ่งเหยา พ่อไม่อยู่แล้ว เจ้าจะต้องดูแลตัวเองให้ดี หลัวซิวนั้นไม่เลว เจ้าติดตามเขา ก็นับว่ามีที่พึ่งพิง พ่อก็ตายโดยไม่มีอะไรต้องห่วง”
“หลังจากที่พ่อได้ตายไปแล้วเจ้าสามารถไปที่เขตการปกครองโตว้ไห่เข้าร่วมสำนักเหลยหวู่”
จากนั้นสายตาของลู่เฟยเฉินก็ได้เลื่อนไปที่หลัวซิวอีกครั้ง ในแววตาแฝงไปด้วยความขอร้องอ้อนวอน
เรื่องราวดำเนินมาถึงขั้นนี้ สำหรับคนที่ใกล้จะหมดลมหายใจ หลัวซิวก็ไม่โกรธแค้นอะไรนัก ดังนั้นจึงได้กล่าวขึ้น: “เจ้าสำนักลู่วางใจ ข้าจะดูแลเมิ่งเหยาให้ดีเอง”
เมื่อได้ยินหลัวซิวรับปาก ในที่สุดลู่เฟยเฉินก็วางใจ ทันใดนั้นเลือดสีดำก็ได้ไหลออกมาที่มุมปาก หลับตาลงอย่างช้า ๆ และไร้ลมหายใจอีกต่อไป
ในสายตาของหลัวซิว ลายเส้นชีวิตบนร่างกายของลู่เฟยเฉิน ก็ได้วูบดับไปในชั่วพริบตา หายไปอย่างไร้ร่องรอย
“ท่านพ่อ!” ลู่เมิ่งเหยาโศกเศร้าเสียใจ ร้องไห้สะอึกสะอื้น นางไม่อาจยอมรับความจริงเช่นนี้ได้
เพื่อท่านบิดา นางได้ละทิ้งความรู้สึกระหว่างนางและหลัวซิว แต่คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้วนางยังคงต้องสูญเสียบิดาไปเหมือนเดิม
หลัวซิวเองก็ไม่รู้ว่าตอนนี้จะปลอบใจลู่เมิ่งเหยายังไงดี บางทีอาจจะเหมือนดั่งที่หัวหน้าแก๊งเหวินเซวียนหงกล่าว ชั่วชีวิตของมนุษย์นั้น เรื่องไม่สมปรารถนา มีอยู่มากมาย……
########################
บทที่ 105 เรื่องไม่สมปรารถนานั้นมีอยู่มากมายยิ่งนัก
เป็นที่ประจักษ์ จางหลู่เหลียงพูดคำพูดเหล่านี้ออกมา จะต้องรู้เรื่องที่ลู่เฟยเฉินจะฆ่าเขาที่เมืองชิงหยุนอย่างแน่นอน
ความจริงแล้วในสายตาของจางหลู่เหลียง เจ้าสำนักลู่นั่นทำไปโดยไร้ประโยชน์ราวกับถอดกางเกงผายลม ในเมื่อต้องการสังหารหลัวซิว ทำไมตอนนั้นต้องปกป้องหลัวซิวเอาไว้ ให้เขาฆ่าหลัวซิวก็จบแล้วไม่ใช่เหรอ?
สำหรับเรื่องแย่งชิงตำแหน่งเจ้าสำนักนั้นเป็นความลับภายในสำนัก จากฐานะและตำแหน่งของจางหลู่เหลียง แต่กลับไม่รู้เรื่องราวภายในเหล่านั้น
สาเหตุที่เขารู้ว่าลู่เฟยเฉินต้องการสังหารหลัวซิว ก็เพราะได้รู้มาจากตระกูลจางแห่งเมืองชิงหยุน
นอกจากนี้เขายังรู้อีกว่า หลัวซิวได้สังหารนายท่านตระกูลจางอีกครั้ง
“ตูม!”
จางหลู่เหลียงยังไม่ทันจะเข้ามา ก็ได้ซัดฝ่ามือเข้ามาจากไกล ๆ ปราณแท้อันแรงกล้าแผ่ซ่านออกมา กลายเป็นแรงลมร้องหวีดหวิว จู่โจมเข้ามาหาหลัวซิว
สัญชาตญาณของหลัวซิวสั่งให้เขาหลบเป็นอันดับแรก แต่ก็ยังถูกแรงลมพัดกระแทกเข้า เหมือนดั่งโดนฟ้าผ่าขึ้นมาทันที เข้าอ้าปากกระอักเลือดสด ๆ ออกมา ร่างลอยกระเด็นออกไป
แต่หลัวซิวก็ได้อาศัยโอกาสนี้ออกมาจากนอกสำนักเซียวเหยา เขาฝืนทนอาการบาดเจ็บเอาไว้ หลบหนีข้ามถนน โซซัดโซเซเข้าสู่องค์กรนักล่ายุทธ์
“สมควรตาย!”
จางหลู่เหลียงก็ลอยตัวออกมาจากนอกสำนักเซียวเหยา เมื่อพบว่าหลัวซิวได้หลบหนีเข้าไปในองค์กรนักล่ายุทธ์แล้ว สีหน้าก็บูดบึ้งขึ้นมาทันที
ภายในองค์กรนักล่ายุทธ์ห้ามไม่ให้มีการต่อสู้กันเกิดขึ้น ต่อให้เขากล้าบ้าบิ่นถึงเพียงใดก็ไม่กล้าบุกเข้าไปสังหารหลัวซิว
ความจริงเป็นก็เนื่องด้วยมีกฎแบบนี้อยู่ มีจอมยุทธ์ไม่น้อยที่ถูกตามล่าสังหารและหลบหนีเข้ามาในองค์กรนักล่ายุทธ์เพื่อร้องขอการคุ้มครอง
หลังจากที่หลบหนีเข้ามาในองค์กรนักล่ายุทธ์ หลัวซิวก็กระอักเลือดออกมา ทำให้เหล่าจอมยุทธ์ไม่น้อยมองมาทางนี้ด้วยความสงสัย
แต่ทว่าเขาไม่ได้ใส่ใจสายตาของผู้คนเหล่านั้น และไม่ได้เดินเข้าไปที่โต๊ะต้อนรับในห้องโถง แต่ได้ตรงไปที่ประตูหินที่อยู่มุมมุมหนึ่งในห้องโถงแทน
ข้าง ๆ ประตูหิน มีร่องอยู่แห่งหนึ่ง หลัวซิวลวงเอาตรานักล่าอสูรออกมาและวางใส่ลงไปประตูเปิดออกทันที
องค์กรนักล่ายุทธ์ทุกแห่งต่างก็มีสถานที่แบบนี้อยู่ มีเพียงสมาชิกในแก๊งถึงสามารถอาศัยตราสัญลักษณ์เข้าสู่ด้านในได้
สำหรับข้อมูลเรื่องที่หลัวซิวได้เข้าเป็นสมาชิกในแก๊งแล้วนั้น ก็ได้ถูกบันทึกลงในตราสัญลักษณ์เป็นที่เรียบร้อย
……
นอกลานสวนของลู่เมื่องเหยา ลู่เฟยเฉินมองดูบุตรสาวที่ขอบตาแดงก่ำ และยังสะอึกสะอื้นอยู่เล็กน้อย
เขาไม่ได้เอ่ยอะไรทั้งสิ้น เพราะเขารู้ดีว่าจะต้องเป็นหลัวซิวได้เข้ามาแล้วแน่ ลู่เมิ่งเหยาได้รู้ความจริงทุกอย่างแล้ว
ในเวลาเช่นนี้ ยิ่งเขาอธิบาย ยิ่งจะทำให้บุตรสาวแค้นเคืองตนเอง
สำหรับเรื่องนี้ ลู่เฟยเฉินไม่คิดว่าตัวเองได้ทำผิดอะไร และยังได้โยนความโกรธแค้นทั้งหมดให้กับหลัวซิว เขาคิดว่าถ้าหากหลัวซิวไม่ปรากฏตัวขึ้น ระหว่างเมิ่งเหยาและตนเองนั้น จะต้องไม่เกิดช่องว่างเช่นนี้แน่
เขาใช้กล่องส่งเสียงกระจายข่าวออกไป ออกคำสั่งให้สำนักยุทธ์ทั้งสิบแปดเมืองภายในเขตการปกครองหยุนหลงจับตาดูองค์กรนักล่ายุทธ์ โดยเฉพาะเมืองชิงหยุน ทันทีที่พบหลัวซิวปรากฏตัวขึ้น ให้รายงานมาทันที
แม้ว่าบิดามารดาของหลัวซิวจะมีองค์กรนักล่ายุทธ์คอยคุ้มครอง ทำให้เขาไม่อาจทำอะไรได้ แต่เขาคิดว่าต่อให้หลัวซิวใช้ค่ายวาร์ป ก็จะต้องไปที่เมืองชิงหยุนอย่างแน่นอน
แน่นอน ไม่ได้ตัดความเป็นไปได้ที่หลัวซิวจะทะลุมิติไปเมืองอื่น ดังนั้นเขาถึงได้ออกคำสั่งโดยรวม ทอดแหออกไปเป็นวงกว้าง
องค์กรนักล่ายุทธ์
หลัวซิวใบหน้าซีดเซียว เดินโซเซเข้าไปในพื้นที่ของสมาชิกภายใน
สตรีหน้าตาสะสวย รูปร่างอ่อนช้อยนางหนึ่งเดินตรงเข้ามา เมื่อเห็นสภาพของหลัวซิว ก็รีบเข้ามาพยุงเขาเอาไว้
กลิ่นหอมอ่อน ๆ บนร่างของสตรีลอยมาเตะปลายจมูก หลัวซิวกล่าวขึ้นอย่างอ่อนแรง:“ช่วยพาข้าไปพักที่ห้องเงียบ ๆ สักแห่ง”
ในขณะเดียวกันนั้น หลัวซิวก็ได้มองเห็นใบหน้าของสตรีนางนั้น คิดไม่ถึงว่าจะเป็นคนคุ้นเคย
หญิงงามอันดับหนึ่งในองค์กรนักล่ายุทธ์แห่งเมืองชิงหยุน เจียงชานชาน
ทว่าตอนนี้หลัวซิวไม่มีกะจิตกะใจจะไปครุ่นคิดว่าทำไมเจียงชานชานถึงได้ปรากฏตัวขึ้นที่องค์กรในเขตการปกครองหยุนหลง เขาจำเป็นต้องหาสถานที่รักษาอาการบาดเจ็บ
“เจ้า……เจ้าไปเป็นไรนะ?” เจียงชานชานพยุงหลัวซิว เข้ามาในห้องที่สะอาดและเรียบง่ายแห่งหนึ่ง
หลัวซิวเบ้ปากเล็กน้อยด้วยความหมดคำจะพูด “เจ้าดูว่าข้าดูเหมือนไม่เป็นอะไรไหมล่ะ?”
เจียงชานชานได้ยินดังนั้นก็เขินอายเล็กน้อย กล่าว: “ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ข้าหมายความว่า อาการบาดเจ็บของเจ้าหนักมากหรือไม่ ข้าสามารถช่วยอะไรเจ้าได้บ้าง?”
“เจ้าวางข้าลงตรงนี้ ข้ารักษาอาการบาดเจ็บเองก็ได้แล้ว” หลัวซิวกล่าว
ที่นี่เป็นส่วนในขององค์กรนักล่ายุทธ์ ไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องความปลอดภัย หลัวซิวขึ้นไปนั่งขัดสมาธิบนเตียงทันที และเริ่มขับเคลื่อนกำลังภายในเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ
แรงลมในฝ่ามือนั้นของจางหลู่เหลียงได้รวบรวมปราณแท้พรสวรรค์เอาไว้ ถูกพัดกระแทกแค่เพียงเล็กน้อย ก็ทำให้เขากระดูกหัก ชีพจรได้รับบาดเจ็บ แสดงให้เห็นว่าความสามารถในตอนนี้ของเขา ยังห่างจากจอมยุทธ์พรสวรรค์อยู่อีกมาก
ภายในจุดตันเถียน วงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพหมุนอยู่ไม่หยุด ปราณแท้ที่รวบรวมพลังพลังชีวิตเอาไว้อย่างเข้มข้นได้ทะลักออกมา ไหลเวียนไปทั่วร่างกาย ซ่อมแซมผังลายเส้นชีวิตที่ได้รับความเสียหายในแต่ละจุด
……
หลังจากที่เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วยาม หลัวซิวก็ลืมตาขึ้น กระดูกที่หักและเส้นชีพจรที่ได้รับความเสียหาย ได้กลับเป็นปกติจนหมดแล้ว
“แอ๊ด……”
ประตูถูกเปิดออกอย่างช้า ๆ หลัวซิวเงยหน้าไปมอง เห็นเหวินเซวียนหงท่านหัวหน้าแก๊งเดินเข้ามา
“อาการบาดเจ็บหายดีแล้วหรือ?” เหวินเซวียนหงเดินเข้ามานั่งลงแล้วเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
หลัวซิวพยักหน้า แล้วลุกขึ้นคารวะ “ต้องขอบคุณการช่วยเหลือจากท่านหัวหน้าแก๊งเหวินในครั้งนี้”
เขาเข้าใจดี ถ้าหากเหวินเซวียนหงไม่เอายาย้ายร่างเปลี่ยนกระดูกให้เขา เขาก็ไม่มีทางที่จะแฝงตัวเข้าไปในนอกสำนักเซียวเหยาได้ เกรงว่าเมื่อแฝงตัวเข้าไป ก็จะต้องถูกพบเข้าให้ในทันที และหนีออกมาไม่ได้อีก
ทว่าเมื่อนึกถึงการตัดสินใจของลู่เมิ่งเหยา หลัวซิวก้ต้องยิ้มออกมาอย่างขมขื่น เขาเข้าใจดีว่านับจากนี้ไป ทั้งสองคนจะต้องเดินคนละเส้นทาง ไม่ใช่คนในโลกเดียวกันอีกต่อไป
เมื่อเห็นท่าทางของหลัวซิว อาศัยประสบการณ์ของเหวินเซวียนหง จะไม่เข้าใจเรื่องราวที่อยู่ภายในได้อย่างไรกัน?
“ทุกคนต่างก็มีทางเลือกของตัวเอง และมีเส้นทางของตนเองที่ต้องเดิน เลือกเส้นทางเดินที่ไม่เหมือนกัน ก็ต้องเดินร่วมทางกันไม่ได้เป็นธรรมดา” เหวินเซวียนหงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หลัวซิวเองก็รู้ว่าหัวหน้าแก๊งท่านนี้กำลังปลอบใจตัวเอง ดังนั้นจึงได้ยิ้มตอบ “บางทีนี่อาจจะเป็นดั่งคำพูดที่ว่าเมื่อเส้นทางไม่เหมือนกันก็ไม่อาจเดินร่วมกันได้”
“หึ ๆ จะเข้าในแบบนั้นก็ได้” เหวินเซวียนหงพยักหน้ายิ้มกล่าว
“ชั่วชีวิตหนึ่งของมนุษย์นั้น มีเรื่องไม่สมปรารถนาอยู่มากมาย เส้นทางที่เจ้าต้องเดินยังอีกยาวไกล ต้องการประสบความสำเร็จในการฝึกยุทธ์ สิ่งแรกที่เจ้าจะต้องทำในตอนนี้ ก็คือฝึกตนให้มีความสามารถในระดับจอมยุทธ์พรสวรรค์ให้ได้ภายในหนึ่งปี”
สมาชิกอัจฉริยะทั้งหมดของแก๊ง ทุกปีจะมีการทดสอบหนึ่งครั้ง ถ้าหากไม่สามารถตอบสนองข้อเรียกร้องของการทดสอบได้ ก็จะไม่ได้รับการฝึกฝนเลี้ยงดูจากทางแก๊งอีกต่อไป
การฝึกฝนเลี้ยงดูสมาชิกอัจฉริยะจากทางแก๊งนั้น แทบจะไม่มีการจำกัดทางเสรีภาพใด ๆ เลย ขณะเดียวกันก็ไม่ให้การปกป้องใด ๆ จะสามารถเติบโตขึ้นมาได้หรือไม่นั้น ล้วนอาศัยโชคชะตาและความสามารถส่วนบุคคล
แน่นอน สมาชิกอัจฉริยะจะได้รับสิทธิ์ที่แตกต่างกันไป และสามารถได้รับข่าวสาร ข้อมูล เคล็ดวิชา ทรัพยากรจากทางองค์กรนักล่ายุทธ์ ตราบใดที่เจ้าสามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขได้ ทางแก๊งก็จะตอบสนองอย่างเต็มที่
########################
บทที่ 104 ทางเลือกของลู่เมิ่งเหยา
ร่างไร้วิญญาณหลายศพนอนขวางอยู่บนพื้น หลัวซิวรู้ดีว่าตัวเองมีเวลาไม่มาก ดังนั้นจึงได้พูดแบบสั้น ๆ บอกเรื่องที่ลู่เฟยเฉินส่งคนไปจับตัวคนในครอบครัวของเขา ตั้งใจที่จะฆ่าเขาให้ตายออกมา
“นี่…..นี่เป็นไปไม่ได้!……” หลังจากที่ลู่เมิ่งเหยาได้ฟัง ใบหน้างดงามก็ซีดลงทันที
เมื่อสองวันก่อน ท่านพ่อยังได้บอกกับนางว่าหลัวซิวไปนำเอาทรัพยากรจากไปแล้ว ตอนนั้นนางเองก็คิดว่าหลัวซิวใช่คนแบบนั้น แต่นางคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่า ท่านพ่อได้ทำเรื่องลับหลังมากมายเช่นนี้
นางคิดไม่ถึงว่า ท่านพ่อเพื่อแย่งชิงอำนาจผลประโยชน์ นอกจากจะสละความสุขทั้งชีวิตของบุตรสาวอย่างนางแล้ว ยังคิดแม้แต่จะสังหารหลัวซิว
เมื่อเห็นสายตาที่ล่องลอย ใบหน้าที่ซีดเซียวของลู่เมิ่งเหยา หลัวซิวพลันรู้สึกเสียใจที่ได้บอกเรื่องนี้กับนาง เพราะไม่ว่ายังไงสำหรับลู่เมิ่งเหยาแล้ว ได้รับรู้ว่าบิดาของตนเองเลวทรามเช่นนี้ คงยากที่จะรับได้เป็นแน่แท้
แต่ไม่นานหลัวซิวก็ได้ทั้งความคิดเช่นนี้ไป เพราะเมื่อเทียบกันแล้ว เขาไม่อยากจะให้ลู่เมิ่งเหยากลายเป็นเครื่องมือ กลายเป็นเหยื่อในการแย่งชิงอำนาจผลประโยชน์ของลู่เฟยเฉิน
“เมิ่งเหยา ไปกับข้าเถอะ พวกเราไปจากที่นี่” หลัวซิวไม่อาจทนดูท่าท่างเสียใจของนาง ที่เขามาในครั้งนี้ ก็เพื่อบอกความจริงกับนาง และพานางไปจากเขตการปกครองหยุนหลง
“หนีไปด้วยกันหรือ?” ลู่เมิ่งเหยามอองดูหลัวซิวที่อยู่ตรงหน้า หลังจากที่ได้รับรู้ความจริง นางก็อยากจะหนีไปให้รู้แล้วรู้รอดจริง ๆ
แต่ว่า ถ้าหากข้าไปแล้ว ท่านพท่อจะทำเช่นไร? ตอนที่ยังเล็กท่านแม่ได้จากโลกนี้ไปด้วยอาการป่วย เป็นท่านพ่อที่เลี้ยงดูนางมาจนเติบใหญ่ ดูแลทะนุถนอมนางมาเป็นอย่างดี ถ้าหากตนเองจากไป ปรมาจารย์ขงชิงหยูแย่งชิงตำแหน่งเจ้าสำนักไม่สำเร็จ ท่านพ่อจักต้องพลอยลำบากไปด้วย ชีวิตต้องตกอยู่ในอันตรายเป็นแน่
“เมิ่งเหยา ไปกับข้าเถอะ หากยังไม่ไป ก็คงไม่ทันแล้ว” หลัวซิวกล่าวอย่างร้อนรน ขณะเดียวกันนั้นก็ยื่นมือออกไปจับมือเมิ่งเหยา
เพราะจากกระแสสัมผัสพลังชีวิตของเขา มีศิษย์นอกสำนักหลายคน กำลังใกล้เข้ามาที่นี่
“ไม่! ข้าจะไปไม่ได้!”
จู่ ๆ ลู่เมิ่งเหยากลับก้าวถอยหลังหลายก้าว ขอบตาแดงเล็กน้อย น้ำตาคลอเบ้า “หลัวซิว เจ้าไปเถอะ”
ในวินาทีที่ต้องตัดสินใจเลือก ระหว่างท่านพ่อและหลัวซิว สุดท้ายนางยังคงเลือกบิดาของตัวเอง
ภายในใจนางไม่อาจตัดใจจากหลัวซิวได้ แต่ก็ยิ่งไม่สามารถมองดูบิดาของตัวเองต้องจบชีวิตโดยที่ไม่ทำอะไรได้ นางจะเป็นบุตรสาวเนรคุณไม่ได้
“หลัวซิว ระยะเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับเจ้า เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิตนี้ของข้า แต่ข้าไม่สามารถไปกับเจ้าได้จริง ๆ”
นับจากที่โรคชีพจรขาดธาตุไฟได้กำเริบ เดิมคิดว่าชาตินี้จะมีชีวิตอยู่ไม่เกินยี่สิบปี กลับคิดไม่ถึงว่าจะได้พบกับหลัวซิว
เป็นหลัวซิว ที่ให้ความหวังในการมีชีวิตต่อไปกับนาง และหลังจากที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันมาระยะหนึ่ง นางก็ได้มีใจให้กับผู้ชายที่มีอายุน้อยกว่าตัวเองไม่น้อยคนนี้
แต่ทั้งหมดนี้ เมื่อพวกเขาได้มาพบกันที่นอกสำนักเซียวเหยาอีกครั้ง ทุกอย่างก็ได้เปลี่ยนไป
ห่างออกไปไม่ไกลนัก เงาร่างของคนหลายคน สามารถมองเห็นได้อย่างเลือนราง
“เมิ่งเหยา เจ้าแน่ใจเหรอว่าเลือกที่จะอยู่ที่นี่ต่อไป?”
หลัวซิวเข้าใจความคิดของลู่เมิ่งเหยาเป็นอย่างดี ที่นางเลือกจะอยู่ที่นี่ต่อไปนั้น ก็เพราะบิดาของตัวเอง
นางยอมละทิ้งความรู้สึกระหว่างทั้งสอง ละทิ้งความสุขของตัวเอง
เมื่อเห็นลู่เมิ่งเหยาพยักหน้า หลัวซิวก็เอ่ยถามขึ้นมาอีกครั้ง: “ถ้าหากลู่เฟยเฉินเป็นพ่อที่ดีจริง ๆ ก็ไม่มีทางที่จะใช้แผนการเลวทรามต่ำช้าแบบนี้บังคับให้เจ้าแต่งงานกับโกวจินชวนอะไรนั่น เจ้าต้องคิดให้ดี!”
“หลัวซิว ข้าขอโทษ” ลู่เมิ่งเหยาน้ำตาอาบแก้ม ร้องไห้อย่างเสียใจขึ้นมากว่าเดิม
นางทราบดี ทันทีที่หลัวซิวหันหลังจากไป พวกเขาทั้งสองคน ก็ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้อีกแล้ว จะไม่ใช่คนในโลกเดียวกันอีกต่อไป
“ศิษย์เลวช่างบังอาจนัก กล้าทำร้ายคนในสำนักเดียวกัน จับตัวตัวมันไว้ คุ้มครองคุณลู่!”
ในตอนนี้เอง ศิษย์นอกสำนักทั้งเจ็ดแปดคนก็ได้เห็นเข้ากับร่างไร้วิญญาณเหล่านั้น ขณะเดียวกันก็สังเกตเห็นหลัวซิว และได้ยินเสียงร้องไห้ของลู่เมิ่งเหยา
เสียงชักดาบชักกระบี่ออกจากฝักดังขึ้นต่อเนื่องกันเป็นระลอก ศิษย์นอกสำนักพวกนั้นปิดล้อมเข้ามาทางนี้ ขณะเดียวกันนั้นก็มีคนหนึ่งก้าวถอยหลังไป ซึ่งหน้าจะไปรายงานสถานการณ์
หลัวซิวรู้ว่าตนเองควรจะจากไปแล้ว มิเช่นนั้นชีวิตคงจะไม่ปลอดภัย
เขาทอดถอนใจ เอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของลู่เมิ่งเหยา นางกลับร้องไห้หนักขึ้นกว่าเดิม ไม่อาจกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้
“ข้าไม่โทษเจ้า……”
เมื่อหลัวซิวพูดประโยคนี้จบ ก็หันหลังจากไปทันที สำหรับพวกศิษย์นอกสำนักที่ปิดล้อมโจมตีเข้ามานั้น หลัวซิวไม่ได้พัวพัน ขยับร่าง ก็ทิ้งเศษเงาเอาไว้หลายสาย เคลื่อนตัวผ่านสองคนในนั้นไปภายในชั่ววินาที มุ่งหน้าโบยบินไปในที่ที่ห่างออกไป
“ตามไป! อย่าปล่อยให้มันหนีไปได้”
ศิษย์นอกสำนักเซียวเหยานั้นมีอยู่มากมาย ผู้คนที่ถูกทำให้ตื่นตัวมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ต่างเข้าร่วมปิดล้อมตามสังหาร หลัวซิวคิดจะหนีไปจากที่นี่ ยิ่งลำบากมากขึ้นกว่าเดิม
สิ่งเดียวที่ทำให้เขาค่อนข้างจะโชคดีก็คือ บริเวณนี้เป็นที่อยู่ของศิษย์นอกสำนัก ผู้ดูแลที่มีผลการฝึกตนระดับพรสวรรค์ รวมทั้งลู่เฟยเฉิน ต่างก็อยู่ค่อนข้างจะไกล ตราบใดที่หนีออกไปจากที่นี่ได้ก่อนที่ยอดฝีมือพวกนั้นจะมาถึง ก็จะปลอดภัยไร้กังวล
เนื่องจากตรงข้ามนอกสำนักเซียวเหยานั้นก็คือองค์กรนักล่ายุทธ์ เพียงแค่เข้าไปในห้องโถงขององค์กรได้ ต่อให้เป็นลู่เฟยเฉิน ก็จะไม่กล้าลงมือกับเขาอย่างแน่นอน
อาศัยวิชาเงาเศษสิบช่อง การเคลื่อนไหวของหลัวซิวนั้นรวดเร็วเป็นอย่างมาก เขาหลีกเลี่ยงการลงมือมาตลอดทาง ไม่นานก็เข้าใกล้ประตูใหญ่ของสำนัก
“เจ้าโจรชั่วบังอาจนัก นอกสำนักเซียวเหยาของข้าใช่ที่เจ้าคิดจะมาก็มา คิดจะไปก็ไปหรือ?”
ทันใดนั้น เสียงตวาดเสียงหนึ่งก็ได้ดังลอยมา ชายหนุ่มใบหน้าเคร่งขรึมคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตูใหญ่ ดาบยาวพลันถูกชักออกจากฝัก และฟันเข้ามาทางหลัวซิว
“เป็นศิษย์พี่กู้หย่งคัง!”
“ศิษย์พี่กู้ลงมือ นอกเสียจากจะเป็นจอมยุทธ์แดนพรสวรรค์ มิเช่นนั้นเจ้าโจรชั่วนั่นจะต้องหนีไม่รอดแน่”
เนื่องจากยาย้ายร่างเปลี่ยนกระดูกศิษย์นอกสำนักเหล่านั้นจึงไม่สามารถมองออกได้ว่าคนที่พวกเขากำลังตามล่าอยู่ตอนนี้ก็คือหลัวซิวนั่นเอง
สำหรับกู้หย่งคัง หลัวซิวเองก็พอจะคุ้นอยู่บ้าง เป็นศิษย์นอกสำนักอันดับหนึ่งในหอคอยมังกรบิน ได้ยินว่าเป็นยอดฝีมือในแดนขั้นสูงชี่ไห่ขั้น9
“สวบ!”
เห็นเพียงหลัวซิวขยับร่าง ทิ้งไว้เพียงเศษเงาสายหนึ่ง แทบจะชั่ววินาที ก็หลบคมดาบที่กู้หย่งคังฟันลงมาไปได้
หลัวซิวเข้าใจดี กู้หย่งคังได้ขวางประตูใหญ่เอาไว้ เขาคิดจะหนีไป ก็จะต้องเอาชนะคนผู้นี้ให้ได้
“พรึบ!”
โบกสะบัดกระบี่เงามืดที่อยู่ในมือ แสงกระบี่สีดำกรีดผ่านไปราวกับสายฟ้า
กู้หย่งคังทำเสียงหึอย่างเย้ยหยัน ดูจากกระแสพลังของเจ้าหนุ่มที่บุกเข้ามาในนอกสำนักเซียวเหยาคนนี้ เป็นเพียงจอมยุทธ์ชี่ไห่ขั้น3 เท่านั้นเอง ตามปกติแล้ว คนในระดับนี้ไม่คู่ควรให้เขาต้องลงมือ
แต่เมื่อเขาพบว่ากระบี่ของอีกฝ่ายนั้นรวดเร็วเป็นอย่างมาก สีหน้าของเขาก็พลันเปลี่ยนไปทันที ยุทธ์ชี่ไห่ขั้น3 ผู้หนึ่ง จะมีความเร็วเช่นนี้ การโจมตีที่รุนแรงแช่นนี้ได้อย่างไรกัน?
กู้หย่งคังไม่มีเวลามาคิดให้ละเอียด รีบแสดงกระบวนท่าร่างเพื่อหลบหลีก แต่เห็นได้ชัดว่ากระบี่ที่หลัวซิวฟันเข้ามานั้นเร็วยิ่งกว่า ทิ้งรอยแผลเปื้อนเลือดเอาไว้ที่หน่อกของเขา
ในขณะเดียวกัน ชั่ววินาทีที่กู้หย่งคังหลบกระบี่นี้นั้น หลัวซิวพลันเร่งความเร็วขึ้น ดุจดั่งแสงที่กระทบผิวน้ำ จะหนีออกไปจากนอกสำนักเซียวเหยา
“จะหนีไปไหน!”
ชายชราหนวดเคราปลิวว่อนผู้หนึ่งวิ่งลอยตัวเข้ามาทางด้านนี้ รวดเร็วเป็นอย่างมาก แม้ว่าหลัวซิวจะใช้วิชาเงาเศษสิบช่องออกมาอย่างเต็มกำลัง ก็ยังห่างไกลอีกนัก
“จางหลู่เหลียง!” หลัวซิวจำตาเฒ่าที่มีความแค้นกับเขาคนนี้ขึ้นมาได้ในทันที และเขายังรู้อีกว่า จางหลู่เหลียงคนนี้เป็นปรมาจารย์แดนพรสวรรค์ขั้น9
“เจ้าหนุ่ม เจ้าคิดว่าใช้ยาย้ายร่างเปลี่ยนกระดูก ข้าก็จะจำเจ้าไม่ได้งั้นรึ? เจ้าสำนักลู่ไม่ได้เอาชีวิตเจ้า ดูเหมือนว่าเจ้าถูกกำหนดให้ตายในน้ำมือของข้า!”
จางหลู่เหลียงใบหน้าเยือกเย็นดั่งน้ำค้างแข็ง ใช้ปราณแท้ในการสื่อสาร เสียงดังกังวานอยู่ในหูของหลัวซิว
########################
บทที่ 103 พบลู่เมิ่งเหยา
เหวินเซวียนหงกล่าวอย่างช้า ๆ “เจ้าสามารถประกาศภารกิจรางวัลนำจับในองค์กรนักล่ายุทธ์ใหม่อีกครั้งได้ เพียงแค่ไม่ใช่คนในองค์กรนักล่ายุทธ์รับภารกิจนี้ ก็จะไม่ต้องถูกจำกัดจากกฎขององค์กร สามารถลงมือได้ตามอำเภอ”
“แต่ไม่ว่าจะเป็นใครที่รับภารกิจนี้ จะต้องกลายเป็นปรปักษ์กับสำนักเซียวเหยา ข้าคิดว่าคงยากที่จะมีคนรับภารกิจเช่นนี้”
แน่นอน มีประโยคหนึ่งที่เหวินเซียนหงไม่ได้กล่าวออกมา นั่นก็คือถ้ามีแนวโน้มว่าจะได้รับผลประโยชน์ที่มากเพียงพอ จักต้องมีคนรับภารกิจนี้แน่ แต่เขาไม่คิดว่าหลัวซิวจะสามารถให้ผลประโยชน์ที่มหาศาลเช่นนั้นได้ ทำให้ผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ทั้งหลายหิวกระหาย
และต่อให้มีก็ตาม ของที่จอมยุทธ์ชี่ไห่คนหนึ่งนำออกมา แม้ว่าจะเป็นสมาชิกอัจฉริยะของแก๊งก็จักต้องเป็นหายนะอย่างแน่นอน
แม้ว่าหลัวซิวจะอายุยังน้อย แต่เขาก็เข้าใจหลักการเช่นนี้ ทว่าถ้าจักต้องให้ลู่เมิ่งเหยาแต่งกับคนที่ไม่ได้รัก กลายเป็นเครื่องมือที่บิดาของเขาให้เพื่องแย่งชิงอำนาจผลประโยชน์ นี่เป็นสิ่งที่หลัวซิวมิอาจรับได้
เหวินเซวียนหงไม่ปฏิเสธสมบัติทั้งสามที่หลัววิวเอาออกมานั้นอีก เขาหยิบเอาขวดหยกออกมาจากแหวนเก็บของ กล่าว: “นี่คือยาย้ายร่างเปลี่ยนกระดูก สามารถเปลี่ยนรูปลักษณ์ของเจ้าได้ภายในสิบชั่วโมง ถ้าหากเจ้าต้องไปพบลู่เมิ่งเหยาให้ได้ ยาเม็ดนี้ช่วยให้เจ้าแฝงตัวเข้าไปในนอกสำนักเซียวเหยาได้”
เมื่อเห็นยาเม็ดนี้ หลัวซิวก็ดวงตาเป็นประกายขึ้นมา นี่คือยาระดับ3 แม้ว่าจะไม่ล้ำค่าอะไรมากนัก แต่ก็เหมาะสำหรับเขาพอดี เพียงต้องระวังไม่ให้ถูกพบเข้า
“ขอบคุณท่านหัวหน้าแก๊ง!” หลัวซิวกล่าวขอบคุณ หยิบเอายาในขวดออกมา บอกลาและหมุนตัวจากไป
……
ด้านหน้าประตูใหญ่นอกสำนักเซียวเหยา มีศิษย์นอกสำนักสองคนทำหนี้ที่เฝ้าประตู
แต่การเฝ้าประตูของที่นี่นั้นไม่ได้เคร่งครัดมากนัก เพียงแค่แสดงป้ายประจำตัว ก็สามารถเข้าไปได้แล้ว
เพราะยังไงที่นอกสำนักเซียวเหยาก็ไม่ได้มีความลับอะไร ต่อให้มีคนแฝงตัวเข้าไปก็จะไม่ได้รับผลดีอะไร ถ้าหากถูกพบเข้า คิดจะหนีออกมานั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
ยังคงเป็นชุดดำทั้งตัว หลังจากที่ได้ทานยาย้ายร่างเปลี่ยนกระดูกเข้าไป ความสูงของหลัวซิวก็ได้ลดลงเล็กน้อย สีผิวค่อนข้างจะดำ รูปลักษณ์ก็เปลี่ยนแปลงไปไม่น้อย ดูแล้วเหมือนกับชายหนุ่มอายุราวยี่สิบกว่า
เขาสะพายกระบี่เอาไว้หนึ่งเล่ม มาถึงที่นอกสำนักเซียวเหยา เมื่อแสดงป้ายจำตัวของศิษย์นอกสำนักเซียวเหยาออกมา ก็ไม่ได้ถูกกีดขวางใด ๆ และได้ผ่านเข้ามาทันที
หลังจากที่เข้ามา หลัวซิวไม่ได้ชักช้า และตรงไปที่ที่พักของลู่เมิ่งเหยาทันที
แม้ว่าหน้าตาของเขาจะดูแปลกตาอยู่บ้าง แต่นอกสำนักเซียวเหยานั้นมีศิษย์มากมาย เลยไม่มีใครสงสัยเขาเลยสักนิด
ทะลุป่าไผ่แห่งหนึ่ง เดินไปตามเส้นทางลูกรังเล็ก ๆ หลัวซิวก็ได้มองเห็นลานสวนแห่งหนึ่งอยู่ไกล ๆ ต้องอยู่ที่ริมทะเลสาบ
ที่นี่ก็คือที่พักของลู่เมิ่งเหยา หลัวซิวไม่ได้เข้าไปโดยพลการ เขาสังเกตเห็นว่ามีเงาคนอยู่จำนวนหนึ่ง เดินไปมาอยู่รอบ ๆ ลานสวน
ไม่ต้องสงสัย คนพวกนี้จะต้องถูกจัดไว้โดยลู่เฟยเฉินอย่างแน่นอน เพื่อป้องกันไม่ให้เขาแฝงตัวเข้ามาหาลู่เมิ่งเหยาในนอกสำนักเซียวเหยา
ถ้าหากเขาเข้าไปจะต้องถูกพบเข้าอย่างแน่นอน พอถึงตอนนั้นไม่ต้องรอลู่เฟยเฉินมาเอง แค่จอมยุทธ์พรสวรรค์คนหนึ่ง ก็สามารถจัดการเขาได้แล้ว
กระแสสัมผัสพลังชีวิตแพร่กระจายออกไป ภายในขอบเขตการสัมผัสของหลัวซิว มีกระแสพลังของจอมยุทธ์อยู่ทั้งหมดเจ็ดสาย
กระแสพลังหนึ่งในนั้น หลัวซิวคุ้นเคยเป็นอย่างดี นั่นก็คือกระแสพลังของลู่เมิ่งเหยา
ส่วนกระแสพลังที่เหลืออีกหกสายนั้น จากกระแสสัมผัสของหลัวซิว มีวิชาชี่ไห่ขั้น7 สามคน วิชาชี่ไห่ขั้น8 สองคน และวิชาชี่ไห่ขั้น9 หนึ่งคน
การค้นพบนี้ ทำให้หลัวซิวสบายใจขึ้นเล็กน้อย ตราบใดที่ไม่มีจอมยุทธ์พรสวรรค์ เขาก็ไม่ต้องกังวลอะไร
ขอบเขตของกระแสสัมผัสพลังชีวิตสามารถครอบคลุมระยะห้าร้อยกว่าเมตร หลัวซิวไม่ได้พบเห็นว่ามีคนอื่น ๆ ซ่อนตัวอยู่
คิดมาถึงตรงนี้ หลัวซิวก็ก้าวเท้าเดินเข้าไปทางลานสวน
จอมยุทธ์ทั้งหกคนที่คอยตรวจการอยู่โดยรอบ ก็สังเกตเห็นหลัวซิวภายในพริบตา และปิดล้อมเข้ามาทันที
“เจ้าเป็นใครกัน?” จอมยุทธ์ชี่ไห่ขั้น9 ที่เป็นผู้นำเอ่ยถาม
หลัวซิวขมวดคิ้ว กล่าว: “ข้ามาเยี่ยมคุณลู่ พวกเจ้าขวางข้าเอาไว้หมายความเช่นไร?”
“เจ้าสำนักมีคำสั่ง ผู้ใดก็ตามที่เข้าใกล้ที่พักของคุณลู่จักต้องได้รับการยืนยันตัวตนก่อน เจ้าไปกับพวกเราหน่อย” จอมยุทธ์ผู้นี้กล่าวอย่างเย็นชา
เมื่อได้ยินดังนั้น หลัวซิวก็สามารถมั่นใจได้ว่าลู่เฟยเฉินได้ทำการป้องกันไม่ให้เขาแฝงตัวเข้ามาโดยการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ไว้แต่แรกแล้ว ทันทีที่ถูกเจ้านี่พาตัวไป ฐานะจักต้องถูกเปิดโปงเป็นอย่างแน่
ไม่ว่าอย่างไรยาย้ายร่างเปลี่ยนกระดูกสามารถตบตาจอมยุทธ์พรสวรรค์ได้ แต่จักต้องถูกปรมาจารย์ฝึกจิตมองออกอย่างแน่นอน เนื่องด้วยผู้แข็งแกร่งที่ฝึกตนถึงขั้นแดนฝึกจิตกระแสสัมผัสพลังวิญญาณได้รวมตัวกันเป็นพลังจิต สามารถมองทะลุการปลอมแปลงจากยาย้ายร่างเปลี่ยนกระดูกได้อย่างง่ายดาย
หลังซิวทราบดีว่า ไม่อาจหลีกเลี่ยงจากการลงมือได้แล้ว
“ฉับ!”
ในเมื่อตัดสินใจลงมือ หลัวซิวก็ลงมือก่อนเป็นการได้เปรียบ เมื่อลงมือกระแสดงกระบวนท่ากระบี่สะท้อนแสงในเคล็ดวิชากระบี่แสงเหนือออกมาทันที พุ่งเป้าหมายไปที่จอมยุทธ์ชี่ไห่ขั้น9 ที่เป็นผู้นำคนนั้น
“บังอาจ! กล้าขัดขืนคำสั่งของท่านเจ้าสำนัก จับตัวมันมาให้ข้า!” จอมยุทธ์ชี่ไห่ที่เป็นผู้นำตวาดขึ้น และชักดาบออกมา
เสียงโลหะกระทบกัน สะเก็ดไฟแตกกระเซ็น ถึงอย่างไรจอมยุทธ์ที่เป็นผู้นำก็เป็นชี่ไห่ขั้น9 แม้ว่าจะเป็นดาบเร็วของหลัวซิว ก็ไม่อาจเอาชีวิตในดาบเดียวซึ่ง ๆ หน้าได้ ถูกดาบยาวของอีกฝ่ายขวางเอาไว้
ทว่าซ้ายของหลัวซิวก็ไม่ได้อยู่นิ่ง เขาต่อยหมัดออกมา รวดเร็วกับสายฟ้าแล่น ความเร็วในการต่อยนั้นไม่ช้าไปกว่าที่ชักกระบี่เลยสักนิด
จอมยุทธ์ชี่ไห่ขั้น9 ที่เป็นผู้นำสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก รวบรวมพลังปราณแท้ให้กลายเป็นเกราะป้องกัน คิดอยู่ในใจว่าต่อให้ถูกหมัดของคนผู้นี้ต่อยเข้า มีพลังปราณคุ้มครองร่างกายเอาไว้ ก็จะไม่ได้รับบาดเจ็บมากนัก
“พลั๊ก!”
ชั่ววินาทีต่อมา หมัดของหลัวซิวได้ต่อยเข้าที่หน้าอกของอีกฝ่ายอย่างจัง
หมัดนี้ หลัวซิวไม่ได้ยั้งมือเลยสักนิด ได้ทะลุผ่านเกาะป้องกันปราณแท้เข้าทำลายลายเส้นชีวิตโดยตรง จอมยุทธ์ชี่ไห่ขั้น9 ลอยปลิวออกไป เลือดสด ๆ พุ่งออกมาจากปาก สลบไสลลงไปบนพื้น บาดเจ็บหนักไม่อาจลุกขึ้นมาได้
และในเวลานี้เอง ศิษย์นอกสำนักอีกห้าคนที่เหลืออยู่ ถึงได้รู้สึกตัวขึ้นมา
“พรึบ!”
กระบี่เงามืดในมือสั่นสะท้าน หลัวซิวไม่ใช่คนใจอ่อน แสงกระบี่ของเขาเป็นเหมือนดั่งสายฟ้าสีดำ เพียงแค่กะพริบไม่กี่ครั้ง จอมยุทธ์ชี่ไห่ทั้งสี่คนที่ปิดล้อมเขาเอาไว้ ต่างก็ตัวอ่อนล้มลงไปกับพื้น มีรอบกรีดที่บริเวณคอหอย เลือดสด ๆ พุ่งกระฉูดออกมา
หลัวซิวเข้าใจเป็นอย่างดี เขาไม่ฆ่าคนพวกนี้ ถ้าหากปล่อยให้พวกเขาไปรายงาน จากความต้องสังหารที่ลู่เฟยเฉินมีต่อเขานั้น จักต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย
ในตอนนี้เอง ลู่เมิ่งเหยาที่อยู่ภายในห้องได้ยินการเคลื่อนไหวเข้า นางผลักเปิดประตูออกมา และได้พบเข้ากับตอนที่หลัวซิวสังหารจอมยุทธ์เหล่านั้นพอดี
“เจ้าเป็นใครกัน?”
ลู่เมิ่งเหยาร้องออกมาด้วยความตกใจ ยังไงก็คิดไม่ถึงว่า อยู่ภายในสำนักเซียวเหยา จะมีคนกล้าลงมือฆ่าคนเช่นนี้
“เมิ่งเหยา ข้าเอง ข้าคือหลัวซิว!” หลัวซิวรีบกล่าวขึ้นมา “ข้าได้ทานยาย้ายร่างเปลี่ยนกระดูก หน้าตาถึงได้เปลี่ยนแปลงไป”
แม้ว่าตอนนี้หลัวซิวจะได้ใช้ยาย้ายร่างเปลี่ยนกระดูก เปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ แต่หลังจากที่ลู่เมิ่งเหยาหายตกใจ ก็สามารถแน่ใจได้ทันทีว่า คนที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ ก็คือหลัวซิว
“เป็นเจ้าจริง ๆ หรือ? เจ้าไม่จากเขตการปกครองหยุนหลงแล้วไม่ใช่รึ? แล้วคนพวกนี้มันอะไรกัน?” เมื่อลู่เมิ่งเหยาเห็นหลัวซิว ภายในใจก็เต็มไปด้วยความสงสัย
ข้าไม่เคยจากไปเลย คนพวกนี้คงเป็นคนที่พ่อของเจ้าสั่งให้มาคอยจับตาดูเจ้า” หลัวซิวกล่าวขึ้นมา
ลู่เมิ่งเหยาสีหน้างงงัน ไม่ค่อยจะเข้าใจว่าคำพูดนี้ของหลัวซิวหมายความว่าเช่นไร
########################
บทที่ 102 เจรจา
หลัวซิวรู้สึกว่าเชิ่งฮั๋วเฟิงคนนี้ค่อนข้างจะเลี่ยงเรื่องใหญ่รับเรื่องเล็ก เหมือนว่าจะไม่กล้าเผชิญหน้ากับคำถามเมื่อสักครู่ของเหวินเซวียนหง
เหวินเซวียนหงทำเสียงหึออกมาหนึ่งครั้ง ท่าทางแข็งกร้าวเล็กน้อย เชิ่งฮั๋วเฟิงที่มีโต้แย้งกับเหวินเซวียนหงอย่างไม่ลดละในเมื่อสักครู่ กลับดูอ่อนแรงลงไป
ซึ่งนั่นก็ทำให้ลู่เฟยเฉินและขงชิงหยูต้องสบตาซึ่งกันและกัน ต่างรู้สึกว่าเหตุการณ์ไม่ค่อยจะดีนัก
หลังจากที่ผู้นำทั้งสองคนได้ตอบโต้กันไปมา ในที่สุดก็ถึงเวลาให้หลัวซิวเอ่ยปาก เขามองไปยังลู่เฟยเฉิน กล่าว: “เจ้าสำนักลู่ สาเหตุที่ท่านต้องการฆ่าข้านั้นข้าได้ทราบมาหมดแล้ว ตอนนี้ข้าเพียงต้องการพบเมิ่งเหยาสักครั้ง?”
“ไม่ได้!” ลู่เมิ่งเหยาปฏิเสธทันที เหมือนว่าไม่สามารถเจรจาใด ๆ ได้เลย
สีหน้าของหลัวซิวเยือกเย็นลงทันที น้ำเสียงก็เย็นชาขึ้นมาไม่น้อย กล่าว: “เจ้าสำนักลู่ ข้าหวังว่าท่านอย่าได้มากจนเกินไป ถ้าหากไม่ใช่เพราะเมิ่งเหยา บางทีตอนนี้ท่านอาจไม่สามารถนั่งสนทนากับข้าอยู่ที่นี่แล้วก็ได้”
สำหรับคนที่คิดสังหารตัวเองนั้น ถ้าหากอีกฝ่ายไม่ใช่บิดาของลู่เมิ่งเหยา เขาจะต้องไม่มาคุยอยู่กับอีกฝ่ายดี ๆ แบบนี้แน่
หรือแม้กระทั่งว่าเขาสามารถประกาศภารกิจรางวัลนำจับเพื่อสังหารลู่เฟยฉินอยู่ที่องค์กรนักล่ายุทธ์ได้ทันที เชื่อว่าจะต้องมีผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ยินดีมารับงานนี้อย่างแน่นอน
เป้าหมายที่นักล่าอสูรสังหาร ไม่ได้มีเพียงอสุรกายเท่านั้น
“เจ้าขู่ข้าหรือ?” ลู่เฟยเฉินเองก็มีสีหน้าเคร่งขรึมลงมา แม้ว่าเขาจะเกรงกลัวเหวินเซวียนหง แต่หลัวซิวเป็นตัวอะไรกัน? ก็แค่จอมยุทธ์ชี่ไห่ ยังกล้ามาข่มขู่ตนเองที่เป็นปรมาจารย์ฝึกจิตงั้นหรือ?
ในขณะเดียวกันนั้น เขาก็ได้ปล่อยกระแสพลังของตัวเองออกมา บีบจู่โจมเข้าหาหลัวซิว
“ลู่เฟยเฉิน ระวังท่าทีของเจ้าด้วย!”
เหวินเซวียนหงทำเสียงฮึดฮัดอย่างไม่พอใจ กระแสพลังที่ลู่เฟยเฉินปล่อยออกมานั้นได้หายไปในพริบตา
“เจ้าสำนักลู่ ข้าขอถามท่านเป็นครั้งสุดท้าย ข้าต้องการพบมิ่งเหยา ท่านเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย?” มีเหวินเซวียนหงอยู่ข้าง ๆ หลัวซิวก็ไม่ต้องกังวลอะไร เขาลุกยืนขึ้นมา มองลงไปที่ลู่เฟยเฉินอย่างแข็งกร้าวพลางกล่าวเสียงดัง
ลู่เฟยเฉินอดกลั้นปางตาย เขาเป็นนายท่านของนอกสำนัก เคยมีจอมยุทธ์ชี่ไห่กล้ายืนค้ำหัวมองตนเองแบบนี้ที่ไหนกัน?
ดังนั้นลู่เฟยเฉินเลยไม่ครุ่นคิดเลยสักนิด เขาตวาดอย่างเย็นชา: “ต้องการพบลูกสาวข้า ฝันไปเถอะ! ชาตินี้เจ้าอย่าหวังว่าจะได้เจอนางเลย!”
ไฟโมโหที่ถูกกดทับเอาไว้ภายในใจของหลัวซิวลุกโชนขึ้นมาทันที เขาหันไปทางเหวินเซวียนหง “ท่านหัวหน้าแก๊ง ถ้าหากข้าให้รางวัลนำจับภารกิจสังหารลู่เฟยเฉิน จะต้องจ่ายค่าตอบแทนเช่นไร?”
“จากสมบัติวิเศษทั้งสามอย่างที่เจ้าให้ข้ามานั้น เพียงพอที่จะฆ่าลู่เฟยเฉินแล้ว” เหวินเซวียนหงตอบทันที สำหรับเขาแล้ว ชีวิตของลู่เฟยเฉิน อย่างมากสุดก็มีค่าทัดเทียมสมบัติขั้นห้าชิ้นหนึ่งเท่านั้น
“ต้องการให้ข้าฆ่าเขาหรือเปล่า?” ไอสังหารอันแรงกล้าสายหนึ่ง ได้แผ่ซ่านออกมาจากร่างของท่านหัวหน้าแก๊งที่ดูสุภาพเรียบร้อยท่านนี้
เหวินเซวียนหงไม่ได้ปกปิดไอสังหารบนร่างกายของเขาเลยสักนิด เมื่อเผชิญหน้ากับผู้ชนะแห่งโลกยุทธ์ที่ทั้งฝีมือและฐานะไม่ธรรมดาเช่นนี้ สีหน้าของลู่เฟยเฉินก็แข็งกระด้างขึ้นมาทันที
“หัวหน้าแก๊งเหวิน หรือว่าองค์กรนักล่ายุทธ์จะยื่นมือเข้ามาแทรกแซงเรื่องภายในสำนักเซียวเหยาของข้างั้นหรือ?”
ขงชิงหยูเองก็ทนนิ่งต่อไปไม่ได้ สายตามองไปยังเหวินเซวียนหงพลางกล่าว
เขาเองก็อยู่ในแดนผู้ชนะแห่งโลกยุทธ์ แม้ว่าฝีมือและฐานะจะด้อยกว่าเหวินเซวียนหงอยู่บ้าง แต่ก็มีคุณสมบัติพอที่จะคุยด้วยได้
เหวินเซวียนหงทำเสียงหึอย่างเย็นชา เก็บไปสังหารกลับมา เขาจะไม่ยื่นมือเข้าไปแทรกแซงเรื่องภายในสำนักเซียวเหยาอย่างแน่นอน มาอย่างนั้นละก็แก๊งนักค่ายกล แก๊งนักหลอมอาวุธ และยังมีแก๊งนักกลั่นยาจะต้องถือเอาเรื่องนี้มาโจมตีองค์กรนักล่ายุทธ์อย่างแน่นอน
ระหว่างสี่แก๊งใหญ่นี้ได้รักษาความสมดุลที่ลึกซึ้งเอาไว้มาโดยตลอด
เขาบอกว่าจะสังหารลู่เฟยเฉิน ก็เพียงแค่ข่มขวัญอีกฝ่ายเท่านั้นเอง
แน่นอน ถ้าหากเป็นกลุ่มผู้มีอิทธิพลอื่น หรือราชายุทธ์ที่ฝึกตนโดยไม่มีสังกัด ก็จะไม่มีข้อจำกัดใด ๆ จากองค์กรนักล่ายุทธ์ จะลงมือสังหารลู่เฟยเฉินหรือไม่นั้น ก็แล้วแต่ความเต็มใจส่วนบุคคล
ภายในห้องส่วนตัว บรรยากาศของทั้งสองฝ่ายนั้นพลันเคร่งเครียดลง หลัวซิวสามารถสัมผัสได้ ลู่เฟยเฉินยืนยันจะไม่ให้ตัวเองพบเมิ่งเหยาอย่างแน่นอน เพื่อป้องกันไม่ให้ส่งผลกระทบต่อแผนการของเขา
นอกจากนี้หลัวซิวก็ทราบดีว่า ตนเองไม่อาจจะใช้ภารกิจรางวัลนำจับเชิญยอดฝีมือคนอื่น ๆ ในองค์กรนักล่ายุทธ์ได้อีก เพราะไม่ว่ายังไงจอมยุทธ์ชี่ไห่อย่างเขา ถ้าหากเปิดเผยสมบัติออกมามากเกินไป จะต้องนำปัญหามาให้ตันเองมากมายอย่างแน่นอน
“เจ้าสำนักลู่ ต้องทำยังไงท่านถึงจะยอมให้ข้าพบเมิ่งเหยา?” หลัวซิวกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
ลู่เฟยเฉินทำเสียงฮึดฮัดอย่างไม่พอใจ “ข้าแนะนำให้เจ้าตายใจเสียเถอะ เมิ่งเหยาได้ตัดสินใจแล้ว จะตกลงเรื่องแต่งงานกับโกวจินชวนในอีกสามวันให้หลัง!”
ภายในหัวใจของลู่เฟยเฉินนั้นทราบดี ถ้าหากให้หลัวซิวและเมิ่งเหยาได้พบกัน หลัวซิวจะต้องบอกเรื่องที่ตนเองจะสังหารเขากับเมิ่งเหยาเป็นแน่ ไม่ต้องพูดถึงว่าเมิ่งเหยาจะโกรธเคืองเขาผู้เป็นบิดาเพราะเรื่องนี้หรือไม่ อย่างน้อยหากต้องการการสนับสนุนจากโกวหงยี่ผู้อาวุโสทั้งสามท่าน มันเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน
“ปัง!”
หลังซิวพลันตบโต๊ะและลุกยืนขึ้นมา ภายในดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความโมโห จ้องมองลู่เฟยเฉินตาเขม็ง
“ใช้บุตรสาวของตนเองเป็นเครื่องมือในการแย่งชิงอำนาจผลประโยชน์ ลู่เฟยเฉินท่านมันเดรัจฉานชัด ๆ” หลัวซิวตวาดด่าเสียงดัง
“เจ้ากล้าด่าข้ารึ?” ลู่เฟยเฉินเองก็ดวงตาลุกเป็นไฟ เขาเป็นถึงปรมาจารย์ยุทธ์แดนฝึกจิตขั้น9 เคยถูกคนเหยียดหยามเช่นนี้มาก่อนเสียเมื่อไรกัน
“ด่าท่านมันยังน้อยไป ถ้าหากไม่ใช่เพราะความสามารถของข้าไม่เพียงพอ ถ้าหากไม่ใช่เพราะท่านเป็นบิดาของเมิ่งเหยา ข้าจักต้องฆ่าท่านแน่!” หลัวซิวกร่นด่าอย่างเยือกเย็นด้วยไปหนี้ที่แฝงไปด้วยความเหยียดหยาม
“เจ้า……” ลู่เฟยเฉินโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ แต่เหวินเซวียนหงที่นั่งอยู่ข้างกายหลัวซิวทำให้เขาต้องกดไฟที่สุมอยู่ในหัวใจเอาไว้
“เหอะ ๆ คิดไม่ถึงว่าจอมยุทธ์ชี่ไห่คนหนึ่งจะกล้าอวดดีเช่นนี้ ไม่รู้ว่าหัวหน้าแก๊งเหวินจะคอยคุ้มครองอยู่ที่ข้างกายเจ้าตลอดเวลาหรือไม่?” เชิ่งฮั๋วเฟิงที่อยู่อีกด้านพลันกล่าวขึ้นมาด้วยไปหน้ายิ้มกริ่ม
ความหมายที่ปรากฏออกมาจากคำพูดประโยคนี้ของเขานั้นชัดเจนมาก นั่นก็คือถ้าหากไม่มีเหวินเซวียนหงอยู่ข้างกาย เพียงแค่จอมยุทธ์ชี่ไห่อย่างหลัวซิว ก็สามารถจัดการได้โดยง่ายไม่ใช่หรอกเหรอ?
เป็นที่ประจักษ์ว่าลู่เฟยเฉินและขงชิงหยูเองก็เข้าใจหลักเกณฑ์นี้ดี แอบกล่าวอยู่ในใจว่าให้เจ้าหนุ่มคนนี้อวดดีไปก่อน ในอนาคตจักต้องให้เขาเสียใจกับการกระทำในวันนี้อย่างแน่นอน
ไม่ต้องสงสัย แม้ว่าจะเชิญให้เหวินเซวียนหงหัวหน้าแก๊งท่านนี้ออกหน้า การเจรจาในครั้งนี้ ยังคงจบลงด้วยความล้มเหลว
กลับถึงองค์กรนักล่ายุทธ์ เหวินเซวียนหงได้คว้าเอาสมบัติวิเศษทั้งสามชิ้นที่หลัวซิวให้เขาออกมา และวางไว้บนโต๊ะ
“เนื่องจากกฎของแก๊ง ข้าไม่อาจยื่นมือเข้าไปแทรกแซงเรื่องภายในของกองกำลังอื่น ดังนั้นวันนี้จึงไม่สามารถช่วยอะไรเจ้าได้ ของพวกนี้ เจ้าเก็บเอาไว้เถอะ”
แม้ว่าสำหรับเหวินเซวียนหงแล้วสมบัติทั้งสามอย่างนี้จะมีมูลค่าที่ไม่ธรรมดา แต่ด้วยตำแหน่งฐานะของเขา ก็ไม่ถึงกับต้องละโมบเอาสิ่งของเหล่านี้ของหลัวซิวเอาไว้ โดยที่ไม่ได้สร้างคุณงามความดีอันใด
“ไม่ว่าจะยังไง ถ้าหากไม่มีหัวหน้าแก๊งเหวินออกหน้า จอมยุทธ์ชี่ไห่อย่างข้าไปหาพวกเขา เกรงว่าจักต้องไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองตายเยี่ยงไร”
หลัวซิวไม่ได้คิดที่จะรับเอาของพวกนี้กลับมา ถ้าหากสามารถใช้สมบัติทั้งสามชิ้นนี้สร้างความสัมพันธ์ที่ดีงามกับท่านหัวหน้าแก๊งท่านนี้ได้ บวกกับเย่เซี่ยงโต่วแห่งเมืองชิงหยุน อย่างน้อยความปลอดภัยของท่านพ่อท่านแม่และพี่สาวของเขาในเขตการปกครองหยุนหลง จักต้องได้รับการรับประกันอย่างแน่นอน
เหวินเซวียนหงยิ้ม เขาจะไม่เข้าใจความต้องการของหลัวซิวได้เยี่ยงไร ยิ่งไปกว่านั้นเขารู้สึกว่าสมบัติที่หลัวซิวมีอยู่นั้นไม่ใช่เพียงแค่นี้แน่
แม้ว่าหลัวซิวจะมีสมบัติวิเศษมากมายแค่ไหนแต่นั่นก็เป็นของหลัวซิว เขาก็ไม่ควรที่จะมีจิตใจละโมบโลภมากขึ้นมา
“แม้ว่าตอนนี้เจ้าจะเป็นสมาชิกอัจฉริยะขององค์กร แต่การฝึกฝนเลี้ยงดูที่องค์กรมีให้อัจฉริยะนั้น มีเพียงวรยุทธ์และทรัพยากร ไม่ได้มีการปกป้องคุ้มครอง ดังนั้นข้าก็ไม่อาจช่วยอะไรเจ้ามากได้”
บทที่ 101 รับคำร้องขอ
“ในสำนักเซียวเหยา ความสามารถของพวกผู้อาวุโสในสำนักเป็นยังไงบ้าง?” หลังจากที่หลัวซิวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็หันไปถามเหวินเซวียนหง
“นอกจากเจ้าสำนักเซียวเหยาที่ได้รับบาดเจ็บหนักที่เมื่อก่อนอยู่ในแดนผู้ชนะขั้น4 แล้ว ปัจจุบันผู้ที่มีฝีมือแข็งแกร่งที่สุดก็คือตี๋ซือกู่และขงชิงหยูที่กำลังช่วงชิงตำแหน่งเจ้าสำนักกันอยู่ ล้วนอยู่ในแดนผู้ชนะขั้น3” เหวินเซวียนหงกล่าว
ได้ยินดังนั้น หลัวซิวก็พยักหน้า ซึ่งหมายความว่าเพียงแค่ตัวเองเชิญผู้แข็งแกร่งในแดนผู้ชนะขั้น4 แห่งโลกยุทธ์ ก็น่าจะคุ้มครองตัวเองให้ปลอดภัยไร้กังวลได้
ครานี้ เขาเตรียมที่จะเข้าถ้ำเสือ เผชิญหน้ากับลู่เฟยเฉินและลู่เมิ่งเหยา เพราะฉะนั้นเงื่อนไขแรก ก็คือรับประกันเรื่องความปลอดภัยของตัวเองว่าจะไม่มีปัญหาเกิดขึ้น
ภายใต้สายตาประหลาดใจของเหวินเซวียนหง หลัวซิวได้ล้วงเอาสมบัติวิเศษสามอย่าง ออกมาจากแหวนเก็บของ
กระบี่ยุทธ์ระดับชั้นล่างเล่มหนึ่ง จานรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนที่สีดำแวววาวหนึ่งใบ และยังมีขวดหยกสีแดงหนึ่งขวด
เมื่อเห็นของทั้งสามอย่าง เหวินเซวียนหงก็มั่นใจแล้วว่า หลัวซิวจะต้องเคยได้รับการถ่ายทอดจากยอดฝีมือราชายุทธ์มาอย่างแน่นอน เพราะแค่กระบี่ยุทธ์ระดับชั้นล่าง นี่ก็เป็นเล่มที่สองที่เขาได้นำออกมาแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น ของที่เหลืออีกสองอย่าง อย่างหนึ่งคือสมบัติค่ายกลระดับห้า ส่วนอีกอย่างนั้น น่าจะเป็นยาระดับ5
หลัวซิววางของทั้งสามอย่างลงไปบนโต๊ะ และมองไปที่เหวินเซวียนหง กล่าว: “ผู้น้อยอยากจะขอให้ผู้แข็งแกร่งแดนผู้ชนะขั้น4 ท่านหนึ่งช่วยอีกแรง”
เหวินเซวียนหงไม่ได้พูดอะไร แต่ได้ตรวจดูสมบัติวิเศษทั้งสามก่อน ว่าได้อยู่ในขั้นห้าหรือไม่
“ยาเมฆาอคียาระดับ5? นี่ถือเป็นของดีที่นับว่าไม่เลย”
เมื่อได้เห็นยาที่อยู่ในขวดหยก ดวงตาของเหวินเซวียนหงก็เป็นประกายขึ้นมาเล็กน้อย
ไม่นาน เขาก็ได้เก็บสมบัติวิเศษทั้งสามอย่างลง และยิ้มกล่าว: “ข้าอยู่ในแดนราชายุทธ์ขั้น4 พอดี ดังนั้นข้าจะเป็นคนรับคำร้องขอของเจ้าด้วยตนเองเอง”
“ขอบคุณผู้อาวุโส!” หลัวซิวลุกขึ้นคารวะทันที ถ้าหากได้เหวินเซวียนหงเป็นคนช่วยนับว่าดีที่สุดแล้ว
“เจ้าไม่ต้องขอบคุณข้า เมื่อรับของจากเจ้า ทำงานให้เจ้าถือเป็นสิ่งที่ข้าควรจะทำ” เหวินเซวียนหงไม่ได้รับคารวะจากหลัวซิว เรื่องส่วนรวมและเรื่องส่วนตัวแยกกันอย่างชัดเจน
จากนั้นเหวินเซวียนหงก็ได้เขียนจดหมายหนึ่งฉบับ และให้คนส่งไปที่นอกสำนักเซียวเหยา
……
“จดหมายจากหัวหน้าแก๊งเหวินรึ?”
ภายในสำนักเซียวเหยา เมื่อลู่เฟยเฉินได้รับจดหมาย ก็ต้องชะงักไปเล็กน้อย หลังจากที่ได้เห็นสิ่งที่เขียนอยู่ในจดหมาย สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที
“เจ้าหลัวซิว ข้ามองเจ้าต่ำไปเสียแล้ว คิดไม่ถึงว่าสามารถเชิญหัวหน้าแก๊งเหวินมาได้!” แววอาฆาตแวบผ่านไปในดวงตาของลู่เฟยเฉิน
จากนั้นเขาก็ได้หยิบกล่องส่งเสียงออกมา และติดต่อหาอาจารย์ของเขา ผู้อาวุโสในสำนักขงชิงหยู
“ในเมื่อหัวหน้าแก๊งเหวินออกหน้า งั้นจะพบหน่อยก็ไม่เป็นไร” ขงชิงหยูให้คำตอบอย่างรวดเร็ว
สำหรับหลัวซิวแล้ว ในเมื่อมีเหวินเซวียนหงออกหน้าเจรจา ตนเองก็เพียงแค่รอเท่านั้น
ไม่นานนัก เหวินเซวียนหงก็มาหาเขา กล่าว: “ลู่เฟยเฉินได้ตอบกลับมาแล้ว เจ้ามากับข้า”
เดินตามอยู่ที่ด้านหลังของเหวินเซวียนหง หลัวซิวได้เดินออกจากองค์กรนักล่ายุทธ์สาขาย่อย จากนั้นก็ได้มาถึงภัตตาคารที่หรูหราที่สุดแห่งหนึ่งในเขตการปกครองหยุนหลง
ภายในห้องส่วนตัวที่อยู่บนชั้นสูงสุดของภัตตาคาร ในตอนที่หลัวซิวเดินตามเหวินเซวียนหงเข้าไปข้างในนั้น ก็ได้เห็นลู่เฟยเฉินนั่งรออยู่ด้านในแล้ว
นอกจากลู่เฟยเฉิน ยังมีชายชราผมงอกหน้าแดงฝาดคนหนึ่ง และชายวัยกลางคนไว้เคราแพะคนหนึ่ง
“หัวหน้าแก๊งเหวิน” ลู่เฟยเฉินและชายชราผมงอกหน้าแดงฝาดลุกขึ้นคารวะเหวินเซวียนหง
หลัวซิวสังเกตเห็นว่า ชายวัยกลางคนไว้เคราแพะไม่ได้ลุกขึ้นคารวะแต่อย่างใด เห็นได้ชัดว่าจะต้องมีฐานะไม่ธรรมดาแน่
ตรงข้ามของทั้งสามคน เหวินเซวียนหงและหลัวซิวได้นั่นลง
“เหอะ ๆ สามารถเชิญให้หัวหน้าแก๊งเหวินเป็นคนออกหน้าเองได้ หรือว่าเจ้าหนุ่มผู้นี้จะเป็นอัจฉริยะคนใหม่ที่พึ่งเข้ามา?” ชายวัยกลางคนไว้เคราแพะพลันหรี่ตาลงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“มันไม่เกี่ยวอะไรกับท่านหัวหน้าแก๊งเชิ่งไม่ใช่หรอกเหรอ” เหวินเซวียนหงตอบอย่างเรียบ ๆ
ในเวลาเดียวกันนั้น เสียงของเหวินเซวียนหงก็ได้ดังลอยมากระทบหูของหลัวซิว บอกกับเขาว่าชราผมงอกหน้าแดงฝาดคนนั้น ก็คือขงชิงหยู ชายวัยกลางคนไว้เคราแพะ นั่นก็คือหัวหน้าแก๊งแก๊งนักค่ายกลสาขาย่อย เชิ่งฮั๋วเฟิง
ระหว่างทั้งสี่แก๊งใหญ่นั้นมีการร่วมมือกัน แต่ก็เป็นคู่แข่งกัน ในฐานะหนึ่งในสี่ผู้นำใหญ่ของเขตการปกครองหยุนหลง ระหว่างเหวินเซวียนหงและเชิ่งฮั๋วเฟิง ก็ไม่ค่อยจะชอบหน้ากันนัก
เผชิญหน้ากับคำตอบที่แสนเย็นชาของเหวินเซวียนหง เชิ่งฮั๋วเฟิงก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก เขายิ้มอ่อน: “ตามกฎแล้ว ไม่อนุญาตให้องค์กรนักล่ายุทธ์ยื่นมือเข้าไปเกี่ยวข้องกับความแค้นส่วนตัว หัวหน้าแก๊งเหวินจะอธิบายยังไง?”
“เชิ่งฮั๋วเฟิงเจ้าเองก็ยื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้องแล้วไม่ใช่หรอกเหรอ? แล้วเจ้าล่ะจะอธิบายยังไง? เหมือนว่าแก๊งนักค่ายกลจะไม่มีภารกิจรางวัลนำจับนะ” เหวินเซวียนหงยิ้มเยาะ
เป็นที่ประจักษ์ ลู่เฟยเฉินและขงชิงหยูนั้นรู้ถึงความแตกต่างระหว่างฐานะของตัวเองและเหวินเซวียนหง เกรงว่าตัวเองจะเสียเปรียบ ดังนั้นจึงได้เชิญเหวินเซวียนหง
“แก๊งนักค่ายกลของข้าไม่เหมือนกับองค์กรนักล่ายุทธ์ของเจ้า ความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับผู้อาวุโสขงนั้นไม่เลว เกรงว่าเจ้าจะรังแกผู้ที่ด้อยกว่า ดังนั้นก็เลยมาดูหน่อย”
พูดมาถึงตรงนี้ สายตาของเชิ่งฮั๋วเฟิงจับจ้องไปที่หลัวซิว ยิ้มกล่าว: “หัวหน้าแก๊งเหวินเป็นถึงยอดฝีมือราชายุทธ์ขั้น4 สามารถใช้ภารกิจรางวัลนำจับเชิญให้เขาออกหน้าได้ เจ้าหนุ่มไม่ธรรมเลยนี่”
เมื่อพูดคำพูดนี้ออกมา ลู่เฟยเฉินและขงชิงหยูเองต่างก็มองมาที่หลัวซิว
“ตาเฒ่าอันตราย” หลัวซิวอดไม่ได้ที่จะแอบด่าในใจ ที่เชิ่งฮั๋วเฟิงพูดมาเมื่อสักครู่นั้น เห็นได้ชัดว่ามีเจตนาอื่นแอบแผงอยู่ ทำให้คนอื่นคิดว่าที่ตัวเองสามารถใช้ภารกิจรางวัลนำจับเชิญหัวหน้าแก๊งเหวินออกหน้าได้นั้น จะต้องมีสมบัติวิเศษขั้นห้าอยู่ในครอบครองเป็นแน่
แต่ถึงอย่างไรก็ตามเชิ่งฮั๋วเฟิงก็มีฐานะเป็นผู้นำที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเหวินเซวียนหง หลัวซิวก็ทำได้เพียงกัดฟันกล่าว: “ผู้อาวุโสชมเกินไปแล้ว ผู้น้อยเพียงแค่โชคดี ได้รับถ่ายทอดมาจากผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ขั้น1 ท่านหนึ่งเท่านั้นเอง”
ในความเป็นจริงแล้วราชายุทธ์ปู้เฉินท่านนั้นเป็นผู้แข็งแกร่งที่อยู่ในแดนผู้ชนะขั้น7 ขึ้นไป และยังเป็นปรมาจารย์นักหลอมอาวุธขั้น5 เหตุที่หลัวซิวกล่าวออกมาแบบนี้ ด้านหนึ่งก็เพื่ออธิบายว่าตัวเองสามารถเอาสมบัติวิเศษขั้นห้าออกมาได้ อีกด้านหนึ่งก็เพื่อบอกกับทั้งสามคนที่นั่งอยู่ด้านตรงข้ามว่า ผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ขั้น1 ไม่ได้ทิ้งของดีอะไรไว้มากไปกว่านี้แล้ว
เขากล่าวเช่นนี้ เชิ่งฮั๋วเฟิง ลู่เฟยเฉินและขงชิงหยูจะเชื่อหรือเปล่า หลังซิวเองก็ไม่แน่ใจ
เพียงแต่เขาคิดไม่ถึงว่า จู่ ๆ ก็มีเชิ่งฮั๋วเฟิงยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย ไม่แน่ว่าอาจจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงก็ได้
“ลู่เมิ่งเหยาล่ะ?” เหวินเซวียนหงขมวคิ้วมองไปยังลู่เฟยเฉิน และกล่าวอย่างเย็นชา: “ครั้งนี้หลัวซิวร้องขอให้ข้าออกหน้า ขามีเรื่องบางอย่างที่อยากจะถามลู่เมิ่งเหยาให้ชัดเจน ข้าได้บอกไปในจดหมายแล้ว นางล่ะ?”
ฐานะของลู่เฟยเฉินนั้นอาจจะสูงส่งในสายตาของคนทั่วไป แต่สำหรับเหวินเซวียนหงแล้ว กลับยังห่างอีกนัก ต่อให้ไม่พูดถึงฐานะ ปรมาจารย์ฝึกจิตคนหนึ่งอย่างลู่เฟยเฉินกล้าที่จะไม่เชื่อฟังผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์อย่างตัวเอง เช่นนั้นเท่ากับเป็นการรนหาที่ตายชัด ๆ
เมื่อสัมผัสได้ถึงกระแสพลังอันเย็นยะเยือกที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างกายของเหวินเซวียนหง ลู่เฟยเฉินมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ทว่าในตอนนี้นั่นเอง กระแสพลังสายหนึ่งก็ได้แพร่กระจายออกมา ขวางเอากระแสพลังที่แผ่ซ่านมาจากจากร่างของเหวินเซวียนหงเอาไว้ เชิ่งฮั๋วเฟิงเอ่ยขึ้นมา: “เรื่องของลู่เมิ่งเหยานั้นเกี่ยวพันไปถึงเรื่องภายในของสำนักเซียวเหยา แม้ว่าหัวหน้าแก๊งเหวินเจ้าได้รับการร้องขอด้วยภารกิจรางวัลนำจับ ทว่าเข้าไปแทรกแซงการแข่งขันภายในของกองกำลังอื่น เป็นข้อห้ามที่แก๊งประกาศเอาไว้เป็นลายลักษณ์อักษรเชียวนะ!”
หลัวซิวที่อยู่ด้านข้างขมวดคิ้วเล็กน้อย เชิ่งฮั๋วเฟิงผู้นี้ เหมือนจะเข้าใจกำเกณฑ์ขององค์กรนักล่ายุทธ์เป็นอย่างดี
“เชิ่งฮั๋วเฟิง เจ้าแน่ใจเหรอว่าจะเอากฎมาเป็นข้ออ้าง?” จู่ ๆ เหวินเซวียนหงกลับหัวเราะเยาะขึ้นมา แววตาเหมือนดั่งคบเพลิง จ้องมองไปยังเชิ่งฮั๋วเฟิง
ทันทีที่คำพูดนี้ถูกกล่าวออกมา หลัวซิวเห็นเชิ่งฮั๋วเฟิงที่นั่งอยู่ตีงข้ามมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย กล่าว: “นี่เป็นเรื่องระหว่างลู่เฟยเฉิน ลู่เมิ่งเหยาและหลัวซิว ข้าคิดว่าให้พวกเขาเป็นคนคุยกันเองจะดีกว่า”
########################
บทที่ 100 ประกาศรางวัลนำจับ
“ท่านหัวหน้าแก๊ง” หลัวซิวก้าวเข้าไปทำความเคารพ
เหวินเซวียนหงยิ้มพลางพยักหน้า “นั่งสิ”
หลัวซิวกล่าวขอบคุณก่อนจะนั่งลง เดิมทีเขาตั้งใจจะเชิญเย่เซี่ยงโต่วให้ช่วยออกหน้าให้ แต่กลับนึกไม่ถึงเลยว่า สุดท้ายจะต้องรบกวนท่านหัวหน้าแก๊งท่านนี้
“ข้ารู้เรื่องของเจ้าทั้งหมดแล้ว เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมลู่เฟยเฉินถึงต้องลงมือกับเจ้า” เหวินเซวียนหงรีบพูดเข้าเรื่อง
หลัวซิวส่ายหน้า เพราะเขาไม่เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น เขาจึงอยากเข้าใจ ตอนแรกเขาคิดจะให้เย่เซี่ยงโต่วช่วยให้เขาได้ไปพบลู่เฟยเฉินเพื่อถามให้เข้าใจ
ต่อมาเย่เซี่ยงโต่วจึงได้นำเรื่องเรื่องนี้มาปรึกษากับท่านหัวหน้าแก๊งท่านนี้ ถึงได้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น
“ก่อนหน้านี้ เจ้าสำนักเซียวเหยาได้รับบาดเจ็บร้ายแรงที่เทือกเขาจิ่วเฟิ่ง เหลือเวลาอีกไม่เกินครึ่งเดือน ร่างกายของเขาก็จะดับสลาย”
เหวินเซวียนหงเอ่ย แม้ว่าเรื่องนี้สำนักเซียวเหยาจะพยายามปกปิดเอาไว้แล้ว แต่ด้วยความสามารถของหัวหน้าแก๊งทำให้ทราบข่าวมาอย่างละเอียด
“เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ในสำนักเซียวเหยาย่อมเกิดการแย่งชิงตำแหน่งเจ้าสำนักขึ้น คนที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดคือผู้อาวุโสสองท่าน คนหนึ่งคือตี๋ซือกู่ ส่วนอีกคนคือขงชิงหยู ส่วนลู่เฟยเฉินคือลูกศิษย์คนโปรดของขงชิงหยู”
เมื่อฟังถึงตรงนี้ คิ้วของหลัวซิวก็เริ่มขมวดแน่น เห็นชัดๆ ว่านี่คือเหตุการณ์แย่งชิงอำนาจภายในสำนักเซียวเหยา ลู่เฟยเฉินเข้าไปข้องเกี่ยวด้วยค่อนข้างมาก แต่เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับจอมยุทธ์ชี่ไห่ตัวเล็กๆ อย่างเขาได้อย่างไร
และในตอนนั้นเอง เหวินเซวียนหงจึงกล่าวต่อไปว่า “หากเทียบกับตี๋ซือกู่แล้ว ผู้สนับสนุนขงชิงหยูมีน้อยกว่า หากไม่มีอะไรผิดพลาด ตำแหน่งเจ้าสำนักจะต้องตกเป็นของตี๋ซือกู่ และเมื่อตี๋ซือกู่ได้รับตำแหน่งแล้วย่อมต้องพยายามหาทางกำจัดพรรคพวกของขงชิงหยูทิ้ง เพื่อทำให้อำนาจและศักดิ์ศรีของตนเองมั่นคงขึ้น”
“ภายในสำนักมีผู้อาวุโสสามท่านที่สาบานตนเป็นพี่น้องกันโกวหงยี่ เฉวียนหย่งเฉินและเติ้งจือฮุ่ย ที่ผ่านมาพวกเขาสนิทสนมกันมาก ในสามคนนั้นโกวหงยี่คือพี่ใหญ่สุดและมีหลานชายหนึ่งคนมีนามว่าโกวจินชวน เมื่อหลายปีก่อนหน้านี้เขาคือคนที่ตามจีบลูกสาวของลู่เฟยเฉินมาก่อน”
อ่าน มหายุทธ์ สะท้านภพ บท 100
เหวินเซวียนหงเล่าที่มาที่ไปของเรื่องราวทั้งหมดที่ตัวเองรู้ เมื่อหลัวซิวฟังจนจบ เขาก็ตาสว่าง
ที่แท้เขาถูกดึงเข้าไปข้องเกี่ยวกับการแย่งชิงอำนาจครั้งนี้จนเกือบต้องสังเวยชีวิตของตัวเองไป เพราะว่าเขาเข้าไปใกล้ชิดกับลู่เมิ่งเหยามากเกินไป
ลู่เฟยเฉินต้องการฆ่าตนเพราะต้องการให้ลู่เมิ่งเหยาหมดความหวัง จากนั้นเธอจะได้แต่งงานกับโกวจินชวน และขงชิงหยูก็จะได้รับการสนับสนุนจากผู้อาวุโสในสำนักทั้งสามคน
“ในเมื่อเจ้าเข้าใจต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวทั้งหมดอย่างชัดเจนแล้ว ก็ไม่ต้องเสี่ยงชีวิตตัวเองไปหาลู่เฟยเฉินอีก”
เหวินเซวียนหงค่อยๆ เอ่ยปาก “ว่ากันตามเหตุผลแล้วนี่คือเรื่องส่วนตัวของเจ้า ดังนั้นตามกฎแล้ว แก๊งจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว เพียงจะให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเจ้าเท่านั้น”
เหวินเซวียนหงวางตัวเป็นงานเป็นการอย่างชัดเจน เพราะไม่ต้องการให้ทำลายกฎระเบียบเพียงเพราะหลัวซิวคือสมาชิกแก๊งผู้มีพรสวรรค์แล้ว
กฎพวกนี้คือสิ่งที่ทำให้แก๊งนักล่าอสูรยังคงอยู่มาจนถึงตอนนี้ หากเริ่มทำลายกฎไปแล้วครั้งแรก ก็อาจจะนำมาซึ่งความวุ่นวายได้อย่างง่ายดาย
“อย่างนั้นผมสามารถประกาศภารกิจรางวัลนำจับ ตามหาปรมาจารย์โลกยุทธ์ในแก๊งให้ช่วยคุ้มครองได้ใช่หรือไม่”
หลัวซิวเอ่ยประโยคนี้ออกมาอย่างกะทันหัน ทำให้เหวินเซวียนหงชะงักไป
ประกาศภารกิจรางวัลนำจับ ถือเป็นวิธีที่ธรรมดา แน่นอนว่าไม่อยู่ในกฎระเบียบ
แต่การขอความช่วยเหลือจากราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่งนั้น การตอบแทนไม่อาจเปรียบเทียบกับการเชิญปรมาจารย์โลกยุทธ์ได้
เสียงของเหวินเซวียนหงเงียบไปพร้อมรอยยิ้ม “ข้ารู้ว่าเด็กหนุ่มอย่างเจ้าสามารถหาวรยุทธ์ระดับ 6 ได้รวมทั้งนักยุทธ์ระดับชั้นล่าง แน่นอนว่าพอมีโอกาส แต่เจ้ารู้ไหมว่าการเชิญราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่งมาช่วยจะต้องตอบแทนอย่างไร”
หลัวซิวไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เขาคิดว่าจากฐานะอย่างปรมาจารย์หลอมอาวุธขั้น 5 อย่างราชายุทธ์ปู้เฉิน ทรัพย์สมบัติที่เขาทิ้งเอาไว้มากมายน่าจะเพียงพอต่อการเชิญราชายุทธ์ผู้เข้มแข็งให้ช่วยได้
“ของที่ต่ำกว่าระดับ 5 ลงไป ไม่มีความหมายอะไรกับราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่ง ตามที่เรารู้มากระบี่ยุทธ์เล่มนั้นของเจ้าได้มอบให้เย่เซี่ยงโต่วไปแล้วใช่หรือไม่” เหวินเซวียนหงกล่าวเช่นนี้เพราะคิดว่าหลัวซิวไม่น่าจะมีของมีค่าระดับ 5 อย่างอื่นหลงเหลืออยู่
ของล้ำค่าระดับ 5 ที่เขตการปกครองหยุนหลงแห่งนี้เรียกได้ว่ามีคุณค่าหาใดเปรียบ ราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่งครอบครองอยู่ในมือไม่เกินหนึ่งถึงสองชิ้นก็ถือว่ามีฐานะร่ำรวยมากแล้ว
เหวินเซวียนหงไม่ได้อธิบายอะไรละเอียดมากนัก เพียงยกตัวอย่างให้หลัวซิวฟัง
การผู้คุ้มครองโดยใช้ภารกิจรางวัลนำจับ หากจ้างราชายุทธ์ขั้น 1 ถึงขั้น 3 จะต้องตอบแทนด้วยของล้ำค่าระดับ 5 เป็นจำนวนหนึ่งถึงสองชิ้น
ราชายุทธ์ขั้น 4 ถึงขั้น 6 จะต้องจ้างด้วยของล้ำค่าระดับ 5 สามชิ้นถึงห้าชิ้น
ราชายุทธ์ขั้น 7 จะต้องใช้ของล้ำค่าระดับ 5 หกชิ้น
ราชายุทธ์ขั้น 8 จะต้องใช้ของล้ำค่าระดับ 5 เจ็ดชิ้น
ราชายุทธ์ขั้น 9 จะต้องใช้ของล้ำค่าระดับ 5 สิบชิ้น
สำหรับราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่งขั้น 9 ขั้นสูงนั้น คุณค่าของล้ำค่าระดับ 5 ไม่ถือว่ามีความหมายอะไรมากนัก ยกเว้นว่าจะเป็นของล้ำค่าระดับ 6 ถึงจะทำให้พวกเขาสนใจได้
รายการที่เหวินเซวียนหงแจกแจงนั้น ไม่ว่าจอมยุทธ์ชี่ไห่ผู้ใดเห็นต่างต้องถอนหายใจทั้งนั้น
แต่หลัวซิวกลับไม่สะทกสะท้าน เพราะในกล่องเครื่องประดับของเขามีของล้ำค่าระดับ 5 อยู่มากมาย และกระบี่ยุทธ์ชั้นล่างก็จัดว่าอยู่ในประเภทนี้ เขาให้เย่เซี่ยงโต่วไปแล้วหนึ่งเล่ม และยังคงเหลือเก็บไว้เองอีกหนึ่งเล่ม
การแบ่งระดับของของล้ำค่า จะแบ่งโดยดูจากของล้ำค่านั้นมีผลต่อการฝึกตนของจอมยุทธ์ อย่างเช่นจอมยุทธ์พรสวรรค์ต้องใช้ของล้ำค่าระดับ 3 ปรมาจารย์ฝึกจิตแห่งโลกยุทธ์ต้องใช้ของล้ำค่าระดับ 4 ราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่งต้องใช้ของล้ำค่าระดับ 5
หากเป็นของล้ำค่าระดับ 3 จะไม่มีประโยชน์อะไรกับปรมาจารย์ฝึกจิตแห่งโลกยุทธ์ เพราะไม่สามารถเพิ่มพลังของตนได้ ของล้ำค่าระดับ 4 สำหรับราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่งก็ไม่มีความหมายเช่นกัน
ส่วนวิชายุทธ์และวรยุทธ์ก็สามารถนำมาใช้เป็นเส้นแบ่งได้เช่นเดียวกับของล้ำค่า อย่างเช่นการที่หลัวซิวเชิญเย่เซี่ยงโต่วให้ช่วยเหลือ ก็ต้องตอบแทนด้วยวิชายุทธ์ระดับ 6 อย่าง พลังแท้แสงส่อง ซึ่งมีค่าเทียบเท่ากับของล้ำค่าขั้นสูงระดับ 4
หากเป็นวิชายุทธ์ระดับ 6 จะมีค่าเทียบเท่ากับของล้ำค่าระดับ 5
ส่วนวิชายุทธ์ระดับ 7 มีเพียงราชายุทธ์เผด็จการจำนวนหนึ่งเท่านั้นที่จะได้รับโอกาสในการฝึกตน
ตอนนี้หลัวซิวถึงจะเข้าใจว่าคลังสมบัติที่ราชายุทธ์ปู้เฉินทิ้งเอาไว้ นับว่าล้ำค่ามหาศาลมากเพียงใด
ต่อให้เอาสมบัติของราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่งรวมเข้าด้วยกัน อาจจะยังไม่เท่าสมบัติที่เขาครอบครองเอาไว้เพียงคนเดียว เพราะราชายุทธ์ปู้เฉินเป็นถึงปรมาจารย์นักหลอมอาวุธขั้น 5
หากเทียบกับจอมยุทธ์ทั่วๆ ไป นักหลอมอาวุธ นักค่ายกลและนักกลั่นยา เมื่อบรรลุถึงระดับสูงแล้วนับได้ว่าเป็นผู้กลุ่มคนร่ำรวยอย่างไม่ต้องสงสัย
ตั้งแต่ลู่เฟยเฉินส่งคนมาจับตัวครอบครัวของหลัวซิว และต้องการฆ่าเขาให้ตายนั้น หลัวซิวก็รู้ดีว่าตัวเขาไม่อาจกลับไปยังนอกสำนักเซียวเหยาได้อีกแล้ว
พ่อแม่และพี่สาวของเขามีแก๊งนักล่าอสูรคอยปกป้อง หลัวซิวจึงสามารถละทิ้งทุกอย่างได้แล้วออกไปยกระดับพลังการฝึกตนของตัวเอง
ขอแค่เขาไม่ตายและสามารถฝึกตนพัฒนาขึ้นทุกวันๆ จนสามารถกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ได้ ก็จะไม่มีใครกล้าแตะต้องครอบครัวของเขา
พลังอันแข็งแกร่งเท่านั้นที่จะทำให้เขายืนหยัดอยู่ได้
แต่เรื่องนี้เกี่ยวพันไปถึงลู่เมิ่งเหยาด้วย หลัวซิวไม่อาจหันหลังหนีทุกอย่างไปเช่นนี้ได้
เขาจำเป็นต้องพบหน้าลู่เมิ่งเหยาสักครั้งเพื่อถามเธอให้ชัดเจน ว่าเธอต้องการอยู่ที่นอกสำนักเซียวเหยาหรืออยากหนีไปกับเขา
และเป็นเพราะนี้คือเรื่องส่วนตัว แก๊งนักล่าอสูรจึงไม่ยื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนั้นหลัวซิวจึงต้องใช้วิธีการที่ถูกต้องอย่างเป็นทางการ นั่นคือประกาศภารกิจรางวัลนำจับ เพื่อขอความช่วยเหลือจากผู้แข็งแกร่งในแก๊ง
บทที่ 19 ความคิดที่นักยุทธ์ควรมี
จากนั้นหลัวซิวจึงเดินมายังร้านขายยาทิพย์อีกร้านหนึ่ง
“ยาฝึกปราณหนึ่งขวดราคาหนึ่งหมื่นห้าพันตำลึง ?” เมื่ออยู่ในร้านค้าแห่งนี้ หลัวซิวก็ต้องตกตะลึงไปอีกครั้ง
ยาฝึกปราณเป็นยาทิพย์ระดับ1ที่ผู้ฝึกยุทธ์ระดับการกลั่นร่างมักจะใช้กันเป็นประจำ สามารถเพิ่มการดูดซับพลังจิตของปฐพี รวมไปถึงเพิ่มความเร็วในการฝึกปราณในอีกด้วย ตามที่หลัวซิวรู้มา ลูกหลานขุนนางจำนวนมากที่เป็นลูกศิษย์ในสำนักยุทธ์ มักจะใช้ยาทิพย์ในการฝึกตน
เมื่อเปรียบเทียบกับยาฝึกปราณแล้ว ยาบางชนิดที่ใช้ในการรักษาบาดแผลเช่นยาผงโรยแผลยากล้ามเนื้อ กลับมีราคาที่ถูกกว่ามาก
“ซื้อไม่ไหวอยู่ดี” หลัวซิวส่ายหัว แล้วเดินออกมาจากร้านค้าอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้
สำหรับเขาแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้เพิ่มความแข็งแกร่งของผลการฝึกตน ซึ่งเรื่องนี้แน่นอนว่ายาทิพย์และค่ายกลถือว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ด้วยฐานะของเขา กลับซื้อไม่ได้แม้กระทั่งขอที่ธรรมดาและอยู่ระดับล่างที่สุด
ไม่ช้า หลัวซิวอีกหนึ่งร้านค้าในตลาด ร้านค้าร้านที่สามขายอุปกรณ์ของนักยุทธ์
สิ่งที่เรียกว่าอุปกรณ์ของนักยุทธ์หมายรวมถึง อาวุธต่าง ๆ ที่นักยุทธ์ใช้ในการต่อสู้ นักยุทธ์ถูกแบ่งออกเป็นสามขั้น ทุกระดับจะแยกย่อยออกเป็นสี่ระดับได้แก่ ชั้นล่าง ชั้นกลาง ชั้นสูง และชั้นยอด เท่ากับว่ามีทั้งสิ้น3ขั้น 12ระดับ
ในร้านค้าแห่งนี้มีขายอุปกรณ์ของนักยุทธ์อยู่อย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็นทั้งมีด หอก ดาบ ง้าว กระบอง หรือแม้แต่อาวุธลับก็มี และในบริเวณที่สะดุดตาที่สุด มีดาบยาวสีม่วงตั้งตระหง่านอยู่ ด้านข้างมีป้ายตั้งอยู่ และมีตัวอักษรเขียนเอาไว้ว่า : “อาวุธชั้นสูง กระบี่อสูรแสงสีม่วง !”
“เป็นอาวุธชั้นสูงหรือนี่ ?” หลัวซิวรู้สึกตกตะลึง เพราะอาวุธของนักยุทธ์ระดับนี้ มีเพียงนักยุทธ์ในแดนพรสวรรค์เท่านั้นที่มีสิทธิ์ครอบครอง
หากเป็นนักยุทธ์ชั้นล่างครอบครองอาวุธระดับนี้ นอกเสียจากคนผู้นั้นจะมีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดา ก็เท่ากับว่ารนหาที่ตาย เพราะคงต้องถูกนักยุทธ์คนอื่นที่แข็งแกร่งกว่าปล้นฆ่าเพื่อแย่งชิงไป !
กระบี่อสูรแสงม่วงเล่มนี้ ถือเป็นสมบัติล้ำค่าของร้านค้าแห่งนี้โดยไม่ต้องสงสัย
“ฮ่าฮ่า พ่อหนุ่ม กระบี่อสูรแสงสีม่วงเล่มนี้ได้มาจากมือของปรมาจารย์เจี๋ยเฟย ทั่วทั้งเมืองชิงหยุนนับว่าเป็นอาวุธชั้นสูง และมีเพียงแค่สี่เล่มเท่านั้น !” ชายวัยกลางคนที่ดูเหมือนจะเป็นเจ้าของร้านพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“อาวุธเช่นนี้ราคาเท่าไหร่ ?” หลัวซิวถามด้วยความอยากรู้
“เท่าไหร่ ?” เจ้าของร้านวัยกลางคนมุ่ยปาก “การตีราคาของล้ำค่าเช่นนี้ด้วยเงินถือเป็นการดูถูกดาบเล่มนี้อย่างมาก ต่อให้มีคนเสนอราคาที่สูงลิบลิ่ว ข้าก็ไม่มีทางขาย นี่คือผลงานที่เป็นความภาคภูมิใจของปรมาจารย์เจี๋ยเฟยเลยนะ !”
หลัวซิวเงียบไป อย่าว่าแต่กระบี่อสูรแสงสีม่วงเล่มนี้เลย ต่อให้อาวุธชั้นล่างธรรมดา ๆ ทำก็ไม่มีเงินซื้อ
เมื่อครู่เขากวาดสายตามองราคาของอาวุธชั้นล่างดูแล้ว โดยมากราคาอยู่ที่สามร้อยถึงห้าร้อยก้อนหินพลังจิต
เห็นได้ชัดว่า เมื่อนำอาวุธไปเปรียบเทียบกับอุปกรณ์ค่ายกลและยาทิพย์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกลับยิ่งมีราคาที่แพงกว่า เพราะอาวุธที่ยอดเยี่ยมเพียงหนึ่งชิ้น สามารถยกระดับความสามารถของนักยุทธ์ได้ในทันที
ทรัพย์สินทั้งหมดที่หลัวซิวมี อย่างมากก็ครอบครองได้แค่หินพลังจิตระดับล่างเพียงหนึ่งก้อนเท่านั้น
“ฝึกยุทธ์ต้องใช้เงินเยอะเหมือนกันนะเนี่ย ?”
ครั้งนี้เขาเดินเล่นอยู่ในตลาด ทำให้หลัวซิวเข้าใจถึงความยากลำบากในการฝึกตนอย่างแท้จริง
เด็กที่เกิดในครอบครัวสามัญชนธรรมดา ถึงแม้จะมีพรสวรรค์เป็นเลิศ อย่างมากก็ไปได้ถึงแค่ระดับการกลั่นร่างขั้น5หรือ6เท่านั้น เพราะหากต้องการบรรลุไปถึงระดับที่สูงขึ้น จะต้องอาศัยการสะสมทรัพยากร แล้วทรัพยากรนั้นคืออะไร ?
ทรัพยากรนั้นก็คือความมั่งคั่ง คือหินพลังจิต !
หากมีหินพลังจิตไว้ในครอบครองเป็นจำนวนมาก ก็สามารถบรรลุถึงวิชายุทธ์ชั้นสูงได้อย่างแน่นอน อาวุธที่แข็งแกร่ง อุปกรณ์ค่ายกล ยาทิพย์ ต่อให้เป็นแค่หมูตัวหนึ่ง หากใส่ทรัพยากรจำนวนมากเข้าไป ก็กลายเป็นยอดฝีมือได้เช่นกัน
หลัวซิวรู้ดีว่า คนที่ไม่มีทรัพยากรใด ๆ ที่จะเข้ามาช่วยเสริมอย่างเขา การเริ่มต้นถือเป็นเรื่องที่ยากมาก
นอกจากอาวุธแล้ว ในร้านนี้ยังมีขายเสื้อผ้าและชุดเกราะของนักยุทธ์ด้วย
สำหรับนักหลอมอาวุธแล้ว จะถูกแบ่งออกเป็นการหลอมและการขึ้นรูป อาวุธนั้นมาจากการหลอม ส่วนเสื้อผ้าและชุดเกราะมาจากการขึ้นรูป เมื่อเปรียบเทียบกับอาวุธที่ใช้ฆ่า เสื้อผ้าและชุดเกราะที่ใช้ปกป้องชีวิตนั้นมีราคาที่แพงกว่า หากอยู่ในระดับเดียวกัน จะมีราคาที่สูงกว่าอาวุธถึงสองเท่า !
แต่ในร้านค้าแห่งนี้ก็มีอาวุธธรรมดาวางขายอยู่ด้วย อาวุธเช่นนี้มีอานุภาพน้อยกว่าพลังของนักยุทธ์มาก แต่หากผนวกกับปราณในเพื่อใช้ในการฆ่าอสุรกายขั้น1 ก็น่าจะเพียงพอแล้ว
“การทดสอบประจำปียังมีเวลาอีกหนึ่งเดือน ข้าจะอาศัยช่วงเวลานี้ในการทำเงิน !” หลัวซิวแอบคิดในใจ
“เถ้าแก่ กระบี่ชิงเฟิงเล่มนี้ราคาเท่าไหร่ ?” หลัวซิวเลือกหาอาวุธธรรมดาอยู่พักใหญ่ และในที่สุดก็หยิบดาบเล่มยาวและหนา ตัวดาบมีสีเขียวขึ้นมาแล้วเอ่ยถามราคา
“ซึ่งแม้ดาบเล่มนี้จะไม่ใช่อาวุธของนักยุทธ์ แค่ถ้าหากผนวกรวมกับปราณใน ก็พอจะทำลายการป้องกันตัวของอสุรกายขั้น1ได้ ข้าเห็นเจ้าอายุยังน้อย จะให้ราคาพิเศษกับเจ้าก็แล้วกัน ห้าร้อยตำลึง !” เจ้าของร้านวัยกลางคนพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม
อาวุธธรรมดา ปกติแล้วเป็นของที่ผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ต่ำกว่าการกลั่นร่างขั้น8ใช้กัน ส่วนผู้ที่บรรลุถึงการกลั่นร่างขั้น9 จนกระทั่งถึงนักยุทธ์แดนชี่ไห่ ปกติแล้วก็มักจะซื้อหาอาวุธของนักยุทธ์ชั้นล่างได้
“ห้าร้อยตำลึง ?” หลัวซิวขมวดคิ้ว ทรัพย์สินที่เขามีอยู่ทั้งหมดก็คือห้าร้อยตำลึง ถ้าหากใช้เงินทั้งหมดในการซื้อกระบี่เล่มเดียว เขาคงจะกลายเป็นเจ้ายาจกถังแตก
“เถ้าแก่ สี่ร้อยตำลึงได้ไหม ? ข้าออกไปฝึกตนข้างนอกยังต้องตระเตรียมยาผงโรยแผลและสิ่งของจำเป็นอีกหลายอย่าง ตอนนี้ในมือของข้าไม่มีเงินมากมายขนาดนั้น” หลัวซิวพูด
“ไม่ได้ สี่ร้อยถูกเกินไป” เจ้าของร้านวัยกลางคนส่ายหน้าด้วยความลำบากใจ แล้วพูดว่า : “ดูเหมือนเจ้าจะเป็นลูกศิษย์ในสำนักยุทธ์ที่มาจากครอบครัวธรรมดาสินะ ให้เจ้าได้ต่ำสุดที่สี่ร้อยห้าสิบตำลึง ห้ามน้อยไปมากกว่านี้แล้ว”
ทรัพยากรที่ผู้ฝึกยุทธ์ระดับการกลั่นร่างต้องใช้ในช่วงท้าย อยู่ไกลเกินกว่าที่คนธรรมดาจะเอื้อมถึง ดังนั้นหากคนธรรมดาต้องการที่จะมีอนาคตที่ก้าวไกลอยู่บนเส้นทางสายนี้จึงถือเป็นเรื่องที่ยากมาก เจ้าของร้านวัยกลางคนผู้นี้ก็รู้สึกเห็นอกเห็นใจ จึงได้ลดราคาให้กับหลัวซิวห้าสิบตำลึง
ห้าสิบตำลึงดูเหมือนไม่มาก แต่ขึ้นอยู่กับว่าคนผู้นั้นคือใคร เพราะหากเป็นครอบครัวธรรมดา ๆ อาจต้องใช้เวลาถึงครึ่งปีในการหาเงินห้าสิบตำลึง !”
“ขอบคุณเถ้าแก่มากครับ” หลัวซิวเอ่ยขอบคุณ จากนั้นจึงหยิบเงินออกมาจากถุงเงิน แล้วซื้อกระบี่ชิงเฟิงมา
ไม่มีนักยุทธ์คนไหนไม่ชอบอาวุธ หลัวซิวเองก็เช่นกัน เพียงแต่อาวุธมีราคาที่สูงเกินไป เมื่อก่อนเขาไม่มีเงินมากพอที่จะซื้อได้
กระบี่ชิงเฟิงมีความยาวประมาณสามฟุตกว่า ๆ และค่อนข้างหนา จึงยากสำหรับคนธรรมดาที่จะใช้งาน แต่สำหรับหลัวซิวซึ่งอยู่ระดับการกลั่นร่างขั้น5 น้ำหนักของกระบี่เล่มนี้ ถือว่าพอดีสำหรับเขา
“รอให้ผลการฝึกตนของข้าบรรลุถึงการกลั่นร่างขั้น7 และมีสิทธิ์เข้าไปเลือกรับวิชายุทธ์ระดับสามในหอเก็บหนังสือสำนักยุทธ์ได้เสียก่อน ถึงเวลานั้นจะต้องเลือกทักษะยุทธ์วิชากระบี่ที่ยอดเยี่ยมสักหน่อย”
ทักษะยุทธ์ที่ใช้อาวุธในการต่อสู้ขั้นต่ำอยู่ในระดับ3 มีพลังที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าหมัดและเท้าของทักษะยุทธ์ระดับ2มาก
ขั้นแรก หลัวซิวเดินทางกลับไปที่สำนักยุทธ์เพื่อทำเรื่องขออนุญาตออกฝึกด้านนอก เพราะในสำนักยุทธ์ ปกติแล้วจะไม่อนุญาตให้ลูกศิษย์ขาดการรายงานตัวกับสำนักยุทธ์เกินสามวัน และนี่ก็ถือเป็นการรักษาความปลอดภัยให้กับลูกศิษย์ของสำนักยุทธ์วิธีหนึ่ง
ครั้งนี้ หลัวซิวตั้งใจจะเดินทางออกล่าที่เขาสุ่ยวู่ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองชิงหยุนออกไปสามสิบลี้ อย่างน้อยก่อนการทดสอบประจำปีจะเริ่มขึ้น เขาคงไม่กลับมา ดังนั้นจึงจำเป็นต้องทำเรื่องของอนุญาตออกฝึกนอกสถานที่
กระบี่ชิงเฟิงหนึ่งเล่ม กระเป๋าสัมภาระหนึ่งใบ อาหารและน้ำจำนวนหนึ่ง นี่เป็นครั้งแรกที่หลัวซิวออกเดินทางในเส้นทางการฝึกยุทธ์ของตนเอง !
ออกจากเมืองชิงหยุน ท้องฟ้าละพื้นดินกว้างใหญ่ไพศาลสุดลูกหูลูกตา มีก้อนเมฆลอยล่องอยู่บนท้องฟ้าไกลออกไปเป็นพัน ๆ ลี้
หลัวซิวสะพายกระบี่แล้วออกเดินทาง เขารู้สึกมีความภาคภูมิใจเอ่อล้นอยู่เต็มอก
ท่องโลกพร้อมด้วยกระบี่หนึ่งเล่ม เดินไกลเป็นพันลี้ไม่ทิ้งร่องรอย มีเพียงข้าคนเดียวที่อิสระ !
ไร้ซึ่งขีดจำกัด เรียบง่าย อิสระ และปราศจากความกลัว นี่จึงจะเป็นความคิดที่นักยุทธ์คนหนึ่งควรจะมี[1][1]
########################
บทที่ 18 ซื้ออุปกรณ์
โดยเฉพาะเมื่อต้องเผชิญหน้ากับอสุรกายที่มักอยู่รวมกลุ่มกัน ความสำคัญของการทำงานเป็นกลุ่มก็จะสะท้อนออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น
“หัวหน้า แบบนี้มันจะดีหรือครับ ?”
หลัวซิวยังไม่ทันจะพูดอะไร โกวอ๋างที่นั่งอยู่ด้านข้างกลับขมวดคิ้วและพูดขึ้นมา
“ถึงแม้หลัวซิวจะผ่านการทดสอบ แต่ก็อยู่แค่ระดับการกลั่นร่างขั้น5 ความแข็งแกร่งขนาดนี้ หากเข้ามาอยู่ในกลุ่มของเรา จะกลายเป็นตัวถ่วงของพวกเรานะครับ”
โกวอ๋างผู้นี้อยู่ในกลุ่มมีความสามารถเป็นรองเพียงแค่หัวหน้าโจวหลงเท่านั้น คำพูดของเขาจึงถือว่ามีน้ำหนัก
โจวหลงขมวดคิ้ว “คนที่อยู่เพียงระดับการกลั่นร่างขั้น5แต่สามารถผ่านการทดสอบได้มีอยู่กี่คนกัน ? หลัวซิวเพิ่งจะอายุเพียง13ปี แต่กลับมีความสามารถที่สูงเช่นนี้ ไม่แน่ว่าต่อไปเขาอาจจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าข้าก็ได้ เจ้าจะต้องรู้จักมองการณ์ไกลเสียหน่อย”
ถึงแม้โจวหลงจะพูดเช่นนี้ แต่โกวอ๋างก็ยังรู้สึกไม่เต็มใจนัก จึงพูดว่า : “หากเป็นเหล่าองครักษ์ของลูกขุนนางเหล่านั้น ให้เราพาไปฝึกฝนในป่าเสียยังจะดีกว่า การรับเด็กหนุ่มระดับการกลั่นร่างขั้น5เข้ามาเป็นสมาชิกในกลุ่ม อย่างไรเสียข้าก็ไม่เห็นด้วยอยู่ดี”
“ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่มีมาดของนักยุทธ์เลยสักนิด หรือจะใช้แค่หมัดเปล่า ๆ ไปต่อกรกับอสุรกายกัน ?” โกวอ๋างเหลือบมองหลัวซิวอย่างดูถูก
นักล่าอสูรวัยหนุ่มอย่างหลัวซิว ใช่ว่าเขาจะไม่เคยเห็นมาก่อน ส่วนใหญ่จะเป็นคุณชายและคุณหนูของตระกูลมั่งคั่ง คล้ายกับไอ้กระจอกพวกนี้ ถึงแม้การฝึกตนของพวกเขาจะไม่ได้อยู่ในระดับต่ำ แต่เมื่อเข้าไปต่อสู้กับอสุรกายในป่าจริง ๆ ความสามารถในการต่อสู้กลับถือว่ายังด้อยนัก
ในขณะที่โจวหลงและโกวอ๋างกำลังถกเถียงกัน หลัวซิวก็นิ่งเงียบไม่พูดจา เพราะเข้าไม่ได้คิดจะเข้าร่วมกลุ่มตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว
“เฮียโจว ข้าขอขอบคุณในน้ำใจของท่านมาก หากไม่มีเรื่องอื่นแล้ว ข้าขอตัวก่อน”
หลัวซิวไม่ได้โต้เถียงใด ๆ กับโกวอ๋าง ถึงแม้ผลการฝึกตนของเขาจะอยู่ในระดับต่ำ แต่เขาก็มีวิธีการและไม้ตายของตนเอง จึงเชื่อว่าเขาจะสามารถคิดหาวิธีเอาตัวรอดได้
ยังไม่ทันที่โกวอ๋างและโจวหลงจะเอ่ยปากพูดอะไร หลัวซิวก็ลุกยืนขึ้นเรียบร้อยแล้ว จากนั้นจึงเดินออกจากประตูใหญ่ของแก๊งนักล่าอสูรไป
“โกวอ๋าง ต่อให้เจ้าไม่ยินดีรับเข้ากลุ่ม แต่ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องพูดแรงขนาดนี้เลยนี่ ?” โจวหลงหันมองโกวอ๋างอย่างไม่สบอารมณ์
โกวอ๋างก็ไม่พอใจเช่นกัน เอาส่งเสียงอุทานออกมา : “ข้าทำเพื่อเขาทั้งนั้น หาพาเขาไปออกล่าด้วยจริง ๆ อย่าว่าแต่เป็นตัวถ่วงของพวกเราเลย แม้แต่ชีวิตของเขาก็อาจรักษาไว้ไม่ได้”
นักล่าอสูรส่วนใหญ่ มักจะดูถูกบรรดาเด็กหนุ่มสาวที่ถูกเรียกว่ามีพรสวรรค์ เพราะต่อให้มีการฝึกตนที่รวดเร็วเท่าไหร่ แต่ถ้าขาดประสบการณ์ในการก้าวผ่านความเป็นความตายมา ก็ไม่อาจจะเป็นยอดฝีมือจริง ๆ ได้
หนุ่มสาวหลายคนคิดว่าตนเองเป็นยอดฝีมือที่มีพรสวรรค์ แต่เมื่อออกล่าในป่าจริง ๆ กลับมีอัตราการตายที่สูงมาก
ด้วยเหตุนี้ ลูกหลานบรรดาเหล่าขุนนางส่วนใหญ่ที่ออกหาประสบการณ์ภายนอก จึงมักจะจ้างกลุ่มนักล่าอสูรให้คอยคุ้มกัน กลุ่มของโจวหลงเองก็เคยรับภารกิจลักษณะนี้เช่นกัน
เมื่อเดินไปถึงประตูใหญ่ของแก๊งนักล่าอสูร หลัวซิวหันหน้ากลับไปมองก็พบว่าเจียงชานชานกำลังจ้องมองตนเองอยู่
คงไม่คิดว่าจู่ ๆ หลัวซิวจะหันหน้ากลับมา ทำให้เจียงชานชานรู้สึกตกใจไม่น้อย จึงรีบก้มหน้าก้มตาพร้อมกับแก้มที่แดงก่ำ
หลัวซิวจึงทำเพียงแค่ยิ้มแล้วเดินออกจากแก๊งนักล่าอสูรไป
เมื่อเจียงชานชานเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง หลัวซิวก็หายลับตาไปเสียแล้ว
“การฝึกตนของข้าน่าจะพัฒนาถึงการกลั่นร่างขั้น6ภายในสองสามวันนี้ ส่วนเรื่องการออกล่า รอให้ผลการฝึกตนของข้าสำเร็จก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
เมื่อเดินไปถึงถนนใหญ่ หลัวซิวก็แอบคิดคำนวณในใจ “การออกล่าไม่ใช่เรื่องง่าย ตอนนี้ข้าคงต้องเริ่มเตรียมการอะไรบางอย่าง”
ในขณะที่กำลังใช้ความคิด หลัวซิวก็เดินทางมาถึงตลาดทางตอนเหนือของเมือง สิ่งแรกที่เขาเห็นคือร้านขายเสื้อผ้าของนักค่ายกล
ในเมืองชิงหยุน นอกจากนักแก๊งล่าอสูรแล้ว ยังมีแก๊งนักค่ายกลแก๊งนักกลั่นยา รวมไปถึงแก๊งนักหลอมอาวุธ
นักค่ายกล ถือเป็นอาชีพพิเศษในหมู่นักยุทธ์ ใช้การผสมผสานของวัสดุต่าง ๆ เข้าด้วยกัน แล้วใช้เคล็ดลับบางอย่างเป็นตัวช่วย สร้างสรรค์เป็นสิ่งของต่าง ๆ ที่ดูเหมือนมีเวทมนตร์ออกมา
ตัวอย่างเช่น ค่ายผนึกปราณ เป็นวิธีการรวบรวมพลังจิตของปฐพีอย่างหนึ่ง เป็นค่ายกลที่ใช้เพิ่มความเร็วในการฝึกตนของนักยุทธ์ และถือเป็นค่ายกลขั้นพื้นฐานที่สามารถพบเห็นได้บ่อย
ผลลัพธ์ของค่ายกลที่ออกมาไม่เหมือนกัน ก็ถูกแบ่งออกเป็น9ระดับ ซึ่งจะแบ่งตามระดับของนักค่ายกลตั้งแต่ระดับ1ถึง9
นักค่ายกลเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่นักยุทธ์ ค่ายกลที่พวกเขาสร้างขึ้นล้วนได้รับการตอบรับอย่างดีจากบรรดานักยุทธ์ และมีผู้มีอิทธิพลบางกลุ่ม ที่เชิญนักค่ายกลฝีมือดีเพื่อสร้างค่ายกลขนาดใหญ่โดยเฉพาะ
ดังนั้นผู้มีอิทธิพลโดยส่วนมากจึงมักจะชุบเลี้ยงนักค่ายกลของตนเองเอาไว้ แต่การจะชุบเลี้ยงให้ได้นักค่ายกลยอดฝีมือ ก็ถือเป็นเรื่องยาก เพราะไม่เพียงแต่จะต้องอาศัยพรสวรรค์ที่สูงมากของนักค่ายกลเท่านั้น แต่การสืบทอดวิชาก็ถือเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมากเช่นกัน
ในขณะเดียวกัน นักค่ายกลเองก็มีความสามารถในการต่อสู้ที่แข็งแกร่ง บางครั้งนักค่ายกลขั้นสูง เหล่าบรรดาผู้มีอิทธิพลยังต้องยอมก้มหัวให้
นอกจากนักค่ายกลแล้ว นักกลั่นยาและนักหลอมอาวุธก็ถือว่ามีฐานะที่พิเศษกว่านักยุทธ์ธรรมดาอยู่มาก อาชีพทั้งสามนี้ ถือเป็นกลุ่มคนที่พิเศษในโลกของการฝึกยุทธ์
“โอ้โห ! ค่ายผนึกปราณขั้น1ราคาหนึ่งหมื่นตำลึงเชียวหรือ ?”
ในร้านค้าแห่งนี้ หลังซิวเห็นจานสีขาวใบหนึ่งสลักลวดลายอักษรต่าง ๆ เอาไว้ซึ่งมีขนาดเท่าฝ่ามือวางอยู่บนหิ้ง หน้าของเขาก็ถอดสีทันที
ค่ายกลหนึ่งขั้นจะสอดคล้องกับการกลั่นร่างหนึ่งขั้นในผลการฝึกตนของนักยุทธ์ อีกทั้งของที่มีลักษณะเหมือนจานนี้ ก็เป็นอุปกรณ์ค่ายกล
ค่ายผนึกปราณหนึ่งขั้น สามารถเพิ่มความเร็วในการฝึกตนเพื่อการกลั่นร่างของผู้ฝึกยุทธ์ได้เป็นสามเท่า มีเพียงเหล่าบรรดาลูกหลานของตระกูลขุนนางเท่านั้นที่สามารถซื้อไหว
หลัวซิวลูบถึงเงินที่แขวนอยู่บนเอวของตนเอง ห้าร้อยตำลึงสำหรับเขาถือเป็นเงินจำนวนมหาศาล แล้วหนึ่งหมื่นตำลึงนั้นล่ะ ?
เมื่อเปรียบเทียบกับคนที่ใส่เสื้อแพรเดินออกมาจากร้านค้าเหล่านั้น เสื้อผ้าของหลัวซิวช่างดูโทรมเอามาก ๆ
บรรดาพนักงานในร้านต่างง่วนอยู่กับการต้อนรับลูกค้าคนอื่น ๆ และไม่มีใครสนใจเขาสักคน
“ยาจกจากที่ไหนกัน ? ค่ายผนึกปราณราคาแค่หมื่นตำลึงยังไม่มีปัญญาจะซื้อ แล้วยังกล้าเหยียบเข้ามาในร้านนี้อีก ?”
“ค่ายผนึกปราณถือเป็นอุปกรณ์ที่ราคาถูกที่สุดในบรรดาอุปกรณ์ค่ายกลแล้ว หากเป็นอุปกรณ์ค่ายกลขั้น2 อาจจะไม่สามารถใช้เงินแลกเปลี่ยนได้แล้ว จำเป็นต้องใช้หินพลังจิตในการแลกเปลี่ยนแทน”
“น่าจะเป็นเด็กหนุ่มในสำนักยุทธ์ที่ไม่เคยเห็นโลกภายนอกมาก่อน ดูเหมือนว่าทั้งเนื้อทั้งตัวหากมีอยู่สักไม่กี่ร้อยก็ถือว่าไม่เลวแล้ว”
มีเสียงหัวเราะเยาะของคนจำนวนมากดังมาจากที่ใกล้ ๆ ทำให้หลัวซิวรู้สึกจนใจเป็นอย่างยิ่ง
อุปกรณ์ค่ายกลในระดับสูงสุดที่ร้านค้าแห่งนี้ขายคืออุปกรณ์ค่ายกลขั้น2 ราคาอยู่ที่หินพลังจิตชั้นล่างหนึ่งร้อยก้อนจนถึงหินพลังจิตชั้นล่างสามร้อยก้อน
ส่วนอุปกรณ์ค่ายกลขั้น1 มีราคาตั้งแต่หนึ่งหมื่นตำลึงจนกระทั่งถึงห้าหมื่นตำลึง
ถึงแม้ในราคาตลาด จะมีการเปรียบเทียบราคาของหินพลังจิตหนึ่งก้อนเท่ากับเงินห้าร้อยตำลึง แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่มีใครยินดีที่จะนำหินพลังจิตไปแลกกับเงิน การใช้เงินตราแลกเปลี่ยน เป็นเพียงแค่การซื้อขายระหว่างคนธรรมดากับผู้ฝึกยุทธ์ระดับการกลั่นร่าง
ส่วนนักยุทธ์ที่บรรลุถึงแดนชี่ไห่เหล่านั้น พวกเขาสามารถหาเงินจำนวนมากได้อย่างง่ายดาย จึงให้ความสำคัญกับหินพลังจิตยิ่งกว่า !
หินพลังจิตแบ่งออกเป็น4ระดับ ได้แก่ ชั้นล่าง ชั้นกลาง ชั้นสูง และชั้นยอด ยิ่งเป็นหินพลังจิตที่อยู่ในชั้นสูงมาดเท่าไหร่ ผลลัพธ์ในการฝึกตนก็จะยิ่งดีขึ้นเท่านั้น
หลัวซิวค่อย ๆ เดินออกมาจากร้านค้าด้วยความโมโห แล้วตั้งปณิธานแน่วแน่ในใจว่า หากตนเองหาเงินได้เมื่อไหร่ จะต้องมาซื้ออุปกรณ์ค่ายกลเพื่อช่วยในการฝึกตนให้ได้
########################
บทที่ 17 เข้ากลุ่ม
“ตุบ !”
ภายใต้สายตาที่จับจ้องของทุกคน หลัวซิวเดินไปยังโต๊ะรับรอง แล้วฟาดใบสมัครลงโต๊ะ จากนั้นจึงหันมองเจียงชานชานด้วยรอยยิ้ม
“น้องชาย ดูเหมือนเจ้าจะไม่ได้รับบาดเจ็บนะ หรือว่าเจ้ากลัวจึงถอนตัวเสียก่อน ไม่ได้เข้าร่วมการทดสอบ ?” เจียงชานชานมองพิจารณาหลัวซิว แล้วพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“พี่สาวคนสวย แล้วถ้าข้าบอกว่าข้าผ่านการทดสอบล่ะ ?” หลัวซิวเองก็ยิ้มเช่นกัน อันที่จริงแล้วเขารู้ดีว่าการที่เจียงชานชานเตือนเขาก็เพราะเป็นห่วง เขาแค่รู้สึกว่าหญิงสาวคนนี้น่าสนใจ อาจเป็นเพราะได้รับอิทธิพลจากบรรยากาศของแก๊งนักล่าอสูรภายในห้องโถงใหญ่ ทำให้นิสัยของเขาดูโผงผางขึ้นมาก
คนของโจวหลงและโกวหูจื่อทั้งสองฝ่าย ต่างก็กำลังจับจ้องความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้น พวกเขาอยากรู้ว่าผลลัพธ์เป็นเช่นไรกันแน่
เจียงชานชานมองค้อนหลัวซิว จากนั้นจึงชี้นิ้วไปที่ริมฝีปากแดงระเรื่อแล้วหัวเราะ : “น้องชาย ไม่ใช่ว่าพี่สาวดูถูกเจ้าหรอกนะ ผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ในระดับการกลั่นร่างขั้น5แทบจะไม่มีโอกาสผ่านการทดสอบเลยด้วยซ้ำ ถ้าหากเจ้าผ่านการทดสอบจริง พี่สาวจะขอตามจีบเจ้าเป็นอย่างไร ?”
“พรวด !”
หลายคนที่กำลังดื่มเหล้าอยู่ในห้องโถงใหญ่ เมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้ต่างก็สำลักออกมา และตกตะลึงอ้าปากค้าง
“โถ่เอ๊ย ทำไมข้าถึงไม่โชคดีแบบนี้บ้างนะ ให้สาวงามชานชานตามจีบ !”
“ช่างไร้เหตุผลสิ้นดี หรือว่าชานชานจะชอบเจ้าหมอนี่จริง ๆ ชอบหญ้าอ่อนอย่างนั้นหรือ ?”
“บ้าเอ๊ย ข้าขอสาปแช่งให้เจ้าหมอนี่ไม่ผ่านการทดสอบ !”
คนในห้องโถงเริ่มกรูกันเข้ามาแล้วส่งเสียงตะโกน : “เจ้าหนู รีบบอกมาเร็วเข้าว่าตกลงเจ้าผ่านการทดสอบหรือไม่”
หลัวซิวหัวเราะเบา ๆ จากนั้นจึงเลื่อนฝ่ามือออกจากใบสมัคร “คนสวย อย่าลืมคำพูดเมื่อครู่ของเจ้านะ”
สายตาทุกคู่ต่างจับจ้องไปที่ใบสมัคร คำว่า “ผ่าน” ปรากฏอยู่อย่างชัดเจน ทำให้บรรยากาศในห้องโถงใหญ่เงียบสงัดลงทันที
“บ้าเอ๊ย นี่มันเรื่องโกหกใช่ไหม ?”
ดวงตาของโกวหูจื่อเบิกโพลง บนกระดาษทดสอบเขียนคำว่า “ผ่าน” เอาไว้ ราวกับว่าเขาถูกตบหน้าฉาดใหญ่
“พูดจาเหลวไหลอะไรกัน ! ใครจะกล้าโกงการทดสอบนักล่าอสูร ?” โจวหลงแสยะยิ้ม เขาจ้องมองโกวหูจื่อ และพูดว่า : “ชื่อที่เขียนอยู่บนใบสมัครเป็นชื่อของผู้อาวุโสจวง เจ้ากล้าสงสัยผู้อาวุโสอย่างนั้นหรือ ?”
จากการวิพากษ์วิจารณ์ของบรรดานักล่าอสูร ทำให้หลัวซิวได้รู้ว่าชายชราชุดขาวที่รับผิดชอบการทดสอบของเขาเมื่อครู่ เป็นผู้อาวุโสของแก๊งนักล่าอสูรแห่งเมืองชิงหยุน มีนามว่าจวงหนานเทียน
อีกทั้งจวงหนานเทียนผู้นี้ ยังเป็นนักค่ายกลระดับ3อีกด้วย !
ทั่วทั้งเมืองชิงหยุน นักค่ายกลที่ไต่เต้าจนถึงระดับ3มีอยู่ไม่เกิน5คน
เจียงชานชานเองก็ผงะไปเช่นกัน โดยเฉพาะกับคำพูดของตนเองที่พูดว่าหากเด็กหนุ่มผ่านการทดสอบ นางจะขอตามจีบเขา
เมื่อเห็นหลัวซิวจ้องมองตนเองด้วยรอยยิ้ม แก้มของเจียงชานชานก็แดงระเรื่อขึ้นมา
“หึ น้องชาย เรื่องนี้ไว้เจ้าโตอีกหน่อยแล้วค่อยว่ากันเถอะนะ” นางมุ่ยปาก ริมฝีปากแดงระเรื่อของนางช่างเย้ายวน และทำท่าทีไม่รู้ไม่ชี้
“ฮ่าฮ่า หมอนี่จงใจแน่นอน อายุยังน้อยแต่กล้ามาจีบสาวงามที่สุดในแก๊งนักล่าอสูรของเมืองชิงหยุนเรา หูตากว้างไกลเสียจริง ๆ!”
“นี่ โกวหูจื่อ เมื่อครู่เจ้าพูดว่าหากน้องชายผู้นี้ผ่านการทดสอบ เจ้าจะก้มหัวลงมาให้เขาเตะเป็นลูกบอลไม่ใช่หรือ ?”
“จริงด้วย หากเจ้ายังเป็นลูกผู้ชาย ก็จงก้มหัวลงมาเสียดี ๆ !”
หลายคนในห้องโถงใหญ่เริ่มส่งเสียงตะโกนขึ้นมา
ตอนนี้เอง เจียงชานชานหยิบตราสัญลักษณ์ดาบคู่ยื่นให้กับหลัวซิว “น้องชาย ยินดีด้วย เจ้าได้เป็นหนึ่งในนักล่าอสูรแล้ว”
ตราสัญลักษณ์เป็นสีขาว นอกจากจะมีสัญลักษณ์ของแก๊งนักล่าอสูรแล้ว ยังมีดาวอีกหนึ่งดวง หมายความว่าหลัวซิวเป็นนักล่าอสูรระดับ1ดาว !
นักล่าอสูรมีทั้งสิ้น9ระดับ 1ดาวถึง3ดาวเป็นนักล่าอสูรระดับต้น 4ดาวถึง6ดาวเป็นนักล่าอสูรระดับกลาง ส่วน7ดาวถึง9ดาวเป็นนักล่าอสูรระดับสูง
ระดับของนักล่าอสูรยิ่งสูง ก็จะยิ่งมีสิทธิพิเศษมากขึ้น แต่แก๊งนักล่าอสูรในเมืองชิงหยุน อย่างมากสุดก็มีเพียงแต่ตราสัญลักษณ์นักล่าอสูรระดับ3ดาว ส่วนระดับ4ดาวขึ้นไปจำเป็นจะต้องเดินทางเข้าไปในตัวเมืองของเขตการปกครองหยุนหลง
ตอนนี้สีหน้าของโกวหูจื่อหมองคล้ำ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ต้องสูญเสียเงินหนึ่งพันตำลึง มิหนำซ้ำยังต้องถูกเหล่าสหายหัวเราะเยาะอีก สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกขายหน้าเป็นอย่างมาก
แน่นอนว่า หากจะให้เขายอมก้มหัวคงเป็นไปไม่ได้ คนอื่นก็เพียงแค่นำมาพูดหยอกล้อเป็นเรื่องสนุกก็เท่านั้น และไม่มีใครเก็บเอามาใส่ใจ
“ตุบ !”
กระเป๋าเงินถูกโยนลงด้านหน้าหลัวซิว โจวหลงซึ่งมีรูปร่างสูงใหญ่กำยำแสยะยิ้มแล้วพูดว่า : “น้องชาย นี่คือเงินห้าร้อยตำลึง ในเมื่อโกวหูจื่อเดิมพันว่าเจ้าจะไม่ผ่านการทดสอบ เดิมพันทั้งสิ้นหนึ่งพันตำลึง พวกเราแบ่งกันคนละครึ่ง”
หลัวซิวผงะไปเล็กน้อย ห้าร้อยตำลึงสำหรับเขาถือเป็นเงินจำนวนมหาศาล โจวหลงวางเดิมพันกับโกวหูจื่อ อันที่จริงแล้วก็ไม่เกี่ยวข้องกับเขา หากจะว่ากันตามเหตุผลแล้ว เงินที่โจวหลงชนะเดิมพัน ก็ไม่จำเป็นต้องแบ่งให้กับเขา
“เฮียโจวหลง เงินนี่ท่านเป็นคนชนะเดิมพัน ข้าไม่อาจรับไว้ได้” หลัวซิวปฏิเสธด้วยความเกรงใจ เขาไม่ชอบรับผลประโยชน์จากผู้อื่นโดยไร้เหตุผล
“หากไม่ใช่เพราะน้องชาย ข้าคงไม่อาจชนะเดิมพันจำนวนนี้ได้ เจ้าอย่าปฏิเสธอีกเลย ไม่เช่นนั้นข้าจะถือว่าเจ้าไม่ไว้หน้าข้า โจวหลง”
สำหรับโจวหลงแล้ว เรื่องเงินถือเป็นเรื่องเล็ก การที่ทำให้โกวหูจื่อต้องเสียหน้าต่างหาก จึงจะเป็นเรื่องที่ทำให้เขารู้สึกดีใจ
หลัวซิวยิ้ม ในเมื่อโจวหลงพูดถึงขนาดนี้แล้ว เขาจึงไม่กล้าปฏิเสธอีกต่อไป
“ถ้าอย่างนั้นต้องขอบคุณน้ำใจของเฮียโจวหลงมากครับ” เขากล่าวขอบคุณ แล้วหยิบกระเป๋าเงินขึ้นมา
เด็กหนุ่มที่มีอายุไม่ถึง14ปี จึงกลายเป็นจุดสนใจอย่างมากภายในห้องโถงของนักล่าอสูร นักล่าอสูรจำนวนมากที่รวมตัวกันอยู่ที่นี่ มีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ราว ๆ 25 ปีขึ้นไป
โจวหลงต้องการเชิญชวนหลัวซิวดื่มเหล้า ตั้งแต่เล็กจนโตเขาไม่เคยดื่มเหล้ามาก่อน จึงดูเหมือนแทบจะถูกลากไปที่โต๊ะในห้องโถง
เมื่อนับรวมโจวหลงและหลัวซิวแล้ว บนโต๊ะนี้มีทั้งหมด 5 คน คนหนึ่งเป็นชายหนุ่มรูปร่างผอมบาง สีหน้าเย็นชา ส่วนอีกสองคนเป็นหญิงสาวฝาแฝดสองพี่น้อง หน้าตาธรรมดา แต่มีรูปร่างที่เร่าร้อน สวมใส่ชุดต่อสู้รัดรูป เผยให้เห็นส่วนเว้าส่วนโค้งอย่างชัดเจน
“มานี่สิ น้องหลัวซิว ข้าจะแนะนำให้เจ้ารู้จัก……”
จากการแนะนำของโจวหลง หลังซิวขึงรู้ว่า ชายหนุ่มรูปร่างผอมบางที่มีใบหน้าเย็นชาผู้นั้นมีชื่อว่า โกวอ๋าง ส่วนหญิงสาวฝาแฝดสองพี่น้องมีชื่อเรียกต่างกันว่าจี้โหรวและจี้เซว่
เมื่อนับรวมโจวหลงแล้ว พวกเขาทั้งสี่คือกลุ่มนักล่าอสูรกลุ่มหนึ่ง หัวหน้าโจวหลงเป็นนักยุทธ์แดนฝึกชี่ไห่ขั้น2 โกวอ๋างอยู่ระดับการกลั่นร่างขั้น9 จี้โหรวและจี้เซว่สองพี่น้องล้วนอยู่ในระดับการกลั่นร่างขั้น8
อย่าว่าแต่เมืองหลัก ๆ ในประเทศเทียนหวูเลย แม้กระทั่งประเทศอื่น ๆ ในโลก นักล่าอสูรถือเป็นกลุ่มของนักยุทธ์ที่พบเห็นได้มากที่สุด อย่างเช่นกลุ่มของโจวหลง สามารถพบเห็นได้ทั่วไป
“หลัวซิว ก่อนหน้านี้ข้าเคยพูดเอาไว้ว่า หากเจ้าผ่านการทดสอบ ข้าจะรับเจ้าเข้ามาในกลุ่มของข้า จะว่าอย่างไร ?” โจวหลงดื่มเหล้าเข้าไปอึกใหญ่ แล้วพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
ครึ่งชั่วยามก่อนหน้า ตอนที่หลัวซิวเข้ามาสมัครเป็นนักล่าอสูร ไม่มีใครในห้องโถงใหญ่ที่คิดว่าเขาจะผ่านการทดสอบมาได้ ในตอนแรกโจวหลงเองก็เพียงพูดล้อเล่นสองสามประโยคเท่านั้น ในใจของเขาเองก็ไม่คิดว่าหลิวซิวจะมีโอกาสผ่านการทดสอบมาได้เช่นเดียวกัน
แต่ผลลัพธ์กลับออกมาเหนือความคาดหมายของทุกคน ดังนั้นการที่โจวหลงเชิญหลัวซิวเข้ามาร่วมกลุ่มของตน ก็เท่ากับเป็นการรักษาสัจจะของตนเอง
ในป่าลึกมีอันตรายแอบแฝงอยู่มากมาย มีทั้งอสุรกายที่ดุร้ายและทรงพลัง นอกเสียจากจะเป็นนักยุทธ์ที่มีความสามารถส่วนตัวที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งเท่านั้น นอกนั้นนักล่าอสูรส่วนใหญ่มักจะออกล่ากันเป็นกลุ่ม
########################
บทที่ 16 ผ่านการทดสอบ
“เริ่มกันเถอะ !” หลัวซิวสูดหายใจเข้าเต็มปอดหนึ่งครั้ง จากนั้นจึงปรับท่าทางของตนเองให้ยอดเยี่ยมที่สุด
ชายชราชุดขาวหยิบหินหนึ่งก้อนที่มีขนาดเท่าฝ่ามือส่องประกายสีขาวจาง ๆ ออกมา จากนั้นจึงเดินไปที่หลุมหลุมหนึ่งที่อยู่บนแผนผังของค่ายกล แล้ววางหินพลังจิตลงไปด้านใน
“พรึ่บ !”
แสงสว่างจาง ๆ ปรากฏขึ้นตามแนวแผนผังของค่ายกลที่อยู่บนพื้นห้อง จากนั้นแสงทั้งหมดก็ส่องสว่างไปยังแท่นศิลาที่หลัวซิวยืนอยู่
หลังจากนั้น หลัวซิวก็รู้สึกว่าทุกสิ่งตรงหน้าของเขาเปลี่ยนไปตลอดเวลา สภาพแวดล้อมก็เปลี่ยนไป จนในที่สุดเขามาปรากฏตัวอยู่ในห้องลึกลับห้องหนึ่งที่มีลักษณะเหมือนกับกรง
“โฮก !”
แสงสีขาวส่องสว่าง ตรงจุดที่ห่างจากเขาออกไปประมาณสิบกว่าเมตร มีอสุรกายที่ดุร้ายสามตัวปรากฏขึ้น
ตัวของมันปกคลุมไปด้วยขนสีขาว ดวงตาแดงก่ำ ดูราวกับหมาป่าแต่มีขนาดที่ใหญ่กว่ามาก อีกทั้งกรงเล็บของมันก็แหลมคม และมีเขี้ยวที่ส่องแสงประกายแวววาว
“อสูรหมาป่าหลังเหล็ก !”
ถึงแม้หลัวซิวจะไม่เคยเห็นอสุรกายมาก่อน แต่เขาก็เคยอ่านจากในหนังสือมาบ้าง ด้วยลักษณะเฉพาะที่เห็น จึงทำให้เขาพอรู้ที่มาที่ไปของอสูรกายเหล่านี้
อสูรหมาป่าชั้นต่ำเหล่านี้มีชื่อเรียกว่าหลังเหล็ก นั้นเป็นเพราะบนหลังของพวกมันมีกระดูกที่แข็งพอ ๆ กับเหล็ก
“ไม่มีลายเส้นชีวิต ?”
หลัวซิวขมวดคิ้ว เขาหันมองด้วยความสงสัย แต่กลับพบว่าในร่างกายของอสูรหมาป่าหลังเหล็ก3ตัวไม่มีลายเส้นชีวิต พวกมันเกิดมาจากการรวบรวมพลังจิต
นี่เป็นเพราะสาเหตุจากค่ายกล จึงไม่สามารถสร้างสิ่งมีชีวิตจริง ๆ ออกมาได้อย่างสมบูรณ์
สาเหตุที่หลัวซิวขมวดคิ้วเป็นเพราะว่า ในสถานการณ์เช่นนี้ เขาไม่อาจใช้ความสามารถในการทำลายเส้นชีวิตที่ตนเองมีอยู่ได้
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับอสูรหมาป่าหลังเหล็ก3ตัว หลัวซิวกลับไม่รู้สึกประหม่า แต่กลับรู้สึกตื่นเต้น
เขาเลียริมฝีปาก จากนั้นจึงตั้งท่าต่อสู้ แล้วพูดกับตัวเองว่า : “ถึงแม้จะมีขีดจำกัดก็ไม่เป็นไร เช่นนี้จึงจะสามารถดึงเอาความแข็งแกร่งที่แท้จริงของตนเองออกมาได้ !”
“ฟิ้ว !”
ตอนนี้เอง อสูรหมาป่าหลังเหล็ก3ตัวได้พุ่งตรงเข้ามาหาเขาด้วยพลังที่มหาศาล
ถึงแม้ค่ายกลจะไม่สามารถสร้างสิ่งมีชีวิตที่สมบูรณ์ได้ แต่ก็สามารถลอกเลียนนิสัยและวิธีการในการโจมตีของอสุรกายตัวนี้ได้
“เข้ามาเลย !”
หลัวซิวขยับฝีเท้าเล็กน้อย เข้าใช้ท่าร่างก้าวสั้นระดับแดนบรรลุผลตามสัญชาตญาณ ในการหลีกเลี่ยงการโจมตีจากอสูรหมาป่าหลังเหล็ก2ตัว
“หมัดเสือพิฆาตจากหมัดเสือมังกร !” การเคลื่อนไหวบนมือของเขาก็ไม่ได้หยุดลงแต่อย่างใด ปราณในเคลื่อนไหวมายังหมัดทั้งสองข้าง และชกเข้าไปที่ท้องของอสูรหมาป่าหลังเหล็กตัวที่สาม
อสูรหมาป่าเองก็รู้จักการหลีกเลี่ยงจุดสำคัญของตนเองในขณะต่อสู้ อสูรหมาป่าตัวนี้โน้มตัวลง แล้วใช้จุดที่แข็งที่สุดคือหลังของมันในการป้องกันการโจมตีขอหลัวซิว
“ตุบ !”
อสูรหมาป่าตัวนี้ถูกหมัดของหลัวซิวชกจนลอยกระเด็นออกไปไกล จากนั้นร่างกายของมันจึงระเบิดกายเป็นแสงสีขาวอยู่กลางอากาศ
ถึงแม้จะได้ชื่อว่าหลังเหล็ก ถึงแม้จะมีหลังเป็นเกราะป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ดูจะเป็นแค่คำเปรียบเปรยเท่านั้น หมัดเสือมังกรระดับแดนบรรลุผลของหลัวซิว สามารถทัดเทียมได้กับการใช้พลังทั้งหมดของผู้ฝึกยุทธ์ระดับการกลั่นร่างขั้น7 ประกอบกับพลังทำลายล้างของปราณแห่งความตาย นี่จึงทำให้เขาสามารถจัดการกับศัตรูได้ในหมัดเดียว
แต่หลัวซิวเองก็รู้สึกเจ็บปวดเช่นกัน เนื่องจากการกระแทกอย่างรุนแรง ทำให้กระดูกหมัดด้านขวาของเขาดูเหมือนจะหัก และรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรง
ตอนนี้เอง อสูรหมาป่าหลังเหล็กอีก2ตัวก็จู่โจมเข้ามาอีกครั้งอย่างรุนแรงโดยไม่เกรงกลัว
“ปราณแห่งความเป็น !”
ปราณเป็นตายสองระดับเคลื่อนไหวอยู่ภายในร่างกาย และหลั่งไหลเข้าสู่บริเวณหมัด จากนั้นจึงซ่อมแซมลายเส้นชีวิต และทำให้กระดูกที่หักกลับมาหายดีเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
หลัวซิวใช่ท่าร่างก้าวสั้นในการหลีกเลี่ยงการโจมตีจากอสูรหมาป่าหลังเหล็กสองตัวอย่างสบาย ๆ
“ท่ามังกรทะยาน !”
ปราณในภายในร่างกายแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกใช้ในการซ่อมแซมลายเส้นชีวิต อีกส่วนหนึ่งใช้ในการสำแดงทักษะยุทธ์ปราณแห่งความตายเพื่อทำลายศัตรู
“ตุบ !”
เพียงหมัดเดียวก็ทำให้อสูรหมาป่าหลังเหล็กระเบิดกลายเป็นแสงสีขาว หัวของมันถูกหลัวซิวต่อยจนระเบิดภายในหมัดเดียว
“อสุรกายระดับหนึ่งก็แค่นี้เอง” หลังซิวหรี่ตามองอสุรกายตัวสุดท้ายที่เหลืออยู่ เขาแสยะยิ้มออกมา แล้วพูดกับตัวเองว่า : “อย่างน้อยก็ใช้ฝึกฝนท่าร่างก้าวสั้นของข้าได้”
อสูรหมาป่าหลังเหล็กพุ่งตรงเข้ามา ครั้งนี้หลัวซิวไม่ได้ออกแรงในการโจมตี แต่เขาเอามือทั้งสองข้างไพล่หลัง แล้วใช้ท่าร่างก้าวสั้นในการหลบหลีกการโจมตีของอสูรหมาป่า
อสูรหมาป่าโจมตีอย่างรวดเร็ว ทั้งกระโจนเข้าใส่ กัด และใช้กรงเล็บเข้าโจมตีอย่างต่อเนื่องโดยไม่ได้หยุดพัก
แต่การเคลื่อนไหวของหลัวซิวรวดเร็วยิ่งกว่า ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วยาม อสูรหมาป่าหลังเหล็กตัวนี้กลับไม่สามารถสัมผัสโดนตัวเขาได้เลยแม้แต่น้อย
“น่าเบื่อจริง ๆ ดูเหมือนว่าหากข้าอยากพัฒนาท่าร่าง คงจะใช้วิธีฝึกเช่นนี้ไม่ได้ผล”
หลังจากฝึกฝนท่าร่างกว่าครึ่งชั่วยาม ซึ่งแม้จะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการใช้ท่อนซุงเพียงอย่างเดียว แต่กลับไม่ปรากฏผลลัพธ์ที่ชัดเจน และมีการพัฒนาที่น้อยมาก
“ตุบ !”
เขาชกหมัดออกไปอย่างแรง ในขณะที่อสูรหมาป่าหลังเหล็กกำลังพุ่งเข้าโจมตีพอดี จึงไม่อาจตั้งรับได้ทัน ทำให้หัวที่แข็งของมันถูกหลัวซิวทุบจนระเบิด อสูรหมาป่าหายลับไป และกลายเป็นแสงสีขาวส่องสว่างไปทั่ว
“ออกไป !”
เมื่อผ่านการทดสอบ หลัวซิวก็เอ่ยปากพูดเสียงดังก้อง
บรรยากาศโดยรอบเริ่มเปลี่ยนแปลงไป ภายในสามลมหายใจ หลัวซิวก็ออกมาจากค่ายกล เขายังยืนอยู่บนแท่นศิลา ดูเหมือนไม่เคยขยับเขยื้อนไปไหน
หลัวซิวเพิ่งจะออกมา ก็เห็นชายชราชุดขาวที่พาเขาเข้ามาในสนามทดสอบ กำลังจ้องมองเขาด้วยใบหน้าที่ประหลาดใจ
“เจ้าหนู ดูเหมือนข้าจะดูถูกเจ้าเกินไป ความสามารถของเจ้าสามารถทัดเทียมกับการกลั่นร่างขั้น7ได้จริง ๆ” ชายชราชุดขาวเอ่ย ค่ายกลที่นี่เขาเป็นคนสร้างขึ้นด้วยตัวเอง ดังนั้นสิ่งที่หลัวซิวพบเจอทั้งหมดในค่ายกล เขาล้วนมองเห็น
หลัวซิวเกาหัวเล็กน้อยอย่างเขินอาย ไม่รู้ว่าควรพูดเช่นไรดี
“แต่เจ้าหนู เจ้าเองก็อย่าทระนงตนและมั่นใจในตัวเองให้มากนักนะ ไม่ต้องพูดถึงเขตการปกครองหยุนหลงทั้งหมดหรอก เพียงแค่ในเมืองชิงหยุนแห่งนี้ การกลั่นร่างขั้นห้านั้นถือเป็นเรื่องธรรมดา หนทางที่เจ้าต้องเดินยังอีกยาวไกลนัก” ชายชราชุดขาวพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“ข้าจะจำคำสอนของผู้อาวุโสครับ” หลัวซิวกล่าว
“เอาล่ะ เจ้าสามารถไปรับตราสัญลักษณ์นักล่าอสูรที่ห้องโถงใหญ่ได้แล้ว” ชายชราชุดขาวเขียนชื่อลงบนใบสมัครเข้ารับการทดสอบของหลัวซิว จากนั้นจึงยื่นใบสมัครกลับคืนให้หลัวซิว
“จวงหนานเทียน……” เมื่อหลัวซิวเห็นชื่อที่เขียนอยู่ เขาก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นชื่อของชายชราชุดขาว
……
“ผ่านไปครึ่งชั่วยามแล้ว ดูเหมือนว่าเจ้าหมอนั้นคงจะไม่ผ่านการทดสอบแล้วนะ !”
“ฮ่าฮ่า ไม่แน่ว่าอาจจะตายอยู่ข้างในแล้วก็ได้”
“ต่อให้ไม่ตาย การสูญเสียแขนขาก็เป็นเรื่องธรรมดาในการทดสอบ”
ภายในห้องโถงใหญ่ ทั้งสองฝ่ายกำลังเผชิญหน้ากัน ฝ่ายของโกวหูจื่อ สีหน้าต่างเต็มไปด้วยความมั่นใจกับชัยชนะ
ในทางกลับกัน ฝั่งของโจวหลงกลับมีสีหน้าหมองหม่น เมื่อครู่พวกเขาวางเดิมพันเรื่องการทดสอบของหลัวซิวเป็นเงินถึงหนึ่งพันตำลึง !
หนึ่งพันตำลึงสำหรับนักยุทธ์แดนชี่ไห่แล้ว ไม่ใช่เงินจำนวนน้อยเลย อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาหากว่าครึ่งเดือนเพื่อให้ได้มา
แต่สิ่งที่โจวหลงให้ความสำคัญไม่ใช่เงินทองแต่คือศักดิ์ศรี ในบรรดานักล่าอสูรเมืองชิงหยุน เขาเองก็ถือว่าเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงไม่น้อย
“โกวหูจื่อ เจ้าอย่าเพิ่งรีบดีใจไปหน่อยเลย หากเจ้าหนุ่มนั่นผ่านการทดสอบจริง ๆ ข้าจะคอยดูซิว่าเจ้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน !” โจวหลงตะคอกเสียงดังออกมา
“ข้าขอยืนยันคำเดิม หากเขาผ่านการทดสอบ ข้า โกวหูจื่อ จะขอโน้มหัวของตัวเองลงมาให้เขาเตะเป็นลูกบอล !” โกวหูจื่อตะโกนออกมาอย่างไม่ยอมแพ้
“มาแล้ว ออกมาแล้ว !”
ตอนนี้เอง มีคนชี้ไปที่ทางออกของสนามทดสอบ ทุกคนหันมองไป และเห็นหลัวซิวเดินถือใบสมัครมุ่งหน้ามายังโต๊ะรับรอง
########################
บทที่ 15 การทดสอบ
“เจ้าหนู เจ้าไม่ได้เป็นไข้หรอกใช่ไหม ? ตั้งแต่สามปีก่อนที่มีลูกศิษย์ชั้นกลาง ระดับการกลั่นร่างขั้น7ของสำนักยุทธ์เข้าร่วมการทดสอบและตายไปในระหว่างนั้น กเห็นจะมีเพียงลูกศิษย์ชั้นสูงที่อยู่ระดับการกลั่นร่างขั้น8บางคนเท่านั้น ที่สามารถผ่านการทดสอบไปได้ นี่เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ ?”
“ใช่แล้ว หลัวซิว เจ้าอายุยังน้อย สามารถรออีกสักสองสามปีแล้วค่อยมาทดสอบก็ได้” พนักงานต้อนรับสาวเจียงชานชานก็เอ่ยเตือนขึ้น
ครั้งนี้นางไม่ได้เรียกเขาว่าน้องหลัวซิวแล้ว และมีท่าทีที่จริงจังมากขึ้น
ส่วนบรรดานักล่าอสูรเอง ต่างก็แสดงท่าทีเย็นชาออกมา พวกเขาผ่านความเป็นความตายมามากมาย จนรู้สึกชินชา ส่วนคนที่มีความกระตือรือร้นจริง ๆ นั้นมีอยู่เพียงไม่มาก
“การทดสอบนักล่าอสูรไม่ใช่ผลการฝึกตน แต่เป็นความสามารถในการต่อสู้ที่แท้จริง เจ้าจะต้องเผชิญหน้ากับอสูรกายขั้น1 ไม่ใช่อสูรป่า !” เจียงชานชานกล่าวเตือนอีกครั้ง
“ข้าตัดสินใจแล้ว” หลัวซิวมีแววตาที่แน่วแน่มั่นคงอย่างมาก
“เจ้าเด็กนี่กล้าหาญไม่เลว ให้เขาลองดูสักตั้งสิ” ชายหนุ่มรูปร่างกำยำคนหนึ่งที่กำลังดื่มเหล้าตะโกนขึ้น
“โจวหลง เจ้าหุบปากเดี๋ยวนี้เลยนะ เจ้าจะทำให้เขาตาย !” เจียงชานชานจ้องมองชายรูปร่างกำยำ
“ขอแค่ทำตามเงื่อนไขได้ แก๊งคงไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธการขอเข้าร่วมการทดสอบของข้าใช่ไหม ?” หลัวซิวใช้นิ้วเคาะโต๊ะ “อีกอย่าง ทำไมท่านถึงได้มั่นใจนักว่าการให้ข้าเข้าร่วมการทดสอบคือการส่งข้าไปตาย ?”
“ฮ่าฮ่า หมอนี่หัวรั้นไม่เบา ข้าชอบ !” ชายหนุ่มรูปร่างกำยำที่ชื่อโจวหลงผู้นั้นหัวเราะเสียงดังขึ้นมา “ถ้าหากเจ้าผ่านการทดสอบ ข้าจะให้เจ้าเข้ามาอยู่ในกลุ่มของข้า !”
“ล้อเล่นน่า เด็กตัวกะเปี๊ยกเนี่ยนะจะผ่านการทดสอบไปได้ ? หากเขาสอบผ่าน ข้าจะโน้มหัวลงมาให้เขาเตะเป็นลูกบอลเลย !” อีกทางด้านหนึ่ง มีชายหนุ่มที่ไว้หนวดเคราเล็กน้อยบนใบหน้าเอ่ยขึ้นอย่างดูถูก
“โจวหลง เจ้ากล้าเดิมพันกับข้าไหมล่ะ ?” ชายหนุ่มไว้เคราพูดเสียงดัง
“บัดซบ โกวหูจื่อ เจ้าหมายความว่าอย่างไร ?” โจวหลงจ้องตาเขม็งพลางตะโกนออกมา
จากการที่หลัวซิวรับรู้ถึงลายเส้นชีวิต ผลการฝึกตนของโจวหลงและโกวหูจื่อน่าจะอยู่ในแดนชี่ไห่ ทั้งสองทะเลาะกันเพราะเรื่องเข้าร่วมการทดสอบของเขา ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาคาดไม่ถึง
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร การได้เป็นนักล่าอสูร ถือเป็นเรื่องสำคัญสำหรับหลัวซิว เพราะไม่ว่าจะได้รับภารกิจ หรือการซื้อขายสิ่งของภายในแก๊ง จะต้องเป็นนักล่าอสูรเท่านั้นจึงจะสามารถทำได้
เพราะหลัวซิวยืนยันหนักแน่น เจียงชานชานจึงหยิบกระดาษออกมาสองสามแผ่น หนึ่งในนั้นเป็นเอกสารขอเข้าร่วมการทดสอบ ซึ่งจะต้องกรอกข้อมูลส่วนตัว ส่วนอีกใบหนึ่ง เป็นหนังสือสัญญา ซึ่งมีใจความหลัก ๆ กล่าวว่า ผู้ที่ขอเข้าร่วมการทดสอบ หากเกิดอุบัติเหตุขึ้นระหว่างการทดสอบ ทางแก๊งนักล่าอสูรจะไม่ขอรับผิดชอบใด ๆ
หลัวซิวไม่ได้ลังเลแม้แต่น้อย เขาเชื่อมั่นในความสามารถของตนเองว่าจะต้องผ่านการทดสอบไปได้ มิเช่นนั้น หากแม้แต่การทดสอบเช่นนี้ยังผ่านไปไม่ได้ แล้วต่อไปเขาจะก้าวเข้าสู่ยุทธ์ในระดับที่สูงขึ้นได้อย่างไร ?
หลัวซิวสะบัดปากกาเซ็นชื่อของเขา จากนั้นพนักงานต้อนรับของแก๊งนักล่าอสูร ก็พาหลัวซิวไปยังสนามทดสอบ
“ข้าขอเดิมพันว่าเจ้าหมอนี่ไม่มีทางผ่านการทดสอบ !” ในห้องโถงใหญ่ โกวหูจื่อตบโต๊ะแล้วตะโกนเสียงดัง พลางจ้องเขม็งไปที่โจวหลง แล้วพูดว่า : “โจวหลง กล้าเดิมพันกับข้าไหมล่ะ ?”
ทั้งสองต่างมีกลุ่มของตนเอง ปกติแล้วก็ไม่ชอบหน้ากันสักเท่าไหร่ และมักจะมีปากเสียงกันอยู่บ่อย ๆ
มีคนอยู่ที่นั่นมากมาย เมื่อเห็นโกวหูจื่อแสดงท่าที่หยิ่งยโสเช่นนี้ออกมา โจวหลงเองก็รู้สึกโกรธเล็กน้อย เขาจึงลุกยืนขึ้นแล้วเตะเก้าอี้ออกไป จากนั้นจึงพูดขึ้นด้วยความโมโห : “ข้าขอเดิมพันกับเจ้า !”
“เด็กหนุ่มมักจะเลือดร้อน ตามข้ามาสิ”
คนที่พาหลัวซิวไปยังสนามทดสอบ เป็นชายชราที่สวมใส่ชุดคลุมสีขาวคนหนึ่ง
หลัวซิวเห็นตราสัญลักษณ์สองดวงอยู่บนหน้าอกของชายชรา ดวงแรกเป็นตราสัญลักษณ์ดาบไขว้ของนักล่าอสูร ส่วนอีกดวงหนึ่งเป็นตราสัญลักษณ์รูปดาวหกแฉก
“ตราสัญลักษณ์นักค่ายกล !”
หลัวซิวรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าชายชราผู้นี้มีฐานะที่ไม่ธรรมดา เขาถือครองถึงสองฐานะ ด้วยอายุของเขา ทำให้ลายเส้นชีวิตของเขาแฝงไปด้วยความแข็งแกร่งและมีพลังมหาศาล
ระหว่างเดินผ่านโถงทางเดิน มีโคมไฟประดับอยู่ตลอดสองข้างทาง หลังจากเปิดประตูศิลาบานหนึ่งออก หลัวซิวก็เดินตามชายชราผู้นี้เข้าไปในห้องที่ว่างเปล่าและกว้างขวางห้องหนึ่ง
บนพื้นห้องมีแนวเส้นแปลกประหลาดสลักเอาไว้ เชื่อมต่อกันทางแนวตั้งและแนวนอนราวกับลายแทงสมบัติ ดู ๆ ไปแล้วไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว
ตรงกลางห้องมีแท่งศิลาสูงประมาณสองฟุต
ยังไม่ทันที่หลัวซิวจะเอ่ยถาม ชายชราชุดขาวก็พูดขึ้นก่อนว่า : “ที่นี่คือสนามทดสอบ ถ้าหากเจ้าไม่ผ่านการทดสอบ จำไว้ว่าจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเปิดใช้ค่ายกล”
“ค่าใช้จ่าย ?” หลัวซิวผงะไป
“เจ้าคิดว่าค่ายกลสามารถเปิดใช้ได้ตามอำเภอใจอย่างนั้นหรือ ? การทดสอบนักล่าอสูรขั้นหนึ่งจะต้องให้หินพลังจิตหนึ่งก้อน ถ้าหากเจ้าสอบผ่าน แก๊งนักล่าอสูรจะเป็นคนออกค่าใช้จ่ายส่วนนี้ให้กับเจ้า แต่ถ้าการทดสอบล้มเหลว เจ้าจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นหินพลังจิตหนึ่งก้อน” ชายชราชุดขาวพูดอธิบาย
หลัวซิวเคยได้ยินเรื่องหินพลังจิตมาบ้าง เป็นศิลาแร่ชนิดหนึ่งที่มีความเข้มข้นของพลังจิตสูง นักยุทธ์สามารถดูดซับพลังที่อยู่ภายในเพื่อใช้ในการฝึกตนได้ ถึงผลลัพธ์ที่ได้ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าการดูดซับพลังจักรวาล
“เอ่อ……แล้วหินพลังจิตหนึ่งก้อนราคาเท่าไหร่ ?” หลัวซิวรู้สึกนึกเสียใจทีหลังที่ไม่ได้อ่านสัญญาของพนักงานต้อนรับสาวให้ดีเสียก่อน ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าจะต้องมีการเสียค่าใช้จ่ายเหล่านี้ด้วย
“ห้าร้อยตำลึง”
“ฮะ……แพงขนาดนี้เลยหรือ ! ?” หลัวซิวรู้สึกตกใจอย่างมาก เงินจำนวนนี้ถือว่ามากมายมหาศาลสำหรับเขา
ชายชราชุดขาวเหลือบมองหลัวซิว จากนั้นจึงยิ้มแล้วพูดว่า : “หากเจ้าไม่มั่นใจ จะถอยหลังกลับตอนนี้ก็ยังทันนะ”
ค่าใช้จ่ายห้าร้อยตำลึง ทำให้หลัวซิวต้องกลับมาพิจารณาดูอีกครั้ง ด้วยเหตุนี้เขาจึงเอ่ยถามว่า : “ข้าอยากจะรู้รายละเอียดคร่าว ๆ ในการทดสอบว่าคืออะไร”
“แม้กระทั่งรายละเอียดในการทดสอบคืออะไรเจ้ายังไม่รู้ แล้วยังจะกล้ามาอีกหรือ เจ้าหนู เจ้าคิดว่าแก๊งล่าอสูรเป็นสถานที่เช่นไรกัน เป็นที่ให้เจ้าเข้ามาเล่นสนุกหรืออย่างไร ?”
ชายชราชุดชายสบัดเคราของเขาแล้วจ้องตาเขม็ง “ข้าเห็นแก่ที่เจ้าอายุยังน้อย จึงไม่คิดถือสาเจ้า จงไสหัวกลับไปฝึกตนให้ดีเถอะ”
ถึงแม้อีกฝ่ายจะพูดอย่างไม่เกรงใจ แต่หลัวซิวกลับไม่รู้สึกโมโห เพราะเขาไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับพื้นฐานการทดสอบของนักล่าอสูรเลยจริง ๆ”
เมื่อครู่ตอนที่อยู่ในห้องโถงใหญ่ เขาทำความเข้าใจเล็กน้อยจากสิ่งที่บรรดานักล่าอสูรพูด ดูเหมือนว่าจะต้องเผชิญหน้ากับอสุรกายขั้น1แบบตัวต่อตัว ว่าแต่ในห้องนี้ มีอสุรกายที่ไหนกันล่ะ !”
เมื่อเห็นหลัวซิวจ้องมองไปรอบ ๆ ชายชราชุดขาวก็พูดขึ้นเบา ๆ ว่า : “หลังจากเปิดค่ายกลแล้ว อสุรกายจึงจะออกมา การทดสอบนักล่าอสูรระดับ1 จะต้องต่อสู้แบบตัวต่อตัวกับอสุรกายระดับ1ทั้งหมดสามตัว !”
อสุรกายกับอสูรป่านั้นแตกต่างกัน อสุรกายระดับหนึ่งซึ่งเป็นระดับที่ต่ำที่สุด มีความแข็งแกร่งที่ทัดเทียมกับผู้ฝึกยุทธ์ระดับการกลั่นร่างขั้น5
แต่ความแข็งแกร่งที่แท้จริงนั้น จะแสดงออกมาในการต่อสู้ ถึงแม้จะอยู่ในระดับการกลั่นร่างขั้น5 แต่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่ไม่มีประสบการณ์ในการต่อสู้ ก็ถือว่าเป็นคู่ต่อที่ห่างชั้นจากอสุรกายนัก
“อสุรกายระดับ1สามตัวหรือ ? ข้าน่าจะรับมือไหวนะ !” หลัวซิวพูดขึ้น
ชายชราชุดขาวไม่พูดอะไรต่อ เขาชี้ไปที่แท่นศิลาที่อยู่ตรงกลางห้อง “เจ้าไปยืนอยู่บนนั้นก็พอแล้ว”
หลัวซิวพยักหน้า จากนั้นจึงเดินขึ้นไปบนแท่นศิลา
“หลังจากข้าเปิดค่ายกลแล้ว เจ้าจะเข้าไปในสภาพแวดล้อมของค่ายกล ทุกสิ่งที่เจ้าเจอ ไม่แตกต่างกับของจริง หากเจ้าคิดว่าตนเองไม่สามารถยืนหยัดสู้ต่อได้ ก็จงอย่าฝืน ขอแค่ใช้ความคิด ภายในสามลมหายใจ เจ้าก็จะสามารถหลุดออกมาจากค่ายกลได้” ชายชราชุดขาวกล่าว
สามลมหายใจดูเหมือนจะเป็นช่วงเวลาที่สั้น แต่หากอยู่ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน ก็สามารถเกิดเหตุการณ์ขึ้นได้มากมาย คนจำนวนมากที่ได้รับบาดเจ็บหรือตายในการทดสอบ ส่วนมากก็มักจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้น ๆ นี้
########################
บทที่ 14 แก๊งนักล่าอสูร
นักยุทธ์ถือว่ามีฐานะที่สำคัญบนโลกใบนี้ ดังนั้นในความเป็นจริงแล้วจึงมีหลายวิธีที่จะหารายได้
ตัวอย่างเช่น นักเล่นแร่แปรธาตุถือเป็นอาชีพที่ร่ำรวยมาก ยาวิเศษราคาสองสามร้อยตำลึง เมื่ออยู่ในมือของนักเล่นแร่แปรธาตุ หมุนตัวเพียงครั้งเดียวก็กลับกลายเป็นยาทิพย์ซึ่งมีราคาสูงกว่าหลายเท่าตัวได้
ยังมีนักค่ายกลอีก การฝึกตนทุกประเภท ค่ายกลทั้งการโจมตีและป้องกัน ล้วนแล้วแต่มีราคาที่สูงลิ่ว
นักหลอมอาวุธ สร้างอาวุธที่นักยุทธ์ต้องใช้งาน จึงเป็นที่ต้องการตัวของผู้ฝึกยุทธ์จำนวนนับไม่ถ้วน
ทั้งสามอาชีพนี้ในหมู่นักยุทธ์ ถือว่าทำเงินได้มากที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ทั้งสามอาชีพนี้ก็ใช่ว่าทุกคนจะสามารถทำได้ ประการแรกจะต้องมีพรสวรรค์ ประการที่สองคือการได้รับการถ่ายทอดวิชาและมีอาจารย์ที่มีชื่อเสียงคอยชี้แนะ
เท่าที่หลัวซิวรู้ มีลูกศิษย์หลายคนในสำนักยุทธ์ที่มีฐานะไม่ธรรมดาฝึกการกลั่นยา ตั้งค่ายกล และหลอมอาวุธ ซึ่งในแต่ละเดือนต้องเสียค่าใช้จ่ายหลายหมื่นตำลึง ซึ่งสำหรับเขาแล้วถือเป็นจำนวนเงินมหาศาล
แต่นอกจากอาชีพทั้งสามนี้แล้ว หากนักยุทธ์คนอื่น ๆ ต้องการหาอาชีพอื่น ๆ ก็ยังพอมีอาชีพยอดนิยมอีกหนึ่งอาชีพก็คือ นักล่าอสูร !
มีอสูรป่าและอสุรกายจำนวนนับไม่ถ้วนที่อาศัยอยู่ในภูเขาลึกและหนองน้ำหลายแห่ง สิ่งมีชีวิตเหล่านี้เกิดมาพร้อมกับร่างกายที่แข็งแกร่ง และมีความพิเศษที่ไมเหมือนใคร บนตัวของพวกมันมักจะมีสิ่งล้ำค่าอยู่
อาชีพนักล่าอสูรจึงเกิดขึ้นด้วยเหตุนี้
นอกจากการล่าอสูรป่าและอสุรกายแล้ว ในป่าลึกยังสามารถพบกับยาวิเศษได้ รวมไปถึงวัตถุดิบอันล้ำค่า แร่ธาตุ และสมบัติอื่น ๆ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่นักกลั่นยา นักค่ายกล และนักหลอมอาวุธต้องการอย่างยิ่ง
ในเมืองชิงหยุนมีแก๊งนักล่าอสูร หากต้องการเข้ามาเป็นนักล่าอสูรชั้นต้น อย่างน้อยก็ต้องผ่านการกลั่นร่างขั้น5 เมื่อก่อนหลัวซิวมีพละ
กำลังที่อ่อนแอมาก ดังนั้นจึงไม่เคยคิดที่จะเดินในหนทางนี้มาก่อน
แต่เพื่อการยกระดับผลการฝึกตนของตนเองให้รวดเร็วขึ้นได้ ทางเดียวที่เขาสามารถเลือกได้ก็คือ เป็นนักล่าอสูร
นักล่าอสูรสามารถได้รับภารกิจต่าง ๆ จากแก๊ง เมื่อสำเร็จก็จะได้รับค่าตอบแทน และพวกเขาสามารถออกไปสร้างกลุ่มนักล่าได้อย่างอิสระ เมื่อได้ของมาก็สามารถจัดการด้วยตนเองหรือจะนำมาขายให้กับแก๊งก็ได้ นักล่าอสูรบางคนที่มีความสามารถที่แข็งแกร่ง มีรายได้ที่ไม่ด้อยไปกว่าอาชีพพิเศษทั้งสามอาชีพเลย
แก๊งนักล่าอสูรตั้งอยู่ใจกลางเมือง นี่คือเป็นถือเป็นพื้นที่ที่คึกคักที่สุดในเมืองชิงหยุน บนอาคารสูง มีสัญลักษณ์เป็นดาบสองเล่มที่ไขว้กันอยู่
นี่เป็นครั้งแรกที่หลัวซิวมาที่นี่ ห้องโถงใหญ่กว้างขวางโออ่า มีนักยุทธ์หลายคนกำลังถือดาบอยู่ พวกเขามีปราณที่แข็งแกร่งและพูดจาฉะฉาน
“ยอดฝีมือเยอะจริง ๆ !”
ในสายตาของหลัวซิว ลายเส้นชีวิตของนักยุทธ์เหล่านี้ช่างสมบูรณ์แบบ เขาสามารถแยกแยะความแข็งแกร่งของคนเหล่านี้ผ่านลายเส้นชีวิตได้
เขาพบว่าที่นี่มีผู้ฝึกยุทธ์ระดับการกลั่นร่างขั้น8และ9อยู่เป็นจำนวนมาก ส่วนเด็กน้อยที่อยู่เพียงระดับการกลั่นร่างขั้น5เช่นเขา ก็เป็นได้เพียงแค่ไอ้กระจอกในชั้นต้นเท่านั้น นักยุทธ์ในแดนฝึกชี่ไห่เอง หลัวซิวก็เห็นอยู่หลายคน
ด้วยวัยเพียงสิบสามปี ทำให้ใบหน้าของหลัวซิวยังดูอ่อนเยาว์อยู่เล็กน้อย ดังนั้นเมื่อเขามาถึงที่นี่ จึงดึงดูดสายตาของผู้คนไม่น้อย
“ฮ่าฮ่า เจ้าหนู ดูเนื้อตัวที่บอบบางของเจ้าสิ ที่นี่คือแก๊งนักล่าอสูรนะ เจ้ามาผิดที่หรือเปล่า ?”
มีผู้ฝึกยุทธ์ระดับการกลั่นร่างขั้น9ผู้หนึ่งชี้นิ้วมาที่หลัวซิวแล้วหัวเราะลั่น บนหน้าอกของเขามีตราสัญลักษณ์ดาบไขว้ ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงฐานะนักล่าอสูรของเขา
“ข้าว่าคงเป็นลูกศิษย์ของสำนักยุทธ์ที่อยากจะเข้ามาขอตราสัญลักษณ์นักล่าอสูร จะได้เอาไปคุยโวโอ้อวดให้ลูกศิษย์คนอื่น ๆ ฟังได้”
“ฮ่าฮ่า ตราสัญลักษณ์ของนักล่าอสูรได้กันง่าย ๆ อย่างั้นเลยหรือ ? ข้าว่าเจ้าหมอนี่คงจะต้องล้มเหลวอย่างแน่นอน ไม่แน่ว่าแม้กระทั่งชีวิตก็อาจต้องทิ้งเอาไว้ที่นี่ !”
“มันก็ไม่แน่หรอกนะ แล้วถ้าเจ้าหมอนี่ผ่านการทดสอบล่ะ ?”
“เจ้าแปดจู มาลองเดิมพันกันไหมล่ะ ?”
หลัวซิวไม่ได้สนใจคนพวกนี้ แต่เมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ เขาก็สัมผัสได้ถึงความกล้าหาญ ความอิสระและความเรียบง่ายของผู้ฝึกยุทธ์
นักล่าอสูรทุกคนที่อยู่ที่นี่ ล้วนแล้วแต่ใช้ชีวิตอยู่กับคมหอกคมดาบและกลิ่นคาวเลือด พวกเขามีรัศมีของความดุร้าย แต่นี่ไม่ทำให้หลัวซิวรู้สึกกลัว แต่กลับทำให้เขายิ่งกระตือรือร้น !
“ไม่แน่ว่าในตัวของข้าอาจมีความกระหายเลือดและบ้าดีเดือดฝังอยู่ในกระดูกก็ได้ ไม่แน่ว่านี่อาจจะเป็นชีวิตแบบที่ข้าต้องการที่แท้จริง !” หลัวซิวกำหมัดแน่น จากนั้นจึงเดินตรงเข้าไปยังจุดรับรองของห้องโถงนักล่าอสูร
คนที่ออกมาต้อนรับหลัวซิวเป็นหญิงสาวรูปร่างหน้าตางดงามคนหนึ่ง บนใบหน้าของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้มอย่างมืออาชีพ แต่เมื่อเห็นใบหน้าที่อ่อนเยาว์ของหลัวซิว นางก็อดไม่ได้ที่จะผงะไป
แต่นางก็สามารถตั้งสติกลับมาได้อย่างรวดเร็ว และพูดด้วยรอยยิ้ม : “น้องชายท่านนี้ ไม่ทราบว่ามีอะไรให้ช่วยหรือเปล่า ?”
“น้องชาย ?” หลัวซิวมีท่าทีเก้อเขิน แต่ปัญหาเรื่องอายุ ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะสามารถแก้ไขได้
“สวัสดีครับ ข้าอยากจะเข้ามาสมัครเป็นนักล่าอสูร” หลัวซิวพูด
“อะไรนะ ?” หญิงสาวผงะไปอีกครั้ง “น้องชาย เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าจะมาสมัครเป็นนักล่าอสูร ?”
หลัวซิวพยักหน้าโดยไม่ลังเล อีกทั้งยังพูดเสริมอีกว่า : “ข้าชื่อหลัวซิว”
เมื่อเห็นใบหน้าที่แดงก่ำของหลัวซิว หญิงสาวก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบา ๆ “ได้สิน้องหลัวซิว”
“หึ !” ความซุกซนของหญิงสาวแผนกต้อนรับ ทำให้หลัวซิวรู้สึกเบื่อหน่าย
“ฮ่าฮ่า ชานชาน เจ้าคงไม่ได้ชอบเจ้าหมอนั่นหรอกนะ ?”
“ชานชานเป็นสาวงามอันดับหนึ่งในแก๊งนักล่าอสูรแห่งเมืองชิงหยุนเรา คนที่คิดจะจีบนางต่อแถวกันยาวเป็นหางว่าว ตั้งแต่เหนือจรดใต้ ตะวันออกจรดตะวันตก แล้วจะมาชอบหญ้าอ่อนเช่นนี้นะหรือ ?”
“อย่าเลยชานชาน หมอนั่นตัวกะเปี๊ยก จะแข็งแกร่งบึกบึนเช่นข้าได้อย่างไร ?”
ในห้องโถงมีนักล่าอสูรที่คุ้นเคยกันหลายคนกำลังพูดคุยหยอกล้อ
พนักงานต้อนรับสาวที่ชื่อชานชานผู้นี้ เมื่อถูกพวกเขาหยอกล้อก็อดไม่ได้ที่จะเขินอายจนหน้าแดง จากนั้นจึงทำท่าทีเบื่อหน่าย แล้วเอ่ยปากพูดออกมาเบา ๆ ว่า : “คนที่อยากจะเป็นผู้ชายของข้า เจียงชานชาน รอให้เจ้าได้เป็นนักล่าอสูรระดับ4ดาวเสียก่อนเถอะ แล้วค่อยมาว่ากัน”
“ให้ตายเถอะ นักล่าอสูรระดับ4ดาว ? ดูเหมือนชาตินี้ข้าจะหมดหวังแล้ว……”
นักล่าอสูรหลายคนทุบอกกระทืบเท้า แล้วหัวเราะออกมาเสียงดัง
“นี่ ข้าจะมาสมัครเป็นนักล่าอสูรนะ !” หลัวซิวตบโต๊ะ รู้สึกว่าตนเองนั้นถูกละเลย
การเคลื่อนไหวของหลัวซิว ทำให้บรรดานักล่าอสูรในห้องโถงใหญ่หัวเราะเสียงดังออกมาอีกครั้ง
เจียงชานชานเองก็หันมองหลัวซิวเช่นเดียวกัน นางหุบยิ้ม แล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจัง : “น้องหลัวซิว การสมัครเป็นนักล่าอสูรไม่ใช่เรื่องล้อเล่น เพื่อความปลอดภัยของเจ้า หวังว่าเจ้าจะลองพิจารณาดูดี ๆ อีกครั้งแล้วค่อยตัดสินใจ”
“อะไรนะ ? เป็นนักล่าอสูรอันตรายมากหรือ ?” หลัวซิวเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย
“ฮ่าฮ่า เจ้าหมอนี่ไม่ได้เป็นแค่ไอ้กระจอกเท่านั้น แต่ยังเป็นไอ้กระจอกขั้นสุดอีกด้วย แม้กระทั่งกฎพื้นฐานง่าย ๆ ก็ยังไม่รู้”
“เจ้าหนู กลับบ้านไปกินนมเถอะนะ นักล่าอสูรไม่ได้เป็นกันง่าย ๆ ขนาดนั้นหรอก”
เมื่อได้ยินบทสนทนาของนักล่าอสูรที่อยู่ใกล้ หลัวซิวถึงได้รู้ว่า ถ้าอยากเป็นนักล่าอสูร เพียงแค่มีผลการฝึกตนเป็นไปตามเงื่อนไขนั้นยังไม่เพียงพอ แต่จะต้องผ่านการทดสอบด้วย
ในระหว่างการทดสอบย่อมมีอันตราย หากไม่มีความสามารถและความกล้าหาญที่มากพอ ต่อให้เป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับการกลั่นร่างขั้น7 ก็ใช่ว่าจะผ่านการทดสอบนี้ไปได้
“ข้าต้องการเข้าร่วมการทดสอบ” หลังจากหลัวซิวทำความเข้าใจแล้ว เขาก็ยังคงพูดขึ้นอย่างแน่วแน่
เงียบ !
ห้องโถงใหญ่ของแก๊งนักล่าอสูรเงียบสงัดลงทันที
########################
บทที่ 13 ต้องการพัฒนาให้เร็วขึ้น
ได้ยินมาว่าผลการฝึกยุทธ์หากไต่เต้าไปถึงระดับแดนพรสวรรค์ ก็ถือว่าเกินขีดจำกัดของมนุษย์ทั่วไป และมีอายุยืนยาวได้ถึงสามร้อยปี !
และก่อนที่จะไปถึงระดับแดนพรสวรรค์ ถึงแม้จะเป็นนักยุทธ์แดนฝึกชี่ไห่ ก็จะมีความแข็งแกร่งยิ่งกว่ามนุษย์ธรรมดาทั่วไป
“ดูเหมือนว่าข้าจะต้องรีบพัฒนาอย่างรวดเร็วแล้ว !”
เมื่อการทดสอบประจำปีใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ไม่เพียงแต่หลัวซิวจะไม่รู้สึกกังวลใจใด ๆ แต่ในใจของเขากลับยิ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้
หมัดเสือมังกรกำลังพัฒนาไปอย่างมั่นคง แม้จะยังอยู่ในแดนบรรลุผล แต่ก็ถือว่าอยู่ไม่ไกลจากแดนบริบูรณ์มากนัก
มีเพียงแค่ท่าร่าง《ก้าวสั้น》เท่านั้นที่พัฒนาไปค่อนข้างช้า ดังนั้นหลัวซิวจึงเพิ่มระดับความยากให้กับตนเอง เขานำหนามแหลมคมไปโรยเอาไว้จนทั่วเขตท่อนซุงที่ฝึกท่าร่าง หากทำเช่นนี้ เมื่อเขาก้าวพลาดเพียงแค่หนึ่งก้าว เขาก็จะต้องตกลงไปและถูกหนามแหลมทิ่มแทงจนบาดเจ็บ
ไม่เพียงแค่นี้ เขายังตัดท่อนซุงแต่ละท่อนให้มีขนาดเล็กลง เพื่อบังคับให้ตนเองก้าวพ้นขีดจำกัดไปได้ !
การฝึกอย่างบ้าคลั่งของเขา ทำให้ดึงดูดความสนใจของบรรดาลูกศิษย์สำนักยุทธ์ในช่วงนี้ได้ไม่น้อย โดยเริ่มต้นจากบรรดาลูกศิษย์ที่เข้ามาฝึกฝนท่าร่างในสถานที่แห่งนี้เป็นผู้นำออกไปบอกเล่า
คนกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันในที่ไม่ไกลนักเพื่อมองดูหลัวซิวฝึกฝนท่าร่างอยู่บนท่อนซุงที่ถูกเหลาให้เล็ก เสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่บนร่างกายก็ขาดรุ่งริ่ง ทั่วทั้งร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล อีกทั้งบนพื้นด้านล่างก็เต็มไปด้วยหนามแหลมคม และมีเลือดสาดกระจายอยู่ทุกที่ จนปลายหนามแหลมมีสีดำขลับ
“เจ้าหมอนี่อยากตายหรืออย่างไร ?”
“ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมความแข็งแกร่งของเขาจึงเพิ่มขึ้นรวดเร็วขนาดนี้ การฝึกตนอย่างเอาเป็นเอาตายเช่นนี้ จะไม่ให้พัฒนาอย่างรวดเร็วได้อย่างไร !”
ใครก็ตามที่เห็นการฝึกยุทธ์ของหลัวซิวก็มักจะรู้สึกตกใจ บางคนที่มาจากครอบครัวที่ยากจนเช่นเดียวกันก็ได้รับแรงบันดาลใจ และเริ่มที่จะฝึกฝนความแข็งแกร่งและบำเพ็ญตนอย่างหนัก
บนท่อนซุง หลัวซิวฝึกท่าร่างก้าวสั้นจนถึงจุดสูงสุดของแดนสำเร็จน้อยแล้ว แต่หากจะพูดถึงแดนบรรลุผลนั้น ก็ดูเหมือนจะห่างไกลอยู่อีกหนึ่งก้าว
เขาปิดตาและเคลื่อนไหวอยู่บนท่อนซุงอย่างรวดเร็ว บางครั้งก็กระโดดไปด้านหน้า บางครั้งก็กระโดดไปด้านข้าง บ้างก็กระโดดถอยหลัง เป็นการเคลื่อนไหวที่ไม่แน่นอน ซึ่งถือเป็นการฝึกฝนโดยใช้กลอุบาย
หากฝึกฝนท่าร่างทักษะยุทธ์โดยใช้กลอุบาย ถึงแม้จะทำจนชำนาญ อย่างมากก็อยู่ได้แค่ระดับขั้นปฐมภูมิ มีเพียงการทำความเข้าใจถึงแก่นแท้ของแนวคิดเท่านั้น จึงจะสามารถก้าวเข้าสู่แดนสำเร็จน้อยได้
แต่ถ้าหากต้องการสำเร็จถึงแดนบรรลุผลหรือแม้กระทั่งแดนบริบูรณ์ จะอาศัยเพียงแค่การเข้าในถึงแก่นแท้เพียงอย่างเดียวไม่ได้ แต่จะต้องอาศัยโอกาสและจังหวะด้วย
บางครั้งอาจสามารถฉวยโอกาสได้อย่างฉับพลัน ทำให้การฝึกยุทธ์ทั้งหมดพ้นขีดจำกัด และบรรลุถึงระดับที่สูงกว่า
การฝึกยุทธ์ไม่มีทางลัด พรสวรรค์และความถนัดถือเป็นสิ่งสำคัญ หัวใจของยุทธ์ โอกาสและจังหวะเองก็ถือเป็นสิ่งที่สำคัญเช่นเดียวกัน
เมื่อก่อนรู้สึกสับสน และไม่รู้ว่าอะไรคือยุทธ์ กระทั่งได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับลูกแก้วอัญมณีแห่งความเป็นความตาย หลัวซิวถึงเป็นผู้ที่เข้าใจในยุทธ์อย่างแท้จริง
ถึงแม้ผลการฝึกตนของเขายังอยู่ในระดับต่ำ แต่เขาก็มีหัวใจของยุทธ์แล้ว !
“แดนบรรลุผล !”
บนท่อนซุง จู่ ๆ ร่างกายของหลัวซิวก็ไม่ขยับ ลมขยับ เมฆขยับ ฟ้าดินขยับ มีเพียงข้าที่ไม่ขยับ !
เขาลืมตาขึ้นทันที แล้วเผยรอยยิ้มที่มุมปากออกมา เขากระโดดลอยออกไปไกล แล้วหายลับไปจากสายตาของทุกคน
“เขาเคลื่อนไหวรวดเร็วมาก หรือว่าท่าร่างของเขาจะบรรลุถึงระดับแดนสำเร็จน้อยแล้ว ?”
“ได้ยินมาว่าหลัวซิวเลือกรับวิชายุทธ์ระดับ2มาจากหอเก็บหนังสือทั้งหมด3กระบวนท่า ได้แก่ 《วิชาสลับเอ็นหลอมกระดูก》《หมัดเสือมังกร》และ《ก้าวสั้น》”
“《วิชาสลับเอ็นหลอมกระดูก》ถือว่าธรรมดา แต่《หมัดเสือมังกร》และ《ก้าวสั้น》นั้น ถือว่าเป็นวิชายุทธ์ที่ขึ้นชื่อว่ายากที่สุดในวิชายุทธ์ระดับ2 มีหลายคนเคยเลือกฝึกฝน แต่การจะบรรลุถึงระดับปฐมภูมิยังถือเป็นเรื่องที่ยาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแดนสำเร็จน้อย”
“ดูเหมือนครั้งก่อนที่หลัวซิวประมือกับจ้าวเหลี้ยง 《หมัดเสือมังกร》ที่เขาแสดงออกมา สามารถทัดเทียมกับแดนสำเร็จน้อยของทักษะยุทธ์ระดับ3ได้ นั้นหมายความว่าหมัดเสือมังกรของเขาพัฒนาถึงระดับแดนบรรลุผลแล้ว !”
ทุกคนต่างวิพากษ์วิจารณ์ไปต่าง ๆ นานา ต่างถกเถียงกันถึงความแข็งแกร่งของหลัวซิวในปัจจุบัน แดนบรรลุผลของหมัดเสือมังกรถือเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาของทุกคน แต่ท่าร่างฝึกฝนได้ยากกว่าทักษะยุทธ์ ทุกคนจึงรู้สึกว่าแดนบรรลุผลถือว่ามีความเป็นไปได้น้อยอย่างมากคงบรรลุถึงระดับแดนสำเร็จน้อย
ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ก็ทำให้ทุกคนรู้สึกตกตะลึงไม่น้อย หมัดเสือมังกรระดับแดนบรรลุผล ก้าวสั้นระดับแดนสำเร็จน้อย ถึงแม้จะมีผลการฝึกตนอยู่เพียงแค่การกลั่นร่างขั้น5 แต่ด้วยความสามารถโดยรวมที่มี สามารถประมือกับผู้ที่อยู่ในระดับการกลั่นร่างขั้น7ได้อย่างสบาย ๆ
“การกลั่นร่างระดับเจ็ดทัดเทียมกับยอดฝีมือของชั้นกลางแล้ว เด็กคนนี้ช่างยอดเยี่ยมจริง ๆ”
“แต่ต่อให้เขาพยายามมากสักเท่าไหร่ หากต้องการจะเอาชนะจางห่ายก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อยู่ดี เพราะจางห่ายกำลังจะจบการศึกษาแล้ว ถึงเวลานั้นการกลั่นร่างของเขาจะต้องบรรลุถึงระดับการกลั่นร่างขั้น8 การทดสอบในวันนี้ เขาก็จะสามารถก้าวเข้าสู่ชั้นสูงได้แล้ว !”
“ปกติแล้วคนที่จะก้าวเข้าสู่ชั้นสูงของสำนักยุทธ์ได้ ล้วนแล้วแต่เป็นบรรดาหัวกะทิ จ้าวเหลี้ยงและจางห่ายไม่ใช่คนระดับเดียวกันเสียด้วยซ้ำ”
“ตระกูลจางมีอิทธิพลอย่างมากในเมืองชิงหยุน ไม่รู้ว่าตอนนั้นหลัวซิวคิดเช่นไร ถึงได้กล้ามีเรื่องกับคนตระกูลจาง ?”
ถึงแม้การแสดงฝีมือในแต่ละครั้งของหลัวซิวในช่วงนี้จะอยู่เหนือความคาดหมายของทุกคน แต่ก็ยังไม่มีใครเชื่ออยู่ดีว่าเขาจะสามารถเอาชนะผู้ที่บรรลุถึงการกลั่นร่างขั้น8อย่างจางห่ายได้
เมื่อทักษะยุทธ์และท่าร่างของเขาบรรลุถึงแดนบรรลุผลเรียบร้อยแล้ว หลัวซิวจึงกลับไปยังห้องพักของตนเอง
“เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ผลการฝึกตนของข้าถือว่าพัฒนาขึ้นช้ามาก” ภายในห้อง หลัวซิวขมวดคิ้วแน่น ผลการฝึกตนของเขาบรรลุถึงขั้นสูงสุดของการกลั่นร่างขั้น5แล้ว แต่กลับไม่สามารถบรรลุไปถึงขั้น6ได้
การฝึกยุทธ์ต้องค่อย ๆ ไต่ขึ้นไปทีละขั้น ๆ โดยมีทั้งสิ้น 9 ขั้น ซึ่งหมายความว่าการที่จะปีนขึ้นสู่ขั้นที่9ได้นั้น แต่ละขั้นล้วนมีความยากที่เพิ่มขึ้น
ความยากลำบากในการฝึกยุทธ์ไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่พูดกัน โดยเฉพาะในช่วงที่ผ่านมาที่ผ่านการฝึกฝนอย่างหนัก ทำให้หลัวซิวมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง
“ผลการฝึกตนถึงระดับที่ข้าเป็นอยู่ในตอนนี้ จำเป็นจะต้องอาศัยตัวช่วยบางอย่างจึงจะสามารถเพิ่มระดับความเร็วให้สูงขึ้นได้ มิเช่นนั้น ผลการฝึกตนสามารถยกระดับขึ้นได้ แต่อาจจะต้องใช้เวลานานเกินไป”
การฝึกกำลังภายใน หลัวซิวไม่เคยละเลยมาก่อน แต่หากอาศัยเพียงการเคลื่อนไหววรยุทธ์เพื่อซึมซับพลังจิตของปฐพี การเพิ่มระดับของปราณในดูเหมือนจะช้ามาก
วิธีการเสริมในการฝึกยุทธ์ ที่เห็นได้บ่อยที่สุดก็คือยาทิพย์และค่ายกล สำหรับผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ในขั้นของการกลั่นร่าง ยาทิพย์ถือเป็นยาชั้นหนึ่ง และเป็นวิธีการที่ถูกใช้มากที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ค่ายกลมีราคาที่แพงกว่า
แต่หลัวซิวรู้ฐานะของตนเองดี ทุกเดือนครอบครัวจะต้องพึ่งพาพ่อ ซึ่งมีรายได้เพียงยี่สิบถึงสามสิบตำลึงแต่ยาฝึกปราณหนึ่งเม็ดนั้น มีราคาหลายแสนตำลึง !
ตัวอย่างเช่นในครั้งนี้ที่จางห่ายเก็บตัวเพื่อบรรลุการกลั่นร่างขั้น8 เขาก็จะใช้ยาฝึกปราณ ค่าใช้จ่ายแต่ละครั้งในการเก็บตัว สูงกว่าที่ครอบครัวสามัญชนคนธรรมดาจะหาได้ทั้งชีวิต
หลัวซิวรู้ดีว่า หาไม่คิดหาวิธีอะไรสักอย่าง การที่เขาจะบรรลุแดนชี่ไห่และกลายเป็นนักยุทธ์อย่างแท้จริง ไม่รู้จะต้องรออีกนานแค่ไหน
การทดสอบที่จะเกิดขึ้นในอีกหนึ่งเดือนหลังจากนี้ หลัวซิวไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจ ถึงแม้จะเป็นการต่อสู้กับจางห่าย เขาเองก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้เช่นกัน เพราะเป้าหมายของเขาอยู่สูงกว่านี้มาก
สิ่งที่นักยุทธ์จำนวนมากคาดหวังที่สุดในชีวิตก็คือการบรรลุถึงแดนฝึกชี่ไห่ หากมีเป้าหมายที่สูงอีกสักหน่อย ก็คือการได้เป็นนักยุทธ์ในแดนพรสวรรค์
แต่หลัวซิวกลับไม่รู้สึกพอใจ เมื่อผนึกรวมกับลูกแก้วอัญมณีแห่งความเป็นความตายแล้ว และได้รับสิทธิพิเศษมากมาย หากเขาไม่สามารถประสบความสำเร็จอย่างสูงสุดในยุทธ์ได้ เขาคงรู้สึกผิดกับตนเองไม่น้อย
“ควรจะต้องทำอะไรบางอย่างแล้ว” หลัวชิวหรี่ตาลง เขาคิดแผนการบางอย่างขึ้นมาในใจ
เมื่อชิงหยุนมีอาณาเขตที่กว้างขวาง มีประชากรอยู่ประมาณหนึ่งแสนคน สำนักยุทธ์ตั้งอยู่ใจกลางเมือง มีสถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวกในการฝึกยุทธ์มากที่สุด และยังมีพื้นที่ขนาดใหญ่อีกด้วย
จุดประสงค์ของสำนักยุทธ์คือการฝึกฝนนักยุทธ์วัยหนุ่มสาว และเฟ้นหาผู้ที่มีพรสวรรค์โดดเด่น เพื่อนำตัวไปใช้งานในราชสำนักและนิกายต่าง ๆ
โดยปกติแล้ว ลูกศิษย์ของสำนักยุทธ์จะไม่ออกไปไหน นอกเสียจากว่าตนเองจะเป็นลูกศิษย์ที่อาศัยอยู่ในเมืองชิงหยุน
########################
บทที่ 12 เต็มใจเดิมพันจึงต้องยอมรับความพ่ายแพ้
“เจ้าหนูแซ่หลัว อย่าให้มันมากนักนะ !” จ้าวเหลี้ยงพูดขึ้นด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
“การเดิมพันครั้งนี้เจ้าเป็นคนเสนอเอง แล้วทำไมจู่ ๆ ถึงกลับคำเสียล่ะ ? ทุกคนกำลังมองดูเจ้าอยู่นะ !” หลัวซิวพูดพลางยิ้มเยาะ
ในฐานะที่เป็นผู้ที่มักจะโดนดูถูกให้อับอาย หลัวซิวรู้ดีว่าหากวันนี้เขาละเว้นจ้าวเหลี้ยง อีกฝ่ายไม่เพียงแต่จะไม่รู้สึกซาบซึ้งเท่านั้น แต่จะจดจำความแค้นที่มีต่อตนเองเอาไว้อีกด้วย
“ฝึกทักษะยุทธ์ได้ดี ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีพละกำลังที่แข็งแกร่ง เจ้าอย่าคิดได้คืบจะเอาศอกไปหน่อยเลย !” จ้าวเหลี้ยงเผยแววตาที่โหดเหี้ยมออกมา
“ใช่แล้ว หลัวซิว ในเมื่อเจ้าชนะแล้ว ทำไมยังจะต้องทำให้ต่างฝ่ายต้องลำบากใจด้วยล่ะ ?”
“ทุกคนล้วนเป็นลูกศิษย์ของสำนักยุทธ์เหมือนกัน อย่างไรเสียก็ต้องพบเจอหน้ากันอยู่ดี หากเจ้าต้องการให้จ้าวเหลี้ยงก้มหัวคารวะเพื่อรับผิดจริง ไม่คิดว่ามันเกินกว่าเหตุไปหน่อยหรือ”
ในฝูงชน มีบางคนที่โดยปกติมีความสัมพันธ์อันดีกับจ้าวเหลี้ยงได้เอ่ยปากพูดขึ้นมา
แววตาของหลัวซิวเย็นชา เขาเหลือบไปมองคนที่พูดขึ้นเหล่านี้ แล้วแสยะยิ้มออกมาพลางพูดว่า : “ถ้าหากคนที่แพ้คือข้า พวกเจ้าจะปล่อยข้าไปอย่างนั้นหรือ ?”
คนเหล่านี้เมื่อถูกหลัวซิวเหลือบมอง ต่างก็ถอยร่นไปด้วยความหวาดกลัว อันที่จริงแล้วทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ไม่ใช่คนโง่ เพียงแต่ไม่มีใครออกมาพูดเข้าข้างหลัวซิว เพราะไม่อยากล่วงเกินจ้าวเหลี้ยง
“ข้าจะทำให้เจ้าพิการซะ !”
ในขณะที่หลัวซิวกำลังข่มขู่คนเหล่านั้นอยู่ จ้าวเหลี้ยงซึ่งยืนอยู่ตรงข้ามเขาก็รีบชิงลงมือในทันที ใบหน้าของเขาดุร้าย แขนทั้งสองข้างของเขาราวกับงูเหลือมที่เกี่ยวพันกันอยู่ ปราณในเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง
นี่เป็นอีกหนึ่งทักษะยุทธ์ที่อยู่ในระดับ3 เรียกว่า หมัดงูพิษคู่ ถึงแม้ไม่ทรงพลังเท่าหมัดแสงหลัว แต่ก็ลงมือด้วยความว่องไว ทำให้คู่ต่อสู้ไม่อาจป้องกันตัวได้ทัน
เขาตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะไม่มีวันยอมก้มหัวคารวะเพื่อขอโทษเด็ดขัด ดังนั้นจึงมีเพียงแค่การทำให้หลัวซิวพิการเท่านั้น ถึงแม้จะถูกคนอื่นกล่าวหาว่าไร้ยางอาย แต่ยังดีกว่าการไม่สามารถลืมตาอ้าปากได้อีกเลยตลอดชีวิต
หลัวซิวเองก็คิดไม่ถึงว่าจ้าวเหลี้ยงจะเป็นคนที่ร้ายกาจได้ถึงเพียงนี้ ตอนที่อีกฝ่ายพุ่งตรงเข้ามาเพื่อโจมตีที่เอวของเขาโดยตรง หากถูกปะทะเข้าจริง ๆ ไม่ตายก็คงจะต้องพิการอย่างแน่นอน
“ท่ามังกรทะยาน !”
หลัวซิวตะโกนออกมาด้วยความโกรธ เขาเคลื่อนไหวปราณในจนถึงขั้นสูงสุด จากนั้นจึงกระโดดลอยตัวขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตี เขาเหยียดแขนทั้งสองข้างออกไป ราวกับมังกรที่กำลังโลดแล่นอยู่บนท้องฟ้า และพุ่งเข้าโจมตีจ้าวเหลี้ยงอย่างจัง
จ้าวเหลี้ยงหน้าถอดสี เขาคิดไม่ถึงเลยว่าหลัวซิวจะสามารถหลบหลีกการโจมตีของเขาได้อย่างฉิวเฉียดเช่นนี้ มิหนำซ้ำยังโจมตีกลับมาได้อีก
เขารีบเปลี่ยนกระบวนท่า มือทั้งสองข้างปรากฏแสงสว่างจาง ๆ ออกมา เขาเลือกโจมตีโดยใช้ทักษะยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา หมัดแสงหลัว
“ตุบ !”
หมัดของทั้งสองคนปะทะกัน คนที่อยู่รอบข้างต่างรับรู้ได้ถึงความรู้สึกเจ็บปวดบนใบหน้าจากการที่ถูกกระแสลมพัดผ่านหน้าไป
ร่างกายของจ้าวเหลี้ยงสั่นเทา หมัดของเขาเกิดความรู้สึกเจ็บปวดขึ้นอย่างรุนแรง กระแสเลือดปั่นป่วนอยู่ในปราณใน จนเขาแทบจะกระอักเลือดออกมา
“คุกเข่าลงเดี๋ยวนี้ !”
ตอนนี้เอง หลัวซิวยื่นมือออกไปจับ ปฏิกิริยาแรกของจ้าวเหลี้ยงคือการยกมือขึ้นป้องกันแต่แขนทั้งสองข้างของจ้าวเหลี้ยงราวกับสูญเสียความรู้สึกไปแล้ว และไม่ยอมเชื่อฟังเขา
ฝ่ามือของหลัวซิวเคลื่อนใกล้ใบหน้าของเขาเข้ามาทุกที ๆ แล้วกดลงไปบนหัวของเขา
มีแรงมหาศาลที่ปะทะลงมาบนร่างกาย จากนั้นเข่าทั้งสองข้างของเขาก็รู้สึกเจ็บปวด เขาถูกปลายเท้าของหลัวซิวเตะเข้า จนคุกเข่าลงนั่งดังพรวด
“ชายชาตรีต้องรักษาสัจจะ กล้าเดิมพันก็ต้องกล้ายอมรับความพ่ายแพ้”
ใบหน้าของหลัวซิวเย็นชา เขากดหัวของจ้าวเหลี้ยงลงไปโขกกับพื้นดังตุบ
ความเจ็บปวดบนร่างกาย ไม่สู้ความอัปยศอดสูที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ จ้าวเหลี้ยงโกรธแค้นจนถึงขีดสุด เขากระอักเลือดออกมาและหมดสติไปในทันที
บรรยากาศโดยรอบเงียบสงัด ไม่มีใครคาดคิดเลยว่า ผลลัพธ์ที่ออกมาจะเป็นเช่นนี้
หลัวซิวเหลือบมองทุกคนที่ยืนอยู่โดยรอบ จากนั้นจึงแสยะยิ้มออกมา แล้วเดินจากไป
ฝูงชนรีบหลีกทางให้โดยเร็ว ตอนนี้ไม่มีใครกล้าขวางทางหลัวซิวอีก
“เจ้าหลัวซิวชั้นต้นคนนี้ ช่างแปลกประหลาดจริง ๆ !”
“ได้ยินมาว่าบางคนค้นพบพรสวรรค์ในการฝึกยุทธ์ช้าไปสักหน่อย แต่เมื่อสั่งสมพลังมากพอ ความแข็งแกร่งของเขาก็จะพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว !”
“เมื่อครู่ตอนที่เขาเหลือบมองทุกคน ดูเหมือนว่ากำลังต้องการส่งสัญญาณเตือนว่า ต่อไปให้พวกเจ้าระวังตัวเอาไว้เช่นกัน อย่าได้ล่วงเกินข้าเป็นอันขาด”
“จ้าวเหลี้ยงจบเห่แล้วจริง ๆ ครั้งนี้เขารนหาที่เอง ส่งตัวเองเข้าไปให้หลัวซิวเหยียบย่ำ”
หลายคนกำลังยืนวิพากษ์วิจารณ์ แต่ไม่มีใครกล้าปฏิเสธความสามารถของหลัวซิว เพราะในสำนักยุทธ์ คนที่มีความสามารถที่แข็งแกร่งจึงจะสามารถยืนหยัดอยู่ได้ จึงจะสามารถได้รับความเคารพนอบน้อมจากผู้อื่น
เมื่อออกมาจากเขตศิลาดำ หลัวซิวก็ไม่ได้กลับไปยังที่พักของตนเอง แต่กลับเข้าไปในป่าไผ่แห่งหนึ่ง
ภายในป่าไผ่มีพื้นที่โล่งกว้างมากมาย ทุกพื้นที่โล่งจะมีท่อนซุงตอกอยู่ สูงบ้างเตี้ยบ้าง ยาวบ้างสั้นบ้าง และระยะห่างของท่อนซุงแต่ละต้นก็ไม่เท่ากัน และมีความสลับซับซ้อน
เวลาที่ลูกศิษย์ในสำนักยุทธ์ต้องการที่จะฝึกท่าร่าง ก็มักจะเลือกสถานที่แห่งนี้
หลัวซิวกระโดดขึ้นไปบนท่อนซุงต้นหนึ่ง บนท่อนซุงแต่ละต้นจะเห็นวงปีในต้นไม้ที่บ่งบอกถึงอายุ ทุกปีสำนักยุทธ์จะมีการรับลูกศิษย์เข้ามาใหม่ คนหนุ่มสาวที่ฝักใฝ่ในทางยุทธ์และไม่กลัวความยากลำบาก ก็มักจะมาฝึกยุทธ์ที่นี่ทุกปี
ต้องผ่านความยากลำบากอย่างแสนสาหัสมา ถึงจะกลายเป็นคนเหนือคน ตอนที่หลัวซิวยังเป็นเด็ก พ่อเคยบอกเหตุผลเรื่องนี้แก่เขา ปีแรกที่เพิ่งก้าวเข้ามาในสำนักยุทธ์ ตอนที่อาจารย์เข้าสอนในครั้งแรก ก็ได้บอกเหตุผลเรื่องนี้กับทุกคนเช่นเดียวกัน
เส้นทางการเคลื่อนไหวเส้นลมปราณของท่าร่างระดับ2《ก้าวสั้น》ปรากฏขึ้นในสมอง ขณะเดียวกันกับที่ผังลายเส้นชีวิตกำลังพัฒนา จู่ ๆร่างกายของหลัวซิวที่อยู่บนท่อนซุงก็ขยับ
“ฟิ้ว !”
เขาเขย่งเท้าเล็กน้อย และยกตัวเองให้สูงขึ้น จากนั้นจึงกระโดดจากท่อนซุงที่เตี้ยกว่าไปยังท่อนซุงที่สูงกว่า เร่มแรกการเคลื่อนไหวร่างกายของเขาค่อนข้างช้า ต้องอาศัยเวลาสักพักเพื่อให้คุ้นชินกับจังหวะของท่าร่าง แต่ในตอนท้าย ความเร็วของเขก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
“ตุบ !”
จู่ ๆ เขาเกิดก้าวพลาด เพราะระยะห่างระหว่างไม้แต่ละท่อนนั้นแตกต่างกัน หากเคลื่อนไหวค่อนข้างช้า ก็ยังสามารถจับทิศทางได้อย่างแม่นยำ แต่เมื่อความเร็วเพิ่มขึ้น ก็ง่ายที่จะเกิดข้อผิดพลาด
เมื่อหล่นลงมาจากท่อนซุง หลัวซิวก็กระโดดกลับขึ้นไปอีกครั้ง แล้วเริ่มฝึกฝนท่าร่างใหม่
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วโดยไม่รู้ตัว เขาจดจ่ออยู่กับการฝึกฝนท่าร่าง เขารู้สึกหลงใหลจนแทบจะลืมตัวเองไปเสียสนิท
นอกจากกำลังภายในแล้ว ท่าร่างของทักษะยุทธ์ก็ถูกแบ่งออกเป็น4ระดับเช่นกัน โดยแบ่งออกเป็นขั้นปฐมภูมิ แดนสำเร็จน้อย แดนบรรลุผล และแดนบริบูรณ์
แม้แต่ในวิชายุทธ์ระดับ2 หากสามารถฝึกตนถึงระดับแดนสำเร็จน้อยได้ ก็จะทัดเทียมกับขั้นปฐมภูมิของวิชายุทธ์ระดับ3 ส่วนแดนบรรลุผลจะทัดเทียมกับแดนสำเร็จน้อย และแดนบริบูรณ์จะทัดเทียมกับแดนบรรลุผลของวิชายุทธ์ระดับ3 !
ดังนั้นเว้นแต่จะอยู่ในระดับที่บรรลุถึงระดับเดียวกัน ยิ่งมีวิชายุทธ์ในระดับที่สูงยิ่งขึ้นเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีพลังที่แข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น แต่หากสามารถพัฒนาการฝึกวิชายุทธ์จากระดับต่ำไปสู่ระดับสูงได้ การใช้ความอ่อนแอเอาชนะความแข็งแกร่งก็ไม่ใช่เรื่องยาก
หลัวซิวอาศัยลูกแก้วอัญมณีแห่งความเป็นความตายนการทำความเข้าใจหมัดเสือมังกรอย่างถ่องแท้ ฝึกฝนจนถึงแดนบรรลุผล ส่วนจ้าวเหลี้ยงผู้นั้นฝึกทักษะยุทธ์ระดับ2สองกระบวนท่า และยังไม่อาจบรรลุได้ถึงขั้นปฐมภูมิ จึงไม่นับว่าเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้
ระยะเวลาครึ่งเดือน หลัวซิวเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับการฝึกตนอย่างหนัก ในช่วงกลางวันฝึกฝนทักษะยุทธ์และท่าร่าง ส่วนในช่วงกลางคืนฝึกกำลังภายใน และยกระดับผลการฝึกตนอยู่ภายในห้อง
ในช่วงนี้ ลูกศิษย์ทุกคนที่ต้องการเข้าร่วมการทดสอบประจำปี ล้วนแล้วแต่พยายามฝึกฝนอย่างเต็มที่เพื่ออนาคตของจนเอง
“ช่วงนี้จางห่ายไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ เลย ได้ยินคนอื่นพูดว่า ดูเหมือนช่วยก่อนเขาจะใช้เงินไปไม่น้อยในการซื้อยาฝึกปราณหนึ่งเม็ด เพื่อให้ตนเองบรรลุการกลั่นร่างขั้น8
เช้าตรู่วันนี้ หลัวซิวตื่นขึ้นมาจากการฝึกตน เขาพึมพำกับตัวเองในใจ
ผลการฝึกตนและความแข็งแกร่งของเขาค่อย ๆ พัฒนาไปอย่างมั่นคง ศัตรูของเขาเองก็พัฒนาขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน อีกทั้งเงื่อนไขในการฝึกตนของจางห่ายนั้นดีกว่าเขามาก
การฝึกยุทธ์ยิ่งเข้าสู่ช่วงท้ายยิ่งยากขึ้น ดังนั้นจึงต้องอาศัยปัจจัยภายนอกเข้ามาช่วยเสริมความเร็วในการฝึกตน จึงจะสามารถทำลายขีดจำกัดของพลังในตัวได้
########################
บทที่ 11 เดิมพันกันสักตา
“แน่นอนว่าลองมาแข่งกันว่าใครสามารถทิ้งร่องรอยเอาไว้บนแผ่นศิลาดำได้ลึกกว่ากัน เมื่อครู่เจ้าบ้าดีเดือดไม่น้อยมิใช่หรือ กล้าแข่งกันไหมล่ะ ?” เจ้าเหลี้ยงพูดขึ้นอย่างเย่อหยิ่งและมั่นใจ
“จริงด้วย สวะชั้นต้นอย่างเจ้ากล้ามาโอ้อวดที่นี่ หากมีความสามารถจริงก็แข่งกับเจ้าเหลี้ยงเสียหน่อยสิ”
“พวกที่มีความสามารถเพียงแค่หางอึ่ง แต่ชอบโอ้อวดไปทั่วอย่างเขา ถ้าหากสามารถเอาชนะจ้าวเหลี้ยงได้จริง ข้าจะยอมกินแผ่นศิลาดำเลยคอยดู !”
คนที่อยู่โดยรอยต่างพูดสมทบขึ้นมา คำพูดเต็มไปด้วยคำดูถูกเหยียดหยามหลัวซิวอย่างเปิดเผย
หลิวซิวไม่สนใจการแข่งขันที่ไร้ประโยชน์พวกนี้ แต่เขาเองก็รู้ดีว่าหากเขาปฏิเสธที่จะแข่งขันกับจ้าวเหลี้ยง คนพวกนี้คงจะต้องเอาเขาออกไปพูดนินทาว่าร้ายให้เสียหายอย่างแน่นอน
เขาแสยะยิ้มออกมาแล้วพูดว่า : “เจ้าคิดจะเดิมพันอะไร ?”
เมื่อเห็นหลัวซิวตอบตกลง จ้าวเหลี้ยงก็ผงะไปครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็นึกเยาะเย้ยขึ้นในใจ และแอบคิดว่าเจ้าหมอนี่ช่างแส่หาเรื่องจริง ๆ
“ฮ่าฮ่า ในเมื่อคิดจะเดิมพัน ก็ย่อมจะต้องมีสิ่งเดิมพันสักหน่อย ดูเหมือนคนยากไร้อย่างเจ้าคงจะไม่มีอะไรที่พอจะพนันได้ ถ้าเช่นนั้นเอาเป็นว่า ผู้แพ้จะต้องยอมคำนับผู้ชนะเพื่อยอมรับผิด !” จ้าวเหลี้ยงพูดเช่นนี้เพราะเขามั่นใจว่าหลัวซิวไม่มีทางที่จะเอาชนะเขาได้อย่างแน่นอน
เพราะเข้าอยู่ถึงระดับการกลั่นร่างขั้น6 มิหนำซ้ำยังฝึกตนในทักษะยุทธ์ระดับ3 หากเข้าใช้พลังทั้งหมดที่มีจริง ๆ เขาจะต้องทิ้งร่องรอยที่ชัดเจนเอาไว้ได้อย่างแน่นอน
ส่วนหลัวซิวเป็นเพียงแค่เด็กชั้นต่ำยากไร้คนหนึ่ง อย่างมากก็คงฝึกตนอยู่ในทักษะยุทธ์ระดับ2 และมีผลการฝึกตนที่ต่ำกว่าตนเอง จึงไม่มีเหตุผลที่จะเอาชนะตนเองได้เลย
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นที่นี่ ดึงดูดความสนใจของผู้คนไม่น้อย มีการบอกต่อกันไปปากต่อปาก ได้ยินมาว่ามีคนท้าประลองกับจ้าวเหลี้ยง ยิงเวลาผ่านไปนานก็ยิ่งมีคนเข้ามามุงดูมากยิ่งขึ้น
หลัวซิวคิดไม่ถึงเลยว่าจ้าวเหลี้ยงจะร้ายกาจเช่นนี้ ที่เดิมพันด้วยการคำนับ ถ้าหากเขาแพ้แล้วต้องคุกเข่าลงไปก้มหัวคำนับอีกฝ่ายต่อหน้าทุกคนจริง ๆ ชาตินี้เขาคงไม่อาจลืมตาอ้าปากได้อีกต่อไป
“ใครแพ้ต้องก้มหัวคำนับเพื่อรับโทษ เจ้าหมอนี่เมื่อครู่ยังพูดว่าคนอื่นไร้ความสามารถ ครั้งนี้ข้าจะขอดูซิว่าตัวเขาเองมีความสามารถอะไร !”
“เช่นนั้น ขอให้ทุกคนในที่นี้เป็นพยาน คิดว่าเขาคงไม่กล้าปฏิเสธ !”
หลายคนกำลังตั้งตารอชมเรื่องสนุก เรื่องทำนองนี้สำหรับลูกศิษย์ในสำนักยุทธ์ ถือเป็นเรื่องที่พบเห็นได้บ่อยครั้ง
“ได้ ข้ารับปาก !” หลัวซิวรับคำ ในเมื่ออีกฝ่ายบีบบังคับผู้อื่นเช่นนี้ เขาเองกคงไม่เกรงใจ เขาจะทำให้จ้าวเหลี้ยงผู้นี้ได้รู้ถึงผลลัพธ์ที่มาหาเรื่องคนอย่างตนให้ได้ !
ในขณะเดียวกัน หลัวซิวเองก็ตั้งใจจะใช้ประโยชน์จากเรื่องในครั้งนี้ ส่วนหนึ่งก็เพื่อไม่ใช้คนอื่นกล้ามาหาเรื่องตนอีก อีกส่วนหนึ่งยิ่งตนเองได้แสดงความสามารถที่โดดเด่นออกมามากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งสามารถดึงดูดความสนใจของผู้อาวุโสและอาจารย์ในสำนักยุทธ์ได้มากขึ้นเท่านั้น
หลัวซิวเข้าใจถึงภูมิหลังของครอบครัวตนเองดี หากเขาล่วงเกินบรรดาคุณชายทั้งหลายขณะที่อยู่ในสำนักยุทธ์ ก็คงไม่เกิดปัญหาตามมามากนัก แต่ทันทีที่ก้าวออกจากสำนักยุทธ์ คงมีคนบางกลุ่มที่กลับมาแก้แค้นเขาอย่างเปิดเผยและไม่เกรงกลัว แต่ถ้าหากเขาได้รับความสนใจจากสำนักยุทธ์ ฐานะของเขาก็จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
“ฮ่าฮ่า เจ้าหนู เจ้าจบเห่แน่ !”
เจ้าเหลี้ยงหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง ปราณในของเขาเคลื่อนไหว พร้อมทั้งตะโกนออกมาเสียงดังว่า : “เจ้าจงจับตาดูให้ดี ๆ !”
“หมัดแสงหลัว !”
มีแสงประกายจาง ๆ ส่องสว่างออกมาจากหมัดของจ้าวเหลี้ยง โดยปกติมีเพียงการกลั่นร่างขั้น7เท่านั้น ที่จะทำให้ปราณในส่องแสงสว่างได้ เห็นได้ว่าทักษะยุทธ์ที่เขาแสดงออกมานั้น ถือเป็นทักษะยุทธ์ขั้นสูงอย่างหนึ่ง ซึ่งต้องมีการฝึกตนขั้นต่ำอยู่ในระดับ3
“ตุบ !”
แผ่นศิลาดำสั่นคลอน เสียงดังหนักแน่นปรากฏขึ้น จ้าวเหลี้ยงรวบรวมพลังทั้งหมดที่มีในการปล่อยหมัด จึงปรากฏเป็นรอยหมัดที่ชัดเจนขึ้นบนแผ่นหิน
“ยอดเยี่ยมจริง ๆ !”
ผู้คนที่ยืนอยู่โดยรอบต่างโห่ร้องด้วยความตื่นเต้น
“เมื่อครู่ข้าเห็นหมัดของเจ้าเหลี้ยงส่องแสงสว่างของปราณในออกมา เห็นได้ชัดว่าการโจมตีของเขา สามารถทัดเทียมได้กับการกลั่นร่างขั้น7”
“จริงด้วย ถึงแม้จะไม่อาจเทียบเท่าได้กับการกลั่นร่างขั้น7จริง ๆ แต่ก็ต่างกันไม่มาก ดูเหมือนว่าผลการฝึกตนของจ้าวเหลี้ยงผู้นี้ คงจะใกล้บรรลุแล้ว”
ผู้คนต่างตกตะลึง ในขณะเดียวกันก็รู้สึกอิจฉาพรสวรรค์ในการฝึกยุทธ์ของจ้าวเหลี้ยง
การฝึกยุทธ์ พรสวรรค์ถือเป็นสิ่งสำคัญ เวลาที่เท่ากัน ทรัพยากรที่เท่ากัน บางคนฝึกตนถึง10ปี ยังเทียบไม่ได้กับผู้มีพรสวรรค์ที่ฝึกตนเพียงแค่ปีเดียว
ไม่เพียงเท่านี้ ทักษะยุทธ์แบบเดียวกัน คนที่มีพรสวรรค์มักจะเข้าใจความลับที่ซ่อนอยู่ภายในได้อย่างง่ายดาย และสามารถแสดงออกมาได้ด้วยพลังที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
จ้าวเหลี้ยงก้าวเข้าสู่ชั้นกลางตั้งแต่อายุ13ปี และแทบจะถูกกำหนดให้เป็นหนึ่งในสมาชิกของชั้นสูงอย่างชัดเจนแล้ว พรสวรรค์ในการฝึกยุทธ์ของเขาเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาของทุกคน
“เจ้าหนู ถึงตาเจ้าแล้ว รอก้มหัวคำนับข้าเสียดี ๆ !” จ้าวเหลี้ยงหันมองหลัวซิวอย่างทระนงตน
บนแผ่นศิลาดำ มีรอยหมัดสองรอยปรากฏอยู่อย่างชัดเจน รอยแรกเป็นรอยที่หลัวซิวชกเอาไว้ก่อนหน้านี้ ส่วนอีกรอย เป็นรอยที่จ้าวเหลี้ยงออกแรงทั้งหมดในการชกเมื่อครู่ แต่ว่ารอยชกของจ้าวเหลี้ยงดูเหมือนจะชัดเจนกว่าของหลัวซิว และทิ้งร่องรอยที่ลึกกว่า
หลัวซิวไม่พูดอะไร ตอนนี้ต่อให้เขาสรรหาคำพูดที่น่าฟังมาพูด ก็ไม่เท่ากับการแสดงความสามารถที่แท้จริงออกมา ซึ่งจะดูน่าเชื่อถือยิ่งกว่า
“ท่าเสือพิฆาต !”
เขาตะโกนออกมาเบา ๆ ร่างกายของเขาเริ่มขยับทันที ท่าทางของเขาดูราวกับเสือที่กำลังกระโจนลงมาจากภูเขา แล้วชกเขาไปที่แผ่นศิลาดำ
“นี่มัน……หมัดเสือมังกร ?”
“ได้ยินมาว่าถึงแม้หมัดเสือมังกรนี้จะอยู่ในวิชายุทธ์ระดับ2 แต่ดูเหมือนว่ามีคนจำนวนมากที่ฝึกตนเพียงแค่ผิวเผิน ไร้จิตวิญญาณ แต่ตอนที่หลัวซิวแสดงท่านี้ ดูเหมือนเขาจะเข้าใจถึงแก่นแท้ที่ซ่อนอยู่ภายใน
“เป็นไปไม่ได้ ? เจ้าหมอนี่มีพรสวรรค์ในการฝึกยุทธ์สูงถึงเพียงนี้เชียวหรือ ?”
การแสดงฝีมือของหลัวซิว ทำให้เกิดความประหลาดใจไม่น้อย
“ตุบ !”
ท่าเสือพิฆาตโจมตีเข้าใส่แผ่นศิลาดำ เร็วและแรงจนทำให้เกิดลมหมุน และทำให้ฝุ่นฟุ้งตลบอบอวล ช่างเต็มไปด้วยพลังที่มหาศาลจริง ๆ
ตอนนี้ทุกคนต่างหันไปมอง เพราะต้องการดูว่าหมัดของหลัวซิวจะทรงพลังสักแค่ไหน
วินาทีต่อมา บรรยากาศโดยรอบเงียบสงัดลง
“นี่……เป็นไปได้อย่างไร ?”
ตอนที่เจ้าเหลี้ยงเห็นรอยหมัดบนแผ่นศิลาดำ เขาก็ตกตะลึงจนอ้าปากค้าง ความรู้สึกทั้งหมดที่มี ดำดิ่งส่งสู้ก้นบึ้งในทันที
“พวกเจ้าดูสิ รอยหมัดของหลัวซิว ปรากฏเป็นรูปหัวเสือ !” มีคนตะโกนขึ้นด้วยความตกตะลึง
“จริงหรือ ?” คนอื่น ๆ เองต่างก็หันไปมองด้วยความอยากรู้
“ให้ตายเถอะ เป็นรูปของเสือที่กำลังอ้าปากคำรามอยู่จริง ๆ !”
“สวรรค์ นี้ข้าไม่ได้ตาฝาดไปใช่ไหม ?”
“ได้ยินมาว่ามีคนที่เข้าใจถึงแก่นแท้ของท่าเสือพิฆาตของหมัดเสือมังกรเท่านั้นที่จะสร้างผลลัพธ์เช่นนี้ออกมาได้ !”
“หมัดเสือมังกรมีทั้งหมดสองท่า มีอีกท่าหนึ่งเรียกว่าท่ามังกรทะยาน ไม่รู้ว่าเขาฝึกจนสำเร็จแล้วหรือยัง”
ฝูงชนต่างอุทานออกมาด้วยความตกตะลึงอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้สายตาที่ทุกคนหันมองหลัวซิว ไม่แสดงออกถึงความดูถูกอีกต่อไป แต่กลับเป็นสายตาที่แสดงออกถึงความตกใจถึงขีดสุด
เจ้าเหลี้ยงเองก็ตกตะลึงไปอย่างสมบูรณ์ บนแผ่นศิลาดำ ร่องรอยหมัดที่เขาทิ้งเอาไว้เมื่อครู่ กับร่องรอยที่เกิดจากท่าเสือพิฆาตจากหมัดเสือมังกรของหลัวชิว ไม่อาจเทียบกันได้เลยสักนิด
“เป็นไปไม่ได้ ! ต่อให้เป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับการกลั่นร่างขั้น7 ก็ไม่อาจทิ้งร่องรอยหมัดลักษณะนี้ได้ !” เจ้าเหลี้ยงรู้สึกเหลือเชื่อ ริมฝีปากของเขาสั่นเทา
ตอนนี้เอง บรรดาลูกศิษย์ที่แต่เดิมยืนอยู่ข้างจ้าวเหลี้ยง กำลังมองมาที่เขาด้วยแววตาสงสาร
การเดิมพันในครั้งนี้ เห็นพ้นแพ้ชนะชัดเจน
“ศิษย์พี่จ้าวเหลี้ยง ตามที่เราได้เดิมพันกันไว้ ตอนนี้ท่านควรจะก้มหัวคำนับยอมรับผิดใช่หรือไม่ ?” หลัวซิวพูดออกมาพลางแสยะยิ้ม
เขาไม่ได้ล่วงเกินจ้าวเหลี้ยงผู้นี้ตั้งแต่ต้น แต่อีกฝ่ายกลับรู้สึกว่าตนเองแย่งชิงจุดสนใจจึงคิดจะใช้วิธีบีบบังคับ และเสนอให้เดิมพันด้วยการก้มหัวคารวะเช่นนี้ ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อไม่ให้เขาสามารถลืมตาอ้าปากได้อีกต่อไป
จ้าวเหลี้ยงเองก็รู้ดีว่า หากวันนี้เขายอมก้มหัวคารวะเพื่อรับโทษจริง ต่อให้วันข้างหน้าเขามีโอกาสได้เข้าไปเป็นหัวกะทิในชั้นสูง แต่เขาก็จะกลายเป็นตัวตลกของทุกคนในสำนักยุทธ์อยู่ดี
########################
บทที่ 10 ฝึกตนเขตศิลาดำ
“ตุบ ! ตุบ ! ตุบ !”
เขตศิลาดำในลานฝึกยุทธ์ มีชายหนุ่มแต่งกายด้วยชุดสีดำ กำลังกวัดแกว่งหมัดไปมาอยู่ด้านหน้าป้ายศิลาดำก้อนหนึ่ง ทุกหมัดที่กระทบลงบนศิลาดำจะส่งเสียงที่หนักแน่น อีกทั้งยังทิ้งรอยยุบจาง ๆ เอาไว้อีกด้วย
แผ่นป้ายศิลาดำที่นี่ ทำมาจากวัสดุชนิดหนึ่งที่เรียกว่าศิลาดำ ศิลาดำมีความแข็งแกร่งอย่างมาก ต้องเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ในระดับการกลั่นร่างขั้น6ขึ้นไปทำนั้น จึงจะสามารถโจมตีแล้วทำให้ศิลาดำเกิดร่องรอยขึ้นได้
อีกทั้งศิลาดำยังมีความพิเศษอีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือ มันสามารถซ่อมแซมตนเองได้ ถึงแม้ตอนนี้จะเต็มไปด้วยรอยยุบ แต่ผ่านไปเพียงไม่กี่ชั่วยาม มันก็จะกลับมาเรียบสนิทอีกครั้ง
“เฮียจ้าวเหลี้ยงยอดเยี่ยมจริง ๆ ไม่เสียแรงที่เป็นยอดฝีมือของชั้นกลาง !”
“หากข้ามีพละกำลังที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้บ้างก็คงจะดี”
บริเวณใกล้ ๆ กับชายหนุ่มชุดดำ มีเสียงตะโกนด้วยความตื่นเต้นของบรรดาหญิงสาวดังขึ้นมาเป็นระยะ
หลัวซิวเองก็เคยได้ยินมาว่าชายหนุ่มชุดดำผู้นี้มีนามว่าจ้าวเหลี้ยง เป็นลูกศิษย์ในชั้นกลาง ฐานะทางบ้านมั่งคั่งร่ำรวย อายุเท่ากันกับหลัวซิว แต่เมื่อปีก่อน เข้าได้ผ่านการทดสอบเข้าสู่ระดับชั้นกลางเรียบร้อยแล้ว คาดว่าคงจะผ่านเข้าสู่การกลั่นร่างขั้น8ก่อนอายุ17ปี และคงได้ก้าวเข้าไปอยู่ในชั้นสูง
คนที่สามารถก้าวเข้าไปอยู่ในชั้นสูงได้นั้น ล้วนแล้วแต่เป็นเหล่าหัวกะทิของสำนักยุทธ์เมืองชิงหยุน และจะได้รับการบ่มเพาะ ดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ และนี้ก็เป็นความฝันที่ลูกศิษย์ในสำนักยุทธ์ทุกคนล้วนใฝ่หา
เขตศิลาดำมีแผ่นหินอยู่เป็นจำนวนมาก หลัวซิวเองจึงเลือกแผ่นหินในบริเวณที่ลับตาคน จากนั้นจึงเดินเข้าไป
แต่ทันทีที่เขามาถึงที่นี่ กลับดึงดูดความสนใจของคนจำนวนไม่น้อย
“เขาคนนั้นคือใครกัน ทำไมถึงได้มาฝึกตนที่เขตศิลาดำแห่งนี้ด้วย หรือว่าจะเป็นยอดฝีมือของชั้นกลางเช่นเดียวกัน ?”
มีคนชี้นิ้วมาทางหลัวซิวแล้วเอ่ยปากขึ้น เพราะปกติแล้วคนที่มาฝึกตนที่นี่ ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ในระดับการกลั่นร่างขั้น6ขึ้นไป
“ดูเหมือนเขาจะอยู่ชั้นต้นนะ ได้ยินมาว่าช่วงนี้มีผลงานโดดเด่นไม่น้อย มิหนำซ้ำยังทำร้ายลูกศิษย์ชั้นกลางที่อยู่ในระดับการกลั่นร่างขั้น5ที่ด้านหน้าหอเก็บหนังสืออีก” มีคนจำหลัวซิวได้
“อะไรนะ ?” เด็กหนุ่มชั้นต้นคนนี้ ทำร้ายลูกศิษย์ชั้นกลางอย่างนั้นหรือ ?” คนที่ไม่เคยได้ยินเรื่องของหลัวซิว ต่างแสดงความสนอกสนใจขึ้นมา
“หึ หากไม่ใช่ผู้ที่อยู่ในระดับการกลั่นร่างขั้น6ขึ้นไป ไม่มีทางทิ้งร่องรอยเอาไว้บนศิลาดำได้เด็ดขาด คิดว่าทำร้ายลูกศิษย์ระดับการกลั่นร่างขั้น5สองคนได้ แล้วตัวเองจะกลายเป็นยอดฝีมืออย่างนั้นหรือ ?”
มีบางคนหันมองหลัวซิวด้วยใบหน้าดูถูกเหยียดหยาม
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของทุกคน ทำให้จ้าวเหลี้ยงที่กำลังฝึกหมัดอยู่ได้ยินความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้น จึงเหลือบไปมองหลัวซิว
“เขตศิลาดำ ไม่ใช่ที่ที่สวะชั้นต้นจะเข้ามาได้” จ้าวเหลี้ยงพูดอย่างเย่อหยิ่งและไม่เกรงใจ
หลัวซิวไม่ได้สนใจ เขาใช้หมัดต่อยเข้าไปที่ศิลาดำทันที
“หมอนี่ ช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงจริง ๆ ดูซิว่าเขาจะทำเรื่องขายหน้าเช่นไร !”
“ตุบ !”
หมัดปะทะเข้ากับศิลาดำ หมัดนี้มีพลังที่หนักแน่น หลัวซิวไม่ได้ใช้ทักษะยุทธ์ใด ๆ และไม่ได้อาศัยแรงจากปราณในเป็นตัวเสริม
รอยยุบจาง ๆ ปรากฏขึ้นบนแผ่นศิลาดำ ซึ่งไม่แตกต่างจากร่องรอยที่จ้าวเหลี้ยงใช้หมัดโจมตีแผ่นหินเมื่อครู่นัก
หลัวซิวพยักหน้ากับตัวเอง หลังจากที่เขาหลอมรวมเข้ากับลูกแก้วอัญมณีแห่งความเป็นความตายแล้ว ไม่ใช่เพียงผลการฝึกตนของเขาเท่านั้นที่ยกระดับขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้กระทั่งพละกำลังของเขาเองก็ดูเหมือนกำลังพัฒนาด้วยเช่นกัน อาศัยเพียงแค่พละ
กำลังของร่างกายเพียงอย่างเดียว ก็สามารถทัดเทียมได้กับการกลั่นร่างขั้น6แล้ว
ในเวลาเดียวกันนี้ บรรดาลูกศิษย์ในสำนักยุทธ์ที่ดูถูกเย้ยหยันเขาและตั้งตารอคอยดูเขาขายหน้า จู่ ๆ ก็รู้สึกเสียหน้าและหุบยิ้มไปตาม ๆ กัน
จ้าวเหลี้ยงเองก็ขมวดคิ้ว สวะชั้นต้นในสายตาของเขา แต่กลับทำผลงานได้เทียบเท่ากับที่เขาทำ สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมาก
“เมื่อครู่เขาคงจะใช้ปราณในขั้นสูงสุด จากนั้นจึงแสงดทักษะยุทธ์วิชาหมัดออกมา ทำเช่นนี้ถึงจะทำให้เกิดร่องรอยบนศิลาดำได้”
“จริงด้วย ข้าเองก็คิดอย่างนี้เช่นกัน มิเช่นนั้นเด็กหนุ่มชั้นต้นอย่างเขา จะแสดงฝีมือระดับนี้ได้อย่างไรกัน เจ้าว่าจริงไหม เฮียจ้าวเหลี้ยง ?”
เมื่อได้ยินว่ามีคนเอ่ยถามตนเอง จ้าวเหลี้ยงก็เอามือไพล่หลัง จากนั้นจึงแสดงท่าทีเหมือนยอดฝีมือที่กำลังชี้นิ้วไปที่ผู้อื่นแล้วพูดว่า : “พวกเจ้าพูดถูกแล้ว แม้แต่ตัวข้าเองหากต้องการจะทิ้งร่องรอยเอาไว้บนศิลาดำ ก็ยังจะต้องอาศัยพลังเสริมจากปราณในเช่นเดียวกัน”
“เฮียจ้าวเหลี้ยงพูดขนาดนี้แล้ว แสดงว่าเจ้าหลัวซิวคงต้องอาศัยพลังจากทักษะยุทธ์เข้ามาช่วย ถึงจะสามารถสร้างผลลัพธ์เช่นนี้ออกมาได้”
“อาศัยพลังจากทักษะยุทธ์จะถือเป็นความสามารถได้อย่างไรกัน ช่างน่าอายเสียจริง ๆ !”
แต่ทว่าคนเหล่านี้ยังไม่ทันจะพูดจบ หลัวซิวก็ใช้หมัดโจมตีไปที่แผ่นศิลาดำอีกครั้ง หมัดนี้เขายังคงไม่อาศัยพลังจากทักษะยุทธ์ แต่กลับใช้พลังจากปราณเป็นตาย2ระดับ
“ตุบ !”
หมัดนี้มีพลังมหาศาล จนกระทั่งหินที่มั่นคงแข็งแกร่งอย่างศิลาดำยังสั่นคลอน
รอยหมัดปรากฏอยู่บนศิลาดำอย่างชัดเจน ทำให้คนที่อยู่บริเวณใกล้เคียงรวมถึงพวกของจ้าวเหลี้ยงต่างตกตะลึงจนอ้าปากค้าง และไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็น
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลัวซิว เขารู้สึกพึงพอใจกับหมัดที่สองของตนเอง
ปกติแล้วผู้ฝึกยุทธ์ในระดับการกลั่นร่างขั้น6 สามารถทิ้งร่องรอยจาง ๆ เอาไว้บนแผ่นศิลาดำได้ แต่ถ้าหากต้องการให้ปรากฏผลลัพธ์อย่างเช่นเมื่อครู่นี้ อย่างน้อยจะต้องอยู่ในระดับการกลั่นร่างขั้น7จึงจะสามารถทำได้
นี่หมายความว่าความสามารถของเขาสามารถทัดเทียมกับการกลั่นร่างขั้น7เรียบร้อยแล้ว
“เจ้าหนู นำทักษะยุทธ์มาสำแดงที่นี่ถือว่าเป็นความสามารถประเภทไหนกัน หากมีความสามารถจริงก็จงอย่าใช้ทักษะยุทธ์สิ”
จ้าวเหลี้ยงขมวดคิ้วแล้วตะโกนออกมา เขารู้สึกว่าการที่หลัวซิวทำเช่นนี้ เป็นการแย่งชิงความโดดเด่นของตนเอง
“ทำไมข้าต้องฟังเจ้าด้วย ?” หลัวซิวเหลือบมองอีกฝ่ายเล็กน้อย
“หึ หากเจ้าไม่กล้าลอง ก็แสดงว่าเจ้าไม่มีความสามารถ ในเมื่อไม่มีความสามารถ ก็อย่ามาทำเรื่องขายหน้าอยู่ที่นี่” เจ้าเหลี้ยงเอ่ยเสียงแข็ง
“จริงด้วย จริงด้วย ไม่รู้ว่าไปเอาทักษะยุทธ์จากที่ไหนมาแสดง มีอะไรน่าชื่นชมกัน ?”
“ทักษะยุทธ์ไม่ได้แสดงออกถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริง คนบางคนมีความสามารถเพียงเล็กน้อย ก็นำออกมาแสดงแบบไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ช่างน่ารังเกียจจริง ๆ”
คนที่ยืนอยู่รอบข้างอีกหลายคนต่างพูดเสริมขึ้นมา แล้วหันไปมองหลัวซิวอย่างดูถูก
หลัวซิวยิ้มออกมาอย่างเบิกบาน เขารู้สึกจนใจกับเหตุผลของลูกศิษย์สำนักยุทธ์เหล่านี้
“เจ้าหนู เจ้าหัวเราะอะไร ?” เจ้าเหลี้ยงถามด้วยความโมโห
“ข้าหัวเราะที่คนอย่างพวกเจ้าชอบคิดเองเออเอง ชอบทำตัวสูงส่ง ตนเองไม่มีความสามารถแต่กลับหัวเราะเยาะคนอื่น” หลัวซิวพูดอย่างดูถูก
“สามหาว ! เจ้าว่าใครไม่มีความสามารถ ?” เจ้าเหลี้ยงทำสีหน้าบึ้งตึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาเห็นแววตาดูถูกของหลัวซิว สิ่งนี้ยิ่งทำให้เขาโกรธจัด ด้วยพลังของการกลั่นร่างขั้น6 ทำให้คนที่ยืนอยู่โดยรอบรู้สึกได้ถึงความน่ากลัว
“ข้าหมายถึงใคร เขาผู้นั้นย่อมรู้ดี” พลังของอีกฝ่ายไม่สามารถทำให้หลัวซิวรู้สึกกลัวได้เลยแม้แต่น้อย บนร่างกายของเขาเองก็เริ่มมีการเคลื่อนไหวของปราณในเช่นกัน
“การกลั่นร่างขั้น5 ?” ดูเหมือนเมื่อเดือนก่อนหลัวซิวผู้นี้ยังอยู่ในระดับการกลั่นร่างขั้น4อยู่เลยนี่ ?”
“ไม่เพียงเท่านี้ ได้ยินมาว่าเขาใช้เวลาเพียงไม่กี่วันที่การพัฒนาจากการกลั่นร่างขั้น2มาเป็นการกลั่นร่างขั้น4 นี่ผ่านไปเพียงแค่หนึ่งเดือน เขาขึ้นมาอยู่ในระดับการกลั่นร่างขั้น5แล้วหรือ”
หลัวซิวไม่อยากสนใจกบในกะลาพวกนี้ เดิมทีเขาตั้งใจมาที่นี่เพื่อฝึกหมัดเสือมังกร แต่กลับถูกคนพวกนี้รบกวนเข้าเสียก่อนจึงรู้สึกเสียอารมณ์
“เจ้าหนู เจ้าเองก็บ้าดีเดือดไม่เบานี่ ได้ยินว่าครั้งก่อนจางห่ายตั้งใจที่จะสั่งสอนเจ้า แต่สุดท้ายอาจารย์ลู่กลับออกโรงปกป้องเสียก่อน มิฉะนั้นเจ้าเองก็คงจะพิการไปนานแล้ว”
จ้าวเหลี้ยงแสยะยิ้มแล้วเดินเข้ามาหาหลัวซิว “เมื่อครู่เจ้าว่าข้าไร้ความสามารถ เจ้ากล้าเดิมพันกับข้าสักตาไหมล่ะ ?”
“เดิมพันอะไร ?” หลัวซิวขมวดคิ้วพลางเอ่ยถาม
########################
อ่าน มหายุทธ์ สะท้านภพ บท 1
บทที่ 1
เขตปกครองหยุนหลง ประเทศเทียนหยุน
สำนักยุทธ์เมืองชิงหยุน
ในมุมหนึ่งของสำนักยุทธ์ ชายหนุ่มรูปร่างผอมบางคนหนึ่ง กำลังยืนถอนหายใจด้วยท่าทีหดหู่
“จนกระทั่งถึงตอนนี้ ข้าผ่านการฝึกฝนมาเป็นเวลาสามปีแล้ว แต่ผลการฝึกตนของข้ายังอยู่เพียงแค่การกลั่นร่างขั้นที่2เท่านั้น”
“หากไม่สามารถผ่านการฝึกตนขั้นนี้ไปได้ สิ้นปีการศึกษาจะต้องถูกขับไล่ออกจากสำนักยุทธ์อย่างแน่นอน หากเป็นเช่นนั้น ก็จะต้องกลายไปเป็นขอทานชั้นต่ำที่สุดในสังคม”
“ไม่ ข้าจะปล่อยให้ตนเองถูกสำนักยุทธ์ขับไล่ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นชีวิตของข้าจะต้องจบเห่แน่ !”
หลัวซิวกำหมัดแน่นจนมือซีดเผือด เสียงตะโกนดังขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ภายในใจของเขา
แต่ดูเหมือนรูปร่างของเขาจะไม่เหมาะสมกับการฝึกยุทธ์ เพ็ญตนมาเป็นเวลาสามปี แต่กลับเป็นพวกหางแถวที่อยู่ในระดับต่ำสุดของสำนักยุทธ์
“เฮ้อ !”
ความจริงอันหนักหน่วง กดดันหลัวซิวจนเขารู้สึกหายใจไม่ออก
ในตอนนั้นเอง กลัวได้ยินเสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวดังมาจากด้านหน้า
“พวก……พวกเจ้าคิดจะทำอะไร ?”
หลัวซิวเพ่งตามองก็พบว่าในมุมมุมหนึ่ง มีหญิงสาวหน้าตาสวยสดงดงาม แต่กายด้วยชุดกระโปรงสีขาว กำลังถูกคนกลุ่มหนึ่งล้อมเอาไว้
“ฮ่าฮ่า หลิวหยู่ซิน ข้าชอบเจ้ามานานแล้ว ให้โอกาสข้าสักครั้งเถอะนะ !”
ชายหนุ่มที่แต่งกายด้วยเสื้อแพรยิ้มอย่างชั่วร้าย ดวงตาของเขาจับจ้องไปยังร่างกายที่เพิ่งเติบโตเต็มวัยและเริ่มมีทรวดทรงของหลิวหยู่ซิน แววตาของเขาลุกโชนไปด้วยเปลวไฟแห่งความลุ่มหลง
ความเกลียดชังปรากฏขึ้นในดวงตาของหลิวหยู่ซิน : “จางเจี๋ย ข้าไม่ได้ชอบเจ้า เจ้าหลีกไปให้พ้นเดี๋ยวนี้ !”
“แหม ๆ จะรีบไปไหนล่ะ !” ลูกสมุนอีกสองสามคนเข้ามาขวางทางหลิวหยู่ซินเอาไว้
จางเจี๋ยเดินกร่างเข้าไปข้างหน้า และยื่นมือเข้าไปดึงหลิวหยู่ซิน : “หลิวหยู่ซิน ตอนนี้ข้าผ่านการกลั่นร่างขั้น4สำเร็จแล้ว เจ้าจะปฏิบัติต่อผู้แข็งแกร่งที่ผ่านการกลั่นร่างขั้น4อย่างไม่ไว้หน้าเช่นนี้หรือ ?”
“เอามือสกปรกของเจ้าออกไปเดี๋ยวนี้นะ !” หลิวหยู่ซินรีบถอยหลังไปหนึ่งก้าว นางกำหมัดแน่น : “ถ้าหากเจ้ากล้าปฏิบัติต่อข้าเช่นนี้ ตระกูลหลิวของข้า จะไม่มีวันยอมปล่อยเจ้าไปอย่างแน่นอน !”
“ตระกูลหลิว ?”
จางเจี๋ยหัวเราะเยาะออกมา : “คนอื่นอาจกลัวตระกูลหลิวของเจ้า แต่ตระกูลจางของข้าไม่กลัว วันนี้ข้าจะพาเจ้าไปที่ลับตาคน แล้วจัดการรวบหัวรวบหางเจ้าซะ ทำเช่นนี้ ตระกูลหลิวของเจ้าไม่มีทางกล้าแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปอย่างแน่นอน ถึงเวลานั้น เจ้าก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องยอมแต่งงานกับข้า !”
“เจ้า……เจ้ามันเจ้าเล่ห์นัก !”
หลิวหยู่ซินรู้สึกตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก ใบหน้าอันงดงามของนางแดงก่ำ นางกัดฟันแน่น
“ฮ่า ๆ ! ช่างมีนิสัยเย่อหยิ่งเสียจริง ๆ แต่ว่า ข้าชอบที่เจ้าเป็นแบบนี้……”
จางเจี๋ยหัวเราะออกมาอย่างเย่อหยิ่งแล้วจึงโบกมือใหญ่ของเขา จากนั้นบรรดาลูกสมุนของจางเจี๋ยที่ยืนอยู่ด้านหลังก็เดินห้อมล้อมเข้ามาด้วยใบหน้าที่โหดเหี้ยม
“หยุดนะ !”
ในตอนนี้เอง มีเสียงของชายหนุ่มตะโกนดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง
หลัวซิวลังเลอยู่พักใหญ่ จากนั้นจึงรวบรวมความกล้าแล้วก้าวเท้าออกมา
เขาอยู่ที่สำนักยุทธ์แห่งนี้มาเป็นเวลาสามปี และแอบรักหลิวหยู่ซินมาเป็นเวลาสามปี แต่เขารู้ถึงความแตกต่างระหว่างตัวเขากับหลิวหยู่ซินดี ดังนั้นจึงไม่กล้าสารภาพความในใจออกมา
“อะไรนะ ?”
จางเจี๋ยผงะไป และค่อย ๆ ขมวดคิ้ว เมื่อถูกคนขัดขวางในขณะที่กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มทำให้เขารู้สึกโมโห หลังจากที่เขาหันหน้ากลับไปมองคนที่เดินเข้ามา ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะ : “ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าก็นึกว่าใครที่ไหน ? ที่แท้ก็เจ้าสวะนี่เอง เป็นแค่เศษสวะที่ผ่านการกลั่นร่างขั้น2 ยังกล้าเข้ามายุ่งเรื่องของคนอื่นอีกหรือ ? หลี่ห่าย ทำให้มันรู้หน่อยซิว่าการเข้ามายุ่งเรื่องของคนอื่นจะมีจุดจบเช่นไร”
“ครับ !”
ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่กำยำที่ยืนอยู่ด้านหลังจางเจี๋ยพยักหน้าและขานรับ
“เจ้าสวะ เจ้ากล้ายุ่งเรื่องของคนอื่น ข้าจะทำให้เจ้ารู้ถึงจุดจบของคนที่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน !”
หลี่ห่ายยิ้มอย่างชั่วร้าย เขาพุ่งหมัดที่แรงและทรงพลัง ทะลุผ่านอากาศไปทันที และแทะเข้าที่หน้าอกของหลัวซิว
มีคนสังเกตเห็นเข้าจึงออกมาช่วยเหลือ ทำให้หลิวหยู่ซินรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก แต่เมื่อนางเห็นว่าอีกฝ่ายคือหลัวซิว สีหน้าของนางก็ดูหดหู่ลงทันที
ผู้อ่อนแอคนหนึ่ง จะช่วยเหลืออะไรได้ ?
เป็นไปตามคาด หลัวซิวซึ่งมีความแข็งแกร่งเพียงแค่ระดับการกลั่นร่างขั้น2 ยังไม่ทันจะตั้งรับ ก็ทำได้เพียงแค่มองดูหมัดของอีกฝ่ายที่พุ่งตรงเข้ามาที่หน้าอกของตัวเองตาปริบ ๆ
“ตุบ !”
เสียงของกำปั้นที่ปะทะลงบนเนื้อดังขึ้นทันที ร่างกายที่ผอมบางลอยกระเด็นไป แล้วตกลงบนพื้นอย่างแรง และกระอักเลือดออกมาทันที
“ฮ่าฮ่าฮ่า ! การโจมตีเพียงครั้งเดียวก็ไม่อาจต้านทานได้ ก็แค่เศษสวะที่ผ่านการกลั่นร่างขั้น2 ริอาจจะทำตัวเป็นผู้กล้าช่วยสาวงาม ? กล้าเข้ามาขวางงานใหญ่ของคุณชายจางอย่างนั้นหรือ ?”
หลี่ห่ายหัวเราะเยาะพร้อมด้วยกำปั้นที่เปื้อนเลือด เขามองดูหลัวซิวที่นอนกระอักเลือดอยู่บนพื้นอย่างเหยียดหยาม
“ทำได้ไม่เลว”
จางเจี๋ยค่อย ๆ เดินเข้ามา จนมาหยุดอยู่ข้าง ๆ หลัวซิว : “เศษสวะอย่างเจ้า พอจบปีการศึกษาก็ต้องถูกไล่ออกจากสำนักยุทธ์แล้ว ชาตินี้ก็คงเป็นได้แค่ขอทานชั้นต่ำ ครั้งนี้ไม่ถึงตายก็นับว่าเป็นโชคดีของเจ้าแล้ว ดูซิว่าเจ้ายังจะกล้าทำลายงานใหญ่ของข้าอีกหรือไม่ ?”
“ปล่อยหลิวหยู่ซินซะ !”
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคำดูถูกของจางเจี๋ย หลัวซิวกลับไม่แสดงท่าทีหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย เขากลับเงยหน้าขึ้นทันที พร้อมกับจ้องจางเจี๋ยตาเขม็งด้วยแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความโกรธแค้น และหมัดที่กำอยู่แน่น
“บ้าเอ๊ย ! นี่เจ้ายังกล้าต่อปากต่อคำอีกหรือ ? วันนี้ข้าจะทำให้เจ้าต้องจดจำจนขึ้นใจให้ได้ !”
จางเจี๋ยโมโหเป็นอย่างมาก เขาปล่อยพลังผลการฝึกตนขั้น4ออกมาทันที และเหยียบลงไปบนหน้าอกของหลัวซิวอย่างแรง
“ตุบ !”
ด้วยพลังที่แข็งแกร่งกว่าหลี่ห่ายหลายเท่า ทำให้หน้าอกของหลัวซิวแยกออก และมีกระดูกหน้าอกของหลัวซิวแตกหักไปหลายซี่ ความเจ็บปวดไหลผ่านเข้าสู่สมองของหลัวซิวอย่างรวดเร็วราวกับสายน้ำที่เชี่ยวกราก
แต่หลัวซิวยังคงกำหมัดแน่น พร้อมกับกัดฟันกรอด : “ปล่อยหลิวหยู่ซินซะ !”
“บ้าเอ๊ย ไก่อ่อนอย่างเจ้ายังจะกล้าต่อปากต่อคำอีกหรือ ข้าขอดูหน่อยซิว่าเจ้าจะทนได้อีกสักกี่น้ำ !”
เมื่อพูดจบ จางเจี๋ยก็เตรียมยกเท้าเพื่อที่จะเตะอีกครั้ง
“พวกเจ้ามาทำอะไรกันที่นี่ ? !”
ตอนนี้เอง มีเสียงดังตะโกนขึ้นมาจากที่ไกล ๆ เป็นเสียงของชายวัยกลางคนสวมใส่ชุดสีดำ ใบหน้าเคร่งขรึม กำลังเดินตรงเข้ามา : “ต่อสู้กันด้วยเรื่องส่วนตัวอย่างนั้นหรือ ? คิดว่าผลการฝึกฝนของตนเองเพียงพอแล้วหรืออย่างไร ? ยังไม่รีบไสหัวกลับไปฝึกตนกันอีก ?”
“ครับ ผู้อาวุโสหวาง”
ถึงแม้จางเจี๋ยจะมีนิสัยเย่อหยิ่ง แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้อาวุโสของสำนักยุทธ์ เขาเองก็ไม่กล้าล่วงเกิน”
“นีบว่าเป็นโชคดีของพวกเจ้า !” จางเจี๋ยเหลือบมองหลัวซิวและหลิวหยู่ซินด้วยสายตาเย็นชา จากนั้นจึงสะบัดแขนเสื้อแล้วพาลูกสมุนของตนเองเดินจากไป
“ขอบใจนะ” หลิบหยู่ซินเหลือบมองหลัวซิวเล็กน้อย แล้วหันหลังเดินจากไป
ท่าทางเย็นชาของหลิวหยู่ซินทำให้หลัวซิวรู้สึกเจ็บปวดใจเป็นอย่างยิ่ง ทำไมเขาจะดูไม่ออกว่าหลิวหยู่ซินไม่เคยเป็นเขาอยู่ในสายตา
ต่อให้เขาจะต้องตายด้วยน้ำมือของจางเจี๋ย หลิวหยู่ซินก็ไม่มีทางเก็บเอาไปใส่ใจ
เขาข่มความกลัวที่มีอยู่เพื่อออกรับแทนหลิวหยู่ซิน แต่กลับต้องมีจุดจบเช่นนี้ ทำให้เขารู้สึกโกรธเคืองและอัดอั้นตันใจขึ้นมาชั่วขณะหนึ่ง !
ขณะที่หลัวซิวกำลังคิดจะตะโกนด่าทอ !
ทันใดนั้น !
“โอ๊ย ! ! !”
จู่ ๆ หลัวซิวก็อ้าปากร้องเสียงดังลั่นออกมา เส้นเลือดของเขาปูดโปนขึ้นทั่วตัว ผิวหนังที่เดิมทีเป็นสีขาวซีดเผือด จู่ ๆ กลับกลายเป็นสีแดงสดขึ้นมา
ลูกแก้วเม็ดหนึ่งที่หลัวซิวสวมใส่อยู่เหนือหน้าอก ค่อย ๆ แทรกซึมเข้าไปในเนื้อของเขา ด้วยความเร็วที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า !
ความเจ็บปวดบนร่างกาย หลัวซิวยังพอทานทนได้ แต่ดูเหมือนลูกแก้วเม็ดนี้จะกำลังแทรกซึมเข้าไปในจิตวิญญาณของเขา แล้วเข้าไปทะลวงจิตวิญญาณของเขาให้แยกออกจากกันอย่างรุนแรง !
“โอ๊ย ! ! ! ! !”
หลังจากเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ดวงตาของหลัวซิวก็ค่อย ๆ มืดดับลง
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่
“โอ๊ย……”
หลัวซิวที่เพิ่งลืมตาตื่นขึ้นสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ เขารู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสที่ส่งผ่านขึ้นมาจากร่างกาย
ทันใดนั้น ดูเหมือนว่าหลัวซิวจะนึกถึงเรื่องที่น่ากลัวบางเรื่องขึ้นมาได้ เขารีบยื่นมือขึ้นไปแตะหน้าอกของตนเอง แล้วดึงคอเสื้อออก และร้องตะโกนออกมาด้วยความตกใจ “ลูกแก้วหายไปแล้ว ?”
ลูกแก้วเม็ดนั้นเป็นลูกแก้วที่พ่อของเขาเก็บมาได้ตอนออกหาสมุนไพรบนเขาในสมัยที่เขายังเป็นเด็ก เป็นลูกแก้วสีขาวดำ เป็นประกายแวววาว สวยงามเป็นอย่างยิ่ง เขาจึงแขวนติดตัวไว้บนอกมาตลอด
“มันแทรกซึมเข้าไปในร่างกายของข้าแล้วจริง ๆ หรือ ?”
ในขณะที่หลัวซิวกำลังใช้ความคิด ทันใดนั้น !
“เปรี้ยง !”
จู่ ๆ จิตวิญญาณของเขาก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง จากนั้นก็ปรากฏความมืดขึ้นต่อหน้าเขา หลัวซิวรู้สึกราวกับตนเองกำลังปรากฏตัวขึ้นในโลกที่มืดมิดและว่างเปล่า !
“ที่นี่คือที่ไหน ?”
จู่ ๆ ก็ปรากฏแสงสว่างขึ้นท่ามกลางความมืด ซึ่งก็คือแสงจากลูกแก้วที่กำลังทอประกายแสงสีขาวและดำออกมา
ทันใดนั้น ลูกแก้วก็ลองเข้ามาหาเขา แล้วแทรกซึมเข้าไปในร่างกายของเขา และหลอมรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน !”
########################