มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake – บทที่ 299 เศษซากตระกูลเย่

บทที่ 299 เศษซากตระกูลเย่

ร่างของเหลยเว่ยหลงก็ระเบิดพลังจิตแท้สายฟ้าออกมา ส่วนรัศมีสายฟ้าสีน้ำเงินล้อมรอบทั้งร่างกายและพลังก็เพิ่มขึ้น ในระยะมากกว่า 100 เมตร โดยมีเขาเป็นศูนย์กลางของพายุสายฟ้านี้

“ราชายุทธ์อัศจรรย์มากขนาดนั้นเลยหรือ?”

หลัวซิวเหลือบตามอง เผยรอยยิ้มเหยียดหยาม เห็นเพียงร่างของเขาสั่นไหวเล็กน้อย จากนั้นเพลิงมรณะก็ระเบิดออกมารอบ ๆ ตัวเขาเปลวไฟสีดำจำนวนมากพุ่งสูงขึ้นเกือบหนึ่งเมตร

เปลวเพลิงสีดำที่ปั่นป่วนปกคลุมร่างกายของเขาอย่างสมบูรณ์ ทำให้ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน พื้นที่โดยรอบเริ่มบิดเบี้ยว แม้แต่รอยร้าวสีดำเล็กๆ ก็ปรากฏขึ้น ค่อยๆ แผ่ขยายออกไป

พลังของร่างกายเพิ่มขึ้น บรรยากาศที่กดดันก็แพร่ออกมามากจากร่างของหลัวซิวไม่หยุดหย่อน

เห็นได้ชัดว่า มีเพียงผลการฝึกตนของฝึกจิตขั้นเก้า แต่พลังบนร่างของหลัวซิวในเวลานี้กลับมากขึ้นจนเกินระดับฝึกจิตขั้นเก้า สามารถทัดเทียมเสมอเหมือนราชายุทธ์ทั่วไป

เมื่อพลังบนร่างของหลัวซิวกลับเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนทัดเทียมเสมอเหมือนผู้แข็งแกร่งแห่งราชายุทธ์ขั้นสอง ในที่สุดเขาก็ค่อย ๆ สงบลง ร่างของเขาในเปลวไฟสีดำนั้นเกือบจะหายไปอย่างสมบูรณ์ และมองเห็นเพียงเปลวไฟสีดำเท่านั้น ที่เผาไหม้อย่างดุเดือดกลางอากาศ

ด้วยขีดจำกัดผลการฝึกตนของตัวเอง หลัวซิวได้รับความช่วยเหลือจากภูตอัคคีกลืนกิน ยกระดับพลังปราณให้อยู่ในระดับเดียวกันกับระดับตัวสำนึก นั่นก็คือแดนราชายุทธ์ขั้นสอง

ด้วยสภาพนี้ บวกกับพลังแปรเสวียนเทียน24เท่า รวมถึงดาบดับสิ้น กระบี่คร่าชีวีหวงเสวียนและวิชาภูตผีเซินหลัว สามารถมีพลังรบเทียบเท่ากับราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่งขั้นสี่อย่างเต็มที่!

“เรื่องสนุกเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น…”

น้ำเสียงเย็นยะเยือกลอยออกมาจากเพลิงมรณะที่กำลังเผาไหม้

“เหลยเว่ยหลง เจ้าจะเป็นราชายุทธ์คนที่สองที่ตายด้วยมือของข้า”

น้ำเสียงเยือกเย็นแฝงด้วยจิตสังหารอย่างไม่สิ้นสุด หลัวซิวค่อยๆ ยกฝ่าเท้าของเขาและกระทืบเท้าอย่างรุนแรงกลางอากาศ เปลวเพลิงสีดำแผดเผาและทำให้พื้นที่โดยรอบบิดเบี้ยว

ปัง!

เสียงระเบิดดังขึ้น ร่างของหลัวซิวหายไปจากจุดเดิมในทันที เวลาราว ๆ เพียงสองลมหายใจ ก็ปรากฏตัวตรงหน้าเหลยเว่ยหลง

ความเร็วขนาดนี้ ทำให้สีหน้าของเหลยเว่ยหลงเปลี่ยนไปอย่างมาด หลังจากนั้นพลังราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่งขั้นสี่ก็แพร่กระจายอย่างไม่ต้องสงสัย เทียบกับพลังอันแข็งแกร่งของหลัวซิวที่ทัดเทียมราชายุทธ์ขั้นสองแล้ว มันแข็งแกร่งกว่ามากทีเดียว

เหลยเว่ยหลงเป็นอีกคนที่มีห้วงยุทธ์ของราชายุทธ์ สายฟ้าหลอมรวมกันระหว่างฝ่ามือและนิ้วมือของเขา ด้วยแรงเสริมจากพลังของห้วงยุทธ์ เขายกดาบขึ้นและฟันไปทางหลัวซิวอย่างดุเดือด

ใช้ทักษะดาบเร็วเพื่อเพิ่มความเร็วและแรงในทันที วินาทีเดียวกันร่างของหลัวซิวก็เบี่ยงออก หลบการโจมตีของเหลยเว่ยหลงครั้งนี้ได้ กระบี่อาถรรพ์ฟันเสือถูกยกขึ้นสูง แผดเผาด้วยเพลิงมรณะ และฟาดฟันออกไป

เหลยเว่ยหลงยังตะโกนเสียงดัง สายฟ้าฟาดรวมร่างเป็นโล่ เตรียมที่จะต้านการโจมตีของหลัวซิว

“กระบี่คร่าชีวีหวงเสวียน!”

ห้วงยุทธ์แห่งความตายแพร่กระจาย ทำให้เหลยเว่ยหลงมีความรู้สึกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังอยู่ชั่ววินาที ราวกับว่าการเผชิญหน้ากับการโจมตีนี้ของหลัวซิว มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะต่อต้าน เป็นการดีกว่าที่จะเลิกต่อต้าน และนั่งรอความตาย

ปัง!

ในวินาทีที่เหลยเว่ยหลงเหม่อลอย กระบี่อาถรรพ์ฟันเสือฟาดฟันอย่างแรงบนโล่สายฟ้านั้น ตามด้วยเสียงแตกร้าว มีรอยแตกหลายจุดบนโล่สายฟ้า

เหลยเว่ยหลงก็ดึงสติกลับมาได้ในทันที กำมือขึ้นเพื่อรวมรวมสายฟ้า และฟาดฟันไปทางศีรษะของหลัวซิว

“ตายเสียเถอะ ไอ้หนุ่ม!”

พลังแห่งสวรรค์และโลกรอบตัว ถูกเหลยเว่ยหลงเรียกระดมพลเข้ามาในวินาทีนี้ รวมตัวกันราวกับคุก ขังหลัวซิวไว้กับที่ ทำให้เขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงการโจมตีจากหมัดนี้ได้

“พลัว!”

เสียงลมหายใจของหลัวซิวที่ถูกกระแทกดังขึ้น โคจรพลังแปรเสวียนเทียน24เท่า หลุดพ้นจากพันธนาการแห่งพลังแห่งสวรรค์และโลก ร่างนั้นขยับไปด้านข้างอีกครั้ง ทำให้หมัดที่ดุดันนี้ของเหลยเว่ยหลงล้มเหลว

หมัดแทบพุ่งทะลุแก้มหลัวซิว เพลิงมรณะบนร่างถูกพัดด้วยลมแรงจากหมัดนั้นจนสาดกระเซ็น

“เทียบกับราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่งขั้นสี่แล้ว ดูเหมือนว่ายังมีช่องว่างอยู่บ้าง”

ภายใต้กสนต่อสู้เต็มกำลัง การปะทะกับหลัวซิว เหลยเว่ยหลงยังคงเสียเปรียบ สิ่งนี้ทำให้เขาอดขมวดคิ้วไม่ได้

“หลัวซิว แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าเจ้าใช้วิชาลับแบบใด ในการฝืนเพิ่มกำลังของเจ้าให้ถึงระดับระดับราชายุทธ์ แต่ความจริงตัวเจ้าเองนั้นยังไม่ถึงแดนราชายุทธ์ ไม่สามารถควบคุมพลังแห่งสวรรค์และโลกได้”

การโจมตีของเหลยเว่ยหลงยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ต่อเนื่องและรวดเร็วดุจสายฟ้า

“ไม่สามารถควบคุมพลังแห่งสวรรค์และโลกได้ด้วยตนเอง เจ้ามีเพียงพลังราชายุทธ์ แต่ก็ยังไม่ใช่ราชายุทธ์ที่แท้จริง!”

สายตาจองมองไปยังหลัวซิว ภายใต้การโจมตีที่รุนแรงของเขาเอง เหลยเว่ยหลงรู้สึกว่าชัยชนะนั้นอยู่ในมือแล้ว จึงรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา

“ส่องแสงให้เจ้าเพียงน้อยนิด เจ้าก็ได้ใจเสียแล้ว คิดจริง ๆ หรือว่าวิชาของข้า จะหยุดอยู่เพียงเท่านี้?”

สำหรับเสียงเสียงโห่ร้องของเหลยเว่ยหลง ในสายตาของหลัวซิวนั้นมีแต่ความดูหมิ่น

เมื่อหลินโยว่เทียนได้รับข้อมูลนี้ก็รีบวิ่งมาบอกหลัวซิวทันที แต่เขากลับสงบนิ่งและพูดมาประโยคเดียว

“เพียงเพื่อรางวัลสองแสนหินพลังจิต ก็กล้ามาฆ่าคนของข้าไม่ต้องเสียเวลาไปกังวลเรื่องนี้เลย…”

หลังจากประกาศภารกิจรางวัลนำจับ ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ใกล้ ๆ หอหย่งชาง ก็มีนักยุทธ์จำนวนมากมาออกันเป็นจำนวนมาก

เพราะคนพวกนี้ต่างก็รับรู้มาจากภารกิจรางวัลนำจับ หลัวซิวในเวลานี้ กำลังอยู่ในหอหย่งชาง

รางวัลค่าหัวสองแสนหินพลังจิต มากพอที่จะทำให้นักยุทธ์ทุกคนในเขตการปกครองโตว้ไห่บ้าคลั่ง แต่คนที่มีสติดีทุกคน จะไม่ถูกภารกิจรางวัลนำจับปั่นหัวเช่นนี้

เพราะรางวัลสองแสนนั้นเป็นจำนวนที่มากอยู่ก็จริง แต่การมีอยู่ของหลัวซิวที่สามารถฆ่าเจ้าสำนักเหลยหวู่ล่ะ!

“เจ้าพวกไม่รู้จักความตายหรืออย่างไรคนตายเพราะโลภ นกตายเพราะกิน คนโบราณพูดไว้ไม่มีผิด”

ในองค์กรนักล่ายุทธ์ เสิ่นหยวนหนานที่ประจำอยู่ที่นี่ ตัวสำนึกของเขาจดจ่ออยู่ที่การเคลื่อนไหวของหอหย่งชาง

นักยุทธ์ระดับฝึกจิตหลายสิบคนวนเวียนอยู่รอบ ๆ ทั้งหมดมาเพื่อรางวัลสองแสน แม้ว่าคนเหล่านี้จะถูกรวมเข้าด้วยกัน นอกจากจะมีวิชาค่ายกลระดับสูง หรือมีของวิเศษช่วย หากรุดหน้าไปฆ่าหลัวซิว ก็ไม่ต่างอะไรกับแมลงเท่าบินเข้ากองไฟ

“ทุกครั้งที่เจ้าเด็กคนนี้โพล่มา ก็ต้องทำให้วุ่นวายกันไปทั้งฟ้าดินจริง ๆ สิน่า…”

เมื่อได้รับรู้ว่า หลัวซิวได้ฆ่าเหลยเว่ยหลงตายแล้ว เสิ่นหยวนหนานก็ตกใจอยู่ไม่น้อยทีเดียว

ณ ขณะนี้ ร่างที่สวมเสื้อคลุมสีดำบินออกไปจากกลางหอหย่งชาง เสียงเย็นยะเยือกลอยอยู่กลางอากาศ “ข้าคือซิวหลัว ใครจะมาฆ่าข้า?”

สิ่งที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจคือ หลัวซิวไม่ได้หลบอยู่ภายใต้หอหย่งชาง แต่กลับเป็นคนออกมาจากหอหย่งชางด้วยตัวเอง เพื่อยั่วยวนผู้เสนอบำเหน็จสองแสนให้ฆ่าเขา

ศักดิ์ศรีของผู้แข็งแกร่ง ต้องหล่อหลอมด้วยเลือด!

“ก่อนหน้านี้ข้าเคยพูดว่า วันหนึ่งจะทำลายสำนักเหลยหวู่ให้สิ้นแล้วเด็ดหัวเจ้าเหลยเว่ยหลงให้ได้ วันนี้ ข้ามาที่นี่เพื่อทำสิ่งนั้น”

ชายหนุ่มชุดคลุมยาวดำพูดขึ้นช้า ๆ น้ำเสียงเย็นยะเยือกดังก้องไปทั่วทั้งบริเวณ

ทำลายสำนักเหลยหวู่ เด็ดหัวเหลยเว่ยหลง?

เจ้านี่มันเป็นใคร กล้าดียังไงถึงได้หยิ่งผยองเช่นนี้?

เหลยเว่ยหลงเป็นถึงเจ้าสำนักเหลยหวู่ ผู้แข็งแกร่งแห่งแดนราชายุทธ์ เด็กหนุ่มคนนี้มันกินดีเสือหรือดีเทพเจ้ามาหรืออย่างไร กล้าดียังไงมาพูดคำหยิ่งแบบนี้?

อย่างไรก็ตาม หลังจากมึนงงไปชั่วครู่ ผู้คนมากมายที่อยู่ตรงนั้นก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงชายหนุ่มที่พูดประโยคนี้ไว้เมื่อหนึ่งปีที่แล้ว… ซิวหลัว!

หลังจากจบการแข่งขันชิงจำนวนที่มีคะแนนอันน่าตกใจนั้น ชื่อของซิวหลัว ก็เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป สามารถทะลุผ่านหอคอยมังกรบินชั้นที่เจ็ด ชายผู้ถูกขนานนามว่าอัจฉริยะแห่งศตวรรษ หลัวซิว!

หลัวซิว ซิวหลัว?

การแข่งขันชิงจำนวนจบไปแล้วไม่นาน เพียงแค่หนึ่งปีกว่า เจ้าเด็กคนนี้ก็มีความแกร่งกล้ามากพอที่จะท้าดวนกับผู้แข็งแกร่งระดับราชายุทธ์แล้ว?

จากด้านบนนั้น สายตาที่มองฝูงชนเบื้องล่างด้วยความหยามเหยียด สายตาของหลัวซิวหยุดลงที่หลินโยว่เทียน เจ้าสำนักหอหย่งชาง โบกสะบัดมืออย่างไม่ใส่ใจ ยาเม็ดหนึ่งลอยไปทางเขา

หลินโยว่เทียนเอื้อมมือไปรับด้วยความฉงน เมื่อมองชัด ๆ แล้ว สีหน้าก็ชะงักไปทันทีด้วยความประหลาดใจ “ยาพระแสงระดับห้า?”

สิ่งนี้สามารถทำให้ผู้แข็งแกร่งระดับราชายุทธ์สามารถฟื้นฟูอาการบาดเจ็บได้อย่างรวดเร็ว ยาหนึ่งเม็ด ราคาเท่ากับหินพลังจิตนับหมื่นชิ้น

“หลินเจียเอ๋อร์คือศิษย์ของหัวหน้าแก๊งเสิ่นหยวนหนาน หัวหน้าแก๊งเสิ่นหยวนหนานมีพระคุณต่อข้า ผู้อาวุโสหลินกินยาเพื่อรักษาบาดแผลเสียเถิด ส่วนเหลยเว่ยหลงข้าจะจัดการให้ท่านเอง” หลัวซิวพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ

ระหว่างที่พูดนั้น หลัวซิวก้าวอยู่ในอากาศ มุ่งหน้าไปทางเหลยเว่ยหลง รอบกายมีเพลิงมรณะปรากฏขึ้น ราวกับเปลวเพลิงสีดำนั้นเป็นดั่งเกราะนักยุทธ์ ปกคลุมรอบกาย เต็มไปด้วยจิตสังหาร

“หลัวซิว! เจ้าอย่าให้มันมากเกินไป ต่อให้เจ้าจะมีพรสวรรค์มากเพียงใด เป็นสมาชิกอัจฉริยะแห่งองค์กรนักล่ายุทธ์ ก็อย่าได้คิดไปเองว่าข้าไม่กล้าฆ่าเจ้า” เหลยเว่ยหลงพูดเสียงเยือกเย็น แผ่บารบีแห่งราชายุทธ์

“ในตอนนั้นที่เจ้าออกประกาศภารกิจรางวัลนำจับในองค์กร ด้วยราคาหมื่นหินพลังจิตเพื่อสังหารข้า ทำไมไม่พูดด้วยล่ะ?” หลัวซิวทำเสียงขึ้นจมูกด้วยความเยาะเย้ย

“นั่นเป็นเพราะเจ้ายั่วยุข้าสำนักเหลยหวู่ก่อน ระหว่างเจ้ากับพวกเราสำนักเหลยหวู่มีความแค้นใดกันแน่?” เหลยเว่ยหลงเผยสีหน้าฉงนใจ อันที่จริง นี่คือสิ่งที่เขาไม่เข้าใจมาตลอด

“เจ้ารู้เพียงว่า เจ้าได้ล่วงเกินคนที่เจ้าไม่ควรล่วงเกินก็เท่านั้น”

นัยน์ตาหลัวซิวฉายแววสังหาร ทันใดนั้นก็เอื้อมมือไปข้างหลังและหยิบกระบี่อาถรรพ์ฟันเสือ สองเท้าเยียบบนอากาศอย่างดุดัน บริเวณใต้เท้าของเขาบิดเบี้ยว จนทำให้เกิดเสียงแตกร้าว

ในวินาทีที่เสียงร้าวในอากาศดังขึ้น ร่างของหลัวซิวก็ระเบิดออก และรุดเข้าไปตรงหน้าของเหลยเว่ยหลงในทันที

การกระทำเช่นนี้ของเขา ทำให้ผู้ชมด้านล่างถึงกับส่งเสียงร้องอุทานพร้อมกับแสดงสีหน้าเหลือเชื่อออกมา

ในขณะที่เราทุกคนรู้ว่า หลัวซิวคนนี้เหมือนจะเพิ่งมีอายุเพียง17ปี อายุเพียงเท่านี้ แต่กลับท้าเผชิญหากับราชายุทธ์? อีกทั้งยังสามารถบรรลุถึงผู้แข็งแกร่งแห่งแดนกลางราชายุทธ์?

เมื่อเห็นหลัวซิวพุ่งเข้าหาตัวเองอย่างรวดเร็ว สีหน้าของเหลยเว่ยหลงก็ขรึมขึ้นมาในทันที ดาบรบขนาดมหึมาในมือพร้อมเปล่งประกายแสงสายฟ้าที่แพรวพราวนั้นก็พุ่งออกไปอย่างดุเดือด

เขาคือผู้แข็งแกร่งระดับแดนราชายุทธ์ขั้นสี่ เผชิญหน้ากับการโจมตีของปรมาจารย์ยุทธ์ระดับฝึกจิตคนหนึ่ง จะให้ถอยหนีได้อย่างไร?

“ชิ้ง!”

เสียงกระทบของเหล็กและหิน เกิดเป็นเสียงเสียดแหลม พลังที่รุนแรงระเบิดออกมาอย่างกะทันหัน กระเพื่อมกระจายไปในอากาศทั่วทั้งสี่ทิศ

จุดที่เกิดการชนกันของดาบรบเหลยหวู่กับกระบี่อาถรรพ์ฟันเสือ เงามืดในอากาศนั้นค่อย ๆ แตกและขยายออกไป

หลังจากโดนโจมตีอย่างแรง หลัวซิวซวยเซถอยหลังสามก้าว เหลยเว่ยหลงเองก็ถอยไปครึ่งก้าว

“เป็นแค่ฝึกจิตขั้นเก้าแต่สามารถทำให้ข้าถอยไปครึ่งก้าวได้ เจ้าก็สามารถภูมิใจในตนเองได้แล้ว แต่ก็น่าเสียดายที่ช่องว่างระหว่างฝึกจิตและราชายุทธ์นั้น ห่างชั้นกันราวกับฟ้าและดิน เจ้าไม่ใช่ศัตรูของข้า”

เมื่อเห็นหลัวซิวถอยไปสามก้าว และตนถอยไปเพียงครึ่งก้าว เหลยเว่ยหลงก็มีจิตใจที่สงบลง และสามารถรู้สึกได้ถึงลมหายใจของหลัวซิวในระดับฝึกจิตขั้นเก้า ทันใดนั้นมีร่องรอยของจิตสังหารและการดูถูกปรากฏขึ้นในสายตาของเขา

แต่สำหรับหลัวซิวนั้น กลับทำหูทวนลม ทันใดนั้นฝีเท้าก็ก้าวขึ้นไปในอากาศ ร่างนั้นรีบรุดเข้าอีกครั้ง บนกระบี่อาถรรพ์ฟันเสือ ปกคลุมไปด้วยรังสีสังหารสีแดงเลือด

“ดาบดับสิ้น!”

อีกครั้งของการปะทะอันรุนแรง และครั้งนี้ หลัวซิวเพียงแค่กระเด็นถอยหลังไปเพียงสองก้าว แต่เหลยเว่ยหลงกลับถอนหลังไปหนึ่งก้าวเต็ม ๆ

“ตาย!”

เหลยเว่ยหลงไม่วางมือ ร่างของทั้งสองกลายเป็นลำแสงและชนกันอย่างรุนแรงในกลางอากาศในทันที เสียงกระทบกันของอาวุธก็ดังขึ้นไม่หยุดหย่อน

ในช่วงเวลาสั้น ๆ ทั้งสองต่อสู้อย่างดุเดือดหลายสิบรอบ เหลยเว่ยหลงที่แต่เดิมไม่ได้แยแสกับหลัวซิวที่มีผลการฝึกตนของฝึกจิตขั้นเก้า สีหน้าก็พลันเคร่งขรึมในทันที

เขาพบว่า ผลการฝึกตนของหลัวซิวถึงจะไม่เทียบเท่าเขา แต่ทุกครั้งที่ปะทะกัน ก็มีพลังพอที่จะต่อต้านตน แม้จะด้อยกว่าเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ห่างชั้นนัก

อีกทั้งการบรรเลงวิชายุทธ์ของหลัวซิวก็มีความดุดันอย่างมาก มีการปะทะกันอย่างหนักหลายครั้งที่ทำให้เขาตกเป็นเบี้ยล่าง

นี่คือเด็กอายุ17จริงหรือ? นี่คือเด็กหนุ่มที่มีผลการฝึกตนเพียงฝึกจิตขั้นเก้าจริงหรือ?

ในแววตาของเหลยเว่ยหลงเต็มไปด้วยความตกใจและประหลาดใจ ในเวลาเดียวกัน เขาก็รู้สึกโกรธด้วยเช่นกัน เวลาเพียงแค่ปีกว่า ๆ เท่านั้น ถ้าอีกปีหรือสองปี ความแข็งแกร่งของผู้ชายคนนี้ ก็น่าจะสามารถบดขยี้เขาได้เลยในทันที

กงซุนเชียนจีรู้ว่าไม่สามารถทำอะไรได้ เขาพ่นลมหายใจออกมาอย่างแรง หันหลังกลับและเดินออกไป

นักยุทธ์ตระกูลกงซุนมากมายติดตามเขาออกไป ค่อย ๆ ออกจากใจกลางหอหย่งชางและแยกกระจายหายไป

นักยุทธ์สำนักเหลยหวู่ยังคงรู้สึกสับสนใจใน ผู้ภักดีบางคน มองหลัวซิวด้วยสวยตาโกรธแค้น จนแทบจะกลืนกินเขาอยู่แล้ว

แต่บางคนที่ไม่ได้จงรักภักดีกับสำนักเหลยหวู่มากขนาดนั้น ก็เห็นได้ชัดว่าเมื่อเหลยเว่ยหลงตายไป สำนักเหลยหวู่ก็เหลือแค่ชื่อเท่านั้น ทุกคนต่างก็พากันทิ้งป้ายบัญชาการของสำนักเหลยหวู่ หมุนตัวและเดินออกไป

หลินโยว่เทียนโบกมือ นักยุทธ์แห่งหอหย่งชางก็เดินขึ้นหน้า ล้อมคนของสำนักสำนักเหลยหวู่เอาไว้

“ข้าในนามของหอหย่งชาง เป็นสถานที่ที่พวกเจ้าคิดจะมาก็มา คิดจะไปก็ไปอย่างนั้นหรือ?”

หลินโยว่เทียนแผ่อำนาจราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่ง นอกจากผู้อาวุโสสองคนแห่งสำนักเหลยหวู่ที่มีผลการฝึกตนระดับราชายุทธ์ ส่วนนักยุทธ์คนอื่น ๆ นั้นส่วนมากมีสรหน้าซีดเซียว ถูกพลังนั้นกดเสียจนแทบหายใจไม่ออก

หลินโยว่เทียนก็ไม่ได้ทำตัวยิ่งผยองแต่อย่างใด แต่กลับเบนสายตาไปทาง หลัวซิวแทน “ท่านชายหลัว ท่านคิดว่าควรจัดการกับเจ้าพวกนี้อย่างไร?”

เขารู้ดี หากไม่ใช่การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของหลัวซิว วันนี้หอหย่งชางก็คงไม่เหลืออยู่อีกต่อไป

และหลัวซิวสามารถฆ่าเหลยเว่ยหลงได้ พลังขนาดนี้ก็สามารถทำให้หลินโยว่เทียนยกให้หลัวซิว เป็นผู้แข็งแกร่งที่มีเก่งกาจกว่าตนเองแล้ว

“ฆ่า!” หลัวซิวพูดเสียงเรียบ

หากเป็นตัวเขาเอง หลัวซิวเองไม่ได้กลัวการแก้แค้น แต่จำเป็นต้องฆ่า เพื่อไม่ให้คนอื่นได้รับผลกระทบ

แต่เบื้องหลังของเขา ยังมีญาติสนิทมิตรสหาย เมื่อคิดถึงความปลอดภัยของคนรอบตัว ถ้าเขาเป็นศัตรูกับคนอื่น เขาทำได้แค่ถอนรากถอนโคลน ไม่ให้ต้องทุกข์ทรมานจากปัญหาที่จะเกิดในวันหน้า

แม้ว่าจะค่อนข้างโหดร้ายและเลือดเย็น แต่บนโลกที่ให้ค่ากับนักยุทธ์ผู้แข็งแกร่ง ถ้าไม่มีหัวใจที่แข็งกระด้างและเด็ดขาด ก็ไม่สามารถอยู่รอดได้เลย

จิตใจมีเมตตาได้ แต่อย่าใจอ่อนเหมือนผู้หญิง นี่แหละคือสิ่งสำคัญที่สุดแห่งการเอาชีวิตรอดในโลกนี้!!

ร่างของเหลยเว่ยหลงก็ระเบิดพลังจิตแท้สายฟ้าออกมา ส่วนรัศมีสายฟ้าสีน้ำเงินล้อมรอบทั้งร่างกายและพลังก็เพิ่มขึ้น ในระยะมากกว่า 100 เมตร โดยมีเขาเป็นศูนย์กลางของพายุสายฟ้านี้

“ราชายุทธ์อัศจรรย์มากขนาดนั้นเลยหรือ?”

หลัวซิวเหลือบตามอง เผยรอยยิ้มเหยียดหยาม เห็นเพียงร่างของเขาสั่นไหวเล็กน้อย จากนั้นเพลิงมรณะก็ระเบิดออกมารอบ ๆ ตัวเขาเปลวไฟสีดำจำนวนมากพุ่งสูงขึ้นเกือบหนึ่งเมตร

เปลวเพลิงสีดำที่ปั่นป่วนปกคลุมร่างกายของเขาอย่างสมบูรณ์ ทำให้ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน พื้นที่โดยรอบเริ่มบิดเบี้ยว แม้แต่รอยร้าวสีดำเล็กๆ ก็ปรากฏขึ้น ค่อยๆ แผ่ขยายออกไป

พลังของร่างกายเพิ่มขึ้น บรรยากาศที่กดดันก็แพร่ออกมามากจากร่างของหลัวซิวไม่หยุดหย่อน

เห็นได้ชัดว่า มีเพียงผลการฝึกตนของฝึกจิตขั้นเก้า แต่พลังบนร่างของหลัวซิวในเวลานี้กลับมากขึ้นจนเกินระดับฝึกจิตขั้นเก้า สามารถทัดเทียมเสมอเหมือนราชายุทธ์ทั่วไป

เมื่อพลังบนร่างของหลัวซิวกลับเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนทัดเทียมเสมอเหมือนผู้แข็งแกร่งแห่งราชายุทธ์ขั้นสอง ในที่สุดเขาก็ค่อย ๆ สงบลง ร่างของเขาในเปลวไฟสีดำนั้นเกือบจะหายไปอย่างสมบูรณ์ และมองเห็นเพียงเปลวไฟสีดำเท่านั้น ที่เผาไหม้อย่างดุเดือดกลางอากาศ

ด้วยขีดจำกัดผลการฝึกตนของตัวเอง หลัวซิวได้รับความช่วยเหลือจากภูตอัคคีกลืนกิน ยกระดับพลังปราณให้อยู่ในระดับเดียวกันกับระดับตัวสำนึก นั่นก็คือแดนราชายุทธ์ขั้นสอง

ด้วยสภาพนี้ บวกกับพลังแปรเสวียนเทียน24เท่า รวมถึงดาบดับสิ้น กระบี่คร่าชีวีหวงเสวียนและวิชาภูตผีเซินหลัว สามารถมีพลังรบเทียบเท่ากับราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่งขั้นสี่อย่างเต็มที่!

“เรื่องสนุกเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น…”

น้ำเสียงเย็นยะเยือกลอยออกมาจากเพลิงมรณะที่กำลังเผาไหม้

“เหลยเว่ยหลง เจ้าจะเป็นราชายุทธ์คนที่สองที่ตายด้วยมือของข้า”

น้ำเสียงเยือกเย็นแฝงด้วยจิตสังหารอย่างไม่สิ้นสุด หลัวซิวค่อยๆ ยกฝ่าเท้าของเขาและกระทืบเท้าอย่างรุนแรงกลางอากาศ เปลวเพลิงสีดำแผดเผาและทำให้พื้นที่โดยรอบบิดเบี้ยว

ปัง!

เสียงระเบิดดังขึ้น ร่างของหลัวซิวหายไปจากจุดเดิมในทันที เวลาราว ๆ เพียงสองลมหายใจ ก็ปรากฏตัวตรงหน้าเหลยเว่ยหลง

ความเร็วขนาดนี้ ทำให้สีหน้าของเหลยเว่ยหลงเปลี่ยนไปอย่างมาด หลังจากนั้นพลังราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่งขั้นสี่ก็แพร่กระจายอย่างไม่ต้องสงสัย เทียบกับพลังอันแข็งแกร่งของหลัวซิวที่ทัดเทียมราชายุทธ์ขั้นสองแล้ว มันแข็งแกร่งกว่ามากทีเดียว

เหลยเว่ยหลงเป็นอีกคนที่มีห้วงยุทธ์ของราชายุทธ์ สายฟ้าหลอมรวมกันระหว่างฝ่ามือและนิ้วมือของเขา ด้วยแรงเสริมจากพลังของห้วงยุทธ์ เขายกดาบขึ้นและฟันไปทางหลัวซิวอย่างดุเดือด

ใช้ทักษะดาบเร็วเพื่อเพิ่มความเร็วและแรงในทันที วินาทีเดียวกันร่างของหลัวซิวก็เบี่ยงออก หลบการโจมตีของเหลยเว่ยหลงครั้งนี้ได้ กระบี่อาถรรพ์ฟันเสือถูกยกขึ้นสูง แผดเผาด้วยเพลิงมรณะ และฟาดฟันออกไป

เหลยเว่ยหลงยังตะโกนเสียงดัง สายฟ้าฟาดรวมร่างเป็นโล่ เตรียมที่จะต้านการโจมตีของหลัวซิว

“กระบี่คร่าชีวีหวงเสวียน!”

ห้วงยุทธ์แห่งความตายแพร่กระจาย ทำให้เหลยเว่ยหลงมีความรู้สึกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังอยู่ชั่ววินาที ราวกับว่าการเผชิญหน้ากับการโจมตีนี้ของหลัวซิว มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะต่อต้าน เป็นการดีกว่าที่จะเลิกต่อต้าน และนั่งรอความตาย

ปัง!

ในวินาทีที่เหลยเว่ยหลงเหม่อลอย กระบี่อาถรรพ์ฟันเสือฟาดฟันอย่างแรงบนโล่สายฟ้านั้น ตามด้วยเสียงแตกร้าว มีรอยแตกหลายจุดบนโล่สายฟ้า

เหลยเว่ยหลงก็ดึงสติกลับมาได้ในทันที กำมือขึ้นเพื่อรวมรวมสายฟ้า และฟาดฟันไปทางศีรษะของหลัวซิว

“ตายเสียเถอะ ไอ้หนุ่ม!”

พลังแห่งสวรรค์และโลกรอบตัว ถูกเหลยเว่ยหลงเรียกระดมพลเข้ามาในวินาทีนี้ รวมตัวกันราวกับคุก ขังหลัวซิวไว้กับที่ ทำให้เขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงการโจมตีจากหมัดนี้ได้

“พลัว!”

เสียงลมหายใจของหลัวซิวที่ถูกกระแทกดังขึ้น โคจรพลังแปรเสวียนเทียน24เท่า หลุดพ้นจากพันธนาการแห่งพลังแห่งสวรรค์และโลก ร่างนั้นขยับไปด้านข้างอีกครั้ง ทำให้หมัดที่ดุดันนี้ของเหลยเว่ยหลงล้มเหลว

หมัดแทบพุ่งทะลุแก้มหลัวซิว เพลิงมรณะบนร่างถูกพัดด้วยลมแรงจากหมัดนั้นจนสาดกระเซ็น

“เทียบกับราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่งขั้นสี่แล้ว ดูเหมือนว่ายังมีช่องว่างอยู่บ้าง”

ภายใต้กสนต่อสู้เต็มกำลัง การปะทะกับหลัวซิว เหลยเว่ยหลงยังคงเสียเปรียบ สิ่งนี้ทำให้เขาอดขมวดคิ้วไม่ได้

“หลัวซิว แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าเจ้าใช้วิชาลับแบบใด ในการฝืนเพิ่มกำลังของเจ้าให้ถึงระดับระดับราชายุทธ์ แต่ความจริงตัวเจ้าเองนั้นยังไม่ถึงแดนราชายุทธ์ ไม่สามารถควบคุมพลังแห่งสวรรค์และโลกได้”

การโจมตีของเหลยเว่ยหลงยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ต่อเนื่องและรวดเร็วดุจสายฟ้า

“ไม่สามารถควบคุมพลังแห่งสวรรค์และโลกได้ด้วยตนเอง เจ้ามีเพียงพลังราชายุทธ์ แต่ก็ยังไม่ใช่ราชายุทธ์ที่แท้จริง!”

สายตาจองมองไปยังหลัวซิว ภายใต้การโจมตีที่รุนแรงของเขาเอง เหลยเว่ยหลงรู้สึกว่าชัยชนะนั้นอยู่ในมือแล้ว จึงรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา

“ส่องแสงให้เจ้าเพียงน้อยนิด เจ้าก็ได้ใจเสียแล้ว คิดจริง ๆ หรือว่าวิชาของข้า จะหยุดอยู่เพียงเท่านี้?”

สำหรับเสียงเสียงโห่ร้องของเหลยเว่ยหลง ในสายตาของหลัวซิวนั้นมีแต่ความดูหมิ่น
พลิกมือ เรียกเอาธงขลังสรรพสิ่งออกมา หลัวซิวเขย่าค่ายธง ลำแสงพุ่งออกมา เพียงเสี้ยววินาที ค่ายสังหารระดับห้าก็ถูกสร้างขึ้นกลางอากาศ

ค่ายสังหารที่หลัวซิวาร้องนั้น มีพลังของห้วงยุทธ์แห่งความตายรวมอยู่ด้วย ค่ายสังหารหลอมรวมพลังแห่งสวรรค์และโลก กลายเป็นมังกรดำที่มีความยาวมากกว่าสิบฟุต พุ่งตรงไปยังเหลยเว่ยหลงทันที

ตามที่เหลยเว่ยหลงได้กล่าวไว้ตัวเขาเองยังไม่บรรลุถึงแดนราชายุทธ์ ไม่สามารถควบคุมดินฟ้าได้อย่างราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่ง แต่เขามีทักษะปรมาจารย์ค่ายกลระดับห้า เมื่อใช้วิชาค่ายกลระดับห้า ก็สามารถระดมพลังแห่งสวรรค์และโลกได้เช่นกัน

“นี่เจ้ายังเป็นปรมาจารย์ค่ายกลระดับห้า?”

เหลยเว่ยหลงหน้าเปลี่ยนสี เพราะหลัวซิวใช้ค่ายกลหลอมรวมกลายเป็นมังกรดำ พลังนั้นไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเขา สามารถทัดเทียมเสมอเหมือนราชายุทธ์ขั้นสี่

ปัง!

มีค่ายสังหารที่หลอมรวมกันเป็นมังกรดำคอยช่วยเสริม หลัวซิวพลิกกระแสการต่อสู้ในทันที และหลังจากต่อสู้ไปสองสามรอบ เขาก็ใช้ดาบฟันเข้าที่หน้าอกของเหลยเว่ยหลง

เหลยเว่ยหลงลอยกระเด็นออกไป ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีเขียวและซีดขาว เลือดกระเซ็นจากมุมปาก ในใจทั้งโกรธและตกใจ

เขาเคยได้ยินมาว่าหลัวซิวมีทักษะปรมาจารย์ค่ายกลระดับสี่ แต่คาดไม่ถึงว่าเจ้าหลัวซิวคนนี้ไม่ใช่ปรมาจารย์ค่ายกลระดับสี่ แต่เป็นระดับห้า!

อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์ของหลัวซิวก็ไม่ได้มีเพียงเท่านี้ ธงขลังสรรพสิ่งในมือสั่นไหวขึ้นอีกครั้ง ภายใต้แสงที่ตัดกันนั้น เพียงไม่กี่ลมหายใจ ค่ายสังหารระดับห้าก็ถูกสร้างขึ้นอีกครั้ง

สายตาคู่หนึ่งจ้องเขม็งไปที่ธงขลังสรรพสิ่งในมือของหลัวซิว และเจ้าของสายตาคู่นั้น แน่นอนว่าต้องเป็นนายท่านแห่งตระกูลใหญ่กงซุนที่มากับเหลยเว่ยหลง ‘กงซุนเชียนจี’

เขาคือปรมาจารย์ค่ายกลระดับห้าคนหนึ่ง และรู้ดีว่าเมื่อนักค่ายกลต่อสู้เผชิญหน้ากับศัตรู อย่างไรก็ไม่สามารถสร้างค่ายธงได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ และเวลาสร้างค่ายจำเป็นต้องใช้ตัวสำนึกพลังจิตแท้เพื่อควบคุมธงค่าย

ในกรณีที่ต้องมีการเผชิญหน้ากะทันหัน โดยปกติแล้วนักค่ายกลจะเสียเปรียบ เพราะคู่ต่อสู้จะไม่มีเวลาให้พวกเขามากพอที่จะให้พวกเขาได้สร้างค่ายกลขึ้นมา

แต่เมื่อใดที่นักค่ายกลสามารถสร้างค่ายกลได้ รวมกับพลังแท้จริงของตนเองแล้วนั้น หากเจอคู่ต่อสู้ในระดับเดียวกัน ก็จะสามารถได้เปรียบในทุก ๆ ด้าน

และหลัวซิวดูเหมือนว่าจะผิดบรรทัดฐานนี้ ภายในไม่กี่ลมหายใจก็สามารถสร้างค่ายกลขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งยังสามารถสร้างค่ายกลได้ถึงสองค่ายในเวลาเดียวกัน สำหรับนักค่ายกลคนหนึ่งที่มีกลยุทธ์ระดับนี้ ก็ไม่มีใครสามารถต่อกรกับเขาได้แล้ว?

“ก่อนหน้านี้ข้าเคยพูดว่า วันหนึ่งจะทำลายสำนักเหลยหวู่ให้สิ้นแล้วเด็ดหัวเจ้าเหลยเว่ยหลงให้ได้ วันนี้ ข้ามาที่นี่เพื่อทำสิ่งนั้น”

ชายหนุ่มชุดคลุมยาวดำพูดขึ้นช้า ๆ น้ำเสียงเย็นยะเยือกดังก้องไปทั่วทั้งบริเวณ

ทำลายสำนักเหลยหวู่ เด็ดหัวเหลยเว่ยหลง?

เจ้านี่มันเป็นใคร กล้าดียังไงถึงได้หยิ่งผยองเช่นนี้?

เหลยเว่ยหลงเป็นถึงเจ้าสำนักเหลยหวู่ ผู้แข็งแกร่งแห่งแดนราชายุทธ์ เด็กหนุ่มคนนี้มันกินดีเสือหรือดีเทพเจ้ามาหรืออย่างไร กล้าดียังไงมาพูดคำหยิ่งแบบนี้?

อย่างไรก็ตาม หลังจากมึนงงไปชั่วครู่ ผู้คนมากมายที่อยู่ตรงนั้นก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงชายหนุ่มที่พูดประโยคนี้ไว้เมื่อหนึ่งปีที่แล้ว… ซิวหลัว!

หลังจากจบการแข่งขันชิงจำนวนที่มีคะแนนอันน่าตกใจนั้น ชื่อของซิวหลัว ก็เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป สามารถทะลุผ่านหอคอยมังกรบินชั้นที่เจ็ด ชายผู้ถูกขนานนามว่าอัจฉริยะแห่งศตวรรษ หลัวซิว!

หลัวซิว ซิวหลัว?

การแข่งขันชิงจำนวนจบไปแล้วไม่นาน เพียงแค่หนึ่งปีกว่า เจ้าเด็กคนนี้ก็มีความแกร่งกล้ามากพอที่จะท้าดวนกับผู้แข็งแกร่งระดับราชายุทธ์แล้ว?

จากด้านบนนั้น สายตาที่มองฝูงชนเบื้องล่างด้วยความหยามเหยียด สายตาของหลัวซิวหยุดลงที่หลินโยว่เทียน เจ้าสำนักหอหย่งชาง โบกสะบัดมืออย่างไม่ใส่ใจ ยาเม็ดหนึ่งลอยไปทางเขา

หลินโยว่เทียนเอื้อมมือไปรับด้วยความฉงน เมื่อมองชัด ๆ แล้ว สีหน้าก็ชะงักไปทันทีด้วยความประหลาดใจ “ยาพระแสงระดับห้า?”

สิ่งนี้สามารถทำให้ผู้แข็งแกร่งระดับราชายุทธ์สามารถฟื้นฟูอาการบาดเจ็บได้อย่างรวดเร็ว ยาหนึ่งเม็ด ราคาเท่ากับหินพลังจิตนับหมื่นชิ้น

“หลินเจียเอ๋อร์คือศิษย์ของหัวหน้าแก๊งเสิ่นหยวนหนาน หัวหน้าแก๊งเสิ่นหยวนหนานมีพระคุณต่อข้า ผู้อาวุโสหลินกินยาเพื่อรักษาบาดแผลเสียเถิด ส่วนเหลยเว่ยหลงข้าจะจัดการให้ท่านเอง” หลัวซิวพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ

ระหว่างที่พูดนั้น หลัวซิวก้าวอยู่ในอากาศ มุ่งหน้าไปทางเหลยเว่ยหลง รอบกายมีเพลิงมรณะปรากฏขึ้น ราวกับเปลวเพลิงสีดำนั้นเป็นดั่งเกราะนักยุทธ์ ปกคลุมรอบกาย เต็มไปด้วยจิตสังหาร

“หลัวซิว! เจ้าอย่าให้มันมากเกินไป ต่อให้เจ้าจะมีพรสวรรค์มากเพียงใด เป็นสมาชิกอัจฉริยะแห่งองค์กรนักล่ายุทธ์ ก็อย่าได้คิดไปเองว่าข้าไม่กล้าฆ่าเจ้า” เหลยเว่ยหลงพูดเสียงเยือกเย็น แผ่บารบีแห่งราชายุทธ์

“ในตอนนั้นที่เจ้าออกประกาศภารกิจรางวัลนำจับในองค์กร ด้วยราคาหมื่นหินพลังจิตเพื่อสังหารข้า ทำไมไม่พูดด้วยล่ะ?” หลัวซิวทำเสียงขึ้นจมูกด้วยความเยาะเย้ย

“นั่นเป็นเพราะเจ้ายั่วยุข้าสำนักเหลยหวู่ก่อน ระหว่างเจ้ากับพวกเราสำนักเหลยหวู่มีความแค้นใดกันแน่?” เหลยเว่ยหลงเผยสีหน้าฉงนใจ อันที่จริง นี่คือสิ่งที่เขาไม่เข้าใจมาตลอด

“เจ้ารู้เพียงว่า เจ้าได้ล่วงเกินคนที่เจ้าไม่ควรล่วงเกินก็เท่านั้น”

นัยน์ตาหลัวซิวฉายแววสังหาร ทันใดนั้นก็เอื้อมมือไปข้างหลังและหยิบกระบี่อาถรรพ์ฟันเสือ สองเท้าเยียบบนอากาศอย่างดุดัน บริเวณใต้เท้าของเขาบิดเบี้ยว จนทำให้เกิดเสียงแตกร้าว

ในวินาทีที่เสียงร้าวในอากาศดังขึ้น ร่างของหลัวซิวก็ระเบิดออก และรุดเข้าไปตรงหน้าของเหลยเว่ยหลงในทันที

การกระทำเช่นนี้ของเขา ทำให้ผู้ชมด้านล่างถึงกับส่งเสียงร้องอุทานพร้อมกับแสดงสีหน้าเหลือเชื่อออกมา

ในขณะที่เราทุกคนรู้ว่า หลัวซิวคนนี้เหมือนจะเพิ่งมีอายุเพียง17ปี อายุเพียงเท่านี้ แต่กลับท้าเผชิญหากับราชายุทธ์? อีกทั้งยังสามารถบรรลุถึงผู้แข็งแกร่งแห่งแดนกลางราชายุทธ์?

เมื่อเห็นหลัวซิวพุ่งเข้าหาตัวเองอย่างรวดเร็ว สีหน้าของเหลยเว่ยหลงก็ขรึมขึ้นมาในทันที ดาบรบขนาดมหึมาในมือพร้อมเปล่งประกายแสงสายฟ้าที่แพรวพราวนั้นก็พุ่งออกไปอย่างดุเดือด

เขาคือผู้แข็งแกร่งระดับแดนราชายุทธ์ขั้นสี่ เผชิญหน้ากับการโจมตีของปรมาจารย์ยุทธ์ระดับฝึกจิตคนหนึ่ง จะให้ถอยหนีได้อย่างไร?

“ชิ้ง!”

เสียงกระทบของเหล็กและหิน เกิดเป็นเสียงเสียดแหลม พลังที่รุนแรงระเบิดออกมาอย่างกะทันหัน กระเพื่อมกระจายไปในอากาศทั่วทั้งสี่ทิศ

จุดที่เกิดการชนกันของดาบรบเหลยหวู่กับกระบี่อาถรรพ์ฟันเสือ เงามืดในอากาศนั้นค่อย ๆ แตกและขยายออกไป

หลังจากโดนโจมตีอย่างแรง หลัวซิวซวยเซถอยหลังสามก้าว เหลยเว่ยหลงเองก็ถอยไปครึ่งก้าว

“เป็นแค่ฝึกจิตขั้นเก้าแต่สามารถทำให้ข้าถอยไปครึ่งก้าวได้ เจ้าก็สามารถภูมิใจในตนเองได้แล้ว แต่ก็น่าเสียดายที่ช่องว่างระหว่างฝึกจิตและราชายุทธ์นั้น ห่างชั้นกันราวกับฟ้าและดิน เจ้าไม่ใช่ศัตรูของข้า”

เมื่อเห็นหลัวซิวถอยไปสามก้าว และตนถอยไปเพียงครึ่งก้าว เหลยเว่ยหลงก็มีจิตใจที่สงบลง และสามารถรู้สึกได้ถึงลมหายใจของหลัวซิวในระดับฝึกจิตขั้นเก้า ทันใดนั้นมีร่องรอยของจิตสังหารและการดูถูกปรากฏขึ้นในสายตาของเขา

แต่สำหรับหลัวซิวนั้น กลับทำหูทวนลม ทันใดนั้นฝีเท้าก็ก้าวขึ้นไปในอากาศ ร่างนั้นรีบรุดเข้าอีกครั้ง บนกระบี่อาถรรพ์ฟันเสือ ปกคลุมไปด้วยรังสีสังหารสีแดงเลือด

“ดาบดับสิ้น!”

อีกครั้งของการปะทะอันรุนแรง และครั้งนี้ หลัวซิวเพียงแค่กระเด็นถอยหลังไปเพียงสองก้าว แต่เหลยเว่ยหลงกลับถอนหลังไปหนึ่งก้าวเต็ม ๆ

“ตาย!”

เหลยเว่ยหลงไม่วางมือ ร่างของทั้งสองกลายเป็นลำแสงและชนกันอย่างรุนแรงในกลางอากาศในทันที เสียงกระทบกันของอาวุธก็ดังขึ้นไม่หยุดหย่อน

ในช่วงเวลาสั้น ๆ ทั้งสองต่อสู้อย่างดุเดือดหลายสิบรอบ เหลยเว่ยหลงที่แต่เดิมไม่ได้แยแสกับหลัวซิวที่มีผลการฝึกตนของฝึกจิตขั้นเก้า สีหน้าก็พลันเคร่งขรึมในทันที

เขาพบว่า ผลการฝึกตนของหลัวซิวถึงจะไม่เทียบเท่าเขา แต่ทุกครั้งที่ปะทะกัน ก็มีพลังพอที่จะต่อต้านตน แม้จะด้อยกว่าเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ห่างชั้นนัก

อีกทั้งการบรรเลงวิชายุทธ์ของหลัวซิวก็มีความดุดันอย่างมาก มีการปะทะกันอย่างหนักหลายครั้งที่ทำให้เขาตกเป็นเบี้ยล่าง

นี่คือเด็กอายุ17จริงหรือ? นี่คือเด็กหนุ่มที่มีผลการฝึกตนเพียงฝึกจิตขั้นเก้าจริงหรือ?

ในแววตาของเหลยเว่ยหลงเต็มไปด้วยความตกใจและประหลาดใจ ในเวลาเดียวกัน เขาก็รู้สึกโกรธด้วยเช่นกัน เวลาเพียงแค่ปีกว่า ๆ เท่านั้น ถ้าอีกปีหรือสองปี ความแข็งแกร่งของผู้ชายคนนี้ ก็น่าจะสามารถบดขยี้เขาได้เลยในทันที
“ชิ้ง!”

ทันใดนั้น ประกายไฟก็สาดส่องไปทั่วทุกทิศ ร่างของทั้งหลัวซิวและเหลยเว่ยหลง หยุดนิ่งกลางอากาศทันที

“ซื้ด!…”

ทั้งลานฝึกยุทธ์ เกิดเสียงสูดลมหายใจเฮือกดังขึ้นมา และสิ่งที่ทำให้ทุกคนตะลึงก็คือ ดาบรบที่เจ้าสำนักเหลยหวู่ใช้นั้น กลับถูกชายหนุ่มชุดคลุมยาวดำยกมือขึ้นจับด้ามคมของดาบรบไว้!

ร่างเนื้อต้านนักยุทธ์ขั้นดิน?

เหลยเว่ยหลงก็มีสีหน้าตกตะลึงในทันที วินาทีที่ดาบรบถูกหลัวซิวใช้มือซ้ายหยุดเอาไว้ปฏิกิริยาแรกของเขาคือการรีบถอยกลับ!

ปฏิกิริยาตอบสนองของราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่งนั้นรวดเร็วมาก แต่กระบี่ของหลัวซิวนั้น เร็วกว่า

“พุ!”

ดาบที่ห่อหุ้มด้วยรังสีสีแดงเลือด ถูกฟันลงไปอย่างรุนแรงฟัน แสงสีแดงเลือดสาดกระเซ็น แม้ว่าเหลยเว่ยหลงจะถอยหนีอย่างรวดเร็ว ก็ยังมีแผลที่บริเวณอกและมีเลือดไหลออกมา

“ร่างยุทธ์ระดับราชา?”

สำหรับการบาดเจ็บของเขาเองนั้น เหลยเว่ยหลงไม่ได้สนใจ ดวงตาที่เคร่งขรึมนั้นจองไปที่หลัวซิวไม่วางตา

หลัวซิวถึงแม้จะจับคมดาบรบของเขาไว้ แต่ก็มีเลือดไหลระหว่างฝ่ามือและนิ้วเห็นได้ชัดว่าการโจมตีของนักยุทธ์ขั้นดิน ไม่ง่ายนักที่จะต่อต้าน

ถึงอย่างไร ร่างเนื้อของหลัวซิวก็เป็นเพียงแค่ร่างยุทธ์ระดับราชาขั้นปฐมภูมิ ถึงจะสามารถต้านการโจมตีของนักยุทธ์ขั้นดินชั้นล่างได้ แต่ก็ไม่สามารถต้านโดยที่ตนไม่ได้รับบาดเจ็บได้

“เจ้าสำนักเหลยอย่างเพิ่งยอมแพ้ ดาบรบเล่มนี้ ข้าขอล่ะ”

หลัวซิวเผยรอยยิ้มบางบนใบหน้า สะบัดมือเก็บดาบรบเหลยหวู่ลงไปในแหวนเก็บของ

มุมปากของเหลยเว่ยหลงถึงกับกระตุก เยาะเย้ย “ไม่น่าแปลกใจที่เจ้ากล้าที่จะท้าทายข้า ที่แท้ร่างเนื้อของเจ้าก็บรรลุถึงแดนร่างยุทธ์ระดับราชาแล้วอย่างนั้นล่ะสิ?”

“ถ้าเจ้าคิดว่าจะเอาชนะข้าได้แบบนี้ มันก็น่าขันเกินไปหน่อย ต่อให้ไม่มีดาบรบ แต่ข้าก็คือผู้แข็งแกร่งแห่งแดนราชายุทธ์ขั้นสี่!”

ที่องค์กรนักล่ายุทธ์ต้องตั้งกฎอะไรพวกนี้ เป็นการป้องกันสมาชิกภายในองค์กรไม่ให้สร้างปัญหาภายนอกองค์กร โดยอาศัยนามขององค์กรและทำลายชื่อเสียงขององค์กร

และกฎเกณฑ์เช่นนั้น มุ่งเป้าไปที่สมาชิกจากต่างเขตเป็นหลัก เช่นเสิ่นหยวนหนาน เหวินเซวียนหง และเย่เซี่ยงโต่วกลุ่มนี้เป็นต้น

อย่างเช่นสมาชิกอัจฉริยะขั้นดำขึ้นไปอย่างหลัวซิว แทบไม่มีกฎเกณฑ์และข้อจำกัดใดๆ และสามารถเพลิดเพลินกับสิทธิพิเศษมากมายได้ แต่ในขณะเดียวกันก็มีภาระผูกพันที่เกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน

เมื่อก่อนที่สำนักงานใหญ่ หัวหน้าองค์กรจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงได้ให้ม้วนหยกกับหลัวซิว ซึ่งบันทึกเกี่ยวกับภาระผูกพันที่ต้องดำเนินการของสมาชิกอัจฉริยะขั้นดำขึ้นไป

ภาระผูกพันนี้ เป็นระยะเวลาห้าปี ต้องอยู่ที่องค์กรนักล่ายุทธ์เพื่อทำภารกิจรางวัลนำจับให้ครบสามภารกิจ

ภารกิจรางวัลนำจับ คือเอกลักษณ์ขององค์กรนักล่ายุทธ์ แต่ในระบบองค์กร มีเพียงสมาชิกภายในเท่านั้นที่สามารถรับภารกิจได้ และพวกเขาจะได้รับรางวัลมากมายหลังจากเสร็จสิ้น

หลัวซิวเมื่อก่อนก็เคยออกภารกิจรางวัลนำจับ เคยขอให้เย่เซี่ยงโต่วกับเหวินเซวียนหงลงมือ

ในขณะที่หลัวซิวกำลังย้อนคิดอยู่นั้น เสิ่นหยวนหนานก็พูดพลางหัวเราะไปด้วย “หากข้าเดาไม่ผิด เจ้ากลับมาครั้งนี้ ต้องการลงมือโจมตีสำนักเหลยหวู่สินะ? แต่ทางที่ดีเจ้าควรฟังคำแนะนำของข้าสักคำ เหลยเว่ยหลงมีผลการฝึกตนระดับแดนราชายุทธ์ขั้นสี่ ในตอนที่เจ้ายังไม่บรรลุถึงแดนราชายุทธ์ อย่าเพิ่งผฺลีผฺลามรีบร้อนลงมือจะดีที่สุด”

“ข้ารู้ดีว่าเจ้าสามารถต่อสู้ข้ามระดับได้ แต่แดนผลการฝึกตนของเหลยเว่ยหลงไม่เพียงแต่สูงกว่าเจ้าถึงห้าแดน ระหว่างฝึกจิตกับปรมาจารย์ยุทธ์ มีความแตกต่างกันอย่างมาก”

เสิ่นหยวนหนานพูดเช่นนี้กับหลัวซิว ก็เพราะไม่อยากให้เด็กน้อยที่เขาเลี้ยงมากับมือต้องไปเสี่ยงอันตรายเช่นนั้น ท้ายที่สุดการที่เขามีพรสวรรค์ที่ดีมากเช่นนั้น เพียงแค่รอเวลาอีกสักนิด เรื่องที่จะบรรลุเป็นราชายุทธ์นั้นมันเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว

“นอกจากนี้ ครั้งนี้สำนักเหลยหวู่กับตระกูลกงซุนร่วมมือกันต่อต้านหอหย่งชาง ยังมีตระกูลเหยียนแห่งเมืองกู่เจี้ยนคอยเป็นเงาชักใยอยู่เบื้องหลัง ตระกูลเหยียนเป็นหนึ่งในสิบตระกูลใหญ่ มีผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์นั่งบัลลังก์อยู่”

“ตระกูลเหยียน?” หลัวซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย ความเยือกเย็นแวบหนึ่งปรากฏขึ้นในแววตา

การหลอมอาวุธอย่างกระบี่อาถรรพ์ฟันเสือ ต่างก็อาศัยหลินเจียเอ๋อร์ช่วยตามหาอาจารย์จุนหลู่ แม้จะไร้ซึ่งน้ำใจนี้ก็ตาม ความแค้นระหว่างหลัวซิวกับสำนักเหลยหวู่และตระกูลกงซุนนั้น ก็ทำให้เขายินดีเป็นอย่างมากที่จะช่วยทำให้แผนการของทั้งสองพังลง

“ข้าไปร่วมสนุกเสียหน่อย…” หลัวซิวพูดอย่างร่าเริง

ได้ยินเช่นนั้น หัวหน้าแก๊งเสิ่นหยวนหนานชะงักไปชั่วครู่ “ข้าลำบากลำบนพูดกับเจ้าไปตั้งมากมาย ใจคอเจ้าจะทำหูทวนลมอย่างนั้นรึ?”

แม้ว่าจะพูดอย่างนั้น แต่เสิ่นหยวนหนานกลับรู้ดีว่า เจ้าหลัวซิวคนนี้บ้าคลั่งขนาดไหน ในตอนนั้นเพื่อที่จะหาโอกาสที่จะบุกเข้าไปในแดนมรณะ จึงขอให้เขาลงมือ แต่เขาก็เกือบจะฆ่าเด็กคนนี้เสียแล้ว

คนบ้าที่ไม่กลัวความตาย เสิ่นหยวนหนานคิดไม่ออกจริง ๆ ว่าเหลยเว่ยหลงทำไมถึงต้องล้ำเส้นคนแบบนี้ด้วย

หอหย่งชางคือหนึ่งในสามอำนาจใหญ่แห่งเขตการปกครองโตว้ไห่ ตั้งอยู่ในสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองในเขตการปกครองโตว้ไห่

ในวันนี้ ถนนที่ครั้งหนึ่งเคยรุ่งเรืองแห่งนี้ กลับเงียบสงัด และไม่มีใครอยู่บนถนนเลย

ประตูใหญ่ของหอหย่งชางถูกพังทลายลง ทั้งสองฝ่าย เผชิญหน้ากันอยู่ที่ลานฝึกยุทธ์อันกว้างขวาง

ศูนย์กลางของลานฝึกยุทธ์ มีเวทีประลองยุทธ์ตั้งอยู่ ร่างสองกำลังต่อสู้อยู่บนนั้น พลังแห่งสวรรค์และโลกผันผวนอย่างรุนแรง ทั้งสองคนที่ต่อสู้กันอยู่นั้น คือราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่งที่มีหนทางที่จะควบคุมสวรรค์และโลก

ร่างหนึ่งมีแสงสีน้ำเงินไปทั่วร่าง ระหว่างที่สะบัดมือพลังจิตแท้ธาตุน้ำพลุ่งพล่านและทรงพลัง การโจมตีต่อเนื่องและหอกยาวในมือของเขาเคลื่อนไหวราวกับมังกร

คน ๆ นี้คือเจ้าสำนักแห่งหอหย่งชาง หลินโยว่เทียนมีผลการฝึกตนของราชายุทธ์แดนฝึกจิตขั้นสาม

อย่างไรก็ตาม ศัตรูของหลินโยว่เทียน ดูเหมือนจะแข็งแกร่งกว่าอยู่บ้าง ล้อมรอบด้วยสายฟ้าราวกับเทพเจ้าแห่งสงคราม ระหว่างการเหวี่ยงดาบกว้าง เสียงฟ้าร้องดังก้อง และการโจมตีนั้นรุนแรงและดุร้าย

“หลินโยว่เทียน ข้าแนะนำให้เจ้ายอมแพ้เสียดีกว่า เพียงแค่เจ้ายินยอมยุบหอหย่งชาง ข้าสามารถช่วยพูดเพื่อไว้ชีวิตเจ้าได้”

บนเวทีประลองยุทธ์ คนที่รอบตัวนั้นล้อมรอบไปด้วยสายฟ้าตะโกนออกไปเสียงดัง

“เหลยเว่ยหลง ฝันไปก่อนเถอะ!”

หลินโยว่เทียนพูดเสียงเยือกเย็น หอกในมือสั่นสะท้าน พลังจิตแท้ตระหง่านกลายเป็นทะเลพายุ เหลยเว่ยหลงกระโจนเข้าใส่ฝ่ายตรงข้ามอย่างบ้าคลั่ง

“ดื้อดึงเสียจริง ผลการฝึกตนของเจ้าเทียบข้าไม่ได้ จะเป็นคู่ต่อสู้ของข้าได้อย่างไร?”

เหลยเว่ยหลงมีสีหน้าไม่ใส่ใจ ท่ามกลางเขตการปกครองโตว้ไห่นี้ นอกจากเสิ่นหยวนหนานแห่งองค์กรนักล่ายุทธ์ ก็ไม่มีใครสามารถเป็นคู่ต่อสู้กับเขาได้ สำนักเหลยหวู่เรียกได้ว่าเป็นที่พึ่งทางอำนาจอันดับหนึ่งแห่งเขตการปกครองโตว้ไห่

เวิง!

ดาบรบขนาดมหึมาสั่นสะท้าน สายฟ้าที่หลอมรวมกันราวกับพายุบนดาบรบ ในชั่วพริบตาแสงดาบที่ดังสนั่นใกล้เคียงกับแก่นแท้ของสิ่งต่าง ๆ ก็ได้ฟันออกไป เฉือนไปในอากาศเกิดเป็นรอยดำแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

ปัง!

ทั้งสองพุ่งเข้าหากัน พลังจิตแท้ธาตุน้ำหลอมรวมเป็นทะเลพายุนั้นถูกดาบสายฟ้าโจมตีจนแตกเป็นเสี่ยง ๆ ตามด้วยลำแสงจากดาบที่ราวกับกำลังกวาดล้างใบไม้ใบหญ้าหญ้าแห้ง ๆ พุ่งเข้าโจมตีเข้าที่ร่างของหลินโยว่เทียนอย่างโหดร้าย

พุ ฉึก!
ร่างของหลินโยว่เทียนราวกับโดนฟ้าผ่า สีหน้าพลันซีดเซียวทันที เสียงเลือดสดพุ่งพรวดจนได้ยินชัดเจน พร้อมกับร่างที่ลอยกระเด็นออกไป ใช้หอกยาวยันร่างกายที่ซวนเซไปมา ลมหายใจเริ่มถี่และสั้นลง

ตัวสำนึกกวาดไปรอบทั้งสี่ทิศ สีหน้าเผยความโศกเศร้า อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเฮือกใหญ่ เพราะทั้งหอหย่งชาง ในเวลานี้ถูกค่ายกลขนาดมหึมาตรึงไว้เรียบร้อยแล้ว

หากไม่นับว่าพลังของเหลยเว่ยหลงนั้นแข็งแกร่งกว่าตัวเขาเองมาก นายท่านกงซุนเชียนจีแห่งตระกูลกงซุน นั่นก็คือปรมาจารย์ค่ายกลระดับห้าท่านหนึ่ง

อาศัยการบรรลุปรมาจารย์ค่ายกลระดับห้า กงซุนเชียนจีจึงสามารถมีผลการฝึกตนของแดนราชายุทธ์ฝึกต้นขั้นหนึ่ง ทำให้ตระกูลใหญ่กงซุน ก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจหนึ่งในสามแห่งเขตการปกครองโตว้ไห่ได้

“หลินโยว่เทียน ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง เจ้าจะยอมแพ้หรือไม่?” เหลยเว่ยหลงก้าวลอยขึ้นไปกลางอากาศ และปรายตามองลงมายังพื้นด้านล่าง

“เฮอะ ๆ เจ้าสำนักเหลยช่างยอดเยี่ยมเสียจริง”

ทันใดนั้น เสียงหัวเราะอย่างดูถูกเหยียดหยามเล็กน้อยก็ดังลอยมา

“ใครกัน?”

เหลยเว่ยหลงพูดเสียงเย็น เงยหน้าไปมอง แต่กลับเห็นเพียงเงามหึมาราวกับหัวมังกรพุ่งตรงมาทางเขา

เงามหึมานี้ มันเป็นกรงเล็บขนาดใหญ่เสียจนหน้าตกใจ ลอยอยู่กลางอากาศเหนือหอหย่งชาง สิงโตยักษ์ที่รายล้อมไปด้วยเปลวเพลิงเงยหน้าขึ้นแล้วส่งเสียงคำรามอื้ออึง

คลื่นเสียงแผ่กระจายออกไป ทำให้ทั้งสองฝ่ายที่กำลังเผชิญหน้ากันอยู่ แต่นักยุทธ์ทั่วไปที่มีผลการฝึกตนต่ำกว่าระดับฝึกจิต ต่างพากันกระอักเลือด ใบหน้าซีดเผือด แม้ว่าเป็นแดนฝึกจิต เพียงแค่ต่ำกว่าระดับฝึกจิต ก็ยังได้รับผลกระทบ เลือดลมแปรปรวน

“ปัง!”

เหลยเว่ยหลงปล่อยหมัดพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว เข้าปะทะกับกรงเล็บขนาดมหึมา พลังการโจมตีมหาศาล ทำให้เหลยเว่ยหลงทรงตัวไม่อยู่ ร่างกายซวนเซและลอยกระเด็นออกไปไกลหลายสิบเมตร

ในเวลานี้เองที่ทุกคนถึงได้สังเกตเห็น ที่ด้านบนสุดของหัวสิงโตเพลิงที่เจิดจ้าอยู่กลางอากาศ มีชายหนุ่มสวมชุดคลุมสีดำยืนอยู่

อีกอย่างก็เหมือนกับตอนที่กลั่นยาเสวียนจือในครั้งแรกล้มเหลว หลัวซิวไม่ได้มั่นใจว่าจะกลั่นออกมาได้สำเร็จตั้งแต่ครั้งแรก

“วัตถุดิบพวกนี้ ถึงแม้จะมีค่ามาก แต่การฟื้นฟูของอาจารย์นั้นสำคัญยิ่งกว่า วัตถุดิบพวกนี้ข้าให้เจ้าได้ แต่ข้าหวังว่าเจ้าจะรีบเอายาวิญญาณหยินหยางมาให้ข้า”

ชิวลั่วสุ่ยหยิบวัตถุดิบออกมาจากแหวนเก็บของอีกสองชุด ดวงตาคู่สวยมองไปทางหลัวซิวและกล่าวตอบ

เดิมทีทั้งสองตกลงกันว่า ใช้วัตถุดิบหนึ่งชุดมาแลกยาวิญญาณหยินหยางหนึ่งเม็ด ในตอนนี้ชิวลั่วสุ่ยเอามาให้สามชุด ทำให้หลัวซิวรู้สึกเกรงใจขึ้นมา

อย่างไรก็ตาม ยังเห็นได้ว่าสถานการณ์ของสำนักสุ่ยเยว่จงได้มาถึงจุดที่อันตรายที่สุดแล้ว

“สามวันจากนี้ เจ้ามารับยาจากข้า” หลัวซิวกล่าว แน่นอนว่าเขาต้องการวัตถุดิบเหล่านี้ ดังนั้นจึงไม่มีคำปฏิเสธที่สุภาพมากพอ

ท้ายที่สุดเมื่อเทียบกับวัตถุดิบสามชุด ไปตามหาปรมาจารย์กลั่นยาระดับหก ราคาจะสูงกว่านี้อีกมาก ตัวอย่างเช่นอาจารย์ตระกูลสวีคนนั้นร้องขอยาเสวียนจือหนึ่งเม็ด สิ่งที่ถูกนำออกมาสิ่งที่นำออกมาแลกนั้นมีค่าเท่ากับวัตถุดิบสิบชุด

“สามวันหรือ?” ชิวลั่วสุ่ยชะงักไปเล็กน้อย มีความสงสัยและความกังวลอยู่ในใจ แต่นางก็รู้เช่นกันว่า เวลานี้จำเป็นต้องฝากความหวังไว้กับหลัวซิวแล้ว

อย่างไรก็ตาม เธอไม่เคยคาดคิดว่า คนที่กลั่นยาวิญญาณหยินหยางไม่ใช่อาจารย์ลึกลับที่ไหน แต่เป็นตัวหลัวซิวเอง

เมื่อมีประสบการณ์จากการกลั่นยาเสวียนจือล้มเหลวมาก่อน ครั้งนี้หลัวซิวเตรียมตัวอย่างดีก่อนกลั่นยาวิญญาณหยินหยาง

ยาเม็ดแรก เขาใช้เวลากลั่นไปหนึ่งวันครึ่ง ที่โชคดีคือไม่ได้กลั่นล้มเหลง เพียงแค่คุณภาพของยามีแค่เจ็ดจากสิบ

ยาอีกสองเม็ดที่เหลือ หลัวซิวกลับใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งวันในการกลั่นออกมา เม็ดหนึ่งเก้าจากสิบ อีกเม็ดหนึ่งคือยาบริสุทธิ์ที่ปราศจากสิ่งเจือปน!

ผ่านไปสามวัน ชิวลั่วสุ่ยมาหาหลัวซิว มารับเอายาวิญญาณหยินหยางสองเม็ด ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความยากที่จะเชื่อ ความประหลาดใจ และความตื่นเต้นในเวลาเดียวกัน

เดิมทีนางคิดว่า ได้ยาหนึ่งเม็ดก็เพียงพอแล้ว แม้แต่เตรียมใจไว้แล้วหากถูกหลอก แต่กลับคิดไม่ถึงว่า หลัวซิวจะให้ยาวิญญาณหยินหยางกับนางถึงสองเม็ด

ราคาของวัตถุดิบหนึ่งชุดกับยาหนึ่งเม็ด เป็นอะไรที่เกินกว่าจะเทียบได้ โดยเฉพาะยาวิญญาณหยินหยาง ยาเสวียนจือ เหล่าบรรดายาชั้นสูงระดับหกพวกนี้ อัตราความล้มเหลวมีสูงมาก บางครั้งใช้วัตถุดิบไปถึงสามชุดก็ยังไม่สามารถกลั่นออกมาได้สักเม็ด

แต่ที่หลัวซิวเอายาวิญญาณหยินหยางให้นองถึงสองเม็ด ถือว่าเป็นค่าตอบแทนที่ให้วัตถุดิบเกินมาสองชุด

สำหรับคุณภาพของยาทั้งสองเม็ดนั้น แน่นอนว่าคือยาเจ็ดส่วนและยาเก้าส่วน ส่วนยาบริสุทธิ์ที่มีเม็ดเดียวนั้น หลัวซิวเก็บเอาไว้ให้เหยียนเยว่เอ๋อร์

ชิวลั่วสุ่ยไม่ได้อยู่ที่นี่นาน ขอบคุณแล้วรีบเดินทางกลับสำนักสุ่ยเยว่จง อีกทั้งยังทิ้งน้ำทิพย์พันปีไว้ให้หลัวซิวอีกหนึ่งขวด น้ำทิพย์ชนิดนี้มีค่ามหาศาล แค่เพียงหยดเดียวก็สามารถทำให้นักยุทธ์ระดับต่ำกว่าจักรพรรดิยุทธ์ฟื้นฟูผลการฝึกตนที่สลายไปได้ในทันที และมียาที่มีความพิเศษหลายชนิด หนึ่งในนั้นจำเป็นต้องใช้น้ำทิพย์จึงจะสามารถกลั่นออกมาได้

เมื่อเทียบกับภูตอัคคีกลืนกินที่หลัวซิวได้รับมา ไม่ต้องพูดถึงน้ำทิพย์พันปีหนึ่งขวด ต่อให้เป็นร้อย เป็นพันขวด ก็ยังไม่สามารถเทียบได้

ในแง่หนึ่ง แม้ว่าจะมีการทำข้อตกลงระหว่างคนทั้งสอง แต่หลัวซิวก็ซาบซึ้งใจต่อชิวลั่วสุ่ยอย่างมาก หากไม่ใช่เพราะนางให้ข้อมูลเรื่องภูตอัคคีตัวเขาเองก็คงไม่ได้ภูตอัคคีมาง่าย ๆ

ไม่เพียงเท่านั้น เขายังได้รับน้ำใจจากจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งลำดับสองอีกหนึ่งคน

……

ที่สำนักงานใหญ่ขององค์กรนักล่ายุทธ์ หลัวซิวใช้สิทธิ์อัจฉริยะขั้นดำ เพื่อรับข้อมูลเกี่ยวกับเหยียนเยว่เอ๋อร์จักรพรรดิยุทธ์เทียนเฟิ่ง

ตามที่องค์กรนักล่ายุทธ์ได้รับรายงาน ครั้งสุดท้ายที่นางปรากฏตัว คือครึ่งปีก่อน เจอกับตำหนักจื่อและผู้แข็งแกร่งตระกูลเหยียนล้อมโจมตี

ที่โชคดีคือ ถึงผลการฝึกตนของนางจะลดลง แต่ความแข็งแกร่งของตัวนางเองนั้นก็แข็งแกร่งมากเช่นกัน หากไม่ใช่ผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์โจมตีด้วยตนเอง นักยุทธ์ที่เจอได้ทั่วไปต่างก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนางเลย ไม่ว่ากี่ครั้งที่ล้อมโจมตีนาง ต่างก็ถูกนางฆ่าและหนีออกมาได้เสมอ

ในเวลาเดียวกัน เรื่องที่เกิดขึ้นในสถานรกร้างภาคเหนือถูกส่งมาที่ประเทศเทียนหวู ทำให้เกิดความปั่นป่วนไม่น้อย ถึงอย่างไรราชวงศ์ตระกูลฝานที่อยู่ในประเทศเทียนหวูสะสมอำนาจนับแสนปี ในตอนนี้มีกลับมีคนกล้าที่จะถอนหงอก บุกฆ่าราชายุทธ์แห่งตระกูลฝาน และขโมยของมีค่าของราชวงศ์ตระกูลฝานไป

คนที่ราชวงศ์ตระกูลฝานสงสัย คือหนึ่งในเก้าตระกูลใหญ่ ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่า คนที่ฆ่าจักรพรรดิหลิงหยุน และแย่งชิงทักษะยุทธ์ระดับ9ไปนั้น ความจริงแล้วคือหลัวซิว

อาศัยค่ายวาร์ในการเดินทาง หลังจากนั้นประมาณครึ่งเดือน หลัวซิวก็มาถึงเขตการปกครองโตว้ไห่

“เจ้าเด็คนนี้ มันโตถึงขนาดนี้แล้วรึ”

ทุกครั้งที่ได้พบหลัวซิว เสิ่นหยวนหนานก็อดไม่ได้ที่จะตะโกนด้วยความตกใจ เขามีชีวิตมานานขนาดนี้ แต่ไม่เคยเห็นใครที่มีผลการฝึกตนเพิ่มขึ้นได้เร็วถึงเพียงนี้

เขายังจำได้ดี ครั้งแรกที่ได้เห็นหลัวซิว เขาเพิ่งจะบรรลุถึงแดนพรสวรรค์ได้ไม่นาน ครั้งที่สองที่เจอก็บรรลุถึงแดนฝึกจิตแล้ว และครั้งนี้ก็บรรลุถึงฝึกจิตขั้นเก้า เส้นทางบรรลุถึงราชายุทธ์อยู่ไม่ไกลแล้ว

“ผู้อาวุโสชมเกินไปแล้ว” หลัวซิวแกล้งพูดพรางหัวเราะกลบเกลื่อน ถึงแม้พลังของตนนั้นจะทัดเทียมเสมอเหมือนหัวหน้าแก๊งเสิ่นหยวนหนานท่านนี้แล้ว แต่สำหรับผู้อาวุโสคนนี้ที่ดูแลเขามา ในใจของหลัวซิวยังคงเคารพรักเขาเป็นอย่างมาก

“สำนักเหลยหวู่กับตระกูลกงซุนช่วงนี้มีความเคลื่อนไหวหรือไม่?” หลัวซิวถามไปลอย ๆ

ก่อนนี้หลัวซิวเคยขู่ว่าจะพังทลายสำนักเหลยหวู่ให้ราบในวันเดียว เด็ดหัวของเหลยเว่ยหลงเป็นคนแรก หลายคนไม่เข้าใจว่าระหว่างเขาและสำนักเหลยหวู่มีความแค้นอะไรกันแน่

เสิ่นหยวนหนานก็ไม่รู้ จึงถามด้วยความสงสัยว่า “เหลยเว่ยหลงผู้ชายคนนั้นไปยั่วยุอะไรกับเจ้ารึ?”

“เขาไม่ได้ยั่วยวนข้าโดยตรง แต่ไปยั่วยุคนที่ข้าห่วงใย เป็นคนที่เขาถูกกำหนดให้ไม่สามารถยั่วยุได้”

หลัวซิวไม่ได้กล่าวเรื่องเหยียนเยว่เอ๋อร์ให้สิ่นหยวนหนานฟัง อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ยังเกี่ยวข้องกับความคับแค้นใจเมื่อ 300 กว่าปีที่แล้ว เกี่ยวโยงกับตำหนักจื่อ และความพลังของเขาในตอนนี้ ยังไม่สามารถต่อกรซึ่งหน้ากับยักษ์ใหญ่อย่างตำหนักจื่อได้

“สำนักเหลยหวู่กับตระกูลกงซุนตอนนี้ร่วมมือกันโจมตีหอหย่งชางแล้ว” เสิ่นหยวนหนานกล่าวตอบ

ทรัพยากรในเขตการปกครองโตว้ไห่มีจำกัด สำนักเหลยหวู่ ตระกูลกงซุน และหอหย่งชาง สามขั้วอำนาจใหญ่โจมตีกันไปมาทั้งต่อหน้าและลับหลังเป็นเวลาเนิ่นนานมาแล้ว เพื่อถ่วงสมดุลซึ่งกันและกัน

พลังของสำนักเหลยหวู่ถึงแม้จะแข็งแกร่งที่สุด แต่ตระกูลกงซุนกับหอหย่งชางร่วมมือกัน ก็ยังพอที่จะต่อสู้กรได้

แต่ในตอนนี้ อยู่ดี ๆ สำนักเหลยหวู่กลับไปร่วมมือกับตระกูลกงซุน เตรียมที่จะกำจัดหอหย่งชาง แบ่งแหล่งทรัพยากรอุตสาหกรรม พลังของหอหย่งชาง ไม่สามารถต้านทานได้อย่างแน่นอน

“ผู้อาวุโส หลินเจียเอ๋อร์เป็นศิษย์ของท่าน และเป็นลูกสาวของเจ้าสำนักหอหย่งชาง ท่านจะยอมนั่งดูเฉย ๆ โดยไม่ทำอะไรหรือ?” หลัวซิวถามด้วยความสงสัย

เสิ่นหยวนหนานเขาส่ายหัวด้วยรอยยิ้มขมขื่น และพูดว่า “ข้อปฏิบัติขององค์กรนักล่ายุทธ์ เจ้าก็รู้ดีไม่ใช่ไม่รู้ ห้ามมิให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการต่อสู้ของกองกำลังอื่น เว้นแต่จำเป็นจริง ๆ เจ้าเด็กเจียเอ๋อร์ทุกวันนี้ก็อยู่ไกลถึงสถานรกร้างภาคเหนือ ตราบใดที่ไม่มีปัญหากับความปลอดภัยของนาง ข้าก็ไม่มีเหตุผลที่จะเข้าไปแทรกแซงในการต่อสู้ครั้งนี้”

สำหรับสวีจิงเหนียนที่เลือกใช้ที่นี่ในการกินยาเพื่อรักษาบาดแผลนั้น หลัวซิวไม่ได้ประหลาดใจอะไร เพราะในใต้หล้านี้ สถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดก็คือองค์กรนักล่ายุทธ์ กล่าวได้ว่าปลอดภัยกว่าตำหนักเก่าแก่แห่งตระกูลสวีเสียอีก

“ผู้อาวุโสวางใจใช้สถานที่นี้รักษาตัวได้ จะไม่มีใครสามารถเข้ามารบกวนท่านได้” หลัวซิวพูดพร้อมรอยยิ้ม

สวีจิงเหนียนก็ไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องเล็กน้อยใดใด ยกมือขึ้นหยิบยาเสวียนจือโยนเข้าไปในปาก พลางเอ่ย “รบกวนผู้น้อยช่วยคุ้มกันข้าด้วย”

หลังจบคำพูดนั้น สวีจิงเหนียนก็หลับตาลงในทันที เข้าสู่ท่าทางของการฝึกตน

ผู้สืบทอดตระกูลใหญ่แห่งโลกยุทธ์ คนแบบไหนที่เชื่อได้ คนแบบไหนเชื่อไม่ได้ สำหรับคนที่มีชีวิตมานับปีอย่างสวีจิงเหนียนแล้วนั้น เป็นธรรมดาที่จะเข้าใจมากกว่าชายหนุ่มที่อ่อนต่อโลกเช่นหลัวซิวอย่างสิ้นเชิง

การกระทำของเขา ได้รับความไว้วางใจจากหลัวซิว เพราะความไว้วางใจเป็นของกันและกัน อีกฝ่ายไม่อายที่จะรักษาตัวเอง จิตใจและความกล้าหาญเช่นนี้ทำให้หลัวซิวรู้สึกชื่นชม

ไม่ว่าอย่างไร ยิ่งอายุยืนนานเท่าไหร่ ก็จะยิ่งระมัดระวังมากขึ้นเท่านั้น คนเช่นสวีจิงเหนียน พูดได้เลยว่ามีไม่มากนัก

ผ่านไปไม่นาน บนร่างกายของสวีจิงเหนียนปกคลุมไปด้วยแสงระยิบระยับ กระบวนการในการรักษาบาดแผล ต่อเนื่องยาวนานกว่าหนึ่งชั่วโมงคลื่นพลังจิตแท้ที่คาดการณ์ไม่ได้เกิดความผันผวน จากภายในร่างกายของสวีจิงเหนียนแพร่กระจายออกมา

ก่อนหน้านี้ ผลการฝึกตนส่วนใหญ่ของเขา ถูกใช้เพื่อกดบาดแผลของจุดตันเถียน แต่เมื่อบาดแผลของจุดตันเถียนได้รับการรักษาและฟื้นฟู พลังอันยิ่งใหญ่ที่อยู่ในร่างนั้น ปะทุอย่างรุนแรงราวกับน้ำท่วมทะลักออกมา

ระลอกคลื่นพลังแต่ละครั้งนั้น ทำให้โต๊ะและเก้าอี้ในห้องแตกเป็นผุยผง และความผันผวนของพลังนี้มีแนวโน้มที่จะแพร่กระจายต่อไป หากไม่ควบคุมไว้ เกรงว่าห้องนี้จะถูกทำลาย และจะดึงดูดให้เกิดการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่

หลัวซิวหยิบธงขลังสรรพสิ่งออกมาทันที และสร้างค่ายกลคุ้มกันขึ้นมากมายภายในห้องนั้น เพื่อควบคุมไม่ให้พลังแพร่กระจายออกไป

เวลาผ่านไปเนิ่นนาน ดวงตาที่ปิดสนิทของสวีจิงเหนียนก็ค่อย ๆ เปิดขึ้น ลำแสงสองดวงพุ่งออกมาราวกับลูกธนู ทะลวงเข้ากับอากาศจนเกิดรอยไหม้สองรอย

นี่คือพลังอำนาจของผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ พลังที่พุ่งออกมา สามารถทะลุทะลวงอากาศได้ในพริบตา!

แต่พลังของหลัวซิวในตอนนี้เปรียบได้กับราชายุทธ์ทั่วไป อย่างมากที่สุดก็เพียงแค่สามารถบิดเบือนอากาศได้

ความแตกต่างดูเหมือนจะเล็กน้อย แต่ในความเป็นจริง มันคือความแตกต่างระหว่างสวรรค์และโลก

“ฮ่า ๆ… ผลการฝึกตนของข้า ในที่สุดก็ฟื้นฟูแล้ว!”

อำนาจบารมีแพร่ออกจากร่างของสวีจิงเหนียน เงยหน้าขึ้นพร้อมกับหัวเราะ ทั้งห้องสั่นอย่างรุนแรงด้วยเสียงหัวเราะ ค่ายกลคุ้มกันระดับห้าที่หลัวซิวสร้างไว้สั่นอย่างต่อเนื่อง ราวกับกำลังจะถูกทำลายล้าง

สิ่งนี้ทำให้หลัวซิวต้องคิ้วขมวด กำลังจะเอ่ยปากพูดอะไรสักอย่าง สวีจิงเหนียนก็ได้ยับยั้งอำนาจบารมีจากร่างกายไปแล้ว กลายเป็นคนแก่ธรรมดา ที่ดูราวกับว่าไม่มีพลังนักยุทธ์เลยแม้แต่น้อย

“เฮอะ ๆ ขอโทษที ไม่ง่ายเลยกว่าจะฟื้นฟูบาดแผลได้ จึงหลุดการควบคุมไปเล็กน้อย” สวีจิงเหนียนกล่าวขอโทษเล็กน้อย

“อารมณ์ของท่านผู้อาวุโส ผู้น้อยเข้าใจดี” หลัวซิวตอบรับด้วยเสียงหัวเราะ ในขฯเดียวกันก็สะบัดมือเก็บธงขลังสรรพสิ่ง

กิริยานี้ของหลัวซิว ทำเอาสวีจิงเหนียนหนังตากระตุก เพราะเขาสังเกตว่าก่อนหน้านี้มีค่ายกลคุ้มกันระดับห้าถูกสร้างไว้ เห็นได้ชัดว่า ค่ายกลนี้หลัวซิวเป็นคนสร้าง

“เขาไม่ใช่นักค่ายกลระดับสี่ แต่เป็นปรมาจารย์ค่ายกลระดับห้า?” สวีจิงเหนียนต้องหันกลับไปมองเด็กหนุ่มชุดดำที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง ยิ่งรู้จักเขามากเท่าไหร่ ก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงความลึกลับของเด็กคนนี้มากขึ้นเท่านั้น

หลัวซิวยังลึกลับถึงเพียงนี้ ถ้าเช่นนั้น อาจารย์คนนั้นที่อยู่เบื้องหลังเขา คงจะลึกลับมากเสียจนไม่สามารถเข้าถึงได้

“ผู้น้อยไม่เพียงแต่พลังผลการฝึกตนจะเป็นที่สุดของรุ่นเดียวกัน ยังเชี่ยวชาญกลั่นยาและค่ายกล สามารถสั่งสอนให้ได้ศิษย์อย่างเจ้ามา ข้ายากจะจินตนาการได้ว่า อาจารย์ของเจ้าอยู่ในแดนใด” สวีจิงเหนียนลองถามโดยไม่ทิ้งแสดงอาการน่าสงสัยใดใด

“ผู้อาวุโสชมเกินไปแล้ว ท่านอาจารย์ไปถึงแดนที่สูงยิ่งนัก ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ ผู้น้อยได้เรียนรู้เพียงแค่เส้นขนเท่านั้น” หลัวซิวพูดพลางหัวเราะ

สวีจิงเหนียนอดไม่ได้ทีจะกระตุกมุมปาก ได้เรียนรู้เพียงแค่เส้นขนก็สามารถไปถึงนักกลั่นยาระดับสี่ ปรมาจาย์ค่ายกลระดับห้า อายุเพียง17ปีก็สามารถบรรลุถึงผลการฝึกตนแห่งฝึกจิตขั้นเก้า?

นี่ทำให้สวีจิงเหนียนสามารถตัดสินได้ว่า อาจารย์ลึกลับที่อยู่เบื้องหลังหลัวซิว ผลการฝึกตนของระดับที่บรรลุถึงต้องเกินระดับจักรพรรดิยุทธ์ หรืออาจจะเป็นผู้แข็งแกร่งที่ถือสันโดษอย่างมกุฏยุทธ์ พรีเมี่ยมยุทธ์ หรืออาจะเป็นคนในตำนานอย่างมหาจักรพรรดิยุทธ์?

เมื่อคิดถึงจุดนี้ สวีจิงเหนียนก็ไม่ได้พยายามสืบเรื่องราวของอาจารย์ที่อยู่เบื้องหลังหลัวซิวต่ออีก เพราะผู้แข็งแกร่งที่ถือสันโดษส่วนมากนั้นอารมณ์ไม่ค่อยปกติ หากดเผลอไปแตะต้องส่วนต้องห้ามเข้า มีแต่จะทำให้ตัวเองเดือดร้อนเพราะความอยากรู้อยากเห็นก็เท่านั้น

“นอกจากค่าตอบแทนของยาวิเศษแล้ว ข้าสัญญาว่าหลังจากฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ ข้าเป็นหนี้บุญคุณผู้น้อย ตราบใดที่เป็นเรื่องที่ข้าสามารถทำให้ได้ ขอเพียงผู้น้อยพูดมาคำเดียว ข้าจะไม่มีทางปฏิเสธอย่างแน่นอน” สวีจิงเหนียนกล่าวด้วยความเกรงใจ

“ข้าน้อยขอบคุณท่านผู้อาวุโส” รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าของหลัวซิว

หนี้บุญคุณจากผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ แน่นอนว่าหลัวซิวไม่ปล่อยให้เสียเปล่า เพียงแค่ในเวลานี้ เขายังไม่ต้องใช้มัน
หลังจากสวีจิงเหนียนฟื้นฟูผลการฝึกตนจักรพรรดิยุทธ์ ก็เอ่ยปากลา ล่าสุดเพราะอาการบาดเจ็บของเขา อำนาจของตระกูลสวีจึงถูกราชวงศ์ตระกูลฝานกลืนกินไปไม่น้อย เขาจำเป็นต้องกลับไปนั่งบัลลังก์ แสดงอำนาจแห่งจักรพรรดิยุทธ์ ต้องทำให้ราชาแห่งราชวงศ์ตระกูลฝานคนนั้นเกิดความกังวลและเกรงกลัว

ไม่กี่เดือนมานี้ ความวุ่นวายในแดนปริศนาที่เกิดขึ้นได้สงบลงมาก ข่าวเกี่ยวกับหลัวซิวที่สังหารอัจฉริยะจำนวนมากจากกองกำลังต่างๆ ได้ค่อยๆ หายไปเพราะไม่มีหลักฐานที่เป็นรูปธรรม

หลัวซิวส่งข้อความหาชิวลั่วสุ่ย ให้นางเอายาวิเศษและวัตถุดิบสำหรับกลั่นยาวิญญาณหยินหยางทุกอย่าง มาหาเขาที่องค์กรนักล่ายุทธ์แห่งประเทศเทียนหวู

ก่อนหน้านี้ เพื่อที่จะแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับภูตอัคคี หลัวซิวสัญญาไว้ว่าจะให้ยาวิญญาณหยินหยางกับชิวลั่วสุ่ยหนึ่งเม็ด แต่เงื่อนไขก็คือ นางจะต้องเอาวัตถุดิบสำหรับกลั่นยาวิญญาณหยินหยางหนึ่งเม็ดมาแลก

ชิวลั่วสุ่ยเมื่อได้รับข้อความก็รีบมาในทันที ทั้งสองแอบพบกันในห้องลับขององค์กรนักล่ายุทธ์

ผลหู่หยางจูหนึ่งผล หญ้าวิญญาณหนึ่งเม็ด และวัตถุดิบและยาวิเศษอีกบางส่วนที่ช่วยในการกลั่นยาวิญญาณหยินหยาง

แม้กระทั่งน้ำแร่วิญญาณ ก็อยู่ในมือของหลัวซิวแล้ว รวมทั้งหมดสี่สิบกว่าหยด

“สำนักสุ่ยเยว่จงของพวกเจ้า น่าจะยังมีหญ้าวิญญาณอีกมาก?”

เห็นชิวลั่วสุ่ยเอายาวิเศษและวัตถุดิบที่เป็นของดีพวกนี้ของดีออกมา หลัวซิวก็เอ่ยปากพูดออกมาลอย ๆ

“เจ้าต้องการหญ้าวิญญาณ?” ชิวลั่วสุ่ยถาม

“ใช่ นอกจากหญ้าวิญญาณ ข้ายังต้องการผลหู่หยางจู หากเจ้ายังมี ข้าสามารถเอาของมาแลกกับเจ้าได้” หลัวซิวพยักหน้า

หญ้าวิญญาณนั้น เป็นสิ่งหายากเกินจะประเมินราคา แต่สำนักสุ่ยเยว่จงเคยหาวัตถุดิบในการกลั่นยาวิญญาณหยินหยางได้สามชุด พูดอีกอย่างก็คือมีหญ้าวิญญาณสามเม็ด

การกลั่นยาวิญญาณหยินหยางหนึ่งเม็ด ต้องใช้หญ้าวิญญาณหนึ่งเม็ด น่าจะยังมีเหลืออยู่อีกสองเม็ด

ไม่มีนักกลั่นยาคนไหนสามารถรับประกันการกลั่นยาของตนได้ว่าตลอดชีวิตนั้นจะไม่ล้มเหลวเลยแม้สักครั้ง

สำหรับหลัวซิวที่มีความทรงจำของปรมาจารย์กลั่นยาระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นเก้า ประสบกับล้มเหลวเกือบหมื่นครั้ง โดยเฉพาะในตอนแรกที่เริ่มเรียนกลั่นยา ความสำเร็จทุกอย่างได้มาโดยการสะสมประสบการณ์หลังจากความล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า

แม้ว่าจะล้มเหลวไปแล้วหนึ่งครั้ง การแสดงออกของหลัวซิวก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป และเพราะความล้มเหลวนี้จึงสามารถสรุปเหตุผล การกลั่นยาครั้งต่อไปของเขา ก็ดูคล่องแคล่วขึ้นมากทีเดียว

ก่อนอื่น เขาวิเคราะห์ส่วนผสมของยาวิเศษใหม่อีกครั้ง ขั้นตอนการกลั่นยาเริ่มดำเนินไปอย่างมีระเบียบ ทุกอย่างราบรื่นมากกว่าการกลั่นยาครั้งก่อน

เตากลั่นยาสีฟ้าอ่อนหมุนอยู่กลางอากาศ ภูตอัคคีกลืนกินสีน้ำตาลแดงกลิ้งไปกลิ้งมาในเตาหลอม กลั่นตัวตลอดเวลา ภายใต้การแผดเผาของภูตอัคคี แพร่กระจายออกมาจากรอบสี่ทิศของเตากลั่นยาจนสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

ตัวสำนึกของหลัวซิวจดจ่อไปตามสถานการณ์เตากลั่นยา ยาสีฟ้าใสหนึ่งลูกเกิดเป็นรูปเป็นร่างแล้ว เพียงแค่รอให้ยากลั่นตัวและแข็งตัวเต็มที่ ยานี้ก็จะพร้อมออกจากเตาแล้ว

ในเวลาเดียวกัน กลิ่นหอมสมุนไพรเข้มข้น ก็ลอยฟรุ้งออกมาจากเตากลั่นยา นี่คือสัญญาณของความสำเร็จที่ใกล้เข้ามาแล้ว

ทันใดนั้น ช่วงเวลาที่ยากำลังจะเป็นรูปเป็นร่าง สองลมหายใจสีฟ้าตกลงบนต้นแบบยา กลายเป็นสองลายมังกร ความเร็วที่ยาก่อตัวก็เร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว

“สำเร็จ!”

ช่วงเวลาแห่งการบ่มยาสีฟ้าใส พลังงานมหาศาลกระเพื่อมออกจากเตากลั่นยาแพร่กระจายออกมา ทำให้ค่ายกลระดับห้าที่หลัวซิวสร้างไว้รอบทั้งสี่ทิศนั้น ทั้งหมดต่างก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง

ความผันผวนที่รุนแรงนี้กินเวลานานก่อนที่จะค่อยๆสงบลง และหลัวซิวก็ใช้โอกาสนี้เอื้อมมือไปเปิดฝาหม้อ หนีบยาเสวียนจือระดับหกสีฟ้าใสขึ้นมาจากในหม้อด้วยสองนิ้ว

ประเมินยาเสวียนจือที่อยู่ในมือ ใบหน้าของหลัวซิวในที่สุดก็ยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ ตอนนี้สามารถกลั่นยาเสวียนจือได้แล้ว นั่นหมายความว่า เขาก็สามารถกลั่นยาระดับหกอย่างเช่นยาวิญญาณหยินหยางได้เช่นกัน

เพราะข้ามระดับกลั่นยามาสองระดับ ดังนั้นคุณภาพของยาไม่สามารถบรรลุถึงความบริสุทธิ์ที่ปราศจากสิ่งเจือปนได้ ต่อให้เตาทยานนภามังกรคู่ช่วยเสริมคุณภาพยา แต่ยาเม็ดนี้ก็เป็นเพียงแค่ยาที่มีความบริสุทธิ์ระดับแปดจากสิบเท่านั้น

แต่ถึงอย่างนั้น ตามที่หลัวซิวได้รับรู้ ในประเทศเทียนหวู สามารถกลั่นยาบริสุทธิ์ระดับแปดจากสิบนั้นมีไม่มาก ส่วนกลั่นได้ถึงระดับเก้าจากสิบนั้นดูเหมือนจะไม่มีเลย ยาเสวียนจือเม็ดนี้เป็นจึงเป็นสิ่งที่เพียงพอแล้ว

หลังจากนั้นหลัวซิวก็หยิบขวดหยกออกมา ใส่ยาเสวียนจือเข้าไป และเก็บเข้าไปในแหวนเก็บของ

เตาทยานนภามังกรคู่ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของพลังจิตแท้ ก็ค่อย ๆ หมุนและเล็กลง และจมเข้าไปในร่าง ถูกเก็บไว้กลางตันเถียนวิชาชี่ไห่ขั้น

เตากลั่นยาโบราณนี้ เป็นวัตถุโบราณที่นักหลอมอาวุธในสมัยก่อนกลั่นออกมา ถือเป็นเครื่องรางชั้นสูงชิ้นหนึ่ง สามารถเก็บเข้าสู่ร่างกายเพื่อใช้ความอบอุ่นบำรุงรักษาได้ หากตัดคุณสมบัติในการกลั่นยาออกไป ก็ยังความสามารถในการโจมตีศัตรูอีกด้วย

แม้แต่ในโลกปัจจุบัน นักกลั่นยาจำนวนไม่น้อยที่สามารถใช้เตากลั่นยารับมือกับศัตรู เสริมกับนักกลั่นยาที่ทักษะการควบคุมไฟด้วยเวทย์มนตร์นั้น ในการต่อสู้กับนักยุทธ์ในระดับเดียวกัน ประสิทธิภาพการต่อสู้ก็ยิ่งแข็งแกร่งมาก

หลังจากนั้น หลัวซิวก็ทำลายค่ายกล และเก็บธงขลังสรรพสิ่ง

สิงห์ทิพย์อัคคีอร่ามในชั่วพริบตา เขาก็วิ่งเข้ามาและหมอบอยู่ข้างหน้าเขา กระดิกหาง แสดงให้เห็นลักษณะที่น่าพึงพอใจ

แต่เจ้าหลงหมิง ยังคงทำหน้าเหม็นเบื่อไม่หาย เหลือบมองสิงห์ทิพย์อัคคีอร่ามอย่างดูถูกเหยียดหยาม จากนั้นเลือนร่างก็ค่อยๆ หายไป และรวมเข้ากับพื้นที่ใกล้เคียง ล่องหนไปในทันที

หลัวซิวเอื้อมมือไปตบหัวสิงห์ทิพย์อัคคีอร่ามเบา ๆ จากนั้นเขาก็กระโดดขึ้นไปบนหลัง

ใช้ตัวสำนึกในการนำทาง และให้สิงห์ทิพย์อัคคีอร่ามรับหน้าที่ตามทางนั้นไป ส่วนหลัวซิวหยิบเอากล่องส่งเสียงออกมา แล้วจัดการส่งข้อความถึงอาจารย์ตระกูลสวี

ครึ่งเดือนถัดมา หลัวซิวก็กลับจากสถานที่รกร้างภาคเหนือ มาถึงประเทศเทียนหวูแล้ว

หลงหมิงยังคงติดตามมาอย่างเงียบ ๆ ด้วยการล่องหนเหมือนก่อนนี้ สิงห์ทิพย์อัคคีอร่ามกลายร่างให้เหลือขนาดเท่าหมาป่า เดินตามหลังเขาไปต้อย ๆ

อสูรกายที่เชื่อง ช่วยนักยุทธ์ในการต่อสู้หรือเป็นพาหนะ สำหรับในโลกของนักยุทธ์แล้วนั้น เป็นเรื่องที่เห็นได้ทั่วไป

ที่องค์กรนักล่ายุทธ์ อาจารย์ตระกูลสวีรีบรุดหน้ามาพบกับหลัวซิวด้วยตัวเอง

ที่นี่คือห้องที่เงียบสงบ เมื่อหลัวซิวหยิบเอาขวดแก้วหยกวางไว้บนโต๊ะ แม้ว่าอาจารย์ตระกูลสวีท่านนี้ใช้ชีวิตมานับร้อยปี ร่างกายของเขาอาจแข็งทื่อไปบ้าง แต่ดวงตาของเขามีสง่าอย่างยิ่ง

“ผู้น้อย นี่มัน…” สวีจิงเหนียนถามขึ้นอย่างกระตือรือร้น

“ยาเสวียนจือ มันคือเป็นสิ่งที่ท่านผู้อาวุโสต้องการ” หลัวซิวพูดพร้อมรอยยิ้ม “หลังจากที่ท่านอาจารย์ฝึกสำเร็จ ข้าก็เดินทางข้ามทิศเพื่อไปที่นั่น แล้วจึงนำยานี้กลับมาให้ท่านผู้อาวุโส”

สวีจิงเหนียนคว้าขวดหยก เปิดออกอย่างระมัดระวังสายตาจดจ้องอยู่กับยาสีฟ้าใสหนึ่งเม็ด ที่นอนแน่นิ่งอยู่ก้นขวด ความปีติยินดีและตื่นเต้นเผยขึ้นบนใบหน้าของชายชรา

ในตอนแรกมอบหมายให้อาจารย์กลั่นยาผู้ลึกลับที่อยู่เบื้องหลังหลัวซิว มันคือการเดิมพันครั้งใหญ่ หากชนะ ตนก็สามารถฟื้นฟูผลการฝึกตนและรักษาตระกูลสวีไว้ได้ หากแพ้ ในเวลาไม่ถึงสิบปี ทั้งตระกูลสวีก็จะต้องถูกราชวงศ์ตระกูลฝานกลืนกินจนหมด และถูกลบชื่อออกจากสิบอันดับตระกูลใหญ่แห่งยุค

แต่นี่เป็นโชคดี ท้ายที่สุดเขาก็ชนะเดิมพัน สามารถถือครองยาเสวียนจือได้ เรื่องการฟื้นฟูผลการฝึกตนระดับจักรพรรดิยุทธ์ ก็มีโอกาสขึ้นมากทีเดียว

มองดูสีหน้าที่ตื่นเต้นนั้น อาจารย์ตระกูลสวีที่ไม่ละสายตาจากยาในขวดหยก หลัวซิวหัวเราะขึ้นมาเบา ๆ “ยานั้นมอบให้ท่านอาวุโสแล้ว ค่าตอบแทนอีกครึ่งหนึ่ง…”

ความจริงหลัวซิวก็เคยคิดว่า อาจารย์ตระกูลสวีคนนี้ เมื่อได้รับยาแล้ว จะพลิกหน้ามือเป็นหลังมือไม่ยอมจ่าย แม้ว่าจะเป็นค่าตอบแทนที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งก็ตาม ยาวิเศษทุกเม็ดก็มีค่ามากพอที่จะทำให้ตระกูลสวีแตกหักได้

สวีจิงเหนียน เป็นถึงผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ เพราะจุดตันเถียนได้รับบาดเจ็บ ผลการฝึกตนจึงลดลงไป แต่สิ่งที่แน่นอนคือ เขายังสามารถกวาดล้างและบดขยี้ราชายุทธ์ส่วนมากได้ หากอีกฝ่ายจะพลิกลิ้นจริง ๆ หลัวซิวก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา อย่างดีที่สุดก็สามารถป้องกันตัวได้

แน่นอน หลัวซิวก็ไม่ได้กลัวว่าอีกฝ่ายจะพลิกลิ้นหรือไม่ เพราะในยาเสวียนจือนั้นมีตราสำนึกของตนเองอยู่ เพียงแค่คิดอยู่ในหัว ยาก็จะแตกออกกลายเป็นผุยผงได้ในทันที

หากไม่ใช่ว่าผลการฝึกตนของตนนั้นไม่พอ จนหลัวซิวต้องใช้ลูกเล่นบางอย่างกับยา แต่ผลการฝึกตนของเขามันต่ำเกินไปจริง ๆ เมื่อตอนกลั่นยาเสวียนจือได้ใช้พลังทั้งหมดใส่ลงไปเพื่อข้ามสองระดับ เขาไม่มีทั้งเวลาและโอกาสที่จะทิ้งกับดักไว้ในยา

กับดักพวกนี้ ในบรรดานักกลั่นยา นักค่ายกล และนักหลอมอาวุธ เป็นเหมือนกับข้อปฏิบัติลับ ๆ ที่ไม่มีระบุไว้

สิ่งสำคัญคือต้องการป้องกันสิ่งที่ตนกลั่น ไม่ให้ตกไปอยู่ในมือของศัตรู แม้จะมีบุคคลระดับปรมาจารย์จำนวนไม่น้อย ที่ยินดีอย่างยิ่งที่ได้ไขกับดักของผู้อื่นและภาคภูมิใจกับมัน

สวีจิงเหนียนคนนี้สามารถสร้างตระกูลที่ยิ่งใหญ่แห่งโลกยุทธ์ได้ เขาไม่ใช่คนที่พูดอะไรก็ไม่มีใครเชื่อ มีจิตใจและความกล้าหาญที่เป็นคุณสมบัติของจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่ง

เขาหยิบแหวนที่เก็บขึ้นมาแล้ววางลงบนโต๊ะโดยไม่ได้พูดอะไร แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นี่คือครึ่งหนึ่งของค่าตอบแทนที่เหลือ”

“ผู้อาวุโสจะไท่ตรวจสอบก่อนหรือว่ายานั้นเป็นของจริงหรือปลอม?” ด้วยกิริยาที่ใจกว้างเช่นนั้นของอีกฝ่าย ทำเอาหลัวซิวถึงกับรู้สึกประหลาดใจ ดูเหมือนเขาจะระมัดระวังเกินไปหน่อย?

ด้วยเหตุนี้ สวีจิงเหนียนจึงหัวเราะออกมาเสียงดัง พูดออกมาโดยไม่ได้ใส่ใจนัก “หากเป็นคนอื่น ข้าต้องกังวลและสงสัยอย่างแน่นอน แต่การที่จะสามารถสั่งสอนอัจฉริยะที่โดดเด่นหาใดเปรียบเช่นเจ้าได้นั้นต้องไม่ธรรมดา ทั้งชีวิตของข้าก็ไม่ได้ถูกใช้ไปอย่างสูญเปล่า ความรู้สึกมันบอกข้า ว่ายาเม็ดนี้ไม่มีปัญหาใด”

ระหว่างที่พูด สวีจิงเหนียนก็หยิบยาเสวียนจือออกมา “ข้ายืมใช้องค์กรนักล่ายุทธ์แห่งนี้รักษาบาดแผล จะได้หรือไม่?”

ภายในค่ายกล หลัวซิวมือซ้ายถือเตากลั่นยาโบราณที่มีคราบสนิม และมือขวามีเปลวไฟสีน้ำตาลแดงลุกโชนขึ้นมา

ตราผนึกเตา ความจริงแล้วเป็นวิชาห้ามค่ายกลรูปแบบหนึ่ง เพียงแต่ค่ายกลลายเส้นและสัญลักษณ์นั้นค่อนข้างแน่นหนาและแข็งแรงกว่า มีเพียงการเผาไหม้และหลอมละลายด้วยพลังแห่งจิตวิญญาณแห่งไฟเท่านั้น จึงจะสามารถทำลายได้

ภูตอัคคีกลืนกินบนมือขวาปกคลุมไปบนฝาของเตากลั่นยา ภายใต้การแผดเผาของภูตอัคคี ค่ายกลลายเส้นจาง ๆ ด้านบนนั้นก็ค่อย ๆ ชัดเจนขึ้น เหมือนหิมะที่ถูกภูตอัคคีแผดเผาจนละลาย

กระบวนการในการใช้ภูตอัคคีทำลายตราผนึกเตานั้นไม่ซับซ้อน ส่วนที่ยากที่สุด คือของอย่างภูตอัคคีนั้น หายากเหลือเกินบนโลกใบนี้

หลังจากผ่านไปเกือบชั่วโมง ตราผนึกเตาก็ถูกภูตอัคคีกลืนกินแผดเผาละลายจนหมดสิ้น และเตากลั่นยาโบราณบนมือของหลัวซิวก็ไร้ซึ่งสนิม และมีแสงสว่างจ้าปรากฏขึ้นในที่สุด

เตากลั่นยาจากขนาดเท่ากำปั้นกลายเป็นความสูงมากกว่าหนึ่งเมตร ลอยอยู่กลางอากาศ เปล่งแส่งสีฟ้าเขียวไปทั่วทั้งเตา ทั้งสองด้านของเตากลั่นยา ถูกแกะสลักเป็นรูปมังกรฟ้าสองตัว ที่ดูราวกับมีชีวิต และกำลังขี่เมฆทะยานขึ้นฟ้าจากทั้งสองด้านของเตากลั่นยา

“เตาทยานนภามังกรคู่?”

เมื่อเห็นเตากลั่นยาโบราณนี้กลับคืนสู่รูปลักษณ์ดั้งเดิม ดวงตาของหลัวซิวก็สว่างขึ้นในทันใด

ในสมัยโบราณมีเตากลั่นยาที่มีชื่อเสียงมากมาย เมื่อกลั่นยาบรรจุความลึกลับทุกประเภท ในนั้นมีเตากลั่นยาขั้นดินเก้าชนิดและเตากลั่นยาชั้นฟ้าสามชนิดที่มีชื่อเสียงมากที่สุด

เตาทยานนภามังกรคู่ ในบรรดาเตากลั่นยาขั้นดินเก้าชนิด อันดับที่ 6 สามารถเพิ่มอัตราความสำเร็จของการกลั่นยาได้ร้อยละยี่สิบ และยังสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของยาได้อีกถึงร้อยละสิบ

และเมื่อใช้เตาทยานนภามังกรคู่สามารถกลั่นยา ยาจะมีลวดลายมังกรสีน้ำเงินสองแบบบนพื้นผิว ซึ่งสามารถสังเกตุได้ง่าย

ไม่เพียงแค่อัตราความสำเร็จของการกลั่นยาเพิ่มขึ้นร้อยละยี่สิบ ที่น่าเหลือเชื่อยิ่งกว่าคือยังสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของยาได้อีกถึงร้อยละสิบ ซึ่งก็หมายความว่า นักกลั่นคนหนึ่งสามารถกลั่นยาคุณภาพร้อยละเก้าสิบ หากใช้เตาทยานนภามังกรคู่ ก็จะสามารถกลั่นยาบริสุทธิ์ที่แทบจะไม่มีสิ่งเจือปนได้เลย!

แน่นอน ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการเปรียบเทียบกับนักกลั่นยาเท่านั้น สำหรับคนที่มีความทรงจำของปรมาจารย์กลั่นยาระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นเก้าอย่างหลัวซิวนั้น ถึงจะใช้เพียงแค่เตากลั่นยาธรรมดา ก็สามารถรับประกันอัตราความสำเร็จและคุณภาพของยาบริสุทธิ์ที่สูงมากได้

“ฮ่าฮ่า กำไรมหาศาล!”

หลัวซิวอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา คุณภาพของเตาทยานนภามังกรคู่นี้ บรรลุไปถึงความสูงในขั้นดินชั้นสูง อย่างน้อยก่อนจะถึงกลั่นยาระดับแปด เขาก็ไม่ต้องกังวลว่าจะเจอปัญหาคุณภาพเตากลั่นยาที่ไม่เพียงพอแล้ว

“เตากลั่นยาขั้นสูงเช่นนี้ ต่อให้เป็นถึงปรมาจารย์กลั่นยาระดับหกแห่งราชวงศ์ตระกูลฝานก็คงไม่มีหรอก” การได้รับเตากลั่นยาที่มีชื่อเสียงลือเลื่องเช่นนี้ มันทำให้หลัวซิวรู้สึกดีมากจริง ๆ

ในตอนนี้ เรื่องเตากลั่นยาและภูตอัคคีนั้นสามารถแก้ปัญหาได้แล้ว หลัวซิวลูบแหวนเก็บของในมือ

“ได้เวลาฝึกกลั่นยาระดับหกแล้ว”

นั่งลงกลางอากาศด้วยท่าขัดสมาธิ หลัวซิวเพียงสะบัดนิ้ว เตาทยานนภามังกรคู่ที่มีแสงสีฟ้ากระจายออกมารอบตัวนั้นก็สั่นสะท้าน ภายใต้การปะทุของพลังจิตแท้ มังกรฟ้าสองตัวที่ราวกับฟื้นคืนชีพ หายใจเข้าออกด้วยลมหายใจอันลึกลับหมุนเวียนอยู่ภายในเตากลั่นยา ในกระบวนการกลั่นยาลมหายใจนี้จะเพิ่มอัตราความสำเร็จ รวมถึงคุณภาพของยา

ไม่เพียงเท่านั้น เตาทยานนภามังกรคู่ ยันต์คลายค่ายสลักด้วยพลังธาตุไฟที่หลอมรวมกัน มีประโยชน์อย่างมากสำหรับการการควบคุมไฟของนักกลั่นยา

เตากลั่นยา สำหรับนักกลั่นยาคนหนึ่งนั้นถือเป็นเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง หลัวซิวเองก็สามารถจินตนาการได้ นักกลั่นยาโบราณในอดีต เพื่อที่จะได้ครอบครองของดีอย่างเตาทยานนภามังกรคู่ ก็คงจะต้องเสียอะไรไปมากทีเดียว

แต่น่าเสียดายที่เวลาไร้ความปรานี สิ่งต่าง ๆ อารยธรรมโบราณถูกทำลายล้างโดยกระแสน้ำแห่งประวัติศาสตร์ ไม่ว่าคนหรือสิ่งของ ส่วนใหญ่ก็จะต้องกลับคืนสู่ผืนดินเช่นเดิม

“ภูตอัคคีกลืนกิน หวังว่าจะไม่ทำให้ฆ่าผิดหวัง”

หลัวซิวสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ ระหว่างที่เกิดแสงแวววาวระยิบระยับในดวงตา ยกมือสะบัด ภูตอัคคีกลืนกินสีน้ำตาลแดงจมลงในเตากลั่นยาและเริ่มแผดเผา

อย่างไรเสีย เขามีเพียงแค่ผลการฝึกตนแห่งแดนฝึกจิต เทียบเท่ากับการข้ามระดับการกลั่นยาระดับหกถึงสองระดับ แม้ว่าจะมีเตาทยานนภามังกรคู่ที่เพิ่มพลังด้วยภูตอัคคีกลืนกิน ไม่มีความแน่นอนเต็มร้อยว่าการกลั่นยานี้จะประสบความสำเร็จ

“น่าเสียดายที่ผลการฝึกตนของฆ่าเพิ่มขึ้นช้าเหลือเกิน ถ้าหากมีผลการฝึกตนระดับราชายุทธ์ อย่างน้อยก็สามารถรับประกันอัตราความสำเร็จได้มากกว่าเก้าในสิบ” หลัวซิวส่ายหัวด้วยความเศร้าใจ

คำพูดนี้ถ้าใครมาได้ยินเข้า แน่นอนว่าคงจะพูดอะไรไม่ออก ถึงอย่างไรเขาก็ฝึกตนจนถึงระดับแดนฝึกจิตขั้นแปด โดยใช้เวลาเพียงสองปี

แต่ถึงอย่างนั้นเวลาก็ไม่เคยคอยใคร ถึงแม้ว่าเขาจะพยายามอย่างหนักเพื่อเพิ่มพลังผลการฝึกตน แต่ท้ายที่สุดแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะเพิ่มพลังอย่างโดยไม่มีขอบเขตอย่างไร้ขีดจำกัด

หลัวซิวไม่ได้เริ่มการกลั่นด้วยยาวิญญาณหยินหยาง เพราะวัตถุดิบยาระดับหกพวกนี้ เขายังรวบรวมได้ไม่ครบขาดสมุนไพรหลักหนึ่งในสามนั่นคือหญ้าวิญญาณ

ดังนั้นเขาจึงเลือกกลั่นยาเสวียนจือ สามารถทำให้จักรพรรดิยุทธ์และระดับที่ต่ำกว่าอย่างนักยุทธ์ฟื้นฟูบาดแผลของจุดตันเถียนและวิชาชี่ไห่

วัตถุดิบในการกลั่นยาเสวียนจือ ในตอนแรกอาจารย์ตระกูลสวีให้เขามาห้าชุด หลัวซิวประเมินตนเองที่แม้ว่าอัตราความสำเร็จจะไม่สูงนัก แต่อย่างไรก็ไม่มีทางที่จะกลั่นออกมาไม่ได้แม้แต่เม็ดเดียว

สองมือบีบจับวิชากลั่นยา ทุกครั้งที่หลัวซิวสะบัดมือก็จะมียาวิเศษหนึ่งเม็ดกระเด็นออกมาจากเตากลั่นยา
เขาบีบจับวิชาด้วยความรวดเร็ว ทำให้คนมองตาลาย ไม่สามารถจับภาพได้อย่างชัดเจนโดยสิ้นเชิง ตัวสำนึกของเขานั้นจดจ่ออยู่กับการเคลื่อนไหวของเตากลั่นยาตลอดเวลา ตามการเปลี่ยนแปลงของวิชา เพื่อควบคุมความแข็งแกร่งของเปลวไฟ

กลั่นยา เป็นหนึ่งงานที่เหนื่อยจนแทบหมดพลังชีวิต

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพยายามกลั่นยาบางชนิด ความกลัวการผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นแม้เพียงเล็กน้อย นักกลั่นยาส่วนมากต้องพักผ่อนเป็นเวลานาน จึงจะสามารถเปิดเตากลั่นยาเริ่มกลั่นยาได้อีกครั้ง

ภายใต้ร่มเงาของค่ายกล ทั้งสี่ทิศถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบ มีเพียงแค่เสียงสั่นเบา ๆ ของเตาทยานนภามังกรคู่ และเสียงโครมครามที่ดังมาจากเตากลั่นยาภูตอัคคีกลืนกินสีแดงอมน้ำตาลเป็นระยะ ๆ

จนเวลาล่วงเลยไปนาน กลิ่นยาจาง ๆ ลอยออกมาจากเตากลั่นยา แต่ว่าสีหน้าของหลัวซิวกลับเปลี่ยนไปในทันที

เสียงดังปัง เสียงระเบิดลอยมาจากเตากลั่นยา เตาทยานนภามังกรคู่กระเด็นขึ้น และเขย่าไปมาอย่างบ้าคลั่ง แต่วัตถุดิบในเตากลั่นยา ก็กลายเป็นผุยผงในไปในทันที

การกลั่นยาเสวียนจือครั้งแรก จบลงด้วยความล้มเหลว

หลัวซิวเห็นเช่นนั้นก็ไม่ได้ท้อแท้แต่อย่างใด พลิกมือเรียกเตากลั่นยากลับมา เทกากยาข้างในออก เริ่มคิดเกี่ยวกับกระบวนการกลั่นยาทั้งหมด วิเคราะห์จากมันอีกครั้งเพื่อค้นหาปัจจัยที่ทำให้เกิดความล้มเหลว

“ไม่ใช่วิธีการกลั่นยาของข้าที่ผิด และไม่ใช่ปัญหาของเตากลั่นยา แต่เป็นปัญหาจากตัวยาวิเศษ”

หลังจากนั้นไม่นาน หลัวซิวก็สามารถวิเคราะห์สาเหตุของความล้มเหลวออกมาได้

ยิ่งเป็นยาขั้นสูงขนาดไหน เงื่อนไขของยาวิเศษก็ยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น นี่คือเหตุผลที่ยาวิเศษขั้นสูงมันคือเหตุผลที่มันมีค่าและหายากมาก

อย่างเช่นยาเสวียนจือระดับหก ต้องการไม่ใช่เพียงยาวิเศษชนิดเดียว สำหรับอายุของยาวิเศษ พลังของยา และการผสมยา ต่างมีข้อกำหนดโดยละเอียดที่ไม่สามารถผิดพลาดได้ หากรายละเอียดเล็ก ๆ อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดปัญหา ต่างก็สามารถทำให้การกลั่นยาล้มเหลวได้

ถ้าหากผลการฝึกตนของหลัวซิวเพียงพอ รายละเอียดเล็ก ๆ บางอย่างสามารถแก้ไขได้ง่าย แต่ถึงอย่างไรเขาก็ข้ามระดับกลั่นยาไปแล้วถึงสองระดับ ปัญหาเล็กน้อยในตอนแรกจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ ที่จำกัดอัตราความสำเร็จในการกลั่นยา

 

 

 

บทที่ 290 หลงหมิงรังเกียจอสุรกาย

 

ใบหน้าของหลัวซิวซีดเผือดเล็กน้อย ร่างของเขาแกว่งไปมา สิงห์ทิพย์อัคคีปรากฏตัวขึ้นใต้เท้าของเขา ดังนั้นเขาจึงนั่งลงบนหลังของสิงห์ทิพย์อัคคีอร่ามในทันที

ตอนนี้ร่างกายของเขาถูกทำลายจนสะบักสะบอม ไม่ต้องพูดถึงการบังคับพลังแปรเสวียนเทียนให้สูงขึ้นยี่สิบสี่เท่า โดยเฉพาะตราธรรมจุติมรณะนั้น ทุกครั้งที่สำแดงจะต้องใช้พลังจิตแท้ทั้งหมดที่มี จึงทำให้อ่อนแอถึงขีดสุด

เพียงแต่ว่า พลังความน่ากลัวของตราธรรมจุติมรณะ ไม่เคยทำให้เขาผิดหวังเลยสักครั้ง ทุกครั้งที่สำแดง จะสามารถฆ่าศัตรูที่แข็งแกร่งได้

ในช่วงเวลาสั้น ๆ เงาลวงวัฏจักรก็สลายไป อากาศที่บิดเบี้ยวและถูกทำลายค่อย ๆ กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ส่วนร่างกายของจักรพรรดหลิงหยุนนั้น ได้ถูกทำลายไปอย่างสมบูรณ์ ถูกทำลายทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ

ส่วนแหวนเก็บของของจักรพรรดิหลิงหยุน หลงหมิงเป็นคนเก็บเอาไว้และนำมายื่นให้กับมือหลัวซิว

ห่างออกไปหลายร้อยลี้ ราชายุทธ์ทั้งสี่กำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด ราชายุทธ์ของราชวงศ์ตระกูลฝานผู้นั้น ที่ตามมาเพื่อต่อสู้แทน ไม่รู้เลยว่าจักรพรรดิหลิงหยุนที่ตนเองพยายามปกป้องด้วยชีวิต จะถูกลอบฆ่าระหว่างทางเสียแล้ว

“ที่นี่ไม่เหมาะที่จะอยู่นาน พวกเราไปกันเถอะ” หลัวซิวออกคำสั่ง สิงห์ทิพย์อัคคีอร่ามก็บินขึ้นสู่ท้องฟ้าทันที และกลายร่างเป็นลำแสง และใช้วิชากลไกรีบเดินทางให้ห่างออกไปไกล

ส่วนหลงหมิงเองก็รวมตัวเข้ากับอากาศ และเคลื่อนที่ในอากาศเพื่อคอยติดตามไปใกล้ ๆ

ตั้งแต่ที่หลัวซิวขัดขวางจักรพรรดิหลิงหยุน จากนั้นก็ประหารเขา เหตุการณ์ทั้งหมดจบลงภายในระยะเวลาสิบห้านาที

ราชายุทธ์ตระกูลฝานที่เข้ามาสกัดกั้นศัตรู เพื่อยื้อเวลาให้กับจักรพรรดิหลิงหยุนผู้นั้น ใช้พละกำลังทั้งหมดในการหลีกหนีออกมาจากอีกฝ่าย และใช้วิชากลไกตามมา

อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาสัมผัสได้ถึงความผันผวนของพลังจิตที่ยังคงแผ่ซ่านไปทั่วอากาศ ร่างกายของเขาก็แข็งทื่อขึ้นมาทันที

“ออร่าของจักรพรรดิหลิงหยุนหายไปที่นี่ หรือว่ามีบางอย่างที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น ?” ราชายุทธ์ตระกูลฝานผู้นี้มีสีหน้าที่เคร่งเครียดอย่างถึงที่สุด

“กล้าแย่งชิงสิ่งของของราชวงศ์ตระกูลฝานเรา ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร ข้าจะให้เจ้าต้องชดใช้ด้วยความเจ็บปวดทรมานมากกว่าเป็นหมื่นเท่า !”

“วิชาภูตผีเซินหลัว ทักษะยุทธ์ชั้น 9 เป็นผลที่ได้มาจากวิวัฒนาการของภูตอเวจีเซินหลัว และการโจมตีวิญญาณ”

ในสถานที่ปลอดภัยแห่งหนึ่ง หลัวซิวหยิบม้วนหยกที่บันทึกวิชาภูตผีเซินหลัวเอาไว้ ออกมาจากแหวนเก็บของของจักรพรรดิหลิงหยุน

คำแนะนำของทักษะยุทธ์ชั้น 9 วิชานี้นั้นง่ายมาก แต่คำพูดที่ว่า ผลของการโจมตีด้วยวิญญาณ ก็เพียงพอที่จะทำให้นักยุทธ์คนหนึ่งใจเต้นระส่ำได้

เป็นที่ทราบกันดี วรยุทธ์กลั่นวิญญาณนั้นเป็นสิ่งที่หายากมาก และถึงแม้จะมีอยู่ ก็ถือว่าจำนวนไม่สูงนัก หลังจากฝึกตนไปถึงแดนแดนหนึ่ง ก็จะไม่สามารถไปต่อได้ จำเป็นจะต้องมุ่งเน้นความสนใจไปที่การฝึกตน หรือมุ่งเน้นไปที่แก่นแท้ของพลังจิตแท้เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม นักยุทธ์กลั่นวิญญาณก็ถือว่าน่ากลัวที่สุดในบรรดานักยุทธ์ระดับเดียวกัน ทำให้รู้สึกมีความยาก เพราะการโจมตีของวิญญาณนั้นไร้รูปร่างและไร้เงา ทำให้ไม่สามารถป้องกันได้

ด้วยเหตุนี้ จะเห็นได้ว่าทักษะยุทธ์ที่มีผลของการโจมตีด้วยวิญญาณ ถือว่าเป็นของล้ำค่าอย่างมาก นี่แสดงให้เห็นว่า ไม่จำเป็นจะต้องฝึกตนวรยุทธ์กลั่นวิญญาณ ขอแค่ฝึกทักษะยุทธ์วิชานี้สำเร็จ ก็จะมีความสามารถด้านวิญญาณโจมตีที่พร้อมสรรพได้เช่นกัน

ตามรายละเอียดที่บันทึกไว้เกี่ยวกับวิชาภูตเซินหลัว ทักษะยุทธ์วิชานี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ฝึกตนที่ฝึกตนพลังความตาย ส่วนนักยุทธ์ที่ฝึกตนพลังจิตแท้ในด้านอื่น ๆ ถึงแม้จะสามารถฝึกได้สำเร็จเช่นกัน แต่พลังและผลลัพธ์อาจจะลดลงอย่างมาก

นักยุทธ์ที่ฝึกตนพลังความตาย เมื่อฝึกวิชาภูตผีเซินหลัวได้สำเร็จ พลังที่สำแดงออกมา จะอยู่ในระดับสูงสุดของทักษะยุทธ์ชั้น 9

ส่วนนักยุทธ์ที่ฝึกตนในพลังด้านอื่น พลังที่สำแดงออกมา จะเทียบเท่ากับทักษะยุทธ์ชั้น 9ธรรมดาเท่านั้น

“เป็นเช่นนี้นี่เอง”

หลัวซิวยิ้มออกมา เป็นเหมือนที่เขาคาดเดาเอาไว้ในตอนต้น เมื่อดูจากชื่อก็รู้แล้วว่า นี่เป็นวิชาที่เหมาะสำหรับการสำแดงทักษะยุทธ์พลังความตาย

หลัวซิวเก็บม้วนหยกและไม่คิดที่จะรีบร้อนฝึกตน แต่กลับนำเตากลั่นยาที่ประมูลมาได้จากเมืองร้างออกมา

ดูเหมือนว่าเตากลั่นยาใบนี้จะมีขนาดพอ ๆ กับกำปั้น ด้านบนเคลือบไปด้วยสนิม ซึ่งสามารถสัมผัสได้ถึงบรรยากาศโบราณที่ผ่านไปได้อย่างชัดเจน

บนฝาของเตากลั่นยา มีลายเส้นที่ดูคลุมเครือ และเป็นที่ที่ตราผนึกเตาปิดอยู่ หากไม่สามารถเปิดตราผนึกเตานี้ได้ ก็ไม่สามารถใช้เตากลั่นยาได้ และคงทำได้เพียงแค่เก็บไว้เป็นของสะสมโบราณที่เต็มไปด้วยสนิมชิ้นหนึ่ง

“ข้าต้องการปิดขังสักระยะ ช่วงนี้ให้พวกเจ้าทั้งสองคอยคุ้มกันด้านนอกเอาไว้ ห้ามใครข้าถูกรบกวนโดยเด็ดขาด”

หลัวซิวหยิบธงขลังสรรพสิ่งออกมา ยกมือขึ้นโบก สัญลักษณ์ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นเป็นลำแสงและบินวนไปรอบ ๆ ปรากฏเป็นรูปแบบผังค่ายซ่อนงำ ซึ่งถือเป็นค่ายกลป้องกัน

การเปิดตราผนึกเตาด้วยภูตอัคคีกลืนกิน กระบวนการเช่นนี้จะมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นไม่ได้โดยเด็ดขาด มิเช่นนั้นก็จะเป็นเรื่องน่าเสียดาย ตราผนึกเตาจะระเบิดและทำลายเตากลั่นยา

“เด็กหนุ่มคนนี้ช่างประหลาดจริง ๆ คนในสมัยโบราณมีน้อยคนนักที่สามารถเปิดตราผนึกเตานี้ได้ แล้วเจ้าคิดว่าเจ้าทำได้อย่างนั้นหรือ ?”

หลงหมิงเบะปาก ถึงแม้ในใจไม่อยากยอมรับ แต่เด็กหนุ่มที่มีอายุเพียงสิบกว่าปี ก็เพียงพอที่จะทำให้มันรู้สึกตกใจและประหลาดใจได้จริง ๆ

ฝึกตนปราณเป็นตาย 2 ระดับ ความสามารถในการต่อสู้ที่ข้ามขั้นเหมือนกับสัตว์ประหลาด อีกทั้งยังสามารถพิชิตภูตอัคคีตนหนึ่งได้ มิหนำซ้ำยังเป็นภูตอัคคีลำดับที่ 9 ในบรรดา 10 ภูตอัคคีใหญ่อีกด้วย ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อว่าภูตอัคคีกลืนกินที่พิชิตได้ยากที่สุด

บนร่างกายของเขา เกิดเรื่องที่น่าเหลือเชื่อขึ้นมากมาย หลงหมิงแทบจะมึนงง ถึงแม้ปากจะเอ่ยถามด้วยความสงสัย แต่สัญชาตญาณกลับบอกมันว่า เด็กหนุ่มคนนี้จะหาวิธีเปิดตราผนึกเตาออกได้

เมื่อค่ายกลเริ่มทำงาน ร่างของหลัวซิวก็หายไป บนดินแดนที่ว่างเปล่าและแห้งแล้ง สิงห์ทิพย์อัคคีอร่ามเงยหน้าขึ้น และใช้ดวงตาขนาดใหญ่คอยสอดส่องดูรอบ ๆ ตามหน้าที่

“นี่พ่อหนุ่ม เจ้าน่าจะเป็นทายาทของจักรพรรดิอสูรสิงห์ทิพย์สมัยโบราณนะ หรือเพราะถูกฝังวิชาสยบวิญญาณ จึงยอมสยบให้กับเจ้าหนูนั่นเสียแล้ว ?”

ร่างของหลงหมิงปรากฏขึ้น เขาชี้นิ้วไปที่สิงห์ทิพย์อัคคีอร่ามแล้วพูดพล่ามไม่หยุด เกล็ดที่อยู่บนกรงเล็กของเขาส่องแสงประกายสีเงินภายใต้แสงแดด

สิงห์ทิพย์อัคคีอร่ามบรรลุถึงขั้นสูงระดับ 4 จึงหยั่งรู้มานานแล้ว จึงสามารถเข้าใจในสิ่งที่หลงหมิงพูด เพียงแต่ไม่สามารถพูดภาษามนุษย์ได้เช่นเดียวกับมันเท่านั้น

“โฮกโฮก……”

มันทำเสียงพึมพำไม่รู้จะพูดอะไร ในหัวกลับปรากฏแต่ภาพตอนที่หลัวซิวพิชิตภูตอัคคีกลืนกิน

สิงห์ทิพย์อัคคีอร่ามเชี่ยวชาญในการกลืนกินเปลวไฟและนำมาพัฒนาความแข็งแกร่งของมันให้สูงขึ้น แต่ภูตอัคคีพวกนั้น ถึงแม้ตัวมันเองก็ยังรู้สึกกลัว ทว่ากลับถูกคนผู้นี้พิชิต ทุกครั้งที่นึกขึ้นมา ทำให้เขารู้สึกใจสั่นด้วยความหวาดกลัวจริง ๆ

ในความคิดของมัน คนผู้นี้แม้แต่ภูตอัคคีกลืนกินก็ยังสามารถพิชิตได้ หากต้องการจัดการกับเขาคงเป็นเรื่องที่ง่ายมาก ถึงแม้จะไม่ถูกฝังวิชาสยบวิญญาณ แต่ตนเองก็คงไม่กล้าล่วงเกินเขาเด็ดขาด

เมื่อคิดถึงตรงนี้ มันก็เหลือบมองหลงเหมิน ขยับกรงเล็บของมัน และส่งเสียงพึมพำขึ้นมา

“อะไรนะ ? เจ้าคิดจะให้มังกรอย่างข้าอยู่ต่อไปอย่างเชื่อฟังงั้นหรือ ?”

หลงหมิงสามารถฟังภาษาของอสุรายด้วยกันออก มันถลนตา และอดไม่ได้ที่จะใช้กรงเล็บจัดการกับทายาทของจักรพรรดิอสูรสิงห์ทิพย์ให้ตายไปเสีย ด้วยเหตุที่ทำให้ต้องอับอายขายหน้า

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 289 ห้วงยุทธ์ความตาย

 

“วิญญาณแตกสลาย !”

หลัวซิวใช้เคล็ดวิชาโจมตีด้วยวิญญาณ แต่กลับถูกเกราะสีทองบนตัวของจักรพรรดิหลิงหยุนขวางเอาไว้ จึงทำให้ร่างกายของอีกฝ่ายบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งไม่ถือว่ามีประโยชน์นัก

ผู้แข็งแกร่งระดับราชายุทธ์ที่ควบคุมพลังฟ้าดิน ไม่เพียงแต่มีผลการฝึกตนพลังจิตแท้ที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงพลังในการป้องกันวิญญาณ ก็พัฒนาขึ้นอย่างมากเช่นกัน

ความแตกต่างระหว่างปรมาจารย์ฝึกจิตกับราชายุทธ์ ไม่ได้มีเพียงแค่เรื่องของผลการฝึกตนเท่านั้น แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ วิชาคุมฟ้าสะกดดินนี้

“ห้วงยุทธ์มังกรแท้ !”

ดูเหมือนร่างกายของจักรพรรดิหลิงหยุนจะกลายเป็นมังกร ทำให้หลัวซิวรู้สึกว่าสิ่งที่โจมตีเขาไม่ใช่ดาบที่ฟันลงมา แต่เป็นมังกรจริง ๆ

นี่คือห้วงยุทธ์มังกรแท้ เป็นห้วงยุทธ์ที่กษัตริย์แห่งราชวงศ์ตระกูลฝานวิวัฒนาการขึ้นมาได้จากการฝึกวิชายุทธ์《วิชาพลังมังกรแท้》

“ดูดีแค่เปลือกนอกเท่านั้น”

หลัวซิวยิ้มเยาะที่มุมปาก ห้วงยุทธ์กระบี่สังหารและห้วงยุทธ์ความตายปรากฏขึ้นพร้อมกัน

“ฆ่าให้ตายด้วยกระบี่เดียว !”

ห้วงยุทธ์กระบี่สังหารถูกควบแน่น กลายเป็นรัศมีแห่งการสังหารสีเลือดอันทรงพลัง หมุนวนอยู่รอบตัวของหลัวซิว ราวกับคลื่นในทะเลเลือด และมีซากศพอยู่เต็มท้องฟ้า

เมื่อเขายื่นดาบออกมา แสงของดาวดูราวกับสายฟ้าที่ผ่าลงมาอย่างรวดเร็ว และเหมือนกับแสงสว่างของดาวตกที่สว่างวาบผ่านไป

ห้วงยุทธ์กระบี่สังหารเป็นห้วงกระบี่ที่พัฒนามาจากวิชาดาบเร็ว ไม่เพียงแค่พลังในการโจมตีที่พัฒนาขึ้นเท่านั้น แต่ความเร็วในการโจมตีก็พัฒนาขึ้นหลายเท่าเช่นกัน

จากสิ่งที่เขาได้เรียนรู้มา หลัวซิวได้สรรค์สร้างวิชายุทธ์ขึ้นมาสองวิชา และฆ่าให้ตายด้วยกระบี่เดียวถือเป็นกระบวนท่าแรก

จักรพรรดิหลิงหยุนใช้ห้วงยุทธ์มังกรแท้ กลายร่างเป็นมังกรหนึ่งตัว

ส่วนหลัวซิวใช้ห้วงยุทธ์กระบี่สังหาร และกลายร่างเป็นดาบยักษ์สีเลือด !

มังกรแท้สีทองและดาบยักษ์สีเลือด ปะทะกันอย่างดุเดือดกลางอากาศและเกิดเสียงดังสนั่นไปทั่วท้องฟ้า

คลื่นของอากาศอันน่าสะพรึงกลัว ก่อตัวเป็นกระแสน้ำวนพุ่งไปทุกทิศทาง ส่วนสิงห์ทิพย์อัคคีอร่ามและหลงหมิงที่อยู่ข้าง ๆ ต่างก็ถอยร่นออกไปอย่างต่อเนื่องด้วยความกลัว และไม่กล้าเข้ามาใกล้

ในกระแสน้ำวนที่มีสีทองและสีแดงระเบิดขึ้น มีร่างหนึ่งลอยกระเด็นออกมาและกระอักเลือด

และร่างที่ลอยกระเด็นออกมาก็คือหลัวซิว

แต่หลังจากนั้น ภายในกระแสน้ำวนก็มีเสียงคำรามด้วยความโกรธของจักรพรรดิหลิงหยุนดังขึ้น เขากลายร่างเป็นแสงสีทองและบินออกมา บนหน้าอกเต็มไปด้วยรอยบาดแผลจากกระบี่ และมีเลือดไหลออกมาเหมือนสายน้ำ

“เป็นไปไม่ได้ ! เจ้าเป็นแค่ผู้ฝึกจิตขั้น 8 แต่กลับทำร้ายข้าเช่นนี้ได้ ?”

จัรพรรดิหลิงหยุนก้มลงมองรอยบาดแผลจากกระบี่บนหน้าอก และพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ทั้งตกใจและโกรธ

“ราชายุทธ์วิเศษนักอย่างนั้นหรือ ? ในสายตาของข้าก็มีเพียงเท่านี้” หลัวซิวแสยะยิ้มออกมา

คำพูดของเขานั้นฟังดูง่ายดาย แต่ทว่าการต่อสู้เมื่อครู่นั้นถือว่าได้รับบาดเจ็บไม่น้อย เพราะอย่างไรเสียผลการฝึกตนของเขาก็แตกต่างจากจักรพรรดิหลิงหยุนอย่างมาก อีกฝ่ายยังใช้วิชาคุมฟ้าสะกดดินในการนำพลังฟ้าดินมาสนับสนุน ต่อให้เขาโคจรพลังแปรเสวียนเทียนยี่สิบสี่เท่า ก็ต้องตกเป็นรองอยู่ดี

จักรพรรดิหลิงหยุนได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย แต่ตัวเขาเองกลับกระดูกหัก อวัยวะภายในของเขาเกือบจะเคลื่อนที่ ถ้าไม่ใช่เพราะแดนร่างเนื้ออยู่ในร่างยุทธ์ระดับราชา การต่อสู้เมื่อครู่ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะถูกระเบิดร่างเนื้อ

นี่คือช่องว่างระหว่างผู้ฝึกจิตและราชายุทธ์ที่ก้าวข้ามได้ยาก

“มาอีกครั้ง !”

หลัวซิวก้าวขึ้นไปในอากาศ ร่างตามลมล่าจันทรา พลังแปรเสวียนเทียนยี่สิบสี่เท่าแข็งแกร่งขึ้นอีกครั้ง เปลวไฟมรณะลุกโชนขึ้นทั่วร่างกายของเขา

“กระบี่คร่าชีวีหวงเสวียน !”

เขาสำแดงห้วงยุทธ์ความตายที่วิวัฒนาการมาจากวิชายุทธ์กระบวนท่าที่สอง ออร่าแห่งความตายแผ่กระจายไปทั่ว ราวกับยมทูตที่กำลังถือเคียวมรณะ

ตอนนี้ ถึงแม้ฝานหลิงหยุนจะเป็นผู้แข็งแกร่งระดับราชายุทธ์ แต่ก็เกิดความรู้สึกที่ยากจะต้านทานไหว และอาจต้องตายลงด้วยกระบี่เล่มนี้

นี่คือความแข็งแกร่งของห้วงยุทธ์ความตาย ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเหมือนว่ากำลังเผชิญหน้าอยู่กับความตายที่สิ้นหวัง และกำลังจมอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง และเลิกล้มความคิดที่จะต่อต้าน

พลังของห้วงยุทธ์เช่นนี้ จะค่อย ๆ กัดเซาะความตั้งใจในการต่อสู้ของอีกฝ่าย นอกเสียจากผู้ที่มีจิตตานุภาพที่แข็งแกร่งมากเท่านั้น จึงจะสามารถกำจัดภาพลวงตาที่เกิดจากห้วงยุทธ์ความตายได้

กระบี่ของหลัวซิวเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนจักรพรรดิหลิยหยุนกลับมาดวงตาที่พร่ามัว ราวกับรู้สึกว่าตัวเขาเองนั้นตายไปแล้ว พลังชีวิตของเขาค่อย ๆ ถดถอยและอ่อนแอลง

“ไม่ ! ข้าจะตายได้อย่างไร ?”

ในช่วงเวลาสำคัญ จักรพรรดิหลิงหยุนก็ตะโกนออกมาด้วยความโมโห แสงสีทองส่องประกายขึ้นที่ระหว่างคิ้วของเขา สำนึกของเขาก่อตัวเป็นมังกรทอง และทำลายอิทธิพลของห้วงยุทธ์ความตาย

“เช้ง !”

เขาโบกสะบัดกระบี่ยุทธ์ที่อยู่ในมือเพื่อสกัดกั้น แต่ในขณะที่ตั้งรับ จู่ ๆ เขาก็กระอักเลือดออกมา และร่างของเขาก็ลอยกระเด็นออกไป

“ห้วงยุทธ์ ห้วงยุทธ์ประเภทที่สอง ? เจ้าตระหนักรู้ห้วงยุทธ์ถึงสองประเภทอย่างนั้นหรือ ?”

จักรพรรดิหลิงหยุนรู้สึกอับอาย มีเลือดไหลออกจากมุมปากของเขา ดวงตาของเขาเบิกโพลง และเต็มไปด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ

นักยุทธ์โดยทั่วไป หากตระหนักรู้ห้วงยุทธ์เพียงแค่หนึ่งประเภท ก็เรียกได้ว่าเป็นยอดฝีมือในด้านใดด้านหนึ่งแล้ว และถือได้ว่าเป็นอัจฉริยะระดับหัวแถว

แต่ทว่าหลัวซิวกลับตระหนักรู้ห้วงยุทธ์ถึงสองประเภท อีกทั้งห้วงยุทธ์ทั้งสองประเภทนี้ ล้วนแล้วแต่มีความสามารถที่พิเศษและมีพลังในการโจมตีที่แข็งแกร่ง

ห้วงยุทธ์กระบี่สังหาร อยู่ยงคงกระพัน ไร้เทียมทาน

ห้วงยุทธ์ความตาย บีบคั้นจิตใจ จมดิ่งสู้ห้วงแห่งความตาย

หลัวซิวหรี่ตาลงเล็กน้อย เขารู้สึกไม่พอใจอย่างมากที่กระบี่คร่าชีวีหวงเสวียน ไม่อาจประหารจักรพรรดิหลิงหยุนได้ในกระบวนท่าเดียว

ในช่วงเวลาสุดท้ายที่สำคัญที่สุด อีกฝ่ายยังสามารถหยุดพ้นจากการระงับของห้วงยุทธ์ความตายได้ ซึ่งแน่นอนว่าผู้แข็งแกร่งที่ฝึกตนถึงระดับราชายุทธ์ทุกคน ล้วนประมาทไม่ได้

“วิธีการทั่วไปไม่สามารถประหารราชายุทธ์ได้ จึงจำเป็นต้องใช้กระบวนท่าสุดท้าย” แววตาของหลัวซิวเผยให้เห็นเจตนาฆ่าที่รุนแรง

จักรพรรดิหลิงหยุนต้องตาย ทักษะยุทธ์ชั้น 9 วิชาภูตผีเซินหลัว เขาจะต้องนำมาให้ได้

“ตราธรรมจุติมรณะ !”

หลัวซิวเก็บกระบี่ฟันเสือเสวียนเข้าไปในฝัก เขาใช้มือทั้งสองข้างวาดเศษเงาขึ้นบนหน้าอก และใช้พลังประทับตราอย่างรวดเร็ว

พลังจิตแท้สีดำหนึ่งเส้น สีขาวหนึ่งเส้น ที่เต็มไปด้วยความลึกลับ กำลังหมุนเวียนอยู่บนฝ่ามือของเขา ราวกับว่ามีพลังลึกลับสูงสุดของฟ้าดิน

เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวเหล่านี้ของหลัวซิว จักรพรรดิหลิงหยุนก็หน้าถอดสีทันที ใช้นิ้วเท้าคิดก็คิดออกว่าเด็กหนุ่มคนนี้กำลังสำแดงวิชาการโจมตีที่ทรงพลังมากยิ่งขึ้น

หนี !

จักรพรรดิหลิงหยุนกัดฟัน เขาไม่ลังเลแม้แต่น้อยที่จะเรียกใช้พลังจิตแท้ ทันใดนั้นเขาก็เลือกใช้วิชากลไกทิศทางหลบหนีไปทันที

“เจ้าหนีไม่รอดหรอก”

หลัวซิวหัวเราะเยาะ สำนึกของเขากักขังอีกฝ่ายเอาไว้แล้ว อีกทั้งตราธรรมจุติมรณะก็เต็มไปด้วยความลึกลับของวัฏจักร ทุกสรรพดินที่อยู่ในโลกนี้ ล้วนอยู่ในวัฏจักร

ทันใดนั้น เงาลวงวัฏจักรสีดำและสีขาวก็ปรากฏขึ้นอยู่เหนือศีรษะของเขา มีลายเส้นและสัญลักษณ์ลึกลับมากมายส่งประกายออกมา มีรัศมีอันน่าสะพรึงกลัวซึ่งเทียบได้กับผู้แข็งแกร่งระดับราชายุทธ์ระเบิดออกมา เงาลวงวัฏจักรกลายเป็นลำแสงและค่อย ๆ ไล่ตามจักรพรรดิหลิงหยุนที่กำลังหลบหนี

จักรพรรดิหลิงหยุนรับรู้ได้ถึงออร่าอันน่าสะพรึงกลัวที่ตามมาด้านหลังจึงหันกลับไปมอง ทันใดนั้น ดูราวกับนกที่ตื่นตกใจ มีเงาลวงแผ่นกลมสีขาวดำพุ่งเข้าโจมตีเขา นี่มันกระบวนท่าแบบไหนกัน ?

อีกทั้ง เงาลวงแผ่นกลมนั้นรวดเร็วมาก และสามารถจับเขาเอาไว้ได้แน่น ไม่ว่าเขาจะใช้วิธีอะไร จะเพิ่มความเร็วมากขึ้นเท่าไร ก็ไม่อาจหลุดพ้นไปได้

ย่า !

จักรพรรดิหลิงหยุนใช้พละกำลังที่มีทั้งหมด กลายร่างเป็นมังกร แต่ทันใดนั้น ร่างกายของเขาก็ถูกเงาลวงวัฏจักรดูดกลืนเข้าไป

อากาศบิดเบี้ยวอย่างมาก ถึงขนาดมีรอยแตกเป็นสีดำเล็ก ๆ จำนวนมาก เสียงกรีดร้องโหยหวนดังก้องอยู่ในอากาศ ร่างกายของจักรพรรดิหลิงหยุน ค่อย ๆ ถูกเงาลวงวัฏจักรทำลายล้าง

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 288 คุมฟ้าสะกดดิน

 

“ต้องลงมือแล้ว มิเช่นนั้นหากตาเฒ่าประหลาดจักรพรรดิยุทธ์ตามมา ข้าจะไม่มีโอกาสแล้ว”

เมื่อหลัวซิวขี่สิงห์ทิพย์อัคคีอร่ามไปถึง การต่อสู้ระหว่างผู้แข็งแกร่งระดับราชายุทธ์ทั้งห้าดำเนินมาถึงจุดสำคัญแล้ว บนร่างกายของแต่ละคนต่างได้รับบาดเจ็บไม่มากก็น้อย ในนั้นดูเหมือนฝานหลิงหยุนจะอาการหนักที่สุด เพราะบนตัวของเขามีม้วนหยกทักษะยุทธ์ชั้น 9 อยู่ จึงถูกราชายุทธ์ชุดดำทั้งสามคนโจมตีมากที่สุด

“ข้ามาเพื่อขวางพวกเขา จักรพรรดิยุทธ์หลิงหยุน ท่านรีบหนีไปก่อน !”

คนที่ยืนคู่กับฝานหลิงหยุน เป็นราชายุทธ์ที่มีอายุประมาณสามสิบปี สามารถฝึกตนถึงแดนราชายุทธ์ด้วยวยเพียงเท่านี้ นับว่ามีพรสวรรค์อย่างมาก

“ล้อเล่นน่า ฝานจิ้งกวง เจ้าเพิ่งจะเป็นราชายุทธ์ได้ไม่ถึงสิบปี เจ้าคิดว่าเจ้าคนเดียวจะขวางพวกเขาได้อย่างนั้นหรือ ?”

ราชายุทธ์ชุดดำทั้งสามคนค่อย ๆ เดินประชิดเข้ามาพร้อมกัน

ทว่าตอนนี้เอง ฝานหลิงหยุนอาศัยโอกาสนี้หันหลังกลับแล้วเหาะหลบหนีไป ทิ้งฝานจิ้งกวงให้รับมืออยู่ด้านหลัง

เพียงแต่ฝานหลิงหยุนยังไม่ทันจะได้จากไปไกลนัก ก็มีเปลวไฟพุ่งเข้ามาตรงหน้าของเขา ด้วยความเร็วราวกับฝนดาวตก

“ใครกัน !”

ฝานหลิงหยุนหน้าถอดสี สำนึกของเขาสัมผัสได้ว่าเปลวไฟที่พุ่งเข้ามานั้น เป็นอสุรกายตัวหนึ่งที่แปลงกายมา และบนหลังของอสุรกายตัวนี้ มีคนในชุดคลุมยาวดำยืนอยู่

ตูม !

ทั้งสองฝ่ายปะทะกันในทันที และพลังจิตที่ผันผวนก็ระเบิดขึ้นอย่างมหึมา

ถึงแม้สิงห์ทิพย์อัคคีอร่ามจะยังไม่บรรลุถึงระดับ 5 ถูกชนเข้าที่หัวจนตาลายและรู้สึกมึนงง แต่ร่างกายกลับเต็มไปด้วยพละกำลังที่น่าตกใจ หลังจากปะทะกันแล้ว ก็ทำให้ฝานหลิงหยุนนั้นลอยกระเด็นออกไป และกระอักเลือดออกมา

ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน หลัวซิวเคลื่อนไหวร่างกาย แล้วชักกระบี่ฟันเสือเสวียนที่อยู่ด้านหลังมาไว้ในมือ จากนั้นจึงโคจรพลังแปรเสวียนเทียนยี่สิบสี่เท่าแล้วฟันลงไป

เพลิงมรณะสีดำภายใต้แรงสนับสนุนจากภูตอัคคีกลืนกิน ได้รวตัวกันกลายเป็นกระบี่ ประกอบกับพลังแปรเสวียนเทียนยี่สิบสี่เท่าและร่างยุทธ์ร่างเนื้อในระดับที่เทียบเท่ากัน กระบี่นี้ของหลัวซิว จึงเรียกได้ว่าเป็นกระบี่ที่แข็งแกร่งกว่าที่เคยมีมา

กระบี่เพลิงสีดำมีออร่าของพลังกดขี่ ทำให้อากาศที่เคลื่อนที่ผ่านนั้นบิดเบี้ยว ถึงขนาดถูกฟันจนเกิดรอยดำ

“ไอ้สารเลว !”

ฝานหลิงหยุนโกรธจัด เขายกดาบขึ้นมาสกัดกั้น พลังอันรุนแรงพุ่งตรงไปข้างหน้า ทำให้ร่างกายของเขาลอยกระเด็นไปอีกครั้ง และกระอักเลือดออกมาอีก

แต่การโจมตีที่ไม่คาดฝันนี้ยังไม่สิ้นสุด ร่างของมังกรสีเงินปรากฏขึ้นที่ด้านหลังของเขา กรงเล็บมังกรที่แหลมคมคู่หนึ่งส่องแสงสีเงินวาววับ จับลงไปตรงกลางกะโหลกศีรษะของเขา

ฝานหลิงหยุนเองก็เป็นผู้แข็งแกร่งระดับราชายุทธ์ เมื่อเผชิญหน้ากับอันตราย เขาก็ใช้สำนึกควบคุมพลังฟ้าดินจิต และสร้างม่านแสงขึ้นมาปกป้องร่างกาย เพื่อต่อต้านการโจมตีด้วยกรงเล็บของหลงหมิง

“เจ้าเป็นใครกันแน่ ?”

ยืนอยู่บนท้องฟ้า รักษารูปร่างให้คงที่ สีหน้าของฝานหลิงหยุนเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด และยิ่งเผยให้เห็นถึงความสงสัย

คนที่สมชุดคลุมยาวดำคนนั้น สามารถโจมตีให้ตนเองถอยร่นได้ด้วยพลังของกระบี่เพียงครั้งเดียว แต่ความผันผวนของพลังจิตแท้ เห็นได้ชัดว่าอยู่ในแดนฝึกจิตขั้น 8 เท่านั้น

แล้วยังมีสิงโตที่ล้อมรอบไปด้วยเปลวเพลิงอีก ถือเป็นอสุรการประหลาดที่ไม่ธรรมดา อยู่ในระดับฝึกจิตขั้น 9

นอกจากนี้ ยังมีอสุรกายที่มีรูปร่างเป็นมังกร ที่ดูเหมือนว่าจะมีความสามารถในการเคลื่อนที่อย่างฉับพลัน ซึ่งก็ถือว่าไม่ธรรมดา ถ้าหากตนเองไม่ได้ใช้พลังฟ้าดินจิตในการป้องกัน กรงเล็บเมื่อครู่ คงทำให้เขาต้องตายแล้ว

“คนที่กำลังจะตาย ไม่จำเป็นต้องรู้ว่าข้าเป็นใคร”

ใบหน้าของหลัวซิวถูกปกคลุมไปด้วยเปลวไฟสีดำที่ลุกโชน เขาไม่คิดจะเปิดเผยตัวตนตั้งแต่แรก เพื่อหลีกเลี่ยงเรื่องไม่คาดคิด และนำมาซึ่งปัญหาที่ไม่จำเป็น

“ก็แค่ผู้ฝึกจิตสามคน คิดจะฆ่าข้าอย่างนั้นหรือ ?”

ฝานหลิงหยุนจับกระบี่ยุทธ์ระดับล่างในมือเอาไว้แน่น บนใบหน้าที่มืดมนของเขา มีเจตนาฆ่าที่รุนแรงปรากฏขึ้น

ราชายุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่ แต่กลับถูกผู้ฝึกจิตสามคนฆ่าตาย มิหนำซ้ำยังต้องเสียท่าให้อีก เรื่องเช่นนี้หากแพร่งพรายออกไป แล้วเขาจะเอาชื่อเสียงของจักรพรรดิหลิงหยุนไปไว้ที่ไหน ?

“ไปตายซะ !”

เสียงคำรามต่ำ ๆ ดังออกมาจากลำคอของจักรพรรดิหลิงหยุน ร่างกายของเขาเคลื่อนไหวอย่างกะทันหัน เกิดแสงสีทองส่องไปทั่วร่างกายของเขา และปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าหลัวซิวในทันที กระบี่ยุทธ์ระดับล่างที่อยู่ในมือถูกพลังจิตแท้สีทองห่อหุ้ม และกลายเป็นรูปร่างมังกร ทำให้อากาศโดยรอบบิดเบี้ยว จากนั้นเขาจึงฟันลงไปที่หลัวซิวอย่างแรง

เมื่อกระบี่เล่มนี้ฟันลงไป ทำให้เกิดเสียงระเบิดขึ้นในอากาศ พลังของราชายุทธ์ปรากฏออกมาชัดเจนโดยไม่ต้องสงสัย

หลัวซิวเองก็ฟันกระบี่ลงไปเช่นกัน เพลิงมรณะกลายเป็นดาบรูปมังกร กระบี่ยุทธ์ทั้งสองเล่มปะทะกันกลางอากาศอย่างรุนแรง

“เช้ง !”

เสียงการปะทะกันของทองและเหล็กดังขึ้น และเกิดเป็นประกายไฟขนาดใหญ่ คลื่นพลังงานที่โกลาหลสีทองและสีดำถูกปลดปล่อยออกมา ทำให้อากาศบริเวณใกล้เคียงของทั้งสองคนบิดเบี้ยว ราวกับกำลังจะแตกสลาย

หลัวซิวตัวสั่น เขารู้สึกได้ถึงพลังการโจมตีที่แข็งแกร่ง ทำให้แขนทั้งสองข้างของเขาชา และใบหน้าที่ปกคลุมไปด้วยเปลวไฟสีดำเปลี่ยนไปเล็กน้อย แอบคิดในใจว่าไม่เสียแรงที่เป็นผู้แข็งแกร่งในแดนราชายุทธ์ สามารถใช้พลังฟ้าดินในการส่งเสริมตนเอง มีความแข็งแกร่งที่อยู่เหนือปรมาจารย์ฝึกจิตไม่รู้กี่เท่า

“วิชาพลังมังกรแท้ ?……”

เมื่อเห็นหลัวซิวรวมเปลวไฟสีดำเข้าเป็นกระบี่รูปมังกร จักรพรรดิหลิงหยุนก็หยุดนิ่งในทันที “เจ้าคือหลัวซิวผู้นั้น ?”

ในประเทศเทียนหวู มีเพียงกษัตริย์องค์ปัจจุบันของราชวงศ์ตระกูลฝานเท่านั้น ที่เคยเข้าไปยังชั้นเจ็ดของหอคอยมังกรบิน และได้รับและได้รับวรยุทธ์ฝึกตนวิชาพลังมังกรแท้ ดังนั้นวรยุทธ์ขั้น 8 วิชานี้ จึงถือเป็นความลับที่ราชวงศ์ตระกูลฝานไม่เคยนำออกมาเผยแพร่

จากข้อมูลที่ราชวงศ์ตระกูลฝานได้รับ หลัวซิวเคยเข้าไปในชั้น 7 ของหอคอยมังกรบิน และดูเหมือนว่าจะได้รับวรยุทธ์วิชาพลังมังกรแท้เช่นกัน

ดังนั้น จักรพรรดิหลิงหยุนจึงสามารถตัดสินได้ทันทีว่า ชายชุดคลุมยาวดำที่อยู่ตรงหน้า จะต้องเป็นหลัวซิวอย่างแน่นอน และได้รับการขนานนามว่าเป็นอัจฉริยะที่หาได้ยากในรอบศตวรรษ

เพราะตอนที่กษัตริย์องค์ปัจจุบันเข้าไปในชั้น 7 ของหอคอยมังกรบิน เขามีอายุยี่สิบแปดปีแล้ว และมีผลการฝึกตนอยู่ในระดับการฝึกจิตขั้น 7 แต่ตอนที่หลัวซิวเข้าไปนั้น มีอายุเพียงสิบหกปี และมีผลการฝึกตนอยู่ในระดับการฝึกจิตขั้น 1 เท่านั้น

“ดูเหมือนว่าเจ้าหนุ่มจะมีอายุเพียงสิบเจ็ดปีสินะ แต่กลับมีผลการฝึกตนอยู่ในแดนฝึกจิตขั้น 8 แล้วหรือ ?”

จักรพรรดิหลิงหยุนเริ่มแสดงสีหน้าลังเล แต่เขาก็สงบลงได้อย่างรวดเร็ว ถึงแม้ความสามารถของอีกฝ่ายจะน่าทึ่ง และสามารถฆ่าศัตรูข้ามขั้นได้ แต่อย่างไรเสียตนเองก็เป็นผู้แข็งแกร่งระดับราชายุทธ์ ซึ่งถือว่ายังมีช่องว่างที่แตกต่างกับผู้ฝึกจิตอยู่ไม่น้อย ดังนั้นการจัดการกับเข้าจึงน่าจะไม่ใช่เรื่องยาก

หลัวซิวไม่พูดอะไร เขาไม่ได้ยอมรับและไม่ได้ปฏิเสธเรื่องที่จักรพรรดิหลิงหยุนรู้จักตัวตนของเขา

“โฮก !”

สิงห์ทิพย์อัคคีอร่ามกระโจนเข้าไป และในขณะเดียวกันหลงหมิงเองก็หายตัวไปในทันที และจู่ ๆ ก็มาปรากฏตัวอยู่ที่ด้านหลังของจักรพรรดิหลิงหยุน อสุรกายโบราณทั้งสองลงมือพร้อมกัน โจมตีทั้งด้านหน้าและด้านหลัง

“คุมฟ้าสะกดดิน !”

จักรพรรดิหลิงหยุนตะโกนออกมาด้วยความโกรธ พลังฟ้าดินรอบตัวสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง และแสงสีทองก็ส่องประกายออกมา

ตูม ! ตุม !

ทันใดนั้น ทั้งสิงห์ทิพย์อัคคีอร่ามและหลงหมิงก็ลอยกระเด็นออกไปพร้อมกัน

จักรพรรดิหลิงหยุนยืนอยู่บนท้องฟ้า ในมือถือกระบี่ยุทธ์ มีแสงสีทองปรากฏขึ้นทั่วทั้งร่างกายของเขา เต็มไปด้วยพละกำลังที่แข็งแกร่ง มีแสงสีทองฉาบอยู่ทั่วตัวราวกับเป็นชุดเกราะ

นี่คือวิธีที่มีเพียงผู้แข็งแกร่งระดับราชายุทธ์เท่านั้นจึงจะสามารถใช้ได้ คุมฟ้าสะกดดิน !

การควบคุมพลังฟ้าดินในขอบเขตที่กำหนด เพื่อนำมาใช้งานด้วยตนเอง ถือว่าเป็นการเพิ่มพลังการต่อสู้ให้กับตนเองได้อย่างมาก

จักรพรรดิหลิงหยุนรวมพลังฟ้าดินให้กลายเป็นชุดเกราะ และความแข็งแกร่งบนร่างกายของเขาก็เพิ่มขึ้นกว่าก่อนหน้านี้หลายเท่า

ดวงตาดุดันคู่หนึ่งกวาดมองไปที่หลัวซิว จักรพรรดิหลิงหยุนยิ้มอย่างเยาะเย้ย และร่างกายของเขาก็กลายเป็นแสงสีทองราวกับมังกรจริง ๆ จากนั้นจึงพุ่งตรงเข้าไปหาหลัวซิว และฟันกระบี่ยุทธ์ออกไป

 

 

บทที่ 287 การต่อสู้กันของราชายุทธ์

 

ในเมืองร้างไม่มีค่ายวาร์ป เหตุผลหลักเพราะอยู่ห่างไกลเกินไป ค่ายวาร์ปธรรมดาไม่สามารถบรรลุผลตามที่ต้องการได้ ประกอบกับมีข้อจำกัดมากมายในการจัดตั้งค่ายวาร์ป ดังนั้นหากจะเดินทางจากเมืองร้างกลับไปยังประเทศเทียนหวู จะต้องออกจากเมืองร้างผ่านทางดินแดนรกร้างทางตอนเหนือแห่งนี้

ห่างจากเมืองร้างออกไปหลายร้อยลี้ มีกลุ่มคนชุดดำปิดบังใบหน้าปรากฏตัวขึ้นอยู่ตรงด้านหน้า และเข้ามาขวางทางขบวนของฝานหลิงหยุนเอาไว้

ในที่ลับตาไกลออกไป หลัวซิวหลบซ่อนตัวอยู่อย่างระมัดระวัง และหรี่ตาลง

“ดูเหมือนว่าราชวงศ์ตระกูลฝาน ถึงแม้จะมีอิทธิพลอย่างมากในประเทศเทียนหวู แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีใครกล้าล่วงเกิน”

การปรากฏตัวของกลุ่มคนชุดดำปิดบังใบหน้า แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าต้องการลอบฆ่าระหว่างทาง และแย่งชิงวิชาภูตผีเซินหลัว

“พวกเจ้าเป็นใคร ? กล้ามาขวางทางข้าอย่างนั้นหรือ ?” ฝานหลิงหยุนตะคอกอย่างดุดัน ร่างกายของเขาแผ่รัศมีของผู้แข็งแกร่งระดับราชายุทธ์ออกมา

“เหอะ ๆ จักรพรรดิหลิงหยุนจะรีบเดินทางออกจากดินแดนรกร้างแห่งนี้ทำไมกัน ? ไม่สู้ทิ้งของบางอย่างเอาไว้แล้วค่อยออกไปจะดีกว่าไหม ?”

ชายชุดดำปิดบังใบหน้าที่เป็นหัวหน้าหัวเราะขึ้นเสียงดัง ดวงตาของเขาเปล่งประกายราวกับเปลวไฟ

“สามหาว ! สิ่งของของราชวงศ์ตระกูลฝานเรา เจ้ากล้าแย่งชิงอย่างนั้นหรือ ช่างไม่รู้จักรักตัวกลัวตายเอาเสียเลย !” ฝานหลิงหยุนโกรธจัด เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเป้าหมายในการมาของอีกฝ่ายก็คือ ทักษะยุทธ์ชั้น 9

“หึ จักรพรรดิหลิงหยุน ข้าขอเตือนให้ท่านยอมมอบของออกมาแต่โดยดีจะดีกว่า ถึงแม้ท่านจะเป็นผู้แข็งแกร่งระดับราชายุทธ์ แต่ก็ใช่ว่าจะมีเพียงแค่ท่านคนเดียว

ด้านข้างของหัวหน้ากลุ่มชายชุดดำปิดปังใบหน้า มีคนอีกสองคนปรากฏตัวขึ้นมา แต่ละคนล้วนแล้วแต่แผ่รัศมีอันทรงพลังของผู้แข็งแกร่งระดับราชายุทธ์ออกมา

ราชายุทธ์สามคน !

ในสถานการณ์สามต่อหนึ่งเช่นนี้ ทำให้สีหน้าของฝานหลิงหยุนเปลี่ยนไปอย่างมากในทันที

“ย่า !”

ฝานหลิงหยุนตะโกนเสียงดัง จากนั้นก็กลายเป็นลำแสงในทันที และรีบหนีขึ้นไปบนท้องฟ้าในระยะไกลอย่างรวดเร็ว

นักยุทธ์ตระกูลฝานจำนวนมากที่ร่วมเดินทางมากับเขาก็ชักดาบออกมา มือถืออาวุธ ส่วนร่างกายก็แผ่รังสีของพลังจิตแท้ออกมา ดูเหมือนจะเป็นปรมาจารย์ยุทธ์แดนฝึกจิต

“ถ้าดื้อนักก็ไปตายซะ ฆ่าพวกมันให้หมด !”

หัวหน้าของกลุ่มคนชุดดำปิดบังใบหน้าออกคำสั่ง คนชุดดำจำนวนมากที่อยู่ด้านหลังก็แผ่รัศมีออกมา ทั้งสองฝ่ายพุ่งเข้าต่อสู้กัน

และในตอนนี้เอง ราชายุทธ์ที่สวมชุดดำทั้งสามคนก็เหาะขึ้นไปบนท้องฟ้า และตามเส้นทางการหลบหนีของฝานหลิงหยุนไปอย่างรวดเร็ว

ในบรรดาราชายุทธ์ชุดดำทั้งสามคน มีหนึ่งคนที่ฝึกตนด้วยวรยุทธ์ธาตุลม จึงมีความเร็วที่ยอดเยี่ยมที่สุด ไม่นานนัก เขาก็ไล่ตามฝานหลิงหยุนได้ทัน จากนั้นจึงลงมือเข้าขัดขวาง และให้สหายทั้งสองคนที่อยู่ด้านหลังตามมาได้ทัน

กลางอากาศ ฝานหลิงหยุนชักกระบี่ยุทธ์ออกมา ใบหน้าของเขาเคร่งเครียดอย่างสุดขีด

ส่วนราชายุทธ์ชุดดำทั้งสามกลับมีสายตาที่เย็นชา และมีเจตนาฆ่าที่รุนแรง

ในเวลานี้ ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรให้มากความอีก ทั้งสองฝ่ายเริ่มต่อสู้กัน เสียงระเบิดของพลังจิตแท้ที่ผันผวนดังสนั่นอยู่กลางอากาศ และดังก้องเข้ามาในหูอย่างต่อเนื่อง

การต่อสู้กันระหว่างปรมาจารย์ฝึกจิตเหล่านั้น หลัวซิวขี้เกียจจะดู สายตาของเขาจับจ้องไปยังการต่อสู้กลางอากาศของนักยุทธ์ทั้งสี่คนที่อยู่ห่างออกไป

รัศมีของพลังจิตแท้ที่เปล่งประกายออกมาดูราวกับเปลวไฟ เข้ามาปกคลุมร่างกายของผู้แข็งแกร่งระดับราชายุทธ์ทั้งสี่เอาไว้ รัศมีที่ปล่อยออกมาเริ่มดำเนินไปถึงจุดที่แข็งแกร่งที่สุดแล้ว

ในขณะที่เคลื่อนไหวร่างกาย พลังของฟ้าดินก็ถูกระดมเข้ามา หนึ่งหมัดหนึ่งกระบี่ หนึ่งนิ้วหนึ่งดาบ ทักษะยุทธ์ทุกชนิดที่อยู่เหนือชั้น 7 ถูกนำออกมาใช้ พลังยิ่งใหญ่จนหาตัวจับยากต่อสู้กันจนความว่างเปล่าสั่นไหว และอากาศบิดเบี้ยว

ราชายุทธ์ทั้งสามที่เข้ามาปิดล้อมฝานหลิงหยุนเอาไว้ หากแยกออกมาทีละคน ยังถือว่ามีความแข็งแกร่งที่ด้อยกว่าฝานหลิงหยุนเล็กน้อย แต่เมื่อทั้งสามคนร่วมมือกัน และเข้าโจมตีอย่างต่อเนื่องจากทุกทิศทาง ทำให้เขายากที่จะรับมือได้ ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันเพียงแค่สิบกว่ากระบวนท่า ก็เริ่มที่จะล่าถอย และมีใบหน้าที่ซีดเผือดขึ้นเรื่อย ๆ

“ย่า !”

ฝานหลิงหยุนใช้ทักษะยุทธ์กระบวนท่าหนึ่งโจมตีจนราชายุทธ์ชุดดำคนหนึ่งลอยกระเด็นออกไป แต่ราชายุทธ์ที่เหลืออีกสองคนยังคงพุ่งเข้าโจมตีอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงใช้กระบวนท่าตั้งรับเท่านั้น และเขาก็ถูกโจมตีจนลอยกระเด็นออกไป และกระอักเลือด

“ตระกูลเหยียน ตระกูลหลิน ตระกูลเย่……”

ฝานหลิงหยุนกวาดสายตาที่เย็นชาไปยังราชายุทธ์ชุดดำทั้งสาม แล้วหัวเราะเยาะพลางพูดว่า : “พวกเจ้าทั้งสามตระกูลบังอาจลอบฆ่าข้าระหว่างทาง และแย่งชิงสิ่งของของราชวงศ์ตระกูลฝานเรา พวกเจ้าจะต้องชดใช้ให้กับเรื่องนี้ !”

ส่วนเรื่องที่ฝานหลิงหยุนสามารถจดจำพวกตนได้นั้น ราชายุทธ์ชุดดำทั้งสามคนกลับไม่รู้สึกแปลกใจเลยแม้แต่น้อย

เพราะทั้งสิบตระกูลใหญ่ต่างรู้จักกันเป็นอย่างดี เมื่อผ่านการต่อสู้กันเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ และได้เห็นความแข็งแกร่งของพังจิตแท้ของอีกฝ่าย รวมถึงวรยุทธ์ที่ฝึกตน ทักษะยุทธ์ที่สำแดงออกมา ก็สามารถตัดสินเรื่องทั้งหมดออกมาได้อย่างง่ายดาย

ราชายุทธ์ผู้เป็นหัวหน้าผู้นั้น ใช้วรยุทธ์ธาตุไฟในการฝึกตน จึงมีเปลวไฟลุกโชนไปทั่วทั้งร่างกาย ตอนที่สำแดงทักษะยุทธ์ เปลวไฟของพลังจิตแท้ก็จะรวมตัวกันเป็นรูปนกฟินิกซ์ เมื่อเห็นก็รู้ว่าเป็น 《พลังเทียนเฟิ่ง》วรยุทธ์ชั้น 8 ที่ตกทอดกันมาของตระกูลเหยียน

เหยียนเยว่เอ๋อร์เป็นที่รู้จักกันในนามจักรพรรดิยุทธ์เทียนเฟิ่ง และเพื่อเป็นตัวแทนของ《พลังเทียนเฟิ่ง》ของตระกูลเหยียน

ส่วนอีกสองคน มีการฝึกตนแบ่งออกเป็น《วิชาคลื่นซ้อนขั้น7》ของตระกูลหลิน และ《พลังเมฆานภา》ขงอตระกูลเย่

“ฝานหลิงหยุน ส่งม้วนหยกมา ไม่อย่างนั้นตาย !”

“ต่อให้ข้าจะต้องทำลายม้วนหยก ก็ไม่มีทางยอมมอบให้พวกเจ้าแน่นอน !”

การต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายเริ่มขึ้นอีกครั้ง ต่างฝ่ายต่างใช้วิธีการของตนเอง เพียงแค่ยันต์ระดับ 5 ที่ฝานหลิงหยุนนำออกมาใช้จำนวนสิบกว่าแผ่น ก็เพียงพอที่จะป้องกันราชายุทธ์ทั้งสามที่ล้อมเข้าโจมตีได้

อีกทั้งเขายังใช้ยันต์วาตะ พุ่งขึ้นไปด้วยความเร็วที่สูง เพื่อหลบหนีออกจากที่นี่

ที่ที่หลัวซิวอยู่นั้น ห่างออกไปไกลมาก นอกเสียจากว่าราชายุทธ์ทั้งสี่จะใช้สำนึกในการตรวจสอบบริเวณโดยรอบด้วยขอบเขตที่ไกลที่สุด อย่างไรเสียก็ไม่มีทางตรวจพบการสะกดรอยตามของเขา

อีกทั้งในการต่อสู้ที่ดุเดือดเช่นนี้ ราชายุทธ์เองต่างต้องใช้สมาธิขั้นสูง พวกเขาจึงไม่มีทางกระจายสำนึกของเขาออกไปในวงกว้างอย่างแน่นอน

“ไปแล้ว เตรียมตัวตามไปเร็ว”

หลัวซิวตบสิงห์ทิพย์อัคคีอร่ามที่หมอบอยู่ใต้เขาเบา ๆ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย เขาเห็นฝานหลิงหยุนฝ่าออกมาจากวงล้อมของราชายุทธ์ชุดดำทั้งสาม กลายเป็นลำแสง และพุ่งตรงไปทางทิศใต้อย่างรวดเร็ว

“ตามไป !”

แน่นอนว่าราชายุทธ์ชุดดำทั้งสามนั้นไม่ยอมแพ้ พวกเขาค่อย ๆ เพิ่มความเร็วจนถึงระดับสูงสุด และไล่ตามไปอย่างสุดกำลัง

สิงห์ทิพย์อัคคีอร่ามที่อยู่ใต้เท้าของหลัวซิวก็ได้รับคำสั่งจากเขาเช่นกัน เท้าทั้งสี่เหยียบลงบนผืนดิน จากนั้นจึงบินขึ้นไปบนท้องฟ้า และกลายเป็นแสงแห่งเปลวไฟ ดูราวกับฝนดาวตกที่พุ่งทะลุท้องฟ้า

สิงห์ทิพย์อัคคีอร่ามตัวนี้เป็นสัตว์ประหลาดโบราณ และมีผลการฝึกตนอยู่ในระดับฝึกจิตขั้น 9 แน่นอนว่าความเร็วไม่อาจเทียบกับราชายุทธ์ได้ ไม่ช้า ราชายุทธ์ทั้งสี่ก็หายเข้าไปในกลีบเมฆ

ทว่าท่าทางของหลัวซิวยังคงสงบนิ่ง ไม่รู้สึกร้อนใจเลยแม้แต่น้อย เพราะเขาส่งหลงหมิงออกไปนานแล้ว เพื่อคอยจับตาดูฝานหลิงหยุนอยู่ตลอด และชี้นำให้เขาไปในทิศทางที่ถูกต้องอยู่เสมอ

ฉากนี้คล้ายกับตอนที่เขาไล่ล่าและสังหารองค์ชายสามฝานโหยว่หลี่ในแดนปริศนา

ด้านความเร็ว มังกรไร้ร่างมีข้อได้เปรียบที่ไม่เหมือนใคร แม้แต่ราชายุทธ์เอง ก็ไม่อาจเทียบความเร็วกับมังกรไร้ร่างขั้นฝึกจิตตัวหนึ่งได้

“มีราชายุทธ์ปรากฏตัวขึ้นอีกหนึ่งคน !”

ผ่านการเชื่อมต่อธาตุของวิชาสยบวิญญาณ มีเสียงของหลงหมิงดังขึ้นในจิตสำนึกของหลัวซิว

“ในระหว่างที่คนแซ่ฝานกำลังหลบหนีอยู่นั้น มีราชายุทธ์ปรากฏตัวขึ้นอีกหนึ่งคน ดูเหมือนว่าจะเป็นคนของราชวงศ์ตระกูลฝานอะไรนั่นด้วยเช่นกัน ทั้งสองคนร่วมมือกันต่อสู้กับราชายุทธ์ชุดดำทั้งสาม” หลงหมิงพูดขึ้น

เมื่อได้ยินข่าวสารเช่นนี้ หลัวซิวก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ทักษะยุทธ์ชั้น 9 เพียงวิชาเดียว สามารถดึงดูดผู้แข็งแกร่งระดับราชายุทธ์มาได้ถึงห้าคน หากที่นี่เป็นดินแดนรกร้างทางเหนืออันห่างไกล เกรงว่าตาเฒ่าประหลาดจักรพรรดิยุทธ์ของสิบตระกูลใหญ่เหล่านั้น คงจะออกมามีส่วนร่วมกันหมด

แม้แต่หลัวซิวยังสงสัยว่า ผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ของราชวงศ์ตระกูลฝาน ไม่แน่ว่าอาจกำลังเดินทางมา ราชายุทธ์คนที่ห้าที่ปรากฏตัวขึ้นนี้ ไม่แน่ว่าอาจรีบตามมาจากประเทศเทียนหวู เพื่อรับผิดชอบต่อสู้ร่วมกับฝานหลิงหยุน

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 286 สะกดรอยตาม

 

ทักษะยุทธ์ชั้น 9 ในประเทศเทียนหวู แม้แต่ราชวงศ์ตระกูลฝานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็ยังไม่มี แม้แต่กองกำลังใหญ่โดยรอบอีกสามกองกำลัง ไม่ว่าจะเป็นตำหนักจื่อ สำนักเสวียนหยาง หรือสำนักฉางเหอ วิชายุทธ์ชั้น 9 ก็ถือเป็นมรดกใจกลาง แล้วจะนำออกมาประมูลที่เมืองร้างเช่นนี้ได้อย่างไร ?

ในเมืองร้าง คนจากกองกำลังต่าง ๆ จากทั่วทุกสารทิศของประเทศเทียนหวู ซึ่งในนั้นย่อมมีตัวแทนของสิบตระกูลใหญ่ซึ่งมีราชวงศ์ตระกูลฝานเป็นผู้นำมาร่วมการประมูลด้วย

หลัวซิวสังเกตเห็นแล้วว่า ผู้แข็งแกร่งระดับราชายุทธ์ของสิบตระกูลใหญ่เหล่านั้น ต่างมีดวงตาที่แดงก่ำ และเพื่อทักษะยุทธ์ชั้น 9 วิชานี้ หลังจากนี้คงจะต้องเกิดการต่อสู้แย่งชิงกันขึ้นอย่างแน่นอน

“ทักษะยุทธ์ชั้น 9 วิชาหนึ่ง อย่างน้อยก็ต้องมีราคาห้าแสนหินพลังจิตชั้นกลางขึ้นไป ข้าไม่สามารถจ่ายได้ไหว” หลัวซิวส่ายหัว และรู้สึกหดหู่เล็กน้อย

เมื่อเทียบกับผู้แข็งแกร่งระดับราชายุทธ์จำนวนไม่น้อย ถือว่าเขานั้นมั่งคั่ง แต่หากเทียบกับกองกำลังใหญ่ที่สืบทอดกันมานับพันปี เขาก็เป็นเพียงแค่ยาจกเท่านั้น

ไม่ง่ายเลยที่จะปรากฏทักษะยุทธ์ชั้น 9 ที่เหมาะสำหรับการฝึกตนของตนเอง แต่ตนเองกลับซื้อไม่ไหว จึงทำได้เพียงนั่งมองตาละห้อย ช่างทรมานจิตใจเสียจริง ๆ

ราคาเปิดประมูลของวิชาภูตผีเซินหลัว ตั้งเอาไว้ที่สองแสนหินพลังจิตชั้นกลาง เพิ่งจะเริ่มต้น ราคาก็พุ่งสูงถึงสามแสนแล้ว !

ทักษะยุทธ์ชั้น 9 เช่นนี้ ถ้าหากฝึกได้สำเร็จ แม้แต่ในการต่อสู้ระหว่างผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ ถึงแม้จะมีความสามารถที่สูสีกัน ก็ย่อมไม่เป็นปัญหาอย่างแน่นอน

ผู้คนส่วนใหญ่ยังคงนิ่งเงียบ แต่ดวงตากลับร้อนผ่าว เสียงประมูลที่ดังก้องอยู่ในห้องโถงใหญ่ล้วนมาจากผู้แข็งแกร่งระดับราชายุทธ์จากสิบตระกูลใหญ่ทั้งสิ้น ราคาของทักษะยุทธ์ชั้น 9 วิชานี้ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ยังไม่ทันจะถึงครึ่งชั่วโมง ราคาของวิชาภูตผีเซินหลัว ก็สูงถึงหกแสนเจ็ดหมื่นหินพลังจิตชั้นกลางแล้ว ราคานี้ สมแล้วกับความมั่งคั่งที่ราชวงศ์ตระกูลในสะสมมาตลอดหลายปี

อีกทั้งราคายังคงพุ่งสูงขึ้น หลังจากไต่ขึ้นไปจนถึงราคาหนึ่งล้านหินพลังจิตชั้นกลางแล้ว ในบรรดาสิบตระกูลใหญ่ ก็มีหกตระกูลเลือกที่จะยอมแพ้ เพราะหากราคายังคงสูงขึ้นเรื่อย ๆ ดูเหมือนทรัพย์สินในคลังของตระกูลคงจะต้องถูกขนออกมาใช้จนหมด

ในที่สุด หลังจากที่ราชายุทธ์ของราชวงศ์ตระกูลฝานผู้หนึ่ง เสนอราคาที่หนึ่งล้านสองแสน บรรยากาศภายในงานประมูลก็เงียบสงัดลงทันที

หากเปลี่ยนเป็นหินพลังจิตชั้นล่าง จะมีราคาที่สูงถึงระดับร้อยล้าน !

ความเงียบและบรรยากาศอึมครึมกินเวลายาวนานกว่าสิบนาที แทบจะทุกคนที่ตกใจจนตัวสั่นเมื่อได้ยินราคาระดับร้อยล้านนี้ และรู้สึกเลือดพลุ่งพล่าน ทรัพย์สินมูลค่าเช่นนี้ กองกำลังใหญ่จะต้องใช้เวลาในการสะสมกี่ปีถึงจะมีได้ขนาดนี้ ?

แต่ราชวงศ์ตระกูลฝานกลับสามารถควักเงินจำนวนนี้ออกมาจ่ายได้ในคราวเดียว สมแล้วที่เป็นตระกูลที่คอยควบคุมอาณาเขตของประเทศเทียนหวู มีภูมิหลังที่หยั่งรากลึก และยิ่งใหญ่จนอีกเก้าตระกูลไม่อาจเทียบได้

“มีข่าวลือว่า ในสิบตระกูลใหญ่ แม้แต่นำทั้งเก้าตระกูลที่เหลือมารวมกัน อย่างมากก็พอจะตีเสมอกับราชวงศ์ตระกูลฝานได้เท่านั้น ราชวงศ์ตระกูลฝานนี้ไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ” หลัวซิวแอบพูดอยู่ในใจ

“แต่ดูเหมือนว่าราชวงศ์ตระกูลฝานกับข้า จะมีความแค้นต่อกันนะ……”

หลัวซิวเอานิ้วลูบที่คาง สายตาจับจ้องไปที่ราชายุทธ์ผู้ซึ่งประมูลวิชาภูตเซินหลัวด้วยหนึ่งล้านสองแสนหินพลังจิตชั้นกลางผู้นั้น

อีกฝ่ายมีปราณที่แข็งแกร่ง มีพลังจิตแท้ที่ยิ่งใหญ่ ลายเส้นชีวิตของเขาเปล่งประกาย ในทุก ๆ ที่แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของผู้แข็งแกร่งระดับราชายุทธ์

หลัวซิวเองก็เคยเห็นราชายุทธ์มาไม่น้อย จึงพอจะตัดสินได้ว่า ผลการฝึกตนของราชายุทธ์ตระกูลฝานผู้นี้ น่าจะอยู่ในแดนราชายุทธ์ขั้น 3 ไม่ถือว่าแข็งแกร่งมากนัก

ต่อให้เป็นตระกูลฝานเอง ผู้แข็งแกร่งระดับราชายุทธ์ก็มีอยู่ไม่เกิน 15 คน และในนั้นผู้ที่จะฝึกตนถึงระดับราชายุทธ์ช่วงกลาง น่าจะมีอยู่น้อยมาก

งานประมูลกำลังจะสิ้นสุดลง หลัวซิวลุกยืนขึ้น และเดินออกจากห้องโถงใหญ่งานประมูลอย่างเงียบ ๆ

เพราะขั้นตอนการประมูลที่เกิดขึ้นทั้งหมด มีการถ่ายทอดสดไปยังค่ายกลฉายภาพที่อยู่ด้านนอก ดังนั้นตอนนี้เรื่องเกี่ยวกับทักษะยุทธ์ชั้น 9 วิชาภูตผีเซินหลัว ได้แพร่สะพัดไปจนทั่วทั้งเมืองร้างแล้ว

ราชายุทธ์ของตระกูลฝานที่อยู่ในเมืองร้าง แน่นอนว่าคงจะไม่พกหินพลังจิตนับร้อยล้าน ติดตัวมาด้วย ภายในระยะเวลาอันสั้น การค้าขายในครั้งนี้คงจะไม่เสร็จสมบูรณ์อย่างรวดเร็ว ราชวงศ์ฝานต้องส่งคนไปนำทรัพย์สินในการซื้อทักษะยุทธ์ชั้น 9 วิชานี้มา โดยส่งมาจากเมืองหลวงของประเทศเทียนหวู

ส่วนผู้ที่อยู่เบื้องหลังของงานประมูลเมืองร้าง ได้ยินมาว่าเป็นผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ ถึงแม้ข่าวลือเรื่องทักษะยุทธ์ชั้น 9 จะแพร่สะพัดออกไป ก็ไม่กลัวว่าจะมีคนเข้ามาแย่งชิง

ข่าวลือเรื่องนี้ เป็นสิ่งที่หลัวซิวได้ยินหลังจากออกมาจากงานประมูลแล้ว

ก่อนหน้านี้ ตอนที่เพิ่งเข้าไปในงานประมูล เขาก็แอบสัมผัสได้ถึงออร่าชีวิตของผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ผู้หนึ่ง คิด ๆ ดูแล้วก็น่าจะเป็นผู้แข็งแกร่งลึกลับที่อยู่เบื้องหลังงานประมูลเมืองร้าง

ถ้าหากไม่มีพลังอำนาจที่มากพอ เมื่อมีสมบัติล้ำค่าที่มีมูลค่ามหาศาลปรากฏขึ้น ก็เป็นการยากที่งานประมูลจะสามารถรับรองความปลอดภัยของสิ่งของได้ และจะทำให้สูญเสียความน่าเชื่อถือ

หลัวซิวยังไม่รีบเดินทางออกจากเมืองร้าง แต่เขาได้เช่าห้องฝึกตนลับที่อยู่ในโรงเตี๊ยมขนาดเล็กในเมืองหนึ่งห้อง

ในขณะเดียวกันนี้ ผ่านการเรียกของวิชาสยบวิญญาณ หลงหมิงที่อยู่ในพื้นที่รกร้างด้านนอกเมืองร้าง ก็บินตรงเข้ามายังเมืองร้าง

มังกรไร้ร่างมีพรสวรรค์ในการรวมตัวเข้ากับอากาศได้ เพียงแค่ปกปิดลมหายใจอย่างระมัดระวัง แม้แต่ผู้แข็งแกร่งที่อยู่เหนือตนเองไปอีกสองแดนใหญ่ ก็ยากที่จะพบร่องรอยของพวกมันได้

แต่อย่างไรก็ตาม ประการแรกคือต้องมีระยะห่างที่ไม่ใกล้กันมากนัก เพราะผู้แข็งแกร่งที่มีผลการฝึกตนยิ่งสูง ก็จะยิ่งมีพลังกระแสสัมผัสที่แข็งแกร่งขึ้น โดยเฉพาะผู้แข็งแกร่งที่มีผลการฝึกตนอยู่ในแดนราชายุทธ์ขึ้นไป จะสามารถสัมผัสได้ถึงพลังลึกลับในอากาศได้ และมีพลังในการควบคุมฟ้าดิน หากมีระยะห่างที่ใกล้เกินไป ก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะค้นพบมังกรไร้ร่างที่รวมตัวอยู่กับอากาศได้

ดังนั้นทุกครั้งที่หลัวซิวต้องเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งระดับราชายุทธ์ ก็จะให้หลงหมิงอยู่ห่างออกไปให้ไกลขึ้น เพื่อไม่ให้ถูกค้นพบ

ในเมืองร้าง มีผู้แข็งแกร่งระดับราชายุทธ์อาศัยอยู่ราว ๆ เจ็ดถึงแปดคน และยังมีจักรพรรดิยุทธ์ที่อยู่ในงานประมูลอีกคนหนึ่ง

ด้วยเหตุนี้ เมื่อหลงหมิงเข้ามาในเมือง จึงต้องหลบซ่อนตัวอย่างระมัดระวัง และพยายามรักษาระยะห่างให้มากกว่าหนึ่งร้อยเมตร

ในขณะเดียวกันนี้ หลัวซิวได้สอบถามเกี่ยวกับราชายุทธ์ของราชวงศ์ตระกูลฝานที่อยู่ในเมืองร้างผู้นั้น เขามีชื่อว่าฝานหลิงหยุน และเป็นลูกชายของฝานเฟยหยาง ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นศัตรูตัวฉกาจของหลัวซิว

ด้วยฐานะของฝานหลิงหยุน จึงไม่จำเป็นต้องปกปิดที่อยู่ของตนเอง ดังนั้นหลงหมิงจึงปฏิบัติตามคำขอของหลัวซิว โดยในช่วงนี้ให้คอยติดตามการเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย

ส่วนโรงเตี๊ยมเล็ก ๆ ที่หลัวซิวเลือก ก็ห่างจากที่อยู่ของฝานหลิงหยุนไม่ไกลนัก

หลังจากผ่านไปเจ็ดวัน ในที่สุดหินพลังจิตที่ราชวงศ์ตระกูลฝานนรวบรวมมาได้ก็ถูกส่งมาถึง โดยฝานหลิงหยุนทำการซื้อขายกับงานประมูลเมืองร้างด้วยตนเอง และได้รับทักษะยุทธ์ชั้น 9 มา เป็นม้วนหยกวิชาภูตผีเซินหลัว

ทันทีที่ได้รับม้วนหยก กลุ่มคนที่นำโดยฝานหลิงหยุนก็รีบออกเดินทางจากเมืองร้างโดยทันที เพื่อที่จะคุ้มกันม้วนหยกทักษะยุทธ์ชั้น 9 นี้ ไปส่งให้ถึงพระราชวังประเทศเทียนหวูอย่างปลอดภัย

ทั้งหมดนี้ ฝานหลิงหยุนคิดว่าเขาดำเนินการอย่างลับ ๆ และเมื่อออกจากเมืองเขาก็ปลอมตัวทันที แต่การเคลื่อนไหวทั้งหมดนี้ กลับถูกหลงหมิงจับตามองไว้อย่างชัดเจน

ด้วยเหตุนี้ หลังจากพวกของฝานหลิงหยุนเดินทางออกจากเมือง หลัวซิวก็สะกดรอยตามไปอย่างเงียบ ๆ และปิดบังลมหายใจ

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 285 วิชาภูตผีเซินหลัว

 

“บ้าเอ๊ย แพงขนาดนี้เลยหรือ ?” แม้แต่หลัวซิวเองก็แอบตกใจ หนึ่งล้านหินพลังจิต ถึงแม้จะเป็นเพียงชั้นล่าง แต่ก็เทียบได้กับหนึ่งหมื่นหินพลังจิตชั้นกลาง นอกจากกองกำลังใหญ่บางกลุ่ม นักยุทธ์ผู้โดดเดี่ยว ก็มีราชายุทธ์อีกเพียงไม่กี่คนที่สามารถใช่จ่ายทรัพย์สินมากมายเช่นนี้ได้

หลัวซิวเหลือบมองอยู่สักพักก็เบนสายตากลับมา วิชากลไกชั้น 8 ถือว่าไม่เลว เมื่อเทียบกับตามลมล่าจันทราที่เขาใช้อยู่ในตอนนี้ ก็ถือว่าดีกว่าหนึ่งระดับ แต่ถือว่าไม่แตกต่างกันมากนัก เพราะวิชากลไกตามลมล่าจันทราวิชานี้ เขาได้ฝึกตนจนกระทั่งถึงแดนบริบูรณ์แล้ว

เขาเตรียมตัวรอโอกาสเดินทางไปยังองค์กรนักล่ายุทธ์ เพื่อไปแลกรับวิชากลไกชั้น 9 หากทำเช่นนี้ ก็จะบรรลุเป้าหมายได้ในคราวเดียว โดยไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองหินพลังจิตเพื่อวิชากลไกชั้น 8 อีก

ทันใดนั้น ตัวแทนของกองกำลังใหญ่หลายกลุ่มค่อย ๆ ลุกยืนขึ้น และเสนอราคาเสียงดัง ราคาของวิชาซ่อนตัวปีกวายุอัคคีค่อย ๆ สูงขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ช้าก็มีราคาสูงถึงหนึ่งล้านแปดแสนหินพลังจิต

ในที่สุด วิชาซ่อนตัวปีกวายุอัคคีชั้น 8 วิชานี้ ก็ถูกผู้แข็งแกร่งระดับราชายุทธ์คนหนึ่ง ประมูลไปด้วยราคาสองล้าน

หลังจากวิชาซ่อนตัวปีกวายุอัคคี ก็มีสมบัติอีกจำนวนหลายชิ้นที่ถูกนำออกมาอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ราคาล้วนค่อนข้างสูง แต่พวกมันก็ไม่ยืนยาวเท่ากับวิชายุทธ์ จึงไม่สามารถดึงดูดความสนใจจากฝูงชนภายในห้องโถงได้มากนัก

ส่วนหลัวซิวเองก็นั่งอย่างสงบอยู่ที่มุมห้องตั้งแต่ต้นจนจบ เพื่อรอให้ของที่เขาต้องการปรากฏขึ้น

“เหอะๆ ทุกท่านโปรดดู นี่คือเตากลั่นยาที่ขุดขึ้นมาได้จากซากปรักหักพังโบราณ ตามบันทึกที่หลงเหลืออยู่ในหนังสือโบราณ ด้านบนมีตราผนึกเตาของนักกลั่นยาระดับสูงผนึกเอาไว้อยู่ แต่ไหนแต่ไรมา ไม่มีใครสามารถไขความลับที่อยู่ภายในได้”

บนแท่นประมูล เตากลั่นยาขนาดเท่าฝ่ามีและคราบสนิมเกาะอยู่โดยรอบปรากฏขึ้น

เมื่อเห็นเตากลั่นยาใบนี้ นักยุทธ์จำนวนมากที่นั่งอยู่ด้านล่าง บางคนที่ไม่รู้จักก็แสดงท่าทีสงสัยออกมา ส่วนคนที่รู้จักตราผนึกเตา กลับเบะปากและมีท่าทีไม่สนใจแม้แต่น้อย

“ถึงแม้จะมีตราผนึกเตา แต่ก็เป็นของล้ำค่าที่ขุดพบจากซากปรักหักพังโบราณ ถ้าหากสามารถทำลายตราผนึกเตาได้ อย่างน้อยก็จะได้เตากลั่นยาระดับล่าง หรือไม่แน่ว่าอาจจะเป็นเตากลั่นยาแห่งหายนะก็เป็นไปได้” ชายชราผู้ดำเนินการประมูลพูดด้วยรอยยิ้ม

“ไร้สาระน่า ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่า มีปรมาจารย์กลั่นยาท่านไหนรู้สึกสงสัยในปรมาจารย์ค่ายกล และทำลายตราผนึกเตา หากไม่สามารถเปิดตราผนึกออกได้ เตาไปนี้เมื่อได้มาครอบครอง ก็คงเป็นได้เพียงแค่ของตกแต่งเท่านั้น เป็นของชั้นสวะนี่เอง”

ด้านล่างเวทีมีคนโต้แย้งขึ้นมา และมีหลายคนที่ตะโกนส่งเสียงแสดงความไม่พอใจ

“จะพูดเช่นนี้ก็ไม่ถูก เมื่อก่อนเคยมีเตากลั่นยาที่มีตราผนึกเตา ถูกขุดพบจากซากปรักหักพังโบราณใบหรือสองใบ ที่ได้รับความสนใจจากนักกลั่นยาและนักค่ายกลจำนวนมาก ไม่แน่ว่าอาจสัมผัสได้ถึงความลึกลับที่ซ่อนอยู่ภายในของโบราณนี้ก็เป็นได้”

ชายชราผู้ดำเนินการประมูลพยายามชักแม่น้ำทั้งห้าเพื่อเอ่ยข้อดีของเตากลั่นยาโบราณนี้ เพื่อหวังว่าเตากลั่นยาใบนี้ จะสามารถทำราคาที่ดีได้ในการประมูลลำดับถัดไป

“หวังว่าในงานประมูลครั้งนี้ จะมีนักกลั่นยาและนักค่ายกลที่สนใจตราผนึกเตานี้……”

ชายชราผู้ดำเนินการประมูลได้แต่พึมพำเช่นนี้อยู่ในใจ เพราะมีเพียงแค่วิธีนี้ ที่จะสามารถประมูลเตากลั่นยาออกไปได้ในราคาที่เหมาะสม มิเช่นนั้น สมบัติชิ้นนี้ไม่แน่ว่าอาจจะหลุดจากการประมูลและไม่มีใครสนใจ

“เตากลั่นยาโบราณ ราคาประมูลเริ่มต้นอยู่ที่หนึ่งแสนหินพลังจิต !” ชายชราผู้ดำเนินการประมูลพูดขึ้นเสียงดัง

หลังจากที่ชายชราผู้ดำเนินการประมูลพูดจบ บรรยากาศภายในห้องโถงงานประมูลก็เงียบสนิท ตอนที่เหลือบมองเตากลั่นยาที่เต็มไปด้วยสนิทเกรอะกรังบนเวที บางคนถึงกับแสดงสีหน้าดูถูกออกมา

หนึ่งแสนหินพลังจิตไม่ใช่มูลค่าน้อย ๆ ใครจะไปซื้อของชั้นสวะเช่นนี้มาไว้ในมือกัน ?

ในห้องโถงใหญ่ที่เงียบสงัด บรรยากาศอึมครึมทำให้สีหน้าของชายชราผู้ดำเนินการประมูลไม่ค่อยสู้ดีนัก เพราะสำหรับผู้ดำเนินการประมูลที่มีประสบการณ์มาอย่างโชกโชนเช่นเขา การทำให้สมบัติชิ้นหนึ่งที่อยู่ในมือต้องตกการประมูล ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าอับอายต่ออาชีพของตนอย่างมาก

ผู้ดำเนินการประมูลที่แท้จริง ไม่ว่าจะเป็นสมบัติที่ไร้ค่าสักเพียงใด ก็ไม่มีทางปล่อยให้ตกประมูลในมือของตนได้ นี่ถึงจะเป็นมืออาชีพที่แท้จริง

การประมูลของหนึ่งชิ้นจะใช้เวลาประมาณสิบนาที ซึ่งหมายความว่า หากภายในสิบนาทีนี้ไม่มีคนเสนอราคา เตากลั่นยาใบนี้จะตกประมูลไป และจะเริ่มเข้าสู่การประมูลของชิ้นต่อไป

เมื่อเวลาล่วงเลยไป มีคนที่อยู่ด้านล่างบางคน ค่อย ๆ แสดงความไม่พอใจออกมา และเร่งเร้าให้โยนเศษเหล็กผุพังชิ้นนี้ทิ้งไปเสีย และรีบนำของชิ้นต่อไปขึ้นมาแทน

ทว่าตอนนี้เอง หลัวซิวที่นั่งอยู่ตรงมุมห้องที่ไม่มีใครสังเกตเห็นก็พูดขึ้นมาเบา ๆ เสียงของเขาดังก้องชัดเจนไปทั่วทั้งห้องโถงใหญ่ที่เงียบสงบ

“ฉันให้หนึ่งแสนหินพลังจิต”

ทันใดนั้น สายตาทุกคู่ต่างจ้องมองมา และแสดงสีหน้าออกถึงสีหน้าที่ซับซ้อนมากมาย ไม่ว่าจะเป็นงุนงง สงสัย และดูถูกเยาะเย้ย

แต่หลังจากที่คนเหล่านี้สังเกตเห็นตราของปรมาจารย์กลั่นยาระดับ 4 ที่ติดอยู่บนหน้าอกของหลัวซิว ก็แสดงสีหน้าเข้าใจขึ้นมาในทันที

“เป็นปรมาจารย์กลั่นยาระดับ 4 นี่เอง มิน่าล่ะถึงได้สนใจเตากลั่นยาโบราณใบนี้”

“แต่ดูเหมือนปรมาจารย์ท่านนี้อายุยังน้อยนัก ไม่รู้ว่ามาจากกองกำลังไหน”

“ตราผนึกเตาโบราณ ต่อให้เป็นปรมาจารย์ระดับ 5 ก็ไม่สามารถเปิดออกได้ แม้ว่าเขาจะเป็นปรมาจารย์ระดับ 4 แต่หากซื้อกลับไปก็คงเป็นได้แค่ของประดับตกแต่งชิ้นหนึ่งเท่านั้น”

การที่ปรมาจารย์กลั่นยาขั้น 4 ผู้หนึ่ง ซื้อเตากลั่นยาที่มาตราผนึกเตาผนึกเอาไว้อยู่ ย่อมไม่ถูกผู้อื่นสงสัย เพราะในกลุ่มนักกลั่นยา ถึงแม้จะไม่สามารถเปิดตราผนึกเตาออกได้ แต่ก็มีนักกลั่นยาจำนวนไม่น้อยที่ต้องการเก็บเตากลั่นยาโบราณเอาไว้เป็นของสะสม

มีบันทึกในหนังสือโบราณว่า เตากลั่นยาที่มีตราผนึกเตาผนึกเอาไว้ ล้วนเป็นเตากลั่นยาส่วนตัวของปรมาจารย์กลั่นยาระดับสูง

ถึงแม้ไม่อาจนำมาใช้ได้ แต่ก็เก็บไว้เป็นของสะสม และถือเป็นงานอดิเรกอย่างหนึ่งของนักกลั่นยาจำนวนมาก

สำหรับเรื่องการเปิดตราผนึกเตา เวลานับหมื่นปีตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ไม่แน่ว่าอาจมีคนเคยทำสำเร็จ แต่อย่างน้อยในประวัติศาสตร์กว่าพันปีของประเทศเทียนหวู ยังไม่เคยปรากฏมาก่อน

ในเมื่อไม่มีใครเสนอราคาแข่ง ดังนั้นในที่สุดเตากลั่นยาใบนี้ก็ตกไปอยู่ในมือของหลัวซิวโดยปริยาย อีกทั้งยังจ่ายไปเพียงแค่หนึ่งแสนหินพลังจิตเท่านั้น

สำหรับหลัวซิวที่มีหินพลังจิตชั้นกลางอยู่ในครอบครองจำนวนหลานแสน เพียงแค่หนึ่งแสนหินพลังจิตชั้นล่าง ถือเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น

และทันทีที่เขาสามารถเปิดตราผนึกเตาได้ อย่างน้อยเตากลั่นยาใบนี้ก็ต้องเป็นของที่อยู่ในระดับล่างขึ้นไป และน่าจะมีราคาที่สูงกว่าหนึ่งล้านหินพลังจิตชั้นกลาง การค้าขายที่ได้กำไรมหาศาลก็เป็นเช่นนี้เอง

การประมูลดำเนินต่อไป ไม่ช้าก็เข้าสู่ช่วงที่สาม สมบัติล้ำค่าที่อยู่ในกรุก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้น

สมบัติก้นกรุชิ้นแรกที่นำออกมาก็คือ ม้วนหยกที่มีทักษะยุทธ์บันทึกอยู่

“ทุกท่าน จากการประเมินพบว่า ทักษะยุทธ์ที่บันทึกอยู่ในม้วนหยก มีชื่อว่าวิชาผีเซินหลัว เป็นทักษะยุทธ์ชั้น 9 !”

หลังจากเสียงของชายชราผู้ดำเนินการประมูลดังขึ้น บรรยากาศด้านล่างก็เงียบลงอย่างกะทันหัน ดวงตาสีแดงต่างจับจ้องไปที่ม้วนหยกในมือของเขา เต็มไปด้วยความร้อนแรงและบ้าคลั่ง

แม้แต่ใบหน้าของชายชราผู้ดำเนินการประมูลเองก็แดงก่ำ เพราะนี่น่าจะเป็นวิชายุทธ์ชั้น 9 วิชาแรกที่เขาเพิ่งเคยได้สัมผัสมาตลอดชีวิตการทำหน้าที่ผู้ประมูล

วิชายุทธ์ที่อยู่ในชั้น 9 ถือเป็นวิชายุทธ์ชั้นสูงสุด อีกทั้งในประเทศเทียนหวู แม้แต่สิบตระกูลใหญ่ที่มีราชวงศ์ตระกูลฝานเป็นผู้นำ ก็มีวิชายุทธ์ระดับสูงสุดเพียงแค่ชั้น 8 เท่านั้น

“วิชาภูตผีเซินหลัว ? ชื่อของทักษะยุทธ์นี้ช่างฟังดูน่ากลัวนัก”

หลัวซิวค่อย ๆ หรี่ตาลง เขารู้สึกใจสั่นเล็กน้อย เพราะด้วยชื่อของวิชายุทธ์ ทำให้เขาพอจะเดาออกว่า วิชานี้น่าจะเหมาะสมกับทักษะยุทธ์พลังจิตแท้Attrความตาย

และที่ยิ่งน่าสงสัยก็คือ เป็นใครกันแน่ที่นำทักษะยุทธ์ระดับนี้ออกมาประมูล ?

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 284 เริ่มการประมูล

 

ทุกครั้งที่เมืองร้างมีการจัดงานประมูล ถือเป็นเรื่องที่สร้างความตื่นเต้นให้กับคนทั้งเมือง

สิงห์ทิพย์อัคคีอร่ามและหลงหมิงต่างรอหลัวซิวอยู่ที่นอกเมือง เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่ไม่จำเป็น อย่างไรเสียสิงห์ทิพย์อัคคีอร่ามก็ถือเป็นสัตว์ประหลาดจากยุคโบราณ หากขี่มันเข้าไปในเมืองดูจะเป็นจุดสนใจเกินไป

หลัวซิวหยิบตราของปรมาจารย์กลั่นยาระดับ 4 ออกมา และนำมาติดไว้บนหน้าอก จากนั้นจึงเดินตรงไปยังประตูใหญ่ของงานประมูล

ด้านหน้าประตูใหญ่ มีผู้ฝึกตนระดับฝึกจิต เป็นชายวัยกลางคนสองคนกำลังยืนเฝ้าอยู่ เมื่อเห็นมีคนเดินเข้ามาก็รีบเข้าไปขวางเอาไว้ทันที

แต่เมื่อทั้งสองสังเกตเห็นตราของนักกลั่นยาที่ติดอยู่บนหน้าอก สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที พวกเขาเผยรอยยิ้มออกมา พลางโค้งคำนับแล้วพูดว่า : “เชิญนายท่านด้านใน !”

ภาพนี้ ทำให้ฝูงชนที่มารวมตัวกันอยู่ใต้ค่ายกลฉายภาพอดไม่ได้ที่จะหันมองและเริ่มพูดคุยซุบซิบกัน

“เด็กหนุ่มเสื้อคลุมยาวดำเมื่อครู่เป็นใครกัน ?”

“ดูเหมือนจะติดตราของปรมาจารย์กลั่นยาระดับ 4……”

“ปรมาจารย์ที่อายุน้อยเช่นนี้ แต่ดูไม่คุ้นตานัก เหมือนจะไม่ใช่คนในเมืองร้างเรา”

หลัวซิวทำเหมือนไม่ได้ยินเสียงพูดคุยเหล่านี้ เขาเดินตรงเข้าไปในงานประมูลที่ตกแต่งไว้อย่างหรูหราทันที

พื้นที่ภายในงานประมูลมีขนาดใหญ่ ตรงกลางเป็นห้องโถงใหญ่ที่สามารถรองรับผู้คนได้กว่าพันคน มีค่ายกลฉายภาพตั้งอยู่โดยรอบ และกำลังฉายภาพของสมบัตินานาชนิดที่จะปรากฏขึ้นในงานประมูล

ตอนที่หลัวซิวเดินเข้ามา ที่นั่งในห้องโถงใหญ่เต็มหมดแล้ว บางคนมาเพื่อประมูลสมบัติ แต่บางคนก็มาเพื่อร่วมสนุกเท่านั้น

หลัวซิวไม่ได้ใช้สำนึกของเขาในการตรวจสอบโดยทันที แต่กระแสสัมผัสพลังชีวิตทำให้เขามั่นใจได้ว่า คนกว่าพันคนที่นั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่ มีผลการฝึกตนที่ต่ำที่สุดอยู่ในแดนฝึกจิตขั้น 3 และในนั้นมีหลายสิบคนที่มีออร่าของชีวิตที่สมบูรณ์ จนถึงระดับของราชายุทธ์แล้ว

ส่วนภายในห้องส่วนตัวบางห้องบนชั้น 2 หลัวซิวสัมผัสได้ถึงออร่าชีวิตที่ผันผวน ราวกับสัตว์ร้ายตัวใหญ่ที่นอนนิ่งอยู่ ซึ่งเป็นไปได้อย่างมากว่าอาจมีผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิยุทธ์อยู่ด้วย

การค้นพบนี้ ทำให้หลัวซิวมีท่าทีที่ระมัดระวังมากขึ้นเล็กน้อย ด้วยความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ หากเปิดเผยตัวตนออกมาและทิ้งไพ่ใบสุดท้าย อาจจัดการกับราชายุทธ์ระดับธรรมดาได้ แต่หากต้องเผชิญหน้ากับจักรพรรดิยุทธ์ คงจะต้องตายอย่างแน่นอน

ผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ ต่อให้เป็นจักรพรรดิยุทธ์ที่อ่อนแอที่สุด ก็สามารถโจมตีเขาให้ตายภายในเสี้ยววินาทีได้ และไม่ทันที่จะมีโอกาสกระตุ้นผู้พลังผู้อมตะออกมาใช้ได้เลย

หลัวซิวนั่งตรงมุมที่ไม่เป็นจุดสนใจ จากนั้นจึงหลับตาลงเพื่อตั้งสติ และรอให้การประมูลเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ

“แก๊ง !”

จากนั้นเสียงก้องกังวานของระฆังก็ดังขึ้น ฝูงชนที่ส่งเสียงดังอยู่ภายในห้องโถงใหญ่ของงานประมูลต่างก็เงียบเสียงลงทันที ทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่แท่นประมูลสูงที่วางอยู่ตรงกลางห้องโถงใหญ่

มีลำแสงส่องสว่างลงมายังแท่นประมูล มีชายชราสวมใส่ชุดผ้าทอปรากฏตัวขึ้นบนแท่นประมูลพร้อมด้วยรอยยิ้ม สายตาของฝูงชนนับพันต่างจับจ้องไปที่เขา

“เหอะ ๆ อันดับแรก ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่งานประมูลเมืองร้างในครั้งนี้ ข้าจะไม่ขอพูดให้มากความ การประมูลอย่างเป็นทางการเริ่มต้นขึ้น ณ บัดนี้ !”

หลังจากเสียงของชายชราสิ้นสุดลง บนโต๊ะที่อยู่ตรงหน้าของเขา ก็ปรากฏแสงประกายแวววาว มีกระบี่เล่มยาวที่ดูราวกับแกะสลักจากคริสทัลค่อย ๆ ปรากฏขึ้นมา เปล่งประกายออร่าที่เย็นเยือก มีแสงสะท้อนแวววาวที่น่าสะพรึงกลัวฉาบอยู่บนใบมีด

กระบี่เล่มนี้ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน แต่กลับไม่มีใครแปลกใจ เพราะนี่เป็นการตั้งค่ายกลเอาไว้ เพื่อใช้ส่งของที่จะประมูลขึ้นมาโดยตรง

“กระบี่รบเย็นสะท้าน วัสดุที่นำมาใช้ในการหลอมอาวุธคือหินเย็นสะท้านอายุนับพันปี ถูกจัดอยู่ในระดับของชั้นยอด เป็นอาวุธที่ปรมาจารย์ฟ่านฉวงของเมืองร้างเรา เป็นผู้หลอมขึ้นด้วยตนเอง เหมาะสำหรับนักยุทธ์ที่ฝึกตนในวรยุทธ์ธาตุน้ำและธาตุน้ำแข็ง ราคาเริ่มต้นในการประมูลต่ำสุดอยู่ที่หกพันหินพลังจิตชั้นล่าง !”

เมื่อเห็นสมบัติที่นำออกมาประมูลชิ้นแรก หลัวซิวก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เพราะของที่ปรากฏขึ้นตอนเริ่มต้นการประมูล ล้วนแต่เป็นของที่อยู่ในระดับต่ำสุด แต่ของในระดับที่ต่ำที่สุดกลับเป็นกระบี่ชั้นยอด แสดงให้เห็นว่าขนาดของงานประมูลในครั้งนี้ไม่ใช่เล็ก ๆอย่างแน่นอน

สำหรับกระบี่รบเย็นสะท้านเล่มนี้ หลัวซิวไม่รู้สึกสนใจเลยแม้แต่น้อย เพราะกระบี่ฟันเสือเสวียนที่เขาสะพายอยู่ด้านหลัง เป็นกระบี่ยุทธ์ระดับชั้นล่าง ที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่าได้กับอาวุธระดับล่างชั้นกลาง

เวลาผ่านไปประมาณสิบนาที กระบี่รบเย็นสะท้านเล่มนี้ก็ถูกชายหนุ่มรูปร่างผอมบางประมูลไปด้วยราคาหนึ่งหมื่นหินพลังจิต ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น

จากนั้น สมบัติที่น่าตื่นตาตื่นใจมากมายก็ค่อย ๆ ทยอยปรากฏขึ้น ไม่ว่าจะเป็น เกราะ อาวุธ ทักษะยุทธ์ วรยุทธ์ ยาวิเศษ และยา

นักยุทธ์จำนวนมากในห้องโถงต่างสู้ราคากันอย่างไม่มีใครยอมใคร บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก ส่วนใบหน้าของชายชราผู้ควบคุมการประมูลก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม และรู้สึกพึงพอใจกับผลที่ได้รับจากสมบัติเหล่านี้

หลัวซิวนั่งปิดตารออยู่ที่มุมห้องด้วยจิตใจที่สงบ

การประมูลทั่วไปจะแบ่งออกเป็น 3 ช่วง ช่วงแรก สมบัติที่ปรากฏขึ้นล้วนมีราคาที่ค่อนข้างต่ำ ช่วงที่สอง สมบัติที่ปรากฏขึ้นมักอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง และในช่วงที่สาม สมบัติที่ปรากฏออกมามักจะเป็นสมบัติล้ำค่าจากกรุ แต่ละชิ้นล้วนแล้วแต่เป็นของหายาก

การประมูลในช่วงแรก กินเวลาไปประมาณครึ่งชั่วยาม และเมื่อสมบัติชิ้นแรกของการประมูลในช่วงที่สองปรากฏขึ้นบนแท่น นักยุทธ์จำนวนมากในห้องโถงใหญ่ต่างก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที และนักยุทธ์แต่ละคนก็เริ่มแสดงออกถึงความคึกคักขึ้นมา

แม้แต่หลัวซิวเอง ก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงและรู้สึกใจสั่นเล็กน้อย

บนแท่นประมูล ในมือของชายชรากำลังถือม้วนหยกโบราณที่ดูเรียบง่าย บนใบหน้าของเขาฉาบไปด้วยรอยยิ้มที่ดูลึกลับ

“วิชากลไกระดับ 8 วิชาซ่อนตัวปีกวายุอัคคี!” ชายชราผู้ดำเนินการประมูลค่อย ๆ กล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม

สำหรับนักยุทธ์ที่มีผลการฝึกตนอยู่ในระดับแดนฝึกจิตขึ้นไป ต่างไม่สนใจในวิชาท่าร่างอีกต่อไป สิ่งที่ต้องการก็คือทักษะของวิชากลไกเหาะเหินเดินฟ้า

วิชากลไกประเภทนี้ จัดอยู่ในขอบเขตของวิชายุทธ์วิชาท่าร่าง ยิ่งอยู่ในระดับชั้นที่สูง จะยิ่งมีความเร็วที่เพิ่มขึ้น ถือว่ามีบทบาทสำคัญอย่างมากในการต่อสู้ของผู้แข็งแกร่ง ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

ในประเทศเทียนหวู วิชายุทธ์ชั้น 8 ถือว่าอยู่ในระดับที่สูงที่สุด ทว่าที่นี่ กลับปรากฏวิชากลไกชั้น 8 ขึ้นมาหนึ่งวิชา ซึ่งสร้างความโกลาหลให้กับฝูงชนที่อยู่ภายในห้องโถงงานประมูลได้ไม่น้อย คนจำนวนมากต่างรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา

เพราะถ้าหากสามารถฝึกวิชากลไกชั้นสูงได้สำเร็จหนึ่งวิชา ก็จะสามารถก้าวไปข้างหน้าและถอยหลังได้อย่างอิสระในระหว่างการต่อสู้ ไม่ว่าจะฆ่าหรือหลบหนี ก็ถือว่ามีประโยชน์อย่างมากโดยไม่ต้องอธิบายเลย

อีกทั้ง แม้แต่ในกองกำลังใหญ่จำนวนไม่น้อย วิชากลไกชั้น 8 หนึ่งวิชาก็ถือว่าเป็นสมบัติล้ำค่า กองกำลังจำนวนมากหากมีวิชายุทธ์ชั้น 8 หนึ่งวิชาเอาไว้ในครอบครองก็ถือว่าไม่เลวแล้ว กองกำลังที่สามารถรวบรวมวรยุทธ์ชั้น 8 ทักษะยุทธ์ชั้น 8 และทักษะวิชาท่าร่างวิชากลไกชั้น 8 เอาไว้ด้วยกัน นอกจากสิบตระกูลใหญ่ที่มีตระกูลฝานเป็นผู้นำแล้ว ดูเหมือนว่าทั่วทั้งประเทศเทียนหวูจะไม่สามารถหาลำดับที่ 11 ได้

คัมภีร์วิชายุทธ์เช่นนี้ แต่ไหนแต่ไรมามักจะเป็นสมบัติที่มีราคาแพงที่สุดในบรรดาสมบัติระดับเดียวกัน

วิชากลไกชั้น 8 หนึ่งวิชา ก็เพียงพอที่จะทำให้กองกำลังใหญ่หนึ่งกองกำลัง สามารถสืบต่อจากรุ่นสู่รุ่นได้แล้ว

“ราคาประมูลต่ำสุดอยู่ที่ หนึ่งล้านหินพลังจิต !”

ขณะที่ชายชราผู้ดำเนินการประมูลประกาศราคาออกมาด้วยรอยยิ้ม นักยุทธ์จำนวนมากที่อยู่ในท่าทีกระตือรือร้น จู่ ๆ ก็นิ่งเงียบลงไปกว่าครึ่งทันที

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 283 งานประมูลในเมืองร้าง

 

พลังงานที่อยู่ในทะเลเพลิงแห่งนี้แข็งแกร่งอย่างยิ่ง แม้แต่ผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์เอง ก็เกรงว่าอาจจะต้องระเบิดจนตาย

แต่หลัวซิวกลับไม่สนใจ เขามีภูตอัคคีกลืนกิน หลังจากพลังงานไฟเหล่านี้เข้าไปในร่างกายแล้ว ก็จะถูกเก็บเอาไว้ในภูตอัคคีกลืนกิน และกายเป็นอาหารสำหรับการเจริญเติบโตของเทพอัคคีในอนาคต

อย่างไรเสีย ภูตอัคคีกลืนกินในตอนนี้ ก็อยู่เพียงแค่ระดับราชายุทธ์เท่านั้น เมื่อผลการฝึกตนของพัฒนาขึ้น ภูตอัคคีกลืนกินก็จะต้องพัฒนาตามไปด้วย ดังนั้นจึงจำเป็นต้องได้รับพลังงานมหาศาลเข้ามาสนับสนุน

แน่นอนว่าภูตอัคคีสามารถเสริมความแข็งแกร่งของนักยุทธ์ได้อย่างมาก แต่ก็สิ้นเปลืองพลังงานอย่างมากด้วยเช่นกัน ร่างขนาดใหญ่ ต้องเลี้ยงดูลึกฝนอย่างยากลำบาก

ในสายตาที่กำลังจ้องมองด้วยความตื่นตกใจของหลงหมิงและสิงห์ทิพย์อัคคีอร่าม พลังงานไฟที่ดูราวกับทะเลเพลิง ถูกหลัวซิวกลืนกินเข้าไปในร่างกายของตนเองจนหมด

แต่พลังจิตแท้ของเขาไม่ได้ยกระดับขึ้นต่อ ยังคงอยู่ในแดนฝึกจิตขั้น 8 ดังเดิม

สูญเสียพลังงานไฟมหาศาล พื้นที่ใต้ดินแห่งนี้ก็มืดสนิทลงทันที

“ได้เวลาลงมือกลั่นยาเสวียนจือแล้ว แต่ยาระดับ 6 เช่นนี้ อย่างน้อยต้องใช้เตากลั่นยาระดับชั้นล่างในการกลั่นยา หากเป็นของระดับล่างชั้นกลางก็จะยิ่งดี” หลัวซิวครุ่นคิดอยู่ในใจ

ยาเสวียนจือเป็นยาที่นักยุทธ์ใช้ซ่อมแซมจุดตันเถียน และเป็นยาที่นายท่านตระกูลสวีมอบหมายให้เขากลั่น ขอเพียงเขาสามารถกลั่นยาออกมาได้หนึ่งเม็ด ก็สามารถแลกเปลี่ยนกับค่าตอบแทนมูลค่ามหาศาลอีกครึ่งหนึ่งที่อยู่ในมือของนายท่านตระกูลสวีได้ รวมไปถึงจะติดค้างหนี้บุญคุณกับผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ท่านหนึ่งอีกด้วย

นอกจากนี้ยังมียาวิญญาณหยินหยางอีก สามารถลงมือกลั่นได้แล้วเช่นกัน

“ลองไปดูที่เมืองร้างก่อนว่าพอจะหาเตากลั่นยาระดับล่างสักใบได้หรือไม่”

เมื่อคิดในใจเช่นนี้ หลัวซิวจึงพาหลงหลิงและสิงห์ทิพย์อัคคีอร่ามเดินไปตามทางของอุโมงค์ใต้ดิน และกลับขึ้นไปบนพื้น

ตรงบริเวณปากทางเข้าถ้ำ ค่ายกลที่หลัวซิวตั้งเอาไว้ ไม่มีร่องรอยของการถูกสัมผัส เขาเก็บธงค่ายขึ้นมา จากนั้นจึงกระโดดขึ้นนั่งบนหลังของสิงห์ทิพย์อัคคีอร่าม ส่วนหลงหมิงนั้นหายตัว และกลืนเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับอากาศ

“โฮก !”

สิงห์ทิพย์อัคคีอร่ามส่งเสียงคำรามออกมา จากนั้นบินขึ้นไปบนท้องฟ้าสูงกว่า 10 เมตร และบินมุ่งหน้าไปยังเมืองร้างตามความต้องการของหลัวซิว

ลมและทรายพัดปลิว เมืองร้างตั้งอยู่ในดินแดนรกร้าง ดูราวกับเป็นเมืองที่สร้างจากเหล็ก และดูเหมือนกับสัตว์ร้ายโบราณที่กำลังนอนหลับใหลอยู่ จนทำให้ตกตะลึงไปทุกทิศทาง

ที่นี่ถือเป็นจุดซื้อขายสินค้าที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศเทียนหวู นักยุทธ์ที่มาจาก 6 เมือง 13 เขตการปกครอง ต่างมารวมกันอยู่ที่นี่ เพื่อเข้าไปฆ่าอสุรกายในดินแดนรกร้างจากนั้นจึงใช้วัสดุที่อยู่บนตัวของอสุรกาย มาแลกทรัพยากรต่าง ๆ ที่ตนเองต้องการในเมืองร้าง

ดังนั้น ในเมืองร้างไม่เพียงแต่จะมีวัสดุของอสุรกายอยู่เยอะเท่านั้น แต่ยังมีทรัพยากรอื่น ๆ และสมบัติอีกมากมายนับไม่ถ้วน อันดับแรกขอเพียงเจ้ามีทรัพย์สินที่มากพอ ก็สามารถซื้อหาได้

ที่นี่มีองกำลังต่าง ๆ มารวมตัวกันอยู่มากมาย อยู่รวมปะปนกันไปหมด แต่สี่แก๊งใหญ่ไม่ได้ตั้งแก๊งสาขาที่นี่ หลัวซิวต้องการจะซื้อเกลั่นยาระดับล่างสักหนึ่งใบ แต่ก็ไม่สามารถไปที่แก๊งนักหลอมอาวุธได้ จึงจำต้องเลือกหาในร้านขายของของกองกำลังต่าง ๆ เท่านั้น

สถานที่ที่ตั้งอยู่บนถนนสายกลางที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในเมืองร้าง คือร้านค้าของราชวงศ์ตระกูลฝานรวมไปถึงสิบตระกูลใหญ่ มีสมบัติล้ำค่ามากมายหลายชนิด ขอเพียงแค่เจ้ามีหินพลังจิตที่จะนำออกมาแลกมากพอ โดยส่วนใหญ่ก็จะสามารถซื้อได้

ถึงแม้จะไม่มีสินค้าพร้อมส่ง พวกเขาก็สามารถจัดหาช่องทางต่าง ๆ ในการส่งสินค้าที่เจ้าต้องการไปให้ได้อย่างรวดเร็ว

ถึงแม้หลัวซิวจะขอความช่วยเหลือจากอาจารย์จุนหลู่ให้ช่วยหลอมเตากลั่นยาให้ได้ แต่เขาไม่คิดว่าเป็นเรื่องจำเป็น เพราะยาที่ต่ำกว่าระดับ 9 มีอยู่เพียงจำนวนน้อยเท่านั้นที่จะต้องใช้เตากลั่นยาชนิดพิเศษจึงจะกลั่นยาออกมาได้ ส่วนยาส่วนใหญ่ไม่มีเงื่อนไขพิเศษเรื่องเตากลั่นยามากนัก

ในขณะที่เดินอยู่บนถนนสายกลาง ก็มีเสียงดังโหวกเหวกมาจากทางด้านหน้า คนจำนวนหลายร้อยคนมารวมตัวกันอยู่ที่จัตุรัส จากนั้นจึงเงยหน้ามองขึ้นไปบนค่ายกลฉายภาพที่อยู่บนผนังสูง

“งานประมูลเมืองร้าง ?”

ด้านบนสุดของค่ายกลฉายภาพ มีตัวอักษรขนาดใหญ่ที่โดดเด่นเขียนอยู่

งานประมูลที่จัดขึ้นโดยนักตัดประมูลมืออาชีพ เป็นเรื่องที่เห็นได้ทั่วไปในโลกของนักยุทธ์ เพราะการเสนอราคาด้วยวิธีนี้ จะทำให้สมบัติขายได้ในราคาที่สูงที่สุด โดยเฉพาะในงานประมูลที่มีขนาดใหญ่และมีชื่อเสียง มักจะปรากฏสมบัติล้ำค่าที่แปลกและหายาก

และในเมืองร้าง จะมีการจัดงานประมูลเมืองร้างครั้งใหญ่ครึ่งหนึ่งครั้งในทุก ๆ สองปี และถือว่ามีชื่อเสียงอย่างมากในประเทศเทียนหวู

ตอนนี้เมื่อหลัวซิวเห็นค่ายกลฉายภาพ เขาก็นำสมบัติล้ำค่าที่จะปรากฏขึ้นในงานประมูลออกมาส่วนหนึ่ง และใช้วิธีนี้ในการดึงดูดสายตาของผู้คน เพื่อชักจูงให้นักยุทธ์มาร่วมงานประมูลมากขึ้น

หลัวซิวเองก็เดินเข้าไป จากนั้นจึงกวาดสายตามองค่ายกลฉายภาพที่อยู่ด้านบน สมบัติจำนวนมากที่ปรากฏชื่ออยู่ในรายการประมูลมีราคาที่สูง และไม่มีหญ้าวิญญาณที่เขาต้องการ

ทันใดนั้น ดวงตาของหลัวซิวก็ค่อย ๆ หดเล็กลง และเผยรอยยิ้มออกมาที่มุมปาก เพราะในรายการสมบัติที่ปรากฏอยู่บนค่ายกลฉายภาพ เขาเห็นว่ามีเตากลั่นยาออกจำหน่ายหนึ่งใบ

“เตากลั่นยาที่ขุดขึ้นมาจากซากปรักหักพังโบราณ ไม่ปรากฏระดับที่ชัดเจน ถูกปิดผนึกอยู่ แม้แต่ปรมาจารย์ค่ายกลขั้น 4 ก็ไม่อาจเปิดออกได้”

บนค่ายกลฉายภาพ มีการแนะนำเตากลั่นยาที่ไม่ทราบระดับใบนี้แบบสั้น ๆ พร้อมแนบหนังสือภาพมาด้วย

ตนส่วนใหญ่ไม่มีใครสนใจเตากลั่นยาใบนี้ เพราะก่อนหน้านี้เคยมีเตากลั่นยาประเภทนี้ปรากฏขึ้นมาก่อน แต่ไม่มีใครสามารถเปิดผนึกที่อยู่ด้านบนได้ จึงไม่สามารถนำเตากลั่นยาไปใช้กลั่นยาได้ จึงไม่สามารถตัดสินระดับของสิ่งของชิ้นนี้ได้

อย่างไรก็ตาม นี่ก็เป็นสมบัติที่ค้นพบขึ้นในซากปรักหักพังโบราณ ดังนั้นจึงมีสิทธิ์ที่จะถูกวางประมูลในงานประมูลขนาดใหญ่ได้ มีนักยุทธ์ที่มีทักษะในการกลั่นยาอย่างยอดเยี่ยม และเป็นนักค่ายกลชั้นยอดจำนวนมาก ที่ยินดีจะจ่ายเงินซื้อเพื่อนำมาศึกษาอย่างละเอียด

“ตราผนึกเตาหรือ ?” รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปากของหลัวซิวอย่างชัดเจน

ตราผนึกเตาเป็นวิชาห้ามค่ายกลในสมัยโบราณ นักกลั่นยาระดับสูงล้วนแล้วแต่มีเตากลั่นยาเป็นของตนเอง และจะมีการประทับตราผนึกเตาลงบนเตากลั่นยา จึงมีเพียงแค่ตนเองคนเดียวเท่านั้นที่จะสามารถใช้เตากลั่นยาใบนี้ได้ ส่วนคนอื่น ๆ ถึงแม้จะได้ไปครอบรองก็ไม่อาจนำไปใช้ได้

ตราผนึกเตายากที่จะเปิดออก แม้แต่ในสมัยโบราณ ก็มีปรมาจารย์ค่ายกลเพียงไม่กี่คนที่สามารถทำได้ อีกทั้งตราผนึกเตายังถูกแบ่งออกตามระดับสูงต่ำ ยิ่งเป็นตราผนึกเตาที่อยู่ในระดับสูง ยิ่งยากที่จะเปิดออกได้

นักกลั่นยาระดับสูงล้วนมีความเย่อหยิ่งในตนเอง เตากลั่นยาส่วนตัวจึงไม่อนุญาตให้ผู้อื่นใช้ นี่เป็นสาเหตุที่มีตราผนึกเตาปรากฏอยู่

แต่ว่า ในความทรงจำของหลัวซิวเกี่ยวกับการกลั่นยา ดูเหมือนจะมีวิธีเปิดตราผนึกวิญญาณอยู่วิธีหนึ่ง นั่นก็คืออาศัยความแข็งแกร่งของภูตอัคคี

ภูตอัคคีที่เกิดมาจากภูตอัคคี มักจะมีความแข็งแกร่งที่ลึกลับและคาดไม่ถึงมากมาย และถือเป็นศัตรูตัวฉกาจของตราผนึกเตาพอดี

ความทรงจำเกี่ยวกับการกลั่นยาที่หลัวซิวได้รับ ได้มาจากปรมาจารย์กลั่นยาระดับ 9 ขั้นดินในสมัยโบราณ เคยใช้ภูตอัคคีที่ตนเองได้รับ เปิดตราผนึกเตาบนเตากลั่นยาใบหนึ่งมาก่อน และได้รับเตากลั่นยาระดับฟ้าชั้นกลางหนึ่งใบ !

“เหอะ ๆ ไม่รู้ว่าเตากลั่นยาที่มีตราผนึกเตาใบนี้ จะเป็นเตากลั่นยาระดับไหน ?” หลัวซิวแววตาเป็นประกาย เขาแอบพูดกับตัวเองว่านี่อาจเป็นของขวัญที่สวรรค์ประทานมาให้ ตนเองต้องการเตาลั่นยาชั้นดีหนึ่งใบพอดี จากนั้นก็มีคนนำมาเสนอให้ตนเองถึงที่ทันที

ตามประกาศบนค่ายกลฉายภาพ งานประมูลเมืองร้างจะเริ่มต้นในอีกหนึ่งชั่วยามให้หลัง นอกเสียจากนักยุทธ์ที่ได้รับคำเชิญจากงานประมูลจึงจะมีสิทธิ์เข้าร่วม ตอนนี้คนที่ต้องการเข้าร่วมงานประมูล จะต้องมีผลการฝึกตนอยู่ในระดับฝึกจิตขั้น 7 ขึ้นไป และเป็นนักยุทธ์ที่มีฐานะอยู่ในระดับยอดฝีมือ

ด้านหน้าประตูใหญ่ของงานประมูล มีผู้คนรวมตัวกันอยู่นับร้อย ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่ไม่มีคุณสมบัติเข้าร่วมงานประมูล สายตาต่างจับจ้องอยู่ที่ค่ายกลฉายภาพ หลังจากงานประมูลเริ่มต้นขึ้น ค่ายกลฉายภาพจะมีการถ่ายทอดสดบรรยากาศในงานประมูล

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 282 ยกระดับ

 

พลังจิตแท้ของหลัวซิวค่อย ๆ ลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่ภูตอัคคีกลืนกินกับสามารถนำพลังงานของทะเลพลิงมาใช้อย่างต่อเนื่อง และฟื้นฟูจนแข็งแกร่งขึ้น ฝ่ายหนึ่งกำลังอ่อนกำลังลง ส่วนอีกฝ่ายกำลังแข็งแกร่งขึ้น เกรงว่าเขาจะยังไม่ทันได้กลั่นแปรภูตอัคคี ตนเองอาจจะใช้พลังจิตแท้ไปจนหมดเสียก่อน จากนั้นก็คงถูกเผาไหม้จนกลายเป็นจุณ

“บ้าเอ๊ย ฉันขอสู้ตาย ! พลังแปรเสวียนเทียนยี่สิบสี่เท่า จงสำแดงออกมาเดี๋ยวนี้ !”

หลัวซิวตะโกนออกมาเสียงดัง ออร่าภายในร่างกายของเขาพุ่งสูงขึ้นทันที พลังของสำนึกที่มีอยู่เดิมก็เพิ่มขึ้นอีกยี่สิบสี่เท่าในทันที และประทับตราออร่าของตนเองอย่างต่อเนื่อง เข้าไปในทุก ๆ รังสีของเปลวเพลิง

มาถึงขั้นนี้แล้ว ถือว่าหลัวซิวยอมสู้อย่างสุดชีวิต หากไม่สำเร็จ ก็คงต้องพ่ายแพ้อย่างราบคาบ

ภายใต้การแผดเผาของภูตอัคคี ร่างกายภายในของหลัวซิวเกือบจะพังทลายลงหมดแล้ว ตอนนี้ยังโคจรพลังแปรเสวียนเทียนยี่สิบสี่เท่าอย่างสุดชีวิตอีก ร่างกายที่กำลังตกอยู่ในอันตราย ดูเหมือนจะไม่อาจทานทนต่อไปได้อีก

พรวด !

โลหิตพุ่งออกมาจากร่างกายของเขาทีละสาย ๆ รอยแตกบนผิวหนังของเขาค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้น จนสามารถมองเห็นกระดูกและเส้นเอ็นที่อยู่ภายในได้อย่างชัดเจน

เพราะลมหายใจที่บ้าคลั่งหมุนเวียนอยู่เป็นเวลานานเช่นนี้ ร่างกายของหลัวซิวจึงอ่อนแรงและล้มลง หลุมดำรัศมี 100 เมตร หดกลับเข้าไปในร่างกายของเขาทันที และหายไป

ในขณะที่ล้มลง หลัวซิวใช้วิชาสยบวิญญาณสั่งการสิงห์ทิพย์อัคคีอร่าม ให้พาเขาออกไปจากทะเลเพลิง

เพราะตัวเขาในตอนนี้ พลังจิตแท้ภายในร่างกายถูกใช้ไปหมดสิ้นแล้ว หากไม่มีพลังจิตแท้คอยปกป้องร่างกายเอาไว้ เกรงว่าร่างกายของเขาคงจะต้องถูกเผาจนมอดไหม้อยู่ภายใต้ทะเลเพลิง

สิงห์ทิพย์อัคคีอร่ามกระโจนเข้ามา มันอ้าปากกว้างและคาบหลัวซิวเอาไว้ในปาก จากนั้นจึงใช้ร่างกายขนาดใหญ่วิ่งฝ่าเปลวไฟออกไป

“ออกมาแล้วหรือ ?”

เมื่อเห็นสิงห์ทิพย์อัคคีอร่ามที่กระโจนออกมาจากทะเลเพลิง ท่าทีของหลงหมิงก็ดูสับสนเล็กน้อย

สิงห์ทิพย์อัคคีอร่ามคายหลัวซิวออกมาจากปาก และให้เขานอนราบอยู่ตรงทางเข้าของทางเดินชั้นใต้ดิน ลมหายใจบนร่างกายแผ่วเบา ราวกับว่ากำลังจะตาย และก้าวเท้าข้างหนึ่งเข้าไปยังประตูนรกแล้ว

ในสถานการณ์เช่นนี้ หลัวซิวก็จมอยู่กับสภาวะที่ไร้สติ และพลังแรกที่ถูกกระตุ้นขึ้นก็คือความเป็นอมตะ

วงล้อชีวิตแห่งเหล่าทวยเทพในจุดตันเถียนชี่ไห่ หมุนไปจนถึงจุดสิ้นสุด ราวกับกลายเป็นภาพลวงตาที่เลือนราง และพลังชีวิตอันแข็งแกร่งก็ถูกปลดปล่อยออกมา และซ่อมแซมร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บอย่างต่อเนื่อง

ร่างกายภายในของเขาถูกภูตอัคคีทำร้ายจนแทบไม่เหลือชิ้นดี ดูราวกับซากปรักหักพัง ตอนนี้ด้วยพลังผู้เป็นอมตะที่ถูกกระตุ้นขึ้นมา ร่างกายจึงมีการซ่อมแซมขึ้นใหม่อย่างรวดเร็ว

พลังที่ยิ่งใหญ่ของผู้เป็นอมตะอยู่ที่ นอกเสียจากจะถูกฆ่าให้ตายโดยทันที มิฉะนั้นตราบใดที่ยังมีลมหายใจหลงเหลืออยู่ ก็สามารถยืนหยัดกลับขึ้นมาจากความตายได้อีกครั้ง และจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม

ภายในจุดตันเถียน ด้านข้างของวงล้อชีวิตแห่งเหล่าทวยเทพ มีเด็กทารกที่มีรูปร่างเป็นเปลวไฟที่แดงฉาน กำลังมองไปรอบ ๆ ด้วยใบหน้าที่ดูงุนงง พลังในการกลืนกินทุกสิ่งและพลังในการเผาไหม้ที่น่ากลัว ถูกควบคุมเอาไว้จนหมดสิ้น และดุไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต

ในกระบวนการนี้ หลัวซิวอาศัยพลังอมตะที่ถูกกระตุ้นขึ้น เริ่มสร้างตัวเองขึ้นมาใหม่……

พลังจิตแท้ของเขาถูกใช้หมดไปกับการปิดผนึกภูตอัคคีกลืนกินก่อนหน้านี้ ตอนนี้มีพลังชีวิตอันยิ่งใหญ่เข้ามาเติมเต็ม เมื่อผ่านการหมุนของวงล้อชีวิตแห่งเหล่าทวยเทพ ก็ปรากเป็นพลังจิตแท้ที่มีลักษณะเป็นเหมือนมังกรสีขาวดำกำลังผนวกเข้าด้วยกัน

หลังจากผลการฝึกตนของตนเองขึ้นไปถึงระดับปรมาจารย์ฝึกจิต และเข้าสู่กระบวนการการฝึกพลังจิตแท้ จากอากาศจนผนึกรวมกลายเป็นของเหลว และหากไปถึงการฝึกจิตขั้น 7 ช่วงปลาย จะมีการผนึกรวมเป็นจิตแท้ที่เกือบจะกลายเป็นของแข็ง

พลังจิตแท้ของหลัวซิวในตอนนี้ มาถึงระดับที่เป็นของแข็งแล้ว ราวกับมังกรที่มีชีวิต ที่กำลังแหวกว่ายอยู่ภายในช่องว่างของจุดตันเถียนชี่ไห่

ด้วยเหตุนี้ หลัวซิวนอนหลับไปสิบสองวัน

ในช่วงเวลานี้ หลงหมิงและสิงห์ทิพย์อัคคีอร่ามคอยเฝ้าอยู่ไม่ไกล ลมหายใจของพลังจิตแท้ที่ผันผวนแผ่ซ่านออกมาจากภายในร่างกายของเขา และค่อย ๆ ทวีความรุนแรงและน่ากลัวขึ้นเรื่อย ๆ

ครืน !

ทันทีที่หลัวซิวลืมตาทั้งคู่ขึ้นมา รัศมีอันรุนแรงของออร่าพลังจิตแท้ ก็แผ่ซ่านไปรอบตัวเขา ราวกับลมพายุที่บ้าคลั่ง

หลงหมิงและสิงห์ทิพย์อัคคีอร่ามต่างตกใจ ภายใต้แรงกดดันของออร่าพลังจิตแท้อันแข็งแกร่ง ทำให้ร่างกายค่อย ๆ ถอยร่นลงไปเรื่อย ๆ และอยู่ในท่าทีประหม่า

ส่วนหลัวซิวที่นอนหลับไปกว่าสิบวัน เขาลุกขึ้นนั่งด้วยร่างกายที่เปลือยเปล่า จากนั้นจึงลองขยับร่างกายไปมา จนได้ยินเสียงของกระดูกและกล้ามเนื้อภายในร่างกายของเขาอย่างชัดเจน

หลัวซิวลุกยืนขึ้น จากนั้นจึงหยิบชุดคลุมสีดำจากแหวนเก็บของออกมาสวม เมื่อรับรู้ได้ถึงพลังจิตแท้ภายในร่างกายที่แข็งแกร่งขึ้นหลายเท่า เขาก็แสยะยิ้มออกมาเล็กน้อย

“ผลการฝึกตน ฝึกจิตขั้น 8 แล้ว !”

เขาเหยียดฝ่ามือออกช้า ๆ แล้วค่อย ๆ กางออก ทันทีที่ใช้ความคิด ภูตอัคคีกลืนกินในจุดตันเถียนที่กลายเป็นเด็กทารก ได้เปลี่ยนรูปร่างเป็นเปลวไฟ รัศมีของเปลวไฟแดงฉานราวกับถูกเรียกออกมา และลอยขึ้นในฝ่ามือของหลัวซิวทันที

นี่คือภูตอัคคีกลืนกิน ถูกขนานนามว่าเป็นภูตอัคคีที่น่ากลัว แม้แต่ความว่างเปล่าก็สามารถกลืนกินเข้าไปและกลายเป็นหลุมดำได้

ในบรรดาภูตอัคคีใหญ่ทั้ง 10 ภูตอัคคีกลืนกินนั้นมีพลังในการโจมตีและทำลายล้างที่สูง ดังนั้นจึงถูกจัดอันดับอยู่ในรายชื่อของภูตอัคคีลำดับท้าย ๆ เพราะหากคิดจะเอาชนะมัน ถือว่าเป็นเรื่องที่ยากมาก

หลัวซิวเองนับว่าโชคดี ที่ได้พบกับภูตอัคคีกลืนกินที่เพิ่งจะเกิดมาไม่เกิน 150 ปี มิเช่นนั้นหากมีอายุที่มากกว่านี้อีกสักหน่อย ภูตอัคคีกลืนกินตนนี้ก็จะกลืนกินพลังงานแห่งไฟในทะเลเพลิง และจะยิ่งเติบโตขึ้นจนถึงระดับที่น่ากลัว

และด้วยความแข็งแกร่งที่พัฒนาขึ้น ก็จะทำให้สติปัญญาของภูตอัคคีเติบโตขึ้นเช่นกัน และจะยิ่งไม่ยินยอมให้ถูกพิชิตลงได้ง่าย ๆ

ดังนั้น การที่หลัวซิวสามารถพิชิตและกลั่นแปรภูตอัคคีตนหนึ่งได้ อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในสิบของภูตอัคคีใหญ่อีกด้วย ช่างนับว่าเป็นโชคดีจริง ๆ

หลงหมิงและสิงห์ทิพย์อัคคีอร่ามที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล เมื่อเห็นเปลวไฟสีแดงฉานลอยขึ้นจากฝ่ามือของหลัวซิว ก็แสดงความหวาดกลัวออกมา เพราะทั้งสองรู้ถึงพลังอันน่าสะพรึงกลัวของภูตอัคคีดี

“ฟิ้ว !”

ทันใดนั้น หลัวซิวกำหมัดแล้วชกออกไป เมื่ออากาศด้านหน้าได้รับแรงปะทะของหมัดนี้ก็บิดเบี้ยว ดูเหมือนว่าความแข็งแกร่งจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย อยู่ในระดับที่สามารถทำลายอากาศได้

ความสุขปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาอีกครั้ง หลัวซิวอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเสียงดัง

“ฮ่า ฮ่า……คิดไม่ถึงเลยว่าข้าไม่เพียงจะพิชิตและกลั่นแปรภูตอัคคีกลืนกินได้เท่านั้น แต่ผลการฝึกตนของข้า ยังบรรลุถึงการฝึกจิตขั้น 8 โดยบังเอิญอีกด้วย ร่างกายเองก็ทะลุถึงขีดจำกัดของร่างยุทธ์ขั้นสูง และก้าวเข้าสู่ร่างยุทธ์ระดับราชา !”

เป็นไปไม่ได้ที่หลัวซิวจะไม่รู้สึกตื่นเต้น เพราะแดนผู้ชนะ ถือเป็นเส้นแบ่งเขตแดนขนาดใหญ่ที่หาที่เปรียบไม่ได้ และมีนักยุทธ์จำนวนนับไม่ถ้วนที่ถูกขัดขวางอยู่ที่นั่นตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน

แต่หลัวซิวก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว ร่างกายของเขายังพัฒนาไปไม่ถึงร่างยุทธ์ระดับราชา แต่ก็ทะลุขีดจำกัดของร่างยุทธ์ขั้นสูงได้ และแข็งแกร่งยิ่งกว่าเมื่อก่อน แต่เมื่อเทียบกับร่างยุทธ์ระดับราชาจริง ๆ แล้ว ยังถือว่าอ่อนแอกว่าเล็กน้อย

อย่างไรก็ตาม หากเขามีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องสักระยะ ร่างกายของเข้าก็จะเข้าสู่ร่างยุทธ์ระดับราชาได้ เป็นเรื่องของเวลาเท่านั้น

จากนั้น หลัวซิวก็เบนสายตาไปมองทะเลเพลิงที่เกิดจากการรวมตัวของพลังงานไฟ จากนั้นร่างกายของเขาก็แผ่ซ่านพลังการดูดกลืนอันยิ่งใหญ่ออกมา จากนั้นพลังงานไฟที่อยู่ในทะเลเพลิงก็รวมตัวกันกลายเป็นมังกรตัวใหญ่ แล้วเข้ามาพันรอบตัวเขา จากนั้นจึงค่อย ๆ ซึมทะลุผ่านรูขุมขนเข้าสู่ทั่วทั้งร่างกายของเขา

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 281 สำเร็จหรือล้มเหลวอยู่ที่นี่

 

“โอ๊ย !……”

ในขณะที่ถูกภูตอัคคีกลืนกิน ถึงแม้หลัวซิวจะมีจิตแท้ปราณเป็นตายสองระดับและกลายเป็นร่างอัคคี แต่ก็อดไม่ได้จะจะส่งเสียงร้องโอดครวญออกมาด้วยความเจ็บปวด ร่างกายของเขาสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ชุดคลุมยาวสีดำกลายเป็นจุณในทันที

เขากัดฟันแน่น มีเอกซึมไหลออกมาจากซอกฟัน จากนั้นก็ถูกลมหายใจที่ร้อนผ่าวทำให้ระเหยกลายเป็นไอ ตอนนี้เขาต้องทนกับความเจ็บปวดทรมานจากการเผาไหม้ ทั้งจิตวิญญาณและร่างกายเหมือนจะพังทลายลงได้ทุกเมื่อ

ในความทรงจำของหลัวซิวตั้งแต่ได้เป็นปรมาจารย์กลั่นยาขั้นดินระดับ 9 และพิชิตภูตอัคคีได้เป็นครั้งแรก ก็จะต้องอดทนจากความเจ็บปวดจากการแผดเผาของภูตอัคคี

เพราะมีเพียงแค่การทำให้ร่างกายคุ้นชินกับการถูกแผดเผาจากภูตอัคคีเท่านั้น ถึงจะมีโอกาสกลั่นแปรภูตอัคคีเข้าสู่ร่างกายได้ และสามารถพิชิตภูตอัคคีได้อย่างสมบูรณ์

ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน นักยุทธ์ผู้แข็งแกร่งส่วนใหญ่ที่พยายามพิชิตภูตอัคคี มักจะล้มเหลวตั้งแต่ขั้นแรก

ภายใต้การแผดเผาของภูตอัคคี ไม่ว่าจะเป็นร่างกายหรือจิตวิญญาณก็ไม่อาจหลีกหนีจากการเผาไหม้ได้ ความเจ็บปวดเช่นนี้ เป็นความเจ็บปวดที่คนทั่วไปไม่อาจทานทนได้

เสียงร้องโหยหวนดังออกมาจากปากของหลัวซิว ทำให้สิงห์ทิพย์อัคคีอร่ามที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยเมตรต้องตกใจไม่น้อย ดวงตาขนาดใหญ่เต็มไปด้วยความตื่นตกใจ

บนท้องฟ้าเหนือพื้นที่ฝังศพ หลงหมิงซึ่งอยู่ในร่างของมังกรสีเงิน ก็รู้สึกตกใจจนรูม่านตาหดลงเมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องของหลัวซิว

ท่าทีของเขาเปลี่ยนไปอย่างมาก และหวังว่าหากเด็กหนุ่มผู้นี้ถูกภูตอัคคีแผดเผาจนตายก็คงจะดี แต่ด้วยสาเหตุของวิชาสยบวิญญาณ หากเขาถูกแผดเผาจนตาย วิญญาณหยั่งรู้ของตนเอง ก็คงจะได้รับผลกระทับจากวิชาสยบวิญญาณเช่นกัน……

เวลาค่อย ๆ ผ่านไปอย่างช้า ๆ ภายใต้การแผดเผาของภูตอัคคี หลัวซิวร้องโหยหวนอย่างทรมานมานานกว่าสองชั่วยามแล้ว เสียงของเขาค่อย ๆ แหบพร่ายิ่งขึ้น และคอของเขาก็แทบจะแตกอยู่แล้ว

อันที่จริงแล้ว ตัวของหลัวซิวก็มีความทุกข์ที่พูดออกมาไม่ได้ ภูตอัคคีกลืนกินถือเป็นหนึ่งในสิบอันดับแรกของภูตอัคคี แม้ว่าจะอยู่ในอันดับที่ 9 แต่ภูตอัคคีธรรมดาก็ไม่อาจเทียบได้ติด ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งระดับราชายุทธ์ขั้นสูงมาด้วยตนเอง โอกาสที่จะพิชิตภูตอัคคีได้ ก็มีไม่เกิน 30%

และถ้าหากเป็นการมาของจักรพรรดิยุทธ์ โอกาสที่จะชนะก็อาจสูงขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ไม่มีทางสูงกว่ามากนัก

ภูตอัคคีมีสติปัญญา ถึงแม้ความแข็งแกร่งของเจ้าจะสามารถระงับภูตอัคคีที่ยังไม่โตเต็มวัยได้ แต่ถ้าหากมันไม่ยินดีให้เจ้าพิชิตและเป็นเจ้านายของมัน ต่อให้ผลการฝึกตนของเจ้าจะสูงส่งแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์

ภูตอัคคีในตอนนี้ ยังอยู่ในช่วงกำลังเจริญเติบโตในระดับราชายุทธ์ ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ถ้าหากไม่ใช่เพราะหลัวซิวมีพลังจิตแท้ปราณเป็นตาย 2 ระดับคอยปกป้องร่างกายอยู่ คงไม่อาจทนมาได้ถึงสองชั่วยาม และคงจะถูกเผาไหม้เป็นจุณไปแล้ว

ในระหว่างสองชั่วยามที่ผ่านมานี้ ร่างกายของหลัวซิวถูกแผดเผาด้วยความร้อนที่ปลดปล่อยออกมาจากภูตอัคคีจนแดงฉาน ส่วนเลือดที่ไหลเวียนอยู่ภายในร่างกายก็เหมือนกับน้ำเดือด จนเขาแทบอยากจะฉีกหน้าอกของเขา แล้วปล่อยให้เลือดที่เดือนพล่านอยู่ภายในร่างกายพุ่งออกมา

“เผาพอหรือยัง ?”

ทันใดนั้น หลัวซิวก็หยุดร้องโหยหวน เขาพยายามข่มความเจ็บปวดของร่างกายที่เกิดจากการแผดเผา แล้วหัวเราะเยาะออกมาหนึ่งครั้ง

เปลวไฟสีแดงเพลิงรอบ ๆ ตัวเขากลายเป็นใบหน้าของเด็กทารก และหันมาฉีกยิ้มให้เขาด้วยท่าทีเยาะเย้ย

“อาหาร ข้าจะกิน……” น้ำเสียงแผ่วเบาดังก้องอยู่ใกล้ ๆ และเข้ามาในหูของหลัวซิว

“เห็นข้าเป็นอาหารอย่างนั้นหรือ ?”

สีหน้าของหลัวซิวหมองหม่นลงทันที เขานั่งขัดสมาธิ ทันใดนั้น เปลวไฟแห่งปราณเป็นตายสองระดับบนร่างกายของเขาก็หายไป รูขุมขนทั่วร่างกายของเขาทั้ง 18,000 รูเปิดออก แล้วกลืนร่างสีแดงฉานของภูตอัคคีเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง

“สำเร็จหรือล้มเหลวอยู่ที่นี่ !”

ในช่วงเวลาเพียงสั้น ๆ ภูตอัคคีกลืนกินทั้งหมดก็เข้าไปอยู่ในร่างกายของเขา วงล้อชีวิตแห่งเหล่าทวยเทพในจุดตันเถียนชี่ไห่หมุนอย่างรวดเร็ว และผนวกรวมภูมิอัคคีกลืนกินเอาไว้ที่เดียวกัน และหมุนอยู่รอบวงล้อชีวิตแห่งเหล่าทวยเทพ ราวกับวงล้อแห่งไฟ

ภูตอัคคีหนึ่งตน จะต้องอยู่ในที่ที่มีพลังงานแห่งไฟมาบรรจบกัน เพื่อหล่อเลี้ยงชีวิตอย่างไม่มีที่สิ้นสุด พลังงานที่บรรจุอยู่ภายในนั้นน่าสะพรึงกลัวแค่ไหน ไม่มีใครสามารถรู้ได้

แต่ถ้าหากต้องการพิชิตภูตอัคคี ขั้นตอนที่สองที่สำคัญที่สุดก็คือ การนำรับภูตอัคคีเข้าสู่ภายในร่างกาย และประทับตราของตนเองลงไปในทุก ๆ ลำแสงของภูตอัคคี จึงจะสามารถพิชิตได้สำเร็จ และทำให้มันกลายเป็นจิตวิญญาณแห่งไฟ ที่ตนเองนั้นสามารถจัดการและควบคุมได้ตามต้องการ !

นี่ถือเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกันคนที่ยังไม่บรรลุถึงแดนราชายุทธ์อย่างหลัวซิว แทบที่จะไม่มีโอกาสที่จะสำเร็จได้เลย ถือได้ว่าเป็นการเดิมพันด้วยชีวิตอย่างสมบูรณ์

หากโชคดี กลั่นแปรภูตอัคคี และเกิดใหม่

หากโชคร้าย จะถูกเผาไหม้เป็นจุณ หลงเหลือเพียงความว่างเปล่า

ในความทรงจำของหลัวซิว ปรมาจารย์กลั่นยาขั้นดินระดับ 9 ผู้นั้น เคยพิชิตการกลั่นแปรภูตอัคคีตนหนึ่ง ถึงแม้จะไม่ใช่หนึ่งในสิบของภูตอัคคีใหญ่ แต่ก็ไม่แตกต่างกันมากนัก และน่ากลัวพอ ๆ กัน

แต่ปรมาจารย์กลั่นยาขั้นดินระดับ 9 ผู้นั้น กลั่นแปรภูตอัคคีตอนที่เขามีผลการฝึกตนอยู่ในระดับมกุฎยุทธ์ แต่หลัวซิวเพิ่งจะมีผลการฝึกตนอยู่เพียงแค่ผู้ฝึกจิตขั้น 7……

ภูตอัคคีกลืนกินกำลังปล่อยพลังงานที่รุนแรงมหาศาลอยู่ที่จุดตันเถียน หลัวซิวนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงกลางหลุมดำ ร่างกายของเขาสั่นไหวอย่างรุนแรง ราวกับถูกฟ้าผ่า

ความเจ็บปวดบนร่างกายที่ถูกเผาไหม้นั้น แทบจะชาจนไร้ความรู้สึก แต่สิ่งที่เจ็บปวดยิ่งกว่าคือจิตวิญญาณ

หลัวซิวกัดฟันแน่นและหลับตาลง ร่างกายของเขาเป็นสีแดงฉาน แต่ใบหน้ากลับซีดเผือด

ตอนนี้ ความคิดทั้งหมดของเขาถูกรวบรวมอยู่ที่จุดตันเถียน จิตสำนึกควบรวมกันจนกลายเป็นรูปร่างของกระบี่ และพุ่งเข้าใส่เปลวไฟสีแดงฉานที่กำลังลุกโชนอย่างบ้าคลั่ง และประทับตราออร่าของตนเองลงไป

ส่วนวงล้อชีวิตแห่งเหล่าทวยเทพก็หมุนอย่างรวดเร็ว พลังจิตแท้ปราณเป็นตายสองระดับบีบอัดอย่างต่อเนื่อง เพื่อผนึกภูตอัคคีเอาไว้ในจุดตันเถียน หากปล่อยให้มันหนีออกไปได้ มันจะต้องโจมตีแบบทำลายล้างอย่างแน่นอน และจะทำให้ร่างกายของเขาถูกเผาไหม้เป็นจุณจนไม่เหลือซาก

เวลาค่อย ๆ ผ่านไปอย่างช้า ๆ นี่เป็นการยื้อยุดกับเทพแห่งความตาย ภูตอัคคีกลืนกินยังคงโจมตีอย่างต่อเนื่อง และพยายามที่จะเจาะทะลุผ่านพลังจิตแท้อย่างต่อเนื่อง เพื่อเผาหลัวซิวให้มอดไหม้

และก่อนที่พลังจิตแท้ของตนเองจะหมดลง หากไม่สามารถประทับตราออร่าของตนเองเข้าไปในทุก ๆ รังสีของภูตอัคคีกลืนกินได้ เกรงว่าแม้แต่เปลวไฟเพียงเล็กน้อย ก็ทำให้เขาตายโดยไร้ที่ฝังได้

ครืน……

ภายในร่างกายของหลัวซิวยังคงส่งเสียงดังสนั่นออกมา ภูตอัคคีกลืนกินตนนี้กำลังโจมตีการปิดผนึกของพลังจิตแท้

การโจมตีของภูตอัคคีในทุกครั้ง จะทำให้ร่างกายของหลัวซิวสั่นไหวอย่างรุนแรง และมีรอยแตกเล็ก ๆ เกิดขึ้นบนผิวหนังของหลัวซิว ราวกับว่าจะพังทลายลงได้ตลอดเวลา

ในขณะเดียวกันนี้ หลัวซิวก้ยังคงโคจรสำนึกอย่างต่อเนื่อง เพื่อประทับตราของตนเองลงในภูตอัคคี เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า ทุกครั้งที่ประทับตราลงไป ความเชื่อมโยงระหว่างเขาและภูตอัคคีกลืนกินก็จะยิ่งใกล้ชิดกันมากขึ้นเรื่อย ๆ

หลังจากที่เขาประทับตราของตนเองลงไปในภูตอัคคีได้เกือบครึ่ง ดูเหมือนว่าภูตอัคคีจะเริ่มสัมผัสได้ถึงอันตราย จึงยิ่งปลดปล่อยพลังที่บ้าคลั่งออกมามากยิ่งขึ้น และกลายร่างเป็นสัตว์ประหลาดเปลวไฟ โจมตีพลังจิตแท้ที่ผนึกอยู่รอบ ๆ ตัวของมันอย่างดุเดือด

ตอนนี้ เปลวไฟพลังงานสูงได้ถูกควบแน่นจนกลายเป็นทะเลเพลิงและหมุนอย่างรุนแรง พลังงานไฟทั้งหมดพุ่งตรงเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง ทุกสิ่งที่อยู่ห่างจากหลุมดำในรัศมี 100 เมตรจะถูกดูดและกลืนกินทั้งหมด ส่วนภูตอัคคีที่อยู่ในจุดตันเถียนของหลัวซิว เมื่อได้รับแรงเสริมจากความแข็งแกร่งนี้ ก็ยิ่งบ้าคลั่งขึ้นเรื่อย ๆ

ดูเหมือนสถานการณ์จะเริ่มเลวร้ายขึ้น

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 280 ภูตอัคคีกลืนกิน

 

แตกต่างกับหลงหมิง หลังสิงห์ทิพย์อัคคีอร่ามโดนสยบวิญญาณ ก็เชื่องเป็นอย่างมาก แต่หลงหมิงมีความคิดของตัวเอง เอาแต่คิดจะยกระดับผลการฝึกตน ให้หลุดพ้นจากสยบวิญญาณ

อสูรกายประหลาดที่โดนสยบวิญญาณจากตัวเองเหมือนกัน ถึงหลัวซิวได้ทำความรู้จักกับหลงหมิงค่อนข้างน้อย กลับรู้สึกว่าสิงห์ทิพย์อัคคีอร่ามที่เพิ่งจัดการได้ตัวนี้ เชื่อถือได้มากกว่า

เขาพลิกมือ เอายาพระแสงขั้น5 โยนให้สิงห์ทิพย์อัคคีอร่ามหนึ่งเม็ด จากประสิทธิภาพของยา อาการบาดเจ็บของสิงห์ทิพย์อัคคีอร่ามตัวนี้ ฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว

ยาพระแสง ก็เป็นยาที่หลัวซิวใช้วัตถุดิบที่อยู่ในมือกลั่นยาออกมา ถึงปกติตัวเองจะไม่ได้ใช้ แต่มียารักษาอาการบาดเจ็บแบบนี้อยู่ในมือ ตอนที่รักษาอาการบาดเจ็บ ก็ไม่ต้องสูญเสียพลังจิตแท้ของตัวเองทั้งหมด

ยาพระแสงที่เขากลั่นออกมา เป็นยาบริสุทธิ์ที่ไม่มีอะไรเจือปน ไม่ต้องกังวลว่าในยาจะมีพิษอะไรแฝงอยู่

หลังผ่านไปประมาณชั่วยามกว่า สิงห์ทิพย์อัคคีอร่ามส่งเสียงคำรามออกมา อาการบาดเจ็บบนตัว ฟื้นฟูไปเกือบครึ่ง

“นายท่าน เชิญตามข้ามา”

สิงห์ทิพย์อัคคีอร่ามตัวนี้ ไม่สามารถพูดภาษาคนได้ แต่สามารถสื่อสารความคิดกับหลัวซิว ผ่านสยบวิญญาณได้

เกิดเสียงดังตู้ม สิงห์ทิพย์อัคคีอร่ามพุ่งลงไปล่างทะเลอัคคี

“นายรออยู่ที่นี่”

หลัวซิวพูดกับหลงหมิง และย่อตัวลงอย่างรวดเร็ว ใช้เพลิงมรณะปกคลุมรอบตัว เข้าไปในทะเลอัคคี

ทะเลสาบที่ก่อตัวมาจากพลังธาตุไฟ มีอัคคีรุนแรงอันแกร่งกล้าซ่อนอยู่ อีกทั้งยิ่งลึกลงไป แรงกดดันก็ยิ่งรุนแรงขึ้น อัคคียิ่งร้อนระอุ ราวกับจะทำให้สรรพสิ่งกลายเป็นเถ้า

หลัวซิวหมุนเพลิงมรณะขจัดพลังอัคคีรอบกาย แต่สิงห์ทิพย์อัคคีอร่ามอยู่ที่นี่ เหมือนปลาได้น้ำ อ้าปากกัดกินพลังอัคคีเป็นระยะ แสดงสีหน้าพอใจออกมา

ผ่านไปครู่หนึ่ง หลัวซิวสังเกตว่าเดิมทีอาการบาดเจ็บของสิงห์ทิพย์อัคคีอร่าม ยังไม่ฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์ แต่หลังจากได้กัดกินพลังอัคคี กลับฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์ อสูรกายประหลาดโบราณประเภทนี้ มีพรสวรรค์ที่พิเศษจริงๆ

ไม่รู้ผ่านไปนานแค่ไหน สิงห์ทิพย์อัคคีอร่ามด้านหน้าหยุดลง อีกทั้งส่งความคิดอันน่ากลัวมาให้หลัวซิว

หลัวซิวก็ว่ายเข้ามา มองไปข้างหน้าเขม็ง เขาพบว่า ลึกลงไปกลางทะเลอัคคี เป็นพื้นที่สุญญากาศ เหมือนโพรงดำสี่เหลี่ยมประมาณร้อยกว่าเมตร พลังอัคคีรอบๆ โดนโพรงดำดูดอย่างรวดเร็ว ค่อยๆ ขยายใหญ่อย่างช้าๆ

กลางโพรงดำสี่เหลี่ยมร้อยกว่าเมตร มีกลุ่มเปลวเพลิงสีแดงก่ำ กำลังพลุ่งพล่านขึ้นอย่างช้าๆ

เห็นเปลวเพลิงแดงก่ำกลุ่มนี้ หลัวซิวหรี่ตาลง แววตาฉายแววร้อนระอุ นี่เป็นภูตอัคคีที่เขาตามหา!

พลังจิตธาตุไฟผ่านกาลเวลามาเนิ่นนาน เป็นจิตวิญญาณ กลายเป็นอัคคีที่พิเศษ เรียกว่าภูตอัคคี

เพราะกระบวนการสร้างภูตอัคคี มีความลึกลับของกฎฟ้าดินซ่อนอยู่ หล่อเลี้ยงจนเป็นภูตอัคคี และมีจุดที่แตกต่างกันไป

ในความทรงจำที่หลัวซิวได้ปรมาจารย์กลั่นยาระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น9 มีข้อมูลที่เกี่ยวกับภูตอัคคีบางส่วน

ภูตอัคคีที่หล่อเลี้ยงมาจากฟ้าดิน มีทั้งแข็งแกร่งและอ่อนแอ ในนั้นมีภูตอัคคีที่แข็งแกร่งที่สุดสิบชนิด ถูกเรียกว่าสิบภูตอัคคี

ตอนหลัวซิวเห็นเปลวเพลิงสีแดงก่ำกลุ่มนั้น รวมไปถึงโพรงดำสี่เหลี่ยมร้อยเมตร ก็เข้าใจที่มาที่ไปของภูตอัคคีชนิดนี้

“ภูตอัคคีกลืนกิน อันดับ9 ในสิบภูตอัคคี วิวัฒนาการจากการกลืนกินสรรพสิ่งในฟ้าดิน หลังจากบรรลุ ขนาดความว่างเปล่าก็สามารถกลืนกินได้ ฟ้าดินร้อนระอุ แผดเผาสรรพสิ่งจนสิ้น ด้วยเหตุนี้จึงเรียกว่าภูตอัคคีกลืนกิน”

หลัวซิวมองไปไกลๆ พูดพึมพำกับตัวเอง

ภูตอัคคีกลืนกิน วิวัฒนาการจากการกลืนกินสรรพสิ่ง ไม่ว่าสิ่งใดที่เป็นAttrไฟ ล้วนเป็นยาบำรุงสำหรับมัน

ส่วนสิงห์ทิพย์อัคคีอร่าม ก็เป็นสิ่งประหลาดโบราณ ที่วิวัฒนาการจากการกลืนกินอัคคีเช่นกัน สามารถกลืนกินอัคคีเพื่อสร้างความแข็งแกร่ง แต่กลับไม่สามารถกลืนกินภูตอัคคีกลืนกินได้

เพราะสิงห์ทิพย์อัคคีอร่าม เป็นอสูรกายธาตุไฟ ถ้าเข้าใกล้ภูตอัคคีกลืนกิน จะโดนภูตอัคคีกลืนกินกลั่นเป็นสารอาหาร

“ภูตอัคคีนี้ ก่อตัวไม่เกิน 150 ปี” หลัวซิวมองไป ตอนเห็นเปลวเพลิงสีแดงก่ำ สามารถเปลี่ยนรูปร่างเป็นเหมือนเด็กทารก ขยับปากเล็กๆ เหมือนกำลังนอนหลับ

โพรงสีดำที่มีภูตอัคคีกลืนกินอยู่ตรงกลาง ขยายวงกว้างเรื่อยๆ เติบโตเพราะการกลืนกินพลังธาตุไฟของทะเลอัคคีแห่งนี้อย่างต่อเนื่อง

ถึงเป็นแค่ภูตอัคคีกลืนกิน ที่เกิดมาได้ไม่เกิน 115 ปี มีรูปร่างเหมือนเด็ก ออร่าที่แผ่ออกมา ก็ทัดเทียมกับผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์แล้ว

ถ้าให้มันเติบโตต่อไปเรื่อยๆ อาจถึงระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ได้เลย และยังสามารถถึงขั้นที่เหนือกว่ามหาจักรพรรดิยุทธ์ นั่นเป็นสิ่งที่น่ากลัวอย่างแท้จริง เรียกได้ว่ามารอสูร!

ถึงสิงห์ทิพย์อัคคีอร่ามกลัวตัวเองโดนภูตอัคคีกลืนกินกัดกิน แต่ในดวงตาขนาดใหญ่ทั้งสองข้าง ยังฉายแววโลภ ดังนั้นถึงแม้จะผ่านไปเกือบร้อยปี มันก็ไม่กล้าเข้าใกล้ภูตอัคคีกลืน แต่ก็ไม่ยอมจากไปไหน

หลัวซิวสูดหายใจลึก เขารู้ดีว่าไม่ง่ายที่ตัวเองจะสยบภูตอัคคีนี้ มีอันตรายแฝงอยู่มากมาย

ถ้าเขาสยบภูตอัคคีได้ พละกำลังจะยกระดับขึ้นเป็นอย่างมาก หรือถ้าไม่อย่างนั้น เขาก็จะโดนภูตอัคคีกลืนกินจนสลายหายไป กลายเป็นสารอาหาร

ความเสี่ยงและโอกาสเป็นของคู่กัน ถ้ากลัวอันตราย จะมีคุณสมบัติไปสู่เส้นทางโลกยุทธ์สูงสุดได้อย่างไร

“สู้สุดชีวิต!”

เพลิงมรณะรอบตัวหลัวซิวพลุ่งพล่าน ตัวเขาถูกปกคลุมอยู่ในเปลวไฟสีดำ ออร่าแห่งความตายแผ่ซ่านออกมา

วงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ ถูกเขาหมุนจนถึงขั้นสุด ในเปลวไฟสีดำที่ระอุอยู่รอบตัว มีเปลวไฟสีขาวปรากฏออกมาช้าๆ เพลิงมรณะกับอัคคีขาวเสวียนหยางต่างรวมตัวกัน เหมือนวงล้อ

ตู้ม!

ตัวของหลัวซิวกลายเป็นลำแสงสีขาวดำ พุ่งเข้าไปในโพรงดำที่ก่อตัวอยู่รอบภูตอัคคีกลืนกิน

เมื่อเห็นการกระทำของเขา สิงห์ทิพย์อัคคีอร่ามเบิกตาโต โพรงดำกลืนกินที่ก่อตัวจากภูตอัคคีกลืนกิน เป็นเขตต้องห้าม มนุษย์ที่เพิ่งกลายเป็นเจ้านายของตัวเอง โง่หรือเปล่า ถึงพุ่งไปแบบนั้น

หลังเข้ามาในโพรงดำกลืนกิน พลังกลืนกินอันน่ากลัว ปกคลุมตัวหลัวซิวเอาไว้ เขารู้สึกว่าพลังจิตแท้กับเลือดลมในร่างกาย กำลังดิ้นพล่าน จะออกจากร่างกายและโดนภูตอัคคีกลืนกิน

แต่พลังจิตแท้สองระดับความเป็นตายรวมตัวกัน ทำให้มีกฎอัศจรรย์บางอย่าง แฝงอยู่ในนั้น แม้เปลวไฟรอบตัวลุกโชนอย่างต่อเนื่อง แต่กลับไม่โดนกลืนกิน

แถบโพรงดำสุญญากาศ หลัวซิวก้าวเข้าไปอย่างยากลำบาก เดินเข้าไปใกล้ภูตอัคคีกลืนกินที่อยู่ตรงกลาง

ขณะนั้น เปลวเพลิงทารกที่กำลังหลับใหลตื่นขึ้นมา ดวงตาแดงก่ำทั้งสองข้าง มองมายังคนที่กำลังใกล้เข้ามาหาตัวเอง

“อือๆๆ……”

มันยื่นนิ้วมือเล็กชี้มายังหลัวซิว ไม่รู้กำลังพึมพำอะไร รูปร่างที่เหมือนเด็กทารก กลายเป็นเปลวไฟสีแดงก่ำกองใหญ่ โถมเข้าไปหาหลัวซิว

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 279 ที่อยู่ของภูตอัคคี

 

พรึ่บ!

ฝ่าเท้าของหลัวซิวสั่นสะเทือนบนพื้น ดีดตัวขึ้นไปบนฟ้า หลบการจู่โจมของกรงเล็บแหลมคมได้อย่างง่ายดาย

หลงหมิงก็พุ่งขึ้นไปบนอากาศในโพรง ร่างมังกรสีเงินยาวกว่า 33 เมตร เลื้อยวนออกมา ยิ้มร้ายกาจ “คิดว่าตัวเองเป็นจักรพรรดิอสูรสิงห์ทิพย์ในสมัยโบราณเหรอ แค่สัตว์ขั้น 4 ในระดับสูงสุดเท่านั้น ท่านชายหลงอย่างฉันไม่กลัวแกหรอก!”

เสียงระเบิดดังสนั่น กรงเล็บอันแข็งแกร่งโจมตีไปบนกำแพงหิน หินแตกกระจายออกมา รอยร้าวขนาดใหญ่ แผ่กระจายออกไป 20 กว่าเมตร เกิดความสั่นสะเทือนไปทั้งโพรง

“ลงมือ!”

หลัวซิวแผดเสียงออกมา เอากระบี่อาถรรพ์ฟันเสือด้านหลังออกมา นี่เป็นครั้งแรกที่กระบี่ที่เพิ่งหลอมเสร็จ ได้ออกรบ!

เขาก้าวออกมา ฝีเท้าลอยเหนือพื้น ร่างของเขาไปอยู่เหนือหัวสิงห์ทิพย์อัคคีอร่ามทันที

อัคคีที่พลุ่งพล่านออกมาจากตัวสิงห์ทิพย์อัคคีอร่าม ระยะที่ใกล้ขนาดนี้ เหมือนร่างกายจะถูกแผดเผาเป็นเถ้า ตัวของหลัวซิวแดงไปทั้งตัว ถึงร่างเนื้อจะถึงร่างยุทธ์สูงสุด ขั้นสุดยอดแล้ว ก็รู้สึกทรมานมาก

“ตายซะเถอะ!”

เพลิงมรณะรวมตัว กระบี่อาถรรพ์ฟันเสือในมือ ฟาดฟันลงไปอย่างดุดัน จุดที่ความคมของกระบี่พาดผ่านไป เกิดเสียงระเบิดในอากาศ กระบี่เหมือนสายฟ้าสีดำ ดุดันแกร่งกล้าไร้เทียมทาน

พรึ่บ!

กระบี่นี้ หลัวซิวใช้แรงทั้งหมด เพลิงมรณะบวกกับพลังร่างเนื้อขั้นสูงสุด ทำให้เกราะเกร็ดที่อยู่บนหัวสิงห์ทิพย์อัคคีอร่ามแตกออก เลือดที่เหมือนอัคคีทะลักออกมา

“แฮ่! โฮก!……”

สิงห์ทิพย์อัคคีอร่ามได้รับความเจ็บปวด คำรามด้วยความโมโหอย่างบ้าคลั่ง ดวงตาทั้งสี่ดวงจ้องหลัวซิวเขม็ง มีอัคคีสีทองพุ่งออกมาสี่แสง

อัคคีที่มีสีทองอร่าม เป็นชีวีอัคคีอสูรที่สิงห์ทิพย์อัคคีอร่ามฝึกตน จากปริมาณที่กัดกินอัคคีอย่างต่อเนื่อง พลังที่ยกระดับชีวีอัคคีอสูร เป็นวิธีที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าพันธุ์สิงห์ทิพย์อัคคีอร่าม

ถ้าสามารถเอาภูตอัคคีฟ้าดินกัดเซาะหลอมรวมกับชีวีอัคคีอสูร น่าจะมีโอกาสเป็นหนึ่งในคนที่แข็งแกร่งสุดในปฐพี

“พลังแปรเสวียนเทียน เพลิงมรณะ!”

หลัวซิวหมุนวิชาลับพลังแปรเสวียนเทียน เพลิงมรณะที่แผดเผาระหว่างฝ่ามือและนิ้ว มีพลานุภาพเพิ่มขึ้นทันที กลายเป็นฝ่ามือเปลวไฟดำขนาดใหญ่ พุ่งไปคว้าอัคคีสีทองอร่ามสี่แสงนั้น

ทั้งหมดเกิดขึ้นภายในระยะเวลาสั้นๆ หลงหมิงก็บินเข้ามา อ้าปากพ่น พลังการกดดันขนาดใหญ่ ทำให้ตัวของสิงห์ทิพย์อัคคีอร่ามกระเด็นออกไป เหมือนลูกกระสุน กระแทกลงบนกำแพงหินในโพรงอย่างแรง

“แควกแควกแควก……”

อัคคีอสูรทองกับเพลิงมรณะ กัดกินกันและกันอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่ทำให้หลัวซิวแปลกใจก็คือ เพลิงมรณะของตัวเอง เหมือนจะไม่สามารถต้านทานอัคคีอสูรทองได้

ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อก่อน หลัวซิวใช้เพลิงมรณะ ล้วนไม่เคยพ่ายแพ้ ไม่เคยมีอุปสรรค เห็นได้ชัดว่าสิงห์ทิพย์อัคคีอร่าม ที่ได้ฉายาว่าตัวประหลาดโบราณ ฝีมือต้องไม่ธรรมดาแน่นอน

สูญเสียพลังจิตแท้ในร่างกายไปเกือบครึ่ง หลัวซิวจึงขจัดอัคคีอสูรทองทั้งสี่แสงได้ ทว่าขณะนั้นสิงห์ทิพย์อัคคีอร่ามกับหลงหมิงก็ต่อสู้กันขึ้นมา

“ถ้าไม่มีหลงหมิง มีแค่ฉันเพียงคนเดียว ไม่ใช้ไพ่ไม้ตายต่างๆ คงสู้สิงห์ทิพย์อัคคีอร่ามไม่ได้” หลัวซิวพูดในใจ

การโจมตีของหลงหมิง ส่วนใหญ่ใช้พลังควบคุมเวลา เช่นการเคลื่อนย้ายมวลสาร ในขอบเขตเล็กๆ แทบจะสามารถหลบการโจมตีจำนวนมากได้ ทำให้คู่ต่อสู้ทำอะไรไม่ถูก

อีกทั้งยังมีพลังการโจมตีโซนอลหม่าน โซนทอร์นาโดก็แข็งแกร่งไร้เทียมทาน ทำให้สิงห์ทิพย์อัคคีอร่ามได้รับความเจ็บปวดอย่างต่อเนื่อง

แต่ผลการฝึกตนของหลงหมิง ต่ำกว่าสิงห์ทิพย์อัคคีอร่ามเล็กน้อย ตัวประหลาดโบราณสองตัวสู้กัน ได้รับบาดเจ็บทั้งสองฝ่าย เรียกได้ว่าเป็นสถานการณ์ที่สูสี

หลัวซิวพลิกฝ่ามือ เอาธงขลังสรรพสิ่งที่ได้จากแดนปริศนาออกมา

ธงขลังผืนนี้ ถูกเขาสลักค่ายกลเอาไว้สี่ประเภท แบ่งเป็นค่ายยากเย็น ค่ายคุ้มกัน ค่ายสังหารและค่ายเสวียน

ใช้การไหลของพลังจิตแท้ ปลุกเสกตัวสำนึก ธงขลังสรรพสิ่งสั่นอยู่ในมือ ลำแสงที่ก่อตัวจากลายเส้นสัญลักษณ์ของค่ายกล ส่องไปรอบๆ เรียงตัวเป็นค่ายกลอย่างรวดเร็ว ล็อกเขตพื้นที่นี้เอาไว้

ค่ายกลที่หลัวซิววาง เป็นค่ายกลสังหารยากเย็น ที่หลอมรวมระหว่างค่ายยากเย็นกับค่ายสังหาร

แสงค่ายที่แฝงไปด้วยออร่าแห่งความตาย ก่อตัวเป็นมังกรดำ อยู่กับหลงหมิง โจมตีสิงห์ทิพย์อัคคีอร่ามอย่างบ้าคลั่งขึ้นอีก

“โซนคุมขัง!”

พลังควบคุมเวลาแผ่ซ่านออกมา ล็อกพื้นที่บริเวณตัวสิงห์ทิพย์อัคคีอร่ามเอาไว้ มันชะงักแข็งเหมือนน้ำแข็ง

สิงห์ทิพย์อัคคีอร่าม คำรามอย่างโมโหไม่หยุด ถึงแม้ใช้กำลังหลุดจากพันธนาการของโซนคุมขังได้ แต่การขยับตัวก็ยังได้รับผลผลกระทบ หยุกชะงักอยู่ครู่หนึ่ง

แสงค่ายสังหารรวมตัวเป็นมังกรดำ ใช้โอกาสพุ่งออกไป ง้างกรงเล็บตะครุบ เกราะเกล็ดแตกกระจายรวมกับเลือด สาดกระจายไปทั่ว ทำให้กลางอากาศในโพรงแห่งนี้ มีเสียงร้องโอดครวญอย่างเจ็บปวดดังก้อง

หลังผ่านไปครู่หนึ่ง สิงห์ทิพย์อัคคีอร่าม เนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือด อัคคีที่แผดเผาอยู่รอบๆ ก็ใกล้จะดับมอด หายใจรวยริน

หลัวซิวลอยตัวเหนือพื้นเข้ามา ใช้นิ้วแตะกลางอากาศ กดลงบนหน้าผากของสิงห์ทิพย์อัคคีอร่าม พลังตัวสำนึกทะลุเข้าไปในตัวหยั่งรู้ของมัน ส่งวิชาสยบวิญญาณเข้าไป

เมื่อมีการควบคุมของวิชาสยบวิญญาณ ตัวสำนึกของหลัวซิว สามารถตรวจสอบความทรงจำ ในตัวหยั่งรู้ของมัน เพื่อหาที่อยู่ของภูตอัคคีฟ้าดิน

ถึงหลงหมิงก็โดนเขาใช้วิชาสยบวิญญาณเอาไว้ แต่หลัวซิวไม่กล้าตรวจสอบความทรงจำในตัวหยั่งรู้ ของมังกรไร้ร่างตัวนี้ง่ายๆ เพราะมันมีชีวิตมาจากสมัยโบราณ ไม่แน่อาจมีไพ่ไม้ตายอะไรบางอย่าง ค่อยรอให้มันตรวจความทรงจำของเขา แล้วค่อยถือโอกาสโจมตีกลับ

“ภูตอัคคีอยู่ใต้ทะเลอัคคีแห่งนี้เหรอ”

เมื่ออ่านความทรงจำของสิงห์ทิพย์อัคคีอร่าม หลัวซิวรู้ที่อยู่ของภูตอัคคีแล้ว อยู่ตรงกลาง ส่วนลึกในทะเลอัคคีแห่งนี้

พื้นที่โพรงนี้ เพราะเป็นค่ายกลที่สร้างจากธรรมชาติ ที่แห่งนี้จึงมีพลังธาตุไฟก่อตัวอย่างแข็งแกร่ง ถึงกระทั่งที่สามารถรวมตัวเป็นของเหลวได้ จึงทำให้เป็นภาพเหมือนทะเลสาบ

ได้รับผลกระทบจากพลังจิตธาตุไฟอย่างรุนแรง หลัวซิวใช้พลังรับรู้แห่งชีวิต ที่ได้จากลูกแก้วความเป็นตาย ก็ไม่สามารถรู้ได้ชัดเจนว่า ลึกลงไปในทะเลอัคคีแห่งนี้ ยังมีอสูรจิตตัวอื่นๆ หรือเปล่า

ในความทรงจำของสิงห์ทิพย์อัคคีอร่าม มันรับรู้พลังจิตธาตุไฟได้รวดเร็วมาก มันสัมผัสได้ถึงพลังจิตธาตุไฟที่นี่ จึงมาตามหา แล้วพบภูตอัคคี แต่ไม่สามารถกัดกินได้ ภูตอัคคีบินเข้าไปในส่วนลึกของทะเลอัคคี ซ่อนตัวไม่ออกมา

ภูตอัคคี เป็นจิตที่เกิดจากการก่อตัวของพลังจิตธาตุไฟ ผ่านกาลเวลามาหลายปี มีสติมีความคิด สามารถไปไหนมาไหนได้ หลบซ่อนตัวได้ ดังนั้นจึงทำให้ตามหาได้ยาก

“โฮก!”

สิงห์ทิพย์อัคคีอร่ามยกกรงเล็บข้างหนึ่ง ชี้ไปยังตรงกลาง ข้างใต้ทะเลอัคคี สนทนากับหลัวซิว ผ่านสยบวิญญาณ ส่งความคิดมาว่า “นายท่าน ภูตอัคคีอยู่ด้านล่างตำแหน่งนี้”

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 278 เจอสิงห์ทิพย์อัคคีอร่าม

 

นักยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกัน ถ้าแบ่งตามเกณฑ์การหลอมอาวุธ ก็มีข้อแตกต่างสูงต่ำทางด้านคุณภาพ

แต่ความแตกต่างนั้น เป็นความแตกต่างที่ละเอียดอ่อนมาก เว้นแต่เป็นคนระดับปรมาจารย์หลอมอาวุธ คนทั่วไปไม่มีทางดูออก

ปรมาจารย์หลอมอาวุธยิ่งระดับสูง ยิ่งมีชื่อเสียง นักยุทธ์ระดับเดียวกัน ที่หลอมออกมา ก็ยิ่งมีคุณภาพสูง นี่เป็นเหตุให้นักยุทธ์จำนวนมาก หาปรมาจารย์หลอมอาวุธที่มีชื่อเสียง

อาจารย์จุนหลู่ไม่ได้มีอะไรที่มีชื่อเสียงออกมา อยู่อย่างลึกลับ แต่ระดับการหลอมอาวุธสูงส่งมาก คุณภาพของกระบี่อาถรรพ์ฟันเสือเล่มนี้ ในบรรดาขั้นดินล่าง เรียกได้ว่ามีคุณภาพสูง

วัตถุดิบของเสือสองหัวเขมือบลึก หลัวซิวใช้โอกาสนี้จัดแจงมัน เอายาอสูรให้อาจารย์จุนหลู่ เป็นค่าตอบแทนเพิ่มเติม อาจารย์จุนหลู่ ลงมือผลิตหนังเสือเป็นเกราะหนังสามชุดด้วยตัวเอง

หลัวซิวเอาเกราะหนังเสือดำมาหนึ่งชุด ให้หลินเจียเอ๋อร์หนึ่งชุด เพราะถ้าไม่มีการแนะนำจากเธอ หลัวซิวคงไม่มีทางเจออาจารย์จุนหลู่ มาหลอมนักยุทธ์ให้ตัวเองได้ ส่วนชุดสุดท้าย อาจารย์จุนหลู่เก็บเอาไว้เป็นของสะสม

สวมเกราะหนังเสือดำเอาไว้ใต้ชุดคลุมยาวดำ แบกกระบี่อาถรรพ์ฟันเสือเล่มยาวใหญ่ไว้ด้านหลัง หลัวซิวก้าวออกจากเมืองร้าง ไปตามหาร่องรอยของภูตอัคคีต่อ

……

หลังผ่านไปอีกครึ่งเดือน หลัวซิวมาถึงตำแหน่งภูตอัคคี ที่ทำเครื่องหมายเอาไว้ แต่กลับไม่รับรู้ถึงลมปราณ Attrไฟสักนิด

บริเวณมุมเนินทราย ที่เป็นจุดไม่ค่อยน่าสนใจ หลัวซิวเห็นโพรงสีดำขลับโพรงหนึ่ง ขนาดประมาณกำปั้นเท่านั้น ถึงคนทั่วไปสังเกตเห็น ก็ไม่คิดว่ามีอะไร

“ที่ลับตาขนาดนี้ คงยังไม่มีใครเจอสินะ”

ระหว่างที่คิด หลัวซิวง้างมือไปตบ พลังจิตแท้ระเบิดออกมา ทำให้หินดินรอบๆ แตกออก โพรงที่ไม่น่าสนใจ เปิดกว้างออกเป็นหลายเท่า จนสามารถก้มลงไปได้

ก่อนลงไปในโพรง หลัวซิวสะบัดมือวางค่ายกลซ่อนงำ เมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าไม่ใช่ปรมาจารย์ค่ายกลขั้น4 ก็ไม่มีทางมองเห็นแม้แต่โพรงดำขนาดเท่ากำปั้นก่อนหน้านี้

ในโพรงมืดสนิท ไม่มีใครรู้ว่าด้านในมีอันตรายอะไรบ้าง หลัวซิวรวมพลังจิตแท้ไว้ที่ตาทั้งสองข้าง ผ่านไปครู่หนึ่ง จึงปรับตัวกับความมืดได้ ตัวสำนึกสังเกตความเคลื่อนไหวบริเวณรอบๆ

ระหว่างที่ค้นหาลึกลงไปอย่างระมัดระวัง ขณะเดียวกันหลัวซิวสังเกตสถานการณ์ในโพรงนี้อย่างละเอียด พบว่าโพรงแห่งนี้ไม่ได้ขุดโดยมนุษย์ ไม่มีร่องรอยขวานหรือสิ่วแม้แต่น้อย

แต่ถ้าสร้างจากธรรมชาติ ก็ไม่น่าจะใช่

“เหมือนกับ เหมือนกับช่องไฟที่เผาดินหินละลาย” ใช้มือวางลงบนกำแพงหินในโพรง ไม่มีความรู้สึกร้อนระอุ หรือเมื่อก่อนมี แต่หลังจากผ่านกาลเวลามาเนิ่นนาน ส่วนใหญ่จึงสลายหายไปแล้ว

หลัวซิวสามารถควบคุมอัคคีไฟได้ ถ้าพูดกันด้านความหมายบางอย่าง ถึงเป็นการฝึกตนธาตุไฟ มีสัมผัสในการรับรู้ออร่าอัคคีได้อย่างรวดเร็ว แต่ในนี้ กลับสัมผัสอะไรไม่ได้สักนิด

ไม่รู้ผ่านไปนานขนาดไหน ทางเดินในโพรงที่มืดสนิท มีความยาวแค่ไหน ราวกับว่ามันไม่มีปลายทาง

ในที่สุดแววตาของหลัวซิวเป็นประกาย รู้สึกถึงเศษของออร่าอัคคีที่หลงเหลืออยู่เล็กน้อย ถึงความรู้สึกนี้จะน้อยนิด แต่ก็ทำให้เขารู้สึกดีใจ

ในเมื่อมีออร่าอัคคี งั้นแสดงว่าที่นี่อาจมีภูตอัคคีฟ้าดินอยู่จริง!

ใช้สัมผัสของตัวสำนึก หลัวซิวสามารถแยกแยะทิศทางในความมืด เดินไปตามความรู้สึกจากออร่าอัคคีอันน้อยนิด เขาค้นหาลึกลงไป ในใจยิ่งตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆ

ทันใดนั้น ออร่าอัคคีอันรุนแรง โถมเข้ามา ยิ่งเข้าไปลึก ออร่าอัคคีก็ยิ่งรุนแรง ตามที่หลัวซิวเดินลึกลงไป ถึงเป็นจอมยุทธ์พรสวรรค์ ก็ไม่น่าจะต้านทานความร้อนระอุที่โดนร่างกายได้

ออร่าอัคคีบริเวณรอบๆ ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น สีหน้าของหลัวซิวก็ยิ่งเคร่งขรึม เพราะความแข็งแกร่งของอัคคี ถึงระดับที่ปรมาจารย์ฝึกจิตก็ต้องยอมถอย

แม้เป็นเช่นนี้ ใบหน้าเคร่งขรึมของเขา ฉายแววดีใจอย่างบ้าคลั่ง

ในที่สุด ปรากฏแสงสว่างอยู่ข้างหน้าทางที่มืดมิด นั่นเป็นแสงสว่างสีแดงเพลิง หลังจากหลัวซิวเดินถึงปลายทางเดิน มีโพรงขนาดใหญ่ที่ลึกลงไป ปรากฏอยู่ตรงหน้า ในโพรงขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยอัคคีนับไม่ถ้วน ราวกับทะเลสาบ

อุณหภูมิของอัคคีที่รวมตัวอยู่ในโพรง สูงจนกลายเป็นของเหลวเหนียวหนืด เหมือนกับแมกมา แต่ก็ต่างจากแมกมา

“ความอัศจรรย์ที่สร้างจากธรรมชาติ เป็นสิ่งที่น่าตกใจจริงๆ” หลัวซิวเห็นภาพตรงหน้า อดชมเชยออกมาไม่ได้

นี่เป็นจุดที่รวบรวมพลังAttrไฟเอาไว้ แอบเห็นร่องรอยของค่ายกลธรรมชาติ ไม่ได้สร้างจากมนุษย์ แต่เป็นสิ่งที่ธรรมชาติสร้างขึ้น

“ไม่แน่ที่นี่อาจมีภูตอัคคีจริงๆ” มังกรไร้ร่างปรากฏกายออกมา หัวขนาดใหญ่โผล่ออกมาทางด้านหลังหลัวซิว มองทะเลไฟข้างในโพรง แล้วพูดขึ้น

ถึงในสมัยโบราณ จิตฟ้าดินก็เป็นสิ่งที่หายากมาก ผู้แข็งแกร่งที่ควบคุมจิตฟ้าดินทุกคน ล้วนเป็นบุคคลที่สะท้านฟ้า สะเทือนดิน

ทันใดนั้น หลัวซิวหรี่ตาลง ในสัมผัสแห่งชีวิตของเขา ออร่าแห่งชีวิตอย่างรุนแรง เคลื่อนไหวอยู่ในทะเลไฟที่อยู่ในโพรงด้านหน้า

“โฮก!”

เสียงคำรามดังสนั่นขึ้น จากนั้นทะเลไฟแยกออก มีลำแสงอัคคีขนาดใหญ่พวยพุ่งขึ้นมา สัตว์ขนาดใหญ่พุ่งออกมาจากทะเลอัคคี

หัวเหมือนสิงโต มีขนสีแดงเพลิง สิ่งที่แปลกประหลาดก็คือ มันมีตาแดงก่ำสีเลือดสี่ตา ในแววตามีประกายสีทอง

นี่ต้องเป็นอสูรจิตแปลกประหลาด ที่ก่อตัวมาจากอัคคีอย่างแน่นอน ออร่ารอบตัวที่แผ่ออกมา ถึงระดับฝึกจิตขั้น9 แต่เพราะสภาพแวดล้อมพิเศษในที่แห่งนี้ บวกกับอสูรกายตัวนี้ มีความประหลาดอย่างอัศจรรย์ ถึงเป็นผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์มาด้วยตัวเอง ก็ไม่น่าจะทำให้มันยอมจำนนได้

“สิงห์ทิพย์อัคคีอร่าม ไอ้นี่เป็นสิ่งประหลาดสมัยโบราณ วิวัฒนาการมาจากการกัดกินอัคคี สมัยโบราณก็มีภูตอัคคีฟ้าดิน ที่กัดกินอัคคีแบบสิงห์ทิพย์อัคคีอร่ามเหมือนกัน ผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์เจอมันก็ต้องหลีกทางให้ ไม่กล้าไปยั่วโมโห”

มังกรไร้ร่างหดหัว เหมือนคิดถึงความทรงจำบางอย่าง ที่ยังกลัวไม่หาย พูดพึมพำว่า “ท่านชายหลงอย่างฉัน สมัยโบราณเคยล่วงเกินจักรพรรดิอสูรสิงห์ทิพย์ตัวนั้น เกือบโดนมันเผากินแล้ว”

ดวงตาทั้งสองข้างของหลัวซิวนิ่ง ในเมื่อมันเป็นตัวประหลาดในสมัยโบราณ ที่วิวัฒนาการมาจากการกัดกินอัคคี อย่าบอกนะว่าภูตอัคคีที่นี่ โดนมันกัดกินไปหมดแล้ว

อีกทั้งในแผนที่ ที่ชิวลั่วสุ่ยให้เขา ไม่ได้บอกว่าที่นี่มีสิงห์ทิพย์อัคคีอร่าม เหมือนไอ้นี่มาถึงที่นี่ในระยะเวลาประมาณหลายสิบปี

“โฮก!”

สิงห์ทิพย์อัคคีอร่ามส่งเสียงคำรามอย่างโมโห เหมือนกับไม่พอใจที่มีคนบุกรุกมาในดินแดนของตัวเอง ร่างยาวกว่าสามสิบสามเมตรขยับ กรงเล็บขนาดใหญ่พุ่งมาที่หลัวซิว กับมังกรไร้ร่าง ที่อยู่ตรงทางออกทางเดิน

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 277 เอายาอสูรขั้น5 มาแลก 1 เม็ด

 

“แต่เพราะชีวีอัคคีแท้ของข้า เอนเอียงไปทางAttrหยาง ใช้วัตถุดิบAttrหยิน หลอมนักยุทธ์ จะทำให้Attrหยินในวัตถุดิบได้รับความเสียหาย จะทำให้นักยุทธ์ที่หลอมออกมา คุณสมบัติค่อนข้างแย่เล็กน้อย”

ระหว่างพูด ผู้เฒ่าผมแดงขมวดคิ้ว เหมือนพึมพำกับตัวเอง “ถ้าใช้เปลวไฟของนาย ที่มีAttrความตายแฝงอยู่ มาหลอมวัตถุดิบ จะไม่ทำลายคุณสมบัติภายในนั้น”

“ไอ้หนุ่มมานี่สิ” ผู้เฒ่าผมแดงเดินมาข้างหน้าเตาหลอมสีทองแดง แล้วเอ่ยขึ้น

หลัวซิวเดินเข้าไปตามที่บอก ผู้เฒ่าผมแดงชี้ไปยังเตาสีทองแดง “รวบรวมเปลวไฟ เข้าไปในเตา”

“ผมไม่รู้เรื่องการหลอมอาวุธ” หลัวซิวขมวดคิ้วแล้วเอ่ยขึ้น

“ไร้สาระ ข้ารู้ว่านายไม่รู้เรื่องการหลอมอาวุธ แค่ต้องการเปลวไฟของนาย ไม่ได้บอกให้นายหลอมอาวุธสักหน่อย”

ผู้เฒ่าผมแดงส่งเสียงฟึดฟัด “ถ้าไม่ใช้เปลวไฟของนายมาหลอมอาวุธ ข้าก็ไม่สามารถรับรองคุณภาพของนักยุทธ์ได้ ยิ่งไปกว่านั้นใช้ไฟของตัวเองหลอมวัตถุดิบ นักยุทธ์ที่หลอมออกมาตรงกับเจตนาของนาย พลานุภาพที่แสดงออกมาก็ยิ่งแข็งแกร่ง”

“ที่แท้เป็นแบบนี้นี่เอง” หลัวซิวรีบรวบรวมเพลิงมรณะ ใส่เข้าไปในเตาทองแดงข้างหน้า

จากนั้น ตามความต้องการของผู้เฒ่าผมแดง หลัวซิวต้องควบคุมระดับของเปลวไฟ ค่อยๆ หลอมวัตถุดิบ จากวัตถุดิบที่แตกต่างกัน ระดับของเปลวไฟก็มีเงื่อนไขเช่นกัน เหมือนกับการกลั่นยา ต้องควบคุมระดับความร้อน ไม่ใช่พลังของเปลวไฟยิ่งมาก แล้วจะยิ่งดี

สิ่งที่ทำให้ผู้เฒ่าผมแดงแดงตกใจก็คือ ระดับการควบคุมเปลวไฟของหลัวซิวสูงส่งมาก ฝีมือการควบคุมไฟไม่เป็นรอง เหมือนกับไม่ด้อยไปกว่าตัวเขาเอง หรืออาจจะเหนือกว่าด้วยซ้ำ

ขนาดผู้เฒ่าผมแดงยังคิดว่าหลัวซิวเป็นนักหลอมอาวุธ แต่ไอ้หนุ่มนี้ไม่เชี่ยวชาญด้านหลอมอาวุธเลย ขนาดสิ่งที่เป็นพื้นฐานก็ไม่รู้

อย่าบอกนะว่าไอ้หมอนี่เป็นนักกลั่นยา

นักกลั่นยาเหมือนกับนักหลอมอาวุธ ต้องมีความต้องการในการควบคุมไฟสูงมาก

“ผมเป็นนักกลั่นยา”

ตอนผู้เฒ่าผมแดงถาม หลัวซิวไม่ได้ปิดบัง ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องนี้ไม่มีอะไรที่ต้องปิดบังด้วย

“ขั้นไหน” ผู้เฒ่าผมแดงหรี่ตาถาม

ดูจากฝีมือการควบคุมไฟ ปรมาจารย์ขั้น 5 ก็ไม่น่าจะใช่ แต่ระดับของนักกลั่นยากับนักหลอมอาวุธ ไม่สามารถเอาฝีมือการควบคุมไฟมาตัดสินได้

“ขั้น4” หลัวซิวตอบ

อันที่จริงตอนนี้เขาสามารถกลั่นยาระดับ5 ได้แล้ว แต่ไม่จำเป็นต้องพูดออกมา

“ไอ้หนุ่มมีความสามารถ อายุแค่นี้ก็มีผลการฝึกตนระดับฝึกจิตขั้น7 แถมยังเป็นปรมาจารย์กลั่นยาขั้น4 นายมาจากสำนักไหน อาจารย์ของนายเป็นใคร” ผู้เฒ่าผมแดงยิ่งสนใจหลัวซิวมากขึ้น

“อาจารย์เคยบอกว่า ถ้าเขาไม่อนุญาต ห้ามบอกว่าอาจารย์ของตัวเองเป็นใคร” หลัวซิวพูดอย่างขอโทษ

“หา?” ผู้เฒ่าผมแดงมีสีหน้าตกใจอีกครั้ง แต่กลับไม่ได้ถามต่อ

ตัดอำนาจใหญ่ที่เห็นได้อย่างชัดเจนบนโลกนี้ออกไป ยังมีตระกูลและสำนักลึกลับบางส่วน จากผลการฝึกตนราชายุทธ์ของผู้เฒ่าผมแดง ฐานะปรมาจารย์ขั้น5 สามารถรู้เรื่องที่คนไม่รู้

กระบวนการหลอมวัตถุดิบ ใช้เวลาถึงสามวัน ระหว่างนั้น หลัวซิวสูญเสียพลังจิตแท้ไปเยอะมาก ทุกครั้งจำเป็นต้องใช้ยาฟื้นฟูพลังจิตแท้ ไม่ง่ายเลยกว่าจะยืนหยัดมาได้

ตั้งแต่รู้เรื่องกลั่นยา หลัวซิวรู้ว่าการเป็นนักกลั่นยาลำบากขนาดไหน อีกทั้งกว่านักกลั่นยาจะกลั่นยาออกมาหนึ่งหม้อ มีอัตราความสำเร็จยากเย็นแสนเข็ญขนาดไหน

เหมือนนักกลั่นยา การหลอมอาวุธก็ไม่ง่ายเหมือนกัน แค่หลอมวัตถุดิบก็ปาไปสามวันแล้ว อีกทั้งยังต้องควบคุมไฟด้วยความประณีตตลอดทั้งกระบวนการ คนทั่วไปมาถึงจุดนี้ได้ยากมาก มิน่าล่ะนักกลั่นยากับนักหลอมอาวุธถึงหายากเช่นนี้

หลังหลอมวัตถุดิบ เป็นกระบวนการหลอมรวมที่ซับซ้อน ไม่ใช่ว่าเอาวัตถุดิบที่หลอมเสร็จ มารวมไว้ด้วยกันแล้วจะเสร็จ แต่ต้องมีสัดส่วนพิเศษ รวมไปถึงการจับคู่และเรียงลำดับวัตถุดิบที่แตกต่างกัน ในนั้นแฝงไปด้วยปรัชญาของการหลอมอาวุธ

ระหว่างกระบวนการนี้ ผู้เฒ่าผมแดงไล่หลัวซิวออกไป เพราะนี่ก้าวก่ายเข้ามาในวิธีลับด้านการหลอมอาวุธของตัวเองเล็กน้อย

หลังผ่านไปอีกหกวัน ประตูไม้ที่ปิดสนิท ค่อยๆ เปิดออก กระบี่ดำขลับทั้งเล่มถูกโยนออกมา เสียงตกกระทบพื้นดังขึ้น ตัวกระบี่จมอยู่ในดินเหนียว ฝุ่นตลบอบอวล

“หลอมเหล็กเสวียนหยินกว่าห้าสิบกิโลกรัม บวกกับวัตถุดิบต่างๆ กระบี่เล่มนี้มีน้ำหนักถึงเก้าร้อยกิโลกรัม ข้าเหนื่อยเกือบตาย!”

เสียงแหบพร่าของผู้เฒ่าผมแดงดังออกมาจากในห้อง ดูอ่อนล้าจริงๆ เห็นได้ชัดว่าระหว่างกระบวนการหลอมอาวุธให้สำเร็จ หกวันนี้ทำให้เขาสูญเสียพลังไปไม่น้อย

นักยุทธ์ธรรมดาไม่ได้ต้องการน้ำหนักของนักยุทธ์ แต่หลัวซิวเอาวัตถุดิบออกมาเยอะเกินไป ถึงหลอมสิ่งสกปรกที่เอาออกไป มารวมกัน ก็ยังมีน้ำหนักถึงเก้าร้อยกิโลกรัม

หลัวซิวเดินเข้ามา หยิบกระบี่สีดำขลับขึ้นมา ฝ่ามือสั่นเล็กน้อย จับกระบี่หนักไว้ในมืออย่างมั่นคง เหมือนมันทำได้ตามใจสั่ง

ถึงคุณภาพของกระบี่เล่มนี้แค่ระดับชั้นล่าง แต่เพราะวัตถุดิบที่ใช้หลอมเยอะมาก พลานุภาพก็ไม่ด้อยไปกว่าขั้นดินกลาง

แต่กระบี่ที่หนักขนาดนี้ นักยุทธ์ทั่วไปใช้แรงค่อนข้างเยอะ มีเพียงนักยุทธ์กลั่นร่าง ที่เหมาะสมกับการใช้งาน

หลัวซิวพอใจกับกระบี่เล่มนี้มาก เขาตวัดมันไปมา และเดินเข้าไปในห้อง

“ขอบพระคุณผู้อาวุโส” เห็นสีหน้าเหนื่อยล้าของผู้เฒ่าผมแดง หลัวซิวเอ่ยขอบคุณอย่างจริงใจ

“ไม่ต้องมาพูดมีพิธีรีตอง หลอมนักยุทธ์ให้นาย ฉันสูญเสียพลังไปเยอะมาก เพราะฉะนั้นต้องมีค่าตอบแทนเพิ่มเติม” ผู้เฒ่าผมแดงเบะปากพูด

หลัวซิวอดหัวเราะไม่ได้ รู้จักกันมาได้สองสามวัน กลับรู้ว่าผู้อาวุโสจุนหลู่คนนี้ เป็นคนนิสัยตรงไปตรงมา

“ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสต้องการค่าตอบแทนอะไร” เขาก็ถามออกมาตรงๆ

“ยาอสูรขั้น5 หนึ่งเม็ด!” สีหน้าของผู้เฒ่าผมแดง ดูมีรอยยิ้ม “นายมีเขี้ยวของเสือสองหัวเขมือบลึก น่าจะมียาอสูรด้วยใช่ไหม”

เสือสองหัวเขมือบลึก เป็นอสูรขั้น5 ที่พบได้ยาก ผู้เฒ่าผมแดงไม่รู้ว่าหลัวซิวไปเอาเขี้ยวเสือมาจากไหน เขาสนใจแค่ว่ามียาอสูรหรือเปล่า

ยาอสูร เป็นยาที่อยู่ในร่างกายอสูรขั้น5 เท่านั้น มีประโยชน์ในด้านค่ายกล การกลั่นยา การหลอมอาวุธ เป็นอย่างมาก

“ได้สิ นี่ไง” หลัวซิวยิ้ม จากนั้นจึงดีดนิ้ว ยาอสูรสีดำหนึ่งเม็ด ลอยไปยังผู้เฒ่าผมแดง

“หึหึ สมบัติชั้นดี!” ผู้เฒ่าผมแดงยื่นมือมาคว้า ด้วยสีหน้าดีใจ

“อืม เป็นสมบัติชั้นดีจริงๆ”

หลัวซิวก็มองกระบี่ยุทธ์ในมือ ที่ยังมีไอความร้อนจากเตาหลอม ยิ่งมองยิ่งชอบ

“ในเมื่อสร้างจากเหล็กเสวียนหยินกับกับเขี้ยวเสือสองหัวเขมือบลึก งั้นชื่อกระบี่อาถรรพ์ฟันเสือแล้วกัน!”

ใช้เวลาเก้าวัน ถึงหลอมกระบี่อาถรรพ์ฟันเสือได้สำเร็จ กระบี่เล่มนี้ เรียกได้ว่าเป็นกระบี่เล่มแรก ที่เหมาะกับหลัวซิวอย่างแท้จริง

อาจารย์จุนหลู่ คนที่หลอมกระบี่ มีนิสัยแปลกประหลาด พูดตรงไปตรงมา บางทีคิดจะโกรธก็โกรธ แต่ฝีมือการหลอมอาวุธของเขาไม่เลวจริงๆ

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 276 ผู้เฒ่าผมแดง

 

บนโลกนี้ อำนาจใหญ่ต่างๆ จำนวนมาก พากันแย่งชิงแหล่งฝึกตน

แต่ก็มียอดฝีมือลึกลับบางส่วน ที่ไม่ก้าวก่ายทางโลก

ปรมาจารย์หลอมอาวุธ ที่หลินเจียเอ๋อร์พูดถึง เป็นยอดฝีมือลึกลับ แม้อยู่ในเมืองร้างแห่งนี้ คนที่รู้จักเขาก็มีไม่มาก

ส่วนเหตุที่หลินเจียเอ๋อร์รู้ว่ามีปรมาจารย์หลอมอาวุธ เพราะพ่อของเธอ ซึ่งก็คือหัวหน้าหอหย่งชาง เคยเป็นเพื่อนเก่ากับปรมาจารย์หลอมอาวุธท่านนี้

เมืองร้างใหญ่มาก หลินเจียเอ๋อร์บอกให้คนอื่นกลับไปก่อน ตัวเองพาหลัวซิวเดินในเมืองประมาณครึ่งชั่วยาม จึงมาถึงในซอยเล็กๆ ที่ค่อนข้างทรุดโทรม

หน้าห้องที่มีรอยด่างดำบนกำแพง มันดูเอียง เหมือนจะถล่มได้ตลอดเวลา หลินเจียเอ๋อร์ชะงักฝีเท้าลง “ที่นี่แหละ พ่อบอกว่าเขาเป็นปรมาจารย์หลอมอาวุธขั้น5 ซ่อนตัวอยู่ที่นี่เป็นเวลาเกือบร้อยปีแล้ว นิสัยค่อนข้างแปลกประหลาด ฉันก็ไม่มั่นใจว่าจะยอมหลอมนักยุทธ์ให้นายหรือเปล่า”

ระหว่างพูด หลินเจียเอ๋อร์เดินเข้าไป เคาะประตูเบา แล้วพูดเบาๆ ว่า “ผู้อาวุโสจุนหลู่ ผู้น้อยหลินเจียเอ๋อร์ มีสหายคนหนึ่งอยากให้ผู้อาวุโสช่วยหลอมนักยุทธ์ให้”

ประตูไม้ผุพังสั่นเล็กน้อย ใบหน้าที่ก่อตัวจากเปลวไฟ ปรากฏบนประตูไม้ เสียงแหบพร่า “เธอเป็นลูกสาวของหลินโยว่เทียนเหรอ แต่ข้าไม่ช่วยตามอำเภอใจหรอก”

สายตาของใบหน้าเปลวไฟ ไปหยุดลงที่หลัวซิว พูดเนิบๆ ว่า “ในเมื่อเป็นคนที่ลูกสาวของสหายเก่าพามา ให้ข้าช่วยก็ได้ นายจะหลอมนักยุทธ์ระดับไหนล่ะ ถ้าต่ำกว่าขั้นดินก็ไม่ต้องพูดแล้ว”

“ขั้นดิน” หลัวซิวเอ่ยปาก

“เข้ามาสิ” ใบหน้าเปลวไฟเอ่ยขึ้น และหายแวบไปทันที ประตูไม้ผุพัง เปิดออกช้าๆ

หลัวซิวกับหลินเจียเอ๋อร์เดินเข้ามาด้วยกัน เห็นว่าในห้องดูสร้างสรรค์และน่าค้นหา

ดูภายนอก ห้องนี้ผุพังทรุดโทรม ยากจะจินตนาการว่าเป็นที่อยู่ของปรมาจารย์หลอมอาวุธ

แต่หลังเข้ามาพบว่า ในห้องเต็มไปด้วยพลังจิตไฟอย่างรุนแรง พื้นที่ข้างในใหญ่มาก มีเตาหลอม โต๊ะหลอมอาวุธ บ่อน้ำ วางอยู่ตรงกลาง

อีกทั้งกำแพงรอบๆ มีลายเส้นและสัญลักษณ์ค่ายกล สลักเพิ่มความแข็งแกร่ง ล็อกไม่ให้ลมปราณหลุดออกไปด้านนอก

มุมหนึ่งในห้อง มีนักยุทธ์วางเรียงรายอยู่ มีทั้งดาบปืนกระบี่ง้าว อีกทั้งระดับของนักยุทธ์แต่ละอัน ล้วนอยู่ในระดับนักยุทธ์ระดับชั้นล่าง

นี่เป็นปรมาจารย์หลอมอาวุธขั้น5 อย่างไม่ต้องสงสัย ถึงดีไม่เท่าราชายุทธ์ปู้เฉิน แต่ก็ไม่ห่างกันมากเท่าไร

ขณะเดียวกัน หลัวซิวก็สังเกตปรมาจารย์หลอมอาวุธขั้น5 ท่านนี้ เป็นผู้เฒ่าที่ผมแดงเหมือนเปลวไฟ บนตัวสวมชุดคลุมยาวเทา อ่านหนังสือโบราณในมือ ที่เป็นสีเหลืองจากความเก่า อย่างใจจดใจจ่อ

“ไอ้หนุ่ม เอาวัตถุดิบที่นายจะใช้หลอมนักยุทธ์ออกมา อีกทั้งข้าหลอมอาวุธให้คนอื่น ต้องมีค่าตอบแทนเป็นหินพลังจิตชั้นกลางร้อยก้อน” ผู้เฒ่าผมแดงปิดหนังสือโบราณลง วางไว้อีกข้าง แล้วเอ่ยขึ้น

หินพลังจิตชั้นกลางร้อยก้อน เท่ากับหินชั้นล่างหมื่นก้อน ค่าตอบแทนนี้ดูแพงสักหน่อยเพราะราคานักยุทธ์ระดับชั้นล่างชิ้นหนึ่ง โดยทั่วไปแค่หินชั้นล่างสองหมื่นก้อนเท่านั้น

แต่หลัวซิวต้องการสร้างนักยุทธ์ ที่ตรงตามความต้องการของตัวเอง ต้องจ่ายแพงหน่อย ก็ถือว่ายังสมเหตุสมผล

เมื่อคิดได้เช่นนี้ หลัวซิวไม่ครุ่นคิดเยอะ เอาหินพลังจิตชั้นกลางออกมาร้อยก้อน

ผู้เฒ่าผมแดงไม่แม้แต่จะมอง ยกมือขึ้นมาเก็บหินพลังจิต พูดด้วยเสียงแหบพร่า “หินพลังจิตชั้นกลางร้อยก้อน เป็นค่าตอบแทนขั้นพื้นฐาน จากระดับวัตถุดิบที่นายเอามา รวมถึงความยากง่ายของการหลอมนักยุทธ์ ข้าจะเก็บค่าตอบแทนเพิ่มเติมด้วย”

เมื่อหลัวซิวได้ยิน ก็อดอึ้งไปไม่ได้ คิดในใจว่าหลินเจียเอ๋อร์พูดไม่ผิด ตาเฒ่านี่นิสัยประหลาดตามคาด มีค่าตอบแทนเพิ่มเติม แต่ไม่บอกก่อน เพิ่งบอกตอนที่เก็บหินพลังจิตชั้นกลางไปแล้วร้อยก้อน

ไม่รอให้หลัวซิวได้พูด ผู้เฒ่าผมแดงพูดขึ้นมาอีกว่า “ข้าหลอมนักยุทธ์ให้นาย นายห้ามไปพูดกับคนอื่น ตอนนี้เอาวัตถุดิบที่นายจะหลอมนักยุทธ์ออกมา”

หลัวซิวไม่ได้พูดอะไร เอาเขี้ยวยาวที่ส่องแสงเย็นยะเยือกออกมาจากแหวนเก็บของ

“เขี้ยวอสูรกายขั้น5 เหรอ” ผู้เฒ่าผมแดงหรี่ตาลง และรีบมองอย่างละเอียดอีกครั้ง จู่ๆ แววตาเป็นประกาย “แถมยังเป็นเขี้ยวเสือสองหัวเขมือบลึก อสูรกายขั้น5 ด้วย”

ผู้เฒ่าผมแดงมองเขี้ยวเสือแวบเดียว ก็ดูออกว่ามาจากไหน แต่หลัวซิวกลับไม่แปลกใจ ปรมาจารย์ที่เชี่ยวชาญด้านการหลอมอาวุธ สัมผัสวัตถุดิบมานับไม่ถ้วน มีความรู้เกี่ยวกับวัตถุดิบในการหลอมอาวุธ เป็นเรื่องปกติมาก

จากนั้น หลัวซิวเอาเหล็กเสวียนหยิน ขนาดประมาณกำปั้นออกมาก้อนหนึ่ง

“เหล็กเสวียนหยินขั้น5” แววตาของผู้เฒ่าผมแดงเป็นประกายอีกครั้ง “นี่เป็นสมบัติอย่างดี ที่มีในแดนหยินสุดขั้วเท่านั้น”

จากนั้นหลัวซิวก็เอาวัตถุดิบออกมาอีกสองสามชนิด ล้วนอยู่ในขั้น5 ทั้งนั้น อีกทั้งยังเป็นวัตถุดิบที่เป็นAttrหยิน

สำหรับวัตถุดิบที่แฝงAttrความตาย ระดับสูงกว่านี้ หลัวซิวยังไม่เคยเห็นมาก่อน

ในความเป็นจริง ถ้าเพิ่มวัตถุดิบAttrหยาง ไปสักหน่อย นักยุทธ์ที่หลอมรวมหยินหยาง จะเป็นตัวช่วยในการยกระดับพละกำลังของเขา มากยิ่งขึ้นไปอีก

แต่การหลอมนักยุทธ์ก็เหมือนการฝึกยุทธ์ วัตถุดิบที่มีคุณสมบัติตรงข้ามกันอย่างชัดเจน แทบจะไม่สามารถหลอมรวมกันได้ หลัวซิวก็ไม่คิดว่าผู้เฒ่าผมแดงคนนี้จะทำได้

ถึงเป็นนักหลอมสมบัติในสมัยโบราณ คนที่สามารถหลอมรวม สิ่งที่มีคุณสมบัติตรงข้ามกันอย่างชัดเจน อย่างเช่นน้ำแข็งกับไฟ หยินกับหยาง ความเป็นกับความตาย ก็มีอยู่น้อยมาก อีกทั้งยังใช้วิชาลับสุดพิเศษมาเป็นตัวช่วย

เห็นวัตถุดิบที่หลัวซิวเอาออกมา ผู้เฒ่าผมแดงพยักหน้า ราวกับพอใจเป็นอย่างมาก จากนั้นจึงพูดว่า “วัตถุดิบถือว่าไม่เลว ควรค่าแก่การให้ข้าลงมือ นังหนูหลิน เธอไปได้แล้ว ข้าไม่ชอบให้คนมาดู เวลาหลอมนักยุทธ์”

“ส่วนไอ้หนุ่มนี่ อยู่ต่อได้” ผู้เฒ่าผมแดงชี้ไปที่หลัวซิว

หลินเจียเอ๋อร์ทำความเคารพอย่างนอบน้อม และออกจากห้อง

“วัตถุดิบที่นายเอาออกมา ล้วนเป็นAttrหยิน ที่อยู่ในสองระดับหยินหยาง นายน่าจะฝึกตนวิชาที่เอนเอียงไปทางAttrหยินสินะ” ผู้เฒ่าผมแดงถามขึ้น

หลัวซิวพยักหน้า ผายฝ่ามือขึ้นมาช้าๆ เพลิงมรณะลุกโชนขึ้นมา

“เปลวไฟแข็งแกร่งจริงๆ” ผู้เฒ่าผมแดงหรี่ตาลง “เปลวไฟของนาย ไม่ได้แฝงAttrหยิน แต่เป็นAttrความตาย! อีกทั้งระดับความแข็งแกร่งของเปลวไฟ นักหลอมอาวุธขั้น4 ที่เป็นชีวีอัคคีแท้ จำนวนมาก ก็ไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนนาย”

หลัวซิวคิดไม่ถึงว่าผู้เฒ่าผมแดงจะดูออกว่าพลังจิตแท้ของเขา มีAttrความตายแฝงอยู่ สีหน้าของเขาตกใจและหวาดระแวง

ปฏิกิริยาของเขาอยู่ในสายตาของผู้เฒ่าผมแดง แต่กลับเห็นอีกฝ่ายเบะปาก ยิ้มเย็นชาแล้วพูดว่า “ไม่ต้องกลัวว่าข้าจะสนใจวิชาฝึกตนของนายหรอก ข้าฝึกตนวิชาธาตุไฟที่เอนเอียงไปทางAttrหยาง ถึงนายเอาวิชาให้ข้า ข้าก็ไม่สามารถฝึกตนได้”

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 275 ฆ่าหมาป่าทมิฬ

 

ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว หมาป่าทมิฬที่กระโจนมาหาหลัวซิวทุกตัว ร่วงลงบนพื้น เลือดไหลนองเหมือนน้ำ หน้าผากละเอียดเป็นผุยผง

จากตัวสำนึกราชายุทธ์ขั้น2 ของหลัวซิวในตอนนี้ ใช้วิชาลับจู่โจมวิญญาณในพลังก่อรวมวิญญาณ สามารถฆ่าตัวหยังรู้ของปรมาจารย์ยุทธ์ฝึกจิตขั้นปฐมภูมิได้อย่างง่ายดาย

ส่วนฝึกจิตขั้นกลางขึ้นไป โดนการโจมตีจู่โจมวิญญาณ ไม่ตายก็บาดเจ็บสาหัส

ยิ่งไปกว่านั้น ผลการฝึกตนของหลัวซิว อยู่ในแดนฝึกจิตขั้น7 เจอกับหมาป่าทมิฬที่พละกำลังแข็งแกร่งสุดแค่ฝึกจิตระดับ5 แน่นอนว่ามีพละกำลังในการบดขยี้

ตู้ม!

หลัวซิวเข้าไปใกล้หมาป่าทมิฬฝึกจิตระดับ5 ตัวหนึ่ง ด้วยความเร็วดั่งสายฟ้า กระบี่ยุทธ์ด้านหลังยังไม่ออกจากฝัก เขาเหวี่ยงหมัดออกไป แสงกระบี่เปลวไฟดำก่อตัวพุ่งออกไป ฟาดฟันลงบนตัวของหมาป่าทมิฬอย่างรุนแรง

ตัวของหมาป่าทมิฬโดนฟันจนแยกเป็นสองส่วน เลือดทะลักออกมา เลอะเต็มพื้นที่รกร้าง

นี่เป็นการบดขยี้ของพละกำลัง ภายในเวลาอันรวดเร็ว ถูกบดขยี้อยู่ฝ่ายเดียว ไม่มีโอกาสให้ตั้งตัว โดนฆ่าตายในพริบตา

ระบบนักยุทธ์ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรืออสูรกาย ล้วนเคร่งครัดกับระดับขั้น ผู้ที่มีแดนฝึกตนสูง ก็สามารถบดขยี้ผู้ที่ต่ำกว่า ยิ่งไปกว่านั้น หลัวซิวไม่เพียงแต่มีแดนฝึกตนสูง แถมยังเป็นคนประหลาด ที่สามารถท้าประลองฆ่าคู่แข่งข้ามขั้นได้อีกด้วย

หลัวซิวปรากฏตัวในระยะเวลาสั้นๆ การต่อสู้ได้จบลงแล้ว

หมัดเดียวระเบิดหมาป่าทมิฬสิบกว่าตัว

ฆ่าหมาป่าทมิฬสิบตัวภายในระยะเวลาสั้นๆ

ฆ่าหัวหน้าหมาป่าทมิฬระดับฝึกจิตขั้น5 3 ตัว ได้ภายในสามหมัด!

เจอหลัวซิวที่มีพละกำลังบดขยี้ฝึกจิต แดนใหญ่เช่นนี้ ฝูงหมาป่าทมิฬ ไม่มีโอกาสแม้แต่จะหนี

ขณะนั้นหลัวซิวหันหน้ามาช้าๆ สายตาหยุดลงที่หลินเจียเอ๋อร์ ที่โดนนักยุทธ์สิบกว่าคน คุ้มกันอยู่ตรงกลาง

นักยุทธ์หอหย่งชางจำนวนมาก ล้วนมีสีหน้าตระหนก เพราะชื่อเสียงดุดันในภายนอกของหลัวซิว ฆ่าคนนับไม่ถ้วน ขืนมีเจตนาไม่ดีขึ้นมา พวกเขาคงต้านทานไม่ได้

หลัวซิวสังเกตเห็นสีหน้าของคนพวกนี้ แต่เขาไม่สนใจ เพราะบนโลกนี้ บางครั้งก็จำเป็นต้องทำให้คนกลัวคุณ จะได้ไม่ถูกใครก็ได้มาหาเรื่องคุณ ลดความวุ่นวายไปได้มาก

บางครั้งก็จำเป็นต้องไม่ทำตัวเป็นจุดสนใจ และบางครั้งการไม่ทำตัวให้เป็นจุดสนใจ ก็ทำให้คนเข้าใจว่ารังแกได้ง่าย

คนอื่นจะมองเขายังไง หลัวซิวไม่สนใจสักนิด เขาฆ่าคนเยอะมากก็จริง แต่ก็เป็นคนที่สมควรโดนฆ่า ไม่ได้ทำผิดต่อเจตนาของตัวเอง

ยิ่งไปกว่านั้นพวกผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์ในตำนาน มีคนไหนที่ไม่ได้เหยียบย่ำศพนับไม่ถ้วน เพื่อขึ้นไปยังจุดที่แข็งแกร่ง มีใครไม่หวังเป็นผู้แข็งแกร่งสูงสุดบ้าง

“ขอบใจ……” หลินเจียเอ๋อร์เดินเข้ามา เอ่ยขอบคุณ

“ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่” หลัวซิวถามอย่างสงสัย

เขตการปกครองโตว้ไห่ห่างจากสถานที่รกร้างทางเหนือมาก ถึงนั่งค่ายวาร์ป ก็ต้องใช้เวลาเดือนกว่า กว่าจะมาถึง

ถ้าบอกว่ามาฝึกประสบการณ์ที่สถานที่รกร้างทางเหนือ บริเวณเขตการปกครองโตว้ไห่ ก็มีสถานที่เหมาะสมมากมาย ให้ปรมาจารย์ฝึกจิตฝึกประสบการณ์

นี่จึงเป็นจุดที่หลัวซิวสงสัย

“ฉันมาฝึกประสบการณ์ที่นี่ ถึงที่เขตการปกครองโตว้ไห่ ก็มีที่ให้ฝึกประสบการณ์ แต่ถ้าเทียบกับสถานที่รกร้าง ยังห่างชั้นกันสักหน่อย” หลินเจียเอ๋อร์พูด

สถานที่รกร้างทางเหนือ เป็นสวรรค์ของอสูรกาย เพราะพื้นที่แห่งนี้ขาดแคลนทรัพยากร ไม่มีอำนาจไหนเลือกมาสร้างฐานที่นี่ ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ที่นี่จึงกลายเป็นถิ่นของฝูงอสูรกายนับไม่ถ้วน

เพราะบนโลกใบนี้ นักยุทธ์ที่เป็นมนุษย์ก็ยังครอบครองตำแหน่ง ภายใต้การไล่ล่ากดขี่ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ทำให้พื้นที่การใช้ชีวิตของอสูรกายลดลงอย่างต่อเนื่อง จึงทำได้เพียงใช้ชีวิตในพื้นที่ขาดแคลนเช่นนี้

เมื่อเป็นเช่นนี้ สถานที่รกร้างที่เคยขาดแคลน เพราะมีอสูรกายอาศัยอยู่ กลับกลายเป็นพื้นที่ล้ำค่า ที่เต็มไปด้วยวัตถุดิบของอสูรกาย!

ไม่ว่าจะเป็นค่ายกล กลั่นยา หรือหลอมอาวุธ หลอมสมบัติ ในนั้นมีหลายวัตถุดิบ ที่ต้องเอาจากตัวอสูรกาย วัตถุดิบพวกนี้มีอยู่ประจำตัวอสูรกายเท่านั้น ดังนั้นจึงมีนักยุทธ์จำนวนมาก มาออกล่าที่สถานที่รกร้างทางเหนือ

อำนาจใหญ่ต่างๆ ในประเทศเทียนหวู ก็ส่งนักยุทธ์มาสร้างทีมล่าที่นี่เหมือนกัน ล่าอสูรกาย เพื่อเก็บวัตถุดิบต่างๆ โดยเฉพาะ

เช่นเดียวกัน ความเสี่ยงและโอกาสมั่งคั่งเป็นของคู่กัน อสูรกายที่นี่เยอะ วัตถุดิบก็เยอะ ความเสี่ยงและอันตรายก็มากเช่นกัน

ในสถานที่รกร้าง มีกำแพงเมืองขนาดใหญ่ ที่มนุษย์สร้างขึ้น เรียกว่าเมืองร้าง

บนแผนที่ที่หลัวซิวได้มา ทำเครื่องหมายที่ตั้งของกำแพงเมืองนี้เอาไว้ ระยะห่างจากที่นี่ประมาณร้อยลี้ หมิงต๋ากะจะหนีออกไปขอความช่วยเหลือที่เมืองร้าง

หลัวซิวจะไปตำแหน่งที่มีภูตอัคคี ก็ผ่านเมืองร้าง จึงร่วมทางไปกับหลินเจียเอ๋อร์

ระหว่างทางไปเมืองร้างข้างหน้า นักยุทธ์หอหย่งชางสิบกว่าคน ไม่กล้าเข้าไปคุยกับหลัวซิว จอมยุทธ์ใหญ่พรสวรรค์ที่ชื่อว่าหมิงต๋า ตอนแรกเขาไม่รู้ว่าเป็นหลัวซิว เมื่อรู้แล้ว ก็มีสีหน้าระแวดระวัง แววตามีความเคารพและหวาดกลัว

มีเพียงหลินเจียเอ๋อร์ ที่คุยกับหลัวซิวเป็นระยะ โดยเฉพาะเรื่องในแดนปริศนา เธออยากรู้เป็นอย่างมาก

เมืองร้าง อยู่กลางป่า กำแพงเมืองสูงและหนาแข็งแรง มีลายเส้นสัญลักษณ์ค่ายกล สลักอยู่ข้างบนนับไม่ถ้วน

อีกทั้งบนกำแพงเมืองยังมีรอยกรงเล็บและเขี้ยวบางส่วน เห็นได้ชัดว่ากำแพงเมืองนี้ ผ่านทั้งลมฝนและการต่อสู้เข่นฆ่ามาเป็นเวลานาน

เพราะที่นี่เป็นเมืองร้าง นักยุทธ์ที่เป็นมนุษย์ สร้างกำแพงเมืองที่นี่ มักจะโดนอสูรกายจู่โจม

ที่เขตการปกครองโตว้ไห่ หอหย่งชางเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในสามอำนาจใหญ่ แต่ถ้าอยู่ในประเทศเทียนหวู ไม่ถือว่ามีอำนาจเท่าไร

ในเมืองร้างมีอำนาจเยอะมาก ราวกับแต่ละอำนาจล้วนมีธุรกิจที่นี่ แบ่งปันผลประโยชน์ ในสถานที่รกร้างที่เต็มไปด้วยอสูรกาย

ในเมืองร้าง หอหย่งชางมีร้านค้าหนึ่งร้าน ทำธุรกิจเกี่ยวกับวัตถุดิบอสูรกาย มีปรมาจารย์ฝึกจิตทั้งหมดสี่ท่าน มีจอมยุทธ์พรสวรรค์ขั้น8 และขั้น9 ยี่สิบกว่าคน มักจะไปล่าอสูรกายลึกลงไปในที่รกร้าง เพื่อล่าวัตถุดิบ

“ในเมืองร้างไม่มีนักหลอมอาวุธเหรอ” เมื่อหลัวซิวเข้ามาในเมือง จึงถามหลินเจียเอ๋อร์

เธอมาฝึกประสบการณ์ในสถานที่รกร้าง ประมาณหนึ่งปีแล้ว ค่อนข้างเข้าใจสภาพการณ์ของที่นี่

การที่ถามเรื่องนักหลอมอาวุธ เพราะหลัวซิวอยากหลอมกระบี่ยุทธ์ ที่เหมาะสมกับตัวเอาสักเล่ม ถึงกระบี่ยุทธ์ที่เขาใช้ตอนนี้ เป็นขั้นดินกลาง ระดับสูงมาก แต่ไม่ค่อยเหมาะกับตัวเอง

สำหรับนักยุทธ์แล้ว นักยุทธ์ที่เก่งอย่างแท้จริง ไม่ใช่ระดับยิ่งสูงยิ่งดี แต่ยิ่งเหมาะสมกับตัวเอง ถึงจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

ในปัจจุบันวิชาหลอมอาวุธได้สูญหายไปแล้ว หลัวซิวจึงทำได้เพียงใช้สิ่งที่มีไปก่อน ตามหาความช่วยเหลือจากนักหลอมอาวุธ

เขาเป็นทั้งนักกลั่นยากับนักค่ายกล ควบคู่กันสองประเภท แต่มีเพียงการหลอมอาวุธ ที่เขาไม่เชี่ยวชาญ

“นายอยากหลอมนักยุทธ์เหรอ” หลินเจียเอ๋อร์เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ฉันรู้ว่าในเมืองมีปรมาจารย์หลอมอาวุธอยู่ท่านหนึ่ง แต่นิสัยของเขาค่อนข้างประหลาด……”

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 274 สหายเก่าบุกมา

 

ชายวัยกลางคนเข้าใจว่าเมื่อหนุ่มคนนี้ได้ยินว่า หมาป่าทมิฬที่มีระดับฝึกจิตขั้น5 จะหน้าเปลี่ยนสี และออกไปอย่างสิ้นหวัง ไม่ยอมไปเสี่ยง แต่สีหน้าของหลัวซิวยังคงสงบ ไม่สะทกสะท้านสักนิด

เขายังไม่ทันได้พูดคำอื่น จากนั้นชายวัยกลางคนรู้สึกว่าตัวเองตัวเบา โดนชายหนุ่มชุดคลุมดำ คว้าไหล่ลอยขึ้นไปบนฟ้า แถมยังบินไปด้วยความเร็วสูง

เหาะเหินเดินฟ้า แดนฝึกจิต!

ในตาของชายวัยกลางคน ดูมีความหวัง ไม่แน่คนๆ นี้อาจช่วยคุณหนูใหญ่ออกมาจริงๆ ก็ได้

ระยะเวลาสั้นๆ หลัวซิวบินมายังจุดหมายเร็วดั่งสายฟ้า เห็นพื้นที่รกร้างด้านล่าง นักยุทธ์ของหอหย่งชางสิบกว่าคน กำลังคุ้มกันหญิงสาวคนหนึ่งไว้ตรงกลาง

บริเวณรอบๆ นักยุทธ์เหล่านี้ เป็นอสูรกาย 30 กว่าตัว รูปร่างกำยำเหมือนวัว ดวงตาสองข้างแดงก่ำ ปกคลุมด้วยขนสีทองทั้งตัว เขี้ยวยาว กรงเล็บดุร้าย

ข้างหลังหมาป่าทมิฬฝูงนี้ มีหมาป่าทมิฬที่ร่างกายใหญ่ที่สุด 3 ตัว สูงประมาณ 2 เมตรกว่า ลมปราณที่แผ่ออกมาจากแต่ละตัว ทัดเทียมกับปรมาจารย์ฝึกจิตขั้น5

พื้นดินบริเวณรอบๆ มีคราบเลือด อีกทั้งยังมีศพของหมาป่าทมิฬกับนักยุทธ์ เห็นได้ชัดว่าทั้งสองฝ่ายสู้กันอย่างดุเดือดมาแล้ว จึงทำให้เกิดการเป็นปรปักษ์กัน

“โฮก!”

จากนั้นมีเสียงคำรามดังขึ้น ฝูงหมาป่าโจมตีอีกครั้ง แต่ละตัวกระโจนขึ้นมา ง้างเขี้ยวและกรงเล็บอันดุดัน

นักยุทธ์หอหย่งชางจำนวนมาก เหมือนเจอกับศัตรูตัวฉกาจ ในบรรดาพวกเขาสิบกว่าคน ส่วนใหญ่เป็นจอมยุทธ์พรสวรรค์ขั้น 8 ถึงขั้น 9 มีเพียงผู้อาวุโสสองคน ที่ยืนอยู่ใกล้หลินเจียเอ๋อร์ มีผลการฝึกตนระดับฝึกจิตขั้น3

ส่วนตัวหลินเจียเอ๋อร์ ก็มีผลการฝึกตนระดับฝึกจิตขั้น3 เหมือนกัน

แต่ตอนนี้พวกเขาสามคน โดนลมปราณของหมาป่าทมิฬระดับฝึกจิตขั้น5 สามตัว เพ่งเล็งอยู่ ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม

“ทุกคนไม่ต้องตกใจ หมิงต๋าหนีออกไปได้แล้ว อีกไม่นานก็จะมีคนมาช่วย” อาวุโสฝึกจิตขั้น 3 เอ่ยขึ้น

ตู้ม!

ขณะที่การเข่นฆ่าของทั้งสองฝ่าย กำลังจะปะทุขึ้น ความแหลมคมแหวกอากาศ ปรากฏขึ้นมา เงาดำจากท้องฟ้า ลงมาตรงกลางระหว่างนักยุทธ์หอหย่งชางกับหมาป่าทมิฬ

ฝุ่นตลบอบอวล เศษหินกระจายไปทั่ว คนรูปร่างค่อนข้างซูบผอม ในชุดคลุมดำ ค่อยๆ ปรากฏขึ้น ในมือของเขายังหิ้วอีกคนอยู่ด้วย บนพื้นที่สองเท้าสัมผัสลงไป กลายเป็นหลุมขนาดใหญ่ แถมยังแตกร้าวเป็นรอยใยแมงมุม

ชายหนุ่มชุดคลุมดำ ที่ปรากฏตัวอย่างกะทันหัน ทำให้ฝูงหมาป่าทมิฬกับนักยุทธ์หอหย่งชาง พากันตกใจทั้งสองฝ่าย

โดยเฉพาะหลุมขนาดใหญ่กับรอยแตกร้าว ใต้เท้าของอีกฝ่าย ทำให้คนอดตกใจกับพละกำลังอันน่ากลัวของหนุ่มคนนี้ไม่ได้

เพราะบนตัวของเขาไม่มีลมปราณใดๆ เคลื่อนไหว ใช้ความแข็งแกร่งของร่างกาย สร้างสิ่งที่สะเทือนขวัญเช่นนี้

จากนั้น นักยุทธ์หอหย่งชาง สังเกตเห็นคนที่ชายหนุ่มชุดคลุมดำหิ้วอยู่ เป็นหมิงต๋าที่หนีออกไปขอความช่วยเหลือ

นี่ทำให้คนของหอหย่งชาง แสดงสีหน้าดีใจอย่างอดไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าการปรากฏตัวของคนๆ นี้ ต้องเป็นยอดฝีมือที่หมิงต๋าเชิญมาแน่นอน

หลินเจียเอ๋อร์ที่โดนนักยุทธ์จำนวนมาก คุ้มกันไว้ตรงกลาง ขมวดคิ้วขึ้นมา มองเงาดำข้างหน้าเขม็ง รู้สึกคุ้นเล็กน้อย

แต่ฝูงหมาป่าทมิฬที่อยู่ตรงข้าม ไม่เกรงใจสักนิด หมาป่าทมิฬสิบกว่าตัวด้านหน้า กระโจนเข้ามา โหดเหี้ยมดุดันอย่างเห็นได้ชัด

หลัวซิวยกยิ้มเย็นชา ง้างมือขึ้นมาสะบัด โยนชายวัยกลางคนที่หิ้วอยู่ ไปทางนักยุทธ์หอหย่งชาง ที่อยู่ด้านหลัง จากนั้นก็ขยับตัว พุ่งเข้าไปข้างหน้า การกระทำเร็วดั่งสายฟ้าสีดำ

พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก!……

ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว หมาป่าทมิฬสิบกว่าตัวที่กระโจนเข้ามา กระเด็นออกไปเหมือนโดนฟ้าผ่า ร่างขนาดประมาณวัว ระเบิดแตกเป็นเสี่ยงๆ กลางอากาศ

ขณะนั้น หลัวซิวจึงชักหมัดกลับมาช้าๆ ใช้พละกำลังของร่างกาย จัดการกับหมาป่าทมิฬสิบกว่าตัว ที่พละกำลังทัดเทียมกับฝึกจิตขั้น1 จนราบคาบ!

หมาป่าทมิฬ เป็นอสูรกายขั้น4 หมาป่าทมิฬทั่วไป ทัดเทียบกับปรมาจารย์ยุทธ์ฝึกจิตขั้น1

ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว การกระทำเร็วดั่งสายฟ้า ทำให้พวกนักยุทธ์หอหย่งชาง ที่อยู่ด้านหลัง อ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกใจ

ผู้อาวุโสฝึกจิตขั้น3 ทั้งสองคน ที่คุ้มครองข้างกายหลินเจียเอ๋อร์ ก็มีสีหน้าเคร่งครึม ถึงแม้เป็นพวกเขา ก็ไม่สามารถระเบิดหมาป่าทมิฬสิบกว่าตัว ภายในเวลาเดียวกันได้ ถึงกระทั่งที่ปะทะกัน จัดการหมาป่าทมิฬด้วยกำลังทั้งหมด ก็ไม่สามารถทำได้อย่างคล่องแคล่วว่องไวแบบนี้

“แข็งแกร่งมาก” หลินเจียเอ๋อร์ก็ยกมือมาปิดปากแดงระเรื่อ ตกใจเป็นอย่างมาก

“หมิงต๋า นายไปหาคนแบบนี้มาจากไหนกัน” สายตาของคนหอหย่งชาง ต่างพากันมองไปยังชายวัยกลางคน ที่โดนหลัวซิวโยนมา

“ฉันหนีไปได้ไม่ไกลก็เป็นลม คนนี้ช่วยฉันเอาไว้ เดิมทีเขาจะไม่ช่วยเรา แต่พอฉันพูดว่าคุณหนูใหญ่อยู่ที่นี่ เขาก็มา” หมิงต๋าพูดอธิบาย

“เป็นสหายเก่าของคุณหนูใหญ่เหรอ” ผู้อาวุโสฝึกจิตขั้น3 ทั้งสองคน หันไปมองหลินเจียเอ๋อร์

หลินเจียเอ๋อร์จ้องชายหนุ่มชุดคลุมดำเขม็ง ในหัวของเธอ มีภาพของคนที่ชอบสวมชุดคลุมดำแบบเดียวกัน ผุดขึ้นมา ทั้งสองค่อยๆ ซ้อนทับกัน

“เป็นเขาเหรอ”

ริมฝีปากแดงระเรื่อสั่นเบาๆ หลินเจียเอ๋อร์เม้มปาก พูดเบาๆ ว่า “ฉันว่าฉันรู้แล้วว่าเขาเป็นใคร”

“ใครเหรอ” ทุกคนอดแสดงสีหน้าสงสัยออกมาไม่ได้

“หลัวซิว เขายังมีชื่ออื่นอีกหนึ่งชื่อ ซิวหลัว!” หลินเจียเอ๋อร์เอ่ยขึ้น

“เป็นเขาเหรอ คนที่ฝ่าฟันเข้าไปในหอคอยมังกรบินชั้นที่ 7 ตอนอายุ 15 ปี ชายหนุ่มที่ฆ่าผู้ฝึกจิตนับไม่ถ้วน ซิวหลัวคนนั้นเหรอ” ทุกคนอดเบิกตาโตไม่ได้

ในประเทศเทียนหวู มีข่าวลือเกี่ยวกับหลัวซิวเยอะมาก โดยเฉพาะเขามีพลังไอสังหารที่น่ากลัว และใช้สิ่งนี้ฝึกเป็นห้วงยุทธ์โลกกระบี่ ว่ากันว่าปรมาจารย์ยุทธ์ระดับฝึกจิตที่ตายในมือเขา อย่างน้อยๆ ก็เกิน 20 คนขึ้นไป

“ได้ยินว่าเขาฆ่ายอดฝีมือของอำนาจใหญ่ต่างๆ ในแดนปริศนาเป็นจำนวนมาก”

“พละกำลังของเขา อย่างน้อยทัดเทียมกับฝึกจิตขั้น7 ครั้งนี้พวกเรามีหวังแล้ว”

เมื่อได้ยินว่าชายหนุ่มชุดคลุมดำที่มาช่วย ได้ฉายาในประเทศเทียนหวูว่า อัจฉริยะที่หาได้ยากในรอบหลายปี บนใบหน้าของนักยุทธ์หอหย่งชางจำนวนมาก ถึงกับโล่งใจ

ในใจหลินเจียเอ๋อร์อดหัวเราะอย่างขมขื่นไม่ได้ คิดย้อนไปตอนที่เธอเจอหลัวซิวครั้งแรก ได้ยินอาจารย์ของเธอชื่นชมเขา ตัวเองยังรู้สึกไม่พอใจ ถึงกับไม่สนใจอะไร

แต่ต่อมามีการต่อสู้แย่งชิงโควต้าจำนวนคน เขามีชื่อเสียงอย่างรวดเร็ว ชื่อเสียงสะเทือนฟ้าดิน ส่วนตัวเองกลับโดนคัดออก ไม่มีโชคเข้าไปในแดนปริศนา

……

หลังหลัวซิวระเบิดหมาป่าทมิฬสิบกว่าตัวด้วยหมัดเดียว หมาป่าสามตัวข้างหลังฝูงหมาป่า คำรามอย่างโมโห

ทันใดนั้น ฝูงหมาป่าบริเวณรอบๆ กระโจนเข้ามาพร้อมกัน ล้วนกระโจนเข้ามาหาเขา

ต่อมาเกิดภาพที่ทำให้ทุกคนตกตะลึง

หลัวซิวเผชิญกับการกระโจนเข้ามาของหมาป่าทมิฬสิบตัว เขายืนนิ่งที่เดิม และเอ่ยปากแค่คำเดียว

“ตาย!”

เสียงคำว่าตายดังก้อง เหมือนสัญญาณแห่งความตายของเทพมรณะ แค่พริบตา ในหัวของหมาป่าทมิฬทุกตัว ปรากฏเงากระบี่สีดำ

พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก!……

ครั้งนี้ไม่ใช่การโจมตีจากพละกำลังของร่างกาย แต่เป็นการจู่โจมวิญญาณทำลายตัวหยั่งรู้ หน้าผากของหมาป่าทมิฬแต่ละตัว ระเบิดออก เลือดกับไขสมองปะปนกัน กระจายไปทั่ว

 

 

 

บทที่ 273 คุณหนูใหญ่ของหอหย่งชาง

 

สถานที่รกร้างอันกว้างใหญ่ ลมพัดอย่างรุนแรง จากเมืองเทียนหวูมาถึงสถานที่รกร้างทางเหนือ หลัวซิวใช้เวลาเกือบหกวัน

ทว่าจะไปถึงตำแหน่งภูตอัคคี ที่ทำเครื่องหมายไว้บนแผนที่ อย่างน้อยต้องใช้ระยะทางสิบกว่าวัน

สถานที่รกร้างแห่งนี้ เป็นสวรรค์ของอสูรกาย ถ้าเดินทางในอากาศ อาจโดนอสูรกายบนฟ้าเพ่งเล็ง ดังนั้นหลัวซิวจึงทำได้เพียงซ่อนลมปราณ เดินไปตามทางที่เต็มไปด้วยกรวดหินดินทราย

ทันใดนั้น สายตาของหลัวซิวนิ่ง กระบี่ยุทธ์ดินด้านหลังออกจากฝัก เศษเงาใช้ความเร็วสุดขีด พุ่งเข้ามาทางเขา

พรวด!

จากนั้นเสียงร้องโอดครวญดังขึ้นมา เลือดสดสาดกระจายไปทั่ว อสูรกายสีดำทั้งตัว เหมือนกิ้งก่า ถูกฟันจนแยกเป็นสองส่วน ศพที่แตกออกร่วงลงมาบนพื้น

นี่เป็นอสูรกายระดับ3 ชื่อว่ากิ้งก่าเงาดำ พบบ่อยในสถานที่รกร้างทางเหนือ เชี่ยวชาญการลอบโจมตีอย่างรวดเร็ว

อสูรกายระดับนี้ มูลค่าของวัตถุดิบนตัว ไม่อยู่ในสายตาของหลัวซิว เขาสะบัดมือเอากระบี่ยุทธ์เก็บเข้าไปในฝัก และเดินไปต่อข้างหน้า

ในสถานที่รกร้าง บางครั้งจะเห็นต้นไม้ขนาดเล็ก และแผ่นหินของสวนหิน ที่ผ่านกาลเวลามานานจนหลุด และถูกลมแรงพัดลอยมา ระยะเวลาเพียงสองวัน หลัวซิวเจอการโจมตีของอสูรกายเป็นสิบครั้ง

สำหรับการเพ็ญตนของตัวเอง หลัวซิวไม่ได้ละทิ้ง การไปแดนปริศนา ทำให้เขาได้ยาวิเศษมาเยอะมาก กลั่นเป็นยาระดับ4 จำนวนมาก ที่ใช้เป็นตัวช่วยในการฝึกยกระดับผลการฝึกตน

เขารู้ดีว่าการหาภูตอัคคีฟ้าดินไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นก่อนที่จะมาสถานที่รกร้างทางเหนือ เขาก็เตรียมตัวมาอย่างดี

หลังผ่านไปครึ่งเดือน ผลการฝึกตนของหลัวซิวก้าวหน้าขึ้นไม่น้อย เกือบจะถึงแดนฝึกจิตขั้น8 แล้ว แค่ฝึกตนต่อไปอีกสักระยะ การฝ่าฟันไปถึงฝึกจิตขั้น8 ต้องสำเร็จอย่างแน่นอน

พื้นดินรกร้างอันกว้างใหญ่ หลัวซิวเอาแผนที่ออกจากแหวนเก็บของ เทียบเคียงกับจุดเครื่องหมายบนแผนที่ พบว่าระยะห่างจากตำแหน่งภูตอัคคี ยังมีระยะทางอีกไกล

ทันใดนั้น พลังฟ้าดินจิตเคลื่อนไหวมาจากข้างหน้าไกลสิบกว่าลี้ แอบได้ยินเสียงคำรามของอสูรกาย

จากนั้นหลัวซิวเห็นเงารางๆ ของคน ค่อยๆ ใกล้เข้ามา เนื้อตัวเต็มไปด้วยรอยเลือด เห็นเงาคนอยู่ไกลๆ เหวี่ยงแขนทั้งสองข้าง และล้มลงบนพื้น

เห็นได้ชัดว่า เมื่อกี้คนนี้เห็นหลัวซิว โบกมือเพราะต้องการความช่วยเหลือ

หลัวซิวขมวดคิ้วเบาๆ เขาหายตัวแวบไปมา แล้วปรากฏตัวข้างอีกฝ่าย นี่เป็นชายวัยกลางคน บนตัวมีป้ายบัญชาการ บนนั้นเขียนว่า ‘โลกยุทธ์หย่งชาง’

“คนของหอหย่งชางอย่างนั้นเหรอ” หลัวซิวมองชายคนที่บาดเจ็บ ยืนนิ้วไปกลางอากาศ เอาพลังแห่งชีวิตส่งเข้าไปในตัวของคนๆ นี้ ฟื้นฟูลายเส้นชีวิตที่ได้รับความเสียหาย

ภายใต้การรักษาของหลัวซิว ชายวัยกลางคนที่บาดเจ็บสะลึมสะลือ ค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา ลืมตามองเห็นหลัวซิว

“ขอบคุณน้องชายท่านนี้มาก……” ชายวัยกลางคนรู้สึกว่าอาการบาดเจ็บบนตัว ดีขึ้นเยอะ นอกจากอ่อนเพลีย ก็ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดใดๆ แล้ว ไม่รู้ว่าชายหนุ่มคนนี้ทำได้อย่างไร

“ไม่ต้องขอบใจ ได้เจอฉันถือว่านายโชคดี”

หลัวซิวหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ “ในเมื่อนายไม่เป็นอะไรแล้ว งั้นฉันขอลาก่อน”

หลังพูดจบ หลัวซิวหันหลังออกไป

ในสามอำนาจใหญ่ของเขตการปกครองโตว้ไห่ สำนักเหลยหวู่กับตระกูลกงซุน เคยเข้าร่วมเรื่องการล้อมโจมตี เหยียนเยว่เอ๋อร์ จักรพรรดิยุทธ์เทียนเฟิ่ง แต่กลับมีเพียงหอหย่งชาง ที่ไม่ได้เข้าร่วม ดังนั้นหลัวซิวไม่ได้คิดร้ายกับคนของหอหย่งชาง และถือโอกาสให้ความช่วยเหลือ

ความโหดเหี้ยมอาฆาตที่มี พุ่งเป้าเพียงแค่พวกที่เป็นศัตรูตัวเองเท่านั้น หรือไม่ก็คนที่ตัวเองคิดว่าเป็นศัตรู

การถือโอกาสช่วยเหลือ ไม่ได้นับประสาอะไรสำหรับหลัวซิว แต่เขาก็ไม่ใช่คนมีเมตตาอะไร สำหรับสาเหตุที่ชายวัยกลางคน ได้รับบาดเจ็บ เขาจึงไม่ได้ถาม

ไม่ใช่ว่าเขากลัวความวุ่นวาย แต่เพราะเป้าหมายสำคัญของการมาสถานที่รกร้างแห่งนี้ คือการตามหาภูตอัคคี จะให้เรื่องอื่นมาทำให้เสียเวลาไม่ได้

“ช้าก่อนสหาย……”

เห็นหลัวซิวหันหลังเดินไป ชายวัยกลางคนอึ้งไป จากนั้นจึงรีบตะโกนออกมา

หลัวซิวไม่หันกลับมา อีกทั้งยังไม่มีท่าทีที่จะชะงักฝีเท้า

“สหาย กลุ่มหอหย่งชางของเรา เจอการล้อมโจมตีของเหล่าอสูรกาย ขอแค่สหายยึดหลักคุณธรรมช่วยเหลือกัน หอหย่งชาง มีค่าขอบคุณให้อย่างมากมายแน่นอน!”

ชายวัยกลางคนรีบพูดอย่างรวดเร็ว เขาคิดว่า ถึงหนุ่มชุดคลุมยาวจะอายุน้อย แต่กล้ามาสถานที่รกร้างทางเหนือเพียงคนเดียว เห็นได้ชัดว่าพละกำลังไม่ธรรมดา

อย่างน้อยจากผลการฝึกตน จอมยุทธ์ใหญ่พรสวรรค์ขั้น9 ของเขา ไม่สามารถมองผลการฝึกตนของอีกฝ่ายว่าล้ำลึกแค่ไหน

หลัวซิวยังคงไม่ตอบ ตัวห่างออกไปเรื่อยๆ ไม่สนใจค่าขอบคุณอะไรที่ว่า

“น้องชาย ขอร้องล่ะ กลุ่มที่โดนล้อมโจมตี มีคุณหนูใหญ่หอหย่งชางของเรา……” ชายวัยกลางคนวิ่งตามมา ตะโกนอย่างสุดเสียง เพื่อโอกาสสุดท้าย

ระยะห่างของสถานที่รกร้างทางเหนือ ค่อนข้างไกลจากเขตการปกครองโตว้ไห่ กล่องส่งเสียงไม่สามารถส่งข่าวได้ และไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากภายนอก

วันนี้ความหวังทั้งหมด คงขึ้นอยู่กับปาฏิหาริย์และโชคชะตา

“คุณหนูใหญ่ของหอหย่งชางงั้นเหรอ”

หลัวซิวที่เดินไปไกลแล้ว ภายใต้การเฝ้ามองของชายวัยกลางคน หลัวซิวชะงักฝีเท้าลงอย่างอัศจรรย์

จากที่หลัวซิวรู้ หัวหน้าหอหย่งชาง มีลูกชายสองคน และลูกสาวหนึ่งคน ลูกสาวคนนี้คือหลินเจียเอ๋อร์ เป็นคุณหนูใหญ่ของหอหย่งชาง และเป็นศิษย์ที่เสิ่นหยวนหนาน หัวหน้าสาขาย่อยของเขตการปกครองโตว้ไห่ อบรมสั่งสอนด้วยตัวเอง

หัวหน้าเสิ่นหยวนหนานปฏิบัติกับหลัวซิวไม่เลวเลย ตอนนั้นสำนักเหลยหวู่ พาคนมาล้อมองค์กรนักล่ายุทธ์ หัวหน้าคนนี้ก็เป็นคนออกโรงเอง โจมตียอดฝีมือของสำนักเหลยหวู่ด้วยฝ่ามือเดียว ทำให้เหล่าผู้มีฝีมือต่างตกใจ

ต่อมาเขาสามารถตระหนักรู้ห้วงยุทธ์กระบี่สังหาร ก็เพราะความช่วยเหลือของหัวหน้าเสิ่นหยวนหนาน ทำให้เจอโอกาสฝ่าฟัน ท่ามกลางความสิ้นหวัง

ฐานะของคุณหนูใหญ่หอหย่งชาง หลัวซิวไม่ได้คิดว่าสำคัญอะไร แต่เธอเป็นศิษย์ของหัวหน้าเสิ่นหยวนหนาน เขาจะไม่ช่วยไม่ได้

หลัวซิวหันกลับมา หายตัวแวบมาตรงหน้าชายวัยกลางคน

“คุณหนูใหญ่ที่นายพูดถึง คือหลินเจียเอ๋อร์เหรอ” หลัวซิวถาม ถ้าใช่ เขาจะได้ช่วย ถ้าไม่ใช่เขาก็จะนิ่งดูดาย ไปตามหาภูตอัคคีต่อ

“ท่านชายรู้จักคุณหนูใหญ่ของเราเหรอ” ชายวัยกลางคนถามลองเชิง เพราะเขาไม่รู้ว่าคนๆ นี้ มีเจตนาร้ายกับคุณหนูใหญ่ของตัวเองหรือเปล่า

อีกทั้งสรรพนามที่เขาเรียกหลัวซิว เริ่มจากน้องชาย จนถึงสหาย และท่านชาย เพราะอีกฝ่ายช่วยตัวเอง และต้องการให้อีกฝ่ายไปช่วยคน แน่นอนว่าต้องพูดนอบน้อมอยู่แล้ว

หลัวซิวพยักหน้า รีบยกมือชี้ไปทางที่พลังจิตเคลื่อนไหวมาเมื่อครู่ แล้วพูดว่า “ทางนี้ใช่ไหม”

“ใช่ครับ” เมื่อเห็นอีกฝ่ายยอมช่วย ชายวัยกลางคนมีสีหน้าดีใจ

“เล่าสถานการณ์ให้ฉันฟังหน่อย” หลัวซิวถาม

เมื่อพูดถึงตรงนี้ ชายวัยกลางคนมีสีหน้าหนักใจ “สิ่งที่ล้อมโจมตีเราคือฝูงหมาป่าทมิฬ ประมาณ 30 กว่าตัว ในนั้นมีระดับฝึกจิตขั้น 5 อยู่ 3 ตัว”

ขณะพูด ชายวัยกลางคนสังเกตเห็นสีหน้าของหลัวซิว แม้เขารู้สึกว่าชายหนุ่มคนนี้คาดเดาได้ยาก แต่อายุยังน้อยมาก สามารถถึงระดับแดนฝึกจิตได้ นับว่าสุดยอดแล้ว ถ้าจะบอกว่าจัดการกับฝึกจิตขั้น5 ได้ เขายังไม่สามารถเชื่อได้จริงๆ

แต่ตอนนี้เขาไม่มีทางเลือกแล้ว ถึงหนีออกจากสถานที่รกร้าง ไปหาคนมาช่วยได้ ก็คงมาช่วยไม่ทัน ถึงรู้ว่าหมดหนทาง แต่ก็ยังมีความหวังเล็กน้อย

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 272 ปี้เซียนเสว่เข้าร่วมสำนักฉางเหอ

 

ในด้านการฝึกยุทธ์ อัจฉริยะที่มีคุณสมบัติร่างกายพิเศษ มีความได้เปรียบที่ดีเป็นพิเศษ ตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน ทุกคนต่างรู้ดี

หลัวซิวก็คิดไม่ถึงว่าหลังจากบอกว่าปี้เซียนเสว่มีร่างแห่งเสวียนหยิน ราชายุทธ์สองคนนี้ จะมีปฏิกิริยาใหญ่โตขนาดนี้

ในความรู้ของคนจำนวนมาก คุณสมบัติร่างกายพิเศษ เป็นสิ่งที่พบได้ยากมาก ทั้งชีวิตของคนส่วนใหญ่ อาจไม่เจออัจฉริยะที่มีคุณสมบัติร่างกายพิเศษ

แต่หลัวซิวกลับเจอติดต่อกันสองคน คนหนึ่งคือร่างอสูรฟ้า อีกคนคือร่างเสวียนหยิน ดังนั้นจึงไม่รู้สึกว่าคุณสมบัติร่างกายพิเศษ เป็นสิ่งที่พบได้ยากขนาดนั้น

โดนแววตาเป็นประกายของราชายุทธ์สองคนจ้อง ปี้เซียนเสว่ทำอะไรไม่ถูก ดวงตาสวยหันไปมองหลัวซิวอัตโนมัติ ไม่รู้จะทำยังไงดี

“ราชวงศ์ตระกูลฝาน ไม่ปล่อยเธอไว้แน่ ถ้าเธอเข้าร่วมสำนักฉางเหอได้ สำนักฉางเหอให้ความสำคัญกับพรสวรรค์ของเธอ ต้องตัดสินใจให้เธอแน่นอน” หลัวซิวพูดกับเธอ

เมื่อหลัวซิวพูดออกมา กู้โจว๋เสวียน ราชายุทธ์ของสำนักเสวียนหยาง มีสีหน้าเคร่งขรึม “ถ้าเธอเข้าร่วมสำนักเสวียนหยางของเรา ข้ารับรองได้เหมือนกันว่า ราชวงศ์ตระกูลฝาน ไม่กล้าทำอะไรเธอแน่”

“ไม่ต้องมาใช้ไม้นี้ สำนักเสวียนหยางของนายกับราชวงศ์ตระกูลฝาน ลงเรือลำเดียวกัน ถ้าแม่นางคนนี้เขาสำนักเสวียนหยาง ก็เท่ากับเนื้อเข้าปากเสือ” เหลียงชิวจู่วสีหน้ายิ้มแย้ม ใช้โอกาสแซะสำนักเสวียนหยาง

ปี้เซียนเสว่เข้าใจความหมายของหลัวซิว จะให้เธอเข้าร่วมสำนักฉางเหอ เมื่อเป็นเช่นนี้ จะได้รับการคุ้มครองจากสำนักฉางเหอ เพราะมีผู้แข็งแกร่งระดับมกุฏยุทธ์ ดำรงตำแหน่งอยู่ในสำนักฉางเหอ ไม่มีทางกลัวสำนักเสวียนหยางกับราชวงศ์ตระกูลฝาน

แต่ถ้าเธอเข้าร่วมสำนักฉางเหอ หลัวซิวจะทำยังไง

เธออยากให้หลัวซิวไปสำนักฉางเหอกับตัวเอง แต่เมื่อกี้หลัวซิวเพิ่งพูดว่าตัวเองไม่ยอมเข้าร่วมสำนัก จะทำยังไงดี

“เหอะๆ ไม่ว่าพวกนายมีบุญคุณความแค้นอะไรกับราชวงศ์ตระกูลฝาน ขอแค่เป็นศิษย์ของสำนักฉางเหอ ก็ไม่มีใครกล้าแตะต้องพวกนาย”

เหลียงชิวจู่วยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น ความหมายนอกคำพูดก็คือ หวังให้หลัวซิวเข้าร่วมสำนักฉางเหอด้วย

“สำนักฉางเหอน่าเกรงขามมาก!”

กู้โจว๋เสวียนรู้ว่าเรื่องไม่สำเร็จแล้ว ส่งเสียงฟึดฟัด สะบัดแขนเสื้อเดินออกไป ก่อนจากไป มองหลัวซิวด้วยแววตาอาฆาต

สุดท้ายหลัวซิวก็ปฏิเสธการชักชวนมาเป็นพวกของเหลียงชิวจู่วอย่างสุภาพ ส่วนเรื่องสยบวิญญาณ เขากำชับไม่ให้ปี้เซียนเสว่พูดกับคนอื่น ไม่งั้นจะเกิดเรื่องได้

ถึงไม่สามารถชักชวนหลัวซิวเข้ามาในสำนักฉางเหอได้ แต่ได้ร่างเสวียนหยินมาคนหนึ่ง ก็ทำให้เหลียงชิวจู่ว มีรอยยิ้มเต็มหน้า

จนถึงตอนนี้ กำจัดอันตรายไปได้ชั่วคราว ในที่สุดหลัวซิวก็โล่งอกได้เล็กน้อย

ตอนนี้ปี้เซียนเสว่ มีชื่อเป็นศิษย์ของสำนักฉางเหอแล้ว มีผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์อย่างเหลียงชิวจู่ว คุ้มครองด้วยตัวเอง หลัวซิวไม่ต้องเป็นห่วงความปลอดภัยของเธออีก

เมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าสำนักเสวียนหยางหรือราชวงศ์ตระกูลฝาน จะจัดการตัวเองยังไง หลัวซิวไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังอีกแล้ว รับมืออย่างไม่สะทกสะท้าน

เวลาผ่านไปอย่างเงียบๆ เรือรบกลับมายังเมืองเทียนหวู

เรื่องที่อำนาจใหญ่ต่างๆ สูญเสียศิษย์อัจฉริยะเกือบร้อย ในแดนปริศนา ดังไปทั่วเมืองอย่างรวดเร็ว

ในเมืองเทียนหวู มีศิษย์อัจฉริยะของอำนาจใหญ่ต่างๆ ที่เข้าไปในแดนปริศนา ตกใจกับข่าวนี้ พวกตระกูลชั้นนำอย่างเช่น ตระกูลเหยียน ตระกูลสวี ผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ของอำนาจใหญ่ต่างๆ พากันสอบถามราชวงศ์ตระกูลฝาน

เมื่อก่อน ทุกครั้งที่แดนปริศนาเปิด สูญเสียอย่างมากก็ไม่เกินครึ่ง แต่ครั้งนี้กลับสูญเสียไปเกือบร้อย มีแค่ 30 กว่าคนที่รอดออกมา นี่ทำให้พวกคนอายุน้อย ที่ยังอายุต่ำกว่า 30 ปี ของอำนาจใหญ่ต่างๆ ห่อเหี่ยว ใครกล้ายืนหยัดต่อไปบ้างล่ะ

ไม่นาน ก็มีข่าวอีกข่าว เผยแพร่ในเมืองเทียนหวู เข้าหูผู้แข็งแกร่งในฝ่ายอำนาจต่างๆ

มีคนเห็นหลัวซิวฆ่าอัจฉริยะอายุน้อยกับปรมาจารย์ฝึกจิตอาวุโส ของอำนาจฝ่ายต่างๆ เป็นจำนวนมาก ขนาดอัจฉริยะของสำนักเสวียนหยาง อย่างกู้เค่ออาน ถาวโจว่จวิ้น นายน้อยตำหนักจื่อ องค์ชายสามของราชวงศ์ตระกูลฝาน ล้วนตายคามือหลัวซิว!

เมื่อข่าวเผยแพร่ออกไป เกิดความฮือฮาทั้งเมือง!

หลังเรือรบกลับมายังเมืองเทียนหวู หลัวซิวยังอยู่ในองค์กรนักล่ายุทธ์ ส่วนปี้เซียนเสว่ ออกจากประเทศเทียนหวู ไปพร้อมกับเหลียงชิวจู่ว เพื่อไปยังสำนักฉางเหอ

“สำนักเสวียนหยางกับราชวงศ์ตระกูลฝาน ไร้ยางอายจริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะปล่อยข่าวลือ พุ่งเป้ามาที่ฉันงั้นเหรอ”

หลังหลัวซิวทราบข่าว ก็อดสบถออกมาไม่ได้ แต่จากนั้นเขาก็ลูบคาง ยกยิ้มมุมปาก พูดกับตัวเองว่า “แต่คนส่วนใหญ่ก็โดนฉันฆ่าจริงๆ……”

จากข่าวลือภายนอก ที่แพร่ไปทั่วทุกที่ หลัวซิวอยู่ในสำนักงานใหญ่องค์กรนักล่ายุทธ์ ไม่มีใครกล้ามาเหิมเกริมที่นี่

การไปแดนปริศนาครั้งนี้ หลัวซิวประสบความสำเร็จมาก แหล่งสมบัติต่างๆ นับไม่ถ้วน ยาวิเศษ หินหยิน วัตถุดิบ ถ้านับดีๆ มูลค่าเกือบสองแสนหินพลังจิตชั้นกลาง

อีกทั้งกลับมาเมืองเทียนหวูไม่นาน กล่องส่งเสียงของหลัวซิว ก็ได้รับข้อความอย่างต่อเนื่อง

ชิวลั่วสุ่ยส่งข้อความมาถามว่าเขาฆ่าพวกถาวโจว่จวิ้นแห่งตำหนักจื่อหรือเปล่า

เห็นได้ชัดว่า คนตำหนักจื่อ ไม่มีใครถูกส่งออกมาจากแดนปริศนา จึงสร้างความสงสัยให้ชิวลั่วสุ่ย

ไม่ว่าเธอคิดอะไร หลัวซิวก็บอกความจริงกับเธอไม่ได้ และไม่ยอมรับอยู่แล้ว

ยังมีข้อความจากโอวโหเหลียง จากเมืองซานหยวน ถามแทนนายท่านตระกูลสวี ว่ากลั่นยาสำเร็จหรือเปล่า

หลัวซิวตอบไปว่าอีกสักระยะจะส่งไปให้

นอกจากนั้นยังมีข้อความที่ทำให้หลัวซิวขมวดคิ้ว เป็นข้อความที่ลู่เมิ่งเหยาส่งมา บอกว่าออกจากเขตการปกครองโตว้ไห่แล้ว ฝากตัวเป็นศิษย์กับผู้แข็งแกร่งท่านหนึ่ง และเพ็ญตนตามเขา

หัวหน้าแก๊งเสิ่นหยวนหนาน ที่เขตการปกครองโตว้ไห่ ก็ส่งข้อความมาเหมือนกัน บอกว่าผู้แข็งแกร่งลึกลับที่พาลู่เมิ่งเหยาไป เหมือนจะมีที่มาที่ไป ส่วนโดยรวมคืออะไร ยังไม่ได้เล่าละเอียด ให้เขาไม่ต้องกังวล

หลัวซิวเอาของในตัวส่วนหนึ่ง ขายออกไปตามช่องทางภายในขององค์กรนักล่ายุทธ์ ในที่สุดก็ได้ผลหู่หยางจู มูลค่าหนึ่งแสนหินพลังจิตชั้นกลาง มาอยู่ในมือ

ส่วนหญ้าวิญญาณ ไม่มีขายภายในองค์กรนักล่ายุทธ์ หลัวซิวจำเป็นต้องหาทางอื่น

แต่หน้าที่เร่งด่วน คือต้องไปหาภูตอัคคีก่อน เขาถึงจะสามารถกลั่นยาระดับ6 ได้

หลัวซิวได้แผนที่ฉบับหนึ่งจากชิวลั่วสุ่ย บนนั้นมีภาพจำลองสถานที่รกร้างผืนหนึ่ง ที่อยู่เหนือสุดของประเทศเทียนหวู

ตรงมุมซ้ายของแผนที่ มีการเน้นเป็นสัญลักษณ์รูปไฟ เป็นตำแหน่งที่อาจารย์สุ่ยเยว่จง เคยเจอภูตอัคคี

ตอนอาจารย์สุ่ยเยว่จงพบภูตอัคคี ห่างจากตอนนี้ประมาณเกือบร้อยปีแล้ว ใครก็ไม่มีทางรู้ว่าภูตอัคคีฟ้าดินยังอยู่หรือเปล่า

สถานที่รกร้างทางตอนเหนือ เป็นสวรรค์ของอสูรกาย มีเผ่าพันธุ์อสูรกายอยู่ในแผ่นดินอันกว้างใหญ่ผืนนั้น บริเวณตำแหน่งใกล้ๆ ภูตอัคคี มีอสูรกายระดับสูงที่แข็งแกร่งอาศัยอยู่ ถึงใช้พละกำลังของอาจารย์สุ่ยเยว่จง ก็เกือบเฉียดตายแบบรอดมาได้หวุดหวิด

ข่าวที่สูญเสียคนไปเกือบร้อย ในแดนปริศนา เป็นข่าวโด่งดังในโลกภายนอก ส่วนหลัวซิวนั่งค่ายวาร์ป ในสำนักงานใหญ่องค์กรนักล่ายุทธ์ ไปยังสถานที่รกร้างทางตอนเหนือ

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 271 การเชิญของราชายุทธ์สำนักฉางเหอ

 

หลังจากขึ้นมาบนเรือรบ หลัวซิวบอกให้ปี้เซียนเสว่มาอยู่ห้องเดียวกับตัวเอง เพื่อไม่ให้คนของราชวงศ์ตระกูลฝาน ทำร้ายเธอ

“เราจะทำยังไงดี” ปี้เซียนเสว่เป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด ทั้งกลัวผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์สามคน ของราชวงศ์ตระกูลฝาน และกังวลว่าหลัวซิวจะพลอยติดร่างแหจากเรื่องนี้

เพราะถ้าไม่ใช่เพื่อจัดการสยบวิญญาณที่เธอโดน หลัวซิวคงไม่ต้องมาติดร่างแหไปด้วย

“ไม่ต้องกังวล ถ้าเรื่องสยบวิญญาณถูกพูดออกไป เพียงพอที่จะทำให้ราชวงศ์ตระกูลฝาน เสื่อมเสียชื่อเสียง ขอแค่มีเรื่องนี้อยู่ในมือฉัน พวกเขาก็ไม่กล้าทำอะไรเราง่ายๆ” หลัวซิวเอ่ยขึ้น

เวลาสามวันผ่านไปโดยไม่รู้ตัว ในช่วงนี้ สี่อำนาจใหญ่ ล้วนตรวจสอบเรื่องที่เกิดขึ้นในแดนปริศนา ฝานเฟยหยางก็ไม่ได้มาหาเรื่องหลัวซิวกับปี้เซียนเสว่

วันนี้ สำนักเสวียนหยางกับสำนักฉางเหอ ส่งคนมาข้างนอกห้องหลัวซิวกับปี้เซียนเสว่

“สงสัยในตัวฉันหรือไง”

เมื่ออีกฝ่ายมาหาถึงที่ หลัวซิวรู้ทันทีว่าเพราะอะไร เพราะมีคนเห็นเขาเข้าไปในถ้ำโบราณเป็นจำนวนมาก สุดท้ายคนที่เข้าไปในถ้ำโบราณ มีเพียงเขากับปี้เซียนเสว่ ที่ถูกส่งออกมา ไม่มีทางที่จะไม่โดนสงสัย

“เดี๋ยวตอนที่ไป บอกว่าหลังจากเข้าไปในถ้ำ ไม่เคยเจอใคร เห็นซากศพในสำนักเท่านั้น” หลัวซิวพูดกับปี้เซียนเสว่

ปี้เซียนเสว่ฉลาดเป็นกรด เมื่อได้ยินก็เข้าใจความหมายของหลัวซิว เพราะเรื่องแบบนี้ ยิ่งอธิบายก็จะยิ่งเผยพิรุธได้ง่าย สู้กัดฟันไม่ยอมรับว่าเจอใครจะดีกว่า ในเมื่อทำให้คนสงสัยแล้ว อีกฝ่ายไม่มีหลักฐาน ก็ทำอะไรตัวเองไม่ได้

หลังผ่านไปครู่หนึ่ง ทั้งสองเห็นราชายุทธ์สองคน ของสำนักเสวียนหยางกับสำนักฉางเหอ

สำหรับเรื่องที่ถ้ำโบราณ หลัวซิวกับปี้เซียนเสว่ พูดตามบทที่ได้ปรึกษากันล่วงหน้า ดึงดันว่าทั้งสองคนไม่เคยเจอใครในถ้ำ

ราชายุทธ์ของสำนักเสวียนหยางขมวดคิ้ว จ้องไปทางหลัวซิว “ที่ปากถ้ำโบราณมีวิชาห้ามค่ายกล ต้องมีตัวสำนึกฝึกจิตขั้น9 ขึ้นไป ถึงจะเข้าไปได้ แต่นายยังพาปี้เซียนเสว่เข้าไปได้ด้วย หรือว่าวิญญาณตัวสำนึกของนาย ถึงแดนราชายุทธ์แล้ว”

แน่นอนว่าหลัวซิวไม่ยอมรับเรื่องนี้ อธิบายว่า “ผู้น้อยมีผลการฝึกตนแค่ฝึกจิตขั้น7 ไม่มีพลังตัวสำนึกแข็งแกร่งขนาดนั้น แต่อาศัยสมบัติชิ้นหนึ่ง จึงสามารถพาปี้เซียนเสว่เข้าไปด้วยกันได้”

ระหว่างที่พูด หลัวซิวเอายันต์หยก ออกมาจากแหวนเก็บของ

ราชายุทธ์ของสำนักเสวียนหยาง ยื่นมือมาคว้า กำยันต์หยกเอาไว้ในมือ ใช้ตัวสำนึกตรวจสอบ จู่ๆ สีหน้าก็อึมครึม “คิดว่าข้าเป็นเด็กสามขวบเหรอ นี่เป็นแค่ยันต์หยกธรรมดา ไม่ได้สลักสัญลักษณ์ลายเส้นค่ายกลอะไรทั้งนั้น”

“ผู้น้อยมิกล้า ยันต์หยกใบนี้ ตอนแรกมีตราสำนึกระดับราชายุทธ์อยู่ข้างใน หลังเข้าไปในถ้ำนั้น สูญเสียการจู่โจมตัวสำนึกไปในสำนักนั้น ดังนั้นจึงกลายเป็นยันต์หยกธรรมดา” หลัวซิวอธิบายด้วยสีหน้าปกติ

“หึ โกหกไร้สาระ ดูเหมือนข้าไม่ทำอะไร นายก็จะไม่พูดความจริงใช่ไหม” ราชายุทธ์ของสำนักเสวียนหยาง สีหน้าโมโห อำนาจอันแข็งแกร่ง พุ่งเข้าไปกดดันหลัวซิว

ขณะเดียวกัน พลังตัวสำนึกที่แข็งแกร่งโถมเข้ามา จะแทงเข้าไปในตัวหยั่งรู้ของหลัวซิว

หลัวซิวสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ถ้าปล่อยให้อีกฝ่ายเข้ามาในตัวหยั่งรู้ของตัวเอง ต้องรู้แน่นอนว่าตัวสำนึกของตัวเอง ถึงแดนกลายรูปแล้ว เมื่อถึงตอนนั้น ถึงเขามีร้อยปาก ก็ไม่สามารถโต้แย้งได้

เมื่อคิดได้เช่นนั้น หลัวซิวกัดฟัน จะรีบทำลายตัวสำนักกลายรูปในตัวหยั่งรู้ทันที เมื่อเป็นเช่นนี้ พลังตัวสำนึกของเขาจะลดจากราชายุทธ์ขั้น2 เป็นฝึกจิตขั้น7

ถึงตัวสำนึกลดต่ำลง ก็จะให้อีกฝ่ายรู้ว่าตัวสำนึกของตัวเอง ถึงระดับราชายุทธ์ขั้น2 ไม่ได้ ไม่งั้นการตายของกู้เค่ออานกับซือโคงสวี่ จะโยนความผิดมาที่ตัวเอง

“กู้โจว๋เสวียน นายจะเกินไปแล้ว”

ขณะที่หลัวซิวเตรียมจะทำลายตัวสำนึกของตัวเอง ราชายุทธ์สำนักฉางเหอ ที่อยู่ข้างๆ เอ่ยขึ้นทันที

พลังตัวสำนึกขัดขวางตัวสำนึกของราชายุทธ์สำนักเสวียนหยางเอาไว้ ขณะเดียวกันก็ขจัดพลานุภาพของอีกฝ่าย

คนที่ลงมือ เป็นราชายุทธ์ของสำนักฉางเหอคนนั้น

“เหลียงชิวจู่ว นายหมายความว่ายังไง” กู้โจว๋เสวียนถามเย็นชา

“ยังไงนายก็เป็นผู้อาวุโสราชายุทธ์ กลับลงมือตรวจสอบตัวหยั่งรู้ของคนรุ่นเด็ก เกินไปหน่อยหรือเปล่า” เหลียงชิวจู่วพูดอย่างไม่สนใจ

“ข้าสงสัยว่าการตายของกู้เค่ออาน เกี่ยวข้องกับเขา ตรวจสอบหน่อยจะเป็นไรไป ยิ่งไปกว่านั้น ซือโคงสวี่ของสำนักฉางเหอของพวกนาย ไม่แน่อาจตายเพราะฝีมือไอ้เด็กนี่ก็ได้!” กู้โจว๋เสวียนพูดอย่างเคร่งขรึม

“ฉันรู้ว่ากู้เค่ออานเป็นหลานชายของนาย แต่ฉันคิดว่าการตายของเขากับซือโคงสวี่ น่าจะไม่เกี่ยวข้องกับหลัวซิว ตอนนี้ยังไม่มีหลักฐาน นายจะตรวจสอบตัวหยั่งรู้ของเขา การกระทำนี้ดูวู่วามไปหน่อยนะ”

ระหว่างที่พูด เหลียงชิวจู่วยิ้มแล้วมองหลัวซิว “ผู้น้อยพรสวรรค์โดดเด่น ไม่ทราบว่าสนใจมาพัฒนาในสำนักฉางเหอไหม”

เหลียงชิวจู่วก็สงสัยว่าการตายของกู้เค่ออานกับซือโคงสวี่ เกี่ยวข้องกับหลัวซิว แต่เขาไม่สนใจสักนิด เพราะถึงซือโคงสวี่เป็นอัจฉริยาที่ไม่เลว แต่ยังไงก็ตายไปแล้ว

อัจฉริยะที่ตายไปแล้ว ไม่มีค่าอะไรทั้งนั้น ถึงหาฆาตกรมาได้ แล้วจะทำอะไรได้

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าเอาอัจฉริยะที่โดดเด่นกว่าซือโคงสวี่ มาอยู่ในสำนักฉางเหอได้ ไม่ดีกว่าหรือไง

มีหรือที่หลัวซิวจะไม่เข้าใจความหมายของเหลียงชิวจู่ว แต่เขาไม่มีความคิดจะเข้าสำนัก

ถ้าปฏิเสธอีกฝ่ายตรงๆ ขืนเหลียงชิวจู่วโกรธขึ้นมา จะทำยังไง

ช่วงเวลากะทันหัน ความคิดต่างๆ นานาผุดขึ้นในหัวหลัวซิว

สามอำนาจใหญ่รอบประเทศเทียนหวู สำนักเสวียนหยางมีสัมพันธ์อันดีกับราชวงศ์ตระกูลฝาน ตำหนักจื่อมีอำนาจครอบครองส่วนหนึ่ง ตำแหน่งสูงส่ง เว้นแต่สำนักฉางเหอ ที่เหมือนจะมีความขัดแย้งกับตำหนักเสวียนหยางค่อนข้างมาก

หลัวซิวเงียบพักหนึ่ง จากนั้นจึงพูดว่า “ขอบคุณความเมตตาของผู้อาวุโส แต่ตอนนี้ผู้น้อยยังไม่มีความคิดเข้าสำนัก……”

เมื่อได้ยินดังนั้น เหลียงชิวจู่วขมวดคิ้ว เห็นหลัวซิวเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ชี้ปี้เซียนเสว่ที่อยู่ข้างๆ แล้วพูดว่า “พรสวรรค์เซียนเสว่สูงมาก อายุ 19 ปี ก็มีผลการฝึกตนถึงฝึกจิตขั้น6 แถมยังมีร่างแห่งเสวียนหยิน ศักยภาพยิ่งใหญ่มาก”

“ร่างแห่งเสวียนหยินงั้นเหรอ”

เมื่อได้ยินดังนั้น ไม่เพียงแค่เหลียงชิวจู่ว ขนาดกู้โจว๋เสวียน ก็มีสีหน้าตกใจเช่นกัน

คุณสมบัติร่างกายที่พิเศษตั้งแต่เกิด เจอได้น้อยมาก แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่า แต่ละคนเป็นอัจฉริยะชั้นยอดทั้งนั้น ทุกครั้งที่ปรากฏตัว จะโดนอำนาจใหญ่ต่างๆ แก่งแย่งช่วงชิง ให้ความสำคัญกับการบ่มเพาะ

“แม่นาง ยอมเข้าสำนักฉางเหอไหม ฉันจะให้เธอเป็นศิษย์คนสำคัญ ได้รับการอบรมที่ดีที่สุดของสำนัก!” เหลียงชิวจู่วพูดขึ้นทันที

“ถ้าเธอเข้ามาในสำนักเสวียนหยาง ไม่ว่าเธอต้องการอะไร ข้าจะรับปากทุกอย่าง” กู้โจว๋เสวียนวางเรื่องการตายของกู้เค่ออานเอาไว้ชั่วคราว และรีบพูดออกมาทันที

นี่เป็นร่างแห่งเสวียนหยิน ที่พบได้น้อย ถ้าเติบโตขึ้นมา ไม่ต้องพูดถึงราชายุทธ์ เป็นจักรพรรดิยุทธ์ก็ไม่ลำบากเลย อีกทั้งยังมีโอกาสถึงมกุฏยุทธ์ หรือแดนที่สูงยิ่งกว่า!

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 270 กลับเมืองเทียนหวู

 

“ไอ้หนุ่ม ส่งวิธีเข้าถึงสยบวิญญาณกับปี้เซียนเสว่มา ข้าจะไว้ชีวิตนาย” ครั้งนี้ฝานเฟยหยางไม่ได้พูดตรงๆ แต่ส่งเสียงผ่านตัวสำนึกคุยกับหลัวซิว

“ฉันไม่มีทางส่งคนให้ ถ้าผู้อาวุโสไม่กังวลว่า ทุกคนจะรู้เรื่องสยบวิญญาณ ก็ฆ่าฉันได้เลย” หลัวซิวตอบอย่างไม่สนใจ

“นายคิดว่าราชวงศ์ตระกูลฝานของฉัน จะกลัวการข่มขู่ของนายเหรอ เชื่อหรือเปล่า ถ้าข้าจะฆ่านาย ไม่มีทางให้นายได้มีโอกาสพูดหรอก” ฝานเฟยหยางข่มขู่อย่างอาฆาต

“แน่ใจเหรอว่าถ้าฆ่าอัจฉริยะขั้นดำ ขององค์กรนักล่ายุทธ์ ราชวงศ์ตระกูลฝานของนาย จะไม่ต้องชดใช้เพราะสิ่งนี้”

หลัวซิวแสยะยิ้ม “ยิ่งไปกว่านั้น ฉันมั่นใจว่าจะพูดเรื่องสยบวิญญาณ ก่อนที่นายยังไม่ฆ่าฉัน”

เจรจาตอบโต้กับปรมาจารย์ค่ายกลขั้น5 ระดับราชายุทธ์ แน่นอนว่าหลัวซิวมีไพ่ไม้ตาย

หลัวซิวเอากล่องส่งเสียงออกมาจากแหวนเก็บของ ต่อหน้าฝานเฟยหยาง บรรยากาศอึดอัดขึ้นทันที

“นายแน่ใจว่าจะเป็นศัตรูกับราชวงศ์ตระกูลฝานใช่ไหม” ฝานเฟยหยางสะกดกลั้นอารมณ์วู่วาม เขากังวลว่าหลัวซิวจะพูดเรื่องสยบวิญญาณ ถึงฆ่าปิดปากเขา ก็ปิดเรื่องนี้ไม่ได้

อีกทั้งหลัวซิวยังมีฐานะเป็นอัจฉริยะขั้นดำ ขององค์กรนักล่ายุทธ์ ถ้าแตะต้องเขาจริงๆ ราชวงศ์ตระกูลฝานต้องเจอกับไฟโกรธขององค์กรนักล่ายุทธ์

องค์กรนักล่ายุทธ์ ไม่สนใจอัจฉริยะขั้นเหลือง แต่อัจฉริยะขั้นดำ เป็นสมาชิกภายใน ที่ค่อนข้างสำคัญกับองค์กรนักล่ายุทธ์ ถ้าถูกฆ่าตายต่อหน้าทุกคน เป็นการดูหมิ่นและยั่วยุองค์กรนักล่ายุทธ์อย่างไม่ต้องสงสัย

“นายจะเอายังไง” ฝานเฟยหยางถามเย็นชา

“ฉันจะกลับเมืองเทียนหวูก่อน” หลัวซิวยกยิ้มมุมปาก

เห็นรอยยิ้มที่เหมือนกำชัยชนะอยู่ในมือของเขา ความอาฆาตแผ่ออกจากตัวฝานเฟยหยาง อยากตบไอ้เด็กเลวนี่ให้ตาย

หลัวซิวส่ายกล่องส่งเสียงในมือ พูดอย่างไม่ใส่ใจ “ทางที่ดีผู้อาวุโสเก็บความอาฆาตเอาไว้เถอะ ไม่งั้นข้อมูลที่ฉันบันทึกไว้ในกล่องเก็บเสียง จะไปถึงจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงทันที”

หลัวซิวไม่มีรอยส่งเสียงของจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิง เขาแค่พูดให้อีกฝ่ายตกใจเท่านั้น

แต่ฝานเฟยหยางคิดว่าเป็นเรื่องจริง ความหวาดกลัวปรากฏขึ้นบนใบหน้า

จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิง เป็นหัวหน้าของสำนักงานใหญ่องค์กรนักล่ายุทธ์ ประเทศเทียนหวู ถึงเป็นผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์อันดับหนึ่งของราชวงศ์ตระกูลฝาน ก็ต้องหวาดกลัวคนนี้อยู่บ้าง

บทสนทนาส่วนหลังของทั้งสองคน ใช้วิธีส่งเสียงผ่านตัวสำนึก ดังนั้นคนในนี้ ไม่รู้ว่าทั้งสองคนคุยอะไรกัน ระหว่างพูด คุยความลับอะไรบ้าง

“พวกเรากลับ!”

ฝานเฟยหยางเงียบอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงสะกดกลั้นความวู่วามในการฆ่าปิดปาก ส่งเสียงเย็นชา สะบัดแขนเสื้อหันหลังเดินออกไป

จากนั้น ทุกคนขึ้นไปบนเรือรบ ยังเป็นหนานหรงชินหวาง รับหน้าที่บังคับเรือรบลำนี้

ส่วนทหารเสือดำที่ฝานเฟยหยางพามานับพันคน โดยสารเรือรบอีกลำหนึ่ง

ระหว่างทางกลับเมืองเทียนหวู สี่อำนาจใหญ่ เริ่มสอบถามคนที่ถูกส่งออกมาจากแดนปริศนา ครั้งนี้อำนาจแต่ละฝ่าย สูญเสียไปมาก ต้องรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นในแดนปริศนา

ราชวงศ์ตระกูลฝานได้ข้อมูลอีกหนึ่งเรื่อง จากปากของหนุ่มคนหนึ่ง

“นายบอกว่าเห็นองค์ชายสามพาคนสะกดรอยตามหลัวซิวงั้นเหรอ” ฝานเฟยหยางถามเสียงทุ้ม ความอาฆาตแผ่อยู่รอบๆ

ภายใต้การกดดันของผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ ชายหนุ่มคนนี้ตกใจจนหน้าซีด พูดอย่างนอบน้อมว่า “ใช่ครับ เราเห็นพื้นที่ลุ่มต่ำแห่งหนึ่ง คนจำนวนมากขุดหินหยินออกมาเป็นจำนวนมาก ขณะที่กำลังแย่งชิงหินหยิน หลัวซิวกับองค์ชายสามขัดแย้งกัน ต่อมา……”

ตอนนั้นคนแย่งชิงหินหยินเยอะมาก หลัวซิวไม่ได้วางแผนจนรัดกุม และไม่รู้ว่าองค์ชายสามฝานโหยว่หลี่ พาคนสะกดรอยตามเขาไป และโดนคนเห็น

“อย่าบอกนะว่าองค์ชายสามโดนหลัวซิวฆ่าตาย” ราชายุทธ์ของตระกูลฝานคนหนึ่งเอ่ยขึ้น

ฝานเฟยหยางก็มีสีหน้าอึมครึม สะบัดมือให้หนุ่มคนนี้ออกไป

“น่าจะไม่ใช่หลัวซิว ข้างกายองค์ชายสามมีผู้ฝึกจิตขั้น9 อยู่สองคน บนตัวยังมี五阶符箓 จากพละกำลังของหลัวซิว ไม่มีทางฆ่าองค์ชายสามได้ ” หนานหรงชินหวางขมวดคิ้วพูด

“หึ แต่ก็ไม่แน่!”

ฝานเฟยหยางส่งเสียงหึเย็นชา “ก่อนหน้านี้หมัดของหลัวซิว ทำลายฝ่ามือพลังจิตแท้ของข้าจนละเอียด พวกนายก็เห็น พละกำลังของเด็กคนนี้ เหนือกว่าผู้ฝึกจิตขั้น9 ถ้ายังมีไพ่ไม้ตาย ไม่แน่อาจต่อกรกับราชายุทธ์ได้”

“นี่……นี่เป็นไปได้ยังไงกัน”

“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ตอนเขาฝึกจิตขั้น 1 ก็ฝ่าฟันเข้าไปที่หอคอยมังกรบินชั้น7 ตอนนี้เขามีผลการฝึกตนฝึกจิตขั้น7 ต่อกรกับราชายุทธ์ มีอะไรให้ต้องแปลกใจ”

ฝานเฟยหยางพูดเสียงทุ้ม “เด็กนี่เติบโตมาถึงจุดนี้ ในระยะเวลาสั้นๆ เพียง 2 ปี นี่ไม่ใช่ปัญหาที่พรสวรรค์สามารถอธิบายได้ เขาต้องได้รับโอกาสดีอะไรบางอย่างแน่นอน……”

“ถึงไม่มีเรื่องสยบวิญญาณ ถ้าเด็กนี่ไม่สามารถเป็นประโยชน์กับราชวงศ์ตระกูลฝาน ต้องกำจัดเขาทิ้ง!”

ขณะเดียวกัน สำนักเสวียนหยางก็ได้รับข้อมูลว่ากู้เค่ออาน หนีออกมาจากถ้ำโบราณ ที่อยู่ลึกลงไปในแดนปริศนา จากนั้นตัวหยั่งรู้โดนทำลาย สติกระเจิดกระเจิง

ในเวลาเดียวกัน สำนักฉางเหอก็รู้ว่าซือโคงสวี่ เข้าไปในถ้ำโบราณเหมือนกัน ในเมื่อสุดท้ายไม่ถูกส่งออกมา เห็นได้ชัดว่าตายอยู่ในนั้นแล้ว

สำหรับถ้ำโบราณ ที่อยู่ลึกลงไปในแดนปริศนา ทั้งสองสำนักค่อนข้างรู้ข้อมูลที่ละเอียด สังเกตได้ถึงจุดน่าสงสัยภายในนั้น

จากที่พวกเขารู้ ถ้ำโบราณมีทั้งหมดสองด่าน ด่านแรกคือการจู่โจมตัวสำนึก ของราชายุทธ์ขั้น1 ผู้แข็งแกร่งในสำนัก เตรียมสมบัติล้ำค่าที่ต้านทานการจู่โจมวิญญาณให้ทั้งสองคน น่าจะบุกเข้าไปไม่ยาก

ในนี้ด่านที่สองยากมาก ทดสอบพละกำลังของร่างกาย ไม่มีทางใช้พลังของสมบัติได้ แต่ถึงฝ่าฟันไปไม่ได้ แค่ถอยออกมา ก็ไม่น่าจะตาย

โดยเฉพาะการตายของกู้เค่ออาน แปลกประหลาดที่สุด หนีออกมาจากถ้ำโบราณได้แล้วแท้ๆ แต่ก็ยังกลายเป็นศพ

“เป็นการฆ่าของคน!” ผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ของสำนักเสวียนหยางกับสำนักฉางเหอ อิงตามร่องรอยต่างๆ นานา วิเคราะห์ออกมาว่ากู้เค่ออานกับซือโคงสวี่ ตายเพราะฝีมือคน

ถึงการตายของซือโคงสวี่จะไม่ชัดเจน แต่กู้เค่ออาน โดนคนใช้จู่โจมวิญญาณ ทำลายตัวหยั่งรู้

เพราะวิชาห้ามค่ายกลในถ้ำโบราณ การโจมตีของตัวสำนึก จะโดนต้านทานด้วยสมบัติ

ราชายุทธ์ของสำนักเสวียนหยาง บีบหยกแขวนที่แตกสลายเอาไว้ในมือ มีคนพบมันบนตัวของกู้เค่ออานตอนที่ตายไปแล้ว และก่อนที่หยกแขวนชิ้นนี้จะแตก เป็นของที่สามารถต้านทาน ทัดเทียมกับสมบติจู่โจมวิญญาณของราชายุทธ์ขั้น1

“ตัวสำนึกจู่โจมสามารถโจมตีการป้องกันของหยกแขวนพรากวิญญาณ ระดับการจู่โจมวิญญาณ ต้องเหนือกว่าราชายุทธ์ขั้น1”

“ข้อมูลที่ได้จากการสอบถาม คนที่เข้าไปในถ้ำโบราณ มีเพียงหลัวซิวกับปี้เซียนเสว่ ที่ถูกส่งออกมา สองคนนี้น่าสงสัยที่สุด”

เมื่อคิดได้เช่นนี้ ราชายุทธ์ของสำนักเสวียนหยางคนนี้ พูดอย่างเฉยชาว่า “ส่งคนไปเรียกหลัวซิวกับปี้เซียนเสว่มา”

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 269 อาจารย์เฟยหยางออกโรง

 

มีเงาคนแต่ละคน ปรากฏออกมาจากแท่นวาร์ป คนที่มีชีวิตรอดอยู่ในแดนปริศนา ราวกับถูกส่งออกมาพร้อมกัน

หลัวซิวกับปี้เซียนเสว่ก็อยู่ในนั้นด้วย หลงหมิงย่อขนาดตัวลง ซ่อนตัวหลอมรวมกับพื้นที่ว่างอย่างระมัดระวัง

“มีคนแค่นี้เองเหรอ”

“ปีก่อนถึงมีคนตายไปไม่น้อย แต่อย่างน้อยก็ต้องมีคนรอดชีวิตออกมาเกินครึ่งสิ”

“130 กว่าคน เสียไปตั้ง 100 กว่าคนเลยเหรอ”

“มีอะไรเกิดขึ้นในแดนปริศนากันแน่”

เมื่อเห็นคนประมาณ 30 กว่าคน ปรากฏตรงแท่นวาร์ปโบราณ ราชายุทธ์สิบกว่าคน ของสี่อำนาจใหญ่อย่างราชวงศ์ตระกูลฝาน ตำหนักจื่อ สำนักเสวียนหยาง และสำนักฉางเหอ ต่างมีสีหน้าเปลี่ยนไปมา

ตัวสำนึกอันแข็งแกร่ง ผ่านไปยังทุกคนบนแท่น ผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ของตำหนักจื่อกับราชวงศ์ตระกูลฝาน จู่ๆ สีหน้าอึมครึมจนน่ากลัว

คนของอำนาจใหญ่ทั้งสองฝ่าย ที่เข้าไปในแดนปริศนา ไม่มีใครรอดออกมาสักคน ไม่ว่าจะเป็นอัจฉริยะที่โดดเด่น หรือผู้อาวุโสฝึกจิตขั้น9

สำนักเสวียนหยางกับสำนักฉางเหอ สูญเสียคนไปไม่มากเท่าไร แต่คนสำคัญภายในนั้น ไม่มีใครออกมาสักคน กู้เค่ออานกับซือโคงสวี่ ที่มีพรสวรรค์โดดเด่น ก็ไม่อยู่ในกลุ่มคนพวกนั้น

อีกทั้งผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ทุกคน ผลการฝึกตนสูงเกือบจะถึงแดนสูงสุด ตอนถูกวาร์ปออกมา พละกำลังล้วนต่ำกว่าฝึกจิตขั้น5 ส่วนคนที่ไม่ได้เข้าไปในพื้นที่เสี่ยง จึงมีชีวิตรอด

“พวกนายมานี่”

ราชายุทธ์สำนักเสวียนหยางกับสำนักฉางเหอ เรียกลูกศิษย์ที่วาร์ปออกมา

ครั้งนี้สูญเสียคนไปในแดนปริศนาเยอะมาก ทำให้อัจฉริยะที่อายุต่ำกว่า 30 ปี ของอำนาจใหญ่ต่างๆ ล้มหายตายจากไปเป็นจำนวนมาก

เรื่องใหญ่เช่นนี้ ต้องนำความสั่นสะเทือนอันรุนแรงมาแน่นอน พวกเขาต้องตรวจสอบให้ชัดเจน

ขณะนั้น ปรมาจารย์ค่ายกลขั้น5 ของราชวงศ์ตระกูลฝาน ลอยมากลางอากาศ ยื่นมือเข้าไปหาปี้เซียนเสว่ที่อยู่ข้างหลัวซิว

ตอนพวกเขาถูกวาร์ปส่งออกมา ปรมาจารย์ค่ายกลขั้น5 คนนี้ ใช้ตัวสำนึกเพ่งเล็งปี้เซียนเสว่เอาไว้นานแล้ว

ดังนั้นหลัวซิวจึงตัดสินได้อย่างไม่ต้องสงสัย ต้องเป็นคนๆ นี้ ที่วางวิชาสยบวิญญาณเอาไว้ในตัวหยั่งรู้ของปี้เซียนเสว่

ฝ่ามือใหญ่พลังจิตแท้คว้ามากลางอากาศ ภายใต้การกดดันของตัวสำนึกของผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ ปี้เซียนเสว่แค่ขยับนิ้วก็ยังทำไม่ได้ ไม่มีแรงต่อต้าน สีหน้าตกใจจนซีดเผือด

“หยุดนะ!”

หลัวซิวขยับเท้าไปทางขวาง ยืนอยู่ข้างหน้าปี้เซียนเสว่ จากนั้นก็เหวี่ยงหมัดออกไป

ปรมาจารย์ค่ายกลขั้น5 ของราชวงศ์ตระกูลฝานท่านนี้ ชื่อว่าฝานเฟยหยาง มีตำแหน่งความน่าเลื่อมใสเป็นอย่างมาก ในราชวงศ์ตระกูลฝาน

เพราะในประเทศเทียนหวู จำนวนปรมาจารย์ค่ายกลขั้น5 มีไม่เกิน 20 คน

ไม่เพียงแค่ปรมาจารย์ค่ายกลขั้น5 ปรมาจารย์ที่สามารถมาถึงขั้น5 ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นปรมาจารย์กลั่นยา ปรมาจารย์หลอมอาวุธ ล้วนมีตำแหน่งน่าเลื่อมใสอย่างมาก เหนือกว่าราชายุทธ์ทั่วไป

เมื่อเห็นฝานเฟยหยางลงมือกับผู้หญิงที่วาร์ปออกมาจากแดนปริศนา คนที่อยู่ตรงนี้ ต่างมีสีหน้าตกใจ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสาเหตุใด

แต่ทว่าหลัวซิวยื่นมือไปโจมตีกลับ ไม่ได้ทำให้ทุกคนตกใจ แต่ทำให้ทุกคนตกตะลึง

ไอ้หมอนี่บ้าไปแล้ว!

ปรมาจารย์ค่ายกลขั้น5 แม้ไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่ก็เป็นผู้แข็งแกร่งระดับราชายุทธ์

คนอายุน้อยตัวเล็กๆ ที่มีผลการฝึกตนระดับฝึกจิต กล้ายั่วยุราชายุทธ์อย่างนั้นเหรอ

“คนไม่รู้ความเป็นความตาย”

ฝานเฟยหยางแววตาดุร้าย ตอนหลัวซิวลงมือ เขารู้ว่า ไอ้เด็กนี่เอาการควบคุมสยบวิญญาณของตัวเองไป

ถึงการควบคุมสยบวิญญาณของตัวเอง จะโดนชิงไป ทำให้ฝานเฟยหยางโมโหมาก แต่ในขณะเดียวกันก็ตกใจ เพราะเขาอยากเอาวิธีชิงสยบวิญญาณมาไว้ในมือตัวเอง

ดังนั้น ฝานเฟยหยางไม่จับตาย แต่จะจับเป็นเด็กคนนี้

“ตู้ม!”

เสียงอึกทึกดังขึ้นกลางอากาศ หมัดของหลัวซิวปะทะกับฝ่ามือพลังจิตแท้อย่างรุนแรง จนทำให้พลังจิตสั่นสะเทือน เหมือนลมอันบ้าคลั่ง พัดไปรอบด้าน ทำให้นักยุทธ์ที่ถูกส่งออกมาจากแดนปริศนายืนไม่ติด และถอยกรูดไปด้านหลัง

ฝ่ามือพลังจิตแท้สลายตัว หลัวซิวถอยไปครึ่งก้าว บนหมัดขวา มีเลือดเนื้อผสมกัน

ร่างยุทธ์สูงสุด เป็นแดนร่างเนื้อของระดับฝึกจิต ถึงแดนขั้นสุดแล้ว แต่ก็ไม่เพียงพอให้ต่อกรกับราชายุทธ์

แต่ถึงเป็นเช่นนี้ ก็ทำให้คนในนี้ตกใจได้

“เป็นเขาเหรอ”

ขณะเดียวกัน ทุกคนที่นี่ก็จำหนุ่มชุดคลุมดำได้

หลัวซิว อัจฉริยะในรอบหลายปี ที่เติบโตอย่างรวดเร็วในสองปีนี้ ของประเทศเทียนหวู อายุแค่ 15 ปี ผลการฝึกตนฝึกจิตขั้น1 ก็ฝ่าฟันหอคอยมังกรบินชั้น7 !

“อาจารย์เฟยหยาง จากฐานะของคุณ กลับทำร้ายผู้น้อย หมายความว่าอย่างไร” ราชายุทธ์ของสำนักฉางเหอพูดเสียงอึมครึม

ระหว่างพูด ราชายุทธ์คนนี้ ยิ้มบางๆ ให้หลัวซิว แสดงถึงเจตนาดี

เป็นราชายุทธ์ฐานะสูงสง แต่กลับแสดงเจตนาดีต่อผู้น้อย แน่นอนว่าต้องเป็นเพราะพละกำลังและพรสวรรค์ ที่หลัวซิวแสดงออกมา ถ้าเอาอัจฉริยะแบบนี้เข้ามาในสำนักได้ เติบโตขึ้นมาในอนาคต ในสำนักต้องมีผู้แข็งแกร่งเกิดขึ้นอีกคนแน่นอน

การบ่มเพาะอัจฉริยะอายุน้อย เป็นเรื่องที่อำนาจใหญ่แต่ละฝ่ายให้ความสำคัญมาตลอด

“หึ ข้าไม่ได้ทำร้ายเขา ข้าต้องการคนที่อยู่ข้างเขาต่างหาก” ฝานเฟยหยางพูดเสียงเย็นชา “ผู้หญิงคนนี้ชื่อปี้เซียนเสว่ เป็นศิษย์วิทยาลัยพระวงศ์ของฉัน ข้าสงสัยว่าศิษย์ของราชวงศ์ตระกูลฝาน ตายไปจำนวนมากในแดนปริศนา อาจเกี่ยวข้องกับเธอ จึงมาเอาตัวเธอด้วยตัวเอง”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ สีหน้าของฝานเฟยหยางไม่เปลี่ยน มองหลัวซิวเย็นชา “นายขวางการจับคนของข้า คิดอะไรอยู่กันแน่ หรือว่าศิษย์ของราชวงศ์ตระกูลฝานตายไปจำนวนมาก ก็เกี่ยวกับนายด้วย”

เขาไม่พูดถึงเรื่องสยบวิญญาณสักคำ เพราะถ้าวิธีการควบคุมสยบวิญญาณหลุดออกไป ชื่อเสียงของราชวงศ์ตระกูลฝานต้องเสียหายแน่นอน ต่อไปอัจฉริยะคนไหนจะกล้าเข้ามาในวิทยาลัยพระวงศ์ เพื่อขายชีวิตให้ราชวงศ์อีกล่ะ

ดังนั้นฝานเฟยหยางจึงสร้างเหตุผลขึ้นมาเป็นข้ออ้าง แต่ในความเป็นจริง แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้ ว่าทั้งหมดนี้คือเรื่องจริง

คนของราชวงศ์ตระกูลฝาน เข้าไปในแดนปริศนา โดยส่วนใหญ่ก็โดนหลัวซิวกำจัดด้วยมือตัวเอง

“ผู้อาวุโสไม่มีหลักฐานอะไร อย่ามาใส่ร้ายคนอื่น” หลัวซิวไม่ยอมรับอยู่แล้ว

“ในเมื่อไม่ใช่นาย แล้วนายจะปกป้องเธอทำไม จะอธิบายยังไง” ฝานเฟยหยางถามเย็นชา

“เซียนเสว่เป็นอัจฉริยะขององค์กรนักล่ายุทธ์เหมือนฉัน ฉันปกป้องเธอ ทำไมต้องอธิบายด้วย”

หลัวซิวก็แสยะยิ้ม แล้วพูดว่า “อีกทั้งตอนนี้เธอไม่ใช่ศิษย์ของวิทยาลัยพระวงศ์แล้ว ใช่ไหมเซียนเสว่”

“ใช่ ฉันออกจากวิทยาลัยพระวงศ์แล้ว ไม่ใช่ศิษย์ของวิทยาลัยพระวงศ์อีกแล้ว” ปี้เซียนเสว่พูดขึ้นทันที

“บังอาจ! เธอจะเข้าจะออกวิทยาลัยพระวงศ์ยังไงก็ได้เหรอ” แววตาฝานเฟยหยางฉายแววอาฆาต

หลัวซิวทำเหมือนไม่สนใจ แสยะยิ้มแล้วพูดว่า “แท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้น ฉันว่าผู้อาวุโสกับฉัน ต่างรู้ดีแก่ใจ”

เรื่องเกี่ยวกับสยบวิญญาณ หลัวซิวไม่ได้พูดออกมาตรงๆ เพราะกังวลว่าราชวง์ตระกูลฝานจะไม่สนใจอะไร และฆ่าคนปิดปาก

เมื่อพูดออกมา ฝานเฟยหยางสีหน้าอึมครึมทันที รู้ถึงการข่มขู่ จากคำพูดของหลัวซิว เห็นได้ชัดว่าเขาก็ไม่อยากให้คนอื่นรู้เรื่องสยบวิญญาณ เพราะที่นี่ยังมีคนของตำหนักจื่อ สำนักเสวียนหยาง และสำนักฉางเหอ

ถ้าไม่มีคนนอกอยู่ที่นี่ เขาคงลงมือไปนานแล้ว ไม่มาพูดไร้สาระหรอก

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 268 ธงขลังสรรพสิ่ง

 

“ข้าเจ็บชะมัด”

หลงหมิงโอดครวญออกมา “ถ้าเป็นยุคทองของท่านชายหลง แค่จามก็ทำให้หุ่นเชิดในทางเดินนี้ตายหมดแล้ว”

สำหรับวิชาทวนนภาพรากชีวีมีชีวิตกลับมาเกิดใหม่ในชาติที่สอง ในใจของหลงหมิงทั้งดีใจและกังวล

ที่ดีใจก็คือตัวเองไม่ต้องตายแล้ว สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ สิ่งที่กังวลก็คือตัวเองต้องเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้น แต่ตอนที่พละกำลังอ่อนแอ ดันร่วงลงมาในมือของคนเลวพวกนี้ แถมยังโดนวิชาสยบวิญญาณเลวๆ อีกด้วย

มองไปรอบๆ หลัวซิวพบว่าตรงกลางโถงสี่เหลี่ยมแห่งนี้ มีแท่นหิน มีลูกไฟระยิบระยับอยู่บนนั้น

โถงแห่งนี้มีเพียงทางเข้าที่พวกเขามา ไม่มีทางออกอื่น

หลัวซิวก้าวเข้าไป มีตัวอักษรท่อนหนึ่งสลักอยู่บนแท่นหิน ตัวอักษรเหล่านี้มาจากสมัยโบราณ ดูไม่เหมือนกับตัวอักษรในปัจจุบันเล็กน้อย แต่พอเข้าใจความหมายคร่าวๆ ได้ ความหมายคือฝ่าฟันถ้ำสองด่าน สามารถเลือกสมบัติบนแท่นหินไปได้หนึ่งชิ้น

บนแท่นหินมีลูกไฟทั้งหมดสามดวง ขนาดประมาณกำปั้น ดูไม่ออกว่าข้างในคือสมบัติอะไร เห็นได้ชัดว่ารางวัลนี้เป็นแบบสุ่ม ทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับดวงของตัวเอง

ตัวสำนึกของหลัวซิวกวาดไปตามลูกไฟทั้งสามดวง ตรวจตราอยู่นาน ก็ไม่เจอเบาะแสอะไร

ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงยื่นมือไปคว้า เลือกมาหนึ่งดวง จากลูกไฟสามดวง

ลูกไฟส่องแสงสีเขียวออกมา หลังได้มาไว้ในมือ ก็เริ่มเปลี่ยนไป กลายเป็นธงเล็กๆ สีดำ ขนาดประมาณฝ่ามือ หลัวซิวกำไว้ในมือ

ขณะเดียวกัน ลูกไฟอีกสองดวงบนแท่นหิน หายแวบไปจนหมด

“ธงขลังสรรพสิ่ง”

เมื่อตัวสำนึกหล่นลงไปบนธงเล็กสีดำ ข้อมูลบางอย่างถูกส่งเข้ามาในหัวของหลัวซิว ผ่านตัวสำนึก

จากข้อมูลที่แสดงให้เขาเห็น ธงเล็กสีดำอันนี้ เป็นธงขลังของนักค่ายกลสมัยโบราณ เป็นเครื่องลางระดับสูง เทียบเท่ากับนักยุทธ์ระดับสูงในปัจจุบัน

สลักสัญลักษณ์ลายเส้นลงบนธงขลัง ใช้ตัวสำนึกพลังจิตแท้กระตุ้น เพียงพริบตาก็วางค่ายกลได้ อีกทั้งในนั้นสามารถสลักค่ายกล ได้มากถึงสิบประเภท

ธงค่ายที่สร้างขึ้นในปัจจุบัน เป็นประเภทเดียวกับธงขลัง แต่ธงค่ายแต่ละชุด สามารถสลักค่ายกลได้เพียงชนิดเดียว ไม่เหมือนธงขลัง จำนวนธงค่ายที่ใช้ก็แตกต่างกัน ดังนั้นนักค่ายกลส่วนมาก มักเอาธงค่ายติดตัวไว้หลายชุด

แต่ในสมัยโบราณ นักค่ายกลสร้างแค่ธงขลังผืนเดียว แต่สามารถวางค่ายกลได้ตลอด อีกทั้งยังสามารถรวมค่ายกลที่สลักเอาไว้บนธงขลังไว้ด้วยกันได้ สร้างเป็นค่ายกลหลอมรวม

“ของดี!” เมื่อรู้ข้อมูลพวกนี้ หลัวซิวมีสีหน้าดีใจ มีธงขลังสรรพสิ่งผืนนี้ สามารถทำให้เขาใช้ระดับค่ายกลของตัวเองออกมาได้อย่างเต็มที่ พละกำลังยกระดับขึ้นสูงมาก

“เซียนเสว่ เธอก็ไปลองดูสิ” หลัวซิวเดินกลับมาพูดกับปี้เซียนเสว่

เพราะเขาพบว่าหลังจากตัวเองออกมาจากข้างแท่นหิน ข้างบนก็มีลูกไฟอีกสามดวงปรากฏขึ้น แต่เมื่อเขาจะยื่นมือไปหยิบ ก็มีพละกำลังที่มองไม่เห็น ขัดขวางเขาไว้ เห็นได้ชัดว่าแต่ละคนที่มาตรงนี้ รับรางวัลได้แค่ครั้งเดียว

ปี้เซียนเสว่เลือกลูกไฟมาหนึ่งดวง ได้รับม้วนหยกหนึ่งม้วน

แต่เธอกลับไม่ใช้ตัวสำนึกตรวจสอบม้วนหยก เธอเดินมายื่นม้วนหยกให้หลัวซิว

“นี่เป็นของเธอ เอามาให้ฉันทำไม” ถึงหลัวซิวจะสงสัยว่าในม้วนหยกบันทึกอะไรอยู่ แต่เขากลับไม่ยื่นมือไปรับมา

“ถ้าไม่มีนาย ฉันไม่มีทางเดินมาถึงที่นี่ ควรเอาของให้นายอยู่แล้ว” ปี้เซียนเสว่พูดตามเหตุผล

หลัวซิวอดหัวเราะไม่ได้ เขาส่ายหน้าแล้วพูดว่า “เธอเก็บไว้เถอะ ฉันได้ของมาเยอะแล้วอีกทั้งเรายังมาด้วยกัน นี่เป็นสิ่งที่เธอควรได้รับ”

เห็นหลัวซิวดึงดันไม่รับไว้ ปี้เซียนเสว่ก็ไม่ดึงดันต่อ หลังใช้ตัวสึกนึกตรวจตราม้วนหยก สีหน้าของเธอชะงักไป

นี่ทำให้หลัวซิวอดสงสัยไม่ได้ ในม้วนหยกนี้มีอะไรกันแน่

“วรยุทธ์ระดับ9……” ปี้เซียนเสว่ตั้งสติได้ พูดอย่างไม่อยากเชื่อ

“อะไรนะ วรยุทธ์ระดับ9 เหรอ” หลัวซิวก็อึ้งเหมือนกัน

วิชายุทธ์สูงสุดในประเทศเทียนหวู ก็คือวรยุทธ์ระดับ8 ถึงเป็นสามอำนาจใหญ่อย่างตำหนักจื่อ สำนักเสวียนหยาง สำนักฉางเหอ ก็ไม่มีการถ่ายทอดวรยุทธ์ระดับ9

ยิ่งไปกว่านั้น ในวิชายุทธ์ วรยุทธ์เป็นสิ่งที่ล้ำค่ามาก

วรยุทธ์ระดับ9 ที่บันทึกในม้วนหยก ชื่อว่าวิชาหยินบริสุทธิ์ สำหรับคนที่มีร่างเสวียนหยินสุดพิเศษอย่างปี้เซียนเสว่ เป็นวรยุทธ์ที่เหมาะสมที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย

เห็นได้ชัดว่า ในถ้ำปริศนาแห่งนี้ มีการวางค่ายกลที่ลึกลับอยู่แห่งหนึ่ง จะมอบรางวัลที่เหมาะสม อิงตามสภาพของผู้ที่บุกเข้ามา

เดิมทีหลัวซิวกะจะหาโอกาสทำวรยุทธ์ที่ดี ให้ปี้เซียนเสว่ผ่านเทพแห่งวัฏจักรชีวิต เหมือนตอนแรกที่เขาช่วยฮู๋ชิงชิงทำวิชาปฐมอสูรฟ้า

ตอนนี้ปี้เซียนเสว่มีวิชาหยินบริสุทธิ์ ที่เป็นวรยุทธ์ระดับ9 เหมือนวิชาปฐมอสูรฟ้า อีกทั้งเธอยังได้วรยุทธ์ที่สมบูรณ์แบบ ไม่ต้องทำเรื่องเกินจำเป็นแล้ว

ตามที่เทพแห่งวัฏจักรชีวิตบอกไว้ หลังผลการฝึกตนของเขาถึงแดนฝึกจิต มีสิทธิพิเศษแน่นอนแล้ว สามารถได้รับความช่วยเหลือจากวัฏจักร แต่การช่วยเหลือนี้มีจำกัด สิ่งที่ได้จากในนั้น จึงมีระดับที่ไม่ค่อยสูง

อย่างน้อยหลัวซิวอยากได้วรยุทธ์ยิ่งเลิศ ที่เหนือกว่าวรยุทธ์ระดับ9 จากความสามารถของเขาในตอนนี้ แค่บางส่วนก็ยังเอามาไม่ได้

หลังปี้เซียนเสว่ได้รางวัล หลงหมิงก็วิ่งหลุนๆ ไปหน้าแท่นหิน แต่กลับไม่มีสมบัติอะไรปรากฏออกมา

“โอ๊ย! ให้ตายเถอะ ท่านชายหลงฝ่าฟันสุดชีวิตมาที่นี่ ทำไมถึงไม่มีรางวัลของฉันล่ะ”

หลงหมิงคำรามอย่างโมโห ฟาดกรงเล็บไปทางแท่นหิน แต่กลับโดนแรงสะท้อนกลับจนกระเด็น โมโหจนส่งเสียงฟึดฟัด

เห็นได้ชัดว่าค่ายกลในถ้ำแห่งนี้ สามารถแยกลมปราณ มีเพียงนักยุทธ์ที่เป็นมนุษย์ ผ่านด่านสองด่าน จึงจะได้รางวัล อสูรกายไม่สามารถได้รางวัลใดๆ

เรียกว่าไม่ใช่พวกเดียวกัน จิตใจย่อมแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นสมัยโบราณหรือปัจจุบัน ก็เป็นเช่นนี้

……

สำหรับคนที่ฝึกยุทธ์ เวลาร้อยวัน จะว่านานก็ไม่นาน จะว่าสั้นก็ไม่สั้น

บริเวณแท่นวาร์ปโบราณ ที่เข้าไปยังแดนปริศนา ทหารเสือดำพันกว่าคน ประจำการอยู่ที่นี่เป็นเวลาประมาณสองเดือนแล้ว

อีกทั้งที่ประจำการของทหารเสือดำกลุ่มนี้ ยังมีค่ายกลชนิดหนึ่งวนเวียนอยู่ ล็อกพื้นที่เขตนี้เอาไว้

ผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ ที่มาจากราชวงศ์ตระกูลฝานสามคน ต่างมีสีหน้าอึมครึม สายตาจ้องไปยังแท่นโบราณนั่น

ความเคลื่อนไหวของราชวงศ์ตระกูลฝานครั้งนี้ ทำให้อำนาจใหญ่อื่นๆ ตกใจอยู่แล้ว ตำหนักจื่อ สำนักเสวียนหยาง สำนักฉางเหอ ผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ของสามอำนาจใหญ่ ต่างพากันมา ทำให้บรรยากาศบริเวณนี้ ดูตึงเครียดอย่างเห็นได้ชัด

“ถึงเวลาแล้ว”

ฝั่งทหารเสือดำประเทศเทียนหวู ผู้อาวุโสเคราขาวคนหนึ่ง พูดเสียงทุ้มทันที มีตราปรมาจารย์ค่ายกลขั้น5 แขวนอยู่ตรงอก ส่องแสงระยิบระยับภายใต้แสงอาทิตย์ที่ส่องลงมา

“ครืน!”

แท่นวาร์ปโบราณส่องแสงขึ้นทันที สัญลักษณ์และลายเส้นค่ายกลซับซ้อน ที่สลักเอาไว้ ต่างพากันส่องแสงขึ้นมา พลังแห่งห้วงเวลาอันแข็งแกร่ง พวยพุ่งอยู่บนแท่น

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 267 รูปปั้นหุ่นเชิด

 

กู้เค่ออานรู้ว่าตัวเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลัวซิว เขารีบเอายันต์หยกมาบีบจนสลาย และโยนไปด้านหลัง

ตู้ม!

เห็นคลื่นสีทองกระเพื่อมด้วยตาเปล่า เหมือนน้ำในแม่น้ำทะลัก โถมเข้ามาหาหลัวซิว

ยันต์โจมตีระดับ5!

เพื่อเอาชีวิตรอด กู้เค่ออานไม่คิดจะต่อกรกับเขา เขาใช้ยันต์โจมตีระดับ5 ทันที

ยันต์โจมตีระดับ5 เหมือนกัน แต่เพราะในยันต์หยก สลักค่ายกลไม่เหมือนกัน รูปแบบการโจมตีที่ออกมาก็แตกต่างกัน

ถ้าไม่ใช่เพราะตัวสำนึกกับพลังจิตแท้ โดนควบคุมที่ทางเดินในด่านที่สอง หลัวซิวเดาว่าตอนที่กู้เค่ออานกับซือโคงสวี่ที่ตายไป คงใช้ยันต์โจมตีระดับ5 ลอบโจมตีไปแล้ว

แต่เพราะยันต์ต้องกระตุ้นด้วยพลังจิตแท้ ไม่สามารถใช้ในทางเดินด่านที่สอง ไม่งั้นถ้าเกิดเรื่องไม่คาดฝัน ไม่แน่หลัวซิวอาจโดนพวกเขาลอบโจมตีจนตาย

เมื่อคิดได้เช่นนี้ ความโกรธในใจหลัวซิวพลุ่งพล่าน และพูดในใจว่าตัวเองยังประมาทเกินไป เจอบทเรียนมามากมาย ยังให้คนอื่นฉวยโอกาสได้

พูดถึงตรงนี้ บนโลกนี้ใจคนอันตราย จนไม่รู้จะป้องกันอย่างไร

“ฆ่าด้วยกระบี่เดียว!”

เมื่อเจอพลังยันต์โจมตีระดับ5 หลัวซิวก็ใช้หนึ่งในกระบวนท่าที่ตัวเองเก่งกาจที่สุด จากนั้นก็หมุนพลังแปรเสวียนเทียน 24 เท่า

แสงกระบี่ดำยาวกว่าสิบฟุต สั่นสะเทือนในอากาศ บดทุกสิ่งทุกอย่าง แหวกคลื่นน้ำกระเพื่อมสีทอง และปะทะเข้าด้วยกัน

เสียงระเบิดดังขึ้นในอุโมงค์มืดอย่างต่อเนื่อง คลื่นน้ำกระเพื่อมสีทองที่กระตุ้นมาจากยันต์พลังโจมตีระดับ5 หลัวซิวฟันจนกระจายในกระบี่เดียว แต่คลื่นน้ำกระเพื่อมสีทองที่แตกกระจาย กลับไม่สลายหายไป กลับกลายเป็นแสงสีทองนับไม่ถ้วน พุ่งเข้าไปหาหลัวซิว

ขณะเดียวกัน กู้เค่ออานใช้โอกาสนี้ หนีมาถึงปากทางเข้าถ้ำ แค่ผ่านม่านแสงค่ายกลไปได้ ก็จะรอดออกไปแล้ว

“ฮ่าๆ คนแซ่หลัว นายฆ่าซือโคงสวี่ รอให้ออกไป ต้องเจอการตามฆ่าของสองอำนาจใหญ่อย่างสำนักเสวียนหยางกับสำนักฉางเหออย่างแน่นอน!” กู้เค่ออานหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง

“สลายวิญญาณ!”

ขณะที่กู้เค่ออานกำลังจะผ่านม่านแสงค่ายกลไป หลัวซิวใช้พลังก่อรวมวิญญาณ แสดงวิชาลับสลายวิญญาณออกมา

พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ!……

ตอนกำลังใช้วิชาลับสลายวิญญาณ หลัวซิวก็โดนแสงสีทองนับไม่ถ้วนพุ่งเข้ามาใส่ แต่ละแสงแฝงไปด้วยพลังรุนแรง ร่างกายร่างยุทธ์สูงสุด ที่ถึงขีดสุด ทะลุเป็นรู ทิ้งรูเลือดเอาไว้บนตัวเขา น่าตกใจเป็นอย่างมาก

พลังจิตแท้สองระดับความเป็นตาย กลายเป็นพลังแห่งชีวิต เห็นได้ด้วยตาเปล่าว่ารูเลือดบนตัวหลัวซิว เริ่มสมานกันอย่างรวดเร็ว

ขณะนั้น ด้านนอกถ้ำปริศนาโบราณ นักยุทธ์หลายสิบคน ที่ลองเข้าไปในถ้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า ต่างหน้าเปลี่ยนสี

เพราะมีคนกระเด็นออกมาจากม่านแสงที่ปากถ้ำ เสียงหล่นตุ้บลงบนพื้น ไม่มีลมหายใจสักนิด

มีคนเข้าไปตรวจสอบ รู้จักคนที่กระเด็นออกมาจากถ้ำ เป็นกู้เค่ออาน อัจฉริยะของสำนักเสวียนหยาง หนึ่งในสามอำนาจใหญ่!

นี่ทำให้ยอดฝีมือจำนวนมากที่อยู่ตรงนี้ ถึงกับตกใจ พวกเขาไม่ได้เข้าไปในถ้ำ ไม่รู้ว่ากู้เค่ออานเจออะไรข้างในนั้น

แต่ไม่นาน ก็เกิดความโกลาหลขึ้น เพราะถึงกู้เค่ออานตายไปแล้ว แต่บนตัวยังมีแหวนเก็บของ ในนั้นมีทรัพย์สินที่ทำให้ใครก็หวั่นไหว

อุโมงค์มืดภายในถ้ำ หลัวซิวได้ยินความเคลื่อนไหวข้างนอก แต่ไม่ได้ออกไปตรวจสอบดู เว้นเสียแต่เขาจะฆ่าทุกคนให้หมด ไม่งั้นขืนออกไป จะกลายเป็นฆาตกรที่ฆ่ากู้เค่ออาน

“สมบัติบนตัวกู้เค่ออาน ที่ต้านทานการจู่โจมวิญญาณได้ ดูเหมือนระดับจะไม่สูง” หลัวซิวคิดในใจ

จากที่กู้เค่ออานสามารถผ่านสำนักนั้นไปได้ สมบัติป้องกันวิญญาณชิ้นนั้น น่าจะต้านทานตัวสำนึกโจมตี ระดับราชายุทธ์ขั้น1 ได้

ส่วนหลัวซิวใช้ประโยชน์จากแสงดำในสำนัก ฝึกตัวสำนึกของตัวเอง จนถึงราชายุทธ์ขั้น2สามารถทำลายการป้องกันของสมบัติ ฆ่าวิญญาณหยั่งรู้ของกู้เค่ออานได้

เทียบกับตัวสำนึกราชายุทธ์ขั้น2 ฝึกจิตขั้น6 บนตัวกู้เค่ออาน ไม่มีพลังต้านทานแม้แต่น้อย

เมื่อหลัวซิวกลับเข้ามาตรงปากทางเดินด่านสอง ปี้เซียนเสว่รออยู่ที่นี่แล้ว

หลงหมิงไม่ได้หลอมรวมร่างกายกับพื้นที่ว่าง ตัวมังกรยาวเกือบสิบเมตร ขดตัวอยู่อีกด้านแววตามังกรเป็นประกายวูบไหว ไม่รู้กำลังคิดอะไรอยู่

พวกหุ่นเชิดสองข้างทาง กลับไปอยู่ในสภาพเดิม เมื่อมีคนเข้าไปในทางเดิน พวกเขาจะฟื้นคืนชีพ ขัดขวางผู้บุกรุก

ทางเดินนี้ยาวแค่ไหน มองไปไม่เห็นปลายทาง เมื่อตัวสำนึกเข้าไปในเขตทางเดิน ก็จะโดนควบคุม

ส่วนเรื่องของหลงหมิง ปี้เซียนเสว่ไม่ได้สอบถาม เธอสนใจแค่หลัวซิวกลับมาอย่างปลอดภัยเท่านั้น

“กำจัดคนที่ขวางมือขวางเท้าไปแล้ว เราเริ่มต่อไปได้แล้ว”

หลัวซิวยิ้มบางๆ ครั้งนี้เขาเดินข้างหน้า หลงหมิงรับหน้าที่ดูหลัง ปี้เซียนเสว่ยังคงอยู่ตรงกลางระหว่างสองคน

เมื่อเข้ามาในทางเดิน หุ่นเชิดฟื้นคืนชีพ พวกนักค่ายกลในสมัยโบราณ มีร่างกายแข็งแรงบึกบึน อีกทั้งเมื่อเข้าไปลึกของทางเดิน พลังของหุ่นเชิดก็ยิ่งแข็งแกร่ง เริ่มแรกเป็นร่างยุทธ์สูงสุดขั้นต้น จนกระทั่งร่างยุทธ์สูงสุดขั้นปลาย

โชคดีที่ทางเดินเส้นนี้ไม่กว้างเกินไป หลัวซิวกับหลงหมิง แค่ต้องเผชิญกับการโจมตีของหุ่นเชิด 4-5 ตัว ในเวลาเดียวกัน

ใช้เวลาเกือบหนึ่งวัน ปลายทางเดินปรากฏให้เห็นในสายตา ตอนนี้หลัวซิวกับหลงหมิงดูเหนื่อยล้า เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผล

“โอ๊ย เกล็ดมังกรของข้า!”

เกล็ดมังกรบนตัวหลงหมิง หายไปหลายสิบแผ่น คราบเลือดสีแดงที่ไหลออกมา มีแสงสีเงินสลัวๆ

หางมังกรของมันสะบัด หุ่นเชิดสองสามตัวโดนฟาดจนกระเด็น จากนั้นมีหุ่นเชิดพุ่งเข้ามาอีก ไม่กลัวตายสักนิด

กรงเล็บมังกรอันแหลมคม ฉีกหุ่นเชิดตัวหนึ่งเป็นชิ้นๆ แต่ไม่นานก็มีแสงสว่างขึ้นมา หุ่นเชิดที่แตกออกเป็นชิ้นๆ ก่อตัวขึ้นมาใหม่ และพุ่งเข้ามาต่อ

กระบี่ยุทธ์ชั้นกลางในมือหลัวซิวก็ฟันจนบิ่น เสื้อคลุมยาวดำบนตัว ก็ขาดหลุดรุ่ย เลือดเลอะเต็มไปหมด

แต่สภาพของเขาดีกว่าหลงหมิงเยอะ เพราะเมื่อเขาบาดเจ็บ วงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพในจุดตันเถียน จะหมุนเวียนพลังแห่งชีวิต รักษาอาการบาดเจ็บของเขาโดยอัตโนมัติ

อยู่ในทางเดิน แม้พลังจิตแท้จะโดนควบคุม จนไม่สามารถใช้งานได้ แต่การหมุนเวียนอัตโนมัติ ของวิชาวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ กลับไม่โดนการควบคุมจากที่นี่สักนิด

ตู้ม!

กระบี่เดียว ทำให้หุ่นเชิดสามตัวข้างหน้ากระเด็นออกไป หลัวซิวเหวี่ยงปี้เซียนเสว่ที่อยู่ด้านหลังออกไปจากเขตทางเดินแห่งนี้

จากนั้นเขากับหลงหมิง ตามกันพุ่งออกมาจากทางเดิน รูปปั้นหุ่นเชิดด้านหลัง ก็ชะงักการกระทำไป และเดินไปยืนสองข้างทางเดิน กลับสู่ความสงบนิ่งอีกครั้ง

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 266 นายหนีไม่รอดหรอก

 

กู้เค่ออานกับซือโคงสวี่ ที่กำลังจะเตรียมเข้าไปบนทางเดิน ตกใจกับภาพที่เกิดขึ้นกะทันหัน อสูรกายสีเงินตัวนั้น เข้ามาตอนไหนกัน

“เขากวาง กรงเล็บอินทรีย์ ร่างงู เกล็ดปลา อย่าบอกนะว่านี่คือตระกูลมังกรในตำนาน” กู้เค่ออานอุทานอย่างตกใจ

“แฮ่!”

หลงหมิงคำรามเสียงดัง ตัวมังกรยาวสิบเมตรเคลื่อนไหว ต่อสู้กับรูปปั้นหุ่นเชิดที่พุ่งเข้ามา

“ทางเดินนี้มีผนึกค่าย ตัวสำนึกกับพลังจิตแท้จะโดนควบคุม” หลงหมิงใช้ตัวสำนึก ส่งเสียงคุยกับหลัวซิว จากนั้นก็เข้าไปในการต่อสู้

“ทั้งสองท่าน เราใช้โอกาสนี้เข้าไปกันเถอะ”

หลัวซิวพูดกับกู้เค่ออานและซือโคงสวี่ จากนั้นก็ก้าวเข้าไปในทางเดิน ปี้เซียนเสว่ก็ทำตามที่เขากำชับ เดินตามหลังไปติดๆ

ตระกูลมังกร เป็นราชาในบรรดาอสูรกาย ร่างกายแข็งแกร่งตั้งแต่เกิด มังกรไร้ร่างเป็นสิ่งที่โดดเด่นในตระกูลมังกร นอกจากมีพรสวรรค์ในการหลอมรวมกับพื้นว่าง ร่างกายก็แข็งแกร่งไม่ด้อยไปกว่าหลัวซิวสักเท่าไร

รูปปั้นทั้งสองข้างทางฟื้นคืนชีพ เป็นหุ่นเชิด ที่สร้างจากค่ายกลชนิดหนึ่ง แต่ละตัวล้วนมีพละกำลังระดับร่างยุทธ์สูงสุด

หลัวซิวเพิ่งเข้ามาในทางเดิน รู้สึกว่าพลังจิตแท้กับตัวสำนึกของตัวเอง โดนควบคุมอยู่ในร่างกาย มีเพียงพลังในร่างกาย ที่ไม่ได้รับผลกระทบใด

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นจุดประสงค์ของการทดสอบร่างกายด่านที่สอง

ตู้ม!

หลัวซิวใช้กระบี่ฟันรูปปั้นหุ่นเชิดจนแยกเป็นสอง และมารวมกับหลงหมิงอย่างรวดเร็ว

หนึ่งคน หนึ่งมังกร อยู่หน้าและหลัง โดยมีปี้เซียนเสว่อยู่ตรงกลาง เพราะถึงเธอมีผลการฝึกตนฝึกจิตขั้น6 แต่เธอไม่ได้ฝึกวิชากลั่นร่าง ร่างกายอย่างมากก็เท่ากับร่างยุทธ์ชั้นกลางไม่สามารถทำอะไรที่นี่ได้

นอกทางเดิน กู้เค่ออานกับซือโคงสวี่เห็นภาพตรงหน้า ต่างมีสีหน้าตกตะลึง ทั้งสองมองหน้ากัน ดวงตาเป็นประกาย

“อสูรกายร่างมังกรตัวนั้น น่าจะมาด้วยกันกับหลัวซิว”

“ระหว่างทางที่เราเดินมาก่อนหน้านี้ ไม่เห็นอสูรกายร่างมังกรตัวนี้เลย หลัวซิวซ่อนไว้ลึกจริงๆ”

“ได้ยินว่าเขาเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ในระยะเวลาสั้นๆ เพียง 2 ปี บนตัวต้องมีความลับแน่ ฉันกับนายร่วมมือกันกำจัดเขา แบ่งปันความลับของเขาด้วยกัน เป็นไง”

ระยะเวลาเพียงสั้นๆ ตัวสำนึกของกู้เค่ออานกับซือโคงสวี่แอบส่งเสียง เห็นพ้องต้องกัน

จากนั้นทั้งสองพุ่งไปบนทางเดิน ล้วนมีพละกำลังร่างกายระดับร่างยุทธ์สูงสุดขั้นต้น

“ศิษย์พี่หลัว พวกเราพุ่งเข้าไปพร้อมกัน” ทั้งสองเข้าใกล้หลัวซิว พลางพูดเสียงดัง

“ได้!” หลัวซิวตอบรับ เขาพบว่าเมื่อรูปปั้นหุ่นเชิดที่นี่ถูกทำลาย จะประกอบขึ้นมาใหม่อีกครั้ง จะไปทางเดินอีกด้านหนึ่งเป็นเรื่องยาก ถ้ามีกู้เค่ออานกับซือโคงสวี่ช่วย คงแบ่งเบาได้ไม่น้อย

ทว่าตอนที่ทั้งสองเดินไปข้างหลัวซิว กลับลงมือกะทันหัน กระบี่กับดาบฟันลงไปที่ตัวหลัวซิว

ในนี้ตัวสำนึกกับพลังจิตแท้โดนควบคุม หลัวซิวไม่ได้ตั้งตัวไว้ก่อน ตัวเขาโดนฟันจนกระเด็นออกไป

เสียงกระดูกหักดังขึ้นมา ถึงร่างกายของเขาถึงระดับร่างยุทธ์สูงสุด ที่ถึงขีดสุดแล้ว แต่เจอกับแรงฟันทั้งหมดของนักยุทธ์ระดับชั้นล่าง ก็ต้องบาดเจ็บเหมือนกัน

“หลัวซิว!”

ปี้เซียนเสว่เห็นภาพตรงหน้า ก็ส่งเสียงตกใจออกมา ขณะเดียวกันสีหน้าเธอโมโห เธอคิดไม่ถึงว่ากู้เค่ออานกับซือโคงสวี่ จะลอบทำร้ายในเวลาแบบนี้

หลัวซิวโดนกระแทกจนกระเด็น ทันใดนั้นมีรูปปั้นหุ่นเชิดกรูกันเข้าไป กลบตัวของเขาจนมิด

ไฟโกรธพลุ่งพล่านในอก หลัวซิวคิดไม่ถึงว่าสองคนนี้จะร้ายกาจขนาดนี้ ดูภายนอกสุภาพ มีมารยาท แต่เมื่อได้โอกาสก็แอบแทงข้างหลัง คนหน้าไหว้หลังหลอกเช่นนี้ หลัวซิวรังเกียจที่สุด

“โฮก!”

ตอนกู้เค่ออานกับซือโคงสวี่กระแทกหลัวซิวจนกระเด็น หางมังกรสีเงินกะพริบฟาดเข้ามา ทำให้พวกเขาสองคนกระเด็นออกไป

แต่หลงหมิงไม่ได้ลงมือทำร้ายทั้งสองคนต่อ แต่ทำตามความต้องการของหลัวซิว ขดร่างกายและลอยขึ้น คุ้มกันปี้เซียนเสว่เอาไว้

“หลีกไป!”

ภายใต้การล้อมโจมตีของรูปปั้นหุ่นเชิดสิบกว่าตัว หลัวซิวตวาดอย่างโมโห ทำให้รูปปั้นหุ่นเชิดบริเวณรอบๆ สั่นสะเทือนจนปลิว

ความอาฆาตและลมหายใจแห่งความตายแผ่ซ่านออกมา ตัวสำนึกกับพลังจิตแท้ถูกกดดัน แต่นักยุทธ์ที่ตระหนักรู้ด้านห้วงยุทธ์ กลับไม่โดนควบคุม

“ไปตายซะ!”

หลัวซิวก้าวออกมา ฟันกระบี่ไปทางซือโคงสวี่ ความอาฆาตอันน่ากลัวกับลมหายใจแห่งความตาย ถาโถมเข้ามา ทำให้เขาหน้าเปลี่ยนสี

“นายเป็น……” สีหน้าของซือโคงสวี่ไม่อยากเชื่อ เขากับกู้เค่ออานลงมือสุดกำลัง อีกทั้งยังใช้กองทัพดิน แต่ไอ้หมอนี่แค่บาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้นเหรอ

เขารีบยกดาบรบในมือขึ้นมากันเอาไว้ ทันใดนั้นเกิดเสียงระเบิด กระบี่ยุทธ์ของหลัวซิวฟันลงบนดาบรบที่ยกขึ้นมา พลังอันดุดัน ทำให้ซือโคงสวี่รู้สึกเหมือนโดนฟ้าผ่า กระเด็นออกไป เลือดทะลักออกทางปาก

“แข็งแกร่งมาก……” ทันใดนั้น ในใจของซือโคงสวี่หวาดกลัวเป็นกังวล พละกำลังของหลัวซิว เหนือจินตนาการของเขา ต้องเป็นร่างยุทธ์สูงสุดตอนปลายอย่างแน่นอน หรือไม่ก็ขั้นขีดสุด!

“หนี!”

หลังตกลงมาบนพื้น ซือโคงสวี่รู้สึกว่าแขนทั้งสองข้างไร้ความรู้สึก ไม่มีความคิดจะเดินไปทางนี้อีกแล้ว เขาตะเกียกตะกายขึ้นมา ความคิดแรกคือหนี

แต่การกระทำของหลัวซิวเร็วกว่าเขา กระโดดเด้งตัวตามเขาไป กระบี่ยุทธ์สะบัดแนวขวาง เกิดเสียงดังพรวด เลือดสาดกระจาย

“เป็น……เป็นไปไม่ได้……” ซือโคงสวี่เบิกตาโพลง ร่างล้มจมกองเลือด

หลัวซิวสีหน้าไร้อารมณ์ เก็บดาบรบและแหวนเก็บของของเขาขึ้นมา จากนั้นก็มองไปยังกู้เค่ออาน อีกฝ่ายเห็นว่าสถานการณ์ไม่ดี ใช้โอกาสตอนสู้กับซือโคงสวี่ ถอยไปที่ปากทางเดินแล้ว

“หลงหมิง นายคุ้มกันเซียนเสว่กลับไปส่งที่ปากทาง เดี๋ยวเราค่อยเข้ามาใหม่” ตัวสำนึกของหลัวซิวส่งเสียงบอกหลงหมิง จากนั้นเขาถอยออกจากทางเดิน ตามไปฆ่ากู้เค่ออาน

เขารู้ดีว่าถ้ากู้เค่ออานหนีออกไปได้ ตอนเขาออกไป ต้องป่าวประกาศว่าซือโคงสวี่ตายคามือเขาแน่นอน ในเมื่อแตกหักกันแล้ว หลัวซิวยอมไม่ไปค้นหาสมบัติในถ้ำลึก เพื่อกำจัดขวากหนาม

ตอนนี้กู้เค่ออานไม่มีท่าทีสง่างามอีกแล้ว วิ่งเหมือนสุนัขจนตรอก ออกจากทางเดิน ไม่กล้าชะลอฝีเท้าสักนิด เขาวิ่งไปยังทางออกปากถ้ำ

ตอนเขามาถึงในสำนัก ถ้ามีตัวสำนึกที่ก่อตัวเป็นแสงดำจู่โจมเข้ามา หยกที่เขาแขวนไว้ตรงอก จะปล่อยม่านแสง ต้านทานแสงดำออกไป

“กู้เค่ออาน นายหนีไม่รอดหรอก!”

ขณะนั้น ระหว่างที่เขากำลังจะออกจากอุโมงค์ ความรู้สึกแห่งความตายอันน่ากลัว แผ่ซ่านมาทางด้านหลัง ปกคลุมมาทั้งตัว

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 265 บททดสอบมากมาย

 

จนกระทั่งตอนนี้ นับว่าหลัวซิวนำสองระดับความเป็นตาย ยกระดับถึงตระหนักห้วงยุทธ์แล้ว

ถึงเป็นเขา ก็ไม่คิดว่าจะประสบผลสำเร็จขนาดนี้

เว้นแต่ตระหนักรู้ห้วงยุทธ์ชนิดที่สาม ตัวสำนึกของหลัวซิวผ่านระดับราชายุทธ์ขั้น 1 ไปสู่ราชายุทธ์ขั้น2 แล้ว

หลังตัวสำนึกฝ่าฟันมาได้ การโจมตีของตัวสำนึกในสำนักนี้ ไม่มีความน่าเกรงขามสำหรับเขาอีกแล้ว

เพราะสำนักไท่เสวียนให้ศิษย์ในสำนัก ฝึกตัวสำนึก ด้วยบททดสอบมากมาย ไม่มีทางใช้บททดสอบที่ยากเกินไป ไม่งั้นจะไม่ใช่การทดสอบ แต่จะเป็นการฆ่า

“เหลืออีกสามวัน แดนปริศนาจะปิดลง”

หลังจากลืมตา หลัวซิวขมวดคิ้ว เขาฝึกตนในสำนักนี้เพียงครู่เดียว ก็ใช้เวลานานขนาดนี้ ไม่รู้ว่าเวลาที่เหลือสามวัน จะพอให้ค้นหาถ้ำโบราณแห่งนี้ต่อไปหรือเปล่า

ไม่กี่วันนี้ปี้เซียนเสว่ฝึกตนในอุโมงค์ ผลการฝึกตนยกระดับอย่างมั่นคงไม่น้อย การเคลื่อนไหวพลังจิตก็แข็งแกร่งกว่าก่อนมาก

หลัวซิวยังคงใช้ตัวสำนึกของตัวเอง คุ้มครองเธอกับหลงหมิงไว้ และเดินไปข้างหน้าสำนักรูปวงรีแห่งนี้

หลังเดินไปได้ประมาณสองชั่วยาม บริเวณรอบๆ ไม่มีแสงดำจู่โจมวิญญาณปรากฏออกมาอีกแล้ว

“มีคน!”

ทันใดนั้น หลัวซิวหรี่ตาลง เห็นเงาคนสองคนข้างหน้า เป็นหนุ่มอายุยี่สิบกว่าปี

นี่ทำให้หลัวซิวตกใจมาก จากที่เขารู้ คนมีความสามารถอายุน้อยของแต่ละอำนาจใหญ่ ที่เขามาในนี้จำนวนมาก ผลการฝึกตนมากที่สุด ไม่เกินฝึกจิตขั้น7 อย่าบอกนะว่าสองคนนี้ก็ฝึกวรยุทธ์กลั่นวิญญาณ อีกทั้งตัวสำนึกทัดเทียมได้กับระดับราชายุทธ์

ตอนหลัวซิวเห็นอีกฝ่าย ชายหนุ่มสองคนก็เห็นเขากับปี้เซียนเสว่ แววตาประหลาดใจเช่นกัน

ทั้งสองหายตัวแวบพร้อมกัน ไม่นานก็เข้ามาใกล้ หลัวซิวจึงเห็นอย่างชัดเจน ชายหนุ่มสองคนนี้ คนหนึ่งคือกู้เค่ออาน เป็นอัจฉริยะของสำนักเสวียนหยาง ส่วนอีกคนคือซือโคงสวี่ อัจฉริยะของสำนักฉางเหอ

ขณะเดียวกัน หลัวซิวสังเกตเห็นว่า สองคนนี้ไม่ได้มีตัวสำนึกระดับราชายุทธ์ มาถึงที่นี่ ผลการฝึกตนอยู่ในฝึกจิตขั้น6 ต้องอาศัยสมบัติต้านทานจู่โจมวิญญาณอะไรบางอย่าง ถึงเข้ามาที่นี่ได้

สามสำนักใหญ่กับราชวงศ์ตระกูลฝาน ล้วนรู้ความลับบางอย่างในถ้ำโบราณ สำหรับสถานการณ์ข้างในก็ต้องรู้อยู่แล้ว และเตรียมแผนเอาไว้บางส่วน ไม่ได้น่าแปลกอะไร

เมื่อคิดได้เช่นนี้ หลัวซิววางใจลง ขอแค่อีกฝ่ายไม่ได้เอาพละกำลังที่แท้จริงมา เขาก็ไม่จำเป็นต้องกลัว

“ที่แท้ศิษย์พี่หลัวนี่เอง กระผมเคยได้ยินชื่อเสียงอันโด่งดังของศิษย์พี่หลัว” ซือโคงสวี่สำนักฉางเหอ หัวเราะร่าแล้วเอ่ยขึ้น ดูภาคภูมิมาก

“ได้ยินว่าเมื่อหนึ่งปีก่อน ศิษย์พี่หลัวฝ่าฟันเข้าไปที่หอคอยมังกรบินชั้น7 โดนขนานนามว่าอัจฉริยะที่หาได้ยากในรอบหลายปี วันนี้ได้เจอ เป็นโชคดีทั้งสามชาติ” กู้เค่ออานดูสุภาพ ยิ้มแล้วหันมาประสานมือทำความเคารพหลัวซิว

“ทั้งสองท่านเกรงใจแล้ว” หลัวซิวยิ้มแล้วประสานมือทำความเคารพเช่นกัน

เรียกว่ามือที่ยื่นมาย่อมไม่ตบคนที่ส่งยิ้มให้ แค่อีกฝ่ายไม่ล่วงเกินตัวเอง โดยปกติหลัวซิวก็ไม่เป็นฝ่ายไปหาเรื่องคนอื่นอยู่แล้ว

“ฉันได้ยินมาว่ามีคนเข้ามาไม่น้อย ทำไมมีแค่ทั้งสองท่าน คนอื่นล่ะ” หลัวซิวถาม

ได้ยินหลัวซิวถามเช่นนี้ สีหน้าของสองคนฝั่งตรงข้าม ไม่สู้ดีขึ้นมา ซือโคงสวี่ตอบว่า “ก่อนหน้านี้ มีสองสามคนที่ตายในสำนัก ในเมื่อศิษย์พี่หลัวเดินมาถึงที่นี่ได้ คงรู้ว่าการจู่โจมวิญญาณของสำนักนั้น ถึงระดับราชายุทธ์”

หลัวซิวพยักหน้า “ใช่ ถ้าไม่ใช่เพราะฉันมีสมบัติต้านทานการจู่โจมวิญญาณ คงต้องตายอยู่ในสำนักอย่างแน่นอน”

เมื่อได้ยินดังนั้น หลัวซิวหรี่ตาลง “ทั้งสองท่านคงอาศัยสมบัติ มาถึงที่นี่เหมือนกันสินะ”

กู้เค่ออานกับซือโคงสวี่ ไม่รู้ว่าคำพูดของหลัวซิว กำลังลองเชิง ยิ่งไม่คิดว่าในตัวหลัวซิว ไม่มีสมบัติต้านทานจู่โจมวิญญาณสักนิด แต่เขาอาศัยตัวสำนึกของตัวเอง ที่ทัดเทียมกับราชายุทธ์ ในการฝ่าฟันมา

พวกเขาคิดว่าหลัวซิวรู้ความลับของถ้ำโบราณ จึงเตรียมสมบัติต้านทานจู่โจมวิญญาณ เอาไว้ล่วงหน้าเหมือนตัวเอง

ดังนั้นเมื่อได้ยินคำพูดของหลัวซิว ทั้งสองพยักหน้า ซือโคงสวี่หัวเราะ แล้วพูดว่า “ศิษย์พี่หลัวไปกับพวกเราไหม มีความคิดเดียวกันสี่คน ช่วยปกป้องกันและกัน คงจะเข้าไปลึกในถ้ำ และเอาสมบัติมาได้”

“ได้ ฉันก็คิดอย่างนี้เหมือนกัน” หลัวซิวรีบตกลงทันที

เขากับปี้เซียนเสว่ ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับถ้ำโบราณแห่งนี้ แต่สำนักเสวียนหยางกับสำนักฉางเหอ ว่ากันว่าเคยมีคนได้สมบัติจากในถ้ำ ต้องรู้ข้อมูลอีกเยอะแน่นอน

ให้เดินมั่วซั่วไปทั่วคนเดียว สู้ไปกับสองคนนี้ดีกว่า หลีกเลี่ยงเรื่องวุ่นวายไปได้ไม่น้อย

“อีกสามวันแดนปริศนาจะปิดแล้ว มีศิษย์พี่หลัวมาร่วมด้วย เวลาน่าจะเพียงพอแล้ว” กู้เค่ออานก็หัวเราะ แล้วเอ่ยขึ้น

จากนั้นทั้งสี่คนเดินไปด้วยกัน กู้เค่ออานกับซือโคงสวี่ไม่รู้ว่า นอกจากสี่คนนี้แล้ว ยังมีมังกรไร้ร่างโบราณอีกตัวหนึ่ง ตามมาเหมือนเงา

“แม่นางคนนี้คือ……” ซือโคงสวี่มองปี้เซียนเสว่ข้างหลัวซิว อดถามอย่างแปลกใจไม่ได้

เพราะเขาดูออกว่าผลการฝึกตนของผู้หญิงคนนี้ ไม่ต่างจากตัวเองเท่าไร และไม่เคยได้ยินว่าประเทศเทียนหวูมีคนแบบนี้อยู่ด้วย

แต่ก่อนถึงปี้เซียนเสว่เป็นร่างแห่งเสวียนหยิน แต่เพราะโดนวิชาสยบวิญญาณของราชวงศ์ตระกูลฝานควบคุม ผลการฝึกตนจึงไม่สูง ดังนั้นจึงไม่ได้รับความสนใจมากนัก

“นี่เป็นเพื่อนฉัน มาจากองค์กรนักล่ายุทธ์เหมือนกับฉัน ชื่อปี้เซียนเสว่”

“ที่แท้ก็แม่นางเซียนเสว่นี่เอง ยินดีที่ได้รู้จัก”

ผ่านไปครู่หนึ่ง ข้างหน้ามีทางสลัวๆ ไม่เหมือนกับอุโมงค์มืดสนิทก่อนหน้านี้ ทางเดินนี้มีแสงสว่างเล็กน้อย สองข้างทาง มีรูปปั้นวางเรียงรายอยู่ มีความเย็นยะเยือกรายล้อมอยู่

“สำนักก่อนหน้านี้เป็นด่านแรก เป็นการทดสอบตัวสำนึก ทางเดินนี้เป็นด่านที่สอง ทดสอบร่างกาย ได้ยินว่าศิษย์พี่หลัวฝึกวิชากลั่นร่าง ร่างกายคงไม่อ่อนแอสินะ” ซือโคงสวี่ชี้ทางข้างหน้า แล้วเอ่ยขึ้น

ด่านแรกตัวสำนึก ด่านสองทดสอบร่างกายงั้นเหรอ

หลัวซิวจับจุดสำคัญได้จากคำพูดของกู้เค่ออานกับซือโคงสวี่ได้แม่นยำ

แต่กู้เค่ออานกับซือโคงสวี่เข้าใจว่าหลัวซิวรู้เรื่องพวกนี้ จึงไม่อธิบายอะไรมาก

ชิ้ง!

ดาบและกระบี่ออกจากฝัก กู้เค่ออานจับกระบี่ยุทธ์ในมือ ซือโคงสวี่เอาดาบรบออกมา ล้วนเป็นอาวุธของนักยุทธ์ระดับชั้นล่าง

“เซียนเสว่ เธอตามหลังฉันมา” หลัวซิวกำชับปี้เซียนเสว่ และใช้ตัวสำนึกส่งเสียง ให้หลงหมิงไปสำรวจ

ตัวของหลงหมิงหลอมรวมกับที่ว่าง บินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ระยะเวลาสั้นๆ รูปปั้นสองข้างทางมีแสงทั่วตัว แต่ละตัวเหมือนถูกปลุกขึ้น มีประกายในตาทั้งสองข้าง

ส่วนร่างของหลงหมิง ก็โดนพลังที่เข้ามาในพื้นที่ กดดันเอาไว้ แสงสีเงินรูปมังกร ยาวกว่าเก้าเมตร ปรากฏในทางเดิน

“โฮก!”

เสียงคำรามทุ้มต่ำดังก้อง รูปปั้นทั้งสองข้างฟื้นคืนชีพ พากันกรูเข้าไปหาหลงหมิงเป็นจำนวนมาก

 

########################
 

 

 

 

บทที่ 264 ตระหนักรู้ห้วงยุทธ์ชีวีอีกครั้ง

 

หลัวซิวเดินมาข้างหน้า ปี้เซียนเสว่เดินตามหลังเขา หลงหมิงที่หลอมรวมกับที่ว่างรอบๆ ก็ตามไปเช่นกัน

มังกรไร้ร่าง ผ่านค่ายกลจำนวนมาก โดยไม่สนใจการขัดขวาง แต่ค่ายกลโบราณ ที่แฝงไปด้วยการจู่โจมวิญญาณ ไม่สามารถใช้ความสามารถหลอมรวมกับที่ว่างผ่านไปได้

ตัวสำนึกระดับราชายุทธ์แผ่ซ่าน ตรงระหว่างคิ้วของหลัวซิว ปรากฏเป็นรอยจางๆ รูปกระบี่ดำ ไม่นานก็มาถึงหน้าม่านแสงค่ายกล

เมื่อเดินมาถึงที่นี่ เท่ากับว่าหลัวซิวต้องเผชิญกับการจู่โจมตัวสำนึก ฝึกจิตขั้น9 ถึงสามตัว แม้ตัวเองอยู่ในระดับราชายุทธ์แล้ว ก็รู้สึกกดดันเพิ่มขึ้นมาก

“ตามติดฉันมา” หลัวซิวเตือนปี้เซียนเสว่ ตัวสำนึกรูปกระบี่ดำตรงระหว่างคิ้ว พุ่งออกไป เพียงพริบตาระหว่างม่านแสงข้างหน้า ถูกแหวกเป็นช่อง

“เข้าไป”

เสียงของหลัวซิวดังขึ้น ปี้เซียนเสว่กับหลงหมิงรีบเข้าไปในช่อง หลังพวกเขาเข้ามาแล้ว หลัวซิวก็ก้าวเข้ามา ร่างผ่านม่านแสงเข้ามา

ตอนที่เขาผ่านม่านแสงค่ายกล ช่องที่แหวกออกมา ปิดลงอย่างรวดเร็ว กลับไปเป็นแบบเดิม

หลังเข้ามาในถ้ำหินแห่งนี้ พลังหยินสุดขั้วรุนแรงโถมเข้ามา พลังหยินสุดขั้วนี้รุนแรงและบริสุทธิ์ ทำให้ปี้เซียนเสว่ที่มีคุณสมบัติร่างเสวียนหยิน เกือบจะนั่งขัดสมาธิฝึกตน

“พลังหยินสุดขั้วของที่นี่บริสุทธิ์มาก ฉันว่าถ้าฝึกตนในนี้สักไม่กี่ปี ไม่แน่ฉันอาจถึงแดนราชายุทธ์ก็ได้” ปี้เซียนเสว่พูดอย่างตกใจ

“นี่แค่ปากถ้ำเท่านั้น เราเข้าไปดูข้างในกัน” หลัวซิวยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น

บริเวณปากถ้ำ ก็มีพลังหยินสุดขั้วบริสุทธิ์ขนาดนี้ หลัวซิวคาดหวังว่าลึกลงไปในถ้ำแห่งนี้ จะมีสมบัติที่ล้ำค่ากว่านี้หรือเปล่า

ข้างหน้ามืดสนิท ถึงขนาดที่ยื่นมือออกไป ก็มองไม่เห็นนิ้วมือตัวเอง หลัวซิวให้ปี้เซียนเสว่ตามหลังตัวเอง และเดินไปตามทางข้างหน้า

เดินอยู่นาน หลัวซิวก็ไม่เห็นใครสักคน ก่อนหน้านี้มีคนเข้ามาในถ้ำ ไม่รู้ว่าคนที่เข้ามาก่อนไปอยู่ที่ไหนกัน

ไม่รู้ผ่านไปนานแค่ไหน ข้างหน้ามีแสงสว่าง ทั้งสองเดินออกจากความมืด มาถึงสำนัก ที่มีลักษณะเป็นรูปวงรี

พื้นของสำนักแห่งนี้ หลอมมาจากอิฐสีเขียวเหลือบทอง มีแสงส่องสลัวๆ เห็นบรรยากาศรอบๆ อย่างเลือนลาง

ครืน!

ทันใดนั้น เสียงสั่นสะเทือนดังเข้ามาในห้วงหยั่งรู้ของหลัวซิว ระหว่างนั้นก็มีแสงสีดำ ที่แฝงไปด้วยลมปราณหยินเย็นยะเยือก จู่โจมเข้ามาในตัวหยั่งรู้ของหลัวซิว

ขณะเดียวกัน ปี้เซียนเสว่ที่อยู่ด้านหลังหลัวซิว ก็รู้สึกอย่างนี้เหมือนกัน สีหน้าซีดเผือด เพราะแสงดำที่ทะลุเข้ามาในตัวหยั่งรู้ แข็งแกร่งมาก ตัวสำนึกฝึกจิตขั้น6 ของเธอ ไม่สามารถต้านทานได้

หลัวซิวก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป คิดไม่ถึงว่าในนี้จะมีจู่โจมวิญญาณ เหมือนที่อยู่ในวิชาห้ามค่ายกลด้านนอก

ดวงตาทั้งสองข้างของเขา กลายเป็นสีดำขลับ ตัวสำนึกรูปกระบี่ดำออกมา ทำลายแสงดำที่พุ่งไปยังปี้เซียนเสว่

“หลงหมิง พาเธอถอยกลับไปตามทางอุโมงค์!” หลัวซิวส่งเสียงไปยังตัวสำนึกของหลงหมิง

มังกรไร้ร่างอย่างหลงหมิง ก็สัมผัสได้ถึงการจู่โจมวิญญาณ ของตัวสำนึกที่ก่อตัวเป็นแสงดำ รีบใช้พลังควบคุมเวลา พาปี้เซียนเสว่เคลื่อนตัวไป จู่ๆ ก็ย้อนกลับมายังอุโมงค์มืดด้านหลัง

เมื่อกลับมาในอุโมงค์มืด ความรู้สึกที่เหมือนโดนแสงสีดำจู่โจมตัวสำนึก หายไปในพริบตา

เห็นได้ชัดว่า แค่ไม่เข้าไปในสำนักข้างหน้า ก็จะไม่โดนแสงดำโจมตี

หลงหมิงมองไปข้างหน้า ภายในแสงสลัว เห็นหลัวซิวนั่งขัดสมาธิอยู่ในสำนัก ตัวสำนักกลายเป็นกระบี่ดำ ปะทะกับแสงดำที่สว่างวาบในสำนักอย่างต่อเนื่อง มีแรงกระเพื่อมเหมือนคลื่นในอากาศ

หลังหลุดออกจากอันตราย ปี้เซียนเสว่ยังกลัวไม่หาย ใบหน้าเล็กซีดเผือด เห็นหลัวซิวจัดการกับการจู่โจมวิญญาณในสำนัก เธอกังวลมาก แต่ไม่กล้าส่งเสียง เพราะกลัวจะรบกวนเขา

ระหว่างที่จัดการกับแสงดำ หลัวซิวหันมาพูดกับปี้เซียนเสว่ “เธอฝึกตนอยู่ในทางอุโมงค์ อย่าเพิ่งเข้ามาในสำนัก”

“อืม นายระวังด้วย” ปี้เซียนเสว่พยักหน้า

ในตำหนักรูปวงรี ตัวสำนึกจะโดนควบคุม อีกทั้งยังโดนแสงดำพุ่งเข้ามาไม่หยุด ทำให้ไม่รู้จะป้องกันทางไหน

ขณะจัดการกับแสงดำ หลัวซิวเห็นศพนอนกองอยู่ไม่ไกลสองสามศพ มีที่เพิ่งตาย ตัวหยังรู้ถูกทำลาย สติกระเจิดกระเจิง และมีที่กลายเป็นโครงกระดูกไปแล้ว ไม่รู้ตายมาเป็นเวลานานแค่ไหน

สำนักนี้มีแสงดำกะพริบ เป็นตัวสำนึกจู่โจม ที่ก่อตัวจากพลังหยินสุดขั้ว พลังที่แฝงอยู่ในนั้น มีห้วงแห่งความลี้ลับ รวมตัวจนกลายเป็นรูปร่าง ระดับพอๆ กับราชายุทธ์

ตัวสำนึกของหลัวซิว เป็นแค่ระดับราชายุทธ์เริ่มต้น ต้านทานสิ่งที่ไม่ธรรมดา ตัวสำนึกรูปกระบี่สีดำ โดนโจมตีหลายต่อหลายครั้ง

แต่ไม่นานเขาก็พบสิ่งน่าตกใจ หลังตัวสำนึกโดนโจมตีจนพังทลาย แล้วรวมตัวขึ้นมาใหม่ จะแข็งแกร่งมากขึ้น ตอนแรกยังไม่ชัดเจน แต่เมื่อเวลาผ่านไป ตอนรวมตัวแต่ละครั้งเมื่อถูกทำลาย หลัวซิวสัมผัสได้ถึงพลังของตัวสำนึกของตัวเอง ยกระดับขึ้นเล็กน้อยอย่างชัดเจน

ถึงเป็นเพียงแค่เล็กน้อย แต่ถ้าฝึกพลังก่อรวมวิญญาณ อย่างน้อยต้องใช้เวลาประมาณเดือนกว่า ถึงจะยกระดับได้ขนาดนี้ แต่ที่นี่กลับใช้ระยะเวลาเพียงชั่วครู่

การค้นพบนี้ทำให้หลัวซิวทั้งตกใจและดีใจ เพราะเขามีตัวสำนึกระดับราชายุทธ์ ขณะที่เขาอยู่ในแดนฝึกจิต ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น จากผลการฝึกตนของตัวสำนึกที่นี่ กลัวว่าแค่เข้ามา ก็คงโดนทำลายตัวหยั่งรู้ สติกระเจิดกระเจิง

ศพที่นอนกองอยู่ไม่ไกล เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด

ในเมื่อสำนักไท่เสวียนในสมัยโบราณ วางถ้ำไว้ที่นี่ แน่นอนว่าไม่ใช่ปรมาจารย์ฝึกจิตคนไหนก็ได้ ที่จะมีคุณสมบัติมาฝึกตนที่นี่

เมื่อเป็นเช่นนี้ หลัวซิวฝึกตัวสำนึกในถ้ำแห่งนี้ ปี้เซียนเสว่กับหลงหมิงดูดซับพลังหยินสุดขั้วอันบริสุทธิ์ ในอุโมงค์ เพื่อยกระดับผลการฝึกตน เวลาผ่านไปเรื่อยๆ

ไม่รู้ผ่านไปนานแค่ไหน จากการที่พลังของตัวสำนึกยกระดับขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลัวซิวพบว่าความเข้าใจของตัวเองต่อผังกฎดั้งเดิม เริ่มชัดเจนมากขึ้นเยอะ

ผังกฎดั้งเดิมภาพที่สอง มีความคืบหน้าใหม่

“พรึ่บ!”

แสงดำพุ่งเข้ามา ความเร็วเหมือนสายฟ้า

หลัวซิวคิดได้ ตัวสำนึกรูปกระบี่ดำกลายเป็นสีขาว เงาสีขาวเรียงเป็นแถว ก่อตัวเป็นม่านแสง

แสงดำปะทะกับม่านแสงเงากระบี่สีขาว ม่านแสงกระเพื่อมเล็กน้อย แต่ทำให้การโจมตีของแสงดำหายไป

นี่เป็นการใช้ห้วงยุทธ์แบบใหม่ ห้วงยุทธ์กระบี่ดับเบิลคิวหลังห้วงยุทธ์แห่งความตาย หลัวซิวใช้ประโยชน์จากช่วงฝึกตัวสำนึก ทำความเข้าใจกับห้วงยุทธ์แบบที่สาม ห้วงยุทธ์ชีวี!

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 263 เลือกคนของตัวเอง เข้าไปในถ้ำ

 

“หน้าปากถ้ำมีค่ายกล เราผ่านเข้าไปไม่ได้ มีเพียงคนจำนวนน้อย ที่เข้าไปได้” หยวนหงพูด

“หา? ในถ้ำมีของดีอะไรเหรอ” หลัวซิวถามอีก

ในเมื่อมีคนเข้าไป หลัวซิวเชื่อว่าตัวเองก็เข้าไปได้ เพราะในบรรดาคนที่เข้ามาในแดนปริศนา พูดกันเรื่องพละกำลัง ไม่สามารถมีใครเทียบตัวเองได้

สิ่งที่เขาสนใจ ก็คือสมบัติในถ้ำนั้น

หยวนหงส่ายหน้าให้คำถามนี้ “ฉันรู้แค่ถ้ำปริศนา ส่วนสิ่งอื่นไม่ค่อยรู้ ได้ยินอาจารย์ในสำนัก ที่เคยมาที่นี่เมื่อ 30 ปีก่อนบอกว่า เคยมีคนเจอนักยุทธ์นักยุทธ์ขั้นดินสูงในนั้น”

“ขั้นดินสูงงั้นเหรอ” หลัวซิวอดตกใจไม่ได้

ในประเทศเทียนหวู มีเพียงผู้แข็งแกร่งระดับราชายุทธ์ไม่กี่คน ที่เป็นนักยุทธ์ขั้นดินสูง

หลงหมิงไม่เห็นเรื่องนี้อยู่ในสายตา พูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ในแดนปริศนาของสำนักไท่เสวียน ไม่มีนักยุทธ์ในยุคของพวกนาย ต้องมีคนได้เครื่องลางจากในนั้น แล้วเข้าใจผิดว่าเป็นกองทัพฟ้าดิน”

สมัยโบราณ ไม่มีอะไรที่เรียกว่านักยุทธ์ และไม่มีวิชาหลอมอาวุธ แต่เป็นวิชาหลอมสมบัติ

ในปัจจุบันวิชาหลอมสมบัติสูญหายไปแล้ว ถึงมีก็เป็นอะไรที่ไม่สมบูรณ์ คนรุ่นหลังวิวัฒนาการวิชาหลอมอาวุธจากสิ่งนี้ นับว่าเป็นสาขาย่อยของวิชาหลอมสมบัติ

วิชาหลอมสมบัติ จะกลั่นเครื่องสมบัติ เครื่องลาง เครื่องทิพย์ มีความสามารถที่เหลือเชื่อต่างๆ นานา นักยุทธ์ไม่สามารถเทียบความลี้ลับนี้ได้

ผ่านไปครู่หนึ่ง หลัวซิวพาปี้เซียนเสว่กับชิวลั่วสุ่ย มายังที่ตั้งของถ้ำปริศนาโบราณที่พูดถึง

จากที่หลงหมิงพูด แดนปริศนา เป็นสถานที่ที่ศิษย์ของสำนักไท่เสวียน ใช้ฝึกในสมัยโบราณ ข้างในมีสมบัติหลากหลายชนิด พวกพื้นที่อันตราย วิญญาณ ศพเดินได้ ถ้ำ ล้วนเป็นสิ่งที่ใช้ทดสอบประสิทธิภาพ

ถ้ำตั้งอยู่ในพื้นที่หุบเขากว้าง ปากถ้ำหินมีแสงม่านค่ายกล สว่างวาบอยู่ บริเวณรอบๆ มีนักยุทธ์รวมตัวกันหลายสิบคน

นักยุทธ์ที่ยังมีชีวิตอยู่ในตอนนี้ ตัดพวกที่แยกย้ายอยู่ตามที่อื่น ซึ่งเป็นจำนวนน้อย และคนที่เข้าไปในถ้ำ ตอนนี้เหลือเพียงคนพวกนี้เท่านั้น

ยอดฝีมืออายุน้อยของอำนาจใหญ่แต่ละฝ่าย ครั้งนี้เรียกได้ว่าสูญเสียไปเยอะมาก หลัวซิวเดาว่า ตอนถูกส่งออกไป ในบรรดา 130 กว่าคน คงเหลือรอดไม่เกิน 50 คน

หลัวซิวสัมผัสได้ถึงพลังหยินสุดขั้วอย่างรุนแรงที่นี่ เหมือนปราณหยินสีดำ ที่ระเบิดออกมาจากแหล่งหินหยินจำนวนมาก

ชีพจรมังกรหยิน!

หลัวซิวมองใต้เท้าตัวเอง เห็นได้ชัดว่าถ้ำโบราณแห่งนี้ อยู่บนชีพจรมังกรหยิน

แดนปริศนาทั้งหมด เป็นค่ายกลขนาดใหญ่ ที่อาศัยชีพจรมังกรหยิน เป็นฐานหลักในการวางค่ายกล ระดับค่ายกลเกิน 9 ระดับ แม้เป็นผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ ก็ไม่มีทางอาศัยพละกำลัง ฝ่าพันเข้ามาได้

อีกทั้งชีพจรมังกรนี้ ผ่านกาลเวลามานับไม่ถ้วน พลานุภาพที่ซ่อนอยู่ แค่คิดก็ทำให้กลัวแล้ว

หลัวซิวสูดหายใจลึก ถึงชีพจรมังกรหยินจะทำให้คนกลัว แต่ว่ากันว่า ถ้าไม่เสี่ยง ก็ไม่ได้ของดี ถ้ำโบราณแห่งนี้ ไม่ว่ายังไงเขาก็จะฝ่าฟันเข้าไปให้ได้

นักยุทธ์หน้าถ้ำหินหลายสิบคน มีคนลองดูว่าเข้าไปได้หรือไม่ เป็นระยะๆ แต่แค่เดินเข้าไป ก็เคลื่อนไหวได้ยากลำบาก แต่ละคนถอยกลับมาด้วยสีหน้าซีดเผือด

“จู่โจมวิญญาณเหรอ เหมือนตัวหยั่งรู้ของพวกเขาโดนโจมตี ทำให้ตัวสำนึกสูญเสียพลังมาก” ชิวลั่วสุ่ยเอ่ยขึ้น

หลัวซิวพยักหน้า ค่ายกลหน้าถ้ำหินแห่งนี้ มีประสิทธิภาพการจู่โจมวิญญาณ แม้ในสมัยโบราณ ค่ายกลที่สามารถจู่โจมวิญญาณ เป็นอะไรที่หาได้ยาก

“ฉันขอลองดู” หลัวซิวก้าวเข้าไป มีสองคนกำลังลองฝ่าม่านแสงค่ายอยู่

สองคนนี้เป็นนักยุทธ์ของสำนักฉางเหอ มีผลการฝึกตนฝึกจิตขั้นปลาย เพิ่งเดินเข้ามาใกล้ม่านแสงค่ายกล ก็ไม่สามารถเดินต่อไปได้ ถอยกลับมาด้วยสีหน้าซีดเผือด

ขณะนั้น หลัวซิวเดินเข้าไป ปราณหยินเย็นยะเยือกโถมเข้ามา พุ่งเข้ามาในตัวหยั่งรู้ของเขา

ปราณหยินเย็นยะเยือกที่จู่โจมตัวหยั่งรู้ น่าจะพอๆ กับการจู่โจมตัวสำนึกของผู้ฝึกจิตขั้นกลาง โดยทั่วไปถ้ามีผลการฝึกตนระดับฝึกจิตขั้นกลาง ก็สามารถต้านทานได้

หลัวซิวเดินต่อไปข้างหน้า เมื่อเขาเดินเข้ามาใกล้ม่านแสงค่ายกล การโจมตีของปราณหยินเย็นยะเยือกต่อตัวหยั่งรู้ ตั้งแต่ระดับฝึกจิตขั้นกลาง ถึงฝึกจิตขั้น9

การจู่โจมวิญญาณระดับนี้ ไม่เป็นอะไร สำหรับหลัวซิว ที่ตัวสำนึกอยู่ในระดับราชายุทธ์แต่ถ้าไม่มีผลการฝึกตนระดับฝึกจิตขั้น9 ไม่มีทางต้านทานได้

เห็นได้ชัดว่า ก่อนหน้านี้คนที่เข้าไปในถ้ำโบราณแห่งนี้ ล้วนเป็นคนที่มีผลการฝึกตนระดับฝึกจิตขั้น9

แม้ไม่มีผลการฝึกตนระดับฝึกจิตขั้น9 อย่างน้อยก็ต้องมีพลังตัวสำนึกระดับนี้

ในบรรดาหลายสิบคนที่อยู่ที่นี่ ล้วนรู้จักหลัวซิวเกือบทั้งหมด นี่เป็นคนที่มีพละกำลัง เพียงพอฆ่าผู้ฝึกจิตขั้น9 จึงไม่มีใครมีสีหน้าแปลกใจ ที่เขาสามารถเดินเข้าไปใกล้ม่านแสงค่ายกลอย่างง่ายดาย โดยไม่มีสีหน้าอะไรเลย

ขณะที่ทุกคนคิดว่าหลัวซิวจะผ่านม่านแสง เข้าไปในถ้ำหินได้ จู่ๆ ก็เห็นเขาก้มหน้า เดินกลับมา

“เซียนเสว่ เธอมานี่” หลัวซิวเรียกปี้เซียนเสว่ที่อยู่ไม่ไกล

ผลการฝึกตนของปี้เซียนเสว่ อยู่ในฝึกจิตขั้น6 ตัวเธอเอง ไม่สามารถเข้าไปในถ้ำหินได้

“เดี๋ยวเธอตามหลังฉันมา ฉันจะช่วยเธอต้านทานพลังจู่โจมวิญญาณ” หลัวซิวพูด

“อืม” ปี้เซียนเสว่พยักหน้าอย่างว่าง่าย เธอไม่ขัดขืนคำสั่งใดๆ ของหลัวซิว

ชิวลั่วสุ่ยก็เดินเข้ามาถามว่า “คุณพาฉันเข้าไปด้วยได้ไหม”

เธอก็อยากเข้าไปในถ้ำหินโบราณนี้เหมือนกัน แต่รู้ดีว่าอาศัยพละกำลังของตัวเอง ไม่สามารถเข้าไปได้แน่นอน ดังนั้นจึงหวังว่าหลัวซิวจะช่วยได้

“ขอโทษด้วย ยิ่งเข้าใกล้ม่านแสงค่ายกล การโจมตีตัวสำนึกก็ยิ่งรุนแรงขึ้น ผมพาเข้าไปได้แค่คนเดียว” หลัวซิวพูดแบบขอโทษ

ในความเป็นจริง อาศัยตัวสำนึกระดับราชายุทธ์ เขาสามารถพาทั้งสองคนเข้าไปได้ ไม่ใช่ว่าเขาไม่ยอมช่วยชิวลั่วสุ่ย แต่เพราะนอกจากเขาต้องพาปี้เซียนเสว่เข้าไป เขายังต้องพาหลงหมิงเข้าไปด้วย

มังกรไร้ร่างตัวนี้ ชิงมาเกิดใหม่ได้อย่างอัศจรรย์ ผลการฝึกตนในสมัยโบราณไม่เหลือแล้ว พลังกำลังของมันในตอนนี้ ไม่สามารถต้านทานการโจมตีตัวสำนึก ระดับฝึกจิตขั้น9 ได้

ปี้เซียนเสว่กับหลงหมิง เป็นคนของตัวเอง แต่ชิวลั่วสุ่ยมีความสัมพันธ์กับเขาแค่ทางธุรกิจเท่านั้น หลัวซิวรู้ดีว่าควรเลือกยังไง

เมื่อได้ยินว่าหลัวซิวพาตัวเองเข้าไปไม่ได้ ชิวลั่วสุ่ยอดสิ้นหวังไม่ได้

แต่ปี้เซียนเสว่กลับดีใจมาก เธอคิดว่าหลัวซิวพาตัวเองเข้าไป แต่ไม่พาชิวลั่วสุ่ยเข้าไป เห็นได้ชัดว่าตำแหน่งของตัวเองในใจของหลัวซิว อยู่เหนือกว่า

ความคิดเล็กๆ น้อยๆ ประเภทนี้ของผู้หญิง แน่นอนว่าหลัวซิวคิดไม่ถึง เขายิ้มแบบรู้สึกผิดให้ชิวลั่วสุ่ย จากนั้นจึงเดินเข้าไปที่ม่านแสงค่ายกล

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 262 ผมมียาวิญญาณหยินหยาง

 

หลัวซิวอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ผมว่าคุณเข้าใจผิดแล้ว ผมไม่ได้ต้องการเรียกราคาเพิ่ม”

“งั้นคุณต้องการอะไร จากค่าตอบแทนที่ฉันรับปากคุณ เพียงพอที่จะแลกกับน้ำแร่วิญญาณ 15 หยด”

“คุณต้องการน้ำแร่วิญญาณ เพื่อกลั่นยาวิญญาณหยินหยาง อันที่จริงกลั่นยาวิญญาณหยินหยาง 1 เม็ด ใช้น้ำแร่วิญญาณแค่ 5 หยดก็พอแล้ว” หลัวซิวเอ่ยขึ้น

“ฉันรู้ แต่……”

ไม่รอให้ชิวลั่วสุ่ยพูดจบ หลัวซิวโบกมือตัดบท “คุณจะบอกว่า ให้ปรมาจารย์กลั่นยาระดับ6 มาช่วย จึงต้องใช้วัตถุดิบ 3 ชุดใช่ไหม ถ้าผมให้ยาวิญญาณหยินหยางคุณ 1 เม็ดล่ะ”

“คุณมียาวิญญาณหยินหยางเหรอ” สีหน้าชิวลั่วสุ่ยฉายแววสงสัย ถ้าได้ยาวิญญาณหยินหยางมาเลย ก็ดีน่ะสิ เพราะ水月宗เชิญปรมาจารย์กลั่นยาระดับ6 มา นอกจากต้องใช้วัตถุดิบ 3 ชุด ยังต้องจ่ายค่าตอบแทนอื่นๆ ราคาสูงมาก

“ผมไม่มีหรอก” หลัวซิวส่ายหน้า “แต่มีคนสามารถกลั่นยาได้ คุณก็น่าจะเคยได้ยิน ผมยังมีอีกสองตัวตน ปรมาจารย์กลั่นยาระดับ4 และปรมาจารย์ค่ายกลขั้น4”

ระหว่างที่พูด หลัวซิวเอาตรานักกลั่นยาของตัวเองออกมา ส่วนตรานักค่ายกล เขายังไม่ไปยืนยันที่แก๊งนักค่ายกล

เมื่อชิวลั่วสุ่ยได้ยิน ก็เข้าใจความหมายของหลัวซิวทันที “ข่าวลือบอกว่าคุณมีอาจารย์ลึกลับอยู่คนหนึ่ง คุณยอมให้ผู้อาวุโสคนนั้นช่วยกลั่นยาให้เหรอ”

“ใช่” หลัวซิวยิ้มแล้วพยักหน้า แต่ผมต้องได้ค่าตอบแทนก่อนส่วนหนึ่ง

“คุณต้องการอะไร” ชิวลั่วสุ่ยถามขึ้น

“ภูตอัคคี……”

ไม่ว่าจะเป็นค่ายกล การหลอมอาวุธ หรือกลั่นยา ล้วนเป็นเส้นทางเดียวกับการฝึกยุทธ์ การแบ่งแยกแดนใหญ่แต่ละแดน ล้วนแบ่งแยกอย่างชัดเจน

พูดกันเรื่องกลั่นยา ปรมาจารย์กลั่นยาระดับ4 นอกจากระดับการกลั่นยาจะถึงระดับ4 ผลการฝึกตนของตัวเอง ก็ต้องถึงแดนฝึกจิต ถึงจะกลั่นยาระดับ4 ได้

นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนรู้กันอยู่แล้ว แต่ก็ใช้ว่าจะทำลายไม่ได้

อย่างเช่นนักยุทธ์ที่แดนระดับต่ำ สามารถฆ่านักยุทธ์แดนระดับสูงได้ ผลการฝึกตนของนักกลั่นยาไม่เพียงพอ สามารถใช้ไพ่ไม้ตายอื่นๆ มากลั่นยาระดับที่สูงกว่า

ในนี้วิชากลั่นยาเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด เหมือนกับวิชายุทธ์สำคัญกับนักยุทธ์

นักยุทธ์ระดับล่างที่ฝึกวิชาระดับสูง สามารถเอาชนะนักยุทธ์ระดับสูง ที่ฝึกวิชาระดับล่างได้ ในทางกลับกันนักกลั่นยาที่เชี่ยวชาญวิชากลั่นยาระดับสูง ถึงผลการฝึกตนพลังจิตแท้ของตัวเองไม่เพียงพอ ก็สามารถกลั่นยาระดับสูงได้

หลัวซิวเป็นหนึ่งในเคสพิเศษ

สำหรับโลกยุทธ์ เขาหลอมรวมลูกแก้วความเป็นตายดั้งเดิม ฝึกตนวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ ทำความเข้าใจผังกฎดั้งเดิมทั้งเก้า ในแดนฝึกจิต เขาใช้ไพ่ไม้ตายหลากหลายวิธี พละกำลังในตอนนี้ แทบจะทัดเทียมได้กับผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ธรรมดา

ในโลกการกลั่นยา เขามีความทรงจำและประสบการณ์ในการเป็นปรมาจารย์กลั่นยาระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น9เชี่ยวชาญวิชาการกลั่นยาโบราณ ที่ปัจจุบันได้สูญหายไปแล้ว สามารถก้าวข้ามขีดจำกัดความรู้ทั่วไป ใช้ผลการฝึกตนฝึกจิต กลั่นยาระดับ5 ออกมาได้

แต่เรื่องการข้ามระดับ ใช่ว่าจะไร้ขีดจำกัดใด บางทีปรมาจารย์แดนฝึกจิต สามารถต้านทานราชายุทธ์ได้ แต่ถึงจะเก่งกาจขนาดไหน ก็ไม่สามารถต้านทานผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ได้ เพราะระยะห่างมากเกินไป เกินข้อจำกัดของขอบเขต

ดังนั้น จากความสามารถของหลัวซิวในตอนนี้ ความเป็นจริงไม่สามารถกลั่นยาระดับ6 ได้

ส่วนอาจารย์ลึกลับเบื้องหลังเขาอะไรนั่น เป็นแค่สิ่งสมมุติเท่านั้น

แต่ทว่าหลัวซิวกลับไม่คิดว่ายาระดับ5 เป็นข้อจำกัดของตัวเอง ถ้าได้ภูตอัคคีฟ้าดิน อาศัยวิชากลั่นยาโบราณที่เขาเชี่ยวชาญ มั่นใจเป็นอย่างมากว่าจะกลั่นยาวิญญาณหยินหยาง ที่เป็นยาระดับ6 ได้!

ดังนั้นเขาจึงให้ชิวลั่วสุ่ยจ่ายค่าตอบแทนมาล่วงหน้า เพราะเกี่ยวกับข้อมูลภูตอัคคี

“ถ้าคุณได้ภูตอัคคี แล้วไม่ให้ยาวิญญาณหยินหยางกับฉันล่ะ” ชิวลั่วสุ่ยขมวดคิ้วถาม

“คุณเลือกได้แค่เชื่อใจผมเท่านั้น” หลัวซิวยิ้มแล้วยักไหล่

น้ำแร่วิญญาณอยู่ในมือเขา เขามีสิทธิ์เป็นใหญ่ เว้นเสียแต่อีกฝ่ายจะไม่ต้องการยาวิญญาณหยินหยาง ไม่งั้นคงเลือกได้แค่รับปากเขาเท่านั้น

……

ยังมีเวลาอีกช่วงหนึ่ง กว่าแดนปริศนาจะปิด เปิดครั้งหน้า ก็ต้องรออีกหลังจาก 30 ปี อีกทั้งอัจฉริยะที่อายุไม่เกิน 30 ปีเท่านั้น ถึงจะเข้ามาได้

ในชีวิตคนหนึ่ง มีโอกาสเข้าแดนปริศนาเพียงครั้งเดียว แน่นอนว่าหลัวซิวไม่อยากพลาดโอกาสนี้ ต้องใช้เวลาที่มีอยู่อย่างจำกัด หาแหล่งสมบัติให้มากกว่านี้

เวลาผ่านไปสองเดือนแล้ว ปรมาจารย์ฝึกจิต 130 กว่าคน ที่เข้ามาในแดนปริศนา หายไปเกือบครึ่ง ในนี้คนของตำหนักจื่อกับราชวงศ์ตระกูลฝาน ที่ตายเพราะเงื้อมมือหลัวซิว รวมกันประมาณหลายสิบคน

นอกจากส่วนหนึ่ง ที่โดนนักยุทธ์ฆ่าตาย ยังมีหลายคนที่เข้าไปในพื้นที่เสี่ยง ระหว่างทางที่หาแหล่งสมบัติ

พื้นที่ที่มีพลังหยินสุดขั้วรุนแรง จะเกิดสมบัติขึ้นง่าย ขณะเดียวกันก็มีอันตรายอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็น วิชาห้ามค่ายกลโบราณ หรือไม่ก็วิญญาณ ศพเดินได้ที่แข็งแกร่ง ซึ่งมีพลังทัดเทียมได้กับระดับราชายุทธ์

ในพื้นที่รกร้างอันกว้างใหญ่ หลัวซิวเห็นศิษย์สำนักเสวียนหยางสองสามคน หนึ่งในนั้นเป็นหนุ่มที่ชื่อหยวนหง เคยเป็นตัวแทนสำนักเสวียนหยาง มาชวนเขาไปเป็นพวก

บนตัวของพวกหยวนหง มีบาดแผลเล็กน้อย เหมือนผ่านการเข่นฆ่ากันมา

“ศิษย์พี่หลัวก็หาถ้ำปริศนาเหมือนกันเหรอ” หยวนหงถาม

“ถ้ำปริศนางั้นเหรอ” หลัวซิวสีหน้าสงสัย มองปี้เซียนเสว่กับชิวลั่วสุ่ย ที่อยู่ข้างๆ หญิงสาวทั้งสองส่ายหน้า เป็นการแสดงว่าตัวเองไม่รู้

เห็นสีหน้าของหลัวซิว หยวนหงรู้ว่าเขาไม่รู้ถึงการมีอยู่ของถ้ำปริศนา

“ถ้ำปริศนาไม่ใช่ความลับใหญ่อะไรหรอก ราชวงศ์ตระกูลฝาน ที่ประเทศเทียนหวูของพวกนาย รวมไปถึงสำนักเสวียนหยางของเรา อีกทั้งตำหนักจื่อ สำหนักฉางเหอ ล้วนรู้จักถ้ำปริศนาโบราณ” หยวนหงพูดอธิบาย

ก่อนหน้านี้ถึงปี้เซียนเสว่ นับว่าเป็นคนราชวงศ์ตระกูลฝาน แต่จากฐานะของเธอ ไม่มีใครแจ้งเรื่องถ้ำปริศนาให้ทราบ ชิวลั่วสุ่ยก็ไม่เคยได้ยินพวกโถวโจว่จวิ้น พูดถึงเรื่องนี้

เห็นได้ชัดว่าถ้ำปริศนาโบราณแห่งนี้ ถึงไม่ใช่ความลับใหญ่อะไร แต่เป็นความลับที่ค่อนข้างสำคัญของสี่อำนาจใหญ่แน่นอน

นี่ทำให้หลัวซิวมองหยวนหงอย่างสงสัย ความลับแบบนี้ ทำไมอีกฝ่ายถึงมาบอกตัวเอง

เมื่อเห็นแววตาสงสัยของหลัวซิว หยวนหงยิ้ม แล้วพูดว่า “ถึงฉันไม่บอกศิษย์พี่หลัว แค่พี่เดินต่อไปข้างหน้า ก็จะเห็นที่ตั้งของถ้ำโบราณแล้ว”

“ในเมื่อมีถ้ำโบราณ ทำไมพวกนายไม่เข้าไปล่ะ” หลัวซิวถาม

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 261 หาน้ำแร่วิญญาณเจอ

 

ของอยู่ในมือแล้ว แต่หลัวซิวยังไม่ได้ออกมา แต่เอาธงค่ายออกจากแหวนเก็บของ วางค่ายสังหารยากเย็น บริเวณสระน้ำแร่วิญญาณ

รวมค่ายยากเย็นกับค่ายสังหารเอาไว้ด้วยกัน มาจากจิตสัมผัสที่หลัวซิวทำความเข้าใจกับค่ายกลโบราณ พลังแห่งชีวิตสลักค่ายยากเย็น พลังแห่งความตายสลักค่ายสังหาร เป็นความลี้ลับที่แอบหลอมสิ่งลึกลับความเป็นตายเอาไว้ด้วยกัน

หลังวางค่ายกลเสร็จ หลัวซิวลอยออกมา ซ่อนร่างกายเอาไว้

ตู้ม!

ในสถานที่ต่อสู้ห่างไปหลายลี้ ม่านแสงระยิบระยับพุ่งขึ้นมา เหมือนชามใหญ่ครอบราชาศพเดินได้เอาไว้ แสงค่ายพาดผ่านกันไปมา ภายใต้การจู่โจมอย่างดุดันของราชาศพเดินได้ แสงม่านสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เหมือนระลอกคลื่น

เมื่อเห็นราชาศพเดินได้โดนขังในค่ายกล ถาวโจว่จวิ้นกับคนอื่น ถึงกับโล่งอก หันไปมองที่ไกลๆ ด้วยแววตาลุกโชน

“รีบไปเอาน้ำแร่วิญญาณ!”

อาศัยถาวโจว่จวิ้นเป็นหัวหน้า ทั้งห้าคนล้วนใช้วิชาท่าร่างแสนพิเศษ เพียงพริบตาก็มาถึงบนท้องฟ้าที่หน้าผา ตรงสระน้ำแร่วิญญาณ

“ไม่มีน้ำแร่วิญญาณแล้ว!”

เมื่อพวกเขาก้มลงมองสระเล็กๆ ที่ว่างเปล่าด้านล่าง ต่างพากันหน้าเปลี่ยนสี

ถาวโจว่จวิ้นสีหน้าอึมครึมจนน่ากลัว รวมไปถึงท่านต้วนกับปรมาจารย์ฝึกจิตขั้น9 ทั้งสองคน ต่างก็โมโห พวกเขาสูญเสียคนไปไม่น้อย ต่อสู้สุดชีวิตกับราชาศพเดินได้อยู่ตั้งนาน แต่บุคคลที่สาม กลับได้ผลประโยชน์อย่างนั้นเหรอ

ตัวสำนึกของท่านต้วนแผ่ซ่านออกมา สำรวจความเคลื่อนไหวรอบๆ ค้นหาร่องรอยเล็กๆ น้อยๆ

แต่ขณะนั้น ลมปราณค่ายกลเคลื่อนไหวเบาๆ โดนท่านตัวสัมผัสได้อย่างรวดเร็ว

“ไม่ได้การแล้ว! เจ้าสำนักน้อยรีบถอยเร็ว!”

ท่านต้วนยื่นมือไปคว้าถาวโจว่จวิ้นทันที จากนั้นก็ลอยออกไป

ตู้ม!

แสงดำอันน่ากลัวระเบิดออกมา แสงดำขนาดใหญ่ ที่แฝงไปด้วยลมปราณแห่งความตายกลายเป็นแสงกระบี่ใหญ่ และกลายเป็นรูปมังกร

เว้นแต่ท่านต้วน ถาวโจว่จวิ้นและปรมาจารย์ฝึกจิตขั้น9 คนหนึ่ง ที่เหลือสามคนยังไม่ทันตั้งตัว โดนบดจนกลายเป็นกองเลือด ตายทันที

“ค่ายกลขั้น5!”

สีหน้าของท่านต้วนเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก ตัวเขามีระดับค่ายกลขั้น5 แต่ค่ายกลตรงหน้า ยังห่างไกลกว่าที่เขาจะวางได้ ลี้ลับกว่าค่ายกลขั้น5 ที่เขารู้จักมาเป็นจำนวนมาก

“ไม่รู้สหายท่านใดวางค่ายกล มีความแค้นอะไรกับคนตำหนักจื่อของเรา” ท่านต้วนกับปรมาจารย์ฝึกจิตขั้น9 คุ้มครองถาวโจว่จวิ้น และตะโกนออกมาเสียงดัง

ยอดฝีมือที่วางค่ายกลขั้น5 ได้ คนที่บ่มเพาะออกมา ต้องไม่ใช่อำนาจธรรมดา ท่านต้วนสงสัยว่าเป็นคนของสำนักฉางเหอกับสำนักเสวียนหยาง

หลัวซิวอยู่ในค่ายกล มือบีบพลังตราประทับ ควบคุมพลานุภาพของค่ายกล ไม่ได้สนใจแผนของทั้งสามคน

ตู้ม! ตู้ม!……

เสียงดังออกจากค่ายสองครั้งติดต่อกัน ถาวโจว่จวิ้นเอายันต์โจมตีระดับ5 2 ใบออกมากระตุ้น

เดิมทีพวกเขาเข้าใจว่าอาศัยพลานุภาพของยันต์โจมตีระดับ5 ต้องทำลายค่ายกลสังหารนี้ได้แน่นอน แต่แสงค่ายกลสั่นสะเทือนบริเวณรอบๆ และกลับมาเป็นปกติ

“ไม่ใช่ค่ายสังหาร แต่เป็นค่ายสังหารยากเย็น ที่รวมค่ายยากเย็นกับค่ายสังหารเอาไว้ด้วยกัน!”

ท่านต้วนตกใจจนหน้าซีดอีกครั้ง การรวมค่ายกล เป็นวิธีวางค่ายกลสมัยโบราณ เขาศึกษาทำความเข้าใจเป็นสิบกว่าปี ก็ยังไม่สามารถเรียนรู้อะไรในนั้นได้สักนิด

เขาหมกหมุ่นกับวิถีค่ายกล มาห้าร้อยกว่าปี ไม่คิดไม่ฝันว่า จะมีวันหนึ่ง ที่ตัวเองจะตายในค่ายกลที่คนอื่นวาง

หลัวซิวบีบพลังตราประทับ ควบคุมแสงค่าย วิวัฒนาการปราณกระบี่รูปมังกร รวมตัวเพื่อฆ่าท่านต้วน เพราะคนๆ นั้นเป็นปรมาจารย์ค่ายกลที่อยู่ในระดับ5 เรียกได้ว่าเป็นอันตรายที่ยิ่งใหญ่

เคราขาวของท่านต้วนสะบัดขึ้น ในใจทั้งตกใจทั้งโกรธ ถ้าไม่สูญเสียพลังไปกับการว่างค่ายยากเย็นขั้น 5 เพื่อจัดการราชาศพเดินได้ไปก่อนหน้านี้ เขาพอจะมีความมั่นใจ ว่าจะออกจากค่ายสังหารยากเย็นนี้ได้

แต่มาเสียใจตอนนี้ ก็สายไปเสียแล้ว!

“ท่านต้วน!”

เห็นร่างของท่านต้วน โดนแสงค่ายสีดำบดเป็นชิ้นๆ ถาวโจว่จวิ้นโมโหเป็นอย่างมาก เพราะถ้าท่านต้วนตาย เขาไม่รู้เรื่องค่ายกล จะหนีออกไปยังไง

“พลั่ก!”

ปรมาจารย์ฝึกจิตขั้น9 คนนั้น ก็ต้านทานไม่ไหว โดนแสงค่ายสีดำที่เปลี่ยนเป็นปราณกระบี่ แทงไปที่ตัว เลือดสาดไปโดนหน้าถาวโจว่จวิ้นที่อยู่ข้างๆ

ตอนนี้ถาวโจว่จวิ้นตื่นตระหนก แววตาโหดเหี้ยม ตวาดออกมาว่า “ใครกันแน่! ใครจะฆ่าฉัน!”

เขาไม่พอใจ การเป็นเจ้าสำนักน้อย ที่อายุน้อยที่สุดของตำหนักจื่อ ความสำเร็จในอนาคตของเขายังมีความหวัง แต่ถ้าตายในแดนปริศนา ทั้งหมดจะเป็นเพียงแค่ความฝันเท่านั้น

“คนที่ฆ่านาย คือหลัวซิว นอกจากนี้ ขอบใจเจ้าสำนักน้อยถาวที่ช่วยหาน้ำแร่วิญญาณเยอะขนาดนี้จนเจอ”

เสียงของหลัวซิวดังเข้ามาในค่ายกล

“นายเองเหรอ หลัวซิว นายต้องไม่ตายดีแน่!” ดวงตาสองข้างของถาวโจว่จวิ้นแดงก่ำ ตวาดออกมาเสียงดัง

แสงค่ายซ้อนทับไปมา ปราณกระบี่สีดำรูปมังกร กลบตัวของถาวโจว่จวิ้นทันที

“โฮก!”

ขณะนั้น ราชาศพเดินได้ที่อยู่ไกลหลายลี้ ทำลายค่ายยากเย็น ร่างสูงกว่า 9 เมตรพุ่งมาที่นี่

หลัวซิวสะบัดมือเก็บธงค่าย และลอยขึ้นไปกลางอากาศ ใช้วิชาท่าร่างสุดพิเศษ ตามลมล่าจันทราแดนบริบูรณ์ ลอยออกไปไกล

เสียงคำรามดังขึ้นข้างหลัง หลังจากราชาศพเดินได้กลับมา เห็นน้ำแร่วิญญาณในสระโดนชิงไปจนหมด ก็บ้าคลั่งทันที

……

สักพักหนึ่ง หลัวซิวกลับมายังที่ก่อนหน้านี้ หาปี้เซียนเสว่กับชิวลั่วสุ่ยเจอบริเวณใกล้ๆ

สีหน้าของปี้เซียนเสว่มีความกังวล ถึงเธอเชื่อว่าพละกำลังของหลัวซิวแข็งแกร่งมาก แต่เขาเผชิญกับราชาศพเดินได้ ที่ทัดเทียมกับผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์

ทันใดนั้น ตัวสำนึกของเธอ สัมผัสได้ถึงลมปราณของหลัวซิว มีความดีใจอยู่บนใบหน้า

“หลัวซิว!” เธอหันมา เห็นหลัวซิวอยู่กลางอากาศ “นายกลับมาแล้ว”

หลัวซิวเห็นความเป็นห่วงอย่างจริงใจ จากดวงตาคู่สวยของเธอ ราวกับว่าสำหรับผู้หญิงคนนี้ ขอแค่หลัวซิวปลอดภัย ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนดีไปหมด

“ใช่ ฉันกลับมาแล้ว” หลัวซิวยิ้มแล้วพยักหน้า

ชิวลั่วสุ่ยก็เห็นหลัวซิว “ได้น้ำแร่วิญญาณไหม”

เห็นได้ชัดว่าเธอห่วงน้ำแร่วิญญาณ ไม่ใช่หลัวซิว

“ได้มาส่วนหนึ่ง” หลัวซิวพยักหน้า แล้วเอ่ยขึ้น

“ดีมากเลย” ชิวลั่วสุ่ยถอนหายใจอย่างโล่งอก และจ้องหลัวซิว “ฉันต้องการ 15 หยด”

กลั่นยาวิญญาณหยินหยาง 1 เม็ด ต้องใช้น้ำแร่วิญญาณ 5 หยด แต่ขอร้องให้นักกลั่นยาทำการกลั่นยาให้ ต้องเตรียมวัตถุดิบ 3 ชุด ดังนั้นจึงต้องการ 15 หยด

“เยอะเกินไป” หลัวซิวขมวดคิ้วเบาๆ เขาได้มาทั้งหมดประมาณ 30 กว่าหยด สิ่งนี้หาได้แค่ในแดนหยินสุดขั้ว แน่นอนว่าเขาอยากเก็บไว้เยอะหน่อย

“หลัวซิว เราคุยกันไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ข้อมูลของน้ำแร่วิญญาณ ฉันก็เป็นคนบอกคุณ” ชิวลั่วสุ่ยก็ขมวดคิ้วพูดเช่นกัน

“ถูกที่คุณบอก แต่ถ้าไม่มีผม คุณก็ไม่มีทางได้สักหยด” หลัวซิวไม่ได้บอกว่าได้หรือไม่ได้

“ฉันให้ค่าตอบแทนคุณมากพอแล้ว คุณยังต้องการอะไรอีก” ชิวลั่วสุ่ยโมโหเล็กน้อย เธอเข้าใจว่าหลัวซิวต้องการค่าตอบแทนที่มากกว่านี้

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 260 ชิวลั่วสุ่ยบาดเจ็บ

 

“มีเวลาอีก 20 กว่าวัน เราไปดูที่ลึกลงไป ในแดนปริศนากัน”

สำหรับการตัดสินใจของหลัวซิว ปี้เซียนเสว่ไม่มีปัญหาอะไร ไม่ว่าหลัวซิวจะไปไหน ถึงจะเป็นสถานที่ที่ต้องตาย เธอก็จะตามหลัวซิวไปอย่างไม่ลังเล

ขนาดปี้เซียนเสว่ก็ยังดูไม่ออก ในสิ่งที่มองไม่เห็น เธอให้หลัวซิวเป็นคนสำคัญที่สุดในชีวิตของเธอคนหนึ่ง

เธอถูกพามาวิทยาลัยพระวงศ์ตั้งแต่เด็ก และโดนสยบวิญญาณ คนใกล้ชิดและพ่อแม่ของเธอโดนราชวงศ์ตระกูลฝานปิดปาก ไม่มีใครเคยดีกับเธอขนาดนี้ ทำให้ใจที่ใกล้จะสิ้นหวังและโดดเดี่ยวของเธอ มีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง

ปี้เซียนเสว่ไม่รู้ตัว แต่หลัวซิวกลับรู้สึกว่า บางครั้งตอนที่เธอมองมายังตัวเอง แววตาของเธอมีอะไรที่แปลกประหลาด

เมื่อเจอสถานการณ์เช่นนี้ หลัวซิวไม่รู้จะรับมืออย่างไร จึงทำได้เพียงแสร้งทำเป็นไม่รู้

ทันใดนั้น ตัวสำนึกของหลัวซิว สัมผัสได้ถึงลมปราณของนักยุทธ์ อีกทั้งยังเป็นคนคุ้นเคยอย่างชิวลั่วสุ่ย

แต่ทว่าตอนนี้สถานการณ์ของชิวลั่วสุ่ยไม่ค่อยจะดีนัก เสื้อผ้าบนตัวมีรอยขาดหลายแห่ง มีรอยเลือดไหลออกมา สีหน้าซีดเผือดมาก

หลัวซิวลอยขึ้นไปกลางอากาศ มาถึงบริเวณใกล้ๆ และเห็นชิวลั่วสุ่ย

เมื่อรู้สึกว่ามีคนเข้ามาใกล้ สีหน้าชิวลั่วสุ่ยหวาดระแวง เมื่อเธอเห็นว่าเป็นหลัวซิว สีหน้าตึงเครียด ก็ผ่อนคลายลงทันที

“คุณบาดเจ็บเหรอ” หลัวซิวเอายาพระแสงออกจากแหวนเก็บของ และยื่นให้เธอ

“ขอบใจ” ชิวลั่วสุ่ยเอ่ยขอบคุณ รีบกินยาพระแสงทันที เพื่อไม่ให้อาการบาดเจ็บของตัวเองรุนแรงขึ้น

หลังกินยาพระแสง ชิวลั่วสุ่ยไม่ได้รักษาอาการบาดเจ็บทันที แต่พูดกับหลัวซิวด้วยสีหน้ากังวล “ฉันมากับพวกถาวโจว่จวิ้น เจอสระน้ำแร่วิญญาณแห่งหนึ่ง ในนั้นมีน้ำแร่วิญญาณอย่างน้อย 20 หยด……”

เมื่อได้ยินน้ำแร่วิญญาณ 20 หยด หลัวซิวถึงกับใจสั่นทันที แต่ทว่าชิวลั่วสุ่ยพูดต่อ “ข้างสระน้ำแร่วิญญาณ มีราชาศพเดินได้ระดับ5 อาศัยอยู่ ยากมากกว่าฉันจะหนีออกมาได้ แหวนเก็บของก็หายไป ไม่งั้นคงมียามารักษาอาการบาดเจ็บแล้ว”

จากที่ชิวลั่วสุ่ยพูด เพราะราชาศพเดินได้ระดับ5 ตัวนั้น คนของตำหนักจื่อบาดเจ็บล้มตาย เธอหนีเอาชีวิตรอดออกมา ไม่รู้ว่าคนอื่นเป็นอย่างไรบ้าง

“ราชาศพเดินได้ระดับ5 งั้นเหรอ” หลัวซิวตกใจ และถามต่อ “เป็นราชาศพเดินได้ขั้นไหน”

“ราชายุทธ์ปฐมภูมิขั้น5 แต่ร่างกายแข็งแกร่ง ทัดเทียมกับราชายุทธ์ขั้นกลาง” ชิวลั่วสุ่ยมองหลัวซิวอย่างคาดหวัง และเอ่ยขึ้น

ความคาดหวังนี้ ไม่ใช่เพราะเธอคิดว่าหลัวซิวจะสู้ราชาศพเดินได้ระดับ5 ได้ แต่คาดหวังว่าหลัวซิวจะเอาน้ำแร่วิญญาณมาได้

“พวกเธอไปหาที่ปลอดภัยอยู่บริเวณนี้ ฉันจะไปดู”

หลัวซิวพูดออกมา จากนั้นจึงบินไปบนท้องฟ้า ตามตำแหน่งที่ชิวลั่วสุ่ยบอก โดยใช้ความเร็วที่เร็วที่สุด

สีหน้าของชิวลั่วสุ่ยดูตื่นเต้น เธอหวังว่าหลัวซิวจะเอาน้ำแร่วิญญาณมาได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ สำนักสุ่ยเยว่จงก็มีหวังแล้ว

แต่ปี้เซียนเสว่ไม่เหมือนกับเธอ แววตาดูเป็นกังวล เพราะราชาศพเดินได้ ทัดเทียบได้กับผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์

ขณะเดียวกันเธอก็รู้สึกไม่ดีกับชิวลั่วสุ่ย ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ หลัวซิวก็คงไม่ต้องไปเสี่ยง

“ไปกับฉันเถอะ” เธอพูดกับชิวลั่วสุ่ยอย่างเมินเฉย เพราะก่อนหลัวซิวจะไป บอกให้พวกเธอไปหาที่ปลอดภัยรอ เธอต้องทำตามคำขอของหลัวซิว

“ขอบใจ”

ชิวลั่วสุ่ยเอ่ยขอบคุณ แต่ปี้เซียนเสว่มีสีหน้าไม่ดีกับเธอ เธอหาเรื่องอึดอัดใจเอง จึงไม่พูดอะไรมาก หวังว่าหลัวซิวจะเอาน้ำแร่วิญญาณกลับมาได้

หลัวซิวมีความมุ่งมั่นว่าจะเอาน้ำแร่วิญญาณมาให้ได้ ดังนั้นเมื่อรู้ข่าวจากชิวลั่วสุ่ย เขาจึงใช้วิชาท่าร่างตามลมล่าจันทราถึงขีดสุด

ไม่นาน แผ่นดินข้างหน้าสั่นสะเทือนอย่างแรง พลังจิตอันรุนแรงถาโถมเข้ามา เสียงคำรามอย่างโมโห ดังก้องอยู่ในอากาศ

ราชาศพเดินได้ตัวนั้นสูง 9 เมตรกว่า ร่างกายทนทานเหมือนเหล็ก กรงเล็บดุร้ายมีโซ่ดำเส้นหนา สะบัดอยู่ทั้งสองข้าง ดุร้ายเป็นอย่างมาก

เดิมทีคนตำหนักจื่อสิบกว่าคน ตอนนี้เหลือเพียงห้าคน ปรมาจารย์ฝึกจิตขั้น9 สองคนหนึ่งในนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัส ร่างกายซีกหนึ่งเลือดกับเนื้อผสมกันเละเทะ คนอื่นก็สีหน้าซีดเผือด พ่ายแพ้ย่อยยับ

“ท่านต้วน!”

ถาวโจว่จวิ้นนายน้อยตำหนักจจื่อ อยู่ภายใต้การคุ้มครองจากทุกคน เพื่อทำการล่าถอย เขาตะโกนออกมาเสียงดัง

ประมาณระยะสองสามลี้ ผู้อาวุโสเคราขาวที่ชื่อท่านต้วน กำลังวางธงค่าย สลักลายเส้นสัญลักษณ์ค่ายกล

“เจ้าสำนักน้อยอย่าวู่วาม อีกไม่นานจะวางค่ายกลเสร็จแล้ว” ท่านต้วนลูบเหงื่อบนหน้าผาก แล้วเอ่ยขึ้น

แววตาเย็นชาของหลัวซิวมองไป ตัวสำนึกกวาดไปรอบๆ อย่างเงียบๆ พบว่าท่านต้วนวางค่ายยากเย็นขั้น5

คนๆ นี้ไม่ใช่ผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ แต่กลับวางค่ายกลขั้น5 ได้ เห็นได้ชัดว่าระดับทางด้านค่ายกลสูงส่งมาก แต่แค่ผลการฝึกตนไม่เพียงพอ เขาวางค่ายกลขั้น5 สูญเสียพลังของตัวเองไปมาก

ตัวสำนึกของหลัวซิว ถึงระดับราชายุทธ์แล้ว ท่านต้วนจึงไม่เห็น ยังคงตั้งใจวางค่ายกลต่อไป เพราะกลัวว่าจะเกิดความผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อย

ขณะเดียวกัน คนฝั่งของถาวโจว่จวิ้น ทั้งสู้ทั้งล่าถอย เข้ามาใกล้เขตที่ท่านต้วนกำหนดเอาไว้

มองแวบเดียว หลัวซิวก็รู้แผนของคนพวกนี้ จะลากราชาศพเดินได้ระดับ5 เข้าไปในค่ายยากเย็นขั้น5 จากนั้นพวกเขาจะได้เอาน้ำแร่วิญญาณ ออกไปอย่างปลอดภัย

ถ้าไม่ผิดพลาด วิธีของพวกเขาน่าจะเป็นผล เพราะถึงราชาศพเดินได้ จะมีพละกำลังราชายุทธ์ จะทำลายค่ายกลยากเย็นขั้น5 ต้องใช้แรงเป็นอย่างมาก

“น่าเสียดาย ในเมื่อฉันมาแล้ว จะให้พวกนายสมปรารถนาได้อย่างไรล่ะ” หลัวซิวยกยิ้มมุมปากเย็นชา

เขาซ่อนลมปราณของตัวเอง สมาธิของคนตำหนักจื่อ จดจ่ออยู่กับราชาศพเดินได้ จึงไม่สังเกตว่าเขาอยู่ที่นี่

ห่างจากที่ต่อสู้ประมาณพันเมตร มีหน้าผาอยู่แห่งหนึ่ง ในสระเล็กๆ ที่ไม่ได้อยู่ในสายตา หยดน้ำเล็กๆ ใสราวกับไข่มุกดำรวมตัวกัน แผ่พลังหยินสุดขั้วออกมาอย่างรุนแรง

เห็นได้ชัดว่า นี่เป็นที่รวมปราณหยินแห่งหนึ่ง ไม่เพียงแต่ราชาศพเดินได้จะปักหลักอยู่ที่นี่ จากระยะเวลาที่ผ่านมาเนิ่นนาน ทำให้มีน้ำแร่วิญญาณสะสมอยู่ไม่น้อย

ผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ ไม่สามารถเข้ามายังแดนปริศนา ในที่แห่งนี้ ราชาศพเดินได้ ถูกขนานนามว่าไร้เทียมทาน น้ำแร่วิญญาณพวกนี้ ยังมีอยู่จนถึงทุกวันนี้ ไม่มีใครเอาไปได้

แต่ตอนนี้ ราชาศพเดินได้ถูกคนฉุดเอาไว้ หลัวซิวเหมือนเข้าไปในแดนไร้ผู้คน มาข้างสระน้ำแร่วิญญาณ อย่างไร้อุปสรรคขัดขวาง

หลัวซิวรีบเก็บน้ำแร่วิญญาณเหล่านี้ ได้เต็มๆ 30 กว่าหยด

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 259 ผลการฝึกตนยกระดับขึ้น

 

ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร หลัวซิวลืมตาขึ้น ถอนหายใจออกมา

“เป็นอะไรไป” ปี้เซียนเสว่ เซี่ยหย่งและสวีเสว่ที่อยู่ข้างๆ ทั้งสามอดหันไปมองอย่างสงสัยไม่ได้

พวกเขาเห็นหลัวซิวนั่งขัดสมาธิ เข้าใจว่าเขากำลังทำความเข้าใจวิชาทำลายค่ายกล เพราะพวกเขาเคยได้ยินว่าหลัวซิวเป็นปรมาจารย์ค่ายกลขั้น4

ตอนนี้จู่ๆ เขาก็ถอนหายใจออกมา อย่าบอกนะว่าไม่มีวิธีทำลายค่ายกลนี้

หลัวซิวไม่ได้อธิบาย การที่เขาถอนหายใจ เพราะเขารู้สึกว่ายังขาดความเข้าใจ ต่อผังกฎดั้งเดิมภาพที่สอง แต่เพราะขาดความเข้าใจ ทำให้เขาไม่สามารถเรียนรู้กฎดั้งเดิมภาพที่สองได้อย่างถ่องแท้

ขณะนั้น แสงสีเงินพุ่งออกมาจากม่านแสงค่ายกลข้างหน้า แสงสีเงินปกคลุมแหวนวงหนึ่ง ลอยอยู่หน้าหลัวซิว

ปี้เซียนเสว่ เซี่ยหย่งและสวีเสว่ มองภาพตรงหน้าด้วยความตกตะลึง ดวงตากับตัวสำนึกของพวกเขา ไม่สามารถมองเห็นหลงหมิงได้ จึงรู้สึกเหลือเชื่อกับปรากฏการณ์นี้

“ไม่มีของข้างในแล้วเหรอ” ขณะเดียวกัน พวกเขาสังเกตเห็นว่าในม่านแสงค่ายกล ที่เดิมทียังเห็นหินหยินอยู่เลือนลาง ตอนนี้กลับมองไม่เห็นอะไรแล้ว

จากนั้นสายตาของพวกเขา มองไปยังแหวนในมือของหลัวซิว ที่ลอยออกมาจากม่านแสงค่ายกล อย่าบอกนะว่า……

“ของอยู่ในมือแล้ว” หลัวซิวพูดตรงๆ จากนั้นแบ่งหินหยินในนั้น ให้ทั้งสามคน

สีหน้าของทั้งสามยังตะลึง พวกเขามั่นใจว่าหลัวซิวนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนี้ตลอด เอาของในค่ายกลออกมาได้ยังไง

แต่พวกเขาดูออกว่าหลัวซิวไม่คิดจะอธิบาย ต้องมีไพ่ไม้ตายลึกลับบางอย่าง อยู่ในนั้นแน่นอน ดังนั้นจึงไม่ถามมาก

หินหยินในค่ายกลนี้มีประมาณสามร้อยกว่าก้อน หลัวซิวเก็บไว้ครึ่งหนึ่ง แบ่งให้ปี้เซียนเสว่ร้อยก้อน ส่วนเซี่ยหย่งกับสวีเสว่ แบ่งให้คนละ 20 กว่าก้อน

เพราะการได้หินหยินมา เป็นน้ำพักน้ำแรงของเขา ปี้เซียนเสว่เป็นคนของตัวเอง ส่วนเซี่ยหย่งกับสวีเสว่ หลัวซิวไม่ให้เยอะอยู่แล้ว แบ่งให้ส่วนหนึ่งก็ถือว่าเป็นน้ำใจแล้ว

“บนตัวของพวกนาย มียาทิพย์ระดับ4 ขึ้นไปเท่าไร ฉันสามารถใช้ของซื้อขายกับพวกนาย” หลัวซิวถามเซี่ยหย่งกับสวีเสว่

เซี่ยหย่งกับสวีเสว่รู้ว่าหลัวซิวไม่ใช่แค่นักค่ายกล แต่ยังเป็นนักกลั่นยาด้วย แถมยังรู้ดีว่าพละกำลังของหลัวซิวแข็งแกร่ง ถ้าพวกเขาเก็บยาวิเศษเอาไว้ ก็เอาไปแลกเป็นหินพลังจิตหรือยา ซื้อขายกับหลัวซิวก็ไม่ต่างกัน

เมื่อเข้าใจเรื่องพวกนี้ ทั้งสองเอายาวิเศษออกมาจากแหวนเก็บของ มียาทิพย์ระดับ4 สิบหกต้น ยาทิพย์ระดับ5 สี่ต้น ยาทิพย์ระดับ6 หนึ่งต้น

เพราะแดนปริศนาเป็นพื้นที่แดนหยินสุดขั้ว ยาวิเศษที่นี่ล้วนเป็นAttrหยิน

หลัวซิวเองก็เก็บยาวิเศษไว้ไม่น้อย ในความทรงจำที่เขาได้เป็น九阶帝级炼丹师 มียาเสวียนหยินชนิดหนึ่ง ใช้ยาวิเศษAttrหยินกลั่นขึ้นมาทั้งหมด เป็นของดีสำหรับนักยุทธ์ ที่มีพลังจิตแท้Attrหยิน สามารถยกระดับผลการฝึกตนได้

ยาเสวียนหยินไม่มีระดับที่แน่นอน ใช้ยาทิพย์ระดับ4 ในการกลั่นยา จะเป็นยาเสวียนหยินระดับ4 ใช้ยาทิพย์ระดับ5 ในการกลั่นยา จะเป็นยาเสวียนหยินระดับ5 เป็นไปตามหลักการนี้

ยาที่ดีกว่ายาเสวียนหยินก็คือ ยาจี๋หยิน ต้องใช้ยาทิพย์อย่างน้อยสุดคือระดับ8 ถึงจะกลั่นยาได้ ยาไท่หยินต้องใช้ยาทิพย์ระดับ9

ถ้าใช้ยาเสวียนหยินในการฝึกตน ประสิทธิภาพการฝึกตนจะเร็วกว่าหินหยิน แต่จะต้องเป็นยาเม็ดบริสุทธิ์ที่ไม่มีสิ่งเจือปน

ฝั่งเขาเก็บสมบัติในค่ายกลแห่งนี้จนหมดแล้ว ส่วนสามอำนาจใหญ่ ยังพยายามโจมตีค่ายกลอย่างสุดชีวิต ต้องใช้เวลาอีกสักระยะ ถึงจะสามารถทำลายค่ายกลและเข้าไปได้

ทันใดนั้น หลัวซิวเห็นค่ายกลโบราณที่อยู่ไม่ไกลอีกแห่งหนึ่ง เขานั่งขัดสมาธิ ใช้ผังกฎดั้งเดิมมายืนยันการทำความเข้าใจ ความลี้ลับในค่ายกล ขณะเดียวกันก็ให้หลงหมิงเข้าไปเอาสมบัติข้างในค่ายกล

ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!

เสียงดังสนั่นติดต่อกันสามครั้ง ฝั่งสามอำนาจใหญ่ทำลายม่านแสงค่ายกล ทุกคนต่างกรูกันเข้าไป ใช้วิธีต่างๆ นานา แย่งสมบัติข้างใน ในนี้คนที่ได้ผลประโยชน์มากที่สุด แน่นอนว่าต้องเป็นคนของสามอำนาจใหญ่ เพราะยอดฝีมือของพวกเขาค่อนข้างเยอะ

ช่วงที่พวกเขาใช้แรงทำลายค่ายกล หลัวซิวเก็บสมบัติในค่ายกลสิบกว่าแห่งจนเกลี้ยง แต่เมื่อมองจากภายนอก ม่านแสงค่ายกลยังคงอยู่ นอกจากสามคนฝั่งเขา ไม่มีใครรู้ว่าเขาสามารถเอาสมบัติออกมาได้ โดยไม่ต้องทำลายค่ายกล

ถึงจะเป็นผู้แข็งแกร่งในสมัยโบราณ ของสำนักไท่เสวียน ก็คงไม่คิดว่าวันใดวันหนึ่งในอนาคต จะมีมังกรไร้ร่างที่มีฉายาว่ามืออาชีพทำลายค่ายกล มายังแดนปริศนาแห่งนี้

“เราไปกันเถอะ”

ในเมื่อเก็บสมบัติจนเกลี้ยงแล้ว หลัวซิวไม่อยู่ต่อแน่นอน ขืนคนของสามอำนาจใหญ่ทำลายค่ายกล แล้วพบว่าไม่มีอะไรข้างในนั้น ต้องสงสัยอย่างแน่นอน

ถึงพละกำลังของเขาจะแข็งแกร่งมาก ไม่เห็นปรมาจารย์ฝึกจิตขั้น9 อยู่ในสายตาก็ได้ แต่ถ้าโดนยอดฝีมือระดับฝึกจิตล้อมโจมตี 50 กว่าคน ตัวเขาอาจไม่เป็นไร แต่พวกปี้เซียนเสว่ต้องเป็นอันตรายแน่นอน

สมบัติส่วนใหญ่อยู่ในมือของหลัวซิว ใส่ในแหวนเก็บของจนเต็มไปหลายวง เมื่อรวมสมบัติพวกนี้เอาไว้ด้วยกัน พอเทียบได้กับสำนักหรือตระกูล ที่สืบทอดกันมากว่าร้อยปีตระกูลหรือสำนักหนึ่งเลยล่ะ

หลัวซิวกินเนื้อ ปี้เซียนเสว่ เซี่ยหย่งและสวีเสว่ดื่มน้ำซุป สมบัติที่สะสมไว้ในมือแต่ละคน พอเทียบได้กับผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์จำนวนมาก

ถ้าพวกเขาหาสมบัติกันเอง คงไม่ได้มากขนาดนี้ ส่วนพวกคนของอำนาจใหญ่ที่เข้ามา เมื่อออกไป ต้องเอาสมบัติเป็นจำนวนมาก ไปรวบรวมไว้ที่ผู้มีอำนาจสูงกว่า

ในสถานที่ปลอยภัย ห่างไกลกว่าร้อยลี้ หลัวซิวกะจะปิดขังที่นี่สักระยะ

เซี่ยหย่งกับสวีเสว่เตรียมไปหาสถานที่อื่น ที่น่าจะมีสมบัติ ดังนั้นจึงบอกลาและออกมา

ต่อมาเป็นระยะเวลาอีกเดือนกว่า หลัวซิวกับปี้เซียนเสว่ รวมไปถึงหลงหมิง ฝึกตนปิดขังด้วยกันอีกครั้ง

การปิดขังครั้งนี้ หลัวซิวไม่ได้เน้นยกระดับแดนผลการฝึกตนของตัวเอง เพราะการฝึกยุทธ์ศึกษาเป็นขั้นเป็นตอน พื้นฐานมั่นคง เขาเพิ่งบรรลุได้ไม่นาน พละกำลังยกระดับขึ้นมาก ถ้ายกระดับต่อไป กลับทำให้พื้นฐานของตัวเองไม่มั่นคง ส่งผลกระทบในการเข้าสู่แดนต่อไป

ก่อนต้องเจอกับแดนผลการฝึกตนที่สูงกว่านี้ หลัวซิวต้องเชี่ยวชาญผลการฝึกตนก่อนหน้านี้ให้สมบูรณ์ จนกระทั่งพละกำลังของตนเอง ไม่สามารถยกระดับได้ต่อ ถึงจะเลือกฝ่าฟันต่อไป

หลัวซิวรู้ดีว่าผังกฎดั้งเดิมเก้ารูป เป็นพื้นฐานการฝึกยุทธ์ของตัวเอง ดังนั้นในระยะเวลาหนึ่งเดือนนี้ เวลาส่วนใหญ่ของเขา ล้วนเอามาทำความเข้าใจผังกฎดั้งเดิมรูปที่สอง ขณะเดียวกันก็ใช้ยาทิพย์ระดับ 4 ระดับ 5 ที่ตัวเองมีมาจับคู่กัน กลั่นออกมาเป็นยาระดับ4 และระดับ5

สำหรับยาระดับ6 ตอนนี้เขายังไม่สามารถกลั่นได้ ต้องมีผลการฝึกตนถึงแดนราชายุทธ์เสียก่อน

เพื่อควบคุมระดับความก้าวหน้าในการฝึกตนของหลงหมิง ดังนั้นหลัวซิวจึงให้ทรัพยากรมันอย่างจำกัด ระยะเวลาเดือนกว่า ยกระดับถึงฝึกจิตขั้น6

ปี้เซียนเสว่ฝ่าฟันแดนเล็กติดต่อกันสองแดน เมื่อครั้งที่แล้ว ความเร็วของผลการฝึกตนก็ช้าลง ห่างจากฝึกจิตขั้น7อีกไม่น้อย

 

########################

 

 

 

 

 

บทที่ 258 มืออาชีพทำลายค่ายกล

 

สำนักใหญ่ทั้งสาม ต่างดึงยอดฝีมือฝ่ายต่างๆ มาเป็นพวก เป็นเพราะสำนักเสวียนหยาง มีความสัมพันธ์อันดีกับราชวงศ์ตระกูลฝานประเทศเทียนหวู ฝั่งสำนักเสวียนหยาง รวบรวมคนได้ทั้งหมด 20 กว่าคน

จำนวนคนของตำหนักจื่อกับสำนักฉางเหอค่อนข้างน้อย แต่ก็มีสิบกว่าคน ไม่ได้แตกต่างกันเกินไป

หลังผ่านความโกลาหลวุ่นวาย ตอนนี้แบ่งจำนวนคนเป็น 3 ฝ่ายอย่างสมบูรณ์ชัดเจน

แต่พูดให้ถูก ควรจะเป็นสี่กลุ่ม เพราะฝ่ายหลัวซิว ก็มีปี้เซียนเสว่ เซี่ยหย่งและสวีเสว่สามคน อีกทั้งยังมีมังกรไร้ร่างสมัยโบราณ ที่ไม่มีใครมองเห็น

สามอำนาจใหญ่เลือกค่ายกลขั้น5 หนึ่งค่ายกล อาศัยปรมาจารย์ฝึกจิตขั้น9 เป็นหัวหน้า ทุกคนสั่งการเป็นหนึ่งเดียว จู่โจมม่านแสงค่ายกลอย่างต่อเนื่อง

ค่ายกลที่นี่ไม่ได้มีแค่ค่ายกลเพียงชนิดเดียว อย่างค่ายคุ้มกันหรือค่ายสังหาร แต่มีทั้งคุ้มกันและโจมตีในตัว ในนั้นยังแฝงความลึกลับของการวางค่ายกลโบราณด้วย

แต่หลายสิ่งในสมัยโบราณได้สูญหายไปแล้ว ปัจจุบันหาได้ยากมาก

“พวกเราก็ไปลองกันเถอะ” หลัวซิวยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น จากนั้นก็เดินเข้าไปยังม่านแสงค่ายกลหนึ่ง

มองผ่านอุปสรรคม่านแสงค่ายกล จะเห็นกองหินหยินในนั้น

หินหยิน เป็นแหล่งฝึกตนที่ล้ำค่า สำหรับผู้ที่ต้องการ สำหรับผู้ที่ไม่ต้องการ เป็นเพียงสมบัติที่ราคาค่อนข้างสูงชนิดหนึ่ง

ค่ายกลที่ตำหนักจื่อ สำนักเสวียนหยาง และสำนักฉางเหอ เลือกโจมตี ในนั้นล้วนเป็นยาวิเศษและวัตถุดิบ

ถ้าเทียบกับของพวกนั้น หลัวซิวต้องการหินหยินจำนวนมหาศาลมากกว่า เช่นนี้เขาจะได้บรรลุผลการฝึกตนที่สูงกว่านี้ ได้เร็วยิ่งขึ้น

เดินมาถึงระยะห่างจากม่านแสงค่ายกลสิบกว่าเมตร ลมปราณอันดุดันถาโถมเข้ามา แฝงไปด้วยความอาฆาต แค่เดินเข้าไปใกล้อีก ก็จะโดนค่ายกลโบราณโจมตี

“ฝีมือการวางค่ายกลประณีตมาก!”

ในสายตานักยุทธ์ธรรมดา ม่านแสงค่ายกลพวกนี้ ไม่ได้มีอะไรพิเศษ แต่สำหรับคนที่รู้เกี่ยวกับค่ายกล กลับเห็นลายเส้นค่ายกลที่ทับซ้อนกันไปมากับประกายสัญลักษณ์ ที่ซ่อนอยู่ในแสงค่าย

ค่ายกลโบราณนี้ ลึกลับซับซ้อนกว่าค่ายกลที่หลัวซิวศึกษาไม่รู้กี่เท่า ค่ายกลขั้น5 เหมือนกัน ค่ายกลโบราณมีความคิด ความรู้มากมายมหาศาล งั้นค่ายกลขั้น5 ที่ปรมาจารย์ค่ายกลขั้น5 เรียก กลับเป็นเพียงส่วนเล็กๆ เท่านั้น

“หลงหมิง นายผ่านค่ายกลนี้ได้ไหม” หลัวซิวถาม

“เรื่องเล็กน้อย ในสมัยโบราณ มังกรไร้ร่างอย่างพวกเรา เป็นมืออาชีพทำลายค่ายกลเชียวนะ!” หลงหมิงเบะปากพูดอย่างไม่สบอารมณ์

วิถีค่ายกล อันที่จริงก็คือพลังการควบคุมเวลาของฟ้าดิน มังกรไร้ร่างมีพลังควบคุมเวลาตั้งแต่เกิด ในสมัยโบราณ ไม่นับค่ายกลเล็กๆ น้อยๆ ค่ายกลโดยส่วนใหญ่ เป็นเพียงสิ่งจอมปลอมเมื่ออยู่ต่อหน้ามังกรไร้ร่าง

มืออาชีพทำลายค่ายกล การอธิบายเช่นนี้ นับว่าเหมาะสม

“นายเข้าไปเอาของในค่ายกลออกมา” หลัวซิวพูด

ยังไม่ทันพูดจบ หลงหมิงมุดเข้าไปในม่านแสงค่ายกล ค่ายกลโบราณไม่เคลื่อนไหวสักนิด ราวกับว่าไม่สัมผัสถึงการบุกรุกเข้ามา

หลงหมิงเข้ามาเอาของอย่างเงียบๆ ส่วนหลัวซิวนั่งขัดสมาธิหน้าค่ายกล ทำความเข้าใจกับความลึกลับต่างๆ นานา ที่แฝงอยู่ในค่ายกลโบราณ

เขาพบความลึกลับ ผ่านลายเส้นกับสัญลักษณ์ของค่ายกลโบราณ สามารถยืนยันตรงกับผังกฎดั้งเดิมภาพที่สอง มีสัมผัสของจิตวิญญาณเลือนราง แวบเข้ามาในหัวและหายไปเป็นระยะๆ ทำให้หลัวซิวรู้สึกถึงความตระหนักของตัวเองต่อพลังแห่งความเป็นตาย สามารถก้าวเข้าไปได้อีกทุกเมื่อ

ตั้งแต่หลอมรวมลูกแก้วความเป็นตาย รวมวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพไว้ที่จุดตันเถียน จากนั้นหลังจากได้เก้าภาพ ที่มีความลึกลับสองระดับความเป็นตายของผังกฎดั้งเดิมอยู่ในนั้น หลัวซิวเริ่มมีแนวคิดรางๆ เกี่ยวกับแดนสองระดับความเป็นตาย

ฝึกตนสองระดับความเป็นตาย เริ่มแรกก็คือต้องรักษาความสมดุล ระหว่างความเป็นตายซึ่งเป็นสองสิ่งที่ตรงกันข้าม

ขั้นนี้เป็นขั้นที่ยากที่สุด ในสมัยโบราณ แม้เป็นอัจฉริยะไร้เทียมทานที่น่าตกตะลึงนับไม่ถ้วน อัจฉริยะพวกนี้ ล้วนหยุดอยู่ตรงขั้นนี้ ถึงกระทั่งที่สูญเสียความสมดุล เพราะสองระดับความเป็นตาย และถึงแก่ชีวิต หรือไม่ก็ทำให้คนที่ฝึกไม่เป็นผู้เป็นคน

แต่สำหรับหลัวซิว ขั้นที่ยากที่สุด กลับง่ายที่สุด

เพราะเขาหลอมรวมลูกแก้วความเป็นตาย พลังสองระดับความเป็นตาย จะสร้างสมดุลในตัวเขาโดยอัตโนมัติ

หลังสร้างสมดุลความเป็นตายในขั้นแรก ถึงจะเข้าสู่การฝึกตนและเรียนรู้พลังแห่งความเป็นตายอย่างแท้จริง ระดับที่บรรลุขั้นเริ่มต้น ก็คือการควบคุมความเป็นและความตาย

ขั้นต่อไปก็คือหลอมรวมความเป็นและความตาย รวมครอบจักรวาล สองขั้วหยินหยาง การข่มกันระหว่างไฟกับน้ำแข็ง อยู่ในการหลอมรวมความเป็นและความตายด้วย

อันที่จริงแต่ไหนแต่ไรมา ความตระหนักของหลัวซิวต่อพลังแห่งความเป็นตาย ให้ความสำคัญกับพลังแห่งความตายมากกว่า ความตระหนักรู้ในพลังแห่งชีวิต ค่อนข้างน้อย

ดังนั้นทำให้เกิดปัญหาแบบนี้ แง่หนึ่งคือเขาเน้นการฆ่า วนเวียนอยู่ในเขตแดนแห่งความตาย

ส่วนอีกแง่หนึ่งก็คือ เพราะผังกฎดั้งเดิมภาพแรก ส่วนใหญ่พรรณนาเกี่ยวกับความลึกลับของพลังแห่งความตาย

แต่ตอนนี้ เขาเริ่มทำความเข้าใจกับผังกฎดั้งเดิมภาพที่สอง ในนั้นพรรณนาถึงความลึกลับของพลังแห่งการมีชีวิต!

การมีชีวิตกับความตาย เป็นสองหลักการต้นกำเนิดของโลกใบนี้

ต้นก็คือต้นตอ กำเนิดก็คือรากเหง้า เป็นความหมายแฝงของสรรพสิ่งในโลกนี้ ต้นกำเนิดก็คือการมีอยู่ของต้นตอกับรากเหง้า

ด้วยเหตุนี้เมื่อเข้าใจหลักการแล้ว ก็เข้าใจเรื่องทำนองเดียวกันผ่านแง่มุมอื่น เพื่อทำความเข้าใจกับต้นกำเนิดของความลึกลับ

อย่างเช่นทำความเข้าใจความลึกลับของชีวิต ผ่านน้ำที่หล่อเลี้ยงสรรพสิ่ง ทำความเข้าใจความลึกลับของความตาย ผ่านไฟที่แผดเผาสรรพสิ่ง……

ก็สามารถยืนยันลายเส้นกับสัญลักษณ์ที่ซับซ้อนในผังกฎดั้งเดิม ผ่านค่ายกล ขณะเดียวกันยังได้รู้แจ้ง ทำความเข้าใจความลึกลับในนั้น

ของแบบนี้ ทำได้เพียงรับรู้ด้วยตัวเอง แต่ไม่สามารถบอกด้วยคำพูด หลัวซิวดื่มด่ำไปในความลึกลับ

“พลังแห่งความตาย ค่ายกลสลักลายเส้นหลักเป็นความตาย การเข่นฆ่า การทำลายและความเสียหาย”

“พลังแห่งชีวิต ค่ายกลสลักลายเส้นหลักเป็นการมีชีวิต การป้องกัน การเกิดใหม่และการสร้าง”

“.…..”[1][1]

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 259 ผลการฝึกตนยกระดับขึ้น

 

 

 

 

 

 

บทที่ 257 ร่วมมือกัน

 

เห็นหลัวซิวฆ่าช่าวชูเจิ้งฉีด้วยหมัดเดียว เซี่ยหย่งกับสวีเสว่เดินเข้ามาขอบคุณ “ขอบคุณศิษย์พี่หลัว ถ้าพี่ไม่ช่วย ผมกับเสว่เอ๋อร์คง……”

หลัวซิวสังเกตเห็นว่าทั้งสองสนิทสนมกัน จึงอดเลิกคิ้วขึ้นไม่ได้ “นายกับสวีเสว่……”

เมื่อเห็นหลัวซิวอมยิ้ม เซี่ยหย่งกระอักกระอ่วน สวีเสว่หน้าแดงก่ำ

ก่อนเข้ามาในแดนปริศนา ทั้งสองไม่ได้มีความสัมพันธ์กันสักเท่าไร เรียกได้ว่าผิวเผินเท่านั้น แต่หลังจากที่เข้ามาแดนปริศนา ทั้งสองบังเอิญเจอกัน จากนั้นก็ผ่านความยากลำบาก ถึงขั้นเป็นตายมาด้วยกันหลายครั้ง ดังนั้นจึงทำให้ตัดสินใจใช้ชีวิตด้วยกัน

“งั้นคงต้องยินดีกับพวกนายแล้วล่ะ”

เส้นทางนักยุทธ์ ทั้งโดดเดี่ยวและเหงา การที่ได้มีคนงามอยู่ข้างกาย ชีวิตก็ไม่เหงาอีกแล้ว

หลัวซิวกวาดตามองไปรอบๆ เขาพบว่าหลังจากฆ่าช่าวชูเจิ้งฉีด้วยหมัด ที่แท้คนที่อาศัยช่าวชูเจิ้งฉีเป็นผู้นำ ทั้งสี่คน หนีไปแล้ว เขาสังเกตเห็นแล้ว แต่ไม่ได้ลงมือฆ่าคนพวกนั้น

สำหรับฉางเทียนโซว่กับหลี่น่า ทั้งสองถอยไปไกล สีหน้าดูไม่ปกติ

“ทำไมไอ้หมอนี่ถึงฝึกตนได้รวดเร็วขนาดนี้” สีหน้าของฉางเทียนโซว่ ไม่สู้ดีเป็นอย่างมาก รู้สึกเสียใจตอนที่อยู่หน้าประตูวิทยาลัยพระวงศ์ในตอนนั้น ทำไมถึงไม่เผชิญกับคนตำหนักจื่อ เคียงข้างหลัวซิว เหมือนกับปี้เซียนเสว่

นี่เพิ่งเข้ามาในแดนปริศนาเพียงระยะเวลาสั้นๆ แค่เดือนกว่า หลัวซิวก็ยกระดับจากฝึกจิตขั้น5 เป็นขั้น7 ปี้เซียนเสว่ก็ยกระดับจากฝึกจิตขั้น4 เป็น ขั้น6 เห็นได้ชัดว่าพวกเขาต้องได้แหล่งสมบัติจำนวนมาก ผลการฝึกตนจึงยกระดับได้เร็วเช่นนี้

ถ้าเขากับหลี่น่าไปด้วยกันกับพวกเขา ต้องได้สิ่งที่ทำให้พละกำลังผลการฝึกตน แข็งแกร่งขึ้นแน่นอน

สีหน้าของหลี่น่าก็เสียใจเช่นกัน พลาดโอกาสไป เพียงเพราะก้าวถอยหลังเพียงครึ่งก้าวในตอนนั้น

ทักทายเซี่ยหย่งกับสวีเสว่สองประโยค สายตาของหลัวซิว เห็นกลุ่มคนของตำหนักจื่อที่อยู่ไม่ไกล

คนเป็นหัวหน้า คือถาวโจว่จวิ้น เจ้าสำนักน้อยตำหนักจื่อ ข้างๆ เขามีปรมาจารย์ฝึกจิตขั้น9 สองคน ผู้อาวุโสเคราขาว ที่เก็บซ่อนลมปราณ ด้านหลังยังมีชายหนุ่มฝึกจิตขั้น 5 ขั้น 6 สิบกว่าคน

หลัวซิวยังเห็นชิวลั่วสุ่ยยืนอยู่อีกด้าน แต่นางสนองพระโอษฐ์ของถาวโจว่จวิ้นไม่ได้อยู่ที่นี่

เห็นได้ชัดว่า ระยะเวลาเดือนกว่า ที่มาค้นหาลึกในแดนปริศนา คนตำหนักจื่อที่เข้ามา 20 คน สูญเสียไปสองสามคน นางสนองพระโอษฐ์ทั้งสองคน มีพละกำลังผลการฝึกตนอ่อนแอที่สุด น่าจะตายไปโดยเสียเปล่า

รอบประเทศเทียนหวู มีอำนาจใหญ่สามอำนาจ ที่ยิ่งใหญ่กว่าราชวงศ์ตระกูลฝาน และอำนาจใหญ่สามอำนาจนี้ ล้วนมีผู้แข็งแกร่งระดับมกุฏยุทธ์ดำรงตำแหน่ง

ตำหนักจื่อก็เป็นหนึ่งในนั้น ส่วนอีกสอง คือสำนักเสวียนหยางและสำนักฉางเหอ

ทุกครั้งที่แดนปริศนาในประเทศเทียนหวูเปิด อำนาจทั่วไปไม่สามารถก้าวก่าย แต่สามอำนาจใหญ่นี้ กลับส่งอัจฉริยะและยอดฝีมือมามากมาย และครอบครองจำนวนรายชื่อเยอะกว่าราชวงศ์ตระกูลฝานด้วย

ว่ากันว่า ความสัมพันธ์ของราชวงศ์ตระกูลฝานกับสำนักเสวียนหยางดีมาก จึงทำให้ครอบครองขอบเขตอย่างกว้างขวาง ครอบครองแดนปริศนาโบราณ และไม่โดนอำนาจอื่นคิดอยากครอบครอง

นอกจากคนตำหนักจื่อพวกนั้น หลัวซิวสัมผัสได้ถึงลมปราณแข็งแกร่ง เป็นยอดฝีมือของสำนักเสวียนหยางและสำนักฉางเหอ

ตอนนี้ตัวสำนึกของหลัวซิว ทัดเทียมได้กับราชายุทธ์ ไม่ว่าใครที่ผลการฝึกตนต่ำกว่าราชายุทธ์ ล้วนอยู่ในสายตาเขาทั้งหมด

สำหรับถาวโจว่จวิ้นแห่งตำหนักจื่อ หลัวซิวมีความคิดจะฆ่าตั้งนานแล้ว แต่คนที่นี่เยอะเกินไป เขาลงมือไม่สะดวก

ขณะเดียวกัน หลัวซิวสังเกตเห็นตำหนักจื่อ สำนักเสวียนหยางและสำนักฉางเหอ สามอำนาจใหญ่ กำลังดึงยอดฝีมือของฝ่ายต่างๆ มาเป็นพวก อำนาจฝ่ายต่างๆ ในเมืองเทียนหวู ราชวงศ์ตระกูลฝาน มีเก้าคนที่ตายคามือหลัวซิว ส่วนอีกคนโดนฆ่า ตอนที่แย่งชิงสมบัติ ไม่มีคนของราชวงศ์ตระกูลฝาน ตระกูลอื่นมีกำลังสนับสนุนไม่พอ แน่นอนว่าก็ต้องแตกความสามัคคี

ข้างหน้าไม่ไกล มีค่ายกลขั้น5 สิบกว่าค่ายกล ที่มีสมบัติซ่อนอยู่ อยากได้สมบัติในนั้น จำเป็นต้องทำลายค่ายกล ดังนั้นแทบจะทุกคน ที่เข้าร่วมกับพวกสามอำนาจใหญ่

“นายคือหลัวซิว อัจฉริยะที่มีฉายาว่าหาเจอได้ยากในรอบหลายปีเหรอ ฉันคือหยวนหงแห่งสำนักเสวียนหยาง อยากเชิญนายเข้าร่วมกับเรา ทำลายค่ายกลที่มีสมบัติอยู่ในนั้นด้วยกัน”

ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาหน้าหลัวซิว พูดด้วยน้ำเสียงเกรงอกเกรงใจ

หลัวซิวเห็นค่ายกลขั้น5 พวกนั้นตั้งนานแล้ว ในนั้นมีสองค่ายกลที่โดนทำลายแล้ว ของในนั้นโดนชิงไปจนหมด สวีเสว่ชิงยาทิพย์ระดับ6มาได้ต้นหนึ่ง จึงทำให้ช่าวชูเจิ้งฉีเกิดความโลภ

ยาทิพย์ระดับ6 ต้นหนึ่ง ถึงจะล้ำค่า แต่สมบัติในแดนปริศนามีมากมาย บวกกับความน่าตกใจที่หลัวซิวลงมือเมื่อกี้ ไม่มีใครกล้าคิดอะไรกับเขาอีก

หยวนหงศิษย์สำนักเสวียนหยาง สนใจพละกำลังของหลัวซิว จึงเข้ามาดึงไปเป็นพวก

“ขอบคุณความหวังดีของศิษย์พี่หยวน ให้ฉันทำลายค่ายกลเอาสมบัติ กับพวกนายได้ แต่หลังจากทำลายค่ายกล ฉันจะเลือกของก่อน” หลัวซิวพูดตามนั้น

เมื่อได้ยินดังนั้น หยวนหงขมวดคิ้วทันที “ทุกคนร่วมใจกันทำลายค่ายกล ศิษย์พี่หลัวจะเลือกก่อน กลัวว่าถึงฉันยอม แต่คนอื่นคงจะไม่ยอม”

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นเชิญศิษย์พี่หยวนกลับไปเถอะ” หลัวซิวพูดอย่างไม่ใส่ใจสักนิด

เหตุที่เสนอความต้องการนี้ ความจริงหลัวซิวมีเหตุผลและความมั่นใจของตัวเอง ตอนนี้ตัวสำนึกของเขาถึงระดับราชายุทธ์ สามารถวางค่ายกลขั้น5 ได้แล้ว อีกทั้งจากความเข้าใจความลึกลับสองระดับความเป็นตาย จากผังกฎดั้งเดิมภาพที่สอง ค่ายกลขั้น5 ที่เขาวางจะประณีตกว่า อีกทั้งพลานุภาพยิ่งใหญ่ด้วย

อีกทั้งเขายังมีมังกรไร้ร่างในสมัยโบราณ ที่มีพลังควบคุมเวลาที่มาตั้งแต่เกิด ไม่ต้องสนใจวิชาห้ามค่ายกลจำนวนมาก สามารถผ่านไปได้อย่างไร้อุปสรรค

จากนั้นคนของสำนักฉางเหอก็มาดึงหลัวซิวไปเป็นพวกเช่นกัน หลังได้ยินความต้องการของเขา ก็อดส่ายหัวไม่ได้ จากนั้นก็ปล่อยมันไป

เพราะพละกำลังของหลัวซิวแข็งแกร่งมาก มีเขาเข้าร่วมการทำลายค่ายกล จะรวดเร็วยิ่งขึ้น แต่ทุกคนก็ออกแรงไม่น้อย จะให้นายเอาของดีไปก่อน ไม่ว่าใครก็ไม่เต็มใจทั้งนั้น

“หลัวซิวพูดอย่างนี้จริงเหรอ”

ฝั่งตำหนักจื่อ ถาวโจว่จวิ้นก็ได้ยินเรื่องที่สำนักเสวียนหยาง กับสำนักฉางเหอ ดึงหลัวซิวไปเป็นพวก

“ใช่ครับ” คนที่ไปถามเอ่ยขึ้น

“ไอ้หมอนี่ไม่รู้อะไรจริงๆ เขาจะใช้กำลังของคนๆ เดียว ไปทำลายค่ายกลโบราณเหรอ” ถาวโจว่จวิ้นสีหน้าเย้ยหยัน

ท่านต้วนที่อยู่ข้างเขา มีความรู้ด้านค่ายกลถึงระดับ5 ยังไม่มีความสามารถทำลายค่ายกลพวกนี้ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหลัวซิว

“เจ้าสำนักน้อยอย่าประมาท ไอ้หมอนั่นไม่ธรรมดา”

สิ่งที่แตกต่างจากถาวโจว่จวิ้นก็คือ ผู้อาวุโสที่ชื่อท่านต้วน มีความหวาดกลัววูบไหวอยู่ในแววตา

ตัวสำนึกกลายรูป รวมตัวเป็นกระบี่ เป็นวิธีที่ผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ ถึงทำได้ วิธีนี้สามารถมีผลจู่โจมวิญญาณ กดดันนักยุทธ์แดนระดับล่าง

แต่ราชายุทธ์ที่รู้เรื่องจู่โจมวิญญาณ อาศัยตัวสำนึกกลายรูป แสดงวิชาลับจู่โจมวิญญาณ นั่นเป็นสิ่งที่น่ากลัวอย่างแท้จริง

คนที่เข้ามาในแดนปริศนา มีทั้งหมด 130 กว่าคน ล้มหายตายจากไปเกือบครึ่ง 50 กว่าคนที่เหลือ ล้วนรวมตัวกันอยู่ที่นี่

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 256 ตัวสำนึกกลายรูป

 

ช่าวชูเจิ้งฉีแสยะยิ้ม ใช้มือชักกระบี่ออกมา พลานุภาพอันดุดันของแสงกระบี่สีเขียวลอยออกมา ปกคลุมเซี่ยหย่งกับสวีเสว่เอาไว้

ขณะเดียวกัน สี่คนข้างหลังเขา ต่างก็พากันลงมือ

เซี่ยหย่งแผดเสียงอย่างโมโห ปรากฏปืนยาวในมือ พร้อมความสั่นสะเทือน พลังจิตแท้อันเย็นยะเยือกพลุ่งพล่าน ทำให้อุณหภูมิอากาศบริเวณรอบๆ ลดลงอย่างรวดเร็ว

ยังไงเซี่ยหย่งก็เป็นอัจฉริยะ ที่มีการประเมินขั้นเหลืองระดับสูงสุด จากองค์กรนักล่ายุทธ์ ผลการฝึกตนคือฝึกจิตขั้น4 เพียงพอที่จะประลองข้ามขั้นกับฝึกจิตขั้น5 แต่อีกฝ่ายกลับมี 5 คน สถานการณ์จึงไม่ได้ง่ายขนาดนั้น

แควก!

เสื้อบนตัวฉีกขาดเป็นทาง พร้อมรอยแผลสองสามรอย เซี่ยหย่งหนักใจ รีบดึงสวีเสว่ถอยหลังไปพร้อมกัน

“รังแกคนองค์กรนักล่ายุทธ์ของเรา ไร้ความสามารถใช่ไหม”

ขณะนั้น เสียงเย็นชาดังเข้ามา มีผู้ชายหนึ่งคนกับผู้หญิงคนหนึ่ง เดินมาทางนี้ บนตัวห้อยตรานักล่าอสูร

สองคนนี้ คือฉางเทียนโซว่กับหลี่น่า

ตอนที่หลัวซิวกำลังมาเมืองเทียนหวูก่อนหน้านี้ เซี่ยหย่งมาถึงนานแล้ว เคยเจอฉางเทียนโซว่กับหลี่น่า ต่อมาเมื่อหลัวซิวมาถึง เซี่ยหย่งก็ไปวิทยาลัยพระวงศ์แล้ว ทำให้ทั้งสองไม่ได้เจอกัน

การเป็นอัจฉริยะในสำนักงานใหญ่องค์กรนักล่ายุทธ์ แห่งประเทศเทียนหวู พละกำลังของฉางเทียนโซว่กับหลี่น่า แข็งแกร่งกว่าเซี่ยหย่งอยู่บ้าง

ดังนั้นเมื่อเห็นสองคนนี้ปรากฏตัว สีหน้าของช่าวชูเจิ้งฉีเปลี่ยนไป มีความหวาดกลัวเล็กน้อย

ถ้าห้ารุมสอง เขามั่นใจว่าจะกำจัดเซี่ยหย่งกับสวีเสว่ได้ แต่ถ้ามีฉางเทียนโซว่กับหลี่น่าเข้ามาเพิ่ม คนที่แพ้ต้องเป็นฝ่ายพวกเขาแน่นอน

“เซี่ยหย่ง ถ้าต้องการให้เราช่วย เอาแหวนเก็บของ ของนายกับผู้หญิงด้านหลัง มาเป็นค่าตอบแทน” ฉางเทียนโซว่พูดกับเซี่ยหย่ง

“อะไรนะ” เมื่อได้ยิน เซี่ยหย่งถึงกับหน้าเปลี่ยนสี เดิมทีเข้าใจว่าสองคนนี้จะมาช่วย คิดไม่ถึงว่าจะฉวยโอกาส

“เราล้วนเป็นคนขององค์กรนักล่ายุทธ์ นายฉวยโอกาสแบบนี้ เกินไปหน่อยหรือเปล่า” เซี่ยหย่งขมวดคิ้วพูด

“เกินไปเหรอ” ฉางเทียนโซว่แสยะยิ้มเย็นชา “คนบนโลก ล้วนเห็นแก่ผลประโยชน์ ถ้าไม่ได้ผลประโยชน์ ฉันจะช่วยนายไปทำไม”

ขณะที่พูด ฉางเทียนโซว่มองไปทางช่าวชูเจิ้งฉี “ถ้าฉันกับหลี่น่าไม่ช่วย นายสู้พวกเขาห้าคนไม่ได้หรอก”

เซี่ยหย่งสีหน้าหนักใจ เขารู้ดีว่าฉางเทียนโซว่พูดความจริง แต่สมบัติที่เขากับสวีเสว่ ต่อสู้แย่งชิงมาสุดชีวิต ถ้าต้องให้ไปทั้งหมดแบบนี้ ก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการเหมือนกัน

“เหอะๆ พอสังคมเริ่มใหญ่ขึ้น คนเราก็มีทุกรูปแบบ”

ขณะนั้น เสียงหัวเราะดังขึ้นกลางอากาศ

เซี่ยหย่ง ฉางเทียนโซว่ ช่าวชูเจิ้งฉีและคนอื่นๆ หันไปมองตามเสียง เห็นกลางอากาศมีเงาคนสองคนยืนอยู่ คนหนึ่งเป็นหนุ่มชุดคลุมยาวดำ ส่วนอีกคนเป็นผู้หญิง สวมชุดกระโปรงยาวสีขาว

ตอนที่เห็นหนุ่มชุดคลุมยาวดำ ทั้งสามหรี่ตาลง “หลัวซิว!”

จากนั้น ฉางเทียนโซว่กับหลี่น่า สังเกตผู้หญิงข้างหลัวซิว ปี้เซียนเสว่ เป็นอัจฉริยะที่อยู่ในสำนักงานใหญ่องค์กรนักล่ายุทธ์ เหมือนกันกับพวกเขา

ไม่ว่าใครก็ฟังออก สิ่งที่หลัวซิวพูดเมื่อครู่ เป็นคำประชดฉางเทียนโซว่กับหลี่น่า ที่อยู่ในองค์กรนักล่ายุทธ์เหมือนกัน

“หลัวซิว เรื่องของเราไม่เกี่ยวกับนาย” ฉางเทียนโซว่ขมวดคิ้วพูด

“เรื่องของฉันก็ไม่เกี่ยวกับนายเหมือนกัน” หลัวซิวประชดอีก

หลัวซิวไม่ได้เล่นงานฉางเทียนโซว่ แม้ตอนนั้นที่หน้าประตูวิทยาลัยพระวงศ์ ฉางเทียนโซว่กับหลี่น่า ตีตัวออกห่างเขา เพื่อป้องกันตัวเอง หลัวซิวไม่ได้ใส่ใจสักนิด

แต่สำหรับสิ่งที่สองคนนี้ ฉวยโอกาสกับคนที่อยู่ในองค์กรนักล่ายุทธ์เหมือนกัน เห็นคนจะตายต่อหน้า แต่ไม่ช่วยเหลือ นี่ทำให้หลัวซิวทนดูไม่ได้

ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีไอ้ช่าวชูเจิ้งฉี กล้าคิดอะไรกับเหยียนซีโรว่ ในเมื่อเจอกันแล้ว หลัวซิวก็ไม่อยากให้เขามีชีวิตรอดออกจากแดนปริศนา

เทพแห่งวัฏจักรชีวิตเคยพูดว่า เหยียนซีโรว่คือความหลงใหลของเขา ที่ไม่สามารถลบล้างได้หลังจากเกิดใหม่เป็นร้อยครั้ง แม้ชาตินี้ระหว่างเขากับเหยียนซีโรว่ ยังไม่ถึงขั้นสนิทสนมกัน แต่สัญชาตญาณจากส่วนลึกของจิตวิญญาณ ทำให้เขาเกิดความอาฆาต กับคนที่คิดไม่ดีกับเหยียนซีโรว่

เรื่องแบบนี้ ไม่มีใครผิดใครถูก อยู่ที่จิตใจเท่านั้น!

นักยุทธ์ฝึกร่างกายและจิตใจ

หลัวซิวมองช่าวชูเจิ้งฉี อยากพูดเหลือเกินว่า นายอยากตายยังไง

“นายจะทำอะไร” ช่าวชูเจิ้งฉีสัมผัสได้ถึงความอาฆาตจากตัวหลัวซิว สีหน้าฉายแววหวาดระแวง

ในใจของเขาเกลียดหลัวซิวมาก เหยียนซีโรว่เป็นผู้หญิงที่เขาชอบ แต่ในการต่อสู้แย่งโควต้าจำนวนคนรอบแรก กลับโดนหลัวซิวเข้ามาก่อกวนเรื่องดีๆ ของตัวเอง

แต่ตอนนี้ ขณะที่เขาจะจัดการเซี่ยหย่งกับสวีเสว่ ไอ้หมอนี่ก็เข้ามาก้าวก่ายอีก จะไม่ให้เขาโมโหได้ยังไง

“ก็แค่เห็นนายรกหูรกตาเท่านั้น” หลัวซิวยิ้ม แล้วพูดอย่างไม่ใส่ใจ

“นาย…..”

ไฟโกรธในใจช่าวชูเจิ้งฉีลุกโชน เสียงชิ้งดังขึ้น เขาชักกระบี่ออกมาถือไว้ในมือ แล้วพูดในใจว่า “ถึงหลัวซิวจะเก่งอีกสักแค่ไหน ฉันมียันต์โจมตีระดับ5สองใบ ต้องทำให้เขาตายได้แน่นอน!”

“มาชักกระบี่ต่อหน้าฉัน นายยังห่างชั้นอีกเยอะ”

หลัวซิวแสยะยิ้ม ขยับตัว ลอยไปข้างหน้า หมัดพุ่งไปยังช่าวชูเจิ้งฉี

หลังผลการฝึกตนถึงฝึกจิตขั้น7 พลังจิตแท้ของหลัวซิว ยิ่งทรงพลัง เมื่อชกหมัดนี้ออกไป ความอาฆาตอันไร้เทียมทาน แผ่ซ่านเข้ามา พลานุภาพอันแข็งแกร่งเปิดเผยออกมา

ตอนนี้แค่เขาลงมือ แข็งแกร่งกว่าการโจมตีครั้งเดียว ตอนเข้าร่วมแย่งชิงโควต้าจำนวนคน เมื่อหนึ่งปีที่แล้ว!

ห้วงยุทธ์กระบี่สังหารแผ่ซ่าน ตัวสำนึกรูปกระบี่สีดำโถมเข้ามา แทงเข้าไปในตัวหยั่งรู้ของช่าวชูเจิ้งฉี

“อ๊าก!……”

ทุกคนเห็นเพียงเงากระบี่สีดำพาดผ่านไป จากนั้นช่าวชูเจิ้งฉี เอามือกุมหัว ส่งเสียงร้องโอดครวญ

จากนั้นหมัดของหลัวซิวก็พุ่งเข้ามา ช่าวชูเจิ้งฉีไม่แม้แต่จะขัดขืน ถูกหมัดกระแทกจนกระเด็น กระอักเลือดออกจากปาก

ช่าวชูเจิ้งฉีหล่นลงบนพื้น ไกลสิบกว่าเมตร ตัวกระตุกบนพื้นสองที จากนั้นก็สิ้นลมหายใจ

วิญญาณหยั่งรู้ของเขา ถูกร่างกระบี่ที่ทัดเทียมได้กับผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ของหลัวซิวบดขยี้ จนทำให้ตัวสำนึกแตกสลาย ถึงแม้ไม่มีหมัดตามหลังมา ก็ต้องตายอยู่แล้ว

หลัวซิวยื่นมือไปคว้าแหวนเก็บของ ของช่าวชูเจิ้งฉีหล่นลงมาในมือ ในนั้นมียาวิเศษและวัตถุดิบต่างๆ ของดีๆ จำนวนไม่น้อย

แต่สิ่งที่ทำให้หลัวซิวตกใจที่สุดก็คือ ในแหวนเก็บของ ของช่าวชูเจิ้งฉี มีน้ำแร่วิญญาณอยู่หนึ่งหยด

แม้น้ำแร่วิญญาณหยดเดียวจะไม่มาก แต่แสดงให้เห็นว่า ต้องมีคนอื่นในแดนปริศนา ได้น้ำแร่วิญญาณแล้ว ไม่ว่าจะแย่งจากมือคนอื่น หรือไปหาด้วยตัวเอง น่าจะรวบรวมพอกับจำนวนกลั่นยาวิญญาณหยินหยาง

เพียงแค่พริบตา เร็วถึงขนาดที่คนรอบๆ ยังไม่ทันตั้งสติ ช่าวชูเจิ้งฉีตายไปแล้ว นี่ทำให้คนที่อยู่ในนี้ อดมีสีหน้าเหม่อลอยไม่ได้

ปรมาจารย์ฝึกจิตขั้น9 สองสามคน มองหลัวซิวอย่างไม่อยากเชื่อ ตอนเขาลงมือ พวกเขาสัมผัสได้อย่างชัดเจน ผลการฝึกตนของหลัวซิวคือฝึกจิตขั้น7 แต่ทำไมตัวสำนึกของเขา กลับรวมตัวจนกลายเป็นร่างกระบี่ได้

เงากระบี่สีดำที่ทำให้ช่าวชูเจิ้งฉีกุมหัวร้องโอดครวญ บางทีคนทั่วไปอาจไม่รู้ แต่คนที่รู้ ล้วนรู้ว่ามันหมายถึงอะไร

ตัวสำนักกลายรูป นี่เป็นวิธีที่ผู้แข็งแกร่งระดับราชายุทธ์ ถึงจะทำได้

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 255 เอกลักษณ์ของแดนปริศนา

 

หลัวซิวคิดว่าความเร็วในการฝึกตนของตนนั้นเป็นที่น่าตกตะลึงแล้ว คิดไม่ถึงว่าปี้เซียนเสว่จะก้าวหน้าได้มากกว่าเขาเสียอีก

ครุ่นคิดอยู่สักพัก หลัวซิวก็เข้าใจแล้วว่าทำไมปี้เซียนเสว่ถึงได้บรรลุสองระดับแดนเล็กได้ภายในหนึ่งเดือน

ด้านหนึ่งคือได้หลุดพ้นจากการควบคุมของราชวงศ์ตระกูลฝาน ทำให้สภาวะจิตใจของนางผ่อนคลาย ไม่ต้องคอยหวาดระแวงอย่างเมื่อก่อน และความแตกต่างของสภาวะจิตใจเช่นนี้ มีผลกระทบต่อการฝึกตนไม่น้อย

ส่วนอีกด้านหนึ่งนั้น นั่นก็เป็นเพราะร่างแห่งเสวียนหยินของปี้เซียนเสว่ และได้ซึมซับพลังหยินสุดขั้วจากหินหยินเพื่อฝึกตน ประสิทธิภาพเพิ่มเป็นสองเท่า บวกกับที่นางฝึกพลังจิตแท้เป็นหลัก ไม่ได้ฝึกวรยุทธ์กลั่นร่างและกลั่นวิญญาณเพิ่มเติม เป็นธรรมดาที่ผลการฝึกตนจะรุดหน้าอย่างรวดเร็ว

ไม่ต้องพูดถึงว่าผลการฝึกตนได้เพิ่มขึ้นมากเพียงใด บนความแข็งแกร่งโดยรวม ในระยะเวลาหนึ่งเดือน หลัวซิวนั้นได้เพิ่มขึ้นกว่านางอีกมาก

ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง ปี้เซียนเสว่ก็ได้ตื่นขึ้นมาจากการฝึกตน ในตอนที่ลืมตาขึ้นมา ได้เห็นหลัวซิวกำลังเดินออกมาจากถ้ำด้านในพอดี

ผลการฝึกตนบรรลุติดต่อกันสองระดับแดนเล็ก ทำให้ปี้เซียนเสว่ทั้งตกในทั้งดีใจ ในขณะเดียวกันนั้นก็ยิ่งรู้สึกขอบคุณหลัวซิวอย่างมาก เพราะนางทราบดีว่า ถ้าหากไม่มีหลัวซิว อย่าว่าแต่ผลการฝึกตนบรรลุเลย โชคชะตาจะต้องอนาถถึงเพียงใด ไม่อาจจะจินตนาการได้จริง ๆ

นางอยากจะเอ่ยคำขอบคุณกับหลัวซิว แต่หลายวันมานี้ แค่คำของคุณนั้นก็ได้กล่าวออกไปหลายครั้งแล้ว ถ้าหากพูดมากจนเกินไป กลับจะทำให้คุณค่าและความสำคัญของการขอบคุณในบุญคุณนี้ลดลง

ดังนั้นปี้เซียนเสว่จึงได้ลุกขึ้นมา และแสดงความเคารพต่อหลัวซิวอย่างจริงใจ และสัญญากับตัวเองว่า ไม่ว่าตนจะสามารถทะลวงพันธนาการกักขังจากวิชาสยบวิญญาณได้หรือไม่ นางก็จะใช้ชีวิตของตนมาตอบแทนบุญคุณนี้ของหลัวซิว ต่อให้ต้องตาย ก็จะไม่ลังเล

หลัวซิวไม่รู้ว่าในใจของปี้เซียนเสว่กำลังคิดอะไรอยู่ สำหรับเขาแล้ว ช่วยปี้เซียนเสว่เอาไว้เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย ยิ่งไปกว่านั้นถ้าไม่ใช่เพราะปี้เซียนเสว่ได้บอกเรื่องวิชาสยบวิญญาณกับเขา เขาคงไม่รู้ถึงความน่ารังเกียจและความต่ำช้าของราชวงศ์ตระกูลฝาน

“ฮ่า ๆ ข้าท่านชายหลงก็ได้ฟื้นฟูถึงแดนผู้ฝึกจิตแล้ว! คราบใดที่ฟื้นฟูถึงระดับราชายุทธ์ จากนั้นก็ระดับจักรพรรดิยุทธ์ ข้าท่านชายหลงก็จะสามารถหลุดพ้นจากการควบคุมของวิชาสยบวิญญาณได้แล้ว และเล่นงานเจ้าเสีย!

หลงหมิงได้กลืนกินยาที่หลัวซิวมอบให้จนหมด แต่ก็ยังคงรู้สึกไม่เต็มที่ แต่ผลการฝึกตนพลันฟื้นฟูมามากขนาดนี้ มันก็ค่อนข้างดีอกดีใจ

อันที่จริงในตอนที่หลัวซิวให้ยากับมัน ก็ได้คำนวณดูก่อนแล้วว่ายาเหล่านั้นสามารถทำให้มันฟื้นฟูพลังมาถึงแดนฝึกตนขั้น 4 มากสุดไม่สูงไปกว่าแดนฝึกตนขั้น 6

“เซียนเสว่ เจ้ารู้จักแดนปริศนาดีแค่ไหน?” หลัวซิวเอ่ยถาม

ก่อนหน้านี้ปี้เซียนเสว่ได้ถูกราชวงศ์ตระกูลฝานลงวิชาสยบวิญญาณควบคุม แดนปริศนาแห่งนี้อยู่ในเงื้อมมือของราชวงศ์ตระกูลฝานเป็นเวลานับพันปี น่าจะรู้รายละเอียดยิ่งกว่า

“ราชวงศ์ตระกูลฝานเองก็รู้เรื่องเกี่ยวกับแดนปริศนาไม่มากนัก เพราะสถานที่ที่ถูกส่งเข้ามาในแต่ละครั้งนั้นไม่เหมือนกัน ต่อให้มีคนได้วาดแผนที่ แล้วนำออกไปก็ไม่มีที่ใดเหมือนกับเมื่อก่อนเลย”

ปี้เซียนเสว่ส่ายหน้า กล่าว: “แต่ว่าแดนปริศนามีเอกลักษณ์อยู่อย่างหนึ่ง ก็คือยิ่งเดินลึกเข้าไป อัตราในการพบเจอสมบัติและโอกาสก็ยิ่งมากขึ้น และมีมูลค่าสูงกว่า”

ในส่วนลึกของแดนปริศนา ในเทือกเขาสีดำที่ทอดยาวออกไปหลายร้อยลี้ นักยุทธ์ห้าสิบกว่าคนรวมตัวกันอยู่ที่นี่

ในบรรดานักยุทธ์เหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นชายหนุ่มและหญิงสาววัยรุ่น ผู้ที่มีผลการฝึกตนในแดนฝึกจิตนั้นเจ็ดขึ้นไปนั้นมีน้อยมาก ต่างเป็นยอดฝีมือรุ่นเก่าที่กองกำลังต่าง ๆ ส่งเข้ามา

แดนปริศนาได้เปิดมาหนึ่งเดือนกว่าแล้ว เกือบทุกคนต่างเดินสำรวจจากบริเวณรอบนอกและมุ่งหน้าเข้าสู่ส่วนลึกของแดนปริศนา

และในเวลานี้ เกือบทุกคนต่างมารวมกันอยู่ที่นี่ นั่นก็เป็นเพราะได้ปรากฏม่านค่ายกลขึ้นที่ด้านหน้าอยู่หลายแห่ง

ม่านค่ายกลแต่ละสายนั้น ล้วนเป็นเหมือนดั่งถ้วยใบใหญ่ที่ถูกคว่ำลง ปิดกั้นพื้นที่ในระยะหลายร้อยเมตร มองผ่านการปิดก้นของม่านค่ายกล สามารถมองเห็นข้างในได้อย่างเลือนราง

ในบางค่ายกล เป็นสวนยาแห่งหนึ่ง มียาวิเศษนานาชนิดเกิดอยู่ในนั้น ในบางค่ายกลนั้นมีหินหยินกองอยู่จำนวนมาก และในบางค่ายกลก็มีอาวุธยุทธ์ หรือวัตถุดิบวางอยู่

อย่างไรก็ตาม ค่ายกลทุกค่ายที่ปรากฏขึ้นในที่แห่งนี้ ข้างในล้วนมีของวิเศษอยู่

“มีคนอยู่แค่นี้เองหรือ?”

ถาวโจว่จวิ้นนายน้อยตำหนักจื่อกวาดสายตาไปทั่วบริเวณ ที่มุมปากแฝงไปด้วยความเย้ยหยัน “ราชวงศ์ตระกูลฝานควบคุมการเปิดของแดนปริศนา แต่กลับไม่มีใครมาสักคน หรือว่าจะตายกันหมดแล้ว?”

“คงเป็นไปไม่ได้มั้ง ครั้งนี้ราชวงศ์ตระกูลฝานได้ส่งผู้ฝึกจิตขั้น 9 มาสองคน บวกกับพวกไพ่ใบสำคัญที่ซ่อนเอาไว้ คงจะไม่ตายกันไปจนหมดหรอก” ที่ด้านหลังของถาวโจว่จวิ้น ผู้อาวุโสเคราขาวผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นมาเสียงเข้ม

“ท่านต้วนมีความมั่นใจว่าจะทำลายค่ายกลเหล่านี้ได้หรือไม่?” ถาวโจว่จวิ้นหันหน้ามองไปทางอาวุโสเคราขาวผู้นี้

“เมื่อสักครู่ข้าได้ดูแล้ว ค่ายกลที่อยู่ที่นี่ล้วนเป็นค่ายกลขั้นห้า และยังได้ใช้วิธีการตั้งค่ายกลแบบโบราณ แม้ว่าข้าจะมีความรู้ระดับปรมาจารย์นักค่ายกลระดับ 5 คิดจะทำลายก็ไม่ใช่เรื่องง่าย” ท่านต้วนส่ายหน้ากล่าว

“ครืน! ครืน! ครืน!……”

ในตอนนี้เอง เสียงกระหึ่มได้ดังลอยมาติดต่อกัน เหล่านักยุทธ์ที่มาจากแต่ละกองกำลังบางจำนวนร่วมมือกันเริ่มจู่โจมม่านค่ายกล

แม้ว่าค่ายกลจะดับ 5 นี้จะใช้วิธีตั้งค่ายกลแบบโบราณ แต่ภายใต้การร่วมมือโจมตีของปรมาจารย์ฝึกจิตสิบกว่าคน ก็ต้านรับเอาไว้ได้ไม่นานและถูกทำลายลง ในวินาทีที่ม่านค่ายกลถูกทำลายนั่นเอง ทุกคนต่างได้กระโจนเข้าไป และแย่งชิงสมบัติที่อยู่ด้านในอย่างบ้าคลั่ง

ด้านในค่ายกลที่ถูกทำลายแห่งนี้ คือสวนยาแห่งหนึ่ง ยาวิเศษระดับต่ำสุดที่อยู่ด้านในก็เป็นยาทิพย์ระดับ 4 แล้ว และยังมียาทิพย์ระดับ 5 อยู่อีกมากมาย รวมทั้งยาทิพย์ระดับ 6 ที่มีไม่มากนัก

หญิงสาวงามเฉิดฉายในชุดสีขาวนางหนึ่ง แย่งชิงยาทิพย์ระดับ 6 ต้นหนึ่งมาได้ในความโกลหล จากนั้นก็รีบเก็บเข้าไปในแหวนเก็บของทันที บนหน้ามีท่าทางปีติยินดีขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้

“สวีเสว่ มอบสิ่งที่เจ้าเก็บเข้าไปออกมาเสีย” เสียงตวาดดังลอยมา ชายหนุ่มในชุดสีเขียวได้ตวาดขึ้น

“ช่าวชูเจิ้งฉี เจ้าหมายความเช่นไร?” ชายหนุ่มในชุดขาวผู้หนึ่งเดินเข้ามายืนอยู่ที่ด้านหน้าของสวีเสว่และปกป้องนางเอาไส้ที่ด้านหลัง เผชิญหน้ากับช่าวชูเจิ้งฉี

“ความหมายของข้าชัดเจนยิ่งนัก เซี่ยหย่งหากเจ้ารักดี ก็ให้นางมอบสิ่งของออกมาซะ” ช่าวชูเจิ้งฉีตวาดอย่างไม่สบอารมณ์

สิบสามเขตการปกครองมีรายชื่อทั้งหมดสิบสิทธิ์ ตัดหลัวซิวออกไป ยังมีคนอื่น ๆ อีกเก้าคน และมีเจ็ดคนที่ได้มาอยู่ที่นี่

เซี่ยหย่งและสวีเสว่อยู่ร่วมกัน ส่วนคนอื่น ๆ อีกห้าคนนั้นคอยติดตามช่าวชูเจิ้งฉี กลายเป็นกลุ่มเล็ก ๆ

ในสิบสามเขตการปกครอง สำนักชิงเทียนเจี้ยนเป็นสำนักอันดับหนึ่ง ช่าวชูเจิ้งฉีเป็นอัจฉริยะมากปรีชาสามารถของสำนักชิงเทียนเจี้ยน ดังนั้นถึงได้มีพลังดึงดูดเช่นนนี้

“ไม่มอบออกมาแล้วยังไง?” สวีเสว่ยิ้มเยาะ

“เช่นนั้นก็ไปตายซะ!”

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 254 แดนฝึกจิตขั้น 6

 

สำหรับคนรอบข้างของตนเอง หลัวซิวไม่เคยที่จะตระหนี่ถี่เหนียว

“ขอบคุณเจ้ามาก หลัวซิว” ปี้เซียนเสว่รู้สึกตื้นตันใจเป็นอย่างมาก

จากนั้นหลัวซิวก็ได้เอาพวกยาวิเศษที่ใช้ในการเพิ่มระดับผลการฝึกตนออกมาจากแหวนเก็บของ และวางลงไปอีกด้าน แล้วใช้ตัวสำนึกพูดกับหลงหมิง: “พวกนี้ล้วนเป็นของเจ้า รีบบรรลุถึงแดนฝึกจิต”

ปี้เซียนเสว่ไม่รู้ถึงการมีตัวตนของหลงหมิง หลัวซิวเองก็ไม่ได้บอกกับนาง นับว่าเป็นไพ่ใบสำคัญที่เขาซ่อนเอาไว้ไม่ให้ผู้ใดรับรู้

“ฮ่า ๆ ข้าท่านชายหลงเมื่อก่อนเทียบได้กับผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ของตระกูลหลงเชียวนะ ขอแค่ให้ทรัพยากรที่เพียงพอกับข้า อย่าว่าแต่แดนฝึกจิตเลย แม้แต่ผลการฝึกตนในตอนที่ถึงจุดสูงสุดก็สามารถฟื้นฟูได้”

ทรัพยากรที่ใช้ในการฝึกตนก็มีส่วนของตัวเองด้วย นี่ทำให้หลงหมิงดีอกดีใจเป็นอย่างมาก มันแทบจะทนรอไม่ไหวแล้ว

ที่หลัวซิวเอาให้หลงหมิงนั้นล้วนเป็นยาวิเศษขั้นสี่ จอมยุทธ์พรสวรรค์โดยทั่วไปไม่สามารถกลั่นแปรได้ แต่มังกรไร้ร่างเป็นเผ่าพันธุ์มังกรโบราณ เลยไม่ต้องกังวลว่าร่างจะแตกตาย

“บอกทุกอย่างที่เจ้ารู้เกี่ยวกับเคล็ดวิชาสยบวิญญาณออกมา” หลัวซิวกล่าว

ได้ยินดังนั้น ท่าทางดีอกดีใจบนใบหน้าของหลงหมิงก็หายไปทันที ต่อให้มันใช้เท้าคิดก็รู้ว่าหลัวซิวคิดจะทำอะไร

“ข้าไม่รู้จักเคล็ดวิชาสยบวิญญาณ” ศีรษะของมันส่ายเหมือนดั่งกลองป๋องแป๋ง

“ไม่ต้องมาแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เจ้ามีแม้กระทั่งเคล็ดวิชาแย่งชิงอำนาจในการควบคุมวิชาสยบวิญญาณ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าไม่มีเคล็ดวิชาสยบวิญญาณ” ในน้ำเสียงของหลัวซิวแฝงไปด้วยความเย็นยะเยือกอยู่เล็กน้อย

เมื่อนึกถึงประสบการณ์ความเจ็บปวดในตอนที่ตนได้ถูกเปลวไปสีดำแผดเผาในเมื่อก่อนหน้านี้ หลงหมิงแทบอยากจะแตกหักและสู่อย่างสุดชีวิตกับเจ้าหนุ่มคนนี้

แต่มันก็เสียดายชีวิตของตัวเอง หลังจากที่รอดชีวิตมาได้จากการใช้เคล็ดวิชาทำลายกฎของธรรมชาติพรากชีวี มันก็รักตัวกลัวตายกว่าเมื่อก่อนมาก

สุดท้าย มันก็บอกเกี่ยวกับเคล็ดวิชาสยบวิญญาณออกมาอย่างว่าง่าย แต่ที่บอกกับหลัวซิวนั้นเป็นเพียงวิชาสยบวิญญาณระดับล่าง รอตัวเองบรรลุถึงขั้นจักรพรรดิยุทธ์ ก็จะสามารถหลุดพ้นจากการควบคุมได้

สำหรับจุดนี้แม้ว่าหลัวซิวจะทราบดี แต่ก็ไม่ได้เปิดโปง เพราะสำหรับในตอนนี้ วิชาสยบวิญญาณระดับล่างก็เพียงพอแล้ว

อย่างน้อยก่อนที่มังกรไร้ร่างตนนี้จะบรรลุถึงขั้นจักรพรรดิยุทธ์ ก็ไม่ต้องกังวลว่ามันจะหลุดพ้นจากการควบคุมของวิชาสยบวิญญาณ

สำหรับอำนาจในการควบคุมวิชาสยบวิญญาณ ผู้ที่ถูกลงวิชาสยบวิญญาณ จะไม่สามารถแย่งชิงอำนาจในการควบคุมวิชาสยบวิญญาณของตนไปได้

พื้นที่ในถ้ำกว้างขวางพอสมควร หลัวซิวและมังกรไร้ร่างฝึกตนอยู่ในส่วนลึก ส่วนปี้เซียวเสว่นั้นอยู่ใกล้ ๆ ปากถ้ำ

นำหินหยินจำนวนมากออกมาและวางกองไว้ที่ด้านข้าง หลัวซิวเริ่มเข้าสู่สภาวะฝึกตน

ภายในสมองของเขา ผังกฎความเป็นตายดั้งเดิมภาพที่สองได้ปรากฏขึ้น และเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงมากมายสองระดับความเป็นตายที่อยู่ในนั้น

ในจุดตันเถียนชี่ไห่ วงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพหมุนวน กลั่นแปรพลังหยินสุดขั้วที่แฝงอยู่ในหินหยิน พลังจิตแท้จับตัวกันเป็นร่างมังกรหลายสายอยู่ภายในชี่ไห่

การฝึกตนของหลัวซิว วรยุทธ์ใช้วงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพเป็นตัวนำ วิชาพลังมังกรแท้แทนที่จะบอกว่าเป็นวรยุทธ์ สู้บอกว่าเป็นเคล็ดวิชาการต่อสู้อย่างหนึ่งจะดีกว่า ไม่ได้มีความขัดแย้งใด ๆ กับวรยุทธ์วงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพที่เกิดจากความเป็นตายดั้งเดิมเลยแม้แต่น้อย

ปราณหยินที่อยู่ในหินหยินถาโถมออกมาอยู่ไม่หยุด เกิดเป็นกระแสน้ำวนขึ้นที่บริเวณผิวหนังภายนอกร่างกายของหลัวซิว ผลการฝึกตนรุดหน้าขึ้นมาไปอย่างรวดเร็ว

สิบวันหลัวจากนั้น หลัวซิวบรรลุถึงแดนฝึกจิตขั้น 6 ช่วงกลาง สิบห้าวันหลัวจากนั้น บรรลุถึงแดนฝึกจิตขั้น 6 ช่วงหลัง ยี่สิบวันหลัวจากนั้น บรรลุถึงแดนฝึกจิตขั้น 6 ขั้นสูง!

สุดท้าย ฝึกตนปิดขังอยู่ในถ้ำเป็นเวลาหนึ่งเดือน ผลการฝึกตนของหลัวซิวทะลวงถึงแดนฝึกจิตขั้น 7 บรรลุถึงแดนฝึกจิตช่วงปลาย!

วินาทีที่ผลการฝึกตนของหลัวซิวบรรลุนั้น ในตัวหยั่งรู้ห้วงความคิดของเขา ตัวสำนึกของควบแน่นอยู่ไม่หยุด กลายเป็นรูปกระบี่สีดำ

กระบี่สีดำเล็ก ๆ ลอยอยู่เหนือลูกแก้วความเป็นตาย

กระบี่สีดำเล็ก ๆ เล่มนี้ ได้รวมห้วงยุทธ์กระบี่สังหารและห้วงยุทธ์มรณะเอาไว้ ตัวสำนึกจับตัวกันเป็นรูปร่าง แสดงถึงระดับตัวสำนึกของเขา ได้บรรลุถึงแดนราชายุทธ์!

ถ้าหากสามารถรวมพลังจิตแท้ควบแน่นให้กลายเป็นรูปยา ในจุดตันเถียนชี่ไห่ได้ ก็จะสามารถก้าวเข้าสู่แดนราชายุทธ์อย่างเป็นทางการ

นอกจากนี้ แดนร่างเนื้อก็บรรลุถึงขีดจำกัดร่างยุทธ์สูงสุด ความแข็งแกร่งโดยรวมเพิ่มขึ้นหลายเท่า

หลัวซิวลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ สัมผัสถึงพลังที่แข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อนหลายเท่าที่พลุ่งพล่านอยู่ในร่างกาย ในขณะที่ดีใจ ก็แอบทอดถอนใจ

ที่ดีใจก็เป็นเพราะไม่เพียงผลการฝึกตนบรรลุถึงแดนผู้ฝึกจิตขั้น 7 ตัวสำนึกยิ่งได้ก้าวเข้าสู่ระดับราชายุทธ์ ร่างเนื้อก็บรรลุถึงขีดจำกัดร่างยุทธ์สูงสุด ที่ทอดถอนใจก็คือหินหยินมากมายขนาดนี้ เพียงแค่ทำให้ผลการฝึกตนของเขาก้าวขึ้นมาแค่ระดับเล็ก ๆ ฝึกฝนจิตวิญญาณ ร่างเนื้อ และพลังจิตแท้ในเวลาเดียวกัน ต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมากจริง ๆ

ในหมู่นักยุทธ์ มีน้อยมากที่จะฝึกฝนจิตวิญญาณ ร่างเนื้อ และพลังจิตแท้ในเวลาเดียวกัน นั่นเป็นเพราะมีข้อเรียกร้องต่อทรัพยากรที่มากเกินไปจริง ๆ แถมยังต้องใช้เวลาเป็นอย่างมาก ต่อให้มีทรัพยากรที่เพียงพอ ถ้าหากไม่มีพรสวรรค์ที่เหนือมนุษย์ ก็ยากที่จะประสบผลสำเร็จได้ในช่วงที่มีลมหายใจอยู่

ดังนั้น นักยุทธ์ส่วนมากจึงเลือกที่จะฝึกตนเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง และนักยุทธ์ที่ที่ฝึกพลังจิตแท้เป็นหลักนั้นมีมากสุด นักยุทธ์กลั่นร่างรองลงมา นักยุทธ์กลั่นวิญญาณมีน้อยที่สุด

ในบรรดานักยุทธ์ทั้งสามประเภทที่แตกต่างกัน นักยุทธ์กลั่นวิญญาณมีความชำนาญด้านการโจมตีวิญญาณซึ่งทำให้คนปวดหัวที่สุด ความสามารถยากที่จะจัดการ นักยุทธ์กลั่นร่างมีร่างเนื้อที่แข็งแกร่ง อาวุธยุทธ์ยากที่จะทำอันตรายได้ ส่วนนักยุทธ์ที่ฝึกพลังจิตแท้เป็นหลักความสามารถค่อนข้างสมดุล ไม่มีอะไรโดดเด่น

“แม้ว่าต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมาก แต่ระยะเวลาในการฝึกตนของข้าก็ไม่นับว่าช้า ที่สำคัญก็คือได้ฝึกฝนกลั่นร่าง กลั่นวิญญาณ และกลั่นจิตในเวลาเดียวกัน รากฐานของข้าแข็งแกร่งกว่านักยุทธ์ระดับเดียวกันมาก ในอนาคตก็มีกำลังแฝงมากมายที่สามารถดึงใช้ได้”

หลัวซิวยืนขึ้น ใช้นิ้วแทนกระบี่ ตวัดอยู่ในอากาศหลายครั้ง สิ่งที่ได้เรียนรู้มาในระยะเวลาหนึ่งเดือนต่างปรากฏขึ้นมาในสมอง

นักยุทธ์ หลังจากที่ได้ทำความเข้าใจห้วงกระบี่จนบรรลุวิถีกระบี่ ก็จะก้าวออกมาจากขอบเขตของวิชายุทธ์โดยทั่วไป หลัวซิวอาศัยห้วงยุทธ์ทั้งสองที่ตนได้ทำความเข้าใจ และคิดค้นวิชายุทธ์ออกมาได้สองกระบวนท่า

กระบวนท่าที่หนึ่ง นั่นก็คือกระบี่สังหารที่คิดค้นขึ้นโดยใช้ห้วงยุทธ์กระบี่สังหารเป็นที่ตั้ง

ส่วนกระบวนท่าที่สองนั้นก็คือกระบี่คร่าชีวีหวงเสวียนคิดค้นขึ้นโดยใช้ห้วงยุทธ์มรณะเป็นที่ตั้ง ความหมายก็คือหนึ่งกระบี่แทงออกไป ก็สามารถปลิดชีวิตของอีกฝ่ายได้ทันที ส่งศัตรูสู่แดนปรโลก

ทั้งสองกระบวนท่านี้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นคิดค้น ยังไม่สมบูรณ์แบบ แต่ก็ยังมีกำลังแฝงอีกมากมายที่สามารถพัฒนาได้ จากการที่ระดับที่บรรลุถึงของตนสุงขึ้น ก็จะเข้าใกล้ความสมบูรณ์แบบมากขึ้นเรื่อย ๆ

จัดระเบียบสิ่งที่ได้รับจากการฝึกตนปิดขัง หลัวซิวกระจายตัวสำนึกออกไป และสังเกตเห็นหลงหมิงที่ฝึกตนอยู่ห่างออกไปไม่ไกลจากตัวเองนักเป็นอันดับแรก

ภายในหนึ่งเดือนมังกรไร้ร่างตัวนี้ได้กลืนกินยาระดับ 4 เข้าไปมากมาย ทั่วร่างเต็มไปด้วยรัศมีพลังของผู้ฝึกจิตขั้น 4 แผ่ซ่านออกมา การเพิ่มระดับที่รวดเร็วเช่นนี้พูดได้ว่าเป็นที่น่าตกตะลึงยิ่งนัก

แต่หลัวซิวไม่ได้รู้สึกประหลาดใจเลยสักนิด ถึงอย่างไรมังกรไร้ร่างตัวนี้ในสมัยโบราณก็มีตัวตนทัดเทียมกับมหาจักรพรรดิยุทธ์ อย่างน้อยก่อนที่ผลการฝึกตนของมันฟื้นฟูถึงระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ เหมือนจะไม่มีสิ่งที่เรียกว่าผลการฝึกตนติดอยู่ที่คอขวด

จากนั้นตัวสำนึกของหลัวซิวก็เพ่งไปที่ปี้เซียนเสว่ที่ฝึกตนอยู่ใกล้กับปากถ้ำ ความประหลาดใจปรากฏขึ้นมาในดวงตา

“แดนฝึกจิตขั้น 6?” หลัวซิวเบิกตาโพลง เกือบจะคิดว่าตนได้มองผิดไป เพราะเมื่อหนึ่งเดือนก่อน ปี้เซียนเสว่ยังอยู่แดนฝึกจิตขั้น 4 อยู่ชัด ๆ นี่บรรลุสองระดับแดนเล็กเลยหรือนี่

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 253 ให้แหวนเก็บของ

 

“เจ้าสารเลวหลัวซิวไม่ให้ทรัพยากรที่ใช้ในการฝึกตนกับข้า งั้นข้าก็ทำได้เพียงไปแย่งมาแล้ว!” คิดมาถึงตรงนี้ หลงหมิงก็ขยับใกล้เข้าไปหาฝานโหยว่หลี่

“ใครน่ะ?”

ฝานโหยว่หลี่พลันตกตะลึง กวาดสายตามองไปรอบ ๆ ปล่อยตัวสำนึกออกไปตรวจสอบ ชั่ววินาทีในเมื่อสักครู่นั่นเอง เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังอันตรายบางอย่าง

ถึงยังไงเขาก็มีผลการฝึกตนในแดนฝึกจิตขั้น 6 ส่วนหลงหมิงนั้นแค่อยู่ในระดับแดนพรสวรรค์เท่านั้นเอง พรสวรรค์ในการควบคุมปริภูมิอยู่ห่างหน่อยก็จะไม่สามารถถูกสัมผัสได้ ถ้าหากเข้าใกล้เกินไป ก็จะถูกพบเข้า

ยิ่งไปกว่านั้น ลงมือโดยอาศัยความสามารถในระดับพรสวรรค์ของเขา ฝานโหยว่หลี่ก็สามารถตอบสนองได้ ไม่แน่อาจจะกลับกลายเป็นฝ่ายถูกควบคุมก็ได้

ความแตกต่างระหว่างแดนพรสวรรค์กับแดนฝึกจิตขั้น 6 นั้นห่างไกลกันมาก ต่อให้มังกรไร้ร่างมีพรสวรรค์ที่ร้ายกาจเพียงใด ก็ไม่มีทางที่จะฆ่าศัตรูข้ามขั้นได้

“สารเลวเอ๊ย ตื่นตัวจริง ๆ” หลงหมิงถอยหลังอย่างรวดเร็ว อาศัยร่างเล็ก ๆ ระดับพรสวรรค์ของเขาในตอนนี้ อีกฝ่ายแค่โจมตี เกรงว่าตนคงต้องตายห่างชี้ฟ้าอย่างแน่นอน

ฝานโหยว่หลี่ระแวดระวังบริเวณรอบ ๆ อย่างตื่นตัว เขาไม่ได้สงสัยเลยว่าการรับรู้ของตนในเมื่อสักครู่นั้นผิดไปหรือเปล่า เพราะเมื่อผลการฝึกตนในโลกยุทธ์มาถึงจุดที่แน่นอน สำหรับอันตรายนั้นจะมีปฏิกิริยาตอบสนองโดยสัญชาตญาณ

“หลัวซิว!”

ในตอนนี้เอง สีหน้าของฝานโหยว่หลี่ก็เปลี่ยนไป มองเห็นในกลางอากาศที่ห่างออกไปไม่ไกลนัก เงาร่างมนุษย์ในชุดสีดำกำลังลอยเข้ามาอยู่รวดเร็ว

“ข้าสลัดหลุดจากมันแล้วไม่ใช่หรือ มันตามมาได้อย่างไรกัน?”

ฝานโหยว่หลี่ไม่มีเวลาจะไปคิดอย่างอื่น เขารีบลอยตัวขั้นมาทันที และขยี้ยันต์วาตะระดับ 5 อีกชิ้น

หลัวซิวเห็นแบบนี้ ก็แทบจะหลุดปากด่าออกมา ยันต์ระดับ 5 เป็นผักกาดขาดหรืออย่างไร คิดไม่ถึงว่าหมอนี่ยังมีอยู่อีก

ยันต์เป็นของวิเศษที่นักค่ายกลทำขึ้นมา ปรมาจารย์นักค่ายกลขั้น 5 ทำยันต์ระดับ 5 ขึ้นมา ไม่เพียงแค่ต้องใช้หยกล้ำค่าเป็นวัตถุดิบเท่านั้น และอัตราความสำเร็จก็ต่ำมาก ดังนั้นยันต์ ถึงได้ค่อนข้างจะล้ำค่า เป็นไพ่ใบสุดท้ายที่นักยุทธ์ระดับล่างใช้เพื่อเอาชีวิตรอด

ราชวงศ์ตระกูลฝานมีปรมาจารย์นักค่ายกลขั้น 6 อัตราความสำเร็จในการทำยันต์ระดับ 5ก็ไม่ได้สูงอะไรมากนัก หลัวซิวคิดว่าฝานโหยว่หลี่คงไม่มียันต์ระดับ 5 ไปมากกว่านี้อยู่อีกแล้ว

“ยันต์วาตะระดับ 5 สองชิ้น ยันต์โจมตีหนึ่งชิ้น ในมือของเขาน่าจะยังมียันต์ป้องกันอยู่อีกหนึ่งชิ้น” หลัวซิวพูดในใจ

แม้ว่าเขาอาจจะคาดเดาไม่ถูกต้อง แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก ต่อให้ฝานโหยว่หลี่ยังมียันต์โจมตีระดับ 5 มีพลังการโจมตีทัดเทียมราชายุทธ์โดยทั่วไป หลัวซิวเชื่อว่าตัวเองก็สามารถรับมือได้

ผ่านไปอีกสักครู่ พลังของยันต์วาตะถูกใช้จนหมด ประสิทธิภาพหมดไป ฝานโหยว่หลี่ไม่กล้าที่จะหยุดอยู่กับที่ เขายังคงบินหนีต่อไป ในขณะเดียวกันนั้นก็ได้หยิบเอายาวิเศษออกมาเพื่อฟื้นฟูพลังจิตแท้ที่ได้ใช้ไป

ไม่พูดไม่ได้ว่า องค์ชายของตระกูลฝานนั้นมีฐานะกำลังทรัพย์ที่อุดมสมบูรณ์ไม่น้อย หลัวซิวไล่ตามอยู่ครึ่งค่อนวัน พลังจิตของตนได้ถูกใช้ไปกว่าครึ่งแล้ว ยังตามอีกฝ่ายไม่ทันอีก

“ดูเหมือนว่าต้องเพิ่งระดับความสามารถให้กับหลงหมิงหน่อยแล้ว ถ้าหากมันมีพลังในระดับผู้ฝึกจิต เพียงแค่ขัดขวางอีกฝ่ายเอาไว้สักหน่อย ตนก็จะสามารถตามทันแล้ว” หลัวซิวคิดในใจ

เพราะจากที่ผลการฝึกตนและพลังของเขาได้เพิ่มขึ้น ถ้าหากพลังของหลงหมิงตามไม่ทัน ก็จะไม่สามารถช่วยอะไรตนได้

มังกรไร้ร่างที่มีพลังควบคุมปริภูมิมาตั้งแต่เกิด ศักยภาพสูง ไม่เลี้ยงดูปลูกฝังดี ๆ เช่นนั้นก็น่าเสียดายจริง ๆ

ระหว่างทางที่ตามสังหารฝานโหยว่หลี่ มีบางครั้งที่ได้พบกับนักยุทธ์คนอื่น ๆ ฝานโหยว่หลี่ขอความช่วยเหลือ ก็มีผู้คนไม่น้อยที่ยอมช่วย

เพราะเหตุนี้ ก็เลยมีปรมาจารย์ยุทธ์อีกสิบกว่าคนที่ได้ตายภายใต้เงื้อมมือของหลัวซิว และมอบแหวนเก็บของของตนออกมา

โดยละเอียดแล้ว แค่ปรมาจารย์ฝึกจิตที่หลัวซิวได้สังหารหลังจากเข้ามา ก็เกือบจะสามสิบคนแล้ว บวกกับพวกคนที่ได้ตายไปในสถานการณ์อื่น ผู้คนร้อยสามสิบกว่าคนที่ได้เข้ามาในแดนปริศนาในครั้งนี้ ได้สูญเสียไปเกือบครึ่งแล้ว

และแดนปริศนาพึ่งจะเปิดได้ไม่ถึงสิบวัน ทุกคนยังต้องอยู่ที่นี่อีกเก้าสิบวัน!

หลังจากที่ผ่านไปครบร้อยวัน คนที่สามารถมีชีวิตรอดออกไปได้และมีการเก็บเกี่ยวที่อุดมสมบูรณ์นั้น ยังต้องลดลงอีก

สุดท้าย หลัวซิวไม่ลังเลที่จะเผาผลาญพลังจิตแท้เพื่อเพิ่มความเร็ว ในกลางอากาศบนแม่น้ำอันเย็นยะเยือกสายหนึ่ง ในที่สุดหลัวซิวก็ตามฝานโหยว่หลี่มาได้ทัน

“ไปตายซะ!”

ฝานโหยว่หลี่เห็นหลัวซิวตามมาทัน ใบหน้าซีดเซียวปรากฏความโหดเหี้ยมขึ้นมา ยกมือแล้วโยนยันต์ชิ้นหนึ่งออกไป พลังอันน่าสะพรึงกลัวได้ทะลักออกมา

ตูมมม!

ยันต์หยกแตกกระจาย กลายเป็นลำแสงบุกโจมตีเข้ามา นี่เป็นพลังโจมตีที่เทียบเท่ากับราชายุทธ์โดยทั่วไป

หลัวซิวฟันกระบี่ออกไป รัศมีพลังอันแข็งซัดกระหน่ำเข้ามา ทำให้เขาลอยกลับออกไปอวัยวะภายในสั่นสะเทือน เลือดไหลออกจากมุมปาก

“ยันต์โจมตีระดับ 5 ก็แค่นี้เอง” เขาแสยะยิ้มออกมา แต่รอยยิ้มนี้เมื่อตกอยู่ในสายตาของฝานโหยว่หลี่ เป็นเหมือนดั่งปีศาจร้าย

“เจ้า…..” ฝานโหยว่หลี่เบิกตาโพลง ยันต์โจมตีระดับ 5 เพียงพอที่จะทำให้ปรมาจารย์ฝึกจิตขั้น 9 ได้รับบาดเจ็บหนัก แต่เจ้านี้กลับแค่บาดเจ็บเล็กน้อย

หลังจากที่ได้ใช้ยันต์โจมตีระดับ 5 ชิ้นสุดท้ายออกมา พลังจิตที่เดิมทีก็เหลืออยู่ไม่มากของฝานโหยว่หลี่ถูกใช้จนหมดสิ้น สีหน้าซีดเซียวยิ่งขึ้น ไม่มีสีเลือดอยู่เลยสักนิดเดียว

หลิงหมิงที่ซ่อนตัวอยู่ด้านข้างได้พุ่งออกมาในทันที ร่างมังกรสีขาวเงินปรากฏขึ้นที่ด้านหลังของฝานโหยว่หลี่ กรงเล็บโบกสะบัดเสียงพลัวะดังขึ้น ก็ตัดขอของเขาจนขาด

“ฮ่า ๆ นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าฆ่าคนหลังจากที่ได้ออกมาเห็นดวงตะวันอีกครั้ง เจ้าช่างมีเกียรติจริง ๆ! นอนตายตาหลับได้แล้ว!”

นี่คือเสียงสุดท้ายที่ฝานโหยว่หลี่ได้ยินก่อนสิ้นลมหายใจ

หลังจากที่สังหารฝานโหยว่หลี่ หลงหมิงก็หยิบแหวนเก็บของขึ้นมา ภายใต้การจ้องมองจากสายตาของหลัวซิว ก็ได้มอบแหวนเก็บของให้เขาด้วยสีหน้าไม่เต็มใจ

จากนั้นหลัวซิวก็กลับไปทางเดิม เพราะปี้เซียนเสว่ยังรอเขาอยู่บริเวณใกล้เคียงเขาลูกเล็กในเมื่อก่อนหน้านั้น

มีปฏิกิริยาตอบโต้จากวิชาสยบวิญญาณ หลัวซิวใช้เวลาเกือบครึ่งวันถึงได้กลับมาถึง เห็นได้ว่าฝานโหยว่หลี่หลบหนีไปไกลแค่ไหน

เมื่อเห็นหลัวซิวกลับมาอย่างปลอดภัย ปี้เซียวเสว่ก็โล่งอก ถึงแม้นางจะรู้ว่าหลัวซิวมีฝีมือที่แข็งแกร่ง แต่ก็ยังคงเป็นห่วงอยู่เหมือนเดิม

“หาสถานที่สักแห่ง แบ่งสมบัติที่ได้มากันก่อน แล้วค่อยฝึกตน!” หลัวซิวยิ้มกล่าว

ก่อนหน้านี้ในแอ่งน้ำที่ถูกชีพจรมังกรหยินยึดครอง เขาได้รวบรวมหินหยินมาได้ร้อยกว่าก้อน บวกกับในแหวนเก็บของที่ได้มาจากนักยุทธ์คนอื่น ๆ ที่ถูกสังหารก็มีหินหยินอยู่ เพียงพอที่จะทำให้ผลการฝึกตนก้าวขึ้นไปอีกขั้น

ผ่านไปไม่นานนัก หลัวซิวก็ได้ค้นพบถ้ำร้างอยู่ในสถายที่เงียบเปล่าเปลี่ยวแห่งหนึ่ง ปราณหยินในที่นี้ค่อนข้างหนาแน่น มีวิญญาณสองสามตนยึดครองอยู่ที่นี่ ล้วนถูกเขาจัดการเรียบร้อย

จากนั้นเขาก็ใช้ธงค่ายสร้างค่ายซ่อนงำขึ้นมา มองจากด้านนอก ผู้ที่ไม่เข้าใจค่ายกลจะเห็นเป็นเพียงภูเขารกร้าง ไม่มีเห็นมีถ้ำอยู่เลย

เพื่อเป็นการเผื่อเอาไว้ เขาเลยได้สร้างค่ายป้องกันและค่ายสังหารขึ้นอย่างละค่าย จากนั้นถึงได้เข้าไปในถ้าและเตรียมที่จะฝึกตน

หินหยินที่อยู่ในแหวนเก็บของ หลัวซิวเอาออกมาส่วนหนึ่งและยื่นให้กับปี้เซียนเสว่

ปี้เซียนเสว่เองก็คิดไม่ถึงว่าหลัวซิวจะเอาหินหยินให้กับตัวเอง นางรีบส่ายหน้า: “เจ้าใช้เถอะ อีกอย่างถ้าหากไม่มีเจ้า อาศัยความสามารถของข้าคงไม่มีทางได้หินหยินพวกนี้มา”

“อย่าปฏิเสธอีกเลย ถ้าหากเจ้าติดตามข้า ผลการฝึกตนต่ำไปคงไม่ได้ ร่างแห่งเสวียนหยินของเจ้าสามารถฝึกตนได้เร็วกว่าคนอื่น เมื่อมีหินหยินก็ยิ่งจะรุดหน้าเร็วขึ้นไปอีก ฝีมือของเจ้าแข็งแกร่งขึ้น ถึงจะสามารถช่วยข้าได้”

หลัวซิวกล่าวไป พลางไม่ยอมให้ปี้เซียนเสว่ปฏิเสธ และยัดแหวนเก็บของที่มีหินหยินอยู่ข้างในใส่มือนางทันที

 

 

 

บทที่ 252 สังหารคนตระกูลฝาน

 

“ฮ่า ๆ …..” หลัวซิวแหงนหน้าหัวเราะเอิ๊กอ๊าก

“เจ้าหัวเราะอะไร?” ฝานโหยว่หลี่ขมวดคิ้วกล่าว

“ข้าหัวเราะที่ราชวงศ์ตระกูลฝานของพวกเจ้าไม่มีกฎระเบียบ ต่ำช้าไร้ยางอาย! รับข้าเข้าไป แล้วลงวิชาสยบวิญญาณเพื่อควบคุมข้าเช่นนั้นรึ?”

หลัวซิวลอยตัวขึ้นไปในอากาศ ผมยาวของเขาปลิวไสวไปตามสายลม พลางกล่าวอย่างเย็นชา: “ในเมื่อคนครบแล้ว พอดีจะได้ส่งพวกเจ้าออกเดินทางไปพร้อมกัน!”

ในขณะที่พูด มือทั้งสองข้างของหลัวซิวก็ได้ขับเคลื่อนเคล็ดวิชา ม่านแสงแวววับก็ได้เลื่อนขึ้นมา ราวกับชามใบใหญ่ที่ถูกคว่ำลง ปิดกั้นบริเวณภูเขาลูกเล็กเอาไว้

“หลัวซิว เจ้ามันบังอาจนัก กล้าลงมือกับองค์ชายสามงั้นรึ?”

ปรมาจารย์ฝึกจิตทั้งหกที่อยู่ข้างกายฝานโหยว่หลี่ต่างมีท่าทางโมโห คิดถึงว่าหลัวซิวจงใจหยุดอยู่ตรงนี้ แถมยังได้ตั้งค่ายกลเตรียมการเอาไว้ มันคือกับดักโดยสิ้นเชิง

เมื่อเห็นม่านค่ายกลผุดขึ้นมา ปิดกั้นบริเวณนี้เอาไว้ นักยุทธ์ทั้งหกของตระกูลฝาน ต่างก็คว้าอาวุธยุทธ์ออกมา คุ้มครององค์ชายสามฝานโหยว่หลี่เอาไว้ตรงกลาง

“หลัวซิว เจ้ารู้หรือไม่ว่ากำลังทำอะไรอยู่?” ฝานโหยว่หลี่จ้องมองหลัวซิว กล่าวย่างเย็นชา: “เจ้ากำลังก่อกบฏอยู่ เจ้ารู้หรือเปล่า?”

หลัวซิวแสดงท่าทีเยาะเย้ยออกมาบนใบหน้า “เห็นตัวเองเป็นโอรสสวรรค์จริง ๆ หรืออย่างไร ราชวงศ์ประเทศเทียนหวูที่ว่านั้น ก็เป็นเพียงแค่ตระกูลที่มีภูมิหลังและความสามารถที่ค่อนข้างจะแข็งแกร่งเท่านั้นเอง”

ฝานโหยว่หลี่มีท่าทีโมโห แต่ก็รู้ว่าที่หลัวซิวพูดมานั้นเป็นความจริง ๆ ราชวงศ์ตระกูลไม่สามารถควบคุมประเทศเทียนหวูได้อย่างเต็มที่ ไม่เช่นนั้นก็คงไม่ยอมให้สิบตระกูลใหญ่ และสำนักใหญ่ต่าง ๆ อยู่ แทนที่จะบอกว่าเป็นเจ้าของประเทศ ไม่สู้บอกว่าเป็นตระกูลที่ค่อนข้างจะแข็งแกร่งในดินแดนแห่งหนึ่งจะดีกว่า

แม้ว่าภูมิหลังของตระกูลฝานจะแข็งแกร่งกว่าตระกูลและสำนักอื่น ๆ อยู่บ้าง แต่ก็ไม่สามารถที่จะบดขยี้ได้ ไม่สามารถนำอำนาจและทรัพยากรทั้งหมดในประเทศเทียนหวูรอบรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวเอาไว้ภายใต้การควบคุมได้

แต่ในอาณาเขตประเทศเทียนหวู ความแข็งแกร่งของตระกูลฝานนั้นไม่ต้องสงสัย!

“ไปจับตัวหลัวซิวและปี้เซียนเสว่มาซะ!” ฝานโหยว่หลี่ออกคำสั่ง

สำหรับเรื่องที่หลัวซิวรู้เรื่องเกี่ยวกับวิชาสยบวิญญาณ ฝานโหยว่หลี่ไม่แปลกใจเลยสักนิด มีความเป็นไปได้มากว่าปี้เซียนเสว่ได้บอกกับเขา ในเมื่อทั้งสองฝ่ายได้แตกหักกันแล้ว กก็ไม่มีอะไรต้องพูดอีก

นักยุทธ์ทั้งหกของตระกูลฝานนำโดยผู้ฝึกจิตขั้น 9 ทั้งสอง ผิวปากออกมาหนึ่งครั้ง จากนั้นก็บุกโจมตีเข้าใส่หลัวซิว

“เจ้ารออยู่ตรงนี้” หลัวซิวกล่าวกับปี้เซียนเสว่หนึ่งประโยค แม้ว่านางจะมีผลการฝึกตนในแดนฝึกจิตขั้นสี่ แต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไรทมากนัก

ปี่เซียนเสว่ตอบรับ นางรู้ว่าฝีมือของตนไม่แข็งแกร่งพอ ถึงได้ถอยห่างออกไป

“เปิดค่าย!”

มือทั้งสองข้างของหลัวซิวบีบพลังตราประทับออกมาอีกครั้ง รัศมีพลังมรณะอันแรงกล้าสองสายปรากฏขึ้น กลายเป็นหลุมอากาศสีดำ เหมือนดังมังกรทมิฬ พุ่งกระโจนออกไป

มังกรทมิฬสองตัวนี้เป็นร่างโจมตีที่หลัวซิวสร้างขึ้นจากค่ายสังหารระดับ 4 นั่นเอง ได้วาดลายเส้นและสัญลักษณ์ค่ายกลเอาไว้บนธงค่าย และเป็นสิ่งที่เขาได้เรียนรู้มาจากผังกฎดั้งเดิมนั่นเอง ผสมผสานกับความลึกซึ้งของสองระดับความเป็นตาย

ในสองระดับความเป็นตาย หลัวซิวค่อนข้างจะให้ความสำคัญกับการเรียนรู้พลังแห่งความตาย สำหรับความเข้าใจที่มีต่อพลังแห่งชีวิตนั้น ยังคงอยู่ที่ขั้นฟื้นฟูลายเส้นชีวิตรักษาอาการบาดเจ็บ

อานุภาพของค่ายกลขั้น 4 ไม่เพียงพอที่จะสังหารปรมาจารย์ฝึกจิตทั้งหกได้ แต่ก็เพียงพอที่จะสร้างความลำบากไม่น้อยให้กับพวกมัน

“กระบี่สังหาร!”

ในตอนที่คนอื่น ๆ ถูกมังกรทมิฬพัวพันเอาไว้นั้น หลัวซิวก็ได้ฟันกระบี่ออกไป พลังกระบี่อัคคีดำฟันขวางออกไปในฟ้าดิน ห้วงยุทธ์กระบี่สังหารและห้วงยุทธ์มรณะปะทุออกมา ปราณกระบี่ฟันออกไปรวดเร็วเหมือนดั่งสายฟ้า

ปรมาจารย์ฝึกจิตขั้น 9 ผู้หนึ่งลงมือขัดขวาง และถูกพลังกระบี่อัคคีดำกระแทกลอยออกไป กระอักเลือดออกมากลางอากาศ

ในตอนนี้เอง หลัวซิวได้ใช้ห้วงยุทธ์กระบี่สังหารควบแน่นตัวสำนึกแสดงเคล็ดวิชาแหลกวิญญาณออกมา ตัวสำนึกได้จู่โจมเข้าไปในตัวหยั่งรู้ของอีกฝ่าย ห้วงสังหารกลายเป็นวังวน ก่อกวนตัวหยั่งรู้ของปรมาจารย์ฝึกจิตขั้น 9 ผู้นี้แทบจะพลังทลายในทันทีทันใด

เพียงชั่วพริบตา หลัวซิวพลันขยับร่าง ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าอีกฝ่าย และฟันกระบี่เข้าที่คอหอย!

“รีบทำลายค่ายกลเร็วเข้า ให้องค์ชายสามหนีไป!”

เมื่อเห็นปรมาจารย์ฝึกจิตขั้น 9 ผู้หนึ่งถูกฆ่าตายไปอย่างง่ายดาย อีกห้าคนที่เหลือสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที

“ใครก็หนีไปไม่ได้ทั้งนั้น”

หลัวซิวสีหน้าไร้ความรู้สึก พลังยุทธ์ในร่างกายถูกใช้ออกมาจนหมด ไม่ได้เหลือเก็บไว้เลยสักนิด

ปรมาจารย์ฝึกจิตทั้งห้าบุกล้อมโจมตีเข้ามา หลัวซิวเพิกเฉยต่อการโจมตีของสี่คนที่เหลือ ตัวสำนึกพุ่งเป้าไปยังผู้ฝึกจิตขั้น 9 คนนั้น และแสดงเคล็ดวิชาแหลกวิญญาณออกมาอีกครั้ง

ตัวหยั่งรู้ถูกทำลาย วิญญาณเจ็บปวดทรมาน ปรมาจารย์แดนฝึกจิตขั้น 9 ผู้นี้ พลันมีสีหน้างุนงง จิตใจเหม่อลอยไปชั่ววินาที ทำได้เพียงระดมตัวสำนึกเพื่อต่อต้านการโจมตีของวิชาแหลกวิญญาณ

พลัวะ!

พลังกระบี่อัคคีดำฟันลงไป ปรมาจารย์แดนฝึกจิตขั้น 9 รายที่สอง ตาย!

ในขณะเดียวกัน การโจมตีของปรมาจารย์ฝึกจิตอีกสี่คนกระทบลงบนร่างของหลัวซิว กลับเพียงแค่ส่งเสียงดังกึกก้องออกมาเท่านั้น สะเก็ดไปกระเด็นออกมาเป็นก้อน ๆ

“แดนร่างเนื้อของร่างยุทธ์สูงสุด!”

ทั้งสี่คนมีสีหน้าตกตะลึง ผู้ที่ฝึกวิชากลั่นร่างนั้นพบเจอได้ยาก แม้แต่ในราชวงศ์ตระกูลฝาน ผู้ที่ฝึกตนถึงขั้นร่างยุทธ์สูงสุดได้นั้นมีน้อยมาก

จิตแท้เพลิงดำที่ทรงพลัง ปรมาจารย์นักค่ายกลขั้น 4 การโจมตีวิญญาณ ร่างยุทธ์สูงสุด…..

ข้อได้เปรียบทุกประการมารวมกันอยู่ในร่างเดียว ทำให้ปรมาจารย์ฝึกจิตทั้งสี่คนรู้สึกสิ้นหวังอย่างหาที่เปรียบมิได้ ศัตรูเช่นนี้ไม่อาจต่อกรด้วยได้จริง ๆ

เสียงคำรามของมังกรทมิฬที่เกิดจากการควบแน่นของค่ายกลขั้น 4 โหมกระหน่ำ บวกกับพลังอันแข็งแกร่งที่มีอยู่ในตัวของหลัวซิว ทุกครั้งที่ลงมือล้วนต้องใช้วิชาแหลกวิญญาณ และต้องมีคนมลายชีพไปหนึ่ง

ระยะเวลาเพียงสั้น ๆ ปรมาจารย์ฝึกจิตทั้งหกคน ไม่เหลือแม้แต่คนเดียว

ทันใดนั้นเอง เสียงระเบิดก็ได้ดังขึ้น เป็นองค์ชายสามฝานโหยว่หลี่ที่ได้ใช้ยันต์ขั้นห้าออกมา ทำให้ค่ายยากเย็นขั้น 4 ของหลัวซิวขาดเป็นช่องขึ้นมาหนึ่งช่อง ก้าวเท้าขยับร่าง คิดจะหลบหนีไป

คนผู้นี้เป็นองค์ชายของตระกูลฝาน ต้องไม่ขาดสมบัติติดตัวอย่างแน่นอน จากนั้นก็ได้บีบยันต์วาตะอีกหนึ่งชิ้น ความเร็วพุ่งทะยานขึ้นในทันที

“หลงหมิง จับตามองเขาเอาไว้!” หลัวซิวหล่าวอย่างเย็นชา จากนั้นก็ตามออกไป

มังกรไร้ร่างควบคุมพลังแห่งปริภูมิมาตั้งแต่กำเนิด ด้านความเร็วนั้นไม่มีใครเทียบได้ แม้ว่าจะอยู่แค่ในระดับพรสวรรค์ แต่ก็สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วในพื้นที่เล็ก ๆ ความเร็วไม่ได้ช้าไปกว่าฝานโหยว่หลี่

ส่วนหลัวซิวนั้นได้อาศัยตราสำนึกและการรับรู้ระหว่างหลงหมิง ติดตามตลอดทาง ไม่ต้องกังวลว่าฝานโหยว่หลี่จะหนีรอดไปจากเงื้อมมือของตนได้

“หลังจากที่ออกไปจากแดนปริศนา จะต้องหาเคล็ดวิชาท่าร่างที่ดีกว่านี้ถึงจะได้”

เคล็ดวิชาท่าร่างระดับเจ็ดอย่างวิชาตามลมล่าจันทราได้ถูกเขาฝึกฝนมาจนถึงแดนบริบูรณ์ เกินพอสำหรับปรมาจารย์ฝึกจิตธรรมดาทั่วไป แต่สำหรับหลัวซิวแล้ว การเคลื่อนไหวยังช้าไปนิดหน่อย

ฝานโหยว่หลี่บดขยี้ยันต์วาตะระดับ 5 ความเร็วเทียบได้กับการบินหนีของผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ ถ้าหากไม่มีมังกรไร้ร่างคอยวิ่งตาม เกรงว่าคงจะปล่อยให้เขาหนีไปได้จริง ๆ

ไม่นานพลังที่แฝงอยู่ในยนต์ก็ถูกใช้จนหมด ฝานโหยว่หลี่หยุดลงที่ป่าหินซ้อนแห่งหนึ่ง พบว่าหลัวซิวไม่ได้ตามมา ก็พลันโล่งอก สีหน้าโหดเหี้ยม

“เจ้าหลัวซิวคนสารเลว กล้าฆ่าคนตระกูลฝานของข้า รอหลังจากที่ออกไป จะต้องทำให้เจ้าได้ตายทั้งเป็นแน่!”

หลงหมิงรวมเป็นหนึ่งเดียวกับปริภูมิที่อยู่โดยรอบ ซ่อนตัวอยู่ข้างกายของฝานโหยว่หลี่ ได้ยินประโยคนี้ที่เขาพูด ก็เบ้ปากอย่างอดไม่ได้ แอบกล่าวอยู่ในใจว่าอีกเดี๋ยวดาวร้ายผู้นั้นก็มาสังหารเจ้า เกรงว่าเจ้าคงไม่มีโอกาสล้างแค้นแล้ว

กลอกลูกตาครั้งหนึ่ง สายตาของหลงหมิงจับจ้องไปที่แหวนเก็บของที่อยู่สวมอยู่บนมือของฝานโหยว่หลี่ และกล่าวอยู่ในใจ ในตัวของเจ้าคนนี้น่าจะมีสมบัติอยู่บ้าง ถ้าหากมียาวิเศษละก็ ตนเองได้ใช้คงต้องเพิ่มระดับผลการฝึกตนได้แน่

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 251 ชีพจรมังกรหยินปรากฏ

 

ชายหนุ่มที่เป็นผู้นำขมวดคิ้วเล็กน้อย จ้องมองปี้เซียวเสว่อยู่แสนนาน และยิ้มเยาะอยู่ภายในใจ: “คิดว่าได้รับการคุ้มครองจากหลัวซิวก็ไม่เป็นอะไรแล้วงั้นหรือ?”

“พี่รอง ได้ยินว่าสมาชิกระดับสูงของตระกูลมีใจที่จะรับหลัวซิวผู้นี้เข้ามา หรือว่ามันจะรู้เรื่องร่างแห่งเสวียนหยิน และคิดที่จะชิงเอาหยวนหยินของนางไป?” อีกสองคนที่เหลือใช้ตัวสำนึกสื่อสารกับชายหนุ่มที่เป็นผู้นำ

“ถึงยังไงหยวนหยินของปี่เซียนเสว่ก็ยังคงอยู่ แต่เพื่อเป็นการเผื่อไว้ หาโอกาสแย่งนางกลับมาแล้วค่อยว่า ส่วนหลัวซิวผู้นั้น รอหลังจากที่ออกไป ไม่ว่ามันจะตอบรับคำเชิญของราชวงศ์หรือไม่ ท่านทวดสามจะต้องลงวิชาสยบวิญญาณกับมันเป็นแน่ มีโอกาสสั่งสอนมันอีกเยอะ”

ชายหนุ่มที่เป็นผู้น้ำกล่าวอย่างเย้ยหยัน จากนั้นทั้งสามคนก็หันหลังจากไป เพื่อตามหาหินหยินในที่อื่น

หลัวซิวคอยสังเกตศิษย์ตระกูลฝานทั้งสามคนที่จากไปอยู่ตลอดเวลา และแอบตั้งมั่นอยู่ภายในใจ เมื่อไหร่ที่เห็นพวกมันอยู่เพียงลำพัง จักต้องจัดการพวกมันให้หมดสิ้นเป็นแน่

ขอบเขตของแอ่งนั้นไม่ใหญ่นัก จากที่ผู้คนได้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ถูกขุดจนแทบจะไม่เหลือชิ้นดี

หลัวซิวมาค่อนข้างจะช้าไป แต่อาศัยแรงสัมผัสที่มีต่อหินหยิน ก็ได้ค้นพบหินหยินจำนวนร้อยกว่าก้อน ในนั้นมีอยู่สิบกว่าก้อนที่ค่อนข้างบริสุทธิ์ ซึ่งอยู่ในระดับชั้นกลาง

เขาเชื่อว่าเมื่อมีหินหยินพวกนี้แล้ว เพียงพอที่จะให้เข้าบรรลุถึงแดนฝึกจิตขั้น 7

ในตอนที่เขาเก็บหินหยินอยู่นั้น ก็ไม่ได้ปล่อยให้มังกรไร้ร่างอย่างหลงหมิงอยู่นิ่งเฉย อาศัยพลังที่สามารถควบคุมปริภูมิได้ของมัน ก็ได้ค้นพบหินหยินหลายสิบก้อน นับว่าได้ผลลัพธ์ที่ไม่เลว

ทันใดนั้นเอง บริเวณใจกลางแอ่งได้เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นขึ้นมา ปราณหยินสีดำเหมือนดั่งสสารได้พุ่งออกมา และเกิดระเบิดขึ้น นักยุทธ์สิบกว่าคนที่อยู่บริเวณใกล้เคียงถูกปราณหยินกลืนกินไปในทันที ร่างกายมลายหายไป กายจิตดับสูญ

ทุกคนต่างตกใจหน้าถอดสี วิ่งหนีออกไปทั้งสี่ทิศ ปราณหยินสีดำที่พุ่งออกมาจากใจกลางแอ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนดั่งทะเลสีดำ แพร่กระจายไปทั่วแอ่งน้ำ

หลัวซิวและปี้เซียนเสว่เองก็ลอยตัวขึ้นไปในอากาศ ไม่นานแอ่งด้านล่างก็ถูกปราณหยินสีดำทับถม กลายเป็นเหมือนดั่งทะเลสาบสีดำ

“เป็นปราณหยินที่เข้มข้นและบริสุทธิ์จริง ๆ” หลัวซิวก้มมองลงไป ดวงตาเฉียบขาด

เพียงแต่พลังของปราณหยิกก้อนนี้แข็งแกร่งจนเกินไป อาศัยผลการฝึกตนของเขาในตอนนี้ไม่สามารถที่จะซึมซับกลั่นแปรเพื่อเพิ่มพลังได้

“ใต้ที่แห่งนี้น่าจะมีชีพจรมังกรหยินอยู่!” หลงหมิงพลันเอ่ยขึ้น

ชีพจรมังกร เป็นของประหลาดอย่างหนึ่งที่ฟ้าดินให้กำเนิดขึ้น แบ่งเป็นชีพจรมังกร Attr และชีพจรมังกรไร้ Attr

ชีพจรมังกรไร้ Attr เกิดจากการรวมตัวกันของพลังฟ้าดินจิต เกิดมีจิตวิญญาณขึ้นมาสามารถลอยตัวอยู่ในใต้ดินลึกได้ แพร่กระจายพลังฟ้าดินจิตที่บริสุทธิ์ออกมา

ในสมัยโบราณ ผู้แข็งแกร่งยอดยุทธ์ได้ใช้พลังจิตอันลึกล้ำกำหนดชีพจรมังกร เพื่อสร้างเป็นที่ตั้งของสำนัก กลายเป็นแดนวิเศษในการฝึกตน

ส่วนชีพจรมังกรที่มีพลัง Attr นั้น ก็ล้ำค่าและพบได้ยากกว่าชีพจรมังกรไร้ Attr ตัวอย่างเช่นชีพจรมังกรทองนั้นเกิดขึ้นจากการรวมตัวกันของพลังจิตธาตุโลหะ ชีพจรมังกรเขียวเกิดจากการรวมตัวกันของพลังจิตธาตุไม้……

ชีพจรมังกรหยิน ก็เกิดจากการรวมตัวของปราณหยิน ผ่านการวิวัฒนาการของกาลเวลาที่ไม่รู้จบ ทำให้มีจิตวิญญาณขึ้นมา

ตามที่หลงหมิงได้กล่าวมานั้น ได้มีการกล่าวขานมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว ยอดยุทธ์ของสำนักไท่เสวียนได้กำหนดชีพจรมังกรสายหนึ่ง ถึงได้สร้างค่ายกลขนาดใหญ่กลายเป็นแดนหยินสุดขั้ว บุกเบิกแดนปริศนา

ในแดนปริศนา สิ่งที่ล้ำค่าจนไม่สามารถประเมินได้นั้นไม่ใช่สมบัติที่อยู่ข้างใน แต่เป็นชีพจรมังกรหยินที่ถูกค่ายกลใหญ่กำหนดอยู่สายนี้!

ชีพจรมังกรนั้นหายาก หรือต่อให้หาพบก็ยากที่จะกำราบ ชีพจรมังกรที่มีจิตวิญญาณสามารถกลืนและคายพลังจิตเพื่อฝึกตนได้ ชีพจรมังกรที่แข็งแกร่งนั้นแม้แต่ผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ก็ไม่อาจต้านทานได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกำราบให้ยอมจำนน

มีเพียงยอดยุทธ์ในสมัยโบราณ ถึงมีคุณสมบัติพอที่จะกำราบชีพจรมังกร และสร้างแดนวิเศษเพื่อการฝึกตนขึ้นมา

หลัวซิวเองก็ได้รู้จากปากของหลงหมิง สิ่งที่เรียกว่ายอดยุทธ์ในสมัยโบราณ ก็คือผู้ที่มีผลการฝึกตนอยู่เหนือแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์นั่นเอง

ในปัจจุบัน อย่าวว่าแต่ยอดยุทธ์เลย ผู้แข็งแกร่งที่สุดที่หลัวซิวเคยได้ยินมานั้น ก็คือนายท่านที่ประจำตำแหน่งอยู่ในตำหนักจื่อ มีผลการฝึกตนในแดนมกุฏยุทธ์

ครืนนน……

เสียงคำรามอึกทึกดังสนั่นมาจากใต้ดิน ราวกับมีสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่มหึมาเลื่อนผ่านไป กระจายพลังอันน่าสะพรึงกลัวออกมา ทำให้ผู้คนอกสั่นขวัญแขวน

ในผู้คนทั้งหมด มีเพียงหลัวซิวที่ทราบว่า มีมังกรขนาดใหญ่ซ่อนอยู่ใต้พื้นพิภพแห่งนี้!

ยิ่งไปว่านั้นในสมัยโบราณยังมีตำนานว่า ต้นกำเนิดของเผ่าพันธุ์มังกรในหมู่อสุรกาย เป็นบรรพบุรุษของเผ่าพันธุ์มังกรได้ฝึกตนตามรูปร่างของชีพจรมังกร ถึงได้กลายเป็นร่างมังกร กำเนิดเป็นเผ่าพันธุ์มังกรขึ้นมา

เรื่องเล่าต่าง ๆ ในสมัยโบราณทำให้หลัวซิวเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ชีพจรมังกรหยินที่อยู่ใต้พื้นพิภพตัวนี้ ตนไม่สามารถสั่นคลอนได้

คนอื่น ๆ ไม่รู้เรื่องชีพจรมังกรหยินเลยสักนิด เห็นว่าสถานที่แห่งนี้ได้ถูกปราณหยินมหาศาลทับถม นึกว่าจะมีสมบัติบางอย่างปรากฏสู่โลก ล้วนรวมตัวกันสำรวจอยู่ในบริเวณใกล้เคียง

หลัวซิวไม่คิดจะอยู่ที่นี่อีกต่อไป ถ้าหากชีพจรมังกรหยินที่อยู่ใต้ดินตนนั้นนอนตื่นและเกิดหาวขึ้นมา เกรงว่าผู้คนที่อยู่ตรงนี้ทุกคนคงต้องถูกพุ่งฉีดจนตาย

ในตอนที่หลัวซิวพาปี่เซียนเสว่จากไป พวกราชวงศ์ตระกูลฝานก็ได้รีบตามไปทันที

อีกฝ่ายคิดว่าฝีมือในการปกปิดกลิ่นไปของตนนั้นล้ำเลิศ แต่กลับถูกหลัวซิวสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตได้อย่างชัดเจน

ศิษย์ตระกูลฝานที่ขัดขวางเขาในเมื่อก่อนหน้านี้ก็ได้รวมอยู่ในนั้นเช่นเดียวกัน อาจเป็นเพราะไม่มั่นใจว่าจะรับมือกับหลัวซิวได้ ดังนั้นถึงได้เรียกกำลังสนับสนุนมาอีกสี่คน

บนเนินเขาเตี้ย ๆ ที่ห่างออกไปหลายสิบลี้ หลัวซิวลอยตัวลง และหยิบเอาธงค่ายออกมาจากแหวนเก็บของ และได้ตั้งค่ายกลสามค่ายติดต่อกันลงที่บริเวณใกล้เคียง

เมื่อได้เห็นการเคลื่อนไหวของหลัวซิว ดวงตางดงามของปี้เซียนเสว่เปล่งประกาย คาดเดาแผนการของหลัวซิวออก

หลังจากที่ตั้งค่ายกลเสร็จ หลัวซิวยืนอยู่บนยอดเขา รอนักยุทธ์ทั้งเจ็ดของราชวงศ์ตระกูลฝานที่สะกดรอยตามมา

ไม่นานหลังจากนั้น คนของราชวงศ์ตระกูลฝานก็มาถึง เห็นหลัวซิวยืนอยู่บนยอดเขาและกำลังมองมาทางนี้ รู้ว่าอีกฝ่ายได้พบเห็นตนเข้าให้แล้ว ดังนั้นทั้งหมดจึงปรากฏตัวออกมา

คนที่นำหน้า ยังคงเป็นชายหนุ่มคนเดิม ผลการฝึกตนคือฝึกจิตขั้นหก

แต่ว่าในทั้งเจ็ดคนนี้ ชายหนุ่มผู้นี้กลับไม่ใช่คนที่มีผลการฝึกตนสูงสุด แต่เป็นชายวัยกลางคนสองคนที่มีผลการฝึกตนในแดนฝึกจิตขั้น 9

เป็นที่ประจักษ์ว่าชายหนุ่มผู้นี้พอจะมีฐานะในราชวงศ์ตระกูลฝานอยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นละก็ผู้ฝึกจิตขั้น 9 ทั้งสองคงไม่ใช้เขาเป็นผู้นำ

“หลัวซิว เจ้าคนนั้นคือองค์ชายสามแห่งตระกูลฝาน ฝานโหยว่หลี่” ปี้เซียนเสว่สื่อสารกับหลัวซิวผ่านทางตัวสำนึก

หลัวซิวยักคิ้ว คิดไม่ถึงว่าในกลุ่มคนตระกูลฝานที่เข้ามาในแดนปริศนา จะมีองค์ชายท่านหนึ่งอยู่ด้วย

องค์ชายท่านหนึ่งในประเทศเทียนหวู เกียรติยศของฐานะนั้นเทียบเท่ากับผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ และว่ากันว่าเมื่อองค์ชายตระกูลฝานออกมาด้านนอก จะมีผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์คอยติดตามคุ้มครอง

เพียงแต่ที่นี่คือแดนปริศนา ผู้แข็งแกร่งระดับราชายุทธ์ขึ้นไปไม่สามารถเข้ามาได้ ฐานะขององค์ชายสามตระกูลฝานก็จะต้องลดลงเป็นอย่างมาก

“องค์ชายสามพาคนสะกดรอยตามมาตลอดทาง ไม่ทราบว่าคิดอะไรกับข้าอยู่หรือ?” ยืนอยู่บนยอดเขา หลัวซิวมองดูผู้คนทั้งเจ็ดที่ยืนอยู่กลางอากาศอย่างเย็นชา น้ำเสียงไร้ซึ่งความเกรงใจ

“บังอาจ! เจ้าก็แค่ประชาชนคนต่ำต้อยผู้หนึ่ง อย่าคิดว่าหนานหรงชินหวาง ชื่นชมเจ้าเพียงเล็กน้อยก็กล้ายโสโอหัง” ศิษย์ผู้ฝึกจิตขั้น 7 ของตระกูลฝานคนหนึ่งตวาดขึ้นมา หลัวซิวขมวดคิ้วมองดูคนผู้นั้น และกล่าวอย่างเย็นชา: “ข้าพูดกับองค์ชายของเจ้า เจ้าเป็นตัวอะไรกัน?”

“เจ้า!……” ศิษย์ตระกูลฝานผู้นั้นมีท่าทางโมโห

“เหอะ ๆ ในเมื่อเจ้ารู้ว่าข้าคือองค์ชาย แล้วยังกล้าไม่เคารพข้า? ในเมื่อเจ้าได้ถูกเชื้อเชิญจากราชวงศ์แล้ว จะต้องรู้ว่า ต่อไปเจ้าต้องเป็นผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของข้า” ฝานโหยว่หลี่ยิ้มกล่าว

“ตอนนี้ข้าไม่ใช่ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของเจ้า ยิ่งไปกว่านั้นข้าไม่มีแผนการที่จะเข้าร่วมราชวงศ์ตระกูลฝานของพวกเจ้า” หลัวซิวยิ้มเยาะ

“หือ?” ฝานโหยว่หลี่ได้ยินดังนั้น แววตาพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชา “ในอาณาเขตประเทศเทียนหวู ยังไม่มีผู้ใดกล้าปฏิเสธคำเชิญของราชวงศ์ตระกูลฝาน”

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 250 ต่อสู้กับตระกูลเหยียน

 

สำหรับนักยุทธ์ที่ฝึกฝนวรยุทธ์ Attr หยินแล้ว ผลในการฝึกตนที่ได้จากหินหยินดีกว่าหินพลังจิตหลายสิบเท่า มีประสิทธิภาพดีกว่ายาวิเศษเสียอีก

ทำไมถึงได้มีหินหยินมากมายเช่นนี้ แต่ไหนแต่ไรมาทุกครั้งที่แดนปริศนาเปิด อย่างมากกว่ามีคนเก็บหินหยินได้แค่หลายสิบก้อน” หลัวซิวและปี้เซียนเสว่สบตากัน ต่างอดไม่ได้ที่จะแปลกใจเล็กน้อย

ปริมาณของหินหยินในที่แห่งนี้ มันชักจะบ้าไปแล้ว

จากนั้นหลัวซิวก็พบว่ามีผู้คนเดินทางมาที่นี่มากขึ้นเรื่อย ๆ และเข้าร่วมแย่งชิงค้นหาหินหยิน ผ่านไปไม่นานนัก ก็มีคนห้าสิบกว่าคนมารวมกันอยู่ที่นี่ จะจำนวนคนก็ยังเพิ่มขึ้นอยู่เรื่อย ๆ

“หินหยินชั้นสูง!” จู่ ๆ เสียงร้องด้วยความตกใจก็ดังนั้น หลัวซิวเองก็ได้หันไปมอง พบว่าชายหนุ่มคนหนึ่งได้ถูกปรมาจารย์ฝึกจิตขั้น 8 สังหาร และได้แย่งเอาหินแก้วดำเกลี้ยงก้อนหนึ่งจากมือของอีกฝ่าย

รัศมีพลังที่หินหยินก้อนนี้แผ่ซ่านออกมา หลังจากที่ตัวสำนึกของหลัวซิวได้สัมผัสถึง สัญชาตญาณบอกกับเขาว่า ถ้าหากได้หินหยินชั้นสูงก้อนนี้มาครอบครอง เขาจะต้องบรรลุถึงแดนฝึกจิตขั้น 7 ได้อย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตามการปรากฏตัวของหินหยินชั้นสูงก็ได้ทำให้ที่ราบลุ่มบริเวณนี้เกิดความปั่นป่วนครั้งใหญ่ขึ้น แทบจะทุกคนต่างหยุดการเคลื่อนไหวภายในมือ และโหมโจมตีเข้าไปยังปรมาจารย์ฝึกจิตขั้น 8 ผู้นั้น

สถานการณ์ตรงนั้นทำให้ผู้คนต้องแจะปาก เพียงชั่วพริบตา ปรมาจารย์ฝึกจิตขั้น 8 ผู้นั้นก็ถูกเข่นฆ่าจนแหลกละเอียด หินหยินชั้นสูงถูกทับถมอยู่ท่ามกลางนักยุทธ์หลายสิบคนที่แย่งกันอย่างบ้าคลั่ง

หินหยินชั้นสูงก้อนหนึ่ง เพียงพอที่จะทำให้ผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ที่ฝึกฝนวรยุทธ์ Attr หยินหวั่นไหวใจสั่น

เพราะหินหยินไม่ได้มีเพียงประสิทธิภาพในการเพิ่มระดับผลการฝึกตนเท่านั้น ยังสามารถทำให้พลังจิตแท้ Attr หยินที่ตนฝึกฝนบริสุทธิ์กว่าเดิม ประสิทธิภาพโดดเด่นสะดุดตา

นักยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกัน พลังจิตแท้ยิ่งบริสุทธิ์ พลังก็จะยิ่งแข็งแกร่งเป็นธรรมดา

“พวกเราก็ไปหาหินหยินกัน เจ้าตามอยู่ด้านหลังของข้าอย่างเพ่นพ่าน” หลัวซิวกล่าวกับปี้เซียวเสว่ จากนั้นก็ลอยตัวลงไป

ไม่ต้องให้หลัวซิวบอก ปี้เซียวเสว่ก็ไม่กล้ววิ่งเพ่นพ่าน เพราะสถานการณ์วุ่นวายเกินไป อาจจะเกิดการเข่นฆ่าขึ้นได้ตลอดเวลา

นอกจากนี้นางยังเคยได้ยินมาว่าในตอนที่หลัวซิวต่อสู้นั้น พลังจิตแท้จะรวมตัวกันเป็นเปลวไฟสีดำ เป็นพลังที่ค่อนข้างเอียงไปทาง Attr หยิน และตนก็เป็นร่างแห่งเสวียนหยิน หินหยินมีผลดีต่อการฝึกตนของทั้งสองเป็นอย่างมาก

อาศัยพลังจิตแท้สองระดับที่ที่ฝึกฝนโดยวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ หลัวซิวมีสัมผัสที่ไวต่อหินหยินเป็นอย่างมาก ไม่นานก็ขุดเจอโพลงหิน และได้พบหินหยินขนาดน้อยใหญ่แตกต่างกันไปหลายสิบก้อนอยู่ข้างใน

รัศมีพลังของหินหยินแผ่ซ่านออกไป ทำให้กลายเป็นเป้าแอบมองของคนอื่น ๆ ที่อยู่บริเวณใกล้เคียงในทันที นักยุทธ์ผู้ฝึกจิตช่วงหลังสามคน กระโจนเข้ามาหาหลัวซิวในทันที

ที่เสื้อบริเวณหน้าอกของทั้งสามคน มีรูปเปลวไปอยู่ เห็นได้ชัดว่ามาจากหนึ่งในสิบตระกูลใหญ่ของประเทศเทียนหวู นักยุทธ์ของตระกูลเหยียน

“ของของข้ายังกล้าแย่ง หาที่ตาย!”

หลัวซิวยกมือและฟันกระบี่ออกไป ห้วงยุทธ์กระบี่สังหารระเบิดออก ไอสังหารอันโหดเหี้ยมปะทุออกมา

ก่อนหน้านี้ นักยุทธ์ทั้งสามคนของตระกูลเหยียนเห็นหลัวซิวมีผลการฝึกตนเพียงฝึกจิตขึ้น 6 จึงไม่ได้ใส่ใจนัก แต่เมื่อเขาลงมือในวินาทีนี้ พลังกระบี่อัคคีดำทำให้ตัวตนของเขาถูกเปิดเผยออกมาในทันที

“พลังจิตแท้เปลวไฟดำ เขาคือหลัวซิว!” นักยุทธ์ทั้งสามคนของตระกูลเหยียนสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย

“ตูมมม!”

พลังกระบี่อัคคีดำที่น่าหวาดกลัวกวาดผ่านไปในอากาศเป็นแนวนอน หมอกสีเลือดพุ่งกระฉูดแตกกระเซ็น ปรมาจารย์ยุทธ์ตระกูลเหยียนที่มีผลการฝึกตนในระดับฝึกจิตขึ้น 7 ผู้หนึ่ง ไม่สามารถหลบได้ทัน ได้ถูกสังหารไปในทันที

ปรมาจารย์ยุทธ์ตระกูลเหยียนอีdสองคนที่เหลืออยู่รีบถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว มีความตื่นตระหนกอยู่บนใบหน้า

แต่หลัวซิวไม่คิดที่จะหยุดมือลงเพียงแค่นี้ ยกมือขึ้นและฟันกระบี่ลงไปอีกครั้ง ดินหินปลิวกระเด็น

พลังกระบี่อัคคีดำแฝงไปด้วยไอสังหารอันแรงกล้า แข็งแกร่งทรงพลัง

พลัวะ!

ปรมาจารย์ยุทธ์ตระกูลเหยียนอีกคนปลิวลอยถอยหลังออกไป ร่างครึ่งซีกระเบิดออกเป็นหมอกเลือด กรีดร้องออกมาหนึ่งครั้งและล้มจมลงไปในกองเลือด พลังชีวิตดับสูญ

เพราะฉะนั้นแล้ว ปรมาจารย์ยุทธ์ตระกูลเหยียนทั้งสามคน เหลือเพียงชายวัยกลางคนที่มีผลการฝึกคนในระดับฝึกจิตขั้น 8 เท่านั้น

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทางด้านนี้ ก็ได้ดึงดูดความสนใจของนักยุทธ์คนอื่น ๆ ที่ตาหาหินหยินอยู่ในแอ่ง แต่ละคนต่างพูดอยู่ในใจว่าหลัวซิวผู้นี้ช่างมีพลังที่น่าหวาดกลัวยิ่งนัก อานุภาพของพลังกระบี่อัคคีดำนั่นก็ช่างน่าสะพรึงกลัวเอาเสียจริง

ปรมาจารย์ฝึกจิตของกองกำลังต่าง ๆ ที่ได้เข้ามาในแดนปริศนา ต่างก็เคยได้ยินชื่อหลัวซิว เป็นธรรมดาที่จะรู้จักท่าไม้ตายพลังจิตแท้เปลวไฟดำของเขา

เพียงแต่ว่ารายงานที่คนส่วนมากมีอยู่นั้นค่อนข้างจะล้าหลัง หลัวซิวเคยผ่านไปถึงหอคอยมังกรบินชั้นที่ 7 มีความสามารถเทียบเท่ากับผู้ฝึกจิตขั้น 7 นั้น เป็นรายงานตั้งแต่เมื่อหนึ่งปีก่อนแล้ว

ในปัจจุบัน ผลการฝึกตนของเขาจากผู้ฝึกจิตขั้น 1 ได้ก้าวขึ้นมาถึงผู้ฝึกจิตขั้น 6 ไม่รู้ว่าพลังความสามารถได้สู้งขึ้นมาเพียงใด ไม่ใช่แค่ทัดเทียมกับผู้ฝึกจิตขั้น 7 แล้ว แต่เป็นสังหารผู้ฝึกจิตขั้น 7 เหมือนดั่งสังหารสุนัข!

“หลัวซิว เป็นความผิดของข้าที่ลงมือกับเจ้า ข้าเป็นคนตระกูลเหยียน ข้าขอขมาต่อเจ้า หวังว่าเจ้าจะไม่ถือโทษโกรธเคือง” เมื่อปรมาจารย์ยุทธ์ตระกูลเหยียนที่เหลืออยู่ผู้นั้นเห็นพรรคพวกของตนถูกสังหารภายในชั่วพริบตา ยังจะกล้าลงมือกับเขาอีกที่ไหนกัน

“ตระกูลเหยียนวิเศษมากเลยหรือ? กล้าแย่งของของข้า ข้าไม่สนหรอกว่าเจ้าจะเป็นศิษย์ตระกูลไหน” หลัวซิวยิ้มเยาะ กระบี่ยุทธ์ในมือมีเปลวไปสีดำจับตัวกันกลายเป็นเงากระบี่ไอสังหารที่น่าสะพรึงกลัวปะทุออกมา

ปรมาจารย์ยุทธ์ตระกูลเหยียนผู้นั้นเห็นหลัวซิวไม่เห็นตระกูลเหยียนอยู่ในสายตาเลยสักนิด พลันมีท่าทางโมโหขึ้นมา แต่ก็ไม่กล้าลงมือกับหลัวซิว จึงหดตัวกลับออกไป และคิดจะหนี

ในตอนนี้เอง ก็มีเงาร่างอีกสามสายลอยตัวออกมา ร่วมมือกันต้านทานกระบี่ของหลัวซิวเอาไว้

ตูมมม!

เสียงดังสนั่น แม้ว่าทั้งสามคนนี้จะร่วมมือกันรับกระบี่เอาไว้ได้ แต่วิญญาณหยั่งรู้ก็ได้รับการกระแทกจากห้วงยุทธ์กระบี่สังหาร ร่างก้าวถอยหลังไปหลายก้าว

ผู้คนที่อยู่ใกล้ ๆ สังเกตเห็นว่า สามคนที่จู่ ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมาแทรกแซงการต่อสู้นี้ ล้วนสวมชุดของราชวงศ์ตระกูลฝาน

“หลัวซิว อีกฝ่ายได้ขอโทษแล้ว เจ้ายังจะต้องลงมือสังหาร บังขับข่มเหงอีกทำไม?” ชายหนุ่มตระกูลฝานที่เป็นผู้นำกล่าวขึ้นมาอย่างเรียบ ๆ

ในขณะที่พูด เขาก็มองไปที่ปี้เซียงเสว่ที่อยู่ข้างหลัวซิว “เจ้ามานี่ ข้ามีอะไรจะพูดด้วย”

ไอสังหารแวบผ่านไปในดวงตางดงามของปี้เซียนเสว่ นางทำเสียงหึหนึ่งครั้ง และไม่ได้สนใจอีกฝ่าย เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มตระกูลฝานที่ผู้นี้ยังคิดว่านางถูกควบคุมจากวิชาสยบวิญญาณอยู่ ไม่กล้าขัดคำสั่งของคนตระกูลฝาน

“หือ?” ชายหนุ่มตระกูลฝานอุทานออกมาด้วยความสงสัย รับรู้ได้ถึงความผิดปกติ

หลัวซิวพยายามระงับอารมณ์ที่คิดจะลงมือเอาไว้ เขาทราบดีว่า ถ้าหากเขาลงมือสังหารคนตระกูลฝานตรงนี้ นอกเสียจากจะฆ่าผู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ไม่เช่นนั้นเมื่อออกไปจะต้องพบกับปัญหาใหญ่แน่

และจากที่ได้ถูกสามคนนี้ขัดขวาง ชายตระกูลฝานผู้นั้นก็ได้หลบหนีไปแล้ว ไม่กล้าแม้แต่จะอยู่ในแอ่งนี้อีกต่อไป

อยู่ในแดนปริศนาไม่สามารถสื่อสารกับคนภายนอกได้ ศิษย์ตระกูลฝานคนอื่น ๆ น่าจะยังไม่รู้เรื่องที่อำนาจในการควบคุมวิชาสยบวิญญาณถูกแย่งชิงไป

หลัวซิวส่งสายตาให้กับปี้เซียนเสว่ จากนั้นต่างก็ไม่ได้ไปสนใจนักยุทธ์ตระกูลฝานอีก และหันเก็บไปเก็บหินหยินที่ค้นพบในโพรงหิน

เมื่อเห็นหลัวซิวไม่สนใจพวกตนทั้งสาม นักยุทธ์ตระกูลฝานทั้งสามคนก็มีสีหน้าบึ้งตึงเล็กน้อย คิดว่าเจ้าหนุ่มคนนี้ชักจะไม่เห็นผู้อื่นอยู่ในสายตาเกินไปเสียแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 249 วิชาสยบวิญญาณได้ถูกถอนออก

 

“หลัวซิว ข้ามอบหยวนหยินให้เจ้า จากนั้นเจ้าค่อยฆ่าข้าเถอะ!” นางมองหลัวซิวทั้งน้ำตาพลางกล่าว

นางยินยอมที่จะมอบหยวนหยินให้กับหลัวซิว ก็ไม่ยอมที่จะมอบให้ราชวงศ์ตระกูลฝาน เพราะในหัวใจของนางนั้นเต็มไปด้วยความเคียดแค้นที่มีต่อราชวงศ์ตระกูลฝาน

หลัวซิวไม่ได้ตอบอะไร แต่ได้ส่งเสียงผ่านตัวสำนึกเพื่อสื่อสารกับหลงหมิง “เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำเช่นไรถึงจะสามารถถอนวิชาสยบวิญญาณได้?”

ในปัจจุบัน วิชาสยบวิญญาณเป็นเคล็ดวิชาที่แทบจะไม่สามารถทำลายถอดถอนได้ ทำได้เพียงอาศัยผลการฝึกตนของตัวเองทะลวงพันธนาการ

“ถ้าหากเป็นวิชาสยบวิญญาณระดับล่าง ข้าพอจะรู้เคล็ดวิชาอย่างหนึ่ง แต่ไม่ใช่การถอน แต่เป็นการแย่งชิงอำนาจในการควบคุม” หลังจากที่หลงหมิงครุ่นคิดอยู่สักพัก ก็ได้ค้นพบบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับวิชาสยบวิญญาณจากความทรงจำในสมัยโบราณ

“แย่งชิงอำนาจในการควบคุม?” หลัวซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย ตามที่หลงหมิงได้กล่าวมานั้น เขาสามารถควบคุมวิชาสยบวิญญาณในตัวหยั่งรู้ของปี้เซียนเสว่ได้โดยใช้เคล็ดวิชาวิญญาณโบราณบางอย่างได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ราชวงศ์ตระกูลฝานก็จะไม่สามารถควบคุมการเป็นตายของนางผ่านทางวิชาวิญญาณโบราณได้ การควบคุมความเป็นตายของนางจะตกมาอยู่ในมือของตน

“แหะ ๆ ร่างแห่งเสวียนหยินนั้นเป็นหนึ่งในสุดยอดเตากลั่นยา นอกจากจะสามารถทำให้ผลการฝึกตนเพิ่มระดับขึ้นอย่างรวดเร็วในตอนที่ได้รับครั้งแรกแล้ว การฝึกตนด้วยกันโดยเปลื้องอาภรณ์ระหว่างหญิงชายยังสามารถดูดซับพลังเสวียนหยินผนึกรวมปราณแท้ ผลดีไม่มีที่สิ้นสุด” หลงหมิงยิ้มกริ่มพลางกล่าว

หลัวซิวไม่ได้สนใจคำพูดเหล่านี้ของหลงหมิง และได้หันกลับไปหาปี้เซียนเสว่ กล่าว: “วิชาสยบวิญญาณของเจ้าข้าไม่อาจถอนได้ แต่ข้าสามารถใช้เคล็ดวิชาบางอย่างแย่งชิงอำนาจในการควบคุมวิชาสยบวิญญาณมา เจ้าคิดเอาเองแล้วกัน”

“จริงหรือ?” คำพูดของหลัวซิว ทำให้ปี้เซียนเสว่เป็นเหมือนดั่งคนจมน้ำที่คว้าฟางเส้นสุดท้ายเอาไว้ได้ “ข้ายินดีให้เจ้าควบคุมวิชาสยบวิญญาณของข้า”

แม้ว่านางจะไม่รู้จักนิสัยของหลัวซิวสักเท่าไร แต่อย่างน้อยในความทรงจำของนางนั้น เขาดีกว่าคนของราชวงศ์ตระกูลฝานหลายเท่า

ยังไงเสียวิชาสยบวิญญาณก็ไม่สามารถถอนได้ แทนที่จะถูกราชวงศ์ตระกูลฝานควบคุมต้องกลายเป็นเตากลั่นยาที่คนอื่นใช้เป็นเครื่องมือในการเพิ่มระดับผลการฝึกตนในไม่ช้าก็เร็ว ไม่สู้ลองเดิมพันสักครั้ง ให้หลัวซิวควบคุมวิชาสยบวิญญาณ ไม่แน่ว่าโชคชะตาอาจจะไม่หดหู่เช่นนั้นก็เป็นได้

“เจ้าแน่ใจหรือว่าจะให้ข้าควบคุมวิชาสยบวิญญาณ?” หลัวซิวถามอีกครั้ง

“ข้ามั่นใจ” ปี้เซียนเสว่ตอบอย่างไม่ลังเล

ในขณะเดียวกันนั้น หลงหมิงก็ได้ใช้ตัวสำนึกส่งเสียง สอนเคล็ดวิชาแย่งชิงอำนาจในการควบคุมวิชาสยบวิญญาณให้กับเขา “เคล็ดวิชาชนิดนี้ทำได้เพียงแย่งชิงอำนาจในการควบคุมวิชาสยบวิญญาณระดับล่าง ถ้าหากวิชาสยบวิญญาณที่ถูกลงในร่างกายของแม่นางน้อยคนนี้เป็นระดับกลางขึ้นไป เคล็ดวิชานี้ก็จะใช้ไม่ได้ผล”

ปี้เซียนเสว่นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น หลัวซิวใช้นิ้วมือหนึ่งนิ้วจิ้มลงไปบนบริเวณจุดกึ่งกลางระหว่างคิ้วของปี้เซียนเสว่ “เจ้าจะเปลี่ยนใจในตอนนี้ก็ยังทัน”

ดวงตาของปี้เซียนเสว่สั่นไหว “รบกวนเจ้าแล้ว”

จากนั้นนางก็หลับตาลง เหมือนกับได้ยอมจำนนแก่ชะตากรรม

เมื่อเห็นว่านางได้ตัดสินใจแล้ว หลัวซิวก็ไม่พูดมากอะไรอีก ตัวสำนึกเข้าไปในตัวหยั่งรู้ของนาง

“ผู้ใดกันที่กล้าแตะต้องวิชาสยบวิญญาณของข้า?”

ในตอนที่หลัวซิวใช้เคล็ดวิชาเพื่อแย่งชิงอำนาจในการควบคุมวิชาสยบวิญญาณนั่นเอง คลื่นพลังตัวสำนึกสายหนึ่งก็ได้ดังลอยมาจากแสงสีทอง

เป็นที่ประจักษ์ ในตอนที่เขาแย่งชิงอำนาจในการควบคุมวิชาสยบวิญญาณ เจ้าของคนเดิมของวิชาสยบวิญญาณได้สัมผัสถึงมันแล้ว

หลัวซิวส่งเสียงหึออกมาหนึ่งครั้ง และแสดงเคล็ดวิชาต่อไป ในเมื่อได้ลงมือแล้วก็ไม่มีทางที่จะหันหลังกลับ ต้องเป็นปรปักษ์กับราชวงศ์ตระกูลฝานแล้วยังไง?

ไม่นานหลังจากนั้น หลัวซิวก็ได้แย่งชิงอำนาจในการควบคุมวิชาสยบวิญญาณมาได้ และได้ทิ้งตราของตนเอาไว้ในแสงที่ของที่เกิดจากวิชาสยบวิญญาณ

เพียงแค่เขาคิด ก็สามารถควบคุมการเป็นตายของปี้เซียนเสว่ได้ตามอำเภอใจ และสำหรับทุกคำสั่งของตน นางล้วนไม่สามารถขัดขืนได้

นี่ก็คือความน่ากลัวของวิชาสยบวิญญาณ นักยุทธ์จำนวนมากยอมที่จะตาย แต่ก็ไม่ยอมที่จะถูกผู้อื่นลงวิชาสยบวิญญาณมา กลายเป็นหุ่นเชิดให้ผู้อื่นควบคุมไปตลอดชีวิต

……

เมืองเทียนหวู ในส่วนลึกของพระราชวังที่ราชวงศ์ตระกูลฝานพำนัก

ตูมมม!

เสียงดังกระหึ่มดังลอยออกมาจากตำหนักหนึ่ง ชายชราในชุดสีทองผู้หนึ่งโกรธจัดจนผมตั้งชัน ลอยตัวออกมาจากตำหนัก ยืนอยู่กลางอากาศ ที่รอบการแผ่ซ่านไปด้วยรัศมีพลังอันทรงพลังของผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์

ที่บริเวณหน้าอกของเขา แขวนตราปรมาจารย์นักค่ายกลขั้น 5 เอาไว้

การเคลื่อนไหวทางด้านนี้ ได้ดึงดูดผู้แข็งแกร่งตระกูลฝานที่อยู่ในวังทันที เงาร่างสายหนึ่งลอยออกมา ซักถามเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

“วิชาสยบวิญญาณถูกถอนเช่นนั้นรึ?”

“มันเป็นไปได้ยังไง วิชาสยบวิญญาณโบราณเป็นเคล็ดวิชาที่ไม่อาจถอนได้ ใครกันที่มีความสามารถเช่นนั้น?”

“นั่นน่ะสิ ร่างแห่งเสวียนหยินเข้าไปในแดนปริศนา ที่ร่วมเดินทางนั้นต่างก็มีผลการฝึกตนที่ต่ำกว่าแดนราชายุทธ์ แค่ผู้ฝึกจิตจะสามารถถอนเคล็ดวิชาโบราณได้อย่างไรกัน?”

“ไปสืบมาให้ข้า รีบส่งคนไปเฝ้าที่ด้านนอกแดนปริศนา สืบที่มาที่ไปของทุกคนที่เข้าไปในแดนปริศนาให้ชัดเจนอีกรอบ!”

เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดความปั่นป่วนไม่น้อยขึ้นในวังตระกูลฝาน ไม่นานก็มีผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์นำทัพ ขับเคลื่อนเรือรบอีกลำของราชวงศ์ตระกูลฝาน ทหารเสือดำนับพันยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือรบไอสังหารแผ่ซ่านไปทั่วร่าง บินมุ่งหน้าไปทางแดนปริศนา

ขณะเดียวกันนั้น ในแดนปริศนา หลัวซิวพาปี้เซียนเสว่เดินมุ่งหน้าต่อไปยังส่วนลึกของแดนปริศนา

หลังจากที่ได้แย่งชิงอำนาจในการควบคุมวิชาสยบวิญญาณตัวหยั่งรู้ของปี้เซียนเสว่มา หลัวซิวก็รู้สึกหนักใจขึ้น

เรื่องตระกูลเหยียนยังไม่ทันคลี่คลาย ตอนนี้ยังได้สร้างปัญหาแคลงใจกับราชวงศ์ตระกูลฝาน ในเวลานี้ราชวงศ์ตระกูลฝานคงได้นำกองกำลังทหารมาปิดล้อมแท่นบูชาค่ายวาร์ปโบราณแห่งนี้ไว้แล้วเป็นแน่

แต่ในเมื่อได้ทำลงไปแล้ว ก็ไม่อาจที่จะหันหลังกลับ หลัวซิวทำได้เพียงสลัดความคิดเหล่านี้ออกไปก่อน พยายามเพิ่มระดับความแข็งแกร่งของตนในตอนที่อยู่ในแดนปริศนาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ถึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในตอนนี้

ตูมมม!

จู่ ๆ ก็มีเสียงระเบิดดังกระหึ่มขึ้น ดึงดูดความสนใจของหลัวซิว นอกจากนี้แล้วเขายังสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังจิตอันแข็งแกร่ง

เขารีบเหยียบลอยไปในอากาศทันที ปี้เซียนเสว่ติดตามอยู่ที่ข้างกายของเขา โดยไม่ห่างไปไหน

ไม่นานหลังจากนั้น ทั้งสองก็ได้มีถึงจุดที่ส่งเสียงระเบิด ที่แห่งนี้เป็นแอ่งเตี้ย ๆ ที่มีขอบเขตไม่ใหญ่สักเท่าไร ปรมาจารย์ฝึกจิตของกองกำลังต่าง ๆ ราวยี่สิบกว่าคนรวมตัวกันอยู่ที่นี่ มีบางคนที่กำลังต่อสู้อย่างดุเดือด และมีบางคนที่กำลังขุดหลุมอยู่ในแอ่งเตี้ย ๆ เหมือนกำลังหาอะไรบางอย่าง กระแสสัมผัสของตัวสำนึกแพร่กระจายออกไป หลัวซิมพบว่ามีปราณหยินอยู่ในแอ่งเตี้ย ๆ แห่งนี้อย่างหนาแน่น บางทีอาจจะมีสมบัติบางอย่างอยู่จริง ๆ

ทันใดนั้น ตัวสำนึกของหลัวซิวก็สังเกตเห็นปรมาจารย์ฝึกจิตผู้หนึ่งได้ขุดเอาหินแก้วดำขนาดเท่าเล็บมือออกมาจากดินโคลน แผ่ซ่านพลังหยินสุดขั้วที่บริสุทธิ์ออกมา

“หินหยิน?” หินแก้วดำที่อยู่ในมือของอีกฝ่ายนั้น ทำให้รู้ม่านตาของหลัวซิวหดลงเล็กน้อย

ตอนที่อยู่หุบเขากุ่ยอินในเทือกเขากวนเหลยในตอนนั้น หลัวซิวเคยได้หินหยินมาก้อนหนึ่ง เป็นธรรมดาที่จะคุ้นเคยกับกลิ่นอายเช่นนี้ เพียงแต่หินหยินที่ปรมาจารย์ฝึกจิตคนนั้นขุดออกมา เล็กกว่าที่เขาได้รับในตอนนั้นมาก

แม้ว่าจะมีขนาดเล็ก แต่ก็มีปริมาณมาก มีบางคนถึงกับขุดเจอสายแร่หินหยิน เก็บเอาหินหยินหลายร้อยนับพันก้อนเข้าไปในแหวนเก็บของ

ถึงขนาดที่ว่า หลัวซิวสัมผัสได้ถึงพลังที่หนาแน่บริสุทธิ์ยิ่งกว่าหินหยินที่เข้าได้มาจากหุบเขากุ่ยอินก้อนนั้นเสียอีก เห็นได้ชัดว่าคุณภาพของหินหยินนั้นสูงยิ่งกว่า

 

 

 

บทที่ 248 หยวนหยินของร่างแห่งเสวียนหยิน

 

นางมีท่าทางครุ่นคิด ค่อนข้างจะลังเล รู้ว่าหลัวซิวได้เริ่มสงสัยตนแล้ว

“สองคนเมื่อสักครู่นั้นเป็นศิษย์ราชวงศ์ตระกูลฝาน พวกมันคิดไม่ดีกับข้า เพราะข้าคือร่างแห่งเสวียนหยิน พวกมันต้องการใช้หยวนหยินเพื่อช่วยในการบรรลุ” ปี้เซียนเสว่กัดฟันกล่าว

“ร่างแห่งเสวียนหยิน?” หลัวซิวยักคิ้วขึ้น มีท่าทางประหลาดใจ คิดไม่ถึงว่าปี้เซียนเสว่คนนี้จะมีร่างพรสวรรค์พิเศษชนิดหนึ่ง

ฮู๋ชิงชิงที่หลัวซิวได้พบที่เทือกเขาจิ่วเฟิงในตอนนั้นคือร่างอสูรฟ้าซึ่งเป็นหนึ่งในร่างพรสวรรค์พิเศษ มีเสน่ห์ดึงดูดบางอย่างที่มีมาตั้งแต่กำเนิด สามารถทำให้นักยุทธ์สูญเสียสติสัมปชัญญะ เกิดความปรารถนา หรือถูกร่างอสูรฟ้าควบคุม กลายเป็นทาสรับใช้

ร่างแห่งเสวียนหยิน ในร่างพรสวรรค์นั้นเป็นร่างพิเศษที่มีพลังเสวียนหยินปะปนอยู่ ทำให้การฝึกฝนเคล็ดวิชา Attr หยินก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว และพลังเสวียนหยินที่ฝึกฝนออกมานั้น จะแข็งแกร่งกว่านักยุทธ์ที่อยู่ในแดนเดียวกันอีกมาก

และร่างแห่งเสวียนหยินกับร่างอสูรฟ้านั้นมีจุดที่เหมือนกันอยู่หนึ่งอย่าง นั่นก็คือถ้าหากถูกคนแย่งเอาหยวนหยินไป ก็จะสามารถเพิ่มระดับผลการฝึกตนได้ พูดได้ว่าเป็นสุดยอดเตากลั่นยาของการฝึกตนด้วยกันโดยเปลื้องอาภรณ์ระหว่างหญิงชาย

นอกจากนี้ในร่างพรสวรรค์พิเศษ ร่างอสูรฟ้าและร่างแห่งเสวียนหยินล้วนหาได้ยาก ส่วนหลัวซิวนั้นแค่ในระยะเวลาสั้น ๆ เพียงปีกว่า ก็สามารถพบได้ทั้งสองร่าง

ผู้ที่มีร่างพรสวรรค์พิเศษ เรียกได้ว่าเป็นบุตรที่รักของฟ้าดิน สามารถฝึกตนได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นปี้เซียนเสว่อายุเพียงสิบเก้า ก็สามารถฝึกตนมาจนถึงแดนฝึกจิตขั้น 4 ได้

หลังจากที่ได้บอกออกมาว่าตนเองนั้นเป็นร่างแห่งเสวียนหยิน ปี้เซียนเสว่ก็มีสีหน้าท่าทางค่อนข้างประหม่า กังวลว่าถ้าหากหลัวซิวคิดจะแย่งหยวนหยินของตนไปละก็ ตนคงไม่อาจต้านทานได้เป็นแน่

“ในเมื่อเจ้าเป็นร่างแห่งเสวียนหยิน เช่นนั้นความสามารถของเจ้าก็เพียงพอที่จะต่อกรกับผู้ฝึกจิตขั้น 6 ถึงจะถูก ทำไมภถึงยังได้รับบาดเจ็บ และยังถูกขวางเอาไว้ในหุบเขาเล็ก ๆ แห่งนี้?” หลัวซิวถามด้วยความสงสัยอีกครั้ง

ปี้เซียนเสว่เหลือบมองหลัวซิว พบว่าในสายตาของเขาไม่มีความละโมบที่อยากจะได้หยวนหยินของตนไป มันทำให้นางวางใจลงไม่น้อย จึงกล่าวอธิบาย: “สาเหตุที่ข้าไม่สามารถขัดขืนได้ เป็นเพราะในร่างกายของข้ามีกฎข้อห้าม”

ในตอนที่พูดประโยคนี้ สีหน้าท่าทางของปี้เซียนเสว่ดูหม่นหมอง มีรอยยิ้มอันขมขื่นอยู่ที่มุมปาก

“ในตอนที่ข้าอายุหกขวบถูกพบว่าเป็นร่างแห่งเสวียนหยิน จากนั้นก็ถูกรับตัวไปที่วิทยาลัยพระวงศ์ ราชวงศ์ตระกูลฝานเพื่อที่จะควบคุมข้า จึงได้ลงวิชาสยบวิญญาณเอาไว้ในร่างกายของข้า ภายใต้การกักขังควบคุมของวิชาสยบวิญญาณ ข้าไม่สามารถลงมือกับศิษย์ราชวงศ์ตระกูลฝานได้ ไม่เช่นนั้นก็จะถูกวิชาสยบวิญญาณผนึกผลการฝึกตนเอาไว้ไม่สามารถขัดขืนได้เลยสักนิด”

ตามที่ปี้เซียนเสว่ได้กล่าวมานั้น เป็นเพราะวิชาสยบวิญญาณ ศิษย์ราชวงศ์ตระกูลฝานสองคนนั้นถึงได้กล้าย่ำยีนางโดยไม่เกรงกลัวใด ๆ และไม่กลัวว่านางจะขัดขืนเลยสักนิด

ถ้าหากบอกกว่าโชคชะตาที่ถูกวิชาสยบวิญญาณควบคุมนั้นนับว่าน่าหดหู่ใจมากแล้ว สิ่งที่ปี้เซียนเสว่พูดในเวลาต่อมา ได้ทำให้ภายในใจของหลัวซิวเต็มไปด้วยความรังเกียจและดูถูกที่มีต่อราชวงศ์ตระกูลฝาน

“ศิษย์ราชวงศ์ตระกูลฝานสองคนที่คิดจะย่ำยีข้าในเมื่อครู่นั้นได้กล่าวว่า ผู้อาวุโสของตระกูลฝานได้บอกกับพวกมันว่า หลังจากที่เข้ามาในแดนปริศนา ผู้ใดสามารถจับนางได้ ผู้นั้นก็จะได้รับหยวนหยินของนาง ผลการฝึกตนเลื่อนขั้นอย่างก้าวกระโดด”

การกระทำเช่นนี้ของตระกูลฝาน เห็นได้ชัดว่าใช้นางเป็นรางวัลอย่างหนึ่งที่กระตุ้นให้ศิษย์ภายในตระกูลแข่งขันกันเอง

และนี่ก็คือความมืดมนและโหดร้ายในโลกยุทธ์ ผู้แข็งแกร่งควบคุมโชคชะตาของผู้อ่อนแอ แม้แต่ร่างแห่งเสวียนหยินที่มีกำลังแฝงค่อนข้างสูงอย่างปี้เซียนเสว่ ยังถูกราชวงศ์ตระกูลฝานลงวิชาสยบวิญญาณควบคุมเอาไว้ เป็นตายไม่สามารถกำหนดเองได้

หลัวซิวอดที่จะคิดไม่ได้ว่า หนานหรงชินหวาง ผู้นั้นเป็นตัวแทนราชวงศ์ชักชวนตนเองเมื่อตนตอบตกลง ไม่แน่ว่าอาจจะต้องถูกราชวงศ์ตระกูลฝานหาโอกาสลงวิชาสยบวิญญาณและควบคุมเขาโดยสิ้นเชิงก็เป็นได้

“สารเลว ราชวงศ์ตระกูลฝานช่างเลวทรามต่ำช้าเสียจริง” หลัวซิวยิ่งคิดยิ่งดูน่าเกรงขาม

วิชาสยบวิญญาณ เป็นเคล็ดว่าชาโบราณอย่างหนึ่ง ใส่ข้อห้ามลงไปในวิญญาณหยั่งรู้ของฝ่ายตรงข้าม ควบคุมการเป็นตายของอีกฝ่าย

ครั้งแรกที่เข้าไปในแดนนานาอสูรในตอนนั้น เหยียนเยว่เอ๋อร์ก็เคยใช้วิชาสยบวิญญาณควบคุมจอมยุทธ์พรสวรรค์หลายคน

ยกตัวอย่างเช่นหลัวซิวได้ลงตราสำนึกเข้าไปในตัวหยั่งรู้ของหลงหมิง นับเป็นเพียงวิชาสยบวิญญาณแบบง่าย ๆ เท่านั้น สาเหตุหลักเป็นเพราะผลการฝึกตนของเขาไม่สูง ตัวสำนึกไม่เพียงพอลงวิชาสยบวิญญาณ

นอกจากนี้แล้ววิชาสยบวิญญาณก็แบ่งออกเป็นหลายชนิด ยิ่งเป็นวิชาสยบวิญญาณที่ล้ำลึกซับซ้อน เมื่อถูกลงวิชา ก็ยิ่งยากที่จะถอนได้

ปกติแล้ววิชาสยบวิญญาณจะแบ่งออกเป็นสี่ระดับ วิชาสยบวิญญาณระดับล่าง วิชาสยบวิญญาณระดับกลาง วิชาสยบวิญญาณระดับสูง วิชาสยบวิญญาณขั้นสุดยอด

และต่อให้เป็นวิชาสยบวิญญาณระดับล่างสุด ก็จะต้องเป็นผู้ที่มีผลการฝึกตนในแดนจักรพรรดิยุทธ์ถึงจะสามารถหลุดพ้นได้

“ในสมัยโบราณ วิชาสยบวิญญาณระดับสูงสามารถควบคุมได้แม้กระทั่งความเป็นตายของผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์” สำหรับเคล็ดวิชาโบราณอย่างวิชาสยบวิญญาณ เห็นได้ชัดว่าหลงหมิงนั้นรู้มากกว่า

ตัวสำนึกของหลัวซิวสำรวจเข้าไปในตัวหยั่งรู้ของปี้เซียนเสว่ วิญญาณของนางถูกลำแสงสีทองครอบคลุมเอาไว้ เป็นเหมือนดั่งคุก เป็นตายไม่สามารถกำหนดได้ด้วยตัวเอง

สำหรับการอธิบายของปี้เซียนเสว่ หลัวซิวเชื่ออยู่เจ็ดแปดส่วน

ต่อให้เป็นเช่นนี้ หลัวซิวก็ไม่ได้รับปากที่จะตามหาสมบัติภายในแดนปริศนาไปพร้อมกันกับปี้เซียนเสว่

นางและตนไม่ใช่ญาติสนิทมิตรสหายกัน ถ้าหากพานางไปด้วย ศิษย์ตระกูลฝานที่เห็นนางเป็นเหยื่อรางวัลพวกนั้น จะต้องเกิดการปะทะกับตนเป็นแน่

นอกเสียจากว่าเขาจะสามารถสังหารศิษย์ตระกูลฝานและผู้ที่รู้ลับลมคมในที่เข้ามาในแดนปริศนาได้จนหมด ไม่เช่นนั้นละก็หลังกลับออกไปจากแดนปริศนา เขาจักต้องเผชิญหน้ากับความพิโรธจากผู้แข็งแกร่งของราชวงศ์ตระกูลฝานเป็นแน่

ในฐานะตระกูลราชวงศ์ที่แข็งแกร่งที่สุดของประเทศเทียนหวู ภูมิหลังของตระกูลฝานสืบทอดกันมานับพันปี ต่อต้านโดยอาศัยพลังของเขา ก็เหมือนกับเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุง

และต่อให้ตนสามารถปกป้องนางชั่วขณะ ตราบใดที่ไม่สามารถถอนวิชาสยบวิญญาณที่อยู่ในตัวหยั่งรู้ของนางได้ หลังจากที่ออกไปจากแดนปริศนา ก็ยังคงจะต้องถูกคนตระกูลฝานควบคุมอยู่ดี

ปี้เซียนเสว่เห็นหลัวซิวขมวดคิ้ว ใบหน้างดงามก็ซีดเซียงลงไปทันที นางรู้ดีว่าหากไม่ได้รับการคุ้มครองจากหลัวซิว ทันทีที่ตนได้พบกับศิษย์ตระกูลฝาน ก็จะต้องเป็นเหมือนดั่งลูกแพะที่รอถูกเชือด ให้คนเข่นฆ่าตามอำเภอใจ

นางกัดริมฝีปากแดง “หลัวซิว ถ้าหากเจ้ารับปากคุ้มครองข้า แทนที่ต้องจะถูกศิษย์ตระกูลฝานพวกนั้นย่ำยี ข้ายินยอมที่จะมอบหยวนหยินให้เจ้า”

สำหรับปี้เซียนเสว่แล้ว หยวนหยินของร่างแห่งเสวียนหยิน เป็นเบี้ยเพียงหนึ่งเดียวที่นางสามารถใช้ประโยชน์ได้

เมื่อหลัวซิวได้ยินดังนั้น ก็หลุดหัวเราะออกมา แม้ว่าการได้รับหยวนหยินของร่างแห่งเสวียนหยินนั้นจะมีผลดีต่อเขาเป็นอย่างมาก แต่เขาไม่ใช่คนฉวยโอกาสเช่นนั้น

นอกจากนี้ฮู๋ชิงชิงในตอนนั้นก็เป็นร่างอสูรฟ้า เทพแห่งวัฏจักรชีวิตก็กล่อมให้เขาแย่งชิงหยวนหยินของอีกฝ่ายแต่ตนก็ไม่ได้ตกลง

“ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากพาเจ้าไปด้วย ศิษย์ตระกูลฝานพวกนั้นไม่ได้เป็นอันตรายอะไรต่อข้า ประเด็นหลักก็คือถ้าหากไม่สามารถถอนวิชาสยบวิญญาณของเจ้าได้ ก็จะไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่มีอยู่บนตัวของเจ้าโดยสิ้นเชิงได้” หลัวซิวกล่าว

“แล้วจะทำอย่างไรดี……” นางมีท่าทางเหม่อลอย ดูไร้ที่พึ่งและน่าสงสาร นึกถึงชะตาอันน่าหดหู่ของตนนับจากวันนี้ไป หยดน้ำตาก็ได้ไหลออกมาจากเบ้าตา

นางอยากตาย แต่เป็นเพราะวิชาสยบวิญญาณที่มีอยู่ ทำให้นางอยากจะตายก็ตายไม่ได้

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 247 ช่วยคน

 

พลัวะ!

เลือดสด ๆ พุ่งกระฉูด ศีรษะลอยขึ้น ปรมาจารย์ฝึกจิตขั้น 9 ตาย!

ผู้คนที่อยู่บริเวณโดยรอบปากอ้าตาค้าง นั่นเป็นปรมาจารย์โลกยุทธ์แดนฝึกจิตขั้น 9 เชียวนะ ถูกฆ่าตายง่าย ๆ แบบนี้เลยรึ?

หลัวซิวบินลอยจากไปในอากาศ ผู้คนที่อยู่ตรงนั้นต่างไม่รู้ว่าน้ำแร่วิญญาณอยู่ในมือของเขา แม้ว่าจะมีคนสงสัย แต่การสังหารปรมาจารย์โลกยุทธ์ในเมื่อสักครู่นั้นมันน่าหวาดกลัวจนเกินไป เลยไม่กล้าพูดอะไรแม้แต่คำเดียว

หลังจากที่หลัวซิวจากไป นักยุทธ์สิบกว่าคนที่เหลืออยู่ ได้ทะเลาะกันขึ้นมาอีกครั้งเพราะน้ำแร่วิญญาณที่หายไป และค่อย ๆ หนักขึ้นจนกลายเป็นลงไม้ลงมือ

อันที่จริงหลังจากที่ได้ใช้ตราธรรมจุติมรณะออกมา พลังจิตแท้ทั้งหมดบนร่างกายของหลัวซิวถูกใช้ไปถึงเก้าส่วน ยังดีที่ให้ผลลัพธ์มากพอที่จะสยบได้ ทำให้ผู้คนที่อยู่ตรงนั้นไม่กล้าเข้ามาขัดขวางเขา

……

“กลั่นยาวิญญาณหยินหยางเม็ดหนึ่ง ต้องการให้ได้ฤทธิ์ยาที่ดีที่สุด จะต้องใช้น้ำแร่วิญญาณห้าหยด”

แม้ว่าจะได้น้ำแร่วิญญาณมาสามหยดแล้ว แต่สำหรับหลัวซิวนั้นมันยังไม่พอ

ในทางทฤษฎี น้ำแร่วิญญาณสองหยดก็สามารถกลั่นยาวิญญาณหยินหยางได้ ทว่าอัตราความสำเร็จในการกลั่นยานั้นก็จะลดลง นอกจากนี้ฤทธิ์ของยาที่ได้ก็จะอ่อนแอลง

ในเมื่อเขาต้องการกลั่นยาวิญญาณหยินหยางให้กับเหยียนเยว่เอ๋อร์ เป็นธรรมดาที่ต้องพยายามอย่างเต็มเพื่อกลั่นให้ได้ยาที่ดีที่สุด นอกจากนี้เขายังได้ให้สัญญากับชิวลั่วสุ่ยว่า จะช่วยหาน้ำแร่วิญญาณไปให้นางด้วย

ปริภูมิในแดนปริศนานั้นกว้างขวางเป็นพิเศษ เป็นไปไม่ได้ที่จะมีน้ำแร่วิญญาณอยู่เพียงแห่งเดียว หลัวซิวเตรียมที่จะตามหาต่อไป

นอกจากนี้ น้ำแร่วิญญาณได้แฝงไปด้วยพลังหยินสุดขั้วที่บริสุทธิ์ ถ้าหากใช้วรยุทธ์ที่พัฒนามาจากวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพกลั่นแปร จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการเพิ่มระดับผลการฝึกตนของเขา

ของดีแบบนี้ แน่นอนว่ายิ่งมากยิ่งดี

โบยบินไปในอากาศ มีวิญญาณปรากฏออกมาโจมตีเป็นบางครั้ง ต่างก็ต้องถูกหลัวซิวใช้เพลิงมรณะกลืนกินและกลั่นแปร ผลการฝึกคนเลื่อนระดับขึ้นอยู่ไม่หยุด

สามวันต่อมา เขาได้กลืนกินและกลั่นแปรวิญญาณไปหลายสิบตนแล้ว พลังจิตแท้สองระดับความเป็นตายในร่างกายทั้งทรงพลังและบริสุทธิ์ มีพลานุภาพเหมือนดั่งคลื่นที่ซัดสาดในทะเลใหญ่ พลังจิตแท้ทุกเส้นสายล้วนจับตัวกันเป็นรูปมังกรอยู่ในจุดตันเถียนชี่ไห่มีพลังกดทับมหาศาลแผ่ซ่านออกมาโดยไม่รู้ตัว

นี่เป็นวันที่สี่ของการเข้ามาในแดนปริศนาแล้ว ผลการฝึกตนของเขาจากฝึกจิตขั้น 5 ได้บรรลุ

ถึงฝึกจิตขั้น 6 แล้ว และยังคงก้าวไปสู่ฝึกจิตขั้น 7 อยู่ไม่หยุด พูดได้ว่าผลพวงที่ได้ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์

“สมกับที่เป็นแดนปริศนาที่กองกำลังใหญ่สมัยโบราณทิ้งเอาไว้จริง ๆ หลังจากที่ผ่านไปร้อยวัน ความสามารถของข้าจะต้องเปลี่ยนแปลงไปมากอย่างแน่นอน!” ภายในใจของหลัวซิวเต็มไปด้วยการคาดหวัง

ทันใดนั้น ตัวสำนึกของหลัวซิวก็ได้สัมผัสถึงกลิ่นอายของนักยุทธ์ เขาเพ่งตามองไป พบเขากับเงาร่างของหญิงสาวนางหนึ่ง เป็นปี้เซียนเสว่นั่นเอง

องค์กรนักล่ายุทธ์มีสมาชิกพรสวรรค์ทั้งหมดสี่คนที่ได้เข้ามาในแดนปริศนา ปี้เซียนเสว่ก็คือหนึ่งในนั้น ความรู้สึกที่ให้ต่อหลัวซิวนับว่าไม่เลวนัก

ทว่าปี้เซียนเสว่ในตอนนี้นั้นได้เผชิญหน้ากับอันตราย ใบหน้างดงามของนางซีดเซียว ได้รับบาดเจ็บไปแล้ว ถูกนักยุทธ์ฝึกจิตขั้น 6 สองคนขวางเอาไว้ในหุบเขาเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง

และชุดของนากได้ถูกฉีกออกไปเป็นบริเวณกว้าง ปรากฏให้เห็นผิวขาวราวหิมะ ส่วนยุทธ์ฝึกจิตขั้น 6 สองคนนั้นกำลังยิ้มอย่างลามก และพูดจาหยาบคาย

หลัวซิวพลันขยับตัว ไม่นานก็ได้มาถึงบริเวณด้านบนของหุบเขาเล็ก ๆ แห่งนั้น เขาก้มมองลงไปด้านล่าง พบว่าปี้เซียนเสว่น้ำตาคลอเบ้า บนใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

“หลัวซิว? ……” ปี้เซียนเสว่สังเกตเห็นเงาร่างที่ปรากฏขึ้นในอากาศ พลันมีสีหน้าท่าทางดีใจขึ้นมาทันที และร้องตะโกนออกมาอย่างร้อนรน: “ช่วยข้าที”

นางรู้ว่าฝีมือของหลัวซิวแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก จัดการกับนักยุทธ์ฝึกจิตขั้น 6 สองคนนั้นง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก

“เจ้าหนุ่ม เจ้าเป็นตัวอะไร ถึงได้กล้าทำให้ท่านปู่ของเจ้าเสียเรื่อง”

นักยุทธ์ฝึกจิตขั้น 6 ผู้หนึ่งตวาดขึ้นด้วยความโมโห ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้ากระโจนเข้าหาหลัวซิว

หลัวซิวยกมือขึ้นมาและฟันออกไปหนึ่งครั้ง ไอสังหารที่น่าหวาดกลัวแผ่ซ่านออกมาอย่างกำเริบ ราวกับปลายกระบี่ที่แหลมคม แทงเข้าไปในวิญญาณหยั่งรู้ของอีกฝ่าย

“อ้ากกก!” ตัวหยั่งรู้ของนักยุทธ์ฝึกจิตขั้น 6 ที่กระโจนเข้ามาผู้นั้นร้องโอดครวญออกมาด้วยความเจ็บปวด

เมื่อนักยุทธ์ฝึกจิตขั้น 6 อีกคนได้เห็นสถานการณ์ตรงหน้า ก็ตกใจหน้าถอดสีไปทันที รู้ดีว่าเจ้าหนุ่มที่น่าหวาดกลัวอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ผู้นี้ ตนไม่ใช่คู่ต่อสู้อย่างแน่นอน

ด้วยเหตุนี้ในวินาทีที่เพื่อนผู้ร่วมทางถูกสังหาร เขาก็รีบลอยตัวหนีไปทันที ร้อนรนเหมือนดั่งสุนัขหลงทาง

ฮึ่มมม!

ปราณกระบี่เพลิงทมิฬในรูปมังกรสายนึ่งตามไปในทันที ชั่ววินาที ก็ได้กลืนกินนักยุทธ์ฝึกจิตขั้น 6 ที่หนีไปผู้นั้น ร่างกลายเป็นเถ้าธุลีภายใต้เพลิงมรณะ

“หลัวซิว ขอบคุณเจ้ามาก ถ้าหากไม่ใช่เพราะจ้าปรากฏตัวได้ทันเวลา ข้า……” บนใบหน้าที่ซีดเซียวของปี้เซียนเสว่ปรากฏแววหวาดกลัวขึ้นมา ถึงยังไงนางก็เป็นเพียงหญิงสาวในวัยประมาณยี่สิบเท่านั้นเอง

“อาศัยความสามารถของเจ้า ต่อให้อีกฝ่ายเป็นผู้ฝึกจิตขั้น 6 สองคน แม้ว่าจะสู้ไม่ได้แต่ก็สามารถหนีไปได้ถึงจะถูก” หลัวซิวเหลือบมองปี้เซียนเสว่ และเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“หา……” ปี้เซียนเสว่ชะงักไป เห็นได้ชัดว่าคิดไม่ถึงว่าหลัวซิวจะถามคำถามเช่นนี้

“สามารถทำให้องค์กรนักล่ายุทธ์รับเข้าเป็นสมาชิกพรสวรรค์ได้ จากที่ข้าทราบมา ปีนี้เจ้าอายุสิบเก้า ผลการฝึกตนอยู่ที่ฝึกจิตขั้น 4 ระดับสิทธิพรสวรรค์อยู่ที่ขั้นเหลืองระดับสูงสูง

นอกจากนี้แล้วเจ้ายังเป็นนักเรียนของวิทยาลัยพระวงศ์ เป็นอัจฉริยะที่ได้รับการให้ความสำคัญในการปลูกฝังจากราชวงศ์ตระกูลฝาน เป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะไม่มีสมบัติที่ใช้ในการเอาตัวรอดอยู่ในมือ ถ้าหากข้าพูดไม่ผิดละก็ ต่อให้ข้าไม่ปรากฏตัว ผู้ฝึกจิตขั้น 6 สองคนนั้นก็ไม่สามารถทำอะไรเจ้าได้ถึงจะถูก”

หลัวซิวหรี่ตา กล่าวพลางพิจารณาปี้เซียนเสว่ เขารู้สึกว่าสตรีนางนี้มีอะไรบางอย่างผิดปกติ

เมื่อได้ยินหลัวซิวกล่าวเช่นนี้ ในดวงตาของปี้เซียนเสว่ก็ได้ปรากฏแววลนลานขึ้นมาเล็กน้อย แต่ไม่นานก็กลับเป็นปกติ ยังคงมีท่าทางน่าสงสารอยู่เหมือนเดิม นางกล่าวอย่างอ่อนแรง: “ข้าฝึกตนมาโดยตลอดน้อยมากที่จะออกมาหาประสบการณ์ด้านนอก แม้ว่าผลการฝึกตนจะไม่ด้อยนักและพอมีสมบัติอยู่บ้าง แต่ฝีมือนั้นค่อนข้างจะอ่อนแอ”

การอธิบายเช่นนี้ของนางก็ค่อนข้างสมเหตุสมผล ถึงยังไงนางอายุเพียงสิบเก้าก็ฝึกตนมาจนถึงแดนฝึกจิตขั้น 4 จะต้องใช้เวลาส่วนมากในการฝึกตนเพื่อเพิ่มระดับผลการฝึกตนอย่างแน่นอน ขาดประสบการณ์ ความสามารถในการสู้จริงไม่ค่อยจะดี ก็สมเหตุสมผล

หลัวซิวกลับไม่เชื่อคำอธิบายเช่นนี้ เพราะเขาทราบดีว่า อัจฉริยะที่องค์กรนักล่ายุทธ์และราชวงศ์ตระกูลฝานให้ความสำคัญในการปลูกฝังนั้น จะต้องให้ความใส่ใจต่อการฝึกฝนอย่างแน่นอน นอกจากนี้ในตอนที่เผชิญหน้ากับศิษย์ตำหนักจื่อ การแสดงออกของปี้เซียนเสว่ในตอนนั้น ไม่เหมือนกับคนที่ขาดประสบการณ์ ในทางกลับกันกลับขึ้นข้างสงบนิ่ง

เป็นที่ประจักษ์ ปี้เซียนเสว่มีความลับบางอย่างที่ไม่ยอมพูดออกมา หลัวซิวเองก็ไม่มีความคิดที่จะไปสืบเสาะสอบถามความลับของอีกฝ่าย

“ในเมื่อเจ้าไม่เป็นอะไรแล้ว ข้าก็ขอตัวก่อน”

หลัวซิวกล่าวอย่างเรียบ ๆ จากนั้นก็เก็บเอาแหวนเก็บของของนักยุทธ์ฝึกจิตขั้น 6 ทั้งสองคนนั้นลง และกำลังจะหันหลังจากไป

พบว่าหลัวซิวไม่มีท่าทีที่จะซักถามปัญหานี้อีกต่อไป ปี้เซียนเสว่ก็วางใจลงเล็กน้อย เห็นว่าหลัวซิวกำลังจะจากไป นางก็รีบเอ่ยขึ้นมา: “ข้าไปกับเจ้าด้วยได้ไหม? หัวหน้าแก๊งหยวนเฉิงเคยบอกไว้ว่าหลังจากที่พวกเราเข้ามาในแดนปริศนาจะต้องพึ่งพาช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ความสามารถของข้าค่อนข้างต่ำ เคลื่อนไหวเพียงลำพังนั้นอันตรายเกินไป”

ได้ยินดังนั้น หลัวซิวก็หันไปทางปี้เซียนเสว่ ขมวดคิ้ว กล่าว: “การแสดงออกของเจ้าเมื่อสักครู่นั้นดูแปลกมาก ถ้าหากไม่สามารถให้คำอธิบายที่สมเหตุสมผลได้ ข้าไม่มีทางที่จะให้คนที่ข้าไม่รู้จักดีพอคอยติดตามอยู่ข้างกายข้า”

อันที่จริงแล้วมีอีกประโยคหนึ่งที่หลัวซิวไม่ได้กล่าวออกมา นั่นก็คือถ้าหากพบกับอันตราย ถ้ากลัวว่าเจ้าก็ถือโอกาสซ้ำเติม แต่ว่าถ้าหากพูดออกไปแบบนี้มันไม่ค่อยน่าฟังสักเท่าไหร่

แต่ปี้เซียนเสว่ก็พอจะฟังความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของหลัวซิวออกได้

 

 

 

 

 

บทที่ 246 แย่งชิงน้ำแร่วิญญาณ

 

ภาพนี้เมื่อตกอยู่ในสายตาของนักยุทธ์ที่อยู่ด้านหลัง เพียงรู้สึกขนหัวลุก มีวีรบุรุษคนรุ่นใหม่อีกคนถูกหนวดนั่นรัดเอาไว้ และกลายเป็นน้ำแข็งไปในทันที แล้วหนวดอีกเส้นก็ได้ฟาดเข้ามา ร่างแตกสลายสิ้นลมหลาย

หนวดสีดำเหล่านี้มีทั้งหมดนับสิบเส้น ซึ่งได้กลายรูปมาจากการรวมตัวของปราณหยินในวิชาห้ามค่ายกล ทันทีที่มีคนคิดจะบุกเข้ามาในหลุมลึกเพื่อเก็บเอาน้ำแร่วิญญาณ วิชาห้ามค่ายกลก็จะถูกกระตุ้นให้ทำงานทันที

โอกาสและวิกฤตมักอยู่รวมกัน นี่เป็นสิ่งที่ยอมรับร่วมกันระหว่างนักยุทธ์ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าอันตราย แต่เพื่อโอกาสในการค้นพบสมบัติ ก็ยังมีผู้คนมากมายที่รุดหน้าไปโดยไม่เกรงกลัวต่ออุปสรรคใด ๆ ไม่ห่วงใยความปลอดภัยของตนเอง

หนวดสีดำนับสิบสายเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว แต่เพียงแค่ระมัดระวังสักหน่อย ตัวสำนึกคอยระวังให้มากหน่อยก็สามารถหลบพ้นได้

ปรมาจารย์ฝึกจิตขั้น 8 ที่มีผลการฝึกตนสูงที่สุดผู้นั้นเคลื่อนไหวเร็วที่สุด ใช้ท่าร่างที่งดงามบุกผ่านการปิดขั้นของหนวดสีดำนับสิบสายนั่นมาได้ แล้วยื่นมือคว้าไปทางที่น้ำแร่วิญญาณทั้งสามหยดลอยอยู่

ทว่าในตอนนี้เอง หนวดสีดำนับสิบสายก็ได้โจมตีเข้ามาทางด้านหลังของเขา

แต่ปรมาจารย์ฝึกจิตขั้น 8 ผู้นี้ก็ได้มีการป้องกันอยู่แต่แรกแล้ว เขาขยี้ยันต์ขั้น 5 ในทันที กลายเป็นเกราะป้องกันม่านแสง คุ้มกันร่างของเขาเอาไว้

ส่วนคนอื่น ๆ ที่ตามมาด้านหลังนั้นเป็นธรรมดาที่จะไม่มองดูน้ำแร่วิญญาณถูกแย่งไปโดยไม่ทำอะไรเลย แต่ละคนต่างนำอาวุธยุทธ์ของตนออกมา และโจมตีเข้าไปหาเขา

“สารเลว!”

ปรมาจารย์ฝึกจิตขั้น 8 ผู้นั้นมีท่าทางโมโหขึ้นมา แม้ว่าพลังการป้องกันของยันต์ขั้น 5 จะแข็งแกร่ง แต่การโจมตีจากวีรบุรุษคนรุ่นใหม่หลายคนบวกกับหนวดสีดำพวกนั้น กลับมีแรงกระแทกอันมหาศาล กระแทกจนเขาลอยตัวออกไป

ในตอนที่ถูกกระแทกลอยออกไปนั่นเอง มือของเขาอยู่ห่างจากน้ำแร่วิญญาณ เพียงแค่อีกนิดเดียวเท่านั้นเอง!

คนอื่น ๆ เห็นเช่นนั้นต่างก็แย่งกันบุกเข้าไปด้านหน้า เพื่อแย่งชิงน้ำแร่วิญญาณ

สถานการณ์อลหม่านวุ่นวาย และในตอนนี้เอง น้ำแร่วิญญาณทั้งสามหยดก็ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย

สวบบบ!

ลำแสงสีเงินที่เลือนรางสายหนึ่งพุ่งลอยเข้ามายังด้านหน้าของหลัวซิว หลงหมิงอ้าปากแล้วคลาย น้ำแร่วิญญาณทั้งสามหยดได้ลอยออกมา

สามารถขโมยเอาน้ำแร่วิญญาณมาอย่างเงียบ ๆ เช่นนี้ได้ แน่นอนว่าต้องเป็นมังกรไร้ร่างที่ตัวสำนึกของปรมาจารย์ฝึกจิตไม่อาจพบเห็นได้

มังกรไร้ร่าง ไปมาอย่างไร้ร่องรอย ค้นหาสมบัติไปตามสถานที่อันตรายต่าง ๆ นานา พูดได้ว่าเป็นเรื่องปกติ

หลัวซิวไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการแย่งชิงในหลุมลึก แต่ได้ให้หลงหมิงย่องเข้าไปใกล้ ๆ ตั้งแต่ในตอนแรกแล้ว มันรวมตัวเป็นหนึ่งเดียวกับปริภูมิ สามารถผ่านวิชาห้ามค่ายกลที่อยู่ใกล้ ๆ ไปได้ โดยที่ไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ เลย

ในเมื่อได้น้ำแร่วิญญาณมาครอบครองแล้ว หลัวซิวก็หมุนตัวจากไปในทันที ทว่ายังไม่ทันได้จากไปไกลเท่าไรนัก คนสามคนก็ได้ขวางทางของเขาเอาไว้

สามคนนี้ มีฝึกจิตขั้น 7 สองคน และอีกหนึ่งคนคือฝึกจิตขั้น 9

แดนปริศนาไม่เหมือนกับหอคอยมังกรบิน เพียงแค่กำหนดว่าต้องอยู่ภายใต้แดนราชายุทธ์ลงมา แต่ไม่ได้กำหนดอายุ

เพียงแค่แต่ละกองกำลังต่างมุ่งเน้นปลูกฝังคนรุ่นใหม่ ดังนั้นคนที่ถูกส่งมาล้วนเป็นวีรบุรุษคนรุ่นใหม่เป็นหลัก

เพราะยังไงเสียนักยุทธ์ที่ฝึกตนมาเป็นเวลาหลายสิบปีนับร้อยปีที่ยังคงอยู่ในแดนฝึกจิตเหล่านั้น ล้วนได้สูญเสียมูลค่าในการให้ความสำคัญในการฝึกฝนไปแล้ว

แต่เพื่อแย่งชิงโอกาสที่จะค้นพบสมบัติในแดนปริศนาที่มากยิ่งขึ้นก็มีบางกองกำลัง ที่ได้ส่งปรมาจารย์ฝึกจิตรุ่นเก่าออกมา

สามสิบปีมานี้ ผลการฝึกตนบรรลุถึงฝึกจิตขั้น 5 ขั้น 6 ก็นับว่าสุดยอดแล้ว ฝึกจิตขั้น 7 ขึ้นไป ล้วนเป็นตาเฒ่าที่ฝึกตนมานับสิบปีร้อยปี

คนทั้งสามที่อยู่ตรงหน้าหลัวซิว ก็คืออย่างที่ได้กล่าวมานั่นเอง

ทั้งสามคนนี้ก็ไม่ได้เข้าร่วมกลุ่มคนที่แย่งชิงน้ำแร่วิญญาณเช่นเดียวกัน แต่ได้เฝ้าตอรอกระต่ายอยู่ที่ด้านนอก

“เจ้าหนุ่ม ข้าเห็นว่าเมื่อสักครู่น้ำแร่วิญญาณได้ตกอยู่ในกำมือของเจ้า เจ้าใช้วิธีอะไรกันรึ?”

ชายฝึกจิตขั้น 7 ผู้หนึ่งได้เอ่ยถามขึ้นอย่างเย็นชา พวกเขาเห็นเพียงลำแสงสีเงินสายหนึ่งลอยมายังด้านหน้าของอีกฝ่าย และคลายน้ำแร่วิญญาณทั้งสามหยดออกมา เหมือนว่าจะเป็นอสุรกายที่พิเศษบางชนิด

ตระกูลมังกรไร้ร่างนั้นได้หายสาบสูญไปตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว ผู้คนที่รู้จักมังกรไร้ร่างนั้นมีน้อยมาก เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะไม่รู้

“ข้าได้มาเช่นไรนั้น ทำไมต้องบอกพวกท่านด้วยล่ะ?” หลัวซิวกล่าวเย้ยหยัน

“เจ้าจะไม่พูดก็ได้ เพียงแค่ฆ่าเจ้า พวกข้าก็จะรู้เอง” ชายฝึกจิตขั้น 7 ผู้นั้นกล่าวเยาะเย้ย

“เจ้ามันก็แค่ผลการฝึกตนฝึกจิตขั้น 6 ข้าแนะนำให้เจ้าเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าหน่อย มอบอสุรกายที่พิเศษตัวนั้นและแหวนเก็บของของเจ้าออกมาซะ ข้าจะไว้ชีวิตเจ้าได้” ชายฝึกจิตขั้น 7 อีกคนกล่าวขึ้น

“ฝันไปเถอะ!”

หลัวซิวยื่นมือออกไปจับ กระบี่ที่อยู่ด้านหลังออกจากฝักทันที พลังกระบี่อัคคีดำพุ่งออกมาอย่างแรงกล้า ห้วงยุทธ์มรณะและห้วงยุทธ์กระบี่สังหารได้ปะทุออกมาพร้อมกัน กระบี่สังหาร!

ชายฝึกจิตขั้น 7 ผู้หนึ่งของอีกฝ่ายถูกโจมตีเป็นคนแรก สัมผัสได้ถึงอานุภาพที่น่าหวาดกลัวของกระบี่นี้ ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที สัญชาตญาณบอกกับตนว่า กระบี่นี้ตนเองต้านทานไม่ได้จักต้องตายอย่างแน่นอน!

เขาตวาดเสียงดัง ขับเคลื่อนอาวุธยุทธ์ในมือระเบิดทักษะยุทธ์ออกมา ต้านทานอย่างสุดชีวิต

ตูมมม!

อาวุธยุทธ์ชั้นยอดถูกกระแทกจนลอยปลิวออกไป รอยร้าวกระจายไปในทุกที่ เลือดสายหนึ่งพุ่งกระฉูดออกมา ชายฝึกจิตขั้น 7 ผู้หนึ่ง ถูกสังหารภายในพริบตา

ทว่าอานุภาพกระบี่นี้ของหลัวซิวกลับไม่ได้ลดลงเลยสักนิด พุ่งเข้าหาปรมาจารย์ฝึกจิตขั้น 7 และฝึกจิตขั้น 9 ที่เหลืออยู่ต่อไป

ทั้งสองรีบถอยหลังไปด้วยความหวาดกลัวในทันที สีหน้าของปรมาจารย์ฝึกจิตขั้น 9 ผู้นั้นซีดเซียวจนแทบดูไม่ได้

ในขณะเดียวกันนั้น กลุ่มผู้คนที่อยู่ในหลุมลึกก็พบว่าน้ำแร่วิญญาณได้หายไปแล้ว สัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในทางนี้ แต่ละคนต่างมุ่งหน้าลอยเข้ามา รวมตัวกันอยู่โดยรอบ

สังหารผู้ฝึกจิตขั้น 7 ได้ภายในพริบตาด้วยกระบี่เดียว บีบให้ผู้ฝึกจิตขั้น 9 ต้องถอยหลัง?

สายตาของทุกคนต่างจับจองไปที่ชายหนุ่มชุดขาวที่ยืนตัวตรงอยู่ตรงนั้น ในดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดเกรง

เมื่อเห็นว่าผู้คนที่รวมตัวกันอยู่โดยรอบเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้ว่าความสามารถของหลัวซิวจะเพิ่มสูงขึ้นมามาก แต่ถ้าหากถูกผู้คนมากมายเช่นนี้ล้อมโจมตี ก็จะต้องตกอยู่ในสภาพที่ไม่ดีสักเท่าไหร่แน่

คิดมาถึงตรงนี้ ไอสังหารในดวงตาของเขาก็ลุกโชนขึ้นมา จักต้องสังหารทั้งสองคนนี้เสีย ไม่เช่นนั้นละก็ทันทีที่ให้คนทั้งหมดได้รับรู้ว่าน้ำแร่วิญญาณตกอยู่ในมือของตน ตนจักต้องถูกล้อมโจมตีอย่างแน่นอน

เห็นได้ชัดว่าปรมาจารย์ฝึกจิตขั้น 7 และฝึกจิตขั้น 9 นั้นก็เข้าใจจุดนี้เช่นเดียวกัน และกำลังจะบอกว่าน้ำแร่วิญญาณอยู่ในมือชายหนุ่มชุดดำผู้นี้

แต่ทว่ายังไม่ทันที่พวกเขาจะได้เอ่ยปาก รัศมีพลังอันแรงกล้าที่น่าหวาดกลัวอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ก็ปรากฏขึ้น

“ตราธรรมจุติมรณะ!”

หลัวซิวได้แสดงเคล็ดวิชาที่แข็งแกร่งที่สุดของตนออกมา เงาลวงวัฏจักรมหึมาได้รวมตัวปรากฏขึ้น เสียงดังสนั่น และกดทับลงไปยังปรมาจารย์ฝึกจิตขั้น 7 และฝึกจิตขั้น 9 ทั้งสองคน

พร้อมกับที่เคล็ดวิชานี้ได้กดทับลงไปนั้น หลัวซิวยังได้ขับเคลื่อนพลังแปรเสวียนเทียนออกมาอีกหกส่วน อานุภาพแข็งแกร่งถึงขีดสุด

ฝ่ายตรงข้ามทั้งสองคนมีสีน่าหวาดกลัวอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ คำพูดที่อยากจะพูดออกมานั้นติดอยู่ที่คอหอย จึงรีบขับเคลื่อนพลังทั้งหมดออกมาต้านทานเงาลวงผังวัฏจักรสีขาวดำที่กำลังกดทับลงมา

เสียงดังสนั่นหวั่นไหว ปริภูมิโดยรอบถูกคลื่นพลังอันมหาศาลทำให้หมุนเป็นเกลียวจนบิดเบี้ยว ร่างของปรมาจารย์ฝึกจิตขั้น 7 ระเบิดกายเป็นหมอกเลือด ไม่เหลือแม้แต่กระดูก มีเพียงปรมาจารย์ฝึกจิตขั้น 9 ที่กระอักเลือดและลอยปลิวออกไป ไม่ได้ถูกตราธรรมจุติมรณะสังหารไปภายในครั้งเดียว

เพียงแต่ว่ายังไม่ทันที่เขาจะมีปฏิกิริยาใด ๆ หลัวซิวก็ก้าวเท้าออกมา และปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหน้าของเขา แล้วฟันออกไปอีกหนึ่งครั้ง

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 245 ความมุ่งมั่นของเย่หยุน

 

“ความมุ่งมั่น?” หลัวซิวหัวใจสั่นไหวเล็กน้อย นึกถึงเรื่องที่เทพแห่งวัฏจักรชีวิตได้บอกว่าความรู้สึกพิเศษที่เกิดขึ้นตอนที่ตนต่อสู้กับเหยียนซีโรว่นั้น เป็นความมุ่งมั่นชนิดหนึ่ง

สายตาของหลัวซิวมองไปที่วิญญาณที่กำลังครุ่นคิดว่าตัวเองเป็นใครตนนั้น ความมุ่งมั่นของเขา คืออะไรกัน?

“ข้าเป็นใครกัน?”

บริเวณโดยรอบร่างกายของวิญญาณตนนั้นแผ่ซ่านไปด้วยคลื่นตัวสำนึก ร่างมายาสั่นสะท้านอยู่ไม่หยุด เหมือนว่าคำถามนี้ทำให้เขางุนงงสงสัย กลัดกลุ้มระทมทุกข์เป็นอย่างมาก

“ทำไมเจ้าถึงอยู่ที่นี่?” หลัวซิวเปลี่ยนคำถาม

“ข้าต้องการแข็งแกร่งขึ้น!”

สำหรับคำถามนี้ วิญญาณได้ตอบอย่างตรงประเด็นและรวดเร็ว

เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลัวซิวก็แน่ใจแล้วว่า ต้องการแข็งแกร่งขึ้น ก็คงจะเป็นความมุ่งมั่นของวิญญาณตนนี้

“ทำไมเจ้าถึงต้องการแข็งแกร่งขึ้น?” หลัวซิวถามอีกครั้ง

“เพราะศัตรูของข้าแข็งแกร่งเกินไป ดังนั้นข้าต้องแข็งแกร่งขึ้นถึงจะได้” วิญญาณจออบตามสัญชาตญาณ

“ใช่แล้ว ข้านึกขึ้นมาได้แล้ว ข้าชื่อเย่หยุน มาที่แดนปริศนาเมื่อสามสิบปีที่แล้ว” สายตาที่เลื่อนลอยของวิญญาณพลันเปล่งประกายขึ้นมา เหมือนนึกถึงอดีตชาติและปัจจุบันชาติของตัวเองขึ้นมาได้

“อ้ากกก!……”

วิญญาณพลันมีท่าทางเจ็บปวดขึ้นมา ร่างมายาของวิญญาณเป็นเหมือนดั่งเทียนในสายลม อาจสลายไปได้ตลอดเวลา

“ตระกูลเหยียน ตระกูลเหยียนที่สมควรตาย! ฆ่าล้างตระกูลข้า แย่งภรรยาของข้า ข้าจะต้องแข็งแกร่งขึ้น ข้าจะต้องล้างแค้น!”

“เมี่ยวฉิง เมื่อข้าแข็งแกร่งขึ้นข้าจะฆ่าไอ้เดรัจฉานเหยียนชูซิวนั่นซะ!”

สีหน้าของวิญญาณดูเจ็บปวดขึ้นเรื่อย ๆ ดวงตาคู่นั้นพลันมองมาที่หลัวซิว “แดนปริศนาสามสิบปีเปิดหนึ่งครั้ง นี่ผ่านไปสามสิบปีแล้วเหรอ……”

พูดมาถึงตรงนี้ วิญญาณที่ตอนมีชีวิตอยู่มีชื่อว่าเย่หยุนตนนี้พลันแตกสลาย กลายเป็นหมอกควันสีดำ และหายไปในอากาศ

เมื่อเห็นภาพเช่นนี้ หลัวซิวอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหดหู่ เศร้าโศกเสียใจ

คนที่ชื่อเย่หยุนผู้นี้ เพื่อล้างแค้นหัวใจถึงได้มีความมุ่งมั่น แต่กลับเป็นเพราะติดอยู่ในแดนหยินสุดขั้วถึงไม่สามารถหลุดพ้นเข้าสู่วัฏจักรชีวิตได้ และก็เป็นเพราะความมุ่งมั่นที่เกิดจากความแค้นถึงได้ตระหนักห้วงยุทธ์มรณะอยู่ที่นี่ เพียงเพราะต้องการที่จะแข็งแกร่งขึ้น

เพราะความอ่อนแอของเขา ทั้งตระกูลถึงได้ถูกตระกูลเหยียนเข่นข้า ภรรยาถูกแย่งไป แล้วตนเองล่ะ?

ถ้าหากมีวันหนึ่ง ตัวเองได้เป็นศัตรูกับผู้ที่แข็งแกร่ง ถ้าหากอีกฝ่ายได้สังหารคนที่สนิทใกล้ชิดกับตน แย่งภรรยาของตนเไป ตนจะทำเช่นไร?

จู่ ๆ ดวงตาทั้งสองข้างของหลัวซิวก็ได้เปล่งประกายอันคมกริบขึ้นมา ข้าก็จะต้องแข็งแกร่งขึ้น ใครกล้าแตะต้องครอบครัวคนใกล้ชิดของข้า ข้าจะให้มันตายอย่างไม่มีชิ้นดี วิญญาณแตกสลาย ไม่ได้ผุดได้เกิด!

ไอสังหารอันแรงกล้ารวมตัวกันอยู่ที่บริเวณหน้าอก หลัวซิวชักกระบี่ออกมาจากฝัก แล้วฟันออกไปด้านหน้า

ตูมมม!

พลังกระบี่อัคคีดำสายหนึ่งฟาดฟันออกไป ตัดทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าไปจนหมดสิ้น เกินเป็นร่องลึกที่มองไม่เห็นก้นขึ้นมาบนพื้นดิน

“พรสวรรค์เกินมนุษย์มนา พลังที่น่ากลัว!” เมื่อหลงหมิงเห็นอานุภาพกระบี่ของหลัวซิว ก็รู้สึกขนลุกเล็กน้อย ยากที่จะจินตนาการได้ว่ากระบี่ที่ทรงอานุภาพเช่นนี้ จะถูกใช้ออกมาโดยปรมาจารย์ยุทธ์ที่มีผลการฝึกตนระดับผลการฝึกจิตขั้น 6 ผู้หนึ่ง

“ผลการฝึกจิตขั้น 9 ก็คงต้านทานกระบี่เช่นนี้เอาไว้ไม่ได้” หลงหมิงหดคอเล็กน้อย ตอนนี้เขาอยู่ในระดับพรสวรรค์เล็ก ๆ เท่านั้นเอง

นั่นเป็นกระบี่สังหารที่สร้างขึ้นมาในตอนนั้น แต่กลับทรงอานุภาพยิ่งกว่า หลอมรวมความมุ่งมั่นเข้าไป ไม่ลังเลเพื่อความยุติธรรม ไม่เกรงกลัวความเป็นตาย ให้ความรู้สึกอยู่เหนือการตัดสินใจเด็ดขาดที่จะต่อสู้ให้ถึงที่สุด

ความมุ่งมั่นที่ต้องการแข็งแกร่งขึ้นเพื่อแก้แค้น ค้ำยันเย่หยุนมาเป็นเวลาสามสิบปี แต่สุดท้ายมาจากที่ไหนก็กลับไปที่นั่น ทุกอย่างมลายหายไปไม่เหลือ

หลัวซิวรู้สึกสะเทือนใจ เขานำซากกระดูกศพของเย่หยุนไปฝัง ข้างหลุมฝังศพ มีดาบเล่มหนึ่งปักอยู่ เป็นดาบรบชั้นสูงที่เย่หยุนใช้เมื่อตอนมีชีวิตอยู่

เมื่อจัดการเสร็จสิ้น หลัวซิวก็ไม่ได้อยู่ที่นี่อีกต่อไป เข้าเดินมุ่งหน้าเข้าไปยังส่วนลึกของแดนปริศนา

หลงหมิงรวมเป็นหนึ่งเดียวกับปริภูมิ ติดตามอยู่ใกล้ ๆ เขา และได้พบยาวิเศษที่เกิดในแดนหยินสุดขั้วเป็นครั้งคราว ล้วนถูกหลัวซิวเก็บเอามาจนหมด

ไม่นานหลังจากนั้น รัศมีพลังของจอมยุทธ์สิบกว่าคนก็ได้ปรากฏขึ้นในขอบเขตกระแสสัมผัสของหลัวซิว

ผู้คนมากมายเช่นนี้รวมตัวอยู่ด้วยกัน จะต้องมีของดีบางอย่างปรากฏขึ้นแน่ หลัวซิวเร่งความเร็วและรีบไปทันที จากความสามารถของเขาในตอนนี้ไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวศัตรูที่อยู่ในระดับต่ำกว่าราชายุทธ์ มีของดีก็ต้องไปแย่งชิงเป็นธรรมดา

ไม่นานหลัวซิวก็ได้มาถึง เหล่าวีรบุรุษคนรุ่นใหม่สิบกว่าคนยืนล้อมรอบอยู่ที่บริเวณใกล้เคียงหลุมขนาดใหญ่มหึมา รัศมีพลังอันหนาวเหน็บอย่างสุดขีดได้แผ่ซ่านออกมาจากหลุมเป็นระลอก ๆ ที่ใจกลางของหลุมมหึมาแห่งนี้ ปราณหยินรวมตัวกัน จับตัวกันเป็นหยดน้ำสามหยุดลอยอยู่ในอากาศ

“น้ำแร่วิญญาณ!”

เมื่อเห็นหยดน้ำสามหยดที่ลอยอยู่ในส่วนลึกของหลุม หลัวซิวก็มองออกขึ้นมาทันที มันเป็นเป้าหมายหลักที่เขามาแดนปริศนาในครั้งนี้นั่นเอง

นอกจากหลัวซิวแล้ว ยังมีอีกหลายคนที่รู้ถึงความล้ำค่าของน้ำแร่วิญญาณ มันเป็นหนึ่งในวัตถุดิบหลักที่ใช้ในการกลั่นยาวิญญาณหยินหยาง สำหรับผู้แข็งแกร่งในระดับราชายุทธ์ขึ้นไป เป็นยาวิเศษที่ใช้ในการฟื้นฟูการบาดเจ็บของเทพจิตที่ประเมิฯค่าไม่ได้

ในบรรดาวีรบุรุษคนรุ่นไหม่ที่เข้ามาในแดนปริศนาทั้งร้อยสามสิบกว่าคน ส่วนมากต่างเคยได้ยินชื่อหลัวซิว แต่คนที่รู้จักหลัวซิวจริง ๆ นั้นมีอยู่ไม่มากนัก ดังนั้นในตอนที่เขามาถึงที่นี่ ก็ไม่ได้มีใครให้ความสนใจ

น้ำแร่วิญญาณมีเพียงสามหยด ถ้าหากมีการแย่งชิงขึ้นมาจะต้องเป็นการต่อสู้ที่รุนแรงแน่นอน จะมีคนเพิ่มขึ้นมาสักคนหรือลดน้อยลงไปอีกสักคน ก็ไม่มีผลกระทบอะไรมากมาย

หลัวซิวใช้ตัวสำนึกกวาดสำรวจนักยุทธ์ทั้งสิบกว่าคนที่อยู่ใกล้กับหลุมลึก หนึ่งในนั้นมีนักยุทธ์ที่มีผลการฝึกตนฝึกจิตขั้น 8 อยู่ผู้หนึ่ง ส่วนคนอื่น ๆ นั้นล้วนอยู่ในแดนฝึกจิตขั้น 5 ขั้น 6

ในเวลานี้สายตาของทุกคนล้วนจับจ้องไปที่น้ำแร่วิญญาณทั้งสามหยดที่ลอยอยู่ในหลุมลึก สมบัติชนิดนี้มูลค่ามหาศาล ต่อให้แย่งชิงมาได้เพียงหนึ่งหยด นำออกไปขายก็สามารถแลกหินพลังจิตมาได้ประมาณแสนก้อน

ทุกคนต่างหวาดระแวงซึ่งกันและกัน ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าลงมืออย่างบุ่มบ่าม ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นเป้าหมายโจมตีของทุกคนเอาได้ง่าย ๆ แม้ว่าจะแย่งชิงน้ำแร่วิญญาณมาได้ ก็จะต้องถูกทุกคนปิดล้อมโจมตีเป็นแน่

หลัวซิวเองก็ไม่ได้รีบร้อนที่จะไปแย่งชิง กวาดตัวสำนึกไปยังหลุมลึกที่น้ำแร่วิญญาณอยู่ พบว่ามีร่องรอยวิชาห้ามค่ายกลอยู่ เป็นที่ประจักษ์ว่าสมบัติเช่นนี้ไม่อาจได้มาครอบครองง่าย ๆ แน่

เมื่อบรรยากาศความหวาดระแวงซึ่งกันและกันมาถึงจุดใกล้ปะทุ ในที่สุดก็เริ่มมีคนเคลื่อนไหว

แทบจะภายในพริบตา ทุกคนต่างใช้ความเร็วที่สุดพุ่งเข้าไปยังจุดที่น้ำแร่วิญญาณอยู่ หลัวซิวเองก็ได้ใช้วิชาท่าร่างตามลมล่าจันทราออกมา แต่กลับไม่ได้พุ่งไปอยู่ด้านหน้าที่สุด

ไม่เพียงแค่หลัวซิว ยังมีนักยุทธ์ที่ฝึกฝนค่ายกลอีกสองสามคนที่ได้เห็นความผิดปกติของที่แห่งนี้ ต่างก็ได้ลดความเร็วลง ตามอยู่ที่ด้านหลัวของคนอื่น คอยเป็นผู้ได้รับประโยชน์อยู่ด้านหลัง

ฮึ่มมม!

คนที่นำอยู่ด้านหน้านั้นไม่มีความเข้าใจด้านค่ายกล ไม่อาจสังเกตเห็นวิชาห้ามค่ายกลที่อยู่ในที่นี้ได้ รัศมีพลังอันหนาวเหน็บที่น่าหวาดกลัวได้ปรากฏขึ้น ทำให้วีรบุรุษคนรุ่นใหม่ที่นำหน้าเหล่านั้นกลายเป็นน้ำแข็งไปในทันที

จากนั้น หนวดสีดำที่เหมือนเกิดขึ้นจากการรวมตัวของปราณหยินก็ได้ปรากฏขึ้นหลายสาย ฟาดฟันลงไปบนร่างนักยุทธ์ที่กลายเป็นน้ำแข็งเหล่านั้นเหมือนดั่งแส้ แตกกระจายออกเป็นชิ้น ๆ กลายเป็นผุยผงไปในทันที

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 244 ความมุ่งมั่นของวิญญาณ

 

หลงหมิงด่าอยู่ภายในใจ รู้ว่าหลัวซิวได้ขับเคลื่อนตราสำนึก ทำให้วิญญาณหยั่งรู้ของมันเจ็บปวด

วินาทีที่การเชื่อมต่อระหว่างพลังแห่งปริภูมิถูกตัดขาด ร่างสีขาวเงินของมันก็ได้ปรากฏขึ้นมา และถูกหลัวซิวบีบคอเอาไว้ทันที

ภายใต้การเผาผลาญของเพลิงมรณะ ทำหลงหมิงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด

จากนั้นไม่นาน เสียงร้องของหลงหมิงก็อ่อนแรงลงเรื่อย ๆ ราวกับงูสีขาวเงินที่ไร้ลมหายใจตัวหนึ่ง ถูกหลัวซิวถือเอาไว้ในมือ

หลัวซิวสีหน้าไร้ความรู้สึกใด ๆ สายตาจับจ้องมังกรไร้ร่างที่อยู่ในมือตนนี้อย่างเย็นชา เผยให้เห็นไอสังหารที่เฉียบคม

“ข้าผิดไปแล้ว อย่างเผาอีกเลย เผาต่อไปข้าต้องตายแน่!” หลงหมิงร่ำร้องอย่างอ่อนแรง ภายใต้การแผดเผาของเพลิงมรณะ เจ็บปวดแทบเป็นแทบตาย

“เจ้ารู้ไหมว่าเมื่อครู่เจ้าเกือบทำให้ข้าต้องตาย?” หลัวซิวยิ้มอย่างเยือกเย็น และไม่ได้เก็บเพลิงมรณะบนฝ่ามือลง

“ข้าไม่กล้าอีกแล้ว……” หลงหมิงขอร้องอ้อนวอน

“ถ้าหากมีครั้งต่อไป ข้าจะขับเคลื่อนตราสำนึก ทำให้เจ้าวิญญาณแตกสลาย!” หลัวซิวกล่าวเตือนอย่างเย็นชา จากนั้นก็ทิ้งหลงหมิงลงไปบนพื้น

หลงหมิงทรุดตัวลงกับพื้น ด่าตัวเองอยู่ภายในใจว่าทำไมต้องหาเรื่องปีศาจร้ายผู้นี้ ถ้าไม่ใช่เพราะหาเหาใส่หัวโดยการแอบเข้าไปขโมยหินสัจธรรมในสำนักไท่เสวียนเมื่อห้าหมื่นปีที่แล้ว ก็คงไม่ต้องถูกกักขังไว้ที่วังใต้ดินในแดนนานาอสูรจนเกือบสิ้นอายุขัยและตายอยู่ในนั้น

“อำนาจเหนือกว่ามนุษย์ ตอนนี้ท่านชายหลงเป็นมังกรเกยตื้น จะเก็บความอัปยศนี้เอาไว้ก่อนแล้วกัน!”

“ข้าท่านชายมังกรยืดได้หดได้ ปล่อยให้เจ้าอวดดีไปก่อน จะต้องมีสักวันที่ข้ายืนหยัดขึ้นมาได้อีกครั้ง”

ภายในใจของหลงหมิงเต็มไปด้วยความโกรธแค้น แต่กลับไม่กล้าแสดงออกมาเลยแม้แต่น้อย

หลัวซิวเองก็รู้ว่าหลงหมิงนั้นเป็นผู้แข็งแกร่งในสมัยโบราณ เพราะการบีบบังคับในตอนนั้นถึงได้ยินยอมปลูกตราสำนึกและติดตามตน ความจริงแล้วนั้นได้ขัดขืนมาโดยตลอด คิดจะแว้งกัดตนในทุกครั้งที่มีโอกาส หลุดพ้นจากการถูกควบคุม

แต่หลัวซิวเชื่อว่า ขอเพียงให้เวลาที่มากพอกับเขา ไม่ช้าก็เร็วความเย่อหยิ่งของตระกูลมังกรโบราณของมันจะถูกกำจัดออกไปอย่างหมดสิ้น สำหรับเรื่องที่คิดจะมีผลการฝึกตนที่เหนือกว่าตนเองและหลุดพ้นจากการควบคุมนั้น หลัวซิวจะต้องไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน

“อย่าแกล้งทำเป็นนอนตายอยู่บนพื้น นี่เป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย เข้าใจหรือยัง?” หลัวซิวกล่าวอย่างเย็นชา

หลงหมิงพยักหน้าอย่างรวดเร็ว จากบทเรียนในครั้งนี้ มันก็ได้เข้าใจแล้วว่าปีศาจร้ายผู้นี้ไม่อาจหาเรื่องได้ง่าย ๆ ตนทำได้เพียงใช้ชีวิตที่น่าเศร้าโดยการเป็นเบี้ยล่างของผู้อื่นต่อไป

หลังจากที่ได้ตระหนักรู้ห้วงยุทธ์มรณะ ไอมรณะที่แผ่ซ่านอยู่ในที่แห่งนี้ก็ไม่สามารถขัดขวางใด ๆ หลัวซิวได้อีกต่อไป

ห้วงดาบมรณะนี้ได้ผ่านพ้นกาลเวลามาอย่างน้อยห้าหมื่นปี สามารถอยู่รอดมาวนถึงวันนี้ได้ เห็นได้ว่าผู้ที่เป็นเจ้าของนั้นจักต้องเป็นผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์ที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

หลังจากที่ได้เดินผ่านพื้นที่ที่ถูกปกคลุมไปด้วยห้วงยุทธ์มรณะมา ปราณหยินที่หนาแน่นก็ได้พุ่งเข้ามากระทบใบหน้า นอกจากนี้แล้วปราณหยินนี้บริสุทธิ์เป็นอย่างยิ่ง ทำให้เขารู้สึกเหมือนว่าผลการฝึกตนของตนนั้นกำลังจะทะลวงขั้น

“เจ้าคุ้มกันให้ข้า!”

หลัวซิวกล่าวกับหลงหมิงหนึ่งประโยค จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิลง และเริ่มซึมซับกลั่นแปรฝึกฝนปราณหยินบริสุทธิ์ที่อยู่ ณ ที่นี้

กลั่นแปรปราณหยินบริสุทธิ์เช่นนี้ ผลของการฝึกตนเมื่อเทียบกับพลังฟ้าดินจิตแล้วนั้น ต่างกกันราวฟ้ากับดิน

ผลการฝึกตนของหลัวซิวเพิ่มขึ้นอย่างไม่ขาดสาย ผ่านไปไม่นานนัก กระแสพลังที่แข็งแกร่งกว่าได้แผ่ซ่านออกมาจากร่างกายของเขา ผลการฝึกตนได้บรรลุถึงแดนฝึกจิตขั้น 6

“ให้ตายเถอะ เจ้าคนเหนือมนุษย์มนาผู้นี้ได้บรรลุอีกแล้ว……” เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังจิตแท้ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเคลื่อนไหวอยู่บนร่างกายของหลัวซิว หลงหมิงก็คร่ำครวญอยู่ภายในใจ

ยิ่งผลการฝึกตนของหลัวซิวสูงขึ้นเท่าไหร่ มันต้องการให้มีผลการฝึกตนที่เหนือกว่าและหลุดพ้นจากการควบคุม ก็ยิ่งห่างไกลออกไป

จากการที่ผลการฝึกตนได้สูงขึ้น เนื่องด้วยได้ครอบครองห้วงยุทธ์ชนิดที่สอง ภายใต้การรวมกันของห้วงยุทธ์มรณะ และห้วงยุทธ์กระบี่สังหาร ตัวสำนึกของหลัวซิวก็ได้เลื่อนขั้นขึ้น บรรลุถึงแดนฝึกจิตขั้น 9

ทั้งหมดนี้ยังไม่ได้หยุดลง หลัวซิวซึมซับปราณหยินบริสุทธิ์อยู่ไม่ขาด ผลการฝึกตนก็ยังคงเพิ่มขึ้นอยู่เรื่อย ๆ

ภายในห้วงความคิดตัวหยั่งรู้ของเขา ในเวลาเดียวกันนั้นหลัวซิวยังได้ฝึกฝนพลังก่อรวมวิญญาณ ตัวสำนึกหลาย ๆ สายรวมตัวกันเป็นรูปกระบี่ เป็นเหมือนดั่งเงากระบี่มายาหลาย ๆ สาย วนรอบลูกแก้วความเป็นตายไปมาในแนวนอน

หลังจากนั้นเป็นเวลานาน หลัวซิวก็เงยหน้าขึ้นและร้องออกมายาว ๆ จู่ ๆ ก็ลืมตาและลุกขึ้นมา

รัศมีพลังมหาศาลแผ่ซ่านออกมาจากร่างกาย ห้วงยุทธ์มรณะและไอสังหารอันแรงกล้าเกลื่อนกลาดไปทั่วบริเวณโดยรอบ ทำให้หลงหมิงมังกรไร้ร่างที่รวมตัวเป็นหนึ่งเดียวกับปริภูมิถูกบีบให้ปรากฏตัวออกมา

“ไสหัวไป ไสหัวไป ไสหัวไป!……” หลงหมิงทั้งตกใจทั้งโมโห ยิ่งหลัวซิวแข็งแกร่งขึ้น มันก็ยิ่งไม่พอใจ

สายตาอันเย็นชาของหลัวซิวเหลือบไปมองหลงหมิงแวบหนึ่ง หลังจากที่มังกรไร้ร่างโบราณตนนี้ได้รับบทเรียนไปก็เชื่อฟังขึ้นไม่น้อยจริง ๆ ด้วย ไม่ได้แอบทำอะไรในตอนที่ตนเองนั้นฝึกตน

กวาดสายตามองไปรอบ ๆ ตัวสำนึกของหลัวซิวรับรู้ได้ว่า บริเวณที่ว่างที่เขาอยู่ในตอนนี้นั้น บริเวณโดยรอบเกลื่อนกลาดไปด้วยห้วงยุทธ์มรณะมีเพียงบริเวณเล็ก ๆ ที่เขาอยู่ในตอนนี้ไม่ได้รับผลกระทบ และยังมีปราณหยินบริสุทธิ์

ปราณหยินบริสุทธิ์กลุ่มนี้ เหมือนได้ถูกห้วงยุทธ์มรณะกักขังเอาไว้ ถึงได้รวมตัวกันอยู่ที่นี่

หลัวซิวครุ่นคิดเพียงเล็กน้อยก็เข้าใจขึ้นมาทันที บริเวณที่ว่างที่เขาอยู่นั้น น่าจะเป็นสถานที่ที่เจ้าของห้วงยุทธ์มรณะ เคยใช้ฝึกตนมาก่อน

ปราณหยินบริสุทธิ์ถูกเขาซึมซับไปจนหมด ผลการฝึกตนเพิ่มระดับขึ้นมาในแดนเล็ก ๆ ทำให้หลัวซิวมีความรู้สึกเหมือนยังไม่เติมเต็ม

ทันใดนั้น สายตาของหลัวซิวก็ได้จับจ้องมองห่างออกไปสิบกว่าเมตร โครงกระดูกร่างหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ ที่ข้างกายของโครงกระดูกนั้น ยังมีวิญญาณตนหนึ่งลอยอยู่กลางอากาศ

แต่ที่แตกต่างไปจากวิญญาณตนอื่นก็คือ วิญญาณตนนี้ไม่ได้กระโจนใส่เขา แต่ได้ลอยเหม่ออยู่ที่เดิม และยกมือมายาที่เลือนรางขึ้นโบกไปมาเป็นบางครั้ง

หลัวซิวได้สังเกตเห็นท่าทางของวิญญาณตนนี้ รูม่านตาของเขาหดลงเล็กน้อย เนื่องจากร่องรอยการโบกมือของวิญญาณ ได้แฝงความลึกลับมหัศจรรย์ของห้วงยุทธ์มรณะ อยู่อย่างเลือนราง

ทันใดนั้นเอง เหมือนว่าวิญญาณตนนี้สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง สายตาไร้แววคู่หนึ่ง ได้มองมาทางหลัวซิว

วิญญาณตนนี้ดูแตกต่างจากวิญญาณตัวอื่น ๆ เป็นพิเศษ เหมือนกับเป็นวิญญาณที่มีความคิดเป็นของตนเอง

ปกติแล้ววิญญาณที่สามารถมีความคิดเป็นของตัวเองได้นั้นจักต้องอยู่ในระดับจักรพรรดิภูตผีถึงจะได้ทัดเทียมได้กับนักยุทธ์ในแดนจักรพรรดิยุทธ์ใน

ทว่าวิญญาณที่หลัวซิวได้พบตนนี้นั้น รัศมีพลังที่เคลื่อนไหวอยู่บนร่างกายกลับเป็นเพียงฝึกจิตขั้น 2 ซึ่งห่างจากระดับจักรพรรดิภูตผีเป็นอย่างมาก

“เจ้าเป็นใคร?” คลื่นตัวสำนึกสายหนึ่งลอยเข้ามาในกระแสสัมผัสของหลัวซิว

หลัวซิวจับจ้องไปที่วิญญาณแปลกประหลาดตนนั้น และกล่าวอย่างเรียบ ๆ “ข้าคือหลัวซิว แล้วเจ้าเป็นใครกัน?”

“ข้าเป็นใคร?” วิญญาณตนนั้นมีท่าทางสงสัยขึ้นมา สายตาเหม่อลอย เหมือนกับกำลังครุ่นคิดอย่างตั้งใจว่าตนเองเองเป็นผู้ใดกัน

หลัวซิวมองไปยังหลงหมิง และเอ่ยถาม: “ตอนที่ข้าฝึกตนเมื่อสักครู่ วิญญาณตนนี้อยู่ที่นั่นตลอดเวลางั้นหรือ?”

“ถูกต้อง เมื่อตอนมีชีวิตอยู่วิญญาณตนนี้น่าจะมีความมุ่งมั่นที่แข็งแกร่งมากเลยทีเดียว ดังนั้นหลังจากที่ตายไปและได้กลายเป็นวิญญาณแดนหยินสุดขั้ว ความมุ่งมั่นก็ยังคงอยู่”

หลงหมิงกล่าวเช่นนั้น “ในสมัยโบราณเคยเล่าขานกันว่า ความมุ่งมั่นของผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์บางคนสามารถข้ามผ่านวัฏจักรชีวิต ไม่สลายหายไปแม้จะเกิดใหม่ร้อยครั้ง”

 

 

 

 

 

 

 

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 243 เพิ่มระดับการตระหนักรู้

 

เพียงแต่ว่าสำหรับหลัวซิววงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพผังกฎดั้งเดิมเก้าแผ่นยังทำความเข้าใจได้ไม่ถึงไหนเลย ปัจจุบันก็เพียงแค่อยู่ในระดับการควบคุมความเป็นตาย ยังไม่สามารถรวมสองระดับความเป็นตายเข้าด้วยกันได้

ถ้าหากสามารถรวมสองระดับความเป็นตายเข้าด้วยกันได้ พลังและความสามารถก็จะแข็งแกร่งขึ้นอีกหลายเท่า ตราธรรมจุติมรณะก็คือหลักในการรวมสองระดับความเป็นตายเข้าด้วยกันได้ หลัวซิวยังไม่สามารถเข้าใจทั้งหมดนี้ได้มาโดยตลอด

ไม่ได้เข้าใจความประหลาดใจและตกอกตกใจของหลัวซิว หลัวซิวเดินมุ่งหน้าไปยังส่วนลึกของแดนปริศนาต่อไป

เมื่อพบกับวิญญาณ เขาก็ใช้เพลิงมรณะกลืนกินและกลั่นแปร เพิ่มระดับผลการฝึกตน พบกับศพเดินได้ ก็เปลี่ยนเป็นใช้อัคคีขาวเสวียนหยางสังหาร

ศพเดินได้เป็นภูตผีที่มีระดับสูงกว่าวิญญาณ ในร่างเนื้อมีพลังหยินมรณะอยู่มหาศาล ทว่าหลัวซิวลองใช้มากมายหลายวิธี ก็ไม่สามารถดูดซับเอาพลังหยินมรณะที่อยู่ในร่างเนื้อของศพเดินได้มากลั่นแปรได้

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด รัศมีที่ค่อนข้างพิเศษบางอย่างเดี๋ยวปรากฏเดี๋ยวหาย ทำให้หลัวซิวพลันชะงักฝีเท้าลง

ความรู้สึกเช่นนี้ แทนที่จะบอกว่าเป็นรัศมี สู้บอกว่าเป็นห้วงบางชนิด ห้วงยุทธ์บางอย่าง ห้วงยุทธ์ที่ประกอบไปด้วยไอมรณะ!

ทำให้ในใจของหลัวซิวเต็มไปด้วยความปีติยินดี เนื่องด้วยนักยุทธ์ตระหนักรู้ห้วงยุทธ์ โดยทั่วไปจะขยายออกไปตาม Attr ที่ตนฝึกฝน ตัวอย่างเช่นเหยียนเยว่เอ๋อร์ฝึกฝนพลังจิตแท้ธาตุไฟก็ตระหนักรู้ห้วงยุทธ์อัคคี

จอมยุทธ์ที่ฝึกฝนวิชากระบี่ ก็ตระหนักรู้ห้วงกระบี่ นักยุทธ์ที่ฝึกฝนวิชาดาบก็ตระหนักรู้ห้วงดาบ อย่างอื่นก็เป็นเช่นนี้

และพลังจิตแท้สองระดับความเป็นตายที่ตัวหลัวซิวฝึกฝนนั้น Attr ไฟก็นับเป็นอย่างหนึ่ง แต่ห้วงยุทธ์ที่ตระหนักรู้นั้น แต่ก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับ Attr ทั้งสามนี้เลย แต่กลับได้ตระหนักรู้ห้วงกระบี่พิฆาต

สาเหตุที่ตระหนักรู้ห้วงกระบี่พิฆาต เพราะถึงอย่างไรเขาก็ต่อสู้เข่นฆ่า เดินอยู่บนเส้นแดนของความเป็นตายที่อับจนอยู่หลายครั้ง ในทางกลับกันบนการตระหนักรู้สองระดับความเป็นตายและอัคคี ยังห่างจากระดับของการตระหนักรู้ห้วงยุทธ์ที่บรรลุถึงอยู่อีกมากนัก

ถึงอย่างไรช่วงเวลาที่เขาฝึกฝนนั้นก็ยังสั้นอยู่ ไม่เหมือนกับพวกคนที่ฝึกฝนมานานนับร้อยปีเหล่านั้น ผ่านการตกตะกอนของเวลา ได้สั่งสมการตระหนักรู้มามากมาย

ห้วงยุทธ์ที่หลัวซิวสัมผัสได้ในตอนนี้นั้น แฝงไปด้วยไอมรณะ ทำให้คนรู้สึกเหมือนได้ยืนอยู่ในแดนมรณะที่ไร้ทางออก เป็นตายไม่อาจกำหนดเองได้

ห้วงยุทธ์นี้คมดั่งมีด น่าจะเป็นรัศมีห้วงยุทธ์ของผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์ที่ฝึกฝนวิชาดาบท่านหนึ่งทิ้งเอาไว้

“อยู่ที่โลกแสงดาวสำนักไท่เสวียนก็นับเป็นกองกำลังใหญ่ ในสำนักก็มียอดฝีมือที่ฝึกฝนสองระดับความเป็นตายอยู่เช่นกัน ห้วงยุทธ์สายนี้ น่าจะเป็นยอดฝีมือที่ฝึกฝนพลังแห่งความตายท่านหนึ่งทิ้งเอาไว้” หลงหมิงเองก็สัมผัสได้ถึงรัศมีห้วงยุทธ์นี้เช่นกัน

หลัวซิวไม่ได้ตระหนักถึงโลกแสงดาวที่หลงหมิงเอ่ยถึง จิตใจทั้งหมดของเขาในตอนนี้ ล้วนตกอยู่ในภวังค์ห้วงดาบมรณะที่แผ่ซ่านในตอนนี้

ห้วงดาบมรณะที่ครอบคลุมอยู่ด้านหน้านั้นไม่ชัดเจนนัก หลัวซิวตอบสนองตามห้วงยุทธ์สายนี้ ร่างของเขาก้าวเดินออกไปด้านหน้า

เมื่อเดินขึ้นไปด้านหน้าเรื่อย ๆ พลังของห้วงยุทธ์มรณะ ก็ยิ่งชัดเจนขึ้น ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น พลังห้วงยุทธ์ที่มองไม่เห็น ทำให้คนรู้สึกว่าร่างกายและจิตวิญญาณของตนล้วนอยู่ใกล้ขอบเขตแห่งความตาย

หลัวซิวปล่อยห้วงยุทธ์กระบี่สังหารของตนออกมา เผชิญหน้ากับห้วงดาบมรณะในขณะเดียวกันนั้นผังกฎดั้งเดิมความเป็นตายภาพที่สองก็ได้ปรากฏขึ้นมาในสมอง ทำความเข้าใจความล้ำลึกของวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ เน้นไปที่ความล้ำลึกของพลังแห่งความตายโดยเฉพาะ

โดยไม่รู้ตัว หลัวซิวก็ได้ตกอยู่ในสภาวะลืมตัวเช่นนี้

หลงหมิงก็เคยทัดเทียมได้กับผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 9 แม้ว่าเป็นเพราะได้ใช้เคล็ดวิชาทำลายกฎของธรรมชาติพรากชีวีถึงได้ร่วงหล่นลงมาถึงระดับแดนพรสวรรค์ แต่ระดับที่บรรลุถึงของมันก็ยังคงอยู่ ภายใต้การครอบงำของห้วงดาบมรณะก็ไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ

“เจ้าคนนี้ได้จมอยู่ในภวังค์รู้แจ้งการลืมตนไปเสียแล้ว ไม่ได้มีการป้องกันใด ๆ จากโลกภายนอกเลย ถือโอกาสนี้เอาชีวิตมันเลยจะดีหรือไม่?”

หลงหมิงกลอกลูกตาไปมา ตอนที่อยู่ในแดนนานาอสูรเกือบจะถูกหลัวซิวบีบบังคับให้เข้าตราสำนึก ทำให้มันรู้สึกเป็นกังวลมาโดยตลอด

ทว่าทันทีที่นึกถึงตราสำนึก หลงหมิงก็รู้สึกค่อนข้างจะลังเล เพราะถ้าหากหลัวซิวตายไป ตราสำนึกก็จะระเบิด จากตัวหยั่งรู้ระดับพรสวรรค์ที่อ่อนแอของมันในตอนนี้ เกรงว่าคงต้องพังทลาย ตัวตายตบะสูญ

“ข้าท่านชายหลงเอาชีวิตรอดจากการทำลายกฎของธรรมชาติพรากชีวีมาได้อย่างหวุดหวิดถึงมีชีวิตในชาติที่สองได้ ถ้าต้องตายไปแบบนี้ นับว่าไม่คุ้มเลยจริง ๆ” ภายในใจของหลงหมิงนั้นลังเลเป็นอย่างมาก

ในตอนนี้เอง หลงหมิงก็ได้สัมผัสถึงคลื่นพลังเล็ก ๆ มังกรไร้ร่างควบคุมพลังแห่งปริภูมิมาแต่กำเนิดพลังควบคุมเวลาพรสวรรค์)เป็นธรรมดาที่จะรับรู้ได้อย่างฉับไวเป็นพิเศษ

มันมองเห็นเงาร่างอันเลือนราง วิญญาณผลุบ ๆ โผล่ ๆ ลอยเข้ามา สัมผัสได้ถึงพลังหยางของมนุษย์ในร่างกายหลัวซิว พลันกระโจนเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง

“จะช่วยหรือไม่ช่วยดีนะ?” แววตาของหลงหมิงไม่แน่ไม่นอน แม้ว่าตอนนี้มันจะอยู่แค่ในระดับพรสวรรค์ แต่ถ้าจะขัดขวางวิญญาณที่อยู่ในระดับฝึกจิต ถือเป็นเรื่องง่ายเพียงนิดเดียว

ทว่าไม่นานความคิดนี้ก็ได้ถูกหลงหมิงปฏิเสธ มันกล่าวอย่างลับ ๆ : “ให้วิญญาณทำลายการรู้แจ้งของเจ้าคนนี้ดีที่สุด ถ้าหากให้มันได้รับบาดเจ็บหนักเพราะเหตุนี้ได้ ข้าท่านชายหลงก็จะมีเวลาเพิ่มระดับความสามารถได้มากขึ้น พอถึงตอนนั้นก็จะพลิกสถานะที่เสียเปรียบขึ้นมาเป็นได้เปรียบได้ หลุดพ้นจากการควบคุมจากตราสำนึกของมัน”

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ หลงหมิงก็แสยะยิ้มออกมาอย่างเย็นชา ซ่อนร่างเข้าไปในปริภูมิ ไม่ไปสนใจวิญญาณที่กระโจนเข้ามาหลัวซิวตนนั้น

การรู้แจ้ง ไม่ว่าจะสำหรับนักยุทธ์ผู้ใด ล้วนเป็นสิ่งที่ปรารถนาเป็นอย่างยิ่ง

เมื่อเข้าสู่การรู้แจ้ง จิตใจทั้งหมดจะเข้าสู่ความว่างเปล่า และสามารถทำความเข้าใจความลึกซึ้งของทุกสิ่งทุกอย่างในโลกยุทธ์ได้ง่ายยิ่งขึ้น พลังความแข็งแกร่งพัฒนาอย่างก้าวกระโดด

ตินนี้หลัวซิวได้จมอยู่ในภวังค์แห่งการรู้แจ้ง ในตัวหยั่งรู้ของเขา ห้วงดาบมรณะได้กลายร่างเป็นดาบรบสีดำสนิทเล่มหนึ่ง ส่วนห้วงความคิดของเขานั้นได้กลายร่างเป็นกระบี่ยุทธ์ ดาบและกระบี่กระทบกันอยู่ไม่ขาด หยั่งรู้ถึงความลึกล้ำถึงแก่นแท้ของห้วงดาบมรณะจากในนั้น

ทันใดนั้นเอง เข้าก็เข้าใจขึ้นมาในใจ ร่างกายได้แสดงการเคลื่อนไหวออกมาตามสัญชาตญาณ ยกมือนิ้วหนึ่งชี้ออกไป

นิ้วที่ชี้ออกไปนี้ดูเหมือนธรรมดา แต่กลับแฝงไปด้วยไอมรณะ ทำให้คนรู้สึกว่ากำลังเผชิญหน้ากับความตาย ไม่อาจต้านทานได้เลยสักนิด ถ้าหากฝืนเผชิญหน้า จะต้องตายโดยไร้ที่ฝังศพอย่างนอน

“นี่ก็คือห้วงยุทธ์มรณะเช่นนั้นหรือ?” การรับรู้ต่าง ๆ ชัดเจนขึ้นมาเรื่อย ๆ ภายในใจของหลัวซิว

ภายใต้ห้วงยุทธ์มรณะจะทำให้คนหลงผิดคิดว่ากำลังเผชิญหน้ากับความตาย ความรู้สึกจากส่วนลึกของจิตวิญญาณไม่อาจต้านทานได้ จักต้องตายอย่างแน่นอน ภายในใจจะรู้สึกขี้ขลาดตาขาว หวาดหวั่น เกรงกลัว ยากที่จะแสดงพลังในร่างกายออกมาได้แม้แต่ครึ่งเดียว

แต่หลัวซิวกลับไม่รู้เลยว่า ทิศทางที่นิ้วของเขาชี้ออกไปนั้นเป็นทางที่วิญญาณกระโจนเข้ามาพอดี

ไอมรณะแผ่ซ่าน บนใบหน้าเหมือนกับมนุษย์ที่เลือนรางของวิญญาณตนนั้นปรากฏความหวาดผวาออกมา ร่างมายานั้นแตกสลายไปในพริบตา หายไปอย่างไร้ร่องรอย

“เฮ้ย แบบนี้ก็ได้ด้วยรึ?” หลงหมิงปากอ้าตาค้าง “เจ้าคนนี้ชักจะเกินมนุษย์ไปเสียแล้ว เข้าใจความลึกล้ำของห้วงยุทธ์มรณะได้เร็วเช่นนี้เชียวหรือ?”

ในตอนนี้เอง หลัวซิวก็ลืมตาขึ้น และเห็นเข้ากับเหตุการณ์ที่วิญญาณตนนั้นสูญสลายไปพอดี

เข้ายื่นมือออกไป เพลิงมรณะลุกโชนขึ้นมาที่บริเวณฝ่ามือ และจับเข้าไปยังหลงหมิงที่รวมเป็นหนึ่งเดียวกับปริภูมิที่อยู่บนไหล่ทันที

เมื่อหลงหมิงเห็นเช่นนี้ ก็หน้าถอดสี ปฏิกิริยาแรกก็คือขยับตัวหลบหลีก แต่จู่ ๆ ก็รู้สึกเจ็บปวดที่ตัวหยั่งรู้ การเชื่อมต่อระหว่างพลังแห่งปริภูมิถูกตัดขาดไปในทันที

“บ้าเอ๊ย! ตราสำนึกที่สมควรตาย!”

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 242 หลัวซิวผู้เกินมนุษย์

 

เหล็กเสวียนหยินเป็นวัสดุที่ใช้ในการหลอมกระบี่ยุทธ์ดิน แต่สำหรับหลงหมิงที่เปรียบเสมือนผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ในสมัยโบราณแล้ว ก็เป็นเพียงเศษเหล็กระดับขยะเท่านั้น

หลัวซิวคร้านที่จะไปสนใจเขา ปัจจุบันนั้นแตกต่างกับสมัยโบราณไปนานแล้ว ซึ่งขาดแคลนทรัพยากรเป็นอย่างมาก

ผ่านไปสักพัก หลัวซิวก็ได้ค้นพบเหล็กเสวียนหยินอีกหลายก้อน เพียงพอที่จะหลอมกระบี่ยุทธ์ดินระดับชั้นล่าง

กระบี่ยุทธ์ที่หลอมขึ้นโดยวัสดุAttrหยิน เมื่อรวมเข้ากับเพลิงมรณะที่หลัวซิวใช้อย่างชำนาญ สามารถเพิ่มอานุภาพได้

หลัวซิวไม่ได้ค้นหาเหล็กเสวียนหยินอีก ของชนิดนี้ไม่นับว่าเป็นสิ่งของขั้นสูงอะไร สำหรับเขารวบรวมวัสดุให้พอที่จะหลอมกระบี่เล่มหนึ่งก็เพียงพอแล้ว

“ยิ่งเข้าใกล้จุดกึ่งกลางของแดนหยินสุดขั้ว ปราณหยินก็ยิ่งหนาแน่น ถ้าหากสามารถฝึกตนในจุดกึ่งกลางได้ บวกกับผังค่ายผนึกปราณขั้น5 จะต้องเพิ่มความเร็วในการฝึกฝนให้กับข้าถึงขั้นที่ไม่สามารถจินตนาการได้อย่างแน่นอน”

คิดมาถึงตรงนี้ หลัวซิวก็เดินมุ่งหน้าเข้าไปในส่วนลึกของแดนปริศนา

ในตอนที่ผู้คนทั้งร้อยสามสิบกว่าคนถูกส่งตัวเข้ามานั้น ต่างถูกส่งไปในสถานที่ที่แตกต่างกัน เพื่อตามหาโอกาสและสมบัติ ทุกคนต่างจะต้องมุ่งหน้าไปยังใจกลางโดยไม่ได้นัดหมาย โอกาสในการพบกันนั้นมีมาก

หลัวซิวได้ปล่อยกระแสสัมผัสตัวสำนึกของตนออกไปอยู่ตลอดเวลา เพื่อป้องกันการซุ่มโจมตีจากผู้อื่น

ทันใดนั้น ตัวสำนึกของหลัวก็ได้สัมผัสถึงกระแสพลังอันเย็นยะเยือกโจมตีเข้ามา แต่ทว่าเขาสัมผัสไม่ได้ถึงการเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตเลยสักนิด

หลัวซิวเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เห็นเงาดำมัว ๆ กระโจนผ่านร่างไปอย่างเลือนราง

ยื่นมือออกไปจับ กระบี่ยุทธ์ที่อยู่ด้านหลังได้ถูกหลัวซิวจับเอาไว้ในมือเป็นที่เรียบร้อย กระจายตัวสำนึกออกไป ก็พบว่าเงาดำนั้นคือวิญญาณตนหนึ่ง

วิญญาณ สามารถเรียกอีกอย่างว่าภูตผี แดนหยินสุดขั้วที่นักยุทธ์โบราณสร้างขึ้นด้วยการชักนำพลังฟ้าดินนั้น เป็นสถานที่เลี้ยงภูตผีที่ดีที่สุด

ภูตผีวิญญาณไม่มีร่างแท้ ชำนาญการโจมตีทางดวงจิต กลืนกินเลือดลมดวงจิตของมนุษย์ เมื่อมีระดับที่บรรลุถึงที่แน่นอนแล้ว สามารถก่อเกิดเลือดเนื้อรูปร่างได้ กลายเป็นเหมือนดั่งมนุษย์ไม่มีผิด

วิญญาณที่ตัวสำนึกของหลัวซิวจับจ้องตนนี้นั้น กระแสดวงจิตที่กระจายออกมานั้นเทียบได้กับฝึกจิตขั้น3 ภายใต้ฟ้าดินที่มืดมัวแห่งนี้ เดี๋ยวหายเดี๋ยวปรากฏ รวมตัวเป็นหนึ่งเดียวกับปราณหยินที่ครอบคลุมอยู่ เสมือนปลาได้น้ำ

“บรู้ววว!”

คลื่นเสียงเสมือนเสียงหมาป่าดังลอยมา ดังก้องอยู่ในตัวหยั่งรู้ ถ้าหากเป็นปรมาจารย์ยุทธ์ฝึกจิตขั้นปฐมภูมิ จะต้องตัวหยั่งรู้สั่นสะเทือน

ทว่าตัวสำนึกของหลัวซิวนั้นทัดเทียมกับฝึกจิตขั้น8 บวกกับที่ฝึกฝนพลังก่อรวมวิญญาณ ตัวสำนึกกระชับเป็นอย่างมาก การโจมตีทางดวงจิตระดับเช่นนี้ ไม่สามารถสะเทือนตัวหยั่งรู้ของเขาได้เลยสักนิด

เขายืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ ทว่าวิญญาณตนนั้นกลับคิดว่ามนุษย์ผู้นี้ได้รับการกระทบกระเทือน และรีบกระโจนเข้ามาโดยไม่ลังเล

“รนหาที่ตาย!”

หลัวซิวเย้ยหยัน เขายื่นมือจับออกไปทางวิญญาณที่กำลังกระโจนเข้ามาทันที เพลิงมรณะลุกโชนขึ้นมากลางฝ่ามือของเขาทันที

ในระดับพลังAttr พลังหยินเป็นเพียงส่วนหนึ่งของพลังแห่งความตายเท่านั้น เป็นเหมือนกับราชาและผู้ใต้บังคับบัญชา

สำหรับเพลิงมรณะของหลัวซิวแล้วปราณหยินเป็นยาบำรุง แต่เพลิงมรณะสำหรับภูตผีวิญญาณที่ควบคุมปราณหยินแล้ว กลับแสดงถึงการทำลาย น่าหวาดกลัวยิ่งนัก!

วิญญาณตนนั้นถูกเพลิงมรณะครอบงำ ปราณหยินที่แผ่ซ่านออกมาทั่วร่างกายนั้นพึ่งสัมผัสเข้ากับเพลิงมรณะก็ถูกกลืนกินในพริบตา ทำให้มันกรีดร้องออกมาอย่างหวาดกลัวทันที

เสียงพึ่บดังขึ้น ร่างมายาของวิญญาณถูกเผาไหม้จนหมดสิ้นทันที และหลังจากที่เพลิงมรณะกลืนกินปราณหยินบริสุทธิ์ที่อยู่ในร่างของวิญญาณ รู้สึกว่าพลังจิตแท้ของตนเพิ่มขึ้นมา

“หึ ๆ เป็นยาบำรุงชั้นดีจริง ๆ !” หลัวซิวมีท่าทางดีอกดีใจ จากผลการฝึกตนของเขาในตอนนี้ แม้ว่าจะได้ใช้ยากลั่นจิต ผลการฝึกตนก็ยากที่จะเลื่อนขั้น

เพราะยังไงเขาก็ได้ทานยากลั่นจิตไปไม่น้อยแล้ว ฤทธิ์ของยานั้นนับวันยิ่งอ่อนลง

สำหรับนักยุทธ์ธรรมดาทั่วไปแดนปริศนาเป็นสถานที่อันตราย สำหรับหลัวซิวแล้ว กลับเป็นแดนสวรรค์!

“คลื่นนน!”

ในตอนนี้เอง เสียงคำรามได้ดังลอยมา เนินดินที่อยู่ห่างออกไปจากหลัวซิวไม่ไกลนักได้ระเบิดออก ผีในร่างมนุษย์ตนหนึ่ง ที่มีกลิ่นเหม็นสาบไปทั้งตัวได้กระโจนเข้ามาหาตนเองเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว

“ศพเดินได้!”

หลัวซิวมองที่มาของผีตนนั้นออกทันที ไม่เหมือนกับวิญญาณที่ชำนาญด้านการโจมตีดวงจิต ร่างเนื้อของศพเดินได้สามารถดูดกลืนปราณหยินเพิ่มความแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆเสมือนกับนักยุทธ์กลั่นร่าง

กระแสพลังของศพเดินได้ตนนี้เพียงพอที่จะทัดเทียมกับฝึกจิตขั้น 5 ใบหน้าที่น่าเกลียดน่ากลัวมีเขี้ยวสีเลือดอยู่สองเล่ม เสียงที่คำรามออกมาทั้งแสบหูทั้งไม่น่าฟัง

สำหรับวิญญาณ สามารถใช้เพลิงมรณะกลืนกินและกลั่นแปรได้ แต่จัดการกับศพเดินได้ คิดจะใช้เพลิงมรณะทำอันตรายอีกไฟได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย

ความคิดขยับ พลังจิตแท้สองระดับความเป็นตายในร่างกายกลายรูปเป็นพลังแห่งชีวิต

หลัวซิวยกมือดาบเล่มหนึ่งฟันออกมา ไฟสีขาวลุกโชน ใช้อัคคีขาวเสวียนหยางแสดงทักษะยุทธ์ระดับ 7 ออกมา กระบี่เพลิง

กระแสพลังชีวิตที่แผ่ซ่านออกมาจากอัคคีขาวเสวียนหยาง ทำให้ศพเดินได้รู้สึกขยะแขยงโดยสัญชาตญาณ ยกกรงเล็บสีดำขึ้น พุ่งตรงเข้าไปยังกระบี่ยุทธ์ของหลัวซิวที่ฟันเข้ามา

ฉับ!

กระบี่ของหลัวซิวฟันลงไปบนกรงเล็บของศพเดินได้ อัคคีขาวเสวียนหยางเผาผลาญปราณหยินเพียงชั่วพริบตาก็ได้ทำลายการป้องกันร่างเนื้อของศพเดินได้ กลิ่นคาวเลือดสีดำพุ่งกระฉูดออกมา

ทว่าพลังของศพเดินได้นั้นกลับแข็งแกร่งยิ่งนัก ไม่ด้อยไปกว่าร่างยุทธ์สูงสุดช่วงหลังของหลัวซิว ช่องว่างระหว่างนิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือถูกสะเทือนจนรู้สึกชา

อัคคีขาวเสวียนหยางเป็นเหมือนดั่งหนอนเซาะกระดูก การเผชิญหน้าระหว่างความเป็นตาย แม้ว่าศพเดินได้จะสัมผัสประกายไฟเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ก็เผาไหม้อยู่ไม่ขาด ทำให้ศพเดินได้ร้อยโหยหวนด้วยความทรมานอยู่ไม่ขาดสาย ไม่นานกรงเล็บข้างหนึ่งก็จะถูกแผดเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่าน

หลัวซิวฟันกระบี่ออกไปอีกหลายครั้งในฉับพลันทันที อาศัยความขัดแย้งและยับยั้งซึ่งกันและกันของ Attr ศพเดินได้ไม่อาจต้านทานเลยแม้แต่น้อย

“เจ้าคนนี้ คิดไม่ถึงว่าจะฝึกฝนสองระดับความเป็นตายพร้อมกันเลยเช่นนั้นหรือ?” หลงหมิงเบิกตาโพลง น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความตะลึง นี่กก็เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นหลัวซิวแสดงอัคคีขาวเสวียนหยางออกมา

ต่อให้เป็นในสมัยโบราณ เขาก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีคนสามารถฝึกฝนสองพลังสุดยอดเช่นนี้พร้อมกันได้

เป็น ตาย ภายใต้ Attr มากมาย นับเป็นสองพลังที่สุดยอดที่สุด นอกเหนือจากเวลาและปริภูมิ พลัง Attr ที่เหลือทั้งหมด เกือบทั้งหมดล้วนเป็นสาขาที่แตกแยกออกมาจาก Attr สูงสุดสองชนิดอย่างความเป็นและความตาย

ไม่ต้องพูดถึงการฝึกฝนทั้งสองอย่างพร้อมกัน แม้แต่ฝึกฝนเพียงอย่างเดียว ในสมัยโบราณก็จะต้องเป็นผู้แข็งแกร่งที่ดำรงอยู่เหนือโลกยุทธ์ขั้นสูง

เป็นธรรมดาที่หลงหมิงจะคิดไม่ถึงว่าที่หลัวซิวสามารถฝึกฝนสองระดับความเป็นตายพร้อมกันได้นั้นเป็นเพราะได้ผสานลูกแก้วความเป็นตาย และสามารถทำให้ และสามารถปรับสมดุลสองระดับความเป็นตาย แล้วรับเอาเข้าสู่ร่างกาย

ของล้ำค่าที่วิวัฒนาการโดยกฎดั้งเดิม จากความสามารถของหลงหมิงในสมัยโบราณ ยังไม่มีคุณสมบัติพอที่จะได้สัมผัสพบเห็น

“เจ้าคนนี้เกินมนุษย์จริง ๆ!” หลงหมิงพึมพำเสียงเบา

ในสมัยโบราณเคยมีคนลองพยายามฝึกฝนสองระดับความเป็นตายพร้อมกัน แต่ก็ต้องจบลงด้วยความล้มเหลวโดยไม่มีข้อยกเว้น

เพราะที่สุดของชีวิตก็คือความตาย ที่สุดของความตายก็คือการมีชีวิต จะสามารถรักษาสมดุลสองระดับความเป็นตายได้อย่างไรนั้น เป็นคำถามที่ไม่สามารถหาคำตอบได้

เพราะสองระดับความเป็นตาย เป็นเหมือนกับน้ำกับไฟที่อยู่ร่วมกันไม่ได้ นักยุทธ์ที่ลองฝึกฝนสองระดับพร้อมกัน ต่อให้คุณมีความสามารถที่น่าตื่นตาตื่นใจ มีพรสวรรค์ที่เหนือชั้นเพียงใด สุดท้ายแล้วล้วนมีจุดจบที่น่าเวทนา

ทว่าหลัวซิวกลับสามารถรักษาสมดุลระหว่างสองระดับความเป็นตายได้ เมื่อพลังแห่งความตายเพิ่มมากขึ้น ก็จะแปลงส่วนที่เกินออกมานั้นเป็นพลังชีวิต ถ้าหากพลังชีวิตมากเกินไป ก็จะแปลงส่วนที่เกินออกมาเป็นพลังแห่งความตายเช่นกัน

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 241 เหล็กเสวียนหยินสามชิ้น

 

ถาวโจว่จวิ้นเย้ยหยันอยู่ในใจ แอบกล่าว: “รอพลังของข้าแข็งแกร่งขึ้นในแดนปริศนา พอกลับไปตำแหน่งจะต้องสูงขึ้นและได้รับการให้ความสำคัญจากเสด็จพ่อของเจ้าตำหนักเป็นแน่ ชินหวางแห่งประเทศเล็กอย่างประเทศเทียนหวูก็ยังกล้าดูถูกข้า คอยดูแล้วกัน!”

บนโต๊ะ มีพวกสุราและอาหารวางอยู่ หนานหรงชินหวาง หยิบเอาเหยือกเหล้าขึ้นมา แล้วรินให้หลัวซิวหนึ่งจอก พลางยิ้มกล่าว: “ลองชิมดู”

หลัวซิวกล่าวขอบคุณ จากนั้นก็ยกสุราขึ้นดื่มหมดในครั้งเดียว กลิ่นหอมละมุนของเหล้าฟุ้งกระจายไปทั่วปาก รสชาติอยากที่จะลืมเลือน

นอกจากนี้แล้วนี่ไม่ใช่สุราธรรมดา แต่เป็นสุราวิเศษที่ทำมาจากยาวิเศษ ช่วยในการฝึกเอ็นเกลากระดูก เสริมความแข็งแกร่งให้กับเลือดลมได้อย่างมหัศจรรย์

แม้ว่าผลลัพธ์จะไม่ค่อยชัดเจนนัก แต่สำหรับนักยุทธ์ที่แดนที่บรรลุถึงอยู่ในระดับต่ำนั้น นับว่าเป็นสมบัติล้ำค่ายาวิเศษแสนมหัศจรรย์แล้ว

“ท่านอ๋อง ท่านเรียกผู้น้อยมา คงไม่ใช่เพียงเพราะเพื่อดื่มเหล้าหรอกใช่หรือไม่?” หลังจากที่หลัวซิววางจอกลง ก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม

หนานหรงชินหวางให้ความรู้สึกที่ไม่เลวกับเขา แม้ว่าจะมีฐานะสูงส่ง แต่กลับเรียบง่ายเป็นกันเอง ยาหิมะแย้มที่เขามอบให้ตนในตอนนั้นถูกหลัวซิวขายไป เขาก็ไม่ได้โมโห แต่กลับได้ใช้เงินของตนซื้อกลับไปอีกที ถือเป็นการบอกใบ้หลัวซิวอย่างลอย ๆ

เมื่อหนานหรงชินหวางได้ยินดังนั้นก็ยิ้มออกมา “เจ้าตรงไปตรงมาแบบนี้ เช่นนั้นข้าก็จะไม่อ้อมค้อมแล้ว เจ้ารู้หรือไม่ว่าแดนปริศนาสามสิบปีถึงจะเปิดหนึ่งครั้ง ทุกครั้งจะมีคนเข้าไปหนึ่งร้อยสามสิบกว่าคน สุดท้ายคนที่มีชีวิตรอดออกมาได้ มีเพียงห้าสิบกว่าคนเท่านั้น”

หลัวซิวพยักหน้าเป็นเชิงบอกว่าตนเองทราบ ด้วยสิทธิของอัจฉริยะขั้นดำ เป็นธรรมดาที่เขาจะได้รับรายงานเกี่ยวกับแดนปริศนาฉบับหนึ่งจากองค์กรนักล่ายุทธ์ตั้งแต่แรกแล้ว

เมื่อก่อนนั้นหลัวซิวไม่ได้ดูอย่างละเอียด ต่อมาได้ยินชิวลั่วสุ่ยพูดถึงเรื่องน้ำแร่วิญญาณ หลังจากนั้นเขาก็ได้ศึกษาค้นคว้าเอกสารฉบับนั้นอย่างละเอียด และได้เข้าใจมากยิ่งขึ้น

“ดูเหมือนเจ้าจะได้เตรียมพร้อมมาก่อนแล้ว รายงานที่ทางองค์กรนักล่ายุทธ์มีอยู่ในมือนั้น ไม่ต่างอะไรมากกับที่ราชวงศ์ตระกูลฝานของเรามีอยู่”

หนานหรงชินหวางยิ้มพลางดื่มเหล้าคำหนึ่ง สีหน้าท่าทางค่อนข้างจริวจัง กล่าว: “แต่ยังไงข้าก็ต้องเตือนเจ้าหน่อย นอกจากอันตรายที่มีอยู่ในแดนปริศนาแล้ว เจ้ายังต้องคอยระวังอันตรายที่มาจากผู้อื่นอีก”

“ข้ารู้ว่าฝีมือของเจ้านั้นแข็งแกร่งพอควร แต่ก็ต้านทานคนจำนวนมากไม่ได้ หลังจากที่เข้าไปในแดนปริศนาแล้วทางที่ดีอย่าได้เคลื่อนไหวคนเดียวเป็นอันขาด ราชวงศ์ของข้าก็มีสิทธิ์อยู่สิบรายชื่อ เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าและพวกเขาก็ไปค้นหาโอกาสในการค้นพบสมบัติในแดนปริศนาด้วยกัน”

“ขอบพระทัยท่านอ๋อง” หลัวซิวกล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ

“ไม่ต้องเกรงใจ ข้าแค่ไม่อยากให้อัจฉริยะอย่างเจ้าต้องสูญสิ้นไปในแดนปริศนา หลังจากที่เจ้าออกมาจากที่นั่น จะเข้าร่วมวิทยาลัยพระวงศ์หรือไม่ ก็ควรที่จะให้คำตอบกับข้าได้แล้วสินะ” หนานหรงชินหวาง ยิ้มกริ่มพลางกล่าว

ถ้าไม่ใช่เพราะให้ความสำคัญกับพรสวรรค์ของหลัวซิว ตามฐานันดรอ๋องของเขาแล้ว จะใส่ใจคนรุ่นหลังถึงเพียงนี้ได้เยี่ยงไร?

แม้ว่าจะมีวัตถุประสงค์ถึงได้ทำเช่นนี้ แต่ไม่ว่ายังไง ที่หนานหรงชินหวางทำล้วนมีผลดีต่อตนทั้งนั้น หลัวซิวตื้นตันใจไม่น้อย

ส่วนจะเข้าร่วมวิทยาลัยพระวงศ์หรือไม่นั้น ความจริงหลัวซิวก็ได้มีการตัดสินใจเอาไว้ในใจแล้ว แต่ก็ไม่ได้ใจร้อนที่จะให้คำตอบกับหนานหรงชินหวาง รอหลังจากที่ออกมาจากแดนปริศนาแล้วค่อยพูดก็ไม่สายเกินไป

หลังจากที่คุยเรื่องสัพเพเหระกับหนานหรงชินหวางอยู่สองสามประโยค หลัวซิวก็ขอตัวลา และกลับไปที่ห้องของตัวเองที่อยู่ภายในเรือรบ

ชั่วพริบตาเดียว เวลาสองวันได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดเรือรบก็ได้มาถึงจุดหมาย

เรือรบจอดลอยอยู่กลางอากาศ เสียงให้ทุกคนลงจากเรือของหนานหรงชินหวางดังลอยมา เหล่าวีรบุรุษคนรุ่นไหม่ร้อยสามสิบกว่าคนล้วนเดินออกมาจากห้อง

ทางด้านหน้าของทุกคน เป็นกลุ่มภูเขามากมายหลายลูก แต่กลับมีหมอกสีขาวปกคลุมอย่างหนาแน่น มองเห็นได้เพียงหินและพืชพรรณบางส่วนอย่างเลือนราง

แดนปริศนา ซ่อนอยู่ในกลุ่มภูเขาเหล่านี้นั่นเอง

ที่ด้านล่าง มีค่ายวาร์ปเก่าแก่อยู่แห่งหนึ่ง สร้างอยู่บนแท่นบูชาที่สูงตระหง่านห้าเมตร

ค่ายวาร์ปแห่งนี้ซับซ้อนเป็นพิเศษ เกินกว่าขอบเขตค่ายกลโดยทั่วไป ค่ายวาร์ปที่ปรมาจารย์ค่ายกลขั้นห้าในปัจจุบันสร้างขึ้นเมื่อเทียบกับค่ายวาร์ปแห่งนี้แล้ว ไม่อาจเทียบได้เลยสักนิด

ท่ามกลางเหล่าวีรบุรุษคนรุ่นไหม่ ก็มีบางคนที่เป็นอัจฉริยะทางด้านฝึกค่ายกล ต่างจ้องมองลายเส้นและสัญลักษณ์ของค่ายวาร์ปเก่าแก่แห่งนี้ตาไม่กะพริบ

ลายเส้นของค่ายกลราวกับสิ่งมีชีวิต เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา สัญลักษณ์ที่สลักอยู่นั้นกระกะพริบอยู่ไม่หยุด ปรากฏขึ้นบนตำแหน่งที่แตกต่างกันออกไป

เมื่อหลายร้อยปีก่อนบรรพบุรุษท่านหนึ่งของราชวงศ์ประเทศเทียนหวูได้รับจดหมายลายที่เขียนด้วยมือมาฉบับหนึ่ง ในนั้นได้บันทึกวิธีเฉพาะของเปิดใช้ค่ายวาร์ปเอาไว้ และมีเพียงในช่วงเวลาที่กำหนด ถึงจะสามารถเปิดใช้ค่ายวาร์ปนี้ได้

และนี่ก็คือเหตุผลว่าทำไมแดนปริศนาถึงได้สามสิบปีถึงจะเปิดหนึ่งครั้ง

ขอบเขตของค่ายวาร์ปเก่าแก่แห่งนี้กว้างขวางมาก คนร้อยสามสิบกว่าคนยืนอยู่ด้านบน ก็ไม่รู้สึกว่าแออัดเลยสักนิด

ตามคำสั่งของหนานหรงชินหวาง นักค่ายกลที่มาด้วยเหล่านั้นได้นำเอาวัสดุล้ำค่าต่าง ๆ ออกมา เริ่มจัดวางลงไปบนทั้งสี่ทิศของค่ายวาร์ป สลักลายเส้นและสัญลักษณ์ของค่ายกล และปักธงค่าย

เมื่อจัดวางทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย หนานหรงชินหวางก็กล่าวขึ้นมาเสียงดัง: “ระยะเวลาที่แดนปริศนาเปิดนั้นคือหนึ่งร้อยวัน พอถึงตอนนั้นคนที่ยังมีชีวิตอยู่จะถูกส่งกลับมายังที่แห่งนี้อีกครั้ง ขอให้วีรบุรุษทุกท่านได้พบกับโอกาสของตัวเองในแดนปริศนา!”

ค่ายวาร์ปเก่าแก่เริ่มทำงาน แสงสว่างอันเจิดจ้าส่องสว่างขึ้นมา ทุกคนต่างรู้สึกวิงเวียนศีรษะ และหายตัวไปจากแทนบูชา

เมื่อทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าสงบลง หลัวซิวพิจารณาดูบริเวณรอบ ๆ พบว่าตนเองได้อยู่ในที่อันมืดสลัวแห่งหนึ่งเป็นที่เรียบร้อย

เมฆหมอกปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า มีเพียงพระอาทิตย์สีเลือดแขวนลอยอยู่กลางอากาศ ไม่มีความร้อนเลยแม้แต่น้อย เต็มไปด้วยความเยือกเย็น ลมหนาวพัดมาเป็นระยะ เกิดเป็นดั่งเสียงร้องโหยหวนของภูตผีปีศาจ

ที่นี่ก็คือแดนปริศนานั่นเอง เป็นแดนหยินสุดขั้วแห่งหนึ่ง ที่ผู้แข็งแกร่งยอดยุทธ์ของสำนักไท่เสวียนโบราณสร้างขึ้นโดยการใช้ค่ายกลสะเทือนพลังฟ้าดิน!

“จริงอย่างที่คิด สมกับที่เป็นแดนหยินสุดขั้วจริง ๆ ปราณหยินหนาแน่น ผ่านกาลเวลาอันเนิ่นนาน จะต้องกลายเป็นหินหยินอย่างแน่นอน” หลัวซิวพูดอยู่ในใจ

“ที่แห่งนี้ก็คือแดนปริศนาเช่นนั้นหรือ? เหน็บหนาวจนทำให้ท่านชายหลงไม่สบายไปทั้งตัว” เสียงบ่นพึมพำของหลงหมิงดังลอยมาจากบริเวณไหล่ของหลัวซิว

แดนหยินสุดขั้วที่สร้างขึ้นจากค่ายกลโบราณจะส่งผลกระทบต่อปริภูมิ สิ่งนี้สำหรับมังกรไร้รูปร่างที่เป็นหนึ่งเดียวกับปริภูมิแล้ว จะรู้สึกไม่สบายจริง ๆ

ถึงมาว่าหลงหมิงจะมีชีวิตรอดมาจากสมัยโบราณ แต่ก็ไม่เคยมาที่แดนปริศนา เพราะในสมัยโบราณแดนปริศนาใหญ่สามแห่ง แดนปริศนาน้อยแปดแห่งของสำนักไท่เสวียนไม่เคยเปิดให้คนภายนอกเลยแม้แต่ครั้งเดียว

“เหล็กเสวียนหยิน?”

หลัวซิวสายตาจับจ้อง มองเห็นในที่ที่ห่างออกไปไม่ไกลนักมีก้อนเหล็กก้อนหนึ่งกระจายรัศมีอันเย็นยะเยือกอยู่ เขามีสีหน้าดีอกดีใจขึ้นมาทันที

สมกับที่เป็นแดนปริศนาที่มีสมบัติอยู่ทุกหนทุกแห่งจริง ๆ เพิ่งจะเข้ามาก็พบกับเหล็กเสวียนหยินเสียแล้ว”

หลัวซิวมีท่าทางดีอกดีใจ เขารีบเดินเข้าไปละเก็บเอาเหล็กเสวียนหยินขึ้นมา เขารู้สึกว่าสำหรับตนแล้วแดนปริศนาแห่งนี้ เป็นขุมทรัพย์อย่างแน่นอน ไม่เพียงมีสมบัติมากมาย และยิ่งเหมาะแก่การฝึกตน

จากนั้นหลัวซิวก็ได้ค้นหาที่บริเวณใกล้เคียง และค้นพบเหล็กเสวียนหยินอีกสามก้อน

“เศษเหล็กแบบนี้ก็ทำให้เจ้าดีอกดีใจขนาดนี้เชียว?” หลงหมิงเบ้ปาก ใบหน้าเย้ยหยัน

 

บทที่ 240 ราชาสิงห์ปีกทอง

 

ผลประโยชน์ดีๆ ที่ชิวลั่วสุ่ยพูดมา ทำให้เขาหวั่นไหว และรับปาก ยิ่งไปกว่านั้น ถึงไม่ได้ทำเพื่อผลประโยชน์เหล่านี้ เขาก็ต้องไปหาน้ำแร่วิญญาณอยู่แล้ว

เมื่อเห็นหลัวซิวรับปาก ชิวลั่วสุ่ยมีสีหน้าดีใจ ถอนหายใจอย่างโล่งอก

ขณะนั้น เรือรบสั่นอย่างรุนแรง เกิดเสียงดังสนั่นเข้ามาในหูไม่หยุด

หนุ่มสาวอัจฉริยะที่อยู่ในเรือรบจำนวนมาก ไม่ว่ากำลังทำอะไรอยู่ ก็ต้องตกใจ แต่ละคนต่างพากันออกมานอกห้อง แล้วมองไปด้านนอก เกราะป้องกันม่านแสงนอกเรือรบ มีอสูรกายขนาดมหึมา ที่มีปีกสองข้าง กำลังคำรามโจมตีอย่างดุดัน

อสูรกายตัวนี้มีลักษณะเหมือนสิงห์ มีแผงคอสีทองปกคลุม เมื่อปีกทั้งสองข้างสยายออก ยาวประมาณ 33 เมตรกว่า รูปร่างเล็กว่าเรือรบเพียงเล็กน้อย

“อสูรระดับ5 ราชาสิงห์ปีกทอง!”

มีคนอุทานออกมาอย่างตกใจ รู้จักที่มาที่ไปของอสูรกายตัวนี้

ตอนนี้เรือรบบินผ่านบนป่าดงดิบแห่งหนึ่ง ไม่รู้ทำไมถึงไปรบกวนอสูรกายที่เทียบได้กับผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์

เกราะป้องกันม่านแสงของเรือรบสั่นสะเทือน เพราะถูกราชาสิงห์ปีกทองโจมตีอย่างรุนแรง ทำให้หนุ่มสาวอัจฉริยะบนเรือรบ ต่างมีสีหน้าตึงเครียด

พลังอสูรบนตัวราชาสิงห์ปีกทองตัวนี้ ทัดเทียมกับผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ขั้นปลาย ถ้าค่ายกลป้องกันเรือรบถูกทำลาย เดาว่านอกจากหนานหรงชินหวาง ใครก็ไม่มีทางรอดไปได้

“เปิดปืนใหญ่พลังดั้งเดิม!” หนานหรงชินหวางยืนเอามือไพล่หลัง บนดาดฟ้าเรือ แผดเสียงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ครับ!”

นักค่ายกลที่ตามมาบนเรือรบสองสามคน รีบเอาหินพลังจิตออกมาเป็นจำนวนมาก ถมเข้าไปยังค่ายกลภายในเรือรบ

แสงสว่างวิบวับเป็นประกาย ประกายแสงค่ายส่องแสงปะปนกัน กลายเป็นเครื่องยิงขีปนาวุธขนาดใหญ่ กว่า 33 เมตร พลังฟ้าดินจิตอันทรงพลัง รวมตัวกันอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นพลานุภาพอันน่ากลัว ที่ไม่สามารถต้านทานได้

นี่เป็นอาวุธที่ติดตั้งมาพร้อมเรือรบ ปืนใหญ่พลังดั้งเดิม!

การสร้างเรือรบ มาจากวิชากลั่นสมบัติในสมัยโบราณ

ประเทศเทียนหวูมีเรือรบระดับชั้นล่างอยู่สองลำ เรือลำที่ทุกคนโดยสาร เป็นหนึ่งในนั้น

เมื่อเปิดปืนใหญ่พลังดั้งเดิมของเรือรบระดับชั้นล่าง จะเสียหินพลังจิตไปแสนก้อน พลานุภาพของกระสุน สามารถฆ่าราชายุทธ์ได้!

ตู้ม!

ระหว่างชุลมุน ลำแสงสีขาวขนาดใหญ่ ถูกยิงออกจากดาดฟ้าเรือรบ ผ่านอากาศพร้อมความสั่นสะเทือน เหมือนห้วงเวลาบิดเบี้ยวไปหมด

ขณะที่หนุ่มสาวอัจฉริยะ 130 กว่าคน กำลังมองอย่างจดจ่อ ลำแสงที่ปืนใหญ่พลังดั้งเดิมยิงออกไป ทะลุร่างมหึมาของราชาสิงห์ปีกทองตัวนั้น เลือดเนื้อกระดูกกลายเป็นแก๊ส บนตัวเกิดหลุมเลือดขนาดใหญ่

“โฮก!”

ราชาสิงห์ปีกทองร้องโอดครวญออกมา ปีกสีทองขนาดใหญ่ทั้งสองข้างสั่นไปมา กำลังจะบินหนีไป

“สัตว์ร้ายคิดจะหนีเหรอ”

หนานหรงชินหวางแสยะยิ้มเย็นชา “เร่งความเร็วค่ายวาตะให้เร็วที่สุด ชนเข้าไป!”

“ครับ!” นักค่ายกลรีบรับคำสั่ง รีบกระตุ้นสัญลักษณ์ลายเส้นของค่ายวาตะบนเรือรบ

ทันใดนั้น ความเร็วของเรือรบถึงขีดสุด เรือรบขนาดใหญ่มหึมา เหมือนลำแสงบินบนท้องฟ้า เหมือนโต้คลื่นอยู่ในทะเลใหญ่

แค่พริบตาเดียว เรือรบตามราชาสิงห์ปีกทองจนทัน เสียงระเบิดดังขึ้น ชนอสูรกายที่ทัดเทียมได้กับผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ จนเละเทะ เสียงกระดูกหักดังขึ้นมาไม่หยุด

หนานหรงชินหวางลอยขึ้นไปบนฟ้า ถือมีดรบสีทองอยู่ในมือ เสียงฉึบครั้งเดียว ทำให้หัวของราชาสิงห์ปีกทองขาด เขายื่นมือไปคว้ายาอสูรสีทองเม็ดหนึ่ง

จากนั้น หนานหรงชินหวางสะบัดมือ เอาศพขนาดใหญ่ของราชาสิงห์ปีกทอง เก็บเข้าไปในแหวนเก็บของ

อสูรระดับ5 ที่ทัดเทียมกับผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ โดนฆ่าตายเช่นนี้

ภาพความจริงเช่นนี้ ทำให้ทุกคนตกใจ พลานุภาพอันยิ่งใหญ่ของเรือรบ ก็ทำให้คนมิอาจลืมเลือน

“เรือรบระดับชั้นล่างเช่นนี้ สามารถกดดันราชายุทธ์ทุกคนได้แล้ว” หลิวซิวอดเลียริมฝีปากไม่ได้ หวังอย่างยิ่งว่าตัวเองจะมีเรือรบแบบนี้

แต่การบังคับเรือรบ จำเป็นต้องใช้หินพลังจิตจำนวนมาก นักยุทธ์ทั่วไป ไม่มีทางดูแลได้ มีเพียงมรดกของราชวงศ์ตระกูลฝานเท่านั้น ที่สามารถดูแลเรือรบสองลำนี้ได้

เมื่อผ่านการโจมตีของราชาสิงห์ปีกทอง ระยะเวลาสองสามวันต่อมา เรือรบก็เจอการโจมตีของอสูรกายอีกสามครั้ง

อสรูรกายที่กล้ามาโจมตีเรือรบ อย่างน้อยก็อยู่ในระดับ5 หนึ่งในนั้นมีวิหคยักษ์ทองเขียวขั้น 5 ตัวหนึ่ง ต้านทานการโจมตีของปืนใหญ่พลังดั้งเดิมได้ แค่บาดเจ็บเท่านั้น เมื่อสยายปีกทั้งสองข้าง ก็บินไปอย่างไร้ร่องรอย เรือรบตามไม่ทัน

“หลัวซิว ท่านชินหวางให้นายไปหาหน่อย” วันนี้ หลัวซิวพักผ่อนอยู่ในห้อง นักค่ายกลที่ตามมาบนเรือรบคนหนึ่ง เดินมาบอกหน้าประตูห้องหลัวซิว

จากนั้นไม่นาน หลัวซิวมาถึงดาดฟ้าเรือ หนานหรงชินหวางนั่งอยู่ที่โต๊ะ มองเขาพร้อมรอยยิ้ม

“นั่งสิ” หนานหรงชินหวางชี้ไปที่ตรงข้ามตัวเอง

การเป็นผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ แถมยังเป็นท่านอ๋องของราชวงศ์ตระกูลฝานแห่งประเทศเทียนหวู จากตำแหน่งและอำนาจอันสูงส่งของหนานหรงชินหวาง ถึงเป็นผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ของประเทศเทียนหวู น้อยคนนักที่จะได้นั่งกับเขา

แต่หลัวซิวในสายตาของเขา กลับแตกต่างออกไป ถึงยังหนุ่มมาก ผลการฝึกตนไม่สูง แต่กลับมีศักยภาพที่ยิ่งใหญ่ ถ้าเติบโตขึ้นมาได้ ต้องเป็นผู้แข็งแกร่งในยุค และจะเหนือกว่าตัวเองด้วย

หลัวซิวเอ่ยขอบคุณ และนั่งลงตรงข้ามหนานหรงชินหวาง

ตอนนี้มีหนุ่มสาวอัจฉริยะ เดินออกจากห้อง เพื่อมาชมวิวข้างทางที่ดาดฟ้าเรือ เห็นหลัวซิวนั่งกับหนานหรงชินหวาง ต่างก็มีสีหน้าอิจฉา

“หนานหรงชินหวางไร้มารยาทจริงๆ แค่ราชายุทธ์ของราชวงศ์ตระกูลฝานธรรมดาๆ แต่กลับไม่เชิญเจ้าสำนักน้อยไปนั่งด้วย แต่กลับให้ความสำคัญกับไอ้คนต่ำต้อย”

นางสนมข้างกายถาวโจว่จวิ้นสองคน พูดอย่างไม่สบอารมณ์

นายน้อยตำหนักจื่อ ส่งเสียงหึออกมาด้วยสีหน้าอึมครึม ปรายตามองหลัวซิวด้วยแววตาอาฆาต

ตำหนักจื่อไม่ได้มีเจ้าสำนักน้อยเพียงคนเดียว เจ้าตำหนักในปัจจุบันมีสนมเยอะมาก เวลาสามร้อยกว่าปีที่ผ่านมา มีลูกสาวลูกชายหลายสิบคน

มีลูกชายเยอะ แต่คุณสมบัติพรสวรรค์ฝึกตน ดีบ้างไม่ดีบ้าง มีเพียงการฝึกถึงแดนฝึกจิต ถึงจะมีคุณสมบัติให้เรียกว่าเจ้าสำนักน้อย

ตอนนี้ตำหนักจื่อ มีเจ้าสำนักน้อยทั้งหมดเก้าคน ถาวโจว่จวิ้นอยู่ในลำดับที่เก้า อายุน้อยที่สุด พี่ชายทั้งแปดคนของเขา อายุเกินสามสิบทั้งนั้น ดังนั้นจึงไม่สามารถเข้าแดนปริศนาได้

ในสายตาของนักยุทธ์ทั่วไป ฐานะของเจ้าสำนักน้อยเก้าสูงส่งมาก แต่สำหรับผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ นับประสาอะไรไม่ได้เลย การที่หนานหรงชินหวางไม่เห็นเขาในสายตา จึงไม่ใช่เรื่องแปลก

ผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์ ล้วนมีอายุขัยเป็นร้อยเป็นพันปี มีสายเลือดผลิดอกออกผล ทายาทของลูกชายนับไม่ถ้วน แต่คนที่ได้รับความสำคัญบวกกับการเลี้ยงดูอบรมอย่างแม้จริง มีจำนวนน้อยมาก

“อัจฉริยะไร้เทียมทาน ที่หาได้ยากในรอบหลายปีของประเทศเทียนหวูงั้นเหรอ ในสายตาของฉัน ก็แค่ขยะเท่านั้น”

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 239 ภูตอัคคีฟ้าดิน

 

“ไม่รู้ท่านชายหลัวทราบหรือเปล่า ลั่วสุ่ยเกิดในสำนักสุ่ยเยว่จง เป็นสำนักเล็กๆ ในสังกัดตำหนักจื่อ”

เสียงของชิวลั่วสุ่ยแฝงไปด้วยความเศร้า “สำนักสุ่ยเยว่จงของเราสังกัดในตำหนักจื่อ เพื่อที่จะได้โควต้าในการเข้าแดนปริศนา ต้องเสียไปไม่น้อยเลย อีกทั้งตำหนักจื่อควบคุมสำนักสุ่ยเยว่จง นับวันยิ่งแทรกซึมเข้ามาอย่างไม่เกรงกลัว กลัวว่าอีกไม่นาน สำนักสุ่ยเยว่จงจะไม่มีอยู่อีกแล้ว กลายเป็นสำนักหุ่นเชิดภายใต้ตำหนักจื่ออย่างสมบูรณ์”

“เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับสิ่งที่แม่นางลั่วสุ่ยขอร้องผมล่ะ” หลัวซิวถามอย่างราบเรียบ

“ท่านชายคงไม่ทราบ เดิมทีสำนักสุ่ยเยว่จงของเรา ไม่ใช่สำนักเล็กๆ มีผู้อาวุโสจักรพรรดิยุทธ์ ดำรงตำแหน่งในสำนัก เหตุที่ตกเป็นเบี้ยล่างของตำหนักจื่อ เพราะผู้อาวุโสจักรพรรดิยุทธ์บาดเจ็บสาหัส ผลการฝึกตนลดต่ำลง” ชิวลั่วสุ่ยพูดอย่างทอดถอนใจ

เมื่อได้ยินดังนั้น หลัวซิวพอจะเดาอะไรได้ ผู้อาวุโสจักรพรรดิยุทธ์ของสำนักสุ่ยเยว่จง ต้องบาดเจ็บตรงจุดตันเถียน หรือไม่ก็เทพจิตโดนทำลาย เพราะมีเพียงอาการบาดเจ็บสองอย่างนี้ ถึงจะทำให้ผลการฝึกตนลดต่ำลงได้

“ผู้อาวุโสของสำนักสุ่ยเยว่จงอยากรักษาอาการบาดเจ็บ ฟื้นฟูผลการฝึกตน จำเป็นต้องใช้สมบัติชนิดหนึ่ง ที่ชื่อว่าน้ำแร่วิญญาณ และสมบัติชนิดนี้มีอยู่ในแดนปริศนาเท่านั้น” ชิวลั่วสุ่ยพูดออกมาตามนั้น

“น้ำแร่วิญญาณเหรอ” หลัวซิวหรี่ตาลง น้ำแร่วิญญาณเป็นหนึ่งในตัวยาหลัก ในการกลั่นยาวิญญาณหยินหยาง

ขณะเดียวกันเขาเดาได้ว่า เทพจิตของผู้อาวุโสจักรพรรดิยุทธ์สำนักสุ่ยเยว่จง น่าจะได้รับความเสียหาย จึงทำให้ผลการฝึกตนลดต่ำลง ชิวลั่วสุ่ยจะหาน้ำแร่วิญญาณ น่าจะรวบรวมตัวยาสำคัญ ในการกลั่นยาวิญญาณหยินหยาง

การกลั่นยาวิญญาณหยินหยางไม่ยาก สิ่งสำคัญคือตัวยาหลักนั้นหายาก ไม่ว่าจะเป็นน้ำแร่วิญญาณ ผลหู่หยางจู หรือหญ้าวิญญาณ เป็นสมบัติที่หายากทั้งนั้น

น้ำแร่วิญญาณ จะบังเอิญเจอในแดนหยินสุดขั้วเท่านั้น ประจวบเหมาะกับที่แดนปริศนา เป็นแดนหยินสุดขั้ว มีสมบัติระดับนั้นอยู่ เป็นอะไรที่สมเหตุสมผล

“ฉันต้องเอาน้ำแร่วิญญาณมาให้ได้!” หลัวซิวพูดในใจ

ตัวยาสำคัญสามชนิด ในการกลั่นยาวิญญาณหยินหยาง ในแดนปริศนามีน้ำแร่วิญญาณ สมบัติที่ขายในองค์กรนักล่ายุทธ์ มีผลหู่หยางจู เมื่อถึงตอนนั้นแค่หาหญ้าวิญญาณมาได้ ก็สามารถเริ่มกลั่นยาได้

ถึงในใจอยากได้น้ำแร่วิญญาณมาก แต่หลัวซิวไม่ได้แสดงออกมาภายนอก

เพราะน้ำแร่วิญญาณ เป็นของหายากในสมบัติขั้น6 ถึงตัวเองหาเจอ ทำไมจะต้องเอาไปให้ผู้อาวุโสสำนักสุ่ยเยว่จงรักษาอาการบาดเจ็บด้วยล่ะ

การที่ชิวลั่วสุ่ยมาขอความช่วยเหลือจากตัวเอง หลัวซิวกลับเข้าใจ เพราะถ้าเธอไปหาด้วยตัวเอง ถึงหามาได้ ก็ต้องโดนคนของตำหนักจื่อเก็บไว้ ไม่ให้เธอเอากลับไปที่สำนัก

ส่วนการที่จะไปซื้อภายนอก ถ้าข่าวรั่วออกไป กลัวว่ามีคนจำนวนไม่น้อย ที่ไม่อยากให้ผู้อาวุโสสำนักสุ่ยเยว่จงฟื้นฟูผลการฝึกตน โดนเฉพาะตำหนักจื่อที่จงใจควบคุมและครอบงำสำนักสุ่ยเยว่จง

“ขอแค่ท่านชายหลัวช่วยฉันหาน้ำแร่วิญญาณได้ ฉันจะแลกด้วยข้อมูลของภูตอัคคีฟ้าดิน” ชิวลั่วสุ่ยพูดเรื่องน่าตกใจออกมา

“ภูตอัคคีฟ้าดินเหรอ” หลัวซิวหรี่ตาลง อดตกใจไม่ได้

ล่างสวรรค์ ทุกสรรพสิ่งมีจิตวิญญาณ ไม่ว่าจะเป็นแร่ทอง ต้นไม้ใบหญ้า น้ำไฟ ลมฟ้า ภายใต้การหล่อเลี้ยงของโลก ล้วนมีโอกาสสร้างจิตวิญญาณ โดยนักยุทธ์ในโลกเรียกว่าภูตอัคคีฟ้าดิน

ถ้านักยุทธ์ได้ภูตอัคคีฟ้าดิน พละกำลังจะเพิ่มขึ้นมาก ก้าวกระโดดไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการฆ่าข้ามขั้น

แต่ภูตอัคคีฟ้าดินเป็นสิ่งที่หายากมาก และทำให้ยอมจำนนยากมาก ตั้งแต่โบราณคนที่สามารถควบคุมภูตอัคคีฟ้าดิน เพื่อเอามาใช้เอง มีจำนวนน้อยมาก อีกทั้งยังกลายเป็นผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์ ที่มีชื่อเสียงในใต้หล้า

ภูตอัคคีฟ้าดินใช้งานดีมาก เมื่อนักกลั่นยาได้สิ่งนี้ จะสามารถยกระดับพลานุภาพอัคคีแท้ ยกระดับประสิทธิภาพของการกลั่นยา

เมื่อนักค่ายกลได้สิ่งนี้ ทำให้ลายอัคคีพรสวรรค์มีพลัง ทำให้ค่ายกลธาตุไฟที่ติดตั้ง มีพลานุภาพเป็นเพิ่มขึ้นมาก

ถ้านักหลอมอาวุธได้สิ่งนี้ จะสามารถหลอมเกราะนักยุทธ์ นักยุทธ์ ที่มีคุณสมบัติดีเลิศ อีกทั้งยังมีอำนาจแข็งแกร่งด้วย

ถ้านักยุทธ์ที่ฝึกวิชาธาตุไฟได้สิ่งนี้ไป จะเป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่ พละกำลังพุ่งสูง เรียกว่าเป็นฮีโร่ ก็ไม่ใช่แค่ความฝันแล้ว

“ภูตอัคคีล้ำค่ามาก น้ำแร่วิญญาณไม่สามารถเทียบได้ ถ้าแม่นางลั่วสุ่ย รู้เรื่องเกี่ยวกับภูตอัคคีจริงๆ ผมว่าแค่คุณปล่อยข่าวออกไป ต้องมีคนนับไม่ถ้วน ยอมเอาน้ำแร่วิญญาณมาแลก”

ถึงหลัวซิวหวั่นไหวกับภูติอัคคีมาก แต่เขาไม่ได้ขาดสติเพราะสิ่งนี้ ถึงกระทั่งที่เขาสงสัยว่าข้อมูลภูตอัคคี ที่อีกฝ่ายพูดมา เป็นจริงหรือเท็จกันแน่

เพราะสมบัติอย่างภูตอัคคี เป็นสิ่งสำคัญมาก ถ้าคนของสำนักสุ่ยเยว่จงรู้ ทำไมถึงไม่เก็บไว้ใช้เองล่ะ

ชิวลั่วสุ่ยยิ้มอย่างขื่นขม “คนของสำนักสุ่ยเยว่จง ล้วนฝึกวิชาธาตุน้ำ ภูตอัคคีไม่มีประโยชน์สำหรับเรา

ราษฎรเดิมไม่มีความผิด แต่เพราะมีหยกกับตัวจึงมีความผิด ถ้าสำนักสุ่ยเยว่จงของเราได้ภูตอัคคี ขืนข่าวถูกปล่อยออกไป ต้องเป็นหายนะร้ายแรงแน่นอน ส่วนที่คุณชายพูดว่าใช้ข้อมูลไปแลกน้ำแร่วิญญาณ ใช้ว่าเราจะไม่เคยคิดวิธีนี้ แต่มีตัวแปรอยู่มากเกินไป อาจนำพาเรื่องไม่ดีเข้ามาได้”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ ดวงตาสวยของชิวลั่วสุ่ย มองไปยังหลัวซิว “ฉันคิดว่าท่านชายหลัว ฝึกเปลวไฟดำชนิดหนึ่ง ถ้าได้ภูตอัคคี พละกำลังต้องเพิ่มขึ้นมากแน่นอน อีกทั้งคุณยังเป็นอัจฉริยะขั้นดำ ขององค์กรนักล่ายุทธ์ ถ้าได้ภูตอัคคี ก็ไม่มีใครกล้ามาแย่งไปง่ายๆ”

เมื่อหลัวซิวได้ยินดังนั้น ก็เริ่มเปลี่ยนความคิด

แต่ชิวลั่วสุ่ยก็พูดเสริมอีกว่า “เมื่อร้อยกว่าปีก่อน ผู้อาวุโสของเรา เจอที่ที่มีภูตอัคคีโดยบังเอิญ แต่เพราะไม่สามารถทำให้มันยอมจำนนได้ จึงยอมแพ้ ตอนนี้ผ่านมาหลายปี ไม่รู้ว่าภูตอัคคีนั้นยังอยู่หรือเปล่า”

เมื่อได้ยินดังนั้น หลัวซิวขมวดคิ้ว เพราะระยะเวลาร้อยกว่าปี เพียงพอที่จะเกิดเรื่องมากมาย ถ้าที่นั่นไม่มีภูตอัคคี เขาก็ไม่ได้อะไรสักอย่างไม่ใช่เหรอ

ชิวลั่วสุ่ยพูดต่อ “ถ้าท่านชายช่วยฉันหาน้ำแร่วิญญาณมาได้ ข้อมูลภูตอัคคี เป็นเพียงหนึ่งในค่าตอบแทน ถ้าผู้อาวุโสสำนักสุ่ยเยว่จงของเรา ฟื้นฟูผลการฝึกตนได้ รับปากจะช่วยท่านชาย 3 ครั้ง นี่เป็นอย่างที่สอง นอกจากนั้นยังมีน้ำทิพย์พันปีหนึ่งขวด เป็นของกำนัล นี่คืออย่างที่สาม!”

ค่าตอบแทนสามอย่างนี้ เรียกได้ว่ายิ่งใหญ่ ห่างไกลจากมูลค่าของน้ำแร่วิญญาณไปมากแล้ว

ไม่ต้องพูดถึงข้อมูลของภูตอัคคี ผู้อาวุโสสำนักสุ่ยเยว่จงมีผลการฝีกตนจักรพรรดิยุทธ์ ช่วยเหลือสามครั้ง นับว่ามีมูลค่าสูงมาก อีกทั้งยังมีน้ำทิพย์พันปีอีกหนึ่งขวด สิ่งนั้นเป็นสารที่รวบรวมปราณอันงดงามของฟ้าดินเชียวนะ เพียงหยดเดียว สามารถทำให้คนที่ฝึกตนต่ำกว่าจักรพรรดิยุทธ์ ฟื้นฟูพลังจิตแท้ที่สูญเสียไปได้ภายในพริบตา

“ท่านชายหลัว ถึงไม่รู้ว่าคุณมีความแค้นอะไรกับตำหนักจื่อ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณทำ ฉันสัมผัสได้ว่าคุณไม่เป็นมิตรกับตำหนักจื่อ”

ชิวลั่วสุ่ยพูดช้าๆ “เพราะเรามีศัตรูคนเดียวกัน ฉันเลยเอาเรื่องพวกนี้มาบอกคุณ ดังนั้นฉันจึงขอร้องให้คุณช่วย”

“ผมช่วยหาน้ำแร่วิญญาณในแดนปริศนาให้คุณได้ แต่ผมไม่สามารถรับรองได้ว่าจะหาเจอ” หลัวซิวพูดอย่างเคร่งขรึม

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 238 คำขอร้องของแม่นางลั่วสุ่ย

 

สีหน้าของท่านหวู ที่ลอยอยู่กลางอากาศวูบไหว แต่ไม่เก็บความอาฆาตเลยสักนิด เขาแสยะยิ้มพูดว่า “ถึงนายเป็นอัจฉริยะขั้นดำ ขององค์กรนักล่ายุทธ์ แต่จะมาฆ่าศิษย์ตำหนักจื่อตามใจชอบไม่ได้ ว่ากันว่าฆ่าคนต้องชดใช้ด้วยชีวิต ข้าต้องเรียกร้องความยุติธรรมให้ศิษย์ที่ตายไป!”

ท่านหวูพูดเสียงดัง คนที่อยู่ที่นี่ได้ยินอย่างชัดเจน

เขาต้องใช้เหตุผลเสียก่อน เมื่อเป็นเช่นนี้ ถึงเขาฆ่าอัจฉริยะขั้นดำ ขององค์กรนักล่ายุทธ์ ก็ไม่น่าจะมีความวุ่นวายที่ยิ่งใหญ่สักเท่าไร

แต่ทว่าขณะนั้น สีหน้าของท่านหวูเปลี่ยนไป ความอาฆาตอันน่ากลัว ล็อกเขาเอาไว้ ราวกับว่าถ้าเขากล้าแตะต้องหลัวซิว เขาจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย

ความอาฆาตที่น่ากลัวขนาดนี้ ท่านหวูสัมผัสได้จากเจ้าสำนักและผู้อาวุโสบใหญ่เท่านั้น อีกทั้งความอาฆาตอันน่ากลัวนี้ มาจากทางองค์กรนักล่ายุทธ์ เขาไม่ต้องคิดก็รู้ว่าความอาฆาตของใคร กำลังล็อกตัวเองอยู่

“ไสหัวไป!”

เสียงตวาดอันดุดัน ดังเข้ามาในตัวหยั่งรู้ ดังก้องอยู่ในวิญญาณ ทำให้ตัวของท่านหวูโงนเงน ตัวหยั่งรู้สั่นสะเทือน จนเกือบจะร่วงลงมาจากกลางอากาศ

ทันใดนั้น ความจริงทำให้ท่านหวูตกใจ จนอกสั่นขวัญแขวน กล้าพูดไร้สาระอีกที่ไหนกัน ร่างกลายเป็นลำแสง ลอยเข้าไปในวิทยาลัยพระวงศ์ ไม่กล้าลงมือกับหลัวซิวแม้แต่น้อย

ทุกคนส่งเสียงฮือฮา ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ของตำหนักจื่อ ถึงลอยออกไป

แต่มีเพียงคนส่วนน้อย มองไปทางสำนักใหญ่องค์กรนักล่ายุทธ์

เมื่อท่านหวูไป ศิษย์ตำหนักจื่อที่เหลือสามคนกับนางสนองพระโอษฐ์สองคน มีสีหน้าไม่สู้ดีเป็นอย่างมาก ไม่กล้าพูดอะไรสักคำ รีบหันหลังออกไปทันที

มีเพียงสาวคลุมหน้า ยิ้มบางๆ ให้หลัวซิว ในดวงตาสวย มีอะไรที่ไม่ธรรมดา

หลังถือ บัญชาเทียนหวูมาลงทะเบียนหน้าประตูวิทยาลัยพระวงศ์ หลัวซิวเดินเข้ามาในวิทยาลัยแห่งนี้

วิทยาลัยกับสำนัก มีจุดที่คล้ายคลึงกันมากมาย ในสมัยโบราณก็มีอำนาจใหญ่ ก่อตั้งวิทยาลัย บ่มเพาะอัจฉริยะที่โดดเด่น นำผู้มีความสามารถในนั้น ซึมซับอำนาจของฝ่ายตนเอง และเน้นการฝึกอบรม

วิทยาลัยพระวงศ์ก่อตั้งขึ้นตามรูปแบบนี้ จุดประสงค์ก็คือรวบรวมอัจฉริยะให้ราชวงศ์ตระกูลฝาน

ศิษย์ในวิทยาลัย แบ่งเป็นสี่ประเภท แบ่งตามการแต่งกายที่แตกต่างกัน

จอมยุทธ์ธรรมดาเป็นชุดนักยุทธ์ดำ แบบกระชับร่างกาย นักกลั่นยาเป็นชุดคลุมยาวเขียวนักค่ายกลเป็นชุดคลุมยาวขาว นักหลอมอาวุธเป็นชุดคลุมยาวเหลือง

ถ้ามีคนที่ฝึกควบคู่ จะใช้ด้านใดด้านหนึ่งเป็นหลัก สวมเครื่องแต่งกายแบบใดแบบหนึ่ง

หลังเข้ามาในวิทยาลัยพระวงศ์ ฉางเทียนโซว่กับหลี่น่าแยกทางกับหลัวซิว เพราะเมื่อเผชิญหน้ากับศิษย์ตำหนักจื่อก่อนหน้านี้ พวกเขาต้องการปกป้องตัวเอง จึงแบ่งแยกขอบเขตกับหลัวซิวอย่างชัดเจน

ถึงต่อมาหลัวซิวไม่ได้พูดอะไร แต่พวกเขาก็รู้สึกละอายใจ และไม่มีหน้าไปกับหลัวซิวต่อ

สิ่งที่ทำให้หลัวซิวแปลกใจคือ ปี้เซียนเสว่ก็เป็นศิษย์ของวิทยาลัยพระวงศ์ แถมยังเรียนด้านค่ายกลอีกด้วย

ว่ากันตามเหตุผล ฝึกค่ายกล แล้วเข้าร่วมแก๊งนักค่ายกลดีที่สุด แต่ปี้เซียนเสว่กลับเข้าร่วมองค์กรนักล่ายุทธ์

อัจฉริยะขององค์กรนักล่ายุทธ์กับศิษย์ของวิทยาลัยพระวงศ์ สถานะทั้งสอง ไม่มีความขัดแย้งกัน อีกทั้งยังได้การอบรมทั้งสองด้านอีกด้วย แน่นอนว่าทำทีเดียว ได้ประโยชน์สองอย่าง

ในวิทยาลัยพระวงศ์ มีผู้เตรียมที่พักให้พวกที่มีบัญชาเทียนหวูแบบหลัวซิวโดยเฉพาะ การที่ราชวงศ์ตระกูลฝานเลือกที่นี่เป็นจุดรวมตัว เพราะอยากให้ทุกคนเยี่ยมชมวิทยาลัยพระวงศ์ แสดงมรดกของราชวงศ์

……

วันต่อมา ลานตรงกลางวิทยาลัยพระวงศ์ มีเรือรบลอยอยู่ลำหนึ่ง หนุ่มสาวอัจฉริยะที่ถือบัญชาเทียนหวูทุกคน ล้วนรวมตัวอยู่ที่นี่

ที่ตั้งของแดนปริศนา ไม่ได้อยู่ในเมืองเทียนหวู แต่อยู่ในสถานที่ที่ห่างไกลจากเมืองเทียนหวูมาก ต้องนั่งเรือรบไป

หลัวซิวก็มาตรงนี้เช่นกัน อีกทั้งได้เจอหนานหรงชินหวางอีกครั้ง

เรือรบลำนี้ถูกควบคุมโดยหนานหรงชินหวาง พาหนุ่มสาวอัจฉริยะ 130 กว่าคน ไปยังที่ตั้งแดนปริศนา

“หนุ่มสาวอัจฉริยะที่จะไปแดนปริศนาทุกท่าน ต้องใช้บัญชาเทียนหวูในการขึ้นเรือ!” หนานหรงชินหวางยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือ เสียงดังก้องข้างหูทุกคน

ทุกคนพากันขึ้นเรือ เรือรบกลายเป็นลำแสง แหวกอากาศออกไป จากนั้นก็หายลับขอบฟ้าไกลๆ

บนเรือรบ มีทั้งหมด 132 คน ในบรรดาคนพวกนี้ มีคนที่เข้ารอบสิบอันดับแรกกับหลัวซิวในการต่อสู้แก่งแย่งโควต้าจำนวนคนที่สิบสามเขตการปกครอง เช่น สวีเสว่ช่าวชูเจิ้งฉี หวางฉวน เซี่ยหย่ง

ครั้งนี้มีคนของตำหนักจื่อมาที่นี่ 20 คน โดนหลัวซิวฆ่าตายไป 2 คน ผู้หญิงต่ำต้อยสองคน ที่โดนเขาสั่งสอนในร้านเหล้า โชคดีพอที่จะเติมเต็มตำแหน่งที่ขาดหายไป ของเกาเจิงและหยางหยวน

หลัวซิวได้ยินคนข้างๆ คุยกันเบาๆ ผู้หญิงต่ำต้อยสองคนนั้น เป็นนางสนมของถาวโจว่จวิ้น นายน้อยตำหนักจื่อ

ฐานะนางสนม เท่ากับเป็นผู้หญิงต่ำต้อยข้างกาย

ส่วนสาวคลุมหน้า ชื่อว่าชิวลั่วสุ่ย เกิดในสำนักเล็กๆ ที่สังกัดตำหนักจื่อ ชื่อว่าสำนักสุ่ยเยว่จง

ถาวโจว่จวิ้นรู้เรื่องที่เกิดขึ้นหน้าประตูวิทยาลัยพระวงศ์แล้ว มองหลัวซิวด้วยแววตาอาฆาต

“อัจฉริยาขั้นดำ ขององค์กรนักล่ายุทธ์ใช่ไหม กล้าทำร้ายคนของฉัน เข้าไปในแดนปริศนา ต้องทำให้นายเสียใจที่เกิดมาบนโลกนี้” ถาวโจว่จวิ้นไม่ปิดบังความอาฆาตสักนิด

เรือรบบินอยู่กลางอากาศ ความเร็วสุดขีด แต่จะไปถึงที่ตั้งแดนปริศนา ต้องใช้เวลาสองสามวัน

พื้นที่เรือรบกว้างใหญ่มาก มีห้องเป็นร้อยห้อง คนส่วนใหญ่เลือกรออยู่ในห้องอย่างสงบใจ

วันนี้สาวคลุมหน้าที่ชื่อชิวลั่วสุ่ย มาที่ห้องของหลัวซิว

“แม่นางลั่วสุ่ยมาที่ห้องหลัวซิว มีอะไรหรือเปล่า” หลัวซิวเอ่ยถาม

“ท่านชายหลัวฆ่าศิษย์ตำหนักจื่อที่เมืองเทียนหวู ทำให้ตำหนักจื่อเสียหน้ามาก เมื่อเข้าไปในแดนปริศนา ถาวโจว่จวิ้นต้องจัดการคุณแน่ ลั่วสุ่ยมาที่นี่ เพื่อเตือนคุณชาย”

ชิวลั่วสุ่ยยิ้มงดงาม พูดอย่างสุภาพอ่อนโยน

“ขอบคุณความหวังดีของแม่นางลั่วสุ่ย” หลัวซิวยิ้มบางๆ ไม่ได้ใส่ใจ

ผลการฝึกตนราชายุทธ์ขึ้นไป ไม่มีทางเข้าไปแดนปริศนาได้ แดนฝึกจิต หลัวซิวไม่กลัวใครอยู่แล้ว ถึงโถวโจว่จวิ้นจะมาหาเรื่องตัวเอง ถึงเขามา หลัวซิวก็จะลงมือเอง

เพราะเหตุที่เหยียนเยว่เอ๋อร์ ทรยศตระกูลเหยียน เทพจิตโดนทำลาย มีส่วนเกี่ยวข้องกับถาวโจว่จวิ้น นายน้อยตำหนักจื่อเป็นอย่างมาก

พ่อของถาวโจว่จวิ้น เป็นเจ้าสำนักน้อยตำหนักจื่อรุ่นที่แล้ว และเป็นฆาตกรที่ฆ่าพ่อแม่ของเหยียนเยว่เอ๋อร์

“ลั่วสุ่ยรู้ว่าท่านชายหลัวไม่กลัวถาวโจว่จวิ้น การที่ลั่วสุ่ยมาวันนี้ ยังมีอีกเรื่องที่จะขอร้อง” ชิวลั่วสุ่ยเอ่ยขึ้น

เมื่อได้ยินดังนั้น หลัวซิวขมวดคิ้ว เพราะเขากับชิวลั่วสุ่ยไม่ได้รู้จักกันมาก่อน

“ลั่วสุ่ยรู้ว่าไม่รู้จักกับท่านชายมาก่อน มันกะทันหันเกินไปที่จะขออะไรบางอย่าง แต่ลั่วสุ่ยหมดหนทางแล้ว ท่านชายได้โปรดช่วยด้วย”

ระหว่างที่พูด ชิวลั่วสุ่ยโค้งให้หลัวซิว

หลัวซิวไม่ได้ตระหนก แต่พูดอย่างราบเรียบว่า “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วสุ่ย มีอะไรจะขอร้องผม”

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 237 เผยตัวตนอัจฉริยะขั้นดำ

 

ทันใดนั้นที่นี่เงียบขึ้นมาทันที ใครก็คิดไม่ถึงว่าพละกำลังของหลัวซิว จะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ แค่กระบี่เดียว ก็สามารถฆ่าผู้ฝึกจิตขั้น7 ได้

หนึ่งปีก่อนหน้านี้ ตอนเขาฝ่าฟันเข้าไปในหอคอยมังกรบินชั้นที่ 7 ก็โดนส่งออกมาด้วยอาการบาดเจ็บสาหัส ทำไมพละกำลังของเขาถึงยกระดับเร็วขนาดนี้

นี่ทำให้ทุกคนอดคิดถึงข่าวลือเกี่ยวกับหลัวซิวไม่ได้ ราวกับว่าเขาใช้ระยะเวลาเพียงสองปี จากแดนฝึกจิตขั้น2 สู่ระดับที่สูงในทุกวันนี้

พรสวรรค์ฝึกตนเช่นนี้ น่ากลัวเป็นอย่างมาก กระบี่นี้ ก็น่าหวาดผวาด้วยเช่นกัน!

ฆ่าผู้ฝึกจิตขั้น7 ด้วยกระบี่เดียว คนที่ต่ำกว่าระดับราชายุทธ์ น้อยคนที่จะสามารถเป็นคู่ต่อสู้ของเขา

หลัวซิวพอใจกับกระบี่นี้ของตัวเองมาก ตั้งแต่ตระหนักรู้ห้วงยุทธ์กระบี่สังหาร เขาหลุดพ้นจากข้อผูกมัดของวิชากระบี่ บรรลุถึงระดับวิถีวิชากระบี่ กระบี่เมื่อกี้อาศัยห้วงยุทธ์ปลุกเสก และฆ่าทันที

ตอนนี้กระบี่ของเขา ไม่ใช่วิชากระบี่เร็วอีกแล้ว แต่เป็นวิถีกระบี่เร็ว!

สิ่งที่เรียกว่ากระบี่เร็ว กระบี่ต้องออกเหมือนแสง ความเร็วสุดขีด ฆ่าในการโจมตีเดียว!

โลกกระบี่แดนที่1 ก็คือห้วงกระบี่ ห้วงกระบี่แบ่งเป็น สำเร็จแรก สำเร็จน้อย บรรลุผล และบริบูรณ์

กระบี่เมื่อครู่ของเขา เหนือกว่าห้วงกระบี่ แดนสำเร็จแรกแล้ว และบรรลุถึงห้วงกระบี่ แดนสำเร็จน้อย

ศิษย์ตำหนักจื่อสามคนที่เหลือ เบิกตาโต รู้สึกริมฝีปากแห้งผาก เหมือนมีอะไรเคลื่อนไหวในลำคอ

พวกเขารู้ถึงพละกำลังของหยางหยวนเป็นอย่างดี ในบรรดาคนหนุ่มที่เป็นศิษย์ตำหนักจื่อ ซึ่งนับว่าค่อนข้างเก่งอย่างเขา ยังโดนฆ่าด้วยกระบี่เดียว ถึงพวกเขาสามคนร่วมมือกัน ก็ไม่มีทางสู้คนๆ นี้ได้

นางสนองพระโอษฐ์ทั้งสองคน หน้าซีดเผือด มีเพียงสาวคลุมหน้าที่ยังนิ่ง แต่ดวงตาคู่สวย ที่มองไปยังหลัวซิว มีความประหลาดวูบไหวอยู่ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

หน้าประตูวิทยาลัยพระวงศ์ เลือดสาดเต็มพื้น ศิษย์ตำหนักจื่อสองคน คนหนึ่งนอนตายบนพื้น ส่วนอีกคนโดนเผาเป็นเถ้า ไม่เหลือแม้กระดูก

ตำหนักจื่อมีตัวตนแบบไหน ทุกคนต่างรู้ดี

หลัวซิวก่อเรื่องใหญ่หลวงแล้ว!

แดนปริศนาเปิด ตำหนักจื่อส่งศิษย์มาที่นี่ แน่นอนว่าต้องมีผู้แข็งแกร่งตามมาด้วย

ทันใดนั้น พลังอันแข็งแกร่งที่ไม่อาจคาดเดาได้ ถาโถมเข้ามา กลายเป็นอำนาจปกคลุมบนหัวทุกคน ทำให้คนหายใจแทบจะไม่ออก

กลางอากาศ ผู้อาวุโสที่มีผมและเคราสีขาว ลอยอยู่กลางอากาศ ดวงตาเย็นยะเยือกมองศพหยางหยวนบนพื้น

“ท่านหวู!” ศิษย์ตำหนักจื่อทั้งสามคน ทำความเคารพผู้อาวุโส ที่ลอยอยู่กลางอากาศอย่างนอบน้อม

“เกิดอะไรขึ้น” ท่านหวูแววตาเคร่งขรึม คิดไม่ถึงว่ามีคนกล้าฆ่าศิษย์ตำหนักจื่อ ทำให้เขาโมโหเป็นอย่างมาก

“คนนี้ฆ่าเกาเจิง แล้วก็ศิษย์พี่หยางหยวนด้วยครับ” ศิษย์ตำหนักจื่อคนหนึ่ง ชี้ไปที่หลัวซิว

“หืม”

เมื่อท่านหวูได้ยิน ความอาฆาตพลุ่งพล่านในแววตาผู้อาวุโส สายตามองไปยังหลัวซิว“กล้าฆ่าศิษย์ตำหนักจื่อของฉัน กล้าดีมาก!”

“ทำลายผลการฝึกตนด้วยตัวเอง ยอมถูกจับโดยดี ไม่งั้นถ้าข้าลงมือ ต้องทำให้นายตายดีกว่ามีชีวิตอยู่” ท่านหวูพูดอย่างเฉยเมย ราวกับพูดเรื่องที่ไม่มีอะไรพิเศษ

จากข่าวที่รู้จากตำหนักจื่อ เขารู้ว่าชายหนุ่มตรงหน้า คือหลัวซิว อัจฉริยะในรอบหลายปี ที่มีชื่อเสียงโด่งดังอย่างรวดเร็วในประเทศเทียนหวูตอนนี้

ไอ้เด็กนี่พรสวรรค์โดดเด่น อายุแค่สิบหก ก็เป็นผู้ฝึกจิตขั้น5 แถมยังมีความสามารถเป็นปรมาจารย์กลั่นยาระดับ4 และปรมาจารย์ค่ายกลขั้นสี่อีกด้วย พรสวรรค์เช่นนี้ เรียกได้ว่าเป็นคนแปลกประหลาด

แต่ถึงพรสวรรค์ของเขาจะสูงส่ง แต่พละกำลังยังอ่อนแอ ยังไม่ได้เรื่องได้ราว ตัวเองสามารถฆ่าได้อย่างง่ายดาย ไม่อยู่ในสายตา

ถ้าปล่อยให้เขาโตขึ้นมา ไม่แน่ในประเทศเทียนหวู อาจมีผู้แข็งแกร่งระดับมกุฏยุทธ์ก็เป็นได้ ตำแหน่งระดับเดียวกับตำหนักจื่อ

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ท่านหวูแสยะยิ้มในใจ ตอนแรกยังหาโอกาสกับข้ออ้างไม่ได้ ตอนนี้ฆ่าไอ้เด็กนี่ได้พอดี

“ให้ฉันทำลายผลการฝึกตนด้วยตัวเอง ยอมให้จับโดยดี ให้นายกดขี่ข่มเหงตามใจชอบเหรอ”

แววตาหลัวซิวเย็นชา นี่คือโลกนักยุทธ์ คนที่มีพละกำลังแข็งแกร่งแต่ละคน เผด็จการไม่สิ้นสุด กำหนดความเป็นความตายของคนด้วยคำพูดเดียว ได้อย่างไม่ต้องสงสัย

ผู้แข็งแกร่งมีสิทธิพูด ผู้อ่อนแอทำได้เพียงโดนข่มเหง ถึงคุณมีพรสวรรค์ แต่ถ้าไม่มีประโยชน์กับฉัน ก็จะกำจัดคุณออก เพื่อกำจัดขวากหนาม

โลกนักยุทธ์ ล้วนยอมรับพละกำลัง มีเพียงพละกำลังที่แข็งแกร่ง ถึงจะทำให้คนเคารพหวาดกลัว ไม่มีใครกล้าหาเรื่อง!

ทว่าอีกฝ่ายเป็นราชายุทธ์แล้วยังไง หลัวซิวไม่รู้สึกกลัวสักนิด

ในองค์กรนักล่ายุทธ์ ประเมินระดับอัจฉริยะถึงขั้นดำ ก็มีสิทธิพิเศษต่างๆ นานา หนึ่งในนั้น ก็คือการได้รับความคุ้มครองจากองค์กร

สำหรับอำนาจใหญ่แต่ละฝ่ายในประเทศเทียนหวู ตำหนักจื่อสูงส่งมาก ไม่มีใครกล้าหาเรื่อง แต่สำหรับองค์กรนักล่ายุทธ์ แค่ตำหนักจื่อธรรมดาๆ นับประสาอะไรได้

“ดูเหมือนว่านายอยากให้ข้าลงมือเองสินะ”

ท่านหวูเห็นหลัวซิวไม่ทำอะไร ความอาฆาตฉายขึ้นในแววตา อำนาจผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์หนักแน่นดั่งขุนเขา พุ่งไปสร้างความกดดันให้หลัวซิว

แต่หลัวซิวกลับไม่ได้ผลกระทบ จากอำนาจของเขาสักนิด เพราะถึงท่านหวูเป็นราชายุทธ์ แต่ไม่ได้ตระหนักรู้เชี่ยวชาญห้วงยุทธ์

พละกำลังการฝึกตนของเขาแข็งแกร่งกว่าหลัวซิว แต่แดนห้วงยุทธ์ เทียบไม่ได้กับหลัวซิว จึงไม่สามารถใช้อำนาจมาข่มเหงเขาได้

“นายกล้า ก็ลองแตะต้องฉันดูสิ”

ใบหน้าหลัวซิวมีรอยยิ้มเย้ยหยัน เขาพลิกมือเอาตรานักล่าอสูร ออกมาจากแหวนเก็บของ

ท่านหวูจะฆ่าเด็กนี่ด้วยฝ่ามือเดียว แต่เมื่อเขาเห็นตรานักล่าอสูรที่หลัวซิวเอาออกมา เขาถึงกับหรี่ตาลง

บนตรานักล่าอสูรของหลัวซิว มีดาวสี่ดวง แสดงว่าเขาเป็นนักล่าอสูรตราสี่ดาวแดนฝึกจิต

แต่สิ่งที่ไม่เหมือนนักล่าอสูรตราสี่ดาวทั่วไป ก็คือบนตราของหลัวซิว มีคำว่า ‘ดำ’ สลักอยู่

อัจฉริยะขั้นดำ!

มีเพียงคนที่รู้จักองค์กรนักล่ายุทธ์ เมื่อเห็นตรานี้ ก็จะรู้ความหมายแฝงของตัวอักษรคำว่า ‘ดำ’

อัจฉริยะขั้นเหลือง ถึงเป็นขั้นสูงสุด ก็ไม่มีคำว่า ‘เหลือง’ สลักไว้บนตรา

มีเพียงการประเมินที่ถึงขั้นดำเท่านั้น ที่จะมีสิทธิพิเศษ และแสดงให้เห็นถึงความพิเศษ

หลัวซิวเผยตัวตนอัจฉริยะขั้นดำ ต่อสายตาของทุกคน ถ้าท่านหวูยังกล้าลงมือ ก็เป็นการยั่วยุองค์กรนักล่ายุทธ์

เมื่อฉางเทียนโซว่กับหลี่น่า ที่อยู่ด้านหลังหลัวซิวประมาณครึ่งก้าว เห็นตราอันนี้ สีหน้าดูไม่เชื่อว่าเป็นจริง

เพราะในประวัติศาสตร์ของประเทศเทียนหวู ยังไม่เคยมีอัจฉริยะที่ได้รับการประเมินขั้นดำ จากองค์กรนักล่ายุทธ์

มีเพียงปรมาจารย์กลั่นยาระดับ6 ของราชวงศ์ตระกูลฝานคนนั้น ที่เคยได้รับการประเมินขั้นดำระดับล่าง จากแก๊งนักกลั่นยา

ทันใดนั้น คนที่รู้ความหมายแฝงของอัจฉริยะขั้นดำ มองหลัวซิวด้วยแววตาที่แปรเปลี่ยนไป

มิน่าล่ะ เขาถึงกล้าฆ่าศิษย์ตำหนักจื่ออย่างโจ่งแจ้ง อาศัยตัวตนอัจฉริยะขั้นดำ ขององค์กรนักล่ายุทธ์ ไม่แน่ว่าผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ของตำหนักจื่อคนนั้น อาจไม่กล้าแตะต้องเขา

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 236 คนรนหาที่ตายอีกแล้ว

 

“ไอ้ปัญญาอ่อนสองคนนี้ คือคนที่พวกเธอเอามาช่วยเหรอ” หลัวซิวมองนางสนองพระโอษฐ์ทั้งสองคน ยกยิ้มเย็นชามุมปากเบาๆ

คำพูดนี้เข้าหูเกาเจิงกับเวินลี่ฉวิน จู่ๆ ทำให้สีหน้าของพวกเขาแปรเปลี่ยนเป็นอึมครึม

“นายว่าใครปัญญาอ่อน” ทั้งสองพูดพร้อมกันอย่างโมโห ไอ้ไม่รู้ดีชั่วคนนี้ ทำร้ายคนรับใช้ของ陶少主ไม่พอ ยังกล้ามาดูหมิ่นพวกเขาอีกเหรอ

“แค่รู้จักตัวเองยังทำไม่ได้ ไม่ใช่คนปัญญาอ่อนแล้วเป็นอะไร ศิษย์ตำหนักจื่อ เป็นอย่างนี้หมดเลยเหรอ” หลัวซิวแสยะยิ้มถาม

เขารู้ความแค้นระหว่างตำหนักจื่อกับเหยียนเยว่เอ๋อร์แล้ว แน่นอนว่าหลัวซิวไม่ไว้หน้าคนของตำหนักจื่ออยู่แล้ว

“บังอาจ! กล้าดูหมิ่นตำหนักจื่อของเรา ดูเหมือนวันนี้ต้องสั่งสอนนายให้เข็ด” เกาเจิงแผดเสียงอย่างโมโห ถึงเป็นคนของราชวงศ์ตระกูลฝาน ก็ยังไม่กล้าล่วงเกินตำหนักจื่อ ไอ้หมอนี่รนหาที่ตายชัดๆ

ตอนนี้รอบๆ มีกลุ่มคนจำนวนไม่น้อย มีศิษย์ของวิทยาลัยพระวงศ์ และอัจฉริยะที่มีอำนาจจากที่ต่างๆ ถือบัญชาเทียนหวูมาที่นี่

“ไอ้หมอนี่เป็นใคร ถึงกล้าล่วงเกินตำหนักจื่อ”

“ใครจะไปรู้ล่ะ แต่ฉันรู้จักคนข้างๆ เขา ชื่อฉางเทียนโซว่ เป็นอัจฉริยะที่องค์กรนักล่ายุทธ์สรรหามา มีประเมินอัจฉริยะขั้นเหลืองระดับสูง”

“ได้ยินว่าครั้งนี้องค์กรนักล่ายุทธ์ มีอัจฉริยะเข้าไปในแดนปริศนาทั้งหมดสี่คน น่าจะเป็นสี่คนนี้”

คนรอบๆ พากันพูดขึ้นมา แต่ก็มีคนฉลาด ได้รับข้อมูลจากช่องทางเล็กๆ รู้เรื่องที่เกิดในร้านเหล้า รู้ว่าชายหนุ่มชุดคลุมยาวสีขาว ที่ขัดแย้งกับศิษย์ของตำหนักจื่อ คือหลัวซิว อัจฉริยะในรอบหลายปี ที่มีชื่อเสียงอย่างรวดเร็วในประเทศเทียนหวู!

“เกาเจิง ทำให้ไอ้หมอนี่พิการเถอะ ให้มันได้รู้จุดจบของการดูหมิ่นตำหนักจื่อของเรา” เสียงหนึ่งดังขึ้นมา คนที่พูดเป็นศิษย์ของตำหนักจื่ออีกคนหนึ่ง สีหน้าจองหอง ผลการฝึกตนเหนือกว่าเกาเจิงกับเวินลี่ฉวินขั้นหนึ่ง มีผลการฝึกตนฝึกจิตขั้น7

“เหอะๆ ศิษย์พี่หยางหยวนวางใจได้เลย ผมจะทำลายผลการฝึกตนของไอ้หมอนี่ก่อน แล้วให้มันคุกเข่าต่อหน้าเรา” เกาเจิงแสยะยิ้ม พูดออกมา

“งั้นก็ดี ไม่งั้นจะเสียศักดิ์ศรีตำหนักจื่อของพวกเรา” หนุ่มคนที่ชื่อหยางหยวนพยักหน้า ผลการฝึกตนของเกาเจิงคือฝึกจิตขั้น6 จัดการผู้ฝึกจิตขั้น5 เพียงคนเดียว เป็นเรื่องง่ายมาก

เกาเจิงยิ้มอึมครึม มองหลัวซิวอย่างไม่พอใจ พูดอย่างจองหองว่า “ไอ้หนุ่ม ถ้าตอนนี้แกทำลายผลการฝึกตนด้วยตัวเอง แล้วคุกเข่าอ้อนวอน ฉันจะมันทำให้ทรมาน”

“ปัญญาอ่อน”

หลัวซิวยักไหล่ หลัวซิวไม่อยากพูดกับคนประเภทที่เกิดในอำนาจยิ่งใหญ่ หยิ่งยโส คิดว่าตัวเองเก่ง

“รนหาที่ตาย!”

เมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายยังดูหมิ่นตัวเอง เกาเจิงโมโหขึ้นมาทันที ยื่นฝ่ามือพุ่งไปตบหลัวซิว พร้อมพลังจิตแท้อันแกร่งกล้า ลมที่ฝ่ามือเย็นยะเยือก

หลัวซิวยื่นนิ้วออกมา พลังจิตแท้เปลวไฟดำรวมตัวเป็นกระบี่ แทงไปที่กลางฝ่ามือของอีกฝ่าย

เกาเจิงแสยะยิ้มมุมปาก จู่ๆ บนฝ่ามือมีเปลวไฟลุกโชน ร้อนระอุ ราวกับกำดวงอาทิตย์ขนาดเล็กอยู่ในมือ อุณหภูมิความร้อนน่าตกใจมาก

เขาใช้วิชายุทธ์ระดับ7 ชื่อว่าฝ่ามืออัคคีระอุ ถ้าจู่โจมโดนคู่ต่อสู้ พลังจิตแท้จะกลายเป็นเปลวไฟร้อนแรง แผดเผาจนกลายเป็นเถ้า

สายตาของคนรอบๆ จ้องเขม็ง แอบพึมพำว่า ไม่เสียแรงที่เป็นศิษย์ตำหนักจื่อ สามารถใช้วิชายุทธ์ระดับ7 ได้ทุกเมื่อ

ทว่าหลัวซิวกลับไม่ได้สนใจเรื่องนี้ สีหน้าไม่ได้สะทกสะท้าน แสงกระบี่เปลวไฟดำตรงปลายเล็บส่องสลัว พุ่งไปแทงพลังจิตแท้อัคคีระอุ ที่รวบรวมอยู่ในฝ่ามืออีกฝ่าย

ความเจ็บแผ่ซ่านอยู่บนฝ่ามือ ทำให้สีหน้าของเกาเจิงเปลี่ยนไปทันที จะชักมือกลับมา ก็สายไปเสียแล้ว

“อ๊าก!”

ได้ยินเกาเจิงส่งเสียงร้องโอดครวญออกมา เลือดสาดกระเซ็นบนฝ่ามือ โดนแสงกระบี่เปลวไฟดำแทงทะลุฝ่ามือ เลือดสดไหลออกมา

แต่หลัวซิวยังไม่หยุดการกระทำ แสงกระบี่เปลวไฟดำบนปลายเล็บพลุ่งพล่าน พุ่งเข้าไปฆ่าเกาเจิงต่อ

เขาลงมืออย่างไร้ความเมตตา ต้องการฆ่าอีกฝ่ายให้ตายทันที!

ในเมื่อล่วงเกินตำหนักจื่อแล้ว สู้ล่วงเกินให้รุนแรงไปเลย ก็ไม่เห็นเป็นอะไร

“หยุดนะ!”

เวินลี่ฉวิน เห็นว่าอีกฝ่ายจะฆ่าเกาเจิง เขาหน้าเปลี่ยนสีทันที และแผดเสียงอย่างโมโห

ทว่าเขายังไม่ทันพูดจบ แสงกระบี่เปลวไฟดำที่พลุ่งพล่าน กลบเกาเจิงจนมิด เปลวไฟแห่งความตายลุกโชน แผดเผาร่างกายของเขาจนเป็นเถ้า

“ไอ้หมอนี่……”

คนรอบๆ ตกใจเป็นอย่างมาก ไม่มีใครคาดคิดว่า หลัวซิวจะฆ่าศิษย์ตำหนักจื่อต่อหน้าทุกคน

นี่ไม่ใช่แค่การล่วงเกินธรรมดาๆ แล้ว แต่นี่เป็นปรปักษ์อย่างชัดเจน ไม่มีวันจบสิ้น!

“นาย!” ศิษย์ตำหนักจื่ออย่าง เวินลี่ฉวิน หยางหยวน มีแววตานิ่ง ความอาฆาตพลุ่งพล่าน

“พวกนายก็อยากตายไปด้วยเหรอ” หลัวซิวกวาดตามองศิษย์ตำหนักจื่อ ที่เหลือสี่คน ด้วยสายตาเฉยเมย

ความอาฆาตบนตัวหลัวซิวแผ่ซ่านออกมา ถึงขนาดที่ความอาฆาต รวมตัวเป็นสารที่เป็นแสงเลือด

นี่ทำให้ศิษย์ตำหนักจื่อทั้งสี่คน มีหน้าสีหน้าหวาดกลัว เพราะไม่ใช่ทุกคน ที่สามารถผนึกความอาฆาตในร่างกาย แต่อีกฝ่ายสามารถทำได้ เห็นได้ชัดว่าฆ่าปรมาจารย์ฝึกจิตมาไม่น้อย

“กล้าฆ่าศิษย์ตำหนักจื่อ ถึงนายเป็นเจ้าชายของราชวงศ์ตระกูลฝาน ประเทศเทียนหวู ก็ต้องตาย!”

“ฆ่ามัน!”

หยางหยวนแผดเสียงออกมา ทันใดนั้นศิษย์ตำหนักจื่อทั้งสี่คน กระจายตัวออก ล้อมหลัวซิวเอาไว้ ต่างแผ่อำนาจของตัวเองออกมา กดดันไปที่หลัวซิว

แต่ทว่าอำนาจของหลัวซิว กลับแข็งแกร่งและดุดันกว่าพวกเขา!

สายตาของเขาเหมือนกระบี่ที่แหลมคม จนไม่สามารถเอาอะไรมาเทียบได้ ความอาฆาตพลุ่งพล่าน เย็นยะเยือกและแข็งกร้าว พุ่งไปไม่หยุด

“ฆ่า!”

หลัวซิวขยับเท้า ร่างกายเหมือนภาพที่พร่ามัว ไปปรากฏตรงหน้าหยางหยวน กระบี่ยุทธ์ด้านหลังออกจากฝัก

“รนหาที่ตาย!” หยางหยวนแสยะยิ้มเย็นชา ปราณสีม่วงเต็มสองฝ่ามือ พลังจิตแท้ระเบิดออกมา พุ่งตรงไปยังหลัวซิว

แต่ทว่าเขาเพิ่งง้างฝ่ามือทั้งสองข้างขึ้นมา แต่กลับรู้สึกเย็นยะเยือกในใจ ลมหายใจแห่งความตาย คืบคลานมาบนตัวเขา กระบี่ของหลัวซิว เร็วดั่งสายฟ้า ทำให้ตัวสำนึกฝึกจิตขั้น7 ของเขา ไม่สามารถจับร่องรอยของกระบี่ได้

“ทำไมกระบี่ของเขาเร็วขนาดนี้”

ในใจหยางหยวน เกิดความรู้สึกที่ไม่อาจต้านทานได้ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าผลการฝึกตนของตัวเอง เหนือกว่าอีกฝ่าย แต่กลับไม่มีพลังในการต้านทาน

คนรอบๆ ได้ยินเพียงเสียงกระบี่ยุทธ์ออกจากฝัก แต่กลับไม่มีใครจับร่องรอยกระบี่ของหลัวซิวได้ ทุกคนเห็นเพียงแค่แสงกระบี่ สว่างวาบและพุ่งไป

“ฉึบ!”

เสียงเล็กๆ ดังขึ้น หยางหยวนชะงักการกระทำ เกิดเป็นรอยเลือดบริเวณลำคอ

หยางหยวนเบิกตาโพลง หงายหลังล้มลงไปกับพื้น

ฆ่าศิษย์ตำหนักจื่อที่ฝึกจิตขั้น7 ตายด้วยกระบี่เดียว!

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 235 แดนปริศนาใกล้จะเปิด

 

ความสนใจของเขาหันเหไปยังทักษะยุทธ์กับวิชาท่าร่าง ทักษะยุทธ์คือพลังกระบี่เย็นสะท้าน วิชาท่าร่างวิชาเบญจธาตุนภาอัคคี

วิชายุทธ์ระดับ9 สี่วิชา ล้วนไม่เหมาะให้หลัวซิวฝึกตน

อีกทั้งราคาวิชายุทธ์ระดับ9 ไม่กี่วิชานี้ สูงจนน่าตกใจ วรยุทธ์ต้องใช้หินพลังจิตชั้นสูงสองแสนก้อน ทักษะยุทธ์กับวิชาท่าร่างค่อนข้างถูก แต่ก็ต้องใช้หินพลังจิตชั้นสูงแสนก้อน

หินพลังจิตชั้นสูงก้อนหนึ่ง เท่ากับหินพลังจิตชั้นล่างหมื่นก้อน ราคานี้สูงจนไม่สมเหตุสมผล

แต่มาคิดดูดีๆ ราคานี้ก็ค่อนข้างปกติ เพราะการถ่ายทอดวิชายุทธ์ เป็นสิ่งล้ำค่ามากอยู่แล้ว ยิ่งวิชายุทธ์ระดับสูง ก็ยิ่งเรียนรู้ได้ยาก

ในบรรดาปรมาจารย์ฝึกจิต นับว่าหลัวซิวค่อนข้างร่ำรวย แต่หินพลังจิตในตัว ก็มีเพียงแค่หินพลังจิตชั้นล่างแสนก้อนเท่านั้น

หินพลังจิตส่วนนี้ เดาว่าอย่างมากคงซื้อได้ไม่กี่ตัวในวิชายุทธ์ระดับ9

“ผลหู่หยางจูเหรอ”

จากนั้นหลัวซิวเห็นสิ่งที่ทำให้เขาใจเต้น ในประเภทสมบัติ

ผลหู่หยางจู เป็นยาวิเศษระดับ6 หาได้ในที่เขตร้อนระอุเท่านั้น อีกทั้งยังหายากมากด้วย

สิ่งสำคัญกว่านั้น ผลหู่หยางจูเป็นตัวยาหลัก ในการกลั่นยาวิญญาณหยินหยาง สามารถรักษาแผลแห่งเทพจิตและตัวหยั่งรู้ ของเหยียนเยว่เอ๋อร์ได้

แต่ราคาที่มีเครื่องหมายเน้นเอาไว้ ต้องใช้หินพลังจิตชั้นกลางแสนก้อน ทำให้หลัวซิวแอบชะงัก

“หลัวซิว การเปิดแดนปริศนาครั้งนี้ องค์กรนักล่ายุทธ์ของเรา มีสามคนไปที่นั่น นายทำความรู้จักกันไว้ก็ได้”

ขณะนั้น จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงปรบมือ มีสามคนเดินเข้ามาจากข้างนอก เป็นผู้หญิงสองคน และเด็กหนุ่มหนึ่งคน

ผู้หญิงทั้งสองคนงดงามโดดเด่น คนที่ดูอายุมากหน่อย ชื่อว่าหลี่น่า คนที่ดูอายุน้อย ชื่อว่าปี้เซียนเสว่

ส่วนเด็กหนุ่มที่ดูเหมือนอายุยี่สิบกว่าปี ชื่อว่าฉางเทียนโซว่

ในบรรดาสามคน ผลการฝึกตนของฉางเทียนโซว่สูงที่สุด อยู่ในแดนฝึกจิตขั้น7 ส่วนผลการฝึกตนของหลี่น่า อยู่ในฝึกจิตขั้น6 ปี้เซียนเสว่อยู่ในแดนฝึกจิตขั้น5 เหมือนกับหลัวซิว

“ฉันหวังว่าหลังจากทั้งสี่คน เข้าไปในแดนปริศนา จะดูแลและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน”จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงมองทั้งสี่คน เขายิ้มและเอ่ยขึ้น

ในบรรดาทั้งสี่คน หลัวซิวอายุน้อยที่สุด แต่สายตาที่ฉางเทียนโซว่ หลี่น่า และปี้เซียนเสว่มองหลัวซิว กลับแฝงไปด้วยความเลื่อมใส

ฉางเทียนโซว่รู้ว่าตอนที่หลัวซิว ฝ่าฟันในหอคอยมังกรบินชั้นที่ 7 เพิ่งมีผลการฝึกตนฝึกจิตขั้น1 ตอนนี้ไปถึงฝึกจิตขั้น5 แล้ว พละกำลังต้องแข็งแกร่งแน่นอน ตัวเองไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้

ดังนั้นเขาจึงยิ้มและประสานมือคำนับหลัวซิว “ชื่อเสียงของศิษย์พี่หลัว กระผมได้ยินมาตั้งนานแล้ว”

“藏兄เกรงใจแล้ว” หลัวซิวก็ประสานมือคำนับเช่นกัน

ผู้หญิงสองคนอย่างหลี่น่ากับปี้เซียนเสว่ ก็ทักทายหลัวซิวอย่างเกรงใจ

“ระยะเวลาที่แดนปริศนาจะเปิด ยังเหลือประมาณสิบวัน ในมือพวกนายมีบัญชาเทียนหวูสามารถไปฝึกที่วิทยาลัยพระวงศ์ได้สักระยะ” จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงพูดออกมา

หลัวซิวได้ข้อมูลเกี่ยวกับแดนปริศนา ผ่านช่องทางภายในขององค์กรนักล่ายุทธ์

การเปิดแดนปริศนา เรียกความเคลื่อนไหวจากทุกสารทิศ ไม่เพียงแค่อำนาจต่างๆ ในเมืองเทียนหวู พวกอำนาจภายนอก ก็ส่งศิษย์ที่เป็นอัจฉริยะมาเช่นกัน

แดนปริศนาสามสิบปีจะเปิดหนึ่งครั้ง ทุกครั้งสามารถเข้าไปได้มากที่สุด 130 คน ถึงแดนปริศนาอยู่ในประเทศเทียนหวู แต่อำนาจต่างๆ ในเมืองเทียนหวู รวมกันก็ครอบครองจำนวนคนเพียง 80 คนเท่านั้น

เมื่อออกมาจากองค์กรนักล่ายุทธ์ ไม่นาน หลัวซิวกับพวกฉางเทียนโซว่ มาถึงวิทยาลัยพระวงศ์

ตอนนี้หน้าประตูวิทยาลัยพระวงศ์ มีคนเดินไปเดินมาไม่น้อย ในนั้นมีศิษย์ของวิทยาลัยพระวงศ์ และมีอัจฉริยะที่โดดเด่นจากที่ต่างๆ ถือบัญชาเทียนหวูมาที่วิทยาลัยพระวงศ์ เพื่อมาลงทะเบียน รอให้แดนปริศนาเปิด

หน้าประตูมีผู้อาวุโสนั่งอยู่ที่โต๊ะ มีหน้าที่ให้คนที่เข้าไปในวิทยาลัยลงทะเบียน

ตอนทั้งสี่คนมาถึงหน้าประตูวิทยาลัยพระวงศ์ กลุ่มคนอีกกลุ่ม ก็มาถึงพอดี

“เธองั้นเหรอ”

หลัวซิวช้อนตามอง เห็นสาวคลุมหน้า คนที่เจอในร้านเหล้า และนางสนองพระโอษฐ์สองคน ที่ตามหลังเธอมา

คนที่มากับพวกเธอ ยังมีอีกห้าคน มีทั้งหญิงชาย ดูไม่ธรรมดาทั้งนั้น ผลการฝึกตนแกร่งกล้า สวมเชิ้ตสีม่วง ปักสัญลักษณ์ตำหนักสีม่วงที่ลอยอยู่ในเมฆตรงหน้าอก

หลัวซิวสังเกตเห็นว่า นางสนองพระโอษฐ์ทั้งสองคน กระซิบอะไรกับคนข้างๆ และชี้มาทางพวกเขา แววตาดูร้ายกาจ

มีชายหนุ่มสองคนส่งเสียงหึอย่างเย็นชา จากนั้นจึงก้าวเข้ามาหาหลัวซิว

“คนของตำหนักจื่อ”

เมื่อคนมีอำนาจจากที่ต่างๆ เห็นเครื่องแต่งกายของชายหนุ่มสองคน ล้วนมีสีหน้าหวาดกลัว และพากันหลีกทางให้

“นายคือคนที่ทำร้ายคนของตำหนักจื่อเหรอ” ชายหนุ่มสองคนเดินเข้ามา และถามออกมาทันที

ฉางเทียนโซว่ หลี่น่า และปี้เซียนเสว่ มองหลัวซิวด้วยสีหน้าตกใจและประหลาดใจ

ตำหนักจื่อเป็นอำนาจใหญ่ ที่มีผู้แข็งแกร่งมกุฏยุทธ์ ดำรงตำแหน่ง ถึงเป็นราชวงศ์ตระกูลฝาน ก็ไม่กล้าล่วงเกิน คิดไม่ถึงว่าเขากล้าทำร้ายคนของตำหนักจื่อ

ครั้งนี้วุ่นวายแล้ว ไม่ควรไปหาเรื่องคนของตำหนักจื่อ

ฉางเทียนโซว่ขมวดคิ้ว ถอยไปด้านหลังครึ่งก้าว ไม่อยากติดร่างแหไปด้วย

หลี่น่าก็ถอยไปด้านหลังเหมือนเขา เธอขมวดคิ้วขึ้นมา

มีเพียงคนอายุน้อยอย่างปี้เซียนเสว่ ที่ยังยืนข้างหลัวซิว

การกระทำของฉางเทียนโซว่กับหลี่น่า อยู่ในสายตาของหลัวซิว เขาแสยะยิ้มในใจ จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงบอกให้พวกเขาช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ในแดนปริศนา หลัวซิวไม่อยากมีเพื่อนร่วมทีมแบบนี้เลย

“เธอไม่กลัวติดร่างแหเพราะฉันเหรอ” ปี้เซียนเสว่ไม่ถอยหลัง ทำให้หลัวซิวแปลกใจมาก

“ทำไมต้องกลัว พละกำลังของนายเก่งกว่าพวกเขาตั้งเยอะ” ปี้เซียนเสว่เบะปากพูด

คำตอบแบบนี้ ทำให้หลัวซิวอดขำไม่ได้ แต่สิ่งที่ปี้เซียนเสว่พูด ก็เป็นเรื่องจริง ผลการฝึกตนของลูกศิษย์ตำหนักจื่อทั้งสองคน อยู่ในแดนฝึกจิตขั้น6 ไม่ได้นับประสาอะไร

แต่เมื่อศิษย์ตำหนักจื่อทั้งสองคน ได้ยินคำพูดเช่นนี้ กลับทำให้พวกเขามีแววตาเย็นยะเยือก

การที่สามารถมีรายชื่อในแดนปริศนาได้ พวกเขาเป็นอัจฉริยะที่โดดเด่น ในบรรดาศิษย์ตำหนักจื่อ ฝึกตนต่ำสุดก็วิชายุทธ์ระดับ7-8 อาศัยผลการฝึกตนฝึกจิตขั้น6 ต่อกรข้ามขั้นกับผู้ฝึกจิตขั้น7 ก็ไม่เป็นปัญหา

แต่ตอนนี้ คนที่เป็นลูกศิษย์โดดเด่นในตำหนักจื่อ อย่างพวกเขา กลับไม่อยู่ในสายตาของคนที่ฝึกจิตขั้น5 อย่างสองคนนี้

“คนในประเทศเทียนหวู ล้วนไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำแบบนี้เหรอ แค่ผู้ฝึกจิตขั้น5 กล้าพูดอย่างไร้ยางอาย ขายขี้หน้า ไม่รู้จักอับอายเหรอ” หนุ่มชุดม่วงคนหนึ่งแสยะยิ้ม เต็มไปด้วยความเย้ยหยัน

“เกาเจิงพูดถูก คนอย่างเวินลี่ฉวินก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าคนปัญญาอ่อนสองคนนี้ ไปเอาความมั่นใจและความกล้ามาจากไหน” หนุ่มชุดม่วงอีกคนพูดเสริม น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเย้ยหยันเช่นกัน

ขณะนั้น สาวคลุมหน้า และนางสนองพระโอษฐ์สองคน รวมไปถึงอีกสามคน ล้วนเดินเข้ามา

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 234 จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิง

 

หลงหมิงเบะปาก พูดด้วยน้ำเสียงที่บอกว่านายประสบการณ์น้อยมาก “ผู้แข็งแกร่งที่มีพละกำลังยิ่งใหญ่ ในโลกยุทธ์อันสูงส่ง ที่สามารถใช้พละกำลังของคนเดียวเบิกอุโมงค์โลกเล็กได้ ในสมัยโบราณจะถูกเรียกว่าแดนปริศนาใหญ่ ส่วนแดนปริศนาน้อย คือการอาศัยพลังค่ายกล ก่อตัวเป็นพื้นที่อิสระ ในด้านความลึกลับ แน่นอนว่าไม่สามารถเทียบกับผู้แข็งแกร่งที่มีพละกำลังยิ่งใหญ่ ในโลกยุทธ์อันสูงส่ง ที่สามารถใช้แรงเพียงคนเดียวเบิกอุโมงค์โลกเล็กได้”

“ใช้พละกำลังของคนเดียวเบิกอุโมงค์โลกเล็ก……” สายตาของหลัวซิวเคร่งขรึม ตกใจเป็นอย่างมาก

พละกำลังผลการฝึกตนของเขาในตอนนี้ แม้แต่พื้นที่ว่าง ยังไม่สามารถสั่นสะเทือนได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องเบิกอุโมงค์โลกเล็กเลย

“แดนนานาอสูร แดนตำหนักจื่อ แดนปริศนา ล้วนเป็นแดนปริศนา ที่ก่อตัวขึ้นมาจากค่ายกล พื้นที่ที่สร้างในหอคอยมังกรบิน ก็เป็นแดนปริศนาน้อย แต่ระดับต่ำเกินไป” หลงหมิงพูดอธิบาย

จากที่หลงหมิงพูด ไม่ว่าจะเป็นแดนปริศนาน้อย แดนปริศนาใหญ่ ต่างก็แบ่งระดับเป็นสูงและต่ำ

“นายรู้เกี่ยวกับแดนปริศนามากน้อยแค่ไหน” หลัวซิวถามต่อ

หลงหมิงเป็นสัตว์เทพในสมัยโบราณ ที่มีชีวิตรอดมา เหมือนกับซากดึกดำบรรพ์มีชีวิต น่าจะรู้เรื่องมากมาย ที่คนปกติไม่รู้

“แดนนานาอสูรคือสถานที่ ที่สำนักไท่เสวียนเลี้ยงอสูร ลูกศิษย์ในสำนักเข้าไปฆ่าอสูรกายในแดนปริศนา จะได้รับประสบการณ์ฝึกฝน แถมยังได้ลูกแก้วโลหิต เพื่อยกระดับแดนร่างเนื้อ”

“ส่วนแดนปริศนา เป็นแดนหยินสุดขั้ว ซึ่งสร้างมาจากค่ายกล ตาเฒ่าในสำนักไท่เสวียน วางบททดสอบเอาไว้ในนั้นเยอะมาก ใช้ลับคมลูกศิษย์ในสำนัก”

เมื่อได้ยินดังนั้น หลัวซิวยกยิ้มมุมปากยียวน

พลังหยินในหยินหยาง อยู่ในแขนงหนึ่งของพลังแห่งความตาย สำหรับคนที่ฝึกพลังสองระดับความเป็นตาย แบบหลัวซิว ประสิทธิภาพการฝึกตน เหนือกว่าพลังฟ้าดินจิตทั่วไป

หลงหมิงมองหลัวซิวอย่างแปลกประหลาด แน่นอนว่าเขารู้ว่าพลังหยิน มีผลดีกับคนที่ฝึกตนพลังแห่งความตายเป็นอย่างมาก แต่พลังแห่งความตาย มีการกัดกร่อนที่แข็งแกร่งมาก น้อยคนที่จะฝึกตนได้สำเร็จ

ถึงฝึกสำเร็จ แต่ก็ทำให้คนที่ฝึกตน เหมือนครึ่งผีครึ่งคน น่าสะอิดสะเอียนเป็นอย่างมาก

แต่หลัวซิวกลับดูปกติเป็นอย่างมาก หลงหมิงไม่เข้าใจว่าไอ้หมอนี่ ควบคุมพลังแห่งความตายได้อย่างไร

ออกมาจากร้านเหล้า หลัวซิวมาถึงสำนักงานใหญ่องค์กรนักล่ายุทธ์ ที่เมืองเทียนหวู

“ท่านชายหลัวซิว ท่านหัวหน้าใหญ่แก๊งเรียนเชิญครับ” ผู้อาวุโสรูปร่างท้วม ดูอุดมสมบูรณ์เล็กน้อย อยู่ตรงหน้าหลัวซิว

ผู้อาวุโสคนนี้สีหน้ายิ้มแย้ม หน้าตาไม่โดดเด่น แต่กลับเป็นผู้แข็งแกร่งแดนราชายุทธ์

“เชิญนำทาง” หลัวซิวประสานมือทำความเคารพ

จากตำแหน่งในองค์กรนักล่ายุทธ์ ที่โดดเด่นไม่ธรรมดา หัวหน้าใหญ่แก๊ง เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในคนที่แข็งแกร่งยิ่งใหญ่ ในประเทศเทียนหวู

หลัวซิวไม่แปลกใจ ที่หัวหน้าใหญ่แก๊งจะพบตัวเอง เพราะในระยะเวลาปีกว่า เขาก่อความวุ่นวายในประเทศเทียนหวูไม่น้อยเลย

ถึงบอกว่าไม้เรียวระหงกลางป่า ย่อมถูกลมโค่น แต่ถ้าสามารถต้านทานลมฝนได้ ก็สามารถเติบโตเป็นต้นไม้สูงตระหง่าน อยู่บนยอดภูเขา จนขุนเขามองดูเล็ก

ตอนนี้ยังไม่ทราบสถานการณ์ของเหยียนเยว่เอ๋อร์ ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย เพื่อที่จะช่วยเธอให้เร็วที่สุด หลัวซิวทำได้เพียงเสี่ยงเท่านั้น

หัวหน้าใหญ่แก๊ง เป็นชายวัยกลางคนรูปร่างซูบผอม สวมชุดคลุมยาวตัวโคร่ง กำลังนั่งดื่มชาอยู่ที่ห้องหนังสือ

ตอนหลัวซิวเดินเข้ามา เขาช้อนตาขึ้นมามอง ยิ้มบางๆ “สายตาของเหวินเซวียนไม่เลว ขุดค้นเจอต้นกล้าชั้นดี”

“มาพบหัวหน้าใหญ่แก๊ง” หลัวซิวโค้งตัวทำความเคารพ

ถึงหัวหน้าใหญ่แก๊งคนนี้ ไม่ได้ปลดปล่อยพลังอันน่าเกรงขามออกมา แต่หลัวซิวรู้ดี นี่เป็นผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ ที่สูงสุดในประเทศเทียนหวู

ในประเทศเทียนหวูมีจักรพรรดิยุทธ์ทั้งสิบ ไม่ได้หมายความว่าจะมีจักรพรรดิยุทธ์แค่สิบคน แต่เป็นตัวแทนสิบคน ที่มีพละกำลังที่แข็งแกร่งที่สุด

หัวหน้าใหญ่แก๊งขององค์กรนักล่ายุทธ์คนนี้ เป็นจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงอันดับหนึ่ง ในบรรดาจักรพรรดิยุทธ์ทั้งสิบ

เหยียนเยว่เอ๋อร์มีฉายาว่าจักรพรรดิยุทธ์เทียนเฟิ่ง อยู่ในอันดับท้ายสุด ในจักรพรรดิยุทธ์ทั้งสิบ แข็งแกร่งไม่เท่าจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงคนนี้

“เชิญนั่ง” จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงสะบัดมือลวกๆ

หลัวซิวเอ่ยขอบคุณ จากนั้นจึงนั่งลง

“จากข้อมูลที่นายบันทึกไว้ในองค์กร ตอนนี้นายเพิ่งอายุสิบหกปีสินะ” จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงยิ้ม แล้วเอ่ยขึ้น

“อายุสิบหก แต่ไปถึงฝึกจิตขั้น5 แล้ว เพียงพอที่จะได้รับการประเมินอัจฉริยะขั้นดำระดับกลางในองค์กร ถ้าบวกกับความสามารถปรมาจารย์ค่ายกลขั้นสี่ ปรมาจารย์กลั่นยาระดับ4 ของนาย ฉันประเมินอัจฉริยะขั้นดำระดับสูงให้นายได้”

จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงยิ้มบางๆ “ถ้านายสามารถถึงแดนราชายุทธ์ ก่อนอายุยี่สิบปีได้ หรือเป็นปรมาจารย์ค่ายกลขั้นห้า หรือไม่ก็ปรมาจารย์กลั่นยาระดับ5 จะสามารถยกระดับการประเมิน ไปถึงอัจฉริยะขั้นฟ้าระดับล่างได้เลย”

“สมาชิกที่เป็นอัจฉริยะขั้นดำขึ้นไป จะมีสิทธิพิเศษในองค์กร”

ระหว่างที่พูด จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงหยิบม้วนหยกบนโต๊ะข้างหน้า ยื่นให้หลัวซิว

หลัวซิวยื่นมือไปรับ ตัวสำนึกทะลุเข้าไปข้างใน

จากบันทึกในม้วนหยก อัจฉริยะขั้นเหลืองต่ำกว่าขั้นดำลงไป ที่อยู่ภายในองค์กร น่าจะเท่ากับศิษย์นอกสำนัก จะไม่ได้รับความสนใจ

แต่เมื่อประเมินระดับอัจฉริยะ สามารถไปถึงขั้นดำ ก็จะเท่ากับศิษย์ในสำนัก จะได้รับค่าเลี้ยงดูจากองค์กร รวมไปถึงการคุ้มครอง

เช่น ยากลั่นจิต ที่ทำให้ปรมาจารย์ฝึกจิต ยกระดับผลการฝึกตนทะลุไปถึงแดนเล็ก ราคาขายในตลาด ต้องมีหินพลังจิตห้าพันก้อน แต่อาศัยสิทธิอัจฉริยะขั้นดำระดับสูง หลัวซิวสามารถซื้อแค่ครึ่งราคา ใช้หินพลังจิตแค่สองพันห้าร้อยก้อนเท่านั้น

นอกจากนั้น องค์กรยังบริการ การเรียนวิชายุทธ์ต่างๆ เช่น ยา ค่ายกล ยาวิเศษ นักยุทธ์ เกราะนักยุทธ์ ให้กับอัจฉริยะขั้นดำขึ้นไป สามารถซื้อได้ในองค์กร ด้วยราคาต่ำสุด

ในม้วนหยกที่จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงให้หลัวซิว มีบันทึกไว้ว่า สามารถซื้อแหล่งสมบัติต่างๆ ได้ในองค์กร

ในนั้นมีวิชายุทธ์ระดับ8 สิบกว่าชนิด อีกทั้งยังมีวิชายุทธ์ระดับ9 อีกหลายชนิด!

ในประเทศเทียนหวู วิชายุทธ์ระดับ8 เป็นวรยุทธ์ชั้นสุดยอดแล้ว ส่วนวิชายุทธ์ระดับ9 ราชวงศ์ตระกูลฝานก็ยังไม่เคยมี

ตอนนี้หลัวซิวฝึกวิชายุทธ์ระดับ8 สองวิชา วิชาแรกคือวิชาพลังมังกรแท้ สามารถรวบรวมพลังจิตแท้เป็นรูปมังกร พลังโจมตีเป็นเท่าตัว อีกทั้งยังมีประสิทธิภาพการกลั่นร่างด้วย

ส่วนอีกวิชาเป็นวรยุทธ์กลั่นวิญญาณ พลังก่อรวมวิญญาณ

ส่วนทักษะยุทธ์กับวิชาท่าร่าง ตอนนี้หลัวซิวฝึกกระบี่เพลิงวิชายุทธ์ระดับ7 และตามลมล่าจันทรา

จากสิทธิของอัจฉริยะขั้นดำระดับสูง หลัวซิวสามารถซื้อวิชายุทธ์ระดับ9 สี่ชนิดในองค์กร มีวรยุทธ์สองวิชา ทักษะยุทธ์หนึ่งวิชา และวิชาท่าร่างหนึ่งวิชา

วรยุทธ์สองวิชาแบ่งเป็น วิชาอัคคีแท้หยางบริสุทธิ์กับวิชาเหินฟ้าชิงจื้อ วิชาหนึ่งเป็นวรยุทธ์ธาตุไฟ ส่วนอีกวิชาเป็นวรยุทธ์ธาตุไม้

หลัวซิวไม่ได้ต้องการวรยุทธ์ เพราะเขาฝึกพลังที่อยู่ในสองระดับความเป็นตาย วงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ เหมาะสมกับตัวเองมากที่สุด

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 233 แดนปริศนาน้อยใหญ่

 

“หลัวซิวงั้นเหรอ”

บนร้านเหล้าชั้นสอง คนจำนวนไม่น้อยมองหน้ากัน ไม่เคยได้ยินคนๆ นี้มาก่อน

แต่คนจำนวนน้อยที่รอบรู้ทั่วด้าน มีแววตาวูบไหว เคยได้ยินชื่อหลัวซิวและข่าวลือทั้งหมดเกี่ยวกับหลัวซิว

“หึ ก็แค่คนที่ไม่มีชื่อเสียงเท่านั้น กล้าบอกว่ามีที่มาที่ไปอย่างไรหรือเปล่า” สีหน้าของนางสนองพระโอษฐ์ทั้งสองคน ฉายแววไม่พอใจ

“องค์กรนักล่ายุทธ์” หลัวซิวพูดอย่างเฉยเมย แล้วเอาตรานักล่าอสูรของตัวเองออกมา

“ตลก นักยุทธ์ครึ่งหนึ่งบนโลก ล้วนมีชื่ออยู่ในองค์กรนักล่ายุทธ์ นายคิดว่าตัวเองเป็นคนมีความสามารถ ในองค์กรน่าล่ายุทธ์เหรอ” นางสนองพระโอษฐ์ทั้งสองคน มีสีหน้าเย้ยหยัน

หนึ่งในนางสนองพระโอษฐ์ เอาตรานักล่าอสูรสามดาวออกมา แสยะยิ้มแล้วพูดว่า “ฉันก็พูดได้เหมือนกัน ว่าตัวเองเป็นคนขององค์กรนักล่ายุทธ์”

“ถ้ายึดตามที่เธอพูด ฉันก็เป็นคนของแก๊งนักกลั่นยาเหมือนกันน่ะสิ”

หลัวซิวไม่สนใจ เอาตราปรมาจารย์กลั่นยาระดับ4 ออกมาด้วยสีหน้าราบเรียบ แล้วใส่ไว้ตรงหน้าอก

“ปรมาจารย์กลั่นยาระดับ4 งั้นเหรอ” เมื่อเห็นตราอันนี้ ชั้นสองของร้านเหล้า มีเสียงตกใจดังขึ้นมา

ตราปรมาจารย์กลั่นยาระดับ4 ใหญ่กว่าตรานักล่าอสูรสี่ดาว ที่แฝงไปด้วยทองเยอะมาก

“เหอะๆ น่าสนใจนี่”

ทันใดนั้น สาวคลุมหน้าหัวเราะออกมา เสียงแสนไพเราะ “คิดไม่ถึงว่าในประเทศเล็กๆ อย่างประเทศเทียนหวู จะมีคนมีความสามารถโดดเด่นอย่างท่านชาย ได้ยินว่าเมื่อหนึ่งปีก่อน มีผู้มีความสามารถ ฝ่าฟันเข้าไปในหอคอยมังกรบินชั้นที่ 7 คิดว่าจะเป็นท่านชายสินะ”

ขณะพูด สาวคลุมหน้ามองไปยังหลัวซิว “แต่ท่านชายล่วงเกินคนของตำหนักจื่อ ต้องระวังตัวแล้วล่ะ”

เมื่อได้ยิน สีหน้าของหลัวซิวอึ้งเล็กน้อย “เธอไม่ใช่คนของตำหนักจื่อเหรอ”

ผู้หญิงต่ำต้อยทั้งสองคนเรียกตัวเองว่าคนของตำหนักจื่อ แต่ฟังจากคำพูดของสาวคลุมหน้า ราวกับเจ้านายอย่างเธอ ไม่ใช่คนของตำหนักจื่อ

“พวกเธอมาจากตำหนักจื่อจริงๆ แต่ฉันไม่ใช่” สาวคลุมหน้าพูดช้าๆ และไม่ได้อธิบายอะไรมาก

จากนั้นสาวคลุมหน้า ก็มองผู้หญิงต่ำต้อยทั้งสองคนด้วยแววตาเย็นชา พูดตำหนิอย่างเฉยเมยว่า “ถาวโจว่จวิ้นส่งพวกเธอมา ทางที่ดีพวกเธอทำตามหน้าที่ อย่าหาเรื่องใส่ตัว ไม่งั้นต้องรับผลที่ตามมาเอง”

ผู้หญิงต่ำต้อยทั้งสองคนโดนตำหนิ ต่างพากันก้มหน้า ไม่กล้าโต้เถียง จากนั้นจึงถอยไปด้านหลังสาวคลุมหน้าอย่างนอบน้อม แต่สายตาที่มองหลัวซิว ยังมีความอาฆาตอย่างชัดเจน

“ลาก่อนท่านชาย หวังว่าจะมีโอกาสได้พบกันอีก”

สาวคลุมหน้าลุกขึ้นช้าๆ ยิ้มบางๆ ให้หลัวซิว และเดินไปทางบันไดทันที

หลัวซิวไม่ได้สัมผัสถึงเจตนาร้าย จากตัวของสาวคลุมหน้า อีกทั้งอีกฝ่ายยังเตือนให้เขาระวังตำหนักจื่อ ดังนั้นเขาจึงเอามือขึ้นมาทำความเคารพ

หลังพวกสาวคลุมหน้าออกไป ชั้นสองของร้านเหล้า ยังเต็มไปด้วยความเงียบ สายตาของคนจำนวนไม่น้อย มองหลัวซิวเหมือนมีอะไร แววตาสับสน

ชายวัยกลางคนที่เกือบจะโดนฆ่าก่อนหน้านี้ ถอนหายใจยาวออกมา

“สหายท่านนี้ มาคุยกันหน่อยได้ไหม” หลัวซิวมองคนนั้น แล้วเอ่ยขึ้น

“ขอบพระคุณบุญคุณที่ท่านชายช่วยชีวิต ไม่ทราบว่าท่านชายมีอะไรจะให้รับใช้” ชายวัยกลางคนเดินเข้ามา พูดอย่างนอบน้อม

ผลการฝึกตนของเขาไม่สูง แต่กลับรู้ข่าวสารรอบด้าน แน่นอนว่าเคยได้ยินว่า ผู้มีความสามารถในรอบหลายปี ที่มีชื่อเสียงอย่างรวดเร็วในเมืองเทียนหวู เมื่อหนึ่งปีก่อน คือคนหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขา

“เชิญนั่ง” หลัวซิวชี้ไปฝั่งตรงข้ามตัวเอง

ชายวัยกลางคนเอ่ยขอบคุณ นั่งอย่างระมัดระวังตรงข้ามหลัวซิว

“เมื่อกี้ฉันได้ยินนายพูดเรื่องเมื่อสามร้อยปีมาที่แล้ว นายน้อยตำหนักจื่อกับภรรยาของนายท่านตระกูลเหยียนรุ่นก่อน ไม่ทราบว่าต่อมาเป็นอย่างไร” หลัวซิวถามออกมาตรงๆ

การที่เขาลงมือช่วยคนๆ นี้ เหตุผลโดยส่วนใหญ่ ก็คืออยากทราบเรื่องนี้

เมื่อได้ยินหลัวซิวพูดเรื่องนี้ขึ้นมาอีก แววตาของชายวัยกลางคนดูกระอักกระอ่วนและยังรู้สึกกลัวไม่หาย เมื่อครู่เพราะเขาดื่มเหล้าจนพลั้งปาก เกือบทำให้ไม่รอด

ชายวัยกลางคนเหมือนจะพูดแต่ก็ชะงักไป หลัวซิวหัวเราะ แล้วพูดว่า “นายพูดมาเลย ไม่เป็นไร ฉันอาศัยพลังจิตแท้ เว้นระยะเสียงแล้ว คนอื่นไม่ได้ยินว่านายพูดอะไร”

เมื่อได้ยินดังนั้น ชายวัยกลางคนถึงวางใจ “ในเมื่อท่านชายถาม กระผมต้องพูดอยู่แล้วอันที่จริงเรื่องที่ผ่านมาไม่ได้เป็นข่าวลับอะไรในเมืองเทียนหวู แต่มันผ่านไปตั้งสามร้อยปีแล้ว น้อยคนที่จะพูดถึงเรื่องนี้ เพราะเรื่องนี้เกี่ยวกับชื่อเสียงของตำหนักจื่อกับตระกูลเหยียน”

“สามร้อยปีก่อน นายน้อยตำหนักจื่อ ชอบเมิ่งชิวโหลวภรรยาของนายท่านตระกูลเหยียนรุ่นที่แล้ว ตั้งแต่แรกพบ แต่หลังจากเผยความในใจ กลับโดนเมิ่งชิวโหลวปฏิเสธกลับมา”

“แต่นายน้อยตำหนักจื่อ กลับไม่ยอมแพ้ ให้ตายก็ไม่ยอมแพ้ เหยียนฉางคง นายท่านตระกูลเหยียนรุ่นที่แล้ว ก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นนายน้อยตำหนักจื่อ ดังนั้นจึงลงมืออย่างรุนแรง ทำให้นายน้อยตำหนักจื่อบาดเจ็บ”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ ชายวัยกลางคนถอนหายใจ “ตำหนักจื่อเป็นอำนาจใหญ่ ที่สืบทอดกันมาเป็นหมื่นปี ได้ยินว่ามีผู้แข็งแกร่งระดับมกุฏยุทธ์ดำรงตำแหน่ง นายน้อยตำหนักจื่อโดนทำร้ายบาดเจ็บ แน่นอนว่าไม่มีทางปล่อยไปง่ายๆ”

“ต่อมาผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ ของตำหนักจื่อสามคน ลงมือด้วยตัวเอง ฆ่าเหยียนฉางคงตาย และชิงตัวเมิ่งชิวโหลวภรรยาของเขาไป ได้ยินว่าเมิ่งชิวโหลวให้ตายยังไงก็ไม่ยอม ตัดเส้นเลือดตัวเองจนตาย! ราชวงศ์ตระกูลฝานกับตระกูลเหยียนเมืองกู่เจี้ยน ทำได้เพียงกัดฟันอดทน”

“ตอนนี้นายท่านตระกูลเหยียนกับจักรพรรดิยุทธ์เทียนเฟิ่ง เป็นพี่ชายน้องสาว และเป็นลูกชายลูกสาว ของเหยียนฉางคงนายท่านตระกูลเหยียนรุ่นที่แล้วกับเมิ่งชิวโหลว ส่วนนายน้อยตำหนักจื่อเมื่อก่อน ตอนนี้ก็กลายเป็นเจ้าตำหนักจื่อไปแล้ว”

“และไม่รู้ว่าเดาได้ล่วงหน้าหรือเปล่า สองปีก่อนตำหนักจื่อขอตระกูลเหยียนแต่งงาน จะให้จักรพรรดิยุทธ์เทียนเฟิ่งแต่งกับเจ้าสำนักน้อยตำหนักจื่อคนปัจจุบัน และเป็นภรรยาผู้ต่ำต้อย ตำหนักจื่อกับจักรพรรดิยุทธ์เทียนเฟิ่ง มีความแค้นฝังลึกเช่นนี้ จักรพรรดิยุทธ์เทียนเฟิ่งจะตกลงได้อย่างไร ดังนั้นจึงออกจากตระกูลเหยียน ด้วยความโกรธ ว่ากันว่าเจอการล้อมโจมตี เทพจิตถูกทำลาย ผลการฝึกตนลดลง”

เมื่อได้ยินดังนั้น ในตาหลัวซิวเต็มไปด้วยความอาฆาต

“ในเมื่อมีแค้นฝังลึกเช่นนี้ ทำไมตระกูลเหยียนยังช่วยตำหนักจื่อ จับตัวจักรพรรดิยุทธ์เทียนเฟิ่งล่ะ” หลัวซิวถามอย่างสงสัย

“เหอะๆ ท่านชายคงไม่รู้ ฝ่ายภายในตระกูลเหยียนจำนวนมาก ไม่ได้เป็นปึกแผ่นเดียวกัน มีคนอยากได้ตำแหน่งสูง แน่นอนว่าต้องใช้โอกาสนี้กำจัดคนที่เป็นศัตรู” ชายวัยกลางคนเอ่ยขึ้น

หลัวซิวพยักหน้า แน่อนว่าเขาก็คิดถึงกลอุบายการแย่งชิงที่อยู่ในนั้น

หลังชายวัยกลางคนพูดจบ เขาก็บอกลาและจากไป กลัวว่าถ้าอยู่อีกหน่อย จะมีหายนะมาเอาชีวิต

เมื่อรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น เมื่อสามร้อยปีก่อน ทำให้หลัวซิวรู้จักเหยียนเยว่เอ๋อร์มากขึ้น และรู้ว่าต่อไป ตัวเองจะเจอศัตรูแบบไหน

“ตำหนักจื่อเหรอ เหมือนฉันเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน……” หลงหมิงที่แอบอยู่บนไหล่หลัวซิว พูดอย่างสงสัยทันที

“สมัยโบราณ มีอำนาจแบบนี้เหรอ” หลัวซิวถาม

“ขอฉันคิดก่อน……” หลงหมิงครุ่นคิดครู่หนึ่ง หลังเงียบอยู่นาน จึงพูดว่า “สำนักไท่เสวียน มีแดนปริศนาใหญ่สามแดน มีแดนปริศนาน้อยแปดแดน ฉันจำได้ว่าแดนปริศนาน้อยแดนหนึ่ง มีชื่อว่าแดนตำหนักจื่อ บางทีอาจเกี่ยวอะไรกับตำหนักจื่อก็ได้นะ”

“แดนปริศนาใหญ่ แดนปริศนาน้อยอย่างนั้นเหรอ” สีหน้าของหลัวซิวฉายแววสงสัย เขาเพิ่งเคยได้ยินว่าแดนปริศนา แบ่งเป็นใหญ่น้อยด้วย

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 232 ผู้หญิงต่ำต้อย

 

ความโกลาหลทางนี้ ทำให้แขกคนอื่นที่ชั้นสองของร้านเหล้า พากันตกใจ คนจำนวนไม่น้อยขมวดคิ้ว มองไปด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร

โต๊ะริมหน้าต่างที่อยู่ไม่ไกล สาวคลุมหน้านั่งอยู่อย่างสง่างาม ด้านหลังของเธอ มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย ร่างกายบอบบางสองคน ยืนอยู่อย่างนอบน้อม น่าจะเป็นนางสนองพระโอษฐ์ของสาวคลุมหน้า

คนที่ลงมือ เป็นหนึ่งในนางสนองพระโอษฐ์

“กล้าดูหมิ่นเจ้าสำนักน้อยของเรา สมควรตาย!” นางสนองพระโอษฐ์ที่ลงมือ มีสีหน้าเย็นชา น้ำเสียงเฉยเมย

ส่วนสาวคลุมหน้าที่นั่งอยู่ กลับไม่มีท่าทีขัดขวางแม้แต่น้อย

“ลูกค้าทุกท่าน อย่าสร้างความวุ่นวายในร้านเหล้า”

ผู้ดูแลร้านเหล้า เดินเข้ามาด้วยสีหน้าอึมครึม การที่สามารถเปิดร้านเหล้า ที่ขนาดไม่เล็ก ในเมืองเทียนหวู แน่นอนว่าต้องมีเบื้องหลังที่แข็งแกร่ง

“ถอยไป!”

นางสนองพระโอษฐ์ที่ลงมือ โชว์ป้ายบัญชาการ ข้างบนสลักภาพตำหนักสีม่วง ที่ลอยอยู่ในเมฆ

เมื่อป้ายบัญชาการโชว์ออกมา คนที่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ต่างหน้าเปลี่ยนสี

ผู้ดูแลร้านเหล้า ที่มีสีหน้าอึมครึม เตรียมจะถามหาคนผิดเมื่อครู่ ไม่กล้าพูดอะไรแม้แต่คำเดียว รีบโค้งตัวถอยไป

“เป็นคนของตำหนักจื่อ”

ขณะนั้น คนบนชั้นสองในร้านเหล้า เพิ่งสังเกตเห็น หญิงสาวคนที่ลงมือ ไม่ใช่แค่นางสนองพระโอษฐ์เท่านั้น กลับมีผลการฝึกตน ที่เป็นฝึกจิตขั้น1

ซี๊ด!……

เสียงหายใจเย็นยะเยือกดังขึ้นมา ปรมาจารย์ฝึกจิต เป็นนางสนองพระโอษฐ์ แล้วสาวคลุมหน้าคนนั้น คงเป็นคนใหญ่คนโตในตำหนักจื่ออย่างไม่ต้องสงสัย

ชายวัยกลางคนที่พูดฉอดๆ เมื่อครู่ สร่างเมาทันที แต่สีหน้าซีดเหมือนตาย รู้ว่าตัวเองหาเรื่องวุ่นวายเข้าให้แล้ว

ชายวัยกลางคนกับเพื่อน มีเพียงผลการฝึกตนพรสวรรค์ขั้น5

แววตาของนางสนองพระโอษฐ์ ฉายแววเย็นยะเยือก จากนั้นแยกปราณกระบี่ธาตุไฟในมือเป็นสอง เพื่อที่จะฆ่าชายวัยกลางคนกับเพื่อน ที่ดูหมิ่นเจ้าสำนักน้อยตำหนักจื่อ

เมื่อหลัวซิวเห็นภาพตรงหน้า ก็รีบยื่นมือออกไปทันที เปลวไฟดำก่อตัวอยู่ในฝ่ามือ บีบปราณกระบี่ธาตุไฟทั้งสอง ของนางสนองพระโอษฐ์จนแหลกสลาย

“สหายท่านนี้ แค่ดื่มมากจนพูดเลอะเทอะ เธอจะลงมือฆ่าคน เกินไปหน่อยมั้ง” หลัวซิวพูดออกมาตามตรง

“นายกล้ามาก้าวก่ายเรื่องตำหนักจื่อของฉัน ไม่รู้ดีชั่ว!” นางสนองพระโอษฐ์มองมายังหลัวซิวอย่างเย็นชา

ระหว่างที่พูด นางสนองพระโอษฐ์คนนี้ก็ลงมือทันที กระบี่เล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ และพุ่งเข้ามาหาหลัวซิว

“แค่ฝึกจิตขั้น1 ธรรมดาๆ เท่านั้น ทำไมถึงกล้าอวดดี”

เสียงของหลัวซิวเย็นยะเยือก ยกมือขึ้นมาบีบกระบี่เล่มยาว ของนางสนองพระโอษฐ์ ที่พุ่งเข้ามา จากนั้นจึงใช้แรง สะบัดคนไปพร้อมกับกระบี่

นางสนองพระโอษฐ์โงนเงนถอยไปข้างหลัง บนกระบี่เล่มยาวในมือ ถูกบีบเป็นรอยนิ้ว ใบหน้าสะสวยเปลี่ยนสีทันที

สาวคลุมหน้าที่กำลังนั่งดื่มชาอยู่ หันมามองทางหลัวซิว ดวงตาสวยโดนบดบังด้วยผ้าคลุมหน้า มองไม่ออกว่ามีสีหน้าอย่างไร

“บังอาจ รู้ไหมว่าฐานะของพวกเราคืออะไร”

นางสนองพระโอษฐ์อีกคนเดินออกมา จ้องหลัวซิวอย่างเย็นชา แล้วพูดอย่างดุดัน

หลัวซิวทำเหมือนไม่ได้ยิน เขาดื่มเหล้า บีบจอกเหล้า แล้วแสยะยิ้มพูดว่า “ก็แค่ผู้หญิงต่ำต้อยเท่านั้น จะมีฐานะอะไรได้ล่ะ”

เมื่อพูดออกมา คนที่อยู่ในนี้ หน้าเปลี่ยนสีอย่างอดไม่ได้ สายตาแปลกประหลาด มองไปยังคนอายุน้อยในเชิ้ตขาว ที่แต่งตัวเหมือนนักเรียน

“นายรนหาที่ตาย!” หน้าตาสะสวยของนางสนองพระโอษฐ์ทั้งสองคน อึมครึมขึ้นมา การที่เป็นคนของตำหนักจื่อ เคยมีใครกล้าดูถูกพวกเธอแบบนี้ซะที่ไหนกัน

“หรือฉันพูดผิด”

หลัวซิวมีสีหน้าเย้ยหยัน พลานุภาพอันดุดัน แผ่ซ่านออกมาจากตัว

“ก็แค่ใช้อำนาจของเจ้านายมาโอ้อวด ไม่ทันทำอะไรก็จะฆ่าคน ฉันว่าพวกเธอเป็นผู้หญิงต่ำต้อย คิดว่าตัวเองโดนดูถูกเหรอ แต่ให้เทียบกับการที่พวกเธอลงมือฆ่าคน ว่าพวกเธอผู้หญิงต่ำต้อย ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย”

“ยิ่งไปกว่านั้น ฉันไม่ได้พูดผิดสักนิด ถึงเกิดมาในอำนาจที่ใหญ่กว่านี้ ตัวตนผู้หญิงต่ำต้อยก็คือเรื่องจริง ไม่กล้าเผชิญกับมันหรือไง”

เมื่อหลัวซิวพูดออกมา ยิ่งทำให้หน้าตาอันสะสวย ของนางสนองพระโอษฐ์ทั้งสองคน เย็นชาเข้าไปอีก

“คนบ้าต้องตาย!” นางสนองพระโอษฐ์ทั้งสองคน คนหนึ่งฝึกตนพลังจิตแท้ธาตุไฟ อีกคนฝึกตนพลังจิตแท้ธาตุน้ำแข็ง หนึ่งไฟหนึ่งน้ำแข็ง สะบัดกระบี่พุ่งเข้ามา

“ไม่เจียมตัว”

สีหน้าของหลัวซิวไม่พอใจ เขาดีดนิ้วในอากาศ ทำให้กระบี่ทั้งสองเล่มกระเด็นออกไป ห้วงยุทธ์กระบี่สังหารรวบรวมตัวสำนึก พุ่งเข้าไปหาตัวหยั่งรู้ของทั้งสองคน

ผู้หญิงต่ำต้อยทั้งสองคนส่งเสียงร้องออกมา ร่างบางถอยกรูดไป ความตกใจและความโกรธปะปนกัน

“นายรู้ว่าเราเป็นคนของตำหนักจื่อเหรอ” ผู้หญิงต่ำต้อยทั้งสองคน พูดด้วยเสียงเย็นชา

ตอนพวกเธอโชว์ป้ายบัญชาการ หลัวซิวเดาได้ตั้งนานแล้ว รวมทั้งสายตาหวาดกลัวของลูกค้าที่อยู่ชั้นสอง ก็ดูออกแล้วว่าตำหนักจื่อน่าจะไม่ธรรมดา

แต่ทั้งหมดนี้ไม่เพียงพอ ที่จะเป็นเหตุผลให้หลัวซิวหวาดกลัวและยอมจำนน

“เป็นคนของตำหนักจื่อแล้วยังไง ถ้าสู้ได้ก็ฆ่าอีกฝ่าย ถ้าสู้ไม่ได้ก็ให้คนเบื้องหลังมากดดัน ถ้าไม่มีตำหนักจื่ออยู่เบื้องหลัง เธอจะกล้าอวดดีฆ่าคนอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลงเช่นนี้เหรอ”

หลัวซิวมีสีหน้าเยาะเย้ย “งั้นถ้าเจอคนที่เบื้องหลังยิ่งใหญ่กว่าเธอ ก็สามารถฆ่าเธอได้ตามใจชอบเหมือนกันหรือเปล่า และเธอก็ห้ามขัดขืน”

“อำนาจที่ยิ่งใหญ่กว่าตำหนักจื่องั้นเหรอ” นางสนองพระโอษฐ์ทั้งสองคนแสยะยิ้ม “ถึงราชวงศ์ตระกูลฝานประเทศเทียนหวูของพวกนาย เทียบกับตำหนักจื่อของเรา ก็ยังห่างชั้นกันมาก นายมีเบื้องหลังอะไร ถึงมาพูดแบบนี้กับตำหนักจื่อของเรา”

“กล้าโอ้อวดแค่ไหนประเทศเทียนหวูหรือไง” หลัวซิวยกยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยัน “สี่แก๊งใหญ่เทียบกับตำหนักจื่อของเธอ เป็นไง”

เมื่อพูดออกมา นางสนองพระโอษฐ์ทั้งสองคนถึงกับพูดไม่ออก ตำหนักจื่อแข็งแกร่งก็จริง แต่พูดถึงอำนาจในประเทศเทียนหวูเท่านั้น ไม่สามารถเทียบกับสี่แก๊งใหญ่ได้

เพราะในโลกใบนี้ สี่แก๊งใหญ่ล้วนเป็นอำนาจอันดับต้นๆ

“พอเถอะ”

ขณะนั้น สาวคลุมหน้าที่เงียบมาตลอด เอ่ยออกมา

เสียงของผู้หญิงคนนี้ดูเบาสบาย ท่าทางงดงามอ่อนโยน ปกปิดหน้าด้วยผ้าบางๆ แต่กลับไม่สามารถปกปิดความสูงศักดิ์อันโดดเด่นได้ ทำให้คนรู้สึกละอายตัวเอง เมื่ออยู่ต่อหน้าเธอ

ดวงตาสวยด้านหลังผ้าบาง มองหลัวซิวอย่างเย็นชา และพูดด้วยเสียงเฉยเมยว่า “ท่านชายย้ายร่างเปลี่ยนกระดูกเพื่อแปลงโฉม ทำไมถึงไม่เผยใบหน้าที่แท้จริงให้เห็นล่ะ”

เมื่อพูดออกมา สายตาของทุกคนมองไปยังหลัวซิวทันที พวกเขามองไม่ออกว่าคนๆ นี้ แปลงโฉมมาแล้ว

หลัวซิวหรี่ตาลง เว้นเสียแต่เป็นผู้แข็งแกร่งตัวสำนึกขั้นราชายุทธ์ ไม่งั้นคนที่ต่ำกว่าราชายุทธ์ ไม่มีทางมองออกว่าตัวเองแปลงโฉมมาแล้ว เห็นได้ชัดว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดา

“คนที่อำพรางตัวตน จะกล้าบอกชื่อมาไหม!” จู่ๆ เสียงของนางสนองพระโอษฐ์ทั้งสองคน ก็ดุดันขึ้นมาทันที

“หึ ทำไมจะไม่กล้า!”

แสงรอบตัวหลัวซิววูบไหว เลือดเนื้อกระดูกบนตัวเปลี่ยนตำแหน่ง จนเกิดเสียงดังเหมือนฟ้าร้อง

“ชื่อของฉันคือหลัวซิว!”

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 231 เมืองเทียนหวู

 

ธงค่ายหล่นลงไปยังตำแหน่งที่แตกต่างกัน หลัวซิวบีบพลังตราประทับด้วยมือเดียว ม่านแสงสว่างขึ้นมา คลุมเขากับชายรูปร่างผอมซูบเอาไว้

“อะไรกัน!”

ชายรูปร่างผอมซูบกับผู้อาวุโสเคราขาว หน้าเปลี่ยนสีทันที พวกเขาไม่คิดไม่ฝันว่า หลัวซิวจะเป็นนักค่ายกล

อายุสิบห้าปี แต่สามารถฝ่าฟันไปถึงหอคอยมังกรบิน ชั้นที่ 7 พละกำลังทัดเทียมได้กับนักฝึกจิตขั้น7

ยังมีข่าวลือว่าเขาเป็นปรมาจารย์กลั่นยาระดับ4 อีกด้วย!

ในประวัติศาสตร์ของประเทศเทียนหวู ยังไม่เคยมีคนแปลกประหลาด ที่มีความสามารถขนาดนี้

ทว่าตอนนี้ หลัวซิวแสดงความสามารถในการใช้ค่ายกล นี่เป็นไปได้ยังไง

ผู้อาวุโสเคราขาวบีบพลังตราประทับ เร่งให้ประกายแสงค่าย โจมตีม่านแสงค่ายกลที่หลัวซิววางไว้ เห็นเพียงม่านแสงกระเพื่อมเหมือนระลอกคลื่น แต่กลับไม่ขาดออก

“ค่ายคุ้มกันขั้นสี่!” ผู้อาวุโสเคราขาวสูดหายใจ เขาฝึกตนมาสามร้อยกว่าปี เป็นได้เพียงปรมาจารย์ค่ายกลขั้นสี่

แต่หลัวซิว เหมือนเขาอายุแค่สิบห้าปีเอง……

ระหว่างที่กำลังตกตะลึง ผู้อาวุโสแอบพูดออกมาว่าไม่ดี หลัวซิววางค่ายคุ้มกันขั้นสี่ ปิดกั้นพื้นที่ เห็นได้ชัดว่าจะฆ่าชายรูปร่างผอมซูบในค่ายกลเสียก่อน จากนั้นค่อยมาจัดการตัวเอง

“เป็นไปไม่ได้!”

เมื่อเห็นตัวเองโดนค่ายกลปิดล้อมเอาไว้ ชายรูปร่างผอมซูบตกใจจนหน้าเปลี่ยนสี รู้สึกเพียงว่าความเย็นยะเยือกผ่านเท้าขึ้นมายังหัว

“ฉันบอกแล้ว คนที่ตายคือแก”

ร่างกายของหลัวซิวกลายเป็นลำแสง พุ่งออกไปพร้อมกับแสงกระบี่เปลวไฟดำที่กลายเป็นรูปมังกร และมีลมหายใจแห่งความตาย ในขณะเดียวกันก็หมุนวิชาสลายวิญญาณ ใช้การจู่โจมวิญญาณ

ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!

ต่อกรกับเพียงสามรอบ ชายรูปร่างผอมซูบที่จิตใจสับสนวุ่นวาย โดนฆ่าอยู่ภายใต้กระบี่ของหลัวซิว

ถ้าเป็นการฆ่าโดยปกติ หลัวซิวจะฆ่าชายรูปร่างผอมซูบ ที่มีห้วงยุทธ์ตระหนักรู้ คงไม่ง่ายดายขนาดนี้ แต่อีกฝ่ายตื่นตระหนกตกใจกับพละกำลังที่ตัวเองแสดงออกมา ทำให้จิตใจสับสน ต้านทานแค่สามกระบวนท่า ก็เลือดสาดกระเซ็นเต็มไปหมด

ตัวสำนึกของหลัวซิวถูกขว้างออกไป พบว่าผู้อาวุโสเคราขาวคนนั้นหายตัวไปแล้ว

“ถึงเป็นตาแก่ก็หนีได้เร็วมาก”

จากนั้นจึงโยนเปลวไฟดำออกไปเผาศพทั้งสองศพ จนกลายเป็นเถ้า หลัวซิวเก็บแหวนนักยุทธ์ ของปรมาจารย์ฝึกจิตทั้งสองคน จากนั้นก็ลอยขึ้นกลางอากาศ ออกจากหมู่บ้านแห่งนี้

ตั้งแต่ออกจากหมู่บ้านสุ่ยหยาง หลัวซิวบินอยู่ในอากาศ

เขารู้สึกว่าตัวเองโชคดี หลังสิ้นสุดการแย่งชิงโควต้าจำนวนคน ก็มาฝึกตนในแดนนานาอสูร

ไม่อย่างนั้น อาศัยพละกำลังผลการฝึกตนของเขาในตอนแรก ถ้าอยู่ในสถานการณ์แบบเมื่อครู่ กลัวว่าจะเดาได้ยากว่าจะเป็นหรือตาย

เพราะตอนนั้น เขาฝ่าฟันไปที่ชั้น7 ของหอคอยมังกรบิน เพราะบังคับหมุนพลังแปรเสวียนเทียน เป็นพลัง 24 เท่า จนเกือบทำให้ร่างกายของเขาพังทลาย จึงเอาชนะองครักษ์ชั้น7 ที่มีผลการฝึกตนในระดับฝึกจิตขั้น7 มาได้

“นายแปลกประหลาดจริงๆ ไม่เพียงแต่จะกลั่นยาได้ แถมยังใช้ค่ายกลได้อีก อย่าบอกนะว่านายยังกลั่นสมบัติได้ด้วย……”

มังกรไร้ร่างอย่างหลงหมิง เกาะอยู่บนไหล่หลัวซิวตลอดเวลา ตอนหลัวซิวใช้ค่ายกลขั้นสี่ ก็ตกใจไม่น้อยเหมือนกัน

มังกรไร้ร่างมีความสามารถหลอมรวมกับพื้นที่ว่างได้ แค่เขาจงใจซ่อนการเคลื่อนไหวของลมหายใจ มีเพียงหลัวซิวที่สามารถสัมผัสได้ถึงลมหายใจแห่งชีวิต ถึงเป็นผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์จนไปถึงจักรพรรดิยุทธ์ ก็ไม่สามารถเห็นการมีอยู่ของมัน

“ฉันยังกลั่นสมบัติไม่เป็นจริงๆ” หลัวซิวหัวเราะหึหึ

“ชิ ฉันก็นึกว่านายเป็นคนประหลาดที่มีอะไรน่าเหลือเชื่อมากมาย ที่แท้ก็มีสิ่งที่นายทำไม่ได้” หลงหมิงเบะปาก ราวกับว่าสิ่งที่หลัวซิวทำไม่ได้ ทำให้ความอิจฉาริษยาในใจของมันรู้สึกสมดุลขึ้นมา

……

หลังผ่านการเข่นฆ่าในหมู่บ้านสุ่ยหยาง ตอนนี้ไปตูเฉิงที่ประเทศเทียนหวู หลัวซิวไม่อยากเจออะไรประหลาดเยอะเกินไป

ดังนั้นเขาเปลี่ยนชุดคลุมยาวดำ เป็นเสื้อเชิ้ตสีขาว และใช้วิธีย้ายร่างเปลี่ยนกระดูก เพื่อแปลงโฉม จนดูเหมือนนักเรียนอายุน้อยคนหนึ่ง

หลังผ่านไปครึ่งเดือนกว่า หลัวซิวมาถึงตูเฉิงที่ประเทศเทียนหวู

เมืองเทียนหวู ยิ่งใหญ่กว้างขวาง กำแพงเมืองยาวประมาณ 33 เมตรกว่า ภายใต้แสงอาทิตย์ที่ส่องลงมา ทำให้เห็นสีดำแวววาว

บนกำแพงเมืองมีทหารยืนตระหง่านเป็นร้อยคน มีความเย็นยะเยือกแผ่ซ่านออกมาจากตัว นี่เป็นกองทหารของราชวงศ์ประเทศเทียนหวู แต่ละคนเป็นนักยุทธ์ ที่เคยผ่านการเข่นฆ่ามาเป็นเวลานาน

จากที่หลัวซิวรู้ ในประเทศเทียนหวู ยึดราชวงศ์ตระกูลฝานเป็นใหญ่ 6เมืองกับ13เขตการปกครอง มีอำนาจแต่ละฝ่ายควบคุมดูแล

แต่เมื่อเผชิญกับศัตรูภายนอก อำนาจแต่ละฝ่ายต้องทำตามข้อเรียกร้องของราชวงศ์ตระกูลฝาน รวมตัวเป็นกองทหารที่ประกอบไปด้วยนักยุทธ์ที่แข็งแกร่ง

ขณะที่อยู่ด้านนอก ห่างจากเมืองเทียนหวูประมาณร้อยลี้ เป็นที่ประจำการของทหารเสือดำสร้างที่นี่จนเป็นเหมือนป้อมสงครามที่มั่นคงแข็งแกร่ง

หลัวซิวเดินตามผู้คนที่หลั่งไหลเข้าไปในเมือง มาถึงหน้าประตูเมืองเทียนหวู

หน้าประตูเมืองเทียนหวู มีประกาศเกี่ยวกับแดนปริศนาติดอยู่ใบหนึ่ง มีจำนวนของผู้ที่มีความสามารถล้ำเลิศ ที่เข้าไปในแดนปริศนา สามารถถือบัญชาเทียนหวูเข้าไปที่วิทยาลัยพระวงศ์ในเมือง

ทหารใส่เกราะนักยุทธ์จำนวนสิบกว่าคน ซักถามทุกคนที่เข้าไปในเมือง และเก็บค่าเข้าเมือง เพราะที่นี่เป็นตูเฉิงประเทศเทียนหวู เป็นสถานที่สำคัญ ต้องรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด

หลังเข้ามาในเมือง หลัวซิวถามที่ตั้งของวิทยาลัยพระวงศ์จากคนบนถนน

แต่หลัวซิวกลับไม่รีบไป ระยะเวลาที่แดนปริศนาจะเปิด ยังเหลือประมาณสิบวัน

สำนักงานใหญ่องค์กรนักล่ายุทธ์ของประเทศเทียนหวู ตั้งอยู่ในแถบที่คึกคักที่สุดในเมืองเทียนหวู เพราะแดนปริศนาใกล้จะเปิดแล้ว ทำให้ตูเฉิงแห่งนี้คึกคักรุ่งเรืองกว่าก่อน ผู้มีอำนาจที่มาจากแต่ละที่ ล้วนเป็นนักยุทธ์มารวมตัวกันที่นี่

“ได้ยินว่าสามวันก่อนหน้านี้ จักรพรรดิยุทธ์เทียนเฟิ่ง โดนผู้แข็งแกร่งของตระกูลเหยียนกับตำหนักจื่อ ซุ่มโจมตีบริเวณเขาหยุนไห่ การต่อสู้นั้นดุเดือดเป็นอย่างมาก สูญเสียราชายุทธ์ไปสองท่าน!”

ระหว่างทางไปสำนักงานใหญ่องค์กรนักล่ายุทธ์ หลัวซิวได้ยินเสียงพูดคุย ดังมาจากชั้นสองของร้านเหล้าข้างถนนแห่งหนึ่ง

จู่ๆ หลัวซิวโดนดึงดูดความสนใจทันที เพราะเขารู้ว่าจักรพรรดิยุทธ์เทียนเฟิ่ง ก็คือเหยียนเยว่เอ๋อร์

“ยังไงจักรพรรดิยุทธ์เทียนเฟิ่ง ก็เป็นธิดาสวรรค์ในยุค เป็นคนมีความสามารถโดดเด่น ในบรรดาผู้หญิง แต่กลับเป็นคนที่น่าสงสารคนหนึ่ง”

การพูดคุยบนชั้นสองของร้านเหล้าแห่งนี้ ทำให้หลัวซิวชะงักฝีเท้าลง และก้าวเข้าไปข้างใน จนมาถึงชั้นสอง และนั่งลงตรงมุมที่ไร้ผู้คน

“ใช่ เมื่อสามร้อยกว่าปีก่อน นายน้อยตำหนักจื่อ เที่ยวเตร่ไปทั่ว เมื่อเจอหญิงงามในประเทศเทียนหวูของเรา ก็ตกตะลึงเป็นอย่างมาก จนเกิดเป็นรักแรกพบ แต่ผู้หญิงคนนั้นเป็นภรรยาของนายท่านตระกูลเหยียนรุ่นที่แล้ว……”

“ชู่ว! คำพูดแบบนี้ ทางที่ดีอย่าพูดมั่วซั่ว แดนปริศนาใกล้จะเปิดแล้ว ในตูเฉิงประเทศเทียนหวู มีคนมากหน้าหลายตา ระวังหายนะจะเข้ามาหาอย่างไม่รู้ตัว”

คนที่พูดฉอดๆ เป็นชายวัยกลางคน น่าจะดื่มเหล้าไปหลายแก้ว จนทำให้ไม่รู้กาลเทศะ เพื่อนของเขาจึงรีบห้ามเอาไว้ เพื่อไม่ให้พูดสิ่งไม่เหมาะสมออกมา

ชายวัยกลางคนคนนั้นก็ตั้งสติได้ รู้ว่าตัวเองพลั้งปาก จึงไม่พูดอะไรมากอีก

หลัวซิวลุกขึ้นทันที กำลังจะเดินไปที่โต๊ะของชายวัยกลางคนสองคนนั้น

แต่ทว่าขณะนั้น ปราณกระบี่ธาตุไฟ พุ่งเข้าไปหาชายวัยกลางคน คนที่พูดเมื่อครู่

ชายวัยกลางคนกับเพื่อนของเขาตกใจจนหน้าเปลี่ยนสี รีบยกมือขึ้นมากันไว้ จากนั้นก็กระอักเลือดออกมา ร่างกระเด็นออกไป กระแทกกับโต๊ะเก้าอี้หลายตัวจนแตกกระจาย

 

 

 

 

 

 

 

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 230 หลัวซิวต่อสู้กับชายกำยำ

 

“หินพลังจิตเป็นของดี แต่ก็ต้องมีชีวิตไปเอามา” หลัวซิวแสยะยิ้มเย็นชา ยกไหเหล้าขึ้นมา เอาจุกดินเหนียวออก และกระดกเข้าปากอึกใหญ่

“ดื่มเหล้าฆ่าคน บุญคุณต้องทดแทน แค้นต้องชำระ สะใจ!” หลัวซิวหัวเราะเสียงดัง

“หึ!”

ชายร่างกายกำยำนิสัยก้าวร้าว เมื่อเห็นหลัวซิวไม่สนใจใคร ก็โมโหขึ้นมาทันที ซัดหมัดเข้าไปหาหลัวซิว

ลมจากหมัดเย็นยะเยือก ลมอันรุนแรงไม่สนใจสิ่งใด ทำให้โต๊ะเก้าอี้บริเวณรอบๆ กลายเป็นเศษซาก

การลงมือนี้ ทำให้การเคลื่อนไหวของพลังจิตแท้ถูกปลดปล่อยออกมา ผลการฝึกตนของชายร่างกายกำยำ ถูกเปิดเผยออกมา ฝึกจิตขั้น7!

ทุกคนต่างรู้ดี หลัวซิวสามารถฝ่าฟันหอคอยมังกรบิน จนถึงชั้นที่7 มีพละกำลังทัดเทียมกับฝึกจิตขั้น7 คนที่กล้ารับเงินรางวัล เพื่อมาฆ่าเขา แน่นอนว่าต้องมีพละกำลังระดับนี้ ถึงจะถูกต้อง

“รอไม่ไหวแล้วเหรอ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ จะได้ส่งแกไปตาย!”

หลัวซิววางไหเหล้า กระบี่ยุทธ์ออกจากฝัก กระบี่เปลวไฟดำกลายเป็นรูปมังกร กระโจนออกไป

สีหน้าของชายร่างกายกำยำเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากร่างยุทธ์สูงสุดของเขา ยังไม่ทันได้เข้าใกล้ ก็ต้านทานความแหลมคมของกระบี่ยุทธ์อีกฝ่าย ไม่ค่อยได้แล้ว

“กระบี่ยุทธ์ในมือเขา ไม่ธรรมดา!”

เมื่อชายร่างกายกำยำตั้งสติได้ เขารีบชักหมัดกลับมา

แต่ขณะนั้น ตัวสำนึกที่ดุดันเหมือนกระบี่ แทงเข้ามาในตัวหยั่งรู้ ทำให้เขารู้สึกเหมือนโดนคนใช้มีดเฉือนวิญญาณ ชะงักการกระทำไปชั่วคราว

พรวด!

เลือดสาดกระเซ็น ทันใดนั้น ข้อมือของชายร่างกายกำยำถูกหัก เลือดสดทะลักออกมา

ความเจ็บปวดของวิญญาณและบาดแผล ทำให้สีหน้าของชายร่างกายกำยำบูดเบี้ยว แต่ยังไม่ทันได้ร้องโอดครวญ ก็มีแสงกระบี่พาดผ่านมาอีกครั้ง หัวกระเด็นลอยขึ้นมา

การปะทะกันเพียงครั้งเดียว ปรมาจารย์ฝึกจิตยอดฝีมือขั้น7 ล้มลงกับพื้นโดยไร้หัว

“วิชาพลังมังกรแท้ จู่โจมวิญญาณ กระบี่ยุทธ์ดิน!”

แววตาของผู้อาวุโสเคราขาว ฉายแววตกใจและประหลาดใจ ปราณกระบี่รูปมังกรที่หลัวซิวใช้ เขาไม่ได้แปลกใจ เพราะเมื่อก่อนเคยมีคนมีความสามารถของราชวงศ์ประเทศเทียนหวู เคยฝ่าฟันไปถึงชั้นที่ 7 ของหอคอยมังกรบิน และได้รับวรยุทธ์ระดับ8 สิ่งนี้

แต่ทว่าวิชาพลังมังกรแท้ มีชื่อเสียงมาอย่างยาวนาน พลังโจมตีแข็งแกร่ง ไร้เทียมทาน แต่หลัวซิวไม่น่าจะใช้ผลการฝึกตนระดับฝึกจิตขั้น5 มาฆ่าผู้ฝึกจิตขั้น7 ได้แค่การปะทะเดียว

ยิ่งไปกว่านั้นชายร่างกายกำยำคนนั้น ไม่ใช่ผู้ฝึกจิตขั้น7 ทั่วไป แต่เป็นปรมาจารย์ยุทธ์ที่เชี่ยวชาญด้านการกลั่นร่างโดยเฉพาะ

หลัวซิวมีกระบี่ยุทธ์ดิน เป็นเรื่องที่ทุกคนรู้ เพราะในการต่อสู้ช่วงชิงโควต้าจำนวนคน เคยให้เหยียนซีโรว่ยืมกระบี่ยุทธ์ดิน

แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะรู้การจู่โจมวิญญาณ นี่น่าหวาดกลัวมาก

สำหรับนักยุทธ์ที่ไม่เคยฝึกตนวรยุทธ์กลั่นวิญญาณมาก่อน การจู่โจมวิญญาณเป็นวิธีที่ทำให้คนปวดหัวอย่างไม่สิ้นสุด

“ตาแก่ ไม่ต้องถึงมือแกหรอก ฉันคนเดียวก็ฆ่ามันได้!” ชายรูปร่างผอมซูบเอ่ยขึ้น

เมื่อพูดจบ พลังอันดุดันแผ่ออกมาจากตัวของชายรูปร่างผอมซูบ แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ถาโถมเข้าไปกดดันหลัวซิว

ในนั้นแฝงไปด้วยความมุ่งมั่นอันเด็ดเดี่ยว จนไม่สามารถต้านทานได้

“ห้วงยุทธ์งั้นเหรอ” หลัวซิวหรี่ตาลง ชายรูปร่างผอมซูบตรงหน้า เป็นยอดฝีมือที่เชี่ยวชาญห้วงยุทธ์

นี่เป็นครั้งแรกที่หลัวซิวสัมผัสได้ถึงพลังห้วงยุทธ์ จากตัวปรมาจารย์ฝึกจิต

นอกจากห้วงยุทธ์แล้ว การเคลื่อนไหวพลังจิตแท้ของชายรูปร่างผอมซูบคนนี้ ยังไปถึงแดนฝึกจิตขั้น8 พละกำลังเหนือกว่าปรมาจารย์ฝึกจิตขั้น9 ที่ไม่ได้เชี่ยวชาญห้วงยุทธ์ ไปอีกขั้นหนึ่ง

นี่เป็นความมั่นใจของชายรูปร่างผอมซูบ แม้หลัวซิวฆ่าชายรูปร่างกำยำที่เป็นผู้ฝึกจิตขั้น7 ด้วยการปะทะเพียงครั้งเดียว เขาก็ยังมีความมั่นใจในการฆ่าหลัวซิว เพื่อเอารางวัล!

อีกทั้งหลัวซิวยังมองออก รวมกับชายรูปร่างกำยำที่โดนเขาฆ่า สามคนนี้ไม่ใช่พวกเดียวกัน แต่กลับมีความสัมพันธ์แบบแก่งแย่งกัน ต่างอยากได้ชัยชนะ เพื่อเอาไปแลกรางวัลเป็นแสน

มีแสงสว่างวาบในมือของชายรูปร่างผอมซูบ หอกรบสีเงินทั้งเล่ม อยู่ในมือของเขา

“พรึ่บ!”

เมื่อหอกรบขยับ หอกที่เต็มไปด้วยความยืดหยุ่น มีรูปร่างตรงเหมือนมังกรทันที พุ่งแหวกอากาศไปหาหลัวซิว

เมื่อนักยุทธ์ห้วงยุทธ์ตระหนักรู้ อาศัยการปลุกเสกจากพลังของห้วงยุทธ์ พลังโจมตีจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ฆ่ายอดฝีมือที่ผลการฝึกตนสูงกว่าตนเอง และไม่มีห้วงยุทธ์ตระหนักรู้

ความตระหนักรู้ของหลัวซิวคือห้วงกระบี่พิฆาต แต่ชายรูปร่างผอมซูบคนนี้ ฝึกตนพลังจิตแท้ ที่เกี่ยวกับAttrทอง มีพลังความตระหนักรู้ธาตุทอง เป็นห้วงความแหลมคม ที่ไม่สามารถต้านทานได้ นำสิ่งนี้มาทำให้เป็นห้วงยุทธ์ สามารถเรียกว่าห้วงหอกทองอร่าม!

ชิ้ง!

หอกรบกับกระบี่ยุทธ์ปะทะกันอย่างรุนแรง ความแหลมคมของห้วงหอกทองอร่าม ฟาดฟันกับห้วงกระบี่พิฆาตที่มีความอาฆาตไม่สิ้นสุดอย่างดุเดือด

“สับเงาแปดด้าน!”

หอกรบสีเงินของชายรูปร่างผอมซูบ ตวัดเป็นทางขวาง ปรากฏเป็นเงาหอกสิบกว่าเงา เงาหอกแต่ละเงา ล้วนมีห้วงยุทธ์รวบรวมอยู่ ปกคลุมหลัวซิวเอาไว้

เขาเชื่อว่าอาศัยผลการฝึกตนระดับที่บรรลุถึง ที่เหนือกว่าหลัวซิวสามขั้น บวกกับพลังห้วงยุทธ์ ต้องตัดหัวของคนหนุ่มคนนี้ได้แน่นอน

เมื่อได้รางวัลเป็นแสน เขาจะสามารถซื้อยาระดับ4 เพื่อยกระดับผลการฝึกตน คงมีสักวันที่จะคว้าแดนราชายุทธ์เอาไว้ได้ ควรแค่แก่การรอคอย

การเข่นฆ่าอย่างถึงขีดสุดระหว่างนักยุทธ์ ไม่มีอะไรมากไปกว่าบุญคุณความแค้น อีกส่วนใหญ่ก็เป็นแหล่งของการฝึกตน

กระบี่เปลวไฟดำ รวบรวมแสงเอาไว้ ห้วงกระบี่พิฆาต วิชาพลังมังกรแท้ พลังแปรเสวียนเทียนหกเท่า พากันปล่อยพลังออกมา

กระบี่เพลิง!

กระบี่ยุทธ์ดินถูกฟันออกไป พร้อมกับแสงกระบี่เปลวไฟดำ ที่ให้ความรู้สึกแห่งความตาย ดุดันและเย็นยะเยือก

ทันใดนั้นเงาหอกนับสิบ โดนแสงกระบี่เปลวไฟดำ ฟาดฟันจนแตกสลาย แสงกระบี่กลายเป็นรูปมังกร ส่งเสียงมังกรคำรามออกมาเบาๆ และพุ่งไปยังชายรูปร่างผอมซูบ

“พลังนี้…..”

ในที่สุดชายรูปร่างผอมซูบ หน้าเปลี่ยนสี เพราะการเคลื่อนไหวพลังจิตแท้ ที่หลัวซิวปลดปล่อยออกมาในพริบตา ผู้ฝึกจิตขั้น5 ยังห่างชั้นที่จะเทียบได้

เขาถอยหลังกรูด วิชาท่าร่างรวดเร็วเป็นอย่างมาก อย่างน้อยๆ ก็เป็นแดนวิชาท่าร่างบรรลุผลระดับ7

“สลายวิญญาณ!”

เปลวไฟดำในตาของหลัวซิวเคลื่อนไหว ตัวสำนึกที่ไร้รูปร่าง กลายเป็นกระบี่คม แทงไปยังตัวหยั่งรู้ของอีกฝ่าย

แต่ยังไงชายรูปร่างผอมซูบ ก็เป็นยอดฝีมือห้วงยุทธ์ตระหนักรู้ มีพลังความมุ่งมั่นแกร่งกล้า เขาส่งเสียงหึออกมาอย่างหงุดหงิด ความเร็วในการถอยหลัง ไม่ได้ลดลงสักเท่าไร

หลัวซิวขมวดคิ้วขึ้น เห็นได้ชัดว่าเขาก็ตระหนักได้ว่าผลการฝึกตนของตัวเองยังต่ำอยู่ จึงทำให้การจู่โจมวิญญาณ ไม่ค่อยได้ผลกับยอดฝีมือห้วงยุทธ์ตระหนักรู้

“ตาแก่ ยังไม่ลงมืออีกเหรอ” ชายรูปร่างผอมซูบไม่กล้าทำให้เป็นเรื่องใหญ่ จึงหันไปขอความช่วยเหลือจากผู้อาวุโสเคราขาว

“หึ แกจัดการเองได้ไม่ใช่เหรอ” ผู้อาวุโสเคราขาวส่งเสียงหึอย่างเย็นชา แต่การกระทำกลับไม่เชื่องช้า สะบัดแสงเย็นยะเยือกไปทางหลัวซิว

ชิ้ง!

มีดบินประมาณนิ้วกว่าหนึ่งเล่ม ถูกหลัวซิวโจมตีหล่นลงบนพื้น แต่กลับทำให้การโจมตีชายรูปร่างผอมซูบชะงักไปเล็กน้อย

ชายรูปร่างผอมซูบใช้โอกาสนี้ ล่าถอยไปยืนกับผู้อาวุโสเคราขาว

ผู้อาวุโสเคราขาวผายมือทั้งสองข้าง แสงสว่างวาบพุ่งออกมา กระจายไปทั่วร้านเหล้า เป็นธงค่ายอันน่าตกตะลึง เพียงพริบตากลายเป็นค่ายกลแห่งหนึ่ง ปิดกั้นที่นี่เอาไว้

ค่ายกลขั้นสี่!

หลัวซิวหรี่ตาลง ผู้อาวุโสเคราขาวคนนี้ เป็นยอดฝีมือที่ชำนาญด้านค่ายกล

สองคนนี้ คนหนึ่งคือห้วงยุทธ์ตระหนักรู้ เชี่ยวชาญด้านการสู้ระยะประชิด ส่วนอีกคนชำนาญด้านค่ายกล เมื่อร่วมมือกัน เพียงพอที่จะทำให้ปรมาจารย์ฝึกจิตขั้น9 ถึงแก่ชีวิตได้

เห็นผู้อาวุโสเคราขาว ใช้มือบีบพลังตราประทับ ค่ายกลดึงเอาพลังของโลก จนเห็นเป็นประกายแสงของค่าย กลายเป็นแสงตาข่ายสีเขียวขนาดใหญ่ พุ่งไปปกคลุมหลัวซิว

ขณะเดียวกัน ชายรูปร่างผอมซูบแสยะยิ้ม และพุ่งเข้ามาพร้อมหอก

“ไปตายซะเถอะ!” ชายรูปร่างผอมซูบแผดเสียงดัง พลังจิตแท้ธาตุทอง ที่อยู่บนหอกรบสว่างวาบจนแสบตา

“คนที่ตายคือแกต่างหาก”

หลัวซิวสีหน้าเย้ยหยัน ง้างมือขึ้นมาสะบัด ธงค่ายในแหวนเก็บของพุ่งออกมา

พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ!……

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 229 ผู้มีความสามารถที่หาได้ยากในหลายปี

 

เสียงตวาดดังสนั่น คนที่ปิดบังใบหน้าชักดาบออกมา ปราณดาบอันเย็นยะเยือกสว่างวาบ ในขณะเดียวกันก็ฟาดลงไป

“ค่ายกลประสานโจมตีงั้นเหรอ”

หลัวซิวหรี่ตาลง แปลกจัง จอมยุทธ์พวกนี้ ส่วนใหญ่อยู่ในแดนพรสวรรค์ กล้ามาฆ่าตัวเอง

ค่ายกลประสานโจมตี อยู่ในค่ายกลพิเศษประเภทหนึ่ง สามารถทำให้นักยุทธ์ระดับที่บรรลุถึงในระดับต่ำ ที่มีจำนวนมากเพียงพอ รวบรวมพละกำลังเข้าไว้ด้วยกัน และสามารถแสดงพลังที่เหนือกว่าระดับที่ตนเองบรรลุถึง

“กระบี่เพลิง!”

กระบี่ยุทธ์ด้านหลังหลัวซิวออกจากฝัก แสงดาบรูปมังกรเปลวไฟดำฟาดลงมา และฟันปราณดาบสิบกว่าปราณจนแตกสลาย

หัวหน้าคนชุดดำที่ปิดบังใบหน้า ลอยพุ่งมาในอากาศ คนนี้มีผลการฝึกตนในแดนฝึกจิตขั้น4 ใช้ค่ายกลประสานโจมตี เอาพละกำลังของจอมยุทธ์แดนพรสวรรค์สิบกว่าคน เข้ามาในร่างกายตัวเอง ตอนนี้ดูมีพลังอำนาจเป็นอย่างมาก ราวกับมีพละกำลังทัดเทียมกับแดนจิตขั้น8

รู้ว่าหลัวซิวเคยฝ่าฟันหอคอยมังกรบินชั้นที่ 7 มาแล้ว พละกำลังเปรียบได้กับฝึกจิตขั้น7 แต่คนที่ปิดบังใบหน้าพวกนี้ยังกล้ามาฆ่า แถมยังสามารถใช้ค่ายกลประสานโจมตี ที่มีพละกำลังฝึกจิตขั้น8 อีกด้วย

“สลายวิญญาณ!”

เปลวไฟดำอันเย็นชาเคลื่อนไหวในตาของหลัวซิว

ในพลังก่อรวมวิญญาณ บันทึกวิชาลับจู่โจมวิญญาณไว้สามประเภท สลายวิญญาณเป็นวิชาลับประเภทแรก จำเป็นต้องมีตัวสำนึกของฝึกจิตขั้นปลาย ถึงจะสามารถใช้ได้

ห้วงยุทธ์กระบี่สังหารรวบรวมอยู่เหนือตัวสำนึก เหมือนกับกระบี่เล่มหนึ่ง แทงไปยังตัวหยั่งรู้ของคู่ต่อสู้ สลายวิญญาณของอีกฝ่าย

“อ๊าก!”

คนที่ปิดบังใบหน้า ที่จู่โจมเข้ามาด้วยพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ ส่งเสียงร้องโอดครวญ จู่ๆ พละกำลังของจอมยุทธ์แดนพรสวรรค์สิบกว่าคน ที่รวบรวมเอาไว้ สูญเสียการควบคุม

ไม่ต้องให้หลัวซิวลงมืออีกครั้ง ตัวของหัวหน้าคนที่ปิดบังใบหน้าคนนั้น เกิดเสียงระเบิดขึ้นกลางอากาศ

หวาดกลัวจู่โจมวิญญาณ นี่เป็นจุดอ่อนของค่ายกลประสานโจมตีจำนวนมาก

ร่างกายหายแวบไป หลัวซิวคว้าคนที่ปิดบังใบหน้าคนหนึ่งเอาไว้ แล้วถามด้วยเสียงเย็นชา “ใครเป็นคนส่งพวกแกมา”

จนกระทั่งตอนนี้ คนที่ปิดบังใบหน้าคนอื่นๆ เพิ่งตั้งสติได้ ตกใจกับภาพอันแปลกประหลาดเมื่อครู่เป็นอย่างมาก

ไอ้หนุ่มชุดคลุมยาวดำคนนี้ น่ากลัวเกินไปจริงๆ แค่มองไปเท่านั้น ผู้อาวุโสฝึกจิตร่างกายระเบิด จนตายไปเลยเหรอ

“หนี!”

ไม่รู้ว่าใครตะโกนออกมา จอมยุทธ์ที่ปิดบังใบหน้าสิบกว่าคน พากันหนีไปคนละทิศละทาง

“ตายซะให้หมด!”

ตัวสำนึกของหลัวซิวแผ่ซ่านออกมา ตัวสำนึกแต่ละตัว ราวกับกระบี่ที่อาฆาต พวกจอมยุทธ์แดนพรสวรรค์ ที่มีผลการฝึกตนไม่ถึงแดนฝึกจิต ตัวหยั่งรู้ของแต่ละคนแตกสลาย วิญญาณถูกทำลาย

ศพแต่ละศพล้มกองบนพื้น ไม่มีใครหนีไปได้สักคน

เหลือเพียงคนที่ปิดบังใบหน้า ที่โดนหลัวซิวจับเอาไว้ ที่ยังมีชีวิตรอด

“ไอ้หมอนี่เป็นปีศาจเหรอ”

คนที่ปิดบังใบหน้า ที่ยังมีชีวิตรอดอยู่เพียงคนเดียว เหงื่อแตกเพราะความหวาดกลัว เขาคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบกว่าปีเท่านั้น

จอมยุทธ์แดนพรสวรรค์สิบกว่าคน ผู้อาวุโสฝึกจิตหนึ่งคน พูดว่าฆ่าก็ฆ่า สีหน้าไม่เปลี่ยน ไอ้หมอนี่เป็นเด็กหนุ่มที่ไหนกันล่ะ นี่เป็นมารที่ฆ่าคนอย่างไม่กะพริบตาชัดๆ!

“ให้โอกาสแกหนึ่งครั้ง บอกฉันมาว่าใครส่งแกมา” หลัวซิวจ้องคนที่ปิดบังใบหน้า ที่จับตัวเอาไว้ด้วยแววตาเย็นชา และเอ่ยถามขึ้น

“ถ้าฉันบอกนาย นายจะปล่อยฉันไปหรือเปล่า” คนที่ปิดบังใบหน้าก็มองหลัวซิวอย่างเย็นชา ในแววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวสุดขีด

“แกพูดมากเหลือเกิน”

หลัวซิวขมวดคิ้ว ตัวสำนึกรวมตัวเป็นกระบี่ แทงเข้าไปยังตัวหยั่งรู้ของอีกฝ่ายทันที

“อ๊าก……”

คนที่ปิดบังใบหน้า ส่งเสียงร้องโอดครวญอย่างน่าเวทนาสุดขีด แต่สีหน้าของหลัวซิวไม่มีความสงสารแม้แต่น้อย ตัวสำนึกแทงเข้าไปยังตัวหยั่งรู้ของอีกฝ่ายอย่างแรง เพื่อค้นหาความจำในนั้น

“สำนักเหลยหวู่!”

ก่อนหน้านี้หลัวซิวแอบคาดเดาเอาไว้บ้าง หลังลองค้นหาความจำของคนที่ปิดบังใบหน้า จึงรู้ว่าคนพวกนี้ รวมไปถึงหัวหน้าที่เป็นปรมาจารย์ฝึกจิต ล้วนเป็นคนที่สำนักเหลยหวู่ส่งมา

เขาเคยใช้ชื่อของหลัวซิว จงใจป่าวประกาศ และฝ่าฟันเข้ามาในสำนักเหลยหวู่ เอาตำแหน่งหัวหน้าของเหลยเว่ยหลงมาได้

ต่อมามีการต่อสู้แย่งชิงโควต้าจำนวนคน เขามีชื่อเสียงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว สะเทือนฟ้าดินสำนักเหลยหวู่หวาดกลัวพรสวรรค์ของเขา ดังนั้นจึงจะใช้โอกาสตอนที่เขายังไม่ประสบความสำเร็จ ฆ่าเขาเสียก่อน

“แต่ส่งพวกไม่ได้เรื่องแบบนี้มา เหลยเว่ยหลง นายดูถูกฉันเกินไปหน่อย” หลัวซิวยิ้มเย้ยหยัน โยนคนที่ปิดบังใบหน้า ที่ตัวหยั่งรู้แตกสลาย ลมหายใจรวยรินลงไปบนพื้น

สำนักเหลยหวู่ มีผู้แข็งแกร่งระดับราชายุทธ์เพียงสามคนเท่านั้น คนที่แข็งแกร่งที่สุด คือเจ้าสำนักอย่างเหลยเว่ยหลง ผลการฝึกตนราชายุทธ์ขั้น4

ในบรรดาพวกนี้ ยังมีผู้อาวุโสสิบคน มีสองคนที่มีผลการฝึกตนราชายุทธ์ คนหนึ่งราชายุทธ์ขั้น1 ส่วนอีกคนราชายุทธ์ขั้น2 ส่วนผู้อาวุโสแปดคนที่เหลือ ล้วนมีผลการฝึกตนระดับฝึกจิต

หัวหน้าของคนที่ปิดบังใบหน้า ที่โดนหลัวซิวฆ่าตาย เป็นหนึ่งในผู้อาวุโสของสำนักเหลยหวู่

ศพเต็มพื้น หลัวซิวเอามาเพียงแหวนเก็บของ ของผู้อาวุโสสำนักเหลยหวู่คนนั้น ส่วนของของจอมยุทธ์คนอื่น ไม่อยู่ในสายตาเขาด้วยซ้ำ

“ถ้าเหลยเว่ยหลงต้องการฆ่าฉัน น่าจะมีแผนอื่นอีก”

เดินเข้ามาในหมู่บ้านสุ่ยหยางที่อยู่ไม่ไกล สายตาแต่ละสายตาเต็มไปด้วยความกลัว พากันหลบสายตาของหลัวซิว

เมื่อกี้การฆ่าเกิดขึ้นบริเวณใกล้ๆ หมู่บ้าน แน่นอนว่าต้องมีคนเห็น

ฆ่าคน โดนฆ่า ระหว่างนักยุทธ์เป็นเรื่องปกติมาก

ชายหนุ่มชุดคลุมยาวดำตรงหน้า สามารถฆ่าคนสิบกว่าคนอย่างง่ายดาย ต้องเป็นยอดฝีมือที่หาได้ยาก เดินไปที่ไหนก็ทำให้คนเลื่อมใสและหวาดกลัว

หัวหน้าหมู่บ้าน เป็นจอมยุทธ์แดนพรสวรรค์ขั้น6 เรียกได้ว่าจิตใจสับสนวุ่นวายมาก หวาดกลัวว่าชายหนุ่มชุดคลุมยาวดำ ที่ฆ่าคนอย่างไม่กะพริบตา จะสร้างความวุ่นวายในหมู่บ้าน

เขาออกคำสั่ง บังคับจอมยุทธ์ในหมู่บ้าน ไม่ให้ไปหาเรื่องชายหนุ่มคนนี้

หมู่บ้านไม่ใหญ่ ตัวสำนึกของหลัวซิว สามารถปกคลุมได้อย่างง่ายดาย ในสัมผัสของเขา ในหมู่บ้านมีจอมยุทธ์สามคน ที่มีลมหายใจแห่งชีวิตเต็มเปี่ยมที่สุด

สามคนนี้ซ่อนการเคลื่อนไหวพลังจิตแท้ของตัวเอง แต่ไม่สามารถซ่อนลมหายใจแห่งชีวิต ที่เผยออกมาได้ จอมยุทธ์ยิ่งแข็งแกร่ง ลมหายใจแห่งชีวิตก็ยิ่งเหมือนเปลวไฟในความมืด ลุกโชนอย่างรุนแรง จนเห็นได้อย่างชัดเจน

หลัวซิวยกยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา ในหมู่บ้านธรรมดาๆ เช่นนี้ ไม่มีทางมีจอมยุทธ์ฝึกจิตได้ถึงสามคน อย่างไร้เหตุผล

หลัวซิวเดินเข้ามาในร้านเหล้าเล็กๆ ในหมู่บ้าน สายตามองไปยังที่นั่งข้างหน้าต่าง

ผู้อาวุโสเคราขาวคนหนึ่งกับชายวัยกลางคนสองคน

ซ่อนการเคลื่อนไหวของพลังจิตแท้ จนไม่รู้ว่าผลการฝึกจิตลึกล้ำขนาดไหน แต่จากลมหายใจแห่งชีวิต สามารถตัดสินได้ว่าเป็นปรมาจารย์ฝึกจิต

สังเกตได้ถึงสายตาของหลัวซิว ผู้อาวุโสเคราขาวขมวดคิ้วขึ้น

บรรยากาศกดดันอันเย็นยะเยือก แผ่ซ่านในร้านเหล้าเล็กๆ แห่งนี้

ลูกค้าในร้านเหล้าก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศแปลกประหลาด พากันจ่ายเงินและออกไป ขนาดเถ้าแก่ของร้าน ยังเดินออกไปเงียบๆ ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง

“ตั้งแต่โบราณวีรบุรุษล้วนเป็นคนอายุน้อย ผู้น้อยสามารถฝ่าฟันหอคอยมังกรบินชั้นที่ 7 ไม่เสียงแรงที่มีฉายาว่าคนมีความสามารถ ที่หาได้ยากในรอบหลายปี”

ผู้อาวุโสเคราขาวดื่มเหล้าไปอึกหนึ่ง คิ้วที่ขมวดคลายออก ยิ้มและพูดกับหลัวซิว

“ตั้งแต่โบราณ คนมีความสามารถมีนับไม่ถ้วน แต่คนมีความสามารถที่ตายไปแล้ว ล้วนไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้น เป็นเพียงแค่กองซากกระดูกเท่านั้น!” ชายวัยกลางคนรูปร่างกำยำ ดื่มเหล้าอึกใหญ่ และพูดออกมาอย่างเย็นชา น้ำเสียงหยาบคาย

“ฆ่าแค่คนเดียว ได้หินพลังจิตตั้งแสนก้อน คนมีความสามารถในรอบหลายปี เหมาะสมกับมูลค่านี้” ชายวัยกลางคนอีกคนสายตาเหมือนเหยี่ยว รูปร่างผอมซูบ

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 228 ขัดขวางเพื่อฆ่า

 

จู่ๆ สีหน้าของหลี่หงเทียนอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงก้มลงมอง กระบี่อันแหลมคมเล่มหนึ่ง แทงทะลุจุดตันเถียน

จากนั้น ความเจ็บปวดรุนแรงแผ่ซ่านเข้ามา จู่ๆ สติของเขาเลอะเลือน ล้มลงไปกับพื้นด้วยสีหน้าไม่พอใจ

“จู่โจมวิญญาณเป็นของดีตามคาด” หลัวซิวมองหลี่หงเทียนที่ล้มลงบนพื้น และพูดพึมพำออกมา

อาศัยวิชายิ่งเลิศพลังแปรเสวียนเทียน ถึงเขาสามารถเทียบได้กับปรมาจารย์ยุทธ์ฝึกจิตขั้น8 ขั้น 9 แต่ก็ไม่มีทางฆ่าคู่ต่อสู้ได้อย่างง่ายดายเช่นนี้

เพราะหลังฝึกจิต เรียกได้ว่าแตกต่างจากก่อนฝึกจิตมาก ความห่างชั้นของแดนเล็กทุกแดน ล้วนแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว

ผลการฝึกตนยิ่งสูง การต่อสู้ข้ามขั้นก็ยิ่งยาก เป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ นี่เป็นบทสรุปของการฝึกยุทธ์ ที่ไม่มีข้อสงสัยใดๆ!

แต่เมื่อมีจู่โจมวิญญาณ กลับทำให้การต่อสู้ข้ามขั้นกลายเป็นสิ่งที่ง่าย นี่ยิ่งทำให้หลัวซิวตระหนักได้อย่างถ่องแท้ว่า พลังก่อรวมวิญญาณที่เหยียนเยว่เอ๋อร์มอบให้เขา มันล้ำค่ามากเพียงใด

ในสิบตระกูลใหญ่ ตระกูลเหยียนที่เมืองกู่เจี้ยน เชี่ยวชาญการฝึกวรยุทธ์ธาตุไฟ และทำให้มีชื่อเสียง แต่ยังไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าตระกูลเหยียนเชี่ยวชาญการจู่โจมวิญญาณ

และพลังก่อรวมวิญญาณ เป็นวรยุทธ์กลั่นวิญญาณระดับ8 ในนั้นมีการบันทึกวิธีการจู่โจมวิญญาณ หลัวซิวไม่รู้ว่าเหยียนเยว่เอ๋อร์ไปเอาวรยุทธ์นี้มาจากไหน

หลัวซิวยื่นมือไปเก็บดาบรบกับแหวนเก็บของ ของหลี่หงเทียนขึ้นมา จากนั้นโยนเปลวไฟดำออกไปเผาศพ จนกลายเป็นเถ้า และออกจากที่นี่ทันที

หลังผ่านไปไม่กี่วัน หลัวซิวผ่านเขาจิ่วเฟิง เข้ามายังเขตการปกครองหยุนหลง

บริเวณกำแพงเมืองใกล้ๆ หลัวซิวใช้ค่ายวาร์ป มาถึงเมืองชิงหยุน

หลังจากจางหลู่เหลียงกับโกวหงยี่ตายไป ภายใต้การคุ้มครองขององค์กรนักล่ายุทธ์ พ่อแม่และพี่สาวของเขา ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข

บวกกับตอนนี้เขามีชื่อเสียงในประเทศเทียนหวูอย่างรวดเร็ว อำนาจใหญ่แต่ละฝ่ายให้ความสำคัญในการชักชวน และไม่มีใครมีความคิดหน้ามืดตามัว มาทำร้ายคนใกล้ชิดและพ่อแม่ของเขา

“แค่พละกำลังของฉันแข็งแกร่งเพียงพอ ถึงจะสยบได้ คนใกล้ชิดและพ่อแม่ของฉัน จะได้อยู่อย่างสงบสุขต่อไป”

ตอนนี้พี่สาวอย่างหลัวซิ่วเอ๋อร์กำลังตั้งครรภ์ อีกไม่นาน หลัวซิวจะกลายเป็นลุง

หลัวซิวไม่ได้ปรากฏตัว เพราะเขาเข้าใจดีว่าตัวเองไม่สามารถอยู่ข้างกายคนใกล้ชิดได้นาน นักยุทธ์เป็นเส้นทางแห่งความตายที่เต็มไปด้วยการเข่นฆ่าและอันตราย เมื่อเดินเส้นทางนี้แล้ว มิอาจหันหลังกลับไปได้อีก

องค์กรนักล่ายุทธ์ หลัวซิวเห็นชายชราเย่เซี่ยงโต่ว

“ไอ้หนุ่มอย่างนาย ระยะเวลาเพียงแค่ปีกว่าๆ ก็ทำให้คนแก่อย่างฉันเทียบไม่ได้แล้ว”

ผลการฝึกตนของเย่เซี่ยงโต่วคือฝึกจิตขั้น3 แต่ตอนนี้หลัวซิวคือแดนฝึกจิตขั้น5แล้ว

ย้อนคิดกลับไปในตอนแรก หลัวซิวยังขอความช่วยเหลือจากตนเอง เพราะต้องการช่วยคนใกล้ชิด ระยะเวลาปีกว่า เพียงพริบตาเดียว ชายหนุ่มที่อ่อนแอ กลายเป็นผู้แข็งแกร่งอายุน้อยที่มีชื่อเสียง

ถึงพละกำลังของตัวเองจะแข็งแกร่งกว่าเย่เซี่ยงโต่วมาก แต่หลัวซิวเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง ต่อชายชราท่านนี้

แง่หนึ่งคือบุญคุณที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือในตอนนั้น ส่วนอีกแง่หนึ่ง เย่เซี่ยงโต่วมีตำแหน่งในเมืองชิงหยุน คอยดูแลความปลอดภัยของพ่อแม่และพี่สาวของเขา

เย่เซี่ยงโต่วฝึกตนพลังจิตแท้ ที่เกี่ยวกับไม้ ในมือหลัวซิวไม่มีวรยุทธ์ธาตุไม้ขั้น7 ที่เหมาะกับเขา ดังนั้นจึงเหลือยากลั่นจิตให้เขา 3 ขวด

ถ้าใช้ยากลั่นจิต 3 ขวดนี้อย่างเหมาะสม บางทีช่วงชีวิตที่เหลืออยู่ของเย่เซี่ยงโต่ว อาจมีโอกาสบรรลุถึงแดนราชายุทธ์

ของขวัญชิ้นนี้ของหลัวซิว เรียกได้ว่ามีความสำคัญกับเย่เซี่ยงโต่วมาก ทำให้เขาทั้งทอดถอนใจและหดหู่

จากนั้นหลัวซิวใช้ค่ายวาร์ปไปยังเขตการปกครองหยุนหลง

ท่านหัวหน้าแก๊งเหวินเซวียนหง ต้องดำรงตำแหน่งในเขตการปกครองหยุนหลง ดังนั้นจึงไม่สามารถมาเปิดแดนปริศนาด้วยตัวเอง

สำหรับการที่หลัวซิวประสบความสำเร็จมาถึงทุกวันนี้ เขาก็รู้สึกตกตะลึงมาก ขณะเดียวกันก็รู้สึกพอใจกับสายตาอันหลักแหลมของตัวเองในตอนแรก

คนเงียบๆ ที่ไม่มีชื่อเสียงใด เมื่อได้รับโอกาสอันเหมาะสม ก็จะโดดเด่นออกมาให้เห็นอย่างแท้จริง เหวินเซวียนหงคิดว่าคำพูดเหล่านี้ ใช้ตีความหลัวซิวได้ดีที่สุด

“เวลาเพียงแค่ปีกว่า นายก็มีผลการฝึกตนอย่างทุกวันนี้ ถ้าผ่านไปอีกปีสองปี ผลการฝึกตนของนายคงเหนือกว่าฉันแล้ว”

การเติบโตของหลัวซิวรวดเร็วมาก จนทำให้เหวินเซวียนหงตกตะลึงเป็นอย่างมาก

“ประเทศเทียนหวูเล็กเกินไป แต่โลกนี้กลับกว้างขวางไม่สิ้นสุด……”

เหวินเซวียนหงคิดว่าหลัวซิวไม่ควรถูกจำกัดไว้ในพื้นที่เล็กๆ อย่างประเทศเทียนหวู โลกอันกว้างขวางนี้ ควรเป็นเวทีสำหรับเขา

สำหรับโลกภายนอกประเทศเทียนหวู ก็ชวนให้หลัวซิวหลงใหลจริงๆ แต่ต้องรอให้เขาสะสางเรื่องจบ จึงค่อยเลือกจากไป

ค่ายวาร์ประดับต่ำที่สุด ให้ค่ายระดับ5 ทำให้ระยะทางในการวาร์ปมีขีดจำกัด ดังนั้นหลัวซิวจะไปที่ตูเฉิงประเทศเทียนหวู ต้องเดินทางด้วยตัวเองเยอะพอสมควร

เขาไม่ได้ใช้เวลาในเขตการปกครองหยุนหลงนานนัก แดนปริศนาใกล้เปิดแล้ว ถ้าไปสายแล้วพลาดโอกาส ก็จะเสียหายจริงๆ

“มีคนประกาศภารกิจให้รางวัลในองค์กรนักล่ายุทธ์ ฆ่านายจะได้หินพลังจิตแสนก้อน นายต้องระวังด้วย”

ตอนกำลังจะไป เหวินเซวียนหงบอกข่าวนี้กับหลัวซิว

รางวัลเป็นหินพลังจิตแสนก้อน เรียกว่าเยอะมาก ถึงเป็นผู้แข็งแกร่งระดับราชายุทธ์ทั่วไป ก็ต้องรู้สึกหวั่นไหว

……

หมู่บ้านสุ่ยหยางตั้งอยู่ที่แถบชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือ ของเขตการปกครองหยุนหลง ที่นี่มีลมแรงตลอดปี ค่อนข้างรกร้าง

นอกหมู่บ้านเล็กๆ หลัวซิวในชุดคลุมยาวดำ ขมวดคิ้วขึ้น

ด้านหน้าเขา มีคนสิบกว่าคน ปิดบังใบหน้า ยืนเรียงเป็นแถวหน้ากระดาน มองเขาด้วยสายตาเย็นชา เผยให้เห็นเจตนาไม่ดี

หลัวซิวคิดไม่ถึง ระหว่างทางที่ตัวเองจะไปตูเฉิงประเทศเทียนหวู จะเจอการขัดขวางเพื่อฆ่า

แววตาคนเป็นหัวหน้า ของพวกที่ปิดบังใบหน้า ดูดุดัน เขาสะบัดมือ คนที่ปิดบังใบหน้าสิบกว่าคน เข้ามาล้อมเอาไว้ และประชิดเข้าไปหาหลัวซิว

ดาบรบของคนหนึ่งถูกชักออกจากฝัก และฟาดดาบลงไปด้านหลังหลัวซิว แสงดาบเย็นยะเยือก แหวกไปในอากาศ

พลังจิตแท้สว่างวาบขึ้นมา หลัวซิวไม่แม้แต่จะหันหลังมอง และยื่นมือไปคว้าทางด้านหลัง

เกิดเสียงดังขึ้น ดาบรบแตกสลาย คนลงมือที่ปิดบังใบหน้า ถูกหมัดของเขากระแทกที่หน้าอก อวัยวะภายในแตกกระจาย ตายตรงนั้นทันที

“อ่อนแอเกินไป ใครส่งพวกแกมา”

หลัวซิวชักมือกลับมาช้าๆ และกวาดตามองพวกคนที่ปิดบังใบหน้าอย่างเฉยเมย สุดท้ายจ้องไปยังหัวหน้าของพวกที่ปิดบังใบหน้า

การปะทะกันเพียงครั้งเดียว ทำให้คนที่ปิดบังใบหน้าตายไปหนึ่งคน

ภาพตรงหน้าทำให้คนที่ปิดบังใบหน้าที่เหลือ พากันขนหัวลุก

“จากรายงานบอกว่าพละกำลังของไอ้หมอนี่ เปรียบได้กับฝึกจิตขั้น7” หัวหน้าคนที่ปิดบังใบหน้าขมวดคิ้ว สำหรับคนที่เสียไปหนึ่งคน เขาไม่สนใจ และไม่ได้ส่งผลกระทบกับแผนการมากเท่าไร

“จัดค่ายกล!” คนที่ปิดบังใบหน้าสะบัดมืออีกครั้ง น้ำเสียงเย็นชา

คนพวกนี้ได้รับการฝึกมาอย่างดี การกระทำดูเป็นระเบียบแบบแผน ขณะเดียวกันก็กระตุ้นธงค่ายออกมา

ม่านแสงสว่างขึ้นมา ความอาฆาตที่มองไม่เห็นปกคลุม คนที่ปิดบังใบหน้า ยืนตามจุดของค่ายกล พลานุภาพพุ่งไปที่หลัวซิวที่อยู่ตรงกลาง

“ฆ่า!”

 

########################
 

 

 

 

 

บทที่ 227 จู่โจมวิญญาณ

 

สวีจิงเหนียนขมวดคิ้วเบาๆ เขาอยากได้ยาเสวียนจือมาก ไม่อยากรอสักนิด

แต่เขารู้ดีว่าโควต้าจำนวนคนของแดนปริศนา ยากมากที่จะได้มา จะให้หลัวซิวละทิ้ง คงเป็นไปไม่ได้

“ราชวงศ์ตระกูลฝานสงสัยแล้วว่าฉันบาดเจ็บ ถ้าจะลงมือกับตระกูลสวี ต้องทำหลังจากแดนปริศนาเปิดแน่นอน อาจารย์ของหลัวซิว เป็นโอกาสเดียวของฉัน คงทำได้เพียงเดิมพันแล้วล่ะ”

สวีจิงเหนียนเงียบอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพยักหน้าพูดว่า “งั้นฉันจะรอผู้น้อยออกมาจากแดนปริศนา”

“อย่างนี้ดีมากเลย!” หลัวซิวยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น

ยาวิเศษในแหวนเก็บของ หลัวซิวเอายาวิเศษ 5 ชุด ที่ใช้กลั่นยาเสวียนจือมาก่อน ส่วนค่าตอบแทนของยาวิเศษที่เหลือ รอส่งยาวิเศษให้อีกฝ่ายก่อน ถึงจะได้

ใช่ว่าสวีจิงเหนียนจะไม่เคยคิดว่าหลัวซิวจะเอายาวิเศษไป เมื่อถึงตอนนั้นถ้ากลั่นยาเสวียนจือไม่ได้ จะทำยังไง แต่ตอนนี้เขาไม่มีทางเลือกแล้ว ทำได้เพียงฝากความหวังไว้กับอาจารย์ผู้ลึกลับของเขา

วันต่อมา หลัวซิวออกจากเมืองซานหยวน เข้าสู่แดนเขตการปกครองหวู่เฟิง จากนั้นใช้ค่ายวาร์ป มายังแถบชายแดนเขาจิ่วเฟิง

แค่ผ่านเขาจิ่วเฟิงไป ก็จะเขาสู่เขตการปกครองหยุนหลง ถ้าจะถึงตูเฉิงของประเทศเทียนหวู ต้องใช้เวลาประมาณ 20 วัน

หลังสามวัน หลัวซิวมาถึงเมืองต้าโจวที่เขตการปกครองหวู่เฟิงเขาจะออกเดินทางจากที่นี่ ผ่านไปยังเขาจิ่วเฟิง

แต่เมื่อเขาเพิ่งออกจากเมือง เขารู้สึกว่าตัวเองโดนจับตามอง

นี่ทำให้เขารู้สึกสงสัยมาก ถ้าว่ากันตามเหตุผล ไม่ควรมีใครจับตามองเขาอย่างไร้เหตุผล

ตอนนั้นเขาอยู่ในเขตการปกครองหวู่เฟิงไม่นาน ตอนแรกฆ่าปรมาจารย์ฝึกจิต ที่มีเจตนาจะชิงศพของหมีเดือดสามตา ต่อมาทำลายเรื่องของตระกูลจู ฆ่าผู้อาวุโสสองคนของสำนักเฉินเฟิง

หลัวซิวสงสัยว่าคนที่สะกดรอยตามตัวเอง ต้องเกี่ยวข้องกับสองเรื่องนี้อย่างแน่นอน

หลังผ่านไปสองชั่วยาม หลัวซิวเข้ามาในป่าที่เขาจิ่วเฟิง คนที่สะกดรอยตามข้างหลังเขา เร่งความเร็วขึ้นมาขวางทางเขา

ตรงหน้าปรากฏเป็นชายวัยกลางคนชุดคลุมยาวแดง ใบหน้ามีส่วนคล้ายกับหลี่หงเหวินที่เขาฆ่า

หลัวซิวจำได้ว่าตอนที่หลี่หงเหวินตาย เคยบอกว่าพี่ใหญ่ของเขาจะแก้แค้นให้ เห็นได้ชัดว่า ชายชุดคลุมยาวแดงน่าจะเป็นพี่ใหญ่ของเขา

แต่สิ่งที่ทำให้หลัวซิวคิดไม่ถึง เครื่องหมายตัวสำนึกของอีกฝ่าย โดนเขากำจัดไปแล้ว เขารู้ได้ยังไงว่าตัวเองคือคนที่ฆ่าหลี่หงเหวิน

“นายคือคนฆ่าน้องชายใช่ไหม” ชายชุดคลุมยาวแดง จ้องหลัวซิวด้วยสีหน้าอาฆาต

“นายเป็นใคร” หลัวซิวขมวดคิ้วแล้วเอ่ยขึ้น

“ไอ้หนุ่มอย่ามาทำเป็นไม่รู้ ตอนนายฆ่าหลี่หงเหวินน้องชายฉัน รูปลักษณ์ของนาย ฉันรู้ได้จากเครื่องหมายตัวสำนึก”

ชายชุดคลุมยาวแดงแผดเสียงดุดัน “กล้าฆ่าน้องชายของหลี่หงเทียน ฉันจะถลกหนังของนายก่อน ให้นายได้สัมผัสกับมดกินคน เจ็บปวดแบบตายดีกว่าอยู่!”

ขณะพูด หลี่หงเทียนชักดาบรบออกมา แหวกเป็นเงาสีขาว รู้สึกถึงความแหลมคมอันน่ากลัว

เมื่ออีกฝ่ายลงมือ หลัวซิวรับรู้ได้ว่า ผลการฝึกตนของหลี่หงเทียน อยู่ในฝึกจิตขั้น5 ฝึกตนพลังจิตแท้ที่เกี่ยวกับทอง พลังการโจมตีรุนแรงมาก

แสงมีดสีขาวกีดขวางในอากาศ ทำให้หลัวซิวรู้สึกเหมือนร่างกายตัวเอง โดนผูกมัด ทำให้ขยับตัวได้ยาก

ทำลายมันให้ฉัน!

หลัวซิวแผดเสียงต่ำ เพลิงมรณะระเบิดออกจากตัว เปลวไฟดำที่แฝงไปด้วยความตาย ทำให้หลงหมิงที่เกาะบนไหล่ของเขา ถึงกับสะดุ้งโหยง และรีบบินหนีไป

“พลังจิตแท้ของไอ้หมอนี่ มีพลังแห่งความตายแฝงอยู่ อย่าบอกนะว่าได้รับการถ่ายทอดจากวิหารแห่งความตาย” หลงหมิงเคยสัมผัสกับความเจ็บปวดของเปลวไฟดำที่แผดเผา ทุกครั้งที่นึกถึง ก็รู้สึกอกสั่นขวัญแขวน

ตอนเปลวไฟดำพลุ่งพล่านออกมา หลัวซิวหลุดออกจากพันธนาการของอีกฝ่าย เขาหายตัวหลบไปด้านข้าง

ตู้ม!…..

เสียงระเบิดดังสนั่นขึ้นมา แสงดาบทำให้พื้นระเบิดจนเป็นรูที่ไม่รู้ว่าลึกขนาดไหน พลังจิตแท้Attrทองอันดุดัน ถาโถมไปทั่วทุกทิศ จนทำให้กิ่งไม้ใบหญ้าแตกกระจาย

เท้าของหลัวซิวตามลมล่าจันทรา เหมือนร่างกายของเขากลายเป็นสายลม กระบี่ยุทธ์ดินด้านหลัง ถูกดึงออกจากฝัก พร้อมพลานุภาพอันน่ากลัว พุ่งไปยังหลี่หงเทียน

“ชิ้ง!”

ดาบและกระบี่ปะทะกัน พลานุภาพอันดุร้าย ทำให้ร่างกายของหลี่หงเทียนสั่นสะเทือน และลอยถอยหลังออกไป

“พละกำลังอันแข็งแกร่ง นายเป็นนักยุทธ์กลั่นร่างหรอ” สีหน้าของหลี่หงเทียนตกตะลึง

ร่างกายนักยุทธ์กลั่นร่างแข็งแกร่งมาก พละกำลังแข็งแกร่งกว่านักยุทธ์ทั่วไป ที่อยู่ในแดนเดียวกัน

เขาจำได้ว่าตอนแรกเครื่องหมายตัวสำนึกของตัวเอง สัมผัสได้ถึงผลการฝึกตนของฆาตกร ไม่มีทางเกินฝึกจิตขั้น3 นี่เวลาเพิ่งผ่านไปแค่ครึ่งปีเท่านั้น อีกฝ่ายไปถึงขั้นฝึกจิตขั้น5 แล้ว อีกทั้งพละกำลังยังแข็งแกร่งกว่าเขามาก

หลังผ่านการตกใจ หลี่หงเทียนรีบตั้งสติ ชายหนุ่มชุดคลุมยาวดำคนนี้ สุดยอดมากจริงๆ แต่เขาเชื่อว่าผลการฝึกตนของตัวเองเหนือกว่าอีกฝ่ายสามขั้น เขาต้องล้างแค้นให้น้องชายได้แน่นอน

“ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ”

ประกายไฟกระจายไปทั่ว ทุกครั้งที่ดาบกับกระบี่ปะทะกัน หลี่หงเทียนโดนแรงสั่นสะเทือน จนเลือดลมตีขึ้น ทรมานจนไม่สามารถอธิบายได้

ระหว่างนั้น เขาคว้าโอกาสได้ ในแววตามีอัสนีโลหิตเคลื่อนไหวอยู่

ขณะเดียวกัน หลัวซิวสัมผัสได้ถึงอัสนีโลหิตที่โถมเข้ามา จู่โจมมายังวิญญาณหยั่งรู้ของตัวเอง

“จู่โจมวิญญาณงั้นเหรอ”

สีหน้าของหลัวซิวดูแปลกประหลาด เขาคิดไม่ถึงว่าหลี่หงเทียนจะรู้จักวิชาลับแบบนี้ เพราะคนฝึกวิชาวิญญาณมีน้อยมาก วิชาลับจู่โจมวิญญาณหาได้ยากมาก โดยทั่วไปผู้มีอำนาจอันดับต้นๆ ถือว่าเป็นความลับที่มิอาจถ่ายทอด

“ตายซะเถอะไอ้หนุ่ม!”

หลี่หงเทียนแผดเสียงออกมาอย่างดุดัน จู่โจมวิญญาณเป็นไพ่ใบสุดท้ายของเขา ที่ทำให้ชนะทุกครั้ง

เพราะการใช้จู่โจมวิญญาณในการต่อสู้ จะทำให้อีกฝ่ายคาดไม่ถึง ตอนนั้นเขาใช้วิธีนี้ ฆ่าปรมาจารย์โลกยุทธ์ แดนฝึกจิตขั้น9

ท่าทีเหม่อลอยเล็กน้อยของหลัวซิว อยู่ในสายตาของหลี่หงเทียน ทำให้เขาคิดว่าอีกฝ่ายโดนจู่โจมวิญญาณ และทำให้สติหายไปชั่วคราว

หลี่หงเทียนมีสีหน้าดีใจ แค่อีกฝ่ายสติหายไปชั่วคราว ก็เพียงพอที่จะทำให้เขาฆ่าไอ้หมอนี่แล้ว

ขณะที่เขากำลังง้างดาบ เตรียมจะตัดสินคู่ต่อสู้ กระบี่อันแหลมคมอาฆาต ทะลุเข้ามาในตัวหยั่งรู้ของตัวเอง

“อ๊าก!……”

ตัวหยังรู้โดนแทงจนเจ็บปวด เหมือนวิญญาณจะขาดกระจาย หลี่หงเทียนร้องโอดครวญ ในใจเต็มไปด้วยความหวาดผวา

เขาก็รู้การจู่โจมวิญญาณเหรอ

หลี่หงเทียนไม่คิดไม่ฝันว่าอีกฝ่ายก็ใช้วิธีจู่โจมวิญญาณเหมือนกัน อีกทั้งยังเก่งกว่าเขามาก

อีกทั้งเขายังรับรู้ได้ถึงพลังของการจู่โจมวิญญาณ ที่ดุดันในห้วงกระบี่ของอีกฝ่าย สิ่งที่เรียกว่าห้วงยุทธ์ ผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์จำนวนมาก ไม่สามารถเข้าใจได้ ชายหนุ่มชุดคลุมยาวดำคนนี้เป็นใครกันแน่

หลี่หงเทียนอยากหนี แต่ความเจ็บปวดของวิญญาณ ทำให้ร่างกายของเขาไม่สามารถควบคุมได้ชั่วคราว เขาหวังแค่ว่าตัวเองจะไม่โดนฆ่าตาย บางทีอาจมีโอกาสรอดก็ได้

พรวด!

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 226 ผู้อาวุโสตระกูลสวี

 

เห็นสีหน้าตกตะลึงของหลัวซิวที่อยู่ฝั่งตรงข้าม สีหน้าผู้อาวุโสในชุดคลุมสีเขียวอย่างสวีจิงเหนียน ฉายแววได้ใจ

“คิดไม่ถึงว่าผู้อาวุโสจะเป็นบรรพบุรุษของตระกูลสวี” หลัวซิวสูดหายใจลึก แล้วพูดเสียงทุ้มว่า “ผมว่าจุดตันเถียนของผู้อาวุโสน่าจะได้รับความเสียหาย จำเป็นต้องใช้ยาเสวียนจือมาฟื้นฟูจุดตันเถียนใช่ไหม”

“ยาเสวียนจือเป็นยาระดับ6 ท่านนั้นที่เป็นราชวงศ์ตูเฉิงน่าจะกลั่นยาออกมาได้ ทำไมผู้อาวุโสถึงมาหาผมล่ะ” หลัวซิวถามอย่างสงสัย

“นายมองอาการบาดเจ็บของฉันออกด้วยเหรอ” สวีจิงเหนียนหรี่ดวงตาชราลง มองหลัวซิวอย่างแปลกใจและตกใจ

หลัวซิวไม่ได้ปฏิเสธ เขายิ้มแล้วพยักหน้า “นักกลั่นยาก็ถือว่าเป็นหมอ ผู้น้อยอย่างผมมีวิธีพิเศษอยู่บ้าง ดังนั้นจึงมองออกว่าอาการของผู้อาวุโส คือจุดตันเถียนได้รับความเสียหาย”

จุดตันเถียน ตัวหยั่งรู้ เป็นจุดสำคัญที่สุดของนักยุทธ์ ไม่ว่าผลการฝึกตนของคุณจะสะเทือนฟ้าดินขนาดไหน แต่ถ้าสองจุดนี้ได้รับความเสียหาย ก็ยากที่จะฟื้นฟูกลับมา ถึงขนาดที่ทำให้ผลการฝึกตนตกต่ำลง อายุขัยลดลงไปมาก

เหยียนเยว่เอ๋อร์เป็นผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ เพราะตัวหยั่งรู้ได้รับความเสียหาย เทพจิตได้รับบาดเจ็บ ผลการฝึกตนจึงลดลงไปอยู่แดนฝึกจิต

แต่ผู้อาวุโสตระกูลสวีที่อยู่ตรงหน้า จุดตันเถียนยังได้รับความเสียหาย ต้องใช้พลังจิตแท้ในร่างกาย มาระงับอาการบาดเจ็บ ไม่สามารถใช้งานได้ อย่างมากก็ใช้พละกำลังได้แค่ระดับฝึกจิต

เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าของสวีจิงเหนียนผ่อนคลายลง และยิ้มอย่างขมขื่นทันที จากนั้นจึงพูดว่า “ในสิบตระกูลใหญ่ รวมตระกูลสวีของเราไปในเก้าตระกูลใหญ่ ไม่ถูกคอกับราชวงศ์ตระกูลฝาน ราชวงศ์ตระกูลฝานมีความทะเยอะทะยานมาก หาโอกาสกลืนกินเก้าตระกูลใหญ่ ตระกูลอื่นๆ มาโดยตลอด”

“ถ้าฉันบอกนายว่าอาการบาดเจ็บของฉัน เป็นฝีมือของปรมาจารย์กลั่นยาระดับ6 คนนั้นล่ะ นายก็จะรู้ว่าทำไมฉันไม่ไปให้เขากลั่นยาให้”

“เมื่อสามสิบกว่าปีก่อน ฉันเคยช่วยชีวิตโอวโหเหลียง ได้ยินจากเขาว่ามีอาจารย์ลึกลับอยู่เบื้องหลังนาย ฝีมือการกลั่นยาไม่น่าจะด้อยไปกว่าคนในราชวงศ์นั้น”

“ผู้อาวุโสจะให้อาจารย์ของผมกลั่นยาให้เหรอ” หลัวซิวเอ่ยขึ้น

“ถูกต้อง”

“เรื่องนี้ผู้น้อยอย่างผม ตัดสินใจอะไรไม่ได้ อีกทั้งอาจารย์ยังเก็บตัวลึกลับอยู่หลายปี ไม่ออกโรงง่ายๆ หรอก……” หลัวซิวส่ายหน้า แล้วเอ่ยขึ้น

สวีจิงเหนียนอยู่มาพันกว่าปี จะฟังความหมายจากคำพูดของหลัวซิว ไม่ออกได้อย่างไรกัน

เขายิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “ขอแค่เสี่ยวโหย่วยอมส่งข่าว ถ้าทำให้อาจารย์ออกโรงได้ ฉันไม่เพียงแต่จะให้วัตถุดิบสิบชุด แถมยังสัญญาว่าจะติดหนี้น้ำใจของเสี่ยวโหย่วด้วย ถ้าผลการฝึกตนของฉัน ฟื้นฟูถึงระดับจักรพรรดิยุทธ์ มูลค่าของน้ำใจนี้ เสี่ยวโหย่วน่าจะรู้ดีนะ”

เมื่อได้ยินดังนั้น หลัวซิวเริ่มเปลี่ยนความคิด ไม่ต้องพูดว่าวัตถุดิบในการกลั่นยาระดับ6 มีมูลค่าสูงขนาดไหน น้ำใจของอาวุโสผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ เพียงพอที่จะทำให้เขามีอำนาจในประเทศเทียนหวู

“ได้ เรื่องนี้ผู้น้อยจะแจ้งให้อาจารย์ทราบ ผู้อาวุโสมีความจริงใจขนาดนี้ ผมว่าอาจารย์น่าจะยอมช่วยนะ” หลัวซิวพยักหน้า ยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น

เมื่อได้ยินดังนั้น สวีจิงเหนียนรู้ว่าเรื่องนี้น่าจะมีความเป็นไปได้สูงมาก ใจที่กระวนกระวาย ก็วางใจลงสักที รอยยิ้มโล่งใจ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าชรา

“ฉันขอไปเตรียมยาวิเศษก่อน น่าจะต้องใช้เวลาสามวัน จะรอข่าวดีจากเสี่ยวโหย่วนะ”

หลังจาก สวีจิงเหนียนบอกลาและออกมา ในห้องเหลือเพียงหลัวซิวคนเดียว

ตั้งแต่เริ่มแรก อาจารย์ลึกลับอะไรที่ว่า เป็นแค่เรื่องที่สมมุติขึ้น มีเพียงหลัวซิวเท่านั้นที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง

ยาเสวียนจือเป็นยารักษาจุดตันเถียนที่เสียหาย เป็นยาอันดับต้นๆ ในยาระดับ6 และล้ำค่าเป็นอย่างมาก

จากผลการฝึกตนแดนฝึกจิตขั้น5 ของเขาในตอนนี้ เพียงพอที่จะกลั่นยาระดับ5 แต่ถ้าไปกลั่นยาระดับ6 ชั้นยอด ยังห่างชั้นอยู่ไม่น้อย

“จะรับงานนี้ดีหรือเปล่านะ” ในห้องหนังสือ หลัวซิวขมวดคิ้วขึ้น ครุ่นคิดถึงผลได้ผลเสียในเรื่องนี้

“นายกลั่นยาเป็นเหรอ” หลงหมิงปรากฏตัวแบบเลือนลาง บนไหล่ของหลัวซิว แววตาเต็มไปด้วยความตกใจและแปลกใจ

“ทำไม นายมีปัญหาเหรอ” หลัวซิวปรายตามองมัน

“ถ้าฉันจำไม่ผิด จำได้ว่านายบอกว่าตัวเองอายุเพียง 15 ปี ภายใต้พลังฟ้าดินจิตที่บอบบางขนาดนี้ นายฝึกตนถึงแดนฝึกจิต ก็นับว่าสุดยอดมากแล้ว นายยังเป็นนักกลั่นยาระดับ4 ด้วยเหรอ”

ในสมัยโบราณ หลงหมิงเคยเจอคนมีความสามารถมาหลากหลาย แต่มองแววตาของหลัวซิวในตอนนี้ มันช่างต่างกันมาก

ในสมัยโบราณ คนประหลาดที่ฝึกตนเร็วกว่าหลัวซิวมีอยู่ไม่น้อย แต่การกลั่นยาไม่ได้ต้องการแค่พรสวรรค์เท่านั้น ต้องรู้จักวิเคราะห์และมีความเข้าใจด้วย อีกทั้งยังต้องสะสมประสบการณ์มากๆ ด้วย

เมื่อเห็นท่าทางตกใจของหลงหมิง หลัวซิวอดยกยิ้มมุมปากอย่างยียวนไม่ได้ แต่ไหนแต่ไรมา มังกรไร้ร่างตัวนี้ คิดว่าตัวเองเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีชีวิตอยู่ตั้งแต่โบราณ เอือมระอากับทุกสิ่งในปัจจุบัน ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ตัวเองสามารถทำให้เขาตกตะลึงได้ ในใจของหลัวซิวก็พอใจมากแล้ว

เวลาสามวันดำเนินไปอย่างรวดเร็ว สวีจิงเหนียนมาที่แก๊งนักกลั่นยาอีกครั้ง

เรื่องบาดเจ็บของเขาเป็นความลับ มีเพียงน้อยคนที่รู้ แม้กระทั่งโอวโหเหลียงก็ยังไม่รู้ ว่าเขาเป็นผู้อาวุโสตระกูลสวี และไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาต้องการคือยาเสวียนจือฟื้นฟูจุดตันเถียน

ดังนั้นเขาจึงต้องทำเรื่องขอยาด้วยตัวเอง

ในห้องหนังสือ สวีจิงเหนียนเอาแหวนเก็บของมาวางไว้บนโต๊ะ จากทรัพย์สินเป็นร้อยปีของตระกูลสวี เอายาวิเศษ ที่ใช้กลั่นยาระดับ6 จำนวนสิบชุด ใช้ทรัพย์สินเกือบครึ่งของตระกูล

“ยาวิเศษที่ใช้กลั่นยาเสวียนจือมีเพียง 5 ชุด ส่วนที่เหลืออีก 5 ชุด เป็นยาวิเศษระดับ6 ที่มีมูลค่าเหมือนกันมาแทน เสี่ยวโหย่วลองดูได้”

สวีจิงเหนียนยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น ในใจก็เป็นกังวลมาก เพราะอาการบาดเจ็บของเขาจะหายหรือไม่ ไม่เพียงแต่จะเกี่ยวข้องกับชีวิตของตระกูลตัวเอง แต่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของทั้งตระกูลสวี

หลัวซิวพยักหน้า ใช้ตัวสำนึกส่องเข้าไปในแหวนเก็บของ เห็นยาวิเศษกองอยู่ในช่องว่างแคบๆ เป็นร้อย

แต่ละอันเป็นยาวิเศษระดับ6 และเป็นชนิดที่หายากอีกด้วย

หลังแน่ใจว่ายาวิเศษไม่มีข้อผิดพลาด หลัวซิวเอ่ยปากพูดว่า “อาจารย์ตกลงว่าจะช่วยผู้อาวุโสกลั่นยาเสวียนจือ แต่มีเรื่องหนึ่ง ต้องบอกผู้อาวุโสเอาไว้ก่อน”

เมื่อได้ยินประโยคครึ่งแรก สีหน้าของสวีจิงเหนียนดูดีใจ แต่ต่อมาจู่ๆ ก็ทำให้เขาเป็นกังวล

“เสี่ยวโหย่วพูดมาเลย” สวีจิงเหนียนสูดหายใจลึก เขาไม่อยากให้เกิดเรื่องไม่คาดฝันใดๆ

“คืออย่างนี้ครับ เพราะอาจารย์ไม่ชอบเจอคนนอก ดังนั้นหลังจากกลั่นยาเสร็จ ผู้น้อยอย่างผมจะเป็นคนนำมาให้ผู้อาวุโส แต่ยังมีเวลาประมาณหนึ่งเดือน ผมต้องไปแดนปริศนา ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสรอให้ผมออกมาได้ไหม แล้วค่อยมอบยาให้ผู้อาวุโส” หลัวซิวเอ่ยขึ้น

นี่เป็นคำพูดที่เขาเตรียมเอาไว้ หลังจากครุ่นคิด เพราะตอนนี้เขายังไม่มีความสามารถในการกลั่นยาเสวียนจือ แต่ถ้าออกมาจากแดนปริศนา ก็ใช้ว่าจะไม่มีความสามารถในการกลั่นยาระดับ6

เพราะเขาไม่ได้ขาดความสามารถในการกลั่นยา แต่เพราะผลการฝึกตนของตัวเองต่ำเกินไป

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 225 ตระกูลสวี

 

เมื่อเขาออกมาจากแดนนานาอสูร หลัวซิวก็รู้สึกได้ว่าแหวนเก็บของที่อยู่ในกล่องส่งเสียงกำลังสั่น

ก่อนหน้านี้ที่เขาอยู่ในแดนนานาอสูร เขาตัดขาดจากโลกภายนอก ดังนั้นไม่ว่าใครก็ตามก็ไม่มีทางที่จะติดต่อเขาผ่านกล่องส่งเสียงได้

เขาหยิบกล่องส่งเสียงออกมาจากแหวนเก็บของ หลัวซิวอยากรู้มากว่าผู้ใดเป็นคนส่งข่าวมาถึงตน

เพราะเขารู้ดีว่าคนที่จะส่งข่าวมาถึงเขานั้นมีน้อยมาก

ข่าวแรกคือข่าวที่ส่งมาจากท่านหัวหน้าแก๊งเหวินเซวียนหงที่สาขาเมืองชิงหยุน เขาออกจากเมืองแล้ว และการฝึกตนบรรลุถึงขั้นราชายุทธ์แดนขั้น 5 แล้วยังรู้ด้วยว่าหลัวซิวปรากฏตัวที่การต่อสู้แย่งชิงโควต้าด้วย ดังนั้นจึงส่งข้อความาไต่ถามสารทุกข์สุขดิบ

ข่าวที่สองก็ยังคงเป็นท่านหัวหน้าแก๊งเหวินเซวียนหงส่งมา โดยบอกเขาว่าแดนปริศนากำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว ขอให้เขารีบไปที่เมืองหลวงของประเทศเทียนหวู

และเนื่องจากหลัวซิวยังไม่ได้ตอบข้อความเขากลับไป ดังนั้นเหวินเซวียนหงจึงส่งมาอีกหลายข้อความ

นอกจากนี้ยังมีข้อความที่ส่งมาจากลู่เมิ่งเหยา โดยมากแล้วเธอจะส่งมาเพราะความเป็นห่วง ทำให้หลัวซิวรู้สึกอบอุ่นใจ

และยังมีอีกข้อความหนึ่งที่ส่งมากจากโอวโหวเหลียงแก๊งนักกลั่นยาของเมืองซานหยวน โดยบอกว่ามีเรื่องอยากปรึกษากับเขา

หลัวซิวตอบข้อความของพวกเขาทุกคน จากนั้นจึงลอยตัวขึ้นฟ้าจนทิ้งลำแสงเอาไว้ เพื่อมุ่งหน้าไปยังเมืองซานหยวนที่อยู่ใกล้ที่สุด

“เวลาผ่านไปห้าหมื่นปี ทำไมพลังฟ้าดินจิตยุคนี้ถึงได้เบาบางขนาดนี้”

เมื่อออกมาจากแดนนานาอสูรแล้ว หลงหมิงก็เริ่มบ่นออกมา “ยุคโบราณที่ฉันเคยอาศัยอยู่ พลังฟ้าดินจิตเข้มข้นกว่าตอนนี้เป็น 10 เท่า หรือแม้แต่สำนักของกลุ่มอำนาจใหญ่ๆ พลังฟ้าดินจิตยังเข้มข้นกว่านี้ถึง 10 เท่า”

ยุคโบราณเมื่อห้าหมื่นปีก่อน เกิดภัยพิบัติขึ้นอย่างไร หลงหมิงเองก็ไม่แน่ใจเช่นกัน

ทว่าฟ้าดินตอนนี้ห่างไกลจากยุคโบราณอย่างลิบลับ การฝึกยุทธ์ก็ยิ่งยากลำบากมากขึ้น ตำราถ่ายทอดก็สูญหายไปมาก

อาณาเขตที่ประเทศเทียนหวูครอบครองอยู่นี้ เมื่อห้าหมื่นปีที่แล้วในยุคโบราณถือว่าอยู่ในอาณาเขตของสำนักไท่เสวียนด้วย

ประเทศเทียนหวูในยุคปัจจุบัน จักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่มากที่สุด ทว่าสำหรับสำนักไท่เสวียนในสมัยก่อน จักรพรรดิยุทธ์ก็เป็นเพียงแค่ลูกศิษย์คนหนึ่งที่มีหน้าที่เฝ้าประตูเมืองเท่านั้น

ไม่นานนัก หลัวซิวก็ได้เดินทางมาถึงแก๊งนักกลั่นยาที่เมืองซานหยวนที่มีคนหลากสำนักคอยจับตาสอดส่ายอยู่ และก็เพิ่งรับรู้ในตอนนั้นว่าเขาปรากฏตัวขึ้นแล้ว

ในห้องทำงานอันเงียบสงบ โอวโหวเหลียงลุกขึ้นยืนขึ้นต้อนรับเขาด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม

ไม่เจอกันนานกว่าครึ่งปี ตอนนี้โอวโหวเหลียงสัมผัสได้ว่าตนเองมองระดับการฝึกตนของหลัวซิวไม่ออกอีกแล้ว ในขณะเดียวกันเขายังแอบสัมผัสได้อีกว่าภายในร่างกายของเขามีพลังบางอย่างที่น่าหวาดกลัวแพร่กระจายไปทั่ว

คนทั้งสองนั่งลง โอวโหวเหลียงเป็นฝ่ายรินน้ำชาให้กับหลัวซิวด้วยตัวเอง “ปรมาจารย์ซิวหลัว ไม่เจอกันมาตั้งครึ่งปีแล้ว ยินดีด้วยที่ยกระดับการฝึกตนขึ้นได้ไม่น้อยเลย”

“ปรมาจารย์โอวโหวชมเกินไปแล้ว ไม่ทราบว่าต้องการพบผมด้วยเหตุใดหรือ” หลัวซิวยิ้มอย่างกระอักกระอ่วนแล้วตอบออกไป

“คืออย่างนี้นะ มีคนไหว้วานข้า ให้ข้ามาขอร้องให้ปรมาจารย์ซิวหลัวช่วยกลั่นยาให้” โอวโหวเหลียงเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะเอ่ยตอบ

“กลั่นยา?” สีหน้าของหลัวซิวเต็มไปด้วยความแปลกใจ “ทั้งผมและท่านต่างเป็นปรมาจารย์นักกลั่นยาขั้น 4 คนผู้นั้นไม่มาขอให้ท่านขช่วยกลั่นยาให้แต่กลับมาขอร้องผมงั้นหรือ”

“เป็นรุ่นพี่ท่านหนึ่ง และสิ่งที่ต้องการไม่ใช่ยาระดับ 4” โอวโหวเหลียงกล่าว

“แล้วระดับไหน?” หลัวซิวกล่าวถามอย่างแคลงใจ

“ระดับ 6” โอวโหวเหลียงหรี่ตากล่าว

เมื่อได้ยินดังนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าของหลัวซิวก็หายไป แล้วโบกมือ “ทั่วทั้งโลกยุทธ์มีเพียงคนในราชวงศ์ผู้นั้นที่สามารถกลั่นได้ ผมเองก็ไร้ความสามารถ”

“แม้ว่าอาจจะดูหยาบคายไปบ้าง ทว่าข้าเชื่อว่ารุ่นพี่ที่สอนปรมาจารย์ซิวหลัวกลั่นยาผู้นั้นน่าจะพอทำได้” โอวโหวเหลียงถามแบบหยั่งเชิง

หลัวซิวขมวดคิ้ว เขาเองก็ไม่เข้าใจนักว่าทำไมโอวโหวเหลียงจะต้องตอบแบบอ้อมๆ เช่นนี้ เป็นความต้องการของเขาหรือว่ามีคนขอให้เขาทำแบบนี้

“ปรมาจารย์โอวโหว หากไม่มีเรื่องอื่นแล้ว ผมขอตัวก่อน”

หลัวซิวไม่กล่าวอะไรต่อ เพียงลุกขึ้นยืนเตรียมจะกลับไป

“หนุ่มน้อย อย่าเพิ่งใจร้อนเช่นนั้น”

ในตอนนั้นเอง ประตูห้องทำงานก็ถูกเปิดออก ผู้อาวุโสสวมใส่ชุดเขียวไว้เคราขาวก็เดินเข้ามา

เมื่อผู้อาวุโสชุดเขียวปรากฏตัว โอวโหวเหลียงก็รีบลุกขึ้นยืน แล้วทำความเคารพอย่างนอบน้อมก่อนจะเอ่ยเรียนผู้อาวุโส

ตอนนั้นหลัวซิวจึงเข้าใจขึ้นมาทันที ผู้ที่ต้องการยาแท้จริงแล้วคงเป็นผู้อาวุโสเคราเขียวที่อยู่ตรงหน้านี้เอง

เขาหรี่ตาลง หลัวซิวจ้องเขม็งไปที่ผู้อาวุโสเคราเขียวตรงหน้า ลายเซ็นของอีกฝ่ายปรากฏอย่างชัดเจน แม้ว่าร่างกายของเขาจะไม่มีการเคลื่อนไหวของพลังจิตแท้ ทว่าภายในร่างกายของเขากลับมีพลังงานอันน่าหวาดหวั่นมวลใหญ่ซ่อนอยู่

ทว่าหลัวซิวเองก็สังเกตเห็นว่าลายเส้นชีวิตบริเวณจุดตันเถียนของผู้อาวุโสชุดขาวคนนี้มีร่องรอยความเสียหาย แต่ด้วยการฝึกตนของเขาจึงพยายามที่จะสะกัดกั้นความเจ็บของบาดแผลเอาไว้

“ผู้น้อยน่าจะเป็นหลัวซิวผู้ที่โด่งดังและโดดเด่นที่สุดของประเทศเทียนหวูในช่วงนี้กระมัง” ผู้อาวุโสชุดเขียวมองหลัวซิวพลางอมยิ้ม

“ผู้น้อยคือซิวหลัว ไม่ใช่หลัวซิว” หลัวซิวกล่าวเรียบๆ

ผู้อาวุโสไม่โกรธที่หลัวซิวกล่าวปฏิเสธ เพียงยิ้มแล้วกล่าวว่า “หลัวซิวก็ดี ซิวหลัวก็ดี ข้ามีเรื่องอยากขอร้องให้เจ้าช่วยสักหน่อย”

“หากเป็นเรื่องยาขั้น 6 ผู้น้อยไร้ความสามารถ”

ผู้อาวุโสชุดขาวยิ้มพลางส่ายหน้า “เจ้าอย่าเพิ่งรีบร้อนปฏิเสธ นั่งลงคุยกันก่อนเถิด”

หลัวซิวไม่ได้ปฏิเสธ จากนั้นจึงนั่งลงตรงกันข้ามกับผู้อาวุโสชุดเขียวในห้องทำงาน

โอวโหวเหลียงเพียงทำความเคารพผู้อาวุโสชุดเขียวอย่างนอบน้อมแล้วเดินออกจากห้องไปแล้วปิดประตูห้อง

ขนาดโอวโหวเหลียงเป็นถึงปรมาจารย์กลั่นยาขั้น 4 ยังต้องนอบน้อมกับผู้อาวุโสชุดเขียวขนาดนี้ แสดงว่าฐานะของอีกฝ่ายจะต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน

“ผู้น้อยคงจะยังไม่รู้ฐานะของข้า” ผู้อาวุโสชุดเขียวนั่งลงแล้วยิ้ม

หลัวซิวพยักหน้าแล้วไม่ได้ตอบอะไรออกไป

ผู้อาวุโสชุดเขียวที่อยู่ตรงหน้าอมยิ้ม สีหน้าของเขาปรากฏแววความภูมิใจ “ข้าคือสวีจิงเหนียน บางทีเจ้าอาจจะไม่เคยได้ยินชื่อของข้ามาก่อน แต่ก็คงจะพอรู้จักตระกูลสวีที่อยู่ในสิบตระกูลใหญ่ของประเทศเทียนหวูบ้างกระมัง”

“ตระกูลสวี?”

หลัวซิวชะงักเล็กน้อย คนแซ่สวีในประเทศเทียนหวูนั้นมีไม่น้อย แต่มีเพียงตระกูลสวีเท่านั้นที่จะอยู่สิบตระกูลใหญ่ด้วย

เห็นได้ชัดว่า ผู้ที่มีสถานะลึกลับตรงหน้าตนอย่างผู้อาวุโสชุดเขียวคนนี้นั้น น่ามีความข้องเกี่ยวกับตระกูลสวี

“ตระกูลสวีที่อยู่ในสิบสุดยอดตระกูล มีข้าเป็นผู้ก่อตั้งเอง”

คำพูดประโยคถัดมาของผู้อาวุโสชุดเขียวทำเอาหลัวซิวต้องชะงักแน่นิ่งอยู่กับที่

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 224 วิชาเทพไท่เสวียน

 

การเก็บมังกรไร้ร่างมาได้ถือว่าเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายสำหรับหลัวซิว

ทว่าหลัวซิวเองก็รู้ดีว่ามังกรไร้ร่างตัวนี้ไม่ได้อยากจะอยู่กับเขาจริงๆ หากมันสามารถฟื้นฟูพลังกลับมาได้ แน่นอนว่าจะต้องแว้งกลับมาจัดการเขาแน่

ทว่าเรื่องของโชคชะตานี้ก็มีความเสี่ยงในตัวของมัน ขอเพียงแค่ควบคุมไว้ให้ได้ มังกรตัวนี้อย่าได้คิดจะหนีไปไหนได้อีก

“แกบอกว่าด้านล่างของวังใต้มีแท่นวิภาไร้เขตอยู่งั้นหรือ มันคืออะไร”

หลังจากที่ตราสำนึกได้เข้าไปในตัวหยั่งรู้ของหลงหมิงแล้ว หลัวซิวก็หยุดใช้พลังจิตแท้เปลวไฟดำแล้วเริ่มตั้งคำถาม

ร่างของหลงหมิงกับอากาศรวมกันเป็นหนึ่ง แม้แต่ตัวสำนึกก็ไม่อาจหาเจอ มีเพียงหลัวซิวเท่านั้นที่สัมผัสได้ถึงพลังชีวิตที่อ่อนแอของมันอย่างชัดเจน

นี่คือพรสวรรค์ของมังกรไร้ร่างที่สามารถควบคุมอากาศได้ จึงสามารถเลือกสภาพแวดล้อมที่ดีรอบตัวได้

“ก็เป็นสมบัติวิเศษน่ะสิ แถมยังเป็นสมบัติวิเศษขั้นสูงอีกต่างหาก ไม่อย่างนั้นแล้วจะขังฉันอยู่ในนั้นนานถึงห้าหมื่นปีได้อย่างไร” เมื่อกล่าวถึงแท่นวิภาไร้เขต น้ำเสียงของหลงหมิงก็แปรเปลี่ยนเป็นความเกลียดชัง เห็นได้ชัดว่ามันฝังใจกับประสบการณ์ที่ตัวเองโดนขัง

หลัวซิวเคยถามมันแล้วว่า ทำไมมันถึงถูกขังอยู่นานตั้งห้าหมื่นปี แต่หลงหมิงกลับพยายามเลี่ยงที่จะตอบ และบอกว่าตัวเองนึกไม่ออกจึงไม่ได้ตอบคำถามออกมาตรงๆ

ทว่าสิ่งของอย่างสมบัติวิเศษ นี่นับว่าเป็นครั้งแรกที่หลัวซิวเคยได้ยินชื่อ

“ดูท่าแล้วสิ่งที่หลงเหลือมาจากสมัยโบราณนั้นเหลืออยู่น้อยมาก” หลงหมิงทอดถอนใจพลางกล่าว “อาวุธที่นักยุทธ์ใช้ในการต่อสู้ในสงครามแบ่งออกเป็นสามประเภทตามลำดับคือ เครื่องสมบัติเครื่องลางและเครื่องทิพย์”

การแบ่งลำดับอาวุธของสมัยโบราณนั้น บังเอิญเทียบเท่าได้กับการแบ่งอาวุธในยุคปัจจุบันได้พอดี นั่นคือขั้นมนุษย์ ขั้นดินและขั้นฟ้า

หลัวซิวหยิบกระบี่ยุทธ์ด้านหลังออกมา “กระบี่ยุทธ์ของฉันเล่มนี้ เทียบเท่าได้กับเครื่องลาง ที่พูดรึไม่”

ร่างของหลงหมิงปรากฏออกมา มันใช้กรงเล็บของมันพลิกไปพลิกมาด้วยสายตาดูแคลน “นี่น่ะหรือจะเรียกว่าเครื่องลางได้ ก็แค่เอาวัสดุสองสามอย่างเอามาหลอมเข้าด้วยกันโดยใช้วิธีการพิเศษบางอย่างเท่านั้น แค่ช่วยเสริมพลังให้กับพลังจิตแท้เท่านั้น อย่างมากก็เป็นได้แค่เครื่องสมบัติ”

จากคำบอกเล่าของหลงหมิง สมัยโบราณไม่มีอาชีพอย่างนักหลอมอาวุธ มีแต่นักประเมินสมบัติ

วิชาประเมินสมบัติคือการนำเอาวิชาค่ายกลมาหลอมรวมเข้ากับการหลอมอาวุธ อาวุธที่ได้จากการหลอมจะมีอานุภาพที่แข็งแกร่งยากคาดเดา

หลงหมิงก็ไม่เข้าใจวิชาประเมินสมบัติมากนัก ทว่าในมันก็รู้จักปรมาจารย์ประเมินสมบัติในยุคโบราณอยู่หลายคน อีกอย่างก่อนที่จะถูกขังอยู่ที่สำนักไท่เสวียน ตัวเขาเองก็มีสมบัติวิเศษระดับสูงอยู่ชิ้นหนึ่ง แต่หลังจากถูกขังแล้วก็ถูกสำนักไท่เสวียนเก็บเอาไปทั้งหมด

สำนักไท่เสวียนถือเป็นกลุ่มอำนาจใหญ่ในยุคโบราณ แดนนานาอสูรแท้จริงแล้วคือสถานที่ที่ผู้แข็งแกร่งวางค่ายกลเอาไว้เพื่อเลี้ยงอสูรกาย และให้ลูกศิษย์ของตนได้มาฝึกฝน ถือได้ว่าเป็นทรัพยากรอันยิ่งใหญ่บนโลกใบนี้

แดนนานาอสูรมีทั้งสิ้นเก้าเขต สิ่งที่อาศัยอยู่ในแดนขั้นเก้าคือ จักรพรรดิอสูรขั้น9ที่สามารถเทียบเท่าได้กับมหาจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่ง

ซึ่งแม้แต่จักรพรรดิอสูรเองก็ยังถูกจับตัวมาเลี้ยงไว้ในค่ายกลที่ถูกสร้างขึ้นแล้วถูกลูกศิษย์ในสำนักใช้สำหรับฝึกฝน นี่จึงเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่าในยุคโบราณนั้นสำนักไท่เสวียนนั้นยิ่งใหญ่และรุ่งเรืองมากแค่ไหน

เมื่อนำสำนักไท่เสวียนในอดีตมาเปรียบเทียบกับยุคปัจจุบัน ประเทศเทียนหวูฝนตอนนี้จะกลายเป็นจุดเล็กๆ จุดหนึ่งในทะเลทรายที่ไร้คุณค่าไปเลย

หลัวซิวอยากลงไปยังชั้นล่างของวังใต้ เพื่อดูว่าสมบัติวิเศษในยุคโบราณอย่างแท่นวิภาไร้เขตนั้นมีหน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่

“อย่า ห้ามเข้าไปเด็ดขาด!” หลงหมิงรีบเอ่ยห้ามทันที “ถึงแม้ว่าเวลาจะผ่านไปห้าหมื่นปีแล้ว แต่อานุภาพของแท่นวิภาไร้เขตยังคงไม่ได้ลดลง หากเจ้าไปจับแท่นวิภาไร้เขตส่งเดช เจ้าจะกลายเป็นผุยผงไปในทันที”

เพราะตราสำนึกนั่นเอง หากหลัวซิวตายไป ตัวสำนึกของหลงหมิงเองก็จะได้รับผลกระทบจนแตกสลายไปด้วย ดังนั้นมันจึงรีบห้ามเอาไว้

เมื่อได้ยินดังนั้น หัวใจของหลัวซิวก็หนาวสะท้าน โชคดีที่ก่อนหน้านั้นเขาไม่ได้บุ่มบ่ามเข้าไป ไม่แปลกที่คนที่ตระกูลเหยียนส่งเข้าไปถึงไม่มีโอกาสรอดกลับมา

“อย่างนั้นฉันต้องฝึกฝนให้ถึงขั้นไหนก่อนถึงจะเข้าไปได้” หลัวซิวถามขึ้น

“ราวๆ พรีเมี่ยมยุทธ์ และตอนนี้อานุภาพองสมบัติวิเศษได้เสื่อมลงไปบ้างแล้ว ไม่อย่างนั้นต่อให้เป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์ก็อย่าได้หวังจะเข้าไปเก็บสมบัติวิเศษ ออกมาได้”

……

หลังจากที่เดินออกมาจากวังใต้แล้ว บนบ่าของหลัวซิวมีมังกรไร้ร่างที่มีชีวิตมาตั้งแต่โบราณเพิ่มมาด้วยอีกตัว

การใช้ตาและตัวสำนึกทั่วไปไม่สามารถมองเห็นหลงหมิงได้ เพราะเผ่ามังกรไร้ร่างมีความเคยชินที่จะรวมร่างกายของตัวเองเข้าเป็นหนึ่งกับบรรยากาศรอบตัว

มีเพียงผู้ที่เข้าสู่แดนราชายุทธ์ และเข้าใจการควบคุมความลับในการควบคุมบรรยากาศเท่านั้น ถึงจะรับรู้ได้ถึงการมีตัวตนอยู่ของมังกรไร้ร่าง

“ฮ่าๆ ในที่สุดเจ้ามังกรอย่างข้าก็ได้เห็นแสงตะวันอีกครั้ง!”

เมื่อหลัวซิวพาหลงหมิงออกมาจากออกมาจากวังใต้แล้ว หลงหมิงก็รู้สึกตื่นเต้นมาก

“แดนนานาอสูรของสำนักไท่เสวียนเป็นสถานที่ที่ดีนัก ลูกแก้วโลหิตที่พวกอสูรหลอมออกมา ทำให้การกลั่นร่างมีประสิทธิภาพมาก” สายตาของหลงหมิงเป็นประกาย หากดูดกลืนลูกแก้วโลหิตเข้าไปมากพอ พลังของมันก็อาจจะฟื้นฟูกลับมาอย่างรวดเร็ว

อีกอย่างหากตนสามารถฝึกฝนจนฟื้นฟูพลังกลับมาเหนือกว่าหลัวซิวได้ ก็จะสามารถหยุดยั้งตราสำนึกของหลัวซิวได้

“เด็กน้อยคนนี้เป็นมนุษย์ ไม่สามารถหลอมลูกแก้วโลหิตที่แฝงพลังของอสูรกายออกมาได้……”

ในขณะที่หลงหมิงกำลังคิดในใจเช่นนั้นอยู่ มันก็เห็นหลิวซิวพลิกมือเอาลูกแก้วโลหิตของผู้ฝึกจิตออกมาแล้วโยนเข้าปากไป

เลือดปราณที่ไหลเวียนเริ่มสั่นกระเพื่อมอยู่ภายในร่าง ลูกแก้วโลหิตที่มีสารเลือดปราณอยู่ ค่อยๆ หลอมละลายไปทั่วทั้งเลือด กระดูกและร่างเนื้อ

หลงหมิงเบิกตากว้าง มันปรากฏออกมาจากอากาศแล้วกล่าวอย่างตกตะลึงว่า “เจ้ารู้จักวิชาเทพไท่เสวียนด้วยหรือ”

หลัวซิวขมวดคิ้ว เขาไม่เคยได้ยินวิชาเทพไท่เสวียนมาก่อน เห็นได้ชัดๆ ว่ามังกรไร้ร่างตัวนี้มีหลายเรื่องที่รู้แต่ไม่ยอมพูดออกมา

หลัวซิวไม่ได้กล่าวอะไร เพียงใช้สายตาจ้องไปที่หลงหมิงทำเอามังกรไร้ร่างที่มีชีวิตอยู่มาตั้งแต่ยุคโบราณต้องขนลุก

“วิชาเทพไท่เสวียนคือหนึ่งในวิชายิ่งเลิศเก้าวิชาของสำนักไท่เสวียน สามารถนำสารในตัวของสรรพสิ่งต่างๆ มาหลอมเพื่อยกระดับการฝึกตนของตัวเอง” หลงหมิงวาดกรงเล็บของมันประกอบการอธิบาย

เมื่อเห็นสีหน้าเคลือบแคลงของหลัวซิว หลงหมิงก็รู้ทันทีว่าเด็กคนนี้ไม่รู้จักวิชาเทพไท่เสวียน

อีกทั้งเขายังสังเกตได้ด้วยอีกว่า การกลั่นแปรยาลูกแก้วโลหิตของหลัวซิว แม้ว่าจะไม่ได้รับผลกระทบจากพลังอสูร แต่กลับไม่สามารถช่วยยกระดับการฝึกตนได้ เพียงแค่ช่วยยกระดับความแข็งแกร่งของร่างเนื้อเท่านั้น

วิธีการเช่นนี้ หากเทียบกับวิชาไท่เสวียนแล้วถือว่ายังห่างชั้นกันอีกเยอะ

“เจ้ารู้วิธีการฝึกวิชาเทพไท่เสวียนรึ” หลัวซิวมองไปทางหลงหมิงพลางตั้งคำถาม

หลงหมิงส่ายหน้า “วิชายิ่งเลิศของสำนักไท่เสวียนเป็นความลับที่ไม่มีการสืบทอด ข้าจะไปรู้ได้ยังไง”

หลัวซิวก็ไม่ได้เซ้าซี้ถามคำถามนี้ต่อไป เพราะระยะทางก่อนที่แดนปริศนาจะเริ่มต้นเหลือไม่ถึงสามเดือนแล้ว เขาตั้งใจว่าก่อนที่จะไปจะต้องสะสมลูกแก้วโลหิตของผู้ฝึกจิตให้ได้เพิ่มมากขึ้นอีกหน่อย จากนั้นค่อยออกจากแดนนานาอสูรนี้ไป

พลังของหลงหมิงตอนนี้เทียบเท่ากับจอมยุทธ์พรสวรรค์ แม้ว่าจะมีพรสวรรค์ในการควบคุมอากาศ และน่าจะสามารถรับมือกับผู้ฝึกจิตทั่วๆ ไปได้ แต่ในแดนนานาอสูรเขต 3 นี้ กลับไม่สามารถลงมือสังหารอสูรกายตัวใดได้เลย

มันคิดจะขอลูกแก้วโลหิตของผู้ฝึกจิตมาเพื่อยกระดับพลังของตัวเอง ทว่าก็ยังไม่ได้มาจากหลัวซิวเลยสักเม็ด

เพราะว่าหลัวซิวรู้ดีว่ามังกรไร้ร่างตัวนี้ไม่จริงใจกับเขามากนัก ดังนั้นจึงต้องพยายามรักษาระดับพลังของตัวเองให้เหนือกว่ามันให้ได้ ดังนั้นเขาย่อมไม่มีทางมอบลูกแก้วโลหิตให้หลงหมิงเพื่อให้มันยกระดับพลังของตัวเองอย่างแน่นอน

……

หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน หลัวซิวก็ออกมาจากแดนนานาอสูร หลังจากผ่านการฝึกฝนตัวเองอย่างหนักมาเกือบหนึ่งปี พลังของเขาเพิ่มขึ้นมากกว่าตอนที่เผชิญกับการต่อสู้แย่งชิงโควต้าเสียอีก

การฝึกตนอยู่ในขั้นฝึกจิตขั้น 5

ร่างเนื้ออยู่ในขั้นร่างยุทธ์ขั้นสูงช่วงปลาย

ตัวสำนึกอยู่ในขั้นฝึกจิตขั้น 8

รวมทั้งการที่เขามีไม้เด็ดอีกมากมาย หากเขาต้องเผชิญหน้ากับราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่งที่ไม่ได้ครอบครองห้วงยุทธ์ เขาก็พอที่จะรับมือได้อยู่บ้าง

เมื่อถึงตอนนี้แล้ว ถือได้ว่าหลัวซิวที่อยู่ในประเทศเทียนหวูมีทั้งความมั่นใจและต้นทุนในพลังยุทธ์ของตัวเองค่อนข้างมาก

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 223 เจรจา

 

เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าของหลัวซิวก็เหวอไป ไอตัวนี้สมองมีปัญหาหรือไง หรือว่ากำลังจะล้อเล่นอะไรอยู่”

“ตอนนี้แกถูกฉันมัดอยู่ ทำตัวให้เรียบร้อยหน่อยจะดีกว่า”

หลัวซิวถอนใจก่อนจะลดขนาดของตาข่ายเปลวไฟดำลง ส่วนตัวที่เรียกตัวเองว่ามังกรไร้ร่างถูกเปลวไฟดำแผดเผาจนร้องโอดครวญอย่างเจ็บปวด

หลังจากที่โดนหลัวซิวลงโทษไปแล้ว เงาร่างนั้นก็ยอมสงบท่าทีลง แล้วเก็บความดุร้ายกับความโหดร้ายของตัวเองเอาไว้

“แกบอกว่าแกคือมังกรไร้ร่างหรือ” หลัวซิวกล่าวถาม

“ท่านมังกร……” ตอนที่เงาตนนั้นตั้งท่าจะพูด ก็สังเกตเห็นถึงความเย็นชาในสายตาของหลัวซิวจึงรีบหดคอเข้าไป แล้วตอบคำถามของหลัวซิวอย่างจริงใจ

หลังจากหลัวซิวได้สอบถามแล้วก็รู้ว่า มังกรไร้ร่างคือสัตว์ประหลาดในเผ่ามังกร เกิดมาโดยมีพลังในการควบคุมอากาศ เคลื่อนกายไปมาอย่างไร้ร่องรอย จึงมองข้ามค่ายกลไปได้เป็นจำนวนมาก

“ข้าชื่อหลงหมิง เป็นมังกรไร้ร่างที่เหลืออยู่เพียงตัวเดียวบนโลกใบนี้”

ตามที่มังกรไร้ร่างอย่างหลงหมิงได้เล่าออกมา ในช่วงเวลายุคโบราณนั้นทุกๆ เผ่าได้ประสบกับภัยพิบัติขนาดใหญ่ เผ่ามังกรไร้ร่างของมันเองก็เกือบจะสูญพันธ์เช่นกัน

แต่ก่อนที่จะเกิดภัยพิบัติครั้งนั้น หลงหมิงได้ถูกสำนักไท่เสวียนขังเอาไว้ในวังใต้ของแดนนานาอสูรแห่งนี้

หลัวซิวได้ยินดังนั้นก็ช็อคจนพูดอะไรไม่ออก เพราะนี่เกี่ยวพันไปถึงความลับในยุคโบราณด้วย แต่เพราะเจ้าหลงหมิงได้ถูกขังเอาไว้นานเกินไป จึงรู้เรื่องเกี่ยวกับภัยพิบัติที่เกิดขึ้นน้อยมาก

“ตามที่ฉันรู้ สมัยปัจจุบันกับสมัยโบราณเวลาห่างกันมากกว่าหมื่นปี แกบอกว่าถูกขังอยู่ในวังใต้ตั้งแต่ก่อนเกิดภัยพิบัติในช่วงสมัยโบราณ หรือว่าแกจะอยู่มาเป็นหมื่นๆ ปีแล้ว?” หลิวซิวขมวดคิ้ว

ในการฝึกยุทธ์นั้น เริ่มต้นตั้งแต่แดนพรสวรรค์ หากบรรลุแดนใหญ่ก็จะมีอายุขัยที่เพิ่มขึ้น

แต่แม้แต่จักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งเอง ก็ยังมีอายุอย่างมากที่สุดแค่สองพันปี แต่เจ้ามังกรไร้ร่างนี่กลับมีอายุมามากกว่าหมื่นปีแล้ว

หลงหมิงเบะปากแล้วเอ่ยอย่างดูแคลน “มนุษย์อย่างพวกเจ้า มีเพียงจักรพรรดิยุทธ์เท่านั้นที่จะสามารถมีอายุขัยยืนยาวถึงหนึ่งหมื่นปีได้ แต่สำหรับเผ่ามังกรอย่างพวกเราแล้วมีอายุยืนยาวมากกว่าพวกเจ้าหลายเท่านัก!”

ส่วนในด้านการฝึกตนนั้น มนุษย์มีความได้เปรียบมากกว่า มีความสามารถในการพัฒนามากกว่าและสามารถเลื่อนขั้นขึ้นได้เร็วกว่า

ทว่าพวกอสูรกายจะมีร่างกายที่แข็งแกร่งกว่า อายุยืนยาว แต่ในด้านการฝึกตนนั้นกลับด้อยกว่ามนุษย์มาก

จักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งสักคนสามารถมีอายุได้ถึงสองพันปี แต่อสูรกายระดับ 6 กลับสามารถมีอายุได้มากถึง 5 – 6 พันปี

เผ่ามังกรถือเป็นชนเผ่าสูงสุดในบรรดาอสูรกาย จึงมีชีวิตอยู่ได้ยืนยาวกว่า

“ข้าถูกขังอยู่ในวังใต้มาห้าหมื่นกว่าปี อายุขัยของข้าก็ใกล้จะหมดเต็มทีแล้ว ข้าไม่มีทางเลือกจึงต้องใช้พลังอมตะทวนนภาพรากชีวี ยอมทิ้งร่างเดิมแล้วเริ่มต้นใหม่ ไม่อย่างนั้นแล้วเด็กน้อยที่ฝึกถึงแค่แดนฝึกจิตอย่างเจ้า หากมังกรอย่างข้าอยู่ในยุคเฟื่องฟูแค่จามครั้งเดียวก็คงทำให้พวกเจ้าตายเป็นจำนวนมาก”

หลัวซิวไม่สนใจหลงหมิงว่าจะคุยโม้ตัวเองว่าอย่างไร แต่สังเกตได้ว่าอีกฝ่ายพูดถึงพลังอมตะทวนนภาพรากชีวี

หลงหมิงสังเกตสายตาของหลัวซิว แล้วเม้มปากเอ่ยว่า “พลังอมตะไม่ใช่สิ่งที่เด็กน้อยอย่างเจ้าจะฝึกฝนได้ ยิ่งไปกว่านั้นพลังอมตะทวนนภาพรากชีวีเป็นพลังอมตะของพวกเราเผ่ามังกร จะต้องใช้เมื่ออายุขัยของเราหมด โอกาสที่จะประสบความสำเร็จมีน้อยมากเจ้าเองก็ฝึกไม่ได้เช่นกัน”

หลัวซิวเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งในคำพูดของหลงหมิง จึงเอ่ยถามว่า “พลังอมตะถือเป็นวิชายุทธ์อย่างหนึ่งหรือไม่”

“วิชายุทธ์?” หลงหมิงเงียบไป รอยยิ้มเลือนหาย “เด็กน้อยอย่างเจ้าคงไม่รู้ว่า วิชายุทธ์เป็นสิ่งที่เป็นพื้นฐานที่สุดของการฝึกตนหรอกหรือ จะเอามาเปรียบเทียบกับพลังอมตะได้อย่างไร”

เหนือกว่าวิชายุทธ์คือวิชายิ่งเลิศ เหนือจากวิชายิ่งเลิศถึงจะเป็นพลังอมตะ

การฝึกตนทางโลกยุทธ์ในสมัยโบราณยุครุ่งเรือง ทุกคนต่างรู้เรื่องนี้กันหมด

หลัวซิวถามคำถามต่ออีกสองสามข้อ ทว่าในบางคำถามคำตอบของหลงหมิงค่อนข้างจะคลุมเครือ โดยบอกว่าเป็นเพราะว่าเขาได้ใช้พลังอมตะทวนนภาพรากชีวี จึงเหมือนเกิดใหม่ ความทรงจำบางส่วนจึงหายไป

มันหนีออกมาจากชั้นล่างของวังใต้ พลังยุทธ์ของมันตอนนี้อยู่ในระดับแดนพรสวรรค์ ซึ่งเทียบเท่าได้กับอสูรกายขั้น 3

ส่วนเรื่องราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่งทั้งสองคนของตระกูลเหยียนที่บุกเข้าไปยังชั้นล่างของวังใต้ ก็เป็นมันที่เป็นกำจัดไป

“ชั้นล่างของวังใต้มีแท่นวิภาไร้เขต ที่ขังข้าเอาไว้ตลอดห้าหมื่นปีที่ผ่านมา นับว่าเป็นสมบัติที่ไม่เลวเลย แต่ด้วยพลังของเจ้าแล้วก็ไม่อาจเก็บมันเอาไว้ได้” หลงหมิงกล่าว

“เจ้ามนุษย์ตัวน้อย พวกเรามาเจรจากันหน่อยดีหรือไม่ ขอเพียงเจ้าพาข้าออกไปจากที่นี่หากข้าสามารถฟื้นฟูพลังกลับมาได้เมื่อไหร่ ข้าจะตอบแทนเจ้าอย่างดี”

หลัวซิวหรี่ตาลงแล้วยิ้ม “แน่ใจหรอว่าจะไม่ได้มาเพื่อแก้แค้นฉัน”

“คนอย่างหลงหมิงจะตอบแทนบุญคุณด้วยการแก้แค้นได้อย่างไง” หลงหมิงกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์

มังกรกับมนุษย์จ้องตากันภายในอุโมงค์มืด ตั้งแต่เริ่มแรกจนถึงตอนนี้พลังจิตแท้เปลวไฟดำขนาดใหญ่ของหลัวซิวก็ยังคงอยู่โดยมัดอีกฝ่ายหนึ่งเอาไว้

“ให้ฉันเอาตราสำนึกฝังเข้าไปในตัวหยั่งรู้ของแก ฉันถึงจะวางใจ” หลัวซิวกล่าวด้วยน้ำเสียงเครียด

“ไม่มีทาง! ให้แกเข้าไปในตัวหยั่งรู้ของฉัน นั่นไม่เท่ากับว่าชีวิตนี้ของฉันที่เหลือจะถูกควบคุมโดยแกหรอกหรือ” หลงหมิงแผดเสียงคำราม

ในสมัยโบราณ อย่างน้อยๆ เขาก็เป็นถึงทายาทมังกรไร้ร่างของเผ่ามังกรตัวหนึ่ง จึงมีความภาคภูมิใจในตัวเอง จะยอมถูกเผ่ามนุษย์ควบคุมได้อย่างไร

“ต่อให้ฉันไม่ฝังตราสำนักเข้าไปอยู่ในตัวหยั่งรู้ของแก ชีวิตนี้ของแกก็อยู่ในมือของฉันแล้วตอนนี้” หลัวซิวยิ้มอย่างอำมหิต

เขาตั้งใจไว้แต่แรกแล้วว่าจะไม่ปล่อยมังกรไร้ร่างตัวนี้ไป ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่อีกฝ่ายมีชีวิตอยู่มาตั้งแต่สมัยโบราณอีก ลำพังแค่เรื่องที่มังกรไร้ร่างสามารถควบคุมอากาศได้ แค่นี้ก็ถือว่ามีประโยชน์กับตนไม่น้อยแล้ว

สุดท้ายแล้ว หลงหมิงก็ทำได้เพียงยอมอ่อนข้อให้เท่านั้น และปล่อยให้หลัวซิวนำตราหยั่งรู้มาฝังไว้ในตราสำนึก

เพียงแค่หลัวซิวเริ่มท่องคาถา ตราสำนึกก็แตกออกทันทีและแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เข้าไปในวิญญาณหยั่งรู้ของมัน

หลงหมิงเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ทวนนภาพรากชีวีทำให้กลับมาเกิดใหม่ พลังอมตะอันนี้ในเมื่อมีชื่อเรียกว่าทวนนภา เพราะโอกาสที่จะประสบความสำเร็จมีน้อยมาก

ตั้งแต่สมัยโบราณ ก็มีผู้แข็งแกร่งผู้ยิ่งใหญ่จำนวนไม่น้อยที่อายุขัยหมดแล้วและพยายามใช้วิชาพลังอมตะทวนนภาพรากชีวี และส่วนใหญ่แล้วก็มักจะประสบกับความล้มเหลว

ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้กลับมาเกิดใหม่ และได้หนีออกจากวังใต้ที่ตนถูกขังมากว่าห้าหมื่นปี หลงหมิงไม่อยากถูกสังหารด้วยฝีมือของมนุษย์ตัวน้อยคนหนึ่ง เพราะนั่นคงทำให้มันช้ำใจมาก

“ยอมถอยให้มันก่อนก็แล้วกัน รอให้พลังของข้าฟื้นฟูกลับมาดังเดิมก่อน มันจะได้เห็นดีแน่” หลงหมิงคิดในใจเช่นนี้[1][1]

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 221 การฝึกฝนตลอดครึ่งปี

 

การโจมตีด้วยตราธรรมจุติมรณะ มีความพิศวงของทั้งพลังแห่งชีวิตและพลังแห่งความตายรวมเข้าไว้ด้วยกัน เป็นวิธีการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของหลัวซิวในตอนนี้

กฎดั้งเดิมเก้าภาพ เขาเข้าใจทะลุปรุโปร่งถึงภาพที่สอง ส่วนความเข้าใจต่อพลังสองระดับความเป็นตายนั้นกลับอยู่ระดับขั้นต้นเท่านั้น

เขาสามารถใช้พลัง ATTR ระหว่างพลังชีวิตกับพลังความตายสลับกันได้ตามต้องการ แต่การใช้พลังชีวิตกับพลังความตายแบบรวมเข้าด้วยกันเพื่อให้เกิดความแข็งแกร่งมากขึ้นนั้น เขายังไม่สามารถทำได้

ที่เขาสามารถใช้ตราธรรมจุติมรณะได้ เป็นเพราะว่าเขาอาศัยลูกแก้วความเป็นตายฝึกฝนพลังจิตแท้สองระดับ

และเป็นเพราะว่าเขายังไม่สามารถตระหนักรู้ถึงความลึกลับของการรวมความเป็นตายเป็นหนึ่ง ดังนั้นทุกครั้งที่เขาใช้ เขาจะใช้พลังจิตแท้จนหมดเกลี้ยง

หากเขาสามารถตระหนักรู้ถึงความลึกลับที่อยู่ในนั้นได้ นั่นถึงจะเรียกได้ว่าเขาสามารถควบคุมตราธรรมจุติมรณะได้จริงๆ

จากพลังของตราธรรมจุติมรณะรวมเข้ากับพลังแปรเสวียนเทียน 24 เท่า ทำให้เขาสามารถสังหารมังกรเจียวอัคนีที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับอสูรกายที่ฝึกจิตขั้น 8 ได้

เมื่อร่างเนื้อของหลัวซิวเข้าสู่ขั้นร่างยุทธ์สูงสุดแล้ว ร่างกายของหลัวซิวสามารถรับแรงกระแทกจากพลังแปรเสวียนเทียน 24 เท่าได้ถึงสามครั้ง

แม้ว่าการต่อสู้กับมังกรเจียวอัคนีสี่ครั้งภายในระยะเวลาหนึ่งเดือน จะทำให้พลังยุทธ์ของหลัวซิวเพิ่มขึ้น

แต่หากเป็นผู้เป็นอมตะจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นสักครั้ง

และด้วยพลังยุทธ์ของร่างกายเขาที่เพิ่มขึ้น เขาก็ยิ่งต้องการต่อสู้กับคู่แข่งที่แข็งแกร่งขึ้น เขาถึงจะได้สัมผัสกับความท้าทายของแดนตันแห่งความเป็นตาย

เมื่อเดินไปเรื่อยๆ จนถึงบริเวณรอบนอกของแดนตันแห่งความเป็นตาย แล้ว หากไม่ระวังก็เหมือนกับดักที่อาจจะตายได้ทุกเมื่อโดยไร้แผ่นดินฝัง

“การฝึกจิตขั้น 8 ของมังกรเจียวอัคนีไม่สามารถสร้างความท้าทายให้กับเราได้มากเพียงพอ เช่นนั้นเราจะไปตามหาอสูรกายฝึกจิตขั้น 9 ถ้ายังไม่ได้อีกก็จะไปตามหาอสูรกายที่มีพลังเทียบเท่ากับราชายุทธ์”

การเลื่อนระดับการฝึกตนได้โดยใช้เวลาเพียงเดือนกว่า สำหรับผู้อื่นแล้ว เรื่องนี้นับว่าก้าวหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว ทว่าหลัวซิวยังคงรู้สึกว่าช้าเกินไป

เวลาที่ผ่านไปในแต่ละวัน ในดินแดนที่ลึกขึ้นของแดนนานาอสูรเขตที่ 3 นั้น มีอสูรกายฝึกจิตระดับ 8 อยู่สิบสามตัว รวมทั้งอสูรกายใหญ่ระดับ 9 อีกสามตัว

ในกลุ่มอสูรกายฝึกจิตระดับ 8 สิบสามตัวนั้น มังกรเจียวอัคนีที่โดนหลัวซิวกำจัดนั้น จัดว่ายังอยู่ในขั้นกลาง

หนึ่งในนั้นมีอสูรกายดึกดำบรรพ์สามตัว พลังแข็งแกร่งยากทัดเทียม แม้ว่าหลัวซิวจะครอบครองไพ่เด็ดอย่างตราธรรมจุติมรณะและพลังแปรเสวียนเทียนอยู่ แต่ก็ทุกครั้งก็ต้องเสี่ยงอันตรายรอบด้าน

เวลาครึ่งปีผ่านไป ผมเผ้าของหลัวซิวหลุดลุ่ยยาวถึงเอว ชุดดำที่สวมใส่อยู่ก็ขาดวิ่นทุกแห่ง ดูสกปรกมอมแมม

เมื่อครุ่นคิดอยู่แต่กับเรื่องกับเรื่องการฆ่าฟันและบำเพ็ญตบะ หลัวซิวไม่มีเวลามาใส่ใจหน้าตาของตัวเองเลย เพราะในดินแดนนานาอสูรนี้ นอกจากเขาแล้วก็ไม่มีมนุษย์คนอื่นอีก

ท่าทางของเขาตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับคนป่า แต่ดวงตาคู่ที่ถูกผมเผ้าบดบังอยู่นั้นกลับปรากฏแววดุร้ายราวสัตว์ป่า

ไอสังหารเริ่มรุนแรงขึ้น ห้วงยุทธ์กระบี่สังหารก็เริ่มขยายใหญ่ เขานั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้นดูคล้ายกับสัตว์ร้ายที่กำลังจำศีล ไม่ว่าผู้ใดเห็นต่างต้องหวาดกลัว

ตอนนี้เขาอยู่ที่ดินแดนนานาอสูรเขตสามแห่งนี้ เรียกได้ว่าเป็นเจ้าแห่งสถานที่แห่งนี้

ป่าที่เป็นที่อยู่อาศัยของมังกรเจียวหยกอัคนีเดิมตอนนี้ได้กลายเป็นฐานที่ตั้งของเขาแล้ว เขาได้วางค่ายกลระดับ 4 ไว้ที่นี่ถึง 10 กว่าค่าย ทำให้สถานที่แห่งนี้มีความมั่นคงปลอดภัยมาก

การขัดเกลาจากการต่อสู้เข่นฆ่ามากว่าครึ่งปี ร่างกายของเขาได้ยกระดับขึ้นเป็นร่างยุทธ์สูงสุดช่วงหลัง เทียบเท่ากับมังกรเจียวหยกอัคนี

ยาเลี้ยงจิตมีจำนวนไม่มากนัก และเขาได้ใช้มันจนหมดแล้ว พลังของตัวสำนึกจึงมีความสามารถเทียบเท่ากับการฝึกจิตขั้น 8

หากใช้ห้วงยุทธ์กระบี่สังหารรวมกับวิญญาณในการโจมตี สามารถต่อสู้กับผู้ฝึกจิตขั้น 9 ได้

การฝึกตนของเขา หลังจากใช้ยากลั่นจิตไปกว่าร้อยเม็ด เพื่อกระตุ้นผู้เป็นอมตะถึงสามครั้ง สุดท้ายจึงบรรลุถึงขั้นฝึกจิตขั้น 5

ทุกครั้งที่กระตุ้นผู้เป็นอมตะ นั่นหมายความว่าเขาได้เอาตัวเองเข้าไปอยู่ในแดนตันแห่งความเป็นตาย

การกระตุ้นถึงสามครั้ง นั่นหมายความว่าเขามีความเสี่ยงที่จะสิ้นชีพถึงสามครั้งเช่นกัน

การบำเพ็ญตบะที่ทุกข์ทรมานเช่นนี้ พลังยุทธ์ของเขายกระดับขึ้นภายในเวลาครึ่งปีจนมาถึงขั้นนี้ ก็เพียงพอที่จะทำให้เห็นได้ว่าหลังจากฝึกจิตแล้ว การยกระดับในแดนโลกยุทธ์มีความยากลำบากขนาดไหน

“ยังมีเวลาอีกสามเดือน แดนปริศนาคงใกล้จะต้องเริ่มต้นแล้ว หักจากเวลาที่ต้องไปที่ประเทศเทียนหวูออกแล้ว ฉันยังมีเวลาเหลืออีกสองเดือน”

บนก้อนหินขนาดยักษ์สีแดงเพลิง หลัวซิวค่อยๆ ลืมตาที่เต็มไปด้วยความดุร้ายขึ้น ใบหน้าของเขาคมปลาบและเย็นยะเยือก

เขาเคลื่อนตัวไปราวกับเข้าไปในสายลม ลำตัวพลิ้วไหวแล้วบินมุ่งหน้าไปยังพื้นที่ลึกขึ้นของเขตที่สาม

“โฮ่วว!”

หมีดำที่ลำตัวสูงกว่าสิบจั้งปีนออกมาจากถ้ำ มันใช้อุ้งมือทุบลงบนพื้นดินจนเกิดรอยร้าวราวกับใยแมงมุม แววตาอันดุร้ายของมันจ้องไปที่แขกที่ไม่ได้รับเชิญกลางท้องฟ้า

ด้านหลังและบนไหล่ของหมีดำตัวนี้ปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีฟ้า ราวกับมันกำลังสวมเกราะนักยุทธ์อยู่

ตรงหว่างคิ้วของหมีดำตัวนี้มีรอยสายฟ้าบางๆ ปรากฏอยู่ เป็นกระแสไฟสีฟ้าเปล่งประกาย

มันคือหนึ่งในสามของอสูรกายใหญ่ในเขตที่ 3 แห่งนี้

หมีเดือดอัสนี อสูรกายฝึกจิตขั้น 9

หลังจากที่อสูรกายฝึกจิตขั้น 8 ไม่สามารถให้พลังที่แข็งแกร่งมากพอกับเขาได้ หลัวซิวจึงตั้งใจมาเพื่อฆ่าหมีเดือดอัสนีตัวนี้ถึงหกครั้ง

ทุกครั้งเขาจะหนีกลับไปด้วยอาการบาดเจ็บสาหัส การกระตุ้นผู้เป็นอมตะถึงสามครั้งทำให้เขาเกือบสิ้นใจไปถึงสามครั้ง และนี่คือสิ่งที่หมีเดือดอัสนีตัวนี้มอบให้

ตู้ม!

หมีเดือดอัสนีอ้าปากแล้วปล่อยสายฟ้าออกมาผ่าไปยังหลัวซิว

“จังหวะได้!”

ดวงตาของหลัวซิวเป็นประกายระยับ ผมยาวรุงรังโดนแรงระเบิดจนปลิวสยาย เขาปล่อยหมัดออกไปแล้วทุบสายฟ้าที่พุ่งเข้ามาจนแตกกระจาย

สายฟ้านั้นมีพลังดุดันมาก ทำเอาเขาต้องถอยหนีกลางอากาศไปสองก้าว กระแสไฟที่อยู่รอบๆ ตัวเขา ทำให้รู้สึกแสบๆ คันๆ หมัดของเขาปรากฏรอยไหม้ดำ

และเป็นเพราะร่างเนื้อของเขาถึงระดับร่างยุทธ์สูงสุดช่วงปลายเพราะหากเป็นเมื่อครึ่งปีก่อน หากเขากล้าใช้ร่างเนื้อปะทะเข้ากับสายฟ้าเช่นนี้ เขาจะต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างแน่นอน

ฟึบ!

ร่างของเขาหายวับไปจากที่เดิม เขาสามารถควบคุมการใช้วิชาท่าร่างตามลมจันทรา และฝึกฝนจนถึงแดนบริบูรณ์

กระบี่ยุทธ์ออกมาจากฝักแล้วฟันไปที่รอยสายฟ้าที่เปล่งประกายอยู่ตรงกลางหว่างคิ้วของหมีเดือดอัสนี

แม้ร่างกายของหมีเดือดอัสนีจะดูอืดอาด ทว่าการเคลื่อนไหวของมันรวดเร็วนัก เมื่อใช้อุ้งเท้าตะปบออกมาสายฟ้าก็พุ่งสอดประสานกันจนกลายเป็นตาข่ายสายฟ้าผืนใหญ่ที่ร่วงลงมาจากด้านบน

“พลังแปรเสวียนเทียน 6 เท่า!”

เพลิงมรณะระเบิดออกมารอบๆ กาย สายฟ้ากับเปลวไฟสีดำปะทะเข้าใส่กันส่งเสียงดังสนั่น ตาข่ายสายฟ้าถูกเปลวไฟสีดำขวางเอาไว้จนไม่สามารถเข้าประชิดได้

กระบี่ยุทธ์ของหลัวซิวถูกอุ้งเท้าของหมีดำตะปบบเอาไว้ พลังย้อนกลับรุนแรงทำเอากระบี่ยุทธ์ส่งเสียงหึ่มแล้วทำท่าคล้ายจะหลุดมือ

นี่ทำให้หลัวซิวขมวดคิ้วแน่น สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาหลังจากที่การฝึกตนของเขายกระดับขึ้น ร่างเนื้อของเขาก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นตาม เวลาที่ใช้กระบี่ยุทธ์ดินทำให้เขารู้สึกไม่ถนัดมากขึ้นเรื่อยๆ

อีกทั้งกระบี่ยุทธ์ดินทั้งสามเล่มที่ราชาปู้เฉินเป็นคนหลอมเอาไว้ไม่ได้มีพลัง Attr อยู่ด้วย นั่นหมายความว่านักยุทธ์คนใดก็ตามที่ฝึกฝนพลังจิตแท้ Attr ล้วนสามารถใช้ได้

แต่เป็นเพราะภาพรวมนี้กลับทำให้มันดูธรรมดาเกินไป

ในบรรดากระบี่ยุทธ์ดินระดับกลาง สองเล่มที่อยู่ในมือของหลัวซิวถือเป็นเล่มที่ธรรมดามากที่สุด เพราะราชาปู้เฉินเป็นแค่ปรมาจารย์หลอมอาวุธขั้น 5 เท่านั้น ฝีมือที่เกินความสามารถทำให้เขาหลอมกระบี่ยุทธ์ดินระดับกลางได้ แต่ย่อมไม่สามารถหลอมอาวุธที่มีคุณภาพใกล้เคียงกับปรมาจารย์หลอมอาวุธขั้น 6 ได้

สำหรับยอดฝีมือในโลกยุทธ์นั้น ไม่จำเป็นเสมอไปว่าระดับของอาวุธยิ่งสูงยิ่งดี แต่ต้องเป็นอาวุธที่เหมาะสมกับตัวเองมากที่สุดต่างหากถึงจะทำให้แสดงพลังอันแข็งแกร่งของตัวเองออกมาได้

อย่างเช่นกระบี่ยุทธ์ที่อยู่ในมือของหลัวซิวเล่มนี้ ความคมนั้นเพียงพอแล้ว แต่น้ำหนักเบาเกินไป ทำให้เขารู้สึกว่าพยายามเท่าไหร่ก็ไม่สามารถแสดงพลังที่ดีที่สุดออกมาได้

และนี่เองคือเหตุผลที่ว่าทำไมนักยุทธ์ส่วนมากเวลากลั่นร่างถึงได้ใช้อาวุธที่มีขนาดใหญ่

ห้วงยุทธ์ที่หลัวซิวตระหนักคือห้วงกระบี่พิฆาต ดังนั้นอาวุธที่เหมาะสมกับเขามากที่สุดควรจะเป็นกระบี่ทุ้ม สักเล่ม

และมีผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์บางคนที่กลั่นร่าง จะนิยมใช้ร่างเนื้อเป็นอาวุธที่ดีที่สุด ใช้ร่างเนื้อของตัวเองเป็นอาวุธ การต่อสู้รอบด้าน แม้ว่าหมัดจะสลายไปในอากาศก็ยังสามารถเอื้อมคว้าดาวได้

เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!

ภายในชั่วพริบตา หลัวซิวกับหมีเดือดอัสนีก็ได้ต่อสู้แลกมือกันไปกว่าร้อยรอบแล้ว

ชีพจรของเขาอึดทน พลังจิตบริสุทธิ์แข็งแกร่ง แม้ว่าจะต้องรับมือกับศึกใหญ่ก็ไม่ทำให้เขามีอาการหมดแรง

ก่อนหน้านี้ ทุกครั้งที่เขาต่อสู้กับหมีเดือดอัสนี เขาจะต่อสู้อย่างมากไม่เกินสิบกว่ารอบแล้วก็จะหนีหายไป แต่ตอนนี้เขามีพลังยุทธ์ที่แข็งแกร่งแล้วจึงสามารถเผชิญหน้าต่อสู้กับอสูรกายใหญ่ระดับ 9 ได้

ทว่าพลังยุทธ์ของหลัวซิวยังด้อยกว่าหมีเดือดอัสนีอยู่เล็กน้อย เลือดปราณมนร่างของเขาเต้นตุบๆ และมักจะตกอยู่ในสถานการณณ์ที่เสียเปรียบ

“หมีดำ รอข้ากลับมาจากร่องวังใต้ก่อนเถอะ แล้วจะมาจัดการเจ้า!”

เมื่อผ่านศึกครั้งใหญ่ทำให้หลัวซิวรู้สึกตัวเบา เขาผิวปากยาวก่อนจะลอยขึ้นฟ้าแล้วหายตัวไป

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 220 การต่อสู้ระหว่างงูกับมนุษย์

 

สายตาของหลัวซิววับไหว เขากระทืบเท้าทั้งสองอย่างแรง ร่างของพุ่งทะยานลอยขึ้นฟ้า แล้วดึงกระบี่ยุทธ์ออกมาจากฝัก

คนหนึ่งคนกับมังกรหนึ่งตัว ความแตกต่างของร่างกายนั้นห่างไกลนัก ทั้งสองต่อสู้กันอย่างดุเดือดอยู่กลางท้องฟ้า

กระบี่ยุทธ์ดินระดับกลางฟันไปที่ลำตัวของมังกรเจียวหยกอัคคี แต่นี่เพียงแค่ทำให้เกล็ดตามลำตัวแตกไปบางส่วนเท่านั้น ลำตัวของมังกรเจียวนั้นแข็งแกร่งมากจนน่าตื่นตะลึง

พลังแห่งความตายในเพลิงมรณะ สามารถทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ ทว่าด้วยร่างกายของมังกรเจียวที่มีขนาดมหึมา จึงไม่ทำให้ร่างกายของมันได้รับอันตรายใด

ส่วนเกล็ดของมันนั้นมีเพียงบางส่วนเท่านั้นที่ได้รับอันตราย มังกรเจียวหยกอัคนีป้องกันตัวได้อย่างแน่นหนา ไม่เปิดช่องให้หลัวซิวมีโอกาสได้โจมตี

เปรี้ยง!

กระบี่ยุทธ์ดินฟันลงไปอีกครั้งที่อุ้งเท้าของมังกรเจียว จนเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว หลัวซิวโดนแรงระเบิดจนร่างของเขาตกลงมาจากกลางท้องฟ้า ทำให้เอาต้นไม้โบราณหักโค่นแล้วลงไปกระแทกบนพื้นอีกครั้งจนเกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่

ด้วยความแข็งแกร่งของร่างมังกรเจียวตัวนี้ ทำให้มั่นใจได้ว่าร่างของมันจะต้องอยู่ในระดับสูงสุดของร่างยุทธ์ช่วงหลังแล้ว

มังกรเจียวที่อยู่กลางท้องฟ้าส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวด กรงเล็บของมันเป็นจุดเดียวที่ด้อยกว่ามังกรเจียวเขาเดียว แต่หากวัดกับกระบี่ยุทธ์ดินแล้วถือว่ายังอ่อนกว่า จึงทำให้เลือดของมันไหลซิบๆ

มังกรเจียวหยกอัคนีอ้าปากพ่นเปลวไฟออกมา เปลวไฟร้อนแรงแผดเผาให้บรรยากาศรอบด้านกระเพื่อมไปด้วยไอร้อน

ไอกระบี่สีดำรูปมังกรพุ่งทะยานออกมาจากหลุมปะทะเข้ากับเปลวไฟของมังกรเจียว แรงระเบิดรุนแรงจนกระจายสะท้อนไปทั่ว

ไอกระบี่ของหลัวซิวไม่ได้ทัดทานกับเปลวไฟนั้นได้ แต่โดนเปลวเพลิงของมังกรเจียวนั้นดูดกลืนหายเข้าไป เห็นได้ชัดว่าเปลวไฟนี้ไม่ใช่เปลวไฟธรรมดา แต่เป็นอัคคีอสูรในร่างที่ผ่านการบำเพ็ญมาแล้ว

หลังจากเปลวเพลิงของมังกรเจียวดูดกลืนไอกระบี่ไปจนหมดแล้ว มันก็ยังไม่มีทีท่าถอยหนี แต่กลับมุ่งหน้าบุกเข้าใส่หลัวซิวอีกครั้ง

“ตราธรรมจุติมรณะ!”

หลัวซิวลอยขึ้นมาจากหลุม มือทั้งสองทำท่าทางต่างๆ อย่างพัลวัน พลางร้องตะโกนออกไป ตราธรรมจุติมรณะในจุดตันเถียนชี่ไห่บินวนรอบด้วยความเร็ว

ภาพเสมือนของวัฏจักรชีวิตภาพใหญ่ปรากฏอยู่กลางท้องฟ้า มือทั้งสองของหลัวซิวผลักออกไปทำให้วัฏจักรชีวิตที่เป็นภาพเสมือนพุ่งออกไปโจมตีกับมังกรเจียวอัคนี

สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือแรงระเบิดอันน่ากลัว ตอนนั้นหลัวซิวเองก็กระเด็นออกไปไกล เขารู้สึกราวกับว่ากระดูกทั่วร่างของเขากำลังจะหัก ภาพทุกอย่างรางเลือน ร่างกายของเขาราวกับกำลังจะฉีกขาด

เมื่อเหลือบตาขึ้นไปมอง จึงเห็นว่าอาการของมังกรเจียวก็ไม่สู้ดีนัก ภาพเสมือนวัฏจักรที่แปรเปลี่ยนมาจากตราธรรมจุติมรณะได้ปะทะกับอัคคีอสูรเอาไว้ แล้วพุ่งเข้าไปโจมตีลำตัวของมัน เกล็ดของมันจึงแหลกละเอียดไปเป็นจำนวนมากและมีเลือดไหลออกจากลำตัว มันดิ้นทุรนทุรายอยู่กลางท้องฟ้า เลือดอสูรกระเซ็นไปทั่วทั้งท้องฟ้า

“แม่งเอ๊ย แข็งแกร่งขนาดนี้เลยรึ”

หลัวซิวเบิกตากว้าง ตราธรรมจุติมรณะคือสิ่งที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาแล้ว เมื่อรวมเข้ากับพลังแปรเสวียนเทียน 24 เท่า สามารถกำราบปรมาจารย์ฝึกจิตทุกระดับที่อยู่ระดับต่ำกว่าราชายุทธ์ได้ทั้งสิ้น

ทว่ามังกรเจียวอัคนีตัวนี้เมื่อถูกแรงระเบิดกลับแค่ได้รับบาดเจ็บหนัก แต่ไม่ถึงแก่ความตาย

แต่หลังจากที่หลัวซิวใช้ตราธรรมจุติมรณะไปแล้ว พลังจิตแท้ของเขาก็ถูกเผาผลาญไปจนหมด

หลัวซิวหยุดคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนที่ดวงตาของเขาจะส่องประกาย เขาจำต้องยอมปล่อยมังกรเจียวหยกอัคคีไปก่อน เขาเคลื่อนตัวแล้วหายไปกลางป่าลึก

ในถ้ำแห่งหนึ่ง หลัวซิวเข้าไปแอบในนั้นพลางเอนกายพิงผนังถ้ำเอาไว้แล้วหายใจสูดอากาศเข้าไปอย่างหนักหน่วง

ในจุดตัดเถียนชี่ไห่ การเคลื่อนที่ของตราธรรมจุติมรณะขับพลังแห่งชีวิตออกมาช่วยรักษาบาดแผลตามเรือนร่างของเขา

“เรามีพลังสองระดับความเป็นตาย ไม่ว่าบาดแผลจะร้ายแรงแค่ไหน ก็จะสามารถฟื้นฟูกลับมาได้อย่างรวดเร็ว เจ้ามังเจียวหยกอัคคีนั่นจะต้องไม่ได้ใช้วิธีแบบเราแน่ รอให้เรารักษาตัวเองหายดีก่อนเถอะ แล้วค่อยไปจัดการมันทีหลัง” ระหว่างที่รักษาตัวเอง หลัวซิวก็เริ่มวางแผนในใจ

หลังจากนั้น หลัวซิวจึงหยิบยากลั่นจิต ยาเลี้ยงจิตและยาสองขั้วอัคคีเยือกออกมาจากแหวนเก็บของ รวมทั้งลูกแก้วโลหิต 30 เม็ดที่ได้มาจากการสังหารอสูรระดับฝึกจิต

……

ตระกูลเหยียน เมืองกู่เจี้ยน

“หลัวซิวปรากฏตัวขึ้นภายในเมืองกู่เจี้ยน และได้เข้าร่วมการประเมินของแก๊งนักกลั่นยาที่เมืองซานหยวน จนได้รับตราปรมาจารย์กลั่นยาระดับ 4

“ปรมาจารย์ฝึกจิตทั้งสี่คนของตระกูลเหยียนที่ดูแลเมืองซานหยวนอยู่ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร จึงแอบติดตามหลัวซิวออกจากเมืองไป ตอนนี้ได้หายตัวไปแล้ว”

“……”

ในทุกๆ ช่วงเวลา ตระกูลเหยียนจะวางเครือข่ายข่าวสารเอาไว้ในทุกๆ ที่ นั่นทำให้สามารถรวบรวมข่าวสารจากทุกที่เข้าด้วยกัน และนำมารายงานให้กับผู้ใหญ่ระดับสูงของตระกูลเหยียน

“หลัวซิวผู้นี้ ช่วงนี้ร้อนแรงนัก” ผู้อาวุโสของตระกูลเหยียนคนหนึ่งกล่าวขึ้น ม้วนกระดาษที่อยู่ในมือของเขามีข่าวสารของหลัวซิวเขียนรายงานอยู่ในนั้น

ใช้เวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งปีก็สามารถโดดเด่นออกมาได้ เด็กหนุ่มคนนี้มีโชะตาที่ไม่เลวเลย โถๆ ……ปรมาจารย์นักกลั่นยาขั้น 4 อายุ 15 ปีงั้นรึ”

ผู้อาวุโสตระกูลเหยียนวางเอกสารลง ในดวงตาของเขาปรากฏแสงวับไหว เขาหยิบปากกาที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาแล้วทำสัญลักษณ์วงกลมรอบชื่อของหลัวซิวเอาไว้

“หากมีประโยชน์ต่อตระกูลเหยียนของพวกเราก็แล้วไป แต่ถ้าไม่ก็ต้องตาย” ผู้อาวุโสตระกูลเหยียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น

ในเวลาเดียวกันนั้น เรื่องราวเดียวกันนี้ก็ปรากฏขึ้นในอีกสถานที่หนึ่ง ชื่อของหลัวซิวได้เข้าไปสู่สิบตระกูลใหญ่ของประเทศเทียนหวู รวมทั้งเป็นเป้าหมายของกลุ่มอำนาจใหญ่ๆ หลายกลุ่ม

ณ แดนนานาอสูร เขตที่สาม

หลัวซิวรักษาแผลอยู่สองวัน จากนั้นจึงใช้เวลาอีก 10 วันในการฝึกตน

ลูกแก้วโลหิตของระดับฝึกจิตทั้งหมด 30 เม็ดถูกกลั่นแปร รวมทั้งยากลั่นร่างขั้น 4 ยาสองขั้วอัคคีเยือก ในที่สุดร่างเนื้อของเขาก็บรรลุจนเข้าสู่สุดยอดแดนร่างยุทธ์ที่เขาใฝ่ฝัน

พลังจิตแท้ของเขาก็ถูกผลึกรวมเข้าอย่างแน่นหนา และเข้าใกล้การบรรลุแดนฝึกจิตขั้น 3 มากขึ้นเรื่อยๆ

ตัวสำนึกก็ได้การชุบหลอมจากยาเลี้ยงจิตจนทำให้แข็งแกร่งขึ้น ระหว่างที่ฝึกฝนอยู่นั้นก็สามารถใช้ห้วงยุทธ์กระบี่สังหารส่งเสริมตัวสำนึกได้ ทำให้การโจมตีด้วยวิญญาณเข้มแข็งมากขึ้น

หลังจากที่ฝึกจิตแล้วนั้น เขาสามารถใช้เพียงตัวสำนึกในการสังหารเพียงเสี้ยววินาที การฝึกจิตขั้นปฐมภูมิสามารถทำให้เกิดอาการบาดเจ็บได้ แม้ว่าจะเป็นการฝึกจิตช่วงกลางก็ตาม อาจจะได้รับผลกระทบจากการถูกวิญญาณต่อต้าน และหมดสติไปชั่วคราว

ในขณะที่ความเป็นตายโจมตีอยู่นั้น การหมดสติเพียงช่วงสั้นๆ ด้วยความเร็วในการใช้ดาบและพลังการโจมตีของหลัวซิวนั้น เพียงพอที่จะสังหารโดยพลันได้

มีเพียงเวลาที่ต้องเผชิญกับศัตรูที่อยู่ในระดับฝึกจิตระดับ 7 ช่วงปลายขึ้นไปเท่านั้น ที่หลัวซิวจะต้องมีวิธีการที่มากกว่านี้

เมื่อหลัวซิวเก็บธงค่ายที่วางเอาไว้บริเวณรอบๆ ถ้ำแล้ว เขาก็มุ่งหน้ากลับเข้าไปในป่ายังบริเวณที่มีมังกรเจียวอัคนีอาศัยอยู่

เวลาสิบสองวัน บาดแผลของมังกรเจียวอัคนียังไม่หายสนิท แต่ก็ดีขึ้นกว่าเดิมมากแล้ว

เมื่อสัมผัสได้ว่ามีมนุษย์เข้ามายังอาณาเขตของตัวเอง มังกรเจียวอัคนี้ก็เกรี้ยวกราดขึ้นมาอีกครั้ง สงครามระหว่างมนุษย์กับมังกรก็ได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม หลัวซิวก็บินหนีกลับไปด้วยร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลและลมหายใจที่อ่อนแรง

ท้องฟ้าสะท้านสะเทือนไปด้วยเสียงคำรามอย่างโกรธแค้นของมังกรเจียวอัคนี ลำตัวมหึมาของมันบาดเจ็บหนักจนมีเลือดไหลซิบอีกครั้งจากตราธรรมจุติมรณะ

ภายในระยะเวลาหนึ่งเดือน หลัวซิวต่อสู้กับมังกรเจียวอัคนีถึงสี่ครั้ง สามครั้งแรกหลัวซิวใช้ตราธรรมจุติมรณะจนทำให้มังกรเจียวอัคนีบาดเจ็บสาหัสแล้วหาโอกาสหนีไป

สำหรับนักยุทธ์แล้ว การเข้าไปอยู่บนเขตแดนความเป็นตายที่มีการเข่นฆ่ากันอย่างรุนแรงซ้ำแล้วซ้ำเล่านั้น สามารถกระตุ้นความสามารถเบื้องลึกในตัวได้ดีที่สุด

หลังจากผ่านการต่อสู้บนความเป็นตายมาแล้ว พลังยุทธ์ของหลัวซิวก็ยกระดับขึ้นอย่างรวดเร็ว

จนกระทั่งถึงการต่อสู้กับมังกรเจียวอัคคีในครั้งที่ 4 หลัวซิวใช้การฝึกตนของตัวเองจนเผาผลาญพลังไปจนหมด และใช้ตราธรรมจุติมรณะฟาดเข้าใส่ที่ศีรษะของมังกรเจียวอัคนีจนถึงแก่ความตายในครั้งเดียว[1][1]

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 219 มังกรเจียวหยกอัคคี

 

เขตที่ 3 แดนนานาอสูร

ที่นี่พื้นที่กว้างขวาง ชนชั้นของอสูรกายที่นี่ถึงขั้นฝึกจิตแล้วและจำศีลกันอยู่ในผืนป่าแห่งนี้

ก่อนหน้านี้ หลัวซิวเคยติดตามเหยียนเยว่เอ๋อร์มาที่นี่ครั้งหนึ่ง แต่ก็แค่มาเดินอยู่บริเวณรอบๆ เขตนี้เท่านั้น ไม่ได้เดินเข้าไปลึกมากนัก

เมื่อนึกย้อนถึงตอนนั้น มังกรเจียวเขาเดียวเกล็ดม่วงระดับฝึกจิตขั้น 4 ตัวหนึ่ง ทำเอาหลัวซิวหมดเรี่ยวแรงจนเกือบสิ้นชีวิต

ทว่าตอนนี้ ด้วยพลังยุทธ์ของเขา สามารถสังหารมันได้อย่างง่ายดายแน่นอน

บริเวณรอบนอกของเขตที่ 3 อสูรกายส่วนมากที่ครองพื้นที่นี้จะอยู่ในขั้นฝึกจิตขั้นปฐมภูมิและฝึกจิตช่วงกลาง และพื้นที่ที่ยิ่งลึกเข้าไปก็จะยิ่งมีอสูรกายที่แข็งแกร่งจำนวนมากยิ่งขึ้น รวมทั้งมีสัตว์ดึกดำบรรพ์ประหลาดอีกจำนวนไม่น้อย

มีสัตว์ดึกดำบรรพ์ประหลาดที่ฝึกจิตขั้น 9 บางตัวที่มีพลังยุทธ์ถึงขั้นที่สามารถรับมือกับผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ได้

หากฆ่าอสูรกายในแดนนานาอสูรตายได้ มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะได้รับลูกแก้วโลหิต ลูกแก้วโลหิตของอสูรกายมีความสามารถในเรื่องการเสริมปราณ และช่วยเสริมสมรรถภาพของร่างเนื้อได้ด้วย

แต่สำหรับนักยุทธ์ธรรมดานั้น ลูกแก้วโลหิตของอสูรไม่สามารถกลั่นแปรได้มากนัก ไม่เช่นนั้นแล้วโลหิตในร่างกายจะได้รับอิทธิพลจากลูกแก้วโลหิตจนเกิดการปะปน ส่งผลต่อการพัฒนาในโลกยุทธ์วันข้างหน้า

หากพิจารณาตามนี้แล้ว แดนนานาอสูรคล้ายว่าไม่มีคุณค่าอะไรมากนัก ทว่ามีเพียงคนตระกูลเหยียนจำนวนหนึ่งเท่านั้นที่รู้ว่าในแดนนานาอสูรแห่งนี้มีความลับอันยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่!

ส่วนเหยียนเยว่เอ๋อร์นั้น เมื่อก่อนเคยเป็นจักรพรรดิยุทธ์หนึ่งในสองของตระกูลเหยียน ถือเป็นคนจำนวนน้อยที่รู้ความลับนี้และนำมาบอกหลัวซิว

ความลับนั้นคือแดนนานาอสูรเขตที่ 3 และเขตที่ 4 มีโบราณสถานอยู่ที่หนึ่ง ซึ่งตระกูลเหยียนได้ตักตวงผลประโยชน์มากมายจากที่นั่น

ส่วนในเขตที่ 5 นั้น คนของตระกูลเหยียนยังไม่เคยมีใครเคยไป จึงไม่มีใครรู้ว่าที่นั่นมีโบราณสถานอยู่ด้วยหรือไม่

โบราณสถานในเขตที่ 3 คือวังใต้ นั่นเอง

ในภาพปริศนาได้ทำสัญลักษณ์ไว้บนตำแหน่งของวังใต้ ระหว่างทางที่หลัวซิวจะเดินทางไปที่วังใต้ก็ได้สังหารอสูรระดับฝึกจิตไปแล้วหลายตน

ในแดนนานาอสูรแห่งนี้มีพลังงานลึกลับอยู่มากมาย หลังจากที่อสูรกายถูกฆ่าแล้วจะผนึกรวมเป็นลูกแก้วโลหิต เมื่อผ่านช่วงเวลาไปอีกพักหนึ่งก็จะมีอสูรกายตัวใหม่ปรากฏตัวขึ้นทำให้ทุกพื้นที่มีอสูรกายอยู่ในจำนวนที่เท่าๆ กัน

ถึงแม้ว่าจะมีอสูรกายเพิ่มเช่นนี้ แต่ยาวิเศษในแดนนานาอสูรหลังจากถูกเก็บไปแล้ว กลับไม่สามารถกำเนิดขึ้นมาใหม่ได้

หลัวซิวกลับมายังทะเลสาบแห่งนั้นอีกครั้ง ตอนนั้นเขาถูกมังกรเจียวเขาเดียวเกล็ดม่วงไล่ฆ่าที่นี่ และเกิดความสัมพันธ์พิเศษที่ไม่เหมาะสมขึ้นระหว่างเขากับเหยียนเยว่เอ๋อร์

แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานหลายเดือนแล้ว แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนั้นกลับยังคงติดตาของเขาอยู่เสมอ

จนมาวันนี้ ที่ทะเลสาบแห่งนี้กลายเป็นที่พำนักของอสูรกายตัวใหม่ที่ไม่ใช่มังกรเจียวเขาเดียวเกล็ดม่วงแล้ว และก็ไม่ใช่เสือแสงเงินล่าลม แต่กลับเป็นงูมังกรลายทองที่มีเขาเดียวสีทองอ่อน

ที่ชื่อของมันจะมีคำว่ามังกรอยู่ด้วย นั่นก็เป็นเพราะว่างูมังกรลายทองมีหนวดแบบมังกร และมีเลือดของมังกรผสมอยู่อย่างจางๆ ทำให้มันแข็งแกร่งกว่าอสูรกายในระดับเดียวกันมากนัก

ริมทะเลสาบยังมีร่องรอยที่หญ้าคืนวิญญาณถูกเด็ดไปปรากฏอยู่

“โฮ่!”

เมื่อรู้สึกได้ว่ามีคนบุกรุกเข้ามาในพื้นที่ของตัวเอง งูมังกรลายทองที่อาศัยอยู่กลางทะเลสาบจึงคำรามออกมา ลำตัวงูที่ยาวกว่าร้อยเมตรก็บินขึ้นมาอยู่กลางท้องฟ้า หัวตะปุ่มตะป่ำของมันแหงนหน้าขึ้น ดวงตาอาฆาตแนวเส้นตรงปรากฏแรงสังหารออกมา

ความคิดของหลัวซิวเองก็ถูกงูมังกรลายทองขัดจังหวะ คิ้วของเขาเริ่มขมวดเข้าด้วยกัน

ฟึ่บ!

กระบี่ยุทธ์ออกจากฟัก ปราณกระบี่มังกรดำพุ่งทะยานออกมา วิชาพลังแปรเสวียนเทียนได้กระตุ้นให้พลังเพิ่มขึ้นถึงหกเท่า

คมกระบี่แรก ลำตัวมหึมาของงูมังกรลายทองถูกฟันจนกระเด็นลอยออกไปจนร้องคำรามลั่น

หลังจากนั้นทันที หลัวซิวกวัดแกว่งกระบี่ออกเป็นครั้งที่สอง เกล็ดบนตัวของงูมังกรลายทองค่อยๆ แตกละเอียด เลือดสดๆ ไหลซิบๆ ออกมา

คราวนี้งูมังกรเรียนรู้แล้วว่าตัวเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่าย จึงรีบบินขึ้นไปกลางอากาศเตรียมจะหนี

ทว่าลำตัวมหึมาของมันเพิ่งจะลอยขึ้นกลางอากาศ พลังกระบี่อัคคีดำผนึกรวมเข้าด้วยกันแล้วร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้า พลังกระบี่รวมตัวกันกลายเป็นรูปร่างมังกร เสียงดาบทำให้หัวตะปุ่มตะป่ำของมันขาดลงมา โลหิตแดงฉานพวยพุ่งเปลี่ยนทะเลสาบกลายเป็นสีแดง

จากนั้นศพของงูมังกรลายทองหายวับไปในทันที ลูกแก้วโลหิตสีแดงสดเม็ดหนึ่งตกลงมาจากท้องฟ้า หลัวซิวจึงยื่นมือออกไปคว้าเอาไว้

หลัวซิวไม่ได้โอ้เอ้อยู่ริมทะเลสาบนานนัก เขาเดินทางไปตามเส้นทางที่ถูกทำสัญลักษณ์เอาไว้ในภาพปริศนา แล้วมุ่งหน้าไปยังที่ตั้งโบราณสถานวังใต้

ระหว่างทางที่เขาเดินทางผ่านได้ลงมือสังหารอสูรกายที่ระดับต่ำกว่าฝึกจิตขั้น 7ไปตลอดทาง แม้ว่าจะเป็นสัตว์ดึกดำบรรพ์ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้หลัวซิว

เวลาสั้นๆ เพียงครึ่งเดือน อสูรระดับฝึกจิตที่ถูกหลัวซิวฆ่าตายมีถึง 30 กว่าชีวิต

และหลังจากที่หลัวซิวเดินเข้ามาสู่เขตที่ 3 ลึกขึ้นเรื่อยๆ ระยะทางไปยังซากพระราชวังรกร้างก็ยิ่งพบเจออสูรกายที่ร่างใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

ป่าหินป่วนปั่นปรากฏอยู่ตรงหน้า บรรยากาศรอบกายเต็มไปด้วยไอร้อน พลังฟ้าดินจิตเติมให้เกิดไฟที่ลุกโชนออกมา

จากกระแสสัมผัสพลังชีวิตของหลัวซิว ในป่าหินป่วนปั่นแห่งนี้เป็นที่อยู่ของอสูรกายที่มีพลังชีวิตแข็งแกร่ง แข็งแกร่งกว่าอสูรกายนักยุทธ์ที่เขาเจอมาก่อนหน้านี้ทั้งหมดมากนัก

ในขณะที่ฝีเท้าของหลัวซิวก้าวเข้าไปในป่าหินป่วนปั่น พลังงานที่รุนแรงก็ได้ถาโถมเข้าใส่หลัวซิว จากนั้นจึงปรากฏเปลวไฟลุกโชนดวงใหญ่ลอยขึ้นมาแล้วมุ่งหน้ามาที่หลัวซิว

นี่คือมังกรเจียวหยกอัคคี เกล็ดตามลำตัวของมันคือหยกที่เป็นสีเปลวเพลิงแดงฉาน

หลัวซิวเบิกตาค้าง เมื่อเห็นมังกรเจียวหยกอัคนี ทำให้เขานึกย้อนไปถึงความรู้สึกที่ตัวเองได้เจอกับองครักษ์ชุดดำที่หอคอยมังกรบินชั้น 7

จิตอาฆาตที่ไร้รูปร่างได้ก่อตัวขึ้น มังกรเจียวหยกอัคคีพ่นไฟออกมาทางจมูกสองสายราวกับสายน้ำพุ่งตรงมายังหลัวซิว

หลัวซิวเริ่มใช้วิชาท่าร่าง งูอัคคีทั้งสองได้พุ่งลงกระแทกที่พื้นทำให้พื้นระเบิดเป็นหลุมยักษ์ เปลวไฟสาดกระเซ็น แผดเผาสิ่งรอบตัวจนกลายเป็นขี้เถ้า

ตู้ม!

มังกรเจียวหยกอัคคีลอยขึ้นฟ้า ลำตัวของมันยาวเกือบ 100 จั้ง หลัวซิวอยู่ด้านหน้าของมันยังตัวใหญ่ได้ไม่เท่าดวงตาของมันด้วยซ้ำ

พื้นที่รอบตัวเกิดเป็นระลอกคลื่นสั่นไหว พลังงานของมังกรเจียวหยกอัคคีน่าพรั่นพรึงเพราะอยู่ในขั้นฝึกจิตขั้น 8 กล่าวได้ว่านี่คือคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของหลัวซิว

“เราจะฆ่ามังกรเจียวตัวนี้ได้หรือไม่ ถ้าฆ่าได้ก็จะได้ลูกแก้วโลหิต แน่นอนว่าจะทำให้ร่างเนื้อของเราแข็งแกร่งขึ้นอีกหลายเท่าตัวนัก!”[1][1]

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 218 กลับเข้าไปในแดนนานาอสูร

 

ชายวัยกลางคนคนหนึ่งเกรี้ยวกราดออกมา ฐานะของตระกูลเหยียนเมืองกู่เจี้ยนยากจะสั่นคลอน แถมยังติดอยู่ในสิบตระกูลใหญ่ของประเทศเทียนหวู คนตระกูลเหยียนไม่ว่าจะเดินไปที่ใดต่างได้รับการนับหน้าถือตา ทว่าตอนนี้กลับมีเด็กหนุ่มอายุแค่ 15 ปีมากล่าววาจาเหยียดหยามดูถูกตระกูลเหยียน นับว่ามีโทษถึงตาย

ในขณะที่เขากำลังโมโห ชายวัยกลางคนก็ก้าวออกมาแล้วผลึกรวมพลังจิตแท้ที่ปลายนิ้ว แล้วใช้ฝ่ามือผลักไปที่หลัวซิว

“ไสหัวไป!”

เมื่อเห็นอีกฝ่ายเริ่มลงมือ ไอสังหารก็แผ่ซ่านออกมาจากร่างหลัวซิว หลัวซิวกำหมัดต่อยออกไป เพลิงมรณะผนึกรวมกลายเป็นเปลวเพลิง ตัวสำนึกปรากฏห้วงยุทธ์กระบี่สังหารราวกับมีดดาบที่ไร้รูปร่างพุ่งตรงเข้าใส่วิญญาณหยั่งรู้ของฝ่ายตรงข้าม

“เอื้อ!”

ชายวัยกลางคนยังไม่ทันจะเข้าไปประชิดหลัวซิว ตัวหยั่งรู้ของเขาก็รับรู้ถึงความเจ็บปวดจนอดไม่ได้ที่จะร้องเสียงหลงออกมา

ในเวลาเดียวกันนั้น กำปั้นของหลัวซิวก็ได้ต่อยเข้าใส่ฝ่ามือของเขาอย่างแรงจนเกิดเสียงกระดูกแตกร้าว ร่างของชายวัยกลางคนผู้นั้นกระเด็นกลับไป มือด้านขวาของเขาแหลกละเอียดเต็มไปด้วยเลือดแดงฉาน

“แข็งแกร่งจริงๆ จัดการจับตัวมันมาให้ได้!”

เมื่อเห็นหลัวซิวต่อยปรมาจารย์ฝึกจิตขั้น 3 จนได้บาดเจ็บหนักด้วยหมัดเดียว สีหน้าของผู้อาวุโสจึงแปรเปลี่ยนไปและรีบออกคำสั่งทันที

เขาเชื่อมั่นว่าหากสามารถจับตัวปรมาจารย์หนุ่มนักกลั่นยาระดับ 4 คนนี้กลับไปได้ ผู้ใหญ่ระดับสูงของตระกูลเหยียนจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้เขาทำประโยชน์ให้กับตระกูลเหยียน แม้ว่าอีกฝ่ายอาจจะมีบุคคลเบื้องหลังอยู่ แต่สำหรับตระกูลเหยียนแล้ว ขอเพียงคนเบื้องหลังของอีกฝ่ายไม่มีความเกี่ยวพันกับราชวงศ์ ไม่ว่ากลุ่มอำนาจใดๆ พวกเขาก็ไม่เก็บมาใส่ใจทั้งนั้น

และเป็นเพราะเขามีตระกูลเหยียนหนุนหลังอยู่ ผู้อาวุโสคนนี้จึงกล้าพาพวกไปรุกรานคนอื่นเช่นนี้

จากนั้นชายวัยกลางคนทั้งสองคนจึงบุกเข้าใส่หลัวซิว คนหนึ่งถือกระบี่ ส่วนอีกคนหนึ่งถือมีดดาบเอาไว้

ดาบรบที่อยู่ในมือของชายที่ถือมีดดาบส่องแสงของพลังจิตที่เปล่งประกายสีเหลือง ดาบรบเสียบแหวกอากาศด้วยพลังอันแข็งแกร่ง บรรยากาศอันหนักอึ้งส่งเสียงระเบิดปะทุกังวานทั่ว

สีหน้าของหลัวซิวไม่มีอาการเปลี่ยนแปลง เขายืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน ก่อนจะเอามือเอื้อมไปข้างหลังเพื่อคว้ากระบี่ยุทธ์

“กระบี่เพลิง!”

กระบี่ยุทธ์พุ่งทะยานออกไปด้วยความเร็วสูง แม้แต่ตัวสำนึกยังยากที่จะจับได้ ทุกพื้นที่ที่กระบี่ยุทธ์เคลื่อนผ่าน อากาศจะกระเพื่อมเป็นระลอกคลื่นบางๆ

เสียงกระบี่ก้องกังวาน ดาบรบในมือชายผู้ถือมีดดาบปะทะเข้ากับกระบี่ยุทธ์ชั้นกลางจนแหลกละเอียด ดาบที่ผนึกรวมเพลิงมรณะมีความยาวถึงสิบจั้ง ห้วงเวลาที่พุ่งเข้าไปปะทะนั้น ร่างของชายผู้ถือมีดดาบก็ระเบิดจนร่างแหลกละเอียดกลายเป็นหมอกสีเลือดแดงฉาน

“ไอ้สารเลว ตายซะ!”

เมื่อเห็นปรมาจารย์ฝึกจิตถูกฆ่าตาย ผู้อาวุโสคนนั้นก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เพราะสำหรับตระกูลหยางผู้ที่มีพลังยุทธ์แข็งแกร่งเช่นนี้ กว่าจะฝึกฝนปรมาจารย์ฝึกจิตสักคนออกมาได้จะต้องสูญเสียทรัพยากรไปมากทีเดียว

การสูญเสียปรมาจารย์ฝึกจิตทุกคน คือความสูญเสียยิ่งใหญ่

หากไม่สามารถจับตัวหนุ่มชุดดำคนนี้กลับมาได้ เขาจะต้องถูกผู้ใหญ่ระดับสูงของตระกูลเหยียนลงโทษอย่างหนักแน่นอน

“รนหาที่ตายเอง” ริมฝีปากของหลัวซิวกระตุกเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน

พลังแปรเสวียนเทียนหกเท่า

วิชาพลังมังกรแท้!

หลัวซิววาดกระบี่ออกไป ปราณกระบี่รูปมังกรสีดำหมุนวนรอบพลางร้องคำรามออกมา

ชายวัยกลางคนผู้ถือกระบี่พยายามอย่างยิ่งที่จะรับมือ ทว่ากลับโดนเพลิงมรณะดูดกลืน เพียงครู่เดียวก็ถูกเผากลายเป็นขี้เถ้า

เหลือเพียงผู้อาวุโสเท่านั้นที่ฝึกตนค่อนข้างสูง จึงใช้พลังจิตแท้ปกป้องร่าง ทั่วร่างของเขาปรากฏเปลวไฟลุกโชนรับมือกับการแผดเผาของเปลวไฟดำ

แต่กระนั้นอารมณ์ของผู้อาวุโสกลับดำดิ่งถึงขีดสุด เขาพบว่าเปลวไฟสีดำที่อีกฝ่ายใช้พลังจิตแท้ผนึกรวมแข็งแกร่งกว่าพลังจิตแท้ที่ตนผนึกรวมเสียอีก

ตระกูลเหยียนขึ้นชื่อว่าชำนาญในการฝึกฝนวรยุทธ์ธาตุไฟ แต่ยังไม่เคยได้ยินเปลวไฟที่แปลกประหลาดเช่นนี้มาก่อน

ผู้อาวุโสสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า พลังชีวิตภายในร่างกายของตนคล้ายถูกเปลวไฟสีดำที่น่าหวาดหวั่นดูดกลืนอย่างไม่หยุดยั้ง

ร่างกายของเขาถูกเปลวไฟสีดำหมุนพันรอบตัว ต่อให้คิดหนีอย่างไรก็หนีไม่พ้น

“ท่านชาย ทุกอย่างเป็นเรื่องเข้าใจผิด เข้าใจผิดทั้งหมด……” ผู้อาวุโสสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายมีความสามารถที่จะฆ่าเขาได้ เขาจึงทำได้เพียงเลือกเส้นทางประนีประนอม

หลิวซิวยิ้มหยัน “เมื่อครู่นี้ท่านไม่ได้พูดอย่างนี้นี่”

พอผู้อาวุโสได้ยินดังนั้น ดวงตาของเขาก็กระสับกระส่าย แล้วหัวเราะแห้งๆ “เป็นตัวข้าเองที่ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีจนทำผิดต่อท่านชาย ขอท่านชายได้โปรดเห็นแก่ว่าข้าเป็นคนของตระกูลเหยียน แล้วโปรดไว้ชีวิตข้าไปสักครั้ง”

“เช่นนั้นผมขอถามท่านสักหน่อย ท่านรู้จักสตรีที่อยู่ในประกาศจับของเมืองกู่เจี้ยนหรือไม่ ท่านรู้หรือไม่ว่าตอนนี้เธออยู่ที่ใด” หลัวซิวเอ่ยถามเสียงเข้ม

หลัวซิวถามเรื่องราวเกี่ยวกับเหยียนเยว่เอ๋อร์จากปากของอีกฝ่าย เพราะขี้เกียจจะเสียเวลาคุยกับเขาอีก

“ท่านชายล้อเล่นแล้ว หากข้ารู้ว่าจักรพรรดิยุทธ์เทียนเฟิ่งอยู่ที่ใด ป่านนี้ข้าคงรายงานผู้ใหญ่ขั้นสูงของตระกูลไปแล้ว”

เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ แววตาของผู้อาวุโสก็เป็นประกาย “หรือว่าท่านชายรู้จักจักรพรรดิยุทธ์เทียนเฟิ่ง”

ในตอนนั้นเอง หลัวซิวก็เริ่มสังเกตเห็นว่าผู้อาวุโสได้หยิบฮู้การส่งข้อความ ออกมาจากแหวนเก็บของ

เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสคนนี้ต้องการที่จะอาศัยตอนที่ตนไม่ทันระวังตัวแล้วแอบส่งข่าวกลับไปยังผู้ใหญ่ระดับสูงของตระกูลเหยียน

ริมฝีปากของหลัวซิวปรากฏรอยยิ้มเย็นยะเยือก เขาเคลื่อนกายไปปรากฏอยู่ตรงหน้าของผู้อาวุโสแล้วแทงกระบี่ยุทธ์ออกไป

ฉึก!

ศีรษะขาดกระเด็น เลือดสดพุ่งกระชูดราวน้ำพุ เพลิงมรณะในรูปมังกรดำเผาร่างของผู้อาวุโสกลายเป็นขี้เถ้าภายในช่วงระยะเวลาสั้นๆ

ช่วงระยะเวลาสั้นๆ เพียงครู่เดียว ศพของปรมาจารย์ฝึกจิตขั้น 5 หนึ่งคนและปรมาจารย์ฝึกจิตขั้น 3 อีกสามคนพลันหายวับไปกับตา

หลัวซิวเอื้อมลงไปเก็บแหวนเก็บของที่ล่วงอยู่บนพื้นทั้งสี่วงขึ้นมา แล้วหยิบหยกอสูรจันทราคู่ออกมาจากอกทันที

หยกอสูรสองอันเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของแดนนานาอสูร แถมยังมีพลังงานที่เฉพาะตัว ไม่สามารถเก็บเอาไว้ในแหวนเก็บของได้

ระหว่างที่กำลังนำพลังจิตแท้ใส่เข้าไปยังหยกอสูร จันทราสีเลือดดวงหนึ่งกับจันทราสีเงินดวงหนึ่งก็ค่อยลอยขึ้น ลำแสงได้ปรากฏออกมาจากแท่นบูชาที่ผุพังหลังนั้น

หลัวซิวก้าวเท้าเข้าไปในลำแสงนั้นแล้วยื่นมือเข้าไปเอาหยกอสูรออกมา ทันใดนั้นเองร่างของเขาก็หายไปในทันที แท่นบูชาที่เปล่งลำแสงออกมาก็ค่อยๆ หายไปช้าๆ ทุกอย่างกลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง

กลางเชิงเขาเหลือเพียงพลังจิตแท้กระเพื่อมไหวอยู่กลางอากาศอยู่เป็นเวลานานอยากจะเลือนหายไป

พื้นที่และเวลาที่อยู่ตรงหน้าแปรเปลี่ยนไปเหลือเพียงความว่างเปล่า

เมื่อปรับสายตาเป็นปกติได้แล้ว หลัวซิวก็ได้เข้ามาอยู่ในป่ากลางเขตแดนที่ 1 ในแดนนานาอสูรแล้ว

กระแสสัมผัสพลังชีวิตและตัวสำนึกแผ่กระจายออกมา พลังของอสูรระดับชี่ไห่ตัวหนึ่งก็เริ่มปรากฏชัดเจนขึ้นมา

ก่อนที่จะเข้าไปในแดนปริศนา หลัวซิวตั้งใจที่จะมาฝึกฝนที่นี่ เขาเฝ้ารอว่าหากครบสิบเดือนแล้ว พลังของเขาจะพัฒนาขึ้นไปถึงแดนไหน

เขาลอยตัวขึ้น แล้วมุ่งหน้าไปยังค่ายวาร์ปเพื่อไปยังแท่นบูชาในเขตที่ 2 จุดมุ่งหมายของเขาก็คือเขตที่ 3 ที่มีอสูรระดับฝึกจิต อาศัยอยู่

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 217 ออกจากเมืองซานหยวน

 

“วันนี้ผมจะไปจากเมืองซานหยวนแล้ว รบกวนปรมาจารย์โอวโหวหยางช่วยจัดการรับมือกับคนพวกนั้นที” หลัวซิวกล่าว

จนถึงตอนนี้หลัวซิวยังไม่ได้ทำตามความตั้งใจที่จะขยายเครือข่ายเพื่อเสริมสร้างความน่าเชื่อถือของตนเลย หากเขาสามารถกลั่นยาระดับ 5 จนถึงระดับ 6 ออกมาได้ และสามารถรวมตัวผู้แข็งแกร่งระดับราชายุทธ์ขึ้นไปมาได้ นี่ต่างหากที่จะมีส่วนช่วยในการส่งเสริมอำนาจของเขา

ส่วนผู้ที่อยู่ในระดับปรมาจารย์ฝึกจิตนั้น……แน่นอนว่ายังไม่พอ

“วันนี้ปรมาจารย์หลัวซิวจะไปแล้วหรือ” หลังจากที่ส่งพวกปรมาจารย์ฝึกจิตกลับไปกันหมดแล้ว โอวโหวเหลียงก็กลับมาด้วยสีหน้าหมองคล้ำ

ในหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ตั้งแต่ที่เขาได้รับม้วนหยกมาจากหลัวซิว เขาก็มีแรงบันดาลใจขึ้นมาก แม้ว่าเขาจะยังไม่สามารถยกระดับประสิทธิผลและคุณภาพยาขึ้นมาได้ แต่ประสิทธิภาพในการกลั่นยาของเขาก็พัฒนาขึ้นมา หากเป็นเมื่อก่อนการกลั่นยาระดับ 4 หนึ่งเตาต้องใช้เวลาถึงครึ่งวัน แต่ตอนนี้เขาใช้เวลาเพียงสองชั่วยามก็เพียงพอแล้ว

เขามีความเชื่อว่าหากหลัวซิวยังอยู่ที่นี่ต่อ แล้วคอยอธิบายความสงสัยของเขา ระดับการกลั่นยาของเขาจะต้องพัฒนาขึ้นราวติดปีกอย่างแน่นอน

ในใจของโอวโหวเหลียงตอนนี้ ไม่รู้ว่าเขาเริ่มเกิดความรู้สึกเลื่อมใสในตัวหลัวซิวขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะแม้แต่อาจารย์ที่มีชื่อเสียงในการสอน อายุวัยรุ่นเท่านี้ยังไม่มีความสามารถในการกลั่นยาได้เท่าเขา พรสวรรค์ของเขานับว่าร้ายกาจนัก

ขอเพียงเวลาที่มากกว่านี้ คาดว่าอีกไม่นานนัก เจ้าหนุ่มคนนี้จะต้องกลายเป็นปรมาจารย์กลั่นยาขั้น 5 ที่เขาได้แต่แหงนหน้ามอง

“จริงสิ ผมอยากขอให้ปรมาจารย์โอวโหวช่วยผมสักเรื่อง” หลัวซิวเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะกล่าวออกมา

“ขอแค่ไม่เกินความสามารถของข้า ข้าจะต้องช่วยอย่างไม่มีข้อแม้” โอวโหวเหลียงตอบออกมาทันที

หลัวซิวพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม เขาสัมผัสได้ว่าโอวโหวเหลียงมีเจตนาดีกับตน แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงปรมาจารย์กลั่นยาระดับ 4 แต่ภายในสมาชิกของแก๊งนักกลั่นยา เขากลับมีช่องทางและอำนาจอยู่บ้าง ดังนั้นจึงนับว่าจะเป็นประโยชน์กับเขาไม่น้อยในวันข้างหน้า

“ผมอยากได้น้ำแร่วิญญาณ ผลหู่หยางจูและหญ้าวิญญาณ ไม่ทราบว่าปรมาจารย์โอวโหวหยางพอจะมีช่องทางให้ได้มาซึ่งวัตถุดิบทั้งสามชนิดนี้หรือไม่” หลัวซิวกล่าวถามออกไปตามตรง

น้ำแร่วิญญาณ ผลหู่หยางจูและหญ้าวิญญาณ……

เมื่อโอวโหวเหลียงได้ยินชื่อวัตถุดิบทั้งสามประเภทนี้ สีหน้าของเขาก็กระตุกเกร็ง

เพราะของเหล่านี้ล้วนเป็นตัวยาหลักที่ใช้ในการกลั่นยาวิญญาณหยินหยาง

ยาวิญญาณหยินหยางเป็นยาระดับ 6 แถมยังเป็นยาระดับ 6 ที่อยู่ในระดับสูง ทั่วทั้งประเทศเทียนหวูนี้มีเพียงปรมาจารย์ระดับ 6 ในเมืองหลวงเท่านั้นที่สามารถกลั่นยาออกมาได้

นอกจากนี้ยาวิญญาณหยินหยางยังเป็นยาที่ใช้ในการรักษาเทพจิตที่บาดเจ็บโดยเฉพาะ

ในมุมมองของโอวโหวเหลียง หลัวซิวไม่มีทางใช้ยาชนิดนี้ได้ เพราะยานี้จัดทำไว้สำหรับผู้แข็งแกร่งที่เป็นจักรพรรดิยุทธ์ขึ้นไปเท่านั้น ดังนั้นสิ่งแรกที่เขานึกถึงก็คืออาจารย์ปริศนาที่อยู่เบื้องหลังหลัวซิวเท่านั้น

หลัวซิวไม่ได้อธิบายอะไรออกไป โอวโหวเหลียงจึงไม่กล้าถามเช่นกัน

“ของทั้งสามชนิดนี้มีแค่ในประเทศเทียนหวูเท่านั้น ข้าสามารถใช้ช่องทางภายในของแก๊งนักกลั่นยาช่วยเจ้าสืบข่าวเรื่องนี้ได้”โอวโหวเหลียงกล่าว

เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลัวซิวจึงพยักหน้า ของทั้งสามชนิดนี้หลัวซิวไม่ได้รีบร้อนอยากได้มากนัก เพราะยาวิญญาณหยินหยางนี้ อย่างน้อยๆ เขาต้องฝึกตนให้ถึงระดับราชายุทธ์ก่อนถึงจะสามารถกลั่นยาได้

ทว่าขอเพียงเขารู้ว่าของเหล่านี้ปรากฏอยู่ที่ไหน แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว

“เช่นนั้ต้องขอรบกวนปรมาจารย์โอวโหวช่วยผมตามหาของทั้งสามชนิดนี้แล้ว และวานติดต่อผมเมื่อได้ข่าว” หลัวซิวกล่าว

จากนั้นเขาจึงหยิบกล่องส่งเสียงออกมา จากนั้นจึงช่วยโอวโหวเหลียงประทับตราลงบนกล่องส่งเสียง เพื่อใช้ในการติดต่อซึ่งกันและกันในวันข้างหน้า

เมื่อทุกอย่างตระเตรียมเรียบร้อยแล้ว หลัวซิวจึงกล่าวลาโอวโหวเหลียง และตามหาประตูสู่แดนนานาอสูรบริเวณใกล้เคียงเมืองซานหยวน

บริเวณประตูเมืองซานหยวนมีป้ายประกาศจับถูกติดเอาไว้ โดยเป็นรูปของเหยียนเยว่เอ๋อร์ ผู้ใดก็ตามที่สามารถให้เบาะแสที่มีประโยชน์จะได้รับการตอบแทนจากตระกูลเหยียน เมืองกู่เจี้ยนอย่างสูง

ประกาศจับถูกติดเอาไว้ทั่วบริเวณเมืองกู่เจี้ยน จึงเป็นข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนว่าตระกูลเหยียนยังจับตัวเหยียนเยว่เอ๋อร์ไม่ได้

สำหรับหลัวซิวแล้ว นี่ไม่นับว่าเป็นข่าวร้ายเท่าไหร่นัก

หลัวซิวใช้เวลาทั้งสิ้นสามวัน กว่าจะสัมผัสได้ถึงการขยับตัวของหยกจันทราคู่อสูรบริเวณเชิงเขาห่างจากเมืองซานหยวนไปสามร้อยกว่าเมตร

บริเวณเชิงเขามีแท่นบูชาทรุดโทรมหลังหนึ่ง สัญลักษณ์ลายเส้นค่ายกลที่อยู่ด้านบนทั้งหมดถูกทำลายไปสิ้น เห็นได้ชัดว่าถูกปล่อยรกร้างมาหลายปีแล้ว

“ทุกท่านตามผมมาตั้งนานแล้ว ตอนนี้ออกมาได้แล้วล่ะ”

หลัวซิวหันไปมองผืนป่าบริเวณเชิงเขา เขารู้สึกว่ามีคนสะกดรอยตามมาตั้งแต่ตอนที่เขาออกจากแก๊งนักกลั่นยาที่เมืองซานหยวนแล้ว

แม้ว่าคนพวกนี้จะคิดว่าตัวเองซ่อนตัวได้ดีมากแล้ว แต่จากกระแสสัมผัสพลังชีวิต พลังชีวิตที่สุกสว่างเปล่งแสงราวหิ่งห้อยกลางคืนมืดที่สดใสชัดเจน

หากไม่มีกระแสสัมผัสพลังชีวิต ต่อให้ตัวสำนึกของเขาเทียบเท่ากับการฝึกจิตช่วงกลางก็อาจจะไม่สามารถค้นพบการสะกดรอยตามของคนพวกนี้ได้

เงาของคนทั้งสี่เดินออกมาจากป่า สีหน้าของพวกเขารู้สึกประหลาดใจกับหลัวซิวมากที่ค้นพบว่าพวกเขาสะกดรอยตามมา

หลัวซิวกวาดตามองคนทั้งสี่ ผู้ที่นำมาคือผู้อาวุโสคนหนึ่ง ด้านหลังมีชายวัยกลางคนสามคนเดินตามหลังมา การฝึกตนของผู้อาวุโสคนนั้นคือระดับฝึกจิตขั้น 5 ส่วนที่เหลืออีกสามคนอยู่ในระดับฝึกจิตขั้น 3

“ฮ่าๆ ผู้น้อยค้นพบพวกเราได้ ข้ารู้สึกประหลาดใจนัก” สีหน้าของผู้อาวุโสคนนั้นยิ้มแย้มพลางเดินเข้ามา

“ทุกท่านตามผมมาตลอดทางตั้งแต่เมืองซานหยวน ไม่ทราบว่ามีเรื่องใดหรือ” หลัวซิวเอ่ยถามอย่างแข็งกระด้างพร้อมๆ กับปล่อยห้วงยุทธ์กระบี่ของตัวเองออกมา

เมื่อรับรู้ได้ถึงความดุร้ายที่พุ่งตรงเข้ามาที่พวกตนอย่างรุนแรง สีหน้าของผู้อาวุโสและผู้ติดตามพลันแปรเปลี่ยนไปพร้อมๆ กัน

ห้วงยุทธ์! มีเพียงราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่งบางคนเท่านั้นที่จะสามารถควบคุมห้วงยุทธ์ได้ ทว่าตอนนี้กลับปรากฏอยู่ในตัวของเด็กหนุ่มที่มีอายุราว 15 ปีคนหนึ่ง

ผู้อาวุโสหรี่ตาลง “ผู้น้อยอายุยังน้อยแต่กลับเป็นถึงปรมาจารย์กลั่นยาขั้น 4 ได้ ไม่ทราบเป็นใครมาจากไหนหรือ”

หลัวซิวไม่ได้รู้สึกประหลาดใจอะไรที่ผู้อาวุโสคนนี้เรียกตนว่าปรมาจารย์นักกลั่นยาขั้น 4 เพราะว่าเขาเคยปรากฏตัวที่แก๊งนักกลั่นยา แถมยังเคยเข้าร่วมการประเมินนักกลั่นยาขั้น 3 ขอแค่เป็นคนที่มีความตั้งใจสืบสักหน่อยก็จะพอเดาออกได้ว่าปรมาจารย์นักกลั่นยาขั้น 4 ที่เมืองซานหยวนก็คือเขา

“ไม่มีความจำเป็นต้องบอก” หลัวซิวกล่าวด้วยสีหน้าเฉยชา

ผู้อาวุโสคนนั้นไม่ได้ถือสาความเฉยชาของหลัวซิวเท่าไหร่นัก สีหน้าของเขายังคงปรากฏรอยยิ้มแล้วเอ่ยถามว่า “ข้าเป็นตัวแทนของตระกูลเหยียน อยากจะขอเชิญผู้น้อยไปเป็นแขกของตระกูลเหยียนของพวกเราสักครั้ง”

“ผมไม่สนใจ ถ้าหากไม่มีเรื่องอื่นแล้ว ทุกท่านก็กลับไปเถิด” หลัวซิวปฏิเสธอย่างไม่มีเยื่อใย

“ในอาณาเขตเมืองกู่เจี้ยน ไม่เคยมีใครกล้าปฏิเสธตระกูลเหยียนมาก่อน ผู้น้อยจะไม่ลองทบทวนดูใหม่หรือ” รอยยิ้มของผู้อาวุโสหายไป สีหน้าปรากฏความหมองคล้ำมาแทนที่

ในเวลาเดียวกันนั้น ปรมาจารย์ฝึกจิตสามคนที่อยู่ด้านหลังของเขาก็ก้าวขึ้นมาข้างหน้าแล้วยืนล้อมเขาเอาไว้เป็นโค้งรูปพัด

“ตระกูลเหยียนแล้วอย่างไร คนอื่นอาจจะกลัวพวกท่าน แต่ในสายตาของข้าตระกูลเหยียนไม่มีความหมายอะไรสักนิด!” หลัวซิวหัวเราะร่าออกมาอย่างไม่ไยดี

“บังอาจ! ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง เห็นว่าตัวเองมีฝีมือหน่อยแล้วจะไม่เห็นตระกูลเหยียนของพวกเราอยู่ในสายตาแบบนี้เชียวหรือ”[1][1]

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 216 กลั่นยาหนึ่งเดือน

 

“ปรมาจารย์โอวโห ท่านบอกว่าที่นี่มีปรมาจารย์กลั่นยาขั้น 4 ที่มีฝีมือเหนือกว่าท่านอีกหรือ”

“ไม่ทราบว่าปรมาจารย์โอวหยางจะพอช่วยแนะนำให้ได้บ้างหรือไม่”

ในห้องถือเป็นห้องที่มีเนื้อที่ค่อนข้างกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง ปรมาจารย์ฝึกจิตสิบกว่าคนรวมตัวอยู่ด้วยกันและกำลังสนทนาแลกเปลี่ยนกันอยู่

ปรมาจารย์ฝึกจิตเหล่านี้ล้วนเป็นยอดฝีมือที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว บางคนไร้สำนักและอีกหลายๆ คนมาจากกลุ่มอำนาจที่แตกต่างกัน

พวกเขาได้รับจดหมายเรียกจากโอวโหเหลียง จึงได้ตั้งใจเป็นพิเศษที่จะเดินทางมาที่นี่

ในบรรดาปรมาจารย์กลั่นยาขั้น 4 ของเมืองกู่เจี้ยน โอวโหเหลียงถือเป็นคนที่มีฝีมือระดับสูงคนหนึ่ง ดังนั้นจึงมีคนคนจำนวนมากที่มาขอให้เขากลั่นยาให้

แต่ตอนนี้กลับมีปรมาจารย์กลั่นยาขั้น 4 ที่มีฝีมือดีกว่าโอวโหวเหลียงปรากฏตัวขึ้น เรื่องนี้ทำให้ทุกคนพากันฮือฮาตื่นเต้น

พวกเขาไม่เชื่อว่าโอวโหวเหลียงจะหลอกพวกตน อาจารย์นักกลั่นยาแต่ละคนล้วนเป็นคนภาคภูมิใจในตัวเอง อีกอย่างยังให้ความสำคัญกับศักดิ์ศรีของตัวเองมาก จึงไม่มีทางที่จะถ่อมตัวเองแล้วไปยกย่องคนอื่น

“ทุกท่าน ปรมาจารย์คนนี้ที่เรากล่าวถึงมีนิสัยรักความสันโดษ คราวนี้เขากลั่นยาอยู่ที่เมืองซานหยวนเป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้ว ทุกท่านโปรดมอบยาวิเศษมาให้เรา อีกเดี๋ยวเมื่อถึงเวลานัดหมาย เราจะมอบยาคืนให้พวกท่านเท่ากับจำนวนที่พวกท่านมอบให้” โอวโหวเหลียงกล่าว

คำพูดเช่นนี้ของโอวโหวเหลียง เป็นสิ่งที่หลัวซิวเคยต้องรับมือมาก่อน มิเช่นนั้นแล้วปรมาจารย์กลั่นยาขั้น 4 ที่อายุยังน้อยนี้ คงจะโดนตัวแทนที่แต่ละสำนักส่งตัวมาก่อกวนจนต้องปวดหัวแน่

เมื่อได้ยินโอวโหวเหลียงกล่าวเช่นนี้ ปรมาจารย์ยุทธ์หลายคนต่างมีสีหน้าผิดหวังกันไปตามๆ กัน

จากนั้นโอวโหวเหลียงจึงหยิบรายการที่หลัวซิวให้เขาเอาไว้ออกมา ปรมาจารย์ทุกคนต่างเตรียมยาวิเศษและของตอบแทนออกมา จากนั้นจึงนัดเวลาส่งมอบยากัน

ค่าจ้างในการไหว้วานให้หลัวซิวช่วยกลั่นยานั้นไม่ถือว่าสูง อยู่ในระดับเดียวกับนักกลั่นยาทั่วๆ ไป การจะกลั่นยาออกมาสักหม้อจะต้องใช้วัตถุดิบสามชนิด หรืออาจจะใช้วัตถุดิบที่อยู่ในระดับเดียวกันมาแทนก็ได้ แต่จะต้องถูกระบุอยู่ในรายการยาวิเศษด้วย

ในแก๊งนักกลั่นยา หลัวซิวใช้สถานะของปรมาจารย์ขั้น 4 จึงสามารถยืมห้องกลั่นยาได้

ตอนที่โอวโหวเหลียงนำยาวิเศษระดับ 4 เกือบสามร้อยกว่าเม็ดออกมาจากแหวนเก็บของนั้น หลัวซิวก็อดไม่ได้ที่จะแอบกลืนน้ำลายอย่างหวานปาก

ในจำนวนยาวิเศษทั้งหมด ยาสองร้อยเม็ดถือเป็นค่าตอบแทนของเขา

ที่ปรมาจารย์นักกลั่นยามีฐานะร่ำรวยก็เพราะของทั้งหมดนี้นั่นเอง

“ปรมาจารย์โอวโหวช่วยข้ามากมาย ข้าไม่มีอะไรจะตอบแทน ม้วนหยกนี้ได้บันทึกความรู้และประสบการณ์การกลั่นยาของข้าเอาไว้ มันอาจจะช่วยยกระดับการกลั่นยาและปริมาณการกลั่นยาได้”

หลัวซิวหยิบม้วนหยกที่เตรียมเอาไว้ก่อนหน้านี้ออกมาแล้วส่งให้โอวโหวเหลียง

แน่นอนว่าเขารู้ว่าการที่โอวโหวเหลียงยื่นมือมาช่วยเขาจะต้องมีวัตถุประสงค์แอบแฝง เรื่องนี้เขาไม่ได้ถือสาอะไร เพราะอีกฝ่ายช่วยเขา เขาก็ให้ผลประโยชน์เป็นการตอบแทน เรื่องนี้ก็เป็นสิ่งที่นับว่าสมควรแล้ว

เมื่อเห็นหลัวซิวมอบม้วนหยกให้ตน โอวโหวเหลียงก็ปลื้มปีติมาก แต่กลับไม่ได้ยื่นมือออกไปรับในทันที

“ข้าช่วยเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น อย่างนี้จะดีหรือ” โอวโหวเหลียงเอ่ย

“ปรมาจารย์โอวโหวอย่าปฏิเสธเลย มิเช่นนั้นแล้วจะถือว่าไม่เห็นผมเป็นเพื่อน” หลัวซิวยิ้มพลางเอ่ย

เขาใช้ฐานะของซิวหลัวอ้างมาตั้งแต่เริ่ม เรื่องนี้โอวโหวรู้อยู่แก่ใจแต่ก็กลับไม่ยอมพูดเรื่องนี้ออกมา

“อย่างนั้นข้าขอบคุณปรมาจารย์ซิวหลัวมาก” โอวโหวเหลียงกล่าวขอบคุณแล้วยื่นมือออกไปรับม้วนหยกมาอย่างตื้นตัน

ตัวสำนึกที่แทรกซึมอยู่ในนั้น ทุกสิ่งอย่างที่บันทึกอยู่ในความทรงจำไม่ว่าจะเป็นวิธีการและประสบการณ์ในการกลั่นยา ทำให้เขารู้สึกปลาบปลื้มในสิ่งของที่ได้รับมามาก

“หลัวซิวผู้นี้เป็นคนร้ายกาจนัก พอข้ามีความรู้เช่นนี้ในมือ คงใช้เวลาอย่างมากสุดเพียงครึ่งปี ประสิทธิภาพในการกลั่นยาของข้าคงจะพัฒนาขึ้นถึงเจ็ดส่วน!”

แววตาของโอวโหวเหลียงเป็นประกาย เขาอยากเห็นวิธีการกลั่นยาของหลัวซิวกับตาของตัวเอง อีกอย่างเขามั่นใจมากว่า หลัวซิวจะต้องครอบครองตำรากลั่นยาขั้นสูงเอาไว้แน่

ทว่าเรื่องนี้กลับเกี่ยวข้องถึงข้อห้ามบางอย่าง โอวโหวเหลียงอยู่ในวงการนี้มาหลายปี ย่อมรู้ว่ามีเรื่องบางอย่างที่ไม่อาจล้ำเส้นได้

“ย่าเพลิงเย็น ดอกหมัวโหลว……”

หลัวซิวค้นดูยาวิเศษที่อยู่ในแหวนเก็บของ สีหน้าของเขาก็เริ่มค่อยๆ ปรากฏแววดีใจมากขึ้นเรื่อยๆ

เขาเขียนลงในใบรายการจึงเห็นว่ามียาวิเศษที่หายากมากมาย ก่อนหน้านี้เขาคิดจะหาซื้อที่เทือกเขาจิ่วเฟิง แต่ก็ไม่สามารถหาซื้อได้

เห็นได้ชัดเจนว่าการเลือกใช้เส้นทางแก๊งนักกลั่นยาเป็นช่องทางที่ทำให้ได้รับยาวิเศษที่หายากมาได้อย่างง่ายดาย

หลัวซิวโบกมือ เตายาชั้นยอดเตาหนึ่งก็ปรากฏออกมา เวลาต่อจากนั้นหนึ่งเดือน เขาก็เก็บตัวเพื่อการกลั่นยาโดยไม่ยอมออกไปไหน

คุณภาพของยาจะต้องรักษาระดับให้ได้ถึงแปดส่วน สำหรับหลัวซิวถือเป็นเรื่องง่ายดาย เพราะเขายังสามารถที่จะหลอมยาวิเศษห้าอย่างออกมาเป็นยาห้าเตาได้ภายในครั้งเดียว

หนึ่งในนั้นบางครั้งเขาก็สามารถกลั่นยาระดับเก้าส่วนออกมาได้ และเป็นเพราะตำรากลั่นยาโบราณที่ได้สูญหายไปนานแล้ว จึงไม่สามารถกลั่นยาบริสุทธิ์ออกมาได้

ใช้เวลาทั้งหมดประมาณสิบวัน หลัวซิวก็สามารถส่งมอบยาให้กับลูกค้าได้ตามจำนวนที่ต้องการ

และอีกยี่สิบวันต่อจากนั้น หลัวซิวก็เริ่มตั้งใจกลั่นยาที่จะเอาไว้ใช้สำหรับตัวเอง

ยากลั่นจิตยี่สิบสามหม้อ หม้อหนึ่งมีแปดเม็ด เมื่อรวมกับยาที่ตนเองได้เตรียมเอาไว้แต่แรกด้วยแล้ว ยาทั้งหมดก็มีเกือบจะสองร้อยเม็ด

นอกจากนี้เนื่องจากหลัวซิวได้รับยาวิเศษที่หายากมาอีกจำนวนหนึ่ง จึงกลั่นยาเลี้ยงจิตออกมาได้สองหม้อ สามารถใช้บำรุงตัวหยั่งรู้และรวบรวมตัวสำนึก

จากนั้นเขายังกลั่นยาสองขั้วอัคคีเยือกออกมาได้อีกหนึ่งหม้อ เป็นยาระดับ 4 ที่ต้องใช้ในการกลั่นร่าง

โลกในปัจจุบันนี้ นักยุทธ์ที่กลั่นร่างได้มีน้อยมาก สาเหตุสำคัญเป็นเพราะวิธีปรุงยาให้การกลั่นร่างมีประสิทธิภาพนั้นได้สูญหายไป อีกอย่างนักยุทธ์ที่กลั่นร่างหากคิดจะยกระดับแดนร่างเนื้อจะกลายเป็นเรื่องที่ยากมาก

ในประเทศเทียนหวูไม่มีใครรู้วิธีการปรุงยายาสองขั้วอัคคีเยือก อีกทั้งนักกลั่นยาจำนวนมากไม่รู้ว่ามียาชนิดนี้อยู่บนโลกด้วย

หลัวซิวกำลังใช้ความคิด ยาเหล่านี้ที่ตัวเองเตรียมไว้เพียงพอที่จะทำให้ตนสามารถยกระดับเป็นผู้ฝึกจิตช่วงปลายได้

ตอนนี้ที่เขาสามารถกลั่นยาได้เพียงยาระดับ 4 นั้น สาเหตุสำคัญเป็นเพราะการฝึกตนของเขายังค่อนข้างต่ำอยู่

หากการฝึกตนของเขาสามารถยกระดับถึงการฝึกจิตช่วงกลางขั้น 4 เมื่อไหร่ เขาก็จะสามารถกลั่นยาระดับ 5 ได้บางชนิด และหากไปถึงการฝึกจิตช่วงปลาย เขาจะสามารถกลั่นยาระดับ 5 ได้ทุกชนิด

สาเหตุหลักเป็นเพราะขั้นตอนการกลั่นยาบางชนิดค่อนข้างซับซ้อน ต้องสูญเสียพลังจิตแท้ไปค่อนข้างมาก จึงต้องใช้การฝึกตนขั้นสูงมาช่วยสนับสนุนด้วย

หลังจากนั้นหนึ่งเดือน ปรมาจารย์ที่มาไหว้วานให้ช่วยกลั่นยาให้ก็ได้ยาตามที่ตนเองต้องการ ประสิทธิภาพของยาส่วนใหญ่จะอยู่ที่แปดส่วนขึ้นไป และยังมีบางส่วนที่มีประสิทธิภาพถึงเก้าส่วน

และนี่เองที่ทำให้ปรมาจารย์ฝึกจิตทุกคนต่างรู้สึกพิศวงในใจ เพราะสมัยก่อนๆ ที่พวกเขาขอร้องให้โอวโหวเหลียงกลั่นยาให้ ยาส่วนมากจะมีประสิทธิภาพเพียงเจ็ดส่วนเท่านั้น มีน้อยมากที่จะได้ถึงแปดส่วน

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว พวกเขาจึงยิ่งอยากรู้ใจจะขาดว่าปรมาจารย์กลั่นยาลึกลับผู้นี้คือใครกัน

โอวโหวเหลียงไม่สามารถรับมือกับความอยากรู้อยากเห็นของปรมาจารย์กลุ่มนี้ได้ เขาจึงทำได้เพียงกลับมาหลัวซิวอีก

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 215 ให้ความช่วยเหลือในยามที่คนคับขันได้อย่างทันท่วงที

 

“อาจารย์ได้ซ่อนตัวมานานหลายปีแล้ว ไม่ให้ผมเอ่ยชื่อครับ” หลัวซิวพูด

เบื้องหลังมีอาจารย์ลับที่มีที่มาที่ไปไม่ชัดเจน นี่เป็นระเบิดที่หลัวซิวเตรียมจะปล่อยออกไปผ่านแก๊งนักกลั่นยา

เมื่อเป็นแบบนี้ ถึงแม้จะมีคนสงสัยว่าเขาได้โอกาสมาตอนอายุสิบสี่ แต่ถ้ามีอาจารย์ลึกลับคนหนึ่งอยู่ ทำให้คนที่ประสงค์ร้ายไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม

ตรานักค่ายกลกับตรานักล่าอสูรเหมือนกัน ด้านในนั้นล้วนบันทึกข้อมูลของคนเอาไว้

ปรมาจารย์กลั่นยาระดับ4ในตอนอายุสิบห้า!

เรื่องนี้ไม่สามารถปิดบังได้ ทางด้านหลัวซิวเองก็คิดจะเก็บเป็นความลับ นับตั้งแต่ตอนที่เขาได้รับตราสัญลักษณ์ในแก๊งนักกลั่นยาเมืองซานหยวน ข้อมูลของเขาก็บันทึกในแก๊งนักกลั่นยา

โอวโหเหลียงถามตนเอง ความสามารถในการกลั่นยาของตน เกรงว่าไม่อาจเทียบได้กับชายหนุ่มอายุสิบห้า ช่างเป็นเรื่องที่ยากจะเชื่อจริงๆ

“ผู้น้อยเก็บสะสมยาวิเศษของยากลั่นจิต คาดว่าคงอยากจะใช้ในการเพิ่มผลการฝึกตนใช่ไหม?”

ในห้องที่เงียบสนิท หลัวซิวและโอวโหเหลียงนั่งหันหน้าคุยกัน

“ปรมาจารย์โอวโหพูดถูกครับ ไม่รู้ว่าปรมาจารย์พอจะมีแนวทางไหมครับ?” หลัวซิวดื่มน้ำชายิ้มแล้วเอ่ยถาม

เวลานี้เขามีชื่อในแก๊งนักกลั่นยาแล้ว ถึงแม้จะไม่ใช่เจ้าหน้าที่ภายในแก๊งนักกลั่นยา แต่อาศัยปรมาจารย์กลั่นยาระดับ4 ก็มีสิทธิ์ในการใช้ช่องทางของแก๊ง

โอวโหวเหลียงยิ้มแล้วพยักหน้า “ถ้าหากผู้น้อยอยากจะเก็บยาวิเศษ แก๊งเมืองซานหยวนของพวกเราพอจะมียาที่เก็บเอาไว้บ้าง ไม่รู้ว่าผู้น้อยกลั่นยาระดับ4อัตราส่วนในการสำเร็จเท่าไหร่?”

นักกลั่นยาในระดับเดียวกัน แบ่งเป็นสูงต่ำ ความแตกต่างนี้ ขึ้นอยู่กับอัตราส่วนในการสำเร็จและสีมากำหนด

อัตราส่วนในการสำเร็จของนักกลั่นยาที่ยิ่งสูงขึ้น สีของยาที่กลั่นออกมาก็จะยิ่งดี แน่นอนว่าต้องดึงดูดนักยุทธ์ฝึกตนมาหาและให้กลั่นยา นักกลั่นยาสามารถได้รับค่าตอบแทน ได้ทรัพยากรที่มากขึ้น

“อัตราส่วนในการกลั่นยาระดับ4สำเร็จ น่าจะประมาณเจ็ดส่วนครับ สีของยาสามารถรับประกันได้ว่าแปดส่วนขึ้นไป” หลัวซิวยิ้มแล้วพูด

“อัตราส่วนในการสำเร็จเจ็ดส่วน ยาแปดส่วน?”

โอวโหเหลียงได้ฟังก็ตกตะลึง ภายในใจของเขาไม่รู้จริงๆว่ารู้สึกอย่างไร

เขาเองก็เป็นปรมาจารย์กลั่นยาระดับ4 แต่ว่าอัตราส่วนในการกลั่นยาระดับ4สำเร็จนั้นมีเพียงเจ็ดส่วน ส่วนสีของยาก็สามารถรับประกันได้ว่าเจ็ดส่วนขึ้นไป

“เป็นคนที่น่ากลัวจริงๆ” ลูกกระเดือกของโอวโหเหลียวอดไม่ได้ที่จะเคลื่อนที่เบาๆ ปรมาจารย์กลั่นยาระดับ4ในวัยสิบห้าปี ความสามารถสูงกว่าตน อย่างน้อยในหน้าประวัติศาสตร์ของประเทศเทียนหวู ถือว่าไม่เคยมีมาก่อน

“ปรมาจารย์ซิวหลัวต้องการยากลั่นจิต ฉันมีคำแนะนำ”

อย่างไม่รู้ตัว สรรพนามที่โอวโหเหลียงใช้เรียกหลัวซิวไม่ใช่ ‘ผู้น้อย’ แต่เพิ่มคำว่า ‘ปรมาจารย์’ เรียกด้วยความเคารพ

เรียกว่าเพื่อน เท่ากับว่าอีกฝ่ายกับตนอยู่ในระดับเดียวกัน เพิ่มคำว่าปรมาจารย์ที่เป็นการเรียกด้วยความเคารพ หมายความว่า โอวโหเหลียงให้ตำแหน่งของตนอยู่ต่ำกว่าหลัวซิว!

“มาแล้ว!”

หลัวซิวหรี่ตาลง ภายในใจของเขาหัวเราะขึ้นมา

เขาเปิดเผยความสามารถในการกลั่นยาของตน ใช้เวลาอยู่ที่นี่กับโอวโหเหลียงอย่างยาวนาน ก็เพื่อให้อีกฝ่ายพูดคำนี้

เขาต้องการยาระดับ4ในการเพิ่มผลการฝึกตน ต้องการหนทางในการสะสมยาวิเศษจำนวนมาก!

โดยเฉพาะยาวิเศษที่พิเศษซึ่งหายาก ถ้าสามารถรวบรวมมาได้ เขาสามารถกลั่นยากลั่นจิตที่ผลลัพธ์ดียิ่งกว่ายาระดับ4

เขาผสมผสานความทรงจำของประมาจารย์กลั่นยาระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น9คนหนึ่ง ในความคิดของเขาเต็มไปด้วยสูตรยานับไม่ถ้วน ในนั้นมีสูตรยาจำนวนไม่น้อยที่เป็นสูตรยาโบราณ ซึ่งตอนนี้หายไปและไม่ได้รับการสืบทอดมานานหลายปีแล้ว!

“ไม่รู้ว่าปรมาจารย์โอวโหมีคำแนะนำอะไรครับ?” หลัวซิววางแก้วชาลง ยิ้มตาหยีแล้วเอ่ยถาม

“ด้วยความสามารถในการกลั่นยาของปรมจารย์ซิวหลัว สามารถเปิดเตากลั่นยาในแก๊งนักกลั่นยาได้ ในขณะนั้นก็จะดึงดูดความสนใจจากขั้วอำนาจต่างๆ ทั้งยังได้รับผลตอบแทน แล้วยังได้ยาวิเศษที่ปรมาจารย์ต้องการ” โอวโหเหลียงพูด

เมื่อได้ฟัง หลัวซิวลอบพยักหน้า คำแนะนำของโอวโหเหลียงคือวิธีการที่นักกลั่นยาโดยมากใช้กัน

โดยทั่วไปการกลั่นยาหนึ่งเตา ต้องใช้วัตถุดิบสามส่วน วัตถุดิบที่เหลือ ถือว่าเป็นค่าตอบแทนของนักกลั่นยา

แต่นี่สำหรับนักกลั่นยาทั่วไปเท่านั้น ถ้าเป็นปรมาจารย์กลั่นยาราคาสูง สามารถเสนอยาวิเศษที่ตนต้องการเพื่อเป็นค่าตอบแทนได้

ด้วยความสามารถในการกลั่นยาของหลัวซิว เขาช่วยคนอื่นกลั่นยาหนึ่งเตายา สามารถหากำไรได้สองเตา เพราะอัตราส่วนในการกลั่นยาสำเร็จของเขา คือหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์!

สำหรับที่กลั่นให้คนอื่น ระดับสี่ต้องควบคุมให้อยู่ที่แปดถึงเก้าส่วน จะให้คนอื่นรู้ไม่ได้ว่าเขาสามารถกลั่นยาบริสุทธิ์ที่ไม่มีสิ่งแปลกปลอมได้

เพราะถ้าทุกคนรู้ อยากจะกลั่นยาบริสุทธิ์ ต้องเตรียมวิชากลั่นยาสูงสุด เมื่อเปิดเผยออกไป ก็จะมีคนมาลอบมอง

เวลาสั้นๆแค่ครู่หนึ่ง ความคิดมากมายฉายขึ้นมาในความคิดของหลัวซิว

ยังมีเวลาอีกมากกว่าจะถึงเวลาในการเปิดของแดนปริศนา เขาอยู่ที่นี่สามารถอาศัยชื่อของปรมาจารย์กลั่นยาระดับ4มาเก็บสะสมยา เวลาที่เหลือสามารถไปฝึกตนที่แดนนานาอสูรได้

ทุกอย่างเตรียมพร้อม ขาดเพียงเงื่อนไขสำคัญประการสุดท้ายเท่านั้น!

แน่นอนว่าโอวโหเหลียงก็คือเงื่อนไขสำคัญประการสุดท้าย!

ให้ความช่วยเหลือในยามที่คนคับขันได้อย่างทันท่วงที!

ขณะครุ่นคิด หลัวซิวยิ้มแล้วพูด:”ผมสามารถเปิดตากลั่นยาในแก๊งได้หนึ่งเดือน รบกวนปรมาจารย์โอวโหป่าวประกาศออกไปด้วยนะครับ”

สิ่งที่หลัวซิวต้องการคือเส้นสายของโอวโหเหลียง ชายชราคนนี้อยู่ที่เมืองซานหยวนมานานนับร้อยปี มีเส้นสายกว้างขวางในเมืองกู่เจี้ยน

“ฮ่าๆ เรื่องเล็ก ให้ฉันเป็นคนจัดการเถอะ!” โอวโหเหลียงรับปาก

ถ้าเป็นนักกลั่นยาระดับ4ทั่วไป เขาไม่จำเป็นต้องใส่ใจแบบนี้ แต่หลัวซิวแตกต่างกับคนอื่น ความสามารถของเขาไม่มีที่สิ้นสุด อนาคตต้องไม่ธรรมดาแน่นอน

อีกทั้ง วิชากลั่นยาของตนอยู่ที่ระดับ4มานานแล้ว ถ้าสามารถได้รับคำแนะนำจากอาจารย์ลึกลับที่อยู่เบื้องหลังหลัวซิว ไม่แน่อาจจะพัฒนาขึ้นอีกก้าว บรรบุปรมาจารย์กลั่นยาระดับ5!

นี่ต่างหากที่เป็นเป้าหมายที่แท้จริงของโอวโหเหลียง!

แต่ว่าเป้าหมายนี้ไม่สามารถแสดงออกไปอย่างชัดเจนได้ จำเป็นต้องค่อยๆทำทีละขั้น

หลัวซิวเขียนรายการออกมา ล้วนเป็นยาวิเศษระดับ4ต่างๆ ที่ตนต้องการ

เวลาสั้นๆเพียงสามวัน หลังจากโอวโหเหลียงปล่อยข่าวออกไป ก็มีปรมาจารย์ฝึกจิตนับสิบคนมาที่แก๊งนักกลั่นยาเมืองซานหยวน

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 214 ปรมาจารย์กลั่นยาระดับ4

 

ในห้องกลั่นยานี้มีเตายาทั้งหมดหกเตา เป็นเตายาอย่างดี ร่วมกับหลัวซิว พอใช้พอดี

การสอบนักกลั่นยาระดับ3 เป็นการกลั่นยาเก็บปราณของยาระดับ3 ฤทธิ์ของยาเก็บปราณนี้สามารถทำให้จอมยุทธ์พรสวรรค์ฟื้นฟูปราณแท้ได้อย่างรวดเร็ว สามารถต่อสู้ได้นานขึ้น เป็นที่ต้องการของโลกภายนอก

“อืม ทุกคนเริ่มกันเถอะ” โอวโหเหลียงนั่งลง สายตาของเขากวาดมองทุกคนแล้วพูด

ชั่วขณะหนึ่ง ทุกคนเริ่มทันที เปิดฝาของเตายา ใช้ปราณแท้ผนึกเป็นเปลวไฟ เริ่มทำการอุ่นเตา

สำนึกของโอวโหเหลียงก็แผ่ซ่านออกมา สังเกตการเคลื่อนไหวของนักกลั่นยาทุกคน เมื่อไหร่ก็ตามที่มีคนกลั่นยาแล้วมีปัญหาจนเตาอาจจะระเบิด เขาก็จะยื่นมือเข้าไปช่วยทันที

ปราณแท้ผนึกเปลวไฟ เป็นวิธีการธรรมดาที่สุด มีเพียงวรยุทธ์พิเศษจำนวนน้อย จึงจะสามารถฝึกตนเปลวไฟที่เป็นพิเศษได้

สำหรับการหล่อเลี้ยงฟ้าดินของวิญญาณแห่งเปลวไฟ ขาดแคลนมากยิ่งกว่าฝึกตนพิเศษของวรยุทธ์ด้านไฟ

หลัวซิวอุ่นเตา พร้อมกับสังเกตท่าทีของคนอื่นๆ พบว่าลูกศิษย์ของโอวโหเหลียง ซึ่งก็คือหญิงสาวชุดสี่ม่วงด้วยเปลวไฟที่ปราณแท้ผนึกขึ้นมานั้น มีเปลวไฟสีม่วงอ่อนๆ เห็นชัดว่าเป็นเพราะวรยุทธ์ที่ฝึกนั้นพิเศษ

เปลวไฟที่เคล้าไปด้วยสีม่วงอ่อน อุณหภูมิสูงขึ้น กำลังไฟก็จะยิ่งแข็งแกร่ง สามารถสกัดสิ่งแปลกปลอมในยาวิเศษได้สะอาดยิ่งขึ้น

แววตาของโอวโหเหลียงจับจ้องไปที่การกระทำของหลัวซิวตั้งแต่ต้นจนจบ ตอนที่เขาเห็นเปลวไฟสีขาวที่หลัวซิวผนึกขึ้นมานั้น ดวงตาชราอดไม่ได้ที่จะทอประกาย

“ลมปราณชีวิตที่เข้มข้นอย่างมาก……”

โอวโหเหลียงมองอัคคีขาวเสวียนหยางที่หลัวซิวผนึกขึ้นมาด้วยความตกตะลึง เปลวไฟนี้ไม่เพียงแต่อุณหภูมิยิ่งสูงขึ้นแล้วจะสามารถสกัดสิ่งแปลกปลอมในยาวิเศษได้ แต่ว่ายังมีพลังของสิ่งมีชีวิตในการหล่อเลี้ยงยาวิเศษ เพิ่มฤทธิ์ของยาให้สูงขึ้น!

“ไม่ใช่การหล่อเลี้ยงฟ้าดินของจิตวิญญาณเปลวไฟพรสวรรค์ น่าจะเป็นวรยุทธ์พิเศษของการฝึกตน” สีหน้าของโอวโหเหลียงค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม

เขาเริ่มเชื่อแล้วว่าบางทีหลัวซิวอาจจะสามารถกลั่นยาระดับ4ได้จริงๆ

แต่ว่า เจ้าหมอนี่เพิ่งอายุแค่สิบห้า! ฝึกตนบรรลุแดนฝึกจิตก็น่าตกตะลึงมากแล้ว ทั้งยังเป็นปรมาจารย์กลั่นยาระดับ4 สิ่งนี้จะทำให้อัจฉริยะมากมายในประเทศเทียนหวูทนรับได้อย่างไร?

ในเวลาเดียวกัน โอวโหเหลียงก็แปลกใจว่าวิชาการกลั่นยาของหลัวซิวเรียนรู้มาจากที่ไหน เพราะการกลั่นยาแตกต่างจากการฝึกยุทธ์ ไม่ใช่ว่ามีวรยุทธ์ทักษะยุทธ์ก็สามารถฝึกตนด้วยตนเองได้ แต่ว่าต้องใช้ความรู้มากมยและอาจารย์สอนด้วยตนเองถึงจะทำได้

แต่จากที่เขารู้ ก่อนที่หลัวซิวจะอายุสิบสี่เขาไม่มีชื่อเสียงแต่อย่างใด เวลาสั้นๆเพียงหนึ่งปีก็โดดเด่นขึ้นมา ระหว่างนี้มีหลายอย่างที่น่าสงสัย

หลัวซิวไม่รู้ว่าโอวโหเหลียงปะติดปะต่ออะไรหลายๆอย่างได้มากมาย หรือต่อให้รู้เขาก็ไม่สนใจ

ผลการฝึกตนของเขาสูงอยู่แล้ว ร่วมกับความพิเศษของอัคคีขาวเสวียนหยาง ขั้นตอนการอุ่นเตาจึงเสร็จอย่างรวดเร็ว โยนยาวิเศษที่ใช้ในการกลั่นยาเก็บปราณลงไปในเตา

หญิงสาวชุดสีม่วงซึ่งเป็นลูกศิษย์ของโอวโหเหลียงคอยสังเกตท่าทีของหลัวซิวมาโดยตลอด สำหรับพรสวรรค์ในการกลั่นยาของตน เธอรู้สึกภาคภูมิใจมาโดยตลอด แต่เมื่อเห็นท่าทีเชี่ยวชาญของชายหนุ่มชุดคลุมยาวดำและวิธีการควบคุมไฟที่สุดของที่สุด เธอก็เข้าใจทันทีว่าทำไมท่านอาจารย์ถึงเกรงใจชายหนุ่มคนนี้

การกลั่นยาเก็บปราณ สำหรับหลัวซิวแล้วไม่มีแรงกดดันแม้แต่น้อย ใช้เวลาทั้งหมดไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ก็กลั่นยาเก็บปราณได้สำเร็จ

ยกมือขึ้นปรบมือ ปิดหม้อ ยาสีเหลืองที่แวววับแปดเม็ดลอยออกมา ถูกหลัวซิวเก็บเข้าไปในขวดหยก

“ผู้น้อยทำให้ฉันเปิดโลกกว้างมาก!”

เห็นหลัวซิวกลั่นยาเสร็จ โอวโหเหลียงลุกขึ้น มองไปที่หลัวซิวอย่างมีความหมายลุ่มลึกแล้วพูด

ในเวลานี้เอง คนอื่นๆที่ร่วมการสอบอดไม่ได้ที่จะสงสัย เวลานี้เพิ่งสังเกตเห็นว่าชายหนุ่มชุดคลุมยาวดำที่สอบพร้อมกับตนกลั่นยาเสร็จแล้ว

ทางด้านพวกเขา เพิ่งเสร็จขั้นตอนอุ่นเตา ยังไม่ทันได้ใส่ยาวิเศษเข้าไปในเตายา

ให้ตายสิคงเป็นของปลอมรึเปล่า แม้แต่ปรมาจารย์กลั่นยาระดับ4ยังไม่สามารถกลั่นยาเก็บปราณได้เร็วแบบนี้

แต่ว่าน้ำเสียงและสีหน้าของปรมาจารย์โอวโห กลับไม่เหมือนของปลอม ยิ่งไปกว่านั้นปรมาจารย์โอวโหมีชื่อเสียงอย่างมาก ไม่มีวันปล่อยให้คนทำการคดโกงในการสอบกลั่นยาแบบนี้แน่นอน

“ผู้น้อยให้ฉันดูยาที่นายกลั่นหน่อยได้ไหม?” โอวโหเหลียงพูด

“ได้ครับ” หลัวซิวยื่นขวดหยกที่มีความอุ่นเล็กน้อยออกไป

โอวโหเหลียงยื่นมือออกไปรับ เทยาออกมาอย่างอดใจรอไม่ไหวเล็กน้อย อยากจะดูว่ายาที่หลัวซิวกลั่นออกมาเป็นสีอะไร

“นี่คือ…ยาเก้าส่วนขั้นสูงสุด?”

สีหน้าของโอวโหเหลียงตกตะลึงในทันที เขากลั่นยามาสามร้อยกว่าปี ยังไม่เคยกลั่นยาระดับ3ที่เป็นเก้าส่วนมาก่อน สำหรับยาระดับ4 อย่างมากเขาก็กลั่นได้เพียงยาเจ็ดส่วน

“ผู้น้อยเป็นยอดฝีมือจริงๆ ฉันนับถือ”

โอวโหเหลียงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ รู้สึกตกตะลึงไม่หาย

อย่างน้อยเขาถามตนเองแล้วว่าไม่มีความสามารถระดับหลัวซิว เชื่อว่าหลัวซิวมีความสามารถในการกลั่นยาระดับ4แล้วจริงๆ

“ปรมาจารย์โอวโหชื่นชมเกินไปแล้วครับ” หลัวซิวยิ้มพร้อมกับพูดอย่างถ่อมตน ถ้าไม่ใช่เพราะกังวลว่าจะทำให้ตกตะลึงเกินไป เขาสามารถกลั่นยาบริสุทธิ์ได้เลย

ไม่นาน ตราสัญลักษณ์ปรมาจารย์กลั่นยาระดับ4ผ่านโอวโหเหลียง ส่งไปยังหลัวซิว

“ผู้น้อย ถ้าฉันคิดไม่ผิด ปีนี้นายน่าจะเพิ่งอายุสิบห้ารึเปล่า?” ตอนที่ให้ตราสัญลักษณ์ระดับ4กับหลัวซิว โอวโหเหลียงถามอย่างมีความหมายลุ่มลึก

หลัวซิวพยักหน้า ไม่ได้ปฏิเสธ

มีสถานะนักกลั่นยา จะมีสิทธิพิเศษในแก๊งนักกลั่นยา ยกตัวอย่างเช่นยาวิเศษชั้นสูงที่หาซื้อยากในตลาด สามารถผ่านแก๊งนักกลั่นยาแล้วทำการซื้อขายหรือแลกเปลี่ยนได้

“ไม่ทราบว่าผู้น้อยฝึกวิชากลั่นยามาจากผู้อาวุโสคนไหน?” โอวโหเหลียงถามอีก

สำหรับเขาแล้ว แม้แต่ปรมาจารย์กลั่นยาระดับ6ในราชวงศ์ของประเทศเทียนหวู ก็ไม่มีทางที่จะสอนลูกศิษย์แบบนี้ออกมาได้แน่นอน

ยิ่งไปกว่านั้น ราชวงศ์ประเทศเทียนหวูก็กำลังชักชวนหลัวซิว แน่นอนว่าไม่ใช่ผู้สืบทอดของคนผู้นั้นในราชวงศ์

โอวโหเหลียงรู้สึกว่า ท่านอาจารย์ที่สอนหลัวซิวต้องไม่ธรรมดาแน่นอน มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นปรมาจารย์กลั่นยาระดับ7 หรือสูงกว่านั้น!

 

########################

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 213 ยื่นมือออกมาหนึ่งข้างก่อนได้ไหม

 

หลัวซิวไม่ได้ทำความเคารพ แน่นอนว่าเขาก็เอาตนเองยืนอยู่ในตำแหน่งเดียวกับปรมาจารย์กลั่นยาระดับ4

ทว่า การกระทำของเขา ในสายตาของคนที่อยู่ข้างๆ กลับเป็นการเสียมารยาท

“ฮ่าๆ ไม่กล้าพูดเรื่องความคิดหรอก ฉันโอวโหเหลียง” ชายชราประสานมือทำความเคารพตอบ

“สวรรค์ ฉันไม่ได้ตาฝาดใช่ไหม ชายหนุ่มคนนั้นอายุประมาณสิบห้าเท่านั้น แต่ปรมาจารย์โอวโหกลับทำความเคารพตอบ?”

ในสายตาของคนนอกการกระทำของหลัวซิวนั้นไร้มารยาท แต่การกระทำของปรมาจารย์โอวโห ทำให้ทุกคนคาดการณ์ไปต่างๆนานา

หญิงสาวชุดสีม่วงที่ติดตามอยู่ด้านหลังโอวเหลียงแววตาทอประกาย จำต้องมองชายหนุ่มชุดคลุมยาวดำใหม่

แม้จะบอกว่าคนเราไม่สามารถมองรูปลักษณ์ภายนอกได้ แต่ชายหนุ่มชุดคลุมยาวดำคนนี้ก็ไม่ได้แลดูมีอะไรพิเศษ บนตัวของเขาแทบจะไม่มีลมปราณของนักยุทธ์ฝึกตน ทว่ากลับทำให้ท่านอาจารย์ของตนปรมาจารย์โอวโหให้ความเคารพ หรือว่าจะเป็นผลการฝึกตนฝึกจิต?

เธอรู้จักท่านอาจารย์ของตนเป็นอย่างดี ถึงแม้จะเป็นตระกูลเหยียนซึ่งเป็นหนึ่งในสิบตระกูลใหญ่ สำหรับอัจริยะตระกูลเหยียนที่มาขอยาเหล่านั้น ปรมาจารย์โอวโหก็ไม่เคยทำสีหน้าดีๆ ให้พวกเขามาก่อน

“ปรมาจารย์โอวโหเกรงใจแล้วครับ ผมชื่อซิวหลัว” หลัวซิวพูดขึ้น

ชื่อซิวหลัวนี้ ในระแวกเขตการปกครองโตว้ไห่คนมากมายล้วนเคยได้ยิน แต่ในเมืองกู่เจี้ยน กลับไม่มีชื่อเสียง

เพราะถึงอย่างไรในเมือง ตำแหน่งก็ต้องไกลเกินกว่าในเขตการปกครอง อัจฉริยภาพมีมากมาย แน่นอนว่าย่อมไม่ได้สนใจอัจฉริยภาพที่มาจากในเขตการปกครอง

แน่นอน ลำดับของหลัวซิวในการต่อสู้ช่วงชิงตำแหน่ง ด้วยอายุสิบห้า ผลการฝึกตนฝึกจิตขั้น1ทะลุผ่านหอคอยมังกรบินชั้นเจ็ด ควรค่าให้ขั้วอำนาจในประเทศเทียนหวูจับตามอง

เพียงแต่มีคนบางส่วนที่รู้ว่าหลัวซิวคือซิวหลัว ทว่าคนบางส่วนก็ไม่รู้

ทางด้านโอวโหเหลียงรู้พอดี ทั้งยังเคยเห็นภาพวาดหน้าเหมือนของหลัวซิว ดังนั้นตอนที่เห็นหลัวซิวในโถงแก๊งแลกเปลี่ยน ก็จำได้ในทันที

อัจฉริยะอายุสิบห้าที่มีความสามารถระดับนี้ ควรค่าให้เขาปฏิบัติอย่างเท่าเทียมเป้นธรรมดา

แต่ว่าโอวโหเหลียงไม่ได้พูดตัวตนของหลัวซิวออกมา ยิ้มแล้วพูด “ถ้าหากผู้น้อยอยากจะกลั่นยากลั่นจิต ฉันสามารถช่วยได้”

จากแววตาและน้ำเสียงของอีกฝ่าย หลัวซิวพอจะรู้แล้วว่าอีกฝ่ายรู้ว่าตัวตนของตนคือใคร

ปรมาจารย์กลั่นยาระดับ4เป็นคนยื่นมือมาช่วยกลั่นยาด้วยตนเอง ถือเป็นเรื่องที่หายากมาก สิ่งนี้ทำให้นักยุทธ์ฝึกตนในโถงใหญ่ ใบหน้าล้วนเปี่ยมไปด้วยความอิจฉาริษยา

แต่ว่าสำหรับโอวโหเหลียง เป็นเพียงการช่วยเหลือเล็กน้อยเท่านั้น การที่ได้ผูกมิตรกับอัจฉริยบุคคล เป็นเรื่องที่ดีไม่ใช่เหรอ?

แต่ว่าคำพูดของหลัวซิว กลับทำให้โอวโหเหลียงและหญิงสาวชุดสีม่วงที่อยู่ด้านหลังของตกตะลึง

“ขอบคุณในความหวังดีของปรมาจารย์โอวโห แต่ว่าผมสามารถกลั่นยาเองได้ครับ”

“ผู้น้อยหมายความว่า นายสามารถกลั่นยาเอง ทั้งยังเป็นยากลั่นจิตขั้น4?” โอวโหเหลียงมีชีวิตอยู่มานาน จิตใจของเขามั่นคงระดับไหน แต่ว่าเวลานี้เขากลับตกใจและยากที่จะเชื่อ

เขาศึกษาการกลั่นยามาสามร้อยกว่าปี ไม่ง่ายเลยกว่าจะบรรลุเป็นปรมาจารย์กลั่นยาระดับ4 แต่เด็กคนนี้เพิ่งอายุเท่าไหร่ อายุสิบห้าก็เป็นปรมาจารย์กลั่นยาระดับ4แล้วเหรอ?

สำหรับคนอื่นที่ได้ยินบทสนทนาของพวกเขา ต่างสีหน้าแปลกใจ ถ้าหากปรมาจารย์โอวโหไม่อยู่ที่นี่ เกรงว่าต้องหัวเราะเยาะชายหนุ่มชุดคลุมยาวดำที่กล้าคุยโวต่อหน้าปรมาจารย์โอวโห

ตลอดเวลาที่ผ่านมาหลัวซิวถ่อมตนมาโดยตลอด แต่ครั้งนี้กลับโอ้อวด ความเป็นจริงนี่เป็นการกระทำที่เขาเจตนา

เพราะเขารู้ดี ยิ่งเขาแสดงตนว่ามีพรสวรรค์มาก ก็จะยิ่งได้รับความสนใจจากขั้วอำนาจใหญ่ ทั้งยังทำให้ศัตรูของตนแทบอยากจะทนรอไม่ไหวที่จะฆ่าตน แต่ข้อดีกับข้อเสีย สุดท้ายล้วนมีทั้งสอง

เขาต้องรีบแข็งแกร่งขึ้นมา ต้องได้ทรัพยากรฝึกตนจำนวนมาก อาศัยแค่ตนไปหาไปแย่งชิงนั้นยากที่จะทำได้ ทำได้เพียงอาศัยการสนับสนุนของขั้วอำนาจใหญ่

ยิ่งตนแสดงพรสวรรค์ออกมาได้ยิ่งแข็งแกร่ง แน่นอนว่าย่อมมีขั้วอำนาจใหญ่ให้ข้อแลกเปลี่ยนที่ยิ่งดีกับตน

ไม่เพียงแค่นี้ ปรมาจารย์กลั่นยาระดับสูงทำให้คนส่วนมากเอนเอียงมาที่ตน เพราะถึงอย่างไรผู้แข็งแกร่งมากมายล้วนต้องการยา อีกทั้งยาที่พวกเขาต้องการ ต้องใช้ปรมาจารย์กลั่นยาระดับสูงในการช่วยกลั่น เมื่อเป็นแบบนี้ก็จะมีคนติดค้างน้ำใจ

ถ้ามีคนคิดอยากจะมีเจตนาร้ายกับปรมาจารย์กลั่นยา ถ้าอย่างนั้นผู้แข็งแกร่งที่ต้องการให้ปรมาจารย์กลั่นยาคนนี้ช่วยกลั่นยา ก็จะไม่พอใจแน่นอน

แววตาของโอวโหเหลียงทอประกาย ถ้าหากไม่รู้ว่าชายหนุ่มชุดคลุมยาวดำตรงหน้าคืออัจฉริยะที่ทะลุผ่านหอคอยมังกรบินชั้นเจ็ด เขาไม่มีวันเชื่อแน่นอนว่าเด็กอายุสิบห้า จะสามารถกลั่นยาระดับ4ได้

แต่ว่า เขายังคงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

“ซินหลัวเสวี่ยวโหย่วคล้ายจะไม่มีตราสัญลักษณ์ของนักกลั่นยา” โอวโหเหลียงหรี่ตาลงแล้วพูด

ตราสัญลักษณ์นักลกั่นยาคือสัญลักษณ์แห่งความน่าเชื่อถือ แสดงถึงการรับรองของแก๊งนักกลั่นยา นักกลั่นยาที่มีตราสัญลักษณ์ คนอื่นถึงจะสามารถวางใจให้เขาช่วยกลั่นยาได้

เดิมทีหลัวซิวคิดว่าในอนาคตเมื่อมีเวลาค่อยทำตราสัญลักษณ์นักกลั่นยา แต่ว่าอาศัยโอกาสตอนนี้ ทำสักอันก้ไม่เลว

“สามารถทำการสอบนักกลั่นยาที่นี่ได้ไหมครับ?” หลัวซิวถามด้วยรอยยิ้ม

“แน่นอนว่าได้ ผู้น้อยตามฉันมา เป็นอันประจวบเหมาะลูกศิษย์ของฉันก็กำลังเตรียมสอบนักกลั่นยาระดับ3พอดี” โอวโหเหลียงพูด

เมื่อได้ฟัง หลัวซิวหันไปมองหญิงสาวชุดสีม่วงด้วยแววตาแปลกใจเล็กน้อย ผลการฝึกตนพรสวรรค์ อายุยี่สิบก็สามารถบรรลุดนักกลั่นยาระดับ3 พรสวรรค์นักกลั่นยาแบบนี้พบเจอได้น้อยมาก

แต่ว่านักกลั่นยาระดับ3ก็มีไม่น้อย สิ่งที่ยากที่สุดคือระดับ3บรรลุไปยังระดับ4

หลังจากผ่านไปคร่หนึ่ง หลัวซิวเดินตามโอวโหเหลียงเข้าไปห้องกลั่นยาลับภายในแก๊งนักกลั่นยา

ห้องลับนี้ขนาดใหญ่ ด้านในมีคนหนุ่มสาวสี่คนกำลังรออยู่ ตอนที่เห็นโอวโหเหลียงเข้ามา ต่างทำความเคารพ

หลิวซิวเพิ่งรู้ว่า คนเหล่านี้ล้วนมาร่วมการสอบนักกลั่นยา ส่วนโอวโหเหลียงเป็นคนดูแลการสอบ

เขาเองก็พาหญิงสาวชุดสีม่วงมาสอบ ประจวบเหมาะบังเอิญเห็นหลัวซิวตรงโถงใหญ่เข้าพอดี

การสอบของนักกลั่นยาทั่วไปแน่นอนว่าโอวโหเหลียงไม่ต้องออกหน้า แต่ว่าคนหนุ่มสาวเหล่านี้ล้วนไม่ธรรมดา เพราะถึงอย่างไรก็เป็นอัจฉริยะที่ขั้วอำนาจใหญ่ในเมืองกู่เจี้ยนบ่มเพาะขึ้นมา เป็นนักกลั่นยาระดับ2ตั้งแต่อายุยังน้อย เมื่อผ่านการสอบ ก็สามารถกลายเป็นนักกลั่นยาระดับ3

ขอเพียงตอนมีชีวิตอยู่สามารถบรรลุนักกลั่นยาระดับ4 ถ้าอย่างนั้นตำแหน่งก็จะสูงขึ้น ในตระกูลก็จะสามารถดื่มด่ำกับการปฏิบัติเช่นเดียวกับผู้แข็งแกร่งระดับราชายุทธ์!

“ผู้น้อยซิวหลัวยื่นมือออกมาหนึ่งข้างให้ฉันดูก่อนได้ไหม?” โอวโหเหลียงยิ้มแล้วบอกกับหลัวซิว ความเป็นจริงเขาเองก็ยากจะเชื่อว่าหลัวซิวสามารถกลั่นยาระดับ4ได้ ดังนั้นจึงอยากให้เขาลองกลั่นยาระดับ3ดูก่อน

“ได้ครับ” หลัวซิวยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ เขารู้ดีว่าโอวโหเหลียงไม่เชื่อในความสามารถของตน

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 212 ปรมาจารย์มีความคิดอะไรเหรอครับ

 

การที่ตระกูลจูถูกทำลายไม่เกี่ยวข้องกับเขา อีกทั้งถ้าหากไม่มีเขาหลัวซิวปรากฎตัวขึ้น นายท่านตระกูลจูและจูเสวียนกวงไม่มีใครมีชีวิตอยู่ต่อได้

หลัวซิวไม่ได้หวังว่านายท่านตระกูลจูจะซาบซึ้งในบุญคุณของตน เพราะถึงอย่างไรตนก็มีจุดประสงค์

แต่อีกฝ่ายกลับต้องการใช้เขาเป็นอาวุธ ทั้งยังข่มขู่ตน นี่เป็นสิ่งที่หลัวซิวไม่สามารถทนได้

นายท่านตระกูลจูหัวเราะเยือกเย็น กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่ากลับรู้สึกว่ามือขวาว่างเปล่า ม้วนภาพปริศนาหายไปแล้ว ในมือว่างเปล่า

สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป เห็นม้วนภาพปริศนาอยู่ในกำมือของหลัวซิว ถูกเขาเก็บเข้าไปในแหวนเก็บของ

หลังจากตระหนักห้วงยุทธ์กระบี่สังหาร หลัวซิวก้าวกระโดดออกมาจากขอบเขตของวิชากระบี่ บรรลุห้วงกระบี่ขั้นต่อไป

กระบี่ของเขาแข็งแกร่งกว่าเดิม เร็วกว่าเดิม ความเร็วในการลงมือที่เท่ากัน ไม่ใช่สิ่งที่ในอดีตสามารถเทียบได้

ระยะห่างของทั้งสองฝ่ายใกล้กันแบบนี้ ถ้าเขาลงมือ แม้กระทั่งสำนึกของปรมาจารย์ฝึกจิตก็ไม่สามารถไหวตัวทัน

มีเพียงคนที่ครอบครองห้วงยุทธ์ นักยุทธ์ฝึกตนจะมีสำนึกวิเศษที่หลักแหลมมากขึ้น ถึงจะเห็นการกระทำของเขา

ม้วนภาพปริศนาเปลี่ยนเจ้าของ คำพูดที่อยากจะพูดออกมาของนายท่านตระกูลจูติดอยู่ที่คอ ใบหน้าแก่ชราอดกลั้นจนแดงก่ำ

หลังจากนั้น หลัวซิวไม่อยากจะพูดอะไรแม้แต่คำเดียว ทะยานขึ้นฟ้า แล้วหายไปจากเส้นขอบฟ้า

เดิมทีเขาตั้งใจว่าหลังจากได้รับตำแหน่งของซากโบราณ เขาจะให้ของเล็กน้อยกับนายท่านตระกูลจูและจูเสวียนกวง ถือเป็นการชดใช้ที่ตนเอาลูกแก้วดำไป

แต่นายท่านตระกูลจูกลับไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ข่มขู่เขาแบบนี้ หลัวซิวจึงชิงภาพปริศนามา แล้วหนีไป

จากแผนที่ในม้วนหนังอสูร ซากนั้น คือถ้ำตำหนักของผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์ในสมัยโบราณ

รายละเอียดของผลการฝึกตนของผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์เป็นอย่างไร ไม่ได้บันทึกเอาไว้

ทางเข้าถ้ำตำหนักมีค่ายกลต้องห้ามอันแข็งแกร่ง ต้องมีลูกแก้วดำถึงจะเปิดได้ อีกทั้งด้านในยังมีกลไกมากมาย เป็นค่ายกลเชื่อมติดต่อกัน เมื่อสิบกว่าปีก่อนจูโหวพาคนเข้าไป สูญเสียคนไปจำนวนไม่น้อย ทว่าสุดท้ายก็ไม่สามารถเข้าไปในถ้ำตำหนักได้

ตำแหน่งซากถ้ำตำหนัก ตั้งอยู่ในทะเลทรายของเมืองไห่หยุน

หลัวซิวไม่ได้คิดจะไปตรวจดูซากถ้ำตำหนักที่เมืองไห่หยุนในตอนนี้ ลูกแก้วดำและภาพปริศนาอยู่ในมือตนแล้ว ถึงแม้จะมีคนรู้ว่าที่นั่นมีซาก ก็ไม่สามารถเข้าไปได้

หลังจากผ่านไปสามวัน หลัวซิวมาถึงเมืองกู่เจี้ยน

เมืองกู้เจี้ยน คือถิ่นของตระกูลเหยียน เดิมทีแดนนานาอสูรอยู่ในการครอบครองของตระกูลเหยียน

หลัวซิวอดไม่ได้ที่จะคิดถึงเหยียนเยว่เอ๋อร์ ไม่รู้ว่าเวลานี้สถานการณ์ของเธอจะเป็นยังไงบ้าง ผลการฝึกตนจะฟื้นฟูไปถึงระดับจักรพรรดิยุทธ์แล้วหรือยัง

เมืองซานหยวน คือหนึ่งในเมืองทั่วไปของเมืองกู่เจี้ยน จากสัญลักษณ์นานาอสูรบนภาพปริศนา หลัวซิวมาถึงที่นี่

ภาพปริศนาจะชี้ตำแหน่งคร่าวๆเท่านั้น ส่วนตำแหน่งโดยละเอียด ต้องให้หลัวซิวหาเอง

ขอเพียงเข้าใกล้ทางเข้า หยกอสูรจันทราคู่ก็จะมีปฏิกิริยา ไม่ถึงขั้นไร้จุดหมาย

แก๊งนักกลั่นยา คือสถานที่ในทุกเมืองที่นักยุทธ์ฝึกตนมามากที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย

หลัวซิวสังหารผู้อาวุโสสำนักเฉินเฟิง ในแหวนเก็บของมีแค่วัสดุและหินพลังจิตบางส่วนเท่านั้น เขาเตรียมการก่อนที่จะเข้าไปในแดนนานาอสูร เปลี่ยนของเหล่านี้เป็นยาวิเศษ แล้วกลั่นยากลั่นจิต

“เอายาผนึกปราณหนึ่งขวด”

“เอายาเก็บปราณสามเม็ด”

“……”

แก๊งนักกลั่นยามีเสียงดังเอะอะโวยวายต่างๆ ผลการฝึกตนของนักยุทธ์ฝึกตนมากมายสูงต่ำไม่เท่ากัน มีแดนกลั่นร่าง และก็มีแดนพรสวรรค์ แดนฝึกจิต ล้วนซื้อยาที่ฝึกตนต่างๆต้องการ

ถึงแม้จะอยู่ในแก๊งนักกลั่นยา ยาที่ขายอย่างมากสุดก็แค่ระดับ4 สำหรับยาระดับ5และระดับ5ขึ้นไป ไม่มีขายในโถงใหญ่

ยาชั้นสูง โดยทั่วไปจะเป็นวัสดุที่นักยุทธ์ฝึกตนรวบรวมมา จากนั้นจ่ายเงินราคาแพงให้ปรมาจารย์กลั่นยากลั่นให้

เพราะความขาดแคลนของยาชั้นสูง ดังนั้นจึงไม่เคย โดยทั่วไปจะใช้ภายในแก๊งนักกลั่นยาเพราะถึงอย่างไรแก๊งนักกลั่นยาก็มีผู้แข็งแกร่งมากมาย ที่ต้องการยากชั้นสูงในการพัฒนาผลการฝึกตน

เหตุที่ยาชั้นสูงมีราคาแพง หนึ่งเป็นเพราะยาวิเศษชั้นสูงหายาก อีกเรื่องหนึ่ง ปรมาจารย์กลั่นยาชั้นสูงขาดแคลน

ยกตัวอย่างเช่นฝึกตนของนักยุทธ์ฝึกตน พรสวรรค์ไปจนถึงฝึกจิต เป็นหนึ่งอุปสรรค จอมยุทธ์พรสวรรค์ในขั้วออำนาจต่างๆล้วนสามารถหาออกมาได้ แต่ปรมาจารย์ฝึกจิตกลับน้อยกว่า แม้จะอยู่ในขั้ยอำนาจสูงสุด ปรมาจารย์ฝึกจิตก็เป็นพลังหลัก

ในกลั่นยา ค่ายกล หลอมอาวุธสามอย่าง ระดับสามไปจนถึงระดับสี่อุปสรรคที่ยากจะก้าวผ่าน หลังจากระดับสี่ขึ้นไป ทุกการบรรลุในแต่ละระดับ ล้วนยากยิ่งขึ้น

จากที่หลัวซิวรู้ พูดถึงเฉพาะนักกลั่นยา ทั้งประเทศเทียนหวู ปรมาจารย์กลั่นยาระดับห้าก็มีเพียงสิบกว่าคนเท่านั้น ปรมาจารย์กลั่นยาระดับหก มีเพียงในราชวงศ์แค่คนเดียว!

พูดได้ว่า ตำแหน่งของปรมาจารย์กลั่นยาระดับห้า เทียบเท่ากับจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่ง!

สำหรับยาวิเศษก็เหมือนกัน ยาวิเศษชั้นสูงมีน้อย ทั้งยังราคาแพง

ก่อนหน้านี้หลัวซิวกลั่นยากลั่นจิต ใช้พลังไปมาก กว่าจะสะสมยาวิเศษได้เพียงพอ ระหว่างนี้ยังมียาวิเศษจำนวนไม่น้อยที่เขาฆ่าอสูรขั้นฝึกจิตบนเทือกเขาจิ่วเฟิงแล้วแย่งชิงมาได้

ยิ่งเป็นยาวิเศษที่มีราคาแพง ที่ที่เติบโตก็ยิ่งอันตราย พลังฟ้าดินจิตก็ยิ่งเข้มข้นมากขึ้น ดังนั้นในสถานที่แบบนี้ จึงมีเพียงอสูรชั้นสูงฝังแน่น

เดินในแก๊งนักกลั่นยาหนึ่งรอบ หลัวซิวซื้อได้เพียงยากลั่นจิตขั้น4หกเม็ดเท่านั้น ยาคงขาดยาหลักและยาเสริม วัตถุดิบยากลั่นจิตแค่หนึ่งขวดก็ยังเก็บรวบรวมได้ไม่ครับ

“เพื่อนคนนี้เก็บรวบรวมยากลั่นจิตขั้น4 จะกลั่นยากลั่นจิตขั้น4เหรอ?”

ขณะที่หลัวซิวกำลังจะออกไปจากแก๊งนักกลั่นยา มีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลังขึ้นมากะทันหัน

หลิวซิวหันกลับไป คนที่พูดคุยกับตนคือชายชราที่ใบหน้าเปื้อนยิ้ม บนหน้าอกติดตราสัญลักษณ์เอาไว้ ด้านบนเป็นรูปเตายาขนาดเล็กที่สลักด้วยความประณีต ด้านบนมีดาวสี่ดวง

เห็นชัดว่า ชายชราคนนี้ คือปรมาจารย์กลั่นยาระดับสี่ โดยรอบมีนักยุทธ์ฝึกตนบางส่วนมองมาที่เขา ล้วนเป็นแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความเคารพ

ปรมาจารย์กลั่นยาระดับ4 มีปริมาณทองคำเพียงพอที่จะเทียบเท่ากับราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่ง

เพราะถึงอย่างไรปรมาจารย์กลั่นยาโดยมากผลการฝึกตนล้วนบรรลุแดนราชายุทธ์ ทว่าความสามารถในการกลั่นยาใช้ว่าจะสามารถบรรลุระดับ5ได้

ด้านหลังชายชราคนนี้ มีหญิงสาวชุดสีม่วงยืนอยู่ มองดูแล้วน่าจะอายุประมาณยี่สิบ ใบหน้างดงาม ร่างอรชร อวบอิ่ม ติดตราสัญลักษณ์นักกลั่นยาเอาไว้เหมือนกัน ด้านบนมีดาวสองดวง

ผลการฝึกตนของผู้หญิงชุดม่วงคนนี้ คือพรสวรรค์ขั้น2 ก็สามารถกลายเป็นนักกลั่นยาขั้น2 เห็นได้ว่ามีพรสวรรค์ด้านการกลั่นยาที่สูงมาก

อย่างน้อย หลัวซิวถามตนเองว่าถ้าหากไม่ใช่กฎเดิมลูกแก้วความเป็นความตายที่ให้มา เขาไม่มีวันมีความสามารถในการกลั่นยาระดับนี้

“ท่านอาจารย์ เขาดูแล้วอายุยังน้อยกว่าฉัน” หญิงสาวชุดสีม่วงพูดขึ้นพร้อมขมวดคิ้วเล็กน้อย

ที่เธอขมวดคิ้ว เป็นเพราะอาจารย์ของตนเรียกชายหนุ่มอายุสิบห้าว่า ‘เพื่อน’ โดยทั่วไปการเรียกแบบนี้ จะเรียกกับคนที่ความสามารถอยู่ในระดับเดียวกันเท่านั้น

ผลการฝึกตนของหญิงชุดสีม่วงไม่สูง ดูผลการฝึกตนของหลัวซิวไม่ออก แต่ปรมาจารย์กลั่นยาระดับ4นั้นไม่เหมือนกัน เขาดูผลการฝึกตนของปรมาจารย์ฝึกจิตของหลัวซิวออก

“ปรมาจารย์ความคิดอะไรเหรอครับ” หลัวซิวประสานมือแล้วพูด

 

########################

 

 

 

 

 

บทที่ 211 ตำแหน่งซากโบราณ

 

คนที่ปรากฏตัวขึ้นมา แน่นอนว่าคือหลัวซิว

เขาต้องรู้ตำแหน่งของซากโบราณ นายท่านตระกูลจูตายไม่ได้ ดังนั้นจึงเลือกที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยเขา

“กระบี่เพลิง!”

กระบี่ยุทธ์ชักออกมาจากดาบ ห้วงยุทธ์กระบี่สังหารแผ่ซ่าน เพลิงมรณะควบแน่นกลายเป็นกระบี่ เปลวไฟดำทะยานขึน้มา

สีหน้าผู้อาวุโสสำนักเฉินเฟิงทั้งสองคนเปลี่ยนไปอย่างมาก สัญชาตญาณจากจิตวิญญาณของพวกเขาบอกว่า คนตรงหน้าแข็งแกร่งจนสามารถคร่าชีวิตพวกเขา

“ชิ้งชั้ง!”

ดาบของผู้อาวุโสหนึ่งในสำนักเฉินเฟิงถูกหัก กระบี่เปลวไฟดำกลืนกินเขา แม้กระทั่งเสียงร้องโอดครวญก็ยังไม่ทันได้ร้องตะโกนออกมา ก็ถูกแผดเผาจนกลายเป็นผุยผง ตายจนไม่รู้จะตายอย่างไรแล้ว

ผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งของสำนักเฉินเฟิงสีหน้าตกใจและสิ้นหวัง ไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ผู้อาวุโสในสำนักก็ถูกสังหารไปแล้ว

“คนๆนี้คือใครกันแน่ หรือว่าคือคนของตระกูลจูเหมือนกัน?”

ผู้อาวุโสสำนักเฉินเฟิงไม่เข้าใจ แต่เขารู้ดี ตนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคนๆนี้

“โฮ่ก!”

ทันใดนั้นเอง เสียงร้องคำรามของมังกรดังขึ้น มังกรดำยาวหลายสิบฟุตพุ่งตัวขึ้นไปบนอากาศ รอบตัวเต็มไปด้วยเปลวไฟดำแผดเผา ลมปราณน่ากลัวอย่างมาก

ดาบเล่มหนึ่งตกลงมาจากท้องฟ้า ผู้อาวุโสคนที่สองของสำนักเฉินเฟิงไม่สามารถหนีไปได้ ก็ถูกมังกรที่เกิดจากการควบแน่นของเปลวไฟดำกลืนกิน

โดยทั่วไปแดนเดียวกัน ถึงแม้จะเป็นแดนฝึกจิตขั้น7ก็อยากที่จะสังหารฝึกจิตขั้น4

แต่ที่หลัวซิวสามารถทำได้แบบนี้ เป็นเพราะ《วิชาพลังมังกรแท้》ที่เขาฝึกตนนั้นเป็นวรยุทธ์ระดับ8 พลังการโจมตีของเพลิงมรณะแข็งแกร่งมาก ร่วมกับพลังแปรเสวียนเทียนหกเท่า บวกกับแรงสนับสนุนของห้วงยุทธ์กระบี่สังหาร

แน่นอน สิ่งนี้ก็พัฒนาขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งตามผลการฝึกตนของหลัวซิว เกี่ยวข้องกับการบรรลุแดนฝึกจิตขั้น2 รวมถึงความหวาดกลัวของผู้อาวุโสสำนักเฉินเฟิงที่เกิดขึ้นก่อนจะต่อสู้ อย่างมากก็ใช้พลังได้แค่ครึ่งหนึ่งเท่านั้น

เวลานี้ ทุกคนต่างมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ผู้อาวุโสฝึกจิตทั้งสองของสำนักเฉินเฟิงที่สามารถทำลายตระกูลจูได้ ตายไปแบบนี้แล้วเหรอ?

ชายชุดคลุมดำนั่นคือใคร พลังของเขาถึงได้น่าหวาดกลัวเช่นนี้?

จูโหวนายท่านตระกูลจู ใบหน้าแก่ชราของเขาก็เปี่ยมไปด้วยความตกใจ แต่ในเวลาเดียวกันเขาก็รู้สึกไม่สบายใจ เพราะไม่รู้ว่าการปรากฎตัวของชายชุดคลุมดำ เป็นศัตรูหรือเป็นมิตรกันแน่

สีหน้าของหลัวซิวไร้อารมณื ยกมือขึ้นแล้วฟันกระบี่ลงไป กระบี่ฟันลงไป ศิษย์สำนักเฉินเฟิงหลายสิบคนถูกฆ่าจนไม่เหลือซาก

“ผู้อาวุโสตายแล้ว ทุกคนหนีเร็วเข้า!”

เมื่อเห็นภาพนี้ ศิษย์ทุกคนในสำนักเฉินเฟิงคับแค้นใจที่พ่อแม่เกิดตนมาแค่สองคน หนีจากที่นี่อย่างสุดชีวิต

หลัวซิวไม่ได้ฆ่าคนเหล่านี้ ไม่ใช่เพราะเขาจิตใจดีหรือใจอ่อน แค่เป็นเพราะไม่อยากเสียเวลา

เขาคว้าตัวนายท่านตระกูลจูที่สีหน้าอิดโรยขึ้นมา ขณะร่างของเขากะพริบ ปรากฏตัวขึ้นบนท้องฟ้าเหนือศีรษะของจูเสวียนกวง ปราณกระบี่เปลวไฟดำนับสิบพุ่งตัวออกไป ศิษย์สำนักเฉินเฟิงที่อยู่รอบตัวจูเสวียนกวงถูกฆ่าทั้งหมด

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาพาจูเสวียนกวงและจูโหวปู่หลานสองคน เข้าไปในป่าที่ไกลห่างออกไปนับสิบเมตร

“ท่านปู่……”

จูเสวียนกวงคุกเข่าอยู่บนพื้น น้ำตานองหน้า เกิดหายนะขึ้นกับตระกูลจู คนในตระกูลตายกันหมด ถึงแม้ว่าเขาจะถูกคนในตระกูลดูถูกและหยามเกียรติ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นสายเลือดที่แท้จริงของตระกูล

จูโหวไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ถอนหายใจ สายตาของเขาจับจ้องไปที่หลัวซิว เขาเพิ่งสังเกตเห็นใบหน้าของคนที่ช่วยชีวิตตนเองเอาไว้ คิดไม่ถึงว่าจะยังอายุน้อยแค่นี้ ดูเหมือนว่าเขาจะอายุไล่เลี่ยกับจูเสวียนกวงเท่านั้น

แต่อายุน้อยแค่นี้ กลับบรรลุปรมาจารย์ฝึกจิต ทั้งยังสามารถสังหารฝึกจิตขั้น4ได้ในวินาทีเดียว!

เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าในเขตการปกครองหวู่เฟิงมีอัจฉริยภาพแบบนี้

อย่างกะทันหัน ตาแก่ชราของจูโหวหรี่ลง ชุดคลุสีดำ อายุประมาณสิบห้าสิบหก หรือว่า……

“ใช่คุณชายหลัวซิวรึเปล่า?” จูโหวลองเอ่ยถาม

“ท่านรู้จักผม?” หลัวซิวมองนายท่านตระกูลจูด้วยความแปลกใจ

จูโหวส่ายหน้า “การต่อสู้เพื่อช่วงชิงลำดับในสิบสามเขตการปกครอง ฉันเคยได้ยินมาบ้าง ว่ากันว่าคุณชายหลัวซิวทะลุผ่านหอคอยมังกรบินชั้นเจ็ด ความสามารถเหนือชั้นยิ่งกว่าฝึกจิตขั้น7ระยะหลัง คนหนุ่มรูปงามในสิบสามเขตการปกครอง นอกจากคุณชายหลัวซิวแล้ว คิดว่าไม่มีใครมีความสามารถเทียบเท่า”

เพราะถึงอย่างไรจูโหวคนนี้ก็ฝึกตนเกือบสี่ร้อยปีแล้ว ตามเบาะแสบางอย่าง ก็เดาตัวตนของหลัวซิวได้

“ขอบคุณคุณชายหลัวซิวที่ช่วยชีวิตเอาไว้” จูโหวโน้มตัวทำความเคารพ

“ไม่ต้องขอบคุณผม ผมช่วยท่านเพราะมีจุดประสงค์ ยิ่งไปกว่านั้นใช่ว่าผมช่วยท่านเอาไว้จริงๆ” หลัวซิวพูดเสียงเรียบ

นายท่านตระกูลจูคนนั้นสู้กับผู้อาวุโสสำนักเฉินเฟิงอย่างสุดกำลัง ไม่เสียดายที่จะแผดเผาพลังและเลือด วิธีการแผดเผาพลังและเลือดเป็นข้อห้ามในการแผดเผาอายุขัย ถึงแม้จะไม่ถูกผู้อาวุโสสำนักเฉินเฟิงฆ่า เขาก็มีเวลาเหลืออยู่อีกไม่นานแล้ว

นอกจากว่าเขาสามารถใช้ระยะเวลาสั้นๆสองสามปีในการบรรลุแดนราชายุทธ์ อายุขัยของเขาก็จะเพิ่มขึ้นหกร้อยปีอีกครั้ง

สีหน้าของจูโหวเศร้าหมอง สำหรับอาการของเขา เขาย่อมรู้ดี

“ขอถามคุณชายหลัวซิว ลูกแก้วดำน่าจะอยู่ในมือของคุณชายใช่ไหม” จูโหวหันไปมองจูเสวียนกวงแล้วพูด

หลัวซิวพยักหน้า ไม่ได้ปฏิเสธ พูด:”ฉันต้องการรู้ตำแหน่งของซากโบราณ”

“ถ้าหากฉันบอกกับคุณชาย คุณชายจะฆ่าพวกเราปู่หลานสองคนเพื่อปิดปากหรือไม่?” แววตาของจูโหวฉายลำแสง

หลัวซิวขมวดคิ้ว “ถ้าผมคิดอยากจะฆ่าก็สามารถค้นหาวิญญาณทันที อีกทั้งท่านเองก็น่าจะทราบดี ถึงแม้ว่าผมจะไม่ปรากฎตัว ตระกูลจูทั้งตระกูลของท่าน ต้องถูกสำนักเฉินเฟิงทำลาย”

จูโหวยิ้มเศร้าแล้วพยักหน้า เขาเองก็รู้ว่านี่คือความจริง

“สำนักเฉินเฟิงทำลายตระกูลจูของฉัน ฉันไม่มีกำลังจะแก้แค้น อยากจะเชิญคุณชายหลัวซิวให้การช่วยเหลือ” จูดหวหยิบม้วนหนังอสูรออกมาจากแหวนเก็บของแล้วพูด

ม้วนหนังอสูรนี้คือภาพปริศนาซึ่งเป็นตำแหน่งของซากโบราณ คล้ายว่าผ่านมาหลายปีแล้ว มีลมปราณของโบราณเคลื่อนไหว

จูโหวยังคงไม่ตายใจ ในใจของเขาเปี่ยมไปด้วยความคับแค้น เขาหยิบภาพปริศนาออกมา หวังว่าจะสามารถอาศัยกำลังของหลัวซิว ทำลายสำนักเฉินเฟิง แก้แค้นให้กับตระกูลจู

ถึงแม้สำนักเฉินเฟิงจะไม่ใช่ขั้วอำนาจใหญ่ แต่ในสำนักก็มีปรมาจารย์ฝึกจิตสามคน

ถึงแม้จะถูกหลัวซิวสังหารปรมาจารย์ฝึกจิตไปสองคนแล้ว แต่เจ้าสำนักเฉินเฟิง คือผู้แข็งแกร่งแดนฝึกจิตขั้น8

นอกเหนือจากนี้ ด้านนอกสำนักเฉินเฟิง มีค่ายกลขนาดใหญ่ป้องกันเอาไว้ มีความเป็นไปได้ว่าค่ายกลจะสูงถึงขั้น5

ด้วยความแข็งแกร่งของหลัวซิวแล้วไม่เกรงกลัวสำนักเฉินเฟิง แต่ถ้าจะบอกว่าทำลายสำนักเฉินเฟิง กลับเป็นไปไม่ได้ นอกจากว่าผลการฝึกตนของเขาจะบรรลุถึงฝึกจิตระยะหลังขึ้นไป

ยิ่งไปกว่านั้น เขาเองก็ไม่มีหน้าที่ต้องช่วยตระกูลจูแก้แค้น

“เรื่องนี้ ผมช่วยไม่ได้” หลัวซิวปฏิเสธโดยไม่ลังเล

เมื่อได้ฟัง นายท่านตระกูลจูขมวดคิ้วเป็นปม “คุณชายหลัวซิวไม่ยอมให้การช่วยเหลือเรื่องนี้? ถึงแม้ฉันจะแผดเผาพลังและเลือดจนทำให้อายุขัยของผลการฝึกตนกระทบกระเทือนอย่างหนัก แต่ว่าจะทำลายภาพปริศนาก่อนที่คุณชายจะลงมือ ก็สามารถทำได้”

“ท่านกำลังขู่ผม?” แววตาของหลัวซิวเยือกเย็นขึ้นมา

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 210 ทำลายตระกูล

 

มีคนกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมากะทันหัน ชายร่างยักษ์ชุดดำที่เป็นหัวหน้ามีรอยแผลเป็นอยู่บนหน้า ผลการฝึกตนของคนๆ นี้ คือแดนของจอมยุทธ์พรสวรรค์

ถูกคนกลุ่มนี้ล้อมเอาไว้ ทำให้เจ้าอ้วนจูและจูเทียนกวงทั้งสี่คนตกใจ ทั้งยังสัมผัสได้ถึงสายตาของอีกฝ่าย ล้วนอยู่บนตัวจูเสวียนกวง

“ไอ้หมอนี่แหละ มันคือบุตรชายอนุภรรยาที่หนีออกมาจากตระกูลจู ขโมยของล้ำค่าชิ้นนั้นไป” ชายหนุ่มรูปร่างเตี้ยที่อยู่ข้างๆ ชายร่างยักษ์หน้าบาก พูดขึ้นเสียงเบา

ซ่อนตัวอยู่บนท้องฟ้า หลัวซิวได้ยินคำพูดนี้ หรี่ตาลง เห็นชัดว่าเป้าหมายของคนกลุ่มนี้ ก็คือลูกแก้วดำของตระกูลจู

เจ้าอ้วนจูมองคนกลุ่มนี้ด้วยแววตาระแวดระวัง พูดเสียงเคร่งขรึม:”ทุกท่านหมายความว่าอะไร? ข้าคือพ่อบ้านใหญ่ของตระกูลจู พวกท่าน……”

ทว่าเจ้าอ้วนยังไม่ทันพูดจบ ชายร่างยักษ์หน้าบากที่เป็นหัวหน้าผายมือแล้วพูดแทรกเขาด้วยความเยือกเย็น พูดตะคอก:”นอกจากบุตรชายอนุภรรยาของตระกูลจูแล้ว คนที่เหลือฆ่าให้หมด!”

น้ำเสียงของชายร่างยักษ์หน้าบากนิ่งงันอย่างมาก ทว่ากลับมีออร่าสังหารที่เยือกเย็นแผ่ซ่านออกมา

เจ้าอ้วนได้ฟังก็หน้าเปลี่ยนสีทันที “พวกเราคือคนของตระกูลจู พวกนายจะเป็นศัตรูกับตระกูลจูของเราอย่างนั้นเหรอ?”

ถ้อยคำนี้พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม แต่ความเป็นจริงเจ้าอ้วนไม่มีความมั่นใจอะไรทั้งนั้น ร้องโอดครวญในใจว่าซวยแล้ว เพิ่งหนีออกมาจากปากเสือ คิดไม่ถึงว่าจะซวยแล้วตกไปในรังหมาป่าได้

“ผ่านคืนนี้ไป ตระกูลจูก็จะไม่มีอีกแล้ว” ชายร่างยักษ์หน้าบากสีหน้าเยือกเย็นพูดพร้อมกับหัวเราะ

ตามการผายมือของชายร่างยักษ์หน้าบาก ลูกน้องทั้งกลุ่มก็ชักดาบและกระบี่ออกมา ต่างพากันลงมือ

อีกฝ่ายคนมาก ทางด้านตระกูลจูมีจอมยุทธ์ชี่ไห่แค่สามคน ชั่วขณะหนึ่ง จอมยุทธ์ชี่ไห่ของตระกูลสองคนก็ถูกฆ่าตาย

มีแค่เจ้าอ้วนที่ผลการฝึกตนคือแดนชี่ไห่ขั้น9 ปฏิกิริยาของเขาคือทะยานตัวขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วหนีไป สำหรับความเป็นความตายของจูเสวียนกวง เขาไม่สนใจแล้ว

“คิดอยากจะหนี?”

ชายร่างยักษ์หน้าบากหมุนตัว แล้วตามไปทันที ด้วยผลการฝึกตนจอมยุทธ์พรสวรรค์ของเขา อย่างรวดเร็วก็ตามเจ้าอ้วนจูได้ทัน

ลำแสงของดาบฉายขึ้น เจ้าอ้วนจูถูกฟันตาย ก่อนตาย เจ้าอ้วนจูถลึงตาโต ร้องเสียงดังด้วยความตกใจ:”วิชาดาบลมเทพ พวกแกคือ……”

เขายังไม่ทันพูดจบ ศพของเขาก็ล้มลงบนพื้น เลือดรินไหล

หลัวซิวอยู่บนท้องฟ้ามองดูภาพนี้ด้วยความเย็นชา 《วิชาดาบลมเทพ》 คือวิชายุทธ์ระดับ5 คือวิชายุทธ์ที่มีชื่อเสียงของสำนักเฉินเฟิงในเขตการปกครองหวู่เฟิง

เห็นได้ชัด กลุ่มคนที่โผล่มากะทันหัน น่าจะเป็นคนของสำนักเฉินเฟิง

สำนักเฉินเฟิงคือขั้วอำนาจใหญ่ในเขตการปกครองหวู่เฟิง ถึงแม้ในสำนักจะไม่มีราชายุทธ์ ทว่าก็มีปรมาจารย์ฝึกจิตสามคน ตระกูลจูในเมืองจูโหวไม่อาจเทียบได้

ฆ่าคนตระกุลจูสามคน สมุนของชายร่างยักษ์หน้าบากเริ่มค้นตัวจูเสวียนกวง บีบบังคับถามเขาว่าของล้ำค่าอยู่ที่ไหน

คนสำนักเฉินเฟิงกลุ่มนี้ไม่รู้ว่าของล้ำค่าคืออะไรกันแน่ แต่คล้ายจะรู้ว่าคือสิ่งที่สามารถเปิดซากโบราณได้ น่าจะเป็นข้อมูลที่รั่วไหลจากในตระกูลจู

ซากโบราณที่ไม่เคยถูกเปิดมาก่อน เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไป ตระกูลจูที่เล็กๆ ต้องรับกับการถูกทำลาย

จูเสวียนกวงเองก็ไม่คิดว่าของล้ำค่าในตระกูลตนจะทำให้เกิดหายนะแบบนี้ขึ้น แต่ว่าลูกแก้วดำถูกคนเอาไปแล้ว เขาไม่มีอะไรทั้งนั้น

แต่ไม่ว่าเขาจะอธิบายอย่างไร คนกลุ่มนี้ของสำนักเฉินเฟิงก็ไม่เชื่อคำพูดของเขา

“พวกไม่เห็นคุณค่าของผู้อื่น แกต้องซ่อนของล้ำค่าเอาไว้แน่ๆ พาเจ้าหนุ่มนี่กลับไปก่อนถึงเวลาให้ผู้อาวุโสค้นหาจิตวิญญาณ ก็จะรู้ว่าของล้ำค่าที่อยู่ในความทรงจำของมันอยู่ที่ไหน” ชายร่างยักษ์หน้าบากที่เป็นหัวหน้าพูดขึ้น

ค้นหาจิตวิญญาณ เป็นวิธีการที่ผลการฝึกตนบรรลุถึงขั้นแดนฝึกจิตขึ้นไปของนักยุทธ์ฝึกตนที่แข็งแกร่งสามารถใช้ได้

อาศัยสำนึกของการควบแน่นสัมผัสวิญญาณ ก็จะสามารถเปิดวิญญาณของอีกฝ่ายได้ ตรวจดูความทรงจำ

แต่ว่าวิธีการนี้เหี้ยมโหดมาก คนที่ถูกสืบค้นวิญญาณ ถ้าวิญญาณไม่แตกสลาย ความคิดของเขาก็จะได้รับการกระทบกระเทือนอย่างหนัก กลายเป็นคนปัญญาอ่อน

จูเสวียนกวงเผชิญหน้ากับความตาย ถ้าหากถูกค้นหาวิญญาณจริงๆ ชีวิตนี้ของเขาต้องจบเห่แน่

ระหว่างที่คนกลุ่มหนึ่งกำลังเอาตัวจูเสวียนกวงไปท่ามกลางความมืด ไปผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม ก็มาถึงระแวกใกล้เคียงกับเมืองจูโหว

ตัวของหลัวซิวอยู่บนอากาศ เขาเห็นทุกอย่างชัดเจน เห็นในเมืองจูโหวในรัศมีหนึ่งร้อยเมตร เต็มไปด้วยเปลวไฟ เสียงร้องตะโกนว่าฆ่าดังขึ้นระงม

ทางเข้าออกเมือง มีศิษย์สำนักเฉินเฟิงนับสิบคนซ่อนตัวเอาไว้ ทั้งหมดล้วนเป็นแดนฝึกจิตขั้น7ขึ้นไป

เมื่อไหร่ก็ตามที่มีคนหนีออกไปจากเมือง ศิษย์สำนักเฉินเฟิงเหล่านี้ก็จะลงมือด้วยความเย็นชา ฆ่าทิ้งทันที

ในเมืองเต็มไปด้วยความปั่นป่วน บนท้องฟ้าในเมือง มีชายชราผมขาวโกรธเคืองอย่างมาก ผมขาวพริวไสว รอบตัวเปลวไฟแผดเผา และปรมาจารย์ฝึกจิตต่อสู้ด้วยความดุเดือด

ชายชราคนนั้น คือนายท่านผู้ก่อตั้งตระกูลจู จูโหว ผลการฝึกตนของเขาคือแดนฝึกจิตขั้น4

ล้อมโจมตีทั้งสอง คือผู้อาวุโสของสำนักเฉินเฟิง คนหนึ่งฝึกจิตขั้น3 คนหนึ่งฝึกจิตขั้น4

เห็นได้ชัด สำนักเฉินเฟิงไม่เพียงแต่จะช่วงชิงของล้ำค่าของตระกูลจู ทั้งยังจะทำลายตระกูลจู เพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องที่เกี่ยวข้องกับซากโบราณแพร่งพรายออกไป

จูเสวียนกวงเองก็เห็นภาพนี้ เขานั่งลงกับพื้นด้วยความสิ้นหวัง รู้สึกเรี่ยวแรงของทั้งตัวถูกดูดไปหมดแล้ว

ตระกูลจู จบลงแล้ว!

ภายใต้การโจมตีของผู้อาวุโสสำนักเฉินเฟิง นายท่านตระกูลจูตกอยู่ในอันตราย บาดเจ็บสาหัสแล้ว มุมปากมีเลือดรินไหลออกมา

“ถึงแม้ลูกแก้วดำจะเป็นสิ่งของที่ใช้สำหรับการเปิดซากโบราณ แต่ฉันไม่รู้ว่าซากโบราณนั้นอยู่ที่ไหน”

หลิวซิวครุ่นคิดเล็กน้อย ตำแหน่งของซากโบราณต้องเป็นความลับของตระกูลจู หรือบางทีมีความเป็นไปได้ว่ามีแค่นายท่านตระกูลจูเท่านั้นที่รู้

ดังนัน้ จูโหว ตายไม่ได้

“ฉันเกลียดแก!”

จูโหวสังเกตเห็นลูกหลานในตระกูลถูกฆ่าไม่หยุด เขาคับแค้นใจอย่างมาก

ถึงแม้ผลการฝึกตนของเขาจะเป็นฝึกจิตขั้น4 แต่ผู้อาวุโสสำนักเฉินเฟิงไม่ด้อยไปกว่าตน ต่อให้เขาทุ่มสุดตัว แผดเผาพลังและเลือดสุดกำลัง ก็ไม่สามารถเอาชนะทั้งสองคนที่ร่วมมือกันได้

สิ่งที่จูโหวคับแค้นไม่ใช่สำนักเฉินเฟิงมาทำลายตระกูลจูแล้วช่วงชิงของล้ำค่า แต่เขาแค้นที่ในตระกูลจูมีคนทรยศ แพร่งพรายเรื่องซากออกไป จึงทำให้ตระกูลจูถูกทำลาย

ชาวบ้านไม่ผิด ผิดที่มีหยกกับตัว!

ขณะที่จูโหวกำลังสิ้นหวัง ชายหนุ่มในชุดคลุมสีดำปรากฏตัวอยู่ข้างกายเขา[1][1]

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 209 ลูกแก้วดำ

 

“นายตั้งใจทำแบบนี้ใช่ไหม ฉันเห็นอย่างชัดเจน” หลัวซิวมองจูเสวียนกวงด้วยความเยือกเย็น

“คุณชายไม่รู้ จูเสวียนกวงคนนี้คือบุตรชายอนุภรรยาที่ทรยศแล้วลักลอบหนีออกมาของตระกูลจู พวกเราทำตามคำสั่งเพื่อเอาตัวเขากลับไป สิ่งที่ล่วงเกิน หวังว่าคุณชายจะสามารถอภัยให้ได้” เจ้าอ้วนจูพูดด้วยความระมัดระวัง

“ฉันไม่เคยได้ยินชื่อตระกูลจูของพวกนายมาก่อน อีกทั้งฉันเองก็ไม่สนใจเรื่องตระกูลจูของพวกนายด้วย แต่ว่าฉันนั่งอยู่ตรงนี้ดีๆ พวกนายกลับจะลงมือกับฉัน แค่คำว่าล่วงเกินคำเดียวก็จบแล้วอย่างนั้นเหรอ?”

ขณะพูดประโยคนี้ สายตาของหลัวซิวจับจ้องไปยังชายหนุ่มปัญญาชนจูเสวียนกวง “ฉันกับนายไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่นายกลับจะโยนความผิดให้ฉันแล้วหนีไป ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น เกรงว่าคงจะฆ่านายไปแล้ว”

เมื่อได้ จูเสวียนกวงหน้าเปลี่ยนสี ไม่รู้ว่าควรจะตอบคำถามอย่างไร กัดฟันแน่น ยื่นมือออกไปแล้วหยิบลูกแก้วสีดำล้วนออกมา

เมื่อเห็นจูเสวียนกวงหยิบลูกแก้วออกมา คนตระกูลจูทั้งสามคนหน้าเปลี่ยนสีทันที

“ขอเพียงผู้อาวุโสอภัยให้ความผิดของ ข้าก็ยินดีที่จะยกลูกแก้วดำให้ผู้อาวุโส” จูเสวียนกวงพูด

หลัวซิวยื่นมือออกไปคว้า ลูกแก้วดำลอยออกมาจากมือของจูเสวียนกวง ตกลงบนมือหลัวซิว

ลูกแก้วลูกนี้สีดำล้วนดูไม่ออกว่าทำมาจากวัสดุอะไร ใช้สำนึกตรวจสอบ ก็ว่างเปล่า ไม่มีปฏิกิริยาพิเศษแต่อย่างใด

ไม่ว่าจะมองอย่างไร ลูกแก้วดำนี้ก็ธรรมดามาก ไม่มีอะไรพิเศษ

แต่ดูจากสีหน้าของจูเสวียนกวงและตระกูลจูทั้งสามคน ดูเหมือนว่าลูกแก้วดำนี้ไม่ธรรมดา

“ลูกแก้วดำนี้คืออะไร?” หลัวซิวหันไปถามจูเสวียนกวง

จากคำพูดของจูเสวียนกวง ลูกแก้วดำคือสิ่งของที่ใช้เปิดโบราณสถาน เป็นสิ่งที่นายท่านตระกูลจูได้มาเมื่อเจ็ดสิบกว่าปีก่อน ตระกูลจูเองก็เคยไปสำรวจโบราณสถานนั้น แต่เพราะความสามารถไม่ถึง ทำให้สูญเสียคนจำนวนไม่น้อย สุดท้ายจึงกลับมาโดยไม่ได้อะไร

เดิมทีเรื่องคือความลับของตระกูล จูเสวียนกวงเองก็บังเอิญได้ยินมาจากพ่อ

สำหรับตัวจูเสวียนกวง คือบุตรชายอนุภรรยาของนายท่านตระกูลจู แม่ของเขาเกิดในหอโคมเขียว เมื่อสามปีก่อนตายจากไปเพราะล้มป่วย แต่เพราะชาติกำเนิด ดังนั้นจูเสวียนกวงจึงถูกตระกูลรังแก มีฐานะเทียบเท่ากับบ่าวรับใช้

ดังนั้น จูเสวียนกวงหาโอกาส ขโมยลูกแก้วดำประจำตระกูล แล้วหนีออกมา

คนที่มาจับตัวจูเสวียนกวง ไม่รู้ความลับเหล่านี้ รู้แค่ว่าตอนที่บุตรชายอนุภรรยาของตระกูลจูหนีไป เขาได้ขโมยของล้ำค่าของตระกูลจูไปด้วย

ซากที่เหลือทิ้งเอาไว้ในยุคสมัยโบราณ ล้วนถูกขนานนามว่าเป็นดินแดนแห่งขุมทรัพย์ ครอบครองโดยขั้วอำนาจต่างๆ ในใต้หล้า

ทางด้านตระกูลจูแห่งเขตการปกครองหวู่เฟิง เป็นเพียงตระกูลนักยุทธ์ทั่วไปเท่านั้น หลัวซิวเองก็คิดไม่ถึงว่าตระกูลเล็กๆ แบบนี้ จะมีเบาะแสของซากโบราณสถาน

แดนนานาอสูรก็เป็นซากโบราณสถาน หลัวซิวได้รับโอกาสดีๆ จากมัน

ยังมีแดนปริศนา ถ้าไม่ดี แล้วขั้วอำนาจต่างๆ จะแย่งชิงกันสุดชีวิตเพื่อเข้าไปได้อย่างไร?

แค่ว่า จูเสวียนกวงรู้แค่เพียงว่าลูกแก้วดำคือของที่ใช้สำหรับเปิดซากโบราณสถาน สำหรับข้อมูลของซากโบราณสถานที่มากไปกว่านี้ เขาไม่รู้อะไรทั้งนั้น

หลัวซิวมีสัญชาตญาณ ซากที่เกี่ยวข้องกับลูกแก้วดำนี้ต้องเป็นโอกาสที่ดี ในเมื่อถูกเขาพบเจอแล้ว ก็จะไม่ปล่อยให้พลาดไป

โอกาส เมื่อมีแล้วต้องคว้าเอาไว้ ถ้าไม่คว้าเอาไว้ โอกาสก็จะหลุดลอยไป

หลัวซิวไม่ใช่คนจิตใจดี ถึงขั้นพูดได้ว่านักยุทธ์ฝึกตนทั่วใต้หล้าไม่มีใครเป็นคนดี เพื่อเพิ่มผลการฝึกตนของตน เดินบนเส้นทางนักยุทธ์ฝึกตนให้ยาวไกลยิ่งขึ้น จำเป็นต้องคว้าทุกโอกาสที่ได้มาด้วยความยากลำบาก

ดังนั้น หลัวซิวตั้งใจจะไปตระกูลจูสักรอบหนึ่ง

จากคนตรงหน้าทั้งสี่คน หลัวซิวรู้ว่า ตระกูลจูมีนายท่านคนหนึ่งฝึกตนมานานกว่าสี่ร้อยปี คือปรมาจารย์ยุทธ์แดนฝึกจิตขั้น4

นอกจากนายท่านตระกูลจูแล้ว คนในตระกูลจูที่ผลการฝึกตนสูงสุดคือนายท่นาตระกูลจูและผู้อาวุโสทั้งสาม ล้วนเป็นผลการฝึกตนพรสวรรค์

ตระกูลนักยุทธ์ฝึกตนนี้ ในประเทศเทียนหวูถือเป็นตระกูลธรรมดาทั่วไปเท่านั้น

หลัวซิวเก็บลูกแก้วดำเอาไว้ พูดเสียงเรียบ :”พวกนายไปได้แล้ว”

ขณะพูด ร่างของหลัวซิวก็หายไปทันที การเคลื่อนไหวที่ความลึกลับซับซ้อนนี้ ทำให้จูเสวียนกวงและทั้งสี่คนตกใจจนถลึงตาโต

ทั้งสี่คนยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง จึงจะมั่นใจว่าชายหนุ่มชุดคลุมยาวดำจากไปแล้วจริงๆ ในที่สุดก็โล่งอก

“จูเสวียนกวง ดูสิที่นายทำสิ!”

เจ้าอ้วนจูในฐานที่เป็นพ่อบ้านใหญ่กัดฟันแน่นแล้วจ้องเขม็งไปที่จูเสวียนกวง แทบอยากจะฉีกไอ้สารเลวคนนี้เป็นชิ้นๆ

นายท่านให้เขาจับตัวจูเสวียนกวงกลับไปพร้อมกับของล้ำค่า ตอนนี้แย่แล้ว ไม่เพียงแต่สูญเสียคน ของล้ำค่าของตระกูลจูยังตกอยู่ในกำมือของยอดฝีมือไม่ทราบชื่อ แล้วจะทำอย่างไรดี?

สีหน้าของจูเสวียนกวงเองก็นิ่งงัน ตอนนี้เขาเสียใจมากที่เพราะอะไรตนถึงใช้ชายหนุ่มชุดคลุมยาวดำเป็นเครื่องมือแล้วหลบหนีไป ไม่อย่างนั้นละก็ บางทีอาจจะขอร้องให้เขาช่วยเหลือได้ หนีจากการตามล่าของตระกูลจู

แต่ว่าตอนนั้น ชายหนุ่มชุดคลุมยาวดำได้รับของล้ำค่าแล้วจากไปแล้ว ตนถูกจับกลับไป ถ้าไม่ตายก็คงโดนถลกหนังแน่ๆ

จอมยุทธ์ชี่ไห่สองคนจับตัวจูเสวียนกวงเอาไว้ซ้ายหนึ่งคนขวาหนึ่งคน ทั้งสี่คนเดินออกไปจากวัดโบราณ รีบกลับตระกูลจู

ท้องฟ้าที่มืดมิด ทั้สี่คนไม่ทันสังเกตว่า ร่างของหลัวซิวประสานรวมเป็นหนึ่งกับท้องฟ้าที่มืดสนิทแล้ว แอบติดตามไปเงียบๆ

ตำหนักของตระกูลจู เป็นเมืองเล็กๆที่อยู่ไม่ไกลจากเขาชิงหยาง ชื่อว่าเมืองจูโหว ส่วนนายท่านของตระกูลจู ชื่อว่าจูโหว ซึ่งก็คือปรมาจารย์ยุทธ์ผู้แข็งแกร่งที่ฝึกตนมานานเกือบสี่ร้อยปี สร้างเมืองจูโหวด้วยตนเอง

ระหว่างทางกลับตระกูลจู คนกลุ่มหนึ่งวิ่งออกมาจากในป่าที่อยู่รอบๆ ในมือถือดาบกับกระบี่เอาไว้ ล้อมจูเสวียนกวงและอีกสี่คน

 

########################

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 208 มองข้ามความหวังดีของผู้อื่น

 

สิบวันให้หลัง หลัวซิวมาถึงเขาชิงหยาง

บนเขาชิงหยางมีวัดโบราณร้างวัดหนึ่ง ตัดขาดกับโลกภายนอก หลังจากผ่านป่าผืนนี้ไป สามารถเข้าไปด้านในดินแดนเมืองกู่เจี้ยน

ท้องฟ้าแลดูค่ำมากแล้ว หลัวซิวไม่คิดจะออกเดินทางตอนกลางคืน ด้วยเหตุนี้เขาจึงนอนพักที่วัดโบราณร้างชั่วคราว

ชายหนุ่มที่แต่งกายคล้ายปัญญาชนก่อไฟในวัดโบราณ ตอนที่หลัวซิวเข้ามา สีหน้าของชายหนุ่มปัญญาชนฉายความหวาดระแวงทันที

ภายใต้การสัมผัสด้วยสำนักของหลัวซิว ผลการฝึกตนของชายหนุ่มปัญญาชนคนนี้คือฝึกจิตขั้น8 ดูแล้วอายุน่าจะใกล้เคียงกับตน

พยักหน้าให้อีกฝ่าย เพื่อแสดงว่าตนไม่มีเจตนาร้าย หลังจากนั้นหลัวซิวก็นั่งขัดสมาธิตรงมุมหนึ่งในวัดโบราณ

ท้องฟ้าด้านนอกค่อยๆ มืดลง เมฆสีดำบดบังท้องฟ้า เต็มไปด้วยหมอก ไร้แสงของดวงจันทร์

ในวัดล้าง กองไฟลุกโชน หลัวซิวหลับตาลงและจดจ่อ ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ

ทางด้านชายหนุ่มปัญญาชน คอยมองเขาด้วยความระแวดระวังอยู่ตลอดเวลา ไม่คลายความระแวงลงแม้แต่น้อย

ทันใดนั้นเอง ด้านนอกวัดโบราณมีเสียงฝีเท้าดังขึ้น ตามด้วยคนเจ็ดแปดคนทยอยเข้ามา เดินเข้ามา

นำโดย คนที่มีรูปร่างอ้วนท้วม หูกาง แต่ใบหน้าของเขากลับเหี้ยมโหด

คนที่อยู่ด้านหลังของเขา ล้วนเป็นชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่ หุ่นยักษ์ เป็นคนฝึกยุทธ์

คนเจ็ดแปดคนนี้ ล้วนเป็นจอมยุทธ์ชี่ไห่ ผลการฝึกตนของเจ้าอ้วนที่เป็นหัวหน้าสูงสุด คือชี่ไห่ขั้นแปด

หลังจากเจ้าอ้วนเดินเข้ามา เขากวาดมองรอบๆด้วยแววตาเยือกเย็น สายตาของเขาจับจ้องไปยังชายหนุ่มปัญญาชน

“จูเสวียนกวง เอาของออกมาเถอะ!” เจ้าอ้วนหัวเราะเยือกเย็นแล้วพูดกับชายหนุ่มปัญญาชน

ตอนที่เห็นคนพวกนี้ ชายหนุ่มปัญญาชนเหมือนเห็นศัตรูตัวฉกาจ กอดห่อผ้าที่อยู่ข้างกายเอาไว้

“ฉันไม่รู้ว่าพวกแกพูดอะไร” ชายหนุ่มปัญญาชนพูดด้วยความกระวนกระวายเล็กน้อย แต่การที่เขากอดห่อผ้าในมือแน่น เป็นการบ่งบอกทุกอย่างแล้ว

“มองข้ามความหวังดีของผู้อื่น!” เจ้าอ้วนหัวเราะเยือกเย็น แล้วส่งสายตาให้คนที่อยู่ข้างๆ

ชายร่างยักษ์เข้าใจทันที เดินเข้าไปหา ยื่นมือออกไปแล้วคว้าห่อผ้าในมือของชายหนุ่มปัญญาชน

ในเวลานี้ คล้ายว่าชายหนุ่มปัญญาตกใจ เขาถอยหลังแล้วเซไปมา ยืนไม่นิ่ง หงายหลังล้มลง ห่อผ้าในมือถูกโยนออกมาพอดี โยนมาทางหลัวซิวพอดิบพอดี

ตุ๊บ!

ห่อผ้าตกลงบนพื้น หล่นลงข้างหลัวซิวพอดี

ตาที่หลับเอาไว้ค่อยๆ ลืมขึ้น หลัวซิวขมวดคิ้วเป็นปมมองชายหนุ่มปัญญาชนที่สีหน้าตกตะลึงและทำตัวไม่ถูก ด้วยสายตาที่เฉียบแหลมของเขามีหรือที่จะดูไม่ออก รู้ว่าอีกฝ่ายเจตนาทำแบบนี้ เพื่อให้ตนกลายเป็นที่สนใจของคนพวกนั้น

เป็นจริงตามนั้น เมื่อเห็นห่อผ้าตกลงข้างๆ หลัวซิว เจ้าอ้วนที่เป็นหัวหน้าของจอมยุทธ์เจ็ดแปดคนมองมาที่ตนด้วยแววตาเยือกเย็น

“หนุ่มน้อย ส่งห่อผ้ามา” เจ้าอ้วนหรี่ตาลง พูดกับหลัวซิวด้วยน้ำเสียงสั่ง

ทว่า สิ่งที่เจ้าอ้วนและพวกคิอไม่ถึงคือ ชายหนุ่มชุดคลุมดำในสายตาพวกเขาที่ไม่มีลมปราณของนักยุทธ์ฝึกตน กลับหัวเราะเยือกเย็น “ไสหัวไป!”

“หนุ่มน้อยแกอยากตายเหรอ? เรื่องตระกูลจูของพวกเราแกก็กล้ายื่นมือเข้ามายุ่ง? แกเป็นศิษย์ตระกูลไหน?” เจ้าอ้วนที่เป็นหัวหน้าเผยสีหน้าโมโห

ในเวลาเดียวกัน จอมยุทธ์ชี่ไห่เจ็ดแปดคนล้อมวงเข้ามา เดินมาทางหลัวซิว

หลัวซิวทำเหมือนไม่ได้ยิน สายตาจับจ้องไปยังชายหนุ่มปัญญาชนที่ชื่อจูเสวียนกวง ทว่าตอนที่ความสนใจทั้งหมดมาอยู่ที่ตน อีกฝ่ายก็รีบวิ่งหนีออกไปจากวัดโบราณทันที

เจ้าอ้วนที่เป็นหัวหน้าก็สังเกตเห็นข้อนี้ กระโดดลุกขึ้น วิ่งตามจูเสวียนกวงออกไป

จอมยุทธ์ชี่ไห่ห้าคนที่เหลือ พุ่งตัวเข้ามาพร้อมกัน พุ่งเข้ามาหาหลัวซิว แต่ละคนใบหน้าเหี้ยมโหดมาก

หลัวซิวนั่งขัดสมาธิอยู่ที่เดิมไม่ขยับ ครุ่นคิด เจตนาฆ่าอันเหี้ยมโหดแผ่ซ่านออกมาจากตัวของเขา

ชั่วขณะหนึ่ง จอมยุทธ์ชี่ไห่ห้าคนที่พุ่งมาเหมือนถูกสายฟ้าจู่โจม แต่ละคนกระอักเลือก ร่างลอยออกไป

หลัวซิวในตอนนี้ ไอสังหารกลายเป็นห้วงกระบี่วิถีบู๊ อย่าว่าแต่จอมยุทธ์ชี่ไห่ธรรมดาๆ แม้กระทั่งจอมยุทธ์พรสวรรค์ ก็ไม่สามารถต้านทานห้วงกระบี่ได้

เจ้าอ้วนที่เป็นหัวหน้าตกตะลึง ภายใต้การครอบคลุมของเจตนาฆ่าอันน่าหวาดกลัวนี้ ขาของเขาอดไม่ได้ที่จะสั่นเทา หน้าผากและหลังของเขามีเหงื่อไหลออกมา

อย่างไม่ต้องสงสัย ชายหนุ่มชุดคลุมยาวดำที่ดูแล้วไม่มีอันตราย ต้องเป็นนักยุทธ์ที่เหนือกว่าจอมยุทธ์พรวรรค์แน่นอน!

“ผู้อาวุโสไว้ชีวิตด้วย…”

เจ้าอ้วนคุกเข่าลงกับพื้น รอบตัวของเขามีเหงื่อเย็นไหลออกมา

ในเวลานี้เอง เสียงฝีเท้าดังขึ้น จอมยุทธ์ชี่ไห่สองคนที่วิ่งออกไปเมื่อครู่ ลากตัวชายหนุ่มปัญญาชนจูเสวียนกวงกลับมา เห็นภาพนี้เข้าพอดี

เจ้าอ้วนนั่นคือพ่อบ้านประจำตัวตระกูลจูไม่ใช่เหรอ แต่กลับคุกเข่าลงตรงหน้าชายชุดคลุมยาวดำ?

เมื่อมองดูอีกครั้ง เพื่อนที่มาด้วยกันทั้งห้าคนล้มลงบนพื้น ทำให้จอมยุทธ์ชี่ไห่ทั้งสองคนที่จับตัวจูเสวียนกวงกลับมา ตกใจในทันที

ตอนที่สายตาของชายหนุ่มชุดคลุมยาวดำมองมา จอมยุทธ์ชี่ไห่ทั้งสองคนรู้สึกเหมือนถูกอสูรโบราณจับจ้อง ร่างกายของเขาหยุดนิ่งอยู่ที่เดิม นิ้วมือขยับไม่ได้

สำหรับชายหนุ่มปัญญาชนจูเสวียนกวงที่เดิมทีใช้หลัวซิวดึงดูดความสนใจและให้เขาเป็นแพะรับบาป แล้วตนก็หนีไปนั้น ก็ตกตะลึง

คนตระกูลจูเหล่านี้ล้วนเป็นจอมยุทธ์ชี่ไห่ซึ่งไม่ม่สัมผัสสำนึก ไม่รู้เลยว่า ห่อผ้าที่จูเสวียนกวงโยนออกไป ความเป็นจริงด้านในมีแค่เสื้อผ้ากับข้าวของเครื่องใช้เท่านั้น

สัมผัสได้ถึงแววตาที่เหี้ยมโหดมองมาที่ตน จูเสวียนกวงหนาวสั่นอย่างห้ามใจไม่ได้ รู้ว่าชายหนุ่มชุดคลุมยาวดำต้องอ่านแผนการของตนออกแล้วแน่ๆ

“ผู้อาวุโสโปรดอภัย ข้าไม่ได้ตั้งใจ” จูเสวียนกวงบอกให้ตนเองพยายามใจเย็นลง แล้วทำความเคารพชายหนุ่มชุดคลุมยาวดำ

 

 

 

 

 

 

 

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 207 ฝึกจิตขั้น2

 

สถานการณ์แบบนี้หลัวซิวเพิ่งเคยพบเจอเป็นครั้งแรก ภายในใจของเขารู้สึกไม่สบายใจ

เขาตรวจซ้ำสิบกว่ารอบๆ ร่างกายของเขายังคงไม่มีร่องรอยและความผิดปกติแต่อย่างใด แต่ตอนที่เขาใช้สำนึกตรวจดูชุดคลุมดำบนตัวของตนเองนั้น ตรงแขนเสื้อ เขาเห็นสัญลักษณ์หนึ่ง

สัญลักษณ์นี้เกิดจากการควบแน่นของสำนึก เจ้าของสัญลักษณ์สามารถสัมผัสผ่านสำนึก ดูตำแหน่งของเขาได้ตลอดเวลา

นึกถึงเสียงร้องตะโกนด้วยความเจ็บใจของหลี่หงเหวินก่อนตาย หลัวซิวพอจะมั่นใจได้แล้ว สัญลักษณ์นี้น่าจะเป็นสิ่งที่พี่ใหญ่ที่เขาพูดถึงทิ้งเอาไว้

เมื่อไหร่ก็ตามที่มีคนฆ่าหลี่หลงเหวิน สัญลักษณ์แห่งสำนึกก็จะออกมาแล้วประทับลงบนตัวคนร้าย

ถึงแม้สำนึกที่อยู่ในสัญลักษณ์จะอ่อนแรงมาก แต่ควบแน่นมาก ทำให้หลัวซิวพอจะเดาได้ว่าพี่ใหญ่คนนั้นของหลี่หงเหวิน อย่างน้อยต้องเป็นผู้แข็งแกร่งฝึกจิตขั้น8ขั้น9

แต่ว่าสัญลักษณ์แห่งสำนึกกลับถูกหลัวซิวพบแล้ว ย่อมถูกเขาทำลาย เขาไม่ต้องการให้ตนถูกปรมาจารย์โลกยุทธ์ฝึกจิตขั้น9คอยจับตาดูอยู่ตลอดเวลา

คว้ามือขึ้นจับ เก็บแหวนเก็บของของหลี่หงเหวินหลังตายขึ้นมา ด้านในมีหินพลังจิตหลายพันก้อน ทั้งยังยาระดับ4หลายเม็ด ในปรมาจารย์ฝึกจิตถือว่าเป็นคนที่ร่ำรวยมาก

หนึ่งในนั้นของที่มีค่าที่สุดก็คือกระบี่ยุทธ์ชั้นยอดเล่มนั้น ราคาห้าหกพันหินพลังจิต

หลังจากนั้นหลัวซิวก็เก็บชิ้นส่วนบนตัวหมีเดือดสามตาขึ้นมา แล้วทะยานตัว หายไปจากเขตแดนผืนนี้

……

เดินออกมาจากเทือกเขาจิ่วเฟิง ไม่นานหลังจากนั้น หลัวซิวก็มาถึงเมืองหนึ่งในเขตการปกครองหวู่เฟิง ชื่อว่าเมืองต้าโจว

หลายวันมานี้ เขาฝึกตนด้วยแรงโน้มถ่วงสิบเท่าตั้งแต่ต้นจนจบ ร่วมกับก่อนหน้านี้ต่อสู้กับหลี่หงเหวินแดนฝึกจิตขั้น7 ทำให้เขารู้สึกเหมือนจะบรรลุ

ด้วยเหตุนี้ หลังจากหลัวซิวมาถึงเมืองต้าโจว สิ่งแรกที่เขาทำก็คือขังตัวเองอยู่ในเกสเฮ้าว์

หินพลังจิตแต่ละก้อนกลายเป็นผุยผงอยู่ข้างๆ เขา พลังฟ้าดินจิตที่มากมายดูดเข้าสู่ร่างกาย วงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพควบแน่นไม่หยุด กลายเป็นพลังจิตแท้สองระดับ

ในจุดตันเถียนชี่ไห่ ประเดี๋ยวพลังจิตแท้ของหลัวซิวกลายเป็น玄阳白焰 ประเดี๋ยวกลายเป็นเพลิงมรณะที่น่าหวาดกลัว

ทุกพลังจิตของเขากลายเป็นมังการ พลังจิตแท้ชี่ไห่ของจุดตันเถียนกระเพื่อมขึ้นลง พลังที่ทรงอานุภาพ โดยมีจุดตันเถียนชี่ไห่เป็นจุดศูนย์กลาง เคลื่อนทั่วร่างกาย ไหลเข้าสู่แขนขา เส้นเอ็นและระหว่างชีพจร

หลังจากนั้นไม่นาน หลัวซิวลืมตาขึ้น ใบหน้าแสดงความดีใจ ผลการฝึกตนบรรลุถึงฝึกจิตขั้น2

เขาเพิ่งบรรลุแดนฝึกจิตประมาณหนึ่งเดือน โดยทั่วไปนักยุทธ์ฝึกตนอยากจะบรรลุจากฝึกจิตขั้น1ไปยังฝึกจิตขั้น2 อย่างน้อยต้องใช้เวลาสิบปีขึ้นไปในการฝึกฝนถึงจะสำเร็จ

หลังจากนั้น หลัวซิวเริ่มจัดการของในมือตน โดยเฉพาะตอนที่อยู่ในเทือกเขาจิ่วเฟิง เขาฆ่าอสูรกายฝึกจิตระดับ4ไปมากมาย ชิ้นส่วนของอสูรกายเหล่านี้สามารถขายในเมืองได้ หรือไม่ก็เปลี่ยนเป็นยาวิเศษ

เมืองต้าโจวใกล้กับเขตแดนเทือกเขาจิ่วเฟิง แต่ละขั้วอำนาจล้วนจัดตั้งร้านค้าอยู่ที่นี่ รับซื้อของล้ำค่าและทรัพยากรจากเหล่านักล่าอสูรโดยเฉพาะ

สองสามวันระหว่างนี้ หลัวซิวขายชิ้นส่วนแล้วแลกเป็นยาวิเศษได้จำนวนไม่น้อย หลังจากนั้นก็เริ่มกลั่นยาระดับ4 สิ่งสำคัญคือกลั่นยาที่บรรจุพลังจิตบริสุทธิ์เพิ่มผลการฝึกตน

เพราะหลัวซิวเดินทางมาแดนนานาอสูรครั้งนี้ เพื่อในแดนร่างเนื้อของตนบรรลุร่างยุทธ์ขั้นสุด

ระหว่างที่อาศัยลูกแก้วโลหิตชุบร่างเนื้อ ยังสามารถใช้ยาในการเพิ่มผลการฝึกตน ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว

นักยุทธ์ฝึกตนในยุทธภพ โดยมากแล้วฝึกทักษะยุทธ์พลังจิตแท้ หรือไม่ก็ฝึกร่างเนื้อ ทั้งยังมีคนส่วนน้อยที่จิตวิญญาณแข็งแกร่งโดยกำเนิด ฝึกตนวิญญาณโดยเฉพาะ

เพราะถึงอย่างไรความสามารถของคนนั้นมีขีดจำกัด มีอัจฉริยภาพจำนวนน้อยที่สามารถฝึกสองยุทธ์ได้ นอกเหนือจากฝึกสามยุทธ์แล้ว คนส่วนมาก ล้วนฝึกยุทธ์ใดยุทธ์หนึ่งเท่านั้น

ถึงแม้จะมีพรสวรรค์ที่มากพอ แต่ถ้าไม่มีโอกาสที่มากพอ หากทำสองอย่าง มีโอกาสที่จะไม่ดีสักอย่าง

พรสวรรค์ที่มากพอ พูดได้เพียงว่ามีการจุดเริ่มต้นที่สูง แต่ว่าจะเดินบนเส้นทางการฝึกยุทธ์ได้ยาวไกลหรือไม่ ต้องดูจิตใจ การตระหนักรู้และโอกาส

โอกาส เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด

สำหรับหลัวซิว ประสานลูกแก้วความเป็นตาย เป็นโอกาสที่น่าเหลือเชื่ออย่างมาก

ในเวลาเดียวกัน ห่างจากเมืองต้าโจวไปหนึ่งพันเมตร ใบหน้าของชายชุดแดงเคร่งขรึม รอบตัวแผดเผาด้วยแรงสังหาร

“กล้าฆ่าน้องชายของฉันหลี่หงเทียน คิดว่ากำจัดสัญลักษณ์แห่งสำนึกของฉันแล้วจะไม่เป็นอะไรอย่างนั้นเหรอ?”

ชายชุดแดงที่มีใบหน้าเปี่ยมไปด้วยแรงอาฆาตพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น วินาทีที่น้องชายหลี่หงเหวินถูกฆ่า ใบหน้าของคนที่ข้าน้องชายผ่านสัมผัสของสำนึก ถูกส่งมาที่สมองของเขาแล้ว

ทว่าสำหรับเรื่องทั้งหมดนี้ หลัวซิวกลับไม่รู้เลย

ในเมืองต้าโจว หลัวซิวกลั่นยาไปสามสิบกว่าเม็จ หลังจากนั้นหยิบภาพปริศนาออกมา ตรวจดูตำแหน่งเปิดและเข้าของแดนนานาอสูรอีกครั้ง เขาก็เริ่มเดินทาง

ตอนนั้นเหยียนเยว่เอ๋อร์เคยบอกกับเขาว่า ในแดนนานาอสูรมีซากโบราณ ที่สามารถสืบทอดได้

ตระกูลเหยียนเมืองกู่เจี้ยน ที่สามารถกลายเป็นหนึ่งในสิบตระกูลใหญ่ของประเทศเทียนหวู เป็นเพราะได้สืบทอดวัตถุโบราณอย่างหนึ่งมาจากแดนนานาอสูร

เวลานี้ ภาพปริศนานานาอสูร หยกอสูรจันทราคู่ที่ใช้สำหรับเปิดแดนลับตกอยู่ในมือของหลัวซิว

ไม่ว่าจะเป็นแดนนานาอสูร หอคอยมังกรบิน แดนปริศนา ล้วนเป็นซากที่เหลือทิ้งเอาไว้ในยุคสมัยโบราณ สำนักต่างๆ ที่ผงาดขึ้นมาในตอนหลัง ล้วนได้รับการสืบทอดจากซาก แล้วสืบทอดกันมา[1][1]

 

########################

 

 

บทที่ 206 สัญลักษณ์แห่งสำนึก

 

สำหรับชายชุดคลุมยาวแดงแล้ว ดีหมีเดือดสามตาต่างหากที่เป็นเป้าหมายของเขา ชายหนุ่มชุดคลุมยาวดำคนนี้ไม่ธรรมดา เรื่องน้อยลงหนึ่งเรื่องก็มีปัญหาน้อยลงหนึ่งเรื่อง

“ทำไมต้องยกสัตว์ที่ฉันล่าได้ให้แกด้วย? ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อกี้นายเพิ่งลอบทำร้ายฉัน คิดว่าจะจบแบบนี้เหรอ?” หลัวซิวพูดน้ำเสียงเย้ยหยันและเยือกเย็น

“แกอยากตาย? ฉันทำให้แกสมปรารถนาเอง”

แววตาของชายชุดคลุมยาวแดงฉายลำแสงคมกริบ คว้ากระบี่ออกมา แสงดาบสีแดงดั่งเปลวไฟควบแน่น ฟันด้วยความดุเดือด

อยู่ในป่าลึก นักยุทธ์ผู้ฝึกตนฆ่าฟันกันเพราะพูดไม่ถูกคอ เป็นเรื่องที่ปกติมาก

ลำแสงของดาบพุ่งทะยานราวกับเปลวไฟที่ร้อนแรง ยังไม่ทันเข้ามาใกล้ก็มีความน่าหวาดกลัวแผ่ซ่านออกมา

ในรัศมีหนึ่งร้อยเมตรต้นไม้เหี่ยวแห้งและถูกแผดเผาในพริบตา อาศัยพลังจิตแท้ที่แข็งแกร่งของแดนฝึกจิตขั้น7 จู่โจมสุดกำลัง สามารถสังหารฝึกจิตขั้นต้นได้อย่างง่ายดาย

หากเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อน หลัวซิวต้องใช้พลังแปรเสวียนเทียนยี่สิบสี่เท่าถึงจะสามารถเทียบเคียงกับฝึกจิตขั้นท้าย

แต่ว่าเวลานี้ พลังของเขาเพิ่มขึ้นไม่น้อย ร่วมกับ《วิชาพลังมังกรแท้》วรยุทธ์ระดับ8 ด้วยพลังแปรเสวียนเทียนหกเท่า ก็ใช่ว่าจะไม่สามารถเทียบเคียงได้

ชายชุดคลุมยาวแดงที่ลงมือกับหลิวซิว ชื่อว่าหลี่หงเหวิน ในเขตการปกครองหวู่เฟิงสามารถขนานนามได้ว่าเป็นนักล่าอสูรเดี่ยวที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่

หลี่หงเหวินมักจะฆ่านักยุทธ์ผู้ฝึกตนเพื่อชิงของล้ำค่าและทรัพยากร คือหนึ่งในรายชื่อที่ขั้วอำนาจต่างๆ ต้องการไล่ฆ่า

ทว่าหลี่หงเหวินกลับฉลาดหลักแหลมอย่างมาก ไม่เคยหาเรื่องราชายุทธ์ร่วมกับเขาลงมือเหี้ยมโหด โดยมากล้วนฆ่าทำลายศพ ทำให้คนยากจะไล่ล่า

อีกทั้ง หลี่หงเหวินเก่งกาจมาก แม้ว่าจะถูกฝึกจิตขั้น8และฝึกจิตขั้น9ตามฆ่า ถึงแม้เขาจะไม่สามารถเอาชนะก็สามารถหนีรอดได้

สำหรับราชายุทธ์ที่สูงศักดิ์เหล่านั้น เขาไม่ไปหาเรื่อง เป็นธรรมดาที่ราชายุทธ์ก็ย่อมไม่มาหาเรื่องเขา

มือของหลัวซิวถือกระบี่เอาไว้ สีหน้านิ่งงันมองกระบี่ฉายเปลวไฟที่กวัดแกว่งไปมา ราวกับถูกล่ามด้วยโซ๋ตรวจให้อยู่ที่เดิม ทำได้เพียงรอความตายเท่านั้น

สิ่งนี้ทำให้มุมปากของหลี่หงเหวินกระตุกยิ้มเยือกเย็น “ไอ้หนุ่มนี้ป้องลำแสงกระบี่ก่อนหน้านี้ของฉันได้ น่าจะเป็นเพราะโชคช่วยเท่านั้น”

อย่างกะทันหัน ก่อนที่ลำแสงเปลวไฟของกระบี่จะไปถึงตรงหน้า หลัวซิวลงมือแล้ว

พลังจิตแท้ส่งไปยังกระบี่ยุทธ์ เปลวไฟดำของกระบี่ปะทุขึ้น หลัวซิวกวัดแกว่งกระบี่ คล้ายจะปะทะกับเปลวไฟที่ร้อนแรง

“ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง!”

ใบหน้าของหลี่หงเหวินฉายความเย้ยหยัน ฝึกจิตขั้น1ระยะเริ่มต้นสามารถต้านทานกระบี่ที่ตนฟันออกไปด้วยเรื่อยเปื่อยนั่นถือว่าเป็นเพราะโชคช่วย ตอนนี้กระบี่ที่ตนฟันสุดกำลัง แม้กระทั่งฝึกจิตขั้น4ระยะกลางขึ้นไปยังไม่กล้าปะทะซึ่งหน้า อาศัยความสามารถของเขาเนี่ยนะ?

สำหรับหลี่หงเหวิน การกระทำของชายหนุ่มชุดคลุมยาวดำเป็นการหาเรื่องให้ตนอับอาย อีกทั้งราคาที่เขาต้องแลกคือถูกลำแสงกระบี่เพลิงของเขากลืนกิน กลายเป็นผุยผง!

ทว่าวินาทีต่อมา รอยยิ้มเยือกเย็นด้วยความเย้ยหยันบนใบหน้าของหลี่หงเหวินนิ่งค้างทันที

“โฮ่ก!”

เสียงคำรามของมังกรดำขึ้น เปลวไฟดำกลายเป็นมังกร กลืนกินลำแสงกระบี่เพลิง

“นี่มันวรยุทธ์อะไรกัน?”

สีหน้าของหลี่หงเหวินแปรเปลี่ยน ร้องตะโกนเสียงดัง “ระเบิดซะ!”

ลำแสงกระบี่เพลิงที่ถูกเปลวไฟดำมังกรกลืนกินระเบิดตัวกะทันหัน เปลวไฟมังกรดำระเบิดบนท้องฟ้า เป็นเสี่ยงๆ พลังจิตปะทุออกมาแล้วเคลื่อนไปทั่วทุกสารทิศ

“ตาย!”

ตัวของหลัวซิวกลายเป็นลำแสง กระบี่ยุทธ์ดินฟาดฟันออกมา ปราณกระบี่กลายเป็นเปลวไฟดำมังกร พลังแข็งแกร่งมากกว่าเมื่อครู่หลายเท่า

ตอนอยู่บนชั้นเจ็ดของหอคอยมังกรบิน เขาจำเป็นต้องอาศัยพลังแปรเสวียนเทียนยี่สิบเท่าถึงจะสามารถเทียบชั้นกับฝึกจิตขั้น7

แต่ว่าฝึก《วิชาพลังมังกรแท้》แล้ว ร่วมกับการฝึกฝนด้วยความยากลำบากของตนก่อนหน้านี้ เคลื่อนพลังเพียงหกเท่า ก็สามารถรับมือกับฝึกตนขั้น7ระยะสุดท้ายได้!

นี่ คือข้อดีของวรยุทธ์วิชายุทธ์ชั้นสูง และเป็นเหตุผลว่าทำไมนักยุทธ์ฝึกตนจึงตามหาวิชายุทธ์ชั้นสูง

ระดับวิชายุทธ์ที่ฝึกฝนยิ่งสูง ความสามารถของผลการฝึกตนในระดับเดียวกันก็จะยิ่งแข็งแกร่ง ถึงขั้นที่ว่าระยะห่างจะเพิ่มมากขึ้นหลายเท่า สิบกว่าเท่า หลายสิบเท่า!

《วิชาพลังมังกรแท้》วรยุทธ์ระดับ8นี้ แข็งแกร่งกว่า《พลังทมิฬซวนโหลว》ที่หลัวซิวฝึกตนก่อนหน้านี้หลายเท่าอย่างไม่ต้องสงสัย

“เป็นไปไม่ได้!”

หลี่หงเหวินหน้าเปลี่ยนสี เขาไม่สามารถเชื่อว่าฝึกจิตขั้น1ระยะต้นจะสามารถเทียบชั้นกับฝึกจิตขั้น7ระยะสุดท้ายได้

แต่ว่า ความเป็นจริงประจักษ์อยู่ตรงหน้าเขาแล้ว

สนับมือโน้มถ่วงถูกหลัวซิวเก้บไปนานแล้ว เวลานี้พลังการต่อสู้นำออกมาสุดฤทธิ์ ทำให้เขารู้สึกปลดปล่อยอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

อาศัยแดนร่างเนื้อก่อนหน้านี้ พลังหกเท่าสามารถเคลื่อนได้ตลอดเวลาโดยไม่จำเป็นว่าร่างกายจะทนต่อการย้อนทำร้ายหรือไม่

สีหน้าเยือกเย็นและเย้ยหยันของหลี่หงเหวินในตอนแรกหายไปแล้ว แทนที่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึมและอาฆาต

เขามีกระบี่ยุทธ์ในกำมือมากมาย เปลวไฟพลังจิตแท้ปะทุออกมา พลังที่ทำให้คนรู้สึกหวาดกลัว แผ่ซ่านออกมาจากตัวของเขา

“ดาบเพลิงเฟยหลัว!”

เขาชักดาบออกมา เปลวไฟขนาดใหญ่ เพลิงไฟร้อนแรงที่ไม่สิ้นสุดของพลังจิตแท้ประสานเข้ากับอานุภาพของกระบี่

อานุภาพของกระบี่นี้มากกว่ากระบี่เมื่อครู่มาก ทั้งยังแสดงทักษะยุทธ์ของวิชากระบี่ขั้น6ที่ทรงพลานุภาพ

“กระบี่เพลิง!”

เพลิงมรณะควบแน่นและลอยขึ้นเหนือกระบี่ยุทธ์ ห้วงกระบี่ที่เปี่ยมไปด้วยเจตนาสังหารอันน่าสะพรึงกลัว โจมตีดวงจิตของคู่ต่อสู้

ชั่วขณะหนึ่ง หลี่หงเหวินรู้สึกว่าจิตวิญญาณของตนคล้ายถูกกระบี่นับหมื่นทะลุทะลวง

“วิชายุทธ์ขั้น7 ห้วงกระบี่วิถีบู๊?”

เวลานี้หลี่หงเหวินตกใจจนหน้าถอดสี ถึงขั้นที่ว่าเขาเริ่มรู้สึกหวาดกลัว

เป็นฝึกจิตขั้น7เหมือนกัน หลี่หงเหวินคนนี้เทียบกับคู่ต่อสู้ที่หลัวซิวพบเจอบนหอคอยมังกรบินแล้วยังห่างกันไกลมาก

ผลการฝึกตนระดับเดียวกัน ความสามารถก็แบ่งเป็นสูงต่ำ ผู้แข็งแกร่งถึงขั้นสามารถสังหารผู้อ่อนแอในระดับเดียวกันได้

“หนี ต้องหนี ไอ้หมอนี่ไม่ใช่ฝึกเจ็ดขั้น1 ต้องเป็นไอ้แก่ประหลาดที่ซ่อนผลการฝึกตนแน่นอน!” หลี่หงเหวินหนีด้วยความบ้าคลั่ง

ทว่าความน่าหวาดกลัวของเพลิงมรณะของกระบี่ทับถมมาไม่หยุด คล้ายอากาศรอบตัวถูกตรึงเอาไว้ ทำให้เขาไม่สามารถหนีได้

“ไม่!พี่ใหญ่ของฉันไม่มีวันปล่อยแกแน่นอน!”

หลี่หงเหวินร้องคำรามด้วยความเจ็บใจ หลังจากนั้นวินาทีต่อมาเขาก็ถูกกระบี่ยาวหลายสิบฟุตฟันจนแตกเป็นเสี่ยงๆ

วินาทีที่หลี่หงเหวินตาย ลำแสงพุ่งทะยานออกมาจากหน้าผากของเขา พุ่งไปทางหลัวซิว

หลัวซิวยกมือขึ้นแล้วฟันกระบี่ออกไป ทว่ากระบี่ยุทธ์ฟาดฟันไปยังลำแสงที่พุ่งเข้ามา กลับไม่มีพลังแม้แต่น้อย ลำแสงนั้นผ่านการขวางกั้นของกระบี่ยุทธ์ แล้วเข้าสู่ตัวของเขา

“นี่มันอะไรกัน?”

หลัวซิวตรวจสอบร่างกายของตนเองในทันที ทว่ากลับไม่พบความผิดปกติ ลำแสงที่เข้ามาในร่างกายราวกับวัวโคลนลุยทะเล หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 205 หมีเดือดสามตา

 

“ยิ่งแข็งแกร่ง อำนาจที่ได้รับก็จะยิ่งมากขึ้น ตัวอย่างเช่น ตอนนี้เจ้าถึงแดนฝึกจิต จะได้รับความช่วยเหลือจากการวุฏจักรชีวิตที่ไม่เกินขอบเขตระดับฝึกจิต”

ได้ยินคำอธิบายของ เทพแห่งวัฏจักรชีวิต หลัวซิวเข้าใจได้ในทันใด ดวงตาของเขาเปล่งประกาย

ถ้ามันเป็นไปตามที่เทพแห่งวัฏจักรชีวิตกล่าว งั้นสำหรับเขาแล้ว วัฏจักรชีวิตเป็นขุมสมบัติมหาศาลสำหรับเขาอย่างไม่ต้องสงสัย!

เทพแห่งวัฏจักรชีวิตกล่าต่อว่า “วิชาปฐมอสูรฟ้าที่สมบูรณ์ ต้องการการฝึกฝนของผู้สืบทอดถึงขั้นมหาจักรพรรดิยุทธ์ แต่อำนาจในตอนนี้ของเจ้า เจ้าสามารถได้รับส่วนแรกและส่วนกลางบองตอนของวิชาปฐมอสูรฟ้าเท่านั้น”

ขณะที่เขาพูด หลัวซิวรู้สึกลูกแก้วความเป็นตายในส่วนลึกของจิตวิญญาณเขา ส่งข้อเข้าสู่ความทรงจำของเขา ซึ่ง

เป็นวิธีการฝึกฝนของวิชาปฐมอสูรฟ้า”

วิชาปฐมอสูรฟ้า แบ่งเป็นสามบท แรก ส่วนกลาง สอดคล้องกับวิชาการกลั่นร่างถึงมหาจักรพรรดิยุทธ์ 9 ในสมัยโบราณ เป็นผู้จอมยุทธ์ผู้แข็งแกร่งที่มีร่างอสูรฟ้าคิดค้นออกมา

ชานี้เหมาะสำหรับการฝึกฝนของร่างอสูรฟ้าเท่านั้น จอมยุทธ์อื่นๆแม้ว่าจะได้มาก็ไม่สามารถฝึกฝนได้

เนื่องจากข้อจำกัดของพลังอำนาจ หลัวซิวได้วิชาปฐมอสูรฟ้ามาจากเทพแห่งวัฏจักรชีวิตที่ไม่สมบูรณ์สามารถฝึกฝนถึงแดนฝึกจิตเท่านั้น

หลัวซิวหยิบม้วนหยกออกมาจากแหนเก็บของ ใช้จิตสำนำสลักข้อมูลของวิชาปฐมอสูรฟ้าลงไปข้างใน จากนั้นยื่นไปตรงหน้าฮู๋ชิงชิง

“นี่คือ…” ฮู๋ชิงชิงดูงุนงง

“วิชาการฝึกที่เหมาะกับเจ้า ต่อไปเจ้าไม่ต้องกังวลว่าจะไม่สามารถควบคุมพลังของตนเองอีกต่อไป” หลัวซิวกล่าว

ฮู๋ชิงชิงรับมาด้วยความสงสัย ใช้จิตสำนึกแทรกซึมเข้าไปในม้วนหยก ใบหน้างามเปลี่ยนไปมา

“วิชาปฐมอสูรฟ้า?”

ตรวจสอบเนื้อหาในม้วนหยกแล้ว ฮู้ชิงชิงก็เพิ่งรู้ว่าร่างกายพิเศษของนาง คือร่างอสูรฟ้า

และวิชาที่บันทึกไว้ในม้วนหยกนี้ ยิ่งประเมินค่าไม่ได้สำหรับนาง

นางมองไปที่หลัวซิวอย่างตื่นเต้น ไม่รู้จะขอบคุณเขาอย่างไรจริงๆ

ฮู๋ชิงชิงบังคับให้ตัวเองสงบลง มองไปที่หลัวซิวที่อยู่ตรงข้าม “เจ้าจะมอบวิชานี้ให้ข้าหรือ?”

อีกฝ่ายช่วยชีวิตนางไว้แล้วช่วยรักษาบาดแผลของนาง แต่ความรู้สึกอ่อนไหวในใจของฮู๋ชิง ยังคงไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะช่วยนางมากมายโดยไร้เหตุผล

แต่ วิชาปฐมอสูรฟ้า สำคัญสำหรับนางมาก หากฝึกฝนได้สำเร็จ นางจะสามารถออกจากที่นี่และติดต่อกับผู้คนจากโลกภายนอกได้

เพราะนางยังเป็นหญิงสาวอายุน้อย ถ้าไม่ใช่เพราะร่างกายของนางเอง ใครจะอยากอยู่คนเดียวในหุบเขาที่ไม่มีใครรู้จักแห่งนี้ไปตลอดชีวิต?

เดิมที นางหมดหวังแล้ว แต่กลับมีความหวังอีกครั้ง

“ใช่ วิชานี้ข้าไม่สามารถฝึกฝนได้ จึงมอบเจ้า” หลัวซิวกล่าว

ได้ยินคำตอบที่ชัดเจนของหลัวซิว ฮู๋ชิงชิงก็ไม่สงสัยอีกต่อไป นางยืนขึ้นแล้วคำนับขอบคุณหลัวซิว

“เป็นความพยายามเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ข้ายังมีสิ่งที่ต้องทำ ลากันที่นี่นะ เจอกันในวันหน้า” หลัวซิวรู้สึกได้ถึงความมีชีวิตชีวาในใจของฮู๋ชิงชิง

ฮู๋ชิงชิงส่งหลัวซิวออกจากหุบเขา นางกำม้วนหยกในมือแน่น นางรู้ว่าชีวิตของนางจะเปลี่ยนไปจากนี้ โดยชายหนุ่มคนนี้ที่ชื่อว่าหลัวซิว

“บุญคุณนี้ ข้า ฮู๋ชิงขิงจะจำไว้ในใจ ข้าจะตอบแทนเจ้าอย่างแน่นอน”

นางมองแผ่นหลังหลัวซิวที่จากไปไกล ดวงตาสวยงามของนางเปล่งประกาย

……

สำหรับหลัวซิวแล้ว เจอฮู๋ชิงชิงเป็นเพียงเรื่องเล็ก ๆเท่านั้น สิ่งสำคัญในการเดินทางของเขาในครั้งนี้ คือการไปแดนนานาอสูร ที่มีเครื่องหมายไว้ในภาพปริศนา

อาศัยการรับรู้ชีวิตและจิตสำนึกแดนฝึกจิตช่วงกลาง ทำให้หลัวซิวหลีกเลี่ยงอสูรแข็งแกร่งที่พักอาศัยอยู่ในเทือกเขาจิ่วเฟิงได้

สามวันต่อมาเขามาถึงพื้นที่เทือกเขาจิ่วเฟิงที่ใกล้กับเขตการปกครองหวู่เฟิง

“โฮ่ก!”

หมีเดือดสามตาแดนฝึกจิตคำรามด้วยความโกรธ ทุกครั้งที่อุ้งเท้าหมีใหญ่เหวี่ยงออกมา จะทำลายไม้โบราณอันหนาทึบให้หัก เศษไม้กระเซ็น ฝุ่นฟุ้งกระจาย

หมีเดือดตัวนี้สูงเกินสามสิบฟุต ร่างกายของมันเหมือนเนินเขาขนาดเล็ก

“มนุษย์ ตายซะ!”

จิตสำนึกแผ่ขยายออกไป จับชายหนุ่มชุดคลุมดำที่บุกเข้ามาในอาณาเขตที่ห่างออกไปไม่กี่ร้อยเมตรด้วยเจตนาฆ่า

ชายชุดคลุมสีดำคนนี้คือหลัวซิว

ตลอดทางนี้ ยกเว้นอสูรแดนฝึกจิตช่วงปลาย เขาจะเดินอ้อมอาณาอาณาเขตของอสูรแดนฝึกจิตทั่วไปเขาก็ไม่เสียเวลาไปเดินอ้อม

พลังอสูรที่หมีเดือดสามตาตัวนี้ที่ปล่อยออกมาเท่ากับแดนฝึกจิตช่วงกลาง ฝึกจิตขั้น 4 หรือขั้น 5

บูม!

หมีเดือดสามตาวิ่งมาอย่างดุร้าย ท่าทีดุดัน อุ้งเท้าหมีโบกออกไป นำพลังอสูรที่น่าสะพรึงกลัวมากับมัน แล้วตบลงไปที่หลัวซิวอย่างแรง

“หาที่ตาย!”

หลัวซิวตะคอกอย่างมีอารมณ์ ดาบที่อยู่ข้างหลังเขาก็หลุดออกจากฝักทันที และแสงกระบี่เปล่งประกายฟันลงไปยังอุ้งมือหมีที่ตบลงมา

มีเสียงดังกึกก้อง แสงกระบี่แตกเป็นเสี่ยงๆด้วยความรุนแรงของหมีทเดือด มันร้องออกมาอย่างเจ็บปวด อุ้งเท้าหมีก็ไม่ตบลงไปอีก

“ร่างเนื้อแข็งแกร่งอะไรเช่นนี้”

รูม่านตาของหลัวซิวหดตัวเล็กน้อย แสงกระบี่เปลวไฟดำที่ฟันลงไปที่อุ้งเท้าของหมีโดยไม่ทิ้งรอยแผลใด ๆ เห็นได้ว่าร่างเนื้อของหมีเดือดสามตัวนี้ ร่างยุทธ์ถึงขั้นสูงสุดแล้ว

แต่นี่ไม่ได้อันตรายสำหรับหลัวซิว เมื่อครู่นี้ เขาเพียงแค่ใช้พลังจิตแท้ เพื่อควบแน่นแสงกระบี่ในการโจมตี หากเขาใช้นักยุทธ์ระดับชั้นล่างในมือ สามารถทำลายการป้องกันของร่างเนื้อขั้นสูงสุดได้อย่างง่ายดาย

ในช่วงเวลาสั้น ๆ ของการโจมตี กระบี่ในมือของหลัวซิว แทงเข้าไปที่ดวงตาที่สามของหมีเดือด

จุดคิ้วเป็นจุดอ่อนของหมีเดือดสามตา ขณะเดียวกันนั้น ยังเป็นวิธีโจมตีที่ทรงพลังอย่างยิ่ง สามารถยิงแสงอสูรออกมาไก้ บรรจุการโจมตีวิญญาณ

เพียงว่าหลัวซิวโจมตีเร็วมาก จนหมีเดือดสามตายังไม่ทันได้ใช้วิธีการที่แข็งแกร่งที่สุดของตัวเอง

“เฟี้ยว!”

ในขณะนี้ แสงกระบี่สีเพลิงเข้ม พุ่งมาจากฟากฟ้า และฟันไปยังหลัวซิวที่เหยียบอยู่บนร่างของหมีเดือดสามตา

“มีคนลอบโจมตี!”

ใจของหลัวซิวกระตุก รู้สึกถึงภัยคุกคามอันทรงพลัง เขารีบให้ดาบออกจากฝักทันที และหมุนเวียนพลังแปรเสวียนเทียนหกเท่า

แสงกระบี่สีเพลิงเข้มถูกเขาฟันออกเป็นเสี่ยงๆ และแรงกระแทกอันทรงพลังทำให้หลัวซิวยืนไม่นิ่ง ถอยหลังไปสองก้าว

หรี่ตาลงเล็กน้อยและมองขึ้นไปในอากาศ ชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีแดงเพลิงยืนอยู่บนท้องฟ้าพร้อมกับดาบในมือของเขา

พลังชีวิตของบุคคลนี้ลุกโชน เลือดปราณแข็งแกร่ง เป็นปรมาจารย์ยุทธ์จอมยุทธ์ที่ถึงแดนฝึกจิตระดับ 7

“เป็นแค่การฝึกจิตขั้น1 สามารถต้านทานดาบของข้าได้?”

ชายชุดคลุมแดงแสดงความประหลาดใจออกมา และที่สำคัญที่สุดคือเขาเห็นศพของหมีเดือดสามตาที่เหยียบอยู่ใต้เท้าของเขา

แม้จะมีจะถึงแดนฝึกจิตระดับ 7 ก็ไม่ง่ายที่จะฆ่าสัตว์ร้ายตัวนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการโจมตีวิญญาณของดวงตาที่สาม เขาเองก็ค่อนข้างกลัว

และชายหนุ่มชุดคลุมดำนี้ยังอายุน้อยมาก เขาก็ถึงแดนฝึกจิตแล้ว ต้องเป็นจอมยุทธ์เก่งกาจรุ่นใหม่ที่กองกำลังใหญ่ให้รับการฝึกฝน

ร่างของหลัวซิวก็ลอยขึ้นไปในอากาศ เขาเผชิญหน้ากับชายชุดคลุมแดงอย่างเย็นชา

แม้ว่าเขาสามารถผ่านด่านมังกรบินชั้น 7 ได้ แต่ก็มีช่องว่างขนาดใหญ่สำหรับแดนฝึกจิตช่วงแรกและช่วงปลาย

หากไม่ใช่เพราะพลังแปรเสวียนเทียน วิชายิ่งเลิศนี้ ต่อหน้าปรมาจารย์ยุทธ์แดนฝึกจิตขั้น 7 เขาไม่มีกำลังในการต้านทานสักนิด

“เจ้าหนู น้ำดีของหมีเดือดสามตานี้มีประโยชน์อย่างยิ่งกับข้า เห็นแก่การที่เจ้าสามารถรับดาบของข้าได้ครั้งหนึ่ง เจ้าไปได้แล้ว” ชายชุดคลุมแดงพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 204 ข้อเสนอที่ทำให้ไร้คำพูด

 

“หากเจาสามารถพิชิตหญิงสาวนางผู้นี้ที่มีร่างอสูรฟ้า ด้วยความช่วยเหลือจากพลังของอสูรฟ้า เจ้าสามารถทะลวงสู่แดนราชายุทธ์ได้ในเวลาอันสั้น” เทพแห่งวัฏจักรชีวิตกล่าว

คำแนะนำจาก เทพแห่งวัฏจักรชีวิต ทำให้หลัวซิวไร้คำพูด แม้ว่าเขาจะแข็งแกร่งพอที่จะใช้กำลังกับฮู๋ชิงชิง แต่ความเป็น ไม่อนุญาตให้ทำเช่นนั้น

นอกจากนี้ หลังจากที่ได้รู้เกี่ยวกับร่างอสูรฟ้าแล้ว หลัวซิวก็รู้สึกว่าฮู๋ชิงชิงน่าสงสาร

เหตุผลที่นางอาศัยอยู่ตามลำพังในหุบเขาเล็กๆ ลึกลงไปในเทือกเขาจิ่วเฟิง ใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยว อาจเป็นเพราะปัญหาของร่างอสูรฟ้าของนางเอง และร่างกายนี้คงได้นำพาปัญหามากมายและความทุกข์มาให้นาง

“อาการบาดเจ็บของเจ้า ค่อนข้างสาหัส หากไม่มียาพระแสงระดับ 5 แม้ว่าเจ้าจะพึ่งพลังจิตแท้ในการรักษาอาการบาดเจ็บ ก็ยังจะทิ้งอาการที่รักษาไม่หายไว้ได้” หลัวกล่าวพร้อมมองฮู๋ชิงชิง

ยาพระแสงเป็นยารักษาที่หายากสำหรับราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่ง ฮู๋ชิงชิงคนนี้อาศัยอยู่อย่างสันโดษเทือกเขาจิ่ว ก็จะไม่มียาอันล้ำค่านี้อยู่ในมือตนเอง

“ถ้าเจ้าเชื่อข้า ข้าสามารถช่วยเจ้ารักษาอาการบาดเจ็บได้โดยไม่ทิ้งอาการบากเจ็บที่รักษาไม่หายได้ ” หลัวซิวกล่าว

เดิมที หลัวซิวคิดว่าถ้าเขาพูดแบบนี้ คงต้องถูกฮู๋ชิงชิงเข้าใจผิดว่ามีความคิดอะไรแอบแฝง แต่ที่ทำให้เขาประหลาดใจ ก็คือ ฮู๋ชิงชิงพยักหน้าอย่างสงบและกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนคุณชายหลัว”

ฮู๋ชิงชิงรู้ดี หากคนที่ชื่อหลัวซิวต้องการทำอะไรกับนาง นางจะไม่สามารถต้านทานได้อย่างแน่นอนในสภาพที่ได้รับบาดเจ็บ อย่างนี้ และสัญชาตญาณของนางบอกนางว่า หลัวซิวไม่มีความมุ่งร้ายต่อนาง

ในกระท่อมหญ้า หลัวซิวให้ฮ็ชิงชิงนั่งขัดสมาธิ ขณะที่เขานั่งลงด้านหลังฮู๋ชิงชิง

ร่างกายที่บอบบางของฮู๋ชิงชิง สั่นเทาอย่างเห็นได้ชัด เมื่อนางรู้สึกถึงฝ่ามืออันอบอุ่นวางลงบนหลังของนางใบหน้าสวยแรงระเรื่อ

หลัวซิวทำให้จิตใจของตนเองสงบ พลังจิตแท้เปลี่ยนเป็นพลังแห่งชีวิตอยู่ในร่างกายของเขา เริ่มซ่อมแซมผังลายเส้นชีวิตที่เสียหายบนร่างกายของฮู๋ชิงชิง

ในระหว่างขั้นตอนการรักษา ฮู๋ชิงชิงรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าอาการบาดเจ็บของนางกำลังฟื้นตัวด้วยความเร็วที่เร็วมาก ซึ่งทำให้นางตะลึง

นางไม่ใช่คนที่ไม่เคยเห็นสิ่งดีๆมาก่อน นางชัดเจนมากว่าการทานยาพระแสง ระดับ 5 จะไม่มีผลดีเช่นนี้อย่างแน่นอน และนางก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่า มีการรักษาลึกลับอะไรที่มีผลมหัศจรรย์เช่นนี้

สิ่งนี้ทำให้ฮู๋ชิงชิงรู้สึกว่าหลัวซิวที่ได้ช่วยนางไว้นั้นลึกลับมาก

หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมง หลัวซิวได้ฟื้นฟูผังลายเส้นชีวิตของฮู๋ชิงชิงให้กลับสู่สภาพเดิม

สำหรับหลัวซิวแล้ว ตราบใดที่วิญญาณไม่ได้เสียหาย อาการบาดเจ็บทางร่างกายใดๆ สามารถฟื้นฟูได้ด้วยการซ่อมแซมผังลายเส้นชีวิต

แต่เมื่ออาการบาดเจ็บของฮู๋ชิงชิงหายดีแล้ว เสน่ห์ที่มาจากร่างอสูรฟ้าของนาง ก็แพร่กระจายออกมาในทันใด

พลังเวทย์มนตร์นี้มีผลมากกว่าตอนที่นางได้รับบาดเจ็บ!

ในเวลาเดียวกัน ฮู๋ชิงชิงรีบยับยั้งพลังนั้นเข้าไปในร่าง แต่พลังเวทย์มนตร์ที่ไม่อาจต้านทานได้ไม่ลดลงมากนัก

สิ่งที่นางยับยั้งไว้เป็นเพียงพลังจิตแท้เท่านั้น แต่เสน่ห์โดยกำเนิดของร่างอสูรฟ้ากลับไม่สามารถยับยั้งได้

ในจุดตันเถียนของหลัวซิว วงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพหมุนเวียน เวทย์มนตร์นี้เต็มไปด้วยพลังเสน่ห์แทรกซึมเข้าไปในร่างกาย และถูกเขาขับไล่ออกอย่างรวดเร็วโดยไม่ได้รับผลกระทบใดๆ

ตามที่เทพแห่งวัฏจักรชีวิตกล่าว มีเพียงร่างกายพิเศษอื่น ๆ ตั้งแต่เกิดเท่านั้น ที่จะหลีกเลี่ยงเสน่ห์ของร่างอสูรฟ้าได้ เขาลูกแก้วความเป็นตายในการฝึกฝนจนได้ร่างสองระดับความเป็นตายมา ก็มีความสามารถนี้

ฮู๋ชิงชิงหันกลับไปมองหลัวซิว สังเกตเห็นว่าสีหน้าของเขาสงบ ไม่ได้หลงใหลในพลังเสน่ห์ที่เล็ดลอดออกมาจากร่างอสูรฟ้า นางอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความโล่งอก

จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ในใจของฮู๋ชิงชิง อ่อนไหวมาก มีเพียงคนเดียวในชีวิตที่ไม่หลงเสน่ห์จากนาง ก็อดไม่ได้ที่จะเกิดความรู้สึกพิเศษในใจ

ความรู้สึกนี้ไม่ใช่ความรักระหว่างชายหญิง แต่เป็นอารมณ์ของการปลดปล่อยพันธนาการ เป็นความรู้สึกที่ไม่ต้องกังวลว่าจะหวาดกลัว

“เจ้าคิดที่จะอยู่ที่นี่ตลอดไปหรือ?” หลัวซิวอดไม่ได้ที่จะถาม

ลักษณะเฉพาะของร่างอสูรฟ้า ก็หมายความว่าทันทีที่ฮู๋ชิงชิงปรากกตัวอยู่ภายนอก พบกับจอมยุทธ์ชายที่แข็งแกร่งกว่าตนเอง ก็จะสร้างปัญหามากมายให้กับตนเองอย่าง่ายดาย

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าที่สวยงามของฮู๋ชิงชิง ก็เผยความเศร้าและความขมขื่นออกมา “ข้าไม่อยู่อย่างสันโดษที่นี่ ยังมีวิธีอะไรอีกเล่า แค่อยากออกไปหายาวิเศษเพื่อนำมาฝึกฝน ก็เกือบจะเจอเรื่องร้าย”

สิ่งที่นางพูดนั้น ก็คือเรื่องที่ถูกชายร่างกำยำมองเห็นโดยไม่ตั้งใจ ถ้าไม่ใช่หลัวซิวช่วยนางไว้ ผลที่ตามมาคือจะหายนะใหญ่หลวง

ผ่านการสนทนากับฮู๋ชิงชิง หลัวซิวรู้ได้ว่านางไม่รู้ว่าตนเองคือร่างอสูรฟ้า

เพราะร่างพิเศษนี้มีน้อยมาก เวลาหนึ่งหมื่นปี ในประเทศเทียนหวูก็อาจจะไม่เจอสักคน

“พลังอสูรฟ้ามีวิธีควบคุมหรือไม่?”

หลัวซิวใช้ห้วงความคิดคุยกับลูกแก้วความเป็นตาย หวังว่าสามารถได้คำตอบจากเทพแห่งวัฏจักรชีวิต

เพราะเทพแห่งวัฏจักรชีวิตเคยกล่าวว่า ร่างอสูรฟ้าก้าวสู่โลกยุทธ์ ก็จะฝึกฝนพลังอสูรฟ้า ที่ปล่อยพลังเสน่ห์ออกมานั้นเพราะยังไม่สามารถควบคุมพลังอสูรฟ้าได้

เทพแห่งวัฏจักรแห่งชีวิตก็กล่าวไว้ว่า วิชาที่ร่างอสูรฟ้าฝึกฝน ชื่อว่าวิชาปฐมอสูรฟ้า

“ผู้สืบทอดที่อ่อนแอ ทำตามกฎการดั้งเดิม วิธีการฝึกฝน วิชาปฐมอสูรฟ้า ข้าไม่สามารถเปิดเผยให้เจ้าเป็นการส่วนตัวได้” เทพแห่งวัฏจักรชีวิตกล่าว

เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลัวซิ่วก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะเขารู้ดีว่าเทพแห่งวัฏจักรชีวิตกล่าวว่าไม่สามารถให้สิ่งนั้นได้ ก็จะไม่ให้อย่างแน่นอน

“แต่…” เสียงของเทพแห่งวัฏจักรชีวิตเปลี่ยนไป และกล่าวต่อว่า “เพราะว่าเจ้า ผู้สืบทอด ฝึกฝนแดนฝึกจิตแล้ว มีอำนาจบางอย่าง สามารถได้รับความช่วยเหลือได้ภายในขอบเขตอำนาจวัฏจักร”

“อำนาจ? หมายความว่าอย่างไร?” หลัวซิวถาม

“ ลูกแก้วความเป็นตาย เป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดที่กฎการความเป็นตายดั้งเดิมแปลงมา ผู้สืบทอดแต่ละคนต้องบรรลุเงื่อนไขการฝึกฝนที่เพียงพอก่อน จึงจะได้รับอำนาจมากขึ้น จนสามารถควบคุมวัฏจักรชีวิตได้”[1][1]

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 203 ร่างอสูรฟ้า

 

“ขอบใจเจ้ามากที่ช่วยชีวิตข้าไว้”

เมื่อเห็นว่าชายร่างกำยำถูกขับไล่จากไป หญิงที่บาดเจ็บก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

เธอคำนับหลัวซิวอย่างอ่อนน้อม รู้ว่าถ้าไม่มีชายหนุ่มสวมชุดคลุมสีดำผู้นี้ ครั้งนี้น่ากลัวว่านางอาจจะตายแน่ๆ

หลัวซิวมองไปที่หญิงสาว ร่างกายของนางเต็มไปด้วยเสน่ห์ที่ดึงดูดใจผู้คน ทำให้ผู้คนที่มองไปในพริบตา ก็จะเกิดสัญชาตญาณดั้งเดิม

จากรอยบาง ๆ บนใบหน้านาง จะเห็นได้ว่าก่อนหน้านางสวมผ้าคลุมหน้า แต่ตอนนี้หายไปแล้ว

ดูเหมือนว่าหญิงสาวผู้นี้จะตระหนักดีถึงปัญหาตนเองได้เป็นอย่างดี ดังนั้นเมื่อคุยกับหลัวซิว นางก้มหน้าลงและไม่กล้าให้ใครเห็นหน้านาง

แม้ว่าหลัวซิวมั่นใจว่าจิตใจตนเองมั่นคง ใจของเขาก็สั่นสะท้านเมื่อเห็นใบหน้าของหญิงสาวนางนี้

พูดตามตรงแล้ว ลู่เมิ่งเหยาและเหยียนเย่วเอ๋อร์ ที่หลัวซิวรู้จัก ก็เป็นนางงามที่หายากทั้งคู่ ความงามของหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าก็งดงามพอๆกันกับพวกนางสองคน น่าจะพอๆ

แต่หญิงสาวนางนี้ กลับทำให้ชายที่เห็น ใจกระตุกจนขาดอากาศ

“เจ้าเจอข้าได้อย่างไร?”

จิตใจหลัวซิวสงบลง และถามด้วยน้ำเสียงขรึม

เหตุผลที่เขาลงมือช่วยเหลือหญิงสาวผู้นี้เป็น อศวินช่วยเจ้าหญิง ช่วยเหลือผู้อื่นเป็นเพียงส่วนเล็ก ๆเท่านั้น เหตุผลหลักก็คือ หญิงสาวผู้นั้นพบว่าเขาซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้

ทำให้หลัวซิวรู้สึกว่าหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าเขาไม่ธรรมดา

“กระแสสัมผัสพลังวิญญาณของข้าสูงกว่าคนทั่วไปตั้วแต่เกิด” หญิงสาวที่บาดเจ็บอธิบาย

สีหน้าของนางดูเย็นชาและไม่แยแสเล็กน้อย ใบหน้ายั่วยวนที่มีเสน่ห์ กลับมีความท่าทีเย็นชาเหมือนเทือกเขาน้ำแข็ง ยิ่งทำให้คนที่มองใจกระตุกยิ่งกว่าเดิม

เสียงของนางดูมีเวทมนต์วิเศษ แทรกซึมเข้าไปในหัวใจของผู้คนโดยตรง ที่กระตุ้นปรารถนาตามสัญชาตญาณและอยากจะพิชิตหญิงสาวนางนี้

หลัวซิวรู้สึกถึงการสั่นลูกแก้วความเป็นตายในส่วนลึกของจิตวิญญาณของเขา สติของเขาก็กลับมาชัดเจนเหมือนเดิม ความปรารถนาของเขาก็ถูกระงับอย่างสมบูรณ์

“เสี่ยงมากเลย”

หลัวซิวเข้าใจทันที หญิงสาวนางนี้ ดูเหมือนจะล่อลวงอีกฝ่ายให้ขาดสติอย่างไม่รู้ตัว คาดว่าชายร่างกำยำเมื่อครู่นี้ก็ถูกล่อลวงแล้ว เขาจึงไล่ล่าอย่างบ้าคลั่ง ต้องการครอบครองหญิงสาวนางนี้

ยิ่งไปกว่านั้น หลัวซิวสังเกตว่าการแสดงออกของหญิงสาวนางนี้ มีความระแวดระวังและความระมัดระวังต่อเขาด้วย

“ตอนนี้เจ้าปลอดภัยแล้ว งั้นก็จากกันไปเถอะ” สำหรับหลัวซิว ช่วยชีวิตหญิงสาวนางนี้เป็นเพียงเรื่องเล็กเท่านั้น

ยิ่งไปกว่านั้น เธอได้ช่วยชีวิตอีกฝ่ายหนึ่ง แต่เธอก็ระมัดระวังผู้ช่วยให้รอด ซึ่งทำให้หลัวซิ่วรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย

นอกจากนี้ เขาช่วยนาง นางกลับระแวดระวังผู้มีพระคุณต่อนางอีก ทำให้หลัวซิวรู้สึกไม่ชอบใจ

อีกอย่าง หญิงสาวผู้นี้ให้ความรู้สึกเขาแปลกมาก หลัวซิวก็ไม่อยากอยู่ต่อไป

“คุณชาย เดี๋ยวก่อน”

ขณะที่หลัวซิวกำลังจะหันหลังกลับและจากไป เสียงของหญิงสาวที่ได้รับบาดเจ็บก็ดังมาจากด้านหลัง

“เจ้ายังมีอะไรอีก?” หลัวซิวหันกลับมาถาม

ใบหน้าของหญิงสาวที่ได้รับบาดเจ็บนั้นซีด นางอ้อนวอนอย่างไม่เต็มใจว่า “ข้าได้รับบาดเจ็บ เจ้าสามารถช่วยส่งข้ากลับไปได้ไหม?”

แม้ว่าชายร่างกำยำจะถูกขับไล่จากไปแล้ว แต่หญิงสาวที่ได้รับบาดเจ็บยังคงกังวลเล็กน้อย หากไม่ใช่เพราะอาการบาดเจ็บของนางสาหัส นางไม่อยากที่จะขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น

อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มชุดคลุมดำที่อยู่ตรงหน้านางดูเหมือนจะไม่ใช่ผู้ร้าย และนางทำได้เพียงฝากความหวังไว้กับบุคคลนี้เท่านั้น

หลัวซิวสังเกตเห็นอาการบาดเจ็บของอีกฝ่ายตั้งนานแล้ว แต่นางไม่เกี่ยวข้องกับเขา แค่ช่วยนางก็เพียงพอแล้ว หลัวซิว ไม่จำเป็นต้องช่วยรักษานาง

แต่สีหน้าอ่อนแอไร้สิ้นทางที่อีกฝ่ายแสดงออกมา ท้ายที่สุดหลัวซิวก็ใจอ่อน

“เจ้าจะไปไหน?” หลัวซิวถาม

……

ชายร่างกำยำที่ถูกหลัวซิวขับไล่จากไปไม่ได้กลับมาอีก เพราะปรมาจารย์ยุทธ์ฝึกจิต มีน้อยมากในเขตการปกครองทั่วทุกที่

ความแข็งแกร่งของหลัวซิว เพียงพอที่จะทำให้ชายร่างกำยำหวาดกลัวอย่างยิ่ง เว้นแต่เขาจะพบผู้ฝึกจิตช่วงปลายที่แข็งแกร่ง ไม่อย่างนั้นเขาจะไม่กล้ามายั่วยุเขา

และฝึกฝนจนถึงการฝึกจิตช่วงปลาย จะเป็นผู้ที่มีพลังอำนาจของกอลกำลังใหญ่ต่างๆอย่างไม่ต้องสงสัย

หญิงที่บาดเจ็บทานยารักษาลงไป ภายใต้การนำทางของนาง หลัวซิวพานางไปที่หุบเขาลึกในเทือกเขาจิ่วเฟิง

ในหุบเขาเล็ก ๆ มีนกและดอกไม้ที่มีกลิ่นหอม พลังฟ้าดินจิตค่อนข้างเยอะ ราวกับสวรรค์ที่แยกจากโลก

มีค่ายกลภาพลวงตาอยู่ใกล้หุบเขาเล็กๆ ดูจากภายนอก ที่นี่จะเป็นทะเลสาบ เว้นแต่จะเป็นนักค่ายกลที่เชี่ยวชาญด้านค่ายกล ไม่อย่างนั้นจะคาดไม่ถึงเลยว่าที่นี่จะมีสถานที่อย่างนี้ซ่อนอยู่

กระท่อมตั้งอยู่ในหุบเขา จิตสำนึกของหลัวซิวแพร่กระจาย และไม่พบใคร

“ขอบใจคุณชายที่ส่งข้ามาที่นี่” หญิงที่บาดเจ็บกล่าวขอบคุณอีกครั้ง “ข้าชื่อฮู๋ชิงชิง”

ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่นางบอกชื่อนางให้กับคนแปลกหน้า เพราะนางพบว่าเขาไม่ได้รับผลกระทบจากร่างกายพิเศษของนาง ตั้งแต่เล็กจนโต นี่เป็นครั้งแรกที่นางพบคนแบบนี้

หลัวซิวรู้สึกว่านางลึกลับ นางเองก็รู้สึกว่าหลัวซิวก็ลึกลับเช่นกัน

เพราะนางตระหนักดีถึงร่างกายที่พิเศษของนาง และไม่มีใครสามารถทนต่อการอยากครอบครองนางที่น่ากลัวนี้ได้

“ข้าชื่อหลัวซิว” หลัวซิ่วพูดเสียงเรียบ

“ช่างเป็นชื่อที่แปลกจริงๆ” ฮู๋ชิงชิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

อาจเป็นเพราะหลัวซิวไม่ได้รับอิทธิพลจากร่างกายนาง ทำให้ฮู๋ชิงชิงไม่ต้องระแวดระวังตลอดเวลา ดังนั้นอารมณ์ของนางจึงผ่อนคลายลงมา

ทันทีที่นางยิ้ม ก็เกิดการยั่วยวนอย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้ใจของหลัวซิวเต้นแรงอีกครั้ง หากไม่ใช่เพราะลูกแก้วความเป็นตาย หลัวซิวไม่รู้ว่าเขาจะทนความปรารถนาดั้งเดิมได้หรือไม่

“ผู้สืบทอดผู้อ่อนแอ เจ้าโชคดีมาก ที่พบร่างอสูรฟ้า”

ทันใดนั้น เสียงของเทพแห่งวัฏจักรชีวิตดังขึ้นในสมองของหลัวซิว

“ร่างอสูรฟ้า? นั่นอะไรน่ะ?” หลัวซิวถามอย่างสงสัย

ตามสถานการณ์หลักแล้ว เทพแห่งวัฏจักรชีวิตจะไม่ติดต่อเขาก่อน ครั้งก่อนเป็นเพราะเขาพบหินหยิน ช่วยให้เขาผ่านแดนพรสวรรค์ไปได้

“สิ่งมีชีวิตทั้งหมดมีความแตกต่างกัน และบางชนิดก็มีความสามารถพิเศษที่เรียกว่า ร่างกายพิเศษ ตัวอย่างเช่น บางคนฝึกฝนวิชาธาตุไฟและได้ผลลัพธ์เป็นสองเท่าโดยใช้ความพยายามเพียงครึ่งเดียว เพราะพวกเขามีภูตอัคคี之体”

ตามคำพูดของเทพแห่งวัฏจักรชีวิต ร่างกายของหลัวซิวในตอนนี้ ร่างสองระดับความเป็นตาย แต่ร่างกายของเขาไม่ได้เป็นตั้งแต่เกิด ได้มาจากการฝึกฝนภายหลัง

สำหรับร่างอสูรฟ้าของฮู๋ชิงชิงนั้น เป็นร่างกายพิเศษที่มีพลังเวทย์มนตร์ และมีแรงดึงดูดที่เกือบจะถึงตายต่อเพศตรงข้ามซึ่งเป็นพลังของร่างอสูรฟ้า

ในช่วงที่เพิ่งเกิด ร่างอสูรฟ้านั้นยังไม่ชัดเจน เมื่ออายุมากขึ้น พลังการดึงดูดเพศตรงข้ามนี้จะสร้างปัญหาให้กับตัวเองไม่รู้จบ

อย่างไรก็ตาม การฝึกฝนของร่างอสูรฟ้านั้นเร็วมาก หากสามารถควบคุมพลังพลังอสูรฟ้าของตัวเองได้ ก็จะมีผู้ที่ติดตามมากมาย

ตัวอย่างเช่น ตอนนี้ฮู๋ชิงชิงเป็นผู้ฝึกจิตขั้นแรก จอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งกว่านางถูกดึงดูด จะมีความปรารถนาดั้งเดิมที่อยากจะครอบครองนาง

และหากเป็นจอมยุทธ์ที่ด้อยกว่านาง ถูดดึงดูดยั้วยวนด้วยมนต์เสน่ห์ของร่างอสูรฟ้า ก็จะมีความปรารถนาที่อยากจะปกป้องนาง เต็มใจที่จะเป็นผู้ติดตามของนาง แม้ว่าจะตายเพื่อนางก็ยินดี

ตามด้วยการควบคุมพลังร่างอสูรฟ้าที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น จอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งตัวเอง สามารถหลอกล่อจิตใจของอีกฝ่ายด้วยร่างอสูรฟ้า ทำให้เขาเป็นทาสของตนเอง!

ร่างกายแบบนี้เรียกว่าอสูรได้ จึงถูกเรียกว่า อสูรฟ้า

นอกจากนี้ ยังมีสาเหตุหลักอีกประการหนึ่งที่เทพแห่งวัฏจักรชีวิตสนใจร่างอสูรฟ้าเพราะหากใครสามารถได้ร่างอสูรฟ้าและมีอะไรกันกับนาง จะได้รับพลังของร่างอสูรฟ้า การฝึกฝนจะดีขึ้นอย่างมาก

“ที่อ่อนแอ ความสามารถของเจ้ายังคงอ่อนแอเกินไป”

 

 

บทที่ 202 เจอ

 

ตอนเช้าตรู่ ในหมู่บ้านคึกคักมาก นักล่ารวมตัวกันเป็นกลุ่ม พร้อมที่จะออกไป บางกลุ่มที่ยังรวบรวมคนไม่มากพอ ต่างโห่ร้องเสียงดังในจัตุรัสกลางเมืองเพื่อเรียกคน

โดยทั่วไปแล้ว ผู้ที่ใช้วิธีนี้เรียกมารวมตัวกันนั้น คือจอมยุทธ์ฝึกจิตระดับต่ำ หัวหน้ากลุ่มและสมาชิกหลัก ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในระดับจอมยุทธ์พรสวรรค์

สำหรับระดับปรมาจารย์ฝึกจิตที่สูงขึ้นไป ส่วนใหญ่มีกลุ่มอยู่แล้ว หรือร่วมมือกับคนที่คุ้นเคย

มีคนน้อยมากที่ออกไปตามลำพัง เพราะหากเผชิญกับอันตรายบางอย่างไม่มีใครช่วย มีแนวโน้มว่าจะเสียชีวิตอยู่ในป่า

หลัวซิวสวมสนับข้อมือแรงโน้มถ่วงสามอัน เดินออกมาจากเกสเฮ้าว์หมิงซีภายใต้ความกดดันของแรงโน้มถ่วงสิบเท่า พลังจิตแท้ของเขาถูกระงับ ดูเหมือนคนธรรมดาคนหนึ่ง

ในเทือกเขาจิ่วเฟิง ร่างของหลัวซิ่วเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วอยู่ในป่า เนื่องจากแรงโน้มถ่วงสิบเท่า เขากระโดดเหยียบกิ่งก้านของต้นไม้อายุยืนที่หนาทึบ และกิ่งก้านหนาจะแตกเป็นเสี่ยงเมื่อเขาเหยียบลงไป

……

แม้จะมีแรงโน้มถ่วงระงับอยู่ ทำให้พลังที่แท้จริงของเขาไม่สามารถใช้ออกมาได้อย่างเต็มที่ แต่ถ้าเขาสามารถนำแรงโน้มถ่วงมาใช้ ก็จะสามารถทำให้การโจมตีของเขายิ่งแข็งแกร่ง?

ความคิดนี้แวบเข้ามาในหัวของหลัวซิว แต่ยังมีมีวิธีที่จะนำแรงโน้มถ่วงไปใช้กับการต่อสู้

เขาได้เข้าไปในที่ลึกของเทือกเขาจิ่วเฟิงอย่างไม่รู้ตัว อสูรระดับ 3 มีทั่วไปในที่นี้ในบางครั้งอาจมีอสูรระดับ 4 ที่เทียบได้กับปรมาจารย์ฝึกจิต

ทันใดนั้น ภายใต้การรับรู้ของหลัวซิว มีจอมยุทธ์มนุษย์สิบกว่าคนปรากฏขึ้นมา

กลุ่มคนสิบกว่าคนปรากฏตัวอยู่ในส่วนลึกของเทือกเขาจิ่วเฟิง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าต้องเป็นกลุ่มนักล่าที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง

ในเวลาเดียวกัน หลัวซิวสัมผัสได้ถึงความแปรปรวนของพลังฟ้าดินจิต เหมือนว่ามีใครบางคนกำลังต่อสู้กันอยู่

เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องปกติที่สุดในที่ที่ไร้ผู้คนนี้ หลัวซิวไม่ได้คิดที่จะเข้าไปร่วมดูด้วย

แต่ในเวลานี้ ภายใต้การรับรู้ของเขา มีลมหายใจแห่งชีวิตกำลังมาในทิศทางที่เขาอยู่ด้วยความเร็วที่เร็วมาก

หลัวซิวรีบไปซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้ใกล้ ๆ ยับยั้งพลังจิตแท้เข้ามา

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง สายตาของหลัวซิวผ่านช่องว่างกิ่งก้านและใบไม้ของป่า เห็นร่างหญิงสาวที่บินผ่านไปในอากาศ

ภายใต้การรับรู้ของเขา ร่างผู้นี้เป็นหญิงสาว ชุดกระโปรงมีเปื้อนเลือด เหมือนได้รับบาดเจ็บสาหัส สะดุดกลางอากาศแล้วตกลงมาจากอากาศ

หลังจากนั้น ก็มีชายปรมาจารย์ฝึกจิตคนหนึ่งบินมา เป็นชายร่างกำยำที่สวมชุดเกราะสีแดงเข้ม มีดาบหนักสองมืออยู่ในมือ

“ฮ่าฮ่า สาวน้อย คราวนี้เจ้าหนีไม่พ้นแล้วนะ!”

จิตสำนึกของชายหนุ่มร่างกำยำจับจ้องไปที่หญิงสาวที่ตกลงไปในป่าอย่างรวดเร็ว พร้อมแสงชั่วร้ายในดวงตาของเขา

แต่จิตสำนึกของเขาไม่พบหลัวซิวซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้

ในเวลาเดียวกัน ภายใต้การรับรู้ของหลัวซิว รับรู้ได้ถึงลมหายใจของจอมยุทธ์พรสวรรค์มากกว่า 20 คน กำลังเคลื่อนที่มาทางนี้อย่างรวดเร็ว น่าจะเป็นพวกผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของชายร่างกำยำนี้

เมื่อจิตสำนึกของหลัวซิวสังเกตเห็นหญิงสาวที่ได้รับบาดเจ็บอีกครั้ง คิ้วของเขาขมวดเล็กน้อย

ไม่ใช่เพราะเขารู้จักหญิงสาวที่บาดเจ็บนางนี้ แต่เพราะรูปร่างหน้าตาของหญิงสาวผู้นั้นงดงามมาก

แม้แต่คำว่า “สวย” ก็ไม่สามารถอธิบายความงามของนางได้ แค่จิตสำนึกเท่านั้นที่สังเกตเห็น ดูเหมือนจะมีเวทมนตร์บางอย่างที่ยั่วยวนเขาอยู่ และอดไม่ได้ที่จะมีความคิดที่อยากจะหอมนาง

การฝึกฝนของนางผู้นี้ไม่สูงนัก นางอยู่ในฝึกจิตขั้น 1 ในขณะที่ชายร่างกำยำอยู่ในฝึกจิตขั้น 3

ทันใดนั้น หญิงสาวที่ได้รับบาดเจ็บก็เดินโซเซและวิ่งไปยังที่ที่หลัวซิวซ่อนตัวอยู่

“สาวน้อย เจ้าหนีไม่พ้นหรอก ฮ่า ฮ่า”

ชายร่างกำยำโฉบลงมาจากอากาศ ราวกับนกอินทรีที่มีกรงเล็บ จ้องไปที่กระต่ายบนทุ่งหญ้า

“ช่วยข้าด้วย……”

ในขณะนี้ หญิงสาวที่ได้รับบาดเจ็บตะโกนอย่างแผ่วเบาไปทางพุ่มไม้ที่หลัวซิวซ่อนตัวอยู่

“นางหาข้าเจอได้?” ใจของหลัวซิวกระตุก

พลังของเขาถูกยับยั้ง เว้นแต่ว่าจิตสำนึกของปรมาจารย์ยุทธ์ถึงการฝึกจิตระดับ 5 ขึ้นไป ไม่อย่างนั้นจะไม่สามารถหาเขาเจอได้อย่างแน่นอน

“ไม่มีใครมาช่วยเจ้าหรอก!”

ดวงตาของชายร่างกำยำเป็นประกายด้วยแสงชั่วร้าย จ้องไปที่ใบหน้างดงามของหญิงสาวที่ได้รับบาดเจ็บ ความปรารถนาชั่วร้ายจะพุ่งออกมา ไม่สามารถระงับได้เลย ราวกับปีศาจ

เขาเอื้อมมือไปจับหญิงที่บาดเจ็บ ความปรารถนาในใจของเขารอไม่ไหวแล้ว

กระทั่งในจิตใจของเขาก็ยังเต็มไปด้วยท่าทีที่หายใจไม่ออกของหญิงสาวผู้นั้น เขาเสียสติไปหมดแล้ว

“ช่างเถอะ ในเมื่อถูกนางเจอเข้า ก็ช่วยนางไว้”

ความคิดปรากฏขึ้น ร่างของหลัวซิววับหายไปในพุ่มไม้ ครู่ต่อมา เขาก็ปรากฏตัวขึ้นข้างๆหญิงสาวที่ได้รับบาดเจ็บ

“บูม!”

เขาดันมือข้างหนึ่งออกไป กระแทกชายร่างกำยำถอยไป ร่างของเขาลอยกลับหัวกลับหางไปในอากาศ

“เจ้าคือใคร?”

ชายร่างกำยำทั้งตกใจและโกรธแค้นพร้อมตะคอกถาม

“ไสหัวไปซะ!”

ดวงตาของหลัวซิวเย็นชา ยื่นฝ่ามือออกไป ดาบเปลวไฟสีดำที่ยาวกว่าสิบเมตรฟันเข้าหาชายร่างใหญ่ในอากาศ

สีหน้าของชายร่างกำยำเปลี่ยนไป หยิบดาบออกมาต้านทานทันที แต่ไม่สามารถต้านทานพลังดาบของหลัวซิวได้ และเขาก็ถูกฟันออกไปหลายสิบเมตร เลือดไหลออกจากมุมปากของเขา

แต่เจตนาฆ่าที่โหดเหี้ยมยังคงจับตัวเขาอยู่

ร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส ทำให้จิตใจที่บ้าคลั่งของชายร่างกำยำจิตใจกลับมามีสติอีกครั้ง เขาเหลือบมองหลัวซิวด้วยความกลัว จากนั้นชี้นิ้วไปที่หญิงสาวที่บาดเจ็บและพูดว่า “เพื่อนผู้นี้ หญิงสาวที่อยู่ข้างๆเจ้าผิดปกติ เมื่อครู่นี้ข้าเสียสติไปแล้ว เลยลงทำร้ายเจ้า ข้าขอโทษ”

“ไสหัวไปซะ!”

หลัวซิวตะคอกอย่างเย็นชา เขาเองก็ดูออกว่าเมื่อครู่นี้ ชายร่างกำยำได้สูญเสียสติไป ไม่เช่นนั้นเขาจะไม่ทำร้ายคู่เขา แต่จะฆ่าเขาโดยตรง

ชายร่างกำยำรู้ว่าอีกฝ่ายมีกำลังที่จะฆ่าเขา ดังนั้นเขาไม่พูดอะไรอีก คำนับให้หลัวซิวแล้วหันหลังบินหนีไปทันที

 

 

 

 

บทที่ 201 เทือกเขาจิ่วเฟิง

 

พลิกฝ่ามือ หลัวซิวหยิบเหล็กปกป้องข้อมือทองสัมฤทธิ์อีกอันออกจากแหวนเก็บของ และสวมซ้อนไว้บนข้อมือขวาของเขา

สนับข้อมือแรงโน้มถ่วงสามอันซ้อนทับ และแรงโน้มถ่วงที่เขาต้องแบกรับก็เพิ่มขึ้นเกือบสิบเท่าในทันใด!

สนับข้อมือแรงโน้มถ่วงตัวที่สามถูกเปิดการใช้งาน หลัวซิวรู้สึกว่าตนเองเตี้ยลงอย่างกะทันหัน และดินใต้ฝ่าเท้าของเขาถูกเหยียบย่ำลงไปจนกลายเป็นหลุม

แรงดึงดูดหกเท่าและแรงดึงดูดสิบเท่าอาจดูคล้ายกัน แต่จริงๆ แล้วต่างกันมาก

เพื่อให้บรรลุผลการฝึกฝน หลัวซิวไม่ได้ใช้พลังจิตแท้เพื่อต่อต้านแรงโน้มถ่วง เขายังคงเดินหน้าต่อไป ทุกครั้งที่เขาก้าวหนึ่งก้าว ก็จะเกิดหลุมใต้ฝ่าเท้า ซึ่งทำให้ทุกคนที่สัญจรไปมาบนท้องถนนดูประหลาดใจ

ในสภาวะกดดันนี้ ใช้เวลาไม่นานนักหลัวก็รู้สึกเหนื่อยมาก ประกอบกับอากาศร้อนในขณะนี้ เมื่อเขาเดินไปถึงหมู่บ้านเล็กๆในเมืองหนึ่งก่อนฟ้ามืด เขาก็ใกล้จะหมดแรง เหงื่อออกเต็มร่าง สีหน้าทรุดโทรม

หมู่บ้านนี้เรียกว่าหมู่บ้านชิงเฟิง ซึ่งอยู่ภายใต้เขตการปกครองหยุนหลง

เทือกเขาจิ่วเฟิง ได้ชื่อนี้เพราะเทือกเขามีลักษณะคล้ายยอดเขาสีเขียวสูงตระหง่าน 9 ยอด และเทือกเขา 5 ยอดนั้นตั้งอยู่ในเขตการปกครองหวู่เฟิงและเขตการปกครองหวู่เฟิงก็มีชื่อเสียงเพราะเหตุนี้เช่นกัน

ยอดเขาอีกสี่ยอด ตั้งอยู่ในเขตการปกครองหยุนหลง

เทือกเขาจิ่วเฟิงกว้างใหญ่มากกว่าเทือกเขากวนเหลย และยิ่งอันตรายกว่าด้วย

เนื่องจากหมู่บ้านชิงเฟิงตั้งอยู่ในเทือกเขาจิ่วเฟิง จึงกลายเป็นสถานที่ชุมนุมของนักล่า ร้านอาหารทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก ก็มีการพูดคุยกันอย่างไร้ความเกรงกลัวของพวกนักล่าเป็นบางครั้ง

เทือกเขาจิ่วเฟิงกว้างและอันตรายกว่าเทือกเขากวนเล่ย

เนื่องจากเมืองชิงเฟิงตั้งอยู่ในเทือกเขาจิ่วเฟิงจึงกลายเป็นสถานที่ชุมนุมของนักล่าโดยธรรมชาติ ในร้านอาหาร ทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก บางครั้งก็มีการพูดคุยกันอย่างไร้ยางอายของนักล่า

ตัวอย่างเช่น หญิงสาวร้านบริการด้านร่างกายผู้ใดหน้าตาน่ารักและเอวอ่อน? ร้านอาหารร้านไหนที่เหล้าแรง? เจออสูรอะไรในเทือกเขาจิ่วเฟิง มีประสบการณ์แปลกประหลาดอย่างไร?

ในประเทศเทียนหวู กลุ่มจอมยุทธ์ที่ใหญ่ที่สุดคือนักล่า!

เนื่องจากแรงโน้มถ่วงแบบทำลายล้างเกือบสิบเท่า สถานะของหลัวซิวในขณะนี้ทรุดโทรมมากจริงๆ ดังนั้นเมื่อเขาปรากฏตัวในหมู่บ้านชิงเฟิง ผู้คนที่เดินอยู่บนถนนก็อดไม่ได้ที่จะมองด้วยความสงสัย

ก้าวของเขาช้า ดูเหมือนว่าทุกย่างก้าวต้องใช้กำลังเป็นอย่างมาก

หลัวซิวไม่ได้สนใจกับการจ้องมองแปลก ๆ รอบตัวเขา เขาเพียงแค่เดินไปตามถนนอย่างช้าๆโดยไม่สนใจ คิดจะหาที่พักก่อนฟ้ามืด

หมู่บ้านชิงเฟิงนั้นไม่ใหญ่ แต่เนื่องจากมีการรวมตัวกันของจอมยุทธ์นักล่าจำนวนมากซึ่งหาเลี้ยงชีพอยู่ในเทือกเขาจิ่วเฟิง ทำให้ที่พักในหมู่บ้านนี้ขนาดเล็กนี้ไม่เพียงพอ

ที่พักธรรมดาทั่วไป ไม่มีห้องว่างแล้ว แต่ที่พักที่ใหญ่ที่สุดในเมือง เกสเฮ้าว์หมิงซียังคงมีห้องว่างอยู่มากมาย

ค่าที่พักหนึ่งวัน คือหินพลังจิตสิบก้อนต่อวัน ก็เพียงพอแล้วที่จะกันจอมยุทธ์ชี่ไห่ส่วนใหญ่ถอยออกไป แต่เหตุผลที่เกสเฮ้าว์หมิงซีเรียกเก็บค่าพักสูง เพราะมีค่ายผนึกปราณระดับ 3 อยู่รอบ ๆ ที่พักแห่งนี้

มีนักค่ายกลเป็นผู้ผนึกค่ายคงที่ ดีกว่าการใช้อุปกรณ์ค่ายผนึกปราณมาก

หลังจากจ่ายค่าห้องเป็นหินพลังจิตสิบก้อนแล้ว หลัวซิวก็เดินขึ้นบันไดภายใต้การนำของคนใช้ของที่พัก

ทุกก้าวที่เขาก้าวออกไป แผ่นไม้แข็งบนบันไดจะส่งดังเอี๊ยด ราวกับว่าขาดการซ่อมแซมเป็นเวลานาน

สิ่งนี้ทำให้คนใช้ที่นำทางอดไม่ได้ที่จะมองดูหลัวซิวหลายครั้ง แอบคิดในใจว่าคุณชายผู้นี้ดูผอม หรือว่ามีสิ่งของบางอย่างที่หนักๆอยู่บนร่างกายของเขา?

แต่คนใช้ไม่ได้ถามอะไรมากนัก แม้ว่าเขาจะไม่ใช่จอมยุทธ์ แต่ก็รู้ว่าสิ่งที่ต้องห้ามที่สุดสำหรับจอมยุทธ์คือการสอบถามเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวของผู้อื่น

ผู้ที่สามารถเข้ามาพักอาศัยใน明溪客栈ได้นั้น ไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดา เขาไม่สามารถท้าทายพวกเขาได้

หลังจากนั้นไม่นาน หลัวซิวก็มาถึงห้องที่กว้างขวางและสะอาดภายใต้การนำของคนใช้

การตกแต่งในห้องค่อนข้างหรูหรา ภายใต้อิทธิพลของค่ายผนึกปราณระดับ 3 สามารถสัมผัสได้ถึงพลังห้าดินจิตจะมากกว่าภายนอก

แน่นอนว่าสิ่งที่เรียกว่ามากกว่านี้ มีผลไม่มากต่อการฝึกฝน ค่ายผนึกปราณระดับ3 เป็นเพียงสิ่งที่หลอกลวงผู้อื่นเท่านั้น เพราะพื้นที่ที่หมู่บ้านชิงเฟิงตั้งอยู่ ไม่มีพลังฟ้าดินจิตมากนัก แม้จะสร้างผนึกค่ายผนึกปราณระดับที่สูงกว่านี้ ก็รวบรวมพลังฟ้าดินจิตได้ไม่มากนัก

หลัวซิวไม่สนใจเรื่องนี้ เขาต้องการเพียงที่พักอาศัยอันเงียบสงบเท่านั้น

เข้าไปในห้อง หลัวซิวก็ถอด สนับข้อมือแรงโน้มถ่วงสามอันลงมา

สนับข้อมือแรงโน้มถ่วงนี้มีราคาแพง เขาซื้อด้วยหินพลังจิต 300,000ก้อน จากแก๊งนักค่ายกลที่อยู่ในเขตการปกครองโตว้ไห่หิน

ก่อนหน้าตอนนี้เขาอยู่ในเขตการปกครองชิงฮัว เขานำยารักษาตัวมากกว่า 20 เม็ดไปประมูลขายที่สถานที่ประมถล แลกได้หินพลังจิตมากกว่า 200,000 ก้อน

ตอนนี้เหลืออยู่ในมือไม่มากแล้ว เขาได้นำไปแลกยาวิเศษระดับ 4 จำนวนมาก กับเตายาระดับชั้นยอดหนึ่งเตา

ในเมื่อได้รับวิชากลั่นยาจากกฎดั้งเดิม หากไม่ใช้ก็จะเสียดายสิ่งที่ได้มา

สำหรับนักกลั่นยาทั่วไป วิชาการกลั่นยาจะต้องทำทีละขั้นตอน แต่หลัวซิวไม่ต้องผ่านกระบวนการนี้ ด้วยการที่เขาได้ความทรงจำของปรมาจารย์จักรพรรดิกลั่นยาระดับ 9 มา แค่แดนฝึกจิต ก็สามารถทำการกลั่นยาระดับ 4 ได้

หลัวซิวนำธงค่ายออกมาจากวแหวนเก็บของ อันดับแรก หลัวซิวได้ทำการผนึกค่ายกลป้องกันในห้อง ป้องกันการรบกวนทั้งหมดจากโลกภายนอก

หลังจากนั้น เขาหยิบหินพลังจิตระดับกลางและอุปกรณ์ค่ายผนึกปราณระดับ 5 ออกมา เริ่มสูดพลังฟ้าดินอยู่ในห้องเพื่อฝึกฝน

ระหว่างทาง ภายใต้ความกดดันของแรงโน้มถ่วงสิบเท่า ร่างกายของเขาเป็นเหมือนหมาป่าที่หิวโหย สูดพลังฟ้าดินจิตอย่างบ้าคลั่ง

ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ร่างกายเขากลับมาเป็นปกติ พลังจิตแท้แข็งแรงควบแน่นขึ้น ร่างเนื้อของเขายิ่งเข้าใกล้ร่างยุทธ์ระดับขั้นสูงสุด

การฝึกฝนเป็นกระบวนการทีละขั้นตอน แค่วิธีการกดดันจากแรงโน้มถ่วงไม่สามารถทำให้พลังของจอมยุทธ์สูงขึ้นในระยะเวลาอันสั้น แต่ผลที่ตามมาก็มีชัดเจนมากเช่นกัน

หลังจากนั้น หลัวซิวหยิบเตายาออกจากแหวนเก็บของ เตายามี 3 ขา รูปทรงกลม และสูงมากกว่าหนึ่งเมตร

ต้องการเป็นนักกลั่นยา นอกจากจะมีพรสวรรค์ที่เหมาะสมกับการกลั่นยาแล้ว ต้องฝึกฝนวิชาธาตุไฟก่อน เพื่อควบคุมไฟใน

การกลั่นยา

นักกลั่นยาระดับ 4 ที่การฝึกฝนถึงแดนฝึกจิตแล้ว สามารถใช้พลังจิตแท้ให้กลั่นแปรเป็นไฟ ยาที่กลั่นออกมาจะดีกว่า

นอกจากนี้ ยังมีเปลวไฟวิเศษในโลกนี้ ซึ่งเรียกว่าภูตอัคคี! เป็นสมบัติลำค้าสำหรับจอมยุทธ์หรือนักกลั่นยานักค่ายกล นักหลอมอาวุธ นักแสดง ล้วนเป็นสมบัติล้ำค่า

หลัวซิวไม่เคยได้รับภูตอัคคีที่หล่อเลี้ยงจากฟ้าดิน แต่ในทางด้านนักกลั่นยา เปลวไฟที่ควบแน่นด้วยพลังจิตแท้ของความเป็นและตาย มีผลดีมากกว่าภูตอัคคีธรรมดาทั่วไป

เหตุผลที่หลัวซิวเชี่ยวชาญพลังแห่งเปลวไฟ ไม่ใช่เพราะเขาฝึกฝนวิชาที่เกี่ยวกับธาตุไฟ แต่เพราะเขาดูดซับพลังธาติไฟในร่างกายของลู่เมิ่งเหยา และรวมเข้ากับพลังความเป็นและตาย จึงกลายเป็นเปลวไฟที่วิเศษนี้

เปลวไฟที่ควบแน่นไปด้วยพลังแห่งความเป็นและตาย หลัวซิวเรียกมันว่า เพลิงมรณะ

และเปลวไฟที่เกิดจากพลังแห่งชีวิต หลัวซิวเรียกมันว่าเปลวขาวเสวียนหยาง

เพลิงมรณะ ถนัดด้านการต่อสู้ฆ่าศัตรู เปลวขาวเสวียนหยางถนัดด้านการซ่อมแซม รักษาผังลายเส้นชีวิต และกลั่นยา

ดีดนิ้ว ลมนิ้วก็พุ่งออกไป กระแทกฝาครอบเตาขึ้นไปในอากาศ หลัวซิวควบแน่นพลังจิตแท้ด้วยมือทั้งสอง ส่งเปลวขาวเสวียนหยาง ลงในเตายา

ภายใต้การอบของเปลวขาวเสวียนหยางเตายาสั่นเล็กน้อย จากสีทองสัมฤทธิ์ก็กลายเป็นสีแดงเพลิง

ในบรรดาวิธีการกลั่นยาที่หลัวซิวเชี่ยวชาญ กระบวนการนี้เรียกว่าการอุ่นเตา หมายถึงให้เตายารับอุณหภูมิของเปลวไฟได้ จากนั้นตามด้วยยาที่มีวิธีการกลั่นไม่เหมือนกัน มาควบคุมความร้อนของเปลวไฟ

สำหรับหลัวซิว ที่มีประสบการณ์ความทรงจำของปรมาจารย์จักรพรรดิกลั่นยาระดับ 9 แค่กลั่นยาระดับ 4 เป็นแค่เรื่องง่ายๆเท่านั้น

ไม่นานนัก เขากลั่นยาออกมาเป็นเตาๆ ยาทุกเม็ดยา มีกลิ่นหอมของยาลอยไปมา บริสุทธิ์ และใสราวกับหยก เป็นยาเม็ดบริสุทธิ์ที่ไร้ร่องรอยของสิ่งสกปรก!

ยากลั่นจิตระดับ 4 สามารถทำให้ปรมาจารย์ฝึกจิตพลังเพิ่มขึ้น ผ่านแดนเล็กได้

ยากระดูกโลหิตระดับ สามารถเสริมสร้างเลือดปราณ ปรับปรุงสภาพร่างกาย เพิ่มแดนร่างเนื้อให้สูงขึ้น

ยาระดับ 4 อื่นๆ ไม่มีประโยชน์มากเท่าไรสำหรับหลัวซิว ก็ไม่อยากที่จะเสียเวลาในการกลั่นยา

เม็ดเลือดกระดูกระดับ 4 สามารถเสริมสร้างเลือดและปรับปรุงสภาพร่างกาย

ไม่นานนัก เวลาค่ำคืนก็ผ่านไปอย่างเงียบๆโดยลืมเวลาไป

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 200 เพิ่มแรงโน้มถ่วง

 

หลังจากกลับมา หลินเจียเอ๋อร์ก็กลับมาที่หอหย่งชางเพื่อฝึกซ้อม การแข่งขันเพื่อชิงโควตาครั้งนี้ ทำให้นางได้เห็นคนเก่งกาจมากมาย และได้เข้าใจเหตุผลที่ว่าคนเก่งกาจก็จะยังมีคนที่เก่งกาจกว่า

นางเป็นหลานสาวของผู้อาวุโสหอหย่งชาง ความสามารถของนาง สามารถได้รับการฝึกฝนอย่างเต็มที่จากหอหย่งชาง และหลัวซิวก็มีแผนสำหรับการฝึกฝนของตัวเองในหนึ่งปีนี้

เขาให้หินพลังจิตแก่ลู่เมิ่งเหยา 500,000 ก้อน ให้นางฝึกฝนอยู่ที่เขตการปกครองโตว้ไห่ในองค์กรนักล่ายุทธ์อย่างสงบ มีหัวหน้าเสิ่นหยวนหนานอยู่ สำนักเหลยหวู่ไม่กล้ามาหาเรื่องนาง

สำหรับเจ้าสำนักน้อยของสำนักเทียนซานเสว่ ตามที่หลัวซิวรู้มา ก็ได้รับโควตาของเมืองเสว่ซาน ช่วงเวลานี้ต้องเตรียมพร้อมเพื่อแดนปริศนาอยู่แน่ และจะไม่ทำอะไรในขณะนี้

สิ่งที่หลัวซิวต้องทำคือให้ตัวเองความแข็งแกร่งโดยเร็วที่สุด

ความแข็งแกร่งเท่านั้นที่เป็นเรื่องสำคัญ!

“ตามภาพปริศนา ทางเข้าแดนปริศนาตั้งอยู่ในเมืองกู่เจี้ยน?”

วันที่สองหลังจากกลับมาที่เขตการปกครองโตว้ไห่ หลัวซิวหยิบม้วนหยกที่มีภาพปริศนาออกมาจากวงแหวนเก็บของ และสำรวจด้วยจิตสำนึก และแผนที่ก็แสดงตำแหน่งทางเข้าแดนนานาอสูร

ตอนที่แยกจากเหยียนเย่วเอ๋อร์ หยกอสูรจันทราคู่และภาพปริศนาก็ได้ให้หลัวซิว พลังปัจจุบันของเขาถึงแดนฝึกจิตแล้ว สามารถเข้าสู่พื้นที่เขต 4 เพื่อไล่ล่าอสูรในแดนปริศนาเพื่อเอาลูกแก้วโลหิตได้

ด้วยวิธีนี้ เขาสามารถฝึกฝนจนร่างเนื้อเข้าสู่ร่างยุทธ์ขั้นสูงภายในหนึ่งปีได้!

เมื่อร่างกายเข้าสู่แดนร่างยุทธ์ขั้นสูง เป็นเรื่องยากที่นักยุทธ์ชั้นยอดจะทำร้ายเขาได้ ยังสามารถสู้กับนักยุทธ์ระดับชั้นล่างได้ระยะหนึ่ง

เมืองกู่เจี้ยน หลัวซิวรู้จักดี เพราะรัฐนี้เป็นหนึ่งในสิบตระกูลขุนนางชั้นสูง ซึ่งเป็นขอบเขตอิทธิพลของตระกูลเหยียน

อาณาเขตของประเทศเทียนหวู ยกเว้นอาณาเขตนับหมื่นไมล์ที่มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองหลวง ดินแดนที่เหลือแบ่งออกเป็นรัฐและมณฑล

ดินแดนของรัฐนั้นกว้างกว่าดินแดนของมณฑลหลายเท่า พลังฟ้าดินจิตนั้นสมบูรณ์ยิ่งกว่า และทรัพยากรก็อุดมสมบูรณ์มากด้วย

ในประเทศเทียนหวู อาณาเขตนับหมื่นไมล์ที่เมืองหลวงตั้งอยู่นั้น เป็นภูมิภาคที่มีพลังฟ้าดินจิตและทรัพยากรที่ร่ำรวยที่สุด

ด้วยเหตุนี้เองที่ประเทศเทียนหวูถึงได้ก่อตั้งเมืองหลวงขึ้นที่นั่น

พื้นที่ที่พลังฟ้าดินจิตมีมากเท่าใด ก็ยิ่งง่ายต่อการสร้างขุมทรัพย์สวรรค์และทรัพยากรในการฝึกฝนที่หลากหลาย

สำหรับปริมาณพลังฟ้าดินนั้น สัมพันธ์กับพลังชีวิตของพลังฟ้าดิน หรือที่เรียกว่าชีพจรมังกร

สถานที่ที่ชีพจรมังกรรวมตัวกัน ถูกเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเป็นดินแดนขุมทรัพย์ที่รวบรวมโชคของโลก

ไม่ว่าจะเป็นสำนัก หรือตระกูลจอมยุทธ์ที่มีมาช้านาน พวกเขาล้วนก่อตั้งขึ้นในสถานที่ที่ชีพจรมังกรมาบรรจบกัน

ว่ากันว่าเมืองหลวงของประเทศเทียนหวู เป็นสถานที่ที่มีชีพจรมังกรมากกว่า 100 เส้นมาบรรจบกัน

ตระกูลเหยียนแห่งเมืองกู่เจี้ยน มีชีพจรมังกร อยู่ในมือ30 เส้น ทำให้เกิดเป็นตระกูลศิลปะการต่อสู้ที่สืบทอดมานับพันปี

และมีข่าวลือวอีกว่า หากการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ถึงระดับหนึ่ง สามารถดึงชีพจรมังกรออกจากพื้นโลก เปลี่ยนแปลงโลก เคลื่อนภูเขา กอบกู้ทะเล และนั่นคือพลังเหนือธรรมชาติที่แท้จริง

ชีพจรมังกรซ่อนอยู่ในส่วนลึกของโลกในความลึกหลายหมื่นเมตร ราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่งก็ไม่สามารถทำได้

หลัวซิวออกมาจากองค์กรนักล่ายุทธ์ด้วยวิชาย้ายร่างเปลี่ยนกระดูก ยกเว้นเสิ่นหยวนหนานราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่งที่รู้ก็ไม่มีใครรู้

กองกำลังอื่นๆที่เป็นปฏิปักษ์ต่อเขาจะส่งคนไปเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของแก๊งเขตการปกครองโตว้ไห่ย่อย แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่ราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่งจะทำสิ่งนี้ด้วยตนเอง และจิตสำนึกของปรมาจารย์ฝึกจิตที่รองลงมาจากราชายุทธ์ ไม่สามารถมองใบหน้าของหลัวซิวออก

หลังจากที่กระแสสัมผัสพลังวิญญาณถูกรวมเข้าด้วยกันกลายเป็นการสำนึกแล้ว หลัวซิวพบว่า พลังก่อรวมวิญญาณ ได้เริ่มเร็วขึ้น แม้ว่าการฝึกฝนในปัจจุบันของเขาเป็นเพียงฝึกจิตขั้น 1 พลังสำนึก เทียบได้กับการฝึกจิตขั้น 4 ของปรมาจารย์แล้ว

เมืองกู่เจี้ยนตั้งอยู่ทางใต้ของประเทศเทียนหวู จากเขตการปกครองโตว้ไห่ถึงเมืองกู่เจี้ยนต้องผ่านสองเขตการปกครอง ได้แก่ เขตการปกครองหยุนหลงและเขตการปกครองหวู่เฟิง

หน้าร้อน แดดก็แผดเผา คนเดินถนนก็เหงื่อออกมาก ต้องเช็ดเหงื่อออกจากร่างกายตลอดเวลา

ชายหนุ่มในชุดคลุมสีดำเดินไปข้างหน้า ในสภาพอากาศร้อนนี้ เขาไม่รู้สึกอึดอัดแม้แต่น้อย

เมื่อชายหนุ่มชุดคบลุมดำเดินผ่านมา คนเดินถนนทุกคนก็แสดงท่าทีเกรงขามออกมา เพราะผู้ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศแบบนี้จะต้องเป็นจอมยุทธ์ผู้แข็งแกร่ง

แน่นอนว่าสำหรับคนธรรมดาทั่วไป จอมยุทธ์ชี่ไห่ ก็อยู่ในตำแหน่งของปรมาจารย์จอมยุทธ์แล้ว

ชายหนุ่มชุดคลุมดำคนนี้คือหลัวซิวนั่นเอง

มีดาบอยู่ข้างหลังเขา ซึ่งเป็นดาบระดับกลางเหมือนกัน ได้มาจากคลังสมบัติของราชายุทธ์ปู้เฉิน ได้ดาบระดับกลาง มาสามเล่ม ยกเว้นอยู่บนร่างเขาหนึ่งเล่มและเล่มที่ถูกสำนักไป๋ซิงกู่เอาไปอีกหนึ่งเล่ม และยังมีอยู่ในแหวนเก็บของอีกหนึ่งเล่ม

“แรงโน้มถ่วงหกเท่า ไม่ได้ผลสำหรับข้าอีกต่อไปแล้ว”

ขณะเดิน หลัวซิวหยุดเดินกะทันหัน ขมวดคิ้วเล็กน้อย

ในมือทั้งสองข้างของเขา ได้สวมเหล็กปกป้องข้อมือสีทองสัมฤทธิ์สองอัน ซึ่งค่อนข้างไม่เข้ากับชุดคลุมสีดำบนร่างกายของเขา

เหล็กปกป้องข้อมือทองสัมฤทธิ์สองอันนี้ เป็นสมบัติที่มีเพียงปรมาจารย์นักค่ายกลระดับ 5 เท่านั้นถึงจะสร้างออกมาได้ มีชื่อว่าสนับข้อมือแรงโน้มถ่วง

สนับข้อมือแรงโน้มถ่วงนั้นสลักด้วยรูปแบบการก่อตัวของค่ายกลและอักษรยันต์ ซึ่งดึงพลังของโลกและก่อตัวเป็นสนามแรงโน้มถ่วง เพื่อให้จอมยุทธ์สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ในการฝึกตัวเองได้

สนับข้อมือแรงโน้มถ่วงอันหนึ่ง สามารถสร้างสนามแรงโน้มถ่วงสามเท่าภายในรัศมี 1 เมตร บนร่างของหลัวซิวมีอยู่สองอัน อัสามารถบรรลุผลของแรงโน้มถ่วงได้ถึงหกเท่า

ในตอนแรก เมื่อเขาสวมสนับข้อมือแรงโน้มถ่วงอันหนึ่งแรงโน้มถ่วงสามเท่า ก็รู้สึกกำลังเคลื่อนไหวและเดินลำบากมาก

แต่ในเวลานี้ ภายใต้แรงโน้มถ่วงหกเท่า เขาไม่มีความรู้สึกอะไรเลยแล้วยังเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ

ต้องรู้ว่า สนับข้อมือแรงโน้มถ่วงไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของร่างกายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการทำงานของพลังจิตแท้ในร่างกายจะถูกกดดันและได้รับผลกระทบด้วย

เดินจากเขตโต่วไห่ ตอนนี้ถึงพรมแดนระหว่างเขตการปกครองหยุนหลงและเขตการปกครองหวู่เฟิง ใช้เวลาทั้งหมดเกือบหนึ่งเดือน

ในช่วงครึ่งเดือนที่ผ่านมานี้เองที่หลัวซิวเคยชินกับแรงโน้มถ่วงหกเท่า

ภายใต้แรงโน้มถ่วงหกเท่า เขาสามารถใช้พลังเหมือนเดิมเหมือนเมื่อก่อนได้ และถ้ายกการจำกัดแรงโน้มถ่วงหกเท่า ความแข็งแกร่งของเขาจะแข็งแกร่งกว่านี้!

ถ้าไม่ใช่เพราะใช้ สนับข้อมือแรงโน้มถ่วง,มาฝึกฝนตนเอง หลัวซิวจะเสร็จสิ้นการเดินทางนี้ภายในเวลาไม่ถึงสิบวัน

“เพิ่มอีกสามเท่า”

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 29 ฝึกตน พลังหยางบริสุทธิ์

 

ทักษะยุทธ์บนชั้นหนังสือที่วางเรียงราย วิชากระบี่มีแค่ไม่กี่อย่างเท่านั้น แต่หลัวซิวกลับมองด้วยความลุ่มหลง ถึงแม้หมัดเสือมังกรที่เขาปรับปรุงพัฒนา ด้วยแดนบรรลุผล ความทรงพลังจะมากกว่าวิชายุทธ์ระดับ3ทั่วไป แต่ส่วนลึกในใจของเขายังคงปรารถนาที่จะเป็นมือกระบี่

ไม่ใช่แค่มือกระบี่ ทั้งยังต้องเป็นยอดมือกระบี่ เป็นขั้นสูงของโลกยุทธ์!

“เลือกวิชากระบี่ หรือว่ากำลังภายในดีนะ?”

หลังจากผ่านไปนาน หลัวซิวขมวดคิ้วเป็นปม ตามหลักเหตุผลแล้วเขารู้ดี สิ่งที่เขาต้องการที่สุดไม่ใช่ทักษะยุทธ์ของวิชากระบี่ แต่เป็นกำลังภายใน

เพราะว่ากำลังภายในคือพื้นฐาน มีกำลังภายในที่ดี ขอเพียงผลการฝึกตนบรรลุการกลั่นร่างขั้น8 ก็จะมีโอกาสเข้าหอเก็บหนังสือเพื่อโลกวิชายุทธ์ ถึงเวลานั้นค่อยเลือกวิชากระบี่ก็ได้เหมือนกัน

สุดท้าย หลัวซิวทำได้เพียงเก็บเคล็ดวิชาทักษะยุทธ์วิชากระบี่หลายเล่มในมือวางกลับไปที่ชั้นหนังสือ ด้วยความปวดใจราวกับตัดใจจากสิ่งที่รัก ภายในใจของเขารู้สึกเสียดายอย่างมาก

สำหรับวิชาท่าร่าง ด้วยระดับของหลัวซิวในตอนนี้ วิชาท่าร่างระดับ3มากมาย ก็ไม่สามารถเทียบได้กับก้าวสั้นบรรลุผล

เลือกได้แล้ว หลัวซิวเดินไปยังชั้นหนังสือกำลังภายใน

เป็นวิชายุทธ์ระดับ3เหมือนกัน ความเป็นจริงก็มีความต่างกัน มีทั่วไป ระดับกลาง ระดับสูงและระดับสูงสุด

วิชายุทธ์ในระดับเดียวกัน ยิ่งระดับสูง ความยากในการฝึกตนก็ยิ่งสูง เหมือนกับก่อนหน้านี้ตอนที่หลัวซิวฝึกหมัดเสือมังกรและก้าวสั้น ในทักษาะยุทธ์และวิชาท่าร่างระดับ25ถือว่าเป็นระดับสูงสุด นักเรียนในสำนักยุทธ์มากมายต่างลองฝึกฝน แต่คนที่สามารถฝึกได้สำเร็จมีน้อยมาก

สำหรับคนที่สามารถฝึกตนถึงแดนบรรลุผล นอกจากตนแล้ว หลัวซิวไม่เคยได้ยินว่ามีใครทำได้มาก่อน

ด้วยเหตุนี้ วิชายุทธ์ระดับสูงสุดถึงแม้จะดี แต่ถ้าความแข็งแกร่งในการเข้าใจของตนอยู่ในระดับทั่วไป สู้ฝึกวิชายุทธ์ทั่วไปยังจะดีเสียกว่า

จากการเลือก ท่ามกลางกำลังภายในระดับ3นับสิบกว่าอย่าง หลัวซิวเลือกมาหนึ่งอย่าง ซึ่งเรียกว่าพลังหยางบริสุทธิ์

พลังหยางบริสุทธิ์คือกำลังภายในระดับสามขั้นสูงสุด แม้จะเป็นวิชาสลับเอ็นหลอมกระดูกที่หลัวซิวปรับปรุงแล้ว ก็ต่างกันไกลลิบลับ

แต่ว่าหน้าแรกของพลังหยางบริสุทธิ์ กลับมีคำแนะนำว่า กำลังภายในนี้ยากที่จะฝึกให้สำเร็จ เพราะการก้าวเดินจนกระทั่งเส้นลมปราณนั้นซับซ้อนอย่างมาก ตั้งแต่ก่อตั้งสำนักยุทธ์แห่งเมืองชิงหยุนขึ้นมาร่วมแปดร้อยกว่าปี มีแค่สามคนเท่านั้นที่ฝึกกำลังภายในนี้ได้สำเร็จ

แต่ว่าถ้าฝึกได้สำเร็จ ว่ากันว่าผลฝึกตนของพลังหยางบริสุทธิ์ สามารถเทียบกับกำลังภายในระดับ4ทั่วไปได้

ข้อดีของพลังหยางบริสุทธิ์ อยู่ที่ผนึกรวมกลั่นแปรปราณในได้เร็วยิ่งขึ้น อีกทั้งปราณในที่ฝึกตนออกมาก็ยิ่งบริสุทธิ์ อัดแน่น หนาทึบ

“หลังจากประสานลูกแก้วอัญมณีแห่งความเป็นความตาย สมรรถภาพทางกายของเขาเกิดการเปลี่ยนแปลง เป็นเหมือนอย่างที่ผู้อาวุโสคุมสอบพูด ฉันการกลั่นร่างขั้น7 ปราณในกลับทัดเทียมเสมอเหมือนการกลั่นร่างขึ้น9 ถ้าสามารถบรรลุพลังหยางบริสุทธิ์

ถ้าอย่างนั้นฉันอยู่ด้านปราณใน ก็เพียงพอที่จะเอาชนะแดนกลั่นร่าง!”

ดังนั้นหลังจากเห็นพลังหยางบริสุทธิ์นี้ หลัวซิวไม่พูดอะไรทั้งนั้น ตัดสินใจฝึกกำลังภายในวิชานี้

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง หลัวซิวเดินลงมาจากชั้นสอง มายังหน้าประตูหอเก็บหนังสือ

“พลังหยางบริสุทธิ์? นายแน่ใจเหรอว่าจะฝึกกำลังภายในนี้?” ผู้อาวุโสชุดเขียวขมวดคิ้วเป็นปม

“ใช่ครับ” หลัวซิวพยักหน้า

“พ่อหนุ่ม ฉันเห็นว่านายมีพรสวรรค์ แต่นายต้องรู้นะว่า ฝึกตนกำลังภายในวิชานี้ยากมาก ตั้งแต่ก่อตั้งสำนักยุทธ์มามีแค่สามคนเท่านั้นที่ฝึกสำเร็จ ถ้านายฝึกไม่สำเร็จ ก็จะเสียโอกาสในการเลือกวิชายุทธ์ระดับ3”

ผู้อาวุโสชุดเขียวส่ายหน้า “ถ้านายฟังคำเตือนของฉัน ก็กลับไปเปลี่ยนกำลังภายในวิชาอื่นเถอะ ด้วยพรสวรรค์ของนาย ครึ่งปีสามารถบรรลุการกลั่นร่างขั้น8 ไม่ใช่ปัญหาแน่นอน”

“ขอบคุณผู้อาวุโสที่แนะนำครับ แต่ว่าผมยังคงตั้งใจจะฝึกกำลังภายในวิชานี้ ในเมื่อจะฝึกก็ต้องฝึกที่ดีที่สุด” หลัวซิวพูดด้วยความหนักแน่น

“หื้ม?” ผู้อาวุโสชุดเขียวมองเขาด้วยความแปลกใจ โดยเฉพาะตอนที่เห็นแววตาหนักแน่นมั่นใจของหลัวซิว จู่ๆก็หัวเราะ “ในเมื่อนายหนักแน่นขนาดนี้ ถ้าอย่างนั้นก็ลองดูได้”

ถึงแม้จะพูดแบบนี้ แต่ผู้อาวุโสชุดเขียวก็ไม่คิดว่าหลัวซิวจะสามารถฝึกได้สำเร็จ เพราะว่าตลอดแปดร้อยกว่าปีที่ผ่านมาสามคนที่สามารถฝึกพลังหยางบริสุทธิ์ได้สำเร็จ เรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะสูงสุด

หอบพลังหยางบริสุทธิ์ หลัวซิวกลับไปยังที่พักของตนเอง

นั่งขัดสมาธิทำสมาธิบนเตียง ภาพในหัวฉายผังลายเส้นชีวิตของตนออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ

เมื่อเป็นแบบนี้ เขาสามารถควบคุมเส้นปราณและจุดซีของตนเองอย่างชัดเจน มองเห็นอย่างชัดเจน

“พลังหยางบริสุทธิ์!”

ตามการเคลื่อนไหวของเส้นลมปราณที่ถูกบันทึกในเคล็ดวิชา หลัวซิวเริ่มฝึก

หลังจากเวลาไม่ถึงครึ่งก้านธูป เขาลืมตาขึ้น มุมปากเผยยิ้ม

“ร่วมแปดร้อยปีมีแค่สามคนเท่านั้นที่ฝึกสำเร็จ? ก็แค่นี้เอง!”

เขาหัวเราะเสียงดัง ฮึกเหิมอย่างมาก วรยุทธ์ที่คนอื่นยากจะเข้าบรรลุ แต่สำหรับเขากลับใช้เวลาสั้นๆ ก็สามารถฝึกได้สำเร็จ

แน่นอน ทั้งหมดนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับการที่เขาสามารถมองเห็นภาพผังลายเส้นชีวิต เห็นเส้นลมปราณและจุดซีในร่างกายของตนอย่างชัดเจน มั่นใจในทุกการเปลี่ยนแปลงอย่างแน่ชัด

จากคำบรรยายพลังหยางบริสุทธิ์ที่ถูกบันทึกไว้ อยากจะฝึกวรยุทธ์วิชานี้ให้สำเร็จ อย่างช้าต้องใช้เวลาครึ่งปี อย่างมากสุดก็ต้องใช้เวลาหนึ่งเดือน

หลัวซิวไม่คิดว่าตนคืออัจฉริยะฝึกตนในตำนานแต่อย่างใด ทั้งหมดต้องยกความคิดีความชอบให้กับความมหัศจรรย์ของการประสานระหว่างจิตวิญญาณกับลูกแก้วอัญมณีแห่งความเป็นความตาย

สามเดือนที่ผ่านมานี้ เขาสามารถสัมผัสปราณเป็นตาย2ระดับที่กำลังปรับสมรรถภาพทางกายของเขาให้ดีขึ้นไม่หยุดหย่อนได้อย่างชัดเจน คล้ายเป็นการเปลี่ยนแปลงของระดับที่ลึกขึ้น

ตอนฝึกตน การรับรู้ระหว่างเขาและลูกแก้วอัญมณีแห่งความเป็นความตายยิ่งอยู่ก็ยิ่งรุนแรงยิ่งขึ้น

หลังจากผ่านไปครึ่งวัน หลัวซิวฝึกตนขั้นแรกของพลังหยางบริสุทธิ์เสร็จสิ้น ปราณในเทียบกับตอนที่ยังไม่ได้ฝึกวรยุทธ์วิชานี้ แปรเปลี่ยนเป็นบริสุทธิ์และหนาแน่นมากขึ้น

ถ้าจะบอกว่า ก่อนหน้านี้ ปราณในของเขาทัดเทียมเสมอเหมือนการกลั่นร่างขั้น9ทั่วไป ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ สามารถเทียบได้กับการกลั่นร่างขั้น9ระดับกลาง!

ผลการฝึกตนของเขา เพิ่งบรรลุการกลั่นร่างขั้น7 ยังมีศักยภาพที่สามารถทำได้มากกว่านี้

“หมัดเสือมังกรของแดนบรรลุผลและวิชาท่าร่างก้าวสั้น สามารถทัดเทียมเสมอเหมือนฝึกตนระดับ3ของวิชายุทธ์ ร่วมกับผังลายเส้นชีวิต ไม่ว่าใครที่ต่ำกว่าแดนฝึกชี่ไห่ เขาล้วนสามารถประลองยุทธ์ด้วยได้!”

เปิดห่อผ้าที่อยู่ข้างๆ ด้านในมีอุปกรณ์ของค่ายผนึกปราณ ทั้งยังมียาฝึกปราณหนึ่งขวด บวกกับหินพลังจิตชั้นล่างสิบแปดก้อน

คราวก่อนฝึกตนบรรลุการกลั่นร่างขั้น7 ใช้ยาฝึกปราณไปสองเม็ด ยังเหลืออีกสามเม็ด

หลัวซิวคิดคำนวณ บวกกับวิธีการพิเศษที่สามารถพ่นลมหายใจดูดรับพลังจิตชีวิตได้ ของเหล่านี้ทำให้การฝึกตนของเขาบรรลุการกลั่นร่างขั้น8 น่าจะไม่มีปัญหา

……

ตั้งแต่วันสอบที่ตนทำให้ทุกคนตกตะลึงกับการกลั่นร่างขั้น7 และหลังจากทำให้จางห่ายพิการบนเวทีประลองยุทธ์ หลัวซิวสัมผัสได้ว่า ตอนที่นักเรียนชั้นต้นและชั้นกลางในสำนักยุทธ์ พบเจอตน แววตาของพวกเขาไม่ดูถูกเหมือนในอดีตอีกแล้ว สิ่งที่แทนที่คือ ความหวาดกลัว หวาดหวั่น

หลัวซิวรู้ดี นี่คือโลกยุทธ์ของผู้ฝึกตน มีแค่ผู้ที่แข็งแกร่งจึงจะสามารถทำให้คนหวาดกลัว ตอนที่นายอ่อนแอ คนอื่นจะข่มเหงรักแก

หลังจากใช้ผ้าดำมัดกระบี่ชิงเฟิง หลัวซิวเก็บสัมภาระ ตั้งใจจะมุ่งหน้าไปยังป่าลึกต้าเจ๋อนอกเมืองชิงหยุนเพื่อฝึกฝน

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 28 ตาต่อตาฟันต่อฟัน

 

“ฉันจะทำอะไร? แน่นอนว่าต้องตาต่อตาฟันต่อฟัน ทำลายผลการฝึกตนของนาย ทำให้นายนอนอยู่บนเตียงตลอดชีวิต” หลัวซิวพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น

“แกกล้า! พ่อของฉันเป็นถึงหัวหน้าตระกูลจาง แกกล้าแตะต้องฉัน แกต้องไม่ตายดีแน่!” จางห่ายพูดด้วยสีหน้าเหี้ยมโหด

ทว่าหลัวซิวกลับไม่ไหวติง ที่เขาสุ่ยวู่ เขากล้าฆ่าแม้กระทั่งคน!

“ตึ้ง!”

เขาปล่อยฝ่ามือออกไปกระทบตัวจางห่าย ปราณเป็นตาย2ระดับเข้าสู่ร่างกายของอีกฝ่าย ทำลายผังลายเส้นชีวิต จางห่ายร้องโอดครวญในทันที เส้นลมปราณทั่วทั้งร่างกายฉีกขาด สีหน้าซีดขาว มุมปากมีเลือดไหลออกมา

“นายดูถูกคนจนไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้แกกลายเป็นคนพิการแล้ว แม้แต่คนจนที่แกดูถูกก็ยังไม่สามารถเทียบได้ แล้วแกเป็นตัวอะไร?”

แววตาของหลัวซิวเปี่ยมไปด้วยความเยือกเย็น หมุนตัวเดินลงจากเวทีประลองยุทธ์

ในเวลานี้เอง ผู้ชมที่มาดูการประลองด้านล่างเวทีประลองยุทธ์เงียบงันไปนานแล้ว โดยเฉพาะเห็นหลัวซิวเหี้ยมโหดแบบนี้ ทำให้จางห่ายพิการ ทุกคนรีบหลบหลีกไปไกล แววตาที่มองหลัวซิวเปี่ยมไปด้วยความหวาดกลัวและหวาดหวั่น

“พี่!……”

จางเจี๋ยล้มลุกคลุกคลานวิ่งขึ้นเวทีประลองยุทธ์ ร้องตะโกนดังก้อง “ใครก็ได้ช่วยที!”

แต่ไม่ว่าเขาจะร้องตะโกนแค่ไหน ก็ไม่มีใครขึ้นไปช่วย แม้แต่พวกลูกหลานคนจนที่ปกติไปเที่ยวเตร่กับพวกเขา เวลานี้ต่างก็มีแววตาเยือกเย็น

ในเมื่อจางห่ายกลายเป็นคนพิการแล้ว แน่นอนว่าไม่มีอะไรคู่ควรให้พวกเขาทำอีก

พื้นไกลห่างจากเวทีประลองยุทธ์ บนห้องใต้หลังคา คนสองคนยืนอยู่ข้างกัน ชมการประลองที่เกิดขึ้นเมื่อกี้

หนึ่งในนั้นคือ ผู้อาวุโสผู้ทำหน้าที่คุมสอบ ชื่อจวงหนานเทียน เป็นหนึ่งในจอมยุทธพรสวรรค์ที่มีไม่มากในเมืองชิงหยุน

ส่วนคนที่ยืนอยู่ข้างจวงหนานเทียน คือชายวัยกลางคนผู้มีใบหน้าเมตตา เขาสวมชุดสีขาวตัวใหญ่

“ผู้อาวุโสจวง ผู้อาวุโสบอกว่าหลัวซิวบรรลุการกลั่นร่างขั้น7 แต่ปราณในกลับทัดเทียมเสมอเหมือนการกลั่นร่างขั้น9?” ชายที่สวมชุดขาวพูดขึ้น

“ใช่ครับเจ้าสำนัก จากการตรวจสอบ เมื่อสามเดือนก่อนหลัวซิวคนนี้เพิ่งเป็นการกลั่นร่างขั้น2 จู่ๆผลการฝึกตนระยะที่ผ่านมานี้พุ่งทะยานขึ้น การฝึกตนของเขา เป็นแค่วิชายุทธ์ระดับ2เท่านั้น” จวงหนานเทียนพูดด้วยความเคารพ

ทำให้จอมยุทธพรสวรรค์ผู้อาวุโสจวงเคารพแบบนี้ ทั้งยังเรียกว่าเจ้าสำนัก ในเมืองชิงหยุน แน่นอนว่ามีแค่คนเดียว ซึ่งก็คือคนที่มีอำนาจสูงสุดในสำนักยุทธ์ของเมืองชิงหยุน เจ้าสำนักยุทธ์!

ในเมืองชิงหยุน ผู้มีอำนาจมีมากมายซับซ้อนกันไปหมด มีทั้งองค์กรนักล่าอสูร องค์กรนักค่ายกล องค์กรนักกลั่นยา องค์กรนักหลอมอาวุธ แต่ผู้มีอำนาจที่แท้จริงของเมืองชิงหยุนคือเจ้าสำนักยุทธ์คนนี้!

เขตการปกครองหยุนหลงคืออณาเขตอำนาจของสำนักเซียวเหยา เป็นผู้มีอำนาจของที่นี่ สำนักยุทธ์ของทุกเมือง ล้วนก่อตั้งโดยสำนักเซียวเหยา ส่วนเมืองชิงหยุน เป็นแค่หนึ่งในร้อยเมืองที่อยู่ในเขตการปกครองหยุนหลงเท่านั้น!

“เด็กที่เกิดในครอบครัวธรรมดาแต่กับสามารถบรรลุถึงขั้นนี้ได้ เป็นคนที่มีพรสวรรค์จริงๆ สามารถบ่มเพาะให้ดี” เจ้าสำนักยุทธ์ยิ้มแล้วพูด

เมืองชิงหยุน ตำหนักตระกูลจาง

“เหี้ยมโหดจริงๆ ทำลายเส้นลมปราณของจางห่ายจนหมดสิ้น สมควรตาย!สมควรตาย!” ชายวัยกลางคนที่สวมเสื้อผ้าหรูหราราคาแพงตบโต๊ะไม้จนพังด้วยความโมโหนัยน์ตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความอาฆาต

“พ่อครับ พ่อต้องตัดสินใจแทนพี่ใหญ่นะครับ!” จางเจี๋ยคุกเข่าอยู่บนพื้น ร้องไห้อย่างหนัก

“ไอ้สารเลว ถ้าไม่ใช่เพราะแกกร่างไปทั่วสำนักยุทธ์ ก่อปัญหาไปทั่วทุกแห่ง พี่ชายของแกจะเจอความลำบากแบบนี้เหรอ?” ชายวัยกลางคนเตะจางเจี๋ยไกลออกไปสี่ห้าเมตร ผมเพ้ายุ่งเหยิง เหมือนสิงโตที่กำลังโมโห

เขาคือหัวหน้าตระกูลจางแห่งเมืองชิงหยุน จางช่าวฉง!

จางห่ายคืออัจฉริยะที่มีความโดดเด่นมากสุดในคนรุ่นหลังของตระกูลจาง ทางตระกูลให้การเลี้ยงดูเขาเป็นอย่างดี บรรลุการกลั่นร่างขั้น8ตั้งแต่อายุสิบห้า มีอนาคตยาวไกล

แต่ตอนนี้ อัจฉริยะที่ตระกูลฝากความหวังเอาไว้กลับกลายเป็นคนพิการ แล้วจะให้จางช่าวฉงทนได้อย่างไร?

ในตระกูล ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้พวกน้องๆต่างจ้องจะฮุบตำแหน่งหัวหน้าตระกูลของเขา มีความเป็นได้สูงว่าจะอาศัยวิกฤตในครั้งนี้ คุกคามตำแหน่งของเขา

……

ตามกฎของสำนักยุทธ์ การกลั่นร่างขั้น5สามารถไปเลือกวิชายุทธ์ระดับ2สามอย่างที่หอเก็บหนังสือได้ ได้แก่กำลังภายใน วิชาท่าร่าง ทักษะยุทธ์

ส่วนคนที่ผลการฝึกตนบรรลุการกลั่นร่างขั้น7 สามารถเลือกวิชายุทธ์ระดับ3หนึ่งอย่าง การกลั่นร่างขั้น8และการกลั่นร่างขั้น9 ล้วนสามารถเลือกได้หนึ่งอย่าง

วิชาสลับเอ็นหลอมกระดูก คือกำลังภายในระดับ2ที่หลัวซิวเลือกจากหอเก็บหนังสือเมื่อคราวก่อน แต่ว่ากำลังภายในนี้เหมาะแก่การกลั่นร่างขั้น4ถึงการกลั่นร่างขั้น6ของช่วงฝึกเอ็นเกลากระดูก

ตอนนี้ผลการฝึกตนของเขาบรรลุการกลั่นร่างขั้น7แล้ว ฝึกกำลังภายในด้านนี้ต่อไป ผลลัพทธ์จะลดลงไปมาก

ด้วยเหตุนี้ หลังจากประลองยุทธ์กับจางห่าย หลัวซิวก็มุ่งหน้าไปยังหอเก็บหนังสือ

ครั้งนี้ เขาไม่ได้ถูกขัดขวางหรือหาเรื่องแต่อย่างใด

“อ่อ? ระยะเวลาสั้นๆแค่สองเดือน นายก็บรรลุการกลั่นร่างขั้น7แล้ว?” ใบหน้าของผู้อาวุโสชุดเขียวที่เฝ้าประตูฉายความแปลกใจ

ถึงแม้จะเป็นอัจฉริยะด้านการฝึกยุทธ์ที่เก่งกาจ ใช้เวลาครึ่งปีมาถึงขั้นนี้ก็ยากมากแล้ว

“ใช่ครับผู้อาวุโส ผมเพิ่งผ่านการสอบ” หลัวซิวพูด ในเวลาเดียวกันก็ปล่อยลมปราณของตนออกมา

“อืม คือการกลั่นร่างขั้น7จริงๆด้วย นายไปชั้นสองแล้วเลือกวิชายุทธ์สามอย่าง แต่ว่าเลือกได้แค่หนึ่งอย่าง กำลังภายใน วิชาท่าร่าง ทักษะยุทธ์ จะเลือกอันไหน นายเลือกเอาเอง” หลังจากผู้อาวุโสชุดเขียวยืนยันผลการฝึกตนของเขาแล้ว ก็พยักหน้าพร้อมกับพูด

หลัวซิวกล่าวขอบคุณ แล้วเดินเข้าไปในหอเก็บหนังสือ

“คิดไม่ถึงจริงๆว่าสำนักยุทธ์เมืองชิงหยุนของเราจะมีอัจฉริยะที่มีความแข็งแกร่ง ไม่รู้ว่าเขาจะเดินไปถึงขั้นไหน?” ผู้อาวุโสชุดเขียวมองแผ่นหลังของหลัวซิว ครุ่นคิด

หอเก็บหนังสือมีทั้งหมดสามชั้น ชั้นแรกมีเคล็ดวิชายุทธ์มากที่สุด โดยมากคือระดับหนึ่งส่วนน้อยที่จะมีระดับสอง

ชั้นที่สองคือวิชายุทธ์ระดับ3 ชั้นสามเก็บบันทึกวิชายุทธ์ระดับ4 แต่ว่าชั้นที่สามไม่ได้เปิดสาธารณะ เป็นเขตหวงห้ามของหอเก็บหนังสือ

ขึ้นไปยังชั้นสองของหอเก็บหนังสือ หลัวซิวค้นพบด้วยความตกตะลึง ที่นี่มีชั้นหนังสือแค่สามแถว เคล็ดวิชายุทธ์ทั้วหมดบวกกันก็มีแค่สิบกว่าอย่าง

เมื่อเทียบกันแล้ว วิชายุทธ์ระดับ1และวิชายุทธ์ระดับ2ที่เก็บบันทึกเอาไว้ที่ชั้นหนึ่ง บวกกันแล้วมีร้อยกว่าอย่าง!

“ดูเหมือนว่าวิชายุทธ์ระดับ3ล้ำค่ามาก” หลัวซิวคิดเช่นนี้

“วิชาหมัดสยบเขา วิชากระบี่วาโย วิชากระบี่มรสุม วิชาดาบหลิ่วเยว่ วิชากระบองเฉียนคุน……”

ชั้นหนังสือสามแถว แยกเป็นกำลังภายใน ทักษะยุทธ์ วิชาท่าร่าง

ด้านหลังหลัวซิว สะพายกระบี่ชิงเฟิง ตอนเด็กๆ เขาฝันอยากจะเป็นนักยุทธ์ พกกระบี่ออกเดินทางรอบโลก เพลิดเพลินไปกับชีวิต

ตอนอายุสิบขวบ เขาเข้าฝึกวิชายุทธ์ที่สำนักยุทธ์ ฝันมาโดยตลอดว่าวันหนึ่ง จะกลายเป็นมือกระบี่

ทว่า ทักษะยุทธ์ของวิชากระบี่ที่ต่ำที่สุดก็คือทักษะยุทธ์ระดับ3 นอกจากใช้เงินกว่าแสนตำลึงซื้อ ไม่อย่างนั้นก็ต้องทำให้ผลการฝึกตนบรรลุการกลั่นร่างขั้น7 จึงจะมีสิทธิ์ได้รับการฝึก

ถ้าเป็นเมื่อก่อน หลัวซิวไม่กล้าแม้แต่จะคิด ชีวิตนี้สามารถบรรลุการกลั่นร่างขั้น5ก็ถือว่าสูงสุดแล้ว

แต่ว่าการปรากฏตัวของลูกแก้วอัญมณีแห่งความเป็นความตาย เปลี่ยนแปลงทุกอย่าง

“วิชากระบี่คลั่งลม กระบวนท่าเปิดกว้าง กดดันคู่ต่อสู้ด้วยความโจมตีที่เหี้ยมโหด”

“วิชากระบี่มังกรเลื้อย ร่วมกับวิชาท่าร่างอาศัยทักษะในการเอาชนะ ให้ความสำคัญกับกระบวนท่า”

“……”

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 27 ทำร้ายจางห่าย

 

“การกลั่นร่างขั้น9?” ผู้อาวุโสผู้คุมสอบลุกพรวดขึ้นมาทันที มองด้วยความตกตะลึง หลังจากนั้นก็กลับมานิ่งสงบ “ไม่ใช่การกลั่นร่างขั้น9 แต่เป็นการกลั่นร่างขั้น7!”

เห็นสีหน้าตกตะลึงของผู้อาวุโสผู้คุมสอบ คนที่อยู่ล่างเวทีประลองยุทธ์ต่างนิ่งงัน สายตาของทุกคนตกตะลึง

เห็นผู้อาวุโสผู้คุมสอบมองไปที่หลัวซิว แววตาเคล้าไปด้วยความตกตะลึง “เป็นปราณในที่บริสุทธิ์มาก การกลั่นร่างขั้น7แทบจะทัดเทียมกับการกลั่นร่างขั้น9 แม้แต่ฉันก็เกือบมองผิด”

ท่ามกลางผู้คนที่อยู่ด้านล่าง สีหน้าของจางห่าย หลูเฟิงและพวกน่าอัศจรรย์ยิ่งกว่า ตกตะลึงจนคางเกือบตกลงพื้น ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความเหลือเชื่อ

“นี่มันของปลอมรึเปล่า? สามเดือนก่อนตอนประลองกับฉันผลการฝึกตนยังต่ำกว่า แต่มันกลับบรรลุการกลั่นร่างขั้น7แล้วเนี่ยนะ? อีกทั้งปราณในยังบริสุทธิ์ เทียบกับการกลั่นร่างขั้น9ได้เลย?”

คำวิจารณ์นี้ไม่ได้สูงเกินจริง สิ่งนี้หมายความว่าหลัวซิวแทบจะมีความสามารถเทียบเท่ากับผู้ฝึกยุทธ์การกลั่นร่างขั้น9แล้ว!

หลังจากความเงียบจบลง ทั้งเวทีประลองยุทธ์เสียงดังกระหึ่ม คนจำนวนไม่น้อยสูดลมหายใจเข้า และยังมีคนกลืนน้ำลาย โดยเฉพาะคนที่รู้จักหลัวซิวต่างตกตะลึงอย่างมาก เวลาสามเดือนจากการกลั่นร่างขั้น2สู่การกลั่นร่างขั้น7 ความเร็วในการฝึกตนนี้ ช่างน่าตกใจเกินไปแล้วกระมัง?

สามเดือนเพิ่มขึ้นห้าแดนเล็ก ตั้งแต่เมืองชิงหยุนก่อตั้งสำนักยุทธ์มาแปดร้อยกว่าปี ไม่เคยพบเจอมาก่อน!

หลิวหยู่ซินก็อยู่ในฝูงชน เวลานี้แววตาแปรเปลี่ยนเป็นซับซ้อน หวนคิดกลับไปตอนที่อยู่หอเก็บหนังสือ ตนแนะนำให้เขาไปเป็นองครักษ์ของตระกูลหลิว ไม่แปลกที่หลัวซิวไม่ยี่หระ

มีความเร็วในการฝึกตนที่ทำให้คนได้ยินตกตะลึงแบบนี้ ใครจะยอมลดตัวไปเป็นบริวารล่ะ?

“หึ การกลั่นร่างขั้น7แล้วไง? ยังไงวันนี้ฉันก็จะทำให้มันพิการ!” แววตาของจางห่ายมีความเหี้ยมโหดเลื่อนผ่าน ถึงแม้ผู้อาวุโสที่คุมสอบจะบอกว่าปราณในของหลัวซิวทัดเทียมเสมอเหมือนการกลั่นร่างขั้น9 แต่เขายังคงมั่นใจในตนเองมาก

หลัวซิวยืนอยู่บนเวที รู้สึกเศร้าเล็กน้อย คิดถึงตอนแรกเขาเป็นแค่คนธรรมดา เป็นคนจนที่คนอื่นดูถูก

ไม่เคยคาดคิดว่า วันหนึ่งท่ามกลางสายตาของผู้คนมากมาย ตนจะผงาดขึ้นมาแบบนี้?

ท่ามกลางความอิจฉา หรือสายตาซับซ้อนที่เปี่ยมไปด้วยความสงสัย หลัวซิวเดินลงมาจากเวทีประลองยุทธ์

การสอบดำเนินต่อไป หลังจากหลัวซิวสอบเสร็จ ก็มีคนขึ้นไปบนเวทีอีก อัตราส่วนจำนวนคนที่ถูกคัดทิ้งช่างน่าตกตะลึง

นักเรียนชั้นต้นที่ผ่านการสอบ นับหลัวซิวด้วย มีทั้งหมดแค่ห้าคน

ส่วนการสอบของนักเรียนชั้นกลางเลื่อนชั้นสูง อัตราส่วนที่ถูกคัดทิ้งสูงยิ่งกว่า ผ่านแค่คนเดียวเท่านั้น

เพราะยิ่งอยู่ การเลื่อนผลการฝึกตนให้สูงขึ้นก็ยิ่งยาก

“การสอบประจำปีในปีนี้จบลงแล้ว!” ผู้อาวุโสที่คุมสอบประกาศเสียงดัง หลังจากนั้นก็ออกไปจากลานฝึกยุทธ์

ทว่ากลุ่มคนที่อยู่รอบๆ กลับไม่ได้แยกย้ายกันไป เพราะว่าแทบจะทุกคนต่างรู้ว่า หลังจากจบการสอบประจำปีในครั้งนี้ ยังมีการประลองยุทธ์!

“หลัวซิว!”

เสียงเยือกเย็นดังก้อง เห็นเพียงร่างหนึ่งกระโดดออกมา ย่อตัวลงบนเวทีประลองยุทธ์ เอามือไว้ด้านหลัง ยืนด้วยความทระนง

คนคนนี้ คือจางห่าย!

“เมื่อคราวก่อนมีอาจารย์ลู่ออกหน้ารับ วันนี้ทั้งฉันและนายต่างเป็นนักเรียนชั้นกลาง กล้าสู้กันสักตั้งไหม?”

หลังจากคำพูดนี้เปล่งออกมา สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่หลัวซิวอีกครั้ง

“แฮะๆ หลัวซิวเป็นแค่คนจนจากครอบครัวธรรมดาทั่วไป ทำตัวโดดเด่นแบบนี้ ดูสิว่าครั้งนี้มันจะทำยังไง”

“สามเดือนเพิ่มขึ้นห้าแดน แต่ว่าผลการฝึกตนสูง ไม่ได้หมายความว่าความแข็งแกร่งจะสูงไปด้วย ยิ่งไปกว่านั้นจางห่ายบรรลุถึงการกลั่นร่างขั้น8 สูงกว่าเขา!”

“ใช่ ใช่ ฉันเองก็ไม่เชื่อว่าเขาจะสามารถเพิ่มขึ้นได้เร็วแบบนี้ ได้ยินว่ามีวิธีการบางอย่างสามารถเพิ่มผลการฝึกตนให้สูงในระยะเวลาสั้นๆ แต่ว่าส่งผลเสียต่อร่างกาย ทั้งยังส่งผลกระทบต่อแดนยุทธ์ในวันข้างหน้า”

คนมากมายต่างพูดคุยกัน ถึงแม้การสอบประจำปีของหลัวซิวจะทำให้ทุกคนตกตะลึง แต่ก็ยังไม่มีใครคิดว่าเขาจะเป็นคู่ต่อสู้ของจางห่าย

ท่ามกลางสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความอิจฉา ริษยา รวมถึงแววตามีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น หลัวซิวเดินขึ้นไปยังเวทีประลองยุทธ์

ที่อิจฉาริษยา แน่นอนว่าเป็นเพราะเขาบรรลุแดนทั้งห้าในระยะเวลาสั้นๆแค่สามเดือนทำให้ผู้อาวุโสที่คุมสอบให้การประเมินสูง ส่วนคนที่มีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นเป็นเพราะไอ้คนจนที่ทำตัวโดดเด่น กำลังจะโดนจางห่ายที่บรรลุการกลั่นร่างขั้น8สั่งสอน

เห็นหลัวซิวเดินขึ้นเวทีประลองยุทธ์ แววตาของจางห่ายฉายความเยือกเย็น

ที่ผ่านมาเขาเป็นอัจฉริยะมาโดยตลอด อายุสิบห้าบรรลุการกลั่นร่างขั้น8 ถูกชื่นชมว่าจะกลายเป็นจอมยุทธ์ก่อนอายุสิบแปด

“หลัวซิว อย่าคิดว่าบรรลุการกลั่นร่างขั้น7ก็จะมีสิทธิ์มาเทียบชั้นกับฉัน ฉันจะทำให้แกรู้ว่าระหว่างพวกเราห่างกันเท่าไหร่!” จางห่ายพูดเสียงเยือกเย็น

“ตอนนี้ต่อให้แกคุกเข่าขอร้องฉัน ฉันก็ไม่มีวันปล่อยแกไป ชีวิตนี้แกถูกลิขิตให้ใช้ชีวิตได้แค่บนเตียงแล้ว”

มุมปากของจางห่ายแสยะยิ้มร้ายกาจ เขาจะทำลายเส้นลมปราณทั้งหมดบนตัวหลัวซิว ให้เขากลายเป็นคนพิการตลอดชีวิต ไม่สามารถฝึกยุทธ์ได้!

“นายจะทำให้ฉันพิการเนี่ยนะ?” แววตาของหลัวซิวเย็นยะเยือก ทั้งสองไม่ได้มีความแค้นอะไรกันมากมาย เป็นแค่การทะเลาะเบาะแว้งระหว่างวัยรุ่นเท่านั้น แต่จางห่ายกลับจะทำให้ตนพิการเนี่ยนะ?

“ฉันจะทำให้แกพิการ ชนชั้นต่ำอย่างแก ขอแค่ฉันไม่ฆ่าแก สำนักยุทธ์ก็ไม่มีวันลงโทษฉันแล้ว” จางห่ายหัวเราะเย้ยหยัน แววตาฉายความเหี้ยมโหด ก้าวเดินออกมา ทะยานขึ้นฟ้า พุ่งไปหาหลัวซิว

เห็นเพียงร่างกายของหลัวซิวเคลื่อนไปทางซ้ายเบาๆ การโจมตีของจางห่ายก็สูญเปล่า

จางห่ายเปลี่ยนกระบวนท่าอย่างรวดเร็ว โจมตีอย่างหนัก กระบวนท่าหนึ่งจู่โจมเหี้ยมโหดยิ่งกว่าอีกกระบวนท่าหนึ่ง ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบหลัวซิวล้วนเอามือไว้ด้านหลัง ปล่อยให้เขาโจมตี ไม่ว่าจะโจมตีร้ายกาจแค่ไหนก็ไม่สามารถแตะต้องชายเสื้อของตนได้

ชั่วขณะหนึ่ง เวทีประลองยุทธ์ฝุ่นตลบ

“วิชาท่าร่างของหลัวซิวยอดเยี่ยมขนาดนี้แล้วเหรอ? หรือว่าจะบรรลุแดนสำเร็จน้อยแล้ว?”

“ด้วยความแข็งแกร่งของจางห่ายยังไม่สามารถแตะต้องแม้แต่ชายเสื้อได้ ฉันว่าวิชาท่าร่างของหลัวซิวน่าจะใกล้เคียงกับแดนบรรลุผลแล้ว”

“คิดไม่ถึงจริงๆ หลัวซิวจะเก่งขนาดนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะเอาชนะจางห่ายได้จริงๆ ก็ได้”

“ตลก ก็แค่หลบเก่งเท่านั้น ถ้าปะทะกันจริงๆ หลัวซิวต้องถูกทำร้ายจนตัวปลิวออกไปแน่นอน!”

มีคนมากมายมารวมตัวกันโดยรอบเวทีประลองยุทธ์ คำพูดของทุกคนดังไปถึงหูของจางห่ายที่อยู่บนเวที ทำให้เขาอับอายอย่างมาก

“ไอ้สารเลว! แกหลบเป็นอย่างเดียวรึไง? ชนชั้นต่ำขี้ขลาด!” จางห่ายร้องตะคอกเสียงดัง ยกเท้าขึ้น แตะศีรษะของหลัวซิว

“ตึก!”

ครั้งนี้หลัวซิวไม่ได้หลย แต่ว่ายกมือขึ้นรับกระบวนท่านี้

เห็นภาพนี้ จางห่ายดีใจมาก จากนั้นเปลี่ยนกระบวนท่าพร้อมกับร้องตะโกน “หมัดสยบเขา!”

“วิชากระจอกๆ”

สีหน้าของหลัวซิวเต็มไปด้วยความดูถูก ออร่ารอบตัวของเขาแปรเปลี่ยนกะทันหัน ต่อยออกมาหนึ่งหมัด

“แย่แล้ว!”

จางห่ายตกใจอย่างมาก สัมผัสได้เพียงความรู้สึกเหี้ยมโหดจากหลัวซิวกำลังพุ่งทะยานเข้ามาหา ทำให้รู้สึกหดหู่อย่างมาก

“ท่ามังกรทะยาน!”

“ตึก!”

พลังรุนแรงพุ่งทะยานมา จางห่ายรู้สึกเจ็บฝ่ามือ ร่างกายปลิวออกไป

“แอวะ!”

ตัวลอยอยู่บนอากาศ จางห่ายกระอักเลือด ล้มลงห่างออกไปห้าถึงหกเมตร ฝุ่นตลบ ภาพตรงหน้ามีดาวฉายขึ้นมา

“การกลั่นร่างขั้น8 ก็แค่นี้” บนเวทีประลองยุทธ์ หลัวซิวหัวเราะเยือกเย็นด้วยความเย้ยหยัน

“เป็นไปไม่ได้!” จางห่ายเหยียดตัวลุกขึ้นตัวเซไปมา เลือดเต็มไรฟัน ใบหน้าเหี้ยมโหด “ฉันแพ้ให้ชนชั้นต่ำอย่างแกได้ยังไง?”

“ไปตายซะ!” จางห่ายร้องตะโกนด้วยความโมโห ก้าวออกไป ฝ่ามือทั้งสองฟาดไปทางหลัวซิวด้วยความเหี้ยมโหด

เขาไม่สามารถทนเห็นตนที่เป็นอัจฉริยะแพ้ให้กับคนชนชั้นต่ำ!

“ไม่รู้จักประมาณตน” หลัวซิวไม่ได้หลบ ยื่นมือออกไปคว้าจับข้อมือของจ่างห่าย

ไม่ว่าจางห่ายจะเคลื่อนปราณในอย่างไร อยากจะหลุดพ้นพันธนาการของหลัวซิว แต่ว่าปราณในของเขากลับหลอมละลายไปหมด เหมือนถูกครีมเหล็กพันธนาการข้อมือ เจ็บปวดทรมาน

“เป็นไปได้ยังไง? หรือว่าปราณในของเขาสามารถทัดเทียมเสมอเหมือนการกลั่นร่างขั้น9ได้จริงๆ?” เกิดคลื่นลูกใหญ่ภายในใจของจางห่าย รู้สึกว่าปราณในพลุ่งพล่านเข้าไปในเส้นลมปราณของตน

“กรึก!”

เสียงกระดูกแหลกละเอียดดังขึ้น จางห่ายยังไม่ทันได้ร้องโอดครวญ เขาก็ถูกหลัวซิวเตะหน้าอก

“ตุ้บ!”

ร่างของจางห่ายปลิวไปไกลห้าถึงหกเมตร ล้มลงบนพื้น ฝุ่นตลบ

“ฉันกับนายไม่มีความแค้นอะไรต่อกัน แต่นายกลับบอกว่าจะทำให้ฉันพิการ ให้ฉันใช้ชีวิตได้แค่บนเตียงตลอดชีวิต คิดไม่ถึงว่ายอดฝีมือการกลั่นร่างขั้น8อย่างนายจะแพ้ให้กับฉันใช่ไหม?”

มองจางห่ายที่ล้มลมบนพื้นด้วยสีหน้าเจ็บปวด แววตาของหลัวซิวฉายลำแสงเย็นยะเยือก

“แก……แกจะทำอะไร?” จางห่ายสัมผัสได้ถึงออร่าความอันตรายจากหลัวซิว ตกใจจนกระวนกระวายขึ้นมาทันที

 

########################

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 26 การกลั่นร่างขั้น7

 

อย่างไม่รู้ตัว เวลาค่อยๆผ่านไป สำนักยุทธ์เมืองชิงหยุน เข้าสู่การสอบประจำปี

นักเรียนชั้นต้นอายุสิบสี่ ชั้นกลางอายุสิบเจ็ดต้องเข้าร่วมการสอบ หลังจากสอบผ่านจะได้เลื่อนชั้น แต่ถ้าสอบตก ก็ต้องออกไปจากสำนักยุทธ์

ลานฝึกยุทธ์กว้างใหญ่ มีนักเรียนในสำนักยุทธ์กว่าพันคนรวมตัวกัน นักเรียนสามถึงห้าคนจับกลุ่มกัน พูดคุยไม่หยุด เสียงดังระงม

บนเวทีประลองยุทธ์สูงกว่าสามเมตร โต๊ะตัวหนึ่งวางไว้ตรงกลาง บนโต๊ะมีบอลทรงกลมคล้ายคริสทัลวางไว้

บอลคริสทัลนี้ใช้ทดสอบอุปกรณ์ค่ายกลของผลการฝึกตน ขอเพียงควบคุมปราณในไว้ด้านใน บอลคริสทัลก็จะส่องแสง อ้างอิงจากความสว่าง สามารถตัดสินผลการฝึกตนคร่าวๆได้

นักเรียนที่จะต้องเข้ารับการสอบต่างไม่สบายใจ สำหรับนักเรียนที่มีความสามารถบรรลุเงื่อนไขนั้นนิ่งสงบ

หลัวซิวเองก็รีบมาจากเขาสุ่ยวู่ กลับไปยังห้องของตนเองและอาบน้ำก่อน เปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าผืนใหม่ หลังจากนั้นค่อยไปยังสถานที่สอบ

สำหรับหลัวซิว แน่นอนว่านักเรียนในสำนักยุทธ์หลายคนย่อมรู้จัก ว่ากันว่าเมื่อสองเดือนก่อน เขาคือการกลั่นร่างขั้น5ของผลการฝึกตนแล้ว ทั้งยังสามารถเอาชนะนักเรียนชั้นกลางได้ แน่นอนว่าไม่ใช่ปัญหาอะไรที่จะผ่านการสอบในครั้งนี้

แต่เรื่องการต่อสู้ระหว่างจางห่างและหลัวซิว กลับกลายเป็นเรื่องที่ทุกคนรู้กันมานานแล้ว ดังนั้นตอนที่เห้นหลัวซิวเดินมา คนจำนวนไม่น้อยเริ่มพูดคุย

“หลัวซิวคนนี้ใจกล้าจริงๆ จางห่ายคืออัจฉริยะของชั้นกลาง ได้ยินว่าก่อนหน้านี้จำศีล เป็นการกลั่นร่างขั้น8ของผลการฝึกตน!”

“ใครว่าไม่ใช่ล่ะ ตอนนั้นถ้าไม่ใช่เพราะอาจารย์ลู่ปกป้องหลัวซิว คงถูกจางห่ายทำร้ายจนพิการไปแล้ว”

“ได้ยินว่าผลการฝึกตนของจ่างห่ายบรรลุการกลั่นร่างขั้น8แล้ว ตามหลักการควรจะได้ขึ้นไปอยู่ชั้นสูง แต่เพื่อแก้แค้นให้น้องชาย ดังนั้นจึงไม่ได้เข้าร่วมการสอบในครั้งนี้ รอให้หลัวซิวเลื่อนขึ้นชั้นกลาง หลังจากนั้นค่อยสั่งสอนเขาอย่างเหี้ยมโหด”

“หลัวซิวหายไปนานมาก น่าจะเป็นเพราะกลัวแล้ว ก็เลยซ่อนตัวเอาไว้”

สำหรับคนส่วนมาก ไม่มีใครคิดว่าหลัวซิวสามารถเป็นคู่ต่อสู้ของจางห่ายได้

ทางด้านหลัวซิวเผชิญหน้ากับคำพูด คำเย้ยหยัน สงสัยของคนรอบข้าง กลับนิ่งงัน ผ่อนคลาย ทำให้คนอดสงสัยไม่ได้ หรือว่าเจ้านี่จะไม่รู้ว่าความสามารถของจางห่ายคือการกลั่นร่างขั้น8แล้ว?

การกลั่นร่างขั้น8 ถือเป็นยอดฝีมือของนักเรียนในสำนักยุทธ์แล้ว มีน้อยคนที่จะบรรลุการกลั่นร่างขั้น9 ซึ่งล้วนอยู่ในชั้นสูง

ถ้าหากสามารถบรรลุการกลั่นร่างขั้น9 เลื่อนไปยังแดนฝึกชี่ไห่กลายเป็นนักยุทธ์ ก็สามารถจบการศึกษาจากสำนักยุทธ์ได้เลย ขั้วอำนาจต่างๆในเมืองชิงหยุนต่างแย่งตัวกันให้ไปร่วมงาน

“เงียบ!” ในเวลานี้เอง เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากลานฝึกยุทธ์

ทุกคนต่างมองไปตามเสียง เห็นชายวัยกลางคนในชุดผ้าคลุมตัวยาวสีน้ำเงินยืนอยู่บนเวทีประลองยุทธ์ กวาดตามองรอบๆ “คนที่เข้าร่วมการสอบในปีนี้ เดินออกมาจากแถว!”

นักเรียนในสำนักยุทธ์มากมายต่างหยุดพูดคุย รวมถึงหลัวซิว ร่างหนึ่งเดินออกมา

ท่ามกลางกลุ่มคนด้านหลัง มีแววตาเยือกเย็นหนึ่งจับจ้องที่แผ่นหลังของหลัวซิว

“พี่ เมื่อเขาสอบผ่านก็จะกลายเป็นนักเรียนชั้นกลาง ถึงเวลานั้นพี่สู้กับเขา อาจารย์ในสำนักยุทธ์ก็ไม่มีเหตุผลในการห้ามและยื่นมือเข้ามาข้องเกี่ยว พี่ต้องช่วยผมสั่งสอนมันให้สาสมนะ!” จางเจี๋ยกัดฟันพูด

ทุกครั้งที่นึกถึงตนถูกคนเจ้าที่ดูถูกมาโดยตลอดทำร้าย จางเจี๋ยรู้สึกอับอายเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว

“วางใจเถอะ ครั้งนี้พี่ยอมไม่เลื่อนไปชั้นสูง เพื่อช่วยนายแก้แค้น!” จางห่ายพยักหน้าแล้วพูด

ถึงแม้จะบอกว่าการกลั่นร่างขั้น8มีสิทธิ์ในการเลื่อนไปชั้นสูง แต่ปีนี้จางห่ายเพิ่งอายุสิบห้า ยังไม่รีบร้อน ถึงแม้อยู่ชั้นสูงจะได้ดื่มด่ำกับสวัสดิการ แต่ด้วยภูมิหลังของตระกูลจาง สามารถดื่มด่ำอย่างง่ายดาย

ในมือของผู้อาวุโสผู้ควบคุมการสอบของสำนักยุทธ์มีรายชื่อหนึ่งแผ่น พูดเสียงเรียบ: “คนแรก หยุนถง!”

“ค่ะ!”

หญิงสาวชั้นต้นเดินออกมา ขึ้นไปยังเวทีประลองยุทธ์ วางฝ่ามือลงบนบอลคริสทัล

“ตึ้ง!”

ด้วยแรงสั่นสะเทือน บอลคริสทัลทอประกายแสงแวววับ

“หยุนถึง แดนการกลั่นร่างขั้น5 ผ่านการสอบ สามารถเลื่อนชั้นไปชั้นกลางได้!” ผู้อาวุโสที่รับผิดชอบคุมสอบป่าวประกาศด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ

ได้ฟังคำยืนยันจากผู้อาวุโสคุมสอบ หญิงสาวที่ชื่อหยุนถงโล่งอก ด้านล่างเวทีมีสายตาอิจฉามากมาย โดยเฉพาะพวกคนที่ไม่มีความมั่นใจว่าจะสอบผ่าน

จากนั้น ผู้คุมสอบอ่านชื่อทีละคน มีคนขึ้นไปบนเวทีประลองยุทธ์ประมาณสิบกว่าคน มีทั้งชั้นต้น และมีทั้งชั้นกลาง แต่ว่าคนที่ผ่านการสอบ มีแค่สามคนเท่านั้น คนอื่นๆ ต่างถูกคัดออก เก็บข้าวของภายในสามวัน ออกไปจากสำนักยุทธ์

กฎที่สำนักยุทธ์ตั้งเอาไว้ สำหรับลูกหลานตระกูลร่ำรวยไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่สำหรับนักเรียนที่มีฐานะยากจน ต้องบรรลุแดนการกลั่นร่างขั้น5ตอนอายุสิบสี่ บรรลุการกลั่นร่างขั้น8ตอนอายุสิบเจ็ด แทบจะไม่มีความหวังใด

ทว่านักเรียนในสำนักยุทธ์ โดยมากล้วนเป็นคนธรรมดา

ฝึกยุทธ์เหมือนกัน คุณสมบัติของพรสวรรค์ก็มีข้อแตกต่าง มีน้อยคนที่จะมีพรสวรรค์ สำหรับลูกหลานชาวบ้านทั่วไป ภายในเวลาไม่กี่ปีใช่ว่าจะมีคนสอบผ่าน

ยิ่งมีคนสอบตกมากขึ้นเรื่อยๆ บรรยากาศก็แปรเปลี่ยนเป็นตึงเครียด นักเรียนที่ไม่ผ่านการสอบ ทำได้เพียงทำหน้าเศร้า ส่วนกลุ่มลูกหลานตระกูลร่ำรวยที่อยู่ไม่ไกล สีหน้าล้วนเต็มไปด้วยความดูถูก เย้ยหยัน และมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น

“คนต่อไป หลัวซิว!” บนเวทีประลองยุทธ์ ผู้อาวุโสผู้คุมสอบอ่านชื่อนี้

ชั่วขณะหนึ่ง สายตามากมายนจับจ้องไปยังชายหนุ่มชุดดำ

ชื่อหลัวซิวนี้ ก่อนหน้านี้เลื่องชื่อในสำนักยุทธ์อย่างมาก ผลการฝึกตนทะยานขึ้นไปแดนการกลั่นร่างขั้น5ในระยะเวลาสั้นๆ แม้แต่นักเรียนชั้นกลางก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา

ก้าวเดินขึ้นไปเวทีประลองยุทธ์ หลัวซิวมองกลุ่มคนที่อยู่ด้านล่าง เห็นจางห่าย และจางเจี๋ยที่อยู่ข้างๆเขา ด้านหลังสองพี่น้องนี้ คือหลูเฟิงและพวกยืนอยู่ สายตาที่มองเขา เคล้าไปด้วยความเยือกเย็น

โดยเฉพาะแววตาของจางห่าย เคล้าไปด้วยความดูถูกและเยือกเย็น สำหรับเขาที่บรรลุการกลั่นร่างขั้น8 ถึงแม้หลัวซิวจะผ่านการสอบในครั้งนี้ ก็ถูกลิขิตให้เขากำจัดทิ้ง หลังจากนั้นก็ไล่ออกไปจากสำนักยุทธ์!

มุมปากของหลัวซิวกระตุกยิ้มเยือกเย็น อยากจะเห็นจริงๆตอนที่คนพวกนี้เห็นว่าผลการฝึกตนของตนบรรลุการกลั่นร่างขั้น7 สีหน้าจะเป็นยังไง?

เขายกมือขึ้นวางไว้บนบอลคริสทัล ปราณเป็นตาย2ระดับอยู่ด้านใน

“ตึ้ง!……”

แสงสว่างทอประกายขึ้น ส่องสว่างวิจิตรตายิ่งกว่าของทุกคนก่อนหน้านี้ เตะตาอย่างมาก!

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 25 เพิ่มการฝึกตน

 

ท้องฟ้ามืดแล้ว หลัวซิวฝึกตนอยู่ในเขาสุ่ยวู่อีกหนึ่งคืน พ่นลมหายใจดูดรับพลังชีวิตของสมุนไพรในป่า ผลการฝึกตนมากขึ้นเรื่อยๆ ฝึกขัดเกลาอวัยวะภายใน

เช้าวันรุ่งขึ้น เขากลับไปยังเมืองชิงหยุน ห่อผ้าทั้งสองใบนูนไปหมด หนักอย่างมาก

ในเมืองมีร้านที่รับซื้อวัสดุต่างๆโดยเฉพาะ หลัวซิวไปหนึ่งในร้านค้าเหล่านั้น คิดจะขายวัสดุที่เก็บรวบรวมได้ทิ้ง ชิ้นส่วนอสูรป่าและอสูรเสือหางเหล็กต่างๆ ขายทิ้งทั้งหมด ได้เงินสามหมื่นตำลึง!

มีเงินทองอยู่ในมือแล้ว สิ่งที่หลัวซินคิดเป็นอันดับแรกแน่นอนว่าคือวิธีการพัฒนาความสามารถของตนเอง ขอเพียงผลการฝึกตนบรรลุการกลั่นร่างขั้น7 ความสามารถของเขาต้องเพิ่มขึ้นอย่างมากแน่นอน สามารถไปล่าอสูรกาย หาเงินได้มากยิ่งขึ้น

หอบเงินสามหมื่นตำลึง หลัวซิวมายังร้านขายอุปกรณ์ค่ายกลอีกครั้ง

เพราะหลายวันมานี้ล่าสัตว์ในเขาสุ่ยวู่ เสื้อผ้าที่หลัวซิวสวมใส่จึงขาดวิ้น เทียบกับคนที่เดินออกมาจากร้านค้าแห่งนี้ด้วยชุดหรู เขาดูไม่เข้าอย่างมาก

“เถ้าแก่ ผมขออุปกรณ์ค่ายกลของค่ายผนึกปราณระดับหนึ่งหนึ่งอันครับ” หลิวซิวเดินเข้าไปในร้านค้าแล้วพูด

เถ้าแก่วัยกลางคนด้านหลังเคาน์เตอร์ชะงักเล็กน้อย “ลูกค้าจะซื้อจริงๆ เหรอครับ? ค่ายผนึกปราณระดับหนึ่ง ราคาหนึ่งหมื่นตำลึงเลยนะ”

เห็นได้ชัด เถ้าแก่ร้านนี้ไม่คิดว่าชายหนุ่มเสื้อผ้ามอมแมมจะมีปัญญาซื้อ

หลัวซิวไม่ได้พูดอะไรมากมาย หยิบเงินออกมาแล้วโยนไปบนโต๊ะ

เห้นเงินหนาพึ่บ เถ้าแก่วัยกลางคนยิ้มร่า พยักหน้าติดต่อกัน “ครับๆๆ ลูกค้ารอสักครู่นะครับ ผมจะไปเอาให้ลูกค้าเดี๋ยวนี้”

ไม่นาน เถ้าแก่วัยกลางคนเดินออกมาพร้อมกับกล่องไม้ทรงกลมลวดลายประณีต พูด: “ลูกค้าครับ นี่คือค่ายผนึกปราณระดับหนึ่งที่ลูกค้าต้องการ”

เปิดกล่องไม้ ด้านในคือแผ่นทรงกลมหนึ่งแผ่น ด้านบนแผ่นกลมสลักด้วยลวดลายที่วิจิตร ตรงกลางแผ่นกลม มีช่องเสียบหนึ่งช่อง นอกจากนี้ด้านบนฝาปิดของกล่องไม้ มีวิธีการใช้งานอธิบายคร่าวๆ

“ต้องเปิดด้วยหินพลังจิต?” หลัวซิวขมวดคิ้วเป็นปม

“ฮ่าๆ ลูกค้าคงไม่รู้ อุปกรณ์ที่ใช้ส่งเสริมค่ายกลโดยมากล้วนต้องเปิดด้วยหินพลังจิต มีแค่อุปกรณืค่ายกลประเภทต่อสู้เท่านั้นที่แตกต่างกันเล็กน้อย” เจ้าของร้านพูดด้วยรอยยิ้ม

“ฟึ่บ!”

หลัวซิวโยนเงินหนึ่งหมื่นตำลึงลงบนโต๊ะ พูด: “ที่ร้านมีหินพลังจิตไหม? เอามาให้ผมสักหน่อย”

เถ้าแก่วัยกลางคนดีใจอย่างมาก ไม่ได้คาดคิดว่าชายหนุ่มที่ไม่โดดเด่นตรงหน้าจะใจกว้างแบบนี้ รีบสั่งให้คนไปหยิบหินพลังจิตออกมา

อย่างรวดเร็ว มีกล่องไม้อีกหนึ่งกล่องส่งมา ด้านในบรรจุมีหินพลังจิตขนาดเท่าฝ่ามือยี่สิบก้อน หินทรงกลมทอประกายแสงสีขาว

หลัวซิวเก็บของพวกนี้เข้าไป กำลังจะเดินออกไป มีคนสองคนเดินเข้ามาในร้านพอดี

สองคนนี้ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ผู้ชายแต่งตัวด้วยชุดสีขาว แค่มองก็รู้ว่าเป็นคุณชายในตระกูลร่ำรวย ระหว่างคิ้วเคล้าไปด้วยความทระนง

หญิงสาวสวมชุดกระโปรงสีฟ้า ดวงตาเปล่งประกายและฟันสวย ริมฝีปากยั่วยวน หุ่นอรชร ผิวขาวเนียน

เห็นทั้งสองคน หลัวซิวชะงัก พวกเขาคือหลิวหยู่ซินกับสวีเฟย

“หลัวซิว?” หลิวหยู่ซินมองเขาด้วยความตกตะลึงเล็กน้อย เพราะเท่าที่เธอรู้ ด้วยฐานะของหลัวซิวไม่มีวันซื้ออุปกรณ์ค่ายกลใดๆในร้านนี้ได้

“หึ เสื้อผ้าขาดวิ้นขนาดนี้แล้ว ยังจะกล้าออกมาทำตัวให้ขายหน้าอีกเหรอ?” สวีเฟยหัวเราะในลำคอ ใบหน้าเคล้าไปด้วยความเย้ยหยัน

แต่ว่าหลัวซิวไม่ได้สนใจสวีเฟย เดินผ่านพวกเขา ออกไปจากร้านค้า

เห็นหลัวซิวกล้าเมินเฉยทำเป็นมองไม่เห็นตน แววตาของสวีเฟยเยือกเย็น “หยุดเดี๋ยวนี้!”

“นายมีธุระ?” หลัวซิวหันกลับไปมอง ขมวดคิ้วเป็นปม รู้สึกรำคาญเล็กน้อย

“ฉันพูดกับนาย นายไม่ได้ยินหรือไง?” สวีเฟยพูดเสียงเยือกเย็น

“ทำไมฉันต้องได้ยินด้วย?” หลัวซิวหัวเราะเย้ยหยัน หมุนตัวหันหลังแล้วเดินไป

“สารเลว!” สวีเฟยโมโหอย่างมาก แต่หลัวซิวเดินไปไกลแล้ว ไม่มีท่าทีจะสนใจเขา

สวีเฟยอยากจะสั่งสอนไอ้คนเจ้าที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงคนนี้จริงๆ แต่หลิวหยู่ซินยืนอยู่ข้างๆ เขาต้องรักษาภาพลักษณ์เอาไว้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงอดทน

“เหลือเวลาอีกครึ่งเดือนก็ถึงวันสอบประจำปีแล้ว ฉันจะคอยดูว่านายจะเป็นคู่ต่อสู้ของจางห่ายได้ยังไง!”

……

หลังจากเดินออกมาจากร้านค้า หลัวซิวไปร้านขายอาวุธ ขายกระบี่ของหวางหยุนและธนูของจางหุน ทำให้เขามีเงินเพิ่มขึ้นอีกแปดร้อยตำลึง

จากนั้น หลัวซิวไปที่ร้านขายยาทิพย์ จ่ายเงินไปกว่าหนึ่งหมื่นห้าพันตำลึง ซื้อยาฝึกปราณหนึ่งขวด

แต่ว่าหลัวซิวไม่ได้กลับสำนักยุทธ์ แต่เดินออกนอกเมืองชิงหยุน ไปเขาสุ่ยวู่อีกครั้ง

ที่นี่ทิวทัศน์สวยงาม มีสมุนไพรมากมาย สำหรับหลัวซิว เหมาะแกการฝึกตนมากกว่าที่สำนักยุทธ์

เจอที่เงียบๆ หลัวซิวนั่งขัดสมาธิ เริ่มด้วยหยิบแผ่นกลมค่ายผนึกปราณออกมา วางหินพลังจิตลงไปในช่องว่าง ตัวอักษรวิจิตรบนกล่องส่องสว่างขึ้นมาในทันที ฉายแสงอ่อนๆ

หลัวซิวสามารถมองเห็นและรับรู้อย่างชัดเจน พลังฟ้าดินจิตโดยรอบคล้ายจะมีพลังลึกลับบางอย่างชักนำ รวมตัวมายังตำแหน่งที่เขาอยู่อย่างรวดเร็ว

นี่คือข้อดีสุดมหัศจรรย์ของค่ายผนึกปราณ สามารถหลอมรวมพลังฟ้าดินจิตเข้าด้วยกัน ในรัศมีที่จำกัด ทำให้การฝึกตนของนักยุทธ์เร็วขึ้น

หลัวซิวหยิบยาฝึกปราณออกมา กินเข้าไปหนึ่งเม็ด หลังจากนั้นหลับตาลง ที่จุดเส้นลมปราณภายในร่างกาย ใช้วิชาสลับเอ็นหลอมกระดูก

พลังฟ้าดินจิต พละกำลังสมุนไพร ฤทธิ์ยา ปราณในบริสุทธิ์หลอมรวมอยู่ในร่างกาย กลายเป็นปราณเป็นตาย2ระดับ เข้าไปยังอวัยวะภายในร่างกาย

อย่างไม่รู้ตัว ท้องฟ้ามืดมน หลัวซิวใช้เวลาฝึกตนที่นี่หนึ่งวันแล้ว

หลัวซิวสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจน หัวใจของตนเต้นแรงและมีพลังแข็งแกร่ง พลังที่ซ่อนอยู่ในร่างกายยิ่งอยู่ก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น

ตึ้ง!

พลังบางอย่างวิ่งพล่านในร่างกาย หลัวซิวลืมตาขึ้น ใบหน้าของเขาเคล้าไปด้วยความดีใจ

“สำเร็จแล้ว การกลั่นร่างขั้น7!”

เวลานี้ท้องฟ้ามืดแล้ว หลัวซิวเหยียดตัวลุกขึ้นบิดขี้เกียจ สัมผัสได้ถึงความสามารถที่เพิ่มขึ้นอย่างมากของตน

หลัวซิวเองก็คิดไม่ถึงว่าตนจะใช้เวลาแค่หนึ่งวันบรรลุการกลั่นร่างขั้น7 จากที่เขารู้ คนรุ่นราวคราวเดียวกันคนอื่นๆ โดยเฉพาะลูกหลานตระกูลร่ำรวยที่มีฐานะในการฝึกตนดีกว่าตน ต้องใช้เวลาครึ่งปี ทั้งยังมีคนที่ใช้เวลานานยิ่งกว่านี้จึงจะถึงขั้นนี้ได้

“น่าจะเป็นลูกแก้วอัญมณีแห่งความเป็นความตายทำให้ร่างกายของเขาดีขึ้น ดังนั้นจึงทำให้เขาฝึกตนเร็วขึ้น” หลัวซิวคิดแบบนี้

การฝึกตนในครั้งนี้ ใช้ยาฝึกปราณไปสองเม็ด ค่ายผนึกปราณระดับหนึ่งใช้หินพลังจิตสองก้อน ร่วมกับพ่นลมหายใจดูดลมพลังสมุนไพร พลังนี้ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น อย่างน้อยต้องใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะกลั่นแปรได้สำเร็จ

แต่หลัวซิวกลับใช้เวลาสั้นๆก็สามารถกลั่นแปรได้ ดังนั้นผลการฝึกตนของเขาจึงพัฒนาขึ้นเร็วแบบนี้

แน่นอน นอกจากลูกแก้วอัญมณีแห่งความเป็นความตายจะส่งผลต่อร่างกายของเขาแล้ว วิชาสลับเอ็นหลอมกระดูกที่เขาปรับปรุง ผลของการฝึกตนเหนือกว่ากำลังภายในระดับสามหนึ่งขั้น

เวลาต่อจากนี้ หลัวซิวไม่ได้กลับสำนักยุทธ์ เขาเพ็ญตนอยู่ที่เขาสุ่ยวู่ กลางวันออกไปล่าอสูร ต่อสู้กับอสูรกาย ตอนกลางคืนก็เพ็ญตนด้วยความยากลำบาก

 

########################
 

 

 

บทที่ 24 ฆ่าจางหุน

 

กระบี่ของหวางหยุนฟันไปที่ไหล่ของหลัวซิว เขามั่นใจกับกระบวนท่านี้ของตนมาก ถึงแม้ผลการฝึกตนจะไม่สามารถเทียบกับหัวหน้าหยวนต้าซานได้ แต่กระบี่เศษเงาก็ฝึกตนถึงขั้นแดนสำเร็จน้อยแล้ว!

หลัวซิวไม่เคยฝึกตนวิชายุทธ์ระดับ3มาก่อน แต่หลังจากปรับปรุงพัฒนาวิชายุทธ์ระดับ2 กลับเหนือกว่าวิชายุทธ์ระดับ3ทั่วไป

ใช้แดนบรรลุผลวิชาท่าร่างก้าวสั้น ลูกดอกธนูสีดำที่พุ่งมาจากทางไกลยิงไม่โดนแม้แต่ดอกเดียว แม้แต่ชายเสื้อเขาก็ยังยิงไม่โดน

จากนั้น เขาเคลื่อนไหวตัวเบาๆ ปรากฎตัวตรงหน้าหวางหยุนในชั่วพริบตา

“เร็วมาก!เขาที่เป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์การกลั่นร่างขั้น6 ทำไมถึงได้เร็วแบบนี้?” หวางหยุนตกใจจนหน้าถอดสี กระบวนท่ากระบี่เศษเงาที่ฟันลงไปว่างเปล่า ไม่โดนหลัวซิวแม้แต่น้อย

“แย่แล้ว!”

เขารีบถอนกระบวนท่า กระตุกกระบี่ พร้อมกับฉายเงา ฟันหลัวซิวอีกครั้ง

“ครั้งนี้ดูสิว่าแกจะหลบยังไง!” ตอนนี้ระยะห่างของทั้งสองคนใกล้กันมาก หวางหยุนมั่นใจว่าหนุ่มชุดดำต้องหลบกระบวนท่านี้ของเขาไม่ได้แน่นอน

“ท่าเสือพิฆาต!”

จู่ๆ หลัวซิวก็ลงมือ ลมปราณในร่างกายแปรเปลี่ยนในชั่วพริบตา ราวกับเป็นร่างแปลงของอสูรเสือที่ดุร้าย ลมปราณปะทุออกมาอย่างบ้าคลั่ง

“ตึ้ง!”

ขณะที่กระบี่ของหวางหยุนยังไม่ทันกระทบร่างกายของหลัวซิว แรงมหาศาลแผ่ซ่านทั่วร่างกายของเขากะทันหัน

“ผวัะ!”

หวางหยุนปลิวออกไป ปวดแผงอกอย่างมาก กระดูกหักไปหมด

เป็นไปได้ยังไง?

หรือว่าเขาอาศัยกระบวนท่านี้ฆ่าอสูรเสือหางเหล็ก?

ท่าเสือพิฆาตคือหนึ่งในกระบวนท่าของหมัดเสือมังกร ทรงพลังแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?

หวางหยุนกระอักเลือด ร่างกายของเขาพุ่งชนต้นไม้อย่างแรง เขาคิดไม่ออกจริงว่าคนที่อยู่ในระดับการกลั่นร่างขั้น6 สามารถใช้วิชายุทธ์ระดับ2หมัดเสือมังกรให้ทรงพลังแบบนี้

ทันใดนั้นเอง เขานึกถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่งขึ้น “วิชาท่าร่างของเขา วิชาหมัด หรือว่าเขาฝึกตนจนบรรลุแดนบรรลุผลแล้ว?”

ทว่าตอนที่ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในใจของหวางหยฝุน เขาก็เห็นฝ่ามือตรงหน้าตนขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ทั้งยังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

“ไม่!……”

ภายในใจของหวางหยุนเต็มไปด้วยแค้น แค้นตนเองที่ตอนนั้นทำไมไม่ฟังคำเตือนของหัวหน้า ดึงดันที่จะปล้นฆ่าหนุ่มชุดดำคนนี้

เขาส่งเสียงร้องคำรามด้วยความโมโห เขาคิดไม่ถึงว่าต้องตายแบบนี้

แต่ว่าวินาทีต่อมา หน้าผากของเขาถูกฝ่ามือปะทะเข้ามา พลังที่ทรงพลานุภาพทำให้กะโหลกของเขาแหลกละเอียด เลือดออกทั้งเจ็ดรู ตายในทันที!

หลัวซิวไม่หยุดแม้แต่น้อย หลังจากฆ่าหวางหยุนเสร็จก็รีบหลบ ลูกดอกสองดอกพุ่งมาแล้วปักลงบนดิน ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เขายืนเมื่อกี้

ทักษะการใช้ธนูของจางหุนดีจริงๆ แต่เผชิญหน้ากับแดนบรรลุผลของวิชาท่าร่างก้าวสั้น กลับไม่ช่วยอะไรเลย ไม่สามารถทำร้ายหลัวซิวได้แม้แต่น้อย

“หวางหยุนตายแล้ว!”

วินาทีที่เห็นพวกของตนถุกหลัวซิวฆ่า รูม่านตาของจางหุนหดเล็ก ขณะที่ธนูสองดอกที่ยิงออกไปพลาดทั้งสองดอก เขาตัดสินใจ เก็บคันธนู หมุนตัวหันหลังหนีทันที

“วิชาท่าร่างของเขาน่ากลัวเกินไปแล้ว ทักษะธนูของตนไร้ความหมาย ถ้าเขาเข้ามาใกล้ ต้องตายแน่นอน!” จางหุนรู้ดี หวางหยุนถูกฆ่าตายทั้งที่มีตนคอยให้การช่วยเหลือ แสดงว่าความสามารถของอีกฝ่ายต้องเหนือกว่าที่ตนคาดไว้

หลัวซิวไม่ได้ตามฆ่าจางหุนในทันที เขาในตอนนี้ รู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

“ฉันฆ่าคนแล้ว?” เห็นเลือดไหลออกมาจากทั้งเจ็ดรู ใบหน้าหวาดกลัว หวางหยุนที่นอนตายตาไม่หลับ หลัวซิวรู้สึกว่าร่างกายของตนสั่นเทา

ความสั่นเทานี้ไม่ใช่ความกลัว ความหวาดผวา แต่เป็นเพราะฆ่าคนครั้งแรก ทำให้ใจเต้นแรงอย่างเป็นธรรมชาติ

ตอนฆ่าอสูรป่าและอสูรกายไม่มีความรู้สึกแบบนี้ มีเพียงตอนฆ่าคนครั้งแรกเท่านั้นที่จะเป็นแบบนี้ ถึงแม้จะเป็นคนที่เหี้ยมโหดแค่ไหน ตอนฆ่าคนครั้งแรกก็ต้องเป็นแบบนี้

หลัวซิวพยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อยากจะทำใจที่เต้นแรงให้สงบ

เขายังจำได้ เมื่อตอนที่อยู่ในสำนักยุทธ์ อาจารย์ที่สอนเคยบอกว่า เริ่มตั้งแต่ตอนที่เลือกเดินบนเส้นทางนักยุทธ์ โชคชะตาที่ฆ่าและถูกฆ่าก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว

“ท่านอาจารย์ ทำไมต้องฆ่าคนด้วย?” ตอนนั้นเคยมีนักเรียนที่อายุน้อยถามแบบนี้มาก่อน

“เพราะว่าถ้านายไม่ฆ่าคนอื่น นักยุทธ์คนอื่นก็จะฆ่านาย เพราะนายมีอาวุธ ยา ค่ายกลที่ดี หรือว่าแค่นักยุทธ์คนอื่นไม่ชอบขี้หน้านายเท่านั้น!”

“จิตใจของมนุษย์ยากจะคาดการณ์ มีเพียงความสามารถที่ยิ่งใหญ่เท่านั้นจึงจะเป็นนิรันดร์ ถ้านายแข็งแกร่งมากพอ คนอื่นย่อมไม่กล้าหาเรื่องนาย แล้วจะฆ่านายได้อย่างไร?”

ครั้งนั้น คำพูดของอาจารย์ ความเป็นจริงฝังเมล็ดพันธู์อยู่ในใจของนักเรียนในสำนักยุทธ์ไปนานแล้ว

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดหลัวซิวก็ทำใจที่เต้นแรงให้สงบลงได้ ตอนที่สายตาของเขามองไปยังหวางหยุนที่ตายไปแล้ว ถึงแม้จะยังรู้สึกไม่ชินเท่าไหร่ แต่สามารถควบคุมจิตใจของตนให้มั่นคงแล้ว

“เมื่อก่อนตอนอยู่ที่สำนักยุทธ์ ฉันไม่มีความสามารถ ดังนั้นมักจะถูกลูกหลานในตระกูลใหญ่รังแก โดยเฉพาะครั้งนั้นที่ถูกจางเจี๋ยตีจนสลบ!”

“แต่ว่าตอนนี้ ฉันมีความสามารถที่แข็งแกร่งแล้ว ยิ่งไม่มีวันปล่อยให้เขารังแกฉันและญาติของฉันอีก!”

ยื่นมือออกไปหยิบกระบี่ของหวางหยุน แววตาของหลัวซิวทอประกายความเยือกเย็น อาศัยการรับรู้ของลูกแก้วอัญมณีแห่งความเป็นความตาย ลมปราณชีวิตของมือธนูจางหุนห่างไปไกลแล้ว

“การล่าเริ่มต้นขึ้น……” มุมปากของหลัวซิวกระตุกยิ้มอันตราย ความเป็นจริงตัวตนภายในของเขามีความอวดดีที่ไม่อาจอธิบายด้วยคำพูดได้

กระโดดตัว เขาไล่ล่าโดยกระโดดอย่างรวดเร็วบนกิ่งไม้ใหญ่ ด้วยแดนบรรลุผลของวิชาท่าร่าง ความเร็วของเขาไม่รู้ว่าเร็วกว่าจางหุนนั่นตั้งเท่าไหร่ ระยะห่างของทั้งสองฝ่ายใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

ตั้งแต่เข้าร่วมทีมล่าอสูร จางหุนอยู่ในเขาสุ่ยวู่มานานกว่าครึ่งปีแล้ว เขาเข้าไปในพุ่มหนาม พยายามซ่อนตัวเท่าที่เป็นไปได้

เขาหันกลับไปมอง ด้านหลังว่างเปล่าไปหมด อดไม่ได้ที่จะโล่งอก ทว่าหัวใจก็ยังคงเต้นแรง

“น่ากลัวเกินไปแล้ว……” เขาไม่อาจจินตนาการได้ เด็กหนุ่มอายุไม่ถึงสิบสี่สิบห้าคนหนึ่ง กลับเก่งกาจขนาดนี้ แค่เจอหน้ากัน หวางหยุนก็ถูกฆ่า ทักษะธนูที่เขาภาคภูมิใจมาโดยตลอด ไม่โดนแม้แต่ชายเสื้อของอีกฝ่าย

“กรอบแกรบ!กรอบแกรบ!กรอบแกรบ!……”

เสียงฝีเท้าเหยียบลงบนกิ่งไม้ดังจากไกลมาใกล้ จางหุนที่ซ่อนตัวอยู่ในพุ่มหนาม ตึงเครียดขึ้นมาทันที

“เขาตามมาแล้วเหรอ?” จางหุนมองกลับไป จับจ้องชายหนุ่มชุดดำ

จางหุนรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา มือซ้ายจับคันธนูแน่น “เจ้าหนุ่มนั่นรู้ได้อย่างไรว่าฉันหนีมาทางนี้?”

ระหว่างหลบหนี เขาเปลี่ยนทิศทางหลายครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกตามล่า ทว่าอีกฝ่ายกลับยังคงตามมาได้ สิ่งนี้ทำให้เขายิ่งรู้สึกไม่สบายใจ

ภายในรัศมีการรับรู้ของหลัวซิว แม้จางหุนจะคิดว่าตนซ่อนตัวเป็นอย่างดี แต่สำหรับหลัวซิว กลับไม่ต่างจนคนโง่ที่ใช้กลอุบายล่อลวงคนอื่นทว่าล่อลวงไม่สำเร็จ

ด้วยระยะห่างของทั้งสองที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ นัยน์ตาของจางหุนทอประกายความเหี้ยมโหดขึ้นเรื่อยๆ “บางทีเขาอาจจะบังเอิญตามมาถึงที่นี่ก็ได้ ฉันซ่อนตัวอยู่ที่ไหน เขาไม่มีวันเห็นแน่นอน”

ขณะครุ่นคิด เขาหยิบลูกดอกธนูอาบยาพิษออกมาหนึ่งดอก ง้างธนู เคลื่อนปราณในเงียบๆ

“ตึ้ง!”

จู่ๆ คันธนูก็สั่นเทา ลูกดอกยิงออกไปราวกับแสงไฟสีดำ ฝ่าอากาศพร้อมกับส่งเสียงคำราม

ทว่าจางหุนกลับไม่รู้เลย หลัวซิวเตรียมพร้อมเอาไว้ตั้งแต่แรก เท้าทั้งสองข้างเหยียบกิ่งไม้เบาๆ เคลื่อนตัว ลูกดอกธนูผ่านเสื้อของเขา แล้วปักลงบนต้นไม้เกิดเสียงปึก

“หลบ……หลบได้!?” จางหุนตกใจจนหน้าถอดสี

จากนั้น เสียงกระบี่ออกจากฝักดังขึ้น สิ่งที่เขามองเห็นคือลำแสงเยือกเย็นแล่นผ่าน

กระโดดลงมาบนพื้น มองจางหุนที่นอนจมกองเลือด สีหน้าเจ็บใจ ดวงตาเบิกกว้าง สำหรับหลัวซิวการฆ่าคนอีกครั้ง ยังคงใจสั่นเล็กน้อย แต่เมื่อเทียบกับครั้งแรก ดีขึ้นมาก

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 23 จิตใจคนเหี้ยมโหด

 

“หยวนต้าซานเป็นคนโง่!” แววตาของหวางหยุนแปรเปลี่ยนไม่แน่นอน ในสายตาของเขา ถึงแม้หนุ่มคนนี้จะช่วยชีวิตหยวนต้าซาน แต่ก็ไม่ถึงขั้นต้องยอมยกอสูรเสือหางเหล็กให้

การที่ทีมนักล่าอสูรผิดใจกันเพราะประโยชน์ของของล้ำค่าเป็นเรื่องที่ธรรมดามาก ยิ่งไปกว่านั้นอีกฝ่ายเป็นแค่เด็กหนุ่มการกลั่นร่างขั้น6?

“พวกเราไปกันเถอะ!” หยวนต้าซานประสานมือให้กับหลัวซิว หลังจากนั้นก็พาบริวารของตนยกร่างของพวกพ้องออกไป

“หวางหยุน ฉันรู้ว่านายคิดยังไง แต่พี่ขอบอกอะไรนายหนึ่งอย่าง เจ้าหนุ่มคนนั้นสามารถฆ่าอสูรเสือหางเหล็กได้แสดงว่าไม่ใช่คนธรรมดา ไม่แน่อาจจะเป็นลูกหลานตระกูลใหญ่สักตระกูลในเมืองชิงหยุนก็ได้ ไม่ใช่คนที่พวกเราจะหาเรื่องได้”

หยวนต้าซานเหลือบมองหวางหยุนที่อยู่ข้างๆ พูดเสียงเยือกเย็น “ยิ่งไปกว่านั้นอีกฝ่ายยังช่วยชีวิตฉันไว้ ฉันเป็นคนฝึกยุทธ์มีหรือจะลืมบุญคุณ?”

“ครับ พี่ใหญ่สั่งสอนได้ถูกต้อง” หวางหยุนพูด แต่ภายในใจกลับไม่พอใจ

“ฉันรู้ว่านายเป็นคนมีไหวพริบ แต่เราต้องใช้สมองในทางที่ถูกต้อง” หยวนต้าซานพูดเตือนอีกหนึ่งคำ “ฉันสู้กับสัตว์เดรัจฉานตัวนั้นแล้วได้รับบาดเจ็บ จำเป็นต้องหาที่พักเพื่อพักรักษาตัว คืนนี้พวกเราคงต้องนอนค้างบนภูเขาแล้ว”

สีหน้าของคนอื่นในคณะมีความอิดโรยเล็กน้อยแล้ว ล่าอสูรเสือหางเหล็กในครั้งนี้พูดได้ว่าแพ้อย่างน่าอนาถ ไม่เพียงแต่ตายไปคนหนึ่ง สุดท้ายยังไม่ได้ผลประโยชน์อะไร

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง คณะเล็กๆ นี้ก็เจอสถานที่ปลอดภัยเพื่อพักผ่อน

หยวนต้าซานพิงอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ฉีกเสื้อผ้าบริเวณเอวทิ้ง บาดแผลเต็มไปด้วยเลือด โชคดีที่เป็นแผลภายนอกเท่านั้น กระดูกไม่ได้หัก

เขาหยิบยาผงโรยแผลที่พกติดตัวออกมาทา พูดในใจ “ไม่รู้ว่าเจ้าหนุ่มคนนั้นเป็นใครกันแน่ ทั้งที่ผลการฝึกตนคือการกลั่นร่างขั้น6 แต่ว่ากลับสามารถฆ่าอสูรเสือหางเหล็กด้วยสองหมัดได้……”

หยวนต้าซานรู้ดี ถ้าหากไม่ใช่เพราะหนุ่มชุดดำคนนั้นปรากฏตัวกะทันหัน พวกเขาไม่สามารถฆ่าอสูรเสือได้ ไม่แน่แม้แต่ตนก็ต้องสังเวยตัวเข้าไปในปากเสือ

ผลการฝึกตนของเขาคือการกลั่นร่างขั้น8 เคลื่อนปราณในให้ความร่วมมือกับยาผงโรยแผล แผลดีขึ้นอย่างรวดเร็ว

“หื้ม? หวางหยุนกับจางหุนหายไปไหน?” ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยาม แผลของหยวนต้าซานหายดีแล้ว ทว่าในคณะนอกจากเขาแล้ว ก็เหลือแค่สองคน

“หวางหยุนบอกจะไปดูรอบๆว่ามีสัตว์อะไรให้ล่าบ้าง” มีคนตอบ

“แย่แล้ว!” สีหน้าของหยวนต้าซานเปลี่ยนไปในทันที ด้วยประสบการณ์ของเขาและเท่าที่เขารู้จักหวางหยุน จะเดาความผิดปกตินี้ไม่ออกได้อย่างไร?

“ต้องเป็นเพราะหวางหยุนโลภมากอยากจะได้วัตถุดิบบนตัวอสูรเสือหางเหล็ก ดังนั้นจึงพาจางหุนไปฆ่าคนเพื่อแย่งชิงของล้ำค่า จะเกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”

……

ศพของอสูรเสือหางเหล็กใหญ่มาก หลัวซิวไม่สามารถเอากลับไปทั้งหมด

ใช้ปราณในควบคุมกระบี่ชิงเฟิง เขาเริ่มจากถลกหนังสือ หนังเสือผืนนี้ถือว่าค่อนข้างสมบูรณ์แบบ มีแค่รอยถูกฟันด้วยควานสองรอยเท่านั้น สามารถขายได้ราคาดี

นอกจากนี้ยังมีกระดูกเสือ เลือดหัวใจ เขี้ยวเสือ ราคาสูงที่สุด แน่นอนว่าคือหางของอสูรเสือ ถูกขนานนามว่าหางเหล็ก เป็นวัตถุดิบชั้นดีในการสร้างทหารรบชนชั้นมนุษย์

เก็บวัตถุดิบที่มีมูลค่าทั้งหมดแล้ว โดยเฉพาะหนังเสือนั่น ทำให้ห่อผ้าของหลัวซิวแน่นเอี๊ยด

เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า คงจะกลับเมืองชิงหยุนไม่ทันก่อนพระอาทิตย์จะตก ทำได้เพียงนอนค้างในป่า แล้วค่อยกลับเช้าตรู่วันที่สอง

จำนวนอสูรกายในเขาสุ่ยวู่มีไม่เยอะเท่าไหร่ มีอสูรป่าเป็นหลัก ถ้าถึงตอนกลางคืน ป่าผืนนี้อันตรายมาก ดังนั้นหลัวซิวต้องหาสถานที่พักปลอดภัย ก่อนฟ้ามืด

“กรึก!”

เสียงสายธนูสั่นดังก้องอย่างชัดเจนในป่าที่เงียบสงัด

รูม่านตาของหลัวซิวหดเล็กน้อย สัมผัสได้ถึงลมแรง บินผ่านศีรษะของเขาจากด้านหลัง

เขาเคลื่อนตัว ลูกดอกธนูปักลงบนต้นไม้ข้างๆ ขนลูกดอกสั่นเทา

สัมผัสการรับรู้แผ่ซ่าน หลัวซิวพบลมปราณชีวิตสองลมปราณ

ไม่ไกลจากที่นั่น ชายหนุ่มตัวเตี้ยคนหนึ่ง ถือคันธนูด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ง้างธนูเต็มแรง มองเขาด้วยสีหน้าเยือกเย็น

ในเวลาเดียวกัน อีกด้านหนึ่งก็มีใครบางคนเดินออกมา ซึ่งก็คือหวางหยุนที่เจอก่อนหน้านี้

“พวกนายสองคนทำแบบนี้หมายความว่าอะไร?” หลัวซิวถามเสียงเยือกเย้น

“เจ้าหนุ่ม แกไม่ต้องแกล้งโง่ ทิ้งห่อผ้าและกระบี่ของแกเอาไว้ พวกฉันจะปล่อยนายไป” ในมือของหวางหยุนถือกระบี่หนึ่งเล่ม พูดหัวเราะเสียงเยือกเย็น

“แล้วถ้าผมไม่ทิ้งเอาไว้ให้ล่ะ?” นัยน์ตาของหลัวซิวทอประกายความเยือกเย็น ตามหลักการแล้วเขาเป็นคนช่วยคนพวกนี้เอาไว้ คิดไม่ถึงว่าคนพวกนี้จะหน้าด้านไร้ยางอาย เนรคุณแบบนี้!

แต่ว่าในการรับรู้ของหลัวซวมีแค่หวางหยุนและมือธนูเท่านั้น หยวนต้าซานและอีกสองคนไม่ได้อยู่ระแวกนี้

ครุ่นคิด หลัวซิวก็พอจะเข้าใจแล้ว คาดว่าสองคนนี้ทำโดยพลการ อยากจะฆ่าคนเพื่อแย่งชิงของล้ำค่า

ชิ้นส่วนบนตัวอสูรเสือหางเหล็กมีมูค่าร่วมหมื่นตำลึง ย่อมคุ้มค่าให้ผู้ฝึกยุทธ์แดนกลั่นร่างเสียง

หลัวซิวเข้าใจแล้วว่า สิ่งใดที่เรียกว่าจิตใจคนเหี้ยมโหด!

ด้านหน้ามีมือธนูจางหุน ด้านหลังมีหวางหยุนหน้าตาน่ากลัวถมึงทึง ทั้งสองคนรุมโจมตีสองฝั่ง วางแผนจะให้หลัวซิวรับมือไม่ทัน

นอกจากหัวหน้าทีมหยวนต้าซานที่เป็นการกลั่นร่างขั้น8 ความสามารถของหวางหยุนและจางหุนแค่การกลั่นร่างขั้น7เท่านั้น

ใช้ชีวิตอยู่ในป่าลึกต่อสู้กับอสูรป่าและอสูรกายเป็นเวลานาน แน่นอนว่าหวางหยุนไม่ใช่คนโง่ เขารู้ดีว่าการที่หนุ่มชุดดำคนนี้ฆ่าอสูรเสือหางเหล็กได้ ต้องมีวิธีที่ไม่ธรรมดา

แต่ว่าอสูรกายกับคนไม่เหมือนกัน มนุษย์ไม่มีขนและผิวหนังที่แข็งแกร่งเหมือนกับอสูรกาย ฆ่าง่ายกว่าอสูรกายมาก นี่จึงเป็นเหตุผลที่หวางหยุนและจางหยุนกล้าบุกมาปล้นฆ่าเขา

“ปล้นฆ่า? ฮ่าๆๆ……” จู่ๆ หลัวซิวก็หัวเราะ

“หนุ่มน้อย แกหัวเราะอะไร? แค่แกยอมทิ้งห่อผ้ากับกระบี่ ฉันรับประกันว่าจะไม่ทำให้แกต้องลำบาก” หวางหยุนพูดเสียงเยือกเย็น

ถึงแม้จะพูดแบบนี้ แต่ว่าตั้งแต่ต้นจนจบหวางหยุนไม่คิดจะปล่อยอีกฝ่ายไป เด็กหนุ่มที่สามารถฆ่าอสูรเสือหางเหล็กได้ ต้องมีฐานันดรศักดิ์ที่ไม่ธรรมดา ถ้าไม่สามารถฆ่าอีกฝ่าย เกรงว่าเขาคงจะไม่มีที่ยืนในเมืองชิงหยุนอีก

ดังนั้นเขาและจางหุนหาลือกันตั้งแต่แรกแล้ว ไม่ว่าหนุ่มชุดดำคนนี้จะยอมหรือไม่ยอมยกของให้ ก็ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อฆ่าเขา

“อยากจะได้ของของฉัน ขยะเนรคุณอย่างพวกนายเนี่ยนะ คู่ควรด้วยเหรอ?” หลัวชิวพูดด้วยสีหน้าเย้ยหยัน

“ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ในเมื่อแกรนหาที่ตาย ถ้าอย่างนั้นก็อย่าโกรธพวกฉันแล้วกัน!”

หวางหยุนไม่โมโหแต่กลับหัวเราะ เสียงเฟี้ยวดังขึ้น ดึงกระบี่ในมือออกมาจากฝัก ใช้วิชาท่าร่าง กระบี่ทอแสงเย็นยะเยือก มุ่งหน้าไปฆ่าหลัวซิว

ในเวลาเดียวกัน มือธนูจางหุนก็ลงมือในทันทีเหมือนกัน ลูกดอกธนูสีดำยิงออกไปดอกแล้วดอกเล่า

“กระบี่เศษเงา!”

กระบี่ยาวในมือหวางหยุนมีเงาออกมาติดต่อกัน เป็นวิชากระบี่ระดับ3ของทักษะยุทธ์

วิชายุทธ์ระดับนอกจากจะมีกำลังภายในที่ล้ำค่าแล้วนั้น ทักษะยุทธ์และวิชาท่าร่างก็ไม่สามารถซื้อได้ในเมืองชิงหยุน สำหรับนักยุทธ์ วิชายุทธ์สำคัญมาก ดังนั้นนักล่าอสูรทุกคนจึงทำทุกวิถีทางเพื่อซื้อวิชายุทธ์ขั้นสูง พัฒนาความสามารถของตน

ดังนั้น นักล่าอสูร มีวิชายุทธ์ระดับ3คือเรื่องที่เห็นเป็นปกติ

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 22 ฆ่าอสูรเสือ

 

“ตึ้ง!”

อสูรเสือสะบัดหาง หางที่แข็งเหมือนเล็กกวัดแกว่งบนอากาศจนทำให้เกิดเสียงฟึ่บๆๆดังขึ้น

ชายร่างยักษ์ที่ถือขวานคู่ผู้เป็นหัวหน้า ปลิวไปไกลดังตึ้ง ด้านหลังชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่ มุมปากมีเลือดไหลออกมา

“พี่ใหญ่!” เห็นชายร่างยักษ์คนแข็งแกร่งที่สุดถูกโจมตีจนปลิวไปไกล คนอื่นๆที่เหลืออีกสี่คนต่างร้องตะโกนด้วยความตกใจ

“ทุกคน ระวังหางของสัตว์เดรัจฉานตัวนั้นให้ดี!” ชายร่างยักษ์ร้องตะโกน จากนั้นพุ่งตัวไปฆ่าอสูรเสือหางเหล็กอีกครั้ง

ความสามารถของชายร่างยักษ์คนนี้คือการกลั่นร่างขั้น8 ยกขวานคู่ขึ้นมา แล้วสู้กับอสูรเสือหางเหล็ก

“ฟิ้ว!ฟิ้ว!ฟิ้ว!……”

ลูกดอกธนูสีดำพุ่งตัวออกไปดอกแล้วดอกเล่า พุ่งไปยังคอของอสูรเสือหางเหล็ก

ทว่าอสูรเสือหางเหล็กรวดเร็วมาก นอกจากลูกดอกธนูดอกแรกที่ยิงลอบยิงโดนแล้วนั้น ลูกดอกธนูที่เหลือไม่ก็ยิงไม่โดน ไม่ก็ยิงโดนอสูรเสือแล้ว แต่ก็ไม่อาจทะลุเข้าไปในตัวของอสูรเสือได้

“ผวัะ!”

อสูรเสือตะครุบเข้าไปหาด้วยความโมโห นักยุทธ์คนหนึ่งล้มลงบนพื้น ใช้กรงเล็บ ฉีกร่างของคนคนนั้น ตายคาที่ทันที

สำหรับการโจมตีของคนอื่นๆ โดนหางเหล็กที่มันกวัดแกว่งไปมา กันเอาไว้ทั้งหมด

“อาเฟย!”

พวกชายร่างยักษ์เบิกตากว้างด้วยความเกรี้ยวโกรธ

“พี่ใหญ่ ระวัง!”

เสียงหนึ่งดังขึ้นกะทันหันจากในป่าที่อยู่ไม่ไกล เห็นชัดว่าเป็นเสียงร้องเตือนของมือธนูที่ซ่อนตัวเอาไว้

เห็นเพียงหลังจากอสูรเสือหางเหล็กตะครุบฆ่าไปหนึ่ง ก็กระโจนเข้าหาชายร่างยักษ์ที่แข็งแกร่งที่สุดกะทัหัน

“อ๊าก……”

อสูรเสือหางเหล็กเหี้ยมโหดอย่างมาก กรงเล็บสามารถฉีกต้นไม้ใหญ่ได้อย่างง่ายได้ ถึงแม้ชายร่างยักษ์คนนั้นจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์การกลั่นร่างขึ้น8 แต่อยู่ตรงหน้าอสูรกายกลับไม่มีความอันตรายแต่อย่างใด

การจู่โจมของคนอื่นๆ ส่งผลต่ออสูรเสือหางเหล็กเพียงเล็กน้อยเท่านั้น อาวุธธรรมดาฟันลงไปบนตัวมัน ส่งเสียงติ๊งติ๊งตึ้งตึ้ง ไม่สามารถทำลายเขาได้มากพอ

นอกจากลอบยิงโดนบริเวณคอที่อ่อนแอของอสูรเสือในตอนแรกแล้ว มือธนูที่ซ่อนตัวเอาไว้ ก็ไม่ได้สร้างความดีความชอบอะไรอีกเลย

“ทุกคนหนีแล้ว สัตว์เดรัจฉานตัวนี้เก่งกาจเกินไปแล้ว!” ชายร่างยักษ์ร้องตะโกนด้วยความโมโห เคลื่อนปราณในรอบตัวไปยังขึ้นสูงสุด “ฉันระวังหลังให้เอง!”

“ขวานเปิดเขา!”

ชายร่างยักษ์ร้องตะโกนเสียงดังด้วยความโมโห ขวานคู่ปรากฏแสงเยือกเย็น พร้อมกับเสียงทำลายลมที่แสบแก้วหู ฟันไปยังหน้าผากของอสูรเสือหางเหล็กอย่างแรง

ขวานนี้ทรงพลังอย่างมาก ทั้งยังบรรลุถึงวิชายุทธ์ระดับสาม

“ตึ้ง!”

อสูนเสือหางเหล็กที่แข็งแกร่งเหมือนโดนฟ้าผ่า ตัวของมันกระโจนออกไป หน้าผากมีเลือดรินไหล

แต่ว่าชายร่างยักษ์เองก็ไม่ได้สบายเท่าไหร่ ถูกหางเสือสะบัดโดน กระดูกบริเวณเอวหักแผลเปิดจนเห็นเนื้อ ผิวหนังเต็มไปด้วยเลือด

“พี่ใหญ่!” คนอื่นๆ ร้องด้วยความตกตะลึง

“ไม่ต้องสนใจฉัน รีบไปเร็วเข้า!” ชายร่างยักษ์กัดฟันแล้วเหยียดตัวลุกขึ้น ไม่ว่ายังไงก็ต้องปกป้องพวกพ้องคนอื่นๆของตนให้หนีรอด

ฟิ้ว!ฟิ้ว!ฟิ้ว!……

มือธนูยังคงรับผิดชอบโจมตีอสูรเสือหางเหล็กจากที่ไกลๆ เมื่อเป็นแบบนี้ ทำให้ชายร่างยักษ์ที่คอยระวังหลังโล่งอกเล็กน้อย

“ตึ้ง!”

ชายร่างยักษ์และอสูรเสือหางเหล็กเผชิญหน้ากันอีกครั้ง ชายร่างยักษ์ปลิวไปไกลเพราะพลังที่รุนแรง กระอักเลือดออกมา

อสูรเสือหางเหล็กเพิกเฉยลูกดอกธนูที่ยิงมาหาตน ดวงตาแดงก่ำเปี่ยมไปด้วยความเหี้ยมโหด กระโจนเข้าหาชายร่างยักษ์ที่กำลังบาดเจ็บสาหัส

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่คนที่ชื่ออาเฟยถูกอสูรเสือหางเหล็กฆ่าตาย ใช้เวลาสั้นๆเพียงสูดลมหายใจเข้าออกสิบกว่าครั้งเท่านั้น

แม้ว่าตั้งแต่หลัวซิวมาฝึกการล่าสัตว์ในเขาสุ่ยวู่จะเห็นเลือดนองไม่น้อย แต่เห็นคนถูกฆ่าตาย กลับเป็นครั้งแรก

“สัตว์เดรัจฉานสมควรตาย!”

วิชาท่าร่างก้าวสั้นแสดงออกมา ร่างของหลัวซิวราวกับแสงที่แล่นผ่านแวบหนึ่ง เท้าทั้งสองข้างแตะไปที่หัวอสูรเสือหางเหล็ก

“ตึ้ง!”

พลังมหาศาลส่งมายังฝ่าเท้า ร่างของหลัวซิวกระโดดกลับหลัง พลิกตัวกลางอากาศ แล้วตกลงมาห่างจากที่นั่นหลายเมตร

“โฮ่ก!”

อสูรเสือหางเหล็กส่งเสียงร้องคำรามด้วยความเจ็บปวด ดวงตาเหี้ยมโหดจ้องเขม็งมนุษญ์ที่อยู่ห่างออกไปหลายเมตร

เขารู้สึกว่าเมื่อกี้กระโหลกของตน เกือบจะแหลกละเอียดเพราะลูกเตะของมนุษย์คนนี้

ช่างร่างยักษ์คิดว่าตนต้องตายแน่นอน ทว่าเวลานี้กลับเห็นอสูรเสือหางเหล็กที่แข็งแกร่งมองชายหนุ่มที่ปรากฎตัวมากะทันหันด้วยความหวาดกลัว รู้สึกตกตะลึงไปครู่หนึ่ง

เวลานี้ความสนใจของอสูรเสือหางเหล็กถูกหลัวซิวดึงดูดไปหมดแล้ว อสูรกายเหนือชั้นกว่าอสูรป่าไม่เพียงแค่ความสามารถ สิ่งสำคัญคือพวกมันมีปฏิภานขั้นต้นแล้วสัญชาตญาณบอกมันว่า มนุษย์หนุ่มคนนี้อันตรายต่อมัน

ชายร่างยักษ์รอดจากอันตรายไปหนึ่งครั้ง รีบวิ่งไปหาหลัวซิว เผชิญหน้ากับอสูรเสือหางเหล็ก

“น้องชายคนนี้ ขอบคุณที่ช่วยชีวิตฉันเอาไว้ ฉันชื่อหยวนต้าซาน” ชายร่างยักษ์ประสานมือพูด

“จัดการอสูรเสือตัวนี้ก่อนค่อยว่ากัน” หลัวซิวพยักหน้า

“โฮ่ก!”

ทั้งสองอยู่ทางนี้เพิ่งพูดไปแค่หนึ่งประโยค อสูรเสือหางเหล็กกระโจนเข้ามา หลัวซิวฝึกวิชาท่าร่างก้าวสั้นได้สำเร็จแล้ว หลบอย่างรวดเร็ว

“ขวานเปิดเขา!”

หยวนต้าซานใช้ทักษะยุทธ์ที่เชี่ยวชาญอีกครั้ง ขวานคู่ฟันลงไปบนตัวอสูรเสือ ด้วยผลการฝึกตนการกลั่นร่างขั้น8ของเขา ก็เพียงทำให้เกิดบาดแผลที่ไม่ยี่หระเท่าไหร่

ใช้วิชาท่าร่างก้าวสั้น ในสายตาหลัวซิว ผังลายเส้นชีวิตของอสูรเสือหางเหล็กอยู่ในการมองเห็นทั้งหมด

“ท่าเสือพิฆาต!”

เห็นเขากระโจนขึ้นไปกะทันหัน ปราณในร้องคำรามพร้อมกับลมกระโชกแรง

“ตึ้ง!”

หมัดนี้ต่อยโดนหัวของอสูรเสืออีกครั้ง เสียงกรึกดังขึ้น อสูรเสือร้องคำรามโอดครวญด้วยความเจ็บปวด ก้าวถอยหลังหลายครั้งติดต่อกัน เท้าอ่อนแรง หน้ามืดตามัว

หยวนต้าซานเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง เขาใช้ขวานฟันลงไปด้วยแรงทั้งหมดที่มีทำให้สัตว์เดรัจฉานตัวนี้ได้รับบาดเจ็บแค่เล็กน้อยเท่านั้น แต่หนุ่มคนนี้แค่มองก็น่าจะอายุประมาณสิบสี่สิบห้า ใช้แค่หมัด ทว่าพลังโจมตีกลับมากกว่าตนเนี่ยนะ?

“ท่ามังกรทะยาน!” หลัวซิวเปลี่ยนกระบวนท่า หมุนตัวอยู่กลางอากาศ หมัดทั้งสองพุ่งทะยานไปที่หัวของอสูรเสืออีกครั้ง

“ตึ้ง!”

การโจมตีในครั้งนี้ อสูรเสือหางเหล็กตั้งตัวไม่ทัน ถูกหมัดเสือมังกรท่ามังกรทะยานที่ทรงพลังที่สุดชกเข้าให้ ผังลายเส้นชีวิตบาบริเวณหัวได้รับบาดเจ็บสาหัส กะโหลกที่แข็งแกร่งแหลกละเอียดทันที

“อว๊าก!” อสูรเสือหางเหล็กแผดเสียงโอดครวญ ร่างใหญ่ล้มลงบนพื้น สิ้นใจ

“สมกับที่เป็นอสูรกายระดับหนึ่งขั้นสูง ผมต้องชกที่เดียวกันสามครั้ง กว่าจะทำให้มันตายได้”

หลัวซิวรู้ดี ถ้าแค่ความสามารถ ตนไม่อาจเทียบกับอสูรเสือตัวนี้ ที่สามารถฆ่ามันได้ โดยมากเป็นเพราะวิชาท่าร่างก้าวสั้น บวกกับความสามารถพิเศษในการทำลายผังลายเส้นชีวิต

เห็นอสูรเสือหางเหล็กตาย พวกคนที่เดิมทีหนีไปไม่ไกลเท่าไหร่ ต่างขยับใกล้เข้ามาด้วยความระมัดระวัง รวมตัวกับหยวนต้าซาน

ในเวลานี้เอง หลัวซิวขมวดคิ้ว สัมผัสได้ถึงลมปราณอันตราย

หลังจากประสานรวมเข้ากับลูกแก้วอัญมณีแห่งความตาย การสัมผัสของเขาอ่อนไหวยมาก เขามั่นใจว่ามือธนูที่ซ่อนตัวอยู่ในที่มืดเล็งลูกดอกมาที่ตน

“พี่ใหญ่ ดูเหมือนว่าปราณในของเด็กหนุ่มคนนี้แค่การกลั่นร่างขั้น6เท่านั้น”

“เพื่ออสูรเสือตัวนี้ อาเฟยตายไปแล้ว อย่าให้ศพของอสูรเสือตกเป็นของคนอื่น” พวกเขาซุบซิบกัน พูดกับหยวนต้าซาน

หลัวซินพอจะได้ยินคร่าวๆ สีหน้าเยือกเย็นทันที หัวเราะในลำคอด้วยเสียงเยือกเย็น : “อสูรเสือตัวนี้ ผมเป็นคนฆ่า”

“หึ นายเป็นคนฆ่า แต่ถ้าไม่ใช่เพราะพี่ใหญ่ของพวกเรา อาศัยการกลั่นร่างขึ้น6ของนายจะเอาชนะอสูรเสือหางเหล็กได้เหรอ?” มีคนหัวเราะเยือกเย็นแล้วพูด

“หวางหยุน หุบปาก! เมื่อกี้ถ้าไม่ใช่เพราะน้องชายคนนี้ ฉันตายในกรงเล็บของสัตว์เดรัจฉานตัวนั้นแล้ว” หยวนต้าซานตำหนิ

เห็นเขาเดินออกไป ประสานมือให้กับหลัวซิว พูด “น้องชายช่วยชีวิตฉันหยวนต้าซานเอาไว้ บุญคุณครั้งนี้ไม่มีวันลืม อสูรเสือตัวนี้เชิญน้องชายจัดการตามสะดวก”

หลัวซิวพยักหน้า มองหยวนต้าซานคนนี้ด้วยความชื่นชม ถึงอย่างไรอสูรเสือหางเหล็กตัวนี้ก็มีราคา อย่างน้อยก็หมื่นตำลึง

ถ้าคนพวกนี้ลงมือจริงๆ ถึงแม้หลัวซิวจะไม่กลัว แต่ก็เป็นเรื่องยุ่งยาก ไม่ต้องลงมือ ย่อมเป็นเรื่องที่ดีที่สุด

 

########################

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 21 ปฏิกิริยาของลูกแก้วอัญมณีแห่งความเป็นความตาย

 

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง หลัวซิวเจอโพรงต้นไม้หนึ่งโพรง พื้นที่ด้านในไม่กว้างเท่าไหร่ แต่ก็เพียงพอแล้ว เขาเจอโพรงต้นไม้นี้เมื่อครึ่งชั่วยามก่อน ค่อนข้างมิดชิด หาไม่เจอง่ายๆ

ปลดกระบี่ชิงเฟิงลง หลัวซิววางกระบี่ลงข้างๆ ด้วยความเสียดายเล็กน้อย พูดในใจ:”ถึงแม้วันนี้ฉันจะใช้กระบี่ในการฆ่าอสูรป่า แต่ความเป็นจริงฉันไม่เคยฝึกวิชากระบี่มาก่อน ถ้าได้เคล็ดวิชากระบี่มาฝึกตน จะดีแค่ไหนกันนะ”

นั่งสมาธิในโพรงต้นไม้ หลัวซิวเริ่มหมุนวิชาสลับเอ็นหลอมกระดูกที่ปรับปรุงเสร็จแล้ว

ไม่ว่าจะเมื่อไหร่และไม่ว่าจะเวลาไหน การเพ็ญตน ห้ามหย่อนยานแม้แต่น้อย นี่คือแนวทางปฏิบัติที่หลัวซิวตั้งให้ตนเอง

ขณะฝึกตน หลัวซิวอาศัยปฏิกิริยาของลูกแก้วอัญมณีแห่งความเป็นความตายสัมผัสการเคลื่อนไหวของบริเวณโดยรอล มดตัวหนึ่งเดินผ่านไปเงียบๆ เขาก็สัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตอย่างชัดเจน

พลังฟ้าดินจิตหลอมรวม ผ่านการพ่นลมหายใจ รูขุมขนทั่วร่างกายเข้าสู่ภายใน ท่ามกลางการไหลเวียนของวรยุทธ์ควบแน่นจนกลายเป็นปราณใน จากนั้นฝึกฝนเข้าสู่เอ็นกระดูก

“ถึงแม้ฉันจะเป็นการกลั่นร่างขั้น5ขั้นสูงแล้ว แต่ถ้าหากจะบรรลุขึ้น6 จากสถานการณ์ในตอนนี้ อย่างน้อยต้องใช้เวลาสามวัน” หลัวซิวคิดคำนวณในใจ หลังจากบรรลุการกลั่นร่างขั้น5 เขาก็พบว่าความเร็วในการฝึกตนของตนเองแปรเปลี่ยนเป็นช้าลงแล้ว

ผลกระทบของระดับวรยุทธ์กลับกลายเป็นเรื่องรอง กำลังภายในระดับสองที่ได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นสำหรับผลการฝึกตนของเขาในตอนนี้ถือว่าเพียงพอแล้ว สิ่งสำคัญคือไม่มีพลังจิตมากพอให้เขาดูดรับกลั่นแปร

“นอกจากอาศัยยา ค่ายกล ทำอย่างไรถึงจะมีพลังจิตมากขึ้น?” ภายในใจของหลัวซิวเต็มไปด้วยความปรารถนา เขาปรารถนาให้ความสามารถของตนเองเพิ่มเร็วขึ้น

“วื๊ด!……”

ทันใดนั้นเอง การสั่นสะเทือนแผ่ซ่านออกมาจากลูกแก้วอัญมณีแห่งความเป็นความตาย ถึงแม้จะสั่นอ่อนๆเท่านั้น แต่เพราะมีปฏิกิริยาบอบบางกับลูกแก้วอัญมณีแห่งความเป็นความตาย หลัวซิวจึงสัมผัสได้อย่างชัดเจน

จากนั้น ลมปราณชีวิตบริสุทธิ์ทะยานมาหาเขา ตามด้วยการพ่นลมหายใจของการฝึกตนเข้าสู่ร่างกาย ผลการฝึกตนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว!

“นี่คือ……” หลัวซิวทั้งตกใจและดีใจ อาศัยปฏิกิริยาที่มีต่อลูกแก้วอัญมณีแห่งความเป็นความตาย เขารับรู้ว่า สิ่งที่ตนดูดรับในเวลานี้ คือสารพลังชีวิต!

สารพลังชีวิตคือพลังจิตอย่างหนึ่ง แต่มีคุณภาพมากกว่าพลังจิตทั่วไปในฟ้าดิน ดูดรับกลั่นแปร ผลย่อมไม่สามารถเทียบกันได้

“กรึก!”

แค่ชั่วขณะหนึ่ง เอ็นกระดูกในร่างกายของหลัวซิวมีเสียงกรึกดังขึ้น พลังแข็งแกร่งกว่าที่ผ่านมาพุ่งทะลานอยู่ในร่างกาย

“การกลั่นร่างชั้น6 บรรลุการกลั่นร่างขั้น6เร็วขนาดนี้เลยเนี่ยนะ!”

หลัวซิวลืมตาขึ้น สีหน้าของเขาทั้งตกใจและดีใจ การกลั่นร่างขั้น6คือฝึกเอ็นเกลากระดูกแดนสุดท้าย ไปอีกขั้นหนึ่ง คือการกลั่นร่างขั้น7ของการฝึกเกลาอวัยวะภายใน

“เมื่อครู่ที่ฉันดูดรับคือสารพลังชีวิตของสมุนไพรโดยรอบอย่างนั้นเหรอ?”

ในเวลาเดียวกัน หลัวซิวรับรู้ว่า พลังชีวิตของสมุนไพรบริเวณโดยรอบในรัศมีหนึ่งร้อยเมตรอ่อนลงไปมาก

“นี่คือวิธีการฝึกตนที่ใกล้เคียงกับการปล้น!”

ระหว่างความเป็นความตาย คือสองระดับที่ต่างกัน แย่งชิงชีวิตของสิ่งมีชีวิตอื่น ความเป็นจริงก็คือพลังแห่งความตาย

ทางด้านหลัวซิวรู้ดี หลังจากตนประสานเข้ากับลูกแก้วอัญมณีแห่งความตาย ก็จะมีลักษณะเฉพาะของพลังความเป็นและความตาย

พลังความเป็นคือการมอบให้ ทุ่มเทเสียสละ พลังความตายคือการทำลาย แย่งชิง!

“ในเมื่อลูกแก้วอัญมณีแห่งความเป็นความตายคือของล้ำค่า ถ้าอย่างนั้นต้องเป็นของดีแน่นอน!” หลัวซิวไม่รู้แน่ชัดว่าของล้ำค่านี้มีแนวคิดอย่างไร ตอนแรกที่เขาเริ่มประสานเข้ากับลูกแก้วอัญมณีแห่งความเป็นความตาย ข้อมูลเกี่ยวกับลูกแก้วนี้โผล่เข้ามาในความคิด

“ไม่ว่าอย่างไร ความสามารถของฉันสามารถพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยวิธีนี้!” การพัฒนาของผลการฝึกตน ทำให้หลัวซิวดีใจมาก ปัญหาที่เคร่งเครียดมานานในที่สุดก็สามารถจัดการได้แล้ว

อีกทั้งเขายังพบว่า เขาไม่เพียงแต่สามารถดูดรับพลังแห่งชีวิตของสมุนไพรในรัศมีหนึ่งร้อยเมตร ของเพียงเป็นสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่อยู่บริเวณโดยรอบนี้ ระหว่างที่เขาเคลื่อนลมปราณ ล้วนจะถูกแย่งชิงพลังแห่งชีวิตแล้วหลอมรวมมาที่เขา

แค่ว่าสิ่งที่แตกต่างกับสมุนไพรคือ ตอนที่สัตว์เหล่านั้นพบว่าชีวิตของตนถูกแย่งชิงไป ก็จะตกตะลึงและหนีไปอย่างรวดเร็ว ขอเพียงหนีออกไปจากรัศมีหนึ่งร้อยเมตร ก็จะปลอดภัยแล้ว

ค่ำคืนนี้ เขตร้อนเมตรที่หลัวซิวอยู่กลายเป็นเขตหวงห้าม ถึงแม้จะเป็นอสูรกายในเขาสุ่ยวู่ที่ดุร้ายไร้ซึ่งความหวาดกลัว ก็ไม่กล้าเข้าใกล้

ผลการฝึกตนบรรลุการกลั่นร่างขั้น6 หมายความว่าหลัวซิวเสร็จสิ้นระดับฝึกเกลาเนื้อหนังและเอ็นกระดูกของแดนกลั่นร่างแล้ว

เขาสามารถสัมผัสปราณเป็นตาย2ระดับของเนื้อหนังและเอ็นกระดูกที่ซ่อนเร้นเอาไว้อย่างชัดเจน เปลี่ยนร่างของตนท่ามกลางการมองไม่เห็น เข้าสู่การเปลี่ยนร่างบางอย่าง

เวลาสองสามวันต่อจากนั้น หลัวซิวล่าสัตว์ในเขตเขาสุ่ยวู่ ทุกครั้งที่ห่อผ้าบรรจุเต็ม เขาจะกลับเมืองชิงหยุนแล้วขายทิ้ง เวลาห้าวัน เขาหาเงินได้หนึ่งหมื่นกว่าตำลึง

“เป็นจริงตามนั้นนักยุทธ์หาเงินง่ายมาก ถ้าฉันเป็นจอมยุทธ์ ฆ่าอสูรกายระดับสองต้องได้เงินมากกว่านี้แน่นอน”

หลัวซิวถอดถอนหายใจเล็กน้อย เงินหมื่นตำลึงสำหรับชาวบ้านทั่วไปถือเป็นจำนวนที่ไม่สามารถคาดคิดได้

“แต่ว่าถึงแม้เงินหมื่นตำลึงจะมาก แต่ถ้าจะใช้ฝึกตน กลับไม่พอ”

หลายวันมานี้ หลัวซิวอยู่บนเขาสุ่ยวู่พ่นลมหายใจดูดรับพลังชีวิต ผลการฝึกตนดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ถ้าจะบรรลุการกลั่นร่างขั้น7 ก็ไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำได้ในระยะเวลาสั้นๆ

“โฮก!”

จู่ๆก็มีเสียงคำรามของอสูรกายดังขึ้นในป่า ถึงแม้จะอยู่ไกลมาก แต่หลัวซิวก็ได้ยินจนแก้วหูสั่น เลือดพลุ่งพล่าน

“อสูรกาย! ทั้งยังไม่ใช่อสูรกายทั่วไป!” หลัวซิวอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง

กระโดดตัวลุกขึ้น หลัวซินรีบมุ่งหน้าไปยังที่มาของเสียงคำราม

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขาเห็นอสูรเสือที่มีขนสีน้ำเงินและสีขาวสลับกัน สูงเกือบสองเมตร ตัวยาวประมาณสี่เมตรกว่า

ตอนที่หางของอสูรเสือตัวนี้กวัดแกว่ง ทุบเห็นที่อยู่รอบข้างจนแหลกละเอียดราวกับเหล็ก

“อสูรเสือหางเหล็ก!”

หลังจากรู้ที่มาที่ไปของอสูรเสือตัวนี้แล้ว สายตาของหลัวซิวอดไม่ได้ที่จะสั่น

ในระดับเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นอสูรกายหรือว่านักยุทธ์ ล้วนมีการแบ่งแยกความสามารถสูงต่ำ ยกตัวอย่างอสูรกายระดับหนึ่ง แบ่งเป็นขั้นทั่วไป ขั้นกลาง ขั้นสูง ขั้นสูงสุดสี่ขั้น

อสูรเสือหางเหล็กตัวนี้ คืออสูรกายขั้นสูง การกลั่นร่างขั้น9พบเจอเขา ยังต้องถอยหนี

ถ้าเป็นอสูรกายระดับหนึ่งขั้นสูงสุด ความสามารถทัดเทียมเสมอเหมือนจอมยุทธ์

อีกทั้งในการรับรู้ของหลัวซิว ลมปราณชีวิตของอสูรเสือหางเหล็กตัวนี้อุดมสมบูรณ์อย่างมาก เหมือนเพลิงไฟที่แผดเผาด้วยความเร่าร้อน

ในเวลาเดียวกัน หลัวซิวเห็นคนหลายคนซ่อนตัวอยู่รอบๆ ถึงแม้คนพวกนี้จะซ่อนตัวเป็นอย่างดี แต่ก็ไม่อาจซ่อนลมปราณชีวิตของตนได้ ท่ามกลางการรับรู้ของหลัวซิวไม่อาจหลบซ่อนได้

“ฟิ้ว!”

แสงสีดำพุ่งทะยานขึ้นบนท้องฟ้า ตามด้วยการสั่นเทาของสายธนู

หลัวซิวหรี่ตาลง มองเห้นแสงสีดำอย่างพร่ามัวเท่านั้น ตกตะลึงว่านั่นคือลูกดอกธนู!

“หกคนนี้น่าจะเป็นทีมล่าอสูร ต้องการที่ล่าและฆ่าอสูรเสือหางเหล็กตัวนี้!” หลัวซิวพูดในใจ

“ผวัะ!”

พลังทะลุทะลวงของลูกดอกธนูแข็งแกร่งอย่างมาก อีกทั้งอสูรเสือหางเหล็กไม่ได้ป้องกันตัว คอที่ค่อนข้างบอบบาง ถูกลูกดอกธนูยิงทะลุ เลือดพุ่ง

“โฮก!”

อสูรเสือหางเหล็กร้องคำรามด้วยความโมโห ดวงตาสีแดงก่ำกวาดมองไปรอบๆ หาคนที่ยิงธนูเจอ หลังจากนั้นก็กระโจนเข้าหาทันที

“สัตว์เดรัจฉานสมควรตาย!”

ในเวลานี้เอง คนที่ถือขวานคู่ ชายร่างยักษ์เดินออกมาจากพุ่มไม้ข้างๆ เผชิญหน้ากับอสูรเสือหางเหล็ก

ตามด้วย คนที่ซ่อนตัวอยู่รอบๆ ก็โผล่ออกมา ล้อมอสูรเสือระดับหนึ่งขั้นสูงเอาไว้

ห้าคนล้อมวงโจมตี คนหนึ่งใช้ธนูยิงจากระยะไกล คือวิธีการล่าอสูรที่ทีมนักล่าอสูรมักจะใช้กันมากที่สุด

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 20 ฆ่างูพิษ

 

สามชั่วยามต่อมา หลัวซิวเดินทางมาถึงใกล้ ๆ กับเขาสุ่ยวู่

ตลอดทางที่ผ่านมา เขาเห็นนักยุทธ์คนอื่น ๆ จำนวนไม่น้อย ส่วนมากจะจับกลุ่มกันสามถึงห้าคน ส่วนเขาเป็นเด็กหนุ่มที่มีใบหน้าอ่อนเยาว์เพียงคนเดียวที่มาที่นี่ จึงกลายเป็นจุดสนใจไม่น้อย

“ไอ้กระจอกมาจากไหนกัน ?”

“ดูเหมือนอายุจะไม่เกินสิบห้าปีนะ ผลการฝึกตนก็ไม่น่าจะเกินระดับการกลั่นร่างขั้นที่7 แล้วยังกล้ามาออกล่าที่เขาสุ่ยวู่อีกหรือ ?”

“ฮ่าฮ่า อย่าดูถูกว่าเขาสวมใส่เสื้อผ้าซอมซ่อ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะเป็นคุณชายลูกหลานขุนนางที่แอบเดินทางอย่างเรียบง่ายเพื่อออกหาประสบการณ์ก็ได้”

“เจ้าอย่าพูดจาเหลวไหลหน่อยเลย คุณชายพวกนั้นรักตัวกลัวตาย มีครั้งไหนบ้างที่มาออกล่าเพื่อหาประสบการณ์แล้วไม่พายอดฝีมือมาคอยคุ้มกัน ?”

“ข้ากล้าเดิมพันเลยว่า เจ้าหมอนี่จะต้องถูกอสุรกายฉีกออกเป็นชิ้น ๆ อย่างแน่นอน !”

หลายคนต่างพูดวิพากษ์วิจารณ์ และมั่นใจว่าที่หลัวซิวมาที่นี่เพราะไม่รู้กฎเกณฑ์ เป็นไอ้กระจอกที่เหมือนลูกนกเพิ่งออกจากไข่ ไม่รู้จักกลัวอันตราย

หลัวซิวเองก็สังเกตเห็นว่ามีหลายคนที่จ้องมองเขาด้วยสายตาที่ไม่ประสงค์ดีนัก เขาได้ยินมาว่ามีการฆ่ากันเองของนักล่าอสูรเพื่อแย่งชิงทรัพยากรเช่นกัน

แต่คนที่เดินทางมายังเขาสุ่ยวู่กลับไม่มีนักยุทธ์ระดับแดนฝึกชี่ไห่ ส่วนใหญ่แล้วสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในป่าแห่งนี้จะเป็นอสูรป่า มีเพียงพื้นที่จำนวนน้อยที่มีอสุรกายขั้น1อาศัยอยู่ ดังนั้นผู้ที่มาออกล่าเพื่อหาประสบการณ์ที่นี่ ส่วนมากจึงเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับการกลั่นร่าง

แถบป่าลึกใกล้ ๆ กับเมืองชิงหยุน เขาสุ่ยวู่ถึงเป็นสถานที่ที่มีความอันตรายน้อยที่สุด

หลัวซิวเดินตรงเข้าไปในป่า สมาธิของเขาจดจ่อแน่วแน่ และให้ความสนใจกับการเคลื่อนไหวทุกอย่างรอบตัวเขาอย่างใกล้ชิด

“นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าออกล่า หวังว่ามันจะได้ผลนะ”

หลัวซิวกระโดดจากพื้นหญ้า ขึ้นไปยืนบนกิ่งของต้นไม้ใหญ่ จากนั้นเขาจึงหลับตาลง แล้วเข้าสู่สถานะพิเศษของการตระหนักรับรู้ถึงความเป็นความตาย

อาศัยความเชื่อมโยงของลูกแก้วอัญมณีแห่งความเป็นความตาย โดยมีเขาเป็นจุดศูนย์กลาง การรับรู้พิเศษแพร่กระจายออกจากมือของเขาไปทั่วทุกทิศทาง

ถึงแม้เขากำลังปิดตาอยู่ แต่ภายในรัศมีสองถึงสามลี้ เข้าสามารถรับรู้ถึงลักษณะของสิ่งมีชีวิตทุกประเภทได้ทั้งหมด การรับรู้ของเขาในตอนนี้ ราวกับว่าเขาได้เห็นทุกอย่างด้วยตาตนเอง

นี่เป็นความสามารถพิเศษทั้งสามอย่างที่หลัวซิวค้นพบ หลังจากที่เขาผนึกรวมเข้ากับลูกแก้วอัญมณีแห่งความเป็นความตาย ลายเส้นชีวิต และปราณเป็นตายสองระดับ

ขอแค่อยู่ในขอบเขตที่ชัดเจน เขาสามารถรับรู้ได้ถึงลมหายใจของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดได้ ยิ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่ขนาดใหญ่มากเท่าไหร่ ลมหายใจของชีวิตก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

ทันใดนั้น หลัวซิวก็ลืมตาขึ้นพร้อมเผยรอยยิ้มที่มุมปาก ขาทั้งสองข้างของเขาเหยียบอยู่บนกิ่งไม้ จากนั้นเขาจึงกระโดดและพุ่งตรงไปยังทิศทางหนึ่ง

“ฟ่อ !……”

มีงูพิษสีขาวสลับดำตัวหนึ่ง ขนาดใหญ่เท่าท่อนแขน กำลังหลบซ่อนตัวอยู่ในกิ่งไม้และใบที่หนาทึบของต้นไม้ งูแผ่แม่เบี้ยและจ้องมองมาด้วยสายตาที่เย็นชาและดุร้าย

งูมีประสาทสัมผัสที่ว่องไวมาก มันรีบหันหัวกลับในทันที ทันใดนั้นก็ปรากฏร่างของมนุษย์ที่กำลังพุ่งตรงเข้ามาในสายตาของมัน

มันคิดว่ามันหลบซ่อนตัวอย่างดี ปากของงูอ้าเล็กน้อย เผยให้เห็นเขี้ยวที่แหลมคม รอเพียงแค่ให้มีเหยื่อผ่านเข้ามา มันก็จะลอบโจมตีจากที่ซ่อนทันที

“สิบห้าเมตร สิบเมตร ห้าเมตร…..”

ระยะห่างของอีกฝ่ายยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ

“ฉึบ !”

แสงประกายแวววับพาดผ่านอากาศ ใบของต้นไม้ใหญ่ถูกตัดจนร่วงลงมาเหมือนสายฝน หัวของงูที่มีขนาดเท่ากำปั้นลอยขึ้นไป มีเลือดสีแดงสาดกระเซ็นออกมา แล้วกลิ้งไปด้านข้าง

ปากของงูเปิดออก เผยให้เห็นเขี่ยวของมัน ราวกับว่าไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังจะตาย เพราะในขณะที่ในกำลังซุ่มโจมตีเหยื่ออยู่นั้น ตนเองกลับถูกฆ่าตายเสียนี่

“งูพิษลายดำไม่ใช่อสูรป่า พิษของมันร้ายแรงมาก ถ้าหากไม่มียาถอนพิษ หากเป็นนักยุทธ์ระดับการกลั่นร่างถูกฉกเข้า ไม่เกินสิบลมหายใจก็ต้องตาย !”

หลัวซิวลงมายืนอยู่ด้านข้าง เขารู้สึกพอใจกับผลงานครั้งแรกของเขามาก

หลัวซิวใช้กระบี่เปิดปากของงู จากนั้นจึงถอดเขี้ยวพิษทั้งสองข้างของมันออกมา จากนั้นจึงรวบรวมพิษและดีงูเอาไว้ในกล่องเล็ก ๆ แล้วเก็บใส่กระเป๋า

อันที่จริงแล้วเนื้อของงูพิษประเภทนี้ก็อร่อยไม่เบา ได้รับความนิยมอย่างมากในโรเตี๊ยม แต่งูตัวนี้มีความยาวถึงสองเมตร หลัวซิวจึงนำกลับไปได้ลำบาก

“เมื่อเทียบกับเนื้องูแล้ว สิ่งที่ทำราคาได้สูงกว่าก็คือเขี้ยวงู พิษ และดีงู สามสิ่งนี้เมื่อรวมกันแล้วหากจะขายในราคาสี่ร้อยตำลึงก็ไม่ถือว่าเป็นปัญหา” หลัวซิวบอกกับตัวเอง

นักยุทธ์ต้องใช้เงินในการฝึกตนจำนวนมาก แต่ในขณะเดียวกันนักยุทธ์เองก็หาเงินได้มากเช่นกัน แค่งูพิษตัวเดียวที่ยังไม่ใช่อสุรกาย ยังสามารถทำเงินได้หลายร้อยตำลึง แล้วสิ่งของที่อยู่บนร่างกายของอสุรกายจริง ๆ จะต้องยิ่งทำเงินได้มากกว่าแน่นอน

“อู๊ดอู๊ดอู๊ด……”

หมูป่าที่มีขนสีแดงสด มีความสูงประมาณหนึ่งเมตร และมีลำตัวที่ยาวประมาณสามเมตรกำลังวิ่งตรงเข้าไปในป่า

อสูรป่าตัวนี้มีชื่อเรียกว่าหมูป่าขนแดง ถึงแม้ไม่ใช่อสุรกายขั้น1 แต่ก็ถือว่าใกล้เคียง บางครั้งอสุรกายขั้น1บางประเภทที่อ่อนแอ ก็ยังไม่กล้ามีเนื่องกับอสูรป่าชนิดนี้

บนคอของหมูป่าขนแดงตัวนี้มีรอยบาดแผล ตอนนี้มีเลือดสีแดงไหลทะลักออกมา เลือดกระจายไปตลอดทางที่มันวิ่ง

“ผิวหนังของเจ้าสัตว์ร้ายตัวนี้ช่างแข็งจริง ๆ” หลัวซิวกระโดดลงไปยืนบนกิ่งของต้นไม้ใหญ่

“ตุบ !”

ดวงตาทั้งสองข้างของหมูป่าขนแดงเป็นสีแดงก่ำ มันใช้หัวกระแทกเข้าไปที่ต้นไม้ใหญ่ต้นนี้อย่างแรง เขี้ยวอันแหลมคมทั้งสองซี่ของมันทำให้เปลือกไม้แยกออก แล้วฝังเข้าไปที่ลำต้น

ต้นไม่ใหญ่สั่นไหว แต่หลัวซิวที่ยืนอยู่ด้านบนกลับไม่ขยับเขยื้อน และไม่โอนเอนแม้สักนิด

“สัตว์เดรัจฉานก็คือสัตว์เดรัจฉาน ช่างโง่จริง ๆ”

หลัวซิวกระโดดลงมาจากต้นไม้ ในเวลาเดียวกันเขาก็ยกดาบขึ้นแล้วฟันลงไปตรงบริเวณบาดแผลที่คอของหมูป่าขนแดง

บาดแผลนั้นเป็นรอยที่เขาใช้กระบี่ฟันก่อนหน้านี้ แต่เป็นเพราะกระบี่ของเขาเป็นเพียงแค่อาวุธธรรมดา ถึงแม้จะทำให้สัตว์เดรัจฉานตัวนี้ได้รับบาดเจ็บได้ แต่ไม่อาจทำให้ถึงตายได้

“พรวด !”

กระบี่ฟันลงไปด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้น ด้วยแรงมหาศาลประกอบกับปราณในที่แกร่งกล้าขึ้น หัวของหมูป่าจึงถูกฟันจนขาดลงมา และมีเลือดสาดกระเซ็นไปทั่วพื้น

เขี้ยวสองซี่ที่มีมูลค่ามากที่สุดปักอยู่บนต้นไม้ หลัวซิวต้องออกแรงอย่างมากจึงจะสามารถนำออกมาได้สำเร็จ จากนั้นเขาจึงเก็บรวบรวมเนื้อหมู แล้วรีบจากไปอย่างรวดเร็ว

กลิ่นคาวเลือดสามารถดึงดูดสัตว์เดรัจฉานตัวอื่น ๆ ที่อยู่รอบข้างได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นการรีบจัดการให้การต่อสู้ให้จบลงโดยเร็วถือเป็นวิธีที่ฉลาดที่สุด

ท้องฟ้ามืดลงโดยไม่รู้ตัว เป็นเพราะเงาของใบไม้ที่ปกคลุมอยู่ ทำให้ป่ายิ่งมืดสนิทยิ่งขึ้น

“แถวนี้ไม่มีสัตว์เดรัจฉานที่เป็นอันตราย”

ในมุมหนึ่งของป่า หลัวซิวสัมผัสถึงสถานการณ์โดยรอบเสียก่อน จากนั้นจึงเริ่มคิดคำนวณรายได้ของวันนี้

ตลอดระยะเวลาหนึ่งวัน เขาไม่พบกับอสุรกายเลยสักตัว สัตว์ที่ล่ามาได้ล้วนแล้วแต่เป็นอสูรป่า ซึ่งอย่างมากก็มีความแข็งแกร่งทัดเทียมกับผู้ฝึกยุทธ์ระดับการกลั่นร่างขั้น6

ดังนั้นหลัวซิวจึงไม่ได้ใช้วิธีการพิเศษ แต่ใช้ความสามารถของตนเองในการโจมตี ซึ่งนี่ถือเป็นการฝึกฝนตัวเองอย่างหนึ่ง

ถึงแม้การใช้วิธีทำลายลายเส้นชีวิต จะทำให้การต่อสู้ของเขาง่ายดายขึ้น แต่เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ความสามารถส่วนตัวถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด

ถึงแม้หลัวซิวอายุยังน้อย แต่เป็นเพราะฐานะทางบ้าน ทำให้เขาเข้าใจเหตุผลของการมีชีวิตอยู่อย่างดี

“ปกติแล้วบนร่างกายของอสูรป่ามีของที่มีราคาอยู่ไม่มาก แต่วันนี้เพียงวันเดียว เขาสามารถฆ่าได้เจ็ดถึงแปดตัว ซึ่งสามารถทำเงินให้เขาได้สองถึงสามพันตำลึงแล้ว” หลัวซิวเผยรอยยิ้มออกมาบนใบหน้า

ถึงแม้เงินสองสามพันตำลึงสำหรับการฝึกตนแล้วเปรียบเสมือนกับน้ำเพียงก้นถัง แต่อย่างไรเสียก็เป็นเงินที่เขาหามาได้เอง เขาเชื่อมั่นว่าหากเขามีความแข็งแกร่งที่เพิ่มมากขึ้น เขาก็จะหาทรัพยากรได้มากขึ้นแน่นอน

“เวลากลางคืนทำให้ความสามารถในการมองเห็นลดลง ไม่เหมาะแก่การล่า จึงควรหาสถานที่พักผ่อนก่อน”

 

########################

บทที่ 2

ความคิดมากมายผุดขึ้นในหัวของหลัวซิว จู่ ๆ เขาก็รู้สึกว่าสมองของเขาขยายใหญ่ขึ้นและรู้สึกเวียนหัว
มีความทรงจำที่พิเศษมากมายปรากฏขึ้นในหัวของเขา
“ลูกแก้วอัญมณีแห่งความเป็นความตาย……ผังลายเส้นชีวิต……สิ่งเหล่านี้คืออะไรกันแน่ ?”
“หรือว่าความทรงจำเหล่านี้เป็นสิ่งที่ลูกแก้วมอบให้กับข้า ?”
“ลูกแก้วเม็ดนี้คืออะไรกันแน่ ?”
หลัวซิวค่อย ๆ ขมวดคิ้ว เขานั่งไขว่ห้างอยู่บนเตียงแล้วครุ่นคิด
จู่ ๆ ก็ปรากฏตนเองอีกคนขึ้นในความคิดนั้น !
แต่ทว่าตนเองที่อยู่ในความคิดคนนี้ บนร่างกายกลับปรากฏลายเส้นชีวิตที่เชื่อมต่อกันอยู่ และส่องประกายแสงสีขาวจาง ๆ ออกมาซึ่งปกคลุมไปทั่วทั้งร่างกาย ปรากฏเป็นผังลายเส้นชีวิตขึ้นมา
มีเพียงบางจุดที่สีของลายเส้นค่อนข้างหมองคล้ำ ซึ่งเมื่อคิดดูอย่างละเอียดก็พบว่า เป็นจุดทีถูกจางเจี๋ยทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ
“ขอเพียงแค่ใช้ปราณในซ่อมแซมส่วนที่หมองคล้ำบนผังลายเส้นชีวิต ก็จะสามารถรักษาบาดแผลให้หายดีได้อย่างนั้นหรือ ?”
จู่ ๆ หลัวซิวก็รับรู้ถึงข้อความบางอย่างที่ปรากฏขึ้นมาในสมอง ทำให้เขารู้สึกเหลือเชื่อ เพราะเป็นสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายของเขา
“ไม่ว่าจะมีประโยชน์หรือไม่ ก็ต้องลองดูก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
เมื่อคิดได้เช่นนี้ หลัวซิวจึงนั่งคุกเข่าลงบนเตียง แล้วเริ่มเดินพลังวรยุทธ์ ปราณในเริ่มมีการเคลื่อนไหวอยู่ภายในเส้นลมปราณ
หลังจากปราณในมีการเคลื่อนไหว บริเวณที่เป็นรอยหมองคล้ำบนผังลายเส้นชีวิตของหลัวซิวก็ค่อย ๆ ชัดเจนและกระจ่างใสขึ้นมา
“นี่คือความลับที่ซ่อนอยู่ในลูกแก้วอัญมณีแห่งความเป็นความตายอย่างนั้นหรือ ? สามารถซ่อมแซมลายเส้นชีวิตได้ แม้กระทั่งอาการบาดเจ็บบนร่างกายก็สามารถรักษาให้หายเป็นปกติได้ ? นี่มันช่างมหัศจรรย์เกินไปแล้ว……”
หลัวซิวเด้งตัวลุกขึ้นจากเตียง อาการบาดเจ็บบนร่างกายของเขาทั้งหมดกลับหายเป็นปลิดทิ้งแล้วจริง ๆ
“ถึงแม้จะใช้ปราณในไปจนหมดสิ้น แต่ผลการฝึกตนของข้าอยู่เพียงการกลั่นร่างขั้น2 จึงมีการสะสมปราณในอยู่ภายในร่างกายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งสามารถฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติได้อย่างรวดเร็ว”
หลัวซิวรู้สึกดีใจราวกับคนเสียสติ เขานั่งไขว่ห้างอีกครั้ง และรวบรวมปราณในของเขา !
“พรึ่บ !”
จู่ ๆ ผังลายเส้นชีวิตในสมองก็พังทลายลง
“เป็นไปได้ไหมว่าวรยุทธ์ของข้านั้นอยู่ในขั้นที่ต่ำเกินไป เป็นผลให้ผังลายเส้นชีวิตพังทลายลง ?”
หลัวซิวแอบพึมพำกับตนเอง เขาขมวดคิ้วและลูบคาง พลางพูดกับตนเองว่า : “วรยุทธ์ที่ข้าฝึกฝนเป็นเพียงแค่วรยุทธ์ขั้นหนึ่ง จึงมีจุดเริ่มต้นที่ต่ำอย่างยิ่ง แต่หากอาศัยการนำทางของลูกแก้วอัญมณีแห่งความเป็นความตาย ดูเหมือนจะสามารถปรับปรุงวรยุทธ์นี้ให้ดีขึ้นได้ ! ต้องลองดูเสียหน่อยแล้ว !”
หลังจากพูดจบ หลัวซิวก็นั่งลงอีกครั้ง และเริ่มรวบรวมลมปราณ
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยาม
“การเลื่อนขั้นวรยุทธ์สำเร็จแล้ว !”
หลัวซิวทั้งแปลกใจทั้งยินดี
ปราณในเองก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นเล็กน้อย แฝงไปด้วยพลังที่น่าเกรงขาม และในขณะเดียวกันก็แฝงไปด้วยรัศมีของความเป็นความตายและการทำลายล้าง
“ปราณเป็นตาย2ระดับ ?”
นี่เป็นผลจากการหลอมรวมเข้าด้วยกันระหว่างร่างกายของตนเองและลูกแก้วอัญมณีแห่งความเป็นความตาย หลัวซิวรู้ดีว่า หลังจากนี้ชีวิตของตนเองจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป !
เช้าวันรุ่งขึ้น หลัวซิวที่ผ่านการฝึกฝนมาตลอดทั้งคืนค่อย ๆ ลืมตาขึ้น เขาไม่รู้สึกอ่อนเพลียเลยแม้แต่น้อย แต่กลับรู้สึกสดชื่นและกระปรี้กระเปร่า
ไม่แน่ว่าการฝึกฝนตลอดสามปีที่ผ่านมาอาจช้าเกินไป จนกระทั่งร่างกายของเขารู้สึกเหือดกระหาย และแทบจะดูดกลืนพลังงานทั้งหมดของปฐพีเข้าไป ผลการฝึกตนในชั่วข้ามคืนปรากฏให้เห็นเด่นชัด ไม่ช้าเขาก็ก้าวเข้าสู่การกลั่นร่างขั้น3
ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากที่ร่างกายของเขาหลอมรวมเข้ากับลูกแก้วอัญมณีแห่งความเป็นความตายโดยบังเอิญ หลัวซิวก็รู้สึกว่าร่างกายของตนเอง ได้รับผลกระทบจากปราณเป็นตาย2ระดับ ในระหว่างกระบวนการฝึกตน จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างสมบูรณ์
หลังจากเปิดประตูเดินออกไปจากห้อง หลัวซิวก็เดินตรงไปยังลานฝึกยุทธ์ของสำนักยุทธ์
ลูกศิษย์ของสำนักยุทธ์จำนวนมากตื่นแต่เช้าเพื่อเข้ามาฝึกฝนวิชาในลานฝึกยุทธ์ เมื่อเห็นหลัวซิวปรากฏตัวขึ้นที่นี่ ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่แสดงทีท่าแปลกใจออกมา
“เมื่อวานเขาถูกลูกสมุนของจางเจี๋ยทำร้ายจนสลบไปไม่ใช่หรือ ?”
“ฮ่าฮ่า ได้ยินมาว่าเจ้าหมอนี่หลงรักหลิวหยู่ซิน พอเห็นจางเจี๋ยกำลังลวนลามนาง จึงรีบพุ่งตรงเข้าไปช่วย ทำตัวเป็นผู้กล้าช่วยสาวงาม”
“เขาเองหรือ ? ก็แค่เจ้าสวะยากไร้คนหนึ่งเท่านั้น ไม่รู้จักส่งกระจกชะโงกดูเงาตัวเองเสียเลย เป็นหมาวัดเสียเปล่า แต่ริอาจจะเด็ดดอกฟ้า !”
“หลิวหยู่ซินเป็นถึงคุณหนูหัวแก้วหัวแหวนของตระกูลหลิว แล้วนางจะตกหลุมรักคนชั้นต่ำเช่นนี้ได้อย่างไร ช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเสียจริง ๆ”
ตลอดทางที่เดินมา หลัวซิวได้ยินคำดูถูกเหยียดหยามมากมาย หากจะบอกว่าไม่รู้สึกโกรธเคืองก็คงเป็นไปไม่ได้ แต่หลังจากที่ผ่านเรื่องเลวร้ายเมื่อคืนมา ทำให้เขารู้ดีว่า หากไม่มีความแข็งแกร่งมากพอ ก็ไม่มีสิทธิ์เอ่ยปากโต้แย้งใด ๆ ทั้งสิ้น
“ในเมื่อวรยุทธ์ยังสามารถยกระดับได้ ทักษะยุทธ์เอง ก็ถือเป็นการเคลื่อนไหวปราณในลักษณะหนึ่ง จึงไม่แน่ใจว่าจะสามารถยกระดับได้หรือไม่”
ในมุมที่ลับตาคนมุมหนึ่งของลานฝึกยุทธ์ หลัวซิวสูดหายใจเข้าเต็มปอดหนึ่งครั้ง และทำจิตใจของตนเองให้สงบ
“ตุบ !”
ร่างกายของเขาเคลื่อนไหวในทันที เข้าใช้ท่าออกหมัดหนึ่งกระบวนท่า ทุกท่วงท่าเป็นไปอย่างอ่อนช้อย หมัดทั้งสองข้างของเขากวัดแกว่งจนเกิดแรงลม
ทักษะยุทธ์วิชาหมัดกระบวนท่านี้มีชื่อว่าหมัดกระทิงบิ่น เป็นทักษะยุทธ์ระดับหนึ่ง และเป็นทักษะยุทธ์ทักษะเดียวที่เขาฝึกตน
เพราะสำนักยุทธ์แห่งเมืองชิงไม่ได้เผยแพร่วิชายุทธ์ให้ใครโดยเปล่าประโยชน์ หากต้องการได้รับการถ่ายทอดวิชายุทธ์ ก็มีเพียงแค่สองวิธีเท่านั้น วิธีที่หนึ่งคือแลกเปลี่ยนด้วยเงิน ยิ่งวิชายุทธ์ระดับสูงขึ้น ราคาก็จะยิ่งแพงขึ้น ระดับวิชายุทธ์ที่อยู่ในระดับต่ำสุด ยังต้องใช้เงินถึงหนึ่งร้อยตำลึง
ยังมีอีกวิธีหนึ่งก็คือ ผลการฝึกยุทธ์ของตนเองไปได้ถึงระดับที่บรรลุถึง ก็จะสามารถเข้าไปในหอเก็บหนังสือของสำนักยุทธ์ เพื่อเลือกวิชายุทธ์ในระดับที่สูงขึ้นได้
การฝึกตนของหลัวซิวในทักษะยุทธ์ระดับวรยุทธ์ขั้น1 ถูกแลกเปลี่ยนมาด้วยเงิน สำหรับครอบครัวของสามัญชนธรรมดา ๆ การซื้อทักษะยุทธ์ ถือเป็นการใช้จ่ายเงินออมแทบจะทั้งหมดที่มีอยู่ของครอบครัว
บนโลกใบนี้ ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถฝึกยุทธ์ได้ ผู้คนมากว่าครึ่งที่ไร้ซึ่งพรสวรรค์ในการยุทธ์ สำหรับสามัญชนแล้ว การฝึกยุทธ์ถือเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้มีอนาคต ดังนั้นตั้งแต่วันที่เขาก้าวเข้ามาในสำนักยุทธ์ด้วยวัยเพียงแค่สิบกว่าปี หลัวซิวก็กลายเป็นความหวังของคนทั้งบ้าน
ขณะที่กำลังฝึกฝนหมัดกระทิงบิ่น ผังลายเส้นชีวิตปรากฏขึ้นในสมองของหลัวซิวอย่างชัดเจน เส้นของการเคลื่อนไหวปราณในของวิชาหมัดทั้งกระบวนท่า ปรากฏขึ้นอย่างสวยงาม
“ทักษะยุทธ์สามารถยกระดับได้จากการพัฒนาของผังลายเส้นชีวิตได้จริง ๆ !”
หลังจากผ่านการทดลอง หลัวซิวก็รู้สึกประหลาดใจว่าสิ่งที่เขาคิดเป็นเรื่องที่ถูก ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นยินดีเป็นอย่างยิ่ง
“ย่า !”
เขาก้าวเท้าไปข้างหน้า จากนั้นจึงปล่อยหมัดที่ทรงพลังราวกับเท้าของวัวกระทิงออกไปในอากาศ พุ่งตรงไปยังหุ่นไม้ที่วางอยู่ตรงหน้าเขาในทันที
“ตุบ !”
เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นขึ้นหลังจากนั้น หน้าอกของหุ่นไม้ถูกเขาชกจนแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ และลอยกระจัดกระจายออกไป
หุ่นไม้ของลานฝึกยุทธ์ในสำนักยุทธ์ทำจากไม้ประดู่ดำ หากไม่ใช่คนที่มีความสามารถอยู่ในระดับการกลั่นร่างขั้น3หรือสูงกว่า ไม่มีทางที่จะสร้างความเสียหายให้กับหุ่นไม้ตัวนี้ได้เลย
แต่ผลการฝึกตนของหลัวซิวในตอนนี้ กลับอยู่เพียงแค่การกลั่นร่างขั้น2เท่านั้น
“ถึงแม้การกลั่นร่างขั้น3จะสามารถทำลายหุ่นไม้ได้ แต่ก็ไม่มีทางปรากฏผลลัพธ์ที่น่ากลัวเช่นนี้ อย่างน้อยต้องเป็นการกลั่นร่างขั้น4จึงจะสามารถทำเรื่องเช่นนี้ได้”
หลังจากมองดูผลงานของตนเองด้วยความชื่นชม แววตาของหลัวซิวก็เป็นประกาย นี่ไม่เท่ากับว่าเขาสามารถท้าประลองกับผู้ฝึกยุทธ์ขั้น4ได้อย่างนั้นหรือ ?”
“หลังจากยกระดับวรยุทธ์และทักษะยุทธ์เรียบร้อยแล้ว ดูเหมือนความสามารถของข้าจะเพิ่มขึ้นมากจริง ๆ !” หลัวซิวรู้สึกมั่นใจกับการฝึกตนในอนาคตอย่างยิ่ง
“หลีกไปให้พ้น พวกเจ้าแต่ละคนตาบอดกันหรืออย่างไร ไม่เห็นหรือว่าคุณชายจางมาแล้ว ?”
มีเสียงที่เย่อหยิ่งและดุดันดังขึ้นในลานฝึกยุทธ์ หลัวซิวเหลือบตามอง ก็มองเห็นกลุ่มชายฉกรรจ์เดินเข้ามาด้วยท่าทีโอ้อวด ตลอดทางคนที่อยู่รอบข้างต่างรู้สึกเกรงกลัวและไม่ส่งเสียง
ท่ามกลางเหล่าบรรดาชายฉกรรจ์ มีชายหนุ่มที่แต่งกายด้วยชุดแพรถูกยืนห้อมล้อมอยู่ตรงกลาง เมื่อเห็นชายคนนี้ หลัวซิวก็อดไม่ได้ที่จะหรี่ตาลง
“เอ๊ะ นี่มันเจ้าสวะแซ่หลัวคนนั้นไม่ใช่หรือ ยังจะกล้ามาปรากฏตัวที่นี่อีกหรือ ? เมื่อวานยังโดนดีไม่พออีกหรืออย่างไร ?”

########################

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

None

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท