มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake – บทที่ 399 วิญญาณ

บทที่ 399 วิญญาณ

ทันใดนั้น หลัวซิวพ่นลมหายใจ เลือดไหลออกมาจากรูจมูกของเขา เพราะวิญญาณที่โจมตีตัวหยั่งรู้ ถึงแดนราชายุทธ์ขั้น 8 แล้ว

ภายใต้การลอบจู่โจมอย่างกะทันหัน เขาไม่สามารถป้องกันมันได้ และประสบความสูญเสียเล็กน้อย

แสงห้าสีแวบผ่านระหว่างคิ้วของเขา เปิดใช้งานพลังแห่งกฎเบญจธาตุทั้ง5ในตัวหยั่งรู้ และเปลี่ยนแนวโน้มในทันที จับวิญญาณบริสุทธิ์ของราชายุทธ์ขั้น 8 ที่แสดงออกเป็นสีเงิน

ตอนนี้ หลัวซิวจับวิญญาณบริสุทธิ์ได้สี่ดวง ซึ่งสองดวงนั้นอยู่ในราชายุทธ์ขั้น 4 อีกหนึ่งอยู่ราชายุทธ์ขั้น 6 และอีกหนึ่งอยู่ที่ราชายุทธ์ขั้น 8

หากกลั่นวิญญาณบริสุทธิ์ทั้งสี่ดวงนี้ทั้งหมด หลัวซิวเชื่อว่าพลังแห่งตัวสำนึกของเขาสามารถทะลุผ่านราชายุทธ์ขั้น 8 ไปได้

ตัวสำนึกจะทะลุผ่านแดนๆหนึ่งเป็นเรื่องยากมาก หลัวซิวมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในเรื่องนี้ เขารู้สึกว่าหุบเขาจิตนภานี้เป็นโอกาสที่ใหญ่สำหรับเขา ถ้าเขาสามารถจับโอกาสนี้ได้ พลังแห่งตัวสำนึกของเขาก็จะได้รับการเปลี่ยนแปลง

พวกเขาได้เข้าไปในส่วนลึกของหุบเขากว้างใหญ่นี้อย่างไม่รู้ตัว ข้างหน้าพวกเขามีหุบเขาชั้นในก็ปรากฏขึ้น ข้างในมีหมอกหนา ทางเข้ามีแผ่นหินแตกพร้อมจารึกว่า ‘หุบเขาจิตนภา’ ตัวใหญ่

มีบรรยากาศโบราณหมุนเวียนอยู่บนแผ่นหินที่แตกหักนี้ ซึ่งทำให้หลัวซิวรู้สึกว่ามันเก่าแก่กว่าตอนที่เขาเข้าสู่ถ้ำโลกใบเล็กของจักรพรรด์ยุทธ์เสวียนดำ ออร่าที่รู้สึกถึง ยังเก่าแก่กว่า

และระหว่างทางที่มา หลัวซิวก็เห็นซากศพมากมาย มีทั้งอสูรกาย และมนุษย์ เห็นได้ชัดว่า ในเวลาที่ผ่านมา มีคนเคยพบสถานที่นี้ พวกเขาทั้งหมดได้เสียชีวิตที่นี่อย่างไม่มีข้อยกเว้น

สถานที่แห่งนี้อยู่ห่างจากเมืองโม่โหลว เกือบล้านไมล์ ตั้งอยู่ในส่วนลึกของสมาคมเป่ยเซี๋ย ขาดแคลนทรัพยากรและมีพลังฟ้าดินจิตน้อยมาก โดยปกติ มีนักยุทธ์เพียงไม่กี่คนที่มาที่นี่

แต่ใครจะไปคิดว่าในสถานที่ที่ขาดแคลนทรัพยากรเช่นนี้ จะมีสถานที่มหัศจรรย์อย่างเช่นหุบเขาจิตนภานี้อยู่

“เราเข้าไปกันเถอะ สิ่งที่ข้าอยากเตือนทุกคนคือวิญญาณโจมตีที่เราได้รับภายนอกนั้นเป็นเพียงระดับราชายุทธ์ แต่ในหุบเขาจิตนภา เราจะพบกับสิ่งมีชีวิตวิญญาณระดับจักรพรรดิยุทธ์ รูปร่างก็เหมือนกับผนึกรวมของผู้แข็งแกรงระดับ จักรพรรดิยุทธ์ เมื่อถึงเวลานั้น ทุกคนต้องร่วมมือกันถึงจะต่อต้านได้” ลู่เจิ้งเซี๋ยงกล่าวอย่างเคร่งขรึม

หลัวซิวรู้ว่าสิ่งมีชีวิตวิญญาณระดับจักรพรรดิยุทธ์ที่เขาพูดถึงนั้น จริงๆแล้วเป็นวิญญาณเทพจิตจริง ๆ จักรพรรด์ยุทธ์เสวียนดำยังกล่าวอีกว่าวิญญาณได้เปลี่ยนเป็นระดับเทพจิต สามารถผนึกรวมออกมาใกล้เคียงกับร่างที่แท้จริง เหมือนเทพจิตของนักยุทธ์

เป็นเพียงว่าวิญญาณไม่สามารถครองวิญญาณได้ ได้แต่วิวัฒนาการโดยการกลืนกินพลังวิญญาณของสิ่งมีชีวิตอื่นเท่านั้น

สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ พลังชีวิตที่มหัศจรรย์นี้ไม่มีจิตวิญญาณใด ๆ รู้แต่วิธีโจมตีและกลืนกินโดยสัญชาตญาณเท่านั้น

มิฉะนั้น วิญญาณสามารถกลายเป็นหนึ่งในเผ่าพันธุ์ที่มีอำนาจมากที่สุดในโลกนี้อย่างแน่นอน

ลู่เจิ้งเซี๋ยงเดินไปข้างหน้าก่อน ไป๋หลิงเซวียนตาม เหยียนเยว่เอ๋อร์ไม่ได้ขยับ แต่หันสายตามองไปที่หลัวซิว

นางยังคงกังวลหลัวซิวเล็กน้อย เพราะวินาทีที่พบอันตราย นางอาจจะไม่สามารถไปช่วยเขาได้ทัน

“อย่างนี้ไหม เจ้าอยู่นอกหุบเขาเถอะ” เหยียนเยว่เอ๋อร์กล่าว

“หึหึ เชื่อใจข้าไม่ได้เหรอ? อย่าลืมว่าข้าเป็นผู้ที่ได้ฉายาราชายุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาแดนราชายุทธ์ คิงซิวหลัว!” หลัวซิวพูดด้วยรอยยิ้ม

เขาได้บอกเหยียนเยว่เอ๋อร์เกี่ยวกับสิ่งที่เขาได้ทำในปีที่ผ่านมานี้แล้ว

“เอาล่ะ เจ้าหนุ่มน้อย เจ้าแข็งแกร่งที่สุด ได้ไหม?” เหยียนเย่วเอ๋อร์เอ่ยด้วยรอยยิ้มและกลอกตาขาวให้เขา

“เราตามไปด้วยกันเถอะ” หลัวซิวยิ้มเล็กน้อย จับมือขาวของนางแล้วเดินไปข้างหน้าด้วยกัน

ในไม่ช้า ทั้งสี่คนมาถึงทางเข้าหุบเขาชั้นใน ภายในมีหมอกหนาทึบ ไม่สามารถตรวจสอบผ่านตัวสำนึกได้ มีพลังวิญญาณพลานุภาพแทรกซึมอยู่ในหุบเขา ระงับการสำรวจด้วยตัวสำนึก

ทันทีที่ทั้งสี่เข้าไปในหุบเขา ออร่าวิญญาณพลานุภาพก็พุ่งเข้ามาและกวาดไปทั่วร่างพวกเขาทั้งสี่อย่างไม่ยอมปล่อย

ฮึ่ม! ฮึ่ม! ฮึ่ม! …

ในเวลาเดียวกัน ทั้งสี่คนรู้สึกถึงพลังวิญญาณพลานุภาพพุ่งเข้าหาพวกเขา

พลังจิตแท้ถูกปล่อยออกสู่ร่างกายของทุกคน แม้ว่าพลังจิตแท้ปกป้องร่างกายจะไม่มีผลมากในการป้องกันวิญญาณ แต่ก็ยังมีผลบางอย่างอยู่

ความผันผวนที่รุนแรงของพลังจิตแท้ป้องร่างกายได้ถูกแทรกซึมอย่างรวดเร็วโดยพลังวิญญาณ ราวกับหนวดที่แหลมคม เจาะเข้าไปในตัวหยั่งรู้

“แหลกวิญญาณ!”

หลัวซิวใช้วิชาลับในการโจมตีด้วยวิญญาณ ผนึกรวมรูปดาบด้วยตัวสำนึกกลายให้เป็นพายุ กลับแตกเป็นเสี่ยงๆในทันที ทำให้ตัวหยั่งรู้ของเขาเจ็บปวด

หลัวซิวจึงได้แต่ใช้พลังแห่งกฎอีกครั้งอย่างจนปัญญา แสงจิตห้าสีก็ปรากฏขึ้นในตัวหยั่งรู้

บูม! บูม! บูม!

กฎเบญจธาตุทั้งห้าและการโจมตีวิญญาณปะทะกันในตัวหยั่งรู้ ตัวสำนึกของหลัวซิวผนึกรวมเป็นรูปดาบและซ่อนอยู่หลังลูกแก้วความเป็นตาย

ผลที่ตามมาจากการระเบิดของพลัง ทั่วทั้งตัวหยั่งรู้สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ทำให้หลัวซิวรู้สึกเหมือนสมองของเขาถูกต้ม ปวดหัวมาก

จักรพรรดิยุทธ์ขั้น 4 !

เขาตัดสินอย่างรวดเร็วเกี่ยวกับระดับของการโจมตีวิญญาณนี้
ขณะที่เขาต่อต้านการโจมตีวิญญาณระดับนี้ หลัวซิวมองไปที่เหยียนเยว่เอ๋อร์ข้างๆเขา พบว่าสีหน้าของนางปกติและนางไม่ได้รับบาดเจ็บ

แม้ว่าระดับการฝึกฝนของนางจะเป็นจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 3 แต่นางก็ฝึกฝนพลังก่อรวมวิญญาณมายาวนานกว่าเขามากและระดับตัวสำนึกถึงแดนจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 5

ไม่ไกลนัก ในหมอกที่พร่ามัว เงาร่างของแสงสีเงินริบหรี่ค่อยๆ ปรากฏขึ้น เสียงร้องที่แหลมคมออกมาจากปาก มันเป็นผู้ที่ปล่อยการโจมตีวิญญาณเมื่อครู่นี้

ร่างนี้ส่องแสงสีเงินไปทั่วร่างกายของมัน ไร้ใบหน้า รอบกายเต็มไปด้วยพลังวิญญาณบริสุทธิ์

“ทุกคนท่จับมันด้วยกัน” ลู่เจิ้งเซี๋ยงตะโกน และลงมือเป็นนำ เขาเป็นจักรพรรดิยุทธ์ที่ฝึกฝนวรยุทธ์อัสนี พลังจิตแท้กลายเป็นตาข่ายขนาดใหญ่ลอยไปกคลุมวิญญาณเทพจิต

ไป๋หลิงเซวียนก็ลงมือพร้อมกัน พลังเย็นเฉียบแผ่ออกจากร่างกายของนาง ปิดกั้นการหลบหนีของวิญญาณเทพจิต

ลู่เจิ้งเซี๋ยงและไป๋หลิงเซวียน คนหนึ่งคือจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 6 และอีกคนคือ จักรพรรดิยุทธ์ขั้น 4 สองคนนี้แข็งแกร่งมาก

และวิญญาณเทพจิตนั้นเป็นเพียงจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 4เท่านั้น

แต่พลังโจมตีวิญญาณ มีพลังมากกว่าการโจมตีพลังจิตแท้ วิญญาณเทพจิตลอยขึ้น เร็วมาก สองมือสองข้างยื่นออก มีเสียงฉีกขาด ก็ฉีกตาข่ายอัสนีเป็นรู

แสงอัสนีแสงสั่นสะเทือนอยู่บนร่างของมัน ทำให้วิญญาณ เทพจิตส่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด

หลังจากที่มันฉีกตาข่ายอัสนี มันก็บินหนีไปอย่างรวดเร็วราวกับอุกกาบาต

“จับมัน มันได้รับบาดเจ็บแล้ว!” ลู่เจิ้งเซี๋ยงตะโกนเสียงดัง

ในขณะนี้ แสงดาบที่ควบแน่นด้วยพลังเย็นยะเยือกก็พุ่งออกมา มีเสียงของมีคมแทงเข้าไปในร่าง แทงทะลุเข้าไปในร่างของวิญญาณเทพจิต ทำให้มันส่งเสียงกรีดร้องอันเจ็บปวดออกมาอีกครั้ง

ดูเหมือนจะรู้ว่ามันไม่มีทางหนีอีกต่อไป วิญญาณเทพจิตก็เร่งความเร็ว พุ่งไปที่ไป๋หลิงเซวียน

“ระวัง อย่าให้สิ่งนี้โดนร่างกาย” ลู่เจิ้งเซี๋ยงตะโกนเสียงดัง

“ลู่เจิ้งเซี๋ยง เราต่างมาจากองค์กรนักล่ายุทธ์ ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่มีความคิดที่ไม่ดี ไม่เช่นนั้นข้าจะทำให้เจ้าเสียใจไปตลอดชีวิต”

แววตามีความเย็นยะเยือกผ่านวูบไป หลัวซิวได้เปิดใช้งานค่ายผนึกปราณทันที พลังฟ้าดินจิตที่อุดมสมบูรณ์บริสุทธิ์ได้แยกออกมาอย่างต่อเนื่องจากหินพลังจิตชั้นสูงจำนวนหนึ่งแสนก้อน ควบแน่นอยู่รอบ ๆ แท่นบัวทิพย์ห้าสีแล้วเปลี่ยนแปลงโดยแท่นบัว กลายเป็นพลังฟ้าดินจิตล้อมรอบร่างของหลัวซิว

เขาหลับตาลง หมุนวรยุทธ์วงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ และนึกภาพผังกฎดั้งเดิมภาพที่สามในใจของเขา เบื้องหลังปรากฏเป็นเงาลวงวัฏจักรที่ลึกลับและคาดเดาไม่ได้ หมุนไปอย่างช้าๆ เต็มไปด้วยความลึกลับไม่รู้จบ

ห่างกันสักพัก เขาจะหยิบเม็ดยาออกมาทาน พลังจิตพลานุภาพและบริสุทธิ์จะรวบรวมเข้าสู่ร่างกายของเขา กลั่นมันให้เป็นพลังจิตแท้ปราณเป็นตาย 2 ระดับ และเสริมความแข็งแกร่งของยาชีวีที่อยู่ในตันเถียนชี่ไห่

ภายใต้สภาวะการฝึกฝนที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ สิบวันต่อมา ยาชีวีขาวดำในตันเถียนชี่ไห่ของหลัวซิว สว่างและพร่างพรายในทันที

ภายใต้การฝึกฝนการสนับสนุนของพลังจิตพลานุภาพ พลังปราณของเขาได้ทะลุถึงแดนราชายุทธ์ขั้น 3 และไปถึงจุดสูงสุดของยาเขียว

เมื่อแสงสีเขียวที่เบ่งบานของยาเทพจิต กลายเป็นแสงสีม่วง หมายความว่าฐานการฝึกฝนของเขาได้เข้าสู่อดนราชายุทธ์ขั้น 4

มีเวลาเหลือให้เขาไม่มาก และอีกห้าวันที่เหลือไม่เพียงพอที่จะทะลุผ่านแดนการฝึกฝน ทำได้เพียงทำให้แดนราชายุทธ์ขั้น 3 มั่นคงขึ้นได้เท่านั้น

เมื่อเทียบกับความก้าวหน้าในการฝึกฝน ร่างยุทธ์ระดับราชา มีผลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แม้แต่วิชาชุบร่างเนื้อที่แปลงมาจากวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพมีผลไม่มาก

หลัวซิวรู้ดีว่าร่างเนื้อจะถึงแดนระดับจักรพรรดิยุทธ์ ต้องการโอกาสที่ดี แค่พึ่งสูดลมหายใจเข้าออก ยากต่อการทะลุแดน

ในวันนี้ หลัวซิวสัมผัสได้ถึงการป้องกันค่ายกลที่เขาจัดถูกแตะต้อง

เขาตื่นจากสภาพการฝึกฝนทันทีและเก็บแท่นบัวทิพย์ห้าสีอย่างสบาย ๆ สำหรับหินพลังจิตชั้นสูงจำนวน หนึ่งแสนก้อนที่จัดเรียงอยู่รอบ ๆ แม้ว่าพลังจะไม่หมด แต่ก็เหลือไม่มาก

“พวกเจ้าทั้งสอง จะถึงหุบเขาจิตนภาในไม่ช้าแล้ว”

เสียงผ่านค่ายกลเข้ามาในหูของหลัวซิวแล เหยียนเยว่เอ๋อร์

หลังจากนั้นไม่นาน หลัวซิวและเหยียนเยว่เอ๋อร์ก็มาที่ดาดฟ้าเรือ ก็มองเห็นหุบเขาลึกที่เรียงรายไปด้วยหินแปลก ๆ ตรงหน้าพวกเขา

“หือ? ภายในเวลาเพียงสิบกว่าวัน การฝึกฝนของผู้น้อยซิวหลัวได้ทะลุแล้วเหรอ?” ลู่เจิ้งเซี๋ยงมองหลัวซิวอย่างประหลาดใจ

ถ้าไม่ใช่ว่าเขาสามารถสัมผัสถึงออร่าของชายหนุ่มผู้นี้ได้ว่าเพิ่งทะลุไปถึงแดนราชายุทธ์ขั้น 3 ออร่าไม่ค่อยมั่นคงนัก ไม่เช่นนั้น เขาคงคิดว่าอีกฝ่ายมีวิชาลับบางอย่างในการซ่อนเร้นพลัง

“ผู้น้อยอยู่ขอบแดนเกือบจะทะลุเป็นเวลานานแล้ว ครั้งนี้เป็นเรื่องบังเอิญที่สามารถทะลุไปได้” หลัวซิวยิ้มอย่างสุภาพ

“ข้าไม่รู้ว่าน้องชายปีนี้อายุเท่าไหร่ ข้าคดูว่าเจ้าดูหนุ่มมาก เจ้าสามารถฝึกฝนจนถึงราชายุทธ์ได้ตั้งแต่อายุยังน้อย พรสวรรค์ของเจ้าน่าจะดีมาก” ไป๋หลิงเซวียนที่อยู่ข้างๆกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“น่าละอายมาก แม้ว่าผู้น้อยจะดูหนุ่ม แต่จริงๆ แล้วอายุจริง 32 ปีแล้ว” หลัวซิวยิ้ม

ปีนี้เขาอายุเพียง 18 ปีเท่านั้น ราชายุทธ์ขั้น 3 วัย 18 ปี วางอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์สูงสุดสามารถเรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบได้

หลัวซิวไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์พลิกผันมากขึ้น ดังนั้นเขาจึงปกปิดอายุที่แท้จริงของเขาไว้

สำหรับภายใน องค์กรนักล่ายุทธ์ ข้อมูลส่วนบุคคลจะถูกเก็บเป็นความลับเว้นแต่ผู้มีอำนาจสูงกว่าเขาจะสามารถดูข้อมูลของเขาผ่านองค์กรได้ สำหรับลู่เจิ้งเซี๋ยง อำนาจยังไม่เพียงพอ

เมื่อได้ยินหลัวซิวบอกว่าเขาอายุ 32 ปีแล้ว ไป๋หลิงเซวียนยิ้มและไม่พูดอะไร แม้ว่าฝึกฝนถึงแดนราชายุทธ์ในอายุ32ปีก็นับว่าเก่งแล้ว แต่ก็ไม่ได้โดดเด่นเกินไป

นอกจากนี้ราชายุทธ์ขั้น 3 ยังเป็นอุปสรรคต่อการฝึกฝนของนักยุทธ์อีก

ตั้งแต่ราชายุทธ์ขั้น 3 วันข้างหน้าการทะลุจะยากขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนจำนวนมากสามารถไปถึงแดนราชายุทธ์ ขั้น 3 ได้หลังจากฝึกฝนมา 20 ถึง 30 ปี แต่เป็นไปได้ที่ทะลุแดนราชายุทธ์ขั้น 4 เมื่อพวกเขามีอายุร้อยปี

สำหรับการฝึกฝนจนถึงราชายุทธ์ขั้น 9 ผู้ที่มีพรสวรรค์ที่ดีจะใช้เวลาหนึ่งหรือสองร้อยปี และอัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบได้จะใช้เวลาเพียงไม่กี่สิบปี

ในนี้ วรยุทธ์การสืบทอด สมบัติ โอกาสนั้นขาดไม่ได้

ภายใต้การควบคุมของลู่เจิ้งเซี๋ยง เรือรบเริ่มลงจอด เพราะอยู่ใกล้กับหุบเขาจิตนภาแล้ว และการโจมตีวิญญาณสามารถปรากฏขึ้นได้ทุกเมื่อ

ฮึ่ม!

ทันใดนั้น หลัวซิวรู้สึกว่าตัวหยั่งรู้ได้รับผลกระทบจากการระเบิดของพลังงาน การโจมตีแบบนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้ไม่สามารถเตรียมพร้อมรับมือได้ทัน

หลัวซิวรู้ทันที นี่คงเป็นสิ่งที่ลู่เจิ้งเซี๋ยงพูดเกี่ยวกับการโจมตีวิญญาณนอกหุบเขาจิตนภา เพราะพลังของผลกระทบนี้ที่มีต่อตัวหยั่งรู้ ยังไม่ถึงระดับจักรพรรดิยุทธ์ ซึ่งเทียบเท่ากับการโจมตีวิญญาณแดนราชายุทธ์ขั้น 4

ระดับของการโจมตีวิญญาณนี้ ไม่ได้คุกคามถึงหลัวซิวเลย ระดับตัวสำนึกของเขาเองนั้นเทียบได้กับราชายุทธ์ขั้น 7

เหยียนเย่วเอ๋อร์ ลู่เจิ้งเซี๋ยงและไป๋หลิงเซวียน เป็นจักรพรรดิยุทธ์ เมื่อหลัวซิวถูกโจมตีโดยจิตวิญญาณ พวกเขาทั้งหมดก็รู้สึกได้ ยกเว้นเหยียนเย่วเอ๋อร์และไป๋หลิงเซวียนที่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ลู่เจิ้งเซี๋ยงก็ดูเป็นปกติ

การโจมตีวิญญาณมาและไปอย่างรวดเร็ว หลังจากที่หลัวซิวต้านทานได้สำเร็จ พลังที่กระทบกับตัวหยั่งรู้ก็กลายเป็นแสงสีเงินซึ่งห่อหุ้มด้วยตัวสำนึกของเขา

แสงสีเงินนี้เป็นแหล่งกำเนิดของการโจมตีวิญญาณที่มองไม่เห็น

มันมีพลังงานวิญญาณบริสุทธิ์
“นี่คือ… วิญญาณบริสุทธิ์?”ในฝ่ามือซ้ายของหลัวซิว จักรพรรด์ยุทธ์เสวียนดำกล่าวด้วยความประหลาดใจ

“วิญญาณบริสุทธิ์?” หลัวซิวถามอย่างสงสัย

“ระดับวิญญาณแบ่งออกเป็นสามขั้นตอน ขั้นแรกคือสถานะวิญญาณ หลังจากไปถึงแดนจักรพรรดิยุทธ์ จะผนึกรวมเป็นเทพจิต ซึ่งเป็นขั้นที่สอง ว่ากันว่าผู้แข็งแกร่งที่เหนือกว่ามหาจักรพรรดิยุทธ์ จะผนึกรวมเป็นชิ่งจิต ซึ่งเป็นขั้นที่สาม”

จักรพรรด์ยุทธ์เสวียนดำกล่าวอย่างช้า ๆ “วิญญาณบริสุทธิ์ เป็นพลังชีวิตวิเศษที่ถูกสร้างจากพลังฟ้าดิน นักยุทธ์สามารถจับและกลั่นมาฝึกฝน เพื่อเพิ่มและเสริมสร้างพลังวิญญาณของตัวเอง”

“แน่นอนว่าพลังชีวิตนี้ยังสามารถกลืนกินพลังวิญญาณของสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ เพื่อพัฒนาตงเองอย่างต่อเนื่อง”

ตามคำกล่าวของจักรพรรด์ยุทธ์เสวียนดำ พลังชีวิตชนิดนี้ โดยทั่วไปไม่มีรูปร่าง และเมื่อถูกจับได้เท่านั้นจึงจะปรากฏเป็นแสงสีเงิน

“คาดไม่ถึงว่าจะมีสถานที่มหัศจรรย์อยู่ในโลกนี้”

แม้จักรพรรด์ยุทธ์เสวียนดำ จะรู้เรื่องของวิญญาณ แต่ในสมัยโบราณเขาไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับหุบเขาจิตนภาสถานที่เช่นนี้

เห็นได้ชัดว่าแม้แต่มหาจักรพรรดิยุทธ์ บางสิ่งบางอย่างก็ไม่สามารถรู้ได้ทุกอย่าง

หลัวซิวใช้พลังก่อรวมวิญญาณทันที ดึงพลังวิญญาณบริสุทธิ์ออกจากแสงสีเงินอย่างต่อเนื่องเพื่อกลั่นและเพิ่มเป็นพลังทางวิญญาณของเขา

“ฮ่าฮ่า ดูเหมือนว่าผู้น้อยซิวหลัว น่าจะได้อะไรมาบ้าง”

ลู่เจิ้งเซี๋ยงรู้สึกได้ถึงคลื่นวิญญาณบริสุทธิ์ที่ไหลออกมาจากหลัวซิว เขาพูดด้วยรอยยิ้ม

วิญญาณระดับนี้ไม่มีผลมากนักในกานเพิ่มพลังตัวสำนึกของจักรพรรดิยุทธ์ หากพวกเขาต้องการเพิ่มพลัง พวกเขาจะต้องจับวิญญาณระดับเทพจิต

หลังจากนั้น ทั้งสี่คนยังคงเดินหน้าต่อไป ยิ่งเข้าใกล้ใจกลางหุบเขานี้มากเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งถูกโจมตีโดยวิญญาณบริสุทธิ์บ่อยขึ้นเท่านั้น

ดูเหมือนว่ามีความลับซ่อนอยู่ในส่วนลึกของหุบเขานี้ และวิญญาณที่บริสุทธิ์เหล่านี้ถูกฝังไว้ที่นี่เพื่อปกป้องที่แห่งนี้

ตามบันทึกในม้วนหยก หุบเขาจิตนภาเป็นสถานที่ที่ดีในการฝึกฝนตัวสำนึก เมื่อเข้าไปในหุบเขา จะถูกโจมตีโดยวิญญาณเมื่อใดก็ได้ แค่สามารถต้านทานการโจมตีวิญยาณได้ ก็สามารถฝึกฝนตัวสำนึก เพิ่มระดับตัวสำนึก

“การโจมตีวิญญาณในหุบเขาจิตนภาอยู่ในระดับใด?” หลัวซิวถามความสงสัยของตนออกมา

“ข้าเคยไปที่นั่นเพียงครั้งเดียว แค่รอบๆหุบเขาจิตนภา มันเป็นการโจมตีวิญญาณระดับจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 1 ถึง 3 ” ลู่เจิ้งเซี๋ยงกล่าว

“ถ้าผู้น้อยซิวหลัวจะไป ข้าขอแนะนำว่าไม่ควรเข้าไปในหุบเขา นอกหุบเขาก็จะมีการโจมตีวิญญาณรัดับราชายุทธ์เหมือนกัน เจ้าสามารถฝึกฝนตัวสำนึกของเจ้านอกหุบเขาได้” ลู่เจิ้งเซี๋ยงกล่าวเสริมอีกประโยค

หลัวซิวยิ้มอย่างไม่เห็นด้วย “ไม่เป็นไร ข้ามีสมบัติที่ป้องกันการโจมตีของวิญญาณ การโจมตีวิญญาณระดับจักรพรรดิยุทธ์ธรรมดาข้าไม่กลัว”

ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ออกมา ทั้งลู่เจิ้งเซี๋ยงและไป๋หลิงเซวียน ก็มองหลัวซิวอย่างประหลาดใจ

“ฮ่าฮ่า น้องชายผู้นี้มีโอกาสที่ดีจริงๆ สมบัติป้องกันวิญญาณหายาก” ไป๋หลิงเซวียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม

อันที่จริง มีเพียงหลัวซิวเท่านั้นที่รู้ว่าเขาไม่มีสมบัติที่จะป้องกันการโจมตีของวิญญาณทั้งนั้น แม้จะมี อย่างมากก็ป้องกันการโจมตีระดับราชายุทธ์ได้เท่านั้น

เหตุผลที่เขาพูดเช่นนี้ก็เพราะว่าในตัวหยั่งรู้ของเขาได้รับการปกป้องกฎเบญจธาตุ ไม่ต้องกลัวการโจมตีวิญญาณของจักรพรรดิยุทธ์ธรรมดาทั่วไป เขาพูดออกมาก่อน เมื่อเข้าไปในหุบเขาจิตนภา จะไม่ไม่ทำให้ผู้อื่นสงสัย

“โอกาสของผู้น้อยซิวหลัว ทำให้ข้าอิจฉาจริง ๆ” ลู่เจิ้งเซี๋ยงพูดด้วยรอยยิ้ม แต่หลัวซิวรู้สึกได้ มีมีดคมซ่อนอยู่ในรอยยิ้มของเขา

“ต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะไปถึงหุบเขาจิตนภา?” หลัวซิวถามอีกครั้ง

“หุบเขาจิตนภาตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกล ไม่เช่นนั้นจะถูกค้นพบนานแล้ว น่าจะใช้เวลามากกว่าครึ่งเดือนกว่าจะไปถึง” ลู่เจิ้งเซี๋ยงกล่าว

เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลัวซิวก็หัวเราะในใจ เขาลุกขึ้นยืนและกำหมัด “เมื่อต้องใช้เวลานานมากเช่นนี้ ผู้น้อยจะไปที่ห้องในเรือรบเพื่อปิดขังฝึกตน”

พื้นที่ภายในเรือรบมีขนาดใหญ่มากและมีห้องไม่น้อย ทันทีที่หลัวซิวออกไป เหยียนเยว่เอ๋อร์ก็ตามไปกับเขาด้วย

บนดาดฟ้าเรือ เหลือเพียงไป๋หลิงเซวียนและลู่เจิ้งเซี๋ยง จักรพรรดิยุทธ์สองคนเท่านั้น

“หัวหน้าแก๊งลู่ มิตรภาพระหว่างเจ้ากับข้า ยาวนานกว่าสองร้อยปีแล้วใช่ไหม?” ไป๋หลิงเซวียนมองดูลู่เจิ้งเซี๋ยงและพูดด้วยรอยยิ้ม

“ฮ่าฮ่า ใช่ สองร้อยปีผ่านไปในพริบตา ความงามของเทพธิดาไป๋ งดงามกว่าเมื่อก่อน” ลู่เจิ้งเซี๋ยงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

ไป๋หลิงเซวียนหัวเราะคิกคัก “หัวหน้าแก๊งลู่ ในเมื่อเจ้ากับข้ามีมิตรภาพเช่นนี้ ไม่คิดจะบอกข้าหน่อยหรือว่าเจ้าพาสองคนนี้มาด้วยทำไม?”

เมื่อลู่เจิ้งเซี๋ยงถูกถามเรื่องนี้ สีหน้าไม่เปลี่ยน ยิ้มเล็กน้อย “ในเมื่อเทพธิดาไป๋ ในเมื่อเทพธิดาไป๋ถาม ข้าบอกเจ้าก็ไม่เป็นไร”

“นางนามสกุลเหยียนผู้นั้น เมื่อที่ปีกว่ายังอยู่ในอาการสลบ ถูกชายหนุ่มที่ชื่อซิวหลัว ให้พักอยู่ในองค์กรนักล่ายุทธ์เมืองโม่โหลว”

“ต่อมา ข้าไปสำรวจด้วยตัวเองและพบว่าสาเหตุที่นางที่นามสกุลเหยียนอยู่ในอาการสลบและนอนหลับก็เพราะชีวีพลังเลือดของนางใช้มากเกินไป เห็นได้ชัดว่าก่อนที่นางจะสลบหลับไป นางเคยแผดพลังและเลือดมาก่อน!”

“แผดเผาพลังและเลือด? สายเลือดโบราณ?” ไป่หลิงซวน หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย

ทุกคนล้วนมีพลังและเลือด แต่การแผดเผาพลังและเลือด ซึ่งเป็นวิธีการที่ทำให้แข็งแกร่งขึ้นในระยะเวลาอันสั้น มีเพียงสายเลือดบางสายที่สืบทอดมาแต่โบราณเท่านั้นที่สามารถใช้ได้

อย่าดูถูกวิธีการนี้ หากไม่แผดเผาเกินไป หลังจากผ่านช่วงระยะเวลาของความอ่อนแอ ก็จะฟื้นตัวเต็มที่ และในกระบวนการของการแผดเผาสามารถต่อสู้กับผู้ที่มีแดนสูงกว่าตนเองได้

ยิ่งการฝึกฝนสูงเท่าไหร่ การต่อสู้กับแดนที่สูงกว่าตนเองยิ่งยาก ดังนั้นสายเลือดโบราณจึงยิ่งมีค่ามากขึ้น

แน่นอน หากแผดเผาพลังและเลือดมากเกินไป จะทำให้เกิดการขาดแคลนอย่างใหญ่หลวง เช่นเดียวกับเหยียนเยว่เอ๋อร์ สลบและหลับไปและไม่รู้ว่าจะตื่นขึ้นมาเวลาไหน

เมื่อได้ยินคำว่าสายเลือดโบราณ ปฏิกิริยาแรกของไป๋หลิงเซวียนคือลู่เจิ้งเซี๋ยงต้องการสายเลือดโบราณของอีกฝ่าย

มิฉะนั้น นางไม่เชื่อว่าลู่เจิ้งเซี๋ยงจะใจดีขนาดนี้ที่จะแบ่งปันประโยชน์จากซากปรักหักพังโบราณกับพวกเขา

“ฮ่าฮ่า แค่สายเลือดโบราณ ก็ทำให้เทพธิดาไป๋ตื่นเต้น ถ้าข้าบอกเทพธิดา ผู้หญิงที่นามสกุลเหยียนอยู่ในอาการสลบไปหนึ่งปีกว่า หลังจากที่ซิวหลัวกลับมา ได้ขายสมบัติมากมายแลกหินพลังจิตชั้นสูงสองแสนก้อน ไม่รู้ว่าให้นางทานยาวิเศษอะไร นางถึงตื่นขึ้นจากอาการสลบ”

ลู่เจิ้งเซี๋ยงยิ้มเล็กน้อย “เมื่อเทียบกับแม่นางเหยียนที่มีสายเลือดโบราณ ข้าอยากรู้เรื่องที่เกี่ยวกับซิวหลัวมากกว่า ข้ามักจะรู้สึกว่าเขาไม่ธรรมดา ต้องมีความลับบางอย่างบนร่างเขาแน่ ชายหนุ่มแดนราชายุทธ์ขั้น 2 หินพลังจิตชั้นสูงสองแสนกว่าก้อน เอาความมั่งคั่งนี้มาได้อย่างไร?”

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ ไป๋หลิงเซวียนก็อดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าลึก ๆ นางเป็นผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 4 สมบัติมูลค่าทั้งหมดของนางไม่ถึงหนึ่งแสนก้อนของหินพลังจิต

บางที ลู่เจิ้งเซียงอาจมีสมบัติมูลค่ามากกว่า สองแสนก้อนของหินพลังจิตก็ได้ และนั่นก็เป็นเพราะการฝึกฝนที่สูง แข็งแกร่ง แล้วยังเป็นหัวหน้าแก๊งของแก๊งสาขานักล่าอสูร

ทันใดนั้น ไป๋หลิงเซวียนนึกอะไรบางอย่างได้ “คราวนี้ในการต่อสู้เพื่อชิงตำแหน่งแต่งตั่งราชา ผู้ที่ได้รับตำแหน่งอันดับหนึ่งคือคิงซิวหลัว และผู้นี้ชื่อซิวหลัว เป็นไปได้ไหมว่า.. .”

“ข้าเองก็สงสัยเช่นกัน แต่เขาปฏิเสธ แต่ข้าคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ เพราะระดับการฝึกฝนของเขาแดนราชายุทธ์ขั้น 2 คิงซิวหลัวสามารถฉายาราชายุทธ์ อันดับหนึ่ง จะมีชื่อเสียงและเป็นเกียรติหนึ่งร้อยปี อย่างน้อยก็อยู่ที่แดนราชายุทธ์ขั้น 7” ลู่เจิ้งเซี๋ยงส่ายหัวและพูด

เมื่อกล่าวถึงที่นี้ ลู่เจิ้งเซี๋ยงจ้องไปที่ ไป๋หลิงเซวียน “เทพธิดาไป๋ เจ้ากับข้าเป็นเพื่อนกันมานานกว่าสองร้อยปี ดังนั้นข้าจึงบอกเจ้า คราวนี้ไปหุบเขาจิตนภา ข้าตั้งใจจะหาโอกาสฆ่าสองคนนี้ เลือดโบราณของหญิงนามสกุลเหยียนเป็นของเจ้า และที่เหลือเป็นของข้า เป็นอย่างไร?”

……

ในช่วงครึ่งเดือนที่ผ่านมา หลัวซิวได้ปิดขังฝึกตนอยู่ห้องของเรือรบนี้ เพราะเรือรบลำนี้เป็นของลู่เจิ้งเซี๋ยงและเขาสามารถรับรู้การเคลื่อนไหวใดๆ ในห้องโดยสารได้อย่างง่ายดาย

ดังนั้นเมื่อหลัวซิวอยู่ในการปิดขังฝึกตน เขาได้จัดค่ายกลรอบๆไว้ กั้นการสำรวจของออร่าและตัวสำนึก

ลู่เจิ้งเซี๋ยงก็สังเกตเห็นการจัดค่ายกลหลัวซิวเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงความสงสัย เขาไม่ได้สัมผัสค่ายกลเหล่านี้อย่างจริงจังเพื่อตรวจสอบการเคลื่อนไหวภายใน

หลัวซิวนำแท่นบัวทิพย์ห้าสีที่ได้รับจากแดนแต่งตั้งราชาออกมา จากนั้นนำหินพลังจิตชั้นสูงจำนวน หนึ่งแสนก้อนออกมา และทำค่ายผนึกปราณรอบแท่นบัวทิพย์ห้าสี

พื้นที่เหนือแท่นบัวทิพย์สามารถรองรับได้เพียงคนเดียวในการฝึกฝน ตอนนี้หลัวซิวจำเป็นต้องเพิ่มแข็งแกร่งของเขาอย่างเร่งด่วน และเวลาครึ่งเดือนไม่เพียงพอทำให้เหยียนเย่วเอ๋อร์แข็งแกร่งขึ้น ดังนั้นเขาจึงใช้แท่นบัวทิพย์ห้าสีนี้ด้วยตนเอง

กลั่นหินพลังจิตชั้นสูงจำนวนหนึ่งแสนก้อนเพื่อวิวัฒนาการปราณทิพย์ฟ้าดิน ผลของการฝึกฝนจะเห็นได้ชัดมาก

ควบคู่ไปกับเม็ดยาจำนวนมากที่เขากลั่นก่อนหน้านี้ที่ใช้เวลาสามวัน หลัวซิวเชื่อว่าความแข็งแกร่งของเขาจะเพิ่มอย่างก้าวกระโดดก่อนที่จะไปถึงหุบเขาจิตนภา

ช่วงเวลาอันอบอุ่นมักสั้นเสมอ หลัวซิวถูกลิขิตให้ฆ่าคนนับไม่ถ้วนตามที่แดนแต่งตั้งเทวทูตกล่าวไว้

ลู่เจิ้งเซี๋ยงส่งคนมาอีกครั้ง

หลัวซิวบอกเหยียนเยว่เอ๋อร์เกี่ยวกับหุบเขาจิตนภา

“ตามที่เจ้าพูด ลู่เจิ้งเซี๋ยงผู้นี้คงไม่มีเจตนาดี” หลังจากที่เหยียนเย่วเอ๋อร์ได้ยินเรื่องนี้ นางขมวดคิ้วและพูดว่า “เขาเป็นจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 6 แม้ว่าข้าทานยาเมฆามรณะฐาน การฝึกฝนถึงจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 3 แล้ว เว้นแต่จะแผดเผาชีวีพลังเลือดอีกครั้ง ไม่อย่างนั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา”

“ไม่ว่าเขาจะมีแผนร้ายอย่างไร ในเมื่อเขาส่งคนมา เราไปพบเขากันเถอะ” หลัวซิวกล่าวด้วยรอยยิ้ม

มันยังคงเป็นห้องนั่งเล่นเหมือนครั้งที่แล้ว แต่คราวนี้ ไม่ใช่การประชุมระหว่างหลัวซิวและลู่เจิ้งเซี๋ยง หลัวซิวพาเหยียนเยว่เอ๋อร์มา และข้างลู่เจิ้งเซี๋ยงก็มีหญิงสวมที่สง่างามและหรูหราสวมชุดกระโปรงยาว ตาสวยยั่วยวนนั่งอยู่

“ฮ่าฮ่า ให้ข้าแนะนำกับพวกเจ้าสองคน นี่คือไป๋หลิงเซวียน ซึ่งได้รับเชิญจากข้าในครั้งนี้ ไปสำรวจหุบเขาจิตนภา” ลู่เจิ้งเซี๋ยงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

หญิงงามที่ชื่อไป๋หลิงเซวียนยิ้มและพยักหน้าเป็นการทักทาย

“นามสกุลของข้าคือเหยียน” เหยียนเยว่เอ๋อร์พูดอย่างเรียบง่ายและชัดเจนด้วยท่าทางที่ไม่แยแส

นอกจากหลัวซิวแล้ว เวลาที่เผชิญหน้ากับคนอื่น นางไม่ชอบพูด

ลู่เจิ้งเซี๋ยงไม่สนใจทาทีที่ไม่แยแสของเหยียนเยว่เอ๋อร์ ยิ้มเล็กน้อย “ไม่รู้ว่าแม่นางเหยียนและผู้น้อย คิดยังไง?”

ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ออกมา ไป๋หลิงเซวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย “ หัวหน้าแก๊งลู่ การฝึกฝนของน้องสาวผู้นี้คือแดนจักรพรรดิยุทธ์ ดังนั้นจึงไม่เป็นไรที่จะเชิญนางไปด้วย แต่น้องชายผู้นี้ดูเหมือนว่าการฝึกฝนจะอยู่ในแดนราชายุทธ์ใช่ไหม?”

ไป๋หลิงเซวียนผู้นี้เป็นผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 4 และดูเหมือนว่าจะไม่เต็มใจที่จะจัดกลุ่มกับราชายุทธ์

“ฮ่าฮ่า ข้าจะไปหาประสบการณ์เอง ถ้าข้าไม่ไป นางก็จะไม่ไปเหมือนกัน” หลัวซิวหัวเราะ

“หือ?”นัยน์ตาที่สวยงามของไป๋หลิงซวนแวบวาบด้วยความแปลกใจ นางดูออกแล้ว ทั้งสองคนที่อยู่ตรงข้ามดูเหมือนจะไม่นำโดยแม่นางเหยียนที่มีการฝึกฝนแดนจักรพรรดิยุทธ์ กลับเป็นชายหนุ่มผู้นี้ที่มีเพียงการฝึกฝนถึงแดนราชายุทธ์

“ฮ่าฮ่า ถ้าเจ้าต้องการไปด้วยก็ไม่เป็นไร มีจักรพรรดิยุทธ์ทั้งสามอย่างเราอยู่ จะปกป้องเจ้าให้ปลอดภัยแน่นอน” ลู่เจิ้งเซี๋ยงกล่าวพร้อมกับหัวเราะเสียงดัง

จากนั้นเขาก็มองไปที่ ไป๋หลิงเซวียน “เทพธิดาไป๋ อาจไม่รู้อะไรบางอย่าง ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหนุ่มกับแม่นางเหยียนนั้นไม่ธรรมดา”

ครั้งนี้ไป๋หลิงเซวียนเข้าใจทันที เห็นได้ชัดว่าทั้งสองมีความสัมพันธ์กัน แต่สิ่งที่ทำให้นางสงสัยคือแม่นางเหยียนนี้ ถึงแดนจักรพรรดิยุทธ์และสวยงามมากเช่นนี้ ทำไมนางถึงชอบผู้ชายธรรมดาเช่นนี้?

หลังจากนั้น ไม่กี่คนก็เลิกพูดคุยเกี่ยวกับปัญหานี้ต่อไป เรื่องที่หลัวซิวจะติดตามไปด้วย ไป๋หลิงเซวียนก็เงียบไป นับว่าให้เกียรติลู่เจิ้งเซี๋ยง

“เวลาสามวัน ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อม หลังจากสามวัน เราจะพบกันที่เขาปี่ซิวนอกเมืองเมืองโม่โหลว” คราวนี้ ลู่เจิ้งเซี๋ยงเรียกทุกคนที่นี่เพื่อบอกเรื่องนี้

มีเพียงลู่เจิ้งเซี๋ยงเท่านั้นที่รู้ว่าซากปรักหักพังโบราณของหุบเขาจิตนภาอยู่ที่ไหน แต่หลัวซิวก็อยากรู้เช่นกันว่าลู่เจิ้งเซี๋ยงคนนี้ต้องการทำอะไร

เพราะลู่เจิ้งเซี๋ยงผู้นี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเขา แต่จู่ๆ เขาก็พาเขาไปสำรวจซากปรักหักพังโบราณ จะไม่มีกลอุบายอยู่ในนั้นได้อย่างไร?

แม้ว่าหลัวซิวจะไม่รู้ว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของลู่เจิ้งเซี๋ยงคืออะไร แต่เขาก็ชัดเจนจุดประสงค์ของตนเองมาก เขาจะไปเยี่ยมชมซากปรักหักพังโบราณของหุบเขาจิตนภา และอาจหาโอกาสที่เหมาะสมเขาได้บ้าง

สำหรับหลัวซิว เวลาสามวันก็เพียงพอแล้วที่จะทำสิ่งต่างๆ มากมาย

มีความมั่งคั่งมหาศาลจากหินพลังจิตชั้นสูงจำนวน สองแสนหกหมื่นก้อน หลัวซิวพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเปลี่ยนให้เป็นทรัพยากรที่สามารถเพิ่มการฝึกฝนของเขาได้

ผ่านช่องทางภายในขององค์กร เขาใช้อำนาจของขั้นดำชั้นสูง ซื้อยาวิเศษระดับ 6 จำนวนมาก

สำหรับวรยุทธ์หรือทักษะยุทธ์ขั้น 9 เขามีดาบภูตผีเซินหลัวอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองทรัพยากรในเรื่องนี้

เหยียนเยว่เอ๋อร์ฝึกฝนวรยุทธ์สืบทอดของตระกูลเหยียน 《พลังเทียนเฟิ่ง》แม้ว่าจะเป็นเพียงขั้น 8 เนื่องจากการตื่นขึ้นของเลือดเผ่าหงส์โบราณ วรยุทธ์พลังเทียนเฟิ่งนี้ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน อย่างน้อยก็ถึงขั้น 9

แต่ว่าวรยุทธ์พลังเทียนเฟิ่งนี้ไม่สมบูรณ์แล้ว ขาดวิชาท่าร่างที่คู่กับวรยุทธ์นี้ไป

หลัวซิวสลักสูตรการฝึกของ วิชาท่าร่างบรรลุมังกรเขียวอยู่ในม้วนหยก และให้เหยียนเย่วเอ๋อร์ฝึกฝน

“นี่คือ… วิชายิ่งเลิศท่าร่าง?”

เมื่อตัวสำนึกมองเห็นเนื้อหาในม้วนหยก เหยียนเยว่เอ๋อร์มองไปที่หลัวซิวด้วยความประหลาดใจ

วรยุทธ์หรือทักษะยุทธ์ขั้น 9 นั้นล้ำค่าอยู่แล้ว แล้วยิ่งเป็นวิชายิ่งเลิศล่ะ?

“ข้าได้มันมาโดยบังเอิญ หากฝึกวิชาท่าร่างนี้สำเร็จ ความแข็งแกร่งของเจ้าสามารถเพิ่มขึ้นได้มาก” หลัวซิวกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ในเวลาสามวันนี้ เหยียนเยว่เอ๋อร์เริ่มทำความเข้าใจวิชาท่าร่างบรรลุมังกรเขียว ขณะที่หลัวซิวเริ่มกลั่นยาระดับ 6 ในปริมาณมาก

สำหรับผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ที่มีอายุยืนนับพันปี เวลาสามวันเป็นเพียงชั่วพริบตา

วันนี้ หลัวซิวและเหยียนเยว่เอ๋อร์เดินออกจากห้องและเห็นลู่เจิ้งเซี๋ยงทันที

ทั้งสามคนออกจากเมืองด้วยกันมาถึงภูเขาภิกษุซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองไปหลายสิบไมล์

ไม่นานนัก ไป๋หลิงเซวียน ก็มาถึงที่นี่เช่นกัน

เห็นลู่เจิ้งเซี๋ยงพลิกฝ่ามือ แสงสว่างในอากาศต่อหน้าทุกคนก็วูบวาบ และเรือรบยาว 100 เมตรก็ปรากฏร่างขึ้น เรือรบใหญ่ขึ้นตามลม กลายเป็นเรือรบยาวสามร้อยเมตรในพริบตา ใหญ่ กว้าง

ลู่เจิ้งเซี๋ยงคือผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 6 ด้วยฐานะหัวหน้าแก๊งของแก๊งสาขานักล่าอสูร จึงไม่น่าแปลกใจที่เขามีเรือรบชั้นล่าง

การควบคุมเรือรบเป็นสัญลักษณ์ของผู้แข็งแกร่ง ราคาของเรือรบชั้นล่างนั้นอยู่ที่ประมาณหินพลังจิตชั้นสูงห้าหมื่นก้อน

“ฮ่าฮ่า ผู้น้อยซิวหลัว เรือรบของข้าเป็นยังไง?” ทั้งสี่บินขึ้นไปยืนอยู่บนกระดานเรือ ลู่เจิ้งเซี๋ยงหันไปมองหลัวซิวแล้วถาม

“ถ้าผู้น้อยดูไม่ผิด ตัวเรือน่าทำจากเหล็กชิงเฟิงวัสดุขั้น 5 วาดค่ายวาตะขั้น 6 ไว้ด้วย ค่ายกลโจมตีขั้น 5 ค่ายกลการคุ้มกันขั้น 5 และยังติดตั้งปืนใหญ่พลังดั้งเดิมสามปืนชั้นล่าง ยิงครั้งหนึ่งสามารถฆ่าราชายุทธ์ได้อย่างง่ายดายแล้วสามารถทำร้ายจักรพรรดิยุทธ์ธรรมดาให้ได้รับบาดสาหัสอย่างร้ายแรง” หลัวซิวกล่าวด้วยรอยยิ้ม

สมบัติในตอนนี้ของหลัวซิว ซื้อเรือรบลำหนึ่งเป็นเรื่องง่าย แต่เขามีปีกทิพย์ไร้มลทิน ซึ่งเร็วกว่าเรือรบ ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องเปลืองทรัพยากรในเรื่องนี้

“ฮ่าฮ่า ผู้น้อยซิวหลัวสายตาดี” ลู่เจิ้งเซี๋ยงหัวเราะ จากนั้นเขาก็บังคับเรือรบ กลายเป็นลำแสงบินขึ้นไปบนท้องฟ้า

ทุกคนกำลังเดินทาง ทั้ง 4 คนนั่งอยู่บนดาดฟ้าของเรือรบ ลู่เจิ้งเซี๋ยงม้วนหยิบหยกสามม้วนออกมาแล้วยื่นให้ทั้งสามคน

ในม้วนหยก มีการบันทึกข้อมูลบางส่วนเกี่ยวกับซากปรักหักพังโบราณของหุบเขาจิตนภา

เขาไม่คิดว่าหลัวว่าก็คือคิงซิวหลัว เพราะฉายาราชายุทธ์อันดับ 1 นั้น ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาจะสามารถทำได้ ในองค์กรนักล่ายุทธ์ อย่างน้อยก็ได้รับอำนาจขั้นฟ้า แต่ชายหนุ่มที่อยู่ข้างหน้าเขาเป็นเพียงผู้มีอำนาจขั้นดำชั้นสูง และระดับการฝึกฝนแค่ราชายุทธ์ขั้น 2 เท่านั้น

หลัวซิวก็ไม่เกรงใจ หลังจากนั่งลง เขาก็ถามด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ทราบว่าท่านหัวหน้าแก๊งเรียกผู้น้อยมา มีอะไรเล่า?”

“ฮ่าฮ่า ผู้น้อยเป็นคนฉลาดจริงๆ จริงๆแล้วที่ข้าเชิญเจ้ามา เพราะมีโอกาสที่จะส่งให้เจ้า” ลู่เจิ้งเซี๋ยงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลัวซิวก็เยาะเย้ยในใจ เขาไม่เชื่อว่าจะมีใครในโลกนี้ที่เต็มใจจะให้โอกาสกับผู้อื่น ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาและลู่เจิ้งเซี๋ยงไม่มีความสัมพันธ์และไม่มีมิตรภาพอะไรต่อกัน

ในใจพูดอย่างนี้ หลัวซิวจะไม่พูดโดยตรง เขาแค่ไม่ได้พูดอะไร เขาหยิบถ้วยน้ำชาและดื่มชา เพราะเขารู้ลู่เจิ้งเซี๋ยงจะต้องพูดอะไรมากกว่านี้

“พูดตามตรง ข้าบังเอิญค้นพบซากปรักหักพังโบราณเมื่อไม่นานมานี้ เรียกว่าหุบเขาจิตนภา ไม่รู้ว่าเจ้าสนใจไหม?” ลู่เจิ้งเซี๋ยงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่น่าฟัง

“หุบเขาจิตนภา?” หลัวซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย “ผู้น้อยมีฐานการฝึกฝนต่ำ หากผู้ท่านต้องการเชิญผู้อื่นให้สำรวจซากปรักหักพังโบราณ ก็ควรเชิญผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์มาด้วย ทำไมถึงอยากให้ผู้น้อยไปด้วย?”

หลัวซิวรู้สึกจากใจว่าลู่เจิ้งเซี๋ยง ลู่เจิ้งเซี๋ยงมีเจตนาไม่ดี ในขณะที่พูด เขาก็สื่อสารกับจักรพรรด์ยุทธ์เสวียนดำ

แต่จักรพรรด์ยุทธ์เสวียนดำที่ได้เห็นและรู้เรื่องราวมากมาย ก็ยังไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับหุบเขาจิตนภามาก่อน

“ว่ากันว่า ก่อนหน้านี้ที่เจ้าจากไป ได้ทิ้งหญิงสาวนางหนึ่งที่สลบอยู่ในองค์กร ตัวสำนึกของข้าสัมผัสได้โดยไม่ได้ตั้งใจว่านางดูเหมือนจะเป็นผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ ข้าคิดว่าหลังจากผ่านไปหลายวัน แม้นางจะได้รับบาดเจ็บ ก็ถึงเวลาที่ต้อง ตื่นแล้ว” ลู่เจิ้งเซี๋ยงพูดด้วยรอยยิ้ม

ดูเหมือนว่าตามความหมายของเขา คนที่เขาต้องการเชิญไม่ใช่หลัวซิว แต่เป็นผู้หญิงที่มีฐานการฝึกฝนจักรพรรดิยุทธ์หลัวซิวรู้ว่าเขากำลังพูดถึงเหยียนเยว่เอ๋อร์ ในช่วงเวลาที่เขาไม่อยู่ ลู่เจิ้งเซี๋ยงต้องไปดูแล้ว สำหรับคำพูดที่บอกว่า ตัวสำนึกสมผัสถึงโดยไม่ได้ตั้งใจ ไม่จริงทั้งนั้น

เรื่องที่ลู่เจิ้งเซี๋ยงเดาได้ยังไงว่าว่า เหยียนเย่วเอ๋อร์ กำลังจะตื่น หลัวซิวค่อนข้างสงสัยเหมือนกัน เขาได้ตั้งค่ายกลไว้ในห้อง ด้วยวิธีการของลู่เจิ้งเซี๋ยง เป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าไปโดยไม่แตะต้องค่ายกล

“เรื่องนี้ ผู้น้อยต้องถามนาง พรุ่งนี้นางอาจจะตื่นขึ้นมา ข้าสงสัยว่าท่านรู้ได้อย่างไร?” หลัวซิวแสดงความสงสัยในใจ

ลู่เจิ้งเซี๋ยงยิ้มเล็กน้อย “เจ้าขายสมบัติมากมายและได้รับหินพลังจิตชั้นสูงมากกว่า สองแสนก้อน ไม่ว่านางจะได้รับบาดเจ็บแบบไหน ข้าคิดว่าด้วยความมั่งคั่งมหาศาลนี้ ก็สามารถซื้อยาสมุนไพรเพื่อรักษานางได้แล้ว?”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลัวซิวรู้สึกพูดไม่ออก เขาไม่ได้คาดหวังว่าลู่เจิ้งเซี๋ยงจะเดามั่วๆก็ถูก

ยิ่งกว่านั้น เมื่อลู่เจิ้งเซี๋ยงกล่าวถึงหินพลังจิตชั้นสูงกว่าสองแสนก้อน อารมณ์ของเขาผันผวนเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะปกปิดมันไว้อย่างดี หลัวซิวก็รู้สึกถึงมัน

เงินทำให้ใจคนเปลี่ยน!

หินพลังจิตชั้นสูงมากกว่าสองแสนก้อนก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้จักรพรรดิยุทธ์สนใจอยากได้แล้ว

หลังจากที่ทั้งสองคุยกันแบบสบาย ๆ อีกสองสามประโยค หลัวซิวก็จากไปและกลับไปที่ห้อง

……

คืนนั้น หลัวซิวนั่งข้างเตียงของเหยียนเยว่เอ๋อร์ ขนตาของนางสั่นเล็กน้อย หลัวซิวก็ลืมตาขึ้นทันทีหลังจากสัมผัสได้

พลังยาส่วนใหญ่ของดอกเมฆามรณะ ได้กระจายและดูดซึมเข้าสู่ร่างกายของนาง ไม่เพียงแต่เป็นพลังและเลือดที่สูญเสียไปได้ฟื้นกลับมาเท่านั้น หากพลังแห่งยาทั้งหมดของดอกเมฆามรณะได้ดูดซึมหมด การฝึกฝนของนางก็จะดีขึ้นอย่างมาก

ในแง่หนึ่ง เหยียนเยว่เอ๋อร์อาจถือได้ว่ามีความโชคดีในความโชคร้าย มิฉะนั้น หากนางฝึกฝนทีละขั้นตอน อย่างน้อยต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะผ่านแดนเล็กไปได้

“เยว่เอ๋อร์?”หลัวซิวเรียกนาง

ความถี่ของขนตาของเหยียนเยว่เอ๋อร์สั่นเร็วขึ้น นิ้วของนางก็ขยับเล็กน้อย และออร่าของพลังจิตแท้ในร่างกายของนางก็หมุนเวียนไปทั่วร่างและตัวสำนึกที่หลับอยู่ก็ฟื้นคืนชีพ

เมื่อนางลืมตาขึ้น นางเหม่อไปครู่หนึ่ง จากนั้นดวงตาคู่หนึ่งที่เจิดจ้าราวกับดวงดาวฟื้นคืนความกระปรี้กระเปร่า และมองไปยังหลัวซิวด้วยความอ่อนโยนเหมือนน้ำ

ทันใดนั้นนางก็ลุกขึ้นและกอดหลัวซิวแน่น

นางจำได้อย่างชัดเจนว่า ก่อนที่นางจะหมดสติ หลัวซิวได้รับบาดเจ็บสาหัส เมื่อเห็นว่าหลัวซิวสบายดี นางอดไม่ได้ที่จะกอดเขาด้วยความตื่นเต้นเพราะนางกลัวที่จะสูญเสียเขาไป

คนรักอยู่ในอ้อมแขน หัวใจของหลัวซิวก็ต้อนรับความสุขนี้อย่างสงบอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ฝ่ามือของเขาลูบไล้ผมสีแดงเพลิงของนางอย่างนุ่มนวล และใบหน้าที่เย้ายวนของนางก็สวยงามอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในดวงตาของเขา

“ไม่เป็นไร อยู่กับข้าที่นี่ ข้าจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายเจ้าอีกต่อไป” หลัวซิวพูดเบา ๆ เขารู้ว่าถ้าไม่เพื่อปกป้องเขา เหยียนเยว่เอ๋อร์ ก็คงจะไม่สลบไปเป็นเวลาหนึ่งปีกว่า

เหยียนเยว่เอ๋อร์ สะเทือนใจมาก นางยกแก้มขึ้นและหัวเราะ “เจ้าหนุ่มน้อย อยากปกป้องข้า อย่างน้อยก็ต้องรอให้ความแข็งแกร่งของเจ้าแข็งแกร่งขึ้น ก่อนหน้านั้น ให้ข้ามาปกป้องเจ้าเอง”

หัวใจที่เยือกเย็น เปิดให้เจ้าเท่านั้น เพื่อเจ้า ข้าสามารถสละชีวิตของข้าได้

เหยียนเยว่เอ๋อร์ไม่สามารถพูดคำที่หวานเลี่ยนเช่นนี้ไม่ได้ แต่มันเป็นเสียงในใจของนาง

“ข้าได้รับการปกป้องจากผู้หญิงตลอด ข้าไม่รู้สึกละอายใจหรือ?” หลัวซิวหัวเราะ

เหยียนเยว่เอ๋อร์เบะริมฝีปากสีแดง “เจ้าหนุ่มน้อย เจ้าไม่อยากถูกปกป้อง? อื้อ … “

ก่อนที่นางจะพูดจบ หลัวซิวก็จูบนาง และร่างกายที่อ่อนนุ่มของนางก็ถูกบดขยี้บนเตียง

……

ในเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น แสงอรุณรุ่งจากดวงอาทิตย์ขึ้นตกเข้ามาในห้องผ่านช่องหน้าต่าง

หลัวซิวเดินลงจากเตียงโดยเปลือยกาย ร่างกายที่เรียวยาว กล้ามเนื้อที่สมส่วน ผิวที่ขาวสะอาด ผมสีดำยาวร่วงลงมา ใบหน้าของเขาแน่วแน่ คมราวกับมีด และดวงตาสีดำของเขาลึกราวขุมนรก

บนเตียงรกๆ เหยียนเยว่เอ๋อร์ก็ตื่นเช่นกัน เมื่อผู้หญิงที่เพิ่งตื่นขึ้น จะเป็นเวลาที่นางสวยที่สุด

“เจ้าหนุ่มน้อย ทำไมเจ้าถึงวิ่งไปรอบๆ โดยไม่สวมเสื้อผ้า? ไม่ละอายเลยหรือไง” ผมสีแดงเพลิงของนางกระจัดกระจายอยู่บนหน้าอกของนาง เหยียนเยว่เอ๋อร์มองไปที่หลังเปลือยของหลัวซิวและพูดด้วยการล้อเล่น

บางครั้งนางก็จะระลึกถึงเรื่องต่างๆ ระหว่างคนทั้งสองโดยไม่ตั้งใจ และบางครั้งนางก็สับสน อาจเป็นเพราะโชคชะตาที่พัวพัน ทำให้นางอยู่กับชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่านางสองร้อยกว่าปี

แม้แต่หัวใจของนาง ก็ยังถูกพิชิตโดยเจ้าหนุ่มน้อยผู้นี้ ไม่เพียงแต่ใจ ยังมี…

เมื่อคิดถึงจุดนี้ สภาพจิตใจที่เหยียนเยว่เอ๋อร์ ฝึกฝนมานานกว่าสามร้อยปี ก็ทำให้ใบหน้างามแดงระเรื่อทันที

“งั้นข้าสวมเสื้อผ้า” หลัวซิวมองกลับมาที่นาง ยกมือขึ้นและคว้าเสื้อคลุมสีดำมา

ในเวลานี้ หลัวซิวสังเกตเห็นใบหน้าที่แดงระเรื่อของเหยียนเยว่เอ๋อร์และหัวเราะ “หน้าแดงมาก เมื่อคืน… ”

ก่อนที่เขาจะพูดจบ หมอนก็ถูกโยนทิ้งมา

“ทำไมเจ้าถึงชอบใส่ชุดสีดำ? ข้าคิดว่าเจ้าสวมชุดสีขาวดูดี สุภาพเรียบร้อย เหมือนท่านชาย ไม่ดีหรือเล่า?” เหยียนเยว่เอ๋อร์ หัวเราะ

“เจ้าไม่รู้สึกว่า ข้าไม่สวมชุดจะดูดีกว่าหรือ?” หลัวซิวกะพริบตา

“สามารถแลกเปลี่ยนเป็นหินพลังจิตชั้นสูงได้หรือไม่?” หลัวซิวถาม

“เอ่อ…ท่านชายน่าจะรู้ว่า หินพลังจิตชั้นสูง เป็นทรัพยากรที่หายาก หากเจ้าต้องการแลกเปลี่ยน เจ้าต้องใช้หินระดัลกลางหนึ่งร้อยสิบก้อน ยังสามารถแลกเปลี่ยนหินระดับสูงได้หนึ่งก้อน ข้าสามารถแลกเปลี่ยนเป็นหินขั้นสูงแปดหมื่นก้อนให้เจ้าได้เท่านั้น” ลู่กล่าว

“ได้” หลัวซิวพยักหน้า

สำหรับเขาแล้วหินพลังจิตชั้นกลางเป็นเพียงตัวเลข มีเพียงหินพลังจิตชั้นสูงเท่านั้นที่สามารถมีผลในการฝึกฝนของเขา

เขาก็รู้ว่าหินพลังจิตชั้นสูงเป็นทรัพยากรที่หายาก เพราะนักกลั่นยาที่อยู่เหนือขั้น 6 นั้นมีน้อย และยารักษาก็หายาก จักรพรรดิยุทธ์ส่วนใหญ่ จะใช้หินพลังจิตชั้นสูงเพื่อเพิ่มการฝึกฝน และมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถได้ยามาเพิ่มการฝึกฝนอย่างเพียงพอ

ท่านหลู่มีหน้าที่ในการระบุสมบัติเท่านั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะเอาหินพลังจิตชั้นสูงแปดหมื่นก้อนออกมาให้หลัวซิว เขาจำเป็นต้องไปถามองค์กรก่อน

แต่อาวุธเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งในมือของหลัวซิว เขาก็หยิบอีกแหวนวงหนึ่งออกมาแล้ววางลงบนโต๊ะ

คราวนี้ ท่านหลู่ไม่กล้าไม่สนใจแม้แต่น้อย หยิบแหวนขึ้นมาอย่างระมัดระวัง ตัวสำนึกของเขาแทรกเข้าไปในแหวน และเขาก็อดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าลึกๆ

ในวงแหวนเก็บของก่อนหน้านี้ มีอาวุธระดับกองทัพดินมากกว่าหนึ่งร้อยเล่ม

และในวงแหวนนี้ เป็นยาที่เป็นขวดๆ ทั้งหมดเป็นขั้น 5 และ 6 และมีจำนวนมากกว่าสองร้อยเม็ด

ยาเหล่านี้ไม่ได้กลั่นโดยหลัวซิว แต่ยาเม็ดที่อยู่ในแหวนเก็บของ เป็นของราชายุทธ์ที่เขาฆ่าเหล่านั้น เป็นยาเม็ดที่มีคุณภาพประมาณแปดส่วนสิบ

แค่ไม่ใช่ยาบริสุทธิ์ ในสายตาของหลัวซิว ก็คือขยะทั้งนั้น ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเก็บไว้ใช้เอง และแม้แต่ขยะในสายตาของเขาก็ยังอายที่จะมอบให้ฮู๋ชิงชิง

เพราะฮู๋ชิงชิง ก็นับว่าเป็นเพื่อนของเขาเช่นกัน หลัวซิวจะรู้สึกเสียใจ ถ้าเขามอบขยะที่เขาไม่ชอบให้นาง

ผ่านไปอีกสี่ชั่วโมงกว่า มีหยาดเหงื่ออยู่บนหน้าผากของท่านหลู่ มูลค่ารวมของเม็ดยาเหล่านี้คือก่อนหินระดับกลางมากกว่าแปดล้าน!

ท่านหลู่รู้สึกเวียนหัว เขาคิดในใจว่าชายหนุ่มผู้นี้จะเอาของอย่างอื่นออกมาแล้วนะ?

“รับวรยุทธ์หรือทักษะยุทธ์หรือไม่?” หลัวซิวถามด้วยรอยยิ้ม

องค์กรรับเฉพาะวรยุทธ์หรือทักษะยุทธ์ขั้น 7 ขึ้นไปเท่านั้น” ท่านหลู่กล่าวอย่างสุภาพ แม้ว่าเขาจะยังหนุ่มมาก แต่สามารถเอาของพวกนนี้ออกมาได้ ต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน

หลัวซิวพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม จากนั้นภายใต้ดวงตาที่สั่นเทาของท่านหลู่ เขาหยิบแหวนอีกอันหนึ่งออกมาแล้ววางลงบนโต๊ะ

คราวนี้ แม้แต่ผู้หญิงรูปร่างสูงผอมเพรียวที่เคยเห็นผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ขึ้นไป ก็ยังรู้สึกแข้งขาเฉื่อยชาและเวียนหัว

ท่านหลู่เอื้อมมือไปหยิบแหวน มือสั่นไม่หยุด และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าแก่แล้ว มือของข้าควบคุมไม่ได้”

เมื่อตัวสำนึกเห็นสิ่งที่อยู่ในวงแหวน ผู้ท่านหลู่รู้สึกหน้ามืดอยากจะหมดสติ

ในแหวนมีม้วนหยกที่จัดวางอย่างเป็นระเบียบและหนังสือสีเหลืองบางเล่ม

มีนักยุทธ์สู้หลายคน ที่จะนำวรยุทธ์ที่ฝึกฝนอยู่เป็นประจำติดตัว สามารถฝึกฝนได้ตลอดเวลา ทำความเข้าใจความลึกลับในวรยุทธ์

หลัวซิวฆ่าปรมาจารย์จำนวนไม่น้อย วรยุทธ์หรือทักษะยุทธ์ที่ได้มาก็ไม่น้อย แต่ไม่มีวรยุทธ์ขั้น 9 ทั้งหมดเป็นขั้น 7 หรือ 8

วรยุทธ์ขั้น 9 ถือเป็นการสืบทอดความลับใจกลางหลักในหมู่ผู้มีอำนาจระดับสูงด้วยเช่นกัน โดยทั่วไปวรยุทธ์ประเภทนี้จะไม่ได้รับอนุญาตให้นำติดตัวอยู่บนร่างของศิษย์เป็นการส่วนตัวเพื่อป้องกันการรั่วไหล

นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเมื่อมีวรยุทธ์หรือทักษะยุทธ์ขั้น หลุดออกไป จะทำให้เกิดความโกลาหลและแย่งชิงกันเอง

สำหรับวิชายิ่งเลิศหรือพลังอมตะที่เหนือกว่าวิชายิ่งเลิศ แม้จะเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ชั้นยอด มีคนจำนวนน้อยมากที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะได้ฝึกฝน

เจ้าค่าของศิลปะการต่อสู้และศิลปะการต่อสู้นั้นสูงกว่าของทหารและเม็ดยา

ในบรรดาแหวนวงที่สามที่หลัวซิวหยิบออกมา วรยุทธ์หรือทักษะยุทธ์ขั้น 7 มีมากกว่า 30 ชนิดและวรยุทธ์หรือทักษะยุทธ์ขั้น 8 มี 17 ชนิด

ท้ายที่สุด การประเมินราคาของวรยุทธ์หรือทักษะยุทธ์เหล่านี้คือ 10 ล้านก้อนของหินระดับกลาง!

หินพลังจิตทั้งหมด หลัวซิวขอให้แลกเปลี่ยนเป็นขั้นสูง เพียงการค้าขายนี้ ก็มีหินพลังจิตชั้นสูง สองแสนหกหมื่นก้อนเข้ามาในบัญชี

หลัวซิวยังคงมีฮู้และสมบัติค่ายกลที่เขายังไม่ได้นำออกมา เขากังวลว่า หากเขายังคงนำพวกมันออกไป ท่านหลู่ผู้นี้จะสลบไปทันที

ราคาของวรยุทธ์หรือทักษะยุทธ์จะสูงกว่าอาวุธและยา

ระหว่างทางกลับห้องสาวงามสูงมักจะแสดงความรู้สึกรักใคร่ออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งทำให้หลัวซิวอยากหัวเราะ คาดว่าผู้หญิงผู้นี้ถือว่าเขาเป็นเต่าเขยทองหรืออะไรสักอย่าง

แม้ว่าผู้หญิงผู้นี้จะไม่ได้ดูแย่ แต่หลัวซิวก็ไม่ได้ถูกล่อใจ ทำอย่างกับว่าเขาไม่เคยเห็นนางแสดงออกถึงถึงความชอบ

เมื่อมองดูหลัวซิวผลักประตูและเดินเข้าไป หญิงร่างสูงก็มุ่ยริมฝีปากสีแดง และกระทืบเท้าของนางด้วยความรำคาญ

วันรุ่งขึ้น หญิงร่างสูงผอมเพรียวมาที่ประตูห้องของหลัวซิว ก่อนที่นางจะเคาะประตู หลัวซิวก็รู้สึกได้ถึงจากการป้องกันค่ายกลแล้ว

คราวนี้ หญิงร่างสูงผอมเพรียวไม่ได้มายั่วยวนเขา แต่ส่งแหวนเก็บของที่บรรจุหินพลังจิตชั้นสูง จำนวนสองแสนหกหมื่นก้อนมาให้

“ท่านชาย ท่านหัวหน้าแก๊งต้องการพบท่าน” หญิงร่างสูงพูดด้วยรอยยิ้มที่มีเสน่ห์

“หือ? ท่านหัวหน้าแก๊งต้องการพบข้าเรื่องอะไร?” หลัวซิวถามอย่างไม่ใส่ใจ

หลัวซิวไม่แปลกใจเลยที่หัวหน้าแก๊งขององค์กรเมืองโม่โหลวจะสังเกตเห็นเขา เพราะการค้าขายหินพลังจิตชั้นสุงสองแสนหกหมื่นก้อนนั้นไม่ใช่สิ่งเล็กน้อย

“ข้าม่รู้”

“อือ นำทางเถอะ” หลัวซิวพยักหน้า

ไม่ว่าอย่างไร ตอนนี้ เขาก็อยู่ในพื้นที่ของท่านหัวหน้าแก๊งนี้ อีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ หลัวซิวต้องให้เกียรตินี้

หัวหน้าแก๊งขององค์กรนักล่ายุทธ์ที่เมืองโม่โหลว ชื่อ ลู่เจิ้งเซี๋ยง เป็นผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 6

แม้ว่าหลัวซิวจะอยู่ในองค์กรเมืองโม่โหลวเป็นเวลานาน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองได้พบกัน

ในฐานะผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ แล้วยังเป็นจักรพรรดิยุทธ์ขององค์กรสาขา มีอำนาจขั้นดำชั้นสูงในองค์กรเหมือนกัน ในแง่ของสถานะ หลัวซิวยังคงด้อยกว่าอีกฝ่าย

“ผู้น้อยซิวหลัว คำนับท่านหัวหน้าแก๊ง” หลังจากที่หลัวซิวเข้ามาในห้อง เขาก็กำหมัดคำนับ

ลู่เจิ้งเซี๋ยงยืนขึ้นและพูดด้วยเสียงหัวเราะ “”ยินดีต้อนรับเพื่อนตัวน้อย ข้าได้ยินมาว่าฉายาราชายุทธ์ ที่แข็งแกร่งเป็นอันดับ 1 มีชื่อว่าคิงซิวหลัว เจ้าเรียกตัวเองว่าซิวหลัว หรือว่าเป็นอะไรกับคิงซิวหลัว?”

คำพูดนี้ของลู่เจิ้งเซี๋ยงเป็นเพียงคำพูดธรรมดาๆ ซึ่งถือเป็นคำชมเท่านั้น แต่ที่จริงแล้วเขาไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นตรงประเด็นจริงๆ

สีหน้าหลัวซิวปกติ ยิ้มและพูดว่า “ท่านล้อเล่นผู้น้อยแล้ว คิงซิวหลัวท่านนั้น ข้าน้อยก็อยากจะทำความรู้จักเช่นกัน”

ดูเหมือนลู่เจิ้งเซี๋ยงอายุสามสิบกว่าปี ร่างกายกำยำ ใบหน้าหล่อเหลา

“ผู้น้อย เชิญนั่ง” เขาปรบมือขณะพูด แล้วสาวใช้ก็เข้ามาเสิร์ฟชา

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง หญิงร่างสูงและผอมเพรียวพร้อมรอยยิ้มก็ปรากฏตัวต่อหน้าเขา

“ในมือข้ามีบางอย่างที่อยากจะขายออกไปผ่านช่องทางภายในขององค์กร” หลัวซิวกล่าวโดยตรง

“ท่านชาย โปรดมากับข้า” หญิงร่างสูงพาหลัวซิวไปที่ห้องห้องหนึ่งในองค์กร

มีโต๊ะอยู่ในห้องและของตกแต่งภายในห้องเป็นแบบโบราณ หน้าโต๊ะ มีชายชราเคราขาวนั่งอยู่ ดูแล้วไร้ชีวิตชีวา

“ท่านหลู่ ท่านชายผู้นี้ต้องการขายสมบัติบางอย่าง” หลังจากที่หญิงร่างสูงเดินเข้ามา นางพูดกับชายชราเคราขาว

ชายชราเคราขาวเงยหน้าขึ้น และเมื่อเขาเห็นหญิงร่างสูงผอมเพรียว ดวงตาที่ไร้ชีวิตชีวาของเขาก็สว่างขึ้นในทันใด

มุมปากของหลัวซิวกระตุกเล็กน้อย แอบนึกในใจชายชราผู้นี้เป็นแบบนี้แล้ว เมื่อเห็นผู้หญิงสวย ๆ สายตาสว่างขึ้นมาทันที ทำให้เขารู้สึกพูดไม่ออกจริงๆ

แต่หลัวซิวเข้าใจท่านหลู่ผู้นี้ผิดไป อันที่จริงที่ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นไม่ใช่เพราะหญิงสูงที่มีหน้าอกสวยใหญ่ แต่เพราะเขารู้ว่าหญิงนางนี้ต้อนรับแต่ผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ขึ้นไป

แต่เมื่อท่านหลู่สังเกตว่าคนที่นางพามานั้นเป็นเพียงชายหนุ่มเท่านั้น คิ้วของเขาก็ขมวดขึ้น เขาแอบคิดว่าชายหนุ่มผู้นี้ยังเด็กมากนัก หรือเขาคือผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์?

“ท่านหลู่ ท่านชายผู้นี้มีอำนาจขั้นดำชั้นสูงในองค์กร ดังนั้นโปรดอย่าละเลย” หญิงร่างสูงเรียวก้าวไปข้างหน้า ริมฝีปากของนางแยกออกเบา ๆ และกระซิบกับท่านหลู่

“ขั้นดำชั้นสูง?”ท่านหลู่แสดงความประหลาดใจ ในองค์กรนักล่ายุทธ์ อำนาจขั้นดำชั้นสูงนั้นเทียบเท่ากับการปฏิบัติต่อผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์

หากเป็นผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีอำนาจเช่นนี้ แต่อัจฉริยะรุ่นเยาว์จะได้รับการปฏิบัติแบบนี้ก็ไม่ธรรมดาแล้ว

ซึ่งหมายความว่าการประเมินภายในขององค์กรเกี่ยวกับศักยภาพของอัจฉริยะหนุ่มนี้ อย่างน้อยสามารถเข้าถึงแดนจักรพรรดิยุทธ์ได้

ระดับอำนาจภายในของนักล่าอสูรนั้นยากที่จะสูงขึ้น และมีข้อกำหนดที่เข้มงวด

พรสวรรค์ขั้นดำชั้นสูงอย่างน้อยก็จะกลายเป็น จักรพรรดิยุทธ์ในอนาคต ในประวัติศาสตร์ขององค์กรนักล่ายุทธ์ ตราบใดที่พวกเขายังไม่ตาย พวกเขาจะสมหวังในที่สุด

แม้ว่าจะมีระดับอำนาจเท่ากัน แต่อัจฉริยะพรสวรรค์นั้นไม่ดีเท่ากับจักรพรรดิยุทธ์ แต่จักรพรรดิยุทธ์ในอนาคตก็ควรค่าแก่การต้อนรับจากท่านหลู่

เขาอยู่ในแดนราชายุทธ์ขั้น 6 มานานหลายปีแล้ว อัจฉริยะพรสวรรค์ที่มีศักยภาพค่อนข้างสูง เขาไม่สามารถทำให้ชายหนุ่มไม่พอใจได้ง่ายๆ บางทีในอีกไม่กี่ปี ชายหนุ่มก็จะเก่งกว่าตัวเขาเอง

“อำนาจของสี่แก๊งใหญ่แบ่งออกเป็นสี่ระดับ คือฟ้า ดิน ดำ เหลือง อำนาจขั้นดำชั้นสูง หายากในสถานที่เล็กๆ แต่ถ้าอยู่ในที่ที่ผู้คนแข็งแกร่งรวมตัวกันนั้นก็ไม่นับว่าสูง”

หลัวซิวไม่ได้สนใจเกี่ยวกับระดับอำนาจในองค์กรนักล่ายุทธ์ของเขามากนัก ถ้าเขาต้องการ เขาแค่เปิดเผยตัวตนของเขาในฐานะคิงซิวหลัว องค์กรภายในจะประเมินศักยภาพของเขาและต้องเพิ่มระดับหลายระดับทันที

แต่หลัวซิวไม่ได้โง่ขนาดนั้น ฐานะคิงซิวหลัวนั้น หากผู้อื่นรู้ จะต้องทำให้เขาต้องถูกตามล่าฆ่าแน่นอน

ก้าวไปข้างหน้า หลัวซิวนั่งตรงข้ามชายชราเคราขาว

“ไม่รู้ว่าท่านชายจะซื้อของในองค์กรหรือขายสมบัติ?” ท่านหลู่ถามด้วยรอยยิ้มที่ใจดี

แม้ว่าเขาจะพูดอย่างนั้น แต่เขาไม่คิดว่าชายหนุ่มจะสามารถเอาสมบัติล้ำค่าใดๆ ออกมาได้

“ขายของบางอย่างกันก่อน”

หลัวซิวยิ้มอย่างไม่สนใจ จากนั้นจึงหยิบแหวนเก็บของออกมาแล้ววางลงบนโต๊ะ

ท่านหลู่ยื่นมือไปหยิบแหวนอย่างสงสัย และตัวสำนึกก็แหย่เข้าไปสำรวจ เดมทีใบหน้าที่ไม่สนใจในตอนแรก เปลี่ยนสีในทันที

คุณพระ สิ่งของในแหวนวงนี้ หรือว่าข้าตาลายมองผิดไป?

หรือชายหนุ่มผู้นี้ได้วาดค่ายกลมายาในวงแหวนนี้?

เมื่อเห็นชายชราที่อยู่ฝั่งตรงข้ามตกตะลึงและดวงตาของเขาเปลี่ยนไป หลัวซิวยิ้มเล็กน้อย “ท่านหลู่ ของในแหวนของข้ามีอะไรผิดปกติหรือเปล่า?”

“ท่านชายอย่าใจร้อนเลย ท่านหลู่เป็นหัวหน้าผู้ประเมินสมบัติของเมืองโม่โหลวองค์กรนักล่ายุทธ์ เขาจะประเมินสมบัติของท่านชายอย่างยุติธรรมอย่างแน่นอน”

หญิงร่างสูงที่ยืนอยู่ด้านข้างพูดด้วยรอยยิ้ม และในขณะเดียวกันก็เหลือบมองท่านหลู่ด้วยสายตาที่งงงวย และสังเกตเห็นความผิดปกติของหัวหน้าผู้ประเมินสมบัติ

ท่านหลู่รู้สึกตัว สีหน้าอับอายเล็กน้อย “ขอโทษนะ ข้าตกใจไปหน่อย”

“เป็นเพราะสมบัติที่ท่านชายนำออกมาทำให้ข้าตะลึงมาก หรือว่าท่านชายเป็นปรมาจารย์หลอมอาวุธ?” ท่านหลู่ถามอย่างไม่แน่ใจ

หลัวซิวหลุดเสียงหัวเราะออกมา “ปรมาจารย์หลอมอาวุธส่วนใหญ่มีแขนที่หนาและใหญ่ ข้าจะเป็นปรมาจารย์หลอมอาวุธด้วยแขนที่ผอมบางและขาที่เล็กนี้ได้อย่างไร”

เขาเข้าใจเช่นกันว่า คาดว่าท่านหลู่ผู้นี้จะตกใจวกับจำนวนอาวุธในลงแหวน

เนื่องจากแหวนเก็บของที่เขาหยิบออกมา ซึ่งเป็นอาวุธของพวกราชายุทธ์ที่เขาฆ่า ส่วนใหญ่เป็นอาวุธระดับกองทัพดิน ส่วนน้อยเป็นอาวุธระดับกองทัพดินขั้นกลาง

ระดับของอาวุธอาจไม่สูง แต่มีจำนวนเป็นร้อย!

ในตลาดสมาคมเป่ยเซี๋ย มูลค่าของอาวุธนักยุทธ์ขั้นดินล่างอยู่ที่ประมาณสองหมื่นก้อนของหินพลังจิตชั้นกลาง และมูลค่าของอาวุธระดับกองทัพดินดินกลางอยู่ที่ประมาณหกหมื่นก้อนของหินพลังจิตชั้นกลาง

ในวงแหวนนี้ รวมแล้วมีมูลค่ามากกว่าแปดล้านก้อนของหินพลังจิตชั้นกลาง!

ราชายุทธ์ผู้นี้ที่ชื่อท่านหลู่ ในหมู่ราชายุทธ์ สมบัติของเขาก็นับมามากแล้ว ก็มีเพียงหินพลังจิตชั้นกลาง หลายแสนก้อนเท่านั้น

เมื่อเทียบกับมากกว่าแปดล้าน หลายแสนก้อนนับได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้นจริงๆ

แน่นอนว่าอาวุธเหล่านี้ต้องได้รับการประเมินก่อนที่จะสามารถกำหนดมูลค่าได้

อาวุธมากกว่าหนึ่งร้อยเล่ม ทำให้กระบวนการประเมินของชายชราเคราขาวยุ่งขึ้นมา

“กระบี่คู่มังกรเขียว? นี่เป็นผลงานที่มีชื่อเสียงของปรมาจารย์นักหลอมอาวุธขั้น 9 จากแดนศักดิ์สิทธิ์พื้นนภา เมื่อเขาถึงระดับ 6 !”

ท่านหลู่หยิบดาบระดับกลางสองเล่มขึ้นมา แววตาของเขาฉายแววตื่นตะลึง

หลัวซิวขมวดคิ้ว ทันทีที่มองเห็น เขาก็จำมันได้อย่างรวดเร็ว กระบี่คู่มังกรเขียวนี้ เป็นอาวุธของเป่ยเฉินยู่ซานที่ถูกเขาฆ่าในแดนแต่งตั้งราชา

เขาคาดไม่ถึงว่า ภูมิหลังของเป่ยเฉินยู่ซานจะไม่ธรรมดา และอาวุธที่ใช้ก็มีต้นกำเนิดที่ใหญ่โตเช่นนี้

ดูเหมือนท่านหลู่จะไม่คิดมากและยังถอนหายใจ: “อย่ามองว่ากระบี่คู่มังกรเขียวนี้เป็นเพียงอาวะระดับกลาง ถ้านำไปประมูลด้วยชื่อของของปรมาจารย์นักหลอมอาวุธขั้น 9 อย่างน้อยก็สามารถประมูลได้ในราคานับล้านของหินพลังจิตชั้นสูง!”

หลัวซิวไอและพูดด้วยท่าทางเคร่งขรึม “ข้าไม่ต้องการให้คนอื่นรู้ว่า กระบี่คู่มังกรเขียว มาจากมือของข้า”

“ตามกฎขององค์กร สิ่งที่ขายผ่านช่องทางภายในอยู่ภายใต้ข้อบังคับการรักษาความลับ ขอท่านหลู่อย่าพูดออกไป” เมื่อ หลัวซิวพูด ดวงตาของเขากวาดไปยังท่านหลู่และหญิงร่างสูง

ความหมายของเขาชัดเจน เรื่องนี้เป็นที่รู้กันแค่สวรรค์และดิน กับพวกเขาสามคน ถ้าคนที่สี่รู้เรื่องนี้จะต้องเป็นเจ้าสองคนที่เปิดเผยความลับนี้ออกไป

“ท่านชายไม่ต้องเป็นห่วง เราจะเก็บเป็นความลับอยู่แล้ว” หญิงร่างสูงร่างสูงแสดงจุดยืนของนางก่อน

“กฎขององค์กร ข้าต้องยึดถืออยู่แล้ว” ท่านหลู่กล่าวอย่างรวดเร็ว

หลัวซิวพยักหน้าและหยุดพูดถึงเรื่องนี้

สี่ชั่วโมงต่อมา ท่านหลู่ทำการประเมินราคาอาวุธเป็นครั้งสุดท้ายในวงแหวนนี้ เป็นราคา 8.37 ล้านก้อนของหินพลังจิตชั้นกลาง!

ถึงกระนั้นก็ไม่สามารถต้านทานความกระตือรือร้นของความอยากรู้ของผู้คนได้ หลัวซิวเห็นว่าหลายคนต่างซื้อม้วนหยกเพื่อตรวจสอบเนื้อหา

ด้วยความอยากรู้ หลัวซิวใช้หินพลังจิตสิบก้อนเพื่อซื้อม้วนหยก และเห็นการจัดอันดับของราชายุทธ์บรรดาศักดิ์ 10 อันดับแรกของคนรุ่นใหม่

ในนามของคิงซิวหลัว เขาเป็นอันดับหนึ่งจริงๆ รองลงมาคือคิงอสูรฟ้า อันดับสอง

ทันทีที่ หลัวซิวเห็นชื่อนี้ เขารู้ว่า คิงอสูรฟ้า ผู้นี้ต้องเป็น ฮู๋ชิงชิง

เพราะกฎอัสนีวายุสองระดับที่นางได้รับนั้นเป็นกฎขั้นสูง หลังจากหลอมรวมแล้ว กฎทั้งสองนั้นจึงเป็นอันดับสองรองจากกฎของธาตุทั้งห้าและกฎตรีภพ

ยิ่งกว่านั้น นางตามเขา และได้ชิ้นส่วนกฎมาใน้อย และเป็นเรื่องธรรมดาที่จะได้อันดับสองในฉายานี้

“ถ้าข้าจำไม่ผิด ฮู๋ชิงชิงได้ชิ้นส่วนกฎธาตุลมสี่ชิ้นและชิ้นส่วนกฎอัสนีสองชิ้น ผู้ที่อยู่อันดับต่ำกว่าเขาดูเหมือนจะไม่ได้รับชิ้นส่วนกฎจำนวนมากนัก

หลัวซิวครุ่นคิดในใจ ทันใดนั้น ดวงตาของเขาก็สว่างขึ้น “ถ้ามีโอกาส ถ้าข้าพบชายผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ ที่ได้รับฉายา ฆ่าพวกเขา จากนั้นแย่งชิ้นส่วนกฎของอีกฝ่าย ด้วยวิธีนี้ กฎเบญจธาตุของข้ายังคงเพิ่มขึ้นต่อไปได้”

“ความคิดนี้เป็นไปได้จริง ๆ และต้องมีผู้คนจำนวนมากขึ้นที่มีความคิดแบบเดียวกับเจ้า ฉายาราชายุทธ์ทุกคน เป็นสมบัติสำคัญในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำคัญนั้นๆ หากเจ้าต้องการฆ่าพวกเขาและแย่งชิ้นส่วน มันไม่ง่ายอย่างนั้น” จักรพรรด์ยุทธ์เสวียนดำกล่าว

หลัวซิวพยักหน้า ไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับชิ้นส่วนกฎ สิ่งสำคัญของเขาตอนนี้คือการฝึกฝนเพิ่มความแข็งแกร่งของเขาเอง

ไม่นานนัก หลัวซิวก็มาถึงองค์กรนักล่ายุทธ์ที่อยู่ในเมืองเมืองโม่โหลว

คนที่รับผิดชอบตอนรับเขาเป็นผู้หญิงที่สูงและเซ็กซี่จากครั้งที่แล้ว

“ท่านชาย เราเจอกันอีกแล้ว”

“ฮ่า ฮ่า ใช่ ไม่รู้ว่าเพื่อนคนนั้นของข้า เป็นยังไงบ้าง?” หลัวซิวถามด้วยรอยยิ้ม

“ท่านชาย วางใจเถอะ เพื่อนของเจ้าอยู่ในองค์กรมาโดยตลอด ไม่มีที่ไหนปลอดภัยไปกว่าองค์กรนักล่ายุทธ์” หญิงร่างสูงยิ้ม

ขณะพูด ผู้หญิงร่างสูงก็พาหลัวซิวไปที่ประตูห้องที่เหยียนเยว่เอ๋ออยู่

“นี่คือยันต์ส่งข้อความของข้า ถ้าท่านชายมีอะไร สามารถรับสั่งได้ตลอดเวลา” หญิงร่างสูงเรียวหยิบยันต์หยกออกมาแล้วยื่นให้หลัวซิว

“อือ เจ้ากลับไปก่อน” หลัวซิวเอื้อมมือไปรับ

ผลักเปิดประตู หลัวซิวเดินเข้าไปในห้องและเห็นเหยียนเยว่เอ๋อร์นอนอยู่บนเตียงและหายใจอย่างสงบ

นางไม่ได้รับบาดเจ็บและลมหายใจแห่งชีวิตก็ไร้กังวล แต่เสียชีวีพลังเลือดมากเกินไป นางจึงอยู่ในสภาวะหลับสนิท

ในกรณีนี้ หากนางต้องการตื่นขึ้น นางทำได้เพียงพึ่งการฟื้นตัวของนางเองอย่างช้าๆ และไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลานานเท่าใด

หลัวซิวปิดประตูแล้วเดินเข้ามา เขายื่นมือออกมาลูบแก้มนางด้วยความเอ็นดู และพูดเบาๆ ว่า “ถ้าข้าไม่อ่อนแอเกินไปในตอนแรก เจ้าคงไม่ต้องเผาผลาญพลังและเลือดมากเกินไปแล้วสลบแบบนี้”

สำหรับเรื่องนี้ หลัวซิวมักจะโทษตัวเอง

“ตอนนี้ข้าแข็งแกร่งกว่าเดิม และปกป้องเจ้าได้อย่างแน่นอนจะไม่ปล่อยให้เจ้าได้รับบาดเจ็บอีก” หลัวซิวค่อย ๆ โน้มตัวลงจูบนางเบา ๆ ที่หน้าผากและพูดอย่างอ่อนโยน

หลัวซิวพลิกฝ่ามือแล้วหยิบธงขลังสรรพสิ่งออกมา ก่อนอื่น เขาได้จัดตั้งรูปแบบค่ายกลที่ปิดกั้นออร่า การเตือนค่ายกล และการคุ้มกันค่ายกลในห้อง

จากนั้นเขาก็หยิบกล่องหยกออกมาจากแหวนเก็บของ หลังจากเปิดออก ดอกเมฆามรณะที่กำลังรอคอยการผลิบานนอนเงียบๆ อยู่ในกล่องหยก

ดอกเมฆามรณะ ยาพิเศษนี้ จะต้องเด็ดเมื่อมันกำลังจะผลิบาน มิฉะนั้น มันจะเหี่ยวเฉาเมื่อมันผลิบาน และไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลานานแค่ไหนที่จะเติบโตอีกครั้ง

หลังจากนั้น หลัวซิวหยิบเตาทยานนภามังกรคู่ออกมา ยกมือขึ้นตบฝ่ามือ เตาหมุนและบินขึ้น ลอยอยู่กลางอากาศ รังสีแสงเบ่งบาน มังกรสีน้ำเงินสองตัวที่แกะสลักอยู่บนผนังเตาหลอมดูเหมือนมีชีวิตขึ้นมา ล้อมรอบอยู่บนเตา พ่นหมอกออกมา

หลัวซิวนั่งนั่งสมาธิ นิ้วมือสร้างผนึก แล้วยิงลำแสงออกมา และยกฝาเตาก็ถูกเปิดออก

เขาอ้าปากแล้วพ่นภูตอัคคีกลืนกินออกมาไปในเตา และเริ่มอุ่นเตา

ห้องเงียบ ยกเว้นภายในเตาทยานนภามังกรคู่ที่มีเสียงดังก้องเป็นครั้งคราว และไฟบางครั้งก็แรงและบางครั้งก็อ่อน

ผ่านไปสิบนาที หลัวซิวเลิกคิ้วและโบกแขนเสื้อ ดอกเมฆามรณะในกล่องหยกลอยขึ้นไปตกลงไปในเตา

หลังจากนั้น หลัวซิวนำยาพิเศษหลายชนิดออกจากแหวนเก็บของแล้วใส่ลงในเตา ใส่ยาเหล่านี้ลงไป สามารถทำให้สรรพคุณยาของดอกเมฆามรณะออกมาได้อย่างเต็มที่

“เจ้าหนุ่มนี่เป็นสัตว์ประหลาดจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเขาอายุสิบกว่าปีอยู่ ข้าคงสงสัยว่าเขาเป็นปรมาจารย์กลั่นยาขั้นสูงสุดแปลงร่างมาแล้ว”

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่จักรพรรด์ยุทธ์เสวียนดำได้เห็นหลัวซิวกลั่นยา แต่ทุกครั้งก็ยังอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เทคนิคกลั่นยาของเขานั้นเหมือนผู้ที่กลั่นยามาเป็นเวลานานมากแล้ว และเทคนิคที่ใช้ก็เป็นเทคนิคชั้นยอด แม้ในสมัยโบราณก็เหมือนเป็นปรมาจารย์รุ่นหนึ่ง

การกลั่นยาครั้งนี้ใช้เวลานาน หลังจากผ่านไปสิบสี่ชั่วโมงเต็ม หลัวซิวยกมือขึ้นและเรียก เตาทยานนภามังกรคู่ก็ลอยกลับกลายเป็นขนาดเท่าฝ่ามือและตกลงบนฝ่ามือของเขา

เขายกฝ่ามือขึ้นตบผนังเตาหลอม ฝาหม้อก็ลอยขึ้น ตามด้วยเม็ดยาทรงกลมใสที่พุ่งออกมาพร้อมๆ กัน ราวกับว่ามันมีจิตวิญญาณและอยากจะบินหนีไป

ดูเหมือนหลัวซิวจะคาดเดาได้ก่อนหน้านี้แล้ว ขวดหยกที่เตรียมไว้ล่วงหน้ากำลังรออยู่ เม็ดยาก็เพิ่งลอยออกมา ก็กระแทกเข้ากับขวดหยกราวกับว่าเขาโยนตัวเองลงไปในตาข่าย

เขาอ้าปากสูดลมหายใจเข้า สูดภูตอัคคีในเตากลับไป ยกมือขึ้นเพื่อเช็ดเหงื่อออกจากหน้าผาก

ใช้ดอกเมฆามรณะกลั้นยา ตามการฝึกฝนของเขาก็ยากเหมือนกัน แม้ว่าจะไม่มีการจำแนกระดับที่ชัดเจน แต่ความยากลำบากในการกลั่นยาเมฆามรณะ ก็จะยากกว่ายาระดับ 6 ส่วนใหญ่

แม้ว่าผลของการกินดอกเมฆามรณะเข้าไปโดยตรง สรรพคุณจะดีมากเช่นกัน แต่กลั่นเป็นยาเมฆามรณะ สรรพคุณของยาจะเพิ่มขึ้นอย่างน้อยสามส่วน

หลัวซิวปรับลมหายใจของเขาชั่วขณะหนึ่ง การฝึกฝนที่หายไปไม่สามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว

เขาเดินไปที่ข้างเตียง หยิบยาเมฆามรณะออกมาจากขวดหยก ค่อยๆ ใส่เข้าไปในปากของเหยียนเยว่เอ๋อร์ จากนั้นใช้พลังจิตแท้ช่วยให้นางกลืนเข้าไปในท้อง

หลังจากที่เม็ดยาถูกละลาย พลังของยาก็ค่อยๆถูกส่งไปทั่วร่างกาย เพื่อป้องกันผลของยาไม่ให้รุนแรงเกินไป หลัวซิว ได้จำกัดการควบคุมยา เพื่อให้สรรพคุณของยาจะถูกปล่อยออกมาอย่างช้าๆ

ต้องบอกว่า หลัวซิวดีต่อผู้หญิงของเขามาก

พละกำลังชีวิตไหลเวียนอยู่ในร่างกาย และร่างกายของเหยียนเยว่เอ๋อร์ก็ตอบสนองอย่างรวดเร็วตามสัญชาตญาณ ดูดซึมพละกำลังชีวิตอย่างต่อเนื่อง หล่อเลี้ยงชีวีพลังเลือดที่หมดลงมากเกินไป เริ่มฟื้นตัวอย่างช้าๆ

จะใช้เวลาหนึ่งหรือสองวันในการเพิ่มเติมดูดซึมพละกำลังชีวิตและฟื้นตัว

หลัวซิวไม่ได้ยกเลิกค่ายกลในห้อง เขาไม่ต้องการเกิดอุบัติเหตุใด ๆ ระหว่างการฟื้นตัวของเหยียนเยว่เอ๋อร์

เขาเดินออกจากห้อง หยิบยันต์ส่งข้อความที่หญิงสาวร่างสูงมอบให้เขา บันทึกข้อความด้วยตัวสำนึก แล้วส่งออกไป

เมื่อมองขึ้นไปด้านบนสุดของตำหนัก จะเป็นแบบเปิดโล่ง ด้านนอกมีดวงดาวหนาแน่น ตำหนักเต็มไปด้วยความเก่าแก่และความผันผวนของชีวิต อนุสาวรีย์หินสีดำสูงตั้งตระหง่านอยู่ข้างหน้า มีความสูงถึงหลายสิบฟุต

“แดนแต่งตั้งราชา ร้อยปีละครั้ง เจ้าแสดงได้อย่างยอดเยี่ยม มีสิทธิ์ได้รับฉายานี้”

ทันใดนั้นเสียงที่น่าเกรงขามก็ดังขึ้น ตามด้วยแสงที่ส่องลงมาที่ด้านหน้าของ หลัวซิวกลายเป็นชายวัยกลางคนที่มีใบหน้าเคร่งขรึม

พลังของชายวัยกลางคนผู้นี้มากมายและคาดเดาไม่ได้ ลึกถึงก้นบึ้ง กว้างใหญ่ไพศาลราวกับท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว ทำให้ไม่สามารถคาดเดาได้

หลัวซิวไม่รู้สึกถึงลมหายใจของลายเส้นแห่งชีวิตจากร่างกายของชายวัยกลางคน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าชายวัยกลางคนนั้นไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่แท้จริง

ชายวัยกลางคนดูเหมือนจะสามารถมองผ่านความคิดของหลัวซิว กล่าวอย่างเคร่งขรึม “ข้าเป็นวิญญาณค่ายกล ปกป้องแดนแต่งตั้งราชานี้เป็นเวลานานับหลายปี เจ้าสามารถเรียกข้าว่าแดนแต่งตั้งเทวทูตได้”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลัวซิวเข้าใจทันที เขาได้รู้เรื่องของวิญญาณค่ายกลจากจักรพรรด์ยุทธ์เสวียนดำ ฃ

เฉพาะรูปแบบที่เกินระดับ 9 เท่านั้นที่จะมีโอกาสเกิดวิญญาณค่ายกล ซึ่งหมายความว่าความแข็งแกร่งของวิญญาณค่ายกลนั้น เทียบเท่ากับจักรพรรดิยุทธ์!

ระบบขององค์กรนักล่ายุทธ์ ถูกควบคุมโดยวิญญาณค่ายกล

แต่หลัวซิวมีความรู้สึกว่า เป็นวิญญาณค่ายกลเหมือนกัน วิญญาณค่ายกลขององค์กรนักล่ายุทธ์นั้นไม่ทรงพลังเท่ากับวิญญาณค่ายกลของแดนแต่งตั้งราชา

“ขอคำนับท่านเทวทูต” หลัวซิวก้มลงคำนับ

“เจ้าคิดฉายาของเจ้าแล้วหรือยัง?” แดนแต่งตั้งเทวทูตพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“คิงซิวหลัว!”หลัวซิวโพล่งออกมา สำหรับฉายาของเขานั้น เขาคิดไว้แล้ว

แดนแต่งตั้งเทวทูตมองดูเขา “ซิวหลัวเป็นเทพเจ้าแห่งการสังหารในตำนานโบราณ เจ้าใช้ชื่อนี้เป็นฉายา และถูกลิขิตให้สังหารผู้คนนับไม่ถ้วนในชีวิตของเจ้า ข้าหวังว่าเจ้ารับทุกอย่างที่จะตามมาได้”

เมื่อคำพูดสิ้นสุดลง แดนแต่งตั้งเทวทูตก็ยกมือขึ้นโบกมือ บนแผ่นหินสีดำสูงด้านหลังเขา อักขระสีทองขนาดใหญ่สามตัวก็ปรากฏขึ้น ‘คิงซิวหลัว! ’

หลังจากนั้น เขาโบกแขนเสื้ออีกครั้ง ด้านหน้าของหลัวซิวมีแผนที่สามมิติก็ปรากฏขึ้น ที่กึ่งกลางของแผนที่ รูปร่างของเจดีย์ถูกทำเครื่องหมาย

“นี่คือแผนที่ทางภูมิศาสตร์ที่มีศูนย์กลางอยู่ที่แดนแต่งตั้งราชาด้วยรัศมีหนึ่งล้านไมล์ ทุกคนที่ได้รับฉายาในแดน สามารถเลือกที่จะเคลื่อนย้ายไปยังตำแหน่งบนแผนที่นี้ได้” แดนแต่งตั้งเทวทูตกล่าวอย่างใจเย็น

วิธีการนี้เป็นวิธีในการปกป้องฉายาราชายุทธ์แบบหนึ่ง ชิ้นส่วนกฎจะดึงดูดความโลภของผู้แข็งแกร่งมาไม่น้อย หากออกไปแบบนี้ พวกเขาจะตกเป็นเป้าหมายได้ง่าย

หลัวซิวคาดไม่ถึงว่า วิญญาณค่ายกลของแดนแต่งตั้งราชาจะมีการออกแบบมนุษยธรรมเช่นนี้ ได้คิดอย่างรอบคอบมาก

“ท่านเทวทูต มีวิธีซ่อนเครื่องหมายกฎระหว่างคิ้วของข้าหรือไม่?” หลัวซิวชี้ไปที่เครื่องหมายอักษรรูนห้าสีระหว่างคิ้วของเขาและพูดด้วยรอยยิ้มบิดเบี้ยว

แค่ผู้ที่รู้จักแดนแต่งตั้งราชา สามารถมองออกทันทีว่านี่คือเครื่องหมายกฎ ในกรณีนี้ เขากลัวว่าจะถูกล่าและสังหารทันทีที่ออกไป

“ทันทีที่เจ้าออกจากแดนแต่งตั้งราชา เครื่องหมายกฎก็จะซ่อนตัวมันเอง เฉพาะเมื่อเจ้าใช้พลังแห่งกฎเท่านั้น เครื่องหมายกฎถึงจะปรากฏขึ้น” แดนแต่งตั้งเทวทูตกล่าว

เมื่อได้ยินประโยคนี้ หลัวซิวก็โล่งใจ

จากนั้นเขาก็ชี้ไปที่ที่ตั้งของ มืองโม่โหลวบนแผนที่และพูดว่า “แค่ส่งข้าออกไปโดยตรงก็พอ”

ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย แน่นอนว่ายิ่งเคลื่อนย้ายไกลยิ่งดี แต่ เหยียนเยว่เอ๋อร์ยังคงอยู่ในองค์กรนักล่ายุทธ์ดังนั้นหลัวซิวจึงไม่สามารถนั่งเฉยและเพิกเฉยได้

ที่จริงแล้ว หลัวซิวยังคงมีข้อสงสัยมากมายที่จะถาม เช่น แดนแต่งตั้งราชาปรากฏขึ้นเมื่อใด และใครเป็นคนเปิดมันขึ้นมาท

แต่คำถามเหล่านี้ เขาไม่มีโอกาสถาม ทันใดนั้นรอบตัวเขาก็มีแสงสีขาวสว่างขึ้นแล้วห่อหุ้มเขาไว้ทันที และหายตัวไปในทันที

เมื่อพื้นที่ด้านหน้าของเขากลับมาเป็นปกติ หลัวซิวได้ออกจากแดนแต่งตั้งราชาและปรากฏในตรอกมืดในเมืองโม่โหลว

“พ่อหนุ่ม เมื่อครู่นี้เกิดอะไรขึ้น?”

หลังจากที่ถูกเคลื่อนย้ายออกจากดินแดนลับ หลัวซิวก็ได้ยินเสียงของจักรพรรด์ยุทธ์เสวียนดำจากตัวหยั่งรู้

“เจ้าไม่รู้หรือ?” หลัวซิวถามอย่างสงสัย

“ไร้สาระ ถ้าข้ารู้ ข้าจะยังถามเจ้าอยู่ไหม?” จักรพรรด์ยุทธ์เสวียนดำพูดอย่างเคืองๆ

หลัวซิวไม่ได้ปิดบัง เขาพูดเรื่องที่รู้สึกว่าเวลาและพื้นที่ที่คงนิ่ง จากนั้นเขาก็ถูกส่งไปยังตำหนักลึกลับเพื่อรับฉายา จากนั้นเขาก็ถูกส่งออกมา

“เป็นเช่นนี้นี่เอง…” หลังจากจักรพรรด์ยุทธ์เสวียนดำแล้ว เขากล่าวว่า “ตอนที่ข้ายังอยู่ในสมัยโบราณก็เคยได้ยินมาว่าอาณาจักรลับทุกฉายาได้รับการปกป้องโดยวิญญาณค่ายกล และวิญญาณค่ายกลนั้นเหนือกว่าจักรพรรด์ยุทธ์ ดำรงอยู่เป็นนิรันดร์ อยู่เหนือการปราบปรามเวลาด้วยความแข็งแกร่ง และทำให้เวลาหยุดนิ่งอยู่อยู่ในขณะนั้น ก็ไม่มีอะไร “

ในขณะนี้เหนือหอแต่งตั้งราชา มีตัวอักษรสีทองขนาดใหญ่สามตัวห้อยอยู่ว่า‘คิงซิวหลัว!’

รอยอยู่กลางอากาศ แสงสว่างส่องทั่วเมืองเป็นเวลาร้อยปี หลัวซิวได้ตำแหน่งอันดับแรกในแดนแต่งตั้งราชาอย่างไม่ต้องสงสัย!

รวมชิ้นส่วนกฎ20ชิ้นไว้บนตัว นับว่าไม่เคยมีมาก่อน ถ้ายังครองตำแหน่งอันดับ 1 ไม่ได้ ก็เกินจะบรรยาย

“ตำแหน่งที่หนึ่งปลอดภัยแล้ว เจ้าหนุ่มเก่งจริงๆ!” จักรพรรด์ยุทธ์เสวียนดำชมด้วยรอยยิ้ม

ในตอนนี้ เขารู้สึกว่าเขาโชคดี วิญญาณรอดชีวิตมาอยู่ในร่างของชายหนุ่มผู้มีพลังไร้ขีดจำกัด สักวันหนึ่ง เขาอาจจะแย่งร่างกายกลับคืนมาได้แล้วฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้จริงๆ

หลัวซิวคลำคิ้ว ตามที่แดนแต่งตั้งเทวทูตกล่าว หลังจากที่ถูกส่งออกมาจากแดนปริศนา เครื่องหมายกฎ ก็ถูกซ่อนไว้โดยตัวมันเอง

แค่เขาซ่อนพลังและตัวตนของเขาไว้อย่างดี ก็ไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นราชาแห่งชูราที่แทนที่คิงเฟยหลิง กลายเป็นราชายุทธ์คนใหม่ ฉายา คิงซิวหลัว!

เขาใช้พลังจิตแท้เพื่อแปลงร่างและเปลี่ยนรูปลักษณ์ของเขา จากนั้นจึงเดินออกจากตรอกที่ว่างเปล่านี้

ในขณะนี้ การต่อสู้เพื่อชิงตำแหน่งคิงเพิ่งจบลงและมีความโกลาหลมากมายในเมืองโม่โหลว ทุกคนกำลังพูดถึงมหาอำนาจทั้งสิบที่ชนะตำแหน่งสิบอันดับแรกในการต่อสู้ชิงตำแหน่งคิงนี้

เพียงแต่ว่าตอนนี้ยังคงอยู่ในช่วงเวลาที่สำคัญ คนส่วนใหญ่ยังไม่ทราบตัวตนที่แท้จริงของสิบตำแหน่งราชายุทธ์

“ตัวตนที่แท้จริงของแดนแต่งตั้งรุ่นใหม่ทั้งสิบอันดับได้รับการเปิดเผยแล้ว! เพิ่งเปิดตัวใหม่!”

ในเมืองก็มีพ่อค้าขายข่าวคล้าย ๆ กัน แต่ข่าวเหล่านี้ไม่เป็นความจริง ล้วนเป็นการเดาเท่านั้น

ตัวของหลัวซิวหายวับไปจากที่เดิม ทำให้กฎการโจมตีที่ราชายุทธ์ 12 คน ปล่อยออกมา ปะทะกับความว่างเปล่า

“อ๊าก!……”

ทันใดนั้น เสียงร้องโอดครวญดังขึ้น ทุกคนหันไปตามเสียง เห็นร่างของเพื่อนคนหนึ่ง ถูกฟันจนแยกเป็นสองท่อน จากนั้นมีมือหนึ่งยื่นออกมา เอาชิ้นส่วนกฎที่เขาหลอมรวมเข้าไปในร่างกายออกมา หลอมรวมเข้าไปในร่างกายตัวเอง

“ให้ตายเถอะ นี่มันความเร็วอะไรกัน”

ทุกคนหน้าเปลี่ยนสี เพราะพวกเขายังไม่มีใครตั้งสติได้ เพื่อนคนหนึ่งก็โดนฆ่าไปเสียแล้ว อีกทั้งพวกเขาไม่เห็นแม้แต่เงาของอีกฝ่าย นี่จะสู้ได้อย่างไร

ในใจของทุกคนเพิ่งมีความคิดนี้ผุดขึ้นมา จากนั้นมีเสียงร้องโอดครวญดังขึ้นอีก มีคนโดนแสงจิตห้าสีพาดผ่าน ตัวแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ ชิ้นส่วนกฎถูกมือหนึ่งคว้าเอาไว้ และหายไปอย่างไร้ร่องรอย

ถ้าพูดว่าคนแรกโดนฆ่า ทำให้ทุกคนสยองขวัญตกใจ งั้นการที่คนที่สองโดนฆ่า เหลือเพียงราชายุทธ์ 10 คน ในใจหลงเหลือเพียงความหวาดผวาไม่สิ้นสุด!

“หนีสิ!”

ไม่รู้ใครตวาดออกมา กลายเป็นลำแสงพุ่งออกไปที่ขอบฟ้าก่อนเพื่อน

แต่คนนี้เพิ่งเหาะออกไปได้ไม่ไกล แสงจิตห้าสีลอยขวางผ่านไป เกิดเสียงดังพรวด ตัดกลางเอวของคนนี้ ชิ้นส่วนกฎธาตุลมลอยออกมาหนึ่งชิ้น โดนหลัวซิวเก็บเอาไว้ในกล่องหยก

นี่ทำให้ที่เหลืออีก 9 คน สยองขวัญเข้าไปอีก!

“พวกเราแยกย้ายกันหนี!”

ทันใดนั้น ราชายุทธ์ที่เหลือ 9 คน พากันหนีไปคนละทิศคนละทาง ไม่มีใครกล้าอยู่ที่นี่ต่อ

“ไอ้พวกนี้ไม่โง่นี่นา”

พื้นที่ว่างสั่นสะเทือน ตัวของหลัวซิวปรากฏออกมา ตัวสำนึกแผ่กระจายไปทั่ว เพ่งเล็งไปยังลมปราณของราชายุทธ์ไม่กี่คน ในบรรดาคนพวกนั้น

ทั้ง 9 คน พากันหนีไปคนละทิศคนละทาง เขาไม่มีทางฆ่าได้ทั้งหมด หลัวซิวทำได้เพียงเพ่งเล็งพวกคนที่ช้าไม่กี่คน ฆ่าได้เท่าไรก็เท่านั้น

มือหนึ่งโอบฮู๋ชิงชิงที่กำลังสลบเอาไว้ อีกมือถือกระบี่ใหญ่สีดำเปื้อนเลือด ตัวของหลัวซิวเหมือนผี ทุกครั้งที่หายตัว จะข้ามระยะทางไปได้เกือบพันเมตร

เมื่อก่อน เขาอาศัยความเร็วสูงสุดของปีกทิพย์ไร้มลทิน เคลื่อนตัวได้ 700 กว่าเมตร แต่เมื่อเร่งด้วยกฎเบญจธาตุทั้ง5 กลับเคลื่อนย้ายด้วยความเร็วสูงสุด ในระยะทางเกือบพันเมตร

สุดท้าย ราชายุทธ์ 12 คน หนีไปได้ 5 คน ราชายุทธ์สองคนในนั้น ที่มีชิ้นส่วนกฎ 3 ชิ้น หนีไปได้หมด หลัวซิวได้ชิ้นส่วนกฎมาทั้งหมด 9 ชิ้น

ในชิ้นส่วนกฎ 9 ชิ้นนี้ ในนั้นมี 7 ชิ้น เป็นกฎเบญจธาตุทั้ง5 มีธาตุลม 2 ชิ้น ไม่มีธาตุอัสนี

ในชิ้นส่วนกฎทั้งเจ็ดชนิด กฎเบญจธาตุทั้ง5 ได้มาค่อนข้างง่าย ธาตุอัสนีกับธาตุลมค่อนข้างน้อย อีกทั้งธาตุอัสนีได้ยากกว่าธาตุลม

หลังหลอมรวมชิ้นส่วนกฎทั้งเจ็ดชิ้น หลัวซิวมีชิ้นส่วนกฎอยู่ในตัว 15 ชิ้น ทำลายบันทึกในสมัยโบราณ ที่ได้รับชิ้นส่วนกฎในแดนแต่งตั้งราชามากที่สุด 13 ชิ้น

ชิ้นส่วนกฎธาตุลมสองชิ้น ก็โดนเขาหลอมรวมเข้าไปในตัวฮู๋ชิงชิง

“ไอ้หนุ่ม จากกฎเบญจธาตุทั้ง5 ของนายตอนนี้ เพียงพอที่จะต้านทานข้ามขั้นกับจักรพรรดิยุทธ์ขั้น2แล้ว เมื่อจักรพรรดิยุทธ์ขั้น1 เจอนาย นายใช้ความเร็วของปีกทิพย์ไร้มลทิน อีกฝ่ายจะหนีก็ทำไม่ได้”

ถึงเป็นจักรพรรดิ์ยุทธ์เสวียนดำ ที่มีวิสัยทัศน์สูงส่ง ก็ประเมินหลัวซิว อย่างชมเชยไม่ขาดปาก เพราะถึงเป็นสมัยโบราณ แม้มีคนเคยหลอมรวมกฎเบญจธาตุทั้ง5 กฎการผสมรวม กฎอัสนีวายุ แต่กลับไม่มีใครจิตวิปริตเหมือนไอ้หมอนี่ รวมชิ้นส่วนกฎในตัวตั้ง 15 ชิ้น

อีกทั้งประโยคพวกนี้ที่เขาพูด แสดงว่าตอนนี้หลัวซิวเพิ่งมีผลการฝึกตนราชายุทธ์ขั้น2 ก็มีพละกำลังในการฆ่าข้ามขั้นกับจักรพรรดิยุทธ์ ถ้าถึงขั้นราชายุทธ์ขั้น9 พละกำลังต้องน่ากลัวกว่านี้อีก

หลัวซิวหยุดลงในป่าเขียวขจีแห่งนี้ ป้อนยาให้ฮู๋ชิงชิง ผ่านไปประมาณสองชั่วยามกว่าๆ ฮู๋ชิงชิงฟื้นขึ้นมา

เวลาผ่านไปเรื่อยๆ เพียงพริบตาก็ผ่านไปอีกหลายเดือน ระยะห่างจากการปิดแดนแต่งตั้งราชา เหลืออีกไม่นานแล้ว

ในช่วงเวลานี้ หลัวซิวหาชิ้นส่วนกฎเจออีก 2 ชิ้น ฆ่าราชายุทธ์ไปสามคน ชิงชิ้นส่วนกฎมาได้ 5 ชิ้น

ให้ชิ้นส่วนกฎธาตุอัสนีกับฮู๋ชิงชิง 1 ชิ้น ชิ้นส่วนกฎเบญจธาตุทั้ง5 ที่เหลือ 6 ชิ้น ถูกเข้าหลอมรวมด้วยตัวเอง

เมื่อเป็นเช่นนี้ เขามีชิ้นส่วนกฎอยู่ในตัว 20 ชิ้น พละกำลังเพียงพอจะต้านทานจักรพรรดิยุทธ์ขั้น3!

ทว่ายังห่างจากการรวบรวมชิ้นส่วนทั้งหมดของกฎเบญจธาตุทั้ง5 อีกเยอะมาก

พื้นที่ในแดนแต่งตั้งราชากว้างใหญ่เกินไป ช่วงเวลาหนึ่งปี สำรวจได้เพียงแค่ส่วนน้อยเท่านั้น พื้นที่โดยส่วนใหญ่ หลัวซิวยังสำรวจไปไม่ถึง

และพื้นที่ที่เขาไม่ได้ไปสำรวจ ยังมีชิ้นส่วนกฎอีกมากมาย

“ไอ้หนุ่มอย่าโลภ ได้ชิ้นส่วนกฎมา 20 ชิ้น เรียกได้ว่านายเหนือธรรมชาติแล้ว อีกทั้งชิ้นส่วนกฎของผู้หญิงคนนั้น ก็เป็นของนาย ถ้าคิดเช่นนี้ อย่าว่าแต่ต่อไปจะไม่มีทางเกิดขึ้น อย่างน้อยความสำเร็จนี้ สมัยโบราณก็ยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน!” จักรพรรดิ์ยุทธ์เสวียนดำพูดอย่างอิจฉาตาร้อน

เพราะจากฐานะผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์สมัยโบราณของเขา เมื่อก่อนเคยร่วมการต่อสู้แต่งตั้งราชา แต่ไม่สามารถได้รับฉายา

นี่ไม่ใช่เพราะความสามารถของจักรพรรดิ์ยุทธ์เสวียนดำอ่อนแอ แต่เพราะการฝึกยุทธ์ในสมัยโบราณรุ่งเรืองมาก ราชายุทธ์ทุกคนที่เข้าร่วมการต่อสู้แต่งตั้งราชา ล้วนเป็นผู้มีความสามารถไร้เทียมทาน จนน่าตกใจ อยากโดดเด่นท่ามกลางผู้มีความสามารถไร้เทียมทานเหล่านี้ เรียกได้ว่าหาได้น้อยมาก

ถ้าให้จักรพรรดิ์ยุทธ์เสวียนดำมาในยุคปัจจุบัน จากพละกำลังของเขา การได้รายชื่อฉายาราชายุทธ์ เป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก

“ติ๊ง!……”

เมื่อหมดเวลาหนึ่งปีในการเปิดแดนลึกลับ คนที่ยังมีชีวิตอยู่ในแดนแต่งตั้งราชา มีเสียงดังชัดเจนเหมือนกระดิ่งดังขึ้นในหู

ในเวลานี้ เหมือนกับเวลาและพื้นที่รอบๆ ถูกแช่แข็งเอาไว้ในช่วงนั้น ตัวของทุกคนหยุดอยู่ที่เดิม ถึงขนาดที่ความคิดของตัวเองก็หยุดชะงักลง

“ครืน!”

ช่วงที่เสียงกระดิ่งดังขึ้น ลูกแก้วความเป็นตายที่อยู่ในวิญญาณหยั่งรู้ของหลัวซิว เกิดความสั่นสะเทือนเล็กน้อย ถึงการขยับตัวของเขาโดนแช่แข็งไว้ แต่ความคิดได้รับการปกป้องจากลูกแก้วความเป็นตาย และไม่ได้รับผลกระทบ

“นี่มันพลังอะไรกัน ถึงทำให้ความคิดของคนหยุดชะงักลงได้ น่ากลัวจริงๆ” หลัวซิวตกใจเป็นอย่างมาก

เขารู้ว่าการที่ความคิดของตัวเองยังโลดแล่น เพราะการปกป้องของลูกแก้วความเป็นตาย แม้เป็นเช่นนี้ การเคลื่อนไหวของร่างกายเขาชะงักลงแล้ว ไม่สามารถขยับได้แม้แต่น้อย ถ้ามีใครสักคนเข้ามา สามารถฆ่าตัวเองได้อย่างง่ายดาย

“ผู้อาวุโสเสวียนดำ” เขาลองใช้ตัวสำนึกติดต่อกับจักรพรรดิ์ยุทธ์เสวียนดำ แต่กลับมีเพียงความเงียบ เหมือนวิญญาณของผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์คนนี้ ได้รับผลกระทบจากพลังลึกลับนั้น โดนแช่แข็งไปแล้ว

จากนั้น ลมปราณอันทรงพลังยากจะคาดเดาใกล้เข้ามา หลัวซิวรู้สึกว่าสติของตัวเองเลอะเลือน วินาทีต่อมา เขาปรากฏตัวอยู่ในตำหนักสูงใหญ่ กว้างขวางโอ่อ่า

ดอกเมฆามรณะ เป็นยาทิพย์พิเศษชนิดหนึ่ง มีพลานุภาพของชีวิต ถึงเป็นคนใกล้ตาย แค่ใช้ฤทธิ์ยาดอกเมฆามรณะ ก็สามารถดึงกลับมาจากประตูนรกได้

หลัวซิวมีผู้เป็นอมตะคุ้มกันตัว จึงไม่สนใจยาชนิดนี้เท่าไร แต่สิ่งที่เขาสนใจคือ ถ้ามีดอกเมฆามรณะต้นนี้ เขาจะสามารถปลุกเหยียนเยว่เอ๋อร์ที่หลับใหล ให้ฟื้นขึ้นมาได้

การที่เหยียนเยว่เอ๋อร์หลับใหล เพราะสูญเสียพลังและเลือดในชีวิตไปจนหมด

พลังและเลือดที่สูญเสียไป ยากจะซ่อมแซมด้วยสิ่งของภายนอก แต่พลานุภาพของชีวิตที่แฝงอยู่ในดอกเมฆามรณะ กลับเป็นของล้ำค่าที่สามารถซ่อมแซมพลังและเลือดที่สูญเสียไปได้พอดี

หลัวซิวสามารถสัมผัสได้ว่า ราชายุทธ์ที่เข่นฆ่ากันกลางอากาศอย่างดุเดือด ตัวสำนึกล้วนมองไปยังดอกเมฆามรณะ

เห็นได้ชัดว่าคนกลุ่มนี้น่าจะแย่งชิงดอกเมฆามรณะ จึงต่อสู้กันที่นี่

ฮู๋ชิงชิงตามหลัวซิวมานานขนาดนี้ เพิ่งเคยเห็นจิตใจเขาสั่นไหวเป็นครั้งแรก เธอไม่รู้จักดอกเมฆามรณะ แต่กลับรู้ว่าการที่ทำให้หลัวซิวตื่นเต้นเพียงนี้ ต้องไม่ใช่ของธรรมดาอย่างแน่นอน

“เฮียซิวหลัว ฉันจะคุ้มครองคุณ คุณไปเก็บยาทิพย์เถอะ” ฮู๋ชิงชิงพูดขึ้นทันที

ถ้าเป็นเมื่อก่อน เธอรู้ว่าพละกำลังของตัวเองด้อยเกินไป คงไม่กล้าพูดแบบนี้ แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว เธอหลอมรวมชิ้นส่วนกฎธาตุลมสองชิ้นกับชิ้นส่วนกฎอัสนีหนึ่งชิ้น ถึงเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ เธอก็สามารถต้านทานได้ซึ่งหน้า

“ได้!” หลัวซิวพยักหน้าอย่างไม่รอช้า

เสียงพรึ่บดังขึ้น ปีกทิพย์ไร้มลทินกางออกข้างหลัง เขาใช้ความเร็วสูงสุด พุ่งเข้าไปยังตำแหน่งของดอกเมฆามรณะทันที

“ขวางเขาไว้!”

มีคนสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวทางฝั่งนี้ ราชายุทธ์ขั้น9 ที่มีรอยกฎอยู่ตรงหว่างคิ้ว พุ่งเข้ามาสามคน

ราชายุทธ์สามคนนี้หลอมรวมชิ้นส่วนกฎหนึ่งชิ้น แบ่งออกเป็นกฎธาตุทอง ธาตุไม้และธาตุน้ำ

ตู้ม! เปรี้ยง! เปรี้ยง!

ทันใดนั้น สามสายฟ้าขนาดใหญ่ลงมาจากฟ้า ล็อกราชายุทธ์สามคนนี้เอาไว้

“ระวัง เป็นพลังกฎธาตุอัสนี”

สีหน้าทั้งสามคนเปลี่ยนไป ในบรรดากฎทั้ง 7 ชนิด กฎธาตุอัสนีเป็นชนิดที่มีพลังโจมตีแข็งแกร่งสุด เป็นกฎระดับสูง พลานุภาพแข็งแกร่งกว่ากฎธาตุทองมาก

ราชายุทธ์ทั้งสามคน ต่างพากันรวบรวมพลังแห่งกฎเอาไว้ สายฟ้าที่ลงมาจากท้องฟ้า กลับเพิ่มความเร็วอย่างกะทันหัน ลงมาถึงบนหัวพวกเขาเพียงพริบตาเดียว

นี่เป็นกฎอัสนีวายุ กฎทั้งสองชนิด มีข้อได้เปรียบพิเศษทางด้านความเร็ว หลังจากหลอมรวมกัน เร็วยิ่งกว่าผี ทำให้ไม่รู้จะรับมืออย่างไร

และสายฟ้าที่ฮู๋ชิงชิงใช้ ไม่ใช่สายฟ้าสีฟ้าทั่วไป แต่เป็นสายฟ้าสีเขียว แฝงไปด้วยพลังทำลายล้างของกฎธาตุอัสนี และการฉีกกระจายของกฎธาตุลม

การปะทะกันเพียงพริบตาเดียว ราชายุทธ์ทั้งสามคน กระอักเลือดออกมา แต่ละคนกระเด็นออกไป

“กฎอัสนีวายุ! อีกทั้งชิ้นส่วนกฎบนตัวเธอ ยังมีจำนวนไม่น้อยด้วย!”

“ผลการฝึกตนของเธอแค่ราชายุทธ์ขั้น6 ฆ่าเธอ!”

คนอื่นสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวฝั่งนี้ ทันใดนั้นคนสิบกว่าคน พุ่งเข้าไปหาฮู๋ชิงชิง

เทียบกับดอกเมฆามรณะ ชิ้นส่วนกฎสำหรับพวกเขา มีความสำคัญกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงฮู๋ชิงชิงมีกฎอัสนีวายุ แต่ผลการฝึกตนของเธอไม่สูง บวกกับพลังแห่งกฎ ก็ไม่ได้มีมากมายขนาดนั้น เผชิญกับการล้อมโจมตีของคนพวกนี้ ไม่นานเธอก็ต้านทานไม่ไหว

แต่ฮู๋ชิงชิงไม่มีความคิดจะถอยสักนิด เธอกัดฟัน ปล่อยพลังแห่งกฎออกมาไม่หยุด แสงของรอยกฎที่กะพริบตรงหว่างคิ้ว เริ่มริบหรี่ลงเรื่อยๆ

ความเร็วของปีกทิพย์ไร้มลทินเร็วมาก ตอนฮู๋ชิงชิงขวางคนพวกนั้น หลัวซิวพุ่งเข้ามาใกล้ดอกเมฆามรณะ เพียงยกมือ ก็เก็บมันเข้ามาในกล่องหยก และใส่ลงไปในแหวนเก็บของ

ระยะเวลาเพียงสั้นๆ ตอนเขาหันไปมองฝั่งฮู๋ชิงชิง เห็นเธอกำลังโดนราชายุทธ์สิบกว่าคนล้อมโจมตี สีหน้าซีดเผือด มุมปากมีคราบเลือด แต่ก็ยังฝืนอย่างยากลำบาก

“ไอ้พวกเลว!”

หลัวซิวแผดเสียงออกมาอย่างโมโห และพุ่งขึ้นไป

ตู้ม!

เขาฟาดกระบี่ลงมา แสงจิตห้าสีกวาดออกไป พลังแห่งกฎที่ราชายุทธ์พวกนั้นปล่อยออกมา โดนทำลายทันที แต่ละคนกระอักเลือดออกมา และกระเด็นออกไป

ตัวของหลัวซิวปรากฏข้างกายฮู๋ชิงชิง อดตำหนิไม่ได้ว่า “ทำไมเธอโง่อย่างนี้ พวกเขาเยอะขนาดนี้ เธอยังฝืนอีก”

“ฉันแค่อยากช่วยเฮียซิวหลัวทำอะไรบ้าง……” ฮู๋ชิงชิงพูดประโยคนี้จบ ร่างบางโงนเงน เป็นลมไป

หลัวซิวรีบยื่นมือไปประคองเธอไว้ เห็นว่าบาดแผลของเธอไม่สาหัส แค่สูญเสียพลังไปเยอะ จึงทำให้เป็นลมไป

เขาโอบฮู๋ชิงชิงเอาไว้ด้วยมือเดียว ส่วนอีกมือจับกระบี่อาถรรพ์ฟันเสือเอาไว้ กวาดตามอง 12 คน บริเวณรอบๆ ด้วยแววตาดุดัน

ในบรรดา 12 คนนี้ มี 7 คน ที่หลอมรวมชิ้นส่วนกฎแค่ 1 ชิ้น มี 3 คน หลอมรวมชิ้นส่วนกฎ 2 ชิ้น และอีก 2 คน หลอมรวมชิ้นส่วนกฎ 3 ชิ้น

งั้นแสดงว่า ในตัวคนพวกนี้ มีชิ้นส่วนกฎทั้งหมด 19 ชิ้น

จากที่จักรพรรดิ์ยุทธ์เสวียนดำพูด ในสมัยโบราณ บันทึกการได้ชิ้นส่วนกฎ จากแดนแต่งตั้งราชามากที่สุด คือ 13 ชิ้น

“บันทึกนี้ น่าจะถูกทำลายในมือฉันแล้วล่ะ”

หลัวซิวถือกระบี่ไว้ในมือ แสยะยิ้มมุมปากยียวน

แม้อีกฝ่ายมี 12 คน แต่เขาหลอมรวมชิ้นส่วนกฎ 8 ชิ้นเต็มๆ และมีกฎเบญจธาตุทั้ง5!

“กฎเบญจธาตุทั้ง5!”

ราชายุทธ์ที่เป็นหัวหน้าสองคน สีหน้าเคร่งขรึม เมื่อกี้พวกเขาเห็นแสงจิตห้าสี ที่หลัวซิวปล่อยออกมา นั่นเป็นพลังอมตะที่ต้องมีกฎเบญจธาตุทั้ง5 ถึงจะแสดงออกมาได้

พลังอมตะชนิดนี้ เรียกเต็มๆ ว่าพรสวรรค์แสงจิตเบญจธาตุทั้ง5 เรียกกันทั่วไปว่าแสงจิตห้าสี มีฉายาว่าไม่มีอะไรขวางได้ ทุกสิ่งที่แฝงไปด้วยเบญจธาตุทั้ง5 ล้วนถูกพลังอมตะชนิดนี้ยับยั้งเอาไว้

“คนนี้มีกฎเบญจธาตุทั้ง5 แสดงว่าอย่างน้อยเขาได้รับชิ้นส่วนกฎ 5 ชิ้น!”

ราชายุทธ์สองคน ที่หลอมรวมชิ้นส่วนกฎ 3 ชิ้น แววตาเร่าร้อนขึ้นมาทันที

ถึงกฎเบญจธาตุทั้ง5 จะแข็งแกร่งอย่างไม่ต้องสงสัย แต่คนที่ได้เข้ามาในแดนแต่งตั้งราชา อีกทั้งยังได้ชิ้นส่วนกฎ ใครบ้างที่ไม่ใช่ผู้โดดเด่น ที่เกิดในแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ต่างๆ

ผู้มีความสามารถแบบนี้ ล้วนมีความมั่นใจกับพละกำลังของตัวเองมาก ไม่คิดว่าตัวเองด้อยกว่าอีกฝ่ายเท่าไร ยิ่งไปกว่านั้นฝ่ายตัวเองมี 12 คน ร่วมมือกัน จะสู้อีกฝ่ายที่มีเพียงคนเดียวไม่ได้อย่างนั้นเหรอ

“ฆ่าพวกมัน ใครเป็นคนฆ่า ชิ้นส่วนกฎก็เป็นของคนนั้น!”

เมื่อมีเสียงดังขึ้น ผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ทั้ง 12 คน พากันพุ่งเข้าไปหาหลัวซิว

“ไม่เจียมตัว”

ปีกคู่หนึ่งกางออกด้านหลัง ปีกทิพย์ไร้มลทินส่องแสงจิตห้าสีเป็นประกาย

ใช้พลังแห่งกฎควบคุมให้พลานุภาพของสมบัติพรสวรรค์ชิ้นนี้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น รวดเร็วยิ่งขึ้น

เขาไม่พูดพร่ำทำเพลง พุ่งเข้าไป แอบหมุนเวียนพลังแปรเสวียนเทียน 24 เท่า ในขณะเดียวกันก็รวบรวมพลังโจมตี พลังแห่งกฎธาตุทองที่แข็งแกร่งที่สุด ปลุกเสกลงไปบนกระบี่อาถรรพ์ฟันเสือ

เป่ยเฉินยู่ซานกำลังต้านทานการแผดเผาของภูตอัคคีกลืนกินอย่างสุดกำลัง เจอการโจมตีของหลัวซิว เขาทำได้เพียงกัดฟันสู้ ไม่มีทางถอยได้อีก

แต่เป่ยเฉินยู่ซานไม่ได้สนใจอะไรมากนัก เขาใช้พลังแห่งกฎคุ้มกันตัว ขนาดภูตอัคคียังแผดเผาตัวเองไม่ได้ อีกฝ่ายเป็นแค่ราชายุทธ์ขั้น2 จะโจมตียังไง ก็ทำอะไรตัวเองได้ยาก

แต่วินาทีต่อมา สีหน้าเป่ยเฉินยู่ซานเปลี่ยนไปมาก

ตู้ม!

ดาบใหญ่สีดำ ฟาดลงบนพลังแห่งกฎธาตุลมที่รวมตัวปกคลุม พลังแห่งกฎธาตุทองที่แหลมคมมาก ระเบิดพลังออกมา บวกกับการเพิ่มพลังของวิชาลับ พลังแปรเสวียนเทียน 24 เท่า ทำลายม่านแสงที่เป่ยเฉินยู่ซานคุ้มกันตัวเอาไว้ ภายในพริบตา

“ไม่!”

วินาทีที่พลังแห่งกฎถูกทำลาย เป่ยเฉินยู่ซานตะโกนออกมาเสียงดัง ด้วยความตกใจและหวาดกลัวปะปนกัน

เขาไม่เข้าใจจริงๆ อีกฝ่ายมีพละกำลังแค่ราชายุทธ์ขั้น2 ทำไมถึงระเบิดพลังโจมตีแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้

“ฉันเป็นผู้มีความสามารถไร้เทียมทานของแดนศักดิ์สิทธิ์พื้นนภา จะตายที่นี่ได้อย่างไร”

“คนอย่างเป่ยเฉินยู่ซาน ถูกกำหนดให้เป็นผู้แข็งแกร่งฉายามหาจักรพรรดิยุทธ์!”

“ฉันไม่ยอม! ฉันไม่ยอม!”

“.…..”

หลัวซิวสีหน้าไร้อารมณ์ หลังกระบี่อาถรรพ์ฟันเสือ ทำลายพลังแห่งกฎที่คุ้มกันตัวอีกฝ่าย ก็พุ่งเข้าไปทันที

เสียงดังพรวด เลือดสดสาดกระเซ็น หัวครึ่งหนึ่งของเป่ยเฉินยู่ซาน โดนเขาฟันจนกระเด็นด้วยกระบี่เดียว

จากนั้นภูตอัคคีกลืนกินพุ่งเข้าไป กลืนกินตัวของเป่ยเฉินยู่ซานจนไม่เหลือ แผดเผาจนกลายเป็นความว่างเปล่า

ลูกแก้วสีเขียวค่อยๆ ลอยออกมา ส่องแสงสีเขียวอ่อน ลอยอยู่กลางอากาศ

ชิ้นส่วนกฎธาตุลม!

ชิ้นส่วนกฎชิ้นนี้ เท่ากับชิ้นส่วนกฎธาตุทองและธาตุน้ำ ที่เขาได้ทั้งสองชิ้น

นี่เป็นกฎระดับสูง แกร่งกล้ากว่ากฎทั่วไป

แต่หลัวซิวไม่ได้ครอบครองชิ้นส่วนกฎธาตุลมเอาไว้ เพราะเขากะจะรวบรวมเบญจธาตุทั้ง5 หลอมรวมเป็นกฎเบญจธาตุทั้ง5

แน่นอนว่าชิ้นส่วนกฎธาตุลมชิ้นนี้ สามารถยกระดับพละกำลังของเขาได้บ้าง แต่ไม่ได้มีประโยชน์มากเท่าไร

เขาเอากล่องหยกออกมาจากแหวนเก็บของ ต่อมาก็เพิ่งรู้ว่าชิ้นส่วนกฎ ไม่สามารถใช้มือสัมผัสได้ ไม่งั้นชิ้นส่วนกฎจะยอมรับเจ้าของโดยอัตโนมัติ และเข้าสู่ร่างกายทันที

เมื่อนำชิ้นส่วนกฎธาตุลมชิ้นนี้ใส่ลงในกล่องหยก หลัวซิวลงมาจากท้องฟ้า เขายิ้มแล้วมองฮู๋ชิงชิงที่อยู่ไกลๆ

“ชิงชิง นี่เป็นของเธอ” หลัวซิวผายมือออกมา เอากล่องหยกที่ใส่ชิ้นส่วนกฎธาตุลมให้เธอ

ฮู๋ชิงชิงไม่คิดว่าเขาจะมอบสมบัติล้ำค่าขนาดนี้ให้ตัวเอง จู่ๆ เธอรับกล่องหยกมาอย่างทำตัวไม่ถูก “เฮียซิวหลัว นี่มันล้ำค่าเกินไป ฉัน……”

“ยัยเด็กนี่ ในเมื่อเรียกฉันว่าเฮีย ฉันไม่ให้เธอเรียกเปล่าๆ หรอก ก่อนหน้านี้ให้แท่นบัวทิพย์ห้าสี เธอก็ไม่เอา ครั้งนี้ห้ามปฏิเสธแล้ว ไม่งั้นเธอไม่เห็นฉันเป็นเฮียสักนิด” หลัวซิวขมวดคิ้วทำเป็นโกรธ

เขาพูดถึงขนาดนี้แลว ฮู๋ชิงชิงรู้ว่าตัวเองปฏิเสธไม่ได้ ขณะเดียวกัน ในใจก็เต็มไปด้วยความซาบซึ้ง เพราะชิ้นส่วนกฎชิ้นนี้ เป็นสมบัติที่สามารถทำให้ผู้แข็งแกร่งมกุฏยุทธ์ จิตใจหวั่นไหวได้

เมื่อเปิดกล่องหยก ฮู๋ชิงชิงยื่นฝ่ามือออกมา ตอนมือสวยเพิ่งสัมผัสกับชิ้นส่วนกฎ ลูกแก้วกลายเป็นแสงสีเขียว เข้ามาในตัวเธอ

ถึงผลการฝึกตนของเธอเพิ่งถึงระดับราชายุทธ์ขั้น6 ได้ไม่นาน แต่เมื่อหลอมรวมชิ้นส่วนกฎธาตุลม อาศัยพลังของกฎเล็กน้อย ถึงเป็นราชายุทธ์ขั้น9 ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเธอ

ตัดพวกผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ที่สูงส่งออกไป สำหรับราชายุทธ์ทุกคน พลังแห่งกฎ เป็นพลังที่ปรารถนาเป็นอย่างยิ่ง

ถึงให้ชิ้นส่วนกฎกับฮู๋ชิงชิงไปแล้ว แต่หลัวซิวก็ได้รับไม่น้อย ที่มาที่ไปของเป่ยเฉินยู่ซานไม่ธรรมดา เป็นผู้มีความสามารถอันดับต้นๆ ของแดนศักดิ์สิทธิ์พื้นนภา ทรัพย์สินในแหวนเก็บของ มากมายจนขนหัวลุก

หินพลังจิตชั้นกลางเป็นล้าน! ถึงเป็นหินพลังจิตชั้นสูง ก็มีประมาณสามหมื่นกว่า รวยกว่าผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์เสียอีก

อีกทั้งกระบี่ยุทธ์สองเล่มที่เป่ยเฉินยู่ซานใช้ ล้วนอยู่ในระดับขั้นดินกลาง จักรพรรดิยุทธ์ทั่วไป สามารถมีนักยุทธ์ระดับขั้นดินกลางหนึ่งเล่ม ถือว่าไม่ง่ายแล้ว ผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ส่วนใหญ่ ยังใช้นักยุทธ์ขั้นดินล่าง

ส่วนเขาเป็นราชายุทธ์ขั้น9 แต่ถือกระบี่ยุทธ์ขั้นดินกลางในมือสองเล่ม

อีกทั้งพื้นที่ในแหวนเก็บของที่เป่ยเฉินยู่ซานใช้ ยังใหญ่มาก ถึงใส่ภูเขาลูกเล็กลงไป ก็ยังเหลืออีกมากพอ

หลังจากฮู๋ชิงชิงหลอมรวมชิ้นส่วนกฎธาตุลม บวกกับร่างอสูรฟ้าของเธอ ยกระดับพละกำลัง ไม่ใช่แค่ขั้นเดียว

จากนั้น ทั้งสองคนค้นหาร่องรอยของชิ้นส่วนกฎ ในแดนแต่งตั้งราชาต่อไป

เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ตั้งแต่แดนแต่งตั้งราชาเปิดจนถึงตอนนี้ ผ่านไปประมาณครึ่งปีแล้ว

ระยะเวลานี้ หลัวซิวกับฮู๋ชิงชิงร่วมมือกัน เจอยอดฝีมือที่ได้ชิ้นส่วนกฎสองสามคน ยังดีที่คนพวกนี้ได้ชิ้นส่วนกฎไม่เยอะ คนที่มากสุด คือคนที่ได้ชิ้นส่วนกฎสองชนิด ธาตุทองและธาตุดิน

นอกจากนี้ยังมีชิ้นส่วนกฎอีกสามชิ้น ที่ยังไม่มีใครพบ ทั้งสองคนหาเจอ
หลัวซิวรวบรวมเบญจธาตุทั้ง5 ได้สำเร็จ ตรงหว่างคิ้วของเขา มีรอยกฎกะพริบอยู่ห้าสี

แต่หลัวซิวไม่พอใจแค่นี้ เพราะชิ้นส่วนกฎแต่ละชนิด มีอยู่ในแดนแต่งตั้งราชาทั้งหมดเก้าชิ้น

ชิ้นส่วนกฎหนึ่งชนิด ยิ่งได้จำนวนเยอะเท่าไร จะยิ่งควบคุมพลังกฎชนิดนั้นได้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

ยกตัวอย่างง่ายที่สุด เช่น กฎธาตุลม เป็นกฎระดับสูง กฎธาตุน้ำ เป็นกฎทั่วไป ถ้าหาชิ้นส่วนกฎธาตุน้ำได้สองชิ้น ก็สามารถกดดันข้ามระดับกฎธาตุลมหนึ่งชิ้นได้

หลัวซิวอยากแสวงหาความสมบูรณ์แบบที่สุด ต้องหาชิ้นส่วนกฎของเบญจธาตุทั้ง5 ให้ครบทั้งหมด ทั้งหมดประมาณ 45 ชิ้น

แต่ทั้งแดนแต่งตั้งราชา มีชิ้นส่วนกฎเพียง 63 ชิ้น เขาอยากรวบรวม 45 ชิ้น แถมยังต้องการกฎเบญจธาตุทั้ง5 โดยเฉพาะ เรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่แทบจะทำไม่สำเร็จ

อีกทั้งแดนแต่งตั้งราชากว้างไกลไร้ขอบเขต ถึงสุดท้าย มีชิ้นส่วนกฎ ที่ไม่มีใครหาเจอ คนที่อยู่รายชื่อสิบอันดับแรก ก็ไม่สามารถเอาชิ้นส่วนกฎ 63 ชิ้น ออกจากแดนลึกลับได้

ตอนนี้หลัวซิวหลอมรวมชิ้นส่วนกฎ 8 ชิ้น ในนั้นเป็นธาตุทอง น้ำ ไฟ อย่างละ 2 ชิ้น

แต่สิ่งสำคัญที่สุด ยังคงเป็นกฎเบญจธาตุทั้ง5 คือกฎการหลอมรวม เหนือกว่ากฎระดับสูง ในลำดับก็ด้อยกว่ากฎขั้นสูงสุดหนึ่งขั้น

ดังนั้นตอนนี้พลังแห่งกฎที่หลัวซิวมี แข็งแกร่งมาก สามารถกดดันคู่แข่งส่วนใหญ่ได้ง่ายดาย

เพราะหลัวซิวต้องการกฎเบญจธาตุทั้ง5 ดังนั้นจึงมอบชิ้นส่วนกฎธาตุลมกับอัสนี ให้ฮู๋ชิงชิง ธาตุลมกับธาตุอัสนีเป็นกฎระดับสูง หลังจากหลอมรวม เทียบกับกฎเบญจธาตุทั้ง5 ของหลัวซิว ก็ไม่ด้อยไปกว่ากัน

วันนี้ ทั้งสองมาถึงทุ่งหญ้าแห่งหนึ่ง มองออกไปในท้องฟ้าไกลแสนไกล เห็นเงาคนสิบกว่าคน กำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดกลางอากาศ การเคลื่อนไหวของปราณกฎ รุนแรงผิดปกติ

นักยุทธ์หลายสิบคนนี้ แต่ละคนมีผลการฝึกตนแดนราชายุทธ์ขั้น9 อีกทั้งยังมีการเคลื่อนไหวของพลังแห่งกฎ แผ่กระจายอยู่รอบตัว

ในนั้นมีสองคนแข็งแกร่งที่สุด ฆ่าคู่ต่อสู้ติดต่อกันไปหลายคน ชิงชิ้นส่วนกฎมาจากอีกฝ่าย

ในเวลาเดียวกัน หลัวซิวสังเกตเห็น ไม่ไกลจากที่คนเหล่านี้เข่นฆ่ากัน มีกองหินระเกะระกะ มีวัชพืชขึ้นอยู่ในกองหิน แต่สายตาของเขาอยู่ที่ในวัชพืชนับไม่ถ้วน เขาจ้องไปที่ดอกไม้สีขาวที่กำลังตูมต้นหนึ่ง

ดอกเมฆามรณะ!

ถึงจิตใจของหลัวซิวจะมั่นคงแน่วแน่ แต่ก็เกือบจะอุทานออกมา

ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!……

พลังกฎอันน่ากลัวถาโถมไปทั่วทุกทิศ ทำลายทุกสิ่งรอบๆ ขนาดพื้นที่ในค่ายกลพรสวรรค์แห่งนี้ ก็แปรปรวนไปหมด แตกเป็นร่องรอยสีดำขลับ

“ชิ้ง!”

ทันใดนั้น ร่างของทั้งสองคนปะทะกัน กระบี่อาถรรพ์ฟันเสือโจมตีกับกระบี่คู่ ประกายไฟกระเซ็นไปทั่ว

ตัวของหลัวซิวกระเด็นกลางอากาศไปสิบกว่าเมตร แต่เป่ยเฉินยู่ซานกลับถอยหลังไปเพียง 5-6 เมตร เห็นได้ชัดว่าพละกำลังของเขาด้อยกว่าอีกฝ่ายขั้นหนึ่ง

“ดูเหมือนว่าผลการฝึกตนเหมือนกัน พละกำลังก็ต่างกันราวฟ้ากับเหว”

หลัวซิวสะบัดข้อมือที่ชาเล็กน้อย เป่ยเฉินยู่ซานที่อยู่ตรงหน้า ต้องมีกำลังการต่อสู้เกือบถึงระดับจักรพรรดิยุทธ์แน่นอน

“ไอ้หนุ่มอย่าไม่รู้จักพอ คู่ต่อสู้ของนายมีพละกำลังแข็งแกร่งอยู่แล้ว ยังได้ชิ้นส่วนกฎธาตุลมอีก นายไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา เป็นเรื่องปกติ” จักรพรรดิ์ยุทธ์เสวียนดำพูดอย่างไม่สบอารมณ์ เพราะเขาคิดว่า หลัวซิวเพิ่งมีผลการฝึกตนราชายุทธ์ขั้น2 ทำได้ระดับนี้ เป็นสิ่งที่หาได้ยากในสมัยโบราณแล้ว

หลัวซิวตกใจกับพละกำลังของเป่ยเฉินยู่ซาน เป่ยเฉินยู่ซานที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ก็ตกใจกับพละกำลังที่เขาแสดงออกมาไม่น้อยเหมือนกัน

เพราะเขาเป็นราชายุทธ์ขั้น9 และเป็นยอดฝีมืออันดับต้นๆ ในบรรดาแดนเดียวกัน ไอ้หมอนี่เพิ่งเป็นราชายุทธ์ขั้น2 ผลการฝึกตนห่างกับตัวเองเป็นอย่างมาก แต่เขาสามารถต้านทานตัวเองได้ อีกทั้งยังสูสีกันอีกด้วย เขาแน่ใจได้เลยว่าไอ้หมอนี่ต้องได้โอกาสเหนือธรรมชาติแน่นอน ไม่งั้นไม่มีทางอธิบายได้ว่าทำไมพละกำลังของเขาถึงแข็งแกร่งเช่นนี้

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เป่ยเฉินยู่ซานตัดความคิดที่จะจัดการอีกฝ่ายทิ้งไป ไม่ว่าจะเป็นชิ้นส่วนกฎของอีกฝ่าย หรือโอกาสเหนือธรรมชาติที่เขาได้รับ ล้วนมีประโยชน์ต่อเขาอย่างไม่สิ้นสุด

สิ่งที่เรียกว่าโอกาส ไม่ใช่ว่าคุณได้รับแล้วจะเป็นของคุณ มีบางคนโชคดี ได้รับโอกาสเหนือธรรมชาติ แต่ก็อาจโดนคนฆ่าตาย เดิมโอกาสที่เป็นของตัวเอง ก็จะตกไปอยู่ในมือคนอื่น

เรื่องประเภทนี้ เห็นบ่อยจนชินตา ในโลกของคนที่ฝึกยุทธ์

“แค่ราชายุทธ์ขั้น2 ธรรมดาๆ มีพละกำลังเช่นนี้ แต่น่าเสียดายที่นายเจอคนอย่างเป่ยเฉินยู่ซาน ถึงเวลาแล้วที่โอกาสกับความลับของนาย จะตกมาเป็นของฉัน!”

เป่ยเฉินยู่ซานยกมือขึ้นมาสะบัด แสงสว่างพุ่งขึ้นมาข้างตัวเขา หุ่นเชิดรูปคนสูงประมาณสองฟุต ปรากฏขึ้นมา

“หุ่นเชิดระดับจักรพรรดิยุทธ์งั้นเหรอ”

พลานุภาพอันแข็งแกร่ง ที่ปล่อยออกมาจากหุ่นเชิดตัวนี้ ทำให้หลัวซิวหรี่ตาลง

หุ่นเชิดเป็นสิ่งที่รวมกันระหว่างค่ายกลกับการหลอมอาวุธ แต่การสร้างออกมาค่อนข้างซับซ้อน หลัวซิวไม่ได้เกี่ยวข้องทางด้านนี้

จักรพรรดิ์ยุทธ์เสวียนดำ วิญญาณที่อาศัยอยู่ในฝ่ามือซ้ายของเขา ในสมัยโบราณเคยสร้างหุ่นสร้างระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ ที่ยิ่งใหญ่

การที่เขาสามารถดำรงตำแหน่งในแดนหลิงจื๋อ เป็นหนึ่งในสามผู้อาวุโสผู้ยิ่งใหญ่ของสำนักไท่เสวียน ไม่ใช่แค่เพราะเขาเป็นผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ เขายังมีหุ่นเชิดระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์สามตัว พลังการต่อสู้เท่ากับระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์สี่คน

เห็นอีกฝ่ายเรียกหุ่นเชิดระดับจักรพรรดิยุทธ์ออกมา หลัวซิวรีบเอาธงขลังสรรพสิ่งออกมาจากแหวนเก็บของ

ธงขลังเคลื่อนไหว แสงค่ายพุ่งออกมา เพียงพริบตาเดียว แสงค่ายสลับไปมา จนกลายเป็นม่านแสง ปิดกั้นอาณาเขตกว่าร้อยเมตร

“นายเป็นปรมาจารย์ค่ายกลขั้น6 ด้วยเหรอ” เป่ยเฉินยู่ซานสัมผัสได้ถึงลมปราณค่ายกล แววตาดูตกตะลึง

แต่ไหนแต่ไรมา เขาคิดว่าตัวเองอยู่ในระดับราชายุทธ์ขั้น 9 ได้เป็นปรมาจารย์ค่ายกลขั้น6 เป็นเรื่องน่าภาคภูมิใจมากพอแล้ว

แต่ไอ้หนุ่มชุดคลุมดำคนนี้ เป็นแค่ราชายุทธ์ขั้น2 แต่วางค่ายกลขั้น6 ได้ เทียบกันแล้ว ความสำเร็จของตัวเอง ไม่ควรค่าให้พูดถึงเลย

โดยเฉพาะเขาสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายวางค่ายกลรวดเร็วมาก นี่ต้องขึ้นอยู่กับธงขลังผืนเล็กนั่นแน่ๆ เป่ยเฉินยู่ซานเคยได้ยินว่า นักค่ายกลสมัยโบราณล้วนมีสมบัติอยู่ชนิดหนึ่ง ซึ่งเรียกว่าธงขลัง

เพราะการสูญหายไปของวิชาหลอมสมบัติในสมัยโบราณ จึงทำให้ธงขลัง เป็นสมบัติล้ำค่าในสมัยโบราณ ทุกชิ้นที่ออกมา ล้วนทำให้เกิดการแย่งชิงของนักค่ายกลนับไม่ถ้วน

หลัวซิวได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย ก็เข้าใจ เป่ยเฉินยู่ซานเป็นปรมาจารย์ค่ายกลขั้น6 เหมือนกัน

โลกแสงดาวกว้างใหญ่ คนฝึกยุทธ์นับไม่ถ้วน ในบรรดานั้นมีผู้มีพรสวรรค์มากมาย ดังนั้นถึงรู้ว่าเป่ยเฉินยู่ซานเป็นปรมาจารย์ค่ายกลขั้น6 สีหน้าของหลัวซิว ก็ไม่ได้เปลี่ยนไปสักเท่าไร

“ไป!”

เป่ยเฉินยู่ซานยื่นนิ้วออกมา หุ่นเชิดระดับจักรพรรดิยุทธ์ข้างกาย ปล่อยแสงสีแดงอันน่ากลัว ออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง

ลายเส้นสัญลักษณ์ค่ายกลจำนวนมาก ที่อยู่บนตัวหุ่นเชิดถูกใช้งาน พลานุภาพระดับจักรพรรดิยุทธ์แผ่กระจายออกมา เมื่อขยับตัว เหมือนเขาเล็กๆ ลูกหนึ่ง กดดันอากาศด้านหน้าจนเกิดเสียงระเบิด ระดับความเร็วรวดเร็วมาก

“ยากเย็น!”

หลัวซิวผายมือไปด้านหน้า ธงขลังสรรพสิ่งลอยกลางอากาศ มือบีบวิกล แสงค่ายนับไม่ถ้วนสลับไปมา จนกลายเป็นค่ายยากเย็น ปกคลุมหุ่นเชิดระดับจักรพรรดิยุทธ์ตัวนั้นเอาไว้

ถึงพลานุภาพค่ายกลขั้น6 ของเขา จะด้อยไปเล็กน้อย แต่หุ่นเชิดแบบนี้ ไม่ใช่ผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์อย่างแท้จริง จะทำลายค่ายยากเย็นออกมา ภายในระยะเวลาสั้นๆ ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น

ทันใดนั้น หลัวซิวกับเป่ยเฉินยู่ซานต่อสู้กัน เห็นดาบคู่ของเป่ยเฉินยู่ซานผสานกัน เร่งพลังกฎธาตุลมถึงขีดสุด พุ่งเข้ามาอย่างน่ากลัว เหมือนมังกรสีเขียว

เมื่อเผชิญหน้ากับพลังแห่งกฎ หลัวซิวรู้ว่าพลังจิตแท้สองระดับความเป็นตาย ใช้การอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงใช้พลังแห่งกฎต้านทานพลังแห่งกฎ
เขารวบรวมกฎธาตุน้ำเอาไว้ที่มือซ้าย รวบรวมกฎธาตุทองไว้ที่มือขวา มือหนึ่งเป็นสีฟ้าอ่อน อีกมือเป็นสีขาว พุ่งไปข้างหน้าอย่างรุนแรง

ตู้ม!

พลังแห่งกฎสามชนิดปะทะกัน ถึงหลัวซิวได้กฎมาสองชนิด แต่ล้วนเป็นกฎทั่วไป ส่วนกฎธาตุลมของเป่ยเฉินยู่ซาน เป็นกฎระดับสูง ดังนั้นเมื่อรวมพลังแห่งกฎทั้งสองไว้ด้วยกัน ทำได้เพียงสู้กันอย่างสูสีเท่านั้น

พลังแห่งกฎที่เร่าร้อน ผสมเป็นพลังไหลเวียน กลางพลังไหลเวียน หลัวซิวยกมือบีบยันต์โจมตีขั้น6 จนแตกกระจาย

การกระทำของเป่ยเฉินยู่ซานก็ไม่ช้าเช่นกัน เขาบีบยันต์คุ้มกันขั้น6 เช่นกัน

“ไปตายซะ!”

อาศัยการคุ้มกันของยันต์ เป่ยเฉินยู่ซานยกกระบี่คู่พุ่งเข้ามา

“วิชาภูตผีเซินหลัว!”

หลัวซิวก็พุ่งเข้าไปเช่นกัน ลมปราณแห่งความตายแผ่กระจาย กลายเป็นกระดูกญาณ

ช่วงเวลาที่อาวุธทั้งสองปะทะกัน หลัวซิวแสยะยิ้มมุมปากร้ายกาจ อัคคีสีแดงก่ำขนาดใหญ่ พุ่งออกมาจากในตัวของเขา โถมเข้าไปหาเป่ยเฉินยู่ซานที่อยู่ด้านหน้า

“ภูตอัคคีฟ้าดินอย่างนั้นเหรอ”

เมื่อสัมผัสถึงออร่าอัคคีอันน่ากลัว เป่ยเฉินยู่ซานหน้าเปลี่ยนสี เขาไม่คิดไม่ฝันว่า อีกฝ่ายเป็นแค่ราชายุทธ์ขั้น2 จะมีสมบัติล้ำค่าอย่างภูตอัคคี

ภูตอัคคีกลืนกิน สามารถกลืนกินแผดเผาสรรพสิ่ง พลังจิตแท้ป้องกันตัว ไม่สามารถใช้งานได้ เป่ยเฉินยู่ซานรีบถอยหลัง ในเวลาเดียวกันก็ใช้พลังแห่งกฎธาตุลม ป้องกันรอบตัวเอาไว้

ภูตอัคคีกลืนกินของหลัวซิว ยังอยู่ในขั้นเจริญเติบโต พลานุภาพของพลังแห่งกฎระดับสูงเกินไป ไม่สามารถแผดเผาให้กลายเป็นความว่างเปล่าได้

แต่เป่ยเฉินยู่ซานใช้พลังแห่งกฎคุ้มกันตัวเอง ไม่สามารถโจมตีหลัวซิวได้ โอกาสดีอย่างนี้ หลัวซิวไม่พลาดอยู่แล้ว

“เฮียซิวหลัว ฉันไร้ประโยชน์มากใช่ไหม” ดวงตาสวยของเธอมีความเศร้า

“ทำไมพูดแบบนี้ล่ะ เธอเป็นร่างอสูรฟ้าเชียวนะ ต่อไปผลการฝึกตนสูงขึ้น จะยิ่งเก่งกาจขึ้นเรื่อยๆ” หลัวซิวยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น

เพื่อป้องกันเอาไว้ก่อน หลัวซิววางค่ายคุ้มกันขั้น6 เอาไว้รอบตัวฮู๋ชิงชิง เพราะเขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองเข้าไปหาชิ้นส่วนกฎ ต้องใช้เวลานานแค่ไหน ถึงจะสามารถกลับมาได้

……

เมื่อดูแลฮู๋ชิงชิงเรียบร้อย หลัวซิวเขาไปในกลุ่มยอดเขาด้านหน้า สัมผัสลมปราณกฎที่ปกคลุม ณ ที่นี้ เขามองไปยังยอดเขาที่สูงที่สุดอย่างรวดเร็ว

“ไอ้หนุ่ม ระวังหน่อย ยอดเขาจิ่วโจว้ไม่ธรรมดา ได้รับอิทธิพลจากลมปราณชิ้นส่วนกฎ กลายเป็นค่ายกลพรสวรรค์” จักรพรรดิ์ยุทธ์เสวียนดำพูดเตือนหลัวซิว

หลัวซิวตอบรับ สำหรับชิ้นส่วนกฎ ที่ไม่ได้มาง่ายๆ เขาเตรียมใจเอาไว้แล้ว

เขาเพิ่งเดินเข้าไปในเขตยอดเขาทั้งแปด ที่ล้อมรอบเอาไว้ ความอาฆาตที่คมมากพุ่งเข้ามา เงานักยุทธ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นดาบปืนกระบี่ง้าว แส้ยาวล้ำค่า กลายเป็นรูปร่างต่างๆ โถมเข้ามาหาเขาไม่หยุด

เจอสถานการณ์แบบนี้ หลัวซิวไม่รีรอ รีบยกระดับพลานุภาพของร่างกายตัวเอง ถึงจุดสูงสุด กระบี่อาถรรพ์ฟันเสือข้างหลังออกจากฝัก

ลมปราณพลังจิตแท้สองระดับความเป็นตาย พลุ่งพล่านไปรอบๆ เงานักยุทธ์ที่พุ่งเข้ามาโจมตี โดนเขาสะบัดกระบี่จนแตกสลาย ขณะเดียวกันก็ขยับเท้าอย่างรวดเร็ว ตัวกลายเป็นลำแสง พุ่งไปที่ยอดเขาที่สูงที่สุดตรงกลาง

……

ค่ายกลที่สร้างจากยอดเขาจิ่วโจว้ ดูเหมือนอยู่ห่างประมาณร้อยเมตร ในความเป็นจริง หลังจากหลัวซิวเดินเข้ามาในยอดเขาเหล่านี้ ฮู๋ชิงชิงไม่สามารถสัมผัสลมปราณเขาได้แล้ว

เธอมองธงค่ายที่ถืออยู่ในมือ ก่อนจะไป หลัวซิววางค่ายคุ้มกันขั้น6 เอาไว้ ธงค่ายอันนี้ เป็นสิ่งสำคัญในการเปิดค่ายกล ไม่จำเป็นต้องมีตราประทับค่ายกลที่ยุ่งยาก เพียงแค่ส่งพลังจิตแท้เข้าไปข้างใน ก็สามารถเปิดได้แล้ว

“เฮียซิวหลัว ต้องกลับมาอย่างปลอดภัยนะ”

สองสามวันมานี้ชินกับการมีหลัวซิวข้างกาย จู่ๆ เหลือแค่ตัวเองเพียงคนเดียว ทำให้ฮู๋ชิงชิงรู้สึกไม่ชิน

เวลาผ่านไปเรื่อยๆ หลัวซิวเข้าไปในค่ายที่สร้างจากยอดเขาจิ่วโจว้ เป็นเวลาสามวันแล้ว

ฮู๋ชิงชิงรู้ว่าความสามารถของหลัวซิวแข็งแกร่งเพียงใด สามารถทำให้เขาใช้เวลาถึงสามวัน และยังไม่กลับมา เห็นได้ชัดว่าต้องเจออุปสรรคอะไรแน่นอน

นี่ทำให้ฮู๋ชิงชิงนั่งไม่ติด เธอแทบจะพุ่งเข้าไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

“ไม่ได้ ถ้าฉันเข้าไป บางทีอาจจะช่วยไม่ได้ แถมยังจะกลายเป็นภาระของเฮียซิวหลัวด้วย”

ตอนนี้จิตใจของฮู๋ชิงชิงสับสนมาก ลมปราณดุดันที่แผ่ไปทั่วยอดเขาจิ่วโจว้ ทำให้เธอกังวลขึ้นมา

ขณะนั้น เสียงฝีเท้าดังเบาๆ มาจากทางเล็กที่ผ่านตรงนี้

ฮู๋ชิงชิงหันไปตามเสียง เห็นเงาใครบางคนเดินเข้ามา เป็นชายสีหน้าซีด ตัวสูง หน้าตายังหนุ่ม สวมชุดคลุมสีขาว

“หืม มีคนเข้ามาแล้วเหรอ”

ชายชุดคลุมขาวมองเห็นฮู๋ชิงชิง ดวงตาเหมือนตะขอ ราวกับคนใดที่สบตากับเขา จะโดนแววตาของเขากระชากลูกตาทั้งสองข้างออกมา

ฮู๋ชิงชิงสบตากับคนๆ นี้ ทันใดนั้นรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน ขณะเดียวกัน เธอสังเกตเห็นรอยสัญลักษณ์สีเขียวอ่อนกะพริบอยู่ตรงหว่างคิ้วของชายชุดคลุมขาว

หลัวซิวบอกเรื่องเกี่ยวกับชิ้นส่วนกฎให้เธอรู้แล้ว อีกทั้งเธอยังเห็นรอยกฎตรงหว่างคิ้วของหลัวซิว ดังนั้นจึงรู้ทันทีว่าคนนี้น่าจะมาหาชิ้นส่วนกฎเหมือนกัน

เมื่อคิดได้ว่าอีกฝ่ายมาเพราะชิ้นส่วนกฎ ฮู๋ชิงชิงมีสีหน้าหวาดระแวง

เธอไม่รู้จักชายชุดคลุมขาวคนนี้ แต่ลมปราณของอีกฝ่ายแข็งแกร่งมาก ทำให้เธอรู้สึกถึงอันตรายเป็นอย่างมาก

“ยินดีที่ได้พบแม่นาง ผมเป่ยเฉินยู่ซาน แม่นางก็มาเพราะชิ้นส่วนกฎเหมือนกันเหรอ”

สายตาของชายชุดคลุมขาวมองมายังฮู๋ชิงชิง ยิ้มอย่างอ่อนโยน

แม้จะพูดเช่นนี้ แต่เป่ยเฉินยู่ซานกลับสังเกตเห็นว่า ตรงหว่างคิ้วของผู้หญิงตรงหน้า ไม่มีรอยกฎ

เพราะรอยกฎ เป็นเครื่องหมายของฉายาผู้แข็งแกร่ง

ขณะนั้น สายตาของเป่ยเฉินยู่ซานเปลี่ยนไป ช้อนตามองไปทางยอดเขาจิ่วโจว้ ที่อยู่ไกลๆ

เพราะช่วงเวลาเมื่อครู่ เขาสัมผัสได้ว่าลมปราณกฎของที่นี่ หายไปแล้ว!

เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเกิดอะไรขึ้น เห็นได้ชัดว่าที่นี่ ไม่ได้มีแค่ผู้หญิงคนนี้ แต่มีคนอื่นล่วงหน้าไปก่อน และเอาชิ้นส่วนกฎของที่นี่ไปแล้ว

เป่ยเฉินยู่ซานหรี่ตาลง จากนั้นเห็นเงาคนใช้ความเร็วสูงสุด พุ่งออกมาจากยอดเขาจิ่วโจว้

หลังจากหลัวซิวเอาชิ้นส่วนกฎธาตุทองมาได้ และออกมาจากค่ายพรสวรรค์สังหาร ก็เห็นแขกไม่รับเชิญคนนี้

เขามาถึงข้างฮู๋ชิงชิง ส่งสายตาบอกให้เธอไปรอในค่ายที่วางไว้เรียบร้อยแล้ว

ฮู๋ชิงชิงฉลาดเป็นกรด รีบถอยไปด้านหลังทันที กำธงค่ายในมือที่หลัวซิวให้เธอเอาไว้แน่น

เป่ยเฉินยู่ซานสังเกตเห็นการกระทำของเธอ แต่ไม่คิดว่าเป็นอะไร และมองหลัวซิวด้วยตาเป็นประกาย

ตอนนี้ รอยกฎตรงหว่างคิ้วของหลัวซิว ไม่ใช่สีฟ้าอ่อน แต่เป็นสีฟ้าอ่อนกับสีขาวสลับกัน

“นายได้ชิ้นส่วนกฎสองชนิดแล้วเหรอ” เป่ยเฉินยู่ซานมองหลัวซิวอย่างประเมิน พบว่าการเคลื่อนไหวของพลังจิตผลการฝึกตน เพิ่งจะอยู่ในระดับราชายุทธ์ขั้น2

“แค่ผลการฝึกตนราชายุทธ์ขั้น2 ธรรมดาๆ ชิ้นส่วนกฎตกอยู่ในมือนาย ช่างเสียของจริงๆ” เป่ยเฉินยู่ซานยิ้มบางๆ ทันใดนั้นดวงตาเหมือนตะขอ ฉายแววดุดัน

เห็นตัวของเขาหายแวบไปจากที่เดิม มาปรากฏตัวตรงหน้าหลัวซิวเพียงพริบตา ถือกระบี่ยุทธ์เอาไว้ในมือทั้งสองข้าง ลมปราณอันดุดันเพ่งเล็งมาที่หลัวซิว รอยกฎสีเขียวตรงหว่างคิ้วเปล่งประกาย

“รวดเร็วมาก”

หลัวซิวตกใจเล็กน้อย อีกฝ่ายระเบิดความเร็วออกมาอย่างน่าตกใจ ไม่ด้อยไปกว่าวิชาท่าร่างบรรลุมังกรเขียวของเขา

แต่ถ้าเทียบกับความเร็วของปีกทิพย์ไร้มลทิน ความเร็วของอีกฝ่ายยังด้อยกว่าเล็กน้อย

กระบี่คู่ฟันลงมาพร้อมกัน เป่ยเฉินยู่ซานมั่นใจกับความเร็วของตัวเองมาก แต่กระบี่ยุทธ์ในมือ กลับไม่รู้สึกถึงแรงอะไรสักนิด สิ่งที่ฟันลงไปเป็นเพียงเงาเท่านั้น

โจมตีความว่างเปล่า เป่ยเฉินยู่ซานไม่ลังเลแม้แต่น้อย หมุนตัวแล้วใช้กระบี่คู่ฟันลงไปด้านหลัง

ชิ้ง!

กระบี่คู่ปะทะกับกระบี่ใหญ่สีดำ ประกายไฟกระเด็นออกมานับไม่ถ้วน เกิดเสียงระเบิดดังสนั่น

“เป็นไปไม่ได้ ความเร็วของนายทัดเทียมกับฉันอย่างนั้นเหรอ”

สีหน้าเป่ยเฉินยู่ซานเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขารู้ดีว่าการที่ความเร็วของตัวเอง เร็วขนาดนี้ เพราะได้รับชิ้นส่วนกฎธาตุลมมาหนึ่งชิ้น

แต่คนชุดคลุมดำตรงหน้า เห็นได้ชัดว่าได้ชิ้นส่วนกฎธาตุน้ำกับธาตุทอง ทำไมถึงเร็วได้ขนาดนี้ล่ะ

หลัวซิวไม่พูดอะไรสักคำ ไม่อยากพูดไร้สาระ ทั้งสองล้วนอยากได้ชิ้นส่วนกฎจากอีกฝ่าย พูดมากไปก็เปล่าประโยชน์

เป่ยเฉินยู่ซานก็เข้าใจจุดนี้เหมือนกัน เห็นแสงสีเขียวบนดาบคู่ของเขาสว่างวาบ พลังกฎธาตุลมถูกเข้าใช้ออกมา เพียงพริบตาเดียว มันรวมตัวเป็นพายุทอร์นาโดสีเขียวขนาดใหญ่เป็นสิบลูก

พลังอำนาจของพายุทอร์นาโดสีเขียวนี้น่าตกใจมาก แฝงไปด้วยกำลังของกฎ

“ทำลายซะ!”

หลัวซิวแผดเสียงเคร่งขรึม ขณะเดียวกันก็กระตุ้นพลังแห่งกฎธาตุทอง ฟาดพลังกระบี่สีขาวออกมาหลายพลัง ปะทะกับพายุทอร์นาโดสีเขียวสิบลูกนั้น

“นี่ล้ำค่าเกินไป ฉันรับเอาไว้ไม่ได้” ฮู๋ชิงชิงรีบส่ายหน้า แล้วพูดออกมา “เฮียซิวหลัวช่วยฉันสองครั้ง มีบุญคุณกับฉันเหมือนได้เกิดใหม่ ฉันได้ติดตามข้างกายคุณก็เพียงพอแล้ว จะเอาสมบัติอีกได้ยังไง อีกทั้งคุณให้ยาระดับ5 กับฉันไม่น้อย คุณเก็บสมบัติชิ้นนี้เอาไว้ใช้เองเถอะ”

ไม่ว่าหลัวซิวจะพูดอย่างไร ฮู๋ชิงชิงก็ไม่ยอมรับแท่นบัวทิพย์ห้าสีเอาไว้ หลัวซิวเหนื่อยใจ และทำได้เพียงเก็บกลับมา

เขามองออกว่าฮู๋ชิงชิงไม่ต้องการแท่นบัวทิพย์ห้าสี ไม่ใช่เพราะคิดว่าสมบัติชิ้นนี้ไม่ดี หรือเกรงใจเขา แต่เธอรู้ว่ามูลค่าของสมบัติชิ้นนี้สูงมาก มีประโยชน์สำหรับเขาด้วย ดังนั้นไม่ว่าอย่างไร ก็ไม่สามารถรับไว้ได้

สำหรับฮู๋ชิงชิง แค่เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์กับหลัวซิว ตัวเองไม่สามารถรับไว้ได้เด็ดขาด

เหมือนในใจของเธอ ประโยชน์ของหลัวซิว เหนือกว่าประโยชน์ของตนเองมาก

สำหรับความคิดในใจฮู๋ชิงชิง หลัวซิวไม่ได้คิดลึกอะไรขนาดนั้น รู้สึกเพียงว่าเด็กผู้หญิงคนนี้รู้จักบุญคุณมาก หลัวซิวชื่นชมคนที่รู้จักบุญคุณมาโดยตลอด จึงมีความคิดว่า ถ้าตัวเองสามารถหาชิ้นส่วนกฎได้เยอะกว่านี้ ส่วนใดที่ไม่สามารถใช้ได้ จะให้ฮู๋ชิงชิง ให้เธอได้กลายเป็นฉายาราชายุทธ์เหมือนกัน

พลังแห่งกฎ ใช่ว่ายิ่งเยอะยิ่งดี มีเพียงกฎที่เหมาะสมกับตัวเอง ถึงจะสามารถใช้เพื่อตัวเองได้อย่างแท้จริง

อย่างเช่นในเบญจธาตุทั้ง5 ทองข่มไม้ ไม้ข่มดิน ดินข่มน้ำ น้ำข่มไฟ ไฟข่มทอง

กฎเบญจธาตุทั้ง5 มีทั้งการสร้างและข่มกัน กฎที่ข่มกัน ไม่สามารถหลอมรวมกันได้ มีเพียงกฎที่เสริมสร้างกัน ถึงจะสามารถหลอมรวมกันได้ กลายเป็นกฎการหลอมรวม

อย่างเช่น ดินสร้างไม้ หลอมรวมกฎไม้ดิน ก็จะแข็งแกร่งกว่ากฎเพียงอย่างเดียว

อีกทั้งยังมีกฎลมไฟ กฎอัสนีวายุ

ในบรรดากฎทั้ง 7 ชนิดในแดนแต่งตั้งราชา กฎที่สามารถหลอมรวมแล้วแข็งแกร่งที่สุด ก็คือกฎเบญจธาตุทั้ง5กับกฎการผสมรวม

กฎเบญจธาตุทั้ง5 สามารถฝึกพลังอมตะได้หนึ่งอย่าง เรียกว่าแสงจิตห้าสี ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีหรือป้องกัน ล้วนแข็งแกร่งมาก

ว่ากันว่ากฎการผสมรวม มีประสิทธิภาพยอดเยี่ยมด้านกลั่นร่าง สามารถฝึกจนกลายเป็นร่างยุทธ์ผสมรวม

ทางที่หลัวซิวคิดจะเดินไป คือเส้นทางของกฎหลอมรวมเบญจธาตุทั้ง5 เพราะวรยุทธ์วงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพที่เขาฝึกตน เกิดเป็นวิชากลั่นร่างแล้ว ขัดแย้งกับร่างยุทธ์ผสมรวม

หลังจากมีความคิดในใจ หลัวซิวพาฮู๋ชิงชิงเดินทางต่อไป ตามสัมผัสของลมปราณกฎ ผ่านไปตามอากาศในแดนแต่งตั้งราชา

ถ้าเป็นราชายุทธ์ทั่วไป ไม่มีทางเหาะเหินกลางอากาศ อย่างไม่เกรงกลัวเช่นนี้ เพราะมีอสูรกายเจ้าถิ่นครองพื้นที่อยู่ในอากาศ ถึงเป็นราชายุทธ์ขั้น9 ถ้าโดนฝูงอสูรกายขั้น5 สูงสุด ล้อมโจมตี ก็ต้องยอมเก็บงำความแค้นเอาไว้

แต่หลัวซิวมีปีกทิพย์ไร้มลทิน ได้เปรียบด้านความเร็วเป็นพิเศษ อสูรกายเหาะเหินขั้น6 ไม่สามารถไล่ตามเขาทัน จึงไม่กลัวการขัดขวางของอสูรกายกลางอากาศ

หลังใช้เวลาประมาณสองชั่วยาม จู่ๆ หลัวซิวหยุดกลางอากาศ เก็บปีกทิพย์ไร้มลทินที่กางอยู่ด้านหลัง ทั้งสองลอยลงมาจากอากาศ

นี่เป็นที่รกร้างแห่งหนึ่ง มีเขาหินเตี้ยๆ สองสามลูก พลังฟ้าดินจิตเบาบางมาก อีกทั้งยังไม่มีตรงไหนดูแปลกประหลาดเป็นพิเศษ

แต่เมื่อหลัวซิวมาถึงบริเวณรอบๆ กลับสัมผัสได้ถึงลมปราณของกฎ ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น สามารถยืนยันได้ว่า บริเวณรอบๆ น่าจะมีชิ้นส่วนกฎอยู่ชิ้นหนึ่ง

“เฮียซิวหลัว ที่นี่เหมือนไม่มีอะไรเลย” ฮู๋ชิงชิงมองไปรอบๆ ตัวสำนึกแผ่กระจายสำรวจ ไม่พบอะไรสักอย่าง

ที่นี่ธรรมดาจนไม่รู้จะธรรมดาอย่างไรแล้ว

“เหอะๆ เธอไม่เข้าใจค่ายกล จึงมองความพิเศษของที่นี่ไม่ออก อันที่จริงสิ่งที่เธอเห็น ไม่ใช่สภาพแท้จริงของที่นี่ แต่โดนค่ายกลซ่อนงำเอาไว้”

หลัวซิวยิ้มบางๆ ยื่นมือไปทางฮู๋ชิงชิง แล้วพูดว่า “เอามือเธอมาให้ฉัน ที่นี่มีค่ายกลพรสวรรค์อยู่แห่งหนึ่ง ถ้าเดินพลาดเพียงก้าวเดียว ก็จะเข้าไปไม่ได้”

ฮู๋ชิงชิงพยักหน้า และวางมือเล็กๆ ลงบนมือหลัวซิว นี่เป็นมือที่นุ่มเหมือนไร้กระดูกจริงๆ ช่วงที่ทั้งสองจับมือกัน ร่างบางของฮู๋ชิงชิงสั่นเล็กน้อย อย่างเห็นได้ชัด

หลัวซิวกลับไม่ได้คิดอะไรมากมาย ตัวสำนึกของเขาแผ่กระจาย จับร่องรอยค่ายกลไม่แน่ชัดได้บางส่วน

ค่ายกลที่สร้างขึ้นจากพรสวรรค์ ไม่สามารถทำลายได้ ทำได้เพียงศึกษาหลักการของค่ายกลนั้น ถึงจะสามารถเข้าออกได้อย่างไร้อุปสรรค

มีจักรพรรดิ์ยุทธ์เสวียนดำ ปรมาจารย์ค่ายกลโบราณ คอยให้คำปรึกษาอยู่ข้างกาย ระยะนี้ระดับค่ายกลของหลัวซิว เรียกได้ว่าก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องให้จักรพรรดิ์ยุทธ์เสวียนดำแนะนำ ก็สามารถจับทางหลักการของค่ายกลพรสวรรค์แห่งนี้ได้แล้ว

เขาจับมือฮู๋ชิงชิง ยืนหลับตานิ่งอยู่ที่เดิม เวลาประมาณหนึ่งก้านธูป ทันใดนั้นเขาลืมตาขึ้น เริ่มเดินไปมา

เห็นเขาเดินเพียงสามสิบกว่าก้าว จากนั้นเดินวนหนึ่งรอบ และกลับมาที่เดิม

แต่เมื่อก้าวสุดท้ายเหยียบลงไป ภาพด้านหน้าแปรเปลี่ยนเป็นภาพลวงตา ปรากฏเป็นทางคดเคี้ยวเล็กๆ ด้านหน้า ทอดผ่านไปไกล

“เธอตามฉันมา” หลัวซิวพูดกับฮู๋ชิงชิง เพราะเขาก็ไม่รู้ว่าในค่ายกลพรสวรรค์ มีอันตรายอะไรหรือเปล่า

“อืม” เสียงของฮู๋ชิงชิงเหมือนยุง เบาจนไม่ได้ยิน เธอรู้สึกถึงความร้อนที่ส่งผ่านมายังฝ่ามือตัวเอง ทำให้จิตใจล่องลอย

โดนชายคนหนึ่งจับมือ ผจญภัยไปด้วยกัน เป็นประสบการณ์ที่เมื่อก่อนเธอไม่เคยคิดเลย ตอนนี้ฮู๋ชิงชิงอยู่ในสภาวะเหม่อลอย โดนหลัวซิวดึงไป ไม่รู้ว่าเดินไปที่ไหน

“ไม่ว่าจะไปที่ไหน แค่ได้จับมือเฮียซิวหลัวแบบนี้ ก็รู้สึกมีความสุขมากแล้วล่ะ……” ฮู๋ชิงชิงรู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อนผ่าว ความรักที่งอกงามแทบจะครองใจหญิงสาวไปแล้ว

เธอคิดว่าถ้าไม่มีผ้าคลุมหน้า แก้มของตัวเองต้องแดงมากสินะ

……

เดินไปตามทางเล็กๆ ซึ่งไปยังพลังจิต ตัวสำนึกของหลัวซิว ยังอยู่ในสภาวะที่ปล่อยอยู่ข้างนอก ติดตามความเคลื่อนไหวรอบๆ อย่างใกล้ชิด

ถนนเล็กๆ สายนี้ยาวมาก หลังเดินได้ประมาณหนึ่งชั่วยาม ภาพด้านหน้าเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง

เห็นไกลออกไปประมาณร้อยเมตรด้านหน้า มียอดเขาตระหง่านติดต่อกัน ยอดเขามีทั้งหมดเก้ายอดเขา มีแปดยอดเขาที่เตี้ยเล็กน้อย ล้อมรอบยอดเขาหนึ่งที่สูงสุดเอาไว้ตรงกลาง

ลมปราณอันแกร่งกล้าและเฉียบคมโถมเข้ามา รู้สึกว่าสายลมเหมือนกระบี่ ทำให้รู้สึกเจ็บผิว

“คมสุด ชิ้นส่วนกฎที่นี่ น่าจะเป็นชิ้นส่วนกฎธาตุทอง ที่มีพลังโจมตีแข็งแกร่งสุดในเบญจธาตุทั้ง5” หลัวซิวแอบคาดเดาเอาไว้

ชิ้นส่วนกฎไม่ใช่จะได้มาง่ายๆ ชิ้นส่วนกฎธาตุน้ำที่หลัวซิวได้มา ดูเหมือนจะง่าย แต่ในความเป็นจริง ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น อาจไม่สามารถรอดออกมาจากเขี้ยวเล็บของมังกรเขาเกล็ดดำได้

ดังนั้นคนที่เอาชิ้นส่วนกฎมาได้ มีพละกำลังแข็งแกร่งอยู่แล้ว เมื่อได้ชิ้นส่วนกฎ ยิ่งเหมือนเสือติดปีก เพราะฉะนั้นถ้าอยากชิงชิ้นส่วนกฎมาจากคนเหล่านั้น เป็นเรื่องยากอย่างไม่ต้องสงสัย

หลัวซิวเดาว่าคนที่พบชิ้นส่วนกฎ ไม่น่าจะมีแค่ตัวเอง บางทีอาจมีคนอื่นที่ได้ชิ้นส่วนกฎเหมือนตัวเองแล้ว สิ่งที่เขาสามารถทำได้ตอนนี้ คือหาชิ้นส่วนกฎให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

“ข้างหน้าอาจมีอันตราย เธอรอฉันอยู่ตรงนี้” หลัวซิวพูดกับฮู๋ชิงชิงที่อยู่ข้างๆ ขณะเดียวกันก็ปล่อยมือเธอ

เมื่อรู้สึกว่าความอบอุ่นบนมือหายไป สีหน้าฮู๋ชิงชิงฉายแววเศร้า

บทที่ 384 หลอมรวม
ยิ่งหลอมรวมชิ้นส่วนกฎมากขึ้นเท่าไร จะสามารถควบคุมพลังแห่งกฎ ได้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น และสุดท้ายจะได้รับอันดับฉายารายชื่อสูงขึ้นด้วย
ในช่วงเวลาที่แดนแต่งตั้งราชาเปิดจนสิ้นสุดลง ผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์สิบคน ที่ได้รับชิ้นส่วนกฎมากที่สุด จะกลายเป็นฉายาราชายุทธ์ในยุคนี้ ส่วนราชายุทธ์ที่รายชื่ออยู่รั้งท้าย แม้จะได้ชิ้นส่วนกฎ สุดท้ายตอนที่ถูกส่งออกมาจากแดนแต่งตั้งราชา จะถูกเก็บชิ้นส่วนกฎคืนกลับไป
ดังนั้น ถึงเป็นฉายาราชายุทธ์เหมือนกัน แต่มีพละกำลังที่แตกต่างกันไม่น้อย ความแตกต่างนี้ ขึ้นอยู่กับความมากน้อยของชิ้นส่วนกฎ
เมื่อเป็นเช่นนี้ หมายความว่าหลัวซิวสามารถหาชิ้นส่วนกฎด้วยตัวเอง หรือจะฆ่าราชายุทธ์คนอื่น ที่ได้ชิ้นส่วนกฎ เพื่อได้มาซึ่งชิ้นส่วนกฎที่มากขึ้น
“ตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน ผ่านกาลเวลามานับไม่ถ้วน แดนแต่งตั้งราชา ร้อยปีเปิดเพียงหนึ่งครั้ง คนที่ได้รับชิ้นส่วนกฎมีมากมาย แต่คนที่เติบโตอย่างรวดเร็ว อยู่บนจุดสุดยอดของโลกยุทธ์อย่างแท้จริง กลับหายากและมีจำนวนน้อยมาก”
จักรพรรดิ์ยุทธ์เสวียนดำถอนหายใจอย่างหดหู่ เพราะถ้าโดนฆ่า ชิ้นส่วนกฎจะโดนแย่งไปได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ เส้นทางการเติบโตในอนาคต ฉายาราชายุทธ์ทุกคน ต้องเผชิญกับการเข่นฆ่าไม่รู้จบ
สิ่งที่อันตรายที่สุดภายในนี้ ก็คือฉายาราชายุทธ์ เพราะสิ่งที่เรียกว่าชิ้นส่วนกฎ เพียงพอที่จะทำให้ผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ มกุฏยุทธ์ เกิดความหวั่นไหวได้ ถ้าเป็นฉายาราชายุทธ์ที่มีเบื้องหลังเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเป็นคนที่ไม่มีปูมหลังอะไรเลย มาแย่งชิงฉายา หลอมรวมชิ้นส่วนกฎ จะรักษาชิ้นส่วนกฎที่ตัวเองได้มาได้หรือเปล่า ยังต้องเผชิญกับบททดสอบที่ยิ่งใหญ่
โอกาสและอันตรายเป็นสิ่งคู่กัน คำพูดนี้กล่าวไว้ไม่ผิดจริงๆ
“สวบ!”
หลัวซิวยกมือขึ้นมาสะบัด แสงแห่งกฎสีฟ้าอ่อนพุ่งออกไป หล่นลงนอกระยะสิบเมตร ทำให้พื้นที่ทั้งแถบถูกแช่แข็งเอาไว้
เขาใช้ความคิด พื้นที่ที่ถูกแช่แข็ง แตกกระจายทันที กลายเป็นรอยแตกสีดำขลับ
“แข็งแกร่งมาก!”
เมื่อเห็นภาพตรงหน้า หลัวซิวอดสูดหายใจไม่ได้ ช่องว่างแตกสลาย นี่เป็นวิธีที่ผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ ถึงจะทำได้ และยังต้องเป็นจักรพรรดิยุทธ์ ที่ค่อนข้างจะเก่งกาจอีกด้วย ถึงจะทำถึงจุดนี้ได้
แต่ตอนนี้หลัวซิวเพิ่งจะมีผลการฝึกตนราชายุทธ์ขั้น2 ใช้พลังแห่งกฎเพียงเล็กน้อย ก็สามารถทำได้ถึงระดับนี้ เห็นได้เลยว่าพลังแห่งกฎแข็งแกร่งขนาดไหน
“มิน่าล่ะฉายาราชายุทธ์ ถึงสามารถฆ่าข้ามขั้นจักรพรรดิยุทธ์ได้ พลังแห่งกฎแข็งแกร่งเกินไปแล้ว!”
พลานุภาพความแข็งแกร่งของพลังแห่งกฎ ทำให้หลัวซิวอดความเร่าร้อนในใจไม่ได้
ชิ้นส่วนกฎธาตุน้ำ มีทั้งหมด 9 ชิ้น เขาเพิ่งได้แค่หนึ่งชิ้น แต่ทำให้เขามีกำลังในการต้านทานจักรพรรดิยุทธ์ ถ้ารวบรวมชิ้นส่วนกฎได้ครบทั้ง 9 ชิ้น งั้นก็ต้องแข็งแกร่งกว่านี้ไม่ใช่เหรอ
อีกทั้งยังมีชิ้นส่วนกฎชนิดอื่นด้วย ถ้าสามารถรวบรวมได้ทั้งหมด เอามารวมไว้ในร่างกาย ไม่กล้าจะจินตนาการเลย!
“นายนี่บ้าจริงๆ จะเอากฎทั้ง 7 ชนิด ชิ้นส่วนกฎ 63 ชิ้นมารวมเอาไว้ด้วยกันงั้นเหรอ นายยังจะกล้าคิดนะ” จักรพรรดิ์ยุทธ์เสวียนดำตกใจกับความคิดบ้าๆ ของหลัวซิวไม่น้อย
แดนแต่งตั้งราชาใหญ่มาก อีกทั้งราชายุทธ์ที่เข้าร่วมการต่อสู้แต่งตั้งราชาในแดนลึกลับ มียอดฝีมือแดนราชายุทธ์ขั้น9 อยู่เป็นจำนวนมาก
หลัวซิวสามารถเอาชิ้นส่วนกฎมาได้ คนอื่นก็เอามาได้เหมือนกัน อีกทั้งเมื่อได้ชิ้นส่วนกฎ พละกำลังจะเพิ่มสูงขึ้น มีกำลังในการต้านทานจักรพรรดิยุทธ์
อยากเอาชนะคู่แข่งทั้งหมด เพื่อรวบรวมชิ้นส่วนกฎ 63 ชิ้นเอาไว้ แทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
“พลังแห่งกฎก็มีการแบ่งสูงต่ำ พลังแห่งกฎธาตุน้ำที่นายได้มา เป็นเพียงหนึ่งในกฎเบญจธาตุทั่วไป เมื่อเทียบกันแล้ว กฎธาตุลมกับกฎอัสนี เก่งกาจกว่ากฎเบญจธาตุเพียงอย่างเดียว”
จักรพรรดิ์ยุทธ์เสวียนดำ เป็นผู้แข็งแกร่งในสมัยโบราณ มีความเข้าใจกฎอย่างลึกซึ้ง จากที่เขาพูด กฎแบ่งออกเป็นสามประเภท คือกฎทั่วไป กฎระดับสูง กฎระดับสูงสุด
ธาตุทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดิน เบญจธาตุทั้ง5 อยู่ในกฎทั่วไป อัสนีวายุและหยินหยางอยู่ในกฎระดับสูง ส่วนกฎระดับสูงสุดมีเพียงสี่ประเภท ได้แก่ กฎเวลา กฎปริภูมิ กฎชีวิตและกฎความตาย
“ยังมีกฎอีกหนึ่งประเภท อยู่ระหว่างกฎระดับสูงกับกฎระดับสูงสุด ถูกเรียกว่ากฎหลอมรวม เช่น กฎเบญจธาตุ กฎหยินหยาง กฎการผสมรวม เป็นต้น”
คำแนะนำที่จักรพรรดิ์ยุทธ์เสวียนดำมอบให้หลัวซิว คือเลือกเส้นทางกฎหลอมรวม ถ้าสามารถรวมเบญจธาตุทั้ง5 ได้ครบ เรียนรู้กฎเบญจธาตุทั้ง5 หรือจะรวมดินน้ำลมไฟ เรียนรู้กฎการผสมรวม ก็สามารถฝึกตนพลังอมตะที่ยิ่งใหญ่สุดยอด
เทพแห่งวัฏจักรชีวิตที่เงียบมานาน กลับเอือมระอากับสิ่งนี้ เสียงถูกส่งมายังตัวหยั่งรู้ของหลัวซิว “ผู้สืบทอดที่อ่อนแอ เสียเวลาฝึกตนกฎอื่นๆ สู้รีบยกระดับผลการฝึกตนของตัวเองดีกว่า ถ้านายสามารถทำความเข้าใจกฎดั้งเดิมถึงรูปที่สี่ นายจะสามารถเรียนรู้พลังกฎการเวียนว่ายตายเกิด”
“ภาพที่สี่อย่างนั้นเหรอ” เมื่อหลัวซิวได้ยิน อดยิ้มอย่างขมขื่นไม่ได้ ตอนนี้เขาเพิ่งเริ่มทำความเข้าใจกฎดั้งเดิมรูปที่สาม อีกทั้งเพิ่งทำความเข้าใจได้เพียงผิวเผินเท่านั้น ยังห่างจากการทำความเข้าใจภาพที่สี่อีกไกลแสนไกล
ได้เห็นความแข็งแกร่งของพลังแห่งกฎธาตุน้ำเพียงเล็กน้อย หลัวซิวก็คาดหวังกับกฎการเวียนว่ายตายเกิดเช่นกัน จึงอดถามออกมาไม่ได้ว่า “กฎชีวิตกับกฎความตายเพียงอย่างเดียว เป็นกฎระดับสูงสุดแล้ว งั้นกฎการเวียนว่ายตายเกิด อยู่ในระดับไหนเหรอ”
“เหนือกว่ากฎระดับสูงสุด ยังมีกฎระดับสูงสุดยอด กฎการเวียนว่ายตายเกิดคือกฎระดับสูงสุดยอด ยังมีกฎระดับสูงสุดยอดอีกประเภท นั่นคือกฎเวลาและพื้นที่” เทพแห่งวัฏจักรชีวิตเอ่ยขึ้น
เห็นได้ชัดว่า ระดับขั้นของกฎการเวียนว่ายตายเกิดสูงมาก แต่จำเป็นต้องทำความเข้าใจกฎดั้งเดิมรูปที่สี่ ถึงจะสามารถเรียนรู้ได้ หลัวซิวอยากยกระดับพละกำลังให้เร็วที่สุด ตอนนี้ยังไม่สามารถทำให้เป็นจริงได้
ดังนั้นหลัวซิวจึงฟังคำแนะนำของจักรพรรดิ์ยุทธ์เสวียนดำ รวบรวมชิ้นส่วนกฎให้มากเพียงพอเสียก่อน เลือกเส้นทางกฎการหลอมรวม เพราะมีเพียงการทำเช่นนี้ ถึงจะทำให้เขายกระดับพละกำลังให้เพิ่มสูงขึ้น ภายในระยะเวลาอันสั้น
เทพแห่งวัฏจักรชีวิตไม่ได้พูดอะไร กับการเลือกของหลัวซิว กลับไปเงียบสงบเหมือนปกติ
อาจเป็นเพราะการหลอมรวมชิ้นส่วนกฎเพียงหนึ่งชิ้น หลัวซิวพอจะสัมผัสได้ถึงชิ้นส่วนกฎอื่นๆ
ถึงสัมผัสนี้จะไม่ชัดเจน แต่สามารถยืนยันตำแหน่งได้
“ชิ้นส่วนกฎหนึ่งชิ้นที่อยู่ใกล้ฉันที่สุด น่าจะอยู่ทางนี้” สายตาของหลัวซิว มองไปไกลๆ
จากนั้น เขามองฮู๋ชิงชิงที่ยืนข้างๆ พูดกับตัวเองว่าได้ชิ้นส่วนกฎ ที่เป็นสมบัติประเภทนี้ จะเก็บของดีเอาไว้เพียงคนเดียวไม่ได้
จากนั้นหลังจากคิดครู่หนึ่ง เขาเอาแท่นบัวห้าสี ที่หล่อเลี้ยงชิ้นส่วนกฎออกมา
“ชิงชิง สมบัติชิ้นนี้ชื่อว่าแท่นบัวทิพย์ห้าสี สามารถเปลี่ยนพลังฟ้าดินจิตเป็นปราณทิพย์ได้ เมื่อนั่งด้านบน สามารถฝึกตนกลืนกินปราณทิพย์ได้” หลัวซิวยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น
อันที่จริงแท่นบัวทิพย์ห้าสี มีประโยชน์กับหลัวซิวมาก แต่เมื่อเทียบกันแล้ว ประสิทธิภาพของการฝึกปราณทิพย์ ยอดเยี่ยมอยู่แล้ว แต่ความเร็วเทียบไม่ได้กับการใช้ยา ดังนั้นเขาจึงเอาออกมาให้ฮู๋ชิงชิง

หลัวซิวไม่ได้ใส่ใจ ตอนเขาอยู่ในระดับราชายุทธ์ขั้น2 สามารถฆ่าราชายุทธ์แดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด ได้ยี่สิบกว่าคน ในนั้นมีสามคนที่เป็นราชายุทธ์ขั้น9

ส่วนเสือดำเขาเดียวฝูงนี้ มีเพียงสองตัวที่เป็นขั้น5สูงสุด พละกำลังของเขาแข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อน จะไปสนใจทำไม

เขาไม่จำเป็นต้องเอากระบี่ออกมา แค่ยื่นนิ้วออกมาแตะ พลังกระบี่ดำขาวพุ่งออกมา พลังกระบี่แต่ละพลัง สามารถฆ่าราชายุทธ์ขั้น7 ได้อย่างง่ายดาย

พรวด! พรวด! พรวด!

เสียงเนื้อถูกเชือดดังสนั่นขึ้นในป่า ตัดเสือดำเขาเดียวขั้น5สูงสุด สองตัวนั้นออกไป เพียงพริบตา ส่วนที่เหลือก็โดนฆ่าจนหมดเกลี้ยง เลือดเปื้อนลงบนพื้นดิน

สำหรับเสือดำเขาเดียวขั้น5สูงสุดสองตัวนั้น หลัวซิวยกมือขึ้นมา ใช้พลังกระบี่ที่รวบรวมจากภูตอัคคีกลืนกิน ฆ่าตายในทันที

พลานุภาพของภูตอัคคี เหนือกว่าพลังจิตแท้สองระดับความเป็นตายของเขา

“ตอนนี้ฉันใช้พละกำลังราชายุทธ์ขั้น3 ฆ่าราชายุทธ์ขั้น9 ได้อย่างง่ายดายแล้ว แต่ยังห่างชั้นกับจักรพรรดิยุทธ์”

หลังจากจัดการเสือดำเขาเดียวฝูงนี้จนหมด หลัวซิวกับฮู๋ชิงชิง เริ่มรวบรวมดวงจิตของอสูรกายพวกนี้

หลัวซิวต้องการแค่ดวงจิตขั้น5สูงสุด 2 เม็ด ดวงจิตอื่นๆ ให้ฮู๋ชิงชิงทั้งหมด เพราะดวงจิตระดับนั้น ไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับเขา

จากนั้นหลัวซิวเดินไปตามสัมผัสของปราณทิพย์ฟ้าดิน เดินลึกลงไปในป่าใบไม้สีม่วงแห่งนี้

เมื่อเดินออกมาจากพุ่มไม้ วิวข้างหน้าปลอดโปร่งโล่งสบาย มีทะเลสาบอยู่แห่งหนึ่ง

กลางทะเลสาบ มีดอกบัวห้าสีงอกอยู่หนึ่งต้น แท่นบัวขนาดประมาณอ่างล้างหน้า กลางเกสรดอกบัว มีลูกแก้วสีฟ้าลอยอยู่

วินาทีที่เห็นดอกบัวห้าสีดอกนี้ หลัวซิวรู้สึกว่าปราณทิพย์ฟ้าดินบริเวณรอบๆ ยิ่งรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะลูกแก้วสีฟ้าที่ลอยอยู่กลางดอกบัว มีลมปราณซับซ้อนที่ไม่สามารถคาดเดาได้แผ่ออกมา ถึงขนาดที่ทำให้เขารู้สึกกดดัน

“นี่เป็น……ลมปราณแห่งกฎอย่างนั้นเหรอ”

เสียงสั่นเครือของจักรพรรดิ์ยุทธ์เสวียนดำ ดังออกมาจากกลางฝ่ามือซ้ายของหลัวซิว

ตอนเขาอยู่ในสมัยโบราณ เป็นผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ ที่เข้าใจพลังแห่งกฎ ว่ากันตามเหตุผลแล้ว ไม่น่าจะตื่นเต้นขนาดนี้

แต่สิ่งที่ทำให้เขาตื่นเต้นอย่างแท้จริง ไม่ใช่ลมปราณแห่งกฎ แต่ที่นี่มีลมปราณแห่งกฎ นั่นแสดงว่าวิธีได้ฉายา ปรากฏออกมาแล้ว!

“ไอ้หนุ่ม ลูกแก้วสีฟ้าที่ลอยอยู่กลางแท่นบัว ต้องเป็นหนึ่งในสมบัติที่ได้รับฉายาแน่นอน!”

ฉายาราชายุทธ์ สามารถทำให้ราชายุทธ์ เข้าใจพลังแห่งกฎ มีพละกำลังในการฆ่าข้ามขั้นนักยุทธ์ที่แดนสูงกว่า

อย่าดูถูกพลังแห่งกฎอันเล็กน้อย เพราะนี่เป็นหนทางที่มั่นคง ในการไปสู่มหาจักรพรรดิยุทธ์ นี่ถึงเป็นเหตุที่ทำไมผู้แข็งแกร่งแต่ละคน ถึงได้รับฉายา แค่ไม่สูญเสีย ก็มีโอกาสสูงมาก ที่จะได้กลายเป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์

เมื่อได้ยินเสียงจักรพรรดิ์ยุทธ์เสวียนดำ หลัวซิวอดชะงักในใจไม่ได้ แต่สะกดกลั้นความใจร้อนเอาไว้ ไม่ได้ผลีผลามทำอะไร

เขาปลดปล่อยตัวสำนึกของตัวเอง ไปสำรวจความเคลื่อนไหวบริเวณทะเลสาบก่อน ต้องแน่ใจก่อนว่าบริเวณรอบๆ ไม่มีร่องรอยของค่ายกลธรรมชาติ

แต่ตำแหน่งของแท่นบัวห้าสีนั้น โดนลมปราณแห่งกฎซับซ้อนไม่สามารถคาดเดา ขวางเอาไว้ ตัวสำนึกไม่สามารถสำรวจได้

“เธอรอฉันอยู่ตรงนี้ ฉันจะไปดู” หลัวซิวพูดกับฮู๋ชิงชิงที่อยู่ข้างๆ

เพราะเขาก็ไม่รู้ว่าจะมีอันตรายอะไรบ้าง เมื่อถึงตอนนั้นอาจไม่มีทางรับประกันความปลอดภัยของฮู๋ชิงชิง

ฮู๋ชิงชิงไม่แม้แต่จะถาม เธอพยักหน้าทันที ไม่ว่าอาจารย์จะให้ตัวเองทำอะไร เธอจะเชื่อฟังทุกอย่าง

“พรึ่บ!”

ปีกทิพย์ไร้มลทิน สยายออกด้านหลัง เมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้ามีอันตราย จะได้บินออกมาเป็นอันดับแรก

ทะเลสาบด้านหน้าไม่ใหญ่ หลัวซิวขยับปีกทิพย์ไร้มลทินสองครั้ง ก็เข้ามาใกล้แท่นบัวห้าสีกลางทะเลสาบ

ขณะนั้น เขารู้สึกว่าน้ำในทะเลสาบด้านล่างเคลื่อนไหว ลมปราณที่มีพลานุภาพโหดเหี้ยม เหมือนกำลังฟื้นคืนชีพอยู่ก้นทะเลสาบ

หลัวซิวรีบตัดสินใจทันที ยื่นมือไปคว้าลูกแก้วสีฟ้า ที่ลอยอยู่กลางแท่นบัว แต่ฝ่ามือของเขายังไม่ทันสัมผัสลูกแก้วสีฟ้า ลูกแก้วเม็ดนี้ลอยเข้ามาในฝ่ามือของเขา

“ไอ้หนุ่ม เอาแท่นบัวห้าสีอันนี้มาด้วย สิ่งนี้เป็นสมบัติที่สามารถเปลี่ยนพลังจิตเป็นปราณทิพย์ได้ มีประโยชน์กับการฝึกตนของนาย” จักรพรรดิ์ยุทธ์เสวียนดำพูดเตือน

เมื่อหลัวซิวได้ยิน จะปล่อยของดีแบบนี้ไปไม่ได้ เขาสะบัดมือ เก็บแท่นบัวนี้มาด้วย

จากนั้น เขาเคลื่อนไหวปีก เพียงสองครั้ง ก็มาอยู่ข้างฮู๋ชิงชิง ฮู๋ชิงชิงยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ก็โดนหลัวซิวอุ้มขึ้นมา เหาะขึ้นไปบนฟ้า

“ตู้ม!”

ในทะเลสาบด้านหลัง หยดน้ำขนาดใหญ่พุ่งขึ้นมา สิ่งมีชีวิตลักษณะเป็นมังกรสีดำขลับทั้งตัว พุ่งขึ้นมา ยืดลำตัวของมันยาวเกือบร้อยฟุต มีเขามังกรคู่หนึ่งโดดเด่นอยู่บนหัว

“มังกรเขาเกล็ดดำ!”

หลัวซิวมองแวบเดียวก็ดูออก มังกรมีเขากับมังกรไม่มีเขาเหมือนกัน ล้วนเป็นสายเลือดเผ่าพันธุ์มังกร แต่ต่างชนิดกัน แต่ระดับสายเลือดของมังกรมีเขา กลับสูงกว่ามังกรไม่มีเขาส่วนใหญ่มาก

ถึงขนาดที่เรียกได้ว่า มังกรมีเขาเป็นส่วนที่แยกออกมาจากเผ่าพันธุ์มังกร ตัดส่วนที่หางเหมือนงูออกไป ส่วนที่เหลือ ไม่ได้แตกต่างจากมังกรจริงสักเท่าไร

อีกทั้งลมปราณที่แผ่ออกมารอบตัวของมังกรเขาเกล็ดดำตัวนี้ ถึงขั้น6 และไม่ใช่ขั้น6ทั่วไป อย่างน้อยคือขั้น6ระดับกลาง

“โฮก!”

หลังจากมังกรเขาเกล็ดดำพุ่งออกมา ก็พุ่งเป้าไปที่หลัวซิว มันหลับใหลอยู่ที่นี่ ทำหน้าที่เฝ้าชิ้นส่วนกฎ จะให้คนเอาชิ้นส่วนกฎไปง่ายๆ แบบนี้ได้อย่างไร

มันคำรามไล่ตามไป แต่ไล่ตามไปไม่นาน พบว่ามนุษย์สมควรตายคนนั้น เร็วเกินไป หายลับขอบฟ้าไปแล้ว เหลือเพียงจุดดำเล็กๆ อันเลือนราง

……

เมื่อเห็นว่ามังกรเขาเกล็ดดำไม่ตามมาต่อ หลังจากนั้น หลัวซิวยังคงเหาะออกไปเป็นสิบลี้ จึงลอยลงมาจากฟ้า

เขาดูภายในร่างกายตัวเองเป็นอันดับแรก เริ่มสำรวจตั้งแต่ฝ่ามือที่สัมผัสลูกแก้วสีฟ้า สุดท้ายภายในตัวหยั่งรู้ พบว่าลูกแก้วสีฟ้าเม็ดนั้น ลอยอยู่ในช่องว่างภายในตัวหยั่งรู้

ตอนนี้ หลิวซิวรู้สึกเหมือนตัวเองสามารถรับรู้ถึงพลังจิตAttrน้ำทุกสายของโลกได้อย่างชัดเจน ขณะเดียวกันตรงหว่างคิ้วของเขา ปรากฏรอยสัญลักษณ์สีฟ้าอ่อน

“นี่เป็นพลังแห่งกฎในตำนานหรือเปล่า”

หลัวซิวกางฝ่ามือออกช้าๆ มีแสงสีฟ้าอ่อนรวมตัวที่กลางฝ่ามือ เป็นแสงริบหรี่ บางครั้งก็รวมตัวเป็นน้ำแข็ง บางครั้งก็กลายเป็นหยดน้ำกลมๆ

“นายนี่โชคดีไม่เลว ได้ชิ้นส่วนกฎธาตุน้ำมาอย่างง่ายดายขนาดนี้” เสียงจักรพรรดิ์ยุทธ์เสวียนดำดังขึ้นมา

จากที่จักรพรรดิ์ยุทธ์เสวียนดำพูดมา ในเมื่อชิ้นส่วนกฎปรากฏออกมาแล้ว งั้นแสดงว่า การต่อสู้แต่งตั้งราชาครั้งนี้ เป็นการแย่งชิงชิ้นส่วนกฎสินะ

อีกทั้งตอนที่ชิ้นส่วนกฎธาตุน้ำชิ้นนี้ เข้าไปในร่างกาย ข้อมูลส่วนหนึ่งก็เข้าสู่ส่วนลึกห้วงความคิดของหลัวซิวเช่นกัน

ตอนนี้ในแดนแต่งตั้งราชา มีชิ้นส่วนกฎทั้งหมดเจ็ดชนิด แบ่งออกเป็นชิ้นส่วนกฎธาตุทอง ชิ้นส่วนกฎธาตุไม้ ชิ้นส่วนกฎธาตุน้ำ ชิ้นส่วนกฎธาตุไฟ ชิ้นส่วนกฎธาตุดิน ชิ้นส่วนกฎธาตุลม และชิ้นส่วนกฎอัสนี

ชิ้นส่วนกฎเจ็ดชนิดนี้ แต่ละชนิดมีทั้งหมด 9 ชิ้น รวมทั้งหมด 63 ชิ้น

ทีมเมืองฝูถูแยกย้ายกันไปหมดแล้ว อีกทั้งหลังจากผ่านเรื่องที่กู้เผิง ทิ้งศิษย์ร่วมสำนักอย่างไม่สนใจใยดี ระหว่างศิษย์เมืองฝูถู ก็ขาดความเชื่อใจขั้นพื้นฐานไปด้วย

ฮู๋ชิงชิงรู้ว่าถ้าตัวเองเดินไปในแดนแต่งตั้งราชาคนเดียว ต้องอันตรายมากแน่นอน ตามหลัวซิวไป เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

แต่เธอก็รู้ดีว่าพละกำลังของตัวเองอ่อนแอ ถ้าอยู่กับหลัวซิว ไม่สามารถช่วยอะไรได้ หนำซ้ำยังกลายเป็นภาระด้วย

ดังนั้นเธอจึงพูดอย่างกระอักกระอ่วน

“เธอคนเดียวต้องอันตรายอยู่แล้ว งั้นตามฉันมาชั่วคราวแล้วกัน” หลัวซิวไม่ได้ปฏิเสธ

“ไอ้หนุ่ม นี่เป็นร่างอสูรฟ้า เป็นคุณสมบัติของร่างที่หาได้ยากในสมัยโบราณ ถ้าได้เป็นผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ ต้องมีพละกำลังฉายามหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับหนึ่งแน่นอน”

มีเสียงจักรพรรดิ์ยุทธ์เสวียนดำ ดังออกมาจากฝ่ามือซ้ายของหลัวซิว

หลัวซิวเข้าใจความยิ่งใหญ่ของฉายามหาจักรพรรดิยุทธ์ จากจักรพรรดิ์ยุทธ์เสวียนดำ ไม่ใช่แค่เพียงครั้งเดียว ในเมื่อขนาดจักรพรรดิ์ยุทธ์โบราณอย่างเขา ยังบอกว่าฮู๋ชิงชิงสามารถกลายเป็นอย่างที่เขาว่า เห็นได้ชัดว่าศักยภาพของร่างอสูรฟ้ายิ่งใหญ่มาก

“หึหึ อีกทั้งถ้านายได้หยวนหยินจากเธอ หลังจากเธอกลายเป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์ อีกทั้งถ้าผลการฝึกตนของนายอยู่ในแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ ขั้นสุดยอด นายจะบรรลุถึงแดนอันเป็นนิรันดร์ได้อย่างรวดเร็ว!” จักรพรรดิ์ยุทธ์เสวียนดำพูดเสริม

ในตอนแรกเทพแห่งวัฏจักรชีวิต ก็เคยพูดถึงประโยชน์ของหยวนหยินร่างอสูรฟ้า แต่หลัวซิวกลับไม่มีความคิดหรือแผนการนี้เลย เพราะเขามีมาตรฐานการกระทำของตนเอง

“เราไปกันเถอะ”

หลัวซิวกับฮู๋ชิงชิงออกจากที่นี่ด้วยกัน เดินผ่านสะพานยาวข้างหน้า ข้ามแม่น้ำขนาดใหญ่ที่ไหลอย่างต่อเนื่อง

แดนแต่งตั้งราชา ยิ่งลึกลงไป ก็ยิ่งอันตรายมากขึ้น มีอสูรกายทุกที่ อีกทั้งอสูรกายที่ปรากฏตัวเป็นครั้งคราว ล้วนเป็นอสูรกายขั้น5 ช่วงหลังขึ้นไป บางครั้งอาจมีอสูรกายขั้น6 ปรากฏออกมา ทัดเทียมกับจักรพรรดิยุทธ์

อสูรกายขั้น6 ถึงเป็นราชายุทธ์ขั้น9 มาเจอ ก็ต้องหันหลังวิ่งหนี ยังดีที่คนที่เข้ามาในแดนแต่งตั้งราชา ล้วนมีฮู้คุ้มกันชีวิต ถึงสู้ไม่ได้ แต่การหนีก็ไม่ใช่ปัญหา

นอกจากนี้ ที่นี่ยังสถานที่อันตราย มีค่ายกลพรสวรรค์ สร้างขึ้นโดยธรรมชาติ เมื่อเข้าไป จะโดนฆ่าฟันทันที ตัวตาย วิญญาณถูกทำลาย หรือไม่ก็โดนขังไว้ข้างใน อาจไม่สามารถออกมาได้ตลอดชีวิต

คนจำนวนไม่น้อยเข้าใจว่ามีสมบัติในค่ายกลธรรมชาติ ผลสุดท้ายเมื่อฝ่าฟันเข้าไป ก็ไม่สามารถออกมาได้อีก

หลัวซิวมีคำแนะนำจากจักรพรรดิ์ยุทธ์เสวียนดำ ปรมาจารย์ค่ายกลท่านนี้ เมื่อพบค่ายกลพรสวรรค์ ที่เหนือขอบเขตความสามารถของตนเอง เขาก็ทำได้เพียงเดินอ้อม ไม่กล้าบุกเข้าไป

หลังจากมาถึงที่ลึกลงไปในแดนลึกลับ หลัวซิวรับรู้ได้ถึงแรงกดดัน ก่อนหน้านี้เขาเหาะเหินเดินฟ้า เจออสูรกายบินขั้น6 ต่อสู้กับมันเกือบครึ่งชั่วยาม สุดท้ายถึงกับกระตุ้นวิชาลับพลังแปรเสวียนเทียน เกือบใช้ตราธรรมจุติมรณะ ก็ไม่สามารถฆ่ามันได้

สุดท้าย เขาจึงทำได้เพียงอาศัยปีกทิพย์ไร้มลทินบินไป

นี่ทำให้หลัวซิวรู้ว่า ตัวเองจะต่อกรกับผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ ต้องยกระดับผลการฝึกตนของตนเองเสียก่อน ถึงจะทำได้

“ฉายาราชายุทธ์ สามารถฆ่าข้ามขั้นจักรพรรดิยุทธ์ได้ ต้องอาศัยพลังแห่งกฎหรือเปล่า” แววตาของหลัวซิวแน่วแน่ เข้ามาในแดนแต่งตั้งราชาครั้งนี้ ไม่ว่าอย่างไร เขาต้องได้รายชื่อฉายาราชายุทธ์ให้ได้

ถ้าเป็นไปได้ ทางที่ดีต้องได้ที่หนึ่ง เพราะจักรพรรดิ์ยุทธ์เสวียนดำบอกเขาว่า ยิ่งรายชื่ออยู่สูงเท่าไร ก็จะได้รับพลังแห่งกฎมากขึ้นเท่านั้น

เหมือนกันกับแดนแต่งตั้งราชา ฉายาแดนลึกลับอื่นๆ ล้วนเกี่ยวข้องกับพลังแห่งกฎฟ้าดินเหมือนกัน ส่วนฉายามหาจักรพรรดิยุทธ์ จะได้รับการยอมรับจากกฎดั้งเดิม มีความสามารถในการฆ่าข้ามขั้นผู้แข็งแกร่งอันเป็นนิรันดร์

ระยะเวลาเพียงพริบตา ผ่านไปอีกหนึ่งเดือน หลัวซิวเจอโอกาสดี ในช่วงเวลานี้ไม่น้อย สิ่งที่ได้รับชิ้นใหญ่สุดคือยาทิพย์ หลังจากรวบรวมยาทิพย์ได้มากพอแล้ว เขาจึงเปิดเตากลั่นยา

“อาจารย์เป็นปรมาจารย์กลั่นยาด้วยเหรอ”

ฮู๋ชิงชิงตกใจอีกครั้ง ตอนเข่นฆ่ากับพวกคนแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด เธอรู้แล้วว่าเขาเป็นปรมาจารย์ค่ายกลขั้น6 แต่ทว่าเขายังรู้การกลั่นยาด้วย ดูเหมือนระดับจะสูงมากด้วย

เพราะหลัวซิวไม่สามารถถูกรบกวนตอนกลั่นยา ดังนั้นฮู๋ชิงชิงจึงไม่ได้เห็นหลัวซิวกลั่นยาด้วยตาตัวเอง จึงไม่รู้ว่าเขาไม่เพียงแค่กลั่นยาเป็น อีกทั้งยังเป็นปรมาจารย์กลั่นยาระดับ6 อีกด้วย

ใช้เวลาเจ็ดวัน หลัวซิวกลั่นยาสำเร็จ แบ่งยาระดับ5 ส่วนหนึ่งให้ฮู๋ชิงชิง

เดิมทีฮู๋ชิงชิงไม่ต้องการ เพราะเธอตามหลัวซิวมาด้วย นับว่าเอาเปรียบมากแล้ว ถ้ายังต้องการสิ่งของอีก จะดูไม่ดี

แต่หลัวซิวไม่ยอมให้เธอปฏิเสธ ยัดใส่ในมือเธอทันที นี่ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นใจ

ตั้งแต่เล็กจนโต เพราะความเป็นอสูรของร่างอสูรฟ้า เธอมักจะอยู่ในสถานการณ์อันตราย กลัวว่าวันหนึ่งคนข้างกายตัวเองจะบ้าคลั่ง ทำให้ร่างกายอันบริสุทธิ์ของเธอแปดเปื้อน

ต่อมาเธอสิ้นหวังแล้ว ตัดสินใจเข้าป่าลึก ใช้ชีวิตโดดเดี่ยวไปจนบั้นปลายชีวิต ต่อมาได้เจออาจารย์ท่านหนึ่ง ทำให้เธอออกมาจากป่าลึก และใช้ชีวิตเหมือนคนปกติได้

เขาเป็นเพียงคนเดียว ที่ไม่โดนร่างอสูรของตัวเองดึงดูด และเป็นเพราะเขา ทำให้หัวใจอันอ่อนไหวที่ปิดกั้นของฮู๋ชิงชิง เปิดออกอีกครั้ง

การที่ฮู๋ชิงชิงไม่ได้พูดขอบคุณ เพราะเธอพูดคำเหล่านี้มามากมายแล้ว เธอจดจำบุญคุณนี้เอาไว้ในใจ แม้วันใดวันหนึ่ง จะต้องสละทุกสิ่งทุกอย่าง เธอก็ต้องตอบแทนอาจารย์

เมื่อมียาแล้ว หลัวซิวปิดขังทันที เมื่อออกจากการปิดขัง ผลการฝึกตนก็เป็นไปตามเงื่อนไข ทะลุถึงแดนราชายุทธ์ขั้น3

ผลการฝึกตนของฮู๋ชิงชิงก็ก้าวหน้าขึ้นเช่นกัน เพราะยาที่ได้จากการกลั่นยาของหลัวซิว ไม่มีอะไรปนเปื้อน ถึงตอนเธออยู่เมืองฝูถู ไม่ขาดแคลนยา แต่ยาที่ใช้ล้วนไม่ใช่ยาบริสุทธิ์ มีสิ่งปนเปื้อนอยู่ในนั้น ต้องขับออกมา ไม่อย่างนั้นจะส่งผลกระทบต่อความก้าวหน้าของผลการฝึกตน

นี่ทำให้เธอยิ่งรู้สึกว่าอาจารย์ของตัวเองลึกลับเข้าไปอีก เหมือนไม่มีอะไรที่เขาทำไม่ได้

เพราะเมืองฝูถู เป็นอำนาจระดับแดนศักดิ์สิทธิ์ นักกลั่นยาที่นั่น ไม่สามารถกลั่นยาบริสุทธิ์ ที่ไร้การปนเปื้อนแบบนี้ได้

ฮู๋ชิงชิงเคยได้ยินว่า มีเพียงวิชากลั่นยา ที่สูญหายไปตั้งแต่โบราณ จึงจะสามารถกลั่นยาบริสุทธิ์แบบนี้ออกมาได้

ทั้งสองคนสำรวจลึกลงไปในแดนแต่งตั้งราชา เจอฝูงเสือดำเขาเดียว ในป่าที่มีใบไม้สีม่วง

เสือดำฝูงนี้มีจำนวนประมาณ 30 กว่าตัว มีสองตัว ที่ถึงขั้น5 ระดับสูงสุด เสือดำเขาเดียวตัวอื่น อยู่ในขั้น5 ตอนปลาย

พลังฟ้าดินจิตในป่าใบไม้สีม่วงแห่งนี้ รุนแรงมาก รุนแรงกว่าเขตพื้นที่บริเวณรอบๆ เป็นเท่าตัว ดังนั้นหลัวซิวจึงหาที่นี่เจอ

เพราะโดยทั่วไป สถานที่ที่พลังฟ้าดินจิตยิ่งรุนแรง จะมีสมบัติปรากฏขึ้นมาได้ง่าย

แต่หลังจากเข้ามาในป่าใบไม้สีม่วง ตัวสำนึกของหลัวซิวสัมผัสได้ถึงส่วนที่ลึกลงไปในป่า ได้อย่างแม่นยำ มีการเคลื่อนไหวของปราณทิพย์

ปราณทิพย์ฟ้าดิน!

นี่เป็นการรวมตัวระดับสูงของพลังฟ้าดินจิต สร้างพลังงานหลังการเปลี่ยนแปลง ฝึกกลืนกินปราณทิพย์ ประสิทธิภาพเหนือกว่าพลังฟ้าดินจิตไม่รู้กี่เท่า

“ในเมื่อที่นี่มีลมปราณของปราณทิพย์ จะต้องมีสมบัติอย่างแน่นอน” ดวงตาของหลัวซิวเป็นประกาย

ส่วนฝูงเสือดำเขาเดียวข้างหน้า เขาไม่เห็นอยู่ในสายตาสักนิด

สำหรับผู้บุกรุกสองคน ที่บุกเข้ามาในอาณาเขต เสือดำเขาเดียวฝูงนี้พุ่งเข้ามาจู่โจมทันที

“ไม่เพียงแค่นี้ ฉันสงสัยว่าเขาเป็นปรมาจารย์ค่ายกลขั้น6!” ชายหน้าบากพูดด้วยเสียงสั่นเครือ

“ปรมาจารย์ค่ายกลขั้น6 ที่มีผลการฝึกตนราชายุทธ์ขั้น2 งั้นหรอ แกกำลังล้อฉันเล่นหรือไง” เหอหวู่เจียงยากที่จะเชื่อ

“นายจะเชื่อหรือไม่ก็ตามใจ หรงเซี๋ยตายไปแล้ว ฉันไม่อยากตายอยู่ที่นี่” ชายหน้าบากไม่พูดอะไรมาก หันหลังกลายเป็นลำแสงพุ่งออกไป

“ต่อหน้าฉัน นายอยากไปก็ไปอย่างนั้นเหรอ” ขณะนั้น เสียงหัวเราะเย็นชา ดังเข้ามาในหูชายหน้าบาก

สวบ!

หลัวซิวง้างมือขึ้นมาสะบัด ลำแสงหนึ่งพุ่งไปที่ขอบฟ้า เป็นธงขนาดเล็กลอยอยู่บนท้องฟ้าอย่างน่าตกใจ เห็นธงเล็กขยับ แสงค่ายพุ่งออกมา สลับไปมาบนท้องฟ้า กลายเป็นม่านแสงค่ายกล

ทันใดนั้น ม่านแสงค่ายกล ที่ปกคลุมรัศมีอาณาเขตร้อยเมตร รวมตัวกันอย่างรวดเร็ว เหมือนชามขนาดใหญ่ที่ล็อกเอาไว้ ปิดกั้นทั้งแถบฟ้าดิน

ชายหน้าบากที่คิดจะหนี โดนม่านแสงขวางเอาไว้ ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ใช้การโจมตี พยายามทำลาย แต่เมื่อโจมตีลงบนม่านแสง เกิดการกระเพื่อมเท่านั้น ไม่สามารถสั่นสะเทือนได้

“ค่ายกลขั้น5 ไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนี้ เขาเป็นปรมาจารย์ค่ายกลขั้น6 จริงเหรอ” ชายหน้าบากสีหน้าซีดเผือดทันที

“ทุกคนฟังคำสั่ง เสกยันต์โจมตี” เหอหวู่เจียงแผดเสียงดังออกมา

ราชายุทธ์แต่ละคน ที่เข้ามาในแดนแต่งตั้งราชา ล้วนมียันต์ขั้น6 ติดตัว พวกราชายุทธ์ของแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด ล้วนมีกันทุกคน

ราชายุทธ์ยี่สิบคน โดนหลัวซิวฆ่าตายไป 7-8 คน 12 คนที่เหลือ ต่างพากันกระตุ้นยันต์โจมตี เหมือนกับผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ลงมือพร้อมกัน 12 คน

การโจมตีเช่นนี้ ถึงเป็นผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ขั้น1 ก็ต้องโดนโจมตีจนบาดเจ็บสาหัส

ทันใดนั้น หลัวซิวสัมผัสได้ว่ามีลมปราณอันแข็งแกร่งเพ่งเล็งตัวเอง ยันต์โจมตีขั้น6 ถูกกระตุ้น กลายเป็นลำแสงพุ่งออกไป

“การโจมตีนี้ฉันไม่สามารถต้านทานได้ แต่ไม่สามารถโจมตีโดนฉันได้”

หลัวซิวไม่หวาดกลัวแม้สถานการณ์คับขัน แสยะยิ้มเย็นชามุมปาก

ปีกทิพย์ไร้มลทินด้านหลังสั่นสะเทือน เขาคว้าฮู๋ชิงชิงที่อยู่ด้านข้าง หายแวบไปจากที่เดิม

ตู้ม!

พลานุภาพของยันต์โจมตี 12 ชิ้น น่าหวาดกลัวระดับไหน พื้นที่ขนาดใหญ่แตกกระจายในพริบตา กลายเป็นแถบช่องว่างสีดำ

พื้นที่โดนปกคลุมไปด้วยช่องว่างสีดำ ทุกสิ่งทุกอย่างถูกทำลาย แพร่กระจายไปเรื่อยๆ ทำให้ยอดเขาเตี้ยๆ สองลูก ล้มลง ราบเป็นหน้ากลอง

“ตายหรือยัง”

สายตาของทุกคนพากันหันไปมอง ว่ากันตามเหตุผล การโจมตีระดับนี้ ราชายุทธ์ขั้น9 ยังโดนระเบิดจนกลายเป็นซาก

“เหอะๆ ฉันว่าทุกท่านน่าจะผิดหวังแล้วล่ะ”

ทันใดนั้น เสียงหนึ่งดังเข้ามาในหูทุกคน คนของแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด หันไปมองตามเสียง เห็นชายหนุ่มชุดคลุมดำ ลอยอยู่กลางอากาศ ยิ้มเย้ยหยันมองทุกคน

“น่าเสียดายยันต์โจมตีขั้น6 12 ชิ้น ถ้าเอาไปขาย คงแลกหินพลังจิตมาได้ไม่น้อย”

เหมือนหลัวซิวถอนหายใจอย่างเศร้าโศก ทันใดนั้นความอาฆาตฉายขึ้นในตา “พวกนายไปตายได้แล้ว”

เขาเก็บกระบี่อาถรรพ์ฟันเสือ มือทั้งสองข้างกลายเป็นเงา บีบตราประทับอย่างรวดเร็ว ธงขลังสรรพสิ่งที่ลอยอยู่บนฟ้า ปล่อยแสงออกมา

ธงขลังสรรพสิ่ง เป็นสมบัติโบราณ ที่ได้มาจากแดนปริศนา ก่อนเกิดเรื่อง ได้สลักลายเส้นสัญลักษณ์ค่ายกลเอาไว้บนธงค่าย สามารถใช้เวลาสั้นๆ วางค่ายกลได้อย่างรวดเร็ว เป็นสมบัติที่นักค่ายกลโบราณใช้บ่อยที่สุด ไม่เหมือนนักค่ายกลในปัจจุบัน วางค่ายกลต้องใช้ธงค่าย ต้องมีเวลาวางค่ายกลอย่างเพียงพอ

ระยะเวลาไม่กี่อึดใจ เร็วจนพวกแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด ไม่ทันตั้งตัว ตัดค่ายยากเย็นก่อนหน้านี้ออกไป ค่ายสังหารขั้น6 โดนหลัวซิวใช้ธงขลังสรรพสิ่งกระตุ้น

การควบคุมค่ายกลขั้น6 ต้องการพลังจิตแท้กับตัวสำนึกสูงมาก

หลัวซิวมีเพียงผลการฝึกตนราชายุทธ์ขั้น2 ถึงได้รับการแนะนำจากจักรพรรดิ์ยุทธ์เสวียนดำ ผู้เป็นปรมาจารย์ค่ายกลโบราณ ทำให้เข้าใจค่ายกลขั้น6 แต่พลานุภาพในการกระตุ้นค่ายกล ยังด้อยกว่าปรมาจารย์ค่ายกลขั้น6 ที่แท้จริงอยู่บ้าง

พลานุภาพของค่ายกลระดับนี้ ถึงทำอะไรผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ไม่ได้ แต่ถ้าฆ่าคู่ต่อสู้แดนราชายุทธ์ สามารถทำได้มากเพียงพอ

“ตู้ม!”

ค่ายสังหารขั้น6 ระเบิดพลานุภาพออกมา การเคลื่อนไหวของพลังฟ้าดินอันบ้าคลั่ง ทำให้ราชายุทธ์แดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดที่นี่ รู้สึกถึงความสิ้นหวังที่มาจากส่วนลึกของวิญญาณ

กระทั่งไม่กี่อึดใจผ่านไป การเคลื่อนไหวของพลานุภาพอันน่ากลัว ค่อยๆ สงบลง

เหอหวู่เจียงกับชายหน้าบาก มีคราบเลือดตรงมุมปาก ลุกขึ้นยืนอย่างสั่นเทา ทั้งสองมองไปรอบๆ อย่างตกตะลึง

หลัวซิวลอยอยู่กลางอากาศตรงหน้าทั้งสองคน ยื่นมือออกมา ธงขลังสรรพสิ่งหล่นลงมาในมือ และถูกเก็บลงไปในแหวนเก็บของ ค่ายกลรอบๆ ก็หายไปเช่นกัน

ตอนนี้เหอหวู่เจียงกับชายหน้าบาก บาดเจ็บสาหัส การที่พวกเขาไม่ตาย เพราะผลการฝึกตนของเขา ยังไม่ถึงระดับจักรพรรดิยุทธ์ ไม่สามารถใช้พลานุภาพของค่ายกลขั้น6 ออกมาได้

“นี่ค่ะอาจารย์”

ขณะนั้น ฮู๋ชิงชิงมาข้างหลัวซิว ยื่นแหวนเก็บของหนึ่งกำมือให้เขา

แหวนเก็บของเหล่านี้ เป็นของพวกราชายุทธ์แดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด ที่ตายไปแล้ว

“ฉัน…….” เหอหวู่เจียงกำลังจะพูด เห็นชายชุดคลุมดำง้างมือตบลงมา เพียงฝ่ามือเดียว ทำให้กลางกะโหลกศีรษะของเขาแตกกระจาย

ศพของเหอหวู่เจียงล้มลงบนพื้น ชายหน้าบากข้างๆ หน้าซีดเหมือนตาย อ้าปากพะงาบๆ พูดอะไรไม่ออกสักคำ จากนั้นถูกพลังกระบี่ฟันจนหัวกระเด็น

หลัวซิวง้างมือขึ้น แหวนเก็บของสองวงมาอยู่ในมือหลัวซิว ผ่านการต่อสู้ครั้งนี้ แค่กองทัพดิน เขารวบรวมได้ยี่สิบกว่าอัน

ในนั้นมีดาบสั้นสีเลือดของหรงเซี๋ย อยู่ในระดับขั้นดินกลาง ถึงวัสดุจะไม่นับว่าดีมาก แต่มูลค่าก็ไม่ธรรมดา

นอกจากนี้ ยังมีเกราะนักยุทธ์ขั้นดิน ยันต์ขั้น6 ยาทิพย์ ยา และหินพลังจิต พวกราชายุทธ์ที่เกิดในแดนศักดิ์สิทธิ์ ล้วนมีทรัพย์สินไม่ธรรมดา ถึงกระทั่งที่รวยกว่าอาจารย์ตระกูลสวี จักรพรรดิยุทธ์ ที่ระดับต่ำสุดของประเทศเทียนหวู

“ฆ่าคนเร็วกว่าหาทรัพยากรด้วยตัวเองตามคาด” หลัวซิวหาพื้นที่ในแหวนเก็บของที่มีพื้นที่มากที่สุด และเก็บของทั้งหมดเข้าไป

จากนั้นทำตามความเคยชิน หลัวซิวโยนอัคคีไปกลุ่มหนึ่ง เผาศพที่นี่จนกลายเป็นความว่างเปล่า และใช้พลังจิตแท้ของตัวเอง ขจัดความเคลื่อนไหวของพลังจิตในเขตนี้ไปจนหมด

หลังผ่านไปครู่หนึ่ง ถ้าไม่เห็นด้วยตาตัวเอง แม้มีคนมาที่นี่ ก็ไม่มีทางรู้ว่าเคยเกิดการเข่นฆ่าอันดุเดือดที่นี่

“อาจารย์ ฉัน……” ฮู๋ชิงชิงเดินมาหน้าหลัวซิว ก้มหน้าอย่างกระอักกระอ่วน

“เป็นอะไร” หลัวซิวมองเธออย่างประหลาดใจ

“ฉันอยากตามอาจารย์ไปด้วย ถึงพละกำลังของฉันค่อนข้างอ่อนแอ แต่ฉันจะเชื่อฟัง” ฮู๋ชิงชิงเงยหน้าขึ้นมา มองหลัวซิวอย่างคาดหวัง

เธอยังสวมผ้าคลุมหน้าอยู่ ปิดบังใบหน้าอันงดงามมีเสน่ห์เอาไว้ แม้เป็นเช่นนี้ ความปรารถนาที่เผยออกมาจากดวงตาคู่สวย ยังคงมีเสน่ห์ไม่รู้จบ ทำให้หลัวซิวไร้สติไปเล็กน้อย สติหลุดลอยทันที

ฮู๋ชิงชิงฉลาดมาก เธอเห็นหลัวซิวแข็งแกร่งขนาดไหน เธอรู้ว่าแค่ติดตามผู้แข็งแกร่งเช่นนี้ ถึงจะรักษาความปลอดภัยของตัวเองในแดนแต่งตั้งราชาได้

เพราะตอนนี้โดนจู่โจมวิญญาณแว้งกัด ทำให้รู้สึกกดดันตัวหยั่งรู้ที่เจ็บปวด หลัวซิวยอมแพ้ ไม่โจมตีราชายุทธ์ขั้น7 และขั้น8 อีก ตัวสำนึกเล็งไปที่หรงเซี๋ย ที่แขนโดนทำลายทั้งสองข้าง ปีกขาวดำสยายออกมาจากด้านหลังทันที

ปีกทิพย์ไร้มลทิน!

เดิมทีสมบัติพรสวรรค์ชิ้นนี้ ไม่มีคุณสมบัติ เพราะเขาฝึกพลังสองระดับความเป็นตาย นี่จึงทำให้ตอนใช้ปีกทิพย์ อาศัยพลังจิตแท้สองระดับความเป็นตายมากระตุ้น

หลังใช้ปีกทิพย์ หลัวซิวหายวับไปจากที่เดิม เหลือเพียงแสงสีเขียวกะพริบแล้วหายไป

โฮก!

เสียงคำรามมังกรดังขึ้นเบาๆ นี่เป็นเสียงที่เกิดขึ้น เมื่อใช้ วิชาท่าร่างบรรลุมังกรเขียว

ทันใดนั้น หลัวซิวปรากฏตัวใกล้หรงเซี๋ย ฟาดกระบี่ลงมา อากาศรอบๆ แปรปรวนอย่างบ้าคลั่ง กลายเป็นคลื่นกระเพื่อม แฝงไปด้วยความอาฆาตอันน่ากลัว โถมเข้าไปกลืนหรงเซี๋ย

“เทเลพอร์ตงั้นเหรอ”

หรงเซี๋ยตกใจ ตัวเขาเชี่ยวชาญด้านความเร็ว แต่ความเร็วของอีกฝ่าย ทำให้เขาไม่สามารถตั้งตัวได้เลย มีเพียงการเทเลพอร์ตที่จะทำให้เป็นเช่นนี้ได้

ทว่าตอนนี้แขนทั้งสองข้างของเขาถูกทำลาย ไม่สามารถขัดขืนอะไรได้ ทำได้เพียงพยายามใช้วิชาท่าร่างอย่างสุดชีวิต ถอยไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว

ตู้ม!

ถึงความเร็วของหรงเซี๋ยจะรวดเร็วอีกแค่ไหน จะทัดเทียมกับความเร็วเทเลพอร์ตของหลัวซิวได้อย่างไร กระบี่อาถรรพ์ฟันเสือไร้อุปสรรคขัดขวาง กระแทกลงบนอกของเขาอย่างแรง

เสียงดังพลั่ก ตัวของผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ขั้น9 แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ ตายตรงนั้นทันที

หลัวซิวยื่นมือไปคว้าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ หยิบยาทองหนึ่งเม็ดออกมาจากศพที่แตกกระจาย

นี่เป็นยาเทพจิตสีเลือด เป็นตัวแทนของวิชาเข่นฆ่าที่รวบรวมความอาฆาต ที่หรงเซี๋ยใช้ฝึกตน ด้านนอกยาเทพจิตมีแสงสีทองสว่างวาบ เป็นสิ่งแสดงว่ายาเทพจิตนี้ อยู่ในระดับยาทอง

แดนราชายุทธ์รวบรวมยาเทพจิต ต่ำที่สุดคือยาเขียว สูงสุดคือยาทอง ยิ่งแสงสีทองบนยาเทพจิตสว่างมากเท่าใด ระดับยาทองก็ยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น

อสูรกายขั้น5 ขึ้นไปมียามอสูร นักยุทธ์ที่เป็นมนุษย์มียาเทพจิต สำหรับนักกลั่นยา เป็นของดีที่สามารถนำมากลั่นยาได้

ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!

การโจมตีแต่ละครั้งทำให้อากาศบริเวณรอบๆ แปรปรวนจนหมุนเคว้ง เห็นร่องรอยแตกหักสีดำขลับอย่างชัดเจน

แต่การโจมตีพวกนี้กลับปะทะกับอากาศเป็นส่วนใหญ่ ปีกทิพย์ไร้มลทิน ด้านหลังหลัวซิวสั่นเบาๆ และหายวับไปจากที่เดิม หลบการโจมตีทั้งหมดได้

ตอนนี้เขาเลือดอาบกาย ชุดคลุมดำขาดออกเป็นริ้วๆ ดูน่าเวทนามาก

แต่ในความเป็นจริง รอยแผลของเขาไม่รุนแรง เป็นเพียงแผลภายนอกเท่านั้น เพราะร่างยุทธ์ระดับราชา ขั้นสุดขีด ใช่ว่าจะไม่มีประโยชน์

การโจมตีของราชายุทธ์ขั้น7 สามารถทำให้เขาบาดเจ็บภายนอกเล็กน้อยเท่านั้น การโจมตีของราชายุทธ์ขั้น8 สามารถทำให้เขาเลือดไหล มีเพียงการโจมตีของราชายุทธ์ขั้น9 ที่จะทำให้เขาบาดเจ็บรุนแรงได้ ส่วนผู้แข็งแกร่งที่จะกดดันร่างเนื้อคุ้มกันของเขาได้ มีเพียงผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์

“พี่น้องทุกท่าน เข้าไปช่วยกัน”

ฮู๋ชิงชิงเห็นจากไกลๆ ว่าหลัวซิวเนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือด เจ็บปวดใจมาก รีบพูดกับราชายุทธ์เมืองฝูถูที่อยู่ข้างกาย

ไม่กี่คนนี้ตกใจกับภาพการฆ่าพวกแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด ด้วยกระบี่เดียวของหลัวซิว ตอนนี้โดนฮู๋ชิงชิงพูดแบบนี้ใส่ แต่ละคนพากันเรียกสติกลับมา

แต่ที่พวกเขามีสติขึ้นมา ไม่ใช่เพราะจะไปช่วยหลัวซิว แต่พากันหันหลังวิ่งกลับ คิดเพียงว่าต้องรีบออกจากที่นี่ เพื่อไม่ให้เข้าไปพัวพันกับความถูกผิดโดยไม่จำเป็น

“พวกนาย……” ฮู๋ชิงชิงโกรธจนตัวสั่น เธอคิดไม่ถึงว่าพวกคนเมืองฝูถูจะต่ำช้าถึงเพียงนี้ หลัวซิวช่วยพวกเขาสองครั้ง ไม่สำนึกบุญคุณไม่เท่าไร ในสถานการณ์คับขันเช่นนี้ กลับคิดถึงแต่ตัวเอง

ตอนแรกกู้เผิงหนีไปคนเดียว ทิ้งพี่น้องสำนักเดียวกันอย่างไม่สนใจ ตอนนี้คนพวกนี้มาเนรคุณอีก คิดแต่จะหนี ให้ผู้มีพระคุณสู้กับศัตรูอยู่ตรงนั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย

“พวกนายเนรคุณได้ แต่ผู้หญิงอย่างฮู๋ชิงชิง จะไม่ยอมให้อาจารย์ต่อสู้เพียงคนเดียว”

ฮู๋ชิงชิงกัดฟัน ขยับตัวกลายเป็นลำแสง เหาะไปยังสถานที่ต่อสู้

“พระคุณที่อาจารย์มีต่อฉันยิ่งใหญ่ดั่งขุนเขา เหมือนได้เกิดใหม่ ถึงต้องสู้จนตาย ก็ยากจะตอบแทนพระคุณของอาจารย์!”

ถึงเธอมีผลการฝึกตนราชายุทธ์ขั้น5 แต่ความเป็นจริง ทัดเทียมได้กับขั้น7 เธอสะบัดแส้ยาว ปกคลุมพวกราชายุทธ์แดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดเอาไว้

แต่ทว่าพละกำลังของเธอยังมีข้อจำกัด ราชายุทธ์ขั้น7 ร่วมมือกันโจมตี ทำให้เธอตกอยู่ในอันตราย

“ชิงชิง เธอมาทำไม ฉันให้เธอออกไปก่อนไม่ใช่เหรอ” หลัวซิวเห็นฮู๋ชิงชิงโดนล้อมโจมตี ปีกทิพย์ไร้มลทินสั่นเบาๆ ปรากฏตัวข้างเธอเพียงชั่วพริบตา

“ฉันไม่สามารถยืนดูอาจารย์ต่อสู้เพียงคนเดียว โดยไม่ช่วยเหลือไม่ได้ ถึงพละกำลังของฉันไม่แข็งแกร่ง แต่สามารถต้านทานการโจมตีให้อาจารย์ได้อย่างสุดชีวิต”

ดวงตาคู่สวยของฮู๋ชิงชิง ไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย มันกลับเต็มไปด้วยความแน่วแน่และกล้าหาญ

เธอเอาฮู้ออกมาจากแหวนเก็บของสองชิ้น ยัดลงไปในมือหลัวซิว “นี่เป็นยันต์ขั้น6 ทั้งสองชิ้น อาจารย์รีบใช้มันแล้วหนีไปเถอะ!”

เพราะร่างอสูรฟ้า ทำให้เธอได้รับความสนใจจากแดนศักดิ์สิทธิ์เมืองฝูถู อาศัยผลการฝึกตนราชายุทธ์ขั้น5 เข้ามาในแดนแต่งตั้งราชา อีกทั้งยังได้ยันต์ขั้น6 ที่ผู้อาวุโสมอบให้

แต่ตอนนี้ เธอเอายันต์ขั้น6 ที่ใช้ป้องกันตัวเองให้หลัวซิว เห็นได้ชัดว่าเธอยอมตาย

นี่ทำให้หลัวซิวซาบซึ้งใจมาก เพราะพวกคนเมืองฝูถู หนีไปหมดแล้ว แต่ฮู๋ชิงชิงกลับไม่หนี แถมยังเอาฮู้ป้องกันตัวให้ตัวเองด้วย

“เธอเก็บฮู้เอาไว้เถอะ เดี๋ยวฉันจะฆ่าเปิดช่องว่าง เธอบีบยันต์วาตะแล้วหนีไป” หลัวซิวส่ายหน้าแล้วเอ่ยขึ้น

“แล้วอาจารย์ล่ะ” ฮู๋ชิงชิงพูดอย่างกังวล

“วางใจเถอะ ฉันกล้าอยู่ที่นี่ ต้องมีวิธีป้องกันตัวอยู่แล้ว ฉันไม่อยากตายหรอก” หลัวซิวอดหัวเราะไม่ได้

ระหว่างที่พูด มือเขาก็ไม่ได้หยุดพัก กระบี่อาถรรพ์ฟันเสือ ฟันลงไปไม่หยุด แหวกอากาศบริเวณรอบๆ ต้านทานการโจมตีที่มาจากทั่วทุกทิศ

“ตู้ม!”

ทันใดนั้น ความอาฆาตอันแข็งแกร่งพุ่งเข้ามา ชายหน้าบากของแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด วางค่ายสังหารขั้น5 เสร็จเรียบร้อย กระตุ้นพลังค่ายสังหาร เพื่อทำการโจมตี

“หึ แค่ค่ายกลขั้น5 ธรรมดาๆ กล้ามาทำขายขี้หน้าต่อหน้าฉันเหรอ”

หลัวซิวยิ้มอย่างไม่สบอารมณ์ ใช้มือข้างหนึ่งถือกระบี่ ส่วนอีกมือบีบตราประทับ แสงค่ายสังหารหมุนกลับไปโจมตีราชายุทธ์แดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดบริเวณรอบๆ

“ไอ้เลว! ไอ้หน้าบาก แกทำอะไร” เหอหวู่เจียงตวาดใส่ชายหน้าบาก

แต่ชายหน้าบากกลับโกรธจนหน้าดำหน้าแดง ตวาดออกมาว่า “ให้ตายเถอะ ฉันไม่ได้ทำ ค่ายกลที่ฉันวางไว้ โดนมันแย่งไปควบคุม”

นักค่ายกลสู้กับศัตรู เมื่อระดับค่ายกลของอีกฝ่ายเหนือกว่าตนเอง จะโดนกดขี่ข่มเหง ไปจนถึงโดนแย่งอำนาจควบคุมค่ายกลไปด้วย ไม่สามารถต่อสู้กลับได้

ความแตกต่างระหว่างปรมาจารย์ค่ายกลขั้น5กับขั้น6 เหมือนราชายุทธ์กับจักรพรรดิยุทธ์ ไม่ใช่ระดับเดียวกันสักนิด

“ให้ตายเถอะ ระดับค่ายกลของไอ้หมอนี่เหนือกว่าแกงั้นเหรอ” เหอหวู่เจียงหน้าเปลี่ยนสีทันที

คิดย้อนไปตอนเด็ก เติบโตมากับการได้ยินตำนานของผู้แข็งแกร่งโลกยุทธ์ ความฝันวัยเด็กของเขา คือต้องเป็นยอดฝีมือแห่งโลกยุทธ์ให้ได้สักวันหนึ่ง ถือกระบี่ท่องไปในโลก บุญคุณต้องทดแทน แค้นต้องชำระ ขจัดความชั่ว ส่งเสริมความดี

“พวกขยะ!”

หลัวซิวกวาดตามองพวกแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด ด้วยสายตาเย็นชา ในแววตาหลัวซิวมีความดูหมิ่นอย่างไม่พอใจ และความอาฆาตอันน่ากลัว

“ลงมือ!”

เหอหวู่เจียงกับชายหน้าบากมีสีหน้าเย็นชาเช่นกัน ออกคำสั่งให้คนแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด ลงมือฆ่า

คนแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด ต่ำสุดคือมีผลการฝึกตนราชายุทธ์ขั้น7 อีกทั้งยังมีจำนวนมาก เกือบยี่สิบคน!

เมื่อคนยี่สิบคนล้อมเข้ามา ลมปราณพลังจิตแท้บนตัวหลัวซิวปลดปล่อยออกมา ผลักฮู๋ชิงชิงที่อยู่ข้างๆ ไปด้านหลัง

“เธอออกไปจากตรงนี้ก่อน ถ้าฉันลงมือ คงไม่มีเวลาดูแลเธอ” หลัวซิวส่งเสียงผ่านตัวสำนึกพูดกับเธอ

ส่วนคนเมืองฝูถูคนอื่น จะอยู่หรือไป เขาไม่ได้สนใจ

ตู้ม!

เพลิงมรณะสีดำ อัคคีขาวเสวียนหยาง อัคคีสองอย่างที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ถูกปล่อยออกมาจากตัวหลัวซิว

เมื่อก่อน หลัวซิวต่อสู้กับศัตรู จะใช้พลังสองระดับความเป็นตาย เพียงอย่างใดอย่างอย่างหนึ่งเท่านั้น

แต่ตอนนี้วงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพของเขา ทำความเข้าใจผังกฎดั้งเดิมถึงรูปที่สามแล้ว ตระหนักรู้ถึงพลังสองระดับความเป็นตายเยอะขึ้นมาก สามารถใช้พลังทั้งสองประเภท ต่อสู้กับศัตรูได้แล้ว

“ราชายุทธ์ขั้น2 งั้นเหรอ”

“เป็นไปได้ยังไง เป็นแค่ราชายุทธ์ขั้น2 เหรอ”

เมื่อสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของพลังจิตแท้จากตัวเขา เสียงตกใจดังออกมาจากพวกแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด

“ฉันคิดออกแล้ว ตอนไอ้หมอนี่เข้าแดนแต่งตั้งราชา เกือบมีเรื่องกับคนของแดนศักดิ์สิทธิ์กระบี่สุดขั้ว เขาไม่ใช่ราชายุทธ์ขั้น1หรอกเหรอ ทำไมถึงกลายเป็นขั้น2 ได้ล่ะ”

“อาจจะได้รับโอกาสดีในหนึ่งเดือนกว่านี้ จึงทำให้บรรลุได้ แต่ราชายุทธ์ขั้น2 คิดไม่ถึงว่ามีพลานุภาพแข็งแกร่งกว่าราชายุทธ์ขั้น7”

การเคลื่อนไหวของลมปราณพลังจิตแท้ จะแสดงให้เห็นถึงผลการฝึกตน นี่เป็นความรู้ทั่วไปของโลกการฝึกยุทธ์

แต่ผลการฝึกตนคือผลการฝึกตน พลานุภาพที่ระเบิดออกจากตัวหลัวซิวในตอนนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ราชายุทธ์ขั้น2 มี ถึงขนาดทำให้ผู้แข็งแกร่งผลการฝึกตนราชายุทธ์ขั้น9 ของแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด ทั้งสามคน รู้สึกถึงแรงกดดัน

นี่หมายความว่า คนๆ นี้ใช้ผลการฝึกตนราชายุทธ์ขั้น2 สามารถทัดเทียมกับผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ขั้น 9 อย่างนั้นเหรอ

“คิดไม่ถึงว่านายเป็นยอดฝีมือที่ปกปิดเอาไว้ ถึงพละกำลังของนายจะแข็งแกร่ง แต่ผลการฝึกตนของนายยังต่ำเกินไป ต้านทานคนของเราเยอะขนาดนี้ ไม่ต่างจากการรนหาที่ตาย!”

เหอหวู่เจียงส่งเสียงหึ แล้วพูดว่า “ในเมื่อนายสามารถฆ่าศัตรูข้ามขั้นได้ ต้องฝึกวิชาขั้นสูงสินะ หรือบางที่นายอาจได้รับโอกาสดีอะไรบางอย่างใช่หรือเปล่า แค่นายเอาออกมา ฉันจะไม่เอาชีวิตนาย!”

“ไม่เอาชีวิตฉันเหรอ” หลัวซิวยิ้มอย่างไม่สบอารมณ์ “แต่ฉันไม่ได้จะไว้ชีวิตพวกนาย”

พูดยังไม่ทันจบ ตัวของหลัวซิวกลายเป็นเงามังกรสีเขียว หายไปจากที่เดิม

ต่อมา เขาถือกระบี่อาถรรพ์ฟันเสือ พุ่งเข้าไปฆ่าพวกแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด ห้วงยุทธ์กระบี่สังหาร ห้วงยุทธ์แห่งความเป็นตาย ถูกปลดปล่อยออกมา

“ฆ่ามัน!” เหอหวู่เจียงแผดเสียงออกมา จากนั้นพูดกับชายหน้าบากข้างๆ ว่า “นายไปวางค่ายกล”

ระหว่างพูด เหอหวู่เจียงพุ่งเข้าไป อีกทั้งคนของแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดยี่สิบคน ก็ลงมือเช่นกัน ส่วนชายหน้าบากสะบัดมือ เอาธงค่ายออกมาจากแหวนเก็บของ เริ่มวางค่ายกลรอบๆ

ตู้ม!

เพลิงมรณะกับอัคคีขาวเสวียนหยาง ระเบิดออกมาถึงขีดสุด ลุกโชนนอกร่างกายหลัวซิว สูงเป็นฟุต

ตอนนี้เขาเหมือนยักษ์อัคคี พลังกระบี่ขาวดำอันน่ากลัว ฆ่าไปทั่วทุกทิศ ทำให้อากาศแปรปรวนไปหมด หมุนวนฆ่าทุกอย่าง

“วิชาภูตผีเซินหลัว!”

หลัวซิวฟาดกระบี่ลงไป เพลิงมรณะกลายเป็นกระดูกญาณ เกิดเสียงดังกรอบ กัดกินอากาศจนกระจาย เต็มไปด้วยกลิ่นความตายอันน่าหวาดผวา

มีคนกระเด็นออกไปทีละคนอย่างต่อเนื่อง หลัวซิวเข้าไปฆ่า ราวกับเข้าไปในแดนไร้ผู้คน ตัดเหอหวู่เจียงกับหรงเซี๋ยออกไป คนอื่นไม่มีใครต้านทานการโจมตีของเขาได้

แต่คนพวกนี้กลับไม่ใช่ราชายุทธ์ทั่วไป ล้วนเป็นยอดฝีมือของแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด แต่ละคนมีพรสวรรค์การฝึกตนที่สูงส่งมาก ทักษะยุทธ์ที่ฝึกตนก็เป็นอันดันต้นๆ เป็นผู้โดดเด่นในบรรดาแดนเดียวกัน

ถึงหลัวซิวจะเก่งกาจ แต่ยังไงก็ตัวคนเดียว ขณะที่เขาฟันราชายุทธ์แต่ละคน จนกระเด็นออกไป เขาก็โดนโจมตีเป็นจำนวนมาก และไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แม้ร่างเนื้อถึงระดับร่างยุทธ์ระดับราชา ขั้นขีดสุด ก็โดนฟันจนเป็นแผล เลือดสาดกระเซ็นออกมา

“ไปตายซะ!”

ความเร็วของหรงเซี๋ยเร็วกว่าเหอหวู่เจียง มาปรากฏตัวด้านหลังหลัวซิวเหมือนผี ดาบสั้นในมือเกิดเสียงสวบ แทงไปกลางหลังของหลัวซิว

การแทงเช่นนี้ ถ้าเป็นราชายุทธ์ขั้น9 น่าจะโดนกำจัดไปแล้ว แต่เมื่อความคมของดาบทะลุเข้าไปในเนื้อ มันกลับโดนสกัดกั้นเอาไว้ทันที ไม่สามารถแทงทะลุต่อไปได้

“ร่างเนื้อแข็งแกร่งมาก เขาเป็นนักยุทธ์กลั่นร่าง!”
หรงเซี๋ยหน้าเปลี่ยนสี จากนั้นรู้สึกเหมือนมีลมพุ่งเข้ามาโจมตี เขารีบถอยหลังทันที

เสียงดังสวบ แขนอีกข้างของเขาโดนฟันจนขาด ยังไม่ทันได้ส่งเสียงร้อง ก็เห็นแววตาอันดุดันของหลัวซิว มองมายังตัวเอง

ตู้ม!

ตัวสำนึกอันแข็งแกร่งทะลุเข้ามายังตัวหยั่งรู้ สีหน้าของหรงเซี๋ยตกใจเป็นอย่างมาก “เขาไม่เพียงแต่จะเป็นนักยุทธ์กลั่นร่าง แถมยังเชี่ยวชาญการโจมตีวิญญาณด้วยเหรอ”

กลั่นวิญญาณ กลั่นร่าง พลังจิตแท้ สามระบบนี้ หลัวซิวล้วนฝึกตนมาแล้ว

แต่ด้านกลั่นวิญญาณ เขาฝึกแค่พลังก่อรวมวิญญาณระดับ8 เท่านั้น จากผลการฝึกตนที่สูงขึ้น ประสิทธิภาพก็ยิ่งไม่โดดเด่นเท่าไร

ดังนั้นพลังการต่อสู้ของหลัวซิวจึงแข็งแกร่งมาก แต่ระดับตัวสำนึกไม่นับว่าสูงมาก แค่ถึงระดับราชายุทธ์ขั้น5 เท่านั้น

แต่หรงเซี๋ยมีผลการฝึกตนราชายุทธ์ขั้น9 ไม่ได้ฝึกวรยุทธ์กลั่นวิญญาณ จึงมีตัวสำนึกระดับราชายุทธ์ขั้น9

ดังนั้นการโจมตีวิญญาณที่เขาใช้ จึงมีประสิทธิภาพไม่มาก แค่ทำให้หรงเซี๋ยตกใจเท่านั้น และตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว ตัวสำนึกของอีกฝ่ายไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนที่จินตนาการไว้ ไม่สามารถทำอันตรายตัวเองได้

แม้เป็นเช่นนี้ หรงเซี๋ยก็ตกใจจนเหงื่อแตกทั้งตัว “ไอ้หมอนี่เป็นปีศาจชัดๆ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เป็นแค่ราชายุทธ์ขั้น2 แต่มีพละกำลังทัดเทียมกับขั้น9 แถมยังรู้วิธีโจมตีวิญญาณด้วย นี่ถ้าเป็นราชายุทธ์ขั้น9 เหมือนกัน ฉันคงต้านทานโจมตีวิญญาณของเขาไม่ได้แน่ๆ เผชิญหน้าครั้งเดียว ต้องโดนฆ่าตายแน่นอน!”

“หึ”

การโจมตีวิญญาณไม่สำเร็จ เพราะระดับตัวสำนึกของอีกฝ่ายเหนือกว่าตัวเอง กลับกันทำให้ตัวเองถูกแว้งกัด ความเจ็บปวดถูกส่งผ่านตัวหยั่งรู้ อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงหึอย่างอึดอัดใจ

การแว้งกัดของวิญญาณหยั่งรู้ ทำให้เขามีสติขึ้นทันที รับรู้ว่าผลการฝึกตนของตัวเองยังต่ำอยู่ ใช้โจมตีวิญญาณจัดการกับคนที่ห่างชั้นกันไม่มากได้ แต่จัดการราชายุทธ์ขั้น7 ขึ้นไปไม่ได้แล้ว

พรวด! พรวด! พรวด!……

เลือดสาดกระเซ็น เผชิญหน้ากับยอดฝีมือแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด ที่ฝึกการเข่นฆ่าพวกนี้ เนื้อตัวของหลัวซิวเต็มไปด้วยบาดแผล ถ้าไม่ใช่เพราะพลังป้องกันของร่างยุทธ์ระดับราชาแข็งแกร่งมาก ถึงเขามีร้อยชีวิต ก็คงตายไปนานแล้ว

แต่ฝั่งแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด ก็โดนเขาฆ่าราชายุทธ์ขั้น7 และขั้น8 ไปหลายคน

“จัดการสามราชายุทธ์ขั้น9 ให้ได้ก่อน จะได้จัดการส่วนที่เหลือได้ง่าย”



คนเมืองฝูถูสีหน้าเปลี่ยนไปทันที หันไปมองชายหน้าบากด้วยสีหน้าหวาดผวา

“หึหึ สาวงามร่างอสูรฟ้า ข้าทนรอไม่ไหวแล้ว”

คนที่มีผลการฝึกตนราชายุทธ์ขั้น9 คนที่สาม ปรากฏตัวด้านหลังฮู๋ชิงชิงเหมือนผี ดาบสั้นสีเลือดในมือ จ่ออยู่ตรงคอเธอ

“สาวงามอย่าขยับ ไม่งั้นถ้ามือฉันสั่นขึ้นมา คอของเธออาจจะขาดได้”

นี่เป็นชายผมสั้น หน้าตาน่าเกลียด บนใบหน้ามีรอยยิ้มหื่นกาม เขาสูดหายใจลึก หัวเราะเสียงดัง แล้วพูดว่า “สาวน้อยตัวหอมมาก ได้กลิ่นเพียงเล็กน้อย ข้าก็ทนไม่ไหวแล้ว”

“หรงเซี๋ย แกจะกินคนเดียวหรือไง” เหอหวู่เจียงส่งเสียงเย็นชา

“ใครฆ่าคนได้มากที่สุด ร่างอสูรฟ้าก็เป็นของคนนั้น ยังไม่ทันได้ฆ่าคนจนหมด ถ้าแกกล้าแอบกิน ข้าจะฟันแก!” ชายหน้าบากก็ตวาดอย่างเคร่งขรึม

พวกเขาทั้งสามคน ล้วนต้องการใช้หยวนหยินของร่างอสูรฟ้า เพื่อทะลุไปแดนจักรพรรดิยุทธ์ เห็นคนชื่อหรงเซี๋ย ที่หน้าตาน่าเกลียด จับฮู๋ชิงชิงเอาไว้ ถึงเป็นคนสำนักเดียวกัน ถ้าถึงเวลาต้องแตกหัก ก็ไม่มีความลังเลใดๆ

แดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด เดิมทีเป็นลัทธิมาร สำนักชั่วร้าย เรื่องเข่นฆ่าภายในสำนัก เป็นสิ่งที่ปกติมาก

“หึหึ ฉันลองใช้มือสัมผัสให้สะใจหน่อยไม่ได้หรือไง” หรงเซี๋ยเบะปาก เขารู้ว่าถ้าตัวเองจะแอบกินคนเดียว สองคนนี้ต้องร่วมมือกันจัดการตัวเองแน่นอน

ตอนเขากำลังจะยื่นมือไปแตะหน้าอกฮู๋ชิงชิง ม่านแสงที่ปิดกั้นรอบบริเวณรัศมีร้อยเมตร สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง

“เกิดอะไรขึ้น”

ชายหน้าบากที่ควบคุมค่ายยากเย็น สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ทันใดนั้น เขาเห็นเงารูปมังกรสีเขียว ทำลายม่านแสงค่ายยากเย็น พุ่งเข้ามาตรงหน้าเขาภายในพริบตา

“หรงเซี๋ย ระวังด้านหลัง!”

ชายหน้าบากตกใจ รีบพูดออกมาเสียงดัง

ยังไงหรงเซี๋ยก็เป็นผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ขั้น9 ไม่ต้องให้ชายหน้าบากเตือนสติ ก็สัมผัสได้ถึงอันตรายที่พุ่งมาจากด้านหลัง

“อะไรกัน กล้ามารบกวนเรื่องดีงามของข้า”

หรงเซี๋ยส่งเสียงหึ สะบัดมือเป็นพลังดาบสีเลือดฟันไปด้านหลัง

พลั่ก!

ทันใดนั้น พลังดาบสีเลือดแตกออก เงาใครคนหนึ่งปรากฏอยู่ใกล้หรงเซี๋ย กระบี่เล่มใหญ่สีดำพุ่งออกมา เร็วดั่งสายฟ้า

หรงเซี๋ยแอบสบถ เขาคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะทำลายการโจมตีของตัวเองได้ง่ายดายเช่นนี้ เมื่อเจอกับกระบี่นี้ เขาไม่สามารถหลบได้แล้ว

เสียงดังสวบ กระบี่ใหญ่สีดำแทงเข้ามาที่ไหล่ซ้ายของเขา จากนั้นโดนเจ้าของกระบี่เล่มใหญ่ ใช้แรงยกจนเขากระเด็นออกไป

“เธอไม่เป็นอะไรใช่ไหม”

เสียงอันคุ้นเคยดังเข้ามาในหูฮู๋ชิงชิง จากนั้นเธอรู้สึกว่าตัวเองเข้าไปในอ้อมกอดอันอบอุ่น

“ใช่อาจารย์หรือเปล่า” ฮู๋ชิงชิงเงยหน้าขึ้น เห็นใบหน้าชายหนุ่มแข็งแกร่งและเด็ดเดี่ยว

เมื่อกี้ตอนโดนหรงเซี๋ย ราชายุทธ์ขั้น9 จับเอาไว้ เธอไม่สามารถขัดขืนได้ ความรู้สึกโชคดีที่รอดมาได้อย่างหวุดหวิด ทำให้เธอตื่นตระหนก จนใจเต้นไม่หยุด

คนที่บุกเข้ามาในค่ายกลอย่างกะทันหัน เพื่อช่วยฮู๋ชิงชิง แน่นอนว่าเป็นหลัวซิว

เขาพยักหน้าเบาๆ ทันใดนั้นจึงกวาดตามองคนอื่นบริเวณรอบๆ ถ้าเมื่อกี้ไม่กลัวว่าจะพลาดทำให้ฮู๋ชิงชิงบาดเจ็บ กระบี่นั้นไม่มีทางไปที่ไหล่ของอีกฝ่ายแน่นอน แต่จะแทงไปที่จุดตันเถียนของอีกฝ่าย

แม้ว่าคู่ต่อสู้มีผลการฝึกตนราชายุทธ์ขั้น9 เจอเขาลอบโจมตี ก็ต้องตายทันที!

ทันใดนั้นเต็มไปด้วยความเงียบ สายตาของทุกคน พากันมองมาที่หลัวซิว

นี่เป็นชายหนุ่มสวมชุดคลุมดำ ในมือมีกระบี่เล่มยาวสีดำ ตรงปลายกระบี่ยังมีหยดเลือดสีแดง

อีกด้านหนึ่ง หรงเซี๋ยที่โดนเขาใช้กระบี่ยกจนปลิว กำลังกุมหัวไหล่ สีหน้าอึมครึม ไม่ว่าเขาจะห้ามเลือดอย่างไร ก็มีเลือดไหลออกจากบาดแผลไม่หยุด อีกทั้งเหมือนทั้งแขนของเขาโดนทำลาย ยากจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม

เขาเข้าใจทันที การโจมตีของอีกฝ่ายแปลกประหลาด ไม่งั้นตามปกติ แค่กินยารักษาตัวเพียงเม็ดเดียว แผลแบบนี้จะฟื้นฟูเพียงไม่กี่อึดใจ

คนแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด ล้วนไม่รู้จักหลัวซิว แต่ศิษย์เมืองฝูถูที่ยังมีชีวิตรอด มองแวบเดียวก็จำได้

“คือเขาเหรอ”

สีหน้าคนเมืองฝูถูแปลกประหลาด ตอนแรกพวกเขาร่วมมือกับกู้เผิง ไล่คนนี้ออกไป

ตอนแรกที่เผชิญกับฝูงงูพิษห้าสี คนนี้ช่วยทุกคนเอาไว้ อีกทั้งตอนนี้เผชิญกับสถานการณ์ที่ต้องตาย เขาก็ปรากฏตัวอย่างกะทันหัน

เหอหวู่เจียงกับชายหน้าบากก็ขมวดคิ้วขึ้นมา คนๆ นี้สามารถทำลายค่ายยากเย็นขั้น5 ได้ภายในพริบตา แถมยังทำร้ายหรงเซี๋ยจนบาดเจ็บด้วยกระบี่เดียว ต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน

หลัวซิวกวาดตามองพวกที่สวมชุดคลุมยาวสีเลือด ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ความอาฆาตล้อมรอบตัวคนพวกนี้ เห็นได้ชัดว่าแต่ละคนเป็นนักยุทธ์ ที่ฝึกตนด้านการเข่นฆ่า อีกทั้งความอาฆาตบนตัวคนพวกนี้ แฝงไปด้วยความชั่วร้าย

เดิมทีเขาผ่านมาที่นี่ เห็นฮู๋ชิงชิงโดนคนจับ เกือบจะโดนทำมิดีมิร้าย จะทำเป็นไม่สนใจได้อย่างไร

เดิมทีศิษย์เมืองฝูถูมี 12 คน ตอนนี้กลายเป็นศพไปสองสามคน นอนจมอยู่ในกองเลือด ตัดกู้เผิงที่หนีไปคนเดียวออกไป รวมฮู๋ชิงชิงไปด้วย เหลือเพียงแค่ 6 คน

ตอนนี้คนพวกนี้มารวมกันอยู่ข้างหลัวซิว แอบเห็นเขาเป็นที่พึ่งสุดท้าย

เหอหวู่เจียงมองชายหน้าบาก แววตาทั้งสองคนเคร่งขรึม เห็นพวกเขาสะบัดมือ ศิษย์แดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดทั้งหมด รีบเข้ามาล้อมทันที

“ไอ้พวกนี้เป็นใคร” หลัวซิวปล่อยฮู๋ชิงชิงที่โดนตัวเองกอดไว้ แล้วถามขึ้น

“พวกเขาเป็นศิษย์ของแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดแห่งอาณาจักรตะวันตก……” ฮู๋ชิงชิงรีบพูด ขณะเดียวกันยังบอกหลัวซิวว่า พละกำลังของแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด เหนือกว่าเมืองฝูถูเยอะมาก เป็นอำนาจใหญ่ที่มีผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ ดำรงตำแหน่งอยู่ถึงสามคน

ไม่ต้องไปสนใจว่าแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด จะมีมหาจักรพรรดิยุทธ์ ดำรงตำแหน่งอยู่กี่คน หลัวซิวไม่สนใจ เพราะที่นี่คือแดนแต่งตั้งราชา มีเพียงราชายุทธ์ที่เข้ามาได้

“สหายท่านนี้ ฉันขอเตือนนายไว้ ทางที่ดีอย่าเข้ามายุ่งเรื่องแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดของเรา ไม่งั้น……”

เหอหวู่เจียงพูดด้วยน้ำเสียงข่มขู่ เขาไม่ได้ให้คนลงมือ เพราะหนุ่มที่ใส่ชุดคลุมดำตรงหน้า ทำให้เขารู้สึกเป็นอันตรายมาก

นักยุทธ์ที่ฝึกตนด้านการเข่นฆ่า มีสัญชาตญาณด้านอันตรายเฉียบคมมาก

แต่หรงเซี๋ยโดนแทงด้วยกระบี่เดียว ในใจอัดอั้นไปด้วยความโกรธ บวกกับไม่สามารถห้ามเลือดบาดแผลได้ จึงตวาดออกมาอย่างโมโห “จะไปพูดไร้สาระกับมันทำไม พวกเราทั้งหมดเข้าไปฆ่ามันซะ!”

แดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด ถึงได้รับการขนานนามว่าแดนศักดิ์สิทธิ์ แต่แท้จริงแล้วเป็นลัทธิมาร สำนักชั่วร้าย ศิษย์ในสำนักชอบการเข่นฆ่า ไม่มีคุณธรรมและข้อจำกัดความคิดไม่ดีของมนุษย์ ทำอะไรตามใจปรารถนา

หลัวซิวเห็นศพผู้หญิงสองคนบริเวณหัวสะพาน ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าเป็นฝีมือของคนแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดแน่นอน

นี่ทำให้ความอาฆาตในใจหลัวซิวพลุ่งพล่าน ถึงเขาฆ่าคนมาเยอะเหมือนกัน แต่มีบรรทัดฐานของตัวเอง ถึงเขาไม่ได้ทำอะไรยุติธรรมขนาดนั้น แต่สำหรับกากเดนแบบนี้ ถ้าเขามีพละกำลัง จะต้องกำจัดคนพวกนี้แน่นอน

“ ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!……”

ในเวลาเดียวกันกับที่พวกคนของแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด ปลดปล่อยความอาฆาตออกมา คนเมืองฝูถูพากันตกใจ ต่างชักนักยุทธ์ออกมา แสงสว่างของพลังจิตแท้ถูกปล่อยออกมารอบตัว

แต่คนแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด ไม่ได้ลงมือทันที เหอหวู่เจียงยิ้มมุมปาก มองฮู๋ชิงชิงที่ใส่ผ้าคลุมหน้า แสยะยิ้มแล้วพูดว่า “พวกนาย 12 คน ทิ้งแหวนเก็บของกับนักยุทธ์ของตัวเองเอาไว้ ครั้งนี้ข้าจะตัดสินใจปล่อยพวกนายไป”

เมื่อได้ยินดังนั้น กู้เผิงชะงักไป ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ขัดแย้งกับคนแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดได้ มอบแหวนเก็บของกับนักยุทธ์ให้พวกเขา ก็พอจะทนได้

เพราะสมบัติล้ำค่าใด ก็ไม่สำคัญเท่ากับชีวิตตัวเอง

แต่กู้เผิงไม่ใช่คนโง่ เขาก็เข้าใจจุดนี้เหมือนกัน นั่นก็คือถ้ามอบแหวนเก็บของกับนักยุทธ์ให้พวกเขา งั้นคนเมืองฝูถู ก็เหมือนเนื้อที่วางอยู่บนเขียง ให้คนอื่นเชือดได้ตามใจชอบ ไม่มีแม้แต่กำลังจะขัดขืน

“ศิษย์พี่กู้ อย่าไปฟังพวกเขา” ฮู๋ชิงชิงพูดเบาๆ

ศิษย์เมืองฝูถูคนอื่น ต่างพากันมองไปยังกู้เผิง

“ยังจะรออะไรอีกล่ะ ข้าให้เวลาพวกนายเพียงอึดใจเท่านั้น ถ้าไม่ส่งของมา พวกข้าจะลงมือทันที!” เหอหวู่เจียงแผดเสียงออกมาอย่างไม่สบอารมณ์

ในขณะที่กำลังพูด เหอหวู่เจียงส่งเสียงคุยกับราชายุทธ์ขั้น 9 อีกสองคนที่อยู่ข้างๆ “อีกเดี๋ยว ไม่ว่าพวกเขาจะส่งของมาให้หรือไม่ ต้องกำจัดพวกเขาให้หมด ส่วนผู้หญิงคนนั้น ใครจะเสวยสุขก่อน ดูว่าใครฆ่าได้เยอะกว่ากัน เป็นไง”

“หึหึ ความคิดนี้ไม่เลว” เพื่อนเหอหวู่เจียงทั้งสองคน ไม่คัดค้านข้อเสนอนี้

“ได้ยินว่าฮู๋ชิงชิงเป็นร่างอสูรฟ้า ชายที่มีอะไรกับเธอเป็นคนแรก จะได้พลังอสูรฟ้าบริสุทธิ์ ผลการฝึกตนพุ่งสูงขึ้นอย่างมาก อีกทั้งว่ากันว่าร่างอสูรฟ้า ก็เป็นหนึ่งในเตากลั่นยาชั้นเลิศ ทั้งสองฝึกตนอย่างเท่าเทียม ผลการฝึกตนจะก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว”

เมื่อพวกเหอหวู่เจียงคิดได้เช่นนี้ ดวงตาทุกคนเป็นประกาย

หลังผลการฝึกตนถึงแดนราชายุทธ์ การจะบรรลุไปแต่ละแดน ล้วนยากเย็นแสนเข็ญ โดยเฉพาะคนที่ถึงระดับราชายุทธ์ขั้น9 อย่างพวกเขา อยากก้าวข้ามไปสู่แดนจักรพรรดิยุทธ์ ยิ่งเป็นอะไรที่ยากเย็นแสนเข็ญ

แต่หยวนหยินของร่างอสูรฟ้า เป็นโอกาสที่ไม่เลวอย่างไร้ข้อกังขา ไม่แน่อาจใช้โอกาสนี้ เข้าสู่แดนจักรพรรดิยุทธ์ก็เป็นได้!

เมื่อถึงแดนจักรพรรดิยุทธ์ อายุขัยราชายุทธ์ 1200 ปี ก็จะถึง 2000 ปี มีเวลาอีกยาวนาน ที่จะไปแสวงหาแดนโลกยุทธ์ที่สูงกว่านี้

เวลาเพียงไม่กี่อึดใจหมดลงแล้ว

คนเมืองฝูถูไม่ยอมส่งแหวนเก็บของกับนักยุทธ์มาให้ แต่ละคนมีลมปราณพลังจิตแท้อยู่รอบตัว สีหน้าเตรียมพร้อมรับมือ ท่าทางพร้อมรบ

เหอหวู่เจียงสีหน้าอึมครึม “ในเมื่อพูดด้วยดีๆไม่ยอมทำตาม ก็คงต้องใช้กำลังบังคับ ลงมือ!”

เมื่อเหอหวู่เจียงออกคำสั่ง ศิษย์แดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด บริเวณรอบๆ จำนวนมาก ต่างมีแววตาโหดเหี้ยม พากันพุ่งเข้ามา

“ทุกคนจัดการฆ่า หนีไปได้เท่าไหนก็เท่านั้น!”

กู้เผิงแผดเสียงออกมา ดาบรบปรากฏขึ้นในมือ ฟาดลงมาเป็นดาบสีทองมากมาย

“พรวด!”

เลือดกระเซ็น ศิษย์แดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด ที่อยู่แดนราชายุทธ์ขั้น7 คนหนึ่ง โดนดาบของกู้เผิงฟันแขนจนขาด ตัวกระเด็นออกไป

“ไอ้เด็กนี่ช่างยอดเยี่ยม”

เหอหวู่เจียงหรี่ตาลง หายตัวแวบมาตรงหน้ากู้เผิง ความอาฆาตอันเหี้ยมโหด แผ่ออกจากตัวเขา กลายเป็นเงาขนาดใหญ่สีเลือด ปะทะกับกู้เผิงอย่างแรง

ใช้ความอาฆาตรวมตัวจนกลายเป็นเงาขนาดใหญ่ นี่เป็นทักษะยุทธ์ด้านการเข่นฆ่าประเภทหนึ่ง

ถึงพละกำลังของกู้เผิงจะแข็งแกร่ง แต่ผลการฝึกตนยังด้อยกว่าเหอหวู่เจียงอยู่บ้าง เมื่อเจอการโจมตีนี้ เขาจึงไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย ดาบรบในมือมีแสงสีทองสว่างวาบขึ้นมา ฟันไปยังเงาใหญ่นั้น

ตู้ม!

การเคลื่อนไหวพลังจิตแท้อย่างบ้าคลั่ง ทำให้พื้นที่บริเวณรอบๆ สั่นสะเทือนเพราะเสียงระเบิด

ดาบของกู้เผิงฟันเงาใหญ่จนแตกสลาย เขายกมือบีบฮู้จนแตก และกลายเป็นลำแสงสีทอง

“ยันต์โจมตีขั้น6 งั้นเหรอ”

เหอหวู่เจียงหน้าเปลี่ยนสี คิดไม่ถึงว่ากู้เผิงจะใช้สมบัติทันที

เมื่อเขายืนอย่างมั่นคง หลังจากถอยหลังมา ก็บีบฮู้จนแตกเช่นกัน ลำแสงสีเลือดสว่างวาบ ปกคลุมรอบตัว

แน่นอนว่าสิ่งที่เหอหวู่เจียงใช้ คือยันต์คุ้มกันขั้น6 เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาจึงไม่ต้องกลัวพลังของยันต์โจมตีขั้น6 ยื่นมือออกไปคว้า ง้าวสีเลือดเล่มหนึ่งอยู่ในมือ และพุ่งไปข้างหน้าทันที

ระยะเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่อึดใจ กู้เผิงโดนกระแทกจนกระเด็น กระอักเลือดออกมา อกขวาเป็นแผล เลือดไหลออกมา

ราชายุทธ์ขั้น8 กับขั้น9 แม้จะห่างกันเพียงแดนเล็กๆ แต่ความแตกต่างของพละกำลัง กลับยิ่งใหญ่มาก

กู้เผิงรู้ว่าตัวเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหอหวู่เจียง ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ขั้น9 อีกสองคน กำลังจ้องเขม็ง ถ้าโดนล้อมโจมตีขึ้นมา เขาคงตายอย่างไม่ต้องสงสัย

เมื่อคิดได้เช่นนี้ กู้เผิงกัดฟัน ยื่นมือออกมาบีบฮู้ให้แตกอีกครั้ง ร่างกายกลายเป็นลำแสง พุ่งไปยังขอบฟ้าอย่างรวดเร็ว

“จะหนีงั้นเหรอ”
เหอหวู่เจียงแสยะยิ้ม ใช้ฝ่าเท้ากระทืบพื้น เด้งตัวขึ้นไปข้างบน แต่กู้เผิงบินอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

“ให้ตายเถอะ ยันต์วาตะขั้น6 งั้นเหรอ”

สีหน้าของเหอหวู่เจียงเปลี่ยนไปเล็กน้อย ถึงเขามียันต์วาตะขั้น6 เหมือนกัน แต่ของล้ำค่าแบบนี้ เอามาใช้ตอนไม่จำเป็น เขาเสียดายไม่อยากจะใช้ อีกอย่าง ถึงเป็นทายาทแดนศักดิ์สิทธิ์ ก็ใช่ว่าจะได้สมบัติชั้นสูงมาง่ายๆ

“หึ ถือว่าแกโชคดี หนีไปได้ก็ช่าง แค่ฮู๋ชิงชิงหนีไปไม่ได้ก็พอ”

เหอหวู่เจียงหันไปมองฮู๋ชิงชิง ที่กำลังโดนล้อมโจมตี สายตามองเรือนร่างบอบบางอย่างไม่หวาดกลัว

“ศิษย์พี่กู้เผิงหนีไปแล้ว!”

คนเมืองฝูถู เห็นกู้เผิงหนีไป แต่ละคนพากันจิตตก

เดิมทีในบรรดาพวกเขา มีกู้เผิงเพียงคนเดียว ที่เป็นราชายุทธ์ขั้น8 คนอื่นเป็นแค่ราชายุทธ์ขั้น7 และมีฮู๋ชิงชิงเป็นราชายุทธ์ขั้น5

แต่ฝั่งแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด ไม่เพียงแต่จะมีจำนวนคนเยอะ อีกทั้งยังมีราชายุทธ์ขั้น9 สามคน นี่เป็นสถานการณ์ที่ต้องตายเท่านั้น!

“ทุกคนรีบหนีเร็ว!”

ไม่รู้ใครตะโกนออกมาเสียงดัง ศิษย์เมืองฝูถูที่เหลือสองสามคน ต่างพากันเอายันต์ขั้น6 ออกมาจากแหวนเก็บของ ตอนนี้ไม่สนใจว่าสมบัติจะล้ำค่าแค่ไหน ทุกคนพากันบีบให้แตกเพื่อกระตุ้น

“หึ ฉันวางค่ายกลเรียบร้อยแล้ว ใครก็หนีไม่รอด ส่วนไอ้คนที่หนีไป สุดท้ายก็ต้องตกอยู่ในมือเรา ไม่ช้าก็เร็ว”

ขณะนั้น ราชายุทธ์ขั้น9 ของแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดคนหนึ่ง ที่มีรอยบากบนหน้า แสยะยิ้มบนใบหน้า แล้วเอ่ยขึ้น

ขณะพูด เขาใช้มือบีบพลังตราประทับ ม่านแสงพุ่งขึ้นมารอบๆ ปิดกันอาณาเขตในรัศมีร้อยเมตร

“สวบ!สวบ!สวบ!”

ลำแสงพุ่งขึ้นไปบนฟ้า คนเมืองฝูถูใช้ยันต์วาตะ แต่โดนม่านแสงบนฟ้าขวางเอาไว้ ไม่สามารถพุ่งออกไปได้

“ค่ายยากเย็นขั้น5! เขาเป็นปรมาจารย์ค่ายกลขั้น5!”

ทุกคนต่างรู้ดี ในสี่อาณาจักรโลกแสงดาว แดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดแห่งอาณาจักรตะวันตก ฝึกตนเกี่ยวกับการเข่นฆ่า คนที่ออกมาจากแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด เป็นมารที่ฆ่าคนอย่างไม่กะพริบตา

แต่ตัวเองกลับมาพูดเหตุผลกับพวกที่ฆ่าคนอย่างไม่กะพริบตา จะไปมีประโยชน์อะไรกันล่ะ

ในโลกแสงดาว แค่มีอำนาจของผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ดำรงตำแหน่งอยู่ ล้วนถูกเรียกว่าแดนศักดิ์สิทธิ์

แต่แดนศักดิ์สิทธิ์ก็มีการแบ่งแยกระดับสูงต่ำ แบ่งออกเป็น แดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นล่าง แดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นกลาง แดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูง และแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์

มีมหาจักรพรรดิยุทธ์ดำรงตำแหน่ง 1-3 คน คือแดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นล่าง

แดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นกลาง ต้องมีผู้แข็งแกร่งที่มีผลการฝึกตนถึงมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นปลายขึ้นไป ดำรงตำแหน่งอยู่หนึ่งคน และมีจำนวนมหาจักรพรรดิยุทธ์ระหว่าง 4-6 คน คือแดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นกลาง

ส่วนแดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูง ต้องมีฉายามหาจักรพรรดิยุทธ์ดำรงตำแหน่งหนึ่งคน หรือไม่ก็ต้องมีผู้แข็งแกร่งที่มีระดับเกินกว่ามหาจักรพรรดิยุทธ์ บรรลุถึงแดนนิรันดร์ดำรงตำแหน่ง อีกทั้งจำนวนมหาจักรพรรดิยุทธ์ต้องถึงสิบคน

สำหรับแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ ว่ากันว่าต้องมีผู้แข็งแกร่งอันเป็นนิรันดร์สามคนขึ้นไป ต้องมีจำนวนมหาจักรพรรดิยุทธ์เกินสิบคน

อย่างหลู่สุ่ยชิงเกิดในแดนศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมิน ในสำนักมีเพียงมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นต้น ดำรงตำแหน่งอยู่เพียงคนเดียว เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ระดับต่ำที่สุด

แต่แดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดแห่งอาณาจักรตะวันตก มีมหาจักรพรรดิยุทธ์ดำรงตำแหน่งอยู่สามคน ถึงไม่ใช่แดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นกลาง แต่ในแดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นล่าง นับว่าอยู่อันดับต้นๆ แล้ว

เช่น สี่แดนศักดิ์สิทธิ์ของสมาคมเป่ยเซี๋ย แดนศักดิ์สิทธิ์กระบี่สุดขั้วกับเมืองฝูถู ล้วนเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นล่างทั่วไป ราชายุทธ์ที่มาเข้าร่วมการต่อสู้แต่งตั้งราชา ผลการฝึกตนสูงสุดคือขั้น8 เท่านั้น

แต่แดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด สามารถส่งราชายุทธ์ขั้น9 มาทีเดียวถึงสามคน นี่เป็นความแตกต่างของพละกำลังกับสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใน

พรวด!

เพียงพริบตา ไม่ต้องให้คนที่เป็นราชายุทธ์ขั้น9 สามคนนั้นลงมือ หลู่สุ่ยชิงโดนฆ่าตายตรงนั้นทันที และผู้หญิงคนนั้นโดนคุมตัวขณะที่กำลังส่งเสียงร้องอย่างตกใจ โดนระงับผลการฝึกตนเอาไว้ทันที

“ศิษย์พี่ทั้งสาม……”

คนของแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด ไม่ผลีผลาม แต่หันไปมองหัวหน้าที่เป็นราชายุทธ์ขั้น9 ทั้งสามคน

“ผู้หญิงคนนี้หน้าตาใช้ได้ แต่ฉันไม่สนใจ” ผู้ชายที่เป็นราชายุทธ์ขั้น9 คนหนึ่ง หัวเราะเสียงดัง แล้วพูดออกมา

“พวกนายเอาไปเล่นเถอะ ฉันได้ยินว่าสมาคมเป่ยเซี๋ยเมืองฝูถู มีพวกผู้หญิงที่มีเสน่ห์เย้ายวนตั้งแต่เกิด เรียกได้ว่าหน้าตาพิชิตใจจนนำมาซึ่งภัยพิบัติ”

ราชายุทธ์ขั้น9 อีกสองคนก็ไม่สนใจ เหมือนกับสายตาจะสูงส่ง

“หึหึ ไม่เข้าตาศิษย์พี่ทั้งสาม งั้นพวกศิษย์น้องปลดปล่อยไฟร้อนก่อนละกัน”

กลุ่มคนที่เหลือต่างยิ้มอย่างชั่วร้าย จากนั้นกลุ่มคน 3-5 คน เริ่มเป่ายิ้งฉุบ ว่าใครจะเริ่มก่อน

หญิงสาวหน้าตาไม่เลว สีหน้าซีดเผือด ผลการฝึกตนโดนระงับเอาไว้ ไม่สามารถต่อต้านได้แม้แต่น้อย โดนคนของแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดใช้เล่ห์เหลี่ยมใส่ ทั้งอายและโมโหจนอยากตาย แต่ไม่สามารถทำได้ ฟันขบริมฝีปากแดงจนเลือดออก

……

หลังผลการฝึกตนถึงราชายุทธ์ขั้น2 ทรัพยากรที่ใช้ฝึกตนในมือหลัวซิวหมดชั่วคราว ผังกฎดั้งเดิมรูปที่สาม ลึกลับจนยากจะเข้าใจ ตอนนี้เข้าใจเพียงผิวเผินเท่านั้น ยากมากที่จะมีความคืบหน้า

เมื่อไม่มีทรัพยากรที่ใช้ฝึกตน ฝึกต่อไปก็ไม่มีค่าอะไร สำหรับความก้าวหน้าในการฝึกตนของตัวเอง อันที่จริง หลัวซิวก็ไม่ค่อยมั่นใจสักเท่าไร

เขาประเมินว่าตัวเองอยากมีพละกำลังต้านทานตาเฒ่าประหลาดมกุฏยุทธ์ อย่างน้อยตัวเองต้องมีผลการฝึกตนถึงระดับประมาณจักรพรรดิยุทธ์ขั้นกลาง

แต่ทว่าตอนนี้แค่ราชายุทธ์ขั้นกลางยังไปไม่ถึง จะยกระดับไปถึงจักรพรรดิยุทธ์ขั้นกลาง ต้องใช้ทรัพยากรเป็นจำนวนมาก เขาเดาว่าถึงเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ที่สืบทอดมาแต่โบราณ ก็ไม่น่าจะเลี้ยงตัวเองได้

อีกทั้งถึงจะสามารถเลี้ยงตัวเองได้ ก็ไม่มีอำนาจไหนยอมเสียทรัพยากรให้เขา เพราะทรัพยากรที่จะบ่มเพาะให้เขาถึงระดับจักรพรรดิยุทธ์ เพียงพอที่จะบ่มเพาะมกุฏยุทธ์ได้หลายคน

หลัวซิวเดินออกจากบ้านไม้ สะบัดมือแยกค่ายกลบริเวณรอบๆ ให้กระจายหายไป ช่วงเวลาที่เขาฝึกตนปิดขังเดือนกว่าๆ ไม่มีใครมารบกวน

“ไม่รู้ว่ามีคนพบวิธีได้ฉายาในแดนลึกลับแล้วหรือยัง”

ระหว่างกำลังคิด หลิวซิวเด้งตัวขึ้นกลางอากาศ กลายเป็นเงามังกรเขียว ลอยอยู่ระหว่างเมฆหมอก

อสูรกายในแดนแต่งตั้งราชาเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นบนพื้นดินหรือในอากาศ จากพละกำลังของหลัวซิวในตอนนี้ ตัดอสูรกายที่ทัดเทียมกับจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 6 ออกไป อสูรกายทั่วไป ไม่สามารถทำอันตรายเขาได้

กระแสสัมผัสพลังชีวิตแผ่ซ่านออกมา เมื่อพบร่องรอยของอสูรกายขั้น6 หลัวซิวจะหลีกเลี่ยงทันที เมื่อเป็นเช่นนี้ การเหาะในอากาศ จึงปลอดภัยหายห่วง

ตรงหัวสะพานที่พาดผ่านแม่น้ำใหญ่ คนเมืองฝูถูสิบกว่าคน โดนกลุ่มคนของแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดล้อมเอาไว้

“ฮ่าๆ พยายามหาแทบตายไม่เจอ พอเลิกหาเลิกสนใจ กลับได้มาง่ายๆ แบบคาดไม่ถึงเสียอย่างนั้น!”

ในสามราชายุทธ์ขั้น 9 ของแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด คนที่อยากได้ฮู๋ชิงชิงมานานแล้ว หัวเราะเสียงดังออกมา

ไม่ไกลจากหัวสะพาน มีศพผู้หญิงนอนอยู่ เสื้อผ้าโดนถอดจนหมด เนื้อตัวเต็มไปด้วยแผล ดวงตาทั้งสองข้างเบิกโต เต็มไปด้วยความหวาดผวา โมโห ไม่เต็มใจ และเคียดแค้น……

อีกด้านหนึ่ง คนของแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดสามคน กำลังข่มเหงผู้หญิงอีกคนหนึ่ง คนสุดท้ายจัดการเสร็จ ดึงกางเกงขึ้นพลางง้างมือสะบัดมีด ฟันคอผู้หญิงคนนั้น

คนเมืองฝูถูเห็นภาพตรงหน้า ต่างรู้สึกขนหัวลุก คนที่จิตใจไม่มั่นคง รู้สึกขาสั่นขึ้นมาทันที

“ให้ตายเถอะ ทำไมถึงมาเจอพวกแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด โรคจิตบ้าคลั่งฆ่าคน……”

ฝ่ายเมืองฝูถู กู้เผิงที่มีผลการฝึกตนสูงสุด สูดหายใจลึก คำพูดพวกนี้ เขาทำได้เพียงคิดในใจเท่านั้น ไม่กล้าพูดออกมา

“สหายทุกท่าน เราเป็นศิษย์ของสมาคมเป่ยเซี๋ย เมืองฝูถู เจ้าเมืองกับเทพศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดรู้จักกันมานาน ได้โปรดเห็นแก่หน้าเจ้าเมืองของเราด้วยเถอะ ให้เราข้ามไปได้ไหม”

กู้เผิงรู้ดีว่าพละกำลังของพวกแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดแข็งแกร่งมาก คนฝั่งตัวเองไม่ใช่คู่ต่อสู้แน่นอน ด้วยความจองหองที่เป็นทายาทแดนศักดิ์สิทธิ์ จึงต้องไม่ผลีผลาม และทำได้เพียงพูดดีด้วย

“เลิกพูดอะไรที่ไร้ประโยชน์ ไม่มีใครรู้เรื่องที่เกิดในแดนแต่งตั้งราชา ข้าเหอหวู่เจียง จัดการพวกนายจนหมด พวกเมืองฝูถูก็พูดอะไรไม่ได้”

ฝ่ายแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด ราชายุทธ์ขั้น9 ที่ชื่อเหอหวู่เจียงเอ่ยขึ้น แล้วยิ้มเย็นชา

เมื่อกู้เผิงได้ยิน จิตตกทันที รอยยิ้มประจบบนใบหน้าหุบลง พูดอย่างเคร่งขรึมว่า “งั้นทุกท่านต้องการอย่างไร ถึงจะปล่อยให้เราข้ามไป ถึงพวกท่านมีราชายุทธ์ขั้น9 สามคน แต่ถ้าสู้กันขึ้นมาจริงๆ ศิษย์ของเมืองฝูถูก็ไม่ด้อยความสามารถหรอกนะ”

เมื่อเหอหวู่เจียงได้ยิน สีหน้าดูไม่สบอารมณ์ “ศิษย์เมืองฝูถูอย่างพวกนาย มีสมบัติแกร่งกล้าข้างกาย คิดว่าแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดอย่างเราไม่มีงั้นหรือ ยิ่งไปกว่านั้นสมบัติของเมืองฝูถู เทียบไม่ได้กับแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดของเรา เชื่อไหมว่าถึงพวกนายเอาไพ่ใบสุดท้ายออกมา ก็หนีไม่รอดเหมือนเดิม”

เมื่อเหอหวู่เจียงพูดออกมาเช่นนี้ ศิษย์ของแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด ที่ล้อมอยู่รอบๆ ปล่อยความอาฆาตอันทรงพลังออกมา ทำให้อากาศรอบๆ ปะปนไปด้วยสีเลือด

แดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด เป็นสำนักที่ฝึกตนด้านการเข่นฆ่า เชื้อสายของพวกเขา ยิ่งฆ่าเยอะเท่าไร พละกำลังก็ยิ่งแข็งแกร่ง ตอนนั้นหลัวซิวทะลุไปถึงระดับราชายุทธ์ ได้รับการมอบของขวัญเป็นผังกฎดั้งเดิม ในนั้นมีวิชาพรากชีวีสำเร็จจักรพรรดิ ทักษะยุทธ์วิชายิ่งเลิศ เป็นวิชายิ่งเลิศของแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด!

แต่วิชายิ่งเลิศชนิดนี้ เป็นการสืบทอดให้เชื้อสายเท่านั้น คนทั่วไปมีสิทธิ์ฝึกตนได้ยาก พวกศิษย์ที่มีผลการฝึกตนราชายุทธ์พวกนี้ ถึงแม้จะเรียนไม่ถึงวิชายิ่งเลิศ แต่วิชายุทธ์ที่ฝึกตนในแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด ล้วนเป็นวิชาลับเข่นฆ่าอันดับต้นๆ ทั้งนั้น

คนที่ฝึกตนด้านการฆ่า พละกำลังด้านการต่อสู้ เป็นที่โดดเด่นในแดนเดียวกัน อีกอย่างฝั่งแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด ยังมีราชายุทธ์ขั้น9 สามคน มีอำนาจเหนือกว่า ได้เปรียบเป็นอย่างมาก

แต่ยาทิพย์ในหุบเขาที่มีจำนวนมากที่สุด คือยาทิพย์ระดับ5 ประสิทธิภาพยาระดับ5 ที่กลั่นออกมา เทียบไม่ได้กับระดับ6 แต่ถ้ามีจำนวนมาก ก็ยกระดับผลการฝึกตนได้ไม่น้อยเหมือนกัน

หลัวซิวปล่อยตัวสำนึกออกมาเป็นอันดับแรก สำรวจความเคลื่อนไหวบริเวณรอบๆ ขณะเดียวกันก็เปิดกระแสสัมผัสพลังชีวิต ไม่พบลมปราณของนักยุทธ์คนอื่นในบริเวณรอบๆ

เขาถูมือไปมา เหมือนนักพนันเข้าไปในบ่อน “ยาทิพย์มากมายขนาดนี้ ล้วนเป็นของฉัน ได้มาโดยไม่เสียแรงอะไรเลย!”

ในหุบเขาไม่มีค่ายกล แต่เพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นพบสถานที่แห่งนี้ หลัวซิวเอาธงขลังสรรพสิ่งออกมา วางค่ายกลขนาดใหญ่เอาไว้รอบๆ ซ่อนลมปราณของสถานที่แห่งนี้เอาไว้

“ฝึกตนสักช่วงหนึ่งก่อน แล้วค่อยว่ากัน”

นอกจากในหุบเขาจะมียาทิพย์แล้ว ยังมีต้นไม้สูงใหญ่มากมาย หลัวซิวสะบัดกระบี่ฟันไปหลายต้น ไม่นานก็สร้างเป็นบ้านไม้หลังหนึ่ง

จากนั้น ยาทิพย์ในหุบเขา โดนหลัวซิวกวาดจนเกลี้ยง ปากอดพึมพำไม่ได้ว่า “หลงหมิงไม่สามารถมาได้ คงจะร้องไห้แทบตาย จากจำนวนยาทิพย์ที่นี่ ยากลั่นจิตอัคคีม่วงธรรมดาๆ ที่ติดหนี้เขาไว้ เป็นแค่อะไรเล็กน้อยเท่านั้น”

ก่อนกลั่นยา หลัวซิวสำรวจค่ายกลที่วางไว้รอบๆ หุบเขารอบหนึ่ง เขาวางค่ายกลเอาไว้ไม่มาก มีทั้งหมด 4 ประเภท ที่จำเป็นอันดับแรกก็คือค่ายกลซ่อนงำกับค่ายกลกำบัง จากนั้นคือค่ายกลเตือนภัย เมื่อมีคนเคลื่อนไหว ก็จะแจ้งเตือนมาที่เขา รองลงมาคือค่ายกลคุ้มกัน ถึงพวกราชายุทธ์หาที่นี่เจอ จะทำลายค่ายกลคุ้มกันขั้น6 ภายในระยะเวลาสั้นๆ ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย

เมื่อออกมาข้างนอก ค่ายกลเป็นสิ่งที่ต้องเตรียมเอาไว้ เมื่อเป็นเช่นนี้ จะสามารถฝึกตนได้ทุกเมื่อ และไม่ต้องกังวลความปลอดภัยของตัวเอง

ในบ้านไม้ หลัวซิวดูหินพลังจิตในแหวนเก็บของ ของตัวเองเป็นอันดับแรก หินพลังจิตชั้นกลางมีประมาณหมื่น หินพลังจิตชั้นสูงเหลือแค่สามร้อยกว่า พอถูไถวางค่ายผนึกปราณขั้น6 ได้ อยู่ได้ประมาณสองเดือน

“จนชะมัด หลังออกจากแดนแต่งตั้งราชาครั้งนี้ ต้องย้ายของไปขาย เพื่อแลกเป็นหินพลังจิตสักหน่อย” หลัวซิวพูดพึมพำ

ถึงบอกว่าประสิทธิภาพในการใช้หินพลังจิตฝึกตน เทียบไม่ได้กับยา แต่ตัวเองกลั่นยา จะหายาทิพย์ด้วยตัวเองตลอดไม่ได้ และการฝึกตนแต่ละด้าน จำเป็นต้องใช้จ่าย ยังไงหินพลังจิตยิ่งมากก็ยิ่งดี จะขาดแคลนไม่ได้

อันดับแรก หลัวซิวใช้เวลาครึ่งเดือนในการกลั่นยา ใช้ยาทิพย์ที่สามารถใช้ได้ กลั่นออกมาเป็นยาเกือบทั้งหมด

ช่วงเวลต่อมา เป็นการฝึกตนใช้ยาอย่างบ้าคลั่ง หลังฤทธิ์ยาละลายในร่างกาย วิชาวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ จะทำงานอัตโนมัติ ฤทธิ์ยาอันทรงพลัง ภายใต้การหมุนเวียนของวรยุทธ์ ทำให้กลายเป็นพลังจิตแท้ รวมตัวกันที่จุดตันเถียน และผ่านการชำระล้าง หลอมเข้าไปในยาเทพจิต

ช่วงฝึกตนเป็นสิ่งน่าเบื่อ หลัวซิวไม่รู้ว่าโลกภายนอกผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว จนกระทั่งเขายื่นมือออกมาสัมผัสอากาศ ยาที่วางไว้ข้างๆ โดนเขาใช้ไปจนหมดแล้ว

“เพิ่งจะราชายุทธ์ขั้น2 เองเหรอ”

หลัวซิวลืมตาช้าๆ และสำรวจผลการฝึกตนของตัวเองเป็นอันดับแรก พบว่าเพิ่งจะยกระดับไปแค่แดนเล็กเพียงแดนเดียว

ถ้าเป็นราชายุทธ์ทั่วไป ใช้ยาเยอะขนาดนี้ ฝึกตนถึงราชายุทธ์ขั้น9 ก็ไม่เป็นปัญหาอะไร

แต่เขากลับยกระดับได้เพียงแดนเล็กเพียงแดนเดียว

“หรือเป็นเพราะวรยุทธ์วงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ” หลัวซิวขมวดคิ้ว เพราะเมื่อก่อนเขาฝึกตนได้รวดเร็วมาก จู่ๆ ก็ช้าลง ทำให้เขาปรับตัวยาก

เขาหลับตาลงอีกครั้ง ในหัวมีภาพของผังกฎดั้งเดิมวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ รูปที่สามลอยขึ้นมา

ผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาจึงเข้าใจว่าทำไมถึงฝึกตนช้าลง

สาเหตุแรก หลังจากทำความเข้าใจกับผังกฎดั้งเดิมภาพที่สองได้อย่างถ่องแท้ เขาตระหนักรู้ถึงทักษะการกลั่นร่าง พลังจิตแท้ที่ใช้ระหว่างฝึกตน จะมีส่วนหนึ่งที่หมุนเวียนและรวบรวมไปในร่างเนื้อ เมื่อเป็นเช่นนี้ พลังจิตแท้ที่เขาใช้ยกระดับผลการฝึกตนที่แท้จริง จะลดลงเป็นอย่างมาก

สาเหตุที่สอง หลังจากที่ผลการฝึกตนถึงระดับราชายุทธ์ การยกระดับผลการฝึกตน จะยากกว่าเมื่อก่อน

สาเหตุที่สาม เพราะระดับของพลังจิตแท้สองระดับความเป็นตาย ที่เขารวบรวมฝึกฝนสูงเกินไป ต้องใช้พลังจิตเยอะมาก ยกตัวอย่างง่ายๆ พลังจิตแท้ที่ราชายุทธ์ทั่วไปรวบรวมไว้ ต้องใช้หินพลังจิตชั้นกลางสิบก้อน

แต่พลังจิตแท้สองระดับความเป็นตายที่หลัวซิวจะรวบรวม ต้องใช้หินพลังจิตชั้นกลางพันก้อน!

เมื่อคิดเช่นนี้ ห่างกันเกือบจะร้อยเท่า อีกทั้งหลัวซิวรู้สึกว่าไม่เพียงแต่จะแตกต่างเกือบร้อยเท่า แต่อาจมากกว่านั้นด้วย!

แน่นอนว่าเหตุผลเหล่านี้ จำกัดระดับความเร็วในการยกระดับผลการฝึกตนของเขา แต่พละกำลังซึ่งอยู่ในแดนเดียวกับเขา กลับห่างชั้นกับนักยุทธ์ทั่วไปอย่างมาก

อย่างเช่นตอนนี้ เขามีผลการฝึกตนระดับราชายุทธ์ขั้น2 เขาคิดว่าถึงไม่ใช้ไพ่ใบสุดท้าย ตัวเองก็สามารถฆ่าราชายุทธ์ขั้น8ได้

ถ้ากระตุ้นพลังแปรเสวียนเทียน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการฆ่าราชายุทธ์ขั้น9 เลย ถึงเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ขั้น1 ก็สามารถสู้กันอย่างสูสีได้

ยกระดับแดนเล็กหนึ่งแดน แต่พละกำลังของเขากลับยกระดับหลายเท่า

“ราชายุทธ์ขั้น3 และขั้น4 เป็นสองสิ่งที่แตกต่างกัน ถ้าผลการฝึกตนของฉันถึงระดับราชายุทธ์ขั้น4 พละกำลังต้องเปลี่ยนแปลง ไม่แน่อาจต้านทานพละกำลังของจักรพรรดิยุทธ์ได้”

หลัวซิวแอบตัดสินใจ ครั้งนี้แดนแต่งตั้งราชาเป็นโอกาสหนึ่งของตัวเอง ต้องพยายามยกระดับพละกำลังของตัวเองให้เพิ่มขึ้น

……

ถ้าเทียบกับระยะเวลาหนึ่งปีของการเปิดแดนแต่งตั้งราชา ระยะเวลาเดือนกว่า ที่หลัวซิวปิดขังตัวเอง นับว่าไม่นาน

เขาพบหุบเขาที่มียาทิพย์งอกอยู่เป็นจำนวนมาก คนอื่นที่เข้ามาในแดนแต่งตั้งราชา ล้วนพบโอกาสของตัวเอง และยกระดับพละกำลังได้ไม่น้อย

วิธีการได้รับฉายา ตอนนี้ยังไม่มีใครค้นพบชั่วคราว มีสมบัติ โอกาสปรากฏออกมามากมาย ทำให้ราชายุทธ์ที่มาจากทั่วทุกสารทิศ พากันเข่นฆ่าแย่งชิง

ขณะเดียวกัน อันตรายที่น่ากลัวก็ปรากฏขึ้นในแดนลึกลับ อันตรายใหญ่ที่สุดภายในนี้ คือพวกอสูรกาย

นี่เป็นบททดสอบของแดนแต่งตั้งราชา อยากโดดเด่นท่ามกลางผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์นับพัน จำเป็นต้องผ่านบททดสอบอันหนักหนา

ลึกลงไปในแดนลึกลับ มีแม่น้ำที่เคลื่อนไหวตลอดเวลา บนแม่น้ำมีสะพานแห่งหนึ่ง พาดผ่านสองฟากฝั่ง

ตรงริมฝั่งหัวสะพาน มีผู้แข็งแกร่งผลการฝึกตนราชายุทธ์ขั้น 9 สามคน พาคนหลายสิบคนขวางทางชายหนุ่มและหญิงสาวคู่หนึ่งเอาไว้

ผู้ชายเป็นราชายุทธ์ผลการฝึกตนขั้น7 ผู้หญิงเป็นราชายุทธ์ขั้น6

ส่วนพวกที่ขวางพวกเขาเอาไว้ ล้วนสวมชุดคลุมยาวสีเลือด เป็นคนที่มีใบหน้าชั่วร้าย

“ทุกท่านหมายความว่าอย่างไร ผมชื่อหลู่สุ่ยชิง เป็นลูกศิษย์ของแดนศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมินอาณาจักรใต้ ผมมีหินพลังจิตชั้นกลางแสนก้อน ทุกท่านได้โปรดเห็นแก่หน้าด้วย”

ผู้ชายที่มีผลการฝึกตนราชายุทธ์ขั้น7 เห็นหน้าคนพวกนี้มีเจตนาไม่ดี จึงประสานมือทำความเคารพ และพูดเสียงดัง

โดยทั่วไป เมื่อคนอื่นเห็นเขาน่าสนใจเช่นนี้ แถมยังเป็นทายาทแดนศักดิ์สิทธิ์ ส่วนใหญ่จะไม่สร้างความลำบากให้เขา

“หินพลังจิตชั้นกลางแสนก้อนงั้นเหรอ เห็นเราเป็นขอทานแล้วจากไปงั้นเหรอ ทิ้งกระบี่ยุทธ์และแหวนเก็บของของนาย รวมถึงผู้หญิงคนนี้เอาไว้ แล้วนายก็ไสหัวไปซะ!”

คนที่พูดเป็นชายรูปร่างอ้วนเตี้ย สวมเสื้อสีเลือด มองผู้หญิงข้างกายหลู่สุ่ยชิงอย่างไม่หวาดกลัว

เมื่อหลู่สุ่ยชิงได้ยิน สีหน้าเปลี่ยนไปทันที “ทุกท่านอย่าทำเกินไปเลย รังแกแดนศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมินอาณาจักรใต้ของผม เพราะเห็นว่าไม่มีความสามารถหรือไง”

“แดนศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมินเก่งมากหรือไง แดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดของพวกเรา ไม่เห็นแดนศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมินอยู่ในสายตา” ชายรูปร่างอ้วนเตี้ยฝั่งตรงข้าม พูดด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์

“พูดไร้สาระเยอะเกินไปละ ฆ่ามันซะ ส่วนผู้หญิงเก็บไว้ให้พวกเราเล่น” ในบรรดาพวกที่สวมชุดสีเลือด ผู้ชายที่มีผลการฝึกตนราชายุทธ์ขั้น9 คนหนึ่ง พูดด้วยสีหน้าชั่วร้าย

“พวกนายเป็นคนของแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด อาณาจักรตะวันตก……” หลู่สุ่ยชิงพูดด้วยสีหน้าไม่สู้ดีเป็นอย่างมาก

เธอรู้ดีว่าพละกำลังของอาจารย์คนนี้แข็งแกร่งมาก ถึงแม้จะมีแค่ผลการฝึกตนราชายุทธ์ขั้น1 แต่กลัวว่าพละกำลังจะแกร่งกล้ากว่ากู้เผิง ราชายุทธ์ขั้น8 เสียอีก ยิ่งไปกว่านั้นคนที่สามารถเอาวิชาปฐมอสูรฟ้ามาได้ จะธรรมดาได้อย่างไร

ไม่ต้องพูดเรื่องที่เขามีบุญคุณกับตัวเอง มีผู้แข็งแกร่งแบบนี้ร่วมทางไปด้วย มีเพียงแต่ประโยชน์เท่านั้น พวกกู้เผิงมองการณ์ตื้นเขิน ไล่เขาไป ช่างโง่เขลาสิ้นดี

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็เชิญตามสบาย!” กู้เผิงพูดเคร่งขรึม เขาไม่เข้าใจว่าศิษย์น้องคนนี้เป็นอะไรไป ทำไมถึงให้ความสนใจกับคนแปลกหน้าเช่นนี้

หลัวซิวมองฮู๋ชิงชิง ยิ้มแล้วพูดว่า “แม่นางชิงชิงไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ฉันมีเรื่องที่ต้องไปจัดการพอดี ขอลาก่อน”

ระหว่างพูด หลัวซิวพลิกมือหยิบม้วนหยกออกมา ยื่นให้ฮู๋ชิงชิง พูดผ่านตัวสำนึกว่า “ในม้วนหยกนี้เป็นวิชาฝึกตนแดนราชายุทธ์ วิชาปฐมอสูรฟ้า หลังจากเธอฝึกตน พละกำลังน่าจะแข็งแกร่งขึ้นไม่น้อย”

เพราะข้อจำกัดของผลการฝึกตนของตัวเอง เขาจึงได้รับเพียงวิชายุทธ์ที่ไม่เกินระดับราชายุทธ์ ผ่านเทพแห่งวัฏจักรชีวิต สำหรับวรยุทธ์ที่ตามหลังวิชาปฐมอสูรฟ้ามานั้น ต้องรอให้เขามีระดับผลการฝึกตนถึงจักรพรรดิยุทธ์ขึ้นไป

ฮู๋ชิงชิงยื่นมือมารับม้วนหยก ขณะกำลังจะเอ่ยขอบคุณ ก็เห็นหลัวซิวหันหลังเดินไปแล้ว ร่างกายแวบไปมาไม่กี่ครั้ง ก็หายวับไปทันที

หวูสงที่โดนงูพิษกัดก่อนหน้านี้ ได้กินยาแก้พิษแล้ว เห็นหลัวซิวเดินจากไป ก็พูดอย่างเคร่งขรึม “ไอ้หมอนี่มีพละกำลังแข็งแกร่ง ถ้าไม่มีเจตนาไม่ดี ทำไมถึงช่วยแค่ศิษย์น้องชิงชิง แต่ไม่ช่วยฉันล่ะ”

เขาเอาการที่ตัวเองโดนงูพิษกัด ผลักเป็นภาระให้หลัวซิว ที่เห็นคนจะตายแล้วไม่ช่วย

เมื่อพูดจบ เขาหันไปมองฮู๋ชิงชิง แล้วพูดว่า “ศิษย์น้องชิงชิง ม้วนหยกที่เขาให้เธอ ทางที่ดีดูให้ละเอียดสักหน่อย ว่ามีวิธีอะไรไม่ดีหรือเปล่า”

ฮู๋ชิงชิงส่งเสียงหึ เพราะการที่หลัวซิวจากไป เธอรู้สึกหดหู่ใจ แต่เธอไม่สามารถอธิบายเรื่องหลัวซิวให้คนพวกนี้ฟังได้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงปล่อยให้คนพวกนี้เข้าใจเขาผิด

เมื่อมองพวกกู้เผิง ฮู๋ชิงชิงรู้สึกหงุดหงิด ถ้าให้เธอเลือก เธอยอมไปกับหลัวซิว ดีกว่าอยู่กับพวกเมืองฝูถู ที่หยิ่งยโสเป็นอย่างมาก

ในแดนแต่งตั้งราชา ไม่ได้ห้ามเหาะเหิน หลัวซิวเหาะบนท้องฟ้า ใช้วิชาท่าร่างบรรลุมังกรเขียว ร่างกายกลายเป็นเงาเลือนรางรูปมังกรสีเขียวอ่อน เหมือนลอยไปตามลม ราวกับฝนดาวตกพาดผ่านขอบฟ้า สว่างวาบแล้วหายไป

ทันใดนั้น ลมปราณอันโหดเหี้ยมโถมเข้ามา อินทรีย์ขนทองที่มีหงอนบนหัวบินเข้ามา

อินทรีย์ขนทองทั่วไป เป็นอสูรกายระดับ5 แต่ถ้ามีหงอนด้านบน จะเป็นระดับ5 ขั้นสูงสุด เมื่อหงอนแตกออกจะมีเขางอกออกมาหนึ่งอัน จะเป็นอินทรีย์ขนทองเขาสายฟ้า กลายเป็นอสูรกายระดับ6 ทัดเทียมกับผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์

หลัวซิวรู้ดีว่าหากใช้พละกำลังของตัวเอง ฆ่าอินทรีย์ขนทองระดับ5 ขั้นสูงสุด ต้องสูญเสียพละกำลังอย่างมาก และการฆ่ากลางอากาศ เรียกความสนใจจากคนอื่นด้วย ทำให้โดนจับตามองได้ง่าย

เมื่อคิดได้เช่นนี้ หลัวซิวจึงไม่คิดจะขัดแย้งกับเจ้าแห่งท้องนภาตัวนี้ เขาหายตัวแวบลงมาจากท้องฟ้า

“แกว๊ก!”

อินทรีย์ขนทองไม่ได้ไล่ตามมา แต่ส่งเสียงร้องออกมา ราวกับกำลังประกาศว่าท้องนภาแห่งนี้คือถิ่นของมัน

“ไม่เสียแรงที่เป็นวิชาท่าร่างระดับยิ่งเลิศ”

หลังลอยลงมาจากฟ้า หลัวซิวอดทอดถอนใจไม่ได้ หลังใช้วิชาวิชาท่าร่างบรรลุมังกรเขียว ถึงความเร็วของเขาเทียบไม่ได้กับความสามารถเทเลพอร์ต แต่ถึงเป็นผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ ก็ไม่สามารถเทียบความสามารถด้านความเร็วกับตัวเองได้

ถ้ากระตุ้นปีกทิพย์ไร้มลทินอีก ความเร็วจะเพิ่มไปอีกกี่เท่า เพียงพริบตา สามารถผ่านระยะทาง 700 กว่าเมตร

แต่ปีกทิพย์ไร้มลทิน วรยุทธ์พรสวรรค์ชนิดนี้ ไม่สามารถใช้พร่ำเพรื่อ ถ้ามีคนจับได้ แม้เป็นผู้แข็งแกร่งระดับมกุฏยุทธ์ขึ้นไป ก็ต้องหวั่นไหว ถ้าลงมือแย่งชิง ตัวเองไม่สามารถต้านทานได้แน่นอน

“หืม มีกลิ่นยารุนแรง……”

ทันใดนั้น จมูกหลัวซิวสั่นเล็กน้อย การเป็นปรมาจารย์กลั่นยาระดับ6 เขารู้สึกไวต่อกลิ่นยาทิพย์เป็นอย่างมาก ถึงไกลหลายสิบลี้ เขาก็สามารถได้กลิ่นยาทิพย์ที่แผ่ซ่านออกมาได้

ดมกลิ่นและทำความรู้จักยา จากที่ได้กลิ่น หลัวซิวพอจะยืนยันได้ว่า ยาทิพย์ที่มีกลิ่นแบบนี้ เป็นยาทิพย์ระดับ6

อีกทั้งยาทิพย์ไม่ได้มีเพียงชนิดเดียว ไม่ได้มีเพียงต้นเดียว!

หลัวซิวรีบเคลื่อนตัวไปตามกลิ่นยาทิพย์

สำหรับเรื่องที่จะได้ฉายาในแดนแต่งตั้งราชาอย่างไรนั้น หลัวซิวไม่สนใจ แดนแต่งตั้งราชาร้อยปีเปิดหนึ่งครั้ง หลังจากเปิดแต่ละครั้ง สภาพด้านในแดนลึกลับล้วนต่างกัน วิธีได้รับฉายา ก็แตกต่างกันไปด้วย

จากบันทึกในประวัติศาสตร์ การได้รับฉายา แบ่งเป็นสามวิธี วิธีแรกคือแก่งแย่งฆ่าฟัน นั่นก็คือให้ราชายุทธ์ที่เข้ามาในแดนแต่งตั้งราชาฆ่าฟันกันเอง ยิ่งฆ่าคู่ต่อสู้ได้มากเท่าไร ลำดับรายชื่อก็จะยิ่งสูงขึ้น สุดท้ายจะได้รับฉายา

ยังมีอีกวิธีก็คือการทดสอบ ในแดนลึกลับจะมีสถานที่ทดสอบ ยิ่งได้รับผลคะแนนดี ลำดับรายชื่อก็จะยิ่งสูง

วิธีที่สามคือแย่งชิงสมบัติ ในแดนลึกลับจะมีสมบัติสิบชิ้น ใครเอาสมบัติหนึ่งในนั้นมาได้ จะมีรายชื่อฉายาหนึ่งในสิบราชายุทธ์

นอกจากฉายาแล้ว ในแดนลึกลับยังมีสมบัติล้ำค่ามากมาย ที่หาได้ยากในโลกภายนอก แม้ไม่สามารถแย่งชิงรายชื่อฉายามาได้ ราชายุทธ์คนอื่นก็สามารถได้รับอะไรอีกมากมาย ทำให้ยกระดับได้ไม่น้อย

สำหรับตอนนี้ การจะได้รับฉายาอย่างไรนั้น ยังไม่สามารถทราบได้ อีกทั้งแดนแต่งตั้งราชาเปิดเป็นเวลา 1 ปี หลัวซิวไม่รีบร้อนอยู่แล้ว

หลังผ่านไปครึ่งชั่วยาม หลัวซิวพบสวนยา ในหุบเขาแห่งหนึ่ง

ยาทิพย์หลากหลายชนิด มีให้เห็นเต็มไปหมด งอกงามอยู่ในหุบเขาแห่งนี้ พลังฟ้าดินจิตที่อยู่ในเขตบริเวณพันลี้ ล้วนรวมตัวกันอยู่ในหุบเขาแห่งนี้ จึงทำให้เขตบริเวณนี้ดูค่อนข้างเงียบสงบ

อีกทั้งยาทิพย์ในหุบเขา ได้รับการซึมซับหล่อเลี้ยงจากพลังจิต เป็นระยะเวลานาน ทำให้โตเต็มที่ ส่งกลิ่นหอมของยาออกมา ดึงดูดหลัวซิว

“หญ้าเขาวัวสามวนงั้นเหรอ นี่เป็นของหายาก สามารถเอามากลั่นยาปีศาจโคแรงม้าระดับ7ได้”

“ยังมีผลปฐวียาทิพย์ระดับ6 ด้วยเหรอ สิ่งนี้กินเพียงเม็ดเดียว สามารถยกระดับฝีมือได้สิบปี! ถ้ากลั่นเป็นยาปฐวีระดับ6 หนึ่งเม็ด สามารถต้านทานการบำเพ็ญตนพลังฟ้าดินจิตกลืนกินสามสิบปี!”

หลัวซิวเห็นยาพวกนี้ ตาของเขาเป็นประกายทันที เขาลองคิดดูครู่หนึ่ง จากระดับการกลั่นยาของเขาในตอนนี้ ยังไม่สามารถใช้ยาทิพย์ระดับ7 สองสามต้นได้ชั่วคราว ส่วนยาทิพย์ระดับ6 ชนิดอื่น สามารถกลั่นเป็นยาได้ทั้งหมด น่าจะทำให้ผลการฝึกตนของเขา ยกระดับขึ้นไม่น้อย

ยาทิพย์ระดับ7 เป็นสิ่งที่หาได้ยากในโลกภายนอก แค่มันปรากฏออกมา ก็จะโดนพวกตาเฒ่าประหลาดมกุฏยุทธ์ชิงไป หลัวซิวคิดไม่ถึงว่าในแดนแต่งตั้งราชา จะมียาทิพย์ระดับนี้อยู่ด้วย

ภายในพริบตาเดียว งูเหลือมพิษที่มีพละกำลังทัดเทียมกับราชายุทธ์ขั้นกลาง โดนเปลวไฟห่อหุ้มเอาไว้ ส่งเสียงร้องออกมาอย่างเจ็บปวด เพียงไม่กี่อึดใจ ก็โดนไฟเผาจนไม่เหลือร่องรอย

นี่เป็นพลังอำนาจของภูตอัคคีกลืนกิน ภายใต้การเผาไหม้ของอัคคี ไม่เหลือแม้กระทั่งเถ้า โดนเผาจนเหลือเพียงความว่างเปล่า

อีกทั้งระหว่างการเผาไหม้ พลังของงูเหลือมพิษ ก็โดนภูตอัคคีกลืนกิน ดูดซับเอาไว้ด้วย ทำให้ตัวภูตอัคคีแข็งแกร่งขึ้น

ฮู๋ชิงชิงใช้มือบีบฮู้ ซบอยู่บนอกหลัวซิว ร่างบอบบางชะงักไปเล็กน้อย ใบหน้าเล็กดูกระอักกระอ่วน

เมื่อร่างกายสัมผัสกัน ความน่าดึงดูดของร่างอสูรฟ้าที่มีมาตั้งแต่เกิด ทำให้เลือดลมของหลัวซิวแปรปรวนเล็กน้อย แต่เพราะตอนนี้ตัวกำลังอยู่ในอันตราย แรงกระตุ้นจากสัญชาตญาณธรรมชาตินี้ จึงถูกเขาระงับเอาไว้ได้ทันที

“อ๊าก!”

ทันใดนั้น มีเสียงร้องโอดครวญดังขึ้น หลัวซิวเห็นราชายุทธ์ขั้น 7 ซึ่งอยู่ในทีม เป็นผู้ชายชื่อว่าหวูสง โดนงูพิษกัดที่แขน แผลกลายเป็นสีดำทันที พิษแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย

งูพิษบริเวณรอบๆ เยอะขึ้นเรื่อยๆ พื้นที่ที่ทุกคนสามารถขยับตัวได้ ก็ถูกบีบให้เล็กลงเรื่อยๆ ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไป กลัวว่าทุกคนจะต้องตายอยู่ที่นี่

แม้คนพวกนี้อาจมียันต์ขั้น6 ข้างกาย แต่ต้านทานได้ครู่เดียวเท่านั้น จะรอดออกจากงูพิษพวกนี้ได้หรือเปล่า ต้องว่ากันอีกที

หลัวซิวง้างมือฟาดกระบี่ พลังกระบี่ที่รวมตัวจากภูตอัคคีกลืนกิน ฆ่างูพิษที่อยู่เป็นเส้นตรงจนสิ้นซาก เผาจนกลายเป็นความว่างเปล่า

ตั้งแต่ได้ภูตอัคคีกลืนกิน บวกกับการยกระดับของผลการฝึกตน ภูตอัคคีก็เติบโตและวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่อง พลานุภาพตอนนี้ เพียงพอที่จะทำให้ผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ขั้นปลายหวาดกลัวได้

ถึงเป็นงูเหลือมพิษที่แข็งแกร่งในบรรดางู ถ้าโดนสะเก็ดอัคคีไปเพียงเล็กน้อย จะเหมือนโดนพิษเข้าไปในกระดูก ถูกเผาไหม้อย่างต่อเนื่อง และกลายเป็นความว่างเปล่าขณะที่กำลังร้องโอดครวญ

“ทุกคนมาอยู่ข้างฉัน แล้วจัดการซะ!”

หลัวซิวแผดเสียงดังออกมา ถึงการทำแบบนี้จะเผยพละกำลังของตัวเอง ในเมื่อเข้ามาในแดนแต่งตั้งราชาแล้ว จะเปิดเผยหรือไม่ ก็ไม่เห็นเป็นอะไร

เมื่อได้ยินคำพูดของเขา ราชายุทธ์ในทีมคนอื่นๆ กลับไม่สนใจ เพราะผู้แข็งแกร่งแดนราชายุทธ์ขั้น7ขึ้นไปอย่างพวกเขา ล้วนรู้สึกกดดันมาก นายเป็นแค่ราชายุทธ์ขั้น1 ธรรมดาๆ จะพาทุกคนออกไปสู้ได้งั้นเหรอ

แต่เมื่อพวกเขาเห็นความเร็วที่หลัวซิวฆ่างู แต่ละคนพากันอ้าปากค้าง

ทุกครั้งที่เห็นเขาง้างกระบี่ฟันลงไป ไม่ว่าจะเป็นงูพิษ งูเหลือมพิษ ล้วนโดนพลังกระบี่อัคคีอันน่ากลัว แผดเผาจนตายในพริบตา ไม่เหลือแม้แต่รอยขี้เถ้าจากการเผาไหม้

ตอนนี้ พวกทายาทผู้ยโสของเมืองฝูถู เพิ่งจะเข้าใจ ที่แท้ไอ้หมอนี่แกล้งทำเป็นอ่อนแอ อันที่จริงเป็นยอดฝีมือที่ไม่เปิดเผยตัวตน

ทุกคนไม่กล้าลังเลต่อไป รีบไปรวมกันข้างหลัวซิว กู้เผิงที่มีผลการฝึกตนสูงสุดในทีม ขมวดคิ้วเบาๆ เพราะเขาเห็นฮู๋ชิงชิง โดนไอ้ราชายุทธ์ขั้น1คนนี้กอดอยู่

กู้เผิงกัดฟัน แต่กลับอดทนเอาไว้ ไม่พูดอะไร ทุกคนในทีมรวมกันอยู่ด้านหลังหลัวซิว เริ่มพุ่งออกไปฆ่าพวกงูด้านนอก

อสูรกายขั้น5 เพียบพร้อมด้วยสติปัญญา พลานุภาพอันน่าหวาดกลัวของภูตอัคคี ทำให้พวกมันตกใจและหวาดกลัว เมื่อพวกงูรู้ว่าไม่สามารถทำอะไรมนุษย์กลุ่มนี้ได้ เหล่างูพิษ งูเหลือมพิษบริเวณรอบๆ เริ่มพากันเลื้อยถอยไป

หลังผ่านไปเพียงชั่วพริบตา ทุกคนผ่านช่องแคบระหว่างเขาออกมาได้ ภายใต้การนำของหลัวซิว พวกงูไม่ได้ไล่ตามมา

ทุกคนต่างรู้สึกโชคดีที่รอดมาได้

จู่ๆ ฮู๋ชิงชิงตั้งสติได้ว่าตัวเองยังโดนหลัวซิวกอดอยู่ หน้าแดงระเรื่อ “เฮียซิวหลัว ปล่อยฉันได้แล้ว”

“อ้อ”

หลัวซิวก็ตั้งสติได้ ปล่อยมืออย่างกระอักกระอ่วน

“คิดไม่ถึงว่าเฮียซิวหลัวจะมีพละกำลังแข็งแกร่งขนาดนี้ ผลการฝึกตนคงไม่ใช่แค่ราชายุทธ์ขั้น1ใช่ไหม”

เพื่อผ่อนคลายบรรยากาศกระอักกระอ่วน ฮู๋ชิงชิงหัวเราะแล้วเอ่ยขึ้น

“เหอะๆ ฉันไม่ได้เก่งเหมือนที่เธอพูดหรอก แต่เพราะฉันฝึกวรยุทธ์ธาตุไฟที่พิเศษ ดังนั้นพลานุภาพของอัคคีจึงค่อนข้างแข็งแกร่ง ถ้าไม่สามารถรอดออกมาจากพวกงูนั่น ฉันต้องสูญเสียพลังจิตแท้ไปจนหมดแน่” หลัวซิวไม่ได้บอกว่าที่ตัวเองใช้คือภูตอัคคีฟ้าดินชนิดหนึ่ง

“ฉันว่าคงไม่ธรรมดาขนาดนั้นหรอกมั้ง”

ขณะนั้น กู้เผิงที่มีผลการฝึกตนสูงสุดในทีมเอ่ยขึ้น

“จากที่ฉันสังเกต พลานุภาพอัคคีที่นายใช้เมื่อกี้ เพียงพอที่จะทำให้ฉันรู้สึกถึงอันตราย นี่แสดงว่าพละกำลังของนายไม่ได้ด้อยไปกว่าฉัน แต่ฉันมีผลการฝึกตนราชายุทธ์ขั้น8 แต่นายเพิ่งจะเป็นราชายุทธ์ขั้น1”

กู้เผิงจ้องหลัวซิว แล้วพูดออกมาว่า “ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อน ว่าวรยุทธ์ธาตุไฟอะไรนั่น จะสามารถทำให้คนระดับราชายุทธ์ขั้น1 แสดงพละกำลังทัดเทียมกับราชายุทธ์ขั้น8 ได้”

“ศิษย์น้องชิงชิงเชิญนายเข้าร่วมทีมเมืองฝูถูของเรา เพราะเห็นใจที่นายโดนรังแก แต่อันที่จริงนายพละกำลังแข็งแกร่ง แต่กลับไม่บอกก่อน นายเข้ามาในทีมเมืองฝูถูของเรา มีเจตนาอะไรกันแน่”

เมื่อได้ยินกู้เผิงพูดเช่นนี้ นอกจากฮู๋ชิงชิง ราชายุทธ์คนอื่นของเมืองฝูถู ต่างพากันมีสีหน้าสงสัยเหมือนกัน

“ใช่ ศิษย์พี่กู้พูดถูก ในเมื่อทุกคนเป็นทีมเดียวกัน นายปกปิดพละกำลังที่แท้จริงของตัวเอง มีจุดประสงค์อะไรกันแน่”

“ถ้าไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ อยู่ร่วมทีมกับคนแบบนี้ ไม่รู้จะโดนหลอกตอนไหน”

มีสองสามคนพูดเสริมคำพูดของกู้เผิง

ฮู๋ชิงชิงได้ยินคำพูดแบบนี้ ใบหน้าเย็นชาทันที “ศิษย์พี่กู้ ทำไมพี่ถึงพูดกับเฮียซิวหลัวแบบนี้ ถ้าไม่ใช่เขา เราอาจตายไปในฝูงงูนั้นแล้ว”

“ศิษย์น้องชิงชิง เธอยังเด็ก เจออะไรมาน้อย ไม่รู้ความชั่วร้ายของจิตใจคน!”

กู้เผิงส่งเสียงหึ “ฉันว่าที่เขาแตะต้องเธอเมื่อกี้ ไม่แน่อาจโลภในความงามของเธอ เลยแสร้งทำเป็นอ่อนแอ เข้ามาร่วมทีมเรา”

“ยิ่งไปกว่านั้น ฉันสงสัยว่าเขาช่วยเราออกจากพวกงูเหล่านั้น เพราะต้องการให้เราติดบุญคุณเขา เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาจะได้สร้างภาพลักษณ์ว่าตัวเองเป็นฮีโร่”

กู้เผิงพรรณนาหลัวซิวจนกลายเป็นคนที่มีเจตนาร้ายแอบแฝงอยู่ มีเจตนาไม่ดี อีกทั้งคำพูดที่เขาพูด ฟังดูมีเหตุผลอยู่ไม่น้อย ทำให้ทายาทเมืองฝูถู ค่อนข้างเชื่อ

หลัวซิวมองกู้เผิง และกวาดตามองคนอื่น อดหัวเราะออกมาไม่ได้

เขาไม่ได้อธิบาย เพราะเขาไม่จำเป็นต้องอธิบายกับคนพวกนี้ ถ้าไม่เห็นแก่ฮู๋ชิงชิง ตอนโดนฝูงงูล้อมโจมตี เขาแทบจะไม่สนใจความเป็นตายของคนพวกนี้สักนิด

แต่เขาคิดไม่ถึงว่า ตัวเองช่วยคนพวกนี้ พวกเขาไม่ขอบคุณตัวเองยังไม่เท่าไร กลับมาว่าเขามีเจตนาไม่ดีอีกด้วย

“เหอะๆ เส้นทางที่เลือกเดินมันไม่เหมือนกัน ก็ไม่สามารถที่จะร่วมงานกันได้ ในเมื่อทุกท่านสงสัยฉัน งั้นฉันขอลา” หลัวซิวพูดอย่างสงบนิ่ง

“เฮียซิวหลัว……” ฮู๋ชิงชิงอยากพูดรั้งเอาไว้ แต่ก่อนหน้านี้หลัวซิวเตือนเธอว่าอย่าเปิดเผยตัวตนของตัวเอง เธอก็ไม่รู้จะอธิบายให้กู้เผิงกับคนพวกนี้ฟังอย่างไร

ถ้านักยุทธ์เพ็ญตนกลืนกินปราณทิพย์ เป็นอะไรที่เปลืองแรงน้อย แต่ได้ผลมาก เหนือกว่าประสิทธิภาพของการฝึกตนพลังจิตกลืนกิน โดยทั่วไปแล้วจะมีแต่แดนศักดิ์สิทธิ์ที่สืบทอดมาแต่โบราณ ถึงจะมีแหล่งฝึกตนที่มีปราณทิพย์รวมตัวอยู่เช่นนี้

แต่นี่เป็นเพียงแค่ทางเข้าแดนแต่งตั้งราชา เมื่อเดินลึกลงไปในแดนแต่งตั้งราชา ตามทางเดินกว้างใหญ่ด้านหน้า จะต้องมีโอกาสอันยิ่งใหญ่กว่านี้แน่นอน

คนจำนวนไม่น้อยดวงตาเป็นประกาย ดีใจเป็นอย่างมาก รีบเดินไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว

หลังกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง เดินไปด้านหน้าไม่นาน ทางเดินกว้างใหญ่หายไป ถูกแทนที่ด้วยทางแยกเล็กๆ นับไม่ถ้วน

หลัวซิวอยู่กับทีมเมืองฝูถู เขารู้สึกว่ามีตัวสำนึกกำลังเพ่งเล็งมาที่ตัวเอง ในนั้นคือเหยียนเฟยไห่กับถูโรว่อาน แดนศักดิ์สิทธิ์กระบี่สุดขั้ว

ทีมเมืองฝูถู กู้เผิงที่มีผลการฝึกตนสูงสุดเป็นหัวหน้า หลังจากเขาเลือกทางเดินแยกหนึ่งทาง ก็พาทีมเดินต่อไปข้างหน้า

พวกแดนศักดิ์สิทธิ์กระบี่สุดขั้ว ไม่ได้เลือกทางเดียวกับทีมเมืองฝูถู แต่เปลี่ยนทาง เลือกทางแยกที่แตกต่างกัน

หลัวซิวอดขมวดคิ้วไม่ได้ เพราะพวกตำหนักจื่อ สำนักเสวียนหยาง สำนักฉางเหอ รวมไปถึงราชวงศ์ตระกูลฝาน ก็ตามคนของแดนแดนศักดิ์สิทธิ์กระบี่สุดขั้วไปเช่นกัน

จิตใจที่พะวงกับความปลอดภัยของคนสนิทในประเทศเทียนหวู แน่นอนว่าหลัวซิวไม่มีทางให้คนพวกนั้น หลุดรอดสายตาของตัวเองไป จึงจะรีบบอกลาฮู๋ชิงชิง เพื่อตามคนพวกนั้นไป

แต่ทว่าหลัวซิวยังไม่ทันจะได้บอกลา ด้านหน้ามีช่องแคบระหว่างภูเขา บนทางเดินเต็มไปด้วยหิน รอบๆ ช่องแคบระหว่างภูเขา เต็มไปด้วยโพรงถ้ำมากมาย

“ฟ่อ!……”

จู่ๆ มีเสียงอันน่าขนลุกดังขึ้นมา จากนั้นในโพรงถ้ำมากมาย สองข้างช่องแคบระหว่างภูเขา มีงูพิษที่มีลวดลายห้าสีพุ่งออกมาเต็มไปหมด ล้อมกลุ่มคนของเมืองฝูถูเอาไว้

“ทุกคนระวัง พวกนี้เป็นงูพิษห้าสี มีพิษร้ายแรง ถ้าโดนกัด เว้นเสียแต่จะมียาแก้พิษระดับ 5 ไม่งั้นระยะเวลาเพียงสั้นๆ พิษจะกำเริบจนถึงตาย!”

หัวหน้าทีมที่อยู่ด้านหน้าอย่างกู้เผิง พูดออกมาเสียงดัง

“ให้ตายเถอะ งูพิษเยอะขนาดนี้ เรารีบเหาะถอยหนีกันดีกว่า” คนในทีมมีสีหน้าตื่นตระหนก

ถ้าแค่งูพิษห้าสีเพียงตัวเดียว ไม่สามารถทำให้ผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์หวาดกลัวได้ แต่งูพิษตรงหน้ามีจำนวนเยอะเกินไป แค่เห็นก็เสียวสันหลังวาบแล้ว

“อย่าเหาะหนี!”

ฮู๋ชิงชิงรีบพูดห้าม ยกมือชี้ไปบนท้องฟ้า “พวกนายดูเอาเอง”

ทุกคนพากันเงยหน้า เห็นบนท้องฟ้า มีหมอกพิษห้าสีปิดกั้นเอาไว้ ถ้าเหาะขึ้นไปบนฟ้า เข้าไปในหมอกพิษห้าสี กลัวจะเดาไม่ได้ว่าจะเป็นหรือตาย

ไม่รอให้คนอื่นพูดเตือนสติต่อ ทุกคนในทีมต่างกระตุ้นพลังจิตป้องกันตัวเอง สกัดกั้นพิษที่ลอยอยู่ในอากาศ ให้ห่างจากตัว

อากาศพิษห้าสี ปะทะกับพลังจิตป้องกันตัวของผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ จนทำให้เกิดเสียง ทุกคนแทบหยุดหายใจ สีหน้าเคร่งขรึม

หลัวซิวมองแวบหนึ่ง ทีมเมืองฝูถูทีมนี้ ถ้าไม่นับตัวเอง มีทั้งหมด 12 คน แต่ละคนล้วนเตรียมพร้อมมาก ถือนักยุทธ์เอาไว้ในมือ บนตัวสวมเกราะนักยุทธ์ แขวนฮู้ไว้ตรงเอว เตรียมตัวพร้อมมาก

หลัวซิวก็ยื่นมือไปดึงกระบี่อาถรรพ์ฟันเสือด้านหลัง ตัวสำนึกกวาดออกไป พบว่างูพิษห้าสีบริเวณรอบๆ มีจำนวนเยอะมาก เต็มไปหมด แต่ละตัวขนาดเท่าแขน อย่างน้อยๆ มีประมาณร้อยตัว

งูพิษชนิดนี้ พบเห็นได้น้อยมากในโลกภายนอก เขี้ยวพิษเป็นวัตถุดิบหลอมนักยุทธ์ขั้นดินล่าง พละกำลังของงูพิษส่วนใหญ่ เท่ากับราชายุทธ์ปฐมภูมิขั้น 1 ถึง 3 แต่เมื่อมีจำนวนเป็นร้อย จำนวนเปลี่ยนไปทำให้คุณสมบัติเปลี่ยนไปด้วย น่ากลัวเป็นอย่างมาก

“ร่างเนื้อของฉันถึงระดับร่างยุทธ์ระดับราชา ขั้นขีดสุด นักยุทธ์ขั้นดินล่างทำอะไรได้ยาก เขี้ยวของงูพิษห้าสีน่าจะกัดผิวหนังของฉันไม่เข้า”

หลัวซิวไม่ได้กังวลอะไร จากพละกำลังของเขา สามารถเผชิญหน้ากับงูพิษพวกนี้ได้สบายๆ

นึกว่าจะช้าไป แต่กลับรวดเร็วกว่าที่คิด หลังจากทุกคนเอานักยุทธ์และเกราะนักยุทธ์ออกมา เพื่อเข้าสู่การต่อสู้ งูพิษรอบๆ ก็พุ่งเข้ามา

อาวุธของฮู๋ชิงชิง เป็นแส้ยาวสีเขียวเส้นหนึ่ง เมื่อสะบัดแส้ จะเกิดเป็นลมปราณอสูรฟ้าสีดำนับไม่ถ้วน พละกำลังการทะลุผ่านแข็งแกร่งมาก

อีกทั้งหลัวซิวพบว่า เพราะฮู๋ชิงชิงขาดวรยุทธ์ที่ตามมาของวิชาปฐมอสูรฟ้า หลังจากผลการฝึกตนถึงฝึกจิต น่าจะฝึกตนวรยุทธ์มารวิชาอื่น จึงฝึกตนถึงแดนราชายุทธ์

เธอคือร่างอสูรฟ้า ฝึกตนวรยุทธ์มารจนถึงแดนอย่างรวดเร็ว อีกทั้งวรยุทธ์มารมีพลังในการฆ่ารุนแรงมาก งูพิษห้าสีที่กระโจนเข้ามา ถ้าโดนลมปราณอสูรฟ้าโจมตี ก็จะตัวขาดทันที

“ระวัง งูพิษไม่ได้มีแค่เท่านั้น”

ขณะนั้น ตัวสำนึกของหลัวซิวสังเกตเห็นในโพรงถ้ำทั้งสองข้างช่องแคบระหว่างภูเขา มีงูพิษอีกจำนวนหนึ่งเลื้อยออกมา งูพิษที่ตามหลังออกมา บนตัวมีลวดลายเยอะกว่า ตัวใหญ่และแข็งแรงกว่าด้วย แต่ละตัวยาวหลายสิบเมตร พละกำลังน่ากลัวกว่างูพิษห้าสีทั่วไป

งูพิษที่ตามออกมาทีหลัง ไม่ใช่งูพิษทั่วไป แต่เป็นงูเหลือมพิษห้าสี!

ฮู๋ชิงชิงฟาดแส้ลงไป งูเหลือมพิษตัวหนึ่งร้องฟ่อออกมาอย่างเจ็บปวด บนตัวโดนฟาดจนผิวหนังเปิด เป็นแผลเล็กน้อย
ฝั่งฮู๋ชิงชิงโดยรวมประมาณนี้ แต่สถานการณ์ของคนอื่น ไม่ได้ดีขนาดนั้น ตัดกู้เผิงที่มีผลการฝึกตนแข็งแกร่ง ฆ่างูพิษไปสิบกว่าตัว คนอื่นอยู่ต่อหน้างูจำนวนมาก ล้วนถอยหลังไม่หยุด สถานการณ์อันตรายมาก

อีกทั้ง ในโพรงงูยังมีงูพิษเลื้อยออกมาไม่หยุด ความเร็วที่ทุกคนฆ่างู ไม่ทันกับจำนวนงูที่เพิ่มขึ้น

ถึงพละกำลังของฮู๋ชิงชิงเทียบได้กับราชายุทธ์ช่วงปลาย แต่ผลการฝึกตนเพียงแค่ราชายุทธ์ขั้น5 เท่านั้น สูญเสีญพลังจิตแท้ไปมากขึ้นเรื่อยๆ

เธอถอยหลังไม่หยุด ท่ามกลางการโจมตีของงูพิษเป็นร้อย ถอยจนไม่รู้จะถอยอย่างไรแล้ว

“ระวัง!”

ขณะนั้น งูเหลือมพิษตัวหนึ่งพุ่งออกมาจากด้านข้าง อ้าปากกว้างอย่างน่ากลัว พุ่งเข้ามากัดฮู๋ชิงชิง

ฮู๋ชิงชิงตั้งตัวไม่ทัน ทำได้เพียงมองงูเหลือมพิษตัวใหญ่ อ้าปากกว้างพุ่งเข้ามากัดตัวเอง เธอกัดฟัน หยิบฮู้ออกมา

นี่เป็นยันต์คุ้มกันขั้น6 เธอใช้ป้องกันตัวเองเข้ามาในแดนแต่งตั้งราชา คิดไม่ถึงว่าเพิ่งเข้ามาในแดนปริศนา ก็ต้องใช้ฮู้ที่ล้ำค่าเช่นนี้เสียแล้ว

ตอนที่เธอกำลังจะกระตุ้นฮู้ กลับพบว่าแขนของตัวเองโดนจับเอาไว้ จากนั้นรู้สึกเบาหวิว โดนดึงเข้าไปในอ้อมอก

“ไสหัวไป!”

คนที่ช่วยฮู๋ชิงชิง แน่นอนว่าต้องเป็นหลัวซิว เดิมทีเขายังอยู่ห่างจากฮู๋ชิงชิงประมาณหนึ่ง แต่อาศัยความเร็วของวิชาท่าร่างบรรลุมังกรเขียว จึงมาถึงในพริบตา

เขาใช้แขนซ้ายดึงฮู๋ชิงชิงเข้ามาในอก มือขวาแทงกระบี่อาถรรพ์ฟันเสือออกไป

“สวบ!”

กระบี่แทงเข้าไปในปากงูเหลือมพิษตัวนั้น เปลวไฟสีแดงก่ำปรากฏขึ้นบนกระบี่ และระเบิดออกมา

เธอไม่มีทางลืมได้ ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า คือคนเปลี่ยนชะตาชีวิตของตัวเอง ทำให้เธอสามารถระงับออร่าอสรูร่างอสูรฟ้า ที่เป็นความสามารถติดตัวแต่กำเนิดเอาไว้ได้ และสามารถใช้ชีวิตเหมือนคนปกติ

ความรู้สึกแปรปรวน ทำให้ออร่าอสูรฟ้าบนตัวฮู๋ชิงชิงแผ่ซานออกมาเบาๆ ดูท่าเหมือนว่าจะระงับเอาไว้ไม่ได้

เพราะวิชาปฐมอสูรฟ้าที่หลัวซิวถ่ายทอดให้เธอ สามารถฝึกตนได้ถึงแค่แดนฝึกจิต แต่ผลการฝึกตนของเธอถึงระดับแดนราชายุทธ์แล้ว จากผลการฝึกตนที่ยกระดับขึ้น ทำให้ออร่าอสูรฟ้าแข็งแกร่งขึ้นด้วย ต้องได้รับวรยุทธ์ที่ตามมาทีหลัง จึงจะสามารถควบคุมอารมณ์ความรู้สึกได้

ฮู๋ชิงชิงก็สัมผัสได้ว่าออร่าอสูรฟ้าของตัวเองผิดปกติ เธอรีบหลับตา หมุนเวียนวรยุทธ์ ระงับออร่าอสูรฟ้าในร่างกาย ที่กำลังแปรปรวนเอาไว้

หลัวซิวสังเกตได้ว่าผลการฝึกตนของฮู๋ชิงชิง ถึงระดับราชายุทธ์ขั้น5 แล้ว ตอนที่ทั้งสองเพิ่งเจอกันครั้งแรก เขาจำได้ดีว่า ฮู๋ชิงชิงอยู่แค่ระดับฝึกจิตขั้น 1

“ระดับความเร็วในการฝึกตนของร่างอสูรฟ้าน่ากลัวจริงๆ”

หลัวซิวแอบสบถในใจ เขาคิดว่าการฝึกตนของตัวเองเร็วมากแล้ว แต่เมื่อเทียบกับฮู๋ชิงชิง ยังคงห่างชั้นกันไม่น้อย

อีกทั้งร่างอสูรฟ้า ไม่เพียงแค่จะฝึกตนได้อย่างรวดเร็ว ความสามารถในการต่อสู้ก็แข็งแกร่งมากด้วย อย่าคิดว่าฮู๋ชิงชิงเป็นเพียงราชายุทธ์ขั้น5 ถึงเป็นผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ขั้น 7 ขึ้นไป เธอก็สามารถทัดเทียมกับพวกเขาได้

เพราะมีคุณสมบัติทางร่างกายที่พิเศษ ดังนั้นหลังจากฮู๋ชิงชิงเข้าร่วมแดนศักดิ์สิทธิ์เมืองฝูถู น่าจะได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก นี่จึงเป็นเหตุที่ทำไมเมื่อครู่ เหยียนเฟยไห่ถึงเกรงอกเกรงใจเธอมาก

“คุณคืออาจารย์ใช่ไหม”

หลังจากฮู๋ชิงชิงระงับความแปรปรวนของออร่าอสูรฟ้า จึงพูดผ่านตัวสำนึกอย่างระแวดระวัง

“มิกล้าเป็นอาจารย์หรอก ตอนนั้นช่วยแม่นางไว้ครั้งหนึ่ง เป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น” หลัวซิวยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น

ถ้าไม่เจอฮู๋ชิงชิงอีกครั้ง หลัวซิวเกือบลืมเรื่องนั้นไปแล้ว เมื่อพูดขึ้นมา ตอนนั้นฮู๋ชิงชิงน่าสงสารมาก เป็นเพราะร่างอสูรฟ้า เธอจึงไม่กล้าสัมผัสกับโลกภายนอกเลย หญิงสาวผู้ซื่อสัตย์คนหนึ่ง กลับหลบอยู่ในป่าลึก เพื่อแยกตัวกับโลกภายนอก

ตอนนั้นหลัวซิวเกิดความเห็นอกเห็นใจ ดังนั้นจึงเอาเศษคัมภีร์ของวิชาปฐมอสูรฟ้า ที่ได้จากเทพแห่งวัฏจักรชีวิต ถ่ายทอดให้เธอ

“อาจารย์อย่าพูดอย่างนี้เด็ดขาดเลยนะคะ สำหรับอาจารย์เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย แต่สำหรับฉัน เหมือนได้เกิดใหม่เลยค่ะ” ฮู๋ชิงชิงส่ายหน้าแล้วเอ่ยขึ้น

“อาจารย์ ฉันได้ยินว่าหลังเข้าไปแดนแต่งตั้งราชา มีอันตรายมากมาย ถ้าอาจารย์ไม่รังเกียจ มาเข้าร่วมทีมเมืองฝูถูของเราชั่วคราว เป็นไงคะ”

จะเข้าร่วมทีมใดนั้น หลัวซิวไม่ได้สนใจ แต่เพื่อหลีกเลี่ยงความวุ่นวาย เข้าร่วมทีมเมืองฝูถูเป็นการชั่วคราว ก็เป็นทางเลือกที่ไม่เลวเหมือนกัน

“งั้นขอบคุณแม่นางชิงชิงมาก” หลัวซิวเอามือประสานกัน ทำความเคารพ และตอบตกลง

เขารู้ว่าการที่ฮู๋ชิงชิงเชิญตัวเองเข้าร่วมทีมเมืองฝูถู เพราะเห็นแก่บุญคุณในตอนนั้น

ราชายุทธ์จำนวนมาก ที่อยู่บริเวณรอบๆ เห็นหลัวซิวโดนเชิญเข้าร่วมทีมเมืองฝูถู คนจำนวนไม่น้อยมีแววตาอิจฉา เพราะในทีมแดนศักดิ์สิทธิ์เมืองฝูถู มียอดฝีมือไม่น้อย ได้อยู่กับยอดฝีมือมากมายเช่นนี้ ต้องมีความปลอดภัยมากขึ้นแน่นอน

เมื่อกี้คนที่พูดข่มขู่ว่าจะสั่งสอนหลัวซิวอย่างเหยียนเฟยไห่ มีสีหน้าอึมครึม แต่กลับสะกดกลั้นเอาไว้ ไม่ระเบิดอารมณ์ออกมา

ถูโรว่อาน คนที่เป็นหัวหน้าทีมแดนศักดิ์สิทธิ์ กระบี่สุดขั้ว หันมามองทางนี้ ยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “ศิษย์น้องชิงชิงรู้จักกับสหายท่านนี้เหรอ”

“จะรู้จักหรือไม่ เหมือนจะไม่เกี่ยวกับศิษย์พี่ถูนะ” ฮู๋ชิงชิงตอบด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ และไม่สนใจ

ถูโรว่อานกลับไม่สนใจ หัวเราะเหอะๆ แล้วไม่พูดอะไรอีก

“เฮียซิวหลัว ฉันขอแนะนำสักหน่อย ท่านนี้คือศิษย์พี่กู้เผิงของเมืองฝูถู ผลการฝึกตนของศิษย์พี่กู้ ถึงแดนราชายุทธ์ขั้น8 แล้ว……”

ฮู๋ชิงชิงช่วยแนะนำพวกแดนศักดิ์สิทธิ์เมืองฝูถู ให้หลัวซิวอย่างเป็นกันเอง

ส่วนใหญ่เพราะเห็นแก่หน้าของฮู๋ชิงชิง คนที่มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์พวกนี้ จึงเก็บท่าทีหยิ่งผยองเอาไว้ และพยักหน้าให้หลัวซิว นับว่าเป็นการทักทาย

หลัวซิวเข้าใจดีว่าคนพวกนี้พยักหน้าได้ เพราะเห็นแก่หน้าฮู๋ชิงชิงมากแล้ว ไม่งั้น จากนิสัยหยิ่งผยองของพวกทายาทแดนศักดิ์สิทธิ์ คงไม่มีทางสนใจราชายุทธ์ขั้น1 กระจอกๆ แบบเขา

หลังผ่านเรื่องวุ่นวายเล็กๆ ทางฝั่งหลัวซิว พวกราชายุทธ์ที่มีผลการฝึกตน ต่างพากันเข้าร่วมทีมอื่นตามลำดับ

หลังผ่านไปครู่หนึ่ง พื้นล่างเท้าของทุกคน ยกสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้านหน้าเป็นประตูหินสีเขียวมรกตสองบานที่ปิดสนิท สูงประมาณสิบกว่าฟุต สูงใหญ่เป็นอย่างมาก บนประตูหิน มีลายเส้นสัญลักษณ์สลักอยู่นับไม่ถ้วน มีความลึกลับซ่อนอยู่มากมาย

ตอนนี้ราชายุทธ์ทุกคนอยู่ในความสงบ คนที่ค่อนข้างรู้จักแดนแต่งตั้งราชาล้วนรู้ดี ประตูหินสองบานด้านหน้า คือทางเข้าแดนแต่งตั้งราชา

หกแดนที่ได้รับฉายาแดนลึกลับของโลกแสงดาว ทั้งชีวิตของทุกคน สามารถเข้าไปได้เพียงครั้งเดียว ถึงเป็นเวลาเปิดแดนครั้งที่สอง ถ้าคุณยังอยู่ในแดนระดับใดระดับหนึ่ง ก็ไม่สามารถเข้าไปแย่งชิงโควต้ารายชื่อเข้าแดนแต่งตั้งราชา เป็นครั้งที่สองได้อีก

“อาจารย์ ฉันอยู่แดนศักดิ์สิทธิ์เมืองฝูถู ได้ยินมาว่า ถ้าได้รับฉายาที่แดนแต่งตั้งราชา อาจมีโอกาสได้เข้าใจกฎฟ้าดิน ยิ่งชื่ออยู่สูงเท่าไร ก็จะมีโอกาสได้มากเท่านั้น”

จู่ๆ ฮู๋ชิงชิงส่งเสียงผ่านตัวสำนึกพูดกับหลัวซิว “เมืองฝูถูมีหนึ่งคนที่ได้รับการขนานนามว่าราชายุทธ์ คือราชาฉีซานอยู่อันดับแปดในรายชื่อแดนแต่งตั้งราชา เมื่อร้อยปีก่อน ได้ยินว่าเขาใช้ผลการฝึกตนราชายุทธ์ขั้น9 ฆ่าข้ามขั้นคนที่เป็นจักรพรรดิยุทธ์ เพราะเขาเข้าใจในพลังของกฎฟ้าดินเพียงเล็กน้อย”

“แต่ฉายาไม่ใช่ได้มาง่ายๆ นอกจากผู้แก่งแย่งของอำนาจด้านต่างๆ ยังมีบททดสอบสุดโหดต่างๆ ในแดนปริศนา โอกาสสูญเสียสูงมาก”

“พลังแห่งกฎงั้นเหรอ” หลัวซิวอดเลิกคิ้วขึ้นไม่ได้

จากที่เขารู้ พลังแห่งกฎ อยู่เหนือกว่าพลังAttr มีเพียงคนที่ถึงระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ ถึงจะเริ่มสัมผัสกับพลังกฎฟ้าดินได้

ถ้าสามารถทำความเข้าใจกับความลึกลับของกฎฟ้าดิน ตั้งแต่แดนราชายุทธ์ ใช้โอกาสนี้ฆ่าข้ามขั้นระดับจักรพรรดิยุทธ์ ก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผล

ลูกแก้วความเป็นตาย เป็นหนึ่งในคำสอนพื้นฐานกฎการเวียนว่ายตายเกิดของศาสนาพุทธ แฝงไปด้วยความลึกลับสูงสุดของสองระดับความเป็นตาย แต่เพราะผลการฝึกตนของตัวเองต่ำเกินไป ระดับขั้นความเข้าใจพลังAttr ยังห่างชั้นจะสัมผัสกับระดับของกฎได้

เวลาผ่านไปเรื่อยๆ จู่ๆ ประตูหินสองบานที่ผ่านกาลเวลามานาน มีชั้นสีเขียวบางๆ กระเพื่อมขึ้น ประตูหินทั้งสองบานสั่นเบาๆ และค่อยๆ เปิดออก ท่ามกลางเสียงดังสนั่น

พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ!……

ขณะนั้น เงาคนสี่คนปรากฏตัวกลางอากาศบนหัวของทุกคน ผู้อาวุโสหนึ่งในนั้นพูดเสียงดังว่า “แดนแต่งตั้งราชาเปิดแล้ว มีระยะเวลาหนึ่งปี ตอนนี้ทุกคนสามารถเข้าไปได้แล้ว”

ลมปราณของผู้อาวุโสสี่คนนี้ ลึกล้ำจนยากจะคาดเดา ลายเส้นชีวิตก็เปล่งประกายออกมา เป็นสี่ผู้แข็งแกร่งแดนศักดิ์สิทธิ์สมาคมเป่ยเซี๋ย รับหน้าที่ดูแลแดนแต่งตั้งราชา

เมื่อผู้อาวุโสพูดออกมา ราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่งจำนวนมากทั้งโลกแสงดาว ที่มีพละกำลังแข็งแกร่งที่สุด รีบพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เข้าไปในประตูหินสีเขียวมรกตที่เปิดอยู่

เมื่อมองจากด้านนอก ในประตูหินเป็นสีขาวโพลน มองไม่เห็นอะไรเลย แต่เมื่อตัวผ่านประตูหินเข้าไปแล้ว มีทางเดินกว้างใหญ่ยาวไปสุดลูกหูลูกตา มองไม่เห็นปลายทางอยู่เส้นหนึ่ง

“ปราณทิพย์ฟ้าดิน!”

มีคนอดไม่ไหว อุทานออกมาอย่างตกใจ หลังผ่านประตูหินเข้ามา ทุกคนรับรู้ได้ถึงออร่าที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ในแดนแต่งตั้งราชา ไม่ใช่พลังฟ้าดินจิตทั่วไป แต่เป็นปราณทิพย์ฟ้าดินที่มีระดับสูงยิ่งกว่า

หน้าหอแต่งตั้งราชา ผู้แข็งแกร่งแดนราชายุทธ์ที่รวมตัวกันอยู่นั้นมีจำนวนนับหมื่น แต่ที่มีคุณสมบัติและสามารถเข้าไปในแดนแต่งตั้งราชาได้จริง ๆ นั้น มีไม่ถึงหนึ่งพันคน ในหมู่คนเหล่านี้ ผลการฝึกตนที่ต่ำที่สุดก็คือแดนราชายุทธ์ขั้นห้าขึ้นไป มีเพียงแค่ตัวของหลัวซิวเอง ที่มีผลการฝึกตนแห่งแดนราชายุทธ์ขั้นหนึ่ง

ถึงอย่างไร ในเวลานี้ลมปราณของหลัวซิวไม่ได้แพร่กระจายออกไป เว้นแต่คนอื่นจะใช้ตัวสำนึกในการสำรวจ มิเช่นนั้นเขาจะไม่สามารถเห็นผลการฝึกตนของเขาได้

ผู้ที่เข้าไปในหอแต่งตั้งราชาเป็นกลุ่มแรก แน่นอนว่าต้องเป็นพวกกองกำลังสูงสุดแห่งแดนราชายุทธ์ หลัวซิวไม่รีบร้อนที่จะเข้าไป แต่ตามหลังฝูงชน เข้าไปในหอแต่งตั้งราชาเป็นกลุ่มสุดท้าย

ภายในหอมีค่ายกลสร้างไว้ พื้นที่กว้างขวาง ผู้คนหลายพันคนยืนอยู่ด้วยกัน แต่ดูเหมือนคนไม่พลุกพล่าน

เมื่อทุกคนเข้ามา ประตูชั้นหนึ่งของหอแต่งตั้งราชาก็ปิดลงทันที ทันทีหลังจากนั้น พื้นดินใต้เท้าก็สั่นสะเทือนและสั่นสะท้านและทุกคนก็รู้สึกถึงการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในเวลานี้ หลัวซิวสังเกตเห็นท้องฟ้าเหนือศีรษะ ชั้นที่เก้าของหอแต่งตั้งราชาแห่งนี้ ตรงกลางกลับเป็นโพรงว่าง

พื้นดินค่อย ๆ สูงขึ้น ยกผู้แข็งแกร่งแดนราชายุทธ์หลายร้อยไปยังชั้นเก้าที่สูงที่สุด

ที่ผนังรอบข้าง มีแสงระยิบระยับระยิบระยับ ไม่มีใครกล้ากระทำการอย่างไม่ฉลาดในเวลาเช่นนี้

“ทุกท่าน แดนแต่งตั้งราชาเป็นสถานที่ที่อันตรายเสี่ยงเก้าในสิบคือความตาย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ามีอันตรายมากมายในนั้น ท่ามกลางพวกเราหลายพันคน สุดท้ายมีได้แค่สิบคนเท่านั้นที่จะได้ป้ายชื่อ ข้าคือถูโรว่อานแดนศักดิ์สิทธิ์กระบี้ล้ำแห่งสมาคมเป่ยเซี๋ย ผู้มีความปรารถนาจะที่จะก่อตั้งกลุ่มไม่แน่ใจว่ามีใครอยากเข้าร่วมบ้าง?”

ทันใดนั้น ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางฝูงชน คนที่พูดขึ้นคือชายวัยกลางคน หน้าเหลี่ยมคิ้วหนา มีผลการฝึกตนแดนราชายุทธ์ขึ้นแปด

“ฮ่า ๆ ได้ยินมาว่าศิษย์พี่ถูห่างจากแดนราชายุทธ์ขั้นเก้าเพียงหนึ่งก้าว ท่านต้องการรวมกลุ่ม ข้าเป็นคนแรกที่เข้าร่วม!”

ถูโรว่อานเพิ่งพูดจบ เพียงไม่นานก็มีคนตอบกลับมา

แดนศักดิ์สิทธิ์กระบี้ล้ำ คือหนึ่งในสี่แดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่แห่งสมาคมเป่ยเซี๋ย ถูโรว่อานคนนี้ที่มีต้นกำเนิดไม่ธรรมดา ความแข็งแกร่งของตัวเองนั้นสูงอยู่แล้ว แค่เพียงเอ่ยปาก ก็มีมีคนจำนวนไม่น้อยที่ตอบรับ

ไม่ใช่ว่าสมาคมเป่ยเซี๋ยมีแค่แดนศักดิ์สิทธิ์กระบี้ล้ำแห่งนี้แค่สำนักเดียว ที่เมืองทางใต้ เมืองทางเหนือ เมืองทางตะวันออก ต่างก็มีมหาจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งครองบัลลังก์เป็นผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์ ในเวลานี้พวกเขาทั้งหมดพูดออกมาดัง ๆ เพื่อเรียกร้องให้คนมารวมกันเป็นกลุ่ม

ไม่นานนัก ในหมู่คนนับพันคน เหลือน้อยกว่าสองร้อยคนที่ไม่ได้เข้าร่วมกลุ่มใดหลุ่มหนึ่ง

หลัวซิวสังเกตได้ว่า แดนราชายุทธ์ทั้งสองแห่งตำหนักจื่อ ยังมีคนของสำนักเสวียนหยางและสำนักฉางเหอต่างก็รวมกลุ่มกัน และเข้าร่วม剑แดนศักดิ์สิทธิ์ภายใต้คำสั่งของคนที่ชื่อว่าถูโรว่อาน

แน่นอน หลัวซิวจะไม่ปล่อยให้คนเหล่านี้คลาดสายตา เขาก็เลยรีบเดินไป พร้อมเข้าร่วมที่แดนศักดิ์สิทธิ์กระบี้ล้ำชั่วคราว

“หืม? เป็นแค่ผลการฝึกตนแห่งแดนราชายุทธ์ขั้นหนึ่ง มีสิทธิ์อะไรเข้าร่วมกับการบัญชาของแดนศักดิ์สิทธิ์กระบี้ล้ำ? ออกไปจากที่นี่ซะ!”

เมื่อหลัวซิวเดินเข้าไป ชายคนหนึ่งที่มีผลการฝึกตนแดนราชายุทธ์ขั้นเจ็ด ก็ใช้ตัวสำนึกสำรวจผลการฝึกตนของเขา เมื่อพบว่าเขามีผลการฝึกตนแดนราชายุทธ์ขั้นหนึ่ง ความรังเกียจบนใบหน้าของเขาก็ปรากฏอย่างชัดเจน และไล่เขาออกไปอย่างหยาบคาย

ชายคนนั้นพูดเสียงดัง จนทุกคนในที่นั้นได้ยินชัดเจน ชั่วขณะหนึ่งสายตาของทุกคนจ้องไปที่ร่างของหลัวซิว

ในเวลาเดียวกัน ตัวสำนึกของแต่ละคน ได้กวาดไปบนร่างของหลัวซิวโดยไม่มีการปิดบังใด ๆ

“ผลการฝึกตนแดนราชายุทธ์ขั้นหนึ่งจริง ๆ ด้วย พลังเพียงแค่นี้ก็ยังกล้าเข้าร่วมการต่อสู้แต่งตั้งราชา?”

“ไม่รู้ว่าผู้ชายคนนี้อยู่ที่นี่ในนามของกองกำลังใด แดนราชายุทธ์ขั้นหนึ่ง… หึ น่าขำสิ้นดี!”

กลุ่มคนที่มาเข้าร่วมการต่อสู้แต่งตั้งราชา ผลการฝึกตนต่ำที่สุดคือผลการฝึกตนแดนราชายุทธ์ขั้นห้า แน่นอนว่าไม่มีทางเห็นแดนราชายุทธ์ขั้นหนึ่งคนหนึ่งอยู่ในสายตาแน่นอน ดังนั้นจึงไม่มีการประนีประนอมในการพูด

หลัวซิวหน้าหมองลงทันที ระหว่างนักยุทธ์ด้วยกัน หากใช้ตัวสำนึกสำรวจผลการฝึกตนของคนอื่น เป็นท่าทีที่หยาบคายมาก แต่มักจะมีบางคนที่เหยียบย่ำศักดิ์ศรีของผู้อื่นอย่างไม่ระวัง เพราะผลการฝึกตนของพวกเขาสูงกว่า

“อืม? แค่เพียงแดนราชายุทธ์ขั้นหนึ่งยังจะกล้าชักสีหน้าใส่ข้า เชื่อหรือไม่ข้าเหยียนเฟยไห่สามารถตบเจ้าตายด้วยมือเดียว?” แดนราชายุทธ์คนที่ก่อนหน้านี้ไล่หลัวซิวอย่างหยาบคายแดนศักดิ์สิทธิ์กระบี้ล้ำตะโกนออกมาด้วยเสียงเข้ม

ขณะพูด คนๆ นี้กำลังจะลงมือโดยตรง

เดิมทีการต่อสู้แต่งตั้งราชา ระหว่างแดนราชายุทธ์ทุกคนต่างการคบกันเพื่อการแข่งขันเท่านั้น ผลการฝึกตนแดนราชายุทธ์ขั้นหนึ่งไม่ได้มีความหมายอะไรเลย และเหยียนเฟยไห่ก็ไม่มีทางเห็นเขาในสายตา

“เฮอะ ศักดิ์ศรีอันยิ่งใหญ่แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์กระบี้ล้ำ พึ่งพาผลการฝึกตนแดนราชายุทธ์ขั้นเจ็ด กลั่นแกล้งแดนราชายุทธ์ขั้นหนึ่งคนหนึ่ง?”

ทันใดนั้น เสียงใส ๆ ก็ดังขึ้น ทำให้เหยียนเฟยไห่ที่กำลังจะลงมือ หยุดชะงักทันที

“เฮอะ ๆ ที่แท้ก็คือศิษย์น้องฮู๋แห่งเมืองฝูถู อย่างไรก็ตามเมื่อศิษย์น้องเอ่บปาก ข้าก็จะไม่ถือสามดตัวหนึ่งแล้วกัน” คนที่ชื่อว่าเหยียนเฟยไห่ก็เก็บอารมณ์และพูดด้วยรอยยิ้ม

เมืองฝูถู ก็เป็นหนึ่งในสี่แดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่แห่งสมาคมเป่ยเซี๋ย ตามหลักแล้วไม่ค่อยจะสามารถสร้างความกลัวให้เหยียนเฟยไห่แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์กระบี้ล้ำได้ แต่ผู้หญิงคนนี้ที่มีแซ่ฮู๋เป็นคนพิเศษ ไม่สามารถยั่วยุได้ง่ายๆ

หลัวซิวได้ยินเสียงผู้หญิงคนนี้ ก็รู้สึกคุ้นเคยอย่างแปลกประหลาด แต่ในนาทีนั้นเขากับคิดไม่ออก จึงอดไม่ได้ที่จะหันไปมองด้วยความสงสัย

เป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่มีรูปร่างที่งดงาม บนใบหน้ามีผ้าคุมอยู่ นัยน์ตาคู่สวยดุจอัญมณีสีดำ ราวกับมีมนต์เสน่ห์แห่งความดึงดูด เมื่อมองดูแล้วอดไม่ได้ที่จะจมดิ่งลงไป

แม้ว่าลมปราณวิเศษนี้จะถูกนางกดเอาไว้ แต่วิญญาณของหลัวซิวมีความรู้สึกที่เฉียบแหลม ยังสามารถรับรู้ได้ถึงมัน

“ลมปราณเช่นนี้…” หลัวซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย ดูเหมือนเขาจะจำได้ไม่ชัดว่าเขารู้สึกถึงลมปราณนี้ที่ไหน

“โลกนี้มันแคบเสียจริง”

ในวินาทีนี้หลัวซิวก็นึกขึ้นมาได้แล้ว แม้ว่าผู้หญิงตรงหน้าจะสวมผ้าคลุมหน้าอยู่ก็ตาม แต่เขาสามารถบอกได้ด้วยลมปราณว่า นางคือร่างอสูรฟ้าที่ตนเคยพบในตอนแรก ฮู๋ชิงชิง!

เพียงแต่หลัวซิวคิดไม่ถึงว่า ฮู๋ชิงชิงจะออกจากประเทศเทียนหวู แล้วมาที่สมาคมเป่ยเซี๋ยแห่งนี้ ดูเหมือนว่าจะเข้าร่วมแดนศักดิ์สิทธิ์เมืองฝูถูด้วย

เพราะเขาใช้วิชาเปลี่ยนหน้า ดังนั้นฮู๋ชิงชิงจึงจำเขาไม่ได้

“ศิษย์พี่ท่านนี้ ลมปราณบนร่างของท่านทำให้ข้ารู้สึกคุ้นเคย เราเคยได้เจอกันหรือไม่?”

ฮู๋ชิงชิงเงยหน้าขึ้นมอง นัยน์ตาที่เต็มไปด้วยเวทย์มนตร์คู่นั้นเต็มไปด้วยความสงสัย

นางเป็นร่างอสูรฟ้าที่มีลักษณะพิเศษ กำเนิดวิญญาณที่มีกระแสสัมผัสมากกว่าคนทั่วไป ราวกับสัมผัสความเป็นสหายเก่าจากบนร่างของหลัวซิว จึงออกมาช่วยคลี่คลายสถานการณ์การปิดล้อมเมื่อครู่นี้ ไม่อย่างนั้นถ้าเป็นคนไม่เกี่ยวข้อง นางคงไม่ออกตัวช่วยเช่นนี้

“แม่นางชิงชิงอยู่อย่างปลอดภัย ร่างของอสูรฟ้าไม่ธรรมดาจริง ๆ คาดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะมีผลการฝึกตนแดนราชายุทธ์ด้วย” หลัวซิวใช้ตัวสำนึกเพื่อส่งเสียง

“เจ้า…”

ได้ยินเช่นนั้น สีแปลก ๆ ปรากฏขึ้นในดวงตาที่สดใสของฮู๋ชิงชิง

ไม่รอให้นางพูดอะไร หลัวซิวก็ส่งเสียงผ่านไปอีกครั้ง “เพราะบางสิ่งบางอย่าง ข้าจึงจำเป็นต้องซ่อนตัว ดังนั้นจึงขอรบกวนแม่นางให้ช่วยรักษาเก็บเป็นความลับ”

“อื้ม!”

ฮู๋ชิงชิงพยักหน้าโดยไม่มีความลังเล นางนึกขึ้นได้แล้วว่าชายผู้นี้คือใคร ไม่น่าแปลกใจเลยที่นางรู้สึกว่าลมปราณของคุ้นเคย

ในอีกยี่สิบวันข้างหน้า หลัวซิวก็พำนักอยู่ใจกลางเมืองแต่งตั้งราชา ภายใต้การชี้แนะของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำ การวิจัยวิชาห้ามค่ายกลโบราณ

สำหรับคนอื่นๆ การเบี่ยงเบนความสนใจไปศึกษาค่ายกล จะส่งผลต่อความก้าวหน้าของผลการฝึกตนของตัวเอง แต่หลัวซิวต่างออกไป สำหรับการเข้าวรยุทธ์วงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพเ เขาต้องเข้าใจผังกฎดั้งเดิม ลายเส้นสัญลักษณ์จำนวนมากในผังกฎดั้งเดิมทั้งเก้าสามารถข้ามได้ด้วยการเปรียบเทียบกับวิชาห้ามค่ายกล ทำให้เข้าใจความลึกลับได้ง่ายขึ้น

ตอนนี้ จากผังกฎดั้งเดิมทั้งเก้าเพิ่งจะมาถึงผังที่สาม หลัวซิวยังไม่ทราบว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะเข้าใจภาพผังกฎดั้งเดิมหมดทั้งเก้าภาพได้

ภายใต้การชี้แนะของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำ เขาปรับปรุงธงขลังสรรพสิ่งอีกครั้ง และรวมค่ายกลระดับหกเข้าด้วยกัน

เมื่อเวลาผ่านไป แดนแต่งตั้งราชากำลังจะเปิดขึ้น ท่ามกลางเมืองแต่งตั้งราชา มีผู้แข็งแกร่งแดนราชายุทธ์มากมายจากทุกภูมิภาคของโลกแสงดาว มีจำนวนใกล้เคียงหลักหมื่น

เพื่อให้สามารถมีประสิทธิภาพที่ดีเยี่ยมในแดนแต่งตั้งราชา แดนราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่งทุกคนต่างก็อยู่ระหว่างการเตรียมการ เพื่อยกระดับความสามารถของตนเอง

ผลการฝึกตนในช่วงเวลาสั้น ๆ ไม่สามารถเข้าได้ แต่สามารถยกระดับความแข็งแกร่งได้โดยใช้ปัจจัยภายนอก เช่นนักยุทธ์ ฮู้ เกราะนักยุทธ์และค่ายกลเป็นต้น

นักยุทธ์ หลัวซิวมีกระบี่อาถรรพ์ฟันเสือ ถึงแม้จะเป็นเพียงขั้นดินล่าง ท่ามกลางแดนราชายุทธ์จำนวนมากนั้นไม่โดดเด่นอะไร แต่วัสดุของกระบี่เล่มนี้ดีมาก สามารถเทียบได้กับการเผชิญหน้านักยุทธ์ขั้นดินกลาง

ยิ่งไปกว่านั้น พลังการต่อสู้ของหลัวซิว ไม่ได้พึ่งพานักยุทธ์ จึงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการเปลี่ยนอาวุธให้มีระดับสูงขึ้น

ส่วนฮู้ หลัวซิวนั้นก็ไม่ขาด มีจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำคนนี้ที่เป็นถึงปรมาจารย์ค่ายกลระดับเก้าคอยให้คำชี้แนะ ระดับค่ายกลของเขาในตอนนี้ ได้มาถึงระดับของปรมาจารย์ค่ายกลระดับหกแล้วจริง ๆ

ถึงแม้จะกล่าวกันว่าวัสดุในการทำฮู้ระดับหกจะแพงมากก็ตาม หลัวซิวก็ตัดใจซื้อมาไว้บ้าง กลั่นเป็นยันต์โจมตีระดับหกสองชิ้น และยันต์คุ้มกันระดับหกหนึ่งชิ้น

วัสดุที่ใช้กลั่นฮู้ระดับหกทั้งสามชิ้นนี้ ต้องใช้หินพลังจิตที่มีอยู่เกือบครึ่งแต่ถ้าเขาซื้อฮู้ระดับหกที่เสร็จแล้วโดยตรง หินพลังจิตทั้งหมดในมือของเขารวมกัน ยังไม่สามารถซื้อได้แม้แต่ชิ้นเดียว

หนึ่งวันก่อนที่แดนแต่งตั้งราชาจะเปิดออก หลัวซิวเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว สำหรับหลงหมิงนั้น ไม่รู้ว่าหายไปที่ไหนแล้ว

หอแต่งตั้งราชา ตั้งอยู่ใจกลางเมืองแต่งตั้งราชา ในวันที่แดนแต่งตั้งราชาเปิดออก ผู้แข็งแกร่งแดนราชายุทธ์จำนวนมาก ทั้งหมดมารวมตัวกันที่จัตุรัสหน้าหอคอย

โดยใช้วิธีการจัดตำแหน่งใหม่ หลัวซิวเปลี่ยนรูปลักษณ์ของเขา เมื่อมาถึงจัตุรัสหน้าหอ ก็มองเห็นมู่จื่อซิวที่ยืนรอเขาอยู่แล้ว

ข้างกายของมู่จื่อซิว หลัวซิวเห็นผู้แข็งแกร่งหลายคนที่มีผลการฝึกตนมากจนไม่สามารถวัดได้ กับลังพูดคุยและหัวเราะร่ากับเขาอยู่

เห็นได้ชัด คนที่สามารถยืนพูดคุยและหัวเราะกับมู่จื่อซิว จะต้องอยู่ในระดับมกุฏยุทธ์แน่นอน

การเปิดของแดนแต่งตั้งราชา เป็นงานครั้งเดียวในรอบศตวรรษ ผู้แข็งแกร่งมารวมกันที่นี่ ก็ไม่ได้น่าแปลกใจแต่อย่างใด

จัตุรัสด้านหน้าหอคอย ไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าได้ ผู้แข็งแกร่งแห่งสี่แดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ของสมาคมเป่ยเซี๋ยคอยคุ้มกันอยู่ที่นี่ มู่จื่อซิวดูเหมือนว่าจะได้ทักทายล่วงหน้าแล้ว ดังนั้นตอนที่หลัวซิวเข้ามานั้น จึงไม่ได้ถูกกันเอาไว้

ณ สถานที่ลงทะเบียน ชื่อที่เขาลงเอาไว้คือ ซิวหลัว!

มู่จื่อซิวเมื่อเห็นหลัวซิว ก็ทำเพียงแค่ยิ้มและพยักหน้า ถือเป็นการทักทาย ท้ายที่สุดแล้ว ความแข็งแกร่งระหว่างคนทั้งสองมีความแตกต่างกันอย่างมาก หากไม่ใช่ว่าการต่อสู้แต่งตั้งราชาครั้งนี้ ว่ากันตามจริงไม่มีทางที่จะได้สนทนากันเลย

นักยุทธ์ที่มีผลการฝึกตนต่างกัน ย่อมมีแวดวงที่แตกต่างกันออกไป

สายตาของหลัวซิวกวาดมองไปทางกลุ่มคนบนลานกว้าง เนื่องจากการต่อสู้แต่งตั้งราชานี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งหนึ่งในศตวรรษ เขาประเมินว่าทางด้านของประเทศเทียนหวูจะต้องมีผู้แข็งแกร่งแดนราชายุทธ์มาไกลถึงล้านลี้แน่นอน

แต่เมื่อใดก็ตามที่กองกำลังของจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งครองบัลลังก์ สามารถได้รับที่ว่างสำหรับการต่อสู้แต่งตั้งราชา ประเทศเทียนหวูมีกองกำลังบางส่วนในดินแดนที่ตรงตามเงื่อนไขนี้
แต่ในจัตุรัสมีผู้คนมากมาย อีกทั้งยังเป็นแดนราชายุทธ์ที่มีผลการฝึกตนมากมาย หลัวซิวจึงไม่กล้าที่จะปล่อยตัวสำนึกออกไปสุ่มสี่สุ่มห้า เกรงว่าจะถูกคนเข้าใจผิดเอาได้

อีกทั้ง ถึงแม้ประเทศเทียนหวูจะมีกองกำลังจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งครองบัลลังก์ไม่น้อย แต่สามารถเข้าร่วมการต่อสู้แต่งตั้งราชา กลับหายากเกินบรรยาย และทั้งสองภูมิภาคอยู่ห่างไกลกัน คงจะไม่มีใครเข้าร่วมการต่อสู้แต่งตั้งราชา

ระหว่างความคิด รูม่านตาของหลัวซิวก็หดลงอย่างกะทันหัน เห็นชายคนหนึ่งในชุดตำหนักจื่อ คนคนนี้คือชายวัยกลางคน ผลการฝึกตนอยยู่ที่แดนราชายุทธ์ขั้นหก และเขาไม่เคยพบเจอมาก่อน

แต่ว่าชุดของตำหนักจื่อ เขาไม่มีทางจำผิดแน่นอน ที่ข้างกายของชายวัยกลางคน ยังมีแดนราชายุทธ์อีกคนหนึ่งจากตำหนักจื่อ เธอเป็นผู้หญิงที่สวยด้วยรูปร่างที่มีเสน่ห์ มีผลการฝึกตนแดนราชายุทธ์ขั้นเจ็ด

“ศิษย์พี่ยู่ถัง อีกเดี๋ยวเข้าไปในแดนแต่งตั้งราชา พวกเราทั้งสองต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มิฉะนั้น จะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะแข่งขันกับ แดนราชายุทธ์ของกองกำลังหลักอื่น ๆ”

“เพื่อให้ได้เข้าร่วมการต่อสู้แต่งตั้งราชา เรามาถึงสมาคมเป่ยเซี๋ยก่อนกำหนดครึ่งปี เมื่อถึงเวลาสามารถร่วมมือกับคนจากสำนักเสวียนหยาง สำนักฉางเหอ และราชวงศ์ตระกูลฝานได้ บางทีมันเป็นไปได้ที่จะสร้างกองกำลังขึ้นมา และความแข็งแกร่งจะมากขึ้นเมื่อมีผู้คนมากขึ้น” หญิงวัยกลางคนที่ชื่อว่ายู่ถังกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว

หลัวซิวได้ยินบทสนทนาของทั้งสอง ก็ค่อย ๆ ขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย จากคำพูดของพวกเขา เหมือนจะมาสมาคมเป่ยเซี๋ยก่อนกำหนดถึงครึ่งปี เพียงแค่ยังไม่ชัดเจนว่ายังมีการเชื่อมต่อกับฝั่งประเทศเทียนหวูอยู่หรือไม่

หายใจลึก ๆ เฮือกใหญ่ หลัวซิวระงับความอยากในหัวใจ รอจนเข้าไปในแดนแต่งตั้งราชาแล้ว เขามีโอกาสถามพวกเขาอย่างชัดเจน

เมื่อนับแล้ว เขาออกจากประเทศเทียนหวูได้ประมาณสองเดือนกว่า ๆ แล้ว ไม่รู้เลยว่าคนสนิทของเขาในตอนนี้เป็นเช่นไรบ้าง

และในเวลานี้เอง ประตูชั้นหนึ่งของหอแต่งตั้งราชาถูกเปิดออก ชายวัยกลางคนคนหนึ่งตะโกนออกมา “แดนราชายุทธ์ทุกท่านที่เตรียมตัวเข้าสู่แดนแต่งตั้งราชา ในตอนนี้สามารถเข้าไปได้แล้ว”

เขากล้าติดตามหลัวซิวไปไหนต่อไหน นั่นก็เพราะว่าใช้กลวิธีซ่อนตัวตนของตระกูลมาร

“ถึงแม้เจ้าจะเก็บซ่อนพลังชีวิตแห่งมารไว้ แต่มีพรสวรรค์ที่ยังไม่ได้ค้นพบซ่อนอยู่ในตระกูลมนุษย์ของข้า นอกจากข้าแล้ว จะไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่าเจ้าคือใคร”

ระหว่างที่พูดมู่จื่อซิวมองไปทองหลัวซิว “เจ้าเป็นตระกูลมนุษย์ แต่กลับรวมกลุ่มกับตระกูลมาร หากมีใครพบเข้า ย่อมมีพายุเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”

“ท่ามกลางโลกแสงดาว มนุษย์ มาร และอสูร ทั้งสามตระกลูคงอยู่ร่วมกัน แม้จะสื่อสารถึงกัน ทว่าสงครามยังคงดำเนินต่อไป จำเป็นต้องระวังพวกตระกูลมารแฝงตัวเข้ามาในตระกูลมนุษย์ของข้า”

“การอยู่ร่วมกันของสามเผ่าพันธุ์?” หลัวซิวเป็นครั้งแรกที่ได้ยินสิ่งนี้

เขาก็รับรู้ได้ถึงหลงหมิงเมื่อได้ยินประโยคดังกล่าวก็มีสีหน้างุนงงเช่นกัน เห็นได้ชัดว่ารูปแบบของโลกปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างจากสมัยโบราณ

มีเพียงวิญญาณจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำที่อยู่บนฝ่ามือซ้ายสั่นไหวเล็กน้อย แต่เพื่อป้องกันมกุฏยุทธ์ผู้แข็งแกร่งอย่างมู่จื่อซิวที่อยู่ตรงหน้า จึงไม่ได้ส่งตัวสำนึกเพื่อสื่อสารกับหลัวซิว

เมื่อเห็นหลัวซิวมีสีหน้าสับสน มู่จื่อซิวก็ยิ้มออกมาบาง ๆ “ผลการฝึกตนของเจ้าต่ำเกินไป ยังไม่สามารถเข้าถึงระดับนี้ เมื่อเจ้าได้สัมผัสกับมันในภายหลัง เจ้าจะเข้าใจโดยธรรมชาติ ”

หลังจากนั้น มู่จื่อซิวก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ข้าได้รับข้อความจากองค์กรนักล่ายุทธ์ ให้เป็นผู้แนะนำเจ้าเพื่อเข้าร่วมการต่อสู้แต่งตั้งราชา ด้วยผลการฝึกตนของเจ้าในตอนนี้คือแดนราชายุทธ์ขั้นหนึ่ง หากไปเข้าร่วมจะต้องอันตรายอย่างมาก”

“อีกอย่าง แดนแต่งตั้งราชาจะมีเพียงเจ้าที่สามารถเข้าไปได้ ตระกูลมารเข้าไปไม่ได้”

เมื่อได้ยินว่าตนไม่สามารถเข้าไปในแดนแต่งตั้งราชาได้ หลงหมิงก็ทำปากมุ้ยทันที แสดงออกว่าถึงตวามน้อยใจอย่างชัดเจน

“ข้าน้อยจะพยายามจนถึงที่สุด ขอท่านอาวุโสโปรดช่วยชี้แนะแก่ข้า” หลัวซิวกล่าวอย่างหนักแน่น

“เฮอะ ๆ ข้ารู้อยู่แล้วว่าจะเกลี้ยกล่อมเจ้าไม่ได้ผล” มู่จื่อซิวยิ้มพลางส่ายศีรษะเบา ๆ

เขาพูดเช่นนี้ ไม่ใช่เพราะเขารู้นิสัยของหลัวซิว แต่เพราะได้เห็นอัจฉริยะเก่ง ๆ มามาก พอเจอโอกาสต่าง ๆ ก็มักจะสู้สุดใจ

การฝึกยุทธ์ เป็นกระบวนการที่โหดร้ายในการเอาชีวิตรอดของผู้ที่เหมาะสมที่สุดและกำจัดผู้อ่อนแอ เมื่อต้องเผชิญกับโอกาส ต้องพยายามทำให้ดีที่สุดเพื่อมัน โดยรองรับโอกาสนับไม่ถ้วนในร่างเดียวเท่านั้น จึงสามารถสร้างผู้แข็งแกร่งที่ไม่มีใครเทียบได้ในโลกยุทธ์ขั้นสูง

อัจฉริยะ ต่อให้ยอดเยี่ยมและมีความสามารถมากเพียงใด แต่ถ้าไม่มีโอกาส ก็ไม่มีค่าอะไรเลย

และแม้ว่าจะเป็นคนธรรมดา หากมีขุมทรัพย์แห่งโอกาสให้สะสมนับไม่ถ้วน ก็สามารถกลายเป็นอัจฉริยะอันดับต้น ๆ ของโลกได้

แดนแต่งตั้งราชา สำหรับผู้แข็งแกร่งระดับแดนราชายุทธ์แล้วล้วนเป็นโอกาสอันดี!

เพียงแต่ในใต้หล้านั้นมีผู้แข็งแกร่งแดนราชายุทธ์นับไม่ถ้วน มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถคว้าโอกาสนี้ไว้ในมือได้จริง ๆ

นอกจากนี้ แดนแต่งตั้งราชาจะเปิดเพียงครั้งเดียวในรอบร้อยปี บางทีบางคนอาจเต็มใจผูกมัดผลการฝึกตนของพวกเขา ในแดนราชายุทธ์แดนเป็นเวลาร้อยปี เพียงเพื่อเข้าสู่แดนแต่งตั้งราชาต่อสู้เพื่อชัยชนะ แต่บางคนไม่เต็มใจที่จะรอ ส่วนหลัวซิวนั้นถือเป็นอย่างหลัง

สำหรับหลัวซิวแล้วนั้น ร้อยปีมันนานเกินไป เขารอไม่ไหว!

หลังจากนี้ร้อยปี ผลการฝึกตนของเขาคงจะเลยแดนราชายุทธ์ไปมากแล้ว แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าร่วมแดนแต่งตั้งราชาอีก

ส่วนระดับที่สูงขึ้นอย่างเช่น แดนปริศนาจักรพรรดิยุทธ์ จะใช้เวลาสามร้อยปีในการเปิดหนึ่งครั้ง จะเจอหรือไม่ก็อีกเรื่อง

ตอนนี้เขาจำเป็นต้องปรับปรุงความแข็งแกร่งของเขาอย่างเร่งด่วน และรีบกลับมาที่ประเทศเทียนหวู และแดนแต่งตั้งราชา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นสถานที่สำหรับเขาที่จะพัฒนาความแข็งแกร่งของเขาอย่างรวดเร็ว เขาจะพลาดมันไปได้อย่างไร?

“ถึงอย่างไรเจ้าก็ตัดสินใจไปแล้ว ข้าก็จะไม่เกลี้ยกล่อมเจ้า การเปิดของแดนแต่งตั้งราชายังเหลือเวลาอีกประมาณยี่สิบวัน ก่อนหน้านั้น เจ้าควรอยู่ในเมืองและเตรียมตัวมาให้ดี”

มู่จื่อซิวพูดด้วยรอยยิ้ม ลุกขึ้นทันที แล้วเดินออกจากห้อง

หลังจากมู่จื่อซิวจากไป หลัวซิวไม่ได้รีบร้อนอะไร แต่ใช้ตัวสำนึกเพื่อสื่อสารกับ วิญญาณจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำที่อยู่บนฝ่ามือซ้าย

“ตระกูลปีศาจ… ตระกูลปีศาจมันบุกรุกโลกแสงดาวของเราจริงหรือ?” วิญญาณจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำดูตื่นเต้นมาก

“ตระกูลปีศาจนี่มันเรื่องอะไรกัน?” หลัวซิวเอ่ยถามด้วยความสงสัย

มู่จื่อซิวไม่ได้อธิบายให้เขาฟัง เพราะผลการฝึกตนของเขานั้นต่ำเกินไป ยังไม่เกี่ยวข้องกับระดับนั้นด้วยซ้ำ แต่หลัวซิวกลับรู้สึกสงสัยเป็นอย่างมาก การอยู่ร่วมกันของสามเผ่าพันธุ์ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่

“ตระกูลปีศาจ หรือที่เรียกกันว่าอสูรฟ้านอกอาณาเขต นอกอาณาเขตหมายถึงไม่ใช่เมืองทิศเหนือใต้ออกตกของโลกแสงดาว แต่หมายถึงท้องฟ้านอกโลกแสงดาวที่เต็มไปด้วยดวงดาวไม่มีที่สิ้นสุด”

“บางทีเจ้าอาจคิดว่าโลกแสงดาวมันช่างกว้างใหญ่เหลือเกิน แต่ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวที่ไร้ขอบเขตนั้นกว้างใหญ่ไพศาลยิ่งกว่า ในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวที่ไม่มีที่สิ้นสุด โลกแสงดาวเป็นเหมือนหยดน้ำในมหาสมุทรที่กว้างใหญ่เท่านั้น”

“ภัยพิบัติโบราณ เกิดขึ้นเพราะอสูรฟ้านอกอาณาเขตบุกเข้ามา ข้าเองก็ตกลงมาเพราะเหตุนี้ เหลือเพียงเศษเสี้ยวของวิญญาณที่ยังคงอยู่!”

“ต่อไปถ้าเจ้าเจอตระกูลปีศาจต้องระมัดระวังให้มาก ภายใต้แดนเดียวกัน พลังของตระกูลปีศาจนั้นเก่งกาจกว่าตระกูลมนุษย์มากนัก ตอนแรกข้าถูกมหาจักรพรรดิยุทธ์ตระกูลปีศาจโจมตีวิญญาณ เมื่อเทพจิตของข้าถูกทำลายล้าง มันยังกระทบกระเทือนของเทพจิตที่ข้าวางไว้ในตะเกียงวิญญาณ เหตุนั้นจึงกลายเป็นสภาวะอ่อนแอของจิตวิญญาณ”

อสูรฟ้านอกอาณาเขตคือความหายนะของคนโบราณ ในอารมณ์ความรู้สึกของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำ เต็มไปด้วยความเกลียดชังและความแค้น

“อย่าไปพัวพันกับอดีตมากเกินไปผู้อาวุโส เหลือวิญญาณเพียงเล็กน้อย ก็ยังดีกว่าการถูกทำลายเป็นผุยผง” หลัวซิวกล่าว

“เฮอะ ๆ ใช่แล้ว เมื่อเทียบกับคนส่วนใหญ่ในสมัยโบราณ ฉันโชคดีจริง ๆ อย่างน้อยก็ยังเอาตัวรอดจนเหลือเป็นเสี้ยววิญญาณ…” เสียงหัวเราะของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำเต็มไปด้วยความขมขื่น

“ห้าหมื่นปีแล้ว เป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์มาตลอด สามารถอยู่ได้ชั่วนิรันดร์ ยังมีอะไรให้ข้าไม่พอใจอีกหรือ?” จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำดูเหมือนจะมองทะลุปรุโปร่งมากขึ้น

“ไอ้หนุ่ม เจ้ามีศักยภาพสูง ฝึกตนดีดี ข้าสามารถรอเจ้าได้ ในวันหน้าเมื่อเจ้าบรรลุถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ ช่วยข้าเอาร่างเนื้อกลับคืนมา” จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำจู่ ๆ ก็หัวเราะ

“ร่างเนื้อ? ผู้อาวุโสหมายถึง…” หลัวซิวหรี่ตาลง

“เจ้าดาถูกแล้ว เทพจิตของข้าถูกทำลายล้าง แต่ร่างเนื้อยังคงอยู่ มหาจักรพรรดิยุทธ์ตระกูลปีศาจนั่นฆ่าข้า ร่างเนื้อระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์จะไม่เสียหายง่าย ๆ คุณค่านั้นไม่ธรรมดา บางทีมันอาจถูกนำกลับไปและกลั่นกลายเป็นหุ่นเชิด”

จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำถอนหายใจ “แน่นอน บางทีร่างเนื้อของข้าอาจจะถูกทำลายไปด้วยแล้วก็เป็นได้ แต่ข้ามีสัญชาตญาณว่า ร่างเนื้อของข้ายังคงอยู่ ตราบใดที่จิตวิญญาณของข้าเป็นอมตะ กลับเข้าไปที่ร่างเนื้อ ใช้ความพยายามเพียงร้อยปี ข้าสามารถกู้คืนผลการฝึกตน และสร้างโลกขึ้นมาใหม่!”

สงครามโบราณ เทพจิตของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำที่จัดเก็บไว้ในตะเกียงวิญญาณได้รับผลกระทบจากการโจมตีวิญญาณ และแตกออกกลายเป็นวิญญาณ วิญญาณเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ สิ่งนี้ยังขจัดความคิดเรื่องการเกิดใหม่ของเขาออกไป เขาทำได้เพียงหวังว่าร่างเนื้อของเขาจะไม่ถูกทำลาย และยังมีโอกาสที่จะเกิดใหม่อีกด้วย

“ท่านผู้อาวุโส ไม่ต้องกังวล เมื่อความแข็งแกร่งของข้าเพียงพอในอนาคต จะต้องไปที่ตระกูลปีศาจสักครั้ง และนำร่างเนื้อของท่านกลับคืนมา” หลัวซิวกล่าว

“หึหึ ดี มีคำพูดนี้ของเจ้า ข้าก็โล่งใจ! ด้วยผลการฝึกตนของเจ้าในตอนนี้ เข้าสู่แดนแต่งตั้งราชาอย่างไรก็ยังมีความอันตราย ข้าจะพยายามถ่ายทอดประสบการณ์ให้เจ้าให้มากที่สุด เท่าที่ข้าสามารถนำออกมาได้ คงจะมีเพียงวิชาค่ายกลแล้ว”

ได้ยินเช่นนั้น หลัวซิวก็เผยสีหน้าประหลาดใจ ในด้านการกลั่นยา เขามีความทรงจำของปรมาจารย์กลั่นยา ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาสอน แต่ในด้านของค่ายกล มักจะพึ่งพาการสำรวจของตัวเองหากสามารถได้รับคำชี้แนะของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำ ย่อมต้องก้าวไปอย่างก้าวกระโดด

ถึงอย่างไรจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำ ก็เป็นผู้ชำนาญด้านค่ายกลโบราณ อีกทั้งในสำนักไท่เสวียน ขึ้นชื่อว่าเป็นอันดับหนึ่งในทางค่ายกล!

แดนแต่งตั้งราชา ร้อยปีจะเปิดหนึ่งครั้ง นั่นก็หมายความว่าป้ายชื่อพวกนี้จะคงอยู่ไปหนึ่งร้อยปี จนถึงหลังจะหนึ่งร้อยปี ก็จะถูกแทนทีด้วยป้ายชื่อใหม่จากแดนราชายุทธ์

เมื่อสมัยโบราณ การเปิดแดนของแดนแต่งตั้งราชา รับผิดชอบโดยสำนักรู้ฟ้าแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ทางเหนือ แต่หลังจากเกิดภัยพิบัติในสมัยโบราณ สำนักรู้ฟ้าไม่มีอยู่อีกต่อไป ตอนนี้ควบคุมโดยสมาคมเป่ยเซี๋ยแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่

และคูเมืองแห่งนี้ ชื่อว่าเมืองแต่งตั้งราชา!

เมื่อหลัวซิวมาถึงเมืองแต่งตั้งราชา จึงได้รู้ว่าบัญชาแต่งตั้งราชาในมือนั้น เพื่อแสดงว่ามีสิทธิ์เข้าเมืองเท่านั้น หากต้องการจะเข้าร่วมแดนแต่งตั้งราชา ไม่เพียงแต่ต้องมีผลการฝึกตนอยู่ในแดนราชายุทธ์ขึ้นไป แต่ยังต้องได้รับสถานะจากกองกำลังของผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ครองบัลลังก์ท่านใดท่านหนึ่งจึงจะผ่านได้

แน่นอน ผู้แข็งแกร่งแดนราชายุทธ์อิสระนั้น ไม่ใช่ว่าไม่มีโอกาสได้เข้าร่วมการต่อสู้ชิงป้ายชื่อแดนราชายุทธ์ เพียงแต่จำเป็นเข้าร่วมกองกำลังชั่วคราว จากนั้นลงนามในกองกำลังนี้ ก็จะสามารถเข้าสู่หอแต่งตั้งราชา และร่วมการต่อสู้แต่งตั้งราชาได้

เมื่อมีผู้แข็งแกร่งแดนราชายุทธ์คนใดได้รับป้ายชื่อ กองกำลังที่เขาเป็นตัวแทน จะโด่งดังไปทั่ว และเป็นที่รู้จักของทุกคน ถึงเวลานั้นก็จะมีคนเก่งๆ มากมาย ที่เต็มใจจะเข้าร่วมกองกำลังนี้

เมื่อหลัวซิวและหลงหมิงมาถึงเมืองแต่งตั้งราชา ระยะเวลาเริ่มการต่อสู้แต่งตั้งราชา ก็เหลือเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนแล้ว

นอกจากนี้ยังหมายความว่า หากหลัวซิวไม่พบฝ่ายที่จะเข้าร่วมชั่วคราวภายในเดือนนี้ จะไม่สามารถเข้าร่วมการต่อสู้แต่งตั้งราชาได้

“วีรบุรุษทุกท่าน พวกเราสำนักเสวียนธารายังมีที่ว่างเหลือสำหรับเข้าร่วมการต่อสู้แต่งตั้งราชาอีกสองที่ ผู้แข็งแกร่งแดนราชายุทธ์ที่มีใจปรารถนา โปรดมาที่ลานฝึกยุทธ์เมืองฝั่งใต้!”

เข้าเมืองได้ไม่นาน ข้อความหนึ่งก็แพร่กระจายอย่างรวดเร็วในเมือง ผู้ฝึกยุทธ์อิสระแห่งแดนราชายุทธ์จำนวนมากที่ยังไม่ได้เข้าร่วมกองกำลังของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เมื่อได้ยินข้อความนี้ ต่างก็พากันมุ่งหน้าไปที่ลานฝึกยุทธ์เมืองฝั่งใต้

เพราะว่ามีเพียงกองกำลังของจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งครองบัลลังก์ ถึงจะสามารถได้รับที่ว่างในการเข้าร่วมการต่อสู้แต่งตั้งราชา สิ่งนี้ทำให้ที่ว่างในมือของกองกำลังต่าง ๆ กลายเป็นสิ่งล้ำค่าอย่างยิ่ง

ยิ่งมีกำลังมากเท่าไร ก็ยิ่งมีที่ว่างมากขึ้นเท่านั้น แต่เงื่อนไขก็มากขึ้นไปด้วยเช่นกัน อย่างน้อย ๆ จำเป็นต้องมีผลการฝึกตนของแดนราชายุทธ์ขั้นเจ็ดขึ้นไปถึงจะผ่านได้ และผลการฝึกตนของหลัวซิวและหลงหมิง ตอนนี้อยู่ที่แดนราชายุทธ์ขั้นหนึ่ง กองกำลังขนาดใหญ่เหล่านั้นไม่สนใจที่จะดูแลพวกเขา

หากพวกเขาแสดงความแข็งแกร่งที่ทัดเทียมได้กับแดนราชายุทธ์ขั้นเจ็ด ด้วยความที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์อิสระ แต่กลับสามารถสู้กับศัตรูที่ต่างชั้นได้ถึงหกแดนเล็ก จะทำให้เกิดความดึงดูดได้ง่าย ดังนั้นจึงเป็นการดีกว่าที่จะเข้าร่วมกองกำลังธรรมดา ด้วยวิธีนี้จะไม่เป็นการดึงดูดความสนใจ

จากกลางเมืองแต่งตั้งราชาหลังจากสอบถามข้อมูลมาบ้างแล้ว หลัวซิวและหลงหมิงก็ได้รู้ว่าสำนักเสวียนธาราเป็นเพียงแค่กองกำลังธรรมดาระดับสอง ในสำนักมีอาจารย์จักรพรรดิยุทธ์หนึ่งคน และมีที่ว่างสี่ตำแหน่งสำหรับการต่อสู้แต่งตั้งราชา

สองในสี่ที่ตำแหน่งนั้น เป็นของสองผู้แข็งแกร่งแดนราชายุทธ์ซึ่งเป็นศิษย์ของสำนัก อีกสองตำแหน่งที่เหลือแน่นอนว่าต้องคัดเลือกจากผู้ฝึกยุทธ์อิสระ ค้นหาแดนราชายุทธ์สองคนที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง ด้วยความหวังว่าจะสามารถยืมมือจากการต่อสู้แต่งตั้งราชา เพื่อเป็นโอกาสทำให้สำนักเสวียนธาราได้มีหน้ามีตา

ต้องการผู้ฝึกยุทธ์อิสระที่ต้องการเข้าร่วมการต่อสู้แต่งตั้งราชานั้นมีมากมาย แต่ตำแหน่งว่างนั้นมีเหลือเพียงสองที่ จุดหมายสุดท้ายต้องตัดสินด้วยความแข็งแกร่ง

บนลานกว้างแห่งหนึ่งในเมืองฝั่งใต้ ได้จัดตั้งเวทีประลองยุทธ์ขึ้นมาแห่งหนึ่ง และทั่วทั้งสี่ทิศยังเต็มไปด้วยค่ายกลคุ้มกันระดับหก

บริเวณใกล้เคียงของเวทีประลองยุทธ์ ได้มีการรวมตัวของผู้คนจำนวนมาก

ที่จุดลงทะเบียนสำหรับแย่งชิงที่ว่างสองตำแหน่ง มีชายวัยกลางคนคนหนึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะด้านหน้า ข้างๆ นั้นมีป้ายเขียนไว้ว่า ต้องการช่วงชิงที่ว่างสองตำแหน่งสำหรับการต่อสู้แต่งตั้งราชา ต้องมีผลการฝึกตนอย่างน้อยระดับแดนราชายุทธ์ขั้นห้าขึ้นไป!

กองกำลังอันยิ่งใหญ่ที่เป็นหัวกะทิทั้งหลาย ต่างก็ตั้งเงื่อนไขว่าอย่างต่ำต้องเป็นแดนราชายุทธ์ขั้นเจ็ดขึ้นไป พลังของสำนักเสวียนธาราแห่งนี้ไม่ได้แข็งแกร่ง จึงได้ลดผลการฝึกตนลงมาที่แดนราชายุทธ์ขั้นห้า นั่นก็เป็นเรื่องที่สามารถเข้าใจได้

อย่างไรก็ตาม ถึงกระนั้นเงื่อนไขนี้ก็สามารถทำให้ผู้แข็งแกร่งแดนราชายุทธ์จำนวนไม่น้อยถอยทันทีที่เห็น

ท้ายที่สุดคนที่สามารถฝึกตนจนถึงแดนราชายุทธ์แดนได้ ล้วนมีพรสวรรค์อยู่แล้ว และผลการฝึกตนเมื่อบรรลุถึงแดนราชายุทธ์แล้ว ทุก ๆ ก้าวเดินในแดนต่าง ๆ ก็ยิ่งกลายเป็นความยากมากขึ้น แดนราชายุทธ์ส่วนใหญ่ ต่างก็ต่ำกว่าแดนราชายุทธ์ขั้นสาม แดนราชายุทธ์ชั้นกลางส่วนน้อยจะอยู่ที่ขั้นสี่และขั้นหก ส่วนขั้นเจ็ดขึ้นไปนั้นเรียกได้ว่าหาได้ยากทีเดียว

“แม่มเอ้ย ท่านชายหลงอย่างข้า ก็มีวันทีผลการฝึกตนต่ำเสียจนโดนดูถูกได้เลยหรือ”

เมื่อหลัวซิวและหลงหมิงอยากจะสมัคร แดนราชายุทธ์ขั้นหนึ่งคลื่นพลังจิตแท้บนร่างก็กระเพื่อมออกมา ไม่แปลกใจเลยที่ถูกผู้รับผิดชอบของสำนักเสวียนธารา ปฏิเสธจนหน้าหงาย

หลงหมิงหงุดหงิดนิดหน่อย หากไม่ได้มีหลัวซิวคอยกดอยู่ข้าง ๆ เกรงว่าจะโวยวายเสียจนเกิดเรื่องราวใหญ่โต

หลังจากนั้นทั้งสองก็ได้ยินว่ายังมีกองกำลังที่มีที่ว่างสำหรับการต่อสู้แต่งตั้งราชาที่กลางเมือง แต่ผลที่ได้ก็ได้ทำให้น่าประหลาดใจแม้แต่น้อย ไม่มีกองกำลังใด ที่จะยอมสิ้นเปลืองที่ว่างของตนเพื่อนักยุทธ์ที่มีผลการฝึกตนแค่แดนราชายุทธ์ขั้นหนึ่ง

โดยไม่มีทางเลือก หลัวซิวทำได้เพียงของความช่วยเหลือจากองค์กรนักล่ายุทธ์ หยิบเอากล่องส่งข้อความออกมา และส่งข้อความออกไปทันที

ในวันนี้เขาได้รู้แล้วว่า ระบบภายในองค์กรนักล่ายุทธ์ ได้ใช้วิญญาณแห่งค่ายกลเป็นตัวควบคุม เขาส่งข้อความไปให้องค์กรนักล่ายุทธ์ ส่วนคนที่ได้รับข้อความจริง ๆ นั่นคือวิญญาณแห่งค่ายกล

วิญญาณแห่งค่ายกล ข้อมูลจะถูกส่งต่อไปยังที่ที่เหมาะสม ตามคำขอของเขา

สี่องค์กรใหญ่แห่งโลกแสงดาวมีสถานะโด่ดเด่น สามารถทัดเทียมกับชั้นยอดแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ หากต้องการที่ว่างสำหรับการต่อสู้แต่งตั้งราชา แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องยากอะไร

ผ่านไปไม่นาน หลัวซิวก็ได้รับข้อความตอบกลับ ให้เขารออยู่ในห้องห้องหนึ่งของร้านอาหารแห่งหนึ่งในเมือง

ในห้องของร้านอาหาร หลัวซิวไม่ได้รอนานนัก มีเสียงเคาะประตูเบา ๆ ดังขึ้น จากนั้นประตูห้องก็ถูกเปิดออกช้า ๆ

หลัวซิวมองไปด้วยแววตาสงสัย เห็นว่าคนที่ผลักประตูเข้ามาเป็นชายชราที่ดูมีสุขภาพดีคนหนึ่ง สวมชุดคลุมลายดวงดาวพระจันทร์สีน้ำเงิน ดูสูงส่งและสว่างาม มือขวากำแส้ขนหางจามรีพาดไปที่แขนข้างซ้าย นิ้วมือซ้ายจีบเข้าหากัน เหมือนปราชญ์ผู้มาจากโลกภายนอก

แม้ว่าชายชราจะไม่มีลมปราณของแข็งแกร่งใดใดแพร่กระจายออกมา แต่หลัวซิวกลับสามารถอาศัยลูกแก้วความเป็นตาย เห็นเส้นชีวิตของชายชรา มันช่างแข็งแกร่งราวกับไฟที่ลุกโชน

“ข้าคือมู่จื่อซิว เป็นผู้ลาดตระเวนขององค์กรนักล่ายุทธ์แห่งโลกแสงดาวเขตเหนือ เจ้าคงจะเป็นผู้น้อยซิวหลัวล่ะสิ”

ชายชราเสื้อคลุมดวงดาวยิ้มออกมาบาง ๆ สายตาหยุดลงบนร่างของหลัวซิว

“ข้าน้อยหลัวซิว คารวะท่านอาวุโส”

หลัวซิวลุกขึ้นยืน พร้อมโค้งทำความเคารพ เขาไม่สามารถรู้ผลการฝึกตนของชายตรงหน้าได้เลย แต่สิ่งที่สามารถมั่นใจได้คือ เป็นคนที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าผู้แข็งแกร่งคนใดที่เขาเคยได้พบเจอ

“เฮ้อ โลกการฝึกยุทธ์สมัยนี้ตกต่ำจนถึงเพียงนี้แล้วหรือ สี่องค์กรใหญ่ในสมัยโบราณ คนที่สามารถรับหน้าที่ผู้ลาดตระเวนได้ อย่างน้อยต้องได้รับป้ายชื่อเป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นหนึ่ง ในตอนนี้แค่เพียงมกุฏยุทธ์ตัวเล็ก ๆ ก็สามารถเป็นผู้ลาดตระเวนได้แล้ว?” ทันใดนั้นกลางมือซ้ายของหลัวซิว ก็มีเสียงของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำถอนหายใจออกมา

หลัวซิวมองผลการฝึกตนของมู่จื่อซิวไม่ออก แต่จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำมีนิมิตแห่งการหยั่งรู้ เพียงการเหนี่ยวยำเพียงเล็กน้อย ก็สามารถรู้ได้ในทันทีว่าเป็นผลการฝึกตนระดับมกุฏยุทธ์

และจากปากของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำ หลัวซิวก็รู้ได้ทันทีว่าป้ายชื่อมหาจักรพรรดิยุทธ์ในสมัยโบราณช่างเป็นการดำรงอยู่ที่ทรงพลัง เห็นได้ชัดว่าตำแหน่งผู้ลาดตระเวนขององค์กรนักล่ายุทธ์ ไม่ใช่คนธรรมดาที่จะสามารถรับมือได้อย่างแน่นอน

พูดถึงองค์กรนักล่ายุทธ์นี้ ถึงแม้หลัวซิวจะเป็นสมาชิกอัจฉริยะภายในองค์กร แต่กลับไม่เคยได้สัมผัสกับระดับสูงขององค์กร ดังนั้นเรื่องที่เขารู้จึงมีไม่มากนัก

“อายุเพียงสิบเจ็ดปีก็สามารถฝึกตนบรรลุถึงแดนราชายุทธ์ ผู้น้อยซิวหลัวมีพรสวรรค์สูงยิ่งนัก นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้พบเจอ”

มู่จื่อซิวยิ้มและพยักหน้าอย่างพึงพอใจ จากนั้นก็สาวเท้าเดินเข้ามา นั่งลงตรงข้ามกับหลัวซิว

หลังจากนั้น สายตาของเขาก็หยุดลงบนร่างของหลงหมิงที่อยู่ข้าง ๆ หลัวซิว “เพียงแค่ผลการฝึกตนแดนราชายุทธ์ ก็สามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้ ความสมบูรณ์แบบของพวกตระกูลมารอย่างเจ้า ทำให้ข้าไม่ค่อยเข้าใจเสียเท่าไร”

“เจ้าสามารถมองออกว่าข้าคือตระกูลมาร?” หลงหมิงตกใจจนลุกขึ้นยืน

หลังจากกลั่นปีกทิพย์ไร้มลทิน พลังของหลัวซิวก็ก้าวกระโดดอีกครั้ง ยกระดับไปสู่ระดับใหม่ทั้งหมด

เมื่อออกจากถ้ำผา ใบหน้าของหลัวซิวก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม หลงหมิงที่อยู่ข้าง ๆ เขานั้น กำลังรู้สึกท้อแท้จนถึงขีดสุด ปากก็พึมพำอยู่เพียงคำเดียว ขาดทุนมาก ขาดทุนมาก ๆ …

ในเขตทะเลสาบน้ำลึก บางครั้งก็จะได้พบกับนักยุทธ์บางคนที่เข้ามาหาประสบการณ์ ส่วนใหญ่ต่างก็อยู่ในระดับพรสวรรค์หรือไม่ก็ฝึกจิต

หลัวซิวกับหลงหมิงต่างก็ไม่ได้มิได้ปิดบังลมปราณ ระหว่างทางได้พบกับนักยุทธ์ผู้ที่มาหาประสบการณ์ ทุกคนต่างแสดงความเคารพนับถือต่อพวกเขาทั้งสองคน

ค้นพบปีกทิพย์ไร้มลทินบนเกาะที่ไม่มีชื่อ นักยุทธ์แดนราชายุทธ์ตายไปห้าคน แหวนเก็บของของพวกเขาแน่นอนว่าจะต้องตกเป็นของหลัวซิว

ในแหวนเก็บของทั้งห้าคน หลัวซิวพบว่ามีแผ่นสีเขียวที่เหมือนกับป้ายบัญชาการไม่มีผิด

ป้ายบัญชาการมีขนาดเท่าฝ่ามือ มีเนื้อโลหะหนัก ด้านหน้าสลักคำว่า ‘ราชา’ มียอดสูงตระหง่านแกะสลักไว้ทางด้านบน เมฆปกคลุมทิวเขา มีบรรยากาศที่แปลกตา

“บัญชาแต่งตั้งราชา?”

เมื่อหลัวซิวหยิบป้ายบัญชาการออกมาดูรายละเอียด วิญญาณจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำที่ฝ่ามือซ้าย ทันใดนั้นก็มีอาการตื่นตระหนก

“บัญชาแต่งตั้งราชามันคืออะไรกัน?” หลัวซิวอดไม่ได้ที่จะถาม สามารถทำให้มหาจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งตื่นตระหนกจิตใจเต้นรัวได้เช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าป้ายบัญชาการอาจจะไม่ใช่ธรรมดา

เดิมทีเขาคิดว่าป้ายบัญชาการ อาจจะเป็นสัญลักษณ์สถานะของห้าแดนราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่งเท่านั้น

“ในสมัยโบราณ มีแดนปริศนาหกแห่ง ที่มีชื่อเสียงมากที่สุด แบ่งเป็นแดนแต่งตั้งราชา แดนปริศนาจักรพรรดิยุทธ์ แดนปริศนามกุฏยุทธ์แดนปริศนาเทพศักดิ์สิทธิ์ แดนปริศนาเจ้ายุทธจักร แดนปริศนามหาจักรพรรดิยุทธ์!”

“หนึ่งในนั้น แดนแต่งตั้งราชาเปิดทุกหนึ่งร้อยปี แดนปริศนาจักรพรรดิยุทธ์เปิดทุกสามร้อยปี แดนปริศนามกุฏเปิดทุกห้าร้อยปี แดนปริศนาเทพศักดิ์สิทธิ์เปิดทุกเจ็ดร้อยปี แดนปริศนาเจ้ายุทธจักรเปิดทุกเก้าร้อยปี แดนปริศนามหาจักรพรรดิยุทธ์เปิดทุกหนึ่งพันห้าร้อยปี”

“แดนปริศนาใหญ่ทั้งหกแห่งนี้ ยังเป็นที่รู้จักกันในนามแดนปริศนา ทุกครั้งที่เปิดออก ผู้แข็งแกร่งทุกฝ่ายจะรวมตัวกันเพื่อชิงตำแหน่ง!”

“แดนปริศนาทุกทุกแห่ง เฉพาะผู้แข็งแกร่งสิบอันดับแรกเท่านั้นที่จะได้รับตรา เป็นตัวแทนสิบมหาจักรพรรดิยุทธ์ผู้ทรงพลังที่สุดจากแดนราชายุทธ์!”

“ป้ายบัญชาการชิ้นนี้ในมือเจ้า เป็นหนังสือรับรองการเข้าเมืองสำหรับแดนแต่งตั้งราชา ในสมัยโบราณ มีเพียงผลการฝึกตนบรรลุถึงแดนราชายุทธ์ขั้นเก้า ถึงจะสามารถได้รับบัญชาแต่งตั้งราชา ในช่วงเวลาที่แดนปริศนาเปิดออก”

“แดนปริศนาใหญ่ทั้งหก มันมีอยู่นานก่อนสมัยโบราณและมีความลึกลับที่ซ่อนอยู่ เมื่อได้รับป้ายชื่อ จะถูกสลักชื่อไว้บนอนุสาวรีย์ มันสามารถดึงดูดความสนใจของทุกคน ทิ้งชื่อในประวัติศาสตร์ ดึงดูดกองกำลังนับไม่ถ้วนเข้ามาแข่งขัน”

“ยกตัวอย่างแดนแต่งตั้งราชาระดับต่ำสุด แดนราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่งทั่วทั้งโลกแสงดาวมีมากเพียงใด? สามารถโดดเด่นท่ามกลางผู้แข็งแกร่งแดนราชายุทธ์นับไม่ถ้วน ครอบครองสิบอันดับแรกเพื่อรับป้ายชื่อ แต่ละคนมีความสามารถในการฆ่าศัตรูที่โดดเด่น ตราบใดที่ความสามารถไม่ลดลงกลางคัน ความสำเร็จในอนาคตของจะไร้ขีดจำกัด!”

“สำหรับคนที่จะสามารถได้รับรับป้ายชื่อ ผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ หากทุก ๆ คนกระทืบเท้า ทั่วทั้งโลกแสงดาวต่างก็จะสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว แม้ว่าผลการฝึกตนจะถึงจุดสูงสุด ได้ก้าวข้ามแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ เป็นผู้แข็งแกร่งที่ก้าวสู้ความเป็นอมตะ ต่างก็ได้รับสมยานามว่ามหาจักรพรรดิยุทธ์ เป็นแบบอย่างของการฆ่าตัดหัว!”

“แข็งแกร่งเช่นนั้นเชียวหรือ?” หลัวซิวเผยสีหน้าประหลาดใจ

สิ่งที่ต้องรู้คือ ผลการฝึกตนแห่งโลกยุทธ์ยิ่งไปถึงช่วงหลังมากเท่าไร ความท้าทายนั้นก็จะยิ่งยากมากขึ้น โดยเฉพาะผลการฝึกตนบรรลุถึงระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ ผู้แข็งแกร่งทุกคนที่สามารถฝึกตนจนถึงระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ พวกเขาทั้งหมดน่าทึ่ง มีความสามารถ และไม่มีใครเทียบได้ในโลก

ผู้ที่สามารถก้าวข้ามมหาจักรพรรดิยุทธ์ได้ ผู้แข็งแกร่งที่บรรลุถึงระดับที่สูงขึ้น จะเป็นคนที่อยู่เหนือระดับทั่วไป

และในกรณีนี้ยิ่งสามารถฆ่าศัตรูได้ ยิ่งดูน่ากลัวยิ่งขึ้นไปอีก

จากคำพูดของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำ สมัยโบราณแดนราชายุทธ์ที่สามารถได้รับป้ายชื่อ ทุก ๆ คนต่างก็เป็นอัจฉริยะที่สามารถฆ่าตัดหัวจักรพรรดิยุทธ์ได้!

การฆ่าและการเอาชนะมีความหมายต่างกันโดยสิ้นเชิง

อย่างน้อย ๆ หลัวซิวถามตัวเอง ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขา ยังไม่สามารถฆ่าตัดหัวจักรพรรดิยุทธ์ได้ แม้เพียงแค่จะสู้ให้ชนะยังไม่สามารถทำได้เลย

แน่นอนว่า หากเขาสามารถบรรลุถึงแดนราชายุทธ์ขั้นเจ็ดขึ้นไป บางทีอาจจะสามารถทำได้ถึงจุดนั้น

“ความหนาวเหน็บของโลกแห่งการฝึกยุทธ์ โลกปัจจุบันไม่รุ่งเรืองเหมือนสมัยโบราณ เพียงแค่แดนราชายุทธ์ขั้นสามและขั้นสี่ไม่กี่คนที่เหมือนกับมด กลับมีเจ้าสมบัติที่จะได้ครอบครองบัญชาแต่งตั้งราชาแล้ว” จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำพูดด้วยอารมณ์

สมัยโบราณ จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำก็เคยเข้าร่วมการต่อสู้แต่งตั้งราชา แต่ไม่ได้รับการแต่งตั้งป้ายชื่อ

ถึงอย่างนั้นเขายังคงเป็นหนึ่งในสามผู้อาวุโสของสำนักไท่เสวียน แต่อัจฉริยะเหล่านั้นที่แข็งแกร่งกว่าพรสวรรค์ของเขา ตราบใดที่ไม่มีการล้มลงตรงกลาง แต่ละคนก็กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ยืนอยู่บนโลกยุทธ์ขั้นสูง

เมื่อเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดของบัญชาแต่งตั้งราชา หลัวซิวอดไม่ได้ที่จะแต่อารมณ์เสียนิดหน่อย

เขาอยากจะรู้ว่า ในโลกปัจจุบัน เทียบกับผู้แข็งแกร่งแดนราชายุทธ์คนอื่น ๆ ตัวเขาเองอยู่ในระดับใด?

หากสามารถต่อสู้อย่างภาคภูมิใจกับอัจฉริยะทุกคนในแดนเดียวกันได้ จะต้องเป็นโอกาสที่หายากในการลับคมตัวเขาเอง

และตามที่จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำพูด ยังมีโอกาสอีกมากท่ามกลางแดนแต่งตั้งราชา มันจะมีประโยชน์อย่างมากกับการพัฒนาพลังและความแข็งแกร่งของเขา

“เหย ๆ แดนแต่งตั้งราชาในสมัยโบราณ ข้าเคยได้ยินเกี่ยวกับมัน แต่ยังไม่เคยไปที่นั่น ครั้งนี้ไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องไปลองสักครั้ง”

หลัวซิวบอกเรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับบัญชาแต่งตั้งราชาให้หลงหมิงฟัง เขาก็กระตือรือร้นที่จะลองขึ้นมาทันใด

“แดนแต่งตั้งราชาอยู่แห่งใด?” หลัวซิวถามจักรพรรดิ์ยุทธ์เสวียนดำ

“เจ้าเอาพลังจิตแท้อัดฉัดเข้าไปที่บัญชาแต่งตั้งราชา ก็จะสามารถรับรู้ได้ถึงสถานที่ตั้งของแดนปริศนาได้เอง” จักรพรรดิ์ยุทธ์เสวียนดำเอ่ยตอบ

“ด้วยความพลังของเจ้าในตอนนี้ หากไปที่แดนแต่งตั้งราชาในสมัยโบราณ ก็เหมือนรนหาที่ตาย แต่ในโลกปัจจุบันการฝึกยุทธ์นั้นแตกต่างจากสมัยก่อนมาก ไม่แน่เจ้าอาจจะมีโอกาสได้รับป้ายชื่อจริง ๆ ก็เป็นได้”

จากคำของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำ หลัวซิวนำเอาพลังจิตแท้ใส่เอาไปในบัญชาแต่งตั้งราชาบนฝ่ามือ แสงสีเขียวที่อยู่บนป้ายบัญชาการแพร่กระจายออกมา เขาจ้องมองไปทางทิศเหนือ ตามการเหนี่ยวนำจากป้ายบัญชาการ แดนปริศนาไปทางทิศทางนี้

บริเวณของสมาคมเป่ยเซี๋ยนั้นใหญ่มาก ตามที่หลัวซิวได้แผนที่คร่าว ๆ มา ที่ตั้งของแดนแต่งตั้งราชา น่าจะอยู่บริเวณใจกลางเมืองของสมาคมเป่ยเซี๋ย

ระหว่างทางบางครั้งก็อาศัยค่ายวาร์ปจากคูเมืองใหญ่ ๆ เพื่อเพิ่มความเร็วในการเดินทาง ทั้งหลัวซิวและหลงหมิง ยังใช้เวลาเกือบสิบวัน

แดนแต่งตั้งราชา ตั้งอยู่บนดินแดนรกร้าง ที่นี่คือคูเมืองเก่าแก่แห่งหนึ่ง ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยโบราณ ผ่านกาลเวลามาเนิ่นนาน

ใจกลางคูเมือง มีหอคอยเก้าชั้น ปีนขึ้นไปที่ชั้นเก้าของหอคอยนี้ สามารถเข้าไปแดนแต่งตั้งราชาได้

และในเวลานี้ เหนือส่วนบนของหอแต่งตั้งราชา มีเส้นอักษรสีทองแขวนอยู่ในอากาศ ลอยอยู่ในความว่างเปล่า

“คิงเฟยหลิง!”

สามคำนี้มีสีทองเปล่งประกาย ราวกับจะส่องแสงตลอดไป

“คิงเฟยหลิง? คนนี้น่าจะได้อันดับหนึ่งในแดนแต่งตั้งราชาเมื่อร้อยปีก่อน เป็นผู้แข็งแกร่งที่ได้รับป้ายชื่อล่ะซิ?” หลัวซิว กล่าวด้วยความประหลาดใจ

“เจ้าพูดถูกแล้ว หอแต่งตั้งราชานั้นมีทั้งหมดเก้าชั้น เริ่มจากชั้นล่างสุด แต่ละชั้นจะสลักป้ายชื่อแห่งแดนราชายุทธ์เอาไว้ และคนที่แข็งแกร่งที่สุดป้ายชื่อจะถูกประดับไว้เหนือหอแต่งตั้งราชา ให้โลกเคารพ!” เสียงของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำดัวขึ้น

หลัวซิวได้ยินเช่นนั้นดวงตาก็เป็นประกาย เขาได้ฝึกตนท่าร่างทำลายเสมือนมังกรเขียวแล้ว ชดเชยข้อบกพร่องในแง่ของความเร็ว ถ้ารับได้ปีกทิพย์ไร้มลทิน แล้วต่อให้เจอจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่ง สู้ไม่ได้อย่างน้อยก็ช่วยชีวิตไว้ได้ ไร้ซึ่งความกังวล

“ไอ้หนุ่ม ปีกทิพย์ไร้มลทินนี้ข้าเป็นคนเจอนะเว้ย” หลงหมิงถลึงตาใส่หลัวซิว

มังกรมีความโลภ ยิ่งไปว่านั้นท่ามกลางตระกูลมังกรทั้งหมดมังกรไร้ร่างเป็นครอบครัวที่โลภมากที่สุด ถ้าหากว่าปีกทิพย์ไร้มลทินนี้ไม่ได้มีประโยชน์อะไรต่อเขานั่นก็อีกเรื่อง แต่มันกลับมีประโยชน์ต่อเขานี่สิ หลงหมิงต้องไม่ยอมเปิดทางให้หลัวซิวง่าย ๆ แน่นอน

“เจ้าครอบครองพลังแห่งโซน ความเร็วนั้นจริง ๆ ก็เร็วมากอยู่แล้ว ปีกทิพย์ไร้มลทินอยู่กับข้า มีประโยชน์มากกว่าอยู่กับเจ้ามากนัก” หลัวซิวพูดพลางยิ้ม

“เฮอะ ไอ้หนุ่มคิดจะจับเสือมือเปล่า ไม่มีทางเป็นไปได้” หลงหมิงไม่มีท่าทางว่าจะล่าถอย

“งั้นเจ้าจะเอาอย่างไร?” หลัวซิวพูดพร้อมรอยยิ้ม

หลงหมิงกรอกตา “ยอมเอาปีกทิพย์ไร้มลทินเอาให้เจ้าก็ได้ แต่เจ้าต้องกลั่นยากลั่นจิตอัคคีม่วงให้ข้าสิบเตา”

ยากลั่นจิตอัคคีม่วงคือยาระดับ6ยกระดับผลการฝึกตน โดยเฉพาะสำหรับจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งบรรลุถึงแดนเล็กแล้ว สามารถปรับปรุงอัตราความสำเร็จได้ไม่น้อยเลย

กลั่นยากลั่นจิตอัคคีม่วง หนึ่งเตามีกลั่นได้เก้าเม็ด สิบเตาได้เก้าสิบเม็ด ยาพวกนี้รวมเข้าด้วยกัน มากพอจะทำให้หลงหมิงใช้เวลาเพียงสั้น ๆ ยกระดับผลการฝึกตนจนบรรลุถึงระดับจักรพรรดิยุทธ์

“ไอ้บ้า เจ้าคิดว่ายากลั่นจิตอัคคีม่วงสามารถเก็บได้ข้างทางหรือไง?” หลัวซิวเบิกตากลมโต คิดไม่ถึงว่าไอ้สารเลวหลงหมิงจะฉวยโอกาสเรียกร้องอย่างบ้าคลั่งขนาดนี้

“เจ้าต้องการให้ข้ากลั่นยาก็ย่อมได้ แต่เจ้าต้องเตรียมวัตถุดิบเอง ข้าจะกลั่นให้เจ้าโดยไม่มีค่าตอบแทน” หลัวซิวพูดพลางทำปากมุ่ย

ยากลั่นจิตอัคคีม่วงสิบเตา แค่เพียงต้นทุนในการกลั่นก็ปาเข้าไปราวแสนหินพลังจิตชั้นสูง หลัวซิวหลังจากคำนวณความมั่งคั่งในปัจจุบันแล้ว น่าจะกลั่นได้ประมาณสองเตา หลังจากนั้นก็ล้มละลายทันที

“ไอ้หนุ่ม เจ้ารู้ราคาของปีกทิพย์ไร้มลทินหรือ? แค่เพียงยากลั่นจิตอัคคีม่วงสิบเตาจะเอามาเทียบได้อย่างไร?” หลงหมิงพูดพลางถลึงตากลับ

“สิบเตาเป็นไปไม่ได้ ข้ากลั่นให้เจ้าได้มากที่สุดคือหนึ่งเตา” หลัวซิวกล่าวอย่างเด็ดขาด

ทั้งสองทะเลาะกันเป็นเวลานาน ไม่มีใครไม่ยอมแพ้ต่อกัน ท้ายที่สุดหลัวซิวก็รับปากช่วยหลงหมิงกลั่นยาหนึ่ง ที่เหลืออีกเก้าเตา จำเป็นต้องให้หลงหมิงไปหาวัตถุดิบมาเอง

ความจริงแล้วหลงหมิงเองก็รู้ดีว่า หากหลัวซิวตั้งใจจะแย่งชิงปีกทิพย์ไร้มลทินจริง ๆ ด้วยการควบคุมของวิชาสยบวิญญาณ ควบคู่ไปกับความแข็งแกร่งที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้ของเขา ตัวหลงหมิงเองนั้นไม่มีทางจะแย่งชิงมาได้เลย

หลังจากผลการเจรจาเสร็จสิ้น ทันใดนั้นหลัวซิวก็แทบจะอดใจไม่ได้ที่จะบินขึ้นไปในอากาศ เขาสาวเท้าก้าวไปบนอากาศ เดินเข้าไปตรงหน้าที่มีปีกทิพย์ไร้มลทินรอยเคว้งอยู่

เขาสะบัดนิ้ว พลังจิตแท้สองระดับความเป็นตายพุ่งออกมาราวกับลูกธนู ตกลงบนปีกคู่นั้นของปีกทิพย์ไร้มลทิน ในพลังจิตแท้เต็มไปด้วยรังสีวิญญาณของเขา

ก้าวแรกของการกลั่นสมบัติพรสวรรค์ คือต้องประทับตราวิญญาณของตนลงไป

ภายในถ้ำผาที่อยู่กลางถ้ำนั้นมีพลังฟ้าดินจิตเข้มข้นเกินบรรยาย ในระยะเวลาที่หลัวซิวกลั่นปีกทิพย์ไร้มลทิน หลงหมิงก็นั่งฝึกตนอยู่ข้าง ๆ

ใช้เวลาเกือบครึ่งเดือน หลัวซิวจึงสามารถกลั่นปีกทิพย์ไร้มลทินได้อย่างสมบูรณ์แบบ ปีกคู่หนึ่งโปร่งใสราวกับปีกจักจั่นกลายเป็นลำแสง และบินเข้าไปในร่างของเขาที่กระดูกสันหลังทั้งสองข้างของเขา สองลายเส้นที่มีความลึกลับไม่รู้จบปรากฏขึ้น

เมื่อขยับใช้ความคิด พลังจิตแท้สองระดับความเป็นตายฉีดเข้าไปกลางลายเส้นด้านหลัง ตามด้วยเสียงดังปัง ปีกคู่ขาวดำคู่หนึ่งยาวกว่าสามเมตร ทันใดนั้นมันก็กางออกด้านหลังหลัวซิว

หลัวซิวหลับตาช้า ๆ ในภวังค์ ดูเหมือนว่าจะมีความรู้สึกว่าข้อจำกัดทั้งหมดระหว่างสวรรค์และโลกได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย

ฟ้าดิน มีกฎเกณฑ์เป็นพันธนาการ เมื่อความเร็วถึงระดับหนึ่ง จะถูกระงับโดยกฎฟ้าดิน ดังนั้นความเร็วยิ่งเร็ว ยิ่งอยากจะยกระดับยิ่งยากลำบาก

แต่ปีกทิพย์ไร้มลทินที่เกิดจากฟ้าดิน สามารถกำจัดพันธนาการของกฎฟ้าดินนี้ได้ ไม่มีแรงต้านของอากาศ หรือการปราบปรามกฎพื้นที่

ซวบ!

ตัวของหลัวซิวขยับเคลื่อนไหว หายวับไปทันใด และในวินาทีต่อมาก็ปรากฏตัวขึ้นข้างหลังหลงหมิง

หลงหมิงที่กำลังฝึกตนก็รู้สึกตัวขึ้นทันที รู้สึกหนาวที่หลังกระดูกสันหลัง

“โซนเทเลพอร์ต?” เขาหันหน้าไปทางหลัวซิว ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ

“ไม่ถูกสิ ไม่มีการเคลื่อนไหวของพลังแห่งโซน นี่ไม่ใช่โซนเทเลพอร์ต แต่ความเร็วนั้นรวดเร็วมากเหลือเกิน บรรลุผลคล้ายกับเทเลพอร์ต”

หลงหมิงอ้าปากค้าง ตาสีแดงจ้องไปที่หลัวซิว “ข้าขาดทุนย่อยยับเลย!”

เขาเคยได้ยินเกี่ยวกับปีกทิพย์ไร้มลทินในสมัยโบราณเท่านั้น แต่ไม่ได้คาดหวังว่าผลของปีกทิพย์ไร้มลทินจะยอดเยี่ยมขนาดนี้

ก่อนจะได้รับปีกทิพย์ไร้มลทิน ถึงแม้เขาจะรู้สึกว่าตัวเขาเองยังไม่สามารถสู้กับหลัวซิวได้ แต่ถ้าอยากหนี ด้วยพรสวรรค์ที่จะเชี่ยวชาญพลังแห่งโซน ก็จะสามารถไปมาได้ดั่งใจ

แต่ตอนนี้หลัวซิวได้รับปีกทิพย์ไร้มลทินแล้ว เหมือนความช่วยเหลือจากสวรรค์ ในแง่ของความเร็วในการบิน เขาสามารถตามทันตนได้แล้ว

นอกจากนี้ยังหมายถึง ถ้าหลัวซิวต้องการฆ่าเขา เกรงว่าเขาจะไม่รอดด้วยซ้ำ

การเอาชนะและการฆ่าเป็นสองแนวคิดที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง!

“เจ้าสำแดงโซนเทเลพอร์ตในระยะทางที่กว้างที่สุดคือเท่าไร?” หลัวซิวถามพร้อมรอยยิ้ม

“ถามเช่นนี้ทำไมกัน?” หลงหมิงขมวดคิ้ว ดวงตาของเขาแสดงให้เห็นอย่างชัดเจน เข้าใจความหมายที่หลัวซิวจะสื่อ พลางตอบอย่างภาคภูมิใจ “ขีดจำกัดคือ 500 เมตรล่ะมั้ง ผลการฝึกตนบรรลุถึงแดนเล็กหนึ่งแดน จะสามารถเพิ่มขึ้นได้อีกหนึ่งร้อยเมตร หากบรรลุถึงแดนจักรพรรดิยุทธ์ แค่คิดก็สามารถเคลื่อนย้ายได้ไกลสองหรือสามลี้”

มังกรไร้ร่างเป็นตระกูลที่เกิดมาเพื่อครอบครองพื้นที่ มันน่าภูมิใจจริง ๆ อย่างน้อย ๆ กลวิธีโซนเทเลพอร์ตนี้ ในการต่อสู้จะสามารถเป็นผูนำได้

“เจ้าใช้พลังปีกทิพย์ไร้มลทิน ขีดจำกัดความเร็วคือเท่าไร?” หลงหมิงถามพลางมองไปทางหลัวซิวด้วยความสงสัย ตั้งใจว่าจะลองถามหยั่งเชิงดู

หลัวซิวยิ้มบาง ๆ ร่างนั้นหายไปในทันใด และครู่ต่อมาก็ปรากฏขึ้นในระยะไกล

“ก็ประมาณ500เมตรหรือ?” หลงหมิงตาแดงก่ำขึ้นมาทันที “ไอ้หนุ่ม เจ้าต้องกลั่นยาเพิ่มให้ข้าอีกสิบเตา!”

พื้นที่ในถ้ำผานั้นค่อนข้างกว้าง หลัวซิวข้ามระยะทาง 500 เมตรด้วยความคิดเดียวที่ความเร็วถึงขีดจำกัด ความรู้สึกของการกำจัดความยับยั้งชั่งใจและการปราบปรามกฎฟ้าดินนั้นช่างสดชื่นเสียจริง

สำหรับเสียงโห่ร้องของหลงหมิง หลัวซิวไม่ได้เก็บมาใส่ใจ เขาคิดอีกครั้ง เท้าของเขาก็เปร่งแสงรัศมีสีเขียว เสียงมังกรคำรามที่แผ่วเบากลับดังก้อง และร่างของเขาก็หายไปในทันที

ด้วยท่าร่างทำลายเสมือนมังกรเขียวรวมกับปีกทิพย์ไร้มลทิน คราวนี้เขาเดินทางเป็นระยะทางกว่า 700 เมตรด้วยความเร็วถึงขีดจำกัด!

ความเร็วนี้ แซงหน้าความสามารถของหลงหมิง ในการควบคุมการเคลื่อนย้ายโซน!

“ไอ้บ้าเอ๊ย เอาปีกทิพย์ไร้มลทินของข้าคืนมา!”

หลงหมิงนัยน์ตาแดงก่ำ ความเสียใจเอ่อล้นเต็มหัวใจ หากให้เขาเลือกอีกครั้ง ต่อให้เอายามาแลกร้อยเตา เขาก็จะไม่มีวันยกปีกทิพย์ไร้มลทินให้หลัวซิวแน่นอน

แต่ว่าตอนนี้ปีกทิพย์ไร้มลทินถูกหลัวซิวกลั่นแล้ว แน่นอนว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะเอามันออก

เขารู้ดี ตอนนี้ที่หลัวซิวมาถึงแล้ว สมบัติชิ้นนี้ต้องถูกแบ่งโดยผู้ที่พบเห็น เป็นไปไม่ได้ที่มันจะตกไปอยู่ในมือของเขาทั้งหมด

“ใครกัน?”

และในเวลานี้เอง นักยุทธ์ทั้งสามที่กำลังต่อสู้กันกลางหุบเขา หนึ่งในนั้นได้กวาดตัวสำนึกเข้ามา พบเข้ากับหลัวซิวและหลงหมิงทั้งสองคน

ก่อนหน้านี้หลงหมิงรวมร่างกายให้เป็นหนึ่งเดียวกับอากาศ ไม่กลัวการสำรวจของตัวสำนึก แต่หลัวซิวกลับทำได้เพียงซ่อนลมหายใจ แต่ไม่สามารถซ่อนร่างกายได้ เมื่ออีกฝ่ายกวาดตัวสำนึกเข้ามา พวกเขาจึงถูกพบเจอ

พบว่ามีคนอื่นอยู่ใกล้ ๆ นักยุทธ์ทั้งสามที่กำลังต่อสู้กันนั้นก็ค่อย ๆ วางมือ ทั้งหมดบินขึ้นไปบนท้องฟ้า และมุ่งตรงมาทางที่ที่หลัวซิวและหลงหมิงยืนอยู่

นักยุทธ์สามคนนี้ ต่างก็เป็นผลการฝึกตนแดนราชายุทธ์ ชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่มีผมสีดำยาวคลุมไหล่มีผลการฝึกตนแดนราชายุทธ์ขั้นสี่ ส่วนอีกสองคน คนหนึ่งหญิงคนหนึ่งชาย ดูเหมือนจะเป็นคู่สามีภรรยา ต่างก็มีผลการฝึกตนแดนราชายุทธ์ขั้นสาม ก่อนหน้านี้ได้ร่วมมือกันต่อกรกับชายผมดำยาวมาตลอด

“เดี๋ยวค่อยพูดว่าใครเป็นเจ้าของสมบัติทั้งหมดในภายหลัง ตอนนี้ฆ่าสองคนนี้ก่อน!” ชายผมยาวตะโกนอย่างเย็นชา

“ได้!”

ครู่เดียว แดนราชายุทธ์ทั้งสามคนตรงหน้าไม่พูดอะไรและลงมือจัดการหลัวซิวโดยตรง ส่วนคู่สามีภรรยานั้นก็มุ่งไปฆ่าหลงหมิง

หลัวซิวยืนอยู่ที่เดิม สีหน้าเย็นชา กระบี่อาถรรพ์ฟันเสือที่อยู่ด้านหลังก็ถูกดึงออกจากฝัก วิชาภูตผีเซินหลัวโหมกระหน่ำขึ้นมา!

ลมหายใจแห่งความตายอันน่าสะพรึงกลัวแผ่ขยายออกไป เพียงชั่วพริบตารัศมีของชายผมยาวสลายไปอย่างสิ้นเชิง เพลิงมรณะกลายเป็นกระดูกญาณ เสียงกึกดังขึ้นกระดูกญาณกัดลงไปบนร่างของชายผมยาวทันที ทันใดนั้นหมอกโลหิตก็เต็มอากาศ เป็นถึงผู้แข็งแกร่งแห่งแดนราชายุทธ์ขั้นสี่ ไม่แม้แต่จะมีโอกาสได้พ่นลมหายใจ เขาถูกฆ่าตายในทันทีด้วยกระบวนท่าเดียว

นี่คือพลังของหลัวซิวในตอนนี้ ถึงแม้จะมีเพียงผลการฝึกตนแห่งแดนราชายุทธ์ขั้นหนึ่ง แต่ระดับต่ำกว่าแดนราชายุทธ์ขั้นเจ็ด มีไม่กี่คนที่สามารถต้านทานการเคลื่อนไหวของเขาได้

สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ เข้าตาคู่สามีภรรยาวัยกลางคน มันทำให้พวกเขาตื่นตระหนกและหวาดกลัวจนสุดขีด ลมปราณบนร่างของชายหนุ่มชุดคลุมยาวดำคนนั้น เห็นได้ชัดว่าเป็นเพียงแดนราชายุทธ์ขั้นหนึ่ง เป็นไปได้อย่างไรที่จะฆ่าแดนราชายุทธ์ขั้นสี่ในคราเดียว?

แม้ว่าจะมีองค์ประกอบเป็นความประมาทของชายผมยาว แต่สามารถทำได้ขนาดนี้ อย่างน้อย ๆ ก็ตั้งเป็นผู้แข็งแกร่งแดนราชายุทธ์ขั้นเจ็ดถึงจะทำได้เท่านั้น?

“โซนคุมขัง!”

ณ ขณะนี้ หลงหมิงก็ลงมือแล้ว ยกมือขึ้นและคว้าขึ้นไปในความว่างเปล่า พลังกักขังอันทรงพลังปิดกั้นพื้นที่ จัดการทำให้คู่สามีภรรยาวัยกลางคนที่มีผลการฝึกตนแดนราชายุทธ์ขั้นสาม ลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ

“พลังแห่งโซน?” คู่สามีภรรยาวัยกลางคนตกใจอีกครั้ง เมื่อนั้นพวกเขาจึงเข้าใจว่าทั้งสองคนนั้นแข็งแกร่งเพียงใด คนหนึ่งสามารถฆ่าแดนราชายุทธ์ขั้นสี่ได้ในการโจมตีครั้งเดียว อีกคนครอบครองพลังแห่งโซน พลังผลการฝึกตนประเภทนี้ แน่นอนว่าต้องเป็นแดนราชายุทธ์ช่วงหลังขึ้นไปแน่นอน

หลัวซิวไม่ได้ลงมือต่อ ด้วยพลังของหลงหมิง การฆ่าแดนราชายุทธ์ขั้นสามทั้งสองคนนั้น เป็นแค่เรื่องที่ทำได้อย่างง่ายดายเท่านั้น

ผลการฝึกตนแดนราชายุทธ์ขั้นหนึ่งเหมือนกัน แต่ถึงอย่างไรหลงหมิงก็เปรียบเสมือนการคงอยู่ของมหาจักรพรรดิยุทธ์สมัยโบราณ บวกพรสวรรค์การครอบครองพลังแห่งโซน ถ้าไม่ใช้ไม้ตายสุดท้าย พลังของหลัวซิวโดยประมาณก็คงจะพอ ๆ กับหลงหมิง

และถึงแม้จะใช้ไม้ตายสุดท้าย อย่างมากที่สุดเขาก็น่าจะเอาชนะหลงหมิงได้ หากต้องการหลบหนีด้วยความเร็วของการเคลื่อนย้ายโซน ยังไงก็ไม่สามารถตามทัน

ซวบ!

ร่างของหลงหมิงหายไปในทันที วินาทีถัดมาก็ปรากฏตัวขึ้นหลังชายวัยกลางคน

นี่ไม่ใช่ผลจากความเร็วอันสุดโต่งของเขา แต่เป็นการเคลื่อนย้ายโซนในระยะทางสั้น ๆ หากเปรียบกับความเร็วที่บริสุทธิ์ ยังเร็วได้มากกว่านี้อีก

ทันทีที่เขาชี้ออกไป พื้นที่รอบ ๆ ชายวัยกลางคนก็แตกเป็นเสี่ยง และชิ้นส่วนโซนจำนวนนับไม่ถ้วนก็หมุนไปอย่างรวดเร็ว ก่อตัวเป็นกระแสน้ำวน ซึ่งมีพลังบีบรัดที่น่าสะพรึงกลัว

“อ๊าก! อ๊าก! …”

รอบกายชายวัยกลางคนเต็มไปด้วยพลังจิตแท้ ดิ้นรนอย่างหนัก แต่ก็ไม่เป็นผล

หลัวซิวมองดูแวบหนึ่ง ก็เก็บสายตากลับมา ด้วยพลังของหลงหมิงเผชิญหน้ากับแดนราชายุทธ์ขั้นสามสองคน เห็นได้ชัดว่าเป็นเรื่องที่ง่ายดาย

เหยียบขึ้นไปบนอากาศ หลัวซิวก้าวขึ้นไปในอากาศไม่กี่ก้าว ปรากฏตัวในหุบเขา และเมื่อกวาดสายตาข้ามหุบเขา เขาก็สังเกตเห็นถ้ำลึกแห่งหนึ่ง

ตัวสำนึกกวาดไปรอบ ๆ ถ้ำ ไม่พบสัญญาณอันตรายใด ๆ หลัวซิวลงมาจากกลางอากาศและเดินเข้าไป

หลังจากเข้าไปในถ้ำแล้ว พลังฟ้าดินจิตที่เข้มข้นก็พุ่งเข้าปะทะใบหน้าเขา ทางเดินในถ้ำมีทางคดเคี้ยว มืดมิด และอับชื้น

และภายในถ้ำนั้น บางทีอาจจะเป็นเพราะพลังฟ้าดินจิตเข้มข้นจนเกินไป จึงส่งผลให้ตัวสำนึกได้รับผลกระทบและถูกขัดขวาง จีงสามารถตรวจจับได้ในระยะประมาณ 300 เมตรเท่านั้น

ตามที่หลงหมิงพูดไว้ เขาบังเอิญได้ยินการสนทนาของแดนราชายุทธ์ห้าคน ได้รู้มาว่าที่แห่งนี้มีวิชาห้ามค่ายกลธรรมชาติอยู่ จึงได้ติดสอยห้อยตามมาด้วย

โดยทั่วไปแล้ว ลักษณะของสมบัติพรสวรรค์ จะมีกฎอยู่อย่างหนึ่งคือ สหายแห่งค่ายกลพรสวรรค์ สมบัติพรสวรรค์กำเนิดมาเพื่อสวรรค์และโลกแน่นอนว่ายังได้รับการคุ้มครองตามกฎของสวรรค์และโลก นี่ถึงได้มีค่ายกลธรรมชาติคอยปกปักรักษา

หลงหมิงรู้เรื่องนี้ ดังนั้นจึงได้หาสภานที่แห่งนี้เจอ

เกาะในทะเลสาบไม่เด่นสะดุดตา อีกทั้งพลังฟ้าดินจิตก็ไม่ได้เข้มข้น ดังนั้นจึงไม่มีใครสังเกตเห็นมาเป็นเวลานาน

อย่างไรก็ตาม หลัวซิวพอเข้าไปในถ้ำก็นึกขึ้นได้ว่า สาเหตุที่เกาะนี้ไร้ซึ่งพลังฟ้าดินจิต นั่นก็เพราะพลังจิตทั้งหมด ต่างก็มาหลอมรวมกันที่จุดศูนย์กลางของถ้ำนี้

หลังจากหลายปีไม่รู้จบ ภายใต้สถานการณ์พลังฟ้าดินจิตที่หลอมรวมอย่างเข้มข้น ความจริงแล้วมีขุมทรัพย์แบบไหนเกิดขึ้น ยังไม่สามารถรับรู้ได้

ครึ่งชั่วโมงถัดมา หลงหมิงก็เข้าไปในถ้ำแล้ว ส่วนคู่สามีภรรยาแดนราชายุทธ์ขั้นสามด้านนอกนั้น เขาก็ได้จัดการไปอย่างง่ายดายแล้ว

เพราะในถ้ำมีทางเดินมากเกินไป ตัวสำนึกได้รับผลกระทบอีกครั้งที่นี่ ทั้งสองใช้เวลาเกือบชั่วโมงสำรวจทาง และในที่สุดก็พบทางออก ฉากตรงหน้าเขาก็สว่างขึ้นในทันใด

ในส่วนลึกของถ้ำ คือถ้ำผาที่เป็นลานว่างเปล่า มีหินงอกแหลมคมห้อยลงมาจากด้านบน ดุร้ายดุจการโจมตีจากทางด้านหลังของเหล่าสัตว์ร้าย

ใจกลางของถ้ำผา พลังฟ้าดินจิตรวมตัวอย่างต่อเนื่อง รวมตัวกันจนก่อให้เกิดกระแสหมุนวนพลังจิต บานสะพรั่งด้วยแสงสีขาวสว่างจ้า

กลางวังวนพลังจิต ปีกโปร่งใสคู่หนึ่งเช่นปีกจักจั่นห้อยอยู่ในความว่างเปล่า โปรยปรายด้วยรัศมีสีขาวขุ่น หลังจากกางออก มีความยาวมากกว่าสามเมตร

“แม้เจ้า นี่มันปีกทิพย์ไร้มลทิน?”

หลงหมิงเมื่อเห็นปีกคู่นี้ เขาก็อ้าปากค้าง สีหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ

“ปีกทิพย์ไร้มลทินมันคืออะไร?” หลัวซิวเอ่ยถามด้วยความสงสัย เขาไม่รู้อะไรมากเกี่ยวกับสมบัติที่กำเนิดมาจากธรรมชาติ

“ของขลังที่กำเนิดมาจากธรรมชาติ หลังการกลั่นร่วมกับท่าร่าง จะเกิดเป็นความเร็วที่ไม่มีใครสามารถทัดเทียมได้!” หลงหมิงไขความ

“เจ้าอย่าได้คิดดูถูกความเร็วของปีกทิพย์ไร้มลทินเชียวนะ หากเจ้าผ่านการกลั่นแล้ว ภายใต้แรงผลักดันของปีกทิพย์ไร้มลทิน ต่อให้เป็นจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งก็ไม่สามารถมีใครตามเจ้าได้ทัน” หลงหมิงจิ๊ปากพูด

“เร็วขนาดนั้นเชียวหรือ?” หลัวซิวเมื่อได้ยินเช่นนี้ เขาก็แปลกใจเล็กน้อย

“อีกทั้งสมบัติที่เกิดจากพรสวรรค์ ต่างก็สามารถวิวัฒนาการได้ ตราบใดที่เจ้าสามารถหาวัตถุดิบพิเศษบางอย่างได้ ก็สามารถยกระดับปีกทิพย์ไร้มลทินได้ ความเร็วจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากสามารถไปถึงขีดสุด ยกระดับปีกทิพย์ไร้มลทิน ถึงระดับสมบัติวิเศษพรสวรรค์ มหาจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งก็ทำได้แค่กินแต่ฝุ่นตามตูดของเจ้าเท่านั้น!”

หลงหมิงพูดไปน้ำลายก็จะไหลไป ถึงแม้เขาจะครอบครองพลังแห่งโซน มีความโดดเด่นในเรื่องของความเร็ว แต่ถ้าได้เจ้าปีกทิพย์ไร้มลทิน ก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเหมือนกับเสือติดปีก

“ถูกแล้ว มังกรไร้ร่างในบรรดาสายเลือดมังกร คือตระกูลที่มีความโลภมากที่สุด ตราบใดที่รู้ว่าสมบัติอยู่ที่ไหน ก็อดไม่ได้ที่จะขโมย เนื่องจากความสามารถตามธรรมชาติของพวกมันในการควบคุมพื้นที่ พวกมันจึงไม่ค่อยถูกจับได้” จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ถ้าเช่นนั้น แท่นวิภาไร้เขตที่จริงแล้วมันคืออะไรกันแน่?” หลัวซิวถามด้วยความสงสัย

“สมบัติวิเศษพรสวรรค์!” จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำอุทานออกมา “สมบัติวิเศษที่เกิดจากสวรรค์และโลก ดีกว่าวิชากลั่นสมบัติกลั่นสมบัติวิเศษออกมามาก พวกเราสำนักไท่เสวียนสามารถเปิดสถานที่เลี้ยงอสูรอย่างแดนนานาอสูรได้ ก็ด้วยการพึ่งพาสิ่งนี้สมบัติวิเศษพรสวรรค์”

“ในโลกใบนี้ อาวุธ ของขลัง ยา หรือค่ายกลที่แข็งแกร่งที่สุดต่างก็ไม่ใช่สิ่งที่คนกลั่นขึ้นมา แต่กำเนิดมาจากสวรรค์และโลก บ้างเกิดจากพลังแห่งเจ้าสมบัติ บ้างเกิดจากพลังแห่งกฎ บ้างเกิดขึ้นมาจากต้นกำเนิดของกฎดั้งเดิม… นี่คือที่มาของสมบัติวิเศษพรสวรรค์”

คำพูดของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำนี้ ได้เปิดหูเปิดตาให้กับหลัวซิวอย่างแท้จริง มันทำให้เขานึกถึงลูกแก้วความเป็นตายของตัวเอง เป็นสมบัติที่เกิดจากต้นกำเนิดของกฎดั้งเดิม!

ใจกลางตัวหยั่งรู้ของหลงหมิงนั้น วิชาสยบวิญญาณยังไม่ได้ถูกลบออกไป ดังนั้นหลัวซิวสามารถรับรู้ได้ผ่านวิชาสยบวิญญาณ ถึงสถานที่ที่แน่นอนของหลงหมิง

ท่ามกลางการรับรู้ของเขา หลงหมิงไม่ได้อยู่ที่เมืองโม่โหลว และพวกเขาอยู่ห่างจากกันอย่างน้อยหลายพันลี้

“ไอ้สารเลว ออกไปไกลขนาดนี้คิดจะทำอะไรกันแน่?” หลัวซิวหน้านิ่วคิ้วขมวด

“ที่จริงแล้ว ถ้าลองคิดดูในอีกมุมหนึ่ง บางทีเจ้าน่าจะดีใจเสียมากกว่า” จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำอยู่ดีดีก็ยิ้มขึ้นมา。

“หมายความว่าเช่นไร?”

“ด้วยความโลภของมังกรไร้ร่าง หากไม่มีสมบัติใด มันจะไปไกลขนาดนั้นโดยไม่มีเหตุผลหรือ?”

ได้ยินอย่างนี้ หลัวซิวก็สายตาลุกวาว ด้วยความเข้าใจของเขา หลงหมิงเป็นคนที่ไม่มีผลประโยชน์ไม่มีทางกระเตื้องเป็นแน่

“ภายในแก๊งมีแผนที่ของสมาคมเป่ยเซี๋ยหรือไม่?” หลัวซิวถามไปยังหญิงร่างสูงโปร่ง

“ไม่มีแผนที่รายละเอียด มีเพียงแผนที่คร่าว ๆ แต่มีแผนที่โดยละเอียดของเมืองโม่โหลว” หญิงร่างสูงโปร่งตอบ

“ขอแผนที่โดยละเอียดของเมืองโม่โหลวให้ข้าสักแผ่น และแผนที่คร่าว ๆ ของสมาคมเป่ยเซี๋ยด้วย” หลัวซิวพูด

ผ่านไปไม่นาน หญิงร่างสูงโปร่งก็นำม้วนหยกสองม้วนมาให้ สำหรับจักรพรรดิยุทธ์หัวหน้าแก๊งของเมืองโม่โหลว หลัวซิวแต่ตั้งแต่ต้นจนจบ พวกเขาไม่เคยเจอหน้ากันสักครั้ง

ท้ายที่สุดแล้ว ไม่มีมิตรภาพระหว่างคนทั้งสอง หากไม่มีผลประโยชน์ส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้อง ก็จะไม่มีการข้องเกี่ยวกันระหว่างคนทั้งสอง ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องที่พบได้ทั่วไป

เมืองโม่โหลวครอบคลุมพื้นที่เกือบแสนลี้ หลัวซิวใช้จุดศูนย์กลางของเมืองโม่โหลว เพื่อรับรู้เมืองที่คร่าว ๆ ที่หลงหมิงอยู่ในตอนนี้ ตั้งอยู่ใกล้ทะเลสาบน้ำลึกซึ่งห่างออกไปหลายพันลี้ เมื่อได้รับม้วนหยกแผนที่ หลัวซิวก็ออกจากกลางเมือง กระโดดขึ้นฟ้า มุ่งหน้าตรงไปที่ทะเลสาบน้ำลึก

ส่วนเหยียนเยว่เอ๋อร์ที่ยังอยู่ในอาการสลบไสล ก็ถูกเขาตั้งรกรากชั่วคราวอยู่ที่องค์กรนักล่ายุทธ์แห่งเมืองโม่โหลว ถึงอย่างไรนางก็เสียเลือดมากเกินไป ยังไม่รู้ว่าเมื่อไรจะสามารถฟื้นขึ้นมาได้

……

บริเวณโดยรอบของทะเลสาบน้ำลึกนั้นกว้างมาก ยืนอยู่บนฝั่ง ไม่มีที่สิ้นสุดเหมือนมหาสมุทรเล็ก ๆ

ในทะเลสาบ มีหลายเกาะและมีอสูรจำนวนมากอาศัยอยู่ในน้ำ เป็นสถานที่ที่น่ากลัวในเมืองโม่โหลว

หลัวซิวใช้เวลาประมาณหนึ่งวัน ก็ได้มาถึงบริเวณใกล้เคียงของทะเลสาบน้ำลึก การรับรู้ของวิชาสยบวิญญาณก็ยิ่งชัดเจนขึ้น

อีกสองชั่วโมงผ่านไป หลัวซิวพบเกาะในทะเลสาบและขมวดคิ้วเล็กน้อย

บนเกาะเขียวขจีแต่กลับเงียบงันอย่างประหลาด

หลัวซิวไม่ได้ก้าวเข้ามาในเกาะนี้ในทันที แต่ค่อย ๆ สำรวจด้วยตัวสำนึก ในขณะเดียวกันก็ส่งต่อสถานการณ์ที่ตรวจพบไปยังวิญญาณของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำผ่านตัวสำนึก

“ไอ้หนุ่ม เกาะแห่งนี้ไม่ใช่ง่าย ๆ เลย ด้านในทีค่ายกลพรสวรรค์อยู่!” จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำกล่าวโดยฉับพลัน

“ค่ายกลพรสวรรค์?” ใบหน้าของหลัวซิวเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน

ตามที่จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำพูดมานั้น ที่เรียกว่าค่ายกลพรสวรรค์ เป็นค่ายกลซึ่งเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ในสมัยอดีตกาลอันไกลโพ้น มรดกของค่ายกล นอกจากนี้ยังเป็นการตรัสรู้ที่เหล่าปราชญ์ได้ผ่านค่ายกลพรสวรรค์ ซึ่งสร้างวิถีของค่ายกล

“ไอ้หนุ่ม เจ้าไม่ต้องตื่นตระหนกไป ค่ายกลพรสวรรค์มีทั้งระดับสูงและต่ำ ระดับของค่ายกลพรสวรรค์นี้ไม่ได้สูงมาก เทียบเท่ากับค่ายกลระดับห้า” จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำได้เพิ่มอีกประโยค

“แต่เจ้าก็อย่าได้วางใจง่าย ๆ ค่ายกลระดับห้าที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาตินั้น พลังจะแข็งแกร่งกว่าค่ายกลระดับห้าทั่วไปมากทีเดียว อีกทั้งค่ายกลพรสวรรค์ยังไม่สามารถทำลายได้ ทำได้เพียงใช้พลังของตนเองเพื่อฝืนทำให้แตกออกเท่านั้น”

ทำลายค่ายกลกับทำให้ค่ายกลแตกออก ดูเหมือนแตกต่างกันเพียงแค่คำพูด แต่ความจริงแล้วแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว

ได้ยินว่าเป็นเพียงแค่ค่ายกลพรสวรรค์ระดับห้า หลัวซิวก็โล่งใจเล็กน้อย เพราะว่าค่ายกลที่ธรรมชาติสรรสร้างขึ้นนั้น จำเป็นต้องมีเงื่อนไขพิเศษมากมาย และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบเจอ

และมีบันทึกที่คล้ายกันในหนังสือโบราณ โดยปกติสถานที่ที่มีค่ายกลธรรมชาติปรากฏขึ้นมานั้น มักจะมาพร้อมขุมทรัพย์ การปรากฏของค่ายกลธรรมชาติ ก็เพียงเพื่อปกป้องสมบัติสักชิ้น

ร่างกายซวนเซ หลัวซิวราวกับกลายเป็นมังกรเขียว และตกลงไปบนเกาะในชั่วพริบตา

เกาะทั้งเกาะถูกห่อหุ้มไปด้วยค่ายกลธรรมชาติ วินาทีที่หลัวซิวเข้าไปในเกาะ ก็สามารถรับรู้ได้ถึงพลังของค่ายกลธรรมชาติ ที่ห่อหุ้มตัวเขาไว้

ภายใต้อานุภาพแห่งอำนาจนี้ เขารู้สึกว่าพลังชีวิตของเขากำลังจะเคลื่อนตัว ดูเหมือนว่ากำลังจะบินออกจากร่างกายและถูกลิดรอนไป

“ค่ายกลดูดกลืนพลังชีวิตสรรพสิ่ง?” หลัวซิวหรี่ตาลงเล็กน้อย ในตอนนี้เขาสามารถสัมผัสได้ถึงลมหายใจแห่งความตาย

“พรึบ!”

ลูกแก้วความเป็นตายภายในตัวหยั่งรู้ส่องแสงเปล่งประกาย ความรู้สึกที่ห่อหุ้มเขา ราวกับว่าพลังของเขาถูกดึงออกไปโดยการสกัด หายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันที
เขาคือผู้สืบทอดกฎวัฏจักรชีวิตดั้งเดิม ด้วยเจตจำนงของกฎดั้งเดิม แน่นอนว่าจะไม่ได้รับผลกระทบหรือแรงกดดันจากพลังแห่งความเป็นตาย

นอกจากนี้ค่ายกลธรรมชาติที่ดูดกลืนพลังชีวิตสรรพสิ่ง จัดอยู่ในพลังแห่งความตาย อย่างไรก็ไม่สามารถส่งผลใดๆกับหลัวซิวที่มีร่างกายเป็นหนึ่งเดียวกับลูกแก้วความเป็นตาย

ด้วยกระแสสัมผัสของวิชาสยบวิญญาณ หลัวซิวสามารถมั่นใจได้ว่า หลงหมิงอยู่บนเกาะแห่งนี้

หลัวซิวกลั้นหายใจ ซ่อนรูปร่างของตนเองด้วยความระมัดระวัง จากนั้นจึงตามกระแสสัมผัสของวิชาสยบวิญญาณเดินทางเข้าสู่ส่วนลึกของเกาะอย่างรวดเร็ว

“ปัง!”

“ให้ตาย!”

ไม่นานหลังจากที่หลัวซิวก้าวเท้าบนเกาะ ก็ได้ยินเสียงการต่อสู้และเสียงด่าทอดังออกมาจากส่วนลึกของเกาะ

เพียงชั่วครู่ต่อมา หลัวซิวพบหุบเขาแห่งหนึ่ง นัยน์ตาคู่นั้นจ้องมองเข้าไปในหุบเขาในหุบเขามีนักยุทธ์สามคนกำลังต่อสู้กันอยู่ มีศพสองศพนอนอยู่บนพื้น

“เจ้าก็มาด้วยหรือ?”

สถานที่ที่ห่างจากการต่อสู้ของนักยุทธ์ทั้งสามหลายร้อยเมตร ร่างของหลงหมิงค่อย ๆ ปรากฏขึ้นและยิ้มไปทางหลัวซิว

ในตัวหยั่งรู้ของเขามีวิชาสยบวิญญาณที่หลัวซิวฝังไว้ สามารถรับรู้ถึงกันได้ ดังนั้นเมื่อตอนที่หลัวซิวเข้ามาในเกาะแห่งนี้ เขาก็รับรู้ได้ถึงลมปราณของหลัวซิวผ่านกระแสสัมผัส

“นี่มันอะไรกัน?” หลัวซิวเอ่ยถาม

“เหย ๆ แน่นอนว่าต้องมีสมบัติชั้นเยี่ยม” หลงหมิงรี่ตาลง อดไม่ได้ที่จะถูมือไปด้วยระหว่างที่พูด

“เจ้าก็คงจะพบแล้ว ที่เกาะแห่งนี้มีค่ายกลธรรมชาติอยู่ ตามปกติสถานที่ที่มีค่ายกลธรรมชาติ ต่างก็มีสมบัติอยู่”

“รู้หรือไม่ว่าเป็นสมบัติใด?” หลัวซิวถามอีกครั้ง

“ยังไม่ชัด แต่น่าจะอยู่ในหุบเขา เดิมทีข้าวางแผนที่จะรอจนกว่าพวกเขาจะฆ่ากันเอง แล้วข้าค่อยลงมือ” หลงหมิงมุ่ยปากตอบ

ในตอนแรก ตอนที่เขาเข้าใจผังกฎดั้งเดิมรูปที่หนึ่งอย่างถ่องแท้ ก็ได้เข้าใจตราธรรมจุติมรณะซึ่งเป็นทักษะยุทธ์ที่ทรงพลังด้วย

ในเวลานี้ ในที่สุดเขาก็ได้เข้าใจผังกฎดั้งเดิมรูปที่สองแล้วอย่างถ่องแท้เช่นกัน และโดยไม่ทันได้รู้ตัวเขาก็ได้เข้าใจวิชากลั่นร่างที่ลึกซึ้งเช่นนี้!

ไม่ใช่วรยุทธ์กลั่นร่าง แต่เป็นวิชากลั่นร่าง แม้ชื่อจะแตกต่าง แต่ในความเป็นจริงมีความแตกต่างอย่างมาก

จอมยุทธ์คนหนึ่ง หากจะฝึกตนสองแบบในเวลาเดียวกัน ก็ต้องฝึกตนด้วยวรยุทธ์สองชนิด ชนิดแรกคือผนึกวรยุทธ์การรวมพลังจิตแท้ อีกชนิดคือวรยุทธ์การกลั่นร่าง

ด้วยวิธีนี้ จึงจำเป็นต้องจัดสรรพลังงานให้มากขึ้น หากว่าฝึกตนและวิญญาณวรยุทธ์ในเวลาเดียวกัน มันจะใช้พลังงานมากขึ้น

ดังนั้นจอมยุทธ์จำนวนมากต่างก็เลือกฝึกในระบบใดระบบหนึ่ง หรือเลือกฝึกพลังจิตแท้เป็นหลัก หรือไม่ก็ฝึกตนเป็นหลัก หรือแม้กระทั้งฝึก วิญญาณตัวสำนึกเป็นหลัก

แต่ว่า หากมีชุดวรยุทธ์ที่รวมระบบหลักสามระบบไว้ด้วย จะไม่มีการแบ่งส่วนของการใช้พลังงาน เพียงแค่ต้องตั้งใจฝึกตนด้วยวรยุทธ์ด้านใดด้านหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นร่างเนื้อ พลังจิตแท้หรือตัวสำนึกต่างก็สามารถเพิ่มระดับขึ้นได้ในเวลาเดียวกัน

ซึ่งเป็นที่มาของกลวิธีนี้

เมื่อเข้าใจผังกฎดั้งเดิมรูปที่สองอย่างถ่องแท้แล้วก็ได้รับวิชากลั่นร่าง กับวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ วรยุทธ์นี้ที่เป็นมรดตกทอด ซึ่งหมายความว่าหลัวซิว ไม่ต้องใช้ความพยายามเป็นพิเศษในการฝึกตนกลั่นร่างวรยุทธ์ ร่างเนื้อแดนของเขา จะค่อย ๆ เพิ่มขึ้น

นั้นทำให้หลัวซิวไม่อาจหยุดที่จะรอคอยผังกฎดั้งเดิมรูปที่สามด้วยความคาดหวัง อย่างไรวิชากลั่นร่างก็ได้ปรากฏขึ้นแล้ว ถ้าเช่นนั้นหากสามารถเข้าใจผังกฎดั้งเดิมรูปที่สามได้อย่างถ่องแท้แล้ว ถ้าอย่างนั้นก็คงจะได้ครอบครองกลวิธีการกลั่นวิญญาณ?

มือนั้นแบออกและพลิกมือ ขวดหยกก็ปรากฏบนฝ่ามือ หลัวซิวบดขยี้ขวดหยกจนแตกละเอียด ก็ยกมือขึ้นแล้วโยนยาทิพย์กระดูกเสือเข้าไปในปาก

นี่คือยากลั่นร่าง ว่ากันตามเหตุผล จำเป็นต้องมีผลการฝึกตนระดับจักรพรรดิยุทธ์ถึงจะสามารถกินได้ ผู้ที่มีผลการฝึกตนต่ำมาก ถ้าหากเสี่ยงกินเข้าไป เป็นไปได้มากที่มันไม่สามารถต้านทานพลังยาอันมหาศาล และร่างระเบิดจนตายได้

แต่หลัวซิวไม่ต้องกังวลเรื่องนั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าร่างเนื้อของเขาผ่านการแปรสภาพของผู้เป็นอมตะนับครั้งไม่ถ้วนจนบรรลุถึงร่างยุทธ์ระดับราชาช่วงหลัง ซึ่งเพียงพอที่จะรับผลของพลังยาระดับ6ได้ วงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพนั้น วรยุทธ์ที่วิวัฒนาการจากกฎความเป็นตายดั้งเดิม มีประสิทธิภาพปริมาณงานที่ดีในตัวเอง สามารถปรับแต่งพลังจำนวนมากในเวลาอันสั้นเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่ง ไม่ต้องกังวลว่าพลังงานที่สะสมในร่างกายจะมากเกินกว่าจะรับไหว

“โฮก!”

หลังจากกลืนยาทิพย์กระดูกเสือลงไปแล้ว พลังจิตที่ยิ่งใหญ่อลังการบานสะพรั่งในร่างกาย จากเสียงคร่ำครวญของหลัวซิวอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงคำรามต่ำเหมือนเสียงคำรามของเสือ

หนึ่งชั่วโมงต่อมา ตาของเขาเปิด ตาซ้ายเป็นสีขาว ตาขวาเป็นสีดำ จุดตันเถียนบนสองมือของเขาที่ประสานกัน เงาลวงวัฏจักรขนาดเล็ก ค่อย ๆ หมุนวนช้า ๆ ไหลไปด้วยความลึกลับไม่รู้จบ

“สมกับเป็นยากลั่นร่างระดับหก ผลลัพธ์ช่างน่าประทับใจเสียจริง!”

หลัวซิวเผยรอยยิ้มบาง ๆ ที่มุมปาก ดวงตาทั้งสองข้างฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ พลังตราประทับที่อยู่ระหว่างสองมือนั้นก็สลายหายไป ภายในกำปั้นนั้น สามารถรับรู้ได้ถึงร่างเนื้อของตนเอง ตอนนี้บรรลุถึงขีดจำกัดของแดนร่างยุทธ์ระดับราชาแล้ว

ถ้าไปได้ไกลกว่านี้ ก็จะเป็นร่างยุทธ์ระดับจักรพรรดิ อาศัยเพียงใช้พลังของร่างเนื้อ ก็จะสามารถเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ได้อย่างไม่มีวันพ่ายแพ้

แต่ร่างเนื้อของเขา แม้ว่าจะบรรลุถึงขีดจำกัดร่างยุทธ์ระดับราชา แต่แดนของผลการฝึกตนและตัวสำนึก กลับค่อนข้างต่ำ

ผลการฝึกตนพลังจิตแท้ เพิ่งจะแตะถึงแดนราชายุทธ์ขั้นหนึ่ง มีเพียงตัวสำนึกเท่านั้น เพราะฝึกตนมีวรยุทธ์กลั่นวิญญาณเป็นเหตุผล บรรลุถึงระดับแดนราชายุทธ์ขั้นห้า

เขาพลิกมือและหยิบเอาธงขลังสรรพสิ่งออกมา หลัวซิวโบกธงไปมา ลำแสงพุ่งออกมา เพียงแค่ไม่กี่ลมหายใจก็สามารถสร้างค่ายกลระดับหกขึ้นมาหนึ่งค่าย

เขาลุกขึ้นยืน เพลิงมรณะสีดำโหมขึ้นรอบตัวของเขา สองนิ้วประสานกันเป็นดาบและชี้ออกไป

ปัง!

ลมหายใจแห่งความตายอันน่าสะพรึงกลัวแผ่ขยายออกไป หลอมรวมเป็นกระดูกญาณ คำรามอย่างดุเดือด กลืนกินทุกสิ่ง

นี่คือทักษะยุทธ์ระดับเก้าที่เขาแย่งมาจากราชวงศ์ตระกูลฝาน วิชาภูตผีเซินหลัว!

ทักษะยุทธ์นี้ เดิมที่ทักษะยุทธ์เป็นเจ้าลักษณะของความตาย ด้วยการผลักดันของเพลิงมรณะ จึงสามารถใช้พลังให้ยิ่งใหญ่ที่สุดได้

กระดูกญาณชนเข้ากับค่ายกลคุ้มกันขั้นหกบนม่านแสงที่ก่อตัว ม่านแสงสั่นสะเทือนสองสามครั้งแล้วสงบลง

“ค่ายกลคุ้มกันขั้นหก สามารถต้านทานการโจมตีของจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่ง การโจมตีทั่วไปของแดนราชายุทธ์ทำอะไรไม่ได้เลยสักนิด ข้าสามารถทำให้ม่านคุ้มกันสั่นไหวได้หลายครั้ง พลังการโจมตีนั้นเทียบเทียมกับแดนราชายุทธ์ขั้นเจ็ดแล้ว” หลัวซิวคาดเดาพลังความแข็งแกร่งของเขาจากข้อมูลเหล่านี้

“พลังแปรเสวียนเทียน!”

ทันใดนั้นเขาก็ใช้วิชาลับ พลังบนร่างกายก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพลิงมรณะระเบิดพุ่งออกมา

ระหว่างที่ใช้ความคิด พลังแห่งสวรรค์และโลกภายในรัศมีหลายร้อยเมตรอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา หลัวซิวสำแดงวิชาภูตผีเซินหลัวอีกครั้ง!

ปัง!

ม่านค่ายกลคุ้มกันขั้นหก แรงสั่นสะเทือนรุนแรงขึ้น แต่ก็ยังไม่สามารถเปิดออกได้

ระหว่างการแบ่งของแดนใหญ่เหมือนดั่งสายน้ำ ข้ามผ่านไปได้ยาก หลัวซิวประเมินการโจมตีของตนเอง อย่างมากที่สุดก็เทียบเท่าแดนราชายุทธ์ขั้นเก้า ถึงแม้มีพลังแปรเสวียนเทียนยี่สิบสี่เท่าคอยเสริม ก็ยังห่างไกลจากการบรรลุถึงระดับจักรพรรดิยุทธ์

“ถ้าหากใช้พลังแปรเสวียนเทียนผลักดันตราธรรมจุติมรณะ บางทีอาจจะสามารถบรรลุถึงการโจมตีระดับจักรพรรดิยุทธ์ แต่ภายใต้การโจมตี ก็ยังไม่สามารถฆ่าจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งให้ตายได้ แต่ในทางกลับกันผลการฝึกตนของข้าก็จะสลายหายไปจนเหลือเพียงความว่างเปล่า คงจะทำให้คนอื่นเข่นฆ่าได้อย่างง่ายดาย”

หลัวซิวก็ไม่ได้ทดลองอำนาจของตราธรรมจุติมรณะที่นี่ วิธีการผนึกนี้เป็นกลอุบายที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา แต่ไม่สามารถใช้งานได้ง่าย ๆ มีแค่เฉพาะเวลาสำคัญเท่านั้นที่ลงมือแล้วจะสามารถให้ผลที่เป็นปาฏิหาริย์ต่อศัตรูได้

“ถ้าหากต้องเผชิญหน้ากับจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่ง สิ่งเดียวที่ข้าสามารถพึ่งได้คือ วิชาท่าร่างทำลายมังกรเขียวพลังที่พิเศษนี้เท่านั้น”

ตั้งแต่ฝึกวิชาท่าร่างทำลายมังกรเขียวแล้ว หลัวซิวยังไม่เคยได้ยืนยันว่าวิชาท่าร่างนี้ ที่แท้แล้วเก่งกาจมากเพียงใด

ทักษะยุทธ์ที่มีเอกลักษณ์ คือการดำรงอยู่นอกเหนือชั้นที่เก้า ในสมัยโบราณนี้ยังเป็นมรดกหลักของอำนาจสูงสุดของทุกฝ่าย ยิ่งไปกว่านั้นท่ามกลางทักษะยุทธ์ท่าร่าง เป็นรองเพียงวรยุทธ์เท่านั้น

หลัวซิวลุกขึ้นยืน จัดการเก็บค่ายกล จากนั้นเปิดประตูห้องและสาวเท้าก้าวออกไป

เพิ่งออกจากห้อง เขาก็เห็นหญิงร่างสูงโปร่งซึ่งรับหน้าที่ต้อนรับเดินเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“ท่านชายหลัว ท่านเก็บตัวฝึกตนเป็นเวลาเจ็ดวันแล้วเจ้าค่ะ” หญิงร่างสูงโปร่งพูดด้วยความเคารพ

“เพื่อนของข้าคนนั้นล่ะ?” หลัวซิวเอ่ยปากถาม

“ท่านชายหลงหมิงออกไปเมื่อหลายวันก่อน ยังไม่ได้กลับมาเลยเจ้าค่ะ” หญิงร่างสูงโปร่งตอบไปตามจริง

ได้ยินเช่นนั้น หลัวซิวก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเล็กน้อย สมาคมเป่ยเซี๋ยแห่งนี้ ถึงอย่างนั้นเขากับหลงหมิงก็มาเป็นครั้งแรก ด้วยนิสัยของหลงหมิง หลัวซิวสงสัยว่าผู้ชายคนนี้จะสร้างปัญหา ถ้าเขาออกไปไหนมาไหนคนเดียว

“ตระกูลมังกรไร้ร่างต่างก็เกิดมาเป็นพวกหัวขโมยอยู่แล้ว ความสามารถในการควบคุมพลังแห่งช่องว่าง ปล่อยให้พวกเขาเข้าและออกจากสถานนี้ถือว่าเป็นความอันตราย ไม่สนใจการปิดล้อมของค่ายกลส่วนใหญ่ หลงหมิงน่ะ ระวังเจ้านั่นให้ดี มิฉะนั้นเจ้าจะต้องประสบปัญหาใหญ่” เสียงของวิญญาณเสวียนดำลอยเข้าสู่โสตประสาทของหลัวซิว

“ความโลภของมังกร เจ้าหลงหมิงนั่นน่ะ ถ้าเมื่อหมื่นปีก่อนไม่โลภแท่นวิภาไร้เขต ริอาจเข้าไปขโมยของในแดนนานาอสูร ก็คงจะไม่ถูกปราบปรามเป็นเวลาหลายหมื่นปี”

จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำบอกความลับโบราณที่ไม่มีใครรู้แก่เขา

หลัวซิวได้ยินเช่นนั้นก็ราวกับมีเส้นสีดำพาดผ่านสมองไป แล้วเอ่ยพูดด้วยความหยอกล้อ “เจ้าจะบอกว่า หลงหมิงต้องการจะขโมยแท่นวิภาไร้เขตเมื่อตอนนั้น จึงได้ถูกพวกเจ้าคนของสำนักไท่เสวียนจับได้ แล้วหลังจากนั้นก็กักขังไว้ที่กลางแดนนานาอสูร?”

นางรู้ดี ผู้ชายที่สามารถได้รับอำนาจสูงในแก๊งตั้งแต่อายุยังน้อย จะต้องเป็นสมาชิกอัจฉริยะ และมีศักยภาพมาก

ภายใต้การนำของหญิงร่างสูงโปร่ง หลัวซิวมาถึงห้องหนึ่งที่อยู่ภายในของห้องลับ

ศูนย์กลางของห้อง มีแท่นศิลาอยู่แท่นหนึ่ง ด้านบนมีเครื่องประดับที่มีร่องที่สามารถใส่ตรานักล่าอสูรไปได้

นอกเสียจากตัวของหลัวซิวเองแล้ว ในห้องลับแห่งนี้ไม่มีคนอื่นอยู่อีก

บนแท่นศิลา สลักด้วยค่ายกลลายเส้นที่เต็มไปด้วยความลึกลับ หลัวซิวหยิบเอาตรานักล่าอสูรออกมา และฝังลงไปในร่องนั้น

“ฮึ่ม!”

แสงไฟส่องสว่างขึ้นจากแท่นศิลา ฉายลงบนกำแพงเบื้องหน้า โครงร่างที่คลุมเครือของใบหน้ามนุษย์ปรากฏขึ้น

“หลัวซิว สมาชิกอัจฉริยะขั้นดำชั้นสูงแห่งองค์กรนักล่ายุทธ์ ทำภารกิจกำจัดตระกูลเผยได้สำเร็จ สามารถแลกเปลี่ยนได้! รางวัลของภารกิจคือยาระดับ6หนึ่งชิ้น จงเลือก” เงาใบหน้าบนผนังพูดขึ้น

ทันใดนั้น หลัวซิวเดินขึ้นไปตรงหน้า บนแท่นศิลามีภาพของยาสามชนิดปรากฏขึ้นมา แบ่งเป็นยากลั่นจิตอัคคีม่วงสำหรับเพิ่มประสิทธิภาพของผลการฝึกตน ยารวมจิตเรืองอร่ามแห่งการผนึกรวมเทพจิต ยาทิพย์กระดูกเสือแห่งการชุบร่างเนื้อ

ยาระดับ6ทั้งสามชนิดนี้ ให้ผลสัมฤทธิ์ที่แตกต่างกัน แต่ต่างก็สามารถทำให้พลังของผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์เพิ่มขึ้นได้

ท่ามกลางยาทั้งหมด ชนิดที่สามารถพบได้บ่อยที่สุดคือยากลั่นจิตอัคคีม่วง ส่วนอีกสองชนิดคือยาผนึกรวมเทพจิตและยาชุบร่างเนื้อมันค่อนข้างหายากและมีค่ามากกว่า

ในตอนนี้หลัวซิวเป็นเพียงแค่แดนราชายุทธ์ขั้นหนึ่งยังอีกไกลกว่าจะบรรลุถึงถึงแดนผนึกรวมเทพจิต ดังนั้นเขาจึงยังไม่จำเป็นต้องใช้ยารวมจิตเรืองอร่าม

คาดว่าไม่มีอะไรให้น่าลังเลใจ เขาจึงได้เลือกยาทิพย์กระดูกเสือในทันที เพราะยาชุบร่างเนื้อจำพวกนี้ วัตถุดิบนั้นค่อนข้างรวบรวมได้ยาก แต่สำหรับยากลั่นจิตอัคคีม่วง วัตถุดิบหาได้ง่ายกว่า และตัวเขาเองก็สามารถกลั่นได้

“ข้าเลือกยาทิพย์กระดูกเสือ” หลัวซิวเอ่ยปาก

เมื่อสิ้นสุดเสียง แสงสว่างก็วาบขึ้นบนแท่นศิลา ตามมาด้วยขวดหยกที่มีลวดลายประณีต ปรากฏขึ้นบนแท่นศิลาตรงหน้า

นี่ทำให้หลัวซิวประหลาดใจไม่น้อย เห็นได้ชัดว่าขวดหยกนี้ไม่สามารถปรากฏขึ้นเองได้จากอากาศ แต่ใช้วิธีการส่งต่อแทน เป็นการส่งต่อมาถึงที่แห่งนี้

“ไม่มีสิ่งใดต้องประหลาดใจ สี่องค์กรใหญ่ตั้งขึ้นมาตั้งแต่สมัยโบราณ บนเส้นทางค่ายกลนี้ เนิ่นนานมาแล้วที่วิชาค่ายกลอยู่เหนือดินแดนแห่งวิญญาณ” ที่ฝ่ามือซ้ายของหลัวซิว เสียงของวิญญาณเสวียนดำถูกส่งเข้ามา

“ค่ายกลอยู่เหนือวิญญาณ?” หลัวซิวเผยสีหน้าสับสนและไม่เข้าใจ

ค่ายกลที่เกินระดับเก้า นั่นคือค่ายกลกายสิทธิ์ ค่ายกลที่ได้รับจิตวิญญาณ ไม่ต้องพูดถึงเจ้าที่เป็นเพียงแดนราชายุทธ์ตัวเล็ก ๆ ต่อให้เป็นข้าในสมัยที่เคยรุ่งโรจน์ ยังไม่เคยได้แตะต้องแดนระดับนั้น” วิญญาณเสวียนดำกล่าวเช่นนี้

กฎAttrฟ้าดิน หากได้รับจิตวิญญาณ เรียกได้ว่าคือวิญญาณแห่งฟ้าดิน

ค่ายกล ยา อาวุธและของขลัง ต่างก็สามารถเกิดจิตวิญญาณขึ้นได้และมีความสามารถอันน่าเหลือเชื่อหลายประเภท

ตามที่วิญญาณเสวียนดำบอกกล่าว ระบบค่ายกลภายในองค์กรนักล่ายุทธ์ ความเป็นจริงก็คือการจัดการของจิตวิญญาณแห่งค่ายกล

วิญญาณ คำนี้มีความลึกลับที่ไม่มีที่สิ้นสุด ความหมายโดยนัยคือสัจธรรมแห่งต้นกำเนิดของสวรรค์และโลก

องค์กรนักล่ายุทธ์บันทึกข้อมูลนับไม่ถ้วนผ่านการกระทำของค่ายกล โดยใช้วิญญาณแห่งค่ายกลคอยควบคุม แต่ตรานักล่าอสูร คือสื่อกลางในการสื่อสารระหว่างนักยุทธ์และวิญญาณแห่งค่ายกล

เป็นดั่งคำพูดของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำ แดนระดับนั้น มันอยู่ไกลจากเขามากเกินไป

เมื่อได้รับยาทิพย์กระดูกเสือหนึ่งชิ้น หลัวซิวก็มีโอกาสที่จะยกระดับแดนร่างเนื้อให้บรรลุถึงร่างยุทธ์ระดับราชาขั้นสูง

อีกทั้งผลการฝึกตนของตัวเขาเอง ก็ต้องยกระดับเช่นเดียวกัน เขาจำเป็นต้องรีบกลับไปโดยเร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นความปลอดภัยของคนสนิทของเขา มันจะกวนใจเขาไปตลอดโดยไม่มีที่สิ้นสุด

แม้ว่าเขาจะเตรียมการบางอย่างก่อนออกเดินทาง แต่ก็มีตัวแปรหลายอย่างแทรกเขามา

ระดับการฝึกยุทธ์ของสมาคมเป่ยเซี๋ย โดยรวมนั้นสูงกว่าประเทศเทียนหวูอย่างมาก หัวหน้าองค์กรนักล่ายุทธ์ที่เมืองโม่โหลวแห่งนี้ ก็คือผู้แข็งแกร่งแห่งแดนจักรพรรดิยุทธ์คนหนึ่ง

ถึงอย่างนั้น จักรพรรดิยุทธ์ก็ไม่ใช่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองโม่โหลว ไม่ต้องพูดถึงอำนาจอื่น ๆ เพียงแค่สมาคมหมิงกวง ก็ว่ากันว่ามีอาจารย์มกุฏยุทธ์ท่านหนึ่งครองบัลลังก์อยู่

เมื่อส่งมอบภารกิจกำจัดตระกูลเผยแล้ว หลัวซิวก็ได้จำศีลอยู่ภายในแก๊ง เขาต้องการให้พลังของตัวเอง เขาต้องการเพิ่มความแข็งแกร่งของเขาให้ถึงขีดจำกัด จากนั้นก็ไปตามหาโอกาสที่จะได้บรรลุไปถึงแดนที่สูงขึ้น

ในห้องที่เงียบสงบ หลัวซิวนั่งขัดสมาธิ ขั้นแรก ปรับสภาพตัวเองให้ดีที่สุด

จนถึงวันนี้ เขาอยู่ในต่างแดน และใจของเขาเหมือนลูกธนู แต่กลับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าหากเขาไม่ได้ชัดขืนพลังของอาจารย์มกุฏยุทธ์ ถ้าเขากลับไปเขาจะต้องตายอย่างแน่นอน

อำนาจทุกฝ่ายโดยรอบประเทศเทียนหวู พวกเขาทั้งหมดเห็นพ้องต้องกันว่าเขาได้รับมรดกของผู้เฒ่าโบราณในคีตโลกาถ้ำเทพสถิต ม้วนหยกที่เขาให้จักรพรรดิยุทธ์ทุกคน สำนักเสวียนหยาง ยังมีอาจารย์มกุฏยุทธ์สำนักฉางเหอ จะบันทึกประสบการณ์เกี่ยวกับการฝึกยุทธ์

ประสบการณ์การฝึกตนประเภทนี้ แน่นอนว่าหลัวซิวก็ได้รับมาเช่นกัน และการบันทึกนั้นก็ละเอียดมากขึ้นด้วย

เพื่อแลกกับการได้อยู่อาศัยในกายของตน จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำจึงเอาประสบการณ์การฝึกตนแห่งแดนราชายุทธ์ที่อยู่ในตัวเอง ทั้งหมดถูกสอนให้หลัวซิว
“แดนราชายุทธ์ผนึกรวมยาเทพจิต หล่อเลี้ยงวิญญาณตัวสำนึก ร่างเนื้อเติบโตขึ้น คือการเตรียมตัวเพื่อหลอมรวมเทพจิตบรรลุถึงจักรพรรดิยุทธ์ในก้าวต่อไป”

“ยาเทพจิตอยู่ในวงล้อชี่ไห่ ก็เหมือนดวงดาวที่หมุนรอบตัวเอง ดึงพลังแห่งสวรรค์และโลกภายในขอบเขตที่กำหนดมาให้ตัวเองใช้ คือเครื่องมือในการควบคุมฟ้าดิน”

“ตัวสำนึกยิ่งแข็งแกร่ง ระดับยาเทพจิตก็ยิ่งสูงขึ้น การครอบครองอำนาจฟ้าดินก็ยิ่งมากขึ้นขอบเขตก็จะยิ่งกว้างขึ้น พลังแห่งแดนราชายุทธ์นั้นจะยิ่งแข็งแกร่งมากตามไปด้วย”

ระดับของยาเทพจิต แบ่งเป็นยาเขียว ยาม่วงและยาทองสามระดับ

แดนราชายุทธ์ขั้นหนึ่งถึงขั้นสาม การฝึกตนใช้ยาเขียว หลอมรวมยาเทพจิตภายในชี่ไห่ จะปล่อยแสงสีฟ้าจาง ๆ

แดนราชายุทธ์ขั้นสี่ถึงขั้นหก ยาเขียวจะลอกคราบเป็นยาม่วง ขั้นเจ็ดถึงขั้นเก้าจะกลายเป็นยาทอง

มีประสบการณ์ฝึกตนของมหาจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งท่านหนึ่ง หลัวซิวด้วยมุมมองของคนนอก ชัดเจนราวกับกำลังมองเปลวไฟ สามารถเข้าใจอย่างสิ่งสำคัญของการฝึกตนแห่งแดนราชายุทธ์แดนนี้ได้ถ่องแท้

เมื่อเข้าใจประสบการณ์การฝึกตนเหล่านี้ ก็ทำให้ตัวของหลัวซิวเอง มีความเข้าใจโลกยุทธ์มากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะความลับของพลังแห่งสองระดับความเป็นตาย ความลึกลับที่ลึกซึ้งสามารถรับรู้ได้จาง ๆ

โดยไม่ทันรู้ตัว ความเข้าใจผังกฎดั้งเดิมรูปที่สอง ใกล้จะแล้วเสร็จ!

มือของเขาโบกขึ้นโดยไม่รู้ตัว พลังจิตแท้สองระดับความเป็นตายหมุนวนอยู่ระหว่างนิ้ว ข้ามเส้นทางลึกลับ

ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมง ในมือของเขาก็เต็มไปด้วยพลังตราประทับนับร้อย สุดท้ายทั้งสองมือก็ขยับพลังตราประทับด้วยท่าทางแปลก ๆ ประทับลงบนอก

พลังตราประทับนับร้อยแปรเปลี่ยนเป็นพลังตราประทับเส้นสุดท้าย เหมือนกับประกอบด้วยกลับไปสู่ความดั้งเดิม รากเดิมของเส้นนั้นลึกลับไร้ที่สิ้นสุด เลือดเนื้อทุกตารางนิ้วทั่วทั้งร่างของเขาเต็มไปด้วยพลัง ต่างก็พรั่งพรูกันขึ้นมาในวินาทีนี้

“นี่คือ…”

หลัวซิวสามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจนถึงเลือดเนื้อทุกตารางนิ้ว ต่างก็ถูกเปลี่ยนด้วยการสั่นสะเทือนและการสะท้อนที่ละเอียดอ่อนนอกจากนี้ กระบวนการและผลของการยกระดับและการเปลี่ยนแปลงนี้ มันดีกว่าวิธีการฝึกหัดฝึกตนของเขาก่อนหน้านี้มาก

ผังกฎดั้งเดิมภาพที่สองของวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ เมื่อเข้าใจอย่างถ่องแท้ พลังตราประทับนับร้อยแห่งภาพหนึ่งเข้าคู่กับผังโคจรเส้นลมปราณ ทั้งหมดนั้นท่วมท้นในความทรงจำของเขา

หลังจากที่ชายวัยกลางคนพูดจบ เรือรบสีดำสนิทก็ชะลอตัวลง ม่านแสงแนวป้องกันก็เปิดออก และเผยให้เห็นทางเดิน

หลัวซิวและหลงหมิงก็รีบบินไปข้างหน้า ร่างทะลุผ่านทางเดินแล้ว ม่านแสงป้องกันของเรือรบก็ค่อยๆปิดลง

หลังจากเข้ามาแล้ว สายตาของหลัวซิวก็กวาดสายตาไปทั่วเรือรบอย่างตามอำเภอใจ มองเห็นอยู่บนดาดฟ้า ทั้งหมดมีสิบแปดคน

นำโดยราชายุทธ์ทั้งสามคน ก็เป็นราชายุทธ์ขั้น3 ในนั้นมีหญิงสาวคนหนึ่ง ในชุดสีแดง คลับคล้ายว่าเป็นหัวหน้าของคนเหล่านี้

สำหรับอีกสิบห้าคน ผลการฝึกตนไม่สูง ส่วนใหญ่เป็นแดนฝึกจิต

“ข้าน้อยหลัวซิว ขอบคุณเพื่อนทุกคนท่านมากที่ให้ความช่วยเหลือ”

หลังจากที่หลัวซิวขึ้นไปบนดาดฟ้า ก็คำนับขอบคุณ ในเวลาเดียวกันสังเกตสีหน้าของอีกฝ่าย ค้นพบว่าตอนที่คนเหล่านี้ได้ยินชื่อหลัวซิวนี้ สีหน้าท่าทางไม่ได้เปลี่ยนไปอย่างผิดปกติ

“คนนี้เป็นเพื่อนของข้า หลงหมิง”หลัวซิวก็แนะนำให้กับอีกฝ่าย

ถ้าอยู่ในอาณาเขตประเทศเทียนหวู ชื่อของหลัวซิวไม่มีใครที่ไม่รู้จักอย่างแน่นอน แต่คนที่นี่กลับไม่ได้สนใจ แต่เมื่อเห็นว่าที่นี่ไม่ได้อยู่ในอาณาเขตประเทศเทียนหวูจริงๆ

“ศิษย์พี่หลัวซิวเกรงใจแล้ว เห็นว่าเจ้าอายุน้อยๆก็เป็นผลการฝึกตนราชายุทธ์แล้ว ไม่ทราบว่าเป็นลูกศิษย์กองกำลังใหญ่ในสมาคมเป่ยเซี๋ยไหนกัน?”

เผชิญหน้ากับราชายุทธ์ทั้งสาม ชายวัยกลางคนที่เอ่ยปากพูดกับหลัวซิวก่อนหน้านี้ถามด้วยรอยยิ้ม

“สมาคมเป่ยเซี๋ยเหรอ?”

จากปากของอีกฝ่ายหนึ่ง หลัวซิวรับรู้ชื่อสถานที่พิเศษแห่งนี้

“ข้าออกเดินทางหาประสบการณ์ ผู้อาวุโสในสำนักเตือนว่าไม่สามารถที่จะเอ่ยถึงอาจารย์ผู้ถ่ายทอดวิชาต่อโลกภายนอกอย่างตามใจชอบ หวังว่าทุกท่านจะเข้าใจ”หลัวซิวเผยให้เห็นสีหน้าลำบากใจ

แน่นอนว่าเขาไม่ได้มีสิ่งที่เรียกว่าอาจารย์ผู้ถ่ายทอดวิชา เหตุผลที่พูดแบบนี้ แค่แสดงความรู้สึกลึกลับอย่างหนึ่ง แบบนี้กลับทำให้คนที่มีใจกลัวได้ง่ายขึ้น

เมื่อได้ยินเช่นนี้ คิ้วของราชายุทธ์ทั้งสามที่อยู่ฝั่งตรงข้ามต่างก็สั่นเล็กน้อย โดยทั่วไปไม่สะดวกที่จะกล่าวถึงอาจารย์ผู้ถ่ายทอดวิชา ไม่เป็นสำนักที่เล็กเกินไป ไม่มีค่าที่จะกล่าวถึงเลยสักนิด ก็เป็นสำนักที่แข็งแกร่งเกินไป กล่าวออกมาเกรงว่าจะทำให้คุณกลัว

“สองคนนี้ดูเหมือนจะยังอายุน้อย ไม่ถึงยี่สิบปีก็เป็นผลการฝึกราชายุทธ์แล้ว สำนักธรรมดาก็ไม่มีทางฝึกฝนอัจฉริยะแบบนี้ออกมาได้”

“บางทีอาจจะเป็นผู้สืบทอดจากสามแดนศักดิ์สิทธิ์”

“เป็นไปไม่ได้นะ? ผู้สืบทอดของสามแดนศักดิ์สิทธิ์เป่ยเซี๋ยคนไหนบ้างที่ไม่ใช่คนหยิ่งทะนง จองหอง? ถ้าหากพวกเขาออกมาหาประสบการณ์ กลัวว่าโลกจะไม่รู้ว่าพวกเขามาจากแดนศักดิ์สิทธิ์”

ราชายุทธ์ทั้งสามต่างก็สื่อสารกันทางตัวสำนึก ต่างก็คาดเดาที่มาของหลัวซิวที่อยู่ตรงหน้าคนนี้

ผ่านการสนทนา หลัวซิวรับรู้ว่าทั้งสามคนตรงหน้า เป็นผู้คุมราชายุทธ์ของสมาคมหมิงกวง และสมาคมหมิงกวงเป็นหนึ่งในสี่ของสมาคมใหญ่ของทั้งสมาคมเป่ยเซี๋ย

ด้วยผู้คุมราชายุทธ์ ก็ไม่ยากเลยที่จะคาดเดา ผู้อาวุโสของสมาคมหมิงกวงจะต้องอยู่ในระดับจักรพรรดิยุทธ์ บางทีอาจจะมีอาจารย์ระดับราชายุทธ์ออกนั่งบัญชาการรักษาการณ์ด้วยตัวเอง ความแข็งแกร่งไม่ได้แข็งแรงธรรมดา

หลีกเลี่ยงที่จะเผยให้เห็นความลับ หลัวซิวพูดจาน้อยมาก แต่ก็จากคำพูดไม่กี่คำของอีกฝ่าย สำหรับสมาคมเป่ยเซี๋ยก็มีความเข้าใจเรียบง่ายบ้าง

สมาคมเป่ยเซี๋ยตั้งอยู่ทางตอนเหนือของโลกแสงดาว ที่มาของชื่อเป่ยเซี๋ย เป็นเพราะว่าในสมัยโบราณ เคยมีการต่อสู้ที่สะเทือนฟ้าครั้งหนึ่งที่นี่ ถูกเรียกว่าการนองเลือดครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ นักยุทธ์ที่เสียชีวิตก็แสนถึงล้าน

ก็เป็นเพราะว่าที่นี่เป็นสนามรบโบราณของวันเก่าๆ ด้วยซากศพมากมายในสมาคมเป่ยเซี๋ย ในช่วงหลายหมื่นปีหลังจากสมัยโบราณ กองกำลังที่ยิ่งใหญ่และผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์จำนวนมากได้ถือกำเนิดขึ้น

กองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุด ก็คือสามแดนศักดิ์สิทธิ์ ว่ากันว่ามีผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ออกนั่งบัญชาการรักษาการณ์ด้วยตัวเอง

หลัวซิวถูกเคลื่อนย้ายมาถึงที่ทะเลทรายผืนนั้น เรียกว่าถิ่นทุรกันดานหลงทาง ตามคำบอกกล่าวของราชายุทธ์ทั้งสามในสมาคมหมิงกวง โชคดีที่เขาไม่ได้เข้าไปในส่วนลึกของถิ่นทุรกันดานหลงทาง ไม่อย่างนั้นอาจจะออกมาไม่ได้ตลอดชีวิต

เรือรบที่เขาอยู่บนนั้น เป็นเรือสินค้าที่เดินทางระหว่างสองเมือง ข้ามผ่านโดยรอบบริเวณของถิ่นทุรกันดานหลงทาง

โลกแสงดาวมีขนาดใหญ่มาก ถ้าหากแบ่งออกเป็นทิศเหนือทิศใต้ทิศตะวันออกทิศตะวันตก4 ภูมิภาคหลัก สมาคมเป่ยเซี๋ยจะตั้งอยู่ทางตอนเหนือของโลกแสงดาว และในภูมิภาคที่ประเทศเทียนหวูอยู่ ตั้งอยู่ทางใต้ของโลกแสงดาว

ถ้าไม่ใช่อาศัยความช่วยเหลือของค่ายวาร์ป ต้องการจากประเทศเทียนหวูมาถึงสมาคมเป่ยเซี๋ย อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาหลายเดือนถึงสามารถมาถึงได้

“ไม่มีสมาคมเป่ยเซี๋ยในสมัยโบราณที่ข้าอยู่”หลงหมิงส่ายหน้า ก่อนที่ภัยพิบัติจะปะทุขึ้นในสมัยโบราณ เขาถูกกำราบอยู่ในบริเวณแดนนานาอสูร ดังนั้นสำหรับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในโลกหน้าสมัยโบราณ โดยพื้นฐานไม่รู้อะไรเลย

หลัวซิวก็ถามวิญญาณเสวียนดำอีก

“ในสมัยโบราณภัยพิบัติกวาดล้างทั้งโลกแสงดาว เท่าที่ท่านรู้ สมาคมเป่ยเซี๋ยแห่งนี้น่าจะเป็นอาณาบริเวณของสำนักรู้ฟ้าในสมัยโบราณ”

วิญญาณเสวียนดำค่อยๆพูดว่า: “ในสมัยโบราณ สำนักรู้ฟ้ากำราบอาณาจักรเหนือ ข่มขู่ทั้งสี่ด้าน ตอนนี้ไม่รู้ว่ายังคงอยู่หรือเปล่า”

คำพูดของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำค่อนข้างรู้สึกหดหู่ เนื่องจากว่านับหมื่นปีหลังจากภัยพิบัติในสมัยโบราณ ความรุ่งเรืองของสำนักไท่เสวียนในวันเก่าๆไม่ได้ฟื้นคืนมาแล้ว

ระหว่างทางไม่มีอะไรจะพูด หลังจากที่ใช้เวลาสี่วัน เรือรบสีดำสนิทก็บินออกจากบริเวณโดยรอบของถิ่นทุรกันดานหลงทาง และเข้าสู่พื้นที่เมืองสีเขียวเขียวชอุ่มแห่งหนึ่ง

ในเมืองสีเขียว เต็มไปด้วยกลิ่นหอมกรุ่นของพลังฟ้าดินจิต และข้างในมีเมืองสูงตระหง่านที่สร้างขึ้นอยู่ที่นี่

ขอบเขตของเมืองสีเขียวแห่งนี้ใหญ่มาก อยู่ในสมาคมเป่ยเซี๋ยเรียกว่าเมืองโม่โหลว ซึ่งเปรียบได้กับรัฐในดินแดนของประเทศเทียนหวู
ในเมืองโม่โหลว มีทั้งหมดสิบสามเมือง สำนักงานใหญ่สมาคมหมิงกวงตั้งอยู่ในเมืองโม่โหลวซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในนั้น ก็ยังเป็นจุดหมายปลายทาง เรือรบลำนี้ที่หลัวซิวโดยสารมาด้วย

ผ่านไปอีกสองวัน ในที่สุดเรือรบก็มาถึงเมืองโม่โหลว หลังจากที่หลัวซิวขอบคุณราชายุทธ์ทั้งสามของสมาคมหมิงกวง ก็ก้าวลงจากเรือรบ และเข้าสู่เมืองโม่โหลว

องค์ย่อยของสี่แก๊งใหญ่ ตั้งอยู่ที่ต่างๆของโลกแสงดาว ในเมืองโม่โหลวนี้ ก็ย่อมมีองค์กรนักล่ายุทธ์เป็นธรรมดา

หลังจากที่หลัวซิวเข้าสู่เมืองโม่โหลว ก็มุ่งหน้าไปที่องค์กรนักล่ายุทธ์เป็นอันดับแรก

“สวัสดีท่านชายหลัว”

หลังจากที่ยืนยันอำนาจด้วยตราของนักล่ายุทธ์ หลัวซิวก็เดินผ่านช่องทางภายในที่สมาชิกใช้ และเข้าสู่องค์กรภายใน

หญิงสาวร่างสูงเรียวรูปร่างหน้าตา ลักษณ์ยังถือได้ว่าสวยงามเดินเข้ามา และทำความเคารพเขา

ไม่ใช่ว่าสมาชิกอัจฉริยะภายในทุกคนจะได้รับการปฏิบัติในระดับนี้ อำนาจภายในขององค์กรนักล่ายุทธ์ แบ่งออกเป็นสี่ระดับฟ้า ดิน ดำ เหลือง หลัวซิวมีอำนาจขั้นดำชั้นสูง ซึ่งเทียบเท่ากับปฏิบัติตัวตามระดับของผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์

“ข้าต้องการส่งมอบภารกิจ”หลัวซิวเอ่ยปากพูด

ตามระเบียบขององค์กรนักล่ายุทธ์ เขาต้องทำภารกิจสำเร็จอย่างน้อยหนึ่งงานต่อปี ก่อนหน้านี้ภารกิจกำจัดตระกูลเผยในเมืองยงฉี ก็เป็นเช่นนี้

ถ้าตอนนั้นไม่อาศัยความช่วยพลังของอาจารย์ตระกูลสวี อาศัยแค่พลังผลการฝึกของเขาคนเดียว ไม่สามารถที่จะทำภารกิจนอกเหนือผลการฝึกตนที่มากเกินไปแบบนี้ของตัวเองได้สำเร็จด้วยซ้ำ

ในองค์กรนักล่ายุทธ์ เมื่อภารกิจสำเร็จ ก็จะได้รับค่าตอบแทนและรางวัลที่สัมพันธ์กัน ยิ่งระดับภารกิจสูง รางวัลก็ยิ่งจะสูง

ภารกิจก็แบ่งเป็นภารกิจสมาคมและภารกิจเสนอรางวัล ตัวอย่างเช่นภารกิจกำจัดตระกูลเผย เป็นภารกิจสมาคม มีเพียงรางวัล แต่ไม่มีค่าตอบแทน

“ท่านชายหลัวเชิญตามข้ามา”หญิงร่างสูงเซ็กซี่ยิ้มเล็กน้อย ตอนที่ก้มตัวลง ก็เผยให้เห็นเนินอกที่ภาคภูมิใจโดยไม่ได้ตั้งใจ

เธออยู่ในเมืองโม่โหลวแห่งนี้ ก็ต้อนรับคนใหญ่คนโตที่มีอำนาจจำนวนไม่น้อย แต่อายุน้อยอย่างคนที่อยู่ตรงหน้านี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เจอ

ตำหนักจื่อบนเรือรบ สำหรับชายวัยกลางคน เพียงแค่การฆ่าผู้ฝึกจิตแค่คนเดียว ก็เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น

เขาสะบัดเสื้อคลุม และก็โบกมืออย่างเย็นชา “ลูกศิษย์ของตำหนักจื่อฟังคำสั่ง เข้าไปในเมืองจับกุมตัวครอบครัวของหลัวซิว ใครก็ตามที่กล้าขัดขวาง สังหารอย่างไร้ความปรานี!”

ตามคำสั่งของชายวัยกลางคน บนเรือสัมฤทธิ์ ก็มีร่างหลายร้อยร่างก็ดิ่งลงมาในทันที ทั้งหมดก็อยู่เหนือผลการฝึกตนของปรมาจารย์ฝึกจิต นำโดยหลายสิบคน ก็เป็นผลการฝึกตนแดนราชายุทธ์

ความแข็งแกร่งมหาศาลแบบนี้ เพียงพอที่จะโค่นล้มผู้ครอบครองสำนักเซียวเหยาของเขตการปกครองหยุนหลง นับประสาอะไรกับเมืองชิงหยุนเล็กๆแห่งหนึ่งกัน?

ในเมือง สีหน้าของเย่เซี่ยงโต่วมืดมนไม่แน่นอน ผู้คนของตระกูลหลัวและตระกูลหลิว ก็สีหน้าซีดเซียวเช่นกัน

แม้แต่ผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ทุกคนที่ได้รับผลประโยชน์จากหลัวซิวเหล่านั้น รับปากว่าจะช่วยเขาปกป้องครอบครัวของเขา สีหน้าก็เปลี่ยนแปลงไปร้อยแปดพันเก้า ไม่กล้าหุนหันพลันแล่น

เพราะว่า บนเรือรบเหนือเมืองชิงหยุน อาจารย์ของตำหนักจื่อออกนั่งบัญชาการรักษาการณ์ด้วยตัวเอง ผู้แข็งแกร่งมกุฏยุทธ์!

“หยุดเดี๋ยวนี้!”

ในเวลานี้เอง เสียงตะโกนโกรธก็ดังขึ้น ร่างของทั้งสองปรากฏตัวขึ้น ขัดขวางนักยุทธ์ตำหนักจื่อหลายคนที่กำลังดิ่งลงมา

ร่างทั้งสองคนนี้ ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ชายสวมใส่เสื้อเชิ้ตสีน้ำเงิน หญิงสวมใส่หน้ากาก ปลดปล่อยลมปราณของผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ออกมา

“ผู้น้อยขอคารวะผู้อาวุโสอาจารย์ตำหนักจื่อ”

ทั้งสองคนนี้ไม่ได้ลงมือ แต่หันไปทางอาจารย์ตำหนักจื่อบนเรือรบสัมฤทธิ์ และคำนับด้วยความเคารพ

ชายวัยกลางคน เป็นเจ้าสำนักของสำนักฉางเหอ หญิงสาวที่สวมหน้ากาก เป็นเจ้าสำนักเสวียนหยาง

อาจารย์ตำหนักจื่อบนเรือรบขมวดคิ้วเล็กน้อย: “คนรุ่นหลังอย่างพวกเจ้าสองคน ก็ต้องการจะขวางข้างั้นหรือ?”

“ผู้อาวุโสล้อเล่นแล้ว ผู้น้อยก็ย่อมไม่กล้าขัดขวางการกระทำของผู้อาวุโส”เจ้าสำนักฉางเหอและเจ้าสำนักเสวียนหยางรีบพูด

“ในเมื่อไม่กล้า งั้นก็หลีกไป ไม่อย่างนั้นอย่าหากว่าข้าลงมือได้โหดเหี้ยม!”อาจารย์ตำหนักจื่อพูดอย่างเย็นชา และกดดันเป็นอย่างมาก

คีตโลกาถ้ำเทพสถิตกลุ่มหนึ่ง ตำหนักจื่อประสบความสูญเสียอย่างหนัก ไม่ต้องพูดถึงการเสียชีวิตของผู้อาวุโสจักรพรรดิยุทธ์ เจ้าสำนักทุกวันนี้ก็เหลือเพียงเทพจิตดวงหนึ่ง เขาในฐานะอาจารย์มกุฏยุทธ์ จะไม่โกรธได้อย่างไร?

ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่เขาสนใจ คือมรดกโบราณที่คนรุ่นหลังที่ชื่อว่าหลัวซิวได้รับ ถ้าหากสามารถจับตัวครอบครัวไปได้ ข่มขู่ด้วยเรื่องนี้ บางทีตัวเองอาจจะได้รับมรดกโบราณ และก็ก้าวหน้าไปขั้นหนึ่ง

เกี่ยวกับอนาคตฝึกยุทธ์ของตัวเอง อาจารย์ตำหนักจื่อก็ย่อมไม่มีทางใจอ่อนเป็นธรรมดา ใครกล้าขวางเขา เขาก็กล้าฆ่าใคร

“เหอะ อาจารย์ตำหนักจื่อโอ่อ่ามาก!”

ทันใดนั้น เสียงเยาะเย้ยดังเข้ามา พื้นที่บนท้องฟ้าอันไกลโพ้นที่ไม่มั่นคง ร่างหนึ่งค่อยๆปรากฏขึ้นมา ล้อมรอบด้วยแสงทอง

ในแสงทอง ร่างหนึ่งก้าวเดินออกมา สีหน้าเยาะเย้ย มือซ้ายไพล่หลัง ผมยาวสีขาวก็กระจัดกระจาย ปลิวไปตามสายลม ราวกับเทพลงมา

ทันทีที่บุคคลนี้ปรากฏตัวขึ้น โลกก็ดูเหมือนจะอยู่ภายใต้การควบคุมของความคิดเดียว

“เสวียนหยาง เจ้าจะขัดขวางข้างั้นหรือ?”อาจารย์ตำหนักจื่อมองดูคนคนนี้ ดวงตาสั่นไหวด้วยความดุร้าย

บุคคลที่ปกคลุมไปด้วยแสงทองนี้ สามารถที่ทำให้อาจารย์ตำหนักจื่อสมาธิจดจ่อ เห็นได้ชัดว่าเป็นอยู่ในระดับเดียวกัน อาจารย์มกุฏยุทธ์ของสำนักเสวียนหยาง!

“ไม่ใช่ว่าข้าต้องการขัดขวางเจ้า แต่ครอบครัวของหลัวซิวนี้ ห้ามทำการหุนหันพลันแล่น”

อีกเสียงหนึ่งดังขึ้นมา คลื่นที่ซัดเข้ามาอย่างรวดเร็วรุนแรงของแม่น้ำที่รุกคืบอยู่บนท้องฟ้า ในคลื่นที่ซัดกระหน่ำ ร่างของชายชรายืนอยู่บนเกลียวคลื่น มือจับเคราสีขาวอยู่ และใบหน้ายิ้มแย้ม

อาจารย์ฉางเหอกับอาจารย์เสวียนหยาง มาพร้อมเพรียงกัน!

มาถึงตอนนี้ สามผู้แข็งแกร่งระดับมกุฏยุทธ์ที่ทรงพลังที่สุดในพื้นที่โดยรอบของประเทศเทียนหวู ก็ได้รวมตัวกันในเมืองชิงหยุนขนาดเล็กแห่งนี้

และผู้ที่ริเริ่มกระทำเป็นคนแรกก่อให้เกิดฉากนี้ ก็คือหลัวซิว จนถึงตอนนี้เพิ่งจะอยู่ในช่วงวัยรุ่นสิบกว่าปีเท่านั้น!

ก็เป็นชายหนุ่มที่ไม่อยู่ในสายตาแบบนี้ กลับสามารถที่จะล้วงคองูเห่าท่ามกลางผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ได้ ยึดเอามรดกโบราณไปไม่ว่า ยังก่อให้เกิดการเสียชีวิตของจักรพรรดิยุทธ์หลายคน ก่อให้เกิดความปั่นป่วนโกลาหล ทำให้อาจารย์มกุฏยุทธ์ระดับสูงตื่นตระหนก

……

“ที่นี่คือที่ไหน?”

หลัวซิวยืนอยู่ในอากาศ มองลงไปเห็นพื้นดินรกร้างแห่งหนึ่ง ภายใต้ดวงอาทิตย์ที่แผดเผา ทรายเล็กๆ ส่องประกายแสงสีทองอร่าม

นี่คือทะเลทรายแห่งหนึ่ง สามารถที่จะมองเห็นเนินทรายที่ยกขึ้นสูงในระยะไกลได้ ก้อนหินรูปร่างแปลกประหลาด และยังมีกระบองเพชรไม่กี่ต้นที่ยืนอยู่ในทะเลทรายเป็นครั้งคราว

สิ่งเดียวที่ทำให้ผู้คนรู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย ก็คือท้องฟ้าสีครามที่ไม่มีที่สิ้นสุด

อยู่ในคีตโลกาถ้ำเทพสถิตเริ่มต้นเคลื่อนย้ายด้วยพลังวิชาวิชาห้ามค่ายกล หลัวซิวไม่รู้ว่าตัวเองถูกเคลื่อนย้ายมาที่ไหน

“สถานที่บ้าแห่งนี้ร้อนจริงๆ”หลงหมิงสะบัดมือ พลังจิตแท้ก็กลายเป็นพัดในมือ ตอนนี้กลายเป็นร่างมนุษย์แล้ว แต่กลับเป็นเหมือนกับชายหนุ่มรูปงามของครอบครัวที่ร่ำรวย

ติดต่อกับตัวสำนึกของวิญญาณเสวียนดำในฝ่ามือข้างซ้าย“ท่านรู้ไหมว่าที่นี่เป็นที่ไหน?”

เนื่องจากการเคลื่อนย้ายของวิชาห้ามค่ายกลโบราณนั้น มาจากมือของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำ

“คือเคลื่อนย้ายตามโอกาส ข้าก็ไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน ยิ่งไปกว่านั้นโลกในสมัยโบราณนั้น ค่อนข้างแตกต่างจากโลกปัจจุบันทีเดียว”

จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำก็ไม่สามารถระบุได้ว่าอยู่ที่ไหน สิ่งเดียวที่สามารถแน่ใจได้ ก็คือที่นี่ไม่ได้อยู่ภายในประเทศเทียนหวูอย่างแน่นอน เพราะว่าวิชาห้ามค่ายกลโบราณของคีตโลกาถ้ำเทพสถิตเริ่มที่จะเคลื่อนย้าย อย่างน้อยสามารถที่จะข้ามผ่านไปได้หลายล้านไมล์

ภายใต้ความจนปัญญา หลัวซิวก็ทำได้เพียงเลือกมุ่งหน้าไปทิศทางด้านใดด้านหนึ่ง สิ่งแรกที่เขาต้องทำ ก็คือแน่ใจว่าตัวเองมาถึงสถานที่ไหน

ในชี่ไห่จุดตันเถียน สมบัติวิเศษสามชิ้นของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำไม่ได้เคลื่อนไหวเลยสักนิด และวิญญาณที่อาศัยอยู่ในฝ่ามือซ้าย ก็อ่อนแอมากเช่นกัน ดูจากสถานการณ์ปัจจุบัน ยังไม่สามารถเป็นภัยคุกคามตัวเองได้ชั่วคราว

สำหรับจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำ หลัวซิวไม่ได้ไว้วางใจทั้งหมด เหตุผลที่รับปากให้วิญญาณของอีกฝ่ายอาศัยอยู่ในร่างกาย ประเด็นหลักยังเป็นเพราะว่าสถานการณ์ตอนนั้น ร่างกายอยู่นอกเหนือการบังคับ

ในทะเลทรายที่ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่สามารถที่จะแยกแยะทิศทางได้ด้วยซ้ำ หลัวซิวบินอย่างไร้จุดหมายเป็นเวลาหลายวัน อย่างน้อยก็บินห่างออกไปหลายพันไมล์ และสภาพแวดล้อมโดยรอบยังคงไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก ก็เหมือนกับว่าวนอยู่ที่เดิมตลอดเวลา

ในวันนี้ หลัวซิวลงมาอยู่ที่ยอดเขารกร้างแห่งหนึ่ง และสายตาก็มองไปที่ขอบฟ้าอันไกลโพ้นอย่างพรวดพราด

ในสายตาของเขา มีจุดสีดำพร่ามัวมองเห็นได้จากระยะไกลและใกล้ เมื่อหลัวซิวมองเห็นจุดสีดำนั้นชัดเจน รูม่านตาก็หดตัวลงทันที

นั่นเป็นเรือรบสีดำลำหนึ่ง ตัวเรือทั้งลำถูกหลอมจากโลหะสีดำ ความเร็วในการบินนั้น เทียบเท่ากับความเร็วเต็มที่ของผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ช่วงหลัง

อยู่ในอาณาเขตของประเทศเทียนหวู สามารถที่จะขับเคลื่อนเรือรบได้ อย่างน้อยก็เป็นผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์

เมื่อระยะทางใกล้เข้ามา หลัวซิวมองดูเรือรบสีดำสนิทด้านบน แขวนธงไว้ และเขียนว่า: สมาคมหมิงกวง

ตูมตาม…….

ในไม่ช้าเรือรบก็พุ่งขึ้นไปในอากาศ และอากาศโดยรอบที่ถูกบดขยี้ทำให้เกิดเสียงแตกดังสนั่น

หลัวซิวรีบบินเข้าไป เพื่อป้องกันความเข้าใจผิด ยังไม่เข้าใกล้ เขาก็ตะโกนเสียงดังพร้อมกับพลังจิตแท้: “ข้าหลงทาง ไม่ทราบว่าข้าติดเรือไปด้วยได้ไหม ข้าขอบพระคุณเป็นอันมาก”

บนดาดฟ้าของเรือรบ นักยุทธ์หลายสิบคนสวมใส่ชุดเกราะ มือถือนักยุทธ์ ผู้นำผู้แข็งแกร่งทั้งสามปลดปล่อยลมปราณราชายุทธ์

สัมผัสได้ถึงลมปราณราชายุทธ์ที่ปลดปล่อยออกมาจากร่างของหลัวซิว ผู้นำทั้งสามของเรือรบก็มองหน้ากัน และชายวัยกลางคนหนึ่งในนั้นก็ก้าวออกมา และพูดเสียงดังว่า: “เพื่อนเชิญขึ้นเรือ!”

“เท่าที่ข้ารู้ เขาทองดำไท่เสวียนนี้เป็นหนึ่งในสามของผู้อาวุโสของสำนักไท่เสวียน ของขลังเฝ้าบ้านของตาเฒ่าประหลาดเสวียนดำ ยิ่งไปกว่านั้นตาเฒ่าประหลาดเสวียนดำชำนาญค่ายกล เชี่ยวชาญในการกลั่นสมบัติมากที่สุด สิ่งที่มีชื่อเสียงมากที่สุดก็คือของขลังทั้งสามชิ้น ได้แก่ลูกแก้วเสวียนดำ ตำหนักเสวียนดำ ยอดเขาทองดำ!”

“แต่เป็นของขลัง ก็ต้องใช้สูตรเวทมนตร์เฉพาะถึงจะควบคุมรวบรวมได้ เป็นไปได้ไหมว่าเจ้าได้รับมรดกของตาเฒ่าประหลาดเสวียนดำ?”

หลงหมิงนี้ทัดเทียมเสมอเหมือนกับผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ในสมัยโบราณที่มีอยู่ แต่ระหว่างคำพูดของเขา สำหรับผู้อาวุโสเสวียนดำของสำนักไท่เสวียน กลับได้รับการประเมินอย่างสูง ดูเหมือนกับว่าตัวเองสู้คนอื่นไม่ได้

แต่ว่าหลัวซิวไม่ได้อธิบายให้หลงหมิงมากนัก เหตุผลที่เขารู้วิชาพลังตราประทับเหล่านี้ ทุกอย่างเป็นเพราะว่าดวงวิญญาณของตาเฒ่าประหลาดเสวียนดำคนนั้น ก็เก็บอยู่ในร่างกายของเขา

ตูมตาม……

เขาทองดำไท่เสวียนสั่นไหวอย่างรุนแรง แต่สีหน้าของหลัวซิวกลับยิ่งอยู่ยิ่งซีดเซียวมากขึ้นเรื่อยๆ ใช้พลังจิตแท้ไปอย่างมาก เมื่อเห็นว่าจะต้านทานไม่ไหว

ในเวลานี้เอง พลังวิญญาณบริสุทธิ์แผ่ซ่านจากฝ่ามือซ้ายของเขา กระจายไปทั่วร่างกาย ก็ทำให้เขาราวกับว่าได้รับความช่วยเหลือจากเทพในทันที พลังจิตแท้ก็เพิ่มสูงขึ้นหลายเท่า

“ผลการฝึกตนของเจ้าช่างตื้นเกินไป ไม่จะสามารถรวบรวมเขาทองดำได้ ข้ามาช่วยเจ้าด้วยกำลังส่วนหนึ่ง”

พลังวิญญาณบริสุทธิ์นี้ ก็ย่อมมาจากวิญญาณของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำ มีความช่วยเหลือของพลังนี้ ความเร็วในการบีบนิ้วพลังตราประทับของหลัวซิว ก็เร็วมากขึ้นอย่างมากเช่นกัน

ใช้เวลาไม่นานมาก เขาทองดำไท่เสวียนซึ่งแต่เดิมมีความสูงหนึ่งหมื่นฟุต ได้ย่อขนาดให้เล็กเหลือหลายฟุต ยิ่งไปกว่านั้นยังคงหมุนไปรอบๆและหดตัวอย่างไม่หยุด

จนกระทั่งในที่สุดยอดภูเขาสูงตระหง่านลูกนี้กลายเป็นขนาดเท่าฝ่ามือ ถึงได้หยุดแนวโน้มที่จะเล็กลง กลายเป็นกระแสแสง ไม่ได้เข้าสู่ในร่างกายของหลัวซิว

ในขณะนี้ ในชี่ไห่จุดตันเถียนของหลัวซิว บริเวณใกล้เคียงกับยาเทพจิตความเป็นความตายขั้วขาวดำ ลอยอยู่สำนักสีดำแห่งหนึ่ง ยังมียอดเขาสีทองดำแห่งหนึ่ง

ของขลังที่มีชื่อเสียงสามอย่างของตาเฒ่าประหลาดเสวียนดำโบราณ ตอนนี้อยู่ในร่างกายของเขาแล้ว แม้แต่ตัวของหลัวซิวเอง ก็บอกไม่ได้ว่าเป็นเรื่องดีหรือหายนะกันแน่

ท้องฟ้าในระยะไกลแตกสลายอย่างสมบูรณ์แล้ว และชิ้นส่วนพื้นที่จำนวนนับไม่ถ้วนถูกก่อกวนเข้าด้วยกัน ก่อตัวเป็นกระแสน้ำวนขนาดใหญ่ กลืนกินชิ้นส่วนคุณสมบัติที่มองเห็นได้ทั้งหมด

หลัวซิวแบกเหยียนเยว่เอ๋อร์ที่ยังหมดสตินอนหลับอยู่ และมือทั้งสองก็กลายเป็นเงาเศษบีบนิ้วเป็นพลังตราประทับ กระตุ้นพลังวิชาห้ามค่ายกลโบราณของคีตโลกาถ้ำเทพสถิตแห่งนี้

แสงสีทองดำผนึกรวมอยู่ใต้ฝ่าเท้าของหลัวซิวทีละชั้น จัดเรียงวางเป็นค่ายกลขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง สัญลักษณ์ค่ายกลนับไม่ถ้วนส่องแสง และมีความลึกลับอย่างไม่รู้จบ

ในที่สุด หลัวซิวก็ชี้นิ้วลงไปที่ตำแหน่งศูนย์กลางของค่ายกลแห่งนี้ และด้วยพลังห้ามโบราณของทั้งคีตโลกาถ้ำเทพสถิต เริ่มที่จะเคลื่อนย้าย

ประเทศเทียนหวูท้องฟ้าเกิดการเปลี่ยนแปลง

ตั้งแต่คีตโลกาถ้ำเทพสถิตพื้นที่พังทลาย ผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ยี่สิบคนได้เสียชีวิต สถานการณ์ในพื้นที่โดยรอบของทั้งประเทศเทียนหวู ก็เกิดความวุ่นวายทุกที่อยู่เสมอ

ฝานไท่เต๋อถูกหลัวซิวทำลายร่างกายและเทพจิตส่วนใหญ่ในคีตโลกาถ้ำเทพสถิต แล้วก็เหลือเทพจิตดวงหนึ่งอยู่ในตะเกียงวิญญาณ

เขาต้องการฟื้นฟูวันเก่าๆของผลการฝึกผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลานานนับสิบปี

ราชวงศ์ตระกูลฝานไม่กล้าที่จะออกแถลงการณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ ปิดข่าวอย่างแน่นหนา ในขณะที่กองกำลังต่างๆในประเทศเทียนหวู ก็เคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้ แสดงความกระตือรือร้นเอาจริงเอาจังอย่างออกนอกหน้า

เจ้าตำหนักจื่อเหมือนกับฝานไท่เต๋อ ก็ใช้ตะเกียงวิญญาณรักษาชีวิตไว้ หลังจากที่อาจารย์ตำหนักจื่อได้รับข่าวคราว ก็โกรธจัดมาก และออกโรงด้วยตัวเอง มุ่งหน้าไปตรวจสอบที่บ่อน้ำอมตะ

ในเมืองชิงหยุนธรรมดาของที่ผ่านมา ตอนนี้กลับมีผู้แข็งแกร่งจำนวนมากมาชุมนุม อยู่ในคีตโลกาถ้ำเทพสถิต ผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์หลายคนที่ได้รับผลประโยชน์จากหลัวซิว ก็ย้ายไปที่เมืองชิงหยุน และพักอาศัยอยู่ใกล้เคียงกับตระกูลหลัว

ในวันนี้ ความสงบเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในเมืองชิงหยุน ท้องฟ้าก็เต็มไปด้วยสีม่วงในทันใด แรงกดดันมหาศาลที่คาดเดาไม่ได้ ได้หล่นลงมาในเมือง

การแพร่กระจายของท้องฟ้าสีม่วงกลายเป็นผลลัพธ์ขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ราวกับชามใหญ่คว่ำ ครอบคลุมทั้งเมืองชิงหยุน

บนท้องฟ้าเหนือเมืองชิงหยุน เรือรบขนาดใหญ่ที่เรียบง่ายลำหนึ่ง ทะลุผ่านเมฆ และปรากฏตัวขึ้น

บนดาดฟ้าของเรือรบ นักยุทธ์คนหนึ่งที่ฝึกตนประสบความสำเร็จยืนอย่างภาคภูมิใจ บรรยากาศหดหู่

อยู่ในพื้นที่ของประเทศเทียนหวู คิดว่ามีแต่ราชวงศ์ตระกูลฝานเท่านั้นที่มีเรือรบ แต่ว่าเรือรบลำนี้ กลับไม่ได้มาจากราชวงศ์ตระกูลฝาน บนที่สูงของเรือรบ แขวนธงไว้ด้านหนึ่ง เขียนว่า:ตำหนักจื่อ!

“เป็นคนของตำหนักจื่อ!”

ผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์ทุกคนในเมืองต่างตื่นตระหนก แต่ละคนก็มองขึ้นไปเรือรบทองแดงในอากาศด้วยสีหน้าท่าทางด้วยความตกตะลึง

ในเวลาเดียวกัน องครักษ์เกราะเขียวของในเมืองชิงหยุนก็รวมตัวกันทั้งหมด ภายใต้การนำของเจ้าสำนักยุทธ์ และยืนอยู่บนกำแพงเมือง

“ผู้มาเป็นใคร?”เจ้าสำนักยุทธ์บินขึ้นไป และตะโกนเสียงดัง

เขาแค่เพิ่งเข้าสู่แดนฝึกจิต และไม่รู้จักสามกองกำลังใหญ่เหนือผู้คนโดยรอบประเทศเทียนหวู

บนเรือรบที่ดูเหมือนภูเขาบนท้องฟ้า ชายชราคิ้วสีขาวในชุดคลุมสีม่วงเอามือทั้งสองไพล่ไว้ข้างหลัง ดวงตาคู่หนึ่งที่ไม่แยแสไร้ความรู้สึกนึกคิด ค่อยๆมองมา

ชายชราคนนี้ เพียงแค่มองไปทางด้านล่างของเมืองชิงหยุนแวบหนึ่งอย่างเฉยเมย และก็ไม่ได้สนใจอีก

ด้วยฐานะกับผลการฝึกตนของเขา จะลดสถานะของตัวเอง มาถือสาคนอ่อนแอได้อย่างไร?

“เจ้าก็คือเจ้าสำนักยุทธ์ที่ได้รับการแต่ตั้งแต่โดยสำนักเซียวเหยาในเมืองชิงหยุนงั้นหรือ?”

บนเรือรบ ชายวัยกลางคนคนหนึ่งก้าวออกมา มองลงมาจากตำแหน่งที่สูง และพูดอย่างมองลงไปด้วยความจองหองว่า: “ให้เวลาเจ้าหายใจสามอึดใจ ส่งมอบตัวคนในครอบครัวของหลัวซิวออกมา ไม่อย่างนั้นตาย!”

“หลัวซิว?”

เจ้าสำนักยุทธ์ได้ยินชื่อนี้ สีหน้าท่าทางก็แข็งทื่อในทันที

เขาไม่รู้ว่าหลัวซิวทำให้ใครขุ่นเคืองใจกันแน่ อีกฝ่ายมาหาถึงที่โดยตรง

“ท่านเป็นใครเป็นกัน หรือว่าไม่รู้ว่าคูเมืองใหญ่ในเขตการปกครองหยุนหลงนี้ ก็ได้รับการคุ้มครองโดยสำนักเซียวเหยาเหรอ?”

สีหน้าของเจ้าสำนักยุทธ์ลังเลตัดสินใจไม่ได้ ทำได้เพียงนำสำนักเซียวเหยาที่ผู้อยู่เบื้องหลังนี้ออกมา

แม้ว่าสำนักเซียวเหยาอยู่ในประเทศเทียนหวูถือได้ไม่เชิงว่าเป็นกองกำลังใหญ่ชั้นสูงสุด แต่ยังไงก็เรียกได้ว่าเป็นสำนักกลุ่มหนึ่งที่มีอำนาจในพื้นที่ โดยสถานการณ์ทั่วไปก็ไม่มีใครยอมที่จะเริ่มเป็นคนหาเรื่องก่อน

อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้เจ้าสำนักยุทธ์คาดไม่ถึงคือ เขาบอกภูมิหลังของสำนักเซียวเหยา นักยุทธ์ชุดสีม่วงบนเรือรบเหล่านั้นแต่ละคนก็ยืนด้วยสีหน้าเย็นชา ต่างก็แสดงสีหน้าดูหมิ่น

ดูเหมือนว่า สำหรับคนเหล่านี้บนเรือรบ สำนักเซียวเหยาไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าสิ่งที่ไม่เข้าชั้นเท่านั้นเอง

“สำนักเซียวเหยาแค่สำนักเล็กๆแห่งหนึ่งที่ไม่เข้าชั้น ไม่ต้องพูดถึงเมืองชิงหยุนเล็กๆ ต่อให้เป็นเขตการปกครองหยุนหลง ข้าก็สามารถยกมือขึ้นเพื่อทำลายมันได้!”

ชายวัยกลางคนเยาะเย้ย จากนั้นก็มีแสงเย็นชาประกายในดวงตา นิ้วหนึ่งชี้ออกมา

“รีบถอยเดี๋ยวนี้!”

เย่เซี่ยงโต่วในเมืองด้านล่างเห็นฉากนี้ สีหน้าท่าทางเคร่งครัด

อย่างไรก็ตามแม้ว่าเขาจะเตือนเจ้าสำนักยุทธ์ แต่กลับช้าไปอยู่บ้าง ชายวัยกลางคนชี้แสงม่วงสายหนึ่งออกมา ตูมเสียงหนึ่ง ก็ทะลุหัวกะโหลกของเจ้าสำนักยุทธ์ในทันที พร้อมกับคราบเลือดผสมกับเยื่อสีขาว

ฉากนี้อยู่ในสายตาของนักยุทธ์หลายคนที่อยู่ในเมืองด้านล่าง และทุกคนที่อยู่ให้เหตุการณ์ก็เกิดความโกลาหลในทันที

โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับนักยุทธ์เหล่านั้นของเมืองชิงหยุน เจ้าสำนักยุทธ์นั้น เทียบเท่ากับการมีอยู่ของเจ้าเมือง ผลการฝึกตนสูง ความแข็งแกร่งทรงพลัง

แต่ทรงพลังราวกับเจ้าสำนักยุทธ์ ถูกคนบนเรือรบเหล่านั้นฆ่าราวกับมดด้วยการชี้นิ้วเดียว อีกฝ่ายเป็นใครเป็นกันแน่? แล้วผลการฝึกตนน่ากลัวแค่ไหน?

อย่างที่เขาพูด เย่เซี่ยงโต่วหัวหน้าขององค์กรนักล่ายุทธ์ในเมืองชิงหยุน เป็นแค่ปรมาจารย์ยุทธ์แดนฝึกจิตเท่านั้นเอง ต่อให้เขาทิ้งสิงห์ทิพย์อัคคีอร่ามไว้ในเมืองชิงหยุน แต่ถ้ามีราชายุทธ์ท่านหนึ่งลงมือ คนในครอบครัวของเขาก็มีความเกรงกลัวต่อชีวิตเช่นกัน

ถ้าเกิดมีผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์คนไหนโลภโอกาสสมบัติที่เขาได้มาจากที่นี้ ไม่แน่อาจจะไม่สนใจตัวตนแล้วลงมือกับคนธรรมดาได้

ในโลกนี้ คนที่เพื่อบรรลุเป้าหมายโดยไม่สนใจวิธีการ ท้ายที่สุดแล้วมากเกินไปจริงๆ

ยิ่งไปกว่านั้นสำหรับปัญหานี้ ต่อให้เป็นจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิง ก็ไม่กล้ารับประกันปัญหาความปลอดภัยพ่อแม่ของเขาได้ เพราะว่าผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ที่เกี่ยวพันในนั้นมากเกินไป

ถึงขนาด มีความเป็นไปได้ที่ตำหนักจื่อ สำนักเสวียนหยาง และสำนักฉางเหออาจารย์มกุฏยุทธ์ทั้งสามท่านก็ออกมาก่อกวน

“ถ้าใครกล้าแตะต้องครอบครัวของข้า ข้าฝึกตนประสบความสำเร็จในอนาคต ต้องทำลายสำนักของเขา ฆ่าทั้งตระกูลของเขา!”น้ำเสียงของหลัวซิวเยือกเย็นแล้วก็เย็นชา

แม้ว่าจะพูดแบบนี้ แต่หลัวซิวก็รู้ดีมาก ตำหนักจื่อและราชวงศ์ตระกูลฝานจะต้องใช้วิธีการแก้แค้นตัวเองอย่างเต็มที่ เพื่อความปลอดภัยของครอบครัวตัวเอง เขาจำเป็นต้องให้ประโยชน์กับคนเหล่านี้บ้างถึงจะได้

ในช่วงเวลาสั้นๆ ความคิดของเขาเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว และพูดด้วยรอยยิ้ม: “แต่ว่าข้าเชื่อว่าผู้อาวุโสทุกท่านเป็นคนมีเหตุผล ผู้น้อยได้รับประสบการณ์ในการฝึกตนบางอย่างในกระท่อมมุงจาก กลับสามารถแบ่งปันให้กับผู้อาวุโสทุกท่านได้เล็กน้อย”

ขณะที่พูด เขาหยิบม้วนหยกว่างเปล่าหลายแผ่นที่ไม่เคยใช้ออกจากในแหวนเก็บของ แยกแยะข้อมูลตราบางอย่างในนั้น แบ่งออกยื่นไปในมือของจักรพรรดิยุทธ์หลายท่านที่อยู่ในเหตุการณ์

จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิง ในม้วนหยกที่เฒ่าประหลาดฉิวและคนอื่นๆได้รับ และคือประสบการณ์ฝึกตนจักรพรรดิยุทธ์ขั้น5ถึงขั้น7

สิ่งที่เหว้ยห้าวหรานได้รับ คือประสบการณ์เข้าใจบางอย่างของค่ายกลขั้น7

สิ่งของเหล่านี้ ก็ย่อมได้มาจากจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำเป็นธรรมดา สำหรับผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์คนหนึ่ง ก็ไม่ใช่ของมีค่าอะไรเลย แต่สำหรับจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงคนเหล่านี้ แต่กลับราวกับได้รับสิ่งล้ำค่า

อย่างไรก็ตามเจ้าสำนักเสวียนหยางและเจ้าสำนักฉางเหอ ไม่ค่อยพอใจกับสิ่งนี้เท่าไหร่ ในสำนักของพวกเขามีอาจารย์มกุฏยุทธ์ออกนั่งบัญชาการรักษาการณ์ด้วยตัวเอง มีประสบการณ์ที่คล้ายคลึงกัน พวกเขาก็สามารถได้รับ และไม่ใช่สิ่งที่ต้องการอย่างเร่งด่วน

หลัวซิวได้เตรียมการสำหรับเรื่องนี้แล้ว เตรียมการเพิ่มเติมม้วนหยกสองแผ่น ส่งมอบให้กับเจ้าสำนักเสวียนหยางและเจ้าสำนักฉางเหอ

“ม้วนหยกสองแผ่นนี้ ก็ต้องรบกวนให้ผู้อาวุโสทั้งสองท่านมอบให้กับอาจารย์มกุฏยุทธ์ด้วย และช่วยฝากบอกแทนผู้น้อยด้วย”หลัวซิวพูด

“ไม่ทราบว่าเจ้าต้องการให้พวกข้าฝากบอกอะไร?”เจ้าสำนักเสวียนหยางและเจ้าสำนักฉางเหอเผยให้เห็นความสงสัย

“ม้วนหยกเพียงแค่ของขวัญพบหน้า ถ้าตำหนักจื่อทำอะไรไม่ดีต่อครอบครัวของข้า อาจารย์มกุฏยุทธ์ทั้งสองท่านเพียงแค่ช่วยข้าขัดขวางมกุฏยุทธ์ของตำหนักจื่อ ผู้น้อยก็ยังมีรางวัลตอบแทนให้อย่างแน่นอน!”หลัวซิวพูดด้วยรอยยิ้ม

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เจ้าสำนักเสวียนหยางและเจ้าสำนักฉางเหอก็เข้าใจในทันใดว่า หลัวซิวให้มอบม้วนหยกให้กับอาจารย์มกุฏยุทธ์ เกรงว่าจะไม่ธรรมดา

สามารถที่จะโน้มน้าวคำมั่นสัญญาผลประโยชน์ของอาจารย์มกุฏยุทธ์ได้ เมื่อเทียบกับประโยชน์ของประสบการณ์ฝึกตนบางอย่างที่เขามอบให้กับจักรพรรดิยุทธ์เมื่อกี้นี้ ก็เห็นได้ชัดว่าเล็กน้อยมาก

ไม่นานนัก คนกลุ่มหนึ่งเดินออกจากตำหนักเสวียนดำ และในขณะที่จักรพรรดิยุทธ์คนสุดท้ายเดินออกจากตำหนักเสวียนดำ ตำหนักขนาดใหญ่สูงตระหง่านก็สว่างไสวในทันใด ต่อจากนั้นก็หดตัวลงอย่างรวดเร็ว กลายเป็นจุดสว่างสีดำ ไม่ได้เข้าสู่ร่างกายของหลัวซิว

ต่อจากนั้น ยอดเขาทองดำใต้ฝ่าเท้าของทุกคนก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงขึ้นมา ท้องฟ้าของทั้งคีตโลกาถ้ำเทพสถิตเริ่มมีรอยแตก เผยให้เห็นรอยร้าวขนาดใหญ่

สีหน้าของจักรพรรดิยุทธ์ทุกคนเปลี่ยนไปทั้งหมด พวกเขาไม่เข้าใจว่าหลัวซิวทำอะไรกันแน่ แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดคือ พื้นที่ของคีตโลกาถ้ำเทพสถิต กำลังจะพังทลายลงจริงๆ

แรงของพื้นที่พังทลายช่างน่ากลัวเป็นอย่างมาก ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งมกุฏยุทธ์ก็ไม่สามารถที่จะควบคุมอยู่เพียงลำพังได้ ถ้าไม่สามารถออกไปได้ก่อนที่พื้นที่ทั้งหมดพังทลาย พวกเขาจักรพรรดิยุทธ์เหล่านี้ ต้องเสียชีวิตอยู่ที่นี่ทั้งหมด

“ธงค่ายโบราณหกด้านของข้าถูกทำลายแล้ว ไม่สามารถที่จะทำลายค่ายกลห้ามบินได้ พวกข้าจะออกไปอย่างไร?”เหว้ยห้าวหรานกล่าวด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป

ในตอนนี้ทุกคนอยู่บนยอดเขาทองดำ ซึ่งสูงจากพื้นดินหลายพันฟุต ไม่สามารถบินขึ้นไปบนท้องฟ้าได้ แม้ว่าผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ตกลงไป ก็ต้องมีจุดจบของร่างกายแหลกเหลว

“ฮ่าๆ ผู้อาวุโสทุกท่านไม่ต้องตื่นตกใจ เรื่องนี้มอบให้ข้ามาจัดการเอง”หลัวซิวพูดอย่างราบเรียบ

ขณะที่พูด มือของเขาได้บีบควบคุมพลังตราประทับวิชาห้ามค่ายกลโบราณ ผลการกำราบของค่ายกลห้ามบินต่อจักรพรรดิยุทธ์ทุกท่าน ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

“ผู้อาวุโสทุกคนได้รับประโยชน์จากข้าแล้ว ดังนั้นข้าหวังว่าช่วงที่ข้าจากไป ความปลอดภัยของครอบครัวข้าที่อยู่ในประเทศเทียนหวู ก็ต้องรบกวนขอความช่วยเหลือจากผู้อาวุโสทุกท่านแล้ว”

ร่างของหลัวซิวบินขึ้นในอากาศ หันหน้ามองไปทางผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์หลายคนในที่นี้ และตะโกนว่า: “ข้าจะกลับมาในอนาคต สำหรับความช่วยเหลือของผู้อาวุโส ผู้น้อยจะมีรางวัลอื่นตอบแทนอย่างแน่นอน!”

“ฮ่าๆ ผลการฝึกตนของข้าหยุดก้าวหน้าไปนานนับร้อยปีแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีอะไรจะทำ ก็จะไปอยู่ในเมืองชิงหยุนช่วงหนึ่งก็ดี”

ในจักรพรรดิยุทธ์ทุกท่าน เฒ่าประหลาดฉิวพูดด้วยรอยยิ้มก่อน จากนั้นก็คำนับให้กับหลัวซิว และบินจากไป

จักรพรรดิยุทธ์คนอื่นก็ทยอยแสดงท่าที เพราะว่าพวกเขาก็รู้ดีมาก หลัวซิวได้รับมรดกโบราณที่นี่ คงจะไม่มีทางอยู่ในประเทศเทียนหวูอย่างแน่นอน ต้องรอตัวเองสามารถใช้การได้ ถึงจะกลับมา

ด้วยความเร็วของการฝึกตนที่น่ากลัวของเขานั้น เกรงว่าใช้เวลาไม่กี่ปี ก็ทัดเทียมเสมอเหมือนจักรพรรดิยุทธ์ ในอีกสิบปีข้างหน้า ถึงกับทัดเทียมเสมอเหมือนอาจารย์มกุฏยุทธ์ ไม่ก็อาจรู้ได้

ชายหนุ่มที่มีศักยภาพในการเติบโตที่น่าสะพรึงกลัวขนาดนี้ แม้แต่สำนักเสวียนหยางและสำนักฉางเหอก็ต้องใคร่ครวญพิจารณาดู

พื้นที่ของคีตโลกาถ้ำเทพสถิตเริ่มแตกพังทลาย ผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ก็ทยอยออกไป กองกำลังนักยุทธ์ต่างๆคล่องแคล่วอยู่ในสถานที่อื่นของคีตโลกา ก็สังเกตเห็นบางอย่างผิดปกติ และทยอยเลือกที่จะจากไป

หลัวซิวหาหลงหมิงและเหยียนเยว่เอ๋อร์ และพาพวกเขาไปที่ยอดเขาทองดำไท่เสวียนด้วยกัน

“พื้นที่ของที่นี่กำลังจะพังทลาย พวกเรายังไม่ออกไป มาที่นี่ทำไม”หลงหมิงดูสีหน้างง

“ก็ย่อมออกจากที่นี่ ยิ่งไปกว่านั้นคาดการณ์ว่าพวกเราจะกลับมาอีกหลังจากนี้อีกนานมาก”หลัวซิวพูด

ผ่านเหตุการณ์นี้ไป เขาก็ย่อมไม่มีทางอยู่ในประเทศเทียนหวูอีกต่อไป นอกเหนือจากว่ามีวันหนึ่ง เขามีพลังสามารถที่จะต้านทานมกุฏยุทธ์ได้ และทำลายตำหนักจื่อได้

สำหรับผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ที่ได้ประสบการณ์การฝึกตนเหล่านั้น และอาจารย์มกุฏยุทธ์ของสำนักเสวียนหยางและสำนักฉางเหอ หลัวซิวเชื่อว่าตราบใดที่พวกเขาอยากจะได้ประสบการณ์ที่มากยิ่งขึ้นจากตัวเอง ให้ผลการฝึกตนของตัวเองก้าวหน้าขึ้น น่าจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยเขาปกป้องความปลอดภัยของครอบครัว

สูดหายใจเข้าลึกๆ หลัวซิวสงบสติอารมณ์ที่ปั่นป่วนลงมา ในแววตาประกายด้วยความมุ่งมั่นเล็กน้อย

ยืนอยู่บนท้องฟ้าเหนือเขาทองดำไท่เสวียน เขาเหยียบบนความว่างเปล่า บีบนิ้วพลังตราประทับ และท่องคำพูดในปาก

มือทั้งสองของเขากลายเป็นเงาเศษ โจมตีพลังตราประทับออกไปครั้งหนึ่ง เขาทองดำไท่เสวียนใต้ฝ่าเท้า ก็จะสั่นสะเทือนครั้งหนึ่ง และรัศมีที่พร่ามัวจะเบ่งบาน

เขาทองดำไท่เสวียน เป็นสมบัติวิเศษโบราณชิ้นหนึ่ง ทำให้พื้นที่คีตโลกาถ้ำเทพสถิตแห่งนี้มั่นคง และเมื่อสมบัตินี้ถูกนำออกไป พื้นที่คีตโลกาถ้ำเทพสถิตแห่งนี้ ก็จะพังทลายอย่างสมบูรณ์ และหายไปอย่างไร้ร่องรอย

“ไม่นึกเลยว่าเจ้าสามารถที่จะเก็บเขาทองดำไท่เสวียนแห่งนี้ได้?”หลงหมิงเบิกตากว้าง มองดูการกระทำบนมือของหลัวซิวอย่างไม่เชื่อ

“ฮ่าๆ ชายหนุ่มเจ้าฉลาดมาก ข้าต้องการทำข้อตกลงกับเจ้า”จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำพูดด้วยรอยยิ้ม

“ทำข้อตกลง? ผู้น้อยไม่เข้าใจ”หลัวซิวเผยให้เห็นความสงสัย ในใจระแวดระวังอย่างยิ่ง ถ้าอีกฝ่ายครองวิญญาณของตัวเองจริงๆ เขายอมที่จะต่อสู้กันจนตกตายไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย

“ชายหนุ่ม เจ้าต้องการที่จะแข็งแกร่งขึ้นหรือเปล่า? พูดตามตรง ถ้าหากไม่ใช่ว่าอาศัยลูกแก้วเสวียนดำสามารถที่จะควบคุมพลังวิชาห้ามค่ายกลโบราณได้ เจ้าคงจะตายอยู่ในมือของจักรพรรดิยุทธ์บางคนแล้ว”

จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำยิ้มเล็กน้อย “แต่ว่า ถ้าหากมีความช่วยเหลือของข้า นับประสาแค่เพียงจักรพรรดิยุทธ์ ต่อให้เขาเอาชนะมกุฏยุทธ์ พรีเมี่ยมยุทธ์ หรือแม้แต่มหาจักรพรรดิยุทธ์ ก็ไม่แน่จะว่าจะเป็นไปไม่ได้”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลัวซิวเลิกคิ้วขึ้น“ผู้น้อยไม่มีความทะเยอทะยาน รู้ว่าคุณสมบัติความสามารถของตัวเองมีจำกัด ก็ไม่คาดหวังว่าผู้อาวุโสจะช่วยเหลือ”

ในโลกนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ หลัวซิวไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะใจดีขนาดนั้นจริงๆ

“ฮ่าๆ ดูเหมือนว่าเด็กน้อยเจ้ายังจะระแวงข้าเป็นอย่างมากนะ”

จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำยิ้มเล็กน้อย และพูดว่า: “แม้ว่าข้าจะเหลือเพียงวิญญาณอ่อนกำลังดวงหนึ่ง แต่ก็สามารถที่จะมองออกว่า อายุของเจ้าไม่มากนัก อายุสิบกว่าปีฝึกตนเป็นราชายุทธ์ ความสามารถนี้ค่อนข้างแตกต่างโดยทั่วไปแล้ว”

“ยิ่งไปกว่านั้น ข้าสัมผัสการอยู่ร่วมกันของพลังสองระดับความเป็นตายได้จากตัวของเจ้า สิ่งนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่ปรากฏอยู่บนตัวของเจ้า ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความสำเร็จในอนาคตของเจ้า จะต้องไม่มีวันสิ้นสุด!”

“ในการต่อสู้ครั้งหนึ่งในโบราณ ข้าน่าจะเสียชีวิตร่างสลายไป ถึงแม้ว่ามีตะเกียงวิญญาณรักษาชีวิต ก็ควรจะเป็นคนตาย รอดมาได้จนถึงตอนนี้ เหลือเพียงวิญญาณดวงหนึ่ง ถ้าหากไม่มีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้น ในอีกไม่กี่ทศวรรษข้างหน้า ก็จะสลายหายไป”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลัวซิวถึงได้สังเกตว่า ออร่าวิญญาณที่เปล่งออกมาจากตะเกียงวิญญาณนั้นอ่อนแอมาก ตราบใดที่ตัวเองใช้การโจมตีวิญญาณอย่างสบายๆ ก็สามารถซัดจนพินาศได้

เหตุผลที่เขาหวาดกลัวเป็นอย่างมาก ก็เป็นเพราะอุปาทานว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นสิ่งมีชีวิตอยู่ระดับจักรพรรดิยุทธ์ แต่มีหวาดกลัว และคิดไปเองว่าสู้ไม่ได้

“ตอนนี้เจ้าเชื่อว่าข้าไม่สามารถครองวิญญาณเจ้าได้แล้วใช่ไหม?”จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำจ้องมองไปที่หลัวซิวแล้วพูด

“ถ้าหากเจ้ายินยอม ข้าสามารถทำข้อตกลงกับเจ้าได้ ก่อนหน้าที่ข้ายังไม่เสียชีวิตไป เคยเป็นผู้อาวุโสของสำนักไท่เสวียนมาก่อน คนแรกของค่ายกล!”

“มีคำแนะนำของข้า ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น แค่พูดถึงวิชาค่ายกลตำราหนึ่ง ก็ทำให้เจ้าได้รับประโยชน์อย่างไม่รู้จบ!”

“ยิ่งกว่านั้นข้าก็มีประสบการณ์ฝึกตนมหาจักรพรรดิยุทธ์และหลักการประสบการณ์ ก็สามารถถ่ายทอดวิชาให้ทั้งหมดได้!”

ทันทีที่จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำเอ่ยปาก ก็สัญญาว่าจะให้ประโยชน์มากมายกับหลัวซิว

แต่หลัวซิวไม่ได้คิดว่าจะเป็นเรื่องจริง ยิ่งอีกฝ่ายให้ผลประโยชน์มากเท่าไร ความต้องการที่พูดออกมาก็จะยิ่งสูงขึ้นเป็นธรรมดา และถ้าหากไม่มีความต้องการอะไร นั่นถึงบ้าเข้าไปใหญ่

“ผู้อาวุโสต้องการให้ผู้น้อยอย่างข้าทำอะไรหรือ?”หลัวซิวถาม

“ใช้ร่างของเจ้าเป็นพาหะ รักษาวิญญาณของข้าให้เป็นอมตะ!”น้ำเสียงที่อ่อนแอของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำ ดูเหมือนจะดังก้องกลายเป็นทรงพลังในทันใด

อย่างไรก็ตามหลัวซิวกลับไม่ได้เคลื่อนไหว ขมวดคิ้ว และพูดว่า: “เงื่อนไขนี้ ผู้น้อยเกรงว่าจะไม่สามารถรับปากได้”

ความหมายของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำ เขาเข้าใจแล้วว่า ก็คือให้วิญญาณของตัวเองอยู่ในร่างกายของเขา เรื่องแบบนี้ หลัวซิวจะรับปากได้อย่างไร?

ถ้าเกิดอีกฝ่ายมีวิธีอะไรครองวิญญาณ ตัวเองถึงเป็นเนื้อเข้าปากเสือ

“ข้าสามารถสาบานต่อมารในใจได้ ไม่มีทางครองวิญญาณเจ้าหรือว่าทำอะไรไม่ดี ไม่อย่างนั้นก็ให้วิญญาณหลากสลาย ไม่ได้เกิดชั่วนิรันดร์!”

จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำก็ค่อนข้างตรงไปตรงมา เพื่อให้ได้รับความไว้วางใจจากหลัวซิว ก็ได้สาบานต่อมารในใจในทันที

เมื่อมีการสาบานต่อปีศาจในใจ ถ้าผิดคำสาบาน ก็จะเกิดขึ้นจริงๆ ได้รับการลงโทษจากกฎธรรมฟ้าดิน

เมื่อเห็นจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำสาบานต่อมารในใจอย่างสบายเรียบง่ายขนาดนี้ กลับทำให้หลัวซิวค่อนข้างแปลกใจ เพราะว่าไม่สามารถผิดคำสาบานได้ ถ้าเกิดสาบาน ก็จำเป็นต้องทำให้ได้

ในบันทึกทางประวัติศาสตร์ ไม่มีใครที่ผิดคำสาบานต่อมารในใจแล้วยังสามารถที่จะมีชีวิตที่ดีได้ จุดจบของทุกคนก็น่าสังเวชอย่างยิ่ง

หลัวซิวสูดหายใจเข้าลึกๆ อีกฝ่ายก็ให้คำสาบานต่อมารในใจ ซึ่งทำให้เขารู้สึกสบายใจขึ้นมาก

แน่นอนว่า ถ้าตอนนี้ไว้วางใจจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำอย่างสมบูรณ์ นั่นก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้อย่างแน่นอน

แต่ว่าโอกาสของแบบนี้ ในตัวของมันเองก็มีความเสี่ยงโดยเนื้อแท้ ผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ที่มีประสบการณ์มากมายถ่ายทอดวิชาทั้งหมดได้ โอกาสแบบนี้ หลัวซิวก็ไม่อยากพลาดไป

“เปรี้ยง!”

เปลวไฟอ่อนกำลังแกว่งไหวไปมาบนตะเกียงวิญญาณค่อยๆลอยขึ้น ราวกับหิ่งห้อยตัวหนึ่ง และตกลงบนฝ่ามือของหลัวซิว

ต่อจากนั้น หลัวซิวก็สัมผัสได้ถึงลมปราณวิญญาณที่เข้ามาในฝ่ามือของตัวเอง เพียงแต่ว่าลมปราณนี้อ่อนแอมาก และไม่สามารถที่จะเป็นภัยคุกคามอะไรกับเขาได้

ในชั่วพริบตา ดวงวิญญาณของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำนี้ ก็รวมเข้ากับฝ่ามือของหลัวซิว

หลัวซิวยกมือของตัวเองมองดูเป็นเวลานาน และไม่พบว่ามีผิดปกติตรงไหน

“ผู้อาวุโส ข้าต้องทำอะไรต่อ?”หลัวซิวสื่อสารกับจิตวิญญาณของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำในมือซ้าย

“ในการต่อสู้ครั้งแรกของสมัยโบราณ ข้าพังทลายไปทั้งหมด เหลือเพียงคีตโลกาถ้ำเทพสถิตผุพังแห่งนี้ ไม่มีอะไรที่อาลัยอาวรณ์นำไปด้วย”

“งั้นลูกแก้วเสวียนดำ ตำหนักเสวียนดำ ยังมีเขาทองดำไท่เสวียนล่ะ?”หลัวซิวถาม ของสามอย่างนี้อย่างน้อยก็เป็นสมบัติระดับสมบัติวิเศษโบราณ

“ของสามอย่างนี้ก็ย่อมต้องนำไปด้วย แต่ว่าด้วยความแข็งแกร่งของเจ้ายังไม่สามารถควบคุมได้ เดี๋ยวข้าจะสอนวิธีรวบรวมสมบัติทั้งสามให้กับเจ้า”จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำพูด
ในกระท่อมมุงจาก ตะเกียงวิญญาณบนโต๊ะได้ดับลง วิญญาณที่เหลืออยู่ของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำ ได้รวมเข้ากับฝ่ามือซ้ายของหลัวซิว

นอกจากนั้น ไม่มีอะไรอย่างอื่นในกระท่อมมุงจาก

เมื่อหลัวซิวออกมาจากกระท่อมหญ้ามุงจาก สายตาของจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงและคนอื่นๆ ก็มองมาอย่างกระตือรือร้น

“ผู้อาวุโสทุกท่าน คีตโลกาถ้ำเทพสถิตแห่งนี้กำลังจะพังทลายแล้ว พวกเราไปจากที่นี่กันเถอะ”หลัวซิวพูดแบบนี้

สำหรับว่าตัวเองได้อะไรในกระท่อมมุงจาก เขาไม่ได้อธิบาย

จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงและคนอื่นๆอยากจะพูดอะไรแต่ก็ไม่กล้าพูดออกมา มีใจถามไถ่ แต่กลับไม่รู้ว่าควรเอ่ยปากอย่างไร

“ผู้น้อยหลัวซิว ไม่ทราบว่าเจ้าจากในกระท่อมมุงจาก ได้สมบัติอะไรหรือเปล่า?”

ต่างจากคนอื่นๆ เหว้ยห้าวหรานถามอย่างตรงประเด็นไม่อ้อมค้อม ดวงตาชราคู่หนึ่ง เต็มไปด้วยความกระตือรือร้น

“ฮ่าๆ นั่นนะสิ พวกข้าจักรพรรดิยุทธ์ทุกคนตามหาสถานที่นี้เพื่อล่าสมบัติอย่างลำบากตรากตรำ ในกระท่อมมุงจากนี้เจ้าเข้าไปได้ ข้ารอจนอยากจะรู้มากจริงๆ”

“นอกจากว่าหลัวซิวเจ้าอยากจะครอบครองสมบัติของที่นี่ไว้แต่เพียงผู้เดียว พวกข้าก็มาเสียเที่ยวไม่ใช่หรอกเหรอ ไม่ค่อยดีเลยนะ”

มีเหว้ยห้าวหรานเปิดประเด็น ผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์คนอื่นๆ ก็ค่อนข้างยับยั้งไว้ไม่ได้

“โอกาสสมบัติขึ้นอยู่กับความสามารถของตัวเอง ทุกคนเข้าไปกระท่อมไม่ได้ สำหรับข้าหลัวซิวได้ของอะไรจากข้างใน ทำไมต้องบอกพวกเจ้าด้วย?”หลัวซิวเผยให้เห็นรอยยิ้มเย้ยหยัน

“หรือว่าหลัวซิวเจ้าไม่เคยคิดมาก่อนว่า เจ้าฆ่าจักรพรรดิยุทธ์หลายคนที่นี่ เรื่องนี้ก็ปล่อยข้ามผ่านไปแบบนี้เหรอ?”

เจ้าสำนักเสวียนหยางสวมหน้ากากค่อยๆเอ่ยปากพูดว่า: “บางทีหลังจากที่เจ้าออกจากที่นี่ โลกนี้ช่างกว้างใหญ่นัก จะไปที่ไหนก็ได้ แต่ครอบครัวของเจ้าล่ะ?”

“เท่าที่ข้ารู้ เจ้ามีพ่อแม่และพี่สาวอยู่ในประเทศเทียนหวู แม้ว่าจะได้รับการคุ้มครองจากองค์กรนักล่ายุทธ์ แต่เจ้าคิดว่า องค์กรนักล่ายุทธ์ในสถานที่เล็กอย่างเมืองชิงหยุนแบบนั้น สามารถที่จะรักษาความปลอดภัยของคนในครอบครัวเจ้าได้เหรอ?”

คำพูดของเจ้าสำนักเสวียนหยาง เรียกได้พูดได้ตรงจี้จุดอ่อนของหลัวซิว

เมื่อเห็นเขาโจมตีพลังตราประทับออกมาหลายครั้ง ทำให้ค่ายคุ้มกันโบราณที่เหว้ยห้าวหรานคิดหาทุกทางก็รับมือไหวไม่ได้ ก็สลายไปเอง และปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน

ในเสี้ยววินาทีนั้น ลมหายใจของผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์หลายคน ก็อดไม่ได้ที่จะถี่ขึ้น

หลัวซิวเดินไปข้างหน้า ยื่นมือไปผลักเปิดประตูไม้ของกระท่อมมุงจาก กลิ่นหอมกรุ่นของพลังฟ้าดินจิตอย่างล้นเหลือ ก็พุ่งออกมาจากกระท่อมมุงจาก

กลิ่นหอมกรุ่นของพลังฟ้าดินจิตอย่างล้นเหลือ เหตุผลสำหรับที่บรรลุถึงอย่างหนึ่งเพราะผนึกรวมพลังจิตนับหมื่นปีของคีตโลกา และในขณะที่คุณภาพเปลี่ยนเกิดจากปริมาณ ได้แปรสภาพเป็นพลังอย่างหนึ่งที่อยู่เหนือพลังฟ้าดินจิต

“เป็นปราณทิพย์!”

ในกลุ่มคน หากมีประสบการณ์และความรู้ที่กว้างขวาง น่าจะเป็นจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิง อาจารย์หงหมิงและเหว้ยห้าวหรานทั้งสามคน

พลังจิตมีวิญญาณ เป็นปราณทิพย์ องค์ประกอบมีความลึกลับของธรรมฟ้าดินเล็กน้อย ฝึกตนปราณทิพย์หายใจในระยะยาว สามารถทำให้ห้วงยุทธ์รุดหน้าไปอย่างรวดเร็วด้วยตัวของมันเอง และก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว!

“ว่ากันว่าในสมัยโบราณนับหมื่นปีก่อน แดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงบางแห่งเต็มไปด้วยปราณทิพย์ ฝึกตนอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนั้น ผู้แข็งแกร่งปรากฏตัวขึ้นมาอย่างไม่ขาดสาย!”

หลัวซิวก็จากกลิ่นหอมกรุ่นในปราณทิพย์นี้ รู้สึกถึงความลึกลับเล็กน้อยเกี่ยวกับฟ้าดินดั้งเดิม เพียงแต่ว่าความรู้สึกแบบนี้อ่อนแอมาก และไม่ได้มีผลมากนัก

แต่ถ้าหากฝึกตนสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยปราณทิพย์เป็นเวลานาน ก็จะซึมซับอิทธิพลจากสภาพแวดล้อมและสิ่งอื่นๆเข้าไปโดยไม่รู้ตัว ทำให้ตัวของนักยุทธ์เองเข้าใกล้กฎธรรมฟ้าดินดั้งเดิม ก็ง่ายมากที่จะเข้าใจความลึกลับของการควบคุมพลังAttr และยังเข้าใจกฎระดับสูงอีกด้วย

สิ่งนี้ทำให้ผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ทุกคนทอดถอนใจหมื่นพันครั้ง คาดการณ์ว่ามีเพียงผู้แข็งแกร่งในสมัยโบราณเหล่านั้น ที่มีโอกาสฝึกตนในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยปราณทิพย์

หลัวซิวรู้แจ้งกระจ่างชัดเกี่ยวกับวิชาห้ามค่ายกลของทั้งคีตโลกาถ้ำเทพสถิต ก็ย่อมรู้ว่าที่นี่จะปรากฏปราณทิพย์ เป็นเพราะว่าพลังฟ้าดินจิตของทั้งคีตโลกา ก็จะผนึกรวมอยู่ที่นี่ ผ่านการชุบระเหิดของวิชาห้ามค่ายทีละชั้น ถึงได้เปลี่ยนแปลงระดับปราณทิพย์ที่สูงมากขึ้น

ในเวลาเดียวกัน สายตาของทุกคนมองไปภายในกระท่อมมุงจาก ขนาดหลัวซิวก็เต็มไปด้วยความคาดหวังและความอยากรู้อยากเห็น เพราะว่าเขาก็ไม่รู้ว่าภายในกระท่อมมุงจากนี้ มีอะไรกันแน่

ในกระท่อมมุงจาก ปราณทิพย์มากมาย กระจายไปด้วยไอหมอกสลัว ราวกับว่าอยู่ในแดนสวรรค์นอกโลก

ค่ายคุ้มกันโบราณเปิดออกแล้ว เส้นทางข้างหน้าไม่มีอุปสรรคใดๆ อารมณ์ของผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ก็อดไม่ได้ที่จะกระตือรือร้นขึ้นมา และทนไม่ไหว

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหว้ยห้าวหรานที่ทุ่มเทเสียสละมากมายก็ไม่สามารถทำลายค่ายคุ้มกันโบราณได้ ก็เป็นคนแรกที่พุ่งไปข้างหน้า อยากจะเข้าไปในกระท่อมมุงจาก แห่งนี้

อย่างไรก็ตามขณะที่เหว้ยห้าวหรานก้าวเข้าไปในกระท่อมมุงจาก ทันใดนั้นลมปราณมหาศาลที่คาดเดาไม่ได้ก็พุ่งออกมาจากกระท่อมมุงจาก

“แย่แล้ว!”

เหว้ยห้าวหรานรู้สึกถึงลมปราณนี้ สีหน้าเปลี่ยนแปลงไปในทันที แอบพูดว่าตัวเองเร่งรีบเกินไป และสูญเสียความระมัดระวัง

โชคดีที่ลมปราณของกระท่อมมุงจากนี้ไม่ได้มีเจตนาฆ่า ร่างของเหว้ยห้าวหรานก็ถอยหลังอย่างโซเซ และไม่ได้รับบาดเจ็บ

เมื่อจักรพรรดิยุทธ์คนอื่นเห็นฉากนี้ ต่างก็แสดงสีหน้าเคร่งขรึม เห็นได้ชัดแม้ว่าค่ายคุ้มกันของกระท่อมมุงจากนี้เปิดใช้งานแล้ว แต่ในกระท่อมมุงจากนี้ ดูเหมือนมีข้อห้ามอื่น

ในกระท่อมมุงจากกระจายด้วยไอหมอก ดวงตามองไป ไม่สามารถมองเห็นสถานการณ์ภายในได้อย่างชัดเจน สิ่งนี้ทำให้ในใจของผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์หลายคนคันยุบยิบอย่างทรมาน

สายตาจับจ้องมองไปที่บนตัวหลัวซิวทีละคน เขาสามารถที่จะควบคุมวิชาห้ามค่ายกลโบราณที่นี่ได้ คนที่อยู่ในเหตุการณ์ถ้าบอกว่าสามารถที่จะเข้าไปในกระท่อมมุงจากได้ ก็น่าจะเป็นเขาคนเดียว

“ข้ามาลองดู”

หลัวซิวก้าวไปข้างหน้า และทันทีที่เขาไปถึงประตูกระท่อมมุงจาก ก็รู้สึกว่ามีแรงผลักดันขัดขวางไม่ให้ตัวเองเข้าไป

เขาบีบนิ้วปล่อยพลังตราประทับที่ควบคุมวิชาห้ามค่ายกลโบราณที่นี่ในทันที และแรงผลักนี้ก็หายไปในทันที ปล่อยให้เขาก้าวเข้าไปในกระท่อมมุงจาก

เมื่อเห็นหลัวซิวเข้าไปในกระท่อมมุงจาก สายตาของผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์คนอื่นก็เปล่งประกายขึ้นมาในทันที แต่พวกเขากลับไม่รู้พลังตราประทับควบคุมวิชาห้ามค่ายกล ไม่สามารถที่จะเข้าไปได้ด้วยซ้ำ

สิ่งนี้ทำให้อารมณ์ของผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์หลายคนเรียกได้ว่าขึ้นลงพลิกผันแปรปรวนรวดเร็วมาก เนื่องจากว่าถ้าสมบัติอะไรก็ตามในกระท่อมมุงจาก เกรงว่าตัวเองจะพลาดมันไป

แต่หลังจากคิดดูแล้ว คนที่ได้โอกาสสมบัติชิ้นนี้ แค่เด็กเมื่อวานซืนที่เพิ่งเข้าสู่แดนราชายุทธ์ แม้ว่าอยู่ในคีตโลกาถ้ำเทพสถิตแห่งนี้ เขาอาศัยวิธีการควบคุมวิชาห้ามค่ายกลโบราณสามารถฆ่าจักรพรรดิยุทธ์ได้

แต่ว่าถ้าเกิดออกจากที่นี่ เขาก็เป็นแค่ราชายุทธ์ธรรมดาเท่านั้นเอง

ดังนั้น ดูเหมือนว่าความคิดของผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์หลายคนจึงแตกต่างออกไป และในใจก็ไม่รู้ว่าวางแผนอะไร

ในเวลาเดียวกัน หลังจากที่เข้ามาในกระท่อมมุงจาก หลัวซิวก็เห็นสถานการณ์ในกระท่อมมุงจากได้อย่างชัดเจน

ตรงกลางกระท่อมมุงจากมีโต๊ะงามและแปลกแบบโบราณวางอยู่ตัวหนึ่ง ด้านบนมีไฟจุดอยู่ แสงเทียนแกว่งไหว เดี๋ยวสว่างเดี๋ยวมืด มีลมปราณวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพลังแพร่กระจาย

“ตะเกียงวิญญาณ?”

แม้ว่าจะไม่เคยเจอมาก่อน แต่ลมปราณวิญญาณบริสุทธิ์ กลับทำให้หลัวซิวสามารถที่จะแน่ใจว่า ตะเกียงที่อยู่ตรงหน้าดวงนี้ ก็เป็นตะเกียงวิญญาณในตำนาน!

และเหนือตะเกียงวิญญาณ แสงเทียนยังคงอยู่ที่นั่น ซึ่งหมายความว่าผู้แข็งแกร่งที่จุดไฟตะเกียงวิญญาณนี้ ยังไม่ตาย!

ด้านข้างของตะเกียงวิญญาณ หลัวซิวยังเห็นป้ายสถิตวิญญาณด้านหนึ่ง เขียนไว้ว่า: ป้ายสถิตวิญญาณผู้อาวุโสเสวียนดำ!

สำหรับสำนักไท่เสวียน หลัวซิวรับรู้จากปากของหลงหมิงมาบ้าง ว่ากันว่าอยู่ในสมัยโบราณ สำนักไท่เสวียนเป็นกองกำลังใหญ่ชั้นสูง เจ้าสำนักเป็นผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ มหาจักรพรรดิยุทธ์เป็นผู้อาวุโส พรีเมี่ยมยุทธ์เป็นผู้คุ้มกัน ปกครองอาณาเขตหนึ่งแสน!

พื้นที่ทางประเทศเทียนหวูในตอนนี้ เป็นเพียงดินแดนผืนเล็กของสำนักไท่เสวียนในสมัยโบราณเท่านั้นเอง

เมื่อพิจารณาจากป้ายสถิตวิญญาณที่อยู่ข้างตะเกียงวิญญาณ ข้างบนกล่าวไว้ว่าผู้อาวุโสเสวียนดำ น่าจะเป็นเจ้าของคีตโลกาถ้ำเทพสถิตแห่งนี้ ผู้แข็งแกร่งอาวุโสระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ของสำนักไท่เสวียนโบราณคนหนึ่ง!

เปรี้ยง!

ทันใดนั้น ตะเกียงวิญญาณบนโต๊ะ ก็แสงเทียนริบหรี่ก็เต้นขึ้นเป็นจังหวะ ราวกับมีชีวิต

ในขณะนี้เอง เสียงแก่ชรา ดังมาจากแสงเทียนแกว่งไหวในตะเกียงวิญญาณ

“สวัสดีเด็กหนุ่มคนรุ่นหลัง ข้าเสวียนดำ!”

“เป็นจริงอย่างที่คาดไว้!”

สายตาของหลัวซิวเคร่งขรึม ปฏิกิริยาแรกก็คือถอยหลังอย่างรวดเร็ว อยากจะออกจากที่นี่

ผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ในสมัยโบราณ แม้ว่าจะเหลือเพียงเทพจิตดวงหนึ่ง ก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถต้านทานได้อย่างแน่นอน

เขาจำได้อย่างชัดเจนว่าถูกผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ครองวิญญาณสองครั้ง ถ้าหากไม่ใช่ว่ามีลูกแก้วความเป็นตายเป็นที่พึ่งพา ตัวเองไม่อยู่ตั้งนานแล้ว

มหาจักรพรรดิยุทธ์ครองวิญญาณ ตัวเองก็ยังยากที่จะต่อต้าน นับประสาอะไรกับผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์คนหนึ่ง?

อย่างไรก็ตาม ประตูกระท่อมมุงจากที่อยู่ข้างหลังเขา กลับปิดลงอย่างกะทันหัน เขาบีบขยับพลังตราประทับควบคุมวิชาห้ามกลค่าย ก็ไม่สามารถที่จะเปิดประตูได้อีกครั้ง

ในขณะนี้ หลัวซิวตื่นตระหนกตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ราวกับอยู่ในหลุมน้ำแข็ง

มีเหงื่อเย็นผุดขึ้นบนหน้าผากของเขา จ้องมองแสงไฟอ่อนกำลังที่แกว่งไปมาบนตะเกียงวิญญาณนั้น ซึ่งเป็นแสงของวิญญาณ

อย่างไรก็ตาม เขารอสักครู่ แต่กลับไม่ได้รู้สึกถึงผลกระทบต่อวิญญาณหยั่งรู้ของตัวเอง

“ชายหนุ่ม เจ้าไม่ต้องกลัว ข้าไม่มีทางครองวิญญาณของเจ้า”เสียงชราดังมาจากแสงเทียนอ่อนกำลังอีกครั้ง

น้ำเสียงนี้แผ่วเบากว่าเมื่อกี้นี้มาก ราวกับจะสลายไปกับสายลมได้ทุกเมื่อ และไม่มีอยู่

หลัวซิวไม่มีทางเชื่อคำพูดของอีกฝ่ายอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงไม่ได้ตอบ และยังคงเฝ้าระแวงระวังอยู่

“ชายหนุ่ม เจ้าสามารถตามหาลูกแก้วเสวียนดำถึงที่นี้ได้ หมายความว่าเจ้ากับข้ามีวาสนาต่อกัน ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าก็ไม่เป็นกังวลจริงๆ ด้วยดวงวิญญาณที่อ่อนแอของข้าในตอนนี้ ไม่สามารถที่จะครอบวิญญาณของเจ้าได้ด้วยซ้ำ”

แสงเทียนแกว่งไหวได้ปล่อยไอหมอกออกมา ซึ่งปรากฏเป็นภาพลักษณ์ของชายผู้อาวุโสเคราขาวคนหนึ่ง รูปร่างพร่ามัว มองไปที่หลัวซิวด้วยรอยยิ้ม

“ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสต้องการให้ผู้น้อยทำอะไรบ้าง?”

ความคิดของหลัวซิวเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว คำนับแล้วถาม เขาเชื่อว่าในเมื่อจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำคนนี้แสดงตัวตนของตัวเอง คงจะมีจุดประสงค์อย่างแน่นอน

แม้ว่าในตะเกียงวิญญาณจะมีเทพจิตชีวีอยู่ดวงหนึ่ง ยังมีโอกาสฝึกตนใหม่ได้ แต่ถ้าเกิดเทพจิตในร่างกายถูกทำลายในเวลานี้ การฝึกตนอย่างหนักมาหลายปี ก็จะสูญสิ้นไปทุกอย่างที่สร้างเอาไว้ เพียงอาศัยเทพจิตชีวีดวงนั้นของในตะเกียงวิญญาณฝึกตนใหม่ ต่อให้ครองวิญญาณร่างกายที่มีความสามารถดี อยากจะฟื้นฟูผลการฝึกตน ก็ต้องใช้เวลานานมาก

ทุกอย่างนี้ ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่ถาวหนานหยุนอยากเห็นอย่างแน่นอน เขารู้ดีมากว่าถ้าเกิดสูญเสียความแข็งแกร่งไป ตำแหน่งความรุ่งโรจน์ของเขา ก็จะหายตามไปด้วย

“ต่อให้เจ้าพูดจนท้องฟ้าทะลุเป็นรูมา ข้าก็ไม่มีทางปล่อยเจ้าไป!”

หลัวซิวขี้เกียจที่จะพูดจาไร้สาระเสียด้วยซ้ำ ก็ควบคุมพลังวิชาห้ามค่ายกลโบราณในทันที ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเจตนาฆ่า แสงทองดำฟันอากาศธาตุขาดทีละดวง ทำให้เจ้าตำหนักจมอยู่ในนั้น

“ตราตำหนักจื่อ!”

ถาวหนานหยุนแสดงทักษะของทั้งร่างกายออกมา ต่อต้านแสงระดมฆ่าของค่ายกลโบราณ ในเวลาเดียวกันก็ตะโกนใส่จักรพรรดิยุทธ์คนอื่นอีกมากมายว่า: “ถ้าหากพวกเจ้ามองดูข้าถูกฆ่า รอหลังจากที่ข้าตาย ไอ้เดรัจฉานสกุลหลัวนี้ คนต่อไปก็จะลงมือกับหนึ่งในนั้นของพวกเจ้า?”

ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ออกมา สายตาของผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์หลายคนสั่นไหว เพราะว่าสิ่งที่เจ้าตำหนักจื่อพูดนั้นมีความเป็นไปได้สูงมาก

ลองคิดดู ถ้าหากหลัวซิวคนนี้ได้รับมรดกของผู้แข็งแกร่งโบราณในที่นี้ เพื่อเก็บเป็นความลับ ทางเลือกที่ดีที่สุดก็คือฆ่าปิดปาก

ถ้าหลัวซิวมีความแข็งแกร่งทัดเทียมเสมอเหมือนผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ก็เท่านั้น ประเด็นสำคัญคือผลการฝึกตนของเขาไม่ได้สูง อยู่ที่นี่อาศัยพลังของวิชาห้ามค่ายกลโบราณถึงสามารถต่อต้านจักรพรรดิยุทธ์ได้ ถ้าเกิดออกไป แค่จักรพรรดิยุทธ์คนหนึ่ง ก็สามารถที่จะฆ่าเขาได้อย่างง่ายดาย

“กำราบ!”

หลัวซิวโจมตีพลังตราประทับออกมา ภายใต้แสงที่คลุกเคล้าเข้าด้วยกัน เงาลวงเขาทองดำไท่เสวียนก็ได้ปรากฏตัวขึ้น ตูมตามดังมาเสียงหนึ่ง กำราบเจ้าตำหนักจื่ออยู่ที่เชิงเขา และไม่สามารถเคลื่อนไหวได้

ยันต์คุ้มกันขั้น7คุ้มกายที่สร้างขึ้นโดยร่างกายของเขาไม่สามารถถูกทำลายได้ แต่ภายใต้การกำราบของวิชาห้ามค่ายกลโบราณ โดยพื้นฐานเจ้าตำหนักจื่อไม่มีพลังต้านทานด้วยซ้ำ

สำหรับการยุยงให้แตกกันเมื่อกี้นี้ของเจ้าตำหนักจื่อ หลัวซิวไม่ได้สนใจด้วยซ้ำ ต่อให้ผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์เหล่านี้ที่อยู่ในเหตุการณ์ร่วมมือด้วยกันทั้งหมด ก็ทำอะไรเขาไม่ได้

พลังของยันต์คุ้มกันขั้น7ถูกใช้ไปอย่างต่อเนื่อง เจ้าตำหนักจื่อประคับประคองนานกว่าครึ่งชั่วโมง พลังของยันต์คุ้มกันขั้น7ก็หมดลงในที่สุด ต่อจากนั้นโดยพื้นฐานก็ไม่มีพลังต้านทานแม้แต่น้อย ถูกแสงรัดคอตาย กลายเป็นหมอกเลือดผืนหนึ่ง

เจ้าตำหนักจื่อนี้ไม่ได้เลือกที่จะทำลายตัวเองเหมือนกับฝานไท่เต๋อ หลังจากที่ร่างกายแตกเป็นเสี่ยงๆ ยาทองกลมๆเม็ดหนึ่ง ก็ตกลงไปที่พื้น

หลัวซิวไม่ได้เอื้อมมือไปเก็บ บทเรียนครองวิญญาณของว่านเหลียนเฉิงในก่อนหน้านี้ก็ค่อยๆปรากฏชัดเจนขึ้นมา ยังมีผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์หลายคนในบริเวณใกล้เคียงที่กำลังจับตามองดู รอคอยเวลา ถ้าเกิดตัวเองถูกครองวิญญาณ วิญญาณตัวหยั่งรู้ถูกโจมตี ไม่แน่อาจจะเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นได้

เขาหยิบกล่องหยกที่ใช้เก็บยาทิพย์ออกจากแหวนเก็บของมากล่องหนึ่ง ยื่นมือออกไป เก็บยาทองไว้ในกล่องหยก กล่องหยกนี้สลัดลายเส้นค่ายกล สามารถที่จะแยกการตรวจจับความรู้สึกตัวสำนึกได้

นอกจากนี้ยังมีแหวนเก็บของของเจ้าตำหนักจื่อ สิ่งของที่ดีมากมายในนั้นก็ทำให้คนหวาดกลัว แค่กองพะเนินเทินทึกของหินพลังจิตชั้นกลาง ก็มีเกือบสามแสนกว่า และหินพลังจิตชั้นสูงล้ำค่ากว่านั้น ก็มีเกือบหมื่นก้อน

ความมั่งคั่งจำนวนมหาศาลแบบนี้ ทำให้คนตกใจจนพูดไม่ออก

ผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ทุกคน เงียบอีกครั้ง

จากความล้มเหลวการทำลายค่ายกลของเหว้ยห้าวหราน จนกระทั่งหลัวซิวสามารถที่จะควบคุมวิชาห้ามค่ายกลโบราณภายในตำหนักแห่งนี้ได้อย่างกะทันหัน ทั้งข้างหน้าและข้างหลัง ผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์หลายคนเสียชีวิตอยู่ในมือของหลัวซิวแล้ว

ในบรรดาจักรพรรดิยุทธ์ที่เสียชีวิต ก็มีผู้ยิ่งใหญ่ที่มีผลการฝึกตนจักรพรรดิยุทธ์ขั้น4เช่นฝานไท่เต๋อ และเจ้าตำหนักจื่อ!

ชายหนุ่มคนนี้ ก็มีความกล้าหาญอย่างยิ่งจริงๆ บอกว่าเขาเป็นคนกระทำผิดอย่างเหิมเกริม ก็ไม่เพียงพอที่จะอธิบายได้

เพราะว่าตัวของเขาเองไม่มีความแข็งแกร่งในระดับจักรพรรดิยุทธ์ แต่เพียงเพราะว่าเขาเชี่ยวชาญเทคนิคลับหรือว่าเป็นสมบัติพิเศษบางอย่าง ถึงสามารถที่จะควบคุมวิชาห้ามค่ายกลโบราณที่นี่ได้

ถ้าเกิดออกไป สิ่งที่เขาต้องเผชิญหน้า จะเป็นความโกรธของกองกำลังใหญ่ทุกด้าน!

เจ้าตำหนักจื่อมีตะเกียงวิญญาณรักษาชีวิตดวงหนึ่ง ไม่ตายอย่างแน่นอน ต่อให้เขาฆ่าปิดปากจักรพรรดิยุทธ์ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ ก็ปิดบังข่าวไม่ได้

แม้ว่าผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์จะสร้างตะเกียงวิญญาณด้วยเทพจิตชีวีดวงหนึ่ง สามารถที่จะรักษาชีวิตไว้ได้ มีโอกาสฝึกตนใหม่

แต่การสร้างตะเกียงวิญญาณนั้นซับซ้อนมาก ยิ่งไปกว่านั้นมีราคาสูงมาก และไม่ใช่จักรพรรดิยุทธ์ทุกคนก็มี หลัวซิวประมาณการว่า เจ้าตำหนักจื่อถาวหนานหยุนมีตะเกียงวิญญาณรักษาชีวิต ถ้าอย่างนั้นฝานไท่เต๋อมีปรมาจารย์กลั่นยาระดับ4 มูลค่าทรัพย์สินอุดมสมบูรณ์มากมาย ไม่แน่ก็อาจจะมีตะเกียงวิญญาณรักษาชีวิต!

ถ้าหากเรื่องราวเป็นแบบนี้ ก็แสดงว่าตัวเองไม่ได้ฆ่าผู้ยิ่งใหญ่จักรพรรดิยุทธ์สองคนนี้จริงๆ แต่เพียงแค่ทำให้มีพวกเขาบาดเจ็บสาหัสมากเท่านั้นเอง

“ผู้อาวุโส นี่เป็นหนึ่งแสนชั้นกลางที่ผู้น้อยยืมมาจากท่าน”

หลัวซิวยกมือขึ้น โยนแหวนเก็บของวงหนึ่งให้กับสวีจิงเหนียนอาจารย์ตระกูลสวี

นี่เป็นวงแหวนเก็บของของอาจารย์ตระกูลหลู่ สิ่งของข้างในไม่เพียงแต่เป็นหนึ่งแสนชั้นกลาง แต่หลัวซิวได้ประโยชน์มากมายจากการเดินทางครั้งนี้ กลับไม่ได้สนใจทรัพยากรแค่นี้

สวีจิงเหนียนยื่นมือออกไปคว้าแหวนเก็บของไว้ สีหน้าท่าทางซับซ้อน “เด็กน้อยการกระทำในวันนี้ ถือว่าแตกหักกับเจ้าตำหนักจื่อและราชวงศ์ตระกูลฝาน ไม่ทราบว่าหลังจากวันนี้มีแผนการยังไง?”

“ฮ่าๆๆ ไม่ว่าจะมาวิธีไหนก็สามารถรับมือได้ โลกนี้ช่างกว้างใหญ่นัก ที่ไหนบ้างที่ไปไม่ได้?”หลัวซิวพูดอย่างไม่สนใจไยดี

เขาได้ตัดสินใจไปแล้ว หลังจากเหตุการณ์นี้ ก็จะออกจากประเทศเทียนหวู ต่อให้มีคนอยากจะคิดร้ายต่อตัวเอง อยากจะตามหาตัวเอง ก็ไม่ต่างกับงมเข็มในมหาสมุทร

หลัวซิวหันหน้ามองไปทางจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิง สีหน้าท่าทางเคร่งขรึมเล็กน้อย “ผู้น้อยมีเรื่องจะขอร้อง”

เมื่อได้ยินหลัวซิวเอ่ยปากพูด จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงก็คาดเดาได้ว่าเขาจะพูดอะไร และพูดตรงๆว่า: “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงครอบครัวของตัวเอง ตราบใดที่เจ้ายังเป็นสมาชิกที่มีความสามารถขององค์กรนักล่ายุทธ์ของพวกข้า ครอบครัวของเจ้า ก็ไม่มีใครกล้าแตะต้อง”

“ขอบคุณผู้อาวุโสมาก”หลัวซิวโค้งคำนับขอบคุณจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิง

ระหว่างเขากับจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิง ไม่มีความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ลึกซึ้ง ท่านหัวหน้าแก๊งท่านนี้สามารถที่จะทำถึงขั้นนี้ ก็หาได้ยากมากแล้ว

แต่ว่าหลัวซิวก็รู้ว่า ถ้าสามารถให้ผลประโยชน์บางอย่างกับท่านหัวหน้าแก๊งท่านนี้ได้อย่างเหมาะสม ปัญหาความปลอดภัยครอบครัวของตัวเองที่อยู่ในประเทศเทียนหวู น่าจะปลอดภัยยิ่งขึ้น

หลังจากคิดเรื่องนี้แล้ว หลัวซิวพูดด้วยรอยยิ้มว่า“ตอนนี้ผู้น้อยก็จะไปเปิดใช้งานกระท่อมมุงจากนั้น ผู้อาวุโสยินดีไปด้วยกันมั้ย?”

เมื่อจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงได้ยินแบบนี้ ดวงตาหดตัวลงอย่างกะทันหัน ก็พยักหน้าโดยไม่ลังเลเลยสักนิด

ผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์คนอื่นๆก็ใจเต้น เนื่องจากพวกเขาเสียเวลาไปนานมากขนาดนี้ เป้าหมายก็เพื่อรู้ว่าในคีตโลกาถ้ำเทพสถิตแห่งนี้ มีสมบัติอะไรกันแน่

เขาทองดำไท่เสวียน เป็นสมบัติวิเศษโบราณชิ้นหนึ่ง ถือว่าเป็นสมบัติอันยิ่งใหญ่ แต่กลับไม่มีใครสามารถที่จะย้ายออกไปได้

ภายใต้การเปรียบเทียบ ถ้าสามารถที่จะได้รับมรดกของผู้แข็งแกร่งโบราณ สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือ ไม่แน่บางทีในนั้นก็มีความลึกลับที่เกี่ยวข้องกับวิชากลั่นสมบัติโบราณ รอหลังจากที่ผลการฝึกตนของตัวเองสูง สามารถที่จะกลั่นของขลังด้วยตัวเองได้อย่างสมบูรณ์

นำโดยหลัวซิว คนกลุ่มหนึ่งกลับไปเข้าใกล้กระท่อมมุงจากแห่งนั้นในส่วนลึกตำหนักอีกครั้ง

ตอนแรกมีจักรพรรดิยุทธ์หลายคนที่ไปสถานที่อื่นค้นหาโอกาสสมบัติ ก็ได้ยินข่าวมาว่า หลังจากที่ได้ยินเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ แต่ละคนเผยให้เห็นสีหน้าเหลือเชื่อ

ในเวลาเดียวกัน ในใจของผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ทุกคนก็ไม่พอใจเป็นอย่างมาก พวกเขาลำบากตรากตรำ ไม่ง่ายเลยที่จะเดินมาถึงที่นี่ตลอดทาง หรือว่าก็แบบนี้ ก็ลำบากทำแทนคนรุ่นหลังอย่างหลัวซิวงั้นเหรอ?

แม้ว่าจะเป็นจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิง สีหน้าก็ยังดูไม่ค่อยดีนัก ผลการฝึกตนของเขาก็ถูกพันธนาการไว้ขั้นสูงของจักรพรรดิยุทธ์ขั้น4มาเป็นเวลานานมากแล้ว ต้องการโอกาสสมบัติอย่างเร่งด่วน ทะลุผ่านจักรพรรดิยุทธ์ขั้น5

แม้ว่าเจ้าตำหนักจื่อเป็นผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ แต่อยู่ที่นี่ไม่สามารถใช้วิชาบินหนีได้ ในไม่ช้าก็ถูกหลัวซิวไล่ตามขึ้นมาทัน

“ถาวหนานหยุน เจ้าจะไปไหนหรือ?”

แสงคลุกเคล้าเข้าด้วยกัน ร่างกายของหลัวซิวค่อยๆโผล่ออกมา และขวางทางไปของเจ้าตำหนักจื่อ

เมื่อได้ยินหลัวซิวเรียกชื่อจริงของตัวเอง สีหน้าของเจ้าตำหนักจื่อก็มืดมนขึ้นมา ตั้งแต่ที่เขานั่งบนบัลลังก์ของเจ้าตำหนักจื่อ ไม่มีใครเรียกชื่อนี้นานหลายปีมากแล้ว?

“หลัวซิว ผู้อาวุโสว่านตำหนักจื่อของข้า ก็ตายอยู่ในมือของเจ้าใช่ไหม?”เจ้าตำหนักจื่อก็ถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา

ทำให้วิชาห้ามค่ายกลโบราณของผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ทุกคนทำอะไรไม่ได้ แต่กลับถูกหลัวซิวยับยั้งไว้ได้ เหมือนปลาได้น้ำอยู่ที่นี่ เจ้าตำหนักจื่อก็ปะติประต่อการเสียชีวิตของว่านเหลียนเฉิง อยู่ด้วยกันกับหลัวซิว

“ถูกต้อง มือสังหารว่านตายด้วยน้ำมือของข้าจริงๆ ยังมีลูกชายสองคนของเจ้าด้วย ข้าก็เป็นคนฆ่า”หลัวซิวพูดอย่างไม่สนใจไยดี

ในขณะนี้ เจ้าตำหนักจื่อก็เข้าใจในทันทีว่า ถาวโจว่จวิ้นที่เสียชีวิตในแดนปริศนา หลัวซิวก็เป็นคนฆ่า

เขารู้ว่า ในเมื่อหลัวซิวกล้าที่จะบอกเรื่องราวทั้งหมดนี้ออกมา ก็ตั้งใจให้ตัวเองเสียชีวิตอยู่ที่นี่

เจ้าตำหนักจื่อผนึกรวมพลังจิตแท้รอบตัว“เจ้าก็ไม่กลัวว่าอาจารย์มกุฏยุทธ์ในตำหนักจื่อของข้าหรือไง?”

ผู้แข็งแกร่งระดับมกุฏยุทธ์ ไม่ต้องพูดถึงว่าอยู่ในพื้นที่รอบนอกของประเทศเทียนหวูแห่งนี้ ต่อให้อยู่ทั้งโลกแสงดาว ก็ขึ้นชื่อได้ว่าเป็นผู้แข็งแกร่ง

“เอาอาจารย์มกุฏยุทธ์แห่งตำหนักจื่อของเจ้ามาขู่ข้างั้นหรือ?”หลัวซิวเผยรอยยิ้มเยาะเย้ย “ไม่ต้องพูดถึงว่าอาจารย์มกุฏยุทธ์นั้นจะรู้ว่าข้าเป็นคนทำหรือเปล่า ต่อให้รู้แล้วยังไง?”

ขณะที่พูด หลัวซิวก็บีบมือเป็นพลังตราประทับ พลังมหาศาลของวิชาห้ามค่ายกลโบราณ ราวกับ十万大山หล่นลงมา

“หลัวซิว ตำหนักจื่อของข้าไม่ได้มีความแค้นมากนักกับเจ้า ตราบใดที่เจ้ายอมปล่อยข้าไป ข้าตำหนักจื่อจะทำการชดเชยให้กับเจ้าได้ และสาบานต่อมารในใจออกมา ไม่มีทางสืบสาวเรื่องราวที่เจ้าฆ่าลูกศิษย์ของตำหนักจื่อของข้าอย่างแน่นอน”

สีหน้าของเจ้าตำหนักจื่อเปลี่ยนไป ในขณะที่ร่างกายก็ถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว ยกมือโยนยันต์หยกแผ่นหนึ่งออกไป

นี่ไม่ใช่ยันต์สีน้ำเงินขั้นที่6ธรรมดา แต่เป็นยันต์สีม่วงขั้นที่7 หลังจากเปิดใช้งาน ม่านแสงสีม่วงจะปรากฏออกมา ปกป้องรอบกายของเจ้าตำหนักจื่อไว้

เนื่องจากว่าเจ้าตำหนักจื่อมีมหาอำนาจของผู้แข็งแกร่งระดับมกุฏยุทธ์ออกนั่งบัญชาการรักษาการณ์ด้วยตัวเอง ถาวหนานหยุนในฐานะเจ้าตำหนัก มียันต์สีม่วงขั้นที่7ช่วยรักษาชีวิต ก็กลับสมเหตุสมผล

หลังจากที่เปิดใช้งานยันต์คุ้มกันสีม่วงขั้น7 เจ้าตำหนักจื่อไม่กล้าที่จะอยู่หยุดชั่วครู่ และใช้ความเร็วของวิชาท่าร่างอย่างเต็มที่ ขอเพียงออกจากที่นี่อย่างรวดเร็ว

“ตาย!”

ตามด้วยเสียงตะโกนเย็นชาของหลัวซิว พลังของวิชาห้ามค่ายกลโบราณกลายเป็นแสงทองดำ ทุกแสงทองดำ ก็มีพลังฆ่าจักรพรรดิยุทธ์ระดับต่ำในวินาทีเดียว

ตูม! ตูม! ตูม! ……

เสียงคำรามรุนแรงดังก้องอยู่ในส่วนลึกของตำหนักเสวียนดำ ภายใต้การโจมตีของพลังวิชาห้ามค่ายกลโบราณ เจ้าตำหนักจื่อไม่ได้เสียชีวิต ก็อาศัยพลังของยันต์คุ้มกันขั้น7 พุ่งออกมาจากในแสงทองดำที่เต็มไปทั่วท้องฟ้า

“ฮ่าๆ ไอ้สกุลหลัว เจ้าทำอะไรข้าไม่ได้หรอก!”

เมื่อเห็นม่านแสงคุ้มกายยันต์คุ้มกันขั้น7ไม่ได้โดนทำลาย จิตใจของเจ้าตำหนักจื่อก็นิ่งสงบ และเผยให้เห็นแสยะยิ้ม

ตราบใดที่เขาสามารถหนีออกไปได้ บอกเรื่องราวที่เกิดทางนี้ให้กับอาจารย์มกุฏยุทธ์ได้ และหลัวซิวได้รับสมบัติโอกาสทำลายกฎของธรรมชาติอย่างไร อยู่ตรงหน้าอาจารย์มกุฏยุทธ์ ก็จำเป็นต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย

ยิ่งไปกว่านั้นการตายของฝานไท่เต๋อและจักรพรรดิยุทธ์ทุกคน จะทำให้รูปแบบของประเทศเทียนหวูเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก เจ้าตำหนักฉวยโอกาสนี้พอดี เข้าสู่ประเทศเทียนหวู ครอบครองดินแดนสมบัติอันอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรการฝึกตน

ตูม!

ตัวดาบผนึกรวมกับแสงทองดำกระแทกบนร่างกายของเจ้าตำหนักจื่ออย่างรุนแรง ม่านแสงสีม่วงคุ้มกายบนร่างกายของเขาสั่นอย่างรุนแรง บิดเบี้ยวเปลี่ยนรูปร่าง แต่กลับไม่แตกออก

หลังจากช่วงเวลาสั้นๆ เจ้าตำหนักจื่อก็อาศัยพลังของยันต์คุ้มกันขั้น7 เมื่อเห็นว่าจะหนีออกจากประตูใหญ่ตำหนักเสวียนดำ

“ตำหนักเสวียนดำ ปิดกั้น!”

สองมือของหลัวซิวกลายเป็นเงาเศษ โจมตีพลังตราประทับออกมา แสงทองดำที่ไม่มีที่สิ้นสุดคลุกเคล้าเข้าด้วยกัน ก่อให้เกิดพลังวิชาห้ามค่ายกลโบราณ

ร่างของเจ้าตำหนักจื่อเหมือนเศษเงา เมื่อเห็นว่าจะพุ่งออกมาจากในตำหนักดำ ภูเขาอุดมสมบูรณ์ทั้งสองแห่งของตำหนัก แต่กลับเคลื่อนไหวอย่างกะทันหัน อยู่ในเสียงก้องกังวาน และปิดตัวขึ้นมา

“ทำลายให้ข้าเดี๋ยวนี้!”

สีหน้าของเจ้าตำหนักจื่อเปลี่ยนไปอีกครั้ง แสงม่วงกระบี่ยุทธ์ในมือบินขึ้นอย่างรวดเร็ว และโจมตีไปทางประตูของตำหนักดำ

ตำหนักเสวียนดำเหมือนกับเขาทองดำไท่เสวียน เป็นของขลังที่สร้างขึ้นโดยผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์โบราณและวิชาประเมินสมบัติ ดังนั้นการโจมตีของเจ้าตำหนักจื่อกระแทกไปบนประตูของตำหนักเสวียนดำ ทำได้เพียงเกิดประกายไฟได้ไม่กี่จุด ไม่สามารถที่จะทำลายได้ด้วยซ้ำ

“ถาวหนานหยุน ยันต์คุ้มกันขั้น7ของเจ้า ข้าทำลายไม่ได้ชั่วขณะหนึ่งจริงๆ แต่เจ้าก็หนีไม่พ้นเหมือนกัน”

ไม่ไกลออกไป หลัวซิวก้าวขึ้นไปในอากาศ สีหน้าท่าทางสงบใจเย็น

ตอนนี้วิชาห้ามค่ายกลโบราณของทั้งคีตโลกาถ้ำเทพสถิตก็อยู่ภายใต้การควบคุมของตัวเอง ถ้าเป็นแบบนี้เจ้าตำหนักจื่อยังหนีออกไปได้ ถ้าอย่างนั้นก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเห็นได้ชัดว่าตัวเองไร้ความสามารถเกินไป

เหงื่อเย็นเยียบก็ผุดออกมาที่หน้าผากของเจ้าตำหนักจื่อ เขาโจมตีประตูของตำหนักอย่างบ้าคลั่ง แต่กลับไม่สามารถสั่นคลอนได้ด้วยซ้ำ

พลังของยันต์คุ้มกันขั้น7ยิ่งใหญ่จริงๆ แต่พลังของยันต์ถูกจำกัดในท้ายที่สุด และก็ไม่สามารถคงอยู่ได้นานเกินไป

ถ้าเกิดยันต์คุ้มกันขั้น7ไม่มีผล หลัวซิวควบคุมพลังวิชาห้ามค่ายกลโบราณ เขาต้านทานไม่ไหวอย่างแน่นอน

ประตูใหญ่ตำหนักปิดลง ทั้งตำหนักเสวียนดำ เงียบสงัดไร้เสียง

ผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์และคนอื่นๆก็รีบมา เห็นกับตาตัวเองว่าเจ้าตำหนักจื่อถูกขัดขวางด้วยประตูที่ปิด ผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์อย่างสง่าผ่าเผยรุ่นหนึ่ง มีความมั่นใจเต็มเปี่ยมครั้งหนึ่ง

ความเป็นความตายของเจ้าตำหนักจื่อ จักรพรรดิยุทธ์ทุกคนไม่ได้สนใจ ก็เหมือนกับฝานไท่เต๋อและจักรพรรดิยุทธ์หลายคนที่โดนฆ่าก่อนหน้านี้ เรื่องใหญ่ก็แค่เป็นทุกข์ร้อนกับชะตากรรมของพรรคเดียวกันเท่านั้นเอง

แต่ความยากลำบากตรากตรำของทุกคน เสียเวลาไปนานมากขนาดนี้ ถึงที่สุดผลประโยชน์สุดท้ายกลับตกอยู่ในมือของคนรุ่นหลังอย่างราชายุทธ์คนหนึ่ง นี่กลับทำให้ผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ทุกคนยากที่จะยอมรับได้อย่างเด็ดขาด

ในขณะนี้ทุกสายตาจับจ้องไปที่ร่างของหลัวซิว สีหน้าท่าทางต่างก็ซับซ้อน

“หลัวซิว เจ้าฆ่าข้าไม่ได้”เจ้าตำหนักจื่อสูดหายใจเข้าลึกๆ และพูด: “ตะเกียงวิญญาณของข้าสร้างโดยเทพจิตชีวี ก็วางอยู่ในตำหนักจื่อ ตอนนี้เจ้าฆ่าข้า อย่างมากที่สุดก็ทำลายร่างกายและเทพจิตส่วนใหญ่ของข้า แต่กลับไม่สามารถฆ่าข้าตายได้อย่างแท้จริง”

“และถ้าหากเจ้าทำแบบนี้จริงๆ ความโกรธของอาจารย์มกุฏยุทธ์ เจ้าไม่สามารถทนรับได้อย่างแน่นอน!”

สำหรับแผนของวันนี้ เจ้าตำหนักจื่อก็ได้แต่หวังว่าอาศัยการข่มขวัญด้วยอาจารย์มกุฏยุทธ์ สามารถที่จะทำให้หลัวซิวมั่งคงได้



ปกป้องร่างกายด้วยเตากลั่นยาแสงม่วง ร่างของฝานไท่เต๋อก็ถอยหลังอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งถอยห่างออกไปสองร้อยกว่าเมตร สีหน้าซีดเซียวเล็กน้อย

หลัวซิวระดมพลังวิชาห้ามค่ายกลโบราณ และไม่ได้ลงมือกับจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงและคนอื่นๆ แต่เพียงแค่ต่อต้านฝานไท่เต๋อและอาจารย์จักรพรรดิยุทธ์หลายคนที่ลงมือเท่านั้น

ฝานไท่เต๋อมีเต้ากลั่นยาคุ้มกายโบราณ สามารถที่จะต้านทานแสงกระบี่ทองคำที่ผนึกรวมโดยวิชาห้ามค่ายกลโบราณได้ แต่อาจารย์จักรพรรดิยุทธ์อีกหลายคน ก็ไม่มีพลังสมบัติดังกล่าว

พลังของแสงกระบี่ทองดำทุกเล่ม ก็สามารถที่จะทำให้มีจักรพรรดิยุทธ์บาดเจ็บสาหัสมาก ผลการฝึกตนเหล่านี้เป็นแค่คนของจักรพรรดิยุทธ์ขั้นหนึ่งและขั้นสอง ไม่มีพลังต้านทานเลยแม้แต่น้อย

พรั่บ!

อาจารย์จักรพรรดิยุทธ์คนหนึ่งที่พึ่งพาอาศัยราชวงศ์ตระกูลฝาน ศีรษะถูกเจาะทะลุในทันที สมองผสมกับเลือดสาดกระเด็น

ยังมีร่างกายของปรมาจารย์จักรพรรดิยุทธ์คนหนึ่งที่กลายเป็นขี้เถ้าลอย แม้ว่าจะสวมใส่เกราะนักยุทธ์ขั้นดินล่าง ก็ยังคงเสียชีวิตร่างสลายไป มีเพียงเกราะนักยุทธ์อย่างเดียวที่ไม่บุบสลาย หล่นอยู่บนพื้นอย่างไร้แสงสว่าง

นอกเหนือจากว่าฝานไท่เต๋อ มีจักรพรรดิยุทธ์ลงมือทั้งหมดสี่คน ในช่วงเวลาสั้นๆ ผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ทั้งสี่ผู้มีชื่อเสียงในพื้นที่โดยรอบของประเทศเทียนหวู ก็ตายโหงในทันทีโดยไม่ต้องวิตกกังวลใด

จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงและคนอื่นๆ สีหน้าท่าทางทั้งหมดเคร่งครัด ประจันหน้าครั้งเดียว ฆ่าจักรพรรดิยุทธ์ทั้งสี่คน ทำให้มีแดนจักรพรรดิยุทธ์ขั้น4ของฝานไท่เต๋อบาดเจ็บสาหัสมาก?

ถ้าหากเปลี่ยนแปลงเป็นความแข็งแกร่งผลการฝึกตนที่แท้จริง ในความคิดจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงและคนอื่นๆ อย่างน้อยก็มีผลการฝึกตนจักรพรรดิยุทธ์ขั้นที่7ขึ้นไป ถึงสามารถทำได้ถึงขั้นนี้

ร่างกายของหลัวซิวลอยอยู่กลางอากาศ ทั่วร่างกายก็ปกคลุมอยู่ในเกราะดำขาว ทำให้ผู้คนมองเห็นไม่ชัด

จักรพรรดิยุทธ์ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ เงียบกริบ หยาดเหงื่อก็ปรากฏขึ้นบนหน้าผาก เพราะว่าพวกเขาก็รู้ดีเป็นอย่างมาก หลัวซิวในเวลานี้ กลายเป็นตัวตนที่ทรงพลังที่สุด ในกลุ่มคนเหล่านี้ของพวกเขาแล้ว

แม้แต่จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงที่ผลการฝึกตนสูงที่สุด ก็จำเป็นต้องยอมรับตรงนี้

เจตนาฆ่าดุเดือดรุนแรง กักขังฝานไท่เต๋อไว้ แรงบีบคั้นอันน่าสะพรึงกลัวมหาศาลได้บังเกิดขึ้น ดังนั้นเขามีเตากลั่นยาโบราณคุ้มกาย ก็ไม่มีทางต้านทานได้นานเท่าไหร่

“หลัวซิว!”

ในเวลานี้ จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงเอ่ยปากพูดอย่างกะทันหันว่า: “ฝานไท่เต๋อเป็นผู้รับผิดชอบแก๊งนักกลั่นยาทางประเทศเทียนหวูนี้ แม้ว่าสี่แก๊งใหญ่จะมีการทะเลาะวิวาทบ้าง แต่ในบางด้าน กลับเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน เจ้าจะฆ่าเขาไม่ได้”

“ขยะแบบนี้ เก็บเขาไว้มีประโยชน์อะไร?”หลัวซิวพูดอย่างเยือกเย็น

ถ้าไม่ใช่ว่าจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงมีพระคุณต่อตัวเอง หลัวซิวขี้เกียจที่จะพูดจาไร้สาระด้วย

“ราชวงศ์ตระกูลฝานชักชวนคนมีความสามารถ กลับแอบควบคุมด้วยวิธีการของวิชาสยบวิญญาณที่ชั่วร้าย ข้าไม่เชื่อว่าเขาฝานไท่เต๋อจะไม่รู้”

แม้ว่าจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงจะเอ่ยปากร้องขอความเมตตา แต่หลัวซิวยังคงไม่ได้เก็บเจตนาฆ่าคืนกลับมา

ทันทีที่พูดออกมา สีหน้าของผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็เคร่งขรึม แม้ว่าพวกเขาก็รู้อะไรบางอย่าง แต่เพราะว่าฐานะปรมาจารย์กลั่นยาระดับ6ของฝานไท่เต๋อ ก็ไม่กล้าทำอะไรราชวงศ์ตระกูลฝานมาโดยตลอด

จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงอดไม่ได้ที่จะแสดงรอยยิ้มขมขื่น องค์กรนักล่ายุทธ์มีข้อมูลรายละเอียดมากที่สุด สำหรับเรื่องของวิชาสยบวิญญาณ เขาก็ย่อมรู้เป็นธรรมดา

ในเมื่อหลัวซิวพูดเรื่องนี้ขึ้นมา ถ้าตัวเองยังขอความเมตตาแทนฝานไท่เต๋อต่อไป ก็ไม่มีความยุติธรรม

ตระกูลเผยในเมืองยงฉีฝึกฝนวิชามาร ทำลายทั้งตระกูล!

ราชวงศ์ตระกูลฝานควบคุมอัจฉริยะด้วยวิชาสยบวิญญาณ วิธีแบบนี้ยังเป็นข้อห้ามระหว่างนักยุทธ์ และสมควรได้รับการลงโทษ

เพียงแต่ว่าแต่ไหนแต่ไรมา อยู่ในพื้นที่โดยรอบประเทศเทียนหวู ไม่มีใครมีความแข็งแกร่งที่จะลงโทษราชวงศ์ตระกูลฝานได้ แม้ว่าจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงเขาก็ไม่ไหว

“ตูม!”

พลังวิชาห้ามค่ายกลโบราณได้ปะทุออกมา ก่อตัวเป็นพลังงานพายุทองดำแผ่นหนึ่ง และแผ่คลุมฝานไท่เต๋อให้จม

“สารเลว!”

ฝานไท่เต๋อตะโกนด้วยความโกรธ ด้วยการคุ้มกายของเตากลั่นยาแสงม่วงโบราณ และตะโกนว่า: “ข้าเป็นหัวหน้าแก๊งนักกลั่นยา หลัวซิวเจ้ากล้าฆ่าข้างั้นหรือ?”

“ทำไมจะไม่กล้า?”

หลัวซิวหัวเราะเยาะ พลังทอร์นาโดสีทองดำบีบอัดอย่างต่อเนื่อง ทำให้ฝานไท่เต๋อต้านทานได้ยากมากขึ้นเรื่อยๆ

ฝานไท่เต๋ออดไม่ได้ที่จะด่าทออย่างรุนแรง ไม่สามารถที่จะทำลายพันธนาการของพลังทอร์นาโดได้ด้วยซ้ำ ทำได้เพียงใช้เตากลั่นยาคุ้มกาย และเสริมกำลังอย่างหนัก

เขารู้ดีมาก ในเมื่อหลัวซิวมีเจตนาฆ่าตัวเอง ต่อให้ตัวเองละทิ้งทิฐิขอความเมตตา ก็ไม่มีทางรอดอย่างเด็ดขาด

เมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงสิ้นเปลืองพลังจิตแท้ของตัวเอง แม้ว่าไม่สามารถต้านทานการบีบคั้นของพลังทอร์นาโดได้ ใบหน้าชราของฝานไท่เต๋อ ก็เคร่งขรึม

“ต่อให้ข้าตาย ก็ไม่มีทางปล่อยให้เจ้าอยู่ดี!”

ในขณะนี้ ฝานไท่เต๋อได้ผนึกรวมผลการฝึกตนทั้งร่างกายของตัวเองอยู่ที่ชี่ไห่ในจุดตันเถียน ยาเทพจิตทองดำของตรงกลางจุดตันเถียนก็กระโดดขึ้นอย่างรุนแรง และสว่างไสว

รู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของลมปราณในร่างกายของเขา สีหน้าผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ทุกคนทยอยเปลี่ยนไป และถอยกลับอย่างรวดเร็ว

ตูม!

ทันใดนั้น ยาเทพจิตของแดนจักรพรรดิยุทธ์ขั้น4คนหนึ่ง ก็ระเบิดเอง!

พลังที่น่าสะพรึงกลัวได้กวาดล้างไปรอบๆ ทำลายทุกสิ่งโดยรอบ และพื้นที่รอยดำที่แตกออก ราวกับใยแมงมุมที่แตกออก

ด้วยผลการฝึกตนแดนจักรพรรดิยุทธ์ขั้น4ของฝานไท่เต๋อ พลังของจุดตันเถียนตันที่ระเบิดเอง เพียงพอทำให้ผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ขั้น5ได้รับบาดเจ็บร้ายแรง แต่ภายใต้การกำราบของพลังวิชาห้ามค่ายกลโบราณ กลับเพียงแผ่ขยายออกไปในขอบเขตพื้นที่ประมาณหนึ่งร้อยเมตร ก็ไม่ทางไปต่อได้

ผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ทุกคนที่ถอยห่างออกไปหลายร้อยเมตรแล้ว สายตาของแต่ละคนก็หมองคล้ำ

ท้องฟ้าเกิดการเปลี่ยนแปลง!

ฝานไท่เต๋อเป็นเสาหลักของราชวงศ์ตระกูลฝาน แล้วก็เป็นหัวหน้าของแก๊งนักกลั่นยา การเสียชีวิตของเขา จะต้องเป็นเหมือนทอร์นาโด กวาดล้างทั้งประเทศเทียนหวู

ยิ่งไปกว่านั้นไม่เพียงแต่ฝานไท่เต๋อเท่านั้น ยังมีอาจารย์จักรพรรดิยุทธ์อีกหลายคนที่สนับสนุนราชวงศ์ตระกูลฝานเสียชีวิตทั้งหมด

คาดการณ์ได้ว่า ในช่วงเวลาต่อไป รูปแบบของทั้งประเทศเทียนหวู ก็อยู่ในช่วงแห่งความวุ่นวาย

เดิมทีสำนักตระกูลบางตระกูลถูกราชวงศ์ตระกูลฝานกดขี่ไม่สามารถพัฒนาได้ ก็จะสามารถใช้โอกาสนี้ขยายอำนาจได้ เหมือนกับสามกองกำลังใหญ่ตำหนักจื่อ สำนักเสวียนหยาง และสำนักฉางเหอ ในปกติเหตุผลก็เพราะว่าฝานไท่เต๋อ และไม่สามารถก้าวก่ายในการแจกจ่ายทรัพยากรภายในเขตแดนประเทศเทียนหวูได้ ตอนนี้ก็เป็นไปได้!

แต่ว่า ข้อสันนิษฐานทุกอย่างนี้ ยังต้องผ่านด่านนี้ของหลัวซิวก่อนถึงจะได้!

ใครก็คาดไม่ถึงว่าสถานการณ์สุดท้ายจะพัฒนามาจนถึงขั้นปัจจุบัน เดิมทีคนรุ่นหลังที่ไม่ควรค่าแก่การกล่าวถึงในสายตาของจักรพรรดิยุทธ์ทุกคน ทันใดนั้นก็มีความแข็งแกร่งที่น่าสะพรึงกลัวที่เหนือกว่าใครๆ

เปรี้ยง!

ร่างหนึ่งวิ่งหนีไปด้วยความเร็วที่เร็วมาก สายตาตัวสำนึกของผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ทุกคนจ้องมองไป ค้นพบว่าร่างคนที่วิ่งหนีไปนั้น ก็คือเจ้าตำหนักจื่อ

สำหรับการหนีของเจ้าตำหนักจื่อ จักรพรรดิยุทธ์ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ก็ไม่มีความประหลาดใจใด เพราะว่าความแข็งแกร่งของเจ้าตำหนักจื่อโดยทั่วไปแล้วไล่เลี่ยกับฝานไท่เต๋อ

ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ระหว่างหลัวซิวและจักรพรรดิยุทธ์เทียนเฟิ่งนั้นผิดปกติมาก ถ้าเจ้าตำหนักจื่อไม่หนี นั่นก็คือรอความตาย!

หลัวซิวไม่ได้รีบเร่งที่จะไล่ตาม เพียงแค่เหลือบมองไปที่ด้านหลังของตำหนักจื่อที่วิ่งหนี และเย้ยหยัน

ทั้งคีตโลกาถ้ำเทพสถิต เขาก็สังเกตบางอย่างได้ชัดเจน ไม่ว่าเจ้าตำหนักจื่อจะหนีไปที่ไหน ก็อยู่ภายใต้สายตาของตัวเอง

เขายื่นมือไปจับ เก็บฝานไท่เต๋อและสมบัติของอาจารย์จักรพรรดิยุทธ์หลายคนทิ้งไว้หลังจากที่เสียชีวิตแล้ว ร่างกายเคลื่อนไหวอย่างพรวดพราด และหายไปจากที่เดิมในทันที

ในพื้นที่โล่งหน้ากระท่อมมุงจาก ผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ทุกคน ต่างมองหน้ากัน

“ข้าไม่ยอม!……”ในปากของอาจารย์ตระกูลหลู่มีเลือดไหล จ้องมองหลัวซิวด้วยตาแดง

“ถ้าต้องการจะฆ่าคน ก็ต้องรู้ตัวว่าจะโดนฆ่า นอกจากนี้เจ้าก็ไม่ใช่จักรพรรดิยุทธ์คนแรกที่ได้รับบาดเจ็บด้วยน้ำมือของข้า”

หลัวซิวสีหน้าไร้อารมณ์ โบกฝ่ามือขึ้นไปในอากาศ ลำแสงกลายเป็นแสงกระบี่ทองดำ เปรี้ยงเสียงหนึ่ง ฟันไปที่หัวของอาจารย์จักรพรรดิยุทธ์ท่านนี้

เก็บแหวนเก็บของของอีกฝ่ายไว้ มุมปากของหลัวซิวก็แสยะยิ้มเล็กน้อย“ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ที่นี่เป็นที่ของข้า!”

อาศัยวิธีการควบคุมวิชาห้ามค่ายกลโบราณในสถานที่นี้ เขามีความแข็งแกร่งที่จะต่อสู้กับผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ท่านใดท่านหนึ่งแล้ว

หลับตาลงอย่างช้าๆ หลัวซิวสามารถที่จะสัมผัสได้ถึงลมปราณของผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ ทุกคนที่อยู่ในตำหนักเสวียนดำนี้ได้

……

ในเวลานี้ เหว้ยห้าวหรานยังคงศึกษาวิธีการทำลายค่ายกล จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิง อาจารย์หงหมิง ฝานไท่เต๋อ เฒ่าประหลาดฉิว เจ้าตำหนักจื่อ เจ้าสำนักเสวียนหยาง และเจ้าสำนักฉางเหอจักรพรรดิยุทธ์หลายท่านที่แข็งแกร่งมากที่สุด ก็ยืนอยู่ไม่ไกล

ในตำหนักแห่งนี้ก็มีโอกาสอื่นอยู่บ้างจริงๆ แต่สำหรับพวกเขาเหล่านี้ กลับไม่เข้าตา

ในขณะนี้เอง ผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ทุกคนก็เคลื่อนไหวตัวสำนึกอย่างกะทันหัน หันหน้ามองไปทางด้านหลัง รูม่านตาของแต่ละคนก็อดไม่ได้ที่จะหดตัวลงอย่างกะทันหัน

เห็นเพียงร่างหนึ่งสวมใส่ชุดเสื้อคลุมสีดำ กำลังโบยบินอยู่บนท้องฟ้า ด้วยความเร็วที่เร็วมาก ในเวลาไม่กี่อึดใจ ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าของจักรพรรดิยุทธ์ทุกคนแล้ว

ผู้มา ก็ย่อมเป็นหลัวซิว เขาบินไปบนท้องฟ้า มองดูจักรพรรดิยุทธ์ทุกคนลงมาจากด้านบน ด้วยรอยยิ้มจางๆที่มุมปาก

“เจ้าสามารถบินบนท้องฟ้าที่นี่ได้งั้นหรือ?”

สีหน้าของผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ทุกคนทยอยเปลี่ยนไป เพราะว่าต่อให้เป็นพวกเขา ก็ไม่สามารถบินอยู่ข้างในนี้ได้

“มิน่าล่ะคนรุ่งหลังอย่างเจ้า ต้องการที่จะเข้ามากับจักรพรรดิยุทธ์อย่างพวกข้าเหล่านี้ ในร่างกายของเจ้ามีความลับจริงด้วย”

ฝานไท่เต๋อจ้องมองไปที่หลัวซิว ในดวงตาทั้งสองก็ประกายแสงที่แหลมคมและเย็นชาออกมาอย่างกะทันหัน พลังจิตแท้เปลวไฟกลายเป็นตราฝ่ามือมังกรในทันที และคว้าไปที่หลัวซิว

“ตราฝ่ามือมังกร!”

ตามด้วยเสียงของมังกรดังขึ้น ร่างของมังกรแท้อัคคีได้ปรากฏขึ้นเบื้องหลังของฝานไท่เต๋อผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์คนนี้

ตราฝ่ามือมังกรยังคงเป็นทักษะยุทธ์ชั้นสูงของระดับ9ตำราหนึ่ง ซึ่งแสดงออกมาพร้อมกับผลการฝึกตนจักรพรรดิยุทธ์ขั้น4ของฝานไท่เต๋อ ถึงแม้ว่าพลังของจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงแข็งแกร่งมากที่สุด ก็ต้องยอมถอยทัพ

จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงขมวดคิ้ว แต่กลับห้ามใจไว้ไม่ลงมือขัดขวาง เขาก็รู้สึกว่าร่างกายของหลัวซิวเต็มไปด้วยความแปลกประหลาด ในเมื่อเขากล้ามา บางทีก็อาจจะมีที่พึ่งพาถึงจะถูก

สถานการณ์ตอนนี้ไม่ชัดเจน ฝานไท่เต๋อลงมือก่อน จักรพรรดิยุทธ์คนอื่นกลับไม่มีการเคลื่อนไหวใด

เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีตราฝ่ามือมังกรของฝานไท่เต๋อ สีหน้าท่าทางของหลัวซิวใจเย็นไม่สะทกสะท้าน เพียงแค่เห็นเขาแสดงท่าทางพลังตราประทับอย่างสบายๆ ม่านแสงทองดำผืนหนึ่งก็ลอยขึ้นจากข้างกายของเขา กลายเป็นเกราะสีดำ ปกป้องทั่วร่างกาย

ตูม!

ตราฝ่ามือมังกรกระแทกอยู่ด้านบนเกราะทองดำ พลังที่เหลืออยู่กวาดล้างสิ่งของรอบกายเข้าไป และลมพัดอย่างรุนแรง

รูม่านตาของจักรพรรดิยุทธ์ต่างก็หดตัว ทันใดนั้นก็มองเห็น เกราะทองดำบนตัวของหลัวซิวไม่ขยับเลยสักนิด ด้วยความแข็งแกร่งทรงพลังของฝานไท่เต๋อ ไม่สามารถสั่นคลอนได้แม้แต่น้อย

“นี่…….”

เมื่อเห็นว่าการโจมตีของตัวเองไม่สามารถทำร้ายหลัวซิวได้ ฝานไท่เต๋อรู้สึกว่าค่อนข้างขายหน้าไม่ไหวในทันที เห็นเพียงใบหน้าชราของเขาประกายผ่านไปด้วยความอับอายเล็กน้อย ภายใต้พลังจิตแท้หมุนรอบตัวอย่างเต็มที่ พลังตราฝ่ามือมังกรเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน

“ตูม!”

ในครั้งนี้ ภายใต้การโจมตีของตราฝ่ามือมังกร เกราะทองดำบนตัวของหลัวซิว สั่นสะเทือนเล็กน้อยไม่กี่ครั้ง

แน่นอนว่าก็เพียงแค่สั่นสะเทือนไม่กี่ครั้งเท่านั้นเอง อยากจะทำลาย ระดับการโจมตีแบบนี้ ยังไม่เพียงพอเป็นอย่างมาก

เพราะว่าวิชาห้ามค่ายกลในตำหนักเสวียนดำแห่งนี้ จัดวางด้วยมือของผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์โบราณ แม้ว่าความแข็งแกร่งของหลัวซิวสู้มหาจักรพรรดิยุทธ์ไม่ได้ ไม่สามารถกระตุ้นพลังของวิชาห้ามค่ายกลให้แข็งแกร่งที่สุดได้

แต่อาศัยพลังฟ้าดินจิตผนึกรวมนับหมื่นปีในคีตโลกาถ้ำเทพสถิต พลังวิชาห้ามค่ายกลที่หลัวซิวสามารถควบคุมได้นั้น ก็ห่างไกลกว่าจักรพรรดิยุทธ์จะเทียบเคียงได้

จักรพรรดิยุทธ์คนอื่นๆ สีหน้าก็ทยอยเปลี่ยนไป ลมปราณพลังจิตแท้ของหลัวซิวผันผวน เห็นได้ชัดว่ามีเพียงแดนราชายุทธ์ขั้นที่หนึ่ง เขาทำการต้านทานการโจมตีของผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์โดยไม่เสียหายได้อย่างไร?

มีเพียงเหว้ยห้าวหรานปรมาจารย์ค่ายกลท่านนี้ท่านเดียว จ้องมองมือทั้งสองของหลัวซิวตาไม่กะพริบ เขามองออกแล้วว่า หลัวซิวไม่ได้อาศัยความแข็งแกร่งของผลการฝึกตนของตัวเอง แต่เป็นการควบคุมของพลังวิชาห้ามค่ายกลโบราณ!

“ดูเหมือนว่าน่าจะสมบัติสำคัญบางอย่างอยู่ในมือของเขา ไม่รู้ว่าเขาสามารถที่จะควบคุม วิชาห้ามค่ายกลโบราณในสถานที่แห่งนี้ได้มากแค่ไหน?”เหว้ยห้าวหรานหรี่ตาลง และจับจ้องมองไปที่หลัวซิว

“ฝานไท่เต๋อ เจ้าลงมือสองครั้งแล้ว คราวนี้ถึงตาข้าลงมือแล้วนะ?”

ในเกราะทองดำ เสียงน่าขนลุกของหลัวซิวค่อยๆดังมา

“ทุกท่านยังไม่ลงมือ หรือว่าจะปล่อยให้คนรุ่นหลังราชายุทธ์อย่างเขามาซี้ซั้วงั้นหรือ?”สีหน้าของฝานไท่เต๋อเปลี่ยนไปเล็กน้อย หันหน้าไปตะโกนบอกกับจักรพรรดิยุทธ์คนอื่นว่า: “เขาสามารถที่จะโบยบินไปบนท้องฟ้า และมีความแข็งแกร่งที่ต่อสู้กับจักรพรรดิยุทธ์ คงจะต้องมีโอกาสครั้งใหญ่บางอย่างอย่างแน่นอน!”

ฝานไท่เต๋อพูดแบบนี้ ผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์หลายคนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกร้อนอกร้อนใจ เพราะใครก็สามารถมองออกว่า ร่างกายของหลัวซิวมีความลับ

อาจารย์ตระกูลหลายคนที่ยืนออกมาสนับสนุนราชวงศ์ตระกูลฝานมาโดยตลอด นำโดยฝานไท่เต๋อ ผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ห้าคนก็ลงมือพร้อมกัน แสงพลังจิตแท้อันเจิดจ้า ราวกับมหาสมุทรหลากสีสันผืนหนึ่ง จมอยู่บริเวณผืนนี้

“ตำหนักเสวียนดำ กำราบให้ข้าซะ!”

หลัวซิวคำรามด้วยความโกรธ พลังมหาศาลที่คาดเดาไม่ได้ ราวกับว่าปลดปล่อยออกไปตามคำสั่ง และมาถึงอย่างฉับพลันอย่างทันทีทันใด

แรงกดดันอันหนักหน่วงประกอบด้วยลมปราณผ่านโลกมาโชกโชนในสมัยโบราณ หนักหน่วงราวกับภูเขาแสนลูก ก็กำราบผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์หลายคนที่อยู่เบื้องหลังของฝานไท่เต๋อ นอนลงบนพื้นในทันที เหงื่อที่เย็นยะเยือก ผลการฝึกตนทั้งร่างกายที่ถูกผูกมัดอยู่ในร่างกาย ไม่สามารถระดมพลได้แม้แต่น้อย

“ฆ่า!”

ต่อจากนั้น หลัวซิวก็เอ่ยปากอย่างเย็นชาอีก พูดออกมาว่าฆ่าคำหนึ่ง แสงทองดำหลายอันก็ปรากฏขึ้น ราวกับกระบี่คมที่ใช้สังหารในสมัยโบราณ และฟันไปตรงๆ

“เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง! ……”

ความเร็วของแสงกระบี่ทองดำเร็วจนทำให้คนยากที่จินตนาการได้ สีหน้าของฝานไท่เต๋อเปลี่ยนไปอย่างมาก ร่างกายก็ถอยกลับอย่างรวดเร็ว ในเวลาเดียวกันอ้าปากอ้วกคำหนึ่ง เตากลั่นยาที่ปกคลุมไปด้วยแสงม่วงก็พุ่งออกไป และกระแทกไปทางแสงกระบี่ทองดำที่ฟันมา

เปรี้ยง! เปรี้ยง!

แสงไฟสาดส่องกระจายไปทั่ว เตากลั่นยาแสงม่วงนี้แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ถูกฟันด้วยแสงทองคำหลายสิบครั้งซึ่งเพียงพอที่จะทำให้บาดเจ็บสาหัสมากอย่างต่อเนื่อง ก็เพียงแค่สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง และไม่เสียหายเลยสักนิด

“เตากลั่นยาโบราณ!”

ผู้รู้จักสิ่งของต่างก็พากันเบิกตากว้าง แตกต่างจากเตากลั่นยาที่ทำได้ใช้มากลั่นยาในโลกปัจจุบัน เตากลั่นยาที่ใช้กลั่นยาในสมัยโบราณ นอกจากจะทำหน้าที่กลั่นยา ยังเป็นของขลังด้วย สามารถโจมตีป้องกันตัวได้ และใช้ประโยชน์ที่ยอดเยี่ยมอย่างไม่รู้จบ

เหว้ยห้าวหรานมีธงค่ายแบบโบราณชุดหนึ่ง ฝานไท่เต๋อในฐานะปรมาจารย์กลั่นยาขั้น6 มูลค่าทรัพย์สินอุดมสมบูรณ์มากมาย มีของขลังเตากลั่นยาโบราณชิ้นหนึ่ง กลับไม่ใช่เรื่องแปลก

หลิวซิวแวบเดียวก็มองออกว่า เตากลั่นยาที่ฝานไท่เต๋อปล่อยออกมา เป็นสมบัติระดับเครื่องรางโบราณชิ้นหนึ่ง พลังนั้นเทียบเท่ากับนักยุทธ์ขั้นดินกลาง ระดับนั้นด้อยกว่า เตาทยานนภามังกรคู่ที่เขาได้รับมาเล็กน้อย



ฟิ้ว!

หลัวซิวปล่อยมือ ลูกแก้วดำกลายเป็นลำแสง ตกลงบนสู่หลุมทรงกลมตรงกลางแท่นบูชา

หลุมนี้ เป็นตรงกลางที่ลวดลายค่ายกลผนึกรวมเอาไว้ ลูกแก้วดำตกลงไปด้านใน ขนาดพอดี ไม่ขาดเหลือแม้แต่น้อย รวมเป็นหนึ่งเดียว

“นี่คือ……”

ตอนที่ลูกแก้วดำตกลงไปในหลุม แผนที่หนึ่งปรากฏขึ้นในความคิดของหลัวซิว อีกทั้งคำอธิบายในแผนที่นี้ เห็นชัดว่าคือทั่วทั้งคีตโลกาถ้ำเทพสถิต

ตรงกลางแผนที่ คือภูเขาและตำหนักที่ลอยอยู่ ทั้งยังมีแสงไฟเล็กใหญ่มากมายปรากฏอยู่ในแผนที่ แสดงถึงนักยุทธ์ทุกคนที่เข้ามาในคีตโลกาถ้ำเทพสถิต

เวลานี้ หลัวซิวสามารถสัมผัสได้ถึงลมปราณของนักยุทธ์ทุกคนที่อยู่ในคีตโลกาถ้ำเทพสถิตอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะอยู่ไกลนับร้อยนับพ้นเมตร แต่ก็คล้ายอยู่ใกล้แค่เอื้อม

ครุ่นคิด หลัวซิวสัมผัสได้ถึงลมปราณของเหยียนเยว่เอ๋อร์และหลงหมิง อยู่ในป่าห่างจากเขาทองดำไท่เสวียนสามพันกว่าเมตร เหยียนเยว่เอ๋อร์ยังคงหมดสติ หลงหมิงคอยเฝ้าอยู่ข้างกาย

หลังจากนั้น หางตาหมุนเปลี่ยนอีกครั้ง เขาเห็นจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงและพวกอีกหลายคนยังคงรวมตัวกันอยู่ใกล้ๆ กระท่อมมุงจาง เหว้ยห้าวหรานตาแดงก่ำ ในมือทำพลังตราประทับค่ายกลไม่หยุด ยังคงขับเคลื่อนทำลายค่ายกล

ชัดเจนอย่างมาก!

ดวงตาของหลัวซิวทอประกาย เขาคิดไม่ถึงว่าลูกแก้วดำจะมอบเรื่องน่าแปลกใจแบบนี้ให้เขา อีกทั้งไม่เพียงแต่ความสามารถในการค้นหาอย่างล้ำลึก แต่วิชาห้ามค่ายกลมากมายที่อยู่ในคีตโลกาถ้ำเทพสถิต คล้ายว่าเขาจะสามารถควบคุมได้!

วิชาห้ามค่ายกลบางอย่าง ขับเคลื่อนด้วยตนเอง ยกตัวอย่างเช่นค่ายกลห้ามบิน รวมถึงค่ายคุ้มกันที่อยู่ใกล้กระท่อมมุงจาก แต่ค่ายกลส่วนมากล้วนอยู่ในสถานะหลับใหล

ผู้แข็งแกร่งโบราณสร้างถ้ำฝึกตน แน่นอนว่าย่อมสร้างอย่างแข็งแกร่งและลึกลับ แบบนี้ถึงจะรับประกันได้ว่าช่วงเวลาตอนที่ตนฝึกตนนั้นจะไม่มีใครเข้ามารบกวน หรือว่าศัตรูจะไม่มีวันบุกเข้ามาได้

เวลานี้ หลัวซิวอาศัยลูกแก้วดำ เท่ากับครอบครองคีตโลกาถ้ำเทพสถิตทั้งหมด กลายเป็นเจ้าของที่นี่!

“หลัวซิว นายมาทำอะไรที่นี่?”

ทันใดนั้นเอง เสียงเยือกเย็นดังขึ้น หลัวซิวเงยหน้ามองไปตามต้นเสียง เห็นชายชราสวมชุดคลุมตัวยาวสีเขียว ยืนอยู่ห่างออกไปประมาณสิบเมตรด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ จ้องมองมาที่ตน

หลัวซิวแค่มองก็รู้ทันทีว่าชายชราคนนี้เป็นใคร เขาคืออาจารย์ตระกูลหลู่หนึ่งในอาจารย์ของสิบตระกูลใหญ่แห่งประเทศเทียนหวู แดนจักรพรรดิยุทธ์ขั้น1

แท่นบูชาโบราณ สูงประมาณสองเมตรกว่าๆ ทั้งแท่นบูชากลั่นจากโลหะสีเงินนิรนาม

หลัวซิวนั่งขัดสมาธิอยู่บนแท่นบูชา คล้ายเจ้าของคีตโลกา อย่างเห็นได้ชัด ควบคุมทุกอย่าง

อาจารย์ตระกูลหลู่ไม่รู้ว่าหลัวซิวทำอะไรลงไป อีกทั้งเขาเองก็ไม่คิดว่า คนรุ่นหลังที่เพิ่งบรรลุขั้นราชายุทธ์ จะสามารถทำเรื่องเหนือความคาดหมายที่นี่ได้

“ไอ้หนุ่ม ในเมื่อถูกฉันจับได้แล้ว ก็ทำได้แค่โทษที่ตัวเองโชคร้าย”

มุมปากของอาจารย์ตระกูลหลู่หัวเราะเยือกเย็น ยื่นมือขึ้นมาคว้า พลังจิตแท้ผนึกรวมกลายเป็นมือที่มีลำแสงสีเขียว พุ่งไปจับตัวหลัวซิว

ในสายตาของเขา ด้วยผลการฝึกตนระดับผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ของตนเอง บีบคนรุ่นหลังที่เป็นแค่ราชายุทธ์ให้ตาย เป็นเรื่องที่ง่ายมากไม่ใช่เหรอ?

แต่ว่าในเวลานี้เอง จู่ๆ ทุกอย่างก็พลิกผัน!

ลำแสงสีดำทองส่องสว่าง ปกคลุมแท่นบูชา การโจมตีด้วยฝ่ามือผนึกรวมพลังจิตแท้ของผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ปะทะเข้ากลับม่านลำแสงสีดำทอง ไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย หายไปในชั่วพริบตา

ลูกแก้วดำ คือหัวใจหลักของวิชาห้ามค่ายกลนับไม่ถ้วนในคีตโลกาถ้ำเทพสถิต แค่หลัวซิวครุ่นคิด ก็สามารถเปิดวิชาห้ามค่ายกลทุกอันภายในคีตโลกาถ้ำเทพสถิตได้อย่างตามต้องการ

อีกทั้งการควบคุมนี้ เขาไม่จำเป็นต้องใช้พลังจิตแท้ของตนแม้แต่น้อย เพราะพลังฟ้าดินจิตของคีตโลกาถ้ำเทพสถิต ผนึกรวมกับที่นี่แล้ว พลังงานที่มหาศาลนี้ เพียงพอที่จะทำให้วิชาห้ามค่ายกลมากมายเคลื่อนไหว

ตำหนักดำ ชื่อว่าตำหนักเสวียนดำ ยอดเขาทองดำ ชื่อว่าเขาทองดำไท่เสวียน ส่วนลูกแก้วดำที่หลัวซิวได้ครอบครองนั้น คือของล้ำค่า ที่มีชื่อว่าลูกแก้วเสวียนดำ

ข้อมูลทุกอย่างของที่นี่ หลังจากหลัวซิวนำลูกแก้วดำลงไปในหลุมแท่นบูชา ก็เข้าสู่สมองของตนทั้งหมด

“นายใช้วิชาห้ามค่ายกลของที่นี่เป็นด้วยเหรอ?”

อาจารย์ตระกูลหลู่โตมตีไม่สำเร็จ สีหน้าเปลี่ยนไปทันที “เป็นไปได้ยังไง แม้แต่ไอ้แก่เหว้ยห้าวหราน ก็ยังทำไม่ได้”

เห็นการโจมตีของอีกฝ่ายถูกป้องเอาไว้ หลัวซิวจิตใจนิ่งสงบ พูดหัวเราะเย้ยหยัน:”ฝานไท่เต๋อส่งนายมาข้าฉัน?”

ม่านตาของอาจารย์ตระกูลหลู่หดเล็ก หลังจากนั้นเขาก็ถอยหลัง ทว่ายังคงเสียงแข็ง “ใช่แล้วยังไง? ถ้านายยอมบอกวิธีการควบคุมวิชาห้ามค่ายกลกับฉัน ฉันจะไว้ชีวิตนาย!”

สำหรับอาจารย์ตระกูลหลู่ หากตนสามารถควบคุมวิชาห้ามค่ายกลของที่นี่ ถ้าอย่างนั้นทุกอย่างที่นี่ ก็เป็นของตนทั้งหมดไม่ใช่เหรอ?

“ฮ่าๆๆ……” หลัวซิวหัวเราะเสียงดัง

“นายหัวเราะ?” อาจารย์ตระกูลหลู่สีหน้าเยือกเย็น

“ฉันหัวเราะที่นายไม่รู้อะไรเลย ดูสถานการณ์ไม่ออก!” หลัวซิวสีหน้าเยือกเย็น “ฉันสามารถควบคุมวิชาห้ามค่ายกล เอาชีวิตนายเป็นเรื่องที่ง่ายมาก นายยังจะกล้าข่มขู่ฉันอีกเหรอ กล้าที่จะทำข้อตกลงกับฉัน?”

“ผลการฝึกตนของนายเป็นแค่ราชายุทธ์ขั้น1 ต่อให้สามารถควบคุมวิชาห้ามค่ายกล แล้วจะทำอะไรฉันที่เป็นผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ได้?” อาจารย์ตระกูลหลู่หัวเราะเย้ยหยัน

ความแตกต่างระหว่างหนึ่งแดน การจำกัดของผลการฝึกตน คือข้อได้เปรียบมากที่สุดของเขา
“หึ บางครั้ง ผลการฝึกตนไม่สามารถอธิบายอะไรได้”

หลัวซิวหัวเราะเย้ยหยัน หลังจากนั้นทำมือพลังตราประทับ กระโดดขึ้นด้านบนแล้วกด

“ตึ้ง!”

พลังฟ้าดินจิตเข้มข้นในตำหนักเสวียนดำสั่นสะเทือน พลังที่น่าสะพรึงกลัวจนไม่อาจคาดการณ์ได้เกิดขึ้นกะทันหัน กลายเป็นลำแสงที่เกี่ยวพันกัน ชั่วขณะหนึ่ง ราวกับกรง ปิดผนึกที่ที่อาจารย์ตระกูลหลู่ยืนอยู่

“ทำลายเดี๋ยวนี้!”

อาจารย์ตระกูลหลู่ร้องตะโกนเสียงดัง พลังจิตแท้พลุ่งพล่านออกมา ทว่าไม่สามารถทำอะไรค่ายกลโบราณได้แม้แต่น้อย ไม่สามารถทำลายกรงที่ถูกปิดผนึกเอาไว้

“ฟิ้ว!”

ในเวลานี้เอง ลำแสงสีดำทองถูกยิงออกไป ทะลุไปยังพลังจิตแท้ป้องกันตัวของอาจารย์ตระกูลหลู่ราวกับกระดาษ ไม่สามารถแรงต้านทานแม้แต่น้อย ชั่วขณะหนึ่งยิงทะลุ ทำให้เขาตัวปลิวออกไป

“ตั้ง!”

ร่างของผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ชนเข้ากับม่านลำแสงของค่ายกลกรง หลังจากนั้นก็สะท้อนกลับมา กระอักเลือด สีหน้าตกตะลึง

“พลานุภาพที่ร้ายแรงมาก”

หลัวซิวเองก็ตกตะลึงเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าวิชาห้ามค่ายกลในตำหนักเสวียนดำ แค่ขุมพลังที่ใช้เรื่อยเปื่อย จะสามารถทำร้ายจักรพรรดิยุทธ์ได้ขนาดนี้

เขาทำพลังตราประทับที่สามารถควบคุมวิชาห้ามค่ายกลอีกครั้ง ลำแสงสีดำทองนับสิบผนึกรวม ส่งเสียงผวัะ จากนั้นทะลุไปยังร่างของอาจารย์ตระกูลหลู่ที่เป็นผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ จนกลายเป็นตะแกรง

อาจารย์ตระกูลหลู่คุกเข่าล้มกับพื้นโดยมีบาดแผลเต็มตัว ดวงตาแก่ชราเบิกกว้าง คิดไม่ถึงว่า ตนที่เป็นถึงอาจารย์ระดับจักรพรรดิยุทธ์ จะตายด้วยน้ำมือของคนรุ่นหลัง

“ผวัะ!”

หลัวซิวลุกขึ้นจากแท่นบูชา ปลายเท้าเหยียบแท่นบูชาเบาๆ ยืดเหยียดตัว แล้วกระโดดลงตรงหน้าอาจารย์ตระกูลหลู่

หลังจากผทำลายค่ายกลห้ามบินที่กักขังเมื่อคราวก่อน ธงค่ายโบราณหกด้านเสียหายเล็กน้อย เหว้ยห้าวหรนาลูบจับธงค่าย เผยสีหน้าปวดใจ

ตอนที่เหว้ยห้าวหรานศึกษาวิธีการทำลายค่ายกล หลัวซิวกลับมีความรู้สึกหนึ่ง คล้ายว่าขอเพียงตนจับลูกแก้วดำในมือ ก็จะสามารถทะลุผ่านลำแสงม่านค่ายกล เข้าไปในกระท่อมมุงจากตรงหน้าได้

เหว้ยห้าวหรานลีลาอยู่นานมาก หลังจากนั้นค่อยเริ่มวางธงค่าย โดยมีธงค่ายโบราณหกด้านเป็นหลัก เขาหยิบธงค่ายแปดสิบเอ็ดด้านออกมา ใช้เวลาเกือบสองวัน กว่าจะวางค่ายกลทั้งหมดเสร็จ

“ระดับของค่ายกลนี้สูงมาก ลำพังฉันเพียงคนเดียวไม่สามารถควบคุมได้ ต้องใช้พลังจิตแท้ของพวกนายมาช่วยฉัน”

หลังจากวางค่ายกลเสร็จ เหว้ยห้าวหรานเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก แล้วพูดกับจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงและพวก

จักรพรรดิยุทธ์ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างไม่มีข้อคิดเห็นใด พวกเขาเดินไปด้านหน้า ทำตามที่เหว้ยห้าวหรานต้องการ ใช้พลังจิตแท้ของตนเอง อัดฉีดเข้าสู่ธงค่ายในค่ายกล

หลังจากพลังจิตแท้อัดฉีดเข้าไป ธงค่ายแต่ละอันฉายแสงทอประกายแวววับ กลายเป็นสัญลักษณ์สีต่างๆ ที่ทำให้คนตาลาย

สัญลักษณ์ทุกอัน ล้วนเกิดจากการตกผนึกของลายเส้น ถูกเรียกว่าสัญลักษณ์ค่ายกล

สัญลักษณ์ค่ายกลและสัญลักษณ์ค่ายกลเชื่อมประสานกัน ทำให้เกิดแรงปะทะที่รุนแรง เคล้าไปด้วยความพิศวงที่ลึกซึ้ง ทำให้ค่ายกลสามารถสร้างพลังที่ไม่ธรรมดา

ช่วงเวลาสั้นๆ ธงค่ายแปดสิบเอ็ดด้านและธงค่ายโบราณหกด้านล้วนถูกกระตุ้นไม่หยุด กลายเป็นสัญลักษณ์ค่ายกลนับร้อย ปะทะและเสียดสีรุนแรงกับ ค่ายคุ้มกันของกระท่อมมุงจาก

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม แววตาของทุกคนล้วนฉายความคาดหวัง คล้ายเห็นความหวังในการทำลายค่ายคุ้มกันโบราณ

มีหลัวซิวเพียงคนเดียวที่หัวเราะเยือกเย็นในใจ เพราะเกิดสถานการณ์แบบนี้ ไม่ได้หมายความว่าค่ายคุ้มกันโบราณสั่นเทาแล้วจะถูกทำลาย แต่ว่าเป็นระยะแรกที่พลานุภาพของค่ายกล จะระเบิดออกมา

เหว้ยห้าวหรานเองก็สังเกตเห็นข้อนี้อย่างรวดเร็ว สีหน้าแปรเปลี่ยนทันที “ถอยเร็ว!”

ทันทีที่ประโยคนี้โพล่งออกมา จักรพรรดิยุทธ์ทุกคนเองก็รู้สึกถึงสถานการณ์ที่ไม่สู้ดีนัก แต่ละคนรีบถอนพลังจิตแท้กลับมา แล้วถอยหลัง

ตั้ง!

ม่านลำแสงสีดำทองของค่ายคุ้มกันโบราณ ระเบิดพลานุภาพที่น่าเกรงขามออกมากะทันหัน

พลังที่ร้ายกาจแผ่ซ่านออกมา ธงค่ายที่เหว้ยห้าวหรานวางเอาไว้ แตกสลายกันหมด ผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ ในชั่วพริบตา ถูกพลังที่น่าสะพรึงกลัว พัดปลิวออกไป

ธงค่ายโบราณหกด้าน ธงค่ายแปดสิบเอ็ดด้านระดับหกที่ราคาสูงลิ่ว ไม่เหลือแม้แต่อันเดียว กลายเป็นขยะ พังเสียหาย

เหว้ยห้าวหรานผมเผ้ายุ่งเหยิง แววตาเหม่อลอย ในสมองมีเพียงคำพูดเดียวที่วนเวียนไม่หยุด “เสียหายหมดแล้ว!”

ไม่พูดถึงธงค่ายโบราณหกด้านที่ราคาสูงลิ่ว แค่ธงค่ายแปดสิบเอ็ดด้านระดับหก แต่ละอันก็ราคานับหมื่น

ถ้าหากสามารถทำลายค่ายกลโบราณก็ไม่เป็นไร ทันทีที่ด้านในมีของล้ำค่า เลือกเรื่อยเปื่อยมาสักหนึ่งชิ้น ก็สามารถชดใช้ความเสียหายของตนได้แล้ว

แต่ผลสุดท้ายคือ ค่ายกลไม่ได้ถูกทำลาย ทว่าธงค่ายทั้งหมดของเขา กลับถูกทำลายจนหมด!

ผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ทุกคน สีหน้าเคร่งขรึม ถึงแม้จะคาดการณ์เอาไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าอาจจะล้มเหลว แต่ว่าเมื่อล้มเหลวจริงๆ ภายในใจกลับยังคงรู้สึกยากที่จะยอมรับ

“หื้ม? หลัวซิวเล่า?……”

จู่ๆ จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงก็ขมวดคิ้วเป็นปมขึ้นมากะทันหัน สายตาของเขากวาดมองรอบๆ แต่กลับไม่เห็นร่องรอยของหลัวซิว

ก่อนหน้านี้ตอนที่จักรพรรดิยุทธ์ทุกคนร่วมมือกันทำลายค่ายกล เขาจำได้ว่าหลัวซิวยืนอยู่ไม่ไกล แต่เวลานี้กลับหายไป หรือว่าจะถูกการะระเบิดของค่ายกลเมื่อครู่ทำร้ายเข้า?”

นอกจากจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงแล้ว จักรพรรดิยุทธ์คนอื่นๆ ไม่ได้สังเกตเห็นการหายตัวไปของหลัวซิว ความคิดของทุกคนล้วนอยู่ที่ค่ายกลโบราณ

สีหน้าของเหว้ยห้าวหรานเต็มไปด้วยความเจ็บใจ นั่งอยู่ตางด้านนอกม่านลำแสงสีทองดำแล้วศึกษาวิธีทำลายค่ายกล

“ภายในตำหนักมีขนาดใหญ่มาก พวกเรายังมีพื้นที่บางส่วนที่ยังไม่ได้ตรวจสอบ”

“ดูเหมือนว่าไม่สามารถเปิดค่ายกลได้ในเร็วๆ นี้ ถ้าอย่างนั้นสู้ไปหาโอกาสดีที่อื่นๆ ก็ยังดีกว่า”

ผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ที่ผลการฝึกตนต่ำหน่อยหวั่นไหวเล็กน้อย เพราะถึงอย่างไรต่อให้ค่ายกลถูกทำลาย ของดีๆ ด้านใน คาดว่าก็คงไม่ตกมาถึงตน

“หื้ม? เจ้าเด็กหลัวซิวล่ะ? หรือว่าอาศัยตอนที่คนแก่อย่างพวกเราทำลายค่ายกล เขาแอบหนีไปหาของล้ำค่าที่อื่นแล้ว”

ในเวลานี้เอง มีคนสังเกตเห็นว่าหลัวซิวหายตัวไป แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก

มีเพียงสวีจิงเหนียนแห่งอาจาร์ตระกูลสวี ที่สีหน้าฉายความสับสน ตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้เขารู้สึกว่าหลัวซิวลึกลับมาก ไม่มีทางตามผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์กลุ่มหนึ่งมาที่นี่อย่างไร้เหตุผล ต้องมีเงื่อนงำอะไรไม่น้อยแน่นอน

สวีจิงเหนียนสามารถคิดเรื่องนี้ได้ ผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์คนอื่นๆ ย่อมคิดถึงได้เหมือนกัน เกิดความคาดเดาขึ้นในใจ

ฝ่านไท่เต๋อหัวเราะในใจ ส่งเสียงผ่านตัวสำนึกไปให้ผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์คนหนึ่ง “ไปหาเจ้าเด็กหลัวซิว แล้วจัดการเก็บกวาดให้เรียบร้อย”
ผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์คนนี้คืออาจารย์ตระกลูหลู่ซึ่งเป็นอาจารย์หนึ่งในสิบตระกูลใหญ่ สนับสนุนราชวงศ์ตระกูลฝาน

อาจารย์ตระกูลหลู่พยักหน้า หลังจากนั้นหมุนตัวหันหลังเดินออกไป พร้อมทั้งแผ่ซ่านตัวสำนึกของตนเอง ตามหาหลัวซิว

จักรพรรดิยุทธ์หลายคนเริ่มแยกย้ายกันตามหาของล้ำค่า มีแค่เหว้ยห้าวหราน จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิง ฝานไท่เต๋อและคนจำนวนน้อยอีกไม่กี่คน ยังคงยืนอยู่บริเวณใกล้ๆ กระท่อมมุงจาก ไม่ยอมถอดใจ

ถึงแม้หลัวซิวจะมีพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดา จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงให้ความสำคัญกับเขา แต่เมื่อเทียบกับสืบทอดผู้แข็งแกร่งโบราณแล้ว เขาให้ความสำคัญกับอย่างหลังมากกว่า

อีกทั้งก่อนหน้านี้เขาเตือนหลัวซิวแล้ว อย่าอยู่ห่างจากเขา แต่หลัวซิวกลับไม่ฟังคำเตือนของตน ถ้าหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจริงๆ เขาก็เป็นคนรนหาเรื่องเอง

เมื่อคิดถึงตรงนี้ จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงก็ไม่ได้สนใจอีก หันไปมองเหว้ยห้าวหราน “นายยังมีวิธีอื่นในการทำลายค่ายกลไหม”

เหว้ยห้าวหรานส่ายหน้ายิ้มเศร้า “ค่ายคุ้มกันนี้ ถ้าหากฉันคาดเดาไม่ผิด มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นค่ายกลระดับ9ขั้นสูงสุด ผ่านมานานนับหมื่นปี ค่ายกลเสียหายเล็กน้อย แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่นักค่ายกลขั้น6อย่างฉันจะทำลายได้”

“แต่ว่าถึงแม้ก่อนหน้านี้จะทำลายค่ายกลได้ไม่สำเร็จ แต่ฉันสัมผัสได้ว่าค่ายคุ้มกันนี้เพราะผ่านเวลาที่ยาวนานทำให้เสียหายจึงมีจุดบกพร่อง ขอแค่หาจุดบกพร่องเจอ น่าจะมีความหวังในการทำลายค่ายกล” เหว้ยห้าวหรานกัดฟันพูด

ในเวลานี้เอง หลัวซิวกลับมาตามทางที่ทุกคนเดินเข้ามาตอนมาแล้ว ยืนอยู่ด้านหน้าแท่นบูชาที่มีลวดลายค่ายกล

อาศัยการสัมผัสของลูกแก้วดำ หลัวซิวมั่นใจว่า ตำหนักสีดำนี้ กับเขาทองดำไท่เสวียน และคีตโลกาถ้ำเทพสถิต เป็นหนึ่งเดียวกัน

ลูกแก้วดำ เป็นสิ่งสำคัญมาก ถ้าหากเปรียบเทียบคีตโลกาถ้ำเทพสถิตเป็นแม่กุญแจ ถ้าอย่างนั้นลูกแก้วดำ ก็คือกุญแจที่ใช้สำหรับไขแม่กุญแจนี้

แต่ว่าทุกอย่าง ล้วนเป็นการคาดเดาของหลัวซิวตามเบาะแสต่างๆ ที่ได้มาเท่านั้น สำหรับเรื่องที่ว่าลูกแก้วดำจะทำให้เขาควบคุมที่นี่ได้จริงหรือไม่ เขาเองก็ไม่สามารถรับประกันได้

“ลองดูเถอะ ไม่อย่างนั้นใต้จมูกของผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ทั้งกลุ่ม ฉันจะไม่ได้สิ่งดีๆ อะไรเลย”

หยิบลูกแก้วดำออกมาจากแหวนเก็บของ หลัวซิวกระโดด แล้วขึ้นไปบนแท่นบูชา

เวลานี้ ลูกแก้วดำสั่นอย่างรุนแรง เปล่งประกายลำแสงพิศวงออกมา คล้ายจะหลุดจากมือของเขา รวมเป็นหนึ่งกับแท่นบูชาที่อยู่ด้านล่าง

“ตาบ้าเหว้ย ดูสิ่งที่นายทำสิ!”

อาจารย์หงหมิงโมโหมาก หัวไหล่ของเขาถูกลำแสงของค่ายกลสังหารสาดส่อง กลายเป็นบาดแผลฉีกขาดขนาดใหญ่ เวลานี้เลือดรินไหลไม่หยุด

จักรพรรดิยุทธ์คนอื่น ต่างมองไปทางเหว้ยห้าวหรานด้วยสีหน้าไม่พอใจ เขาคือนักค่ายกลเพียงคนเดียวในคณะ ด้านหน้ามีค่ายกล แต่เขากลับไม่ร้องเตือน ทำให้คนอื่นๆ เคลือบแคลงสงสัย

“ค่ายกลสังหารนี้ซุกซ่อนเอาไว้เป็นอย่างดี พวกนายพุ่งตัวออกไปเร็วเกินไป ตอนที่ฉันรู้ว่ามีค่ายกล อยากจะเตือนทุกคนก็ไม่ทันแล้ว” เหว้ยห้าวหรานพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“นายพูดแบบนี้ ใครจะเชื่อ? ฉันว่านายอยากจะอาศัยเหตุการณ์นี้ในการฆ่าคนมากกว่า เมื่อถึงเวลาของล้ำค่าทั้งหมดจะได้ตกอยู่ในมือนายแค่คนเดียว” อาจารย์หงหมิงพูดประชดประชัน

คล้ายว่า ปรมาจารย์หลอมอาวุธคนนี้กับเหว้ยห้าวหรานปรมาจารย์ค่ายกล ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสอง ไม่ถูกกันมาก

ก่อนหน้านี้ไม่ได้แสดงออกมาอย่างเด่นชัด แต่ตอนนี้มีเรื่องขัดแย้งทางผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง ปัญหาจึงถูกกระตุ้นขึ้นมา

“ไอ้หน้าเงินเหว้ย นายจะอธิบายยังไง” สีหน้าของจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงก็เคร่งขรึมขึ้นมาเหมือนกัน ตรงแผงอกมีเลือดไหล เจ็มจนเขาขมวดคิ้วเป็นเส้นตรง

“อธิบาย? ทำไมฉันต้องอธิบาย? ที่นี่คือสถานที่ฝึกตนของผู้แข็งแกร่งสมัยโบราณ ฉันไม่ใช่ปรมาจารย์ค่ายกลขั้น9สักหน่อย ความสามารถด้านค่ายกลของฉันไม่ถึงขั้นที่จะสังเกตเห็นทุกอย่างได้ง่ายดาย”

เหว้ยห้าวหรานพูดถึงความว่า “ว่าแต่ที่พวกนายบาดเจ็บ และมีอีกสองคนตายเพราะความซวย ล้วนเป็นเพราะละโมบโลภมากกับกลิ่นหอมของยาวิเศษ”

“เจ้าคนแซ่เหว้ย นายคิดว่าพูดแบบนี้แล้วจะสามารถผลักความรับผิดชอบได้อย่างนั้นเหรอ? พวกเราไม่เคยไม่ให้ค่าตอบแทนในการทำลายค่ายกล ถ้านายยังมีใจคิดจะทำร้ายคนอื่น ฉันแซ่ฝานเป็นคนแรกที่จะไม่ยอม!” ฝานไท่เต๋อพูดเสียงเยือกเย็น

เดิมทีผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ที่เข้ามาในคีตโลกาถ้ำเทพสถิตมีทั้งหมดยี่สิบคน เหยียนเยว่เอ๋อร์ไม่อยู่ ว่านเหลียนเฉิงตายไปแล้ว ร่วมกับหน้าประตูตำหนักและเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่สูญเสียจักรพรรดิยุทธ์ไปทั้งหมดสามคน ตอนนี้เหลือแค่สิบห้าคนเท่านั้น

ตอนนี้ จักรพรรดิยุทธ์สิบห้าคนก็แบ่งเป็นสามฝ่าย เบื้องหลังของฝานไท่เต๋อมีอาจารย์ของหลายตระกูลใหญ่ในประเทศเทียนหวูคอยสนับสนุน

ข้างกายจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงมีอาจารย์หงหมิง และจักรพรรดิยุทธ์นิรนามท่านหนึ่ง

นอกเหนือจากนี้คือคนของเฒ่าประหลาดฉิวสองคน ที่สนิทสนิมกับเหว้ยห้าวหราน

ตอนนี้เหว้ยห้าวหรานกลายเป็นคนที่ทุกคนพุ่งเป้าไปหา เฒ่าประหลาดฉิวเดินออกมา พูดยิ้มเสียงเยือกเย็น:”ฉันว่าไอ้หน้าเงินเหว้ยพูดถูก ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเรารีบวิ่งเข้าไป ค่ายกลสังหารที่ซ่อนตัวอยู่ก็คงไม่ทำให้พวกเราบาดเจ็บ”

เห็นเฒ่าประหลาดฉิวพูดเข้าข้างตน เหว้ยห้าวหรานมองเขาด้วยแววตาขอบคุณเล็กน้อย ต่างฝ่ายต่างเข้าใจกันโดยไม่จำเป็นต้องพูดออกมา

เรื่องค่ายกลสังหาร สุดท้ายก็จบลง ถึงแม้อาจารย์หงหมิงและฝานไท่เต๋อมีเจตนาคิดอยากจะหาเรื่องเหว้ยห้าวหราน แต่ว่าขั้นตอนการหาของล้ำค่าหลังจากนี้ ก็ยากที่จะรับประกันว่าจะไม่มีค่ายกลมาคุกคามอีก เวลานี้ยังไม่สามารถขัดแย้งกันได้

เรื่องนี้จบลงไปโดยปริยาย อาจารย์จักรพรรดิยุทธ์สองคนที่ตายไป ก็ถือว่าตายฟรี

นี่คือความโหดร้ายของโลกแห่งการฝึกยุทธ์ ถึงแม้จะเป็นอาจารย์จักรพรรดิยุทธ์ เป็นคนที่เก่งกาจ อายุขัยเกือบสองพันปี แต่เมื่อไม่ระวังตัวเพียงเล็กน้อย ก็จบลงด้วยการตาย

การเดินทางหลังจากนี้ ทุกคนล้วนระมัดระวังตัวมากขึ้น เหว้ยห้าวหรานเองก็ตั้งสติ พบร่องรอยค่ายกลที่ถูกวางเอาไว้ไม่น้อย เพียงแต่ค่ายกลเหล่านี้ล้วนอยู่ในสถานะปิด ไม่ได้เปิด ทำให้คนตกใจ

ในที่สุด พวกเขาก็เดินไปถึงสวนยา มองเห็นยาวิเศษมากมายที่ถูกปลูกไว้ในนายา แววตาของผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ทุกคน แดงขึ้นมาทันที

“หญ้างูดอกมรกต!”

“ดอกขนมชั้นรวมจิต!”

“……”

ในนายา มียาจำนวนไม่น้อยที่แห้งแห้วไปแล้ว เพราะถึงอย่างไรก็ผ่านมากว่าหมื่นปี มียาวิเศษน้อยชนิดมากที่จะอยู่ได้นานขนาดนี้

แต่ว่าการเหี่ยวเฉาของยาวิเศษ ก็ทิ้งเมล็ดพันธุ์บางส่วนเอาไว้ ยาทั้งหมดล้วนเป็นยาหายากระดับหกขึ้นไป

มียาวิเศษหลายต้น ที่แม้แต่ฝานไท่เต๋อปรมาจารย์กลั่นยาขั้น6 ยังไม่รู้จัก

ยาวิเศษในนายา มีประมาณหนึ่งร้อยต้น โดยนมากล้วนเหี่ยวเฉาไปนานแล้ว

ผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์แบ่งยาวิเศษกัน ทางด้านหลัวซิวยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน เพื่อเลี่ยงไม่ให้ถูกคนอื่นจับพิรุธได้ แล้วฉวยโอกาสจัดการตน

สวนยานี้มีขนาดใหญ่มาก พวกเขาเดินตรงไปข้างหน้า เดินอยู่นานมาก ท่ามกลางพลังฟ้าดินจิตเข้มข้นที่กลายเป็นหมอกหนา เห็นกระท่อมมุงจากรางๆ

ด้านนอกตำหนัก ฝึกตนกลางเขา แววตาของผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ทุกคน แปรเปลี่ยนเป็นกระตือรือร้นขึ้นมา เห็นชัดว่ากระท่อมมุงจากหลังนี้ น่าจะเป็นที่บำเพ็ญตนที่แท้จริงของผู้แข็งแกร่งโบราณ!

ถ้ามีมรดกตกทอดชั้นดีที่ผู้แข็งแกร่งโบราณทิ้งเอาไว้ เช่นนั้นไม่ว่าใครได้ครอบครอง ล้นวพูดได้ว่าเป็นการพลิกชะตาชีวิต เป็นโอกาสที่ดีมาก!
ตอนที่ทุกคนเดินเข้าไปใกล้ เห็นประตูกระท่อมมุงจากปิดอยู่ บริเวณโดยรอบก็ปกคลุมด้วยม่านลำแสงสีดำทอง

ม่านลำแสงสีดำทอง คือค่ายกลอย่างไม่ต้องสงสัย สายตาของจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงและทุกคน มองไปทางเหว้ยห้าวหรานพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย

“ไอ้หน้าเงินเหว้ย ครั้งนี้ต้องพึ่งพานายแล้ว” จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงพูดขึ้น

“ฉันไม่มั่นใจเท่าไหร่” เหว้ยห้าวหรานไม่ได้ตอบทันที แต่กลับพูดอย่างรู้ตัวเป็นอย่างดี “ความสามารถด้านค่ายกลของฉันเป็นแค่ขั้น6เท่านั้น บางทีตอนอยู่ในประเทศเทียนหวูถือว่าเป็นขั้นที่สูง แต่เมื่อเทียบกับการวางค่ายกลของผู้แข็งแกร่งโบราณแล้วนั้น กลับไกลห่างมาก”

“ฉันได้แต่พูดว่า ฉันจะทำสุดความสามารถ ถ้าหากสามารถทำลายค่ายกลแล้วได้ของล้ำค่าอะไร ต้องให้ฉันเป็นคนเลือกก่อนหนึ่งอย่าง!”

จักรพรรดิยุทธ์ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างขมวดคิ้วเป็นปม จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิง อาจารย์หงหมิง ฝานไท่เต๋อ และยังมีเฒ่าประหลาดฉิว เจ้าสำนักเสวียนหยาง เจ้าตำหนักจื่อและพวกใช้ตัวสำนึกในการหารือกัน สุดท้ายเลือกที่จะยอมรับข้อเรียกร้องของเหว้ยห้าวหราน

เพราะถึงอย่างไรค่ายกลโบราณก็ไม่ธรรมดา โดยเฉพาะค่ายกลในที่ฝึกตนที่ผู้แข็งแกร่งวางเอาไว้ พลานุภาพย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ตอนทำลายค่ายกล จำเป็นต้องอาศัยเหว้ยห้าวหราน

หลังจากจบสมัยโบราณ ตลอดหนึ่งหมื่นกว่าปีที่ผ่านมานี้ มีร่องถ้ำแดนปริศนาปรากฏขึ้นไม่น้อย

ขั้วอำนาจใหญ่ในปัจจุบันมากมาย รวมถึงผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์สูงสุด ได้รับโอกาสที่ดีจากร่องโบราณมากมาย

ในโอกาสดีๆ มากมาย การสืบทอดของผู้แข็งแกร่งโบราณ เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดอย่างไม่ต้องแปลกใจ โดยเฉพาะสำหรับขั้วอำนาจใหญ่ การสืบทอดสำคัญกว่าทุกอย่าง

การสืบทอดระดับสูง สามารถทำให้สำนักของตระกูลใหญ่มีชีวิตนิรันดร์ สามารถสร้างผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์ได้

เวลานี้ทุกคนต่างหวั่นไหว แต่สิ่งสำคัญคือ ค่ายคุ้มกันในกระท่อมมุงจาก ด้วยความสามารถของเหว้ยห้าวหราน สามารถทำลายได้หรือไม่

นักค่ายกลทำลายค่ายกล นอกจากรู้หลักการของค่ายกลแล้ว ไม่อย่างนั้นก็ทำได้เพียงใช้ค่ายกลทำลายค่ายกล

เหว้ยห้าวหรานหยิบธงค่ายโบราณหกด้านออกมาอีกครั้ง

ถึงแม้จะบอกว่าลมปราณของหุ่นเชิดแดงสด แข็งแกร่งกว่าจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงหนึ่งขั้น แต่ถึงอย่างไรก็ตามหุ่นเชิดนั้นไม่มีปัญญาที่สูง มีเพียงกำลัง ทั้งยังไม่มีแดนโลกยุทธ์ ความสามารถที่แท้จริง จึงไม่แข็งแกร่งเทียบเท่าจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิง

แต่ว่าเกราะโลหะของหุ่นเชิดแดงสดนั้นแข็งแกร่งอย่างมาก บนตัวมีสัญลักษณ์ค่ายคุ้มกันสลักเอาไว้ แม้ว่าจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงจะทำลายหุ่นเชิดไปหนึ่งตัว ก็ต้องเผาผลาญไปไม่น้อย

ทว่าผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ทุกคนในเหตุการณ์กลับไม่รู้เลยว่า ความเป็นจริงแล้วเด็กรุ่นหลังที่ไม่โดดเด่นอย่างหลัวซิว กำลังลอบควบคุมหุ่นเชิดแดงสดทั้งสองตัวอยู่

หุ่นเชิดแดงสดตัวหนึ่งถูกจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงอาศัยกำลังของตนเพียงคนเดียวในการกำราบ

หุ่นเชิดแดงสดอีกหนึ่งตัวที่เหลือ ภายใต้การจอมตีของผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์สิบกว่าคน ก็ค่อยๆ รับมือไม่ไหวแล้วเช่นกัน

“ตายซะ!”

ฝานไท่เต๋อที่กำลังโมโหได้ผนึกรวมเปลวไฟพลังจิตแท้ พุ่งกระบี่ออกไป เปลวไฟพลังจิตแท้แปลงเป็นมังกร แสดงทักษะยุทธืที่แข็งแกร่งที่สุดออกมา คว้าโอกาส ฟันศีรษะหุ่นเชิดแดงสดจนพังทลาย

จากนั้น จักรพรรดิยุทธ์คนอื่นๆ ก็เริ่มโจมตีเช่นเดียวกัน แม้ว่าหุ่นเชิดตัวนี้จะมีเกราะคุ้มกันที่แข็งแกร่งมากแค่ไหน ก็ถูกทำลายจนเต็มไปด้วยบาดแผล

ไม่รู้ว่าหุ่นเชิดแดงสดสองตัวนี้ถูกปลุกตื่นได้อย่างไร กระทั่งสุดท้ายทำลายการโจมตีของหุ่นเชิดแดงสด ศึกในครั้งนี้กินเวลาไปเกือบครึ่งชั่วยาม

ประเด็นสำคัญคือเกราะคุ้มกันของหุ่นเชิดสองตัวนี้แข็งแกร่งอย่างมาก โจมตีรุนแรง นอกเหนือจากจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงแล้ว ไม่มีใครสามารถประชันกับพวกมันซึ่งหน้าได้

หุ่นเชิดสองตัวเต็มไปด้วยบาดแผล แทบจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ที่เกิดเหตุวุ่นวายไปหมด

สีหน้าของผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ทุกคนล้วนไม่สู้ดีเท่าไหร่ เพราะยังไม่ได้เข้าไปในตำหนักดำ ก็สูญเสียจักรพรรดิยุทธ์ไปคนหนึ่งแล้ว

อีกทั้งหลังจากผ่านการต่อสู้ในครั้งนี้ จักรพรรดิยุทธ์คนอื่นๆ มีหลายคนที่บาดเจ็บ โดยเฉพาะฝานไท่เต๋อที่ถูกหุ่นเชิดแดงสดไล่โจมตี ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าบนตัวขาดวิ่น

อีกด้านหนึ่ง เหว้ยห้าวหรานกำลังซ่อมแซมหุ่นเชิดระดับจักรพรรดิยุทธ์ของตนด้วยความปวดใจ พูดเสียงดัง:”หุ่นเชิดของฉันบาดเจ็บต้องได้รับการซ่อมแซม วัสดุเหล่านี้บนตัวหุ่นเชิด ฉันขอก็แล้วกัน!”

ขณะพูด เหว้ยห้าวหรานเองก็ไม่ได้เกรงใจ ผายมือเก็บรวบรวมซากวัสดุของหุ่นเชิดที่อยู่บนพื้น

จักรพรรดิยุทธ์คนอื่นๆ อยากจะแบ่งด้วย ทว่าเหว้ยห้าวหรานกระทำการด้วยความรวดเร็ว ทำให้จักรพรรดิยุทธ์คนอื่นๆ อดไม่ได้ที่จะกระตุกมุมปาก

“ไอ้หน้าเงินเหว้ย จัดการหุ่นเชิดแดงสดสองตัวนี้ ทุกคนล้วนลงทุนลงแรง นายจะเอาประโยชน์ไปคนเดียวไม่ได้รึเปล่า? ยิ่งไปกว่านั้นยังสูญเสียจักรพรรดิยุทธ์ที่เป็นพวกเดียวกันอีก” อาจารย์หงหมิงขมวดคิ้วแล้วพูด

วัสดุของหุ่นเชิดเหล่านั้น เขาเองก็อยากได้มากเหมือนกัน เพราะการสร้างหุ่นเชิด ไม่ได้เป็นแค่ผลงานโดดเด่นของนักค่ายกล แต่ว่ายังข้องเกี่ยวกับความพิศวงของวิชากลั่นสมบัติโบราณ

หุ่นเชิดแดงสดสองตัวนี้มีอายุหลายหมื่นปี เป็นวัตถุโบราณที่อยู่มาตั้งแต่สมัยโบราณ ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นวัสดุล้ำค่า ที่ไม่สามารถหาได้อีกบนโลกยุคปัจจุบันก็ได้

“พวกนายเข้าใจวิชาค่ายกลหุ่นเชิด? ของเหล่านี้ฉันเก็บไปเพื่อใช้ประโยชน์ พวกนายเอาไปก็เสียของเปล่าๆ อย่างมากถ้าเจอของล้ำค่าอื่นๆ อีก ฉันเอานิดหน่อยก็พอ”

เหว้ยห้าวหรานเบ้ปาก สำหรับคนหน้าเงินอย่างเขา ของล้ำค่าที่ตกเป็นของตนเองแล้ว ยังคิดอยากจะให้เขาคายออกมาอย่างนั้นเหรอ?

อาจารย์หงหมิงรนหาเรื่อง หลังจากหัวเราะหึในลำคอ ก็ไม่ได้พูดอะไร

“ในเมื่อนายเก็บวัสดุไปหมดแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ขอพูดจาแย่ๆ เอาไว้ล่วงหน้า หลังจากเข้าไปในตำหนักแล้วเจอของล้ำค่าอื่นๆ นายห้ามโลภ” เวลานี้จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงเองก็พูดขึ้นหนึ่งประโยค

เห็นได้ชัด สำหรับความโลภของเหว้ยห้าวหราน จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงเองก็ไม่พอใจ

หลังจากนั้นผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ก็เริ่มทำการฟื้นฟูผลการฝึกตนที่เผาผลาญไปก่อนหน้านี้ สำหรับอาจารย์ตระกูลโจวที่เสียชีวิตไปนั้น ร่างที่ฉีกขาดและแหวนเก็บของรวมถึงอาวุธ ล้วนถูกฝานไท่เต๋อเก็บเอาไว้

หลัวซิวพูดเสียดายในใจ ถึงแม้ว่าหุ่นเชิดระดับจักรพรรดิยุทธ์สองตัวจะไม่สามารถฆ่าฝานไท่เต๋อได้ แต่ฆ่าอาจารย์จักรพรรดิยุทธ์ที่สนับสนุนราชวงศ์ตระกูลฝานได้ ก็คือว่าทำคุณงามความดีแล้ว

หลังจากใช้เวลาไปเกือบครึ่งวัน ผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ทุกคนฟื้นฟูอาการของตนเอง หลังจากนั้นเตรียมตัวพร้อมที่จะออกเดินทางต่อ สายตาของทุกคน มองไปยังประตูตำหนักสูงตระหง่านสีดำตรงหน้าอย่างพร้อมเพรียง

เหว้ยห้าวหรานส่งจักรพรรดิยุทธ์หุ่นเชิดของตนออกไป ขยับเข้าไปใกล้ด้วยความระมัดระวัง มือทั้งสองข้างผลักประตูอย่างแรง

ครืด……

ประตูสูงตระหง่านสีดำขนาดใหญ่ถูกผลักเปิด ไม่มีสถานการณ์อันตรายใดๆ ปรากฏออกมา หลังจากทุกคนเดินเข้าไปในตำหนักด้วยความระแวดระวัง พวกเขาก็สัมผัสถึงพลังฟ้าดินจิตที่เข้มข้นทันที ฟุ้งอยู่ภายในตำหนัก

พลังฟ้าดินจิตในคีตโลกาถ้ำเทพสถิตแห่งนี้ รวมตัวกันอยู่ที่นี่ พลังฟ้าดินจิตที่เข้มข้นอยู่รวมกัน กลายเป็นหมอกหนา ถ้าหากสามารถฝึกตนที่นี่ได้ ย่อมสำเร็จไปกว่าครึ่งแน่นอน

ภายในตำหนักมีขนาดใหญ่มาก ทุกคนเดินทางนานกว่าสองชั่วยาม เดินผ่านถนนมากมายนับไม่ถ้วน ตลอดทางพวกเขาไม่ได้พบเจออันตรายอื่นๆ แต่อย่างใด

ในที่สุด พวกเขาก้มาถึงพื้นที่ใจกลางซึ่งอยู่ส่วนลึกในตำหนัก แท่นบูชาปรากฏขึ้นตรงหน้า ด้านบนสลักลวดลายซับซ้อนเอาไว้ เคล้าไปด้วยความลึกลับของค่ายกลโบราณ

เหว้ยห้าวหรานพุ่งตัวออกไปคนแรก แต่ว่าลวดลายค่ายกลด้านบนนั้นยากจะเข้าใจ ด้วยปรมาจารย์ค่ายกลขั้น6ของเขา ไม่เข้าใจแม้แต่น้อย

“ประณีตมาก!”
เหว้ยห้าวหรานอดไม่ได้ที่จะอุทาน “ถ้าให้ฉันทำความเข้าใจอยู่ที่สักหนึ่งถึงสองร้อยปี ฉันมั่นใจว่าสามารถบรรลุปรมาจารย์ค่ายกลขั้น7ได้!”

เมื่อได้ยินคำนี้ อาจารย์หงหมิงหัวเราะในลำคอ แล้วพูดขึ้น:”ถ้าอย่างนั้นนายก็อยู่ศึกษาที่นี่ก็แล้วกัน”

“ไอ้แก่หง นายอยากจะให้ฉันอยู่ที่นี่แล้วคอยศึกษาค่ายกล ส่วนพวกนายเข้าไปหาของล้ำค่าข้างใน?” เหว้ยห้าวหรานหัวเราะเยือกเย็น ถอนสายตากลับมาจากแท่นบูชาด้วยความอาลัยอาวรณ์ ตอนที่เขาเตรียมตัวจะออกไป ใช้ม้วนหยกสลักลวดลายของค่ายกลออกมาหนึ่งส่วน เพื่อเอากลับไปศึกษา

หลัวซิวสัมผัสได้ถึงเสียงสะท้อนระหว่างลูกแก้วดำกับแท่นบูชา ทั้งยังสังเกตเห็นด้วยความแยบยล ใจกลางแท่นบูชา มีหลุมทรงกลม คล้ายสามารถวางลูกแก้วดำเข้าไปได้

สิ่งนี้ทำให้แววตาของหลัวซิวทอประกาย คาดเดาว่าแท่นบูชานี้ มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นค่ายกลสำคัญของตำหนักนี้ เพียงแต่การคาดเดานี้ เขาเองก็ไม่มั่นใจทั้งหมด ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ทำอะไ

เดินออกไปจากบริเวณใกล้เคียงแท่นบูชา ผ่านไปไม่นาน วิสัยทัศน์ด้านหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็นสดใส สวนยาพืชพรรณเขียวชอุ่ม ปรากฏขึ้นตรงหน้าทุกคน

พลังฟ้าดินจิตที่นี่เข้มข้นมาก ยังไม่ทันเข้าไปใกล้ ก็ได้กลิ่นหอมของยาวิเศษลอยฟุ้ง

ผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ทุกคนล้วนอดไม่ได้ที่จะหวั่นไหว โดยเฉพาะฝานไท่เต๋อที่เชี่ยวชาญในการกลั่นยา เขาเร่งฝีเท้า รีบไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว

เจ้าของตำหนักนี้ คือผู้แข็งแกร่งสมัยโบราณที่ทำหน้าที่เฝ้าแดนหลิงจื๋อ เปิดสวนยาในถ้ำของตนเอง ปลูกยาวิเศษหายาก เป็นเรื่องปกติ

อีกทั้งยาที่มหาจักรพรรดิยุทธ์เห็นค่า ย่อมไม่ใช่ยาธรรมดาแน่นอน

บางทีอาจจะเป็นเพราะแรงดึงดูดของกลิ่นหอมของยา ผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ทุกคนต่างรีบเดินไปอย่างทนรอไม่ได้ ความระแวดระวังลดน้อยลงไปบ้าง

จู่ๆ วิชาค่ายสังหารที่ซ่อนอยู่ก็ทำงาน ทำให้จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิง ฝานไท่เต๋อและคนอื่นๆ ที่อยู่ด้านหน้าสุดเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่น ทุกคนถอยหลังอย่างรวดเร็วโดยที่มีบาดแผลกลับมาด้วย

มีผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ขั้น1และผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์2ตายอีกแล้ว ทำให้สีหน้าของทุกคนแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด

โดชคดี ค่ายสังหารนี้ผ่านมานานนับหมื่นปี อานุภาพน้อยลงไปมากแล้ว ไม่อย่างนั้น เกรงว่าเพียงชั่วพริบตาหนึ่ง ผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ทุกคนล้วนต้องตายในทันที

“ตึ้ง!”

ค่ายคุ้มกันเคลื่อนไหวด้วยตนเองรอบตำหนักดำ ลำแสงสีทองอร่ามปรากฏขึ้น ทางด้านลำแสงที่เหว้ยห้าวหรานใช้นั้น ตกกระทบไปยังตำแหน่งบางตำแหน่งเกราะป้องกันม่านแสงสีทองเข้าพอดี

“อยู่ที่นี่ ทุกคนรีบช่วยกันโจมตีกันเถอะ!”

เหว้ยห้าวหรานร้องตะโกนเสียงดังหนึ่งครั้ง จากนั้นเริ่มด้วยการร้องเรียกหุ่นเชิดระดับจักรพรรดิยุทธ์ให้บุกโจมตี

ผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ทุกคนต่างแยกย้ายกันลงมือ ทางด้านหลัวซิวติดตามอยู่ด้านหลังจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงอย่างใกล้ชิด เขาไม่ลงมือ ทุกคนจึงไม่ได้สนใจแต่อย่างไร ไม่ได้พูดประชดประชัน

ฝานไท่เต๋อตั้งจิตมุ่งมั่นในการโจมตีค่ายคุ้มกันโบราณ อย่าว่าแต่ใช้ตามอง แม้แต่ตัวสำนึกก็ไม่ได้มองมาที่หลัวซิว คล้ายลืมเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่แล้ว ไม่มีท่าทีจะลงมือแม้แต่น้อย

แต่หลัวซิวรู้ดี นี่คือความนิ่งสงบก่อนที่พายุลูกใหญ่จะมา ทันทีที่ฝานไท่เต๋อลงมือ เขาต้องคว้าโอกาสในการฆ่าแน่นอน

โครม!

ผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์สิบกว่าคนโจมตีติดต่อกันนานเกือบครึ่งชั่วโมง ในที่เกราะป้องกันม่านแสงสีทองก็ถูกโจมตีจนเป็นรู ทุกคนกระโดดเข้าไป

เข้าไปด้านในค่ายคุ้มกัน ทุกคนเพิ่งเห็นรูปทรงที่แท้จริงของตำหนักดำ แค่ประตูของตำหนัก ก็สูงหลายสิบเมตรแล้ว ทั้งสองด้านของประตู มีรูปปั้นองครักษ์สองตัวตั้งตระหง่าน

จักรพรรดิยุทธ์ทุกคนต่างไม่มีใครกล้าบุ่มบ่ามเข้าไปใกล้ ทุกสายตา ทอดมองไปทางเหว้ยห้าวหราน

“ไม่มีร่องรอยของค่ายกล แต่ว่ารูปปั้นองครักษ์สองตัวตรงหน้าประตู คล้ายจะเป็นหุ่นเชิดที่ผ่านการกลั่น” เหว้ยห้าวหรานพูดเสียงเคร่งขรึม

เมื่อได้ฟัง สีหน้าของจักรพรรดิยุทธ์ทุกคนเคร่งเครียด เพราะคีตโลกาถ้ำเทพสถิตภายในถ้ำแห่งนี้ คือที่ฝึกตนของผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์โบราณ ด้วยสถานะของผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ ถึงแม้จะเป็นหุ่นเชิดที่ยืนเฝ้าประตู ก็ประมาทไม่ได้เด็ดขาด

“ดูออกไหมว่าเป็นหุ่นเชิดระดับไหน?” จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงหันไปถามเหว้ยห้าวหราน

“หุ่นเชิดสองตัวนี้อยู่ในสถานะหลับใหล หลังจากตื่นขึ้นมาเท่านั้น ฉันถึงจะดูออกว่าพวกเขาอยู่ในระดับไหน หุ่นเชิดองครักษ์แบบนี้ล้วนมีขอบเขตในการแจ้งเตือน ขอแค่ไม่ต้องขยับเข้าไปใกล้จนเกินไป ก็จะไม่ทำให้มันตื้น” เหว้ยห้าวหรานส่ายหน้า

ผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ทุกคนเงียบลงทันที เพราะไม่รู้แน่ชัดว่าพลังยุทธ์ขององครักษ์หุ่นเชิดเป็นอย่างไร จึงไม่มีใครกล้าเข้าใกล้

ถ้าหากพลังยุทธ์ของหุ่นเชิดทั้งสองตัวอยู่เหนือกว่าระดับจักรพรรดิยุทธ์ เมื่อถูกปลุกให้ตื่น เกรงว่าจักรพรรดิยุทธ์สิบกว่าคน อาจจะต้องตายที่นี่กันหมด

หลัวซิวนั่งด้านหลังจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิง ลูกแก้วดำที่อยู่แหวนเก็บของมีสัมผัสพิเศษสื่อออกมา อย่างคลุมเครือ คล้ายว่าลูกแก้วสีดำกำลังสร้างความสัมพันธ์บางอย่าง ร่วมกับองครักษ์หุ่นเชิดสองตัวที่อยู่ตรงหน้าประตู

ชั่วขณะหนึ่ง หลัวซิวมีความรู้สึกว่า เขาสามารถสั่งองครักษ์หุ่นเชิดทั้งสองตัวนั้นได้

“ฮ่าๆ……”

หลัวซิวดีใจอย่างมาก เพื่อพิสูจน์สิ่งที่คาดการณ์เอาไว้ เขาใช้ตัวสำนึกพูดผ่านลูกแก้วสีดำ สนทนากับองครักษ์หุ่นเชิดทั้งสองตัว สั่งให้พวกเขาตื่นแล้วทำการโจมตี

จักรพรรดิยุทธ์ทุกคนยังคงลังเล แต่ในเวลานี้ องครักษ์หุ่นเชิดด้านหน้าตำหนักดำสูงตระหง่านทั้งสองตัว จู่ๆ ดวงตาของทั้งสองก็ปล่อยลำแสงสีแดงออกมา!

“ครืด ครืด……”

องรักษ์หุ่นเชิดทั้งสองตัวขยับเขยื้อนคอ ลำแสงสีแดงสด ส่องไปยังตำแหน่งที่ผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ยืนอยู่ ส่องสะท้อนไปที่พวกเขา

องครักษ์หุ่นเชิดสูงประมาณหนึ่งฟุต สร้างจากโลหะสีแดงสดไร้นามชนิดหนึ่ง บนตัวมีสัญลักษณ์ค่ายกลมากมายทอประกาย ขณะเคลื่อนไหว ร่างกายที่หนักเหยียบย่ำบนพื้น ส่งเสียงตึ้งตังดังขึ้น

“แย่แล้ว! หุ่นเชิดถูกปลุกให้ตื่นแล้ว!”

เหว้ยห้าวหรานหน้าเปลี่ยนสี จักรพรรดิยุทธ์คนอื่นๆ ก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นเดียวกัน รอบตัวของพวกเขามีพลังจิตแท้แผ่ซ่านออกมา ความน่าเกรงขามพุ่งทะยาน

บนตัวองครักษ์หุ่นเชิดเองก็แผ่ซ่านความน่าเกรงขามที่ทรงพลังออกมา แข็งแกร่งยิ่งกว่าจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรพรรดิยุทธ์ทุกคน เล็กน้อย

“ค่อยยังชั่ว คือหุ่นเชิดระดับจักรพรรดิยุทธ์” ปรมาจารย์เหว้ยห้าวหรานโล่งอก

ถึงแม้เหว้ยห้าวหรานจะบอกว่าโล่งอก แต่ทว่าไม่มีใครกล้าผ่อนคลาย เพราะหุ่นเชิดสองตัวนี้ ความสามารถของหุ่นเชิดหนึ่งตัว เป็นถึงจักรพรรดิยุทธ์ขั้น5!

ทางด้านนี้ ถึงแม้จะมีจักรพรรดิยุทธ์สิบกว่าคน แต่โดยมากล้วนเป็นจักรพรรดิยุทธ์ขั้น1และขั้น2

“ตั้ง!”

องครักษ์หุ่นเชิดสีแดงสดทั้งสองตัววิ่ง พวกเขาเคลื่อนไหวเร็วเหมือนลมกระโชกแรง ขาและแขนทั้งสองมีค่ายกลกระโดดโลดเต้น ขณะที่มือทั้งสองผนึกรวมกันไม่หยุด กลายเป็นดาบขนาดใหญ่หนึ่งฟุต

สิ่งที่ทุกคนแปลกใจก็คือ องครักษ์หุ่นเชิดสองตัวนี้วิ่งตรงไปทางฝานไทเต๋อ ดาบสองเล่มขนาดใหญ่หนึ่งฟุต พุ่งเป้าฟันไปที่เขา

“หื้ม?”

ฝานไท่เต๋อหน้าเปลี่ยนสี รอบตัวของเขามีเปลวไฟลุกไหม้ทันที ฝ่ามือทั้งสองผนึกรวมพลังจิตแท้แล้วโจมตีออกไป ขณะเดียวกันร่างของเขาก็ถอยหลังอย่างรวดเร็ว

“ตึ้ง!”

ฝ่ามือของฝานไท่เต๋อโจมตีพลังจิตแท้ออกไป ปะทะกับดาบยาวหนึ่งฟุตทั้งสองเล่มนั้น ทว่าชั่วขณะหนึ่งก็สู้กันจนกระจัดกระจายไปทั่วสารทิศ อีกทั้งความเร็วของหุ่นเชิดทั้งสองตัวก็ไม่ช้ากว่าคนแม้แต่น้อย ไล่ตามไม่หยุด

“ครืด ครืด……”
ผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ ล้วนเหมือนเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ ต่างหยิบอาวุธออกมา ร้องเรียกชุดเกราะ พัฒนาร่างของตนไปยังจุดแข็งแกร่งที่สุด

พรึ่บ!

หนึ่งในสิบตระกูลใหญ่ของประเทศเทียนหวู อาจารย์ตระกูลจูถูกดาบของหุ่นเชิดแดงสดฟัน ชั่วขณะหนึ่งฉีกเสื้อเกราะขั้นดินล่างที่ใช้ในการคุ้มกันออกจนแตกหัก ร่างของเขา ถูกฟันเป็นสองท่อนในทันที เลือดสีแดงสดปะทุออกมา

อาจารย์จักรพรรดิยุทธ์เบิกตากว้าง คล้ายไม่อยากจะเชื่อว่าตนจะตายอยู่ที่นี่

หุ่นเชิดแสดงสดไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย ดาบขนาดใหญ่กวาดฟันอย่างดุเดือด ฟันจนร่างของอาจารย์ตระกูลจูกลายเป็นผุยผง ในเวลาเดียวกันมันก็อ้าปากขึ้นสูด กลืนกินเทพจิตของเขา

หลังจากดูดกินเทพจิตของผุ้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ พลังของหุ่นเชิดแดงสดตัวนี้ ก็เพิ่มขึ้นกะทันหัน

เห็นได้ชัด หุ่นเชิดแดงสดสองตัวนี้ไม่ธรรมดา สามารถอาศัยการดูดกินเทพจิต เพื่อวิวัฒนาการร่างของตน

“สารเลว!”

ฝานไท่เต๋อโมโหอย่างมาก เพราะอาจารย์ตระกูลโจวที่ตายไป คือข้าราชบริพารราชวงศ์ตระกูลฝาน

เขาร้องตะโกนเสียงดัง ในมือถือกระบี่เล่มยาวสีดำ กระบี่ฟาดฟันไปยังหุ่นเชิดแดงสด

เคล้ง!

ฟาดฟันลงไปครั้งนี้ ฝานไท่เต๋อผนึกรวมพลังแปดส่วน แต่ว่าตอนที่ฟันไปบนตัวหุ่นเชิดสีแดง กลับเป็นเพียงรอยบุลที่ไม่ลึกและไม่จาง

“แข็งแกร่งมาก!”

สีหน้าของทุกคนฉายความตกตะลึง เวลานี้ จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิง เหว้ยห้าวหราน และอาจารย์หงหมิงต่างก็ลงมือ ทุกคนต่างดูออกว่าหุ่นเชิดแดงสดสองตัวนี้ยากที่จะจัดการ

รอบตัวจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงเต็มไปด้วยแสงสีทองอร่าม ขวานในมือของเขาหนักมาก ทุกครั้งที่ฟันขวานลงไป ล้วนทำให้หุ่นเชิดแดงสดปลิวออกไป

เขาใช้กำลังของตนเอง กำราบหนึ่งในสองของหุ่นเชิดแดงสด

การปฏิบัตินี้สืบทอดมาจากหอคอยมังกรบินโบราณ และต้องผ่านชั้นเจ็ดของหอคอยมังกรบินที่มีอายุต่ำกว่า 30 ปี ถึงจะได้รับรางวัลจากวิชานี้

หอคอยมังกรบินอยู่ในมือของราชวงศ์ตระกูลฝานเสมอมา และมีเพียงราชวงศ์ตระกูลฝานเท่านั้นที่เคยมีอัจฉริยะที่ข้ามชั้นเจ็ดและได้รับวิชานี้ ถือเป็นมรดกหลักของราชวงศ์ตระกูลฝานมาโดยตลอด

แม้ว่าจะเป็นวรยุทธ์ระดับ8 แต่คุณค่าของมันก็ยังสูงกว่าทักษะยุทธ์ระดับ9

จักรพรรดิยุทธ์ทั้งหมดมองดูหลัวซิวด้วยความประหลาดใจ มีเพียงประโยคเดียวในใจ ให้ตายสิไอ้คนล้างผลาญตระกูล!

ความแข็งแกร่งของวิชาพลังมังกรแท้ หากมันถูกนำไปขาย มันจะมีมูลค่าอย่างน้อยห้าแสน!

ไม่น่าแปลกใจที่หลัวซิว สามารถฝึกฝนวิชาพลังมังกรแท้ได้ เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่าเขาบุกทะลุชั้นเจ็ดของหอคอยมังกรบิน

เพียงแต่ไม่มีใครคิดว่าผู้ชายคนนี้เอาวิชาพลังมังกรแท้ออกมาแล้วโยนมันในราคาห้าหมื่นหินพลังจิตชั้นกลางให้กับไอ้หน้าเงินเหว้ยห้าวหราน!

ใบหน้าของฝานไท่เต๋อมืดมนมากและเขายังคิดว่าเด็กคนนี้หลัวซิวตั้งใจใช้ความแข็งแกร่งของวิชาพลังมังกรแท้เพื่อทำให้เขารังเกียจ

เป็นเวลานับพันปีที่ประเทศเทียนหวูโดยรอบ มีเพียงราชวงศ์ตระกูลฝานเท่านั้นที่สืบทอดวิชาพลังมังกรแท้ สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับรากเหง้าของราชวงศ์ตระกูลฝาน!

ฝานไท่เต๋อในฐานะดวงใจหลักของราชวงศ์ ต้องไม่อนุญาตให้มีการแพร่กระจายของวรยุทธ์นี้แน่ แม้ว่าจะไม่ได้มาจากราชวงศ์ตระกูลฝาน ก็ไม่ได้!

เหว้ยห้าวหรานไอ้หน้าเงินไม่เกรงกลัว… ” หัวใจของฝานไท่เต๋อเต็มไปด้วยเจตนาฆ่า

หลัวซิวเยาะเย้ยในใจ เขาหยิบเทคนิคความแข็งแกร่งของวิชาพลังมังกรแท้ออกมา แต่มันเป็นความตั้งใจเพียงเพื่อสร้างช่องว่างระหว่าง ฝานไท่เต๋อและเหว้ยห้าวหราน ที่ทำให้น้ำขุ่น!

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นในซากปรักหักพังของถ้ำนั้น เกิดจากการที่เขากวนน้ำจนขุ่น เนื่องจากเริ่มกวนน้ำแล้ว ไม่งั้นก็ทำให้เป็นขุ่นมากขึ้น

“เจ้ารนหาที่ตาย!”

ฝานไท่เต๋อไม่สามารถระงับความฆาตได้ เขาพ่นลมอย่างเย็นชา ยกมือขึ้นแล้วกดไปทางหลัวซิว

“ฝานไท่เต๋อ เจ้าทำอะไร!”

จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงยืนอยู่ข้างหลัวซิวไม่อาจเพิกเฉยเขาได้ ดังนั้นเขาจึงล็อกหลัวซิวจากข้างหลัง และต่อยเข้าให้

“บูม!”

จิตแท้สองเส้นชนเข้ากันและพื้นที่โดยรอบสเทือนอย่างต่อเนื่อง ร่างของจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงหยุดนิ่ง แต่ร่างฝานไท่เต๋อ ถอยกลับไปครึ่งก้าว

แดนจักรพรรดิยุทธ์ขั้น4เหมือนกัน แต่จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงได้ก้าวขึ้นไปบนจุดสูงสุดของระดับที่สี่และเป็นไปได้ที่จะไปถึงระดับที่ห้าเมื่อใดก็ได้และจะมีการตัดสิน!

“ความแข็งแกร่งของวิชาพลังมังกรแท้คือความลับที่ไม่ได้พูดของราชวงศ์ของราชวงศ์ตระกูลฝาน!” ฝานไท่เต๋อตะโกนอย่างเย็นชา จ้องมองไปที่จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิง

“วิชาของหลัวซิวได้มาจากหอคอยมังกรบิน เขายินดีจะแลกกับใครก็เป็นอิสระของเขา” จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงไม่ได้แสดงความเมตตา

“ความลับที่จะไม่เผยแพร่? ฮึ่ม!…” เหว้นห้าวหรานก็ขดริมฝีปากของเขาเช่นกัน ใคร ๆ ก็ได้ยินความนัยของฝานไท่เต๋อนั่นเป็นภัยคุกคามต่อตัวเขาเอง เป็นการดีที่สุดที่จะไม่ใช้ความคิดเกี่ยวกับของวิชาพลังมังกรแท้

ในฐานะเหว้ยห้าวหราน เขาไม่ได้ขาดการฝึกฝนวรยุทธ์ระดับ8 แต่ความแข็งแกร่งของวิชาพลังมังกรแท้นั้นไม่ธรรมดา มันมีพลังมากกว่าวิชาการฝึกฝนของเขา ดังนั้นเขาจะไม่พลาด

สำหรับการคุกคามของฝานไท่เต๋อ เหว้ยห้าวหรานไม่สนใจและไม่กลัวอะไร

ใบหน้าของฝานไท่เต๋อมืดมนมากขึ้น และเขาไม่กล้าที่จะรุกรานเหว้ยห้าวหรานมากเกินไป อย่างไรก็ตาม ถ้าเขาต้องการที่จะทำลายค่ายกล เขายังคงต้องพึ่งพาความสามารถของปรมาจารย์ลำดับที่หกแห่งค่ายกลของเขา

ยิ่งกว่านั้น มันไม่ฉลาดเลยที่จะรุกรานปรมาจารย์ลำดับที่หกแห่งค่ายกล ในกรณีที่ทำให้อีกฝ่ายรำคาญ เมื่อคุณไม่ระวัง คุณสามารถสยบค่ายในเมืองเทียนหวู ได้ ซึ่งก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ราชวงศ์ราชวงศ์ตระกูลฝานต้องประสบความสูญเสียอย่างหนัก

“เจ้าเด็กดื้อสมควรตาย!” ฝานไท่เต๋อไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเปลี่ยนเป้าหมายของความแค้นไปยังหลัวซิว

แต่ในขณะนี้จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงอยู่ด้วย เขาต้องหาโอกาสที่จะฆ่าเขา ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงระงับเจตนาอาฆาตของเขาไว้ในขณะนั้น

เหว้ยห้าวหรานเหลือบมองที่หลัวซิวและเดินไปพูดว่า “แม้ว่าคนอื่นจะเรียกข้าว่าเป็นไอ้หน้าดงิน แต่ชายคนนี้คือคนรักเงินแต่ก็มีเหตุผล และไม่อาจเอาเปรียบโดยไม่มีเหตุผลได้”

ขณะพูดเหว้ยหาวหรานหยิบเครื่องรางที่ทำจากหยกสีน้ำเงินออกจากวงแหวนจัดเก็บของเขา และส่งให้หลัวซิว: “นี่เป็นยันต์คุ้มกันขั้นหก หลังจากเปิดใช้งานแล้วจะสามารถต้านทานการโจมตีเต็มรูปแบบของจักรพรรดิยุทธ์ได้ ที่สำคัญ เจ้าสามารถใช้มันเพื่อช่วยชีวิตเจ้าได้ ”

เหว้ยห้าวหรานเป็นปรมาจารย์ลำดับที่ 6 ของค่ายกล การสร้างยันต์ลำดับที่ 6 ไม่ใช่เรื่องยาก และในแง่ของความแข็งแกร่ง เครื่องรางดังกล่าวไม่ค่อยมีประโยชน์ที่จะถือไว้ในมือและเขา จึงมอบให้หลัวซิว และไม่อยากเอาวิชาพลังมังกรแท้ของเขาไปเปล่า ๆ

หลัวซิวเหลือบมองเหว้ยห้าวหรานด้วยความประหลาดใจ แต่เขาไม่เกรงใจ ยื่นมือไปรับ: “ขอบคุณผู้อาวุโสมาก”

มีจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงอยู่ที่นี่ เขาไม่กังวลว่าฝานไท่เต๋อจะทำอะไรเขาได้ แม้ว่าคู่ต่อสู้จะย่องเข้ามา เขาควรจะสามารถจัดการกับมันได้ด้วยวิธีการทำลายวิชาท่าร่างของมังกรเขียว และเพียงพอที่จะให้จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงช่วยเขา

อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่มียันต์คุ้มกันขั้นหก เป็นตัวประกันชีวิตมากกว่า

“ด้วยความยินดี เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ข้าใช้เอาวิชาพลังมังกรของเจ้าและมอบยันต์ให้กับเจ้ามันยังน้อยไปเลย” เหว้ยห้าวหรานกล่าวด้วยรอยยิ้มและเหลือบไปที่ฝานไท่เต๋อโดยไม่ทิ้งร่องรอยใด ๆ ในดวงตาของเขา

เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่เรียกว่าสี่ผู้นำนั้นไม่สามัคคีกัน

“เจ้าเด็กนี่ ช่างกล้านัก” จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงมองหลัวซิวอย่างไม่พูด “ฝานไท่เต๋อเป็นคนใจแคบ และเขาจะรายงานแน่ แม้ว่าฉันจะสามารถปกป้องเจ้าได้ชั่วขณะหนึ่ง หากมีอะไรเกิดขึ้น ข้าอาจจะไม่สามารถดูแลเจ้าได้”

เห็นได้ชัดว่า จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงไม่พอใจเล็กน้อยกับการแสดงออกของหลัวซิว ไม่ต้องพูดถึงว่ามันอันตรายแค่ไหนสำหรับเขาที่จะมาร่วมกลุ่มกับเหล่าจักรพรรดิยุทธ์ที่แข็แกร่ง และด้วยนิสัยของฝานไท่เต๋อ มันแปลกที่จะไม่ยุ่งกับเขา

แต่ตอนนี้ที่หลัวซิวก็มาแล้ว แม้เขาจะตำหนิก็ไร้ประโยชน์ เขาจึงดพูดว่า “เจ้าตามอยู่ข้างหลังข้าไว้ แม้ว่าจะมีสมบัติอะไรอยู่ เจ้าก็ห้ามมีความคิดอะไร และถึงแม้เจ้าจะได้มันมา ข้าเพียงคนเดียวไม่อาจปกป้องเจ้าได้”

หลัวซิวพยักหน้า และเขาก็เข้าใจสิ่งที่จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงพูดมา อย่างไรก็ตาม กลุ่มของจักรพรรดิยุทธ์ก็เดินไปด้วยกัน หากมีสมบัติที่ได้มาด้วยตัวเอง จักรพรรดิยุทธ์เหล่านี้จะยอมได้อย่างไร?

แม้ว่าจะมีความแข็งแกร่งของจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงที่คอยปกป้อง แต่ท้ายที่สุดแล้วจักรพรรดิยุทธ์ในนี้มีมากกว่าสิบ

แต่ถ้าหลัวซิวมาโดยไม่ได้คิดถึงเรื่องสมบัติ และนั่นก็เป็นไปไม่ได้ แม้ว่าจักรพรรดิยุทธ์เหล่านี้จะเป็นสือ เขาก็กล้าที่จะถอนฟันออก เพราะเขาได้รับการสนับสนุนที่ใหญ่ที่สุดชิ้นหนึ่ง นั่นก็คือลูกแก้วดำ!

ก่อนหน้านี้ ที่ตีนเขาทองดำไท่เสวียน ความรู้สึกของลูกแก้วดำเริ่มแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากไปถึงยอดภูเขา เขาได้เหยียบเขาทองดำไท่เสวียนด้วยเท้าของเขาเอง เขายังรู้สึกว่าทำได้ เขาสามารถใช้ลูกแก้วดำเพื่อระดมกำลังของเขาทองดำไท่เสวียนนี้

การค้นพบนี้ทำให้หลัวซิวตื่นเต้นมาก หากใช้ในทางที่ดีก็ อาจมีบทบาทสำคัญที่ชี้ขาดได้

เขาทองดำไท่เสวียนและตำหนักดำสถิตเข้าด้วยกัน ใกล้ ๆ นี้มีค่ายคุ้มกันปกป้องอยู่ และได้รับพรจากคีตโลกาถ้ำเทพสถิต ค่ายคุ้มกันโบราณนี้ยากที่จะทำลาย

อย่างไรก็ตาม แม้แต่รูปแบบการป้องกันแบบโบราณก็ไม่สามารถสมบูรณ์แบบได้ หากไม่มีใครควบคุมและกระตุ้นพวกเขา พวกเขาสามารถพึ่งพาความสามารถของค่ายกลเพื่อค้นหาจุดอ่อนของค่ายคุ้มกันและทำลายค่ายคุ้มกันนี้ได้ และผลลัพธ์ด้วยความพยายามเพียงครึ่งเดียว

เหว้ยห้าวหรานก้าวไปข้างหน้าและเขาก็หยิบธงค่ายโบราณทั้งหกด้านออกมา

หลังจากผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง เหว้ยห้าวหรานก็ลืมตาขึ้นทันที สะบัดนิ้วขึ้นไปในอากาศ และธงหกด้านก็สว่างขึ้น บรรจบกันเป็นลำแสง พุ่งไปยังตำหนักสีดำที่ตระหง่านอยู่ข้างหน้า

“เหอะ เหอะ……”

จู่ ๆเหว้ยห้าวหรานก็หัวเราะออกมา และกระทบเข้าหูของจักรพรรดิยุทธ์ และทันใดนั้นสีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไป

เพราะทุกคนที่คุ้นเคยกับคนนี้รู้ดีว่าเมื่อเขายิ้มแบบนี้หมายความว่าเขาต้องการทำเงินอีกเป็นจำนวนมาก

“ตำหนักดำแห่งนี้ได้รับการปกป้องโดยค่ายคุ้มกัน” เหว้นห้าวหรานเหยียดสองนิ้วออก จับเคราบนคางของเขา และพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มที่เจ้าเลห์

“ไร้สาระ!” จักรพรรดิยุทธ์คนอื่นเผยสีหน้าแย่ของพวกเขา เพราะพวกเขากังวลเรื่องค่ายคุ้มกัน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กระทำการที่หุนหันพลันแล่น

จากสมัยโบราณนับหมื่นปี วิชาค่ายที่มีอยู่ในปัจจุบันล้วนไม่ธรรมดา สีหน้าของจักรพรรดิยุทธ์หลายคนดูเหมือนจะกินแมลงวันตายเพราะวิชาค่ายมีอยู่จริง ก็หมายความว่าพวกเขาจะถูกรีดไถเงินโดยไอ้หน้าเงินเหว้ยห้าวหรานอีกครั้ง

ในการสำรวจซากปรักหักพังโบราณ และต้องพานักค่ายกลไปด้วย และนักค่ายกลก็เป็นกลุ่มคนที่ได้รับความนิยมและทำเงินได้เร็วสุดในเรื่องนี้ด้วย

หากปราศจากคำแนะนำของนักค่ายกลไม่ว่าฐานการฝึกฝนของคุณจะสูงแค่ไหนก็ยากที่จะทำลายค่าย หากต้องการสำรวจซากปรักหักพัง ก็ทำได้แค่จับจมูกและจ่ายให้กับนักค่ายกลเท่านั้น

หลัวซิวยังจ้องมองและสังเกตเห็นข้าง ๆตำหนักดำ ที่มีร่องรอยของค่ายอยู่จริง เป็นค่ายคุ้มกันขนาดใหญ่ และตกแต่งค่อนข้างลึกลับ ซึ่งเขาไม่ได้สังเกตในตอนแรก

เหว้ยห้าวหรานเห็นได้ในแวบแรก ซึ่งบอกได้เลยว่าระดับค่ายกลของเขานั้นสูงกว่าหลัวซิวขึ้นมาระดับหนึ่ง

ชั้น5และชั้น6ต่างกันแค่หนึ่งชั้น ในความเป็นจริงแล้วมันต่างกันอย่างสิ้นเชิง นักค่ายกลชั้นห้าส่วนมาก ศีกษาค่ายกลมานานนับแสนปี พวกเขาอาจไม่สามารถทำตามขั้นตอนนี้ได้

“ไอ้หน้าเงินเหว้ย ตอนขึ้นมาเจ้าก็เก็บพวกข้าเกือบหนึ่งแสนชั้นกลาง ถ้าตอนนี้ยังต้องการเงินอีก มันจะมากเกินไปแล้ว” ฝานไท่เต๋อขมวดคิ้วพูด

ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นปรมาจารย์กลั่นยาชั้นหกอันดับหนึ่ง แต่ก็ไม่สามารถทนต่อวิธีไถเงินแบบนี้ได้ หากมีวิธีค่ายกลแบบโบราณอยู่ด้านใน ก็ต้องจ่ายอีกไม่ใช่เหรอ?

สีหน้าของจักรพรรดิยุทธ์คนอื่น ๆ ก็ดูไม่ดี ถ้าไม่ใช่เพราะเหว้ยห้าวหรานซึ่งเป็นนักค่านกลอันดับหกในอาณาจักร พวกเขาคงไม่เต็มใจที่จะมากับเขาอย่างแน่นอน

“การหาเงินไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับนักค่ายกลอย่างเรา ซึ่งต้องพึ่งพาสิ่งนี้เพื่อเลี้ยงดูครอบครัว เป็นเรื่องธรรมดาที่จะเก็บเงิน”เหว้ยห้าวหรานพูดด้วยเหตุผล

“แน่นอนว่าพวกเจ้าไม่ต้องจ่าย แต่ข้ามีเงื่อนไขอยู่ข้อหนึ่ง” เหว้ยห้าวหรานกลอกตาและพูดอีกครั้ง

“เงื่อนไขคืออะไร?” จักรพรรดิยุทธ์ทั้งหมดมองมาที่เขาทีละคน

“หลังจากเข้ามาในตำหนักนี้แล้ว ถ้ามีสมบัติอยู่ในนั้น ให้ข้าเลือกก่อน ตราบใดที่เจ้ายอมรับเงื่อนไขนี้ ตราบใดที่เจ้าพบค่ายกลด้านในนั้น ข้าจะลงมือทำลายพวกมัน และจะไม่เรียกค่าชดเชยเพิ่มเติมใด ๆ ”

เหว้นห้าวหรานยื่นข้อเสนอนี้ออกมา ทำให้จักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งทุกคนถึงกับต้องขมวดคิ้ว

โดยเฉพาะจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิง, ฝานไท่เต๋อและเฒ่าประหลาดฉิวคนนี้ที่แข็งแกร่งที่สุด ถ้ามีสมบัติล้ำค่าปรากฏ พวกเขาคเป็นคนที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุดในการแย่งชิง ถ้ารับข้อเสนอของเหว้นห้าวหรานแล้ว ก็เป็นการสละให้คนอื่น ?

มีคนมากมายที่นี่ เมื่อพวกเขาเห็นด้วย ก็ไม่สามารถคืนคำได้ มิฉะนั้น ใครจะอยากทำธุรกิจอีกในอนาคต ไม่อันตรายไปหน่อยเหรอ?

ผลการฝึกตนถึงระดับจักรพรรดิยุทธ์ได้ พึ่งพาตบะตัวเองล้วน ๆ และยากมากที่จะก้าวมาถึงจุดนี้ ดังนั้นเหล่าจักรพรรดิยุทธ์ มักจะแลกเปลี่ยนสิ่งที่พวกเขาต้องการซึ่งกันและกัน และให้ความสำคัญกับประเด็นความน่าเชื่อถือมากขึ้น

“ข้อเสนอนี้ข้าไม่เห็นด้วย ไอ้หน้าเงินเหว้ย เจ้ามีหน้าที่ทำลายค่ายกลและกำหนดราคามาซะ” จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น

ท่ามกลางฝูงชน ด้วยความแข็งแกร่งของเขาที่แข็งแกร่งที่สุด ถ้าเขาสามารถได้รับสมบัติล้ำค่าจากซากปรักหักพังของถ้ำจากจักรพรรดิยุทธ์ที่แข็งแกร่ง ค่าใช้จ่ายในการทำลายค่ายกลสำหรับเหว้ยห้าวหราน ก็ไม่น่าจะพูดถึงอีกแล้ว

จักรพรรดิยุทธ์ที่อ่อนแอกว่าบางคนรู้สึกว่ามันไม่สำคัญ เพราะพวกเขาไม่มีความคิดที่จะแข่งขันเพื่อชิงสมบัติล้ำค่าอยู่แล้ว คิดเพียงว่าจะได้รับโอกาสอื่น ๆ ในซากปรักหักพังของถ้ำเท่านั้น

อย่างไรก็ตามจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงได้กล่าวไว้แล้ว คนอ่อนแอเหล่านี้ทำได้เพียงนิ่งเงียบและทำตามแนวโน้ม

“กำหนดราคามาเถอะ” ฝานไท่เต๋อ อาจารย์หงหมิง เฒ่าประหลาดฉิว และสำนักเสวียนหยางคนอื่น ๆ ก็พูดเช่นกัน

“นี่คือรูปแบบของค่ายคุ้มกันที่ดึงเอาพลังของคีตโลกามารวมกัน หลังจากผ่านไปหลายหมื่นปี พลังก็ไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย ข้าทำลายมันเองไม่ได้ แต่สามารถหาที่ที่เหมาะสมที่สุดได้ และเก็บน้อยลงหน่อย. .”

ขณะที่เหว้ยห้าวหรานพูด เขาก็ยื่นมือออกและกางนิ้วทั้งห้าออก

“ห้าหมื่น?” เว้นจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงและคนอื่น ๆ ที่มีสีหน้าปกติ จักรพรรดิยุทธ์คนอื่น ๆ ต่างแสดงสีหน้าไม่ดีในทันใด

หลัวซิวก็ตกตะลึงเล็กน้อย มันง่ายมากสำหรับนักค่ายกลสายมืดที่จะหาเงิน เพียงแค่หาจุดที่จะทำลายค่ายนั้น ต้องคิดราคา ห้าหมื่น?

บวกจักรพรรดิยุทธ์ที่มีอยู่แล้ว ก็ประมาณเจ็ดแปดแสน เงินที่ได้มาง่ายเกินไปแล้ว

ในความคิดของหลัวซิว มีเพียงสำนวนเดียว สิ่งล้ำค่าที่ได้มายาก!

เนื่องจากนักค่ายกลเป็นกุญแจสำคัญในการทำลายค่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักค่ายกลที่รู้จักค่ายโบราณดีที่สุดในบรรดาพวกเขา

จักรพรรดิยุทธ์ทั้งหมดหยิบหินพลังจิตชั้นกลางออกมาทีละชิ้น ใบหน้าของเหว้นห้าวหรานเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่มีรอยย่น และอดไม่ได้ที่อยากจะตบปากเขาซักทีสองที

หลัวซิวยังคงหาหินพลังจิตชั้นกลางไม่ได้ หลังจากเอาออกมาติดต่อกันสองแสน สวีจิงเหนียนจากอาจารย์ตระกูลสวีคนนี้ ก็รู้สึกอับอายเล็กน้อย

ครั้งนี้หลัวซิวไม่ได้ตั้งใจจะขอความช่วยเหลือคนอื่น หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งเขาก็หยิบแผ่นหยกออกมาแล้วยกมือขึ้นแล้วโยนให้เหว้ยห้าวหราน

“หือ? วรยุทธ์ระดับ8ของวิชาพลังมังกรแท้?” เหว้นห้าวหรานคว้าแผ่นหยกและสัมผัสอันศักดิ์สิทธิ์ของเขาก็แทรกซึมเข้าไปสีหน้าเดิมก็แสดงความยินดีออกมา

ราวกับว่าเขากลัวว่าหลัวซิวจะกลับไป เขารีบใส่ใบหยกเข้าไปในแหวนเก็บของของเขา

วรยุทธ์ระดับ9 นั้นเทียบเท่ากับระดับตำนานในภูมิภาคของประเทศเทียนหวู และวรยุทธ์ระดับ8นั้นเป็นมรดกชั้นยอดอยู่แล้ว

แม้แต่ยักษ์สี่ตัวจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิง ฝานไท่เต๋อ หงหมิงและเหว้ยห้าวหรานต่างก็ฝึกฝนแบบฝึกหัดวรยุทธ์ระดับ8

แม้ว่าจะมีการฝึกระดับสูงที่สามารถเรียนรู้ได้ภายในแก๊ง แต่ก็ต้องได้รับอนุญาตด้วย

ตัวอย่างเช่นหลัวซิวที่มีอำนาจของอัจฉริยะในขั้นดำชั้นสูง สามารถซื้อวิชายุทธ์ระดับ9จากภายในองค์กรนักล่ายุทธ์ แต่สถานะการฝึกฝนของจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงนั้นสูงกว่าของหลัวซิว แต่เขากลับไม่มีอำนาจในส่วนนี้

เนื่องจากเป็นมรดกของวิชายุทธ์ระดับสูง จึงเปิดให้เฉพาะสมาชิกที่มีความสามารถเท่านั้น

นี่ยังหมายความว่าแม้ว่าจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงจะมีหินพลังจิตจำนวนมากอยู่ในมือ เขาไม่สามารถซื้อวิชายุทธ์ระดับ9จากภายในแก๊งได้

วิชายุทธ์ระดับ8นั้นทรงพลังอย่างแท้จริง และไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นหนึ่งในวิชายุทธ์ระดับ8อันดับต้น ๆ ในพื้นที่โดยรอบของประเทศเทียนหวู

เหว้ยห้าวหรานไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงแค่มองหลัวซิว และเก็บแหวนเอาไว้

หลัวซิวไม่สนใจว่าจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงไม่ได้ให้หินพลังจิตแก่เขา อย่างไรก็ตาม จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงไม่รู้รายละเอียดของตัวเอง และหินพลังจิตหนึ่งแสนก้อนก็ไม่ใช่จำนวนน้อย ๆ และเขาอยู่กับกลุ่มจักรพรรดิยุทธ์ จำเป็นต้องพึ่งพาการคุ้มครองของหัวหน้าแก๊ง

ดังนั้นหลัวซิวจึงให้ค่าตอบแทนแก่เหว้ยห้าวหรานแล้วเดินไปที่ด้านข้างของจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิง

“หืม? คุณมาถึงอาณาจักรของแดนราชายุทธ์?”

ข้าไม่เคยสังเกตมาก่อน เมื่อหลัวซิวเดินไปข้างๆ จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงในรัศมีของเขา

“ใช่ ข้าได้รับโอกาสที่จะฝ่าฟันไปได้” หลัวซิวยิ้ม

“มันเป็นความเร็วที่น่าสะพรึงกลัวของการฝึกฝน” จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงดูตกตะลึง เขาไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับนักศิลปะการต่อสู้อายุสิบเจ็ดปีมาก่อน

จักรพรรดิยุทธ์คนอื่นๆ ก็สังเกตเห็นความผันผวนรัศมีของหลัวซิวในขณะนี้

“ความเร็วในการฝึกฝนเช่นนี้ แต่ตระกูลฝานของฉันไม่สามารถใช้งานได้ ให้ตายเถอะ!”

สายตาของฝานไท่เต๋อหรี่ลงเล็กน้อยและมีเจตนาฆ่าในใจ เขาตั้งใจไว้แล้วว่าทันทีที่คว้าโอกาสนี้ไว้ เขาจะฆ่าเด็กคนนี้ เพื่อไม่ให้กลายเป็นก้างขวางในอนาคตและคุกคามจุดยืนของราชวงศ์ตระกูลฝาน

เจ้าตำหนักจื่อก็มีความคิดแบบเดียวกัน แต่ทุกคนไม่ได้พูดอย่างชัดเจน และมันก็เป็นไปโดยปริยาย

“ตามติดข้าไว้ อย่าห่างข้านักล่ะ”

จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงสังเกตเห็นเจตนาฆ่าที่ปรากฏขึ้นและพูดอะไรบางอย่างกับหลัวซิว

หลัวซิวพยักหน้าและในขณะเดียวกันก็เงยหน้าขึ้นมองดูเหล่าจักรพรรดิยุทธ์

จักรพรรดิยุทธ์เหล่านี้ แบ่งเป็นค่ายต่าง ๆคร่าว ๆ ข้างจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงมีอาจารย์หงหมิง ทั้งสองคนมีความสัมพันธ์ที่ดี ว่ากันว่านักรบขวานของจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงถูกคัดเลือกโดยอาจารย์หงหมิง

เบื้องหลังของฝานไท่เต๋อ ในชื่อบรรพบุรุษตระกูลใหญ่ของประเทศเทียนหวูยืนอยู่ สิบตระกูลสูงสุดของอาณาจักร สิบตระกูลใหญ่ของประเทศเทียนหวูต้องปฏิบัติตามคำสั่งของราชวงศ์ตระกูลฝานและอาจารย์ตระกูลสวีก็อยู่ในนั้น

สิบจักรพรรดิยุทธ์ยืนเคียงข้างกัน ซึ่งเป็นจำนวนที่มากที่สุด แต่ในความเป็นจริง ทุกคนต่างก็รู้ดีอยู่ในใจว่าพวกเขาไม่สามัคคีกัน และพวกเขาอาจจะไม่สามารถรวมเป็นเชือกเดียวกันได้จริง ๆ

แล้วก็มีนักรบที่ซ่อนอยู่หลายคน รวมถึงเหว้ยห้าวหรานด้วย

เหว้ยห้าวหรานหัวหน้าแก๊งของนักค่ายกล สนใจแต่เงินโดยไม่สนใครหน้าไหน บุคลิกที่แปลกประหลาด เขาไม่เคยเข้าร่วมสำนักใด ๆ และเขาไม่ได้มาจากตระกูลใหญ่ ดังนั้นเขาจึงถือว่าเป็นผู้ฝึกหัด

ไม่มีใครพูดในเวลานี้และมีแต่ความเงียบ มีเพียงอาจารย์เหว้ยห้าวหรานเท่านั้นที่เดินไปมาที่กำลังหาตำปหน่งปักธงค่ายโบราณทั้งหกด้าน

ธงค่ายโบราณสีทองทำให้ดวงตาของหลัวซิวสว่างขึ้น และสลักตัวอักษรค่ายนั้นค่อนข้างคล้ายกับธงขลังสรรพสิ่งของเขา แต่ในการเปรียบเทียบธงค่ายโบราณทั้งหกด้านนี้กับธงขลังสรรพสิ่งของเขาแล้วต่ำกว่ามาก

ในเวลาเดียวกัน หลัวซิวก็มองขึ้นไปที่ยอดเขาทองดำที่สูงหมื่นฟุตโดยแอบคิดว่านี่ควรเป็นเขาทองดำไท่เสวียนที่หลงหมิงเคยผ่านทั้งหมดแล้ว

เขาทองดำไท่เสวียน เป็นสมบัติทางจิตวิญญาณโบราณที่กลั่นโดยจักรพรรดิยุทธ์ และมันถูกระงับในคีตโลกาถ้ำเทพสถิต

หลัวซิวสัมผัสได้ถึงลูกแก้วดำในวงแหวนเก็บของซึ่งสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงในขณะนี้ ราวกับว่าจะบินออกจากวงแหวนและรวมเข้ากับเขาทองดำไท่เสวียนนี้

การใช้ธงค่ายโบราณ ผลลัพธ์ไม่ทำให้ผิดหวังเลย

“ทุกคน หลังจากที่ฉันเปิดใช้งานธงค่าย อย่างมากรองรับได้ไม่เกินครึ่งชั่วโมงเท่านั้น”

เหว้ยห้าวหรานพูดขึ้นแล้วบีบธงค่ายด้วยมือทั้งสองข้างเพื่อเปิดใช้งานรูปแบบ

หลัวซิวเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของเหว้นห้าวหรานอย่างตั้งใจ และพบว่ามีร่องรอยของค่ายโบราณอยู่ในนั้น

เมื่อเขาอยู่ในแดนปริศนา เขายังศึกษาค่ายโบราณและเข้าใจวิธีการรวมตัวของค่ายที่แตกต่างกัน ดังนั้นเขาจึงมีความเข้าใจพื้นฐานบางอย่างเกี่ยวกับค่ายโบราณ

“เวิง!”

ในเวลานี้ ธงค่ายโบราณทั้งหกด้านถูกเปิดใช้งานอย่างสมบูรณ์ และแสงสีทองพุ่งทยานขึ้น ส่องสว่างที่เชิงเขาทั้งลูก ลำแสงสีทองพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ทอดยาวไปถึงยอดเขาทองดำ

เหว้ยห้าวหรานเป็นคนแรกที่เข้าสู่ลำแสงสีทองและพูดเสียงดัง “ตราบใดที่เจ้าเข้าไปในพื้นที่ที่แสงสีทองปกคลุม เจ้าจะไม่ถูกระงับโดยรูปแบบห้ามบิน”

ขณะพูด เหว้ยห้าวหรานได้บินขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยลำแสงสีทองที่มุ่งหน้าตรงไปยังตำหนักที่ด้านบนสุดของยอดเขาทองดำ

เมื่อคนอื่นเห็นเช่นนี้พวกเขาก็รีบตามไปและร่างของพวกเขาก็เข้าสู่ขอบเขตที่ปกคลุมไปด้วยแสงสีทอง แน่นอนว่าการปราบปรามของรูปแบบห้ามบินได้หายไปแล้วและทำให้รู้สึกผ่อนคลาย

มีเพียงหลัวซิวเท่านั้นที่ไม่รู้สึกพิเศษ เพราะเขาครอบครองลูกแก้วดำ และเมื่อเขามาถึงเชิงเขา เขาไม่ได้รับผลกระทบจากรูปแบบที่ไม่บิน

เขาทองดำไท่เสวียนนี้สูงมาก แต่ความเร็วในการบินของทุกคนนั้นเร็วมาก และใช้เวลาไม่ถึง 15 นาทีในการบินขึ้นไปบนยอดเขา

เหว้ยห้าวหราน รีบบีบธงค่ายไว้แน่น และแสงสีทองทั้งหกดวงก็พุ่งขึ้นจากด้านล่างของภูเขา กลายเป็นธงค่ายรูปแบบขนาดเท่าฝ่ามือ และกลับมาที่ด้านข้างของเขา

เพียงแค่เห็นภาพวาดและตัวอักษรที่ปรากฏบนธงค่ายโบราณทั้งหกด้านนั้นจางลงมาก เห็นได้ชัดว่าในกระบวนการเผชิญหน้ากับรูปแบบห้ามบิน เกิดความเสียหายไม่เบาเลย

ใบหน้าของเหว้ยห้าวหรานเจ็บปวดและเขาก็เอาธงค่ายโบราณออกไปเหมือนสมบัติและพูดด้วยปากมุ่ยว่า “ธุรกิจของข้าในคราวนี้ถือว่าขาดทุนแล้ว ธงค่ายโบราณเสียหาย ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการซ่อม ต้องใช้เงินเยอะเลย”

“เฮ้ ไอ้หน้าเงินเหว้ยอย่ามาใช้ลูกไม้นี้ ชุดธงค่ายโบราณของเจ้ามีมูลค่าหนึ่งหมื่น พวกข้าแต่ละคนให้ให้ไปคนละหนึ่งแสน รวมกันแล้วราวหนึ่งล้าน เจ้าได้กำไรมากกว่าต้องเสีย!” จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงดุด้วยรอยยิ้ม

เหว้ยห้าวหรานพ่นลมและไม่พูด สำหรับคนอย่างเขาที่เป็นไอ้หน้าเงิน เขาแค่ต้องการหากำไรแต่ไม่ยอมเสีย การขอให้เขาควัดเงินก็เหมือนกับการฆ่าเขานั่นแหล่ะ

หลังจากพลิกผันหลายครั้ง ในที่สุด เหล่าจักรพรรดิยุทธ์ก็มาถึงที่หมาย พื้นที่บนยอดเขาโล่งมาก และมีตำหนักดำตระหง่านอยู่ด้านหน้า

ตำหนักดำเปรียบเสมือนสัตว์ร้ายโบราณที่หลับใหลอยู่ และทุกคนสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าพลังแห่งสวรรค์และโลกในถ้ำเทพสถิตคีตโลกาทั้งหมดกำลังรวบรวมอยู่ภายในตำหนักดำแห่งนี้อย่างต่อเนื่อง

นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมสถานที่อื่น ๆ ในคีตโลกาจึงไม่มีร่องรอยของพลังแห่งสวรรค์และโลก

นอกจากรูปแบบห้ามบินแล้ว รูปแบบที่สองในคีตโลกานี้คือค่ายรวมจิต

เป็นไปไม่ได้เลยที่จะรวบรวมพลังของคีตโลกาไว้ในที่เดียวกัน บางทีในตำหนักดำอาจมีสมบัติล้ำค่าและทรงพลังมากมาย

สายตาของบรรดามหาอำนาจของจักรพรรดิยุทธ์ในตอนนี้เริ่มร้อนรุ่ม และหัวใจของพวกเขาก็รู้สึกคันยุกยิก เห็นได้ชัดว่าทุกคนคิดถึงความเป็นไปได้นี้

ธงค่ายสีทองมีทั้งหมดหกด้าน และหมุนเวียนไปตามกาลเวลาในสมัยโบราณ

“ธงค่ายโบราณ?”

ลมหายใจแห่งความผันผวนของชีวิตไม่อาจปลอมได้ และนักศิลปะการต่อสู้ทุกคนต่างก็ประหลาดใจเมื่อสัมผัสได้ถึงลมหายใจพิเศษนี้

แต่สมบัติทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับสมัยโบราณนั้นไม่ธรรมดา และเหว้ยห้าวหรานเองก็ต่อสู้ในขณะนี้เพื่อเอาธงโบราณทั้งหกออกมา

โดยเฉพาะสามคนที่คุ้นเคยกับเหว้ยห้าวหราน มีจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิง, ฝานไท่เต๋็อและ หงหมิง แต่พวกเขารู้ว่าไอ้หน้าเงินเหว้ยได้ซ่อนธงค่ายโบราณทั้งหกด้านไว้อย่างมิดชิด ปกติใครอยากดูก็ไม่อาจนำออกมาให้

“การใช้ธงค่ายโบราณนั้น ข้าไม่เชื่อว่าคืนไม่ได้!” เหว้ยห้าวหรานเปล่งเสียงที่แหบแห้ง น้ำเสียงเริ่มแหบแห้ง

เมื่อเห็นธงค่ายโบราณทั้งหกด้าน อาจารย์หงหมิงอดไม่ได้ที่จะถูมือ และดวงตาที่ลุกวาวขึ้นมา

ธงค่ายโบราณที่เรียกว่าเป็นธงที่ใช้ฝีมือที่กลั่นโดยสมบัติโบราณจนออกมาเป็นธงค่าย ถ้าให้เขาศึกษา บางทีอาจค้นพบความลึกลับของการกลั่นสมบัติโบราณได้

แต่เขาก็รู้คนอย่างไอ้หน้าเงินเหว้ย ไม่อยากให้ตัวเขาเองศึกษาสำรวจแน่

ในขณะนี้เอง การเคลื่อนไหวของเหล่าจอมยุทธ์และมหาอำนาจ และสติที่สัมผัสได้ถึงบางอย่าง กำลังบินเข้ามาใกล้ชิดอย่างรวดเร็ว

ทุกคนหันไปมองด้านข้างและเห็นร่างสีดำที่วิ่งไปข้างหน้า แต่หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาก็มาถึงยอดเขาทองดำ

เมื่อพวกเขาเห็นใบหน้าเงาสีดำ เหล่าจักรพรรดิยุทธ์ต่างก็มีสีหน้าที่แตกต่างกัน

“หลัวซิว!”

ฝานไท่เต๋อลของราชวงศ์ตระกูลฝานหรี่ตาลง เพราะถูกขังวิญญาณ ทั้งสองฝ่ายจึงอยู่ในเรือลำเดียวกัน

และเนื่องจากเหตุการณ์ของเหยียนเยว่เอ๋อร์ จ้าวแห่งตำหนักจื่อก็เปิดเผยเจตนาฆ่าที่รุนแรงต่อหลัวซิว การแสดงออกของเขามืดมนมาก เพราะว่าเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาเขารู้สึกว่ารัศมีของว่านเหลียนเฉิงก็สลายหายไป แสดงว่านักสู้คนนี้ถูกล้มลงแล้ว!

เขาสงสัยว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับหลัวซิวและเหยียนเยว่เอ๋อร์อย่างแน่นอน!

การล่มสลายของจักรพรรดิยุทธ์เป็นเรื่องสำคัญมาก และเขาก็อดทนและนิ่งเงียบกับเรื่องนี้

“ผู้น้อยหลัวซิว เคยเห็นผู้อาวุโสแล้ว”

หลัวซิวก้าวไปข้างหน้าและโค้งคำนับต่อจักรพรรดิยุทธ์อย่างเคารพ

นอกจากจักรพรรดิยุทธ์ที่เป็นศัตรูและอาฆาตเขา จักรพรรดิยุทธ์มากกว่าครึ่ง แทบจะไม่มีคนมุ่งร้ายต่อเขา ดังนั้นหลัวซิวต้องมีทัศนคติที่ดีขึ้นโดยธรรมชาติ เพื่อที่จะได้ไม่ตั้งศัตรูที่แข็งแกร่งสำหรับตัวเขาเอง

“ไอ้หนุ่ม เจ้าต้องการแบ่งปันด้วยหรือไม่?” เหว้ยห้าวหรานหรี่ตาลงและเหลือบมองที่หลัวซิว

“ผู้อาวุโสล้อกันเล่นแล้ว ด้วยกำลังของผู้น้อย แน่นอนว่าข้าไม่กล้าแข่งกับอาวุโส ข้าแค่มาเปิดหูเปิดตา และหวังว่าผู้อาวุโสจะสัญญา” หลัวซิวพูดด้วยรอยยิ้ม

อันที่จริง เมื่อเขามาถึงตีนเขายอดเขาทองดำ เขาสัมผัสได้ผ่านลูกแก้วดำที่อิทธิพลของรูปแบบห้ามบินในคีตโลกาถ้ำเทพสถิตนี้หายไป!

เพียงแต่เขาไม่ได้แสดงสิ่งนี้ออกมา เพราะเขาพบว่าเหล่าจักรพรรดิยุทธ์ที่อยู่ที่นั่นยังไม่กำจัดการและปราบปรามรูปแบบการห้ามบิน มิฉะนั้นพวกเขาจะไม่ได้อยู่ที่เชิงเขาตลอดเวลา และคงบินขึ้นมาแล้ว

ทุกคนรู้ดีว่าสมบัติล้ำค่าที่สุดในคีตโลกาถ้ำเทพสถิตนี้จะต้องอยู่ที่ยอดเขาทองดำ เขาเป็นผู้น้อยที่วิ่งเข้ามาร่วมสนุกและมันง่ายที่จะกระตุ้นความไม่พอใจของเหล่าจักรพรรดิยุทธ์ที่แข็งแกร่ง

ดังนั้นหลัวซิวจึงบอกพุดแค่ว่าเขามาที่นี่เพื่อที่จะเปิดหูเปิดตาเท่านั้น เขาไม่ได้ตั้งใจจะแข่งขันกับจักรพรรดิยุทธ์ และเขายังคงวางท่าทีไว้ค่อนข้างต่ำ ซึ่งจะทำให้การแสดงออกของเหล่าจักรพรรดิผ่อนคลายลง

จักรพรรดิยุทธ์มีความเย่อหยิ่งเป็นของตัวเอง โดยเฉพาะเมื่อเผชิญกับระดับเดียวกันถึงจะกลมกลืนกัน ถ้าให้ผู้น้อยไปกับเขาเพื่อล่าสมบัติจะทำให้เขารู้สึกอึดอัดมาก

อย่างไรก็ตามทุกคนก้รู้ว่าหลัวซิวคนนี้ไม่ใช่ผู้น้อยธรรมดา เขาได้รับการยกย่องจากแก๊งนักล่าอสูร และด้วยจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงที่อยู่ที่นี่เพื่อคุ้มครอง แม้แต่ฝานไท่เต๋อและเจ้าตำหนักจื่อได้แค่ยึดถือเจตนาสังหารเท่านั้น

“มีรูปแบบห้ามบินอยู่ที่นี่ มีเพียงอาจารย์เหว้ยเท่านั้นที่สามารถจัดตั้งรูปแบบเพื่อกำจัดการปราบปรามของรูปแบบห้ามบินได้ เราทุกคนต่างก็ให้ค่าตอบแทน” ฝานไท่เต๋อพูดด้วยรอยยิ้ม

ความสามารถของเขาไม่อาจเทียบเท่าจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิง แต่ในฐานะปรมาจารย์กลั่นยาระดับหกและหนึ่งในสี่ผู้นำ เขาไม่กลัวที่จะทำให้จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงขุ่นเคือง

ยิ่งกว่านั้นสิ่งที่เขาพูดก็สมเหตุสมผลด้วย ทุกคนให้ค่าตอบแทนไปแล้ว เจ้าที่เป็นผู้น้อยมาร่วมสนุก แน่นอนเจ้าก็ต้องค่าตอบแทนด้วย

“ตาแก่ฝานพูดถูก ข้าทำสิ่งต่าง ๆด้วยหลักการ ไอ้หนุ่มนำหินพลังจิตชั้นกลางหนึ่งแสนก้อนเป็นค่าตอบแทนมา” เหว้ยห้าวหรานเอื้อมมือออกไปหาหลัวซิวและกล่าว

เหว้ยห้าวหรานคนนี้คลั่งไคล้การเงิน เรื่องที่เขาไม่ได้เงิน ไม่ใช่สไตล์เขา

หินพลังจิตชั้นกลางหนึ่งแสนก้อนนั้นไม่ใช่สิ่งเล็ก ๆ จักรพรรดิยุทธ์หลายคนจะรู้สึกเจ็บใจทุกครั้งเมื่อนำออกมา ฝานไท่เต๋อเชื่อว่าหลัวซือไม่สามารถเอาออกมาได้

อย่างไรก็ตาม ฝานไท่เต๋อเดาถูก หลัวซิวไม่มีหินพลังจิตชั้นกลางจำนวนมากอยู่ในมือ เมื่อตอนที่เขาฝึกฝน หินพลังจิตส่วนใหญ่ถูกเขาใช้ไปแล้ว และในมือเหลือไม่ถึงหนึ่งหมื่นก้อนด้วยซ้ำ

แม้ว่าเขาสามารถบินขึ้นไปได้ แต่ถ้าเขาทำแบบนี้แล้ว มันจะทำให้คนเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติกับเขา ซึ่งเขาไม่สามารถแสดงออกมาได้

ด้วยความสิ้นหวัง หลัวซิวไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหันความสนใจไปที่จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงเพื่อขอความช่วยเหลือ

“ท่านผู้อาวุโส ท่านให้ยืมหินพลังจิตชั้นกลางหนึ่งแสนก้อนได้ไหม และหลังจากกลับไป ข้าจะคืนให้ผู้อาวุโส”

ไม่มีใครคิดว่าหลัวซิวผู้น้อยที่ยังไปไม่ถึงแดนราชายุทธ์ จะได้รับสมบัติใด ๆ อยู่ในมือของกลุ่มจักรพรรดิยุทธ์

“ข้าให้ผู้น้อยยืมหินพลังจิตชั้นกลางหนึ่งแสนก้อน”

ในเวลานี้ อาจารย์ตระกูลสวีก็พูดอะไรบางอย่างขึ้นมา หยิบแหวนออกมาแล้วมอบให้หลัวซิว

เมื่อเห็นฉากนี้ เหล่าจักรพรรดิยุทธ์ทั้งหมดก็หดตัวเล็กน้อย

“ฮึ!”

ปรมาจารย์สำนักเสวียนหยางพ่นลมอย่างเย็นชา เพราะการทำลายตระกูลเผยของเมืองยงฉี เกิดจากสวีจิงเหนียนและหลัวซิว ผู้อาวุโสเสวียนหยางคนหนึ่งในตระกูลเผยได้ยอมรับเป็นสาวก แต่ถูกฆ่าโดยคนสองคนนี้

แม้ว่าผู้อาวุโสเสวียนหยางจะตายไปแล้ว แต่การกระทำของพวกเขาได้กวาดล้างศักดิ์ศรีของสำนักเสวียนหยาง

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้จักรพรรดิยุทธ์งงยิ่งขึ้นคือความสัมพันธ์ระหว่างสวีจิงเหนียนและหลัวซือคืออะไร ก่อนหน้านี้ที่นำหินพลังจิตชั้นกลางหนึ่งแสนก้อน อาจารย์ตระกูลสวีคนนี้ถึงกลับเจ็บปวด ในขณะนี้เขาไม่แม้แต่กะพริบตา ก็ให้หลังซิวผู้น้อยยืม?

อันที่จริง มีเพียงสวีจิงเหนียนเองเท่านั้นที่รู้ว่าหลัวซิวมีอาจารย์ลึกลับอยู่เบื้องหลัง ไม่พูดสิ่งอื่นใด เพียงเพราะสามารถกลั่นเม็ดยาระดับ 6 ซึ่งเป็นหินพลังจิตชั้นกลางหนึ่งแสนก้อน ซึ่งเทียบไม่ได้เลย

“ขอบคุณมากผู้อาวุโส การช่วยเหลือครั้งนี้ ผู้น้อยจะคืนให้แน่”

หลัวซิวก็ไม่เกรงใจ เขาเอื้อมมือไปหยิบมันด้วยรอยยิ้ม จากนั้นหันมือและส่งแหวนให้เหว้ยห้าวหราน

หลังจากทะลวงฐานอณาจักรอันกว้างใหญ่แล้ว นอกจากจะสามารถรับของขวัญจากกฎดั้งเดิมได้แล้ว ยังมีประโยชน์เพิ่มเติมอีก นั่นคือ สามารถรับข้อมูลจากการกลับชาติมาเกิดที่ไม่เกินขอบเขตของจอมยุทธ์

ไม่ว่าจะกลยุทธ์ลับ วิชายุทธ์ ศิลปะการต่อสู้ วิชาท่าร่าง อื่น ๆอีกมากมายนับไม่ถ้วน แต่เกรดทั้งหมดนั้นต่ำกว่าเกรดแปด

หลัวซิวรู้ดีถึงความจริงที่ว่าอยากทำแต่ทำไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เลือกกลยุทธ์ลับ วิชายุทธ์ หรือศิลปะการต่อสู้เพื่อฝึกฝน แต่จะเน้นที่การเข้าใจผังกฎดั้งเดิมของวงล้อแห่งชีวิตและความตายมากกว่า

ตั้งแต่ที่ผังกฎดั้งเดิมฉบับแรกได้รับการเข้าใจอย่างถี่ถ้วน ฐานการเพาะปลูกของเขาได้รับการปลูกฝังไปยังแดนราชายุทธ์ และผังกฎดั้งเดิมฉบับสองยังคงแย่กว่าเล็กน้อยที่จะสามารถเข้าใจอย่างถ่องแท้

เขาเข้าใจดีว่าต้นกำเนิดของชีวิตและความตายเป็นรากฐานของเขา และการฝึกฝนศาสตร์ลับใด ๆ ก็สามารถระงับได้ชั่วคราว มีเพียงความเข้าใจในวงล้อแห่งความตาย จะไม่มีความหย่อนเลยแม้แต่น้อย

หลังจากถูกส่งย้ายออกจากพื้นที่เกิดใหม่ หลัวซิวยกมือเพื่อถอดอาร์เรย์ออกและกำหนดตำแหน่งของหลงหมิงตามการเหนี่ยวนำการกักขังวิญญาณ

ระหว่างทางที่จะเจอกับหลงหมิง หลัวซิวก็เริ่มศึกษาและทำความเข้าใจวิชาท่าร่างของมังกรเขียว หลังจากที่เขาพึ่งจะเข้าใจเพียงเศษเสี้ยวของมัน หลัวซิวรู้สึกว่าความเร็วในการเคลื่อนที่ของเขาเพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งในนั้นมันมีความลับของกฎแห่งลมอยู่

กฎคือตัวตนที่อยู่เหนือพลังแห่งคุณลักษณะ หากเข้าใจ 1 หรือ 2 ข้อ ก็สามารถสัมผัสความลึกลับของสวรรค์และโลกได้

แต่วิชาท่าร่างของมังกรเขียว เป็นเทคนิคการเคลื่อนไหวในระดับสูงสุดซึ่งเกี่ยวข้องกับการใช้กฎหมายอันลีกลับและนอกจากกฎแห่งลม หากสามารถฝึกฝนในระดับที่สูงแล้ว ยังสามารถสัมผัสความลึกลับของกฎแห่งอากาศ

ครั้งนี้หลัวซิวออกไปตามลำพังเป็นเวลาสี่วันแล้ว เมื่อเขากลับมา หลงหมิงมองมาที่เขาด้วยแววตาแปลกใจ

เป็นการทะลวงไปยังอาณาจักรราชายุทธ์ หลงหมิงเคยเป็นชายที่แข็งแกร่งเทียบได้กับจักรพรรดิยุทธ์ เขามีประสบการณ์มากมายและวิธีการที่ไม่สิ้นสุดเทียบเท่าจักรพรรดิยุทธ์ และถ้าเขาถามตัวเองในอาณาจักรเดียวกัน เขาสามารถบดขยี้คู่ต่อสู้ทั้งหมดลงได้

แต่เมื่อเขาเผชิญหน้ากับหลัวซิว เขาก็ไม่มีความมั่นใจนี้เลย และแม้แต่เขาก็ยังรู้สึกได้ถึงภัยคุกคามจากตัวหลัวซิว และการคุกคามนี้อาจถึงแก่ชีวิตได้!

“บัดซบ ในสมัยโบราณข้าฝึกฝนมาหลายหมื่นปี เจ้าเด็กนี้อายุแค่ 17 ปี ในเวลาเดียวกันทำให้ข้าสัมผัสได้ถึงอันตรายถึงชีวิตและความตาย นี่มันสัตว์ประหลาดอะไรกัน? นี่มันใช่มนุษย์เหรอ?” มุมปากของหลงหมิงกระตุกและเขาก็พึมพำอยู่ในใจ

“หลงหมิง ขอบใจมาก”

หลัวซิวยิ้มเล็กน้อย และมองไปที่เหยียนเยว่เอ๋อร์ที่ยังอยู่ในอาการโคม่า

เมื่อได้ยินว่าหลัวซิวพูดคำขอบคุณให้กับตัวเขา หลงหมิงมีความรู้สึกแปลก ๆ ที่เขาไม่สามารถบอกได้ เพราะในขณะนี้หลัวซิวไม่ถือว่าตัวเองเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่ถูกควบคุมโดยวิญญาณ แต่ปฏิบัติต่อเขาในฐานะเพื่อนระดับเดียวกัน

“เรื่องเล็กน้อยเอง” หลงหมิงหัวเราะ ความแค้นระหว่างเขากับหลัวซิวก็ลดลงเล็กน้อย

“ไม่รู้ว่าเยว่เอ๋อร์จะฟื้นเมื่อไหร่ ข้าจะลองไปดูที่ส่วนลึกของคีตโลกาถ้ำเทพสถิตนี้ ดังนั้นข้าต้องการให้เจ้าช่วยดูแลเธอหน่อย” หลัวซิวพูดขึ้น

“เจ้าจะไปจริง ๆ? ที่นั่นมีแต่กลุ่มของพวกระดับจอมยุทธ์” หลงหมิงขมวดคิ้วพูด

แม้ว่าเขาจะประเมินสัตว์ประหลาดอย่างหลัวซิวไว้สูงมาก แต่การฝึกฝนของเขาเพิ่งมาถึงระดับหนึ่งของราชายุทธ์ และมันก็ไม่เพียงพอที่จะแข่งกับจักรพรรดิยุทธ์ที่แข็งแกร่งได้

“และแม้ว่าเจ้าจะไป เจ้าก็จะไม่ได้สิ่งที่ดีมา” หลงหมิงส่ายหัวและพูดอีกครั้ง

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ดวงตาของหลัวซิวก็สว่างขึ้น “เจ้ารู้จักคีตโลกาถ้ำเทพสถิตแห่งนี้มากน้อยแค่ไหนกัน?”

แน่นอน หลงหมิงถึงกับพูดออกมาแบบนี้ เขาน่าจะรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับคีตโลกาถ้ำเทพสถิตแห่งนี้

หลังจากความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝ่ายดีขึ้น หลงหมิงก็ไม่ปิดบังและพูดอย่างช้า ๆ “คนที่เป็นคนเปิดคีตโลกาถ้ำเทพสถิตแห่งนี้ อาจเป็นคนที่แข็งแกร่งที่รับผิดชอบปกป้องอาณาจักรลับของแดนหลิงจื๋อในสมัยโบราณ”

“พลังอันยิ่งใหญ่ในสมัยโบราณมีอาณาจักรลับของแดนหลิงจื๋อที่เชี่ยวชาญในการปลูกฝังวัตถุทางจิตวิญญาณทุกชนิด ยาอายุวัฒนะ และมีค่ามาก ด้วยความแข็งแกร่งของสำนักไท่เสวียน ผู้พิทักษ์ที่แข็งแกร่งที่ปกป้องอาณาจักรลับของแดนหลิงจื๋อ ต้องอยู่ในระดับจักรพรรดิยุทธ์”

“ข้าสัมผัสได้ว่าในส่วนลึกของคีตโลกาถ้ำเทพสถิตแห่งนี้ มีรัศมีของเขาทองดำไท่เสวียน ซึ่งเป็นสมบัติทางจิตวิญญาณที่มีชื่อเสียงมากของสำนักไท่เสวียนในสมัยโบราณ ด้วยการปราบปรามสมบัตินี้ แม้จะมีของดี มันไม่ง่ายเลยที่จะได้มา”

เมื่อหลงหมิงพูดแบบนี้ การแสดงออกของเขาดูเคร่งขรึมมาก “สำหรับเขาทองดำไท่เสวียน เมื่อเทียบกับที่ข้าปราบปรามแท่นวิภาห้าหมื่นปีแล้ว ก็ไม่ต่างกันมาก”

แม้ว่าหลงหมิงจะได้พูดไปแล้ว แต่หลัวซิวก็ไม่อยากที่จะเสียโอกาสนี้ เพราะเขามีสมบัติลับที่คนอื่นไม่รู้ และนั่นคือลูกแก้วดำที่แนะนำทางให้เขาเจอที่นี่

ในอดีต อาจารย์ตระกูลจูได้นำลูกแก้วดำเพื่อค้นหาที่ตั้งของคีตโลกาถ้ำเทพสถิตแม้ว่าพวกเขาจะพบตำแหน่ง แต่ก็ไม่สามารถเปิดวังวนอวกาศได้ ด้วยเหตุนี้ จึงสูญเสียกำลังคนจำนวนมาก

และหลังจากที่หลัวซิวเข้าสู่คีตโลกาถ้ำเทพสถิตแห่งนี้ด้วยลูกแก้วดำเขาก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกของการเรียกจากส่วนลึก ซึ่งเป็นโอกาสที่ไม่ต้องสงสัยเลย

โอกาสคือสิ่งที่เจอแต่แสวงหาไม่ได้ เมื่อเจอแล้วพลาดไป ใครจะพอใจกัน?
ความมั่งคั่ง และโอกาสอันล้ำค่าใด ๆนั้น ได้มาซึ่งการต่อสู้ด้วยชีวิต

“ข้ายังคงวางแผนที่จะไปดู ถ้าไม่ไหวจริง ๆ ข้ามีความมั่นใจมากที่จะถอยกลับได้”

หลังซิวตัดสินใจแล้ว เหลือบมองเหยียนเยว่เอ๋อร์ที่อยู่ในอาการไม่สู้ดีและพูดกับหลงหมิง “เจ้าช่วยข้าดูแลเธอ และเมื่อข้ากลับมา ข้าจะช่วยปรุงยาสองสามตัวเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้เจ้า”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ ใบหน้าของหลงหมิงก็แสดงออกถึงความสุข เขาเคยกินยาที่หลัวซิวปรุง และมันเป็นยาเม็ดบริสุทธิ์ที่ไม่มีสิ่งเจือปนเลยและเป็นของหายากในสมัยโบราณ

“ข้าได้บอกเจ้าไปแล้วว่ามันอันตรายแค่ไหน ยังไงข้าก็อยากแนะนำให้เจ้าคิดดี ๆ กลัวว่าถ้าเจ้าไม่ไหวแล้ว ก็จะไม่มีใครมาปรุงยาให้ข้า” หลงหมิงพูดด้วยปากมุ่ย

ลึกเข้าไปในคีตโลกาถ้ำเทพสถิตนั่น ที่ยอดเขาทองดำ

แม้ว่าเหว้ยห้าวหรานจะเป็นปรมาจารย์ระดับหก แต่ก็ไม่ง่ายอย่างที่เขาคิดที่จะทำลายและการปราบปรามรูปแบบการห้ามบินชั่วคราว

“ไอ้หน้าเงินเหว้ย สรุปเจ้าทำได้ไหม?” อาจารย์หงหมิงอดไม่ได้ที่จะบ่น

ก่อนหน้านี้เหว้ยห้าวหรานได้ใช้ประโยชน์จากนักศิลปะการต่อสู้ที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว แต่ในช่วงเจ็ดหรือแปดวันที่ผ่านมา เขาได้ลองสามครั้งแล้ว และถึงแม้เขาจะสามารถทำลายโซ่ตรวนของรูปแบบห้ามบินได้ แต่ระยะเวลาสั้นเกินไป เป็นไปไม่ได้ที่จะบินถึงยอดภูเขานี้จะตกลงมา

ด้วยเหตุนี้เหว้ยห้าวหรานจึงสูญเสียธงลำดับที่หกไปเป็นจำนวนมาก และการแสดงออกทางสีหน้าที่เจ็บปวดของเขาก็บิดเบี้ยวจนแทบจะเป็นบ้า

“ไอ้แก่หง หุบปากไปเลยนะ ข้าบอกว่าได้ ก็ต้องได้!

เหว้ยห้าวหรานตะโกนด้วยดวงตาแดงก่ำ และพลิกฝ่ามือของเขา หยิบธงสีทองออกมาหลายผืน

ตัวสำนึกของหลัวซิวสำรวจแสงแรก และมีภาพขึ้นในหัวของเขา ร่างที่ปกคลุมไปด้วยแสงสีเลือด พุ่งไปฆ่าคนอยู่ในสนามรบ ทุกครั้งที่เขาฆ่าไปคนหนึ่ง พลังและเลือดของอีกฝ่ายก็จะกระเซ็นออกไป กลายเป็นอักษรยันต์ที่บิดเบี้ยวและแปลกประหลาด แล้วถูกตราไว้บนดาบยาวสีเลือดในมือของเขา

ยิ่งเขาฆ่าคนมากเท่าไร อักษรยันต์ที่แปลกประหลาดยิ่งถูกตราไว้บนดาบยาวมากขึ้น พลังจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น

แน่นอนว่า นี่เป็นทักษะยุทธ์ซึ่งเหมาะสำหรับการเข่นฆ่า เรียกว่าวิชากระบี่พรากชีวีสำเร็จจักรพรรดิ!

สิ่งที่ทำให้หลัวซิวสนใจก็คือ วิชากระบี่พรากชีวีสำเร็จจักรพรรดินี้เป็นทักษะยุทธ์ระดับต่ำ แม้ว่ามันจะเป็นทักษะระดับต่ำ แต่ผลที่ได้ น่าอึ้ง พลังจะดีกว่าทักษะยุทธ์ระดับกลางหลายวิชา

“ช่างเป็นทักษะยุทธ์วิถีแห่งการฆ่าที่ยอดเยี่ยมจริงๆ หากข้าฝึกฝนสำเร็จ ฆ่าแดนราชายุทธ์ ขั้น 5 ก็เหมือนกับการเชือดสุกรและสุนัข!”

ดึงตัวสำนึกกลับมา หลัวซิวแทบรอไม่ไหวที่จะตรวจสอบแสงอีก 2 ดวง ทักษะยุทธ์ที่นำเสนอในนั้น ไม่ทำให้เขาผิดหวัง

ในแสงที่สองเป็นทักษะยุทธ์การป้องกันตัว เตาเทพอสูร ซึ่งเอาพลังจิตพลังจิตแท้ผนึกรวม กลายเป็นภาพแกะสลักเป็นภาพเทพอสูรที่เป็นรูปทรงเตา แขวนอยู่บนศีรษะด้วยเตาเทพอสูร มีการป้องกันที่แข็งแกร่ง และมีการโจมตีวิญญาณ มีผลการป้องกันที่ดีด้วย

ทักษะยุทธ์การป้องกันวิชานี้ เป็นวิชายิ่งเลิศเหมือนกัน และยังเป็นวิชายิ่งเลิศระดับกลางอีกด้วย หากหานักกลั่นสมบัติเจอสามารถปรับปรุงตามหลักการของเตาเทพอสูร กลั่นสมบัติการป้องกันออกมา มีประโยชน์มากมาย

เตาเทพอสูร เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในการปกป้องชีวิตอย่างไม่ต้องสงสัย มีทักษะยุทธ์ดังกล่าว แม้แต่การโจมตีของราชายุทธ์ระดับ 9 ก็สามารถต้านทานได้ และแม้แต่การโจมตีของผู้ที่เพิ่งแดนจักรพรรดิยุทธ์ สามารถต้านทานได้ ได้บ้าง ไม่ใช่ปัญหา

ในแสงที่สามสุดท้าย เป็นทักษะยุทธ์พวกวิชาท่าร่าง วิชายิ่งเลิศระดับต่ำ วิชาท่าร่างบรรลุมังกรเขียว!

“นี่จะเลือกอย่างไรดีล่ะ อยากได้หมดเลย…”

หลัวซิวเจ็บไข่ วิชายิ่งเลิศทั้งสามวิชานี้ ทุกวิชาจะทำให้ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นอย่างมาก ถ้าเขาฝึกฝนไปพร้อม ๆ กัน เขาจะเทียบเท่ากับว่าวิชายิ่งเลิศ 4 อย่าง และความแข็งแกร่งของเขาสามารถทะยานสู่ฟ้าได้แล้ว

วิชายิ่งเลิศ อยู่เหนือกว่าวิชายุทธ์ระดับ 9 เกินขอบเขตของวิชายุทธ์ธรรมดา สูญพันธุ์ในโลกแล้ว มีเพียงที่นี่ที่เดียว จึงเรียกว่าวิชายิ่งเลิศ!

ในสมัยโบราณ การสืบทอดแก่นแท้ของอำนาจสูงสุด ก็อยู่ในระดับวิชายิ่งเลิศเอง

ตัวอย่างเช่น หลงหมิงเคยกล่าวไว้ว่า สำนักไท่เสวียนโบราณมีวิชายิ่งเลิศบางอย่างที่ไม่สืบทอด ในหมู่พวกเขา วิชาฝึกจิตไท่เสวียน เป็นหนึ่งในนั้น

ในแดนนานาอสูร ฆ่าอสูรเพื่อเอาลูกแก้วโลหิต หลังจากกลืนลงไป ซึ่งไม่เพียงแต่ปรับปรุงร่างกายเท่านั้น แล้วยังสามารถเพิ่มการฝึกฝนได้อีกด้วย

ในสมัยโบราณ ในสำนักไท่เสวียน แดนนานาอสูร เป็นสถานที่ที่เพิ่มพลังการฝึกฝนอย่างรวดเร็วของศิษย์ในสำนัก

ในไท่ซวนเหมินในสมัยโบราณ ดินแดนลึกลับของปีศาจนับไม่ถ้วนเป็นอาณาจักรแห่งประสบการณ์ลับสำหรับเหล่าสาวกในการพัฒนาการฝึกฝนของพวกเขาอย่างรวดเร็ว

เห็นได้ว่า วิชายิ่งเลิศล้ำค่าเพียงใด

ตอนนี้ วิชายิ่งเลิศสามวิชาวางอยู่ตรงหน้าหลัวซิว แต่เขาสามารถเลือกได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น หลัวซิวต้องคิดให้รอบคอบ

วิชากระบี่พรากชีวีสำเร็จจักรพรรดิเป็นวิชาที่ทรงพลังที่สุดในสามวิชานี้อย่างไม่ต้อง และเป็นวิชายิ่งเลิศที่สามารถเติบโตได้ แดนยิ่งสูง ฆ่าศัตรูได้มากเท่าไหร่ ความทรงพลังของวิชายิ่งเลิศนี้ก็จะยิ่งมากขึ้น

ตามแผนการของหลัวซิว ถ้าเขาสามารถฝึกฝนวิชากระบี่ยิ่งเลิศนี้ แม้จะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งแดนราชายุทธ์ขั้น 9 อาจไม่สามารถฆ่าคู่ต่อสู้ได้ แต่อยู่ในจุดที่ไม่พ่ายแพ้ก็ไม่ยาก

เตาเทพอสูร เป็นวิชายิ่งเลิศระดับกลางเพียงหนึ่งเดียวในบรรดาวิชายิ่งเลิศนี้ มีการป้องกันที่ไม่มีใครเทียบได้ หลังจากฝึกฝนแล้ว ก็สามารถต้านทานการโจมตีของผู้แข็งแกร่งที่มีระดับการฝึกฝนมากกว่าเขาเกินหนึ่งแดนบรรลุผลได้

ยังนี้แล้ว ก็หมายความว่าด้วยฐานการฝึกฝนแดนราชายุทธ์ระดับแรกของหลัวซิว สามารถป้องกันการโจมตีของจักรพรรดิยุทธ์ระดับแรกได้

แต่เพราะฝึกฝนของเขาต่ำเกินไป สามารถป้องกันการโจมตีจากผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ได้หนึ่งหรือสองครั้งกระบวนท่า แต่แล้วสามกระบวนท่า สี่กระบวนท่า และกระบวนท่าที่มากกว่านั้นล่ะ?

ไม่ว่ายังไง วิชายิ่งเลิศจะทรงพลังเพียงใดก็ตาม ก็ยังขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นผู้ที่ใช้

ภัยคุกคามระดับราชายุทธ์ สำหรับหลัวซิวในตอนนี้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ สิ่งที่เขาต้องพิจารณาคือ เมื่อเขาเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ เขาจะให้โอกาสตัวเองในการหลบหนีมากกว่า

วิชากระบี่พรากชีวีสำเร็จจักรพรรดิและเตาเทพอสูรนั้นไม่ดีแน่ และวิชาท่าร่างบรรลุมังกรเขียว สามารถเพิ่มความเร็วและควบพลังคุมเวลาให้เขาได้ ถ้าเขาพบกับผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ เขาอาจหนีการโดนฆ่าโดยอาศัยความได้เปรียบทางความเร็ว

สำหรับด้านการโจมตี เขามีตราธรรมจุติมรณะ วิชาภูตผีเซินหลัวและด้านการป้องกันก็มีร่างยุทธ์ระดับราชาช่วงปลาย จุดที่อ่อนที่สุดคือความเร็ววิชาท่าร่าง!

เมื่อก่อนเพราะการฝึกฝนต่ำ ทักษะพิเศษของวิชาดาบเร็วเริ่มไม่มีที่ใช้การแล้ว ความเร็วของเขาไม่มีใครเปรียบได้ในระดับเดียวกัน

แต่ตามการฝึกฝนที่สูงขึ้นทีละน้อย ประโยชน์ทักษะพิเศษของวิชาดาบเร็วก็ลดน้อยลงเรื่อยๆ ทำให้เขาค่อยๆ สูญเสียความได้เปรียบในด้านความเร็ว

“ข้าเลือกวิธีร่างกาย!”

หลัวซิวไม่ใช่ผู้ที่ชอบลังแล ใช้เวลาไม่นานเขาก็ตัดสินใจได้แล้ว เอื้อมมือออกไปคว้าแสงวิชาท่าร่างบรรลุมังกรเขียว

บูม!

วิชาทีที่ฝ่ามือสัมผัสแสง ข้อมูลมากมายถูกส่งตรงไปยังความทรงจำในวิญญาณหยั่งรู้ของหลัวซิว
ในเวลาเดียวกัน รังสีของแสงที่เป็นวิชายิ่งเลิศอีกสองแสงก็สลายไปในทันที ทำให้หลัวซิวรู้สึกเสียดายและเสียใจเล็กน้อย

“หากสามารถได้ทั้งสามวิชายิ่งเลิศ จะดีแค่ไหนกันนะ?” หลัวซิวพึมพำด้วยเสียงต่ำ

สำหรับการมอบของขวัญกฎดั้งเดิม เขามีความเข้าใจที่ลึกซึ้งมากขึ้น บอกว่าเป็นการมอบของขวัญ พูดว่าเป็นรางวัลจะดีกว่า

ความหมายที่ซ่อนอยู่คือ การกระตุ้นให้เขาฝึกฝนให้ตนเองแข็งแกร่งให้เร็วขึ้น เพราะถ้าเขาได้รับวิชายิ่งเลิศทุกด้านโดยตรง เขาจะขาดการฝึกฝนตนกับกระบวนการเติบโตที่ค่อยเป็นค่อยไป

อย่างแรก คือการดึงต้นกล้าให้เติบโตเร็วเกินไป อย่างที่สองผลการฝึกฝนค่อนข้างช้า แต่กมีรากฐานที่มั่นคง ก้าวไปทีละขั้นตอน

รากฐาน สิ่งนี้จะไม่ชัดเจนในระยะแรก แต่เมื่อระดับการฝึกฝนสูงขึ้นเรื่อย ๆ ผู้ที่รากฐานมั่นคงและแข็งแกร่ง จะสามารถไปต่อบนเส้นทางนักยุทธ์ได้ไกลกว่า

วิชายิ่งเลิศ เป็นการสืบทอดที่อยู่เหนือกว่าวิชายุทธ์ขั้น 9

และหลัวซิวก็รู้จักการสืบทอดที่อยู่เหนือกว่าวิชายิ่งเลิศ นั่นคือพลังอมตะ!

ตัวอย่างเช่น ผู้เป็นอมตะ เป็นการสืบทอดประเภทหนึ่งที่อยู่เหนือวิชายิ่งเลิศ โดยกฎดั้งเดิมที่บรรจุอยู่ในลูกแก้วความเป็นตาย และตื่นขึ้นในฐานะผู้สืบทอด พลังนี้เรียกได้ว่าทวนนภา แค่ไม่ถูกโจมตีในครั้งเดียวแล้วเสียชีวิต ก็จะดีขึ้นกว่าจุดเดิมและพลังจะเพิ่มตามมาด้วย

“กฎดั้งเดิมได้มอบของขวัญให้แก่เจ้าแล้ว ผู้สืบทอดที่อ่อนแอ หลัวว่าเจ้าจะผ่านแดนจักรพรรดิยุทธ์ในเร็วๆนี้ จากนั้นเจ้าจะได้รับรางวัลการมอบของขวัญในครั้งต่อไป”

เสียงของเทพแห่งวัฏจักรชีวิตดังขึ้นมาอย่างช้าๆ และในทันใดนั้น หลัวซิวรู้สึกว่าสายตาของเขาเริ่มเบลอโซนวัฏจักรชีวิตถูกส่งส่งออกไปจากวัฏจักรชีวิต

ในท้ายที่สุด เขาเหลือบมองวัฏจักรชีวิตขนาดใหญ่และสายธารชะตาชีวิตอย่างอาลัย และแอบคิดกับตัวเองว่า หากวันหนึ่งเขาได้วัฏจักรชีวิตและสายธารชะตาชีวิตมา นั่นต้องเป็นภาพแบบไหนกันนะ?

มองออกไปแล้ว ไม่มีผู้แข็งแกร่งใดที่สู้เขาได้ งั้นก็ได้มาอย่างง่ายดายไม่ใช่หรือ?

เพียงแต่ว่าทั้งหมดนี้ สำหรับเขาแล้ว อยู่ไกลเกินไป



“อย่างที่คิด แดนบรรลุผล ความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้น เป็นเปลี่ยนแปลงไปหมดอย่างที่สั่นสะเทือนโลกจริง!”

รอยยิ้มที่พึงพอใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลัวซิว ก่อนหน้านี้ที่ยังไม่ผ่านแดน ความแข็งแกร่งของเขา อย่างมากสามารถจะสู้ได้กับแดนราชายุทธ์ขั้น 4 หรือขั้น 5ได้เท่านั้น

แต่ตอนนี้ การฝึกฝนของเขาดูเหมือนแค่ทะลุแดนสำเร็จน้อย แต่พลังการต่อสู้ของเขาเพิ่มขึ้นเทียบได้กับแดนสำเร็จน้อยสามเท่า!

ในเวลานี้เองที่เขาสังเกตเห็นชายหนุ่มสวมชุดสีเงินสีขาวตรงหน้าเขา

“เจ้าคือหลงหมิง? เจ้าถึงขั้น 5 ก็สามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้แล้วหรือ?” เพราะการเชื่อมโยงวิชาสยบวิญญาณทำให้หลัวซิวแน่ใจว่าบุคคลนี้คือหลงหมิง

“แน่นอน ลท่านชายหลงอย่างข้า ในสมัยโบราณ ข้าเป็นถึงเจ้าชายของเผ่ามังกรไร้ร่าง!” หลงหมิงพูดพร้อมกับหัวเราะอย่างได้ใจ

“เจ้าชายแห่งเผ่ามังกรไร้ร่างโบราณ?” หลัวซิวประหลาดใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รู้ถึงตัวตนของมันในสมัยโบราณจากปากของหลงหมิง

เผ่ามังกรโบราณ เป็นมหาอำนาจที่โดดเด่นในสมัยโบราณอย่างแน่นอน เจ้าชายของเผ่า มีสถานะเทียบเท่าเจ้าสำนักน้อยของมหาอำนาจในปัจจุบัน

หลัวซิวคาดไม่ถึงว่าภูมิหลังขอ หลงหมิงจะใหญ่แบบนี้

แต่ลองคิดดูดีๆ ถ้าไม่มีภูมิหลังที่ใหญ่แบบนี้ พลังวิเศษที่สามารถเปลี่ยนชะตากรรมของตนเองเมื่อพลังแห่งชีวิตหมดลงได้อย่างไร คนธรรมดาจะทำได้อย่างไรกัน?

เรื่องเกี่ยวกับตัวตนของหลงหมิง หลัวซิวไม่ได้ถาม เพราะผ่านไปห้าหมื่นปีแล้ว สมัยโบราณก็กลายเป็นอดีตที่ฝังอยู่ในผงธุลีของประวัติศาสตร์

หลงหมิงในตอนนี้ ไม่ใช่เจ้าชายของเผ่ามังกรโบราณอีกต่อไป แต่เป็นมังกรไร้ร่างที่เพิ่งมาถึงระดับ 5 เป็นมังกรไร้ร่างที่ศักยภาพที่ดีเท่านั้น

หลัวซิวไม่รู้ว่า เมื่อหลงหมิงกล่าวว่าเขาเป็นเจ้าชายของเผ่ามังกร จริง ๆ แล้วเขาอายเล็กน้อย

เหยียนเยว่เอ๋อร์ ยังอยู่สลบอยู่ แต่ออร่าแห่งชีวิตในร่างกายของนางคงที่ แม้ว่าลายเส้นชีวิตของนางจะมืดมน แต่ก็ไม่มีความเสียหายร้ายแรง

หลัวซิวใช้แท้พลังจิตแท้เป็นตาย 2 ระดับของตนเอง เปลี่ยนเป็นพลังแห่งชีวิต ช่วยนางซ่อมแซมลายเส้นชีวิตของนาง แต่นางก็ยังไม่ตื่น

“เลือดหงส์โบราณของนางเผาผลาญหมดแล้ว ต้องใช้เวลานานกว่าจะตื่น และเลือดหงส์โบราณที่สูญเสียไปต้องการสมบัติฟ้าดินมากมายเพื่อฟื้นฟู” หลงหมิงกล่าวอยู่ข้างๆ

เขาเป็นมังกรโบราณไร้ร่าง รู้เรื่องของเผ่าหงส์มากกว่าหลัวซิว

ตามที่หลงหมิงกล่าวว่า เหยียนเยว่เอ๋อร์ไม่มีปัญหาที่คุกคามถึงชีวิต เพียงเพราะเลือดหงส์โบราณ ถูกใช้เกินไป นางต้องการนอนเพื่อการฟื้นตัวอย่างช้าๆ

และเรื่องที่เกี่ยวกับสายเลือด ความเข้าใจในปัจจุบันของหลัวซิวเกี่ยวกับปราณเป็นตาย 2 ระดับ ยังไม่สามารถช่วยให้นางฟื้นตัวได้

“เจ้าช่วยข้าเฝ้านางก่อน ข้ามีบางอย่างที่ต้องทำ” หลัวซิวพูดกับหลงหมิง

“ได้” หลงหมิงพยักหน้า

เขาไม่รู้ว่าหลัวซิวจะไปทำอะไร แต่เขาไม่ได้ถาม ทุกคนมีความลับของตัวเองและเขาก็มีเหมือนกัน หลัวซิวที่เหมือนสัตว์ประหลาดแบบนี้จะไม่มีได้อย่างไร?

การสอดแนมความลับของคนอื่นถือเป็นข้อห้ามใหญ่ของนักยุทธ์ และหลงหมิงจะไม่ทำสิ่งโง่เขลาดังกล่าวนี้

ร่างกลายเป็นเงา หลัวซิวกระโดดขึ้นและหายเข้าไปในส่วนลึกของหญ้า

ห่างออกไปหลายสิบไมล์ที่ หลัวซิวหยุดลง ตัวสำนึกของเขาตรวจสอบบริเวณโดยรอบ นำธงขลังสรรพสิ่งออกมา และสร้างผังค่ายซ่อนงำ ผังค่ายคุ้มกัน ผังค่ายป้องกัน ผังค่ายการเตือน

ตามคำพูดของแห่งวัฏจักรชีวิต ทำตามเจตจำนงของกฎดั้งเดิม เมื่อใดก็ตามหลังจากที่พลังของผู้สืบทอดทะลุแดนสำเร็จน้อย ก็จะได้รับของขวัญจากกฎดั้งเดิม

ผลการฝึกของเขาเพิ่งจะถึงแดนราชายุทธ์ ซึ่งเพิ่งผ่านข้อกำหนดนี้ไปได้พอดี

ครั้งก่อนของขวัญที่เขาได้รับจากกฎดั้งเดิม ทำให้เขาได้รับความทรงจำของปรมาจารย์กลั่นยาระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น9ในสมัยโบราณ โบราณ ซึ่งช่วยเขาได้มากและได้รับประโยชน์มากมาย

“ไม่รู้ว่าครั้งนี้ ของขวัญแบบไหนที่ข้าจะได้รับจากกฎดั้งเดิม?”

หลัวซิวนั่งขัดสมาธ หลับตาลง ตัวสำนึกสื่อสารกับเทพแห่งวัฏจักรชีวิตที่อยู่ในลูกแก้วความเป็นตาย

ในทันใดนั้น ร่างของหลัวซิวหายไปในทันที วินาทีต่อมาเขาก็ปรากฏตัวขึ้นในโซนวัฏจักรชีวิตที่คุ้นเคย

ในโลกลูกแก้วความเป็นตาย วัฏจักรชีวิตลอยสูง สายธารแห่งชะตาชีวิตไหลริน ดังนั้นหลัวซิวจึงเรียกมันว่าโซนวัฏจักรชีวิต

เหนือศีรษะ คือวัฏจักรชีวิตขนาดมหึมา ทุกครั้งที่เห็นมัน จะทำให้เขาตะลึง ต่อหน้าวัฏจักรชีวิต รู้สึกได้ถึงความเล็กน้อยของตนเองและความถ่อมตน

“เราเจอกันอีกแล้วนะ ผู้สืบทอดที่อ่อนแอ”

เสียงของเทพแห่งวัฏจักรชีวิตดังออกมาจากวัฏจักรชีวิต ก้องกังวานไปทั่วท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว แม้ว่ามันจะไม่มีออร่าที่บีบบังคับ แต่ก็ทำให้เขารู้สึกว่างเปล่าและลึกลับไม่รู้จบ

แท้จริงแล้ววิญญาณแห่งฟ้าดิน เป็นพลังบางอย่างในฟ้าดิน หลังจากเวลาผ่านไป จิตวิญญาณก็ถือกำเนิดขึ้น

ทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดิน ลม และฟ้าร้อง ล้วนสามารถให้กำเนิดวิญญาณแห่งฟ้าดิน อย่างอื่นเช่น หยินหยาง เป็นตาย เวลา โซน ก็สามารถกำเนิดวิญญาณแห่งฟ้าดินได้เช่นกัน

แต่ระดับพลังที่ยิ่งสูงขึ้น ความน่าจะเป็นที่จะกำเนิดวิญญาณแห่งฟ้าดินก็จะยิ่งต่ำลง

แท้จริงแล้ว เทพแห่งวัฏจักรชีวิตเป็นวิญญาณแห่งฟ้าดินที่กำเนิดมาจากกฎแห่งชีวิตและความตาย

เช่นเดียวกับภูตอัคคีกลืนกิน เป็นวิญญาณแห่งฟ้าดินเหมือนกัน แต่เมื่อภูตอัคคีกลืนกินเปรียบเทียบกับมัน ก็เหมือนกับช่องว่างระหว่างมดกับจักรพรรดิยุทธ์ไม่มีการเปรียบเทียบเลย

ต่อหน้าผู้สืบทอด เพิ่มคำว่า ‘อ่อนแอ’ เข้ามา ทุกครั้งที่ฟังดูรู้สึกไม่ดีมาก หลัวซิวรู้สึกอึดอัดมาก

แต่ไม่ว่าเขาจะแสดงความไม่พอใจอย่างไร เทพแห่งวัฏจักรชีวิตก็ไม่คิดที่จะสนใจเขาเลย เพียงแค่บอกว่าจะลบคำว่า ‘อ่อนแอ’ ออกไปก็ต่อเมื่อเขาแข็งแกร่งอยู่ในระดับหนึ่ง

ส่วนเรื่องที่บอกว่าแข็งแกร่งถึงไหนนั้น หลัวซิวไม่รู้

“ผู้สืบทอดที่อ่อนแอ การฝึกฝนของเจ้าถึงแดนราชายุทธ์แล้ว ตรงกับข้อกำหนดสำหรับการได้รับของขวัญจากกฎดั้งเดิมครั้งที่สี่”

เสียงของเทพแห่งวัฏจักรชีวิตดังขึ้นอีกครั้ง “ของขวัญครั้งนี้ เป็นทักษะยุทธ์ เลือกหนึ่งในสาม!”

สายธารชะตาชีวิตที่ไหลอยู่ใกล้วัฏจักรชีวิต มีความทรงจำและชีวิตของทุกชีวิตตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน ในนั้น รวมผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์กระทั่งผู้แข็งแกร่งที่เหนือกว่าจักรพรรดิยุทธ์ ในความทรงจำของพวกเขามีประสบการณ์และข้อมูลเชิงลึกมากมายนับไม่ถ้วน รวมถึงวิชายุทธ์สูงส่งที่สูญหายไปมากมาย!

หลังจากผ่านการมอบของขวัญสามครั้งก่อนหน้านี้ หลัวซิวน่าจะรู้กฎแล้ว กฎดั้งเดิมจะมอบของขวัญให้ตามการฝึกฝนของเขาและพวกเขาจะถูก จำกัด ให้อยู่ในเวลาทั่วไปที่เขาสามารถใช้ได้

ตัวอย่างเช่น ครั้งแรกที่เขาได้รับวิชาดาบเร็ว ตอนนั้น เขาอยู่ในแดนฝึกชี่ไห่ วิชายุทธ์ธรรมดาไม่มีประโยชน์สำหรับเขา และวิชายุทธ์ระดับสูงก็ยังไม่สามารถฝึกฝนได้ ดังนั้นกฎดั้งเดิมจึงมอบทักษะอย่างหนึ่งให้เขา ทักษะที่ทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้น โดยไม่ต้องแข็งแกร่งเกินไป

ครั้งที่สองเขาได้รับวิชายิ่งเลิศพลังแปรเสวียนเทียน ครั้งที่สามคือความทรงจำกลั่นยา ของขวัญแต่ละชิ้นอยู่ในขอบเขตพอดี

ขณะที่หลัวซิวกำลังคิดอยู่ แสงสามดวงก็พุ่งออกมาจากสายธารแห่งชะตาชีวิตของวัฏจักรชีวิตขนาดใหญ่และหยุดอยู่ตรงหน้าเขา

ยาเทพจิตของผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ ก็เป็นสมบัติล้ำค่าเช่นกัน หากใช้กับยาทิพย์หลายตัวดีๆ สามารถกลั่นยาครองใต้หล้าได้ ซึ่งสามารถทำให้ผู้ที่อยู่ในแดนราชายุทธ์สูงสุดทะลุไปถึงแดนจักรพรรดิยุทธ์ได้ เพิ่มความสำเร็จได้หลายส่วน

ในขณะนี้ หลัวซิวได้โยนยาเทพจิตอันล้ำค่านี้เข้าไปในปากของเขา และกินมันเหมือนวัวเคี้ยวดอกโบตั๋น

แม้ว่าจะไม่ได้รับการกลั่นเป็นยา แต่ผลยาเทพจิตของจักรพรรดิยุทธ์ สามารถเทียบได้กับยามหาราชาแล้ว

หลัวซิวไม่เคยสามารถรวบรวมวัสดุสำหรับหลั่นยามหาราชาได้ ในขณะนี้ ใช้ยาเทพจิตของจักรพรรดิยุทธ์ที่มีผลเช่นเดียวกัน ก็คุ้มเหมือนกัน

“ไอ้ตัวร้าย ข้าจะสู้กับเจ้า!”

ดวงตาของว่านเหลียงเฉิงเบิกกว้าง แผดเผาเทพจิตของเขาอย่างบ้าคลั่ง ผนึกรวมเป็นพลังโจมตีวิญญาณที่ทรงพลัง

นี่ เป็นทางเลือกสุดท้ายของเขาแล้ว เพราะพลังเทพจิตถูกใช้ไปอย่างมาก และการโจมตีจากการแผดเผาผนึกรวม ไม่สามารถคุกคามจักรพรรดิยุทธ์ได้

แต่ถ้าต้องการที่จะฆ่าผู้ที่แดนต่ำกว่าจักรพรรดิยุทธ์ก็เกินพอแล้ว

อารมณ์ของว่านเหลียงเฉิง สับสนและซับซ้อนมาก เขาไม่คิดจะดึงหลัวซิวและเหยียนเยว่เอ๋อร์ไปตายด้วยกันแล้ว แค่หวังว่าก่อนที่เขาจะตายจะสามารถดึงแค่คนๆหนึ่งไปตายด้วยก็เพียงพอแล้ว

แต่ ทุกครั้งที่มีความหวังปรากฏขึ้นในใจ ความสิ้นหวังจะตามมาเสมอ

ทันใดนั้น โซนคุมขังโดยรอบก็แข็งตัว ราวกับกรงที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า กักขังพลังเทพจิตที่เขาแผดเผา

“เกิดอะไรขึ้น?”

ว่านเหลียงเฉิงถูกทรมานจนแทบเป็นบ้า เพราะเขาไม่รู้ว่าโซนคุมขังนี้มาจากไหน

“ไปตายซะ!”

ภายใต้ความโกรธ เทพจิตของว่านเหลียงเฉิง ได้ระเบิดเป็นแสงสีเลือดออกในโซนคุมขังเสียง ปัง

โซนคุมขังที่ถูกกักขังบิดเบี้ยวไม่หยุด โชคดีที่ผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ที่มีชื่อว่ามือสังหารว่าน พลังเทพจิตเหลือน้อนมาก หลังจากการใช้มานาน และหลังจากที่แผดเผาพลังเทพจิต การระเบิดก็ไม่รุนแรงมากนัก

อากาศสั่นสะเทือนเล็กน้อย และชายหนุ่มในชุดคลุมสีขาวเงินก็ปรากฏตัวขึ้น ใบหน้าของเขาซีดเล็กน้อย และมีเลือดไหลออกมาจากมุมปาก

เขายกมือขึ้นจับ อากาศที่บิดเบี้ยวถูกบีบอัดอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งการระเบิดพลังเทพจิตของว่านเหลียงเฉิงถูกทำลายอย่างสมบูรณ์ในโซนคุมขังและไม่มีพลังเล็ดลอดออกมาส่งผลกระทบต่อหลัวซิวที่กำลังทะลุแดนอยู่

“ท่านชายหลงทำแบบนี้ มีความจริงใจแล้วใช่ไหม?”

ชายหนุ่มในชุดขาวเงินยิ้ม มีรอยอักษรยันต์สีเงินตรงกลางคิ้ว ฉายแสงชั่วร้ายออกมา

ชายหนุ่มที่สวมชุดขาวเงินคนนี้ก็คือ หลงหมิง หลังจากกลืนเม็ดยาระดับ 6 ลงไป 3 เม็ด เขาก็ประสบความสำเร็จในการก้าวข้ามไปสู่แดนระดับราชายุทธ์ และสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้แล้ว

อสูรธรรมดาทั่วไปต้องการกลายร่างเป็นมนุษย์อย่างน้อยต้องถึงขั้น 8 ขึ้นไป มีเพียงอสูรบางตัวที่มีสายเลือดค่อนข้างสูงเท่านั้นที่สามารถกลายร่างล่วงหน้าได้

อสูรที่กลายร่างได้ เรียกตัวเองว่าเผ่ามาร พวกเขาเชื่อว่าการกลายร่างเป็นมนุษย์ คือการวิวัฒนาการของมาร และมันคือเผ่าพันธุ์ใหม่!

ในสมัยโบราณ ความแข็งแกร่งของเผ่ามาร ไม่ด้อยไปกว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ เผ่าพันธุ์พิเศษบางเผ่ามีทั้งสายเลือดของเผ่ามนุษย์และสายเลือดของเผ่ามารก็มีผู้ก็แข็งแกร่งอยู่ด้วย

มังกรไร้ร่าง เป็นสายเลือดหนึ่งที่แยกออกมาของเผ่ามังกรโบราณ และเป็นสายเลือดแยกออกมาที่มีระดับสายเลือดที่สูงมากด้วย หลังจากถึงระดับที่ 5 ก็สามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ ที่มีศักยภาพไร้ขีดจำกัด

“เจ้าหนุ่มคนนี้น่ากลัวจริงๆ ยาเทพจิตของผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ก็กล้ากลืน ไม่กลัวอึดท้องตาย?”

จ้องหลัวซิวที่กำลังนั่งขัดสมาธ หลงหมิงเบะปาก แม้ว่าเขาจะพูดอย่างนี้ แต่เขาก็ไม่คิดว่า หลัวซิวจะอึดท้องตายจริงๆ

เพราะยาเทพจิตเป็นสมบัติที่นักยุทธ์ฝึกฝนด้วยชีวิตของเขา หากไม่กลั่นด้วยยาทิพย์พิเศษ หลังจากกลืนเข้าไป พลังงานส่วนใหญ่ก็จะสูญเปล่า พลังงานเพียงเล็กน้อยเท่านั้นถึงจะถูกดูดซับโดยนักยุทธ์

ดังนั้นกลืนยาเทพจิตจักรพรรดิยุทธ์นี้ ไม่เพียงจะไม่อึดท้องจนตาย แต่ยังช่วยให้หลัวซิวทะลุถึงแดนราชายุทธ์อีกด้วย

เขาในตอนนี้ กล้ามเนื้อ กระดูก เนื้อ และเลือดของเขา ทุกตารางนิ้วเต็มไปด้วยพลังงานและพลังจิต

พลังจิตทั้งหมด ภายใต้การทำงานของวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ ถูกรวบรวมไปอยู่ในเส้นลมปราณของร่างกายทั้งหมดอย่างต่อเนื่อง

เส้นลมปราณของมนุษย์มีจำนวนมาก แต่ในท้ายที่สุด เส้นลมปราณทั้งหมดจะผ่านเส้นลมปราณทั้งแปดหลักและมาบรรจบกันที่ของตันเถียนฉีชี่ไห่ เส้นลมปราณทั้งแปดนี้ก็คือเส้นลมปราณที่ไม่ธรรมดาทั้งแปด

ในเวลาเดียวกัน ใจกลางของตันเถียนชี่ไห่ วงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพในรูปแบบเงาลวงวัฏจักร กำลังหมุนอย่างรวดเร็ว เกือบจะกลายเป็นภาพติดตาที่เบลอ พลังจิตแท้พลังจิตที่มากมายถูกบีบอัด บีบอัด และบีบอัดอย่างต่อเนื่อง!

กระบวนการนี้กินเวลาเกือบสามวัน และการสั่นสะเทือนที่รุนแรงของพลังจิตพลังจิตแท้จากร่างกายของหลัวซิว จู่ๆก็หยุดลงอย่างกะทันหัน ดูเหมือนว่าจะถึงจุดสำคัญ

ผลุบ!

วินาทีที่หลัวซิวลืมตา ความคมพุ่งออกมาจากดวงตาของเขา ฟู่ ราวกับเคียวที่ตัดหญ้าที่เป็นพุ่มใใหญ่ในระยะไกลให้กลายเป็นชิ้นใหญ่

ภายใต้มุมมองภายใน ใจกลางของชี่ไห่ตันเถียน วงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพในรูปแบบเงาลวงได้หายไป!

มันถูกแทนที่ด้วยยาเทพจิตขนาดเท่าลำไย สลับขาวดำ หมุนช้าๆ ระยะการหมุนเกือบจะเท่ากันกับวงล้อชีวิตที่หมุนอยู่ในลูกแก้วความเป็นตาย

นี่คือ ยาเทพจิตปราณเป็นตาย 2 ระดับที่มีคุณสมบัติของวงล้อชีวิตอยูเมื่อทะลุถึงแดนราชายุทธ์

การฝึกฝนของเขาไม่ได้หยุดลงด้วยเหตุนี้ ในทางกลับกัน เขายกมือขึ้นและหยิบหญ้าทองต้นนั้น ที่มีผลดีในการกลั่นร่างเนื้อที่ยอดเยี่ยมออกมา ยัดเข้าปาก เขี้ยวละเอียดแล้วกลืนน้ำหญ้าลงไป

กระบวนการกลั่นของหญ้าทองนั้นเจ็บปวดอย่างยิ่ง ร่างกายของเขาสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้ ตา จมูก ปาก หู และรูขุมขนทั่วร่างกายของเขามีเลือดสีแดงซึมออกมา ซึ่งน่าตกใจมาก

“ไอ้หนุ่มคนนี้ ฝึกฝนขึ้นมาก็บ้าจริงๆ” หลงหมิงมองเห็นทั้งหมดนี้และตกตะลึง

ไร้ความปรานีต่อศัตรู และก็ไร้ความปรานีต่อตนเองมากกว่าเช่นกัน บุคคลเช่นนี้ ในสมัยโบราณมีวีรบุรุษมากมายที่เป็นใหญ่อยู่ในเขตพื้นที่ที่หนึ่ง ซึ่งเป็นเช่นนี้กันหมด!

ในเวลาเดียวกัน หลงหมิงรู้สึกเสียดายหญ้าทองเล็กน้อย เพราะระดับร่างเนื้อของหลัวซิวในปัจจุบันไม่สูงเกินไป ถ้าเขารอจนกว่าถึงระดับที่สูงขึ้นแล้วค่อยใช้หญ้าทองเพื่อทะลุผ่านแดนสำเร็จน้อย ผลจะดีกว่าหลายเท่า

แต่ความคิดของหลัวซิวในเรื่องนี้ แตกต่างจากความคิดของหลงหมิง เขาจะใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างเต็มที่เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของตนเองโดยเร็วที่สุด สมบัติดีแค่ไหนแต่เมื่อไม่ใช้ ก็ไม่มีค่าอะไร

หากสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งได้อย่างรวดเร็ว หลังจากแข็แกร่งแล้ว สามารถต่อสู้เพื่อเอาทรัพยากรสมบัติล้ำกว่าเดิมได้มาได้ นี่คือปรัชญาของหลัวซิว และยังเป็นวิธีการเอาชีวิตรอดของเขาในโลกนักยุทธ์

อีกสามวันผ่านไป ออร่าบนร่างของหลัวซิวกลับสู่สภาวะสงบอีกครั้ง

การยกมือขึ้นและกำหมัด ร่างยุทธ์แดนราชาช่วงปลาย ทำให้เขารู้สึกว่าแค่หมัดเดียวธรรมดา ก็สามารถทำลายโซนด้านหน้าของเขาได้

ด้วยความก้าวหน้าของการฝึกฝน พลังตัวสำนึกได้มาถึงจุดสูงสุดแล้ว มาถึงแดนราชายุทธ์ขั้น 3 แล้ว

พลังจิตแท้ในเทพจิตผนึกรวมของเขาที่ ควบแน่นใน มีคุณสมบัติการเปลี่ยนแปลงปราณเป็นตาย 2 ระดับ พลังจิตแท้ยังเพียงพอเทียบได้กับแดนราชายุทธ์ขั้น 3 ได้

หากควบคู่ไปกับไพ่ตายต่างๆของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งพลังที่น่าสะพรึงกลัวของภูตอัคคีกลืนกิน จะไม่มีปัญหาในการเผชิญหน้ากับแดนราชายุทธ์ขั้น 7 แบบตัวต่อตัว



“เจ้าหนุ่ม ไปตายซะ!”

เทพจิตของว่านเหลียงเฉิงก้าวออกมาอย่างกะทันหัน ยื่นมือออกไปจับ เจตนาสังหารผนึกรวมกลายเป็นดาบยาวสีแดงเลือด ฟันลงไปที่วิญญาณดั้งเดิมของหลัวซิว

เนื่องจากวิญญาณดั้งเดิมของหลัวซิวยังไม่ถึงแดนจักรพรรดิยุทธ์ ไม่ได้ผนึรวมตัวกลายเป็นเทพจิต เ มันจึงดูเหมือนหมอกหนาทึบ

แค่ทำลายหมอกที่สร้างวิญญาณดั้งเดิมที่นี้ลงไป ว่านเหลียงเฉิงสามารถกลืนกินดั้งเดิมและครอบครองร่างกายของเขา

“บูม!”

การฟันด้วยดาบครั้งนี้ ว่านเหลียนเฉิง ไม่ได้สงวนไว้แม้แต่น้อย ไม่สนใจการสูญเสียของเทพจิตของเขาทั้งนั้น และต้องการจะฆ่าเขาด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว

โล่สีดำขาวที่เปลี่ยนแปลงมาจากปราณเป็นตาย 2 ระดับ ถูกดาบยาวสีแดงเลือดแทงทะลุทันที

ว่านเหลียงเฉิงแสดงรอยยิ้มที่น่าสยดสยองออกมา และเมื่อดาบของเขากำลังจะแทงโดนวิญญาณดั้งเดิมของหลัวซิวแล้วหมุนมันให้แหลกสลาย ก็มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น

เปลวไฟสีน้ำตาลแดงก็พุ่งออกมาราวกับมังกรที่ดุร้าย อ้าปากที่เต็มไปด้วยเลือดเพื่อจะกลืนว่านเหลียนเฉิงเข้าไปในคำเดียว

ภาพกะทันหันนี้ทำให้ว่านเหลียนเฉิงหน้าซีดด้วยความตกใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเปลวเพลิงกระจายพลังที่ทำให้ใจสั่น เขาจึงต้องถอยอย่างรวดเร็ว และทำได้เพียงให้โอกาสที่ดีที่สุดที่จะสังหารหลัวซิวหลุดรอดไปเท่านั้น

ข้างหน้า ข้างหลัวซิว เปลวไฟสีน้ำตาลแดงลอยขึ้นและก่อตัวเป็นทะเลเพลิง

ในทะเลเพลิงนี้ เด็กน้อยในร่างทารกมนุษย์กำลังหาว ดูเหมือนจะเพิ่งตื่นจากการนอนหลับสนิท

เปลวเพลิงเหล่านี้ คืออัคคีกลืนกิน เจ้าตัวเล็กที่ดูเหมือนเด็กทารกนี้ก็คือภูตอัคคีกลืนกิน

โดยปกติ เนื่องจากภูตอัคคีกลืนกินอยู่ในระยะการเจริญเติบโต เวลาส่วนใหญ่จะหลับลึก ดูดซับเปลวเพลิงที่สะสมมาได้ตอนอยู่ใต้ดินเพื่อเพิ่มตนเอง

คราวนี้ มันถูกหลัวซิวปลุกให้ตื่น และย้ายจากจุดตันเถียนไปยังวิญญาณหยั่งรู้ เพื่อช่วยเขาต้านทานการคุกคามของ ว่านเหลียงเฉิง ผู้ที่แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์นี้

ในฐานะ จักรพรรดิยุทธ์ ว่านเหลียงเฉิง นับเคยรู้เคยเห็นมาก่อน เมื่อเห็นทารกตัวเล็กกำลังหาวอยู่ในทะเลไฟ รูม่านตาของเขาก็หดตัวลงทันที

“ภูตอัคคี?” เขามีชีวิตอยู่มาพันกว่าปีแล้ว และไม่เคยตกใจขนาดนี้มาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเขาเห็นสิ่งเหลือเชื่อต่างๆ ในตัวหลัวซิว เขาแทบมึนงงจนแทบช็อก เหมือนความตกตะลึงทั้งชีวิตใช้ในตอนนี้หมดแล้ว

แม้จะอยู่ในสมัยโบราณ วิญญาณแห่งฟ้าดิน ยังต้องถูกแย่งชิงโดยผู้แข็งแกร่งจำนวนนับไม่ถ้วน สมบัติล้ำค่านี้ ทุกครั้งที่ปรากฏขึ้นในโลก ย่อมทำให้เกิดพายุนองเลือดอย่างแน่นอน

หกร้อยว่าปีที่แล้ว ว่านเหลียงเฉิงจำได้ชัดเจนมาก ในขณะนั้น เขายังอยู่ในแดนราชายุทธ์ ได้ยินมาว่าในโลกแสงดาวมี ภูตทองทำลายล้างปรากฏออกมา เพื่อแย่งชิง ภูตทองทำลายล้าง แม้จอมยุทธ์มกุฏยุทธ์ หลายผู้ถึงกับเสียชีวิตลง !

เขาคาดไม่ถึงว่า เขาจะโชคดีพอที่จะเห็นภูตอัคคี!

วิญญาณแห่งฟ้าดินเกิดปัญญาอันเรียบง่ายแล้ว เจ้าตัวเล็กที่กำลังหาว จ้องไปที่ว่านเหลียนเฉิง ด้วยดวงตาสีน้ำตาลแดง

มันโบกมือเล็กๆของมัน แล้วพูดอะไรบางอย่าง อย่างทารก หมายความว่าเจ้าคือผู้ที่เจ้านายข้าขอให้ข้าจัดการใช่ไหม?

แต่ว่านเหลียงเฉิงไม่สามารถเข้าใจภาษาของมันได้

เห็นมันอ้าปากเล็กๆ ของมันและสูดลมหายใจ หลับเหมือนกับปลาคุนนกเผิงโบราณ กลืนกินท้องฟ้า ได้ปล่อยพลังดูดกลืนวิญญาณขนาดใหญ่ ปกคลุมว่านเหลียนเฉิง

ในเวลานี้ ว่านเหลียงเฉิงยังคงตกตะลึง วินาทีที่เขาถูกห่อหุ้มด้วยพลังดูดกลืนวิญญาณ เขาก็ระเบิดพลังเทพจิตของตนเองออกมาอย่างรวดเร็ว หลุดพ้นจากข้อจำกัดของพลังดูดกลืน ถอยกลับอย่างรวดเร็ว

“เดี๋ยวก่อน… พลังของภูตอัคคี ดูเหมือนจะไม่แข็งแกร่งขนาดนี้?” ว่านเหลียนเฉิงที่ก้าวถอยหลัง หรี่ตาลงทันใด

ชื่อเสียงของวิญญาณแห่งฟ้าดินดังมาก จนทำให้ลืมตัวไปชั่วขณะหนึ่ง หลังจากสงบสติอารมณ์ได้ เขาสังเกตดูดีๆ จึงพบว่าภูตอัคคีที่อยู่ตรงหน้าเขา แล้วลักษณะพลังที่แสดงออกมาเป็นพลังที่แข็งแกร่ง แต่ความจริงพลังปราณที่ปล่อยออกมานั้นอยู่ในระดับราชายุทธ์เท่านั้น

การค้นพบนี้ ทำให้ว่านเหลียงเฉิงเปลี่ยนจากความตะลึงเป็นความปิติยินดี “ฟ้าช่วยช่วยข้าจริงๆ! ไม่เพียงแต่จะได้ร่างกายที่มีความสามารถพิเศษนี้ แต่ถ้ายังสามารถพิชิตภูตอัคคีอีกตัวหนึ่งเพื่อใช้เองได้ โลกใบนี้ ใครสามารถทำให้ข้ากลัวได้?”

ภายใต้การกระตุ้นของความโลภ ว่านเหลียงเฉิงรีบพุ่งไปข้างหน้าโดยไม่ลังเลใดๆ

หลังจากที่เทพจิตออกมาจากยาทองเข้าไปในวิญญาณหยั่งรู้ของหลัวซิว ใช้เวลาไปนานมากแล้ว เขาต้องฌจมตีให้เสร็จอย่างรวดเร็ว

“อุแว้!”

ภูตอัคคีกลืนกินโบกมือเล็กๆของมัน ทะเลเพลิงสีน้ำตาลแดงก็รุนแรงขึ้น จู่ๆ ก็กลายเป็นภูตอัคคีสิงโตพลิงทอง จากนั้นเปลี่ยนไปอีกครั้ง และมังกรไฟที่ส่ายหัวและหางก็พุ่งออกมา

ภูตอัคคีกลืนกินในขณะนี้ เปรียบเสมือนเด็กที่กำลังเล่นของเล่นอย่างสนุกสนาน

ว่านเหลียงเฉิงไม่สามารถสนใจเรื่องพลังเทพจิตของตัวเองที่สูญเสียไป และเขาใช้พลังตัวสำนึกสร้างเจตนาสังหารเพื่อปกป้องร่างกายของเขา และรีบวิ่งเข้าไปในทะเลเพลิงที่โหมกระหน่ำ

ภายใต้การเผาไหม้ของภูตอัคคีกลืนกิน เทพจิตของเขาหมดลงเร็วขึ้นกว่าเดิม เพราะหนึ่งในพลังของภูตอัคคีกลืนกินก็คือการกินและเผาทุกอย่าง!

แม้แต่พลังตัวสำนึกหรือพลังวิญญาณเทพจิตพวกนี้ ก็สามารถกลืนกินและเผาได้

ในที่สุด สีหน้าของว่านเหลียนเฉิงก็เปลี่ยนสี เขาพบว่าแม้ลมปราณของภูตอัคคีจะเทียบเท่ากับราชายุทธ์ แต่อัคคีวิญญาณที่มันควบคุมนั้นประหลาดมาก ก่อนที่เขาจะพุ่งไปถึงตรงหน้ามัน พลังเทพจิตจะหมดไปก่อนจนกลายเป็นความว่างเปล่า

“ถอย!”

ใบหน้าของว่านเหลียงเฉิงเต็มไปด้วยเสียดาย เขารู้ดีว่าเขาพลาดโอกาสเดียวที่จะชนะ ทันทีที่เทพจิตถอนตัวจากวิญญาณหยั่งรู้ของหลัวซิว ต่อไปเขาจะต้องได้รับการแก้แค้นจากหลัวซิวอย่างแน่นอน

ไม่ว่าจะทำยังไง เลือกอย่างไร ดูเหมือนว่าผลลัพธ์สุดท้ายคือคำว่าตายเท่านั้น!

ใบหน้าของหว่านเหลียนเฉิงดูโหดเหี้ยม ความคิดมากมายแวบเข้ามาในหัว ทันใดนั้นเขาก็ตัดสินใจ “ไม่ว่ายังไงก็ตายเหมือนกัน หลังจากที่ข้าถอยออกไป ข้าจะจุดชนวนยาชีวี จะต้องทำให้ไอ้สารเลว หลัวซิวและจักรพรรดิยุทธ์จักรพรรดิยุทธ์เทียนเฟิ่ง นางร่านนั่น ระเบิดตายพร้อมกัน!”

เขารู้สึกว่ามีความเป็นไปได้สูงมาก เพราะหลัวซิวกำลังทะลุแดนราชายุทธ์ และเหยียนเยว่เอ๋อร์ ตามที่เขารู้มา ยังคงสลบอยู่ ไม่มีใครสามารถหยุดเขาระเบิดยาเทพจิตได้

“ดึงเจ้าสองคนไปตามด้วยกัน!”

ว่านเหลียงเฉิงยิ้มอย่างชั่วร้าย เทพจิตกลายเป็นม่านแสงเลือด บินออกไปจากวิญญาณหยั่งรู้ของหลัวซิว

“อุแว้ อุแว้…”

ภูตอัคคีกลืนกินโบกแขนเล็ก ๆ ที่บอบบางของมัน ดูเหมือนว่ากำลังส่งเสียงบอกว่า ถ้ากล้าก็กลับมาสู้กันอีกครั้ง

แต่ว่านเหลียงเฉิงลอยออกไปพร้อมกับความคิดที่จะพินาศไปด้วยกัน สีหน้าเขาหวาดกลัวเมื่อเห็นหลัวซิวจับเทพจิตของเขาโยนเข้าไปในปาก เขารู้สึกตกใจเมื่อเห็นว่า หลัวซิวคว้า ยาเทพจิตของเขาแล้วโยนมันเข้าปากของเขาโดยตรง

“อย่า!……”

เขาส่งเสียงคำรามที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง

เหตุผลที่เขากลืนเทพจิตเข้าไป ไม่ใช่เพราะหลัวซิวเดาออกว่าว่านเหลียงเฉิงจะพินาศไปพร้อมกับเขา แต่เพราะเขาอยู่ในช่วงเวลาสำคัญของการทะลุแดน และพบว่าพลังผู้เป็นอมตะสะสมอยู่ในร่างกายในช่วงสามวันที่สลบไปนั้นไม่เพียงพอ ดังนั้นเขาจึงจะใช้พลังจิตแท้ มาช่วยตัวเองได้

“บัดซบ จักรพรรดิยุทธ์น่ากลัวจริงๆ”

ใจหลัวซิวกระตุก และดึงพลังแห่งจิตสำนึกกลับมาอย่างรวดเร็ว ตัวสำนึกผนึกรวมรูปดาบ กลายเป็นดาบสีขาวดำที่สั่นไหว ยืนอยู่ข้างลูกแก้วความเป็นตาย

เผชิญหน้ากับจักรพรรดิยุทธ์ของเทพจิต เป็นเรื่องที่ไม่สมจริง มีเพียงพึ่งพาลูกแก้วความเป็นตายเท่านั้น

ย้อนกลับไปในตอนนั้น เทพจิตของซูจิ้งหยุน ที่คว้าไปยังลูกแก้วความเป็นตาย และถูกกลืนกินและทำลายล้างโดย ลูกแก้วความเป็นตายในทันที หลัวซิวยังจำฉากนั้นได้จนถึงตอนนี้

ในเวลานี้ ว่านเหลียนเฉิง หันความสนใจไปที่ลูกแก้วความเป็นตายสีดำขาวที่พันกัน

“นี่คือสมบัติอะไร? มีความลึกลับเกี่ยวกับความดั้งเดิมของฟ้าดินด้วย?”

ในฐานะที่เป็นผู้จักรพรรดิยุทธ์ ว่านเหลียนเฉิง สามารถเห็นความพิเศษของลูกแก้วความเป็นตายได้อย่างรวดเร็ว

ลูกแก้วความเป็นตายเป็นสมบัติล้ำค่าที่กลายมาจากกฎวิญญาณแห่งความเป็นตายดั้งเดิม ออร่าที่ไหลเวียนอยู่รอบๆ มีความลึกลับของกฎวิญญาณแห่งความเป็นตายดั้งเดิม ซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกถึงพลังฟ้าดินดั้งเดิมอยู่แล้ว

พลังลึกลับนี้ทำให้ผู้คนหลงใหลและอดไม่ได้ที่จะเอามันเป็นของตัวเอง แต่มันก้ทำให้ผู้อื่นเกรงขามด้วย เพราะว่ากันว่ามีเพียงผู้แข็งแกร่งที่จักรพรรดิยุทธ์เท่านั้นที่จะสัมผัสได้ถึงความลับกฎดั้งเดิม ……

ว่านเหลียนเฉิงเข้าใจในทันที ไม่น่าแปลกใจเลยที่ชายหนุ่มคนนี้อายุเพียงสิบเจ็ดปี ก็มีความสำเร็จในปัจจุบันอย่างนี้ ซึ่งทั้งหมดต้องเกี่ยวข้องกับลูกแก้วสีดำและสีขาวลึกลับนี้แน่นอน!

เมื่อหลัวซิวกำลังวางแผนที่จะลูกแก้วความเป็นตาย เพื่อจัดการกับหว่านเหลียนเฉิง เสียงของเทพแห่งวัฏจักรชีวิตในทันใดก็ดังขึ้น “ทายาทผู้อ่อนแอ ทำตามความประสงค์ของกฎดั้งเดิม ลูกแก้วความเป็นตายจะช่วยเจ้าก็ต่อเมื่อเจ้าถูกคุกคามเป็นครั้งแรก ครั้งนี้ เจ้าทำได้เพียงพึ่งตนเองเท่านั้น”

“ข้าพึ่งพ่อท่าน!”

สีหน้าของหลัวซิวเปลี่ยนไป เขาคาดไม่ถึงว่าในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญนี้ เทพแห่งวัฏจักรชีวิตกลับเล่นตลกกับเขาแบบนี้

ทันใดนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ว่า เทพแห่งวัฏจักรชีวิตเคยพูดแบบนี้เหมือนกัน เมื่อเขาถูกซูจิ้งหยุนครองวิญญาณ

หากปราศจากความช่วยเหลือจากลูกแก้วความเป็นตายและเทพแห่งวัฏจักรชีวิต เขาจะใช้ตัวสำนึกขั้น 2 แดนราชายุทธ์สู้กับเทพจิตระดับจักรพรรดิยุทธ์ได้อย่างไร?

เทพแห่งวัฏจักรชีวิตไม่เคยล้อเล่นกับเขา ในเมื่อบอกว่าเขาจะไม่ช่วยตัวเองเขาจะไม่ช่วยอย่างแน่นอน

“เจ้าหนุ่ม สลายวิญาณไปซะ!”

เทพจิตของว่านเหลียงเฉิงเงยหน้าขึ้นหัวเราะเสียงดัง ทันใดนั้นผนึกรวมสีเลือดก็กระจายไปทั่วร่างกายของเขา กลายเป็นตาข่ายขนาดใหญ่

ตาข่ายเปื้อนเลือดนี้เกือบจะวิญญาณหยั่งรู้ของหลัวซิว มันเร็วมากและไร้ที่หลบ

และถ้าเขาไม่สามารถต้านทานการโจมตีของคู่ต่อสู้ได้ วิญญาณหยั่งรู้ของเขาจะได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง และผลที่ตามมาจะคาดไม่ถึง

“ดาบดับสิ้น ทำลายมันซะ!”

ตัวสำนึกของหลัวซิวถูกผนึกรวมกัน กลายเป็นรูปดาบสีดำขาว และฟันไปที่ตาข่ายเปื้อนเลือด

สิ่งที่ทำให้หลัวซิวประหลาดใจก็คือดาบแห่งตัวสำนึกของเขา ฟันตาข่ายเลือดเป็นชิ้น ๆ ได้ในทันที แต่ก่อนที่เขาจะนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ตาข่ายเลือดที่พังลงมาก็กลายเป็นดาบสีเลือดขนาดเล็กนับไม่ถ้วน เหมือนฝนตกลงมาห่อหุ้มเขา

เห็นได้ชัดว่าการโจมตีของผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์นั้นไม่ง่ายนักที่จะต้านทาน

แม้ว่าว่านเหลียงเฉิงจะไม่ได้ฝึกฝนวรยุทธ์กลั่นวิญญาณ และไม่เชี่ยวชาญในด้านการโจมตีจิตวิญญาณ แต่เขาก็สามารถปราบปรามหลัวซิวได้อย่างสมบูรณ์ด้วยแดนระดับจักรพรรดิยุทธ์

เพราะพลังแดนของทั้งสองคนนั้นห่างกันมาก

ตอนนี้อารมณ์ของหลัวซิวไม่ดีมาก วันนี้จะตายอยู่ที่นี่จริงๆ หรือ?

ทันใดนั้น เขารู้สึกว่าตัวสำนึกของเขาดูเหมือนจะผนึกรวมมีพลังมากกว่าเมื่อก่อน

ไม่เพียงแค่นั้น พลังจิตในร่างกายของเขากลับยิ่งใหญ่และสมบูรณ์ ดูเหมือนแค่เขาอยาก เขาสามารถทะลุขีดจำกัดของฝึกจิตขั้น 9 ได้ และก้าวเข้าสู่แดนราชายุทธ์ที่เขาฝันมานาน!

“หรือว่า…”

หลัวซิวเข้าใจในทันที ย้อนกลับไปเมื่อก่อน เขารับดาบของจักรพรรดิยุทธ์หนึ่งดาบ จนบาดเจ็บสาหัสเกือบเสียชีวิต และได้กระตุ้นพลังผู้เป็นอมตะ ในช่วงสามวันที่อยู่ในอาการสลบ ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดภายใต้พลังผู้เป็นอมตะ

แต่เพราะเขาตื่นขึ้นมา ความสนใจทั้งหมดของเขาอยู่ที่ร่างของหลงหมิง จากนั้นเขาก็เจอหว่านเหลียนเฉิงที่อยากครองวิญญาณเขา เลยไม่เคยสังเกตร่างกายของตัวเองเลย

เหมือนอยู่ในความตายแล้วจับฟางช่วยชีวิตไว้ได้ อารมณ์ประหม่าของหลัวซิวก็ค่อย ๆ ผ่อนคลาย]’

ฮึ่ม!

ปราณเป็นตาย 2 ระดับแผ่กระจายกลายเป็นม่านแสงเพื่อปกป้องร่างกายทั้งหมด ดาบสีเลือดก็ถูกฟันลงมาทิ้งทีละเล่ม แต่ละครั้งที่ฟันลงมา หลัวซิวรู้สึกได้ว่าตัวสำนึกค่อยๆลดลง

ยิ่งกว่านั้น เขายังอยู่ข้างลูกแก้วความเป็นตาย เขาใช้ลูกแก้วความเป็นตายเป็นที่กำบังจากการโจมตีส่วนใหญ่ของหมู่ดาบสีเลือด

หมู่ดาบสีเลือดเหล่านั้นก่อตัวขึ้นจากจักรพรรดิยุทธ์ตัวสำนึกผนึกรวม ฟันลงบนลูกแก้วความเป็นตาย ก็สลายหายไป

ความมหัศจรรย์ของลูกแก้วความเป็นตายทำให้ดวงตาของว่านเหลียงเฉิงร้อนแรงยิ่งขึ้น สมบัติล้ำค่าเช่นนี้อยู่ในมือของปรมาจารย์ยุทธฝึกจิตคนหนึ่ง เป็นเพียงการสูญเปล่าๆเท่านั้น มีเพียงผู้ที่แข็งแกร่งอย่างเขาเท่านั้นที่มีสิทธิ์ครอบครอง มัน!

ฮึ่ม!

ใช้พลังวิชาพลังมังกรแท้ ตัวสำนึกส่วนหนึ่งของหลัวซิวกลายเป็นร่างมังกรและพุ่งไปที่ว่านเหลียนเฉิง

“ฮึ่ม แสงหิ่งห้อย”

ว่านเหลียงเฉิงแสดงความไม่แยแสออกมาบนใบหน้าของเขา ดาบสังหารอันหนาทึบก็ทุบร่างมังกรตัวสำนึกผนึกรวมเป็นชิ้นๆ

หลัวซิวรู้สึกว่าตัวสำนึกเจ็บปวดอย่างมาก ความแตกต่างนั้นมากเกินไป แม้ว่าพลังแปรเสวียนเทียนจะเพิ่มขึ้นยี่สิบเท่า พลังตัวสำนึกของเขาก็ถึงระดับราชายุทธ์ขั้น 7 เท่านั้น

เมื่อคิดถึงจุดนี้ หลัวซิวก็หยุดการต่อสู้ ตัวสำนึกกลายเป็นปราณเป็นตาย 2 ระดับปกป้องร่างกาย และเริ่มใช้วิชาวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ

เขาต้องการถึงแดนราชายุทธ์!

เมื่อฐานการฝึกฝนสามารถทะลุผ่านแดนได้ ตัวสำนึกของเขาก็จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้ว่าจะยังห่างไกลจากจักรพรรดิยุทธ์ แต่ที่นี่คือพื้นที่ของเขาเอง ในทางกลับกัน เทพจิตของว่านเหลียงเฉิงไม่มีพาหะเลยจะสิ้นเปลืองมาก

เมื่อเทพจิตสูญเสียพาหะไป เว้นแต่จะซ่อนอยู่ในสมบัติพิเศษ ไม่อย่างนั้นเทพจิตจะถูกเผาผลาญอย่างรวดเร็ว และจะสลายล้างไป

ดังนั้น ผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์อยากจะครองวิญญาณ ต้องโจมตีอย่างรวดเร็วอย่าชนะ ไม่เช่นนั้น เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งเสียเปรียบมากขึ้นเท่านั้น

ว่านเหลียงเฉิงคิดว่าครองวิญญาณของหลัวซิวเป็นเรื่องง่ายๆ แต่เขาคาดไม่ถึงว่าผู้ชายคนนี้ เป็นเพียงฝึกจิตขั้น 9 ตัวสำนึกจะเทียบได้กับราชายุทธ์ ต่อต้านเขาได้หลายครั้ง แล้วยังทนต่อได้อีก

ในเวลาเดียวกัน เขายังสัมผัสได้ว่าในร่างกายของหลัวซิว มีพลังยิ่งใหญ่กำลังก่อตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ราวกับว่ามันจะระเบิดได้ทุกเมื่อ

“เขาต้องการทะลุแดนราชายุทธ์?” ดวงตาของว่านเหลียงเฉิงเบิกกว้าง ราชายุทธ ทะลุได้ถึงง่ายๆแบบนี้ได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? บอกว่าจะทะลุก็ทะลุ? แล้วยังอยู่ในสถานการณ์ความเป็นความตายเช่นนี้?

“กล้าที่จะทะลุในเวลานี้ เจ้าหาที่ตายด้วยตัวของเจ้าเอง!” ว่านเหลียนเฉิงเยาะเย้ย ในสายตาของเขา มันเป็นเรื่องงี่เง่าที่จะฟุ้งซ่านเพื่อทะลุแดนในเวลานี้

“หรือเจ้าคิดว่าการป้องกันจากตัวสำนึกของเจ้า สามารถต้านทานการโจมตีของข้าได้จริงหรือ?”

ว่านเหลียนเฉิงยิ้มเย็น นักยุทธ์ทุกคนจะต้องไม่ถูกรบกวนเมื่ออยู่ในช่วงทะลุแดน ที่จุดเชื่อมต่อของการทะลุทะลวง ไม่หนักทะลุไม่สำเร็จ หนักกลายเป็นมาร

เวลานี้ การป้องกันของหลัวซิวนั้นอ่อนแอที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย

“สิ่งที่ข้าต้องการคือเพื่อนที่ไว้ใจได้ ไม่ใช่คนทรยศที่ต้องกังวลอยู่เสมอว่าอีกฝ่ายจะแทงข้างหลังข้าเมื่อไหร่”

หลัวซิวหยุดพูดชั่วขณะ จ้องไปที่ หลงหมิง “ถ้าเจ้าต้องการที่จะเป็นอิสระ ได้ ข้าจะปล่อยวิชาสยบวิญญาณในหยั่งรู้ของเจ้าตอนนี้และปล่อยเจ้าไป”

“แต่ถ้าเจ้าเลือกที่จะอยู่ต่อ ข้าหวังว่าเจ้าจะปล่อยวางความเย่อหยิ่งของเจ้าในฐานะผู้แข็งแกร่งเผ่ามังกรไป และมาเป็นคู่หูที่คู่ควรกับความไว้วางใจจากข้า”

“ไปหรืออยู่ อยู่ที่เจ้าเลือก”

นความเป็นจริง หลัวซิวรู้ดีว่าเขาไม่ใช่คนดี

แต่เขาเป็นคนที่แยกบุณคุณและความแค้นได้ ถ้าไม่ใช่เพราะหลงหมิงปกป้องเขาแล เหยียนเยว่เอ๋อร์ จากการถูกอสุณทำร้ายในช่วงสามวันที่พวกเขาหมดสติ เขาจะไม่พูดเรื่องไร้สาระเลย เขาจะใช้วิชาสยบวิญญาณฆ่ามังกรไร้ร่างตัวนี้ทันที

อย่างไรก็ตาม ในแง่หนึ่ง หลงหมิงช่วยชีวิตทั้งของเขาและเหยียนเยว่เอ๋อร์ไว้ ดังนั้นหลัวซิวจึงให้สิทธิ์ที่จะเลือกที่จะอยู่หรืออยู่ให้มัน

หลงหมิงเงียบไป มันนึกไม่ถึงว่า หลัวซิวจะไม่โทษตัวเองที่ขโมยยาเพื่อฟื้นฟูการฝึกฝนของเขา แต่ให้สิทธิ์แก่เขาในการเลือกอิสระ

แทบอดไม่ได้ที่จะตะโกนว่า ข้าอยากจะเป็นอิสระ แต่เมื่อความตื่นเต้นในใจของมันจางหายไป มันก็เริ่มคิดอย่างมีเหตุผลว่าจะอยู่ต่อหรือจากไป

หลงหมิงเองก็รู้ว่าไม่มีความเกลียดชังระหว่างมันกับหลัวซิว เป็นเพราะศักดิ์ศรีและความเย่อหยิ่งของเขาในฐานะเผ่ามังกรที่ทำให้เขาไม่เต็มใจที่จะถูกปราบปรามอยู่ภายใต้มือของชายหนุ่มรุ่นหลัง

แต่ในความคิดที่สอง เมื่อเทียบกับเสรีภาพ ความปลอดภัยและการฟื้นตัวของพละกำลังนั้นสำคัญกว่า

ถ้าเขาเลือกที่จะออกจากหลัวซิว เขาจะต้องค้นหาทรัพยากรและสมบัติด้วยตัวเขาเอง บางที เขาอาจจะผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ มันจะถูกจับและลบความทรงจำของมันไป และให้มันอยู่ในฐานะสัตว์พาหนะให้ผู้อื่นขี่

แล้วถ้าเลือกอยู่กับหลัวซิวล่ะ? แม้ว่าความแข็งแกร่งของชายหนุ่มคนนี้จะยังอ่อนแอมาก แต่ความเร็วและศักยภาพในการเติบโตนั้นช่างน่ากลัว

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือผู้ชายคนนี้เป็นนักกลั่นยา ตราบใดที่มียาเพียงพอก็ไม่ใช่เรื่องยากที่มันจะฟื้นฟูการฝึกฝนของมัน

แน่นอน เพื่อที่จะได้เม็ดยาจากหลัวซิว สิ่งแรกที่ต้องแก้ไขคือปัญหาความไว้วางใจซึ่งกันและกัน

หลงหมิงไม่คิดนานเกินไป และในที่สุดมันก็ตัดสินใจอยู่กับหลัวซิว

หลัวซิวไม่แปลกใจกับผลลัพธ์นี้ เพราะอยู่ในความคาดหวังของเขาไว้แล้ว

ตราบใดที่มังกรไร้ร่างโบราณตัวนี้ไม่ใช่สมองเสีย มันจะเข้าใจว่าอยู่กับเขา เป็นทางเลือกที่เป็นประโยชน์ที่สุดสำหรับมัน

หลังจากตัดสินใจเลือก หลงหมิงได้มอบแหวนที่เดิมเป็นของเหยียนเยว่เอ๋อร์ ให้กับหลัวซิว

ในวงแหวน ยกเว้นยาสามเม็ดที่หลงหมิงกิน ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงอยู่ที่นั่น

ท่ามกลางสิ่งเหล่านี้ หลัวซิวมองเห็นยาทองที่ปกคลุมไปด้วยเลือดจาง ๆ

“นี่คือ……”

เขาหยิบยาทองที่เต็มไปด้วยเลือดออกมา และหลัวซิวก็รู้สึกถึงพลังจากบนนั้น

“หรือว่าเป็นยาชีวีของว่านเหลียนเฉิง?”

หลัวซิวประหลาดใจ หลังจากที่เขาหมดสติ เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่เมื่อเขาเห็นยาทองในมือ เขาก็สรุปได้ว่านี่ควรเป็นยาชีวีของว่านเหลียนเฉิง

และจากยาทองนี้ หลัวซิวก็รู้สึกถึงความผันผวนของวิญญาณเล็กน้อย

บูม!

ในขณะนี้ พลังวิญญาณก็พุ่งออกมาจากเทพจิตยาทองสี แล้วเข้าสู่ร่างกายของ หลัวซิว

“ไม่ได้ตายด้วยดาบของข้า แต่ตอนนี้ไปตายได้แล้ว!”

เสียงที่แสดงความไม่พอใจดังก้อง และในวิญญาณหยั่งรู้ของหลัวซิวก็มีมนุษย์เลือดท่วมตัวปรากฏขึ้น ซึ่งเป็นร่างของว่านเหลียนเฉิง

พลังของผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ที่รวมพลังของจิตวิญญาณเป็นเทพจิต ตามวิธีการฝึกฝนที่แตกต่างกัน รูปแบบของเทพจิตก็แตกต่างกันเช่นกัน

ตัวอย่างเช่น บางคนกลั่นเป็นวิญญาณเทพจิตในรูปของสัตว์ร้าย เช่น เสือ หมาป่า หงส์ มังกร และอื่นๆ

นอกจากนี้ยังมีคนที่กลั่นวิญญาณเทพจิตไว้ในรูปของมนุษย์ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะเหมือนกับรูปร่างหน้าตาของพวกเขาเอง

นอกจากนี้ยังมีคนที่กลั่นพลังวิญญาณเทพจิตให้เป็นอาวุธ เช่น ดาบ หอก ดาบ ง้าว ขาตั้งกล้อง หอคอย เตาหลอม…

เมื่อผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์แสดงเทพจิตวิญญาณของเขาออกมา สามารถเพิ่มพลังการต่อสู้ของเขาได้อย่างมาก นอกจากนี้ เขายังมีความสามารถอีกประการหนึ่งซึ่งก็คือการครองวิญญาณ!

เช่นเดียวกับเมื่อหลัวซิวยังคงอ่อนแอมาก ในเทือกเขากวนเหลย เขาเกือบจะถูกครองวิญญาณโดยจักรพรรดิยุทธ์ที่ชื่อซูจิ้งหยุน

จะเหลือเพียงวิญญาณที่แตกสลาย จักรพรรดิยุทธ์ก็จะไม่ตายอย่างสมบูรณ์ เขาสามารถใช้เทพจิตที่เหลืออยู่เพื่อจับร่างของผู้ฝึกยุทธ์คนอื่นๆ หลังจากหลอมรวมเป็นระยะเวลาหนึ่ง เขาจะสามารถควบคุมร่างกายนี้ได้อย่างสมบูรณ์

เมื่อว่านเหลียงเฉิงถูกจับโดยเหยียนเยว่เอ๋อร์ เขาได้ซ่อนจิตวิญญาณส่วนหนึ่งของเขาไว้ในเทพจิต

อันที่จริงนี่คือการเดิมพัน หากเหยียนเยว่เอ๋อร์ บดขยี้เทพจิตของเขาทันที จิตวิญญาณส่วนนี้จะหายไปด้วย

เนื่องจากเทพจิตของจักรพรรดิยุทธ์ ต้องการจะมีชีวิตอยู่ต่อไป จึงต้องมีการพาหะ ไม่เช่นนั้นมันก็จะสลายในโลกนี้ในไม่ช้า

โชคดีที่ เหยียนเยว่เอ๋อร์ ไม่ได้บดขยี้ยาเทพจิต แต่โยนมันเข้าไปในวงแหวนเก็บของ

และสิ่งที่ทำให้ว่านเหลียงเฉิงรู้สึกโชคดียิ่งขึ้นไปอีกก็คือคนแรกที่แตะต้องยาเทพจิตไม่ใช่เหยียนเยว่เอ๋อร์ แต่เป็นหลัวซิว!

เหยียนเยว่เอ๋อร์ เป็นจักรพรรดิยุทธ์ที่แข็งแกร่ง แค่ตรวจสอบอย่างรอบคอบ จะพบวิญญาณที่ซ่อนอยู่ในยาเทพจิต และเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะครองวิญญาณของผู้ที่แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์

เนื่องจากการครองวิญญาณจะต้องเข้าสู่วิญญาณหยั่งรู้ของอีกฝ่ายหนึ่ง และยึดครองข้อเสียต่าง ๆ จึงจำเป็นต้องเลือกคนที่มีฐานการฝึกฝนต่ำกว่าตนเองอย่างน้อยหนึ่งแดน

แม้แต่แดนราชายุทธ์ หลัวซิวก็ยังไม่ถึง เป็นเป้าหมายที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเขาในการครองวิญญาณอย่างไม่ต้องสงสัย และชายหนุ่มคนนี้มีพรสวรรค์อย่างมาก ถ้าเขาสามารถครอบครองร่างกายของเขาได้ บางทีความสำเร็จในอนาคตของเขาอาจไร้ขีดจำกัด

ในวิญญาณหยั่งรู้ของหลัวซิว ว่านเหลียงเฉิงหัวเราะสูงอย่างอารมณ์ดี

“ข้าคาดไม่ถึงว่า ข้า มือสังหารว่าน จะโชคดีเช่นนี้ แค่ข้าครองวิญญาณของเจ้าได้ ใช้เวลาไม่นาน ด้วยพรสวรรค์ของร่างกายเจ้า สามารถฟื้นฟูการฝึกฝนของจักรพรรดิยุทธ์ได้ และฝึกฝนไปจนถึงมกุฏยุทธ์ ก็อาจเป็นไปได้!”

“เจ้ายินดีเช้าเกินไปแล้ว นี่คือวิญญาณหยั่งรู้ของข้า เจ้ากล้าดีอย่างไรที่มาหยิ่งผยองในดินแดนของข้า?” เสียงหลัวซิวก้องอยู่ในพื้นที่ของวิญญาณหยั่งรู้

เขายังไม่ถึงแดนผนึกรวมเทพจิต แต่ตัวสำนึกของเขาได้มาถึงจุดกลายรูปแล้ว ตัวสำนึกกลายรูปกระบี่สีดำล้อมรอบว่านเหลียงเฉิงที่กำลังหัวเราะอย่างบ้าคลั่งด้วยความยินดี

“ตัวสำนึกกลายรูประดับราชายุทธ์?”

ว่านเหลียงเฉิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ไม่แยแส แม้ว่าจะเป็นตัวสำนึกกลายรูประดับราชายุทธ์ แล้วยังไรเล่า? เขาคือจักรพรรดิยุทธ์!

เห็นเขาพ่นลมหายใจออกมาอย่างเย็นชา เจตนาการฆ่าที่น่าสะพรึงกลัวแพร่กระจาย ภายใต้แรงกดดันของเจตนาการสังหารที่น่าสะพรึงกลัวนี้ จิตสำนึกกลายรูปดาบของหลัวเหมือนจะล่มสลาย

กองกำลังหลักสามกองกำลัง ได้แก่ ตำหนักจื่อ สำนักเสวียนหยางและสำนักฉางเหอ ต่างก็มีความมั่งคั่งเหมือนกัน พวกเขาได้เอาสิ่งตอบแทนที่ทำให้เหว้ยห้าวหรานพึงพอใจออกมา

แต่เมื่อถึงผู้เฒ่าจักรพรรดิยุทธ์ของประเทศเทียนหวู สิ่งที่พวกเขาแต่ละคนหยิบออกมา มีค่ามากที่สุดเทียบเท่ากับมูลค่าของหินพลังจิตชั้นกลางหนึ่งหมื่นหรือสองหมื่นก้อน

เป็นผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์เหมือนกัน สถานะและความแข็งแกร่งแตกต่างกัน ฐานะก็แตกต่างกันมาก ชั้นกลาง หนึ่งแสน สำหรับผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์นั้นไม่มีค่าอะไรเลย

แต่สำหรับจักรพรรดิยุทธ์พวกสวีจิงเหนียน การนำหินพลังจิตชั้นกลางออก หนึ่งหมื่นหรือสองหมื่นก้อนก็เพียงพอที่จะทำให้พวกเขารู้สึกเสียดายมาก

เมื่อเห็นเหว้ยห้าวหรานขมวดคิ้ว สวีจิงเหนียนและจักรพรรดิยุทธ์คนอื่น ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะกังวลขึ้นมา

“ไม่พอ”

เหว้ยห้าวหรานขมวดคิ้วและเหลือบมองที่ผู้เฒ่าจักรพรรดิยุทธ์ “ข้าออกมือ มีค่าเพียงหนึ่งหมื่นหรือสองหมื่นหินพลังจิตชั้นกลางหรือ?”

ว่าแล้ว เหว้ยห้าวหรานพ่นลมออกมาอย่างเย็นชา “บางตำหนักหรือตระกูลขอให้ข้าตั้งค่ายกล อย่างน้อยห็เจ็ดหมื่นถึง แปดหมื่นชั้นกลาง และวัสดุที่จำเป็นสำหรับค่ายกล พวกเขาจะต้องเป็นผู้ให้เอง”

นักค่ายกลนั้นหยิ่งผยอง โดยเฉพาะนักค่ายกลระดับสูง หากค่าตอบแทนที่ได้รับจากอีกฝ่ายไม่สามารถทำให้เขาพอใจได้ สำหรับพวกเขาแล้วหมายถึงการดูถูก

ผู้เฒ่าจักรพรรดิยุทธ์หลายคนต่างรู้สึกอับอาย แต่พวกเขาไม่กล้าเถียง พวกเขาทำได้เพียงทนความเสียดายหยิบหินพลังจิตชั้นกลางออกมา

หลังจากได้รับค่าตอบแทนที่ทำให้เขาพอใจ รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าแก่ๆของเหว้ยห้าวหราน คิดกับตัวเองว่าหากขึ้นไปในวังบนยอดเขาแล้ว ยังมีข้อจำกัดอื่น ๆอีก ครั้งนี้ เขาได้เงินมามากมายแน่

หนึ่งในสี่สำนักใหญ่ในประเทศเทียนหวูนี้ อาจารย์เหว้ย ผู้นี้เป็นที่รู้จักในเรื่องความโลภเงิน เรื่องที่ชอบเพียงอย่างเดียวของเขาคือการรวบรวมเงินทองและสร้างหุ่นเชิดที่ทรงพลังที่สุด

ฝึกฝนค่ายกลนั้นต้องใช้ทรัพยากรอย่างมากเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาค่ายกลขนาดเล็ก ค่ายกลขนาดใหญ่ หรือหุ่นเชิดค่ายกล จะต้องใช้วัสดุจำนวนมากและเงินจำนวนมหาศาล

“ไอ้หน้าเงินเหว้ย เจ้าต้องใช้เวลานานแค่ไหนในการตั้งค่ายกล?” จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงถามด้วยรอยยิ้ม

เหว้ยห้าวหราน ยอมรับชื่อหน้าเงินนี้อย่างยินดี เขายื่นสามนิ้วออก จากนั้นจึงหยิบธงค่ายออกมาเป็นสิบกว่าธง และเริ่มตั้งธงค่าย วาดยันต์ค่ายกล

หลงหมิงคิดไม่ถึงว่า หลัวซิวได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ ใช้เวลาเพียงสามวันก็ตื่นขึ้นมาแล้ว

เมื่อหลัวซิวตื่นขึ้นมา มันกำลังจะกลืนเม็ดยาระดับ 6 ลงไป และกำลังกลั่นพลังยา

ด้วยร่างกายที่พิเศษของเผ่ามังกร ใช้เวลาเพียงวันเดียวในการกลั่นยาเม็ดระดับหก พลังจิตก็ทะยานขึ้นจากฝึกจิตขั้น 7 ไปจนถึงฝึกจิตขั้น 9 ห่างเพียงก้าวเดียวก็จะถึงราชายุทธ์แล้ว

แค่กลั่นเม็ดยาในท้องให้เสร็จ มันมีความมั่นใจเจ็ดส่วนว่าสามารถฟื้นคืนสู่ราชายุทธ์ขั้น7 ได้

แต่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ หลัวซิวตื่นขึ้นมาแล้ว!

ทันทีที่หลัวซิวลืมตา ฟื้นขึ้นมา เขาก็ปล่อยสำนึกออกมาเพื่อระวังสภาพแวดล้อมโดยรอบด้วยสัญชาตญาณ

ภาพแรกที่เขาเห็นคือเหยียนเยว่เอ๋อร์ที่นอนหมดสติอยู่ข้างๆ เขา ใบหน้าสวยของนางซีดและลมหายใจอ่อนแรง

ทันทีที่เขาเหลือบมองครั้งที่สอง เขาก็เห็นร่างของอสูรรอบตัวเขา พวกมันน่าจะถูกฆ่าโดยหลงหมิงขณะที่พวกเขากำลังหลับ

เมื่อเขากำลังจะชมหลงหมิง จิตสำนึกของเขาก็สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงพลังของหลงหมิงอย่างรวดเร็ว

ฝึกจิตขั้น 9 ?

เมื่อหลงหมิงถูกจ้องมองด้วยสายตาอาฆาตของหลัวซิว มันก็อยากจะร้องไห้ขึ้นมาทันที

ตามการคำนวณของมัน อาการบาดเจ็บของ หลัวซิวและเหยียนเยว่เอ๋อร์ ต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือนในการตื่น และแม้ว่าพวกเขาจะตื่นขึ้นมา พวกเขาจะอ่อนแอมากอย่างแน่นอน ต้องพักเป็นเวลานานเพื่อฟื้นตัวเต็มที่

เวลาเกือบเดือน พียงพอแล้วที่หลงหมิงจะฟื้นคืนสู่ราชายุทธ์ แม้ว่าเขาจะยังไม่ถึงระดับจักรพรรดิยุทธ์ ยังไม่สามารถทำลายพันธนาการวิชาสยบวิญญาณได้ แต่ด้วยวิธีการลับของเผ่ามังกร หลายวิธีที่มันเชี่ยวชาญ ก็สามารถทำลายวิชาสยบวิญญาณได้แม้ยังคงอยู่ในราชายุทธ์ วิญญาณ

แต่… แต่หลัวซิว ผู้ชั่วร้ายผู้นี้ ตื่นขึ้นหลังจากผ่านไปเพียงสามวัน?

หลัวซิวสังเกตเห็นแหวนเก็บของข้างกรงเล็บของหลงหมิง เขาคุ้นเคยกับแหวนนี้มาก เป็นแหวนที่เหยียนเยว่เอ๋อร์สวม

เมื่อเขาพบว่าหลงหมิงต้องการใช้โอกาสนี้เพื่อฟื้นกำลังและโจมตีเขาในขณะที่เขาสลบ เจตนาฆ่าที่รุนแรงก็ปรากฏขึ้นในใจของเขา

ทันทีที่ให้มันหลุดออกมาจากวิชาสยบวิญญาณ บางทีมันอาจจะโจมตีเขาและทำให้เหยียนเยว่เอ๋อร์รับบาดเจ็บด้วย หลัวซิวจะไม่ยอมให้สิ่งนี้เกิดขึ้น

มังกรไร้เงานั้นมีค่าในการสั่งสอนฝึกฝน แต่ถ้ามันเหมือนเป็นระเบิดเวลา ที่อาจโจมตีตัวเองได้ตลอดเวลา ฆ่าให้ตายดีกว่าเก็บไว้กับตัว!

“เจ้าไม่คิดจะอธิบายให้ข้าฟังหน่อยเหรอ?”

หายใจเข้าลึก ๆ หลัวซิวระงับเจตนาฆ่าของเขาและถามหลงหมิงด้วยเสียงต่ำ

เพราะเขาเห็นซากศพของสัตว์ประหลาดรอบๆ ตัวเขา เห็นได้ชัดว่าหากไม่มีการปกป้องจากหลงหมิง ในสามวันที่เขาและเหยียนเยว่เอ๋อร์สลบอยู่ มีแต่ฟ้าเท่านั้นที่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

หลงหมิงพร้อมที่จะถูกทรมานโดยวิชาสยบวิญญาณของหลัวซิวแล้ว แต่ได้ยินว่าคำถามของหลัวซิว ก็อึ้งไปชั่วขณะ

“ข้า… ข้าแค่ต้องการทำลายพันธนาการวิชาสยบวิญญาณและเอาอิสรภาพของข้ากลับคืนมา” หลงหมิงกล่าว

ไม่ว่ายังไงก็ถูกหลัวซิวรู้แล้ว หลงหมิงก็ตัดสินใจพูดอย่างโกรธเคืองว่า “ข้า มังกร ในสมัยโบราณเป็นถึงผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิข้าถูกปราบปรามเป็นเวลาห้าหมื่นปีอยู่ในสำนักไท่เสวียน ที่แดนนาอสูร เกือบจะเป็นบ้าไปแล้ว!”

“กว่าข้าจะทนจนผ่านไปห้าหมื่นปี และอายุขัยของข้าก็กำลังหมดลงแล้ว กว่าข้าจะเกิดใหม่ได้ด้วยวิธีลับของเผ่ามังกร ข้าก็ตกไปอยู่ในมือของเจ้า ข้าอารมณ์ไม่ดี!”

มันเคยเป็นเผ่ามังกรที่เทียบได้กับจักรพรรดิยุทธ์ มีความเย่อหยิ่งและผยองของตัวเอง ถ้าไม่ใช่เพราะชีวิตใหม่ที่ได้รับมาอย่างยากลำบาก แม้ว่าจะตาย มันคงไม่อยากถูกควบคุมโดยวิชาสยบวิญญาณ

เช่นเดียวกับในสมัยโบราณ มันยอมถูกกักขังอยู่ในแดนนานาอสูรห้าหมื่นปีในความมืด ก็ไม่เคยยอมจำนนต่อสำนักไท่เสวียน

เทียบเท่ากับว่ามันเคยตายมาก่อนแล้ว และด้วยเหตุนี้ มันจึงทะนุถนอมชีวิตปัจจุบันมาก และกลัวความตายมากกว่าเมื่อก่อน

“ข้าเข้าใจดีว่าเจ้าต้องการหลุดออกมาจากวิชาสยบวิญญาณ แต่เจ้าเคยคิดไหมว่า แม้ว่าข้าจะปล่อยเจ้าไป ถ้าเจ้าตกอยู่ในมือของจักรพรรดิยุทธ์คนอื่น ๆ เจ้ายังคงถูกกักขังด้วยวิชาสยบวิญญาณ เพราะเจ้าไม่ใช่เผ่ามังกรจักรพรรดิยุทธ์ในสมัยโบราณอีกต่อไป และเจ้าไม่มีความแข็งแกร่งของจักรพรรดิยุทธ์อีกต่อไป”

เมื่อหลัวซิวกล่าวคำเหล่านี้ หลงหมิงก็เงียบไป โลกทุกวันนี้ต่างจากสมัยโบราณ พลังฟ้าดินจิตเบาบาง เว้นแต่จะพบทรัพยากรการฝึกฝนมากมาย ไม่อย่างนั้นเป็นไปไม่ได้ที่มันจะหวนคืนสู่ความแข็งแกร่งในอดีต

และก่อนที่ความแข็งแกร่งของมันจะถูกฟื้นฟู ในสายตาของจักรพรรดิยุทธ์ ค่าของมังกรโบราณไร้ร่างตัวหนึ่งนั้นประเมินค่าไม่ได้อย่างแน่นอน เมื่อมันถูกค้นพบ ผู้แข็งแกร่งจำนวนนับไม่ถ้วนจะไปจับกุมมัน

แม้จะมีพรสวรรค์ในการควบคุมพื้นที่ ไม่ง่ายที่คนอื่นจะจับมัน แต่ก็กลัวเหมือนกัน หากมีคนจับมันได้จริงๆ คนอื่นอาจไม่ดีเท่าหลัวซิว

บางทีมันอาจจะลบความจำของมันออกโดยตรงและให้มันเป็นสัตว์เลี้ยงที่นั่ง

“เจ้าควรรู้ดี ถ้าไม่ใช่ตอนอยู่ในแดนปริศนา เจ้าต้องการทำลายข้า ข้าอาจจะไม่ใช้วิชาสยบวิญญาณในทะเลแห่งจิตสำนึกของเจ้าก็ได้”

“ถ้าไม่ใช่เพราะกังวลว่าเจ้าจะกลับมาทำร้ายข้า ข้าจะไม่ระงับการเติบโตและการฟื้นตัวของเจ้า”

ฟู่!

ร่างกายของเขาสั่นสะท้านอย่างกะทันหัน เขามองไปที่ท้องตนเองอย่างไม่เชื่อสายตา เห็นมือหยกขาวแทงเข้าไปในตันเถียนของเขา

หลังจากนั้น ว่านเหลียงเฉิงรู้สึกได้ว่าตันเถียนของเขาถูกมือหยกนี้จับไว้ พลังจิตที่ถูกบีบอัดอย่างบ้าคลั่งนั้นถูกระงับแน่นไม่สามารถระเบิดยาเทพจิตได้

ร่างกายของเขาทรุดโทรมลงอย่างต่อเนื่อง ดวงตาของว่านเหลียงเฉิงเบิกกว้าง ร่างกายของเขายังคงสั่นเทา

เขาไม่เคยคิดว่าอีกฝ่ายจะไม่ให้เขามีโอกาสระเบิดยาเทพจิตด้วยตนเอง

เหยียนเยว่เอ๋อร์ดึงมือของนางออกจากช่องท้องของว่านเหลียงเฉิง นิ้วที่เปื้อนเลือดจับยาเทพจิตสีทองขนาดเท่าตามังกรอยู่ในฝ่ามือของนาง

สำหรับผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ ยาเทพจิต แบ่งออกเป็นสามระดับ คือ ยาเขียว ยาม่วงและยาทอง

กลั่นเป็นยาทอง เป็นช่วงปลายของราชายุทธ์ ว่านเหลียนเฉิงนี้เป็นผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ จุดตันเถียนกลั่นออกมาเป็นยาทองระดับสูงโดยธรรมชาติอยู่แล้ว

“แค่ก แค่ก แค่ก…”

เหยียนเยว่เอ๋อร์ ไอสองสามครั้ง เลือดไหลออกจากมุมปากของนาง และลักษณะพลังที่ได้แผ่กระจายไปทั่วร่างกายของนางก็ค่อยๆ หายไป ใบหน้างามของนางซีดเผือก

ในสายเลือดของตระกูลเหยียน พลังแห่งเลือดอ่อนแอมากจนแทบไม่มีนัยสำคัญ ดังนั้นเวลาหลายหมื่นปีมานี้ นางเป็นคนเดียวที่ปลุกพลังของเลือดหงส์โบราณมาได้

ดังนั้นเลือดหงส์โบราณในร่างกายของนางจึงมีจำกัด ไม่สามารถต่อสู้ระยะยาวได้ ไม่ต้องพูดถึงในนาทีสุดท้าย เพราะอาการบาดเจ็บของหลัวซิว นางกระตุ้นเลือดหงส์โบราณอย่างไม่สนใจผลที่จะตามมา ทำให้ตัวนางเอง ต้องทนทุกข์ทรมานอย่างมากกับผลที่ต้องรับเมื่อใช้พลังเกินไป

นางยกมือขึ้นและพ่นไฟเพื่อเผาศพของว่านเหลียงเฉิงเป็นเถ้าถ่าน นางเก็บแหวนเก็บของและอาวุธของคู่ต่อสู้ทันที และแบกหลัวซิว แล้วรีบออกจากสถานที่นั้นไปอย่างรวดเร็ว

ลมหวีดหวิวยังคงพัดผ่านหูไป กระตุ้นเลือดหงส์โบราณ ทำให้ร่างกายของหยานเยว่เอ๋อร์อ่อนแออย่างมาก

แต่เพื่อที่จะสามารถนำหลัวซิวไปยังที่ปลอดภัยได้ นางกัดฟันและด้วยความเชื่อนี้ จนกระทั่งสติของนางค่อยๆ เลือนลาง นางล้มลงกับพื้นและสลบไป

“หึหึ…สิ่งที่เหมือนกันหรือคนที่เหมือนกันจะอยู่เป็นหมู่เดียวกันจริงๆนะ ”

ข้างหลัวซิวและเหยียนเยว่เอ๋อร์ซึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสเลยหมดสติไปนั้น ร่างกายของหลงหมิงก็โผล่ออกมาอย่างเงียบ ๆ

ก่อนหน้านี้ที่การต่อสู้ระดับจักรพรรดิยุทธ์ มันไม่สามารถเข้าไปแทรกได้เลย และมันก็ช่วยอะไรไม่ได้ การต่อสู้ครั้งสุดท้ายกับผู้อาวุโสเสวียนหยาง หลังจากที่พ่นไฟมังกรออกมาเต็มคำ ทำให้มันอ่อนแอเป็นเวลานาน

จนถึงขณะนี้ ยังไม่สามารถผ่านช่วงเวลาที่อ่อนแอไปได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้น หลัวซิวจึงไม่ปล่อยให้มันออกมาต่อสู้ ในการต่อสู้เมื่อครู่นี้

“ตอนนี้สองคนนี้ต่างก็สลบไปแล้ว…”

หลงหมิงก้าวไปข้างหน้า หัวโตๆของมันส่ายไปมา ดวงตาของเขาขนาดเท่าตะเกียงก็ฉายแวววับราวกับว่ามันลังเลเล็กน้อย

มันรู้ดีว่า ตอนนี้เป็นโอกาสที่ดี เพราะรู้ว่าก่อนที่จะมาที่นี่ หลัวซิวได้กลั่นยาระดับ 6 จำนวนมากให้เหยียนเยว่เอ๋อร์

ในบรรดาเม็ดยาระดับ 6 เหล่านั้น มีหลายเม็ดเป็นยาที่เพิ่มการฝึกฝน หากมันได้กลืนกินเข้าไป การฝึกฝนของมันจะดีขึ้นอย่างก้าวกระโดด

ก่อนที่มันจะเสียชีวิต การฝึกฝนของมันเทียบเท่ากับผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ และไม่มีปัญหาในการฝึกฝน ตราบใดที่มีทรัพยากรเพียงพอก็สามารถฟื้นฟูการฝึกฝนในอดีตได้ในเวลาอันสั้น

“แค่ความแข็งแกร่งของข้าสามารถฟื้นคืนสู่ระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ได้ ข้าก็จะสามารถออกมาจากวิชาสยบวิญญาณนี้ได้”

หลงหมิงกำกรงเล็บของมันไว้ แต่ในท้ายที่สุดความกระหายในอิสรภาพก็มีชัยมากกว่า ดังนั้นมันจึงกางกรงเล็บออกเพื่อจะเอาแหวนเก็บของบนมือของหยียนเยว่เอ๋อร์มา

“ในที่สุดก็ได้มาสักที!”

หลังจากได้รับแหวนเก็บของมา รอยยิ้มของมนุษย์ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลงหมิง

มันแทบรอไม่ไหวที่จะหยิบยาทุกชนิดออกจากแหวนเก็บของ แล้วหมอบลงข้างคนทั้งสองที่สลบ และเริ่มฟื้นฟู

เส้นลมปราณในร่างกายหลัวซิวถูกทำลายหมด ตันเถียนและทะเลแห่งจิตสำนึกของเขาก็ถูกโจมตีด้วยเจตนาสังหารของ จักรพรรดิยุทธ์ ชีวิตของเขาถูกแขวนไว้ด้วยด้าย

แม้กระทั่งยาหิมะแย้มที่กำลังรักษาบาดแผลในร่างกายของเขา บาดแผลที่ร้ายแรงเช่นนี้ แม้แต่ยาหิมะแย้มก็ยังยากในการรักษา

อย่างไรก็ตาม หลัวซิวไม่ได้กังวลใดๆ เกี่ยวกับชีวิตของเขา เพราะเขาได้ปลุกพลังผู้เป็นอมตะของเขาแล้ว ตราบใดที่เขาไม่ถูกฆ่าด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว และยังมีลมหายใจอยู่ เขาก็สามารถฟื้นคืนชีพได้ ไม่เพียงแต่อาการบาดเจ็บของเขาจะหายดี ความแข็งแกร่งของเขาก็จะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดด้วย

ในขณะนี้ ทุกตารางนิ้วของเนื้อหนังและร่างกายของเขาอยู่ในสภาวะเงียบสงัด แต่ในกลางใจของทะเลแห่งจิตสำนึกของเขา ลูกแก้วความเป็นตายกลับเปล่งประกายเจิดจ้า

ปราณเป็นตาย2ระดับแผ่กระจายออกมาจากลูกแก้ว เปลี่ยนแปลงร่างกายของหลัวซิวอย่างเงียบ ๆ ทำให้เขาได้รับการเปลี่ยนแปลงและวิวัฒนาการบางอย่างโดยที่เขาไม่รู้

ข้างล่างยอดเขาทองดำ ผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์สิบกว่าคนกำลังประสบปัญหา

เนื่องจากภูเขาลูกนี้ไม่มีบันไดและไม่มีที่ยืนหรือจับ ที่นี่ยังไม่สามารถบินได้ จะขึ้นไปบนยอดเขาอย่างไรจึงกลายเป็นปัญหาใหญ่

“โลกใบเล็กๆ แห่งนี้ถู กปกคลุมไปด้วยค่ายกลสองรูปแบบ แบบแรกเป็นแบบบินไม่ได้ และอีกแบบคือรูปแบบที่รวมพลังฟ้าดินจิต ไว้ในวังบนยอดเขานี้”

เหว้ยห้าวหรานเป็นปรมาจารย์นักค่ายกลระดับ 6 เพียงคนเดียวในบรรดาจักรพรรดิยุทธ์ ตามเบาะแสบางอย่างเหล่านี้ ใช้เวลานานจึงพบว่าสองค่ายกลนี้ ใช้ยอดเขาทองดำเป็นส่วนกลางของค่ายกล

“อาจารย์เหว้ย อย่าบิดบังอีกเลย เราจะไปถึงยอดเขาได้อย่างไร?” สำนักเสวียนหยางกล่าว

“ไม่ใช่ไม่มีวิธี แต่ต้องใช้เวลา”

เหว้ยห้าวหรานขมวดคิ้ว ดวงตาของเขากวาดมองไปยังพวกจักรพรรดิยุทธ์และกล่าวอย่างช้า ๆ ว่า “ข้าสามารถตั้งค่ายกลอย่างหนึ่ง เพื่อแก้ไขผนึกไม่สามารถบินที่นี่ได้ชั่วคราว แต่เนื่องจากระดับค่ายกลที่นี่สูงเกินไป ธงค่ายกลของข้าไม่สามารถปกป้องไว้ได้”

เมื่อพูดถึงจุดนี้ น้ำเสียงของเหว้ยห้าวหรานหยุดชะงักเล็กน้อย “ความสำคัญของธงค่ายระดับ 6 ข้าไม่คิดว่าข้าต้องพูดเพิ่มเติม พวกเจ้าก็รู้ดีอยู่แล้ว”

ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ถูกพูด จอมยุทธ์จำนวนนับสิบกว่าคน เข้าใจแล้วว่าเหว้ยห้าวหรานหมายถึงอะไร

“ธงค่ายที่เสียหาย จะได้รับการชดเชยโดยพวกเราอยู่แล้ว” จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

ขณะพูด เขาได้หยิบแหวนออกมาแล้ว ยกมือขึ้นแล้วโยนให้เหว้ยห้าวหรานม

เหว้ยห้าวหรานมองไปที่หินพลังจิตชั้นกลางจำนวนหนึ่งแสนก้อนในแหวนเก็บของ พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม จากนั้นจึงเก็บแหวนและมองไปที่จักรพรรดิยุทธ์คนอื่นๆ

นักค่ายกลหากิน ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถตนเองเหมือนกัน ใครอยากจะไปให้ถึงยอดเขาก็ต้องพึ่งเขาเพื่อทำลายค่ายกล ถ้าไม่ฉวยโอกาสหาเงิน ก็ต้องรู้สุกผิดต่อฐานะของนักค่ายกล

อันที่จริง ในใจของเหว้ยห้าวหรานรู้ดีว่ามีเพียงหินพลังชีวิตระดับกลางหนึ่งแสนก้อนที่จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงมอบให้ก็เพียงพอที่จะชดเชยการสูญเสียธงค่ายของเขา

คนอื่นๆ ไม่รู้ว่าจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงให้ไปเท่าไหร่ แต่พวกเขาก็รู้ด้วยว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะให้เหว้ยห้าวหรานทำงานเปล่า ๆ ให้โดยไม่ให้อะไรเขา

หลังจากที่จักรพรรดิยุทธ์ทุกคนคิดในใจแล้ว พวกเขาทั้งหมดก็หยิบแหวนเก็บของออกมาแล้วยื่นให้เหว้ยห้าวหราน

สิ่งที่ฝานไท่เต๋อมอบให้คือเม็ดยา ซึ่งเทียบเท่ากับมูลค่าของหินพลังจิตชั้นกลางเจ็ดหรือแปดหมื่นก้อนแล้ว

อาจารย์หงหมิงยังมอบหินพลังจิตชั้นกลางจำนวนหนึ่งแสนก้อน สำหรับผู้ที่บรรลุจักรพรรดิยุทธ์ หินพลังจิตชั้นกลางโดยพื้นฐานแล้วไม่มีผลต่อการฝึกฝน นอกเหนือจากการซื้อวัสดุและสมบัติบางอย่างแล้ว ไม่มีการใช้งานใด ๆ

เฆ่าประหลาดดูยากจน แต่เขาหยิบวัสดุหลายอย่างในการกลั่นธงค่ายระดับ 6 ออกมาอย่างไม่ลังเล ทำให้เหว้ยห้าวหรานพอใจมาก

รู้สึกถึงลักษณะพลังที่แสดงออกมาเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหันบนร่างกายของเหยียนเยว่เอ๋อร์ แม้แต่หลัวซิวก็ยังอึ้ง

วินาทีนั้น เหยียนเยว่เอ๋อร์ จับหอกรบเปลวไฟ แทงไปยังว่านเหลียงเฉิง เปลวไฟร้อนกลายเป็นกระแสไฟวนราวกับว่ามันสามารถกลืนกินและแผดเผาทุกอย่างได้

“ทำลายมันลงซะ!”

ดาบสั้นในมือของว่านเหลียงเฉิงฟันออกไป พลังจิตได้เปลี่ยนเป็นห้วงยุทธ์ม่านดาบสีเลือด เจตนาในการฆ่าโหดเหี้ยม นักยุทธ์ที่ฝึกฝนวิธีการฆ่ามีชื่อเสียงในการโจมตีแบบเผด็จการ

แต่ในขณะนี้ ลักษณะพลังที่ได้แสดงออกมาของเหยียนเยว่เอ๋อร์ ได้ครอบงำว่านเหลียงเฉิงแล้ว และเปลวไฟที่หมุนวนก็กลืน ม่านดาบสีเลือดเข้าไปทันที

ว่านเหลียนเฉิงถอยกลับอย่างรวดเร็วด้วยความตกใจ กริชสีเลือดในมือของเขายังคงแกว่งไปมา กวัดแกว่งม่านดาบออกมามากกว่าสิบออกไป

“บูม!”

พื้นที่ภายในรัศมีหลายร้อยเมตรถูกทำลายลงทันที และคลื่นพลังงานที่รุนแรงก็ปะทุขึ้นอย่างรุนแรง ทำให้ว่านเหลียนเฉิงกระเซ็นบินออกไป เลือดหยดหนึ่งไหลออกมาจากมุมปากของเขา

มือสังหารว่าน ผู้ซึ่งมีกำลังการต่อสู้เทียบได้กับจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 3 ได้รับบาดเจ็บ

“ดูเหมือนว่าข่าวลือจะเป็นความจริง ร่างกายของเจ้าได้ฟื้นเลือดเผ่าหงส์โบราณแล้ว!”

ดวงตาของว่านเหลียงเฉิงหรี่ลงเล็กน้อย น้ำเสียงของเขาตื่นเต้นเล็กน้อย ราวกับว่าประหลาดใจและมีความยินดี

รู้ม่านตาของหลัวซิวอดไม่ได้ที่จะหดตัวเมื่อได้ยินคำเหล่านี้ เขาเคยได้ยินเกี่ยวกับตำนานของทายาทเผ่าหงส์โบราณ

ตอนที่เขายังอยู่ในองค์กรนักล่ายุทธ์ ได้ตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับตระกูลเหยียน ในนั้นก็ได้กล่าวถึงว่าตระกูลเหยียนเป็นทายาทของเผ่าหงส์โบราณ

ในสมัยโบราณ เมื่อหลายหมื่นปีก่อน หงส์ เคยเป็นหนึ่งในผู้ปกครองของโลกแสงดาว นอกจากเผ่าหงส์แล้ว ยังมีสายเลือดโลหิตอื่นๆอีกมากมาย

ตั้งแต่เกิดภัยพิบัติในสมัยโบราณ หงส์ ได้หายสาบสูญไป แต่ยังคงมีผู้สืบเชื้อสายจากสายเลือดเผ่าหงส์ เพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ยังคงสืบทอดต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้

ตระกูลเหยียน เป็นหนึ่งในสายเลือดของเผ่าหงส์โบราณที่แยกออกมา แต่สายเลือดที่แยกออกมานี้เป็นตระกูลที่อ่อนแอ ไม่มีใครฟื้นพลังแห่งสายเลือดเผ่าหงส์โบราณได้มานับหมื่นปีแล้ว แต่พวกเขาที่มีสายเลือดของเผ่าหงส์โบราณ จะเหมาะกับการฝึกฝนวรยุทธ์ธาตุไฟตั้งแต่เกิด

หากไม่ใช่เพราะภัยพิบัติในสมัยโบราณทำให้สูญเสียวิชาการฝึกฝนหลักไป แม้ว่าพลังของสายเลือดจะอ่อนแอ ตระกูลเหยียนก็จะไม่ทนอยู่ในประเทศเทียนหวูเล็กๆ แห่งนี้

ในวินาทีนี้ ความคิดนับไม่ถ้วนแวบเข้ามาในใจของหลัวซิว

สามร้อยกว่าปีที่แล้ว ตำหนักจื่อโจมตีตระกูลเหยียน น่าจะเป็นเพราะเลือดหงส์โบราณ

ในขณะนี้ เหยียนเยว่เอ๋อร์ ได้กระตุ้นพลังเลือดหงส์โบราณในร่างกายของนาง ความแข็งแกร่งของนางก็พุ่งสูงขึ้น สามารถสู้จักรพรรดิยุทธ์ขั้น 4 ได้ แต่ไม่สามารถใช้พลังนี้ได้นาน

เพราะถึงแม้นางจะฟื้นเลือดหงส์โบราณแล้ว แต่พลังของเลือดก็อ่อนแอมาก

“ระบำหงส์!”

รอบกายโหมกระหน่ำด้วยเปลวเพลิง เหยียนเยว่เอ๋อร์ได้รวมตัวเข้ากับเงาหงส์ที่อยู่ข้างหลังนาง และหอกรบเปลวไฟในมือของนางก็แทงออกไป

บูม!

เปลวเพลิงที่แผดเผาชนกับพลังสังหารสีเลือด ท้องฟ้าถูกเปลี่ยนสี ในพลังที่บ้าคลั่ง รุนแรง เปลวไฟที่ลุกโชนค่อยๆกดทับพลังฆ่าสีเลือด

ในทันใดนั้น ดวงตาของว่านเหลียงเฉิงฉายแววอย่างเหี้ยมออกมา เขาไม่สนใจเปลวไฟแผดเผาที่พุ่งเข้าหาตัวเอง กริชสีเลือดในมือฟันออกไป ทะลุเปลวไฟ แทงเหยียนเยว่เอ๋อร์

นี่เป็นการโจมตีแบบทั้งสอฝ่ายได้รับบาดเจ็บโดยสิ้นเชิง ขึ้นอยู่กับว่าการโจมตีใดที่สามารถสร้างความเสียหายให้กับคู่ต่อสู้ได้มากกว่า

“ระวัง!”

เมื่อเห็นภาพนี้ หลัวซิวก็พุ่งไปข้างหน้าในทันที เพียงชั่วลมหายใจ เขาก็ปรากฏตัวต่อหน้า เหยียนเยว่เอ๋อร์ ถือกระบี่อาถรรพ์ฟันเสือ จะต่อต้านดาบของ ว่านเหลียงเฉิงแทนนาง

“แคร่ง!”

กระบี่หนักสีดำสีดำและดาบสั้นสีเลือดชนกัน พลังที่ไม่อาจต้านทานได้ส่งผ่านมา ทำให้ กระบี่อาถรรพ์ฟันเสือในมือของหลัวซิวกระเด็นออกไป และดาบสั้นสีเลือดก็ไม่ลดแรงลง แทงเข้าหาเขา

พลังจิตแท้เป็นตาย2ระดับสำและสีขาวที่ผสานกันกระจายออกมาบนพื้นผิวของร่างกาย กลายเป็นม่านแสงที่ปกป้องร่างกาย แต่ภายใต้การโจมตีของ ผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ ม่านแสงปกป้องร่างกายก็ฉีกขาดออกทันทีเหมือนกระดาษ ทำให้ดาบนี้แทงเข้าร่างกายของหลัวซิวโดยไม่มีอุปสรรค

ในขณะนี้ หลัวซิวรู้สึกถึงเจตนาการฆ่าที่รุนแรงพุ่งเข้ามาในร่างกายของเขา ร่างกายเกือบจะระเบิดตาย และความเจ็บปวดอย่างรุนแรงจากการฉีกขาดมาจากหน้าอกที่ถูกแทง

“อ๊าก!”

หลัวซิวเปล่งเสียงคำรามเหมือนคนบ้า และควบคุมร่างยุทธ์ระดับราชาอย่างเต็มที่ จับดาบสั้นสีเลือดที่แทงเข้ามาในร่างกายไม่ให้แทงลึกเข้าไปกว่าเดิม

ภายใต้การบีบรัดสังหารนี้ ร่างกายของเขาพร่ามัวไปด้วยเลือดและเลือดกระเซ็นกระจายไปทั่ว แต่เขากัดฟันแน่น ยอมตายดีกว่าเดินถอยหลังครึ่งก้าว

เพราะข้างหลังเขา คือผู้หญิงของเขา คนในครอบครัวที่เขาสามารถปกป้องได้ด้วยชีวิตของเขา

“ไอ้บ้า เจ้าจะบ้าหรือ?”

เมื่อเห็นว่าหลัวซิวยอมต่อต้านดาบมากกว่ายอมถอยกลับครึ่งก้าว ว่านเหลียงเฉิงเริ่มกังวล เพราะเปลวไฟที่โหมกระหน่ำพุ่งเข้าหาเขาแล้ว

ฟู่!

ว่านเหลียนเฉิงกระอักเลือดและร่างกายของเขาก็กระเด็นออกไป

เปลวไฟที่แผดเผาได้ทะลุผ่านพลังจิตที่ปกป้องร่างกายของเขาโดยตรง ทั่วร่างกายของเขามีรอยไหม้ เดิมทีผลยาวที่พลิ้วไหวของเขาก็ถูกไฟไหม้กลายเป็นคนหัวโล้น ช่างตลกและน่าขบขัน

นอกจากบาดแผลบนผิวกายแล้ว เปลวไฟพลังจิตร้อนก็พุ่งเข้าสู่ร่างกาย ทำลายเส้นชีวิตในร่างกาย หากเขาไม่ปกป้องตันเถียนของเขาได้ทันท่วงที เกรงว่าอาการบาดเจ็บจะ ร้ายแรงยิ่งขึ้น
นี่ควรจะเป็นการต่อสู้ที่จะได้รับบาดเจ็บทั้งคู่ แต่เนื่องจากการแทรกแซงอย่างกะทันหันของหลัวซิว ว่านเหลียนเฉิงจึงประสบความสูญเสียครั้งใหญ่ในทันที

“เจ้าสารเลว!” ว่านเหลียนเฉิงดุอย่างโกรธจัด ใช้ปราณแท้ระงับเปลวไฟพลังจิตภายในร่างกายของเขา และแขนซ้ายของเขาเผยกระดูกขาวออกมา แขนซ้ายเสียไปโดยสิ้นเชิง

“แต่ถึงข้าจะบาดเจ็บสาหัส เจ้าหนุ่มคนนั้นน่าจะตายแล้ว”

ว่านเหลียนเฉิงพลิกมือของเขาและหยิบเม็ดยาหิมะแย้มระดับ 6 ออกมาหนึ่งเม็ด แล้วใส่เข้าไปในปากของเขา ยารักษาระดับ 6 สิ่งที่ล้ำค่าที่สุดไม่ใช่ราคา แต่เพราะเม็ดยานี้เป็นยาหายาก

ยาหิมะแย้ม ตามฐานะของว่านเหลียนเฉิง ผู้เป็นถึงจักรพรรดิยุทธ์ ก็มีเพียงสามเม็ดเท่านั้นซึ่ งทั้งหมดนี้มีจุดประสงค์เพื่อช่วยชีวิตตนในยามได้รับบาดเจ็บสาหัส ค่อนข้างเสียดายที่จะใช้มันในตอนนี้จริงๆ

ในเวลาเดียวกัน ร่างกายของหลัวซิวถูกปกคลุมไปด้วยเลือด และเส้นลมปราณเกือบทั้งหมดถูกทำลายโดยเจตนาการสังหารที่พุ่งเข้าสู่ร่างกายของเขา

สิ่งสุดท้ายที่เขาเห็นคือท้องฟ้าที่แตกสลาย

“หลัวซิว!”

เหยียนเยว่เอ๋อร์ ยื่นมือออกไปรับเขา และรีบหยิบยาหิมะแย้มหนึ่งเม็ดออกมาให้เขากิน

เมื่อดวงตาของนางมองไปที่ว่านเหลียงเฉิงอีกครั้ง ในม่านตาเปลวไฟสีทองผุดขึ้นมา

ลักษณะพลังที่ได้แสดงออกมาของเหยียนเยว่เอ๋อร์เพิ่มขึ้นอีกครั้ง เลือดทั่วร่างกายของนางก็ดูเหมือนจะลุกเป็นไฟ นางได้ใช้พลังของเลือดหงส์โบราณอย่างประมาทเลินเล่อโดยไม่สนใจผลที่จะตามมา

“ห้าว!”

มีเสียงหงส์คำรามดังออกมาจากร่างกายของนาง เปลวไฟที่ไม่มีที่สิ้นสุดยังคงแพร่กระจายอย่างต่อเนื่อง ทำให้พื้นที่หลายพันเมตรกลายเป็นทะเลเพลิง

เสียงหงส์เสียงสูงดังก้องไปทั่วท้องฟ้าและแผ่นดิน แผดเผาพื้นที่กลายเป็นหลุมดำ ราวกับจะทำลายทุกอย่าง ทำลายวิธีการต่อต้านของว่านเหลียงเฉิงทั้งหมด

ว่านเหลียนเฉิงคำรามด้วยความโกรธ มองดูร่างกายของตนเองแตกสลายและสลายไปในเปลวเพลิงที่ลุกโชน ใบหน้าของเขาโหดเหี้ยมอย่างรับไม่ได้

“อยากให้ข้าตาย ข้าจะไม่ยอมให้เจ้ารู้สึกดีด้วย!”

ว่านเหลียนเฉิงกระอักเลือดออกมา ราวกับคนบ้าที่หมดแรง พลังจิตทั้งหมดในร่างกายของเขาถูกบีบอัดเข้าไปในตันเถียนของเขาในทันใด เขาต้องการจุดชนวนยาเทพจิตตัวเองให้ระเบิด

ในขณะนี้ ว่านเหลียงเฉิงได้ยินเสียงฮึ่ม เย็นชาที่ไม่มีอารมณ์แม้แต่น้อย

ตัวสำนึกของผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์นั้นอยู่ในสภาวะปลดปล่อยเสมอ เมื่อมีลมหายใจของจอมยุทธ์ที่เป็นมนุษย์ปรากฏขึ้นมา ว่านเหลียนเฉิงจะรีบเร่งไปทันที ตราบใดที่ฝ่ายตรงข้ามไม่ใช่ศิษย์ของตำหนักจื่อ เขาจะฆ่าโดยตรง

ใช้เวลาไม่นานนัก นักยุทธ์มากกว่าสิบกว่าคนก็ตายอยู่ในมือของเขา ปรมาจารย์ของ หลายคนมาจากราชวงศ์ตระกูลฝาน สำนักเสวียนหยาง สำนักฉางเหอ

ในตำหนักจื่อ ว่านเหลียนเฉิง เป็นมีดในมือเจ้าตำหนักจื่อ เขามีความจงรักภักดีต่อสำนักอย่างหาที่เปรียบมิได้ การฆ่าอย่างโหดเหี้ยมและวิธีการที่ไร้ปรานี

ด้วยอย่างนี้ เมื่อเขาค้นหาบุคคลที่สิบสี่ ว่านเหลียนเฉิงจับพลังจิตแท้สองออร่าซึ่งค่อนข้างผิดปกติได้

“มีคนมา เร็วมาก!”

ห่างออกไปหลายร้อยเมตร สีหน้าของหลัวซิวเปลี่ยนไปเล็กน้อย ภายใต้กระแสสัมผัสพลังชีวิตของเขา ลมหายใจชีวิตที่มีพลังกำลังควบม้าไปยังตำแหน่งที่เขาและเหยียนเยว่เอ๋อร์อยู่ด้วยความเร็วที่รวดเร็ว

ตามความเร็วของคู่ต่อสู้ ใช้เวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจก็มาถึงแล้ว

“เป็นจักรพรรดิยุทธ์ท่านหนึ่งไม่อ่อนแอกว่าข้า!”

เหยียนเยว่เอ๋อร์ ยังสัมผัสได้ถึงออร่าของอีกฝ่าย สีหน้าของนาดูขรึมลงเล็กน้อย

ในไม่ช้า ชายวัยกลางคนที่สวมชุดสีม่วงก็ปรากฏตัวขึ้นในสายตาของทั้งสองคน

อีกฝ่ายมาจากตำหนักจื่อ ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามาที่นี่เพื่อตรวจสอบหาสาเหตุการเสียชีวิตของ ถาวชิงหยุน

“จักรพรรดิยุทธ์เทียนเฟิ่ง เจ้าคิดว่าถ้าเจ้าระงับออร่าให้อยู่ในฝึกจิตขั้น 9 ก็สามารถหลอกข้าได้หรือ!”

ว่านเหลียนเฉิงดูเหมือนใช้สายลมในการเคลื่อไหว เร็วราวกับสายฟ้าสีม่วง

ในมือของเขา เขาถือกริชเปื้อนเลือด ก่อนที่เขาจะพบหลัวซิวและเหยียนเยว่เอ๋อร์ มีนักยุทธ์อื่น ๆ สิบกว่าคนได้เสียชีวิตอยู่ในมือของเขาแล้ว

“มือสังหารว่าน?”

เมื่อหลัวซิวเห็นคนๆ นี้ ใจของเขาก็กระตุกแรง นี่คือชายผู้แข็งแกร่งที่ฝึกฝนด้วยวิธีการฆ่า และมีปรมาจารย์จอมยุทธ์จำนวนนับไม่ถ้วนที่เสียชีวิตอยู่ในมือของเขา

เจตนาฆ่าของเขานั้นมีมากกว่าเจตนาฆ่าของหลัวซิวหลายสิบเท่า ไม่รู้ว่าต้องฆ่าผู้แข็งแกร่งมากแค่ไหนถึงจะมีแบบนี้

ชุดสีม่วงและเต็มไปด้วยเลือด ใบหน้าของว่านเหลียนเฉิงเต็มไปด้วยรอยยิ้มอาฆาต

บุคคลนี้มีอีกนามหนึ่งว่า ‘มือสังหารว่าน’ ฝึกฝนมาเป็นเวลากว่า หนึ่งพันสามร้อยกว่าปี จำนวนผู้เสียชีวิตด้วยน้ำมือของว่านเหลียนเฉิงก็เกินหนึ่งหมื่นคนแล้ว

เป็นแดนจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 2 เหมือนกัน แต่ลักษณะพลังที่ได้แสดงออกมาของเหยียนเยว่เอ๋อร์นั้นอ่อนแอกว่าว่านเหลียงเฉิงมาก

ในแง่ของพลังการต่อสู้ส่วนบุคคล แม้แต่ผู้อาวุโสเสวียนหยาง ก็ไม่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ของมือสังหารว่านได้

สามร้อยปีที่แล้ว การตายของพ่อแม่ของเหยียนเยว่เอ๋อร์ ก็มีเงาของมือสังหารว่านซ่อนอยู่ หากไม่ใช่เพราะตำหนักจื่อยังคงมีหวาดหวั่นต่อปรมาจารย์กลั่นยาขั้น 6 ของราชวงศ์ตระกูลฝาน ตระกูลเหยียนอาจถูกสังหารทั้งหมดตั้งแต่เมื่อสามร้อยปีที่แล้ว

ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก ว่านเหลียงเฉิงได้เริ่มโจมตีทันที ฟันกริชสีเลือดในมือของเขาออกไป ออร่าเลือดแดงขนาดใหญ่ที่มีการสังหารได้พุ่งออกมา กลายเป็นกระแสน้ำวนสีเลือดบนหัวเหยียนเยว่เอ๋อร์

“หงส์อัคคีทยานนภา!”

เหยียนเยว่เอ๋อร์หยิบหอกรบเปลวไฟออกมา เปลวไฟเป็นกองๆปรากฏขึ้นมากลางอากาศ กลายเป็นหอกและแทงเข้าไปในกระแสน้ำวนสีเลือด ให้เป็นชิ้น ๆ

แม้ทั้งสองคนมีพลังเท่ากัน แต่ความแข็งแกร่งก็มีช่องว่างขนาดใหญ่ ว่านเหลียงเฉิงยกมือขึ้น เหวี่ยงออกไป พลังดาบสังหารสีเลือดฟันไปทางเหยียนเยว่เอ๋อร์

เจตนาฆ่าควบแน่นอยู่ในพลังดาบสังหารสีเลือด และเจตนาฆ่านี้ส่งผลกระทบต่อตัวสำนึกวิญญาณ แม้ว่าเหยียนเยว่เอ๋อร์จะฝึกฝนวรยุทธ์กลั่นวิญญาณ นางก็ได้รับผลกระทบจากเจตนาฆ่าที่น่าสะพรึงกลัวนี้เช่นกัน ใบหน้าของนางซีดเผือก

แค่เผชิญหน้าเพียงครั้งเดียว นางถูกว่านเหลียงเฉิงปราบปรามอยู่ข้างล่าง กลัวว่าภายในไม่กี่กระบวนท่า นางก็จะพ่ายแพ้ นางไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาเลย

“หลัวซิว เจ้าไปก่อน!”

เหยียนเยว่เอ๋อร์ตะโกนเสียงดัง นางรู้ดีว่านางไม่ใช่คู่ต่อสู้ของว่านเหลียงเฉิง นางหวังเพียงว่าสามารถต้านทานเขาได้อีกสักพัก เพื่อให้หลัวซิวสามารถหลบหนีได้อย่างปลอดภัย

“ข้าจะปล่อยให้เจ้าอยู่ที่นี่คนเดียวได้อย่างไร”

หลัวซิวยื่นมือออกไปจับ กระบี่อาถรรพ์ฟันเสือตกลงมาอยู่ในมือของเขา ห้วงยุทธ์กระบี่สังหารและห้วงยุทธ์แห่งความตายได้ปะทุขึ้นพร้อม ๆ กัน และพลังจิตแท้เป็นตาย2ระดับก็หมุนเวียนอย่างสุดขั้ว

“กระบี่ภูตผีเซินหลัว!”

พลังแปรเสวียนเทียน แข็งแกร่งขึ้นยี่สิบสี่เท่า ประกอบกับพลังของร่างยุทธ์ระดับราชา หลัวซิวฟันออกไป ลมหายใจแห่งความตายอันน่าสะพรึงกลัวแพร่กระจาย เปลวไฟแห่งความตายที่ลุกโชนกลายเป็นกะโหลกขนาดใหญ่ พุ่งเข้าไปกัดว่านเหลียงเฉิง

“ทักษะยุทธ์ระดับ9?”

สีหน้าของว่านเหลียงเฉิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจมากที่สุดไม่ใช่ทักษะยุทธ์ระดับ9 ที่หลัวซิวใช้ แต่ลักษณะพลังที่ระเบิดออกมาจากร่างกายของเขาในขณะนี้ ลักษณะพลังที่ได้แสดงออกมาในระดับนี้เกือบจะเทียบได้กับราชายุทธ์ช่วงปลายแล้ว

แต่การฝึกฝนของเขาเอง เป็นเพียงฝึกจิตขั้น 9 เท่านั้น

ปรมาจารย์ยุทธ์ฝึกจิตขั้น 9 สามารถระเบิดลักษณะพลังที่ได้แสดงออกมาเทียบได้กับฝึกจิตขั้น 9 ช่วงปลายได้อย่างไร?

แม้การโจมตีระดับนี้ ว่านเหลียงเฉิงยังไม่ได้จริงจังกับมัน แต่เขาไม่กล้าโดนโจมตีโดยตรงเหมือนกัน ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องถอนดาบที่ฟันเหยียนเยว่เอ๋อร์ ม่านกริชสีเลือดพุ่งไปหากะโหลกเปลวไฟสีดำขนาดใหญ่

พื้นที่โดยรอบบิดเบี้ยว กะโหลกเปลวไฟสีดำถูกกลุ่มกริชสีเลือดฟันแตกทันที ประกายไฟสีดำกระเซ็นและบินออกไป
และม่านกริชสีเลือดชะงักไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็กลายเป็นลำแสง ฟันไปที่หลัวซิว

“ระวัง!” ใบหน้าของเหยียนเยว่เอ๋อร์ซีดเผือดการโจมตีของผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ ไม่ใช่เรื่องเล่นๆของเด็ก นางไม่คิดว่า หลัวซิวสามารถต้านทานได้

บูม!

แสงเลือดพุ่งกระฉูด ร่างของหลัวซิวพุ่งออกไป กระแทกเข้ากับก้อนหินอย่างแรง กระอักเลือดออกมาจากปากของเขา

ในช่วงวินนาทีวิกฤติ เขาหลีกเลี่ยงจุดสำคัญ ถูกกริชสีเลือดโจมตีที่ร่างกายขวา บาดแผลขนาดใหญ่ ขยายจากไหล่ถึงต้นขา มีเลือดหยด เสื้อคลุมสีดำเปียกโชก

“แค่ก แค่ก… ผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ช่างแข็งแกร่งนัก”

ในขณะนี้ หลัวซิวเข้าใจแล้วว่าเขาโชคดีเพียงใดที่สามารถทำร้ายผู้อาวุโสเสวียนหยางได้ หากไม่มีอิทธิพลปัจจัยจากภายนอกใด ๆ เขาไม่สามารถต้านทานการโจมตีแบบสบาย ๆ จากผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ได้

บางทีเขาใช้ตราธรรมจุติมรณะ อาจจะต้านทานการโจมตีนี้ได้ แต่ถ้าเขาต้องการใช้วิธีผนึกนี้ อย่างน้อยเขาต้องใช้เวลาประมาณการหายใจเข้าออกสองครั้งเพื่อสร้างตราผนึก และระหว่างสองลมหายใจนี้ อีกฝ่ายสามารถฆ่าเขาตายได้นับไม่ถ้วน

“คาดไม่ถึงว่าจะเป็นร่างยุทธ์ระดับราชา?”

ว่านเหลียงเฉิงขมวดคิ้วและดูเหมือนไม่พอใจอย่างมากกับความล้มเหลวของเขาในการฆ่าจอมยุทธ์ฝึกจิตด้วยการฟันครั้งเดียว

เหยียนเยว่เอ๋อร์ โล่งใจเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าหลัวซิวได้รับบาดเจ็บไม่หนัก แต่สีห้าของนางก็ตึงเครียด

บูม!

เปลวไฟที่ร้อนแรงยิ่งร้อนกว่า กระจายออกมาจากร่างกายของเหยียนเยว่เอ๋อร์

ลักษณะพลังที่ได้แสดงออกมาบนร่างกายของนางพุ่งสูงขึ้นในช่วงเวลาสั้น ๆ นี้ และข้างหลังนาง หงส์เพลิงกระพือปีกกระจายพลังลึกลับโบราณออกมา

“เผาผลาญพลังและเลือด?”

รูม่านตาของว่านเหลียงเฉิงหดตัว “ไม่ถูก พลังนี้ไม่ถูกต้อง หรือว่าข่าวลือเป็นความ?…”

“ชิ้ง!”

ด้วยแรงจากนิ้วเดียวของร่างยุทธ์ระดับราชา ทุบพลังจิตแท้ที่ห่อหุ้มไว้บนกระบี่ยุทธ์ของชายหนุ่มชุดม่วงจนแหลกสลาย ภายใต้สายตาที่น่าสะพรึงกลัวของอีกฝ่าย ร่างของเขาก็บินออกไป กระบี่ยุทธ์หลุดจากมือ กระดูกแขนข้างที่ถือกระบี่ยุทธ์ก็หักสิ้นเช่นเดียวกัน

ปากของชายหนุ่มในชุดสีม่วงกระอักเลือดออกมา ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อและแสดงถึงความหวาดผวา

ในเวลาเดียวกัน ก่อนที่ชายชราในชุดเสื้อสีม่วงจะวิ่งไปที่ด้านหน้าของเหยียนเยว่เอ๋อร์ เขารู้สึกได้ถึงการบีบอัดมหาศาลที่กำลังมาถึง ราวกับภูเขาลูกใหญ่ และกดเขาลงไปที่พื้นโดยตรง เหงื่อออกทั่วร่างกายของเขา

ณ เวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นชายชราเสื้อม่วง หรือเป็นเจ้าสำนักน้อยในชุดสีม่วงต่างก็รู้สึกตัวขึ้นในทันที

เยียบโดนแผ่นเหล็กเข้าแล้ว!

คนหนึ่งอาศัยการบีบบังคับ ทำให้ผู้แข็งแกร่งแห่งราชายุทธ์ขั้นหนึ่งคนหนึ่งให้ไม่สามารถขยับตัวได้ ได้แต่นั่งรอความตาย

อีกคนเพียงแค่สะบัดมือก็สามารถโจมตีฝึกจิตขั้นเก้าอย่างรุนแรงได้ โดยเฉพาะกลุ่มดาบที่เปลวไฟสีดำที่ควบแน่นนั้น มันเป็นสัญลักษณ์ของใครบางคน!

“เจ้าคือหลัวซิว!”

ใบหน้าซีดของชายหนุ่มในชุดสีม่วงแสดงอาการตื่นตระหนก เขาก็สังเกตเห็นหญิงสาวสวยคนหนึ่งที่มีใบหน้าเย็นชาและมีเจตนาฆ่าที่แพร่กระจายออกมา เอาความกล้ามาจากที่ไหนถึงได้กล้าคิดลามก เพราะเกือบทุกคนที่เข้ามาในนี้รู้ดีว่า คนที่เดินอยู่กับหลัวซิวนั้น คือจักรพรรดิยุทธ์เทียนเฟิ่ง!

และจักรพรรดิยุทธ์เทียนเฟิ่ง มีความแค้นฝังลึกกับตำหนักจื่อนั่นเป็นเรื่องทั่วไปที่รู้กันดี

ซวยแล้ว!

นี่เป็นความคิดที่เกิดขึ้นโดยสัญชาตญาณของชายหนุ่มในชุดม่วง

“ตราบใดที่เจ้าไม่ฆ่าข้า ข้า’ถาวชิงหยุน’ยินยอมให้สัญญาทุกเงื่อนไข!” ชายหนุ่มชุดม่วงรีบพูด

ถ้าเป็นไปได้ เขาไม่ต้องการที่จะตายอย่างแน่นอน

หลัวซิวหัวเราะดังลั่น ระหว่างนักยุทธ์ การฆ่าและการต่อสู้เป็นเรื่องปกติ

หากต้องการฆ่าผู้อื่นและแย่งชิงทรัพยากรสมบัติของพวกเขา ก็ต้องมีจิตสำนึกว่า ตนก็สามารถถูกคนอื่นฆ่าและขโมยทรัพยากรสมบัติได้เช่นกัน

เมื่อพบว่าตนไม่สามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้ ก็แค่ขอความเมตตา โดยหวังว่าอีกฝ่ายจะปล่อยตนไป สิ่งดี ๆ แบบนี้ในโลกใบนี้จะมีได้อย่างไร?

สำหรับคนประเภทนี้ แม้แต่คำพูดไร้สาระหลัวซิวยังขี้เกียจจะพูดด้วย

“ปัง!”

เปลวไฟลุกโชน ชายชราในชุดดำซึ่งถูกกดทับโดยแรงกดของเหยียนเยว่เอ๋อร์ ก็กลายเป็นคบเพลิงในทันที ร้องโหยหวนท่ามกลางเปลวเพลิงที่โหมกระหน่ำ ในเวลาสั้นๆ เขาก็กลายเป็นขี้เถ้าไม่เหลือแม้แต่เศษกระดูก

ถาวชิงหยุนเห็นภาพตรงหน้า สีหน้าตื่นตระหนกยิ่งแย่ลงไปอีก แต่ก่อนที่เขาจะพูดอะไรไร้สาระไปมากกว่านี้ เช่นกขอความเมตตาหรือแม้แต่คำขู่ หลัวซิวก็ได้โยนเปลวไฟสีดำออกจากมือของเขา

เพลิงมรณะของหลัวซิวหลอมรวมกับภูตอัคคีกลืนกิน เพียงพริบตาเดียวศพของถาวชิงหยุนก็ถูกแผดเผาจนหมด แม้แต่ขี้เถ้ายังไม่มีเหลือ

แต่ในวินาทีที่ถาวชิงหยุนตายนั้น ลำแสงอันเจิดจ้าพุ่งออกจากร่างของเขา หายวับไปในพริบตา และหายไปอย่างไร้ร่องรอย

หลัวซิวแอบรู้สึกไม่ดี เห็นได้ชัดว่าถาวชิงหยุนมีกับดักบางอย่างในร่างกายของเขา เมื่อไรก็ตามที่เขาถูกฆ่าตาย ผู้แข็งแกร่งแห่งตำหนักจื่อก็จะสามารถรู้ได้ทันที แม้แต่เจ้าตำหนักจื่อแดนจักรพรรดิยุทธ์ขั้นสี่คนนั้น ในขณะนี้ เขารู้ว่าลูกชายของเขาถูกฆ่าตาย

ครั้นตอนที่ถาวโจว่จวิ้นตายนั้น ไม่ได้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น เพราะในแดนปริศนาถูกแยกออกจากโลก แต่กับถ้ำเทพสถิตคีตโลกานี้ไม่เหมือนกัน เพราะเจ้าตำหนักจื่อก็อยู่ที่นี่ด้วย

……

ที่เชิงยอดเขาทองดำ ร่างของเจ้าตำหนักจื่อสั่นไหวเล็กน้อย เจตนาฆ่าที่รุนแรงแผ่ไปทั่วร่างกายของเขา

จักรพรรดิยุทธ์ทุกคนที่อยู่รอบข้างเขาต่างก็เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง เห็นว่าใบหน้าของเจ้าตำหนักจื่อมืดมนถึงขีดสุด

“เจ้าตำหนักจื่อ เป็นอะไรหรือ?” จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงถามพร้อมกับขมวดคิ้ว

“ลูกชายคนหนึ่งของข้าถูกฆ่าตาย” เจ้าตำหนักจื่อกล่าวอย่างเศร้าโศก

แม้ว่าเขาจะมีลูกหลายคน แต่ก็มีลูกที่โดดเด่นไม่มากนัก ทุกคนที่ได้รับสถานะเจ้าสำนักน้อยจากเขา ต่างเป็นกระดูกสันหลังของตำหนักจื่อในอนาคต จุดประสงค์ของเขาในการแผ่กิ่งก้านสาขาและให้กำเนิดลูกจำนวนมาก คือเพื่อให้ตำหนักจื่อเป็นอมตะ

เขาเป็นถึงจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่ง มีคนกล้าฆ่าลูกชายของเขา ทั้งที่เขาก็อยู่ที่นี่ได้อย่างไร?

จักรพรรดิยุทธ์ทุกคนในที่นี้ต่างหันมองหน้ากัน ไม่แน่ใจว่ามีคนภายใต้คำสั่งของตนฆ่าเจ้าสำนักน้อยแห่งตำหนักจื่อไปหรือไม่

“รู้หรือไม่ว่าเป็นใคร?” ฝานไท่เต๋อเอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจ

เจ้าตำหนักจื่อที่กำลังโกรธถึงขีดสุด แต่ฝานไท่เต๋อคือปรมาจารย์กลั่นยาขั้นหกคนหนึ่ง เขาไม่ต้องการที่จะทำให้เกิดการขุ่นเคือง จึงส่ายหัวเบา ๆ “หากข้ารู้ ข้าคงไม่โกรธมากเพียงนี้”

ลูกชายของเขาถูกฆ่าตาย แต่เขาไม่รู้ว่าใครเป็นคนฆ่า และลูกของเขาตายที่ไหน อีกทั้งในตอนนี้เขาก็ไปสืบสวนไม่ได้อีกด้วย

“ชิ้ง!”

ด้วยแรงจากนิ้วเดียวของร่างยุทธ์ระดับราชา ทุบพลังจิตแท้ที่ห่อหุ้มไว้บนกระบี่ยุทธ์ของชายหนุ่มชุดม่วงจนแหลกสลาย ภายใต้สายตาที่น่าสะพรึงกลัวของอีกฝ่าย ร่างของเขาก็บินออกไป กระบี่ยุทธ์หลุดจากมือ กระดูกแขนข้างที่ถือกระบี่ยุทธ์ก็หักสิ้นเช่นเดียวกัน

ปากของชายหนุ่มในชุดสีม่วงกระอักเลือดออกมา ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อและแสดงถึงความหวาดผวา

ในเวลาเดียวกัน ก่อนที่ชายชราในชุดเสื้อสีม่วงจะวิ่งไปที่ด้านหน้าของเหยียนเยว่เอ๋อร์ เขารู้สึกได้ถึงการบีบอัดมหาศาลที่กำลังมาถึง ราวกับภูเขาลูกใหญ่ และกดเขาลงไปที่พื้นโดยตรง เหงื่อออกทั่วร่างกายของเขา

ณ เวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นชายชราเสื้อม่วง หรือเป็นเจ้าสำนักน้อยในชุดสีม่วงต่างก็รู้สึกตัวขึ้นในทันที

เยียบโดนแผ่นเหล็กเข้าแล้ว!

คนหนึ่งอาศัยการบีบบังคับ ทำให้ผู้แข็งแกร่งแห่งราชายุทธ์ขั้นหนึ่งคนหนึ่งให้ไม่สามารถขยับตัวได้ ได้แต่นั่งรอความตาย

อีกคนเพียงแค่สะบัดมือก็สามารถโจมตีฝึกจิตขั้นเก้าอย่างรุนแรงได้ โดยเฉพาะกลุ่มดาบที่เปลวไฟสีดำที่ควบแน่นนั้น มันเป็นสัญลักษณ์ของใครบางคน!

“เจ้าคือหลัวซิว!”

ใบหน้าซีดของชายหนุ่มในชุดสีม่วงแสดงอาการตื่นตระหนก เขาก็สังเกตเห็นหญิงสาวสวยคนหนึ่งที่มีใบหน้าเย็นชาและมีเจตนาฆ่าที่แพร่กระจายออกมา เอาความกล้ามาจากที่ไหนถึงได้กล้าคิดลามก เพราะเกือบทุกคนที่เข้ามาในนี้รู้ดีว่า คนที่เดินอยู่กับหลัวซิวนั้น คือจักรพรรดิยุทธ์เทียนเฟิ่ง!

และจักรพรรดิยุทธ์เทียนเฟิ่ง มีความแค้นฝังลึกกับตำหนักจื่อนั่นเป็นเรื่องทั่วไปที่รู้กันดี

ซวยแล้ว!

นี่เป็นความคิดที่เกิดขึ้นโดยสัญชาตญาณของชายหนุ่มในชุดม่วง

“ตราบใดที่เจ้าไม่ฆ่าข้า ข้า’ถาวชิงหยุน’ยินยอมให้สัญญาทุกเงื่อนไข!” ชายหนุ่มชุดม่วงรีบพูด

ถ้าเป็นไปได้ เขาไม่ต้องการที่จะตายอย่างแน่นอน

หลัวซิวหัวเราะดังลั่น ระหว่างนักยุทธ์ การฆ่าและการต่อสู้เป็นเรื่องปกติ

หากต้องการฆ่าผู้อื่นและแย่งชิงทรัพยากรสมบัติของพวกเขา ก็ต้องมีจิตสำนึกว่า ตนก็สามารถถูกคนอื่นฆ่าและขโมยทรัพยากรสมบัติได้เช่นกัน

เมื่อพบว่าตนไม่สามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้ ก็แค่ขอความเมตตา โดยหวังว่าอีกฝ่ายจะปล่อยตนไป สิ่งดี ๆ แบบนี้ในโลกใบนี้จะมีได้อย่างไร?

สำหรับคนประเภทนี้ แม้แต่คำพูดไร้สาระหลัวซิวยังขี้เกียจจะพูดด้วย

“ปัง!”

เปลวไฟลุกโชน ชายชราในชุดดำซึ่งถูกกดทับโดยแรงกดของเหยียนเยว่เอ๋อร์ ก็กลายเป็นคบเพลิงในทันที ร้องโหยหวนท่ามกลางเปลวเพลิงที่โหมกระหน่ำ ในเวลาสั้นๆ เขาก็กลายเป็นขี้เถ้าไม่เหลือแม้แต่เศษกระดูก

ถาวชิงหยุนเห็นภาพตรงหน้า สีหน้าตื่นตระหนกยิ่งแย่ลงไปอีก แต่ก่อนที่เขาจะพูดอะไรไร้สาระไปมากกว่านี้ เช่นกขอความเมตตาหรือแม้แต่คำขู่ หลัวซิวก็ได้โยนเปลวไฟสีดำออกจากมือของเขา

เพลิงมรณะของหลัวซิวหลอมรวมกับภูตอัคคีกลืนกิน เพียงพริบตาเดียวศพของถาวชิงหยุนก็ถูกแผดเผาจนหมด แม้แต่ขี้เถ้ายังไม่มีเหลือ

แต่ในวินาทีที่ถาวชิงหยุนตายนั้น ลำแสงอันเจิดจ้าพุ่งออกจากร่างของเขา หายวับไปในพริบตา และหายไปอย่างไร้ร่องรอย

หลัวซิวแอบรู้สึกไม่ดี เห็นได้ชัดว่าถาวชิงหยุนมีกับดักบางอย่างในร่างกายของเขา เมื่อไรก็ตามที่เขาถูกฆ่าตาย ผู้แข็งแกร่งแห่งตำหนักจื่อก็จะสามารถรู้ได้ทันที แม้แต่เจ้าตำหนักจื่อแดนจักรพรรดิยุทธ์ขั้นสี่คนนั้น ในขณะนี้ เขารู้ว่าลูกชายของเขาถูกฆ่าตาย

ครั้นตอนที่ถาวโจว่จวิ้นตายนั้น ไม่ได้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น เพราะในแดนปริศนาถูกแยกออกจากโลก แต่กับถ้ำเทพสถิตคีตโลกานี้ไม่เหมือนกัน เพราะเจ้าตำหนักจื่อก็อยู่ที่นี่ด้วย

……

ที่เชิงยอดเขาทองดำ ร่างของเจ้าตำหนักจื่อสั่นไหวเล็กน้อย เจตนาฆ่าที่รุนแรงแผ่ไปทั่วร่างกายของเขา

จักรพรรดิยุทธ์ทุกคนที่อยู่รอบข้างเขาต่างก็เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง เห็นว่าใบหน้าของเจ้าตำหนักจื่อมืดมนถึงขีดสุด

“เจ้าตำหนักจื่อ เป็นอะไรหรือ?” จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงถามพร้อมกับขมวดคิ้ว

“ลูกชายคนหนึ่งของข้าถูกฆ่าตาย” เจ้าตำหนักจื่อกล่าวอย่างเศร้าโศก

แม้ว่าเขาจะมีลูกหลายคน แต่ก็มีลูกที่โดดเด่นไม่มากนัก ทุกคนที่ได้รับสถานะเจ้าสำนักน้อยจากเขา ต่างเป็นกระดูกสันหลังของตำหนักจื่อในอนาคต จุดประสงค์ของเขาในการแผ่กิ่งก้านสาขาและให้กำเนิดลูกจำนวนมาก คือเพื่อให้ตำหนักจื่อเป็นอมตะ

เขาเป็นถึงจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่ง มีคนกล้าฆ่าลูกชายของเขา ทั้งที่เขาก็อยู่ที่นี่ได้อย่างไร?

จักรพรรดิยุทธ์ทุกคนในที่นี้ต่างหันมองหน้ากัน ไม่แน่ใจว่ามีคนภายใต้คำสั่งของตนฆ่าเจ้าสำนักน้อยแห่งตำหนักจื่อไปหรือไม่

“รู้หรือไม่ว่าเป็นใคร?” ฝานไท่เต๋อเอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจ

เจ้าตำหนักจื่อที่กำลังโกรธถึงขีดสุด แต่ฝานไท่เต๋อคือปรมาจารย์กลั่นยาขั้นหกคนหนึ่ง เขาไม่ต้องการที่จะทำให้เกิดการขุ่นเคือง จึงส่ายหัวเบา ๆ “หากข้ารู้ ข้าคงไม่โกรธมากเพียงนี้”

ลูกชายของเขาถูกฆ่าตาย แต่เขาไม่รู้ว่าใครเป็นคนฆ่า และลูกของเขาตายที่ไหน อีกทั้งในตอนนี้เขาก็ไปสืบสวนไม่ได้อีกด้วย

“ผู้อาวุโสว่าน เจ้าไปที่พื้นที่นั้นและดูว่าเกิดอะไรขึ้น”

เจ้าตำหนักจื่อพูดกับชายชราข้าง ๆ เขา ชายชราคนนี้ เป็น ผู้อาวุโสจักรพรรดิยุทธ์แห่งตำหนักจื่อ ชื่อว่าว่านเหลียนเฉิง มีผลการฝึกตนแดนจักรพรรดิยุทธ์ขั้นสอง

และตัวเขาเองจะยังคงอยู่ที่นี่ สำรวจวังที่ด้านบนสุดของยอดเขาทองดำนี้

“ขอรับ!”

ผู้อาวุโสว่านตอบโดยไม่ลังเล สำแดงวิชาท่าร่างในทันที และออกไปจากยอดเขาทองดำแห่งนี้ด้วยความรวดเร็ว มุ่งตรงไปยังพื้นที่ที่เจ้าตำหนักจื่อชี้บอก

การสั่งการนี้ของเจ้าตำหนักจื่อ ทำให้จักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งคนอื่น ๆ พากันขมวดคิ้ว เพราะว่าบรรดาผู้ที่เข้ามาสำรวจในถ้ำเทพสถิตคีตโลกาแห่งนี้ ล้วนแต่เป็นผู้อยู่ใต้อำนาจของจักรพรรดิยุทธ์ จักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งแห่งตำหนักจื่อเข้าร่วมด้วย หากโจมตีราชายุทธ์ของกองกำลังอื่น เกรงว่าจะไม่มีใครต้านทานมันได้

เมื่อคิดเรื่องนี้ จักรพรรดิยุทธ์ทุกคนก็คิดถึงคน ๆ หนึ่งขั้นมา นั่นก็คือจักรพรรดิยุทธ์เทียนเฟิ่ง เพราะในบรรดาจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งทั้ง20คน มีเพียงนางคนเดียวที่ไม่ได้เข้าร่วมกับคนอื่น

ขอบเขตของคีตโลกาแห่งนี้ถือว่าไม่ใหญ่มากนัก ด้วยความเร็วของผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ ใช้เวลาเพียงเศษเสี้ยวของชั่วโมง ก็สามารถมาถึงสถานที่ที่ถาวชิงหยุนถูกฆ่า

ตัวสำนึกที่ทรงพลังถูกแพร่ออกไป ครอบคลุมระยะเกือบพันเมตร ว่านเหลียนเฉิงเห็นขี้เถ้าอยู่ไม่ไกล

“ไม่ใช่อสูรกายของที่นี่ แต่เป็นการกระทำของนักยุทธ์คนอื่น และยังเป็นผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์!”

ว่านเหลียนเฉิงมีสีหน้าหม่นลง เพราะเขาสัมผัสได้ถึงร่องรอยพลังชีวิตของจักรพรรดิยุทธ์ที่เหลืออยู่ในอากาศโดยรอบ

จักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งที่เข้าไปในถ้ำเทพสถิตคีตโลกามีทั้งหมดยี่สิบคนเท่านั้น สิบเก้าคนอยู่ด้วยกันที่ตีนเขาของยอดเขาทองดำ มีเพียงจักรพรรดิยุทธ์เทียนเฟิ่งคนเดียวที่ไม่ได้ตามมา คนร้ายคือใคร เห็นได้อย่างชัดเจน!

ว่านเหลียนเฉิงหยิบเอากล่องส่งเสียงออกมา และพูดการคาดเดาของเขาให้เจ้าตำหนักจื่อได้รู้

การตอบรับของเจ้าตำหนักจื่อนั้นง่ายดายมาก เพียงแค่คำคำเดียว “ฆ่า!”

สำหรับคำสั่งของเจ้าตำหนักนี้ ว่านเหลียนเฉิงไม่มีข้อสงสัยใดใด เก็บกล่องส่งเสียง ทันใดนั้น ร่างนั้นก็วูบวาบและหายไปจากที่แห่งนี้

การแสดงออกของปรมาจารย์หงหมิงเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก “อย่างไรก็ตาม วิชาหลอมอาวุธยังไงมันก็ไม่ดีเท่าวิชากลั่นสมบัติ นักยุทธ์ที่หลอมอาวุธออกมา ผลลัพธ์ค่อนข้างง่าย แต่นักกลั่นสมบัติโบราณที่กลั่นของขลังออกมา มีความลึกลับมากมาย”

“ว่ากันว่าในหมู่พวกเราโลกแสงดาว ก็มีนักหลอมอาวุธบางกลุ่มที่ศึกษาจากชิ้นส่วนวิชากลั่นสมบัติ ได้รับความสำเร็จบางอย่างแล้ว แต่การจะขัดเกลาของขลังสักชิ้นหนึ่ง มาตรฐานนั้นสูงเกินกว่าจะบรรยาย”

ของขลังโบราณกับนักยุทธ์ในปัจจุบัน มีช่องว่างขนาดใหญ่คั่นอยู่ นี่เป็นฉันทามติของนักหลอมอาวุธในปัจจุบัน

ของขลังที่ค้นพบจากซากปรักหักพังโบราณ คุณค่าล้ำค่ายิ่งนัก หากปรับแต่งมันเพื่อการใช้งานของตัวเอง มันจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งของนักยุทธ์ได้อย่างมาก

อย่างไรก็ตาม ภูเขาที่อยู่ตรงหน้านั้น สูงหลายหมื่นฟุต ของขลังโบราณชิ้นนี้ จะกลั่นและนำออกไปได้อย่างไร?

อยู่ดี ๆ เจ้าตำหนักจื่อก็พลิกมือหยิบกระบี่ยุทธ์ด้ามหนึ่งขึ้นมา ดาบฟันไปทางภูเขาสีดำทองที่อยู่ข้างหน้าเขา

ปรมาจารย์หงหมิงเมื่อเห็นภาพตรงหน้า แต่ก็ไม่ได้ขยับร่างกายแต่อย่างใด กลับกลายเป็นรอยยิ้มเยาะเย้ยที่มุมปากของเขาแทน “งี่เง่า!”

ชิ้ง!

กระบี่ยุทธ์ฟันขึ้นไปบนภูเขาทองดำ แสงสีดำทองส่องประกายบนยอดเขา แรงต้านแรงกระแทกอันทรงพลังส่งผ่านกระบี่ยุทธ์มาที่ร่างของเจ้าตำหนักจื่อ ทำให้ผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์คนนี้ราวกับถูกฟ้าผ่า ร่างนั้นกระเด็นรอยออกไปในทันที

เจ้าตำหนักจื่อสามารถยึดร่างกายมั่นคงได้ในระยะที่ห่างไปกว่าหลายร้อยเมตรในมือถือกระบี่ยุทธ์เกิดบาดแผลระหว่างนิ้วชี้และนิ้วโป้ง มีร่องรอยเลือดที่กระอักออกมาที่มุมปาก ภายในได้รับบาดเจ็บ

เมื่อเห็นฉากนี้ จักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งทุกคนที่อยู่ตรงนี้ก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไป

“นี่เป็นถึงของขลังโบราณ เป็นอย่างที่ข้าคาดไว้ไม่มีผิด เทียบเท่าระดับสมบัติวิเศษ นอกจากจะมีผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์มาเคลื่อนย้ายด้วยตนเอง ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีใครสามารถเคลื่อนย้ายมันได้ นี่คือสถานะของเครื่องรางที่ไม่มีเจ้าของ หากมีใครมาเคลื่อนไหว พลังเพียงเล็กน้อยสามารถฆ่าพวกเราทุกคนในทันที” ปรมาจารย์หงหมิงปลายตามองไปทางบาดแผลของเจ้าตำหนักจื่อ พลางพูดด้วยเสียงเย็นชา

ได้ยินเช่นนั้น ทุกคนต่างก็ไม่มีใครสงสัยในคำพูดของปรมาจารย์หงหมิง เพราะบทเรียนของเจ้าตำหนักจื่ออยู่ตรงหน้าฉัน

“จะเอาของขลังโบราณชิ้นนี้ออกไปได้ยังไง?” ฝานไท่เต๋อพูดพร้อมรอยยิ้ม

“ตามบันทึกในหนังสือโบราณ นักกลั่นสมบัติในอดีตกลั่นของขลังออกมาก มันอาจมีขนาดใหญ่หรือเล็ก หากเล็กก็เล็กเหมือนอนุภาคมีซอน หรืออาจจะเหมือนใหญ่เหมือนเมฆที่ปกคลุม ตราบใดที่พลังจิตแท้แข็งแรงมากพอ ก็สามารถที่จะควบคุมขนาดของของขลังได้ แม้แต่ให้เข้าไปในร่างกาย ก็สามารถทำได้ตามที่ต้องการ ”

ในสมัยโบราณผู้คนพูดถึงวิชากลั่นสมบัติ ปรมาจารย์หงหมิงเต็มไปด้วยพลัง ราวกับว่ามีหัวข้อให้พูดไม่รู้จบ

“ของขลังโบราณแบ่งออกได้หลายประเภท นักค่ายกลในปัจจุบันกลั่นฮู้ออกมา อันที่จริงมันก็เกิดจากวิชากลั่นสมบัติโบราณด้วย ว่ากันว่าวิชากลั่นสมบัติโบราณ คือประตูแห่งการบูรณาการระหว่างหลอมอาวุธและค่ายกล ทั้งลึกซึ้งและลึกลับ ไม่สามารถคำนวณด้วยเหตุผลได้”

ปรมาจารย์หงหมิงพูดมาเยอะแล้ว แต่สรุปได้เป็นประโยคเดียว นั่นคือยอดเขาทองดำชิ้นนี้ไม่มีใครเอามันไปได้ เพราะผลการฝึกตนของทุกคนไมเพียงพอ ไม่สามารถประทับตราสำนึกของตนบนภูเขาลูกนี้ได้

……

ในขณะที่จักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งทุกคนรวมตัวกันอยู่ที่เชิงเขาทองดำ นักยุทธ์ทุกฝ่ายที่เข้ามาในถ้ำเทพสถิตคีตโลกาแห่งนี้ รู้สึกได้ว่าเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่

หลังจากผ่านอันตรายและการต่อสู้มากมาย นักยุทธ์ทุกคนก็ระมัดระวังตัวมากขึ้น ให้ตัวสำนึกแพร่กระจายออกอยู่เสมอ ป้องกันการลอบโจมตี อสูรกายที่ไม่มีพลังผันผวนของพลังจิต

ดังนั้น ตัวสำนึกของทุกคนจึงสึกหลอไปมาก แต่ในโลกนี้ไม่มีพลังฟ้าดินจิตอยู่ การไม่สามารถดูดซับพลังฟ้าดินจิตเพื่อปฏิเสธการสูญเสียตัวสำนึก ทำให้ทุกคนเหนื่อยมาก

เนื่องจากการโจมตีของแมงป่องดำหลายร้อย นักยุทธ์มากกว่า 30 คนที่รวมตัวกันเพื่อดูและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ต่างก็ถูกโจมตีจนกระจายออกไป

แม้ว่าทุกคนจะระมัดระวังเพียงพอแล้ว เมื่อพวกเขาลึกเข้าไปในที่ราบที่ไม่มีที่สิ้นสุดนี้ อสูรกายที่ค่อยโผล่จากพื้นหญ้าเขียวขจียังคอยตามคุกคาม อันตรายและทรงพลังมากขึ้นเรื่อย ๆ

นอกจากการคุกคามของอสูรกาย การสังหารซึ่งกันและกันระหว่างนักยุทธ์ ก็ทำให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายจำนวนมากเช่นกัน

มีสมบัติมากมายในถ้ำเทพสถิตคีตโลกาแห่งนี้ และมีคนไม่น้อยที่ได้รับบางสิ่งอย่างกลับไป

แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปได้ ที่จะหาสมบัติเพิ่มเติมโดยอาศัยความสามารถของตนเอง ท้ายที่สุด ที่นี่ไม่ได้มีเพียงแค่สมบัติ แต่ยังมีอันตรายอีกมากมาย

ด้วยวิธีนี้ การฆ่านักยุทธ์อื่น ๆ และขโมยสมบัติของคนอื่น จึงเป็นวิธีที่เร็วกว่าในการเก็บรวบรวมสมบัติอย่างไม่ต้องสงสัย

หากสามารถสังหารนักยุทธ์ได้ ไม่เพียงแต่สมบัติที่อีกฝ่ายได้รับจะตกไปอยู่ในมือตนแล้ว ยังมีแหวนเก็บของของอีกฝ่าย ที่มีหินพลังจิตมากมายรวมถึงแหล่งสมุนไพรสำหรับยาต่าง ๆ

ถึงอย่างไร กองกำลังของทุกฝ่ายเข้าสู่ถ้ำเทพสถิตคีตโลกา และอย่างน้อยที่สุดคือผลการฝึกตนที่ระดับฝึกจิตขั้นเจ็ด ความมั่งคั่งร่ำรวยมาก

หลัวซิวและเหยียนเยว่เอ๋อร์ได้พบกับคนสองคนนี้ คนหนึ่งเป็นชายแก่ในชุดสีม่วง ผลการฝึกตนระดับราชายุทธ์ขั้นหนึ่ง พลังชีวิตนั้นไม่แน่นอน คาดว่าน่าจะเพิ่งบรรลุถึงแดนราชายุทธ์ได้ใม่นาน

ถัดจากชายชราในชุดสีม่วง มีชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีริมฝีปากหนา ก็มีผลการฝึกตนแห่งแดนฝึกจิตขั้นเก้า

แต่หลัวซิวและเหยียนเยว่เอ๋อร์ พลังจิตแท้และพลังชีวิตของตัวเองแล้วได้กดไว้ที่ฝึกจิตขั้นเจ็ดและฝึกจิตขั้นเก้า

ทั้งสองคนเปลี่ยนรูปลักษณ์ได้ง่าย โดยทั่วไปเขาจะไม่มีใครสามารถรับรู้ถึงตัวตนของเขา ดังนั้นชายชราและชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้านี้ จึงถือว่าทั้งสองคนนี้เป็นเหยื่อที่ถูกป้อนถึงปาก

“ผู้เฒ่าหลี่ ผู้หญิงคนนี้หน้าตาดี อย่าฆ่านางไปง่าย ๆ ล่ะ..” สายตาที่ส่อไปทางลามกอนาจารกวาดไปบนเรือนร่างของเหยียนเยว่เอ๋อร์ ชายหนุ่มยิ้มอย่างชั่วร้าย

“ส่วนเด็กหนุ่มคนนี้ ให้เจ้าสำนักน้อยอย่างข้าเป็นคนจัดการ” ชายหนุ่มเหลือบมองหลัวซิวอย่างรังเกียจ ก็พลิกมือหยิบกระบี่ยุทธ์อันเยือกเย็นออกมาจากแหวนเก็บของ

“เจ้าสำนักน้อยแห่งตำหนักจื่อ?” หลัวซิวเลิกคิ้ว เพราะหนุ่มที่อยู่ฝั่งตรงข้ามสวมชุดของสาวกตำหนักจื่อ

เจ้าตำหนักจื่อมีบุตรมากมายหลายคน คนที่ดีกว่าในหมู่พวกเขาเท่านั้น ที่จะได้การยอมรับเป็นเจ้าสำนักน้อย

คราวก่อนหลัวซิวกำจัดถาวโจว่จวิ้นไปที่แดนปริศนา แต่อย่างว่าเจ้าสำนักน้อยในตำหนักจื่อนั้นมีเยอะมาก จึงเป็นเจ้าสำนักน้อยเก้าในลำดับที่เก้า

ชายหนุ่มชุดม่วงตรงหน้านั้น มีผลการฝึกตนสูงกว่าถาวโจว่จวิ้นมาก คงจะมีลำดับสูงในบรรดาเจ้าสำนักน้อยแห่งตำหนักจื่อ

“เจ้าจัดการ หรือให้ข้าจัดการ?” หลัวซิวมองไปทางเหยียนเยว่เอ๋อร์ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ 。

ไม่ต้องพูดถึงว่าสองคนนี้กล้าที่จะสู้พวกเขาสองคนหรือไม่ แค่ลำพังความแค้นฝังลึกระหว่างตำหนักจื่อกับเหยียนเยว่เอ๋อร์ ชะตากรรมของคนสองคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามถึงวาระแล้ว

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงผู้ชายคนหนึ่งที่ผลการฝึกตนฝึกจิตขั้นเจ็ดไม่จริงจังกับเขา ชายชราผู้สวมเสื้อสีม่วงที่ถูกเรียกว่าผู้เฒ่าหลี่ก็พ่นลมหายใจออกมาอย่างเย็นชา และร่างของเขาก็หายไปในทันใด

“ซึ!”

แสงดาบสีม่วงตัดผ่านอากาศ ฟันเข้าที่เหยียนเยว่เอ๋อร์โดยตรง เพราะนางเผยผลการฝึกตนคือฝึกจิตขั้นเก้า แต่หลัวซิวเพิ่งจะฝึกจิตขั้นเจ็ดชายชราในชุดเสื้อสีม่วงมักจะเลือกโจมตีนางก่อน

ในเวลาเดียวกันกับที่ชายชราชุดม่วงเคลื่อนไหว ชายหนุ่มชุดม่วงที่เรียกตัวเองว่าเจ้าสำนักน้อยก็เคลื่อนไหวเช่นกัน แสงวาววับปรากฏขึ้นบนกระบี่ยุทธ์ พร้อมกับพุ่งตรงไปฆ่าหลัวซิว

“แค่เพียงฝึกจิตขั้นเก้า……”

หลัวซิวจ้องไปที่ชายหนุ่มชุดสีม่วงที่กำลังพุ่งเข้ามาหาเขา ความรังเกียจแสดงขึ้นในดวงตาของเขา

ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้กระบี่อาถรรพ์ฟันเสือที่อยู่ด้านหลัง หลัวซิวเพียงแค่ค่อย ๆ ยกมือขึ้น และสะบัดนิ้วออกไป

“พวกเราไปเถอะ” ทันทีที่เขาจับมือเหยียนเยว่เอ๋อร์ เขาก็สำแดงวิชาท่าร่างโดยตรงเพื่ออกจากพื้นที่นี้

“หยุด!” ด้วยการนำของชายชราชุดแดง นักยุทธ์แห่งตระกูลเหยียนที่ตระโกนด้วยความโกรธเคือง

นักยุทธ์ตระกูลเหยียนคนหนึ่งก็กระทืบพื้นจนแผ่นดินจนแยกออกจากกัน ทันใดนั้น แมงป่องมีพิษสีดำตัวหนึ่งก็บินเข้ามา ที่หางของมันมีหนามแหลม เกิดเสียงดังผุผุ หางของมันทิ่มลงไปที่คอของนักยุทธ์ตระกูลเหยียน

“อ๊าก!…”

เสียงกรีดร้องอันน่าสะพรึงกลัวดังขึ้น นักยุทธ์ตระกูลเหยียนคนนั้นที่ถูกต่อยที่คอ ทั่วทั้งร่างกลายเป็นสีดำทันที และคราบเลือดสีดำก็ไหลออกมา

“สัตว์เดรัจฉาน!”

นักยุทธ์ตระกูลเหยียนคนหนึ่งที่ยืนข้าง ๆ เห็นภาพตรงหน้า ก็มีแววตาตกตะลึงขึ้นทันที เขาเอื้อมมือออกไป เปลวเพลิงก็พวยพุ่งขึ้น แล้วจึงปล่อยไปทางแมงป่องดำ แต่แมงป่องดำไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย มันขุดลงไปในพื้นดิน จากนั้นก็มุดตัวเข้าไปใต้นั้น

ณ ขณะนี้ นักยุทธ์ตระกูลเหยียนที่ถูกเจาะคอได้ตายสนิทแล้ว พิษของแมงป่องดำชนิดนี้ แข็งแกร่งเกินบรรยาย!

ในขณะเดียวกัน ใต้ฝ่าเท้าของทุกคนก็มีเคลื่อนไหวเกิดขึ้น แมงป่องดำตัวแล้วตัวเล่าโพล่ขึ้นมาจากใต้ดิน ด้วยความเร็วดุลสายฟ้า พวกมันเข้าโจมตีทุกคนที่อยู่ตรงนั้น

ในช่วงเวลาสั้น ๆ ผู้คนมากกว่าหนึ่งโหลถูกแทงด้วยหางแมงป่องพิษ พิษที่น่าสะพรึงกลัวแพร่กระจายอย่างรวดเร็วทั่วร่างกาย และตายทันทีภายในสามลมหายใจ

เปลือกของแมงป่องพวกนี้แข็งมาก เหมือนกับอสูรกายตัวอื่น ๆ ที่อยู่ในคีตโลกานี้ ทั้งหมดแข็งแกร่ง ทรงพลัง และรวดเร็ว

และที่น่ากลัวที่สุดคือ อสูรกายอย่างพวกแมงป่องมีพิษตัวนี้อยู่รวมกันเป็นฝูง มีแมงป่องมีพิษหลายร้อยตัวที่โจมตีผู้คนมากกว่าสามสิบคน และแมงป่องมีพิษแต่ละตัวมีขนาดเท่ากับอ่างล้างหน้า ดุร้ายและน่ากลัว

ปรมาจารย์ฝึกจิตขั้นเจ็ดและขั้นแปด โจมตีไม่สามารถทำลายการป้องกันจากเปลือกของแมงป่องได้เลย ปรมาจารย์โลกยุทธ์ฝึกจิตขั้นเก้า แม้ว่าจะสามารถฆ่าแมงป่องพิษได้ แต่สำหรับแมงป่องพิษที่มีพละกำลังแข็งแกร่งนั้น ไม่ได้ทำให้มันเจ็บปวดได้เช่นกัน

ราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่งหลายคนเริ่มลงไม้ลงมือด้วยความโกรธ

“ตาย!”

ชายชราชุดแดงแห่งตระกูลเหยียน ในมือถือกระบี่ยาว ดาบถูกฟันออกไป และพลังงานของดาบที่เปลี่ยนเป็นเปลวไฟได้ไถพรวนออกไปบนพื้นดิน พุ่งตรงไปทางแมงป่องพิษเจ็ดแปดตัวโดยตรง และแมงป่องพิษอีกสองสามตัวที่ซ่อนอยู่ในดินและก้อนหินก็ถูกฆ่าเช่นกัน มันถูกเผาเป็นเถ้าถ่านโดยเปลวไฟจิตแท้ ที่บรรจุอยู่ในพลังงานดาบ

อย่างไรก็ตาม จำนวนของแมงป่องพิษมีหลายร้อยหรือหลายพัน ค่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งระดับราชายุทธ์ ในสถานการณที่ไม่สามารถโบยบินอยู่บนฟ้า เมื่อติดอยู่ในวงล้อมของการต่อสู้อันขมขื่น ต่างก็เป็นไปได้ที่จะต้องตายที่นี่

เนื่องจากแมงป่องมีพิษเหล่านี้ไม่มีความผันผวนของพลังจิต ทั้งยังสามารถหลบหนีเข้าไปในดินและใต้หินได้ ดังนั้นภายใต้คลื่นของการลอบโจมตี นักยุทธ์มากกว่า 30 คน ครึ่งหนึ่งได้ตายลงที่นี่

หลัวซิวเป็นคนแรกที่ตอบสนอง และสามารถรับรู้ตำแหน่งที่ซ่อนอยู่ของแมงป่องมีพิษได้อย่างชัดเจน ดังนั้นเขาจึงรีบออกไปอย่างรวดเร็วและง่ายดาย

คนอื่นๆ ซึ่งอยู่ภายใต้การคุ้มครองของราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่ง ก็เริ่มที่จะฝ่าฟันไปได้

ในส่วนลึกของที่ราบที่ไม่มีที่สิ้นสุด ร่างมากกว่าหนึ่งโหลพุ่งผ่านหญ้าด้วยความรวดเร็ว

ภายในถ้ำเทพสถิตคีตโลกานี้ไม่สามารถโบยบินได้ แม้ว่าคนพวกนี้จะเป็นผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ ก็ทำได้แค่ใช้สองขาของตนวิ่งหนีเท่านั้น

ระหว่างทาง ไม่รู้ว่าอสูรกายถูกพวกเขาตัดหัวไปเท่าไรแล้ว ในนั้นมีอสูรกายที่บรรลุถึงระดับหก ร่างเนื้อเปรียบได้กับร่างยุทธ์ระดับจักรพรรดิยุทธ์

ท่ามกลางบรรดาจักรพรรดิยุทธ์ ยังคงเป็นจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงเป็นผู้นำ และเขาฆ่าอสูรกายได้มากที่สุด

ใบหน้าของจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งทุกคนเต็มไปด้วยรอยยิ้ม อสูรกายที่นี้มีร่างเนื้อที่แจ็งแกร่งมาก วัสดุบนเรือนร่างมีความคุ้มค่ายิ่งไปกว่านั้น ระหว่างทาง อาจได้พบยาวิเศษโบราณที่หายากบางชนิดอีกด้วย มันต่างเป็นยาวิเศษที่มีผลสำหรับการกลั่นร่างทั้งนั้น

ในบรรดายาวิเศษระดับเดียวกัน ยาวิเศษที่มีผลต่อการกลั่นร่างและกลั่นวิญญาณ ล้ำค่าที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย

จักรพรรดิยุทธ์มากกว่าหนึ่งโหลได้รับอะไรมากมาย พวกเขาต้องก็มีอารมณ์ดีเป็นธรรมดา

“ใกล้ถึงแล้ว”

สายตาของทุกคนต่างตั้งหน้าตั้งตา มันคือภูเขาที่ดุจดาบยักษ์ที่สอดเข้าไปในท้องฟ้า บนยอดเขายอดเขาอ้าย มีวังอันสง่างามที่มีมาแต่โบราณ

คีตโลกาแห่งนี้ คือถ้ำที่ผู้แข็งแกร่งสักคนในอดีตสร้างมันขึ้นมา หากจะมีสมบัติล้ำค่าใด ๆ ใน มันก็จะต้องอยู่ในสถานที่ฝึกตนของผู้แข็งแกร่ง นั่นคือในวังที่อยู่บนยอดเขา

เมื่อคิดอย่างนี้ จักรพรรดิยุทธ์ทุกคน ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกใจเต้นเล็กน้อย พร้อมกับเดินหน้าเร่งความเร็ว

ยิ่งเข้าใกล้มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งค้นพบว่าภูเขาลูกนี้สูงตระหง่านเพียงใด ไม่มีต้นหญ้าอยู่บนนั้นแม้แค่ต้นเดียว เหมือนยอดหินสีดำทองขนาดใหญ่ พื้นที่นั้นเต็มไปด้วยความผันผวนที่ทำให้หัวใจเต้นแรง

เมื่อจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งทุกคนมาถึงที่เชิงเขาสีดำทองนี้ ทุกคนต่างก็มีความรู้สึกสักการะบูชาขึ้นมาทันที

ความรู้สึกเช่นนี้ ทำให้จักรพรรดิยุทธ์ทุกคนต่างก็มีความคิดที่จริงจังและเคร่งขรึมขี้น
เพราะที่นี่เป็นเพียงภูเขาลูกหนึ่ง ก็ทำให้พวกเขารู้สึกได้ถึงเพียงนี้ ถ้าหากขึ้นไปและเข้าไปในวังลึกลับนั้น ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น

แม้ว่าพวกเขาคือจักรพรรดิยุทธ์ ที่เมื่ออยู่ในประเทศเทียนหวูก็ถือเป็นผู้แข็งแกร่งที่อยู่บนจุดสูงสุดแล้ว แต่เมื่อเทียบกับผู้แข็งแกร่งในอดีตที่สามารถเปิดถ้ำคีตโลกา พวกเขานั้นราวกับยังเป็นเด็กทารกก็ไม่ปาน

“มหาจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งในสมัยโบราณนั้นน่าเกรงขาม เพียงแค่ภูเขาลูกหนึ่งในถ้ำเทพสถิตคีตโลกา ก็ยิ่งใหญ่เสียจนไม่อาจคาดคิดได้” ในใจจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งทุกคน ต่างเต็มไปด้วยความประหลาดใจและตกใจ

อย่างไรก็ตาม แม้จะทรงพลังเกินหยั่งถึงเช่นนี้ ยังคงถูกทำลายล้างในผงธุลีของประวัติศาสตร์ และไม่ค่อยมีใครรู้จักเกี่ยวกับภัยพิบัติในสมัยโบราณ

จักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งทุกคนกำลังถอนหายใจอยู่ในใจ แต่กลับเห็นร่างหนึ่งวิ่งเข้าผ่านไปด้านหน้า

“นะ … นี่มันตำราจดมือวิชากลั่นสมบัติโบราณ!”

ร่างที่วิ่งไปข้างหน้า ก็คือหงหมิงหัวหน้าแก๊ง แก๊งนักหลอมอาวุธ ภาพที่เห็นคือ ปรมาจารย์หลอมอาวุธระดับหกท่านนี้กำลังลูบภูเขาสีดำทอง ทั้งที่ปากของเขาก็ยังไม่หยุดถอนหายใจ เหมือนกับชื่นชมผลงานที่สมบูรณ์แบบที่สุดในโลก

การเคลื่อนไหวนี้ของปรมาจารย์หงหมิง ทำให้ทุกคนดูงงงวย แต่วิชากลั่นสมบัติโบราณคำเหล่านี้ กลับดูจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งทุกคนได้ยินอย่างชัดเจน

“ท่านพี่หงหมิง เจ้าหมายถึง… ” จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย มีความเป็นไปได้เกิดขึ้นในใจ

“เจ้าเดาถูกแล้ว ภูเขาลูกนี้คือสมบัติวิเศษที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยวิชากลั่นสมบัติโบราณ!” ปรมาจารย์หงหมิงเขาลูบภูเขาสีดำทองด้วยท่าทางตื่นเต้น

“สมบัติวิเศษ? สมบัติวิเศษจริงหรือ?”

จักรพรรดิยุทธ์ทุกคนในที่แห่งนี้ต่างก็มีสีหน้าประหลาดใจ แม้ว่าจะไม่รู้เรื่องมากนักสำหรับเส้นทางหลอมอาวุธ แต่ถึงจะไม่เคยกินหมู อย่างน้อยก็ยังต้องเคยเห็นหมูวิ่ง

วิชากลั่นสมบัติโบราณแบ่งเป็นเครื่องสมบัติ เครื่องรางและสมบัติวิเศษ ซึ่งไม่สามารถนำมาเทียบกับนักยุทธ์ระดับมนุษย์ ดิน และท้องฟ้าในสมัยนี้ได้เลย

“ตั้งแต่เกิดภัยพิบัติในสมัยโบราณ วิชากลั่นสมบัติก็สูญหายไป คนรุ่นหลังได้พัฒนาวิชากลั่นสมบัติจากเศษเสี้ยวตำรา จนกลายเป็นวิชาหลอมอาวุธในปัจจุบัน”

“โฮก!”

หมาป่าเงินสามตาส่งเสียงขู่คำราม เสียงคำรามที่กระเพื่อมออกมานั้น ระเบิดหญ้าในบริเวณใกล้เคียงให้เป็นผง ความเร็วของมันเร็วราวฟ้าแลบสีเงิน พุ่งเข้าหาหลัวซิว

หลัวซิวฟาดฟันดาบออกไปในทันทีโดยไม่ได้พูดอะไร เพลิงมรณะแผดเผาและบิดเบี้ยวพื้นที่โดยรอบ ระลอกคลื่นที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าก็ปรากฏขึ้น

ชิ้ง!

ดาบหนึ่งฟันเข้าบนร่างของหมาป่าเงินสามตา แต่กลับทำให้เกิดเสียงเหมือนทองและหินกระทบกัน หมาป่าเงินสามตาถูกกระบี่ฟันจนกระเด็นกลิ้งออกไป ไม่มีบาดแผลสักแห่งปรากฏให้เห็น

หลัวซิวรู้สึกตกใจ กระบี่อาถรรพ์ฟันเสือของเขาเป็นถึงกระบี่ยุทธ์ขั้นดินล่าง อีกทั้งเมื่อตอนที่หลอมอาวุธนั้นใช้วัสดุเยอะมาก ศักยภาพของมันนั้นไร้เทียมทาน พลังเทียบได้นักยุทธ์ขั้นดินกลาง รวมเข้ากับพลังของเพลิงมรณะและร่างยุทธ์ระดับราชา กลับทำได้เพียงแค่ฟันอสูรกายให้กระเด็นออกไป โดยไม่ได้รับบาดเจ็บเลยงั้นหรือ?

เห็นได้ชัด ร่างเนื้อของหมาป่าเงินสามตาตัวนี้เป็นเกราะป้องกันที่แข็งแกร่ง อย่างน้อย ๆ ก็ต้องบรรลุถึงร่างยุทธ์ระดับราชาช่วงหลังแล้ว

บนร่างของเหยียนเยว่เอ๋อร์ปรากฎพลังจิตแท้และความผันผวนของพลังชีวิต ร่างเนื้อของเจ้าอสูรกายตัวนี้แข็งแกร่งเกินไป นางเป็นกังวลว่าหลัวซิวอาจจะได้รับบาดเจ็บ

“วิชาภูตผีเซินหลัว!”

หลัวซิวตะโกนด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก เพลิงมรณะหลอมรวมกันบนกระบี่ยุทธ์ ห้วงยุทธ์แห่งความตายที่น่ากลัวนั้นแพร่ขยายออกมา ภาพจาง ๆ ของอเวจีเซินหลัวที่มีซากศพดั่งภูเขา และเลือดที่ไหลเป็นแม่น้ำปรากฏขึ้น

ในขณะนี้เอง เปลวไฟดำกลายเป็นกะโหลกที่น่ากลัว สามารถกลืนกินหมาป่าเงินสามตาได้ในคำเดียว

ห้วงยุทธ์ชีวีของหมาป่าเงินสามตาถูกกลืนกินอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าการป้องกันกายเนื้อจะแข็งแกร่งมากเพียงใด มันก็สามารถต้านทานการโจมตีได้เพียงพลังของกายภาพบริสุทธิ์เท่านั้น สำหรับวิธีการลิดรอนดูดกลืนห้วงยุทธ์ชีวี ไม่สามารถที่จะต่อต้านได้เลย

แค่สามลมหายใจสั้น ๆ ศพของหมาป่าเงินสามตาก็ถูกคายออกมาจากปากของกระโหลกนั้น ไร้ซึ่งพลังชีวิต เหลือเพียงศพที่ไม่มีร่องรอยการบุบสลาย

เหยียนเยว่เอ๋อร์มองหลัวซิวอย่างแปลกใจ “เจ้าเพิ่งจะใช้ทักษะยุทธ์ระดับ9วิชาภูตผีเซินหลัวงั้นหรือ?”

หลัวซิวเล่าประสบการณ์ในอดีตให้นางฟังว่า ที่เขาได้วิชาภูตผีเซินหลัวมานั้น นั่นก็เพราะเขาได้แย่งชิงมาจากราชวงศ์ตระกูลฝาน

เก็บเพลิงมรณะเข้าไปในร่างกาย หลัวซิวพยักหน้าพลางพูด “นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าสำแดงทักษะยุทธ์แขนงนี้ แต่ถึงอย่างไรมันก็ทรงพลังจริง ๆ ”

ขณะพูด เขาแทบรอไม่ไหวที่จะก้าวไปข้างหน้า และเก็บเอาหญ้าทองอันแสนล้ำค่าอันล้ำค่าออกไป

ในบริเวณใกล้เคียง หลัวซิวยังเห็นร่องรอยการเติบโตของหญ้าทองอยู่บ้าง มุมปากของเขาอดไม่ได้ที่จะกระตุกสองครั้ง รู้สึกเป็นทุกข์ใจเป็นอย่างยิ่ง

หมาป่าเงินสามตาตัวนี้ซุกตัวอยู่ใกล้ ๆ ร่างเนื้อแข็งแกร่ง ต้องเคยกินหญ้าทองเข้าไปแน่ ๆ มิฉะนั้นคงจะไม่เหลือเพียงเม็ดเดียว ควรจะมีประมาณสองหรือสามเม็ด

“โชคดีเหลือเกิน หญ้าทองนี้เป็นสมบัติที่หายากในสมัยโบราณ” หลงหมิงปรากฏร่างขึ้นข้างๆ เขาและพูดด้วยน้ำเสียงริษยา

ของวิเศษชนิดนี้ เขาก็ตาลุกวาวเหมือนกัน แต่ก็รู้ดีว่าหลัวซิวจะไม่ยอมถอยให้เขาแน่ ๆ

หลงหมิงในเวลานี้ พลังชีวิตอ่อนแออย่างมาก เพราะครั้งสุดท้ายหลังจากที่ชีวีอัคคีมังกรถูกพ่นออกไป จำเป็นต้องใช้เวลาอีกสองสามวันกว่าจะผ่านช่วงเวลาแห่งความอ่อนแอนี้ไปได้

ในขณะที่หลัวซิวหยิบเอาหญ้าทองขึ้นมานั้น ในขอบเขตกระแสสัมผัสพลังชีวิตของเขา พบพลังชีวิตของจอมยุทธ์มนุษย์คนอื่น

บริเวณโดยรอบมีศูนย์กลางอยู่ที่ประเทศเทียนหวู ยอดฝีมือทุกฝ่ายที่มีผลการฝึกตนระดับฝึกจิตขั้นเจ็ดขึ้นไป ส่วนใหญ่ได้เข้าสู่ถ้ำเทพสถิตคีตโลกาแล้ว

หลัวซิวไม่แปลกใจเลยที่จะเจอคนอื่น ๆ ที่นี่

ไม่นานนัก หลัวซิวและเหยียนเยว่เอ๋อร์ก็ได้พบกับคนเหล่านี้ในที่โล่งท่ามกลางหญ้า มีนักยุทธ์ราว30กว่าคนมารวมตัวกัน ในนั้นคนที่สวมชุดยาวสีม่วงคือศิษย์ตำหนักจื่อ ส่วนคนที่สวมชุดสีทอง มีลายพระอาทิตย์สีทองที่หน้าอก แน่นอนว่าต้องเป็นศิษย์สำนักเสวียนหยาง ยังมีสำนักฉางเหอ และนักยุทธ์แห่งสิบตระกูลใหญ่ของประเทศเทียนหวู

หลัวซิวและเหยียนเยว่เอ๋อร์ต่างใช้วิธีลับเพื่อเปลี่ยนรูปลักษณ์ และซ่อนผลการฝึกตนรวมทั้งพลังชีวิตของตนไว้ ดังนั้นคนเหล่านี้จึงไม่รู้จักที่มาของตนในทันทีที่พบกัน

พวกเขามีศัตรูมากมาย ในหมู่พวกเขาแค่เพียงตำหนักจื่อก็มีจักรพรรดิยุทธ์ถึงสองคนแล้ว ราชายุทธ์อีก7-8คน ยังมีผู้แข็งแกร่งแห่งราชวงศ์ตระกูลฝานอีก เมื่อตัวตนถูกเปิดเผย ทั้งสองฝ่ายมาบรรจบกัน แน่นอนว่าจะต้องเป็นสถานการณ์ที่ไม่ตายไม่เลิกแน่ ๆ

อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ ชายชราในชุดคลุมสีแดงเพลิงเดินเข้ามา สายตาจับจ้องไปที่เหยียนเยว่เอ๋อร์

“เยว่เอ๋อร์ เจ้ารู้ผิดหรือไม่?”

ชายชราคนนี้มองปราดเดียวก็รู้ถึงตัวตนของเหยียนเยว่เอ๋อร์ ดูจากคำที่ใช้เรียกเหยียนเยว่เอ๋อร์แล้ว ดูเหมือนจะเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสแห่งตระกูลเหยียนของนาง

หลัวซิวเหลือบมองไปรอบ ๆ ยกเว้นชายชราที่อยู่ข้างหน้าเขาที่มีผลการฝึกตนแดนราชายุทธ์แล้ว ยังมีคนของตระกูลเหยียน ที่มีผลการฝึกตนตั้งแต่ฝึกจิตขั้นเจ็ดไปจนถึงขั้นเก้าเป็นอย่างต่ำ

“ข้าทำอะไรผิด?”

เหยียนเยว่เอ๋อร์พูดเสียงเย็นชา แววตานั้นนิ่งเรียบเยือกเย็น สำหรับความสามารถของอีกฝ่ายในที่สามารถมองนางออก นางไม่ได้รู้สึกแปลกใจเลยสักนิด เพราะคนของตระกูลเหยียนทุกคนต่างก็มีเส้นเลือดและพลังชีวิตที่พิเศษ สามารถสัมผัสถึงกันได้

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้ามาถึงทางตันแล้ว? ตำหนักจื่อเป็นที่ที่เจ้าจะไปขัดแย้งได้งั้นหรือ? นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของเจ้าคนเดียว แต่มันหมายถึงความเป็นความตายของพวกเราตระกูลเหยียนด้วย!” ชายชราชุดสีแดงตะโกนด้วยความโกรธ

“ตระกูล? พวกเจ้าก็ดีแต่พูดถึงวงศ์ตระกูลอยู่นั่น ในตอนนั้น ภายใต้คำสั่งสอนของตระกูล บังคับท่านพ่อกับท่านแม่ให้ฆ่าตัวตาย และตอนนี้ก็ยังอ้างเรื่องทำเพื่อตระกูล ต้องการให้ข้าแต่งงานกับศัตรูตัวฉกาจอีก พวกเจ้ามีสิทธ์อะไร?”

“ก็สิทธิ์ที่เจ้าเป็นคนของตระกูลเหยียน ในตัวของเจ้ามีเลือดของตระกูลเหยียนไหลเวียนอยู่!” ชายชราชุดแดงตะโกนอย่างโกรธจัด

ถึงแม้ผลการฝึกตนของเขาไม่เท่าเหยียนเยว่เอ๋อร์ แต่อาศัยความเป็นผู้อาวุโส พูดด้วยน้ำเสียงติเตียน “ในตอนนั้น ท่านพ่อกับท่านแม่ของเจ้าตายเพื่อตระกูลเหยียน เป็นที่ตายเพื่อความอยู่รอดของตระกูล ความเป็นความตายส่วนตัว จะเทียบกับศักศรีและคำดูถูกได้อย่างไร?”

เหยียนเยว่เอ๋อร์โกรธจนตัวสั่น ถ้าชายชราตรงหน้าไม่ใช่อาของนาง นางคงอดทนที่จะไม่ลงไม้ลงมือไม่ได้

“เยว่เอ๋อร์ในตอนนี้ไม่ใช่คนของตระกูลเหยียนของพวกเจ้าอีกต่อไป” หลัวซิวก้าวขึ้นมา ยืนกั้นอยู่ระหว่างเหยียนเยว่เอ๋อร์และชายชราชุดแดง

“ท่ามกลางตระกูลเหยียนของพวกเจ้า ใครยินยอมที่จะเสียสละเพื่อวงศ์ตะกูลก็ทำไป ข้าไปยุ่งวุ่นวายอะไรไม่ได้ แต่ถ้าหากจะให้นางมาเสียสละ นั่นเป็นไปไม่ได้!” น้ำเสียงของหลัวซิวแจ้มแจ้งชัดเจน

“เจ้ามันตัวอะไร กล้าดียังไงยื่นจมูกมายุ่งเรื่องของพวกเราตระกูลเหยียน?” ชายชราชุดแดงใบหน้านิ่งเรียบ ไม่ลังเลที่จะหลอมรวมพลังจิตแท้และฟาดมือไปทางหลัวซิว

นักยุทธ์จากกองกำลังอื่นเห็นการเคลื่อนไหวที่นี่ ทุกคนดูเฉยเมย ยังมีคนบางกลุ่มยิ้มมุมปาก มองการแสดงด้วยความเบิกบาน ๆ ชื่นชมยินดีในความโชคร้าย

“ปัง!”

หลัวซิวก็โต้กลับ แรงกระแทกจากหมัดทั้งสอง ทำให้เขาและชายชราชุดแดงเซถอยหลังไปหนึ่งก้าวพร้อมกัน

ชายชราชุดแดงเป็นผู้อาวุโสตระกูลเหยียนที่มีผลการฝึกตนแดนราชายุทธ์ขั้นสี่ พลังระดับนี้ หลัวซิวสามารถเผชิญหน้าได้อย่างเต็มที่

ณ ขณะนี้ แววตาของหลัวซิวรี่เล็กลง เพราะท่ามกลางกระแสสัมผัสพลังชีวิต ปรากฏแสงวาววับแห่งห้วงยุทธ์ชีวีขนาดใหญ่

อีกทั้ง แสงห้วงยุทธ์ชีวีชิ้นใหญ่นั้นกำลังเข้าใกล้พื้นที่เปิดโล่งที่ทุกคนอยู่อย่างรวดเร็ว

“เป็นอสูรกายที่อยู่ในคีตโลกา มีอย่างน้อยหลายร้อยตัว!” จู่ ๆ หลัวซิวก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป

ในความเป็นจริงที่นางติดตามหลัวซิว ลูกแก้วดำเป็นเพียงเหตุผลเล็ก ๆ เหตุผลหนึ่งเท่านั้น ที่สำคัญคือ นางกังวลว่าหลัวซิวจะพบเจอกับอันตรายที่นี่ หากมีนางที่เป็นถึงจักรพรรดิยุทธ์อยู่เคียงข้าง ก็จะมั่นใจในความปลอดภัยยิ่งขึ้น

หลัวซิวเข้าใจความกังวลของนางเป็นอย่างดี เขายิ้มและจับมือเรียวงามที่ซีดขาวของนางไว้ “เราแค่ต้องเดินไปในทิศทางที่ลูกแก้วดำสัมผัสได้ก็พอแล้ว”

เหยียนเยว่เอ๋อร์ยิ้มแหละพยักหน้า ทั้งสองจับมือกันและเดินไปข้างหน้า

เพราะคีตโลกาแห่งนี้ คือสถานที่ที่ผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์สร้างขึ้นมา ดังนั้นจึงมีข้อห้ามพิเศษบางประการคงอยู่

หนึ่งในข้อห้าม คือไม่สามารถบินบนท้องฟ้าที่นี่ได้ อย่างที่สองคือท่ามกลางคีตโลกา ไม่มีพลังฟ้าดินจิตแม้สักเสี้ยวเดียว

นอกจากนี้ยังหมายถึง ถ้าพลังจิตแท้ถูกใช้ที่นี่ ไม่สามารถฟื้นฟูได้โดยการดูดซับพลังฟ้าดิน หินพลังจิตและยาวิเศษที่ใช้ฟื้นฟูพลังจิตแท้ ในที่แห่งนี้นั้นมันเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง

ทุ่งหญ้านี้ไม่มีที่สิ้นสุดและหญ้าก็สูงมาก ยาวเกือบสองเมตรเหมือนป่า เมื่อเจ้าไม่สามารถบินได้ มันง่ายที่จะหลงทางและไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน

โชคดีที่การที่มีลูกแก้วดำคอยชี้นำทาง หลัวซิวและเหยียนเยว่เอ๋อร์ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนั้น

พืชพรรณในหญ้านั้นเขียวชอุ่มและแข็งแกร่ง ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการฟันด้วยดาบเพื่อตัดมันออก

ในโลกนี้ที่ไม่มีพลังฟ้าดินจิตแม้แต่น้อย พืชพันธ์ที่ได้รับการกลายพันธ์เช่นนี้ มีความแตกต่างที่ไม่ธรรมดาจริงๆ

“ปัง!”

ทันใดนั้นก็มีเสียงกระทบกันจากกอหญ้าทางซ้ายมือ ตัวสำนึกของหลัวซิวและเหยียนเยว่เอ๋อร์กวาดไปทางนั้นในเวลาเดียวกัน สัมผัสได้ถึงเงาดำที่เคลื่อนที่อย่างรวดเร็วและพุ่งตรงไปที่เหยียนเยว่เอ๋อร์

เหยียนเยว่เอ๋อร์ส่งเสียงหึอย่างเย็นชา เปลวเพลิงหอกรบปรากฏขึ้นในมือ หอกแทงแหวกอากาศออกไป เกิดเสียงดังพับขึ้น จากนั้นก็เจาะเข้ากับหัวของอสูรเสือที่มีขนสีดำแข็งทั่วตัว

อสูรกายเสือดำตัวนี้ส่งเสียงครวญคราง ทันใดนั้นมันก็ล้มลงกับพื้นและตายในทันที

“ที่นี่ยังมีอสูรกายอยู่หรือ?”

หลัวซิวเดินขึ้นไปข้างหน้า พบว่ามีร่างของอสูรเสือตัวหนึ่งที่มีร่างกายแข็งแกร่ง ร่างยุทธ์สูงสุดที่งดงามมาก แต่ไม่มีการผันผวนของพลังจิตในการลอบโจมตี

อสูรกายเหมือนกับมนุษย์ อาศัยการหมุนเวียนของพลังฟ้าดินจิตเพื่อฝึกตน เมื่อบรรลุถึงขั้นสี่จะสามารถหลอมรวมให้เป็นพลังจิตแท้ได้

แต่สำหรับในคีตโลกาแห่งนี้ไม่เหมือนกัน มันไม่มีพลังฟ้าดินจิตอยู่แม้แต่น้อย อสูรกายที่อาศัยอยู่ที่นี่ไม่มีทางที่จะฝึกตนได้เลย

สำหรับสถานที่ที่มีปัจจัยสิ่งแวดล้อมแบบพิเศษเช่นนี้ อสูรกายที่มีชีวิตอยู่ในที่แห่งนี้ ทุกตัวต่างก็มีร่างเนื้อที่แข็งแกร่ง ไม่ต่างอะไรกับนักยุทธ์ที่ยังมีชีวิตอยู่

ไม่มีคลื่นพลังจิต อสูรกายที่ซ่อนตัวอยู่ในพงหญ้าก็ยากที่จะถูกพบได้ นอกเสียจากว่าจะแพร่ตัวสำนึกไว้ตลอดเวลา เพื่อจับตาดูการเคลทื่อนไหวของทั้งสี่ทิศ แต่หากเป็นเช่นนั้น ตัวสำนึกก็จะถูกลดทอนลงไปเรื่อย ๆ เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้าจะรู้สึกอ่อนล้าอย่างรุนแรง

เหยียนเยว่เอ๋อร์ก็คิดได้เช่นนี้ เมื่อตัวสำนึกกำลังจะแพร่กระจายออกไปในนาทีนั้น เพื่อป้องกันการลอบโจมตี

“หากแพร่ตัวสำนึกอยู่ตลอดเช่นนี้มันสิ้นเปลืองเกินไป ให้ข้าจัดการเถอะ” หลัวซิวดึงมือของนางพลางเอ่ยปากบอก

“ผลการฝึกตนของข้าสูงกว่าเจ้าอยู่บ้าง ยังไงก็ให้ข้าจัดการแล้วกัน” เหยียนเยว่เอ๋อร์พูดพลางส่งยิ้มหวาน แม้ว่าจะเป็นเพียงการใส่ใจในรายละเอียดเล็กน้อยก็ตาม แต่ในใจของนางกลับเต็มไปด้วยความอบอุ่น

สำหรับผู้ชายตัวเล็ก ๆ คนนี้ นางยินยอมที่จะทำทุก ๆ อย่างเพื่อเขาอยู่แล้ว กับแค่การสิ้นเปลืองพลังเล็กน้อยมันเทียบอะไรไม่ได้เลย

หลัวซิวยิ้มและบีบแก้มของนางเบา ๆ “ในความจริงข้าไม่จำเป็นต้องแพร่ตัวสำนึกออกมา ก็ยังสามารถรับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหวของอสูรกายที่หลบซ่อนอยู่”

ได้ยินเช่นนั้น เหยียนเยว่เอ๋อร์ก็มุ่ยปากทันที “คำพูดเช่นนี้ เจ้าไปหลอกเด็กสาวคนอื่นน่ะถึงจะได้”

แม้ว่าจอมยุทธ์จะมีการตอบสนองทางวิญญาณที่เฉียบแหลมต่ออันตราย แต่สัญชาตญาณแบบนี้ไม่ได้น่าเชื่อถือมากนัก ถ้าเจออสูรกายตัวที่หลบซ่อนเก่ง หากไม่ได้ตอบสนองอย่างทันท่วงที เจ้าอาจถูกโจมตีและบาดเจ็บ

“ไม่เชื่อหรือ?” หลัวซิวเลิกคิ้วแล้วที่ไปมทางด้านซ้าย “ห่างออกไปสามร้อยเมตร มีอสูรกายซ่อนอยู่หนึ่งตัว”

เหยียนเยว่เอ๋อร์เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ตัวสำนึกระดับจักรพรรดิยุทธ์แพร่กระจายออกมา และพุ่งไปทางที่หลัวซิวชี้เพื่อสำรวจ

จริงเสียด้วย ห่างไปมากกว่า 300 เมตร มีอสูรกายตัวหนึ่งหลบซ่อนอยู่ เหมือนกับอสูรกายที่โดนนางแทงจนตายเมื่อครู่ ไม่มีคลื่นพลังจิตแม้แต่น้อย

และนางสามารถมั่นใจได้ว่า หลัวซิวไม่ได้ปล่อยตัวสำนึกเพื่ออกไปสำรวจเลย

“เจ้าทำได้อย่างไร?” เหยียนเยว่เอ๋อร์มองหลัวซิวด้วยสีหน้าประหลาดใจ เพราะต่อให้นางที่เป็นจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่ง หากไม่ใช้ตัวสำนึกในการสำรวจ ก็ทำได้แค่ค้นพบอสูรกายที่ไม่มีคลื่นพลังจิตซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่เกิน 300 เมตรเท่านั้น

อสูรกายจำพวกนี้ มีเพียงแค่เวลาที่แพร่ตัวสำนึกออกไปเท่านั้น ถึงจะสามารถสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตบนตัวของมัน

แต่หลัวซิวมีความสามารถในการรับรู้ชีวิต ไม่ใช้ตัวสำนึกก็สามารถเจาะลึกทุกพลังชีวิตในขอบเขตที่กำหนด

เหยียนเยว่เอ๋อร์พบว่า ยิ่งเข้าใกล้ชายผู้นี้มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งพบว่าเขาเต็มไปด้วยความลึกลับ

ผู้คนมักมีสัญชาตญาณที่จะมองสิ่งที่ไม่รู้จักด้วยความเกรงขาม

แต่เหยียนเยว่เอ๋อร์กลับรู้สึกว่า เจ้าสมบัติลึกลับนี้ในตัวหลัวซิว มันน่าดึงดูดเป็นอย่างมาก ทำให้คนอดไม่ได้ที่จะเข้าไปค้นหา แทบรอไม่ไหวที่จะได้รู้จักและใกล้ชิดกับเขา
มีกระแสสัมผัสพลังชีวิตของหลัวซิวเป็นมาตรการป้องกัน โดยทั่วไป ตราบใดที่มีอสูรกายปรากฏขึ้นภายในระยะหลายร้อยเมตร จะถูกเขาค้นพบได้ในทันที

สิ่งที่ทำให้หลัวซิวประหลาดใจยิ่งกว่านั้นก็คือ ท่ามกลางคีตโลกาที่ไม่มีพลังฟ้าดินจิตแม้สักนิด แต่ยาวิเศษกลับสามรถเติบโตได้?

หญ้าใบเล็กๆ ที่มีใบสีเหลืองสามใบไหวตามลม และแต่ละใบก็สะดุดตาราวกับสีของทองคำ

นี่คือหญ้าทองเป็นหนึ่งในยาวิเศษที่หายาก และยาวิเศษชนิดนี้มีผลที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ เป็นผู้ช่วยที่ยอดเยี่ยมสำหรับการกลั่นร่าง

หญ้าทองไม่จำเป็นต้องใช้เพื่อกลั่นยา บดเสร็จแล้วคั้นออกมา สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งของร่างเนื้อนักยุทธ์ได้อย่างมาก

เพียงแต่การใช้หญ้าทองเพื่อช่วยในการฝึกร่างเนื้อ ต้องอดทนต่อความเจ็บปวดแสนสาหัส ราวกับมดหมื่นตัวที่กัดกินร่างกาย ลูกศรหมื่นลูกที่แทงทะลุหัวใจ

แม้ว่ากระบวนการจะเจ็บปวดมาก แต่ผลของหญ้าทองนั้นดีอย่างน่าประหลาดใจ ในสมัยโบราณ หญ้าทองแต่ละเม็ดนั้นราคาสูงเสียดฟ้า เนื่องจากไม่มีระดับที่แน่นอนของยาวิเศษ ไม่ว่าจะเป็นนักยุทธ์ระดับใด ก็จะมีผลในการเพิ่มประสิทธิภาพในการ

ประสิทธิภาพของหญ้าทอง คือทำให้นักยุทธ์แดนร่างเนื้อ ยกระดับเล็กน้อย

ตัวอย่างเช่น หลัวซิวในตอนนี้คือร่างยุทธ์ระดับราชาขั้นปฐมภูมิ เมื่อใช้หญ้าทองแล้ว ก็จะสามารถบรรลุร่างยุทธ์ระดับราชาช่วงกลางได้

ถ้าหากว่าเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีร่างยุทธ์ระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ ถ้าหากใช้หญ้าทองแล้ว ก็จะสามารถบรรลุขึ้นไปอีกหนึ่งแดนเล็ก

ซึ่งนี่ก็คือจุดเด่นที่ทำให้ยาวิเศษอย่างหญ้าทองชนิดนี้มีค่ามหาศาล

ชั่วครู่หนึ่ง หลัวซิวมีอาการวิงเวียนศีรษะราวกับว่าจะเป็นลมให้ได้ เขาไม่ได้คาดหวังว่าโชคของเขาจะดีขนาดนี้ ที่สามารถพบหญ้าวิญญาณที่หายากและมีค่าเช่นนี้ได้

เหยียนเยว่เอ๋อร์เมื่อสังเกตเห็นท่าทางตื่นเต้นของหลัวซิวก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสัยเล็กน้อย “นั่นคือยาวิญญาณอะไรหรือ?”

“สมบัติล้ำค่าชนิดหนึ่ง!”

ขณะพูด หลัวซิวก็หยิบกระบี่อาถรรพ์ฟันเสือที่อยู่ด้านหลังออกมา เพราะพื้นที่ใกล้ ๆ กับแหล่งที่หญ้าทองเติบโตนั้น มีหมาป่าสีเงินที่มีดวงตาหนึ่งดวงเป็นแนวตั้งอยู่ระหว่างคิ้ว ร่างกายโค้งงอ ความชั่วร้ายที่รุนแรงนั้นแพร่กระจายออกมา

ไม่นานนัก หุ่นเชิดตัวนี้บินออกจากช่องสีเทาอีกครั้งโดยไม่ได้รับบาดเจ็บ

“ที่ทางเข้าแห่งนี้ ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร การบีบอัดของช่องว่างนั้นก็ไม่ได้ส่งผลกระทบมากนัก ผลการฝึกตนอยู่ในระดับฝึกตนขึ้นเจ็ดขึ้นไป น่าจะสามารถต้านทานไว้ได้” อาจารย์เหว้ยห้าวหรานเอ่ยกับจักรพรรดิยุทธ์คนอื่น ๆ

จักรพรรดิยุทธ์ไม่น้อยมองไปที่หุ่นเชิดสีทองที่ยืนอยู่ข้างกายอาจารย์เหว้ยห้าวหราน ต่างก็มีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความอิจฉา เพราะนี่คือหุ่นเชิดระดับจักรพรรดิยุทธ์ รวมเข้ากับปรมาจารย์ที่แต่เดิมก็มีผลการฝึกตนจักรพรรดิยุทธ์ขั้นสาม อีกทั้งวิธีที่นักค่ายกลใช้สร้างค่ายกลนั้น คือพลังการต่อสู้ที่แท้จริง ต่อให้เทียบกับจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิง ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย

แม้จะปล่อยให้เขาจัดการสร้างค่ายกลล่วงหน้า ต่อให้เป็นจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิง ก็อาจจะพ่ายแพ้ด้วยน้ำมือเขาได้เช่นกัน

พื้นที่แห่งนี้ได้ชื่อว่าโลกแสงดาว

ว่ากันว่า ณ ใจกลางโลกนี้ มีทะเลดาวลอยอยู่บนท้องฟ้าสูง จึงได้ชื่อว่าโลกแสงดาว

โลกแสงดาวนั้นใหญ่มาก กว้างใหญ่เพียงไร แต่น้อยคนนักที่จะรู้ สิ่วเดียวที่หลัวซิวรู้ ก็คือสถานที่ที่ประเทศเทียนหวูตั้งอยู่นั้น มันเป็นเพียงแค่ส่วนที่เล็กมาก ๆ ของโลกแสงดาวเท่านั้น

สี่องค์กรใหญ่ที่นำโดยองค์กรนักล่ายุทธ์ มีอิทธิพลสำคัญทั่วทั้งโลกแสงดาวดังนั้น ทุกคนที่สามารถครอบครองสถานที่ในสี่องค์กรใหญ่ ได้นั้นไม่ใช่บุคคลธรรมดา

เช่นจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิง เหว้ยห้าวหรานบุคคลประเภทนี้ที่ดูแลสิทธิการพูดขององค์กรในบางพื้นที่ ต่อให้มีมกุฏยุทธ์อาจารย์คอยคุมบังเหียนอย่างมหาอำนาจหลักทั้งสาม ก็จะไม่สามารถจะไปล้ำเส้นพวกเขาสุ่มสี่สุ่มห้าได้

ดังนั้น ในบรรดาจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่ง ไม่ใช่เจ้าตำหนักจื่อ เจ้าสำนักเสวียนหยางและเจ้าสำนักฉางเหอเป็นผู้นำ แต่เป็นจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิง เหว้ยห้าวหราน ฝานไท่เต๋อและหงหมิง หัวหน้าแก๊งทั้งสี่คนเป็นผู้นำ

ในบรรดาสี่คนนี้ บารมีและพลังของจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงถือเป็นที่สุด

จักรพรรดิยุทธ์ทุกคนรวมมือกันเปิดทางเข้า ต่างก็สิ้นเปลืองผลการฝึกตนไปไม่น้อย ไม่มีใครรีบเข้าไปในช่องว่างนั้นเพื่อสำรวจก่อน แต่พวกเขาทั้งหมดกลับเลือกพื้นที่ที่จะนั่งขัดสมาธิเพื่อฟื้นฟูผลการฝึกตน

เพราะว่าเป็นถ้ำโบราณที่ถูกทิ้งไว้มาแต่นานกาล ไม่มีใครรู้ว่าจะมีอันตรายอะไรอยู่ในนั้น จำเป็นต้องระมัดระวังและรักษาความแข็งแกร่งเอาไว้ที่จุดสูงสุด

จักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งหลายคนยาวิเศษระดับหกออกมาจากแหวนเก็บของเพื่อที่จะฟื้นฟูพลังจิตแท้ด้วยสีหน้าเบ้เบี้ยว ในเวลาปกติ พวกเขาไม่เต็มใจที่จะใช้ยาวิเศษระดับหกอย่างง่ายดายเช่นนี้แน่นอน

แต่ ณ เวลานี้ เมื่อเทียบกับการสูญเสียยาวิเศษหนึ่งเม็ด สิ่งสำคัญคือต้องฟื้นฟูผลการฝึกตนให้อยู่ในสถานะสูงสุดโดยเร็วที่สุด จากนั้นเข้าไปในซากปรักหักพังโบราณเพื่อสำรวจ

ท่ามกลางบรรดาจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งทุกคน ก็มีหัวหน้าองค์กรเพียงทั้งสี่คนและยังมีเหยียนเยว่เอ๋อร์เท่านั้นที่กินยาวิเศษระดับหกได้ โดยไม่มีการลังเล

หัวหน้าแห่งสี่องค์กรใหญ่ เป็นเพราะพื้นฐานครอบครัวที่มั่งคั่ง สำหรับการใช้ยาระดับหกแน่นอนว่าไม่ได้เดือดร้อนอะไร โดยเฉพาะเสด็จอาฝานไท่เต๋อแห่งตระกูลฝาน ด้วยตนเองนั้นเป็นปรมาจารย์กลั่นยาขั้นหกอยู่แล้ว ยิ่งไม่สนใจที่จะต้องเสียยาระดับหกไปเพียงหนึ่งเม็ด

แต่เหยียนเยว่เอ๋อร์ เหตุที่นางไม่ได้สนใจการใช้ยาระดับหก นั่นก็เป็นเพราะว่าหลัวซิวก่อนที่จะมาสำรวจซากปรักหักพังโบราณนี้ เขาได้กลั่นยามากมายไว้ให้นางล่วงหน้าแล้ว

ในเวลาเดียวกันที่กำลังฟื้นฟูผลการฝึกตน จักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งทุกคนก็เริ่มที่จะหาลือเรื่องที่จะเข้าไปในถ้ำโบราณ

เนื่องจากทางเข้านั้นถูกบังคับให้เปิด ทุกคนมีส่วนร่วม ดังนั้นผู้คนจากทุกฝ่ายจึงสามารถเข้าไปสำรวจได้

ตามที่ก่อนหน้านี้อาจารย์เหว้ยห้าวหราน ใช้หุ่นเชิดเข้าไปสำรวจสถานการณ์ ทางเข้าที่เต็มไปด้วยพลังบีบอัดแห่งอวกาศ จำเป็นต้องใช้ผลการฝึกตนบรรลุถึงฝึกจิตขั้นเจ็ดขึ้นไป เพื่อให้ผ่านได้อย่างปลอดภัย ถ้าแรงไม่พอ จะถูกบดขยี้ด้วยพลังแห่งอวกาศที่บิดเบี้ยว

สำหรับให้คนที่ต่ำกว่าระดับจักรพรรดิยุทธ์เข้าไปนั้น จักรพรรดิยุทธ์ทุกคนไม่ได้มีความเห็นอะไร อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าใครจะพูดอย่างไร สมบัติล้ำค่าที่แท้จริงจะตกไปอยู่ในมือของผู้แข็งแกร่งอย่างดี

ประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อมา จักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งทุกคนทั้งหมดกลับสู่สภาพที่แข็งแกร่งที่สุด และค่อย ๆ ยืนขึ้นทีละคน

ในช่วงเวลานี้ ยังมีผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกกำลังมา เพราะตราบใดที่ผลการฝึกตนบรรลุถึงฝึกจิตขั้นเจ็ด ก็สามารถเข้าไปสำรวจในซากปรักหักพัง ไม่ว่าจะเป็นสำหรับพลังอันยิ่งใหญ่ของราชายุทธ์และปรมาจารย์ฝึกจิต หรือสำหรับปรมาจารย์ระดับสูง ต่างก็เป็นโอกาสที่หายาก

ท้ายที่สุดนี่คือถ้ำที่หลงเหลือจากสมัยโบราณ มีประวัติอย่างน้อย 50,000 ปี ผ่านร้อนผ่านฝนมากนานขนาดนี้ ไม่แน่ว่าอาจมีทรัพยากรหรือสมบัติล้ำค่าอยู่บ้าง

จักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งทั้งยี่สิบคน ในเวลานี้ไม่มีใครเอ่ยปากพูดอะไร พวกเขาทั้งหมดก็บินขึ้นไปในอากาศ เข้าไปในช่องสีเทาตรงกลางที่กำลังหมุนวนราวกับก้นหอย

หลัวซิวรู้ดี ถ้ามีสมบัติล้ำค่าในถ้ำโบราณนี้จริงๆ ท่ามกลางยี่สิบคนนี้ จะมีเพียงจักรพรรดิยุทธ์ไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถได้รับมัน

เหยียนเยว่เอ๋อร์ไม่ได้เข้าพร้อมกับจักรพรรดิยุทธ์คนอื่น ๆ แต่กลับหันหน้าไปทางหลัวซิว

นางรู้ดี หลัวซิวมีสมบัติชิ้นสำคัญอยู่ในมือของเขา นั่นคือ ลูกแก้วดำที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับถ้ำแดนปริศนานี้

และด้วยความแข็งแกร่งของนาง นางไม่สามารถแย่งชิงสมบัติกับจักรพรรดิยุทธ์คนอื่นได้ ไม่แน่ถ้าหากเผลอไผลไปสักนิด ก็อาจจะถูก เจ้าตำหนักจื่อและผู้นำตระกูลเหยียนคิดบัญชีเอาได้

นางที่ทั้งฉลาดและเยือกเย็น เลือกที่จะร่วมมือและเคลื่อนไหวไปพร้อมกับหลัวซิว ถือเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย

จักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งค่อย ๆ เข้าไปทีละคน ราชายุทธ์และปรมาจารย์ฝึกจิตขั้นเจ็ดขึ้นไปอีกหลายคนที่ยืนรออยู่ไกล ๆ พวกเขาทั้งหมดก็ค่อย ๆ เข้าไปในช่องสีเทาด้วย

หลังจากเข้าไปในทางเดิน พื้นที่โดยรอบก็บิดเบี้ยวอย่างต่อเนื่อง ราวกับว่ามีมือใหญ่สองข้างที่มองไม่เห็น ดึงร่างของเขาและฉีกเขาเป็นชิ้นๆ
แค่เพียงว่าแรงของการบิดและดึงพื้นที่นี้ไม่ได้แข็งเกร็งเป็นพิเศษ ถ้าหากผลการฝึกตนบรรลุถึงบรรลุถึงฝึกจิตขั้นเจ็ด ใช้พลังจิตแท้เป็นเกราะป้องกัน ก็จะสามารถต้านทานได้โดยง่าย

หลังจากบินไปตามทางเดินสีเทานี้เป็นเวลาสิบกว่าลมหายใจ แสงที่อยู่ข้างหน้าก็สว่างขึ้นทันใด ทำให้ผู้คนไม่สามารถหลับตาลงได้ และรู้สึกคลื่นเหียนราวกับโลกกำหมุนอยู่ในทันที

เบื้องหน้านั้นเป็นที่ราบกว้างขวางไม่มีที่สิ้นสุด ทำเอาสีหน้าของหลัวซิวอดไม่ได้ที่จะแสดงความประหลาดใจ

เห็นได้ชัดว่า นี่ไม่ใช่ถ้ำโบราณทั่วไป แต่มันคือคีตโลกาที่เป็นอิสระจากโลกภายนอก!

คีตโลกาพวกนี้ มีเพียงผู้แข็งแกร่ที่มีงผลการฝึกตนบรรลุถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์เท่านั้น ถึงจะสามารถทะลุความว่างเปล่าออกมาได้

มองไกลๆ ไปสุดที่ราบกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา มีภูเขาสูง ดูเหมือนวังบนยอดเขา หากอยากบินไปที่นั่น คงจะต้องใช้เวลาอีกนานทีเดียว

“นี่คือถ้ำของผู้แข็งแกร่งในสมัยโบราณ? แหวกที่ว่างในอากาศเพื่อสร้างคีตโลกา และใช้ถ้ำเป็นฉากบังหน้า ไม่อยากจะเชื่อเลยจริง ๆ !” หลัวซิวอุทานขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ

จิตใต้สำนึกของคนธรรมดาต่างก็คิดว่าถ้ำคือสถานที่ฝึกตนแห่งหนึ่ง ใครจะคิดว่ามันจะเป็นคีตโลกา?

เพียงแค่หลัวซิวนั้นรู้ได้ทันที พื้นที่ของคีตโลกาแห่งนี้ไม่มั่นคง ท้องฟ้าเต็มไปด้วยรอยร้าว มีพลังชีวิตที่ทรุดโทรม กระจายระหว่างท้องฟ้าและพื้นดิน

อาจมีการต่อสู้ที่ดุเดือดที่นี่ หรืออาจผ่านมาหลายหมื่นปี ทำให้คีตโลกาแห่งนี้ปราศจากพลังอำนาจแห่งผู้แข็งแกร่ง และมันกำลังจะล่มสลายอยู่แล้ว

ทันใดนั้น หลัวซิวก็สังเกตถึงแรงสั่นสะเทือนเบา ๆ ที่ถูกส่งออกมาจากแหวนเก็บของ เขาพลิกมือทันทีและดึงลูกแก้วดำออกจากวงแหวน ทันที

เห็นเพียงแค่ลูกแก้วดำนี้สั่นอยู่ในมือของเขาไม่หยุด ดูเหมือนว่าปลายสุดของที่ราบนี้จะมีเสียงเรียกร้องที่รุนแรง

“ดูเหมือนว่าการที่ข้าเลือกอยู่กับเจ้า จะเป็นทางเลือกที่ฉลาดมาก” เหยียนเยว่เอ๋อร์พูดพร้อมร้อยยิ้ม

เหยียนเยว่เอ๋อร์สูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ นางรู้ดีว่าในตอนนี้นางไม่สามารถฆ่าเจ้าตำหนักจื่อคนนี้ได้ ความอบอุ่นจากฝ่ามือของนาง จิตสังหารที่เอ่อเต็มหัวใจของนางค่อย ๆ จางหายไป

แม้ว่านางจะได้ยับยั้งเจตนาฆ่าเอาไว้แล้ว แต่ก็ถูกเจ้าตำหนักจื่อคนนั้นสัมผัสได้อยู่ดี สายตาที่สง่างามมองไปทางด้านนี้อย่างเย็นชา

เจ้าตำหนักจื่อคนนี้ ฝึกตนมานานกว่าสี่ร้อยปี แต่ดูเหมือนชายวัยกลางคนในวัยสามสิบ หว่างคิ้วแสดงถึงความเคร่งขรึม มีนิสัยแบบพวกเอาแต่ใจ คือใครก็ตามที่เชื่อฟังเขาจะได้อยู่สุขสบาย แต่ใครก็ตามที่กบฏต่อเขาจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย

ดวงตาของเขาเย็นชาราวกับดาบคม ทำให้ผู้คนไม่กล้าที่จะสบตากับเขา

แต่ไม่ใช่กับหลัวซิว เพราะเหยียนเยว่เอ๋อร์คือผู้หญิงของเขา ความเคียดแค้นฝังลึกนี้ แน่นอนว่าเขาจะต้องแบกเอาไว้บนบ่าของเขาและเผชิญหน้ากับมันด้วย

คนหนึ่งคือเด็กหนุ่มที่อายุเพียงสิบเจ็ดปี เป็นวัยรุ่นเลือดร้อนและเอาแต่ใจเป็นที่สุด

อีกคนหนึ่งฝึกตนนานกว่าสี่ร้อยปี เป็นผู้สูงศักดิ์ที่อยู่มาช้านาน ตาเฒ่าประหลาดระดับจักรพรรดิยุทธ์ที่มีผลการฝึกตนมากเกินคำบรรยาย

ฉากการเผชิญหน้าดังกล่าว ดึงดูดความสนใจจากผู้คนมากมายที่อยู่ใกล้เคียง

“เจ้าหนูน้อยใจกล้า!” ชายชราหลังหลังค่อมในชุดธรรมดาพูดด้วยรอยยิ้ม เมื่อมองดูเสื้อผ้าของเขา เขาดูเหมือนชาวนาแก่ ๆ ในชนบท

ราวกับว่า เขากำลังชื่นชมหลัวซิวที่กล้าเผชิญหน้ากับเจ้าตำหนักจื่อ ดังนั้นจึงเอ่ยปากชมเขาโดยไม่สนใจเลยสักนิดว่าจะเป็นการไม่ไว้หน้าเจ้าตำหนักจื่อหรือไม่

มีราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่งจำนวนมากที่ไม่รู้จักชายชราหลังค่อมคนนี้ แต่เหล่าจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งผู้นำจากมหาอำนาจทุกฝ่าย ต่างก็แสดงแววตาสั่นไหวออกมาเล็กน้อย

เพราะชายชราที่ดูธรรมดาคนนี้ แต่กลับเป็นถึงตาเฒ่าประหลาดระดับจักรพรรดิยุทธ์คนหนึ่งที่มีอายุไม่ต่ำกว่าพันปี นามว่าฉิวหนานซาน

“เฆ่าประหลาดฉิว เราอยู่อย่างสงบมาตลอด” เจ้าตำหนักจื่อหันหน้าไปทางตาแก่หลังค่อมและเอ่ยปากพูดด้วยสีหน้านิ่งเรียบ

ฉิวหนานซานคนนี้ จักรพรรดิยุทธ์ที่รู้จักเขาต่างก็เรียกเขาว่า‘เฆ่าประหลาดฉิว’ เป็นแดนจักรพรรดิยุทธ์ขั้นสี่เหมือนกัน เจ้าตำหนักจื่อถึงแม้จะกังวล แต่ก็ไม่ได้กังวลจนมากเกินไป

“เอาล่ะ ทิ้งความคับข้องใจส่วนตัวของทุกท่านไว้ก่อน กระแสน้ำวนแห่งปริภูมินี้ จำเป็นต้องให้พวกเราจักรพรรดิยุทธ์ทุกคนร่วมมือกันทำลาย ข้าไม่คิดว่าจะมีใครอยากเสียเวลาอยู่ที่นี่ต่อจริงหรือไม่?”

จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงพูดขึ้นในเวลานี้

“หัวหน้าแก๊งหยวนเฉิงพูดถูก หากไม่ใช่ว่ากระแสน้ำวนแห่งปริภูมินี้ยากที่จะเปิดออก ข้าเองก็คงจะไม่รอให้พวกเจ้ามาแย่งชิงเป็นแน่” เจ้าสำนักเสวียนหยางที่สวมหน้ากากครึ่งหน้าสีทองเอ่ยปาก

เห็นว่าทุกคนไม่มีข้อโต้แย้ง จากนั้นจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งทั้งยี่สิบคน โดยการนำของจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิง เจ้าตำหนักจื่อ เจ้าสำนักเสวียนหยางและสำนักฉางเหอ ก็มารวมตัวกัน สู่ความมืดมิดในกระแสน้ำวนแห่งปริภูมิเบื้องล่าง

ใกล้ ๆ กับกระแสน้ำวนแห่งปริภูมิ พื้นที่โดยรอบบิดเบี้ยวอย่างมาก หากปรมาจารย์ฝึกจิตเดินเข้าไป เพียงเสี้ยววินาทีที่เผลอไป ก็จะโดนพื้นที่บิดเบี้ยวนี้บีบอัดจนตาย ร่างกายแตกเป็นละอองเลือด

แต่สำหรับผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ทุกคนแล้ว ความบิดเบี้ยวของพื้นที่ระดับนี้ ยังไม่เพียงพอที่จะทำอันตรายต่อเกราะพลังจิตแท้ของพวกเขาได้

“ทุกท่าน เริ่มกันเลยเถอะ” จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงพูดออกมาช้า ๆ ทันทีที่มือขึ้นจับ ความสุกใสในฝ่ามือก็ส่องประกาย ขวานสีน้ำเงินขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น

ในบรรดานักยุทธ์ อาวุธส่วนใหญ่ที่ใช้คือ ดาบ หอก และง้าว มีเพียงไม่กี่คนที่ใช้ขวาน โดยทั่วไปแล้วอาวุธที่มีน้ำหนักมากพวกนี้ ต่างก็เป็นนักยุทธ์กลั่นร่างเท่านั้นจึงจะสามารถเลือกได้

เห็นได้ชัดว่า จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงท่านคนได้เป็นผู้ควบคุมองค์กรนักล่ายุทธ์สำนักงานใหญ่ในประเทศหนึ่งนั้น ไม่เพียงแค่มีผลการฝึกตนบรรลุถึงจักรพรรดิยุทธ์ขั้นสี่เท่านั้น แต่ยังเป็นนักยุทธ์กลั่นร่างคนหนึ่งอีกด้วย

จักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งทั้งยี่สิบคนเข้าประจำที่ เรียงตามระดับผลการฝึกตน จักรพรรดิยุทธ์แห่งแดนขั้นสูงขั้นสี่ มีเพียงจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงคนเดียว

อ่อนแอกว่าเขาเล็กน้อยอย่างเจ้าตำหนักจื่อ เจ้าสำนักเสวียนหยาง และเจ้าสำนักฉางเหอ อีกทั้งเฆ่าประหลาดฉิวและแดนราชายุทธ์ขั้นสี่

ตามด้วย จักรพรรดิยุทธ์ขั้นสาม 4 คน แบ่งเป็นผู้อาวุโสตำหนักจื่อและสำนักฉางเหอ รวมถึงเสด็จอาตระกูลฝานและหัวหน้าแก๊งนักหลอมอาวุธ

คนที่เหลือคือจักรพรรดิยุทธ์ขั้นสองและขั้นหนึ่ง

จักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งมากมายเช่นนี้ สามารถกล่าวได้ว่าพื้นที่ท่ามกลางประเทศเทียนหวูแห่งนี้ได้รวบรวบจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งไว้หมดแล้ว ยี่สิบคนอาจจะดูเหมือนเยอะ แต่จริง ๆ แล้วเมื่อเทียบกับพื้นที่กว้างใหญ่นี้ ในแต่ละกองกำลังหลัก มีเพียงหนึ่งหรือสองคนเท่านั้น

เจ้าตำหนักจื่อสองมือยื่นออกมาหยิบหอกรบสีม่วงออกมา เจ้าสำนักเสวียนหยางก็หยิบกระบี่ยาวสีทองออกมา ส่วนอาวุธของเฆ่าประหลาดฉิวนั้นประหลาดมาก มันคือฆ้องบั้งคู่หนึ่ง

จักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งเหล่านี้ต่างก็หยิบอาวุธที่ไม่ธรรมดาออกมา ส่วนมากต่างก็เป็นระดับขั้นดินกลาง

“ลงมือ!”

สิ้นเสียงกู่ร้องของจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งทุกคน ประกายแสงพลังจิตแท้หลายสายก็พวยพุ่งออกมา กลายเป็นลำแสง พุ่งเข้าไปกลางกระแสน้ำวนแห่งปริภูมิที่มืดสนิทนั้น

โครมคราม……

เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นระหว่างสวรรค์และโลก พลังจิตแท้ที่คลุ้มคลั่งกระเพื่อมไปทุกทิศ หนองน้ำที่อยู่ใกล้เคียงระเหยและทำให้แห้ง แสงจากสิ่งต่าง ๆ สาดส่องและพุ่งกระจาย ฉากนั้นงดงามอลังการมาก

ถึงอย่างไร นี่ก็เป็นการร่วมมือกันของจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งทั้งยี่สิบคน แม้ว่าจะเป็นถึงตาเฒ่าประหลาดมกุฏยุทธ์ ก็ไม่กล้าที่จะเข้ามาขวางแบบไม่คิดหน้าคิดหลัง

อย่างไรก็ตามการโจมตีที่ทรงพลังเช่นนี้ได้พุ่งตรงเข้าไปที่ใจกลางกระแสน้ำวนแห่งปริภูมิ แต่กลับเพิ่งเปิดรอยร้าวที่ไม่เด่นมาก และต้องการบังคับเปิดทางเข้าให้คนผ่านไปได้ ยังต้องการพลังที่มากขึ้น

“ทุกท่าน ในเวลาเช่นนี้ไม่มีอะไรต้องเก็บซ่อนอีกต่อไปแล้ว หากเราไม่สามารถเปิดทางเข้าที่มั่นคงได้ ว่าใครก็อย่าหวังจะได้เข้าไปเลย” จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงตระโกนก้อง

ทันทีที่คำกล่าวนี้ออกมา มีจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งไม่น้อยที่พลังจิตแท้รอบตัวก็พลุ่งพล่านและแข็งแกร่งขึ้น การโจมตีที่ทรงพลังยิ่งกว่าระเบิดออกไป

การโจมตีอย่างต่อเนื่อง กระแสน้ำวนแห่งปริภูมิสีดำสนิทนี้ ดูเหมือนว่าในที่สุดก็ถึงจุดเปลี่ยน รอยแตกตรงกลางค่อย ๆ ขยายออกในที่สุดช่องสีเทาที่มีความสูงเท่าคนหนึ่งคนก็ปรากฏขึ้น

จักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งทุคนค่อย ๆ เรียกคืนพลังจิตแท้ รออยู่ชั่วครู่ เมื่อเห็นว่าช่องว่างของอากาศสีเทานั้นไม่มีแนวโน้มที่จะรักษาตัวเอง ทุกคนก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก

“ข้าลองดูว่าช่องว่างของอากาศนี้ปลอดภัยหรือไม่”

หัวหน้าแก๊งค่ายกลสำนักงานใหญ่‘อาจารย์เหว้ยห้าวหราน’โบกสะบัดมือ ประกายแสงวูบวาบปรากฏขึ้นข้าง ๆ กายเขา

มันคือค่ายกลที่มีความซับซ้อนของลายเส้นและสัญลักษณ์นับไม่ถ้วน ปรากฏเป็นหุ่นเชิดรูปคน

หุ่นเชิด ของพรรค์นี้ในบรรดานักยุทธ์ระดับล่างจะไม่ได้พบบ่อยนัก เพราะมีเพียงปรมาจารย์ค่ายกลที่ถึงแม้จะบรรลุถึงระดับห้าขึ้นไป ต้องการสร้างหุ่นเชิด ก็ต้องสูญเสียพลังมหาศาล ทั้งยังต้องทุ่มเททั้งเวลาและอุปกรณ์

หุ่นเชิดที่พลังอ่อนแอนั้น มันไม่มีประโยชน์มากนักที่จะทำออกมา หุ่นเชิดที่มีพลังแข็งแกร่งสร้างมูลค่าได้มหาศาล ดังนั้นหุ่นเชิดนั้น ต่อให้อยู่ท่ามกลางนักยุทธ์ระดับสูง ก็ยังมีมูลค่ามากอยู่ดี

อาจารย์เหว้ยห้าวหรานอัญเชิญหุ่นเชิด เปล่งประกายแวววาวระยิบระยับ ดวงตาสีเลือดคู่หนึ่งเรียบนิ่งราวกับเครื่องจักร จ้องมองตรงไปข้างหน้าอย่างด้วยความเยือกเย็น

บนร่างของหุ่นเชิดยังสวมเกราะนักยุทธ์ระดับดินชุดหนึ่ง พลังชีวิตไหลเวียนอยู่บนร่าง เป็นระดับจักรพรรดิยุทธ์อย่างน่าอัศจรรย์!

“เข้าไปดู”

อาจารย์เหว้ยห้าวหรานชี้ไปที่ทางเข้า ณ ใจกลางกระแสน้ำวนแห่งปริภูมิสีเทา หุ่นเชิดรูปคนตัวนี้ก็พุ่งตรงเข้าไปอย่างไม่มีลังเล กระโจนเข้าไปในช่องว่างสีเทา

อีกอย่าง ประเทศเทียนหวูนอกจากราชวงศ์ตระกูลฝานแล้ว อาจารย์จักรพรรดิยุทธ์คนอื่น ๆ จากอีกเก้าตระกูลใหญ่ ก็มาถึงที่นี่ด้วยตนเอง

ภายในเวลาสั้น ๆ ห้าวัน ด้วยความสามารถในการรายงานจากองค์กรนักล่ายุทธ์ จึงสามารถแน่ใจได้ว่าที่บ่อน้ำอมตะแห่งนี้ได้รวบรวมจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งจากประเทศเทียนหวูและแผ่นดินใหญ่รอบด้านไว้ ราว ๆ ยี่สิบคน!

สำหรับผู้แข็งแกร่งระดับราชายุทธ์คนอื่น ๆ นั้น มีมากถึงห้าสิบคน!

“มากขนาดนั้นเชียว?” ผู้แข็งแกร่งจำนวนมากราวกับมังกรตัวใหญ่ ทำเอาหลัวซิวอ้าปากค้าง

“เป็นธรรมดา เพราะไม่เพียงแค่ผู้แข็งแกร่งระดับราชายุทธ์ขึ้นไปในประเทศเทียนหวู แล้วยังมีผู้แข็งแกร่งจากเมืองมหาอำนาจรอบด้านที่รีบมาที่นี่ รวมกับผู้แข็งแกร่งบางคนที่ค่อยหลบอยู่ในมุมมืด และเมื่อได้ยินข่าวคราวเรื่องซากโบราณสถานก็รีบมาที่นี่อีกนับไม่ถ้วน ส่วนจำนวนนั้นนับไม่ถ้วนทีเดียว” จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงยิ้มพร้อมอธิบาย

“แล้วตาเฒ่าประหลาดมกุฏยุทธ์ได้มาหรือไม่?” หลัวซิวถามขึ้นอีกครั้ง

“ในตอนนี้ยังไม่มี พื้นที่แห่งนี้ท่ามกลางประเทศเทียนหวู ตาเฒ่าประหลาดมกุฏยุทธ์มีเพียงสามคนเท่านั้น คือผู้นั่งบัลลังก์แห่งตำหนักจื่อ สำนักฉางเหอและสำนักเสวียนหยาง อำนาจทั้งสามสร้างสมดุลให้กันและกัน ตาเฒ่าประหลาดมกุฏยุทธ์ไม่ปรากฏตัวขึ้นง่าย ๆ หรอก” จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงพูดพลางส่ายหน้า

สำหรับมหาอำนาจทั้งสามแล้ว ตาเฒ่าประหลาดมกุฏยุทธ์เป็นปัจจัยชี้ขาดทางยุทธศาสตร์ ตาเฒ่าประหลาดมกุฏยุทธ์ทั้งสามคนต่างหวาดหวั่นซึ่งกันและกัน เมื่อใดที่เริ่มลงมือ อาการบาดเจ็บหรือการตายของตาเฒ่าประหลาดมกุฏยุทธ์ต่างก็ทำให้เกิดความตกใจอย่างมาก และแม้กระทั่งทำให้เกิดสงครามทำลายล้างได้

ดังนั้นตาเฒ่าประหลาดระดับมกุฏยุทธ์ นากจากจะโดยทั่วไปจะไม่ปรากฏ เว้นเสียแต่จะจำเป็นอย่างยิ่ง

แม้ว่าจะคิดตามการพูดของจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิง การปรากฏตัวของตาเฒ่าประหลาดระดับมกุฏยุทธ์จะมีความเป็นไปได้น้อยมาก แต่ผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ราว ๆ ยี่สิบคนที่นี่ ก็น่ากลัวมากพอแล้วเช่นกัน

จากการประมาณของหลัวซิว ต่อให้ตัวเองจะหงายไพ่ใบสุดท้าย อย่างมากพลังก็ถึงเพียงแดนราชายุทธ์ขั้นสี่พลังม่ได้เหนือไปกว่ากันเลย เผชิญกับราชายุทธ์ขั้นห้านั้น เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ด้วยเลย ทำได้แค่ป้องกันตัว ส่วนจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งนั้น หากเขาต้องเผชิญหน้าด้วยอย่างไรก็มีแต่ตายกับตาย

ก่อนหน้านี้สามารถใช้ตราธรรมจุติมรณะทำร้ายผู้อาวุโสเสวียนหยางได้ ก็เป็นเพราะว่าอีกฝ่ายใช้พลังทั้งหมดต้านทานการโจมตีวิญญาณจากเหยียนเยว่เอ๋อร์ มิฉะนั้นเขาไม่มีโอกาสเลยที่จะสำแดงตราธรรมจุติมรณะ และในที่สุดก็จะถูกจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งฆ่าตายได้เพียงแค่หนึ่งการโจมตีเท่านั้น

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ใจของเขาหลัวซิวก็หม่นลงเล็กน้อย ไม่ต้องพูดถึงเขาเลย แม้แต่เหยียนเยว่เอ๋อร์ที่มีพลังจักรพรรดิยุทธ์ขั้นสอง หากอยู่ท่ามกลางจักรพรรดิยุทธ์ยี่สิบคนที่ พลังนั้นก็ยังคงอยู่ในระดับกลางถึงล่าง ในถ้ำโบราณหากมีสมบัติล้ำค่าใด ๆ อยู่คาดว่าคงไม่ถึงมือเขาแน่ ๆ

แต่ไม่นาน หลัวซิวก็สามารถฟื้นฟูสภาพจิตใจให้เป็นปกติได้ ถึงแม้พลังของเขาจะค่อนข้างอ่อนแอไปเสียหน่อย แต่สำหรับถ้ำโบราณแห่งนี้เขามีข้อได้เปรียบที่ไม่มีใครมี นั่นก็คือลูกแก้วดำที่ได้มาจากตระกูลจูแห่งเขตการปกครองหวู่เฟิง!

ตามคำพูดของอาจารย์ตระกูลจู ลูกแก้วดำลูกนั้นดูเหมือนว่าเป็นของสำคัญซึ่งมีข้อมูลที่เกี่ยวกับถ้ำโบราณอยู่

“ท่านหัวหน้าแก๊ง สำหรับโบราณสถานแห่งนี้ ท่านรู้จักมันมากน้อยแค่ไหน?” หลัวซิวหันไปมองทางจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิง

สำนักไท่เสวียนเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ในสมัยโบราณ เพียงเพราะภัยพิบัติเมื่อ 50,000 ปีที่แล้ว ทำให้โบราณสถานอันทรงพลังนี้ถูกทำลายล้างกลายเป็นผงธุลีแห่งประวัติศาสตร์

อย่างไรก็ตามแม้สำนักไท่เสวียนจะถูกทำลาย แต่ก็มีซากโบราณสถานมากมายเหลืออยู่ ทำให้นักยุทธ์รุ่นหลัง ได้รับประโยชน์มากมายจากมัน

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าองค์กรนักล่ายุทธ์เป็นสถานที่ที่มีข้อมูลข่าวกรองของโลกสมบูรณ์ที่สุด ดังนั้นหลัวซิวถึงได้ลองถามจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิง

อำนาจของเขาในองค์กรก็ไม่ได้ต่ำ แต่ก็มีบางสิ่งที่เขาไม่สามารถค้นหาได้

จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงยิ้มบาง ๆ พลางเอ่ย “เจ้าถามได้ตรงจุดแล้ว ว่ากันตามบันทึกโบราณ บ่อน้ำอมตะแห่งนี้ในสมัยโบราณ เคยเป็นสำนักไท่เสวียนแห่งแดนหลิงจื๋อ แม้ว่ามันจะถูกทำลายไปเมื่อกว่า 50,000 ปีที่แล้ว กลายเป็นซากปรักหักพังและหนองน้ำ แต่กลับยังมีผู้แข็งแกร่งแห่งแดนหลิงจื๋อท่านหนึ่งคอยพิทักษ์รักษาอยู่ที่ถ้ำแห่งนี้”

“แดนหลิงจื๋อ?” หลัวซิวมีสีหน้าประหลาดใจ หลงหมิงเคยเล่ให้ฟังถึง สามแดนปริศนาใหญ่และเก้าแดนปริศนาน้อยแห่งสำนักไท่เสวียนในสมัยโบราณ แต่ในสถานที่แห่งนั้นกลับไม่มีแดนหลิงจื๋อ

“หลิง หมายถึงสรรพทิพย์ บางอย่างที่พิเศษและมีคุณค่า อย่างเช่นอสูรกายหรือทรัพย์สมบัติ ต่างถูกรวมอยู่ในสรรพทิพย์”

“จื๋อ หมายถึงยาวิเศษ อำนาจที่ยิ่งใหญ่ในสมัยโบราณต่างก็สร้างอาณาจักรลับที่เป็นสวนยาโดยเฉพาะ เพาะปลูกยาวิเศษที่มีคุณค่าหลากหลายชนิด”

จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงอธิบายที่มาของแดนหลิงจื๋อ เห็นได้ชัดว่าสถานที่ที่ได้ชื่อว่าแดนหลิงจื๋อ ไม่ใช่สถานที่แห่งฝึกรบ ดังนั้นจึงไม่อยู่ในแผนผังของสามแดนปริศนาใหญ่และเก้าแดนปริศนาน้อย

แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่า สถานที่หนึ่งที่รวบรวมสรรพทิพย์ แดนปริศนาที่มีไว้เพาะปลูกยาวิเศษ ต้องมีความสำคัญอย่างยิ่ง

ตอนนี้โบราณสถานแห่งนี้ถูกค้นพบโดยกองกำลังต่าง ๆ มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นถ้ำของผู้พิทักษ์โบราณอันเป็นผู้แข็งแกร่งแห่งแดนหลิงจื๋อ

แดนปริศนาที่สำคัญเช่นนี้ ผู้แข็งแกร่งที่ครองพิทักษ์แน่นอนว่าต้องไม่ธรรมดา ภายในถ้ำของเขาแม้จะเหลือสมบัติไว้เพียงหนึ่งหรือสองชิ้นก็ตาม ก็สามารถดึงดูดผู้แข็งแกร่งจำนวนมากตะเกียกตะกายแย่งชิงเพื่อให้ได้มา

……

เนื่องจากข่าวซากปรักหักพังโบราณได้แพร่กระจายไปในเวลาเพียงห้าวัน ผู้แข็งแกร่งจากทั่วทุกสารทิศต่างก็มารวมตัวกันอยู่ที่นี่

สำนักเสวียนหยางยังคงเก็บตัวเงียบ แม้ว่าพวกเขาจะคิดว่าพวกเขาเป็นคนแรกที่พบทางเข้าซากปรักหักพัง แต่เมื่อเผชิญกับกองกำลังผู้แข็งแกร่งมากมายเช่นนี้ ใครอยากได้ประโยชน์สูงสุดก็ต้องพึ่งความสามารถของตัวเองแล้ว

หนองน้ำที่มีกลิ่นเหม็นเน่าถูกแยกออกและตรึงพื้นที่ไว้ กระแสน้ำวนสีดำสนิทแห่งปริภูมิค่อย ๆ หมุนวน ราวกับปากใหญ่ ๆ ของอสูรกายเก่าแก่ที่รอจะกินคน

จักรพรรดิยุทธ์และราชายุทธ์ทุกคนรวมตัวกันอยู่ที่นี่ เห็นตรงกันว่ากระแสน้ำวนแห่งปริภูมิจะต้องเป็นทางเข้าซากปรักหักพังอย่างแน่นอน แต่พลังบีบรัดนั้นช่างน่าอัศจรรย์ เว้นแต่จะมีวิชาลับพิเศษ ไม่เช่นนั้นหากต้องการฝืนเปิดมัน ทุกคนในที่นี้จำเป็นต้องร่วมมือกัน

ผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ทั้งยี่สิบคนกระโดดลอยตัวขึ้นไปบนฟ้า พลังชีวิตกระจายไปรอบตัว ทำให้ราชายุทธ์จำนวนมากที่อยู่ตรงนั้นเกิดอาการกดดันและหายใจติดขัด

หลัวซิวรู้สึกว่ามีสายตามากมายที่มองเขาอยู่ ส่วนใหญ่มีเจตนาฆ่าอย่างดุเดือด

เพียงแต่เขาไม่ได้สนใจเลยสักนิด มีจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงอยู่ที่นี่ หากคนพวกนี้ต้องการโจมตีเขา ก็คงต้องชั่งน้ำหนักความสามารถของตัวเองด้วย

ราชวงศ์ตระกูลฝานเป็นผู้นำ แน่นอนว่าต้องเป็นเสด็จอาคนนั้นที่เป็นปรมาจารย์กลั่นยาระดับหก เขามีตัวตนอีกชั้นหนึ่ง นั่นคือหัวหน้าแก๊งของแก๊งนักกลั่นยาสำนักงานใหญ่แห่งประเทศเทียนหวูแห่งนี้

แน่นอน หากไม่นับว่าคือปรมาจารย์กลั่นยาระดับหกคนหนึ่ง เสด็จอาแห่งตระกูลฝานคนนี้ยังครอบครองพลังผลการฝึกตนแห่งแดนจักรพรรดิยุทธ์ขั้นสามอีกด้วย

นอกจากนี้ ยังมีหัวหน้าแก๊งทั้งสองแห่งแก๊งนักค่ายกลสำนักงานใหญ่และแก๊งนักหลอมอาวุธสำนักงานใหญ่ ที่รุดหน้ามาที่ด้วยตนเองอีกด้วย จักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งทุกคนต่างแพร่กระจายพลังชีวิตที่แข็งแกร่งของตนออกมารอบกาย

ในบรรดาจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งยี่สิบคนนั้น จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงมีผลการฝึกตนสูงที่สุด บรรลุถึงแดนขั้นสูงจักรพรรดิยุทธ์ขั้นสี่ อีกแค่เพียงนิดเดียว ก็สามารถบรรลุถึงแดนจักรพรรดิยุทธ์ขั้นห้าได้แล้ว

อีกอย่างคือ เจ้าสำนักเสวียนหยาง เจ้าตำหนักจื่อ เจ้าสำนักฉางเหอ ทั้งสามคนต่างก็เป็นจักรพรรดิยุทธ์ขั้นสี่ ด้อยกว่าจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงเพียงเล็กน้อย

ในวินาทีที่มองเห็นเจ้าตำหนักจื่อ หลัวซิวก็สัมผัสได้ว่ารอบกายของเหยียนเยว่เอ๋อร์มีเจตนาฆ่าที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง

ความแค้นจากการถูกฆ่าท่านพ่อและท่านแม่ เป็นความแค้นที่ไม่สามารถไม่ยอมยืนอยู่บนโลกใบเดียวกับศัตรู หลัวซิวรู้ดีว่าความแค้นนั้นกรีดลึกลงไปในใจมากเพียงใด มันเริ่มตั้งแต่ตอนที่เหยียนเยว่เอ๋อร์ยังเยาว์วัย ในช่วงสามร้อยปีที่ผ่านมา นางได้แบกรับความบาดหมาง การนองเลือดและต้องฝึกฝนอย่างสิ้นหวัง

“อย่างเพิ่งวู่วาม” หลัวซิวจับมือของนางเอาไว้

“ได้แต่หวังว่าที่อยู่นั้นของถ้ำโบราณ จะไม่ถูกผู้แข็งแกร่งแห่งสำนักเสวียนหยางค้นพบ”

หลังจากที่อาการบาดเจ็บหายดีแล้ว หลัวซิวและเหยียนเยว่เอ๋อร์ก็ลงไปในบ่อน้ำอมตะด้วยกัน ตามตำแหน่งที่ทำเครื่องหมายไว้บนแผนที่ลับ ก็มาถึงที่ตั้งของถ้ำโบราณในพื้นที่นั้น

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เขากังวลมากที่สุดก็ปรากฏขึ้น พลังชีวิตที่เข้มข้นนั้นปรากฏขึ้นที่นี่ ทุกคนต่างก็เป็นผู้แข็งแกร่งระดับราชายุทธ์ขึ้นไป

เมื่อไม่กี่วันก่อน สงครามใหญ่ระดับจักรพรรดิยุทธ์เคยเกิดขึ้นที่นี่ แม้ว่าในตอนแรกหลัวซิวสร้างค่ายกลป้องกัน ทำให้ทางฝั่งของผู้อาวุโสเสวียนหยางพวกนั้นไม่สามารถส่งสาร และกักกันคลื่นลมหายใจแห่งพลังจิตแท้ไม่ให้รั่วไหล

แต่ต่อมา หลังจากที่เขาและเหยียนเยว่เอ๋อร์ออกจากที่นี่ เพราะการตายของผู้อาวุโสจักรพรรดิยุทธ์ สำนักเสวียนหยางจึงได้ค้นหาทั่วทั้งบ่อน้ำอมตะ พบร่องรอยของการต่อสู้ที่มีอยู่ที่นี่ และเศษเสี้ยวพลังชีวิตของผู้อาวุโสเสวียนหยาง

คนจากสำนักเสวียนหยางขุดพื้นที่นี้ลงไปในดินราวสามฟุต ทางเข้าของถ้ำโบราณแม้จะซ่อนเร้นอยู่ แต่ก็ยังถูกค้นพบ

หลัวซิวและเหยียนเยว่เอ๋อร์แค่เฝ้ามองอยู่ไกล ๆ ไม่ได้เร่งรีบที่จะเข้าไป เพราะสำนักเสวียนหยางพื้นที่หลายร้อยลี้รอบนี้ถูกปิดผนึกอย่างสมบูรณ์

“เราควรทำอย่างไร?” เหยียนเยว่เอ๋อร์หันไปมองคนข้าง ๆ ที่หน้าตาอึมครึมอย่างหลัวซิว

คนทั้งสองรีบทางมาถึงที่นี่กว่าพันลี้ อุตส่าห์ฆ่าผู้อาวุโสเสวียนหยางอย่างยากลำบาก จนกระทั่งมาถึงถ้ำโบราณปริศนาแห่งนี้ที่สุดท้ายก็ไม่สามารถรักษาไว้ได้

……

กลางสำนักเสวียนหยางที่ถูกปิดผนึกอยู่นั้น เป็นหนองน้ำแห่งหนึ่งที่ไม่ได้มีอะไรพิเศษ

เพียงแต่ว่าด้านล่างของหนองน้ำที่ในเวลานี้ถูกเปิดออก และกระแสน้ำวนแห่งปริภูมิก็หมุนวนอย่างเงียบ ๆ ราวกับปากใหญ่ ๆ ของอสูรกายเก่าแก่ ที่รอจะกินคนที่ผ่านเข้ามา

บนท้องฟ้าเหนือหนองบึงนี้ ร่างสิบร่างในชุดคลุมสีทอง ทะยานขึ้นไปสู่บนท้องฟ้าและยืนอยู่กลางอากาศ

“ไม่แปลกใจเลยที่ผู้อาวุโสเสวียนหยางจะเข้าไปในบ่อน้ำอมตะอย่างเงียบเชียบเช่นนี้ เขาน่าจะค้นพบทางเข้าของถ้ำโบราณแห่งนี้แล้ว คงจะต้องการสำรวจคนเดียว และเก็บสมบัติที่อยู่ภายในนั้นไว้คนเดียว”

คนแรกที่พูดคือผู้หญิงที่สวมหน้ากากครึ่งสีทอง และเสียงของนางที่เปล่งออกมานั้นดังและชัดเจน

แม้ว่าใบหน้าของเขาจะถูกเปิดเผยเพียงครึ่งเดียว แต่ก็ยังสวยงามมาก

อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครที่กล้าดูหมิ่นนางเพียงเพราะนางเป็นผู้หญิง เพราะผู้หญิงลึกลับที่สวมหน้ากากครึ่งสีทองคนนี้คือเจ้าสำนักเสวียนหยาง!

เมื่อโดยรอบของประเทศเทียนหวู มีสามมหาอำนาจยิ่งใหญ่ที่สุด และสำนักเสวียนหยางคือหนึ่งในนั้น ผลการฝึกตนของเจ้าสำนักเสวียนหยาง คือผู้แข็งแกร่งแดนจักรพรรดิยุทธ์ขั้นสี่

“เจ้าสำนัก ผู้อาวุโสเสวียนหยางน่าจะถูกคนทำร้าย ในประเทศเทียนหวูแห่งนี้ คนที่สามารถสังหารผู้อาวุโสเสวียนหยางได้นั้นมีจำนวนเพียงหยิบมือ ข้าเกรงว่าความลับของถ้ำโบราณแห่งนี้ พวกเราสำนักเสวียนหยางคงจะไม่ใช่คนแรกที่ค้นพบ” ผู้อาวุโสท่านหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยความเคารพ

“เราต้องเชิญท่านอาจารย์ออกมาหรือไม่?” ผู้คุมกฎอีกคนพูดขึ้น

สำนักเสวียนหยางมีจักรพรรดิยุทธ์สองคน คนหนึ่งคือเจ้าสำนักเสวียนหยาง อีกคนคือผู้อาวุโสเสวียนหยาง

ในตอนนี้ผู้อาวุโสเสวียนหยางได้ตายไปแล้ว ภายในสำนักเสวียนหยาง เหลือเพียงแค่เจ้าสำนักหญิงผู้นี้ที่เป็นจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่ง

ภายใต้การบังคับบัญชาของนาง ทั้งเก้าคนนั้น ต่างก็คือราชายุทธ์ผู้คุมกฎแห่งสำนักเสวียนหยาง

ทั่วทั้งประเทศเทียนหวู ระดับราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่งมีไม่ถึงสามสิบคน และแค่เพียงในสำนักเสวียนหยาง ก็มีผู้แข็งแกร่งระดับราชายุทธ์แล้วเก้าคน นี่คือรากฐานอันทรงพลังของอำนาจเหนือธรรมชาติ

“อาจารย์คือมกุฏยุทธ์ผู้แข็งแกร่ง ขยับเพียงเล็กน้อยก็เลือนลั่นทั่วทั้งปฐพี หากว่าท่านอาจารย์มาเยือนที่แห่งนี้ด้วยตนเอง ไม่ว่าใครก็คงจะรู้ได้อย่างง่ายดายว่าที่แห่งนี้มีขุมทรัพย์มหาศาล ถือเวลานั้นไม่ต้องพูดถึงตำหนักจื่อและสำนักฉางเหอ เมืองอันห่างไกลที่มีมกุฏยุทธ์ผู้แข็งแกร่งคอยกุมอำนาจไว้ เกรงว่าจะรีบรุดมาทำให้วุ่นวายขึ้นกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ”

เจ้าสำนักเสวียนหยางส่ายหน้า เป็นการปฏิเสธข้อเสนอนี้

“อีกอย่าง ในถ้ำโบราณแห่งนี้ จะมีสมบัติวิเศษใดที่ควรค่าพอให้ท่านอาจารย์ต้องออกแรงหรือไม่ก็ยังไม่รู้ ตัวตนของท่านอาจารย์นั้นละเอียดอ่อน หากไม่ถึงกับเป็นทางตันจริง ๆ ก็ไม่ควรไปรบกวนท่านอาวุโส”

“เมื่อครู่ข้าเองก็ลองดูแล้ว ทางเข้าซากโบราณสถานนี้คือกระแสน้ำวนแห่งปริภูมิแห่งหนึ่ง พลังการบีบรัดนั้นน่าหวาดหวั่นมากเพียงแต่ว่าหลังจากผ่านไปหลายปี การห้ามเข้าก็ไม่ได้รัดกุมถึงเพียงนั้นแล้ว จักรพรรดิยุทธ์หลายคนรวมมือกันโจมตี น่าจะพอฝืนเปิดมันออกได้”

เจ้าสำนักเสวียนหยางสองมือไพล่หลัง น้ำเสียงราวกับกำลังพูดถึงขุนเขาที่สวยงามแห่งหนึ่ง และเอ่ยขึ้นช้า ๆ “ถึงอย่างไร ปริศนาแห่งถ้ำโบราณแห่งนี้ไม่ใช่เพียงข้าคนเดียวที่รู้ อีกไม่นาน อย่างไรก็ต้องมีผู้แข็งแกร่งแห่กันมา เมื่อถึงเวลานั้นเราก็จะอาศัยกำลังของพวกเขา เพื่อเปิดทางเข้าของถ้ำโบราณแห่งนี้!”

“เจ้าสำนัก หากว่าอาจารย์มกุฏยุทธ์แห่งตำหนักจื่อและสำนักฉางเหอ…” ผู้คุมกฎคนหนึ่งมีสีหน้ากังวลใจ

“ถ้าเช่นนั้นพวกเราท่านอาจารย์ของพวกเราสำนักเสวียนหยาง แน่นอนว่าจะไม่มีทางนิ่งดูดายแน่นอน” เจ้าสำนักเสวียนหยางพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

……

ห่างไปร้อยลี้ หลัวซิวและเหยียนเยว่เอ๋อร์เก็บพลังชีวิต ซ่อนตัวอยู่ในที่มืดมิดแห่งหนึ่ง

พลังชีวิตของผู้แข็งแกร่งกระจายไปด้านหน้า ทำให้เขาทั้งสองไม่กล้าพลีพล่ามเข้าไปใกล้นัก แม้กระทั่งตัวสำนึกเองก็ยังไม่กล้าที่จะปล่อยออกไปเพื่อตรวจตรา

“อย่างน้อย ๆ ต้องมีจักรพรรดิยุทธ์หนึ่งคน ราชายุทธ์เจ็ดถึงแปดคน!” เหยียนเยว่เอ๋อร์หน้านิ่วคิ้วขมวด

“อาจารย์เสวียนหยางล่ะ?” หลัวซิวพูดเสียงราบเรียบ

เหยียนเยว่เอ๋อร์ส่ายหน้า “เพราะว่าข้าเก็บพลังชีวิตแล้ว ไม่เช่นนั้นข้าคงจะสามารถสัมผัสได้ แต่อาจารย์ระดับมกุฏยุทธ์ โดยปกติจะระมัดระวังตัวอย่างมาก ดังนั้นอาจารย์แห่งสำนักเสวียนหยางคงจะยังไม่ได้มาที่นี่”

อาจารย์ผู้แข็งแกร่งที่มีผลการฝึกตนบรรลุถึงระดับมกุฏยุทธ์ นั่นหมายถึงแทบจะบรรลุถึงแดนมนุษย์และสวรรค์รวมกันเป็นหนึ่งอยู่แล้ว ตัวสำนึกนั้นอ่อนไหวอย่างอย่างมาก ต่อให้ทั้งสองจะหลบอยู่ในเงามืดที่ห่างไกลนับร้อยลี้ ก็ไม่อาจหลบซ่อนตัวสำนึกของอาจารย์ระดับมกุฏยุทธ์ได้

เหยียนเยว่เอ๋อร์ก็คิดตามข้อมูลเหล่านี้ จึงตัดสินได้ว่าอาจารย์แห่งสำนักเสวียนหยางได้อยู่ในที่แห่งนี้

“ถึงแม้อาจารย์ระดับมกุฏยุทธ์ไม่มา แต่เจ้าสำนักเสวียนหยางน่าจะมาแล้วอย่างแน่นอน แม้ในยามรุ่งเรืองของข้า ข้อเองก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนางอยู่ดี” เหยียนเยว่เอ๋อร์เอ่ยเช่นนี้

“สำนักเสวียนหยางต้องการกลืนกินซากโบราณสถานแห่งนี้หรือ?” สีหน้าหม่นมองของหลัวซิวเผยให้เห็นรอยยิ้มเยือกเย็นเล็กน้อย พลิกมือหยิบกล่องส่งเสียงออกมาจากแหวนเก็บของ

เมื่อเห็นการกระทำนี้ของหลัวซิว เหยียนเยว่เอ๋อร์ก็รู้ได้ในทันทีว่าเขาต้องการทำอะไร

“น้ำขุ่นเท่านั้นถึงจะง่ายต่อการจับปลา หากน้ำใสเช่นนี้เราคงเข้าไปไม่ได้ ถ้าเช่นนั้นเราก็จัดการกวนน้ำให้ขุ่นเสียเลย” ตัวสำนึกเคลื่อนไหว หลัวซิวก็ใช้กล่องส่งเสียงส่งข้อความออกไปหลายข้อความ

จากนั้นไม่นาน ข้อความหนึ่งก็ถูกส่งออกไปหลายหมื่นลี้ เสียงหนึ่งถูกส่งออกมาจากกล่องส่งเสียง ดังเข้ามาในหูของหลัวซิว

“เจ้ารออยู่ที่นั่นก่อน ข้าจะไปถึงภายในอีกสองวัน”

เป็นข้อความจาก‘จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิง’แห่งองค์กรนักล่ายุทธ์ศูนย์ใหญ่ประเทศเทียนหวูส่งเข้ามา มูลค่าของซากปรักหักพังโบราณนั้นนับไม่สามารถประเมินได้ ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งเช่นจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิง ก็ยังต้องหวั่นไหว แน่นอนว่าจะต้องรีบมาด้วยตนเองอย่างแน่นอน

ผู้แข็งแกร่งระดับมกุฏยุทธ์แค่ขยับตัวก็เลือนลั่นทั่วทั้งปฐพี จำเป็นต้องนั่งบัลลังก์อยู่ที่สำนักเพื่อดุลอำนาจจากทั้งสี่ทิศ ไม่ออกมาปรากฏตัวง่าย ๆ ดังนั้นผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ในประเทศเทียนหวูและแผ่นดินใหญ่โดยรอบ ต่างก็เป็นกำลังรบชั้นยอดอยู่แล้ว

เวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ เรื่องราวเกี่ยวกับการปรากฏขึ้นของซากโบราณสถานใกล้บ่อน้ำอมตะในไม่ช้ามันก็ถูกส่งผ่านไปยังหูของกองกำลังอันยิ่งใหญ่ของทุกฝ่าย

ด้วยพลังของสำนักเสวียนหยาง ไม่สามารถเปิดเกราะป้องกันกระแสน้ำวนแห่งปริภูมิซึ่งเป็นทางเข้าของสถานที่แห่งนี้ได้ข้าใด ข้อมูลที่แพร่กระจายออกไปก็ไม่สามารถหยุดยั้งได้ข้านั้น

ผ่านไปสองวัน จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงก็มาถึงด้วยตนเอง หลังจากนั้นไม่นานผู้แข็งแกร่งแห่งราชวงศ์ตระกูลฝาน ตำหนักจื่อและสำนักฉางเหอก็ตามกันมาดั่งสายน้ำที่ไหลหลาก

แม้ว่านางจะรู้ดีว่าต่อให้นางฆ่าคนพวกนี้ หลัวซิวที่ยังอยู่ในอาการสลบไสลอยู่นั้นก็ไม่อาจรับรู้ได้ แต่ในใจ นางกลับไม่อยากจะหักหลังความตั้งใจของหลัวซิว

มือเรียวชูขึ้นจับยันต์ที่ลอยอยู่กลางอากาศ ลำแสงหลายเส้นพุ่งตรงเข้าไปที่หว่างคิ้วของจวงหย้าเฟย ซินหรานหราน และคนอื่น ๆ เหยียนเยว่เอ๋อร์จึงได้กลายเป็นเปลวเพลิงพาหลัวซิวหนีไปด้วยความรวดเร็ว และหายเข้าสู่แสงสว่างบนท้องฟ้าอันไกลโพ้น

……

สามวันถัดมา กลางพื้นผ่าดิบชื้นใกล้ ๆ บ่อน้ำอมตะ

หลังจากที่ไม่ได้สติไปสามวันเต็มๆ เปลือกตาของหลัวซิวก็ค่อย ๆ ขยับ และในที่สุดก็ลืมตาขึ้น

วินาทีแรกที่เขาลืมตาขึ้นมา ก็ได้พบกับเหยียนเยว่เอ๋อร์ที่มีสีหน้าเต็มไปด้วยความกังวลใจเรื่องของเขาอยู่ ดูเหมือนว่าเพราะเขาฟื้นขึ้น รอยยิ้มแห่งความโล่งใจจึงปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนาง

“เยว่เอ๋อร์อ่า ขอโทษนะที่ทำให้เจ้าต้องเป็นห่วง” หลัวซิวยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มนั้นแฝงไปด้วยความรู้สึกผิด

เหยียนเยว่เอ๋อร์ส่ายหน้า พูดด้วยน้ำเสียงตำหนิติเตียน “เจ้านี่ ไม่รู้เลยหรือว่าคนคนหนึ่งฝึกตนสองอันดับในเวลาเดียวกันแบบนี้ มันเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างมาก? โชคดีที่เจ้าเพียงแค่สูญเสียผลการฝึกตนมากเกินไป ถึงที่ได้รับบาดเจ็บในภายหลัง …”

“อย่ากังวลเลย ข้ารู้ขีดจำกัดของข้าดี เพียงแค่ผลการฝึกตนของข้าต่ำเกินไป ถึงยังไม่สามารถเชี่ยวชาญกลอุบายนั้นได้ดี” หลัวซิวพูดปลอบนาง

แน่นอนว่าเขารู้ดี ว่าการฝึกตนสองระดับในเวลาเดียวกันนั้นมันมีความเสี่ยงมหาศาลเพียงใดแต่ที่แตกต่างก็ไปก็คือ เขามีลูกแก้วความเป็นตายสิ่งล้ำค่าชนิดนี้ที่แปรเปลี่ยนโดยกฎดั้งเดิม พลังAttrแห่งความเป็นความตายสองระดับ ภายในร่างกายของเขานั้นไม่ต่างอะไรกับเด็กน้อยที่ว่านอนสอนง่าย จะไม่เกิดความขัดแย้งใด ๆ ทั้งสิ้น มีแต่ความสมดุลที่ละเอียดอ่อนนั้นที่จะค่อย ๆ เกิดขึ้นได้ด้วยตนเอง ซึ่งจะไม่สร้างความเสียหายและอันตรายแก่เขาแม้แต่น้อย

เพียงแค่เรื่องพวกนี้ เขาก็ไม่สามารถอธิบายออกมาได้ ถึงแม้เหยียนเยว่เอ๋อร์จะเป็นคนใกล้ชิดของเขาก็ตาม แต่หลัวซิวก็ยังไม่มีแผนที่จะบอกนาง นอกเสียจากว่าพลังแห่งผลการฝึกตนสามารถไปถึงในระดับที่มั่นคงแล้ว

ในขณะนี้ หลัวซิวกำลังสำรวจภายใน พบว่าบาดแผลของตนนั้นไม่ได้รุนแรงอะไร เพียงแค่ถูกผลพวงของพลังที่กวาดเข้ามา ร่างกายบาดเจ็บเล็กน้อย ระหว่างสามวันที่สลบไปนั้น ภายใต้การฟื้นฟูตนเองของพลังจิตแท้สองระดับความเป็นตาย รวมกับเหยียนเยว่เอ๋อร์ได้ให้เขากินยารักษาตัว บาดแผลนั้นก็หายดีเกินครึ่งแล้ว

จุดที่ค่อนข้างรุนแรง ภายในร่างกายนั้นเส้นลมชีพจรบางแห่งถูกทำลาย จำเป็นต้องใช้เวลาสักพักหนึ่งจึงจะสามารถฟื้นฟูกลับมาได้เป็นปกติ

น่าเสียดายไม่น้อยที่ครั้งนี้ไม่สามารถกระตุ้นผู้เป็นอมตะ ไม่เช่นนั้นหลัวซิวก็คิดว่าถึงแม้ตนจะไม่สามารถบรรลุถึงแดนราชายุทธ์ได้ ก็ยังสามารถพัฒนาพลังขึ้นได้อย่างมหาศาล

“แล้วผู้อาวุโสเสวียนหยางล่ะ? ตายหรือยัง?” หลัวซิวเอ่ยปากถามเหยียนเยว่เอ๋อร์

“ตายแล้ว หากไม่ใช่เพราะการโจมตีนั้นของนายทำให้เขาบาดเจ็บสาหัส ข้าก็ไม่มีทางฆ่าเขาได้เลย” เหยียนเยว่เอ๋อร์หัวเราะ มือก็เขย่าแหวนเก็บของไปมา ราวกับว่าเป็นเด็กน้อยที่อวดของมีข้าของตัวเองอย่างไรอย่างนั้น

“เด็กน้อยของข้า วิธีนั้นของเจ้าช่างเก่งกาจเสียจริง แต่เจ้าต้องสัญญากับข้าก่อน ว่าจะไม่ใช้วิธีนั้นพร่ำเพรื่อ เพราะถึงแม้พลังสองระดับจะแข็งแกร่งมาก แต่ก็ยังมีเล็กน้อยที่ไม่สามารถควบคุมได้ หากเจ้าตายไป ข้าจะทำอย่างไร?” ริมฝีปากแดงของเหยียนเยว่เอ๋อร์ประทับลงบนหน้าผากของหลัวซิวเบา ๆ พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

ความอ่อนโยนนี้ก็พอจะละลายทุกอย่าง ถึงแม้หลัวซิวจะรู้ว่าตนนั้นไม่มีทางที่จะถูก ผลสะท้อนจากพลังสองระดับจนได้รับอันตราย แต่ความห่วงใยของเหยียนเยว่เอ๋อร์ กลับทำให้ภายในใจของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกอบอุ่น

“เจ้าวางใจเถอะ ข้ารับปากเจ้าว่าจะไม่ใช้วิธีนั้นพร่ำเพรื่อ” เขาเอื้อมมือไปจับประคองใบนุ่มละมุนของเหยียนเยว่เอ๋อร์

และในเวลานี้เอง แสงสีเงินผ่าฟาดลงมาในชั่ววินาที เสียงปังดังขึ้น ร่างของอสูรกายตัวหนึ่งล่วงหล่นลงกับพื้น

“ให้ตายเถอะ ท่านชายหลงตาเกือบบอด!”

หลงหมิงที่เพิ่งกลับมาจากการออกไปล่า เห็นฉากหวานแหววระหว่างหลัวซิวและเหยียนเยว่เอ๋อร์ ก็ร้องเสียงหลงขึ้นมา สองอุ้งเท้าถูกยกขึ้นมาปิดตาใหญ่ ๆ นั้นไว้

“ข้าท่านชายหลงไม่เห็นอะไรทั้งนั้น พวกเจ้าต่อได้ ๆ …”

ใบหน้าสวยของเหยียนเยว่เอ๋อร์เต็มไปด้วยความเย็นชา ยกมือขึ้นโบกสะบัด เปลวเพลิงพลังจิตแท้หลวมรวมเป็นแส้ยาว กวาดเอาหลงหมิงม้วนเข้ามาและสะบัดออกไปไกลไม่ต่ำกว่าร้อยเมตร

“โอ้วว! พวกเจ้าตั้งใจจะฆ่าปิดปกมังกรหรือไง …” หลงหมิงร้องเสียงหลง

หลายวันถัดมา หลัวซิว ยังคงรักษาตัวอยู่ที่กลางป่าดิบชื้นแห่งนี้ เกี่ยวกับเรื่องจัดการกับปัญหาของพวกจวงหย้าเฟยและซินหรานหราน เขาก็ได้รับรู้มาจากปากของเหยียนเยว่เอ๋อร์ เจ้าพวกนั้นถูกนางผนึกความทรงจำบางส่วนไว้

การจัดการปัญหาเช่นนี้ แน่นอนว่าเป็นวิธีการที่ดี ไม่เพียงแต่ทำให้ข้อมูลของถ้ำโบราณเล็ดลอดออกไป ยังทำให้พวกของจวงหย้าเฟยและซินหรานหราน ที่เป็นผู้บริสุทธิ์ หลีกเลี่ยงหายนะแห่งความตายได้

ตราผนึกแห่งความทรงจำนี้ไม่ถาวร สำหรับเหยียนเยว่เอ๋อร์ที่มีผลการฝึกตนระดับจักรพรรดิยุทธ์ ใช้เวลาเพียงสิบวันหรือครึ่งเดือน ระดับจวงหย้าเฟยก็จะสามารถฟื้นฟูกลับมาได้

เมื่อเวลานั้นมาถึง พวกของหลัวซิวก็สามารถแก้ปัญหาเรื่องของถ้ำโบราณได้แล้ว

ในระหว่างที่เข้ารักษาตัวอยู่นั้น เหนือบ่อน้ำอมตะก็ได้มีลมหายใจอันทรงพลังพัดผ่านไปมา เห็นได้ชัดว่าการตายของผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ ได้สร้างความปั่นป่วนวุ่นวายให้กับโลกภายนอกเป็นอย่างมาก

เพราะบาดแผลทางกายไม่ร้ายแรง ดังนั้นหลัวซิวใช้เวลาไม่ถึงสองวัน ก็สามารถฟื้นฟูได้อย่างสมบูรณ์

เขาหยิบกล่องส่งเสียงออกมา ติดต่อผู้ดูแลรายงานแห่งองค์กรนักล่ายุทธ์ สอบถามว่าทางด้านสำนักเสวียนหยางและเมืองไห่หยุน มีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือไม่

จากการรวบรวมข้อมูลขององค์กรนักล่ายุทธ์ หลัวซิวได้รู้ว่าผู้อาวุโสเสวียนหยาง ผู้เป็นถึงจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่ง ก็ถูกเกลียวคลื่นแห่งตราเทพจิตจดจำอยู่ภายในสำนัก และเมื่อตัวตายไปแล้ว การจดจำของตราเทพจิตก็ถูกทำลายหายไปด้วย สำนักก็สามารถรับรู้การตายของเขาได้ในทันที

เรื่องนี้ทำให้ภายในสำนักเสวียนหยางเกิดความโกลาหล ถึงอย่างไรก็เป็นถึงผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์คนหนึ่ง สามารถเรียกได้ว่าเป็นสุดยอดพลังต่อสู้หนึ่งของสำนัก แต่เมื่ออาจารย์ระดับมกุฏยุทธ์หมดสิ้นชีวิต มกุฏยุทธ์คนใหม่ก็จะเป็นหนึ่งในบรรดาผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์

ดังนั้นผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ยิ่งมากเท่าไร การสร้างมกุฏยุทธ์ผู้แข็งแกร่งก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ทั้งสำนักเสวียนหยางเดิมทีก็มีจักรพรรดิยุทธ์เพียงแค่สองคนเท่านั้น ตอนนี้มีคนถูกโค่นลงไปแล้วหนึ่งคน ถือได้ว่าเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่

การสูญเสียเช่นนี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะชดเชยทรัพยากรจำนวนมหาศาล เพราะการเกิดผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ทุกคน ไม่ใช่เพียงแค่มีทรัพยากรและพรสวรรค์เพียงพอก็จะเกิดได้ ยังต้องการโอกาสและการฝึกตนอันยาวนานที่หลอมรวมกัน

แน่นอน ความตายของผู้อาวุโสจักรพรรดิยุทธ์เพียงคนหนึ่ง ไม่มีทางที่จะส่งผลกระทบต่อตำแหน่งของสำนักเสวียนหยาง เพียงแค่อาจารย์มกุฏยุทธ์ยังคงอยู่ ตำแหน่งของสำนักเสวียนหยางก็จะไม่มีวันถูกสั่นคลอน

แต่ความหมายที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ กลับไม่ใช่เรื่องปกติ ว่ากันว่าแม้แต่อาจารย์ระดับมกุฏยุทธ์ต่างก็ลงมือด้วยตนเอง

ตามที่มีรายงานจากองค์กรนักล่ายุทธ์ สำนักเสวียนหยางในตอนนี้ยังไม่สามารถยืนยันสาเหตุการตายของผู้อาวุโสเสวียนหยาง และก็ไม่รู้ว่าพลาดพลั้งได้อย่างไร รู้เพียงแค่ว่าหลังจากที่ผู้อาวุโสเสวียนหยางออกจากสำนักไป ก็ตรงไปที่บ่อน้ำอมตะ

ดังนั้น ในช่วงเวลาสองวันที่หลัวซิวรักษาตัวอยู่นั้น พลังแข็งแกร่งจากทุกทิศทั่วทั้งบริเวณบ่อน้ำอมตะ เหมือนว่าจะถูกผู้แข็งแกร่งแห่งสำนักเสวียนหยางค้นหาจนทั่วฟ้ามัวดิน ผู้คนต่างพลุกพล่านหวาดกลัว

นี่คือเหตุผลที่ในสองวันนี้เขามักจะรู้สึกได้ว่ามีพลังชีวิตแห่งผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์บินข้ามฝากฟ้าไปมา

ถ้ามีคนฝึกตนในเวลาเดียวกัน พลังAttrทั้งสองอย่างจะทำเหมือนร่างกายของนักยุทธ์เป็นสนามรบ จุดจบสุดท้าย โดยทั่วไปถ้าไม่ใช่ธาตุไฟเข้าแทรก ก็คือตัวระเบิดแล้วตาย

ตั้งแต่โบราณมาจนถึงปัจจุบัน เคยมีผู้อาวุโสนับไม่ถ้วนลองแล้ว แต่โดยมากล้วนล้มเหลวแล้วจากไป เมื่อเป็นแบบนี้ พลังสองระดับ จึงแทบจะกลายเป็นตำนาน

แต่ว่ากันว่าในสมัยโบราณ เคยมีคนครอบครองพลังทั้งสอง…..

“หนุ่มน้อย แกทำได้ยังไง?”

จับจ้องไฟสองระดับความเป็นตายที่ผนึกรวมอยู่ที่นิ้วมือของหลัวซิว ภายในใจเกิดความกังวลเล็กน้อย

ตั้งแต่ผลการฝึกตนบรรลุถึงแดนจักรพรรดิยุทธ์ ทำให้เข้าใจพลังAttrระหว่างฟ้าดินมากยิ่งขึ้น เหยียนเยว่เอ๋อร์รู้ดีว่าคนหนึ่งคนอยากจะครอบครองสองพลังนั้นยากแค่ไหน

เพราะไม่ว่าจะเป็นพลังAttrไหน ล้วนเหี้ยมโหดอย่างมาก แข็งแกร่งกว่าพลังAttrทั่วไป อีกทั้งAttrสองอันที่เป็นปรปักษ์กันก็ไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ เหมือนศัตรูอย่างไรอย่างนั้น ถ้าอยู่ในตัวคนๆเดียวกัน ก็จะเกิดการต่อต้านอย่างร้ายแรง

สิ่งนี้ คือสิ่งที่เหยียนเยว่เอ๋อร์เป็นกังวล

หลัวซิวไม่ได้สนใจว่าผู้อาวุโสเสวียนหยางมีท่าทีอย่างไร มือทั้งสองข้างตีพลังตราประทับออกมาไม่หยุด ใช้ตราธรรมจุติมรณะแปรเปลี่ยนเป็นเงาลวงวัฏจักร

แตกต่างจากวัฏจักรอันใหญ่มหาศาลที่แขวนอยู่บนท้องฟ้าภายในลูกแก้วความเป็นความตายโบราณ วัฏจักรที่หลัวซิวแปรเปลี่ยนออกมานัน้ เพราะประสานเข้ากับภูตอัคคีกลืนกิน และเต็มไปด้วยพลังแห่งการทำลายล้าง คล้ายกับดวงอาทิตย์หนึ่งดวงที่เผาไหม้

“ตายซะ!”

ตะคอกเสียงดัง ฝ่ามือทั้งสองของหลัวซิวดันไปด้านหน้า เงาลวงวัฏจักรที่แผดเผาอย่างร้ายแรงปะทุออกมาอย่างรวดเร็ว ราวกับดาวตกที่ทอประกาย พุ่งไปโจมตีผู้อาวุโสเสวียนหยาง

พลังจิตแท้ในร่างกายถูกดูดไปจนเกลี้ยงในชั่วพริบตา หลัวซิวมองเงาลวงวัฏจักรที่พุ่งออกไป หวังว่าการโจมตีครั้งนี้ถึงแม้จะไม่สามารถฆ่าจักรพรรดิยุทธ์ให้ตายในครั้งเดียว ขอเพียงสามารถทำให้บาดเจ็บสาหัสได้ ก็สามารถทำให้เหยียนเยว่เอ๋อร์กลายเป็นผู้ชนะ

“คนที่น่าหวาดกลัว……”

ที่ไกล หลงหมิงที่ลมปราณโรยริน มองภาพนี้ด้วยความตะลึงงัน ถึงแม้จะรู้มานานแล้วว่าหลัวซิวฝึกตนพลังสองระดับความเป็นตายในเวลาเดียวกัน แต่ทุกครั้งที่เห็น ก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง

เพราะตอนนี้เขาเพิ่งแดนฝึกจิต ถ้าหากเขาบรรลุถึงแดนจักรพรรดิยุทธิ์ หรือว่าเหนือกว่าแดนจักรพรรดิยุทธ์ สัมผัสถึงกฎดั้งเดิม อาศัยสองระดับความเป็นความตาย แทบจะสามารถทำลายระดับเดียวกันได้

ในเวลาเดียวกัน ผู้อาวุโสเสวียนหยางมองเปลวไฟดำขาวที่กำลังแผดเผาอยู่บนเงาลวงวัฏจักร ถึงแม้จะเป็นแค่การโจมตีของปรมาจารย์ยุทธ์ฝึกจิตคนหนึ่ง กว่าก็ทำให้ผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ที่ฝึกตนมานับพันปีขนลุกชันได้

สำหรับความไม่รู้และความหวาดกลัวที่มีต่อพลังสองระดับ ทำให้ผู้อาวุโสเสวียนหยางไม่กล้าใช้ร่างกายต้านทานการโจมตี จึงทำได้เพียงคลายการต้านทานตัวสำนึกของโจมตีวิญญาณ ใช้พลังจิตแท้ทและตัวสำนึกทั้งหมด ขับเคลื่อนเทพจิตของตนเอง

ตึ้ง!เทพจิตจินหยางฉายแสงทอประกายมากมาย ลำแสงสีทองแต่ละอันทแยงกัน กลายเป็นกระบี่สีทองหนึ่งเล่ม ฟันออกไปอย่างเหี้ยมโหด

ตึ้ง!

กระบี่สีทองและเงาลวงวัฏจักรปะทะกัน ทำให้เกิดเสียงระเบิดที่น่าตกตะลึง

พลังในการทำลายล้างแผ่ซ่านออกไปบนท้องฟ้า บริเวณโดยรอบบิดเบี้ยว เกิดระรอกคลื่น

ภูเขาที่อยู่ไม่ไกล หลังจากถูกพลังของระรอกคลื่นเคลื่อนผ่าน ภูเขาถล่มลงมา ภูเขาทั้งสองคล้ายถูกบีบให้หัก พังทลายลงมา จนฝุ่นตลบ

จวงหย้าเฟย สิ้งหรันหรันและพวกแม้จะมองการต่อสู้อยู่ที่ไกล ทว่าก็ถูกความน่าหวาดกลัวกวาดผ่าน แต่ละคนกระอักเลือดและปลิวไปไกล หมดสติทันที

ใจกลางการระเบิดที่น่าหวาดกลัวกลายเป็นพื้นที่โล่งสีดำ ช่องว่างถูกทำลายจนแหลกละเอียด ทำลายทุกอย่างที่อยู่รอบๆ

“นี่คือพลานุภาพของการฝึกสองระดับความเป็นความตาย?” เหยียนเยว่เอ๋อร์เองก็ถอยหลังไปไกลกว่าพันเมตรด้วยสีหน้าซีดขาว เห็นภาพช่องว่างถูกระเบิดจนกลายเป็นพื้นที่โล่งสีดำ นัยน์ตาของเธอเปี่ยมไปด้วยความตกตะลึง

“แต่ว่า ไม่ช่แค่สองระดับความเป็นความตาย แต่ยังมีลมปราณของภูตอัคคีกลืนกิน!”

ดวงตาคู่สวยของเหยียนเยว่เอ๋อร์จับจ้อง สำหรับเรื่องภูตอัคคีกลืนกินของอีกฝ่าย ก่อนหน้านี้หลัวซิวเคยบอกกับเธอแล้ว

“สองระดับความเป็นความตาย บวกกับภูตอัคคีกลืนกิน ไม่แปลกที่จะมีพลังทำลายล้างน่ากลัวแบบนี้” เหยียนเยว่เอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะแลบลิ้น

ในเวลานี้เอง เธอเห็นร่างของหลัวซิวปลิวออกไปท่ามกลางพลังทำลายล้างที่เหลืออยู่ เธอรีบเคลื่อนตัว เหาะเหินเข้าไปหาทันที

ทางด้านผู้อาวุโสเสวียนหยางผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ เวลานี้น่าเวทนาอย่างมาก ตัวของเขาไหม้เกรียม เต็มไปด้วเลือด

“คิดไม่ถึงว่าจะมีภูตอัคคี แล้วฉันจะเก็บนายเอาไว้ได้อย่างไร!”

ผู้อาวุโสเสวียนหยางเคลื่อนตัว พยายามข่มบาดแผลในร่างกายเอาไว้ ทะยานไปหาหลัวซิวเช่นเดียวกัน

“ไสหัวไป!”

ในมือของเหยียนเยว่เอ๋อร์ถือเปลวไฟหอกรบ ลำแสงหอกฉายออกไป กลายเป็นหงส์เพลิง ปีกทั้งสองกระพือ ทะลไฟแผ่ซ่าน

ฝ่ามือทั้งสองข้างของผู้อาวุโสเสวียนหยางปรบเข้าด้วยกัน ทำลายหงส์เพลิง แต่เพราะบาดเจ็บติดต่อกัน ผลการฝึกตนเผาผลาญไปมาก ถูกหอกของเหยียนเยว่เอ๋อร์โจมตี ถอยหลังไปไกลกว่าสิบเมตร

เท้าของเหยียนเยว่เอ๋อร์ก้าวเข้าไปในลำเปลวไฟ คว้าตัวหลัวซิวเอาไว้ พบว่าเขาเองก็บาดเจ็บสาหัส เพราะถึงอย่างไรการระเบิดที่น่าหวาดกลัวเมื่อครู่ เขาอยู่ใกล้ ได้รับแรงกระเทือน เวลานี้หมดสติ
“หนุ่มน้อย นายทำให้คนต้องเป็นห่วงจริงๆ”

ริมฝีปากสวยโล่งอก เมื่อครู่ตอนที่หลัวซิวใช้เงาลวงวัฏจักรสร้างเปลวไฟดำขาว พลานุภาพบรรลุถึงระดับผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์

ในตอนหลังผู้อาวุโสเสวียนหยางใช้เทพจิตขับเคลื่อนกระบี่สีทอง ใช้พลังทั้งหมดที่มีเหมือนกัน ภายใต้การปะทะของระดับจักรพรรดิยุทธ์ ผลพวงของแรงระเบิดที่น่าหวาดกลัว ทำให้นักยุทธ์ที่อยู่ในระดับราชายุทธ์ช่วงปลายลงไปตายได้ทันที แต่หลัวซิวกลับแค่บาดเจ็บสาหัสและหมดสติ ไม่ได้เป็นอะไรมาก

“แต่ว่าหนุ่มน้อย นายเก่งมากจริง” เหยียนเยว่เอ๋อร์ยิ้ม จากนั้นดวงตาคู่สวยฉายความเยือกเย็น มองไปทางผู้อาวุโสเสวียนหยาง

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง มุมปากของเหยียนเยว่เอ๋อร์มีเลือดซิบ ยกมือขึ้นสะบัดลูกไฟออกไป เผาไหม้ร่างของผู้อาวุโสเสวียนหยางให้กลายเป็นผุยผง

เริ่มจากโจมตีวิญญาณของตนเอง หลังจากนั้นก็ถูกสองระดับความเป็นความตายและถูกภูตอัคคีกลืนกินของหลัวซิวทำร้าย ผู้อาวุโสเสวียนหยางก็ใกล้ตายแล้ว

แต่แม้จะเป็นแบบนี้ เหยียนเยว่เอ่อร์ฆ่าเขา ก็ต้องทุ่มเทบางส่วนเหมือนกัน

ตัวสำนึกแผ่ซ่าน เธอเจอตัวจวงหย้าเฟยและพวกที่หมดสติ แววตาของเธอฉายเจตนาสังหาร

ด้านที่เป็นผู้หญิงอ่อนโยนและเมตตาของเธอนั้น แสดงให้กับหลัวซิวเท่านั้น สำหรับคนอื่น ไม่มีวันได้รับการปฏิบัติแบบนี้

ถ้าหากเรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่แพร่งพรายออกไป จะนำพาปัญหาไม่น้อยมาให้เธอกับหลัวซิว ทางที่ดีที่สุดคือฆ่าปิดปาก

ขณะที่เหยียนเยว่เอ๋อร์กำลังจะลงมือฆ่า หลัวซิวที่ถูกเธออุ้มเอาไว้กลับสะลึมสะลือตื่นขึ้นมา พูดอย่างอ่อนแรง:”คนพวกนี้ ไม่สมควรตาย……”

เหยียนเยว่เอ๋อร์ชะงักเล็กน้อย เจตนาสังหารในร่างกายหายไปทันที เธอยิ้มบางๆ “นายมัน……”

เพียงแต่ยังไม่รอให้เธอได้พูดอะไร ศีรษะของหลัวซิวเอียงลง หมดสติอีกครั้ง

“นายมันใจอ่อนจริงๆ”

เหยียนเยว่เอ๋อร์หลุดยิ้ม พูดประโยคที่ยังพูดไม่จบจนจบ ดวงตาคู่สวยกวาดมองไปยังจวงหย้าเฟยและสิ้งหรันหรันรวมถึงคนอื่นๆ ถอนหายใจเบาๆ พูด:”ถือว่าพวกนายโชคดี ในเมื่อหนุ่มน้อยของฉันขอร้องแทนพวกนายแล้ว ถ้าอย่างนั้นไว้ชีวิตพวกนายก็แล้วกัน”



เมื่อห้าหมื่นปีก่อน สายตาของคนสำนักไท่เสวียนที่มองดูเขา แทบจะเหมือนกับไอ้แก่คนนี้

คิดถึงความอับอายที่ต้องถูกขังเอาไว้ห้าหมื่นปี หลงหมิงรู้สึกว่าจักรวาลน้อยในร่างกายของตนใกล้จะระเบิดแล้ว

“โฮ่ก!”

มันเงยหน้าขึ้นแล้วร้องคำรามแผดเสียงมังกรออกมา ร่างมังกรสีเงินยาวสิบกว่าฟุตปรากฏตัว เขามังกรที่งดงามราวกับหยกหนึ่งคู่

“ไอ้แก่ไปตายซะ!”

หลงหมิงอ้าปากแล้วพ่นเปลวสีเงินออกมา ลมปราณแผดเผาที่น่าหวาดกลัวผนึกรวมอยู่ในเปลวไฟ ความเร็วดั่งฟ้าผ่า พุ่งไปทางผู้อาวุโสเสวียนหยาง

ภายในร่างกายของเผ่ามังกรโบราณจะผนึกรวมไฟมังกรเอาไว้ วิธีการพ่นไฟมังกรออกมา ถือเป็นพรสวรรค์พลังอมตะของเผ่ามังกรโบราณ

มังกรไร้ร่างควบคุมพลังแห่งโซนโดยกำเนิด ผนึกนวมเปลวไฟแห่งไฟมังกรและเคล้าไปด้วย Attrช่องว่าง เห็นเพียงที่ที่มีไฟมังกรสีเงิน ช่องว่างถูกแผดเผาจนหลอมละลายและถล่มลงมา มีพลานุภาพที่น่าหวาดกลัวอย่างมาก

โดยทั่วไปเผ่ามังกรไม่ใช้พลังอมตะในการพ่นไฟง่ายๆ เพราะหลังจากพ่นไฟมังกรออกมา ตัวมังกรจะตกอยู่ในสถานะอ่อนแอเป็นเวลานาน

ถึงแม้ผลข้างเคียงจะมาก แต่พลังอมตะในการพ่นไฟมังกรนั้น กลับเป็นพลานุภาพที่ทำให้คนตกตะลึงและหวาดกลัว ถูกขนานนามว่าเป็นวิธีที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่ามังกรโบราณ

ถึงแม้พลังของหลงหมิงในตอนนี้จะแค่ระดับ4 พลานุภาพของไฟมังกร กลับเพียงพอที่จะสังหารราชายุทธ์ทั่วไปในเสี้ยววินาที พรสวรรค์พิเศษของเผ่ามังกร เพียงพอที่จะทำให้เผ่าอื่นๆอิจฉา

“ความสามารถของนายอ่อนแอเกินไป ต่อให้พ่นไฟมังกรออกมาก็ไม่สามารถทำอะไรฉันได้”

เผชิญหน้ากับไฟมังกรสีเงินที่น่าตกตะลึง ผู้อาวุโสเสวียนหยางยิ้มบางๆ มือทั้งสองจับพลังตราประทับเอาไว้ ช่องว่างรอบตัวสั่นเทา ลำแสงสีทองนับร้อยเคลื่อนผ่านกัน กลายเป็นโล่ทอง ป้องไฟมังกรสีเงินเอาไว้

“ตึ้ง!”

พลังจิตแท้ธาตุท้องบนโล่ทองถูกแผดเผาไม่หยุด แต่ว่าพลังจิตแท้ของผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์นั้นบริสุทธิ์อย่างมาก ทำให้พลังไฟมังกรสีเงินแผดเผาจนหมด ก็ไม่สามารถทะลุผ่านโล่ได้ ไม่สามารถทำร้ายผู้อาวุโศเสวียนหยางได้

“โฮ่ก……ฉันทำเต็มที่แล้วจริงๆ……”

หลังจากพ่นไฟมังกรออกมา ลมปราณของหลงหมิงลดน้อยลงอย่างรวดเร็ว ถึงแม้เผ่ามังกรไร้ร่างจะมีวิธีการเก่งกาจมากมาย แต่เพราะขีดจำกัดความสามารถของร่างกายที่อ่อนแอจนเกินไป ทำให้ไม่สามารถใช้ได้

ศักยภาพของพลังแห่งโซนนั้นมากมาย แต่ในช่วงแรก กลับยากที่จะมีพลานุภาพ ถ้าหากความสามารถยิ่งแข็งแกร่ง พลังแห่งโซนจึงจะสามารถแสดงพลานุภาพที่แท้จริงออกมาได้

ถึงแม้ว่าการจู่โจมของหลัวซิวและหลงหมิงจะไม่ได้ทำให้ผู้อาวุโสเสวียนหยางได้รับบาดเจ็บ แต่ก็ทำให้การเคลื่อนไหวของผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์คนนั้นได้รับการกระทบกระเทือน

ความสามารถของเหยียนเยว่เอ๋อร์กับเขาห่างกันแค่เล็กน้อยเท่านั้น ย่อมสามารถฉวยโอกาสจอมตีกลับได้ มือหยกของเธอจับเอาไว้แน่น เปลวไฟหอกรบผนึกรวม เสียงฉึกดังขึ้น แทงเข้าไปที่หัวไหล่ของผู้อาวุโสเสวียนหยาง

ผู้อาวุโสเสวียนหยางไม่ใช่จักรพรรดิยุทธ์กลั่นร่าง ถึงแม้พลังจิตแท้ปกป้องร่างกายจะแข็งแกร่งอย่างมาก แต่ก็ไม่สามารถป้องกันการโจมตีสุดกำลังจากเหยียนเยว่เอ๋อร์ซึ่งเป็นผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์เหมือนกัน

“ฝ่ามือเผาจิตจินหยาง!”

อดกลั้นกับความเจ็บปวด สีหน้าของผู้อาวุโสเสวียนหยางฉายความเหี้ยมโหด ยกฝ่ามือขึ้นแล้วผลักออกมา ตรงกลางฝ่ามือมีดวงอาทิตย์สีทองขนาดเล็กผนึกรวมเอาไว้

เหยียนเยว่เอ๋อร์เองก็ผลักฝ่ามือออกมาเหมือนกัน พลังร้อนแรงผ่านฝ่ามือเข้าสู่ร่างกาย ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะร้องคราง ถอยหลัง มุมปากมีเลือดซิบ

ฝ่ามือเผาจิตจินหยางทักษะยุทธ์ระดับ9 ความลับของสำนักเสวียนหยางที่ไม่แพร่งพรายออกไป หลังจากพลังจินหยางเข้าสู่ร่างกาย จะทำลายเส้นลมปราณไม่หยุด กระทั่งทำลายเส้นปราณหัวใจของคู่ต่อสู้ ทำให้อีกฝ่ายตาย

พลังจิตแท้เคลื่อนอยู่ในร่างกายด้วยความเร่าร้อน พยายามกลั่นแปรพลังจินหยางไม่หยุด แววตาของเหยียนเยว่เอ๋อร์ฉายความเหี้ยมโหด “แหลกวิญญาณ!”

ตัวสำนึกของจักรพรรดิยุทธ์ระเบิดออกมาทั้งหมด คล้ายเปลวไฟร้อนแรงไม่สิ้นสุดเข้าสู่ผู้อาวุโสเสวียนหยาง กลายเป็นพายุแห่งไฟ ทำลายตัวหยั่งรู้ทุกอย่างของอีกฝ่าย

“โจมตีวิญญาณ?”

สีหน้าของผู้อาวุโสเสวียนหยางตกใจจนถอดสี คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะมีวิชาอาถรรพณ์แบบนี้

《พลังก่อรวมวิญญาณ》วรยุทธ์กลั่นวิญญาณระดับ8นี้ไม่ใช่ของตระกูลเหยียน แต่เหยียนเยว่เอ๋อร์อาศัยโอกาสดีของตนในการได้มา นอกจากเธอแล้ว มีแค่หลัวซิวเท่านั้นที่เคยฝึกวรยุทธ์นี้

เหยียนเยว่เอ๋อร์เคลื่อนพลังจิตแท้ในการข่มพลังจินหยางเอาไว้ ผู้อาวุโสเสวียนหยางเองก็ใช้พลังแหงตัวสำนึกในการผนึกรวมเหมือนกัน ป้องกันการโจมตีของเคล็ดวิชาแหลกวิญญาณวิญญาณ

การต่อสู้ระหว่างทั้งสอง เข้าสู่ภาวะหยุดชะงัก

ตึ้ง!

พลังที่รุนแรงระเบิดออกมาจากที่ไม่ไกลกะทันหัน ราวกับก้อนหินโยนลงไปในทะเลสาบที่นิ่งสงบ ทำให้เกิดคลื่นมากมาย

สีหน้าของผู้อาวุโสเสวียนหยางแปรเปลี่ยนเล็กน้อย ตอนนี้เขาใช้พลังทั้งหมดในการต้านทานโจมตีวิญญาณ ไม่สามารถแบ่งแยกสมาธิได้ ถ้าในเวลานี้ถูกโจมตี ต้องบาดเจ็บแน่นอน

แต่ว่าครุ่นคิด ตนเป็นถึงผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ พลังจิตแท้ป้องกันตัวแม้จะเป็นราชายุทธ์ที่เก่งกาจก็ยากที่จะทำลายได้ หลังจากมังกรไร้ร่างพ่นไฟออกมาก็ร่างกายอ่อนแอ สำหรับหลัวซิว ไม่สามารถทำลายพลังจิตแท้ป้องกันตัวของตนได้แน่นอน

เมื่อคิดได้แบบนี้ ผู้อาวุโสเสวียนหยางก็วางใจ สีหน้าฉายรอยยิ้มเยือกเย็น ขอเพียงเขาหลอมละลายโจมตีวิญญาณได้ ก็สามารถสังหารจักรพรรดิยุทธ์เทียนเฟิ่ง สำหรับพลังของฝ่ามือเผาจิตจินหยางในร่างกายของเธอ ไม่สามารถหลอมละลายได้ง่ายดาย

“ผู้อาวุโสเสวียนหยาง ฉันจะส่งแกไปตายเอง”

เสื้อคลุมสีดำ หลัวซิวที่รอบตัวปกคลุมด้วยเปลวไฟดำทะยานตัวขึ้นมา มือทั้งสองทำกากบาทอยู่ตรงหน้า กลายเป็นเศษเงาแล้วเปิดพลังตราประทับที่ซับซ้อน

เปลวไฟสีดำบนตัวของเขาก็เกิดการเปลี่ยนแปลงไปด้วย ถึงขั้นที่ว่าลมปราณทั้งตัวของเขา เกิดการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน

มือซ้ายเปลวไฟดำ มือขวาเปลวไฟขาว ตัวของเขามีเปลวไฟดำขาวทั้งสองอย่างที่เป็นตัวแทนของเปลวไฟแตกต่างกัน เห็นเพียงเปลวไฟดำและเปลวไฟขาวประสานรวมเป็นหนึ่งในระหว่างนิ้วมือของเขาอย่างรวดเร็ว

สีหน้าที่เดิมทีเปี่ยมไปด้วยความเย้ยหยันของผู้อาวุโสเสวียนหยางหายไป แทนที่ด้วยสีหน้าหวาดกลัว

“หรือ……หรือว่านี่จะเป็น……สองระดับความเป็นตาย?”

ผู้อาวุโสเสวียนหยางตกตะลึงตาค้างในทันที ตามด้วยอดไม่ได้ที่จะร้องอุทานด้วยความตกใจ “เป็นไปไม่ได้ แกมีพลังฝึกตนและสองระดับความเป็นตายในเวลาเดียวกันได้อย่างไร?”

ตรงข้ามกับผู้อาวุโสเสวียนหยาง เหยียนเยว่เอ๋อร์ก็มองการกระทำของหลัวซิวด้วยสีหน้าตกตะลึง ตัวของเขามีเปลวไฟสีดำที่เป็นตัวแทนของความตายแผดเผา ทั้งยังมีเปลวไฟสีขาวซึ่งเป็นพลังแห่งชีวิตที่ไม่สิ้นสุด

นักยุทธ์ทั่วไปอาจจะไม่เข้าใจว่านี่หมยาความว่าอะไร แต่เมื่อบรรลุถึงแดนเดียวกับผู้อาวุโสเสวียนหยางและเหยียนเยว่เอ๋อร์แล้ว ก็จะเข้าใจว่าการครอบครองพลังทั้งสองอย่างนี้ในเวลาเดียวกัน เป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้

สองระดับก็คือ หมายถึงสองชนิด ก็เหมือนกับหยินและหยาง คือพลังสองอย่างที่พบเจอบ่อยที่สุด ซึ่งก็คือสองระดับหยินหยาง

ขั้นสูงกว่าสองระดับหยินหยาง คือสองระดับความเป็นและความตาย ซึ่งก็คือสองระดับความเป็นตาย

Attrพลังจิตแท้ของการฝึกตนของจอมยุทธ์ กำหนดความสูงต่ำของพลังจิตแท้

เช่นเวลา ช่องว่าง ความเป็น ความตาย ทำลาย ฆ่าฟัน ล้วนเป็นพลัง Attrชั้นสูง เทียบกับนักยุทธ์ทั่วไปAttrดินน้ำลมไฟโลหะไม้ในแดนฝึกตนแล้ว แข็งแกร่งกว่ามาก

ในAttrทั้งหมด ยกตัวอย่างเห็นหยินหยาง น้ำไฟ เป็นตาย การสร้างและทำลาย ล้วนเป็นพลังสองระดับ เป็นสองอย่างที่ปรปักษ์กัน ไม่สามารถมีพลังAttrเดียวกันได้

ที่ไกล จวงหย้าเฟยและสิ้งหรันหรันพร้อมพวกมองจนตกตะลึง หัวใจสั่นเทา เพราะซ่งช่าวหยวนและพวกล้วนเป็นปรมาจารย์ยุทธ์ฝึกจิตขั้น7ขึ้นไป แต่ว่าเผชิญหน้ากับหลัวซิว พวกเขากลับอ่อนแออย่างมาก ไม่สามารถรับมือได้แม้แต่น้อย

หลังจากผ่านไประยะเวลาสั้นๆแค่สิบกว่าลมหายใจ พื้นที่นับร้อยเมตรที่ปกคลุมด้วยภูตอัคคีกลืนกิน กลายเป็นตายสนิท รวมถึงซ่งช่าวหยวนและเจ็ดปรมาจารย์ยุทธ์ฝึกจิต แม้แต่ซากกระดูกก็ไม่เหลือ กลายเป็นเถ้าถ่านทั้งหมด

สีหน้าของหลัวซิวไม่แปรเปลี่ยนแม้แต่น้อย เก็บภูตอัคคีกลืนกินที่กำลังพลุ่งพล่านเข้าไปในร่างกาย สายตาจ้องมองไปทางจวงหย้าเฟย

สัมผัสได้ถึงการมองมาของหลัวซิว จวงหย้าเฟยและพวกต่างสั่นเทา ตื่นกลัวอย่างมาก

“ทุกคนไม่ต้องตื่นกลัว ขอเพียงแค่พวกนายอยู่ที่นี่ไม่ไปใน ฉันรับประกันความปลอดภัยของพวกนาย” หลัวซิวพูดด้วยรอยยิ้ม

ไม่ฆ่าจวงหย้าเฟยและพวก เป็นเพราะพวกเขาคือคนที่มาด้วยกัน แต่ว่าเขาก็ไม่ปล่อยคนพวกนี้ออกไปตอนนี้ ไม่อย่างนั้นถ้าเรื่องที่เกิดขึ้นทางนี้แพร่งพรายออกไป ต้องมีปัญหามากมายตามมา

แน่นอน ถ้าหากคนพวกนี้ไม่เชื่อฟังคำพูดของเขาแล้วคิดจะหนีไปละก็ หลัวซิวก็ไม่ลังเลที่จะฆ่าพวกเขา

“คุณชายหลัวโปรดวางใจ!”

จวงหย้าเฟยเข้าใจที่หลัวซิวต้องการจะสื่อ มองสิ้งหรันหรันและคนรอบตัว น้ำเสียงเคล้าไปด้วยความเหี้ยมโหด พูดเสียงเข้ม:”ทุกคนอยู่ที่นี่ ห้ามไปไหน ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าแซ่จวงไม่เห็นแก่มิตรภาพ”

ท่าทีของจวงหย้าเฟย ทำให้หลัวซิวพยักหน้าด้วยความพอใจ พูด:”ทางด้านนี้ฝากศิษย์พี่จวงด้วย รอให้จัดการไอ้แก่สำนักเสวียนหยางเสร็จก่อน ฉันจะตอบแทนทุกคนอย่างงาม”

ขณะพูด หลัวซิวผายมือ โยนแหวนเก็บของของซ่งช่าวหยวนและพวกที่เขาเพิ่งสังหารเมื่อครู่ไปให้พวกจวงหย้าเฟย

พวกซ่งช่าวหยวนล้วนเป็นศิษย์สำนักเสวียนหยาง ฐานะย่อมมากกว่าปรมาจารย์ยุทธ์ฝึกจิตทั่วไปมาก ยา หินพลังจิตและทรัพยากรในแหวนเก็บของของทั้งเจ็ดคน สำหรับจวงหย้าเฟยและพวกแล้ว ถือเป็นความมั่งคั่งที่ไม่สามารถจินตนาการได้

“ขอบคุณคุณชายหลัว!”

จวงหย้าเฟยประสานมือคารวะกล่าวขอบคุณหลัวซิว เขารู้ดีว่าความเป็นความตายของตนและพวกขึ้นอยู่กับความคิดของหลัวซิว การที่มีชีวิตอยู่ก็ถือว่าดีมากแล้ว ถ้าหากได้รับของดีเล็กน้อย ก็ยิ่งเป็นเรื่องดีที่เหนือความคาดหมาย

มองการต่อสู้ดุเดือดของผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ทั้งสองคน สายตาของหลัวซิวเคร่งขรึม

“หลิงหมิง นายว่าพวกเขาใครเก่งกว่ากัน” เขาพูดขึ้นกะทันหัน

มังกรไร้ร่างโบราณที่มีชีวิตอยู่รอด ซ่อนตัวอยู่ข้างกายเขามาโดยตลอด ด้วยความสามารถของมันที่เคยบรรลุถึงจักรพรรดิยุทธ์ สายตาย่อมเฉียบแหลม

“คาดว่าผู้หญิงของนายคงไม่สามารถเอาชนะไอ้แก่นั่นได้” หลงหมิงพูด “บาดแผลเทพจิตของเธอเพิ่งฟื้นตัวกลับมาไม่นาน อีกทั้งระยะในการฝึกตนก็ไม่นานมากพอ เป็นราชายุทธ์ขั้น2เหมือนกัน แต่พลังจิตแท้ไม่มากเท่าไอ้แก่นั่น”

สำหรับข้อนี้ หลัวซิวก็เห็นด้วย เพราะถึงอย่างไรเหยียนเยว่เอ๋อร์เพิ่งฝึกตนสามร้อยกว่าปีเท่านั้น แต่ผู้อาวุโสเสวียนหยางคนนั้นฝึกตนมานานพันกว่าปีแล้ว การตกตะกอนของเวลาที่ยาวนาน ทำให้การผนึกรวมพลังจิตแท้ของเขาแข็งแกร่งอย่างมาก

หลงหมิงมองหลัวซิวครู่หนึ่ง “นายคงไม่คิดอยากจะเข้าไปช่วยใช่ไหม? ถ้าหากเป็นการต่อสู้ของราชายุทธ์พวกเราสองคนอาจจะช่วยได้ แต่ว่าการต่อสู้ระดับจักรพรรดิยุทธ์ แค่ลำแสงก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราต้านทานได้”

“ไม่ช่วย หรือว่านายจะปล่อยให้เยว่เอ๋อร์แพ้ไอ้แก่นั่นเหรอ?” หลัวซิวขมวดคิ้วเป็นปม

“ให้ตายสิ เอาชนะไม่ได้อย่างน้อยก็สามารถหนีได้ ถ้านายดึงดันจะเข้าไปช่วย ต้องตายแน่นอน” หลงหมิงมองหลัวซิวด้วยสายตาเดียวกับที่มองคนสติปัญญาไม่ดี

เขาไม่สนใจความเป็นความตายของเผ่ามนุษย์ สิ่งที่เขาสนใจคือถ้าหากเจ้าหมอนี่ตาย วิชาสยบวิญญาณที่เจ้าหมอนี่ปลุกเอาไว้ให้ตนก็จะระเบิด ทำให้ตนเดือดร้อนไปด้วย

“พวกเราเดินทางมาไกลจนมาถึงเมืองไห่หยุนก็เพื่อร่องถ้ำ ถ้าหากให้ฉันยอมหลีกทางให้คนอื่นแบบนี้ ฉันทำไม่ได้”

หลัวซิวหัวเราะในลำคอ “นายเองก็ร่วมมือกับฉันแล้วลงมือพร้อมกัน”

“นายบ้าไปแล้วรึเปล่า? ฉันบอกแล้วว่าการต่อสู้ระหว่างผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราจะสามารถเข้าไปยุ่งได้ นายอยากบ้าก็เรื่องของนาย ทำไมต้องเอาฉันเข้าไปยุ่งด้วย?” หลงหมิงคำราม

“นายไม่ช่วยก็ไม่เป็นไร ถ้าหากฉันตาย วิชาสยบวิญญาณของตัวหยั่งรู้ของนายระเบิด ต่อให้นายไม่ตายก็พิการ ถ้าหากฉันไม่ตาย ถึงเวลานั้นฉันใช้วิชาสยบวิญญาณควบคุมนายเอาไว้ ถลกหนังมังกรของนายออกมา!” หลัวซิวพูดข่มขู่ด้วยความเหี้ยมโหด

“ให้ตายสิ ทำไมมังกรยิ่งใหญ่อย่างฉันถึงซวยตกมาอยู่ในมือของเด็กอย่างนายได้?” หลังหมิงโมโหอย่างมาก รู้สึกอยากจะร้องไห้โดยไม่มีน้ำตา

ไม่พูดถึงเรื่องที่ถูกขังอยู่ในวังใต้แดนนานาอสูรมานานกว่าห้าหมื่นปี เป็นเรื่องยากที่รอดออกมาได้ โชคดีอย่างมาก ก่อนที่อายุขัยใกล้จะหมดใช้วิชาทวนนภาพรากชีวีได้มีชีวิตใหม่อีกครั้ง ทว่าตอนที่ตนอ่อนแอที่สุด กลับตกอยู่ในกำมือของหลัวซิว

รัชทายาทเผ่ามังกรไร้ร่างในยุคสมัยโบราณ ตกระกําลําบากกลายเป็นผู้ติดตามแบบนี้……

“ไม่ต้องพูดมาก รีบลงมือ!”

หลัวซิวไม่รอช้าแม้แต่น้อย พูดเสียงทุ้มต่ำ ภูตอัคคีกลืนกินพลุ่งพล่านออกมาจากร่างกาย แผดเผาบริเวณโดยรอบจนบิดเบี้ยว

ร่างกายของเขาแปลงเป็นเปลวไฟ พุ่งตัวเข้าไปในการต่อสู้ระหว่างผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ทั้งสองคน พุ่งตัวไปทางผู้อาวุโสเสวียนหยาง

“ให้ตายสิ ไอ้เด็กบ้านี่ มังกรอย่างฉันยอมแพ้นายจริงๆ!”

หลงหมิงถูกบีบจนหมดทางเลือก ทำได้เพียงลงมือตามเขา ความเร็วของเขามากกว่าหลัวซิว เคลื่อนตัวในพื้นที่เล็กๆ ก็เข้าไปในการต่อสู้ของจักรพรรดิยุทธิ์ กรงเล็บมังกรยกสะบัด ใบมีดนับสิบพุ่งออกมา ปกคลุมผู้อาวุโสเสวียนหยางเอาไว้

ภูตอัคคีกลืนกินพุ่งตัวไปตามร่องรอยที่มีการเผาไหม้สีดำ หลัวซิวคว้ากระบี่ฟันเสือเสวียนออกมา แล้วฟันอย่างเหี้ยมโหด

ถูกโจมตีกะทันหัน ทำให้สีหน้าของผู้อาวุโสเสวียนหยางแปรเปลี่ยนเล็กน้อย แต่ว่าตอนที่เขาเห็นว่าคนที่ลงมือคือหลัวซิว ใบหน้าของเขาฉายรอยยิ้มเยือกเย็นที่เคล้าไปด้วยความดูถูก

เขายกมือขึ้นแล้วดันฝ่ามือออกมา พลังจิตแท้สีทองพันฝ่ามือ ทำเอาหลัวซิวและกระบี่ของเขาปลิวออกไป

ในเวลาเดียวกัน พลังจิตแท้ปกป้องร่างกายมีคลื่นส่งออกมา ทำให้ดวงตาของผู้อาวุโสเสวียนหยางหดเล็ก “พลังแห่งโซน?”

ตัวสำนึกของเขากวาดมองไป พบหลงหมิงที่ประสานรวมเป็นหนึ่งกับบริเวณโดยรอบอย่างรวดเร็ว แววตาทั้งตกใจและทั้งดีใจ

“คิดไม่ถึงว่าจะมีมังกรไร้ร่างโบราณในตำนาน!”

ผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ที่เก่งกาจอย่างผู้อาวุโสเสวียนหยาง รู้ความลับของสมัยโบราณเล็กน้อย เคยเห็นบันทึกมังกรไร้ร่างในตำราโบราณมาก่อน

มังกรไร้ร่าง คือเผ่ามังกรโบราณที่แบ่งออกมา ควบคุมพลังแห่งโซนโดยกำเนิด สามารถประสานรวมเป็นหนึ่งกับอากาศ ลึกลับซับซ้อน ทำให้คนไม่สามารถป้องกันได้

สิ่งที่ทำให้ผู้อาวุโสเสวียนหยางตกตะลึงก็คือ มังกรไร้ร่างที่สูญพันธุ์ไปแล้วในสมัยโบราณกลับยังมีอยู่ อีกทั้งสิ่งที่ทำให้เขาแปลกใจก็คือ มังกรไร้ร่างตัวนี้แค่ขั้น4เท่านั้น ถ้าสามารถจับตัวมังกรไร้ร่างไปแล้วปลูกวิชาสยบวิญญาณและเลี้ยงเอาไว้ ต้องกลายเป็นตัวช่วยสำคัญของตนได้แน่นอน!

“ให้ตายสิ ไอ้แก่มองอะไร? ไม่เคยเห็นมังกรหล่อๆอย่างฉันหรือไง?” หลงหมิงพูดตำหนิ

เพราะแววตาของไอ้แก่นี่ทำให้เขาไม่สบอารมณ์อย่างมาก ในสมัยโบราณ เพราะพรสวรรค์พิเศษของเผ่ามังกรไร้ร่าง คือเป้าหมายที่ผู้แข็งแกร่งมากมายชื่นชอบในการล่า ในอดีตเขาถูกคนของสำนักไท่เสวียนขังเอาไว้ในวังใต้ ความเป็นจริงก็เพื่อให้เขายอมจำนน แต่เขากลับยอมตายทว่าไม่ยอมจำนน



“พรึ่บ!”

เปลวไฟพลุ่งพล่านแผดเผาอยู่รอบตัวของเธอ ทำให้บริเวณโดยรอบแผดเผาจนบิดเบี้ยวไปหมด ชั่วขณะหนึ่ง ก็แผดเผากรงทองที่จะครอบหลัวซิว ไหม้เกรียม

ตามด้วย เหยียนเยว่เอ๋อร์เคลื่อนตัว กลายเป็นลำแสงเปลวไฟ มือดั่งหยกของเธอกำหมัด เคล้าไปด้วยความเหี้ยมโหด พุ่งตรงไปยังศีรษะของผู้อาวุโสเสวียนหยาง

“จักรพรรดิยุทธ์?”

การเปลี่ยนแปลงกะทันหันทำให้ทุกคนตกตะลึง ผู้หญิงคนนี้สามารถทำลายการโจมตีของผู้อาวุโสเสวียนหยางได้ เห็นชัดว่าเป็นระดับเดียวกัน

สัมผัสได้ถึงการโจมตีที่เหี้ยมโหดของเหยียนเยว่เอ๋อร์ ผู้อาวุโสเสวียนหยางพุ่งฝ่ามือออกไปเหมือนกัน ตามด้วยเสียงดังก้อง ปะทะเข้ากับหมัดของเหยียนเยว่เอ๋อร์ พลังจิตเปลวไฟและลำแสงสีทองทั้งสองต่อสู้กัน ระเบิดพลังจิตแท้ออกมา

หลัวซิวอยู่ใกล้ที่สุด เขาปลิวออกไปเพราะพลานุภาพที่ระเบิดออกมาของจักรพรรดิยุทธ์ทั้งสอง

ร่างกายของเขาหมุนและถอยหลัง ถูกโจมตีบนอากาศไม่หยุด พลังรอบตัวระเบิดออกมาทั้งหมด หยุดยืนด้วยความมั่นคงได้ในรัศมีห่างออกไปสิบเมตร

คนอื่นๆไม่มีความสามารถระดับเขา แต่ละคนปลิวไปไกลราวกับเกี๊ยวซ่า ร่างกายตกลงมาจากบนอากาศ มุมปากกระอักเลือด ภายในร่างกายได้รับการกระทบกระเทือน

สีหน้าของผู้อาวุโสเสวียนหยางเคร่งขรึม สายตาของเขาจับจ้องไปยังเหยียนเยว่เอ๋อร์ที่อยู่ตรงหน้า พูดหัวเราะด้วยความเยือกเย็น:”ที่แท้ก็คือจักรพรรดิยุทธ์เทียนเฟิ่งหนึ่งในสิบจักรพรรดิยุทธ์ของประเทศเทียนหวู ดูเหมือนว่าบาดแผลเทพจิตของเธอจะฟื้นฟูกลับมาแล้ว”

หลังจากนั้นก็มองไปยังหลัวซิวที่อยู่ไกลออกไปในรัศมีสิบเมตรซึ่งรอบตัวปกคลุมด้วยเปลวไฟดำ “ไอ้เด็กฝึกจิตขั้น9คนนี้ น่าจะเป็นหลัวซิว ถ้าอย่างนั้นศิษย์ของฉันเผยชิ่งเฟยนายเป็นคนสังหาร? อีกทั้งนายก็เป็นคนทำลายตระกูลเผย?”

“ใช่แล้วยังไง?” หลัวซิวพูดด้วยสีหน้าเยือกเย็น

“ถ้าอย่างนั้นแกก็ไปตายซะ!” ผู้อาวุโสเสวียนหยางพูดเสียงเหี้ยม พระอาทิตย์สีทองปรากฏขึ้นตรงท้ายทอยของเขา แผ่ซ่านลำแสงสีทองออกมา คมราวกับดาบและกระบี่ เผยเสียงโลหะ

ผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ผนึกรวมเทพจิต สิ่งที่ปรากฏขึ้นตรงท้ายทอยของผู้อาวุโสเสวียนหยาง คือวรยุทธ์ผนึกเทพจิตจินหยาง

สำนักเสวียนหยางสืบทอดวรยุทธ์ระดับ9 ชื่อว่า《วิชาหยางเสวียนโลหะ》 ฝึกตนวรยุทธ์นี้พลังจิตแท้ธาตุโลหะ จะมีธาตุของพระอาทิตย์

แปลงกายเป็นเทพจิต คือลางบอกว่าผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์จะสู้สุดกำลัง

“วี๊ด!”

เสียงหวีดร้องดังก้อง อยู่เหนือศีรษะของเหยียนเยว่เอ๋อร์ ร่างเสมือนของหงส์เพลิงขนาดยาสิบกว่าเมตรปรากฏตัวขึ้น ตนที่แปลงกายเป็นเทพจิตหงส์เพลิง

ตึ้ง!

ชั่วขณะหนึ่ง ผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ทั้งสองสู้กันอย่างดุเดือด ต่างมีทักษะยุทธ์ระดับสูง โจมตีกันไม่หยุด เทพจิตหงส์เพลิงและจินหยางทั้งสองต่างปล่อยพลังออกมาอย่างเต็มที่ ต่อสู้กัน ตาต่อตาฟันต่อฟัน

การต่อสู้ระดับนี้ ด้วยความสามารถของหลัวซิวในตอนนี้ยากที่จะยื่นมือเข้าไปยุ่ง ด้วยเหตุนี้เขาจึงจับจ้องสายตาไปยังคนอื่นๆของสำนักเสวียนหยาง

นอกจากผู้อาวุโสเสวียนหนางที่เป็นผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์แล้ว เจ็ดคนที่เหลือของสำนักเสวียนหยาง ล้วนเป็นแดนฝึกจิต

เพื่อป้องกันไม่ให้คนของสำนักเสวียนหยางใช้วิธีต่างๆเอาเรื่องที่เกิดขึ้นทางนี้ไปบอกผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆของสำนักเสวียนหยาง หลัวซิวหยิบธงขลังสรรพสิ่งออกมาจากแหวนเก็บของทันที แล้วรีบสร้างค่ายกลเอาไว้โดยรอบ

ในรัศมีหนึ่งร้อยเมตร จวงหย้าเฟยและซ่งช่าวหยวนพร้อมพวกล้วนมองสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าด้วยความตกตะลึง

จวงหย้าเฟยคิดไม่ถึงว่าในทีมของตนคนที่มาพร้อมกับหลัวซิว จะเป็นจักรพรรดิยุทธ์ อีกทั้งยังเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวในสิบจักรพรรดิยุทธ์ จักรพรรดิยุทธ์เทียนเฟิ่ง!

จักรพรรดิยุทธ์เทียนเฟิ่งมีความสง่างามที่ไม่อาจเทียบได้ ฝึกตนแค่สามร้อยกว่าปีก็ติดหนึ่งในสิบจักรพรรดิยุทธ์ ถือเป็นตัวอย่างของนักยุทธ์หนุ่มสาวทุกคน

มองซ่งช่าวหยวนซึ่งกำลังตกตะลึงที่อยู่ไม่ไกล จวงหย้าเฟยอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยือกเย็น แต่ภายในใจก็รู้สึกเป็นกังวล เพราะไม่ว่าผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ทั้งสองคนนี้ใครจะชนะ สุดท้ายของดีในร่องถ้ำ ก็ไม่ตกอยู่ในมือของเขากับซ่งช่าวหยวน

ในเวลานี้เอง จวงหย้าเฟยสังเกตเห็นว่า ซ่งช่าวหยวนหยิบกล่องส่งเสียงออกมาจากแหวนเก็บของ

เมื่อเห็นภาพนี้ จวงหย้าเฟยอุทานในใจว่าแย่แล้ว เห็นชัดว่าอีกฝ่ายจะส่งข่าวเรื่องนี้ให้เบื้องบนของสำนักเสวียนหยาง ถ้าหากเจ้าสำนักเสวียนหยางมาด้วยตนเอง หรือว่าอาจารย์มกุฏยุทธ์ลับคนนั้นมาด้วยตนเอง ไม่สามารถต่อสู้ได้แม้แต่น้อย

ระยะห่างของทั้งสองมีมากถึงหนึ่งร้อยเมตร จวงหย้าเฟยพุ่งตัวไปหาเขาด้วยความเร็วสูงสุด อยากจะห้ามซ่งช่าวหยวนไม่ให้ส่งข่าวออกไป

ทว่าถึงแม้จวงหย้าเฟยจะเคลื่อนไหวเร็วแค่ไหน แต่ซ่งช่าวหยวนก็เปิดกล่องส่งเสียงแล้ว ลำแสงส่องสว่างออกมาจากกล่องส่งเสียง

มองจวงหย้าเฟยที่พุ่งตัวทะยานมาก ซ่งช่าวหยวนหัวเราะเยือกเย็น “รอให้เจ้าสำนักของพวกฉันมา พวกแกใครหน้าไหนก็อย่าคิดจะมีชีวิตรอด ต่อให้แกจะหนีกลับตระกูลจวงเมืองไห่หยุน ก็ไม่มีประโยชน์!”

“ซ่งช่าวหยวน ไอ้สารเลว!” จวงหย้าเฟยโมโหอย่างมาก เขารู้ผลลัพธ์นี้เป็นอย่างดี ตระกูลจวงต้องถูกทำลายเพราะเรื่องนี้ และไม่สามารถกลับมาผงาดได้อีก

เวลานี้เขาอดไม่ได้ที่จะเสียใจว่าทำไมตนถึงโลภอยากจะได้โอกาสดีและของล้ำค่าในร่องถ้ำ ถ้ำที่เหลือทิ้งเอาไว้ตั้งแต่สมัยโบราณ ไม่ใช่สิ่งที่คนอย่างเขาสามารถเข้าไปข้องเกี่ยวได้

“นายดีใจเร็วเกินไปแล้ว”

ในเวลานี้เอง เสียงเยือกเย็นดังขึ้นกะทันหัน

ซ่งช่าวหยวนมองไป เห็นชายชุดคลุมสีดำ ปรากฏตัวอยู่ด้านหลังห่างจากตนประมาณสิบกว่าเมตร กำลังมองตาด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น

คนที่มาพร้อมกับซ่งช่าวหยวน วางตัวราวกับศัตรูตัวฉกาจบุกมาทันที

เพราะชายชุดคลุมสีดำตรงหน้าถึงแม้จะอายุแค่สิบเจ็ดปี แต่เป็นคนที่เหี้ยมโหดมาก เคยฆ่าผู้แข็งแกร่งฝึกจิตมามากมายไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ แม้จะเป็นผู้แข็งแกร่งระดับราชายุทธ์ เท่าที่รู้ก็ตายด้วยฝีมือของเขาสี่ห้าคนแล้ว

“หลัวซิว ฉันรู้ว่านายเก่งมาก แต่ฉันส่งข่าวไปบอกเจ้าสำนักแล้ว รอให้เจ้าสำนักและอาจารย์มาด้วยตนเอง ต่อให้นายมีจักรพรรดิยุทธ์เทียนเฟิ่งคอยช่วยเหลือ ก็ตายแน่นอน!”

ซ่งช่าวหยวนมองหลัวซิว พูดเสียงเคร่งขรึม “แต่ว่าด้วยพรสวรรค์ในการฝึกตนของนาย ย่อมได้รับคำชื่นชมจากเจ้าสำนักของพวกเรา ขอเพียงนายเข้ามาอยู่สำนักเสวียนหยาง นายก็จะมีทางรอด”

เขารู้ดีว่าตนและพวกไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลัวซิว ดังนั้นจึงคิดจะควบคุมเจ้าคนอันตรายคนนี้ให้อยู่หมัดก่อน

“ข้อเสนอของนายไม่เลว แต่น่าเสียดายที่ฉันไม่สนใจ”

หลัวซิวหัวเราะเล็กน้อย ร่างของเขาหายไปทันที

“ทุกคนระวังตัว!” รูม่านตาของซ่งช่าวหยวนหดเล็ก พูดเสียงดัง

เสียงของเขายังไม่ทันหายไป ร่างของหลัวซิวก็ปรากฏตัวอยู่ตรงกลางพวกเขาเจ็ดคน หลัวซิวยืนอยู่ตรงกลางเปลวไฟสีแดงน้ำตาล เปลวไฟปะทุขึ้นมา ปกคลุมรัศมีหนึ่งร้อยเมตร

ปรมาจารย์ยุทธ์ฝึกจิตขั้น7ที่นำโดยซ่งช่าวหยวน ถูกเปลวไฟแผดเผาทันที เสียงร้องโอดครวญดังขึ้น ดังตรงนี้ทีตรงนั้นที

เมื่อได้ยินแบบนี้ หัวใจของหลัวซิวสั่นเทา เรื่องที่เขากังวลที่สุดเกิดขึ้นแล้ว ร่องถ้ำนั้นถูกขั้วอำนาจอื่นพบแล้ว ทั้งยังเกี่ยวข้องกับสำนักเสวียนหยางที่มีอำนาจยิ่งใหญ่

โบราณสถานที่ไม่ได้รับการเปิดมาก่อน เพียงพอที่จะทำให้ผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์หวั่นไหว ถ้าหากอาจารย์มกุฏยุทธ์สำนักเสวียนหยางลงมือ เขากับเหยียนเยว่เอ๋อร์ไม่มีโอกาสแม้แต่น้อย

“สำนักเสวียนหยางมีอาจารย์มกุฏยุทธืและผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธื ฉันไม่อยากรนหาที่ตาย” หลัวซิวขมวดคิ้วพูด

ร่องถ้ำโบราณบางทีอาจจะมีโอกาสที่ดีและของล้ำค่า แต่เมื่อเทียบกับชีวิตแล้ว ไม่ถือว่าเป็นอะไรทั้งนั้น

“ฮ่าๆๆ น้องหลัวคิดมากไปแล้ว เบื้องบนของสำนักเสวียนหยาง ไม่รู้เรื่องร่องถ้ำ”

ขณะที่หลัวซิวกำลังคิดจะล้มเลิกความคิดในการตามหาร่องถ้ำ จวงหย้าเฟยพูดขึ้นกะทันหัน

เมื่อได้ยินถ้อยคำนี้ ความหวังก่อตัวขึ้นมาในใจของหลัวซิว รีบถามต่อ:”นี่มันเรื่องอะไรกัน”

“เมื่อสิบวันก่อน ฉันบังเอิญเข้าไปในพื้นที่นั้น พบที่ตั้งของร่องถ้ำ ตอนนั้นมีปรมาจารย์ยุทธ์ฝึกจิตของสำนักเสวียนหยางคนหนึ่ง พบร่องนั้นพร้อมกันกับฉัน ตอนนั้นฉันกับอีกฝ่ายล้วนต่างคนต่างอยากจะฆ่าปิดปาก แต่ความสามารถไล่เลี่ยกัน”

“พบว่าพวกเราไม่มีใครทำอะไรได้ พวกเราทั้งสองคนจึงสัญญากันว่าจะไม่แพร่งพรายเรื่องร่องถ้ำนี้ หลังจากนั้นสิบวัน ทั้งสองฝ่ายพาคนมาแปดคน แล้วเข้าไปตรวจสอบด้านในถ้ำนั้นด้วยกัน” จวงหย้าเฟยเล่าที่มาที่ไปของเรื่องให้ฟัง

“คำสัญญาแบบนี้พี่ช่วยด้วยเหรอ?” หลัวซิวเผยสีหน้าแปลกใจ “ตอนนี้พี่สามารถบอกเรื่องถ้ำให้ฉันรู้ อีกฝ่ายก็สามารถบอกเรื่องถ้ำในผู้แข็งแกร่งในสำนักเสวียนหยางรู้”

จวงหย้าเฟยยิ้มเศร้าด้วยความจนปัญญาเล็กน้อย “ฉันเองก็เข้าใจข้อนี้เหมือนกัน แต่ว่าฉันก็ทำได้แค่เดิมพันดูสักครั้ง เพราะถึงอย่างไรถ้าหากเชิญผู้แข็งแกร่งระดับราชายุทธ์มา ในถ้ำมีของดีอะไรละก็ ไม่มีทางตกถึงคนอื่นแน่นอน คนสำนักเสวียนหยางคนนั้นน่าจะเข้าใจข้อนี้ดี ดังนั้นฉันจำได้แต่เดิมพันว่าเขาไม่บอกเรื่องนี้กับเบื้องบนของสำนักเสวียนหยาง”

หลัวซิวขมวดคิ้วเป็นปมแล้วนิ่งเงียบ เป็นไปตามที่จวงหย้าเฟยพูด มีความเป็นไปได้นี้ เพราะถึงอย่างไรทุกคนล้วนมีความเห็นแก่ตัวและความโลภ ไม่มีใครอยากจะให้ร่องถ้ำที่ตนพบเจอด้วยความยากลำบาก ด้านในมีโอกาสดีและของล้ำค่าอะไร ตกไปอยู่ในมือของคนอื่น

จวงหย้าเฟยกำลังเดิมพัน ถ้าหากหลัวซิวรับปากจะไปด้วย ความเป็นจริงก็เป็นการเดิมพันอีกครั้ง เพราะถ้าหากเดิมพันผิด พบเจอกับมกุฏยุทธ์ของสำนักเสวียนหยางกระทั่งผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ ตนต้องแบกรับผลลัพธ์แย่ๆที่ตามมาอีก

เขาไม่ได้ตัดสินใจบุ่มบ่ามด้วยตนเอง แต่ว่าใช้ตัวสำนึกส่งเสียง บอกเรื่องนี้กับเหยียนเยว่เอ๋อร์

“ร่องถ้ำคือโอกาสดีที่หาได้ยาก ในเมื่อเจอแล้ว ย่อมห้ามคลาดไปเด็ดขาด” คำแนะนำที่เหยียนเยว่เอ๋อร์ให้คือลองไปดู ถ้าสถานการณ์ไม่ดี อย่างมากก็แค่ถอยออกไป

“ได้ ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ลองไปดู!”

ได้ยินหลัวซิวรับปาก จวงหย้าเฟยก็โล่งอก เขารู้ดีว่าตนกำลังเดิมพัน เดิมพันชนะ ตนสามารถได้รับประโยชน์ดีๆที่ไม่อาจจินตนาการได้ เดิมพันแพ้ ตนจะไม่เหลืออะไรทั้งนั้น อีกทั้งถึงขั้นที่จะกลายเป็นซากกระดูกในบ่อน้ำอมตะ

ตลอดทางไม่ได้พูดอะไรกัน ก่อนที่ฟ้าจะมืด พวกเขามาถึงพื้นที่ที่กำกับเอาไว้ในแผนที่บนมือจวงหย้าเฟย

นี่คือลำธาร เต็มไปด้วยต้นหญ้า มีลมปราณของอสูรกายแข็งแกร่งหลายตัวอยู่ส่วนลึกในลำธาร

จากที่จวงหย้าเฟยพูด ทางเข้าของร่องถ้ำ อยู่ใจกลางลำธาร มีอสูรกายระดับ9ตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในนั้น

ในเวลาเดียวกันที่หลัวซิวและพวกมาถึงที่นี่ อีกฝั่งหนึ่งของลำธาร ก็มีคนกลุ่มหนึ่งปรากฎตัว สวมชุดของสำนักเสวียนหยาง มีทั้งหมดแปดคน

“จวงหย้าเฟย พวกเราตกลงกันแล้วว่าจะมาแปดคนไม่ใช่เหรอ ทำไมนายถึงมาแค่เจ็ดคน?” ชายหนุ่มสำนักเสวียนหยางคนหนึ่งเหาะเหินมา แล้วพูดเย้ยหยัน:”คงจะไม่ได้ตายไประหว่างทาง คนหนึ่งรึเปล่า?”

ขณะพูด อีกฝ่ายมองหลัวซิวและพวกอย่างไม่เกรงกลัว มุมปากหัวเราะเยาะเยือกเย็น “คนที่นายพามา ความสามารถแย่ไปหน่อยรึเปล่า ถ้าขืนเป็นแบบนี้ ในร่องถ้ำไม่มีเรื่องอะไรของนายแล้ว ไม่แน่ว่าชีวิตของคนพวกนี้อาจจะต้องทิ้งอยู่ที่นี่”

“ซ่งช่าวหยวน สงครามยังไม่จบ อย่าเพิ่งนับศพทหาร” จวงหย้าเฟยหัวเราะเยือกเย็น

“แค่มดตัวเล็กๆขั้นฝึกจิตไม่กี่คน ฉันแค่ยกมือขึ้นก็ทำลายได้แล้ว!”

ในเวลานี้เอง เสียงเยือกเย็นดังขึ้น ชายชราผมขาวคนหนึ่งของสำนักเสวียนหยาง มองมาที่หลัวซิวและพวกอีกหกคนด้วยสีหน้าดูแคลน แผ่ซ่านเจตนาสังหารออกมาอย่างไม่ซ่อนเร้น

ในเวลาเดียวกัน ลมปราณที่แข็งแกร่งจนไม่สามารถคำนวฯได้ แผ่ซ่านออกมาจากตัวของชายชรา กลายเป็นการข่มที่น่าเกรงขาม ราวกับภูเขาลูกใหญ่ กดดันมาทางหลัวซิวและพวก

ไอแห่งความน่าเกรงขามนี้ เหนือกว่าราชายุทธ์ แข็งแกร่งกว่าเผยหยวนชิวผู้นำตระกูลเผยซึ่งเป็นผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ขั้น9มาก

“ผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์!……” สีหน้าของหลัวซิวสั่นเทา

ชายชราของสำนักเสวียนหยางคนนี้ปรากฏตัว แผ่ซ่านความน่าเกรงขามของผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ออกมา เจตนาสงสารไม่ซ่อนเร้น

สีหน้าของจวงหย้าเฟยซีดขาวทันที เขาคิดว่าอย่างมากซ่งช่าวหยวนก็เชิญแค่ราชายุทธ์มาหนึ่งถึงสองคน ทางตนมีหลัวซิวอยู่ ก็ไม่มีอะไรให้น่าหวาดกลัว

แต่ว่าเขาคิดไม่ถึง ไอ้สารเลวซ่งช่าวหยวนจะเชิญจักรพรรดิยุทธ์มา?

คล้ายว่าอากาศจะถูกความน่าเกรงขามทำให้แข็งตัว ร่างกายของจวงหย้าเฟย สิ้งหรันหรันและพวกถูกตรึงเอาไว้ที่เดิม แม้แต่นิ้วก็ยังขยับไม่ได้

ตรงหน้าผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ ปรมาจารย์ยุทธ์ฝึกจิตไม่มีพลังในการต่อต้านแม้แต่น้อย เป็นหรือตายไม่ได้ขึ้นอยู่กับตนเอง

“จวงหย้าเฟย นายกล้ามาก อาศัยตระกูลจวงเล็กๆของพวกนาย แม้แต่ผู้แข็งแกร่งระดับราชายุทธ์ก็ยังไม่มี ยังจะกล้ามาแย่งชิงร่องถ้ำกับสำนักเสวียนหยางของฉันอีกอย่างนั้นเหรอ?” ซ่งช่าวหยวนยืนอยู่ด้านหลังจักรพรรดิยุทธ์ด้วยสีหน้าประจบสอพลอ

สำนักเสวียนหยาง มีผู้แข็งแกร่งมกุฏยุทธ์ดำรงตำแหน่ง มีผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์สองคน คนหนึ่งคือเจ้าสำนักเวียนหยาง คนหนึ่งคือผู้อาวุโสเสวียนหยาง

สำหรับผู้แข็งแกร่งมกุฏยุทธ์ คืออาจารย์เสวียนหยาง

เวลานี้จวงหย้าเฟยหวาดกลัวมากขึ้น ภายใต้ความน่าเกรงขามของผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ แม้แต่ปากก็ยังอ้าไม่ออก

หลัวซิวมองเหยียนเยว่เอ๋อร์ที่อยู่ข้างกาย ถึงแม้ความน่าเกรงขามของผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์เขาเองก็ยากที่จะต่อกรด้วย แต่ก็ไม่ถึงขั้นไม่สามารถทำอะไรได้

“เหมือนกับฉัน คือแดนจักรพรรดิยุทธ์ขั้น2 คนคนนี้คือผู้อาวุโสเสวียนหยาง” เหยียนเยว่เอ๋อร์พูดผ่านตัวสำนึก

เมื่อได้ยินแบบนี้ หลัวซิวก็โล่งอก ขอเพียงไม่ใช่เจ้าสำนักเสวียนหยางมา ทุกอย่างก็จัดการง่าย

เพราะเจ้าสำนักเสวียนหยางคนนั้น ว่ากันว่าตอนนี้บรรลุแดนจักรพรรดิยุทธ์ขั้น4แล้ว

“หื้ม? ภายใต้ความน่าเกรงขามของผู้อาวุโสยังสามารถเคลื่อนไหวได้?”

ผู้อาวุโสเสวียนหยางเห็นหลัวซิวหันหน้า ดวงตาแก่ชราหรี่ลง พูดเสียงเยือกเย็น:”ฉันมองผิดไปจริงๆ ผลการฝึกตนที่แท้จริงของนายคือแดนฝึกจิตขั้น9″

ขณะพูด ผู้อาวุโสเสวียนหยางทะยานมา ยื่นมือออกมาจะฟาดหลัวซิว เปี่ยมไปด้วยเจตนาสังหารอย่างชัดเจน

“กับแค่ผู้ฝึกจิตขั้น9 ฉันแค่ตบก็ตายคาฝ่ามือแล้ว”

พลังจิตแท้สีทองออกมาจากง้ามนิ้วมือของผู้อาวุโสเสวียนหยาง ชั่วขณะหนึ่งก็กลายเป็นกรงสีทอง ลมปราณทำลายล้างปะทุขึ้นมา ครอบคลุมมาที่หลัวซิว

ในเวลานี้ เหยียนเยว่เอ๋อร์ที่อยู่ข้างกายหลัวซิวเงยหน้าขึ้น ดวงตาคู่สวยมีความเยือกเย็นแล่นผ่าน

งูหลามพิษในบ่อน้ำอมตะมีพิษร้ายแรงอย่างมาก แม้จะเป็นพิษของงูหลามพิษระดับ4 ผู้แข็งแกร่งระดับราชายุทธ์ถูกกัดหนึ่งคำ ก็ต้องใช้เวลาหลายเดือน กว่าจะถอนพิษออกจนหมด

ถ้าหากเป็นปรมาจารย์ยุทธ์ฝึกจิต หายใจเข้าออกไม่เกินสิบกว่าครั้ง พิษก็จะแผ่ซ่านไปทั้งตัวแล้วตาย พลังจิตแท้ไม่สามารถระงับพิษเอาไว้ได้

“ไม่ต้องเกรงใจ ถึงอย่างไรพวกเราก็เป็นทีมเดียวกัน” หลัวซิวยิ้มแล้วพูด

“พวกหัวหน้าทีมล่ะ?” สิ้งหรันหรันเพิ่งสังเกตเห็นว่า คล้ายมีแค่พวกเขาสามคนที่หนีออกมาได้ หัวหน้าและคนอื่นๆ ล้วนไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร

“ตอนนั้นสถานการณ์คับขัน อีกทั้งยังมีงูหลามพิษระดับ5ตามไล่ล่า ฉันทำได้เพียงช่วยเธอออกมาได้คนเดียวเท่านั้น สำหรับคนอื่นๆในทีม ฉันเองก็ไม่รู้ว่าเป็นยังไงบ้าง” หลัวซิวส่ายหน้าแล้วพูด

เมื่อได้ฟังแบบนี้ สีหน้าของสิ้งหรันหรันฉายความกังวล รีบหยิบกล่องส่งเสียงออกมาจากแหวนเก็บของ ส่งข้อความไปสองสามข้อความ

เห็นได้ชัดว่า สิ้งหรันรันและพวกจวงหย้าเฟย เป็นเพื่อนกันมานาน มีรอยประทับส่งเสียงของกันและกัน

“แม่นางสิ้ง พื้นที่ที่หัวหน้าพาพวกเราไปตรวจสอบ ไม่รู้ว่ามีของล้ำค่าอะไรเหรอ? ระหว่างทางมีงูหลามพิษระดับ5ปรากฏตัวแล้ว ถ้าขืนไปลึกกว่านี้ละก็ จะยิ่งอันตรายกว่าเดิมรึเปล่า?” หลัวซิวเดินเข้าไปถามหยั่งเชิง

สิ้งหรันหรันเป็นห่วงความปลอดภัยของจวงหย้าเฟยและพวก จึงไม่ได้สังเกตเห็นว่าหลัวซิวต้องการที่จะถามหยั่งเชิง เธอตอบออกไปตามตรง:”ฉันเองก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่ ไม่รู้ว่าหัวหน้าทีมได้เบาะแสอะไรมาจากที่ไหน บอกว่าพื้นที่ตรงนั้นมีโอกาสที่จะมีของล้ำค่ามากมาย”

“ในเมื่อมีโอกาสที่จะมีของล้ำค่า ถ้าอย่างนั้นเพราะอะไรพวกเธอถึงไม่ไปหาเอง แต่กลับรับสมัครคนนอกเพิ่มอีกสองคน?” หลัวซิวถามต่อ

เมื่อได้ยินคำนี้ สิ้งหรันหรันดึงสติกลับมา ยิ้มแล้วพูด “ส่วนลึกของบ่อน้ำอมตะ มีคนมาช่วยเพิ่มอีกหนึ่งคนก็ยิ่งปลอดภัยกว่า หัวหน้าของเราเป็นคนที่ดี”

หลัวซิวยิ้มและพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่ก็รู้สิ่งที่เขาต้องการอยากจะรู้แล้ว

จวงหย้าเฟยสามารถรู้ว่าพื้นที่ตรงนั้นมีโอกาสที่จะมีของล้ำค่า ถ้าอย่างนั้นคนอื่นก็มีโอกาสที่จะรู้เหมือนกัน ไม่แน่ว่าร่องถ้ำที่ตระกูลจูพบ มีคนพบแล้วก็ได้

หลัวซิวและเหยียนเยว่เอ๋อร์มองหน้ากัน ทั้งสองต่างรู้ดี เห็นชัดว่านี่ไม่ใช่ข่าวดี

“ตึ้ง!”

กล่องส่งเสียงของสิ้งหรันหรันสั่น

“พวกหัวหน้าไม่ได้เป็นอะไร ดีจัง”

ข้อความที่ส่งมาจากล่องส่งเสียงทำให้สิ้งหรันหรันสบายใจ หลังจากนั้นก็บอกทิศทาง พูด:”หัวหน้าบอกว่าให้พวกเราไปรวมตัวกับพวกเขา”

เหตุเพราะในบ่อน้ำอมตะไม่สามารถเหาะเหินเรื่อยเปื่อยได้ ดังนั้นหลัวซิวและพวกอีกสองคนจึงเดินทางช้าเล็กน้อย หลังจากใช้เวลาไปเกือบหนึ่งชั่วยาม กว่าจะไปถึงที่ที่จวงหย้าเฟยและพวกอยู่

สถานการณ์ของทั้งสี่คนถือว่าไม่เลว นอกจากใช้พลังจิตแท้ไปบ้าง ก็ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร และไม่ได้ถูกพิษ

ความเป็นจริงต้องยกความดีความชอบหลักให้กับเคล็ดวิชาแหลกวิญญาณวิญญาณของหลัวซิวที่โจมตีงูหลามพิษระดับ5เอาไว้ ไม่อย่างนั้นพวกเขาสี่คน สามารถหนีออกมาได้หนึ่งถึงสองคนก็ถือว่าไม่เลวแล้ว

การตายของคังจงหยาง ทำให้บรรยากาศในทีมนักล่าอสูรหม่นหมองเล็กน้อย แต่ว่าจวงหย้าเฟยและสิ้งหรันหรันรวมถึงพวกก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว เพราะในโลกของนักยุทธ์ มีคนตายแทบจะทุกเวลา คนที่กล้าเข้าไปฝึกฝนในและตามหาของล้ำค่าในที่อันตราย ล้วนเป็นคนที่มีจิตใจเข้มแข็ง

“หัวหน้าทีม ทั้งหมดเป็นเพราะซิวหลัว ไม่อย่างนั้น ฉันอาจจะตายในบ่องูหลามพิษนั่นแล้ว”

หัวหน้าทีมมุ่งหน้าไปยังจุดหมายต่อ ระหว่างทาง สิ้งหรันหรันพูดถึงเรื่องที่ตนเกือบจะตายภายใต้เขี้ยวงูหลามพิษ

“ขอบคุณมาก น้องซิวหลัว!” จวงหย้าเฟยมองหลัวซิวด้วยความซาบซึ้ง ทอดถอนหายใจ:”พวกเราทำงานด้วยกันมานานสามสิบกว่าปีแล้ว เมื่อก่อนมีพี่ๆน้องๆอยู่ด้วยกันสิบกว่าคน ตอนนี้ เหลือแค่พวกเราห้าคนแล้ว”

พูดถึงตรงนี้ จวงหย้าเฟยแปรเปลี่ยนเป็นส่งเสียงผ่านตัวสำนึก บอกกับหลัวซิว “ถ้าฉันเดาไม่ผิด นายน่าจะเป็นซิวหลัวตัวจริงใช่ไหม”

“ศิษย์พี่จวงหมายความว่าอะไร? ผมคือซิวหลัวตัวจริงอยู่แล้ว” หลัวซิวหรี่ตาลง

“ฮ่าๆ ศิษย์น้องซิว พวกเราเป็นคนเถตรงไม่พูดอ้อมค้อม ก่อนหน้านี้ในบ่องูหลามพิษ จู่ๆตัวหยั่งรู้ของงูหลามพิษก็ถูกโจมตีวิญญาณ กลิ้งตัวกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ไม่อย่างนั้นฉันกับสหายอีกสามคนไม่สามารถหนีออกมาได้”

“ในทีมของพวกเรา ความสามารถของคนอื่นๆเป็นอย่างไร ฉันรู้ดี รู้ถึงรากเหง้า นอกจากนายและผู้หญิงที่อยู่ข้างกายนายแล้ว ฉันคิดไม่ออกจริงๆว่าใครจะทำแบบนั้นได้”

“ข่าวลือในประเทศเทียนหวูบอกว่านายสามารถฆ่าผู้แข็งแกร่งระดับราชายุทธ์ได้ ดังนั้นฉันจึงเดาตัวตนที่แท้จริงของนายออก”

“อีกทั้งตอนที่นายลงมาใช้แค่พลังของร่างเนื้อ ไม่ได้ใช้พลังจิตแท้ของนาย เพราะทั่วทั้งประเทศเทียนหวู พลังจิตแท้เพลิงดำของนาย เป็นสัญลักษณ์ แทบจะเป็นเอกลักษณ์ของตัวตนของนาย

ถึงแม้หลัวซิวจะคิดว่าตนซ่อนเร้นเอาไว้อย่างดี แต่ว่าในการต่อสู้ที่บ่องูหลามพิษ เขาเผยร่องรอยออกมาเล็กน้อย จวงหย้าเฟยจึงเดาตัวตนของเขาออก

“หัวหน้าจวงวิเคราะห์ได้มีเหตุผล ตอนนี้ราชวงศ์ตระกูลฝาน ตระกูลเหยียน สำนักเสวียนหยางล้วนให้รางวัลนำจับคนที่จับผมได้ หรือว่าผู้อาวุโสจวงเองก็สนใจ?”

บทสนทนาของหลัวซิวและจวงหย้าเฟยในตอนหลังล้วนสื่อสารผ่านตัวสำนึก คนอื่นๆในทีม นอกจากเหยียนเยว่เอ๋อร์ที่เป็นผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์สามารถสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของทั้งสองแล้ว คนอื่นๆไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่

ได้ยินหลัวซิวพูดถ้อยคำนี้ จวงหย้าเฟยก็รู้ทันทีว่าตนเดาถูก คนๆนี้คือหลัวซิวตัวจริง ซึ่งก็คือซิวหลัวคนที่ฆ่าราชายุทธ์ตระกูลเหยียน ทำลายตระกูลเผยแห่งเมืองยงฉี

“น้องหลัวพูดตลกแล้ว นายสามารถฆ่าราชายุทธ์ได้ ทำลายตระกูลเผยแห่งเมืองยงฉี ต่อให้จวงหย้าเฟยกล้ามากแค่ไหน ฉันก็ไม่กล้าหมายหัวนาย”

“พูดตามตรง ฉันพาคนในทีมไปพื้นที่นั้นในบ่อน้ำอมตะครั้งนี้ มีร่องถ้ำสมัยโบราณอันหนึ่ง ถ้าเป็นแค่ปรมาจารย์ยุทธ์แปดคนฝึกจิตขั้น5ขึ้นไป คาดว่าคงจะไม่ได้อะไรดีๆแน่นอน แต่ถ้ามีน้องหลัวอยู่ด้วย ก็จะไม่เหมือนกันแล้ว” จวงหย้าเฟยพูดแบบนี้

หลัวซิวเข้าใจข้อมูลสำคัญที่อีกฝ่ายเปิดเผยออกมาอย่างชาญฉลาด “ร่องถ้ำ? พี่มั่นใจเหรอ?”

“แน่นอน ไม่ใช่แค่ตระกูลจวงของฉันที่ได้ข้อมูล สำนักเสวียนหยางที่อยู่ตรงข้ามบ่อน้ำอมตะ ก็รู้ถึงการมีอยู่ของร่องถ้ำเช่นเดียวกัน” จวงหย้าเฟยพูด

ระยะหลังที่ผ่านมานี้ เขาได้ยาทิพย์ชั้นสูงไม่น้อย แต่ว่ายาทิพย์ที่ข้องเกี่ยวกับกลั่นร่างและกลั่นวิญญาณนั้น น้อยมาก

ปรมาจารย์ยุทธ์ฝึกจิตขั้น7ที่เจอบัวน้ำใจดำคนนั้นพุ่งตัวไปทันที ฝ่ามือผนึกรวมพลังจิตแท้ พุ่งตัวไปหาดอกบัวสีดำที่ลอยอยู่บนบ่อน้ำ

ส่วนล้ำค่าที่สุดของบัวน้ำใจดำคืดเมล็ดบัว เมล็ดบัวอยู่ตรงใจกลางดอกบัว เพียงแค่คว้าดอกบัวไปก็ได้แล้ว

“คังจงหยาง อย่าเพิ่งไป!” หัวหน้าทีมจวงหย้าเฟยขมวดคิ้วเป็นปม พูดเสียงดัง

ในบ่อน้ำอมตะ โดยทั่วไปพื้นที่ที่มีของล้ำค่าปรากฏตัว โดยมากล้วนเคล้าไปด้วยอันตราย อีกด้านหนึ่งเพราะไม่ใช่แค่นักยุทธ์เท่านั้นที่ต้องการยาทิพย์ในการพัฒนาพลังยุทธ์ อสูรกายเองก็เหมือนกัน

ยังมีอีกหนึ่งเหตุผลหนึ่ง ซึ่งก็คือพื้นที่ที่มียาทิพย์ ต้องเป็นพื้นที่ที่สภาพแวดล้อมพิเศษ ง่ายที่จะดึงดูดอสูรกายฝึกตนอยู่รอบๆ

ขอเพียงเป็นนักล่าอสูรที่มีประสบการณ์มากมาย โดยมากล้วนรู้กฎข้อนี้ แต่ว่าบัวน้ำใจดำซึ่งเป็นยาทิพย์ระดับ5นั้นมีมูลค่าสูงมาก จึงทำให้ปรมาจารย์ยุทธ์ขั้น7คนนั้นที่มีประสบการณ์มากมาย ชั่วขณะหนึ่งไม่อาจข่มความบุ่มบ่ามเอาไว้ได้ พุ่งตัวออกไปทันที

เผชิญหน้ากับของล้ำค่าที่มีมูลค่าสูง ไม่สามารถทำใจให้เป็นปกติดี นี่คือข้อห้ามใหญ่ของนักล่าอสูร!

ถึงแม้จวงหย้าเฟยจะเอ่ยปากตักเตือนไปแล้ว แต่ว่าปรมาจารย์ยุทธ์ขั้น7คนนั้นได้พุ่งตัวไปแล้ว ตอนที่มือของเขาจะคว้าบัวน้ำใจดำ ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น

ศีรษะสีดำขนาดใหญ่ทะยานออกมาจากน้ำ ลิ่นหัวงูสามเขาปรากฏตัว น่าหวาดกลัวอย่างมาก

“จงหยาง ถอยกลับมาเร็วเข้า!”

เห็นอสูรกายโผล่มากะทันหัน จวงหย้าเฟยและพวกทำเหมือนว่ากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ

คังจงหยางที่พุ่งตัวไปก็เหงื่อแตก เมื่อเทียบกับหัวงูสามเขาสีดำที่น่าหวาดกลัวนั้น ความยาวของฟันหนึ่งซี่ ยังสูงกว่าตัวของเขามาก

ในโลกของอสูรกาย ถึงแม้ว่าขนาดที่ยิ่งใหญ่จะไม่ได้หมายความว่าระดับและความสามารถยิ่งสูง แต่ว่าในสถานการณ์ทั่วไป อสูรกายที่ตัวยิ่งใหญ่ พลังยิ่งแข็งแกร่ง ระดับก็ยิ่งสูง

คังจงหยางพยายามขับเคลื่อนพลังจิตแท้ รอบตัวของเขาฉายแสงทอประกาย ใช้ความเร็วสูงสุดอยากจะบินถอยกลับมา

อสูรกายจำพวกงูที่เผยศีรษะออกมาจากบ่อน้ำ ดวงตาแดงก่ำราวกับโคมไฟ ฉายความล้อเลียนของมนุษย์

“ซี๊ด!……”

ลิ้นงูสีแดงสดแลบออกมาราวกับฟ้าแลบ คล้ายกับแส้สีเลือด เสียงเพี๊ยะดังขึ้น ทุบตีไปยังคังจงหยาง

ร่างของคังจงหยางถูกโจมตีจนร่วงหล่นลงมา ถูกลิ้นของงูฟาดไปที่แผ่นหลัง กลายเป็นสีดำสนิท อีกทั้งแผ่ซ่านไปทั่วทั้งตัวอย่างรวดเร็ว

เห็นชัดว่า การโจมตีของลิ้นงูเปี่ยมไปด้วยพิษร่างกาย

ตามด้วย งูหลามพิษสีดำทั้งตัวพุ่งออกมาจากบ่อน้ำ มีประมาณสิบกว่าตัว ทุกตัวล้วนตัวใหญ่ราวกับถังน้ำ แย่งกันคว้าตัวคังจงหยาง

“ให้ตายสิ ที่นี่คือรังงู รีบหนีเร็ว!”

จวงหย้าเฟยร้องตะโกนเสียงดัง บินหนีไปคนแรก

หลัวซิวเองก็มีสีหน้าตกตะลึง งูหลามพิษสีดำตัวใหญ่ที่ปรากฏตัวขึ้นมาตัวแรก เห็นชัดว่าคืออสูรกายระดับ5 หลังจากนั้นงูที่พุ่งตัวออกมาฆ่าคังจงหยางจนตาย ทุกตัวล้วนเป็นอสูรกายระดับ4

ที่นี่คือรังงูจริงๆ อีกทั้งพิษของงูหลามพิษนี้ร้ยาแรงอย่างมาก แม้กระทั่งผู้แข็งแกร่งระดับราชายุทธ์มาที่นี่ก็อาจจะตายได้

นี่จึงเป็นเหตุผลว่าอะไร บัวน้ำใจดำดอกหนึ่งถึงเติบโตที่นี่ ทว่าไม่มีใครสามารถเอาไปได้

หลัวซิวเองก็บินถอยไปตามจวงหย้าเฟยและพวก ลอบกำกับพื้นที่นี้เอาไว้ในภาพปริศนา เพราะว่าเขาต้องการเมล็ดบัวของบัวน้ำใจดำอย่างมาก

ขอเพียงได้เมล็ดบัว วัตถุดิบอื่นๆ ที่ใช้ในการกลั่นยาสลายร่างระดับ5ก็ง่ายที่จะเก็บรวบรวม

“ซี๊ด!”

งูหลามพิษระดับ5ขนาดใหญ่พุ่งตัวออกมาจากบ่อน้ำ เกล็ดของมันมีขนาดเท่ากับประตู ขนาดยาวเกือบหนึ่งร้อยเมตร

ในเวลาเดียวกัน ยังมีงูหลามพิษมากมายพุ่งตัวออกมาจากบ่อน้ำ ช่วงเวลาสั้นๆแค่ครู่หนึ่ง งูหลามพิษที่ปรากฏตัวออกมาก็มีนับสิบตัว เห็นชัดว่างูหลามพิษกลุ่มนี้ไม่คิดจะปล่อยเหยื่อที่มาถึงปากให้หลุดพ้นไป

ฉึบ!

หลัวซิวคว้ากระบี่อาถรรพ์ฟันเสือออกมาจากด้านหลัง ฟันไปที่ศีรษะของงูหลามพิษที่พุ่งมาหาตน เลือดสีดำพลุ่งพล่านออกมา

ถึงแม้จะเป็นในเลือด ก็เคล้าไปด้วยพิษ โชคดีที่หลัวซิวฝึกตนวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ ร่างกายของเขาจึงแปรเปลี่ยนเป็นพิเศษ หลังจากพิษเข้าสู่ร่างกาย ก็ถูกสองระดับความเป็นตายพลังจิตแท้ระงับเอาไว้

เหยียนเยว่เอ๋อร์อยู่ตัวติดกับหลัวซิว เมื่อไม่ถึงเวลาที่จำเป็นจริงๆ เธอไม่มีวันลงมือง่ายๆ เพราะทันทีที่เธอลงมือ เธอก็จะเผยลมปราณของผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ออกมา

สิ้งหรันหรันถูกงูหลามพิษสามตัวรุมโจมตี ด้วยผลการฝึกตนแดนฝึกจิตขั้น8ของเธอ สามารถรับมือได้ ต่อสู้ได้อย่างสบาย
แต่ว่าอย่างกะทันหัน ดินโคลนในบ่อน้ำใต้เท้าของเธอมีเงาดำปรากฏตัวออกมา งูหลามพิษตัวหนึ่งทะยานตัวออกมา แล้วพันเท้าทั้งสองข้างของเธอเอาไว้

“ว๊าก!……ช่วยด้วย!”

สิ้งหรันหรันร้องตะโกนด้วยความตกใจ สีหน้าของเธอแปรเปลี่ยนเป็นกระวนกระวาย ทำได้เพียงมองงูหลามพิษสามตัวนั้นแยกเขี้ยวยิงฟันพุ่งตัวมา ทว่าไม่สามารถหลบหนีได้

“ฉึบ!ฉึบ!ฉึบ……”

ในเวลานี้เอง ร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้นกะทันหัน ลำแสงสีดำของดำรวดเร็วราวกับฟ้าผ่า ฟันศีรษะงูหลามพิษสามตัวนั้น

แน่นอนว่าเงาดำสีดำที่ปรากฏตัวได้ทันเวลานี้ ก็คือหลัวซิว เขาไม่ได้ใช้พลังจิตแท้ของตนเอง แต่ว่าอาศัยพลังของร่างเนื้อร่างยุทธ์ระดับราชาออกมาต่อสู้ ไม่อย่างนั้นทันทีที่ใช้เพลิงมรณะ ตัวตนของเขาก็จะเปิดเผย

ถึงแม้ไม่ได้ใช้พลังจิตแท้ในการต่อสู้ แต่อาศัยแดนร่างเนื้อของร่างยุทธ์ระดับราชา ฆ่างูหลามพิษระดับ4 ก็เป็นเรื่องที่ง่ายมาก

ยกมือขึ้นกวัดแกว่งกระบี่ ฟันงูหลามพิษที่พันเท้าทั้งสองข้างของสิ้งหรันหรัน หลัวซิวพูดด้วยความรวดเร็ว: “ไปเร็วเข้า!”

สิ้งหรันหันตกใจจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่ทันได้กล่าวขอบคุณ ก็ถูกหลัวซิวพาตัวไป ถอยไปจากบ่อน้ำนี้อย่างรวดเร็ว

ในเวลานี้เอง งูหลามพิษระดับ5ตัวนั้นบินตามมา หลัวซิวหันหน้ากลับไป ใช้ตัวสำนึกของราชายุทธ์ เคล็ดวิชาแหลกวิญญาณวิญญาณโจมตีวิญญาณ

ตัวหยั่งรู้ของงูหลามพิษระดับ5ถูกโจมตี กลิ้งตัวกรีดร้องทันที หลัวซิวและเหยียนเยว่เอ๋อร์รวมถึงสิ้งหรันหรัน อาศัยโอกาสนี้บินไปจากที่นี่อย่างรวดเร็ว

สำหรับคนอื่นๆในทีม หลัวซิวและเหยียนเยว่เอ๋อร์ไม่ได้สนใจ

งูหลามพิษระดับ5ไม่ได้ไล่ตามมา หลัวซิวและอีกสองคนบินหนีไปไกลกว่าร้องเมตร แล้วเลือกที่ที่ปลอดภัยเพื่อหยุดพัก

ตัวของสิ้งหรันหรันเกร็งแน่น หายใจหืดหอบ หน้าผากมีเหงื่อไหลออกมา

“ขอบคุณนายมาก” เธอหันไปบอกกับหลัวซิว เพราะถ้าไม่ใช่คนๆนี้ยื่นมือมาช่วยเธอ เธอต้องตายภายใต้เขี้ยวงูหลามพิษแล้ว

ตัวสำนักของหลัวซิวกวาดผ่านหญิงสาวคนนี้อย่างแยบยล พบว่าผลการฝึกตนของเธอคือแดนฝึกจิตขั้น8

ในสถานการณ์ทั่วไป จอมยุทธ์ฝึกตนที่พรสวรรค์ไม่ธรรมดาบรรลุถึงฝึกจิตขั้น8 อย่างน้อยต้องใช้เวลาสองร้อยปี ดังนั้นผู้หญิงคนนี้ดูอายุน้อย แต่ความเป็นจริงอายุมากกว่าหลัวซิวเยอะมาก

ในประเทศเทียนหวู นักยุทธ์ระดับฝึกจิตถือว่าสูงมากแล้ว ในขั้วอำนาจที่ไม่เล็ก สามารถอยู่ในตำแหน่งผู้อาวุโสได้

“พวกเราเข้าร่วมทีมนี้กันเถอะ” หลัวซิวบอกกับเหยียนเยว่เอ๋อร์ที่อยู่ข้างกาย “ระงับผลการฝึกตนให้อยู่ในฝึกจิตขั้น7โดยประมาณ”

เหยียนเยว่เอ๋อร์พยักหน้า หลังจากนั้นทั้งสองก็เดินไปหาหญิงชุดสีแดงที่กำลังร้องตะโกน

“สหายคนนี้ พวกเราสองคนสามารถเข้าร่วมทีมของพวกคุณได้ไหม?” หลัวซิวเดินเข้าไปหาแล้วพูด

“ไม่ทราบว่าผลการฝึกตนของทั้งสองอยู่ในระดับอะไร?”

ดวงตาของหญิงสาวชุดแดงทอประกาย รีบเอ่ยถาม

เพราะถึงอย่างไรยอดฝีมือฝึกจิตขั้น5ขึ้นไปนั้นหายาก เธอเองก็คิดไม่ถึงว่าตนที่เพิ่งร้องตะโกนไป จะมีคนสองคนเดินเข้ามาหา

หลัวซิวยิ้มบางๆ หลังจากนั้นก็แผ่พลังจิตของตนออกไป ลมปราณพลังจิตแท้โดยมากถูกเขาจำกัดเอาไว้ในร่างกาย เผยออกมาเพียงลมปราณฝึกจิตขั้น6เท่านั้น

เหยียนเยว่เอ๋อร์เองก็ทำตามคำแนะนำของหลัวซิว เผยพลังจิตแท้ไปที่ระดับฝึกจิตขั้น7

บริเวณโดยรอบมีระดับพรสวรรค์และต่ำกว่าฝึกจิตขั้น5ไม่น้อย ทุกคนล้วนเผยสีหน้าตกตะลึง เพราะผู้แข็งแกร่งระดับนี้ ในบ่อน้ำอมตะพบเจอได้น้อยมาก ชั่วครู่หนึ่งปรากฏตัวออกมาสองคน อีกทั้งยังเป็นคนแปลกหน้า ย่อมทำให้เกิดความสนใจ

“ได้ เชิญทั้งสองคนตามฉันมา”

สัมผัสได้ถึงพลังจิตแท้ของทั้งสอง ใบหน้าของหญิงชุดแดงเผยรอยยิ้ม “ฉันพาพวกนายสองคนไปรวมตัวพวกหัวหน้าทีม”

“หัวหน้าทีมของพวกเราจวงหย้าเฟย เขาคือผู้อาวุโสตระกูลจวงเมืองไห่หยุนของพวกเรา เป็นปรมาจารย์แดนฝึกจิตระดับ9”

ระหว่างทาง หญิงสาวชุดแดงบอกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทีมให้หลัวซิวและเหยียนเยว่เอ๋อร์ฟัง

นอกจากหัวหน้าทีมจวงหย้าเฟยแล้ว ผู้หญิงชุดแดงคนนี้ ชื่อว่าสิ้งหรันหรัน คือผู้แข็งแกร่งผลการฝึกตนอันดับสองของทีม

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ภายใต้การเดินนำของสิ้งหรันหรัน หลัวซิวและเหยียนเยว่เอ๋อร์เจอกับคนอื่นอีกห้าคนในทีม

คนแรกคือชายวัยกลางคนที่ดูเก่งกาจไม่ธรรมดา ผลการฝึกตนอยู่ที่แดนฝึกจิตขั้น9 น่าจะเป็นหัวหน้าทีมที่สิ้งหรันหรันพูดถึง จวงหย้าเฟย

อีกสี่คน ผลการฝึกตนล้วนอยู่ที่แดนฝึกจิตขั้น7

“ศิษย์น้องสิ้ง ได้คนเร็วขนาดนี้เลยเหรอ?” เมื่อเห็นสิ้งหรันหรันเดินนำคนสองคนมา จวงหย้าเฟยยิ้มและเอ่ยถามด้วยความตกตะลึง

สิ้งหรันหรันยิ้มพร้อมกับพยักหน้า พูด:”ผลการฝึกตนของสองคนนี้อยู่ที่ฝึกจิตขั้น5ขึ้นไป”

“ไม่คุ้นหน้าทั้งสองคนเลย น่าจะไม่ใช่คนท้องถิ่นของเมืองไห่หยุน ไม่รู้ว่าทั้งสองชื่ออะไรกันบ้าง?” จวงหย้าเฟยมองหลัวซิวและเหยียนเยว่เอ๋อร์จากนั้นเอ่ยถาม

“ฉันชื่อซิวหลัว นี่คือภรรยาของฉัน หลัวเยว่” หลัวซิวพูด

เริ่มแรกสายตาของจวงหย้าเฟยและพวกโดยมากมองไปที่เหยียนเยว่เอ๋อร์ ถึงแม้เธอจะเปลี่ยนรูปโฉมของตนเองไปแล้ว แต่บุคลิกและหน้าตาของเธอ ยังคงโดดเด่น ทำให้คนยากที่จะไม่สนใจ

ตอนที่ได้ยินชื่อ’ซิวหลัว’ รวมถึงจวงหย้าเฟยและสิ้งหรันหรันทั้งหกคน ต่างตกตะลึง

เพราะสองปีที่ผ่านมานี้ หลัวซิวและซิวหลัวสองชื่อนี้ ในประเทศเทียนหวู มีเชื่อเสียงโด่งดังมาก

โดยเฉพาะระยะที่ผ่านมา ตระกูลเหยียนของเขตการปกครองโตว้ไห่ผู้แข็งแกร่งระดับราชายุทธ์ถูกสังสาร รวมถึงตระกูลแผยที่ยิ่งใหญ่ถูกทำลาย ล้วนเกี่ยวข้องกับคนๆนี้

“ฮ่าๆๆ ทุกคนอย่าเข้าใจผิด ผมเองก็ได้ยินมาว่าซิวหลัวคือนามแฝงของหลัวซิว แต่ว่าผมชื่อซิวหลัวอยู่แล้วครับ ก่อนหน้านี้มีคนเข้าใจผิดไปหลายครั้งเหมือนกัน” หลัวซิวยิ้มแล้วพูดอธิบาย

คำอธิบายแบบนี้ เป็นการปกปิดซ่อนเร้นที่ทำให้พิรุธมากยิ่งขึ้น แต่ก็ทำให้จวงหย้าเฟยและพวกสีหน้าดีขึ้นเล็กน้อย

“พูดถูก ได้ยินว่าราชวงศ์ตระกูลฝาน ตระกูลเหยียน รวมถึงสำนักเสวียนหยางล้วนกำลังตรวจสอบหาร่องรอยของหลัวซิว ถ้านายคือเขาจริงๆ คงไม่ปรากฏตัวออกมาอย่างเปิดเผยแบบนี้” สิ้งหรันหรันพูดด้วยรอยยิ้ม

“อื้ม พูดถูก” จวงหย้าเฟยมองไปที่หลัวซิว ยิ้มแล้วพูด

ตามด้วย จวงหย้าเฟยยิ้มแผนที่บ่อน้ำอมตะขึ้นมา ถึงแม้แผนที่จะไม่สมบูรณ์แบบ แต่ก็ครอบคลุมอณาเขตกว่าครึ่งหนึ่ง

“ทีมของพวกเรามีทั้งหมดแปดคน ฝึการฝึกตนล้วนอยู่ที่ฝึกจิตขั้น5ขึ้นไป ดังนั้นพวกเราสามารถเข้าไปสำรวจส่วนลึกระดับหนึ่งของบ่อน้ำอมตะได้”

เปิดแผนที่ จวงหย้าเฟยชี้นิ้วไปยังสัญลักษณ์บนแผนที่ นิ้วมือวาดเป็นวงกลม “ที่นี่ คือบริเวณที่พวกเราจะเข้าไปสำรวจ ไม่ว่าจะเจอของล้ำค่าอะไร คนที่ทำความดีความชอบมากที่สุดจะได้ห้าส่วน คนที่เหลือหารห้า”

ทีมนักล่าอสูรทั่วไป ล้วนใช้วิธีนี้ในการแบ่ง
แน่นอนว่าหลัวซิวและเหยียนเยว่เอ๋อร์ไม่ได้มีความเห็นต่างใดๆ แต่ว่าหลังจากที่สังเกตเห็นพื้นที่บนสัญลักษณ์ในแผนที่ รูม่านตาของเขาหดเล็กลงเล็กน้อย เพราะพื้นที่ตรงนั้น คล้ายจะเป็นที่ตั้งของร่องถ้ำที่กำกับเอาไว้ในภาพปริศนา

“หรือว่าจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญ?” หลัวซิวขมวดคิ้วเป็นปม ถึงแม้จะมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดเรื่องบังเอิญแบบนี้ขึ้น แต่สัญชาตญาณของเขาบอกกับเขาว่า นี่อาจจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

แต่ว่าหลัวซิวไม่ได้สนใจเรื่องนี้ ด้วยความสามารถของเขาและเหยียนเยว่์เอ๋อร์ อย่าว่าแต่ปรมาจารย์ยุทธ์ฝึกจิตหกคน แม้แต่ผู้แข็งแกร่งระดับราชายุทธ์หกคน ก็รับมือได้อย่างง่ายดาย

……

นำทีมโดยจวงหย้าเฟย ทั้งแปดคนทะยานขึ้นบิน อย่างรวดเร็วก็ออกไปจากหมู่บ้าน มายังบริเวณใกล้ๆ บ่อน้ำอมตะ

ในบ่อน้ำมีอสูรกายมากมายซุกซ่อนตัวมากมาย บนท้องฟ้าก็มีอสูรกายอยู่อาศัย ดังนั้นผู้แข็งแกร่งปรมาจารย์ยุทธ์แดนฝึกจิตขึ้นไป อยู่ที่นี่ก็ไม่สามารถบินสูงเกินไปอย่างไร้ซึ่งความเกรงกลัว โดยทั่วไปจะบินอยู่บนท้องฟ้าระยะห่างจากพื้นดินบนบ่อน้ำสองถึงสามเมตร

มีบางครั้งที่อสูรกายซึ่งซ่อนตัวอยู่ในบ่อน้ำจะพุ่งตัวขึ้นมากะทันหัน มาโจมตีหลัวซิวและพวก เพียงแต่ระดับของอสูรกายเหล่านี้ไม่ได้สูงมาก ตลอดทางที่มา จึงไม่ได้พบเจออันตรายอะไร

อสูรกายที่ใช้ชีวิตอยู่ในบ่อน้ำเชี่ยวชาญในการซ่อนลมปราณของตนเอง นอกจากอสูรกายเหล่านี้บุกโจมตีกะทันหัน แม้แต่ตัวสำนึกของของหลัวซิว ก็ยากที่จะพบว่าพวกมันซ่อนตัวอยู่ในดิน

เช่นเดียวกับสถานที่ที่เปี่ยมไปด้วยอันตราย บ่อน้ำอมตะนี้ยิ่งลึกเข้าไป ก็ยิ่งอันตราย แต่ในทางเดียวกันก็ยิ่งง่ายที่จะตามหาทรัพยากรล้ำค่า

“บัวน้ำใจดำ!”

ตอนที่ใกล้จะถึงพื้นที่เป้าหมาย จู่ๆ คนหนึ่งในทีมซึ่งเป็นปรมาจารย์ยุทธ์แดนฝึกจิตขั้น7ก็ร้องตะโกนขึ้นมากะทันหัน

พบบ่อน้ำที่อยู่ห่างจากทุกคนประมาณสองร้อยเมตร ตรงกลางบ่อน้ำ ีดอกบัวสีดำ ลอยอยู่เหนือน้ำ

บัวน้ำใจดำคือยาทิพย์ระดับ5ซึ่งจะมีแค่ในบ่อน้ำอมตะ เมล็ดบัวสามารถนำมาสกัดยาสลายร่างระดับ5 เป็นของล้ำค่าที่ทำให้นักยุทธ์กลั่นร่างมากมายตาร้อนผ่าว

ตอนที่เห็นบัวน้ำใจดำ หลัวซิวเองก็อดไม่ได้ที่จะหวั่นไหว เพราะร่างยุทธ์ระดับราชาของเขาอยากจะพัฒนาขึ้น จำเป็นต้องใช้ยาสลายร่างระดับ5



ในมือของหลัวซิวถือวิชากลั่นยา นิ้วมือทั้งสิบเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่ว อาศัยความทรงจำของปรมาจารย์ระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น9 วิธีการควบคุมไฟของเขา แม้จะเป็นเหยียนเยว่เอ๋อร์ที่ฝึกวรยุทธ์ธาตุไฟอยู่แล้ว ยังตกตะลึง

สำหรับเธอ หลัวซิวมีพรสวรรค์และข้อได้เปรียบด้านความสามารถพิเศษในการควบคุมไฟ ไม่ไปฝึกวรยุทธ์ธาตุไฟ ถือเป็นการสิ้นเปลืองต่อพรสวรรค์ของเขา

แต่สิ่งที่ทำให้เธอตกใจยิ่งกว่าเดิมก็คือ เวลานี้หลัวซิวกำลังกลั่นยา อีกทั้งยาที่กลั่นมานัน้ ยังเป็นยาม่วงวิเศษ

ถึงแม้จะเป็นยาธรรมดาที่สุดในทั้งหกระดับ แต่ว่าในหกระดับนั้น ไม่ธรรมดาอย่างมาก เธอไม่สามารถจินตนาการได้จริงๆ หลัวซิวเพิ่งอายุสิบเจ็ดปี เขามีความสามารถของปรมาจารย์กลั่นยาระดับ6ได้อย่างไร

ในประเทศเทียนหวู เหตุที่ผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ทุกคนถูกราชวงศ์ตระกูลฝานถ่วงดุลและกดดัน หนึ่งเหตุผลสำคัญเป็นเพราะ เสด็จอาตระกูลฝานท่านนั้น คือปรมาจารย์กลั่นยาระดับ6เพียงคนเดียว

ไม่ว่าผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์จะฝึกตนหรือว่ารักษาบาดแผล ล้วนต้องการยาระดับหก ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าหาเรื่องราชวงศ์ตระกูลฝาน

เหยียนเยว่เอ๋อร์นั่งเงียบอยู่ไม่ไกลจากหลัวซิว มองดูวิธีการควบคุมไฟของเขาที่แสนจะวิเศษ สีหน้าของเธอเปี่ยมไปด้วยความตกตะลึง

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เปลวไฟในเตากลั่นยามอดดับลง หลัวซิวค่อยๆลืมตาขึ้น ดีดนิ้ว ฝาาเตากลั่นยาปลิวขึ้นไปด้านบน ยื่นมือออกไปจับ ยาเม็ดกลมมันวาวหลายเม็ดลอยออกมาจากเตากลั่นยา ถูกเขาเก็บเข้าไปในขวดหยก

ยาม่วงวิเศษเตานี้ มียาออกมาหกเม็ด หลัวซิวมองสัดส่วนสีของยา ใบหน้าของเขาเปี่ยมด้วยรอยยิ้ม ยาทุกเม็ดสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ เป็นยาบริสุทธิ์ที่ไม่มีสิ่งแปลกปลอม

แม้จะอยู่ในสมัยโบราณ วิชากลั่นยาของการกลั่นยาบริสุทธิ์ก็เป็นวิชาที่ล้ำค่าจนไม่อาจประเมินค่าได้ หลัวซิวเองก็อาศัยของขวัญจากผังกฎดั้งเดิมเทพแห่งวัฏจักรชีวิต ถึงได้วิชาลับนี้มา

ถึงแม้ไม่กล้าพูดว่าตอนนี้บนโลกใบนี้มีแค่เขาที่สามารถกลั่นยาบริสุทธิ์ได้ แต่อย่างน้อยเขาก็เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่สามารถนับได้อย่างแน่นอน

“เยว่เอ๋อร์ ให้เธอ” หลัวซิวยกมือขึ้น แล้วยื่นขวดหยกในมือไปให้เหยียนเยว่เอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ

เธอเป็นคนที่มีพรสวรรค์ ขอเพียงมียาสนับสนุนเพียงพอ วันหนึ่งต้องสามารถบรรลุแดนมกุฏยุทธ์ได้แน่นอน แต่นี่เป็นแค่เรื่องของเวลาเท่นั้น

เหยียนเยว่เอ๋อร์ยื่นมือออกไปรับ ส่งยิ้มให้หลัวซิว “ดูเหมือนว่าหลังจากนี้ต้องให้นายเลี้ยงฉันแล้ว”

ถึงแม้เธอจะเป็นจักรพรรดิยุทธ์ แต่ไม่ได้ดูถูกหลัวซิวแค่เพราะเขาเพิ่งบรรลุแดนฝึกจิต เพราะเธอรู้ดีว่าความหมายของปรมาจารย์กลั่นยาระดับ6คืออะไร นั่นคือคนที่ผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์ ต้องมีมารยาทด้วย

อีกทั้ง ความเร็วในการฝึกตนของหลัวซิวนั้นรวดเร็วอย่างมาก ระยะเวลาสั้นๆแค่สองปีกว่า เขาก็บรรลุจากแดนกลั่นร่างไปยังฝึกจิตขั้น9 การก้าวกระโดดนี้ไม่อาจจินตนาการได้

แต่สิ่งที่ทำให้เหยียนเยว่เอ๋อร์ชอบหลัวซิวที่สุดก็คือ ไม่ใช่พรสวรรค์และความสามารถของเขา แต่เพราะผู้ชายคนนี้ ปฏิบัติต่อตนด้วยความจริงใจ

ฐานันดรศักดิ์และประสบการณ์ในอดีตที่เคยพบเจอ ทำให้เธอไม่เชื่อคนง่ายๆ ถึงขั้นปิดตนเอง

ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ คนที่สามารถเข้ามาใกล้หัวใจของเธอ มีแค่หลัวซิวเท่านั้น แม้แต่พี่ชายของเธอ ผู้นำตระกูลเหยียนคนปัจจุบัน ก็หันหลังให้เธอไปนานแล้ว

……

ครึ่งเดือนหลังจากนั้น หลัวซิวและเหยียนเยว่เอ๋อร์เข้ามายังด้านในเมืองไห่หยุน หลังจากนั้นด้วยการชี้นำของภาพปริศนา มาถึงเขตการปกครองที่อยู่แถบชายแดนของเมืองไห่หยุน

เขตการปกครองนี้ เรียกว่าหมู่บ้านน้ำอมฤต ใกล้ๆมีบ่อน้ำ บ่อน้ำนี้มีชื่อว่าบ่อน้ำอมตะ เขตการปกครองนี้ ได้ชื่อนี้เพราะสาเหตุนี้

จากหมู่บ้านน้ำอมฤตไปยังบ่อน้ำ คือหนึ่งในสามขั้วอำนาจใหญ่ของประเทศเทียนหวู เป็นถิ่นของสำนักเสวียนหยาง

บ่อน้ำอมตะมีชื่อเสียงในประเทศเทียนหวู เพราะบ่อน้ำนี้ มีอสูรกายชนิดหนึ่ง ชื่อว่าปลาหมูค้อลายมังกร เลือดของมันคือหัวเชื้อยาที่ล้ำค่า สามารถนำมากลั่นยาเลือดลายมังกร กินหนึ่งเม็ดสามารถเพิ่มอายุขัยได้สิบปี

อายุขัย คือบ่วงจำกัดนักยุทธ์ในการบรรลุแดนที่สูงขึ้น ถึงแม้ว่าตั้งแต่ระดับพรสวรรค์ ทุกการบรรลุแดน อายุขัยจะเพิ่มมากขึ้น ผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ในตำนาน สามารถมีอายุนับหมื่นปี เป็นเรื่องที่น่าตกตะลึง

ทว่าแดนที่ผลการฝึกตนยิ่งสูงขึ้น ทุกการบรรลุแดนเล็กๆล้วนเป็นเรื่องที่ยากมาก นับประสาอะไรกับบรรลุแดนใหญ่?

ยกตัวอย่างเช่นผู้แข็งแกร่งระดับราชายุทธ์ ถึงแม้จะมีอายุขับหนึ่งพันสองร้อยปี แต่ว่าผู้แข็งแกร่งระดับราชายุทธ์มากมายโดดเดี่ยวชั่วชีวิต ตั้งแต่ตั้นจนจบก็ไม่สามารถบรรลุแดนจักรพรรดิยุทธ์ได้ ถึงขึ้นที่ว่าแม้แต่ราชายุทธ์ขั้น7ยังยากที่จะบรรลุ

วรยุทธ์ โอกาส ยา การตระหนักรู้ พรสวรรค์ เหตุผลต่างๆเหล่านั้น ล้วนส่งผลต่อการพัฒนายุทธ์

“ร่องถ้ำอยู่ในบ่อน้ำอมตะ”

ในหมู่บ้านเล็กๆ หลัวซิวหยิบภาพปริศนาขึ้นมาเปรียบเทียบ ตรวจสอบทิศทางครั้งสุดท้าย

“แล้วตอนนี้พวกเราสามารถเข้าไปหาเลยไหม?” เหยียนเยว่เอ๋อร์เอ่ยถาม

ตลอดทาง ทั้งสองเปลี่ยนรูปโฉมของตนเอง เพราะถึงอย่างไรคนของตำหนักจื่อและตระกูลเหยียนล้วนตามหาร่องรอยของเหยียนเยว่เอ๋อร์ ถ้าหากทำตัวโดดเด่น จะเป็นการหาเรื่องตนเอง

อีกทั้ง หลัวซิวอาศัยข่าวกรองของแก๊งนักล่าอสูร รู้ว่าตำหนักจื่อและตระกูลเหยียนอาศัยเบาะแสต่างๆ ตรวจสอบจนรู้แล้วว่าสุดท้ายเหยียนเยว่เอ๋อร์ถูกตระกูลเผยจับตัวไป เพียงแต่ความเร็วในการตรวจสอบของพวกเขา ไม่อาจเทียบกับแก๊งนักล่าอสูร

ตอนนี้ตระกูลเผยถูกทำลายแล้ว อีกทั้งทุกคนต่างรู้ว่าเป็นฝีมือของหลัวซิว ใช้เวลาไม่นาน ตำหนักจื่อและตระกูลเหยียน ก็จะเคลือบแคลงสงสัยในตัวเขา

ถึงแม้จะบอกว่าผู้แข็งแกร่งมกุฏยุทธ์ตำหนักจื่อคนนั้นจะไม่ลงมือง่ายๆ แต่ในตำหนักจื่อ ยังมีผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์อีกหลายคน แน่นอนว่าหลัวซิวและเหยียนเยว่เอ๋อร์ต้องระมัดระวังตัวหน่อย

“พวกเราไม่คุ้นชินกับบ่อน้ำอมตะ ทางที่ดีที่สุดคือสามารถเข้าไปในทีมของบ่อน้ำอมตะสักทีมหนึ่ง” หลัวซิวพูด

“ฉันฟังนาย” เหยียนเยว่เอ๋อร์พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม

บนเส้นทางจากหมู่บ้านไปยังบ่อน้ำอมตะ มีนักยุทธ์มากมายรวมตัวกันอยู่ที่นั่น รับสมัครคน เข้าไปหาของล้ำค่าในบ่อน้ำอมตะ

บ่อน้ำอมตะอณาเขตใหญ่มาก ด้านในมีอสูรกายมากมาย ในสภาพแวดล้อมพิเศษ ทำให้บ่อน้ำมีวัสดุล้ำค่ามากมาย ในประเทศเทียนวู สามารถหาได้ในบ่อน้ำอมตะเท่านั้น

ปลาหมูค้อลายมังกร คือหนึ่งในของที่ล้ำค่าที่สุด ถ้าหากจับได้หนึ่งตัว สามารถขายได้นับแสนหินพลังจิต

เพียงแต่ปลาหมูค้อลายมังกรจับยากมาก ทั้งยังหายาก เคลื่อนตัวในบ่อน้ำอย่างรวดเร็ว แม้แต่ผู้แข็งแกร่งระดับราชายุทธ์ยังยากที่จะไล่ตาม

“ปรมาจารย์ฝึกจิตขั้น9เป็นคนนำทีม ขาดอีกสองคน ต้องการผลการฝึกตนฝึกจิตขั้น5ขึ้นไป!”

ตอนที่หลัวซิวและเหยียนเยว่เอ๋อร์มา เห็นผู้หญิงสวมชุดสีแดงรัดรูปพูดตะโกนเสียงดัง

ผู้หญิงคนนี้หุ่นดีมาก หน้าตาทั่วไป มองดูแล้วอายุประมาณสามสิบกว่า

โดยปกติจอมยุทธ์จะแก่ช้า ทั้งยังไม่สามารถวิเคราะห์อายุจากหน้าตาได้ โดยทั่วไปคนที่แก่ชรา คือคนที่อายุขัยใกล้จะถึงขีดสุดแล้ว



หลัวซิวเพิ่งพบว่า หลังจากที่ตนหลอมรวมเป็นหนึ่งกับลูกแก้วความเป็นตาย ตลอดเกือบสามปีที่ผ่านมานี้ เขาล้วนใช้ชีวิตไปกับการเข่นฆ่าต่อสู้และฝึกฝนด้วยความยากลำบาก

ไม่เคยมีเสี้ยววินาทีไหน ที่ชีวิตของเขาผ่อนคลายเหมือนกับตอนนี้มาก่อน เดินทางอยู่ใกล้แดนตันแห่งความเป็นตายนับครั้งไม่ถ้วน แสวงหาโอกาสที่การบรรลุแต่ละขั้น เพียงเพื่อให้ตนแปรเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ปกป้องญาติมิตรของตน และปกป้องทุกอย่างที่ตนต้องการ

การต่อสู้บนเส้นทางแห่งความเป็นความตายที่น่าตกตะลึงนี้ มีเพียงตัวหลัวซิวที่รู้ดี แต่เขากลับพูดอย่างชัดเจน ไม่อยากให้เหยียนเยว่เอ๋อร์เป็นกังวล

แต่ว่า เหยียนเยว่เอ๋อร์เป็นคนฉลาดระดับไหน? มีหรือที่เธอจะไม่รู้ว่าหลัวซิวกำลังคิดอะไร?

หลังจากผ่านไปสองวัน เหยียนเย่ว์เอ๋อร์อาศัยยาวิญญาณหยินหยาง ฟื้นบาดแผลของเทพจิตจนหาย

เพราะบาดแผลเทพจิตเป็นมานานไม่หายสักที จึงทำให้ผลการฝึกตนของเธอไม่สามารถกลับไปอยู่ในขั้นสูงเหมือนเมื่อก่อนในครั้งเดียว ทำได้เพียงฟื้นตัวกลับไปยังแดนจักรพรรดิยุทธ์ขั้น2

นี่เป็นเพราะยาวิญญาณหยินหยางที่หลัวซิวกลั่นออกมานั้นเป็นยาบริสุทธิ์ที่ไม่มีสิ่งแปลกปลอม มิเช่นนั้นอยากมากเธอก็สามารถฟื้นตัวกลับไปถึงแค่แดนจักรพรรดิยุทธ์ขั้น1 ถึงขั้นมีความเป็นไปได้ว่าอาจจะลดจากจักรพรรดิยุทธ์ไปยังราชายุทธ์ขั้น9

ไม่ได้กลับไปเยี่ยมพ่อกับแม่ของตนมานานแล้ว หลังจากบาดแผลเทพจิตของเหยียนเยว่เอ๋อร์หายดี หลัวซิวนั่งค่ายวาร์ป จากเขตการปกครองหยุนหลง มายังเมืองชิงหยุน

บรรยากาศในลานสวนรื่นรมย์ พ่อกับแม่ผมขาวอย่างเห็นได้ชัด

หลัวซงหลินผู้เป็นพ่อ ดื่มชาและตากแดดอยู่ในสวน ส่วนแม่อุ้มหลานของตนอยู่ข้างๆ เสียงหัวเราะอย่างมีความสุข ดังก้องไปทั่วสวน

ตอนที่หลัวซิวปรากฏตัวในสวน คล้ายเวลาหยุดเดิน

“ซิว?” ในสายตาของพ่อกับแม่ ทอประกายด้วยน้ำตาแห่งความตื้นตัน

มีเพียงเด็กน้อยที่ร้องอ้อแอ้ ดวงตาเปล่งประกายคู่นั้น มองคนสวมชุดดำด้วยความสงสัยใคร่รู้

ใช้ชีวิตอยู่ด้านนอก ไม่มีพ่อแม่คนไหนที่จะไม่เป็นห่วง เวลาเกือบสองปีที่ไม่ได้เจอกัน พวกเขาเองก็คิดถึงหลัวซิวอย่างมาก

หลิวชูหยุนผู้เป็นแม่จับมือเหยียนเย่ว์เอ๋อร์แล้วถามสารทุกข์สุกดิบ แววตาที่มองเธอนั้นอ่อนโยนอย่างมาก คล้ายแววตาที่มองลูกสะใภ้ของตนอย่างไรอย่างนั้น

สิ่งที่ทำให้หลัวซิวแปลกใจก็คือ เหยียนเยว่เอ๋อร์เองก็ยินดีที่จะพูดคุยกับแม่ของตนมาก ทั้งยังเล่นกับหลานชายของตน กับแม่อีกด้วย

“ลูกคนนี้ สายตาเฉียบแหลม”

อีกด้านหนึ่ง หลัวซงหลินนั่งอยู่ตรงข้ามหลัวซิว ดื่มน้ำชาและพูดคุยกัน

หลัวซงหลินมองหญิงสาวชุดคลุมยาวแดงที่หลัวซิวพากลับมา พยักหน้าและยิ้มด้วยความพอใจ

“สายตาของผมเฉียบแหลมอยู่แล้วครับ ผมได้มาจากพ่อนะครับเนี่ย” หลิวซิวยิ้มแล้วพูด

เมื่อได้ยินแบบนี้ หลัวซงหลินอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเสียงดัง ผ่านไปสองปีแล้ว เด็กน้อยในตอนนั้น เวลานี้โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว

เขาในอดีต คือคนที่เข้าไปเก็บยาสมุนไพรในป่า เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับนักยุทธ์มาบ้าง รับรู้ถึงความอันตราย

คนฝึกยุทธ์ ดูเหมือนจะสวยหรู แต่ความเป็นจริงนั้นเดินมักจะใช้ชีวิตอยู่บนความเป็นความตาย หากไม่ระวังเพียงเล็กน้อย ก็มีโอกาสที่จะวิญญาณบุบสลาย

หลัวซิ่วเอ๋อรืผู้เป็นพี่ได้ยินข่าวหลัวซิวกลับมา เธอเองก็กลับมาที่บ้านพร้อมกับสามี เป็นเรื่องที่อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาทั้งครอบครัว

ตอนกลางคืน พระจันทร์ส่องสว่างอยู่บนท้องฟ้า หลัวซิวถือจอกสุรา นั่งอยู่ในสวน

“ถึงแม้ชีวิตของคนทั่วไปจะเรียบง่าย ทว่าครอบครัวก็มีความอบอุ่น ถ้าสามารถเลือกได้ ฉันอยากจะเป็นคนทั่วไป”

คนที่นั่งอยู่ข้างหลัวซิว เหยียนเยว่เอ๋อร์มองพระจันทร์ที่ส่องสว่างอยู่บนท้องฟ้ายามค่ำคืน พูดด้วยอารมณ์ที่อ่อนไหวเล็กน้อย

“น่าเสียดายที่พวกเราไม่อาจทำตามใจตนเองได้” หลัวซิวยิ้มแล้วส่ายหน้า จากนั้นดื่มสุราหนึ่งอึก

“ที่ฉันฝึกยุทธ์ เริ่มแรกเพื่อให้ญาติมิตรของตนได้ใช้ชีวิตที่มีความสุข สามารถมีชีวิตที่รุ่งโรจน์”

“กระทั่งตอนหลัง ฉันเพิ่งรู้ว่าโลกของนักยุทธ์นั้นโหดร้ายมากแค่ไหน เป้าหมายในการฝึกยุทธ์ของฉัน ไม่ใช่เพื่อความรุ่งโรจน์ แต่เพื่อปกป้องญาติมิตรที่อยู่รอบตัวของฉัน”

“แต่ตอนนี้ นอกจากปกป้องญาติมิตรของตนแล้ว เป้าหมายในการฝึกยุทธ์ของฉัน ก็เพื่อดุว่า ไปถึงจุดสูงสุดในการฝึกยุทธ์ จะเป็นทิวทัศน์อย่างไร”

หลัวซิวดื่มสุราอึกใหญ่ สุราร้อนๆ รินไหลเข้าไปในคอ คล้ายเป็นความภาคภูมิใจที่อยู่ในใจของเขา

เหยียนเยว์เอ๋อร์หันหน้าไปมองบุรุษที่เพิ่งอายุสิบเจ็ดปี หัวเราะ รอยยิ้มของเธองดงาม “ฉันยินดีที่จะอยู่เคียงข้างนาย”

ไม่จำเป็นต้องใช้คำพูดมากมาย สาบานต่อภูเขาและท้องทะเล แค่คำพูดธรรมดาที่สุดเพียงหนึ่งคำ ก็อบอุ่นเหมือนลำธาร รินไหลอยู่ในหัวใจ

ช่วงชีวิตที่เงียบสงบนี้ ถูกลิขิตไม่ให้ยืนยาว

หลังจากนั้นสามวัน ท่ามกลางแววตาอาลัยอาวรณ์ของคนในครอบครัว หลัวซิวเดินเคียงบ่างเคียงไหล่จากไปพร้อมกับเหยียนเย่ว์เอ๋อร์ หลงหมิงประสานเป็นหนึ่งกับพื้นที่ ติดตามไปราวกับเงา

สำหรับสิงห์ทิพย์อัคคีอร่าม ถูกหลัวซิวเก็บเอาไว้ที่บ้านในเมืองชิงหยุน ปกติแปลงกายเป็นขนาดเล็กเท่าลูกสุนัข แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่คุกคามคนในครอบครัวของเขาให้ตกอยู่ในอันตราย เขาจะกลายเป็นอสูรกายพันธุ์โบราณที่มีพลังยุทธ์ระดับฝึกจิตขั้น9

สิ่งที่หลัวซิวต้องทำก็คือ พัฒนาความสามารถของเขาเรื่อยๆ ไม่หยุดหย่อน กำจัดทุกอย่างที่มีโอกาสคุกคามญาติมิตรของตน

สิ่งนี้ คือเหตุผลที่เขาเลือกเดินบนเส้นทางโลกยุทธ์!

ในอดีตตอนที่อยู่ในเขตการปกครองหวู่เฟิง หลัวซิวได้รับลูกแก้วดำและภาพปริศนามาจากตระกูลจู เป็นเบาะแสของร่องถ้ำในสมัยโบราณ

จากเส้นทางที่ภาพปริศนาอธิบายนั้น ร่องถ้ำนี้ตั้งอยู่ในเมืองไห่หยุน คือหนึ่งในหกเมืองของประเทศเทียนหวู

ช่วยเหยียนเยว่เอ๋อร์ออกมาจากตระกูลเผย ทั้งยังอาศัยยาวิญญาณหยินหยางในการฟื้นฟูบาดแผล หลัวซิวไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายลงเพราะเรื่องนี้

ยังไม่ต้องพูดถึงตำหนักจื่อที่เป็นศัตรูของเหยียนเยว่เอ๋อร์ ราชวงศ์ตระกูลฝาน สำนักเสวียนหยาง ตระกูลเหยียน ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นภัยคุกคามที่ซ่อนตัวเอาไว้ ด้วยความสามารถของเขากับเหยียนเยว่เอ๋อร์ ไม่สามารถที่จะสู้กับอำนาจที่แข็งแกร่งและยิ่งใหญ่นี้ได้

ดังนั้นครั้งนี้หลังจากออกมาจากเขตการปกครองหยุนหลง หลัวซิวและเหยียนเยว่เอ๋อร์มุ่งหน้าไปยังเมืองไห่หยุน หวังว่าจะสามารถอาศัยร่องถ้ำสมัยโบราณนี้ หาโอกาส เพื่อพัฒนาความสามารถของตนเอง

ระหว่างทาง หลัวซิวเริ่มฝึกทักษะยุทธ์ระดับ9วิชาภูตผีเซินหลัว ตั้งแต่เขาได้ทักษะยุทธ์นี้ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาไม่มีเวลาได้ศึกษาอย่างถี่ถ้วน

นี่คือทักษะยุทธ์ที่ข้องเกี่ยวกับพลังแห่งความตาย ใช้ห้วงยุทธ์แห่งความตายในการขับเคลื่อน พลานุภาพแข็งแกร่ง

“ถ้าฉันสามารถบรรลุแดนราชายุทธ์ อาศัยพลังแปรเสวียนเทียน ตราธรรมจุติมรณะ วิชาภูตผีเซินหลัว ถึงแม้จะไม่เทียบเท่าจักรพรรดิยุทธ์ แต่ก็น่าจะปกป้องตนเองได้”

ภายใต้การวางแผนและคิดคำนวณของหลัวซิว สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือพัฒนาผลการฝึกตน ไม่อย่างนั้นไม่สามารถต่อสู้กับผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์และผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์เหล่านั้นได้

อีกทั้งผลการฝึกตนของเหยียนเยว่เอ๋อร์ก็จำเป็นต้องค่อยๆ ฟื้นตัว หลัวซิวเชื่อว่าอาศัยวิชากลั่นยาของตน พัฒนาผลการฝึกตนของเหยียนเยว่เอ๋อร์ไม่มีปัญหาแน่นอน

ระหว่างมุ่งหน้าไปยังเมืองไห่หยุน หลิวซิวฝึกตนจนไม่กินไม่นอน ตระหนักรู้ถึงความลับของวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพผัวกฎดั้งเดิมที่สอง

ตอนนี้ เขาตระหนักรู้ผังกฎดั้งเดิมที่สองเกือบครึ่งหนึ่งแล้ว ใช้เวลาอีกไม่นานก็จะกระจ่างทุกอย่าง มั่นใจและเข้าใจพลังแห่งความเป็นความตายขั้น2 มากขึ้นกว่าหนึ่งแล้ว

ผังกฎดั้งเดิมที่หนึ่ง เขาเข้าใจตราธรรมจุติมรณะ หลัวซิวตั้งหน้าตารอว่าหลังจากที่ตนเข้าใจผังกฎดั้งเดิมที่สองทั้งหมด จะได้รับอะไรบ้าง

ในป่าโล่งที่กว้างขวาง หลัวซิวตั้งค่ายกลเอาไว้ทั้งสี่ทิศ เตาทยานนภามังกรคู่ปรากฎด้านหน้า เปลวไฟสีแดงน้ำตาพลุ่งพล่าน เผาไหม้ในเตาไม่หยุดหย่อน

บรรยากาศภายในห้องโถงเงียบสงบลงอีกครั้ง ทุกคนต่างมองไปยังผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ที่เป็นผู้ลงมือคนนั้น ผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ขั้นสูงคนหนึ่งกลับถูกกำจัดลงง่ายๆ แบบนี้เลยหรือ

สีหน้าของเผยหยวนชิวซีดขาว ร่างของเขาล้มพับลงกับพื้นและพลันแก่ชราลงในทันทีหลายเท่า อายุขัยของร่างกายเขาค่อยๆ ลดลงไปเรื่อยๆ ตอนนี้เขาไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้ยืนยาวอีกแล้ว

ผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์มีอายุขัยราวๆ หนึ่งพันสองร้อยกว่าปี เผยหยวนชิวมีชีวิตอยู่มากว่าพันปีแล้ว ตามหลักการแล้วเขาน่าจะเหลืออายุขัยอยู่อีกราวๆ หนึ่งร้อยปี

แต่เมื่อการฝึกตนของเขาถูกกำจัดไปแล้ว ผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์กลายเป็นมนุษย์ธรรมดา ย่อมไม่อาจรักษาอายุขัยที่ได้มาจากการฝึกตนไว้ได้ ดังนั้นเขาไม่มีทางหนีความตายพ้น

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับจักรพรรดิยุทธ์เช่นนี้ เขาไม่มีโอกาสแม้แต่จะระเบิดยาเทพจิตของตัวเอง เขาไม่มีพลังที่จะตอบโต้กลับ เมื่อถูกขจัดการฝึกตนไปหมดแล้ว ความพยายามอย่างหนักในการฝึกฝนก็พังทลายลงไปทั้งหมด

“ทำไม ข้ารับปากแล้วไม่ใช่หรือว่าจะปล่อย ทำไมแกยังต้องขจัดการฝึกตนของข้าด้วย” เผยหยวนชิวคำรามอยู่ในลำคอ

ทว่าไม่มีใครสนใจเขาอีกแล้ว คนไร้ประโยชน์ที่จะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน ไม่มีประโยชน์อะไรที่คนในที่นั้นจะต้องเสียเวลาไปใส่ใจ

“ตื่นแล้วหรือ”

เมื่อเห็นเหยียนเยว่เอ๋อร์ที่หมดสติไปลืมตาขึ้น หลัวซิวก็กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

“ฉันไม่ได้ฝันไปใช่ไหม”

เหยียนเยว่เอ๋อร์ยื่นมือออกไปสัมผัสใบหน้าของหลัวซิว เมื่อเธอรับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่คุ้นเคย ฝ่ามือที่สัมผัสใบหน้าเบาๆ ก็เริ่มสั่นเครือ

ในเวลาเดียวกันเธอเองก็ยังคงข้องใจ เพราะเธอจำได้ว่าหลังจากที่เธอได้รับบาดเจ็บ เผยหยวนชิวเป็นคนจับตัวเธอไว้

“ยัยโง่ เธอไม่ได้กำลังฝัน”

หลัวซิวโอบเธอเข้ามาอยู่ในอ้อมอกอย่างทะนุถนอม บางทีในสายตาของคนทั่วๆ ไป อาจมองว่าเธอคือจักรพรรดิยุทธ์เทียนเฟิ่งผู้สูงส่งเด็ดเดี่ยว ทว่าหลัวซิวรู้ดีว่าในใจของเธออันที่จริงแล้วก็ยังคงมีด้านที่อ่อนโยนอยู่เช่นกัน

ความแข็งแกร่งของเธอ นั้นมาจากประสบการณ์อันยากลำบากที่เธอประสบพบเจอมาตลอดชีวิต

ร่างกายบอบบางของเหยียนเยว่เอ๋อร์สั่นไหว เธอคือจักรพรรดิยุทธ์เทียนเฟิ่ง ไม่เคยมีใครปฏิบัติกับเธออย่างสนิทสนมเช่นนี้มาก่อน

ทว่าสัญชาตญาณที่ส่งออกมาจากข้างในของเธอ ทำให้เธอไม่อาจปฏิเสธอ้อมกอดของหลัวซิวได้ อีกทั้งแผงอกที่เธอกำลังซบอยู่นั้นยังอบอุ่น ทำให้เธอเกิดความรู้สึกอยากที่จะพักพิงอยู่ในอ้อมอกนั้น

“ฉันจำได้แต่ว่าถูกเผยหยวนชิวจับตัวเอาไว้ เธอช่วยเล่าให้ฉันฟังหน่อยได้ไหมว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างที่ฉันหลับไป” เหยียนเยว่เอ๋อร์กล่าวถามด้วยความสงสัย

เมื่อกล่าวเรื่องนี้ขึ้นมา ร่างของหลัวซิวก็เริ่มมีพลังความอาฆาตแผ่ซ่านออกมาอีกครั้ง

“ที่เผยหยวนชิวจับตัวคุณไปเป็นเพราะต้องการใช้วิชามารที่เรียกว่าจับจิตพรากวิญญาณ เพื่อต้องการที่จะบรรลุแดนจักรพรรดิยุทธ์ พอผมได้ยินก็เลยรีบมาช่วยคุณ โชคดีที่คุณยังไม่ได้รับบาดเจ็บ ไม่อย่างนั้นแล้วตลอดชีวิตนี้ผมไม่มีทางที่จะให้อภัยตัวเอง……” หลัวซิวกอดเธอแน่นขึ้น

แม้ว่าหลัวซิวจะกล่าวด้วยท่าทางสบายๆ แต่เหยียนเยว่เอ๋อร์ก็รู้ดีว่าการช่วยเธอออกมาจากมือของเผยหยวนชิวนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย คงจะต้องเป็นเรื่องที่ยากลำบากมาเรื่องหนึ่ง

หากไม่มีผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ยื่นมือมาช่วย ทั่วทั้งประเทศเทียนหวูแห่งนี้คงไม่มีใครมีความสามารถมากพอที่จะแย่งตัวเธอออกมาจากเงื้อมมือของเผยหยวนชิวผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ขั้นสูงคนนี้ได้

“เผยหยวนชิวกล้าเอาฉันทำเป็นเตากลั่นยาเพื่อให้บรรลุการฝึกตนงั้นรึ รอให้ฉันฟื้นฟูการฝึกตนก่อนเถอะ ฉันจะฆ่าตระกูลทั้งตระกูล!” น้ำเสียงของเหยียนเยว่เอ๋อร์อาฆาตแค้น

เมื่อได้ยินเธอพูดดังนั้น รอยยิ้มของหลัวซิวพลันหายไป เขาใช้นิ้วมือสัมผัสผมของเหยียนเยว่เอ๋อร์เล่นๆ แล้วกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม “คุณคงไม่มีโอกาสนั้นแล้วล่ะ เพราะตอนนี้ไม่มีตระกูลเผยอยู่อีกแล้ว”

คำพูดเช่นนี้เมื่อถูกกล่าวออกมาแล้ว ร่างอรชรของเหยียนเยว่เอ๋อร์ชะงักไป เธอรีบลุกออกมาจากอกของหลัวซิว แล้วมองจ้องไปที่เขา

หลังจากที่เธอมองเขาแล้ว เธอเพิ่งจะสังเกตได้ว่า เด็กหนุ่มที่ฝึกตนอยู่ในแดนพรสวรรค์ ตอนนี้ได้กลายเป็นปรมาจารย์โลกยุทธ์ในแดนฝึกจิตขั้น 9 แล้ว

ดวงตาดำของเธอเบิกกว้างขึ้น สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ เพราะเวลาเพิ่งจะผ่านมาได้เพียงสองปีเท่านั้น เขาทำได้อย่างไร?

เธอไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่า มีคนสามารถฝึกตนได้ไวขนาดนี้

อีกอย่างแม้ว่าเขาจะอยู่ในแดนฝึกจิตขั้น 9 แล้ว แต่เขาจะกำจัดตระกูลเผยได้อย่างไร

“ผมเชิญผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์มาช่วยน่ะ” หลัวซิวยิ้มพลางกล่าวอธิบาย

ระหว่างที่พูด หลัวซิวก็พลิกมือเพื่อหยิบขวดหยกงามวิจิตรออกมาจากแหวนเก็บของแล้วส่งให้เหยียนเยว่เอ๋อร์

เหยียนเยว่เอ๋อร์รับมาอย่างประหลาดใจ เมื่อเธอเห็นยาเม็ดกลมที่กลิ้งอยู่ในขวดหยก ตัวของเธอก็รู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่าจนแข็งทื่ออยู่กับที่

“ยาวิญญาณหยินหยาง?” เธอกล่าวออกมาอย่างประหลาดใจ พลางยกมือขึ้นมาปิดปากเอาไว้ ตลอดสองปีที่ผ่านมานี้ สิ่งที่เธอปรารถนามาตลอดก็คือยาเม็ดนี้

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ในใจของเธอก็เต็มไปด้วยความประทับใจ เห็นได้ว่าสองปีที่ผ่านมานี้ หนุ่มน้อยคนนี้ที่ล่วงเกินเธอโดยไม่ตั้งใจคนนั้นเพียงครั้งเดียว ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้เธอได้ฟื้นฟูอาการบาดเจ็บและผ่านความลำบากสารพัด

ยาวิญญาณหยินหยางเพียงเม็ดเดียวไม่ใช่สิ่งที่หามาได้ง่ายๆ ไม่เช่นนั้นแล้วตลอดสองปีที่ผ่านมานี้ เหตุใดเธอจึงยังไม่สามารถฟื้นฟูอาการบาดเจ็บของตัวเองได้

ตลอดสามร้อยปีที่ผ่านมานี้ เธอมีชีวิตอยู่ท่ามกลางความแค้นอย่างไม่รู้จบ เธอตั้งหน้าตั้งตาฝึกฝนเพื่อหวังว่าสักวันหนึ่งเธอจะมีโอกาสแก้แค้นให้กับพ่อแม่ของเธอ

เมื่อคนในตระกูลได้รับแรงบีบคั้นจากตำหนักจื่อ ทุกคนก็เริ่มวางตัวเหินห่างจากเธอ และถึงขั้นร่วมมือกันเพื่อส่งตัวเธอไปให้ตำหนักจื่อเพื่อต้องการความดีความชอบ และเพื่อให้ตระกูลยังคงอยู่ต่อไปได้

เธอผิดหวังและสิ้นหวัง ทว่าในช่วงเวลาที่เธออ่อนแอมากที่สุด หนุ่มน้อยที่ฝึกตนในแดนพรสวรรค์คนหนึ่งก็ได้เข้ามาในหัวใจของเธอ

เดิมทีเธอคิดว่าทั้งเขาและเธอตลอดชีวิตนี้คงไม่มีโอกาสได้มีความข้องเกี่ยวต่อกันอีก ทว่าโชคชะตาเป็นสิ่งที่น่าพิศวง หลังจากเวลาผ่านไปสองปี พวกเขาทั้งคู่ก็ได้กลับมาพบเจอกันอีกครั้ง

หนุ่มน้อยในแดนพรสวรรค์ในตอนนั้น ตอนนี้กลายเป็นผู้แข็งแกร่งระดับปรมาจารย์โลกยุทธ์ และยังสามารถเชิญผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์มาช่วยในการกำจัดกลุ่มอำนาจใหญ่ที่เป็นรองเพียงสิบตระกูลใหญ่อย่างตระกูลเผยได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเธอรู้ว่ายาวิญญาณหยินหยางเม็ดนี้ หลัวซิวเป็นคนที่กลั่นออกมาด้วยตัวเอง เหยียนเยว่เอ๋อร์ก็ยิ่งตื้นตันจนถึงขีดสุด

ราวกับว่าชื่อของหลัวซิวนี้มีหมายความถึงความแปลกประหลาดและคาดไม่ถึง

คราวนี้เป็นเธอเองที่เปิดหัวใจของเธอและกางแขนออกเพื่อเอาศีรษะของหลัวซิวมาซบลงที่อกของตัวเธอเอง

และในตอนนั้นเอง เธอเริ่มเกิดความรู้สึกว่า เธออยากให้เวลาหยุดนิ่งอยู่เช่นนี้ตลอดไป

……

จักรพรรดิยุทธ์เทียนเฟิ่ง เหยียนเยว่เอ๋อร์ที่กำลังนอนอยู่บนเตียงไม้อย่างสวยสง่าตอนนี้ ได้กลายเป็นเด็กสาวที่เต็มไปด้วยความสุขอีกครั้ง เธอซุกอยู่ในอกของหลัวซิวอย่างแนบแน่น

“บอกฉันได้ไหมว่าสองปีที่ผ่านมานี้ผ่านอะไรมาบ้าง”

เธออยากรู้มากว่าสองปีที่ผ่านมานี้ หลัวซิวใช้ชีวิตอย่างไร และใช้วิธีอะไรในการบรรลุจากแดนพรสวรรค์มาจนถึงขั้นนี้ได้

“คุณอยากรู้จริงๆ หรือ” หลัวซิวยิ้ม

เหยียนเยว่เอ๋อร์พยักหน้า ดวงตาของเธอจ้องไปที่เขาอย่างเปล่งประกาย

“เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นเรื่องที่ยาวมาก……”

หลัวซิวเล่าเรื่องทั้งหมดให้เธอฟังอย่างคร่าวๆ ทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความลับของลูกแก้วความเป็นตาย

ระหว่างที่เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวเอง เขาก็รู้สึกราวกับว่าเหตุการณ์แต่ละเหตุการณ์ได้ปรากฏขึ้นในหัวของเขาอีกครั้ง

ทว่าเวลานี้ไม่มีใครก้าวออกมากล่าวอะไรหรือว่าลงมือทำอะไรทั้งนั้น หลายปีมานี้ตระกูลเผยพยายามเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในการจัดลำดับสิบตระกูลใหญ่ และแอบดำเนินการเรื่องลับต่างๆ มากมาย ทำให้กลุ่มอำนาจในหลายๆ ฝ่ายไม่พอใจอย่างมาก

สวีจิงเหนียนเองก็ไม่ได้ปล่อยพลังของตัวเองออกมา ในฐานะที่เป็นผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ หากใช้พลังของตัวเองในการต่อสู้กับราชายุทธ์แบบตัวต่อตัว นั่นกลับจะเท่ากับว่าเป็นการลดระดับของตัวเองลง

“เผยหยวนชิว ถ้าหากอยากให้ลูกสาวของแกยังมีชีวิตอยู่ต่อ แกก็ต้องพิจารณาข้อเสนอของฉัน ปล่อยผู้หญิงที่แกจับตัวไปออกมาเดี๋ยวนี้”

หลัวซิวถอนใจ เขาเริ่มออกแรงบีบคอของเผยหลัวเหลียนมากขึ้น ทำให้ใบหน้าของเธอซีดขาวขึ้นทันที

“ฉันไม่มีอารมณ์จะพูดไร้สาระกับแกนะ ผู้หญิงที่ฉันบอกให้แกปล่อยตัวออกมาคือใคร ตัวแกเองรู้อยู่แก่ใจ”

หลัวซิวกล่าวออกมาเช่นนี้มีหรือที่เผยหยวนชิวจะฟังไม่เข้าใจ ตั้งแต่เริ่มแรกที่อีกฝ่ายมาตามหาคน เขาก็แอบสงสัยมาตั้งแต่ต้นแล้ว เพราะในช่วงเวลานี้มีเพียงคนเดียวที่ตระกูลเผยจับตัวเอาไว้ นั่นคือจักรพรรดิยุทธ์เทียนเฟิ่ง เหยียนเยว่เอ๋อร์นั่นเอง

“ทหารตระกูลเผย ไปจับตัวสองคนนั้นมา!” สีหน้าของเผยหยวนชิวหมองคล้ำเย็นชา เขายกมือขึ้นแล้วตวาดออกคำสั่ง

“ท่านเจ้าตระกูล คุณหนูอยู่ในมือของพวกมันนะ” ผู้อาวุโสราชายุทธ์คนหนึ่งกล่าวแทรกขึ้นพลางขมวดคิ้ว

“ข้ารู้ดีว่าตัวเองกำลังทำอะไร ลงมือ!” เผยหยวนชิวตวาดเสียงแข็ง

หากเทียบกับความปรารถนาที่จะได้บรรลุแดนจักรพรรดิยุทธ์แล้ว สำหรับเผยหยวนชิว ลูกสาวคนเดียวไม่ถือว่าสำคัญอะไร เพราะขอแค่สามารถบรรลุแดนจักรพรรดิยุทธ์ได้ อายุขัยของเขาจะเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า เขาจะมีอายุเพิ่มไปอีกเป็นพันปี ถึงตอนนั้นเขาจะมีลูกสาวอีกกี่คนก็ยังได้

เมื่อได้ยินคำสั่งของเผยหยวนชิวแล้ว ผู้แข็งแกร่งตระกูลเผยทั้งหมดที่อยู่บริเวณนั้นก็ส่งเสียงรับ ผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ขั้น 4 ขึ้นไปทั้ง 4 คนรวมตัวผนึกพลังฟ้าดินเข้าด้วยกัน อีกทั้งยังเรียกตัวนักยุทธ์ออกมาจากแหวนเก็บของ ตอนนี้ทุกอย่างต่างมุ่งหน้าไปยังหลัวซิวกับสวีจิงเหนียน

เมื่อผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ทั้ง 4 คนร่วมมือกันโจมตี ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ขั้น 5 และขั้น 6 ก็ยังต้องถอยหนี

ทว่าทั้งหมดนี้สำหรับจักรพรรดิยุทธ์อย่างสวีจิงเหนียนแล้ว ถือเป็นการดูถูกความสามารถเขาเกินไปหน่อย

ผู้อาวุโสคนนี้มีแสงสีเขียวปกคลุมไปทั่วทั้งร่างกายจนทำให้มองไม่เห็นใบหน้าของเขา ตอนนี้ดูไม่มีทีท่าว่าจะหนี แถมยังมีพลังงานที่น่ากลัวแผ่ซ่านออกมาจากภายในร่างกายของเขา

“ตู้ม!”

ราชายุทธ์ทั้ง 4 คนที่บุกโจมตีเข้ามา ถูกพลังงานบางอย่างโจมตีจนลอยกระเด็นคว้างออกไป แสงสีเขียวสว่างวาบจนทำให้ทุกคนรู้สึกจ้าตา

“นี่คือ……ผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์รึ” ในห้องโถงตอนนี้ ผู้แข็งแกร่งที่มาร่วมอวยพรจากหลากหลายที่ต่างพากันทำสีหน้าชะงักงัน

ในประเทศเทียนหวูแห่งนี้ จำนวนผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์มีไม่เกิน 15 คน นอกจากนี้ยังมีไม่น้อยที่ปลีกตัวไม่ข้องเกี่ยวทางโลก จักรพรรดิยุทธ์แต่ละคนมักจะนั่งบัลลังก์ปกครองอยู่ประจำกลุ่มอำนาจต่างๆ โดยไม่เปิดเผยตัวเอง

“ตระกูลเผยทำให้จักรพรรดิยุทธ์ไม่พอใจ มีเรื่องกับคนที่ไม่ควรมีเรื่องด้วยเลย” ผู้แข็งแกร่งจากแต่ละกลุ่มอำนาจต่างพากันมองหน้ากันด้วยสีหน้าวิตกกังวล

“จักรพรรดิยุทธ์?”

สีหน้าของเผยหยวนชิวแปรเปลี่ยนไปทันที อารมณ์ปั่นป่วนแล่นไปทั่วร่างของเขา “ท่านผู้อาวุโส ตระกูลเผยของพวกเราดูเหมือนจะไม่เคยมีความแค้นใดๆ ต่อท่านกระมัง”

ทว่าสวีจิงเหนียนกลับไม่มีทีท่าสนใจคำพูดของเผยหยวนชิว เขาไม่เก็บมันมาใส่ใจและไม่ยอมเอ่ยปากอะไรออกมา

หลัวซิวก้าวอาดออกไปข้างหน้าแล้วยิ้มอย่างขมขื่น “ฉันขี้เกียจจะพูดเรื่องไร้สาระกับแกแล้ว ส่งตัวคนที่ฉันต้องการออกมาเดี๋ยวนี้ไม่เช่นนั้นแล้ว ฉันจะฆ่าตระกูลเผยของแกทั้งตระกูล”

“ฉันไม่เข้าใจว่าแกกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่ ตระกูลเผยของพวกเราไม่มีคนที่แกตามหา” เผยหยวนชิวยังคงเถียงกลับ

“ผู้อาวุโส ลงมือเถิด” หลัวซิวหันไปมองสวีจิงเหนียนที่มีแสงสีเขียวปกคลุมไปทั่วร่าง

ผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์จึงก้าวออกมาข้างหน้า เพียงครู่เดียวเขาก็ปล่อยเงาเศษสีเขียวออกมา เพียงชั่วพริบตาเดียวเขาก็เคลื่อนกายไปปรากฏอยู่ด้านหลังเผยหยวนชิวแล้ว

ในช่วงเวลานั้น เผยหยวนชิวรู้สึกว่าทั่วทั้งร่างของเขามีความหนาวยะเยือกถึงกระดูกปกคลุมไปทั่วร่าง ทว่าเขาเป็นถึงผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ขั้นสูงที่นั่งบัลลังก์ เขาจึงโคจรพลังจิตแท้ในร่างกายทันทีจนเกิดเป็นเปลวไฟลุกโชนทั่วร่าง แล้วมุ่งหน้าเข้าไปโจมตีสวีจิงเหนียนที่อยู่ด้านหลัง

เมื่อเห็นเผยหยวนชิวตอบโต้ สีหน้าของสวีจิงเหนียนที่มีแสงสีเขียวบดบังอยู่ก็แสยะยิ้มออกมา ก่อนจะยื่นฝ่ามือผลักออกไปข้างหน้า

“ปั้ง!”

เมื่อฝ่ามือเข้าปะทะแล้ว เสียงกระอักใสกังวานก็ดังสะท้อนไปทั่ว สีหน้าของเผยหยวนชิวเปลี่ยนไปในทันที ร่างของเขากระเด็นออกไปโดยมีเลือกไหลซึมออกมาทางปาก ก่อนที่แผ่นหลังของเขาจะลอยไปกระแทกเข้ากับกำแพงด้านหลัง

ต่อสู้เพียงหนึ่งยกเท่านั้น ผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ระดับสูงที่มีชื่อเสียงโด่งดังของประเทศเทียนหวูก็มีสภาพไม่ต่างอะไรกับแมลงวันตัวหนึ่ง เขาถูกฝ่ามือกระแทกจนลอยคว้าง ทำเอาคนที่อยู่ในที่นั้นต่างชะงักงัน

นี่คือผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ตัวจริง ต่อให้ราชายุทธ์ระดับสูงจะมีระดับห่างจากจักรพรรดิยุทธ์เพียงขั้นเดียว ทว่าความห่างนี้กลับไม่สามารถเอาเหตุผลมาเป็นเครื่องวัดได้

สวีจิงเหนียนไม่ได้ลงมือต่อ เพราะเมื่อครู่นี้ เขาเพิ่งจะรู้ความจริงว่าวัตถุประสงค์หลักของหลัวซิวคือต้องการช่วยคนคนหนึ่ง หากเขาลงมือฆ่าเผยหยวนชิวทันที ไม่มีใครรู้ว่าคนตระกูลเผยจะทำให้คนที่ไม่รู้เรื่องต้องเดือดร้อนไปด้วยหรือไม่ และอาจทำให้คนที่หลัวซิวต้องการช่วยบาดเจ็บไปด้วย

“เผยหยวนชิว ฉันจะให้โอกาสแกอีกครั้ง ปล่อยตัวคนที่ฉันต้องการออกมาเดี๋ยวนี้!” สีหน้าของหลัวซิวไร้ความรู้สึกใด

“ข้าบอกไปแล้วไง ว่าตระกูลเผยไม่มีคนที่แกต้องการ นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิด” ให้ตายอย่างไรเผยหยวนชิวยังคงไม่ยอมรับ

เพราะเขารู้ดีว่า จักรพรรดิยุทธ์เทียนเฟิ่งเป็นความหวังที่จะทำให้เขาบรรลุแดนจักรพรรดิยุทธ์ได้ หากยอมปล่อยตัวนางไป มีความเป็นไปได้ที่อีกฝ่ายไม่พลิกลิ้นไม่ยอมทำตาม นอกจากนี้ความหวังที่เขาจะทำตามความปรารถนาที่ตัวเองต้องการมาตลอดชีวิตจะต้องพังทลายลงไปอีกด้วย

“ขจัดการฝึกตนของเขา” หลัวซิวกล่าวกับสวีจิงเหนียนด้วยสีหน้าเย็นชา

เมื่อกล่าวออกไปเช่นนี้ สีหน้าของเผยหยวนชิวจึงซีดเผือด เพราะหากเขาถูกขจัดการฝึกตนออกไปแล้ว อย่าว่าแต่บรรลุแดนจักรพรรดิยุทธ์เลย เขาจะกลายเป็นคนพิการในทันทีและสูญเสียทุกอย่างไป

“อย่า ฉันจะปล่อยเดี๋ยวนี้!” เผยหยวนชิวตะโกนลั่น

“ปล่อยตอนนี้มันสายเกินไปแล้ว” น้ำเสียงของหลัวซิวแข็งกระด้างหนาวสะท้าน

สวีจิงเหนียนไม่มีความลังเล เขายกมือขึ้นแล้วโจมตีไปที่จุดตันเถียนชี่ไห่ของเผยหยวนชิวทันที

“ไม่!”

เผยหยวนชิวพยายามโคจรพลังจิตแท้ของตัวเองอย่างบ้าคลั่ง และรีบเคลื่อนกายถอยหลังไป ร่างของเขากลายเป็นเปลวไฟลุกโชน และพยายามที่จะหนีออกไปจากที่นี่

ทว่าในตอนนี้ เหนือศีรษะของสวีจิวเหนียนปรากฏเจดีย์สีเขียวภาพเสมือนขึ้นมา พลังงานที่เต็มไปด้วยความแปลกประหลาดลึกลับเคลื่อนที่ไปรอบๆ จับตัวเผยหยวนชิวที่ตั้งท่าจะหนีให้ไม่สามารถขยับเขยื้อนไปไหนได้

เมื่อเขาถูกล็อกตัวเอาไว้แล้ว ร่างของเผยหยวนชิวจึงหยุดนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่สามารถขยับเขยื้อนไปไหนได้อีก

“เทพจิต! เทพจิตของผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์……”

หลัวซิวเห็นภาพตรงหน้าก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงไปเช่นกัน เมื่อฝึกตนไปจนถึงแดนจักรพรรดิยุทธ์แล้ว วิญญาณตัวสำนึกจะเปลี่ยนแปลงไปอีกขั้นจนผนึกรวมกลายเป็นเทพจิต

รูปร่างของเทพจิตจะแปรเปลี่ยนไปตามระดับการฝึกวรยุทธ์ และหากห่างชั้นกันเยอะ พลังของเทพจิตจะสามารถจะสามารถล็อกวิญญาณหยั่งรู้ของอีกฝ่ายเอาไว้ได้ด้วย คล้ายกับพลังอมตะของวิชาคงร่าง ทำให้ผู้ฝึกตนที่อยู่ในแดนต่ำกว่าไม่สามารถขยับเขยื้อนได้

การใช้เทพจิตล็อกร่างกาย คือวิธีการของผู้ที่เป็นจักรพรรดิยุทธ์

ตู้ม!

เผยหยวนชิวไม่สามารถขยับเขยื้อนและขัดขืนได้ เขาได้แต่กะพริบตาปริบๆ มองมือมือหนึ่งกดลงที่จุดตันเถียนของเขา ยาเทพจิตชีวิที่ฝึกฝนมาหลายพันปีพลันแตกสลายไปชั่วพริบตา ร่างที่ผ่านการฝึกตนมาแล้วถูกทำให้กลายเป็นผู้ไร้ความสามารถไปในทันที

“แกเป็นใคร ถือดีอะไรมาขวางฉัน”

เมื่อเห็นชายชุดดำปรากฏตัวออกมาขวางทางของเธอ ไข่ในหินประจำตระกูลเผยก็มีสีหน้าแข็งกระด้างขึ้นมาทันที และเริ่มวางเย่อหยิ่ง

“ผมมีเรื่องต้องคุยกับเผยหยวนชิว คุณช่วยนำทางผมไปหน่อย” หลิวซิวกล่าวอย่างราบเรียบ

“บังอาจ! พ่อของฉันเป็นเจ้าตระกูลเผย แล้วแกเป็นใคร ทำไมถึงกล้าเรียกชื่อพ่อฉันแบบนี้”

เผยหลัวเหลียนตวาดเสียงแข็ง ที่ผ่านมาเธอได้รับการเลี้ยงดูแบบตามใจจนเสียนิสัย เธอจึงดึงกระบี่นุ่ม ออกมาจากเอว เตรียมจะสั่งสอนชายชุดดำผู้นี้ให้รู้เรื่อง

ทว่าในตอนที่เธอเพิ่งดึงกระบี่นุ่มออกมานั้น เธอก็เห็นหนุ่มชุดดำยื่นมือออกมา ที่ปลายนิ้วมือของเขาปรากฏเปลวเพลิงสีดำ

ในฐานะที่เป็นไข่ในหินของตระกูลเผย การฝึกตนของเผยหลัวเหลียนจึงไม่สูงมากนัก ทว่ากระบี่นุ่มในมือของเธอกลับไม่ใช่ของธรรมดา แต่เป็นถึงระดับนักยุทธ์ขั้นดินล่าง

ทว่าในช่วงเวลานี้ กระบี่ยุทธ์ระดับขั้นดินล่างนี้ด้ามนี้กลับถูกหนุ่มชุดดำที่อยู่ตรงกันข้ามคว้าเอาไว้ ไม่ว่าเธอจะพยายามกระตุ้นพลังจิตแท้อย่างไร ก็ไม่สามารถขยับเขยื้อนมันได้อีก

ส่วนกระบี่ยุทธ์ระดับนักยุทธ์ขั้นดินล่างภายใต้การแผดเผาของเปลวไฟสีดำนั้นก็ค่อยๆ อ่อนตัวลงเรื่อยๆ ราวกับกำลังจะละลาย

บริเวณนี้อยู่ไม่ไกลจากตำหนักตระกูลเผยมากนัก เมื่อทางนี้เกิดความเคลื่อนไหว ไม่นานนักแขกที่อยู่ในตำหนักใหญ่ก็จะเริ่มรับรู้ได้

“หยุดเดี๋ยวนี้!”

มีคนคนหนึ่งตะโกนร้องพลางพุ่งทะยานเข้ามาด้วยความเร็วจี๋

แกร๊ก!

มือของหลัวซิวออกแรงบีบ บริเวณปลายกระบี่นุ่มระดับขั้นดินล่างถูกบีบจนแหลกละเอียด จากนั้นเขาจึงยื่นมือเปล่าออกไปกลางอากาศ พลังดึงดูดมหาศาลได้ลากตัวของเผยหลัวเหลียนเข้ามา สุดท้ายลำคอขาวสะอาดของเธอก็ได้เข้ามาอยู่ในฝ่ามือของเขา

“สหาย หากคุณหนูของพวกเราทำอะไรผิดไป ก็ขอได้โปรดเห็นแก่หน้าของพวกเราตระกูลเผยบ้าง อย่าไปถือสาอะไรเธอเลย”

ผู้ที่ตามมาในตอนหลังนี้ คือชายสวมใส่ชุดผ้าฝ้ายหรูหรา เขาเห็นแล้วว่าในมือของหลัวซิวปรากฏเปลวไฟสีดำ แววตาของเขาจึงเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

แม้แต่กระบี่ยุทธ์ระดับขั้นดินล่างยังไม่อาจรับมือกับเปลวไฟดำนี้ได้ ชัดเจนว่าอานุภาพของเปลวไฟดำนี้น่าหวาดผวาขนาดไหน

“ทำไมฉันต้องไว้หน้าตระกูลเผยด้วย” หลัวซิวทำสีหน้าดูถูก

ได้ยินเช่นนั้น ชายวัยกลางคนก็เริ่มทำหน้าไม่ถูก แม้ว่าในใจของเขาจะไม่พอใจมาก แต่กลับพยายามซ่อนความโกรธนั้นเอาไว้ ก่อนจะกล่าวตอบไปอย่างยิ้มแย้ม “เช่นนั้นแล้วสหายต้องการให้พวกเราทำอย่างไรถึงจะยอมปล่อยคุณหนูของพวกเรา”

ชายวัยกลางคนผู้นี้รู้ตัวดีว่าตัวเองไม่สามารถรับมือกับอีกฝ่ายที่มีเปลวเพลิงอันน่าหวาดกลัวถึงขั้นที่สามารถเผากระบี่นักยุทธ์ระดับนักยุทธ์ดินล่างได้ เขาจึงได้แต่ถ่วงเวลาอยู่ตรงนี้เพื่อรอให้ผู้ที่มีฝีมือดีของตระกูลเผยมาจัดการคนผู้นี้แทน

“ฉันต้องการพบเผยหยวนซิว” หลัวซิวกล่าวออกไปตามตรง

“พบเจ้าตระกูล?” สีหน้าของชายวันกลางคนชะงักไป เมื่อเห็นอีกฝ่ายบีบคอของเผยหลัวเหลียนเอาไว้ก็รีบกล่าวว่า “ขอแค่แกไม่ทำร้ายคุณหนูของพวกเรา ฉันจะพาแกไปพบเจ้าตระกูล”

ระหว่างที่ชายวัยกลางคนกำลังพูด ในใจของเขาก็กำลังหัวเราะเยาะไปพร้อมๆ กัน เพราะว่าเจ้าตระกูลของเขาเป็นถึงผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ขั้น 9 หมอนี่กล้าใช้กำลังกับคุณหนูแถมยังทำตัวโอหังกับเจ้าตระกูล มันคงจะสะกดคำว่าตายไม่เป็นเสียแล้ว

ในตอนนั้นเอง ก็มีเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นด้านข้างหลัวซิวอย่างไร้เงาและไร้สุ้มเสียง ร่างทั้งร่างของเขาถูกลำแสงสีเขียวปกคลุมเอาไว้ทั่วตัว

เมื่อเห็นเงาร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมาอีกอย่างไม่คาดฝันเช่นนี้ ชายวัยกลางคนจึงชะงักไป ชายคนนี้ยังมีพวกมาด้วยอีกคนงั้นหรือ

“รีบพาไปสิ” หลัวซิวกล่าวเสียงแข็ง

แขกจำนวนมากที่อยู่ด้านหน้าตำหนักใหญ่ต่างมีสีหน้าแปลกใจ ทุกคนต่างพากันสับสนว่าสองคนนี้เป็นใครมาจากไหน ถึงขั้นกล้ามาก่อกวนที่ตระกูลเผย แถมยังจับตัวเผยลูกสาวคนเล็กผู้ที่เผยหยวนชิวโปรดปรานที่สุดเอาไว้ด้วย

คนจำนวนมากในที่นั้นต่างสบตากัน ราวกับเห็นว่าผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ขั้น 9 อย่างเผยหยวนชิวได้ระเบิดอารมณ์โกรธออกมาแล้ว

ในตำหนักของตระกูลเผย แขกที่มาร่วมอวยพรในงานได้นั่งรออยู่ในห้องโถงกันแล้ว โดยมีสตรีหน้าตาสะสวยคอยเดินบริการอาหารและเครื่องดื่มอยู่ทั่วบริเวณ

สิบตระกูลใหญ่ที่มีราชวงศ์ตระกูลฝานเป็นผู้นำ ก็ได้ส่งผู้ส่งสารมาร่วมอวยพรด้วยเช่นกัน เพราะอีกไม่กี่วันเผยชิ่งเฟยจะต้องไปอยู่ที่สำนักเสวียนหยางแล้ว ผู้ที่รับเขาเป็นลูกศิษย์คือผู้อาวุโสจักรพรรดิยุทธ์ผู้หนึ่งของสำนักเสวียนหยาง อนาคตของเขาจะต้องประสบความสำเร็จรุ่งเรืองอย่างแน่นอน

อีกอย่างหากได้รับการสนับสนุนอย่างๆ ลับจากสำนักเสวียนหยางแล้ว การที่ตระกูลเผยจะถูกจัดลำดับเข้าไปอยู่ในสิบตระกูลใหญ่ก็ถือเป็นเรื่องของเวลาเท่านั้น

เนื่องจากเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงบุคคลใหญ่โตของสำนักเสวียนหยาง ดังนั้นคนที่ทุกฝ่ายส่งมาร่วมอวยพรจึงมีฐานะไม่ธรรมดา คนที่สิบตระกูลใหญ่ส่งมาล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ รองลงมาก็จะเป็นพวกเจ้าสำนักต่างๆ และเจ้าตระกูลบางตระกูลก็ยังมาร่วมงานด้วยตนเอง

บรรยากาศภายในห้องโถงเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความรื่นรมย์

ทว่าในตอนนั้นเอง สีหน้าของเจ้าตระกูลเผยอย่างเผยหยวนชิวที่นั่งอยู่ในระดับสูงตรงตำแหน่งประธานก็แข็งกระด้างขึ้นมา ไอสังหารที่เข้มข้นได้แพร่ออกมาจากตัวเขาอย่างเข้มข้นกระจายไปทั่วบริเวณ

ในช่วงเวลาสั้นๆ นั้นเอง ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงต่างเงียบเสียงลง ทุกสายตาต่างจดจ้องไปอยู่ที่เจ้าตระกูลเผยผู้นี้ด้วยสีหน้าสงสัย เพราะไม่แน่ใจนักว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ถึงทำให้เจ้าตระกูลเผยโมโหมากจนถึงขั้นปล่อยไอสังหารของตนออกมา

แววตาของเผยหยวนชิวที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้น มองไปยังประตูทางออกของห้องโถง

สายตาของทุกคนในที่นั้นต่างมองไปยังจุดเดียวกัน จึงเห็นว่าหนุ่มชุดดำคนหนึ่งจับคอของสตรีหน้าตางดงามคนหนึ่งเอาไว้กำลังสืบเท้าเข้ามายังห้องโถง

“นั่นมันลูกสาวของเจ้าตระกูลเผย!”
“หนุ่มคนนี้เป็นใครกันแน่ ถึงขั้นกล้าจับตัวไข่ในหินของตระกูลเผย”

ทุกคนที่อยู่ในที่นี้ต่างมีสีหน้าชะงักงันไป ทันใดนั้นเองพวกเขาต่างรู้สึกได้ว่าเหตุการณ์รุนแรงกำลังจะเกิดขึ้น

“พ่อ!”

พอเผยหลัวเหลียนเห็นพ่อของตัวเองก็ร้องออกไปด้วยความตระหนก

บรรยากาศในห้องโถงเงียบสงัด มีเพียงเสียงฝีเท้าอันวุ่นวายที่ดังเข้ามาจากด้านนอก นั่นก็คือบรรดาผู้แข็งแกร่งของตระกูลเผยที่ได้ยินว่ามีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจึงรีบร้อนมุ่งหน้ากันมาที่นี่แล้วมาล้อมพื้นที่บริเวณนี้เอาไว้

“แกเป็นใคร ทำไมต้องจับตัวลูกสาวของฉันไปด้วย” เผยหยวนชิวขมวดคิ้วพลางจ้องมองไปที่หนุ่มชุดดำด้วยสายตาเย็นยะเยือก และเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง

“ฉันมาตามหาคนคนหนึ่ง เพื่อแลกกับลูกสาวของแก” เปลวไฟดำบดบังใบหน้าของเขาเอาไว้ ทุกคนได้ยินเพียงเสียงของเขาแต่มองไม่เห็นท่าทางของเขา

“หาคน?” เผยหยวนชิวหน้าตายังคงแข็งกระด้าง “ฉันไม่เข้าใจความหมายของแก ตระกูลเผยไม่มีใครที่แกต้องการหรอก แกปล่อยตัวลูกสาวของฉันก่อน ไม่อย่างนั้น……”

ระหว่างที่พูด รอบกายของเผยหยวนชิวก็ปรากฏเปลวไฟร้อนแรง น้ำเสียงหมองหม่นของเขาเต็มไปด้วยความเคียดแค้น

“ไม่อย่างนั้นแล้วแกจะทำไม”

อาจารย์ตระกูลสวีที่อยู่ด้านหลังหลัวซิวสืบเท้าก้าวออกมา น้ำเสียงนิ่งสงบของเขาราวกับไม่เห็นเผยหยวนชิวอยู่ในสายตา

“แกจะตายไงเล่า ถ้าแกแตะต้องลูกสาวของข้าแม้แต่ปลายผม ข้าจะประหารแกพันมีดหมื่นแร่”

เผยหยวนชิวตวาดเสียงเข้ม พลังอันแข็งแกร่งระเบิดออกมาจากภายในร่างกายของเขา เสื้อผ้าของเขาขยับแม้ไร้ลม โต๊ะเก้าอี้โดยรอบบริเวณโดนแรงนี้บีบอัดจนแตกกระจายเป็นเสี่ยง

“พลังแข็งแกร่งมาก นี่คือผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ขั้น 9 ใช่หรือไม่”

เมื่อสัมผัสได้ถึงความน่าพรั่นพรึงในห้องโถง แขกในงานต่างมีสีหน้าชะงักงัน

เสด็จอาของตระกูลฝานผู้นี้น้อยครั้งมากที่จะลงมือกลั่นยา แถมยังคิดค่าตอบแทนสูงมากอีกด้วย จะต้องนำวัตถุดิบไปแลกถึงหกชิ้นกว่าจะได้ยาสักเม็ดหนึ่ง เมื่อเทียบกับยาทั่วไปแล้วที่ใช้วัตถุดิบไปแลกเพียงสามอย่างถือว่าราคาสูงกว่าอยู่หนึ่งเท่าตัว

ยาวิเศษที่จะนำไปใช้ในการกลั่นยาระดับ 6 อย่างน้อยๆ ก็ต้องมีมูลค่าถึงหินพลังจิตหนึ่งแสนก้อน เมื่อคำนวณออกมาแล้วการที่เขาได้ยาระดับ 6 มาถึงสิบเม็ดนั้นเป็นการประหยัดวัตถุดิบไปถึง 50 ชิ้น สมบัติมูลค่ามากมายเช่นนั้น แม้ว่าตระกูลสวียอมล้มละลายก็ไม่อาจหามาให้ได้

โดยเฉพาะประโยคที่หลัวซิวกล่าวเสริมในตอนท้าย นั่นยิ่งเป็นคำพูดที่มีความหมายสำคัญ เขาสามารถกลั่นยาระดับ 7 ได้? นั่นเท่ากับว่าปรมาจารย์ลึกลับที่อยู่เบื้องหลังหลัวซิวผู้นั้น อย่างน้อยๆ เขาจะต้องเป็นถึงปรมาจารย์นักกลั่นยาระดับ 7?

ในด้านการกลั่นยา ค่ายกลและการหลอมอาวุธนั้น ระดับ 4 ถึงระดับ 6 ถือเป็นอาจารย์ ส่วนระดับ 7 ถึงระดับ 9 ถือเป็นปรมาจารย์ ระหว่างระดับ 6 ถึงระดับ 7 ถือว่ามีเกณฑ์ที่ห่างกันค่อนข้างมาก เพราะถือเป็นการก้าวข้ามจากระดับอาจารย์ไปเป็นปรมาจารย์

การดำรงอยู่ของปรมาจารย์นักกลั่นยาระดับ 7 นั้น แม้แต่ผู้ที่เป็นมกุฎยุทธ์ก็ยังไม่กล้าที่จะมีเรื่องด้วย

“ผู้น้อยซิวหลัว ข้ามีเรื่องหนึ่งไม่ทราบว่าควรถามหรือไม่”

สวีจิงเหนียนสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะเอ่ยปากกล่าวช้าๆ

“ผู้อาวุโสเชิญว่ามาได้เลย”

“หากข้าคาดการไม่ผิด ปรมาจารย์ของผู้น้อยจะต้องเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีความสามารถมาก กะอีแค่กำจัดตระกูลเผยไม่น่าจะเป็นเรื่องลำบากอะไร ทำไมผู้น้อยจะต้องขอให้ข้าออกแรงช่วยด้วย” สวีจิงเหนียนเอ่ยถาม

เมื่อหลัวซิวได้ยินเช่นนี้ เขาก็ยิ้มออกมาพร้อมกล่าวเรียบๆ ว่า “ท่านปรมาจารย์หลบหนีทางโลกมานานแล้ว คงจะไม่ยื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องทางโลกง่ายๆ หากข้าไปขอความช่วยเหลือจากท่าน ท่านจะต้องยอมช่วยแน่ ทว่าในฐานะลูกศิษย์ไม่ควรที่จะเอาเรื่องไปรบกวนให้อาจารย์ต้องออกหน้ามาช่วยบ่อยๆ”

หลัวซิวไม่อยากอธิบายเรื่องที่เกี่ยวข้องในประเด็นนี้มากนัก จึงเป็นนัยความหมายลึกๆ ว่า “คุณคงเข้าใจ”

“แน่นอนว่าธุระเรื่องนี้ หากผู้อาวุโสไม่สะดวกช่วย ผู้น้อยก็จะไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่น ผมเชื่อว่าการตอบแทนด้วยยาระดับ 6 สิบเม็ด คงจะมีผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์หลายคนให้ความสนใจ” หลัวซิวกล่าวพร้อมรอยยิ้ม เขาใช้นิ้วมือเคาะลงบนโต๊ะเบาๆ อย่างมีจังหวะ

ใบหน้าของสวีจิงเหนียนเริ่มกระตุก เขาอยู่มานานขนาดนี้แล้วมีหรือที่จะไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของหลัวซิว

อย่าว่าแต่ยาระดับ 6 สิบเม็ดเลย ต่อให้ลดลงเหลือเพียงครึ่งเดียว นั่นคือยาระดับ 6 ห้าเม็ด ก็คงยังจะมีผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์หลายคนพยายามแย่งกันเข้ามาเพื่อที่จะรับงานนี้

“ผู้น้อยพูดอะไรอย่างนี้ เราสองคนมีน้ำใจต่อกัน ธุระเรื่องนี้ข้าต้องช่วยแน่นอน” สวีจิงเหนียนรีบตกปากรับคำทันที

ส่วนความยากลำบากจากกลุ่มอำนาจอื่นๆ ที่อาจจะเกิดจากการลงมือกำจัดตระกูลเผยนั้น อาจารย์ตระกูลสวีคนนี้เลือกที่จะไม่ใส่ใจอีกแล้ว เพราะว่ายาระดับ 6 สิบเม็ดนั้นคุ้มค่าที่จะเสี่ยง

เมื่อได้ยินอาจารย์ตระกูลสวียอมตกปากรับคำแล้ว หลัวซิวก็ถอนใจโล่งอก สุดท้ายก็ล่อหลอกตาแก่คนนี้ได้สำเร็จ

“ผู้น้อยคิดว่าจะลงมือเมื่อไหร่” สวีจิงเหนียนกล่าวถาม

“ยิ่งเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี” หลัวซิวกล่าวหนักแน่น ชีวิตของเหยียนเยว่เอ๋อร์เป็นสิ่งที่น่ากังวล เขาไม่อาจรอได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว

อีกไม่นานนัก หลัวซิวกับสวีจิงเหนียนก็เดินออกจากโรงเตี๊ยมเล็กๆ แห่งนี้ไปแล้วมุ่งหน้าไปยังทิศทางของตำหนักตระกูลเผย

บนท้องถนนมีคนสัญจรไปมา โดยเฉพาะถนนที่มุ่งหน้าไปสู่ตระกูลเผยที่แสงไฟสว่างไสว และมีองครักษ์เดินถืออาวุธตรวจตราไปรอบๆ

สวีจิงเหนียนย่นคิ้ว “ผู้น้อย ข้าเห็นว่าหากเราจะกำจัดตระกูลเผย ทางที่ดีที่สุดต้องรอเวลาอีกสักสองสามวัน”

“ทำไมหรือ” หลัวซิวเลิกคิ้ว

“ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันมีข่าวว่า ผู้ที่มีความสามารถโดดเด่นของตระกูลเผยอย่างเผยชิ่งเฟย มีอายุครบ 33 ปีพอดี และฝึกตนถึงขั้นแดนฝึกจิตขั้น 9 ดังนั้นผู้อาวุโสของสำนักเสวียนหยางจึงให้ความสำคัญมาก จนต้องการที่จะรับเขาเข้าเป็นลูกศิษย์”

สวีจิงเหนียนหรี่ตาแล้วเอ่ยว่า “หากข้าคาดการณ์ไม่ผิด ข่าวนี้ได้รับการยืนยันแล้ว เพื่อฉลองเรื่องนี้ตระกูลเผยติดไฟสว่างไสว กลุ่มอำนาจจากทั่วทั้งประเทศเทียนหวูต่างมาร่วมแสดงความยินดี”

ที่สวีจิงเหนียนรู้เรื่องนี้เป็นเพราะว่าเขาได้รับเทียบเชิญ ทว่าเขาเป็นอาจารย์ที่ไม่ชอบออกหน้ามาเป็นเวลานานแล้ว เรื่องแบบนี้เขาจึงไม่จำเป็นต้องออกหน้า

“กลุ่มอำนาจจากหลากหลายที่มารวมตัวกัน หากลงมือในเวลานี้เกรงว่าจะต้องเกิดเรื่องความยุ่งยากอย่างมากแน่นอน” สวีจิงเหนียนกล่าวอย่างลังเล

“เหอะๆ ต่อให้ตระกูลเผยเชิญกลุ่มอำนาจมาร่วมฉลอง แต่ก็คงไม่มีทางที่จะมีจักรพรรดิยุทธ์มาร่วมด้วยกระมัง ขอแค่ไม่มีจักรพรรดิยุทธ์มาร่วม พวกเรายังจะต้องกลัวอะไรอีก”

หลัวซิวเม้มปากแล้วกล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “ผมให้ผลตอบแทนท่านมากขนาดนี้แล้ว มีความเสี่ยงนิดๆ หน่อยๆ ทำไมผู้อาวุโสต้องบ่ายเบี่ยงด้วยล่ะ”

“ซิวหลัวพูดอะไรกัน……” สวีจิงเหนียนยิ้มออกมาอย่างทำหน้าไม่ถูก

บนโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากตำหนักตระกูลเผยมากนัก หลัวซิวกับสวีจิงเหนียนยังไม่ได้บุกเข้าไปในตำหนักของตระกูลสวีในทันที เพียงเฝ้ามองตระกูลเผยอยู่ห่างๆ จากบริเวณชั้น 2 ของโรงแรม

นี่เป็นการเตรียมการก่อนการลงมือ ชีวิตของเหยียนเยว่เอ๋อร์เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด แม้ว่าเขาจะร้อนใจอยากช่วยเธอมากแค่ไหน แต่ก็จำเป็นต้องพยายามพยายามข่มใจตัวเองให้สงบลงให้ได้

“ผู้น้อยซิวหลัว ตระกูลเผยมีความสัมพันธ์กับสำนักเสวียนหยาง หากพวกเราลงมือกับตระกูลเผยเกรงว่าจะทำให้บุคคลใหญ่โตของสำนักเสวียนหยางไม่พอใจ” สวีจิงเหนียนมองไปทางตำหนักตระกูลเผยพลางกล่าวขึ้นมา

“ต่อให้มีสำนักเสวียนหยางอยู่เบื้องหลัง ผมก็ต้องการกำจัดตระกูลเผยอยู่ดี” หลัวซิวกล่าวอย่างไม่ปรากฏความลังเล

สวีจิงเหนียนหัวเราะเสียงแห้ง เขาไม่พยายามอธิบายอะไรต่ออีก เพราะเขาคิดว่าปรมาจารย์ลึกลับที่อยู่เบื้องหลังของหลัวซิวจะต้องไม่กลัวตำหนักเสวียนหยางอย่างแน่นอน

ในตอนนั้นเอง สตรีสวมชุดนัดยุทธ์แนบเนื้อสีดำได้เดินออกมาจากตำหนักตระกูลเผย รูปร่างของเธอที่อวบอิ่มเมื่อใส่ชุดแนบเนื้อแล้วยิ่งขับให้เห็นส่วนเว้าส่วนโค้งที่ชัดเจน เรือนขาเรียวยาของเธอดึงดูดความสนใจจากทุกๆ สายตา

หน้าประตูใหญ่ของตระกูลเผย มีแขกมากมายกำลังรอเข้าไปในตำหนักตระกูลเผย คนจำนวนมากต่างกล่าวทักทายสตรีชุดดำนางนี้ด้วยท่าทีนอบน้อม

“ผู้หญิงคนนี้มีความเป็นมาอย่างไร” หลัวกล่าวถามกับสวีจิงเหนียน

“เผยหลัวเหลียน ลูกสาวคนเล็กของเจ้าตระกูลเผยที่เปรียบเสมือนไข่ในหิน” สวีจิงเหนียนกล่าวเรียบๆ

“หากผมจับตัวเธอเอาไว้ จะช่วยให้ผมสามารถข่มขู่เผยหยวนชิวได้หรือไม่” ริมฝีปากของหลัวซิวปรากฏรอยยิ้ม

สวีจิงเหนียนชะงักไป เพราะคิดไม่ถึงว่าหลัวซิวจะใช้วิธีการลักพาตัวด้วย

“คงจะพอได้ ว่ากันว่าเผยหยวนชิวโปรดปรานลูกสาวคนนี้มาก” สวีจิงเหนียนกล่าว

สวีจิงเหนียนรู้เพียงว่าหลัวซิวเชิญเขามาเพื่อกำจัดตระกูลเผย แต่ไม่รู้ว่านี่คือภารกิจของหลัวซิวที่มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหยียนเยว่เอ๋อร์

เพื่อรับประกันความปลอดภัยของเหยียนเย่วเอ๋อร์ หลัวซิวย่อมต้องเตรียมการให้รัดกุมมากหน่อย แม้ว่าวิธีการลักพาตัวจะเป็นวิธีการที่ไม่สง่างามนัก แต่เวลาเช่นนี้เขาไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น

ระหว่างที่กล่าว หลัวซิวก็เคลื่อนกายกระโดดออกจากชั้นสองของโรงแรมลงไปด้านล่าง ร่างของเขาเปล่งประกายกลางอากาศก่อนจะปรากฏตัวตรงหน้าเผยหลัวเหลียน

เจ้าตระกูลเผยอย่างเผยหยวนชิวมีชีวิตอยู่บนโลกนี้มากว่าพันปีแล้ว ทว่าลูกสาวคนเล็กของเขากลับมีท่าทางราวเด็กอายุยิปสี่กว่าปีเท่านั้น

ความเป็นจริงแล้วในโลกแห่งวรยุทธ์ ผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์จำนวนมากที่มีชีวิตอยู่มาเป็นร้อยเป็นพันปี หากพวกเขายินดี คนคนหนึ่งจะสามารถมีทายาทเป็นของตัวเองจนสามารถสร้างตระกูลที่ยิ่งใหญ่ของตัวเองออกมาได้

ในโลกนักยุทธ์มีตระกูลของนักยุทธ์จำนวนมาก ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วก็จะเริ่มก่อตั้งขึ้นมาโดยมีที่มาเช่นนี้

วิชามารจับจิตพรากวิญญาณ? เห็นได้ชัดว่าเผยหยวนชิวเจ้าตระกูลเผย ต้องการใช้มันกับเหยียนเยว่เอ๋อร์ เพื่อพรากหยวนหยินไปจากเธอ รวมทั้งวิญญาณเทพจิต เพื่อใช้มันในการบรรลุเป็นจักรพรรดิยุทธ์

“สามปี? แม้แต่วันเดียวฉันก็รอไม่ได้!”

สีหน้าของหลัวซิวมืดหม่นหมองคล้ำ จนเขาไม่อาจควบคุมพลังงานรอบตัวของเขาได้ เพลิงมรณะก่อตัวปั่นป่วนไปทั่วบริเวณ ทำเอาทุกสิ่งทุกอย่างภายในห้องถูกเผากลายเป็นเถ้าธุลี

“ตระกูลเผย แค่ตายยังไม่สาสม!”

หลัวซิวรีบหยิบกล่องส่งเสียงออกมาอย่างไม่ลังเล เขาส่งข้อความไปหาอาจารย์ตระกูลสวีท่านนั้น “ผมอยากให้คุณช่วยผมสักครั้ง”

หลัวซิวสูญเสียการควบคุมพลังจิตแท้ของตัวเอง ทำให้ราชายุทธ์อย่างเสิ่นหยวนหนานตกใจ เมื่อเขามาถึงก็เห็นของภายในห้องถูกเผาจนราบ และยังสัมผัสได้ว่ารอบตัวของหลัวซิวมีไอสังหารอย่างเข้มข้น เขาจึงไม่แน่ใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่

“มีเรื่องอะไรอยากให้ฉันช่วยไหม” เสิ่นหยวนหนานเอ่ยปากถาม

เขาสูดหายใจเข้าลึก หลัวซิวควบคุมไอสังหารเข้าไปภายในร่างกาย ก่อนจะส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “ผมจัดการเองได้”

แม้ว่าเสิ่นหยวนหนานจะเป็นผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ ทว่าพลังยุทธ์ของเขาห่างชั้นกับเผยหยวนชิวอยู่มาก อีกอย่างตอนนี้เขาได้ขอความช่วยเหลือจากจักรพรรดิยุทธ์อย่างอาจารย์ตระกูลสวีไปแล้ว ย่อมไม่ต้องการที่จะรบกวนเสิ่นหยวนหนานแล้ว

ผ่านไปครู่หนึ่ง กล่องส่งเสียงของหลัวซิวก็สั่นเบาๆ เป็นสวีจิงเหนียนที่ตอบกลับมาสั้นๆ ว่า “ตกลง!”

อาจารย์สวีผู้นี้ยังไม่ทันถามรายละเอียดด้วยซ้ำ แต่ก็ตอบปากรับคำอย่างไม่ลังเล

หลัวซิวลุกขึ้นยืนแล้วหันไปกล่าวกับเสิ่นหยวนหนานว่า “ผมจำเป็นต้องไปเมืองยงฉี”

ระหว่างที่กล่าวหลัวซิวก็เคลื่อนตัวไปยังห้องค่ายวาร์ปของแก๊งอย่างรวดเร็ว

“เมืองยงฉี?” เมื่อเห็นท่าทางรีบร้อนของหลัวซิว เสิ่นหยวนหนานจึงขมวดคิ้ว “เหมือนว่าตระกูลเผยจะอยู่ที่เมืองยงฉี เห็นท่าทางโกรธเกรี้ยวเช่นนี้ของเด็กคนนี้แล้ว คงจะไม่ได้ไปหาเรื่องตระกูลเผยเข้าอีกกระมัง”

ใบหน้าแก่ชราของเสิ่นหยวนหนานกระตุกเล็กน้อย “เจ้าเด็กหนุ่มผู้นี้จะทำให้ผู้อื่นวางใจบ้างไม่ได้เลยหรือ ประเทศเทียนหวูกว้างใหญ่ไพศาล เขาต้องการมีเรื่องกับคนให้ครบทุกคนเลยหรือถึงจะสบายใจ”

“หนุ่มสาวสมัยนี้ พละกำลังแข็งแกร่งยิ่ง หรือว่าเราแก่ไปแล้ว”

……

แม้ว่าจะใช้ค่ายวาร์ป หลัวซิวก็ยังคงต้องใช้เวลาเดินทางจากเขตการปกครองโตว้ไห่ไปถึงเมืองยงฉีถึงเจ็ดวัน

เขาใช้กล่องส่งเสียงเพื่อนัดพบกับอาจารย์ตระกูลสวีที่รัฐชิงสุ่ยเมืองยงฉี

ที่รัฐชิงสุ่ย เป็นฐานที่ตั้งหลักของตระกูลเผยในเมืองยงฉี

“ขอแค่ไม่เกิดเรื่องกับเยว่เอ๋อร์ ไม่อย่างนั้นแล้วฉันจะให้ทั่วทั้งประเทศเทียนหวูและเมืองรอบๆ ต้องลุกเป็นไฟ!”

เขาเคลื่อนที่เดินทางไปอย่างลับๆ ด้วยความเร็วราวกับมุ่งหน้าไปยังขอบฟ้า

ผ่านไปหกวัน หลัวซิวก็เดินทางมาถึงเมืองชิงสุ่ย ในรัฐยงฉี เร็วกว่าเวลาที่คาดไว้ถึงหนึ่งวัน

หนึ่งในสิบตระกูลใหญ่อย่างตระกูลสวีมีฐานที่ตั้งอยู่ที่เมืองไห่หยุน ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองยงฉีไม่ไกลนัก ดังนั้นอาจารย์ตระกูลสวีจึงเดินทางไปถึงก่อนหน้าถึงสามวัน และรออยู่ที่เมืองชิงสุ่ย

แน่นอนว่าอาจารย์ตระกูลสวีไม่สามารถที่จะปรากฏตัวอย่างเปิดเผยได้ แต่ต้องซ่อนพลังและฐานะของตัวเอง มิเช่นนั้นแล้วการมาถึงของผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ จะเป็นการทำให้ตระกูลเผยเริ่มเตรียมตัวป้องกัน

ตระกูลเผยเป็นตระกูลที่มีอำนาจปกครองเมืองชิงสุ่ย โดยมีราชายุทธ์สี่คนเป็นผู้ปกครอง และมีผู้ฝึกจิตสิบหกคนเป็นผู้คุมกฎ และมีผู้อยู่แดนพรสวรรค์อีกร้อยกว่าคน

ในโรงเตี๊ยมเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ไม่ดึงดูดสายตาผู้คน เป็นสถานที่ที่หลัวซิวนัดพบผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์อาจารย์ตระกูลสวี

“ผู้น้อย ไม่เจอกันนานเลย” สวีจิงเหนียนกล่าวทักหลัวซิวด้วยท่าทางสุภาพ

การฝึกตนของหลัวซิวน่าตื่นตะลึงอีกไม่นานคงจะพัฒนาจนมีระดับเทียบเคียงกับตนได้ ทว่าอาจารย์ผู้ลึกลับที่อยู่เบื้องหลังเขาต่างหากที่จักรพรรดิยุทธ์สวีจิงเหนียนให้ความสำคัญ

เพราะเหตุใดราชวงศ์ตระกูลฝานถึงวางอำนาจในประเทศเทียนหวูได้ เหตุผลหลักๆ น่าจะเป็นเพราะเสด็จอาหัวหน้าแก๊งนักกลั่นยาผู้นั้น

สถานะของปรมาจารย์นักกลั่นยาระดับ 6 มีความสำคัญที่ไม่ธรรมดา ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งมกุฏยุทธ์ก็ยังอยากสร้างสัมพันธไมตรีด้วย

สวีจิงเหนียนถึงขั้นรู้สึกว่า ผู้ที่จะสอนลูกศิษย์ออกมาได้มีความสูงเช่นหลัวซิวนี้จะต้องไม่ใช่เพราะพรสวรรค์ส่วนบุคคลเท่านั้น แต่ปรมาจารย์ผู้อยู่เบื้องหลังมีความเป็นไปได้สูงมากว่าจะไม่ได้เป็นเพียงปรมาจารย์นักกลั่นยาระดับ 6 เท่านั้น

เพราะหลัวซิวไม่ได้กลั่นยาได้เพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นนักค่ายกลได้อีกด้วย!

ผู้แข็งแกร่งที่ประสบความสำเร็จทั้งด้านการกลั่นยาและค่ายกลนั้น ดูเป็นบุคคลที่ไม่น่าจะมีตัวตนอยู่จริง

“ผู้อาวุโส ผมขอสรุปใจความสำคัญเลยก็แล้วกัน คราวนี้ที่ผมขอให้ผู้อาวุโสลงมือ เพราะต้องการให้ท่านกำจัดตระกูลเผย” หลัวซิวเป็นห่วงความปลอดภัยของเหยียนเยว่เอ๋อร์จึงกล่าวเข้าเรื่องอย่างไม่อ้อมค้อม

“กำจัดตระกูลเผย?” สวีจิงเหนียนเบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ

การนัดพบกันในรัฐชิงสุ่ย ทำให้เขาพออนุมานได้ว่าหลัวซิวมีเรื่องกับตระกูลเผย เนื่องจากเผยหยวนซิวคือราชายุทธ์ขั้น 9 ผู้ที่จะกำราบเขาได้จะต้องเป็นจักรพรรดิยุทธ์

ทว่าเขานึกไม่ถึงว่า หลัวซิวถึงขั้นต้องการกำจัดตระกูลเผย ไม่ได้เป็นเพียงความแค้นทั่วๆ ไปเท่านั้น

สวีจิงเหนียนขมวดคิ้วแล้วกล่าวอย่างลำบากใจ “การจะกำจัดตระกูลเผยนั้น ด้วยพลังของข้าไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่เรื่องนี้จะเกี่ยวพันถึงหลายอย่าง หมายรวมไปถึงอีกเก้าตระกูลใหญ่ที่มีราชวงศ์ตระกูลฝานอยู่ในนั้น เรื่องนี้จะทำให้ตระกูลสวีของข้าต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย”

การที่สวีจิงเหนียนพูดแบบนี้ไม่ตั้งใจจะบอกปัด แต่ตระกูลเผยเป็นตระกูลที่มีอำนาจใหญ่ ซึ่งจะเกี่ยวโยงไปถึงผลประโยชน์ในหลายส่วน หากถูกกำจัดไปแล้วเกรงว่าจะนำไปสู่ความขัดแย้งและความวุ่นวายในหลายๆ ด้าน

“ขอเพียงผู้อาวุโสช่วย ผมรับปากเลยว่า ผมจะเชิญอาจารย์ของผมช่วยตระกูลสวีในการกลั่นยาขั้น 6 เป็นจำนวน 10 เม็ด โดยไม่มีค่าตอบแทนใดๆ”

หลัวซิวได้รับปากที่จะตอบแทนด้วยค่าตอบแทนที่ล้ำค่า “นอกจากนี้แล้ว หากผู้อาวุโสสามารถช่วยหาวัตถุดิบมาได้ ให้ผมช่วยท่านกลั่นยาระดับ 7 ยังได้”

น้ำใจที่ติดค้างกันเพียงครั้งเดียว ไม่เพียงพอที่จะทำให้อาจารย์ตระกูลสวียอมเสี่ยงที่จะเป็นศัตรูกับอีกเก้าตระกูลใหญ่ได้ ทว่าความเสี่ยงกับผลประโยชน์เป็นสิ่งที่อยู่คู่กันมาตลอด การไม่กล้าเสี่ยงอาจเป็นเพราะผลไม่ประโยชน์ไม่มากพอก็เท่านั้น

สวีจิงเหนียนชะงักไป

เขาไม่เคยคิดเลยว่าหลัวซิวจะให้ผลตอบแทนเขามากเช่นนี้

ยาระดับ 6 ไม่ใช่ผักปลา แม้แต่ในบรรดาสิบตระกูลใหญ่ของประเทศเทียนหวู นี่ก็ถือว่าเป็นของล้ำค่ามาก ปกติแล้วไม่ค่อยมีใครทำใจหยิบมันออกมาใช้ได้สักเท่าไหร่

ทว่าหนุ่มน้อยคนนี้กลับรับปากในทันทีว่าจะให้เขาถึงสิบเม็ด?

แน่นอนว่านี่ไม่ได้เป็นการมอบยาระดับ 6 ให้เปล่าๆ แต่เป็นการกลั่นยาให้โดยไม่คิดค่าตอบแทน นั่นหมายความว่าเขาต้องหาวัตถุดิบสำหรับกลั่นยาสิบเม็ดมาให้ได้

แต่ถึงอย่างนี้ มูลค่าของมันก็ยังสูงมากเกินกว่าที่จะประเมินได้อยู่ดี เพราะในประเทศเทียนหวูแห่งนี้ ปรมาจารย์นักกลั่นยาขั้น 6 มีเพียงคนเดียวเท่านั้น นั่นคือเสด็จอาในตระกูลฝาน

นอกจากจะดูดรับการกลั่นแปรหินพลังจิตเพื่อให้บรรลุได้แล้ว ยังมียาขั้น 5 อีกประเภทหนึ่งที่มีชื่อว่ายามหาราช โดยมีความหมายเป็นนัยว่าการชิงบัลลังก์ มีประสิทธิภาพสูงมากที่จะช่วยการบรรลุประสบความสำเร็จ

แม้ว่ายามหาราชจะเป็นยาขั้น 5 แต่คุณค่าของมันเกินยาขั้น 6 ไปแล้วและอาจเทียบเท่ากับยาระดับ 7 บางประเภท

ข้อแรกเป็นเพราะว่าตำรับการกลั่นยานั้นหาได้ยาก ข้อต่อมาเป็นเพราะยาวิเศษที่ต้องใช้นั้นหายาก โดยเฉพาะยาหลักห้าชนิดที่จำเป็นต้องใช้ในการกลั่น เพราะทุกชนิดมีมูลค่ามากถึงหินพลังจิตขั้นสูงเป็นหมื่นก้อน

อย่างน้อยๆ ในประเทศเทียนหวูแห่งนี้ยังไม่เคยได้ยินว่ามีใครเคยกลั่นยามหาราชาได้เลย และเหตุผลที่สำคัญที่สุดคือเป็นเพราะว่าไม่มีใครรู้ตำรับยาของมัน

ประสิทธิภาพของยามหาราชหนึ่งเม็ด เทียบเท่ากับหินพลังจิตขั้นสูงสองแสนก้อน รวมทั้งความลึกลับของยาวิเศษที่ต้องใช้ในขั้นตอนการกลั่นยา ทำให้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบรรลุราชายุทธ์ได้ง่ายยิ่งขึ้น

ทว่าประสิทธิภาพที่มากมายเช่นนี้ นักยุทธ์ธรรมดากลับไม่อาจกลั่นแปรออกมาได้ง่ายๆ หากวรยุทธ์ไม่สูงพอ ร่างเนื้อไม่แข็งแกร่ง ตัวสำนึกไม่ใหญ่มากพอ ต่อให้กินยามหาราชาเข้าไปแล้วก็อาจจะทำให้ร่างระเบิดถึงแก่ความตายได้

เรื่องตำรับยาไม่ใช่ปัญหาของหลัวซิว เนื่องจากในความทรงจำของปรมาจารย์กลั่นยาระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น9 ยังคงบันทึกเรื่องนี้เอาไว้

สิ่งที่เขาขาดไปก็คือ ยาวิเศษ

บัวหิมะห้าสี หญ้างหลงหยางหยวน ดอกเฟยเฟิ่งเจ็ดกลีบ ผลเสวียนชิง และใบเทียนเซียงฉุยเสียน……

จากความทรงจำในตำรับยา หลัวซิวสามารถค้นหายาหลักห้าชนิดที่ใช้ในการกลั่นยามหาราชาออกมาได้

อย่าคิดว่ายามหาราชาเป็นเพียงยาขั้น 5 เท่านั้น เพราะยาวิเศษที่ใช้ในการกลั่นยาเป็นขั้นสูงมาก ในบรรดายาหลักห้าชนิด บัวหิมะห้าสีและดอกเฟยเฟิ่งเจ็ดกลีบเป็นยาวิเศษขั้น 7 ส่วนอีกสามชนิดเป็นยาวิเศษขั้นหก

ทว่าลำดับขั้นไม่ใช่ปัญหาสำคัญ สิ่งที่สำคัญกว่าคือยาวิเศษพวกนี้หาได้ยากยิ่ง

นอกจากตัวยาหลักแล้ว ยาเสริมที่ต้องใช้ประกอบในการกลั่นยาก็เป็นของที่ล้ำค่าหายากเช่นกัน มูลค่าไม่น้อยไปกว่าพวกของล้ำค่าอย่างน้ำแร่วิญญาณ และผลหู่หยาง

จากข่าวของสายภายในของแก๊งนักล่ายุทธ์ หลัวซิวเพียงหาได้แค่ยาเสริมบางชนิดเท่านั้น ส่วนยาหลักห้าชนิด ยังไม่สามารถหาได้เลยแม้แต่ชนิดเดียว

“ในเรื่องการหายาวิเศษนั้น น่าจะอยู่ที่แก๊งนักกลั่นยา แต่ตอนนี้ผมมีปัญหากับราชวงศ์ตระกูลฝานถึงขั้นมองหน้ากันไม่ติด หากผมพยายามขอซื้อยาวิเศษจากสายข่าวภายในแก๊งนักกลั่นยา นั่นอาจจะทำให้ผมโดนใส่ร้ายได้”

ยาวิเศษเป็นของที่หายาก เป็นทรัพยากรที่ขาดแคลน ทำให้หลัวซิวรู้สึกว่าการที่จะบรรลุถึงขั้นราชายุทธ์ได้นั้นเป็นสิ่งที่ยากเกินเอื้อมมากเกินไป

หากไม่มียามหาราชา เขาคาดว่าตนจะสามารถบรรลุแดนราชายุทธ์ได้ภายในระยะเวลาเร็วที่สุดคือ 20 ปี

การบรรลุระดับราชายุทธ์ได้ภายใน 20 ปี หากเทียบกับคนอื่นทั่วไปถือว่าเร็วมากแล้ว เพราะบางคนต้องใช้เวลาหลายร้อยปี บางคนต้องใช้เวลาทั้งชีวิตก็ยังไม่อาจบรรลุได้

ทว่าสำหรับหลัวซิวแล้ว เวลายี่สิบปีถือว่านานเกินไป

หลัวซิวหยิบกล่องส่งเสียงออกมา เพื่อที่จะส่งข่าวไปหาโอวโหเหลียงของแก๊งนักกลั่นยาที่เมืองซานหยวน เพื่อให้เขาช่วยส่งข่าวในการตามหายาวิเศษเหล่านี้

“ก๊อกๆๆๆ……”

ในตอนนั้นเอง มีเสียงเคาะประตูสามครั้งดังเข้ามาจากทางด้านนอกของประตูห้อง

“เข้ามา” หลัวซิวเก็บกล่องส่งเสียงแล้วเหลือบตาขึ้นมอง

ประตูห้องถูกเปิดเข้ามา ผู้ที่ยืนอยู่ด้านนอกประตูคือท่านโสว่ ในมือของเขาถือม้วนหยกเอาไว้แล้วกล่าวอย่างนอบน้อมว่า “ท่านชายหลัว มีเบาะแสของเรื่องที่ท่านกำลังตามหาแล้ว”

“มีเบาะแสแล้วหรือ”

เมื่อหลัวซิวได้ยินดังนั้นสายตาก็เปล่งประกาย ร่างของเขาเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วราวสายลมไปปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าท่านโสว่ แล้วหยิบม้วนหยกมาอย่างรวดเร็ว

ในม้วนหยกมีรายละเอียดเขียนเอาไว้ เป็นข่าวที่อยู่ในมือของแก๊งนักล่ายุทธ์ จักรพรรดิยุทธ์เทียนเฟิ่งถูกตระกูลเหยียนและผู้แข็งแกร่งตำหนักจื่อล้อมโจมตีแล้วหนีไปได้ แต่ก็ได้รับบาดเจ็บหนัก มีความเป็นไปได้สูงมากที่เขาจะถูกตระกูลเผยจับตัวไป

นั่นเป็นเพราะว่าทิศทางที่จักรพรรดิยุทธ์เทียนเฟิ่งหลบหนีไปนั้นอยู่ในอาณาบริเวณของตระกูลเผยพอดี

ส่วนรายละเอียดเกี่ยวกับตระกูลเผยนั้น ในม้วนหยกก็มีรายละเอียดบันทึกเอาไว้อยู่บ้าง แม้ว่าจะไม่ใช่สิบตระกูลใหญ่ แต่ในประเทศเทียนหวูก็ยังนับว่าเป็นตระกูลที่มีอำนาจสูง อยู่ในเมืองยงฉีซึ่งเป็นหนึ่งในหกเมือง

ตามรายงานจากสายข่าวนั้น อำนาจของตระกูลเผยในเมืองยงฉีนั้นหยั่งรากลึกมาก อาจกล่าวได้ว่าเป็นเจ้าถิ่นของที่นั่นได้ ไม่มีใครกล้ามีเรื่องกับพวกเขา การที่พวกเขาไม่สามารถเข้าไปอยู่ในสิบลำดับตระกูลใหญ่ได้ เป็นเพราะไม่มีผู้เป็นจักรพรรดิยุทธ์นั่งบัลลังก์

เมื่อท่านโสว่นำม้วนหยกมาส่งแล้วก็เดินออกไป

ภายในห้อง ในมือของหลัวซิวยังคงถือม้วนหยกเอาไว้ เขาใช้นิ้วมือเคาะเบาๆ ลงบนโต๊ะ นี่เป็นท่าทางที่เขาใช้เวลาที่เขากำลังครุ่นคิดบางเรื่อง

“ตระกูลเผยคงจะรู้แน่ว่าตระกูลเหยียนกับตำหนักจื่อกำลังตามหาจักรพรรดิยุทธ์เทียนเฟิ่งอยู่ ในช่วงเวลาเร่งด่วนเช่นนี้ยังกล้าสอดมือเข้ามา พวกเขามีวัตถุประสงค์อะไรกันแน่”

หลัวซิวขมวดคิ้วพลางบ่นพึมพำ เขาเดาว่าสาเหตุน่าจะเป็นเพราะเหยียนเยว่เอ๋อร์เป็นผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์

ตระกูลเผยอยากที่จะเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสิบลำดับตระกูลใหญ่ แต่เป็นเพราะว่าเขายังขาดผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์นั่งบัลลังก์ บางทีพวกเขาอาจจะอยากหาวิธีในการบรรลุจักรพรรดิยุทธ์จากเหยียนเยว่เอ๋อร์ก็เป็นได้

ระบบในการรวบรวมข้อมูลขององค์กรนักล่ายุทธ์นั้นละเอียดมาก นอกจากจะบอกว่าตระกูลเผยไม่มีจักรพรรดิยุทธ์แล้ว ยังบอกอีกว่าพวกเขามีผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์อยู่ถึงสี่คน

หนึ่งในนั้นคนที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือเจ้าตระกูลเผยอย่างเผยหยวนชิว ที่บรรลุถึงแดนราชายุทธ์ขั้น 9 แล้ว ซึ่งยังคงเป็นรองจักรพรรดิยุทธ์ทั้งสิบ รวมทั้งจักรพรรดิยุทธ์ที่รักสันโดษคนอื่นๆ

ส่วนราชายุทธ์อีกสามคนที่เหลือ ล้วนเป็นผู้อาวุโสของตระกูลเผย การฝึกตนอยู่ในระดับสูงกว่าราชายุทธ์ขั้น 4 มีความสามารถในการรบแข็งแกร่ง

ตระกูลใหญ่เช่นนี้ หลัวซิวไม่อาจทำอะไรให้สั่นคลอนได้ ต่อให้เขาบรรลุแดนราชายุทธ์แล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเอาชนะราชายุทธ์ขั้น 9 ได้

ด้วยพลังยุทธ์ของเขาในปัจจุบัน การฝึกตนที่บรรลุจากแดนฝึกจิตขั้น 8 ถึงแดนฝึกจิตขั้น 9 รวมทั้งใช้ไผ่เด็ดอื่นๆ รวมกัน อาจจะพอทัดเทียมกับราชายุทธ์ขั้น 5 ได้

หลัวซิวพลิกมือเอากล่องส่งเสียงออกมา ก่อนจะส่งข่าวในกล่องส่งเสียงผ่านตราอันหนึ่ง

เจ้าของตราอันนี้ เป็นผู้รับผิดชอบระบบข่าวสารขององค์กรนักล่ายุทธ์ในประเทศเทียนหวู สถานะของเขาลึกลับ หลัวซิวเองก็ไม่เคยเห็นเขามาก่อนเช่นกัน

เขาได้ตราอันนี้มาเพราะในตอนแรกหลังจากที่เขาได้รับอำนาจของการเป็นอัจฉริยะขั้นดำระดับสูงมา จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงเป็นคนมอบตราอันนี้ไว้ในกล่องส่งเสียงของเขาด้วยตนเอง

“ผมอยากรู้ว่า ทำไมตระกูลเผยต้องจับตัวจักรพรรดิยุทธ์เทียนเฟิ่งไปด้วย”

องค์กรนักล่ายุทธ์เป็นผู้ควบคุมแหล่งข่าวที่ละเอียดที่สุดบนใต้หล้าแห่งนี้ รวมทั้งเป็นเครือข่ายข่าวสารที่สมบูรณ์มากที่สุดอีกด้วย

เวลาผ่านไปเพียงครู่เดียวเท่านั้น กล่องส่งเสียงของหลัวซิวก็ได้รับการตอบรับกลับมา

“ตอนนี้ยังไม่สามารถหาข้อมูลที่ชัดเจนได้ หากท่านชายหลัวต้องการจริงๆ ผมจะหาข้อมูลมาให้ได้ภายในระยะ 15 นาทีนี้”

“เร่งมือหน่อย” หลัวซิวส่งข่าวตอบกลับไปอย่างไม่ลังเล

ผู้ส่งข่าวทำงานตรงเวลามาก ผ่านไป 15 นาทีพอดี เขาก็ตอบรับกลับมา

ทว่าในคำตอบนี้ ยังมีเรื่องราวอื่นๆ แฝงอยู่ด้วย

“ตามกฎขององค์กรนักล่ายุทธ์นั้น ท่านชายหลัวเป็นอัจฉริยะขั้นดำระดับสูง มีอำนาจเทียบเท่ากับผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ ในขณะที่ได้อำนาจพิเศษจากองค์กร ในเวลาเดียวกันก็ต้องทำภารกิจภายใน ในฐานะสมาชิกให้สำเร็จด้วย”

“ตามข่าวที่องค์กรมีอยู่นั้น ตระกูลเผยแห่งเมืองยงฉีในประเทศเทียนหวูกำลังตามหาร่องรอยในสมัยโบราณอยู่ โดยสิ่งที่ตามหานั้นคือวิชามารที่มีชื่อว่าจับจิตพรากวิญญาณ หากต้องการฝึกวิชามารนี้ จะต้องมีความสัมพันธ์ลับๆ กับนักยุทธ์หญิงให้ได้ ระหว่างที่แย่งชิงหยวนหยินมานั้นก็ต้องแย่งชิงวิญญาณของอีกฝ่ายมาด้วย เพื่อให้ตนมีวิญญาณหยั่งรู้ที่ยิ่งใหญ่มากขึ้น”

“ด้วยเหตุนี้ องค์กรจึงได้ประกาศภารกิจกำจัดตระกูลเผย ภารกิจนี้มอบให้หลัวซิวเป็นผู้ดำเนินการ โดยกำหนดระยะไว้ทั้งสิ้น 3 ปี”

ตระกูลเผยแห่งเมืองยงฉี มีราชายุทธ์ 4 คนนั่งบัลลังก์ ผู้หนึ่งคือราชายุทธ์ขั้น 9 อีกสามคนคนราชายุทธ์ขั้น 4

ตระกูลที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ หากไม่ได้จักรพรรดิยุทธ์มาช่วย ลำพังหลัวซิวแค่คนเดียวไม่มีทางทำภารกิจนี้ได้สำเร็จ

ทว่าหลัวซิวอยู่ในองค์กรนี้ด้วยสิทธิพิเศษระดับจักรพรรดิยุทธ์ ดังนั้นภารกิจที่เขาต้องทำให้สำเร็จย่อมเป็นภารกิจในระดับเดียวกัน

ทว่าหลังจากที่หลัวซิวอ่านข่าวที่ได้รับมาจบ สีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนไปในทางที่ย่ำแย่ขึ้นทันใด

บนโลกใบนี้ไม่ใช่คนทุกคนที่จะโลภและมีเล่ห์เหลี่ยมเหมือนกันไปเสียหมด อย่างน้อยๆ ก็ยังมีผู้แข็งแกร่งขององค์กรนักล่ายุทธ์อย่างเสิ่นหยวนหนาน เหวินเซวียนหง รวมทั้งจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงที่ถึงแม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่าหลัวซิวมีความลับเก็บงำไว้ แต่ก็ไม่เคยมีความคิดชั่วร้ายแถมยังดูแลเขาดีอีกด้วย

“ก็แค่เสียราชายุทธ์ของตระกูลเหยียนไปคนเดียวเอง” หลัวซิวเบะปากอย่างไม่เห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร

ในแดนปริศนา คนของสำนักเสวียนหยางและตำหนักจื่อ ตายเพราะฝีมือของเขา ไหนจะยังมีพวกราชวงศ์ตระกูลฝานที่เป็นศัตรูกับเขาอีก หากจะมีตระกูลเหยียนเพิ่มอีกสักตระกูล หลัวซิวก็ไม่ได้รู้สึกกลัวอะไร

“เจ้าคิดว่ามีเพียงตระกูลเหยียนตระกูลเดียวหรือไง”

เสิ่นหยวนหนานถอนใจอย่างหัวเสีย “กงซุนเชียนจีที่เจ้าสังหารไปก็เป็นถึงปรมาจารย์นักค่ายกลขั้น 5 เจ้าคิดว่าปรมาจารย์ขั้น 5 เป็นผักปลาตามข้างถนนหรือยังไง เขาถือว่าเป็นสิ่งล้ำค่าหายากเสียยิ่งกว่าผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ด้วยซ้ำ”

“การที่ตระกูลกงซุนสามารถมีอำนาจที่เขตการปกครองโตว้ไห่ได้นั้น ไม่ใช่เป็นเพียงเพราะกงซุนเชียนจีเป็นปรมาจารย์นักค่ายกลขั้น 5 เท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะกงซุนเชียนจีเป็นน้องชายของปรมาจารย์นักค่ายกลขั้น 6 อีกด้วย”

“ทั่วทั้งประเทศเทียนหวูแห่งนี้ ปรมาจารย์ขั้น 6 มีเพียง 3 คนเท่านั้น นั่นคือหัวหน้าแก๊งของทั้งสามใหญ่อย่างแก๊งนักกลั่นยา แก๊งนักค่ายกล และแก๊งนักหลอมอาวุธ”

เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ริมฝีปากของเสิ่นหยวนหนานก็เริ่มกระตุกระหว่างที่จ้องมองไปทางหลัวซิว “ทีนี้เจ้ารู้แล้วหรือยังว่าตัวเองสร้างเรื่องใหญ่ขนาดไหนเอาไว้”

หลัวซิวชะงักไป ก่อนจะเกาศีรษะอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร “ดูเหมือนว่านี่จะไม่ใช่เรื่องเล็กแล้วจริงๆ”

เสิ่ยหยวนหนานกลอกตาอย่างเหลืออด “นี่ไม่ใช่แค่เรื่องเล็กไม่เล็ก แต่กำลังจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้วต่างหาก ปรมาจารย์ขั้น 6 สามท่านถูกเจ้าหาเรื่องไปแล้วสองท่าน ต่อให้จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงอยากปกป้องเจ้าก็คงปกป้องไม่ได้!”

ในประเทศเทียนหวู ผู้ที่มีสถานะสูงสุดคือผู้นำของสี่แก๊งใหญ่ ในจักรพรรดิยุทธ์ทั้งสิบ ผู้ที่มีอำนาจสูงสุดคือหัวหน้าแก๊งองค์กรนักล่ายุทธ์อย่างจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิง

หัวหน้าแก๊งนักกลั่นยาอย่างฝานไท่เต๋อ ปัจจุบันคนผู้นี้เป็นอาของจักรพรรดิประเทศเทียนหวู หรือก็คือน้องชายของจักรพรรดิคนก่อน

ราชวงศ์ของตระกูลฝานมีทุกวันนี้ได้ก็เป็นเพราะว่าได้คนผู้นี้นั่งบัลลังก์ ถึงสามารถที่จะสร้างเมืองบนแผ่นดินนี้สำเร็จ และปกครองทั้งหกเมือง และสิบสามเขตการปกครองได้

จากนั้นยังมีหัวหน้าแก๊งของแก๊งนักค่ายกลอย่างเหว้ยห้าวหรานอีก คนผู้นี้คือขุนนางอาวุโสของตำหนักจื่อ กงซุนเชียนจีที่ถูกหลัวซิวสังหารนั้นคือลูกศิษย์ที่เขาเคยรับเอาไว้เมื่อ 50 ปีที่แล้ว

นอกจากนี้ยังมีหัวหน้าแก๊งหลอมอาวุธอย่างหงหมิง คนผู้นี้ไม่เพียงมีชื่อเสียงในประเทศเทียนหวูเท่านั้น แต่ยังเป็นปรมาจารย์ที่มีชื่อเสียงไปทั่วทั้งเขตแดนรอบๆ อีกด้วย ทั้งได้รับการยอมรับจากผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์จำนวนมาก เพื่อหวังที่จะได้นักยุทธ์ที่มีอานุภาพแข็งแกร่งสักคน

ในบรรดาผู้นำทั้งสี่คนนี้ จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงเป็นผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุด ทว่าปรมาจารย์ขั้น 6 ทั้งสามคนกลับมีเส้นสายที่กว้างขวาง รู้จักผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์หลายคน หากต้องการหาคนมาช่วย การที่พวกเขาจะขอกำลังจากราชายุทธ์และจักรพรรดิยุทธ์มาช่วยสักสองสามคนนั้น ไม่ใช่เรื่องยากอะไรสักนิด

ดังนั้นนี่จึงเป็นเครื่องบ่งบอกว่า หลัวซิวได้มีเรื่องกับจักรพรรดิยุทธ์หลายคนไปแล้วอย่างอ้อมๆ

เมื่อได้ยินคำอธิบายแจกแจงของหัวหน้าแก๊งเสิ่นหยวนหนานเช่นนี้ หลัวซิวพลันรู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที จากพลังยุทธ์ของเขาในตอนนี้ แม้แต่จักรพรรดิยุทธ์สักคนยังไม่อาจที่จะเอาชนะได้ ดังนั้นจึงไม่ต้องพูดถึงจักรพรรดิยุทธ์หลายคน

“เอาเป็นว่ารักษาอาการบาดเจ็บให้หายก่อนแล้วค่อยว่ากัน ช่วงนี้ก็สงบปากสงบคำเอาไว้หน่อย จะได้ไม่มีผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์มาคิดบัญชีถึงที่” หลัวซิวแอบคิดในใจ

……

หลังจากนั้นเจ็ดวัน หลัวซิวก็ได้รับข่าวสารที่ส่งมาจากชิวลั่วสุ่ย ว่าอาจารย์ของสำนักสุ่ยเยว่จงหลังจากที่ได้กินยาวิญญาณหยินหยางเข้าไปแล้วก็สามารถฟื้นฟูการฝึกตนขึ้นมาได้ จึงต้องการแสดงความขอบคุณกับเขา และยังให้คำมั่นแทนอาจารย์สำนักสุ่ยเยว่จงอีกว่า หากหลัวซิวต้องการความช่วยเหลือ อาจารย์สำนักสุ่ยเยว่จงยินดีที่จะช่วยเหลือครั้งหนึ่ง เพื่อเป็นการทดแทนน้ำใจ

พอเป็นเช่นนี้แล้วก็เท่ากับว่า มีจักรพรรดิยุทธ์สองคนแสดงน้ำใจให้กับหลัวซิว ในช่วงเวลาที่ต้องการก็สามารถขอความช่วยเหลือจากจักรพรรดิยุทธ์ทั้งสองคนนี้ได้

อาจารย์สำนักสุ่ยเยว่จงฟื้นฟูเทพจิตได้แล้ว ข่าวนี้ทำให้หลัวซิวนึกถึงเหยียนเยว่เอ๋อร์ เขาได้ใช้เส้นสายทั้งหมดที่เขาพอจะมี แต่สุดท้ายเขาก็ไม่สามารถสืบได้ว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหน

ในฐานะที่เป็นอัจฉริยะขั้นดำ ฐานะของหลัวซิวในแก๊งนักล่ายุทธ์ของประเทศเทียนหวูเทียบเท่ากับผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ จึงเป็นรองเพียงแค่หัวหน้าแก๊งหลักอย่างจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิง

ระบบข่าวสารของแก๊งมีการเคลื่อนไหวอยู่ในทุกๆ เรื่อง โดยทำการตรวจสอบที่มาที่ไปของจักรพรรดิยุทธ์เทียนเฟิ่งอยู่ตลอดเวลา

หลังจากผ่านไปครึ่งเดือน แผลของหลัวซิวก็หายดี อีกทั้งการใช้ผู้เป็นอมตะทำให้การฝึกตนของหลัวซิวยกระดับขึ้นไปอีกหนึ่งแดนเล็ก เข้าสู่แดนฝึกจิตขั้น 9

เมื่อการฝึกตนเข้าสู่ระดับนี้แล้ว ขั้นต่อไปก็ต้องวางแผนต่อว่าจะบรรลุแดนราชายุทธ์ได้อย่างไร

การจะบรรลุแดนฝึกจิตขั้น 9 เข้าสู่แดนราชายุทธ์ได้นั้น มีเรื่องที่ต้องทำสองเรื่อง

เรื่องแรกคือ ผนึกรวมพลังจิตแท้ให้กลายเป็นรูปยา

เรื่องที่สองคือ ทำให้ตัวสำนึกกลายรูป

ขอเพียงทำสองข้อนี้ได้ ก็จะเข้าสู่แดนราชายุทธ์ได้สำเร็จ

ตัวสำนึกของหลัวซิวกับห้วงยุทธ์ได้หลอมรวมเข้าด้วยกันตั้งนานแล้ว ดังนั้นจึงผ่านขั้นกลายรูปไปแล้ว และอาจเหนือกว่าราชายุทธ์ทั่วๆ ไป ในด้านตัวสำนึกเขาไปถึงแดนราชายุทธ์ขั้น 2 แล้ว

ตอนนี้สิ่งที่เขายังขาดอยู่คือการดูดกลืนพลังจิตอีกจำนวนมาก และนำพลังจิตแท้ผนึกรวมเป็นรูปยา จึงจะยกระดับกลายเป็นผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ได้ในที่สุด

หลัวซิวคาดว่า หากใช้ค่ายผนึกปราณดูดกินพลังจิตมาเพื่อการฝึกตนจะต้องใช้หินพลังจิตชั้นสูงสองแสนก้อนโดยประมาณ ถึงจะทำให้เขาสามารถบรรลุแดนฝึกจิตขั้น 9 ไปถึงแดนราชายุทธ์ขั้น 1 ได้

หากกลับมาคำนวณหินพลังจิตชั้นล่างที่เป็นหน่วยพื้นฐานที่สุด หินพลังจิตขั้นสูงหนึ่งก้อน จะเทียบเท่าได้กับหินพลังจิตชั้นล่างหนึ่งหมื่นก้อน เมื่อคำนวณโดยรวมออกมาแล้ว นั่นเท่ากับว่าจะต้องใช้หินพลังจิตชั้นล่างถึงสองพันล้านก้อน!

นี่ถือเป็นตัวเลขที่มากมายเหนือจินตนาการ อย่าว่าแต่จักรพรรดิยุทธ์เลย ผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์ยังไม่มีฐานะดีขนาดที่จะมีได้มากเท่านี้

และเป็นเพราะการที่จะบรรลุได้ต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมหาศาล นี่เองที่ทำให้จำนวนผู้แข็งแกร่งที่จะบรรลุการฝึกตนระดับราชายุทธ์ขึ้นไปได้มีน้อยมาก

ปรมาจารย์โลกยุทธ์ที่อยู่ในแดนฝึกจิตขั้น 9 จำนวนมาก กว่าจะบรรลุแดนราชายุทธ์ได้จำเป็นต้องสะสมกว่าร้อยปี แถมยังต้องอาศัยโชคชะตา ความสามารถ พรสวรรค์และอื่นๆ กว่าจะบรรลุได้อย่างราบรื่น

การจะได้มาซึ่งหินพลังจิตขั้นสูงเป็นจำนวนสองแสนก้อนภายในคราวเดียวนั้น หลัวซิวไม่กล้าแม้แต่จะคิด เพราะหินพลังจิตขั้นสูงนั้นเป็นของที่หาได้ยากยิ่ง ในเหมืองแร่หินพลังจิตบางที่ก็ไม่สามารถหาหินพลังจิตขั้นสูงได้เลยแม้แต่ก้อนเดียว

ยกเว้นแต่ว่าโชคชะตาของหลัวซิวจะดีกว่าปกติ จนสามารถหาเหมืองหินพลังจิตที่ขนาดใหญ่ได้ และสามารถที่จะขุดหินพลังจิตจำนวนสองพันล้านก้อนขึ้นมาได้

เหมืองหินพลังจิตขนาดเล็กสามารถหาหินพลังจิตได้อย่างมากเพียงสิบล้านก้อนเท่านั้น เหมืองหินพลังจิตขนาดกลางสามารถขุดได้มากกว่าร้อยล้านก้อน มีเพียงเหมือนหินพลังจิตขนาดใหญ่เท่านั้นที่จะสามารถหาหินพลังได้มากกว่าร้อยล้านก้อน

ทว่าการค้นพบและการขุดเหมืองหินพลังจิตนั้น มักจะมีกลุ่มอำนาจหลากหลายต่างพากันมาแสวงหาผลประโยชน์ ต่อให้หลัวซิวค้นพบเหมืองหินพลังจิตขนาดใหญ่ เขาก็ไม่มีความสามารถที่จะครอบครองมาเป็นของตนเองได้

แน่นอนว่าตัวเลขสองพันล้านเป็นตัวเลขที่น่าตกใจเกินไป ความเป็นจริงแล้วการบรรลุจากแดนฝึกจิตขั้น 9 ไปถึงแดนราชายุทธ์ เพียงแค่ผนึกรวมพลังจิตแท้ให้กลายเป็นรูปยา และต้องการใช้เพียงพลังจิตแท้เท่านั้น

อีกทั้งสำหรับผู้แข็งแกร่งที่ฝึกตนจนถึงขั้นราชายุทธ์แล้ว การแลกเปลี่ยนต่างๆ จะไม่ใช้หินพลังจิตชั้นล่าง เนื่องจากหินพลังจิตระดับนี้ พลังจิตที่อยู่ในนั้นมีเบาบางเกินไป ทั้งยังไม่ค่อยบริสุทธิ์ จึงไม่มีประโยชน์อะไรต่อการฝึกตน

ดังนั้นผู้แข็งแกร่งระดับราชายุทธ์ขึ้นไป การแลกเปลี่ยนจะใช้อย่างต่ำที่สุดคือหินพลังจิตขั้นกลาง ส่วนสมบัติล้ำค่าบางชิ้นอาจจะต้องใช้ถึงหินพลังจิตขั้นสูงในการแลกเปลี่ยน

แต่สิ่งที่ทำให้เหยียนชูซิวคาดไม่ถึงก็คือ หลัวซิวยังคงบ้าคลั่งพุ่งเข้ามาใส่ตนต่อโดยไม่สนใจบาดแผลของตัวเอง

เหยียนชูซิวยังไม่ทันที่จะได้ใช้ยา มือซ้ายของเขาบีบยาพระแสง ส่วนมือขวาผนึกรวมพลังจิตแท้ ก่อให้เกิดเป็นโล่ไฟปรากฏขึ้น

ทว่าโล่ไฟนี้กลับรับมือได้เพียงครู่เดียวเท่านั้น ก่อนจะถูกปราณกระบี่ภูติอัคคีของหลัวซิวดูดกลืนเข้าไป

“นี่มันไม่ใช่ภูติอัคคีธรรมดา นี่มัน……”

สีหน้าของเหยียนชูซิวแปรเปลี่ยน เขายังไม่ทันจะกล่าวจบประโยคกลับถูกปราณกระบี่ภูติอัคคีโจมตี ร่างกายของเขาทั้งตัวถูกภูตอัคคีกลืนกินแผดเผา

“ไม่!”

เหยียนชูซิวตะโกนอย่างบ้าคลั่ง พลังจิตแท้ Attr ไฟในร่างกายถูกดูดกลืนอย่างต่อเนื่อง การฝึกตนของเขาก็ลดลงก็ลดลงอย่างบ้าคลั่งเช่นกัน

เขามองหลัวซิวอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง เขาคิดไม่ถึงเลยว่า ภูติอัคคีฟ้าดินที่เป็นสมบัติล้ำค่าเช่นนี้ หลัวซิวกลับหามาครอบครองได้? และถึงแม้ว่าเขาจะหาได้ แล้วเขาควบคุมมันได้อย่างไร

ทว่าตอนนี้เหยียนชูซิวกลับพูดอะไรไม่ออก ภายใต้การเผาผลาญของภูติอัคคีกลืนกิน พลังจิตแท้ธาตุไฟของเขานอกจากจะไม่สามารถป้องกันมันได้แล้ว แต่ยังกลายเป็นของบำรุงให้กับภูติอัคคีกลืนกินไปอีกด้วย

ภายในระยะเวลาสั้นๆ ร่างกายของเขาก็ละลายกลายเถ้าธุลี หากไม่ใช่หลัวซิวที่เป็นคนควบคุม แม้แต่นักยุทธ์หรือแหวนเก็บของของเขาก็จะถูกภูติอัคคีกลืนกินเผาผลาญไปจนไม่เหลือเช่นกัน

พลังจิตแท้ของหลัวซิวเองก็ถูกใช้ไปหมดเช่นกัน ร่างของเขาที่ขมุกขมัวตัวอ่อนตัวพับลงกับพื้น พลังชีวิตหลุดลอยไปไกล

เขานอนแผ่ลงบนพื้น จึงเห็นบรรยากาศที่ยังคงบิดเบี้ยวจากแรงระเบิดตัวเองของเย่ซวนที่ยังไม่สงบลง ในใจของเขาจึงเกิดความรู้สึกสลดใจบางอย่างที่บรรยายด้วยคำพูดไม่ถูก

เย่หยุนตายไปแล้ว เพราะความแค้นที่เป็นบ่อเกิดของความมุ่งมั่น ทำให้แม้ว่าตัวจะตายไปแล้ว แต่วิญญาณที่เคียดแค้นยังคงพยายามที่จะยกระดับพลังของตัวเองอยู่ในแดนปริศนา

ทว่าตอนนี้ เย่ซวนก็ตายไปแล้ว ความแค้นยิ่งใหญ่ที่ผู้ชายคนหนึ่งแบกเอาไว้สามสิบกว่าปี สุดท้ายก็ได้ระเบิดออกในช่วงสุดท้ายของชีวิต

บางทีช่วงที่เขาระเบิดตัวเองนั้น เย่ซวนอาจจะไม่ได้คิดว่าตนจะสามารถฆ่าเหยียนซูซิวได้ แต่อาจเพียงคิดว่าหากตัวเองยอมตาย เหยียนชูซิวจะต้องชดใช้อะไรให้เขาได้บ้าง

หากเขารู้ว่าการระเบิดตัวเองของเขา ทำให้หลัวซิวฉวยจังหวะนั้นสังหารเหยียนชูซิวได้ บางทีนี่อาจจะทำให้เขานอนตายตาหลับได้

ทว่าเขาไม่สามารถนอนตายตาหลับได้ตลอดไป เพราะการระเบิดยาเทพจิต ทำให้วิญญาณแตกสลาย ไม่สามารถกลับไปเกิดใหม่ได้อีก การที่เขาไม่ได้กลับมาเกิดทำให้เขาไร้ชะตาที่จะกลับไปเวียนว่ายตายเกิดได้

สติสัมปชัญญะของเขาเริ่มรางเลือนขึ้นเรื่อยๆ บาดแผลตามร่างกายร้ายแรงเกินไป ไม่นานนักหลัวซิวก็เข้าสู่สภาวะหมดสติ

สำหรับเขตการปกครองโตว้ไห่ ความขัดแย้งของสามกลุ่มอำนาจใหญ่ก่อให้เกิดโศกนาฏกรรมแห่งการแก่งแย่งชิงดี

เจ้าสำนักเหลยหวู่ เจ้าตระกูลกงซุน เจ้าของหอหย่งชาง ผู้ควบคุมกลุ่มอำนาจทั้งสามได้หมดอำนาจลง แม้แต่ผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ของตระกูลเหยียนที่มาจากเมืองกู่เจี้ยนก็ตายไปแล้วเช่นกัน

ผู้ที่เข้าร่วมศึกราชายุทธ์ครั้งนี้ คงเหลือเพียงหลัวซิว เด็กหนุ่มอายุ 17 ปีที่อยู่ในแดนฝึกจิตขั้น 8 เท่านั้น ที่ยังคงมีชีวิตอยู่รอด

ทุกสายตาหันไปมองที่หลัวซิวเป็นหนึ่งเดียว คนจำนวนมากต่างเริ่มมีความคิดที่จะเอาชีวิตของเขา

“หนุ่มคนนี้ฆ่าราชายุทธ์ตระกูลเหยียน หากเอาหัวของเขาไปให้ตระกูลเหยียนคงได้ตกรางวัลไม่ต่ำกว่าสองแสนแน่”

คนกลุ่มหนึ่งเริ่มอดใจไม่ไหวจนก้าวเท้าเข้ามาด้วยสายตาเปล่งประกาย

ทว่าในตอนนั้นเองกลับปรากฏเงาร่างของคนคนหนึ่งขึ้นข้างกายของหลัวซิว เป็นผู้อาวุโสจอนผมขาวคนหนึ่ง เขาสวมใส่ชุดผ้าฝ้ายสีฟ้าสวยงามหรูหรา เขาเพียงยืนนิ่งๆ แต่กลับมีความน่าเกรงขามแผ่ซ่านออกมาจากเขาไปทั่วบริเวณ

ไม่ใช่ทุกคนที่จะรู้จักหัวหน้าแก๊งเสิ่นผู้ปกครองเขตการปกครองโตว้ไห่แห่งนี้ คนจำนวนมากได้ยินเพียงชื่อ แต่ไม่เคยเห็นตัวเป็นๆ ของเขามาก่อน

ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ!……

ปรมาจารย์ฝึกจิตสองสามคนวิ่งบุกเข้ามา โดยคิดว่าเสิ่นหยวนหนานไม่ได้ต่างอะไรไปจากพวกตน และหวังแต่จะนำหลัวซิวไปส่งให้ตระกูลเหยียนแห่งเมืองกู่เจี้ยนเพื่อแลกกับเงินรางวัล

ทว่าพวกเขาเพียงก้าวเข้าไปใกล้เสิ่นหยวนหนานภายในรัศมีหนึ่งร้อยเมตร พลันรู้สึกได้ถึงอานุภาพฟ้าดินที่ยิ่งใหญ่ได้กระแทกลงมาหนักๆ ราวภูเขา กดทับลงบนศีรษะของคนพวกนี้

“ผู้ที่ควบคุมพลังฟ้าดินได้ ผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์งั้นหรือ” สีหน้าของคนพวกนี้แปรเปลี่ยนปรากฏความหวาดกลัวขึ้นมา

จากนั้นเสิ่นหยวนหนานเพียงเหวี่ยงหมัดออกไปอย่างไร้อารมณ์ พลังฟ้าดินผนึกรวมกันกลายเป็นกำปั้นมหึมา เกิดเสียงดังตุ้บเพียงครั้งเดียวก็เพียงพอให้ร่างของผู้ฝึกจิตพวกนั้นแหลกสลาย

หากไม่นับคนแปลกประหลาดที่มีความร้ายกาจอย่างหลัวซิว ในสถานการณ์ปกติเช่นนี้ การที่ผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์จะกำจัดปรมาจารย์ฝึกจิตนับว่าเป็นเรื่องที่ง่ายดายมากเช่นนี้

“หนุ่มน้อย สังหารได้แม้กระทั่งราชายุทธ์ขั้น 5 อย่างเหยียนชูซิวเชียวหรือ……”

เสิ่นหยวนหนานมองไปยังเนื้อตัวสะบักสะบอมของหลัวซิวที่กำลังหมดสติอยู่ ริมฝีปากของเขาก็เริ่มกระตุกด้วยไม่รู้ว่าควรพูดไปว่าอะไรดี

ทั่วทั้งเขตการปกครองโตว้ไห่ เกิดเหตุการณ์จลาจลขึ้นไปทั่ว

การที่เจ้าสำนักเหลยหวู่อย่างเหลยเว่ยหลงและผู้อาวุโสราชายุทธ์ทั้งสองถูกสังหาร ทำให้สถานะของตระกูลเหลยตกอยู่ในสภาะที่สั่นคลอน

หากเป็นเมื่อก่อน การที่สำนักเหลยหวู่มีเหลยเว่ยหลงและผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์สองคนเป็นผู้ปกครองสำนักเหลยหวู่ พวกเขาก็สามารถวางอำนาจใหญ่โตภายในเขตการปกครองโตว้ไห่ได้ โดยเฉพาะพวกลูกศิษย์สำนักเหลยหวู่ ยิ่งเป็นที่รังเกียจของคนโดยทั่วไป

เมื่อก่อนทุกคนต่างพากันหวาดกลัวอำนาจของสำนักเหลยหวู่ ผู้คนในเขตการปกครองโตว้ไห่ได้แต่เคียดแค้นเกลียดชังแต่ไม่มีใครกล้าพูด ทำได้เพียงข่มกลั้นความรู้สึกเอาไว้ข้างใน
ทว่าตอนนี้ อำนาจของสำนักเหลยหวู่ถูกทำลาย ระยะเวลาสั้นๆ เพียงสามวัน มีคนตระกูลเหลยถูกฆ่าตายไปแล้วถึงสิบคน และถูกทิ้งศพไว้ข้างถนน

กลุ่มอำนาจที่ไม่ได้ใหญ่โตอะไรก็เริ่มจับมือเป็นพันธมิตรกัน สำนักเหลยหวู่จึงถูกขับไล่ออกไปจากเขตการปกครองโตว้ไห่ สุดท้ายสำนักเหลยหวู่จึงล่มสลายลง

ตระกูลกงซุนเองก็ได้รับผลกระทบไปไม่น้อย หลังจากกงซุนเชียนจีตายไปแล้ว ฝ่ายที่ถูกสายเลือดสายตรงกดขี่มาตลอดก็เริ่มคึกคักขึ้นมา เกิดความขัดแย้งมากมายขึ้นภายในตระกูล มักจะเกิดการทะเลาะกันบ่อยครั้ง เกิดศึกภายในไม่ขาดสาย

หอหย่งชางเองก็ไม่ต่างอะไรกับมังกรที่ไร้หัว เหยียนยิงต๋าที่เป็นผู้ช่วยเจ้าของหอก็ถือโอกาสนี้ยึดตำแหน่ง และพยายามรวบรวมพรรคพวกจนกลายเป็นกลุ่มอำนาจที่ยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเขตการปกครองโตว้ไห่

สถานการณ์โลกภายนอกก็วุ่นวายโกลาหล เกิดการสู้รบขึ้นเป็นนิจ เป็นการแก่งแย่งทรัพยากรและอำนาจ และถือเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นตลอดในโลกแห่งนักยุทธ์

และในช่วงเวลานี้เองที่หลัวซิวรักษาตัวอยู่ที่องค์กรนักล่ายุทธ์

เมื่อเขาตื่นขึ้นมาจากหลังจากหมดสติไป เวลาก็ผ่านไปสามวันแล้ว เส้นปราณภายในร่างก็เริ่มปริออก จุดตันเถียนชี่ไห่ได้รับความเสียหาย ตัวหยั่งรู้ของเทพจิตได้รับผลกระทบเช่นกัน การบาดเจ็บเช่นนี้ไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับใครก็คงพิการไปแล้วทั้งนั้น

และนี่เองเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่า การระเบิดตัวเองของผู้แข็งงแกร่งราชายุทธ์ อานุภาพของมันมีความน่าหวาดหวั่นเช่นไร

หากแดนร่างเนื้อของเขายังไม่ถึงระดับร่างยุทธ์ระดับราชา เกรงว่าแม้แต่ผู้เป็นอมตะยังไม่สามารถช่วยได้ และก็คงจะสิ้นใจคาที่ไปนานแล้ว

และแม้ว่าจะใช้ผู้เป็นอมตะแล้วก็ตาม แต่หากบาดแผลร้ายแรงเกินไป อย่างน้อยๆ ก็ต้องใช้เวลากว่าครึ่งเดือนถึงจะฟื้นฟูร่างกลับมาได้

โดยเฉพาะการซ่อมแซมจุดตันเถียน ตัวหยั่งรู้ รวมทั้งเส้นลมปราณที่ต้องสร้างขึ้นมาใหม่ ทุกกระบวนการเหล่านี้ล้วนต้องสิ้นเปลืองเวลาอย่างมากทั้งสิ้น

วงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพหมุนวนอยู่ในชี่ไห่ พลังชีวิตกระจายไปทั่วร่างช่วยในการฟื้นฟูบาดแผล

เมื่อตื่นขึ้นมาแล้ว หลัวซิวจึงใช้ยาเสวียนจือหนึ่งเม็ด นี่คือยาล้ำค่าที่ใช้ในการฟื้นฟูจุดตัดเถียน แต่เพื่อให้สามารถเร่งระยะเวลาการรักษาตัวของบาดแผลให้เร็วขึ้น แม้ว่าเขาจะเสียดายขนาดไหนก็จำเป็นต้องกินมันเข้าไป

ส่วนยาวิญญาณหยินหยางที่สามารถฟื้นฟูตัวหยั่งรู้รวมทั้งยาเทพจิตได้นั้น หลัวซิวกลับไม่สามารถทำใจใช้มันได้ เพียงเพราะว่าที่เขากลั่นยาตัวนี้ออกมาก็เพราะต้องการทิ้งเอาไว้ให้เหยียนเยว่เอ๋อร์

“หนุ่มน้อย รู้หรือยังว่าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว”

หัวหน้าแก๊งเสิ่นหยวนหนานเข้ามาในห้อง ใบหน้ามีอายุของเขานิ่งเย็นราวสายน้ำ น้ำเสียงของเขาแฝงความหมายตำหนิ ทว่าสายตาของเขาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง



หลัวซิวใช้ห้วงยุทธ์อยู่สองประเภท ห้วงยุทธ์กระบี่สังหารที่วิวัฒนาการมาจากการสังหารผู้แข็งแกร่งแล้วผนึกรวมสารจากไอสังหาร

ยิ่งประหารผู้แข็งแกร่งที่ฝึกตนระดับสูงขึ้น จำนวนมากขึ้น ไอสังหารของเขาก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น พลังของห้วงยุทธ์กระบี่สังหารก็จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วตามไปด้วย

ห้วงยุทธ์กระบี่สังหารสามารถใช้การสังหารมาหล่อเลี้ยงได้ แต่มีเงื่อนไขอยู่หนึ่งข้อคือจะต้องสังหารฝ่ายที่มีการฝึกตนในระดับเท่าเทียมกันหรือไม่ก็มีผู้ที่ระดับความสามารถที่เหนือกว่าตนเท่านั้น

ตอนนี้หลัวซิวอยู่ในขั้นแดนฝึกจิต หลังจากสังหารราชายุทธ์มาได้ทั้งหมดสามคน เขาก็เริ่มสัมผัสได้ว่าห้วงยุทธ์กระบี่สังหารของตนแข็งแกร่งขึ้นมาก ระหว่างใช้ทักษะยุทธ์แล้วใช้ห้วงยุทธ์กระบี่สังหารเป็นตัวเสริม พลังการโจมตีจะเพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัว

เขาเงยหน้าขึ้นไปมองการต่อสู้ระหว่างเย่ซวนกับเหยียนซูซิว ไอสังหารรอบกายของหลัวซิวไม่ได้ระบายออกมาเพราะการสังหารกงซุนเชียนจี แต่กลับหนาวสะท้านมากขึ้น

เมื่อนึกย้อนไปถึงเย่หยุนในแดนปริศนาที่ปรากฏขึ้นในใจของเขาอยู่เรื่อยๆ ในใจของหลัวซิวมักจะปรากฏความรู้สึกมากมายหลากหลาย

สำหรับคนอย่างเหยียนชูซิว ในใจของหลัวซิวบังเกิดความรังเกียจและเกลียดชังที่ก่อเกิดมาจากในใจลึกๆ เพราะหากวันหนึ่งเขาต้องเผชิญกับเหตุการณ์คล้ายกันนี้ เขาจะต้องรับมืออย่างไร

เปรี้ยง!

ไอสังหารแผ่ซ่านออกมา ไอสังหารสีแดงเลือดผนึกรวมเข้ากับกระบี่อาถรรพ์ฟันเสือ ร่างของหลัวซิวกลายเป็นแสงโลหิตสีแดงสด พุ่งทะยานเข้าสู่เหยียนชูซิว

“ตายซะ ไสหัวไป!”

เหยียนชูซิวยื่นมือออกไปผนึกรวมพลังฟ้าดินให้เป็นเปลวไฟ และกลายเป็นหอกรบอัคคีสามสาย

หลัวซิวใช้ดาบดับสิ้นทำลายหอกรบอัคคีแตกสลายไปเพียงสองสาย และไม่สามารถที่จะทำอะไรต่อได้อีก

เพราะการฝึกตนของเขานั้นต่ำเกินไป ต่อให้ใช้พลังทั้งหมดแล้ว อย่างมากก็มีพลังเพียงเทียบเท่ากับราชายุทธ์ขั้น 2 เท่านั้น และยิ่งพลังแปรเสวียนเทียน 24 เท่าที่เพิ่มขึ้นซึ่งสามารถเทียบเท่ากับราชายุทธ์ขั้น 4

ทว่าเหยียนชูซิวกลับเป็นผู้แข็งแกร่งแดนราชายุทธ์ขั้น 5 แม้ว่าดูเหมือนจะต่างกันเพียงเล็กน้อย ทว่าก็ยังเหนือกว่าระดับสูงสุดของหลัวซิว

เกิดเสียงดังฉึก หอกรบอัคคีสายที่สามแทงเข้าไปที่ไหล่ด้านซ้ายของหลัวซิว พลังการเผาไหม้อันน่าหวาดกลัวทำให้เกิดเสียงฟู่ๆ เนื้อหนังของเขากลายเป็นสีดำไหม้เกรียม

หลัวซิวพยายามฝืนความเจ็บปวดและกัดฟันต่อไปอย่างไม่ยอมแพ้ แล้วมุ่งหน้าเข้าไปหาเหยียนชูซิว

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง เย่ซวนก็บุกเข้ามาด้วยเช่นกัน รอบกายของเขาปรากฏแสงชีวิตสุดท้าย เลือดไหลทะลักออกมาจากปากของเขา พลังรอบกายของเขาคล้ายจะระเบิดออกมาในทันที

“บ้าเอ๊ย เย่ซวนแกบ้าไปแล้วหรือไง”

“ผู้อาวุโส……”

เหยียนชูซิวกับหลัวซิวเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ อารมณ์ของพวกเขาก็ชะงัก เพราะจากท่าทางของเย่ซวนในตอนนี้เห็นได้ชัดว่าเขากำลังเตรียมจะระเบิดตัวเอง

ผู้แข็งแกร่งระดับราชายุทธ์ พลังจิตแท้ที่จุดตันเถียนชี่ไห่ผนึกรวมเข้าด้วยกันในระดับสูงจะกลายเป็นยา โดยมีชื่อว่ายาเทพจิต

ยาเทพจิตที่อยู่ในจุดตันเถียนชี่ไห่หมุนวนอย่างรวดเร็ว ด้วยช่องทางลึกลับบางประการ ทำให้ผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์สามารถควบคุมพลังฟ้าดินที่อยู่ในบริเวณรอบตัวได้ ทำให้พลังในการต่อสู้เข้มแข็งขึ้นและเอาชนะผู้ที่อยู่ในระดับล่างกว่าได้

และเมื่อผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ทำลายยาเทพจิตของตน ชี่ไห่จะแตกสลาย ซึ่งจะเท่ากับเป็นการเหนี่ยวนำพลังฟ้าดินบริเวณรอบๆ ทำให้เกิดเป็นอานุภาพที่น่าสยดสยองได้

เดิมทีเย่ซวนฝึกตนอยู่ในแดนราชายุทธ์ขั้น 3 อานุภาพในการทำลายยาเทพจิตของตัวเอง แม้แต่เหยียนซูซิวที่อยู่ในแดนราชายุทธ์ขั้น 5 ก็ยังไม่กล้าดูถูกเขา

หลัวซิวเองก็คิดไม่ถึงว่าเย่ซวนจะลงมืออย่างเด็ดขาดเช่นนี้

“ไอสารเลวเหยียนชูซิว คนอย่างเย่ซวนต่อให้ตายแล้วก็จะลากแกลงไปตายด้วยกัน ข้าจะคืนความเป็นธรรมให้กับดวงวิญญาณที่ถูกใส่ร้ายของตระกูลเย่ที่ล่วงลับไปแล้ว”

เย่ซวนตวาดลั่น ตอนนี้ในหัวของเขาเต็มไปด้วยความบ้าคลั่งและความเกลียดชังที่ล้นทะลัก

“เฮอะ แกคิดว่าทำลายยาเทพจิตแล้วจะทำร้ายข้าได้งั้นหรือ”

แม้ว่าสีหน้าของเหยียนชูซิวจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย ทว่าเขาก็กลับมาอยู่ในอาการสงบได้อย่างรวดเร็ว แล้วหัวเราะด้วยเสียงแข็งกระด้าง พร้อมหยิบฮู้ สีน้ำเงินออกมาหนึ่งอัน

สีแดง ส้ม เหลือง เขียว ฟ้า ม่วง ดำและสีทอง สีทั้งเก้านี้เท่ากับระดับทั้งเก้าของฮู้ และหมายความถึงอัญมณีที่ใช้หลอมมีระดับที่แตกต่างกัน

หยกน้ำเงิน คือสมบัติขั้น 6 ที่ใช้ในการหลอมฮู้ โดยจะหลอมฮู้ที่มีสีฟ้าออกมา และนั่นจะกลายเป็นฮู้ขั้น6

ด้านบนของฮู้หยกน้ำเงินจะมีรูปคล้ายโล่สลักเอาไว้ เป็นสัญลักษณ์ที่ทำให้เห็นว่านี่คือยันต์คุ้มกันขั้น 6 ต่อให้ผู้เป็นมกุฎยุทธ์ลงมือก็ไม่สามารถทำลายมันได้

ขอเพียงใช้ยันต์คุ้มกันขั้น 6อันล้ำค่านี้ชิ้นนี้ ต่อให้เย่ซวนทำลายยาเทพจิตก็ไม่มีทางที่จะทำอันตรายเหยียนชูซิวได้แม้แต่น้อย

ทว่าเหยียนชูซิวจะได้ใจตอนนี้ก็ยังถือว่าเร็วเกินไป เพราะในตอนที่เขากำลังจะบีบยันต์คุ้มกันขั้น 6 อยู่นั้น เขาก็เริ่มสัมผัสได้ว่าตัวหยั่งรู้ของเขาถูกตัวสำนึกรูปกระบี่แทง

“แย่แล้ว นี่คือวิญญาณโจมตี!”

ในหัวของเหยียนชูซิวเพิ่งจะเกิดความคิดเช่นนี้ขึ้นมา ก็สัมผัสได้ถึงตัวสำนึกรูปกระบี่สีดำได้แทงเข้ามายังตัวหยั่งรู้จนระเบิด ทำให้วิญญาณหยั่งรู้ของเขาเจ็บปวดจากแรงฉีกขาด

ผลจากวิญญาณโจมตี ทำให้เหยียนชูซิวไม่กล้าที่จะใช้ยันต์คุ้มกันขั้น6 ต่ออีก และพยายามรวบรวมตัวสำนึกเพื่อรับมือกับวิญญาณโจมตี ไม่เช่นนั้นแล้วเมื่ออีกฝ่ายทำลายวิญญาณหยั่งรู้ของตนได้แล้ว เขาคงไม่สามารถหลีกหนีความตายพ้น

เมื่อตัวสำนึกของผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ขั้น 5 ผนึกรวมเข้าด้วยกัน ตัวหยั่งรู้ก็สามารถแทงเข้าไปที่ตัวสำนึกรูปกระบี่สีดำจนดับสลายมันลงไปได้

ในตอนนั้นเอง เปลวไฟชีวิตที่ลุกโชนอยู่รอบตัวของเย่ซวนก็พุ่งเข้ามา ตอนนั้นสีหน้าของเขาราวกับเขากำลังกรีดร้องด้วยความบ้าคลั่ง

เปรี้ยง!

เสียงระเบิดอันน่าสยดสยองดังขึ้น พลังฟ้าดินรอบตัวในรัศมีหลายร้อยเมตรระเบิดเกิดเป็นแรงสั่นสะเทือนไปทั่วอย่างน่าหวาดหวั่น ทำให้ผืนแผ่นดินบริเวณนี้คล้ายกำลังบิดเบี้ยว และปรากฏร่องรอยสีดำเล็กๆ ปรากฏขึ้น

ผู้คนที่เขตการปกครองโตว้ไห่ที่เห็นเหตุการณ์นี้ต่างพากันอ้าปากค้าง การระเบิดตัวเองของผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์มีอานุภาพน่าพรั่นพรึงถึงขนาดเชียวหรือ

เหยียนชูซิวและหลัวซิวจมอยู่ในแรงระเบิดที่หมุนวนอบอวล ไม่มีผู้ใดรู้ว่าสองคนนี้ตอนนี้เป็นหรือตาย

แก่กๆ ……

ร่างของคนสองคนลอยออกมาจากอากาศที่บิดเบี้ยวหมุนวน เสื้อผ้าบนร่างของพวกเขาแหลกละเอียดหายไป

หน้าอกของเหยียนชูซิวถูกแรงระเบิดจนเกิดเป็นรูสีแดงฉาน เลือดสดไหลซิบๆ ออกมา

ส่วนร่างของหลัวซิวรางซะบักซะบอมจนมองไม่เห็นอวัยวะส่วนใดที่ไม่มีรอยแผล

เหยียนชูซิวเป็นผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ขั้น 5 แม้แดนร่างเนื้อของเขาจะไม่อยู่ในร่างยุทธ์ระดับราชา แต่เขาก็สามารถใช้พลังจิตแท้ในการปกป้องร่างกายของตนได้

ส่วนหลัวซิวนั้น โชคดีที่ร่างของเขาอยู่ในแดนร่างเนื้อที่เป็นร่างยุทธ์ระดับราชา มิเช่นนั้นแล้วแรงระเบิดที่มีอานุภาพน่าหวาดกลัวเช่นนี้ คงจะทำให้ร่างของเขาระเบิดกลายเป็นเถ้าถ่านได้ภายในระยะเวลาเพียงพริบตาเดียว

หอที่มีความสูงที่สุดของเขตการปกครองโตว้ไห่ ด้านบนสุดสามชั้นก็ถูกแรงระเบิดอันน่าหวาดกลัวครั้งนี้ทำลายจนสิ้น

ตุ้บ!

เมื่อร่างของเขาหล่นกระแทกพื้น หลัวซิวแทบไม่สนใจความเจ็บปวดที่ร่างกายของตนเอง เขาพลิกตัวขึ้นมา ที่มือทั้งสองข้างของเขาปรากฏภูตอัคคีกลืนกินสีแดงส้ม และก่อตัวเปลี่ยนเป็นปราณกระบี่ธาตุไฟสิบสายพุ่งเข้าใส่เหยียนชูซิว

เขารู้ดีว่าบาดแผลของตัวเองนั้นร้ายแรงกว่าของเหยียนชูซิว ทว่าพลังในการฟื้นฟูตัวเองของเขานั้นแข็งแกร่งกว่า เขาจึงไม่กลัวว่าบาดแผลของตัวเองจะร้ายแรงไปมากกว่านี้ ดังนั้นเขาจึงลงมืออย่างไม่ลังเล เขาจะต้องฉวยโอกาสตอนที่เหยียนชูซิวยังไม่ทันตั้งตัวลงมือให้เด็ดขาด

เหยียนชูซิวไม่ใช่นักยุทธ์กลั่นร่าง บาดแผลที่หน้าอกซ้ายของเขา ทำให้สีหน้าของเขาซีดขาว เขาจึงรีบหยิบยาพระแสงขั้น 5 ออกมาจากแหวนเก็บของทันที

การหยิบยารักษาตัวออกมาตอนที่กำลังบาดเจ็บหนักนั้นเป็นสิ่งที่นักยุทธ์ทุกคนต้องทำเหมือนๆ กัน



“แย่งเมียชาวบ้าน แถมยังฆ่าล้างตระกูล จะว่าแกเป็นเดรัจฉาน ก็ยังกลัวว่าจะเป็นการดูถูกเดรัจฉานมันอีก”

เนื่องด้วยเรื่องของเหยียนเยว่เอ๋อร์ ทำให้หลัวซิวรู้สึกไม่ดีกับตระกูลเหยียน และนี่ส่งผลทำให้น้ำเสียงของเขาที่กล่าวออกมาไม่มีความเกรงใจและเต็มไปด้วยความถากถาง

แววตาของเหยียนชูซิวแข็งกระด้างหนาวยะเยือก จอกสุราในมือของเขาถูกบีบจนแตกละเอียด ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “ไอ้หนุ่มปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างแกถือดีอะไรมาดูถูกฉัน แกเบื่อจะใช้ชีวิตอยู่ต่อแล้วหรือไง”

“ขอโทษด้วย ต่อให้ผมเบื่อชีวิต แต่ผมก็มีความสุขดี” หลัวซิวยิ้มอย่างดูแคลนพร้อมใบหน้าอันแข็งกระด้าง “ตรงกันข้าม ฉันคิดว่าคนที่ไม่อยากใช้ชีวิตต่อแล้วคือแกต่างหาก”

“ไปตายซะ!”

หลังจากที่ถูกหลัวซิวกล่าวเสียดสี อารมณ์ของเหยียนชูซิวจึงเดือดพล่านจนยกมือขึ้นทุบลงบนโต๊ะข้างกายจนแหลกละเอียด เขาแผดเสียงลั่น “ฉันก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าคนที่ได้ชื่อว่าอัจฉริยะที่ร้อยปีจะปรากฏสักคนอย่างแกจะมีดีอะไรบ้าง!”

“อย่าคิดว่าแกสังหารไอ้สวะอย่างเหลยเว่ยหลงได้ แล้วจะมาทำตัวโอหังวางโตต่อหน้าฉันนะ แกยังห่างชั้นอยู่อีกเยอะ”

ระหว่างที่เขากำลังแผดเสียงลั่น รัศมีรอบกายของเหยียนชูซิวก็แผ่ซ่านออกมา พลังฟ้าดินถูกดึงดูดเข้ามารอบกายของเขา เกิดเป็นเปลวไฟที่ลุกโชนราวกับเทพสงครามที่อยู่ท่ามกลางเปลวไฟ

พลังงานของเขาตอนนี้แข็งแกร่งมากกว่าเหลยเว่ยหลงตอนรุ่งเรืองที่สุดเสียอีก เห็นได้ชัดว่าผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์แดนขั้น 5 สามารถเทียบเคียงได้กับหัวหน้าองค์กรนักล่ายุทธ์ของเขตการปกครองโตว้ไห่อย่างเสิ่นหยวนหนานได้

“ไอ้เดรัจฉาน ไปตายซะ!”

เจ้าของหอหย่งชางที่อยู่ใกล้ๆ หลัวซิวตะโกนร้องแล้วพุ่งเข้าใส่ทันที ท่าทีของเขาประกาศกร้าวอย่างชัดเจนว่าเขาตั้งใจที่จะสละชีวิตทิ้ง

เขาในตอนนี้ไม่ใช่หลินโยว่เทียน แต่เป็นเย่ซวน ผู้ที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์ปราบปรามตระกูลเย่เมื่อ 30 ปีก่อน ต่อให้เขาตายไปแล้ว เขาก็จะกินเนื้อของเดรัจฉานอย่างเหยียนชูซิวเพื่อให้ได้

การฝึกตนของเจ้าของหอหย่งชางเดิมทีอยู่ที่ราชายุทธ์ขั้น 3 ทว่าพลังที่เขาระเบิดออกมารอบกายตอนนี้นั้นแผ่กระจายเป็นวงกว้างมาก จนทำให้พื้นที่บริเวณนั้นกลายเป็นพื้นที่อันตราย

“บ้าไปแล้ว!” กงซุนเชียนจีหรี่ตามอง การที่เจ้าของหอหย่งชางสามารถระเบิดพลังที่รุนแรงขนาดนี้ออกมาได้ นั่นเป็นเพราะว่าเขาเผาผลาญชีวิตดั้งเดิมของตัวเอง

ชีวิตดั้งเดิมเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงโชคชะตาและอายุขัยของคนคนหนึ่ง นี่เป็นการเอาชีวิตของตัวเองมาแลกกับพลังยุทธ์ที่แข็งแกร่งขึ้น

เจ้าของหอหย่งชางเก็บความแค้นที่มีมาหลายสิบปีไว้ในใจ และเมื่อระเบิดออกมาภายในชั่วพริบตา ร่างของเขาก็ลุกโชนราวกับเปลวเพลิงดวงใหญ่

หลัวซิวเข้าใจความบ้าระห่ำเช่นนี้ของเขา เพราะหากเกิดขึ้นกับตน การที่คนรักของเขาถูกฆ่าตาย เขาคงบ้าระห่ำยิ่งกว่านี้และกรีดร้องตะโกนอยู่ข้างใน

เจ้าของหอหย่งชางเผาผลาญชีวิตดั้งเดิมของตนเอง จึงทำให้เขาสามารถรับมือต่อสู้กับเหยียนชูซิวได้เป็นเวลานาน ดังนั้นหลัวซิวจึงเบนสายตาไปที่กงซุนเชียนจี

“ถึงเวลาที่ฉันต้องส่งแกไปแล้ว เหลยเว่ยหลงรอแกอยู่ในนรกมานานแล้ว”

ระหว่างที่พูด หลัวซิวก็เคลื่อนกายไปปรากฏอยู่ตรงหน้ากงซุนเชียนจีและชกไปที่ศีรษะของอีกฝ่าย

กงซุนเชียนจีคิดไม่ถึงว่าหลัวซิวจะลงมือกับตนอย่างกะทันหันเช่นนี้ ในช่วงเวลาเร่งรีบนั้นเขาไม่มีโอกาสได้ทันป้องกันจึงถูกหลัวซิวต่อยเข้าที่กะโหลกอย่างจัง

ตุ้บ!

ร่างของกงซุนเชียนจีโดนต่อยจนหมุนคว้างกระเด็นลอยออกไป แล้วชนเข้ากับกำแพงจนเกิดเป็นรูขนาดใหญ่

หลัวซิวยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดการเคลื่อนไหว ร่างของเขาพุ่งทะยานออกไปพร้อมไล่ตามไปติดๆ โดยไม่รอให้กงซุนเชียนจีได้ทันตั้งตัวก่อนจะใช้เท้ากระทืบเข้าที่หน้าอกของเขาจนอัดลงกับพื้น

ตุ้บๆๆ! ……

ร่างของหลัวซิวแปรเปลี่ยนเป็นเศษเงา เขาอาศัยพลังของร่างยุทธ์ระดับราชาย่ำไปที่กงซุนเชียนจี ทำให้ปรมาจารย์นักค่ายกลขั้น 5 ผู้นี้ได้แต่ใช้พลังจิตแท้ควบคุมพลังฟ้าดิน เพื่อใช้เป็นเกราะป้องกันตนเอาไว้ โดยไม่ทันมีโอกาสได้ลงมือวางค่ายกล

เมื่อไม่มีค่ายกลเป็นตัวช่วยแล้ว เขาจึงมีเพียงการฝึกตนในแดนราชายุทธ์ขั้น 1 เท่านั้น ดังนั้นจึงไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่เหมาะสมของหลัวซิว

เพียงช่วงเวลาสั้นๆ เจ้าตระกูลกงซุนผู้ยิ่งใหญ่ถูกหลัวซิวต่อยจนหน้าช้ำเลือดช้ำหนอง ราวกับถุงกระสอบทรายที่ถูกต่อยครั้งแล้วครั้งเล่า

“ปั้ง!”

เพียงชั่วพริบตา กงซุนเชียนจีบีบฮู้ที่เอาออกมาจากแหวนเก็บของจนแตกละเอียด แสงสว่างสีเขียวเปล่งประกายออกมาเพื่อป้องกันการโจมตีของหลัวซิว

นี่คือยันต์โจมตีระดับ 5 สองแผ่น เมื่อใช้ฮู้รับมือจังหวะของหลัวซิวเอาไว้แล้ว กงซุนเชียนจีจึงถอยหลังไป แล้วดึงธงค่ายออกมาจากแหวนเก็บของเพื่อนำไปจัดวางกลางท้องฟ้า

กระบี่อาถรรพ์ฟันเสือลอยออกมาจากปลอกกระบี่ที่อยู่ด้านหลัง แล้วฟาดฟันเข้าใส่ยันต์โจมตีระดับ 5 จนแสงสีทองแตกกระจุย หลัวซิวสังเกตความเคลื่อนไหวของกงซุนเชียนจีก่อนจะยิ้มเยาะเย้ยออกมา

“กงซุนเชียนจี แกคิดจะใช้ค่ายกลกับฉันงั้นรึ แกคงไม่รู้สินะว่าอะไรที่เรียกว่าหาเหาใส่หัว”

ระหว่างที่เอ่ย หลัวซิวก็ใช้มือบีบวิชาและตัวสำนึกเพื่อล็อกธงค่ายทุกผืนของกงซุนเชียนจีเอาไว้

“แก……”

กงซุนเชียนจีรับรู้ได้ว่าตัวสำนึกของตัวเองระหว่างธงค่ายได้รับผลกระทบบางอย่าง สีหน้าของเขาจึงแปรเปลี่ยนไป พร้อมๆ กับผนึกรวมตัวสำนึก เกิดเป็นแรงต่อต้านกับตัวสำนึกของหลัวซิวที่อยู่ระหว่างธงค่าย

เมื่อหลัวซิวนึกย้อนเปรียบเทียบการต่อสู้ระหว่างตนกับเหลยเหว่ยหลง กงซุนเชียนจีถือได้ว่ารับมือได้ง่ายกว่ามาก เพราะเดิมทีพลังของคนผู้นี้ก็ไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก อย่างมากที่สุดเขาก็เพียงอาศัยความเป็นปรมาจารย์ค่ายกลขั้น 5 และบังเอิญว่าพลังยุทธ์เช่นนี้เป็นสิ่งที่หลัวซิวสามารถจัดการได้

ระดับสูงต่ำของนักกลั่นยาอยู่ที่ประสบการณ์และวิชาการกลั่นยา วิชากลั่นยาก็เปรียบเหมือนกับวรยุทธ์ นั่นคือสำหรับนักยุทธ์ระดับยิ่งสูง ประสิทธิภาพก็จะยิ่งมากขึ้น

เส้นทางของค่ายกลก็เช่นเดียวกัน วิชาค่ายกลจะถูกเรียกว่าวิกล วิกลระดับสูงสามารถเอาชนะวิกลระดับล่างได้ และสามารถเอาชนะค่ายกลของอีกฝ่ายได้ ซ้ำยังสามารถแย่งธงค่ายที่อีกฝ่ายจัดวางไว้ได้อีกด้วย

เช่นเดียวกับปรมาจารย์ค่ายกลขั้น 5 ตัวสำนึกของหลัวซิวคือราชายุทธ์ขั้น 2 ส่วนกงซุนเชียนจีคือราชายุทธ์ขั้น 1

ในส่วนของวิกลนั้น วิกลของหลัวซิวผ่านการเปลี่ยนแปลงมาจากผังกฎดั้งเดิมวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพจากค่ายกลโบราณในแดนปริศนา แม้จะไม่ถือว่าเป็นระดับที่สูงมากนัก แต่ก็นับว่าห่างชั้นจากวิกลในขั้นธรรมดามากแล้ว

ไม่ว่าจะเป็นด้านตัวสำนึก วิกลหรือว่าพลังยุทธ์ประจำตัว หลัวซิวล้วนยืนอยู่ในฝั่งที่ได้เปรียบกว่าทั้งสิ้น ดังนั้นตั้งแต่เริ่มต้น ผลการต่อสู้ระหว่างเขากับกงซุนเชียนจีก็ได้ถูกกำหนดไว้แล้ว

การสังหารเหลยเว่ยหลงทำให้เขาได้รับบาดเจ็บร้ายแรง ทว่าการสังหารกงซุนเชียนจีกลับง่ายกว่านั้นมาก

“ตู้ม!”

ระหว่างที่หลัวซิวกำลังตะโกน ทันใดนั้นก็เกิดเสียงระเบิดดังขึ้นมาจากรอบด้าน ธงค่ายที่กงซุนเชียนจีจัดวางไว้ทั้งหมดระเบิดออกกลายเป็นผุยผงกระจายไปทั่วทั้งท้องฟ้า

“นี่…….มันไม่มีทางเป็นไปได้!”

สีหน้าของกงซุนเชียนจีปรากฏความกลัวและตกใจสลับกัน ร่างของหลัวซิวเข้ามาใกล้ภายในชั่วพริบตา กระบี่อาถรรพ์ฟันเสือพุ่งตรงเข้ามา

หลังผ่านการต่อสู้รับมือกันสิบกว่ายกแล้ว ร่างไร้วิญญาณร่างหนึ่งก็ร่วงหล่นมาจากท้องฟ้าพร้อมเลือดที่สาดกระเซ็นไปทั่ว

นี่เป็นราชายุทธ์คนที่สามที่ตายด้วยน้ำมือของหลัวซิว แถมยังเป็นปรมาจารย์ที่เชี่ยวชาญค่ายกลขั้น 5 อีกด้วย

หลัวซิวยื่นมือออกไปคว้าแหวนเก็บของของกงซุนเชียนจีที่ตกลงมา และในตอนนั้นเอง ผู้คนด้านล่างที่เห็นเหตุการณ์นี้ต่างพากันเงียบไม่ส่งเสียง ก่อนจะกลับมาอยู่ในสภาพที่วุ่นวายอีกครั้งทันที

เจ้าสำนักเหลยหวู่ตายแล้ว เจ้าตระกูลกงซุนก็ตายแล้ว ถึงเวลาที่เขตการปกครองโตว้ไห่ต้องเปลี่ยนแผ่นดินแล้ว

เมื่อเทียบกับฝีมือการสังหารอย่างรวดเร็วของหลัวซิวแล้ว การต่อสู้ระหว่างเหยียนชูชิวกับเย่ซวนก็เริ่มดุเดือดเลือดพล่านมากยิ่งขึ้น

พลังจิตแท้เคลื่อนไหวอย่างรุนแรง ทั้งสองฝ่ายต่างใช้พลังฟ้าดินเพื่อขับเคลื่อนทักษะยุทธ์จนกินกันไม่ลง

หลัวซิวเงยหน้าขึ้นมอง ในสายตาของเขาเห็นผังลายเส้นชีวิตของเย่ซวนเจ้าของหอหย่งชางกำลังเผาไหม้อย่างรวดเร็วและค่อยๆ สลัวลงเรื่อยๆ การเผาผลาญชีวิตดั้งเดิมเป็นวิธีการที่เป็นข้อห้าม เขายกระดับพลังยุทธ์ของตัวเองจนถึงราชายุทธ์ขั้น 5 แต่ก็ไม่สามารถรักษาสภาพเช่นนั้นไว้ได้นานนัก

หากไม่มีเหตุการณ์เหนือความคาดหมาย สุดท้ายแล้วฝ่ายแพ้จะต้องเป็นเย่ซวนไม่ใช่เยียนชูซิว

แน่นอนว่ากงซุนเชียนจีไม่เชื่อว่าหลัวซิวจะมีระดับค่ายกลที่สูงขนาดนี้ ที่สงสัยก็เพราะว่า หลัวซิวสามารถสร้างค่ายกลธงได้รวดเร็วเช่นนี้ ยังไงก็ต้องมีธงค่ายพิเศษอย่างใดอยู่ในมือแน่นอน

ในตอนนี้ เขามีความต้องการที่จะลงมือทำ ถ้าเขาสามารถเอาสมบัติชิ้นนี้มาได้ ความแข็งแกร่งจะสูงขึ้นอีกระดับอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่แน่อาจจะสามารถเข้าใจความลึกลับอันลึกซึ้งของค่ายกลได้ และยกระดับทักษะค่ายกลของตน หรือแม้แต่ระดับขั้น!

“ห้วงยุทธ์อัสนี เหยียบมังกรทะลุฟ้า!”

ที่กลางอากาศ เหลยเว่ยหลงกู้ร้องด้วยความโกรธา อำนาจรอบร่างของเขาพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และรัศมีของสายฟ้าหลอมรวมกันกลายเป็นรูปมังกร คำรามและพุ่งตรงไปที่หลัวซิว

ในเวลาเดียวกัน พลังแห่งตัวสำนึกของเขาหลอมรวมกับพลังของห้วงยุทธ์ กลายเป็นสายฟ้า โจมตีไปที่ตัวหยั่งรู้ของหลัวซิว

นี่ไม่ใช่วิชาลับโจมตีวิญญาณอะไร แต่ตัวสำนึกที่หลอมรวมเป็นห้วงยุทธ์ของราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่ง สามารถโจมตีให้ได้ผลลัพธ์เท่าเทียมกับวิชาโจมตีวิญญาณ

“ประลองครั้งสุดท้ายสินะ?”

นำเสียงเยือกเย็นของหลัวซิวลอยออกมาจากเปลวเพลิงมรณะ ทันใดนั้น เปลวเพลิงรอบตัวเขาก็เริ่มลุกลาม แปรเปลี่ยนเป็นวิชาพลังมังกรแท้ และกลายเป็นมังกรไฟสีดำ

ส่วนตัวสำนึกห้วงยุทธ์ที่หลอมรวมกันเป็นสายฟ้า ยังไม่ทันทีจะได้เข้าใกล้ตัวหลัวซิว ดาบสังหารห้วงยุทธ์และตัวสำนึกของห้วงยุทธ์แห่งความตาย ก็ถูกโจมตีจนปราชัยไปในทันที

ระดับตัวสำนึกของเหลยเว่ยหลง ถึงแม้จะสูงกว่าหลัวซิวถึงสองแดน แต่ที่เขาครอบครองอยู่คือห้วงยุทธ์สอง อีกทั้งยังเชี่ยวชาญวิชาโจมตีวิญญาณ,ในขณะที่ใช้ตัวสำนึก ยังห่างชั้นกว่าเหลยเว่ยหลงอย่างมาก

ปัง!

มังกรอัสนีกับมังกรเพลิงดำชนเข้าด้วยกัน ภูตอัคคีกลืนกินสีน้ำตาลแดงค่อย ๆ ปรากฏตัวขึ้น ในพริบตา ไม่ว่าจะผ่านไปที่ใด พื้นที่นั้นก็เต็มไปด้วยร่องรอยการเผาไหม้

เกิดการระเบิดรุนแรงในอากาศ ทุกคนด้านล่างเห็นร่างหนึ่งพุ่งออกมา และเลือดก็พุ่งออกจากปากของเขา

เมื่อมองเข้าไปใกล้ ๆ ทุกคนก็ตระหนักได้ว่า ร่างนี้กระอักเลือดตีลังกากลับหัวกลับหาง นั่นก็คือหลัวซิว

ฝั่งคนจากสำนักเหลยหวู่ เผยสีหน้าและรอยยิ้มแห่งความสุขออกมา

แต่คนทางหอหย่งชาง ก็จิตใจขุ่นมัวขึ้นมาทันที

“เขายังเด็กเกินไป ต่อให้ฝึกตนได้รวดเร็วสักเพียงใด พรสวรรค์จะมากมายสักเพียงใด แต่อายุเท่านี้ ขะสามารถเอาชนะราชายุทธ์คนหนึ่งที่ฝึกตนมาแล้วนับร้อยปีได้อย่างไร?”

ทั้งสองกองทัพที่เผชิญหน้ากันอยู่นั้น สีหน้าและอารมณ์ของทุกคนซับซ้อนมาก แม้จะพ่ายแพ้ ในสายตาของทุกๆ คน หลัวซิวคนนี้ก็พ่ายแพ้อย่างสมศักดิ์ศรีเช่นกัน เพราะอายุเพียงสิบเจ็ดปี มีผลการฝึกตนของแดนฝึกจิตขั้นแปด ท้าชนกับผู้แข็งแกร่งแห่งแดนราชายุทธ์ขั้นสี่!

อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ ร่างหนึ่งตกลงมาจากฟากฟ้า ทำให้สายตาที่แสดงความตกตะลึงทุกคู่นั้นกลับมารวมกันเป็นตาเดียว

เจ้าของร้างที่ว่านั้น ที่แท้ก็คือเจ้าสำนักเหลยหวู่ ‘เหลยเว่ยหลง’!

ปั้ง!

ร่างของเหลยเว่ยหลงหล่นลงบนเวทีประลองยุทธ์ที่รกร้างนั้นอย่างแรง ฝุ่นกระจายขึ้นกลางอากาศ ดวงตาของเขาเบิกกว้าง ร่างกายไร้ซึ่งคลื่นชีวิตและลมหายใจ

“ตายหรือ?”

ฉากตรงหน้านั้น ราวกับสายฟ้าในวันแดดจัดฟาดลงตรงกลางใจของชาวสำนักเหลยหวู่นักยุทธ์ทุกคน

“เจ้าสำนัก!”

ผู้อาวุโสคนหนึ่งแห่งสำนักเหลยหวู่รีบกระโจนเข้ามา เขายืนอยู่ข้างตัวเหลยเว่ยหลง สายตาจับจ้องไปที่จุดตันเถียน มีร่องรอยของการเผาไหม้ จุดตันเถียนวิชาชี่ไห่ ถูกเจาะและเผาไหม้กลายเป็นความว่างเปล่า

“สำนักเหลยหวู่ นับแต่นี้ไม่มีอยู่อีกต่อไป!”

กลางอากาศ ใบหน้าซีดเซียวนั้นของหลัวซิวเผยรอยยิ้มบาง แต่สายตาหนึ่งคู่นั้นกลับกวาดมองชาวเหลยหวู่ทุกคนด้วยความเย็นชา

หลินโยว่เทียน เจ้าแห่งหอหย่งชางอำนาจแผ่ขยายไปทั่วทั้งร่าง ตรึงกงซุนเชียนจีเอาไว้ หยุดเขาไว้ไม่ให้ตามไปทางหลัวซิวที่ได้รับบาดเจ็บอยู่

ในระหว่างที่หลัวซิวกับเหลยเว่ยหลงกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดอยู่นั้น ได้ใช้พลังจากยาพระแสง อาการบาดเจ็บของเขาก็ใกล้จะหายดีแล้ว

หากสู่ตัวต่อตัว หลินโยว่เทียนไม่นับเป็นคู่ต่อสู้ของเหลยเว่ยหลง แต่หากเทียบพลังกับกงซุนเชียนจีแล้วนั้น แทบจะไม่แตกต่างกันเลย

“หลัวซิว เจ้ากับเจ้าสำนักเหลยมีความแค้นใดต่อกันกันแน่ ถึงทำให้เจ้าต้องลงมืออย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้?” กงซุนเชียนจีขมวดคิ้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ

ครั้งนี้สำนักเหลยหวู่กับตระกูลกงซุนร่วมมือกันต่อกรกับหอหย่งชาง แต่เพราะความปั่นป่วนหลังจากการปรากฏตัวของหลัวซิวที่ทำให้เรื่องราวเปลี่ยนไป สิ่งนี้ทำให้กงซุนเชียนจีต้องกดไฟโมหะที่สุมอยู่กลางใจไว้

หากไม่ใช่เพราะหลินโยว่เทียนตรึงเขาเอาไว้ เขาคงจะใช้โอกาสที่หลัวซิวกำลังบาดเจ็บรุดเข้าไปฆ่าเขาเสียตอนนี้ เพราะผู้ชายคนนี้เติบโตอย่างรวดเร็ว มันจะกลายเป็นหายนะสำหรับเขาเอง

“เรื่องของข้า ไม่จำเป็นต้องอธิบายให้เจ้าฟัง” หลัวซิวเผยสีหน้าไร้ความรู้สึก

พลังจิตแท้ชีวิตและความตายที่อยู่ในร่างกายแปรเปลี่ยนเป็นพลังชีวิต น่าเสียดายที่บาดแผลบนร่างกาย ไม่สามารถฟื้นตัวได้เต็มที่ในช่วงเวลาอันสั้น ไม่เช่นนั้นแล้ว คนที่เขาจะฆ่าต่อจากเหลยเว่ยหลง ก็คือกงซุนเชียนจี。

“แล้วเจ้าจะเสียใจ!”
เวลานี้เหลยเว่ยหลงก็ได้ลาจากโลกนี้ไปแล้ว จากนั้นเป้าหมายต่อไปของเขาที่จะตัดหัว แน่นอนว่าต้องเป็นกงซุนเชียนจี

“เย่ซวน ยังจำข้าได้หรือไม่?”

ทันใดนั้น ชายในชุดผ้าทอข้างกายกงซุนเชียนจีก็จ้องไปที่หลินโยว่เทียน มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยด้วยเจตนาเยาะเย้ย

เย่ซวน?

ได้ยินอีกฝ่ายเรียกชื่อเขา สีหน้าของหลินโยว่เทียนก็เปลี่ยนไปในทันที เมื่อเขาสังเกตเห็นชายในชุดผ้าทอ ในดวงตาคู่นั้น เจตนาฆ่าล้างแค้นและความเกลียดชังปรากฏขึ้นในทันที

“เหยียนชูซิว เป็นเจ้า? ไอ้ชาติหมา” หลินโยว่เทียนกำหมัดแน่น รอบกายล้อมด้วยจิตสังหาร พลังจิตแท้ผันผวนอย่างรุนแรง

หลัวซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย สำหรับชื่อเหยียนชูซิวนั้น เขารู้สึกคุ้นหูเป็นอย่างยิ่ง

“ผู้อาวุโสหลิน นี่มันเรื่องอะไรกัน? ทำไมเขาถึงเรียกท่านว่าเย่ซวน?” ตัวสำนึกของหลัวซิวส่งเสียงออกไปถาม

“ท่านชายหลัวอาจจะไม่รู้ ชื่อเดิมของข้าคือเย่ซวน แต่เมื่อสามสิบปีก่อน พวกเราตระกูลเย่ถูกตระกูลเหยียนกวาดล้าง มีเพียงข้า และน้องชายของข้าเย่หยุนที่หนีออกมาได้ หลายปีมานี้ข้าพยายามปกปิดตัวตน ไม่คิดเลยว่าจะถูกไอ้สวะเหยียนชูซิวพบเข้าได้” หลินโยว่เทียนกัดฟันตอบ

“เย่หยุน?” สายตาของหลัวซิวเต็มไปด้วยความสงสัย “เย่หยุนคือน้องชายของท่าน? เมื่อสามสิบปีก่อนได้เข้าไปในแดนปริศนาใช่หรือไม่?”

“เจ้ารู้ได้อย่างไร…” หลินโยว่เทียนมีสสีหน้าประหลาดใจ แต่ก็นึกขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว “ท่านชายหลัวเจอเขาในแดนปริศนาหรือ?”

ทุกคนรู้ดีว่า หากไม่มีสิ่งใดออกมาจากแดนปริศนานั่นหมายถึงสูญหายหรือตายไปแล้ว เย่หยุนเมื่อสามสิบปีก่อนก็ไม่ได้ออกมาจากแดนปริศนา

ทั้ง ๆ ที่รู้เรื่องนี้ แต่ใจใจของเย่ซวน ก็ยังคงรอคอยอย่างมีความหวัง หวังว่าน้องชายของตนจะยังมีชีวิตอยู่

หลัวซิวพยักหน้า เล่าเรื่องที่เขาเจอเย่หยุนออกมา

ได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของเย่ซวนก็พลันเศร้าโศกปรากฏขึ้น “เมี่ยวฉิงคือภรรยาของน้องชายข้าเย่หยุน เหยียนชูซิวไอ้สวะนี่มันชอบน้องสะใภ้ข้า จึงใช้กำลังแย่งนางออกไป ทั้งยังพาผู้แข็งแกร่งของตระกูลเหยียนอีกกลุ่มหนึ่ง มาทำลายตระกูลเย่ของข้า แค้นนี้ไม่มีวันสิ้นสุด!”

ได้ยินเช่นนั้น หลัวซิวพูดไม่ออก เหยียนชูซิวคือคนของตระกูลเหยียน ตกหลุมรักภรรยาของคนอื่นจึงได้ลงมือแย่งชิง แล้วยังฆ่ายกตระกูลเขาอีก นึกย้อนกลับไปเมื่อสามปีก่อน เจ้าสำนักน้อยตำหนักจื่อก็แย่งชิงภรรยาของผู้นำตระกูลเหยียน ช่วงเวลานั้นนิยมขโมยสะใภ้บ้านคนอื่นกันหรือ?

ถึงอย่างไร นี่ก็เป็นการพรรณนาที่เป็นความจริงมากที่สุดในโลกนักยุทธ์ ข้าแข็งแกร่งกว่าเจ้า อยากได้ของของเจ้าก็สามารถแย่งมาได้ทันที หากรู้สึกขัดหูขัดตาก็ฆ่าได้ในทันที

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 39 ฝึกตนพัฒนาขึ้น

 

“จริงเหรอ?” ลู่เมิ่งเหยาดีใจขึ้นมาอีกครั้งทันที

หลัวซิวพยักหน้า “วันนี้คงไม่ได้แล้วครับ ผลการฝึกตนของผมต่ำเกินไป เปลวไฟที่ดูดรับเมื่อกี้มาถึงขั้นสุดแล้ว ดังนั้นจึงแผ่ออกมา”

ได้ยินหลัวซิวพูดแบบนี้ ลู่เมิ่งเหยาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ตอนเสื้อผ้าของทั้งสองถูกเผา เผชิญหน้ากันด้วยร่างที่เปลือยเปล่า

อีกทั้งเมื่อเทียบกันแล้ว สิ่งที่ลู่เมิ่งเหยาตกใจยิ่งกว่าก็คือ หลัวซิวทำได้อย่างร? เขาสามารถดูดรับพลังแห่งไฟของเส้นปราณธาตุหยางไฟได้อย่างไร?

เส้นปราณธาตุหยางไฟที่ปรมาจารย์ฝึกจิตจนปัญญา แต่หลัวซิวซึ่งเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธ์กลั่นร่างกับสามารถจัดการได้ ถ้าไม่ใช่เพราะประสบพบเจอด้วยตน เธอไม่อาจเชื่อได้จริงๆว่าเรื่องทั้งหมดคือความจริง

“อาจารย์ลู่ ให้ผมเป็นแบบนี้ตลอดไม่ได้รึเปล่าครับ……” หลัวซิวพูดด้วยความกระอักกระอ่วน

มองเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่บนพื้น ร่างกายห่อด้วยผ้าปูที่นอน ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ลู่เมิ่งเหยาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ

แต่ว่าเมื่อคิดถึงเหตุการณ์น่าอายเมื่อครู่ สรรพนามคำว่าอาจารย์ที่ใช้เรียกนี้ ทำให้เธอรู้สึกไม่รื่นหู

“นายรอฉันอยู่ที่นี่ ฉันออกไปซื้อเสื้อผ้าตัวใหม่ให้นานย”

ขณะพูด ลู่เมิ่งเหยาลุกขึ้นแล้วเปิดประตูเดินออกไป ทิ้งให้หลัวซิวนั่งเหม่อลอยอยู่ในห้องตามลำพัง ไม่ค่อยเข้าใจว่าเมื่อกี้อาจารย์ลู่หัวเราะทำไม

“อาจารย์ลู่คนนี้หน้าตาสวย หุ่นดี เวลายิ้มก็ยิ่งสวย” หลัวซิวพูดในใจ

ห่อตัวด้วยผ้าปูที่นอน นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น หลัวซิวข่มความคิดในใจลงไป กลับมานิ่งสงบอีกครั้ง

เขาหลับตาลง สัมผัสอาการในร่างกายของตนเอง มองแล้วไม่พอเท่าไหร่ ทำให้เขาถึงกับตกตะลึง

ปราณในหนาแน่นบริสุทธิ์อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เลือดผนึกรวมถึงขั้นสุด ก้าวข้ามระดับกลั่นเลือดขั้น8 ไปยังระดับเกลากระดูกขั้น9!

“ฉันบรรลุการกลั่นร่างขั้น9แล้ว?”

หลัวซิวตกใจอย่างมาก เห็นชัดว่าน่าจะเป็นเพราะดูดรับพลังของเปลวไฟนั่น

กางฝ่ามือ ผนึกรวมปราณใน เปลวไฟสีแดงปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของเขา ลมปราณที่เร่าร้อน ทำให้อากาศรอบๆกระเพื่อมขึ้นมา

“ปราณในธาตุไฟ?” หลัวซิวตกตะลึงด้วยความดีใจอีกครั้ง

จากที่เขารู้ ปราณในผู้ฝึกยุทธ์กลั่นร่างฝึกและพลังปราณที่จอมยุทธ์ฝึก ล้วนไม่มีธาตุใดๆทั้งนั้น

มีเพียงผลการฝึกตนเข้าสู่จอมยุทธ์พรสวรรค์ จึงจะปลุกตื่นพลังของธาตุ ยกตัวอย่างเช่นธาตุน้ำ ไฟ ดินและลมเป็นต้น

แต่เขา เห็นชัดว่ายังอยู่ในระดับผู้ฝึกยุทธ์ แทว่ากลับมีธาตุปรากฏขึ้นมาแล้ว

ภาพในความคิดอดไม่ได้ที่จะหวนคิดถึงการตระหนักรับรู้ของลูกแก้วอัญมณีแห่งความเป็นความตาย เปลวไฟในฝ่ามือแปรเปลี่ยน เดี๋ยวเปล่ยนเป็นเปลวไฟสีขาวลมปราณแห่งชีวิต เดี๋ยวเปลี่ยนเป็นเปลวไฟสีดำลมปราณแห่งความตาย

เปลวไฟแห่งชีวิต เปลวไฟแห่งความตาย……

นี่คือสองระดับของธาตุไฟ

ในเวลาเดียวกัน หลัวซิวรู้สึกว่าจุดตันเถียนบริเวณท้องน้อยของตนมีความร้อนแผ่ซ่านขึ้นมา ทว่าเพราะปราณในหนาแน่นเกินไป ปราณในที่เกินออกมาจึงรวมตัวกันที่จุดตันเถียนหนึ่งในนั้นรวมถึงพลังแห่งเปลวไฟที่เขายังไม่ทันได้กลั่นแปรซึ่งดูดรับมาจากตัวของลู่เมิ่งเหยา

“ร่างกายของฉันใกล้จะอิ่มเอมแล้ว แต่ว่าขอเพียงกลั่นแปรพลังแห่งเปลวไฟที่จุดตันเถียน ก็จะสามารถดูดรับได้ต่อ ผลการฝึกตนต้องพุ่งทยานขึ้นแน่นอน!”

ดวงตาของหลัวซิวเปล่งประกาย ภายในใจอดไม่ได้ที่จะคาดหวัง สำหรับเขาแล้วอาการป่วยของอาจารย์ลู่ ได้ผลดียิ่งกว่ากินยาฝึกตน!

ผ่านไปไม่นาน ลู่เมิ่งเหยากลับมาจากซื้อเสื้อผ้า ชุดนักรบสีดำพอดีตัวใส่แล้วสบายมากสะพายกระบี่เงามืดไว้ด้านหลัง ถึงแม้หน้าตาจะยังมีความเป็นเด็ก ทว่าก็ฉายความหล่อเหลาคมคาย

“อาจารย์ลู่ครับ หลังจากนี้อีกเจ็ดวัน ผมจะมาช่วยรักษาอาการป่วยของอาจารย์อีก” หลังจากใส่เสื้อผ้าเสร็จ หลัวซิวตั้งใจจะบอกลา

ลู่เมิ่งเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย ขนตางอนยาวขยับไปมา จับจ้องไปที่หลัวซิว “ฉันชื่อลู่เมิ่งเหยา อายุยี่สิบเอ็ดปี อายุมากกว่าน้อยนิดหน่อยเท่านั้น”

หลัวซิวชะงักเล็กน้อย มองลู่เมิ่งเหยาด้วยความแปลกใจ พูดในใจว่าเธอบอกชื่อกับอายุให้ตนแบบนี้หมายความว่าอะไร?

กะพริบตาปริบๆ หลัวซิวพูดด้วยความระมัดระวัง : “ถ้าอย่างนั้นหลังจากนี้ผมเรียนอาจารย์ว่า……พี่ลู่? พี่เมิ่งเหยา?”

“แล้วแต่นาย ยังไงก็แล้วแต่หลังจากนี้ห้ามเรียกฉันว่าอาจารย์อีก” เพราะเหตุผลพิเศษบางอย่าง ทำให้ลู่เมิ่งเหยาแค่ได้ฟังหลัวซิวเรียกตนว่าอาจารย์ก็ไม่รื่นหู

……

ชุดนักรบพอดีตัวสีดำ หมวกสานบดบังใบหน้า หลัวซิวมาเขาปาฉีอีกครั้ง หลัวซิวมาเขาปาฉีในครั้งนี้ ก็เพื่อพัฒนาความแข็งแกร่ง

การเปลี่ยนแปลงของอารมณ์และแดนจิตใจ ทำให้หลัวซิวรู้ดีว่า อยากจะกลายเป็นผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์ ด้านการฝึกตนห้ามหย่อนยานแม้แต่น้อย เพราะว่าการฝึกตนบำเพ็ญเพียรก็เหมือนกับพายเรือสวนกระแส

ส่วนมากในเขาปาฉีล้วนเป็นอสูรกายระดับ1 อสูรกายระดับ2มีน้อยมาก โดยมากเป็นระดับทั่วไปและระดับกลาง ด้วยความแข็งแกร่งของหลัวซิว หากไม่มีเรื่องไม่คาดคิด ไม่มีวันมีอันตรายอะไรมากมาย

สำหรับผู้ฝึกยุทธ์กลั่นร่าง การเจออสูรกายระดับสองบนเขาปาฉีคือฝันร้ายอย่างไม่ต้องสงสัย แต่หลัวซิวกลับไม่กลัว ตั้งแต่ฆ่าเฉินหู่เมื่อคราวก่อน ทำให้เขามั่นใจว่าตนมีความแข็งแกร่งที่เทียบเคียงได้กับจอมยุทธ์

แน่นอน การฝึกในครั้งนี้ สิ่งสำคัญคือลับคมวิชากระบี่ วิชากระบี่ฟ้าแลบ ถ้าสามารถฝึกตนถึงแดนบรรลุผล ต้องทรงพลังยิ่งกว่าวิชายุทธ์ระดับ3โดยมาก!

ฝึกตนไม่ดูวันเวลา อย่างไม่รู้ตัว หลัวซิวลับคมวิชากระบี่ หนึ่งเดือนแล้ว

“ตึ้ง!”

อากาศสั่นไหว เกิดแรงกระเพื่อม กระบี่สีดำราวกับลำแสง รวดเร็วราวกับฟ้าผ่า แทงหัวสือดาวเมฆาอคี ตายในกระบี่เดียว

“ฉึบ!” กระบี่เงามืดเก็บลงฝัก มุมปากของหลัวซิวเผยยิ้ม วันเวลาที่ฝึกวิชากระบี่ด้วยความยากลำบาก ผลลัพธ์ไม่ธรรมดา เขาบรรลุแดนบรรลุผลแล้วใช้กระบี่ราวกับฟ้าที่ผ่าลงมา

ไม่เพียงแค่นี้ หมัดเสือมังกรและก้าวสั้นหลังจากผ่านการฝึกอย่างเป็นเอาตาย ก็ก้าวข้ามแดนบรรลุผม เข้าสู่แดนบริบูรณ์ที่สุดของที่สุด!

แต่แม้จะเป็นหมัดเสือมังกรแดนบริบูรณ์ ด้านความทรงพลังก็ไม่อาจเทียบกับแดนบรรลุผมของวิชากระบี่ฟ้าแลบ เพราะพลังของอาวุธประเภทกระบี่ จึงทำให้พลังการโจมตีไปถึงขั้นสูงสุด

ตอนนี้เขาฆ่าอสูรกายระดับ1ด้วยการแทงเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ถึงแม้จะเจอกับอสูรกายระดับ2ทั่วไป แม้ไม่ใช้ผังลายเส้นชีวิตเข้ามาช่วยทำลาย ก็สามารถฆ่าได้ แต่ว่าถ้าเจออสูรกายระดับ2ที่เก่งๆ เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกมัน ทำได้เพียงอาศัยวิชาท่าร่างก้าวสั้นในการหนี

แดนฝึกชี่ไห่แบ่งเป็นก้าวแดน หลัวซิวคาดการณ์ความแข็งแกร่งของตน น่าจะเทียบได้ระหว่างชี่ไห่ขั้น1ถึงชี่ไห่ขั้น3

นอกจากวิชากระบี่ที่พัฒนาขึ้นแล้ว ทุกเจ็ดวัน หลัวซิวจะกลับเมืองชิงหยุนเพื่อดูดรับพลังแห่งไฟจากเส้นลมปราณหัวใจของลู่เมิ่งเหยา ผลการฝึกตนปราณในบรรลุการกลั่นร่างขั้น9ขั้นสูงแล้ว บรรลุแดนฝึกชี่ไห่อีกไม่ไกลแล้ว

ขี่ม้าฝุ่นตลบ มุ่งหน้าเข้าสู่เมืองชิงหยุนอย่างรวดเร็ว

งานประลองยุทธ์ของสำนักยุทธ์ เหลือเวลาอีกหนึ่งเดือนจะจัดขึ้น ตามกฎแหล้ว นักเรียนที่เข้าร่วมงานประลองยุทธ์ ต้องสมัครล่วงหน้าหนึ่งเดือน

เมื่อเดือนก่อน พูดคุยกับผู้อาวุโสจวงหนานเทียน ทำให้หลัวซิวรู้ว่า อยากจะเติบโตมีชีวิตที่ดี ได้รับการฝึกอย่างดีจากสำนักยุทธ์ ต้องแสดงความแข็งแกร่งและพรสวรรค์ของตนออกมา

งานประลองยุทธ์ที่จัดขึ้นปีละหนึ่งครั้ง คือช่วงเวลาที่ให้นักเรียนในสำนักยุทธ์ได้แสดงความแข็งแกร่งและพรสวรรค์

ผ่านไปไม่นาน หลัวซิวก็มาถึงสำนักยุทธ์ ไปยังที่สมัคร

ตอนเขามาถึง ที่นี่มีนักเรียนในสำนักยุทธ์มากมาย แต่ว่าคนส่วนมากเป็นแค่ผู้ชม คนที่สมัครเข้าร่วมงานประลองยุทธ์ ส่วนมากคือนักเรียนชั้นกลางและชั้นสูง

 

 

 

 

 

 

 

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 38 เผาทำลายเสื้อผ้า

 

“ตึ้ง!”

ความแปรปรวนที่รุนแรงแผ่ออกมากะทันหัน ลมปราณที่เคล้าไปด้วยความร้อน เปลวไฟที่ฝังอยู่ในเส้นลมปราณหัวใจของลู่เมิ่งเหยาคล้ายถูกชักนำจากอะไรบางอย่าง จู่ๆก็เคลื่อนไหวช้าลงที่เส้นลมปราณหัวใจของเธอ

วินาทีที่เปลวไฟนี้เคลื่อนไหว ร่างกายของลู่เมิ่งเหยามีปฏิกิรยิ สั่นเทาเล็กน้อย

ในเวลานี้เอง หลัวซิวสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวจิตวิญญาณของลูกแก้วอัญมณีแห่งความเป็นความตาย ตามด้วยปราณเป็นตาย2ระดับในร่างกายเคลื่อนออกมาเอง

“นี่มันเรื่องอะไรกัน?” สีหน้าของหลัวซิวแปรเปลี่ยน ปราณเป็นตาย2ระดับในร่างกายของตนคล้ายโดนบางอย่างดึงดูด จากการที่นิ้วมือและข้อมือที่สัมผัสกัน ดึงเปลวไฟในเส้นลมปราณหัวใจของลู่เมิ่งเหยาออกมา

“ร้อนมาก……”

ยิ่งดูดรับเปลวไฟออกมามากขึ้น หลัวซิวก็รู้สึกร้อนไปทั่วร่างกาย เหงื่อออกเต็มหน้าผาก

เวลาค่อยๆผ่านไป ครู่หนึ่งก็ผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วยามกว่าแล้ว เสื้อผ้าบนตัวหลัวซิวเปียกโชกด้วยเหงื่อ ผิวของเขาแดงก่ำ เหมือนกำลังถูกเผาอยู่บนกองไฟ

ลู่เมิ่งเหยาก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน ความร้อนปลุกเธอตื่นขึ้นมาจากความผ่อนคลายนั่น ชุดกระโปรงสีขาวเปียกปอน แนบร่างกาย เผยให้เห็นส่วนเว้าส่วนโค้งที่สมบูรณ์แบบ

นัยน์ตาของเธอเปี่ยมไปด้วยความตกใจและตกตะลึง มองเด็กหนุ่มตรงหน้าที่ตัวแดงก่ำด้วยแววตาสับสน เธอไม่รู้ว่าหลัวซิวใช้วิธีอะไรกันแน่ จึงสามารถดูดเส้นปราณธาตุหยางไฟในร่างกายของเธอไป

เส้นลมปราณธาตุหยางไฟจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นตามความสามารถที่มากขึ้นของนักยุทธ์ ด้วยผลการฝึกตนแดนฝึกชี่ไห่ของเธอยังไม่สามารถทนกับพลังธาตุหยางไฟได้ แล้วหลัวซิวที่เป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์กลั่นร่างจะทนได้อย่างไร?

เวลานี้หลัวซิวขี่หลังเสือแล้วลงยาก ปราณในที่อยู่ในเส้นลมปราณเคลื่อนไหวด้วยตนเอง ไม่สามารถควบคุมได้ เวลานี้เคลื่อนไหวจนสุดแล้ว พลังธาตุหยางไฟถูกเขาดูดรับมามากขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นปราณใน แทบจะเกินกว่าร่างกายสามารถทนรับได้

ในขณะที่หลัวซิวรู้สึกจะทนไม่ไหว สติของเขาเลือนราง เข้าสู่ความมืด

ในความมืด หมอกพร่ามัวไปทั่ว ลูกแก้วดำขาวลอยขึ้นมา พร้อมกับปรากฏลวดลาย สัญลักษณ์ อักษรรูนที่ซับซ้อนและลึกลับ

“ลูกแก้วอัญมณีแห่งความเป็นความตาย? ลูกแก้วนี้ประสานกับจิตวิญญาณของฉันแล้วไม่ใช่เหรอ?”

หลิวซิวชะงักเล็กน้อย ตามด้วยตกตะลึง “หรือว่าที่ที่ฉันอยู่ในตอนนี้ คือช่องว่างแห่งจิตวิญญาณ?”

ในเวลานี้เอง อักษรรูน สัญลักษณ์ ลวดลายที่ทอประกายบนลูกแก้วอัญมณีแห่งความเป็นความตายหมุนอย่างรวดเร็ว คล้ายกับหลุมดำ เกิดแรงดึงดูดทรงพลัง ดูดกลืนสติสัมปชัญญะของหลัวซิว

หลัวซิวรู้สึกเหมือนว่าตนเองอยู่บนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ ด้านหน้าคือทางช้างเผือก เกิดเป็นคลื่นแรง แสงสว่างเป็นจุดๆราวกับดวงดาว รอยอยู่บนทางช้างเผือก ลอยขึ้นและลอยลง

ยื่นมือออกไปช้าๆ หลัวซิวสัมผัสหนึ่งในแสงสว่างที่คล้ายดวงดาว

พึ่บ!

เขาเห็นโลกที่แปลกประหลาด โลกที่แห้งแล้ง ชีวิตมากมายเริ่มก่อตัวกัน หลังจากผ่านวันเวลายาวนาน ก็เดินมุ่งหน้าสู่ความตาย ตั้งแต่เกิดจนตาย ตั้งแต่ตายจนเกิด ราวกับเป็นวงโคจร ที่ไม่จบสิ้น

ไฟ คือแหล่งกำเนิดของชีวิต และเป็นต้นเหตุของการทำลาย เถ้าถ่านเกิดใหม่คือชีวิต เผาทำลายสรรพสิ่งคือความตาย!

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ตอนที่หลัวซิวกลับมามีสติอีกครั้ง เขาลืมตาขึ้นกะทันหัน

รู้สึกเหมือนว่าตนจะตระหนักได้ถึงความหมายที่แท้จริงของความเป็นความตาย!

ก่อนหน้านี้ตอนผ่านลูกแก้วอัญมณีแห่งความเป็นความตาย คล้ายกับวันเวลาผ่านมานานหลายปี แต่ในความเป็นจริง กลับหยุดอยู่ที่เสี้ยววินาทีนั้น

ลมปราณเปลวไฟร้อนถูกดูดรับเข้ามาในร่างกายไม่หยุด หลัวซิวเงยหน้าขึ้น สบตาลู่เมิ่งเหยา

“พึ่บ!”

ทันใดนั้นเอง เปลวไฟปะทุขึ้นมาในร่างกายของหลัวซิวกะทันหัน เสื้อผ้าถูกเผาไหม้จนหมด ทว่าเปลวไฟนี้กลับไม่ส่งผลกระทบต่อร่างกายของเขา

อีกทั้ง เปลวไฟนี้ยังลามจากเขาไปที่ตัวของลู่เมิ่งเหยา เผาไหม้ชุดกระโปรงของเธอ ในชั่วพริบตา

“ว๊าย!……” ลู่เมิ่งเหยากรีดร้อง เหมือนจะเป็นเพราะตกใจ เธอจึงแตะหน้าอกของหลัวซิว

“ให้ตายสิ!”

หลัวซิวถูกจู่โจมกะทันหัน ปลิวไปไกล มุมปากมีเลือดไหลออกมา

ตามด้วย หลัวซิวตกตะลึง

ผิวขาวละเอียดดุจหยก ส่วนเว้าส่วนโค้งที่งดงาม ภาพที่ล่อแหลมนี้ ทำให้หลัวซิวหายใจหืดหอบ ปากแห้งไปหมด

“ห้ามดู!” ลู่เมิ่งเหยาหน้าแดงก่ำ ทั้งอายทั้งโมโห ร่างที่บริสุทธิ์ กลับถูกลูกศิษย์ของตนเองมองเห็นจนหมด แล้วจะให้เธอทนรับได้อย่างไร?

ร่างเปลือยเปล่าเผชิญหน้ากัน ไม่เพียงแค่เสื้อผ้าของทั้งสอง ไฟลุกลาม เผาไหม้เตียงจนกลายเป็นเถ้าถ่าน

“หันกลับไป!” ลู่เมิ่งเหยากัดริมฝีปาก เสียงเยือกเย็นอย่างเห็นได้ชัด

หลัวซิวไม่กล้าพูดอะไร รีบหมุนตัวอย่างรวดเร็ว เพื่อกันไม่ให้อาจารย์ลู่คนนี้โมโห

นี่คือห้องของลู่เมิ่งเหยา แน่นอนว่าต้องมีเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยน หลัวซิวได้ยินเสียงเธอเปลี่ยนเสื้อผ้า ความคิดของเขาอดไม่ได้ที่จะคิดถึงภาพเมื่อกี้ หัวใจของเขาเต้นแรงไม่หยุด

เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ลู่เมิ่งเหยาเห็นบั้นท้ายของหลัวซิวที่เปลือยเปล่า มุมปากอดไม่ได้ที่จะกระตุกสองครั้ง

“ในปลอกหุ้มข้อมือใส่ของของนายไม่มีเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนเหรอ?”

เสื้อผ้าถูกเผาจนหมด แต่ปลอกหุ้มข้อมือซ้ายของหลัวซิวกลับไม่เสียดาย ดังนั้นเธอจึงถามออกไปแบบนี้

“เอ่อ……ไม่มีจริงๆครับ” หลัวซิวประหม่าอย่างมาก ปลอกหุ้มข้อมือใส่ของนี้ได้มาตอนฆ่าเฉินหู่ ด้านในไม่มีเสื้อผ้าสำรอง

“นายใส่นี่ก่อนเถอะ”

หลัวซิวได้ยินเพียงเสียงพึ่บ ผ้าปูที่นอนหนึ่งผืนหล่นลงตรงหน้า

หลังจากผ่านไปพักใหญ่ หลัวซิวที่ห่อตัวด้วยผ้าปูที่นอนหมุนตัวกลับมา เห็นลู่เมิ่งเหยาเปลี่ยนเป็นชุดสีแดง ผมดาวยาวสลวยปล่อยลงมา ใบหน้างดงาม แดงระเรื่อเล็กน้อย สวยจนทำให้คนหยุดหายใจ

ลู่เมิ่งเหยาเองก็กำลังมองหลัวซิว ภายในใจเกิดความสงสัยและตกตะลึง เมื่อกี้ตอนใส่เสื้อผ้า เธอสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าเส้นปราณหัวใจของเธอสบายขึ้นมาก หรือว่าหลัวซิวรักษาเส้นลมปราณธาตุหยางไฟของเธอหายแล้วจริงๆ?

“เมื่อกี้……ขอโทษด้วยนะ” ลู่เมิ่งเหยาพูดขึ้น ทำลายความเงียบระหว่างทั้งสอง

หลัวซิวรู้ดีว่าลู่เมิ่งเหยาหมายถึงเรื่องที่เธอเตะตน ลู่เมิ่งเหยาเป็นจอมยุทธ์ โชคดีที่ลูกเตะนั้นไม่มีพลังปราณ ไม่อย่างนั้นเวลานี้หลัวซิวคงจะลุกไม่ขึ้นแล้ว

“ไม่เป็นไรครับ” หลัวซิวส่ายหน้า

ในเวลานี้เอง เขามองไปยังหน้าอกด้านซ้ายบริเวณเส้นลมปราณหัวใจของลู่เมิ่งเหยา ผังลายเส้นชีวิตปรากฏขึ้นมาอย่างชัดเจน

สัมผัสถึงสายตาของหลัวซิว ตัวของลู่เมิ่งเหยาสั่นเทาเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะถาม “เปลวไฟเมื่อกี้มันอะไรกัน? ร่างกายของฉัน……”

เธออยากจะรู้จริงๆว่าเส้นลมปราณธาตุหยางไฟของตนสามารถรักษาให้หายได้จริงๆไหม ตอนแรกไม่มีความหวังใดๆแล้ว แต่ก็อดไม่ได้ที่จะมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง

ทว่าหลัวซิวกลับส่ายหน้า “เมื่อกี้ผมดูดรับเปลวไฟในเส้นลมปราณหัวใจของอาจารย์ลู่มาบางส่าวน แต่น่าจะเป็นเพราะผลการฝึกตนของผมยังต่ำมาก จึงทำได้เพียงดูดรับแค่เล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้รักษาอาการป่วยของอาจารย์ลู่จนหาย”

เมื่อได้ฟัง สีหน้าของลู่เมิ่งเหยาหม่นหมองทันที ทว่าในเวลานี้ หลัวซิวพูดขึ้นอีก: “แต่ว่า ถ้าได้ดูดรับหลายครั้ง น่าจะสามารถรักษาอาการป่วยของอาจารย์ลู่จนหายดีได้”

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 37 รักษาอาจารย์ลู่

 

ด้วยลมปราณความร้อนในร่างกายที่ค่อยๆลดลง ลู่เมิ่งเหยาที่สติเลือนรางก็ค่อยๆกลับมามีสติ

เธอมองเห็นหลัวซิวที่ยืนอยู่ข้างเตียง ขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วเหยียดตัวลุกขึ้นมานั่ง

พบว่าเสื้อผ้าของตนยังเรียบร้อยดี เธอโล่งอก สิ่งที่กังวลที่สุดก็คือตอนที่ตนไม่ได้สติแล้วนักเรียนฉวยโอกาสลวนลามตน

“หลัวซิว ขอบคุณนายมาก” เธอพูดด้วยความอิดโรยพร้อมกับรอยยิ้มจางๆ

“อาจารย์ลู่ไม่ต้องเกรงใจครับ นี่คือสิ่งที่ผมสมควรทำ” หลัวซิวพูด เห็นอาจารย์ลู่อ่อนแอไร้ที่พึ่งพิง เขาอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น:”เมื่อกี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับอาจารย์ลู่เหรอครับ?”

ลู่เมิ่งเหยามองหลัวซิว ถอนหายใจเบาๆ เธอรู้สภาพร่างกายของตนเป็นอย่างดี ถ้าไม่เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น เกรงว่าคงจะอยู่ไม่พ้นปีนี้แล้ว

เส้นลมปราณของเธอเป็นธาตุหยางไฟตั้งแต่กำเนิด ทุกเจ็ดวันจะต้องทุกข์ทรมานกับความร้อนที่แผดเผาหัวใจ แม้จะมียาคงจิต แต่อย่างมากก็มีชีวิตอยู่ได้แค่สองปีเท่านั้น ไม่ว่าช้าหรือเร็วก็ต้องตายอยู่ดี

แต่ว่าเธอเองก็สัมผัสได้ถึงความเป็นห่วงของหลัวซิว ด้วยเหตุนี้จึงพูดขึ้น:”สมรรถภาพทางกายของฉันพิเศษตั้งแต่เกิด ดังนั้นทุกทุกไม่กี่วันจะมีอาการแบบนี้เกิดขึ้น”

“อาจารย์ลู่ ผมขอดูหน่อยได้ไหมครับ? บางทีผมอาจจะมีวิธี” หลัวซิวพูดขึ้นกะทันหัน

“นาย?” ลู่เมิ่งเหยาตกตะลึง ไม่รู้ว่าเพราะอะไรภาพในหัวถึงฉายตอนที่หลัวซิวช้อนตัวตนขึ้น ใบหน้าของเธอฉายความเยือกเย็นทันที

“โรคที่ฉันเป็นนายรักษาไม่หาย ไม่ต้องช่วย” ลู่เมิ่งเหยาพูดด้วยเสียงเยือกเย็น

เธอรู้สึกว่าบางทีหลัวซิวอาจจะฉวยโอกาสนี้คิดไม่ซื่อกับตน

รู้สึกถึงท่าทีที่เปลี่ยนไปของลู่เมิ่งเหยา หลัวซิวจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าอีกฝ่ายคิดอะไร อดไม่ได้ที่จะยิ้มเศร้า:”อาจารย์ลู่คงจะเข้าใจผมผิดไปแล้วครับ ถ้าผมจะฉวยโอกาสรังแกอาจารย์ ผมก็ทำได้ตั้งแต่อยู่ระหว่างทางแล้วครับ”

“พูดแบบนี้ นายมีความคิดแบบนี้เหรอ?” ลู่เมิ่งเหยาพูดเสียงเยือกเย็น

เมื่อได้ฟัง หลัวซิวกระอักกระอ่วนขึ้นมาทันที อาจารย์ลู่คนนี้หุ่นยั่วยวนมาก ผิวขาว ตนมีความคิดไม่ซื่อจริงๆ

เห็นหลัวซิวไม่พูด ลู่เมิ่งเหยายิ่งมั่นใจว่าเขามีความคิดไม่ซื่อกับตน สีหน้ายิ่งเยือกเย็น ตะคอกออกไป:”นายกลับไปได้แล้ว!”

หลัวซิวไม่รู้จะร้องไห้หรือยิ้มดี ตนหวังดีอยากจะรักษาโรคให้เธอ ไม่เพียงแต่ไม่ซึ้งในน้ำใจ แต่ยังถูกมองว่าเป็นคนลามก

แน่นอนว่าเขาไม่อยากทิ้งภาพคนลามกเอาไว้ในใจของอาจารย์ลู่ ด้วยเหตุนี้จึงพูด: “เส้นลมปราณหัวใจของอาจารย์ลู่น่าจะมีปัญหา ผมพูดถูกไหมครับ?”

ใบหน้าเยือกเย็นของลู่เมิ่งเหยา ชะงักทันที สีหน้าฉายความสงสัย “นายรู้ได้ยังไง?”

ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะสะลึมสะลือ แต่เธอมั่นใจว่าหลัวซิวไม่ได้ใช้ปราณในตรวจดูร่างกายของตน แล้วเขารู้ได้อย่างไรว่าเส้นลมปราณหัวใจของตนมีปัญหา?

“ผมมีความรู้ด้านการแพทย์เล็กน้อย ตอนที่อาจารย์ลู่อาการกำเริบ ผมสังเกตเห็นลมปราณร้อนๆแผ่ออกมาจากเส้นลมปราณหัวใจ แล้วกระจายไปทั่วร่างกายครับ” หลัวซิวพูดด้วยความมั่นใจ

เขาดูผังลายเส้นชีวิตของอาจารย์ลู่คนนี้แล้ว ถึงแม้จะไม่ได้ดูอย่างละเอียด แต่มั่นใจว่าเส้นลมปราณหัวใจมีปัญหา

แน่นอน ถ้าหากมองอย่างละเอียดจะสามารถมั่นใจว่ามีปัญหาตรงไหน แต่ว่าการจ้องหน้าอกคนอื่น ถึงอย่างไรก็ไม่มีมารยาทเท่าไหร่ ยิ่งทำให้เข้าใจผิดง่ายขึ้น

“ในเมื่อนายพอดูออกอยู่บ้าง หรือว่านายสามารถรักษาได้จริงๆ?” ลู่เมิ่งเหยาขมวดคิ้วเอ่ยถาม

เส้นลมปราณธาตุหยางไฟทำให้แม้แต่ปรมาจารย์โลกยุทธ์แดนฝึกจิตก็หมดหนทาง ถึงแม้เธอจะไม่เชื่อว่าหลัวซิวสามารถรักษาตนให้หายได้ แต่ว่าถึงอย่างไรภายในใจก็ยังคาดหวัง ถึงแม้ความคาดหวังนี้ จะไม่เป็นจริง

หลัวซิวพยักหน้า พูด:”ถึงแม้จะมั่นใจว่าอาการป่วยของอาจารย์ลู่อยู่ที่เส้นลมปราณหัวใจ แต่ว่าต้องตรวจดูอย่างละเอียด ถึงจะมั่นใจว่าผมสามารถรักษาอาจารย์ได้หรือไม่”

ความเป็นจริงหลัวซิวก็ไม่ได้มั่นใจเต็มร้อย ดังนั้นจึงไม่กล้าพูดด้วยความมั่นใจ

“ได้ นายตรวจดูให้ฉัน แต่ว่านายห้ามทำอะไรฉันเด็ดขาด” ลู่เมิ่งเหยาพูด

หลัวซิวหมดคำจะพูดในทันที แต่ว่าเขาก็สามารถเข้าใจความรู้สึกของอาจารย์ลู่ได้ ผู้หญิงที่สวยมีเสน่ห์อย่างอาจารย์ลู่ ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายปกติคนไหน ก็ยากที่จะต้านทาน

เขาก้าวไปด้านหน้า นั่งลงบนเตียง การอยู่ใกล้กันแบบนี้ เขาได้กลิ่นหอมอ่อนๆบนตัวเธอทำให้หลัวซิวรู้สึกหัวใจเต้นแรงไม่น้อย

ยื่นมือออกไปจับชีพจรของลู่เมิ่งเหยาที่ข้อมือ หลัวซิวแสร้งทำเป็นจับชีพจร ปราณในเข้าสู่ร่างกายของเธอ ตามผังลายเส้นชีวิตมุ่งไปตรวจดูเส้นลมปราณหัวใจ

มีนักกลั่นยามากมายเคยจับชีพจรให้เธอ ลู่เมิ่งเหยาแค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าท่าทีของหลัวซิวไม่มืออาชีพ ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะเริ่มสงสัยในตัวเด็กคนนี้ว่ามีทักษะการแพทย์จริงๆไหม

สำหรับนักยุทธ์ไม่ว่าจะฝึกตนมีปัญหา หรือว่าต่อสู้ก็บาดเจ็บง่ายมาก ดังนั้นยอดฝีมือในโลกยุทธ์ล้วนมีทักษะการแพทย์เล็กน้อย โดยเฉพาะนักกลั่นยา ล้วนเป็นยอดฝีมือที่มีความรู้ด้านการแพทย์อย่างลึกซึ้ง

เส้นลมปราณธาตุหยางไฟทำให้แม้แต่ปรมาจารย์โลกยุทธ์แห่งแดนกลั่นร่างก็หมดหนทาง ทว่าหลัวซิวเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์กลั่นร่าง ลู่เมิ่งเหยารู้สึกว่าตนอาจจะป่วยหนักจนหาหมอพร่ำเพรื่อ มีอะไรให้คาดหวังได้กัน

เส้นลมปราณหัวใจคือประตูชีวิตของนักยุทธ์ อ่อนแอมาก ถ้ามีปัญหา ก็จะตายง่ายมาก

หลัวซิวจับจ้องไปยังหน้าอกข้างซ้ายของลู่เมิ่งเหยา ท่ามกลางการจดจ้อง ผังลายเส้นชีวิตสะท้อนอาการออกมาอย่างละเอียด

เห็นเส้นลมปราณหัวใจของลู่เมิ่งเหยา แตกต่างจากเส้นลมปราณส่วนอื่น มีเปลวไฟสีแดงปรากฏขึ้นมา เส้นลมปราณมีเพลิงไฟ ซึ่งเป็นพลังยิ่งใหญ่ที่พร้อมจะปะทุขึ้นมาทุกเมื่อ

บริเวณใกล้เคียงของเส้นลมปราณหัวใจ หลัวซิวสัมผัสได้ถึงลมปราณที่เยือกเย็น น่าจะเป็นเพราะยาธาตุเย็นที่เมื่อก่อนอาจารย์ลู่ใช้ เพื่อกดเปลวไฟในเส้นลมปราณหัวใจ

ถูกหลัวซิวจ้องมองหน้าอก ลู่เมิ่งเหยารู้สึกแปลกๆ ขณะที่เธอทนไม่ไหวกำลังจะตำหนิ จู่ๆหลัวซิวก็หลับตาลง คล้ายกำลังเข้าสู่ห้วงแห่งความคิด

หลังจากผ่านไปพักใหญ่ หลัวซิวลืมตาขึ้น พูด:”อาจารย์ลู่ครับ เส้นลมปราณหัวใจของอาจารย์ลู่มีเปลวไฟ ผมไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะรักษาอาจารย์ให้หายดี แต่ลองดูได้ครับ”

“นาย……” ลู่เมิ่งเหยาไม่เชื่อว่าผู้ฝึกยุทธ์กลั่นร่างจะสามารถรักษาตนได้ กำลังจะพูดอะไร จู่ๆก็สัมผัสถึงนิ้วมือสองสิ้วที่จับชีพจรของตน มีปราณในบริสุทธิ์เข้าไปในร่างกายของตน

“นี่คือ……” เธอสัมผัสได้ ปราณในนี้เต็มไปด้วยพลังแห่งชีวิต ตอนที่ผ่านเส้นลมปราณและจุดฝังเข็ม ทำให้รู้สึกดีไปหมดทั้งร่างกาย

อย่างรวดเร็ว ปราณในที่เปี่ยมไปด้วยพลังแห่งชีวิตเข้าสู่เส้นลมปราณหัวใจของเธอ สิ่งที่ทำให้ลู่เมิ่งเหยาตกใจยิ่งกว่าเดิมคือ เส้นลมปราณหัวใจที่ปกติมักจะทำให้เธอรู้สึกทรมาน กลับสบายอย่างมาก ทำให้เธอดไม่ได้ที่จะหลับตาลง อยากจะสัมผัสความผ่อนคลายที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน ตั้งแต่เล็กจนโต

ที่เส้นลมปราณหัวใจของลู่เมิ่งเหยา หลัวซิวใช้ปราณในแปรเปลี่ยนเป็นพลังแห่งชีวิต เข้าสู่ผังลายเส้นชีวิตของเธอ

 

 

 

 

 

 

 

 

########################

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 36 กระบี่เงามืด

 

“ลูกค้าสายตาเฉียบแหลมจริงๆครับ กระบี่เล่มนี้นักล่าอสูรคนอื่นๆได้มาจากซากปรักหักพังโบราณ ผ่านนักหลอมอาวุธตรวจสอบ วัสดุพิเศษ แม้จะถูกของชั้นสูงของอาวุธรบฟันก็ไม่เป็นอะไรเลยสักนิด” เถ้าแก่ยิ้มพร้อมกับพูด

“หื้ม?” หลัวซิวไม่รู้ว่าเถ้าแก่ชมโอเวอร์เกินไปรึเปล่า ระดับของอาวุธรบมีการแบ่งแยกอย่างเข้มงวด อาวุธรบระดับต่ำทั่วไป ไม่สามารถต้านทานการฟันของอาวุธรบระดับสูงได้ ถึงแม้จะไม่หัก แต่ก็ต้องเสียงหาย

“แต่ว่าพลังของกระบี่เล่มนี้ด้อยไปหน่อย ท่ามกลางของชั้นสูงของอาวุธรบ ถือว่าธรรมดา ถ้าหากลูกค้าจะเอา แค่หินพลังจิตชั้นล่างแปดร้อยก้อนก็พอแล้ว” เถ้าแก่พูดต่อ

“แปดร้อย?” หลัวซิวเบิกตากว้าง พูดด้วยความโมโห: “กระบี่ชั้นล่างที่พลังทั่วไปแพงแบบนี้สักที่ไหน? ผมว่าบางชิ้นที่ทรงพลังยิ่งกว่าของชั้นกลางของอาวุธรบ ยังแค่แปดร้อยกว่าเท่านั้น”

หินพลังจิตชั้นล่างแปดร้อยกินไม่ใช่ตัวเลขน้อยๆ มีรายได้ของจอมยุทธ์หลายคน ไม่ถึงหนึ่งพันกว่าหินพลังจิตชั้นล่าง

“ถึงแม้พลังจะธรรมดา แต่ว่าวัสดุของกระบี่นี้พิเศษมากสามารถต้านทานการฟันของชั้นสูงของอาวุธรบได้ ดังนั้นราคาก็เลยต้องแพงเป็นธรรมดา” เถ้าแก่พูดด้วยรอยยิ้ม

ความเป็นกระบี่นี้อยู่ที่นี่มานานหลายปีแล้ว ตอนนั้นซื้อเอาไว้ด้วยหินพลังจิตชั้นล่างสามร้อยกว่าก้อน นั่นก็เพราะชอบความพิเศษของวัสดุ

แต่ว่านักหลอมอาวุธหลายคนดุไม่ออกว่าเป็นวัสดุอะไรกันแน่ อยากจะเอากลับเข้าไปหลอมใหม่ก็ทำไม่ได้ ด้วยเหตุนี้จึงวางทิ้งเอาไว้ที่นี่มานานหลายปี ไม่มีใครถามถึง เพราะถึงอย่างไรสำหรับนักยุทธ์แล้ว ความทรงพลังของอาวุธรบสำคัญยิ่งกว่า

แต่ว่านักหลอมอาวุธที่อยู่ด้านหลังร้านขายอาวุธกลับรู้สึกว่ากระบี่นี้มีที่มาที่ไปไม่ธรรมดา ด้วยเหตุนี้จึงตั้งราคาเล่มละหกร้อย

เหตุที่ขายแปดร้อย นั่นเป็นเพราะเถ้าแก่ร้านขายอาวุธเห็นว่าหลัวซิวยังหนุ่ม ไม่แน่อาจจะซื้อจริงๆก็ได้ ตนจะได้มีหินพลังจิตเพิ่มขึ้นสองร้อยก้อนอย่างไรล่ะ?

“แพงเกินไป ผมไม่เอา” หลัวซิวพูดพร้อมกับวางกระบี่ลงที่เดิม

“คุณลูกค้า เรื่องราคาเราคุยกันได้” เถ้าแก่หนังตากระตุก รีบพูด

“เจ็ดร้อยก้อนดีไหม? ราคานี้ถูกสุดแล้วถูกกว่านี้ไม่ได้แล้ว” เถ้าแก่กัดฟัน เหมือนว่าทำการตัดสินใจที่ยากเย็น

ถึงแม้หลัวซิวจะยังอายุน้อย ทว่าก็ไม่ได้ไม่ประสีประสาอะไรกับเรื่องในสังคม ดูท่าทีของเถ้าแก่ ก็รู้ทันทีว่าอีกฝ่ายต้องการจะหลอกตน

“ผมว่าเถ้าแก่ไม่มีความจริงใจแม้แต่น้อย ในตลาดนี้มีร้านขายอาวุธรหลายร้าน ผมเปลี่ยนร้านดีกว่า” หลัวซิวหัวเราะในลำคอ ทำทีจะเดินออกไป

เถ้าแก่เห็นท่าทีของเขา กระวนกระวายขึ้นมาทันที ถ้าลูกค้าคนนี้ไปจริงๆ ก็จะไม่ได้เปอร์เซ็นต์อะไรแม้แต่น้อย

“หกร้อย!ลูกค้า นี่คือราคาที่ถูกที่สุดแล้ว ถ้าลูกค้ายังไม่พอใจ ผมก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว”

ราคาหกร้อย ถึงแม้ราคาจะสูงกว่ากระบี่รบของชั้นล่างทั่วไปเล็กน้อย แต่ว่าวัสดุที่สามารถต้านทานการฟันอาวุธรบระดับสูง ราคานี้ถือว่าไม่เกินไป

หลัวซิวเองก็รู้สึกว่ากระบี่นี้พิเศษ พูดพึมพำ หยิบหินพลังจิตออกมา ซื้อกระบี่

เห็นหลัวซิวซื้อกระบี่ ใบหน้าของเถ้าแก่ฉายรอยยิ้ม

“ดำทั้งเล่ม ด้ามสลักคำว่า’มืด’เอาไว้ ถ้าอย่างนั้นเรียกแกว่ากระบี่เงามืดแล้วกัน!” หลัวซิวพอใจอย่างมาก เสียบกระบี่เข้าไปในฝัก สะพายไว้ด้านหลัง

นี่คืออาวุธรบชิ้นแรกในชีวิตของเขา รู้สึกตื่นเต้นมาก

ออกมาจากร้านขายอาวุธ หลัวซิวมุ่งหน้าไปยังร้านขายยาทิพย์ ตั้งใจจะซื้อยา เพื่อช่วยเพิ่มความเร็วในการฝึกตน

ยาที่ขายในเมืองชิงหยุน ล้วนเป็นยาระดับที่หนึ่งและระดับที่สอง ยาฝึกปราณคือยาระดับที่หนึ่งทั่วไป เหมาะสำหรับนักยุทธ์แดนกลั่นร่าง สามารถดูดกลืนพลังจิต การผนึกรวมและกลั่นแปรของปราณในได้อย่างรวดเร็ว

นอกเหนือจากนี้ยังมียาสำรับระดับต่างๆ ยกตัวอย่างเช่นยาฝึกเอ็น ยาเกลากระดูกและยาเลือดปราณเป็นต้น

หลัวซิวมาครั้งนี้ ตั้งใจที่จะซื้อยาเลือดปราณาชนิดนี้ เหมาะสำหรับผู้ฝึกยุทธ์การกลั่นร่างขั้น8เพื่อผนึกรวมและกลั่นแปรเลือดลม

ขณะที่หลัวซิวกำลังเลือกยาอยู่นั้น กลิ่นหอมแตะจมูก เสียงหนึ่งดังขึ้น “เถ้าแก่ มียาคงจิตไหมคะ?”

หลัวซิวมองไปตามเสียง เห็นหญิงสาวสวมชุดกระโปรงสีขาวยืนอยู่ข้างๆ หุ่นอรชรงดงาม เผยออกมาไม่ชัดเจน

“อาจารย์ลู่?” หลัวซิวจำได้ในทันที หญิงสาวที่กลิ่นหอมอ่อนๆคนนี้ คืออาจารย์ที่สอนในสำนักยุทธ์ ลู่เมิ่งเหยา

“ยาระดับสาม ยาคงจิต?”

ถ้าแก่ร้านขายยาทิพย์ชะงักเล็กน้อย แล้วพูด “คุณหนูครับ ร้านของผมอย่างมากก็มีแค่ยาระดับสอง ยาระดับสาม มีแค่องค์กรนักตั้งค่ายเท่านั้นถึงจะมี”

เมื่อได้ฟัง สีหน้าของลู่เมิ่งเหยาฉายความผิดหวัง หันหลังเดินจากไป

แต่ว่าเธอเดินไม่ถึงสองก้าว ร่างเซ สะดุดล้มกะทันหัน

“อาจารย์ลู่!”

หลัวซิวพุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็ว พยุงตัวลู่เมิ่งเหยาเอาไว้ ร่างนุ่มนิ่มล้มลงในอ้อมกอดของเขา โดยเฉพาะตอนที่เขาก้มลงมองเห็นเนินอก ทำให้เขาจิตใจว้าวุ่น

แต่ว่าหลัวซิวสังเกตเห็นแก้มและคอของอาจารย์ลู่แดงระเรื่อ ผิวของเธอร้อนผ่าว

เถ้าแก่เจ้าของร้านตกใจ คนที่อยู่รอบๆต่างมองมาด้วยสายตาสงสัย

ในเวลานี้เอง หนังตาของลู่มิ่งเหยากระตุก ลืมตาขึ้นช้าๆ จำหลัวซิวได้

แต่ว่าตอนที่เธอรู้ตัวว่าตนอยู่ในอ้อมกอดของหลัวซิว ก็รีบเหยียดตัวลุกขึ้นทันที

ทว่าเธอกลับไร้เรี่ยวแรง ความร้อนแผ่ซ่านจากหัวใจมาสู่ทั่วร่างกาย ทำให้สติของเธอเลือนรางลงขึ้นเรื่อยๆ

“หลัวซิว พาฉันไปจากที่นี่” ลู่เมิ่งเหยาพยายามตั้งสติ ฝากความหวังเอาไว้กับนักเรียนที่สามารถเชื่อใจได้

หลัวซิวพยักหน้า แล้วช้อนตัวลู่เมิ่งเหยาขึ้นมา เอ่ยถาม: “อาจารย์ลู่ ไปที่ไหนครับ?”

ท่าทางที่น่าเขินอาย ลู่เมิ่งเหยารู้สึกเอียงอายและลำบากใจ รู้สึกนักเรียนหลัวซิวคนนี้ฉวยโอกาสลวนลามตน

แต่ว่าสติของเธอยิ่งอยู่ก็ยิ่งเลือนราง จึงทำได้เพียงเชื่อเขาแล้ว

“ไปที่พักของฉัน”

“ครับ!”

ท่ามกลางสายตาแปลกใจ หลัวซิวอุ้มลู่เมิ่งเหยาออกไปอย่างรวดเร็ว ภายใต้การบอกทางของเธอ มุ่งหน้าไปยังที่พักในเมืองชิงหยุน

“ผู้หญิงคนนั้นตัวแดงไปหมด หรือว่าจะถูกวางยา?”

“เจ้าเด็กนั่นคือใคร? สบโอกาสจริงๆ”

ระหว่างทาง มีคนลามกหลายคนพูดกันไปต่างๆนานา ทำให้ลู่เมิ่งเหยายิ่งรู้สึกอายและลำบากใจ

ได้ยินคำพูดเหล่านี้ หลิวซิวเองก็หมดคำจะพูด ถ้าไม่ใช่เพราะกำลังอุ้มอาจารย์ลู่ เขาต้องสั่งสอนพวกคนที่พูดเหลวไหลให้เข็ด

ที่พักของลู่เมิ่งเหยา คือเรือนสวยสง่าในเมืองชิงหยุน

ในห้องที่เรียบง่ายและสะอาดสะอ้าน หลัวซิววางลู่เมิ่งเหยาไว้บนเตียง รอยแดงบนตัวของเธอเริ่มจางหายไป

ระหว่างทาง หลัวซิวตรวจดูผังลายเส้นชีวิตของเธอแล้ว ผมว่าเส้นลมปราณบริเวณหัวใจ มีความร้อนปะทุออกมา เพราะการแผ่ซ่านของลมปราณนี้ จึงทำให้อาจารย์ลู่เป็นแบบนี้

หลัวซิวจำได้ เมื่อสามเดือนก่อน เขาพบว่าเส้นลมปราณหัวใจของอาจารย์ลู่ผิดปกติ เส้นลมปราณหัวใจคือเส้นสำคัญของชีวิต เกิดความผิดปกติขึ้นที่นี่ เป็นอันตรายต่อชีวิต

 

 

 

 

 

 

 

 

########################

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 35 พบปรมาจารย์

 

ตำหนักตระกูลจางเมืองชิงหยุน แก้วชาใบวิจิตรถูกปาทิ้งจนแตกเป็นผุยผง จางช่าวฉงหัวหน้าตระกูลจางสีหน้าเคร่งขรึม

“พวกเฉินหู่ล้มเหลวเหรอ? เขาเป็นถึงจอมยุทธ์ไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงฆ่าเด็กหนุ่มการกลั่นร่างขั้น7ตัวเล็กๆคนหนึ่งไม่ได้?” จางช่าวฉงถามคนที่อยู่ด้านล่างด้วยความโมโห

“หัวหน้าตระกูลครับ เฉินหู่ไม่ใช่แค่ล้มเหลวเท่านั้น แต่ยังตายด้วยครับ หอกยอดลมของเขาถูกขาย ทั้งยังมีคนเจอศพเฉินหู่ที่เขาปาฉี” คนรับใช้ที่เป็นเหมือนผู้ดูแลพูดด้วยความเคารพ

“ไอ้ขยะ!” จางช่าวฉงสบถ พูดเสียงเหี้ยม: “เรื่องนี้แพร่งพรายออกไปไหม?”

“ทางสำนักยุทธ์ยังไม่มีทีท่าอะไรครับ คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร” ผู้ดูแลพูด

ในเวลาเดียวกัน ม้าขนเหลืองวิ่งเข้าเมืองชิงหยุน

หลังจากกลับเข้าเมือง หลัวซิวเปลี่ยนชุดแล้วมาที่สำนักยุทธ์ เตรียมที่จะมุ่งหน้าไปหอเก็บหนังสือ เลือกวิชายุทธ์ระดับ3

ตามกฎของสำนักยุทธ์ วิชายุทธ์ระดับ3สามารถเลือกได้หนึ่งวิชาตอนการกลั่นร่างขั้น7 ขั้น8 ขั้น9 ล้วนมีโอกาสเลือกหนึ่งวิชายุทธ์

เดินอยู่ในสำนักยุทธ์ นักเรียนไม่น้อยที่รู้จักหลัวซิว ต่างสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของร่างกายเขาอย่างชัดเจน

“ดูเหมือนว่าความแข็งแกร่งของหลัวซิวจะมากยิ่งขึ้น ตอนที่เขาเดินผ่านฉัน ฉันถึงขั้นรู้สึกเหมือนถูกข่ม”

“หรือว่าเขาจะบรรลุการกลั่นร่างขั้น8แล้ว?ว่ากันว่าเลือดที่ผ่านการผนึกรวมและกลั่นแปรของผู้ฝึกยุทธ์การกลั่นร่างขั้น8 จึงจะมีออร่าที่สามารถข่มได้”

“เป็นไปไม่ได้รึเปล่า? เมื่อเดือนก่อนยังเป็นการกลั่นร่างขั้น7 จะบรรลุการกลั่นร่างขั้น8เร็วขนาดนี้ได้ยังไง”

คนจำนวนไม่น้อยต่างพูดกัน ตั้งแต่จบการสอบประจำปีเมื่อคราวก่อน หลัวซิวมุ่งหน้าไปฝึกที่เขาปาฉี ตอนนี้ผ่านมาหนึ่งเดือนแล้ว

ความเป็นจริง ไม่ใช่แค่เพราะบรรลุผลการฝึกตน แต่เป็นเพราะร่างกายของหลัวซิวเกิดการเปลี่ยนแปลง ไม่มีใครรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงได้ดีเท่าตัวเขาเองแล้ว

หลังจากประสานรวมกับลูกแก้วอัญมณีแห่งความเป็นความตาย สมรรถภาพทางกายของเขา หลอดเลือดได้รับผลกระทบจากพลังแห่งความเป็นความตาย ก็เริ่มเปลี่ยนแปลงช้าๆ

บวกกับระยะหลังมานี้ความแข็งแกร่งของเขาพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว ความเป็นความตายกับแดนภายในใจ การขัดเกลาของอารมณ์ บุคลิกของเขา จึงเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ

ระหว่างมุ่งหน้าไปยังหอเก็บหนังสือ ร่างหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าหลัวซิวกะทันหัน

เขาคือผู้อาวุโสที่ผมและเคราขาวไปหมด สวมชุดสีขาว ใบหน้าเปื้อนยิ้ม มือทั้งสองไขว้หลัง เหมือนคนแก่ทั่วไป ไร้ซึ่งการผันผวนของลมปราณ

แต่ว่าในสายตาของหลัวซิว ผังลายเส้นชีวิตของผู้อาวุโสชุดขาวคนนี้สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน เส้นลมปราณและจุดฝังเข็มทรงพลัง เหนือกว่าจอมยุทธ์พวกนั้นที่หลัวซิวเคยพบเจอ แข็งแกร่งกว่าไม่รู้เท่าไหร่

แดนพรสวรรค์!

หลัวซิวสามารถยืนยันได้ว่า คนตรงหน้าคือปรมาจารย์ระดับแดนพรสวรรค์!

ไม่เพียงแค่นี้ ผู้อาวุโสคนนี้หน้าตาคุ้นมากๆ คือผู้อาวุโสที่ทำการสอบเขาตอนที่อยู่องค์กรนักล่าอสูร

เห็นได้ชัด ผู้อาวุโสคนนี้ไม่เพียงทำงานที่องค์กรนักล่าอสูร แต่ยังเป็นผู้อาวุโสในสำนักยุทธ์แห่งเมืองชิงหยุนด้วย

“หลัวซิว เคารพผู้อาวุโสครับ”

สำนักยุทธ์มีผู้อาวุโสทั้งหมดห้าคน หลัวซิวเคยเจอแค่ผู้อาวุโสที่ตอนนั้นรับผิดชอบคุมสอบ ผู้อาวุโสเฝ้าหอเก็บหนังสือเท่านั้น สำหรับผู้อาวุโสอีกสามท่าน เขาไม่เคยเจอมาก่อน

“หลัวซิว ตามฉันมา” จวงหนานเทียนพยักหน้า ยิ้มแล้วพูด

เพิ่งสิ้นเสียง จวงหนานเทียนหมุนตัวหันหลังเดินออกไป ภายในใจของหลัวซิวเกิดความสงสัย จึงเดินตามไป โดยที่ไม่รู้ว่าผู้อาวุโสสำนักยุทธ์มาหาตนเพราะเรื่องอะไร

เดินตามผู้อาวุโสชุดขาว หลัวซิวมาถึงห้องใต้หลังคาในสวนแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ส่วนลึกของสำนักยุทธ์

“นั่ง” จวงหนานเทียนยิ้มแล้วพูด

หลัวซิวไม่รอช้า นั่งลงตรงข้ามผู้อาวุโส

“ฉันคือผู้อาวุโสสำนักยุทธ์ จวงหนานเทียน เมื่อก่อนพวกเราเคยเจอกันมาแล้ว” จวงหนานเทียนพูดขึ้นก่อน “ได้ยินว่าที่หอเก็บหนังสือ กำลังภายในระดับ3ที่นายเลือกคือพลังหยางบริสุทธิ์?”

วิชายุทธ์ที่นักเรียนทุกคนในสำนักยุทธ์เลือกล้วนถูกบันทึกเอาไว้ การที่อีกฝ่ายรู้ว่าวรยุทธ์ที่ตนเลือก หลัวซิวไม่ได้รู้สึกแปลกใจ

“ใช่ครับ ผู้อาวุโส” หลัวซิวตอบคำถาม

ใบหน้าของจวงหนานเทียนหวั่นไหวเล็กน้อย พูด: “ฉันดูผลการฝึกตนของนายบรรลุการกลั่นร่างขั้น8แล้ว ใช้เวลาสั้นๆแค่หนึ่งเดือนก็บรรลุอีกขั้น นี่ไม่ใช่สิ่งที่พรสวรรค์สามารถทำได้แล้ว ดูเหมือนว่านายจะฝึกพลังหยางบริสุทธิ์สำเร็จแล้ว?”

เห็นหลัวซิวพยักหน้ายืนยันอีกครั้ง จวงหนานเทียนหัวเราะเสียงดัง

“เยี่ยม เยี่ยม เยี่ยม!สามารถใช้เวลาสั้นๆแค่นี้ฝึกพลังหยางบริสุทธิ์ได้สำเร็จ นักเรียนทั้งสำนักยุทธ์ ไม่มีใครมีพรสวรรค์ในการฝึกยุทธ์เท่ากับนายแล้ว ต่อให้มองไปทั้งเขตการปกครองหยุนหลง พรสวรรค์ของนายก็สามารถติดหนึ่งในสิบอันดับแรก!”

จวงหนานเทียนดูดีใจอย่างเห็นได้ชัด มองไปที่หลัวซิว พูด:”เหลือเวลาอีกสองเดือนก็จะถึงงานประลองยุทธ์ของสำนักยุทธ์แห่งเมืองชิงหยุนแล้ว นายมีความมั่นใจไหม?”

แน่นอนว่าหลัวซิวย่อมรู้เรื่องงานประลองยุทธ์ สำนักยุทธ์แห่งเมืองชิงหยุนจัดงานนี้ขึ้นทุกปี สิ่งสำคัญในการจัดงานเพื่อยอดฝีมือในชั้นสูงพวกที่เป็นการกลั่นร่างขั้น8และการกลั่นร่างขั้น9 ทำการจัดอันดับสักครั้ง

คนที่ยิ่งอยู่อันดับสูง ก็จะได้รับรางวัลที่ดียิ่งขึ้น

“ผมเพิ่งเลื่อนไปชั้นกลาง ผลการฝึกตนก็เพิ่งบรรลุการกลั่นร่างขั้น8 เกรงว่าจะไม่สามารถเอาชนะรุ่นพี่ในชั้นสูงได้” หลัวซิวพูดด้วยความถ่อมตน

จวงหนานเทียนหัวเราะ “นายไม่ต้องดูถูกตนเอง ด้วยพรสวรรค์ของนาย เพียงพอที่จะได้รับการอบรมอย่างดีจากสำนักยุทธ์ แต่ว่าถ้าอยากจะได้วิชายุทย์ วรยุทธ์และฝึกตนที่ดีและมากยิ่งขึ้น นายต้องสู้มาด้วยความสามารถของตนเอง!”

……

หลังจากได้พูดคุยกับผู้อาวุโสจวงหนานเทียนแห่งสำนักยุทธ์ หลัวซิวรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาก

เป็นไปตามที่ผู้อาวุโสจวงกล่าว เงื่อนไขที่ดีกว่าของการฝึกตนต้องใช้ความสามารถเพื่อไปแย่งชิง งานประลองยุทธ์ในทุกปี เธอเป็นโอกาสในการแย่งชิง

สำหรับนักเรียนที่ไม่มีแม้แต่สิทธิ์ในการเข้าร่วมงานประลองยุทธ์ สำนักยุทธ์ไม่มอบทรัพยากรใดๆให้แม้แต่น้อย

นี่คือกฎแห่งการอยู่รอดของผู้ที่เหนือกว่า!

สูดลมหายใจเข้าลึกๆ หลัวซิวมั่นใจในตนเองมาก อาศัยความสามารถของตน ได้อันดับที่ดีในงานประลองยุทธ์ไม่ใช่เรื่องยาก ถึงขั้นที่ว่าหากตนยินดี การได้อันดับหนึ่งก็ยังไม่ใช่ปัญหา

ออกจากห้องใต้หลังคา หลัวซิวตรงไปยังบนชั้นสองของหอเก็บหนังสือ เลือกทักษะยุทธ์ประเภทวิชากระบี่ที่ตนอยากได้มานาน วิชากระบี่ฟ้าแลบ!

ทักษะยุทธ์วิชากระบี่นี้สิ่งสำคัญคือความเร็ว เป็นไปตามกล่าวที่ว่าบนยุทธภพมีเพียงวิชายุทธ์เร็วเท่านั้นที่จะไม่ถูกทำลาย ตอนใช้กระบี่เร็วเหมือนฟ้าผ่า มีลำแสงเหมือนสายฟ้า ทำให้คู่ต่อสู้ไม่ทันได้ป้องกัน ไม่ให้โอกาสคู่ต่อสู้ในการไหวตัว

ปลอกหุ้มข้อมือสีบรอนซ์ มีหินพลังจิตหนึ่งพันสามร้อยก้อน หลังจากเลือกวิชากระบี่เสร็จ อันดับแรกหลัวซิวไปที่ร้านขายอาวุธ

ตอนฆ่ากับเฉินหู่ กระบี่ชิงเฟิงหัก เป็นเพราะอาวุธธรรมไม่สามารถสู้กับความแข็งแกร่งของอาวุธรบได้

ที่ร้านขายอาวุธ หลัวซิวกวาดตามองหนึ่งรอบ ของชั้นล่างของอาวุธรบ เพราะวัสดุ วิธีการตีที่แตกต่าง พลังจึงไม่เหมือนกัน ดังนั้นราคาจึงไม่เท่ากันมีตั้งแต่หินพลังจิตสามร้อยกระทั่งแปดร้อยก้อน

อีกทั้งในอาวุธรบ อาวุธประเภทดาบและกระบี่ราคาจะค่อนข้างสูง เพราะนักยุทธ์ส่วนมากใช้ดาบกับกระบี่

กระบี่สีดำ ที่ทำทำจากเหล็กทังเสตน ดึงดูดสายตาหลัวซิว

กระบี่เล่มนี้ไม่ได้มีลวดลายวิจิตร ตัวกระบี่มีน้ำหนัก หนักว่ากระบี่ทั่วไปมาก ด้ามกระบี่สลักตัวอักษรคำว่า ‘มืด’

จากนั้น หลัวซิวใช้ปราณในมาคอยช่วย กวัดแกว่างกระบี่ รู้สึกคล่องมือมาก

“เถ้าแก่ครับ กระบี่นี้ขายยังไงครับ?” หลัวซิวเอ่ยถาม

 

########################
 

 

 

 

 

บทที่ 34 ปราณเป็นตาย2ระดับ

 

“เช้ง!เช้ง!เช้ง!……”

เผชิญหน้ากับการจู่โจมอย่างร้ายแรงของจอมยุทธ์เฉินหู่ หลัวซิวตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ

ถ้าไม่ใช่เพราะอาศัยวิชาท่าร่างของแดนบรรลุผล ไม่ว่าจะเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกยุทธ์การกลั่นร่างขั้น9ผู้ฝึกยุทธ์คนไหน เกรงว่าคงตายไปนานแล้ว

“กรึก!”

กระบี่ชิงเฟิงกลับหอกเหล็กปะทะกันอีกครั้ง มีไฟประกายที่ยากจะมองเห็นกระจายออกมา ร่างของหลัวซิวถอยหลังอย่างรวดเร็ว ถอนพลังจากจู่โจม แต่ว่ากระบี่ชิงเฟิงในมือ กลับหักไปแล้ว

“ฮ่าๆ หอกยอดลมของฉันเป็นของชั้นล่างของอาวุธรบ ไอ้หนูเตรียมตัวตายได้เลย!”

เฉินหู่กวาดทำลายล้างทุกอย่างบีบให้หลัวซิวถอยหลัง กระตุกหอกยาว พุ่งหอกด้วยความรุนแรงและรวดเร็ว

กระบี่ชิงเฟิงหัก ทว่าสีหน้าของหลัวซิวยังคงนิ่งงัน เคลื่อนเท้าเล็กน้อย หอกยอดลมผ่านตัวเขาไปอย่างเฉียดฉิว ลมทำให้แผ่นอกของเขาเกิดเป็นแผลฉีกขาด เลือดสดพุ่งออกมา

“ท่าเสือพิฆาต!”

เสี้ยววินาทีแห่งความหวาดเสียว หมัดของหลัวซิวชกไปที่แผงอกของเฉินหู่ ส่วนเฉินหู่ในเวลานี้ไม่อาจรับการจู่โจมนี้ไว้ได้

“กับแค่การกลั่นร่างขั้น7 จะทำร้ายฉันได้เหรอ?” ใบหน้าของเฉินหู่เปี่ยมไปด้วยความดูถูก จอมยุทธ์ใช้พลังปราณในการปกป้องร่างกาย ปราณในไม่สามารถทำร้ายได้ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังสวมเสื้อเกราะบางของชั้นล่างอีกด้วย

“ผวัะ!”

เสียงดังขึ้น เฉินหู่ที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ สีหน้าแปรเปลี่ยนกะทันหัน

“ซว่า!”

เขากระอักเลือดออกมา ร่างถอยหลังอย่างรวดเร็ว นัยน์ตาฉายความตกตะลึงและหวาดกลัวสลับกัน

เห็นหลัวซิวใช้ฝ่ามือ ผลักหอกยอดลมทิ้ง ไล่ล่าด้วยวิชาท่าร่างก้าวสั้น กระบวนท่าของหมัดแปรเปลี่ยน ปราณในทอประกายแสง

“ท่ามังกรทะยาน!”

“ผวัะ!ผวัะ!ผวัะ!”

หมัดหลายสิบหมัดโจมตีไปที่แผงอกของเฉินหู่ พลังปราณและเสื้อเกราะบางสามารถปกป้องร่างกายได้ ทว่าไม่สามารถปกป้องผังลายเส้นชีวิตได้

“ตึ้ง!”

เฉินหู่ล้มลงบนพื้น กระอักเลือด ดวงตาเบิกกว้าง กระดูกซี่โครงที่แผงอกแหลกสลาย อวัยะภายในพังทลาย เส้นลมปราณขาดวิ้น ตายตาไม่หลับ

“ฉันที่เป็นถึงนักยุทธ์แดนฝึกชี่ไห่ กลับต้องตายด้วยน้ำมือของเด็กหนุ่มแดนกลั่นร่างเนี่ยนะ?”

ฉันเจ็บใจ!ฉันเจ็บใจ!

หลัวซิวเองก็ไอเป็นเลือด เพราะถูกพลังปราณที่ปกป้องร่างกายของอีกฝ่ายทำร้ายอวัยวะภายในและเส้นลมปราณ

ฝนตกหนัก น้ำกระเด็น มองเฉินหู่ที่ล้มลงบนพื้น หลัวซิวเพิ่งจะรู้สึกโล่งอก ปราณเป็นตาย2ระดับเคลื่อนตัวอยู่ในร่างกาย ซ่อมแซมผังลายเส้นชีวิตบริเวณหน้าอก บาดแผลที่แผละออก ด้วยความเร็วในการรักษาที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตา

หลัวซิวรู้ดี ถ้าไม่ใช่เพราะอาศัยวิธีการทำลายผังลายเส้นชีวิต เขาไม่มีวันเป็นคู่ต่อสู้ของเฉินหู่ ความแตกต่างระหว่างแดนฝึกชี่ไห่และแดนกลั่นร่าง ยังคงมาก

……

ฝนตกนานครึ่งค่อนคืน หลัวซิวเดินออกมาจากเขาปาฉี ได้ของเยอะมาก

โดยเฉพาะฆ่าเฉินหู่ หลัวซิวไม่เพียงแต่ได้หอกยอดลม เสื้อเกราะบางของชั้นล่าง ทั้งยังได้อุปกรณ์ค่ายกลระดับ2

เห็นเพียงมือข้อมือซ้ายของหลัวซิว ใส่ปลอกหุ้มข้อมือสีบรอนซ์ ของทุกอย่างเก็บเอาไว้ด้านในนั้น

ที่เก็บของนี้ขอเพียงใช้ปราณในควบคุม ก็สามารถนำของออกมาและเก็บของเข้าไปได้

ที่พักในเขาปาฉี นักล่าอสูรหลายคนโอดครวญกับฝนตกหนักในครั้ง ปกติถ้าเจอสภาพอากาศแบบนี้ การล่าสัตว์ก็จะยากมากขึ้น ความอันตรายมากขึ้น

ชิ้นส่วนของอสูรกายบางส่วน หลัวซิวขายที่ที่พัก เงินทั้งหมดที่ได้แปลกเป็นหินพลังจิตทั้งหมด สุทธิรวมหนึ่งร้อยแปดสิบกว่าก้อน

หลังจากนั้นหลัวซิวก็มายังร้านขายอาวุธ ตั้งใจที่ขายอาวุธของพวกเฉินหู่ทิ้ง

เถ้าแก่ร้านขายอาวุธคือชายวัยกลางคนที่ผมและหนวดเคราขาว ตอนที่หลัวซิวหยิบอาวุธออกมา แววตาของเขาตกตะลึง

“หอกยอดลม? หอกนี้คืออาวุธของเฉินหู่ไม่ใช่เหรอ?” ตอนที่เห็นหอกยาวนี้ เถ้าแก่วัยกลางคนอดไม่ได้ที่จะร้องด้วยความตกตะลึง

หลัวซิวหน้าเปลี่ยนสี เขาคิดไม่ถึงว่าจะมีคนจำอาวุธของเฉินหู่ได้ พูดในใจว่าแย่แล้ว

สุดท้ายแล้วด้านประสบการณ์และเส้นสายต่างๆ ท้ายที่สุดเขาก็เป็นแค่ไอ้กระจอก

“ขอโทษด้วยนะครับ คุณลูกค้า ผมลืมตัว” เถ้าแก่วัยกลางวันรับรู้ถึงความไม่เหมาะสม จึงรีบกล่าวขอโทษ

หลัวซิวทำหน้าเคร่งขรึม พูด: “เถ้าแก่คงจะไม่พูดพร่ำเพรื่อใช่ไหมครับ?”

“แน่นอนว่าไม่กล้าครับ ลูกค้าวางใจได้ ในเขาปาฉีมีคนตายทุกวัน การค้าประเภทนี้ ผมเองก็เคยทำมาไม่น้อย แน่นอนว่าต้องปิดเป็นความลับให้ลูกค้า” เถ้าแก่วัยกลางคนพูด

“ลูกค้าคงไม่รู้ เฉินหู่คนนี้มีชื่อเสียงเหี้ยมโหดในเขาปาฉี ฆ่าคนมากมาย ทีมที่มีจอมยุทธ์นำทีมเขาไม่กล้าไปหาเรื่อง แต่ว่าทีมส่วนมากล้วนไม่มีจอมยุทธ์”

เถ้าแก่วัยกลางคนทอดถอนหายใจ: “เฉินหู่ฆ่าคนบนเขา ไม่มีหลักฐาน คนอื่นก็ไม่สามารถทำอะไรเขาได้ ถือว่าทำชั่วได้ชั่ว วันหนึ่งเขาก็ถูกฆ่าเหมือนกัน”

พูดถึงตรงนี้ หลัวซิวโล่งอก ถ้าเรื่องที่เขาฆ่าเฉินหู่แพร่งพรายออกไป มีความเป็นไปได้สูงว่าจะมีเรื่องเดือดร้อนมาสู่ตน

นอกจากหอกยอดลมแล้ว ธนูเงินและอาวุธอื่นๆล้วนเป็นของทั่วไป ขายได้ทั้งหมดเจ็ดร้อยกว่าหินพลังจิต

บวกกับเงินและหินพลังจิตที่ได้มาจากเฉินหู่และพวก หลัวซิวมีหินพลังจิตชั้นล่างหนึ่งพันสามร้อยกว่าก้อน!

เวลาต่อจากนี้ หลัวซิวล้วนเพ็ญตนอยู่ด้านนอกเขาปีฉี

ในป่า ในที่สงบแห่งหนึ่ง หลัวซิวนั่งขัดสมาธิ เปิดอุปกรณ์ค่ายผนึกปราณระดับ1ขึ้นมา พลังฟ้าดินจิตหลอมรวมเข้าด้วยกัน

บวกกับดูดรับพลังแห่งชีวิตของสมุนไพรในป่า ร่วมกับฤทธิ์ของยาฝึกปราณ ทำให้เขาสัมผัสได้ว่าผลการฝึกตนพัฒนาขึ้นไม่หยุด

การกลั่นร่างขึ้น8 คือการผนึกรวมและกลั่นแปรเลือด ด้วยการกลั่นแปรของปราณในที่ไม่หยุดหย่อน หลัวซิวสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าปราณในเคลื่อนตัวเข้าไปในเลือด ขยายใหญ่ไม่หยุด

สมแล้วที่พลังหยางบริสุทธิ์ถูกขนานนามว่าเป็นกำลังภายในระดับ3ชั้นสุดยอด ผลของการฝึกตนดีเยี่ยมมาก บวกกับหลังจากที่เขามองผังลายเส้ยชีวิตและปรับปรุง ผลลัพธ์จึงสูงขึ้นมาก

ทันใดนั้นเอง หลัวซิวพลิกมือหยิบยาฝึกปราณออกมาหนึ่งเม็ดแล้วกิน ฤทธิ์ของยาที่รุนแรงแผ่ซ่านเข้าไปในร่างกาย การผนึกรวมและกลั่นแปรของปราณในแปรเปลี่ยนเป็นรวดเร็วยิ่งขึ้น

“ซว่า……”

ทันใดนั้นเอง หลัวซิวได้ยินปราณในและเลือดในร่างกายปะทุขึ้นมาราวกับแม่น้ำ ตัวของเขามีออร่าสีดำขาวเผยออกมา รอบตัวยองเขามีความน่าเกรงขาม

จนกระทั่งผ่านไปพักใหญ่ ลมปราณรอบตัวของหลัวซิวก็ลดลงไม่หยุด ลืมตาขึ้น ลมแรง กระจายออกมาจากตัวของเขา พัดจนใบไม้แห้งปลิดปลิว

“การกลั่นร่างขั้น8!”

แววตาของหลัวซิวมีชีวิตชีวา นัยน์ตาทอประกายแวววับ

เพียงเคลื่อนปราณใน ก็สัมผัสได้ถึงปราณในบริสุทธิ์ที่ซ่อนอยู่ในเลือด ผลักฝ่ามือ ปราณในผนึกรวมเผยลำแสงสีดำขาวมา

ครุ่นคิด ลำแสงบนฝ่ามือกลายเป็นสีขาว เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา เคลื่อนอีกครั้ง ลำแสงสีขาวแปรเปลี่ยนเป็นลำแสงสีดำ เคล้าไปด้วยแรงสังหาร

นี่คือปราณเป็นตาย2ระดับ ผลการฝึกตนบรรลุการกลั่นร่างขั้น8 ผลการฝึกตนบริสุทธิ์มากยิ่งขึ้น สามารถควบคุมปราณในได้อย่างชำนาญ

“ตอนการกลั่นร่างขั้น7 ปราณในของฉันสามารถทัดเทียมเสมอเหมือนการกลั่นร่างขั้น9 ตอนนี้ฉันบรรลุการกลั่นร่างขั้น8 ควบคุมปราณเป็นตาย2ระดับ อยู่เบื้องล่างแดนฝึกชี่ไห่ ด้านปราณใน ไม่มีใครสามารถเทียบกับฉันได้!”

ภายในใจของหลัวซิวรู้สึกมีความสุขกับการประสบความสำเร็จ เชื่อว่าอาศัยความเร็วในการฝึกตนของตน กลายเป็นจอมยุทธ์ ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น

เขาถึงขั้นสามารถสัมผัสได้ เพราะปราณในที่หนาแน่น ปราณในส่วนหนึ่งเคลื่อนไปตามเส้นลมปราณและจุดฝังเข็มต่างๆ รวมกันอยู่ที่ตำแหน่งท้องน้อยบริเวณจุดตันเถียน

โดยทั่วไปนักยุทธ์ที่ผลการฝึกตนบรรลุการกลั่นร่างขั้น9ขั้นสูง ปราณในจึงจะรวมกันที่จุดตันเถียน ขอเพียงเปิดชี่ไห่ออกไป ปราณในผนึกรวมในชี่ไห่แล้วหลอมละลายกลายเป็นพลังปราณ ก็จะสามารถบรรลุแดนฝึกชี่ไห่

ส่วนหลัวซิวเป็นเพียงการกลั่นร่างขั้น8 ทว่าปราณในกลับเริ่มหลอมรวมที่จุดตันเถียนแล้ว อธิบายได้ว่าด้านปราณในของเขา บรรลุถึงระดับการกลั่นร่างขั้น9ขั้นสูงแล้ว!

“ไม่รู้ว่าเทียบกับยอดฝีมือในชั้นสูงของสำนักยุทธ์แล้ว ความสามารถของฉันเป็นอย่างไร?” หลัวซิวอดไม่ได้ที่จะครุ่นคิด

“เพล้ง!”

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 33 ท้าทายเฉินหู่

 

“ใครกันแน่ที่จะฆ่าฉัน? แล้วเฉินหู่นั่นรู้ได้ยังไงว่าฉันซ่อนตัวอยู่ใกล้ๆ?” ภายในใจของหลัวซิวเต็มไปด้วยความสงสัย

สำหรับคำถามข้อแรก หลัวซิวรู้สึกว่าตระกูลจางน่าสงสัยที่สุด สำหรับคำถามข้อที่สอง หลัวซิวคิดว่าน่าจะเป็นเพราะตนทิ้งร่องรอยเอาไว้ ด้วยประสบการณ์อันโชกโชนของเฉินหู่ ดังนั้นเขาจึงคิดว่าตนซ่อนตัวอยู่ใกล้ๆ สำหรับซ่อนตัวอยู่ที่ไหน เขาไม่สามารถมั่นใจได้ ด้วยเหตุนี้จึงใช้หยวนต้าซานเป็นเหยื่อล่อ

รัศมีการรับรู้ ลมปราณแห่งชีวิตของนักยุทธ์ที่เป็นมนุษย์นั้นโดดเด่น พวกเขาห้าคนแยกย้ายกันค้นหาในเขตพื้นที่นี้ ต่างฝ่ายต่างไม่อยู่ไกลกันมาก เมื่อมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ก็สามารถช่วยเหลือกัน

“ท่ามกลางห้าคนนี้ มีแค่เฉินหู่เท่านั้นที่เป็นแดนฝึกชี่ไห่ คนอื่นๆล้วนเป็นการกลั่นร่างขั้น9 บางทีฉันอาจจะสามารถจู่โจมพวกเขาทีละคน!” แววตาของหลัวซิวทอประกายแวววับ

ในเมื่ออีกฝ่ายมาฆ่าตน ถ้าอย่างนั้นเขาก็ไม่เกรงใจ เหมือนกับหวางหยุนและจางหุนที่เขาสุ่ยวู่ เขาเองก็ฆ่าอย่างเด็ดขาด!

ความสามารถพิเศษในการรับรู้สิ่งมีชีวิต ทำให้แม้หลัวซิวจะวิ่งผ่านป่าด้วยความเร็วสูง ทว่าก็สามารถหลบเลี่ยงอสูรกายที่ซ่อนตัวอยู่ในป่าได้ แต่ว่าพวกเฉินหู่ ถึงแม้จะมีประสบการณ์มากมาย ก็ไม่สามารถหลบเลี่ยงได้ทั้งหมด

ตามความอิดโรยของลมปราณแห่งชีวิต อันดับแรกหลัวซิวหมายหัวไว้คนหนึ่ง หลังจากนั้นซ่อนตัว ขยับเข้าไปใกล้ด้วยความระมัดระวัง

“แม่เจ้าโว๊ย แค่ไอ้หนุ่มการกลั่นร่างขั้น7ทำไมถึงจัดการยากแบบนี้”

ชายร่างซูบผมมีรอยแผลเป็นบนใบหน้าเดินอยู่ในป่า มือของเขาถือดาบหนึ่งเล่ม พูดบ่นไม่หยุด

“ฉึก!……”

ทันใดนั้นเอง จู่ๆ หนุ่มแผลเป็นก็หยุดลงกะทันหัน สายตาของเขาจับจ้องไปยังกิ่งไม้บนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง มีงูหลามขนาดใหญ่หนึ่งตัว กำลังแลบลิ้น จ้องมองมาที่ตน

มุมปากหัวเราะในลำคอด้วยเสียงเยือกเย็น หนุ่มแผลเป็นพุ่งตัวไปอย่างรวดเร็ว แสงของดาบเคลื่อนผ่านในชั่วพริบตา หัวของงูหลามปลิวขึ้นสูง แล้วตกลงที่ไกลๆ ลำตัวของงูหลามตกลงมาจากต้นไม้

งูหลามตัวนี้เป็นแค่อสูรกายระดับ1ทั่วไปเท่านั้น ด้วยความสามารถการกลั่นร่างขั้น9ของเขา ฆ่าได้อย่างง่ายดาย

ปลายดาบเกี่ยวตัวงู หนุ่มแผลเป็นเอาถุงน้ำดีของงูออกมา

ในเวลานี้เอง เขาสัมผัสได้ถึงลมปราณอันตรายที่ร้ายแรง เสียวสันหลังจนขนลุกชัน โยนดาบไปด้านหลังตามสัญชาตญาณ

“ฉึก!”

เสียงเหล็กกระทบก้อนหินดังก้องในป่า หนุ่มแผลเป็นชาวาบไปทั้งตัว ร่างของเขาถอยหลังสองก้าวอย่างไม่อาจหักห้ามได้

แต่ว่าหลังจากนั้น ลำแสงกระบี่แทงทะลุร่างกายของเขา ก่อนตาย ดวงตาของหนุ่มแผลเป็นเต็มไปด้วยความตกตะลึง เขาไม่สามารถจินตนาการได้จริงๆว่าเด็กหนุ่มการกลั่นร่างขั้น7 ทำไมถึงเร็วได้ขนาดนี้

“วิชายุทธ์ใต้หล้านี้มีเพียงความรวดเร็วเท่านั้นที่เหนือทุกสิ่ง คำพูดนี้ถูกต้องจริงๆ”

หลัวซิวดึงกระบี่ออกมาจากตัวของอีกฝ่าย เลือดหยดลงตามใบมีด แววตาเปี่ยมไปด้วยความเยือกเย็น

เวลาสั้นๆแค่สามเดือน เกิดเรื่องต่างๆขึ้นมากมายกับตน ไม่ใช่แค่ร่างกาย จิตใจของเขาก็เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง

ไม่หยุดอยู่ที่นี่แม้แต่น้อย หลัวซิวไปจากที่นี่อย่างรวดเร็ว อาศัยวิชาท่าร่างก้าวสั้นของแดนบรรลุผล ร่วมกับความสามารถในการรับรู้สิ่งมีชีวิต การล่าสัตว์ในครั้งนี้ เขาเป็นผู้มีสิทธิ์ลุก!

อย่างไม่รู้ตัว ยังไม่ถึงกลางดึก ทว่าท้องฟ้าก็เริ่มมืดลง จากนั้นฟ้าผ่าลงมา ฝนกระหน่ำเทลงมา

เมฆครึ้ม ป่าถูกปกคลุมด้วยความมืดมิด

“ชวับ!”

กระบี่ชิงเฟิงตัดคอของผู้ฝึกยุทธ์การกลั่นร่างขั้น9อีกหนึ่งคน สีหน้าของหลัวซิวไร้อารมณ์ “การล่าเพิ่งเริ่มต้น!”

“ให้ตายสิ ฝนตกเวลานี้เนี่ยนะ”

เสื้อผ้าและผมเปียกโชกไปหมด เฉินหู่ยิ่งหงุดหงิดขึ้นเรื่อยๆ

เดิมทีคิดว่างานนี้จะง่ายมาก เป้าหมายคือเด็กหนุ่มการกลั่นร่างขั้น7 อีกทั้งเขายังวางแผนเอาไว้ ให้หยวนต้าซานเป็นเหยื่อล่อ ทว่าเป้าหมายก็ยังคงหนีไปได้

“หยวนต้าซานเป็นแค่การกลั่นร่างขั้น8 ขยะเช่นนี้มีสิทธิ์เข้ากลุ่มของข้า?” นึกถึงหยวนต้าซานที่ตายด้วยธนูดอกเดียว ใบหน้าของเฉินหู่เยือกเย้น

แม้ครั้งนี้จะไม่ให้เขาเป็นเหยื่อล่อ ตอนล่าอสูรกาย ก็จะให้ยกภารกิจที่อันตรายที่สุดให้เขาตอนที่ให้หยวนต้าซานเข้าร่วมกลุ่ม เฉินหู่คิดจะใช้ประโยชน์เขา

“ตึ้ง!”

เสียงสั่นเทาของคันธนูท่ามกลางฝนที่ตกหนักฟังแล้วเบาอย่างเห็นได้ชัด แต่ว่าเฉินหู่คือจอมยุทธ์ ประสาทสัมผัสได้หกอ่อนไหว ร่างกายของเขาเคลื่อนครึ่งก้าวตามสัญชาตญาณ

“ตุ้บ!”

ลูกดอกธนูสีเงินปักลงบนดิน ข้างเขา ขนลูกดอกสั่นเทาอย่างแรง

“นี่คือง……ลูกดอกธนูสีเงิน!”

แววตาของเฉินหู่สั่นเทา เงยหน้าขึ้นมองทิศทางที่ลูกดอกถูกยิงมา บนกิ่งไม้ของต้นไม้ขนาดใหญ่ มีร่างชุดดำสวมหมวกสาน มือถือคันธนู

“คือแก? แกฆ่าเฉินผิงแล้ว?”

แววตาของเฉินหู่เยือกเย็น เต็มไปด้วยความอาฆาตอย่างเห็นได้ชัด เพราะมือธนูเฉินผิงในกลุ่มของเขา ใช้ลูกดอกธนูเงิน

“ฟุ้บ!”

หลัวซิวกระโดดลงมาจากบนต้นไม้ เท้าเหยียบน้ำกระเด็นไปทั่ว หัวเราะเสียงเยือกเย็น: “ไม่แค่เฉินผิง คนอื่นๆก็ถูกฉันข้าจนหมดแล้ว เหลือแค่แกคนเดียว”

ได้ฟัง แววตาของเฉินหู่ฉายความตกตะลึง เพื่อนของเขาทุกคนต่างเป็นการกลั่นร่างขั้น9อีกฝ่ายเป็นแค่เด็กหนุ่มการกลั่นร่างขั้น7 ทำได้ยังไง? อีกอย่างทำไมไม่มีแม้แต่โอกาสส่งสัญญาณ?

แต่ว่าเฉินหู่ตั้งสติอย่างรวดเร็ว พูดเสียงเยือกเย็น: “ไอ้หนุ่ม แกกล้ามาก ต่อให้แกฆ่าคนอื่น หรือว่าแกคิดว่าตนเองจะเป็นคู่ต่อสู้ของฉัน?”

หลัวซิวเดินเข้ามา หยาดฝนตกลงบนหมวกสาน มุมปากกระตุกยิ้ม “ฉันอยากเห็นความสามารถของจอมยุทธ์สักครั้ง หวังว่าแกจะไม่ทำให้ฉันผิดหวัง”

“ฮ่าๆๆ……แค่ผู้ฝึกยุทธ์แดนกลั่นร่างตัวเล็กแต่กล้าท้ายทายฉันที่เป็นจอมยุทธ์?” เฉินหู่หัวเราะเสียงดัง แววตาเปี่ยมไปด้วยแรงอาฆาต “ไอ้หนู ฉันจะทำให้แกตายอย่างอนาถ!”

สำหรับการที่เพื่อนถูกฆ่า เฉินหู่ที่เย็นชาไม่ได้ใส่ใจ ด้วยความแข็งแกร่งแดนฝึกชี่ไห่ของเขา สามารถสร้างทีมใหม่ขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย

มือถือหอก รอบตัวของเฉินหู่เปี่ยมไปด้วยออร่าสังหาร เย็นยะเยือก คล้าไปด้วยแรงกดดัน

กระบี่ชิงเฟิงออกจากฝัก หลัวซิวเตรียมสู้ ท่าทีเคร่งขรึม แดนฝึกชี่ไห่และแดนกลั่นร่างคือระดับชั้นที่แตกต่างกัน

แดนกลั่นร่างคือการฝึกปราณในเข้าสู่ร่างกาย แต่จอมยุทธ์ คือการหลอมรวมจุดตันเถียน ผายชี่ไห่ ผนึกรวมลมปราณ

ความทรงพลังของลมปราณ ไม่ใช่สิ่งที่ปราณในสามารถเทียบได้!

“รับหอกฉัน!”

เฉินหู่พุ่งตัวออกไปฆ่า หอกเหล็กทะยานกลางอากาศ เกิดเสียงร้องของลม ภายใต้การครอบคลุมของลมปราณ หอกเหล็กมีแสงสว่างทอประกาย

“ฟิ้ว!ฟิ้ว!ฟิ้ว!……”

หอกนี้รวดเร็วมาก หยาดฝนแยกออกจากกัน เงาของหอกเหมือนงู เผยลำแสงเยือกเย็น

หลัวซิวก้าวเท้าออกไป หมุนตัว ดึงกระบี่ชิงเฟิงออกมา

“เช้ง!”

กระบี่ชิงเฟิงกับหอกเหล็กปะทะกัน พลังที่ทรงพลานุภาพถูกส่งมา ทำให้หลัวซิวสัมผัสได้ถึงความสั่นเทาของกระบี่ ปวดร้าวไปทั่วทั้งมือ ถอยหลังติดต่อกันห้าหกเมตร กว่าจะกำจัดได้

“สมกับเป็นจอมยุทธ์ พลังสามารถบดขยี้ฉันได้” หลัวซิวพูดในใจ

“ไอ้หนู วิชาท่าร่างของนายไม่เลว แต่ว่าผลการฝึกตนของฉันเหนือกว่าแก เอาชนะได้แน่นอน แกตายแน่!”

เฉินหู่หัวเราะเยือกเย็น ขยับหอกในมือ ราวกับงูพิษที่เหี้ยมโหด นำพาเงาขึ้นมา แสงทอประกาย พันธนาการหลัวซิวเอาไว้

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 32 จัดการหยวนต้าซาน

 

“โฮ่ก!”

อสูรเสือหางเหล็กที่กำลังกัดกินหมาป่าเกราะดำก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเช่นเดียวกัน วินาทีที่เฉินหู่ปรากฏตัว กระโจนเข้าหา กรงเล็บดุร้าย

“รนหาที่ตาย!”

เฉินหู่สบถเสียงเยือกเย็น ถือหอกเหล็กด้านหลังไว้ในมือ ลำแสงแวววับทอประกาย หอกยาวกวัดแกว่งบนอากาศ เสียงดังขึ้น เสียบหัวของอสูรเสือหางเหล็กจนเป็นรู

เขาคือจอมยุทธ์ที่สามารถฆ่าอสูรกายระดับ2 สำหรับอสูรกายระดับ1 ย่อมสามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย

ในสายตา เฉินหู่เองก็มองเห็นร่างไร้วิญญาณของหมาป่าเกราะดำ ก้าวเดินไป หลังจากตรวจสอบ ขมวดคิ้วเป็นปม กวาดตามองรอบๆ

“สามารถฆ่าหมาป่าเกราะดำด้วยตนเองตามลำพัง ดูท่าเจ้าเด็กนั่นจะฝีมือไม่เลว” ด้วยประสบการณ์ของเฉินู่ สามารถวิเคราะห์ได้ทันทีว่าหมาป่าเกราะดำตัวนี้ถูกคนฆ่า ไม่ใช่อสูรเสือหางเหล็ก

จากนั้นมีเสียงฝีเท้าดังขึ้นอีก ป่าบริเวณโดยรอบ มีคนทยอยเดินออกมาห้าคน

“ลูกพี่!”

“ลูกพี่หู่!……”

ทั้งห้าคนเห็นเฉินลู่ จากสรรพนามที่ร้องเรียก หลัวซิวที่ซ่อนตัวอยู่ในพุ่มหนามใกล้ๆ คาดเดาได้ทันทีว่าพวกเขาเป็นพวกเดียวกัน เฉินหู่คนนี้เป็นลูกพี่ของพวกเขา

รวมถึงเฉินหู่ มีทั้งหมดหกคน หยวนต้าซานคนเดยีวที่หลัวซิวรู้จัก ก็คือหนึ่งในนั้น

“หรือว่าเขาจะฆ่าฉัน?” หลัวซิวขมวดคิ้วครุ่นคิด เพราะถึงอย่างไรหวางหยุนและจางหุนที่เขาฆ่าคือคนของหยวนต้าซาน หรือว่าตอนอยู่ที่ที่พัก อีกฝ่ายจะจำตนได้

“ลูกพี่ เจ้าเด็กคนนั้นล่ะครับ?”

“พวกเราสะกดรอยตามมาตลอด มันน่าจะอยู่ใกล้ๆ แต่ทำไมถึงไม่เห็นแม้แต่เงา?”

“เพิ่งฆ่าหมาป่าเกราะดำไปตัวหนึ่ง มันต้องยังไปไหนได้ไม่ไกลแน่นอน!”

คนเหล่านี้สนทนากัน ภายใต้คำสั่งของเฉินหู่ หยวนต้าซานเดินไปเก็บหนังเสือและหางเหล็ก

“ทุกคน ได้เงินมาแล้วก็ต้องทำงานให้เรียบร้อย ในเมื่อพวกเราได้เงินแล้ว เจ้าเด็กนั่นก็ต้องตาย ตอนนี้ทุกคนแยกย้ายกันไปตามหา ถ้าเห็นร่องรอยของเจ้าเด็กนั่น ฆ่าได้ก็ฆ่า ฆ่าไม่ได้ก็ส่งสัญญาณ คนที่อยู่ใกล้จะรีบไปสมทบ” เฉินหู่พูดเสียงเคร่งขรึม

“ครับ!” ทุกคนตอบรับ

“หยวนต้าซาน หลังจากนายตัดหนังเสือและหางเหล็กเสร็จแล้ว ก็รีบไปหาเจ้าเด็กนั่น ได้ยินไหม?”

“ครับ ลูกพี่หู่!”

จากบทสนทนาของคนกลุ่มนี้ หลัวซิวมั่นใจว่า คนที่จะฆ่าตนไม่ใช่หยวนต้าซาน แต่คือหัวหน้าของพวกเขาเฉินหู่

“จากที่เขาพูด เหมือนว่าจะมีคนจ้างพวกเขาให้มาฆ่าฉัน……” หลัวซิวหรี่ตาลง ถ้าจะบอกว่าคนที่มีความแค้นกับตนทั้งยังต้องการให้ตนตาย คนที่น่าสงสัยที่สุด น่าจะเป็นจางห่าย

จางห่ายถูกเขาทำร้ายจนพิการ เขามีความเป็นไปได้สูงที่สุด

“ฉันเป็นนักเรียนในสำนักยุทธ์ ได้รับการคุ้มครองจากสำนักยุทธ์ คนพวกนี้กลับกล้ารับภารกิจฆ่าฉัน คือคนที่เห็นเงินสำคัญกว่าชีวิตจริงๆ”

หลัวซิวแผ่การรับรู้ พบว่าคนพวกนั้นรวมถึงเฉินหู่ได้แยกย้ายกันแล้ว แยกกันไปคนละทิ้ง ตามหาบนเขตพื้นที่นี้

มีแค่หยวนต้าซาน ที่อยู่ใกล้เขามากที่สุด กำลังตัดหนังเสือด้วยความประณีต หนังเสือยิ่งสมบูรณ์แบบก็ยิ่งดีเท่านั้น ราคาก็จะยิ่งสูง

อย่างรวดเร็ว หลัวซิวคิดขึ้นได้ พุ่งตัวออกมาจากพุ่มหนามด้วยความเร็วสูงสุด ตรงไปหาหยวนต้าซานที่อยู่ใกล้ศพของอสูรเสือหางเหล็ก

“ใคร?”

หยวนต้าซานได้ยินเสียง ไหวตัวได้ทันที รีบคว้าขวานคู่ที่อยู่ข้างกายขึ้นมา

“นายนี่เอง!” รูม่านตาของหยวนต้าซานหดเล็ก อีกฝ่ายสวมชุดดำ สวมหมวกสาร คือคนที่เฉินหู่ต้องการจะฆ่า

แต่คนคนนี้ เหมือนเมื่อกี้จะซ่อนตัวอยู่ใกล้ๆ!

“ตึ้ง!”

ปราณในแผ่ออร่าออกมาจากตัวของหลัวซิว นี่คือสัญลักษณ์ปราณในของผู้ฝึกยุทธ์การกลั่นร่างขั้น6ขึ้นไปเท่านั้นถึงจะปรากฏขึ้น

เขารู้ดี ตนต้องจัดการหยวนต้าซานในเวลาที่สั้นที่สุด ไม่อย่างนั้นถ้าหยวนต้าซานส่งสัญญาณ เฉินหู่และพวกก็จะรีบมา

“ฟิ้ว!”

กระบี่ชิงเฟิงออกมาจากฝัก พุ่งตรงไปตรงหน้าหยวนต้าซาน

หยวนต้าซานรีบหยิบขวานคู่ขึ้นมาป้อง ได้ยินเสียงฟิ้ว เกิดประกายไฟ หยวนต้าซานถอยหลังติดต่อกันสามก้าว ชาไปหมดทั้งตัว

“พลังที่แข็งแกร่งมาก!” หยวนต้าซานอุทานในใจด้วยความตกตะลึง เขาคือการกลั่นร่างขั้น8 แค่ปะทะกันก็สามารถโจมตีจนทำให้ตนถอยหลัง อย่างน้อยต้องเป็นยอดฝีมือการกลั่นร่างขั้น9

“เป้าหมายยากจะรับมือ ฉันจะส่งสัญญาณให้พวกเฉินหู่มา” หยวนต้าซานโยนขวานออกไปหนึ่งด้าม ยื่นมือเข้าไปในอก หยิบกระบอกไม้ไผ่เล็กๆสีแดงออกมาหนึ่งอัน

แต่ว่าในเวลานี้เอง การเคลื่อนไหวของเขาหยุดลง เพราะมีกระบี่เล่มหนึ่ง พาดไว้บนคอของเขาแล้ว

“ถ้านายกล้าส่งสัญญาณ ฉันจะตัดหัวนายทิ้ง” หลัวซิวพูดเสียงเยือกเย็น เขารู้จักกระบอกไม้ไผ่ขนาดเล็กสีแดงนั่น มันคล้ายกับดอกไม้ไฟ แค่เปิดออก ก็สามารถส่งสัญญาณไฟขึ้นไปบนฟ้าได้

กระบี่คมกริบวางไว้บนคอ หยวนต้าซานรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่แผ่ซานมาจากคอ ผิวถลอกแล้ว

วินาทีนี้ เขารู้สึกได้เพียงหนาวเย็นไปทั้งกระดูก อีกฝ่ายเร็วเกินไปแล้ว ตนไม่มีแม้แต่โอกาสส่งสัญญาณ

หยวนต้าซานรีบพยักหน้า ทิ้งอุปกรณ์ส่งสัญญาณในมือ เขารู้ดี ชีวิตของตนเอง ขึ้นอยู่กับความคิดชั่ววูบหนึ่งของอีกฝ่าย

“ฉันถามนาย ใครจ้างให้พวกนายมาฆ่าฉัน?” หลัวซิวถามเสียงเยือกเย็น

“ฟิ้ว!”

ลำแสงเยือกเย็นพุ่งมา หยวนต้าซานยังไม่ทันได้เอ่ยปาก ลูกดอกธนูสีขาวหนึ่งดอก ปักจากด้านหลังทะลุมาที่หัวใจของเขา

หลัวซิหน้าเปลี่ยนสี เมื่อกี้ความสนใจของเขาอยู่ที่หยวนต้าซาน ดังนั้นจึงไม่รู้ตัวว่ามีคนเข้ามาใกล้

หยวนต้าซานเบิกตากว้าง ก้มหน้าลงมองลูกดอกที่ยิงทะลุร่าง เลือดไหลออกมาจากปาก

เขารู้สึกว่าสติของตนเองเลือนลางลงเรื่อยๆ ก่อนจะตกสู่ความมืดของความตาย เสียงของเฉินหู่ดังขึ้นกะทันหัน

“ไอ้หนู ฉันรู้อยู่แล้วว่าแกซ่อนตัวอยู่ใกล้ๆ!”

“ตึ้ง!” ร่างของหยวนต้าซานล้มลงจมกองเลือด

เกิดการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน หลัวซิวไม่ต้องใช้การรับรู้แห่งชีวิต ก็เห็นร่างหนึ่ง เดินออกมาจากพุ่มไม้

นำทีมโดย เฉินหู่ ข้างๆเขายังมีอีกสามคน มือธนูซ่อนตัวอยู่ไม่ไกล

หลัวซิวเข้าใจทุกอย่างทันที เฉินหู่ให้หยวนต้าซานเก็บหนังเสือและหางเหล็ก เพียงเพื่อเป็นเหยื่อล่อเท่านั้น

คิดถึงตรงนี้ หลัวซิวไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น หมุนตัวหันหลังแล้ววิ่งหนี

“ฟิ้ว!”

ลูกดอกธนูสีเงินพุ่งมา ราวกับลำแสงสีเงินทอประกาย ยิงมาด้วยความเร็วสูง

ขณะวิ่ง หลัวซิวเคลื่อนฝีเท้าไปด้านข้าง ไม่ส่งผลกระทบต่อความเร็วของเขาแม้แต่น้อย หลบหลีกการโจมตีของลูกดอกธนู

“ตามไป!” เฉินหู่ออกคำสั่ง ทุกคนแยกย้ายกันทันที ไล่ตามหลัวซิวด้วยการล้อม

“ตึ้ง!ตึ้ง!ตึ้ง!……”

วิ่งผ่านป่าความรวดเร็ว ความเร็วของหลัวซิวราวกับเสือดาว ท่าทีคล่องแคล่วหลักแหลมเหมือนลิง อาศัยวิชาท่าร่างก้าวสั้นของแดนบรรลุผล ถึงแม้จะเป็นเฉินหู่ที่บรรลุแดดฝึกชี่ไห่ ก็ช้ากว่าความเร็วของเขาเล็กน้อย

มีเพียงลูกดอกธนูที่มือธนูยิง ทำให้หลัวซิวต้องคอยระมัดระวัง เพราะว่าความสามารถของมือธนูคนนี้ เหนือกว่าจางหุนมาก

“แม่เจ้าเว้ย วิ่งเร็วขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย?”

เฉินหู่สีหน้าเคร่งเครียด จากสายตาของเขา ร่างของหลัวซิวไกลออกไปเรื่อยๆ ยิ่งอยู่ก็ยิ่งเลือนราง

ถูกต้องเขาคือจอมยุทธ์ แต่ว่าไม่เชี่ยวชาญด้านความเร็วของวิชาท่าร่าง

แต่เขาไม่เป็นกังวลว่าหลังจากหลัวซิวหนีไปแล้วตนจะเดือดร้อน เพราะว่าอีกฝ่ายไม่มีหลักฐานใดๆ ถึงแม้จะไปแจ้งสำนักยุทธ์ ก็ไม่เป็นไร

หลัวซิวหยุดลง ซ่อนตัวที่พุ่มไม้ซึ่งเต็มไปด้วยหญ้า จากการรับรู้ของเขา พวกเฉินหู่ไม่มีทางตามทันในระยะเวลาสั้นๆ

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 31 หมาป่าเกราะดำ

 

หยวนต้าซานได้ฟัง อดไม่ได้ที่จะมีเสียงดังกึกขึ้นมาในใจ สำนักยุทธ์อบรมบ่มเพาะคนหนุ่มสาว แน่นอนว่าย่อมปกป้องนักเรียนของตนเป็นอย่างดี ดังนั้นแม้ในสำนักยุทธ์จะมีความแค้นเคืองต่อกันมากมายแค่ไหน ถ้าฆ่าคนขึ้นมา ไม่ว่านายจะเป็นใครมาจากไหนก็ตายสถานเดียว

แต่ว่าถ้าอยู่ด้านนอก นักเรียนในสำนักยุทธ์ถูกทำร้ายและฆ่าฟัน สำนักยุทธ์จะไม่ไถ่ถาม แต่ว่าถ้าหากสำนักยุทธ์รู้ว่าเป็นการฆาตกรรม เท่ากับทำผิดกฎ จะถูกสำนักยุทธ์ไล่ฆ่า

สำนักยุทธ์เมืองชิงหยุนก่อตั้งมานานกว่าแปดร้อยปีแล้ว เคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นไม่น้อย แม้จะเป็นตระกูลที่มีอำนาจก็ถูกถอนรากถอนโคน ฆ่าทั้งตระกูล!

“ลูกพี่วางใจเถอะครับ ผมเข้าใจกฎระเบียบดี” หยวนต้าซานรีบพูด เขารู้ดี ในเมื่อตนเป็นพวกเดียวกับเฉินหู่แล้ว ก็หมดทางเลือกแล้ว

เฉินหู่ ซึ่งก็คือหัวหน้าทีมนี้ จอมยุทธ์!

ที่เขาปาฉี จอมยุทธ์ที่มีทีม ล้วนเป็นทีมล่าอสูรชั้นยอด นักเรียนในสำนักยุทธ์แดนกลั่นคนหนึ่งถูกหมายหัว มีแต่ตายสถานเดียว

……

หลัวซิวไม่รู้ว่าตนโดนหมายหัว เพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นแค่เด็กหนุ่มอายุสิบสี่ ประสบการณ์ยังน้อย คิดว่าใส่หมวกสานแล้วคนอื่นจะจำตนไม่ได้

แต่ความเป็นจริงตั้งแต่ตอนที่เขาออกมาจากสำนักยุทธ์ คนของตระกูลจางก็สะกดรอยตามแล้ว

“โฮ่ก!”

ป่าในเขาปาฉีมีเสียงอสูรดังขึ้นเป็นพักๆ ร่างของหลัวซิวเข้าไปในป่า จากการรับรู้ของเขา จำนวนอสูรกายในป่าแห่งนี้ เยอะจนน่าตกใจ

ช่วงเวลาตอนฝึกล่าสัตว์ในเขาสุ่ยวู่ มีบ้างครั้งไม่เจออสูรกายแม้แต่ตัวหนึ่งอยู่หลายวัน แต่ที่นี่ แค่การรับรู้ของหลัวซิว ก็มีอสูรกายยี่สิบกว่าตัวแล้ว

ที่นี่คือบริเวณโดยนอกของเขาปาฉี ในสถานการณ์ทั่วไปไม่มีอสูรกายระดับ2ปรากฎตัว แต่แม้จะเป็นอสูรกายระดับ1 ความแข็งแกร่งก็ต่างกันไม่น้อย มีอสูรกายระดับ1แข็งแกร่งบางตัว ถึงขั้นข้ามระดับฆ่าอสูรกายระดับ2ได้

จากกาสัมผัสลมปราณแห่งชีวิต หลัวซิวสามารถคาดการณ์ความแข็งแกร่งของอสูรกายทุกตัวได้ สุดท้ายจับจ้องไปยังลมปราณแห่งชีวิตหนึ่ง เทียบเท่ากับอสูรเสือหางเหล็กตัวนั้นที่ถูกฆ่าบนเขาสุ่ยวู่ ทัดเทียมเสมอเหมือนการกลั่นร่างขั้น9

แต่ว่าตอนนั้นที่หลัวซิวฆ่าอสูรเสือหางเหล็ก อาศัยวิธีการทำลายผังลายเส้นชีวิต ถ้าใช้ความสามารถของตนในการต่อสู้ หลัวซิวไม่มีวันเป็นคู่ต่อสู้ของอสูรเสือหางเหล็ก

ทว่าเขาในตอนนี้ผลการฝึกตนเพิ่มขึ้นไปถึงการกลั่นร่างขั้น7 ทั้งยังฝึกพลังหยางบริสุทธิ์ได้สำเร็จ ความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นมาก ด้วยเหตุนี้จึงอยากหาอสูรกายตัวหนึ่งมาลองดู

“กรอบแกรบ!”

เท้าเหยียบกิ่งไม้แห้งเบาๆ หลัวซิวลุกขึ้น พุ่งตรงไปยังเป้าหมายที่ตนหมายตาไว้

สำหรับสภาพแวดล้อมในป่า หลัวซิวชินนานแล้ว การเคลื่อนไหวของเขาคล่องแคล่วเหมือนเสือดาว อย่างรวดเร็วก็ไปพุ่งตัวไปใกล้เป้าหมาย ซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ หรี่ตาลงแล้วมองไป

นี่คืออสูรหมาป่า แต่ตัวของมันกลับไม่มีคน เป็นเกล็ดสีดำ ใต้แสงสลัวในป่าที่ส่องกระทบทอประกายแวววับ

หมาป่าเกราะดำ อสูรที่โดดเด่นในอสูรกายระดับ1 เก่งกว่าอสูรหมาป่าหลังเหล็กในการสอบของนักล่าอสูรมาก

เวลานี้ กรงเล็บทั้งสองของหมาป่าเกราะดำบดขยี้เหยื่อที่ล่ามาได้จนเลือดนอง กำลังฉีกกินเหยื่อคำใหญ่

“หมาป่าเกราะดำเชี่ยวชาญด้านความเร็วและกรงเล็บที่แหลมคม เอาหมาป่าเกราะดำเป็นอสูรตัวแรกในการฝึกของฉันที่เขาปาฉีแล้วกัน!”

ขณะครุ่นคิด หลัวซิวงอหลัว ฟิ้วพุ่งตัวไปอย่างรวดเร็ว ทะยานตัวออกจากพุ่มไม้

“โฮ่ก!”

หมาป่าเกราะดำเงยหน้าขึ้นร้องคำราม ดวงตาแดงก่ำของหมาป่าจับจ้องไปยังมนุษย์ที่พุ่งทะยานมาหาตน

ทันใดนั้นเอง หมาป่าเกราะดำกระโจนไปหาหลัวซิว ด้วยความเร็วสูง ถึงขั้นเกิดเงาจางๆบนอากาศ โดยเฉพาะกรงเล็บที่ยกขึ้นมากะทันหันนั่น เหมือนดาบที่แหลมคม ฉายแสงเยือกเย็น

หลัวซิวไม่กล้าสู้กันซึ่งหน้า จึงหลบไปอีกอย่างรวดเร็ว ในเวลาเดียวกันเขาก็ลงมือ ใช้หมัดเสือมังกรท่าเสือพิฆาต โจมตีหมาป่าเกราะดำที่อยู่บนอากาศซึ่งไม่สามารถหลบการโจมตีของเขาได้

แต่ในเวลานี้เอง

“ฟิ้ว!”

ลำแสงเยือกเย็นผ่านคอของหลัวซิวไปด้วยความเร็วสูง

“เร็วมาก!” หลัวซิวรีบอาศัยก้าวสั้นของวิชาท่าร่างในการหลบหลีก หมาป่าเกราะดำอยู่บนอากาศไม่สามารถหลบเลี่ยงได้ แต่ความเร็วในการกวัดแกว่งกรงเล็บสูงมาก

“ท่ามังกรทะยาน!”

หลัวซิวเปลี่ยนกระบวนท่าในทันที กระบวนท่าที่ร้ายกาจ ทะยานไปบนตัวหมาป่าเกราะดำ ต่อยจนมันกลิ้งตัวออกไป

หมัดนี้หลัวซิวไม่ได้ใช้วิธีการทำลายผังลายเส้นชีวิต แต่แม้จะเป็นแบบนี้ ถ้าผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งโดนหมัดนี้ ก็ต้องกระดูกหัก ล้มลงบนพื้นจนยืนไม่ขึ้น ทว่าหมาป่าเกราะดำกลับไม่เป็นอะไรแม้แต่น้อย

“เกล็กแข็งจริงๆ!” หลัวซิวพูดเสียงเยือกเย็น ดึงกระบี่ยาวออกมาจากด้านหลัง

ถึงแม้จะไม่เคยฝึกทักษะยุทธ์ด้านกระบี่มาก่อน แต่ด้วยแรงสนับสนุนของปราณใน แน่นอนว่าพลังในการต่อสู้ย่อมเหนือกว่าหมัด

เห็นหมาป่าเกราะดำกระโจนเข้ามาด้วยความเหี้ยมโหดอีกครั้ง หลัวซิวอาศัยวิชาท่าร่างบรรลุผลหลบไม่หยุดหย่อน ใช้กระบี่ที่ได้ปราณในส่งเสริม ปะทะกับกรงเล็บหมาป่าไม่หยุด เสียงปะทะกันดังก้องไปทั่วผืนป่า

หมาป่าเกราะดำคำรามเสียงเบา กรงเล็บจิกลงบนพื้นดิน ทันใดนั้นเองกระโจนเข้ามาเร็วเหมือนลูกดอกธนู

สัมผัสได้ถึงลมที่ร้ายกาจซึ่งกำลังปะทะเข้ามา หลัวซิวกระตุกมุมปากหัวเราะเยือกเย็น จากการปะทะหยั่งเชิงเมื่อกี้ เขาพอจะอ่านกระบวนท่าของสัตว์เดรัจฉานตัวนี้ได้แล้ว

ถึงอย่างไรอสูรกายก็คืออสูรกายอยู่วันยังค่ำ ถึงแม้จะฉลาดกว่าอสูรป่า แต่วิธีการต่อสู้โดยมากขึ้นอยู่กับสัญชาตญาณ ไม่มีแผนการแต่อย่างใด

เห็นหลัวซิวย่อเท้าทั้งสองข้างลง ร่างของเขาแทบจะแนบติดกับพื้น วินาทีที่หมาป่าเกราะดำกระโจนมา กระบี่ชิงเฟิงในมือจู่โจมกะทันหัน แทงคอของหมาป่าเกราะดำ

“ซว่า!”

กระบี่ชิงเฟิงที่ได้ปราณในสนับสนุนทำให้ทรงพลังอย่างมาก เลือดสีแดงสดพลุ่งพล่านออกมา หมาป่าเกราะดำล้มลงไกลออกไปสามเมตร เสียงตึ้งดังขึ้น ล้มลงบนพื้น ลมปราณแห่งชีวิตแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนระทวย

เลือดสีแดงสดไหลออกมาไม่หยุด ดินโดยรอบศพหมาป่าแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างรวดเร็ว

นี่คือข้อดีของอาวุธ ถ้าไม่มีกระบี่ชิงเฟิง หลัวซิวอยากจะใช้หมัดทำร้ายหมาป่าเกราะดำจนตาย ไม่รู้ว่าต้องเปลืองแรงเท่าไหร่ถึงจะทำได้

ทว่ากระบี่ชิงเฟิงยังคงเป็นอาวุธธรรมดาทั่วไปเท่านั้น ถ้าเป็นนักรบ แม้จะเป็นกระบี่ชั้นล่าง ไม่ใช้ปราณในเข้าช่วย ก็สามารถฆ่าอสูรกายระดับ1ได้อย่างง่ายดาย

สิ่งที่มีมูลค่ามากที่สุดของหมาป่าเกราะดำคือกรงเล็บและเขี้ยวหมาป่า เกล็ดสีดำนั่นก็สามารถขายได้ แต่ว่ายุ่งยากในการเก็บ หลัวซิวจึงถอดใจ

เก็บชิ้นส่วนหมาป่าเข้าไปในห่อผ้า หลัวซิวขมวดคิ้วเป็นปม เพราะว่าการรรับรู้ของเขา มีลมปราณของนักยุทธ์หลายคน กำลังใกล้เข้ามาหาเขาเป็นทรงครึ่งวงกลม เหมือนกำลังล้อมวง

ความเป็นตรงตั้งแต่ตอนแรกที่เข้ามาในเขาปาฉี หลัวซิวก็สัมผัสคนพวกนี้ได้แล้ว แต่ว่านักยุทธ์ที่มาล่าอสูรในเขาปาฉีมีไม่น้อย เขาจึงไม่ได้สนใจ

แต่ว่าลมปราณของคนพวกนี้อยู่รอบๆ มาโดยตลอด ทั้งยังเข้าใกล้ตนโดยการล้อมเข้ามา จึงทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะสงสัย

ในพุ่มหนาม หลัวซิวซ่อนตัวอยู่ด้านใน หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง ได้ยินเสียงฝีเท้า จากไกลเข้ามาใกล้

ห่างจากที่ที่หลัวซิวซ่อนตัวไม่ไกลมาก ศพของหมาป่าเกราะดำนอนจมกองเลือด อสูรเสือหางเหล็กที่ได้กลิ่นคาวเลือดกำลังฉีกกินเนื้อคำโต

ทันใดนั้นเอง สิ่งที่หลัวซิวมองเห็น มีร่างหนึ่งปรากฏตัว “คือเขา?”

หลัวซิวเห็นคนคนนี้ สวมเสื้อเกราะสีขาว สะพายหอกเหล็ก ซึ่งคือคนที่ก่อนหน้านี้เจอที่ที่พัก อีกทั้งตอนนั้นคนคนนี้ยังยิ้มให้เขา

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 30 มุ่งหน้าไปเขาปาฉี

 

ในเขาสุ่ยวู่จะมีอสูรกายระดับ1ปรากฏตัวเป็นครั้งคราวเท่านั้น โดยมากล้วนเป็นอสูรป่า ดังนั้นโดยทั่วไปจะมีแค่นักล่าอสูรที่ความแข็งแกร่งยังอ่อนหัดไป

ตอนนี้ ความแข็งแกร่งของหลัวซิวเพิ่มขึ้นสูง เขาสุ่ยวู่ไม่สามารถเติมเต็มความต้องการของเขาได้แล้ว

องค์กรนักล่าอสูร เป็นที่ที่ครึกครื้นที่สุดของทุกเมือง

เพื่อไม่ให้เป็นที่ดึงดูดสายตา หลัวซิวสวมหมวกสาน มาถึงที่นี่

นักยุทธ์ส่วนมากล้วนมีนิสัยแปลกๆ หรืออาจจะมีเจตนาบางอย่างที่ไม่ให้คนอื่นรู้ ดังนั้นจึงต้องปิดหน้า ในโถงใหญ่ขององค์กรนักล่าอสูร คนแบบนี้มีไม่น้อย ดังนั้นจึงไม่มีใครสังเกตเห็นหลัวซิว

นักล่าอสูรส่วนมากล้วนอยู่ข้างนอกเป็นระยะเวลานาน ผ่านมาหลายวันแล้ว หลัวซิวมาที่นี่อีกครั้ง เห็นคนที่คุ้นหน้าคุ้นตาน้อยมาก

ตรงหน้าอกของเขาสวมตรานักล่าอสูรหนึ่งดาว เดินไปยังโต๊ะด้านหน้า

“สวัสดีค่ะนักล่าอสูร ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรให้ช่วยคะ?” เจียงชานชานที่ถูกขนานนามให้เป็นหญิงงานอันดับหนึ่งขององค์กรนักล่าอสูรเมืองชิงหยุนถามด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

“ผมอยากจะถามเรื่องสถานที่ใกล้ๆในเมืองชิงหยุนที่เหมาะสมให้การกลั่นร่างขั้น9ล่าอสูร” หลัวซิวถาม

เจียงชานชานลักคิ้วหลิ่วตา ไม่รู้ว่าอะไร คนที่สวมหมวกสานคนนี้ เสียงของเขาจึงคุ้นหูมาก คล้ายว่ายังมีเสียง……ของเด็กปนอยู่ด้วย?

แต่ว่าเจียงชานชานก็ไม่ได้คิดมาก ยิ้มแล้วพูด: “ถ้าคุณอยากจะซื้อแผนที่ล่าอสูร ต้องใช้เงินหนึ่งพันตำลึง”

“เอาให้ผมอันแผ่นครับ” หลัวซิวหยิบเงินออกมาแล้ววางไว้บนโต๊ะ

ถ้าเป็นเมื่อ่กอน เงินหนึ่งพันตำลึงสำหรับเขาแล้วเป็นตัวเลขที่มหาศาล แต่ว่าตอนนี้เป็นแค่เงินเล็กน้อยเท่านั้น

ฆ่าอสูรกายระดับ1สักตัว ก็ได้เงินหมื่นตำลึงมาง่ายๆแล้ว

แน่นอนว่าเจียงชานชานคิดไม่ถึงว่าคนสวมหมวกสานตรงหน้า จะเป็นชายหนุ่มที่ก่อนหน้านี้เคยจีบตน

จ่ายเงินหนึ่งพันตำลึง หลัวซิวได้รับแผนที่หนึ่งแผ่น แผนที่ครอบคลุมอณาเขตต่างๆ โดยมีเมืองชิงหยุนเป็นจุดศูนย์ พื้นที่ที่เหมาะแก่การล่าอสูร ก็ได้กำกับเอาไว้

ในแผนที่ เขตเหลืองเหมาะสำหรับต่ำกว่าการกลั่นร่างขั้นการกลั่นร่างขั้น8 เขาสุ่ยวู่คือหนึ่งในเขตเหลือง

เขตแดงเป็นเขตอันตราย โดยทั่วไปมีจอมยุทธ์เป็นคนนำทีม จึงจะกล้าเข้าไป

ส่วนที่อันตรายที่สุด คือเขตที่ถูกประทับสีดำ ต่อให้เป็นพวกจอมยุทธพรสวรรค์ที่สูงส่งของเมืองชิงหยุน ก็ไม่กล้าเข้าไปลึก

“เขาปีฉี มีอสูรกายระดับ1จำนวนมาก ลึกเข้าไปมีอสูรกายระดับ2 เขตแดง”

อย่างรวดเร็ว หลัวซิวจับจ้องไปยังเขตที่เหมาะกับตน ขอเพียงไม่ลึกเท่าไหร่ มั่นใจว่าตนปลอดภัยแน่นอน

“ชานชาน ผมขอสุราเผาไฟหกแก้ว!”

ในเวลานี้เอง ชายร่างกำยำ สวมชุดเกราะสีดำ สูงแปดฟุตเดินสาวเท้าก้าวใหญ่เข้ามา ร้องตะโกนเสียงดัง

ด้านหลังชายร่างยักษ์ มีคนติดตามห้าคน ทุกคนล้วนฝุ่นตลบ เสื้อผ้าและชุดเกราะของพวกเขาขาดวิ้น ดูเหน็ดเหนื่อยอย่างมาก

อย่างรวดเร็ว สุราเผาไฟหกแก้วถูกยกมาเสิร์ฟ เหล้าชนิดนี้แรงมาก ตอนดื่มเข้าไปเหมือนถูกไฟเผา จึงได้ชื่อนี้ นักล่าอสูรมากมายที่ใช้ชีวิตเร่ร่อนอยู่บนความเป็นความตาย ดาบได้ลิ้มรสเลือดต่างชื่นชอบเหล้าที่แรงแบบนี้

“โจวหลง ดูเหมือนจะล่าได้น้อยเลยนะคะ” เจียงชานชานยิ้มแล้วเอ่ยถาม

นักล่าอสูรกลุ่มนี้ คือโจวหลงและพวกที่หลัวซิวรู้จัก โกวอ๋างและสองฝาแฝดแซ่จี้ก็อยู่ในทีมด้วย นอกเหนือจากนี้ยังมีอีกสองคนที่ไม่รู้จัก น่าจะเป็นคนใหม่ที่เพิ่งเข้าร่วมทีมนักล่าอสูรทีมนี้

“ฮ่าๆ แน่นอน ครั้งนี้ได้ตัวใหญ่ๆมาหนึ่งตัว!” โจวหลงหัวเราะด้วยความภาคภูมิใจ ในมือของเขามีหินพลังจิตชั้นล่างหกก้อนปรากฏในทันที วางไว้บนโต๊ะ

หลัวซิวหรี่ตาลง สังเกตเห็นว่าบนข้อมือของโจวหลงมีเกราะหุ้มมือสีเงิน นี่คืออุปกรณ์ค่ายกลระดับ2ชนิดหนึ่ง เรียกว่าสนับข้อมือเก็บของ ด้านในซ่อนที่เก็บของเอาไว้ สามารถเก็บของได้

แต่ว่าอุปกรณ์ค่ายกลระดับ2นี้ราคาแพงมาก ราคาถูกสุดก็ต้องใช้หินพลังจิตชั้นล่างห้าร้อยก้อน หลัวซิวทำได้เพียงมองด้วยความอยากได้

จากบทสนทนาระหว่างโจวหลงและเจียงชานชาน หลัวซิวรู้ว่า ครั้งนี้โจวหลงพาทีมเข้าไปในเขาปาฉี ฆ่าแรดเผือกอสูรกายระดับ2ได้หนึ่งตัว อสูรกายแบบนี้เนื้อหนา ดาบและกระบี่ยากที่จะฟันแทง

ถึงแม้โจวหลงจะเป็นจอมยุทธ์ พวกเขาก็เหนื่อยไม่น้อย กว่าจะฆ่าสัตว์อสูรตัวนี้ได้

ราคาของแรดเผือก ประมาณหินพลังจิตชั้นล่างสี่ร้อยก้อน ราคานี้ ทำให้หลัวซิวอดไม่ได้ที่จะแลบลิ้น

ในเมืองชิงหยุน ของที่สามารถนำขึ้นมาแสดงได้ ล้วนไม่ใช่ของที่สามารถใช้เงินและทองในวัดค่า แต่ใช้หินพลังจิตมาวัดค่า

มีแค่ของทั่วไปเท่านั้น ที่จะใช้เงินทองมาแลกเปลี่ยน

ในเวลาเดียวกัน หลัวซิวก็ได้รู้ว่า ชิ้นส่วนของอสูรกายที่นักล่าอสูรฆ่าได้สามารถนำมาขายที่องค์กรนักล่าอสูร ราคายุติธรรมอย่างมาก ไม่มีวันปล่อยให้นักล่าอสูรเสียเปรียบ ดังนั้นนักล่าอสูรมากมายจึงยินดีที่จะนำมาขายให้กับองค์กร

เก็บแผนที่ หลัวซิวไม่ได้หยุดพักที่นี่ เขาออกไปจากองค์กรนักล่าอสูร

จากสัญลักษษ์บนแผนที่ เขาปาฉีอยู่ห่างจากเมืองชิงหยุนมากกว่าเขาสุ่ยวู่ ขี่ม้าก็ต้องใช้เวลาครึ่งวันกว่าจะไปถึง

เงินสามหมื่นตำลึงในตอนนั้น ซื้ออุปกรณ์ค่ายผนึกปราณ บวกกับหินพลังจิตและยาฝึกปราณ เหลือไม่มากแล้ว หลัวซิวกัดฟัน ใช้เงินอีกหนึ่งพันตำลึงซื้อม้าหนึ่งตัว กลายเป็นคนจนอีกครั้ง

“เพื่อจะได้สิ่งที่ต้องการก็ต้องยอมเสียสิ่งที่หวงแหน ถึงแม้จะใช้เงินจนหมด แต่ว่าสามารถหากลับมาได้เยอะขึ้น!”

แบบนี้ คนหนึ่งคน กระบี่หนึ่งเล่ม ม้าขนสีเหลืองหนึ่งตัว หลัวซิวออกนอกเมืองชิงหยุน มุ่งหน้าไปยังเขาปาฉี

บริเวณโดยรอบเขาปาฉี มีที่พักขนาดประมาณหมู่บ้านหนึ่งหมู่บ้าน เวลาที่นักยุทธ์เข้าไปล่าสัตว์และฝึกฝนต้องการพัก สามารถมาพักที่นี่ได้

ครึ่งวันหลังจากนั้น หลัวซิวมาถึงเขาปาฉี

ที่นี่คนเยอะมาก คนที่เดินไปมาล้วนเป็นคนฝึกยุทธ์ ทั้งยังมีพ่อค้าประจำอยู่ที่นี่มากมาย ซื้อวัตถุดิบ ของล้ำค่าต่างๆจากนักยุทธ์

ที่พักมีสถานที่ที่สามารถฝากม้าไว้ได้ ราคาสิบตำลึงต่อวัน

“หื้ม?”

หลัวซิวเพิ่งเอาม้าไปฝาก ทันใดนั้นเองก็เห็นร่างที่คุ้นตา ซึ่งก็คือหยวนต้าซานที่เจอตอนไปล่าอสูรเสือหางเหล็กบนเขาสุ่ยวู่

ทว่าคนที่อยู่ข้างกายหยวนต้าซานเปลี่ยนไปแล้ว น่าจะเป็นเพราะหลังจากหวางหยุนและจางหุนตาย ทีมล่าสัตว์ของเขาจึงแยกย้าย แล้วเข้าไปร่วมทีมอื่น

หยวนต้าซานไม่ทันสังเกตเห็นหลัวซิว ถึงแม้จะสังเกตเห็น แต่หลัวซิวสวมหมวกสานเอาไว้ เขาก็จำไม่ได้

ในเวลานี้เอง คนที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าทีมของหยวนต้าซาน หันมามองหลัวซิวกะทันหัน มุมปากเผยยิ้มลุ่มลึก

นี่คือชายวัยกลางคนที่รูปร่างสูงโปร่ง ด้านหลังสะพายหอกเหล็กเอาไว้ สวมเสื้อเกราะ ระหว่างคิ้วชายออร่าเหีย้มโหด

ภายใต้เงาที่บดบังด้วยหมวกสาน หลัวซิวขมวดคิ้ว เขาไม่รู้จักคนคนนี้ ไม่เข้าใจเจตนาของอีกฝ่าย

“ทุกคน เจ้าเด็กนั่นคือเป้าหมายของเราในครั้งนี้ ตระกูลจางจ่ายหินพลังจิตห้าร้อยก้อนเพื่อเอาชีวิตมัน” ชายสวมชุดเกราะพูดเสียงเบา

“ลูกพี่ เจ้าเด็กนั่นเป็นใครมาจากไหน ถึงทำให้ตระกูลจางยอมจ่ายหินพลังจิตมากขนาดนี้เพื่อให้เราลงมือ?” หยวนต้าซานถามเสียงเบา

ชายสวมชุดเกราะเบ้ปาก “แค่ชาวบ้านคนหนึ่งเท่านั้น ว่ากันว่าเจ้าเด็กนี่ทำให้ลูกชายหัวหน้าตระกูลจางพิการ แต่ว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเรา แค่ฆ่าคนเอาเงินก็พอ!”

พูดถึงตรงนี้ ชายสวมชุดเกราะมองไปที่หยวนต้าซาน พูดเสียงทุ้มต่ำ: “เจ้าเด็กนี่คือนักเรียนในสำนักยุทธ์ ถ้าทิ้งร่องรอยเอาไว้ พวกเราจะถูกสำนักยุทธ์ตามฆ่า นายเพิ่งเข้ากลุ่ม แต่ก็เป็นคนเก่าคนแก่ของวงการนี้ ฉันคงไม่ต้องบอกระเบียบกับนายใช่ไหม?”

 

########################
 

 

 

 

 

 

บทที่ 3

จู่ ๆ มีเสียงหัวเราะด้วยความเย่อหยิ่งดังขึ้น พร้อมกับถ้อยคำที่เต็มไปด้วยการดูถูกเหยียดหยาม
คำพูดประโยคนี้ดังมาจากปากของชายหนุ่มที่สวมใส่เสื้อแพร และในขณะเดียวกัน ก็มีลูกศิษย์จำนวนหนึ่งของสำนักยุทธ์ที่กำลังฝึกยุทธ์อยู่ในที่ที่ห่างออกไปไม่ไกลนัก ต่างหันมองมาทางนี้เช่นกัน
ชายหนุ่มที่สวมใส่ชุดแพรคนนี้ก็คือจางเจี๋ย ซึ่งเป็นคนทำร้ายเขาเมื่อคืน เมื่อคืนเขาได้ลั่นวาจาเอาไว้ว่า หากเขาเห็นหน้าหลัวซิวเมื่อไหร่ เขาก็จะทำร้ายหลัวซิวอีกครั้ง ดังนั้นเมื่อเขาเห็นหลัวซิวอยู่ในลานฝึกยุทธ์ เข้าจึงพุ่งเข้าใส่ด้วยท่าทีดุดัน
“คิดที่จะเรียกร้องความสนใจจากหญิงสาวที่ข้าหมายปอง ช่างไม่รู้จักเจียมตัวเอาเสียเลย น้ำหน้าอย่างเจ้าจะรับมือข้ได้สักกี่ครั้ง ? ถ้าหากยอกคุกเข่าลงแล้วคลานไปมาเหมือนสุนัขสักสามรอบ จากนั้นก็กลับมาเลียรองเท้าของข้าให้สะอาด ไม่แน่ว่าวันนี้ข้าจะยอมปล่อยเจ้าไปก็ได้” จางเจี๋ยชี้นิ้วไปที่จมูกของหลัวซิว และหัวเราะออกมาอย่างเจ้าเล่ห์
หลัวซิวจ้องมองจางเจี๋ยที่ยืนอยู่ตรงหน้าโดยไม่พูดอะไร
ถึงแม้เขาจะชินชากับความอัปยศอดสู ชินชากับคำดูถูกเมื่อต้องเผชิญหน้ากับบรรดาคุณชายผู้สูงศักดิ์เหล่านี้ แต่ความไม่พอใจและโกรธแค้นที่ปะทุขึ้นภายในก้นบึ้งของหัวใจก็ยากที่จะสามารถควบคุมเอาไว้ได้ ทำให้ร่างกายของเขาเกิดอาการสั่นเทาขึ้นมาด้วยความโมโห
“บ้าเอ๊ย เจ้าเป็นใบ้ไปแล้วหรืออย่างไร คุณชายจางกำลังพูดกับเจ้าอยู่ เจ้าไม่ได้ยินหรือ ?” ลูกสมุนที่ยืนอยู่ด้านหลังจางเจี๋ยก้าวเข้ามา แล้วใช้ฝ่ามือตบเข้าที่ใบหน้าด้านซ้ายของหลัวซิว
พวกอันธพาลเหล่านี้ มักมีท่าทีหยิ่งยโสเช่นนี้อยู่เสมอ
คนที่ลงมือกับหลัวซิวมีชื่อว่าหลี่ห่าย ครอบครัวมีฐานะธรรมดา แต่เขารู้จักประจบประแจง วันทั้งวันจะคอยติดสอยห้อยตามจางเจี๋ยอยู่ตลอดเวลา เมื่อคืนที่ทำร้ายหลัวซิว ชายหนุ่มคนนี้ก็ร่วมลงมือด้วยเช่นกัน
“คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าไม่เพียงแต่จะมีชาติกำเนิดที่ต่ำต้อยเท่านั้น แต่สมองยังโง่เง่าเหมือนหมูอีกด้วย คุณชายจางให้โอกาสเจ้าได้คุกเข่าร้องขอชีวิต แต่ในเมื่อเจ้าไม่เห็นค่าของโอกาสนั้น ข้าก็จะตีเจ้าจนกว่าเจ้าจะยอมลงไปคุกเข่าอ้อนวอน !” พูดจบ หลี่ห่ายก็ยกมือขึ้นแล้วฟาดลงไป
ขณะที่ฝ่ามือของเขากำลังจะตบลงไปบนหน้าของหลัวซิว ในตอนนั้นเอง จู่ ๆ ร่างกายของเขาก็รู้สึกเย็นไปทั้งตัว ราวกับว่าตนเองกำลังถูกสัตว์ร้ายจับจ้อง ทำให้การเคลื่อนไหวของเขาพลันช้าลง
ฮะ ! เป็นหลัวซิวที่กำลังจับมือของเขาเอาไว้แน่นด้วยดวงตาที่แดงก่ำ
ทำไมข้าจะไม่มีสิทธิ์ตอบโต้บ้าง !
ทำไมข้าจะต้องเป็นฝ่ายอ้อนวอนขอร้อง !
ทำไมข้าโดนดูถูกแล้วยังจะต้องคุกเข่าลงอีก !
ข้า ! ไม่ใช่หลัวซิวคนเดิมอีกต่อไปแล้ว !
“หึ ! สุนัขข้างถนนอย่างเจ้าคิดที่จะตอบโต้อย่างนั้นหรือ ? ดูเหมือนครั้งก่อนกระดูกของเจ้ายังหักไม่มากพอสินะ ! ครั้งนี้ข้าจะตีให้แหลกทุกท่อนเลยทีเดียว !” หลี่ห่ายตะโกนออกมาด้วยความโกรธ แล้วยกเท้าเตะไปที่หน้าอกของหลัวซิว
หลัวซิวขยับร่างกายเพื่อหลบหลีกการเตะ จากนั้นจึงจับมือของอีกฝ่ายเอาไว้แล้วบิดอย่างแรง จนแขนของหลี่ห่ายบิดจนแทบเป็นเกลียว
“โอ๊ย !……” หลี่ห่ายร้องโอดครวญออกมาเสียงดัง เขารู้สึกเจ็บปวดจนน้ำตาไหล
“สุนัขรับใช้ที่เห็นใครก็พุ่งเข้าไปกัด ในปากก็เต็มไปด้วยอุจจาระเหม็นเน่าอย่างเจ้า ยังจะล้าพูดจาดูถูกสุนัขอีกหรือ !” หลัวซิวส่งเสียงเย้ยหยัน จากนั้นจึงใช้เท้าเตะหลี่ห่ายจนลอยกระเด็นออกไป
หลี่ห่ายกุมแขนที่ได้รับบาดเจ็บ พลางร้องโหยหวนออกมาเสียงดัง เขาเจ็บจนกระทั่งเหงื่อกาฬไหลอาบหน้าผาก
เมื่อเห็นภาพนี้ เหล่าบรรดาลูกศิษย์ในสำนักยุทธ์ที่ยืนอยู่โดยรอบต่างก็ตกตะลึง แต่หลังจากนั้นพวกเขากลับมองหลัวซิวด้วยแววตาที่สงสาร
เพราะพวกเขารู้ถึงนิสัยของพวกอันธพาลอย่างจางเจี๋ยดี เวลาที่พวกเขารังแกผู้อื่น หากใครกล้าขัดขืน ก็จะยิ่งถูกพวกเขาทำร้ายหนักขึ้น
“เจ้าสวะ เจ้ากล้าลงมือทำร้ายคนของข้าอย่างนั้นหรือ !” จางเจี๋ยมีสีหน้าโกรธจัด เขาคิดไม่ถึงเลยว่าหลัวซิวจะกล้าตอบโต้ สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกอับอายขายหน้าเป็นอย่างมาก
“ข้าไม่เพียงแต่จะตีคนของเจ้าเท่านั้น แต่ข้าจะตีเจ้าด้วย !” หลัวซิวพ่นไอออกมาทางจมูกด้วยความโมโห เขาต้องการระบายความแค้นทั้งหมดที่อัดอั้นเอาไว้มานานออกมา
ฝูงชนต่างตกตะลึงและจ้องมองหลัวซิวด้วยสายที่ดูราวกับกำลังจับจ้องคนโง่ พวกเขาคิดไม่ออกเลยว่าชายหนุ่มผู้นี้ไปเอาความกล้ามาจากไหน ถึงได้กล้าพูดประโยคเหล่านี้ออกมา
เข้ามาในสำนักยุทธ์ตอนอายุสิบขวบเท่ากัน ผ่านการฝึกฝนมาเป็นเวลาสามปีเช่นเดียวกัน แต่ครอบครัวของจางเจี๋ยฐานะมั่งคั่ง ถึงไต่เต้าถึงการกลั่นร่างขั้น4เรียบร้อยแล้ว และกำลังก้าวเข้าสู่ระดับที่บรรลุถึง อีกทั้งการฝึกตนของเขายังเป็นรัดับทักษะวรยุทธ์ขั้น2และ3ที่ซื่อมาจากสำนักยุทธ์อีกด้วย ซึ่งใช้เงินไปกว่าหลายหมื่นตำลึง
แต่จางเจี๋ยในตอนนี้ ซึ่งกำลังถูกหลัวซิวจับจ้องอยู่ กลับรู้สึกประหม่า เขาถึงขั้นนึกจินตนาการไปเองว่า : “ดูเหมือนดวงตาคู่นั้นของหลัวซิว จะสามารถเจาะทะลุเข้าไปในแก่นแท้ของชีวิตได้อย่างน่าประหลาดใจ สิ่งนี้ทำให้จางเจี๋ยอดไม่ได้ที่จะตัวสั่น และรู้สึกว่าวันนี้เจ้าหมอนี่ช่างดูน่ากลัวจริง ๆ
โดยปกติแล้ว อาศัยเพียงแค่หลี่ห่ายคนเดียวก็สามารถเอาชนะเขาได้ แต่วันนี้กลับถูกเขาโจมตีจนสิ้นท่าในคราวเดียว
ในขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ร่างกายของหลัวซิวก็ขยับ ครั้งนี้เขาชิงลงมือก่อน โดยใช้วิชาหมัดกระทิงบิ่น โจมตีเข้าใส่จางเจี๋ยทันที
“คำก็สวะ สองคำก็สวะ วันนี้ข้าจะให้เจ้าได้ลิ้มรสการถูกโจมตีโดยพวกสวะดูบ้าง !”
เมื่อเห็นหลัวซิวพุ่งเข้ามาตนเอง บรรดาลูกสมุนข้างกายจางเจี๋ยก็ถอยร่นไปโดยไม่รู้ตัวทันที ถึงแม้หลัวซิวจะไม่ใช่คนแข็งแกร่ง แต่ท่าทางเช่นนี้ก็สร้างความตื่นตกใจได้เช่นเดียวกัน
“เจ้าสวะไม่รู้จักกลัวตาย เจ้าคิดจะเอาข้าไปเทียบกับเจ้าโง่นั่นได้อย่างนั้นหรือ ?”
จางเจี๋ยรู้สึกว่าอำนาจของเขาที่มีต่อบรรดาลูกศิษย์ในสำนักยุทธ์กำลังถูกท้าทาย จึงตะโกนออกมาด้วยความโกรธ พร้อมทำสีหน้าบูดบึ้ง
ทักษะยุทธ์ที่เขาใช้ในการต่อสู้เรียกว่าท่าตะครุบอินทรีเหล็ก เป็นทักษะยุทธ์ที่อยู่ในระดับ3 เป็นกรงเล็บที่มีความรุนแรง เมื่อเทียบกับหลี่ห่ายนับว่าแข็งแกร่งกว่าหลายเท่า หลังจากที่จางเจี๋ยแสดงความสามารถของเขาออกมา เขาก็รู้สึกว่าตนเองนั้นกลับมาสูงส่งอีกครั้ง
“ตุบ !”
หมัดของหลัวซิวปะทะเข้ากับท่าตะครุบอินทรีเหล็ก ในสายตาของทุกคน หมัดกระทิงบิ่นซึ่งอยู่ในทักษะยุทธ์ระดับ1 เมื่อต้องปะทะกับท่าตะครุบอินทร๊ย์ซึ่งอยู่ในทักษะยุทธ์ระดับ3 มือของหลัวซิวจะต้องแหลกละเอียดอย่างแน่นอน
เสียงแตกหักของกระดูกดังขึ้น ทำให้ทุกคนต่างมั่นใจในสิ่งที่คิดอย่างไม่ต้องสงสัย
“โอ๊ย !”
แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนรู้สึกคาดไม่ถึงก็คือ คนที่ส่งเสียงร้องโอดครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดไม่ใช่หลัวซิว แต่กลับเป็นจางเจี๋ย !

########################

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

None

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท