มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake – บทที่ 499

บทที่ 499

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 499
ในเวลานี้ หลัวซิวจู่ ๆ ก็ได้รับข้อความเรียก

ข้อความเรียกนี้มาจากประธานแก๊งองค์กรนักล่ายุทธ์แห่งประเทศเทียนหวู จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิง

“มีเรื่องสำคัญต้องหาลือ?”

หลัวซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงไม่ได้กล่าวถึงสิ่งใดเป็นพิเศษในข้อความนั้น

“ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ข้าก็ยังเป็นสมาชิกคนหนึ่งขององค์กรนักล่ายุทธ์ ถึงแม้จะยังไม่สามารถเข้าถึงแกนขององค์กรนักล่ายุทธ์ได้ แต่ก็ควรจะไปถึงจะถูก”

หลัวซิวหยุดการฝึกตนปิดขังไว้ชั่วคราว หยุดการฝึกตนสำหรับทั้งสามวิชายิ่งเลิศไท่เสวียนไว้ชั่วคราว

เมื่อหลัวซิวมาถึงองค์กรนักล่ายุทธ์ประเทศเทียนหวู ในห้องหนังสือห้องหนึ่ง ก็เห็นพวกของจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิง

นอกจากจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงแล้ว ยังมีหัวหน้าแก๊งแห่งแก๊งนักค่ายกลเหว้ยห้าวหราน หัวหน้าแก๊งแห่งแก๊งนักหลอมอาวุธ หงหมิง และผู้อาวุโสนักกลั่นยาอีกหลายคนที่สวมชุดยาว นั่นคือผู้อาวุโสทั้งหลายแห่งแก๊งนักกลั่นยา

คนเหล่านี้ต่างก็นั่งกันตามลำดับตำแหน่งสูงต่ำ แต่ตำแหน่งที่นั่งของผู้นำนั้น กลับเป็นชายวัยกลางคนที่มีใบหน้าเคร่งขรึม สวมชุดคุมหม่าเผาสีดำยาว

“หลัวซิว ข้าขอแนะนำให้เจ้าได้รู้จัก ท่านนี้คือท่านผู้ลาดตระเวนแห่งอาณาจักรใต้” จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงเมื่อเห็นหลัวซิวมาแล้ว ก็ลุกขึ้นแนะนำให้เขารู้จัก

“คารวะท่านท่านผู้ลาดตระเวน” หลัวซิวรุดหน้าขึ้นไปคำนับ

ชายวัยกลางคนสวมชุดคุมหม่างเผาสีดำยาวเผยรอยยิ้มบาง ๆ “เจ้าสำนักหลัวไม่ต้องมีพิธีรีตองให้มาก ด้วยลำดับอำนาจในแก๊ง ข้ากับเจ้าเสมอกัน ข้านามว่าฉีฝ่าเทียน เจ้าเรียกข้าว่าผู้ลาดตระเวนฉีก็ได้”

ภายในองค์กรนักล่ายุทธ์มีการแบ่งลำดับที่เข้มงวดและชัดเจน ยกเว้นผู้มีอำนาจจำนวนเล็กน้อยในตำแหน่งพิเศษ ใครที่มีระดับอำนาจมาก ลำดับภายในแก๊งก็จะยิ่งสูงไปตามลำดับ

เพียงแต่ว่าหลัวซิวถือเป็นสมาชิกพรสวรรค์ พลังผลการฝึกตนไม่พอ ดังนั้นอำนาจในระดับเดียวกันนั้น ตำแหน่งจะอยู่ต่ำกว่าเล็กน้อย

“ผู้ลาดตระเวนฉี” หลัวซิวยกมือขึ้นคำนับ จากนั้นก็นั่งลงตรงที่ว่างด้านข้าง

ตำแหน่งที่หลัวซิวนั่งลงนั้น อยู่ในระยะใกล้กับฉีฝ่าเทียนมากที่สุด นั่นหมายความว่าในที่แห่งนี้ ตำแหน่งของเขานั้นเป็นรองเพียงแค่ฉีฝ่าเทียนเท่านั้น

“ฮ่า ๆ เจ้าสำนักหลัวช่างเยาว์วัยนัก ผู้ลาดตระเวนมู่แห่งอาณาจักรเหนือยังเคยพูดถึงเจ้าให้ข้าฟัง เขาชื่นชมเจ้ามาทีเดียว” ฉีฝ่าเทียนพูดพร้อมรอยยิ้ม

ผู้ลาดตระเวนมู่ที่เขาพูดถึงนั้น แน่นอนว่าต้องเป็นมู่จื่อซิว

หลัวซิวยิ้มด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน “ที่ผู้ลาดตระเวนฉีเรียกข้าน้อยมาที่นี่ ไม่ทราบว่ามีเรื่องอันใด?”

“พูดถึงเรื่องนี้ นั่นก็มีสาเหตุมาจากเจ้านั่นล่ะ หัวหน้าแก๊งแห่งแก๊งนักกลั่นยาของที่ประเทศเทียนหวู แต่เดิมคือฝานไท่เต๋อ แต่ในตอนนี้ฝานไท่เต๋อผลการฝึกตนตกต่ำ ไม่รู้แน่ชัดว่าอยู่แห่งหนใด ตำแหน่งหัวหน้าแก๊งนักกลั่นยา จึงว่างลงอย่างช่วยไม่ได้”

ฉีฝ่าเทียนค่อย ๆ พูด สำหรับก่อนนี้ที่หลัวซิวโจมตีฝานไท่เต๋อจนเหลือเพียงแค่เทพจิตบาง ๆ นั้น กลับไม่ได้แฝงความหมายตำหนิเอาไว้แม้แต่น้อย

เพราะความแค้นระหว่างหลัวซิวกับฝานไท่เต๋อนั้นชัดเจนมาก และในตอนนั้นที่คีตโลกาถ้ำเทพสถิตก็มีพยานรู้เห็นมากมาย ระดับอำนาจของหลัวซิวในองค์กรนักล่ายุทธ์ก็นั้นก็สูงมาก แน่นอนว่าไม่มีใครหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาตำหนิเขาอยู่แล้ว

“ข้ามาครั้งนี้ ก็เพื่อจัดการให้มีคนคนรับช่วงตำแหน่งหัวหน้าแก๊งนักกลั่นยา ตามข้อกำหนดแล้วนั้น ตำแหน่งหัวหน้าแก๊ง ต้องเป็นสมาชิกของสี่แก๊งใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้นต้องมีทักษะระดับนักกลั่นยาระดับหก”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ ฉีฝ่าเทียนก็มองไปทางหลัวซิว “ตามที่ข้าได้รับรู้ เจ้าสำนักหลัวเจ้าน่าจะเป็นปรมาจารย์กลั่นยาระดับหกใช่หรือไม่?”

ตวามสามารถการรายงานขององค์กรนักล่ายุทธ์แข็งแกร่งมาก สำหรับฉีฝ่าเทียนที่รู้ว่าตนสามารถกลั่นยาได้ หลัวซิวนั้นจึงไม่ได้มีสีหน้าประหลาดใจแม้แต่น้อย

อีกทั้งเมื่อเขาได้ยินประโยคนี้ของฉีฝ่าเทียน ก็สามารถเข้าใจบางสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังจะจะสื่อได้

“ใช้แล้ว ข้าคือปรมาจารย์กลั่นยาระดับหก” หลัวซิวพูดพร้อมรอยยิ้ม

เมื่อพูดจบ ในตอนนี้จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิง หงหมิงและพวกของเหว้ยห้าวหรานที่ไม่ค่อยรู้เรื่องราวอย่างละเอียดของหลัวซิว ต่างก็เผยสีหน้าตกตะลึงออกมา

ทันใดนั้นพวกเขาก็ตระหนักได้ว่า ทำไมในตอนแรกหลัวซิวถึงได้พูดว่าสามารถทำให้เฆ่าประหลาดฉิวมีผลการฝึกตนถึงระดับจักรพรรดิยุทธ์ช่วงปลายภายในสิบปี ที่แท้เขาก็คือปรมาจารย์กลั่นยาระดับหก!

“เจ้าเด็กคนนี้ดูเหมือนอายุจะยังไม่ถึง20ปีด้วยซ้ำ? พลังการต่อสู้เทียบเท่าจักรพรรดิยุทธ์ ปรมาจารย์กลั่นยาระดับหก?”

พวกของจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงต่างมองหน้ากันไปมา แต่ละคนต่างก็มีสีหน้ายากที่จะเชื่อ

แต่เหล่าผู้อาวุโสแก๊งนักกลั่นยานั้นแสดงออกชัดเจนว่าไม่เชื่อ ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 498
หินตรีภพมีขนาดแค่เพียงกำปั้นทารกเท่านั้น แน่นอนว่าในเมื่อขนาดไม่ใหญ่ พลังแห่งตรีภพที่อยู่ภายในก็ไม่มาก แต่นี่เป็นแค่พลังแห่งตรีภพเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ยังสามารถให้ผลลัพธ์ได้ขนาดนี้ กลั่นแปรดูดซับพลังแห่งตรีภพทั้งหมดที่อยู่ในหินตรีภพ จะเป็นเช่นไร?

ไม่เพียงเท่านั้น ผลลัพธ์ที่พลังแห่งตรีภพเพิ่มระดับผลการฝึกตนนั้นน่ากลัวมาก สำหรับร่างเนื้อก็เช่นกันมีผลลัพธ์ในเพิ่มระดับที่สำคัญมากเช่นกัน

ก่อนหน้านั้นที่แดนแต่งตั้งราชา จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำก็ได้เคยพูดกับหลัวซิวว่า เบญจธาตุทั้ง5กฎ มีเส้นทางการฝึกตนสองชนิด ชนิดแรกคือพลังอมตะแห่งฝึกตนแสงจิตห้าสี อีกชนิดคือชุบร่างเนื้อ เมื่อบรรลุถึงขีดสุดแล้ว มีความเป็นไปได้อย่างมากว่าจะแปรสภาพเป็นร่างยุทธ์ตรีภพ

วงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพมีวิชากลั่นร่างเฉพาะ ดังนั้นหลัวซิวจึงเลือกเส้นทางแรก ฝึกตนแสงจิตห้าสี

แต่เบญจธาตุทั้ง5กฎ ถึงจะสามารถนำมาใช้เพื่อชุบร่างเนื้อได้ พลังแห่งตรีภพที่ประกอบไปด้วยกฎตรีภพนั้นก็ทำได้เช่นกัน อีกทั้งผลลัพธ์ยังชัดเจนเสียยิ่งกว่า!

เวลาหนึ่งเดือน พลังผลการฝึกตนของหลัวซิวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อพลังแห่งตรีภพที่หมุนเวียนอยู่ในหินตรีภพได้ถูกเขากลั่นแปรออกมาจนหมดสิ้น เขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่า ผลการฝึกตนของตนนั้นได้บรรลุถึงแดนราชายุทธ์ขั้นเก้าแล้ว!

ร่างเนื้อร่างยุทธ์ ก็บรรลุถึงร่างยุทธ์ระดับจักรพรรดิขั้นสูง!

นี้เท่ากับว่าเวลาหนึ่งเดือน ผลการฝึกตนของเขาเพิ่มขึ้นมากถึงสามแดนเล็ก!

“หินตรีภพนี้ หากยังมีอีกสักก้อน ข้าก็คงจะบรรลุถึงแดนจักรพรรดิยุทธ์ได้อย่างง่ายดายเลยไม่ใช่หรือ?”

หลัวซิวพึมพำด้วยความประหลาดใจ ในเวลาเดียวกันก็รู้สึกเสียดาย หากผลการฝึกตนสามารถบรรลุถึงแดนจักรพรรดิยุทธ์ หรือร่างเนื้อร่างยุทธ์บรรลุถึงระดับมกุฎยุทธ์ เขาก็จะมีพลังการต่อสู้ที่สามารถเผชิญหน้ากับมกุฎยุทธ์ผู้แข็งแกร่งแบบตัวต่อตัว

“เจ้าหนู หินตรีภพมีผลลัพธ์อันน่าอัศจรรย์ แต่หากเจ้าฝึกตนไม่พอ ก็ไม่สามารถยกระดับพลังผลการฝึกตนได้มากถึงเพียงนี้”

จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำเอ่ยขึ้นอย่างกะทันหัน “เจ้าฝึกตนด้วยระยะเวลาอันสั้น เพียงแค่ไม่กี่ปี แต่ประสบการณ์ของเจ้ากลับแตกต่างกับคนทั่วไป เหมือนว่าคนที่เจ้าต่อสู้ด้วยทั้งหมดนั้นต่างก็มีผลการฝึกตนมากกว่าเจ้าทั้งสิ้น ในโลกแห่งนี้ การที่เจ้าไม่ตายนั้นก็ถึงว่ามหัศจรรย์มากแล้ว!”

“ดังนั้นผลลัพธ์ที่เจ้าได้รับเช่นนี้ เป็นสิ่งที่สมควรแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ายังฝึกตนสองระดับความเป็นตาย เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งเดียวเลยก็ว่าได้ อย่างน้อย ๆ ในสมัยโบราณ ข้าก็ยังไม่เคยได้ยินว่ามีใครที่ฝึกตนสองระดับความเป็นตายในเวลาเดียวกัน!”

“หากมีวันใดวันหนึ่งเจ้าสามารถบรรลุถึงการครอบครองกฎการเวียนว่ายตายเกิด และผสานกฎสูงสุดทั้งสองชนิดเข้าด้วยกันได้ เจ้าจะได้รับผลสำเร็จอย่างไรนั้น ข้าไม่อาจคาดเดาได้เลย…”

จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำกล่าวอย่างมีอารมณ์ร่วม เขาจำเป็นต้องยอมรับ พูดจากมุมมองบางประการ เขานับถือใจของเจ้าหนุ่มอายุไม่ถึงยี่สิบปีคนนี้มากจริง ๆ

“ผู้อาวุโสพูดเกินไปแล้ว พลังของข้านั้นยังเพียงเล็กน้อยเท่านั้น”

หลัวซิวถอนหายใจออกมายาว ๆ แววตามุ่งมั่น ไม่ได้หลงระเริงไปเพียงเพราะคำชื่นชมจากจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำ

จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำได้ยินเช่นนี้ ก็พลันไม่รู้จะพูดอะไรต่อ อายุเพียงเท่านี้สามารถบรรลุถึงผลลัพธ์ได้ถึงเพียงนี้ยังไม่พอใจ เขาไม่รู้ว่าจะพูดกับผู้ชายคนนี้อย่างไรดี

พลังแห่งตรีภพที่หมุนเวียนอยู่ภายในหินตรีภพ หลังจากกลั่นแปรแล้วนั้น หลัวซิวก็รีบร้อนที่จะเรียนรู้พลังอมตะแห่งวิชาแสงจิตห้าสี

บนหินตรีภพมีเนื้อสัมผัสบาง ๆ ที่มองเห็นได้ยากด้วยตาเปล่า พื้นผิวที่ไม่สม่ำเสมอเหล่านี้ คือความลึกลับของกฎตรีภพ

ผู้คนที่บรรลุไม่ถึงแดนที่เพียงพอนั้น เมื่อเห็นพื้นผิวเช่นนี้ก็เหมือนกับกำลังอ่านหนังสือสวรรค์ ไม่มีทางที่จะเข้าใจความลึกลับที่ซ้อนอยู่ได้แม้แต่น้อย

แต่หลัวซิวกลับเคยสัมผัสเบญจธาตุทั้ง5กฎมาก่อนนี้แล้ว เป็นเรื่องง่ายที่จะทำความเข้าใจ หลายสิ่งหลายอย่างที่ก่อนนี้ไม่เคยเข้าใจ อยู่ดี ๆ ก็ตระหนักได้ เป็นความลึกลับไม่สิ้นสุดที่เข้ามาในหัวของเขา

จนกระทั่งผ่านไปกว่าครึ่งเดือนต่อมา หลัวซิวรู้สึกว่าตนได้มาถึงเส้นทางคอขวดแล้ว สำหรับการเรียนรู้เบญจธาตุทั้ง5กฎ เป็นการยากที่จะก้าวหน้าต่อไป

เบญจธาตุทั้ง5กฎ กฎตรีภพ ถึงแม้จะไม่เหมือนกับกฎการเวียนว่ายตายเกิด แต่เมื่อการฝึกยุทธ์มาถึงระดับหนึ่งของขั้นแดนแล้ว ก็ยังมีความคล้ายคลึงกันก็เหมือนกับตอนที่เขาได้เรียนรู้วิชาค่ายกลเพื่อเรียนรู้ผังกฎดั้งเดิมมันเป็นเหตุผลเดียวกัน

อาศัยการเรียนรู้ของกฎสองชนิดคือเบญจธาตุทั้ง5และตรีภพ หลัวซิวพอจะรู้ได้คร่าว ๆ ว่าถ้าหากเขาเข้าใจผังกฎดั้งเดิมที่สามอย่างถ่องแท้ เขาจะได้สัมผัสกับความลึกลับของกฎการเวียนว่ายตายเกิด!

ตามคำพูดของเทพแห่งวัฏจักรชีวิต กฎการเวียนว่ายตายเกิดหากสามารถผสมผสานกันได้ นั่นจะเป็นกฎระดับที่สูงที่สุด กฎไร้เทียมทาน!

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 497
สำนักเขาแห่งสำนักเสวียนหยาง

หลี่เสวียนหยางไม่ว่าเช่นไรก็คิดไม่ถึง แผนการของตัวเองมันจะล้มไม่เป็นท่าเช่นนี้

ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องแย่งชิงหินตรีภพมาไม่ได้ แต่การตายของซุนเชียนซางและป๋ายหลี่หยวนหลง มันก็มากพอที่จะทำให้เขาปวดหัวราวกับกำลังจะระเบิด

สามารถฝึกตนถึงแดนมกุฎยุทธ์ มีเพียงไม่กี่คนที่จะไม่มีหัวนอนปลายเท้า หลี่เสวียนหยางถือเป็นส่วนน้อย ทั่วทั้งสำนักเสวียนหยางเขาสร้างมันขึ้นมาทั้งหมดตั้งแต่เริ่มด้วยตนเอง แต่ป๋ายหลี่หยวนหลงและซุนเชียนซาง แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง

“ซุนเชียนซางคือผู้อาวุโสจากสำนักอัสนีวายุแห่งอาณาจักรตะวันออก ป๋ายหลี่หยวนหลงถึงจะเป็นนักยุทธ์อิสระแห่งอาณาจักรตะวันตก แต่ก็มีเพื่อนระดับแดนมกุฎยุทธ์อยู่ไม่น้อย ทั้งสองถูกข้าเชิญมาตายอยู่ที่ประเทศเทียนหวู คนพวกนั้นจะต้องแค้นเคืองข้าหลี่เสวียนหยางอย่างแน่นอน”

ใบหน้าของหลี่เสวียนหยางนิ่งเรียบราวกับน้ำนิ่ง จากนั้นก็ส่งข้อความออกไปมากมาย หมายจะเอาสาเหตุการตายของซุนเชียนซางและป๋ายหลี่หยวนหลง รีบโยนให้เป็นความผิดของหลัวซิวและสำนักฉางเหอให้เร็วที่สุด

หลังสงครามเทียนเหอ มกุฎยุทธ์ผู้แข็งแกร่งสองคนเสียชีวิต ในที่สุดข่าวก็ค่อย ๆ ก็ถูกแพร่กระจายออกไปจากใจกลางประเทศเทียนหวู

เมื่อเปรียบเทียบกับสำนักฉางเหอ คนส่วนมากมักจากให้ความสำคัญกับการเคลื่อนไหวของหลัวซิว เพราะมีคนไม่น้อยที่รู้ว่า หลัวซิวสร้างไท่เสวียนโบราณขึ้นมาใหม่ สำนักเขาได้ถูกสร้างขึ้นจนเสร็จสมบูรณ์แล้ว วันพิธีเปิดสำนักเขาก็คาดว่าจะอีกไม่นานแล้ว

เวลาผ่านไปอย่างเงียบ ๆ ตั้งแต่สงครามเทียนเหอสิ้นสุดลง หลี่เสวียนหยางก็เก็บตัวอยู่ในสำนักเขาแห่งสำนักเสวียนหยางไม่มีความเคลื่อนไหวใดใด ค่ายพิทักษ์เขาถูกเปิดใช้งานอยู่ตลอดเวลา ราวกับเกรงกลัวว่าหลี่ฉางเหอและหลัวซิวจะมาหาเรื่องเขา

แต่ศิษย์ของสำนักเสวียนหยาง ก็ยังคงอกสั่นขวัญผวา ต่อให้ออกไปด้านนอก ก็ไม่กล้าจะออกไปไกลเกินระยะสิบลี้จากบริเวณสำนักเขา

ในช่วงเวลานี้ หลัวซิวได้ฝึกตนปิดขังอยู่ในหอคอยฝึกตนที่ใจกลางแดนตำหนักจื่อตลอดเวลา หลังจากได้หินตรีภพแล้ว เขาก็ตั้งใจว่าจะยกระดับผลการฝึกตนให้ถึงระดับราชายุทธ์ช่วงปลาย ในเวลาเดียวกันก็อาศัยกฎตรีภพที่อยู่ในหินตรีภพ ลองเพิ่มระดับพลังของพลังอมตะ กฎเบญจธาตุทั้ง5และแสงจิตห้าสี

ในเวลาเดียวกัน หลัวซิวก็ทุ่มเทอย่างมากเพื่อทำความเข้าใจในวิชาฝึกจิตไท่เสวียน วิชาสังหารไท่เสวียน และวิชาล่องหนไท่เสวียน

ระดับของทั้งสามวิชายิ่งเลิศสูงมาก ในบรรดาวิชายิ่งเลิศ ก็ถือว่าอยู่ในรายการวิชายิ่งเลิศขั้นสูง เมื่อเทียบกับวิชายิ่งเลิศพลังแปรเสวียนเทียนและวิชายิ่งเลิศวิชาท่าร่างบรรลุมังกรเขียวแล้ว ทั้งสามวิชานั้นแข็งแกร่งกว่ามาก

หากสามารถฝึกวิชายิ่งเลิศทั้งสามได้สำเร็จ วิชาฝึกจิตไท่เสวียนจะสามารถดูดซับการกลั่นแปรพลังงานมหาศาลระหว่างฟ้าดินได้ เมื่อสำแดงออกมาเรียกได้ว่าเกราะป้องกันไร้เทียมทาน การโจมตีส่วนใหญ่ของฝ่ายตรงข้ามต่างก็สามารถใช้วิชายิ่งเลิศกลั่นแปรดูดซับได้

วิชาสังหารไท่เสวียนโดดเด่นในเรื่องการปราบปรามและเข่นฆ่า รุนแรงดุร้าย แข็งแกร่งไร้เทียมทาน

และวิชาล่องหนไท่เสวียน หากหลังจากฝึกสำเร็จแล้ว ความเร็วของเทเลพอร์ตล่องหน จะเร็วยิ่งกว่าวิชาท่าร่างบรรลุมังกรเขียว

ไม่เพียงเท่านั้น การครอบครองพลังแห่งโซน ในแง่ของการโจมตีและสังหาร ยังมีกลวิธีอันลึกลับและคาดเดาไม่ได้ ซึ่งเป็นการยากที่จะป้องกัน

วงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพไหลเวียนอยู่ภายในร่างกาย หลัวซิวกำหินตรีภพไว้ในมือ พลังแห่งตรีภพเส้นแล้วเส้นเล่าแผ่กระจายออกมาจากหิน ได้ถูกเขาดูดซับเข้าไปในร่างกายในทันที

พลังแห่งตรีภพบาง ๆ นั้นประกอบดด้วยพลังมหาศาลที่น่ายำเกรง ไม่ช้าหลัวซิวก็รู้สึกได้ว่าตนเพิ่งจะบรรลุผลการฝึกตนราชายุทธ์ขั้นหก และการเพิ่มขีดจำกัดที่รวดเร็วทำให้เขาบรรลุถึงราชายุทธ์ขั้นหกขั้นสูง เพียงแค่มีจิตใจแน่วแน่ ก็จะสามารถบรรลุถึงได้ตั้งแต่ราชายุทธ์ช่วงกลาง ไปจนถึงราชายุทธ์ช่วงปลาย

จากนั้น เวลาผ่านไปแค่เพียงชั่วครู่ กระแสพลังหนึ่งได้พลุ่งพล่านไปทั่วร่างกาย ผลการฝึกตนพัฒนาขึ้นไปอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่มีสิ่งใดเป็นอุปสรรคแม้แต่น้อย ในที่สุดก็บรรลุถึงราชายุทธ์ขั้นเจ็ด!

ความเร็วเช่นนี้ มันเร็วเสียจนทำให้ผู้คนต้องอ้าปากค้าง เรียกได้ว่าน่ากลัวจนถึงขีดสุด!

ในสถานการณ์ปกติ ส่วนมากราชายุทธ์ขั้นหกหากต้องการบรรลุถึงขั้นเจ็ด ต่อให้พรสวรรค์จะสูงมากเพียงใดก็ตาม ก็ต้องใช้เวลาหลายปีเพื่อฝึกตนอย่างหนัก ถึงจะสามารถเข้าใจว่าการฝึกนั้นได้มาถึงคอขวดแล้ว อีกทั้งยังไม่สามารถบรรลุได้สำเร็จ คนมากมายจำเป็นต้องลองหลายครั้ง

แต่หลัวซิว กลับใช้เวลาเพียงช่วงสั้น ๆ ก็สามารถก้าวมาถึงจุดนี้ได้!

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 496
สมบัติวิเศษ ในสมัยโบราณ คืออาวุธที่มีเพียงผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์เท่านั้นจึงจะมีคุณสมบัติได้ครอบครอง คุณค่าของสมบัติวิเศษหนึ่งชิ้นล้ำค่าเพียงใด ไม่จำเป็นต้องให้พูดมากความ

หลัวซิวเองก็ยังประหลาดใจ คาดไม่ถึงว่าก้อนหินสีเทาที่ดูไม่สะดุดตาเช่นนี้ จะสามารถนำมาแลกสมบัติวิเศษได้

ต่อให้เป็นสมบัติวิเศษชั้นล่าง แต่ราคาของมันนั้นสามารถซื้อประเทศเทียนหวูดินแดนอันกว้างใหญ่เช่นนี้ได้!

หลัวซิวกำลังจะถามว่าหินตรีภพนี้มันวิเศษที่ตรงไหน จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำก็เอ่ยปากอธิบาย “ด้านในหินตรีภพ ประกอบไปด้วยกฎตรีภพ พลังแห่งกฎชนิดนี้ นับเป็นประเภทของกฎสูงสุด เทียบเท่ากับเวลา โซน ชีวิต และความตายทั้งสี่กฎใหญ่รวมกัน!”

“กฎแห่งเบญจธาตุทั้ง5 และหยินหยางรวมเข้าด้วยกัน ต่างก็นับเป็นการแตกแขนงของกฎตรีภพ สามารถอาศัยเรียนรู้กฎตรีภพ เพื่อยกระดับการเรียนรู้กฎเบญจธาตุทั้ง5 และหยินหยาง”

“นอกจากนี้ ภายในหินตรีภพยังประกอบไปด้วยพลังแห่งตรีภพ เมื่อกลั่นแปรและดูดซับแล้ว สามารถยกระดับแดนผลการฝึกตน เพียงแต่ว่าระดับพลังแห่งตรีภพนั้นสูงเกินไป วรยุทธ์ทั่วไปนั้นไม่สามารถกลั่นแปรได้”

“อีกทั้ง หินตรีภพยังสามารถนำมาใช้หลอมอาวุธสมบัติวิเศษ สมบัติวิเศษที่สมบูรณ์แบบที่ถูกกลั่นโดยหินตรีภพกลั่น มีประสิทธิภาพมากกว่าสมบัติวิเศษพรสวรรค์ทั่วไปมาก”

“หินตรีภพยังสามารถนำมาใช้กลั่นยา การฉุดรั้งหนึ่งในพลังแห่งตรีภพให้ผสมผสานเข้ากับยา ก็จะสามารถทำให้ระดับของยานั้นเพิ่มขึ้นอีกระดับหนึ่ง!”

“หินตรีภพยังสามารถใช้เพื่อสร้างค่ายกล ใช้หินตรีภพเป็นแกนของค่ายกล พลังของค่ายกลสามารถยกระดับขึ้นได้เป็นเท่าตัว!”

จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำ อธิบายถึงหินตรีภพที่มีคุณสมบัติราวกับขุมทรัพย์ ทำเอาหลัวซิวที่ฟังอยู่นั้นตาค้างทีเดียว

เขาได้ข้อสรุปว่า พลังของหินตรีภพนั้น สามารถแย่งออกได้ราว ๆ ห้าชนิด ชนิดที่หนึ่งคือการรวมกันของกฎตรีภพ ชนิดที่สองคือการรวมกันของพลังแห่งตรีภพ กลั่นแปรสามารถยกระดับผลการฝึกตนได้ ชนิดที่สามสามารถใช้เพื่อหลอมอาวุธสมบัติวิเศษของนักยุทธ์ ชนิดที่สี่คือใช้เพื่อกลั่นยา ชนิดที่ห้าคือใช้เพื่อสร้างค่ายกล

“ที่มันคือสมบัติสารพัดประโยชน์ชัด ๆ!”

หลัวซิวประหลาดใจอย่างยิ่ง เขาคาดเดาว่า หลี่เสวียนหยางหมกมุ่นอยู่กับคิดที่แต่จะต่อกรกับสำนักฉางเหอ มีความเป็นไปได้อย่างมากว่าทั้งหมดก็เพื่อหินตรีภพ

แต่หินตรีภพที่มีคุณสมบัติล้ำค่าเช่นนี้ อาจารย์สำนักฉางเหอกลับยกให้เขาหนึ่งชิ้น ทำให้หลัวซิวสามารถคาดเดาได้ไม่ยากว่า อาจารย์สำนักฉางเหอต้องไม่รู้ถึงคุณสมบัติเหล่านี้ของหินตรีภพอย่างแน่นอน

ตามที่จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำได้กล่าวไว้ ต่อให้ในสมัยโบราณก็ตาม แต่เพราะหินตรีภพนั้นหายากและล้ำค่ามาก โดยทั่วไปมีเพียงผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ขึ้นไปเท่านั้นที่เข้าถึงได้ หากอาจารย์สำนักฉางเหอจะไม่รู้ก็คงจะไม่ได้แปลกอะไร

ยิ่งไปกว่านั้น ในเมื่ออาจารย์สำนักฉางเหอได้มอบชิ้นหนึ่งให้กับเขา ถ้าเช่นนั้นในมือของเขาต้องยังมีอีกมากแน่นอน!

สำหรับหลัวซิวแล้ว สิ่งของล้ำค่าเช่นนี้หากตกไปอยู่ในมือคนอื่นก็จะกลายเป็นสิ่งที่เสียเปล่า ต้องตกอยู่ในมือของเขาเองเท่านั้นถึงจะเป็นการใช้ประโยชน์ได้คุ้มค่าสุด

เขาเริ่มครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรถึงจะเอาหินตรีภพที่อยู่กับอาจารย์สำนักฉางเหอ มาเป็นของตัวเองให้ได้

เก็บหินตรีภพลงไปด้วยความเงียบเชียบ หลัวซิวก็เนียนถามเกาเหลียนหงเรื่องเกี่ยวกับสงครามเทียนเหอ

“อาจารย์สำนักฉางเหอภายหลังการต่อสู้ครั้งนี้ ก็ได้ฆ่ามกุฎยุทธ์ตายไปสองคน ต้องได้รับของดีมาอย่างมากมายแน่นอน ถึงว่าทำไมถึงมอบหินตรีภพให้ข้าง่าย ๆ เช่นนี้”

สำหรับหินตรีภพในมือของเขานั้น หลัวซิวได้คำนวณไว้แล้ว เตรียมนำมายกระดับผลการฝึกตนของเขาเอง

อย่างไรก็ตาม เมื่อมองตัวเขาในตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการยกระดับผลการฝึกตน ไม่เช่นนั้นเป็นถึงเจ้าสำนักไท่เสวียน แต่กลับมีผลการฝึกตนเพียงแดนราชายุทธ์ มันดูจะไม่เข้าท่าเท่าไรนัก

ถึงแม้จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำได้บอกไว้ว่า ระดับของพลังแห่งตรีภพนั้นสูงมาก วรยุทธ์ทั่วไปไม่สามารถดูดซับการกลั่นแปรได้ แต่การฝึกตนของเขาเป็นการฝึกวรยุทธ์แบบวัฏจักร นั่นคือกฎแห่งความเป็นตายดั้งเดิม รวมกับวิชาฝึกจิตไท่เสวียนสามารถกลั่นแปรพลังมหาศาลได้ กลั่นแปรพลังแห่งตรีภพ แน่นอนว่าเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 495
สองระดับความเป็นตายรวมถึงทุกสิ่งทุกอย่างในโลก เพราะทุกสิ่งในโลกนี้มีสองด้าน และทั้งสองมีความลึกลับของความเป็นและความตาย

ตัวอย่างเช่น ความอบอุ่นของไฟสามารถให้กำเนิดชีวิต แต่ในขณะเดียวกันยังสามารถแผดทำลายทุกสิ่งในโลกนี้ได้ด้วย

ตัวอย่างเช่น ความชุ่มชื้นของน้ำสามารถหล่อเลี้ยงทุกสิ่งทุกอย่าง กลายเป็นอุทกภัยได้ แล้วยังนำความพินาศและความตายมาสู่ทุกสิ่งได้อีกด้วย

หลัวซิวพบว่าตั้งแต่แรก การรับรู้ของเขาเกี่ยวกับทิศทางสองระดับความเป็นตายดูเหมือนจะผิดไป

การรับรู้ของเขาเกี่ยวกับความเป็นตาย คือการรับรู้ถึงความเป็นและความตาย แต่ในความเป็นจริงความเป็นและความตายเป็นหนึ่งเดียว ที่สุดของความเป็นคือความตาย ที่สุดของความตายคือความเป็น และสองระดับความเป็นตายคือวัฏจักร!

สองระดับความเป็นตายรวมทุกสิ่ง ก็สามารถรวมทุกสิ่งเข้ากับสองระดับความเป็นตายได้

“ภูตอัคคีกลืนกิน กลืนกินทุกสิ่ง และแผดเผาทุกสิ่งให้กลายเป็นความว่างเปล่า ในสองระดับความเป็นตาย สามารถจำแนกเข้าในหมวดหมู่พลังแห่งความตาย”

หลัวซิวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วทันใดนั้นก็ตระหนักขึ้นมาได้ว่าในอดีต เขาจะใช้ภูตอัคคีกลืนกินต่อสู้กับศัตรูโดยตรง แต่ตอนนี้เขามีความเข้าใจเรื่องสองระดับความเป็นตายที่สูงขึ้น เลยสามารถใช้พลัจิตแท้ควบคุมพลังสองระดับความเป็นตายและใช้ภูตอัคคีกลืนกินตามความต้องการของเขาได้

ไม่ใช่เพียงแต่ความแข็งแกร่งผลการฝึกตนที่สูงขึ้นเท่านั้น แต่การรับรู้ด้านยุทธ์ของหลัวซิวยังได้เพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่าด้วย

เมื่อหลัวซิวออกจากการปิดกั้นรักษาตัว เขาก็รู้ว่าเกาเหลียนหงกลับมาจากเขาเทียนเหอแล้ว

ในตำหนักวัฏจักร สีหน้าของเกาเหลียนหงชะงักนิ่งอย่างกระทันหันเมื่อเขาเห็นหลัวซิว เพราะหลัวซิวกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนที่นั่งบนบันไดชั้นเก้า แต่ความรู้สึกที่เขาได้รับเหมือนไม่จริง และไม่มีความผันผวนของพลังจิตแท้ในร่างกายของเขา ถ้าไม่ใช้สายตามอง อาจจะคิดว่าไม่มีใครอยู่ที่นั่นเลย

“ขอแสดงความยินดีต่อเจ้าสำนักขอรับ!”

เกาเหลียนหงก้าวไปข้างหน้า กำหมัดคารวะ แม้เขาจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหลัวซิว แต่ก็เห็นได้ชัดว่าผลการฝึกตนของเขาได้เพิ่มสูงมากขึ้น

หลัวซิวยิ้มเล็กน้อย “การเดินทางครั้งนี้ของผู้คุมกฎเกา เป็นไปด้วยดีหรือไม่?”

เกาเหลียนหงรีบเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนเขาเทียนเหอทันที และนำกล่องหยกที่อาจารย์สำนักฉางเหอให้เขามอบให้แก่หลัวซิวออกมา

บนกล่องหยกมีผนึกต้องห้ามด้วยพลังจิตแท้ แม้ว่าช่วงนี้หลัวซิวจะปิดกั้นรักษาตัวยู่ แต่เกาเหลียนหงไม่เคยได้เปิดออก

หลัวซิวยื่นมือออกเพื่อตรวจสอบ ปราศจากการผันผวนของพลังจิตแท้ กล่องหยกก็บินขึ้นและตกลงมาในมือของเขา

เกิดเสียงดังคลิก กล่องหยกก็ถูกเปิดออก ข้างในมีหินกระแสพลังสีเทาเรืองแสง ขนาดเท่ากำปั้นของทารก

ทันทีที่เขาเห็นหินก้อนนี้ในกล่องหยก หลัวซิวรู้สึกได้ว่าชิ้นส่วนกฎที่เขารวมเข้ากับตัวหยั่งรู้ มีความรู้สึกกับหินก้อนนี้

“นี่อะไร?” หลัวซิวเอื้อมมือหยิบหินสีเทาขึ้นมา ตัวสำนึกของเขาสัมผัสได้ถึงออ่ร่าในตัวมัน

ทันใดนั้น ดูเหมือนเขาจะมองเห็นโซนตรีภพสีเทา ราวกับความเงียบงันก่อนที่โลกจะกำเนิด

“พ่อหนุ่ม นี่คือสมบัติชิ้นหนึ่ง!” จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำสามารถสัมผัสโลกภายนอกผ่านทางหลัวซิว และอุทานออกมาทันทีเมื่อเห็นหินสีเทาก้อนนี้

“หือ? นี่มันสมบัติอะไร?” หลัวซิวอดไม่ได้ที่จะถาม สามารถทำให้จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำประหลาดใจมากเช่นนี้ได้ เห็นได้ชัดว่าสิ่งนี้น่าอัศจรรย์

“สิ่งนี้เรียกว่าหินตรีภพ เป็นสมบัติที่ผนึกรวมมาจากพลังตรีภพด้วยเวลาที่ไม่มีที่สิ้นสุด!”

จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำกล่าวอย่างช้า ๆ “ตั้งแต่ที่กำเนิดจักรวาล ตรีภพได้หายไปนานแล้ว แปรสภาพเป็นหยินหยางเบญจธาตุทั้ง 5 กลายเป็นสิ่งมีชีวิตและทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก มีเพียงสถานที่เพียงไม่กี่แห่งเท่านั้น ที่ยังคงมีแดนตรีภพหลงเหลืออยู่เมื่อตอนที่กำเนิดโลก สถานที่แบบนั้นหายากมากและเป็นที่เดียวที่จะมีหินตรีภพ”

“ในสมัยโบราณ หินตรีภพก้อนหนึ่งในมือเจ้า เพียงพอที่จะแลกสมบัติวิเศษมาได้ชิ้นหนึ่งแล้ว!” จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำถอนหายใจ

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 494
ในช่วงเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ปี ฐานะของประเทศเทียนหวู ได้เปลี่ยนแปลงไปราวฟ้ากับดิน

ในอดีต นำโดยราชวงศ์ของตระกูลฟาน ตระกูลใหญ่สิบตระกูลเป็นใหญ่อยู่ในทุกด้านของประเทศเทียนหวู และล้อมรอบด้วยกองกำลังขนาดใหญ่ทั้งสามคือตำหนักจื่อ สำนักเสวียนหยางและสำนักฉางเหอ

แต่ในปัจุบัน ตระกูลฝานสูญเสียสิทธิ์ในการปกครองกองกำลังต่าง ๆ ในประเทศเทียนหวู แล้วยังถูกขับไล่ออกจากเมืองหลวง เมืองเทียนหวู ตอนนี้ในตระกูล มีเพียงราชายุทธ์ไม่กี่คนเป็นผู้นำ

นอกจากนี้ สิบตระกูลในอดีต เหลือเพียงตระกูลเหยียนและตระกูลสวีเท่านั้น และตำหนักจื่อ ซึ่งเป็นหนึ่งในสามกองกำลังที่ใหญ่ที่สุด ก็ถูกทำลายลงเช่นกัน

หลังจากที่หลัวซิวกล่าวในเมืองเทียนหวูเมื่อไม่นานมานี้ว่าเขาต้องการจัดตั้งกองกำลัง กองกำลังทุกฝ่ายและนักยุทธ์หลายคน ต่างจับจ้องการเคลื่อนไหวของเขาอยู่

จู่ๆ ข่าวเรื่องหนึ่งก็แพร่ระบาดออกไปและทำให้ทุกคนตกตะลึง

อาจารย์เสวียนหยางเชิญมกุฎยุทธ์สองท่านไปโจมตีสำนักฉางเหอ แต่ในที่สุดกลับถูกอาจารย์สำนักฉางเหอที่พึ่งค่ายพิทักษ์เขาได้ฆ่ามกุฎยุทธ์สองคนและได้รับบาดเจ็บหนึ่งคน เพียงอาจารย์เสวียนหยางคนเดียวที่หลบหนีไปได้

ก่อนหน้านี้ เป็นที่ทราบกันดีว่าอาจารย์เสวียนหยางได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการลอบโจมตี ตามหลักแล้วอาการบาดเจ็บจะไม่สามารถฟื้นตัวได้เร็วขนาดนี้

ในเมืองเทียนหวู ตาเฒ่าประหลาดฉิวและจอมยุทธ์แดนจักรพรรดิยุทธ์อื่น ๆ อีกหลายคนที่อยู่ในการฝึกตนแบบไน้สำนัก ได้รวมตัวกัน

“จากข่าวที่เชื่อถือได้ อาจารย์สำนักฉางเหอสามารถฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บได้ เพราะหลัวซิวได้ส่งยารักษาตัวระดับ 7หนึ่งเม็ดไปให้”

“ยารักษาตัวระดับ 7? หลัวซิวคนนั้นจะมียาระดับนี้ได้อย่างไร?”

เหล่าจักรพรรดิยุทธ์มีสีหน้าที่แตกต่างกันออกไป สายตาต่างมองไปที่ตาเฒ่าประหลาดฉิวพร้อมเพียงกัน

เพราะก่อนหน้านี้ หลัวซิวเคยพูดว่าถ้าแก่ตาเฒ่าประหลาดฉิวเข้าร่วมกองกำลังของเขา เขาจะสามารถถึงแดนจักรพรรดิยุทธ์ได้ภายในสิบปี

หากหลัวซิวสามารถเอายารักษาตัวระดับ 7 สมบัติแบบนี้ออกมาได้ งั้นคำพูดของเขาย่อมไม่พูดเกินความเป็นจริงอย่างแน่นอน แต่เพราะเขามีความสามารถและความมั่นใจ

นักยุทธ์ผู้ฝึกฝนที่ไม่เข้าร่วมกองกำลังใดๆ ไม่มีกองกำลังใหญ่อยู่เบื้องหลัง ทรัพยากรทั้งหมดสำหรับการฝึกฝนต้องพึ่งพาตนเอง และผลการฝึกตนให้ถึงแดนจักรพรรดิยุทธ์ เห็นได้ว่าเขามีความสามารถสูง

บนสมมติฐานที่ว่ามีพรสวรรค์ที่ตามความต้องการ และที่มีทรัพยากรการฝึกตนที่เพียงพอ จะเป็นเรื่องที่ง่ายดายที่จะให้ผลการฝึกตนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

“ข้าได้ยินมาว่า การปิดล้อมโจมตีสำนักฉางเหอของมกุฎยุทธ์ทั้งสาม ท้ายในที่สุดมีมกุฎยุทธ์สองคนที่ล่วงลับไป หลัวซิวมีส่วนเกี่ยวข้องในนั้นด้วย”

“แดนตำหนักจื่อในอดีต ถูกเขาครอบครอง และได้ก่อตั้งสำนักที่ชื่อ ไท่เสวียน”

“ไท่เสวียนโบราณเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นไปได้มากว่าในตอนนั้นเขาได้รับการสืบทอดจากผู้แข็งแกร่งสำนักไท่เสวียน ดังนั้นเขาจึงคิดที่จะสืบทอดสำนักไท่เสวียนต่อไป”

ช่วงนี้ เหล่าผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ ต่างก็ได้เฝ้าดู ในอดีตเหตุผลที่พวกเขาไม่เต็มใจที่จะเข้าร่วมกองกำลัง เป็นเพราะพวกเขาไม่ต้องการถูกผูกมัด

แต่หลังจากที่ผลการฝึกตนมาถึงแดนปัจจุบันแล้ว เป็นเรื่องยากมากที่จะเพิ่มการฝึกตนไปต่อ แม้ว่าจะเข้าร่วมกองกำลัง ตามกำลังในประเทศเทียนหวู ก็ไม่มีกองกำลังใดที่สามารถจัดหาทรัพยากรให้เพียงพอสำหรับการฝึกตนให้พวกเขาได้

ก่อนหน้านี้หลัวซิวเคยสัญญาไว้ว่าจะให้จักรพรรดิยุทธ์ช่วงกลางมีผลฝึกตนถึงช่วงปลายภายในสิบปี ซึ่งเป็นสิ่งล่อใจที่ใหญ่มากสำหรับผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์คนหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย

หลังจากสิ้นสุดการต่อสู้บนยอดเขาเทียนเหอ เกาเหลียนหงกลับมาที่สำนักไท่เสวียน แต่เมื่อเขากลับมา หลัวซิวยังคงปิดกั้นรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ในหอคอยฝึกฝนกลางแดนตำหนักจื่อ

ด้วยการกระตุ้นพลังผู้เป็นอมตะ วงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพทำงานอย่างอัตโนมัติ พลังสองระดับความเป็นตายซ่อมแซมลายเส้นชีวิตที่เสียหายควบคู่กับทานยารักษาตัวไปด้วย อาการบาดเจ็บของหลัวซิวกลับมาหายดีเป็นปกติภายในเวลาไม่ถึงเจ็ดวัน

ไม่เพียงเท่านั้น ในสถานะพลังผู้เป็นอมตะถูกกระตุ้น ความแข็งแกร่งแห่งผลการฝึกตนโดยรวมของเขายังได้เพิ่มขึ้นอย่างครอบคลุม อย่างแรกคือผลการฝึกตนของพลังจิตแท้ จากราชายุทธ์ขั้น 5 เพิ่มขึ้นถึงราชายุทธ์ขั้น 7 โดยตรง ถึงราชายุทธ์ช่วงปลาย

ต่อมาคือแดนร่างเนื้อของเขา ก็ถึงขั้นร่างยุทธ์ระดับจักรพรรดิช่วงปลายแล้ว แค่พลังทางร่างกาย เขาก็สามารถต่อสู้กับผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ช่วงปลายได้ด้วย

นอกจากนี้ยังมีตัวสำนึกของเขา ซึ่งดูดซับพลังวิญญาณบริสุทธิ์จำนวนมากจากเทพจิตไม่แท้ มาถึงระดับจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 9แล้ว อีกนิดหนึ่งก็จะเทียบเท่ากับผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎยุทธ์อย่างสมบูรณ์แบบ

สิ่งที่หลัวซิวสนใจมากที่สุดก็คือความเข้าใจกับผังกฎดั้งเดิมแผ่นที่สามที่ได้มีความก้าวหน้าครั้งใหม่

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 493
“หือ? เจ้าสามารถหลบกระบี่ของข้าได้? จักรพรรดิยุทธ์ขั้น 7 คนหนึ่ง ก็รู้วิธีการย้ายที่?” หลี่เสวียนหยางหรี่ตาลงเล็กน้อย

“หลี่เสวียนหยาง เจ้าต้องตายไม่ดี!” ในค่ายพิทักษ์เขา มีเสียงคำรามของป๋ายหลี่หยวนหลงดังออกมาด้วยโทสะ

หลี่เสวียนหยางส่งเสียงออกมาจากจมูกอย่างเย็นชา เขาไม่สนใจเสียงนั้น ไม่ได้รู้สึกละอายใจว่าตัวเองลอบใช้เล่ห์กับป๋ายหลี่หยวนหลง แต่รู้สึกว่าทั้งหมดนี้ต้องเป็นแบบนี้อยู่แล้ว

แต่เขาก็รู้ด้วยว่า ป๋ายหลี่หยวนหลงจะอยู่ได้ไม่นาน ถ้าเขาไม่จากไป เมื่อหลี่ฉางเหอคนนั้นจัดการป๋ายหลี่หยวนหลงแล้วก็จะกลับจัดการกับเขาต่อ

เมื่อคิดถึงจุดนี้ หลี่เสวียนหยางก็กลายเป็นแสงวาบและบินขึ้นไปบนท้องฟ้าทันที

“ถอยกลับ!”

เมื่อเห็นว่าอาจารย์ของพวกเขารอดจากสถานการณ์เลวร้าย เจ้าสำนักเสวียนหยาง หลิงซวง ก็ตะโกนทันที แล้วพาศิษย์ของสำนักตนเองไปขับเรือรบเริ่มถอยกลับ

ผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงร้องอย่างเจ็บปวดดังออกมาจากค่ายพิทักษ์เขา จากนั้นทุกอย่างก็กลับสู่ความสงบ

ม่านแสงค่ายพิทักษ์เขาของสำนักฉางเหอเหมินค่อยๆ แสดงประตูออกมา

“ผู้คุมกฎเกา เชิญ!”

เสียงของผู้อาจารย์สำนักฉางเหอดังมาจากยอดเขาเทียนเหอช้าๆ

เกาเหลียนหงเหลือบมองไปที่ประตูค่ายกลที่เปิดอยู่ แล้วเก็บตราขลังมังกรเขียวกลับทันที คารวะแล้วเดินเข้าไป

ภายใต้การนำของเจ้าสำนักฉางเหอ เกาเหลียนหงมาถึงห้องโถงที่สูงที่สุดบนยอดเขาเทียนเหอ

เห็นเพียงอาจารย์สำนักฉางเหอนั่งอยู่บนที่สูง และกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ขอบใจผู้คุมกฎเกาที่ช่วยเหลือในครั้งนี้ ไม่เช่นนั้นข้าจะไม่ฆ่าคนสามคนนั้น คนใดคนหนึ่งให้ตายอยู่ที่นี่ได้”

เกาเหลียนหงโค้งคำนับ ไม่ว่ายังไงอีกฝ่ายเป็นอาจารย์ระดับมกุฎยุทธ์ เขากล่าวอย่างสุภาพว่า “ผู้อาวุโสชมเกินไปแล้ว ส่วนใหญ่เป็นเพราะเจ้าสำนักของเขาคาดเดาได้ แต่น่าเสียดายที่ยังหนีรอดไปได้คนหนึ่ง”

อาจารย์สำนักฉางเหอพยักหน้า “สำนักฉางเหอของเราสามารถทำให้ภัยในครั้งนี้ผ่านไปได้ดี เพราะความช่วยเหลือจากเจ้าสำนักหลัว ข้าไม่มีอะไรตอบแทน แต่ขอให้ผู้คุมกฎเกามอบสิ่งนี้ให้กับเจ้าสำนักหลัว”

ว่าแล้ว อาจารย์สำนักฉางเหอก็หยิบกล่องหยกสวยงามออกมา ถือด้วยพลังจิตแท้ ค่อยๆ บินไปตรงหน้าเกาเหลียนหง

เกาเหลียนหงไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่เขาไม่ได้ถาม เอื้อมมือออกไปรับมาด้วยความเคารพ

“นอกจากนี้ โปรดช่วยข้านำคำพูดของข้าให้กับเจ้าสำนักหลัวด้วย หากมีเรื่องใดที่ต้องการสำนักฉางเหอของเรา เพียงแค่แจ้งให้เราทราบแล้วข้าจะนำผู้คนในสำนักฉางเหอทั้งหมดไปช่วยเหลือ!” ”อาจารย์สำนักฉางเหอกล่าวอีก

“ขอรับ! ผู้น้อยจะนำคำพูดนี้ไปให้เจ้าสำนักอย่างแน่นอน หากผู้อาวุโสไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ผู้น้อยยังจะต้องกลับไปรายงานกับเจ้าสำนัก”

หลังจากที่เกาเหลียนหงจากไป ในห้องโถงใหญ่นี้ เหลือเพียงอาจารย์หลี่ฉางเหอและเจ้าสำนักฉางเหอสองคน

“อาจารย์ หินตรีภพนั้นเป็นสมบัติที่สำนักฉางเหอของเราใช้ชีวิตปกป้องมา จะมอบให้หลัวซิวเช่นนี้เลยหรือเจ้าสำนักฉางเหออดไม่ได้ที่จะกล่าว

“แม้ว่าหินตรีภพจะล้ำค่า แต่เราไม่รู้ว่ามันทำอะไรได้บ้าง หลัวซิวคนนั้นมาถึงระดับนี้ในเวลาเพียงไม่กี่ปี เขามีภูมิหลังไม่ธรรมกา บางทีเขาอาจจะรู้สรรพคุณของหินตรีภพก็ได้”

หลี่ฉางเหอกล่าวอย่างไม่เห็นด้วย “นอกจากนี้ เรายังมีหินตรีภพอยู่สองก้อน คราวนี้สามารถรักษารากฐานนับร้อยพันปีของสำนักฉางเหอได้ ทั้งหมดนี้ต้องขอบใจความช่วยเหลือจากหลัวซิว มอบให้เขาหนึ่งก้อนก็เป็นเรื่องที่สมควร”

ว่าแล้ว สายตาของหลี่ฉางเหอก็ตกอยู่บนร่างเจ้าสำนักฉางเหอ “เรื่องทุกเรื่องอย่าคิดเพียงแค่การได้และการสูญเสียเบื้องหน้านี้ แต่ต้องมองในระยะไกลด้วย”

“ขอรับ”เจ้าสำนักฉางเหออย่างเคารพ

“หายนะทำลายสำนักฉางเหอครั้งนี้เกิดจากหินตรีภพ และทั่วทั้งสำนักฉางเหอที่รู้การมีอยู่ของหินตรีภพ นอกจากเจ้ากับข้าแล้วยังมีผู้อาวุโสสี่คน หนึ่งในสี่คนนี้ต้องมีสายลับอยู่คนหนึ่งแน่นอน ตามหาเขาออกมา!”

“นอกจากนี้ ศิษย์ที่เป็นร่างแห่งเสวียนหยินที่เพิ่งได้รับเข้ามาเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ข้าจำได้ว่านางชื่อปี้เซียนเสว่ใช่หรือไม่ ?เจ้าจัดการด้วยนะ ข้าจะรับนางเป็นลูกศิษย์ และสอนการฝึกฝนให้นางด้วยตัวข้าเอง!”

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 492
แต่ผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์ต่างก็ได้ฝึกเป็นร่างทอง พลังชีวิตเข้มแข็งมาก แม้จะถึงจุดนี้ ซุนเชียนซางยังคงมีชีวิตอยู่

แต่ซุนเชียนซางเองก็รู้ว่าเขาไม่สามารถหนีจากภัยพิบัตินี้ได้ ดังนั้นเขาทำการตัดสินใจทันที ร่างกายที่เหลือเพียงกระดูกก็ระเบิดอย่างกะทันหัน

“ระเบิดตัวเอง?”

สีหน้าของหลี่เสวียนหยางเปลี่ยนไป การระเบิดตัวเองของผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์นั้นทรงพลังเป็นอย่างมาก และเขาอยู่ใกล้ด้วย เขาจะต้องได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน

สีหน้าของป๋ายหลี่หยวนหลงจะสงบกว่ามาก เขาพริกฝ่ามือหยิบลูกแก้วสีเหลืองออกมา ภายใต้การส่งพลังจิตแท้เข้าไป ม่านแสงสีเหลืองห่อหุ้มร่างกายของเขา ออร่าพลังธาตุดินบริสุทธิ์แผ่กระจายออกมา

ในบรรดาเบญจธาตุทั้ง 5 ธาตุดินมีการป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุด เห็นได้ชัดว่าลูกแก้วนี้ของป๋ายหลี่หยวนหลงนี้ เป็นสมบัติการป้องกันของธาตุดิน

หลี่เสวียนหยางไม่มีสมบัติดังกล่าวเพื่อปกป้องร่างกายตนเองแบบนี้ ในฐานะอาจารย์มกุฎยุทธ์คนหนึ่ง เขายังคงใช้กระบี่รบขั้นดินกลาง ซึ่งดูแล้วยากจนและโทรมมากแล้ว เพราะสมบัตินักยุทธ์ที่มีผลต่อผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎยุทธ์ ต่างมีราคาแพงมาก

บูม!

คลื่นพลังงานที่น่าสะพรึงกลัวพัดไปทุกทิศทุกทาง มังกรน้ำสามตัวก็ละลายไปทันทีภายใต้ระเบิดตนเองของซุนเชียนซาง กลายเป็นหยดน้ำทั่วท้องฟ้า

หลี่เสวียนหยางต่อต้านสุดกำลังของเขา แต่เขาก็กระเด็นออกไปในทันที การระเบิดตนเองของมกุฎยุทธ์ขั้นปฐมภูมิผู้หนึ่ง เว้นแต่จะมีพลังของมกุฎยุทธ์ช่วงกลางถึงจะสามารถต้านทานได้ และเห็นได้ชัดว่าเขาไม่มีความสามารถนี้

เขากระอักเลือดสดออกมา เดิมทีสีหน้าที่ซีดเผือดอยู่แล้วของหลี่เสวียนหยาง ก็ซีดจางลงไปอีก และพลังจิตแท้ในร่าง เหลืออยู่ไม่ถึงสามส่วน

ในทางกลับกัน ป๋ายหลี่หยวนหลงดูสงบและไม่เร่งรีบ ด้วยการปกป้องร่างกายของสมบัติธาตุดิน เขาบินไปที่ศูนย์กลางของกระแสพลังวนอย่างรวดเร็ว

เนื่องจากการระเบิดตนเองของซุนเชียนซาง ม่านแสงค่ายกลใกล้เคียงก็ถูกโจมตีเช่นกัน ได้ฉีกช่องว่างขนาดใหญ่ออกมา

หลี่เสวียนหยางเองก็สังเกตเห็นฉากนี้เหมือนกัน เขากัดฟันแน่น แล้วรีบพุ่งไปด้วยพลังทั้งหมด

เพราะเขารู้ดีว่านี่เป็นโอกาสเดียวที่จะหลบหนีไปได้

ในชั่วพริบตา หลี่เสวียนหยางและป๋ายหลี่หยวนหลงก็มาถึงช่องว่างที่ม่านแสงค่ายกลถูกฉีกออกพร้อมๆ กัน แต่ความยาวและความกว้างของช่องว่างนั้นเพียงพอให้คนๆหนึ่งออกไปก่อนเท่านั้น

ป๋ายหลี่หยวนหลงไม่ได้รีบพุ่งออกไปโดยไร้สมอง เพราะเขารู้ว่ามีคนขวางทางอยู่ข้างนอก และใครก็ตามที่ออกไปก่อนจะเป็นคนแรกที่ถูกโจมตีอย่างแน่นอน

หลี่เสวียนหยางเป็นคนเจ้าเล่ห์และคิดเรื่องนี้ได้เช่นกัน ดังนั้นเขาใช้ฝ่ามือตบไปยังป๋ายหลี่หยวนหลงโดยไม่ลังเล

“หลี่เสวียนหยาง เจ้า…”

ป๋ายหลี่หยวนหลงโกรธมาก แม้ว่าเขาจะมีสมบัติปกป้องร่างกายของตน เขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บจากฝ่ามือนี้ แต่ร่างกายไม่มั่นคง เขาหกล้มออกไปจากช่องว่างค่ายกล

สิ่งนี้ทำให้ป๋ายหลี่หยวนหลงโมโหมาก ก่อนหน้านี้เขาถูกลอบโจมตีกลับเข้ามา และตอนนี้เขาถูกลอบโจมตีออกไปอีกครั้ง เขารู้สึกว่าตนเองกำลังจะเป็นบ้า

“ฮ่าฮ่า เป็นเจ้าอีกแล้ว!”

เกาเหลียนหงที่เฝ้าอยู่นอกค่ายพิทักษ์เขาหัวเราะร่วน เขาโยนตราขลังมังกรเขียวออกจากมืออย่างไม่ลังเล

เมื่อป๋ายหลี่หยวนหลงได้ยินเสียงหัวเราะนี้ เขาก็โกรธจัดจนกระอักเลือดออกมาเต็มปาก

“บูม!”

เขาถูกโจมตีกลับเข้าไปในค่ายพิทักษ์เขาด้วยตราขลังมังกรเขียวอีกครั้งโดยไม่ต้องสงสัย

เกาเหลียนหงเก็บตราขลังมังกรเขียวกลับมาด้วยเสียงหัวเราะ แต่ในขณะนี้มีร่างร่างหนึ่งบินออกมาจากรอยแยกของค่ายพิทักษ์เขา ผมเผ้ายุ่งเหยิงดูทรุดโทรม

เขาใช้ตราขลังสองครั้งติดต่อกัน แม้ว่าจะทานยาแล้วฟื้นฟูเล็กน้อย แต่ตอนนี้พลังจิตแท้ของเกาเหลียนหงก็ไม่เพียงพอที่จะใช้ตราขลังครั้งที่สามอีกต่อไป

ซวยล่ะ เขาแอบพูดในใจ จากนั้นชายชราผมเผ้ายุ่งเหยิงก็พุ่งมา ยกมือขึ้นใช้กระบี่ฟันแสงกระบี่ออกมา

เกาเหลียนหงตกใจ ถอยกลับอย่างรวดเร็ว ใช้วิชาล่องหนไท่เสวียน ร่างของเขาหายไปกับที่ทันที

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 491
“ฮ่าฮ่า เจ้าสำนักฉลาดจริงๆ!”

เกาเหลียนหงเห็นว่าตนเองเพิ่งมาที่นี่ก็มีคนจะหนีออกมาจากค่ายพิทักษ์เขา ด้านหนึ่งเขาประหลาดใจกับเจ้าสำนักที่คาดเดาถึงเหตุการณ์นี้ได้ ในขณะเดียวกันเขาก็ตกใจกับพลังที่แข็งแกร่งของตราขลังมังกรเขียว

“นี่คือพลังของของขลังโบราณหรือ? ด้วยผลการฝึกตนของจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 7 อย่างข้า สามารถโจมตีมกุฎยุทธ์ผู้หนึ่งได้?”

เกาเหลียนหงลูบตราขลังมังกรเขียวในมือ ในใจรู้สึกทึ่ง แต่แม้ว่าเขาจะโจมตีมกุฎยุทธ์ผู้หนึ่งให้ถอยไปได้ แต่เขาก็ถูกพลังกระแทกจนเลือดในร่างกายปั่นปวน พลังจิตแท้จริงถูกใช้ไปครึ่งหนึ่งในครั้งเดียว

เพราะนี่คือของขลังโบราณที่มีเพียงผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์เท่านั้นที่สามารถใช้ได้ตามต้องการ จำแนกตามระดับของของขลัง ของขลังนี้คือสมบัติชั้นสูง อยู่ในระดับนักยุทธ์ขั้นดินสูง

“เจ้าสำนักลึกลับและคาดเดาไม่ได้จริงๆ แม้แต่ของขลังระดับนี้ก็สามารถเอามาอยู่ในมือได้” ขณะที่เกาเหลียนหงกล่าวชมเชย เขาหยิบยาที่หลัวซิวให้ไว้ล่วงหน้าออกมาทาน ฟื้นฟูพลังจิตแท้ที่สูญเสียไป

ยาที่หลังซิวกลั่นออกมา เป็นยาบริสุทธิ์ที่มีสรรพคุณยาเพียงพอมากที่สุด หลังจากทานลงไป เกาเหลียนหงรู้สึกถึงพลังจิตแท้ในร่างกายเริ่มฟื้นฟูด้วยความเร็วที่รวดเร็วมาก

ของขลังที่หลงเหลือมาจากสมัยโบราณนั้นล้ำค่ากว่าอาวุธรบมาก แม้แต่หลี่เสวียนหยางและซุนเชียนซางผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎยุทธ์ก็ไม่มีนักยุทธ์ขั้นดินสูง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าของขลังโบราณมีค่าเพียงใด

และสมบัติชั้นสูงนั้นมีค่ายิ่งกว่า จึงไม่น่าแปลกใจที่เกาเหลียนหงจะตะลึงและประหลาดใจถึงขนาดนี้

อีกด้านหนึ่ง เจ้าสำนักฉางเหอเห็นฉากนี้ ก็ตะลึงจนดวงตาจะตกลงมาจากเป้าตา ตอนนี้เขาเข้าใจจุดประสงค์ของอีกฝ่ายมาช่วยเหลือสำนักฉางเหอแล้ว คือดักรออาจารย์มกุฎยุทธ์ที่จะหนีออกมาจากค่ายกลอยู่ข้างนอก!

“ความทะเยอทะยานของหลัวซิวใหญ่จริงๆ เขาต้องการจะกำจัดอาจารย์มกุฎยุทธ์ทั้งสามคนเลยหรือ?” เจ้าสำนักฉางเหอไม่กล้าคิดเรื่องนี้อีกต่อไป การล่วงลับของอาจารย์มกุฎยุทธ์ทั้งสาม เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศเทียนหวูมาเป็นเวลาหลายพันปีแล้ว

ในค่ายพิทักษ์เขา มังกรน้ำสีน้ำเงินแปดตัวที่มีความยาว 333กว่าเมตร กำลังพ่นไอน้ำออกมา ดูเหมือนเหมือนมังกรจริงและดุร้าย

หลี่ฉางเหอเป็นผู้ควบคุมอยู่บนยอดเขาเทียนเหอ ควบคุมผนึกค่ายพิทักษ์เขา สร้างมังกรน้ำทั้งแปดตัว ความแข็งแกร่งของมังกรน้ำแต่ละตัวเทียบได้กับระดับมกุฎยุทธ์ผู้หนึ่ง!

แบบนี้แล้ว หลี่เสวียนหยางและซุนเชียนซาง เทียบเท่ากับในขณะเดียวกันนั้นเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่ง 8 คนในระดับเดียวกัน ในเวลาสั้นๆ ใบหน้าของพวกเขาซีดเผือดได้รับบาดเจ็บสาหัส

“ป๋ายหลี่หยวนหลง เกิดอะไรขึ้น?” หลี่เสวียนหยางตะคอกถามอย่างเคร่งขรึม

เมื่อสักครู่นี้ เขาและซุนเชียนซางต่อต้านการโจมตีของค่ายพิทักษ์เขาสุดกำลัง ขณะที่ป๋ายหลี่หยวนหลง ทำลายค่ายกลด้วยพลังทั้งหมดของเขา และในที่สุดก็ฉีกช่องว่างออกมาได้อย่างยากลำบาก เพิ่งออกไปก็ถูกโจมตีกลับเข้ามาอีกครั้ง ช่องว่างก็ปิดลงทันที ทำให้ใจเขาและซุนเชียนซางมีขึ้นๆลงๆ

“บัดซบ ข้าจะรู้ได้อย่างไร? มีคนเฝ้าอยู่ข้างนอก ข้าเพิ่งออกไปก็ถูกโจมตีกลับเข้ามา!” ป๋ายหลี่หยวนหลงพูดอย่างโกรธจัด

“แย่ล่ะ! ไอ้เฒ่าหลี่ฉางเหอคนนี้ใช้เล่ห์กลกับพวกข้า หรือว่าไอ้เฒ่านั่นได้เชิญมกุฎยุทธ์ผู้อื่นมาดักรอพวกข้าอยู่ข้างนอก?” สีหน้าของซุนเชียนซางเปลี่ยนไปทันที

เพราะโจมตีป๋ายหลี่หยวนหลงให้กลับเข้าไปในค่าย ฝ่ายตรงข้ามจะต้องเป็นผู้แข็งแกร่งระดับเดียวกัน

แต่ป๋ายหลี่หยวนหลงกลับกล่าวด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึม “ไม่ใช่มกุฎยุทธ์แต่เป็นจักรพรรดิยุทธ์คนหนึ่ง ใช้ตราขลังที่ทรงพลัง และพลังของตราขลังแข็งแกร่งมาก”

ขณะที่พูด มังกรน้ำทั้งแปดตัวพุ่งมาอีกครั้ง และพลังธาตุน้ำมากมายยังคงผนึกรวมกันอยู่ในค่ายไม่หยุด มังกรน้ำตัวที่เก้ากำลังจะผนึกรวมตัวกันสำเร็จแล้ว

คราวนี้ ภายใต้การควบคุมของหลี่ฉางเหอ ความแข็งแกร่งที่เทียบเท่ากับมกุฎยุทธ์ของมังกรน้ำแปดตัวต่างก็พุ่งเข้าหาซุนเชียนซาง ซึ่งอ่อนแอที่สุดในบรรดาทั้งสามคน

“แย่แล้ว! เขาต้องการที่จะกำจัดทีละคน!” สีหน้าของหลี่เสวียนหยางและป๋ายหลี่หยวนหลงเปลี่ยนไป แต่พวกเขาได้รับผลกระทบจากค่ายกลใหญ่ อยากจะช่วยซุนเชียนซางก็สายเกินไปแล้ว

“ไม่!…”

ซุนเชียนซางคำราม ทันทีที่เขาต่อต้าน เขาก็ถูกมังกรน้ำแปดตัวพุ่งเข้าใส่ เลือดกระเซ็นร้องครวญครางอย่างเจ็บปวด

ในชั่วพริบตา ร่างกายของซุนเชียนซางก็ถูกกรงเล็บและฟันของมังกรน้ำฉีกเป็นชิ้นๆ ร่างของเขาเต็มไปด้วยเลือดและเศษชิ้นเนื้อ เหลือเพียงกระดูกเท่านั้น

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 490
การต่อสู้กับหยูเชียนฮั่ว ทำให้ หลัวซิวได้รับบาดเจ็บสาหัส แม้จะมีพลังสองระดับความเป็นตายและพลังผู้เป็นอมตะ ก็ไม่สามารถช่วยให้เขาฟื้นตัวได้เต็มที่ในช่วงเวลาสั้น ๆ ดังนั้นเขาจึงต้องส่งเกาเหลียนหงไปช่วยเหลือ

เกาเหลียนหงนั้นอยู่ในแดนจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 7 แม้จะลำบากไม่หน่อยแต่ก็สามารถใช้ตราขลังมังกรเขียวได้ ด้วยตราประทับเดียว แม้ว่าเขาจะไม่สามารถทำร้ายผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์ได้ แต่ก็ไม่ยากที่จะโจมตีฝ่ายตรงข้ามให้ถอยกลับตกเข้าไปในค่ายพิทักษ์เขา

“หยูเชียนฮั่วตายแล้ว แค่จัดการหลี่เสวียนหยาง ตัวปัญหาผู้นี้ทิ้ง ก็จะเป็นเวลาที่สำนักไท่เสวียนของข้าเปิดสำนักเขา!”

หลัวซิวกลับมาปิดกั้นรักษาบาดแผลในหอฝึกฝนในแดนปริศนาต่อ แม้ว่าอาการสาหัสมากกับการต่อสู้กับหยูเชียนฮั่ว แต่ก็เป็นโชคของเขา การกระตุ้นเป็นอมตะ หลังจากที่อาการบาดเจ็บหายดี ผลการฝึกฝนของเขาก็จะเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งขั้นจากเดิม!

ตามคำสั่งของหลัวซิว เกาเหลียนหงรีบไปที่บริเวณเขาเทียนเหอ ซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักฉางเหอด้วยความเร็วที่เร็วที่สุด

เมื่อมองขึ้นไป ท้องฟ้าเหนือแม่น้ำใหญ่ ภายใต้การนำของเจ้าสำนักฉางเหอ ศิษย์ของสำนักฉางเหอทั้งหลายกำลังขับเรือรบสองลำ ต่อสู้ระยะประชิดอย่างดุเดือดฆ่าฟันกับศิษย์หลายร้อยคนที่นำมาโดยเจ้าสำนักเสวียนหยาง

เกาเหลียนหงบินอยู่กลางอากาศพร้อมกับตราขลังในมือ รัศมีของผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์แผ่ซ่านไปทั่วกายของเขา ทำให้เจ้าสำนักฉางเหอและเจ้าสำนักเสวียนหยางต่างก็ตะลึงงัน

พวกเขาทั้งหมดสามารถสัมผัสได้ว่าแข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ที่ไม่รู้จักนี้ มีผลการฝึกฝนที่สูงกว่าพวกเขาสองคนมาก และไม่รู้ว่าเขาเป็นศัตรูหรือมิตร

ดังนั้นทั้งเจ้าสำนักฉางเหอและเจ้าสำนักเสวียนหยางต่างไม่กล้าที่จะทำอะไรทั้งนั้น

แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาประหลาดใจก็คือจักรพรรดิยุทธ์ ที่ไม่รู้จักผู้นั้น ไม่ได้โจมตีกับฝ่ายใดเลย แต่บินตรงไปยังม่านแสงของค่ายพิทักษ์เขาที่ปกคลุมเขาเทียนเหอ

“สหายผู้นี้ชื่ออะไร ไม่รู้ว่าเป็นศัตรูหรือมิตรกับสำนักฉางเหอของเรา?”เจ้าสำนักฉางเหอตะโกนถามเสียงดัง

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เกาเหลียนหงก็หยุดบินพร้อมคิดในใจว่าเจ้าสำนักเคยบอกข้าว่าสำนักฉางเหอเป็นพันธมิตร และคนผู้นี้น่าจะเป็นเจ้าสำนักของสำนักฉางเหอ

เขามองไปที่เจ้าสำนักฉางเหอและพูดเสียงดังว่า “ข้าคือผู้คุมกฎของสำนักไท่เสวียน เกาเหลียนหง ได้รับคำสั่งจากเจ้าสำนักมาช่วยสำนักฉางเหอ”

“ไท่เสวียน?” เจ้าสำนักฉางเหอตกใจเล็กน้อย สักพักเขาก็ตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าเขาจำได้ว่าครั้งแรกที่หลัวซิวมา เขาเรียกตัวเองว่าเป็นเจ้าสำนักไท่เสวียน

เรื่องนี้ทำให้เจ้าสำนักฉางเหอดูประหลาดใจ ไม่รู้ว่าหลัวซิวเชิญผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ช่วงปลายผู้นี้มาเป็นผู้คุมกฎได้อย่างไร

แม้แต่สำนักฉางเหอและสำนักเสวียนหยาง ก็ไม่มีผู้แข็งแกร่งระดับนี้ ยกเว้นอาจารย์มกุฎยุทธ์ ผลการฝึกตนสูงสุดคือเขาและเจ้าสำนักเสวียนหยาง ก็ถึงเพียงแดนจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 4 เท่านั้นเอง

นอกจากนี้ เจ้าสำนักฉางเหอยังรู้ด้วยว่าอาการบาดเจ็บของอาจารย์สามารถฟื้นตัวได้เพราะพึ่งยาที่หลัวซิวให้ ในเมื่อคนผู้นี้เป็นผู้คุมกฎของนักไท่เสวียน เขาจึงเป็นพวกของหลัวซิว เป็นมิตรไม่ใช่ศัตรู

หลังจากนั้น เจ้าสำนักฉางเหอก็สงสัยอีกครั้ง เพราะเกาเหลียนหงผู้ผู้คุมกฎของสำนักไท่เสวียน กล่าวว่าเขามาที่นี่เพื่อช่วยเขา แต่ทำไมเขาไม่ทำอะไรเลยแค่ยืนนิ่งเหม่ออยู่นอกค่ายพิทักษ์เขาล่ะ?

เห็นเพียงเกาเหลียนหง มือข้างหนึ่งไขว้อยู่ข้างหลังและอีกมือหนึ่งถือตราขลังมังกรเขียว มองไปที่ค่ายพิทักษ์เขาด้วยความสนใจ

ทันใดนั้น ม่านแสงค่ายกลสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง รอยแตกถูกฉีกออกอย่างแรง ร่างๆหนึ่งบินออกมา คือป๋ายหลี่หยวนหลง

ก่อนที่ป๋ายหลี่หยวนหลงจะหายใจเข้า ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกถึงอันตราย เงาสีดำขนาดใหญ่ปกคลุมเหนือศีรษะเขา

“ผู้ใดกล้าโจมตีข้า”

ป๋ายหลี่หยวนหลงคำรามอย่างโกรธจัด เงยหน้าขึ้นมอง เห็นเพียงเนินเขาสีเขียวเล็กๆ กระแทกมาที่ศีรษะเขา

เขาผนึกรวมพลังจิตแท้พร้อมตบฝ่ามือออกไปทันที แต่เนินเขาสีเขียวอ่อนนั้นหนักมาก เกิดแรงมหาศาลทำให้ร่างของเขาไม่สามารถยืนหยัดได้ในทันที เขาตกเข้าไปในรอยแตกของม่านแสงค่ายกลอีกครั้ง

“ไอ้สารเลว!” ป๋ายหลี่หยวนหลงแทบอาเจียนออกมาเป็นเลือด เขาออกจากค่ายพิทักษ์เขาไม่ง่ายเลย กลับถูกทุบกลับเข้าไปอีกครั้ง

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 489
ก่อนที่พวกเขาจะหนีออกไปได้ ช่องว่างที่เกิดจากรอยร้าวในค่ายพิทักษ์เขาก็หายสนิท ม่านแสงเบ่งบานด้วยแสงสีน้ำเงินที่เจิดจ้าอย่างยิ่ง

พลังธาตุน้ำอุดมสมบูรณ์ที่ไหลเชี่ยวไปยังแม่น้ำนี้ ผนึกรวมกลายเป็นค่ายกลคุ้มเขาของสำนักฉางเหอ พลังจะแข็งแกร่งกว่าค่ายกลใหญ่สำนักเขาของสำนักเสวียนหยาง

แม้แต่ผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์ช่วงปลาย หากไม่มีวิธีการพิเศษ ติดอยู่ในค่ายพิทักษ์เขานี้ ก็ยากที่จะหลบหนีออกไปได้

บูม!

ในแม่น้ำ คลื่นลูกใหญ่ซัดตัวออกไป ด้วยความสูงหลายสิบฟุต ซัดเข้าหาหลี่เสวียนหยางและป๋ายหลี่หยวนหลงทั้งสามคน

“เจ้าสองคนต่อต้านการโจมตีของค่ายกล ข้ามาทำลายม่านแสงของค่ายกล มิฉะนั้น เราสามคนจะไม่มีผู้ใดที่สามารถหนีรอดไปได้!”

สีหน้าของป๋ายหลี่หยวนหลงเคร่งขรึม ไม่ว่าอย่างไร เขาเป็นปรมาจารย์นักค่ายกลระดับ 7 แม้ว่าค่ายพิทักษ์เขานี้จะแข็งแกร่ง แต่ก็ยังไม่สามารถพันธนาการเขาไว้ได้

ในกลางแดนตำหนักจื่อหอฝึกฝน หลัวซิวใช้เวลาเกือบสองวันในการฟื้นตัว แม้ว่าจะใช้เวลานานกว่าจะฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บอย่างเต็มที่ แต่ก็ควบคุมอาการบาดเจ็บได้แล้วและจะไม่ทรุดลงต่อไป

“คำนวณเวลาแล้ว พวกหลี่เสวียนหยางน่าจะโจมตีสำนักฉางเหอแล้ว ตามแผนเดิม ควรจะเป็นข้าไปที่นั่นด้วยตนเอง แต่ตอนนี้อาการบาดเจ็บของข้ายังไม่หาย สามารถใช้พลังได้เทียบเท่ากับราชายุทธ์ธรรมดา”

หลัวซิวลุกขึ้นอย่างช้าๆในห้องลับ หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย ดวงตาของเขาเป็นประกาย เขาเดินออกจากห้องลับด้วยรอยยิ้ม

หลังจากนั้นไม่นาน เขาเดินออกจากแดนตำหนักจื่อ มาที่ตำหนักวัฏจักร

“เจ้าสำนัก ท่านเรียกข้าหรือ?” ไม่นานเกาเหลียนหงผู้ได้รับข้อความก็มาถึงห้องโถงตำหนักวัฏจักร คารวะหลัวซิว “ไม่รู้ว่าเจ้าสำนักวางแผนจะเปิดสำนักเขาเมื่อใดขอรับ? สำนักไท่เสวียนของเรา มีแมวตัวใหญ่แมวตัวเล็ก โทรมเกินไปหรือไม่ขอรับ?”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลัวซิวยิ้มโดยไม่ปฏิเสธ เขารู้ว่าเกาเหลียนหงกระตือรือร้นที่จะพัฒนาสำนักไท่เสวียนให้ใหญ่โต

“ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลา แต่ก็ใกล้ถึงเวลาเปิดสำนักแล้ว ข้าเรียกเจ้ามา มีเรื่องหนึ่งที่ต้องการให้ผู้ผู้คุมกฎเกาไปทำ”

หลัวซิวพูดด้วยรอยยิ้ม จากนั้นยกมือขึ้นพลิกฝ่ามือ มีตราขลังมังกรเขียวปรากฏอยู่ในมือ เขายกมือขึ้นแล้วโยนให้เกาเหลียนหงที่อยู่ด้านล่าง

เกาเหลียนหงเอื้อมมือรับมา สีหน้าดูงุนงง “นี่สมบัติอะไรขอรับ?”

“นี่คือสมบัติชิ้นหนึ่ง ชื่อว่าตราขลังมังกรเขียว เจ้าเพียงแค่สิ่งพลังจิตแท้เข้าไปข้างใน มังกรเขียวก็จะพันธนาการคู่ต่อสู้ไว้ตราขลังจะทุบคู่ต่อสู้ ทรงพลังอย่างยิ่ง”

หลัวซิวพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เอาสมบัตินี้เขาเทียนเหอ ถ้ามีใครออกมาจากค่ายพิทักษ์เขาของสำนักฉางเหอ เจ้าก็ทุบผู้นั้นด้วยตราขลังมังกรเขียว”

หลังจากนั้น หลัวซิวหยิบยาออกมาอีกขวดหนึ่ง โยนให้เกาเหลียนหง “ในนี้คือยาที่สามารถฟื้นฟูพลังจิตแท้ของเจ้าได้อย่างรวดเร็ว เพราะเจ้าควบคุมใช้งานตราขลังมังกรเขียวด้วยผลการฝึกฝนของเจ้า จะทำให้พลังจิตแท้ลดลงมากเกินไป”

“ง่ายขนาดนี้เลยหรือขอรับ?” เกาเหลียนหงเบิกตากว้าง ไม่รู้ว่าในใจหลัวซิวกำลังคิดอะไรอยู่ ให้เขาใช้สมบัติทุบผู้อื่น แล้วยังไม่บอกชัดเจนด้วยว่าทุบผู้ใดกันแน่

หลัวซิวไม่ได้อธิบายเรื่องนี้มากนัก แต่เพียงกล่าวว่าให้เขาออกเดินทางทันที

หลังจากที่เกาเหลียนหงออกไปแล้ว หลัวซิวก็เข้าสู่แดนตำหนักจื่ออีกครั้ง เพื่อดำเนินการรักษาต่อไป

ดิมทีตามแผนของเขา หลังจากที่อาจารย์สำนักฉางเหอได้รับยาวาตะทองน้้ำค้างหยก อาการบาดเจ็บของเขาจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็วในระยะเวลาอันสั้น

อาจารย์สำนักฉางเหอต้องการจัดการหลี่เสวียนหยาง ซุนเชียนซางและป๋ายหลี่หยวนหลง แน่นอนว่าเขาจะต้องแสร้งทำเป็นว่าอาการบาดเจ็บยังไม่หาย ใช้กลอุบายเชิญพวกเขาเข้ามา เพื่อฆ่ามกุฎยุทธ์สามคนนั้นในคราวเดียว

อย่างไรก็ตาม หลัวซิวรู้ดีว่า ป๋ายหลี่หยวนหลงเป็นปรมาจารย์นักค่ายกลขั้น 7 ค่ายพิทักษ์เขาของสำนักฉางเหอต้องการจับทั้งสามให้อยู่ในค่ายกล ต้องไม่ง่ายแน่

ดังนั้น หลัวซิววางแผนไว้ว่าตัวเขาเองจะดักรออยู่นอกค่ายพิทักษ์เขา เพื่อที่หลี่เสวียนหยางและป๋ายหลี่หยวนหลงทั้งสามไม่สามารถหลบหนีไปได้

เพราะค่ายพิทักษ์เขาไม่ใช่ค่ายกลธรรมดา แม้ว่าป๋ายหลี่หยวนหลงจะสามารถทะลุผ่านค่ายกลนั้นได้ ก็ต้องยากมากเช่นกัน หากใครโจมตีเขาในเวลานี้ เรื่องที่ทำก่อนหน้านี้ทั้งหมดจะสูญเปล่าไป และตกลงไปในค่ายพิทักษ์เขาอีกครั้ง

พฤติกรรมแบบนี้เทียบเท่ากับฉวยโอกาสทำร้ายผู้อื่นเมื่อตกอยู่ในอันตราย แต่ไม่ใช่ว่าใครก็สามารถฉวยโอกาสทำร้ายอีกฝ่ายได้ เพราะอีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎยุทธ์

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 488
“หลี่ฉางเหอ สหายเก่ามาก็ไม่ออกมาพบหรือ?”

ซุนเชียนซางตะโกนเสียงดัง พวกเขาไม่เห็นอาจารย์สำนักฉางเหอปรากฏตัว ก็มั่นใจมากขึ้นว่าอาการบาดเจ็บของหลี่ฉางเหอยังไม่หาย

เห็นแต่ป๋ายหลี่หยวนหลงได้เริ่มทำลายค่ายกลแล้ว วิธีการทำลายค่ายกลคุ้มเขาระดับ 7 นั้นแตกต่างจากของหลัวซิว เขาสร้างค่ายกลขั้น 7 ด้วยธงค่ายกลมากกว่า 100 ธงค่าย เพียงทำลายลายเส้นค่ายกลส่วนหนึ่งของค่ายพิทักษ์เขาของสำนักฉางเหอ ก็สามารถทำให้การทำงานของค่ายพิทักษ์เขานี้ไม่เป็นระบบและไม่สามารถทำงานได้ตามที่ควร

และวิธีการทำลายค่ายพิทักษ์เขาของหลัวซิว คือการหยุดการทำงานของค่ายกล ซึ่งเป็นวิธีที่ฉลาดกว่ามาก

เพราะวิธีค่ายกลของหลัวซิว มาจากจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำ ซึ่งเป็นปรมาจารย์นักค่ายกลระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 9 ในสมัยโบราณ!

“มรสุมเมฆาม้วน!”

หลังจากสร้างธงค่ายกลเสร็จสมบูรณ์ ป๋ายหลี่หยวนหลงบีบผนึกการก่อตัวในมือของเขา และการก่อตัวของแสงที่พันกันจากอากาศบาง ๆ กลายเป็นพายุทอร์นาโดขนาดใหญ่ ซึ่งกระแทกม่านแสงของการก่อตัวของการป้องกันภูเขาที่ ประตูฉางเหอ

“มรสุมเมฆาม้วน!”

หลังจากสร้างธงค่ายเสร็จสิ้น ป๋ายหลี่หยวนหลงใช้นิ้วมือสร้างผนึก เกิดแสงที่พันกันกลางอากาศ กลายเป็นพายุทอร์นาโดขนาดใหญ่ กระแทกเข้ากับม่านแสงค่ายพิทักษ์เขาของสำนักฉางเหอ

เกิดเสียงดังก้องกังวานไม่สิ้นสุด ม่านแสงค่ายพิทักษ์เขาสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง มีรอยแตกปรากฏขึ้นในพื้นที่ขนาดใหญ่ ซึ่งดูเหมือนจะแตกหักได้ทุกเมื่อ

“ทั้งสองท่าน ช่วยข้าด้วย”ป๋ายหลี่หยวนหลงหันไปมองหลี่เสวียนหยางและซุนเชียนซาง

หลี่เสวียนหยางพยักหน้าทันทีและกระบี่รบขั้นดินกลางก็ปรากฏขึ้นมาในฝ่ามือของเขา และฟันหมู่แสงกระบี่สีทองที่มีความยาว 20 ฟุตออกมา ที่ที่แสงกระบี่ผ่านไป โซนถูกฉีกออกจากกันจนเกิดเป็นถ้ำสีดำสนิท

ซุนเชียนซางก็เริ่มช่วยพร้อมกัน พลังจิตแท้ผนึกรวมอยู่กลางอากาศ กลายเป็นมือขนาดใหญ่ โจมตีเข้ากับม่านแสงค่ายพิทักษ์เขา

บูม!

เดิมทีม่านแสงค่ายกลที่ดูเหมือนเกือบจะพังทลาย ภายใต้การโจมตีของผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์สองท่าน ช่องว่างแตกร้าวขยายออกทันที ช่องว่างที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่าสามเมตรปรากฏขึ้นบนม่านแสงค่ายกล

ผลที่ตามมาก็คือ การทำงานของค่ายพิทักษ์เขาได้รับผลกระทบ ม่านแสงเริ่มสลัว พลังการป้องกันของค่ายกลลดลงมากกว่าครึ่ง พลังการป้องกันสามารถเทียบเท่ากับการค่ายกลขั้น 7 ธรรมดาเท่านั้น

“โจมตี!”

ป๋ายหลี่หยวนหลงหัวเราะเสียงดัง แล้วพุ่งไปก่อนคนแรก

พลังค่ายกลป้องกันเทียบเท่ากับค่ายกลขั้น 7 ธรรมดา สำหรับมกุฎยุทธ์ทั้งสามนั้นไม่นับว่าอะไร

หลี่เสวียนหยางและซุนเชียนซางต่างแสดงรอยยิ้มออกมาบนใบหน้า พวกเขาใช้วิชาหลบหนี บินไปยังช่องว่างที่ม่านแสงถูกแยกออก

และเหล่าศิษย์ของสำนักฉางเหอบนยอดเขาเทียนเหอ เห็นว่าค่ายพิทักษ์เขาถูกทำลาย ต่างแสดงอาการกลัวผสมกับตกใจออกมา ทันทีที่ผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์ทั้งสามเข้ามาในค่ายกลได้ รากฐานพันปีของสำนักฉางเหอกลัวจะถูกทำลายลงในคราวเดียว

มีเพียงเจ้าสำนักฉางเหอเท่านั้นที่กำหมัดแน่น แอบนึกในใจ ทุกอย่างเป็นไปตามแผนของอาจารย์ หวังว่าท่านอาจารย์จะสามารถพลิกสถานการณ์ตอนนี้ได้…

ในขณะที่หลี่เสวียนหยาง ป๋ายหลี่หยวนหลงและซุนเชียนซาง สามมกุฎยุทธ์เพิ่งบุกเข้าไปในค่ายกล เสียงเยาะเย้ยก็ดังขึ้นมาจากพื้นที่ต้องห้ามด้านหลังเขาเทียนเหอ

“สหายยุทธ์ทั้งสาม ข้ารอมานานแล้ว!”

ทันใดนั้น เดิมทีม่านแสงค่ายกลที่สลัว จู่ๆม่านแสงก็สว่างขึ้น ช่องว่างขนาดใหญ่ที่ถูกฉีกออกจากกันก็กลับคืนมาอย่างรวดเร็วด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

สีหน้าของป๋ายหลี่หยวนหลงเปลี่ยนไปทันที “มีผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎยุทธ์ที่กำลังควบคุมค่ายคุ้มเขา!”

เขามองไปที่หลี่เสวียนหยางอย่างเย็นชา “เจ้าบอกว่าหลี่ฉางเหอได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่สามารถเป็นผู้ควบคุมค่ายพิทักษ์เขาได้ไม่ใช่หรือ?”

สีหน้าหลี่เสวียนหยางเปลี่ยนไปด้วย “เป็นไปไม่ได้ ในเวลานั้นข้ากับถาวเฒ่าประหลาด โจมตีพร้อมกันทำให้เขาบาดเจ็บสาหัส หากหลี่ฉางเหอต้องการที่จะฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสิบปี!”

แน่นอน หลี่เสวียนหยางก็เข้าใจด้วยว่า หากหลี่ฉางเหอได้ยารักษาตัวระดับ 7 เขาก็จะสามารถฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บได้ภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน

แต่ในพื้นที่นี้ของประเทศเทียนหวูนี้ ไม่มีนักกลั่นยาระดับ 7ด้วยซ้ำ หลังจากฝานไท่เต๋อหายตัวไป แม้แต่ยาระดับ 6เม็ดหนึ่งก็หายากมาก อย่าว่าถึงยาระดับ 7เลย?

“รีบออกไปเร็ว!”

ป๋ายหลี่หยวนหลงไม่มีเวลาโต้เถียงกับหลี่เสวียนหยางต่อไป เขากลายเป็นแสงหลบหนีทันที และต้องหลบหนีออกจากค่ายพิทักษ์เขานี้ เมื่อพลังของค่ายพิทักษ์เขาขั้น 7 ฟื้นคืนชีพอย่างสมบูรณ์ ต้องการหนีออกไปก็ยากแล้ว

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 487
ในเวลาเดียวกัน ห่างออกไปหลายล้านไมล์ในเทือกเขาเหิงหยุน ผู้อาวุโสหกของตระกูลหยู ที่ดูแลห้องโถงบรรพบุรุษสีหน้าของเปลี่ยนไปในทันที!

เพราะตะเกียงวิญญาณที่วางไว้ที่ด้านบนสุดในห้องโถงบรรพบุรษ วูบ ดับลงไป!

และเจ้าของตะเกียงวิญญาณนี้คืออาจารย์ของตระกูลหยู หยูเชียนฮั่ว!

ตะเกียงวิญญาณมี 2 แบบ แบบแรกคือตะเกียงวิญญาณโบราณ ผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ขึ้นไป จะทิ้งเส้นใยเทพจิตไว้บนตะเกียงวิญญาณ ทันทีที่ร่างกายเสียชีวิต ตะเกียงวิญญาณจะปกป้องเส้นใยเทพจิตนี้ไว้ ยังมีความหวังเกิดใหม่อีกครั้ง

วิธีลับในการกลั่นตะเกียงวิญญาณโบราณนี้หายสาบสูญไปนานแล้ว จะได้มาหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับโชค น้อยคนนักที่จะมีผู้ขายสิ่งที่สามารถช่วยชีวิตแบบนี้

นอกจากนี้ยังมีตะเกียงวิญญาณชนิดหนึ่ง เฉพาะปรมาจารย์นักค่ายกลขั้น 7 เท่านั้นที่สามารถกลั่นสมบัติค่ายกลได้ เส้นใยตราวิญญาณที่ประทับอยู่ในตะเกียงวิญญาณ ตะเกียงวิญญาณก็จะสว่างขึ้นเหมือนจุดเทียน ทันทีที่เปลวเทียนดับ แปลว่า เจ้าของตะเกียงวิญญาณ ล่วงลับแล้ว!

ฝานไท่เต๋อและเจ้าตำหนักจื่อในตอนนั้น ได้รับตะเกียงวิญญาณโบราณโดยบังเอิญ และแม้ว่าตระกูลหยูจะแข็งแกร่งกว่า แต่ก็ไม่มีโชคเช่นนั้น แม้แต่อาจารย์มกุฎยุทธ์ก็ใช้ตะเกียงวิญญาณธรรมดา

“อาจารย์ล่วงลับไปแล้ว…”

ผู้อาวุโสหกของตระกูลหยู รู้สึกว่าริมฝีปากของตนสั่นไม่หยุด พูดติดขัด

“เร็ว…ส่งคนไปแจ้งผู้ก่อตั้งตระกูลหยู!”

ตอนนี้ ในบรรดาผู้อาวุโสของตระกูลหยู เหลือเพียงเขาและผู้อาวุโสใหญ่เท่านั้น และผู้อาวุโสใหญ่ได้รับบาดเจ็บสาหัสหมดสติอยู่ อาจารย์ล่วงลับ ท่านผู้นั้นเป็นหัวหน้าหลักคนเดียวในทั่วทั้งตระกูลหยูแล้ว

เนื่องจากอาจารย์ล่วงลับตระกูลหยูอยู่ในความโกลหลวุ่นวาย ผู้คนต่างก็ตื่นตระหนก หลัวซิปิดกั้นรักษาบาดแผลของตน

อยู่ในหอคอยกลางของแดนปริศนา

อีกด้านหนึ่ง บนยอดเขาเทียนเหอแห่งสำนักฉางเหอ การต่อสู้ครั้งใหญ่ กำลังจะเกิดขึ้น

“หลี่ฉางเหอ หากเจ้าไม่ต้องการทำลายรากฐานนับพันปีของสำนักฉางเหอ แนะนำให้เจ้าเลิกต่อต้านจะดีที่สุด”

ด้านนอกของค่ายกลพิทักษ์เขา หลี่เสวียนหยาง ซุนเชียนซาง ป๋ายหลี่หยวนหลง สามผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์ยืนอยู่กลางอากาศด้วยออ่ร่าพลานุภาพ

เบื้องหลังของคนทั้งสาม คือ เจ้าสำนักเสวียนหยาง พร้อมด้วยศิษย์มากกว่า 200 คน ยืนอยู่บนดาดฟ้าของเรือรบทั้งสองลำ ทั้งหมดต่างปล่อยออร่าแห่งการสังหารออกมา

ในม่านแสงของค่ายกลพิทักษ์ มีเรือรบสองลำลอยอยู่เหนือเขาเทียนเหอ เจ้าสำนักฉางเหอพร้อมศิษย์ในสำนักเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้

“หลี่เสวียนหยาง เจ้าไม่สมกับที่เป็นอาจารย์มกุฎยุทธ์เลย ที่ลักลอบโจมตีอาจารย์ของพวกข้าอย่างไร้ยางอาย อยากให้สำนักฉางเหอของข้าก้มศีรษะคำนับเจ้า อย่าแม้แต่จะคิด!” เจ้าสำนักฉางเหอตะโกนเสียงดัง

“ฮึ่ม ดื้อรั้น นึกว่าหลบอยู่ในค่ายพิทักษ์เขาก็จะปลอดภัยแล้วหรือ?” สีหน้าของหลี่เสวียนหยางเคร่งขรึม

ในฐานะที่เป็นอาจารย์มกุฎยุทธ์ ต่างก็ไม่อยากขายหน้ากันทั้งนั้น ก่อนหน้านี้เขาและตำหนักจื่อตาเฒ่าประหลาดลอบโจมตีหลี่ฉางเหอด้วยกัน นับว่าขายหน้า ถูกคนอื่นพูดถึงทำให้เขารู้สึกอับอายเล็กน้อย

แต่เมื่อเทียบกับการขายหน้าแล้ว ประโยชน์สำคัญกว่า หากได้รับหินตรีภพมา ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้มันเอง เขาก็สามารถใช้มันเพื่อแลกเปลี่ยนสิ่งที่เขาต้องการจากกองกำลังขนาดใหญ่เหล่านั้นได้

“ศิษย์พี่หลี่ จะไปพูดเรื่องไร้สาระกับพวกคนอ่อนแอสถานะต่ำต้อยเช่นนี้ทำไม รอข้าทำลายค่ายกลนี้แล้ว ก็สามารถกำจัดพวกอ่อนแอสถานะต่ำต้อยนี้ได้ด้วยการโบกมือ”

ป๋ายหลี่หยวนหลงยิ้มอย่างเฉยเมย จากนั้นยกมือขึ้นเหวี่ยงออก รังสีของแสงก็พุ่งออกมาจากวงแหวนเก็บของ มีทั้งหมดหลายร้อยแสง ตกลงไปในทิศทางที่ไม่เหมือนกัน

“สหายยุทธ์ป๋ายหลี่ ทั้งหมดนี้ พึ่งเจ้าแล้วนะ!” หลี่เสวียนหยางคารวะ

“ฮ่าฮ่า ไม่ต้องกังวล แค่ไม่มีผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎยุทธ์ที่ควบคุมด้วยตนเอง มันก็ไม่ยากที่จะทำลายค่ายกลคุ้มเขาระดับ 7 ” ป๋ายหลี่หยวนหลงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

ค่ายกลที่มีคนควบคุม เรียกว่าค่ายผุดชีวี ค่ายกลที่ไม่มีคนควบคุมคือ ค่ายมรณะ

ค่ายกลเหมือนกัน ค่ายมรณะจะทำลายลงไปได้ง่ายกว่าค่ายผุดชีวี

แม้ว่าจะเป็นค่ายผุดชีวี ก็ขึ้นอยู่กับผู้ที่ควบคุม ความแข็งแกร่งของผลการฝึกฝนเป็นยังไง ค่ายพิทักษ์เขาระดับ 7 มกุฎยุทธ์เป็นผู้ควบคุม กับจักรพรรดิยุทธ์เป็นผู้ควบคุมความแตกต่างจะห่างกันมากเช่นกัน

เพราะรู้ว่าอาจารย์มกุฎยุทธ์ของสำนักฉางเหอได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่สามารถมาเป็นผู้ควบคุมค่ายพิทักษ์เขาได้ ป๋ายหลี่หยวนหลงจึงกล้าพูดว่าเขามีความมั่นใจอย่างยิ่งที่จะทำลายค่ายกลใหญ่นี้ได้

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 486
แก่นร่างทองสามารถนำมากลั่นยาได้ หยูเชียนฮั่วผู้นั้นเป็นผู้แข็งแกร่งแดนมกุฎยุทธ์ขั้น 4 ใช้แก่นร่างทองของเขากลั่นเป็นยาระดับ 7 สามารถทำให้ผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎยุทธ์ขั้นปฐมภูมิ เพิ่มแดนเล็กหนึ่งได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่อยู่ในแดนมกุฎยุทธ์ขั้น 3 ยิ่งมีโอกาสมากที่จะผ่านเข้าไปถึงแดนแข็งแกร่งแดนมกุฎยุทธ์ขั้น 4

แต่อยากกลั่นแก่นร่างทองให้กลายเป็นยาระดับ 7 ต้องการยาวิเศษระดับ 7 หลายอย่าง หลัวซิวไม่มีอยู่ในมือ หากไปซื้อ อย่าพูดถึงยาวิเศษระดับ7เป็นยาที่หายาก ก็ยังเป็นยาที่ไม่ขายอีกด้วย

แม้ว่าแก่นร่างทองสามารถนำมากลั่นได้โดยตรง แต่สรรพคุณจะลดลงอย่างมาก แค่สามารถดูดซับพลังจิตแท้และตัวสำนึกในแก่นร่างทองได้ประมาณสามส่วน และอีกเจ็ดส่วนจะหายไป

หลัวซิวเชี่ยวชาญวิชาฝึกจิตไท่เสวียน สามารถปรับปรุงผลของการกลั่นได้ เขาสามารถกลั่นพลังจิตแท้ ตัวสำนึกในนั้นได้ประมาณหกส่วน และจะกระจายหายไปประมาณสี่ส่วน

ไม่ว่าในกรณีใด แก่นร่างทองนี้เป็นสมบัติล้ำค่าสำหรับหลัวซิวในตอนนี้ ซึ่งสามารถทำให้เขาสามารถเพิ่มการฝึกฝนของตนได้อย่างรวดเร็ว

“คราวนี้ได้รับบาดเจ็บสาหัส สามารถกระตุ้นผู้เป็นอมตะได้แล้วนะ?”หลัวซิวคิดในใจ

ในการต่อสู้แบบตัวต่อตัวกับหยูเชียนฮั่วครั้งนี้ พูดได้ว่าหลัวซิวเดินอยู่บนขอบความตาย หากในท้ายที่สุดหยูเชียนฮั่วไม่ได้ สะเพร่า คนที่เสียชีวิตจะต้องเป็นตัวเขาเองอย่างแน่นอน

“แม้ว่าผลกระทบที่เกิดจากการกระตุ้นผู้เป็นอมตะจะรู้สึกดีมาก แต่เงื่อนไขในการกระตุ้นก็ยากเกินไปหน่อย”

หลัวซิวส่ายหัวด้วยรอยยิ้มเหนื่อยใจ ยื่นมือดึงกระบี่มังกรทองที่แทงเข้าไปในตันเถียนออกมา

เมื่อมองเข้าไปข้างในด้วยตัวสำนึก เขาพบว่า ถึงแม้ว่ายาเทพจิตจะไม่ถูกแทง แต่ตัวเถียนก็ถูกแทงทะลุแล้ว หากอาการบาดเจ็บแบบนี้เป็นนักยุทธ์คนอื่น ต้องใช้ยาวิเศษเพื่อซ่อมแซมตันเถียนถึงจะฟื้นฟูกลับไปเหมือนเดิมได้

แต่สำหรับหลัวซิว ไม่ต้องกังวลไป ในขณะที่พลังสองระดับความเป็นตายซ่อมแซมลายเส้นชีวิต รอยร้าวที่ตันเถียนก็จะหายดีเช่นกัน

นอกจากร่างทองฝ่าเซียงแล้ว ยังมีตราขลังมังกรเขียวของหยูเชียนฮั่ว ที่ซึ่งเป็นอาวุธตราขลังที่ทรงพลังอีกด้วย

หลังจากพักผ่อนอยู่พักหนึ่ง หลัวซิวรู้สึกได้ว่าพลังจิตแท้ของเขาฟื้นฟุขึ้นเล็กน้อย แต่อาการบาดเจ็บที่ร่างกายของเขารุนแรงมาก ไม่สามารถฟื้นตัวได้ในขณะหนึ่ง

เมื่อจนปัญญา เขาจึงนำกล่องส่งเสียงออกมาส่งข้อความถึงเหยียนเยว่เอ๋อร์แห่งสำนักไท่เสวียน ให้นางมารับเขาที่นี่

ครู่ต่อมา เมื่อเหยียนเยว่เอ๋อร์พาหลัวซิวซึ่งร่างกายเต็มไปด้วยเลือดกลับมา สวีจิงเหนียนและเกาเหลียนหงต่างรู้สึกประหลาดใจ

โดยเฉพาะเกาเหลียนหง เขาเคยเห็นถึงความแข็งแกร่งของหลัวซิวว่าแข็งแกร่งเพียงใด ผู้ที่สามารถทำให้เขาได้รับบาดเจ็บแบบนี้ได้ คู่ต่อสู้ต้องเป็นจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 9 ที่ คู่ หรือตาเฒ่าประหลาด ระดับมกุฎยุทธ์เท่านั้น

ทันใดนั้น เขาก็จำความผันผวนรุนแรงที่ห่างออกไปหลายสิบไมล์ของพลังจิตเมื่อครู่นี้ขึ้นมา หรือว่าคนที่ต่อสู้กับหยูเชียนฮั่วอย่างดุเดือดคือหลัวซิว?

แต่หลัวซิว ไม่ได้ให้คำอธิบายใดๆ ว่าเขาได้รับบาดเจ็บมาได้อย่างไร เขาให้เหยียนเยว่เอ๋อร์พาเขาไปยังแดนปริศนาโดยตรง และเริ่มปิดขังฝึกตนในหอฝึกกลาง

อาการบาดเจ็บของเขาสาหัสมาก และโชคดี วิชาที่เขาฝึกคือสองระดับความเป็นตาย และได้กระตุ้นผู้เป็นอมตะ ไม่อย่างนั้น หากเป็นผู้อื่น อาการบาดเจ็บสาหัสแบบนี้ ไม่ตายก็ทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะ

บนชั้นเก้าของหอฝึกกลาง พลังจิตฟ้าดินอุดมสมบูรณ์มาก ราวกับหมอกที่ไม่สามารถละลายได้ พร่ามัวเหมือนแดนสวรรค์

หลัวซิวนั่งขัดสมาธิ ยกมือขึ้นโบก หินพลังจิตชั้นสูงจำนวนมากก็ถูกเขาปกคลุมอยู่บนพื้นโดยตรงทันที พลังจิตฟ้าดินในห้องลับก็ทวีหนาขึ้นมากกว่าเดิม การเปลี่ยนแปลงเชิงปริมาณทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ จนเกิดเป็นปราณทิพย์เล็กน้อยขึ้นมา!

หินพลังจิตชั้นสูงเหล่านี้ได้มาจากการสังหารผู้แข็งแกร่งตระกูลหยู โดยเฉพาะในแหวนเก็บของของหยูเชียนฮั่ว ซึ่งยิ่งร่ำรวยกว่าผู้อื่น เพียงแต่หินพลังจิตชั้นสูงเพียง ก็มีมากกว่าสามล้านก้อน!

หลัวซิวทำใจให้นิ่งสงบเหมือนน้ำ ภายใต้การกระตุ้นของผู้เป็นอมตะและการทำงานของวิชาวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ ร่างกายของเขาเป็นเหมือนเทาเที่ยที่ตะกละ กลืนกินดูดซับพลังจิตฟ้าดินและปราณทิพย์อย่างบ้าคลั่ง

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 485
ในตันเถียนชี่ไห่ของหลัวซิว ภูตอัคคีกลืนกินกลายเป็นทะเลเพลิงสีน้ำตาลแดง ในใจกลางของไฟ ภูตอัคคีกลืนกินที่กลายร่างเป็นเด็กทารก กำลังขดตัวนอนหลับอยู่

การเติบโตของภูตอัคคี ยกเว้นได้รับความช่วยเหลือจากภายนอก กระบวนการเติบโตนั้นจะช้ามาก เวลาส่วนใหญ่จะหลับใหลอยู่ตลอด

ยิ่งภูตอัคคีแข็งแกร่งขึ้นเท่าใด ปราณทิพย์ก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นตามไปด้วย

เมื่อก่อนหลัวซิวรับภูตอัคคีกลืนกินมา เขาก็นำพลังเปลวไฟที่อยู่เหนือหินหนืดใต้ดินไปด้วย ตอนนี้ถูกภูตอัคคีกลืนกินดูดซับไปหมดแล้ว ปราณทิพย์แข็งแกร่งมาก แม้แต่ผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์ยังต้องใช้วิธีการบางอย่างถึงจะสามารถต้านทานได้

ในขณะนี้ พลังจิตแท้ของหยูเชียนฮั่วถูกใช้จนหมด หากถูกเผาด้วยปราณทิพย์ในสถานะนี้ จะต้านทานไม่ได้อย่างแน่นอน

หยูเชียนฮั่วทานยาที่ฟื้นฟูพลังจิตแท้เม็ดหนึ่ง แต่ความเร็วในการฟื้นฟูของเขานั้นช้ากว่าหลัวซิวมาก

ในช่วงเวลาสั้น ๆ เขาได้เดินไปที่ตรงหน้าของหลัวซิว เอื้อมกระบี่มังกรทองในมือขึ้นพร้อมยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียม “ตายซะ!”

แต่ในขณะนี้ รอยยิ้มเยาะเย้ยปรากฏบนใบหน้าที่เปื้อนเลือดของหลัวซิว ซึ่งทำให้ใจของหยูเชียนฮั่วกระตุกอย่างไม่เป็นจังหวะ

“ผู้ที่ตายคือเจ้า!”

ว่าแล้ว เปลวไฟสีน้ำตาลแดงก็พุ่งออกมาจากร่างกายของเขา กลืนร่างกายของหยูเชียนฮั่วไปในทันที

“ไม่!”

หยูเชียนฮั่วตกตะลึง เขาเพิ่งตระหนักว่าตอนที่หลัวซิวหลุดพ้นออกมาจากพันธนาการของตราขลังมังกรเขียว เขาเคยได้ใช้เปลวไฟทรงพลังนี้ ซึ่งคล้ายปราณทิพย์

แต่ แม้ว่าปราณทิพย์ชนิดนี้จะแข็งแกร่งมาก ตอนที่ใช้ก็ต้องใช้พลังจิต พลังจิตของเขาทำไมถึงฟื้นฟูเร็วแบบนี้ได้อย่างไร?

ความคิดทุกอย่างแวบเข้ามาในใจของหยูเชียนฮั่วราวกับสายฟ้า เขาร้องอย่างเจ็บปวดทรมาน แต่เปลวไฟบนร่างกายของเขาไม่สามารถดับได้ ภายใต้เนื้อและเลือดที่ถูกแผดเผา จนกลายเป็นความว่างเปล่า

“ต่อให้ข้าตาย ข้าก็จะลากเจ้าไปลงนรกพร้อมกับข้า!”

สีหน้าหยูเชียนฮั่วดูบ้าคลั่ง กระบี่มังกรทองในมือแทงไปทางตันเถียนของหลัวซิวโดยไม่ลังเลใจ

ทันทีที่จุดตันเถียนถูกแทง แม้ว่าเขาจะไม่ตาย ผลการฝึกฝนของเขาก็จะต้องถูกทำลายลงอย่างแน่นอน!

เมื่อเห็นท่าทีของหยูเชียนฮั่วที่จะตายไปด้วยกัน สีหน้าของหลัวซิวเปลี่ยนไปทันที พลังจิตแท้ที่เพิ่งฟื้นฟู ถูกเขานำไปใช้เพื่อเรียกภูตอัคคีกลืนกินแล้ว ต่อหน้ากระบี่ที่แทงมาหาเขา เขาไม่มีเรี่ยวแรงในการหลบเลย

พลึบ!

เลือดกระเซ็น หลัวซิวรู้สึกถึงความเจ็บปวดอย่างรุนแรง เจ็บจนเขาตามัว

แต่ในเวลานี้ มีเสียงกระแทกดังมาจากตันเถียนของเขา แม้ว่ากระบี่มังกรทองจะแทงเข้าไปในตันเถียนของเขา แต่ไม่ได้แทงออกไปจากร่างกายของเขาโดยตรง

ภายใต้การสัมผัสของตัวสำนึก หลัวซิวพบว่ากระบี่ของหยูเชียนฮั่วแทงเข้าเขาทองดำไท่เสวียนที่อยู่ในจุดตันเถียนของเขาพอดี

สิ่งนี้ทำให้หลัวซิวรู้สึกได้ว่าเอาชีวิตรอดได้หลังจากพบภัยพิบัติ หากไม่มีเขาทองดำไท่เสวียนช่วยกั้นไว้ ยาเทพจิตของเขาคงจะถูกแทงแตกสลายแล้ว

ทันทีที่ยาเทพจิตแตกหัก ฐานการฝึกฝนของเขาจะถูกทำลายลงโดยตรง และเป็นการยากมากหากอยากจะฟื้นฟูกลับมาอีกครั้ง

เสียงร้องโหยหวนของหยูเชียนฮั่วหยุดลงอย่างกะทันหัน ทุกอย่างกลับมาสงบลงอีกครั้ง ภายใต้การเผาไหม้ของภูตอัคคีกลืนกิน ร่างกายของเขากลายเป็นความว่างเปล่า ทิ้งคริสตัลขนาดเท่าเล็บมือไว้ที่จุดนั้น ส่องแสงประกายเจิด

“นี่คืออะไรน่ะ?”หลัวซิวปสดงสีหน้าสงสัย

“แก่นร่างทอง ความโชคดีของเจ้าไม่เลว”เสียงของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำดังขึ้นช้าๆ

“ผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎยุทธ์ จิตวิญญาณและเนื้อหนังรวมกันเป็นหนึ่ง กลายเป็นร่างทองฝ่าเซียง เทพจิต ยาเทพจิตทั้งหมดจะถูกรวมเข้ากับร่างเนื้อ พลังจิตแท้ ตัวสำนึกจะถูกเก็บไว้ในทุกตารางนิ้วของเนื้อและเลือด”

“ผู้แข็งแกร่งที่มาถึงระดับนี้ เมื่อเสียชีวิต ทุกสิ่งทุกอย่างจะหายไป แต่ก็ยังมีความเป็นไปได้บางอย่าง ที่พลังจิตแท้ ตัวสำนึกของเขาจะรวมตัวเป็นคริสตัลแบบนี้ ซึ่งเรียกว่าแก่นร่างทอง”

เมื่อได้ยินจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำพูดแบบนี้ หลัวซิวจำขึ้นมาได้ว่า แก่นร่างทองแบบนี้ยังถูกกล่าวถึงในความทรงจำของปรมาจารย์กลั่นยาระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 9 ที่เขาได้รับ

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 484
หยูเชียนฮั่วตัวสั่นเล็กน้อย จากนั้นก็ไม่พูดอะไร พลังจิตแท้ที่เหลือไม่มากที่ในร่างกาย ได้ส่งเข้าไปในตราขลังมังกรเขียวหมด พลิกมือแล้วส่งตราขลังสมบัติโบราณออกไป

ตราขลังลอยต้านลม เปลี่ยนเป็นเนินเขาขนาดใหญ่ มังกรสีเขียวตัวหนึ่งขดอยู่รอบ ๆ ตราขลัง ทางที่มันผ่านไป พื้นที่นั้นก็ถูกบดขยี้เป็นผง เผยให้เห็นช่องสูญญากาศที่มืดมิด

ในขณะนี้ ดวงตาของหลัวซิวส่องประกาย มือที่สร้างผนึกหยุดลงอย่างกะทันหัน จากนั้นฝ่ามือก็ผลักไปเงาลวงวัฏจักรลอยออกไป กระแทกเข้ากับตราขลังมังกรเขียวที่ทุบลงมา

ในเวลาเดียวกัน เขาหันมือแล้วหยิบยาที่ฟื้นฟูพลังจิตแท้ออกมาแล้วใส่เข้าไปในปาก

บูม!

การระเบิดที่น่าสะพรึงกลัวดังก้องอยู่บนท้องฟ้า และในสำนักไท่เสวียนที่อยู่ห่างออกไปกว่าสิบกิโลเมตร เหยียนเยว่เอ๋อร์ สวีจิงเหนียนและเกาเหลียนหงต่างก็ตื่นตระหนก พวกเขาทั้งหมดต่างก็มองไปในทิศทางต้นเสียงด้วยท่าทางเคร่งขรึม

“พลังจิตผันผวนในระยะไกล หรือว่ามีผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎยุทธ์ ต่อสู้อยู่ที่นั่น?”

“ตาเฒ่าประหลาดจากตระกูลหยูเพิ่งจากไป หรือว่าเขาต่อสู้กับมกุฎยุทธ์อีกท่าน?”

พวกเขาทั้งสามมองหน้ากันโดยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แม้แต่เหยียนเยว่เอ๋อร์ที่รู้ว่าหลัวซิวมีไพ่ตายมากมายก็คาดไม่ถึงว่าผู้ที่ต่อสู้กับหยูเชียนฮั่วนั้นจะเป็นหลัวซิว

เพราะผลการฝึกตนของหลัวซิวนั้นอยู่ในแดนราชายุทธ์เท่านั้น ไม่ว่าไพ่ตายจะทรงพลังเพียงใด ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะข้ามสองแดนใหญ่เพื่อต่อสู้กับมกุฎยุทธ์

แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ในสายตาของคนอื่น ดูเหมือนจะเป็นไปได้สำหรับหลัวซิว มนุษย์ที่แตกต่างจากคนอื่น

นี่เป็นการโจมตีด้วยพลังทั้งหมด พลังของตราธรรมจุติมรณะแข็งแกร่งมากอยู่แล้ว แต่ช่องว่างผลการฝึกฝนระหว่างทั้งสองฝ่ายนั้นห่างกันมากเกินไป เงาลวงวัฏจักรถูกกระแทกแตกอยู่กลางอากาศโดยตราขลังมังกรเขียว ตราขลังขนาดใหญ่ชะงักหยุดลงชั่วขณะ หลังจากนั้นก็เพิ่มความเร็วพุ่งเข้าหาหลัวซิว

ในขณะนี้ ร่างกายของหลัวซิวได้ฟื้นฟูพลังจิตแท้เล็กน้อย และระดมพลังขึ้นมา กระพือปีกทิพย์ไร้มลทิน แล้วหายวับไปทันที

บูม!

ตราขลังตกลงมา ความว่างเปล่าแตกเป็นเสี่ยง ๆ แม้ว่าความเร็วของหลัวซิวจะเร็ว แต่เขาก็ยังได้รับผลกระทบเช่นกัน เพียงแค่ได้รับผลกระทบ ร่างกายของเขาก็พร่าไปด้วยเลือดและเนื้อ บางที่ยังสามารถมองเห็นกระดูกสีขาว มองแล้วน่าหวาดกลัวมาก

โชคดีที่เขาได้ปกป้องตัวหยั่งรู้และตันเถียนของเขาไว้ อาการบาดเจ็บของเขาจึงไม่รุนแรงมากนัก

หลัวซิวพลิกฝ่ามือของเขาแล้วหยิบยาหิมะแย้มระดับ 6 ออกมาพร้อมกลืนเข้าไปโดยไม่ลังเล วิชาวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพทำงานโดยอัตโนมัติ สร้างพลังแห่งชีวิตออกมา แล้วไหลเวียนอยู่ในร่างกาย อาการบาดเจ็บฟื้นตัวอย่างรวดเร็วจาก

“ฮ่าฮ่า สู้กับข้า เจ้ายังอ่อนแอเกินไป!”

เมื่อเห็นร่างหลัวซิวเต็มไปด้วยบาดแผล ล้มลงกับพื้นอย่างอ่อนแรง หยูเชียนฮั่วก็โล่งใจ อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเสียงดัง

แต่สีหน้าของเขาก็ไม่น่ามองนักเช่นกัน เพื่อต่อต้านกับตราธรรมจุติมรณะของหลัวซิว พลังจิตแท้ทั้งหมดที่เหลืออยู่ในร่างกายของเขาถูกใช้จนหมดลงไปแล้ว

แม้ว่าพลังจิตแท้ในร่างกายของเขาจะถูกใช้ไปหมด แต่เจ้าสำนักไท่เสวียนคนนี้ก็ถูกเขาโจมตีจนไร้เรี่ยวแรงต้านทาน

“ข้าพูดจากใจ ข้าชื่นชมไอ้หนุ่มอย่างเจ้าเหมือนกัน ผลการฝึกฝนมีเพียงราชายุทธ์ สามารถใช้พลังระดับของจักรพรรดิยุทธ์ ได้ ก็น่าตกใจเหมือนกัน เจ้ายังสามารถต่อสู้กับข้าได้หลายร้อยกระบวนท่า แม้ว่าเจ้าจะตาย เจ้าสามารถภาคภูมิใจในตัวเองได้เหมือนกัน”

ในการต่อสู้ครั้งนี้ กล่าวได้ว่าทั้งสองใช้วิชาทั้งหมดของพวกเขาในต่อสู้อย่างดุเดือด แต่วิชาของทั้งสองก็สามารถบอกระดับความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของพวกเขาได้ การโจมตีของหลัวซิวนั้นแปลกประหลาด ไพ่ตายไม่มีที่สิ้นสุด แต่ไม่สามารถเป็นภัยคุกคามต่อหยูเชียนฮั่วได้ และหยูเชียนฮั่วหลังจากใช้ตราขลังมังกรเขียว แค่เขาโจมตี หลัวซิวก็ต้องหลบเลี่ยง

เห็นได้ชัดว่าแม้ว่าพลังจะเหลือเพียงครึ่งเดียว แต่พลังการต่อสู้ของหยูเชียนฮั่วก็ยังสูงกว่าของหลัวซิวมาก แต่บางครั้งพลังการต่อสู้ของคนๆหนึ่ง ไม่สามารถตัดสินด้วยความแข็งแกร่งได้ อารมณ์ก็เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญมากเช่นกัน

หยูเชียนฮั่วนึกว่าหลัวซิวได้สูญเสียพลังในการต่อต้านแล้ว และพลังจิตแท้ของเขาก็ได้หมดลง เขาไม่สามารถโจมตีและฆ่าหลัวซิวจากระยะไกลได้ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงเดินเข้าใกล้หลัวซิว คิดจะเดินไปข้างหน้าเขา แล้วใช้กระบี่มังกรทองในมือฆ่าเขาให้ตาย

ในความเป็นจริง อาการบาดเจ็บของหลัวซิวก็สาหัสมากเช่นกัน แต่พลังจิตแท้ฟื้นคืนได้อย่างรวดเร็ว เพียงรอให้คู่ต่อสู้เข้าใกล้แล้วโจมตีกลับเท่านั้น

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 483
เมื่อหยูเชียนฮั่วเห็นฉากนี้ สีหน้าของเขาก็ตกใจกลัว ตราขลังมังกรเขียวนี้เป็นอาวุธเวทมนตร์โบราณที่อาจารย์ของเขามอบให้เขา เมื่อตอนที่อาจารย์เขาฝึกถึงแดนมกุฎยุทธ์ ตราขลังขยายใหญ่ขึ้นสามารถโจมจีศัตรู ตราขลังบนมังกรเขียวสามารถผูกมักศัตรูไว้เพื่อไม่ให้หลบหนี และทำได้เพียงเฝ้าดูตนเองถูกตราขลังทุบจนตาย

สิบสามปีที่แล้ว เขาได้ใช้ตราขลังนี้ฆ่าผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎยุทธ์ ขั้น 5 ในตอนนั้น ฝ่ายตรงข้ามถูกผูกมัดโดยมังกรเขียว คู่ต่อสู้ดิ้นรนอยู่ครู่หนึ่งแต่ก็ไม่สามารถหลุดออกจากการผูกมัดได้ จึงถูกสังหารด้วยการทุบจากตราขลัง

และหลัวซิว เจ้าสำนักไท่เสวียนผู้นี้ เห็นได้ชัดว่ามีเพียงแดนราชายุทธ์เอง อย่างมากที่สุด เขาสามารถระเบิดพลังการต่อสู้ระดับจักรพรรดิยุทธ์ออกมาได้เท่านั้น แต่เขาสามารถทำลายพันธนาการของตราขลังมังกรเขียวได้ นับได้ว่าไพ่ตายของเขาไม่มีที่สิ้นสุด!

“เปลวเพลิงนั่น หรือว่าจะเป็นปราณทิพย์?”

ขณะที่หยูเชียนฮั่วกำลังประหลาดใจอยู่นั้น หลัวซิวได้กำจัดพันธนาการมังกรเขียวโดยภูตอัคคีกลืนกิน จากนั้นก็กระพือปีกทิพย์ไร้มลทินแล้วหายตัวไปในทันที

บูม!

ตราขลังมังกรเขียวตกลงมา ช่องว่างขนาดใหญ่ถูกบดขยี้เป็นฝุ่นทันที เผยให้เห็นเขตพื้นที่สุญญากาศ

มือของหยูเชียนฮั่วยื่นมือเพื่อเรียกตราขลังกลับมา ตราขลังมังกรเขียวค่อยๆเล็กลงและตกลงไปอยู่ในฝ่ามือของเขา

ถือตราขลังมังกรเขียวไว้ในมือข้างหนึ่งและอีกข้างหนึ่งถือ กระบี่มังกรทองแล้วพุ่งไปฆ่าหลัวซิวอีกครั้งทันที

ผมเห็นร่างของ หลัวซิว แวบวับและหายไปจากที่นั้น และในวินาทีต่อมา เขาก็ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลัง หยูเชียนฮั่ว

เห็นเพียงร่างของหลัวซิวหายวับไปกลับที่ ทันใดนั้นเขาก็ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังหยูเชียนฮั่ว

แต่ด้านหลังของหยูเชียนฮั่วดูเหมือนจะมีตา เขายกมือขึ้นและฟันด้วยดาบ หลัวซิวรีบรับดสบนั้นด้วยกระบี่อาถรรพ์ฟันเสือเกิดเสียงแล้วมีประกายไฟเกิดขึ้นด้วย แล้วเขาก็กระเด็นออกไป

คลิก! …

เสียงแตกออกมาจากมือของเขา หลัวซิวมองดีๆ แล้วเห็นรอยร้าวปรากฏบนร่างของกระบี่อาถรรพ์ฟันเสือ

กระบี่ของเขานี้เป็นดาบสงครามขั้นดินล่าง ในขณะที่กระบี่มังกรทองของหยูเชียนฮั่วเป็นดาบสงครามขั้นดินกลาง และยังเป็นดาบสงครามชั้นยอดในบรรดาดาบสงครามขั้นดินกลางอีกด้วย

ปราณดาบคมยังทำให้เกิดบาดแผลบนร่างของหลัวซิว และร่างยุทธ์ระดับจักรพรรดิไม่สามารถป้องกันการโจมตีจากระดับมกุฎยุทธ์ได้

“ไอ้หนุ่ม เจ้ายังมีวิธีอะไรอีก?” หยูเชียนฮั่วเยาะเย้ย ความแข็งแกร่งของเขาเหนือกว่าคู่ต่อสู้โดยสิ้นเชิง และเขาก็ชนะแล้ว

แต่เขาก็กลัวความเร็วของคู่ต่อสู้เช่นกัน ถ้าไอ้หนุ่มคนนี้อยากจะหนี เขาก็กลัวว่าถึงเขาจะเป็นมกุฎยุทธ์ ก็ไล่ตามไม่ทัน

“วิธีของข้ามีมากมาย!”

หลัวซิวพลิกฝ่ามือ หยิบธงขลังสรรพสิ่งออกมา แกว่งธงค่ายไปแกว่งมา ลำแสงพุ่งออกมาไม่หยุด ผสานเข้ากับความว่างเปล่ารอบด้าน กลายเป็นค่ายยากเย็น

“ยังต้องการใช้กลอุบายเดิมซ้ำหรือ? ทำลายลงไปซะ!”

หยูเชียนฮั่วแสดงความรังเกียจออกมาบนใบหน้า ยกมือขึ้นแล้วส่งตราขลังมังกรเขียวออกมา ค่ายยากเย็นขั้น 7 สั่นอย่างรุนแรง ในม่านแสงของค่ายกลปรากฏรอยแตกขึ้นมา

หลังจากนั้นก็เกิดเสียงดังกึกก้อง หยูเชียนฮั่วก็หนีออกมาจากค่ายยากยเย็นนี้

“ข้าเคยบอกแล้วว่า การฝึกฝนของเจ้าต่ำเกินไป…”

หลังจากที่ หยูเชียนฮั่วหลุดออกมาจากค่ายกล เขากำลังจะเยาะเย้ยหลัวซิว แต่จู่ๆ เขาก็หุบปาก ใบหน้าของเขาเคร่งขรึมทันที

เห็นเพียงนิ้วมือของหลัวซิวสร้างผนึกอย่างรวดเร็ว มือของเขากลายเป็นเงาภาพที่ยากต่อการมองด้วยตาเปล่า เงาลวงวัฏจักรสลับขาวดำปรากกขึ้นมากลางอากาศจากการผนึกรวม

ตราธรรมจุติมรณะ!

จุดประสงค์ของหลัวซิวในการสร้างค่ายยากเย็นด้วยธงขลังสรรพสิ่ง ก็เพื่อถ่วงเวลาให้ตนเองในการผนึกวิชานี้

เขารู้ว่า ด้วยวิธีการมากมายที่เขามีอยู่ในตอนนี้ มีเพียงตราธรรมจุติมรณะเท่านั้นที่ สามารถทำให้มกุฎยุทธ์รู้สึกถึงอันตรายได้

ต่างจากตราธรรมจุติมรณะที่สร้างความบาดเจ็บขั้นร้ายแรงให้กับหยูชุนชิวบนเขาไม้เสวียน ตอนนั้น หลัวซิวไม่ได้ใช้ไพ่ตายอะไรทั้งนั้น แต่ใช้เฉพาะฐานการฝึกฝนของราชายุทธ์ขั้น 5 ในการผนึกวิชานี้เท่านั้น

แต่คราวนี้ เขาใช้ไพ่ตายทั้งหมดของเขา วิธีการผนึกแบบเดียวกัน แต่พลังแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

เงาลวงวัฏจักรที่ผนึกรวมออกมาอยู่กลางอากาศ ทำให้หยูเชียนฮั่ว ผู้เป็นอาจารย์มกุฎยุทธ์ รู้สึกได้ถึงภัยคุกคามอย่างยิ่งเช่นกัน เขารู้สึกว่าแหล่งวิญญาณของเขาจะถูกดูดออกไป ตกไปในวัฏจักรความเป็นตาย และไม่มีวันกลับมาได้อีกครั้ง

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 482
เช่นเดียวกับแดนใหญ่ แบ่งออกมา 9 ขั้น ขั้น 3 ถึง 4 ขั้น 6 ถึง 7 ซึ่งเป็นแหล่งแบ่งแยกเขตแดน ความแข็งแกร่งจะห่างกันมาก

แดนใหญ่วิถียุทธ์ก็เป็นแบบนี้เช่นกัน ช่องว่างระหว่างพรสวรรค์และแดนฝึกจิต จักรพรรดิยุทธ์และมกุฎยุทธ์ เหมือนกับช่องว่างระหว่างท้องฟ้าและเหวซึ่งยากจะผ่านไปได้

ยิ่งไปกว่านั้น ฐานการฝึกฝนของหยูเชียนฮั่วนี้ไม่ใช่มกุฎยุทธ์ธรรมดา แต่เป็นช่วงกลางของมกุฎยุทธ์ แม้ก่อนหน้านี้เขาจะใช้พลังจิตแท้ไปมากในการโจมตีค่ายพิทักษ์เขาก่อนแล้ว จากนั้นก็ถูกค่ายกลที่หลัวซิวสร้างขึ้นมากักขังโจมตี เลยได้รับบาดเจ็บไม่เบาเพราะไม่ทันได้ตั้งตัว

แต่ความแข็งแกร่งของเขายังคงน่าหวาดกลัว ทำให้หลัวซิวต้านทานได้ยาก

“ตกนรกไปซะ!”

หยูเชียนฮั่วฟันดาบออกไป ธาตุโลหะพลังจิตแท้อยู่ยงคงกระพัน ปราณดาบเป็นเหมือนสายรุ้งราวมังกรขาว ส่ายศีรษะและหางไปมาเต็มไปด้วยความดุร้าย

ในเวลาเดียวกัน ด้านหลังหยูเชียนฮั่ว ร่างทองฝ่าเซียงปรากฏขึ้น ตบฝ่ามือออกไป ทำลายสุญญากาศ ฟ้าร้องไปทุกหนทุกแห่ง สิ่งมีชีวิตทั้งหมดของโลกภายในรัศมีหลายร้อยเมตรก็ถูกควบคุมโดยเขา ทำให้หลัวซิวต่อต้านอย่างกินกำลังแล้วถอยออกมาเรื่อยๆ

ปีกทิพย์ไร้มลทินกางออกมาจากด้านหลังหลัวซิว หากไม่ใช่เพราะความเร็วในการเคลื่อนย้าย เขากลัวว่าภายในสองสามกระบวนท่า เขาจะถูกหยูเชียนฮั่วฆ่าทันที

“แข็งแกร่งมาก!”

“แต่การต่อสู้ระดับนี้เท่านั้นที่สามารถบีบขีดจำกัดศักยภาพของข้า กดดันให้ข้าแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว”

หลัวซิวตะโกนเสียงดัง รอยประทับกฎเบญจธาตุปรากฏขึ้นระหว่างคิ้วของเขา กระบี่อาถรรพ์ฟันเสือฟันออกไป และแสงจิตห้าสีก็ส่องออกไปทุกทิศทาง ปิดกั้นการโจมตีของหยูเชียนฮั่วอย่างต่อเนื่อง

“กฎเบญจธาตุ? เจ้าคือ…”

สีหน้าของหยูเชียนฮั่วเปลี่ยนไป อย่างที่ทุกคนทราบกันดีว่าหากราชายุทธ์สามารถควบคุมพลังแห่งกฎได้ ก็หมายความว่าได้กลั่นรวมชิ้นส่วนกฎเข้าไปในร่าง

และชิ้นส่วนกฎมีต้นกำเนิดมาจากแดนแต่งตั้งฉายาปริศนา

เป็นไปได้หรือไม่ว่าหลัวซิว เจ้าสำนักไท่เสวียนนี้ เป็นผู้มีฉายาราชายุทธ์?

และเขาได้ผนึกรวมกฎเบญจธาตุ ซึ่งหมายความว่าเขามีชิ้นส่วนกฎอย่างน้อยห้าชิ้น?

ในไม่ช้า สีหน้าของหยูเชียนฮั่วก็เปลี่ยนเป็นสีหน้ายินดี เขาเงยหน้าหัวเราะ “ฮ่าฮ่า นึกไม่ถึงว่าข้าจะโชคดีเช่นนี้ แค่ฆ่าเจ้าให้ตาย ชิ้นส่วนกฎบนร่างกายของเจ้าก็จะเป็นของข้า!”

“งั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าเจ้ามีความสามารถนี้หรือไม่!”

หลัวซิวหัวเราะเยาะ แสงจิตห้าสีห่อหุ้มร่างเพื่อปกป้องเขา ก้าวไปข้างหน้าและพุ่งเข้าหาหยูเชียนฮั่ว

แม้ว่าเขาจะใช้ไพ่ตายทั้งหมดของเขา กฎเบญจธาตุ ลูกแก้วดำ และพลังแปรเสวียนเทียน พลังที่ระเบิดแข็งแกร่งกว่าจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 9 อยู่แล้ว แต่เขาก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหยูเชียนฮั่ว

แต่หยูเชียนฮั่วต้องการฆ่าหลัวซิว ก็ไม่ง่ายนักเพราะความเร็วของปีกทิพย์ไร้มลทินเร็วเกินไปและสามารถทำลายห่วงของโซนด้วยความเร็วที่ถึงขีดจำกัด แม้ว่าการโจมตีของเขาจะรุนแรง แต่โจมตีไม่โดนคู่ต่อสู้ก็ไร้ประโยชน์เช่นกัน

การต่อสู้ระหว่างคนทั้งสองอยู่ในภาวะที่ชะงักงัน ไม่สามารถทำอะไรกับอีกฝ่ายได้

หลังจากการต่อสู้ที่ดุเดือดสิบกว่ากระบวนท่า สีหน้าของหยูเชียนฮั่วก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง แอบพูดในใจว่าพลังจิตแท้ของข้าสูญเสียไปมากเกินไป แต่หลัวซิว เจ้าสำนักไท่เสวียน ยังมีต่อสู้ได้อย่างสบายๆ เป็นอย่างนี้ต่อไป ทันทีที่พลังจิตแท้ของข้าหมดลง เป็นไปได้ว่าจะตายอยู่ที่นี่จริงๆ

“ต้องต่อสู้อย่างรวดเร็ว! ไปลงนรกซะ!”

หยูเชียนฮั่วตะโกนอย่างโกรธเคือง ชี่ไห่จุดตันเถียนของเขาสว่างไสวขึ้นมาอย่างกะทันหัน และผนึกสมบัติสีเขียวก็ลอยออกมา

บนผนึกสมบัติสีเขียวนี้แกะสลักรูปมังกรสีเขียวไว้ หลังจากลอยออกมาแล้วก็ลอยต้านลม ในชั่วพริบตา มันก็กลายเป็นใหญ่เท่าเนินเขาเล็กๆ มังกรสีเขียวที่อยู่บนนั้น ทะยานออกมา และหลัวซิวถูกพันธนาการอย่างแน่นหนา

“ของขลังโบราณ?”

หลัวซิวตกใจ เขาคาดไม่ถึงว่า หยูเชียนฮั่วจะมีของขลังทรงพลังอยู่ในมือ

ระยะห่างระหว่างทั้งสองฝ่ายใกล้เกินไป หยูเชียนฮั่วใช้ของขลังนี้อย่างกระทันหันอ หลัวซิวไม่มีเวลาตอบสนองเลยถูกมังกรสีเขียวบนของขลังพันธนาการไว้

ผนึกสีเขียวขนาดใหญ่ราวกับเนินเขาเล็กๆ ทุบลงมา และหากถูกทุบ หลัวซิวคาดว่าเขาจะถูกทุบให้เป็นเศษชิ้นเนื้ออย่างแน่นอน

“บูม!”

ทันใดนั้น ภูตอัคคีกลืนกินสีน้ำตาลแดงก็พุ่งออกมาจากร่างกายของหลัวซิว และมังกรสีเขียวที่พันธนาการเขาไว้ก็ถูกแผดเผาให้หายไปในทันที

ผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์ วิญญาณและเนื้อหนังผนึกรวมกันเป็นร่างทอง ร่างทองนี้หมายความว่าเป็นแดนโลกยุทธ์ชนิดหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องมีแสงสีทองทั่วร่างกาย

หลังจากที่ผนึกรวมเป็นมกุฎยุทธ์ร่างทอง ไม่ว่าจะเป็นพลังจิตแท้ พลังโจมตีหรือพลังป้องกันก็จะดีขึ้นอย่างมาก

“เปิดค่าย!”

มองหยูเชียนฮั่วที่กำลังโฉบลงมาที่มีจิตสังหาร หลัวซิวพูดออกมาด้วยสีหน้าสงบเสียงเรียบเบาๆ

ในทันใดนั้น แสงจำนวนนับไม่ถ้วนประสานกัน และก่อนที่หยูเชียนฮั่วจะตอบสนอง เขาถูกล็อกตัวโดยค่ายยากเย็นระดับ 7

บูม!

“อ๊าก!……”

หลังจากนั้น พลังของค่ายกลสังหารระดับ 7 แปดแห่งก็ปะทุขึ้นพร้อม ๆ กัน ค่ายแสงจำนวนมากที่มีเจตนาฆ่าอันน่าเกรงขาม ทำให้หยูเชียนฮั่วที่ถูกล็อกตัวอยู่ในค่ายกลจมอยู่กับ ดาบ หอก กระบี่ และง้าว

“อ๊าก!……”

แม้หยูเชียนฮั่วจะเป็นอาจารย์มกุฎยุทธ์ ภายใต้การโจมตีของค่ายกลการสังหารระดับ 7 แปดแห่ง เขาได้รับบาดเจ็บทันที การป้องกันร่างทองของมกุฎยุทธ์ถูกทำลายลงทันที ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยเลือด

“ทำลายมันซะ!”

หยูเชียนฮั่วแผดเสียงตะคอกอยู่ในค่ายกล เห็นเพียงเงาที่เป็นร่างมนุษย์สูงกว่าสิบเมตรโผล่ออกมาข้างหลังเขา ฉายแสงสีขาวสว่างวาบ

นี่คือร่างทองฝ่าเซียงที่เขาผนึกรวมออกมา แต่ในขณะนี้ ภายใต้การโจมตีของแปดค่ายกลการสังหาร ร่างทองนี้เต็มไปด้วยบาดแผล ดูเหมือนว่ามันจะพังทลายและสลายไปเมื่อใดก็ได้

“ไอ้สัตว์เดรัจฉาน เจ้าได้สร้างค่ายกลไว้ก่อนแล้วเพื่อรอที่จะซุ่มโจมตีข้านี่เอง!”

หยูเชียนฮั่วสมกับเป็นผู้แข็งแกร่งแดนมกุฎยุทธ์ขั้น 4 ภายใต้อาการบาดเจ็บสาหัส เขาคำรามอย่างโกรธแค้นและไม่ลังเลที่จะเผาผลาญพลังและเลือดของตน ร่างทองฝ่าเซียงยื่นมือใหญ่ออกไป แล้วฉีกช่องว่างในค่ายกลยากเย็นอย่างแรง แล้วเขาก็กระโดดขึ้นแล้วออกจากค่ายยากเย็นนี้ไปเสียที

เขาถือดาบทองไว้ในมือ ซึ่งชื่อว่ากระบี่มังกรทองมันไม่ได้ทำมาจากกระดูกมังกรจริงๆ แต่ทำจากกระดูกมังกรเจียวที่มีธาตุโลหะ

แม้ว่าเขาจะรอดพ้นออกมาจากค่ายยากเย็น แต่พลังของหยูเชียนฮั่วก็อ่อนลงอย่างมาก

“คาดไม่ถึงว่าไอ้สัตว์เดรัจฉานอย่างเจ้า จะมีฝีมือของปรมาจารย์นักค่ายกลระดับ 7 ข้าดูถูกเจ้าเกินไป แต่การฝึกฝนของเจ้าต่ำเกินไป ค่ายกลขั้น 7 ที่สร้างขึ้นมาทำอะไรข้าไม่ได้ เจ้ายังมีวิชาอะไรอีก?”

หยูเชียนฮั่วมองไปที่หลัวซิวอย่างเย็นชาและก้าวไปข้างหน้าทีละก้าวอย่างกดดัน

หลัวซิวยังคงดูสงบและยิ้มเล็กน้อย “ได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีของค่ายกลสังหารระดับ 7 แปดแห่งของข้า จากนั้นก็เผาผลาญพลังและเลือด ทำลายค่ายยากเย็นเพื่อหนีออกมา รวมทั้งพลังจิตแท้ที่เสียไปก่อนหน้านี้ ที่เจ้าต่อต้านค่ายพิทักษ์เขาสำนักไท่เสวียนของข้า ไม่รู้ว่าตอนนี้พลังจิตแท้ของเจ้ายังคงเหลืออีกกี่ส่วน?”

“ช่างน่าขันจริงๆ แม้พลังจิตแท้ของข้าจะเหลือไม่ถึงหนึ่งส่วน ข้ายังฆ่าเจ้าที่อยู่ในแดนราชายุทธ์ไม่ได้อีกหรือ?”

หยูเชียนฮั่วหัวเราะอย่างเย็นชา “ข้าสามารถทำให้เจ้าแหลกละเอียดได้ในกระบ่วนท่าเดียว!”

ขณะที่เขาพูดอย่างนั้น ร่างของหยูเชียนฮั่วก็หายไปกับที่แล้วฟันหลัวซิวด้วยกระบี่มังกรทองแต่หลัวซิวไม่ได้ถอยหลังแล้วยังก้าวไปข้างหน้า ชักกระบี่อาถรรพ์ฟันเสือออกมาจากข้างหลัง ต่อต้านผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์คนนี้โดยตรง!

หยูเชียนฮั่วไม่แปลกใจกับพลังที่เปลี่ยนแปลงของหลัวซิว เพราะเขารู้ว่าหากคู่ต่อสู้สามารถฆ่าหยูไป๋ และทำให้หยูชุนชิวได้รับบาดเจ็บสาหัส เขาจะต้องมีความแข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์แน่

เขาฟันออกไปครั้งหนึ่ง ทำให้หลัวซิวและกระบี่ของเขากระเด็นถอยออกไปสองสามก้าว แล้วพูดด้วยรอยยิ้มเหี่ยมโหดว่า “หนุ่มน้อย แม้ความแข็งแกร่งของเจ้าสามารถเทียบได้กับจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 9 แล้วยังไง? พลังจิตแท้ของข้าใช้ไปมากกว่าครึ่ง ความแข็งแกร่งของข้าก็ยังห่างไกลจากความแข็งแกร่งของเจ้าที่จะสามารถเทียบได้ ”

“ไปตายซะ!”

เขาตบมันด้วยฝ่ามือ หลัวซิวต่อต้านด้วยหมัดของเขา เกิดเสียงกระแทกเสียงดัง แล้วกระเด็นออกไป เลือดออกจากมุมปากของเขา

“ให้ตายสิ พลังของตาเฒ่าประหลาดระดับมกุฎยุทธ์โรคจิตจริงๆ ดูเหมือนจะต้องใช้ไพ่ตายทั้งหมดถึงจะต่อสู้ได้”

หลัวซิวกระอักเลือดออกมา ดวงตาของเขาก็โหดเหี้ยมขึ้นมา

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 480
ถ้าอาจารย์มกุฎยุทธ์คนหนึ่งตาย ในแหวนเก็บของ จะต้องมีของล้ำค่าที่น่าพอใจมากเลยทีเดียว

“ในสำนักไท่เสวียน มีเกาเหลียนหงทำหน้าที่กำกับค่ายกล อาจารย์ตระกูลหยูไม่ใช่ปรมาจารย์ค่ายกลขั้น7 ไม่มีอะไรต้องกังวล”

หลัวซิวไม่ได้เข้าไป แต่ได้ตั้งค่ายกลไว้ระหว่างทางผ่าน

โครม!โครม!โครม!

ไม่นาน ก็มีเสียงดังสนั่นไปทั่วทิศ หยูเชียนฮั่วอาศัยที่ตนเองมีผลการฝึกตนระดับมกุฎยุทธ์ เลยเริ่มทำลายค่ายกล

หลัวซิวก็ตั้งค่ายกลอย่างไม่รีบร้อน อันดับแรกเป็นค่ายยากเย็นขั้น7หนึ่งตำแหน่ง จากนั้นก็เป็นค่ายสังหารระดับ7อีก8ตำแหน่ง

ค่ายยากเย็นหนึ่งตำแหน่ง ค่ายสังหารอีก8ตำแหน่ง ค่ายกลระดับ7ติดตั้งทั้งหมด9ตำแหน่ง ต่อให้อาจารย์ตระกูลหยูจะมีผลการฝึกตนระดับมกุฎยุทธ์ขั้น4 แต่ถ้าตกลงไปอยู่ในค่ายกลแล้ว ก็อย่างหวังว่าจะออกมาได้

หยูเชียนฮั่วมาด้วยความโมโหและพลังอฆาตมหาศาล สำนักไม้เสวียนซื้อข่าวกรองเกี่ยวกับสำนักไท่เสวียนจากแก๊งรอบรู้ ข้อมูลบอกว่า สำนักไท่เสวียนก็เป็นแค่กองกำลังที่เพิ่งตั้งตัวเป็นสำนักขึ้นมาเท่านั้น เจ้าสำนักที่ชื่อหลัวซิว ก็เป็นแค่คนรุ่นหลังที่มีระดับมกุฎยุทธ์คนหนึ่งเท่านั้น

ตามหลักแล้ว อาศัยพลังของอาจารย์มกุฎยุทธ์อย่างเขา จะกำจัดสำนักเล็กๆ แห่งหนึ่งก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร

แต่ข้อมูลที่สำนักไม้เสวียนซื้อมานั้นไม่ครบถ้วน ในนั้นไม่ได้พูดถึงว่าสำนักไท่เสวียนแห่งนี้ มีค่ายพิทักษ์เขาระดับ7อยู่ด้วย

“ให้ตายเถอะ!”

หยูเชียนฮั่วออกแรงเต็มกำลัง ก็ทำอะไรต่อการป้องกันของค่ายพิทักษ์เขาขั้น7ไม่ได้เลย เลยรู้ว่าอาศัยแค่พลังตนเอง วันนี้คงจะไม่สามารถกำจัดสำนักไท่เสวียนได้แล้ว

“คิดว่ามุดหัวอยู่ในค่ายพิทักษ์เขา แล้วกูจะทำอะไรไม่ได้งั้นหรือ?” หยูเชียนฮั่วสองตาแดงก่ำ จิตอาฆาตเต็มเปี่ยม

เขารู้จักปรมาจารย์ค่ายกลขั้น7คนหนึ่ง เชื่อว่าถ้าเชิญมาได้ การที่จะกำจัดสำนักไท่เสวียน ก็จะเป็นเรื่องง่าย

คิดถึงจุดนี้ หยูเชียนฮั่วก็ส่งเสียไงม่พอใจ แล้วก็คิดจะกลับไป

การมาครั้งนี้ถึงแม้จะไม่สามารถกำจัดสำนักไท่เสวียนที่สมควรตายไปได้ แต่ก็ได้รู้ตื้นลึกหนาบางของฝั่งตรงข้าม ก็แค่อาศัยค่ายพิทักษ์เขาขั้น7มาไว้ปกป้องเท่านั้นเอง ในสำนักไม่มีผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎยุทธ์เลย

“ฮ่าๆ ตาเฒ่าประหลาดหยู ในเมื่อมาแล้ว จะคิดกลับออกไปทำไมเล่า?”

เกาเหลียนหงผู้ที่กำกับค่ายพิทักษ์เขา เห็นว่าหยูเชียนฮั่วจะกลับออกไป ก็เลยเงยหน้าหัวเราะออกมา ค่ายพิทักษ์เขาก็เปลี่ยนจากระบบป้องกันเป็นระบบโจมตี ยิงแสงสีทองขนาดใหญ่เข้าไป

“บัดซบ!”

หยูเชียนฮั่วก็มีแสงสีขาวรอบตัว ซัดฝ่ามือทำลายแสงสีทองที่พุ่งใส่ แต่ว่าเขาเองก็ถูกเศษพลังของแสงสีทองทำร้ายเหมือนกัน จนต้องถอยหลังไปหลายก้าว เลือดลมในตัวสั่นไหว

แต่ว่าตาของหยูเชียนฮั่วก็หยีลง แล้วพูดในใจว่า ค่ายพิทักษ์เขาของสำนักไท่เสวียนมีการป้องกันแน่นหนามาก แต่การโจมตีไม่รุนแรง มีพลังเทียบเท่าแค่ระดับมกุฎยุทธ์ขั้น3เท่านั้น

เขาก็ไม่อยู่รอช้า กลายร่างเป็นแสงกระบี่ แล้วก็พุ่งขึ้นท้องฟ้าไปในพริบตา

ห่างจากไปสำนักไท่เสวียน13ลี้ หลัวซิวยืนอยู่บนภูเขาแห้งแล้งแห่งหนึ่ง มือไพล่หลังตาหยียืนมองแสงกระบี่ที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

“หยูเชียนฮั่ว มึงมารุกรานสำนักไท่เสวียนของกู ยังจะคิดกลับไปอีกงั้นหรือ?” หลัวซิวตะโกนดสียงดัง

แสงกระบี่ในอากาศก็หยุดชะงักเล็กน้อย แล้วแสงกระบี่ก็ถูกเก็บกลับไป เผยให้เห็นตัวของหยูเชียนฮั่ว สีหน้าก็นิ่งเย็นดังสายน้ำ

สายตาเย็นชาของเขาก้มลงมองด้านล่าง สายตาตกลงที่ตัวของหลัวซิว “มึงก็คือเจ้าสำนักไท่เสวียนสินะ?”

“ถูกต้อง กูเอง!” หลัวซิวยิ้มเบาๆ

หยูเชียนฮั่วตาหยี พลังการฆ่าก็พุ่งออกมาอีก “ระดับราชายุทธ์เล็กๆ อย่างมึง ก็กล้ามาดักรอฆ่ากูที่นี่งั้นรึ ไม่รู้ว่ากูควรจะบอกว่ามึงนั้นมีความกล้าดี หรือว่าโอหังอวดดีกันแน่?”

“ในเมื่อมึงรนหาที่มาอยู่ในมือของกู กูก็จะฆ่ามึงเสีย แล้วค่อยไปจัดการกำจัดสำนึกมึงทิ้ง!”

พูดไป หยูเชียนฮั่วก็กลายเป็นแสงกระบี่พุ่งลงมา รอบตัวเป็นแสงสีขาว มกุฎยุทธ์ร่างทองทำลายอากาศโดยรอบในชั่วพริบตา

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 479
หลังจากหลัวซิวกลับไป เจ้าสำนักฉางเหอก็มายังพื้นที่ต้องห้ามด่านหลังเขาของยอดเขาเทียนเหอ เพื่อเข้าพบอาจารย์มกุฎยุทธ์

พอเขาเอาเรื่องทั้งหมดที่หลัวซิวพูดมาเล่าออกไป อาจารย์มกุฎยุทธ์ท่านนี้ก็นิ่งเงียบไปทันที

สีหน้าของเขาขาวซีดมาก ค่อนข้างอ่อนแรง เห็นได้ชัดว่าอาการบาดเจ็บหนักยังไม่ดีขึ้นทั้งหมด

“หลัวซิวคนนั้นน่าจะไม่ได้โกหก ผมเพิ่งเจอหินตรีภพในใต้น้ำของยอดเขาเทียนเหอ จากนั้นก็ถูกหลี่เสวียนหยางและตาเฒ่าประหลาดถาวร่วมมือกันมาลอบโจมตี ในสำนักเราจะต้องมีไส้ศึกของพวกสองคนนั้นแน่ๆ !”

อาจารย์สำนักฉางเหอนิ่งไปพักใหญ่ “ไม่ว่าจะเป็นหลี่เสวียนหยาง หรือตาเฒ่าประหลาดถาว ล้วนไม่อาจจะเอาชนะผมได้ ดังนั้นก็เลยร่วมมือกัน แต่น่าเสียดายสุดท้ายพวกนั้นก็ยังพลาดไป ที่ไม่ได้โจมตีฆ่าผมตาย”

“ค่ายพิทักษ์เขาของสำนักฉางเหอเรา พวกสองคนนั้นไม่มีทางทำลายได้ จะเชิญปรมาจารย์ค่ายกลขั้น7มา ก็ถือว่ามีเหตุผล”

อาจารย์สำนักฉางเหอวิเคราะห์อย่างชัดเจน ถ้าทั้งหมดเป็นเรื่องจริงล่ะก็ สำนักฉางเหอก็จะต้องเผชิญกับภัยครั้งใหญ่

แต่ว่าภัยครั้งนี้ ยังไม่ถึงขั้นที่เป็นถึงเคราะห์กรรมแก่ชีวิต ยังพอมีโอกาสอยู่บ้าง!

ขอเพียงอาจารย์สำนักฉางเหอกลับมาฟื้นฟูจากอาการบาดเจ็บได้ ใช้ผลการฝึกตนระดับมกุฎยุทธ์ของเขามากำกับค่ายพิทักษ์เขาระดับ7 ต่อให้หลี่เสวียนหยางจะไปเชิญปรมาจารย์ค่ายกลขั้น7มา ก็ไม่มีทางต้านทานพลังอันแข็งแกร่งของค่ายพิทักษ์เขาได้

“คุณบอกว่าหลัวซิวบอกว่าตนเองเป็นเจ้าสำนักไท่เสวียน ดูเหมือนว่าปีนั้นเขาอยู่ในคีตโลกาถ้ำเทพสถิต น่าจะได้รับการถ่ายทอดจากผู้แข็งแกร่งสำนักไท่เสวียนโบราณ แล้วก็รับช่วงสืบทอดคำสอนของสำนักไท่เสวียนต่อมา”

อาจารย์สำนักฉางเหอทำตาหยี แล้วก็ยื่นมือออกมา “เอายาที่เขาให้ไว้ออกมา”

เจ้าสำนักฉางเหอก็รีบเดินเข้าไป แล้วหยิบขวดหยกออกมา จากนั้นก็วางใส่ฝ่ามือของอาจารย์อย่างเคารพ

อาจารย์สำนักฉางเหอเปิดฝาขวดนั้นออก พอได้กลิ่นหอมของยาที่ออกมาจากจวดหยกนั้น มือที่ถือขวดหยกก็สั่นๆ

สำหรับเจ้าสำนักฉางเหอแล้ว ก็เพิ่งเคยเห็นอาจารย์ของสำนักตนเองเสียอาการแบบนี้เป็นครั้งแรกเหมือนกัน

“หลัวซิวคนนั้นเป็นใครมาจากไหนกันแน่?” อาจารย์สำนักฉางเหอหายใจเข้าอย่างลึก สายตาก็ลังเลไปมา

ยาวาตะทองน้้ำค้างหยก ถึงแม้เขาจะไม่เคยใช้ แต่เมื่อก่อนก็เคยได้ยิน และเคยเห็น เคยได้กลิ่นหอมของยา ดังนั้นเขาสามารถมั่นใจได้ว่า ในขวดหยกบนมือของเขานี้ ก็คือยาวาตะทองน้้ำค้างหยก เม็ดหนึ่งแน่นอน!

มียารักษาตัวระดับ7นี้แล้ว อาการบาดเจ็บของตนเองก็จะหายดีได้ในไม่กี่วัน!

……

ระหว่างทางที่กลับสำนักฉางเหอเพื่อจะไปสำนักฉางเหอ หลัวซิวก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง แล้วก็เงยหน้าไปมองข้างบน

มีแสงบางอย่างพุ่งไปอย่างรวดเร็ว แฝงไปด้วยพลังการฆ่ามหาศาล พาดผ่านไป

“พลังแข็งแกร่งมาก นี่คือตาเฒ่าประหลาดมกุฏยุทธ์!” หลัวซิวตกใจเล็กน้อย “หรือว่าในประเทศเทียนหวูยังมีตาเฒ่าประหลาดมกุฏยุทธ์คนอื่นที่ซ่อนตัวฝึกวิชาอีกหรือนี่?”

“ไม่สิ……คนคนนี้มีพลังการฆ่ามหาศาล แถมทิศทางที่มุ่งหน้าไป ก็เหมือนจะไปทางสำนักไท่เสวียนของเรา”

คิดถึงจุดนี้ หลัวซิวก็สีหน้าเปลี่ยน ฝั่งตรงข้ามไม่ได้มาดี เพียงแต่ไม่รู้ว่า ตาเฒ่าประหลาดมกุฏยุทธ์เป็นคนที่มีความแค้นกับตำหนักจื่อ หรือว่าเป็นคนที่เขาไปหาเรื่องไว้

หลัวซิวรีบตามไปทันที ในใจก็ได้มีการคิดไว้แล้ว ตาเฒ่าประหลาดมกุฏยุทธ์ที่เขาไปหาเรื่องในช่วงนี้ และอยากจะฆ่าเขาถึงเพียงนี้ นอกจากอาจารย์ตระกูลหยูแถบเทือกเขาเหิงหยุนแล้ว ก็ไม่มีคนอื่นแล้ว

ในขณะเดียวกัน ทางฝั่งสำนักเสวียนหยาง ผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์อย่างหลี่เสวียนหยาง ซุนเชียนซาง และป๋ายหลี่หยวนหลงทั้งสามคนก็ได้เคลื่อนไหวแล้ว มุ่งหน้าไปยังที่ตั้งของสำนักฉางเหอ

……

“หลัวซิว เจ้าสำนักไท่เสวียนอยู่ที่ไหน ไสหัวออกมาเดี๋ยวนี้!”

ไม่นาน หลัวซิวก็ได้ยินไกลๆ ว่าที่สำนักไท่เสวียน มีเสียงตะโกนดังลั่นเข้ามา

หลัวซิวไม่ได้กังวลกับเรื่องนี้ จากข่าวกรองที่เขาได้รับมา ผลการฝึกตนของหยูเชียนฮั่วอาจารย์ตระกูลหยู คือระดับมกุฎยุทธ์ขั้น4 แต่หลังจากที่ค่ายพิทักษ์เขาของสำนักไท่เสวียนเอาดินเหลืองเสวียนผสานเข้ากันแล้ว ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎยุทธ์ช่วงปลายเข้ามาก็ยากที่จะทำลายได้

และพลังการโจมตีของค่ายพิทักษ์เขาก็ไม่ได้ด้อย ตอนนั้นสามารถโจมตีซุนเชียนซางจนบาดเจ็บได้ หยูเชียนฮั่วก็อย่าหวังว่าจะรอด

แต่นอกเสียจากว่าฝั่งตรงข้ามจะถูกขังอยู่ในค่ายพิทักษ์เขาเท่านั้น ไม่อย่างนั้นพลังการโจมตีของค่ายพิทักษ์เขา ถึงแม้จะสามารถโจมตีมกุฎยุทธ์บาดเจ็บได้ แต่ก็ไม่มีทางฆ่าศัตรูได้

ครั้งนี้ ฝั่งตรงข้ามเข้ามาหาถึงที่ หลัวซิวก็ไม่ได้ปล่อยไว้นานกลัวจะเกิดปัญหา ถ้าเป็นไปได้ เขาก็เตรียมจะจัดการให้อาจารย์ตระกูลหยูคนนี้ อยู่ที่นี่ไปตลอดกาล

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 478
“คุณบอกว่าตนเองเป็นเจ้าสำนักไท่เสวียน หรือว่าได้ก่อตั้งสำนักของตนเองแล้วงั้นหรือ?” เจ้าสำนักฉางเหอมองหลัวซิว แล้วก็พูดด้วยสีหน้าแปลกใจ “แล้วหัวคนในมือของคุณ หรือว่าจะเป็น……….”

หลัวซิวยิ้มพยักหน้า “ผมได้ก่อตั้งสำนักแล้วครับ อีกไม่นานก็จะเปิดอย่างเต็มตัว พอถึงตอนนั้นก็ขอเชิญเจ้าสำนักฉางเหอมาร่วมพิธีเปิดด้วยครับ”

พูดไป แล้วหลัวซิวก็โยนหัวนั้นออกไป “หัวคนหัวนี้ก็เหมือนกับที่เจ้าสำนักฉางเหอคิดเลยครับ เป็นหัวของอาจารย์ตำหนักจื่อ!”

เจ้าสำนักฉางเหอได้ยินดังนั้น ก็กระตุกสีหน้าทันที “จริงหรือนี่?”

“จริงแท้แน่นอนครับ” หลัวซิวยิ้ม แล้วก็เล่าเรื่องหลังจากที่ตนเองกลับมาอย่างคร่าวๆ

พอได้ยินว่าหลัวซิวเชิญมกุฎยุทธ์มาสองคน ถึงจะสามารถฆ่าอาจารย์ตำหนักจื่อได้ แถมยังไปก่อความวุ่นวายในสำนักเสวียนหยางด้วย เรื่องแบบนี้สำหรับเจ้าสำนักฉางเหอแล้วนั้น ก็เหมือนกับเป็นเรื่องเล่าที่น่าอัศจรรย์มากเลยทีเดียว

ถ้าไม่มีหัวคนที่นองเลือดหัวนี้มาด้วย เขาก็อาจจะสงสัยได้ว่าหลัวซิวคนนี้จะมาล้อเล่นกับตนเองหรือเปล่า

หายใจเข้าเฮือกใหญ่ เจ้าสำนักฉางเหอเรียบเรียงเรื่องราวต่างๆ แล้วก็จ้องมองไปที่หลัวซิว “เจ้าสำนักหลัวมาครั้งนี้ น่าจะไม่ใช่มาเพื่อส่งมอบหัวของอาจารย์ตำหนักจื่อหรอกนะ?”

เขาไม่ได้เชิญหลัวซิวเข้าไปในยอดเขาเทียนเหอ เพราะว่าอาจารย์ได้กำชับไว้แล้ว หลังจากที่ค่ายพิทักษ์เขาถูกเปิดขึ้น ใครก็ห้ามเข้าออก

ยิ่งกว่านั้น สำหรับทั้งหมดที่หลัวซิวพูดมา เจ้าสำนักฉางเหอก็ยังคงมีความสงสัยอยู่ บางทีหัวของอาจารย์ตำหนักจื่อนี้อาจจะเป็นของปลอม หลัวซิวอาจจะมีจุดประสงค์อื่น

ในใจของเจ้าสำนักฉางเหอคิดอย่างไร หลัวซิวขี้เกียจจะไปคาดเดา ก็เลยพูดไปว่า “ที่ผมมาครั้งนี้ เรื่องแรกเลยก็คือ จะมาบอกข่าวเรื่องหนึ่งให้กับสำนักฉางเหอของพวกคุณ”

“ข่าวอะไร?” เจ้าสำนักฉางเหอขมวดคิ้ว

“หลี่เสวียนหยางเชิญมกุฎยุทธ์มาสองคน หนึ่งในนั้นชื่อว่า ซุนเชียนซาง อีกคนมาจากอาณาจักรตะวันตก ชื่อว่า ป๋ายหลี่หยวนหลง และป๋ายหลี่หยวนหลงคนนี้ เป็นปรมาจารย์ค่ายกลขั้น7!”

“จากข่าวกรองที่ผมได้รับมา ป๋ายหลี่หยวนหลงได้มาถึงอาณาจักรใต้แล้ว หลังจากนี้ไม่นานก็จะรวมตัวกับหลี่เสวียนหยางและซุนเชียนซาง สำนักฉางเหอก็จะต้องเผชิญกับภัยร้าย!”

“อะไรนะ?”

พอได้ยินข่าวนี้ เจ้าสำนักฉางเหอก็สีหน้าเปลี่ยนไปทันที

แต่ไม่นานก็ตอบสนองกลับมาได้ แล้วจ้องมองหลัวซิว พร้อมพูดเสียงขรึมว่า “ที่เจ้าสำนักหลัวเป็นความจริงใช่ไหม? แล้วคุณไปรู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร?”

หลัวซิวก็รู้ว่าเจ้าสำนักฉางเหอระแวงตนเอง ก็เลยอธิบายไปว่า “ผมพอมีอำนาจในองค์กรนักล่ายุทธ์บ้าง อยากรู้เรื่องอะไร ก็ไม่ยาก”

จากนั้นหลัวซิวก็พูดอีกว่า “เรื่องแรกก็ได้พูดจบแล้ว จากนี้ก็จะเป็นเรื่องที่สอง ที่ผมมาในครั้งนี้ ก็มาเพื่อช่วยเหลือสำนักฉางเหอของพวกคุณ”

ขณะพูด หลัวซิวก็พลิกมือหยิบขวดหยกใบหนึ่งออกมา แล้วโยนไปตรงหน้าของเจ้าสำนักฉางเหอ

เจ้าสำนักฉางเหอยื่นมือมารับไว้ แล้วมองหลัวซิวด้วยความสงสัย ไม่รู้ว่าต้องการอะไรกันแน่

หลัวซิวก็ไม่ได้อธิบายอะไรมาก แค่พูดไปช้าๆ ว่า “ในนั้นมียารักษาอาการบาดเจ็บ ขอเพียงอาจารย์ของพวกคุณคนนั้นไม่ได้รับบาดเจ็บถึงจุดตันเถียนหรือแก่นเทพจิต น่าจะสามารถทำให้อาจารย์มกุฎยุทธ์ของพวกคุณหายจากการบาดเจ็บได้ในไม่ช้า”

ได้ยินดังนั้น เจ้าสำนักฉางเหอก็ผงะ อาจารย์เป็นถึงผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์ ยาที่สามารถทำให้เขาฟื้นตัวจากการบาดเจ็บได้ หรือว่านี่จะเป็นยารักษาตัวระดับ7? หลัวซิวคนนี้ไปได้มาอย่างไร? หรือว่าจะเป็นเหมือนข่าวลือ ว่าเบื้องหลังของเขามีอาจารย์ลึกลับคนหนึ่ง หรือว่าจะเป็นปรมาจารย์กลั่นยา

แต่ไม่ทันให้เจ้าสำนักฉางเหอได้เอ่ยปากถาม พอหลัวซิวพูดจบก็หันหลังกลับไป ไม่นานเงาของเขาก็หายไป

สำหรับหลัวซิวแล้ว คงจะไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ ก็จะไปช่วยสำนักฉางเหอ แต่ขอเพียงอาจารย์สำนักฉางเหอฟื้นพลังและผลการฝึกตนกลับมาได้ บุญคุณจากยาวาตะทองน้้ำค้างหยกระดับ7 ก็ไม่ใช่จะชดใช้กันได้ง่ายๆ หรอก

“อาศัยพลังของตัวเราเอง ในเวลาอันสั้นคิดจะรับมือกับหลี่เสวียนหยางก็ค่อนข้างกินแรง แต่ขอเพียงสำนักฉางเหอผ่านเคราะห์ภัยครั้งนี้ไปได้ สำนักไท่เสวียนก็จะถือว่ามีพันธมิตรอยู่ในแผ่นดินนี้แล้ว” มุมปากของหลัวซิวเผยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 477
“หินตรีภพมีเพียง3ก้อน ผมหมายความว่า ในเมื่อทุกคนลงมือพร้อมกันแล้ว ทางที่ดีที่สุดก็คือแบ่งกันคนละก้อน” หลี่เสวียนหยางพูดต่อ

พอได้ยินดังนั้น ป๋ายหลี่หยวนหลงก็ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที แต่ยังไม่ทันให้เขาได้เอ่ยปาก หลี่เสวียนหยางก็พูดขึ้นมาอีกว่า “ผลประโยชน์ต่างๆ ยังคงแบ่งกันเหมือนกับที่ผ่านมา ไม่รวมหินตรีภพ แต่เป็นพวกทรัพยากรและของล้ำค่าที่ได้จากสำนักฉางเหอเท่านั้น”

หลี่เสวียนหยางพูดจนจบ จากนั้นก็มองไปยังป๋ายหลี่หยวนหลง “ผู้เพื่อนยุทธ์ป๋ายหลี่คิดว่าเป็นอย่างไร? อย่างไรเสียหินตรีภพก็มีแค่3ก้อน คงจะไม่ให้ผู้เพื่อนยุทธ์ซุนออกแรงไปเปล่าๆ หรอกนะ?”

“ถึงแม้การทำลายค่ายพิทักษ์เขาของสำนักฉางเหอจะอาศัยกำลังคุณเป็นหลัก แต่สำนักฉางเหออยู่รอดมาได้หลายปี คงจะไม่ใช่แค่อาศัยค่ายพิทักษ์เขาอย่างเดียวหรอก”

“ได้ อย่างนั้นก็ทำตามที่คุณว่ามาเลย” สุดท้ายป๋ายหลี่หยวนหลงก็ไม่ได้คัดค้าน

ถึงแม้ปรมาจารย์ค่ายกลขั้น7จะสามารถทำลายค่ายพิทักษ์เขาในระดับเดียวกันได้ แต่มีข้อแม้ว่า ค่ายกลนี้จะต้องไม่มีผู้แข็งแกร่งมากำกับค่ายกล

ตอนนี้อาจารย์สำนักฉางเหอได้รับบาดเจ็บหนัก ไม่อย่างนั้นล่ะก็ ถ้าอาจารย์สำนักฉางเหอมากำกับค่ายกลเอง ต่อให้เป็นป๋ายหลี่หยวนหลง ก็ไม่มีทางทำลายค่ายกลได้

……

ทางทิศใต้ของประเทศเทียนหวู สายน้ำที่ไหลเชี่ยวพาดผ่านเทือกเขาแห่งหนึ่ง

แม่น้ำสายนี้กว้างมาก ที่กลางสายน้ำ มียอดเขาแห่งหนึ่งสูงเทียมฟ้า มีชื่อว่า ยอดเขาเทียนเหอ

ที่แห่งนี้ ก็คือก็คือที่ตั้งสำนักเขาของสำนักฉางเหอ รวบรวมพลังจิตฟ้าดินทั้งแปดทิศ โดยเฉพาะพลังจิตธาตุน้ำมีความเข้มข้นมาก ดังนั้นลูกศิษย์ของสำนักฉางเหอ ส่วนมากก็จะฝึกวิชาที่เกี่ยวข้องกับธาตุน้ำ

ตอนนี้ยอดเขาเทียนเหอเดี๋ยวมีเดี๋ยวหาย แสงสีฟ้าที่สะท้อนจากน้ำ ปกคลุมยอดเขานี้ไว้ มีหมอกหนาแน่น มองเห็นไม่ชัดเจน

หลังจากที่อาจารย์สำนักฉางเหอถูกหลี่เสวียนหยางและอาจารย์ตำหนักจื่อร่วมมือกันโจมตีจนได้รับบาดเจ็บ สำนักฉางเหอก็เปิดค่ายพิทักษ์เขา ปิดผนึกยอดสำนักเขาไว้ และปลีกตัวออกจากโลกภายนอก

สถานการณ์แบบนี้ ลูกศิษย์ของสำนักฉางเหอก็ล้วนถูกห้ามออกไปด้านนอก

ห่างจากยอดเขาเทียนเหอไม่กี่ลี้ มีเงาคนหนึ่งเหยียบคลื่นน้ำเข้ามา ชุดคลุมสีดำ สะบัดเป็นเสียงในสายลม

“ถึงว่าหลี่เสวียนหยางจึงต้องเชิญคนมาช่วยจัดการกับสำนักฉางเหอ ค่ายพิทักษ์เขาแห่งนี้เดิมทีก็มีเป็นค่ายกลAttrน้ำ รวบรวมเอาพลังจิตน้ำที่เข้มข้นของสายน้ำนี้ไว้ อานุภาพจะรุนแรงกว่าค่ายกลในสำนักเสวียนหยาง”

หลัวซิวมองดูม่านแสงของค่ายกลที่ปกคลุมยอดเขาสูงเทียมฟ้าอยู่ไกลๆ ปากก็บ่นพึมพำออกมา

“สำนักฉางเหอได้ปิดผนึกไว้แล้ว เชิญคุณกลับออกไป”

พอหลัวซิวเข้าไปใกล้หน่อย ก็มีเสียงเย็นชาดังออกมาจากในสำนักฉางเหอ

ถึงแม้จะอยู่ในสภาพที่ปิดผนึกเขา และแยกออกจากโลกภายนอกแล้ว แต่สำนักฉางเหอก็ยังคงจัดการให้พวกลูกศิษย์ในสำนักทำหน้าที่สอดส่องความเคลื่อนไหวโดยรอบของยอดเขาเทียนเหอ

เห็นได้ชัดว่าอาจารย์สำนักฉางเหอก็รู้ว่า ช่วงเวลาที่ตนเองบาดเจ็บนี้ สำนักเสวียนหยางและตำหนักจื่อจะต้องไม่ปล่อยโอกาสดีที่จะลงมือแบบนี้ไปแน่

“ผมมีเรื่องสำคัญที่จะปรึกษากับเจ้าสำนักพวกคุณ ช่วยไปรายงานด้วย” หลัวซิวพูดออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ

“ไม่ทราบว่าช่วยบอกซื่อแซ่มาหน่อยได้หรือไม่? หรือมีสิ่งของแทนตัวไหม?” เสียงจากในม่านแสงค่ายกลดังขึ้นมาอีก

“เจ้าสำนักไท่เสวียน ชื่อหลัวซิว!” หลัวซิวค่อยเอ่ยปากพูด จากนั้นก็หยิบหัวที่เต็มไปด้วยเลือดออกมา “นี่ก็คือ สิ่งของแทนตัว!”

“เอ่อ….นี่คือ…..” เจ้าของเสียงในม่านแสงค่ายกลที่คุยกับหลัวซิวได้เห็นหัวที่เต็มไปด้วยเลือด ก็เหมือนจะตกใจไม่น้อย

เสียงของฝั่งตรงข้ามเงียบไปสักพัก กลุ่มหมอกที่ปกคลุมทั้งยอดเขาเทียนเหอก็ค่อยๆ แยกออก เจ้าสำนักฉางเหอเดินออกมาจากม่านแสงของค่ายพิทักษ์เขา

“เจ้าสำนักฉางเหอ สบายดีนะครับ” หลัวซิวมองฝั่งตรงข้าม แล้วก็ยิ้มๆ

เขาก็มีวาสนาได้พบหน้ากับเจ้าสำนักฉางเหอแล้วครั้งหนึ่ง

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 476
วันนี้ ที่หน้าประตูของสำนักเสวียนหยาง มีพลังที่แข็งแกร่งตกลงมา หลี่เสวียนหยางและซุนเชียนซาง ก็รับรู้ได้ในทันที

สวมชุดคลุมสีน้ำเงิน สีหน้าเย็นชา แล้วก็ก้าวเดินไปบนอากาศออกจากสำนักเขาไป “ผู้เพื่อนยุทธ์ป๋ายหลี่ คุณก็ให้ผมรอเสียนานเลยนะ”

ในอากาศตรงหน้าของหลี่เสวียนหยางนั้น มีชายวัยกลางคนคนหนึ่งยืนอยู่อย่างมาดนิ่งไม่ท้าทายใคร ท่าทางดูแข็งกร้าว ราวกับกระบี่คมกริบที่ออกจากฝัก คนนั้นก็คืออาจารย์ของสีชูทง ชื่อว่าป๋ายหลี่หยวนหลง

“มีธุระติดพันเล็กน้อยก็เลยมาช้า” ป๋ายหลี่หยวนหลงยิ้มเบาๆ แล้วก็เปลี่ยนสายตาไปมองซุนเชียนซาง “ดูเหมือนว่าผู้เพื่อนยุทธ์ซุนจะได้รับบาดเจ็บ?”

พอเอ่ยถึงเรื่องนี้ สีหน้าของผู้เพื่อนยุทธ์ซุนก็ดูไม่จืดขึ้นมาทันที “ถ้าผู้เพื่อนยุทธ์ป๋ายหลี่จะมาเป็นห่วงอาการของผม ไม่สู้เอาเวลาไปกังวลกับลูกศิษย์ตัวเองดีกว่า ว่าจะตายด้วยเงื้อมมือของไอ้เดรัจฉานแซ่หลัวนั้นไปแล้วหรือยัง”

ป๋ายหลี่หยวนหลงกระตุกยิ้มเบาๆ “ลูกศิษย์ของผมคงจะไม่เป็นอะไรหนอก มีโคมวิญญาณของเขาอยู่ในมือผมอีกใบ”

“อีกอย่าง ก็แค่คนรุ่นหลังที่มีผลการฝึกตนแค่ระดับราชายุทธ ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล อาศัยแค่มีวิชาค่ายกล สำหรับผมแล้ว ไม่มีค่าให้เอ่ยถึงด้วยซ้ำ”

พอป๋ายหลี่หยวนหลงพูดออกมาแบบนี้ ถึงแม้ในใจของหลี่เสวียนหยางและซุนเชียนซางจะไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้ประชดประชันเขาว่าเป็นคนโอหังอวดดี เพราะว่าป๋ายหลี่หยวนหลงคนนี้ก็เป็นคนที่ร้ายกาจเหมือนกัน ไม่เพียงมีผลการฝึกตนอยู่ที่ระดับมกุฎยุทธ์ ทั้งยังเป็นปรมาจารย์ค่ายกลขั้น7อีกด้วย

นอกจากพวกสำนักที่มีค่ายกลคุ้มเขาระดับ8ไว้คอยปกป้อง กองกำลังอื่นๆ ล้วนไม่อยากไปหาเรื่องกับปรมาจารย์ค่ายกลขั้น7ง่ายๆ เพราะว่าสำหรับปรมาจารย์ค่ายกลขั้น7นั้น ค่ายพิทักษ์เขาระดับ7ก็เหมือนติดตั้งไว้เล่นๆ ถ้าอยากจะทำลายค่ายกล ก็ไม่ใช่เรื่องยาก

ถึงแม้หลัวซิวจะมีระดับที่เป็นปรมาจารย์ค่ายกลขั้น7เหมือนกัน แต่ผลการฝึกตนไม่พอ ดังนั้นก็เลยถูกค่ายพิทักษ์เขาระดับ7ของสำนักเสวียนหยางรั้งตัวไว้หนึ่งชั่วยามโดยไม่มีทางทำลายได้

“ในเมื่อผู้เพื่อนยุทธ์ป๋ายหลี่มาแล้ว ก็เชิญเข้ามาคุยกันข้างในเลยเถอะ” หลี่เสวียนหยางยกมือทำความเคารพ แล้วผายมือเชื้อเชิญ

จากนั้นอาจารย์มกุฎยุทธ์ทั้งสามท่านก็เดินเข้าไปในห้องโถงสำนักพร้อมกัน แล้วแยกกันนั่งตามลำดับ

“ตามแผนเดิมนั้น พวกเราทั้ง4คน ตอนนี้ตาเฒ่าประหลาดตำหนักจื่อก็ได้ตายไปแล้ว การแบ่งผลประโยชน์คงจะต้องมาแบ่งแยกกันใหม่” พอนั่งลงแล้ว หลี่เสวียนหยางก็เปิดประเด็นขึ้นมาเลย

“เหอะๆ คำพูดนี้ตรงกับใจผมจริงๆ ผมป๋ายหลี่หยวนหลงรีบร้อนมาจากอาณาจักรตะวันตกอันห่างไกล หินตรีภพที่ได้จากการกำจัดสำนักฉางเหอ ผมจะแบ่งครึ่ง!” ป๋ายหลี่หยวนหลงเอ่ยขึ้นมาเลยตรงๆ

พอได้ยินว่าป๋ายหลี่หยวนหลงคนเดียวจะเอาครึ่งหนึ่ง หลี่เสวียนหยางและซุนเชียนซางก็ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที แต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากคัดค้านอะไร

อย่างไรเสียจะทำลายค่ายพิทักษ์เขาระดับ7 จำเป็นต้องอาศัยพลังของป๋ายหลี่หยวนหลง เขาต้องการได้ผลประโยชน์ที่มากกว่า ก็ถือว่ามีเหตุผล

หลังจากนิ่งกันไปสักพัก หลี่เสวียนหยางก็ค่อยๆ พูดขึ้นมาว่า “ผู้เพื่อนยุทธ์ป๋ายหลี่ต้องการครึ่งหนึ่ง ผมไม่มีข้อคิดเห็นอะไร ผมต้องการ3ส่วน”

การแบ่งผลประโยชน์ ก็ต้องดูที่พลังความสามารถ และการออกแรงลงมือจัดการเป็นธรรมดา ในสามคนนี้ นอกจากป๋ายหลี่หยวนหลงแล้ว พลังของหลี่เสวียนหยางนั้นมากกว่าซุนเชียนซาง ก็เลยเอามากกว่าได้หนึ่งส่วน

“จากข่าวที่ผมได้จากคนข้างในที่ไปสอดแนมในสำนักฉางเหอนั้น พบว่ามีถ้ำของผู้แข็งแกร่งโบราณด้านใต้ของสำนักฉางเหอ อาจารย์สำนักฉางเหอได้หินตรีภพ3ก้อนจากด้านใน”

หลี่เสวียนหยางค่อยๆ พูดว่า “แล้วหินตรีภพทำอะไรได้กันแน่ ผมเองก็ไม่ค่อยเข้าใจมากเท่าไร แต่ตอนที่ฝึกฝนไปทั่วในสมัยก่อนนั้น ได้ยินมาว่ามีคนโชคดีได้หินตรีภพมาหนึ่งก้อน คนคนนั้นมีระดับแค่แดนฝึกจิต แต่กลับถูกแดนศักดิ์สิทธิ์พื้นนภารับเป็นศิษย์ในสำนักเลยทันที!”

“แดนศักดิ์สิทธิ์พื้นนภางั้นหรือ” ป๋ายหลี่หยวนหลงและซุนเชียนซางได้ยินดังนั้น ก็เปลี่ยนสีหน้ากันขึ้นมาทันที

แดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในโลกนี้ พวกเขาก็เคยได้ยินมาบ้างแน่นอน แดนศักดิ์สิทธิ์พื้นนภาตั้งอยู่ที่อาณาจักรตะวันออก เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นกลาง มีผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์5คนดูแล แข็งแกร่งกว่าแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่ที่อาณาจักรใต้ไม่น้อย

แม้แต่แดนศักดิ์สิทธิ์พื้นนภาก็ยังให้ความสำคัญกับหินตรีภพขนาดนี้ แถมยังยอมฉีกกฏรับคนระดับแดนฝึกจิตเป็นลูกศิษย์ในสำนักอีกด้วย เห็นได้ชัดว่าหินตรีภพจะต้องเป็นของล้ำค่าที่ไม่ธรรมดาเลย

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 475
เวลาหลายหมื่นปีผ่านไปแล้ว ภัยพิบัติในสมัยโบราณเกิดอะไรขึ้นกันแน่ จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำก็พูดถึงเพียงแค่ไม่กี่คำ ดูเหมือนจะเกิดสงครามครั้งใหญ่ขึ้นระหว่างสามชนเผ่าได้แก่ มนุษย์ มาร และปีศาจ

หลัวซิวมอบหมายหน้าที่ผู้คุมกฎให้กับเกาเหลียงหง ด้วยเหตุนี้ ในสำนักไท่เสวียนจึงมีผู้คุมกฎระดับจักรพรรดิยุทธ์สองคน

ส่วนหลินจื่อเฟิง หลัวซิวให้เขาเป็นผู้ดูแลในสำนัก ซึ่งในวันปกติจะรับหน้าที่ชี้แนะการฝึกฝนให้กับศิษย์ในสำนักที่มีอยู่เพียงแค่คนเดียว

จากนั้นหลัวซิวก็ใช้ดินเหลืองเสวียนที่หามาได้ เริ่มยกระดับพลังของค่ายกลคุ้มเขา เมื่อมีดินเหลืองเสวียนเหล่านี้ กลั่นแปรเข้าไปในลายเส้นของค่ายกล ความสามารถในการป้องกันของค่ายกลคุ้มเขาระดับ 7 นี้ ก็เพียงพอที่จะต้านทานการโจมตีจากผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎยุทธ์ช่วงปลายได้

“ไม่รู้ว่าซีโรว่เดินทางไปถึงแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่หรือยัง”

นั่งอยู่ภายในตำหนักวัฏสงสาร ดวงตาของหลัวซิวมองไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ที่เขาไม้เสวียนเป็นเพียงแค่การพบกันเพียงชั่วครู่ ครั้งต่อไปที่จะได้พบกัน ยังไม่รู้ว่าเมื่อไร

……

ในขณะเดียวกันนี้ ในสำนักเขาของสำนักไม้เสวียน อาจารย์ตระกูลหยู หยูเชียนฮั่วมาถึงตำหนักของเจ้าสำนักด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“เจ้าสำนักไท่เสวียนผู้นั้น มีที่มาที่ไปอย่างไรกันแน่ ?”

หยูเชียนฮั่วเผชิญหน้ากับเจ้าสำนักไม้เสวียน ก่อนหน้านี้เขารู้เรื่องจากปากของศิษย์ตระกูลหยู ว่าคนที่ฆ่าผู้อาวุโสตระกูลหยู ก็คือเจ้าสำนักไท่เสวียน

เพียงแต่เจ้าสำนักไท่เสวียนผู้นี้เป็นใครมาจากไหน เขากลับยังไม่รู้แน่ชัด ดังนั้นจึงเดินทางมาถามเจ้าสำนักไม้เสวียน

อย่างไรเสียคนตระกูลหยูของเขาก็ถูกสังหารในพื้นที่ของสำนักไม้เสวียน

เจ้าสำนักไม้เสวียนส่ายหัว “เจ้าสำนักไท่เสวียนผู้นั้นเป็นใครมาจากไหน ข้าเองก็ไม่รู้ แต่ถ้าหากพี่หยูอยากรู้แล้วละก็ สามารถซักถามแก๊งรอบรู้ หรือไม่ก็ขอให้สหายที่อยู่ในองค์กรนักล่ายุทธ์ช่วยสืบดูสักหน่อย”

เป็นที่รู้กันดีว่าบนโลกนี้ ข่าวกรองที่รวดเร็วและแม่นยำที่สุดก็คือองค์กรนักล่ายุทธ์และแก๊งรอบรู้

เจ้าสำนักไท่เสวียนผู้นั้น ดูเหมือนว่าจู่ ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมาบนเทือกเขาเหิงหยุน สำนักไม้เสวียนเองก็ไม่รู้ที่มาที่ไปของเขา

“คนของข้าถูกทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บบนเขาไม้เสวียนของท่าน และถูกสังหารในพื้นที่ของสำนักไม้เสวียนของท่านเช่นกัน หรือท่านไม่คิดจะให้คำอธิบายอะไรกับข้าหน่อยหรือ ?” หยูเชียนฮั่วพูดด้วยสีหน้าหมองหม่น

เจ้าสำนักไม้เสวียนขมวดคิ้ว “สำนักไม้เสวียนของข้าจัดงานประมูลยา หากเกิดการต่อสู้กันระหว่างนักยุทธ์จากแต่ละกองกำลัง โดยปกติแล้วก็จะไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่ง”

“หึ สำนักไม้เสวียนของท่านคงคิดจะขว้างงูให้พ้นคอสินะ ? เรื่องในวันนี้ หากท่านไม่สามารถให้คำอธิบายกับข้าได้ ข้า หยูเชียนฮั่ว ไม่ใช่ผู้ที่ใครก็จะล่วงเกินได้ง่าย ๆ !”

อาจารย์ตระกูลหยูตะคอกด้วยน้ำเสียงเย็นชา

ผู้อาวุโสระดับจักรพรรดิยุทธ์ทั้งเก้าคนของตระกูล เสียชีวิตไปเจ็ดคน อีกหนึ่งคนบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้หยูเชียนฮั่วกำลังพยายามระงับไฟแค้นที่รุมสุมอยู่ภายในใจ ถึงแม้สำนักไม้เสวียนใช่ว่าจะล่วงเกินได้ง่าย ๆ แต่เขาเองก็ไม่คิดจะไว้หน้าเช่นกัน

“ตาเฒ่าประหลาดหยู ท่านกำลังขู่ข้าอย่างนั้นหรือ ?” เจ้าสำนักไม้เสวียนแสดงสีหน้าเย็นชาลง

“ขู่ท่านแล้วจะทำไม ? อย่าลืมสิว่า ตระกูลหยูของเราสามารถวางอำนาจไปทั่วเทือกเขาเหิงหยุนได้ คนอื่นกลัวสำนักไท่เสวียนของท่านแต่ข้า หยูเชียนฮั่วไม่เคยกลัว !”

แววตาของเจ้าสำนักไม้เสวียนสั่นคลอน ถึงแม้ด้วยภูมิหลังและความแข็งแกร่งของสำนักไม้เสวียน ทำให้ไม่เห็นตระกูลหยูอยู่ในสายตา แต่เบื้องหลังของตระกูลหยู ยังมีผู้แข็งแกร่งระดับมหายุทธ์อีกผู้หนึ่ง แม้แต่อาจารย์ของตระกูลตนเอง ที่หลบซ่อนตัวจากโลกภายนอกมานานหลายปีผู้นั้น ก็ยังไม่กล้าล่วงเกินง่าย ๆ

ด้วยเหตุนี้ ตระกูลหยูจึงวางอำนาจบาตรใหญ่อยู่ในเทือกเขาเหิงหยุน สำนักไม้เสวียนเองก็จำต้องปิดตาข้างเดียว จึงเกิดการปะทะกันขึ้นน้อยครั้ง

เจ้าสำนักไม้เสวียนสูดหายใจเข้าออกลึก แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า : “ในเมื่อท่านต้องการคำอธิบาย ข้าก็จะให้คำอธิบายกับท่าน ตาเฒ่าประหลาดหยู แต่ทางที่ดีท่านอย่าคิดได้คืบจะเอาศอก”

ขณะที่พูด เจ้าสำนักไม้เสวียนก็ปิดตาลง แล้วพูดเบา ๆ ว่า : “ข้าจะซื้อข่าวจากแก๊งรอบรู้ เพื่อช่วยท่านสืบหาที่มาที่ไปของเจ้าสำนักไท่เสวียนผู้นั้น ท่านกลับไปได้แล้ว”

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 474
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หากอาจารย์ตระกูลหยูไม่สติแตกก็คงเป็นเรื่องแปลก เพราะการบ่มเพาะจักรพรรดิยุทธ์หนึ่งคน ไม่เพียงแค่ต้องสิ้นเปลืองทรัพยากรจำนวนมากเท่านั้น แต่ยังต้องใช้เวลาที่ยาวนาน จึงจะสามารถบ่มเพาะออกมาได้

“รีบไปเร็ว เจ้าสำนักไท่เสวียนผู้นี้เลือดเย็นนัก หากเขาคลุ้มคลั่งขึ้นมา แล้วลงมือกับพวกเรา จากความเร็วอันน่ากลัวที่เขาสำแดงออกมา หากตกเป็นเป้าหมายแล้ว เกรงว่าใครก็หนีไม่พ้น !”

มีบางคนที่เผยความหวาดกลัวออกมาจากสายตา เมื่อเห็นผู้อาวุโสทั้งสี่ของตระกูลหยูถูกสังหาร ก็รีบหันหลังหนีไปในทันที โดยไม่กล้าอยู่ต่อแม้เพียงครู่เดียว

ไม่นานนัก ผู้คนที่มามุงดูเหตุการณ์ ต่างก็ค่อย ๆ หนีหายไปจนหมด

เกาเหลียนหงเองก็ตกตะลึงจนอ้าปากค้าง ก่อนหน้านี้บนเขาไม้เสวียน หลัวซิวใช้เพียงหนึ่งกระบวนท่าก็ทำให้หยูชุนชิวได้รับบาดเจ็บสาหัส ทำให้เขารู้สึกว่าพลังของเด็กหนุ่มคนนี้ แข็งแกร่งกว่าตนเอง

แต่เขาก็รู้ดีว่า ท่วงท่าที่ทรงพลังเช่นนี้ จะต้องมีข้อจำกัดอยู่ไม่น้อย เจ้าสำนักหนุ่มผู้นี้ ต่อให้ยอดเยี่ยมกว่าตนเอง แต่ก็คงไม่แข็งแกร่งกว่าสักเท่าไรนัก

ทว่าตอนนี้เขาถึงรู้ว่า บนเขาไม้เสวียน หลัวซิวยังไม่ได้สำแดงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของตนเองออกมา

หรือว่าตอนนี้ต่างหาที่เป็นความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขา ?

เมื่อคิดได้เช่นนี้ เกาเหลียนหงก็รู้สึกกลัวจนขนลุก ถ้าหากเขายังมีความแข็งแกร่งที่ซ่อนอยู่อีก เช่นนั้นคงน่าหวาดกลัวมากจริง ๆ

หลินจื่อเฟิงเองก็มองดูด้วยความกระตือรือร้น เจ้าสำนักหลัวที่ดูคุ้นเคยผู้นี้ ดูไปแล้วก็มีอายุที่แตกต่างกับตนเองไม่มากนัก แต่ความแข็งแกร่งที่แท้จริง ตนเองกลับเทียบไม่ติดเลยสักนิด

หลัวซิวขมวดคิ้ว ความลับของปีกไร้มลทินถูกเปิดเผยแล้ว เขาทำได้เพียงแค่หวังว่า ผู้ที่รู้จักความเป็นมาของสมบัติชิ้นนี้ จะไม่รับรู้เร็วนัก

แต่เมื่อเทียบกับปีกทิพย์ไร้มลทินแล้ว หลัวซิวยิ่งไม่กล้าที่จะเปิดเผยฐานะคิงซิวหลัวของตนเองออกไปง่าย ๆ อย่างไรเสีย ปีกทิพย์ไร้มลทินก็ไม่เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป แต่ทันทีที่ตัวเขาเองใช้กฎเบญจธาตุ ความผันผวนของออร่ากฎ จะทำให้เกิดตราของกฎขึ้นที่หว่างคิ้ว ผู้ที่มีความรอบรู้เพียงแค่เห็นก็รู้แล้วว่าเขาผนวกรวมกับชิ้นส่วนกฎแล้ว

ถึงตอนนั้นอย่าว่าแต่มกุฎยุทธ์ เกรงว่าแม้แต่ตาเฒ่าประหลาดระดับมหายุทธ์เหล่านั้น ก็คงทนไม่ได้ที่จะมาแย่งชิงชิ้นส่วนกฎ

“พวกเราไปกันเถอะ”

หลัวซิวยื่นมือออกไปหยิบแหวนเก็บของและยาทองของผู้อาวุโสตระกูลหยูทั้งสี่ขึ้นมา

เกาเหลียนหงเองก็เข้าใจถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ดี ครั้งนี้ผู้อาวุโสของตระกูลหยูแทบทั้งหมดถูกทำลายลงอย่างราบคาบ เช่นนั้นตาเฒ่าประหลาดระดับมกุฎยุทธ์ของตระกูลหยู ย่อมต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแน่นอน

ดังนั้นเกาเหลียงหงจึงไม่พูดอะไรมาก เขารีบดึงหลินจื่อเฟิงที่อยู่ข้าง ๆ ให้ลุกขึ้น กลายเป็นแสงพุ่งไปทางเดียวกับหลัวซิว หนีออกไปจากที่แห่งนี้ด้วยความรวดเร็ว

ผ่านไปครู่เดียว พวกของหลัวซิวเพิ่งจะเดินทางออกมาได้ไม่นานนัก จู่ ๆ ก็เกิดรอยแยกขึ้นบนท้องฟ้าเหนือพื้นที่รกร้างแห่งนี้ มีแสงสะท้อนของดาบที่คมกริบค่อย ๆ รวมตัวกัน ปรากฏขึ้นเป็นภาพของชายชราที่มีหนวดเคราสีขาว

การปรากฏตัวของคนผู้นี้ ทำให้เกิดแรงกดดันอันมหาศาล แผ่ขยายไปเป็นวงกว้าง เขาใช้สำนึกตรวจสอบดู จากนั้นสีหน้าก็เคร่งเครียดทันที ดวงตาของเขาจับจ้องไปยังพื้นที่ที่อยู่ห่างจากเขาไม้เสวียนไปสิบกว่าเมตร

……

พวกของหลัวซิวเดินทางผ่านเทือกเขาเหิงหยุนอันกว้างใหญ่ ใช้เวลาอยู่หลายวัน ก็เดินทางกลับมาถึงในประเทศเทียนหวู

จากนั้น ด้วยการนำของหลัวซิว พวกเขาก็ได้นั่งค่ายวาร์ปของคูเมืองนักล่ายุทธ์ขนาดใหญ่ต่าง ๆ จนกลับถึงสำนักไท่เสวียน

“ในที่สุดก็กลับมาแล้ว……”

หลังจากผ่านค่ายพิทักษ์เขาเข้ามาในสำนักเขาแล้ว เกาเหลียนหงก็รู้สึกตื้นตันใจอย่างยิ่ง

“หลายหมื่นปีก่อน บรรพบุรุษของตระกูลเกาผู้หนึ่งรอดชีวิตจากภัยพิบัติ เรื่องที่เกี่ยวข้องกับสำนักไท่เสวียน ต่างเป็นการบอกต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ลูกหลานของตระกูลเกาต่างก็มีเป้าหมายที่จะชุบชีวิตของไท่เสวียนขึ้นมาใหม่ แต่น่าเสียดายที่จนกระทั่งถึงรุ่นของข้า ก็ยังไม่เคยปรากฏผู้แข็งแกร่งที่อยู่เหนือระดับมกุฎยุทธ์ จึงไม่มีความสามารถที่จะสร้างไท่เสวียนขึ้นมาใหม่”

จากสิ่งที่เกาเหลียนหงพูดมา ถึงแม้บรรพบุรุษตระกูลเกาที่เขาพูดถึงผู้นั้น จะรอดชีวิตจากภัยพิบัติ แต่ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสชีวิตตกอยู่ในอันตราย ก่อนที่เขาจะเสียชีวิต เขาไม่ต้องการให้วิชาที่เป็นมรดกของสำนักไท่เสวียนต้องจบสิ้นลงเพียงเท่านี้ จึงยอมทำผิดกฎ ถ่ายทอดให้กับทายาท และทิ้งมรดกของบรรพชนไท่เสวียนเอาไว้

“ที่จริงแล้วสายนภาไท่เสวียนมีผู้คุมกฎหนึ่งคน ข้าจำได้ว่าชื่อของเขาคือเกาเหวินเย่ ไม่แน่ว่าคนผู้นี้อาจเป็นทายาทของเขา” จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำพูดขึ้น

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 473
“เป็นความเร็วที่น่ากลัวจริง ๆ !”

ทุกคนต่างประหลาดใจอย่างบอกไม่ถูก เพราะพลังของยันต์โจมตีระดับ 7 ที่สามารถสะกดและกักขังโซนได้แม้แต่ผู้ที่ฝึกวิชาล่องหนไท่เสวียนอย่างเกาเหลียนหง เมื่ออยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น ก็ยังไม่อาจอาศัยเทเลพอร์ตระยะสั้นในการหลบหนีได้

เนื่องจากการปกปิดออร่าของพลังก่อนหน้านี้ ทำให้ทุกคนที่อยู่ที่นั่น ต่างไม่มีใครสังเกตเห็นว่า อันที่จริงแล้วหลังซิวอาศัยความรวดเร็วสูงสุดของปีกทิพย์ไร้มลทิน หลบหนีการโจมตีในครั้งนี้

ขณะที่ปีกทิพย์ไร้มลทินสั่นสะเทือน ก็ถูกเขาดึงเข้าไปในร่างกายทันที ทำให้เกิดเป็นภาพลวงตา ดูเหมือนว่าเขาเทเลพอร์ตไปที่ด้านหน้าของหยูไป๋

แต่ในความจริงแล้ว ตอนที่เขาปรากฏตัวขึ้นด้านหน้าของหยูไป๋ กลับไม่มีความผันผวนของพลังแห่งโซนแม้แต่น้อย

ไม่ใช่เทเลพอร์ต

หยูไป๋ตกใจจนตาเบิกเพลิง เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีของหลัวซิว เขาก็ล่าถอยอย่างรวดเร็วตามสัญชาตญาณ

ฟิ้ว !

ภายใต้การโจมตีของวิชากระบี่วาตะ โซนถูกกรีดเป็นรอยแยก ถึงแม้หยูไป๋จะล่าถอยอย่างรวดเร็วแล้วก็ตาม แต่ก็ยังคงรู้สึกเจ็บหน้าอก และบาดแผลเป็นรอยแยก มีเลือดสีแดงสดพุ่งออกมา

หลัวซิวขมวดคิ้ว รู้สึกเสียดายเล็กน้อย การฝึกตนของเขาอ่อนแอไปเพียงนิดเดียว ผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 7 ยังไม่อาจโจมตีให้ตายในครั้งเดียวได้

“ตายซะเถอะ !”

อาการบาดเจ็บที่หน้าอก ทำให้สีหน้าของหยูไป๋ดุร้ายยิ่งขึ้น เขาสะบัดมือ และบีบยันต์ระดับ 7 จนแหลกละเอียดอีกครั้ง มีรัศมีสีม่วงเปล่งประกายออกมา

ครั้งนี้ ระยะห่างของทั้งสองฝ่ายใกล้กันมาก หลัวซิวไม่อาจปิดบังความลับเรื่องปีกทิพย์ไร้มลทินได้อีกต่อไป เกิดเสียงดังพรึ่บ ปีกทั้งสองข้างกางออกด้านหลัง และร่างของเขาก็หายวับไปจากที่เดิมทันที

“ปีกคู่นั้นมันคืออะไรกัน ? ช่างรวดเร็วจริง ๆ !”

“คงเป็นเพราะคนผู้นี้ฝึกวิชาท่าร่างหลบหนีที่ร้ายกาจบางอย่าง หรือไม่ก็อาจจะเป็นสมบัติที่สุดยอดบางอย่าง”

สมบัติพรสวรรค์อย่างเช่นปีกไร้มลทินนี้ ในสมัยโบราณล้วนเป็นของหายาก ทำให้จักรพรรดิยุทธ์ที่อยู่ในเหตุการณ์ ต่างไม่มีใครรู้จัก

แต่หลัวซิวกลับรู้ดีว่า ถึงแม้คนเหล่านี้จะไม่รู้จัก แต่หลังจากที่เรื่องนี้แพร่ออกไป จะต้องมีผู้แข็งแกร่งที่มีความรอบรู้คนอื่น ๆ รู้จักประวัติความเป็นมาของสมบัติชิ้นนี้อย่างแน่นอน ถึงตอนนั้น คงจะเกิดปัญหาวุ่นวายตามมาไม่น้อย

ทว่า ในเวลาเช่นนี้ไม่อาจสนใจอะไรได้มากนัก หลัวซิวอาศัยความเร็วสูงสุดของปีกทิพย์ไร้มลทิน ไปปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังของหยูไป๋ที่กำลังล่าถอยอย่างเร่งรีบในทันที

ฉึบ !

เสียงของกระบี่อาถรรพ์ฟันเสือดังก้องอยู่กลางอากาศ แสงประกายแพรวพราวของดาบ ไม่อาจมองได้ด้วยตาเปล่า เลือดสีแดงสดจำนวนมาก สาดกระเซ็นขึ้นไปกลางอากาศทันที

มีศีรษะลอยกระเด็นขึ้นไปเหลือเพียงร่างที่ไร้ศีรษะของหยูไป๋ที่ร่วงลงมา

แม้แต่เกาเหลียนหงเองก็ยังไม่ทันได้ตั้งหลักที่จะเข้าไปช่วย ร่างของหลัวซิวก็หายวับไปอีกครั้ง เกิดเสียงกรีดร้องดังขึ้นติดต่อกันสามครั้ง ผู้อาวุโสอีกสามคนที่ติดตามหยูไป๋ขึ้นมา ถูกสังหารในที่เกิดเหตุทันที

นี่คือความเร็วที่น่าสะพรึงกลัวของปีกทิพย์ไร้มลทิน ในการต่อสู้ระยะประชิด หลัวซิวถึงขั้นสามารถสังหารจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 7 ได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นการสังหารจักรพรรดิยุทธ์ขั้นกลางและขั้นปฐมภูมิ ยิ่งไม่ต้องเปลืองแรงเลยสักนิด

แน่นอนว่า นี่เป็นเพราะหยูไป๋เชื่อมั่นในพลังของยันต์ระดับ 7 มากเกินไป จึงประมาทคู่ต่อสู้

มิเช่นนั้น อาศัยเพียงแค่สำนึกของจักรพรรดิยุทธ์ขั้น7 การที่หลัวซิวจะลอบโจมตีและสังหารจากทางด้านหลัง คงไม่ใช่เรื่องง่ายดายเช่นนี้แน่นอน

ทุกคนที่เห็นฉากนี้ ต่างตกตะลึงจนอ้าปากค้าง

“ให้ตายเถอะ เจ้าสำนักไท่เสวียนผู้นี้เป็นใครมาจากไหนกันแน่ ? ความรวดเร็วที่น่ากลัวเช่นนี้ จะมีใครที่อยู่ต่ำกว่าระดับมกุฎยุทธ์แล้วจะสามารถต่อกรกับเขาได้อีก ?”

ตอนนี้เอง ทุกคนจึงจะตั้งสติกลับมาได้ ตอนที่เจ้าสำนักไท่เสวียนผู้นี้ ต่อสู้กับผู้อาวุโสใหญ่ตระกูลหยูบนเขาไม่เสวียน ดูเหมือนว่าเขายังปิดบังความสามารถที่แท้จริงเอาไว้อยู่

“เกรงว่าครั้งนี้อาจารย์ตระกูลหยูคงต้องสติแตกอย่างแน่นอน !”

คนจำนวนไม่น้อยต่างหันมองหน้ากัน เพราะงานประมูลยาในครั้งนี้ ตระกูลหยูได้รับความสูญเสียอย่างหนัก ผู้อาวุโสใหญ่หยูชุนชิวถูกทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส เมื่อรวมผู้อาวุโสรองแล้ว เท่ากับว่ามีผู้อาวุโสเสียชีวิตไปถึงเจ็ดคน !

ผู้อาวุโสทุกคนของตระกูลหยู ล้วนมีผลการฝึกตนในระดับจักรพรรดิยุทธ์ ถึงแม้ตระกูลหยูจะมีอิทธิพลอยู่ในเทือกเขาเหิงหยุนไม่น้อย แต่ก็มีผู้อาวุโสระดับจักรพรรดิยุทธ์เพียงแค่เก้าคน แต่นี่กลับเสียชีวิตคราวเดียวถึงเจ็ดคน บาดเจ็บสาหัสอีกหนึ่งคน พลังการต่อสู้ระดับสูงของตระกูลหยู กลับถูกทำลายลงอย่างราบคาบ เหลือเพียงแค่อาจารย์ตระกูลหยู ซึ่งเปรียบเสมือนผู้บัญชาการที่ไร้ทหารคนเดียว

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 472
ก่อนหน้านี้บนเขาไม้เสวียน กระบวนท่าตราธรรมจุติมรณะ ทำให้พลังจิตแท้ในตัวของหลัวซิวหมดลง แต่การฟื้นฟูพลังจิตแท้ของเขาก็รวดเร็วเช่นกัน ก่อนที่งานประมูลจะสิ้นสุดลง การฟื้นฟูก็เกือบจะเป็นปกติแล้ว

เมื่อเห็นว่ามีผู้อาวุโสทั้งสี่ของตระกูลหยู ยืนขวางทางอยู่กลางอากาศด้านหน้า บนใบหน้าของหลัวซิว ก็ปรากฏรอยยิ้มที่มีเลศนัยออกมา

แต่เกาเหลียนหงกลับมีสีหน้าที่เคร่งเครียด ไม่ใช่เพราะผู้อาวุโสรองหยูไป๋ มีผลการฝึกตนที่พอ ๆ กับตนเอง แต่เป็นเพราะในเมื่ออีกฝ่ายกล้าเข้ามาขวางทางเช่นนี้ นั่นหมายความว่าจะต้องมีวิธีการบางอย่างที่ร้ายกาจอย่างแน่นอน จึงทำให้พวกเขามีความมั่นใจเช่นนี้

“เจ้าสำนักหลัว ข้ากินว่าเจ้าจะกลัวจนหัวหด หลบอยู่ในเขาไม้เสวียนไม่กล้าออกมาเสียอีก”

เมื่อเห็นพวกของหลัวซิวเหาะเหินเดินอากาศมา หยูไป๋ก็กล่าวเสียดสีด้วยความดูถูกทันที

“เจ้ารีบร้อนที่จะตายขนาดนั้นเชียวหรือ ?” หลัวซิวมีทีที่ไม่ยี่หระ ข้าอุตส่าห์มีเมตตากับสมุนของหยูชุนชิว แต่คนตระกูลหยูกลับไม่รู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดีเช่นนี้ ซ้ำยังกล้าส่งคนมาดักฆ่าข้า สมควรตายยิ่งนัก !”

เมื่อคำพูดนี้ออกไป คนที่ยืนชมการต่อสู้อยู่โดยรอบ ต่างก็แสดงสีหน้าที่แตกต่างกันไป เพราะคำพูดนี้ของหลัวซิว หมายความได้ว่าตัวเขานั้นอยู่เหนือกว่าตระกูลหยู

แต่คำพูดที่เขาพูดเหล่านี้ กลับทำให้ทุกคนยากที่จะคัดค้านได้ เพราะบนภูเขาไม้เสวียนในตอนนั้น หยูชุนชิวถูกทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสและหมดสติไปจริง ๆ แต่สำนักหลัวผู้นี้กลับไม่ได้สังหารเขา กลับให้คนของตระกูลหยูมาหามเขาออกไป

จะว่าไปแล้ว คนผู้นี้ก็ลงมืออย่างมีเมตตาจริง ๆ แต่เป็นตระกูลหยูต่างหากที่ได้คืบจะเอาศอก และกดขี่ผู้อื่น

“โอ้อวดอย่างไม่รู้จักละอายเอาเสียเลย คนที่กล้าล่วงเกินคนของตระกูลหยู ไม่มีใครมีชีวิตรอดอยู่บนโลกนี้ได้ วันนี้เป็นวันตายของสัตว์เดรัจฉานตัวเล็ก ๆ อย่างเจ้า !”

หยูไป๋หัวเราะเยาะ พลิกมือหยิบยันต์หยกออกมา และบีบจนละเอียด

ขณะที่ยันต์หยกแตกละเอียด มีแสงพร่างพรายส่องสว่างขึ้น ไม่ช้าก็แปลงร่างเป็นเงามืดที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์อย่างรวดเร็ว และใช้ฝ่ามือฟาดลงไปยังหลัวซิวทันที

ฝ่ามือนี้ มีพลังที่ยิ่งใหญ่และน่าหวาดกลัวอย่าคาดไม่ถึง โซนโดยรอบเหมือนถูกสะกดเอาไว้ ราวกับอยู่ในกรงขัง ไม่มีหนทางให้หลบหนี ถึงอย่างไรก็หนีไม่พ้น

“เจ้าสำนักระวัง !”

เกาเหลียนหงตกใจจนหน้าถอดสี แอบคิดในใจว่า ไม่แปลกที่ผู้อาวุโสรองจะมีความมั่นใจเช่นนี้ นั่งเพราะเขานำยันต์ระดับ 7 มาด้วยนั่นเอง

ยันต์โจมตีระดับ 7 เทียบเท่ากับการโจมตีของผู้แข็งแกร่งระดับมกุฏยุทธ์ ภายใต้ความกกดันจากการโจมตีระดับนี้ ทำให้แม้แต่โซนก็ถูกสะกดและกักขังเอาไว้ แม้แต่เกาเหลียนหงเอง ก็ไม่มั่นใจว่าตนเองนั้นจะสามารถหนีรอดไปได้

ทว่า สิ่งที่ทำให้ทุกคนคาดไม่ถึงก็คือ หลัวซิวที่กำลังเผชิญหน้าอยู่กับยันต์โจมตีระดับ 7 ที่มีอานุภาพสังหารรุนแรง กลับมีสีหน้าเรียบเฉย

“เจ้าหมอนี่ตกใจจนทำอะไรไม่ถูกแล้วหรือ ? นี่เป็นยันต์โจมตีระดับ 7 เชียวนะ ผู้ที่อยู่ต่ำกว่าระดับมกุฎยุทธ์ไม่มีทางต้านทานได้แน่นอน !”

“แต่ว่า ตระกูลหยูเองก็ดูจะร่ำรวยและเย่อหยิ่งไม่น้อย ยันต์ระดับ7 มีมูลค่าหลายแสนหินพลังจิตระดับสูงเชียวนะ !”

ผู้คนโดยรอบต่างพากันทอดถอนใจไม่หยุด

“เปรี้ยง !”

ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน มีฝ่ามือขนาดใหญ่ทุบลงมา ทำให้โซนในรัศมีหนึ่งร้อยเมตรแตกละเอียด มีรอยแยกมือดำอันน่ากลัว แผ่กระจายออกไปทั่วทุกทิศทาง ทำให้โซนดูราวกับกระจกที่แตกร้าว

เมื่อเกิดการแตกละเอียดกลางอากาศ โซนก็จะเกิดแรงบิดและฉีกขาดอันทรงพลังขึ้นมา มีเพียงผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎยุทธ์ที่ฝึกร่างทองฝ่าเซียงเท่านั้นที่จะต้านทานได้ นอกนั้นแม้แต่ผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 9 หากไม่ตายก็ต้องบาดเจ็บสาหัส

ทุกคนต่างเพ่งมองอย่างตั้งใจ แต่กลับพบว่าในโซนบนอากาศที่แตกสลาย กลับไม่เห็นเงาของหลัวซิว คนจำนวนมากต่างหันมองหน้ากัน ไม่มีใครเห็นฉากตอนที่เขาถูกฉีกออกเป็นชิ้น ๆ เลือดสาดกระเซ็น

“เขาอยู่ตรงนั้น !”

ทันใดนั้น มีคนอุทานขึ้นมาด้วยความตกใจ ทุกคนต่างหันมองตามเสียง ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจและไม่อยากเชื่อ

จู่ ๆ ก็มีคนสวมชุดคลุมยาวดำปรากฏตัวขึ้นด้านหน้าของผู้อาวุโสรองตระกูลหยู หยูไป๋ ด้วยใบหน้าดุดัน และมีเจตนาฆ่าที่รุนแรง

“ยันต์ระดับ 7 คือสิ่งที่เจ้ามั่นใจว่าจะเอาชนะขาได้อย่างนั้นหรือ ?”

หลัวซิวแสยะยิ้มด้วยความดูถูก ด้วยพลังเสริมจากลูกแก้วเสวียนดำ ทำให้รัศมีรอบตัวเขาพุ่งสูงขึ้น และโจมตีด้วยนิ้วเดียว

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 471
ตอนนี้สำนักเขาไท่เสวียนสร้างขึ้นจนแล้วเสร็จ ขั้นต่อไปก็คือการเปิดสำนักเขา และประกาศรับสมัครลูกศิษย์ ก่อนจะถึงขั้นตอนนี้ หลัวซิวจำเป็นจะต้องเพิ่มทรัพยากรในคลังสมบัติ มิเช่นนั้น หากรับลูกศิษย์มาแล้วแต่กลับไม่มีทรัพยากรสำหรับบ่มเพาะ ก็คงเป็นเรื่องน่าขำไม่น้อย

ในขณะที่หลัวซิวกำลังบ่นพึมพำอยู่ในใจ ยาสลายร่างหลงหยางระดับ 7 เม็ดนี้ สุดท้ายก็มีคนของกองกำลังใหญ่ซื้อไป หากเป็นผู้แข็งแกร่งที่อยู่ในแดนจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 9 ก็มีโอกาสไม่น้อยที่จะสร้างอาจารย์มกุฎยุทธ์ออกมา !

“งานประมูลยาสิ้นสุดลงแล้ว ข้าเองก็ควรต้องเดินทางกลับแล้ว” หลัวซิวลุกยืนขึ้น แล้วหันมองเกาเหลียงหงที่อยู่ด้านข้าง “เจ้ามีแผนการเช่นไรต่อ ?”

“แน่นอนว่าต้องกลับไปกับเจ้าสำนัก ในฐานะที่เป็นสายนภาเสวียน แล้วจะไม่กลับไท่เสวียนได้อย่างไร ?” เกาเหลียนหงพูดด้วยรอยยิ้ม

สำหรับการตัดสินใจเช่นนี้ของเกาเหลียนหง หลัวซิวเองก็คาดเดาไว้แต่ต้นแล้ว ดังนั้นจึงไม่รู้สึกแปลกใจ

“เจ้าสำนัก ไม่ทราบว่าสำนักไท่เสวียนยังขาดลูกศิษย์อีกหรือไม่ ?” จู่ ๆ หลินจื่อเฟิงก็พูดขึ้นจากทางด้านหลังของหลัวซิว

“เอ่อ ? ทำไมเจ้าถึงอยากเข้าไปอยู่ในสำนักไท่เสวียน ?” หลัวซิวถาม

ถึงแม้เขาจะรู้สึกชื่นชมหลินจื่อเฟิงผู้นี้ แต่อย่างไรเสียพวกเขาทั้งสองก็เพิ่งรู้จักกันได้เพียงไม่นาน

หลินจื่อเฟิงพูดด้วยรอยยิ้ม : “ข้ารู้สึกว่าตัวข้าเองก็รู้จักกับเจ้าสำนักแล้ว อีกทั้งข้ามีความรู้สึกบางอย่างว่า ขอเพียงชาตินี้ข้าคอยติดตามเจ้าสำนัก ชีวิตของข้าก็จะไม่อยู่อย่างไร้ประโยชน์อีกต่อไป”

คำพูดนี้ของหลินจื่อเฟิง ทำให้ใครก็ตามที่ได้ยินต้องรู้สึกงุนงง แต่หลังซิวกลับสัมผัสได้ถึงความจริงใจของหลินจื่อเฟิงว่า ไม่ได้ต้องการเข้ามาอยู่ในสำนักไท่เสวียนเพียงเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง

“เจ้าจะเข้ามาอยู่ในสำนักไท่เสวียนของข้าก็ย่อมได้ แต่ข้าจะขอพูดอย่างตรงไปตรงมาก่อน สำนักไท่เสวียนของข้าเพิ่งก่อตั้งขึ้น ยังไม่มีภูมิหลังอะไร อีกทั้งมีศัตรูที่แข็งแกร่งอยู่จำนวนไม่น้อย เจ้าจะต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วน” หลัวซิวพูดเช่นนี้

ส่วนเย่เฟยเทียนผู้นั้น หลัวซิวยังคงไม่สนใจ ถึงแม้เขาและตระกูลหยูจะเปรียบเสมือนขมิ้นกับปูน แต่หลัวซิวกลับไม่อยากให้สำนักไท่เสวียน กลายเป็นเครื่องมือที่ใช้เป็นโล่หลบภัย

เมื่อเย่เฟยเทียนกำลังจะเอ่ยปาก หลัวซิวกลับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง : “พี่เย่ ข้าไม่แน่ใจว่าความสัมพันธ์ระหว่างหยูหลันผู้นั้นกับท่านเป็นเช่นไรกันแน่ แต่ข้าค่อนข้างมั่นใจว่า ท่านถูกตระกูลหยูหลอกใช้แล้ว ดังนั้นข้าขอแนะนำท่านให้ตรวจสอบเรื่องนี้ให้ชัดเจนเสียก่อน จากนั้นค่อยตัดสินใจ”

หลังจากพูดจบ หลัวซิวก็หันหลังเดินจากไป เกาเหลียนหงและหลิงจื่อเฟิงรีบเดินตามหลังเขาไปทันที

หลังจากที่สุดท้ายแล้วยาสลายร่างหลงหยางระดับ 7 ก็มีคนมาซื้อไป แสดงให้เห็นว่างานประมูลยาในครั้งนี้กำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว จักรพรรดิยุทธ์ที่อยู่ในห้องใต้หลังคาจำนวนมาก ก็ค่อย ๆ ลุกขึ้น และกล่าวลากับผู้อาวุโสสำนักไม้เสวียน ที่เป็นผู้ดำเนินงานประมูลด้วยความเคารพ จากนั้นจึงหันหลังเดินจากไป

หยูไป๋ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ หลังจากเขาพาผู้อาวุโสอีกสามคนออกจากห้องใต้หลังคา ก็เหาะออกจากเขาไม้เสวียนอย่างรวดเร็ว

“ฮ่า ๆ ระหว่างตระกูลหยูกับเจ้าสำนักไท่เสวียน จะต้องเปิดศึกครั้งใหญ่อีกครั้งอย่างแน่นอน”

“พวกเราจะไปดูการต่อสู้เพื่อความสนุกกันหน่อยไหม ?”

“อย่าดีกว่า ทั้งสองฝ่ายไม่ว่าใครจะเป็นผู้ชนะ ต่างก็ไม่เป็นผลดีต่อเราทั้งสิ้น เรื่องสนุกบางอย่างก็ใช่ว่าจะเข้าร่วมได้ตามใจ ไม่แน่ว่าอาจต้องจบชีวิตลงด้วยเหตุนี้ก็ได้”

ถึงแม้จะมีคนพูดเช่นนี้ แต่ก็ยังคงมีคนอีกไม่น้อยที่ให้ความสนใจกับศึกใหญ่ครั้งนี้

หลัวซิวค่อย ๆ เดินลงจากเขาไม้เสวียนโดยไม่รีบร้อน จนกระทั่งเดินออกจากสำนักเขาของสำนักไม้เสวียน เขาถึงรู้สึกโล่งใจขึ้นเล็กน้อย

จะว่าไป เมื่อเทียบกับคนของตระกูลหยูเหล่านั้น ค่ายพิทักษ์เขาระดับ 8 ของสำนักไม้เสวียน ยังทำให้เขารู้สึกกดดันมากกว่าเสียอีก

แม้ว่าอาจารย์มกุฎยุทธ์ของตระกูลหยูมา หลัวซิวถามตัวเองแล้วว่าถึงแม้จะเอาชนะไม่ได้ แต่การหลบหนีก็คงไม่ใช่ปัญหา แต่ค่ายกลพิทักษ์เขาระดับ 8 นี้ไม่เหมือนกัน หากสำนักไม้เสวียนคิดจะรั้งให้เขาอยู่ต่อจริง ๆ เกรงว่าเขาคงไม่มีแรงต้านทานเลยแม้แต่น้อย

บนท้องฟ้าที่อยู่เหนือดินแดนรกร้าง ห่างจากสำนักเขาของสำนักไม้เสวียนออกไปสิบกว่าลี้ หยูไป๋พาผู้อาวุโสอีกสามคนยืนอยู่บนท้องฟ้า ร่างกายแผ่ซ่านเจตนาฆ่าอย่างรุนแรงออกมา

บริเวณโดยรอบ มีจักรพรรดิยุทธ์ที่มาจากกองกำลังต่าง ๆ จำนวนไม่น้อย ต่างล้อมวงเฝ้าดูอยู่ห่าง ๆ

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 470
งานประมูลยานี้ ยาที่สำนักไม้เสวียนนำออกมาขายในราคาสูงมาก พิธีกรผู้อาวุโสใหญ่ของงานประมูลยาแสดงสีหน้าได้ใจ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

“ทุกท่าน ต่อไปจะเป็นยาที่เจ๋งที่สุด ข้าคิดว่าทุกคนน่าจะเดาได้ ทุกครั้งของงานประมูลยา ยาที่เจ๋งที่สุดของสำนักไม้เสวียนเป็นยาระดับเจ็ด!”

“ในเทือกเขาเหิงหยุนมีสมบัติหายากมากมาย และยาวิเศษระดับเจ็ดนั้นหาได้ไม่ยาก แต่ถ้าคุณต้องการที่จะกลั่นให้เป็นยา อัตราความสำเร็จต่ำมาก…”

ผู้อาวุโสใหญ่สำนักไม้เสวียนพูดอีกมากมาย จุดประสงค์หลักคือต้องการเพิ่มราคาของยาระดับเจ็ดนี้

“เอาล่ะ ข้าจะไม่พูดอะไรมากแล้ว ทุกท่านดูเอาเองละกัน”

ผู้อาวุโสใหญ่สำนักไม้เสวียนนำขวดหยกออกมา และดูเหมือนว่าจะมีเสียงคำรามของมังกรออกมาจากขวดหยกด้วย

“ยาสลายร่างหลงหยาง?” ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นขยับตัว

อย่างที่เราทราบกันดี แดนของมกุฎยุทธ์คือการรวมเป็นหนึ่งของจิตวิญญาณและเนื้อหนังเข้าด้วยกัน การกลั่นร่างทองฝ่าเซียง!

หนึ่งในนั้น จิตวิญญาณหมายถึงเทพจิต เนื้อหนังหมายถึงร่างกาย เมื่อถึงเป้า หากความแข็งแกร่งของร่างกายไม่ถึงการต่อสู้ระดับมกุฎ ก็ต้องยืมใช้กำลังภายนอกมิ ฉะนั้นร่างกายไม่สามารถต้านทานการหลอมรวมของจิตวิญญาณระดับมกุฎยุทธ์ได้ ก็จะล้มเหลว แม้แต่ร่างกายก็จะพังทลายและถูกทำลายทิ้ง

ยาสลายร่างหลงหยางเป็นยาที่ใช้เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของร่างกาย เมื่อมกุฎยุทธ์บุกทะลวงจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้า

นอกจากนี้ ขุมพลังของแดนมกุฎยุทธ์ยังสามารถปรับปรุงแดนทางกายภาพของตัวเองได้ด้วยการใช้ยาสลายร่างหลงหยาง

นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมหลัวซิวจึงสามารถพึ่งพายาระดับเจ็ดสองเม็ด และเชิญมู่จื่อซิวและหนิงเหอโจวมกุฎยุทธ์ทั้งสองมาช่วยเขาต่อสู้

เนื่องจากยาสลายร่างหลงหยางและยาวาตะทองน้ำค้างหยก เป็นสิ่งที่มีค่าของยาระดับเจ็ด

แน่นอนว่าความล้ำค่าที่กล่าวถึงในที่นี้ไม่มีความหมายสำหรับหลัวซิว

ยาสลายร่างหลงหยาง ราคาเริ่มต้นที่สำนักไม้เสวียนเสนอออกมาคือสองแสน

“สองแสนหนึ่งหมื่น!” มีคนเสนอราคาออกมาอย่างรวดเร็ว

“อยากซื้อยาระดับเจ็ดในราคาเพียงสองแสนหนึ่งหมื่นงั้นเหรอ? ข้าให้สองแสนห้าหมื่น!”

“สองแสนเจ็ดหมื่น!” “สองแสนแปดหมื่น!”…

ราคายังคงไต่ระดับต่อไป และในไม่ช้าราคาก็ขึ้นสูงเสียดฟ้าถึงสามแสนเลย

หลัวซิวตกตะลึง เขาไม่คิดว่ายาระดับเจ็ด จะเป็นที่นิยมมาก

“บัดซบ ยาสลายร่างหลงหยางสามารถมีมูลค่าถึงสามแสนล่ะก็ ราคาของยาวาตะทองน้ำค้างหยกจะไม่ต่างกัน นี่หมายความว่าข้าขอให้มู่จื่อซิวและหนิงเหอโจวลงมือ ก็ต้องใช้มากกว่าหนึ่งล้านชั้นสูง?” สีหน้าของหลัวซิวเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด

สำหรับจักรพรรดิยุทธ์แรกเริ่ม หนึ่งล้านกว่า คือทั้งหมดของตระกูลแล้ว

จากที่ไม่มีจนถึงตอนนี้ ไม่เคยมีช่วงเวลาใดเหมือนวันนี้ที่หลัวซิวรู้สึกเหมือนเป็นผู้แพ้

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เป็นเพราะระดับที่เขาเคยสัมผัสมาก่อนนั้นค่อนข้างต่ำ และเพราะเขาสามารถกลั่นยาระดับเจ็ดได้อย่างง่ายดาย เขาไม่คิดว่ายาเหล่านี้จะมีค่ามาก

แต่ตอนนี้เมื่อเขารู้แล้ว ดวงตาของหลัวซิวก็สั่นไหวในทันใด

“ไม่น่าแปลกใจที่สำนักไม้เสวียนนี้เป็นที่รู้จักในฐานะกองกำลังที่ใหญ่ที่สุดในเทือกเขาเหิงหยุน แม้ว่าอัตราความสำเร็จของการกลั่นของเจ้าสำนักไม้เสวียนจะไม่สูง แต่เขาก็รวยอย่างแน่นอน!”

หลัวซิวรู้ดีว่า งานประมูลยาร้อยปีมีหนึ่งครั้ง เป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ของภูเขาน้ำแข็ง ทุก ๆ ปี เขาไม่รู้ว่าจักรพรรดิยุทธ์และมกุฎยุทธ์จะมาที่สำนักไม้เสวียนประมูลยา

“งานประมูลยาครั้งนี้มาไม่เสียเปล่า” หลัวซิวเริ่มหรี่ตาและคิดเกี่ยวกับวิธีใช้การกลั่นและค่ายกลของตัวเองเพื่อสร้างเพื่อรับทรัพยากรมากมาย

สองปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการพัฒนาตระกูลคือทรัพยากรและพรสวรรค์

แม้แต่อัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบได้ หากไม่มีทรัพยากรมากมายก็อย่าคิดที่จะเป็นปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ ในการวิเคราะห์ขั้นสุดท้าย ทรัพยากรเป็นสิ่งที่พื้นฐานมากที่สุด

หากมีทั้งทรัพยากรและพรสวรรค์ แสดงว่าการพัฒนาตระกูลจะต้องรวดเร็วมาก

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 469
จักรพรรดิยุทธ์หลายคนในห้องพูดคุยกัน หลัวซิวเจ้าสำนักไท่เสวียนเริ่มทะเลาะกับตระกูลหยูแล้ว ราคาของยากลั่นจิตอัคคีม่วงสิบสองเม็ดนั้นสูงเกินกว่าที่ควรจะเป็น

ข้าง ๆหยูไป๋ มีผู้อาวุโสสามคนจากตระกูลหยูที่มากับเขา หนึ่งในนั้นขมวดคิ้ว “ผู้อาวุโสรอง ยากลั่นจิตอัคคีม่วงทั้งสิบสองเม็ดนี้มีมูลค่าแค่สองแสน เราจ่ายสองแสนห้าหมื่น มันมากเกินไปหรือเปล่า?”

“ในเวลาแบบนี้ ข้าจะทำให้ชื่อเสียงของตระกูลหยูอ่อนแอลงได้อย่างไร?” หยูไป๋พูดด้วยใบหน้าที่ว่างเปล่า “ยิ่งไปกว่านั้น การฝึกฝนของข้ากำลังจะทะลุผ่านระดับแปดของจักรพรรดิยุทธ์แล้ว ถ้าได้ยากลั่นจิตอัคคีม่วงสิบสองเม็ดนี้ ความก้าวหน้าอยู่ใกล้แค่เอื้อม”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ผู้อาวุโสของตระกูลหยูทั้งสามที่อยู่ข้าง ๆ เขาต่างก็ตกตะลึง เพราะหากว่าหยูไป๋บรรลุถึงระดับที่แปดของ จักรพรรดิยุทธ์ พลังของเขาเทียบเท่าระดับเดียวกับผู้อาวุโสใหญ่ยูชุนชิวเลย

แต่ตอนนี้ยูชุนชิวได้รับบาดเจ็บสาหัส ตันเถียนและเทพจิตของเขาได้รับความเสียหาย หยูไป๋มีแนวโน้มที่จะเข้ามาแทนที่ยูชุนชิวและกลายเป็นผู้อาวุโสใหญ่คนต่อไป!

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ผู้อาวุโสทั้งสามของตระกูลหยูก็หยุดพูด เพื่อไม่ให้หยูไป๋ขุ่นเคือง

“หึ ๆผู้อาวุโสใหญ่ตระกูลหยูเสนอราคาสองแสนห้าหมื่นสำหรับชั้นสูง ยังมีใครให้ราคาที่สูงกว่านี้ไหม?” พิธีกรผู้อาวุโสใหญ่สำนักไม้เสวียนของงานประมูลยา พูดด้วยรอยยิ้ม

สายตาของเขาทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจมองไปที่หลัวซิว ราวกับว่าเขากำลังยุยงให้เขาเสนอราคาต่อไป

โดยปกติแล้วยากลั่นจิตอัคคีม่วงขวดนี้สามารถขายได้สองแสนถือว่าสูงแล้ว ตอนนี้เกินมาห้าหมื่น เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจอย่างไม่ต้องสงสัย

นอกจากนี้ นี่ยังเป็นเพียงอาหารเรียกน้ำย่อยเฉย ๆ ข้างหลังยังมียาล้ำค่าอื่น ๆ อีกมากมายที่รอการประมูลอยู่

อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้ผู้อาวุโสใหญ่สำนักไม้เสวียนผิดหวังคือ หลัวซิวนั่งอยู่ที่นั่นด้วยท่าทางสงบและไม่ได้ตั้งใจจะเสนอราคาต่อไป

“พลังเล็ก ๆ ที่ไม่ได้อยู่ในกระแสก็ไม่คุ้มที่จะพูดถึง แค่สองแสนห้าหมื่นชั้นสูงก็ไม่กล้าตามแล้วหรือ?” หยูไป๋ได้ยากลั่นจิตอัคคีม่วงนี้แล้ว จึงใช้โอกาสเยาะเย้ย

หลัวซิวไม่โกรธ เขายิ้มโดยไม่พูดอะไร และแอบพูด ปล่อยให้สุนัขแก่หยิ่งผยองไปก่อนเถอะ เจ้าสำนักอย่างข้าจะไม่แข่งราคากับเจ้า เพราะต้องการให้เจ้าเก็บหินพลังจิตไว้บ้าง รอให้งานประมูลยาจบและออกจากเขาไม้เสวียน ค่อยจัดการกับแกยังได้เยอะกว่าอีก!

สำหรับหลัวซิว ตราบใดที่อาจารย์มกุฎยุทธ์ของตระกูลหยูไม่มา แม้ว่าหยูไป๋จะมีวิธีเก่งกาจอะไร เขาก็ไม่กลัว

หลังจากที่การประมูลยากลั่นจิตอัคคีม่วงขายแล้ว สำนักไม้เสวียนจึงหยิบยาเม็ดที่สองออกมา

“ขวดหยกนี้บรรจุยาดับต้องห้าม ตามชื่อเลย ยาเม็ดนี้สามารถทำลายการห้ามบนร่างกายได้” ผู้อาวุโสใหญ่สำนักไม้เสวียนพูดแนะนำ

การห้ามเป็นเทคนิคค่ายกลชนิดหนึ่ง แต่สามารถใช้ได้แค่สำหรับปรมาจารย์ค่ายกลระดับเจ็ดหรือสูงกว่าเท่านั้น ถึงจะใช้ได้

การห้ามมีหลายวิธี แต่ส่วนใหญ่จะเป็นการปราบปรามการฝึกฝนของคู่ต่อสู้ เมื่อมีการห้ามพิเศษบางอย่างเข้าไปในร่างกาย หากไม่สามารถสลายได้ การฝึกฝนจะหยุดและอาจถึงกับตกได้

ในสมัยโบราณ มีเพียงไม่กี่คนที่เต็มใจที่จะรุกรานปรมาจารย์ค่ายกลระดับสูง เพราะพวกเขากลัวเทคนิคการห้าม

เพียงแค่ถึงโลกนี้ ปรมาจารย์ค่ายกลที่รู้เทคนิคแสดงการห้ามนั้นหายากมากแล้ว

ดังนั้นแม้ว่ายาดับต้องห้ามนี้เป็นยาเม็ดระดับเจ็ด แต่เนื่องจากค่อนข้างไม่เป็นที่นิยม ราคาก็จะไม่สูงมาก

ไม่นานหลังจากนั้น ยาดับต้องห้ามนี้ถูกซื้อโดยปรมาจารย์ระดับหกของจักรพรรดิยุทธ์ในราคาหนึ่งแสนแปดหมื่น

ทันทีหลังจากนั้น สำนักไม้เสวียนได้นำเม็ดยาระดับหกออกมาอย่างต่อเนื่อง เช่นยารวมจิตเรืองอร่ามออกมา และยาทิพย์กระดูกเสือเป็นต้น สำหรับยาเม็ดระดับหกที่หายาก เช่นยาวิญญาณหยินหยางและยาเสวียนจือ แทบจะไม่ปรากฏ

เย่เฟยเทียนสัมผัสแหวนเก็บของของเขาและมียาเสวียนจืออยู่ในแหวนของเขา เท่าที่เขารู้ แม้แต่เจ้าสำนักไม้เสวียนที่เป็นปรมาจารย์การกลั่นยาระดับที่เจ็ด ก็ไม่รู้วิธีการกลั่นวิชายาของยาเสวียนจือ และเจ้าสำนักไท่เสวียนคนนี้กลับหยิบออกมาได้ตามใจชอบ แสดงว่ายาเสวียนจือสิ่งนี้ ไม่มีความหมายสำหรับเขาเลย

“ข้าต้องการต่อสู้กับตระกูลหยูและช่วยหยูหลัน เกรงว่าจะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องพึ่งพาเจ้าสำนักไท่เสวียน” ดวงตาของ เย่เฟยเทียนเป็นประกายขึ้นมา

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 468
ชายชราในชุดคลุมสีขาวเดินเข้ามาด้วยท่าทางเคร่งขรึม มีสัญลักษณ์สลักคำว่า ‘หยู’ ห้อยอยู่ที่เอวของเขา และข้างหลังเขามีจักรพรรดิยุทธ์ผู้อาวุโสของตระกูลหยูอีกสามคนเดินเข้ามาด้วยกัน

“คือผู้อาวุโสรองหยูไป๋ของตระกูลหยู…”

หลายคนรู้จักตัวตนของชายชราในชุดคลุมสีขาว และชั่วขณะหนึ่งพวกเขาก็มองไปที่หลัวซิวที่นั่งอยู่ในงาน

เพราะทุกคนรู้ว่า ตระกูลหยูเดิมเข้าร่วมงานประมูลยาในครั้งนี้คือผู้อาวุโสหยูชุนชิว และเจ้าสำนักไท่เสวียนท่านนี้ ทำหยูชุนชิวบาดเจ็บ

และตอนนี้ผู้อาวุโสรองหยูไป๋มาด้วย เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้ยังไม่จบ

หลังจากที่หยูไป๋เดินเข้าไปในห้องใต้หลังคา สายตาของเขาก็ตกลงไปที่หลัวซิวอย่างเย็นชา “ตระกูลหยูของข้าอยู่ในเทือกเขาเหิงหยุนมาหลายปีแล้วและเจ้าสำนักเล็ก ๆ ที่ไม่ได้อยู่ในกระแส สำหรับตระกูลหยูของข้า ไม่คุ้มที่จะพูดขึ้น อ่อนแอเหมือนสุนัข!”

คำพูดของหยูไป๋ ค่อนข้างยั่วยุหลัวซิวและสำนักไท่เสวียน และค่อนข้างท้าทายมาก

“ข้าจะจำได้อย่างไรว่ามีชายชราคนหนึ่งชื่อหยูชุนชิวที่อ่อนแอมาก และเกือบตายหลังจากถูกข้าต่อย?” หลัวซิวเยาะเย้ยและโต้กลับ

ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ออกมา ใบหน้าของหยูไป๋ก็มืดมนทันที “เป็นเพียงการใช้วิธีที่น่าอับอายเพื่อทำร้ายผู้อาวุโสใหญ่ของเรา หากเจ้ามีความสามารถ และออกมาต่อสู้กับข้าสักตั้ง”

“เจ้าสำนัก อย่าหลงกลเขา” เกาเหลียนหงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น

หลัวซิวรู้ว่าเกาเหลียนหงหมายถึงอะไร ความแข็งแกร่งของหยูไป๋นี้ไม่เท่ากับหยูชุนชิว แม้แต่หยูชุนชิวก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสด้วยตัวเอง หยูไป๋ยังกล้าที่จะยั่วยุให้เขาต่อสู้ มันต้องมีอะไรแปลก ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้

“เจ้าทั้งสองที่อยู่งานประมูลยา โปรดให้เกียรติสำนักไม้เสวียนของข้าหน่อย ถ้ามีเรื่องอะไร รอให้งานประมูลยาเสร็จสิ้น และหลังออกจากเขาไม้เสวียนค่อยจัดการกันเป็นไง?”

ในเวลานี้ผู้อาวุโสใหญ่สำนักไม้เสวียนซึ่งเป็นพิธีกรของงานประมูลยากล่าวแทรกออกมา

หยูไป๋กระแทกเสียง “เมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นรอหลังงานประมูลยา ข้าผู้นี้ค่อยสะสางความแค้นนี้ หวังว่าเมื่อถึงเวลา เจ้าที่เป็นเจ้าสำนักไท่เสวียนเล็ก ๆอย่าหนีไปล่ะ!”

พูดเสร็จ หยูไป๋เดินไปห้องใต้หลังคา และนั่งลงในที่นั่งว่าง ยิ้มด้วยสายตาที่เยาะเย้ย และแสดงความอาฆาตอย่างไม่ปกปิด

ในพื้นที่ของเทือกเขาเหิงหยุนนี้ ผู้คนในตระกูลหยูชินกับความเย่อหยิ่งแล้ว ถ้าไม่กลัวอาจารย์ของสำนักไม้เสวียนที่ซ่อนตัวมาหลายปี หยูไป๋คงลงมือไปแล้ว

“คำพูดนี้ข้าเห็นด้วย ข้าก็หวังว่าคนบางคนจะไม่อ่อนแอและหนีไป” หลัวซิวประชดคนตรงหน้า

เขาเป็นเจ้าสำนักไท่เสวียน และเมื่อออกไปด้านนอก ก็เป็นภาพลักษณ์และความยิ่งใหญ่ของเจ้าสำนัก ในเวลาแบบนี้ เขาไม่สามารถพูดอะไรที่ทำให้เขาอ่อนแอลงได้

ผู้อาวุโสใหญ่สำนักไม้เสวียนยิ้มเล็กน้อย “อาจารย์หยูได้เสนอราคาไปแล้วสองแสนชั้นสูง ยังมีคนอื่นเสนอราคาอีกหรือไม่?”

“สองหมื่นหนึ่งหมื่น!” หลัวซิวยิ้มเบา ๆ และพูดราคาออกมา

ด้วยการกระทำของหลัวซิว ทุกคนที่อยู่ในนี้เข้าใจทันทีว่าบุคคลนี้กำลังจะต่อสู้กับตระกูลหยู

“สองแสนห้าหมื่น!” ยู่ไป๋ยิ้มเยาะเย้ย “สำนักเล็ก ๆ ที่ไม่ได้อยู่ในกระแส ยังกล้ามาแข่งกับตระกูลหยูของข้า?”

เขาเพิ่มราคาขึ้นครั้งละหลายหมื่น ทำให้หลายคนหายใจเข้าลึก ๆ และถอนหายใจ ว่าตระกูลหยูกำลังเย่อหยิ่งในพื้นที่เทือกเขาเหิงหยุนนี้ ความเย่อยหยิ่งภายในไม่ธรรมดาเลย

“หลัวซิวเจ้าสำนักไท่เสวียนไม่รู้ออกมาจากไหน ไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับคนนี้ในเทือกเขาเหิงหยุนมาก่อน”

“แต่ผู้ชายคนนี้ก็ถือว่าแกร่งคนนึง ดูแล้วอายุเขาเพียงยี่สิบปี พวกเจ้าไม่เห็นว่าหยูชุนชิวได้รับบาดเจ็บและหมดสติจากการโจมตีของเขา หยูชุนชิวนั้นเป็นระดับที่แปดของการฝึกฝนจักพรรดิยุทธ์!”

“ไม่จะยังไง ถ้าผู้ชายคนนี้โด่งดังแล้วล่ะก็ พูดได้เลยว่าเป็นการเหยียบหน้าตระกูลหยู”

“หึ ๆสำนักไท่เสวียนพวกเจ้าไม่รู้สึกคุ้นบ้างหรือ? ในสมัยโบราณ มีแดนศักดิ์สิทธิ์ในอาณาจักรใต้ของเรา ซึ่งก็คือสำนักไท่เสวียน!”

“เป็นไปได้ไหมที่คนผู้นี้อ้างว่าเป็นเจ้าสำนักไท่เสวียน และได้รับมรดกของไท่เสวียนโบราณแล้ว?”

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 467
“หกสิบเปอร์เซ็นต์?”

เมื่อทุกคนได้ยินคำตอบนี้ สีหน้าก็แสดงออกถึงความหนักอึ้ง โอกาสของความสำเร็จจะว่าสูงก็ไม่สูง จะต่ำก็ไม่ต่ำ และความเสี่ยงในนั้นขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนเลือกอย่างไร

ถึงอย่างนั้นหากการกลั่นล้มเหลว หินพลังจิตชั้นสูงหลายแสนก้อนก็จะหายไปในพริบตา และคนส่วนใหญ่ไม่สามารถซื้อไม่ไหวหรอก

“ในมือผู้เพื่อนยุทธ์เกามีของชั้นสูงถึงสองแสน?” จู่ ๆหลัวซิวก็พูดกับเกาเหลียนหงที่อยู่ข้าง ๆ เขา

“เจ้าสำนักต้องการซื้อยาอสูรนี้หรือ?” เมื่อเกาเหลียนหงฟังคำพูดนี้แล้ว ก็เดาถึงความตั้งใจของหลัวซิวได้

หลัวซิวพยักหน้าและไม่ได้อธิบายอะไรมาก ด้วยระดับของเขา เขาสามารถรับประกันอัตราความสำเร็จได้ 100% และใช้หลายแสนในการซื้อยาอสูรนี้มา เมื่อกลั่นเป็นยาที่สามารถปรับปรุงแดนเล็กได้ มูลค่าของมันสามารถพลิกขึ้นสามเท่า!

เกาเหลียนหงไม่รู้ว่าหลัวซิวมีระดับการกลั่นยาสูงมาก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร และยื่นมือถอดแหวนสำหรับเก็บของของตัวเองออกแล้วยื่นให้กับเขา

ความไว้วางใจที่ไม่ลังเลแบบนี้ทำให้หลัวซิวตกใจเล็กน้อย

เมื่อมองผ่าน ๆ หินพลังจิตในแหวนนั้นอยู่ที่ประมาณสามแสนกว่า ๆ จะเห็นได้ว่าเกาเหลียนหงนี้ถือว่าร่ำรวยในหมู่จักรพรรดิยุทธ์ ถึงอย่างนั้นเขามาถึงระดับที่เจ็ดแล้วของแดนวิชาจักรพรรดิยุทธ์

มีคนไม่มากนักที่เข้าร่วมการประมูลยาอสูรราชาหมีน้ำแข็งเลือดนี้ ถึงจะมีโอกาส 60% แต่ยังมีโอกาสล้มเหลว 40% ความเสี่ยงนี้ไม่ใช่คนธรรมดาที่กล้ารับ

“หนึ่งแสนเจ็ดหมื่น!”

ผู้เสนอราคาพูดขึ้นอย่างระมัดระวัง และหลัวซิวเพิ่มสองหมื่น จากราคาต่ำสุด

ในขณะนั้น ทุกคนมองมาที่เขา เรื่องที่เกิดขึ้นที่เขาไม้เสวียนก่อนหน้านี้ คนเหล่านี้รู้เรื่องนี้มานานแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงจำได้เลยว่าคนนี้คือคนที่ประกาศเป็นเจ้าสำนักไท่เสวียน

อายุยังน้อย แต่ได้เป็นเจ้าสำนักและเขายิ่งมีความสามารถของจักรพรรดิยุทธ์ เดินไปไหนก็ดึงดูดความสนใจจากผู้คนทุกที่

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ก็ไม่มีใครประมูล ยาอสูรนี้จึงตกไปอยู่ในมือของหลัวซิว

หลังจากนั้น มีคนอีกสองสามคนลุกขึ้นยืนและขายสมบัติที่ตนมีอยู่ในมือ สิ่งของที่สามารถนำออกไปได้ย่อมไม่ใช่วัตถุธรรมดาซึ่งทำให้บรรยากาศของงานประมูลยามีชีวิตชีวามาก

หลังจากการอุ่นเครื่องแล้ว ผู้อาวุโสใหญ่สำนักไม้เสวียนที่เป็นพิธีกรของงานประมูลยาก็ยืนขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ข้าคิดว่าทุกคนคงรอกันไม่ไหวแล้ว พวกเราสำนักไม้เสวียนจัดงานประมูลยานี้ขึ้น แน่นอนว่าไม่มียาไม่ได้”

ขณะที่พูด เขาพลิกฝ่ามือหยิบขวดหยกออกมา “ในนี้มียากลั่นจิตอัคคีม่วงอยู่12 เม็ด และเรื่องราคาข้าคิดว่าทุกคนคงรู้กันดี ราคาต่ำสุดอยู่ที่หนึ่งแสนสองหมื่นชั้นสูง และทุกคนสามารถเริ่มได้”

ยากลั่นจิตอัคคีม่วงเป็นหนึ่งในยาสมุนไพรที่จักรพรรดิยุทธ์บริโภคมากที่สุด และจักรพรรดิยุทธ์ทุกคนในแดนก็เช่นกัน เป็นยาอายุวัฒนะที่เป็นต้องการที่สุดที่ขาดตลาดมาโดยตลอด

คราวนี้มีถึงสิบสองเม็ด ถ้าได้มันมา ก็สามารถปรับปรุงแดนเล็กได้หนึ่งถึงสองแห่งก็ไม่ใช่ปัญหา

สร้างความตื่นเต้นให้กับหลายคน โดยเฉพาะผู้ที่มาจากกองกำลังต่าง ๆ และพวกเขาก็รอการประมูลเริ่มขึ้นแทบไม่ไหว พวกเขามาเพื่อเข้าร่วมงานประมูลยา และจุดประสงค์ที่แท้จริงคือการวิ่งมาเพื่อยาของสำนักไม้เสวียน

สำหรับคนธรรมดาส่วนใหญ่แล้ว ได้แค่มองมันด้วยความโลภเท่านั้น หนึ่งแสนสองหมื่นชั้นสูงเป็นเพียงราคาต่ำสุด เมื่อราคาพุ่งขึ้น คนธรรมดาซื้อไม่ไหวกัน

“หนึ่งแสนสามหมื่น!”

ในไม่ช้าก็มีคนเริ่มเพิ่มราคา และราคาก็พุ่งสูงขึ้น และไปถึงหนึ่งแสนห้าหมื่นในชั่วพริบตา

ผลของยากลั่นจิตอัคคีม่วงอาจเพิ่มขึ้นไม่ดีเท่ากับผลของการกลั่นยาอสูรระดับที่หกให้เป็นยา แต่การกลั่นยาอสูรระดับที่หกให้เป็นยานั้น แม้แต่ปรมาจารย์ระดับเจ็ดก็มีโอกาสเพียง 60% ดังนั้นเมื่อเปรียบเทียบแล้ว ของยากลั่นจิตอัคคีม่วงที่เสถียรและเชื่อถือได้จึงเป็นที่นิยมมากกว่า

“หนึ่งแสนแปดหมื่น!” ไม่นานก็มีคนเพิ่มราคา และราคาก็เกินยาอสูรของราชาหมีน้ำแข็งเลือดที่หลัวซิวเพิ่งซื้อมา

“สองแสน!”

ภายในห้องใต้หลังคาเงียบลงในทันใด และสายตาของทุกคนก็เพ่งไปที่ทางเข้าของห้องใต้หลังคา

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 466
ในขณะที่พูด เขายกมือขึ้นและเทลงในหยกพระแท่นบัว ทันใดนั้น หยกพระแท่นบัวก็สว่างไสวและลอยอยู่เหนือศีรษะของเขา

“เจ้าคงไม่รู้หรอก หยกพระแท่นบัวนี้เป็นของขลังโบราณที่ผสมผสานการโจมตีและการป้องกันเข้าด้วยกัน ม่านแสงป้องกันที่ได้รับแรงบันดาลใจจากแท่นบัวสามารถต้านทานการโจมตีกลางของราชานักสู้และพระหยกก็สามารถโจมตีได้ ซึ่งเทียบเท่ากับระยะกลางของจักรพรรดิยุทธ์”

ชายชราที่ขายหยกพระแท่นบัวพูดถึงมัน เห็นได้ชัดว่านี่เป็นของขลังวิเศษที่เกิดจากการกลั่นสมบัติโบราณ และยังคงเป็นของขลังระดับกลาง

ไม่มีใครสามารถแน่ใจได้ว่ามันเป็นของขลังโบราณหรือไม่ ถึงอย่างนั้นแล้ว ในโลกปัจจุบันมีเพียงไม่กี่คนที่รู้เทคนิคการกลั่นของขลังโบราณและสามารถปรับแต่งของขลังที่คล้ายกันออกมาได้

อย่างไรก็ตาม ของขลังเป็นที่ต้องการมากกว่าทหารระดับพื้นดินอย่างแน่นอน เพราะเมื่อคุณใช้ของขลังในการป้องกันและโจมตี และยังสามารถนำทหารออกไปต่อสู้กับศัตรูได้อีก พลังการต่อสู้จะดีขึ้นอย่างมาก

ดวงตาของใครหลาย ๆคนเป็นประกาย เมื่อเปรียบเทียบกับความสามารถในการโจมตีและป้องกันของของขลังนี้ มรดกโบราณของภูเขาพระสุเมรุนั้นถูกละเลยและเพิกเฉยโดยจักรพรรดิยุทธ์จำนวนมาก

หลังจากนั้นไม่นาน ผู้ที่เป็นจักรพรรดิยุทธ์ระดับสองก็ถอดแหวนสำหรับเก็บของซึ่งด้านในมีมูลค่าหนึ่งแสนในระดับชั้นสูง และซื้อหยกพระแท่นบัวนี้

ทั้งสองฝ่ายทำการแลกเปลี่ยนกัน ต่างคนต่างได้ แล้วนั่งลงอย่างมีความสุขอีกครั้ง

หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีใครบางคนลุกขึ้นยืน พลิกกล่องหยกออกมาแล้วเปิดออก พลังที่เย็นยะเยือกแผ่ออกมาจากกล่อง ทำให้ผู้คนรู้สึกเหมือนอยู่ในโลกแห่งน้ำแข็งและหิมะ

ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีพลังที่ดุร้ายและรุนแรงมาพร้อมกับน้ำแข็งนี้ และความผันผวนของพลังไม่ใช่แก่นแท้ของนักยุทธ์ แต่เป็นพลังของปีศาจ

ทุกคนมองอย่างตั้งใจ และในกล่องหยกมีลูกปัดที่เหมือนคริสทัลน้ำแข็ง และพื้นผิวก็เปล่งประกายด้วยสีทองอร่าม

เจ้าของกล่องหยกแนะนำ: “นี่คือยาอสูรของราชาหมีน้ำแข็งเลือดสูงสุดอันดับหก หากสามารถช่วยวิธีการกลั่นยาได้ก็จะช่วยให้ผู้คนที่อยู่ต่ำกว่าจักรพรรดิยุทธ์ปรับปรุงแดนเล็ก โดยเฉพาะจักรพรรดิยุทธ์ระดับหก บางทีสามารถใช้ยาอสูรนี้เพื่อทะลวงไปสู่ระดับที่เจ็ดได้ และเข้าสู่ช่วงปลายของจักรพรรดิยุทธ์!”

ทันทีที่เอายาอสูรนี้ออกมา ผู้คนจำนวนมากแสดงความตื่นเต้นออกมา ถึงอย่างนั้นพวกเขาส่วนใหญ่อยู่ต่ำกว่าจักรพรรดิยุทธ์ช่วงปลาย และสิ่งต่าง ๆ ที่สามารถทำให้ผู้คนพัฒนาแดนเล็กได้ เป็นสิ่งที่ดึงดูดผู้คนมากที่สุด

แม้แต่หลัวซิวก็ใจเต้นเล็กน้อย อสูรที่จุดสูงสุดของอันดับหกสามารถเทียบได้กับระดับที่เก้าของจักรพรรดิยุทธ์ และแม้แต่ในอาณาจักรเดียวกัน นักยุทธ์ของมนุษย์ก็ไม่สามารถเอาชนะอสูรได้ เพราะอสูรนั้นได้รับพรที่ไม่เหมือนใคร และมีร่างกายที่แข็งแรงซึ่งเทียบเท่ากับการฝึกฝนของนักยุทธ์ ยิ่งไปกว่านั้น อสูรอย่างราชาหมีน้ำแข็งดั่งเลือดยังมีพรสวรรค์ที่มีพลังมหาศาล

หากต้องการล่าอสูรระดับนี้ ต้องมีจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้าสามคน หรือต้องเป็นมกุฎยุทธ์ระดับอาจารย์ ถึงจะชนะได้

ราคาของยาอสูรนี้สูงกว่าหยกพระแท่นบัวก่อนหน้า และราคาต่ำสุดที่ผู้ขายให้คือแสนห้าระดับชั้นสูง

สติของหลังซิวกวาดแหวนสำหรับจัดเก็บของเขาและใบหน้าของเขาที่ฝืนยิ้มออกมา เนื่องจากการก่อสร้างประตูภูเขา หินพลังจิตในมือของเขาเหลืออยู่ไม่มาก และมีไม่ถึงหนึ่งแสนระดับชั้นสูง

งานประมูลยานี้ หากมีสมบัติล้ำค่าอยู่บ้าง เกรงว่าตัวเองจะไม่สามารถซื้อมันได้

“หึ ๆ ฉันได้ยินมาว่าเจ้าสำนักไม้เสวียนเป็นปรมาจารย์การกลั่นยาลำดับเจ็ด แน่ใจมากแค่ไหนในการกลั่นเม็ดยาอสูรของราชาหมีน้ำแข็งให้กลายเป็นยา?” มีคนพูดเสียงดังว่า และมองไปสำนักไม้เสวียนผู้อาวุโสซึ่งเป็นเจ้าภาพ

ยาอสูรระดับสูงสุดอันดับที่หกสามารถกลั่นเป็นยาที่ปรับปรุงการฝึกฝนได้ยากมากที่จะบรรลุถึงระดับปรมาจารย์ และถ้าเป็นไปได้ เปอร์เซ็นต์ความสำเร็จก็ต่ำมาก ต้องให้ปรมาจารย์กลั่นยาระดับ7ลงมือ โอกาสความสำเร็จถึงจะเพิ่มสูงขึ้น

ผู้อาวุโสใหญ่ของสำนักไม้เสวียนตกใจเล็กน้อยแล้วตอบกลับว่า: “เจ้าสำนักของเรามั่นใจอยู่60%”

เห็นได้ชัดว่าเจ้าสำนักไม้เสวียนยังแอบสนใจการเคลื่อนไหวอยู่เงียบ ๆ และเขาส่งเสียงเพื่อบอกผู้อาวุโสเกี่ยวกับความสำเร็จของเขา

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 465
เมื่อมาถึงบริเวณใกล้ ๆ ห้องใต้หลังคาหลัวซิวถึงพบว่าบริเวณรอบ ๆ ห้องใต้หลังคาแห่งนี้ มีค่ายกลอยู่แห่งหนึ่ง ค่ายกลนี้ได้ตรวจสอบผลการฝึกตนของนักยุทธ์ หากไม่ได้อยู่ในแดนจักรพรรดิยุทธ์ ก็จะถูกม่านแสงของค่ายกลขวางเอาไว้ ไม่สามารถเข้ามาได้

นอกจากนี้แล้ว ถ้าหากผู้แข็งแกร่งแดนจักรพรรดิยุทธ์ต้องการพาคนที่มีผลการฝึกตนไม่เพียงพอเข้าไป ก็จะต้องใช้พลังจิตแท้ของตนคุ้มครองผู้นั้นเอาไว้ ถึงจะสามารถผ่านการตรวจสอบของค่ายกลเข้ามาได้ สำหรับผลการฝึกตนของจักรพรรดิยุทธ์ ก็มีข้าเรียกร้องที่สูงพอสมควรเช่นกัน

เช่นนั้นก็หมายความว่า ถ้าหากเจ้ามีผลการฝึกตนแดนจักรพรรดิยุทธ์ แต่ถ้าความสามารถไม่แข็งแกร่งพอ ก็จะเข้าไปได้เพียงคนเดียว ไม่สามารถนำผู้อื่นเข้าไปด้วยได้

หลักการของค่ายกลนี้ไม่ได้ซับซ้อน จากความสำเร็จในระดับปรมาจารย์นักค่ายกลขึ้นเจ็ดของหลัวซิวในตอนนี้ สามารถมองออกได้ในชั่วพริบตา

ใช้พลังของลูกแก้วเสวียนดำ ขับเคลื่อนคลื่นพลังจิตแท้ของตนให้ถึงระดับจักรพรรดิยุทธ์ขั้นห้า ขณะเดียวกันนั้นกระแสพลังของหลัวซิวก็ได้ถูกปล่อยออกมา ครอบคลุมหลินจื่อเฟิงที่อยู่ด้านข้างเอาไว้ และได้เข้าไปในห้องใต้หลังคาได้อย่างง่ายดาย

บริเวณด้านในห้องใต้หลังคา นั้นกว้างขวางพอสมควร มีทั้งหมดประมาณยี่สิบกว่าที่นั่ง ตอนที่หลัวซิวเข้ามา พบว่าผู้คนไม่น้อยต่างก็ได้นั่งอยู่บนที่นั่งแล้ว

เกาเหลียนหงได้ตามเข้ามา และเย่เฟยเทียนคนนั้นก็ได้ตามเข้ามาเช่นเดียวกัน เดินตามอยู่ที่ด้านหลังของหลัวซิว

เห็นได้ชัดว่าเย่เฟยเทียนยังไม่ตายใจ และหลัวซิวก็ไม่ได้กล่าวอะไรกับท่าทีเช่นนี้ของเขา

ทุกที่นั่งล้อมเป็นวงกลม หลัวซิวนั่งลงไปบนที่หนั่งแห่งหนึ่ง เกาเหลียนหงนั่งลงบนที่นั่งด้านข้างเขา ส่วนหลินจื่อเฟิงละเย่เฟยเทียนนั้น ยืนอยู่ที่ด้านหลังของเขา

ผู้ที่มีคุณสมบัตินั่งอยู่ด้านในล้วนเป็นจักรพรรดิยุทธ์ ที่ด้านหลังของจักรพรรดิยุทธ์คนอื่น ๆ บางคน ก็ได้มีผู้ติดตามญาติพี่น้องยืนอยู่ พาพวกเขามาที่นี่เพื่อเปิดหูเปิดตา สัมผัสความยิ่งใหญ่ของงานประมูลยา

สำนักไม้เสวียนได้เตรียมที่นั่งเอาไว้จำนวนมาก เมื่อผู้ที่ควรจะมาต่างได้นั่งลง ก็ได้มีที่นั่งว่างอยู่สองสามโต๊ะ จะไม่มีผู้ใดที่มาแล้ว กลับต้องยืนประหม่าเพราะไม่มีที่นั่ง

ในหมู่จักรพรรดิยุทธ์ที่นั่งอยู่นั้น คือกองกำลังต่าง ๆ ที่มาจากบริเวณรอบ ๆ เทือกเขาเหิงหยุน มีการดำรงอยู่เหนือธรรมชาติดั่งเช่นแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่เป็นธรรมดาที่จะไม่ลดฐานะมาเข้าร่วมงานประมูลยา

จักรพรรดิยุทธ์บางคนที่รู้จักคุ้นเคยกัน ต่างได้สื่อสารกันผ่านทางตัวสำนึก หรือไม่ก็กระซิบกระซาบกัน สื่อสารระหว่างกันไปมา

ทันใดนั้น ชายชราผู้หนึ่งก็ได้ค่อย ๆ ยืนขึ้นจากที่นั่งของตน เขาโบกมือ แท่นบัวเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณครึ่งเมตรก็ได้ปรากฏขึ้น ถูกคนผู้นี้ใช้พลังจิตแท้ยกขึ้นมา ลอยอยู่กลางอากาศ

แท่นบัวมีสีเขียวมรกต เหมือนว่าทำมาจากหยก ด้านบนนั้น มีพระหยกวางอยู่ มือซ้ายทำสัญลักษณ์ มือขวาวางหงาย สีหน้าท่าทางไม่สุขไม่ทุกข์

เมื่อหลัวซิวได้เห็นแท่นบัวและพระหยกนี่ เขาก็หรี่ตาลงเล็กน้อยทันที “สมบัติพรรคธรรมะ?”

ในยุคสมัยโบราณ โลกแสงดาวในอาณาจักรตะวันตกมีพุทธสถานศักดิ์สิทธิ์อยู่แห่งหนึ่ง มีนามว่าเขาพระสุเมรุแต่เมื่อเกิดหายนะในสมัยโบราณ เขาพระสุเมรุถูกทำลายกลายเป็นที่ราบ เหมือนกับสำนักไท่เสวียน หายไปอย่างไร้ร่องรอย

ปัจจุบันทางอาณาจักรตะวันตก ยังมีการสืบทอดของพรรคธรรมะอยู่บ้าง แต่ส่วนมากล้วนไม่สมบูรณ์แบบ ไม่ได้รุ่งเรืองเหมือนดั่งในสมัยโบราณ

ชายชราที่นำพระหยกแท่นบัวออกมาผู้นั้นกล่าวอย่างช้า ๆ : “นี่คือสมบัติพรรคธรรมะที่ข้าพึ่งได้มาไม่นาน ในนั้นมีการสืบทอดจากเขาพระสุเมรุในสมัยโบราณรวมอยู่ด้วย แต่ข้ากับของสิ่งนี้ไม่มีวาสนาต่อกัน ไม่อารเข้าใจความลับที่ซ่อนอยู่ภายในได้”

“ดังนั้นจึงได้นำมาประมูลที่งานประมูลยาในครั้งนี้ ราคาเดียว หินพลังจิตชั้นสูงหนึ่งแสนก้อน”

ชั้นสูงหนึ่งแสนก้อน สำหรับจักรพรรดิยุทธ์ทุกคนแล้ว ไม่ใช่จำนวนน้อย ๆ แม้ว่าพระหยกแท่นบัวนี้จะดูไม่เลว แต่ถ้าบอกว่ามีการสืบทอดจากเขาพระสุเมรุในสมัยโบราณรวมอยู่ด้วย มันดูหลอกลวงอยู่บ้าง

ต่างก็ทราบกันดี การสืบทอดจากเขาพระสุเมรุในสมัยโบราณนั้นได้ตัดขาดไปเป็นเวลาหลายหมื่นปี ของสิ่งนี้ถ้าหากมีความลับการสืบทอดที่ยิ่งใหญ่รวมอยู่ จะต้องไม่มาปรากฏขึ้นที่งานประมูลยาเล็ก ๆ นี่อย่างแน่นอน

“มีการสืบทอดอยู่หรือไม่นั้น ไม่มีผู้ใดสามารถแน่ใจได้ ชั้นสูงหนึ่งแสนก้อนแพงเกินไปแล้ว” ใครบางคนเอ่ยขึ้นมา

ชายชราผู้นั้นส่ายหัว “ชั้นสูงหนึ่งแสนก้อน ห้ามขาดแม้แต่ก้อนเดียว ถ้าหากไม่มีใครเอา เช่นนั้นข้าก็จะเก็บเอาไว้พิจารณาดูต่อไป”

“พระหยกแท่นบัวนี่ มีประสิทธิภาพอย่างอื่นหรือไม่?” ใครบางคนเอ่ยถามขึ้นมา

“เหอะ ๆ สหายท่านนี้ถามได้ดี ถ้าหากไม่มีประสิทธิภาพ ข้าจะเอาออกมาให้ขายหน้าทำไมกัน?” ชายชรากล่าวพลางลูบเคราสีขาว

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 464
งานยาไม้เสวียน ร้อยปีจัดขึ้นหนึ่งครั้ง ในอาณาเขตเทือกเขาเหิงหยุนพูดได้ว่าเป็นเรื่องที่ใหญ่พอสมควร

บนท้องฟ้าที่อยู่เหนือหัวของทุกคน ได้ปรากฏห้องใต้หลังคา ที่ลอยขึ้นมาจากการใช้ค่ายกล และนี่ก็คือสถานที่จัดงานประมูลยา

เพียงแต่งานประมูลยาอย่างเป็นทางการนั้น ไม่ใช่ว่าทุกคนต่างมีคุณสมบัติเข้าร่วม จะต้องมีความสามารถในระดับจักรพรรดิยุทธ์ถึงจะได้

ความสามารถที่หลัวซิวได้แสดงออกมาในการต่อสู้เมื่อก่อนหน้านี้ แน่นอนว่าสอดคล้องกับคุณสมบัติดังกล่าว ได้เขาไม่ได้มีความคิดว่าจะเข้าร่วมงามประมูลยาในครั้งนี้ ถ้าหากตาเฒ่าประหลาดมกุฎยุทธ์ของตระกูลหยูได้ตามมา จะต้องเป็นปัญหาใหญ่แน่

“เจ้าสำนัก ถ้าหากพวกเราจากไปแบบนี้ จะไม่ทำให้ผู้อื่นดูถูกสำนักไท่เสวียนของพวกเราหรอกหรือ?” เกาเหลียนหงพลันกล่าวขึ้นมา

“ท่านก็พูดง่าย ตาเฒ่าประหลาดมกุฎยุทธ์เชียวนะ” หลัวซิวเบ้ปากอย่างหมดคำจะพูด แต่เพื่อรักษาหน้าเจ้าสำนักของตนเอาไว้ แน่นอนว่าจะพูดคำพูดแบบนี้ออกมาไม่ได้อย่างเด็ดขาด

เกาเหลียนหงยิ้มเล็กน้อย “เจ้าสำนักไม่ต้องกังวลไป ปกติแล้วผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์จะไม่มาร่วมงานประมูลยาด้วยตนเอง ผู้ที่มาส่วนมากล้วนอยู่ในแดนจักรพรรดิยุทธ์ ตระกูลหยูอยู่ห่างจากที่นี่ไปหลายล้านลี้ ต่อให้อาจารย์ของตระกูลหยูจะรีบเดินทางมา รอเขามาถึง พวกเราก็ได้จากไปนานแล้ว”

หลัวซิวได้ยินดังนั้น ก็เห็นว่าสมเหตุสมผล ดังนั้นจึงได้พยักหน้า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ดูสิว่าจะได้พบของล้ำค่าอะไรในงานประมูลยา”

“พาข้าไปด้วยคนได้หรือไม่?” หลินจื่อเฟิงที่อยู่ด้านข้างพลันเอ่ยขึ้นมา

แม้ว่าความสามารถจะไม่ถึงขั้นจักรพรรดิยุทธ์ไม่มีคุณสมบัติเข้าร่วมงานประมูลยา แต่ผู้แข็งแกร่งที่เข้าร่วมงานประมูลยาทุกคน สามารถพาผู้ติดตามเข้าร่วมได้สองคน

“พี่หลิน ท่านต้องเข้าร่วมงานประมูลยาพร้อมกับข้าในฐานะผู้ติดตาม มันจะไม่ทำให้ท่านไม่ได้รับความไม่เป็นธรรมหรอกเหรอ?” หลัวซิวยิ้มกล่าว

“พี่หลัวหยอกล้อเกินไปแล้ว จากความสามารถที่ท่านได้แสดงออกมาในเมื่อสักครู่ อย่าว่าแต่ผู้ติดตามเลย ท่านจะให้ข้าเป็นศิษย์ก็ยังได้” หลินจื่อเฟิงยิ้มกล่าวล้อเล่น

“ในเมื่อพี่หลินไม่รังเกียจ เช่นนั้นก็ไปดูด้วยกันเถอะ”

หลัวซิวพึ่งจะกล่าวจบ ก็ได้มีเสียงหนึ่งดังลอยมา “เจ้าสำหนักหลัวพาข้าไปด้วยอีกคนได้หรือไม่?”

เมื่อหันไปมอง หลัวซิวพบว่าคนที่เอ่ยขึ้นมานั้น เป็นเย่เฟยเทียนที่ได้ทำการแลกเปลี่ยนกับเขาเมื่อสักครู่นั่นเอง

“ตัวพี่เย่มีผลการฝึกตนที่แดนจักรพรรดิยุทธ์อยู่แล้ว สามารถเข้าร่วมงานประมูลยาได้โดยตรง ไม่เห็นจำเป็นต้องเสียแรงเปล่าแบบนี้เลย?” หลัวซิวกล่าวด้วยความสงสัย

เย่เฟยเทียนหายใจเข้าเฮือกใหญ่ เขากำหมัดคารวะ “ถ้าหากเจ้าสำนักหลัวไม่รังเกียจ เข้าอยากจะเข้าสำนักไท่เสวียน……”

จากนั้น เย่เฟยเทียนก็ได้บอกเล่าเรื่องราวของตัวเองออกมา ที่แท้ภรรยาของเขา มีชื่อว่าหยูหลัน เป็นคุณหนูสามแห่งตระกูลหยู

ทว่าตระกูลหยูกับเห็นว่าเย่เฟยเทียนเป็นเพียงผู้ฝึกตนที่ไม่มีหลักแหล่งไม่มีที่พึ่ง จึงได้ขัดขวางไม่ให้เขาและหยูหลันอยู่ด้วยกัน

ต่อมาทั้งสองฝ่ายได้เกิดการปะทะกัน จุดตันเถียนของหยูหลันได้รับบาดเจ็บ จะต้องใช้ยาเสวียนจือ ผู้อาวุโสใหญ่แห่งตระกูลหยูมียาเสวียนจือเม็ดหนึ่งอยู่ในมือ แต่กลับได้เรียกร้องให้เย่เฟยเทียนนำดอกแท้สามมาแลก ถึงจะมอบยาเสวียนจือมาให้รักษาหยูเจิน

แต่เย่เฟยเทียนทราบดี ต่อให้เขาหาดอกสามแท้เจอ ตระกูลหยูจะต้องพลิกหน้ามือเป็นหลังมือทันที และตอนนี้หยูหลันยังถูกตระกูลหยูกักขังเอาไว้ เขาไม่อาจต่อกรกับตระกูลหยูได้ เมื่อเห็นหลัวซิวได้ทำให้ผู้อาวุโสใหญ่แห่งตระกูลหยูได้รับบาดเจ็บหนัก แถมยังได้สังหารสามผู้อาวุโสจักรพรรดิยุทธ์ ดังนั้นจึงต้องการที่จะยืมใช้พลังของเขา เพื่อช่วยหยูหลัน

หลังจากได้ฟังเรื่องราวของเย่เฟยเทียนแล้ว หลัวซิวก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ถ้าหากท่านคิดที่จะยืมพลังของสำนักไท่เสวียนมาต่อกรกับตระกูลหยู ข้าคงได้แต่กล่าวขอโทษแล้ว”

หลัวซิวเป็นคนที่มีหลักการ แม้ว่าสำนักไท่เสวียนในตอนนี้จะขาดแคลนยอดฝีมืออัจฉริยะ แต่สำหรับผู้ที่มีเป้าหมายส่วนตัว เขายอมขาดแคลนดีกว่ามีของไร้คุณภาพ

เหมือนว่าเย่เฟยเทียนได้คาดเดาถึงจุดนี้มาก่อนแล้ว จึงกล่าวขึ้นมาทันที: “ขอเพียงเจ้าสำนักหลัวยอมช่วยข้าช่วยหยูหลันออกมา ข้ายินดีให้เจ้าสำนักใช้วิชาสยบวิญญาณกับข้า ตลอดชีวิตนี้ จะไม่ทรยศสำนักอย่างแน่นอน!”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ หลัวซิวก้ได้หลุดหัวเราะออกมา เย่เฟยเทียนมีผลการฝึกตนที่แดนจักรพรรดิยุทธ์ขั้นสี่ บางทีสำหรับตระกูลหรือสำนักอื่น ๆ แล้ว เป็นยอดฝีมือที่หาได้ยาก แต่สำหรับสำนักไท่เสวียนในตอนนี้ จะมีหรือไม่มีก็ได้

ดังนั้น เย่เฟยเทียนเอ่ยเงื่อนไขเช่นนี้ออกมา สำหรับหลัวซิวแล้วมันไม่ได้มีแรงดึงดูดใด ๆ เลย

หลัวซิวส่ายหน้า และไม่ได้สนใจคนผู้นี้อีก เขาลอยตัวขึ้น มุ่งหน้าไปยังห้องใต้หลังคาที่ลอยอยู่ในอากาศ

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 463
จู่ ๆ เสียงหนึ่งก็ได้ดังลอยมา เป็นเกาเหลียนหงผู้นั้นนั่นเองที่ได้เรียกหลัวซิวเอาไว้

หลัวซิวหยุดฝีเท้าลงทันที เขากำหมัดคารวะ “ขอบคุณผู้อาวุโสที่ช่วยเหลือ”

ทว่า เกาเหลียนหงกลับได้ขมวดคิ้ว “ในเมื่อเจ้าเป็นเจ้าแห่งสำนักผู้หนึ่ง ก็ควรจะมีมาดของเจ้าสำนัก”

หลัวซิวได้ยินดังนั้น ก็ต้องประหลาดใจ เขาครุ่นคิด ตนยังไม่ได้เข้าสู่สถานะเจ้าสำนักไท่เสวียนจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสภาพจิตใจหรือการกระทำ ยังคงเหมือนกับเมื่อก่อนไม่เปลี่ยนแปลง

“เจ้าสามารถทำให้สุนัขเฒ่าหยูชุนชิวบาดเจ็บหนักได้ นอกเสียจากจะเป็นเฒ่าประหลาดแดนมกุฎยุทธ์ขึ้นไป ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีผู้ใดมีคุณสมบัติให้เจ้าเรียกผู้อาวุโสได้ นี่ถึงเป็นกิริยา และท่าทางหยิ่งผยองที่เจ้าแห่งสำนักควรจะมี”

หลัวซิวเกาศีรษะ จะว่าไปแล้วยังไงอายุของเขาก็ยังไม่ถึงยี่สิบ ด้านความรู้สึกนึกคิด ยังด้อยอยู่บ้างจริง ๆ

จะเป็นเจ้าสำนักที่ดีได้อย่างไร ตอนนี้เขายังอยู่ในขั้นที่กำลังเรียนรู้อยู่

“ข้าน้อยรับการสั่งสอน” หลัวซิวกำหมัดคารวะกล่าว “ขอบคุณผู้อาวุโสที่ลงมือช่วยเหลือเมื่อสักครู่”

ในยุคสมัยโบราณ การสื่อสารระหว่างนักยุทธ์รุ่นเดียวกัน จะเรียกอีกฝ่ายว่าผู้เพื่อนยุทธ์ หมายถึงสหายนักยุทธ์

เมื่อได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของหลัวซิว บนใบหน้าของเกาเหลียนหงถึงได้ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาบ้าง “เจ้าสำนักหลัวเกรงใจเกินไปแล้ว ข้ามีคำถามอยากจะถามเจ้าหน่อย”

“ผู้เพื่อนยุทธ์โปรดกล่าว”

“เจ้าเป็นเจ้าสำนักไท่เสวียน ไม่ทราบว่าสำนักไท่เสวียนของเจ้า และสำนักไท่เสวียนเก่า มีความสัมพันธ์อะไรกัน?” เกาเหลียนหงหรี่ตาเล็กน้อย ท่าทางเคร่งขรึมขึ้นมา

ในตอนนี้เอง จู่ ๆ เสียงของมหาจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำก็ได้ดังลอยเข้าในตัวหยั่งรู้ของหลัวซิว “เจ้าหนุ่มหลัว คนที่อยู่ตรงหน้าเจ้าผู้นี้ บางทีอาจเป็นผู้สืบทอดของสำนักไท่เสวียนของข้า”

หลัวซิวชะงักไป จากนั้นมหาจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำก็ได้อธิบายต่อ: “พลังล่องหนที่เขาแสดงออกมาในตอนที่ประมือกับหยูชุนชิวในเมื่อสักครู่ น่าจะเคยได้ฝึกวิชาล่องหนไท่เสวียนมาก่อน”

ในสมัยโบราณ กฎของสำนักไท่เสวียนนั้นเคร่งครัดเป็นพิเศษ วิชายิ่งเลิศทั้งเก้าจะไม่ถ่ายทอดให้คนนอกง่าย ๆ อย่างแน่นอน เหมือนกับตอนที่หลัวซิวยังไม่ได้รับปากก่อตั้งสำนักไท่เสวียนใหม่อีกครั้ง ไม่ว่าอย่างไรมหาจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำก็ไม่ยินยอมที่จะถ่ายทอดวิชาสังหารไท่เสวียนให้กับหลัวซิวอย่างเด็ดขาด

นอกจากนี้แล้วแม้ว่าสำนักไท่เสวียนจะล่มสลายไป แต่เมื่อหลายหมื่นปีก่อน อาจจะมีผู้ที่โชคดีมีชีวิตรอดมาได้ และได้สืบถอดต่อมา

ผู้ที่ได้ฝึกหนึ่งในเก้าวิชายิ่งเลิศ จะต้องเป็นทายาทของสำนักไท่เสวียนอย่างแน่นอน จุดนี้ ไม่ได้สงสัยเลย

แน่นอน ไม่ตัดความเป็นไปได้ที่ว่าวิชายิ่งเลิศทั้งเก้าได้รั่วไหลออกไป

จากการคาดเดาของมหาจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำ เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามของเกาเหลียนหง หลัวซิวก็ได้ครุ่นคิดเล็กน้อย “ผู้เพื่อนยุทธ์ถามคำถถามนี้กับข้า เมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าหากข้าคาดเดาไม่ผิดละก็ ผู้เพื่อนยุทธ์น่าจะได้ฝึกฝนวิชายิ่งเลิศแห่งสำนักไท่เสวียนของข้า วิชาล่องหนไท่เสวียนสินะ?”

เมื่อหลัวซิวได้พูดเช่นนี้ออกมา ดวงตาของเกาเหลียนหงก็เป็นประกายขึ้นมาทันที

แม้ว่าหลัวซิวจะไม่ได้ตอบคำถามของเขาโดยตรง ทว่าเกาเหลียนหงก็ได้เข้าใจแล้ว สำนักไท่เสวียนของอีกฝ่ายและสำนักไท่เสวียนโบราณ จะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกันอย่างแน่นอน

“ไม่ทราบอาจารย์ของเจ้าสำนักหลัวคือผู้ใด?” เกาเหลียนหงเอ่ยถาม

“สายเสวียนดำ” หลัวซิวยิ้มเล็กน้อย

ในยุคสมัยโบราณ สำนักไท่เสวียนมีผู้สืบทอดทั้งหมดเก้าสาย สอดคล้องกับวิชายิ่งเลิศทั้งเก้า

สายไท่เสวียน สายเสวียนดำ สายเทพเสวียน สายนภาเสวียน สายดินเสวียน และสายตะวันออกทั้งสี่สาย

มหาจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำ ก็คือตัวแทนสายเสวียนดำของสำนักไท่เสวียนโบราณ ได้ฝึกฝนวิชาสังหารไท่เสวียนจนถึงแดนบรรลุผล

ผู้ที่มีตำแหน่งสามผู้อาวุโสร่วมกันกับเขา ยังมีมหาจักรพรรดิยุทธ์นภาเสวียนและมหาจักรพรรดิยุทธ์เทพเสวียน ส่วนเทพศักดิ์สิทธิ์นั้น เป็นสายไท่เสวียน ฝึกฝนวิชาหยินหยางไท่เสวียน บรรลุแดนบริบูรณ์ เป็นผู้แข็งแกร่งแดนนิรันกาล

ไม่ใช่ว่าสายไท่เสวียเท่านั้น ถึงจะเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์ได้ แต่เป็นผู้ใดที่แข็งแกร่งที่สุด มีอำนาจบารมีสูงที่สุด ผู้นั้นถึงจะขึ้นนั่งบนตำแหน่งเทพศักดิ์สิทธิ์ได้

“ผู้เพื่อนยุทธ์เกาคงจะเป็นคนของสายนภาเสวียนสินะ?” หลัวซิวยิ้มกล่าวอีกหนึ่งประโยค เนื่องจากสายนภาเสวียนควบคู่กับวิชาล่องหนไท่เสวียน

การสนทนาของทั้งสองคนมาถึงขั้นนี้ ก็ได้เข้าใจแทบทั้งหมดแล้ว

“เกาเหลียนหงน้อมพบเจ้าสำนัก” เกาเหลียนหงโค้งตัวคารวะหลัวซิว

จากที่หลัวซิวได้เอาชนะหยูชุนชิวในเมื่อสักครู่ เกาเหลียนหงถามตัวเองก็รู้ว่าไม่มีทางที่จะต้านทานกระบวนท่านั้นได้ เพราะเหตุนี้จึงได้ยอมรับว่าหลัวซิวมีฝีมือที่แข็งแกร่งกว่าตน ถึงได้คารวะเขา

ในโลกของนักยุทธ์ ผู้แข็งแกร่งเป็นใหญ่เสมอมา ถ้าหากฝีมือของหลัวซิวด้อยไปกว่าเขา เป็นธรรมดาที่เกาเหลียนหงจะไม่ยอมรับสถานะเจ้าสำนักของเขา

“ตึง!”

ในตอนนี้เอง เสียงระฆังดังก้องกังวานขึ้นมา งานประมูลยาที่ร้อยปีจัดหนึ่ง ในที่สุดก็กำลังจะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 462
กระบวนท่านี้ น้อยมากที่หลัวซิวจะใช้ โดยเฉพาะหลังจากที่มีท่าไม้ตายอื่น ๆ วิชาตราประทับที่เรียนรู้มาจากสองระดับความเป็นตายนี้ เขาก็เคยใช้มันเพียงแค่ครั้งเดียว

อาณุภาพของตราธรรมจุติมรณะนั้นทรงพลังมากก็จริง แต่กลับมีข้อเสียใหญ่ ๆ อยู่อย่างหนึ่ง นั้นก็คือ จะดูดเอาพลังจิตแท้ในร่างกายของเขาไปจนหมด

เมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าหากไม่สามารถกำจัดศัตรูได้ภายในกระบวนท่าเดียว ก็จะกลายเป็นเหมือนปลาที่อยู่บนเขียง ที่คนเชือดได้ตามอำเภอใจ

โดยเฉพาะในตอนที่ถูกล้อมโจมตี กระบวนท่านี้ยิ่งจะใช้โดยพลการไม่ได้

ทว่าวินาทีนี้ หลัววิวไม่อยากจะเปิดเผยปีกทิพย์ไร้มลทินและกฎเบญจธาตุออกมา คิดจะต่อกรกับจักรพรรดิยุทธ์ขั้นแปดอย่างหยูชุนชิว ก็มีเพียงใช้ตราธรรมจุติมรณะแล้ว

ทั้งหมดนี้ หลัวซิวได้คำนวณเอาไว้ ตั้งแต่ก่อนที่หยูชุนชิวจะลงมือแล้ว

ดังนั้นในตอนที่หยูชุนชิวจู่โจมเข้ามาหาเขา หลัวซิวก็ได้เริ่มสร้างพลังตราประทับของตราธรรมจุติมรณะแล้ว ยาเทพจิตสองระดับความเป็นตายที่อยู่ในจุดตันเถียน ลูกแก้วเป็นตายที่อยู่ในตัวหยั่งรู้ เมื่อได้รับอิทธิพลจากพลังตราประทับก็ได้สั่นสะท้านขึ้นมาพร้อมกัน เงาลวงวัฏจักรที่แบ่งเป็นขาวและดำ ก่อตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็วที่ระหว่างฝ่ามือของหลัวซิว ลายเส้นที่ลึกลับและซับซ้อนสายแล้วสายเล่า สัญลักษณ์ที่คลุมเครือและอัศจรรย์รายล้อมอยู่รอบด้านของเงาลวงวัฏจักร ส่องแสงระยิบระยับอยู่ตลอดเวลา

รัศมีพลังมหาศาลบางอย่างที่ควบคุมเหล่าเทวเทพ มองลงดูความเป็นตายของเหล่ามวลมนุษย์ ปรากฏและกระจายออกมาจากร่างของหลัวซิว

ครืนนนน……

เมื่อหลัวซิวผลักฝ่ามือทั้งสองข้างออกไปด้านหน้า เงาลวงวัฏจักรก็ได้ลอยพุ่งออกไป และขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จากขนาดเท่าใบหน้า ไม่นานก็กลายเป็นวงล้อขนาดใหญ่ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางสิบกว่าเมตร บริเวณที่วงล้อขาวดำขนาดใหญ่เลื่อนผ่าน ปริภูมิต่างถูกบดขยี้แตกเป็นเสี่ยง ๆ แฝงไปด้วยความน่าสะพรึงกลัวอย่างหาที่เปรียบไม่ได้

ตูม!

เสียงดังสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน ดังก้องอยู่บนท้องฟ้าเหนือเขาไม้เสวียน คลื่นพลังอันน่าเกรงขามแผ่กระจายไปทั้งสี่ทิศ ทำลายสิ่งปลูกสร้างเป็นบริเวณกว้าง และมีนักยุทธ์ไม่น้อยได้รับผลกระทบ ก้าวถอยหลังไปอย่างหวาดหวั่น

เมื่อคลื่นพลังค่อย ๆ สงบลง ทั้งคนต่างมองไปในอากาศอีกครั้ง พบว่าผู้อาวุโสใหญ่แห่งตระกูลหยูหยูชุนชิว ได้เงยหน้าและกระอักเลือดสด ๆ ออกมา ร่างของเขาได้ลอยถอยแกไป ชุดที่สวมใส่ฉีกแตกเป็นชิ้น ๆ เลือดไหลอาบร่าง
“ช่างเป็นกระบวนท่าที่น่ากลัวยิ่งนัก! เหมือนว่ามีพลังของสองระดับความเป็นตายรวมอยู่ด้วย” เกาเหลียนหงก็ตะลึงงันกับภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นกัน ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งแดนจักรพรรดิยุทธ์ขั้นเก้า ก็ไม่มีทางที่จะจู่โจมด้วยพลังที่น่าหวาดกลัวเช่นนี้ได้

ภายในตำหนักแห่งหนึ่งที่อยู่บนจุดสุดของเขาไม้เสวียน เจ้าพรรคไม้เสวียนได้จับตาดูการต่อสู้ที่เกิดขึ้นที่ไหล่เขาตั้งแต่แรกแล้ว ตัวสำนึกได้จับตาดูตั้งแต่ต้นจนจบ

“หลัวซิวเจ้าสำนักไท่เสวียน? เจ้านั่นดูแล้วยังหนุ่มอยู่เลย กลับมีอนาคตอย่างไม่สิ้นสุด บนตัวของเขาจะต้องมีความลับใหญ่หลวงอยู่แน่ ๆ !”

หลังจากที่ได้ใช้ตราธรรมจุติมรณะออกมา พลังจิตแท้ของหลัวซิวก็ได้ถูกดูดกลืนไปจนหมด อาวุโสใหญ่แห่งตระกูลหยูหยูชุนชิวผู้นั้น ได้ลอยตกลงไปในที่ที่ห่างออกไปหลายสิบเมตรอย่างทุลักทุเล เลือดไหลท่วมร่าง ผมเผ้ารุงรัง ได้รับบาดเจ็บสาหัส

วิชาตราประทับ ข้างในได้รวบรวมการโจมตีทางวิญญาณเอาไว้ด้วย หยูชุนชิวผู้นี้ถูกเงาลวงวัฏจักรโจมตีซึ่ง ๆ หน้า ไม่ได้สิ้นใจไปทันที แสดงให้เห็นว่าความสามารถและผลการฝึกตนของเขานั้นแข็งแกร่งมากจริง ๆ แต่ก็นับว่าใช้การไม่ได้แล้ว ไม่เพียงเทพจิตได้รับบาดเจ็บ จุดตันเถียนก็แตกกระจาย

นอกเสียจากจะได้รับยาวิญญาณหยินหยางและยาเสวียนจือ ไม่เช่นนั้นละก็ผลการฝึกตนของหยูชุนชิวจะลดต่ำลงเรื่อย ๆ

เงียบสงัดไปทั่วทั้งบริเวณ ได้ยินแม้แต่เสียงเข็มตกพื้น ทุกคนต่างตกตะลึงกับภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

หลัวซิวไม่ได้ลงมือต่อไป เขาได้ล้วงเอายาที่ใช้ฟื้นฟูพลังจิตแท้ออกมาออกมาเม็ดหนึ่งโดยไม่ทิ้งร่องรอย และโยนเข้าไปในปาก

จากการต่อสู้ในครั้งนี้ พูดได้ว่าตระกูลหยูเสียหายใหญ่หลวง ผู้อาวุโสใหญ่หยูชุนชิวบาดเจ็บสาหัส ผู้อาวุโสจักรพรรดิยุทธ์สามคน ตายคาที่

ผู้ที่ทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ก็คือชายหนุ่มชุดคลุมยาวดำที่อยู่ในเหตุการณ์ เจ้าสำนักไท่เสวียน หลัวซิว!

ลูกศิษย์ตระกูลหยูที่เหลืออยู่ ต่างรีบวิ่งไปที่ข้างกายของหยูชุนชิว และช่วยกันพยุงเขาขึ้นมา ตอนนี้ถึงได้สังเกตเห็นว่า ผู้อาวุโสใหญ่ท่านนี้ได้สลบไปเสียแล้ว เห็นได้ว่าได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก

หลัวซิวรู้ว่าตระกูลหยูยังมีตาเฒ่าประหลาดมกุฎยุทธ์อยู่ท่านหนึ่ง เกรงว่าเรื่องนี้ คงจะไม่จบง่าย ๆ แบบนี้แน่

คิดมาถึงตรงนี้ หลัวซิวก็อยากจะจากไปจากที่นี่ทันที

“สหายน้อยท่านนี้ โปรดหยุดก่อน!”

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 461
นอกเหนือจากหยูชุนชิว ตระกูลหยูยังมีจักรพรรดิยุทธ์อีกสามคนอยู่ที่นี่ด้วย หยูเจินคือจักรพรรดิยุทธ์ขั้นสาม หยูโช่วคือจักรพรรดิยุทธ์ขั้นสอง และยังมีผู้อาวุโสร่างท้วมอีกคนหนึ่ง คือจักรพรรดิยุทธ์ขั้นสี่

“คนผู้นี้ฝึกร่างยุทธ์ระดับจักรพรรดิ มอบให้ข้าจัดการ หยูโช่วเจ้าไปจัดการหลินจื่อเฟิง หยูเจินเจ้าไปขวางเย่เฟยเทียนเอาไว้ อย่าให้มันหนีไปได้” ผู้อาวุโสร่างท้วมกล่าวเสียงเข้ม

เมื่อหลัวซิวได้ยินคนผู้นี้สั่งการ ก็รู้สึกขบขันขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “พวกเจ้าอย่าแบ่งอีกเลย เข้ามาพร้อมกันเถอะ”

สำหรับหลัวซิว ตราบใดที่ความสามารถของอีกฝ่ายไม่เกินกว่าจักรพรรดิยุทธ์ขั้นเจ็ด เพียงแค่เขาใช้พลังของลูกแก้วเสวียนดำ ก็สามารถต่อกรได้แล้ว

ถ้าหากคู่ต่อสู้คือจักรพรรดิยุทธ์ขั้นเจ็ดขึ้นไป ก็คงต้องใช้กฎเบญจธาตุและลูกแก้วเสวียนดำพร้อมกันแล้ว

ผู้อาวุโสร่างท้วมได้ยินดังนั้น ก็หัวเราะเยาะขึ้นมา “ไร้ยางอาย!”

หลัวซิวไม่เห็นเป็นเช่นนั้น เขายิ้มอ่อน ๆ พลังอันยิ่งใหญ่ทะลักออกมาจากลูกแก้วเสวียนดำที่อยู่ในจุดตันเถียน

ฉับพลันทันที รัศมีพลังบนร่างกายของเขาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในระหว่างที่หายใจเพียงสองสามครั้ง การเคลื่อนไหวของพลังจิตแท้ ก็บรรลุถึงระดับที่ทัดเทียมกับจักรพรรดิยุทธ์ขั้นห้าได้

“เป็นไปได้ยังไงกัน? ราชายุทธ์คนหนึ่ง สามารถระเบิดรัศมีพลังที่ทัดเทียมกับจักรพรรดิยุทธ์ออกมาได้อย่างไรกัน?” ฝ่ายตรงข้าม จักรพรรดิยุทธ์ทั้งสามของตระกูลหยู ต่างก็มีท่าทางเคร่งขรึม

พวกเขาไม่เชื่อว่าจะมีเคล็ดลับอะไรที่สามารถทำให้กระแสพลังของคนคนหนึ่งเพิ่มขึ้นมาหนึ่งแดนใหญ่ได้พายในพริบตา โดยเชื่อในสิ่งที่ได้ยินมาก่อน เลยคิดว่าหลัวซิวได้ปิดบังฝีมือที่แท้จริงของตนเอง

ในตอนนี้เอง หลัวซิวก็ได้ลงมือแล้ว เขายื่นมือขวาออกมา กางนิ้วทั้งห้า เพลิงมรณะก็ได้พุ่งออกมา ครอบคลุมหยูเจิน หยูสิ้นใจ และผู้อาวุโสร่างท้วม จักรพรรดิยุทธ์ทั้งสามเอาไว้

พวกหยูเจินทั้งสามคนร้องตวาดออกมาด้วยความโมโห ต่างแสดงทักษะยุทธ์ของตนเอง ฟาดฟันพลังกระบี่ออกมา ต้องการทำลายเพลิงมรณะของหลัวซิว

ทว่าในตอนนี้เอง เพลิงมรณะสีดำทมิฬพลันเปลี่ยนไป แปลงเป็นกระดูกญาณขนาดมหึมา กระแสมรณะอันน่าสะพรึงกลัวแผ่ขยายออกมา

ภายใต้อิทธิพลของห้วงยุทธ์มรณะ พวกหยูเจินทั้งสามคนรู้สึกราวกับว่าพวกเขาอยู่ในอเวจีของหลัวซิว ผีร้ายมากมายกรีดร้องกระโจนเข้าหา ฉีกกัดเลือดเนื้อบนร่างกาย กลืนกินวิญญาณของพวกเขา

ความรู้สึกว่าต้องสิ้นใจแน่นอนทะลักเข้ามาในหัว ทำให้พวกเขาท้อแท้ใจ สิ้นหวังอย่างที่สุด คิดจะเลิกต่อต้านโดยสัญชาตญาณ

“หยุดนะ!”

ในตอนนี้เอง หยูชุนชิวก็ได้สังเกตเห็นเหตุการณ์ทางด้านนี้ และสีหน้าเปลี่ยนไปทันที

แม้ว่าตระกูลหยูจะไม่อ่อนแอ แต่การเลี้ยงดูฝึกฝนจักรพรรดิยุทธ์ผู้หนึ่งก็ใช้ทรัพยากรไม่น้อย นอกจากนี้แล้วผู้อาวุโสระดับจักรพรรดิยุทธ์ ไม่ใช่ว่ามีทรัพยากรก็จะสามารถเลี้ยงดูฝึกฝนได้ ยังต้องมีพรสวรรค์ในการฝึกยุทธ์ที่สูงพอสมควร

ถ้าหากทั้งสามคนต้องมาเสียชีวิตอยู่ที่นี่ สำหรับตระกูลหยูแล้ว นับเป็นการสั่นคลอนที่หนักหนาพอสมควร

เขาวาดมือทำสัญลักษณ์ พลังจิตแท้อันเยือกเย็นที่เหน็บหนาวอย่างสุดขีดโหมกระหน่ำเข้ามา ทำให้บริเวณที่อยู่โดยรอบกลายเป็นน้ำแข็ง บีบให้เกาเหลียนหงต้องถอยหลัง

จากนั้น เงาร่างของเขาพลันเคลื่อนไหว กลายเป็นลำแสงที่ใสดุจดั่งผลึกน้ำแข็ง จู่โจมเข้าใส่หลัวซิวที่อยู่ด้านล่าง

หยูชุนชิวเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ถ้าหากอีกฝ่ายดึงดันจะสังหารผู้อาวุโสทั้งสาม ก็จะต้องเผชิญหน้ากับการจู่โจมประดุจสายฟ้าของตนอย่างแน่นอน

ในตอนที่หยูชุนชิวคิดว่าอีกฝ่ายจะหยุดมือนั่นเอง กระดูกญาณมหึมานั่นกลับไม่ไว้หน้าเขาเลยสักนิด เสียงสวบดังขึ้นหนึ่งครั้ง กัดพื้นที่บริเวณนี้แตกเป็นเสี่ยง ๆ

เสียงกรีดร้องโหยหวนสามเสียงได้ดังขึ้น ในระหว่างซี่ฟันของกระดูกญาณ เลือดสาดกระเซ็น น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก

หยูชุนชิวดวงตาแดงก่ำขึ้นมาทันที “เดรัจฉาน ข้าจะให้เจ้าชดใช้ด้วยชีวิต!”

“ระวัง! รีบถอยเร็วเข้า!”

เกาเหลียนหงคิดจะขัดขวาง แต่กลับไม่ทันการเสียแล้ว

แม้ว่าขาจะสามารถเคลื่อนย้ายอย่างรวดเร็วได้ในปริภูมิสั้น ๆ ทว่าหยูชุนชิวก็ได้ป้องกันการเคลื่อนไหวนี้ของเขาเอาไว้ก่อนแล้ว ใช้พลังจิตแท้ปิดพื้นที่บริเวณนั้นเอาไว้

ความจริงแล้วเผชิญหน้ากับการโจมตีของหยูชุนชิว หลัวซิวมีวิธีรับมือหลายวิธี ปีกทิพย์ไร้มลทินสามารถเคลื่อนย้ายได้อย่างรวดเร็ว กฎเบญจธาตุบวกกับลูกแก้วเสวียนดำสามารถรับมือได้โดยตรง

และยังมีอยู่อีกกระบวนท่าหนึ่ง นั้นก็คือกระบวนท่าที่ร้ายกาจที่สุด ตราธรรมจุติมรณะ!

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 460
ระหว่างที่พูด หยูชุนชิวก็ยื่นมือออกมาคว้าอากาศ รังสีหนาวยะเยือกถูกกลั่นตัวเข้ามารวมกันทันที กลายเป็นฝ่ามือยักษ์ ที่ยื่นเข้ามาทางหลัวซิวกับหลินจื่อเฟิง

สีหน้าของหลัวซิวเคร่งเครียดขึ้น ผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ เขาจำเป็นต้องใช้ไม้เด็ดทั้งหมดถึงจะสามารถรับมือกับเขาได้

แต่การแสดงไม้เด็ดของตัวเองออกมาในสถานที่แบบนี้ มีแต่จะดึงดูดผู้ที่มีแต่ความละโมบเข้ามา โดยเฉพาะหากเขาใช้พลังของผังกฎ สถานะคิงหลัวซิวก็จะต้องถูกเปิดเผย ตาเฒ่าประหลาดมกุฏยุทธ์ปรารถนาในชิ้นส่วนกฎมาก

เพราะว่าการใช้ชิ้นส่วนกฎสามารถทำให้บรรลุพลังผังกฎได้ จึงจะเป็นประโยชน์อย่างมากในวันข้างหน้าสำหรับการบรรลุมหาจักรพรรดิยุทธ์

“หยูชุนชิว ผู้ใหญ่รังแกผู้น้อย ไม่รู้สึกขายหน้าบ้างรึ”

ในตอนนั้นเอง เสียงหัวเราะดังลากยาวก็ดังสะท้อนขึ้น เงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าหลัวซิวกับหลินจื่อเฟิง เขาชูมือขวาขึ้นเพื่อคว้าฝ่ามือยักษ์หนาวสะท้านของหยูชุนชิวเอาไว้

บรรยากาศตรงจุดนี้ถูกฉีกขาดทันทีอย่างไร้ซุ้มเสียงราวกับสัตว์ตัวยักษ์ได้อ้าปากของตัวเองขึ้นแล้วกลืนฝ่ามือยักษ์หนาวสะท้านลงไปในทันที

“พลังแห่งโซน?” หลัวซิวเห็นดังนี้พลันหรี่ตาลง

หยูชุนชิวเองก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าระหว่างทางจะเกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดเช่นนี้ขึ้น สีหน้าของเขาจึงเริ่มแปรเปลี่ยน “เกาเหลียนหง เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับท่านกัน”

ในตอนนั้นเอง ทุกคนจึงเบนความสนใจไปที่เงาร่างที่ปรากฏขึ้นอย่างฉับพลัน

คนผู้นี้คือผู้อาวุโสจอนผมขาว เขาสวมชุดยาวสีขาวเทา ร่างของเขาปรากฏขึ้นตรงนั้นราวกับได้หลอมรวมร่างเข้ากับสิ่งรอบตัวเป็นหนึ่งแล้ว แม้แต่ตัวสำนึกก็ไม่อาจรับรู้ได้ถึงพลังงานของเขา

เมื่อได้ยินเสียงเซ็งแซ่ดังขึ้นรอบด้าน หลัวซิวถึงจะรู้ว่าเกาเหลียนหงผู้นี้คือคนไร้สังกัดบนที่มีชื่อเสียงบนเทือกเขาเหิงหยุนแห่งนี้ และอยู่ในแดนจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 7

สีหน้าของหลัวซิวเต็มไปด้วยความเคลือบแคลง เขาไม่รู้จักเกาเหลียนหงมาก่อน แล้วทำไมอีกฝ่ายต้องยื่นมือมาช่วยเขาด้วย

เขามองหลินจื่อเฟิงจึงเห็นว่าหลินจื่อเฟิงหันมาส่ายหน้าให้เขา เห็นได้ชัดว่าเขาก็ไม่รู้จักผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์คนนี้เช่นกัน

“ข้าชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน ท่านมีปัญหาอะไรหรือ” เกาเหลียนหงยิ้มเล็กน้อย

เมื่อได้ยินดังนั้นสีหน้าของหยูชุนชิวจึงหม่นหมองลง เขาจ้องเกาเหลียนหงเขม็ง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอันเย็นเยียบ “เกาเหลียนหง ท่านฝึกตนต่ำกว่าข้าอยู่หนึ่งขั้น ดังนั้นตอนนี้ถอยไปซะ ข้าจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น”

“ไม่อย่างนั้นแล้ว ต่อให้ท่านควบคุมพลังโซนได้ เจ้าตระกูลหยูของข้าเป็นถึงมกุฎยุทธ์ หากจะสังหารท่าน ระวังให้ดีว่าร่างของท่านจะดับสลายไปสิ้น”

เมื่อต้องเผชิญพลังของหยูชุนชิว เกาเหลียนหงยังคงไม่ยี่หระ “คนอื่นอาจจะกลัวตระกูลหยูของเจ้า แต่ข้าไม่กลัว”

สีหน้าของหยูชุนชิวดำดิ่ง “ข้าจะสั่งสอนวิชาล่องหนของเจ้า”

ระหว่างที่กล่าวหยูชุนชิวก็ประสานมือเข้าด้วยกัน และเขย่าพลังตราประทับ พลังจิตแท้อันหนาวยะเยือกกระจายไปทั่วรอบกาย ภายในอาณาบริเวณหลายร้อยเมตรนี้ ปรากฏหิมะร่วงหล่นลงมา พื้นดินและบ้านเรือนรอบๆ ปรากฏน้ำค้างแข็งห่อหุ้ม

“ฝ่ามือน้ำแข็งมรณะ!”

เมื่อหยูชุนชิวกวาดมือออกไป ฟ้าดินก็กลับกลายเป็นน้ำแข็ง พลังงานที่ทั้งมืดทั้งเย็นเฉียบ ราวกับได้เปลี่ยนเอาบรรยากาศทั้งหมดกลายเป็นน้ำแข็ง

สีหน้าของเกาเหลียนหงยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เขายื่นมือออกไปคว้าอากาศ บรรยากาศรอบกายแตกกระจาย เศษของบรรยากาศที่แตกกระจายหมุนวนเข้าด้วยกัน กลายเป็นพายุฝนมืดดำ

เมื่อผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ช่วงปลายสองคนต่อสู้มือกัน ทำให้ยอดฝีมือหลายคนบนเขาไม้เสวียนนี้ต่างรู้สึกช็อก รอบข้างเริ่มมีคนเข้ามารวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ

ผู้อาวุโสใหญ่ตระกูลหยูอย่างหยูชุนชิว พรสวรรค์ในการฝึกวรยุทธ์อยู่ในขั้น 9 พลังจิตแท้หนาวสะท้านของเขาบริสุทธิ์และแข็งแกร่ง ในบรรดาเทือกเขาเหิงหยุนแห่งนี้ กล่าวได้ว่าเป็นหนึ่งในห้าลำดับสุดยอดฝีมือรองจากระดับมกุฎยุทธ์

การฝึกตนของเกาเหลียนหงด้อยกว่าเขาหนึ่งขั้น ในด้านพลังจิตแท้ก็สู้หยูชุนชิวไม่ได้ แต่กลับใช้วิธีการในการควบคุมโซนในการต่อสู้ได้อย่างสบายๆ ทั้งสองฝ่ายจึงต่อสู้กันอย่างสูสี

“ศิษย์ตระกูลหยูจงรับคำสั่ง จับคนสองคนนั่นเอาไว้!” หยูชุนชิวตวาดเสียงกร้าว คนตระกูลหยูที่มาร่วมงานประมูลยาครั้งนี้มีไม่น้อย และมีจักรพรรดิยุทธิ์อยู่ถึงสามคน

“เกาเหลียนหง ต่อให้เจ้าขวางข้าได้ แต่คงจะขวางคนอื่นๆ ในตระกูลหยูของข้าไม่ได้หรอกกระมัง”

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 459
ระหว่างที่พูด ผู้อาวุโสหยูเจินก็ผายมือออกมา กระบี่ยุทธ์ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของเขา เมื่อเขาเคลื่อนตัวแสงกระบี่ก็สะท้อนออกมาแล้วล็อกหลัวซิวเอาไว้

หลัวซิวไม่มีทีท่าหวาดกลัว เขายื่นมือออกไปคว้าแสงกระบี่ที่สาดส่องมาเอาไว้ เกิดเสียงแกร๊งดังขึ้น แสงกระบี่แตกละเอียด

ผู้อาวุโสตระกูลหยูยังคงมีสีหน้าดังเดิม “มิน่าเล่าถึงได้หยิ่งผยองนัก ที่แท้ก็ฝึกตนจนถึงร่างยุทธ์ระดับจักรพรรดิแล้ว แต่การฝึกตนก็ยังอยู่ที่ราชายุทธ์เท่านั้น”

พลังบนกระบี่ยุทธ์ปะทุออก ลำแสงเย็นสั่นไหว ผู้คนรู้สึกแทบลืมตัวตนของตัวเองไป ห้วงยุทธ์อันรุนแรงบ้าคลั่งแพร่กระจายออกมา ความแข็งแกร่งของมันราวกับจะผ่าโลกนี้เป็นจุน

“ยอดกระบี่ทลายฟ้า!”

กระบี่ของหยูเจินทั้งรุนแรงและบ้าคลั่ง พลังของมันคือวิชาห้วงยุทธ์ยอดกระบี่ที่เทียบเท่ากับทักษะยุทธ์ระดับ 9

ตระกูลหยูมีผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์นั่งปกครอง ได้รับการสืบทอดวิชายุทธ์ระดับ 9 จึงเป็นพลังปกติอย่างที่ควรจะเป็น

หยูเจินมีความสามารถที่จะต่อสู้ได้อย่างแข็งแกร่ง เพียงแค่ทักษะยุทธ์ขั้น 9 นี้ ต่อให้อีกฝ่ายมีร่างยุทธ์ระดับจักรพรรดิปกป้องร่างเอาไว้ ถ้าไม่ตายก็ต้องเจ็บหนักอย่างแน่นอน

ตู้ม!

เพลิงมรณะระเบิดออกมาจากร่างของหลัวซิว และผนึกรวมกลายเป็นเปลวไฟดำร่างมนุษย์ที่สูงใหญ่ถึง 10 จั้ง

กระบวนท่าที่แสดงออกมาคือดาวจักรพรรดิจรัสม่วงที่ได้รับมาจากตำหนักจื่อ แต่เนื่องด้วยเป็นเพราะการฝึก Attr พลังจิตแท้ ดาวจักรพรรดิฝ่าเซียงที่หลัวซิวแสดงออกมาจึงไม่ใช่สีม่วง แต่เป็นเปลวไฟสีดำที่ผนึกรวมขึ้นมา

เมื่อภาวนาในใจ ดาวจักรพรรดิฝ่าเซียงจึงระเบิดออกมา

บึ้ม!

บรรยากาศรอบๆ ถูกพลังฉีกขาดอย่างรุนแรงจนปรากฏเหลือเพียงร่องรอยสีดำ แขนข้างหนึ่งของดาวจักรพรรดิฝ่าเซียงระเบิดเป็นจุนอย่างรวดเร็ว

ทว่าการโจมตีของหยูเจินก็ถูกขัดขวางเอาไว้ได้เช่นกัน จากนั้นมือดาวจักรพรรดิฝ่าเซียงอีกข้างก็วาดมือออกไป เกิดเสียงดังกริ๊ก หยูเจินที่รวมเข้ากับกระบี่ก็ลอยคว้างออกไป

“นี่มันทักษะยุทธ์ระดับ 9 แกเป็นใครกันแน่”

หยูเจินประคองร่างเอาไว้ สีหน้าของเขาปรากฏความประหลาดใจพร้อมตะโกนถามออกไป

โดยทั่วไปทักษะยุทธ์ระดับ 9 จะสืบทอดกันเพียงแต่ในใจกลางของแต่ละกองกำลังเท่านั้น แต่คนผู้นี้กลับครอบครองทักษะยุทธ์ระดับ 9 มีความเป็นไปได้สูงมากที่ประวัติของเขาจะไม่ธรรมดา และเทียบเท่าได้กับตระกูลหยูเลยด้วยซ้ำ

สีหน้าของหลัวซิวยังคงนิ่งสงบ ก่อนจะเอ่ยช้าๆ ออกมาว่า “ข้าคือเจ้าสำนักไท่เสวียน หลัวซิว!”

คราวนี้ เขาไม่ได้เรียกตนเองว่าเจ้าอาจารย์อีกแล้ว เพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวาย

“สำนักไท่เสวียน?” สีหน้าของกลุ่มคนตระกูลหยูต่างงงงวย

“บนเทือกเขาเหิงหยุนแห่งนี้ ไม่เคยได้ยินชื่อสำนักนี้มาก่อน” นักยุทธ์รอบๆ ที่มาร่วมงานประมูลยาต่างมีสีหน้าข้องใจ

“แต่ชื่อสำนักไท่เสวียนนั้นคุ้นหูมาก เหมือนเคยได้ยินมาจากที่ไหนมาก่อน” มีคนกล่าวคำพูดประโยคนี้ออกมา

ทันใดนั้นเองผู้อาวุโสเคราขาวที่อยู่ไม่ไกลนักก็ส่งเสียงร้องออกมา “ข้าคิดออกแล้ว ในสมัยโบราณ อาณาจักรใต้ของพวกเรามีแดนศักดิ์สิทธิ์อยู่แดนหนึ่ง ชื่อว่าไท่เสวียน”

ในตอนนั้นเองบรรยากาศรอบๆ เกิดเสียงดังกระหึ่มขึ้น แต่ก็ยังมีคนกล่าวออกมาด้วยความสงสัย “ไท่เสวียนโบราณไม่ได้ล่มสลายไปแล้วหรือ”

หลัวซิวไม่ได้กล่าวอธิบายคำถามของคนพวกนี้ เพราะเขาเพิ่งเริ่มสร้างสำนักไท่เสวียนขึ้นมาใหม่ หากเป็นที่สนใจของคนในที่นี่เร็วเกินไป จะส่งผลเสียมากกว่าผลดี

“เอาชื่อแดนศักดิ์สิทธิ์โบราณมาอวดเบ่ง ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเอาเสียเลย”

ในตอนนั้นเอง เสียงหัวเราะแข็งกระด้างดังมาจากแดนไกล ผู้อาวุโสเคราขาวที่มีใบหน้าราวน้ำค้างแข็ง มุ่งหน้าเดินเข้ามา

บริเวณเอวของผู้อาวุโสเคราขาวคนนี้ มีป้ายบัญชาการที่ปรากฏตัวอักษร “หยู” เอาไว้เช่นกัน พลังจิตแท้ในร่างสั่นสะเทือนอย่างน่าหวาดหวั่น ดูกว้างใหญ่และหนักแน่นราวกับเทือกเขา

“ผู้อาวุโสใหญ่!”

คนตระกูลหยูที่เหลือต่างพากันทำความเคารพอย่างนอบน้อม

คนส่วนใหญ่มีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้น ผู้อาวุโสชุดขาวคนนี้คือผู้อาวุโสใหญ่ของตระกูลหยู มีนามว่าหยูชุนชิว มีฐานะสูงศักดิ์ในตระกูล ฝึกตนอยู่ในระดับจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 8

“ไม่ต้องมากพิธี” หยูชุนชิวพยักหน้าอย่างเรียบเฉย แล้วเบนสายตาไปที่หลัวซิว “เป็นแค่ราชายุทธ์ ริอาจเอาชื่อแดนศักดิ์สิทธิ์มาล้อเล่น ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นต่ำ”

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 458
เมื่อหลัวซิวได้ดินเหลืองเสวียนมาแล้ว และเตรียมจะบอกลาหลินจื่อเฟิงเพื่อเดินทางออกจากสำนักไม้เสวียนอยู่นั้น ตอนนั้นเองด้านหลังของเขาปรากฏไอสังหารอย่างเข้มข้นขึ้นมา

เมื่อหันกลับไปมองก็เห็นว่ามีกองทัพม้าที่สวมใส่ชุดขาวอย่างเป็นระเบียบปรากฏขึ้น บริเวณเอวของพวกเขามีป้ายบัญชาการแขวนเอาไว้ ด้านบนป้ายสลักคำว่า “หยู”

คนพวกนี้พยายามแผ่ออร่าออกมา และใช้ตัวสำนึกสำรวจสอดส่ายอย่างอวดดีไร้ความเกรงใจ

สำนักไม้เสวียนมีลูกศิษย์ที่ทำหน้าที่รับผิดชอบด้านการรักษากฎระเบียบโดยเฉพาะอยู่แล้ว แต่โดยทั่วไปแล้ว ช่วงเวลาที่จัดงานประมูลยาขึ้นมา ขอแค่ไม่ก่อเรื่องวุ่นวายใหญ่โตเกินไป สำนักไม้เสวียนก็จะไม่สอดมือเข้าไปแทรกแซง

หากความขัดแย้งทำลายทรัพย์สินของสำนักไม้เสวียน ก็จะต้องชดใช้ตามมูลค่าจริง ด้วยเหตุนี้แล้วไม่ว่าคนที่ทะเลาะกันทั้งสองฝ่ายจะเป็นใครก็ตาม สำนักไม้เสวียนก็จะไม่เอาเรื่อง

“คนของตระกูลหยู” หลินจื่อเฟิงสีหน้าคร่ำเคร่ง พลางยื่นมือดึงหอกรบสีแดงเลือดของเขาออกมา

คนตระกูลหยูกลุ่มนั้นเดินเข้ามาอย่างหยิ่งผยอง ทุกคนต่างหลบทางให้กับพวกเขา ส่วนเย่เฟยเทียนที่ได้ยาเสวียนจือไปแล้วและตั้งท่าจะหนีไปนั้น ก็ถูกคนตระกูลหยูขวางเอาไว้ด้วยเช่นกัน

“เย่เฟยเทียน แกหาดอกแท้สามมาได้หรือยัง ความอดทนของผู้อาวุโสใหญ่มีจำกัดนะ” ผู้นำของตระกูลหยูคนหนึ่งตวาดเสียงแข็ง

ดูเหมือนว่าเย่เฟยเทียนจะรู้จักกับคนตระกูลหยู

สีหน้าของเย่เฟยเทียนยังคงไม่สะทกสะท้าน “กลับไปบอกผู้อาวุโสใหญ่ของพวกแกเถอะว่า ข้าไม่อยากได้ยาเสวียนจือของเขาแล้ว”

ระหว่างที่ตอบ เย่เฟยเทียนก็ตั้งท่าจะหนี เขาไม่อยากจะเสียเวลากับคนพวกนี้อีกต่อไปแล้ว

“เฮอะ เย่เฟยเทียน แกคิดว่าแกบอกว่าไม่แลกแล้วก็จะไม่แลกได้งั้นรึ ตอนนี้หยูหลันกลับมาที่ตระกูลแล้ว ผู้อาวุโสใหญ่กล่าวเอาไว้แล้วว่าเมื่อใดก็ตามที่แกเอาดอกแท้สามกลับมาได้ ตอนนั้นแกถึงจะกลับไปที่ตระกูลหยูได้และพบหน้ากับเธออีกครั้ง”

“หยูโช่ว แกหมายความว่ายังไง” ร่างของเย่เฟยเทียนหยุดชะงัก แววตาของเขาเวิ้งว้าง

“นี่ไม่ได้เป็นความต้องการของฉัน แต่เป็นความต้องการของผู้อาวุโสใหญ่ คนไร้สังกัดที่ไม่มีที่พึ่งพิงอย่างแก คิดจะแต่งงานกับคุณหนูสามของตระกูลหยู ถ้าแกหาดอกแท้สามมาได้ นั่นก็แสดงให้เห็นว่าแกมีคุณสมบัติเหมาะสม แต่ถ้าหามาไม่ได้ล่ะก็……” ชายวัยกลางคนที่มีนามว่าหยูโช่วหัวเราะเย้ยหยัน

ในขณะนั้นเอง หยูมู่เหลียงที่มีใบหน้าบวมช้ำที่ยืนอยู่ด้านข้างหยูโชว่ก็ชี้มาทางหลัวซิวกับหลินจื่อเฟิง แล้วกล่าวเสียงแข็งว่า “อารอง เดรัจฉานสองตัวนี้ไงที่ทำร้ายข้า”

หยูโชว่ได้ยินดังนั้นก็ไม่สนใจใบหน้าหมองคล้ำของเย่เฟยเทียนอีก เขามองมาทางหลัวซิวและหลินจื่อเฟิงอย่างเอาเรื่อง

“คนที่กล้าทำร้ายคนตระกูลหยูของข้า สมควรตาย!”

แววตาของหยูโชว่เต็มไปด้วยความมาดร้าย เขาดึงกระบี่ยุทธ์ออกมาจากเอวของเขา ร่างกับกระบี่รวมเป็นหนึ่ง เกิดเป็นแสงกระบี่สุกสว่างพร่าตาที่พุ่งทะยานจากฟากฟ้าพุ่งลงมาทางหลัวซิวและหลินจื่อเฟิง

หยูโชว่ฝึกตนถึงแดนจักรพรรดิยุทธ์ขั้นสาม คนรวมกับกระบี่เป็นหนึ่ง ความเร็วพุ่งทะยานมาราวกับสายฟ้าฟาด เพียงพริบตาเดียว แสงกระบี่ก็วิ่งมาจ่อตรงหน้าของหลัวซิวกับหลินจื่อเฟิงแล้ว

การลงมือครั้งนี้ไร้ซึ่งความปราณี ราวกับต้องการจะทำให้ทั้งสองคนตายคาที่อยู่ตรงนี้ทันที

หลินจื่อเฟิงขวัญเสีย แต่หลัวซิวกลับก้าวออกไปข้างหน้า แล้วใช้ร่างยุทธ์ระดับจักรพรรดิระเบิดพลังออกมาอย่างรุนแรง

“ยอดฝีมือจักรพรรดิยุทธ์?” สีหน้าของหยูโชว่เปลี่ยนไป พลางก่นด่าคนไม่เอาไหนอย่างหยูมู่เหลียงอยู่ในใจ ไหนบอกว่าคนที่ทำร้ายเป็นเพียงแค่ราชายุทธ์สองคนไม่ใช่หรือ

“ไสหัวไปเดี๋ยวนี้!”

หลัวซิวแผดเสียงลั่น และใช้กำปั้นทุบเข้าใส่แสงกระบี่ที่พุ่งทะยานเข้ามา เสียงระเบิดก้องดังสะท้านสะเทือนไปทั่วฟ้า หยูโชว่ที่ประสานเป็นหนึ่งกับกระบี่กระเด็นกลับไปอย่างฉับพลัน

นักยุทธ์ของตระกูลหยูสองคนลอยขึ้นไปกลางท้องฟ้าเพื่อรับหยูโชว่เอาไว้ สีหน้าของหยูโชว่ดำคล้ำ เดิมทีเขาคิดว่าตนจะสามารถสังหารคนทั้งสองนี้ได้อย่างรวดเร็วเพื่อแสดงอำนาจ แต่คิดไม่ถึงว่าในขณะที่ตัวเองบุกโจมตีเข้าไปจะถูกตอบโต้จนกระเด็นกลับมาจนเขาเสียหน้าอย่างมากเช่นนี้

ผู้อาวุโสตระกูลหยูคนหนึ่งลอยอยู่กลางฟ้า เขามองข้ามมาที่หลัวซิว “แกเป็นใคร ทำไมต้องทำร้ายศิษย์ตระกูลหยูของเราด้วย”

หลัวซิวดึงกำปั้นที่โจมตีออกไปเมื่อครู่กลับมา แล้วเอามือข้างหนึ่งไพล่หลังเอาไว้ก่อนจะกล่าวอย่างไร้ความรู้สึก “ก็เหมือนอย่างคนเมื่อครู่นี้ไงที่ไม่ทันจะฟังข้าพูดอะไรก็เริ่มลงมือกับข้าก่อน หากศิษย์ตระกูลหยูไม่ได้คิดจะทำร้ายข้าก่อน ข้าก็คงจะไม่ลงมือกับพวกเขา”

“เหลวไหล!” ผู้อาวุโสตระกูลหยูแผดเสียง “ทำร้ายคนตระกูลหยูแล้วยังหาข้ออ้างอีก ข้าหยูเจินจะขอสั่งสอนเจ้าให้รู้สำนึก”

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 457
ด้วยเหตุนี้ยาเสวียนจือจึงเป็นยาล้ำค่า เมื่อจุดตันเถียนของผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธิ์หลายคนได้รับบาดเจ็บ จึงไม่สามารถฟื้นฟูกลับมาได้อีกและตรอมใจตายไปในที่สุด

และนี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมในตอนนั้นที่สวีจิงเหนียนพยายามเก็บรวบรวมวัตถุดิบสำหรับกลั่นยาเสวียนจือไว้เป็นจำนวนมาก แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถหายามารักษาได้สักเม็ด

หากไม่ได้มาพบกับหลัวซิวเข้า อาการบาดเจ็บของสวีจิงเหนียนคงยากจะฟื้นฟูกลับมา และตระกูลสวีคงโดนตระกูลฝานกำจัดทิ้งไปเรียบร้อยแล้ว

เมื่อได้ยินว่าเป้าหมายที่แท้จริงของอีกฝ่ายคือยาเสวียนจือเพียงเม็ดเดียว หลัวซิวก็ไม่รู้จะทำหน้าอย่างไร เพราะสำหรับเขาการกลั่นยาเสวียนจือเป็นเรื่องเล็กๆ ที่ทำได้ง่ายเพียงกระดิกนิ้ว

เขาใช้มือแตะที่แหวนเก็บของเบาๆ ขวดหยกงามประณีตขวดหนึ่งก็ปรากฏอยู่บนมือของหลัวซิวแล้ว จากนั้นเขาจึงนำมันวางไว้บนแผง

เจ้าของแผงวัยกลางคนชะงัก ก่อนจะยื่นมือออกไปหยิบขวดหยกขึ้นมาอย่างสงสัยใคร่รู้ เมื่อเปิดจุกขวดออก สีหน้าของเขาก็ชะงัก

“ยาเสวียนจือ!?”

เจ้าของแผงวัยกลางคนมองหลัวซิวอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา เขาสงสัยว่าเด็กหนุ่มผู้นี้แท้จริงแล้วเป็นใครมาจากไหน ฝึกตนเพียงราชายุทธ์ แต่กลับครอบครองยาเสวียนสามระดับ 7 และยาล้ำค่าอย่างยาเสวียนจือ

หากวัดกันด้วยระดับยาเสวียนจือสู้ยาเสวียนสามไม่ได้ แต่หากวัดกันด้วยระดับความหายากแล้ว ยาเสวียนจือกลับหายากกว่า

ไม่ว่าจะเป็นยาระดับไหน ยาที่ใช้ในการรักษาโดยส่วนใหญ่แล้วจะมีมูลค่าสูงกว่า เพราะเป็นสิ่งของที่ช่วยในการรักษาชีวิตเอาไว้

การฝึกตนสามารถฝึกฝนไปอย่างช้าๆ ได้ แต่มีอาการบาดเจ็บบางอย่างหากไม่สามารถฟื้นฟูได้ จะส่งผลกระทบไปตลอดทั้งชีวิต

เจ้าของแผงวัยกลางคนไม่ลังเล เขารีบหยิบของออกจากแหวนเก็บของแล้วส่งให้หลัวซิว “นี่เป็นดินเหลืองเสวียนทั้งหมดที่ข้ามี ขอใช้แลกกับยาเสวียนจือของท่านได้หรือไม่”

หลัวซิวยื่นมือออกไปรับมา เขาใช้ตัวสำนึกสำรวจจึงพบว่าดินเหลืองเสวียนด้านในมีปริมาณ 7 โลกว่า มากกว่าปริมาณที่เขาต้องการเกือบครึ่ง

“ตกลง” หลัวซิวพยักหน้า แล้วเก็บดินเหลืองเสวียนลงไป

สำหรับนักยุทธ์คนอื่นๆ นั้น ยาเสวียนจือเป็นของล้ำค่ายากจะครอบครอง แต่สำหรับหลัวซิวแล้วขอเพียงแค่มีวัตถุดิบ เขาอยากจะกลั่นออกมามากเท่าไหร่ก็ได้

สำหรับปรมาจารย์นักกลั่นยานั้น สิ่งที่มีคุณค่าสูงสุดไม่ใช่ตัวยา และก็ไม่ใช่ตำรับยา แต่เป็นวิชาในการกลั่นยาต่างหาก

ยาทุกประเภทจะมีวิชายาที่เหมาะสม ที่ยาบางชนิดมีมูลค่าสูง นอกจากวัตถุดิบที่หาได้ยากแล้ว แต่ยังเป็นเพราะมีคนจำนวนน้อยมากที่จะได้ครอบครองวิชายาที่สืบทอดต่อกันมา

เมื่อเย่เฟยเทียนได้รับยาเสวียนจือแล้ว เขาจึงประสานมือคารวะหลัวซิว ก่อนจะเก็บแผงเพื่อเตรียมออกเดินทาง

ตามที่เขากล่าวเอาไว้ จุดตันเถียนของภรรยาเขาได้รับบาดเจ็บ จึงจำเป็นต้องใช้ยาเสวียนจือไปรักษา และที่เขารีบร้อนจากไปเช่นนี้ คงจะเป็นเพราะว่าเขาจะรีบกลับไปทำการรักษาให้แก่ภรรยาของเขานั่นเอง

“คนผู้นี้เป็นผู้ที่เกิดมาเพื่อทุ่มเทให้กับความรักอย่างยิ่ง” หลัวซิวพึมพำกับตัวเอง

“บนโลกนี้แม้คนจะนิสัยเย็นชา และมีท่าทีที่เฉยเมย แต่ก็ยังมีดีอยู่บ้าง” หลินจื่อเฟิงยิ้มพลางกล่าวอยู่ข้างๆ หลัวซิว

ตอนที่หลัวซิวกับเย่เฟยเทียนกำลังแลกเปลี่ยนกันอยู่นั้น เขาไม่ได้ปิดบังหลินจื่อเฟิง ตอนที่เขารู้ว่าหลัวซิวมีของล้ำค่าอย่างยาเสวียนสามและยาเสวียนจือ สีหน้าของเขาก็แสดงอาการประหลาดใจออกมาเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้แสดงความปรารถนาอะไรออกไปแต่อย่างใด

“พี่หลัวซิวครอบครองสมบัติล้ำค่าเช่นนี้เอาไว้ ประวัติจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน สิ่งที่ได้รับสืบทอดมาจะต้องร้ายกาจอย่างยิ่ง” หลิงจื่อเฟิงแอบคิดในใจ “เขาบอกว่าเขาเป็นเจ้าสำนักไท่เสวียน ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าชื่อสำนักไท่เสวียนนี้คุ้นหูนัก”

“พี่หลิน ข้าได้รับดินเหลืองเสวียนที่ต้องการแล้ว ข้าคงไม่อยู่เสียเวลาที่นี่อีกต่อไป” หลัวซิวมองไปที่หลินจื่อเฟิง

“พี่หลัวจะไปแล้วหรือ งานประมูลยากำลังจะเริ่มอยู่แล้วนะ” หลินจื่อเฟิงชะงัก

สำหรับหลัวซิวแล้ว งานประมูลยาของสำนักไม้เสวียน อย่างมากก็เป็นได้แค่งานที่ไว้แลกเปลี่ยนสมบัติล้ำค่าและยาหลากหลายชนิดเท่านั้น เขาเองก็ไม่ได้รู้สึกสนใจอะไร ที่เขามาที่เทือกเขาเหิงหยุนครั้งนี้ก็เพื่อดินเหลืองเสวียนเท่านั้น

อีกอย่างเขาออกมาจากสำนักเป็นเวลานานแล้ว ไม่รู้ว่าอาจารย์เสวียนหยางมีความเคลื่อนไหวอย่างไรบ้าง เขาจึงอยากที่จะรีบกลับไปให้ไวที่สุด

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 456
ดอกแท้สามเป็นยาวิเศษระดับ 7 ที่ค่อนข้างหาได้ยาก สามารถนำมาใช้กลั่นเป็นยาระดับ 7 อย่างยาเสวียนสามได้หรือยาจิตมังกรสามรู

นอกจากนั้นยาเสวียนสามยังเป็นยาที่ผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์ใช้สำหรับยกระดับการฝึกตน และยาจิตมังกรสามรูยังเป็นยาที่สามารถนำมาใช้สำหรับชุบร่างเนื้อได้ ประสิทธิภาพที่ได้นั้นเช่นเดียวกับยาสลายร่างหลงหยางแต่ได้ผลดีกว่าด้วยซ้ำ

ก่อนหน้านี้ชายวัยกลางคนผู้นี้พยายามปิดบังออร่าพลังจิตแท้ของตนเอาไว้ แต่ด้วยกระแสสัมผัสพลังชีวิตของหลัวซิว ทำให้มองออกว่าคนผู้นี้อยู่ในแดนจักรพรรดิยุทธิ์ขั้น 4

จักรพรรดิยุทธ์คนหนึ่งต้องการสมุนไพรวิเศษระดับ 7 ไปเพื่ออะไรกัน?

แน่นอนว่าเหตุที่อีกฝ่ายจะต้องการดอกแท้สามไปทำอะไรนั้น ไม่มีความข้องเกี่ยวกับหลัวซิวแต่อย่างใด แต่ดอกแท้สามเป็นสิ่งที่เขาเคยครอบครองมาก่อน แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว เพราะเขาได้นำไปใช้ในการกลั่นยาหมดแล้ว

ก่อนหน้านี้ เขาเคยได้รับยาวิเศษมาจากแดนแต่งตั้งราชาเป็นจำนวนมาก แต่หลัวซิวไม่ได้มีนิสัยที่ชอบเก็บยาวิเศษเอาไว้ในมือเฉยๆ เขาจึงนำเอาไปใช้สำหรับกลั่นยาเรียบร้อยแล้ว

เช่นเดียวกับสมบัติระดับ 7 จะต้องใช้ดอกแท้สามเพื่อแลกดินเหลืองเสวียนถึงจะเป็นการแลกเปลี่ยนที่มีคุณค่าเทียบเท่ากัน

แต่หากนำยาระดับ 7 ไปแลกกับดินเหลืองเสวียน นั่นหมายความว่าหลัวซิวจะเป็นฝ่ายขาดทุน

“ท่านมีดินเหลืองเสวียนหรือ” หลัวซิวถามออกไป

เจ้าของแผงวัยกลางคนขมวดคิ้ว “แล้วท่านล่ะมีดอกแท้สามไหม ถ้าไม่มี ก็อย่าทำให้ข้าต้องเสียเวลาอยู่เลย”

หลัวซิวอมยิ้มเล็กน้อย แล้วผายมือออกไป พลังจิตแท้ได้สร้างแดนกั้นเสียงขึ้นมา

เมื่อเจ้าของแผงวัยกลางคนเห็นการเคลื่อนไหวดังนั้นของหลัวซิว เขาก็หรี่ตาลงทันใด

ในตอนนั้นเองหลัวซิวจึงเอ่ยช้าๆ ขึ้นมาว่า “ผมไม่มีดอกแท้สามหรอก แต่ผมมียาเสวียนสามอยู่เม็ดหนึ่ง เป็นยาที่กลั่นออกมาจากดอกแท้สาม สามารถแลกกับดินเหลืองเสวียนของท่านสัก 5 กิโลได้หรือไม่”

“ยาเสวียนสามระดับ 7?” เจ้าของแผงวัยกลางคนมองหลัวซิวอย่างประหลาดใจ เขาคิดไม่ถึงเลยว่าในมือของราชายุทธ์คนหนึ่งจะมียาระดับ 7 อันล้ำค่าเช่นนี้อยู่ด้วย

ทว่าเจ้าของแผงวัยกลางคนกลับส่ายหน้า “ยาเสวียนสามเป็นของดี แต่ข้าคงไม่ได้ใช้”

หลัวซิวขมวดคิ้ว “หากท่านใช้ยาเสวียนสามไปแลกกับดอกแท้สาม ผมคิดว่าน่าจะแลกได้ง่ายกว่าใช้ดินเหลืองเสวียนไปแลก”

“แม้ว่าจะกล่าวแบบนั้น ได้ แต่ข้าคิดว่าการครอบครองยาเสวียนสามจะเป็นการดึงดูดความสนใจเกินไป และเกรงว่าอาจจะยังไม่ทันได้แลกดอกแท้สาม แต่จะไปดึงดูดความสนใจของคนอีกไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่”

ระหว่างที่พูดประโยคนี้ เจ้าของแผงวัยกลางคนก็มองไปที่หลัวซิว ความหมายของเขานั้นไม่มีอะไรซับซ้อน

หากข่าวจักรพรรดิยุทธ์ครอบครองยาเสวียนสามแพร่กระจายออกไป คงจะดึงดูดความวุ่นวายเข้ามาอีกไม่น้อย ส่วนเขาที่เป็นราชายุทธ์ การครอบครองยาเสวียนสามจะต้องส่งผลเสียมากกว่าผลดีอย่างแน่นอน

และเพราะอย่างนี้เอง ระหว่างที่สนทนากันอยู่นี้ หลัวซิวจึงได้สร้างแดนกั้นเสียงขึ้นมา เพราะไม่อยากให้เกิดความยุ่งยากกับตนเองโดยไม่จำเป็น

แต่เขาไม่คิดเลยว่า คนผู้นี้จะไม่ยอมแลก และคนผู้นี้ก็ได้ล่วงรู้แล้วด้วยว่าเขามียาเสวียนสาม หากเรื่องนี้ถูกเปิดเผย หลัวซิวเดาว่าเมื่อตนเองออกจากสำนักไม้เสวียนแล้ว จะต้องมีคนจำนวนมากวางแผนสังหารเขาเพื่อชิงของล้ำค่านี้ไป

และดูเหมือนว่าเจ้าของแผงวัยกลางคนคนนั้นจะอ่านความคิดของเขาออก จึงกล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “ข้าในนามเย่เฟยเทียนไม่มีทางนำเรื่องที่เจ้าครอบครองยาเสวียนสามแพร่งพรายออกไป เรื่องนี้ขอให้เจ้าวางใจ”

คนผู้นี้ดูเป็นคนที่มีหลักการ แต่หลัวซิวก็ยังไม่อาจเชื่อใจเขาได้เสียทีเดียว

หลัวซิวขมวดคิ้ว “นอกจากดอกแท้สามแล้ว ไม่สามารถใช้ของอย่างอื่นแลกดินเหลืองเสวียนของท่านได้เลยหรือ”

ใบหน้าไร้อารมณ์ของเย่เฟยเทียนปรากฏความขมขื่นออกมา “ภรรยาของข้าได้รับบาดเจ็บหนัก จำเป็นต้องใช้ยาเสวียนจือระดับ 6 ข้าได้ยินมาว่ามีคนครอบครองยาเสวียนจือเอาไว้ แต่คนผู้นั้นกลับขอดอกแท้สามเป็นการแลกเปลี่ยน”

เมื่อกล่าวออกมาอย่างนี้แล้ว ความหมายของเย่เฟยเทียนจึงชัดเจนขึ้นมา เป้าหมายที่แท้จริงของเขาไม่ใช่ดอกแท้สาม แต่เป็นยาเสวียนจือระดับ 6

แม้ว่ายาเสวียนจือจะเป็นยาระดับ 6 แต่เนื่องจากเป็นยาที่ใช้สำหรับซ่อมแซมจุดตันเถียน ไม่ต่างอะไรกับยาวิญญาณหยินหยางมากนัก ดังนั้นมูลค่าของมันจึงเทียบเท่าได้กับยาระดับ 7

ทว่ายาเสวียนจือยังมีอีกจุดที่ล้ำค่านั่นคือวิธีการในการกลั่นยาชนิดนี้ มีคนทำเป็นไม่มากนัก แม้แต่ปรมาจารย์กลั่นยาระดับ7 จำนวนมาก และผู้ที่มีวัตถุดิบสำหรับกลั่นยาเสวียนจือนี้ หากไม่มีวิธีการพิเศษก็ไม่มีทางกลั่นยาออกมาได้

บทที่ 455
มีคนจำนวนมากเฝ้าดูการต่อสู้อยู่รอบ ๆ เมื่อเห็นหลินจื่อเฟิงเอาชนะราชายุทธ์แห่งตระกูลหยูทั้ง12คนด้วยตัวเอง อีกทั้งยังทำให้ราชายุทธ์ขั้น7ที่ผลการฝึกตนสูงที่สุดบาดเจ็บสาหัสได้ ต่างก็มีสีหน้าซับซ้อนบรรยายไม่ถูก

“เฮียหลินแข็งแกร่งจริงเชียว” หลัวซิวเอ่ยชม หลินจื่อเฟิงถือเป็นคนที่เกลียดคนเลวและสิ่งเลวร้ายราวกับเป็นศัตรู อีกทั้งพลังยังแข็งแกร่ง และยังเป็นนักยุทธ์อิสระอีกด้วย หากสามารถดึงปรมาจารย์รุ่นเยาว์เหล่านี้เข้าสู่สำนักไท่เสวียนได้ จะสามารถช่วยในเรื่องการเติบโตได้มาก

“ศิษย์พี่หลัวล้อเล่นแล้ว ข้าทำเรื่องน่าอายเสียแล้ว” หลินจื่อเฟิงแกล้งหัวเราะ ดูไม่เหมือนชายผู้โหดเหี้ยมและเด็ดขาดเมื่อครู่เลย

“ข้าทำร้ายคนตระกูลหยู เมื่อครู่ทำร้ายผู้น้อยไป อีกครู่พวกคนแก่ ๆ ก็น่าจะมากัน ศิษย์พี่หลัวร่วมทางไปกับข้า เกรงว่าท่านจะถูกหางเลขไปด้วย” หลินจื่อเฟิงพูด

หลัวซิวได้ยินดังนั้น ก็เลิกคิ้วขึ้นอย่างด้วยไม่ได้ พร้อมกับหัวเราะเสียงดัง “เฮียหลินพูดเช่นนี้ หรือว่ากำลังดูถูกข้าหลัวซิว เมื่อครู่หยูมู่เหลียงจงใจมาหาเรื่องข้า เจ้าเป็นคนออกตัว สิ่งนี้ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บ หากจะมีปัญหา แล้วข้าตีตัวออกห่างจากเจ้า เช่นนั้นข้าจะเป็นคนเช่นไรล่ะ?”

“ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น …” หลินจื่อเฟิงหัวเราะเบา ๆ

“ซีโรว่ มานี่”

ในเวลานี้เอง ทางฝั่งสำนักไป๋ซิงกู่ ไป๋หุ้ยเหลียนกวักมือเรียกเหยียนซีโรว่ที่ยืนอยู่ข้างกายหลัวซิว

หลัวซิวขมวดคิ้ว สำหรับไป๋หุ้ยเหลียนคนนี้ เขาไม่มีความรู้สึกดี ๆ ด้วยเลยแม้เพียงเศษฝุ่น

ต่อให้ใช้หัวแม่เท้าคิดเขาก็สามารถรู้ได้ว่า ที่ไป๋หุ้ยเหลียนเรียกเหยียนซีโรว่ไปนั้น แน่นอนว่าต้องการให้นางแยกตัวออกจากเขา หลีกเลี่ยงไม่ให้ไปสร้างปัญหากับตระกูลหยู

“อาจารย์ของเจ้าเรียกน่ะ” หลัวซิวมองไปทางเหยียนซีโรว่ที่อยู่ข้างกาย

“เฮียหลัว ข้า…” เหยียนซีโรว่ดูเหมือนลำบากใจเล็กน้อย แต่ไม่รู้จะอธิบายให้หลัวซิวฟังอย่างไร

แต่หลัวซิวไม่อยากจะพูดถึงเรื่องนี้อีก เขาจึงหันหลังเดินจากไป ปล่อยให้เหยียนซีโรว่อยู่คนเดียวในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกท้ายที่สุดแล้ว ด้านหนึ่งคือหลัวซิวซึ่งนางชื่นชม และอีกด้านหนึ่งคืออาจารย์ของนางเอง

จากใจจริง หลัวซิวมีความต้านทานต่อความหลงใหลในเหยียนซีโรว่ของตนอยู่บ้าง บางครั้งก็ต้องการแยกตัวออกจากเธอ แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องบังเอิญของโชคชะตา ทำให้ระหว่างคนทั้งสองต้องมาเกี่ยวข้องครั้งแล้วครั้งเล่า

“เทพแห่งวัฏจักรชีวิตบอกว่า เมื่อผลการฝึกตนของข้าบรรลุถึงระดับที่แน่นอนแล้ว จะสามารถรู้อดีตและชีวิตปัจจุบันผ่านวัฏจักร ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างข้ากับนาง จะมีความหลงใหลเช่นนั้นหรือไม่?”

หลัวซิวส่ายศีรษะ ไม่คิดมากอีกต่อไป หันไปหาหลินจื่อเฟิง แผงลอยที่ตั้งขึ้นโดยนักยุทธ์หลายคน พวกเขาเดินเตร่ไปทุกหนทุกแห่ง

ทันใดนั้น ฝีเท้าของหลัวซิวก็หยุดกะทันหัน แล้วรีบเดินไปที่แผงลอยที่ข้างหน้าอยู่ไม่ไกล

เจ้าของแผงนั้นเป็นชายวัยกลางคนที่มีใบหน้าเคร่งขรึม สวมชุดสีเขียวอ่อน สันกรามชัดเจน นัยน์ตาเย็นชา

แตกต่างจากสมบัติอันหลากหลายที่แผงอื่น ๆ คือเจ้าของแผงลอยท่านนี้ บนแผงนั้นมีเพียงแค่ป้ายหนึ่งวางไว้เท่านั้น ด้านบนเขียนไว้ว่า วัตถุดิบระดับ7ดินเหลืองเสวียน แลกเปลี่ยนสิ่งของ!

หลินจื่อเฟิงเมื่อเห็นป้ายนี้ ก็ตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัดเช่นกัน เขาเพิ่งจะพูดดกับหลัวซิวว่าที่งานประมูลยามีความเป็นไปได้อย่างมากที่จะพบดินเหลืองเสวียน แต่คิดไม่ถึงว่าในตอนที่งานประมูลยายังไม่ได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ ก็ปรากฏขึ้นที่นี่แล้ว

“ดินเหลืองเสวียนของท่าน จะแลกอย่างไร?” หลัวซิวเดินตรงเข้าไปถาม

ในสถานการณ์ปกตินั้น โดยเฉพาะการทำข้อตกลงกันระหว่างนักยุทธ์ระดับสูง การแลกเปลี่ยนส่วนใหญ่จะใช้การแลกเปลี่ยนด้วยสิ่งของ ส่วนหินพลังจิตนั้นนอกเสียจากชั้นสูงแล้ว หินพลังจิตชั้นล่างและชั้นกลางในการฝึกตนไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลยสำหรับนักยุทธ์ระดับจักรพรรดิยุทธ์ขึ้นไป

สมบัติอันล้ำค่าส่วนใหญ่ ต่างก็มีน้อยและหายาก ใช้หินพลังจิตซื้อได้ยาก

เจ้าของแผงลอยวัยกลางคน เงยหน้ามองหลัวซิวด้วยแววตาไม่แยแส แล้วตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้าจะแลกแค่เพียงกับดอกแท้สามเท่านั้น”

“ดอกแท้สาม?”

หลัวซิวได้ยินเช่นนั้น ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้

บทที่ 454
ปัง!

ฟันที่เปื้อนเลือดสองสามซี่กระเด็นออกมา เลืดพุ่งออกมาเป็นสายน้ำ หยูมู่เหลียงรู้สึกดวงตาทั้งสองข้างดำมืด กระอักเลือดออกมา ลอยกระเด็นกลับหัวกลับหางและตกลงพื้นดังแปะเหมือนกับปลาตัวหนึ่งที่ตายแล้ว

หลินจื่อเฟิงในเวลาปกติเขาดูยิ้มแย้มและอ่อนโยน แต่พอได้เริ่มโจมตีแล้ว กลับรุนแรงและเด็ดขาด ไม่มีการไว้หน้าใดใดทั้งสิ้น พลังเพียงแค่หมัดเดียว ก็จัดการหยูมู่เหลียงจนสลบไปในทันที

หมัดที่ชกจนหยูมู่เหลียงลอยไปนั้น สำหรับหลินจื่อเฟิงแล้ว ราวกับเป็นสิ่งเล็กน้อยที่ไม่ควรค่าแก่การใส่ใจ หลัวซิวได้ยินการถกเถียงจากคนรอบข้าง จึงได้รู้ว่าหลินจื่อเฟิงแห่งเทือกเขาเหิงหยุนนี้ ที่จริงแล้วเป็นนักยุทธ์อิสระที่มีชื่อเสียงโด่งดัง

มีครั้งหนึ่งที่หยูมู่เหลียงจำผู้หญิงคนหนึ่งมาวางแผนจะขืนใจ แต่ถูกเขาบังเอิญเจอเสียก่อน เขาจึงยื่นมือเข้าไปช่วยหญิงสาวคนนั้นไว้

หยูมู่เหลียงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ดังนั้นจึงได้เรียกซือถูสงมา ซือถูสงเป็นจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่ง หลินจื่อเฟิงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ถึงแม้จะได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย แต่เขาก็ยังสามารถหลบหนีได้

“กล้าทำร้ายท่านชายของพวกเรา รนหาที่ตาย!”

เหล่านักยุทธ์ตระกูลหยูที่หยูมู่เหลียงพามาด้วยนั้น เพิ่งจะรู้สึกตัว พวกเขาเร่งรีบตะโกนอย่างดุร้าย เสียงดาบที่หลุดจากฝักดังขึ้นพร้อมกัน

หลินจื่อเฟิงส่งเสียงหึด้วยความเยียบเย็น หอกรบสีแดงเพลิงเล่มหนึ่งถูกเขาหยิบออกมาจากแหวนเก็บของ

ทางฝั่งตระกูลหยู มีราชายุทธ์ขั้น7สองคนอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย ทั้งหมดมีราชายุทธ์แปดคนล้อมโจมตี หลินจื่อเฟิงไม่ได้สะทกสะท้านใด ๆ เขายืนถือหอกอยู่เช่นนั้น บรรยากาศที่เย็นยะเยือกนั้นไหลเวียนรอบตัวเขา

เห็นเพียงรัศมีอาฆาตพลุ่งพล่านไปทั่วตัวเขา รัศมีอาฆาตสีเลือดก็ที่เป็นเหมือนอาวุธเสมือนจริง หอกรบกวาดออกไป ม้วนขึ้นเป็นพายุสังหารสีแดงเลือด

“ลงทัณฑ์โทษตาย!”

ราชายุทธ์ขั้น7คนหนึ่งแห่งตระกูลหยูตระโกนด้วยความโกรธ กระบี่ยุทธ์ในมือมีไฟลุกโชน พุ่งตรงไปทางหลินจื่อเฟิง

อีกทางราชายุทธ์ขั้น7คนหนึ่งก็โจมตีด้วยในเวลาเดียวกัน มือหนึ่งฟาดลงไป พลังจิตแท้กลายเป็นกรงขัง ปิดกั้นบริเวณรอบ ๆ ของหลินจื่อเฟิง เพื่อไม่ให้เขาหลบได้

หลัวซิวไม่ได้ออกหน้าช่วย เพราะเขารู้สึกได้ว่าหลินจื่อเฟิงคนนี้ ไม่ธรรมดา

ลองคิดดูเล่น ๆ นักยุทธ์อิสระคนหนึ่งที่ไม่มีเบื้องหลังใดใด แต่กลับสามารถใช้ชีวิตดำรงอยู่ที่เทือกเขาเหิงหยุน ดินแดนที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายนี้ได้ ต้องพบเจอกับการต่อสู้ที่ไม่สามารถหลีดเลี่ยงได้ ประสบการณ์การต่อสู้ต้องมีมากมายอยู่แล้ว

ในเมื่อเขากล้าที่จะทำร้ายหยูมู่เหลียง แน่นอนว่าเขาต้องไม่กลัวพวกราชายุทธ์ที่รวมมือกันล้อมโจมตีอยู่แล้ว

อาศัยร่างยุทธ์ระดับราชาช่วงปลาย ผลการฝึกตนของหลินจื่อเฟิงถึงแม้จะไม่แตกต่างกับราชายุทธ์ขั้น7ทั้งสองคนเท่าไรนักแต่ยังดูใจเย็น หอกรบสีแดงเพลิงตระหง่านอยู่ในมือเขา โจมตีด้วยความดุเดือด

เสียงแทงดังขึ้น กรงพลังจิตแท้ถูกเขาทำลายจนสลายเดียวครั้งเดียว จากนั้นก็กระโดดขึ้นไป หอกรบนั้นราวกับมังกร พุ่งตรงไปทางดาบของราชายุทธ์ขั้น7คนนั้น

ชิ้ง!

เสียงหอกและดาบปะทะกัน เกิดเป็นประกายไฟกระจายไปทั่ว ความแข็งแกร่งของร่างยุทธ์ระดับราชาช่วงปลายไม่ธรรมดา นักยุทธ์ราชายุทธ์ขั้น7แห่งตระกูลหยู หน้าถอดสีทันที ทั้งยังถอยหลังไปอีกสามก้าว

หลินจื่อเฟิงก็ใช้ประโยชน์จากการป้องกันการโจมตี ถอยหลังไปหนึ่งก้าว หอกรบถูกกวาดออกไปอีกครั้ง บีบบังคับให้ราชายุทธ์ขั้น7อีกคนล่าถอยไป

ส่วนราชายุทธ์ผลการฝึกตนค่อนข้างอ่อนแอคนอื่น ๆ เขาก็ไล่โจมตีทีละคน ทั้งหมดกระเด็นลอยออกไป ไม่เหลือศัตรูคนใดอยู่เลย

หลัวซิวรี่ตาลง ดูเหมือนว่าหลินจื่อเฟิงฝึกตนด้วยวิชาสังหาร อีกทั้งตัวตระหนักรู้ในวิชาสังหาร ยังสูงกว่าเขาอีกด้วย

ถึงแม้ในตอนแรกหลัวซิวจะใช้ตัวตระหนักรู้วิชาสังหาร แต่เสิ่งสำคัญของเขายังคงเป็นสองระดับความเป็นตาย ดังนั้นเมื่อความแข็งแกร่งได้เพิ่มขึ้น ความนึกคิดส่วนมากก็จะถูกใช้ไปกับการทำความเข้าใจผังกฎดั้งเดิมวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ น้อยนักที่จะไปเรียนรู้กลยุทธ์ของวิชาสังหาร

แต่ว่าขั้นตอนในการเรียนรู้สองระดับความเป็นตาย ก็ยังสามารถทำความเข้าใจวิชาที่ใกล้เคียงกันได้อีกด้วย ดังนั้นสำหรับวิชาสังหารแล้วเขาก็มีความคืบหน้าอย่างเห็นได้ชัด แค่เพียงเมื่อเทียบกับสองระดับความเป็นตายแล้วนั้น มันไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก

และในเวลานี้เอง หลินจื่อเฟิงก็ได้พุงไปตรงหน้าราชายุทธ์ขั้น7แห่งตระกูลหยูด้วยเจตนาฆ่า ถูกนักยุทธ์กลั่นร่างคนหนึ่งประชิดร่าง หากไม่เก่งการต่อสู้ระยะประชิด จะต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแน่นอน

ผลลัพธ์นั้นคาดเดาได้ไม่ยาก ในเวลาไม่ถึงกี่วินาที ตระกูลหยูทั้งสองคน ก็ถูกหลินจื่อเฟิงฟาดจนกระเด็นออกไป ร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส และดูน่าเวทนาอย่างยิ่ง

ส่วนคนของตระกูลหยูที่เหลือนั้น เมื่อเห็นภาพตรงหน้า ใบหน้าก็ถอดสีทันที ความกล้าหดหาย ไม่กล้าบุกเข้ามา

ถ้าไม่ใช่เพราะกลัวว่านี่คือที่ตั้งของสำนักไม้เสวียน หลินจื่อเฟิงก็คงจะไม่ปล่อยให้รอดสักคนอย่างแน่นอน

บทที่ 453
แต่ในเวลานี้เอง นางก็มองเห็นหลัวซิวพอดี นัยน์ตาคู่สวยนั้นเป็นประกายขึ้นมา

“เฮียหลัว!” นางตะโกนสียงดัง และโบกมือมาทางหลัวซิว

เหยียนซีโรว่ที่สวมผ้าคลุมหน้าอยู่ แต่นัยน์ตานั้นเจิดจ้าดั่งน้ำในฤดูใบไม้ร่วง แต่ลึกล้ำดั่งอัญมณีสีดำ ทำให้เมื่อชายหนุ่มชุดขาวมองเข้าไปก็พลันตกอยู่ในภวังค์ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความหลงใหล ในใจคิดว่า “หญิงผู้นี้ถึงจะสวมผ้าคลุมหน้าอยู่ แต่ท่านชายอย่างข้าที่ผ่านหญิงสาวมานับไม่ถ้วนนั้น สามารถรู้ได้ทันทีว่าเป็นของดี จะพลาดไม่ได้”

ในเวลาเดียวกัน เขาเหลือบมองคนอื่นๆ ในสำนักไป๋ซิงกู่แบบผ่าน ๆ พลางยิ้มเยาะในใจ “คนพวกนี้น่าจะมากับนาง มีเพียงแค่ราชายุทธ์ขั้นปฐมภูมิสองคน ต้องไม่ใช่กองกำลังใหญ่อะไรเป็นแน่”

ระหว่างที่คิดนั้น ชายหนุ่มชุดขาวมองไปทางเหยียนซีโรว่ พูดพร้อมรอยยิ้ม “สำหรับงานประมูลยาร้อยปีนี้ ข้าถือได้ว่าคุ้นเคยดีทีเดียว ไม่รู้ว่าข้าจะได้รับเกียรติเพื่อนำทางแม่หญิงหรือไม่? พวกเราตระกูลหยูที่เทือกเขาเหิงหยุนแห่งนี้ ผู้คนมักจะเกรงใจข้าอยู่ไม่น้อย”

“หยูมู่เหลียงคนนี้ อุตส่าห์มาถึงที่นี่เพื่อหลีสาวอีกแล้วหรือ”

“ได้ยินมาว่าเทือกเขาเหิงหยุน นักล่าพรหมจรรย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในย่านนี้คือซือถูสง เช่นเดียวกันกับหยูมู่เหลียง ซือถูสงมีความสัมพันธ์ของตระกูลหยู ถึงได้ไม่ถูกข้าตายไปเสียก่อน”

“หากไม่มีตระกูลหยูคอยให้ท้าย จากการกระทำของไอ้แก่ชั่วซือถูสงแล้ว มันมากพอที่จะตายได้เป็นหมื่น ๆ ครั้ง!”

มีคนจำนวนมากที่อยู่รอบ ๆ ที่สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวที่นี่ ก็เริ่มพูดคุยกันเป็นการส่วนตัว

คนของสำนักไป๋ซิงกู่ได้ยินชื่อซือถูสง สีหน้าก็พลันเปลี่ยนไปในทันที ไม่คิดว่าเพิ่งจะกำจัดเจ้าซือถูสงได้ไม่นาน ก็ยังมาเจอกับพวกสันดานเดียวกันจากศิษย์ตระกูลหยูอีกคน

แม้ว่าผลการฝึกตนของตระกูลหยูศิษย์คนนี้จะไม่เท่าซือถูสง แต่ดูแล้วน่าจะมีฐานะที่ดีกว่า ไม่ใช่คนที่สำนักไป๋ซิงกู่จะสามารถหาเรื่องได้เลย

เหยียนซีโรว่ก็ได้ยินแล้วว่าชายหนุ่มชุดขาวคนนี้เกี่ยวพันกันอย่างมากกับซือถูสง แววตาของนางก็แฝงไปด้วยความรังเกียจในทันที

“รบกวนหลบด้วย ข้าไม่รู้จักเจ้า”

นางกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ ทันใดนั้นก็เตรียมพุ่งตัวไปทางหลัวซิว

หยูมู่เหลียงชะงักไปเล็กน้อย ชัดเจนว่าเขาคาดไม่ถึง ในเทือกเขาเหิงหยุนใภใต้อำนาจชื่อเสียงของเขา ยังมีคนกล้าไม่ไว้หน้าตระกูลหยู

ในขณะที่เขาชะงักไปชั่วครู่ ก็เห็นเหยียนซีโรว่เดินไปตรงหน้าของหลัวซิวในทันที

หยูมู่เหลียงเลิกคิ้ว “นี่เจ้าอาจารย์หลัวมิใช่หรือ? โชคดีที่ได้เจอ โชคดีจริง ๆ …”

หยูมู่เหลียงพูดออกมาเสียงดัง คนที่อยู่รอบข้างทั้งหลายนั้นต่างได้ยินกันอย่างชัดเจน

หลัวซิวขมวดคิ้ว ตอนนี้เขารู้ความแตกต่างระหว่างเจ้าสำนักกับเจ้าอาจารย์แล้ว เขารู้ได้อย่างชัดเจนเลยว่าอีกฝ่ายไปไม่ทักทายเป็นมารยาท แต่กำลังถากถางเขาอยู่

กลุ่มคนหลายคนที่มากับหลัวซิว เมื่อเห็นหยูมู่เหลียงเดินมาทางนี้ ล้วนแสดงอาการเกรงกลัว ค่อย ๆ หลบทางให้ และยืนอยู่ข้าง ๆ เห็นได้ชัดเจนว่าพวกเขาไม่อยากจะทำให้ตระกูลหยูขุ่นเคือง เพียงแค่เพราะคนที่เพิ่งรู้จักหรอก

สำหรับการกระทำของคนเหล่านี้ หลัวซิวไม่ได้เห็นด้วยเสียเท่าไร แต่สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจนั่นก็คือ หลินจื่อเฟิงกลับยังยืนอยู่ด้านข้างเขาเช่นเดิม และไม่มีทีท่าว่าจะขยับหนีไปแม้แต่น้อย

“ข้าหลินจื่อเฟิงเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน แต่กลับศิษย์พี่หลัวที่ถูกชะตาตั้งแต่แรกพบแล้ว จะเอาตัวรอดโดยไม่สนท่านได้อย่างไร?” หลินจื่อเฟิงพูดพร้อมเสียงหัวเราะ “ยิ่งไปกว่านั้น ระหว่างข้าและหยูมู่เหลียง ก็มีความแค้นส่วนตัวอยู่บ้าง”

“หลินจื่อเฟิง ตัวเองเป็นเพียงแค่นักยุทธ์อิสระ ไม่มีกองกำลังหนุนหลัง ครั้งก่อนก็ทำเรื่องดีดีของท่านชายอย่างข้าพังไม่เป็นท่า โชคดีที่ยังรอดตายมาได้ ครั้งนี้ยังกล้าเผชิญหน้ากับข้าอีกหรือ?” หยูมู่เหลียงได้ยินคำพูดของเขา ก็เผยสีหน้าเย้ยหยันอย่างชัดเจน

“ดูเองเถอะว่าข้ากล้าหรือไม่กล้า?”

หลินจื่อเฟิงหัวเราะเสียงเย็น และลงมือจู่โจมในทันที ร่างนั้นขยับเล็กน้อย ยกมือขึ้นชก และกระแทกเข้าที่ใบหน้าของหยูมู่เหลียง

หมัดของหลินจื่อเฟิงนี้ดูเหมือนธรรมดา แต่กำปั้นนั้นราวกับหอกรบ ด้วยรังสีที่น่าสะพรึงกลัวอย่างไม่มีที่สิ้นสุดนั้นทำให้หมัดนั้นรุนแรงอย่างมาก

“นักยุทธ์กลั่นร่าง!” หลัวซิวรี่ตาลง เห็นถึงระดับที่บรรลุถึงร่างเนื้อของหลินจื่อเฟิง มันได้บรรลุถึงร่างยุทธ์ระดับราชาช่วงปลาย อาศัยเพียงร่างเนื้อที่แข็งแกร่ง ก็เทียบเท่าราชายุทธ์ขั้น7แล้ว

หยูมู่เหลียงนั้นมีผลการฝึกตนราชายุทธ์ขั้น5 แต่การเผชิญหน้าในระยะใกล้กับการโจมตีระยะประชิดของนักยุทธ์กลั่นร่าง มันสายเกินไปที่จะตอบสนองในตอนที่ไม่ทันระวังตัว

บทที่ 452

บทที่ 454

บทที่ 452
หลังจากนั้นหลินจื่อเฟิงก็ชี้แจงความแตกต่างของสถานะ เจ้าสำนัก เจ้าสำนัก(พรรค) เจ้าอาจารย์และเทพศักดิ์สิทธิ์ ให้เขาฟัง

เมื่อฟังจบ ทันใดนั้นหลัวซิวก็ตระหนักได้ว่า ตอนนั้นเองถึงได้เข้าใจว่าทำไมหลายคนถึงมองมาที่ตนด้วยสายตาแปลก ๆ

ที่กล่าวกันว่า ต้นไม้ใหญ่มักต้านลมนั้น ถ้าหากมีคนรู้สึกว่าไม่ถูกใจ ไม่พอใจตนขึ้นมา ก็มีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดปัญหาโดยไม่จำเป็น

“ขอบใจเฮียหลินที่ชี้แนะ” หลัวซิวเอ่ยขอบคุณ สำหรับเรื่องหลักเกณฑ์พวกนี้ เขาไม่มีความรู้เลยจริง

“ศิษย์พี่หลัวไม่ต้องเกรงใจไป เราทั้งสองแค่พบเจอก็รู้สนิทสนม เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ เหตุใดต้องใส่ใจด้วยเล่า?” หลินจื่อเฟิงพูดพร้อมรอยยิ้ม “ไม่รู้ว่าศิษย์พี่หลัวมาร่วมงานงานประมูลยาไม้เสวียน เพื่อหายา หรือหาวัตถุดิบสมบัติ?”

“ข้าต้องการดินเหลืองเสวียน” หลัวซิวตอบไปโดยตรง เรื่องพวกนี้ ไม่ได้มีอะไรจำเป็นต้องปิดบังอยู่แล้ว

อีกอย่างเขาพบว่า หลินจื่อเฟิงคนนี้ดูเหมือนจะรู้เรื่องอะไรมากมาย บางทีเขาอาจจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับดินเหลืองเสวียนได้บ้าง

“ดินเหลืองเสวียน? เหมือนจะเป็นวัตถุดิบหนึ่ง ใช่เพื่อสร้างค่ายพิทักษ์เขาใช่หรือไม่?”

“ใช่แล้ว” หลัวซิวยิ้มบาง ๆ “เฮียหลินรู้หรือไม่ว่าจะหาดินเหลืองเสวียนได้จากที่ใด?”

ในความจริงดินเหลืองเสวียน นอกจากจะใช้เพื่อสร้างค่ายพิทักษ์เขาระดับ7แล้ว ยังสามารถใช้เพื่อหลอมอาวุธนักยุทธ์ขั้นดินกลางได้อีกด้วย นักยุทธ์ขั้นดินกลางที่มีส่วนผสมของดินเหลืองเสวียน จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น ไม่หักหรือพังได้ง่าย ๆ

“เหย ๆ ศิษย์พี่หลัวถามถูกคนแล้วล่ะ ข้ารู้มาว่ามีคนหนึ่งที่มีดินเหลืองเสวียนในครอบครอง” หลินจื่อเฟิงพูดพร้อมรอยยิ้ม

“ใครหรือ?”

หลินจื่อเฟิงส่ายหน้า “คนคนนี้ข้าไม่รู้จักหรอก แต่ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน ได้ยินมาว่ามีคนพบเจอดินเหลืองเสวียนที่เทือกเขาเหิงหยุน แล้วเกิดการทะเลาะวิวาท สุดท้ายดินเหลืองเสวียนก็ตกอยู่ในมือของจักรพรรดิยุทธ์ท่านหนึ่ง ข้าคิดว่างานประมูลยาครั้งนี้ คนคนนี้ก็น่าจะมาด้วยเช่นกัน”

ได้เยินเช่นนั้น หลัวซิวก็พยักหน้าตอบรับ เนื่องจากปรากฏตัวในเทือกเขาเหิงหยุนใกล้ ๆ นี้ คนคนนั้นที่ได้ครอบครองดินเหลืองเสวียน คงจะไม่มีทางพลาดงานประมูลยาที่ร้อยปีจะมีสักครั้งหรอก เพียงแค่หวังว่าอีกฝ่ายจะไม่จำเป็นต้องใช้ดินเหลืองเสวียน หากนำมาขายที่งานประมูลยาก็จะดีที่สุด

ณ ครึ่งทางขึ้นภูเขา ในเวลานี้คึกคักเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้งานประมูลยายังไม่ได้เริ่มอย่างเป็นทางการ นักยุทธ์หลายคนที่มายังที่นี้ก่อนเวลาที่หนด ก็ได้เริ่มตั้งแผงลอยกันแล้ว แต่ในผู้ที่ออกมาตั้งแผงลอยในเวลาเช่นนี้ ต่างก็เป็นเพียงแค่นักยุทธ์ชั้นล่าง ๆ เท่านั้น จึงไม่ได้มีสมบัติอะไรที่น่าสนใจ

ทันใดนั้น หลัวซิวก็เกิดลางสังหรณ์บางอย่างในใจ หันหลังกลับไปมองทางบันไดของสำนักเขาแห่งสำนักเสวียนหยาง ก็เจอกับกลุ่มคนจากสำนักไป๋ซิงกู่ซึ่งมาที่สำนักไม้เสวียนพอดี

คนพวกนี้ออกนอกประเทศเทียนหวูเป็นครั้งแรก ต่างก็ตื่นตาตื่นใจกับทุกอย่างที่อยู่นอกแดน น่าจะได้ยินมาว่าที่สำนักไม้เสวียนได้จัดงานประมูลยาที่ร้อยปีจะจัดสักครั้งจึงได้มาที่นี่เพื่อเปิดหูเปิดตา

เพียงแต่ความงดงามของเหยียนซีโรว่ เรียกได้ว่านารีเป็นเหตุจริง ๆ แม้ว่าจะเรียนรู้ที่จะใช้ผ้าบางบังหน้าไว้ชั้นหนึ่งแล้ว แต่ความงดงามราวกับนางฟ้านางสวรรค์ที่ทำให้ผู้คนตาลุกวาวนั้น ไม่ว่าจะเดินไปทางไหน ต่างก็มักจะดึงดูดความสนใจจากผู้คนนับไม่ถ้วนได้อย่างง่ายดาย

หลัวซิวขมวดคิ้ว แอบพูดกับไป๋หุ้ยเหลียนว่าหญิงแก่คนนั้นสมองมีปัญหาหรือไร? ในงานประมูลยา มีทั้งคนดีและคนเลวปะปนกันเต็มไปหมด พาเหยียนซีโรว่มาที่แบบนี้มันเกิดปัญหาได้อย่างง่ายดาย

“แม่หญิงนางนี้ช่างคุ้นหน้าเสียจริง เป็นศิษย์ของสำนักตระกูลในเทือกเขาเหิงหยุนใดหรือ?”

น้ำเสียงขี้เล่นนั้นถูกส่งมาจากใครคนหนึ่ง หลัวซิวก็สามารถสังเกตได้ในทันที ชายคนหนึ่งสวมชุดสีขาว ใบหน้างดงามตามบรรทัดฐานของผู้ชาย เป็นชายหนุ่มที่ดูอ่อนน้อมถ่อมตน ในมือสะบัดพัดเบา ๆ บนร่างกายปรากฏผลการฝึกตนแห่งแดนราแสดงออกถึงความสชายุทธ์ขั้น4 แค่ดูก็รู้แล้วว่าเป็นท่านชายจากกองกำลังใหญ่

สายตาของคนผู้นี้นอกสนใจอย่างชัดเจนต่อเหยียนซีโรว่ ส่วนกลุ่มคนจากสำนักไป๋ซิงกู่ที่อยู่ข้างกายนางนั้น ก็ถูกชายชุดขาวเมินไปโดยปริยาย

ชายหนุ่มชุดขาวคนนี้ก็ไม่ได้มาคนเดียว ด้านหลังของเขายังมีติดตามอยู่อีกหลายคน ทุกคนต่างก็มีผลการฝึกตนแดนราชายุทธ์ สองคนในนั้นมีผลการฝึกตนสูงที่สุดซึ่งได้บรรลุถึงราชายุทธ์ขั้น7

เหยียนซีโรว่เห็นชายหนุ่มชุดขาวเข้าใกล้ตัวเอง คิ้วเรียวงามนั้นก็ขมวดเข้าหากันทันที

บทที่ 451
การเข้าร่วมงานประมูลยาที่สำนักเขา จำเป็นต้องลงทะเบียนยืนยันตัวตนของผู้มาเยือน

หลัวซิวก็ได้เลือกที่จะสร้างตัวตนขึ้นมาใหม่เจ้าหน้าที่ความรับผิดชอบของไท่เสวียน สถานะที่เขาใช้ยืนยันนั้น แน่นอนว่าต้องเป็นสถานะของเจ้าอาจารย์แห่งสำนักไท่เสวียน

ผู้รับผิดชอบการลงทะเบียนผู้มาเยือนนั้น คือผู้อาวุโสนอกสำนักที่มีผลการฝึกตนแดนฝึกจิตแห่งสำนักไม้เสวียนคนหนึ่ง เจ้าอาจารย์แห่งสำหนักหนึ่งมาเยือนด้วยตนเอง ทันใดนั้น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

“เจ้าอาจารย์หลัวแห่งสำนักไท่เสวียนมาถึงแล้ว!”

ผู้อาวุโสนอกสำนักตระโกนเสียงสูงแหลม เสียงนั้นกระจายไปทั่วทั้งพื้นที่เขาไม้เสวียน

“เจ้าอาจารย์หลัว?”

บนเขาไม้เสวียน รวมถึงศิษย์ของสำนักไม้เสวียน และเหล่าบรรดาคนที่เข้ามาร่วมงานประมูลยาจากทุกกองกำลัง ทุกคนต่างก็ถูกเสียงดังแหลมนี้ดึงดูดความสนใจ

สำนักไม้เสวียนจัดงานงานประมูลยาร้อยปี แม้ว่าจะดึงดูดนักยุทธ์มากมายและคนจากกองกำลังต่าง ๆ ให้มาเข้าร่วม แต่กลับมีน้อยมากที่เจ้าสำนักจะมาร่วมงานด้วยตนเองเช่นนี้

ต่อให้จำเป็นต้องซื้อสมบัติยาบางอย่าง แต่ต่างก็มักจะส่งศิษย์ในสำนักมาแทน อย่างมากก็เพียงแค่ระดับผู้อาวุโสไท่เสวียน

“เจ้าอาจารย์หลัวคนนี้เป็นใครกันแน่?”

สายตาทุกคู่หันไปมอง และเมื่อสังเกตเห็นเจ้าอาจารย์หลัวที่ว่า ปรากฏว่าเป็นชายหนุ่มที่มีอายุราว ๆ ยี่สิบปี สีหน้าของทุกคนก็พลันเปลี่ยนไปในทันใด

ในโลกฝึกยุทธ์นี้ ถึงแม้จะมีวิชาคงความเยาว์วัย แต่วิชาเหล่านั้นโดยทั่วไปแล้วจะพบได้ยาก อายุยิ่งน้อยมากเพียงใด โดยปกติแล้วผลการฝึกตนจะไม่สูงนัก

ที่เทือกเขาเหิงหยุนในยุคนี้ อายุราว ๆ ยี่สิบปี ต่อให้อาศัยอยู่ใจกลางแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่ ระดับที่สูงที่สุดก็มีเพียงผลการฝึกตนระดับราชายุทธ์

แต่ชายผู้นี้กลับเป็นถึงเจ้าอาจารย์ของสำนักหนึ่ง ต้องไม่ใช่ศิษย์ในแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่แน่นอน

“ผลการฝึกตนระดับราชายุทธ์?”

ในเวลานี้เอง ก็มีคนสังเกตเห็นถึงลมปราณผลการฝึกตนบนตัวของหลัวซิว ต่างก็พากันมุ่ยปาก เหมือนกำลังเหยียดหยาม

ที่โลกแสงดาวนี้ ผลการฝึกตนระดับราชายุทธ์ ถึงแม้จะสามารถก่อพรรคตั้งสำนัก แต่มันก็มีระดับที่ชัดเจนเช่นกัน

ผู้นำสำนักเหมือนกัน โดยทั่วไปผลการฝึกตนระดับที่บรรลุถึงแดนราชายุทธ์และแดนจักรพรรดิยุทธ์ ต่างก็ได้รับฉายานามว่า ‘เจ้าสำนัก’ ผู้แข็งแกร่งแห่งแดนมกุฎยุทธ์และมหายุทธ์ผลการฝึกตนถึงจะมีคุณสมบัติใช้ฉายานามว่า ‘เจ้าสำนัก(พรรค)’

ส่วนฉายานาม‘เจ้าอาจารย์’นั้น เป็นคำยกยอสำหรับผู้แข็งแกร่งระดับเจ้ายุทธจักรโดยเฉพาะ นอกจากนี้ยังมีเจ้าแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ซึ่งโดยทั่วไปจะใช้กับผู้ที่มีผลการฝึกตนระดับแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์เป็นอย่างต่ำ จะได้รับฉายานามว่า ‘เทพศักดิ์สิทธิ์’

หลัวซิวไม่รู้อะไรพวกนี้ ดังนั้นตอนที่ลงชื่อนั้น จึงใช้ชื่อว่า ‘เจ้าอาจารย์สำนักไท่เสวียน’

ผู้อาวุโสนอกสำนักที่รับผิดชอบดูแลการลงทะเบียน มีผลการฝึกตนต่ำเกินไปจึงไม่สามารถเข้าใจกฎพวกนี้ได้ ดังนั้นเมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายบอกว่าตัวเองคือเจ้าอาจารย์ ก็ประกาศออกไปโดยทันที

“ศิษย์พี่หลัว ก่อพรรคตั้งสำนักแล้วหรือนี่?”

นักยุทธ์หนุ่มหลายคนที่เดินทางมาทางเดียวกันนั้นต่างก็แสดงสีหน้าประหลาดใจพร้อมมองไปทางหลัวซิว

ถึงจะบอกว่าผลการฝึกตนระดับราชายุทธ์จะสามารถก่อพรรคตั้งสำนักได้ แต่โดยทั่วไปคนที่มีพรสวรรค์โดดเด่นนั้น ต่างก็ไม่เลือกการกระทำเช่นนั้น แต่จะเลือกเข้าร่วมกับพวกกองกำลังใหญ่ ๆ เสียเป็นส่วนใหญ่ เพลิดเพลินกับเงื่อนไขการฝึกตนที่เหนือกว่า เพื่อปรับปรุงความแข็งแกร่งของผลการฝึกตนของตัวเอง

โดยทั่วไปมีเพียงเมื่อผลการฝึกตนถึงขีดจำกัด เป็นการยากที่จะพัฒนาต่อไปได้ถึงจะเลือกก่อพรรคตั้งสำนัก หรือสร้างตระกูลใหม่ขึ้นมา

แต่หลัวซิวนั้น ยังเยาว์วัยนัก มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าอายุประมาณยี่สิบ เยาว์วัยถึงขนาดนั้นกลับฝึกตนถึงระดับแดนราชายุทธ์ ยังสามารถขุดศักยภาพได้อีกมากในอนาคต หากก่อพรรคตั้งสำนักในเวลานี้ มันดูไม่ค่อยเหมาะสมเสียเท่าไร

ไม่ว่าอย่างไรสำนักนั้นมีเรื่องให้ต้องจัดการมากมาย เป็นเรื่องง่ายที่จะถ่วงการเพ็ญตนให้ล่าช้า

“สำนักที่ว่านั้นอยู่ที่แดนศักดิ์สิทธิ์ใดหรือ?” มีคนถามพร้อมเสียงหัวเราะ

สำหรับคำถามของคนเหล่านี้ หลัวซิวก็ตอบพวกเขาอย่างสุภาพอย่างไรก็ตาม เขาก็ยังสังเกตเห็นว่าหลายคนมองดูเขาด้วยสายตาท่าทางแปลก ๆ ราวกับกำลังเย้ยหยัน และดูถูกเหยียดหยามอยู่ในที

ราชายุทธ์คนหนึ่งก่อตั้งสำนัก ในโลกแสงดาวถือว่าเป็นกองกำลังเล็ก ๆ ที่ไม่ได้รับความนิยมเท่านั้น คนที่มางานประมูลยาร้อยปี ส่วนมากเป็นจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่ง อยู่ในสถานะผู้บัญชาการของกองกำลังเป็นอย่างต่ำ แน่นอนว่า เจ้าสำนักระดับราชายุทธ์เช่นเขาไม่ได้อยู่ในสายตา

“ศิษย์พี่หลัว ต่อไปเวลาอยู่ต่อหน้าคนนอกอย่าได้เรียกตนเองว่าเจ้าอาจารย์” หลินจื่อเฟิงพุ่งขึ้นมาด้านหน้า กระซิบกับหลัวซิวเบา ๆ

“อ้อ? มีอะไรไม่ถูกต้องหรือ?” หลัวซิวถามด้วยความสงสัย

บทที่ 450 งานประมูลยาร้อยปี
“อาจารย์ หากมีพี่หลัวไปกับข้าละก็ พวกท่านก็กลับไปเถอะค่ะ” เมื่อได้ยินว่าหลัวซิวยินดีจะไปส่งนางด้วยตนเอง เหยียนซีโรว่ก็พูดขึ้นมาด้วยความดีใจทันที

“ไม่ได้ ถ้าไม่ได้เห็นว่าเจ้าไปถึงแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่ด้วยตาตัวเองแล้วละก็ อาจารย์จะวางใจได้อย่างไร ? อีกอย่าง ใจคนนั้นยากแท้หยั่งถึง จึงไม่อาจรับประกันได้ว่าจะไม่มีใครบางคนที่คิดไม่ซื่อ” ไป๋หุ้ยเหลียนพูดพลางขมวดคิ้ว

เมื่อหลัวซิวได้ยินเช่นนี้ ก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังพูดถึงตนอยู่ จึงหัวเราะเยาะออกมาทันที “เมื่อครู่ถ้าไม่ใช่เพราะข้าลงมือ เกรงว่าพวกท่านทั้งหมด คงจะถูกฝังอยู่ในป่าไปแล้ว”

“อีกอย่าง ถ้าหากข้าคิดไม่ดีต่อซีโรว่จริง อาศัยแค่พวกท่านเพียงไม่กี่คน คิดว่าจะขวางข้าได้อย่างนั้นหรือ ?”

“เจ้า……”

ใบหน้าของไป๋หุ้ยเหลียนบูดบึ้ง แต่กลับถูกราชายุทธ์สำนักเดียวกันที่อยู่ข้าง ๆ ดึงเอาไว้

พวกนางรู้ดีว่า สิ่งที่หลัวซิวพูดเป็นความจริง ด้วยความสามารถของเขาที่สังหารตาเฒ่าจักรพรรดิยุทธ์ได้ หากคิดไม่ดีต่อซีโรว่จริง ก็สามารถลงมือได้อย่างเปิดเผย ทำไมจะต้องออกแรงให้เสียเวลาด้วย ?

แต่ไป๋หุ้ยเหลียนกลับพยายามอย่างเต็มที่ที่จะคัดค้านหลัวซิว จึงแสยะยิ้มแล้วพูดว่า : “เรื่องของสำนักไป๋ซิงกู่เรา ไม่จำเป็นต้องให้เจ้ามาห่วงหรอก”

หลัวซิวหรี่ตาลงเล็กน้อย เขาจ้องไป๋หุ้ยเหลียนตาเขม็ง เขาไม่รู้ว่าตนเองนั้นล่วงเกินอะไรหญิงชราผู้นี้เข้า จึงเอาแต่โจมตีเขาไม่หยุด

“พี่หลัว”

เหยียนซีโรว่ดึงแขนเสื้อของหลัวซิวเอาไว้ ราวกับกลัวว่าหลัวซิวจะลงมือกับไป๋หุ้ยเหลียน

แน่นอนว่าหลัวซิวไม่คิดจะถือสาหญิงชรา เขาหยิบยันต์หยกออกมาแล้วยื่นให้กับเหยียนซีโรว่ และพูดว่า : “หากพบอันตรายเข้า ให้ขยี้ยันต์ผืนนี้ให้แหลก แล้วข้าจะรีบมาในทันที”

หลังจากพูดจบ ก็ซิวก็ทำเสียงฟึดฟัดอย่างไม่พอใจ จากนั้นจึงกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้า และกลายเป็นแสงหายวับไป

เมื่อแยกจากกลุ่มคนของสำนักไป๋ซิงกู่ หลัวซิวก็เดินทางต่อไปในเทือกเขาเหิงหยุนเพื่อตามหาดินดำเหลือง เพียงแต่ภูเขาลูกนี้มีอาณาเขตที่กว้างขวาง หากเจาะจงที่จะหาวัสดุประเภทใดประเภทหนึ่ง ก็ไม่ต่างกับการงมเข็มในมหาสมุทร

ทันใดนั้นเอง หลัวซิวเกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้น จึงหันหน้ากลับไปมอง และเห็นลำแสงสิบกว่าเส้นกำลังพุ่งทะลุมาในอากาศ และตรงไปยังยอดเขาสูงตระหง่านกลางหมู่เมฆที่อยู่ห่างออกไป

ยอดเขาสูงตระหง่านกลางหมู่เมฆนั้น หลัวซิวรู้ดีว่าเป็นที่ตั้งของสำนักเขาสำนักไม้เสวียน ที่อยู่ใกล้ ๆ กับเทือกเขาเหิงหยุน

ตอนนี้เอง ในบรรดาลำแสงสิบกว่าเส้นที่อยู่บนท้องฟ้า มีเส้นหนึ่งที่จู่ ๆ ก็ตกลงมาตรงหน้าของหลัวซิว และปรากฏขึ้นเป็นชายหนุ่มสวมใส่ชุดสีน้ำเงิน

“สวัสดีสหายท่านนี้ ข้าคือหลินจื่อเฟิง ไม่ทราบว่าสหายเองก็ต้องการไปร่วมงานประมูลยาร้อยปีของสำนักไม้เสวียนด้วยใช่หรือไม่ ?” ชายหนุ่มชุดน้ำเงินพูดลางยกมือขึ้นคารวะ

“งานประมูลยาร้อยปี ?” หลัวซิวรู้สึกตกใจ จากนั้นสมองของเขาก็หวนนึกไปถึงข้อมูลบางอย่างที่ตนเองเคยอ่านเจอเกี่ยวกับสำนักไม้เสวียน

สำนักไม้เสวียนแห่งนี้ ตั้งอยู่ใกล้กับเทือกเขาเหิงหยุน และภายในเทือกเขาเหิงหยุนก็อุดมไปด้วยยาวิเศษชนิดต่าง ๆ สำนักไม้เสวียนขึ้นชื่อเรื่องการกลั่นยา ทุก ๆ หนึ่งร้อยปีจะจัดงานประมูลยาขึ้น เมื่อถึงเวลานั้นจะมีกองกำลังต่าง ๆ ที่อยู่ใกล้กับเทือกเขาเหิงหยุน รวมไปถึงยอดฝีมือโลกยุทธ์เดินทางมาเข้าร่วม

เพราะหนึ่งร้อยปีจึงจะจัดขึ้นหนึ่งครั้ง ดังนั้นจึงถูกเรียกว่างานประมูลยาร้อยปี จะมีการจัดแสดงตัวยาหายากบางชนิด หรือไม่ก็มีการประมูล หรือการซื้อขาย อีกทั้งนอกจากยาแล้ว นักยุทธ์คนอื่น ๆ เองก็สามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนสมบัติล้ำค่าที่อยู่ในมือได้ นับได้ว่าเป็นงานแสดงสินค้าที่ยิ่งใหญ่งานหนึ่งก็ว่าได้

หลัวซิวคิดไม่ถึงเลยว่าจะพบกับเรื่องบังเอิญเช่นนี้ ตนเองมีโอกาสได้เข้าร่วมงานประมูลยาของสำนักไม้เสวียนจริงหรือ ?

ตนเองพยายามควานหาสิ่งที่ต้องการในเทือกเขาเหิงหยุน หากคิดจะหาดินดำเหลืองให้พบคงไม่ใช่เรื่องง่าย หากสามารถเข้าร่วมงานประมูลยาของสำนักไม้เสวียนได้ ไม่แน่ว่าภายในงานแสดงสินค้า อาจมีคนนำวัสดุประเภทนี้ออกมาขายก็ได้

ชายหนุ่มชุดน้ำเงินตรงหน้าที่ชื่อว่าหลินจื่อเฟิงผู้นี้ หลัวซิวไม่รู้สึกว่าอีกฝ่ายจะมีเจตนาร้าย แต่กลับมีความรู้สึกคุ้นเคยบางอย่างซ่อนอยู่ ราวกับว่าเคยพบหน้ากันมาก่อน เพียงแต่จำไม่ได้เท่านั้น

“ข้าชื่อหลัวซิว มาร่วมงานประมูลยาสำนักไม้เสวียนด้วยเช่นกัน” หลัวซิวเองก็ยกมือขึ้นคารวะเช่นเดียวกัน

“ฮ่าฮ่า ในเมื่อมีจุดประสงค์เดียวกัน ถ้าอย่างนั้นก็เดินทางไปพร้อมกันดีไหม ?” หลินจื่อเฟิงเชิญชวนด้วยรอยยิ้ม

ในเวลาเดียวกันนี้ ลำแสงอีกสิบกว่าเส้นที่อยู่บนท้องฟ้าต่างก็หยุดลง ดูไปแล้วทุกคนล้วนเป็นหนุ่มสาวที่อายุยังน้อย ต่างมีผลการฝึกตนในแดนราชายุทธ์ มีทั้งระดับสูงและต่ำปะปนกัน

หลัวซิวไม่ได้ปิดบังออร่าผลการฝึกตนของตนเอง ผลการฝึกตนแดนราชายุทธ์ขั้น 5 ในบรรดาคนเหล่านี้ไม่ถือว่าอยู่ในระดับสูงสุด แต่ก็อยู่ในระดับกลางค่อนไปทางสูง

ดังนั้นนักยุทธ์หนุ่มสาวเหล่านี้ จึงมีท่าทีที่ค่อนข้างเป็นมิตรกับหลัวซิว ต่างก็ยิ้มแย้มและยกมือขึ้นคารวะพร้อมกล่าวทักทาย

ด้วยการแนะนำของหลินจื่อเฟิง ทำให้หลัวซิวได้รู้ว่าพวกเขาเหล่านี้ บ้างก็เป็น散修 บ้างก็เป็นศิษย์รุ่นหนุ่มสาวจากสำนักตระกูลที่อยู่ใกล้กับเทือกเขาเหิงหยุน พวกเขาเองเป็นเพียงแค่เพื่อนร่วมทางเท่านั้น ไม่ได้สนิทสนมกันนัก

ศิษย์วัยหนุ่มสาวจำนวนมากที่เข้ามาฝึกจนในกองกำลัง ต่างก็ทำความรู้จักกับเพื่อนเอาไว้จำนวนหนึ่ง เพื่อพัฒนาเครือข่ายของตนเองให้กว้างขวาง ด้วยเหตุนี้ การที่คนหนุ่มสาวที่ไม่สนิทกันนักแต่มารวมตัวอยู่ด้วยกัน กลับไม่ได้ทำให้หลัวซิวรู้สึกประหลาดใจนัก

“พี่หลัว ไม่ทราบว่าพวกเราเคยพบหน้ากันมาก่อนไหม ?” จู่ ๆ หลินจื่อเฟิงที่เหาะอยู่บนอากาศ เพื่อมุ่งหน้าไปยังสำนักไม้เสวียนพร้อมกัน ก็พูดขึ้นกับหลัวซิว

“ข้าว่าพวกเราไม่น่าจะเคยพบกันมาก่อนนะ” หลัวซิวส่ายหัว

“ข้าเองก็คิดว่าพวกเราไม่น่าจะเคยพบกันมาก่อน แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ก่อนหน้านี้ตอนที่เหาะผ่านพี่หลัวซิวไป จู่ ๆ ก็เกิดความรู้สึกเหมือนเคยพบกันมาก่อน” หลินจื่อเฟิงพูดด้วยรอยยิ้ม

เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลัวซิวเองก็รู้สึกใจสั่นเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่แค่เขาคนเดียวที่รู้สึกเช่นนี้ ที่หลินจื่อเฟิงคนนี้เชื้อเชิญให้ตนเองร่วมเดินทางไปด้วย ก็คงเป็นเพราะเหตุผลนี้

แต่บนโลกใบนี้ เต็มไปด้วยเรื่องน่าแปลกมากมาย หลัวซิวเองจึงไม่ได้คิดมาก ไม่นานนัก พวกเขาก็มาถึงบริเวณใกล้ ๆ กับสำนักเขาสำนักไม้เสวียน

สำนักไม้เสวียน ตั้งอยู่ใกล้กับเทือกเขาเหิงหยุน ถือว่าเป็นหนึ่งในกองกำลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เจ้าสำนักคือผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎยุทธ์ท่านหนึ่ง ได้ยินมาว่ายังมีอาจารย์แดนมหายุทธ์อีกหนึ่งท่าน ที่เก็บตัวจากโลกภายนอกมาหลายปี

บริเวณใกล้ ๆ สำนักเขา ถูกปกคลุมไปด้วยแนวค่ายกลคุ้มเขาที่กินพื้นที่ขนาดใหญ่ ไม่สามารถใช้วิชาเหาะเหินเดินฟ้าเข้าไปได้ พวกเขาจึงต้องลงมาจากท้องฟ้า แล้วเดินขึ้นบันไดหินไป

“แนวค่ายกลคุ้มเขาระดับ 8”

ทันทีที่หลัวซิวมาถึงบริเวณใกล้ ๆ กับสำนักเขาสำนักไม้เสวียน เขาก็สัมผัสได้ถึงออร่าของแนวค่ายกลคุ้มเขาทันที

แนวค่ายกลคุ้มเขาระดับ 8 มีกระแสที่เพียงพอจะทำให้ผู้แข็งแกร่งแดนมหายุทธ์ต้องล่าถอยไป แม้แต่ผู้แข็งแกร่งระดับเจ้ายุทธจักรก็ไม่อาจทำลายได้

เพียงแค่ค่ายกลคุ้มเขาเพียงอย่างเดียว ก็พอจะคาดเดาถึงบรรยากาศและภูมิหลังของสำนักไม้เสวียนได้ เทียบได้กับสำนักเสวียนหยางซึ่งอยู่ในประเทศเทียนหวูที่ไกลออกไป หรือจะพูดได้ว่าห่างกันกว่าหนึ่งแสนแปดพันลี้

ในเมื่อสำนักไม้เสวียนตั้งอยู่ที่นี่ ก็เป็นธรรมดาที่ยอดเขาแห่งนี้จะมีชื่อว่ายอดเขาไม้เสวียน

บริเวณครึ่งทางของไหล่เขา มีสิ่งก็สร้างแบบต่าง ๆ อยู่เป็นจำนวนมาก อย่างเช่นคูเมืองขนาดเล็ก ซึ่งเป็นที่ตั้งของนอกสำนักและในสำนักของสำนักไม้เสวียน

หลัวซิวแห่งนักยุทธ์ที่แต่งกายด้วยชุดสีเขียวเดินไปมาเป็นจำนวนมาก ซึ่งทุกคนล้วนเป็นศิษย์ของสำนักไม้เสวียน มีจำนวนที่มากและมีผลการฝึกตนที่ไม่ธรรมดา

ตามที่เขารู้มา สำนักไม้เสวียนแห่งนี้มีศิษย์นอกสำนักสามพันคน และมีผลการฝึกตนในระดับต่ำสุดคือแดนพรสวรรค์ และยังมีศิษย์ในสำนักอีกแปดร้อยคน มีผลการฝึกตนต่ำสุดในระดับแดนฝึกจิต ส่วนศิษย์ใจกลางนั้นมีอยู่ทั้งสิ้นยี่สิบแปดคน ผลการฝึกตนต่ำสุดอยู่ในระดับราชายุทธ์

นี่จึงจะเป็นบรรยากาศที่สำนักใหญ่ควรมี สำนักเขาตั้งอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ มีผู้มีพรสวรรค์อยู่กันอย่างคับคั่ง และมียอดฝีมืออยู่เป็นจำนวนมาก

เมื่อเทียบกันแล้ว สำนักไท่เสวียนที่หลัวซิวเพิ่งสร้างขึ้นมา ก็เปรียบได้กับชั้นเรียนของเด็กอนุบาลเท่านั้น ทางที่ต้องเดินต่อไปในวันข้างหน้า ถือได้ว่ามีภาระที่หนักอึ้งและหนทางยังอีกยาวไกลนัก

บทที่ 449 เอาชนะอย่างง่ายดาย
สีหน้าของหลัวซิวยังคงไม่เปลี่ยนไป กระบี่ยุทธ์ที่อยู่ในมือกวัดแกว่ง พุ่งตรงเข้าทำลายพลังกระบี่ธาตุไฟทั้งสองสาย โดยไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกาย

“เจ้าเองก็ลองรับกระบวนท่าของข้าดูบ้าง” กระบี่ยุทธ์ของหลัวซิวฟันออกไป เปลวไฟสีแดงเพลิงบนร่างกายของเขา เปลี่ยนเป็นเปลวไฟสีดำขนาดมหึมาในทันที

ออร่าแห่งความตายอันน่าสะพรึงกลัวแผ่ขยายไปทั่วห้วงกระบี่สังหารและห้วยยุทธ์มรณะแผ่ซ่านไปทั่วทุกทิศทาง ทำให้ซือถูสงที่ยืนอยู่ตรงข้าม รู้สึกราวกับกับว่าอยู่ในสถานที่แห่งความตาย ไม่ว่าตนเองจะต่อต้านเช่นไร ก็ต้องตายโดยไม่ต้องสงสัย

วิชาภูตผีเซินหลัว !

ควบรวมเพลิงมรณะระดับกระบี่ยุทธ์ขึ้นไป กลายเป็นกระดูกญาณ ทันทีที่อ้าปากกัด จะฉีกอากาศให้ขาดออกจากกันได้

ในช่วงคับขัน ซือถูสงตั้งสติขึ้นมาได้อีกครั้ง เขาพยายามดิ้นรนเพื่อหลุดพ้นจากการครอบงำจิตใจของห้วงยุทธ์ จากนั้นจึงตะโกนเสียงดังออกมา เกิดเปลวไฟขึ้นเต็มท้องฟ้า และพุ่งตรงใส่กระดูกญาณที่กำลังอ้าปากเข้ามากัด

ตูม !

ซือถูสงกระอักเลือดออกมา ตัวของเขากระเด็นลอยออกไป

เขาเพิ่งจะยืนได้อย่างมั่นคง หลัวซิวก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเขาเสียแล้ว

“รวดเร็วจริง ๆ !” ซือถูสงตกใจจนหน้าถอดสี เขาฟันกระบี่ลงไปที่หลัวซิวซึ่งยืนอยู่ตรงหน้า

เช้ง !

นิ้วมือทั้งสองคีบกระบี่เอาไว้ ทำให้ซือถูสงตกใจจนอ้าปากค้าง

“ร่างยุทธ์ระดับจักรพรรดิ ?”

ซือถูสงเพิ่งตั้งสติได้ แสงสะท้อนของกระบี่ก็กวาดไปทั่วแล้ว สำนึกของเขาจับได้เพียงแค่ร่องรอยของแสงกระบี่เท่านั้น

“เจ้า……”

เลือดสีแดงสดไหลทะลักออกมาจากปากของซือถูสงไม่หยุด ดวงตาของเขาเบิกโพลง เต็มไปด้วยความไม่เต็มใจและโกรธแค้น

คอของเขาถูกหลัวซิวฟันขาดในกระบี่เดียว อย่างไรก็ตาม ถึงแม้เขาจะเป็นผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 2 แต่ไม่ใช่นักยุทธ์กลั่นร่าง ร่างเนื้อของเขาจึงไม่อาจต้านทานการโจมตีของกระบี่ยุทธ์ขั้นดินกลางได้

สีหน้าของหลัวซิวไร้ความรู้สึก สำหรับตัวเขาในตอนนี้ การสังหารจักรพรรดิยุทธ์ขั้นปฐมภูมิสักคน แม้กระทั่งไพ่ไม้ตายก็ไม่จำเป็นต้องใช้ด้วยซ้ำ แค่อาศัยร่างยุทธ์ระดับจักรพรรดิ ประกอบกับพลังแปรเสวียนเทียนยี่สิบสี่เท่า ไม่ต้องใช้กฎเบญจธาตุและลูกแก้วเสวียนดำ เขาก็มีพลังการต่อสู้ที่ทัดเทียมกับจักรพรรดิยุทธ์แล้ว

ยื่นมือออกไปจับ ลำแสงของพลังจิตแท้ก็พุ่งตรงเข้าทำลายจุดตันเถียนของซือถูสงทันที และหยิบเม็ดยาทองทรงกลมออกมาได้

หัวของซือถูสงห้อยลง และออร่าก็ดับไป

คนของสำนักไป๋ซิงกู่ต่างตกตะลึงจนอ้าปากค้าง จนแทบจะหยุดหายใจ

หากก่อนหน้านี้ การที่หลัวซิวสังหารราชายุทธ์สองคน ทำให้พวกนางต้องตกใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้แล้ว ถ้าอย่างนั้นการที่เขาสังหารตาเฒ่าประหลาดระดับจักรพรรดิยุทธ์หนึ่งคน ก็คงไม่สามารถหาคำใดมาบรรยายความรู้สึกตกใจนี้ได้อีกแล้ว

เขาเพิ่งจะอายุเท่าไหร่เองนะ ? จักรพรรดิยุทธ์ที่มีอายุไม่ถึงยี่สิบปีอย่างนั้นหรือ ?

แต่หลัวซิวไม่สนใจที่จะอธิบายให้คนเหล่านี้ฟัง เขาเดินตรงเข้ามา แล้วยื่นกระบี่ยุทธ์ในมือให้กับเหยียนซีโรว่

ใบหน้าของเหยียนซีโรว่แดงก่ำ “กระบี่เล่มนี้ เป็นของเจ้า”

“ข้ามอบให้เจ้าแล้ว เพราะฉะนั้นมันเป็นของเจ้า” หลัวซิวพูดด้วยรอยยิ้ม

ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ทุกครั้งที่พบหน้ากับเหยียนซีโรว่ มักทำให้เขาเกิดความรู้สึกที่อยากเข้าใกล้นาง

“ขอบคุณท่านชายหลัวซิวที่ช่วยชีวิต”

คนของสำนักไป๋ซิงกู่ นำโดยไป๋หุ้ยเหลียน ต่างก้าวไปข้างหน้าและยกมือขึ้นคารวะหลัวซิว

สำหรับคนเหล่านี้ หลัวซิวทำเพียงแค่ตอบรับเบา ๆ หนึ่งคำ และไม่คิดจะสนใจอีก

ตอนนั้นเขาจำได้ดีว่า ทันทีที่การต่อสู้แย่งชิงโควต้าแดนปริศนาสิ้นสุดลง พวกนางก็บังคับพาตัวเหยียนซีโรว่ไป ไม่ว่าจะเป็นเพราะรู้สึกโลภในกระบี่ยุทธ์ขั้นดินกลางที่เขามอบให้ หรือเพราะเหตุผลอื่น แต่หลัวซิว็ไม่รู้สึกประทับใจคนของสำนักไป๋ซิงกู่เลยแม้แต่น้อย

“ทำไมเจ้าถึงมาที่เทือกเขาเหิงหยุนได้ ? แดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่มันเรื่องอะไรกันแน่ ?” หลัวซิวหันไปหาเหยียนซีโรว่

“เรื่องเป็นเช่นนี้……”

จากคำบอกเล่าของเหยียนซีโรว่ ก่อนหน้านี้เพียงไม่นาน มีผู้แข็งแกร่งของแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่ท่านหนึ่ง เดินทางผ่านประเทศเทียนหวู แล้วบังเอิญเห็นนางเข้า และกล่าวว่านางมีความสามารถที่ไม่ธรรมดา สามารถเข้าไปฝึกตนในแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่ได้

เพียงแต่ผู้แข็งแกร่งของแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่ท่านนั้น ดูเหมือนจะมีธุระสำคัญจึงไม่ได้อยู่ต่อนานนัก และจากไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะออกเดินทาง ได้ทิ้งป้ายบัญชาการเอาไว้หนึ่งแผ่น บอกนางว่าขอเพียงถือป้ายบัญชาการแผ่นนี้ไป ก็จะสามารถเดินทางไปยังแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่ และเข้าไปเป็นศิษย์ของแดนศักดิ์สิทธิ์ได้

เรื่องนี้ ทำให้ทุกคนในสำนักไป๋ซิงกู่ต่างตื่นเต้นยินดี สำหรับพวกนางแล้ว แดนศักดิ์สิทธิ์ถือเป็นเรื่องไกลตัวอย่างยิ่ง เมื่อไรที่เหยียนซีโรว่สามารถเข้าไปเป็นศิษย์ในแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่ได้สำเร็จ เช่นนั้นฐานะของสำนักไป๋ซิงกู่ จะต้องเพิ่มขึ้นตามมาอย่างเลี่ยงไม่ได้แน่นอน

เมื่ออยู่ต่อหน้าแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่ที่ยิ่งใหญ่ ต่อให้เป็นกองกำลังอย่างเช่นสำนักเสวียนหยางหรือสำนักฉางเหอ ก็ไม่มีค่าพอที่จะพูดถึง

ดังนั้น สำนักไป๋ซิงกู่จึงส่งราชายุทธ์สองคน และศิษย์อีกหลายคน พาเหยียนซีโรว่ไปส่งยังแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่ด้วยกัน ระหว่างทาง นางเองก็มีโอกาสได้ฝึกฝนประสบการณ์และยกระดับความสามารถ และใช้ทัศนคติที่สูงขึ้นในการเข้าไปฝึกตนที่แดนศักดิ์สิทธิ์

เพียงแต่พวกนางคิดไม่ถึงว่า เพิ่งจะเข้ามาในเทือกเขาเหิงหยุนได้เพียงไม่นาน กลับต้องมาพบกับตาเฒ่าประหลาดจักรพรรดิยุทธ์ที่ละโมบในความงามของเหยียนซีโรว่

ในประเทศเทียนหวู ตาเฒ่าประหลาดจักรพรรดิยุทธ์มีอยู่น้อยมาก ส่วนหนึ่งคือผู้แข็งแกร่งระดับเจ้าสำนัก แต่ในเทือกเขาเหิงหยุนแห่งนี้ ตาเฒ่าประหลาดจักรพรรดิยุทธ์สามารถพบเห็นได้ไม่น้อย

สรุปว่า คนของสำนักไป๋ซิงกู่เหล่านี้ คุ้นชินเพียงแค่สถานการณ์ภายในประเทศเทียนหวูเท่านั้น และไม่รู้เลยว่าโลกภายนอกนั้นอันตรายเพียงใด

แต่เมื่อหลัวซิวฟังเรื่องนี้จบ คิ้วของเขาก็ขมวดขึ้นอย่างอดไม่ได้

ถึงแม้พรสวรรค์ในการฝึกตนของเหยียนซีโรว่จะไม่เลวนัก แต่นั่นก็เพียงแค่สำหรับประเทศเทียนหวูเท่านั้น อีกทั้งในการต่อสู้แย่งชิงโควต้าแดนปริศนาในตอนนั้น นางเองไม่สามารถเข้าสู่สิบอันดับแรกเสียด้วยซ้ำ พรสวรรค์ในการฝึกตนเช่นนี้พูดได้เพียงว่าไม่เลว แต่ยังไม่ถึงขั้นสุดยอด

อีกทั้งกองกำลังขนาดใหญ่อย่างแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่ ต่อให้เป็นผู้มีพรสวรรค์ขั้นสุดยอดในประเทศเทียนหวู ก็ใช่ว่าจะมีสิทธิ์เข้าตา แล้วทำไมจู่ ๆ ถึงรู้สึกถูกใจเหยียนซีโรว่ได้ ?

หลัวซิวรู้สึกว่าจะต้องมีความลับบางอย่างที่เขาไม่รู้ซ่อนอยู่ในนี้อย่างแน่นอน

“หรือว่าชาติกำเนิดของนางจะเกี่ยวข้องกับแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่ หรือไม่นางอาจจะมีสมรรถภาพทางร่างกายที่พิเศษ ดังนั้นจึงเข้าตาแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่เข้า ?” หลัวซิวแสดงสีหน้าสงสัย

ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด การได้เข้าไปฝึกตนในแดนศักดิ์สิทธิ์ ก็ถือเป็นโอกาสสำคัญอันดีอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตามเงื่อนไขที่เอื้อต่อการฝึกตนในแดนศักดิ์สิทธิ์ ก็เป็นสิ่งที่สำนักไป๋ซิงกู่เล็ก ๆ ไม่อาจเทียบได้

“พี่หลัว ทำไมท่านถึงมาที่เทือกเขาเหิงหยุนได้ล่ะ ?” เหยียนซีโรว่เอ่ยถาม

“ข้ามาหาวัสดุชนิดหนึ่ง” หลัวซิวตอบด้วยรอยยิ้ม

เรื่องระหว่างเหยียนซีโรว่และแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่ หลัวซิวไม่อาจคิดหาเหตุผลออกมาได้แล้ว ดังนั้นจึงไม่สะดวกที่จะพูดอะไรให้มาก

“ถ้าอย่างนั้นท่านก็ไปแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่กับข้าสิ เชื่อว่าผู้ที่มีพรสวรรค์เช่นท่าน จะต้องถูกรับเข้าไปในแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างแน่นอน และจะได้ฝึกฝนอย่างจริงจัง” เหยียนซีโรว่เสนอแนะ

ในความคิดของนาง พรสวรรค์ของหลัวซิวจะต้องสูงกว่าตนเองอย่างแน่นอน ในเมื่อตนเองถูกรับเลือกจากแดนศักดิ์สิทธิ์ได้ ถ้าเช่นนั้นหลัวซิวเองก็ต้องมีสิทธิ์เช่นกัน

หลัวซิวหัวเราะร่า “เด็กโง่ ตอนนี้ข้าเป็นเจ้าสำนัก คงไปแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่กับเจ้าไม่ได้หรอก”

เกี่ยวกับเรื่องของสำนักไท่เสวียน หลัวซิวไม่พูดอะไรมากนัก พูดแค่เพียงว่าตนเองนั้นเป็นเจ้าสำนักแล้ว เพียงแต่ยังไม่ได้เปิดสำนักเขาอย่างเป็นทางการ และประกาศให้โลกได้รู้เท่านั้น

แดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเทือกเขาเหิงหยุน ยังมีระยะทางที่ห่างออกไปอีกอย่างน้อยหนึ่งล้านลี้ ต่อให้ความรวดเร็วในการเหาะเหินเดินอากาศระดับหลัวซิว ยังต้องใช้เวลากว่าครึ่งเดือนจึงจะถึงจุดหมาย

แต่กลุ่มคนของสำนักไป๋ซิงกู่ ซึ่งมีเพียงราชายุทธ์ขั้นปฐมภูมิสองคนที่มีผลการฝึกตนที่สูงที่สุด ความสามารถเช่นนี้ เกรงว่าคงจะเดินทางผ่านเทือกเขาเหิงหยุนไปไม่สำเร็จอย่างแน่นอน

ความเป็นความตายของคนอื่น ๆ หลัวซิวสามารถเพิกเฉยได้ แต่เขาไม่อาจเพิกเฉยต่อความปลอดภัยของเหยียนซีโรว่ได้

“เอาอย่างนี้ ข้าจะพาซีโรว่ไปส่งยังแดนสํกดิสิทธิ์หยุนไห่ ส่วนพวกท่านที่เหลือก็กลับไปก่อนเถอะ” หลัวซิวพูดเช่นนี้

คนเยอะ ก็จะยิ่งเป็นเป้าหมายใหญ่ และจะทำให้เกิดปัญหาขึ้นได้ง่าย อีกทั้งความสามารถของคนเหล่านี้อ่อนแอเกินกว่าจะช่วยเหลืออะไรได้

เมื่อได้ยินคำพูดของหลัวซิว พวกของไป๋หุ้ยเหลียนก็แสดงสีหน้าระมัดระวังออกมาทันที ราวกับกำลังสงสัยว่าหลัวซิวจะเป็นอันตรายต่อเหยียนซีโรว่หรือไม่

บทที่ 448 ประมือกับซือถูสง
ซือถูสงเป็นตาเฒ่าประหลาดระดับจักรพรรดิยุทธ์ เพียงแค่สมุนทั้งสองคน ก็ยากที่จะให้พวกนางต่อกรได้แล้ว หากคิดจะต่อสู้จริง ๆ เกรงว่าทุกคนคงต้องกลายเป็นศพนอนอยู่กลางป่าในทันที

“อะไรนะ ?”

เมื่อได้ยินคำว่าแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่ ซือถูสงผู้นั้นก็ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย ที่เขาสามารถใช้ชีวิตอยู่ในเทือกเขาเหิงหยุนแห่งนี้มาได้หลายปีโดยไม่ถูกกำจัด นั่นเป็นเพราะเขามีหลักการในการเอาตัวรอด สำหรับแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่ที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ แน่นอนว่าจะล่วงเกินไม่ได้เด็ดขาด

เขากลอกตาและคิดในใจว่า ที่นี่ไม่มีคนอื่น หากเขาฆ่าปิดปากทุกคนได้อย่างหมดจด ต่อให้เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่ ก็ไม่มีทางคิดออกว่าซือถูสงเป็นผู้ที่สังหารคนเหล่านี้

“ยิ่งเป็นผู้ที่เข้าตาแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่และถูกรับเป็นศิษย์ ดูเหมือนว่าแม่นางที่ข้าถูกใจผู้นี้จะต้องมีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมอย่างแน่นอน ช่างเป็นเตากลั่นยาชั้นเลิศจริง ๆ หลังจากดูดซับพลังแล้ว ผลการฝึกตนจะต้องก้าวหน้าอย่างแน่นอน”

ในตอนนี้เอง จู่ ๆ ก็มีร่างร่างหนึ่งปรากฏขึ้น จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงร้องโหยหวน

กระบี่ยุทธ์ขั้นดินกลางที่ไป๋หุ้ยเหลียนโยนออกไปเมื่อครู่ มีสมุนระดับราชายุทธ์ขั้น 4 ของซือถูสงคนหนึ่งยื่นมือออกมารับ และเสียงร้องโหยหวนนั้น ก็ดังออกมาจากปากของเขา

มือที่เขาใช้จับกระบี่ยุทธ์ขั้นดินเอาไว้ ข้อมือโค้งงอและหัก มีชายหนุ่มชุดคลุมยาวดำคนหนึ่งหยิบกระบี่ยุทธ์เล่มนั้นขึ้นมา แล้วเดินออกไป

“กระบี่ของข้า เจ้ากล้าแตะต้องอย่างนั้นหรือ ?” น้ำเสียงดูถูกค่อย ๆ ดังขึ้น จากนั้นชายหนุ่มชุดคลุมยาวดำก็ยกมือขึ้นแล้วฟาดลงไป แสงของกระบี่เปล่งประกายออกมา

ฉึบ !

เลือดสีแดงสดสาดกระเซ็น ราชายุทธ์ชุดคลุมยาวดำที่ร้องโหยหวนเพราะถูกหักข้อมือผู้นั้น ได้ยกมือขึ้นกุมที่คอและเดินถอยร่นไปอย่างต่อเนื่อง ดวงตาของเขาเบิกโพลง และเสียงกรีดร้องก็หยุดลงอย่างกะทันหัน

กระบี่นี้รวดเร็วเสียจนกระทั่ง แม้แต่เขาซึ่งมีผลการฝึกตนระดับราชายุทธ์ขั้น 4 ต้องจบชีวิตลงโดยไม่ทันตั้งตัว !

เสียงตุบดังขึ้น ชายชุดคลุมยาวดำผู้นั้นคุกเข่าลงกับพื้น ดิ้นรนอย่างไร้ประโยชน์สองสามครั้ง แล้วออร่าก็ดับลง

ทันใดนั้นเอง สายตาของทุกคนต่างจับจ้องไปที่ชายหนุ่มชุดคลุมยาวดำที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน

กระบี่ของข้า เจ้ากล้าแตะต้องอย่างนั้นหรือ ?

เหยียนซีโรว่ตัวสั่นในทันทีเมื่อได้ยินประโยคนี้ นางจ้องตาเขม็งไปที่ผู้สวมใส่ชุดคลุมยาวดำผู้นั้น เพราะอีกฝ่ายหันหลังให้ตนเอง จึงมองไม่เห็นใบหน้าที่ชัดเจนนัก แต่ในใจกลับรู้สึกประหม่าขึ้นมา

เพราะเธอรู้แล้วว่าคนผู้นี้เป็นใคร เพราะมีเพียงเขาคนนั้น ที่จะเป็นเจ้าของตัวจริงของกระบี่เล่มนี้

เห็นได้ชัดว่าไป๋หุ้ยเหลียนเองก็รู้เรื่องนี้แล้วเช่นกัน จึงหันมองชายหนุ่มชุดคลุมยาวดำผู้นั้นด้วยแววตาซับซ้อน

สองเดือนก่อน พวกนางทั้งหมดเดินทางออกจากประเทศเทียนหวู เพื่อพาเหยียนซีโรว่ไปส่งยังแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่

สาเหตุที่ไม่ใช้วิชาเหาะเหินเดินฟ้า นั่นเป็นเพราะหวังว่าระหว่างทาง จะทำให้เหยียนซีโรว่ได้มีโอกาสฝึกฝนตนเอง

ดังนั้นพวกนางจึงไม่รู้ว่าเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นที่ประเทศเทียนหวูในช่วงนี้

ม่านตาของซือถูสงหดลงด้วยความตกใจ เขาจ้องมองไปยังชายหนุ่มชุดคลุมยาวดำที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน อีกฝ่ายสามารถสังหารราชายุทธ์ขั้น 4 ได้ในชั่วพริบตา ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่คนธรรมดา

เมื่อเขาสังเกตเห็นถึงพลังจิตแท้ที่เคลื่อนไหวอยู่ในร่างกายของอีกฝ่าย ซือถูสงก็หัวเราะเยาะออกมาทันที

“ก็แค่เด็กรุ่นหลังที่มีผลการฝึกตนระดับราชายุทธ์ขั้น 5 อาศัยความสามารถเพียงเล็กน้อย ก็กล้ามากระตุกหนวดเสืออย่างข้า เจ้าอยากจะรีบไปเกิดใหม่นักหรือยังไง ?”

หลัวซิวเงยมองเขา แล้วพูดอย่างเฉยเมยว่า : “ข้าจะไปเกิดใหม่หรือไม่นั้นไม่รู้ แต่เกรงว่าดูเหมือนเจ้าจะไม่มีโอกาสแม้แต่จะกลับไปเกิดใหม่เสียด้วยซ้ำ”

ทันทีที่เห็นเหยียนซีโรว่ ความมุ่งมั่นที่มาจากจิตวิญญาณในส่วนลึกที่สุด ทำให้หลัวซิวมีเจตนาฆ่าอย่างรุนแรงต่อทุกคนที่คิดจะทำร้ายนาง

“เสี่ยวหูฆ่ามัน !” ซือถูสงส่งเสียงฟึดฟัดด้วยความโกรธ และตะโกนใส่สมุนอีกหนึ่งคนที่มีผลการฝึกตนระดับราชายุทธ์ขั้น 5

ในความคิดของเขา คนที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ ที่เมื่อครู่สามารถฆ่าสมุนของตนได้ ทั้งหมดเป็นเพราะเขาลอบโจมตี ผู้ที่มีผลการฝึกตนระดับราชายุทธ์ขั้น 5 เช่นเดียวกัน ถึงแม้สมุนของตนเองจะไม่สามารถเอาชนะคนผู้นี้ได้ แต่อย่างไรเสียก็จะได้เห็นรายละเอียดเชิงลึกจากการต่อสู้

“น้อมรับคำสั่ง !”

ชายชุดคลุมยาวดำที่ถูกเรียกว่า小胡ขานรับ จากนั้นจึงตะโกนเสียงดังออกมา ทำให้รัศมีของพลังจิตแท้เปล่งประกายขึ้นรอบตัว เขาแววหายหัวไป และพุ่งเข้าใส่หลัวซิว

เหยียนซีโรว่อุทานด้วยความตกใจ “ระวัง”

ใบหน้าของหลัวซิวไร้ความรู้สึก ท่าทีของเขาดูไม่แยแส เมื่อชายชุดคลุมยาวดำพุ่งเข้ามาจนถึงระยะประชิด เขาก็ปล่อยหมัดออกไปทันที มีแสงสีขาวสั่นไหวอยู่บนหมัด ฉายรัศมีที่เฉียบคมรุนแรงออกมา แสดงให้เห็นว่าเป็นผู้ฝึกตนระดับราชายุทธ์พลังจิตแท้ธาตุทอง

ฉึบ !

แสงสะท้อนแวววาวของกระบี่พาดผ่านอากาศ เป็นร่องรอยของแสงกระบี่ที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า การเคลื่อนไหวของชายชุดคลุมยาวดำหยุดชะงักลงในทันที จากนั้นตัวของเขาก็ลอยกระเด็นออกไป และมีเลือดสาดกระเซ็นอยู่กลางอากาศ

แค่กระบี่เดียว ! เพียงแค่กระบี่เดียวก็สามารถสังหารราชายุทธ์ขั้น 5 ได้ในชั่วพริบตาอีกครั้ง !

คนของสำนักไป๋ซิงกู่ที่ยืนอยู่ด้านหลังของหลัวซิวเหล่านั้น ต่างตกตะลึงจนอ้าปากค้าง และอยู่ในอาการตกใจ พวกนางเดาออกแล้วว่าชายหนุ่มชุดดำที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันคือใคร แต่เมื่อกว่าสองปีก่อนหน้า เขายังอยู่ในแดนฝึกจิตไม่ใช่หรือ ทำไมตอนนี้ถึงสังหารผู้แข็งแกร่งระดับราชายุทธ์ได้แล้ว ?

เจ้าสำนักของสำนักไป๋ซิงกู่ ดูเหมือนจะมีผลการฝึกตนในระดับราชายุทธ์ขั้น 5 ไม่ใช่หรือ ? หรือนี่จะหมายความว่า ต่อให้เป็นเจ้าสำนักเอง ก็ไม่อาจต้านทานกระบี่ของหลัวซิวได้ ?

“เจ้าเป็นใครกันแน่ ?”

สมุนทั้งสองคนถูกฆ่า สีหน้าของซือถูสงหมองหม่นลง ท่าทีของเขาดูจริงจังมากขึ้น

ในฐานะที่เป็นผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ เขาจึงไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวต่อความสามารถของอีกฝ่าย การสังหารราชายุทธ์ในชั่วพริบตา สำหรับจักรพรรดิยุทธ์แล้ว ก็ถือเป็นเรื่องที่ทำได้อย่างง่ายดายเช่นเดียวกัน

แต่ที่เขารู้สึกหวาดกลัวจริง ๆ ก็คือ เด็กหนุ่มที่มีฝีมือยอดเยี่ยมเช่นนี้ ไม่มีทางที่จะถูกบ่มเพาะออกมาจากกองกำลังธรรมดา ๆ แน่นอน สิ่งที่เขากลัวก็คือกองกำลังที่คอยหนุนหลังอีกฝ่ายอยู่ต่างหาก

“เมื่อครู่คนของสำนักไป๋ซิงกู่เหล่านี้พูดว่า จะพาหญิงสาวคนนี้ไปส่งยังแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่ หรือว่าเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ จะเป็นคนที่แดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่ส่งมา ?” ซือถูสงแสดงสีหน้าไม่มั่นใจ

แต่เพียงครู่เดียว ซือถูสงก็ตัดสินใจแน่วแน่ “ต่อให้เจ้าเป็นคนที่แดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่ส่งมาแล้วยังไง ? หากข้าฆ่าเจ้าให้ตายที่นี่ ก็ไม่มีใครรู้ว่าข้า ซือถูสง เป็นคนทำ !”

บนใบหน้าของซือถูสงปรากฏรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นมา และเขาก็ตะโกนเสียงดังด้วยความโกรธเคืองในทันที เขากระโดดลอยตัวขึ้นไปบนอากาศ ฝ่ามือทั้งสองข้างประกบกัน เกิดเป็นเปลวไฟขนาดใหญ่พุ่งตรงเข้าไปปกคลุมหลัวซิวเอาไว้

หลัวซิวไม่รู้สึกกลัวแม้แต่น้อย เขาก้าวขึ้นไปบนอากาศ กวาดมือทั้งสองข้าง จากนั้นก็มีระลอกคลื่นปรากฏขึ้นตรงหน้าของเขา ราวกับกระแสน้ำวน

ทันใดนั้น เปลวไฟทั้งหมดก็ถูกดูดกลืนเข้าไปในกระแสน้ำวนตรงหน้าของเขา และหายไปอย่างไร้ร่องรอย

ในตัวของเขามีภูตอัคคีกลืนกินซ่อนอยู่ จึงไม่มีทางกลัวการโจมตีด้วยพลังจิตแท้ธาตุไฟอย่างแน่นอน

“นี่มันเคล็ดวิชาอะไรกัน ?” ซือถูสงรู้สึกตกใจ เขาสัมผัสได้ว่าพลังจิตแท้ธาตุไฟของเขา ดูราวกับวัวดินปั้นที่จมลงไปในทะเล ถูกอีกฝ่ายกลืนกินหายไปจนสิ้นอย่างไรอย่างนั้น

“เล่นไฟหรือ ? ข้าเองก็ทำเป็น !” หลัวซิวแสยะยิ้มออกมา เกิดเสียงดังฟึบ จากนั้นบนตัวของเขาก็ปรากฏเปลวไฟสีแดงเพลิงขึ้น

เมื่อสัมผัสได้ถึงออร่าของเปลวไฟที่แข็งแกร่งบนตัวของเขา สีหน้าของซือถูสงก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง เพราะเขาสัมผัสได้ว่า ออร่าเปลวไฟบนร่างกายของอีกฝ่าย ดูเหมือนจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าพลังจิตแท้ธาตุไฟของจักรพรรดิยุทธ์อย่างเขาเสียอีก แต่เด็กหนุ่มคนนี้ กลับเห็นได้ชัดว่ามีผลการฝึกตนเพียงแค่ระดับราชายุทธ์เท่านั้น

เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น มีคำอธิบายเพียงแค่สองแบบ คือ ถ้าไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายฝึกวรยุทธ์ธาตุไฟระดับสูง ก็ต้องเป็นเพราะคนผู้นี้ครอบครองธาตุไฟที่ทรงพลังบางอย่างอยู่

ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ไหน สำหรับผู้ฝึกพลังจิตแท้ธาตุไฟอย่างซือถูสงแล้ว ล้วนนำมาซึ่งประโยชน์อย่างมหาศาลทั้งสิ้น ทันใดนั้นแววตาของเขาก็เป็นประกายด้วยความโลภทันที

“ตายซะเถอะ !”

ซือถูสงยื่นมือไปหยิบกระบี่ยุทธ์สีแดงฉานทั้งเล่ม และลุกโชนไปด้วยเปลวไฟออกมาจากแหวนเก็บของ พลังกระบี่ธาตุไฟสองสายมีความยาวกว่าสิบเมตร กำลังพุ่งตรงเข้าโจมตีหลัวซิว

บทที่ 447 ลาก่อนเหยียนซีโรว่

บทที่ 449 เอาชนะอย่างง่ายดาย

บทที่ 447 ลาก่อนเหยียนซีโรว่
วันนี้ หลัวซิวเดินออกจากหอคอยฝึกตนในแดนปริศนา ไม่ยังสำนักเขาที่อยู่ด้านนอกแดนปริศนา

ตามเงื่อนไขที่เขาต้องการ อายุไม่เกินสามสิบปี บรรลุถึงระดับแดนฝึกจิต สามารถกลายเป็นศิษย์ในสำนักของสำนักไท่เสวียนได้ ในตระกูลสวีทั้งหมด ผู้ที่มีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไขนี้มีเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น ก็คือเด็กหนุ่มที่ชื่อสวีห้าว

ศิษย์นอกสำนัก คนของตระกูลสวีที่มีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไขมีอยู่ค่อนข้างมาก แต่ก็มีเพียงแค่สิบสามคน เมื่อรวมกับราชายุทธ์อีกเจ็ดคน ภายในสำนักเขาที่ยิ่งใหญ่ ถือได้ว่ามีจำนวนคนอยู่น้อยมาก

สำหรับคนเหล่านี้ หลัวซิวเองก็ไม่ได้ตั้งความหวังเอาไว้สูงนัก ถึงแม้เขาจะเอื้อการฝึกตนที่เหนือกว่าให้กับคนเหล่านี้ได้ แต่ท้ายที่สุดผลลัพธ์ที่ออกมาก็ยังมีข้อจำกัดอยู่ดี

มีเพียงสวีห้าวซึ่งเป็นเด็กหนุ่มที่มีพรสวรรค์มากที่สุด ที่ทำให้หลัวซิวรู้สึกภูมิใจได้เล็กน้อย

ครั้งนี้หลัวซิววางแผนจะเดินทางออกจากสำนักเขา ก่อนออกเดินทาง เขาได้ทำฮู้ขึ้นมาและมอบให้กับเหยียนเยว่เอ๋อร์ หากในช่วงที่เขาไม่อยู่ แนวค่ายกลคุ้มเขาไม่สามารถต้านทานได้ ก็ให้นำคนในสำนัก เข้าไปหลบในแดนปริศนา

ตรงทางเข้าของแดนปริศนานั้น จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำในสมัยโบราณได้ตั้งค่ายกลวิชาห้ามเอาไว้ ต่อให้มกุฎยุทธ์หลายคนร่วมมือกัน ก็ไม่อาจบุกรุกเข้าไปได้

เป้าหมายในการเดินทางของหลัวซิวครั้งนี้ก็คือเทือกเขาเหิงหยุน ที่ที่เทือกเขาเหิงหยุนตั้งอยู่ เป็นพื้นที่ที่อยู่นอกพรมแดนของประเทศเทียนหวูแล้ว

ตามที่เขาเข้าใจ บริเวณใกล้ ๆ กับเทือกเขาเทียนหยุน นอกจากสำนักไม้เสวียนแล้ว ก็ไม่มีสำนักอื่นที่แข็งแกร่งมากนัก แต่ทางตอนใต้ของเทือกเขาเหิงหยุน กลับมีแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่ที่ยิ่งใหญ่อยู่

เทือกเขาเหิงหยุนเป็นสถานที่ที่อันตราย มีอสุรกายอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ในขณะเดียวกันก็มีสมบัติล้ำค่าหายากทุกชนิดอยู่มากมาย ดังนั้นศิษย์ของแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่ จึงมักปรากฏตัวขึ้นใกล้ ๆ กับเทือกเขาเหิงหยุนอยู่บ่อยครั้ง

บางครั้งหลัวซิวก็อาศัยค่ายวาร์ปขององค์กรนักล่ายุทธ์ในแต่ละเมือง บางครั้งก็ใช้วิชาเหาะเหินเดินฟ้า ใช้เวลาอยู่หลายวันจึงจะเดินทางมาถึงเชิงเขาของเทือกเขาเหิงหยุนได้

เขาเห็นนักยุทธ์หลายคนกำลังรวมกลุ่มกันเพื่อเข้าไปในป่าลึก นักยุทธ์ที่มาเพียงลำพัง น้อยคนนักที่จะกล้าบุกเข้าไปหาสมบัติล้ำค่าภายในป่าเพียงคนเดียว เพราะนอกจากการคุกคามจากอสุรกายแล้ว ที่อันตรายที่สุดก็คือ นักล่าที่คอยตามฆ่านักยุทธ์ที่มาจากที่อื่น !

ฆ่าคนเพื่อปล้นสมบัติ เป็นวิธีการทำเงินที่รวดเร็วที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย โดยเฉพาะในถิ่นทุรกันดาร หลังจากฆ่าคนแล้ว ก็ทิ้งศพเอาไว้ในป่า ซึ่งยากที่จะสอบสวนได้

ในบรรดานักยุทธ์เผ่าพันธุ์มนุษย์ มีคนเฉพาะกลุ่มเช่นนี้อยู่ ที่อาศัยการฆ่าคนเพื่อปล้นสมบัติมาสร้างฐานะทีละนิด ๆ

หากพูดอย่างจริงจัง หลัวซิวเองก็เป็นคนประเภทนี้ด้วยเช่นกัน เพียงแต่เขาไม่ได้มุ่งร้ายที่จะฆ่าคนเพื่อปล้นสมบัติ อย่างไรก็ตาม ยอดฝีมือที่ตายด้วยน้ำมือของเขาก็มีอยู่ไม่น้อย และทรัพยากรสมบัติมากมายที่เขาได้รับนั้น ถือว่ามั่งคั่งยิ่งกว่าผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์อีกเป็นจำนวนมาก

หลัวซิวเองก็ยังไม่รู้แน่ชัดว่า ภายในเทือกเขาเหิงหยุนแห่งนี้ เขาจะสามารถหาวัสดุอย่างดินดำเหลืองได้จากที่ไหนกันแน่ เขาต้องการจะซื้อบางส่วนผ่านทางองค์กรนักยุทธ์ แต่กลับหาซื้อไม่ได้

ดังนั้น เขาจึงต้องมาเดินสำรวจภายในป่า และได้พบเข้ากับการต่อสู้ระยะประชิดด้วยตาของเขาเอง

การต่อสู้มีคนทั้งสิ้นแปดคน ฝ่ายหนึ่งสามคน อีกฝ่ายหนึ่งห้าคน

แต่ผลสุดท้ายกลับไม่ใช่ห้ารุมสาม ทว่าเป็นสามคนนั้น ที่จัดการฝ่ายตรงข้ามทั้งห้าคนจนหมดเรี่ยวแรงที่จะตอบโต้

ที่จริงแล้วต้องพูดว่าสองคนถึงจะถูก ที่จัดการฝ่ายตรงข้ามทั้งห้าคนจนถอยร่นไป ยังมีอีกคนที่ไม่ได้ลงมือ แต่กลับยืนกอดอกและแสยะยิ้มมองดูการต่อสู้

ถึงแม้คนผู้นี้จะไม่ได้ลงมือ แต่กลับทำให้ฝ่ายตรงข้ามทั้งห้าคน สัมผัสได้ถึงความกดดันมหาศาล

สายตาของหลัวซิวจับจ้องไปที่คนผู้นี้ พบว่าคนที่ไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้เป็นผู้ชายในชุดคลุมยาวดำ ในร่างกายมีพลังจิตแท้หมุนเวียนอยู่ ที่แท้เป็นแรงกดดันอันน่าเกรงขามของจักรพรรดิยุทธ์ ที่ทำให้ฝ่ายตรงข้ามทั้งห้าคนต้องเหงื่อไหลจนอาบหน้าผาก

ทั้งห้าคนนี้ สองคนเป็นราชายุทธ์ขั้นปฐมภูมิ ส่วนอีกสามคนเป็นผู้ฝึกจิตช่วงปลาย

ต่อให้ฝ่ายตรงข้ามของพวกนางจะมีแค่สองคน แต่ทั้งสองนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นราชายุทธ์ช่วงกลาง

ความแข็งแกร่งของทั้งสองฝ่ายต่างระดับกัน ราชายุทธ์ช่วงกลางเพียงคนเดียว ก็สามารถจัดการกับราชายุทธ์ขั้นปฐมภูมิสองคนจนหมดเรี่ยวแรงที่จะตอบโต้ได้แล้ว ส่วนราชายุทธ์ช่วงกลางที่เหลืออีกหนึ่งคน ดูราวกับแมวที่กำลังวิ่งหยอกล้ออยู่กับหนู ทำให้ผู้ฝึกจิตช่วงปลายทั้งสามคน หมดหนทางที่จะหนีรอดไปได้

คนของทั้งสองฝ่าย ฝ่ายที่มีกำลังคนน้อย ล้วนแต่งกายด้วยชุดคลุมยาวดำ ส่วนฝ่ายที่มีกำลังคนมาก ล้วนแต่งกายด้วยชุดคลุมยาวสีขาว จึงเห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจน

ตอนนั้นเอง สายตาของหลัวซิวก็หยุดนิ่งอย่างกะทันหัน เพราะในบรรดาห้าคนที่แต่งกายสีขาว เขาเห็นผู้หญิงคนหนึ่งแต่งกายด้วยชุดกระโปรงสีขาว ดูราวกับนางฟ้าตกสวรรค์ มีใบหน้าที่งดงาม ในมือถือกระบี่อยู่หนึ่งเล่ม และมีกระบี่สะพายหลังอีกหนึ่งเล่ม

“เหยียนซีโรว่ ?” ความทรงจำปรากฏขึ้นในหัวอย่างรวดเร็วราวกับมีน้ำถังใหญ่สาดเข้ามา

หลายปีมานี้มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย จนทำให้หลัวซิวแทบจะลืมคนผู้นี้ไปแล้ว แต่เขากลับจดจำได้อย่างชัดเจนว่า ผู้หญิงคนนี้คือความมุ่งมั่นที่เขาไม่อาจลืมเลือนได้ ต่อให้ต้องผ่านวัฏจักรมาอย่างไม่รู้จบ

เมื่อเห็นเหยียนซีโรว่ หลัวซิวก็เข้าใจในทันทีว่า คนชุดขาวกลุ่มนี้ น่าจะเป็นคนของสำนักไป๋ซิงกู่

เพราะเขาจำได้ว่า เหยียนซีโรว่เป็นศิษย์ของสำนักไป๋ซิงกู่

“เช้ง !”

ในตอนนี้เอง ไป๋หุ้ยเหลียนผู้เป็นอาจารย์ของเหยียนซีโรว่ ปรากฏขึ้นที่ข้างตัวนางอย่างรวดเร็วจากนั้นจึงดึงกระบี่ยุทธ์ที่อยู่ด้านหลังของนางออกมา

“นี่เป็นกระบี่ยุทธ์ขั้นดินกลาง หวังว่าท่านทั้งสามจะยอมปล่อยคนของสำนักไป๋ชิงกู่ของเราไป”

ไป๋หุ้ยเหลียนโยนกระบี่ยุทธ์ให้ราชายุทธ์ช่วงกลางทั้งสองที่ยืนเผชิญหน้ากันอยู่

“อาจารย์……”

เหยียนซีโรว่กำลังจะเอ่ยปากพูดบางอย่าง แต่กลับถูกไป๋หุ้ยเหลียนจ้องตาเขม็ง และกระบี่ยุทธ์เล่มนี้ คือสิ่งที่หลัวซิวมอบให้แก่นางในตอนนั้น

“กระบี่ยุทธ์สำคัญ หรือว่าชีวิตของคนสำนักไป๋ซิงกู่ของเราสำคัญกว่ากันแน่ ?”

เหยียนซีโรว่เข้าใจความหมายของอาจารย์ดี สิ่งที่นางสนใจไม่ใช่ตัวกระบี่ยุทธ์ แต่เป็นเพราะกระบี่ยุทธ์เล่มนี้ หลัวซิวเป็นคนมอบให้

“อาจารย์ ต่อให้เราจะมอบกระบี่ยุทธ์ให้กับพวกเขา คนพวกนี้ก็ไม่มีทางปล่อยเราไปอยู่ดี” เหยียนซีโรว่กัดฟันพูด

ชายชุดคลุมยาวดำที่ยืนกอดอกอยู่ในที่ไกล ๆ โดยไม่ลงมือก่อนหน้านี้ เมื่อได้ยินดังนั้นก็หัวเราะออกมาเสียงดังทันที “แม่นางผู้นี้พูดถูก แค่กระบี่ยุทธ์ขั้นดินกลางเล่มเดียว ไม่ได้อยู่ในสายตาของข้า ซือถูสงเลยแม้แต่น้อย”

ขณะที่พูด ซือถูสงก็ชี้นิ้วไปที่เหยียนซีโรว่ “สำนักไป๋ซิงกู่เป็นสำนักเล็ก ๆ จากที่ไหนกัน ข้าไม่เห็นจะเคยได้ยินชื่อมาก่อน แต่ขอแค่พวกเจ้ายอมทิ้งผู้หญิงคนนี้เอาไว้ คนอื่น ๆ ข้า ซือถูสง จะยอมละเว้นพวกเจ้าสักครั้ง”

เมื่อได้ยิน สีหน้าของเหยียนซีโรว่ก็ซีดเผือดทันที แววตาของอีกฝ่ายดูราวกับหมาป่าที่ดุร้าย เห็นได้ชัดเจนว่าการรั้งตนเองเอาไว้ ต้องไม่ใช่เจตนาดีอย่างแน่นอน

ผู้นำของสำนักไป๋ซิงกู่ก็คือไป๋หุ้ยเหลียน เมื่อได้ยินชื่อของซือถูสง นางก็หน้าถอดสีทันที และแอบคิดในใจว่าช่างโชคร้ายเสียจริง ๆ ทำไมถึงพบเข้ากับปีศาจร้ายเช่นนี้ได้

ในพื้นที่เทือกเขาเหิงหยุน ซือถูสงถือว่าเป็นบุคคลที่เลื่องชื่อด้านวิชามาร เขาฝึกวิชามารโดยใช้ธาตุหยินเข้ามาเสริมธาตุหยาง ปกติแล้วหญิงสาวที่ถูกเขาดูดซับพลังจิต ล้วนมีจุดจบที่น่าเวทนา อีกทั้งปีศาจตนนี้ชอบสาวงาม และดูเหมือนว่าจะถูกใจในใบหน้าที่งดงามของเหยียนซีโรว่เข้าแล้ว

“ผู้อาวุโสซือถู นางเป็นศิษย์ของสำนักไป๋ซิงกู่ที่เตรียมจะส่งไปยังแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่ ขอให้ผู้อาวุโสได้โปรดเห็นใจ” ไป๋หุ้ยเหลียนพูดอย่างสุภาพนอบน้อม

ในฐานะที่เป็นราชายุทธ์ ในอาณาเขตของประเทศเทียนหวูซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักไป๋ซิงกู่ เรียกได้ว่าเป็นยอดฝีมือที่ยิ่งใหญ่ แต่สำหรับที่เทือกเขาเหิงหยุน กลับไม่มีความสำคัญอะไรเลย

บทที่ 446 แผนการของหลัวซิว
“สำนักเขาใช้ชื่อว่าไท่เสวียน ข้าว่าพวกเจ้าทุกคน คงจะพอเดาอะไรออกบ้างแล้วนะ” หลัวซิวมองลงมาแล้วยิ้มเล็กน้อย

“แดนปริศนาตำหนักจื่อ เดิมทีคือหนึ่งในแดนปริศนาของสำนักไท่เสวียนในสมัยโบราณ ข้าสร้างสำนักเขาขึ้นที่นี่ อันที่จริงแล้วก็ไม่ถือว่าเป็นการก่อตั้งสำนัก แต่ถือว่าเป็นการสืบทอดเจตนารมณ์ของสำนักไท่เสวียน”

“สองปีก่อน ภายในถ้ำคีตโลกแห่งนั้น ข้าได้รับมรดกจากผู้แข็งแกร่งในสมัยสำนักไท่เสวียนโบราณท่านหนึ่ง”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ แววตาของสวีจิงเหนียนก็เป็นประกายขึ้นมาทันที

ความคิดของเขานั้นง่ายมาก ในเมื่อหลัวซิวได้รับมรดกจากผู้แข็งแกร่งสมัยโบราณ เช่นนั้นหากตนเองคอยติดตามเขา ก็คงจะต้องได้รับประโยชน์บ้างสิ ?

คนอย่างสวีจิงเหนียนผู้นี้ จะจัดการให้อยู่ในสำนักไท่เสวียนอย่างไรนั้น หลัวซิวมีแผนการอยู่ในใจเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ยังไม่พูดออกมา

สำนักเขาเพิ่งสร้างขึ้นครั้งแรก ไม่มีผู้มีพรสวรรคืสักคน การพัฒนาต่อไปในอนาคต ยังถือเป็นกระบวนการที่ยาวนานแล้วต้องค่อยเป็นค่อยไป

ภายในระยะเวลาสั้น ๆ หลัวซิวรู้ดีว่า เป็นการยากที่สำนักจะให้ความช่วยเหลือแก่ตนเองได้ แต่ในทางตรงกันข้าม ส่วนมากต้องเป็นเขาที่คอยปกป้องสำนักเอาไว้

อย่างไรก็ตาม ความตั้งใจเดิมในการสร้างกองกำลังของเขา ก็เพื่อที่จะปกป้องคนใกล้ชิดของตนเองในผืนดินที่กว้างใหญ่แห่งนี้ ขอเพียงแค่สำนักไท่เสวียนสามารถยืนหยัดอยู่ในประเทศเทียนหวู่ได้อย่างมั่นคง เรื่องในอนาคต ตนเองคงไม่จำเป็นต้องกังวลมากนัก

“ในเมื่อสำนักเขาสร้างสำเร็จแล้ว ไม่ทราบว่าท่านเจ้าสำนักวางแผนจะเปิดสำนักเขาเมื่อไหร่ ?” สวีจิงเหนียนเอ่ยถาม

คำที่เขาใช้เรียกหลัวซิว เปลี่ยนจากท่านชายหลิวในเมื่อก่อน มาเป็นเจ้าสำนักแทนแล้ว

การเปิดสำนักเขา อันที่จริงแล้วก็เพื่อเป็นการประกาศให้โลกรู้ถึงการมีอยู่ของสำนักไท่เสวียน ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน การก่อตั้งสำนักทุกแห่ง ล้วนแล้วแต่ต้องเชิญกองกำลังที่มีชื่อเสียงโดยรอบ หรือไม่ก็ยอดฝีมือของโลกยุทธ์มาร่วมแสดงความยินดี แขกที่มาร่วมงานต่างมีฐานะที่สูงส่ง ยิ่งมีความแข็งแกร่งมากเท่าไร ก็จะยิ่งทำให้เห็นถึงความมั่นใจและไม่ธรรมดาของกองกำลังใหม่ได้เด่นชัดเจนขึ้น

“ตอนนี้ยังไม่รีบร้อนที่จะเปิดสำนักเขา ส่วนจะเปิดสำนักเขาเมื่อไหร่นั้น ข้าจะเป็นผู้คำนวณด้วยตนเอง” หลัวซิวพูดเช่นนี้

จากนั้น หลัวซิวก็หันไปมองสวีจิงเหนียนอีกครั้ง แล้วค่อย ๆ มีผลการฝึกตนอยู่ในแดนฝึกจิต ก็สามารถเป็นลูกศิษย์ในสำนักไท่เสวียนของข้าได้ หากมีผลการฝึกตนอยู่ในแดนพรสวรรค์ สามารถเป็นศิษย์นอกสำนักได้”
“ส่วนผู้ที่มีผลการฝึกตนถึงระดับแดนราชายุทธ์ที่เจ้าพามา ตอนนี้ให้เป็นผู้ดูแลนอกสำนักเป็นการชั่วคราว และจะได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกับศิษย์ในสำนัก”

ราชายุทธ์ที่ยืนอยู่ด้านหลังของสวีจิงเหนียนเหล่านั้น คิดไม่ถึงเลยว่าพวกของตนเองจะถูกจัดให้เป็นเพียงแค่ผู้ดูแลด้านนอกสำนักตัวเล็ก ๆ เท่านั้น และได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกับศิษย์ในสำนัก แต่ละคนต่างก็ขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

เมื่อก่อนตอนที่พวกเขาอยู่ในตระกูลสวี นอกจากอาจารย์จักรพรรดิยุทธ์แล้ว ก็ถือว่าพวกเขามีฐานะสูงสุด จึงไม่ยอมจำนนต่อผู้อื่นโดยง่ายเป็นธรรมดา

“ทำไม พวกเจ้าไม่พอใจการจัดการของเจ้าสำนักอย่างนั้นหรือ ?” สวีจิงเหนียนหันกลับไปมองคนเหล่านี้ แล้วตำหนิด้วยเสียงดุดัน

“มิกล้าครับ” เมื่อต้องเผชิญหน้ากับอำนาจอันแข็งแกร่งของผู้เป็นอาจารย์ ราชายุทธ์ของตระกูลสวีเหล่านี้ ย่อมไม่กล้าขัดขืนแม้แต่น้อย

“หึ อย่าคิดว่าข้าไม่รู้นะว่าในใจของพวกเจ้าคิดอะไรอยู่ หากใครคิดว่าการอยู่ต่อในสำนักไท่เสวียน ทำให้ตนเองต้องรู้สึกไม่เป็นธรรม ก็จงไสหัวกลับเมืองเทียนหวูไปซะ แต่ถ้าใครเลือกที่จะอยู่ต่อ ก็จะต้องจงรักภักดีต่อสำนัก ไม่เช่นน้าข้าจะเป็นคนแรกที่ไม่ละเว้นเขา !”

เมื่อหลัวซิวได้ยินสวีจิงเหนียนพูดเช่นนี้ เขาก็แสยะยิ้มออกมาทันที เขารู้ดีว่า สวีจิงเหนียนต้องการแสดงสิ่งนี้ต่อหน้าเขา อันที่จริงแล้วก็เพื่อแสดงท่าทีของเขาที่มีต่อตนเองให้รับรู้

แต่หลัวซิวกลับไม่ได้ใส่ใจ คนคนหนึ่งจะจงรักภักดีต่อสำนักหรือไม่ ต่อไปจะต้องมีโอกาสแสดงให้เห็นอย่างแน่นอน ไม่ใช่เรื่องที่ต้องรีบร้อน

ตระกูลสวี นอกจากอาจารย์จักรพรรดิยุทธ์สวีจิงเหนียนผู้นี้แล้ว อีกเจ็ดคนที่เหลือด้านหลังเขา ล้วนเป็นผู้ที่มีผลการฝึกตนระดับราชายุทธ์ ในนั้นผู้ที่มีผลการฝึกตนในระดับสูงสุดก็คือแดนราชายุทธ์ขั้น 4

อันที่จริงแล้วในสายตาของหลัวซิว อย่าว่าแต่ราชายุทธ์ทั้งเจ็ดคนนี้เลย ต่อให้รวมสวีจิงเหนียนอยู่ในนั้นด้วย อันที่จริงแล้วก็ไม่ถือว่ามีศักยภาพสักเท่าไหร่นัก เพราะเวลาที่คนเหล่านี้ฝึกตน อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาเกือบหนึ่งร้อยปี โดยเฉพาะสวีจิงเหนียนผู้นั้น ที่มีอายุไขเหลืออยู่อีกไม่มากแล้ว หากภายในหนึ่งร้อยปีไม่สามารถบรรลุถึงแดงมกุฎยุทธ์ได้ ก็คงทำได้เพียงแค่รอให้อายุไขค่อย ๆ หมดลง และนั่งจากไปอย่างสงบ
แต่หลัวซิวเองก็จนปัญญา เขาคงไม่สามารถอยู่ตามลำพังตัวคนเดียว หลังจากที่สร้างสำนักเสร็จได้หรอกจริงไหม ? หากมีสวีจินเหนียนคอยดูแลคนพวกนี้ อย่างน้อยก็ทำให้บรรยากาศทุกอย่างเติมเต็มขึ้นได้

“ขอให้ผู้อาวุโสสวีช่วยทำหน้าที่ผู้คุมกฎของสำนักไท่เสวียนเราเป็นการชั่วคราว ไม่ทราบว่าคิดเห็นอย่างไร ?” หลังซิวพูดขึ้นอีก

ตำแหน่งผู้คุมกฎภายในสำนัก ถือเป็นตำแหน่งที่สูง และมีฐานะเป็นรองเพียงผู้อาวุโสเท่านั้น

สวีจิงเหนียนผงะไปเล็กน้อย จากนั้นจึงตั้งสติกลับมาได้ พร้อมเผยรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้า “ทั้งหมดแล้วแต่ท่านเจ้าสำนักจะตัดสินใจ”

อันที่จริงแล้วสิ่งที่สวีจิงเหนียนคำนวณเอาไว้ก็คือ ไม่ว่าอย่างไรตนเองก็น่าจะได้รับตำแหน่งผู้อาวุโส แต่คิดไม่ถึงเลยว่า สุดท้ายแล้วจะได้เป็นเพียงแค่ผู้คุมกฎคนหนึ่ง

ผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ ถึงแม้จะอยู่ท่ามกลางกองกำลังที่ยิ่งใหญ่อย่างสำนักเสวียนหยาง ก็เพียงพอที่จะเป็นผู้อาวุโสได้

ตามที่เขารู้มา สำนักไม่เสวียนมาการสร้างจวนของผู้คุมกฎเอาไว้สิบแปดหลัง หรือว่าเจ้าหลัวซิวผู้นี้ จะใช้ผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์จำนวนสิบแปดคนมาเป็นผู้คุมกฎ ?

อย่างนั้นไม่เท่ากับว่า ผู้อาวุโสของสำนักไท่เสวียน อย่างน้อยจะต้องมีผลการฝึกตนอยู่ในระดับมกุฎยุทธ์อย่างนั้นหรือ ?

เจ้าหลัวซิวผู้นี้กำลังล้อเล่นอะไรอยู่กันแน่ ?

สวีจิงเหนียนรู้สึกงุนงง เขาคิดไม่ออกจริง ๆ ว่าหลัวซิวไปเอาความมั่นใจเช่นนี้มาจากไหน ?

สิ่งที่สวีจิงเหนียนคิดอยู่ในใจก็คือ หลัวซิวไม่ได้คิดที่จะใส่ใจทรัพยากรการฝึกตนของสำนัก และเริ่มที่จะเปิดสู่โลกภายนอก ส่วนเงื่อนไขของศิษย์นอกสำนักและในสำนัก เขาได้บอกสวีจิงเหนียนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว และปล่อยเขาเป็นคนจัดการทั้งหมด

หอคอยฝึกตนทั้งเก้าหลังภายในแดนปริศนา ตอนนี้หลัวซิวเปิดให้สวีจิงงเหนียนเพียงผู้เดียวเท่านั้น อีกทั้งยังสัญญาด้วยว่าทุกเดือนจะมอบยาระดับ6 ให้เขาหนึ่งเม็ด เพื่อใช้สำหรับฝึกตน

ทว่า ภายในสำนัก คนที่ต้องการใช้ยาในการฝึกตนไม่ได้มีเพียงสวีจิงเหนียนเพียงคนเดียวเท่านั้น เป็นไปไม่ได้ที่ยาทั้งหมดที่ทุกคนจะใช้สำหรับฝึกตน หลัวซิวจะเป็นคนกลั่นออกมาด้วยตนเอง

หลัวซิวอดไม่ได้ที่จะนึกถึงแก๊งนักกลั่นยาของเมืองซานหยวน โอวโหเหลียง

จะว่าไปแล้ว ที่หลัวซิวได้รู้จักกับสวีจิงเหนียนก็เป็นเพราะโอวโหเหลียงผู้นี้ เป็นปรมาจารย์กลั่นยาขั้นที่ 4 ที่หลงใหลในวิถียาอย่างมาก หากสามารถดึงเขามาได้ นับว่าเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการพัฒนาในก้าวแรกของสำนักไท่เสวียน

อย่างน้อยยาที่อยู่ในขั้น 4 ลงไป หลัวซิวก็ไม่จำเป็นจะต้องกลั่นด้วยตนเอง

เขาบอกความคิดนี้กับสวีจิงเหนียน อย่างไรก็ตามสวีจิงเหนียนถือเป็นผู้มีพระคุณของโอวโหเหลียง หากให้เขาออกหน้า คิดว่าคงมีโอกาสดึงโอวโหเหลียงมาเข้าร่วมได้มากกว่า

และสวีจิงเหนียนก็ไม่ทำให้หลัวซิวต้องผิดหวังจริง ๆ โอวโหเหลียงรับปากแล้ว อีกไม่กี่วันก็จะออกเดินทางมาถึงสำนักไท่เสวียน

หลัวซิวทิ้งป้ายบัญชาการเอาไว้ ทันทีที่โอวโหเหลียงมาถึงสำนักไท่เสวียน ก็สามารถใช้ป้ายบัญชาการแผ่นนี้ในการเข้าหอกลั่นยาได้

ภายในหอกลั่นยา หลัวซิววางม้วนหยกที่บันทึกประสบการณ์ในการกลั่นยารวมไปถึงตำรับยาหายากต่าง ๆ เอาไว้

แต่ว่าม้วนหยกเหล่านี้ หลัวซิวเองก็ได้กำหนดสิทธิ์เอาไว้ ป้ายบัญชาการที่เขาทิ้งเอาไว้ให้กับโอวโหเหลียง สามารถศึกษาได้ถึงยาระดับ 4 และระดับ 5 บางชนิดเท่านั้น

ถึงกระนั้น หากมีสิ่งเหล่านี้ ขอเพียงแค่โอวโหเหลียงไม่ขาดพรสวรรค์จนเกินไป ก็จะสามารถยกระดับการกลั่นยาของตนเองได้อย่างรวดเร็วแน่นอน และกลายเป็นปรมาจารย์กลั่นยาขั้น 5

สำหรับโอวโหเหลียงนั้น หลัวซิวมอบตำแหน่งผู้ดูแลหอกลั่นยาให้แก่เขา ซึ่งมีฐานะเทียบเท่ากับศิษย์ในสำนัก

บทที่ 445 เริ่มต้นใหม่
สำหรับเหยียนเยว่เอ๋อร์แล้ว หลัวซิวไม่มีเรื่องที่สงวนเอาไว้หรือปิดบังเป็นความลับเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นวิชาท่าร่างบรรลุมังกรเขียว วิชายิ่งเลิศพลังแปรเสวียนเทียน เขาก็ถ่ายทอดให้อีกฝ่ายทั้งหมด

การปิดขังครั้งก่อนใช้เวลาไม่นานนัก ตั้งแต่ราชายุทธ์ขั้น 4 จนบรรลุไปถึงขั้น 5 อันที่จริงแล้วหลัวซิวรู้ดีว่า ไม่ใช่เพราะการฝึกตนของตนเองนั้นรวดเร็วราวกับติดปีก แต่เป็นเพราะเมื่อก่อนตอนที่เขาอยู่ในแดนนานาอสูร หลังจากที่เขากลืนกินยาโลหิตที่ได้มาลงไปแล้ว มีพลังงานส่วนใหญ่ที่ไม่สามารถกลั่นแปรได้ และถูกเก็บสะสมอยู่ในร่างกาย

หลังจากที่ได้รับวิชาฝึกจิตไท่เสวียนจากหอคอยมังกรบินชั้นที่ 9 พลังงานที่สะสมอยู่ในร่างกายนี้ก็ถูกกลั่นแปรและดูดรับอย่างรวดเร็ว นี่จึงทำให้สามารถบรรลุได้อย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาอันสั้น

การก่อสร้างสำนักเขาด้านนอกแดนปริศนาเกือบจะเสร็จสิ้นลงแล้ว ในช่วงนี้หลัวซิวเองก็กำลังทำความเข้าใจกับความลับของค่ายกลขั้น 7 โดยมีจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำคอยชี้แนะ

แนวค่ายกลคุ้มเขาที่เขาตั้งยังมีข้อบกพร่องอยู่ สาเหตุหลักเป็นเพราะระดับผลการฝึกตนของเขาไม่เพียงพอ ยังต้องการการยกระดับอีก จึงจะสามารถปกป้องสำนักเขาไม่ให้ถูกผู้อื่นมาทำลายได้

แต่การยกระดับกระแสค่ายกล ไม่ใช่จะอาศัยเพียงแค่ระดับของค่ายกลที่บรรลุตามเงื่อนไขเท่านั้น เรื่องของวัสดุในการตั้งค่ายกลเอง ก็มีเงื่อนไขที่สูงขึ้นเช่นกัน

วัสดุระดับ 7 บริเวณโดยรอบประเทศเทียนหวู ถือได้ว่าเป็นสมบัติล้ำค่าหายาก ถึงแม้จะมีหินพลังจิตที่มากพอ ก็ใช่ว่าจะสามารถหาซื้อสมบัติที่ตนเองปรารถนาได้

เมื่อไม่มีทางเลือก หลัวซิวจึงตัดสินใจออกตามหาด้วยตนเอง เขาต้องการยกระดับกระแสของค่ายกลคุ้มเขาให้สูงขึ้น หากเป็นเช่นนี้ ต่อให้ไม่มีเขาคอยนั่งดำรงตำแหน่งเจ้าสำนักด้วยตนเอง อาศัยเพียงแค่พลังของค่ายกล ก็สามารถขัดขวางผู้บุกรุกที่เป็นผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎยุทธ์ได้อย่างง่ายดาย

หลัวซิวรู้ดีว่า ตนเองไม่สามารถอยู่รักษาการตำแหน่งเจ้าสำนักที่สำนักเขาได้ตลอดไป ดังนั้นการยกระดับกระแสค่ายกลจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ

จากข้อมูลที่ได้รับจากองค์กรนักล่ายุทธ์ หลัวซิวได้รู้จักกับวัสดุระดับ 7 ประเภทหนึ่งที่ชื่อว่าดินดำเหลือง ซึ่งเคยปรากฏขึ้นที่เทือกเขาเหิงหยุนมาก่อน

เทือกเขาเหิงหยุนตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศเทียนหวู เป็นป่าภูเขาดั้งเดิมที่โบราณและกว้างใหญ่ มีอสุรกายหลับใหลอยู่ภายในป่าภูเขานับไม่ถ้วน ได้ยินว่าเป็นฐานที่มั่นแห่งหนึ่งของตระกูลมาร

ตระกูลมาร คืออสุรกายที่มีความสามารถในการกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ ยิ่งเป็นอสุรกายที่มีศักยภาพในการเติบโตมากขึ้น ก็จะกลายเป็นตระกูลมารได้เร็วขึ้น ยกตัวอย่างเช่นหลงหมิง หลังจากที่บรรลุถึงขั้นที่ 5 แล้ว ก็กลายร่างเป็นมนุษย์ได้

ตระกูลมารมีอยู่จำนวนไม่มาก แต่ทุกตนล้วนมีพลังที่แข็งแกร่ง เพราะตระกูลมารจำนวนมากจะมีความสามารถในการกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ หลังจากบรรลุขั้นที่ 7 ขึ้นไป

จากเบาะแสบางอย่างที่ซ่อนอยู่ หลัวซิวเข้าใจถึงรูปแบบของโลกแสงดาวในตอนนี้แล้ว มีสถานะแบบไตรภาคี ได้แก่ มนุษย์ ปีศาจ และอสุรกาย

เผ่าพันธุ์ของมนุษย์ ถือเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีจำนวนมากที่สุดในบรรดาสามเผ่าพันธุ์อย่างไม่ต้องสงสัย ส่วนตระกูลมารมีจำนวนน้อยที่สุด แต่ตระกูลแต่ละตนนั้นต่างมีพลังที่แข็งแกร่ง อีกทั้งยังสามารถควบคุมอสุรกายได้อีกด้วย และทำให้เกิดการแพร่พันธุ์ของสัตว์ร้ายขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงประมาทไม่ได้

หลัวซิวเองก็เคยทำความเข้าใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์หลังสมัยโบราณมาบ้าง ทั้งสามเผ่าพันธุ์เคยเกิดสงครามครั้งใหญ่ที่น่าตกใจมาก่อน เป็นเพราะการเข่นฆ่าที่น่าเศร้าในครั้งนั้น ทำให้โลกในทุกวันนี้ถูกทำลายพลังจิตลงไปมากมาย สิ่งที่เอื้อต่อการฝึกตน จึงไม่มากเท่าสมัยโบราณ

ฐานที่มั่นของตระกูลมาร สำหรับนักยุทธ์เผ่าพันธุ์มนุษย์แล้ว ถือเป็นสถานที่ที่น่ากลัวอย่างไม่ต้องสงสัย ถึงแม้เมื่อหลายหมื่นปีก่อน เผ่าพันธุ์มนุษย์และตระกูลมารจะมีการทำข้อตกลงระหว่างกันได้สำเร็จ ว่าจะไม่เกิดการต่อสู้กันขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม เผ่าพันธุ์ต่างกัน ความรู้สึกนึกคิดก็ย่อมต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ ตระกูลมาร หรือว่าเผ่าพันธุ์อสุรกาย ส่วนเผ่าพันธุ์อื่น ๆ ล้วนแล้วแต่เป็นศัตรูทั้งสิ้น

แม้แต่เผ่าพันธุ์เดียวกันก็ยังเข่นฆ่ากันเองเพื่อผลประโยชน์ แล้วจะนับประสาอะไรกับเผ่าพันธุ์อื่น ?

ดังนั้นจากบันทึกข้อมูลภายในขององค์กรนักล่ายุทธ์ เทือกเขาเหิงหยุน ถือเป็นสถานที่ที่วุ่นวายอย่างมากแห่งหนึ่งในอาณาจักรใต้

บริเวณใกล้กับเทือกเขาเหิงหยุน มีสำนักของเผ่าพันธุ์มนุษย์แห่งหนึ่ง ชื่อว่าสำนักไม้เสวียน เป็นสำนักกลั่นยาแห่งหนึ่ง ดังนั้นจึงได้สร้างสำนักเขาเอาไว้ใกล้ ๆ กับเทือกเขาหยุนเหิง นั่นเป็นเพราะเห็นความสำคัญของตัวยาที่อุดมสมบูรณ์ภายในป่าภูเขา รวมไปถึงทรัพยากรสำหรับฝึกตน

ในอาณาจักรใต้ มีเพียงแค่เทือกเขาเหิงหยุนเท่านั้นที่เคยปรากฏดินดำเหลืองขึ้น นี่ถือเป็นวัสดุที่ค่อนข้างพิเศษ มีเพียงแค่การนำวัสดุชนิดนี้กลั่นแปรเข้าไปในค่ายกล จึงจะสามารถเพิ่มพลังในการป้องกันของค่ายกลคุ้มเขาระดับ 7 ได้

เมื่อเทียบกับความสามารถในการโจมตีของค่ายกลคุ้มเขา หลัวซิวให้ความสำคัญกับพลังในการป้องกันมากกว่า เพราะการป้องกัน หลายครั้งก็มีประโยชน์ยิ่งกว่าการโจมตี

ทันทีที่เกิดความคิด หลัวซิวก็สัมผัสได้ถึงยาเทพจิตที่อยู่ในจุดตันเถียน ตอนนี้ยาเทพจิตของเขามีขนาดเท่า ๆ กับกำปั้นของเด็กทารกแล้ว ครึ่งหนึ่งสีดำ ครึ่งหนึ่งสีขาว ส่องแสงสีม่วงเข้มออกมา และมีแสงสีทองประกายอ่อน ๆ

โดยปกติแล้ว ขอเพียงแค่ผลการฝึกตนบรรลุถึงราชายุทธ์แดนขั้นสูงขั้น 6 ก็จะสามารถสลายยาม่วงได้อย่างสมบูรณ์ และกลายสภาพเป็นยาทองได้สำเร็จ รอจนกระทั่งบรรลุราชายุทธ์ขั้น 9 แล้ว ยาทองจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างอื่นขึ้นอีกหรือไม่ เรื่องนี้ก็ไม่อาจรู้ได้

เวลาค่อย ๆ ผ่านไปโดยไม่รู้ตัว

หลังจากใช้เวลาสร้างนานกว่าหนึ่งเดือน สำนักเขาด้านนอกแดนปริศนาก็ถือว่าแล้วเสร็จเสียที

นอกจากแดนปริศนาแล้ว ยังมีเขาอีกแปดลูกล้อมอยู่โดยรอบ ส่วนตรงกลาง คือพิกัดทางเข้าแดนปริศนา

รอบนอกสุดของสิ่งก่อสร้างชุดนี้ก็คือนอกสำนัก มีการสร้างบ้านที่มีห้องใต้หลังคาเอาไว้จำนวนมาก รวมไปถึงพื้นที่ฝึกตนด้วย

ถัดเข้ามาก็คือในสำนัก ศิษย์ที่อยู่ในสำนักทุกคนต่างมีที่พักส่วนตัว เพราะเป็นการสร้างสำนักเขาขึ้นเป็นครั้งแรก ดังนั้นที่อยู่ของศิษย์ในสำนักจึงมีไม่ถึงหนึ่งร้อยหลัง เมื่อเทียบกันแล้ว นอกสำนักมีค่อนข้างมาก ราว ๆ สองร้อยกว่าหลัง

แต่หลัวซิวเองก็ไม่รีบร้อน ต่อไปหากมีคนจำนวนมาก รอให้สถานการณ์ทุกอย่างสงบนิ่งแล้ว ก็สามารถขยับขยายเพิ่มเติมได้อีก ส่วนในช่วงสั้น ๆ นี้ คงยังไม่รับคนเข้ามามากนัก

ส่วนเรื่องการพัฒนาสำนักไท่เสวียนในอนาคต หลัวซิววางแผนที่จะเลือกรับเฉพาะลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์เท่านั้น ถึงแม้เขาจะพาคนจากตระกูลสวีมาไม่น้อย แต่คนที่จะเข้ามาในสำนักไท่เสวียนได้นั้น กลับมีอยู่ไม่มาก

ด้านหลังในสำนัก มีจวนอยู่สิบแปดหลัง เพื่อเป็นที่อยู่ของผู้คุมกฎ

ด้านหลังของจวนทั้งสิบแปดหลัง มีหอคอยอีกสามหลัง เพื่อเป็นที่ฝึกตนสำหรับผู้อาวุโสทั้งสาม

ถัดไปทางด้านหลังอีก เป็นห้องโถงใหญ่ของเจ้าสำนัก โถงวัฏจักร และมีห้องโถงแบ่งออกอีกสองด้านซ้ายขวา ได้แก่โถงเป็นและโถงตาย !

วังทั้งสามหลังนี้ หลัวซิวเป็นคนเพิ่มเข้าไปด้วยตนเอง โดยไม่ได้สร้างตามฉากเดิมของสำนักไท่เสวียนอย่างที่เป็นมา ตามคำบอกเล่าของจักรพรรดิยุทธ์ทั้งหมด

“ถึงแม้สำนักไท่เสวียนจะสร้างขึ้นมาใหม่ด้วยมือของข้า แต่ก็จะเริ่มต้นทุกอย่างใหม่อีกครั้งที่นี่……”

ดังนั้นการที่สามารถสร้างสำนักเขาจนแล้วเสร็จได้ภายในระยะเวลาสั้น ๆ เพียงหนึ่งเดือน ประการหนึ่งก็เป็นเพราะค่ายกลคุ้มเขาที่หลัวซิวตั้งเอาไว้ สามารถปกคลุมพื้นที่เอาไว้ได้อย่างจำกัด

ส่วนอีกประการหนึ่งก็คือ เพราะเขาไม่สนใจเรื่องเงินทุน การเรียกช่างฝีมือมาเป็นจำนวนมาก จึงจะทำให้งานแล้วเสร็จได้ภายในระยะเวลาอันสั้น

หลังจากบรรดาช่างได้รับเงินเดือน สวีจิงเหนียนก็จัดเตรียมคนให้พาพวกเขากลับไปส่งทั้งหมด

วันนี้ภายในโถงวัฏจักร หลัวซิวนั่งขัดสมาธิอยู่บนบันไดขั้นหนึ่งของชั้นแปดสิบเอ็ด เหยียนเยว่เอ๋อร์ยืนอยู่ข้างเขา ด้านล่างภายในห้องโถงใหญ่ สวีจิงเหนียนพาราชายุทธ์ของตระกูลสวีมาหลายคน

บทที่ 444 สำนักฉางเหอ
ดูเหมือนว่าตอนที่ซุนเชียนซางหนีไป เขาจะตะโกนเรียกชื่อผู้อาวุโสซุน ซึ่งอีกฝ่ายคงได้ยินเข้าแล้ว

ความคิดมากมายปรากฏขึ้นในหัวในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน ในที่สุดสีชูทงก็ตัดสินใจที่จะพยักหน้ายอมรับ “ผู้อาวุโสซุนผู้นั้นเป็นเพื่อนเก่ากับอาจารย์ของข้า”

“อาจารย์ของเจ้าคือใคร ?” หลัวซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาผู้นี้เป็นผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 7 คนที่จะสั่งสอนลูกศิษย์เช่นนี้ออกมาได้ อย่างน้อยอาจารย์ท่านนี้ก็ต้องอยู่ในระดับมกุฎยุทธ์

“ป๋ายหลี่หยวนหลงคืออาจารย์ของข้า เมื่อสองปีก่อน อาจารย์ของข้าได้รับคำเชิญจากอาจารย์ตำหนักจื่อ ให้ร่วมมือกันจัดการกับสำนักฉางเหอ นอกจากอาจารย์ของข้าแล้ว อาจารย์หลี่เสวียนหยางแห่งสำนักเสวียนหยางผู้นั้น ยังได้เชิญซุนเชียนซาง เพื่อเตรียมรวมพลังของสี่มกุฎยุทธ์ ทำลายค่ายกลคุ้มเขาของสำนักฉางเหอ”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลัวซิวก็มีสีหน้างุนงง อาจารย์ตำหนักจื่อและอาจารย์เสวียนหยางร่วมมือกันลอบโจมตีอาจารย์ฉางเหอ อีกทั้งยังเชิญมกุฎยุทธ์คนอื่น ๆ มาร่วมกันทำลายค่ายกลคุ้มเขาของสำนักฉางเหอ ทำเช่นนี้มีจุดประสงค์อย่างไรกันแน่ ?

เกี่ยวกับคำถามข้อนี้ สีชูทงก็ไม่รู้แน่ชัด บทบาทที่เขาได้รับ ก็เป็นเพียงแค่คนรับส่งจดหมายระหว่างป๋ายหลี่หยวนหลงกับอาจารย์ตำหนักจื่อเท่านั้น

หลัวซิวใช้เพียงแค่นิ้วเท้าก็สามารถคิดออก อาจารย์ตำหนักจื่อกับอาจารย์เสวียนหยาง แอบร่วมมือกันจัดการสำนักฉางเหอ จะต้องมีจุดประสงค์แอบแฝงบางอย่างแน่นอน

“หรือว่าในสำนักฉางเหอมีสิ่งที่พวกเขาสนใจอยู่ ?” หลัวซิวหรี่ตาลงเล็กน้อย

ส่วนสีชูทงผู้นั้น หลัวซิวไม่ได้ลงมือทำร้ายเขาจนตาย แต่หักแหวนเก็บของของอีกฝ่าย และกักขังเขาเอาไว้

ในแหวนเก็บของของเขา หลัวซิวค้นเจอม้วนหยก ซึ่งเป็นสิ่งที่ป๋ายหลี่หยวนหลงสั่งให้สีชูทงนำไปมอบให้กับอาจารย์ตำหนักจื่อ

จากการใช้สำนึกตรวจสอบดูเนื้อหาภายในม้วนหยก หลัวซิวก็แสดงสีหน้าเข้าใจทุกอย่างออกมาในทันที

เนื้อหาภายในม้วนหยกนี้ ระบุไว้อย่างชัดเจนว่าป๋ายหลี่หยวนหลงต้องการสิ่งของบางอย่าง และข้อมูลเกี่ยวกับของชิ้นนี้ อาจารย์ตำหนักจื่อเป็นผู้บอกเขา อีกทั้งของชิ้นนั้น อยู่ในมือของอาจารย์ฉางเหอ

เนื้อหาในม้วนหยกพอจะสรุปคร่าว ๆ ออกมาได้หนึ่งประโยคว่า จะลงมือเมื่อไหร่ ?

คำว่าลงมือไม่ยากที่จะคาดเดาได้ว่า เป็นการลงมือกับสำนักฉางเหออย่างแน่นอน ด้วยพลังของมกุฎยุทธ์ทั้งสี่ ถ้าหากมีวิธีอื่นร่วมด้วยอีกเล็กน้อย อาศัยแค่อาจารย์ฉางเหอที่ได้รับบาดเจ็บเพียงผู้เดียว ไม่อาจที่จะต่อต้านได้อย่างแน่นอน

เพียงเพราะความโชคดี การปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันของเขา ทำลายแผนการทั้งหมดที่ผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎยุทธ์ทั้งสี่ได้วางไว้ อาจารย์ตำหนักจื่อซึ่งเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญถูกสังหาร ส่วนเรื่องการโจมตีสำนักฉางเหอ จึงต้องหยุดเอาไว้เป็นการชั่วคราว

หลัวซิวหยิบกล่องส่งเสียงออกมา เขาคิดจะใช้สิทธิ์ของเขาที่มีอยู่ในองค์กรนักล่ายุทธ์ในการตรวจสอบเรื่องนี้

อันที่จริงแล้วเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเขา แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าหลัวซิวได้กลายเป็นศัตรูกับอาจารย์เสวียนหยางและซุนเชียนซางไปโดยปริยายแล้ว

คนพวกนี้คิดจะจัดการกับสำนักฉางเหอ ถ้าหากสามารถดึงเอาสำนักฉางเหอมาเป็นพวกของตนเองได้ เท่ากับว่ามีผู้ช่วยเข้ามาเพิ่มอย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งคงดีกว่าการที่ตนเองต้องต่อสู้เพียงลำพังอย่างแน่นอน

และก่อนที่จะลงมือทำเรื่องนี้ ข่าวกรองถือเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ผ่านไปไม่นานนัก หลัวซิวก็ได้รับข้อมูล ในนั้นกล่าวถึงฐานะของป๋ายหลี่หยวนหลง เขาเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงอย่างมากในอาณาจักรตะวันตก มีผลการฝึกตนอยู่ในแดนมกุฎยุทธ์ขั้น 3 เขาผู้นี้ยังมีอีกหนึ่งฐานะก็คือ ปรมาจารย์ค่ายกลขั้น 7 !

อีกทั้งแนวค่ายกลคุ้มเขาของสำนักเสวียนหยาง ป๋ายหลี่หยวนหลงเคยเป็นผู้ควบคุมการตั้งมาก่อน

หลัวซิวคาดการณ์ว่า สาเหตุที่อาจารย์ตำหนักจื่อและอาจารย์เสวียนหยางเชิญป๋ายหลี่หยวนหลงมาร่วมจัดการกับสำนักฉางเหอ คงเป็นเพราะต้องการอาศัยความสามารถของปรมาจารย์ค่ายกลขั้น 7 ของเขา มาจัดการกับแนวค่ายกลคุ้มเขาของสำนักฉางเหอ

นอกจากนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างป๋ายหลี่หยวนหลงกับอาจารย์ตำหนักจื่อ ยังเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกันอีกด้วย เคยเป็นศิษย์นร่วมอาจารย์เดียวกัน จึงเรียกขานกันว่าศิษย์พี่ศิษย์น้อง

ด้วยเหตุนี้ การที่หลัวซิวสังหารอาจารย์ตำหนักจื่อ ทำให้เขากับป๋ายหลี่หยวนหลงต้องกลายเป็นศัตรูกันอย่างไม่ต้องสงสัย

ส่วนเหตุผลที่แท้จริงที่มกุฎยุทธ์ทั้งสี่ต้องการจะจัดการกับสำนักฉางเหอนั้น ด้วยข่าวกรองที่มีอยู่ในมือขององค์กรนักล่ายุทธ์ ก็ยังไม่อาจสรุปได้แน่ชัด ถึงอย่างไรก็ตาม ความสามารถในการเก็บรวบรวมข้อมูลข่าวกรองขององค์กรนักล่ายุทธ์ ก็ได้ว่าจะสมบูรณ์แบบเสียทีเดียว

ตำหนักจื่อ สำนักเสวียนหยาง และสำนักฉางเหอ ได้ปกครองพื้นที่โดยรอบของประเทศเทียนหวูมากว่าพันปี มีสถานะที่แยกออกจากกันชัดเจน ต่อให้สองฝ่ายคิดจะร่วมมือกันเพื่อทำลายหนึ่งในนั้น ก็จำเป็นจะต้องเสียค่าตอบแทนที่สูง

ส่วนสาเหตุที่หลัวซิวสามารถทำลายตำหนักจื่อได้อย่างง่ายดาย หนึ่งในสาเหตุหลักเป็นเพราะแดนปริศนาตำหนักจื่อ ไม่มีข้อจำกัดสำหรับตัวเขาแม้แต่น้อย ถ้าหากเป็นคนอื่น ถึงแม้จะหาทางเข้าของแดนปริศนาได้ ก็ไม่อาจบุกรุกเข้าไปได้

หากคิดที่จะใช้วิธีที่จัดการกับตำหนักจื่อมาจัดการสำนักเสวียนหยาง แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ มิเช่นนี้ตอนนั้นที่เขาอยู่ในสำนักเขาสำนักเสวียนหยาง คงไม่รีบหนีไปทันทีหลังจากที่ช่วยคนใกล้ชิดของเขาเรียบร้อยแล้ว

และที่เขาสามารถช่วยคนใกล้ชิดออกจากคุกได้ใต้ดินใต้ สาเหตุหลักก็เป็นเพราะสำนักเสวียนหยางตั้งรับไม่ทัน ถ้าหากมีการป้องกันไว้แต่เนิ่น ๆ เขาเองก็คงหมดหนทางลงมือได้เช่นกัน

และยังมีครั้งนี้ที่ใช้ค่ายกลคุ้มเขาขั้น 7 โจมตีซุนเชียนซางอีก หลัวซิวรู้ดีว่าเรื่องนี้ยังไม่จบลง ถ้าหากครั้งนี้ไม่มีเขาอยู่ที่นี่และคอยควบคุมค่ายกลด้วยตนเอง ค่ายกลคุ้มเขานี้ก็คงถูกซุนเชียนซางทำลายลงเรียบร้อยแล้ว ถึงตอนนั้นผลที่ตามมาคงยากที่จะจินตนาการได้

หลัวซิวเก็บม้วนหยกและถูขมับของเขา “ป๋ายหลี่หยวนหลง หลี่เสวียนหยาง ซุนเชียนซาง มกุฎยุทธ์เฒ่าประหลาดทั้งสาม ต้องการจะได้อะไรจากสำนักฉางเหอกันแน่ ?”

ข้อมูลที่ปรากฏในม้วนหยกมีไม่มากนัก หลัวซิวเองก็รู้เพียงแค่เรื่องราวคร่าว ๆ ที่ยังดูคลุมเครือเท่านั้น ทำให้ยังคงสับสนอยู่

เขาคาดเดาว่า ในเมื่อหลี่เสวียนหยางจงใจที่จะจัดการกับสำนักฉางเหอเช่นนี้ คิดว่าหลังจากนี้ไปสักพัก คงจะไม่มาก่อปัญหาให้ตนเอง

ซุนเชียนซางมาในครั้งนี้ คงคิดจะมาหยั่งเชิง มิเช่นนั้นซุนเชียนซางคงไม่มาด้วยตนเอง แต่คงจะมาพร้อมกันกับหลี่เสวียนหยางแล้ว

“ค่ายกลคุ้มเขาขั้น 7 โจมตีซุนเชียนซางจนได้รับบาดเจ็บ ถึงแม้หลี่เสวียนหยางผู้นั้นจะมีฝีมือเหนือกว่าซุนเชียนซางเล็กน้อย แต่ก็คงต้องรู้สึกกลัวอยู่บ้าง” หลัวซิวไตร่ตรองออกมา

……

ค่ายผนึกปราณในแดนปริศนา ได้รับการฟื้นฟูจนถึงระดับ 7 แล้ว ค่ายผนึกปราณขั้น 7 ทั้งแปดสิบเอ็ดแท่นเชื่อมโยงกัน ผลการฝึกตนในหอคอยฝึกตนภายในแดนปริศนา สามารถเทียบได้กับแดนศักดิ์สิทธิ์ธรรมดา ๆ ในโลกได้แล้ว ต่อให้อยู่ในสมัยโบราณที่โลกยุทธ์มั่งคั่งรุ่งเรือง ก็สามารถเทียบได้กับกองกำลังชั้นแนวหน้า

หากสามารถฟื้นฟูค่ายผนึกปราณจนถึงระดับที่ 8 ได้ พลังฟ้าดินจิตก็จะปล่อยปราณทิพย์ชั้นล่างออกมา ถึงตอนนั้นผลที่ได้รับก็จะทวีคูณ

สิทธิ์ในการเข้าสู่แดนปริศนา หลัวซิวไม่เคยมอบให้กับใคร นอกจากตัวเขาเองแล้ว ก็มีเพียงเหยียนเยว่เอ๋อร์เท่านั้นที่สามารถเข้าออกได้ตามใจชอบ ส่วนอาจารย์ตระกูลสวี สวีจิงเหนียนผู้นั้น ตอนนี้หลัวซิวยังไม่มีความคิดที่จะให้เขาเข้าไปฝึกตนในแดนปริศนา

เรื่องบางเรื่อง ต้องรอให้ทุกอย่างกระจ่างแจ้งเสียก่อน จึงจะตัดสินใจได้

บทที่ 443 ขับไล่ศัตรู
หากจะว่ากันตามเหตุผล แนวค่ายกลคุ้มเขาระดับ 7 หากอาศัยเพียงชุนเชียนซาง ซึ่งมีผลการฝึกตนในระดับมกุฎยุทธ์ขั้น 3 ไม่มีทางที่จะทำให้สั่นคลอนได้ แต่ค่ายกลคุ้มเขาที่หลัวซิวตั้งเอาไว้นี้ มีรูปแบบที่ต่ำกว่าแนวค่ายกลคุ้มเขาที่แท้จริงเล็กน้อย

นอกจากนี้แล้ว ค่ายกลยังทำงานด้วยตัวเองโดยไร้ผู้ควบคุม จึงทำให้อ่อนกำลังลงมาระดับหนึ่ง

ดังนั้นเมื่อซุนเชียนซางออกแรงโจมตีอย่างสุดกำลัง ม่านแสงของค่ายกลจึงสั่นไหวอย่างรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ และค่อย ๆ อ่อนกำลังลงราวกับว่ากำลังจะถูกทำลาย ติดอยู่เพียงแค่ปัญหาเรื่องเวลาเท่านั้น

“แบบนี้ไม่ดีแน่……” อารมณ์ของสวีจิงเหนียนในตอนนี้ รู้สึกร้อนรนราวกับถูกไฟเผา

เมื่อไรที่ค่ายกลถูกทำลาย ทุกคนที่อยู่ที่นี่ ก็จะเป็นเหมือนลูกแกะตัวน้อย ๆ ที่รอการถูกสังหารอยู่ต่อหน้าผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎยุทธ์ผู้นั้น โดยไม่มีแม้กระทั่งแรงจะต่อต้าน

……

ในแดนปริศนา ภายในหอคอยฝึกตนจงยางชั้นที่ 9 หลัวซิวค่อย ๆ ลืมตาขึ้น

ค่ายกลที่เขาตั้งเอาไว้ เชื่อมโยงกับจิตใจของเขา เมื่อค่ายกลคุ้มเขาด้านนอกถูกโจมตี เขาจึงย่อมที่จะรู้สึกได้

ถึงแม้จะปิดขังฝึกตนได้ไม่นานนัก แต่สิ่งที่หลัวซิวได้รับถือว่าไม่น้อย โดยเฉพาะสำนึกพลังวิญญาณ ที่คอยดูดซับพลังวิญญาณที่อยู่ภายในช่องจิตอย่างต่อเนื่อง จนบรรลุถึงระดับจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 9 อีกเพียงนิดเดียวก็จะบรรลุถึงระดับที่มีสำนึกทัดเทียมกับผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎยุทธ์ได้แล้ว

นอกจากนี้ ร่างกายของเขาก็เต็มไปด้วยพลังจิตแท้ และความเข้าใจเกี่ยวกับผังกฎดั้งเดิมภาพที่สาม ก็เกิดการพัฒนาใหม่ทั้งหมด ผลการฝึกตนของเขาเองก็พัฒนาตามมาด้วยเช่นกัน จึงบรรลุถึงแดนราชายุทธ์ขั้น 5 แล้ว

“รู้อยู่แล้วว่าพวกเจ้าจะต้องมาหาเรื่องแน่” หลัวซิวแสยะยิ้ม

……

ม่านแสงของค่ายกลค่อย ๆ บิดเบี้ยวจนเสียรูป ผู้ที่อยู่ภายในค่ายกลอย่างสวีจิงเหนียนและเหยียนเยว่เอ๋อร์ ต่างมีสีหน้าที่เคร่งเครียดขึ้นมา

ผู้ร้ายเป็นถึงระดับมกุฎยุทธ์ ส่วนมกุฎยุทธ์ทั้งสองท่านที่หลัวซิวเชิญมาจากสมาคมเป่ยเซี๋ยในตอนนั้น ได้จากไปนานแล้ว

ครั้งแรกที่สำนักไท่เสวียนสร้างขึ้น ยังไม่ได้เปิดสำนักเขาอย่างเป็นทางการ ก็มีศัตรูเข้ามาโจมตีเสียก่อน คนเหล่านี้ไม่มีสติที่จะคิดป้องกันได้เลย เพียงครู่เดียวพวกเขาก็ต้องพ่ายแพ้อย่างราบคาบ

ทันใดนั้น ค่ายกลคุ้มเขาที่ถูกพลังการโจมตีของผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎยุทธ์ค่อย ๆ พุ่งเข้าใส่จนอ่อนกำลัง จู่ ๆ กลับเพิ่มพลังขึ้นทันที

สวีจิงเหนียนและเหยียนเยว่เอ๋อร์หันกลับไปมองพร้อมกัน เห็นร่างร่างหนึ่งค่อย ๆ ปรากฏขึ้นตรงทางเข้าแดนปริศนา สวมใส่ชุดคลุมยาวดำ มีสีหน้าที่เคร่งขรึม ซึ่งก็คือหลัวซิวนั่นเอง

การปรากฏตัวของหลัวซิว ทำให้ทุกคนที่อยู่ที่นั่นต่างรู้สึกเหมือนมีเสาหลักขึ้นมาทันที ความรู้สึกวิตกกังวลก็ดูจะผ่อนคลายลง

“ไสหัวไป !”

มีเสียงตะโกนดังขึ้น หลัวซิวยกมือขึ้นบีบพลังตราประทับของค่ายกล ทำให้กระแสของแนวค่ายกลคุ้มเขาระดับ 7 ถูกกระตุ้นให้ทำงานขึ้นมา

ทุกคนต่างได้ยินเสียงเปรี้ยงดังกึกก้อง คลื่นพลังอันยิ่งใหญ่โหมกระหน่ำและปะทุขึ้น ซุนเชียนซ่าง ผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎยุทธ์ที่ยืนอยู่เหนือท้องฟ้าด้านนอกค่ายกลผู้นั้น ได้ถอยร่นกลางอากาศไปหลายก้าว

“เป็นค่ายกลที่แข็งแกร่งจริง ๆ ไม่มีผู้ควบคุมแท้ ๆ แต่กลับสามารถต้านทานการโจมตีจากร่างทองฝ่าเซียงของข้าได้หลายครั้ง หลังจากหลัวซิวผู้นี้ปรากฏตัวขึ้น พลังที่ใช้ควบคุมค่ายกล เป็นเพียงแค่กระแสธรรมดา ๆ จริงหรือ ?”

ซุนเชียนซางหันมองหลัวซิวที่อยู่ท่ามกลางม่านแสงของค่ายกลด้วยความตกใจ หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็เริ่มควบคุมร่างทองฝ่าเซียงอีกครั้ง เขากระแทกฝ่ามือลงไปยังม่านแสงของค่ายกลที่อยู่ด้านล่าง

พลังจิตแท้ที่ยิ่งใหญ่แปรปรวน และแผ่ขยายไปในท้องฟ้า

“ฝ่ามือใต้หล้า !”

ครั้งนี้ซุนเชียนซางไม่เพียงใช้แค่ร่างทองฝ่าเซียงเท่านั้น แต่ยังสำแดงวิชาหมัดอันทรงพลังออกมาอีกด้วย ซึ่งเป็นทักษะยุทธ์ระดับ 9

“โล่ !”

หลัวซิวยังมีสีหน้าสงบนิ่ง ตราประทับในมือของเขาเปลี่ยนไป จู่ ๆ ม่านแสงของค่ายกลที่แปรปรวนก็ควบรวมกันอย่างกะทันหัน กลายเป็นกำแพงโลหะที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง

มีเสียงดังสนั่นเกิดขึ้นอีกครั้ง ฝ่ามือขนาดใหญ่โจมตีลงมาบนม่านแสงของค่ายกล เหมือนกับการตีระฆังขนาดใหญ่ ทำให้เกิดเสียงอันน่าสะพรึงกลัวดังขึ้น

คลื่นเสียงแผ่วงกว้างออกไป จนทำให้ภูเขาที่ห่างออกไปเป็นกิโลเมตรราบเป็นหน้ากลอง เห็นให้เห็นถึงความน่ากลัวอย่างที่สุด

แนวค่ายกลคุ้มเขาไม่สั่นไหวแม้แต่น้อย การมีผู้ควบคุมและไม่มีผู้ควบคุมช่างแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

7 นี้ของหลัวซิว จะด้อยกว่าของสำนักเสวียนหยางเล็กน้อย แต่ก็ใช่ว่ามกุฎยุทธ์ขั้น 3 เพียงคนเดียวจะสั่นคลอนได้ นอกเสียจากจะเป็นมกุฎยุทธ์ขั้น 5 ขึ้นไป จึงจะสามารถอาศัยพลังของผลการฝึกตน

ซุนเชียงซานหน้าถอดสีทันที คิดไม่ถึงเลยว่าตนเองโจมตีอย่างสุดกำลังเช่นนี้แล้ว ไม่เพียงแต่จะไม่สามารถสั่นคลอนค่ายกลของอีกฝ่ายได้เท่านั้น แต่แรงต้านยังทำให้เลือดปราณของเขาปั่นป่วนอีกได้

“นี่ต้องไม่ใช่แนวค่ายกลธรรมดาแน่นอน หรือว่าจะเป็นแนวค่ายกลคุ้มเขา ?” ซุนเชียนซางคิดถึงความเป็นไปได้นี้

“ฆ่ามัน !”

หลิวซิวใช้มือทั้งสองข้างบีบพลังตราประทับ ค่ายกลทั้งหมดเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว ลำแสงซ้อนทับกันไปมา จนเกิดเป็นสัญลักษณ์ลึกลับปรากฏขึ้น และเปล่งประกายแสงที่น่าอัศจรรย์ออกมา

ปราณกระบี่สุดขั้วรวมตัวขึ้นท่ามกลางลำแสง เกิดเป็นออร่าอันน่าเกรงขามที่อยู่ยงคงกระพัน

ค่ายกลคุ้มเขา ปกติแล้วเป็นการผสมผสานระหว่างการโจมตีและการป้องกัน ในขณะที่ไม่มีผู้ควบคุม ค่ายกลทำได้เพียงแค่เคลื่อนไหวด้วยตัวเอง เพื่อปกป้องการโจมตีจากภายนอก แต่เมื่อไรที่มีผู้ควบคุม จะสามารถกระตุ้นให้เกิดลำแสงและแผ่กระแสอันน่าสะพรึงกลัวออกมาได้ และฆ่าผู้ที่เข้ามาบุกรุก

ปราณกระบี่สุดขั้ว ส่งเสียงดังกึกก้องและทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า บดขยี้โลกและทำลายชั้นบรรยากาศ

พรวด !

ลูกศรโลหิตพุ่งลอยขึ้นไปในอากาศ ภายใต้การบดขยี้ของปราณกระบี่สุดขั้ว ร่างทองฝ่าเซียงสูงกว่าสิบเมตรที่ยืนอยู่ด้านหลังของซุนเชียนซาง กลับตัวเล็กราวกับมด

ทันใดนั้น เขาก็ลอยกระเด็นออกไปและมีเลือดสีแดงสดพุ่งออกมาจากปาก ร่างทองฝ่าเซียงที่อยู่ด้านหลังของเขาสลายไป ร่างกายปรากฏรอยแยกขึ้น มกุฎยุทธ์ฝ่าเซียง เกือบจะถูกแล่ออกเป็นชิ้น ๆ แล้ว

ซุนเชียนซางรู้สึกตกใจอย่างหนัก ผู้ที่สามารถโจมตีจนเขาบาดเจ็บสาหัสได้ จะต้องเป็นผู้แข็งแกร่งที่อยู่ในระดับมกุฎยุทธ์ขั้น 4 ขึ้นไป แสดงให้เห็นว่ากระแสค่ายกลที่หลัวซิวปล่อยออกมาเมื่อครู่ ได้บรรลุถึงระดับนี้แล้ว

“ค่ายกลนี้ ข้าคนเดียวไม่อาจรับมือได้”

เมื่อเห็นปราณกระบี่สุดขั้วพุ่งเข้าหาตนเองอีกครั้ง ซุนเชียนซางก็ลุกขึ้นด้วยความเจ็บปวด จากนั้นจึงตัดสินใจอย่างรวดเร็วและหันหลังเดินจากไป

“ผู้อาวุโสซุน ท่าน……”

ส่วนสีชูทงซึ่งขี่กิเลนอัคคีบุกรุกเข้ามาด้วยท่าทีสง่างามในตอนแรก กลับยืนตกตะลึงอ้าปากค้าง

“เยี่ยมจริง ๆ ซุนเชียนซาง หลงคิดว่าเจ้าเป็นถึงผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎยุทธ์ คิดไม่ถึงเลยว่าจะหนีเอาตัวรอดไปคนเดียว แล้วทิ้งข้าเอาไว้คนเดียว เช่นนี้ไม่เท่ากับเป็นการทำร้ายข้าหรอกหรือ ?”

ในที่สุดตอนนี้สีชูทงก็เข้าใจแล้วว่า การที่อีกฝ่ายสามารถทำลายตำหนักจื่อได้ แสดงให้เห็นแล้วว่าลำพังแค่จักรพรรดิยุทธ์อย่างตนเพียงคนเดียว ไม่อาจจะล่วงเกินได้ ไม่เห็นหรืออย่างไรว่าแม้แต่ซุนเชียนซางซึ่งมีผลการฝึกตนถึงระดับมกุฎยุทธ์ ยังต้องหนีไปด้วยความอับอาย ?

“เจ้า หยุดเดี๋ยวนี้”

ขณะที่สีชูทงกำลังเตรียมตัวจะหนีออกไปอย่างรวดเร็ว จู่ ๆ ก็มีน้ำเสียงที่เย็นยะเยือกดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง

ในเวลาเดียวกันนี้ มีออร่าลึกลับเข้ามาผูกมัดเขาเอาไว้ ราวกับว่าหากเขาก้าวไปข้างหน้าเพียงแค่ก้าวเดียว จะต้องถูกสายฟ้าฟาดอย่างแน่นอน

สีชูทงแอบบ่นอยู่ในใจถึงความโชคร้ายของตนเอง เขาทำได้เพียงแค่ยอมหยุดเดินอย่างจนใจ แล้วหันกลับไปมอง

ลำแสงของค่ายกลคุ้มเขาก่อนหน้านี้หายไปแล้ว สีชูทงเห็นเด็กหนุ่มสวมชุดคลุมยาวดำคนหนึ่ง กำลังเดินตรงเข้ามาหาตนเองบนอากาศด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก

“น้องชายท่านนี้ นี่เป็นเพียงแค่เรื่องเข้าใจผิดเท่านั้น” สีชูทงพูดพลางยิ้มแหย

เขารู้ดีว่า ผู้ที่ขับเคลื่อนค่ายกลเมื่อครู่ และโจมตีจนผู้ฝึกตนระดับมกุฎยุทธ์อย่างซุนเชียนซางต้องถอยร่นไป ก็คือชายหนุ่มผู้นี้

เขาผู้นั้นเป็นถึงผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎยุทธ์ ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับอาจารย์ของเขา !

“เข้าใจผิดหรือ ? ทำไมข้าถึงได้ยินมาว่า เมื่อเจ้ามาถึงก็เรียกให้ข้ารีบไสหัวออกมาไม่ใช่หรือ ?” หลัวซิวถามพลางแสยะยิ้ม

สีชูทงหน้าถอดสีทันที เขาพูดด้วยสีหน้าทุกข์ใจ : “นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิดจริง ๆ “

“เจ้ารู้จักซุนเชียนซางคนเมื่อครู่อย่างนั้นหรือ ?” หลัวซิวถามต่อ

สีชูทงคิดที่จะปฏิเสธในตอนแรก แต่เมื่อเขาได้เห็นแววตาที่เย็นชาของหลัวซิว หัวใจของเขาก็แทบจะหยุดเต้นในทันที

บทที่ 442 หาเรื่อง
ชั้น 2 ของหอเสวียนดำ หลัวซิวใส่วิชายุทธ์ระดับ 8 จำนวนสิบกว่าประเภทที่ตนเองได้รับลงไป ซึ่งมีวรยุทธ์ระดับ 8 ขั้นสุดยอดอย่างวิชาพลังมังกรแท้และพลังก่อรวมวิญญาณรวมอยู่ในนั้นด้วย

จากนั้นก็เดินต่อขึ้นไปยังชั้น 3 ของหอเสวียนดำ หลัวซิวใส่วรยุทธ์ระดับ 9 วิชาฝึกปราณสีม่วงลงไป รวมไปถึงทักษะยุทธ์ระดับ 9 ดาวจักรพรรดิจรัสม่วง นิ้วดาบเทียนกัง และวิชาภูตผีเซินหลัว

นอกจากนี้ยังมีวิชายุทธ์ระดับ 8 และ 9 ที่จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำมอบให้ จึงถูกหลัวซิวนำมาวางไว้ในหอเสวียนดำด้วย

“วิชายุทธ์ระดับ 7 ขอเพียงแค่เป็นศิษย์ของสำนักไท่เสวียนเรา ก็สามารถเลือกฝึกได้ทั้งหมด ส่วนวิชายุทธ์ระดับ 8 ต้องอยู่ในแดนฝึกจิตขึ้นไปจึงจะเลือกฝึกได้ ส่วนวิชายุทธ์ระดับ 9 จะต้องมีผลการฝึกตนอยู่ในระดับราชายุทธ์ขึ้นไปจึงจะสามารถฝึกได้ อีกทั้งพวกเขาจะต้องภักดีขอสำนักและผ่านการทดสอบเรียบร้อยแล้วจึงจะสามารถฝึกได้”

ส่วนวิชายิ่งเลิศที่หลัวซิวครอบครองอยู่อีกหลายวิชา นอกจากเหยียนเยว่เอ๋อร์แล้ว ตอนนี้เขาก็ยังไม่คิดที่จะถ่ายทอดให้คนอื่น การพัฒนาของสำนัก ไม่ควรจะเร่งรีบเพียงชั่วขณะหนึ่ง แต่ต้องผ่านกระบวนการที่ค่อยเป็นค่อยไป

หลังจากนั้นก็ยังมีหอนักยุทธ์ หอกลั่นยา หอหลอมอาวุธ หอค่ายกล และของที่เป็นมรดกตกทอด หลัวซิวไม่ขาดอะไร เขาขาดเพียงแค่ผู้มีพรสวรรค์ที่จะมาจงรักภักดีต่อสำนักเท่านั้น

รวมไปถึงหอเสวียนดำด้วย ล้วนแล้วแต่เป็นสถานที่สำคัญ หลัวซิวจึงแยกกันตั้งค่ายกล

เช่นนี้ การสร้างสำนักไท่เสวียนขึ้นใหม่ จึงจะถือว่ามีต้นแบบที่เรียบง่าย

หลัวซิวคาดการณ์ว่า การสร้างสำนักเขาขึ้นมาใหม่ คงจะต้องใช้เวลาอีกประมาณครึ่งเดือนถึงจะเสร็จสมบูรณ์

ในระหว่างนี้ เขาเข้าไปในแดนปริศนา เพื่อเตรียมที่จะใช้เวลาในช่วงนี้ ยกระดับความแข็งแกร่งของตนเอง

เพราะเขารู้ดีว่า ทันทีที่ตนเองเปิดสำนัก จะกลายเป็นเป้าหมายของการถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างเลี่ยงไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงว่าแดนปริศนาคีตโลกาจะสามารถดึงดูดความโลภของผู้คนได้หรือไม่ หากการฝึกตนของตนเองนั้นก็ไม่แข็งแกร่งพอ แต่ไม่สามารถกำราบศิษย์ในสำนักได้ แล้วจะโน้มน้าวใจประชาชนได้อย่างไร ?

ชั่วพริบตา เวลาก็ผ่านไปหลายวันอย่างรวดเร็ว หลัวซิวเตรียมข่าวสารเรื่องการเปิดสำนัก และเผยแพร่ออกไปภายในประเทศเทียนหวู

วันนี้ ด้านนอกของค่ายกลคุ้มเขา จู่ ๆ ก็มีเปลวไฟพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ทะเลเพลิงกำลังพลุ่งพล่านอย่างไร้ขอบเขต ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าเหนือแนวค่ายกลคุ้มเขา

ภายในค่ายกล ท่าทางของสวีจิงเหนียนเปลี่ยนไปเล็กน้อย มีอสุรกายขนาดใหญ่ ดูเหมือนจะเป็นกิเลนอัคคีปรากฏร่างขึ้นท่ามกลางทะเลเพลิง

และบนหัวของกิเลนอัคคีตัวนี้ มีชายสวมใส่ชุดคลุมยาวสีแดงเพลิงยืนอยู่

“ผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ช่วงปลาย !”

เมื่อรู้สึกได้ถึงรัศมีอันทรงพลังที่แผ่ซ่านไปทั่วตัวของอีกฝ่าย สีหน้าของสวีจิงเหนียนก็เคร่งเครียดขึ้นทันที

“ไอ้สัตว์เดรัจฉานหลัวซิวอยู่ที่ไหน รีบแสดงตัวออกมาเดี๋ยวนี้ !”

ชายสวมชุดคลุมยาวสีแดงเหยียบอยู่บนกิเลนอัคคี มองดูแนวค่ายกลคุ้มเขาที่อยู่ด้านล่าง และตะโกนออกมาอย่างเย็นชา

เขาผู้นี้มีนามว่า สีชูทง เป็นศิษย์โดยตรงของผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎยุทธ์ผู้หนึ่งในโลกแสงดาวอาณาจักรตะวันตก อาจารย์ของเขากับอาจารย์ตำหนักจื่อเป็นเพื่อนเก่ากัน

ครั้งนี้ที่สีชูทงเดินทางมายังอาณาจักรใต้ประเทศเทียนหวู ก็เพื่อนำจดหมายมามอบให้กับอาจารย์ตำหนักจื่อตามคำสั่งของอาจารย์ แต่คิดไม่ถึงเลยว่ากลับได้ยินข่าวว่าตำหนักจื่อถูกคนทำลาย อาจารย์ตำหนักจื่อเองก็ถูกคนฆ่าตายด้วยเช่นกัน และคนที่ลงมือทำเรื่องเช่นนี้ คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่อายุยังไม่ถึงยี่สิบปีเสียด้วยซ้ำ

จากที่เขาสอบถามได้ความมาว่า ที่อีกฝ่ายสามารถทำลายตำหนักจื่อได้ เพราะเชิญมกุฎยุทธ์มาสองท่าน และในตอนนั้นมกุฎยุทธ์ทั้งสองท่านนั้นได้จากไปแล้ว สีชูทงจึงกล้าบุกมาที่นี่

“ได้ยินอาจารย์พูดว่า ตำหนักจื่อแห่งนี้ครอบครองแดนปริศนาคีตโลกา เป็นสถานที่ฝึกตนอันล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่ง ถ้าอย่างนั้นในเมื่ออาจารย์ตำหนักจื่อตายไปแล้ว ตำหนักจื่อเองก็ถูกทำลาย เช่นนั้นแดนปริศนานี้ก็ควรจะกลับมาเป็นของอาจารย์ข้าถึงจะถูก !” สีชูทงหรี่ตาทั้งสองข้างลง แววตาเปล่งประกายออกมา

สีชูทงสามารถฝึกตนจนบรรลุถึงแดนจักรพรรดิยุทธ์ จึงถือว่าไม่ธรรมดา

เขากล้ามาอย่างเปิดเผยและหยิ่งยโสเช่นนี้ นั่นเป็นเพราะเขาศึกษาศัตรูมาเป็นอย่างดีแล้ว

ตามที่เขารู้มา นอกจากชายหนุ่มที่มีนามว่าหลัวซิวคนนั้นแล้ว ก็ยังมีจักรพรรดิยุทธ์อีกสองท่านก็คือ อาจารย์ตระกูลสวีและเหยียนเยว่เอ๋อร์ คนหนึ่งเป็นจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 2 ส่วนอีกคนเป็นจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 3

“จักรพรรดิยุทธ์ขั้นปฐมภูมิ สามารถกำจัดได้ง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ !” สีชูทงแสยะยิ้มออกมา เพราะตั้งเขานั้นอยู่ในแดนจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 7

บริเวณโดยรอบอาณาจักรเทียนหวู ผู้ที่อยู่ในขั้นจักรพรรดิยุทธ์นั้นมีอยู่ไม่น้อย แต่ส่วนมากล้วนเป็นจักรพรรดิยุทธ์ขั้นปฐมภูมิ น้อยนักที่จะเป็นจักรพรรดิยุทธ์ช่วงกลาง และที่สามารถบรรลุถึงจักรพรรดิยุทธ์ช่วงปลายขึ้นไป กลับไม่มีเลยสักคน

“ก็แค่ค่ายกลเล็ก ๆ คิดว่าจะขวางข้าได้หรือ ?”

สีชูทงสังเกตเห็นว่าด้านล่างมีม่านแสงของค่ายกลปรากฏขึ้นเป็นระยะ ๆ จึงหัวเราะเยาะออกมาทันที กิเลนอัคคีที่อยู่ใต้เท้าของเขาคำรามออกมาด้วยความโมโห ทันใดนั้นเปลวเพลิงก็ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าจนบดบังดวงอาทิตย์

เปลวเพลิงที่ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าโจมตีเข้าใส่แนวค่ายกลคุ้มเขาไม่ยั้ง ทำให้บรรดาช่างฝีมือที่กำลังก่อสร้างห้องใต้หลังคาอยู่ภายในค่ายกล ต่างรู้สึกตกใจไม่น้อย

“แหม ? ดูเหมือนว่ารูปแบบค่ายกลนี้จะไม่เลวเลยนะ……”

วินาทีต่อมา สีหน้าของสีชูทงกลับแข็งทื่อ เพราะการโจมตีของเขาที่พุ่งตรงไปยังม่านแสงของค่ายกลนั้น กลับไม่สามารถทำให้มันสั่นไหวได้เลยแม้แต่น้อย

เพียงแต่ว่าตอนนี้หลัวซิวยังปิดขังตนเองอยู่ในแดนปริศนา ค่ายกลคุ้มเขานี้จึงไม่มีใครมาคอยควบคุม มิเช่นนั้น ด้วยพลังการโจมตีกลับของค่ายกลคุ้มเขาระดับ 7 สีชูทงซึ่งเป็นเพียงแค่จักรพรรดิยุทธ์ คงไม่คณามืออย่างแน่นอน

และในตอนนี้เอง ตรงขอบฟ้าไกลโพ้น มีร่างร่างหนึ่งกำลังเดินอยู่บนท้องฟ้า และเขาผู้นั้นก็คือผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎยุทธ์ ที่ในตอนนั้นหลัวซิวเคยมีวาสนาได้พบกันครั้งหนึ่งที่สำนักเขาสำนักเสวียนหยาง ซุนเชียนซาน !

“书通 นี่คือค่ายกลระดับ 7 อาศัยแค่การฝึกตนของเจ้าไม่สามารถทำลายได้หรอกนะ” ซุนเชียนซางพูดพลางหัวเราะ

“ที่แท้ก็ผู้อาวุโสซุนนี่เอง” เมื่อสีชูทงเห็นซูเชียนซาง ก็ยกมือขึ้นคารวะ

ซุนเชียนซางยิ้มเล็กน้อย “เพื่อจัดการกับสำนักฉางเหอ ตอนนั้นอาจารย์เสวียนหยางมาหาข้า ส่วนอาจารย์ตำหนักจื่อไปหาอาจารย์ของเจ้า แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น เจ้าจงกลับไปบอกอาจารย์ของเจ้า ถ้าเขายังอยากจะมีส่วนแบ่งละก็ แผนการจะดำเนินต่อไปตามกำหนด”

“ครับ ผู้น้อยจะนำไปบอกแน่นอน” สีชูทงพยักหน้า

ซุนเชียนซางยิ้ม ดวงตาของเขาจ้องมองลงไปยังค่ายกลคุ้มเขาที่หลัวซิวตั้งเอาไว้

หลังจากไตร่ตรองสักครู่ ทันใดนั้นเขาก็ยื่นมือทั้งสองข้างออกมา แล้วฉีกมันออกอย่างแรง พลังจิตแท้ที่แข็งแกร่งพุ่งตรงไปยังม่านแสงของค่ายกล ราวกับว่าจะฉีกออกให้เป็นช่องว่าง

แต่ม่านแสงของค่ายกลกลับสั่นไหวเพียงเล็กน้อย จากนั้นก็กลับมาเป็นปกติ

ซุนเชียนซางหน้าถอดสีทันที “ก็แค่ค่ายกลระดับ 7 คิดจะขวางข้าอย่างนั้นหรือ ?”

ขณะที่พูด พลังของเขาก็พลุ่งพล่านไปทั่วตัว มีลำแสงสีทองค่อย ๆ ส่องประกายขึ้นทั่วร่างกายของเขา จากนั้นก็มีเงาลวงสีทองรูปร่างเหมือนคนปรากฏขึ้นด้านหลังของเขา ซึ่งมีรูปร่างสูงใหญ่ประมาณสิบฟุต

เงาลวงคนสีทองคว้ามือไปในอากาศ จากนั้นก็มีพัดขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมา เขาออกแรงพัดจนเกิดลมกระโชกแรง พุ่งตรงไปยังม่านแสงของค่ายกลที่อยู่ด้านล่าง

เงาลวงคนสีทองนี้ เป็นร่างทองฝ่าเซียงที่ปรากฏออกมาจากผู้แข็งแกร่งที่มีผลการฝึกตนในระดับมกุฎยุทธ์

แดนจักรพรรดิยุทธ์จะควบรวมเทพจิต และปรากฏเป็นเทพจิตฝ่าเซียง แต่หลังจากที่บรรลุถึงแดนมกุฎยุทธ์ เทพจิตกับร่างเนื้อจะผนวกเข้าด้วยกัน และกลายเป็นร่างทอง และสามารถแปลงเป็นร่างทองฝ่าเซียงได้

หากมกุฎยุทธ์หนึ่งคนออกแรงต่อสู้อย่างสุดกำลัง จะทำให้เกิดพลังการต่อสู้อันน่าทึ่งจนหาที่เปรียบไม่ได้ ถึงแม้ในตอนนั้นที่เกิดการต่อสู้กันขึ้นในสำนักเสวียนหยาง พวกของมู่จื่อซิวและหนิงเหอโจวยังไม่ทันได้ต่อสู้อย่างสุดกำลัง แต่กลับปกป้องทุกอย่างเอาไว้ได้

การโจมตีของร่างทองฝ่าเซียงในทุกครั้ง จะทำให้เกิดระลอกคลื่นที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าบนท่านแสงของค่ายกลที่อยู่ด้านล่าง

บทที่ 441 สร้างสำนักไท่เสวียนขึ้นมาใหม่
“อีกอย่างเจ้าเองก็อยากฝึกตนวิชาสังหารไท่เสวียนมาตลอดไม่ใช่หรือ ? ขอเพียงเจ้าสร้างสำนักไท่เสวียนขึ้นมาใหม่ เจ้าก็จะเป็นเจ้าสำนักของสำนักไท่เสวียน ข้าไม่เพียงจะถ่ายทอดวิชาสังหารไท่เสวียนให้กับเจ้าเท่านั้น แต่จะช่วยเจ้าขยายสำนักอย่างสุดกำลังอีกด้วย

หากเป็นเมื่อก่อน จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำเองก็ไม่คิดที่จะสร้างสำนักไท่เสวียนขึ้นมาใหม่ เพราะถึงอย่างไรสำนักไท่เสวียนก็ล่มสลายไปเป็นหมื่นปีแล้ว อดีตผู้อาวุโสอย่างเขา ก็หลงเหลืออยู่เพียงแค่เศษเสี้ยวของจิตวิญญาณ จะมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกนานเท่าไหร่ก็ยังไม่รู้

แต่หลังจากที่หลัวซิวเสนอความคิดที่จะสร้างกองกำลังของตนเองขึ้นมา ความคิดที่จะสร้างสำนักไท่เสวียนขึ้นมาใหม่อีกครั้ง จึงปรากฏขึ้นในความรู้สึกของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำด้วยเช่นกัน

เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะทำให้สำนักไท่เสวียนกลับมายิ่งใหญ่เหมือนอย่างเช่นในอดีตได้อีกครั้ง และเขายังหวังอีกว่าจะสามารถตามหาผู้ร้ายที่ทำลายสำนักไท่เสวียนในอดีตได้ จากนั้นก็จะคิดบัญชีในนามของสำนักไท่เสวียน !

“ขอบอกตามตรง ปกติแล้วสิ่งที่ข้าสอนเจ้า ล้วนแล้วแต่ยังมีส่วนที่สงวนเขาไว้ สิ่งที่เกี่ยวพันถึงมรดกตกทอดของสำนักไท่เสวียน ข้าไม่มีทางเผยแพร่ออกไปง่าย ๆ แน่ แต่ขอเพียงเจ้ายอมรับปากจะสร้างสำนักไท่เสวียนขึ้นมาใหม่ ข้าก็จะไม่เก็บความลับใด ๆ เอาไว้อีก”

หลังจากจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำพูดจบ ก็เงียบไปครู่หนึ่งเพื่อรอฟังคำตอบของหลัวซิว

“ช่วยท่านสร้างสำนักไท่เสวียนขึ้นมาใหม่ ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้” หลัวซิวยิ้มเล็กน้อย

สำหรับเขาแล้ว การก่อตั้งสำนักเป็นเพียงแค่ความคิดหนึ่งเท่านั้น เพื่อที่จะสามารถสร้างกองกำลังของตนเองได้ และสะดวกที่จะปกป้องความปลอดภัยของคนใกล้ชิดของตนเอง ภายในประเทศเทียนหวูได้

ส่วนเรื่องที่สุดท้ายแล้วจะเป็นการสร้างสำนักไท่เสวียนขึ้นมาใหม่ หรือจะเป็นการสร้างกองกำลังขึ้นมาใหม่ก็ดี หลัวซิวเองกลับไม่ได้สนใจนัก

ยิ่งไปกว่านั้น หากสร้างสำนักไท่เสวียนขึ้นมาใหม่ ก็จะเป็นประโยชน์ต่อตัวเขาเองไม่น้อย นอกจากจะได้เรียนวิชาสังหารไท่เสวียนแล้ว ยังจะได้รับการถ่ายทอดวิชาจากจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำอย่างหมดเปลือกอีกด้วย

ปกติแล้วคำชี้แนะและคำสอนของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำยังคงมีบางส่วนที่สงวนเอาไว้ หลัวซิวเองย่อมรู้ดี ถึงอย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็นแบบร่วมมือกัน แต่ความสัมพันธ์นั้นอาจยังแน่นแฟ้นไม่พอ

“เจ้ายอมรับปากแล้วหรือ ?” เมื่อได้ยินหลัวซิวพูดเช่นนี้ จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำก็รีบถามต่อขึ้นทันที

หลัวซิวยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “ข้าแค่พูดว่าจะลองพิจารณาดู ยังไม่ได้รับปากเสียหน่อย สำนักไท่เสวียนในอดีต มีผู้แข็งแกร่งแดนนิรันดร์เป็นประมุข และมีผู้อาวุโสระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์อีกสามท่าน ซึ่งเปรียบเสมือนตัวแทนของแดนศักดิ์สิทธิ์สินะ ?”

“แน่นอน ในอาณาจักรใต้ สำนักไท่เสวียนของเราเปรียบเสมือนผู้ปกครองดินแดน ถึงแม้จะเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ธรรมดา แต่เมื่อเทียบกับปัจจุบันก็ถือได้ว่าเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูง” จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำกล่าว

ในสมัยโบราณมีผู้แข็งแกร่งเป็นจำนวนมาก จึงจำเป็นจะต้องมีผู้แข็งแกร่งระดับนิรันดร์เป็นประมุขของสำนัก ถึงจะมีสิทธิ์ถูกเรียกขานว่าแดนศักดิ์สิทธิ์

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แสดงว่าสำนักไท่เสวียนมีเพียงวิชายิ่งเลิศ 9 วิชา แต่ไม่มีพลังอมตะอย่างนั้นหรือ ?” หลัวซิวถามด้วยความอยากรู้

หลังจากปลุกพลังอมตะ หลัวซิวก็ได้เรียนรู้ว่า พลังอมตะนั้นอยู่เหนือกว่าวิชายิ่งเลิศ พลังอมตะแต่ละประเภท ต่างก็มีพลังที่คาดไม่ถึง

“คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะรู้จักพลังอมตะด้วย ?” จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำรู้สึกประหลาดใจอย่างเหลือเชื่อ

หลัวซิวรู้สึกงุนงง แอบคิดกับตัวเองว่ารู้จักพลังอมตะแล้วเป็นอย่างไรหรือ ? ข้าเองยังมีวิชาพลังอมตะอยู่หนึ่งวิชาเลย

แต่จากน้ำเสียงของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำ ทำให้เขาสัมผัสได้ว่าพลังอมตะดูเหมือนจะไม่ใช่สิ่งธรรมดา ดังนั้นจึงไม่ได้พูดเรื่องที่ตนเองนั้นมีพลังวิชาอมตะอยู่ในมือหนึ่งวิชา

“ข้าเองก็รู้เข้าโดยบังเอิญ และชั้นยอด ส่วนวิชายิ่งเลิศที่อยู่เหนือชั้นยอดขึ้นไป ก็คือพลังอมตะ” หลัวซิวพูดเช่นนี้
“ที่เรียกกันว่าพลังอมตะ ก็คือพลังจิต ถึงแม้จะเป็นผู้แข็งแกร่งแดนนิรันดร์ แต่คนที่สามารถครอบครองพลังอมตะได้นั้น มีอยู่น้อยมาก”

จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำถอนหายใจแล้วพูดว่า : “ถึงแม้ในสมัยโบราณ สำนักไท่เสวียนของเราจะเปรียบเสมือนตัวแทนของแดนศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็เป็นเพียงแค่แดนศักดิ์สิทธิ์ธรรมดา แม้เจ้าสำนักจะเป็นผู้แข็งแกร่งแดนนิรันดร์ แต่เมื่อเทียบกับระดับเดียวกันแล้ว ก็ยังไม่ถือว่าอยู่ในขั้นสุดยอด และไม่มีการสืบทอดพลังอมตะ”

“เกี่ยวกับพลังอมตะ ข้าเองก็เคยได้ยินมาว่า หากต้องการครอบครองพลังอมตะ มีเพียงแค่ 2 วิธีเท่านั้น วิธีแรกต้องอาศัยการตระหนักรู้ของตนเอง ส่วนอีกหนึ่งวิธีก็คือ ได้รับช่องจิตของผู้แข็งแกร่งแดนนิรันดร์ที่ครอบครองพลังอมตะ หลังจากกลั่นแปรแล้ว ก็จะสามารถครอบครองพลังอมตะที่ผ่านการตระหนักรู้แล้วได้โดยธรรมชาติ”

ถึงแม้ในอดีตเขาจะเคยเป็นผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ แต่จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำก็มีความเข้าใจเกี่ยวกับพลังอมตะอยู่ไม่มาก เพราะพลังอมตะ คือสิ่งที่ผู้แข็งแกร่งระดับแดนนิรันดร์ขึ้นไปถึงจะมีโอกาสได้เข้าไปสัมผัส

เมื่อฟังจบ หลัวซิวเพิ่งรู้ว่าในตอนนั้นที่ตนเองสามารถปลุกพลังอมตะขึ้นมาในขณะที่กำลังจะตายได้นั้น ถือว่าโชคดีเพียงใด

แต่อันที่จริงแล้ว พลังอมตะไม่ได้เกิดจากการตระหนักรู้ของเขาเอง แต่ได้มาเพราะลูกแก้วความเป็นตาย

หากอิงจากคำพูดของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำ การได้รับพลังอมตะมีเพียงแค่ 2 วิธีเท่านั้น หรือว่าลูกแก้วความเป็นความตายก็เป็นช่องจิตหนึ่งด้วยเช่นกัน ?

ความคิดนี้ถูกหลัวซิวปฏิเสธอย่างรวดเร็ว เขามั่นใจว่าลูกแก้วเป็นตายไม่ใช่ช่องจิต แต่เป็นสิ่งล้ำค่าที่ได้มาจากกฎการเวียนว่ายตายเกิดดั้งเดิม

อย่างไรก็ตาม ถ้าหากไม่มีพลังพลังอมตะ ผลการฝึกตนของเขาก็คงไม่บรรลุถึงระดับแดนราชายุทธ์ได้ในระยะเวลาสั้น ๆ เพียงไม่กี่ปีแน่นอน

เพียงแต่เงื่อนไขในการกระตุ้นพลังอมตะนั้นค่อนข้างยากลำบาก เพราะจะต้องอยู่ในห้วงระหว่างความเป็นความตายเท่านั้นถึงจะถูกกระตุ้นขึ้น หากประมาทเพียงเล็กน้อย ก็คงต้องจบชีวิตลง

หลัวซิวกำลังประเมินว่า ด้วยพลังการต่อสู้ของเขาในปัจจุบัน หากคิดจะกระตุ้นพลังอมตะ อย่างน้อยก็ต้องเป็นผู้แข็งแกร่งในแดนจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 7 ขึ้นไป ถึงจะทำให้เขามีแรงกดดันเช่นนี้ได้

“ได้ ข้ารับปากท่านว่าจะสร้างสำนักไท่เสวียนขึ้นมาใหม่ ต่อไปข้าก็คือเจ้าสำนักของสำนักไท่เสวียนแล้ว” หลังจากหลัวซิวชั่งใจดูแล้ว ก็พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำรู้สึกโล่งใจ ราวกับได้ทำตามความปรารถนาจนสำเร็จแล้ว เขาเองก็รักษาคำพูด จึงถ่ายทอดวิชาสังหารไท่เสวียนให้กับหลัวซิว

หลังจากได้รู้จักกับหลัวซิวมาสักพัก เขาก็เชื่อมั่นในตัวของหลัวซิว ในเมื่อเขาพูดว่าจะสร้างสำนักไท่เสวียนขึ้นมาใหม่ ก็จะต้องทำตามคำพูด ไม่มีทางกลับกลอกทำไม่รู้ไม่ชี้ หลังจากได้รับวิชาสังหารไท่เสวียนแล้วอย่างแน่นอน

เมื่อหลัวซิวกลับมาอีกครั้ง ก็พบว่างานก่อสร้างด้านนอกแดนปริศนา เกือบจะเสร็จสมบูรณ์แล้ว

สำนักเขาสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว มีป้ายขนาดใหญ่แขวนอยู่ด้านบน แต่ยังไม่ได้แกะสลักตัวอักษร

“เจ้าคิดจะสร้างกองกำลัง แต่กลับยังไม่ตั้งชื่อกองกำลัง” สวีจิงเหนียนพูดพลางหัวเราะ

หลัวซิวยิ้มเล็กน้อย “แดนตำหนักจื่อแห่งนี้ เคยเป็นแดนปริศนาหนึ่งของสำนักไท่เสวียน ในเมื่อข้าคิดจะเปิดสำนักที่นี่ ก็เท่ากับสืบทอดคำสอนของสำนักไท่เสวียน……”

ขณะที่พูด หลัวซิวก็เหาะขึ้นไปในอากาศ แล้วใช้มือโบก จากนั้นบนแผ่นป้ายขนาดใหญ่แผ่นนั้น ก็ปรากฏตัวอักษรตัวใหญ่ที่วิจิตรงดงามว่า ‘สำนักไท่เสวียน’ !

สวีจิงเหนียนที่ยืนอยู่ด้านหลังเขา เมื่อได้เห็นตัวอักษรทั้งหมด ก็รู้สึกตกใจเล็กน้อย

จากนั้น จากนั้นหลัวซิวก็เดินมาถึงห้องใต้หลังคาสามชั้น ห้องใต้หลังคาหลังนี้เสร็จสมบูรณ์แล้ว แต่ยังไม่ได้ตั้งชื่อ

หลัวซิวสะบัดแขนเสื้อ แล้วตั้งชื่อให้ว่า หอเสวียนดำ

ตัวอักษรเสวียน อธิบายถึงวิถีที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้ ส่วนอักษรหวู่ คือรากฐานของชีวิต

“หอเสวียนดำ บันทึกวิชายุทธ์ทุกแขนงเอาไว้” หลัวซิวก้าวเข้าไปในห้องใต้หลังคา แล้วยกมือขึ้นโบก แผ่นหยกหลายร้อยแผ่นก็ถูกจัดเรียงเอาไว้ภายในชั้น 1

ในแผ่นหยกเหล่านี้ ล้วนบันทึกวิชายุทธ์ขั้น 7 เอาไว้ มีทั้งวรยุทธ์ ทักษะยุทธ์ วิชาท่าร่าง หรือแม้กระทั่งวรยุทธ์กลั่นร่างและวรยุทธ์กลั่นวิญญาณที่หาได้ยากล้วนมีอยู่ทั้งสิ้น

ส่วนต้นกำเนิดของวรยุทธ์เหล่านี้ มาจากวัฏจักรภายในลูกแก้วความเป็นตาย สำหรับผู้ฝึกตนในแดนราชายุทธ์ สามารถรับวิชายุทธ์ระดับ 7 แขนงต่าง ๆ ได้จากภายในวัฏจักร ถ้าหากบรรลุถึงแดนจักรพรรดิยุทธ์ จะได้รับวิชายุทธ์ระดับ 8 และแดนมกุฎยุทธ์ จะได้รับได้รับวิชายุทธ์ระดับ 9

วรยุทธ์ใดก็ตามที่เคยปรากฏบนโลกใบนี้ ล้วนได้รับผ่านทางวัฏจักรทั้งสิ้น เพราะภายในวัฏจักร มีความทรงจำเกี่ยวกับชีวิตของผู้แข็งแกร่งนับไม่ถ้วน

บทที่ 440 จำหลัวซิวได้
เมื่อเขาเห็นประโยคนี้ครั้งแรก เขาคิดว่ามันน่าเหลือเชื่อ เพราะอายุ30ปีก็ฝึกฝนถึงระดับจักรพรรดิยุทธ์ ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยด้วยซ้ำ

แต่ตอนนี้ ฝานชู่ซานไม่คิดอย่างนั้น เพราะในบรรดาผู้แข็งแกร่งอายุน้อยกว่า 30 ปี มีคนหนึ่งที่มีพลังต่อสู้ระดับจักรพรรดิยุทธ์ และเมื่อไม่นานมานี้ เขายังได้ทำลายตำหนักจื่อ และก่อเหตุที่สำนักเสวียนหยาง ภายใต้สายตาของฝูงชน ทำให้สำนักเสวียนหยางที่มีผลการฝึกตนแดนจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 4 ได้รับบาดเจ็บสาหัส!

ฝานชู่ซานได้ไปวันคล้ายวันเกิดของอาจารย์เสวียนหยาง ดังนั้นเขาจึงได้เห็นการต่อสู้ครั้งนั้นทั้งหมด

“เจ้าคือหลัวซิว!” ฟานซูซานจ้องไปที่หลัวซิวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

ชายชุดเขียวและนักยุทธ์ตระกูลฝานที่พามาที่อยู่ด้านหลังฝานชู่ซาน ต่างก็ตกใจและทุกคนก็ตระหนักได้ว่าถ้าคนนี้คือ หลัวซิวเขามีความแข็งแกร่งแบบนี้ ก็อยู่ในเหตุผล

“ฮ่าฮ่า หัวหน้าตระกูลฝานมีสายตาที่ดี” หลัวซิวไม่มีรู้สึกอึ้งหรือตะลึงใดๆ ที่อีกฝ่ายคาดเดาตัวตนของเขาได้

กล้ามเนื้อและกระดูกบนใบหน้าของเขาขยับเคลื่อนไหว และเกิดเสียงดังออกมาจากร่างกายของเขา แล้วเปลี่ยนรูปลักษณ์ของเขาให้กลับสู่รูปลักษณ์ดั้งเดิมของเขาทันที

เหล่านักยุทธ์ของตระกูลฝาน เหมือนกำลังเผชิญกับศัตรูที่น่าเกรงขามทันที

หลังจากเรื่องที่ไปสร้างเรื่องที่สำนักเสวียนหยาง ทุกคนรู้ว่า แม้ว่าหลัวซิวคนนี้จะอายุน้อยกว่ายี่สิบปี แต่พลังการต่อสู้เทียบเท่ากับผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์

ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของตระกูลฟาน ไม่สามารถที่จะต่อสู้กับจักรพรรดิยุทธ์

“หลัวซิว ตระกูลฟานของเราตกอยู่ในสภาพนี้เพราะเจ้า เจ้ากลับยังมาสร้างปัญหาให้ตระกูลฟานของเรา มันไม่มากเกินไปไปหน่อยเหรอ?” ฝานชู่ซานกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม

หลัวซิวหลุดเสียงหัวเราะออกมา “ข้าไม่มีเวลาว่างที่จะมาสร้างปัญหากับตระกูลฝานของเจ้า ถ้าไม่ใช่เพราะคนของตระกูลฝานที่มีความโลภที่มีต่อข้า ข้าก็จะไม่ทำอะไรกับคนเหล่านี้”

หลัวซิวไม่สนใจตระกูลฝานตั้งนานแล้ว เพราะหากไม่มีฝานไท่เต๋อ ตระกูลฝาน อย่างมากก็เป็นกำลังระดับสองในประเทศเทียนหวูเท่านั้น

แม้ว่า ฝานไท่เต๋อสามารถฟื้นฟูผลการฝึกตนระดับจักรพรรดิยุทธ์ ได้ในวันหนึ่ง อย่างน้อยก็ต้อง 10กว่าปีต่อไป ในเวลานั้น หลัวซิวกล้าบอกว่าความแข็งแกร่งผลการฝึกตนของเขาต้องเพิ่มขึ้นไปอีกระดับหนึ่งแน่ และตระกูลฝานจะไม่มีวัน สร้างภัยคุกคามให้แก่เขาได้

ถ้าทั้งสองฝ่ายจะยังอยู่ในความสงบคงจะดี หากตระกูลฝานไม่รู้ว่าตนเองเป็นใคร หลัวซิวก็ไม่รังเกียจที่จะถอนรากถอนโคนพวกเขาออกให้หมด

คนตระกูลฝานที่เหลือไม่กล่าวอะไร มีเพียงฝานชู่ซานเท่านั้นที่มองไปที่หลัวซิวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เขารู้ดีว่าสถานะในตอนนี้ไม่เหมือนเดิม ตอนนี้ผลการฝึกตนของหลัวซิวเป็นมีดและเขียง เขาคือเนื้อคือปลา แค่หลัวซิวคน ๆ เดียวก็สามารถทำให้ตระกูลฝาน ตกไปอยู่ในจุดที่ไม่สามารถฟื้นฟูได้

“อาจารย์ช่างสับสนจริงๆ ในตอนนั้นเหตุใดจึงไปยั่วยุดาวร้ายดวงนี้?” ฝานชู่ซานถอนหายใจในใจ แม้แต่กองกำลังเช่นตำหนักจื่อก็ถูกทำลายลงไปแล้ว นับประสาอะไรกับแค่ตระกูลฟาน?

หลังจากแยกแยะความคิดเสร็จเรียบร้อย ฝานชู่ซานสูดหายใจเข้าลึก ๆ “หลัวซิว เรื่องนี้เป็นความผิดตระกูลฝานก่อน ของเรา เจ้าต้องการอะไรถึงไม่เอาผิดตระกูลฝาน?”

ถูกบังคับโดยสถานการณ์ ฝานชู่ซานทำได้เพียงก้มศีรษะ

ที่นี่คือโลกของจอมยุทธ์ ผู้แข็งแกร่งเป็นที่เคารพ ตราบใดที่เจ้ามีความแข็งแกร่งเพียงพอ เจ้าก็มีสิทธิ์ที่จะทำอะไรก็ได้

ผู้อ่อนแอ ทำได้เพียงก้มศีรษะให้แข็งแกร่งเท่านั้น มิฉะนั้นมีแต่ทางตายเท่านั้น!

หลัวซิวยิ้มเล็กน้อย ตระกูลฝานเลือกที่จะก้มศีรษะยอมรับผิด เป็นประโยชน์ต่อเขา

เขาต้องการก่อตั้งสำนัก ต้องการทรัพยากรจำนวนมาก เพียงแค่พึ่งพาทรัพย์สินของเขาเองและความมั่งคั่งอันน้อยนิดของตระกูลสวีไม่เพียงพอแน่นอน

และตระกูลฝาน ในช่วงหลายร้อยหลายพันปีที่ผ่านมา ได้ควบคุมดินแดนอันกว้างใหญ่ของประเทศเทียนหวู ความมั่งคั่งร่ำรวยแม้แต่สิบตระกูลสวีไม่สามารถเอาชนะได้

ถ้าไม่ใช่เพราะความหวาดกลัวที่มีต่อฝานไท่เต๋อที่ยังมีชีวิตอยู่ ตระกูลฝานคงถูกทำลายไปนานแล้ว ยังจะอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้อีกหรือ?

หลัวซิวครุ่นคิดเล็กน้อย ยกมือขึ้นหยิบม้วนหยกออกมาแล้วโยนให้ฝานชู่ซานที่อยู่ฝั่งตรงข้าม

ในม้วนหยก หลัวซิวได้ระบุชื่อและปริมาณของทรัพยากรระดับต่ำจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่ใช้ในการสร้างสำนักชั้นนอก ตำหนักจื่อหอฝึกฝนและค่ายผนึกปราณ ไม่ต้องการสร้างใหม่ สามารถลดค่าใช้จ่ายได้จำนวนมาก

แต่แม้ว่าจะเป็นเพียงทรัพยากรสมบัติระดับต่ำ แต่ปริมาณที่หลัวซิวต้องการนั้นไม่น้อย เพียงพอที่จะทำให้ตระกูลฟานรู้สึกเสียดายมาก แต่จะไม่ทำให้ทรัพย์สมบัติตระกูลฝานลดน้อยลง

หลัวซิวก็รู้ว่าเขาไม่ต้องออกแรงมากเกินไป ไม่เช่นนั้นสุนัขไร้ทางก็สามารถจะกระโดดข้ามกำแพงไปได้ กระต่ายร้อนใจยังจะหันมากัดเขาได้

ฝานชูชานยื่นมือออกไปรับม้วนหยก ตัวสำนึกสำรวจม้วนหยกแล้วใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปในทันใด

“ได้ยินมาว่าเจ้ากำลังจะก่อตั้งสำนักที่ซากปรักหักพังตำหนักจื่อ สิ่งเหล่านี้ถือเป็นของขวัญจากตระกูลฝานของเรา แค่หวังว่าสำนักที่เจ้าสร้างขึ้นจะไม่เดินตามรอยเท้าของตำหนักจื่อ!”

ฝานชู่ซานส่งเสียงเย็นออกมา แม้ว่าในใจจะมีความไม่ยินยอมเป็นรอย แต่เขาก็รู้ดีว่าเขาไม่เอาสิ่งเหล่านี้ออกมาไม่ได้

แต่เขามีความหมายบางอย่างในคำพูดของเขา ความหมายคือ เจ้า หลัวซิวได้ทำลายตำหนักจื่อ แล้วก่อตั้งสำนักที่ที่ตั้งเก่าของตำหนักจื่อ ระวังว่าวันหนึ่งเจ้าจะถูกผู้อื่นทำลายลงไป

ออกจากเขามังกรหมอบซึ่งเป็นที่ตั้งของหอคอยมังกรบิน หลัวซิวมีรอยยิ้มบนใบหน้าตลอดเวลา

เพราะการมาครั้งนี้คุ้มมาก ไม่ใช่แค่ได้รับในวิชากระบี่วาตะและวิชาฝึกจิตไท่เสวียนวิชายิ่งเลิศจากหอคอยมังกรบินเท่านั้น แต่ยังได้สมบัติมาจากตระกูลฝานอีกด้วย เงินทุนและวัสดุที่จำเป็นสำหรับการก่อสร้างครั้งแรกของกองกำลัง โดยพื้นฐานนับว่าเพียงพอแล้ว

โครงสร้างภายนอกของแดนปริศนา วัสดุที่ใช้เป็นเพียงวัสดุเกรดต่ำธรรมดา ถึงแม้ว่าพื้นที่จะค่อนข้างใหญ่แต่ต้นทุนที่ใช้ไม่มากเกินไปนัก

“หอคอยมังกรบินนี้ ใช้เพื่อคัดเลือกนักยุทธ์พรสวรรค์โดยเฉพาะ คงจะดีถ้าสามารถย้ายกลับไปได้” หลัวซิวมองย้อนกลับไปที่หอคอยมังกรบินที่สูงตระหง่านและพึมพำในใจ

“พ่อหนุ่ม ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเจ้ายังไม่พอ หลังจากที่ผลการฝึกตนของเจ้าไปถึงแดนมกุฏยุทธ์ เจ้าสามารถย้าย หอคอยมังกรบินกลับไปได้ด้วยความช่วยเหลือจากปรมาจารย์นักค่ายกลระดับ 7 ” จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำกล่าว

“ฮ่าฮ่า งั้นก็รอก่อน อย่างไรก็ตาม หอคอยมังกรบินก็ตั้งอยู่ มันจะเป็นของข้าไม่ช้าก็เร็ว” หลัวซิวหัวเราะ

หลังจากเงียบไปเล็กน้อย เสียงของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำก็ดังขึ้นอีกครั้ง น้ำเสียงเคร่งขรึม “ไอ้หนุ่มหลัว ข้ามีเรื่องจะปรึกษากับเจ้า เป็นยังไง?”

“เรื่องอะไร? หลัวซิวได้ยินความเคร่งขรึมในคำกล่าวของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำ

ข้าหวังว่าเจ้าสามารถสร้างสำนักไท่เสวียนขึ้นมาใหม่อีกครั้ง”จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำกล่าวประโยคดังกล่าวแบบที่ไม่เคยกล่าวอย่างนี้มาก่อน

“ถึงแม้ว่าเจ้าจะไม่ใช่ศิษย์ของสำนักไท่เสวียน แต่เจ้าก็ได้รับการสืบทอดของสำนักไท่เสวียนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นแดนตำหนักจื่อ หอคอยมังกรบินหรือว่าจะเป็นแดนนานาอสูร แดนปริศนา ทั้งหมดนั้น มีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับสำนักไท่เสวียน”

จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำดูเหมือนจะมีความรักอย่างลึกซึ้งต่อสำนักไท่เสวียน ที่ถูกทำลายลงไปในสมัยโบราณ

บทที่ 439 ใครสั่งสอนใครกันแน่?

บทที่ 439 ใครสั่งสอนใครกันแน่?
เสียงของหลัวซิวไม่ได้ดัง แต่ก็ก้องอยู่ในหูของทุกคนอย่างชัดเจน

วิสัยทัศน์สีทองที่เกิดขึ้นในหอคอยมังกรบินและไม่ใช่แค่คนที่มาจากตระกูลฝานเท่านั้นที่มองเห็น แต่ยังรวมถึงคนหนุ่มสาวจำนวนมากที่กำลังเตรียมมาฝึกฝนที่หอคอยมังกรบิน

สีหน้าฝานหลินเปลี่ยนไปทันทีเมื่อเขาได้ยินอีกฝ่ายกล่าวถึงวิชาสยบวิญญาณ

เพราะวิชาสยบวิญญาณ เป็นความลับใจกลางของตระกูลฟาน คนผู้นี้รู้ได้อย่างไร?

“ไร้มารยาท พูดไร้สาระ เจ้ากล้าใส่ร้ายตระกูลฟานของเราหรือ?” ฟานหลินคำรามอย่างโกรธจัด จ้องไปที่หลัวซิวด้วยสีหน้าไม่พอใจ

เดิมทีเขาคิดจะดึงคนๆนี้เข้าร่วมตระกูลฟาน แต่อีกฝ่ายดูเหมือนจะไม้รู้บุญคุณ

เกี่ยวกับการข่มขู่ของฝานหลิน หลัวซิวเพียงแค่ยิ้มอย่างเฉยเมยและกล่าวอย่างดูถูก “ตระกูลฝานของพวกเจ้าสิทธิ์ที่จะถูกใส่ร้ายจากข้าด้วยเหรอ?”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฟานหลินก็หัวเราะอย่างโกรธเคือง “ผู้น้อยที่ไม่รู้ว่าตนเองเป็นใคร ดูเหมือนว่าไม่สั่งสอนเจ้า เจ้าก็จะไม่รู้ว่าตนเองเป็นใคร”

ขณะกล่าว ฝานหลินยกมือขึ้นเพื่อผนึกรวมพลังจิตแท้ แล้วสะบัดไปยังหลัวซิว

ในความเห็นของเขา ด้วยผลการฝึกตนแดนราชายุทธ์ของตน เพื่อจัดการกับผู้น้อยคนหนึ่ง แม้ว่าคู่ต่อสู้จะผ่านชั้นที่เก้าของหอคอยมังกรบินได้ แต่เขายังเด็กมาก เขาต้องไม่แข็งแกร่งเกินไป

แต่ครู่ต่อมา สีหน้าของฝานหลินก็ค้างทันที ความเจ็บถูกส่งมาจากแขนของเขา อีกฝ่ายเพียงแค่ยกนิ้ว ก็เจาะฝ่ามือของเขาเป็นรูทันที

“อ๊าก!……”

ฟานหลินร้องอย่างเจ็บปวด ร่างกายของเขาถอยหลังครั้งแล้วครั้งเล่า ฝ่ามือขวาถูกเจาะเป็นรูเลือด เลือดไหลไม่หยุด นอกจากนี้ เขารู้สึกว่าแขนของเขาถูกเสียไปแล้ว ไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น

ฝานหลินได้รับบาดเจ็บจากวิชากระบี่วาตะของหลัวซิวนั่นเอง ในนั้นมีพลังจิตแท้ปราณเป็นตาย 2 ระดับรวมอยู่ด้วย ซึ่งมีความเสียหายโดยตรงต่อลายเส้นชีวิต

ในบรรดานักยุทธ์ของตระกูลฝาน ชายชุดสีเขียวที่มีผลการฝึกตนระดับราชายุทธ์ขั้น 1 หลังจากเห็นภาพนี้ก็รู้สึกหนาวถึงใจ อีกฝ่ายเพียงแค่ยกนิ้วขึ้นอย่างสบายๆ ก็ทำให้ฝานหลินได้รับบาดเจ็บ เขาเป็นใครกันแน่?

“ทหารเสือดำ ตั้งค่ายกล!”

ฝานหลินเจ็บจนริมฝีปากที่สั่น แต่ใบหน้าของเขากลับดูดุร้าย ในเวลาเดียวกัน เขาได้บดขยี้ยันต์หยกเพื่อขอความช่วยเหลือจากตระกูลฝาน

“หาความช่วยเหลือหรือ?” หลัวซิวยิ้มเล็กน้อย “เล่นกับพวกเจ้าก็ได้”

ภายใต้คำสั่งของฟานหลิน ทหารเสือดำ 130 นายที่อยู่รอบ ๆ ได้เรียงแถวกันอย่างเป็นระเบียบตามทิศต่างๆ แล้วเดินไปหาหลัวซิวราวกับว่ากองทัพขนาดใหญ่กำลังกดทับที่ชายแดน

ทหารเสือดำทุกคน ผลการฝึกตนอยู่ที่แดนพรสวรรค์ขึ้นไป และยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่มีผลการฝึกตนถึงแดนฝึกจิต

แต่แต่ละคนก็ผ่านการฆ่าฟันมาก่อน

แม้ว่าผลการฝึกตนของคนเหล่านี้จะไม่สูงนัก แต่แต่ละคนก็ผ่านการฆ่าฟันมาเป็นเวลานาน และพวกเขาได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี รู้วิธีการจักตั้งค่ายกลเพื่อแสดงวิธีการโจมตีร่วมกัน

แต่หลัวซิวไม่สนใจ ค่ายกลที่ตระกูลฝานเชี่ยวชาญนั้นค่อนข้างต่ำสำหรับเขา เพียงพอที่จะจัดการกับนักยุทธ์ทั่วไป ใช้ค่ายกลต่อหน้าปรมาจารย์นักค่ายกล เท่ากับว่าสร้างความอัปยศให้ตนเอง

หลังจากที่ทหารเสือดำตั้งค่ายกลแล้ว พลังของทหารเสือดำ 130 นายก็รวมตัวกันบนร่างของฟานหลิน เห็นได้ชัดว่าค่ายกลนี้นำโดยเขา

พลังในร่างกายของฝานหลินเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และในไม่ช้าเขาก็เพิ่มขึ้นราชายุทธ์ขั้น 4 ไปจนถึงราชายุทธ์ขั้น 7 แล้วยังคงจะเพิ่มขึ้นต่อไป

หลัวซิวยังคงยิ้มอย่างดูถูก ยกมือขึ้นช้าๆ แล้วบีบผนึกออกมา

เดิมทีแขนของฟานหลินที่ได้รับบาดเจ็บจนมีเหงื่อซึมออกมาบนหน้าผากที่ คิดว่าใช้ค่ายกลจากทหารเสือดำก็สามารถจัดการชายหนุ่มที่หยิ่งผยองได้ แต่เขาคาดไม่ถึงว่าค่ายกลพลังของการโจมตีรวมกัน ยังไม่ทันได้ จู่ๆก็สูญเสียการควบคุมไป?

พลังมหาศาลที่ควบแน่นอยู่บนร่างกายของเขาก่อนหน้านี้ จู่ๆก็ผันผวนอย่างแรง จิตใจและร่างเนื้อกระตุก ฝานหลินกระอักเลือดออกมาเต็มปาก เวียนหัวจนเขาเกือบจะเป็นลมไป

ทหารเสือดำ 130 นาย ต่างก็ตัวสั่นเช่นกัน มุมปากของพวกเขาก็มีเลือดไหลออกมา ถูกโจมตีจากค่ายกล

ชายชุดเขียวที่ไม่เคยมีเวลาเข้าไปแทรกแซง มองดูหลัวซิวด้วยสีหน้าตกใจ “เจ้าเป็นใครกันแน่?”

หลัวซิวสีหน้าเฉยเมย รอยยิ้มเย้ยหยัน “ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้าเป็นใคร ก็มาหยิ่งผยองต่อข้า แล้วยังตะโกนจะฆ่าแกงกัน ฝานไท่เต๋อสั่งสอนพวกเจ้าอย่างนี้หรือ?”

เมื่อได้ยินอีกฝ่ายหนึ่งเรียกชื่อจริงอาจารย์ของตระกูลฟาน ชายชุดเขียวหน้าเปลี่ยน “เจ้ารู้จักอาจารย์ตระกูลข้า?”

ความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายที่แสดงออกมานั้นน่าสะพรึงมากจนชายชุดเขียวคิดว่าแม้อีกฝ่ายดูแล้วจะยังเด็ก แต่เขาอาจเป็นผู้แข็งแกร่งก็ได้ และเขาอาจเป็นคนรู้จักของอาจารย์ของเขา

“ฮ่าฮ่า รู้จักแน่นอน” หลัวซิวยิ้มอย่างมีความหมาย

ในขณะนี้ที่ขอบฟ้าอันไกลโพ้น ออร่าอันแรงกล้าก็แผ่กระจายออกมา เป็นฝานหลินที่บดขยี้ม้วนหยกแตกเพื่อส่งข้อความ ผู้แข็งแกร่งคนอื่น ๆ ของตระกูลฝาน ได้ยินการเคลื่อนไหวทางนี้จึงรีบมาทันที

คนที่เป็นผู้นำคือชายวัยกลางคนที่เดินอย่างสง่า สวมชุดสีทอง ดูแล้วสง่าเกินบรรยาย

บุคคลนี้มีผลการฝึกตนของราชายุทธ์ขั้น 8 ในประเทศเทียนหวู ภายใต้อาจารย์จักรพรรดิยุทธ์ เขาถือได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งที่สุด

หลัวซิวจำได้ในทันทีว่าชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีทองเป็นอดีตจักรพรรดิของประเทศเทียนหวู ฝานชู่ซาน

เพียงแต่ว่าตระกูลฝานปัจจุบัน ไม่ได้ใหญ่โตอย่างที่เคยเป็น จักรพรรดิผู้นี้มีเพียงชื่อเท่านั้น หากปราศจากฝานไท่เต๋อที่ทำให้ผู้อื่นรู้สึกกลัว อาจารย์จักรพรรดิยุทธ์ในประเทศเทียนหวู จะไม่ให้เกียรติตระกูลฝานกันทั้งนั้น

“เกิดอะไรขึ้น?”

ฝานชู่ซานบินมาจากฟ้า เห็นว่าทหารเสือดำ 130 นายได้รับบาดเจ็บหมด ฟานหลินยิ่งหมดสติไป เขาขมวดคิ้วทันทีและถามชายชุดเขียว

ชายชุดเขียวเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ออกมาทันที และกล่าวถึงแสงสีทองของหอคอยมังกรบินด้วย

สีหน้าของฝานชู่ซานเปลี่ยนไปทันทีหลังจากได้ยินเรื่องนี้

เขาเป็นถึงหัวหน้าตระกูลฝาน ความคิดความสามารถของเขาดีแค่ไหนกัน?

ประเทศเทียนหวู หลายร้อยปีมานี้ผู้ที่สามารถผ่านชั้นเจ็ดของหอคอยมังกรบินมาได้นั้น น้อยมาก และไม่มีใครผ่านชั้นแปดมาได้ จู่ๆก็มีคนที่สามารถบุกผ่านชั้นเก้ามาได้ ทำได้ถึงขั้นนี้จะมีคนได้กี่คน?

ราชวงศ์ตระกูลฝานได้ควบคุมหอคอยมังกรบินมาหลายพันปี ได้ทำความเข้าใจเล็กน้อยเกี่ยวกับหอคอยมังกรบินชั้นเจ็ดขึ้นไป ข้อมูลส่วนใหญ่มาจากม้วนหยกที่หลงเหลือจากสมัยโบราณกับหนังสือที่ทำจากวัสดุพิเศษ

ในนั้นก็กล่าวไว้ว่า หากอยากบุกผ่านหอคอยมังกรบินชั้นเก้า จะต้องมีความแข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์

บทที่ 438 วิชาฝึกจิตไท่เสวียน

บทที่ 440 จำหลัวซิวได้

บทที่ 438 วิชาฝึกจิตไท่เสวียน
วิชากระบี่เทพไท่เสวียน เป็นโลกกระบี่วิชายิ่งเลิศ และไม่มีใครเทียบได้ในการฆ่า การฆ่าสังหารไม่มีใครเทียบได้ แค่พูดถึงพลังแห่งการฆ่า จะชนะวิชาสังหารไท่เสวียน

หลัวซิวเริ่มต้นด้วยวิชากระบี่ ถ้าเขาสามารถฝึกฝนวิชากระบี่เทพไท่เสวียนได้ สามารถกล่าวได้ว่าเสริมซึ่งกันและกันและความแข็งแกร่งของเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด

แต่หลัวซิวรู้ดีว่ารากฐานที่แท้จริงของเขาคือสองระดับความเป็นตาย เมื่อเทียบกับวิชากระบี่เทพไท่เสวียน เขาต้องการวิชาฝึกจิตไท่เสวียนที่จะทำให้เขาสามารถเพิ่มผลการฝึกฝนของเขาได้อย่างรวดเร็วด้วยความช่วยเหลือจากแดนนานาอสูรมากกว่า

“น่าเสียดายที่เลือกได้เพียงอย่างหนึ่ง มิฉะนั้น ถ้าสามารถฝึกฝนวิชายิ่งเลิศทั้งเก้าพร้อมกัน ก็จะอยู่ยงคงกระพันแล้ว?”หลัวซิวพึมพำเล็กน้อยด้วยความโลภ

“พ่อหนุ่ม เจ้าเอาวิชายิ่งเลิศเป็นอะไร? ไม่ว่าวิชายิ่งเลิศวิชาไหนก็ตาม ก็สามารถทำให้เจ้าไม่สามารถฝึกฝนจนถึงระดับสูงสุดตลอดชีวิตของเจ้าได้ เจ้ายังต้องการฝึกฝนเก้าวิชาพร้มอกันอีกหรือ?”

จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำหน้ามุ่ย “แม้ว่าตอนที่ข้าจะอยู่ในยุคโบราณที่มีผลการฝึกตนระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ช่วงกลาง ข้าก็ไม่สามารถฝึกฝนวิชาสังหารไท่เสวียนให้สมบูรณ์แบบที่สุดได้ ในบันทึกทางประวัติศาสตร์ของสำนัก ได้ฝึกฝนวิชายิ่งเลิศ มากกว่า2วิชาขึ้นไป มีเพียงหยิบมือเดียวเท่านั้นและสำหรับการฝึกฝนวิชายิ่งเลิศสามวิชาขึ้นไปนั้นไม่มีแม้แต่ผู้เดียว!”

โลภมากไป ทำได้ไม่ดี จอมยุทธ์ทุกคนต่างก็รู้ย่อมทราบดี ดังนั้นนักยุทธ์ส่วนใหญ่จะเลือกทิศทางใดทิศทางหนึ่งเพื่อที่จะเดินต่อไป ทางนั้นอาจจะเป็นวิชาหนึ่ง ทักษะยุทธ์หนึ่ง หรือเป็นการฝึกฝนอีกแบบหนึ่ง แม้กระทั่งเป็นกฎอย่างหนึ่ง

แม้ว่าตอนนี้หลัวซิวจะฝึกวิชายิ่งเลิศอยู่สองประเภท และหากเขาเลือกหนึ่งอย่าง ก็จะเป็นสามประเภทแล้ว แต่เขาไม่คิดว่าเขาจะไม่สามารถฝึกฝนไม่ได้ เพราะเขาไม่เคยสูญเสียทิศทางของเขามาก่อน

“เลือกวิชาฝึกจิตไท่เสวียน” หลัวซิวตัดสินใจอย่างรวดเร็ว ตรวจสอบแสงเงาอื่น ๆ เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับวิชายิ่งเลิศอื่น ๆ ของ สำนักไท่เสวียนเท่านั้น

ขณะที่เขาเพิ่งทำการเลือก กลุ่มแสงเงาก็หายเข้าไปในร่างกายของเขา และมีข้อความปรากฏขึ้นในสมองของเขา

“เป็นเช่นนี่นี่เอง” หลัวซิวเหลือบมองดูคร่าวๆ ก็เข้าใจมากกว่าครึ่ง ที่วิชาฝึกจิตไท่เสวียนสามารถกลั่นพลังส่วนใหญ่ในโลกมาใช้เองได้นั้นก็เพราะมีเส้นทางโคจรเส้นลมปราณที่พิเศษและยุ่งยาก

โคจรเส้นลมปราณของร่างกายมนุษย์มีความลึกลับไม่รู้จบ บางสิ่งที่ไม่สามารถทำได้โดยวิธีปกติ สามารถทำได้ผ่านโคจรเส้นลมปราณพิเศษ ระดับของทักษะยุทธ์ มีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับโคจรเส้นลมปราณ

หากสามารถค้นพบวิธีการทำงานแบบพิเศษได้ อาจจะได้รับพลังที่เหนือจินตนาการจากในนั้น

แต่ว่าลองให้โคจรเส้นลมปราณของร่างกายมนุษย์ทำงานนั้นอันตรายอย่างยิ่ง หากประมาทเพียงเล็กน้อยก็เสี่ยงที่ผิดพลาดและไม่สามารถย้อนกลับได้ ดังนั้น ตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบันวิชาชั้นยอดเยี่ยมเป็นมรดกที่ล้ำค่ามาก เพราะถูกรวบรวมประสบการณ์จากปราชญ์นับไม่ถ้วนวิชายุทธ์เหล่านี้ถึงจะถูกสร้างขึ้นมา

ตัวอย่างเช่น วิชายิ่งเลิศพลังแปรเสวียนเทียน เป็นโหมดทำงานพิเศษของโคจรเส้นลมปราณ แต่โหมดการทำงานนี้จะทำให้โคจรเส้นลมปราณของร่างกายมนุษย์รับภาระอย่างมาก ดังนั้นจึงต้องมีร่างกายที่แข็งแรงเพียงพอที่จะใช้งานได้

พลังต่อสู้สามารถเพิ่มได้มากถึงร้อยเท่าในทันที นี่มันแนวคิดแบบไหนกัน? ความแข็งแกร่งร้อยเท่านี้อยู่ๆก็ไม่สามารถปรากฏออกมาได้ แต่เกิดจากศักยภาพของร่างกายมนุษย์

วิชาฝึกจิตไท่เสวียน ทำให้หลัวซิวมีแรงบันดาลใจใหม่และดูเหมือนว่าเขาจะมองเห็นรากเหง้าของการฝึกฝนวิชายุทธ์ในระดับที่ลึกมากขึ้น

ในเวลาเดียวกัน เมื่อหลัวซิวบุกผ่านชั้นเก้าของหอคอยมังกรบิน ก็เปล่งแสงสีทองออกมา แม้ว่าจะอยู่ห่างออกไปหลายร้อยไมล์ ก็สามารถเห็นได้อย่างชัดเจน

นักยุทธ์ตระกูลฝานที่รับผิดชอบดูแลหอคอยมังกรบินไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น คนหนุ่มสาวหลายคนที่กำลังจะเข้าไปในหอคอยมังกรบินเพื่อบุกผ่าน ต่างก็ประหลาดใจและจ้องมองไปที่แสงนั้นอย่างตกตะลึง

เพราะหอมังกรบินตั้งอยู่ที่นี่มาเป็นเวลานานจนนับไม่ถ้วนไม่ถ้วน ไม่เคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมาก่อน

วิสัยทัศน์เป็นแบบนี้ไปชั่วขณะหนึ่ง จนกระทั่งหลัวซิวที่อยู่ในหอคอยถูกเคลื่อนย้ายหลังมาหลังจากเลือกวิชาฝึกจิตไท่เสวียนแล้ว สีทองของหอคอยมังกรบินก็หายไปในทันใด

“ทหารเสือดำ รับฟังคำสั่ง!”

ชายวัยกลางคนบินขึ้นไปในอากาศและตะโกนเสียงดังในทันใด

แม้ว่าสถานะของตระกูลฟานจะไม่เหมือนอย่างที่เคยเป็นมา แต่การก่อตัวของทหารเสือดำและกองทัพมังกรขาวก็ยังคงอยู่เสมอ

“ขอรับ!”

ทหารเสือดำมากกว่า 130 นายที่รับผิดชอบดูแลหอคอยมังกรบิน ต่างก็ปล่อยออร่าเยือกเย็นพลานุภาพออกมารวมตัวกัน ครอบคลุมพื้นที่หลายร้อยเมตร

“ฟานหลิน เกิดอะไรขึ้น?” ชายอีกคนในเสื้อสีเขียวบินขึ้นไปในอากาศและมาที่ข้างชายวัยกลางคน

ชายวัยกลางคนชื่อฟานหลินสีหน้าเคร่งขรึมอย่างยิ่ง “มีคนบุกเข้าไปถึงชั้นที่เก้าของหอคอยมังกรบิน! ตระกูลฟานของเราเคยได้รับม้วนหยกโบราณมาก่อน ซึ่งในนั้นมีบันทึกเกี่ยวกับด้านนี้ หอคอยมังกรบินมีวิสัยทัศน์แสงสีทองก็ปรากฏขึ้น หมายความว่ามีคนบุกผ่านชั้นเก้าไปแล้ว”

“อะไรนะ ชั้นเก้า ล้อเล่นหรือเปล่า?” สีหน้าของชายชุดสีเขียวเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ หลายร้อยปี มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถบุกผ่านชั้นเจ็ดได้ ชั้นแปดไม่มีใครผ่านไปได้ด้วยซ้ำ ตอนนี้มีคนบุกเข้าไปถึงชั้นเก้าแล้วหรือ?

ในขณะนี้ ตาของฝานหลินตกอยู่ที่หลัวซิวซึ่งเพิ่งถูกส่งออกมาจากหอคอยมังกรบิน “ทันทีที่คนๆนี้ถูกเส่งออกไป แสงสีทองของหอคอยมังกรบินก็ได้หายไป”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ชายชุดสีเขียวก็มองไปทางหลัวซิว ฟานหลินหมายหว่าว่าคนๆ นี้ผ่านชั้นเก้าไปแล้ว?

รู้สึกถึงการจ้องมองของคนสองคนนี้ หลัวซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาเปลี่ยนรูปลักษณ์โดยการย้ายร่างเปลี่ยนกระดูก อีกฝ่ายจะไม่สงสัยในตัวตนที่แท้จริงของเขา

บุกผ่านชั้นเก้าแล้วจะมีแสงสีทองเกิดขึ้นในหอคอยมังกรบิน หลัวซิวก็รู้เช่นกัน ดังนั้นเขาจึงเดาว่านักยุทธ์ตระกูลฝานสองคนนี้ที่ยืนอยู่บนท้องฟ้า อาจสงสัยตัวเอง

แต่หลัวซิวไม่สนใจ ผลการฝึกตนของทั้งสองคนคือราชายุทธ์ คนหนึ่งคือราชายุทธ์ขั้น 4 และอีกคนหนึ่งราชายุทธ์ขั้น 1

“ไม่รู้ว่าผู้น้อยคนนี้ชื่ออะไร” ฟานหลินลงมาจากอากาศ มาที่ด้านหน้าของหลัวซิว และถามด้วยน้ำเสียงขรึม

แม้ว่าเขาจะสงสัย แต่เขาไม่รู้รายละเอียดของอีกฝ่ายหนึ่ง ที่สำคัญผู้ที่สามารถบุกผ่านชั้นเก้าของหอคอยมังกรบินได้จะต้องไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย จะทำกับเขาเหมือนคนธรรมดาทั่วไปไม่ได้

ออร่าตอนนี้ของหลัวซิวถูกเก็บไว้ในร่าง ตัวสำนึกของฝานหลินกวาดไปทั่วร่างกายของเขาอย่างไร้ร่องรอย แต่เขาสัมผัสไม่ได้แม้แต่ปราณแท้ที่ผันผวนเพียงเล็กน้อยของเขา

“ข้าเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น” หลัวซิวกล่าวเสียงเรียบ

ฝานหลินขมวดคิ้ว อีกฝ่ายไม่เต็มใจที่จะเปิดเผยตัวตนของเขา ซึ่งบ่งชี้ว่ายิ่งมีปัญหา

บุกผ่านชั้นเจ็ดของหอคอยมังกรบิน จะได้รับสมบัติทักษะยุทธ์ระดับ 8 บุกผ่านชั้นเก้า รางวัลจะสูงขึ้นอย่างแน่นอน ทักษะยุทธ์ระดับ 9 ก็ยังเป็นไปได้

ถ้าได้มันมา ต้องมีผลต่อการพัฒนาของตระกูลฟานอย่างมาก

เมื่อคิดถึงจุดนี้ ฝานหลินยิ้มเล็กน้อย “ข้าคือฝานหลิน อยากเชิญผู้น้อยให้เข้าร่วมตระกูลฝานของเรา ข้าดูแล้วผู้น้อยมีพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดา หากสามารถเข้าร่วมตระกูลฝานของเราจะได้รับฝึกฝนที่สำคัญอย่างแน่นอน และต้องมีอนาคตที่ดี”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลัวซิวหลุดเสียงหัวเราะ “เข้าร่วมตระกูลฟาน? จากนั้นก็ถูกพวกเจ้าปลูกฝังวิชาสยบวิญญาณ อยากตายก็ตายไม่ได้ อยากเป็นก็เป็นไม่ได้หรือ?”

บทที่ 437 บุกผ่านชั้นเก้า
เป็นเพียงว่าวิชาพลังมังกรแท้ถูกกำจัดทิ้งโดยหลัวซิวเมื่อนานมาแล้ว ตัวเขาเองมีวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ ในด้านของวรยุทธ์ แม้จะอยู่ในระดับวิชายิ่งเลิศ ก็ไม่สามารถสร้างความอยากได้ให้กับเขาได้

ในท้ายที่สุด หลัวซิวเลือกทักษะยุทธ์ระดับ 9 วิชากระบี่วาตะ

นี่คือทักษะยุทธ์ต่อสู้ระยะประชิดที่ใช้นิ้วเป็นดาบ หลังการฝึกฝน สามารถทำให้ร่างยุทธ์ระดับจักรพรรดิของเขามีพลังที่น่าเกรงขามยิ่งขึ้น

เป็นผลให้ในด้านของทักษะยุทธ์ เขาก็มีสองทักษะคือ ภูตผีเซินหลัว สำหรับการโจมตีที่กว้างขวางและ วิชากระบี่วาตะสำหรับการต่อสู้ระยะประชิด

“ไปชั้นเก้า”

เมื่อร่างของหลัวซิวปรากฏบนชั้นเก้า ร่างสีดำก็พุ่งเข้ามาหาเขาด้วยความเร็วที่เร็วมาก

โฮก!

เสียงคำรามของมังกรดังขึ้น หลัวซิวเหยียบร่างมังกรเขียว ร่างกายเขาหายไปในทันที

เสียงดังเกิดขึ้น ตำแหน่งเดิมที่เขายืนถูกกระแทกด้วยอำนาจแข็งแกร่ง พื้นดินสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง และผู้พิทักษ์ชุดดำชั้นเก้าก็ปรากฏตัวขึ้น

“จักรพรรดิยุทธ์ขั้น 3 ร่างยุทธ์ระดับจักรพรรดิ?”หลัวซิวเลิกคิ้วเล็กน้อย

อายุยังไม่ถึง 30 ปีก็ฝึกฝนจนถึงแดนจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 3 แล้วยังมีร่างเนื้อระดับร่างยุทธ์ระดับจักรพรรดิ โลกในตอนนี้เกือบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

แม้แต่ในสมัยโบราณที่อารยธรรมการฝึกฝนจอมยุทธ์ยังอยู่ในขั้นสูงสุด ผู้ที่สามารถทำได้ คืออัจฉริยะหาที่เปรียบไม่ได้ มีคุณสมบัติที่จะถูกอาจารย์ใหญ่ของสำนักไท่เสวียนรับเป็นศิษย์

“พ่อหนุ่ม เจ้าอย่าประมาท ผู้พิทักษ์บนชั้นเก้าของหอมังกรบิน การโจมตีวิญญาณนั้นไม่มีผล” เสียงของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำหัวเราะขึ้นในวิญญาณหยั่งรู้ของหลัวซิว เขารู้ว่าพลังที่แข็งแกร่งที่สุดของหลัวซิวคือวิญญาณเทพแห่งตัวสำนึกของเขาได้มาถึงระดับจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 6 แล้ว

ภายใต้เรื่องที่ว่าไม่สามารถใช้วิญญาณแห่งตัวสำนึกในการโจมตี และไม่สามารถยืมพลังจากลูกแก้วเสวียนดำ แทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเอาชนะจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 3 โดยอาศัยผลการฝึกตนแดนราชายุทธ์ขั้น 4

“เหอะ เหอะ ผู้อาวุโสไม่มั่นใจในตัวข้าหรือ? อย่าลืมว่าข้าคือคิงซิวหลัว!” หลัวซิวยิ้มเบา ๆ

การโจมตีด้วยวิญญาณใช้ไม่ได้ และพลังของลูกแก้วเสวียนดำถูกจำกัด แต่พลังของชิ้นส่วนกฎไม่ได้รับผลกระทบใดๆ ที่นี่

ผู้พิทักษ์ชุดดำสีหน้าราบเรียบ ดาบสีเขียวเหลืองถูกเขาจับอยู่ในฝ่ามือ ยกมือขึ้นและฟันออกไป ดาบหนาฟันตรงไปทางหลัวซิว

วิชาท่าร่างบรรลุมังกรเขียวถูกใช้ หลัวซิวหลีกเลี่ยงการฟันดาบที่ฟันมาหา พื้นที่แข็งถูกตัดเป็นหลุมด้วยดาบ เศษก้อนหินกระเซ็นไปทั่วฝุ่นลอยเต็มไปหมดแต่พื้นที่ที่เสียหายได้รับการฟื้นฟูอย่างรวดเร็วอย่างเห็นได้ชัด เป็นเพราะค่ายกลของพื้นที่นี้

การโจมตีของผู้พิทักษ์ชุดดำไม่ได้หยุดลงเลย ตามด้วยการฟันดาบหลายครั้ง การโจมตีแต่ละครั้งของดาบทำให้ร่างยุทธ์ระดับจักรพรรดิของหลัวซิวรู้สึกเป็นภัยคุกคามอย่างยิ่ง ถ้าเขาถูกฟัน ด้วยสภาพร่างกายในปัจจุบันของเขา จะไม่สามารถหลบหนีได้โดยปราศจากอันตราย

เพราะร่างยุทธ์ระดับจักรพรรดิของเขา เพิ่งทะลุเมื่อไม่นานมานี้เอง ยังคงอยู่ในขั้นแรก

ฮึ่ม!

ตราประทับแห่งกฎบนหน้าผากแผ่กระจายออกเป็นแสงจิตห้าสี หลัวซิวถูกปกคลุมไปด้วยแสงจิตห้าสี ราวกับเทพที่ตกลงมา

เขาเอื้อมมือออกไปและคว้าไปข้างหลังเขา และกระบี่อาถรรพ์ฟันเสือก็ตกลงมาในมือของเขา กระบี่ถูกฟันออกไป ทำให้ดาบที่ฟันมาแตกกระจาย

“ป้องร่างรัศมีเทพ”

หลัวซิวคำราม เห็นแต่แสงดาบอีกแสงหนึ่งกำลังฟันเข้าหาเขา เขาไม่ได้ขยับ ปล่อยให้แสงดสบฟันลงบนแขนที่แสงจิตห้าสีล้อมรอบไว้

เกิดเสียงดังขึ้นมา หลัวซิวสัมผัสได้ถึงพลังโจมตีที่รุนแรง เขาถอยหลังออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่แสงจิตห้าสีแค่สั่นไปมาเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้ถูกแสงดาบฟันให้แตกกระจาย

“เหอะเหอะ สมกับที่เป็นพลังแห่งกฎ แข็งแกร่งจริงๆ ” หลัวซิวยิ้มออกมา พลังของกฎเบญจธาตุทำให้เขาพอใจมาก อย่างน้อยก่อนที่พลังต่อสู้จะถึงระดับมกุฏยุทธ์ มันจะเป็นหนึ่งในไพ่ที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา

ชิ้นส่วนกฎยังแบ่งออกเป็นระดับสูงและต่ำด้วย ชิ้นส่วนกฎที่ออกมาจากแดนแต่งตั้งราชานั้นต่ำที่สุด แต่หลัวซิวได้ชิ้นส่วนกฎสิบแปดชิ้นมาได้ และรวมเข้าด้วยกันเป็นกฎเบญจธาตุ ดังนั้นในด้านของระดับ เกือบจะเทียบได้กับชิ้นส่วนกฎของแดนปริศนาจักรพรรดิยุทธ์

แต่ถ้าเปรียบเทียบกับชิ้นส่วนกฎในแดนปริศนาจักรพรรดิยุทธ์ ก็ไม่มีการเปรียบเทียบเลย

ระยะเวลาสั้นๆ ผู้พิทักษ์ชุดดำพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าสีดำ และมาอยู่ตรงหน้าหลัวซิวในทันที

เขาฟันออกด้วยดาบ ปราณเย็นพุ่งเข้าหาเขา เย็นเยียบราวน้ำแข็งและคมราวกับดาบ

หลัวซิวไม่สนใจสักนิด ด้วยพลังปัจจุบันของเขาในการใช้กฎเบญจธาตุ พลังการต่อสู้ของเขาเปรียบได้กับจักรพรรดิยุทธ์ระดับกลาง

เท้าทั้งสองแตะพื้น กระบี่ถูกยกขึ้นในแนวนอน เกิดเสียงกระทบกัน เปลวเพลิงยิงไปทุกที่ คราวนี้ ร่างของเขานิ่งและไม่ถูกโจมตีให้ถอยหลัง

แสงจิตห้าสีควบแน่นบนฝ่ามือซ้ายของเขา เปลี่ยนเป็นพลังปราณที่แท้จริง หลัวซิวชี้ออกไป เพิ่งเรียนรู้ก็ใช้เลย ใช้ทักษะยุทธ์ระดับเก้าที่ได้มาจากชั้นแปด วิชากระบี่วาตะ

ผังกฎดั้งเดิมวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ สามารถกล่าวได้ว่าคลุมเครือและลึกลับเจ้าใจยาก เมื่อเข้าใจผังกฎดั้งเดิม ความเข้าใจของหลัวซิวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทักษะยุทธ์ระดับ 9 เขาเข้าใจหลักการได้เพียงแค่ชำเลืองมองเท่านั้น แล้วรู้จักการประยุกต์ใช้

วิชากระบี่วาตะที่แสดงผ่านนิ้วมือการผนึกรวมด้วยแสงจิตห้าสี พลังของมันแข็งแกร่งกว่าการโจมตีของดาบสงครามระดับกลาง

ผู้พิทักษ์ชุดดำไม่กล้ารับการโจมตี รีบหลีกเลี่ยง แต่เนื่องจากพวกเขาอยู่ใกล้เกินไป จึงไม่สามารถหลบได้ทั้งหมด

มีเสียงดังขึ้น แขนของผู้พิทักษ์ชุดดำถูกเจาะเป็นรูด้วยนิ้วของหลัวซิว แต่ไม่มีภาพที่เลือดสาดกระเซ็นออกมา

หลังจากนั้น กระบี่อาถรรพ์ฟันเสือในมือของหลัวซิวฟันออกไป ผู้พิทักษ์ชุดดำก็ถูกฟันกระเด็นออกไปพร้อมดาบ

ผู้พิทักษ์ชุดดำยืนด้วยดาบที่แทงอยู่บนพื้น ยืนขึ้นช้าๆ จ้องไปที่หลัวซิว และไม่โจมตีอีก

“หนุ่มน้อย ความแข็งแกร่งของเจ้าเกินจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 3 แล้ว ขอแสดงความยินดี เจ้าผ่านชั้นเก้าและมีโอกาสเป็นศิษย์ของอาจารย์ใหญ่แห่งสำนักไท่เสวียน!”

ตอนที่กล่าวคำพูดนี้ ดาบในมือของผู้พิทักษ์ชุดำได้หายไป จากนั้นยกมือแล้วโบกมือ มีแสงเงาทั้งเก้าปรากฏขึ้นต่อหน้าหลัวซิว

“เพื่อเป็นรางวัลสำหรับเจ้าที่บุกผ่านชั้นเก้าของหอคอยมังกรบิน เจ้าสามารถเลือกหนึ่งในเก้าวิชายอดเยี่ยมของสำนักไท่เสวียนได้” ผู้พิทักษ์ชุดำกล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบ

แสงเงาทั้งเก้านี้ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน แต่ทันทีที่สัมผัสด้วยตัวสำนึก ก็จะได้รับข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับวิชายอดเยี่ยมอย่างหนึ่ง

วิชาหยินหยางไท่เสวียน สามารถฝึกฝนสองระดับหยินหยาง การโจมตีและการป้องกันเป็นหนึ่งเดียว แข็งแกร่งกว่าแดนระดับเดียวกัน

แต่หลัวซิวไม่มีความสนใจในวิชาหยินหยางไท่เสวียนนี้ เพราะสองระดับหยินหยางนี้ เป็นพลังของสองระดับหยินหยางสอง เมื่อเทียบกับสองระดับความเป็นตาย แย่กว่ามาก

ในความจำกัดของระดับชิ้นส่วนกฎ กฎหยินหยางรวม อยู่ระหว่างกฎระดับสูงกับกฎระดับชั้นสูงสุด และสองระดับความเป็นตาย เป็นกฎที่อยู่เหนือกฎระดับบนสุด!

วิชาสังหารไท่เสวียน เป็นวิชายิ่งเลิศที่จักรพรรด์ยุทธ์เสวียนดำฝึกฝน ควบคุมกดดันและการเข่นฆ่า พลังแข็งแกร่ง

วิชาล่องหนไท่เสวียน มีความลึกลับของพลังแห่งโซน หากฝึกฝนจนถึงสุดขั้ว สามารถควบคุมพลังของกฎแห่งโซน มาและไปไร้ร่องรอย และฆ่าผู้คนได้อย่างไร้ร่องรอยเช่นกัน

อาจกล่าวได้ว่าหากสามารถฝึกฝนวิชาล่องหนไท่เสวียนได้สำเร็จ ก็จะไม่อ่อนแอไปกว่าพรสวรรค์ของเผ่ามังกรไร้เงาในการควบคุมโซน

บทที่ 436 หอคอยมังกรบิน
สำหรับชั้นที่เก้านั้น แม้แต่พรสวรรค์อัจฉริยะก็ยากที่จะผ่านไปได้เหมือนกัน ต้องมีความแข็งแกร่งถึงจักรพรรดิยุทธ์

ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของหลัวซิว บุกผ่านชั้นที่เก้าไม่เป็นปัญหาเลย แม้ในหอคอยมังกรบินเขาไม่สามารถใช้พลังของลูกแก้วเสวียนดำ แต่เขาก็ยังมีพลังแห่งกฎกฎเบญจธาตุ

ครั้งนี้ที่เขาไปที่ทะลุผ่านหอคอยมังกรบิน ไม่ได้เพื่อพิสูจน์พรสวรรค์ของเขา แต่เพื่อรางวัลของหอคอยมังกรบิน

ตามคำกล่าวของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำ หอคอยมังกรบินเป็นค่ายกลระดับ 7 และค่ายกลนี้มีได้ตั้งค่ายกลเบื้องหลังไว้เป็นจำนวนมาก เมื่อมีคนพยายามจะควบคุมและทำลายมัน ระบบค่ายกลจะล่มสลายไปเองและทุกอย่างก็จะหายไป

เพราะในหอคอยมังกรบินมีความลับหลักของสำนักไท่เสวียนถูกซ่อนอยู่ใน ความลับนี้คือการบุกเข้าไปถึงชั้นแปดของ หอคอยมังกรบิน จะรับทักษะยุทธ์ระดับ 9 ถ้าสามารถบุกเข้าไปถึงชั้นเก้าได้ จะได้รับวิชายิ่งเลิศเก้าวิชาจากสำนักไท่เสวียน เลือกหนึ่งในเก้าวิชานั้น!

“พ่อหนุ่ม เจ้ามีแดนนานาอสูร หากเจ้าได้รับวิชาฝึกจิตไท่เสวียน ก็สามารถตามล่ายาโลหิตอสูรจากแดนนานาอสูร เพิ่มผลการฝึกตนของเจ้าได้อย่างรวดเร็ว” ครั้งนี้ที่ไปหอคอยมังกรบิน จริง ๆ แล้วเป็นจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำที่สนับสนุนให้เขาไป

เมื่อก่อน หลงหมิงเคยกล่าวอีกว่าวิชาฝึกจิตไท่เสวียน เป็นทักษะพิเศษที่สามารถนำพลังฟ้าดินส่วนใหญ่มาใช้กับตน

หลัวซิวกลืนยาโลหิตอสูร จะมีผลเพียงชุบร่างเนื้อให้ดีขึ้นเท่านั้น และเมื่อขอบเขตทางกายภาพของเขาดีขึ้น ผลกระทบก็จะอ่อนลงเรื่อยๆ

แต่ถ้าหากได้รับวิชาฝึกจิตไท่เสวียนมา พลังของยาโลหิตอสูรจะถูกใช้ได้มากที่สุด ไม่เพียงแต่ขอบเขตทางกายภาพเท่านั้นที่สามารถปรับปรุงให้สูงขึ้นได้อย่างรวดเร็ว แม้แต่พลังจิตแท้ของผลการฝึกตน ยังรวมถึงวิญญาณหยั่งรู้​ก็ยังสามารถเพิ่มขึ้นได้

จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำ ในฐานะหนึ่งในสามผู้อาวุโสของสำนักไท่เสวียน กลับไม่เคยฝึกฝนวิชายิ่งเลิศนี้ วิชาที่เขาฝึกฝนคือหนึ่งในเก้าวิชาไท่เสวียน คือ วิชาสังหารไท่เสวียน

หนึ่งในสามสมบัติวิเศษของเขาเสวียนดำเขา ถูกสร้างขึ้นโดยการผสมผสานวิชาสังหารไท่เสวียนเข้ากับเทคนิคการกลั่นสมบัติสมัยโบราณ

หลัวซิวอยากเรียนรู้วิชาสังหารไท่เสวียนจากจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำ แต่จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำเป็นคนปากแข็งและปฏิเสธที่จะบอกเขา

เก้าวิชายอดเยี่ยมเป็นความลับหลักของสำนักไท่เสวียนที่ไม่สืบทอดให้ผู้อื่น จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำจะไม่ยอมให้ความลับของสำนักตกไปอยู่ในมือของผู้อื่นผ่านทางเขา

แต่เพื่อชดเชยหลัวซิว เขาบอกหลัวซิวว่าสามารถได้รับหนึ่งในเก้าวิชาได้โดยการบุกผ่านชั้นที่เก้าของหอคอยมังกรบินเก้าเก้าวิชายอดเยี่ยมสมัยโบราณของสำนักไท่เสวียน มีสามประเภท ได้แก่ วิชาฝึกจิตไท่เสวียน วิชาหยินหยางไท่เสวียนและวิชากลั่นร่างไท่เสวียน

ยังมีทักษะยุทธ์สามแบบ ได้แก่ วิชาสังหารไท่เสวียน วิชาล่องหนไท่เสวียน วิชากระบี่เทพไท่เสวียน

จากนั้นก็คือ วิชามหาวิภา วิชาเนตรฟ้าพิสดาร วิชาฝ่ามือจักรวาล

ทักษะยุทธ์หกประเภทข้างหน้านั้น เป็นทักษะยุทธ์ที่ผู้แข็งแกร่งต่างๆในอดีตจากสำนักไท่เสวียนสร้างขึ้นมา ทักษะยุทธ์สามประเภทสุดท้ายได้มาจากวิธีการอื่นไม่ได้สร้างขึ้นโดยผู้แข็งแกร่งต่างๆในอดีตของสำนักไท่เสวียน

ผ่านจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำ หลัวซิวยังได้รู้ว่าแดนนานาอสูร มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน นานกว่าที่สำนักไท่เสวียน จะถูกสร้างขึ้นมา มันมีอยู่มานานนับหลายปีไม่รู้ว่านานแค่ไหนด้วยซ้ำ

อสูรกายภายในแตกต่างจากอสูรกายภายนอกมาก หลังจากถูกฆ่าจะกลั่นเป็นยาโลหิต หลังจากยาโลหิต จะสามารถเพิ่มผลการฝึกตนของตนเองได้อย่างรวดเร็ว

ยาโลหิตที่ได้จากการฆ่าอสูรกายระดับ 5 เทียบเท่ากับเม็ดยาระดับ 5 ที่ช่วยเพิ่มผลการฝึกตน

สามารถกล่าวได้ว่า แดนนานาอสูรเป็นสถานที่ที่อุดมไปด้วยยาสำหรับการเพิ่มผลการฝึกตนได้โดยไม่ลังเล

จุดที่สำคัญที่สุดคือ อสูรกายในแดนนานาอสูรนั้นฆ่าได้อย่างไม่มีวันหมด!

เพียงแต่ว่ายาโลหิตอสูรนั้นไม่ง่ายที่จะกลั่นออกมา หากไม่มีวิธีลับพิเศษใด ๆ หลังจากทานลงไปแล้วจะมีผลดีต่อร่างกายเพียงเท่านั้น

ต่อมาผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์จากสำนักไท่เสวียน ได้เหน็ดเหนื่อยมาทั้งชีวิตจนได้สร้างวิชาฝึกจิตไท่เสวียนออกมา ซึ่งเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นฝึกฝนจนถึงสภาวะขั้นสูงสุดแม้แต่เทพและมารก็สามารถกลั่นแปรได้

“ข้าว่าผู้อาวุโสเสวียนดำ สำนักไท่เสวียนถูกทำลายแล้ว ท่านยังคงยึดติดกับกฎนี้อยู่ทำไมกันเล่า?” แม้ว่าจะสามารถได้รับวิชาฝึกจิตไท่เสวียน แต่หลัวซิวยังคงอยากได้วิชาสังหารไท่เสวียน

จักรพรรดิยุทธ์เสวียนส่งเสียงออกมาจากจมูกและเพิกเฉย

หลายวันต่อมา หลัวซิวมาถึงที่ตั้งของหอคอยมังกรบิน เมื่อก่อน ที่นี่มีทหารเสือดำของราชวงศ์ตระกูลเฝ้าอยู่ที่นี่ ราชวงศ์ตระกูลฝานถูกขับไล่ออกจากประเทศเทียนหวู และกองกำลังไม่แข็งแกร่งเหมือนเมื่อก่อน แต่หอคอยมังกรบินนี้ ยังคงอยู่ในมือของราชวงศ์ตระกูลฝานมาโดยตลอด

เพียงแต่ว่าหอคอยมังกรบิน ตอนนี้ไม่ได้เปิดสู่โลกภายนอกอีกต่อไป แค่จ่ายหินพลังจิต100 ก้อน ก็สามารถเข้าไปในหอคอยและบุกด่านได้

หลัวซิวได้เปลี่ยนรูปลักษณ์ของตนด้วยการย้ายร่างเปลี่ยนกระดูก และนักยุทธ์ของตระกูลฝานที่รับผิดชอบดูแลหอคอยมังกรบินก็จำเขาไม่ได้

หินพลังชีวิต 100 ก้อนไม่มีความหมายอะไรสำหรับหลัวซิว เขาบุกไปถึงชั้นเจ็ดได้อย่างง่ายดายและเอาชนะชายชุดดำผู้พิทักษ์ชั้นเจ็ด

เพียงแต่ครั้งนี้ เขาไม่ได้รับรางวัลจากชั้นเจ็ด เพราะเขาเคยมาที่นี่มาก่อนและได้รับวิชาพลังมังกรแท้ที่ชั้นเจ็ดมาก่อนแล้ว

จากนั้นหลัวซิวก็มาถึงชั้นแปด ในอดีต มีข่าวลือว่าผู้พิทักษ์ชั้นแปดเป็นผู้แข็งแกร่งฝึกจิตขั้น 9 แต่จริงๆแล้วกลับไม่เป็นเช่นนั้น ผู้พิทักษ์ชั้นแปดเป็นนักยุทธ์ผลการฝึกตนแดนราชายุทธ์ขั้นสาม!

ผู้พิทักษ์ยังคงเป็นชายชุดดำเหมือนชั้นเจ็ด แต่ในแง่ของความแข็งแกร่งไม่เหมือนกันเลย

มีคนเคยบุกเข้าไปในชั้นแปดมาก่อน แต่ทุกคนก็ตายที่นี่โดยไม่มีข้อยกเว้น

เพราะปรมาจารย์แดนฝึกจิต เผชิญราชายุทธ์ขั้น 3 ถูกฆ่าตายในทันทีเพียงการเผชิญหน้ากันเพียงครั้งเดียว และไม่มีโอกาสที่จะหลบหนี เพราะต้องใช้เวลาสามลมหายใจในการถูกส่งออกไปจากหอคอยมังกรบิน

“หนุ่มน้อย เจ้าสามารถผ่านชั้นเจ็ดมาได้ ซึ่งแสดงว่าพรสวรรค์ของเจ้านั้นไม่เลว ถ้าเจ้าผ่านด่านของข้าไปได้ สามารถเป็นศิษย์ใจกลางของสำนักไท่เสวียนได้”

ผู้พิทักษ์ชุดดำบนชั้นแปดกล่าวออกมาดังๆ ทันทีที่เขาขึ้นมา

ครั้งก่อนที่มา หลัวซิวคิดว่าผู้พิทักษ์ชุดดำมีสติปัญญา ต่อมาได้รู้จากจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำว่าคำพูดและการแสดงออกของผู้พิทักษ์ชุดดำมีวิวัฒนาการมาจากค่ายกล เพราะแค่ค่ายกลระดับ 7 ธรรมดาไม่สามารถเกิดวิญญาณได้

คู่ต่อสู้ราชายุทธ์ขั้น 3 ไม่ได้มีความกดดันสำหรับหลัวซิวเลย เขายกมือขึ้นและดาบเปลวไฟสีดำฟันออกไป ทันทีที่เจอหน้ากัน ผู้พิทักษ์ชุดดำก็ถูกโจมตีและบินออกไป

หลังจากนั้น หลัวซิวเคลื่อนไหวของร่างกายส่วนล่าง เขามาถึงด้านหลังของผู้พิทักษ์ชุดดำอย่างรวดเร็ว ยื่นนิ้วมือหนึ่งออกมาแล้วเลื่อนผ่านอากาศ

ผู้พิทักษ์ชุดดำเบิกตากว้างราวกับว่าเขาคาดไม่ถึงว่าคู่ต่อสู้จะแข็งแกร่งขนาดนี้ ร่างของเขาถูกผ่าออกเป็นสองชิ้นทันที จนเกิดเสียงปัง แล้วสลายไป

แต่แล้วร่างของผู้พิทักษ์ชุดดำก็ควบแน่นอีกครั้งจากที่ที่ไม่ไกล กล่าวด้วยน้ำเสียงกลไก “ขอแสดงความยินดีที่ผ่านชั้นแปดของหอคอยมังกรบิน ท่านสามารถเลือกทักษะยุทธ์ระดับ 9 วิชาหนึ่งเป็นรางวัลของเจ้าได้”

ขณะกล่าว ผู้พิทักษ์ชุดดำยกมือและโบกมือ แสงหลายแสงปรากฏขึ้นต่อหน้าหลัวซิว

ม้วนหยกมีทั้งหมด 4 ม้วน ม้วนหยกแรกเป็นวรยุทธ์ระดับ 9 เรียกว่า พลังราชามังกร เป็นรุ่นวิวัฒนาการของวิชาพลังมังกรแท้ แข็งแกร่งกว่าวิชาพลังมังกรแท้

บทที่ 435 ข้อมูลที่แก๊งรอบรู้นำมา
ขณะกล่าว ถังหยวนโจวยื่นมือออกมาแล้วสะบัด แล้วมีภาพหลอนปรากฏขึ้นในอากาศ เผยให้เห็นรูปลักษณ์ของหลัวซิว

“น่าจะเป็นชายหนุ่มคนนี้ที่ทำให้ศิษย์พี่หลี่โมโหใช่ไหม? จากข้อมูลที่ข้ามี คนนี้ชื่อหลัวซิว และมีนามแฝงว่าซิวหลัว ข้าคิดว่าศิษย์พี่หลี่น่าจะรู้ด้วยว่าปีนี้ที่มีฉายาอันดับหนึ่งในราชายุทธ์ ก็คือผู้ที่มีฉายาคิงซิวหลัว!”

“เป็นไปไม่ได้!” สีหน้าของหลี่เสวียนหยางเปลี่ยนไป “เขาฝึกฝนจนถึงตอนนี้ อายุยังไม่ถึงยี่สิบปี เขาจะเป็นผู้ที่มีฉายาอันดับหนึ่งในราชายุทธ์ได้อย่างไร?”

“เหอะ เหอะ แม้ความเป็นไปได้จะไม่สูงนัก แต่ก็ไม่สามารถตัดออกได้ เพราะเขาได้เข้าสู่แดนแต่งตั้งราชาเหมือนกัน และเขาสามารถสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงให้กับจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 4 ได้ จะเห็นได้ว่าเขามีพลังต่อสู้เทียบได้กับจักรพรรดิยุทธ์”

ใบหน้าของถังหยวนโจวมีรอยยิ้มจาง ๆ อยู่ตลอดเวลา “ประตูสำนักเขาสำนักเสวียนหยางของเจ้าถูกทำลาย และมกุฏยุทธ์สองท่านที่เป็นผู้ทำลาย ได้รับเชิญจากหลัวซิวมาจากสมาคมเป่ยเซี๋ย อีกคนหนึ่งเป็นผู้ลาดตระเวนมู่จื่อซิว คนหนึ่งหนิงเหอโจว สองคนนี้อยู่ในสมาคมเป่ยเซี๋ย พวกเขาเป็นกุฏยุทธ์ ที่มีชื่อเสียงในองค์กรนักล่ายุทธ์”

“ผู้ลาดตระเวนอาณาจักรเหนือ?” ซุนเฉียนชางที่อยู่ข้างๆ ได้ยินสิ่งนี้ สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ไม่น่าแปลกใจที่เป็นมกุฏยุทธ์ขั้น 3 เหมือนกัน ข้ากลับไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาเลย”

ถังหยวนโจวยิ้มเยาะเย้ย “สามารถเป็นถึงผู้ลาดตระเวนของอาณาจักรแห่งหนึ่ง ความแข็งแกร่งจะง่ายแบบนี้หรือ? มู่จื่อซิวผู้นั้น หากใช้พลังที่แท้จริงของเขา เขาสามารถฆ่าเจ้าได้ภายในสามกระบวนท่า”

ใบหน้าของซุนเชียนซางเปลี่ยนไปอีกครั้ง แต่ดูเหมือนว่าถังหยวนโจวจะไม่ธรรมดา เขาทนต่อความโกรธของเขาไม่ได้เถียงออกมา

“ท่านอย่าพึ่งไม่พอใจ ในมือของมู่จื่อซิวมีชิ้นส่วนกฎไม่น้อยกว่าสี่ชิ้น” ถังหยวนโจวกล่าวช้าๆ “ชิ้นส่วนกฎคืออะไร ข้าคิดว่าข้าไม่ต้องอธิบายว่านะ? หากมู่จื่อซิวผู้นั้นใช้พลังแห่งกฎของชิ้นส่วนกฎ แม้ว่าผลการฝึกตนเป็นเพียงมกุฏยุทธ์ขั้น 3 แต่ความแข็งแกร่งนั้นเทียบได้กับมกุฏยุทธ์ขั้น 6 ได้อย่างแน่นอน”

“เพียงแต่ว่าชิ้นส่วนกฎเป็นความลับสำหรับทุกคน มีคนน้อยมากที่รู้เรื่องนี้ มู่จื่อซิวผู้นั้น หากไม่ใช่ทางเลือกสุดท้าย เขาจะไม่ใช้มันอย่างง่ายดาย เพราะชิ้นส่วนกฎสมบัติชิ้นนี้ ผู้แข็งแกร่งระดับมหายุทธ์ก็อยากได้”

ถังหยวนโจวยิ้ม “ข้าจะไม่คุยเล่นๆกับพวกเจ้าอีกต่อไป ข้าขายข่าวให้พวกท่านอีกข่าวหนึ่ง มกุฏยุทธ์สองท่านที่ได้รับเชิญโดยหลัวซิวได้กลับไปยังสมาคมเป่ยเซี๋ยแล้ว ช่วงนี้เขานำมาผู้คนส่วนหนึ่งของตระกูลสวีจากประเทศเทียนหวูไปที่แดนตำหนักจื่อ”

“แดนตำหนักจื่อ เป็นสถานที่ฝึกฝนสำหรับศิษย์ของสำนักไท่เสวียนในสมัยโบราณ แม้ว่าเวลาจะเปลี่ยนไป แลังของค่ายผนึกปราณในอดีตลดลงกว่าครึ่ง และผลของการฝึกในนั้นดีกว่าสำนักเสวียนหยางของพวกท่านมาก”

เมื่อถังหยวนโจวกล่าวถึงจุดนี้ เขาก็ค่อยๆ กางฝ่ามือออก “ข่าวที่พวกท่านอยากรู้ก็ขายให้พวกเจ้าแล้ว ยังคงเป็นราคาเดิม”

หลี่เสวียนหยางยกมือขึ้นและโบกมือ แหวนเก็บของตกลงไปที่ฝ่ามือของถังหยวนโจว

ตัวสำนึกตรวจเสร็จ ถังหยวนโจวดูเหมือนจะพอใจกับของที่อยู่ในแหวนเก็บของ เขายิ้มและกำหมัด “หากมีธุรกิจใด ๆ ในวันข้างหน้า สามารถแจ้งข้าแบบแยกต่างหากได้”

ก่อนที่จะกล่าวเสร็จ ร่างของถังหยวนโจวก็ค่อยๆ หายไปอย่างไร้ร่องรอย ราวกับว่าเขาไม่เคยมาที่นี่มาก่อน

ซุนเฉียนชางปล่อยตัวสำนึกกวาดไปทั่วห้องโถง ไม่พบออร่าของถังหยวนโจวแม้แต่น้อยของ

เขามองไปที่หลี่ซวนหยาง “คนผู้นี้เป็นใคร? เหตุใดจึงรู้มากเช่นนี้?”

“เขาเป็นคนของแก๊งรอบรู้ บนโลกนี้หากกล่าวถึงความสามารถในการสืบหาข้อมูล แม้แต่องค์กรนักล่ายุทธ์ก็ยังด้อยกว่าแก๊งรอบรู้” หลี่ซวนหยางกล่าวด้วยน้ำเสียงขรึม

ข้อมูลขององค์กรนักล่ายุทธ์ ต้องการอำนาจ ยิ่งมีอำนาจ รายละเอียดข้อมูลที่สามารถสอบถามได้จะยิ่งละเอียด ข้อมูลพิเศษบางอย่างหากไม่มีอำนาจเพียงพอก็ไม่มีสิทธ์ที่จะรู้ได้”

แต่แก๊งรอบรู้นั้นแตกต่างออกไป ตราบใดที่เจ้าสามารถจ่ายได้ ไม่ว่าเจ้าต้องการข้อมูลแบบไหน เจ้าก็สามารถซื้อข้อมูลนั้นได้

“เขาไปแดนตำหนักจื่อทำอะไร?”

ข้อมูลที่ได้รับจากถังหยวนโจวทำให้หลี่เสวียนหยางรู้ถึงตัวตนของมกุฏยุทธ์สองคนนั้นที่มาสร้างปัญหา และในขณะเดียวกัน เขาก็รู้ว่าหลัวซิวในขณะนี้ไม่มีผู้แข็งแกร่งระดับมกุฏยุทธ์ปกป้องเขา

เขาไม่รู้ว่าหลัวซิวพาคนในตระกูลสวีไปยังแดนตำหนักจื่อเพื่อทำอะไร แต่โลกใบเล็กของแดนปริศนานั้น เป็นสมบัติการฝึกฝนที่หายาก ต้องไม่ปล่อยให้อยู่ตกไปอยู่ในมือของคนอื่น

“ในเมื่อตำหนักจื่อไม่มีตัวตนอยู่แล้ว แดนตำหนักจื่อนี้ก็เป็นของสำนักเสวียนหยางแน่นอน!”

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ก็มีรอยยิ้มเย็นบนใบหน้าที่แก่ๆของหลี่เสวียนหยาง “เป็นแค่เด็กหนุ่มธรรมดาคนหนึ่ง ความลับบนร่างมีไม่น้อย ข้าจะดูว่าคราวนี้เจ้าจะช่วยตนเองอย่างไร!”

“ฮี่ฮี่ ปราศจากการคุ้มครองของมกุฏยุทธ์ ด้วยความแข็งแกร่งของเราสองคน ต่อให้เจ้าเก่งกาจเพียงใด เจ้าทำได้เพียงยื่นคอรอตายเท่านั้น” ซุนเฉียนชางหัวเราะอย่างเห็นด้วย

หลี่เสวียนหยางพยักหน้า “เมื่อฆ่าพ่อหนุ่มคนนี้แล้ว ก็ถึงเวลาลงมือกับสำนักฉางเหอ ศิษย์น้องซุนอยากได้ร่างแห่งเสวียนหยินมากเลย”

ซุนเฉียนชางหัวเราะ “ร่างแห่งเสวียนหยินเป็นเตาที่ยอดเยี่ยมมาก ไม่แย่ไปกว่าร่างอสูรฟ้าที่ปรากฏในสมาคมเป่ยเซี๋ย”

ตราบใดที่มีวัสดุเพียงพอ การซ่อมแซมค่ายผนึกปราณนั้นง่ายมาก หลัวซิวใช้เวลาเพียงสามวันในการซ่อมแซม ค่ายผนึกปราณทั้งหมด แปดสิบเอ็ดแห่งในแดนปริศนาก็ถูกซ่อมแซมถึงระดับ 7

พลังฟ้าดินจิตอันอุดมสมบูรณ์ที่ถูกควบแน่นในหอฝึกเก้าแห่ง ในหอฝึกของแต่ละชั้นแต่ละห้อง พลังฟ้าดินจิตกลายเป็นหมอกน้ำ

โดยเฉพาะในกลางหอฝึกชั้นเก้าที่สูงที่สุด ที่ซึ่งมีพลังฟ้าดินจะเข้มข้นมากที่สุด กระทั่งรวมตัวเป็นผลึกอยู่ในห้องลับ

หลัวซิวมาถึงชั้นเก้าของหอฝึกใจกลาง นำแท่นบัวทิพย์ห้าสีออกมาแล้ววางไว้ข้างใน พลังฟ้าดินจิอันอุดมสมบูรณ์รวมตัวกันในทันที อยู่ในใจกลางของแท่นบัว ถูกเปลี่ยนปราณทิพย์ แล้วเติมเต็มทั้งห้องลับ

หลังจากนั้นหลัวซิวเดินออกจากแดนปริศนา มองเห็นว่าภายในเทือกเขาที่ปกคลุมไปด้วยค่ายกลคุ้มเขา ช่างฝีมือหลายร้อยคนยังคงสร้างประตูสำนักเขาอย่างระมัดระวังและเป็นระเบียบเรียบร้อย ทุกอย่างเป็นไปตามแผนของเขา

“ได้เวลาไปหอมังกรบินแล้ว”

มีสวีจิงเหนียนอยู่ที่นี่เพื่อประสานงานทุกอย่าง หลัวซิวไม่ต้องกังวลกับการบริหาร

ตามที่จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำกล่าว หอคอยมังกรบินเป็นค่ายกลที่สำนักไท่เสวียนจัดเตรียมไว้เป็นพิเศษเพื่อคัดเลือกอัจฉริยะในสมัยโบราณ

เฉพาะผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 30 ปีเท่านั้นที่สามารถเข้าสู่หอคอยมังกรบินเพื่อบุกผ่านระดับได้ มีแต่ผ่านมาจนถึงชั้นเจ็ด เท่านั้นจึงจะมีคุณสมบัติเป็นศิษย์ภายในของสำนักไท่เสวียนได้

ในสมัยโบราณ สำนักไท่เสวียน มีศิษย์ภายในนับหมื่นคน แต่ตอนนี้ ทั่วทั้งประเทศเทียนหวู เป็นเวลาหลายร้อยปีแล้วที่ไม่มีสักคนเดียวที่บุกเข้าไปถึงชั้นเจ็ด ของหอคอยมังกรบินได้

“สามารถบุกไปถึงหอคอยมังกรบินชั้นเจ็ด ได้ ก็สามารถเป็นศิษย์ในสำนักได้ ชั้นแปด จะได้เป็นศิษย์ใจกลาง หากสามารถบุกไปถึงชั้นเก้า มีสิทธิ์ถูกอาจารย์ใหญ่เรียกไปพบ ถ้าอาจารย์ใหญ่เห็นค่าของเจ้า จะได้เป็นศิษย์อาจารย์ใหญ่โดยตรง”

ชั้นสุดท้ายของชั้นเจ็ด ชั้นแปด และชั้นเก้า มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ความแตกต่างจะแตกต่างกว่ารวมชั้นก่อนหน้านี้ทั้งหกชั้น และอาจจะแตกต่างกว่ามากด้วย

อายุยี่สิบกว่าฝึกตนถึงแดนฝึกจิตขั้นเจ็ดขึ้นไป จะมีโอกาสผ่านชั้นเจ็ดได้

แต่จะผ่านชั้นแปดไปได้ จะต้องมีความแข็งแกร่งระดับราชายุทธ์

บทที่ 434 สร้างแดนปริศนา

บทที่ 434 สร้างแดนปริศนา
หลัวซิวก้าวไปหนึ่งก้าวแล้วเดินเข้าไป ตามด้วยเหยียนเยว่เอ๋อร์ที่เดินเข้าไปด้วย สวีจิงเหนียนก็นำราชายุทธ์ของตระกูลเข้าไปในประตูโซน

ไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าสู่แดนตำหนักจื่อได้ พลังการบีบรัดจากโซนจะต้องมีการฝึกฝนถึงระดับราชายุทธ์ที่ถึงจะต้านทานได้

ดังนั้นบิดามารดาของหลัวซิวและหลัวซิวเอ๋อร์จึงต้องรออยู่ข้างนอก

ผ่านไปประมาณครึ่งวัน พวกที่ออกไปหาช่างฝีมือกลับมาแล้ว ในเวลาเดียวกัน พวกเขาใช้หินพลังจิตที่หลัวซิวมอบให้เพื่อซื้อวัสดุจำนวนมาก กลุ่มคนอยู่ในค่ายกลเริ่มสร้างตำหนักตามที่โมเดลที่หลัวซิวมอบให้อย่างประหม่าและเป็นระเบียบเรียบร้อย

“นี่คือแดนตำหนักจื่อ? ช่างเป็นพลังฟ้าดินจิตที่หนาแน่นจริงๆ!”

เมื่อผู้คนในตระกูลสวีเข้าสู่แดนตำหนักจื่อ ต่างตกตะลึงกับสภาพการฝึกฝนที่ยอดเยี่ยมของที่นี่

ส่วนใหญ่เคยได้ยินแต่แดนตำหนักจื่อ มีเพียงไม่กี่คนที่เคยเข้ามา เพราะแดนปริศนานี้เป็นแกนใจกลางของตำหนักจื่อและไม่เคยอนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้ามาก่อน

แม้ว่าจะมีผู้แข็งแกร่งระดับมกุฏยุทธ์มาเยี่ยมอาจารย์ของตำหนักจื่อ พวกเขาก็จะพบกันในตำหนักนอกแดนปริศนา

จากหอฝึก 9 หอฝึกซ้อม มี 8 หอ อยู่ในมุม 8 มุม หอที่อยู่ตรงกลาง สูงที่สุดและใหญ่ที่สุด เป็นสถานที่ที่มีพลังฟ้าดินจิตมากที่สุดในแดนปริศนา

พื้นที่ภายในแดนปริศนาไม่ใหญ่มากนัก รัศมีเกือบสองร้อยไมล์ ด้วยความเร็วของหลัวซิว ใช้เวลาเพียงสิบนาทีในการบินจากด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่ง

“พ่อหนุ่ม ด้วยความสามารถในตอนนี้และทรัพยากรที่มีอยู่ในมือของเจ้า เจ้าสามารถซ่อมแซมค่ายผนึกปราณถึงระดับ 7 ได้” จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำกล่าว

“ค่ายผนึกปราณระดับ 7 เพียงพอแล้วสำหรับตอนนี้” หลัวซิวพยักหน้า

มีค่ายผนึกปราณแปดสิบเอ็ดค่ายกลที่จัดตั้งอยู่ในแดนตำหนักจื่อ แม้ว่าจะเป็นระดับ 7 พลังค่ายกลทั้งหมดรวบรวมอยู่ในที่เดียวกันก็เพียงพอจักรพรรดิระดับมกุฏยุทธ์ฝึกฝนที่นี่ และบรรลุถึงสภาวะสุดขั้ว

หากใช้กับยาระดับ 7 ในการฝึกฝน แม้ว่าความสามารถจะธรรมดา ระดับแดนฐานการฝึกฝนก็สามารถเพิ่มขึ้นเป็นหลายเท่าตัวภายในวันเดียว และหากเป็นพวกที่มีพรสวรรค์มาก ระดับแดนก็จะเร็วกว่า!

หอฝึกแต่ละแห่งมีเก้าชั้น และแต่ละชั้นมีห้องลับมากมายสำหรับการฝึกฝน ซึ่งสามารถรองรับคนหลายร้อยคนในการฝึกได้ในเวลาเดียวกัน

ต่อมา หลัวซิวได้จัดทำรายการ และชื่อของวัสดุต่างๆ ถูกบันทึกไว้ในม้วนหยก มอบให้สวีจิงเหนียน

วัสดุเหล่านี้ทั้งหมดใช้เพื่อซ่อมแซมค่ายผนึกปราณ

สวีจิงเหนียนไม่สงสัยในตัวเขาเลย ในเมื่อเขาได้ตัดสินใจเข้าร่วมหลัวซิว เขาก็ได้เสี่ยงแล้ว และได้นำทรัพย์สมบัติของตระกูลสวีที่สะสมมานานมาด้วย นอกจากนี้ยังรวมทรัพยากรจำนวนมากของตำหนักจื่อ หลังจากที่หลัวซิวทำลายตำหนักจื่อลงแล้วได้รับ เลยไม่ต้องกังวลกับทรัพยากร

ในแดนตำหนักจื่อ หลัวซิวได้วาดพื้นที่หนึ่งออกมา เพื่อที่จะใช้เป็นนายา ปลูกยาวิเศษต่างๆ

ในวงแหวนเก็บของของเขา มีต้นกล้าของยาวิเศษต่างๆมากมาย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นยาวิเศษระดับ 6 และยาวิเศษระดับ 7จำนวนไม่มาก สำหรับต้นกล้ายาวิเศษที่ต่ำกว่าระดับ 6 หลัวซิวไม่ได้วางแผนที่จะปลูกด้วยซ้ำ

“เพาะปลูกยาวิเศษ ใช้นาทิพย์จะดีที่สุด”จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำกล่าวทันที

“นาทิพย์?” หลัวซิวตกใจเล็กน้อย

“ถูกต้อง นาทิพย์ก็คือเป็นนายาที่รดน้ำด้วยปราณทิพย์ฟ้าดิน ภายใต้การหล่อเลี้ยงของปราณทิพย์ฟ้าดิน อัตราการเติบโตของยาวิเศษจะเร็วขึ้น และสรรพคุณของยาก็จะเพิ่มมากขึ้น” จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำกล่าว

“ใช้ปราณทิพย์ฟ้าดินมารดน้ำ? นี่ฟุ่มเฟือยเกินไปแล้ว” หลัวซิวอดหัวเราะไม่ได้

ในโลกปัจจุบันนี้ กลัวว่าแดนศักดิ์สิทธิ์หลายแห่งอาจจะไม่มีสมบัติสถานที่ฝึกฝนมาหล่อเลี้ยงปราณทิพย์ฟ้าดินด้วยซ้ำผู้ใดจะใช้สิ่งนี้รดน้ำนายาอย่างไม่รู้สึกเสียดาย?

ในสมัยโบราณ สิ่งนี้เป็นเรื่องปกติในกองกำลังใหญ่จำนวนมาก ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการฝึกฝนในสมัยโบราณมีความเจริญรุ่งเรืองเพียงใด

“ปราณทิพย์ฟ้าดินเอง หากเจ้าสามารถฟื้นฟูค่ายผนึกปราณแปดสิบเอ็ดของที่นี่เป็นระดับ 8 อย่างเมื่อก่อนได้ พลังฟ้าดินจิตของที่ควบแน่นออกมาของที่นี่ก็จะกลั่นเป็นปราณทิพย์ชั้นล่าง” จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำกล่าว

“ปราณทิพย์ยังถูกจำแนกเป็นระดับ?” หลัวซิวประหลาดใจ

“ไร้สาระ ระดับคุณภาพของทุกสิ่งในโลกนี้มีความแตกต่างกัน หากเจ้าสามารถฟื้นฟูค่ายผนึกปราณทั้งแปดสิบเอ็ดเหมือนค่ายกลระดับ 9 ในอดีต ปราณทิพย์ที่ถูกกลั่นออกมาก็จะถึงระดับชั้นกลาง”

“แล้วปราณทิพย์ระดับขั้นสูงล่ะ? หรือปราณทิพย์ระดับชั้นยอดล่ะ?”หลัวซิวถามอย่างสงสัย

“ปราณทิพย์ระดับขั้นสูงต้องการค่ายกลสี่สิบเก้าค่ายกล เป็นค่ายกลระดับ 7 ถึงจะกลั่นออกมาได้ ตอนที่ข้าแข็งแกร่งที่สุด แม้แต่ค่ายกลระดับเทพ ข้าก็ไม่สามารถสร้างขึ้นมาได้ นับประสาค่ายกลสี่สิบเก้าล่ะ?”

เวลาต่อมา หลัวซิวได้ซ่อมแซมค่ายผนึกปราณในแดนปริศนา และนอกแดนปริศนา สวีจิงเหนียนได้นำผู้คนของตระกูลสวีเริ่มสร้างประตูสำนักเขา

หลังจากผ่านการซ่อมแซมมาเป็นเวลาหลายวัน เพราะประตูเขาของสำนักเสวียนหยาง ซึ่งถูกทำลายเนื่องจากการสู้รบของระดับจักรพรรดิมกุฏยุทธ์ ก็ถูกสร้างขึ้นใหม่อย่างรวดเร็ว

ในห้องโถงใหญ่ บรรยากาศค่อนข้างกดดัน หลี่ซวนหยางนั่งบนบันไดสูงชั้นเก้าสูง ใบหน้าเฒ่าของเขานิ่งราวกับน้ำ

ด้านล่าง ทั่วทั้งสำนักเสวียนหยางทั้งหมด ทุกคนที่ผลการฝึกตนอยู่เหนือระดับราชายุทธ์ ได้ปรากฏตัวอยู่ที่นี่กันหมด หัวหน้าเป็นเจ้าสำนักเสวียนหยาง สวมหน้ากากสีทองครึ่งหนึ่งและครึ่งหนึ่งของใบหน้าของเขาซีดและไม่มีเลือด

คราวที่แล้วที่ต่อสู้กับหลัวซิว ได้รับบาดเจ็บสาหัส จนถึงตอนนี้ยังไม่หายดีเพราะการโจมตีของหลัวซิวแปลกมาก หลังจากได้รับบาดเจ็บ กินยารักษา ผลไม่ค่อยดีนัก

อันที่จริงทุกคนที่ต่อสู้กับหลัวซิวนั้นต่างก็รู้ดีเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่นั่นเป็นเพราะพลังจิตแท้ปราณเป็นตาย 2 ระดับของหลัวซิว สามารถทำลายลายเส้นชีวิตของคู่ต่อสู้ได้โดยตรง หากต้องการฟื้นฟูอาการบาดเจ็บแบบนี้ ผลของยาธรรมดาได้ผบไม่ดีมากนัก มีแต่สมบัติล้ำค่าที่มีพลังแห่งชีวิตเท่านั้นที่สามารถมีผลมหัศจรรย์ได้

“ฮ่าฮ่า ศิษย์พี่หลี่ ไม่เจอกันนาน ข้าได้ยินมาว่าประตูสำนักเขาของสำนักเสวียนหยางของท่าน ถูกชายหนุ่มคนหนึ่งทำลายจนราบ จริงไหม?”

ทันใดนั้น เสียงหัวเราะยาวดังมาจากด้านนอกของตำหนัก หลังจากที่เสียงนั้นดังขึ้น ก็มีร่างหนึ่งเดินเข้าไปในห้องโถงปรากฏตัวต่อหน้าอาจารย์เสวียนหยางโดยตรง

“ถังหยวนโจว ข้าเชิญเจ้ามา ไม่ใช่ให้เจ้ามาดูเรื่องตลกของข้า” หลี่ซวนหยางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา

ชายที่ชื่อถังหยวนโจว เป็นชายวัยกลางคน สวมเสื้อคลุมสีเลือด มีสีแปลก ๆอยู่ระหว่างคิ้ว และที่หูซ้าย สวมด้วยงูสีดำตัวเล็ก ๆ ที่กำลังแลบลิ้นออกมา

“ฮ่าฮ่า ศิษย์พี่หลี่ดูโมโหมาก ซึ่งทำให้ข้ายิ่งสงสัยเข้าไปอีกว่าชายหนุ่มคนนั้นมีที่มาอย่างไร ถึงได้ทำให้ท่าน ผู้แข็งแกร่งระดับมกุฏยุทธ์ ผู้สง่าผ่าเผยโมโหได้ถึงเช่นนี้”

ถังหยวนโจวยิ้มเล็กน้อย “ศิษย์พี่หลี่ ท่านเชิญข้ามา เพื่อจัดการกับเขาใช่ไหม?”

บทที่ 433
ในช่วงเวลาสั้นๆ ไม่มีใครอยู่ในซากปรักหักพังด้านล่างอีก

หลัวซิวบินขึ้นไปบนฟ้า พลิกฝ่ามือ หยิบธงขลังสรรพสิ่ง แกว่งธงไปมา ลำแสงค่ายกลพุ่งออกมา ในชั่วพริบตา มันก็พันกันเป็นค่ายกล ปกคลุมซากปรักหักพังเบื้องล่าง

นี่คือค่ายกลระบบน้ำ หมอกจำนวนมากควบแน่นในชั้นหิน และกลายเป็นฝนขนาดใหญ่ในทันที เพื่อชะล้างซากปรักหักพัง

หลังจากนั้นหลัวซิวโบกธงอีกครั้ง ใช้ปราณแห่งความเป็นฐานสร้างค่ายกลออกมา ชีวิตพืชพรรณที่ถูกเผาจนไม่เหลือ จู่ ๆ ก็เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วราวกับต้นไม้ที่ตายแล้วผลิใบในฤดูใบไม้ผลิ

ในช่วงเวลาสั้นๆ สถานที่ซึ่งเดิมทีเคยเป็นซากปรักหักพังที่รกร้างก็เปลี่ยนไปเป็นรูปลักษณ์ที่แตกต่างออกไป เขียวชอุ่มและเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา

พลังที่หลัวซิวแสดงออกมานี้ แสดงทำให้สมาชิกในตระกูลสวีหลายคนบนเรือรบประหลาดใจมากนัก และดวงตาที่มองมาที่เขาเต็มไปด้วยความเคารพ

เป็นในสิ่งที่คนอื่นทำไม่ได้ นี่คือสิ่งที่ผู้แข็งแกร่งมี!

หลังจากนั้น หลัวซิวก็เริ่มตั้งค่ายกลอีกครั้ง หลังจากเขาได้รับช่องจิตเทียม ระดับตัวสำนึกของเขาได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมีความสามารถในการจัดตั้งค่ายกลระดับที่ 7 ได้แล้ว แล้วยังมีคำแนะนำของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำ ปรมาจารย์นักค่ายกลผู้ในสมัยโบราณ การสร้างค่ายกลของเขาได้เก่งกาจขึ้นอย่างก้าวกระโดด ความสามารถเพิ่งถึงระดับปรมาจารย์นักค่ายกลระดับ 7

เขาหยิบวัสดุต่าง ๆ ออกมาจากวงแหวนเก็บของอย่างต่อเนื่อง สร้างเป็นค่ายธงต่างๆและผังค่าย

หลังจากผ่านไปสี่ชั่วโมงกว่า เขาได้ตั้งค่ายพิทักษ์เขาระดับ 7 ขึ้นมา

เป็นค่ายพิทักษ์เขาระดับ 7 เหมือนกัน แต่การจัดตั้งหลัวซิวนั้นอ่อนแอกว่าของสำนักเสวียนหยางมากนัก และพื้นที่ครอบคลุมค่อนข้างเล็ก

ค่ายพิทักษ์เขานี้ค่อนข้างง่ายดาย แต่หากจะต้านทานผู้แข็งแกร่งระดับมกุฏยุทธ์หนึ่งหรือสองคน ก็ไม่ยาก แต่แข็งแกร่งระดับมกุฏยุทธ์ที่มาสร้างเรื่องนั้น ระดับความแข็งแกร่งจะต้องต่ำกว่าแข็งแกร่งระดับมกุฏยุทธ์ช่วงปลาย

หลัวซิวประมาณการว่าการฝึกฝนของอาจารย์เสวียนหยางและซุนเชียนซาง อีกคนเป้นแดนมกุฏยุทธ์ขั้น 4 อีกคนเป็นแดนมกุฏยุทธ์ขั้น 3 ด้วยค่ายพิทักษ์เขาระดับ 7 นี้ สามารถต้านทานได้อย่างง่ายดาย

เมื่อค่ายกลถูกเปิดใช้งาน บริเวณที่ล้อมรอบด้วยยอดเขาทั้งเก้าถูกห้อมล้อมด้วยพลังผสมผสานสีดำขาวขนาดใหญ่ เผยให้เห็นห้วงที่ลึกลับ

“นี่คือ……”

ดวงตาของสวีจิงเหนียนเบิกกว้าง ในฐานะที่เป็นผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ เผชิญกับค่ายกลที่สร้างขึ้นโดย หลัวซิว เขามีความรู้สึกว่าเขาไม่สามารถต้านทานได้

ค่ายกลระดับ 6 ไม่สามารถสร้างแรงกดดันแบบนี้ให้กับเขาได้เลย หรือว่านี่คือค่ายกลระดับ 7 ?

“ไม่ผิด เป็นค่ายกลระดับ 7 แต่การฝึกฝนของข้ายังไม่เพียงพอ ดังนั้นค่ายกลนี้จึงมีเพียงความสามารถในการป้องกันเท่านั้น ไม่มีความสามารถในการโจมตี” หลัวซิวกล่าวด้วยความเสียดาย

ค่ายพิทักษ์เขาที่แท้จริงควรเป็นการผสมผสานระหว่างการโจมตีและการป้องกัน ตัวอย่างเช่น ค่ายพิทักษ์เขาระดับ 7 ของ สำนักเสวียนหยาง หลังจากเปิดใช้งาน ด้วยพลังของค่ายกลก็สามารถฆ่าผู้แข็งแกร่งระดับมกุฏยุทธ์ได้

สำนักเสวียนหยางสามารถยืนหยัดได้นับพันปีโดยไม่ล้มค่ายพิทักษ์เขา สามารถกล่าวได้ว่าช่วยได้มากทีเดียว

สำนักฉางเหอ ก็มีค่ายพิทักษ์เขาระดับ 7 หนึ่งค่ายกลเหมือนกัน ดังนั้นหลังจากที่อาจารย์ของฉางเหอได้รับบาดเจ็บสาหัสเขาก็ปิดประตูเขา และเปิดค่ายกลผนึกเขา สำนักเสวียนหยางและตำหนักจื่อต่างก็ไม่กล้าไปต่อสู้อย่างง่ายดาย

ทางเข้าของแดนตำหนักจื่อ อยู่ในพื้นที่ส่วนกลางของค่ายพิทักษ์เขาระดับ 7 นี้

หลัวซิวเก็บเรือรบ ให้ทุกคนลงมาเดินเท้า

พื้นที่ที่ปกคลุมด้วยค่ายกลระดับ 7 นั้นมีขนาดประมาณเท่ากับเมืองทั่วไป ตำหนักต่างๆก่อนหน้านี้ถูกทำลายไปแล้ว แม้ว่าด้วยพลังค่ายกลจะได้รับการชุบตัวและล้างสิ่งสกปรกออกไป แต่อยากจะสร้างขึ้นใหม่ จะไม่สามารถได้ในเวลาสั้นๆ

“ทุกคนที่อยู่ในแดนราชายุทธ์ ออกมา!” หลัวซิวหันกลับมา มองไปยังคนตระกูลสวี

สมาชิกตระกูลสวี ทุกคนตกใจเล็กน้อย พวกเขาหันสายตาไปที่สวีจิงเหนียน เห็นได้ชัดว่าแม้ว่าพวกเขาจะมากับหลัวซิวแต่จากก้นบึ้งของหัวใจพวกเขายังคงเชื่อฟังคำสั่งของสวีจิงเหนียน

สวีจิงเหนียนขมวดคิ้ว “ท่านชายหลัว ตั้งใจจะสร้างกองกำลัง อาจารย์ ข้า พาคนของตระกูลสวีเข้าร่วมภายใต้กองกำลังของท่านชายหลัว พวกเจ้ามองข้าทำไม?”

เขารู้ดีว่าเขาต้องอธิบายเรื่องนี้ ไม่เช่นนั้นเขาจะถูกสงสัยว่าเขาต้องการเข้ายึดอำนาจ

อาจารย์ได้กล่าวออกมาแล้ว นักยุทธ์ของตระกูลสวี ทุกคนมีแดนต่ำกว่าราชายุทธ์ ได้เดินออกมาและมองไปที่หลัวซิว

หลัวซิวรู้ว่า ต้องการให้คนเหล่านี้เชื่อฟังเขา ไม่สามารถทำได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ เพราะคนเหล่านี้เกิดในตระกูลสวี แม้จะเข้าร่วมกองกำลังเขา ก็ไม่ได้ภักดีต่อเขา ผู้ที่พวกเขาภักดีก็เป็นสวีจิงเหนียน อาจารย์ผู้นี้

แต่หลัวซิวไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนัก ตราบใดที่สวีจิงเหนียนเชื่อฟังคำสั่งของเขา ผู้คนในตระกูลสวีเหล่านี้ก็จะอยู่ภายใต้การควบคุมของเขาธรรมดา

ทั้งหมดนี้ สิ่งสำคัญก็คือ ความแข็งแกร่งส่วนตัวของเขาสามารถอยู่เหนือผู้คนภายใต้มือของเขาได้

ผู้คนที่มีระดับการฝึกฝนต่ำกว่าราชายุทธ์นั้นค่อนข้างมาก มีคนเกือบ 30 คน

หลัวซิวหันมือแล้วหยิบแหวนเก็บของออกมาแล้วโยนให้สวีจิงเหนียนที่ยืนอยู่ข้างๆ เขา กล่าวว่า “จัดราชายุทธ์คนหนึ่ง เพื่อนำพาคนเหล่านี้ไปยังเมืองใกล้เคียงเพื่อรับช่างฝีมือมา สร้างตำหนัก วังในค่ายกลคุ้มเขา ที่พักอาศัยและสนามฝึกซ้อม”

สวีจิงเหนียนไปจัดการอย่างรวดเร็ว หลัวซิวยังให้เหยียนเยว่เอ๋อร์นำเรือรบออกมาให้คนเหล่านี้ไปที่เมืองใกล้เคียงเพื่อรับช่างฝีมือมา

หลัวซิวประมาณว่าอย่างมากจะเป็นเวลาครึ่งเดือน นอกพื้นที่ของแดนตำหนักจื่อ ก็สามารถสร้างใหม่ได้สำเร็จ

สำหรับจะสร้างตำหนักแบบไหนในพื้นที่นี้ หลัวซิวมีความคิดคร่าวๆ อยู่ในใจแล้ว ดังนั้นเขาจึงสลักความคิดของเขาไว้บนม้วนหยก ให้พวกเขาจ้างช่างฝีมือมาสร้างตามแบบจำลองนี้

ภารกิจในการสร้างตำหนักที่พักอาศัยด้านนอกได้สั่งลงไปแล้ว หลัวซิวก็พาผู้ที่เหลือไปยังพื้นที่ใจกลางของค่ายกลคุ้มเขา

เขาสะบัดมืออากาศตรงหน้าก็เกิดลวดลายดวงดาวเปล่งประกาย ภาพนี้เกิดขึ้นกวางอากาศเหมือนผนึก ที่ปิดผนึกทางเข้าแดนปริศนา

เว้นแต่จะมีระดับปรมาจารย์ที่มีทักษะค่ายกลระดับ 7 หรือสูงกว่า แม้ว่าจะมีผู้แข็งแกร่งระดับมกุฏยุทธ์หลายคนร่วมมือกันโจมตี ก็ไม่สามารถเปิดทางเข้าสู่แดนปริศนาได้

ภายใต้สายตาของทุกคน หลัวซิวเริ่มใช้มือผนึกค่ายกล ผนึกแต่ละอันยุ่งยากมาก ทำให้คนมองสายตาพร่างพรายไปหมด

หลังจากผ่านไปสิบห้านาที เขาได้บีบผนึกไปแล้วกว่าพันผนึก ในที่สุดผนึกทั้งหมดก็ควบแน่นเป็นลำแสงอันเจิดจ้า ถูกเขายกมือขึ้นและสะบัดออกไปกระแทกลงไปที่ภาพลวดลายดวงดาวบนอากาศ

ฮึ่ม! …

ความว่างเปล่าสั่นสะเทือน ระลอกคลื่นซัดออกมาไม่หยุด เผยให้เห็นทางเข้าในอากาศที่เต็มไปด้วยพลังปราณสีม่วง

บทที่ 432 ก่อตั้งสำนัก
แน่นอนว่านี่เป็นการพนันเช่นกัน ทันทีที่การแข่งขันในครั้งนี้ระหว่างหลัวซิวและสำนักเสวียนหยางได้พ่ายแพ้ไป ตระกูลสวีก็อาจถูกทำลายลงเช่นกัน

และเมื่อชนะ อนาคตของตระกูลสวี จะกลายเป็นเจ้าของของดินแดนแห่งนี้ ยิ่งกว่าราชวงศ์ตระกูลฝานในอดีตเสียอีก!

“มนเมื่อผู้อาวุโสสวีตัดสินใจแล้ว พรุ่งนี้เราก็ออกเดินทางกันเถอะ” หลัวซิวลุกขึ้นและยิ้ม

“ออกเดินทาง? จะไปไหน?” สวีจิงเหนียนดูงุนงง

“แดนปริศนาของตำหนักจื่อ!” หลัวซิวยิ้มบางๆ

“ซากปรักหักพังของตำหนักจื่อ?” สวีจิงเหนียนตะลึงครู่หนึ่ง แต่ไม่นานเขาก็เข้าใจ ก็มีข่าวลือว่าทางเข้าของแดนตำหนักจื่อ ถูกผนึกไว้แล้ว ดูเหมือนว่าคนที่ปิดผนึกทางเข้าสู่แดนตำหนักจื่อคือชายหนุ่มตรงหน้าเขาอย่างไม่ต้องสงสัย

เมื่อกล่าวถึงการทำสิ่งต่าง ๆ หลัวซิวเป็นนักเคลื่อนไหวอย่างไม่ต้องสงสัย

ในเช้าตรู่ของวันถัดไป ตามคำขอของเขา สวีจิงเหนียนรวบรวมผู้คนทั้งหมดจากตระกูลสวีที่อยู่ในแดนฝึกจิตขึ้นไป รวมทั้งหมด 20ถึง30คน

นอกจากนี้ยังมีคนรุ่นอายุน้อยของตระกูลสวีที่มีพรสวรรค์ในการฝึกฝนที่ดี ทั้งหมดรวมกันมีประมาณเกือบ 50 คน

หลัวซิวเดาว่า สำนักเสวียนหยางควรได้รับข่าวของเขาที่กลับมาเมืองเทียนหวูแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้ชายชรา หลี่เสวียนหยาง ทำอะไรเกินไป หลัวซิวจึงพาบิดามารดาและพี่สาวของเขา หลัวซิวเอ๋อร์ ไปแดนตำหนักจื่อกับเขาในครั้งนี้ด้วย

เขาไม่ได้วางแผนที่จะย้ายทุกคนจากตระกูลสวีไปยังแดนตำหนักจื่อในคราวเดียว แม้ว่าความมั่งคั่งของเขาจะมั่งคั่งกว่าจักรพรรดิยุทธ์หลายคน แต่ก็เลี้ยงดูผู้คนมากมายแบบนี้ไม่ไหวเช่นกัน

เหยียนเยว่เอ๋อร์ก็กลับมาจากตระกูลเหยียนแล้ว และเมื่อนางรู้ว่าหลัวซิวกำลังจะนำคนมาบุกเปิดแดนตำหนักจื่ออีกครั้ง นางก็เข้าใจทันทีว่าหลัวซิวจะสร้างกองกำลังของตัวเองแล้ว

“ตำหนักจื่อถูกทำลายลงแล้ว และไม่มีภัยคุกคามต่อตระกูลเหยียน ข้าสามารถพยายามดึงตระกูลเหยียนมาเข้าร่วมกองกำลังที่เจ้าจัดตั้งขึ้น” เหยียนเยว่เอ๋อร์กล่าวกับหลัวซิว นางหวังว่านางจะช่วยเขาได้

“เรื่องนี้ยังต้องคุยกันอีกยาว สร้างกองกำลังขึ้นมาก่อนค่อยว่ากัน” หลัวซิวยิ้มอย่างยอมรับการช่วยรับจากนาง

จนถึงตอนนี้ กองกำลังของเขาเป็นเพียงความคิดเท่านั้น หากต้องการพัฒนากองกำลังของตัวเองอย่างแท้จริง อย่างแรกต้องสร้างต้นแบบของกองกำลังขึ้นมาเสียก่อน

เรือรบสำริดเขียวลำหนึ่งออกจากเมืองเทียนหวู ใช้เวลาเกือบสิบวันในการบินไปทางตะวันตกเฉียงเหนือของพรมแดน ประเทศเทียนหวูอีกครั้ง

ในส่วนลึกของเทือกเขาจื่อเหยียน ประตูด้านนอกที่เดิมเป็นของตำหนักจื่อ ถูกเผาเป็นเถ้าถ่านและดูรกรุงรังด้วยไฟของเหยียนเยว่เอ๋อร์ในครั้งก่อน

เมื่อหลัวซิวพากลุ่มคนบินมาด้วยเรือรบสำริดเขียว พวกเขาเห็นว่าในซากปรักหักพังด้านล่าง มีนักยุทธ์หลายคนเดินผ่านไปมา ราวกับว่าพวกเขากำลังตามหาสิ่งบางอย่าง

“ตั้งแต่มีข่าวการล่มสลายของตำหนักจื่อแพร่กระจายออกมา นักยุทธ์หลายคนมาที่นี่เพื่อค้นหาสมบัติบางอย่างจากซากปรักหักพังของประตูชั้นนอกของตำหนักจื่อ” สวีจิงเหนียนอธิบายด้วยรอยยิ้ม

เมื่อได้ยินคำอธิบายของเขา หลัวซิวก็เข้าใจ เพราะสำหรับนักยุทธ์ระดับต่ำส่วนใหญ่ ทรัพยากรมีน้อยมาก และเป็นเรื่องปกติมากที่จะหาโอกาสในที่ซากปรักหักพัง

“ฮ่าฮ่า ข้าหาเจอแล้ว!”

ทันใดนั้น ชายร่างกำยำคนหนึ่งพบม้วนหยกจากซากปรักหักพัง

ชายผู้นี้มีแดนพรสวรรค์ขั้น 7 และมีรอยแผลเป็นบนใบหน้าซึ่งทำให้เขาดูเหมือนเป็นคนดุดัน

ในเวลาเดียวกัน ดวงตาหลายคู่ก็จ้องไปที่เขา สายตาทั้งหมดจ้องมองไปยังม้วนหยกที่ถืออยู่ในมือของเขา

สิ่งที่ถูกบันทึกไว้ในม้วนหยกนั้นล้วนไม่ธรรมดา อย่างน้อยต้องเป็นวรยุทธ์ระดับ 7 ขึ้นไป

สำหรับกองกำลังทั่วไป วรยุทธ์ระดับ 7 นั้นหายากและถือได้ว่าเป็นมรดกหลักแล้ว แต่สำหรับตำหนักจื่อที่ครั้งหนึ่งเคยรุ่งเรืองมาก่อนนั้น วรยุทธ์ระดับ 7 เป็นเพียงขยะที่ศิษย์ภายนอกฝึกฝนเท่านั้น ศิษย์ใจกลางจริงๆ จะฝึกฝนทักษะยุทธ์ระดับ 8 ขั้นสุดยอดหรือทักษะยุทธ์ระดับ 9 ขั้นสุดยอด
การต่อสู้กำลังจะเริ่มขึ้น
ชายที่มีแผลเป็นผู้ซึ่งหาม้วนหยกได้ดึงดาบรบยาวและแคบออกมา แม้ว่าเขาจะถูกปิดล้อมโดยผู้คนนับสิบ เขาก็รีบวิ่งออกจากฝูงชนด้วยการเข่นฆ่าที่โหดเหี้ยมทันที
“เจ้าบ้า!”
หลายคนสาปแช่งอย่างกลั้นไม่ไหว ในซากปรักหักพังประตูชั้นนอกของตำหนักจื่อ สิ่งของส่วนใหญ่ได้ถูกทำลายไปนานแล้ว สิ่งที่จะรักษาไว้ได้นั้นไม่มากนัก ชายที่มีรอยแผลเป็นได้รับม้วนหยกที่สมบูรณ์ พวกเขาต้องอิจฉาริษยาธรรมดา
ในขณะนี้ มีคนสังเกตเห็นเรือรบสำริดเขียวที่บินมาบนท้องฟ้า
เรือรบลำนี้มีความยาวหลายร้อยเมตร ลอยอยู่ในอากาศ นักยุทธ์หลายคนของตระกูลสวีที่ยืนอยู่บนดาดฟ้าต่างก็แผ่กระจายออร่าของตัวเองออกมา ให้ผู้คนด้านล่างที่กำลังค้นหาสมบัติในซากปรักหักพังรู้สึกถึงการกดดันที่เกิดจากความกลัว
“นี่ไม่ใช่เรือรบของตำหนักจื่อเมื่อก่อนไม่ใช่หรือ?”
“หรือว่าคนของตำหนักจื่อกลับมาแล้ว?”
“ไม่น่าจะเป็นคนจากตำหนักจื่อ แต่อาจเป็นผู้ที่ทำลายตำหนักจื่อ?”
ฝูงชนด้านล่างวุ่นวายเสียงดัง
“ทุกท่าน เรายอมรับที่นี่แล้ว ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้อง รีบออกไปเร็ว!”
หลัวซิวยืนอยู่แถวหน้าของดาดฟ้าโดยมือไขว้หลัง ก้มมองดูฝูงชนด้านล่างและกล่าวเบาๆ
เสียงของเขาไม่ดังแต่ก็ชัดเจนเข้าสู่หูของทุกคนที่อยู่ที่นั่นด้วยความเกรงขามที่ไม่อาจปฏิเสธได้
“ที่นี่คือดินแดนที่ไม่มีเจ้าของ เพราะเหตุใดจึงให้เราจะออกไป?” มีบางคนในกลุ่มด้านล่างไม่พอใจและเป็นผู้นำตะโกนถาม
“ใช่ เพราะเหตุใด?”
นักล่าสมบัติเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นผู้ฝึกฝนไร้สำนัก ยังมีคนไม่กี่คนจากสำนักและตระกูลใหญ่ มีคนมากมายเกือบร้อยคน
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาสังเกตเห็นว่าบนเรือรบมีคนไม่มากนัก ไม่มากเหมือนกับพวกเขา พวกเขาเลยกล้าขึ้นมา
แต่ก็ยังมีคนฉลาดบางคนที่รู้ว่าคนเหล่านี้สามารถมาด้วยเรือรบได้ ต้องไม่ใช่พวกที่จะยาเรื่องได้ง่ายๆโดยเด็ดขาด พวกเขาถอยกลับอย่างเงียบๆ คิดที่จะจากไป
หลัวซิวหลุดเสียงหัวเราะออกมา ในโลกนี้ที่ผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์เป็นใหญ่ ยังมีผู้คนมากมายที่ไม่กลัวตาย
เขาไม่ต้องกล่าวอะไรออกมา นักยุทธ์ของตระกูลสวีก็ได้ปลดปล่อยออร่าของพวกเขา ก่อตัวเป็นแรงกดดัน กดขี่ไปยังฝูงชนที่อยู่เบื้องล่าง
ฝูงชนด้านล่างส่วนใหญ่เป็นนักยุทธ์แดนพรสวรรค์ และมีเพียงไม่กี่คนที่สามารถเข้าถึงแดนฝึกจิต แม้ว่าคนของตระกูลสวีเหล่านี้แม้จะมีเพียงไม่กี่คน แต่แต่ละคนก็อยู่เหนือแดนฝึกจิตกันทั้งนั้น และยังมีราชายุทธ์หลายคน
ทันใดนั้น เกิดการตัดสินอย่างรวดเร็ว ฝูงชนที่มากกว่าที่อยู่ด้านล่างมีกว่าครึ่งหนึ่งที่หน้าแดง และบางคนที่ทนแรงกดดันไม่ได้ ได้คุกเข่าลงเหงื่อไหลท้วมตัว ใบหน้าหวาดกลัว
“ไสหัวไปซะ!”
สวีจิงเหนียนส่งเสียงฮึ่มอย่างเย็นชา เขารู้สึกได้ว่าหลัวซิวไม่ได้อยากจะฆ่าคนเหล่านี้ ดังนั้นเขาจึงไม่ให้คนในตระกูลสวีลงมือ
ความกดดันของจักรพรรดิยุทธ์นั้น มากกว่าพลังที่แสดงออกมาของพวกนักยุทธ์ของตระกูลสวีมากนัก นักยุทธ์นับร้อยในซากปรักหักพังด้านล่างไม่กล้าที่จะผายลมสักคน ต่างหนีไปรอบ ๆ ด้วยความอับอาย อยากจะให้บิดามารดาเกิดเท้าสองข้างออกมาอีก

บทที่ 431 สร้างกองกำลัง
เมื่อก่อน เขาไม่เคยมีความคิดอย่างนี้ เพราะถ้าปราศจากโซ่ตรวนอำนาจ เขาคนเดียวจะรู้สึกสบายใจกว่า

แต่หลังจากเกิดเรื่องที่ตำหนักจื่อและสำนักเสวียนหยาง หลัวซิวก็ค่อยๆเข้าใจว่ากำลังคนจะมีวันที่หมดลงและเป็นไปไม่ได้ว่าคนคนเดียวจะสามารถดูแลทุกด้านได้ หากสามารถสร้างกองกำลังฝ่ายหนึ่งให้แข็งแกร่งที่สุดในประเทศเทียนหวูของรุ่นนี้ ยังมีใครอีกบ้างที่กล้าแตะต้องบิดามารดาและญาติพี่น้องของตนบนแผ่นดินนี้?

อีกอย่าง เมื่อหลัวซิวมีความคิดที่จะสร้างกองกำลังของตัวเอง ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ความคิดนี้ก็มากขึ้นเรื่อยๆ

ดูเหมือนว่าสร้างกองกำลัง เป็นสิ่งที่เขาต้องทำไม่ช้าก็เร็ว

“เจ้าหนุ่ม เจ้าอยากสร้างกองกำลัง? สิ่งนี้จะทำให้การฝึกฝนของเจ้าล่าช้า ตอนนี้เจ้ายังเด็กมากนักและเป็นเวลาที่การฝึกฝนก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดด” เสียงของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำดังขึ้นในวิญญาณหยั่งรู้

เห็นได้ชัดว่าเขาไม่รู้เกี่ยวกับความคิดของหลัวซิวที่อยากจะสร้างกองกำลังมาก่อน

“เสียเวลาไม่มากนัก ข้ารู้” หลัวซิวกล่าว

เมื่อได้ยินสิ่งที่หลัวซิวกล่าว จักรพรรดิยุทธ์ทุกคนที่นั่งอยู่ก็เข้าใจว่าหลัวซิวเชิญพวกเขามาดื่ม ความตั้งใจไม่ได้อยู่ที่การดื่ม

จักรพรรดิยุทธ์ท่านั่งอยู่ที่นี่ไม่เคยเข้าร่วมกองกำลังอื่นมาก่อน เพราะในจักรพรรดิยุทธ์ดินแดนแห่งนี้ จักรพรรดิยุทธ์สามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง และโดยธรรมชาติแล้วพวกเขาไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมกองกำลังอื่น

แน่นอนว่าถ้าได้ผลประโยชน์เพียงพอ การเข้าร่วมกองกำลังฝ่ายหนึ่งก็จะไม่ส่งผลกระทบอะไรกับตัวเองมากนัก

“ไม่รู้ว่าถ้าข้าเข้าร่วมกองกำลังที่เจ้าจัดตั้งขึ้น เจ้าจะให้ประโยชน์อะไรแก่ข้า” เฆ่าประหลาดฉิว เป็นคนแรกที่กล่าวด้วยรอยยิ้ม

คำกล่าวที่เขากล่าวนั้นเทียบเท่ากับการเป็นตัวแทนของทุกคนที่นั่งอยู่และถามคำถามของทุกคนออกมา

ไม่ว่าอย่างไร ความสนใจและผลประโยชน์เป็นปัญหาที่จักรพรรดิยุทธ์เหล่านี้สนใจมากที่สุด

“ค่ายกล ยา อาวุธ วิชายุทธ์ ประสบการณ์การฝึกฝน!”

หลัวซิวยิ้มบางๆ “ผู้อาวุโสฉิวหากเต็มใจเข้าร่วม สามารถเป็นผู้อาวุโสได้โดยตรง ข้ารับประกันว่าท่านจะสามารถไปถึงจักรพรรดิยุทธ์ช่วงปลายได้ภายในห้าสิบปี!”

ห้าสิบปี จักรพรรดิยุทธ์ช่วงปลาย?

ทันทีที่คำเหล่านี้ออกมา จักรพรรดิยุทธ์ทั้งหมดในห้องก็อ้าปากค้าง

พวกเขาฝึกฝนมานับพันปีแล้วและยังคงถูกล่ามโซ่อยู่ในช่วงจักรพรรดิยุทธ์ขั้นปฐมภูมิ แต่หลัวซิวกลับกล้าบอกว่าสามารถช่วยเฆ่าประหลาดฉิวให้ไปถึงจักรพรรดิยุทธ์ช่วงปลายภายในระยะเวลา50ปี นี่คือแนวคิดอะไร?

ระดับการฝึกฝนในปัจจุบันของเฆ่าประหลาดฉิว คือจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 4 ซึ่งหมายความว่าเขาต้องถึงแดนเล็กสามขั้นภายในเวลา 50 ปี ถึงจะถึงระดับจักรพรรดิยุทธ์ช่วงปลาย!

ตามหลักแล้ว จากจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 4 ไปถึงขั้น 5 อาจต้องใช้เวลาถึงร้อยปี

50 ปี แดนเล็กสามขั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งยิ่งไปถึงช่วงหลังๆ ยิ่งยากต่อการเพิ่มแดน นี่มันเป็นไปไม่ได้เลย!

“ทำไม? ทุกท่านไม่เชื่อเหรอ?” หลัวซิวเห็นความไม่เชื่อบนใบหน้าของเหล่าจักรพรรดิยุทธ์

“ไม่ใช่พวกข้าไม่เชื่อ แต่เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้เลย!” จักรพรรดิยุทธ์ผู้เฒ่าผู้หนึ่งส่ายหัวและกล่าว

“ทำไมเป็นไปไม่ได้?” หลัวซิวหัวเราะ “ถ้ามียาระดับ 6 เพียงพอ มีสมบัติการฝึกฝนชั้นยอดและมีทักษะยุทธ์ระดับ 9 เวลา 50 ปี ยังไม่สามารถผ่านแดนเล็กสามแดนหรือ?”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เหล่าจักรพรรดิยุทธ์ต่างก็ตกใจ

“ผู้หน้อยหลัว สถานการณ์ที่เจ้ากล่าวถึง เกรงว่าเฉพาะอัจฉริยะเหล่านั้นในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่ได้รับการฝึกฝนอย่างนี้ จากระดับจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 4 ถึงขั้น 7 ต้องใช้ยาระดับ 6 อย่างน้อย 400 เม็ด ซึ่งไม่ใช่จำนวนเล็กน้อย” จักรพรรดิยุทธ์แข็งแกร่งกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ
พวกเขาที่เป็นจักรพรรดิยุทธ์เหล่านี้ เป็นที่เคารพนับถือในประเทศเทียนหวู แต่ในทั่วโลกแสงดาว อาจกล่าวได้ว่าพวกเขาคือจักรพรรดิยุทธ์ที่อาศัยอยู่ด้านล่าง เวลาส่วนใหญ่พวกเขาไม่มียามาฝึกฝน เพราะได้รับผลกระทบจากสภาพแวดล้อม และถูกจำกัด
ไม่ใช่ว่าพรสวรรค์ของคนเหล่านี้ไม่ดี ด้วยทรัพยากรการฝึกฝนของประเทศเทียนหวู พวกเขาสามารถโดดเด่นจากผู้คนมากมายและฝึกฝนถึงจักรพรรดิยุทธ์ ซึ่งสามารถแสดงให้เห็นว่าพรสวรรค์ของพวกเขาอยู่ในขั้นที่สูงแล้ว
สิ่งที่จำกัดการฝึกฝนของพวกเขาจริงๆคือทรัพยากรและประสบการณ์ในการฝึกฝน
และสิ่งที่พวกเขาขาดมากที่สุด หลัวซิวสามารถให้ได้!
“ทุกท่านโปรดดู”
หลัวซิวไม่ได้อธิบาย แต่ยกมือขึ้นและโบกมือ บนโต๊ะต่อหน้าทุกคน ขวดหยกอันละเอียดอ่อนก็ปรากฏขึ้นจากอากาศ
“นี่คือยาระดับ 6 แต่ละขวดมีแปดเม็ด มีมากกว่าสามสิบขวดที่นี่” หลัวซิวกล่าวด้วยรอยยิ้ม
อย่างที่กล่าว ข้อเท็จจริงสำคัญกว่าคำแก้ตัว ไม่ว่าเขาจะกล่าวได้สวยหรูแบบไหน ให้คนเหล่านี้เห็นประโยชน์ที่แท้จริงดีกว่า
“เกือบสามร้อยเม็ดยาระดับ 6 ?”
“โอ้ เมื่อไหร่ที่ยาระดับ 6 ไร้ค่าเช่นนี้แล้ว?”
เหล่าจักรพรรดิยุทธ์ทุกคนเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง ในขวดหยก ออร่าของยาระดับ 6 ที่ลอยออกมานั้นไม่สามารถปลอมแปลงได้
“เงื่อนไขที่ข้าเสนอ ทุกท่านสามารถกลับไปคิดดีๆ ถ้ายินดีที่จะเข้าร่วม สามารถไปหาข้าได้ที่แดนปริศนาดั้งเดิมของตำหนักจื่อ” หลัวซิวยิ้ม
ข้อมูลนี้ สำหรับเหล่าจอมยุทธ์แล้ว เป็นเรื่องที่ตกตะลึงจริงๆ
คนเหล่านี้ออกไปทีละคนและไม่มีใครตกลงที่จะเข้าร่วมกองกำลังที่หลัวซิวจัดตั้งขึ้นในทันที
ในตำหนักตระกูลสวี สวีจิงเหนียนได้เตรียมลานสวนอันเงียบสงบในบริเวณใกล้เคียงให้หลัวซิว เพื่อเป็นที่พักชั่วคราวของเขา
“ไอ้หนุ่ม ยังเร็วไปหน่อยที่เจ้าจะสร้างกองกำลังในตอนนี้ แต่ที่ด้านประเทศเทียนหวูนี้ ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้า เจ้าสามารถไปไหนโดยไม่ต้องเกรงกลัวผู้ใดแล้ว”
สำหรับแผนการสร้างกองกำลังของหลัวซิว จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำไม่ได้ไม่เห็นด้วยอย่างสิ้นเชิง และไม่ได้เห็นด้วยอย่างเต็มที่
“ความคิดในการสร้างกองกำลัง จริงๆแล้วเป็นเพียงแนวคิดง่ายๆ ในใจของข้า ตอนนี้ขึ้นอยู่กับตระกูลสวีและตระกูลเหยียนว่าจะเข้าร่วมกับข้าหรือไม่?” หลัวซิวกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ในการสร้างกองกำลัง สิ่งแรกที่ต้องการที่สุดคือคน ถ้ามีเพียงเขาคนเดียว ก็จะสูญเสียความหมายของการดำรงอยู่ไป
การก่อตั้งสำนักและตระกูลใหญ่ ต้องใช้เวลาหลายปีในการสร้างและดำรงอยู่ต่อไปเป็นเวลานาน หลัวซิวไม่มีเวลามากพอ ดังนั้นเขาจึงทำได้เฉพาะสิ่งที่ทำเสร็จแล้วเท่านั้น
“ไอ้หนุ่ม เจ้ามีความคิดกับตระกูลสวีและตระกูลเหยียนนี่เอง แต่ถึงแม้คนเหล่านี้จะเข้าร่วมกองกำลังที่เจ้าจัดตั้งขึ้น ข้าเกรงว่าผู้ที่พวกเขาจงรักภักดีจะไม่ใช่เจ้า ระวังด้วยว่าเมื่อถึงเวลานั้นเจ้าจะไม่มีอำนาจใดๆ ” จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำล้อ
“สิ่งที่ผู้อาวุโสกล่าวมานั้น ข้าผังเข้าใจแล้ว ข้าเป็นคนที่สนใจอำนาจเล็กน้อยพวกนั้นหรือ” หลัวซิวไม่สนใจ
“ฮ่าฮ่า กล่าวได้ดี อำนาจอะไรพวกนั้นเป็นเพียงสิ่งที่อยู่กับตนเองได้ไม่นาน ตราบใดที่เจ้าแข็งแกร่ง คนที่อยู่ภายใต้คำสั่งของเจ้าก็จะเชื่อฟังเจ้าเท่านั้น ไม่กล้าไม่ทำตามคำสั่งของเจ้า จะยิ่งรู้สึกเกรงขามเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ!” จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เวลาผ่านไปอย่างเงียบ ๆ กลางคืนก็ล่วงไปโดยไม่รู้ตัว
สวีจิงเหนียน บรรพบุรุษของตระกูลสวีผู้นี้ มาถึงลานสวนที่หลัวซิวอาศัยอยู่
ดวงจันทร์แขวนอยู่บนฟ้า แสงจันทร์ที่สว่างไสว ใต้ต้นไม้ใหญ่ในลานสวน หลัวซิวและสวีจิงเหนียนนั่งตรงข้ามกัน
“ท่านชายหลัว ข้าคิดที่จะนำพาตระกูลสวี เข้าร่วมกองกำลังที่เจ้าจัดตั้งขึ้น” สวีจิงเหนียนตรงไปที่หัวข้อทันทีที่เขามาถึง
หลัวซิวยิ้มอยู่ในใจ เขาคาดการณ์ไว้แล้วว่าสวีจิงเหนียนจะนำพาสวีจิงเหนียนเข้าร่วมกองกำลังของเขา
เพราะอายุขัยของสวีจิงเหนียนไม่มากแล้ว หากตระกูลสวีต้องการพัฒนาต่อไป พวกเขาต้องการโอกาส และเขา หลัวซิวเป็นโอกาสนี้อย่างไม่ต้องสงสัย!

บทที่ 430 สังหารอาจารย์
ร่างของหลัวซิวหายไปจากตำแหน่งเดิม จากนั้นปรากฏภาพลวงตามังกรเขียวขึ้นมา ตามมาด้วยเสียงคำรามของมังกรอยู่ไกลๆ ภายในชั่วพริบตาเดียวมันก็ได้ตามไปขวางอยู่ตรงหน้าอาจารย์ตระกูลหวางที่ตั้งท่าจะหนีเรียบร้อยแล้ว

ความเร็วของผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์เร็วมากขนาดไหน ส่วนราชายุทธ์กลับมีความเร็วที่เหนือกว่าจักรพรรดิยุทธ์ แสดงว่าวิชาการฝึกตนของเขาจะต้องอยู่ในระดับสูงอย่างแน่นอน

โดยเฉพาะในระหว่างที่ร่างมีการเปลี่ยนแปลงจนเกิดเสียงมังกรคำรามขึ้นมานั้น ท่าทางการเคลื่อนที่นั้นไม่ธรรมดา

灵魂神识อันแข็งแกร่ง รวมกับร่างยุทธ์เนื้อที่ทนทาน และระดับความเร็วอันน่าหวาดหวั่น ไม่ว่าจะเป็นด้านใดก็ตามเด็กหนุ่มที่มีอายุไม่ถึง 20 ปี คนนี้ล้วนเหนือกว่าจักรพรรดิยุทธ์ที่อยู่ในที่นี่ทุกคน

แม้แต่ผู้ที่มีระดับการฝึกตนสูงสุดอย่างจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิง สายตาของเขายังเกิดประกายวิบไหว เพราะเขาคิดว่าต่อให้เขาออกแรงทั้งหมดของตนอย่างเต็มที่ เขาก็อาจจะเอาชนะหลัวซิวไม่ได้ อีกอย่างยังไม่รู้ด้วยว่าหลัวซิวยังมีไม้เด็ดอะไรอีก

ฟู่ว!

ในช่วงเวลาที่พบหน้ากันเพียงครู่เดียว โลหิตก็ได้พุ่งสาดกระเซ็นลงมา แขนข้างหนึ่งของอาจารย์ตระกูลหวางถูกปราณกระบี่ของหลัวซิวตัดขาดและร่วงลงมากระทบพื้น

สีหน้าของอาจารย์ตระกูลหวางหวาดหวั่น แม้แต่แขนของตนที่ขาดยังเก็บไม่ทัน เขาจึงพยายามสุดชีวิตที่จะหนีไปให้เร็วที่สุด

เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมีสภาพเช่นวันนี้ ผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ที่ฝึกฝนมาเป็นพันๆ ปี ต้องมาถูกเด็กหนุ่มราชายุทธ์ที่มีอายุไม่ถึง 20 ปีไล่ฆ่า

หลัวซิวไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรเขาชกออกไปอีกครั้ง ร่างยุทธ์ระดับจักรพรรดิอันแข็งแกร่งแตกกระจายกลางอากาศจนทั่วทั้งท้องฟ้าแตกเป็นเสี่ยงๆ จากนั้นผืนฟ้าจึงแตกเป็นเสี่ยงๆ ก่อเกิดเป็นพายุสีดำมืดครึ้ม

อาจารย์ตระกูลหวางไม่กล้าเลินเล่อ เขายื่นมือออกไปบีบยันต์คุ้มกันขั้น6 พลางตั้งท่าจะหนีต่อ

เขาหวังว่ายันต์คุ้มกันขั้น6 จะสามารถป้องกันการจู่โจมของอีกฝ่ายได้บ้าง เขาจะได้พอมีเวลาหนีได้ทัน

ในเวลาเดียวกันนั้น เขาก็ได้หยิบยันต์วาตะขั้น 6 ออกมา

ในขณะที่อาจารย์ตระกูลหวางตั้งท่าจะบีบยันต์วาตะขั้น 6 อยู่นั้น หลัวซิวก็ได้ใช้หมัดของตัวเองทุบกลางฟ้าก่อตัวเป็นพายุกระหน่ำ

เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!

เสียงสายฟ้าฟาดดังกระหึ่มไปทั่ว และมีแสงจิตห้าสีสว่างวาบขึ้นมาด้วย บรรยากาศรอบๆ แตกออกเป็นเสี่ยงๆ เกิดเป็นรอยแยกสีดำบ้าคลั่ง

แสงวาบของยันต์คุ้มกันขั้น6 ระเบิดออกเป็นเสี่ยงภายในชั่วพริบตา แสงจิตห้าสีที่สว่างวาบขึ้นมาแล้วหายไปได้โจมตีเข้าที่หัวใจด้านหลังของอาจารย์ตระกูลหวาง

อาจารย์ตระกูลหวางหยุดการเคลื่อนที่ชั่วขณะ มือของเขากำลังบีบยันต์วาตะขั้น 6 อยู่

ทว่าเขายังไม่ทันจะบีบยันต์วาตะนี้จนแตก

จากนั้นเกิดเสียงดังปั้ง ร่างของอาจารย์ตระกูลหวางระเบิดกลายเป็นหมอกเลือดสาดกระเซ็น ยาทองและแหวนเก็บของถูกพลังจิตแท้ห่อหุ้มจนลอยมาหยุดอยู่ตรงหน้าหลัวซิว

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนท้องฟ้าเหนือตระกูลสวีนี้ คนในเมืองเทียนหวูต่างเห็นกันทั่ว

อาจารย์จักรพรรดิยุทธ์ของสองตระกูลใหญ่โดยฆ่าติดต่อกันภายในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ด้วยวิธีการที่โหดร้ายทารุณ

“เป็นเด็กหนุ่มที่น่ากลัวอย่างยิ่ง”

“ไม่เสียแรงที่เขามีนามว่าหลัวซิว สังหารคนอย่างโหดร้ายไร้ความปรานี”

สีหน้าของจักรพรรดิยุทธ์คนอื่นๆ เริ่มไม่สู้ดีนัก พวกเขากำลังแอบโล่งใจที่ตนเองยังโชคดีที่ไม่ได้เขาไปทำร้ายครอบครัวของหลัวซิวเพราะความโลภ ไม่อย่างนั้นแล้ววันนี้คนที่ตายคงจะเป็นตนเองอย่างแน่นอน

ส่วนคนในตระกูลโกวกับตระกูลหวาง เมื่อเห็นอาจารย์ของตระกูลตนเองถูกสังหารไปแล้วก็ไม่มีใครกล้าส่งเสียง คนของทั้งสองตระกูลนี้ต่างกำลังว้าววุ่นใจ และมีคนบางคนที่เริ่มเก็บข้าวของเตรียมจะหนี

หลัวซิววางแผนเอาไว้แล้วว่าคนที่เหลือของทั้งสองตระกูล เขาไม่จำเป็นต้องลงมือเอง ตระกูลสวีกับตระกูลเหยียนไม่มีทางปล่อยพวกเขาไปแน่

เขาปัดมือด้วยท่าทางราวกับว่าการสังหารจักรพรรดิยุทธ์สองคนนี้เป็นเพียงเรื่องเล็กๆ สำหรับเขาเท่านั้น

“ไม่ได้เจอผู้อาวุโสทุกท่านมานานแล้ว เช่นนั้นพวกเราเข้ามาดื่มสุรากันก่อนสักหน่อยดีหรือไม่” หลัวซิวกล่าวเชิญด้วยรอยยิ้ม

ในตำหนักตระกูลสวีมีทะเลสาบคนขุดอยู่ ตรงกลางทะเลสาบมีศาลาหลังน้อยที่สวยงามมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวตั้งอยู่

บรรยากาศแถวๆ นี้ไม่เลวเลยทีเดียว สวีจิงเหนียนได้สั่งให้คนเตรียมอาหารชั้นเลิศมาจัดวางไว้บริเวณนี้เรียบร้อยแล้ว แถมยังมีนักดนตรีฝีมือเลิศคอยบรรเลงดนตรีอยู่ในงานด้วย

เหล่าจักรพรรดิยุทธ์นั่งกันอยู่กลางศาลา พวกเขาไม่มีใครกล้าไม่ให้เกียรติคำเชิญของหลัวซิว

เนื่องจากฝีมือของเขาที่แสดงให้ทุกคนได้เห็นในวันนี้ เทียบเท่ากับยอดฝีมือระดับจักรพรรดิยุทธ์ และความสามารถแฝงของเขายังร้ายกาจกว่านั้นด้วยซ้ำ อนาคตมีโอกาสได้เป็นคนใหญ่คนโตอย่างไม่ต้องสงสัย

เรื่องการล่มสลายของตำหนักจื่อและความวุ่นวายที่สำนักเสวียนหยางเมื่อถูกถ่ายทอดออกไปแล้วก็เริ่มมีข่าวอีกข่าวหนึ่งถูกกระจายพร้อมกันด้วย นั่นคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังหลัวซิวเป็นปรมาจารย์ผู้ลึกลับว่ากันว่าเป็นปรมาจารย์นักกลั่นยาคนหนึ่ง

ยังไม่ต้องสนใจว่าฝีมือของหลัวซิวเป็นอย่างไร ลำพังปรมาจารย์นักกลั่นยาที่อยู่เบื้องหลังเขาก็เพียงพอให้ผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์อยากคบหากับเขาแล้ว รวมทั้งจักพรรดิยุทธ์ที่อยู่ในสถานที่นั้นด้วย

หลังจากที่ฝานไท่เต๋อถูกกำจัดไปแล้ว ประเทศเทียนหวูก็ไม่มีปรมาจารย์นักกลั่นยาขั้น 6 อีก หากผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ต้องการยาขั้น 6 นั่นจะเป็นปัญหาที่ใหญ่มากสำหรับพวกเขา

แม้ว่าในเขตแดนอื่นๆ จะพอมีปรมาจารย์นักกลั่นยาขั้น 6 อยู่บ้าง แต่ก็อยู่ห่างไกลและไม่มีความสัมพันธ์ใดเกี่ยวข้องกับพวกเขา ดังนั้นพวกเขาคงไม่ยอมให้ความช่วยเหลือง่ายๆ แน่นอน

“ผู้น้อยหลัว ตามที่เราพอรู้มา สำนักเสวียนหยางมีค่ายพิทักษ์เขาระดับ 7 คุ้มครองอยู่ การที่เจ้าหนีออกมาจากคสำนักเสวียนหยางได้ เจ้ามีวิธีในการจัดการกับค่ายพิทักษ์เขาอย่างไร

เหว้ยห้าวหรานเป็นหัวหน้าแก๊งนักค่ายกล เขาเองก็ได้ยินเรื่องราวที่หลัวซิวเข้าไปก่อกวนสำนักเสวียนหยางมาแล้ว สิ่งที่ทำให้เขาข้องใจมากที่สุดคือความอันตรายของค่ายพิทักษ์เขานั่นที่ไม่ใช่ค่ายธรรมดา แล้วเขาจัดการกับมันได้อย่างไร

หลัวซิวเพียงอมยิ้ม “ผมมีค่ายกลที่มีชื่อว่าวัฏสารพลิกสามารถเปลี่ยนแปลงพลังของฟ้าดินได้ จนทำให้ค่ายกลหยุดการทำงาน แต่ว่าผมฝึกฝนมาน้อยเกินไปจึงทำให้ค่ายพิทักษ์เขาของสำนักเสวียนหยางเพียงหยุดการทำงานไปได้เพียงแค่หนึ่งชั่วยามเท่านั้น”

เหว้ยห้าวหรานได้ยินดังนั้น สายตาก็เป็นประกาย “เราเคยเห็นค่ายกลที่เจ้าว่าในตำราโบราณ……”

เขาอยากถามเรื่องราวเกี่ยวกับค่ายวัฏสารพลิกต่อ แต่หลัวซิวกลับตอบด้วยรอยยิ้มและไม่ยอมให้คำอธิบายใดๆ กับเขาอีก

เหว้ยห้าวหรานอยากรู้ใจจะขาด เขาหลงใหลในวิชาค่ายกลมาก เขาจึงไม่อยากพลาดวิธีการทำค่ายกลโบราณนี้

แต่เขาก็รู้ดีว่าตัวเองไม่เคยช่วยเหลืออะไรหลัวซิว แล้วอีกฝ่ายจะยอมบอกเขาได้อย่างไร

“ผู้อาวุโสทุกท่าน ผมคิดว่าทุกท่านคงทราบแล้วว่า ตอนนั้นที่ผมอยู่ที่คีตโลกาถ้ำเทพสถิต ผมได้รับการถ่ายทอดมาจากผู้แข็งแกร่งโบราณม่านหนึ่ง” หลัวซิวกล่าวขึ้นมากะทันหัน

เมื่อกล่าวคำพูดนี้ออกไป จักรพรรดิยุทธ์ทุกคนที่อยู่ในนั้นต่างให้ความสนใจ ทุกสายหันมารวมกันอยู่ที่ตัวเขา

ไม่มีใครอยากรู้เรื่องการถ่ายของผู้แข็งแกร่งโบราณ เพราะในตอนนั้นหลัวซิวได้ให้ความรู้ในการฝึกตนกับพวกเขา ทำให้สองปีที่ผ่านมานี้ พวกเขาได้รับอะไรดีๆ มากมายและสามารถยกระดับพลังของตัวเองได้ด้วย

โดยเฉพาะจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงที่ได้บรรลุออกจากโซ่ตรวนหลังจากติดอยู่มานานหลายปี จนบรรลุเข้าสู่แดนจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 5

“ผมตั้งใจว่าจะก่อตั้งกองกำลังขึ้นที่ประเทศเทียนหวู ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสในที่นี่ มีผู้ใดบ้างอยากเข้าร่วม” หลัวซิวกล่าวถามด้วยรอยยิ้ม

“ก่อตั้งกองกำลัง?” จักรพรรดิยุทธ์ทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นต่างมีสีหน้าชะงักงัน

การจะก่อตั้งกองกำลังที่เป็นของตัวเองขึ้นมานั้น หลัวซิวได้คิดทบทวนมาอย่างดีแล้ว

บทที่ 429 เดินหน้าแก้แค้น
เพราะเขาตระหนักได้ว่า ตำหนักจื่อล่มสลายไปแล้ว หากเขาไม่ทำเป็นไม่มีความเกี่ยวข้องกับตำหนักจื่อ เกรงว่าตระกูลโกวคงจะมีชะตากรรมไม่ต่างกัน

“ผู้อาวุโสโกวเห็นผู้น้อยหลัวซิวเป็นเด็กสามขวบหรืออย่างไร องค์กรนักล่ายุทธ์เป็นองค์กรที่มีข้อมูลข่าวสารละเอียดมากที่สุด คุณคิดว่าผมหลอกง่ายขนาดนั้นเชียวหรือ” หลัวซิวยิ้มหยัน

“อีกอย่างตามที่ผมรู้มา ท่านหัวหน้าแก๊งเหวินเซวียนหงที่เขตการปกครองหยุนหลง ก็เป็นฝีมือของตระกูลโกวไม่ใช่หรือที่ส่งคนไปทำร้ายเขา”

รอบตัวของหลัวซิวแผ่กระจายไปด้วยความอาฆาตแค้นจนทำให้ผู้อื่นรู้สึกกดดัน เขาจ้องเขม็งไปที่อาจารย์ตระกูลโกวแล้วกล่าวอย่างเน้นคำว่า “หัวหน้าแก๊งเหวินเซวียนหงเป็นผู้มีพระคุณของผม ท่านว่าความแค้นนี้ควรจัดการอย่างไรดี”

ระหว่างที่กล่าวออกมา หลัวซิวก็หันไปมองจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิง “ท่านเป็นถึงหัวหน้าแก๊งใหญ่ขององค์กรนักล่ายุทธ์ในประเทศเทียนหวู แต่กลับเมินเฉินกับเรื่องนี้ ซึ่งก็ถือว่าท่านไม่ยอมทำหน้าที่เช่นกัน!”

เมื่อสิ้นประโยคนี้ จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงก็เลิกคิ้วขึ้น “นี่เป็นเรื่องของข้า เจ้าไม่มีสิทธิ์ที่จะถาม”

เขาเป็นผู้สูงศักดิ์ เป็นหนึ่งในผู้ที่มีอำนาจสูงสุดของแผ่นดินนี้ แม้แต่อาจารย์มกุฎยุทธ์ที่ติดหนึ่งในสามผู้มีอำนาจสูงสุดยังไม่อยากที่จะยุ่งอะไรกับเขา เพราะเขาเป็นคนขององค์กรนักล่ายุทธ์ที่ขับเคลื่อนอยู่ในแผ่นดินนี้

ส่วนหลัวซิวนั้นเป็นเพียงผู้น้อย กลับกล่าวคำพูดตำหนิตนเช่นนี้ นั่นทำให้เขาไม่พอใจขึ้นมาทันที

แต่จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงกลับไม่สนใจเรื่องนี้ เพราะในองค์กรนักล่ายุทธ์ ระดับของขั้นอำนาจแสดงถึงฐานะที่สูงต่ำของคนแต่ละคนในองค์กร

เขาเป็นถึงผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ มีขั้นอำนาจในองค์กรคือขั้นดำชั้นสูง เพราะเขาเป็นหัวหน้าใหญ่ในประเทศเทียนหวูแห่งนี้ ลำดับขั้นอำนาจในองค์กรเทียบเท่าได้กับระดับขั้นดินชั้นล่าง

แต่อย่างไรลำดับขั้นอำนาจของหลัวซิวกลับสูงกว่าเขา

“ผมมีสิทธิ์ถามหรือไม่นั้น ท่านก็ลองไปสืบข่าวจากสายในองค์กรดูก็แล้วกัน เดี๋ยวท่านก็จะรู้เอง” หลัวซิวกล่าวด้วยเสียงแข็งกระด้าง “หากผมเอาเรื่องนี้ไปฟ้องศูนย์หลัก ผมคิดว่าตำแหน่งหัวหน้าแก๊งใหญ่ของประเทศเทียนหวูคงจะต้องเปลี่ยนคนเสียแล้ว”

เมื่อจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงได้ยินดังนั้นสีหน้าก็แข็งชะงัก เขาสัมผัสได้ถึงความผิดปกติบางอย่างในความหมายในคำพูดประโยคนี้ของหลัวซิว เขากล้าพูดเช่นนี้ออกมานั่นเป็นนัยให้เห็นว่า ขั้นอำนาจของเขาจะต้องเหนือกว่าตนอย่างแน่นอน

อำนาจขั้นดินรึ

สายตาของจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงเกิดลำแสงวิบไหว และไม่ได้กล่าวโต้เถียงใดกับหลัวซิวอีก

เมื่อคนในที่นั้นเห็นผู้ที่มีฐานะสูงส่งอย่างจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงโดนหลัวซิวประชดประชันจนไม่กล้าต่อปากต่อคำออกมา จักรพรรดิยุทธ์คนอื่นๆ ในที่นั้นต่างพากันประหลาดใจ

พวกเขาพบว่ายิ่งพวกเขารู้จักหลัวซิวมากเพียงใด ก็ยิ่งพบว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดา เป็นผู้ที่หาตัวจับยากและยากที่มองออก

“ไอ้จองหอง ตายซะเถอะแก!”

ในตอนนั้นอาจารย์ตระกูลโกวตัดสินใจลงมือ เขาตัดสินใจแล้วว่าเขาจะต้องเป็นฝ่ายชิงลงมือก่อน ขอเพียงแค่เขาสังหารหลัวซิวได้ ความอันตรายทุกอย่างก็จะจบสิ้นลง และสามารถใช้เรื่องนี้เอาใจสำนักเสวียนหยางได้ด้วย จะยิ่งมีประโยชน์ต่อตระกูลโกวในวันข้างหน้า

“รนหาที่ตายเองนะ!” ริมฝีปากของหลัวซิวปรากฏรอยยิ้มดูแคลน

นักยุทธ์ของอาจารย์ตระกูลโกว คือดาบรบสีเขียวเล่มหนึ่ง มีพลังจิตแท้ Attr ไม้อบอวล เพียงแต่สิ่งที่เขาได้ฝึกตนมาไม่ใช่พลังชีวิตAttr ไม้ แต่เป็นการฝึกวิชาพิษ

Attr ไม้มีสองด้าน ด้านแรกคือการเติบโตที่มีชีวิตชีวา ส่วนอีกด้านคือรุนแรง

แต่หลัวซิวกลับไม่ได้ใช้แม้แต่กระบี่รบ เขาเพียงยกมือปล่อยภูตอัคคีกลืนกินออกไปปะทะเข้ากับไอพิษสีเขียวของดาบจนเกิดเป็นเสียงชี่ๆๆๆ ออกมา

ภายในชั่วพริบตา ไอมีดของดาบที่อาบยาพิษก็ถูกเผาจนแหลกสลายไป

ในบรรดาธาตุทั้งห้า ไฟกับทองสามารถเอาชนะ Attr ไม้ได้

“ท่านหวาง ท่านยังไม่ลงมืออีกรึ” อาจารย์ตระกูลโกวมองไปยังอาจารย์ตระกูลหวางพลางส่งเสียงตวาดออกไป

ตระกูลหวางเองก็พึ่งพาอาศัยสำนักเสวียนหยางเช่นกัน จึงถือเป็นฝ่ายตรงข้ามกับหลัวซิวด้วย จริงๆ แล้วอาจารย์ตระกูลหวางก็กำลังลังเลอยู่เช่นกันว่าจะลงมือจัดการหลัวซิวดีหรือไม่

ทว่าในตอนที่เขากำลังลังเลอยู่นั้นเอง เปลวไฟรูปมือสีแดงอิฐก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศส่งเสียงฟู่ๆ กระแทกเข้ากับจักรพรรดิยุทธ์อาจารย์ตระกูลโกวจนลอยกระเด็นออกไป โลหิตซึมออกมาจากริมฝีปากของเขา

การฝึกตนของอาจารย์ตระกูลโกวคือจักรพรรดิยุทธ์ขั้นสอง ซึ่งหลัวซิวยังไม่ทันใช้ไพ่เด็ดของเขาเลย เขาเพียงใช้แค่ร่างยุทธ์ระดับจักรพรรดิ ก็สามารถรับมือกับอีกฝ่ายได้แล้ว และถึงขั้นเปลี่ยนเป็นฝ่ายที่เหนือกว่า

เพียงแค่เผชิญหน้ากัน ก็สามารถทำให้จักรพรรดิยุทธ์อย่างอาจารย์ตระกูลโกวบาดเจ็บได้แล้ว พลังที่หลัวซิวแสดงออกมา ทำให้สีหน้าของอาจารย์ตระกูลหวางเปลี่ยนไป

“วิชาภูตผีเซินหลัว!”

หลัวซิวยังคงไม่หยุดการโจมตี เปลวไฟสีแดงอิฐแปรสภาพกลายเป็นเพลิงมรณะสีดำผนึกรวมกลายเป็นกระดูกญาณมหึมา เพียงส่งเสียงก็อบแกร๊บก็สั่นสะท้านไปทั้งอากาศ

อาจารย์โกวสัมผัสได้ว่าตนถูกตัวสำนึกอันแข็งแกร่งล็อกตัวไม่ให้ขยับเขยื้อน ในช่วงเวลาอันเร่งด่วนนั้นก็พยายามโคจรพลังจิตแท้อย่างบ้าคลั่งเพื่อทัดทานการโจมตีนี้เอาไว้

เทพจิตที่มีรูปร่างคล้ายกบสีเขียวจึงปรากฏขึ้นด้านหลังศีรษะของเขา

นี่คือเทพจิตหอยเขียว ที่ต้องฝึกฝนวิชาพิษจึงจะสามารถผนึกรวมขึ้นมาได้ และระหว่างที่ถูกตัวสำนึกโจมตีก็จะมีฤทธิ์เป็นพิษที่สามารถโจมตีตัวสำนึกวิญญาณของอีกฝ่ายจนหมดสติไปได้

“ตึ้ง!”

ทว่าระหว่างที่อาจารย์โกวกำลังแสดงเทพจิตของตัวเองออกมานั้น ก็ปรากฏการณ์โจมตีทางวิญญาณอันน่าหวาดผวาขึ้น ทำให้เทพจิตหอยเขียวสั่นจนระเบิดกระจาย ความเจ็บปวดรวดร้าวได้ฉีกทึ้งตัวสำนึกของเขา

“อ๊าก……”

อาจารย์โกวกุมศีรษะของตัวเองเอาไว้แล้วแผดเสียงร้องลั่น กระดูกญาณส่งเสียงแตก บดขยี้ทุกส่วนที่อยู่กลางอากาศของเขา แม้แต่ร่างผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ของเขายังแตกสลายกลายเป็นไอเลือด เลือดสดๆกระเซ็นออกมาจากร่องกระดูกญาณต่อเนื่องอย่างน่าขวัญผวา

ผู้ที่เป็นถึงผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 2 เมื่อเผชิญหน้ากับหลัวซิวกลับไม่สามารถโต้ตอบกลับไปได้สักครั้ง แสดงให้เห็นว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่าย

หลัวซิวยื่นมือออกไปอีกครั้ง กระดูกญาณจึงหายไป ยาทองเม็ดกลมกับแหวนเก็บของล่วงลงมาสู่กลางฝ่ามือของเขา

ผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์คนอื่นเมื่อเห็นเช่นนี้ ก็เกิดอาการขวัญเสีย

เพราะแม้ว่าการต่อสู้จะจบลงอย่างรวดเร็วก็จริง แต่หลัวซิวเพียงใช้ร่างยุทธ์ระดับจักรพรรดิของตนเองกับทักษะยุทธ์ระดับ9 และการโจมตีทางวิญญาณเท่านั้น

โดยเฉพาะการโจมตีทางวิญญาณของเขาที่ทำให้เทพจิตของอาจารย์ตระกูลโกวดับสลาย ตัวสำนึกวิญญาณของเขาจะต้องอยู่ในขั้นจักรพรรดิยุทธ์ และอาจไปถึงขั้นจักรพรรดิยุทธ์ขั้นกลางขึ้นไปด้วยซ้ำ

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วก็แสดงให้เห็นว่า คนทุกคนที่อยู่ในที่นั้นมีเพียงผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 4 ขึ้นไปเท่านั้นที่พอจะรับมือกับการโจมตีทางวิญญาณของพวกเขาได้ ส่วนคนอื่นๆ นั้น เกรงว่าเพียงเผชิญหน้าก็คงจะได้รับบาดเจ็บสาหัสในทันที

ซู่ว!

ตอนนั้นคนที่อยู่ในที่นั้นรู้สึกถึงพลังจิตแท้อันเข้มข้น ในตอนที่อาจารย์ตระกูลโกวถูกสังหารนั้น อาจารย์ตระกูลหวางก็ตัดสินใจที่จะหนี

เขาตระหนักได้ทันทีว่า ในเมื่อหลัวซิวสังหารอาจารย์ตระกูลโกวได้ ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลหวางกับสำนักเสวียนหยางนั้น อีกฝ่ายก็คงไม่ปล่อยเขาไว้เช่นกัน

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อจากนั้น ทำให้ผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ทุกคนต้องหรี่ตาลงมองอีกครั้ง

บทที่ 428 จัดการความแค้นส่วนตัว
แต่สวีจิงเหนียนรู้จักหลัวซิวดี เขาไม่มีทางทำอะไรอย่างล่องลอยแน่นอน เมื่อเขากล้ากล่าวออกมาเช่นนี้แล้ว นั่นจะต้องเป็นความจริงแท้

ตำหนักจื่อที่เป็นหนึ่งในสามของกลุ่มอำนาจที่ปกครองประเทศเทียนเทียนหวู ได้ถูกทำลายไปแล้ว นี่จะต้องเป็นเรื่องที่สะเทือนไปทั้งแผ่นดินอย่างไม่ต้องสงสัย

“ผมสามารถทำลายตำหนักจื่อได้ ย่อมมีหนทางที่จะทำลายสำนักเสวียนหยางได้” ประโยคที่หลัวซิวกล่าวนั้นมีความหมายลึกซึ้ง

“อีกอย่างถ้าให้กล่าวตามตรง อาจารย์ของผมเป็นถึงปรมาจารย์นักกลั่นยา มีฐานะสูงส่งกว่ามกุฎยุทธ์เล็กๆ เป็นไหนๆ หากสำนักเสวียนหยางยังคงตั้งหน้าตั้งตาเป็นศัตรูกับผม นั่นก็เท่ากับรนหาที่ตายให้กับตัวเอง” หลัวซิวกล่าวอย่างพลุ่งพล่าน

เมื่อกล่าวออกมาถึงขั้นนี้แล้ว มีหรือที่สวีจิงเหนียนจะไม่เข้าใจในคำพูดของหลัวซิว นี่เป็นการบีบให้เขาต้องตัดสินใจ

ถ้าไม่ยืนอยู่ข้างหลัวซิวแล้วช่วยเขาดูแลความปลอดภัยของครอบครัวเขาในประเทศเทียนหวู ก็ต้องตัดขนาดความสัมพันธ์กับเขาไปเลย ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปถือว่าเป็นคนแปลกหน้า แค่นี้ก็ไม่ถือว่าตั้งตัวเป็นศัตรูกับสำนักเสวียนหยางแล้ว

“คุณชายหลัวซิวอย่าห่วงเลย ขอแค่ครอบครัวของผมไม่ถูกทำลายราบไปเสียก่อน สวีจิงเหนียนจะเป็นคนรับผิดชอบความปลอดภัยของครอบครัวคุณชายในเมืองเทียนหวูเอง” สุดท้ายเขาก็กัดฟันกล่าวออกไปในที่สุด

หลัวซิวหัวเราะร่าออกมา “ผู้อาวุโสสวี อีกไม่นาน ท่านก็จะรู้เองว่าการตัดสินใจของท่านในครั้งนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว”

ในตอนนี้สำนักเสวียนหยางยังคงตกอยู่ในสภาวุ่นวาย ศึกใหญ่ระหว่างมกุฎยุทธ์คล้ายจะทำลายทุกอย่างจนราบ

คาดว่าสำนักเสวียนหยางในตอนนี้ก็น่าจะกำลังจัดระเบียบใหม่อยู่ พวกเขาเองก็ไม่รู้ว่าตอนนี้มกุฎยุทธ์ทั้งสองคนนั้นได้กลับไปแล้ว จึงยังไม่กล้าส่งคนออกมาตามสังหารหลัวซิว

เมื่อตกลงกับสวีจิงเหนียนเรียบร้อยแล้ว หลัวซิวก็ขับเรือรบออกเดินทางไปยังเมืองเทียนหวู

……

และเป็นอย่างที่หลัวซิวคาดการณ์เอาไว้ ผ่านไปไม่นานนักข่าวการล่มสลายของตำหนักจื่อก็ได้แพร่สะพัดไปทั่วทั้งแผ่นดิน

และเป็นเพราะในตอนที่หลัวซิวโจมตีตำหนักจื่อร่วมกับมกุฎยุทธ์ทั้งสองคนในตอนนั้น มีลูกศิษย์ของตำหนักจื่อบางคนที่อยู่ข้างนอกและยังไม่ได้กลับเข้ามา เมื่อพวกเขากลับมาแล้วก็พบว่าประตูด้านนอกของตำหนักจื่อถูกเผากลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้วส ส่วนทางเข้าแดนปริศนาก็ถูกปิดตาย ต่อให้ใช้เครื่องรางก็ไม่มีทางเข้าไปได้

การบินกลับจากสำนักเสวียนหยางไปยังเมืองเทียนหวู ด้วยความเร็วของเรือรบสำริดเขียวแล้ว ก็ต้องใช้เวลาถึงสองสามวันกว่าจะไปถึง เมื่อผ่านเขตแดนทางท้องฟ้าของเมืองและสำนักต่างๆ คนที่พบเห็นต่างพากันตกใจอกสั่นขวัญแขวน

เพราะคนส่วนใหญ่จะรู้ดีว่าเรือรบสำริดเขียวนี้ของพื้นที่แห่งนี้เป็นของตำหนักจื่อเท่านั้น เมื่อข่าวการล่มสลายของตำหนักจื่อแพร่กระจายออกไป คนที่ขับเรือรบลำนี้ก็จะต้องเป็นคนที่ล้มตำหนักจื่ออย่างไม่ต้องสงสัย

เมื่อเรือรบเข้าไปถึงน่านฟ้าของเมืองเทียนหวู ภายในเมืองปรากฏพลังงานอันเข้มข้นกระจายไปทั่ว หลัวซิวสัมผัสได้ถึงพลังงานที่ค่อนข้างคุ้นเคย

หนึ่งในพลังงานที่แข็งแกร่งที่สุดในนั้นมาจากองค์กรนักล่ายุทธ์ที่อยู่ใจกลางเมือง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเจ้าของพลังอันแข็งแกร่งผู้นี้จะต้องเป็นจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิง

เวลาผ่านไปเกือบสองปี หัวหน้าองค์กรนักล่ายุทธ์หลักของประเทศเทียนหวูได้บรรลุแดนขั้นสูงจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 4 ไปสู่แดนจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 5 เรียบร้อยแล้ว

นอกจากนี้แล้วหลัวซิวยังสัมผัสได้ถึงพลังของเฒ่าประหลาดฉิว ตอนนั้นที่เฒ่าประหลาดฉิวอยู่ที่คีตโลกาถ้ำเทพสถิตยังเคยมอบฮู้ให้เขาเพื่อป้องกันตัวอีกด้วย

และยังมีอาจารย์หงหมิง หัวหน้าแก๊งนักหลอมอาวุธ รวมทั้งอาจารย์เหว้ย หัวหน้าแก๊งนักค่ายกล นอกจากนี้แล้วยังมรจักรพรรดิยุทธ์คนอื่นๆ เช่นอาจารย์ตระกูลโกวและอาจารย์ตระกูลหวาง

หลัวซิวบังคับเรือรบไปหยุดอยู่ด้านบนของตำหนักตระกูลสวี จากนั้นด้วยการจัดการของสวีจิงเหนียน เขาได้ให้พ่อแม่ พี่สาวและคนตระกูลหลิวเข้าไปพักอยู่ที่ตำหนักตระกูลสวีเป็นการชั่วคราว

เรือรบลอยอยู่กลางฟ้า หลัวซิวยืนอยู่บนพื้นเรือพลางจับมือเหยียนเยว่เอ๋อร์เอาไว้

ไม่นานนักก็มีลำแสงลอยเข้ามาใกล้ จากนั้นจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิง อาจารย์หงหมิง เหว้ยห้าวหราน เฒ่าประหลาดฉิวและผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์อีกสองสามคนก็ได้ปรากฏตัวขึ้น

“ผู้อาวุโสทุกทท่าน สบายดีกันหรือไม่” หลัวซิวอมยิ้มเจื่อน

จักรพรรดิยุทธ์ทำสีหน้าแปลกประหลาดไป เพราะไม่มีใครคาดคิดว่าเวลาเพียงสองปีราชายุทธ์ตัวเล็กๆ จะกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีความสามารถเทียบเท่ากับตนเองแล้วในตอนนี้

ในฐานะผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ แน่นอนว่าพวกเขาสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้เร็วกว่าคนธรรมดาอย่างแน่นอน เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับสำนักเสวียนหยางก็ไม่รอดพ้นหูของพวกเขา

การล่มสลายของตำหนักจื่อ ความวุ่นวายในสำนักเสวียนหยาง เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นเลยในช่วงหลายร้อยปีที่ผ่านมา

“ฮ่าๆ ตอนนี้ผู้น้อยหลัวเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงโดดเด่นที่สุดแล้วในประเทศเทียนหวู ล้มตำหนักจื่อ ก่อกวนสำนักเสวียนหยาง ข้านับถือในตัวเจ้าจริงๆ” เฒ่าประหลาดฉิวกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม

“ในตอนนั้นคนแก่อย่างข้าก็ได้ติดหนี้น้ำใจเจ้าเรื่องที่ได้รับการฝึกตน ตามหลักแล้วข้าควรช่วยเจ้าปกป้องเมืองชิงหยุน แต่เมื่อเจ้ามีอาจารย์มกุฎยุทธ์ลงมือช่วยเหลือ คนแก่อย่างข้าที่ฝึกตนเพียงต่ำต้อยคงไม่สามารถช่วยเจ้าต่อสู้ได้” เฒ่าประหลาดฉิวยังกล่าวอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นไปด้วย

“ผู้น้อยเข้าใจความลำบากของผู้อาวุโสดี” หลัวซิวยิ้มอย่างไม่ถือสา

เขามองออกว่าแม้ว่าจักรพรรดิยุทธ์พวกนี้จะได้รับความช่วยเหลือจากเขา แต่บุญคุณพวกนั้นคงไม่สามารถทำให้พวกเขายอมทุ่มชีวิตปกป้องครอบครัวของตนได้แน่ ส่วนเรื่องการต่อกรกับมกุฎยุทธ์โดยเฉพาะต้องเผชิญหน้ากับอาจารย์มกุฎยุทธ์ต่อให้พวกเขาทุ่มเทชีวิตก็คงไม่รอดอยู่ดี แถมยังไม่สามารถปกป้องครอบครัวของเขาได้อีก ดังนั้นถือเป็นเรื่องที่เสียมากกว่าได้

มนุษย์ทุกคนย่อมมีความเห็นแก่ตัว หลัวซิวมี คนอื่นๆ ก็มีเช่นกัน ดังนั้นเขาคงไม่ยกเอาเรื่องนี้มาลงมือหรือเอาคืนแต่อย่างใด

ส่วนจักรพรรดิยุทธ์คนอื่นๆ ต่างทยอยกันเข้ามาประสานมือคารวะหลัวซิว เพราะพวกเขาตกปากรับคำไปแล้วว่าจะช่วยดูแลครอบครัวของเขา เมื่อเป็นอย่างนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการเป็นคนที่ไม่มีสัจจะ

“เย่ว์เอ๋อร์”

เสียงๆ หนึ่งดังลอยขึ้นมา สายตาของนายท่านตระกูลเหยียนตกมาอยู่ที่หลัวซิวกับเหยียนเยว่เอ๋อร์

นายท่านคนปัจจุบันของตระกูลเหยียน ก็พี่ชายแท้ๆ ของเธอ หลัวซิวเองก็รู้เรื่องนี้

เหยียนเยว่เอ๋อร์มองไปที่หลัวซิว

“ไปสิ” หลัวซิวพยักหน้ารับ

เหยียนเย่ว์เอ๋อร์พยักหน้า ก่อนจะลอยตัวลงจากเรือรบไปยังด้านล่าง

นายท่านตระกูลเหยียนก็ลงมาด้านล่างด้วยเช่นกัน พี่ชายน้องสาวที่เคยบาดหมางกันเพราะเรื่องเข้าใจผิด สุดท้ายก็กลับมาเข้าใจกัน

จากนั้นหลัวซิวจึงหันไปมองจักรพรรดิยุทธ์คนอื่นๆ ด้วยรอยยิ้ม “ผู้น้อยกลับมาครั้งนี้นอกจากจะมาระลึกถึงเรื่องราวเก่าๆ ด้วยกันแล้ว ยังต้องการมายุติความแค้นส่วนตัวกับคนบางคนด้วย”

ความแค้นส่วนตัว?

เมื่อหลัวซิวกล่าวประโยคนี้ออกมา สายตาของจักรพรรดิยุทธ์ทุกคนก็หันไปมองรวมกันอยู่ที่อาจารย์ตระกูลโกวและอาจารย์ตระกูลหวาง

ในบรรดาพวกเขา คนที่มีความแค้นส่วนตัวกับหลัวซิวก็มีเพียงพวกเขาสองตระกูลแล้ว

ตำหนักจื่อกับสำนักเสวียนหยางจับคนในครอบครัวของเขาไป เพื่อจะใช้เป็นตัวประกัน และบังเอิญว่าตระกูลโกวกับตระกูลหวางก็พึ่งพาสองกลุ่มอำนาจนี้อยู่พอดี ทำให้สามารถกระจายอำนาจของตนเองไปได้กว้างไกลภายในช่วงระยะเวลาสองปีนี้

“ผู้อาวุโสโกว ตามที่ผมรู้ หลังจากเกิดเรื่องราวในปีนั้นเป็นต้นมา ตระกูลโกวก็พึ่งบารมีของตำหนักจื่อและเป็นมือเป็นเท้าช่วยงานตำหนักจื่ออยู่ไม่น้อย คงได้ผลประโยชน์มากทีเดียวใช่หรือไม่” หลัวซิวมองไปยังอาจารย์ตระกูลโกวด้วยใบหน้าหลายอารมณ์

“หลัวซิว เจ้าหมายความว่ายังไง ตำหนักจื่อกับสำนักเสวียนหยางมีอำนาจมาก ตระกูลโกวก็จำเป็นต้องทำเพื่อความอยู่รอด พวกเราช่วยเหลือไปตามมารยาทก็เท่านั้น” อาจารย์ตระกูลโกวกล่าวด้วยสีหน้าท่าทางเคร่งเครียด

บทที่ 427 กลัว
โดยเฉพาะมู่จื่อซิว เขากำลังสงสัยว่าหลัวซิวคือคิงซิวหลัว เดิมทีเขาวางแผนว่าจะหาโอกาสลงมือจัดการเขา เพื่อแย่งชิ้นส่วนกฎที่อยู่ในตัวเขา

แต่แม้ว่าเขาจะไม่ใช่คิงซิวหลัว แต่ด้วยอายุของเขาที่น้อยนิดแต่มีพลังอันแข็งแกร่ง แสดงว่าเขาจะต้องมีความลับเด็ดอยู่ในตัวแน่นอน

แต่เขาคิดไม่ถึงว่าความลับของเด็กหนุ่มคนนี้คือการที่มีปรมาจารย์นักกลั่นยาเป็นอาจารย์ของตนเอง

แม้ว่าจะเป็นปรมาจารย์ขั้นต่ำที่สุดอย่างปรมาจารย์นักกลั่นยาระดับ 7 แต่ฐานะในโลกแสงดาวกลับเทียบเท่ากับผู้แข็งแกร่งระดับมหายุทธ์คนหนึ่ง หากเป็นระดับ 8 ถึงระดับ 9 นั่นจะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นไปอีก

การที่หลัวซิวแจ้งข้อมูลนี้ออกมา เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะเขาต้องการให้มู่จื่อซิวลองทบทวนดูว่าจะยังลงมือกับเขาจริงๆ หรือไม่ เพราะหากลงมือทำอะไรขึ้นมา นั่นจะเท่ากับมีเรื่องกับปรมาจารย์นักกลั่นยาเพิ่มอีกคนหนึ่งด้วย

“ฮ่าๆ คิดไม่ถึงเลยว่าเด็กหนุ่มอย่างเจ้าจะมีฐานะระดับเช่นนี้ วันข้างหน้าหากข้าต้องการยาขั้น 7 ข้าคงต้องขอให้หนุ่มน้อยอย่างเจ้าช่วยแนะนำบ้างแล้ว” หนิงเหอโจวกล่าวตอบด้วยรอยยิ้ม

“พูดได้ดี พูดได้ดี แม้ว่าท่านอาจารย์จะซ่อนตัวไม่ยุ่งเกี่ยวกับทางโลกมานานหลายปีแล้ว แต่สำหรับลูกศิษย์คนโปรดอย่างผม เพียงเอ่ยปาก ท่านอาจารย์จะต้องยอมช่วยเหลืออย่างแน่นอน” หลัวซิวยิ้ม

“สหายหลัวซิว วันข้างหน้าพวกเราคงมีโอกาสเจอกันอีก” หนิงเหอโจวอารมณ์สดชื่นมาก จากนั้นจึงมอบช่องทางการติดต่อตนเองให้กับเขาแล้วโบกมือ ก่อนจะลอยไปยังฟ้าและหายตัวไปในลำแสงอันไกลลิบ

“ข้าเองก็ต้องขอตัวลาเช่นกัน หากวันหน้าสหายมีเรื่องอยากให้ช่วยเหลือ ก็บอกข้าได้เลย”

มู่จื่อซิวก็ยิ้มออกมาเช่นกัน ตอนนี้เขาได้ล้มเลิกความคิดที่จะทำร้ายหลัวซิวไปเรียบร้อยแล้ว เพราะผลที่จะเกิดขึ้นจากการเป็นศัตรูกับปรมาจารย์นักกลั่นยาเป็นสิ่งที่ไม่คุ้มค่าที่จะแลก เพราะตัวเขาก็ได้แค่สงสัยว่าหลัวซิวจะเป็นคิงซิวหลัว แต่ก็ไม่สามารถยืนยันได้แน่ชัด

อีกอย่างหากเขาสามารถคบหากับหลัวซิวเอาไว้ได้ ก็เท่ากับเขามีความสัมพันธ์อันดีกับปรมาจารย์นักกลั่นยาอีกคนหนึ่งด้วย วันข้างหน้าหากต้องการกลั่นยาขั้น 7 ก็สามารถที่จะมาพึ่งพาเขาได้

อันที่จริงแล้วการที่หลัวซิวกล่าวอ้างว่าเบื้องหลังตนเองมีอาจารย์ปริศนาอยู่นั้นก็เป็นเพราะว่าเขาต้องการที่จะปกป้องตัวเอง

การลงมือจัดการตำหนักจื่อกับสำนักเสวียนหยางคราวนี้ เขาต้องเปิดเผยความลับหลายอย่างของตัวเอง ขอแค่ไม่ใช่คนโง่ก็พอที่จะเดาได้ว่าในตัวเขามีความลับบางอย่างซ่อนอยู่

แม้ว่ามู่จื่อซิวกับหนิงเหอโจวจะเป็นผู้แข็งแกร่งขององค์กรนักล่ายุทธ์ โดยปกติแล้วจะมีความน่าเชื่อถือการันตีอยู่แล้ว แต่ใครก็ไม่อาจยืนยันได้ว่าพวกเขาจะไม่สนใจในความลับที่อยู่ในตัวของเขา ดังนั้นเมื่อภารกิจเสร็จสิ้นแล้วอาจจะลงมือทำร้ายและแย่งของมีค่าจากเขาไป

ปรมาจารย์นักกลั่นยาทั้งคนเพียงพอที่จะทำให้มกุฎยุทธ์ต้องคิดใคร่ครวญให้ดีถึงความสามารถของตัวเอง ผลลัพธ์ของแผนการนี้ถือว่าไม่เลว เพราะหนิงเหอโจวกับมู่จื่อซิวไม่มีท่าทางที่จะลงมือทำร้ายเขา

ส่วนหลัวซิวนั้นกลับไม่รู้ว่าอันที่จริงแล้ว มู่จื่อซิววางแผนที่จะทำร้ายเขา แต่เป็นเพราะว่าเขากล่าวขึ้นมาว่าตนเองมีอาจารย์เป็นถึงปรมาจารย์นักกลั่นยา นั่นทำให้พวกเขาต้องหยุดคิด สุดท้ายจึงตัดสินใจล้มเลิกแผนการนั้นไป

เมื่อมกุฎยุทธ์ทั้งสองกลับไปแล้ว แม้ว่าในตอนเริ่มแรกของภารกิจมีเป้าหมายคือการฆ่าอาจารย์ตำหนักจื่อและอาจารย์เสวียนหยาง แต่ตอนนี้อาจารย์เสวียนหยางยังไม่ถูกฆ่า แต่ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว การจะลงมือฆ่าอาจารย์เสวียนหยาง เป็นเรื่องที่เกินความสามารถของมู่จื่อซิวและหนิงเหอโจวเกินไป

หลัวซิวก็ไม่ได้คิดแค้นอะไรเรื่องนี้มากมายนัก เพราะเขาเพียงต้องการให้พ่อแม่และพี่สาวของเขาปลอดภัยเท่านั้น ส่วนอาจารย์เสวียนหยางคนนั้นปล่อยให้เขาใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปก่อน รอให้ตนเลื่อนขั้นการฝึกตนของตัวเองขึ้นก่อน ค่อยหาโอกาสไปสังหารเขาทิ้ง

แต่การที่เขาไม่ได้รับการคุ้มกันจากมกุฎยุทธ์ทั้งสองแล้ว เขาจำเป็นต้องทบทวนแผนการใหม่ อีกอย่างตอนนี้เขาไม่สามารถกลับไปยังเมืองชิงหยุนได้อีกแล้ว และต้องหาที่ปลอดภัยให้กับพ่อแม่และพี่สาว

เรื่องสถานที่ปลอดภัยสำหรับครอบครัว ตอนนี้หลัวซิวพอจะมีแผนการคร่าวๆ ในใจขึ้นมาแล้ว

หลัวซิวติดต่อสวีจิงเหนียนผ่านกล่องส่งเสียง

งานวันเกิดของอาจารย์เสวียนหยาง สุดท้ายกลายเป็นสถานที่สู้รบฆ่าฟันกันอย่างดุเดือด ดังนั้นงานวันเกิดนี้จึงไม่สามารถที่จะดำเนินต่อไปได้อีก

การสู้รบครั้งนี้ แขกที่มาร่วมงานไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใด สวีจิงเหนียนได้พาครอบครัวตระกูลสวีของตัวเองหนีไปจากสำนักเสวียนหยางอย่างปลอดภัย ตอนนี้อยู่ในเมืองๆ หนึ่งที่ห่างจากผืนป่าเล็กๆ แห่งนี้ไป 30 กว่าเมตร

หลังจากนั้นไม่นาน เกิดลำแสงปรากฏขึ้นจากขอบฟ้าและมาตกอยู่ที่ผืนป่าเล็กๆ แห่งนี้

หลัวซิวได้วางค่ายกลเอาไว้ทั่วบริเวณจึงสัมผัสได้ถึงการมาเยือน เมื่อรับรู้ว่าผู้มาเยือนคือสวีจิงเหนียน เขาจึงยกมือขึ้นลูบพลังตราประทับของเขา ค่ายกลจึงปรากฏทางเดินให้สวีจิงเหนียนสามารถเดินเข้ามาได้อย่างไม่มีอุปสรรค

“ผู้น้อยหลัว เจ้าเปิดหูเปิดตาข้าจริงๆ”

สวีจิงเหนียนรู้สึกตื่นเต้นมากเมื่อได้เจอหน้าเขา และย้อนนึกกลับไปถึงตอนที่ตนเองพบหน้าเด็กหนุ่มคนนี้เป็นครั้งแรก ตอนนั้นเขายังฝึกตนถึงขั้นแดนฝึกจิตอยู่เท่านั้น ใครจะคิดว่าผ่านไปชั่วพริบตาเดียว อีกฝ่ายได้แข็งแกร่งกว่าตนไปเสียแล้ว

แม้ว่าระดับการฝึกตนของเขาจะสู้ตนเองไม่ได้ แต่เขาก็สามารถเอาชนะเจ้าสำนักเสวียนหยางได้ นั้นต่างหากที่แสดงถึงพลังที่แท้จริงของเขาว่าจะต้องอยู่ในระดับจักรพรรดิยุทธ์ระดับ 4 ขึ้นไป ส่วนการฝึกตนของสวีจิงเหนียนอยู่ที่จักรพรรดิยุทธ์ขั้น 2 เท่านั้น

“ผู้อาวุโสพูดล้อเล่นแล้ว หากไม่ได้รับการช่วยเหลือจากผู้อาวุโสมกุฎยุทธ์ทั้งสอง ลำพังเพียงความสามารถของข้าเข้าไปก่อเรื่องวุ่นที่สำนักเสวียนหยาง ไม่ต่างอะไรกับการรนหาที่ตาย” หลัวซิวหัวเราะพลางกล่าว

“ครั้งนี้ที่ผมเชิญผู้อาวุโสมา อันที่จริงแล้วมีเรื่องต้องการรบกวนผู้อาวุโสให้ช่วยเรื่องหนึ่ง”

“เรื่องอะไรรึ หากข้ามีกำลังช่วยเหลือได้ ข้าไม่มีทางปฏิเสธอย่างแน่นอน” สวีจิงเหนียนกล่าว

“ผมอยากให้ครอบครัวของผมอาศัยอยู่ที่เมืองเทียนหวู ตามที่ผมรู้ที่ตั้งหลักของตระกูลสวีได้ย้ายไปอยู่ที่เมืองเทียนหวูแล้วใช่หรือไม่”

หากเป็นเมื่อก่อน เมืองเทียนหวูมีราชวงศ์ตระกูลฝานเป็นผู้ปกครอง ตระกูลและสำนักต่างๆ ล้วนไม่มีทางที่จะเข้าไปอาศัยได้ แต่ปัจจุบันราชวงศ์ตระกูลฝานได้ล่มสลายไปแล้ว ตระกูลอื่นก็ได้เข้ามาอยู่เพราะอาจารย์จักรพรรดิยุทธ์ได้ล่มสลายไป ตอนนี้จึงมีสี่ตระกูลใหญ่เข้ามาครอบครองพื้นที่เมืองเทียนหวูแทน

ในสี่ตระกูลใหญ่นี้แบ่งออกเป็น ตระกูลสวี ตระกูลเหยียน ตระกูลโกวและตระกูลหวาง

“ผมหวังว่าตระกูลสวีจะช่วยดูแลครอบครัวของผมได้บ้าง หากต้องมีข้อแลกเปลี่ยนที่เกี่ยวข้องกับตระกูลโกวกับตระกูลหวาง ผมสามารถช่วยท่านได้” หลัวซิวกล่าวต่อ

สถานการณ์ของประเทศเทียนหวูในปัจจุบัน มีตระกูลโกวกับตระกูลหวางเป็นผู้นำ และเพราะสองตระกูลนี้ได้รับการสนับสนุนจากตำหนักจื่อและสำนักเสวียนหยาง ทำให้ไม่เหลือที่ว่างสำหรับตระกูลเหยียนและตระกูลสวี อีกไม่นานนี้คงถูกไล่ออกไปจากประเทศเทียนหวูอย่างแน่นอน

ตำหนักจื่อล่มสลายไปแล้ว ตอนนี้ก็เหลือเพียงผู้มีอิทธิพลเดียวนั่นคือสำนักเสวียนหยาง

สวีจิงเหนียนขมวดคิ้วแน่น ข้อเสนอนี้ของหลัวซิวทำให้เขาต้องลำบากใจ

เพราะเขาได้เชิญมกุฎยุทธ์สองคนมาช่วยเหลือ แต่ก็ยังไม่สามารถทำอะไรสำนักเสวียนหยางได้ พลังของอาจารย์เสวียนหยางกับลูกศิษย์สำนักเสวียนหยางไม่ธรรมดาเลยทีเดียว

หากเขารับปากช่วยเหลือครอบครัวของหลัวซิว ก็จะเท่ากับว่ายืนอยู่ฝ่ายตรงกันข้ามกับสำนักเสวียนหยาง หากตระกูลเล็กๆ อย่างตระกูลสวีต้องเผชิญหน้ากับสำนักเสวียนหยางจริง ตระกูลสวีจะเล็กกระจ้อยร่อยยิ่งกว่ามดเสียอีก

หากตนเองมีชีวิตเพียงลำพังก็ไม่เป็นไร แต่เขายังมีคนอีกหลายคนอยู่ในตระกูลด้วยกัน เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงความเป็นความตายของคนในตระกูล เขาเลยไม่กล้าตกปากรับคำอย่างง่ายๆ

หลัวซิวเข้าใจถึงความลำบากใจของอีกฝ่ายดี จึงได้แต่อมยิ้มแล้วกล่าวว่า “ผมคิดว่าใช้เวลาอีกไม่กี่วันนี้ ข่าวการล่มสลายของตำหนักจื่อจะแพร่ไปทั่วทั้งแผ่นดินนี้”

สวีจิงเหนียนได้ยินดังนี้ก็ได้แต่หรี่ตาลง “คุณชายหลัวหมายความว่าอย่างไร……”

เมื่อเห็นหลัวซิวพยักหน้า สวีจิงเหนียนก็อดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเอาลมเย็นๆ เข้าไป นี่เขาล้มตำหนักจื่อไปเรียบร้อยแล้วหรือ

ส่วนกลางของตำหนักจื่อตั้งอยู่ที่แดนปริศนาคีตโลกา ไม่มีเครื่องรางที่ชัดเจน ต่อให้ผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์ก็ไม่สามารถเข้าไปได้ง่ายๆ แล้วเขาลงมือทำได้อย่างไร?

บทที่ 426 แยกย้าย
หลี่เสวียนหยางสีหน้าหมองหม่นถึงขั้นสุด ตอนนี้เขากับซุนเชียนซางถูกผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์ขวางเอาไว้ ส่วนหลัวซิวพอกคิดจะหนีกลับไม่มีใครขวางเขาเอาไว้ได้

ที่พึ่งสำคัญที่สุดของเขาก็คือค่ายพิทักษ์เขาของสำนัก แต่ตอนนี้ค่ายกลได้เสื่อมมนตร์ไปแล้ว

“จนถึงตอนนี้คนของตำหนักจื่อยังไม่มาเลย ดูรูปการณ์แล้วมีความเป็นไปได้สูงมากว่าอาจารย์ตำหนักจื่อจะสิ้นชีพไปแล้ว”

ผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์อย่างหลี่เสวียนหยางที่มีอายุขัยมาถึงสองพันแปดร้อยปีไม่เคยรู้สึกทุกข์ใจเช่นนี้มาก่อน

ศึกใหญ่ของผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์ทั้งสี่ ทำให้ที่ตั้งของสำนักเสวียนหยางพังทลาย พระราชวังใหญ่โตย่อยยับ ภูเขาระเบิดเป็นจุน ฝุ่นลอยตลบอบอวล ควันลอยโขมง พลังอันน่าหวาดหวั่นได้ก่อตัวเป็นเกลียวคลื่นที่ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างไปทั่ว

ผู้ที่รวมตัวกันอยู่บนเขาเสวียนหยางเป็นนักยุทธ์ที่มาจากหลายกองกำลัง ทุกคนต่างตกใจจนหนีกระจัดกระจาย ไม่มีใครกล้ารั้งอยู่ที่นี่ต่อไปเพราะกลัวว่าจะพลอยได้รับอันตรายไปด้วย

“มันนี่เอง ฝีมือของมันแข็งแกร่งขนาดนั้น ยังจะต้องเชิญมกุฎยุทธ์มาอีกตั้งสองคนด้วยรึ”

ในกลุ่มคนที่กำลังหนีตาย เย่เจียเอ๋อร์มองไปยังเรือรบสัมริดเขียวที่ลอยเคลื่อนตัวออกไปยังขอบฟ้าอย่างรวดเร็วพลางรู้สึกแค้นใจ

เมื่อนึกย้อนกลับไปในช่วงเริ่มแรก เธอกับหลัวซิวยังคงอยู่ในแดนพรสวรรค์เหมือนกัน เวลาหมุนเวียนเคลื่อนผ่าน ตอนนี้เธอมีอายุได้ 20 ปี การที่เธอบรรลุแดนฝึกจิตขั้น 8 ได้นั้นก็ถือว่าเป็นอัจฉริยะที่ยากจะหาตัวจับได้แล้ว

แต่หลัวซิวกลับมีพลังแข็งแกร่งพอที่จะรับมือกับอาจารย์จักรพรรดิยุทธ์ได้

เมื่อเทียบกันแล้ว พรสวรรค์ที่เธอมีแทบจะเทียบอะไรกับเขาไม่ได้เลย

อีกทางฝั่งหนึ่ง ชิวลั่วสุ่ยที่หลบหนีมาซ่อนตัวอยู่ที่หลบภัยของอาจารย์สำนักสุ่ยเยว่จงก็ยังคงมีความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อเช่นกัน

หนุ่มน้อยผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งที่มีอายุไม่ถึง 20 ปี กลับต่อสู้กับจักรพรรดิยุทธ์ได้ การบรรลุแดนจักรพรรดิยุทธ์มันง่ายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

ตลอดชีวิตของหลี่เสวียนหยางได้ทำให้มีคนจากกองกำลังต่างๆ มารวมตัวกันอยู่บนเขาเสวียนหยางเล็กๆ แห่งนี้ และในบรรดาคนพวกนี้ยังเคยพบเจอหลัวซิวมาก่อนและบางคนถึงขั้นรู้จักเขาเสียด้วยซ้ำ

สามารถพยากรณ์ได้เลยว่า หลังจากเกิดเหตุการณ์วันนี้แล้ว หลัวซิวรวมทั้งชื่อของเขาจะก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นมาอีกครั้ง

……

“ฮ่าๆ เพื่อนยาก ฉันไม่เล่นด้วยแล้ว”

เมื่อผ่านการต่อสู้อย่างดุเดือดมาแล้วเกือบครึ่งชั่วยาม หนิงเหอโจวคาดเดาว่าหลัวซิวน่าจะหลบหนีออกจากเขาเสวียนหยางไปไกลและไปถึงที่หมายอันปลอดภัยแล้ว

อีกไม่นานนัก ค่ายกลพิทักษ์เขาระดับ 7 บนเขาเสวียนหยางแห่งนี้จะกลับมาใช้งานได้อีกครั้ง เมื่อถึงตอนนั้น หากเขากับมู่จื่อซิวคิดอยากจะหนีก็คงหนีไม่พ้น

มู่จื่อซิวเองก็ตระหนักถึงประเด็นนี้ได้เช่นกัน และยังแอบคะเนเวลาอยู่ในใจตลอดอีกด้วย

คนทั้งสองปล่อยคู่ต่อสู้ในเวลาพร้อมๆ กัน เกิดลำแสงหมุนวนขึ้นก่อนที่พวกเขาจะบินขึ้นไปยังขอบฟ้า

“บัดซบ!”

หลี่เสวียนหยางโมโหมากแต่เขาก็ไม่ได้ตามไป เพราะเขารู้ตัวดีว่าพลังของอีกฝ่ายแม้จะเทียบเท่ากับตนก็จริง แต่อายุขัยของเขาเหลือไม่มากนัก หากต้องต่อสู้กันจริงๆ ขึ้นมา สุดท้ายแล้วฝ่ายที่ต้องสิ้นชีพคงจะเป็นตนเองมากกว่า

“ศิษย์พี่หลี่ช่วยอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ให้ผมฟังได้หรือไม่” สีหน้าของซุนเชียนซางขุ่นมัว

มุมปากของเขาปรากฏรอยเลือดซึม เสื้อผ้าที่สวมใส่ขาดวิ่น พลังจิตแท้ของเขาสูญเสียไปจนแทบหมดสิ้น

แม้ว่าการฝึกตนของเขากับมู่จื่อซิวจะเท่ากัน แต่พลังของอีกฝ่ายแข็งแกร่งมากและไม่ด้อยไปกว่าหนิงเหอโจวเลยแม้แต่น้อย หากอีกฝ่ายไม่หนีไปเสียก่อนและยังต่อสู้กันต่อไป เขาคงจะรับมือต่อไม่ไหวแน่

“หากสิ่งที่ฉันคาดการณ์เอาไว้นั้นไม่ผิด มกุฎยุทธ์สองคนนี้จะต้องถูกเชิญมาจากองค์กรนักล่ายุทธ์ด้วยภารกิจรางวัลนำจับแน่” หลี่เสวียนหยางอธิบายเสียงเครียด เขาไม่ได้คิดถึงประเด็นนี้มาก่อนเลย เพราะการที่จะเชิญผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์ออกมาได้นั้นเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายอย่างยิ่ง

ตามข้อมูลที่เขารู้ ในองค์กรนักล่ายุทธ์การจะประกาศภารกิจรางวัลนำจับนั้นมีการจำกัดอำนาจอยู่ การเชิญระดับมกุฎยุทธ์มารับภารกิจได้นั้นหมายความว่าอย่างน้อยๆ หลัวซิวจะต้องมีอำนาจถึงขั้นดินแล้ว

“ศิษย์น้องซุนช่วยข้าจนได้รับบาดเจ็บ สำนักเสวียนหยางของเราจะต้องชดใช้ให้เจ้า”

เมื่อซุนเชียนซางได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าของเขาจึงเริ่มดีขึ้น

……

เมื่อออกจากสำนักเสวียนหยางมาเป็นระยะทางถึงหนึ่งพันลี้แล้ว หลัวซิวก็บังคับเรือรบสัมริดเขียวลงไปจอดที่ป่าหนาครึ้มแห่งหนึ่ง

สิ่งแรกที่เขาทำคือวางค่ายกลเอาไว้เอาบริเวณรอบๆ ก่อน เพื่อรอให้ผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์มู่จื่อซิวกับหนิงเหอโจวมาที่นี่

ที่นี่เป็นสถานที่ที่พวกเขาได้นัดหมายเอาไว้ก่อนหน้าแล้วว่าจะมาเจอกัน

“พ่อ แม่……”

เมื่อเห็นพ่อแม่ปลอดภัยดี น้ำตาของหลัวซิวเอ๋อร์ก็ไหลพรากออกมาไม่หยุด เพราะความกังวลใจในหลายวันที่ผ่านมาได้คลี่คลายลงแล้วในที่สุด

ส่วนคนของตระกูลหลิวยังคงพากันเงียบงันอยู่ เพราะพลังของหลัวซิวที่แสดงออกไปทำให้พวกเขาขวัญผวาอย่างหนัก

“หลัวซิว อย่าโทษพวกเขาเลยนะ” หลิวหยวนเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าหลัวซิวและพยายามจะอธิบายแทนคนตระกูลหลิวพวกนั้น

“ผมไม่ได้โทษพวกเขา” หลัวซิวกล่าวอย่างเรียบง่าย

มนุษย์ทุกคนต่างมีความเห็นแก่ตัวอยู่ เขาเข้าใจในเรื่องนี้ดี คนตระกูลหลิวพวกนั้นต้องการรักษาชีวิตของตัวเองเอาไว้เลยต้องปิดบังความสัมพันธ์กับเขา นี่ก็ถือเป็นเรื่องปกติ

แต่พวกเขาไม่ควรอย่างยิ่งที่คิดจะฆ่าพี่สาวของเขา นี่เป็นเรื่องที่หลัวซิวไม่มีทางรับได้

หากไม่เห็นว่าตระกูลหลิวเป็นญาติแท้ๆ ของตระกูลหลัว ต่อให้คนพวกนี้ตายเป็นหมื่นครั้งก็ยังไม่พอ

ที่หลัวซิวบอกว่าไม่ได้เอาเรื่องอะไรคนพวกนั้น เพราะหากเขาเอาเรื่องคนตระกูลหลิวขึ้นมาจริงๆ คนพวกนี้คงตายไปนานแล้ว

“ถึงผมจะบอกว่าไม่เอาเรื่องพวกเขา แต่ผมจะถือว่าคนพวกนี้ไม่มีความข้องเกี่ยวใดๆ กับตระกูลหลัวอีกต่อไป” หลัวซิวกล่าว

หลังจากนั้นเขาก็หยิบกล่องส่งเสียงออกมาแล้วติดต่อไปยังสวีจิงเหนียน

ผ่านไปพักหนึ่งมกุฎยุทธ์มู่จื่อซิวกับหนิงเหอโจวก็มาถึงยังสถานที่นัดหมายในป่าเล็กๆ แห่งนี้

ตามที่สัญญากันไว้ หลัวซิวจึงหยิบยาสลายร่างหลงหยางกับยาวาตะทองน้้ำค้างหยก ออกมาอย่างละสองเม็ด

ยาระดับ 7 ขึ้นไปนับว่าเป็นยาที่มีคุณค่าสูงมาก และยังถือว่าเป็นของที่หาได้ยากสำหรับปรมาจารย์นักกลั่นยาขั้น 7 ด้วย

ดังนั้นเพียงแค่ยาทั้งสองเม็ดนี้ ก็เพียงพอที่จะทำให้มกุฎยุทธ์ทั้งสองกล้าที่จะเสี่ยงชีวิต

“ต้องขอขอบคุณความช่วยเหลือจากผู้อาวุโสทั้งสองท่านมาก” หลัวซิวกล่าวขอบคุณพร้อมรอยยิ้ม

“เหอะๆ เจ้าไม่ต้องพูดคำพูดมารยาทพวกนี้หรอก พวกเราต่างแลกเปลี่ยนกัน รับยาของเจ้ามา เราก็ต้องช่วยเหลือเจ้าเป็นธรรมดา” หนิงเหอโจวยิ้มพลางกล่าว

ในตอนนี้ เขาไม่มีความคิดดูถูกหลัวซิวเพราะหลัวซิวเป็นราชายุทธ์อีกแล้ว เพราะการต่อสู้ของราชายุทธ์อย่างเขากลับเทียบเท่ากับจักรพรรดิยุทธ์ และจากวิธีการของเขาที่สามารถทำลายค่ายพิทักษ์เขาระดับ 7 ได้นั้น วิชาในด้านค่ายกลของเขาจะต้องอยู่ในขั้นสูงมาก

เขาเป็นอัจฉริยะที่น่ากลัวมากคนหนึ่ง เมื่อเขาเติบโตขึ้นเรื่อยๆ วันหนึ่งเขาจะต้องเหนือกว่าตนอย่างแน่นอนขึ้นอยู่กับว่าจะเป็นเมื่อไหร่ก็เท่านั้น

“ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากผู้อาวุโสทั้งสองท่าน ผู้น้อยอย่างผมคงไม่สามารถช่วยครอบครัวของผมออกมาได้อย่างราบรื่นขนาดนี้ได้ วันข้างหน้าหากผู้อาวุโสทั้งสองต้องการยาระดับ 7 อีก สามารถเตรียมวัตถุดิบมาให้อาจารย์ของผู้น้อยที่เป็นอาจารย์นักกลั่นยาได้ น่าจะช่วยเหลือท่านได้ไม่น้อย” หลัวซิวยังคงมีรอยยิ้ม

“อาจารย์ของเจ้าเป็นปรมาจารย์กลั่นยาด้วยหรือ”

เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าของหนิงเหอหยวนกับมู่จื่อซิวก็ชะงักค้าง

บทที่ 425 ค่ายพิทักษ์เขาหมดพลัง
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของหนิงเหอโจว ก็ชะงักเล็กน้อย ค่ายพิทักษ์เขาของสำนักเสวียนหยาง ทำให้เขาอิจฉาจริงๆ แต่ถ้าเขาถอยกลับแบบนี้ แสดงว่าภารกิจล้มเหลว ในแก๊งนักล่าอสูรเขาจะเอาหน้าของเขาไปไว้ที่ไหน

“ผู้อาวุโสหนิง ไม่ต้องกังวล ข้าได้ทำลายค่ายพิทักษ์เขาแล้ว และสามารถรักษาไว้ได้หนึ่งยามเพื่อให้หยุดทำงาน” หลัวซิวส่งเสียงผ่านตัวสำนึก

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ดวงตาของหนิงเหอโจวก็สว่างขึ้น เขาไม่ได้คาดหวังว่าชายคนนี้จะทำลายค่ายพิทักษ์เขาได้ แม้ว่าจะใช้เวลาเพียงหนึ่งยามในการหยุดค่ายพิทักษ์ แต่ก็เพียงพอแล้ว

“ท่านผู้เฒ่า ไม่ทราบว่าพลังจิตแท้ของท่านที่สะสมมานับ 2,800 ปีนั้นมากกว่าหรือว่าขวานของข้านั้นคมกว่า?”

หลังจากที่ใจของหนิงเหอโจวสงบลง เขาก็หัวเราะเสียงดัง ถือขวานคู่ไว้ในฝ่ามือ ทันใดก็เปลี่ยนเป็นลำแสงทันที และพุ่งเข้าหาหลี่เสวียนหยาง

บูม!

การต่อสู้ระหว่างระดับมกุฎยุทธ์ที่แข็งแกร่งทั้งสองนั้นตรึงเครียดมาก

บนท้องฟ้าสูง เศษเงาทั้งสองชนกันอย่างต่อเนื่อง และทุกครั้งที่ชนกัน จะมีเสียงคล้ายฟ้าร้องระเบิด ผู้คนมากมายด้านล่างอดไม่ได้ที่จะอุดหูเอาไว้ และตัวหยั่งรู้ก็สั่นสะท้านไม่หยุด

การฝึกฝนตนปราณแท้ธาตุทองของอาจารย์เสวียนหยาง ในขณะที่หนิงเหอโจวเป็นผู้ฝึกฝนนักยุทธ์กลั่นร่าง ทั้งคู่เป็นคนที่แข็งแกร่งที่เก่งในการโจมตี ดังนั้นในขณะที่พวกเขาต่อสู้มันเลยเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดที่สุด

พลังการต่อสู้ระดับมกุฎยุทธ์ของหนิงเหอโจวนั้นน่าอัศจรรย์ ทุกการเคลื่อนไหวสามารถทลายโซนได้ แต่เมื่อเทียบกับวิธีการที่ดุเดือดของหลัวซิวก็เทียบไม่ติด

ทั้งคู่ต่างคือผู้ฝึกฝนตนมกุฎยุทธ์ระดับที่ 4 อาจารย์เสวียนหยางได้ฝึกฝนมาเป็นเวลานานและพลังจิตแท้ของพวกมันนั้นแข็งแกร่งและบริสุทธิ์ ในขณะที่หนิงเหอโจวในเส้นทางการฝึกฝนวิชากลั่นร่างและพลังการต่อสู้ของเขาเลิศล้ำกว่าใคร

บูม!

หลังจากการปะทะกันอย่างรุนแรงอีกครั้ง อาจารย์เสวียนหยางคร่ำครวญและถอยหลังไปสองสามก้าว ข้อมือแตกเลือดไหล เลือดกระเซ็น

หน้าอกของหนิงเหอโจว ได้รับบาดเจ็บจากดาบเช่นกันและมีรอยแผล

ในการต่อสู้ครั้งนี้มกุฎยุทธ์ทั้งสองได้รับการจับคู่อย่างเท่าเทียมกัน และในช่วงเวลาอันสั้นนั้น มันเป็นไปไม่ได้ที่จะบอกผู้แพ้ผู้ชนะ

“ศิษท์พี่หลี่ ต้องการให้ข้าช่วยเหลือหรือไม่?”

ในขณะนี้ ซุนเชียนชางค่อย ๆ เปิดปากของเขาและกล่าวว่าเขาก็มีการฝึกฝนมกุฎยุทธ์ระดับสาม และถ้าเขาเข้าร่วมกองกำลังกับหลี่เสวียนหยาง สถานการณ์สามารถพลิกกลับได้

ท้ายที่สุดแล้วหลี่เสวียนหยางและหนิงเหอโจวก็เท่าเทียมกันแล้ว และทั้งสองฝ่ายสามารถปราบปรามคู่ต่อสู้ให้ล้มได้ได้อย่างง่ายดายหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้รับความช่วยเหลือ

“ทางฝั่งข้านี้ไม่ต้องการความช่วยเหลือ เจ้าจะดการไอ่หนุ่มนั่นก็พอ” หลี่เสวียนหยางพูดอย่างเย็นชา

เมื่อเทียบกับการจัดการกับมกุฎยุทธ์เขาต้องการจัดการกับหลัวซิวมากกว่า

สำหรับค่ายพิทักษ์เขา เขายังไม่ได้วางแผนที่จะใช้ อย่างไรก็ตาม การเริ่มสร้างค่ายพิทักษ์เขานั้นต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมาก หากไม่ใช้ได้ก็พยายามที่จะไม่ใช้มัน

ซุนเชียนชางลุกขึ้นอย่างช้าๆ ร่างของเขาหายไปในพริบตา และครู่ต่อมา เขาก็ปรากฏตัวขึ้นในอากาศ ห่างจากหลัวซิวเพียงร้อยเมตร

ระยะห่างนี้ สำหรับผู้ที่คิดว่าเป็นมกุฎยุทธ์ผู้แข็งแกร่งแห่งการต่อสู้ เพียงแค่ไม่กี่วิก็สามารถเข้าถึงได้ในทันที

“คู่ต่อสู้ของเจ้า คือข้า!”

อีกเสียงหนึ่งดังขึ้นต่อหน้าหลัวซิว ร่างในชุดคลุมสีเขียวก็ค่อยๆ โผล่ออกมา

คนที่ปรากฏตัวคือมู่จือซิวนั่นเอง!

“พ่อหนุ่ม ข้าหวังว่าค่ายพิทักษ์นั้นเจ้าได้จัดการเรียบร้อยแล้ว มิฉะนั้นพวกเราทั้งหมดในนี้คงต้องรับผิดชอบณที่นี่” มู่จือซิวกล่าว

ไม่ต้องห่วงผู้อาวุโส ข้าไม่เอาชีวิตข้ามาเสี่ยงล้อเล่นยังงี้หรอก “หลัวซิวหัวเราะ

มู่จือซิว พยักหน้า “เป็นไปไม่ได้ที่จะทำลาย สำนักเสวียนหยางเนื่องจากเจ้าได้ช่วยชีวิตญาติของเจ้าแล้ว พวกเราถอนตัวออกไปก่อน”

หลัวซิวรู้ด้วยว่าสิ่งนี้ไม่สามารถทำได้ เพราะเขาสามารถหยุดการทำงานของค่ายพิทักษ์เขาได้เพียงชั่วโมงเดียว ในช่วงเวลานี้ หนิงเหอโจวอยากจะสังหารหลี่เสวียนหยางซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับเขา แต่เป็นเรื่องที่ไปไม่ได้เลย

หากไม่มีคนเช่นซุนเชียนซางออกมา ด้วยความแข็งแกร่งของมู่จือซิวและหนิงเหอโจวร่วมมือกัน อาจทำเช่นนี้ได้

“มกุฎยุทธ์อีกคน!”

บนสำนักเขาของสำนักเสวียนหยางทั้งหมด ด้วยการปรากฏตัวของมกุฎยุทธ์ทั้งสี่ ทำให้บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบสกัดทันใด

“เจ้าเป็นใครอีก?”

ซุนเชียนซางดูน่าเกรงขามและจ้องมองไปที่มกุฎยุทธ์ การต่อสู้ที่ปรากฏต่อหน้าเขา เขาสามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนของพลังจิตแท้ในร่างกายของคู่ต่อสู้ เช่นเดียวกับตัวเขาเอง มันคือระดับที่สามของมกุฎยุทธ์แห่งการต่อสู้ และอาจจะมีอ่อร่าที่แข็งแกร่งกว่าตัวเอง

“เเก๊งนักล่าอสูรผู้ลาดตระเวนดินแดนทางเหนือ มู่จือซิว” มู่จือซิวไม่ได้คิดที่จะซ่อนตัวตนของเขา

“ผู้แข็งแกร่งแก๊งนักล่าอสูรที่?”การแสดงออกของซุนเชียนซางดูเคร่งขรึมขึ้นมาก นอกจากนี้ เขายังได้ยินมาว่าสถานะของผู้ลาดตระเวนแก๊งใหญ่ทั้งสี่ฐานะไม่ได้ต่ำต้อยอะไร และเป็นเพียงมกุฏยุทธ์ที่เก่งและแข็งแกร่งเท่านั้นที่สามารถรับมือได้

ในเวลาเดียวกัน หลี่เสวียนหยางและซุนเชียนซางก็ต่างเข้าใจ หลัวซิวเป็นคนเชิญมกุฎยุทธ์ทั้งสองท่านมา น่าจะผ่านทางแก๊งผู้ล่าอสูรเชิญโดยภารกิจหาเงินรางวัล

รางวัลที่สามารถสร้างความประทับใจให้ผู้แข็งแกร่งโลกยุทธ์นั้นไม่ธรรมดาแน่นอน แต่ก็คิดว่าหลัวซิวได้รับมรดกของผู้แข็งแกร่งโบราณ มันก็พอเป็นไปได้

“ผู้อาวุโสมู่ ทางนี้ก็ปล่อยให้ท่านจัดการ ข้าขอตัวก่อน” หลัวซิวกล่าว

มู่จือซิว พยักหน้า ประกายแสงระยิบระยับระหว่างฝ่ามือและนิ้วของเขา และดาบที่แกะสลักด้วยลวดลายมังกรก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา และลมหายใจของเขาก็จับที่ซุนเชียนซาง

“อยากไป? ถ้าข้าปล่อยให้เจ้าไปวันนี้ สำนักเสวียนหยางของข้าจะไม่กลายเป็นตัวตลกของโลกยุทธ์เหรอ?”

หลี่เสวียนหยางตะโกนเสียงดัง “ที่นี่มีค่ายพิทักษ์เขาปกคลุม!” พวกเจ้าใครก็หนีไปไม่ได้

ขณะพูด เขาใช้พลังตราประทับ และเชื่อมโยงพลังฟ้าดิน และภูเขาเสวียนหยางทั้งหมดก็สั่นสะท้าน

พลังอันน่าสะพรึงกลัวที่ยิ่งใหญ่และไม่อาจคาดเดาได้กำลังมาถึง ทำให้มกุฎยุทธ์มู่จือซิวและหนิงเหอโจว สีหน้าแปรเปลี่ยน

“วัฏสารพลิก!”

หลัวซิ่วยังบีบผนึกการก่อตัว และธงนับร้อยที่เขาวางไว้ทั่วภูเขาเสวียนหยางก็ระเบิดเป็นแสงระยิบระยับในเวลาเดียวกัน

“กลับ!” หลังจากทำทั้งหมดนี้ หลัวซิวก็ขับเรือรบสำริดมังกรเขียวทันทีและบินออกจากภูเขาเสวียนหยาง

“ผนึกฟ้าดิน!”

หลีเสวียนหยางตะโกนเสียงดัง และลำแสงสีทองปรากฏขึ้นจากอากาศ กลายเป็นม่านแสงขนาดใหญ่ ปิดกั้นสำนักภูเขาทั้งหมดของสำนักเสวียนหยาง

บูม!

ทันใดนั้น ธงค่ายนับร้อยที่จัดโดยหลัวซิวระเบิด และม่านแสงสีทองที่กั้นสำนักภูเขาแตกในทันทีและหายไปอย่างไร้ร่องรอย

“เกิดอะไรขึ้น เป็นไปไม่ได้!”

ใบหน้าของหลี่เสวียนหยางเปลี่ยนไปและเขาใช้พลังตราประทับอย่างต่อเนื่องต่อกัน แต่ค่ายพิทักษ์เขาไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ

ในเสี้ยววินาที หลี่เสวียนหยางเข้าใจดีว่าต้องเป็นหลัวซิวและคนอื่นๆ ที่ไปทำอะไรสักอย่างที่ทำให้ค่ายพิทักษ์เขาหมดพลัง

“ไอ้เฒ่า จะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น!”

เมื่อเห็น หลัวซิว บินไปกับเรือรบหลี่เสวียนหยาง ก็ไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้อีกต่อไป ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดง เขาก็โบกมือทันใด และดาบสีทองฟันไปทางเรือรบสัมริดมังกรเขียวของหลัวซิว

“ท่านผู้เฒ่า ข้าบอกไปแล้วว่าคู่ต่อสู้ของท่านคือข้า”

เงาของหนิงเหอโจวแวบๆวับๆและปรากฏขึ้นหลังเรือรบสัมริดมังกรเขียว ขวานคู่แตกออก และแสงของขวานก็ฉีกกระชากโลก

ในท้องฟ้าอันยิ่งใหญ่ พลังดาบสีทองชนกับแสงของขวาน ก็มีเสียงดังเหมือนเสียงระเบิดดังสนั่น พลังงานมหาศาลที่น่าสะพรึงกลัวได้พัดหายไป และพื้นที่ภายในระยะมากกว่า 100 เมตรก็แตกเป็นเสี่ยงๆ เป็นผง เผยให้เห็นสูญญากาศสีดำ

“ไอ้ผู้เฒ่าลองกินขวานของข้าดูหน่อยไหม”

ขวานคู่ระเบิดเป็นแสงสีดำอันเยือกเย็น และหนิงเหอโจวก็พุ่งไปข้างหน้า แสงขวานจากขวานคู่ดูเหมือนจะเปลี่ยนเป็นเสือดำคำรามขึ้นไปบนฟ้า และโซนก็สั่นสะเทือน

บทที่ 424 ชัยชนะเหนือสำนักเสวียนหยาง
“บัดซบ!” หนิงเหอโจว อดไม่ได้ที่จะพูดภาษาหยาบคาย เป็นไปได้อย่างไรที่จะมีปีศาจเช่นนี้ในโลกนี้?

“บูม!”

เสียงระเบิดที่น่าสะพรึงน่ากลัวก็ดังขึ้นอีกครั้ง และในขณะที่เจ้าสำนักเสวียนหยางถอยกลับ ร่างของหลัวซิวก็พุ่งขึ้นอย่างดุเดือดอีกครั้ง คราวนี้ความเร็วของเขาเร็วขึ้น และเขาใช้ผลการฝึกตนระดับจักรพรรดิยุทธ์เพื่อแสดงวิชาท่าร่างบรรลุมังกรเขียว ความเร็วเร็วกว่าก่อนอย่างน้อยหลายเท่า

ความเร็วที่น่าสะพรึงกลัวเกือบจะถึงผลของการเคลื่อนย้าย แม้แต่สำนักเสวียนหยาง ซึ่งเป็นที่รู้จักในด้านความเร็วของเขาในการฝึกธาตุลมก็อาจไม่สามารถบรรลุระดับนี้ในแง่ของความเร็วได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พลังของหลัวซิวที่ไม่อ่อนแอไปกว่าตัวเธอเองทำให้ใบหน้าของเธอเปลี่ยนไป

“วิชาภูตผีเซินหลัว!”

หลัวซิวแสดงทักษะการต่อสู้ระดับเก้านี้อีกครั้ง และกระดูกญาณที่น่าสะพรึงกลัวก็ปรากฏขึ้น กัดแดนพันนภา

พัฟ!

ลูกศรสีเลือดพุ่งออกไปในอากาศ และร่างกายของสำนักเสวียนหยางก็เหมือนว่าวที่มีเชือกขาดและบินกลับหัวกลับหางขึ้นไปบนท้องฟ้า

“สำนักเสวียนหยางแพ้จริงหรือ?”

ในขณะนี้ ทุกคนที่ประตูภูเขาเสวียนหยางตะลึงและใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ สำนักเสวียนหยาง คนนี้คือผู้แข็งแกร่งแดนจักรพรรดิยุทธ์ขัน4 และเขาได้พ่ายแพ้ให้กับชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่ายี่สิบปี?

ที่ด้านหน้าพระราชวัง หลีเสวียนหยางบรรพบุรุษของมงกุฎยุทธ์ขมวดคิ้วเล็กน้อย และตาของเขาเป็นประกายด้วยแสงที่ลุกโชติช่วง จ้องมองไปที่ชายหนุ่มในชุดสีดำที่ยืนอยู่กลางอากาศอย่างภาคภูมิใจ

“น่าสนใจ…” ซุนเชียนซางมองฉากนี้ด้วยรอยยิ้ม เป็นเรื่องยากที่ชายหนุ่มอายุต่ำกว่ายี่สิบปีจะสามารถฝึกฝนถึงจักรพรรดิยุทธ์ได้ ถ้าหากไม่มีความลับในตัวเขามันเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน

“หรือว่ามันจะเป็นมรดกของขุมพลังโบราณ? มันสามารถทำให้หลีเสวียนหยางและอาจารย์ตำหนักจือไม่เคยลืม ดูเหมือนว่ามรดกโบราณที่ชายหนุ่มคนนี้ได้รับนั้นไม่ธรรมดา” ดวงตาของซุนเชียงซางก็ริบหรี่เช่นกัน

ในอีกด้านหนึ่ง มู่จือซิวและหนิงเหอโจวก็มองหน้ากันและทั้งคู่ก็เห็นความสงสัยที่อธิบายไม่ได้ในสายตาของกันและกัน

“พลังแห่งกฎไม่มีความผันผวน” ใบหน้าของมู่จือซิวเต็มไปด้วยความสงสัย ด้วยพลังการต่อสู้ที่หลัวซิวเพิ่งระเบิดออกมา เขาสามารถจัดการทุกคนในแดนแต่งตั้งราชาได้อย่างแน่นอน เขามีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นราชาหลัวซิวหลัวซิว

แต่ทว่า อย่างที่เราทราบกันดี ผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้แข็งแกร่งเมื่อทำการต่อสู้จะเกิดออร่าผันผวนของกฎ และใช้พลังของเศษกฎเพื่อปรับปรุงความแข็งแกร่งของเขา

อย่างไรก็ตาม ไม่มีความผันผวนของพลังแห่งกฎในร่างกายของหลัวซิ่ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้มู่จือซิวไขปริศนา

เขาสามารถเทียบได้กับจักรพรรดิยุทธ์และแม้กระทั่งเอาชนะ และแม้กระทั่งเอาชนะจักรพรรดิยุทธ์ขัน4 โดยไม่ต้องใช้พลังแห่งกฎ

แล้วถ้าอยู่ในสภาพนี้แล้วกลับมาใช้พลังแห่งกฎอีกครั้งละก็…

มู่จือซิวคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เขาไม่กล้าคิดเรื่องนี้อีกต่อไป

“ความรู้สึกอันทรงพลังนี้ช่างน่าหลงใหลจริงๆ”

หลัวซิวยืนอยู่บนท้องฟ้า ผมยาวสะบัด กำหมัดแน่นและรู้สึกถึงพลังอันยิ่งใหญ่ที่ปกคลุมร่างกายของเขา

เมื่อนึกย้อนกลับไปถึงจุดเริ่มต้น ผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ไกลแค่ไหนสำหรับเขา?

แต่เวลาผ่านไปเพียงสองปีเท่านั้นและผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ ก็ไม่เป็นอันตรายต่อเขาอีกต่อไป มีเพียงตาเฒ่าประหลาดจักรพรรดิยุทธ์เท่านั้นที่สามารถคุกคามเขาได้

ดวงตาของมู่จือซิวและหนิงเหอโจวหันไปทางด้านหน้าของวัง หน้าที่ของพวกเขาคือจัดการกับทั้งสองมกุฎยุทธ์ คาดว่าด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของหลัซซิวนอกจากจักรพรรดิการต่อสู้ทั้งสองนี้จะไม่มีใครสามารถคุกคามเขาได้

เพียงแต่ว่าสิ่งที่พวกเขาสองคนกังวลมากที่สุดก็คือ ค่ายพิทักษ์เขาระดับเจ็ด และไม่ชัดเจนว่าหลัวซิวได้ทำลายมันหรือไม่

“จัดการเขาซะ!”

ทันใดนั้น หลีเสวียนหยางก็พูดช้าๆ น้ำเสียงของเขาเย็นชาและก้องกังวานบนท้องฟ้าเหนือประตูภูเขาเสวียนหยาง

ในฐานะมกุฎยุทธ์ เขาไม่ได้ทำเอง แต่ทันทีที่เขาอ้าปาก เงาก็ลอยขึ้นไปในอากาศและล้อมรอบหลัวซิว

“ไสหัวไป!”

เมื่อมองไปที่นักยุทธ์จำนวนมากที่วิ่งเข้ามาหาเขาจากทุกทิศทุกทาง หลัวซิวหน้านิ่งและตะโกนดัง แสงสีน้ำตาลแดงที่มีศูนย์กลางอยู่ที่เขาปะทุขึ้นอย่างรุนแรงกลายเป็นทะเลเพลิงที่น่าสะพรึงกลัว

พัฟ! พัฟ! พัฟ!

ในชั่วพริบตา ก่อนที่คนเหล่านี้จะรีบวิ่งหน้าไปที่หลัวซิว ร่างกายของคนสิบกว่าร่างก็กลายเป็นความว่างเปล่าภายใต้การเผาไหม้ของภูตอัคคีกลืนกิน

“เปลวเพลิงนี้ หรือว่า…”

ในบรรดาแขกที่มาร่วมงานวันเกิดปีที่ 2,800 ของอาจารย์เสวียนหยาง ผู้อาวุโสในชุดสีน้ำเงินมีสีหน้าประหลาดใจ

ข้างชายชรามีหญิงสาวสวมหน้ากากยืนอยู่

“อาจารย์ หลัวซิวน่าจะได้มันแล้ว” สาวคลุมหน้าพูดเบาๆ

ชายชราในเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเป็นบรรพบุรุษของจักรพรรดิยุทธ์ ของ สำนักสุ่ยเยว่จง และหญิงสาวที่สวมคลุมหน้าคนนี้คือ ชิวลัวสุ่ยที่แลกเปลี่ยนกับหลัวซิวในอาณาจักรลึกลับ

ข่าวเกี่ยวกับภูตอัคคีกลืนกิน ก็คือการถูกแลกเปลี่ยนจากมือของชิวลัวสุ่ย

ชิวลัวสุ่ยไม่เคยเห็นภูตอัคคีกลืนกิน แต่อาจารย์สุ่ยเยว่เคยเห็นมาก่อน ดังนั้นเขาจึงวาดแผนที่

ภูตอัคคีฟ้าดินมีค่าอย่างยิ่งและเป็นการยากที่สุดที่จะปราบ นอกจากนี้อาจารย์สุ่ยเยว่ยังได้ฝึกฝนที่ใช้ธาตุน้ำซึ่งขัดแย้งกับภูตอัคคี ดังนั้นเขาจึงไม่พยายามที่จะปราบภูตอัคคี

“ภูตอัคคีฟ้าดิน? หนุ่มน้อย โอกาสของเจ้านั้นดีแล้ว”

เสียงที่ไม่แยแสดังขึ้นอย่างช้าๆ ออร่าอันแสนจะลึกลับและน่าสะพรึงกลัวได้แผ่กระจายขึ้นเรื่อยๆ และอาจารย์เสวียนหยางก็ออกโรงในที่สุด

เนื่องจากความแข็งแกร่งที่หลัวซิวแสดงให้เห็นในขณะนี้ ไม่มีใครในสำนักเสวียนหยางสามารถล้มเขาได้ยกเว้นอาจารย์ระดับมกุฎยุทธ์

แม้ว่าจะใช้ผลการฝึกตนระดับมกุฎยุทธ์กับผู้น้อยที่มีผลการฝึกตนระดับไม่เท่ากับตนเป็นการลดตัวต่ำเกินไป แต่เมื่อเทียบกับโอกาสที่จะได้รับมรดกสืบทอดผู้แข็งแกร่งโบราณและภูตอัคคีฟ้าดินแล้วมันก็คุ้มค่า

บรรพบุรุษเสวียนไม่ค่อยๆยกมือขึ้น พลังจิตของเขาเชื่อมโยงพลังแห่งฟ้าดิน และกลายเป็นฝ่ามือสีทองขนาดใหญ่ในอากาศ และขว้างมันไปทางหลัวซิว

พลังของมกุฎยุทธ์ขังล้อมหลัวซิวเอาไว้แน่น ทำให้เขาไม่สามารถหลบได้เลย

นี่คือพลังของมกุฎยุทธ์เมื่อเทียบกับผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์มันเป็นเพียงความแตกต่างราวฟ้ากับดิน

“ผู้เฒ่า คู่ต่อสู้ของเจ้าคือข้า!”

ทันใดนั้น เสียงหัวเราะก็ดังขึ้นท่ามกลางฝูงชนอย่างต่อเนื่อง และแสงขวานก็พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า สับพลังฝ่ามือสีทองอันยิ่งใหญ่จนแหลกสลายลง

หนิงเหอโจวบินขึ้นไปบนท้องฟ้าและยืนอยู่บนท้องฟ้า เนื่องจาก หลีเสวียนหยางได้เริ่มลงมือแล้วเขาจึงไม่สามารถเพิกเฉยได้

“มกุฎยุทธ์?”

เมื่อเห็นลักษณะที่ปรากฏอย่างกะทันหันนี้ หลีเสวียนหยางก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและกล่าวด้วยการเยาะเย้ย “ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขากล้าที่จะบุกเข้าไปในสำนักภูเขาของสำนักเสวียนหยางของข้า ที่แท้ได้เชิญผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์มาเป็นผู้ช่วยนี่เอง”

“ไม่ทราบว่าเจ้าเป็นใคร” หลีเสวียนหยางถามเสียงต่ำ

“ข้าไม่ใช่คนอาณาจักรใต้อย่างพวกเจ้า ดังนั้นแม้ว่าข้าจะพูด เจ้าก็คงยังไม่เคยได้ยินเรื่องนี้” หนิงเหอโจวกล่าว

“เนื่องจากท่านไม่ได้กล่าวถึงต้นกำเนิดของท่านข้าจึงไม่สะดวกในการถามคำถามเพิ่มเติม แต่ถึงแม้ท่านเป็นมกุฎยุทธ์ แต่นี่คือสำนักภูเขาของสำนักเสวียนหยางของข้า และได้รับการคุ้มกันอย่างดีจากค่ายพิทักษ์เขา คุณแน่ใจหรือว่าจะเป็นศัตรูสำนักเสวียนหยางของข้า”

หลีเสวียนหยางเยาะเย้ย “หากท่านผู้ว่าประสงค์จะออกจากที่นี่ ข้าจะทำเป็นว่าเจ้าไม่เคยปรากฏตัวที่นี่”

ทุกขุมพลังระดับมกุฎยุทธ์มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมาก หากไม่จำเป็นหลีเสวียนหยางจะไม่เต็มใจที่จะขัดแย้งกับมกุฎยุทธ์อย่างง่ายๆ

บทที่ 423 จักรพรรดิยุทธ์ขัน4
หลีเสวียนหยางพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม แล้วพูดช้าๆ เสียงของเขาก้องในหูของทุกคนอย่างชัดเจน “หลิงซวง จัดการมันซะ!”

“รับทราบ!”

สำนักเสวียนหยางรับคำสั่งด้วยความเคารพ และมองดูหลัวซิวบนดาดฟ้าเรือรบทันที “ถ้าไม่อยากทนทุกข์ เจ้ายอมดีกว่า”

แต่ว่า สิ่งที่ทุกคนคาดไม่ถึงก็คือ หลัวซิวแสยะปากอย่างไม่แคร์ และเขาพูดอย่างเหยียดหยาม: “เจ้าเนี่ยนะ?”

เขายังพูดไม่ทันจบ หลัวซิวก็ได้ทำการโจมตีเสียก่อน และรัศมีการกดขี่ข่มเหงก็เกิดขึ้นรอบตัวเขา

“แดนจักรพรรดิยุทธ์ขัน4!”

เมื่อสัมผัสถึงความผันผวนของพลังจิตแท้บนตัวเขา เจ้าสำนักเสวียนหยางได้ฉายแววความประหลาดใจในดวงตาของเขา เธอจำได้ชัดเจนว่า ตอนอยู่ในคีตโลกาปริศนา เขาอยู่ในระดับราชายุทธ์ขั้น1 และพึ่งบรรลุผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ได้ไม่นาน

นี่เวลาพึ่งผ่านไปสองปี เขาก้าวเข้าสู่ผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ช่วงกลางแล้วหรือ?

แม้ในใจจะมีความสงสัย แต่อย่างไรก็ตามเจ้าสำนักเสวียนหยางไม่ได้สนใจ เธอเป็นผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ยุทธ์ขั้น4 ผลการฝึกตนสูงกว่าการฝึกตนแดนใหญ่ จัดการราชายุทธ์เล็กๆนี่ไม่ใช่ปัญหา

บูม!

เท้าของหลัวซิวกระทืบอย่างแรงบนดาดฟ้าของเรือรบ และทันใดนั้นร่างกายของเขาก็พุ่งออกมาราวกับดาวตก และทั้งตัวของเขาถูกปกคลุมไปด้วยเปลวไฟสีดำ

เจ้าสำนักเสวียนหยางมองไปที่ร่างของหลัวซิวที่พุ่งเข้ามาด้วยสีหน้าเรียบเฉย แค่เห็นร่างของเธดกะพริบ แล้วก็สลับกับร่างของหลัวซิว

ในช่วงเวลาที่สลับ ดาบสีทองปรากฏขึ้นในมือของเธอ ฟันไปที่คอของหลัวซิว

เมื่อเผชิญกับการโจมตีอย่างดุเดือดกับผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์อย่างเธอ หลัวซิวยกมือขึ้นและตบดาบของเธอด้วยฝ่ามือของเขาและทำให้เกิดประกายไฟกระเซ็นเป็นสายๆ

ทันใดนั้น ร่างกายของหลัวซิวเต็มไปด้วยไอสังหาร และกระบี่อาถรรพ์ฟันเสือแผ่รังสีที่ดุเดือดและฟันไปทางเจ้าสำนักเสวียนหยาง

“ร่างยุทธ์ระดับจักรพรรดิ?”

เจ้าสำนักเสวียนหยางอุทาน เครื่องยุทธ์ของเธอคือกระบี่ยุทธ์ขั้นดินชั้นกลาง จากผลฝึกฝึกตนของจักรพรรดิยุทธ์ แม้ร่างยุทธ์ระดับราชาก็ไม่กล้าต่อสู้

อย่างไรก็ตามหลัวซิวแบกรับทุกอย่างไว้ มีเพียงร่างยุทธ์ระดับราชาเท่านั้นที่สามารถทำได้

ผลการฝึกตนของหลัวซิวแค่ราชายุทธ์ขัน4 แต่เนื้อร่างถึงระดับราชาแล้ว เป็นไปได้อย่างไร?

ประกายสีน้ำเงินทองแผ่รังสีออกจากร่างกายของเธอ และเธอหยิบดาบขึ้นมาปะทะกับกระบี่อาถรรพ์ฟันเสือของหลัวซิว ทำให้พลังส่วนใหญ่ของเธอหายไป

อย่างไรก็ตาม พลังของร่างยุทธ์ระดับจักรพรรดิระดับนั้นโหดร้ายเพียงใด ก็ถึงกับทำให้เธอได้รับการโจมตีเต็มๆ และร่างของเธอก็สั่นเล็กน้อย

“กระบี่เงาไร้รูป!”

เมื่อรู้ว่าหลัวซิวได้ฝึกฝนร่างกายการต่อสู้ระดับร่างยุทธ์จักรพรรดิ สำนักเสวียนหยางก็ละเลยการประเมินของเขาต่ำไปและแสดงทักษะการต่อสู้ระดับแปด

“วิชาภูตผีเซืนหลัว!”

หลัวซิวก็แสดงการต่อสู้ระดับ 9 โดยตรง แม้ว่าฐานการฝึกฝนพลังจิตแท้นั้นต่ำกว่าเจ้าสำนักเสวียนหยาง แต่ด้วยร่างกายการต่อสู้ร่างยุทธ์ระดับจักรพรรดิและการต่อสู้ระดับ 9 ก็สามารถช่วยเติมเพิ่มขึ้นได้เยอะ

บูม!

ตามมาด้วยเสียงระเบิด เสียงระเบิด หลัวซิวถูกโจมตีกลับด้วยพลังที่เดือดดาล กลับมองไปที่เจ้าสำนักเสวียนหยางไม่ได้เคลื่อนไหวเลย แสดงให้เห็นว่าผู้แข็งแกร่งแดนจักรพรรดิยุทธ์ขัน4นั้นไม่ธรรมดา

อย่างไรก็ตาม การโจมตีของหลัวซิวไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น เท้าของเขากระแทกไปในอากาศ ทุบพื้นที่เล็กๆที่บิดเบี้ยวแตกร้าว ร่างกายของเขาก็ออกแรงมากขึ้น วบุกเข้าสู้กับเจ้าสำนักเสวียนหยาง

ภูตอัคคีกลืนกินสีน้ำตาลแดงนั้นเผาผลาญอยู่บนร่างกาย และแพร่กระจายไปที่กระบี่ ควบแน่นเป็นพลังกระบี่จริง

“แม้ว่าเจ้าจะฝึกฝนร่างกายได้ร่างยุทธ์ระดับจักรพรรดิ แต่ผลการฝึกตนแก่นแท้ของเจ้านั้นต่ำเกินไปที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของข้า”

เจ้าสำนักเสวียนหยางพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา และแกว่งกระบี่ทองคำในมือของเขาอย่างต่อเนื่องกัน สร้างปราณกระบี่ทองสีฟ้าขนาดใหญ่ จมดิ่งไปทางหลัวซิว

เมื่อเห็นปราณกระบี่สีฟ้าที่จมอยู่ในท้องฟ้า หลัวซิวพลิกมือของเขาแล้วตีด้วยฝ่ามือ และเปลวไฟสีน้ำตาลแดงที่ปั่นป่วนก็พุ่งออกมา เผาปราณกระบี่สีฟ้าขนาดใหญ่ให้กลายเป็นความว่างเปล่า

เจ้าสำนักเสวียนหยางขมวดคิ้ว ในฐานะที่เป็นผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ แสดงพลังกี่ครั้งต่อกี่ครั้งแต่ไม่สามารถชนะราชายุทธ์ได้ ภายใต้สายตาของหลายๆคน ร่องรอยของความโกรธก็ผุดขึ้นมาในใจของเธอ

“กระบี่สุริยะทองดำ!”

เธอตะโกนอย่างโกรธจัด และกระบี่ยุทธ์ในมือของเธอก็ผ่าพลังกระบี่สีทองออกมาเป็น10กว่าฟุต พลังกระบี่มาพร้อมการทำลายล้าง พื้นที่โดยรอบถูกสะกดและแตกเป็นเสี่ยงๆอย่างต่อเนื่องกัน

เจ้าสำนักเสวียนหยางได้แสดงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของตัวเองในเวลานี้ และเขาก็แสดเคล็ดวิชาไม้เด็ดที่โด่งดังของสำนักเสวียนหยาง ซึ่งเป็นทักษะการต่อสู้ระดับเก้า!

คิ้วของหลัวซิวขมวดเล็กน้อย เมื่อเผชิญหน้ากับกระบี่ดังกล่าว ด้วยความแข็งแกร่งของตัวเองเพียงอย่างเดียวแม้ว่าพลังแปรเสวียนเทียนจะแข็งแกร่งขึ้นยี่สิบสี่เท่า เขาก็ไม่สามารถต้านทานได้ เขาทำได้เพียงพึ่งพาความเร็วของปิกทิพย์ไร้มลทินเท่านั้น หรือเปิดใช้งานอำนาจของกฎห้าองค์ประกอบ

เพียงแต่ปิกทิพย์ไร้มลทินเป็นของขลังพรสวรรค์ หากใช้ต่อหน้าต่อตาทุกคน หากคนอื่นรู้จัก เกรงว่าจะเดือดร้อนมาก

สำหรับพลังของกฎห้าองค์ประกอบหลัวซิว ไม่ได้ตั้งใจที่จะใช้มันอย่างง่ายดาย

จิตใจสื่อสารกับลูกแก้วเสวียนดำในจุดตันเถียนชี่ไห่ ทันใดนั้น พลังงานอันยิ่งใหญ่ก็พ่นออกมาจากลูกแก้วเสวียนดำและหมุนเวียนในร่างกายของเขา

ในเวลานี้ รัศมีที่แท้จริงของร่างกายของหลัวซิวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และร่างของยุทธ์ระดับจักรพรรดิก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ในชั่วพริบตา พลังบนร่างกายของเขาเทียบเท่าได้กับจักรพรรดิยุทธ์!

“พลังแปรเสวียนเทียน!”

พลังของเขาไม่ได้เพิ่มขึ้นถึงขีดจำกัด แต่กระบี่สีทองนั้นใกล้ถึงเวลาจำกัก หลัวซิวทำได้แต่ดำเนินพลังพลังแปรเสวียนเทียน เปลวไฟสีดำของกระบี่อาถรรพ์ฟันเสือในมือของเขาพุ่งสูงขึ้น ฟาดฟันอย่างดุเดือดที่กระบี่ทองคำ

บูม!

การระเบิดของพลังงานอันรุนแรงดังก้องอยู่บนท้องฟ้า สะท้อนไม่รู้จบ และแสงที่ลุกโชติช่วงนั้นพราวจนหลายคนอดไม่ได้ที่จะหลับตาและไม่กล้ามองตรงไป

บนท้องฟ้า คลื่นพลังงานโหมกระหน่ำ ก่อตัวเป็นกระแสน้ำวนสลับสีดำ-ทอง จนกระทั่งความผันผวนของพลังงานค่อยๆ สงบลง และชายหนุ่มในชุดคลุมสีดำเดินขึ้นไปในอากาศโดยไม่ได้รับบาดเจ็บ

ทันใดนั้น แสงสีน้ำเงินก็ปรากฏขึ้นใต้เท้าของเขา และเสียงคำรามของมังกรก็ดังขึ้น ความเร็วนั้นเร็วราวกับฟ้าแลบและฟ้าร้อง และจู่ ๆ ก็จู่โจมอย่างไม่ทันตั้งตัว

การแสดงออกของเจ้าสำนักเสวียนหยางไม่สามารถสงบได้อีกต่อไป ปฏิกิริยาแรกของเธอคือการถอยกลับและร่างของเธอก็ถอยห่างออกไปทันทีกว่าสิบเมตร

บูม!

ตำแหน่งเดิมของเธอถูกกระบี่สีดำทุบ และพื้นที่ถูกทุบและฉีกเป็นชิ้นๆ

ในขณะนี้ รัศมีของหลัวซิวได้ปีนขึ้นไปถึงระดับที่สี่ของจักรพรรดิยุทธ์ขัน4!

ดังที่จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำกล่าว ด้วยความช่วยเหลือของพลังงานที่มีอยู่ในลูกแก้วเสวียนดำลึก ฐานการบ่มเพาะของเขาสามารถพัฒนาไปสู่อาณาจักรที่กว้างใหญ่ได้

ในตอนนี้ แค่การฝึกฝนเพียงอย่างเดียว เขาสามารถก้าวทันเจ้าสำนักเสวียนหยาง และเขายังคงมีร่างกายการต่อสู้ร่างยุทธ์ระดับจักรพรรดิราชา ในแง่ของพลังการต่อสู้เขามีความแข็งแกร่งที่จะบดขยี้คู่ต่อสู้ของเขาแล้ว

“ผู้ชายคนนี้แข็งแกร่งมาก?”

เมื่อรู้สึกถึงแรงกระตุ้นอันทรงพลังของร่างกายหลัวซิว ในขณะนั้นมู่จือซิวและหนิงเหอโจวมงกุฎยุทธ์ทั้งสองต่างก็ตกใจ

แม้ว่าผลการฝึกตนระดับจักรพรรดิก็จะเทียบอะไรไม่ได้เลยกับมกุฎยุทธ์ แต่ผู้ชายคนนี้ดูเหมือนจะอยู่ในช่วงวัยหนุ่มเองนี่?

บทที่ 422 ช่วยพี่สาวออกมา

บทที่ 424 ชัยชนะเหนือสำนักเสวียนหยาง

บทที่ 422 ช่วยพี่สาวออกมา
“อย่าเรียกข้าว่าพ่อไอ้ลูกทรยศเว้นแต่เจ้าจะฆ่าพวกมันด้วยตัวเอง” นายท่านตระกูลหลิวชี้นิ้วไปที่หลัวซิ่วเอ๋อและเด็ก

“ใครกล้าแตะต้องพวกเขา”

ในขณะนั้น จู่ๆ ก็มีเสียงมาจากภายนอกห้องขัง

สมาชิกครอบครัวหลิวหลายคนในห้องขังต่างมองมาที่เสียง พวกเขาจำหลัวซิวไม่ได้ แต่ถือว่าเขาเป็นศิษย์ของสำนักเสวียนหยาง

“นายน้อย…นายน้อย…”

สีหน้าคนตระกูลหลิวเต็มไปด้วยความประจบประแจง ต่างก็วิ่งกรูมากันหมด

“ตระกูลหลิวของเราไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับไอ้แซ่หลัวคนนั้น และเราหวังว่านายน้อยจะตรวจสอบว่าเกิดอะไรขึ้น!”

“ใช่ นายน้อย โปรดบอกผู้อาวุโสของสำนักเสวียนหยาง ผู้หญิงคนนี้เป็นพี่สาวของหลัวซิว เขาเป็นพี่เขยของหลัวซิว หลานชายคนนี้เป็นหลานชายของหลัวซิว และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคนอื่นในตระกูลหลิว .. ”

เพื่อช่วยชีวิตพวกเขา คนเหล่านี้ได้เพิกเฉยต่อสิ่งที่เรียกว่าความรักใคร่ในครอบครัวโดยสิ้นเชิง ซึ่งทำให้ผู้คนต้องถอนหายใจกับความเลือดเย็นของมนุษย์

เมื่อนับจากครั้งที่เขาออกจากเมืองชิงหยุนก็เกือบสามปีแล้ว

หลัวซิวอยู่ในช่วงเจริญวัย และรูปร่างหน้าตาของเขาแตกต่างไปจากเดิมเล็กน้อย เขากลายเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นและใบหน้าที่แน่วแน่ของเขาไม่มีวุฒิภาวะในวัยเยาว์อีกต่อไป

เขาเพิกเฉยต่อสาวกของตระกูลหลิวที่กำลัร่ำไห้ และหันไปสนใจพี่สาวของเขา หลัวซิ่วเอ๋อร์

แม้ว่าเธอจะไม่ได้มีความงามขนาดนางงามจักรวาล แต่เธอก็มีความอ่อนโยน หลัวซิวจำได้ว่าตอนที่เขายังเป็นเด็ก เมื่อพ่อแม่ของเขาไม่อยู่ พี่สาวของเขาดูแลเขาและเลี้ยงดูเขาตลอดมา

แต่ในเวลานี้ เขากลับเป็นส่วนนึงที่ทำให้เธอถูกคุมขังที่นี่ ใบหน้าของเธอซีด และไม่มีแม้แต่เส้นเลือดเลย

สิ่งนี้ทำให้หลัวซิวรู้สึกผิดและเสียใจอย่างสุดๆ

หลัวซิ่วเอ๋อร์มองมาด้วยสายตาซึ่งไร้ความรู้สึก เมื่อเธอเห็นหลัวซิว แวตาของเธอที่ไม่มีชีวิตชีวาก็มีความประกายแวววาวขึ้นในดวงตา

“เสี่ยวซิว นั่นเจ้าใช่มั้ย…” เธอเอื้อมมือออกไป บนฝ่ามือยังมีรอยเลือดอยู่

แม้ว่ารูปลักษณ์ของหลัวซิวจะเปลี่ยนไป แต่เธอก็ยังรู้สึกว่าคนตรงหน้าเธอคล้ายกับน้องชายของเธอมาก

เช้ง!

จู่ๆ หลัวซิวก็ชักดาบของเขา ประตูห้องขังที่ล็อคอยู่ถูกดาบของเขาฟันเปิดออก

คนในตระกูลหลิวในห้องขังตะลึง เป็นไปได้ไหมว่าคนๆ นี้ไม่ใช่ศิษย์ของสำนักเสวียนหยาง แต่มาเพื่อช่วยเราโดยเฉพาะ?

“หลีกไป!”

หลัวซิวแค่โบกมือก็ทำให้ลูกศิษย์ตระกูลหลิวสองสามคนที่ด้านหน้าของเขากระเด็นกระจุยกระจายออกไปด้านข้าง และเดินไปหาหลัวซิ่วเอ๋อร์อย่างรวดเร็ว

“พี่สาว ข้าเอง ข้ามาช่วยพี่แล้ว” เขาเอื้อมมือออกไปและจับมือของหลัวซิ่วเอ๋อร์ แปลงพลังจิตแท้ของเขาเป็นพลังชีวิตและเข้าสู่ร่างกายของเธอ

สีหน้าที่ซีดเซียวของเขาค่อยๆมีน้ำมีนวลแดงระเรื่อขึ้น และดวงตาของหลัวซิ่วเอ๋อร์ก็น้ำตาคลอในทันใด “เสี่ยวซิว เป็นเจ้าจริงๆหรือ?”

“ข้าเอง พี่สาว ข้ามาช้า ขอโทษ”

“พ่อกับแม่ล่ะ? พวกท่านก็ถูกพาตัวไปเช่นกัน…” หลัวซิ่วเออร์ไม่ได้กังวลเรื่องความปลอดภัยของตัวเองมากนัก แต่กังวลพ่อแม่ของเธอมากกว่า

“ไม่ต้องห่วง พ่อกับแม่ข้าได้ช่วยออกมาแล้ว และได้พาไปอยู่ในที่ปลอดภัยเรียบร้อย”

หลัวซิวปลอบโยนเธอและกล่าวว่า “นี่ไม่ใช่ที่สำหรับพูดคุย ข้าจะพาเจ้าออกไปจากที่นี่ก่อน”

“ท่านแม่ เขาเป็นน้าที่ท่านแม่เคยพูดถึงเสมอหรือไม่?” เด็กน้อยที่ซุกตัวอยู่ข้างหลัวซิวเงยหน้าขึ้นและมองดูหลัวซิวอย่างสงสัย

“ใช่ เขาเป็นน้าของเจ้า ในอนาคต เจ้าต้องเป็นลูกผู้ชายที่ไม่ย่อท้อเหมือนน้าของเจ้า” หลัวซิ่วเออร์อุ้มเธอขึ้นมาและพูดเสียงอ่อนโยน

หลัวซิวรู้สึกซึ้งใจ พี่สาวของเขาได้รับผลกระทบจากเขาและตกอยู่ในความทุกข์เช่นนี้ ไม่เพียงแต่ไม่โทษตัวเองเท่านั้น แต่เธอยังกล่าวอีกว่าเขาเป็นลูกผู้ชายที่ไม่ย่อท้อ สิ่งนี้ที่ทำให้เขาทั้งรู้สึกซาบซึ้งและรู้สึกละอายใจ

“ไปกันเถอะ” หลัวซิวเหลือบมองหลิวหยวน และเขาชื่นชมชายผู้นี้ที่ปกป้องพี่สาวของเขาอย่างไม่ห่วงชีวิตแม้ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง ถึงแม้ว่าการฝึกฝนของเขาจะอยู่ในแดนฝึกชี่ไห่เท่านั้น

สำหรับตระกูลหลิวคนอื่่นๆ หลัวซิวเพียงแค่เหลือบมองอย่างเย็นชาและไม่สนใจพวกเขา

แม้ว่าคนเหล่านี้ต้องการจะฆ่าพี่สาวของพวกเขา แต่ก็เพราะการมีส่วนเกี่ยวข้องกับตัวเอง จึงทำให้พวกเขาตกอยู่ในความทุกข์และสภาพแบบนี้ มิฉะนั้น ตามคำพูดที่เขาได้ยินเมื่อครู่นี้ คนเหล่านี้ทั้งหมดก็สมควรตาย

ในบรรดาสมาชิกตระกูลหลิว มีหญิงสาวสวยคนนึงร่างสั่นเล็กน้อย เธอคือหลิวหยู่ซินที่หลัวซิวเคยแอบชอบในสำนักชิงหยุน แต่ในตอนนี้แม้แต่เสี้ยววินาทีเดียวหลัวซิวก็ไม่มองหล่อนเลยด้วยซ้ำ

เมื่อหลัวซิวพาคนออกมาจากคุกใต้ดิน สิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่ก็ถูกคนของสำนักเสวียนหยางรับรู้

ค่ายกำบังสามารถป้องกันการรั่วไหลของลมปราณ แต่มีผู้คนในสำนักเสวียนหยางที่รับผิดชอบการลาดตระเวนพบความแปลกประหลาดที่นี่

“เจ้ามันบังอาจนัก เจ้ากล้าดีอย่างไรที่บุกรุกเข้าไปในพื้นที่ต้องห้ามของคุกใต้ดิน! เจ้าเป็นใคร!” เสียงตะโกนด้วยความโกรธแผ่ออกมา และเจ้าสำนักเสวียนหยางที่สวมหน้ากากครึ่งหน้าสีทองมองลงมา

“ห่างแค่สองปี เจ้าสำนักเสวียนหยางไม่รู้จักข้าแล้วเหรอ?”หลัวซิวเยาะเย้ยและจ้องไปที่อีกฝ่าย

ในเวลาเดียวกัน เขายกมือขึ้นและโบกมือ เรือรบสัมริดเขียวก็ปรากฏขึ้น แล้วให้หลัวซิ่วเอ๋อร์ หลิวหยวน และตระกูลหลิวเข้าไปในห้องโดยสารของเรือรบ

“เจ้าเองหรือ หลัวซิว!” สีหน้าเจ้าสำนักเสวียนหยางเคร่งขรึมขึ้นมา

เรือรบสัมริดเขียวขนาดใหญ่ลอยอยู่บนท้องฟ้า และแขกเหรื่อทั้งหลายที่เข้าร่วมงานเลี้ยงวันเกิดต่างก็เห็นมัน

ทุกสายตาหันไปทางเรือลำนั้น ทุกสายตาจับจ้องไปที่ชายหนุ่มในชุดคลุมสีดำที่ยืนอยู่บนดาดฟ้าของเรือรบ

มีคนไม่มากนักที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะควบคุมเรือรบ อย่างน้อยพวกเขาก็เป็นขุมพลังระดับราชานักสู้ แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนงงที่สุดคือเรือรบสัมริดเขียวลำนี้ดูเหมือนจะเป็นเรือรบของตำหนักจื่อหรือเปล่า

ในเวลาเดียวกัน หลายคนรู้จักตัวตนของหลัวซิว

คนในประเทศเทียนหวูนั้นรู้จักชายหนุ่มที่ชื่อหลัวซิวเกือบทุกคน

คีตโลกาถ้ำเทพสถิต บุคคลผู้นี้อาศัยฐานการฝึกฝนระดับราชายุทธ์เพียงลำพัง ต่อต้านจักรพรรดิยุทธ์เกือบทั้งหมด และได้รับมรดกจากผู้แข็งแกร่งโบราณ ยิ่งไปกว่านั้นในคีตโลกา

เขาตัดหัวจักรพรรดิ์ยุทธ์นับไม่ถ้วน รวมถึงปรมาจารย์ตำหนักจื่อ ว่านเหลียนเฉิง รวมถึงปรมาจารย์กลั่นยาระดับหกแห่งราชวงค์ตระกูลฝาน ฝานไท่เต๋อ

เหตุการณ์นี้ครึกโครมในแผ่นดินนี้ และอาจารย์มกุฎยุทธ์ซึ่งปิดตัวจากโลกมาหลายปียังตื่นตระหนก กระทั่งทำให้เหล่าบรรดากองกำลังต่างๆได้รับผลกระทบอย่างมาก

เพื่อบังคับให้เขาปรากฏตัว กองกำลังที่แยกตัวออกมาจากตำหนักจือและสำนักเสวียนหยาง กระทั่งได้จับตัวญาติของเขาไป

อย่างไรก็ตาม วันนี้หลัวซิวปรากฏตัวที่สำนักเขาของสำนักเสวียนหยาง ใครให้ความกล้าหาญแก่เขา?

“เหอะๆ ศิษย์พี่หลี่ นี่คือชายหนุ่มที่เจ้าจะไม่เคยลืมใช่หรือไม่” หน้าพระราชวัง ซุนเชียนซางหยิบถ้วยเหล้าขึ้นมาและพูดด้วยรอยยิ้ม

“ข้าได้แสดงให้เจ้าเห็นแล้ว แผ่นหยกที่บันทึกประสบการณ์การฝึกฝน เจ้าคิดอย่างไร” หลี่เสวียนหยางมองมาที่เขาและพูด

“เยี่ยมยอดมาก ถ้าเป็นข้า ข้าก็ไม่ลืมไอ้หนุ่มนี่คนนี้เช่นกัน มรดกของรุ่นผู้แข็งแกร่งโบราณ โอกาสอันยิ่งใหญ่นั้นขึ้นอยู่กับว่าเขาจะทนได้อย่างไร” ซุนเชียนซางหรี่ตาลงกล่าว

บทที่ 421 บุกเข้าไปในคุกใต้ดิน
แท่นบูชาถูกสร้างขึ้นที่ใจกลางจัตุรัส และหลี่เสวียนหยางก้าวขึ้นไปในอากาศ ยืนอยู่บนแท่นบูชาเพื่อบูชาสวรรค์และโลก

การบูชาแบบนี้มักจะเป็นผู้ฝึกนักยุทธ์ซึ่งอายุขัยกำลังจะหมดลง อธิษฐานต่อพระเจ้าโดยหวังว่าเขาจะสามารถฝ่าโซ่ตรวนได้ ปรับปรุงการฝึกฝน เพิ่มอายุขัย และอายุยืนยาวขึ้น

ในระหว่างกระบวนการบูชาสวรรค์และโลกทั้งสถานที่เงียบสงัด

ในเวลานี้ หลัวซิวได้วางธงหลายสายมากกว่า 100 อันไว้ที่ประตูของสำนักเสวียนหยาง

“เสร็จแล้ว สิ่งนี้สามารถทำลายค่ายพิทักษ์เขาได้หรือไม่” จิตสำนึกของ หลัวซิวสามารถรับรู้ตำแหน่งของธงแต่ละรูปแบบได้อย่างชัดเจน หลังจากยืนยันว่าตำแหน่งไม่ผิด เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“ไอ้หนุ่ม เจ้าสงสัยระดับค่ายกลของจักรพรรดิหรือ” จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำพูดขึ้น “ข้าให้เจ้าสร้างค่ายกลจักรวาลตาลปัตร ตราบใดที่ค่ายกลถูกเปิดใช้งาน การดำเนินการนี้สามารถหยุดการทำงานของค่ายพิทักษ์เขาระดับที่เจ็ดนี้ได้เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง

“แค่ชั่วโมงเดียว?” หลัวซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย

“ไอ้โลภมากไม่รู้จักพอ ถ้าผลการฝึกฝนตนของเจ้าไม่ต่ำเกินไป จักรพรรดิองค์นี้สามารถปล่อยให้เจ้าเข้าควบคุมค่ายกลนี้ได้โดยตรง” จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำกล่าวอย่างไม่พอใจ

หลัวซิวยิ้มอย่างเก้ๆกังๆและไม่ได้โต้เถียงกับจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำต่อในเรื่องนี้

ตอนนี้วิธีที่เตรียมการทำลายค่ายพิทักษ์เขาเรียบร้อยแล้ว ยังงั้นตอนนี้ก็ถึงเวลาลงมือปฏิบัติ

ในขณะนี้ ปรมาจารย์ของสำนักเสวียนหยาง รวมตัวกันที่จัตุรัสเพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงวันเกิดของหลี่เสวียนหยางซึ่งทำให้การเคลื่อนไหวของหลัวซิวสะดวกยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม สำนักใหญ่อย่างสำนักเสวียนหยาง อยู่ในเหตุสำคัญแบบนี้ ก็ไม่คลายการเฝ้าระวังในสถานที่สำคัญได้ ถึงแม้ยังมีสาวกจำนวนมากที่รับผิดชอบในการเฝ้าระวังก็ตาม

หลังจากค้นหาเกือบครึ่งชั่วโมง หลัวซิวก็พบทางเข้าของทางลับใต้ดิน ทางเข้ามีสาวกทั้งแปดคน คอยดูแลปกป้อง

ในบรรดาสาวกทั้งแปดคน ห้าคนคือฝึกจิตขั้น9 และสามคนคือฝึกราชายุทธ์

บนแผ่นศิลาข้างๆ มีคำว่าคุกใต้ดินถูกสลักจารึกไว้

เห็นได้ชัดว่าสถานที่นี้เรียกว่าคุกใต้ดินจึงน่าจะเป็นสถานที่ ที่สำนักเสวียนหยาง กักขังนักโทษ พี่สาวของเขาและตระกูลหลิว มีแนวโน้มที่จะถูกกักขังอยู่ในนั้น

หลัวซิวไม่ได้จะฆ่าเขาโดยตรง แต่ด้วยความช่วยเหลือของผังค่ายซ่อนงำเลยอยู่ทางเข้าคุกใต้ดินก่อน เพื่อแยกและป้องกันลมหายใจของค่ายกล ด้วยวิธีนี้ หากมีการต่อสู้เกิดขึ้นที่นี่ ก็จะไม่มีพลังจิตแท้ความผันผวนที่ถูกโลกภายนอกรับรู้

“บูม!”

ทันทีที่เขาขึ้นมา เขาได้กระตุ้นเพลิงวิญญาณที่กลืนกินความว่างเปล่าโดยตรง และทะเลเพลิงที่ลุกโชติช่วงที่ปกคลุมท้องฟ้าและปกคลุมโลกก็จมดิ่งเข้าหาสาวกแปดคนของ สำนักเสวียนหยาง

“มีคนกำลังจะบุกเข้าไปในคุกใต้ดิน!”

หลังจากที่สาวกทั้งแปดตอบสนอง พวกเขาก็ตะโกนเสียงดังทันที แต่เสียงนั้นถูกบล็อกโดยค่ายกลและไม่สามารถส่งออกไปภายนอกได้

ในเวลาเดียวกัน หลัวซิวได้ใช้เทคนิควิชาท่าร่างบรรลุมังกรเขียวสู้ไปเลยทีเดียว และแสงศักดิ์สิทธิ์ห้าสีก็วาบไป และพื้นที่รอบๆ คนเหล่านี้ถูกกักขังและปิดกั้น

เสียงกรีดร้องและคำอุทานดังขึ้นทีละคน และภายใต้พลังแห่งการกลืนเดชแห่งภูตอัคคีสาวกเหล่านี้ที่มีฐานการฝึกฝนสูงสุด ราชาการต่อสู้ที่มีความสามารถที่สุดไม่มีความต้านทานเลย

ยามที่เฝ้าทางเข้าคุกใต้ดินไม่แข็งแรงนัก แต่หลัวซิวไม่ลดความระมัดระวังลงเพราะเหตุนี้

หลังจากที่เขาเข้าไปในทางเดินมืดของคุกใต้ดิน การเคลื่อนไหวของเขาช้ามาก สติของเขาอยู่ในสถานะที่จะถูกปลดปล่อยอยู่เสมอ และเขาก็สัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวรอบตัวเขาอย่างเฉียบขาด

ทันใดนั้น ฝีเท้าของเขาก็หยุดลงกะทันหันเพราะห่างออกไปเพียง 5 เมตรข้างหน้า เขาค้นพบค่ายกลการเฝ้าระวังที่ซ่อนเร้นอย่างยิ่ง ระดับของค่ายกลการเฝ้าระวังนี้ก็ถึงระดับเจ็ดเช่นกัน

เมื่อมีคนกระตุ้นการแบนค่ายกลนี้โดยไม่ได้ตั้งใจ หลัวซิวคาดว่าบรรพบุรุษเสวียนหยางจะรู้ว่ามีคนบุกเข้าไปในคุกใต้ดินโดยเร็วที่สุด

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากค่ายกลการเฝ้าระวังนี้ถูกค้นพบโดยเขา จึงไม่เป็นอันตรายต่อหลัวซิว

มือของเขากลายเป็นภาพติดตา มีตราประทับออกมาหลายสิบดวง และลำแสงก็พุ่งออกมาจากระหว่างฝ่ามือและนิ้วของเขา ราวกับโซ่อยู่ในกรง ทำให้การทำงานของค่ายกลการแจ้งเตือนระดับเจ็ดนี้มีเสถียรภาพ

จากนั้นร่างของเขาก็วับๆหายๆและเขาก็เดินผ่านไปโดยตรง และค่ายกลการเฝ้าระวังระดับเจ็ดก็ไม่ตอบสนองเลย

ทันทีหลังจากนั้น หลัวซิวได้ค้นพบข้อจำกัดของค่ายกลบางอย่างทีละอัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นค่ายกลการแจ้งเตือน และส่วนน้อยเป็นค่ายยากเย็น แต่ระดับของค่ายกลเหล่านี้ไม่สูง ส่วนใหญ่ระดับห้าและหก

ไม่นานเขาก็เข้าไปในคุกใต้ดินซึ่งมืดและชื้นจะมีแสงเปล่งแสงสลัวในระยะไกลกว่าสิบเมตร

พื้นที่ภายในคุกใต้ดินมีขนาดใหญ่มาก และหลัวซิวได้ยินการล่วงละเมิดมากมาย น่าจะเป็นบางคนที่แค้นสำนักเสวียนหยาง พวกเขาถูกคุมขังที่นี่ มืดมนไร้ความหวัง และเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง

ที่นี่มีแต่กลิ่นเหม็นเน่า และในหลายห้องขัง หลัวซิวเห็นศพนั้น กลิ่นเหม็นเข้าจมูก

“ปล่อยข้าออกไป!”

เมื่อเห็นว่ามีคนเข้ามา คนเหล่านี้ซึ่งถูกคุมขังอยู่ในห้องขังต่างก็สภาพดูรกรุงรัง ใบหน้าของพวกเขาดูน่าเกลียด

หลัวซิวไร้ความรู้สึกและเมินเฉยคนเหล่านี้ เพราะเขาไม่รู้ว่าคนเหล่านี้ดีหรือชั่ว และจุดประสงค์ของเขาคือการช่วยครอบครัวของเขาเอง คนอื่นจะอยู่หรือตายเขาไม่มีอารมณ์ไปสนใจ

ไม่นานหลังจากนั้น หลัวซิวก็พบห้องขังที่ใหญ่กว่าและเห็นหลัวซิ่วเอ๋อร์ พี่สาวของเขา

เธออุ้มเด็กที่กำลังร้องไห้อยู่ในอ้อมแขนของเธอ มีอายุสี่ห้าขวบแล้ว ห้องขังนั้นเย็นและชื้น ทุกคนต่างไหล่ตกไร้ความรู้สึก

สมาชิกในครอบครัวของตระกูลหลิวทั้งแก่และเด็กถูกจับกุมทั้งหมด และคนธรรมดาบางคนที่ไม่มีการฝึกตน ถึงกับเสียชีวิตในห้องขัง โดยนอนนิ่งอยู่ที่มุมห้อง

หลิวหยวนสามีของหลัวซิ่วเอ๋อร์ ถูกหลายคนชี้ด่าในขณะนี้ แต่เขาทำได้อดกลั้นของเขาและไม่สามารถโต้กลับได้

“หลิวหยวน เจ้าคนบาปของตระกูลหลิว!”

“ถ้าเจ้าไม่ได้แต่งงานกับผู้หญิงเลวคนนี้ ครอบครัวหลิวของเราจะมีปัญหาเช่นนี้ได้อย่างไร”

“ถึงตอนนี้เจ้ายังปกป้องหล่อน ถ้าให้ข้าพูด ฆ่าผู้หญิงเลวตอนนี้ด้วยวิธีนี้ เรื่องทั้งหมดไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลหลิวของเรา และสำนักเสวียนหยางจะปล่อยพวกเราออกไปโดยธรรมชาติ”

สมาชิกในครอบครัวตระกูลหลิวเหล่านี้พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมและเดินเข้ามาพร้อมกัน

“เจ้าอยากทำอะไรล่ะ?”

การแสดงออกของหลิวหยวน เปลี่ยนไปเล็กน้อย และเขาก็รีบปกป้องหลัวซิ่วเอ๋อร์ และเด็กที่อยู่ข้างหลังเธอ

ตั้งแต่ถูกคุมขังในคุกใต้ดิน ครอบครัวตระกูลหลิวก็เกิดความขัดแย้งขึ้น โทษทั้งหมดอยู่ที่ตัวเขาและหลัวซิ่วเอ๋อร์

แม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นเพราะน้องชายของหลัวซิ่วเอ๋อร์จริง ๆ แต่เธอก็เป็นภรรยาของเขาด้วย เขาจะนั่งเฉยและเพิกเฉยได้อย่างไร

“หลิวหยวน เจ้าลูกเลว ถอยออกมา!” ชายชราผมขาวตะโกนอย่างเย็นชา

“พ่อ! เธอเป็นลูกสะใภ้ของท่าน!” สีหน้าของหลิวหยวนเปลี่ยนไป

ชายชราคนนี้คือพ่อของหลิวหยวน และนายท่านตระกูลหลิว

บทที่ 420 อาจารย์เสวียนหยาง
“แขกมากันครบแล้วเหรอ?” มีเสียงสุขุมชราภาพดังออกมาจากห้องลับอย่างกะทันหัน

“เรียนท่านบรรพชน คนของตำหนักจื่อยังมาไม่ถึง” เจ้าสำนักเสวียนหยางตอบด้วยน้ำเสียงที่เคารพ

“ตาเฒ่าถาววางตัวใหญ่โตใช้ได้ ก่อนหน้านี้ข้าส่งข้อความไปก็ไม่ตอบ” อาจารย์เสวียนหยางพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา เหมือนไม่พอใจที่จนป่านนี้แล้วอาจารย์ตำหนักจื่อยังมาไม่ถึง

“ท่านบรรพชน ถึงฤกษ์มงคลแล้ว”

ก่อนที่จะสิ้นเสียงคำพูดของเจ้าสำนักเสวียนหยาง ประตูหินของห้องลับเปิดออกอย่างเชื่องช้า ชายชราในชุดกี่เพ้าสีขาว มีวงแหวนสีทองลอยอยู่ตรงหลังศีรษะเดินออกมาจากห้องลับ

ชายชราคนนี้ใช้มือไขว้หลังข้างหนึ่ง บนร่างกายถูกปกคลุมด้วยกลิ่นอายแห่งความแข็งแกร่งที่สามารถมองข้ามทุกสรรพสิ่งในใต้หล้า

เจ้าสำนักเสวียนหยางเห็นชายชราคนนี้ ร่างกายก้มต่ำลงยิ่งกว่าเดิม การที่สำนักเสวียนหยางมีทุกวันนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะการมีอยู่ของบรรพชนท่านนี้

ทว่าท่าทีที่ถ่อมตนของนาง เมื่อตกอยู่ในสายตาของอาจารย์เสวียนหยางกลับทำให้เขาขมวดคิ้วแน่น “หลิงซวง พรสวรรค์ของเจ้าไม่เลว แต่หลายปีมานี้กลับยังเป็นได้แค่จักรพรรดิยุทธ์ขั้นสี่ เจ้ารู้หรือเปล่าว่าเพราะเหตุใด?”

“หลิงซวงไม่ทราบ ท่านบรรพชนโปรดชี้แนะ” เจ้าสำนักเสวียนหยางพูดด้วยน้ำเสียงที่เคารพ

“นั่นเป็นเพราะจิตใจของเจ้าขาดความทะเยอทะยานของผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์ เมื่อไหร่ที่เจ้าไม่ถ่อมตนต่อหน้าข้าเช่นนี้ บางทีเจ้าก็อาจจะสามารถเข้าใจในจุดนี้ ถึงเวลา ผลการฝึกตนของเจ้าจะก้าวกระโดดอย่างรวดเร็ว” อาจารย์เสวียนหยางลูบหนวดเคราของตนเองแล้วพูด

ได้ยินคำพูดแบบนี้ บนใบหน้าของเจ้าสำนักเสวียนหยางปรากฏให้เห็นอารมณ์ของความสงสัยและหวั่นเกรง “หลิงซวงไม่กล้าดูหมิ่นท่านบรรพชน ไม่ทราบว่าเหตุใดท่านบรรพชนถึงพูดเช่นนี้”

“ในฐานะเป็นผู้แข็งแกร่งจำเป็นต้องมีความทะเยอทะยาน หากไม่มีใจของผู้แข็งแกร่ง เจ้าจะเป็นคนที่แข็งแกร่งได้อย่างไร? ผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงจะไม่ยอมก้มหัวให้คนใดคนหนึ่ง”

อาจารย์เสวียนหยางพูดอย่างเชื่องช้า “เจ้ายิ่งยำเกรงยิ่ง ยิ่งนับถือข้าดั่งเทพ เจ้าจะยิ่งไม่มีวันก้าวข้ามข้า อีกสองร้อยปีข้าก็จะสิ้นอายุขัยแล้ว ชีวิตนี้ไม่มีหวังบรรลุถึงระดับดินแดนมหายุทธ์ การสืบทอดต่อไปของสำนักเสวียนในอนาคต จะถูกส่งมอบไปอยู่ในมือของเจ้า”

“อาจจะไม่สามารถบรรลุถึงดินแดนมกุฎยุทธ์ก่อนข้าจะดับสูญ รากฐานนับพันปีของสำนักเสวียนหยาง เกรงว่าต้องพังทลายแล้ว”

พูดถึงตรงนี้ อาจารย์เสวียนหยางอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ สิ่งที่สำนักและตระกูลกลัวมากที่สุดก็คือไม่มีผู้สืบทอด

สิ่งที่ควรชี้แนะก็ชี้แนะไปแล้ว เส้นทางการฝึกยุทธ์ของทุกคนแตกต่างกัน เขาไม่สามารถชี้แนะนางมากกว่านี้

“พากันเถอะ”

หลังจากสิ้นเสียง อาจารย์เสวียนหยางก้าวเท้าออกจากตำหนัก

“คำนับท่านบรรพชน!”

ทันทีที่อาจารย์เสวียนหยางเดินออกมา บนจัตุรัสที่เต็มไปด้วยเสียงพูดคุยเงียบสงบลงทันที ลูกศิษย์ของสำนักเสวียนหยางนับพันในชุดกี่เพ้าสีขาวคุกเข่าลงพื้น ตะโกนพูดเสียงดังก้องไปทั่วท้องฟ้า

“คำนับท่านอาจารย์!”

แขกที่เดินทางมาจากทั่วสารทิศก็ลุกขึ้นคำนับเช่นกัน

“ทุกท่านไม่ต้องมากพิธี” อาจารย์เสวียนหยางยิ้มเล็กน้อย สะบัดแขนเสื้อ พลังปราณที่มองไม่เห็นสายหนึ่งประคองทุกคนลุกขึ้นยืนตัวตรง

บนจัตุรัสแห่งนี้มีคนอย่างน้อยหลายพัน อาจารย์เสวียนหยางเพียงแค่ยกมือถึงขั้นสามารถส่งผลต่อทุกคน ผลการฝึกตนระดับนี้เรียกได้ว่าล้ำลึกไม่อาจหยั่งถึง

วงแหวนแสงสีทองที่ลอยอยู่ตรงหลังศีรษะของเขาทำให้ทั่วร่างของเขาเปล่งประกายแสงสีทอง เจิดจรัสดุจดั่งเทพเจ้า และราวกับเทพเซียนผู้พลัดถิ่น

มกุฎยุทธ์มู่จื่อซิวและหนิงเหอโจวทั้งสองที่ปะปนอยู่ในฝูงชน ล้วนแต่ระงับความผันผวนปราณแท้ของตนเอง บนใบหน้าแสดงให้เห็นถึงความเคร่งเครียด

พวกเขาสองคน คนหนึ่งคือมกุฎยุทธ์ขั้นสาม เป็นผู้ลาดตระเวนขององค์กรนักล่ายุทธ์ของพื้นที่แห่งหนึ่ง ความแข็งแกร่งเทียบเท่ามกุฎยุทธ์ขั้นสี่

โดยเฉพาะหนิงเหอโจวมีผลการฝึกตนระดับมกุฎยุทธ์ขั้นสี่ เป็นผู้แข็งแกร่งที่เดินสายนักยุทธ์กลั่นร่าง ถือเป็นยอดฝีมือในคนระดับเดียวกัน ตอนสังหารอาจารย์ตำหนักจื่อในแดนตำหนักจื่อ โดยพื้นฐานแล้วเป็นฝีมือของเขาคนเดียว มู่จื่อซิวแค่ทำหน้าที่สนับสนุนเท่านั้น

แต่ตอนที่อาจารย์เสวียนหยางปรากฏตัว กลับทำให้พวกเขาสองคนเกิดความรู้สึกลึกซึ้งจนไม่สามารถหยั่งถึง

“ไม่เสียเปล่าที่ตาเฒ่าคนนี้อยู่มาสองพันแปดร้อยปี ผลการฝึกตนลึกซึ้งไม่อาจหยั่งถึง” มู่จื่อซิวพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม

“คิดไม่ถึงว่าอาณาจักรใต้ของประเทศเทียนหวู่ จะมียอดฝีมือแบบนี้อยู่ด้วย” ในแววตาของหนิงเหอโจวปรากฏให้เห็นความกังวล

สิ่งที่พวกเขากังวลไม่ใช่ผลการฝึกตนของอาจารย์เสวียนหยาง ผลการฝึกตนของอาจารย์เสวียนหยางคนนี้ก็อยู่ในระดับมกุฎยุทธ์ขั้นสี่เช่นกัน แม้ว่าไม่สามารถทะลวงผลการฝึกตนมาโดยตลอด แต่ปราณแท้กลับถูกเขาควบแน่นจนมีพลังมหาศาลและไม่สามารถคาดเดา

นี่ต่างหากถึงจะเป็นสิ่งที่มู่จื่อซิวและหนิงเหอโจวกังวล มกุฎยุทธ์ขั้นสี่เช่นกัน หนิงเหอโจวรู้สึกว่าปราณแท้ของตนเองด้อยกว่าอาจารย์เสวียนหยางเยอะมาก

“อายุขัยของตาเฒ่าคนนี้ใกล้หมดลงแล้ว หากสู้กันอย่างจริงจัง เกรงว่าคงรับมือพวกเราไม่ไหว พวกเราสองคนร่วมมือกันจัดการเขาไม่ใช่ปัญหา”

“ขึ้นอยู่กับว่าหลัวซิวสามารถคลายค่ายกลระดับเจ็ดอันนี้ได้หรือเปล่า ไม่เช่นนั้น หากเกิดการต่อสู้ขึ้นจริง ไม่แน่ชีวิตของพวกเราสองคนอาจจะจบลงที่นี่”

มู่จื่อซิวและหนิงเหอโจวหันไปสบตากัน แววตายิ่งเคร่งเครียด

“ฮ่าฮ่า วันเกิดอายุสองพันแปดร้อยปีของพี่หลี่ข้ามาสาย โปรดให้อภัย โปรดให้อภัย…”

ในตอนนั้นเอง เสียงหัวเราะดังมาจากกลางอากาศ มีรถม้าคันหนึ่งถูกลากผ่านเมฆหมอก โครงสร้างของรถม้าถูกสร้างจากหยกเขียว ถูกลากโดยมังกรเจียวระดับห้าสามตัว ชายวัยกลางคนหน้าคมเข้มเป็นผู้คุมรถม้า ผลการฝึกตนอยู่ในระดับจักรพรรดิยุทธ์

“น้องซุนเปิดตัวยิ่งใหญ่นัก” หลี่เสวียนหยางยิ้มเล็กน้อย

เรียกขานคนรุ่นเดียวกัน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคนที่อยู่ด้านในรถม้าต้องเป็นอาจารย์มกุฎยุทธ์แน่นอน

ผ้าม่านรถม้าเปิดออกอย่างเชื่องช้า ชายวัยกลางคนในชุดสีม่วงปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าทุกคน เขาแต่งกายด้วยชุดจีน มีมงกุฎรูปดาวอยู่ตรงศีรษะ สองเท้าเหยียบอยู่บนก้อนเมฆ ตรงระหว่างคิ้วมีไฝสีแดง ความน่าเกรงขามที่มองไม่เห็นสายหนึ่งทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึกอยากกราบไหว้บูชา

นักยุทธ์ที่เดินทางมาจากทั่วสารทิศที่อยู่ในเหตุการณ์ ผู้คนส่วนใหญ่ไม่รู้จักมกุฎยุทธ์แซ่ซุนคนนี้ มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่รู้ คนคนนี้มีชื่อว่าซุนเชียนซาง เป็นนักยุทธ์พเนจร ชื่อเสียงไม่เป็นที่รู้จัก น้อยครั้งที่จะปรากฏตัวในโลกภายนอก

ซุนเชียนซางนั่งขัดสมาธิลงที่ฝั่งซ้ายมือของหลี่ซวนหยาง เห็นที่นั่งฝั่งตรงข้ามยังว่าง ขมวดคิ้วเล็กน้อย “พี่ถาวยังไม่มาอีกหรือ?”

“ก็คงจะวางท่าใหญ่โตกว่าเจ้ามั้ง” หลี่เสวียนหยางพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนไม่พอใจเล็กน้อย

ด้านล่างฝูงชน สีหน้าของมู่จื่อซิวและหนิงเหอโจวดูน่าเกลียดมาก มีมกุฎยุทธ์มาอีกคน เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เรื่องดีอะไร

“ตัง!”

ทันใดนั้น มีเสียงระฆังดังก้องไปทั่วฟ้าดิน และเสียงยังคงกังวานอยู่เหนือท้องฟ้าของเขาเสวียนหยางอย่างชัดเจน

บทที่ 419 ข้อพิพาทเรื่องที่นั่ง
ในงานวันเกิด แขกที่เดินทางมาจากทั่วสารทิศเดินทางขึ้นเขาของสำนักเสวียนหยาง ตรงตีนเขาของเขาเสวียนหยาง บันไดหินสีฟ้าทอดยาวไปจนถึงยอดเขา ตรงไหล่เขาถูกปกคลุมไปด้วยเมฆหมอก นกกระเรียนและลิงส่งเสียงดังกังวาน ราวกับดินแดนแห่งเซียน

หลัวซิว เหยียนเยว่เอ๋อร์และมู่จื่อซิวกับหนิงเหอโจวมกุฎยุทธ์ทั้งสองคน ตามสวีจิงเหนียนเดินทางมาถึงเขาเสวียนหยางด้วยสถานะของคนตระกูลสวี

ยอดเขา เป็นจัตุรัสลานกว้างขนาดใหญ่ ถูกเรียงรายไปด้วยโต๊ะนับร้อย ตอนที่หลัวซิวและคนอื่นเดินทางมาถึง มีผู้คนไม่น้อยที่นั่งอยู่บนโต๊ะแล้ว

คนที่มีสิทธิ์นั่งที่นี่ล้วนแต่เป็นบุคคลที่มีผลการฝึกยุทธ์ระดับราชายุทธ์ขึ้นไป

“เจ้าหอ สำนักเสวียนหยางทำเกินไปแล้ว พวกเรานำดอกไห่ถังดาวตกที่ล้ำค่ามามอบให้พวกเขา แต่กลับไม่คิดจะจัดที่นั่งให้พวกเราเลยด้วยซ้ำ”

คนของหอหย่งชางไม่มีราชายุทธ์ ย่อมไม่มีสิทธิ์นั่งในจัตุรัส หญิงสาวที่อยู่ข้างกายของเย่เจียเอ๋อร์ทำหน้าไม่พอใจ

“ฮ่วนหยุน เงียบเดี๋ยวนี้!” เย่เจียเอ๋อร์เขม่นใส่นาง “บรรดาผู้อาวุโสที่นั่งอยู่ล้วนแต่เป็นราชายุทธ์และจักรพรรดิยุทธ์ เจ้ามาพูดจาเหลวไหลที่นี่จะสร้างปัญหาให้พวกเรา”

หญิงสาวที่ชื่อฮ่วนหยุนโดนตำหนิ แต่กลับทำปากจู๋แสดงความไม่พอใจ

“น่าขำสิ้นดี แค่มอบดอกไห่ถังดาวตกดอกเดียวก็คิดจะนั่งที่นี่แล้ว?”

“ใช่ สำนักเสวียนหยางจะใส่ใจยาทิพย์ระดับหกดอกเดียวเหรอ? พวกบ้านนอกพวกนี้มาจากไหน”

มีผู้คนไม่น้อยที่อยู่โดยรอบได้ยินคำพูดบ่นของฮ่วนหยุน ทันใดนั้นมีเสียงพูดดูถูกดังเข้ามาในหูของ เย่เจียเอ๋อร์และคนอื่นทันที

หญิงสาวที่ชื่อฮ่วนหยุนข้างกายของนางแสดงสีหน้าที่ไม่พอใจออกมาทันที แต่กลับโดนเย่เจียเอ๋อร์ใช้สายตาเตือน เพราะในบรรดาคนที่พูดจาเสียดสีเยาะเย้ย ล้วนแต่เป็นฝึกจิตขั้นแปดและขั้นเก้า

ในเขตปกครองโตว้ไห่ บางทีปรมาจารย์โลกยุทธ์ผู้ฝึกจิตขั้นเก้าคนหนึ่งอาจจะมีสถานะสูงส่ง

แต่ที่นี่คือสำนักเสวียนหยาง ถึงเป็นผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ก็ต้องถ่อมตน ส่วนปรมาจารย์ฝึกจิตเพื่ออยู่ที่นี่เป็นได้เพียงผู้น้อย

บนจัตุรัส ในพื้นที่รอบนอกสุดล้วนแต่เป็นที่นั่งของราชายุทธ์ ตรงกลางเป็นที่นั่งของผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ขั้นเจ็ดขึ้นไป และจักรพรรดิยุทธ์

ส่วนโดยรอบของจัตุรัสส่วนใหญ่เป็นปรมาจารย์ฝึกจิต ทำได้แต่ยืนอยู่ตรงนั้น

ด้านหน้าสุดของจัตุรัสเป็นตำหนักสีทองอารามที่สวยสง่างาม เจ้าสำนักเสวียนหยางสวมหน้ากากสีทองครึ่งหน้าเดินไปทักทายแขกอย่างยิ้มแย้ม

ตรงหน้าประตูตำหนักมีโต๊ะที่สวยงามประณีตถูกตั้งอยู่ตรงนั้นหนึ่งโต๊ะ เห็นได้ชัดว่าน่าจะเป็นที่นั่งของอาจารย์เสวียนหยาง เพียงแต่จนกระทั่งถึงตอนนี้ ผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์คนนี้ก็ยังไม่เคยปรากฏตัว

สวี่จิงเหนียนในฐานะที่เป็นจักรพรรดิยุทธ์ ในละแวกของประเทศเทียนหวูก็ถือเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีสถานะคนหนึ่ง โซนตรงกลางย่อมมีที่นั่งของเขา

หลัวซิวคนทั้งสี่ไม่ได้เข้าไปนั่งในจัตุรัส พวกเขากดผลการฝึกตนของตนเองให้ต่ำลง ปะปนอยู่ในโซนโดยรอบที่มีปรมาจารย์ฝึกจิตมากกว่า

“ลงมือเมื่อไหร่?” หนิงเหอโจวมองไปทางหลัวซิวแล้วถาม

“ตอนนี้ไม่ได้” หลัวซิวส่ายหัว พูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม “ที่นี่แตกต่างจากแดนตำหนักจื่อ สำนักเสวียนหยางมีค่ายกลพิทักษ์เขา ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นค่ายกลระดับเจ็ด”

หลังจากได้ยินคำพูดประโยคนี้ หนิงเหอโจวและมู่จื่อซิวแสดงสีหน้าที่หนักใจออกมา

ทุกคนรู้ดี ค่ายกลพิทักษ์เขาเมื่อเทียบกับค่ายกลที่อยู่ในระดับเดียวกัน พลังทำลายล้างสูงที่สุด เมื่อไหร่ที่ค่ายกลพิทักษ์เขาระดับเจ็ดถูกขับเคลื่อน แม้กระทั่งผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ช่วงหลังก็ต้องถอยออกไปไกลถึงเก้าสิบลี้

“สำนักเสวียนหยางถือว่ามั่งคั่งใช้ได้” หนิงเหอโจวกระตุกมุมปากยิ้มอย่างเย็นชา

รูปแบบของค่ายกลพิทักษ์เขามีความยุ่งยากมาก การสร้างค่ายกลพิทักษ์เขาระดับเจ็ด อย่างน้อยก็ต้องใช้ปรมาจารย์ค่ายกลระดับเจ็ดหลายคน ใช้เวลาสร้างหลายปีถึงจะสำเร็จ ราคาที่ต้องจ่ายค่อนข้างสูงเลยทีเดียว

“ถ้าหากมีค่ายกลพิทักษ์เขาระดับเจ็ด พวกเราจะฝืนลงมือที่นี่ไม่ได้เด็ดขาด คงต้องใช้แผนระยะยาว” มู่จื่อซิวพูดด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด

แม้กระทั่งเขาและหนิงเหอโจวก็ไม่สามารถต้านทานการจู่โจมของค่ายกลพิทักษ์เขาระดับเจ็ดแน่นอน ถึงขั้นสามารถหนีออกไปได้หรือเปล่าก็ยังไม่แน่

“ให้เวลาข้าหน่อย ข้าจะลองคลายค่ายกลดู” หลัวซิวส่งเสียงพูด

“อะไรนะ? เจ้าแน่ใจนะว่าเจ้าหมายถึงคลาย?” หนิงเหอโจวและมู่จื่อซิวมองไปทางเขาด้วยความประหลาดใจ

การคลายค่ายกลแห่งหนึ่งถึงขั้นยากยิ่งกว่าการฝืนทำลายค่ายกล เพราะจำเป็นต้องเข้าใจหลักการการทำงานของค่ายกล จึงสามารถอนุมานรูปแบบและการจัดเรียงของค่ายกล ถึงสามารถถอดรูปแบบและตำแหน่ง

ในระหว่างนั้นหากเกิดข้อผิดพลาด ค่ายกลจะถูกกระตุ้น คนที่กำลังควบคุมค่ายกลก็จะสามารถสัมผัสได้ถึงการแทรกแซง ถึงเวลาหากตกอยู่ในพื้นที่ของค่ายกล คิดจะหนีก็หนีไม่รอดแล้ว

ถ้าหากต้องการฝืนทำลายค่ายกลพิทักษ์เขาระดับเจ็ด จำเป็นต้องมีผลการฝึกตนของระดับมหายุทธ์ขึ้นไปถึงสามารถทำได้ ยิ่งไปกว่านั้นถึงเป็นผู้แข็งแกร่งมหายุทธ์ต้องการฝืนทำลายค่ายกลพิทักษ์เขาระดับเจ็ดก็ไม่ใช่เรื่องง่าย จำเป็นต้องเผาผลาญปราณแท้และเวลาเป็นจำนวนมาก

ดังนั้น สำหรับทุกสำนัก ค่ายกลพิทักษ์เขาถึงจะเป็นตัวบ่งชี้รากฐานของขุมกำลัง

“นี่เป็นถึงค่ายกลพิทักษ์เขาระดับเจ็ด เจ้าแน่ใจว่าทำได้เหรอ?” ถึงมู่จื่อซิวจะสงสัยว่าเขาคือคิงซิวหลัว แต่ไม่คิดว่าเขาสามารถคลายค่ายกลระดับเจ็ด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงค่ายกลพิทักษ์เขาที่เป็นค่ายกลที่แข็งแกร่งที่แข็งแกร่งที่สุดในระดับเดียวกัน

“น่าจะไม่มีปัญหา” บนใบหน้าของหลัวซิวเต็มไปด้วยความมั่นใจ

“ซ่า……”

หนิงเหอโจวสูดอากาศที่เย็นวูบเข้าปอด เขาและมู่จื่อซิวล้วนแต่เข้าใจดีว่าการคลายค่ายกลระดับเจ็ดมันหมายความว่าอย่างไร

มันหมายความว่าผู้คลายค่ายกล อย่างน้อยก็ต้องมีมาตรฐานของปรมาจารย์ค่ายกลระดับแปด!

และหมอนี่เพิ่งจะอายุเท่าไหร่เอง ดูแล้วน่าจะไม่ถึงยี่สิบด้วยซ้ำมั้ง? ถึงเขาเริ่มวิเคราะห์ศึกษาเกี่ยวกับค่ายกลตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ ก็ไม่มีทางบรรลุถึงปรมาจารย์ค่ายกลขั้นแปดมั้ง?

อันที่จริง มาตรฐานค่ายกลของหลัวซิวไม่ถึงขั้นเจ็ดด้วยซ้ำ มาตรฐานของเขาอยู่ที่ขั้นหก แม้ปัจจุบันเขามีกำลังพอที่จะสร้างค่ายกลระดับเจ็ด แต่การตระหนักรู้บนเส้นทางของค่ายกล ยังไม่บรรลุถึงมาตรฐานของขั้นเจ็ด

ที่เขากล้าพูดว่าตนเองสามารถคลายค่ายกลพิทักษ์เขาระดับเจ็ด นั่นเป็นเพราะมีจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำอยู่ด้วย

ด้วยทักษะปรมาจารย์ค่ายกลขั้นเก้าของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำ การคลายค่ายกลระดับเจ็ดย่อมเป็นเรื่องที่ง่ายมาก

“พวกท่านอยู่ที่นี่ อย่าเพิ่งเคลื่อนไหว ข้าไปเดี๋ยวเดียวก็มา” หลัวซิวพูด หลังจากนั้นอาศัยจังหวะที่ผู้คนรอบข้างไม่ทันสังเกต ปกปิดกลิ่นอายของตนเองออกจากจัตุรัสแห่งนี้

“เจ้าหนู ไปทางทิศตะวันออกสามสิบก้าว”

ตามคำชี้แนะของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำ หลัวซิวเดินมาถึงตำแหน่งจุดหนึ่ง ก็จะทิ้งธงค่ายกลไว้หนึ่งอัน หลังจากนั้นวาดค่ายกลบังตาขึ้นโดยรอบของธงค่ายกล ทำให้ผู้อื่นไม่สามารถสังเกตเห็น

เขาสำนักเสวียนหยาง ด้านในสุดของตำหนักที่สูงตระหง่าน เป็นสถานที่เก็บตัวของอาจารย์เสวียนหยาง

หลังจากเจ้าสำนักเสวียนหยางทักทายแขกทุกคนเรียบร้อย เขามาถึงหน้าห้องลับที่ใช้เก็บตัวฝึกตนของบรรพชน พูดด้วยน้ำเสียงที่เคารพ “หลิงซวงขอพบท่านบรรพชน”

เทียนสองเล่มถูกจุดขึ้นหน้าห้องประตูลับ แสงเทียนสว่างไสว

บทที่ 418 พบเจอคนรู้จัก
เวลาที่เขาใช้ในการฝึกฝนครั้งนี้ไม่นาน เพราะเดิมทีเขาก็อยู่ในขอบเขตที่กำลังจะบรรลุแล้ว ใช้เวลาในการเก็บตนฝึกครั้งนี้เพียงแค่สามวัน

อาณาเขตของประเทศเทียนหวู่กว้างใหญ่ไพศาล แต่ด้วยความเร็วของเรือรบระดับล่าง ในเวลาสามถึงสี่วันก็เพียงพอที่จะบินจากตะวันตกไปถึงตะวันออก

“ใกล้แล้ว อีกประมาณพักใหญ่ก็น่าจะถึงเมืองเสวียนหยางแล้ว” เหยียนเยว่เอ๋อร์พูด

เมืองเสวียนหยางเป็นเมืองที่สำนักเสวียนหยางสร้างขึ้น ตั้งอยู่ตรงตีนเขาเสวียนหยาง ส่วนเขาเสวียนหยางก็คือตำแหน่งที่ตั้งของสำนักเสวียนหยาง

ทั้งหมดของฝั่งนี้ล้วนแต่ใช้คำว่าเสวียนหยางในการตั้งชื่อ เนื่องจากบรรพชนผู้บุกเบิกสำนักเสวียนหยางชื่อหลี่เสวียนหยาง หรือก็คือบรรพชนมกุฏยุทธ์ของสำนักเสวียนหยาง

ผู้แข็งแกร่งระดับมกุฏยุทธ์มีอายุขัยสามพันปี อาจารย์เสวียนหยางคนนี้อยู่มาแล้วสองพันเจ็ดร้อยปี เรียกได้ว่าเป็นคนเก่าคนแก่ของผู้แข็งแกร่งมกุฏยุทธ์

ตามรายงานขององค์กรนักล่ายุทธ์ ผลการฝึกตนของหลี่เสวียนหยางคือมกุฏยุทธ์ขั้นสามระดับสูงสุด แต่เนื่องจากอายุขัยกำลังจะสิ้นสุดลง มีพลังไม่เพียงพอ ที่ผ่านมาจึงไม่สามารถบรรลุมกุฎยุทธ์ขั้นสี่

ในระยะที่ห่างจากเมืองเสวียนหยางหลายสิบลี้ คนทั้งกลุ่มเก็บเรือรบ เหินกลางอากาศมาจนถึงละแวกของเมืองเสวียนหยาง

ภายในเมืองเสวียนหยางค่อนข้างรุ่งเรืองและคึกคัก หน้าประตูเมืองมีผู้คนเข้าออกไม่ขาดสาย

มีนักยุทธ์ขี่สัตว์อสูรวิ่งเข้าเมือง ทำให้เกิดเสียงอุทานและสายตาที่อิจฉานับไม่ถ้วน

นอกจากนี้ยังมีชายหญิงนักยุทธ์ที่เดินทางมาพร้อมกัน

หลัวซิวก็กำลังยืนเข้าแถวเพื่อรอเข้าเมือง ก่อนที่จะสามารถช่วยพี่สาวและคนของตระกูลหลิว เขาเปิดเผยสถานะของตนเองไม่ได้เด็ดขาด

ทันใดนั้น รูม่านตาของหลัวซิวหดเล็กลงเล็กน้อย เพราะเขาสังเกตเห็นคนที่คุ้นเคยเล็กน้อยคนหนึ่ง

“หลินเจียเอ๋อร์?”

หลัวซิวสังเกตเห็นหญิงสาวสวมชุดกระโปรงสีขาวคนหนึ่ง มือซ้ายของนางถือกระบี่ ข้างกายมีผู้ชายสองหญิงหนึ่ง สวมเครื่องแบบของหอหย่งชาง

เมื่อหลายปีก่อนเขาก่อเหตุการณ์นองเลือดในเขตการปกครองโตว้ไห่ เจ้าสำนักเหลยหวู่และหัวหน้าตระกูลกงซุนถูกเขาสังหาร เจ้าหอหย่งชางเย่ซวนก็สิ้นท่ากลายเป็นมังกรไร้หัว

ตอนที่เกิดเรื่องนี้ขึ้น หลินเจียเอ๋อร์ยังอยู่เมืองร้างของภาคเหนือ บางทีไม่ควรเรียกนางว่าหลินเจียเอ๋อร์ แต่ควรเรียกนางว่าเย่เจียเอ๋อร์มากกว่า

“ทำไมนางถึงเดินทางมาเมืองเสวียนหยาง?” หลัวซิวขมวดคิ้ว เขตการปกครองโตว้ไห่อยู่ห่างจากที่นี่ไกลมาก

“เจ้าหอ หรือต้องมอบดอกไห่ถังดาวตกให้สำนักเสวียนหยางเป็นของกำนัลจริงเหรอ?”

ข้างกายของเย่เจียเอ๋อร์ เด็กสาวที่เดินทางมาพร้อมกับนางพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจเล็กน้อย

“ใช่ เจ้าหอ ดอกไห่ถังดาวตกเป็นยาทิพย์ที่เราทุ่มเทอย่างสุดความสามารถถึงจะได้มา” ดูเหมือนนักยุทธ์ชายสองคนที่อยู่ด้านข้างก็ไม่ยินยอมที่จะมอบของให้คนอื่นเช่นกัน

“พวกเจ้าจะไปเข้าใจอะไร? ปัจจุบันทั่วทั้งประเทศเทียนหวู สำนักและตระกูลทั้งหมดต้องดูสีหน้าของตำหนักจื่อและตระกูลเสวียนหยางในการทำงาน หอหย่งชางของเราอยู่ในเขตการปกครองโตว้ไห่ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่เสี่ยงมากแล้ว ทำได้แต่คาดหวังงานวันเกิดครั้งนี้ของอาจารย์เสวียนหยาง จะสามารถทำให้พวกเรามีโอกาสแก้ไขวิกฤต” เย่เจียเอ๋อร์ขมวดคิ้วเล็กน้อย พูดตำหนิด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา

บางทีอาจจะเป็นเพราะสำนักหย่งชางต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตครั้งใหญ่ บวกกับพ่อของนางตาย ทำให้นางต้องขึ้นเป็นผู้รับผิดชอบทำหน้าที่ดูแลทั้งตระกูล ดังนั้นหลายปีมานี้ กลิ่นอายความวัยเยาว์บนตัวนางจึงลดน้อยลง มีกลิ่นอายของความเป็นผู้ใหญ่เพิ่มขึ้นหลายส่วน

ย้อนนึกถึงตอนนั้น ตอนที่หลัวซิวพบนางในเขตปกครองโตว้ไห่ครั้งแรก หญิงสาวคนนี้มีความเย่อหยิ่งเพียงใด?

เสียงสนทนาของพวกนางเบามาก แต่ก็ยังคงโดนหลัวซิวใช้ตัวสำนึกแอบฟัง

ดอกไห่ถังดาวตก?

หลัวซิวอดไม่ได้ที่จะยิ้ม ดอกไห่ถังดาวตกเป็นเพียงยาทิพย์ที่สามารถเอามากลั่นเป็นยากลั่นจิตอัคคีม่วงระดับหกเท่านั้น ในสายตาของนักยุทธ์ทั่วไป บางทีอาจจะเป็นของล้ำค่าที่หายาก แต่สำหรับกองกำลังอย่างสำนักเสวียนหยาง พวกเขากลับไม่เห็นมันอยู่ในสายตา

เปรียบเหมือนคนจนที่เอาเงินออมทั้งชีวิตไปมอบของขวัญให้คนรวย เขาคิดว่าของขวัญที่เขาให้นั้นมีค่ามาก แต่สำหรับคนรวย มันไม่คุ้มที่จะเอ่ยถึงเลย ไม่พอสำหรับค่าใช้จ่ายในการดื่มกินด้วยซ้ำ

เห็นได้ชัดว่าพวกเย่เจียเอ๋อร์ไม่เข้าใจจุดนี้ เป็นเพราะถูกจำกัดโดยวิสัยทัศน์และความรู้

หลายปีผ่านไป ผลการฝึกตนของเย่เจียเอ๋อร์บรรลุถึงแดนฝึกจิตขั้นแปด ผลการฝึกตนระดับนี้เพียงพอที่จะเผชิญหน้าโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลเพียงลำพัง อีกประมาณสิบปี นางน่าจะสามารถบรรลุถึงขั้นราชายุทธ์ กลายเป็นผู้แข็งแกร่งระดับแนวหน้าของเขตปกครองโตว้ไห่

ชายวัยกลางคนที่ติดตามข้างกายของนางก็อยู่ในระดับฝึกจิตเช่นกัน คนหนึ่งฝึกจิตขั้นสี่ อีกคนเป็นฝึกจิตขั้นหก

ส่วนเด็กผู้หญิงที่ติดตามนางมาด้วยยังอยู่ห่างชั้นมากเกินไป นางผลการฝึกตนของนางเป็นเพียงพรสวรรค์ขั้นแปด

ในขณะเดียวกัน หลัวซิวได้รู้ข่าวอีกเรื่องหนึ่งจากบทสนทนาของพวกนาง บรรพชนของสำนักเสวียนหยางกำลังจะจัดงานวันเกิด?

“เจ้าเป็นอะไร?” เหยียนเยว่เอ๋อร์เห็นหลัวซิวใจลอย จึงอดไม่ได้ที่จะถาม

“ไม่มีอะไร แค่เห็นคนรู้จัก” หลัวซิวดึงความคิดของตนเองกลับมา พลิกมือเรียกกล่องส่งเสียงออกมาส่งข้อความให้สวีจิงเหนียน ถามเรื่องงานวันเกิด

“ท่านชายกลับถึงประเทศเทียนหวูแล้วเหรอ?”

สวีจิงเหนียนตอบข้อความกลับอย่างรวดเร็ว อธิบายว่า “ข่าววันเกิดของอาจารย์เสวียนหยางเพิ่งถูกปล่อยออกมาเมื่อไม่กี่วันนี้”

อาจารย์เสวียนหยางเป็นมกุฏยุทธ์ที่มีอายุยืนยาวมากที่สุดในบริเวณโดยรอบของประเทศเทียนหวู ปัจจุบันมีอายุสองพันแปดร้อยปีแล้ว ผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์ทั่วไป จะจัดงานวันเกิดขึ้นหลังจากที่มีอายุสองพันปี ทุกหนึ่งร้อยปีจะจัดขึ้นหนึ่งครั้ง

วันเกิดของผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ ผู้คนทั่วสารทิศมาอวยพร กองกำลังเล็กใหญ่ภายในประเทศเทียนหวู โดยทั่วไปแล้วแทบจะทุกคนเดินทางมาอวยพรพร้อมกับของกำนัล

ตอนนี้สวีจิงเหนียนกำลังอยู่ในเมืองเสวียนหยาง เตรียมของกำนัลไว้เรียบร้อยแล้ว

“วันเกิด?……”

บนใบหน้าของหลัวซิวปรากฏให้เห็นรอยยิ้มที่เย็นชา “ข้าจะทำให้วันเกิดของหลี่เสวียนหยางกลายเป็นวันตาย!”

หลังจากเข้าเมือง โรงเตี๊ยมภายในเมืองอัดแน่นไปด้วยผู้คน ร้านอาหารเล็กใหญ่ก็เต็มไปด้วยแขก

วันเกิดของอาจารย์เสวียนหยาง ถูกจัดขึ้นในบนภูเขาของสำนักเสวียนหยาง กำหนดการอยู่ที่สามวันหลังจากนี้ ในระหว่างนี้ ผู้ที่เดินทางมาอวยพร ล้วนแต่ต้องพักอาศัยอยู่ในเมืองเสวียนหยางชั่วคราว มีเพียงส่วนน้อยที่เป็นบุคคลมีหน้ามีตา จึงจะถูกเชิญไปที่สำนักเสวียนหยางโดยตรง

ภายในห้องร้านอาหารระดับกลางแห่งหนึ่ง หลัวซิวได้พบกับสวีจิงเหนียนที่นั้น

“ท่านชาย” สวี่จิงเหนียนลุกขึ้นมาต้อนรับ ไม่ว่าหลัวซิวจะมีอายุน้อยกว่ามาก แต่ด้วยสถานะและภูมิหลังที่ลึกลับ กลับทำให้สวีจิงเหนียนปฏิบัติต่อเขาเป็นผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์

หลัวซิวยกมือขึ้นคำนับเช่นกัน หลังจากนั้นโบกมือสร้างม่านพลังต้องห้ามขึ้นโดยรอบของห้อง

สวีจิงเหนียนย่อมรู้จักเหยียนเยว่เอ๋อร์ ยกมือขึ้นคำนับถือเป็นการทักทาย

“ข้าขอแนะนำให้ท่านรู้จักก่อน ท่านทั้งสองเป็นอาวุโสมกุฎยุทธ์ที่ข้าเชิญมา” หลัวซิวหันไปแนะนำให้สวีจิงเหนียนรู้จักมุ่จื่อซิวและหนิงเหอโจว ส่วนสถานะโดยรวมของทั้งสองคนกลับไม่ได้เอ่ยถึง

หนังตาของสวีจิงเหนียนกระตุกเล็กน้อย สีหน้าดูหวาดระแวงอย่างเห็นได้ชัด เขาคิดไม่ถึง การมาครั้งนี้ของหลัวซิว ถึงขั้นเชิญมกุฎยุทธ์มาถึงสองคน

ผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎยุทธ์ ในประเทศเทียนหวูแข็งแกร่งพอที่จะสยบผู้คนทั่วใต้หล้า

ส่วนเรื่องเกี่ยวกับการโค่นล้มตำหนักจื่อ หลัวซิวก็ไม่ได้เอ่ยถึง เขาเชื่อว่าอีกไม่นาน ข่าวการล่มสลายของตำหนักจื่อต้องแพร่กระจายไปทั่วแน่นอน

บทที่ 417 บรรลุอย่างต่อเนื่อง
ผังกฎดั้งเดิมวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพถูกหลัวซิวโคจรจนถึงขีดสูงสุด ปราณเป็นตายสองระดับไปจุดตันเถียนก็เริ่มหมุนเร็วขึ้น ผิวนอกของยาเทพจิตมีแสงสีฟ้าริบหรี่ ยิ่งอยู่ก็ยิ่งสว่างขึ้น ราวกับเป็นดวงอาทิตย์สีฟ้าขนาดเล็ก ลอยอยู่เหนือชี่ไห่ในจุดตันเถียน

เมื่อเวลาผ่านไป ปราณแท้ของหลัวซิวยิ่งอยู่ก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น ปราณเป็นตายสองระดับก็เติบโตขึ้นเช่นกัน ปลดปล่อยแสงสีฟ้าออกมา เริ่มควบแน่นกลายเป็นรูปร่างทีละนิด มีแสงสีม่วงแผ่ซ่านออกมาอย่างเลือนลาง

เมื่อไหร่ที่ยาเขียวลอกคราบกลายเป็นยาม่วง นั่นหมายความว่าผลการฝึกตนของเขากำลังก้าวเข้าสู่ราชายุทธ์ขั้นสี่!

ขั้นสามถึงขั้นสี่เป็นการลอกคราบครั้งแรก คือการก้าวข้ามราชายุทธ์ปฐมภูมิสู่ช่วงกลาง ความแข็งแกร่งจะเพิ่มพูนขึ้นมากกว่าตอนฝ่าทะลวงขั้นหนึ่งถึงขั้นสาม

“ยังเหลืออีกนิด”

เนื่องจากการกลั่นปราณเป็นตายสองระดับจำเป็นต้องใช้พลังจำนวนมหาศาล หลัวซิวเริ่มรู้สึกว่าอย่ามหาอิทธิเม็ดเดียวไม่พอ

เขาพลิกมือเรียกเม็ดที่สองออกมาโยนเข้าปากของตนเองอย่างไม่ลังเล

“บูม!”

ฤทธิ์ยาของเม็ดแรกยังถูกเผาผลาญไม่หมด ต่อด้วยการกลืนยาเม็ดที่สองลงไป พลังทั้งสองสายหลอมรวมเข้าด้วยกันทันที เกิดความปั่นป่วนขึ้นภายในร่างกายหลัวซิว มีเสียงระเบิดที่ดังราวฟ้าผ่าดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

แม้กระทั่งขีดจำกัดร่างยุทธ์ของหลัวซิวก็เริ่มรับไม่ไหว บนหน้าผากของเขาเริ่มมีเม็ดเหงื่อปรากฏขึ้นให้เห็น

พลังตราประทับบนสองมือของหลัวซิวเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน กลายเป็นวิชาลับกลั่นร่าง ฤทธิ์ยาส่วนหนึ่งของยามหาอิทธิถูกส่งไปใช้ในการกลั่นร่างเนื้อแทน

การกลั่นร่างเนื้อเป็นกระบวนการที่ค่อนข้างเจ็บปวด นักยุทธ์ทุกคนที่กลั่นร่าง ล้วนแต่จำเป็นต้องเป็นบุคคลที่สามารถอดทนต่อความเจ็บปวดและความทรมาน

มีเพียงต้องผ่านการกลั่นร่างเนื้อนับพันนับร้อยรอบ ถึงสามารถแข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก้าวข้ามขีดจำกัดของตนเองครั้งแล้วครั้งเล่า

นี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมทุกระดับของร่างเนื้อถึงมีขีดจำกัด มีแต่ต้องฝ่าทะลุขีดจำกัด ถึงสามารถก้าวเข้าสู่ระดับที่สูงกว่า

และทุกครั้งที่สามารถฝ่าทะลวงขีดจำกัด มันคือความทุกข์ทรมานที่เดินอยู่บนขอบความเป็นความตาย

หลัวซิวก็เคยผ่านการฝ่าทะลวงขีดจำกัดของร่างเนื้อมาแล้วหลายครั้ง แต่นำทั้งหมดของก่อนหน้านี้มารวมกัน ดูเหมือนจะไม่เจ็บปวดเท่าครั้งนี้ ร่างกายของเขาสั่นเทาอย่างต่อเนื่องบนแท่นบัวทิพย์ห้าสี รูขุมขนมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด เป็นภาพที่ค่อนข้างน่าสะพรึงกลัว

ในขณะเดียวกัน ภายในตัวหยั่งรู้ของหลัวซิว เขาพยายามดูดซับพลังของช่องจิตปลอมอย่างต่อเนื่อง พลังตัวสำนึกก็กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ตัวสำนึก ปราณแท้ ร่างเนื้อ ถูกกลั่นพร้อมกันและกำลังเพิ่มพูนขึ้น!

บูม!

ไม่รู้ผ่านไปนานแค่ไหน แม้กลืนยามหาอิทธิเข้าไปแล้วสองเม็ด แต่ที่สามารถบรรลุก่อนกลับไม่ใช่ปราณแท้และร่างเนื้อ แต่เป็นตัวสำนึกของเขา ทะลวงจากจักรพรรดิยุทธ์ขั้นห้าถึงจักรพรรดิยุทธ์ขั้นหก

หลังจากนั้นผ่านไปอีกสักพักใหญ่ ตรงจุดตันเถียนของหลัวซิว มีแสงสีม่วงส่องสว่างขึ้นอย่างกะทันหัน ในที่สุดยาเทพจิตของเขาก็ลอกคราบ จากสีเขียวกลายเป็นสีม่วง ผลการฝึกตนของปราณแท้ก้าวเข้าสู่ระดับราชายุทธ์ขั้นสี่!

เมื่อพลังที่ปั่นป่วนในร่างกายของเขาเริ่มสงบลง ร่างเนื้อของหลัวซิวพองโตขึ้นอย่างกะทันหัน กล้ามเนื้อปูดปูนขึ้นบิดเบี้ยวเหมือนงูมังกร เส้นเอ็นและเส้นเลือดก็ปูดขึ้นจนดูน่ากลัว

ปรากฏการณ์แปลกประหลาดแบบนี้กินเวลาไประยะหนึ่ง ร่างเนื้อที่พองโตของเขาเริ่มหดตัวลงจนกระทั่งกลับมาเป็นปกติ ผิวหนังบนร่างกายเริ่มหลุดลอก มีคราบกระดูกสีดำแดงและมลทินไหลออกมาจากรูขุมขนของเขาอย่างต่อเนื่อง

“ร่างยุทธ์ระดับจักรพรรดิ!”

เขาลืมตาขึ้นอย่างกะทันหัน แสงอันเยือกเย็นที่น่าสะพรึงกลัวเป็นประกาย ชกหมัดออกไป ความว่างเปล่าที่อยู่ตรงหน้าเกิดการบิดเบี้ยวอย่างบ้าคลั่งจนมีรอยแตกร้าวสีดำปรากฏขึ้น ราวกับใยแมงมุม

นี่คือพลังของร่างเนื้อระดับจักรพรรดิ หมัดเดียวเพียงพอที่จะทำลายความว่างเปล่า

ตัวสำนึก ปราณแท้ และร่างเนื้อบรรลุในเวลาเดียวกัน ทำให้พลังของเขาเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน!

ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ใช้ไพ่ตาย เขาสามารถรับมือจักรพรรดิยุทธ์ขั้นปฐมภูมิ

ถ้าหากโคจรพลังแปรเสวียนเทียนยี่สิบสี่เท่า เขาสามารถสังหารจักรพรรดิยุทธ์ขั้นหนึ่ง เทียบเท่าจักรพรรดิยุทธ์ขั้นสาม!

ถ้าหากโคจรพลังกฎเบญจธาตุ เมื่อเป็นแบบนั้นเขาสามารถก้าวข้ามความเร็วของผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ช่วงกลาง

“ถ้าหากข้าในตอนนี้ใช้ตราธรรมจุติมรณะ ภายใต้การโจมตีครั้งเดียว คาดว่าสามารถสังหารได้แม้กระทั่งจักรพรรดิยุทธ์ช่วงกลาง!”

ดวงตาของหลัวซิวลุกวาวเป็นประกาย เขายังมีไพ่ตายที่แข็งแกร่งกว่านี้ นั่นก็คือยืมพลังของลูกแก้วเสวียนดำ เมื่อเป็นแบบนั้น ความแข็งแกร่งของเขาจะก้าวกระโดดอย่างรวดเร็ว สามารถสู้กับบุคคลที่อยู่ระดับมกุฏยุทธ์ลงไปทุกคน

ในขณะที่เขากำลังฝึกฝน เขาอยู่ในเขตแดนของค่ายกลที่ปกปิดแยกตัวจากโลกภายนอก ดังนั้นมู่จื่อซิวและหนิงเหอโจวจึงมองไม่เห็นภาพการฝึกฝนของเขา

การต่อสู้ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในแดนตำหนักจื่อ ทุกครั้งที่หลัวซิวใช้พลังแห่งกฎทุกครั้ง ล้วนแต่ใช้ในภายใต้สถานการณ์ที่มกุฏยุทธ์ทั้งสองคนไม่อยู่ด้วย ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รู้สถานะของหลัวซิว

แม้เขาจะระมัดระวังอย่างเต็มที่ แต่ก็ยังโดนมู่จื่อซิวสัมผัสได้ถึงร่องรอยบางอย่างไม่มากก็น้อย

อันดับแรกคือตอนที่คนทั้งสองแยกกันตามหาในหอคอยฝึกตนทั้งสองแห่ง หลัวซิวเผชิญหน้ากับจักรพรรดิยุทธ์คนหนึ่งของตำหนักจื่อ หรือก็คือชายชราชุดสีม่วงที่ชื่ออูกงซาน

“ผลการฝึกตนของเขาเป็นเพียงราชายุทธ์ขั้นสาม ถึงขั้นสามารถทำร้ายจักรพรรดิยุทธ์คนหนึ่ง เขาทำได้อย่างไร?” มู่จื่อซิวยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือ สายตามองไปทางหลัวซิว ม่านพลังเรืองแสงที่ถูกปิดกั้น ทำให้เขาเห็นร่างของหลัวซิวเพียงเลือนลาง

ราชายุทธ์โจมตีจักรพรรดิยุทธ์จนได้รับบาดเจ็บ ไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่องแปลกมากเกินไป อย่างไรก็ตามจักรพรรดิยุทธ์คนนั้นเพิ่งบรรลุจักรพรรดิยุทธ์ขั้นหนึ่งได้ไม่นาน ยังไม่ได้ถือว่าแข็งแกร่งมาก ถ้าหากหลัวซิวใช้พลังของยันต์จู่โจมระดับหกโจมตี มันก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ

แต่มู่จื่อซิวกลับมีความรู้สึกแบบหนึ่ง หลัวซิวโจมตีจักรพรรดิยุทธ์บาดเจ็บ น่าจะไม่ได้ยืมพลังของยันต์ ยิ่งไปกว่านั้นเขามีพลังเพียงพอที่จะเทียบเท่าจักรพรรดิยุทธ์อยู่แล้ว!

“ถ้าหากเขาคือคิงซิวหลัว แสดงว่าบนตัวของเขาต้องมีชิ้นส่วนกฎไม่น้อย ถ้าหากฆ่าสามารถได้มาครอบครอง……” แววตาของมู่จื่อซิวเริ่มหวั่นไหว

หนิงเหอโจวที่อยู่อีกด้านหนึ่ง หันมามองทางมู่จื่อซิวโดยเจตนาและไม่เจตนา ถึงเขาไม่ได้สงสัยหลัวซิว แต่กลับรู้สึกถึงความแปลกประหลาดเล็กน้อยบนตัวมู่จื่อซิว

หลังจากที่หลัวซิวคลายค่ายกล มู่จื่อซิวและหนิงเหอโจวสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายปราณแท้ที่ผันผวนบนร่างกายของเขา พบว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงไปไม่น้อย

“ผลการฝึกตนของเจ้า…” มู่จื่อซิวรู้สึกเสียวสันหลังเล็กน้อย

เขาจำได้อย่างแม่นยำ เมื่อหนึ่งปีก่อนตอนที่ซิวหลัวเข้าร่วมแดนแต่งตั้งราชา ผลการฝึกตนอยู่ในระดับราชายุทธ์ขั้นสอง ต่อมาตอนที่เจอกันอีกครั้งคือราชายุทธ์ขั้นสาม นี่เพิ่งจะผ่านไปกี่เดือนเอง บรรลุถึงระดับราชายุทธ์ขั้นสี่?

ยิ่งไปกว่านั้น ขั้นสามถึงขั้นสี่เป็นเหมือนลุ่มแม่น้ำที่แบ่งเขตแดน ไม่รู้ว่ามีราชายุทธ์มากน้อยเพียงใดที่ไม่สามารถก้าวข้ามจุดนี้

“แค่บังเอิญโชคดีบรรลุเท่านั้น” หลัวซิวยิ้มแล้วพูด

มุมปากของมู่จื่อซิวอดไม่ได้ที่จะกระตุกสองครั้ง แอบคิดในใจ นี่หรือโชคดี? นึกถึงตอนที่เขายังอยู่ในระดับราชายุทธ์ เขาใช้เวลามากกว่ายี่สิบปีถึงสามารถฝึกฝนจนบรรลุขั้นสี่

ส่วนหนิงเหอโจวไม่ได้คิดอะไรมาก หัวเราะฺฮ่าฮ่าแล้วพูด “เจ้าได้ทรัพยากรจากคลังสมบัติของตำหนักจื่อไปไม่น้อย สามารถบรรลุก็ถือว่าสมเหตุสมผล”

มู่จื่อซิวได้ยินแล้วอดไม่ได้ที่จะถลนตาขาว ไม่มีอะไรจะพูดสำหรับความไม่รู้ของหนิงโจวเหอ เพราะหมอนี่รู้อะไรเกี่ยวกับซิวหลัวน้อยเกินไป

ถ้าหากเขารู้ว่าหมอนี่ใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีสามารถฝึกตนจนบรรลุถึงราชายุทธ์ขั้นสี่ คาดว่าเขาคงไม่พูดแบบนี้แน่นอน

“ใกล้จะถึงแล้วมั้ง” หลัวซิวเดินขึ้นไปบนดาดฟ้าเรือ

บทที่ 416 ไขว่คว้าเวลาฝึกตน
มู่จื่อซิวมาโดยบังคับเรือรบ หนิงเหอโจวยืนตระหง่านอยู่บนดาดฟ้าเรืออย่างภาคภูมิใจ ในมือถือศีรษะที่เต็มไปด้วยคราบเลือด มันคือศีรษะของอาจารย์ตำหนักจื่อ ดวงตาทั้งคู่เบิกกว้าง ราวกับคนตายตาไม่หลับ

อีกด้านหนึ่ง เหยียนเยว่เอ๋อร์ก็เหาะเหินอยู่บนท้องฟ้าเช่นกัน บนร่างกายมีคราบเลือดติดอยู่ไม่น้อย ไม่ต้องคิดก็รู้ ศัตรูอาฆาตแค้นถาวหยุนเชียนที่เป็นคนสังหารพ่อแม่และญาติของนาง ต้องตายด้วยมือของนางแล้วแน่นอน

ความคับแค้นที่ถูกอัดอั้นไว้ในส่วนลึกของหัวใจมานานสามร้อยปี ในที่สุดก็มีโอกาสสังหารศัตรูด้วยมือของตนเอง แต่จิตใจของนางกลับยังคงไม่รู้สึกสงบ

“ไอ้หนุ่ม ภารกิจเสร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง”

หนิงเหอโจวยกแขนขึ้นเหวี่ยงออกไป โยนศีรษะของอาจารย์ตำหนักจื่อลงบนพื้น ศีรษะกลิ้งออกไปไกลหลายสิบเมตร

ภารกิจจ้างวานที่หลัวซิวประกาศคือสังหารอาจารย์ตำหนักจื่อและอาจารย์เสวียนหยาง ปัจจุบันอาจารย์ตำหนักจื่อถึงฆาตแล้ว เหลือเพียงอาจารย์เสวียนหยาง

ส่วนแหวนเก็บของและสมบัติที่อยู่บนตัวของอาจารย์ตำหนักจื่อ ย่อมถูกมู่จื่อซิวและหนิงเหอโจวที่เป็นมกุฏยุทธ์ทั้งสองคนแบ่งกันเรียบร้อยแล้ว

นอกเหนือจากนี้ยังมีคลังสมบัติของตำหนักจื่อ ตำหนักจื่อมีรากฐานยาวนานมากกว่าสองพันปี ก็ถือว่าเป็นโชคลาภก้อนโตเช่นกัน

ผ่านไปสักพัก หลัวซิวสามารถคลายวิชาห้ามค่ายกลที่อยู่ใกล้กับหอคอยฝึกตนแห่งหนึ่ง ด้านล่างของหอคอยฝึกตนแห่งนี้มีทั้งหมดเจ็ดชั้น มีทรัพยากรสำหรับการฝึกตนจำนวนมาก หินพลังจิตถูกกองเป็นภูเขา จำนวนมีมากกว่าล้านหรือสิบล้าน

ยาวิเศษก็มีมากมายเช่นกัน ระดับต่ำสุดก็เป็นถึงยาทิพย์ระดับห้า ยิ่งไปกว่านั้นยังมียาทิพย์ระดับเจ็ดไม่น้อย

และยังมีนักยุทธ์ ชุดเกราะ ยาเม็ดและอย่างอื่นอีกมากมาย

สามชั้นบนสุดเก็บม้วนหยกวรยุทธ์ไว้จำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีวิชายุทธ์ระดับเก้า และเคล็ดวิชาของดาวจักรพรรดิจรัสม่วง

และยังมีเคล็ดวิชาปราณสีม่วงระดับเก้าหนึ่งเล่ม

ทรัพยากรสมบัติในคลังสมบัติของตำหนักจื่อถูกแบ่งออกเป็นสามส่วน มูจื่อซิวและหนิงเหอโจวแบ่งกันคนละส่วน ส่วนหลัวซิวและเหยียนเยว่เอ๋อร์ได้รับหนึ่งส่วน

เคล็ดวิชาปราณสีม่วงและดาวจักรพรรดิจรัสม่วงก็ถูกแบ่งออกเป็นสามส่วนเช่นกัน

“คิดไม่ถึง เป็นแค่สำนักที่มีมกุฏยุทธ์ขั้นสามเพียงคนเดียวเป็นผู้ดูแล แต่ภายในคลังสมบัติกลับมีของล้ำค่ามากมายเช่นนี้”

หลังจากที่คนทั้งสี่แบ่งสมบัติที่อยู่ภายในคลังเรียบร้อย แต่ละคนรู้สึกอารมณ์ดีมาก มูจื่อซิวและเหอหนิงวโจวได้รับผลเก็บเกี่ยวมากมาย

รวมไปถึงเรือรบสามลำของตำหนักจื่อ สามในสองลำเป็นเรือรบธรรมดา มีเพียงเรือรบของอาจารย์ตำหนักจื่อ ในบรรดาเรือรบระดับล่างถือเป็นของชั้นสูง

มู่จื่อซิวมีเรือรบที่ดีกว่านี้ ดังนั้นเรือรบของอาจารย์ตำหนักจื่อจึงถูกหนิงเหอโจวรับไป ส่วนเรือรบอีกสองลำที่เหลือตกอยู่ในมือของหลัวซิวและเหยียนเยว่เอ๋อร์

หลังออกจากแดนตำหนักจื่อ หลัวซิวใช้พลังตราประทับปิดผนึกทางเข้าแดนตำหนักจื่อ

หากไม่ใช่ของที่เขาสร้างเองกับมือ ถึงเป็นผู้แข็งแกร่งมกุฏยุทธ์ก็ไม่สามารถเปิดทางเข้าของแดนตำหนักจื่อ

โดยทั่วไป สำนักที่สามารถสืบทอดต่อกันมายาวนานนับพันปี ล้วนแต่มีค่ายกลพิทักษ์เขา ค่ายกลแบบนี้ มีอานุภาพที่แข็งแกร่งกว่าค่ายกลทั่วไปในระดับเดียวกันมาก

แต่ตำหนักจื่อกลับไม่มีค่ายกลประเภทนี้ เหตุผลหลักคือแกนกลางของตำหนักจื่อตั้งอยู่ในแดนปริศนา เมื่อไหร่ที่ทางเข้าแดนถูกปิดผนึก ศัตรูภายนอกไม่สามารถจู่โจม จึงไม่จำเป็นต้องมีค่ายกลพิทักษ์เขา

ยิ่งไปกว่านั้น การสร้างค่ายกลพิทักษ์เขาจำเป็นต้องเผาผลาญทรัพยากรจำนวนมาก ต้องเชิญปรมาจารย์ค่ายกลขั้นสูงลงมือ ค่าตอบแทนไม่ได้แค่สูงธรรมดา

เรียกได้ว่าการที่ตำหนักจื่อถูกโค่นล้มแบบนี้ การไม่มีค่ายกลพิทักษ์เขาก็คือหนึ่งในปัจจัยสำคัญ แต่ประสบความสำเร็จก็แดนตำหนักจื่อ พ่ายแพ้ก็แดนตำหนักจื่อ

“พวกเราไป!”

หลังออกจากแดนตำหนักจื่อ คนทั้งสี่นั่งเรือรบลำเดียวกันตรงไปทางฝั่งตะวันตกของประเทศเทียนหวู

ข่าวการล่มสลายของตำหนักจื่อย่อมปิดไม่มิด กระจายไปถึงหูของกลุ่มอิทธิพลอื่นในเวลาเพียงไม่นาน

หลัวซิวจำเป็นต้องลงมือถอนรากถอนโคนแบบสายฟ้าแลบก่อนที่สำนักเสวียนหยางจะได้รับข่าวเรื่องนี้

ระหว่างทางที่กำลังบินไปสำนักเสวียนหยาง หลัวซิวโบกมือสร้างค่ายกลขึ้นโดยรอบเรือรบ หลังจากนั้นเริ่มทำการฝึกตนทันที

หลัวซิวรู้ดี เมื่อเทียบกับผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์ในปัจจุบัน สิ่งที่เขาขาดแคลนมากที่สุดก็คือเวลา ดังนั้นเขาจึงไม่เคยปล่อยให้เวลาของการฝึกตนเสียไปโดยเปล่าประโยชน์แม้แต่วินาทีเดียว เมื่อทำแบบนี้นานวันเข้า ถึงสามารถรับประกันผลการฝึกตนของตนเองก้าวหน้าขึ้น

ยาทองระดับจักรพรรดิยุทธ์สองเม็ดถูกเขาเรียกออกมา บวกกับยาทิพย์อีกหลายชนิด ถูกหลอมรวมกลายเป็นยามหาอิทธิที่มีพลังจิตจำนวนมหาศาลแฝง

ยาทองหนึ่งเม็ด มีผลการฝึกตนปราณแท้ของผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ควบแน่น

บวกกับยาทิพย์สูตรพิเศษ สามารถทำให้ปราณแท้ที่แฝงอยู่ในยาทองกลายเป็นพลังจิต แบบนี้สามารถทำให้ผู้ฝึกยุทธคนอื่นใช้เพื่อเพิ่มพูนผลการฝึกตน

แต่ยามาหอิทธิแบบนี้ กลับไม่ใช่ใครก็สามารถกินได้ เนื่องจากพลังจิตที่แฝงอยู่ด้านในมีความรุนแรงมาก ดังนั้นผู้ชายจึงจำเป็นต้องมีร่างกายที่แข็งแกร่ง ถึงสามารถแบกรับผลแทรกซ้อนของยา

ขั้นตอนการกลั่นยาผ่านไปอย่างราบรื่น ไม่นาน ยามหาอิทธิสองเม็ดถูกกลั่นออกมาได้สำเร็จ

ยกแขนขึ้นโบก ประกายแสงห้าสีส่องสว่าง แท่นบัวทิพย์ห้าสีถูกเขาเรียกออกจากแหวนเก็บของ

หลังจากนั้นหลัวซิวโบกมืออีกครั้ง หินพลังจิตกองเท่าภูเขากระจายอยู่โดยรอบ การโค่นล้มตำหนักจื่อครั้งนี้ เขาได้รับหินพลังจิตนับล้าน สามารถใช้เพิ่มพูนพลังจิตได้พอดี ใช้แท่นบัวทิพย์ห้าสีกลั่นปราณทิพย์ฟ้าดินที่ดีกว่านี้ออกมา

หินพลังจิตนับแสนแฝงไปด้วยพลังจิตที่บริสุทธิ์ถูกดูดซับอย่างไม่ขาดสาย หลังจากนั้นไปรวมกันที่ใจกลางแท่นบัวทิพย์ห้าสี

หลัวซิวลุกขึ้นยืน นั่งลงบนแท่นบัวทิพย์ห้าสีด้วยท่าดอกบัวอย่างเชื่องช้า

หลังจากนั่งลงบนแท่นบัวทิพย์ห้าสี หลัวซิวสามารถสัมผัสได้ถึงปราณทิพย์ฟ้าดินที่ไร้จุดสิ้นสุด ปราณทิพย์แบบนี้ไม่เพียงแต่สามารถเพิ่มพูนผลการฝึกตนให้เร็วขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถทำให้การตระหนักของผู้ฝึกยุทธเพิ่มพูนขึ้น

เช่นเดียวกับปีกทิพย์ไร้มลทิน แท่นบัวทิพย์ห้าสีเป็นของวิเศษที่กำเนิดขึ้นเองตามธรรมชาติ มีความสามารถที่แตกต่างกัน และมีข้อดีเป็นของตนเอง

พลิกฝ่ามือ ยามหาอิทธิสีทองถูกหลัวซิวโยนเข้าปาก หลังจากนั้นดวงตาของเขาเริ่มปิดลงอย่างเชื่องช้า สองมือประสานกันตรงหน้าอก ฤทธิ์ของยาแผ่ขยายไปทั่วร่าง

โครม……

ภายในร่างกายของเขามีเสียงที่คล้ายคลึงกับฟ้าผ่าดังขึ้นเป็นครั้งคราว นี่เป็นผลกระทบที่เกิดจากฤทธิ์ยาอันยิ่งใหญ่เข้าจู่โจมเส้นเลือดของเขาอย่างต่อเนื่อง

หากเป็นคนธรรมดาทั่วไป ภายใต้ผลกระทบของฤทธิ์ยาที่รุนแรงเช่นนี้ เกรงว่าเส้นเลือดคงจะรับไม่ไหว ถูกสะบั้นจนขาด สูญเสียผลการฝึกตน และสุดท้ายร่างกายระเบิดตายไปในที่สุด

แต่ร่างเนื้อของหลัวซิวกลับบรรลุถึงระดับขีดจำกัดของร่างยุทธ์ระดับราชา บวกกับมีพลังของกฎเบญจธาตุช่วยหนุนเสริม แค่ยามหาอิทธิที่กลั่นมาจากยาทองจักรพรรดิยุทธ์ขั้นหนึ่ง ยังอยู่ในระดับที่สามารถแบกรับไหว

ยามหาอิทธิปลดปล่อยฤทธิ์ยารุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เปี่ยมไปด้วยพลัง กำลังหลั่งไหลราวกับสายน้ำในเส้นเลือดของเขา

บทที่ 415 การล้างแค้น
เป็นเวลาเกือบสองปี นับตั้งแต่ถาวหยุนเชียนและว่านเหลียนเฉิงทั้งสองจักรพรรดิยุทธ์ คนหนึ่งถูกหลัวซิวปลด อีกคนถูกฆ่าตาย อาจารย์ตำหนักจื่อก็เสียทรัพยากรเพื่อที่จะรักษาจักรพรรดิยุทธ์ทั้งสอง

หนึ่งในนั้น ก็คือชายชราชุดม่วงคนที่หลัวซิวโจมตีจนบาดเจ็บ ยังมีชายวัยกลางคนอีกคนที่รูปร่างเล็กเตี้ย ก็เป็นแดนจักรพรรดิยุทธ์ขั้นหนึ่ง

แต่ถึงอย่างนั้น จักรพรรดิยุทธ์วัยกลางคนคนนั้น ในขณะนี้ ใบหน้าของเขาก็ซีดเช่นกัน ที่เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสนั้นไม่ใช่เพราะหลัวซิว แต่เป็นจากเรือรบที่เขาอยู่ก่อนหน้านี้ ถูกเรือรบของมู่จื่อซิวชนเข้าอย่างแรง ผลพวงของการระเบิดของพลังนั้น ส่งผลกระทบต่อเขาโดยตรง

ระดับต่ำกว่าจักรพรรดิยุทธ์ ไม่มีใครเหมาะสมที่จะเป็นศัตรูของเขา ตัวสำนึกของหลัวซิวแทบไม่ต้องลงมือ เพียงแค่ตัวสำนึกกวาดออกไปอาศัยเพียงการโจมตีวิญญาณ ก็สามารถทำลายตัวหยั่งรู้ของคนพวกนั้นได้อย่างง่ายดาย

เมื่อมองเห็นเหล่าศิษย์ของสำนักถูกฆ่าเหมือนหมูเหมือนหมาเช่นนั้น ชายชราชุดม่วงกับชายวัยกลางคน ก็มีสีหน้าของจักรพรรดิยุทธ์ทั้งสองท่าน ต่างก็ซีดเผือดราวกับกระดาษ

อาจารย์หนีไปแล้ว แต่ว่าระดับจักรพรรดิยุทธ์อย่างพวกเขาทั้งสองคน เผชิญหน้ากับเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มีผลการฝึกตนแดนราชายุทธ์ กลับมีความรู้สึกกลัวอย่างท่วมท้น

โดยเฉพาะชายชราชุดม่วง เขาได้รับรู้ถึงพลังของหลัวซิวด้วยตัวเขาเอง ดังนั้นเขาแทบจะไม่มีอะไรต้องลังเลเลย จึงได้กลายเป็นลำแสง และคิดที่จะหนีไปจากที่นี่ได้อย่างรวดเร็ว

เพราะเขารู้ดีว่า ตำหนักจื่อจบสิ้นแล้ว เพียงแค่ตัวเขาเองยังสามารถมีชีวิตอยู่ต่อ ด้วยสถานะของจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่ง ไปไหนมาไหนก็อยู่ได้อย่างมีความสุข

ทันใดนั้น ชายชราชุดม่วงรู้สึกได้ถึงรัศมีคุกคามที่มาจากข้างหลัง สีหน้าของเขาค่อย ๆ เปลี่ยนไป พร้อมทั้งรีบรวบรวมพลังจิตแท้ และปล่อยพลังไปทางด้านหลัง

ปัง!

ภายใต้การกวาดล้างแสงจิตห้าสี พลังจิตแท้แตกซ่าน ร่างของชายชราชุดม่วงนั้นเหมือนกับว่าถูกสายฟ้าฟาด ลอยกระเด็นออกไป

“ไอ้เวรเอ้ย!”

ชายชราชุดม่วงมีเปลวไฟแห่งโมหะลุกโชนขึ้นในใจ เขาคาดไม่ถึงว่าหลัวซิวเขายังไล่ตามไล่ฆ่าเขาอย่างไม่ลดละ

เขากระอักเลือดออกมาเต็มปาก สองนิ้วรีบร้อนบีบตราประทับ พลังจิตแท้สีม่วงมารวมกันตรงหน้าอย่างรวดเร็ว มันกลายเป็นพลังกระบี่สีม่วงที่ยาวกว่าสิบเมตร

เพียงแต่ไม่รอให้ชายชราชุดม่วงได้โจมตี ร่างของหลัวซิวก็ได้หายวับไปจากการรับรู้ของเขา ตามมาด้วยรังสีแห่งความอันตรายที่ปรากฏขึ้นด้านหลังเขา

“เทเลพอร์ตอีกแล้วหรือ?”

ชายชราชุดม่วงตกใจจนหน้าถอดสี แต่มันก็สายเกินไปที่โต้ตอบอะไรแล้ว

ทันทีที่เขาสังเกตถึงสิ่งที่อยู่ด้านหลัง ก็ถูกหลัวซิวฟาดฟันด้วยความดุร้าย ไม่ต้องพูดถึงบาดแผลที่มีอยู่ก่อนแล้ว แม้ในสมัยรุ่งเรืองของเขา เมื่อต้องเผชิญหน้ากับพลังดาบเช่นนี้ มันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะหยุดหรือต่อต้าน

ฟุบ!

เลือดพุ่งทะลักออกมาจากปากชายชราชุดม่วง เกราะนักยุทธ์ด้านหลังเดิมทีก็มีรอบบุบอยู่แล้ว ตอนนี้ก็ถูกโจมตีซ้ำอีกครั้ง เสียงกระดูกที่หักเป็นเสี่ยง ๆ ดังออกมาจากภายในร่างกาย

ความเจ็บปวดอันน่าสยดสยอง ทำให้ใบหน้าของชายชราชุดม่วงบิดเบี้ยวในทันที ในเวลาเดียวกัน ในใจก็รู้สึกหวาดกลัว เพราะการเผชิญหน้ากับการโจมตีระยะใกล้ของหลัวซิว เขาไม่มีแม้แต่แรงที่จะต่อต้านสักนิดเลยด้วยซ้ำ หากเป็นเช่นนี้ เกรงว่าวันนี้คงจะต้องตายอยู่ที่นี่อย่างแน่นอน

หนี! ต้องหนีเท่านั้นถึงจะรอด!

ชายชราชุดม่วงฝืนบังคับตัวเองให้สงบจิตสงบใจไว้ พลิกมือหยิบฮู้สีม่วงออกมาจากแหวนเก็บของ

นี่คือยันต์วาตะระดับเจ็ด เพราะเจ้าตำหนักจื่อและว่านเหลียนเฉิงคนหนึ่งเจ็บคนหนึ่งตาย ดังนั้นเมื่อตอนที่เขาบรรลุถึงแดนจักรพรรดิยุทธ์แล้ว อาจารย์ก็ได้มอบฮู้ระดับเจ็ดให้กับเขาเพื่อรักษาชีวิตไว้

ในขณะที่ชายชราชุดม่วงหยิบฮู้ระดับเจ็ดอยู่นั้น มุมปากของหลัวซิวก็ยกขึ้นอย่างเยือกเย็น

ไม่ต้องพูดถึงว่าเพียงแค่ฮู้ระดับเจ็ดหนึ่งอัน ต่อให้เป็นความเร็วระดับผู้แข็งแกร่งมกุฏยุทธ์ ก็ไม่สามารถจะเทียบกับความรวดเร็วของปีกทิพย์ไร้มลทินได้

แกรก!

ในจังหวะที่ฮู้บีบเพื่อใช้งานนั้น ลำแสงสีเขียวก็ปกคลุมตัวของชายชราชุดม่วง ในชั่วพริบตาความเร็วก็พุ่งสูงขึ้น โบยบินสู่ท้องฟ้าอันไกลโพ้น

ปัง!

ด้านของของหลัวซิว ปีกทิพย์ไร้มลทินโบกสะบัด พื้นที่โดยรอบที่ปั่นป่วนกลายและบิดเบี้ยว และไล่ตามไปด้วยความเร็วที่เทียบเท่ากัน

ชายชราชุดม่วงสิ้นหวังจนถึงขีดสุด เพราะเขาพบว่าต่อให้เขาอาศัยพลังของยันต์วาตะระดับเจ็ด แต่ก็ยังถูกหลัวซิวตามได้ทัน

ในวินาทีต่อมา ชายชราชุดม่วงด้านหลังหัวใจก็มีความรู้สึกเจ็บปวดจากการฉีกขาดส่งออกมา ลำแสงจิตห้าสีหลอมรวมเป็นพลังกระบี่ แทงทะลุร่างกายของเขา

ร่างของชายชราชุดม่วงที่บินเป็นลำแสงก็หยุดลงในทันที เขาเหลือบมองไปที่หลัวซิวด้วยแววตาแข็งทื่อ เลือดไหลออกมาจากมุมปากของเขา

หลัวซิวสีหน้าราบเรียบ ปีกทิพย์ไร้มลทินสั่นไหวเล็กน้อย จากนั้นจึงได้ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าชายชราชุดม่วง ฝ่ามือขวาของเขารวบรวมพลังแห่งกฎเบญจธาตุ เพียงแค่เสียงฟึ่บดังขึ้นก็แทงทะลุจุดตันเถียนของอีกฝ่าย คว้าเอายาทองเม็ดหนึ่งที่ยังคงเปื้อนเลือดออกมา

ชายชราชุดม่วงเบิกกตาโพลง ความคิดบ้า ๆ เต็มไปด้วยความแค้น แสงสีม่วงพุ่งออกจากหว่างคิ้วของเขา

แสงสีม่วงนี้สว่างจนถึงขีดสุด ออร่าวิญญาณเปล่งประกายออกมาอย่างสง่างาม ที่น่าประหลาดใจคือชายชราชุดม่วงที่อยู่ในสภาวะใกล้ตาย หลวมรวมพลังแห่งเทพจิตของตน ต่อให้ต้องตาย ก็ต้องทำให้หลัวซิวที่เป็นคนฆ่าตัวเองบาดเจ็บสาหัสด้วย

อย่างไรก็ตาม มุมปากของหลัวซิวเต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม “ไม่เจียมสังขาร”

ร่างกายของชายชราชุดม่วงระเบิดอย่างรุนแรง

ส่วนก่อนที่เขาจะตายได้หลวมรวมเทพจิตและปล่อยออกมาเป็นแสงสีม่วง ตอนที่กำลังพุ่งไปตรงหน้าของหลัวซิว มันก็ถูกหยุดไว้ในทันที

ด้านหลังของหลัวซิว ร่างคนรูปร่างสูงตระหง่านปรากฏขึ้น มีความสูงหลายฟุต ทั้งตัวถูกล้อมรอบด้วยแสงสีขาวดำ

ร่างคนโปร่งแสงนี้ คือเทพจิตเทียมของหลัวซิว เทียบกับเทพจิตแท้ จริง ๆ แล้วไม่มีอะไรแตกต่างกันมาก

ร่างเทพจิตยกมือฟาดลงไป ทำให้สำแสงสีม่วงที่ชายชราชุดม่วงหลวมรวมออกมาก่อนตายแตกสลายไปในทันที

หลังจากนั้น สายตาของหลัวซิวก็มองไปทางชายวัยกลางคนคนนั้น เขาคือจักรพรรดิยุทธ์คนสุดท้ายที่อยู่ภายในตำหนักจื่อ

ปัง!

บนร่างของร่างเทพจิตแผ่ลมปราณของจิตวิญญาณ ในตอนที่เขาฆ่าชายชราชุดม่วง จักรพรรดิยุทธ์วัยกลางคนนั้นก็ได้หนีไปไกลแล้ว อยู่ดี ๆ ก็รู้สึกตื่นตระหนก

เพราะเขาสัมผัสได้ถึง ลมปราณที่ข้ามผ่านกำแพงแห่งโซน และกักตัวเขาเอาไว้

“อูกงซานถูกฆ่าแล้ว?” จักรพรรดิยุทธ์วัยกลางคนหน้าถอดสีจนแทบดูไม่ได้ อูกงซานก็คือชื่อของชายชราชุดม่วง

ในเวลานี้เอง เขาก็ได้สังเกตเห็น ร่างคนร่างหนึ่งที่กะพริบไปมาไม่หยุด เข้าใกล้กับความเร็วของเทเลพอร์ต และกำลังพุ่งตรงมายังพิกัดที่เขาอยู่ในตอนนี้

“วึบ!”

เพียงครู่เดียว จักรพรรดิยุทธ์วัยกลางคนก็ถูกหลัวซิวตามจนทัน แสงจิตห้าสีถูกส่งออกไปโดยตรง ในขณะเดียวกันก็ขับเคลื่อนภูตอัคคีกลืนกิน มุ่งไปเพื่อจับอีกฝ่ายให้จมลง

ปฏิกิริยาแรกของจักรพรรดิยุทธ์วัยกลางคนก็คือหยิบเอายันต์วาตะระดับเจ็ดออกมา แต่กลับไม่ทันได้เตรียมใช้งาน การเคลื่อนไหวของร่างกายหยุดลง

หลังจากนั้น ภูตอัคคีกลืนกินที่มาเพื่อกดเขาให้จมลง ก็แผดเผาร่างกายของเขาให้เหลือเพียงความว่างเปล่า มีเพียงยาทองในร่างกาย ภายใต้การควบคุมของหลัวซิวจึงไม่ได้ถูกแผดเผาไป สุดท้ายจึงได้ถูกเขาเก็บลงแหวนเก็บของ

ยาเทพจิตระดับราชายุทธ์ หลัวซิวขี้เกียจตามเก็บ แต่ยาทองที่อยู่ภายในร่างของจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่ง เป็นวัถุดิบที่ไม่เลวเลยสำหรับการกลั่นยา จะให้มันเสียเปล่าไม่ได้

หลังจากนั้นไม่นาน ภายในแดนตำหนักจื่อที่วุ่นวายนั้น ในที่สุดก็สงบลงราวกับพื้นที่รกร้าง

มีศพอยู่ทุกหนทุกแห่ง กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่ว เรือรบสัมริดเขียวสองลำเมื่อไม่มีคนคอยบังคับ ก็ตกลงสู่พื้นดินกลายเป็น หลุมขนาดใหญ่

บทที่ 414 ทำลายล้าง

บทที่ 414 ทำลายล้าง
เหยียนเยว่เอ๋อร์และหนิงเหอโจวได้ยินเสียงนี้ ก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นเสียงของหลัวซิว ทันใดนั้นก็บินขึ้นไปบนท้องฟ้า มุ่งหน้าไปสู่ประตูมิติแห่งทางเข้าของแดนปริศนา

และในเวลานี้ ผู้ฝึกจิตปรมาจารย์ยุทธ์หลายคนที่รับผิดชอบคอยอารักขาทางเข้าของแดนปริศนา แต่ละคนมีท่าทีประหลาดใจ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

รวมถึงภายนอกของทั้งตำหนักจื่อ ต่างก็ได้ยินเสียงที่ก้องอยู่ในอากาศ ทุกคนต่างก็มีสีหน้าสับสน

“ตาย!”

ทันใดนั้น เสียงใสก้องกังวานที่แฝงไปด้วยเจตนาฆ่าก็ดังขึ้น

เหยียนเยว่เอ๋อร์บินข้ามฟากฟ้า แสงเทพจิตหงส์อัคคีสยายปีกอยู่ด้านหลังนาง ความยาวหลายสิบฟูต

เปลวเพลิงขนาดใหญ่แพร่ออกมาจากร่างกายของนาง กระจายไปทั่วทุกทิศทุกทาง ท่วมประตูด้านนอกทั้งหมดของตำหนักจื่อ

หนิงเหอโจวมองดูนางอย่างแปลกใจ คาดไม่ถึงว่าผู้หญิงคนนี้ที่ดูเหมือนที่ดูไม่ค่อยพูด จะโหดเหี้ยมเสียจนคิดจะทำลายล้างทุกคนที่นี่

แต่เขาไม่รู้ว่า เมื่อก่อนผู้แข็งแกร่งตำหนักจื่อบีบบังคับตระกูลเหยียนแห่งเมืองกู่เจี้ยน ก็เคยฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ คนตายไปรู้ตั้งกี่คน

ความแค้นฝังลึกแบบนี้ได้สะสมอยู่ในใจของเหยียนเยว่เอ๋อร์มากว่า 300 ปี เมื่อถูกปล่อยออกไปก็ควบคุมไม่ได้

เสียงกรีดร้องนับไม่ถ้วนดังขึ้นทีละคน แต่การแสดงออกของนางช่างเย็นเยือกแม้ว่านางจะรู้ด้วยว่าไม่มีใครมีส่วนร่วมในการสังหารพ่อแม่ของนางเมื่อสามร้อยปีก่อน แต่นางก็ไม่สามารถยับยั้งเจตนาฆ่าในใจของนางได้

“หากจะโทษ ก็ไปโทษพวกศิษย์ตำหนักจื่อของพวกเจ้าก็แล้วกัน!”

ในช่วงเวลาสั้น ๆ ด้านนอกตำหนักจื่อถูกนางเผาจนย่อยยับ นางหันกลับมาด้วยความเย็นชา และเดินเข้าไปในประตูมิติแดนตำหนักจื่อ

วิชาห้ามค่ายกลทั้งหมดของแดนตำหนักจื่อ ต่างเป็นฝีมือของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำที่สร้างเอาไว้ในอดีต

พลังตราประทับพวกนี้ที่ใช้จัดการวิชาห้ามค่ายกล แน่นอนว่าได้ถูกสอนให้กับหลัวซิวด้วย แต่น่าเสียดายที่แดนปริศนาแห่งนี้เป็นสถานที่สำหรับฝึกตน ในตอนแรกนั้นไม่ได้มีการสร้างค่ายสังหารใดใดไว้เลย ไม่เช่นนั้น หลัวซิวก็ไม่ต้องการความช่วยเหลือจากสองมกุฏยุทธ์ แค่คนเดียวก็สามารถฆ่าตำหนักจื่อทุกคนได้

“พวกเจ้าเป็นใครกันแน่?”

อาจารย์มกุฏยุทธ์แห่งตำหนักจื่อมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป เพราะเขาสามารถรับรู้ได้ว่า คนที่อยู่ข้าง ๆ หลัวซิวนั้น อยู่ในระดับเดียวกับตน ซึ่งก็คือผู้แข็งแกร่งแดนมกุฏยุทธ์

“ไอ้แก่ เจ้าจับท่านพ่อท่านแม่ของข้ามา ยังจะมีหน้ามาถามอีกว่าข้าเป็นใคร?” หลัวซิวเผยสีหน้าเย้ยหยัน

“สามหาว กล้าดียังไงถึงไม่เคารพผู้อาวุโส?” เหล่าชาวตำหนักจื่อบนเรือรบอีกสองลำ ต่างก็มีสีหน้าโกรธเคือง

“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าไม่เพียงแต่จะไม่เคารพผู้อาวุโสของพวกเจ้า แถมข้ายังจะฆ่าทิ้งอีกด้วย พวกเจ้าจะทำอะไรข้าได้?”

ณ ขณะนี้ เสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งได้ดังมาจากกลางอากาศ ลมปราณฝ่ามือพลังจิตแท้ถูกฟาดออกไปฉาดใหญ่ เกิดเสียงดังปัง โจมตีอย่างรุนแรงเข้าที่ดาดฟ้าเรือของเรือรบสัมริดเขียวลำหนึ่ง

ค่ายคุ้มกันขั้นห้าบนเรือรบแตกสลายในทันที พลังของฝ่ามือพลังจิตแท้ได้สร้างความหายนะ ทำเอาศิษย์ของตำหนักจื่อที่อยู่บนเรือรบนับสิบคนนั้น ร่างกายแตกละเอียดกลายเป็นละอองเลือดในทันที ทุกคนต่างตายไม่มีชิ้นดี

คนที่ลงมือนั้น แน่นอนว่าต้องเป็นหนิงเหอโจวที่เพิ่งเข้ามา

“มกุฏยุทธ์อีกคนแล้ว!”

อาจารย์ตำหนักจื่อลุกขึ้นยืนทันใด ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คาดไม่ถึงว่า หลัวซิวจะเชิญมกุฏยุทธ์ทั้งสองคนมาด้วย และคนที่มาทีหลังนั้น ดูเหมือนจะแข็งแกร่งกว่าเขาอีกด้วย

เหยียนเยว่เอ๋อร์ลงจากกลางอากาศมายืนอยู่ข้างกายหลัวซิว ดวงตาคู่สวยฉายแสงเย็นเยียบ จ้องไปยังร่างของเจ้าตำหนักจื่อที่ยทนอยู่ด้านหลังอาจารย์ตำหนักจื่อไม่วางตา

“ถาวหยุนเชียน!” นางกัดฟันพูดชื่อของเจ้าตำหนักจื่อออกมา

ในเวลานั้นเอง สีหน้าของถาวหยุนเชียนก็ซีดเผือดจนถึงขีดสุด “นี่มันเป็นไปได้อย่างไร เขาเชิญมกุฏยุทธ์มาได้อย่างไร?”

มกุฏยุทธ์ คือรากฐานและที่พึ่งพิงของตำหนักจื่อ หลายปีมานี้ ตำหนักจื่อยืมอำนาจของอาจารย์มกุฏยุทธ์ จึงสามารถครองเมืองด้านหนึ่งของภูมิภาคนี้ได้

หลัวซิวมาด้วยเจตนาฆ่าอย่างมหันต์ มันทำให้ใจของถาวหยุนเชียนจมดิ่งลงสู่ก้นบึ้งทันที

“ดี! ดี! ดี! ข้าคงจะดูถูกเจ้าเกินไป!”

อาจารย์ตำหนักจื่อมองลูกศิษย์ตายอย่างอนาถ สีหน้าหมนลงและเปลี่ยนไปในทางที่แย่ลง หัวเราะด้วยความโกรธถึงขีดสุด พร้อมกับเอ่ยคำว่าดีออกมาติดกันสามครั้ง

เขาไม่ได้ลงมือ แต่กลับวบคุมเรือรบโคยตรงแทน ลอยไปในอากาศ มุ่งหน้าไปยังทางออกของแดนปริศนา

อาจารย์ตำหนักจื่อผู้นี้ไม่ได้โง่ เขารู้ดีว่าตนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมกุฏยุทธ์ทั้งสองที่หลัวซิวเชิญมา สำหรับแผนวันนี้ มีเพียงแค่การร่วมมือกับอาจารย์เสวียนหยางเท่านั้น ถึงจะสามารถมีโอกาสเอาชีวิตรอดได้

แน่นอนว่าหลัวซิวไม่ยอมให้อาจารย์ตำหนักจื่อหนีไป ความพ่ายแพ้แต่ละครั้งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการทั้งหมดของเขา

เขาจะกวาดและทำลายตำหนักจื่อด้วยสายฟ้า ทำให้สำนักเสวียนหยางไม่ทันได้รู้ตัว แล้วก็จะรุดหน้าไปฆ่าล้างสำนักเสวียนหยางอีกครั้ง!

การกลับมาครั้งนี้ เขาจะทำให้ทุกคนที่อยู่ในประเทศเทียนหวูได้รับรู้ ว่าเกล็ดใต้คอมังกรของหลัวซิว ไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถแตะต้อง!

ใครกล้าแตะต้องเกล็ดใต้คอมังกรตน ตนจะใช้วิธีการสังหารของซิวหลัว พลิกแผ่นดินฆ่าให้สิ้น!

“อาจารย์ตำหนักจื่อคนนั้น ข้าขอรบกวนท่านอาวุโสทั้งสอง” หลัวซิวยกหมัดคำนับไปทางมู่จื่อซิวและหนิงเหอโจว

“ฮ่า ๆ วางใจได้ เขาหนีไม่รอดหรอก” หนิงเหอโจวพูดกลั้วเสียงหัวเราะ

มู่จื่อซิวก็พยักหน้า จากนั้นก็ขยับเรือรบและตามเขาไปทันที

เป็นเรือรบชั้นล่างเหมือนกัน แต่ก็มีระดับที่แตกต่างกัน มู่จื่อซิวซึ่งเป็นผู้ลาดตระเวนของพื้นที่อีกฝั่ง เรือรบของเขา จัดอยู่ในระดับสูงสุดของบรรดาเรือรบชั้นล่าง

เรือรบของอาจารย์ตำหนักจื่อ ค่ายกลที่ปรากฏด้านบนนั้น ล้วนเป็นค่ายกลระดับหก เทียบกันแล้วระดับจะสูงกว่าเรือรบทั่วไปที่มีค่ายกลระดับห้า

แต่เรืองรบของมู่จื่อซิวลำนี้ ค่ายกลที่ปรากฏด้านบนนั้นล้วนเป็นค่ายกลระดับเจ็ด คือระดับที่สูงที่สุดของเรือรบชั้นล่าง

ดังนั้นอาจารย์ตำหนักจื่อเดิมทีจึงไม่สามารถหลบหนีไปได้ไกลเท่าไร ก็ถึงตามมาทันเสียแล้ว ท้ายเรือรบสัมริดเขียวถูกชนเข้าอย่างแรงจนเกิดเป็นเสียงอีกทึกครึกโครม

เกราะป้องกันม่านแสงของเรือรบสัมริดเขียวบิดเบี้ยวจนเสียรูปทรง หนิงเหอโจวกระโดดขึ้นมาทันที ขวานยุทธ์คู่หนึ่งที่ห้อยอยู่ด้านหลังตอนนี้ถูกกำอยู่ในมือของเขา ขวานเล่มหนึ่งถูกขว้างออกไป เดิมทีค่ายคุ้มกันเรือรบที่กำลังจะแตกสลายอยู่แล้วนั้น ก็ถูกกระแทกแตกกระจายเป็นผุยผง

อาจารย์ตำหนักจื่อได้ตัดสินใจทิ้งเรือรบในวินาทีนั้น กลายร่างเป็นลำแสง บินหนีออกไป

“ฮ่า ๆ จะหนีไปไหน!” หนิงเหอโจวเงยหน้าขึ้นและตระโกนเรียกพลางไล่ตามเขาไปทันที

“เยว่เอ๋อร์ เจ้านั้นข้ายกให้เจ้า” หลัวซิวเหลือบตามองไปยังเจ้าตำหนักจื่อถาวหยุนเชียนที่หน้าซีดเผือดที่อยู่บนเรือรบสัมริดเขียว

เหยียนเยว่เอ๋อร์สูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง เงยหน้ามองท้องฟ้า พลางทำปากพึมพำ “ท่านพ่อ ท่านแม่ ลูกกำลังจะได้แก้แค้นให้พวกท่านแล้ว …”

มกุฏยุทธ์ทั้งสองนำหน้าไปไล่ฆ่าอาจารย์ตำหนักจื่อแล้ว ท่ามกลางแดนตำหนักจื่อเหลือเพียงพวกศิษย์ตำหนักจื่อ รอบตัวของหลัวซิวโหมไปด้วยเพลิงมรณะ และมุ่งตรงไปด้านหน้า

“แหลกวิญญาณ!”

ตัวสำนึกระดับจักรพรรดิยุทธ์กวาดออกไป พวกที่มีผลการฝึกตนอ่อนแอก็ถูกทำลายตัวหยั่งรู้โดยตรงและตายไปในมันที ผลการฝึกตนแข็งแกร่งขึ้นมาหน่อย ก็ปวดหัวราวกับหัวกำลังจะระเบิดออก กรีดร้องอย่างอนาจ สูญเสียความสามารถในการต้านทาน

หลังจากนั้น หลัวซิวก็โบกมือขึ้น ภูตอัคคีกลืนกินสีน้ำตาลแดงวุ่นวายกระจายไปทุกทิศทุกทาง แผดเผาทุกคนให้มอดไหม้จนเหลือเพียงความว่างเปล่า

“ตำหนักจื่อ นับแต่นี้จะไม่มีอีกต่อไป!” บริเวณโดยรอบ ภายใต้การเผาไหม้ของภูตอัคคีกลืนกินนั้นถูกบิดอย่างบ้าคลั่ง หลัวซิวที่สวมชุดสีดำทั้งตัวยืนต้านลม ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยรังสีเจตนาฆ่าอาฆาตสีเลือด

บทที่ 413 ช่วยชีวิต
ทักษะยุทธ์ระดับเก้าเหมือนกัน ด้วยการสำแดงผลการฝึกตนจักรพรรดิยุทธ์ออกมา ไม่ใช่สิ่งที่วิชาภูตผีเซินหลัวของหลัวซิวสามารถเทียบได้เลย

“แสงจิตห้าสี!”

หลัวซิวกัดฟันแน่น ตรากฎห้าสีปรากฏขึ้นระหว่างคิ้ว แสงจิตห้าสีกวาดออกไปราวกับสายรุ้ง

“นี่เป็นกลลับแบบไหน?”

ผู้อาวุโสจักรพรรดิยุทธ์ที่อยู่ด้านหน้ามีสีหน้าตกตะลึง ยังไม่ทันได้รู้สึกตัว กระบี่ยุทธ์ในมือก็ถูกแสงจิตห้าสีกวาดออกไป ลอยกระเด็นออกไปอย่างควบคุมไม่ได้ และถูกแสงศักดิ์สิทธิ์พัดพาหายไป

“ลงนรกไปถามยมบาลเองเถอะ!”

เสียงปังดังสนั่น ปีกทิพย์ไร้มลทินกางออกด้านหลังของหลัวซิว ร่างของเขาหายไปในทันที

วินาทีต่อมา หลัวซิวก็ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังของผู้อาวุโสจักรพรรดิยุทธ์ กระบี่อาถรรพ์ฟันเสือในมือฟันลงไปอย่างดุเดือด

“โซนเทเลพอร์ต?” ผู้อาวุโสจักรพรรดิยุทธ์ร้องด้วยความตกใจ แค่เพียงเด็กหนุ่มที่มีผลการฝึกตนราชายุทธ์ เป็นไปได้อย่างไรที่จะสามารถใช้เทเลพอร์ต? และเขาไม่รู้สึกถึงความผันผวนของพลังแห่งโซนเลย

เขารู้ว่ามันสายเกินไปที่จะหนี ทำได้เพียงรวบรวมพลังจิตแท้ ผลักดันตัวคุ้มกันพลังจิตแท้ให้ถึงขีดสุด ในเวลาเดียวกันก็อัญเชิญเกราะนักยุทธ์ขั้นดินล่างมาสวมไว้บนตัว

ปัง!

เกราะนักยุทธ์ระดับเดียวกัน สามารถป้องกันการโจมตีของนักยุทธ์ระดับเดียวกันได้ แต่ก็เพียงแค่เกราะนักยุทธ์ไม่แตกออก แรงกระแทกและพลังงานที่แข็งแกร่ง ยังคงพุ่งทะลุเกราะนักยุทธ์ สร้างความบาดเจ็บให้กับนักยุทธ์ที่สวมเกราะนักยุทธ์อยู่ได้

ยิ่งไปกว่านั้น ดาบนี้ของหลัวซิว ยังประกอบด้วยพลังแห่งกฎเบญจธาตุ บวกกับร่างเนื้อที่ดุร้ายของขีดจำกัดร่างยุทธ์ระดับราชา

ร่างของผู้อาวุโสจักรพรรดิยุทธ์ กระเด็นลอยออกไปในทันที เลือดสดไหลออกมาทางช่องว่างของเกราะนักยุทธ์ และกระอักเลือดอีกเฮือกใหญ่

“ผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ ไม่ได้ฆ่าได้ง่าย ๆ จริง ๆ ด้วย”

ชายชราในชุดสีม่วงถูกฟันและลอยออกไปไกลหลายสิบเมตร ด้านหลังของเกราะนักยุทธ์มีรอยดาบปรากฏอยู่

ระดับของกระบี่อาถรรพ์ฟันเสือไม่สูง ไม่สามารถทำลายการคุ้มกันของเกราะนักยุทธ์ได้

ถึงอย่างนั้นชายชราในชุดสีม่วงก็ได้รับบาดเจ็บไม่ใช่น้อยภายใต้การโจมตีของกฎเบญจธาตุกับร่างเนื้อที่แข็งแกร่ง ใบหน้าของเขาซีดและไม่มีสีเลือด

การต่อสู้ระหว่างทั้งสองดูเหมือนจะยาวนานมาก แต่ในความเป็นจริง มันเกิดขึ้นและหายไปในทันทีราวกับสายฟ้าและไฟจากหิน

ความผันผวนของลมปราณพลังจิตแท้ สร้างความตื่นตระหนกให้กับปรมาจารย์ส่วนมาก ที่จำศีลอยู่ในแดนตำหนักจื่อแห่งนี้

ลมปราณอันแรงกล้าแผ่กระจาย ร่างทีละคนบินออกจากหอคอยฝึกตน และลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า ทั้งหมดกลายเป็นลำแสงพุ่งตรงมายังที่แห่งนี้หลัวซิวฉันไม่ได้ทำอะไรกับชายชราเสื้อม่วงต่อ แต่เขาหันหลังกลับและรีบวิ่งไปที่หอคอยฝึกตนข้างหลังเขา ตัวสำนึกควบคุมพื้นที่ชั้นที่เจ็ดของหอคอยจื่อแห่งนี้

“ท่านพ่อ ท่านแม่!”

เขาไปถึงชั้นเจ็ดอย่างรวดเร็ว และมองเห็นท่านพ่อหลัวซงหลินกับท่านแม่หลิวชูหยุนถูกขังอยู่ภายในค่ายยากเย็นขั้นสอง

หลัวซิวเพียงแค่สะบัดมือ ค่ายยากเย็นก็แตกสลายเป็นผุยผง และช่วยท่านพ่อกับท่านแม่ออกมา

“ซิว? เจ้ามาได้อย่างไร” เมื่อหลัวซงหลินและหลิวชูหยุนเห็นเขา ใบหน้าที่แต่เดิมเต็มไปด้วยความโศกเศร้า ก็ถูกเดิมเต็มไปด้วยความประหลาดใจหลัวซิวเมื่อสังเกตเห็นว่ามีเลือดอยู่ที่มุมปากของผู้เป็นพ่อ เห็นได้ชัดว่าเขาได้รับความเดือดร้อนอย่างมากระหว่างที่เขาถูกกักขัง

หากไม่ใช่เพราะคนของตำหนักจื่อ ยังมีประโยชน์ต่อเขาที่สามารถเก็บเอาไว้เพื่อให้ทรยศกันเองในภายหลังได้ ไม่เช่นนั้นเกรงว่าแม้แต่ชีวิตของพวกเขาก็คงจะไม่มีเหลืออยู่อีก

“ซิว เจ้าไม่ต้องสนใจข้ากับท่านแม่ของเจ้า เจ้ารีบหนีไป ข้าได้ยินมาว่าคนของตำหนักจื่อแห่งนี้เก่งกาจมาก เจ้าเอาชนะไม่ได้หรอก” หลัวซงหลินนอกจากจะแปลกใจแล้ว เขาพูดอย่างกังวลใจ

แม้ชีวิตตนเองจะตกอยู่ในความเสี่ยง แต่ก็ยังนึกถึงความปลอดภัยของหลัวซิว

นั่นทำให้หลัวซิวรู้สึกประทับใจเสียจนอยากจะร้องไห้ แต่เขารู้ดีว่านี่ไม่ใช่เวลามาเสียใจ

“ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้ามาที่นี่เพื่อช่วยพวกท่านโดยเฉพาะ ต่อไปข้าจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายคพวกท่านอีก” หลัวซิวยกมือของท่านพ่อและท่านแม่ขึ้นมา

ด้านนอกหอคอยฝึกตน ผู้แข็งแกร่งแห่งตำหนักจื่อส่วนมากลอยอยู่กลางอากาศ มีราว ๆ ร้อยคน

หนึ่งร้อยคนเหล่านี้ คือแกนกำลังสำคัญของตำหนักจื่อ ไม่นับบรรดาผู้อาวุโสผู้แข็งแกร่งที่ส่วนมากต่างก็เป็นอาจารย์ราชายุทธ์และมกุฏยุทธ์ ที่เหลืออีกยี่สิบคนต่างก็เป็นผู้นำของคนรุ่นใหม่

เรือรบสัมริดเขียวสามลำที่ลอยอยู่กลางอากาศนั้น ด้ายบนสุดของเรือรบ อาจารย์ตำหนักจื่อนั่งอยู่บนเก้าอี้ทองคำ มองไปชั้นเก้าหอคอยจื่อด้วยสีหน้าว่างเปล่า

บนเรือรบอีกสองลำที่เหลือ ที่ลอยอยู่กลางอากาศต่างก็บรรทุกนักยุทธ์ของตำหนักจื่อนับสิบไว้

ด้านหลังของอาจารย์ตำหนักจื่อ ชายวัยกลางคนยืนอยู่ และที่น่าประทับใจคือ เขาคือผู้ที่เคยเป็นเจ้าตำหนักจื่อ

เพียงแต่ว่าผลการฝึกตนของเขาในเวลานี้ ไม่ใช่ระดับแดนจักรพรรดิยุทธ์อีกต่อไป แต่เป็นราชายุทธ์ขั้นสาม

ก่อนหน้านี้ภายในคีตโลกาถ้ำเทพสถิต เขาถูกหลัวซิวทำลายเทพจิตร่างเนื้อ ด้วยเส้นชีวิตที่เหลืออยู่ในตะเกียงวิญญาณเทพจิต จึงสามารถรักษาชีวิตไว้ได้

แต่เขาต้องการที่จะฟื้นตัวผลการฝึกตนให้อยู่ในระดับจักรพรรดิยุทธ์เหมือนวันเก่า ๆ อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสิบปี หรือแม้กระทั่งหลายสิบปีเห็นจะได้

ในดวงตาของเขา มีประกายแห่งความแค้น จ้องมองที่หอคอยจื่อแห่งนี้ไม่วางตา เพราะเขารู้ดี ผู้ที่สร้างเรื่องทั้งหมดขึ้นนั้น คือไอ้สวะหลัวซิวและมันอยู่ข้างในนั้น!

“หึ ช่างเป็นการแสดงที่ยอดเยี่ยมอะไรเช่นนี้!”

ทันใดนั้น เสียงฮึมฮัมเย็นเยียบลอยมาจากอากาศในระยะไกล และ เรือรบสีแดงราวกับลูกไฟก็บินข้ามท้องฟ้าด้วยความเร็วขีดสุด

“นี่มันเรือรบของใคร?”

ฝูงชนแห่งตำหนักจื่อต่างก็มีสีหน้างุนงง เพราะภายในสำนักมีเรือรบเพียงสามคันเท่านั้น การปรากฏตัวกะทันหันนี้มาจากไหน?

ปัง!

ระยะเวลาแค่เพียงสาบฟ้าฟาด เรือรบสีแดงเพลิง โจมตีโดยตรงต่อหนึ่งในสามเรือรบเรือรบสัมริดเขียวของตำหนักจื่อ

การระเบิดที่น่าสะพรึงกลัวดังก้องอยู่บนท้องฟ้า คลื่นพลังงานที่น่าสะพรึงกลัวก็กวาดไปทั่วท้องฟ้า วินาทีนั้นเองนักยุทธ์ตำหนักจื่อสิบกว่าคนบนเรือรบสัมริดเขียว ถูกฆ่าตายทันที ร่างกายของเขาแตกเป็นละอองเลือด

ไม่เพียงแค่นั้น เรือรบสัมริดเขียวถูกชนแล้วบินกลับหัวห่างออกไปหลายร้อยเมตร นักยุทธ์ตำหนักจื่อส่วนมากที่อยู่บนดาดฟ้าเรือ ทุกคนต่างก็ได้รับบาดเจ็บ เสียงกรีดร้องและคร่ำครวญมาอย่างพร้อมเพรียงกัน

หลัวซิวกับท่านพ่อท่านแม่เดินออกมาจากหอคอยฝึกตน เห็นฉากตรงหน้าพอดี เขาเองไม่ได้รู้สึกอะไร แต่หลัวซงหลินกับหลิวชูหยุนเคยเห็นภาพดังกล่าวเสียเมื่อไร พวกเขาทั้งสองอ้าปากค้างด้วยความตื่นตะลึง สองขาที่เกร็งก็สั่นเทา

ปีกทิพย์ไร้มลทินกางออก หลัวซิวที่มีท่านพ่อกับท่านแม่อยู่ด้วยนั้นกลายเป็นลำแสง และปรากฏตัวขึ้นบนเรือรบสีเพลิง

“ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านรีบไปในห้องโดยสาร” หลัวซิวกล่าว

หลัวซงหลินกับหลิวชูหยุนยังอยู่ในสภาวะตกใจ เมื่อได้ยินหลัวซิวบอก ก็พยักหน้าโดยสัญชาตญาณ เข้าไปในห้องโดยสาร

“ช่วยมาได้แล้วหรือ?” มู่จื่อซิวยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือ โดยเอามือไว้ข้างหลัง มองมาทางหลัวซิวและเอ่ยถาม “หอคอยฝึกตนที่ข้าไปนั้นว่างเปล่า รับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหวของพลังจิตแท้ จึงรีบรุดหน้ามา”

“ขอบคุณท่านผู้อาวุโสมู่เป็นอย่างยิ่ง” หลัวซิวยกมือขึ้นคำนับ

ทันใดนั้น ดวงตาของเขาก็เย็นวูบลงทันที “ถึงเวลาฆ่าล้างโคตรแล้ว!”

ในระหว่างที่พูดนั้น หลัวซิวสองมือประสานพลังตราประทับ ที่ทางเข้าของแดนตำหนักจื่อ ประตูมิติที่เต็มไปด้วยรัศมีสีม่วงปรากฏขึ้นอีกครั้ง“เยว่เอ๋อร์ ผู้อาวุโสหนิง พวกเจ้าเข้ามาได้เลย” เสียงนั้นลอยออกมาจากประตูมิติ กึกก้องไปทั่วท้องฟ้าเหนือเทือกเขาจื่อเหยียน

บทที่ 412 การต่อสู้กับตาเฒ่าประหลาดจักรพรรดิยุทธ์
มีการซ่อนเร้นของผังค่ายซ่อนงำอยู่ กระแสสัมผัสตัวสำนึกของปรมาจารย์ยุทธ์แดนฝึกจิตไม่มีทางค้นพบได้ ผ่านไปไม่นาน หลัวซิวและมู่จื่อซิว ก็ได้มาถึงพิกัดทางเข้าของแดนปริศนาแล้ว

ส่งพลังจิตแท้ให้ไหลเข้าไปในฮู้ที่ก่อนหน้านี้ได้กลั่นเอาไว้แล้ว มีระลอกคลื่นในโซนข้างหน้า จากนั้นช่องว่างก็ค่อย ๆ เปิดออก ประตูมิติที่เต็มไปด้วยรังสีสีม่วงก็ปรากฏขึ้น

หลัวซิวและมู่จื่อซิวที่อยู่ภายใต้การซ่อนเร้นของผังค่ายซ่อนงำ ก็เดินเข้าไปในทันที

ปรมาจารย์ยุทธ์ผู้ฝึกจิตหลายคนที่รับผิดชอบคุ้มกันทางของแดนปริศนา ต่างก็สังเกตเห็นภาพนั้น การแสดงออกที่เกียจคร้านของแต่ละคนก็กลายเป็นความเคารพในทันใด

เพราะการเปิดออกของทางเข้าแดนปริศนา โดยปกติแล้วมันหมายถึงมีผู้แข็งแกร่งแห่งตำหนักจื่อต้องการออกมาจากแดนปริศนา

แต่จนประตูปิดลง กลับไม่เห็นเงาของใครเดินออกมาสักคน เหล่าปรมาจารย์ยุทธ์ผู้ฝึกจิตก็มองหน้ากันไปมา ไม่รู้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

“พลังฟ้าดินจิตช่างหนาแน่นเหลือเกิน”

เพิ่งจะเข้ามาที่แดนตำหนักจื่อ ก็สามารถรับรู้ได้ถึง พลังจิตที่กระจายไปทั่วระหว่างฟ้าและดินที่อยู่ท่ามกลางแดนปริศนา มันหนาแน่นกว่าโลกภายนอกมาก

“คาดไม่ถึงเลยว่าเป็นแค่สำนักที่มีมกุฏยุทธ์ครองบัลลังก์ จะมีสถานที่ล้ำค่าอย่างแดนฝึกตนนี้”

ในฐานะที่เป็นผู้ลาดตระเวนของอีกพื้นที่หนึ่ง มู่จื่อซิวนั้นถือได้ว่าพบเจออะไรมามากมายนับไม่ถ้วน มีเพียงแค่สำนักเขาแห่งสี่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของสมาคมเป่ยเซี๋ย ที่เขาสามารถรับรู้ได้ว่ามีพลังฟ้าดินจิตที่เข้มข้นกว่าที่นี่

“ประสิทธิภาพเหมือนกับค่ายผนึกปราณระดับหก” หลัวซิวครุ่นคิดและพูดอะไรบางอย่าง

ในสมัยโบราณในยุคที่สำนักไท่เสวียนรุ่งเรืองที่สุด ภายในแดนตำหนักจื่อต่างก็เต็มไปด้วยค่ายผนึกปราณระดับเก้าแปดสิบเอ็ดสายอันทรงพลัง เป็นดั่งที่จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำได้กล่าวไว้ หลังจากผ่านไปนับหมื่นปี ค่ายกลไม่มีการบำรุงรักษา ผลกระทบจะลดลงมากกว่าครึ่ง

ฟื้นที่ภายในแดนตำหนักจื่อไม่ได้ใหญ่มากนัก มีหอคอยเก้าชั้นแปดสิบเอ็ดแท่นอันทรงพลังอยู่หนึ่งหอ หอคอยนี้สร้างจากวัสดุสีม่วง

หอคอยจื่อทุกหอคอยนั้น ต่างก็ตั้งอยู่ใจกลางของค่ายผนึกปราณแห่งหนึ่ง เป็นสถานที่ฝึกตนที่ดีที่สุดในแดนปริศนานี้

“หอคอยฝึกตน81หอคอย อย่าบอกนะว่าต้องหาไปทีละหอคอย?” หลัวซิวขมวดคิ้ว

“สามหอคอยฝึกตนทางฝั่งซ้ายสุดนั้นได้ถูกทิ้งร้างไปแล้ว ผลกระทบจากค่ายผนึกปราณลดลงจนแทบไม่มีเหลือ ตามที่เจ้าบอกไว้ ท่านพ่อท่านแม่ของเจ้ามีคุณสมบัติฝึกตน น่าจะเป็นคนธรรมดาใช่หรือไม่?” จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำพูดขึ้น

เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้น หลัวซิวก็เข้าใจได้ในทันที คนของตำหนักจื่อจับท่านพ่อท่านแม่ของเขาเข้ามาในแดนปริศนา จะไม่เสียดินแดนขุมทรัพย์ฝึกตนอย่างแน่นอนหากพวกเขาถูกคุมขัง พวกเขาน่าจะขังในหอคอยฝึกตนที่ถูกทิ้งร้าง

เมื่อคิดได้เช่นนี้ หลัวซิวชี้ไปที่ตำแหน่งของหอคอยฝึกตนที่ถูกทิ้งร้างทั้งสามในทันทีและพูดว่า “พวกเราไปทางนี้”

เมื่อพูดจบ เขาและมู่จื่อซิวก็บินขึ้นไปบนท้องฟ้าและรีบมุ่งไปอย่างรวดเร็ว

ผ่านไปไม่นาน พวกเขาทั้งสองมาถึงตำแหน่งของหอคอยฝึกตนแห่งแรก หลัวซิวกระจายกระแสสัมผัสพลังชีวิตออกไป ปกคลุมจนทั่วทั้งหอคอยจื่อ ไม่ได้สัมผัสรังสีพลังชีวิตใด ๆ ข้างใน

เห็นได้ชัดว่าท่านพ่อท่านแม่ของเขาไม่ได้ถูกขังอยู่ในหอคอยนี้

หอคอยฝึกตนที่ถูกทิ้งร้างที่เหลืออีกสองแห่ง แห่งหนึ่งอยู่ทางซ้าย อีกแห่งอยู่ทางขวา ห่างกันหลายลี้

“ผู้อาวุโสมู่ เราแยกกันไปคนละฝั่ง” หลัวซิวได้หยิบเอาผังค่ายซ่อนงำออกมาอีกครั้ง ยื่นใส่มือมู่จื่อซิวพลางเอ่ยพูด

สำหรับแผนการช่วยชีวิตคนใกล้ชิดของเขาครั้งนี้ อาจกล่าวได้ว่าเขาได้เตรียมการอย่างเต็มที่ในทุกด้าน

“ตกลง”

มู่จื่อซิวไม่ได้มีความลังเลใดใด หลังจากรับผังค่ายซ่อนงำแล้ว จากนั้นจึงฝังหินพลังจิตชั้นสูงชิ้นหนึ่ง เพื่อกระตุ้นผังค่าย และบินไปทางหอคอยฝึกตนทางด้านขวาทันที

แต่หลัวซิวกลับสำแดงวิชาท่าร่างบรรลุมังกรเขียว สำแสงสีเขียวปรากฏขึ้นที่ฝ่าเท้า และมุ่งตรงไปยังหอคอยฝึกตนทางด้านซ้าย

ยังไม่ทันได้เข้าใกล้ เขาสัมผัสได้ถึงรังสีพลังชีวิตในหอคอยฝึกตนด้านหน้าเขา

“ใครกัน? อาจหาญกล้าบุกรุกพื้นที่ต้องห้ามตำหนักจื่อของข้า!”

หลัวซิวเพิ่งลงไปตรงด้านหน้าของหอคอยฝึกตน จู่ ๆ ก็มีเสียงเยือกเย็นออกมาจากหอคอยฝึกตน

ทันใดนั้น ก็มีแสงแวบออกมาจากข้างใน ชายชราในชุดสีม่วง จ้องมองมาที่ตำแหน่งของเขาด้วยสายตามืดมน

หลัวซิวไม่เคยเห็นคนคนนี้มาก่อน แต่บนร่างของอีกฝ่ายแพร่กระจายลมปราณของจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าเขาจะเพิ่งบรรลุแดนจักรพรรดิยุทธ์ได้ไม่นาน เพียงแค่จักรพรรดิยุทธ์ขั้นหนึ่ง

ผังค่ายซ่อนงำไม่ได้มีความสามารถรอบด้าน เมื่อถูกตัวสำนึกของผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ควบคุมพื้นที่เพื่อสำรวจ ก็มองเห็นผ่านได้ง่าย

เห็นได้ชัดว่า ตัวสำนึกของตาเฒ่าประหลาดจักรพรรดิยุทธ์คนนี้ ครอบคลุมพื้นที่ใกล้หอคอยฝึกตนตลอดเวลา ดังนั้นเมื่อตอนที่หลัวซิวเข้ามานั้น ก็ถูกอีกฝ่ายสัมผัสได้

“เจ้าตำหนักจื่อถูกข้าปลด มือสังหารว่านถูกข้าฆ่า คิดไม่ถึงว่าในตำหนักจื่อจะยังมีจักรพรรดิยุทธ์”

ตอนนี้เขาถูกค้นพบแล้ว หลัวซิวจึงไม่หลบซ่อนอีกต่อไป เขาเก็บผังค่ายซ่อนงำ ทันใดนั้นเท้าของเขาก็เยียบลงบนร่างมังกรเขียว พุ่งตรงเข้าไปยังผู้อาวุโสจักรพรรดิยุทธ์คนนี้

“เป็นเจ้า!” เมื่อตาเฒ่าประหลาดจักรพรรดิยุทธ์ได้ยินคำพูดของหลัวซิว หลังจากมึนงงเล็กน้อย เขาก็ตอบสนองทันที

แน่นอนว่าเขารู้เรื่องที่เจ้าสำนักถูกปลดและว่านเหลียนเฉิงก็ถูกฆ่า และคนที่ทำทั้งหมดนี่ ก็คือไอ้หนุ่มวัยละอ่อนที่ชื่อหลัวซิว!

“เฮอะ เพียงแค่แดนราชายุทธ์ คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าจะเอาตัวเองมาถวายให้ข้าถึงที่!” ผู้อาวุโสจักรพรรดิยุทธ์คำรามก้อง แสงสีม่วงส่องเข้ามาเต็มมือทั้งสองข้าง กระบี่ยุทธ์ที่มีสีม่วงส่องประกาย ปรากฏขึ้นในฝ่ามือของเขา

ผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์แพร่อำนาจอันยิ่งใหญ่ออกมา กดบรรยากาศโดยรอบไว้

“วิชาภูตผีเซินหลัว!”

เพลิงมรณะลุกเป็นไฟทั่วร่างหลัวซิว ทันใดนั้นทักษะยุทธ์ระดับเก้าปรากฏขึ้นทันที พลังแห่งความตายอันน่าสะพรึงกลัวแผ่ขยายออกไป เปลวไฟสีดำกลายเป็นกระดูกญาณขนาดใหญ่ กระโจนเข้าหาฝ่ายตรงข้าม

“ที่แท้วิชาทักษะยุทธ์ระดับเก้านี้ที่ราชวงศ์ตระกูลฝานประมูลมาได้ ถูกเจ้าชิงไปนี่เอง”

ผู้อาวุโสจักรพรรดิยุทธ์เมื่อชำเลืองมอง เขาก็จำศิลปะการต่อสู้ที่สำแดงโดยหลัวซิวได้ เขาส่งเสียงหัสเราะเยาะขึ้นมา ม่านแสงสีม่วงส่องแสงเจิดจ้าดุจดวงอาทิตย์ก็แพร่กระจายออกมา

วิชาภูตผีเซินหลัว โครงกระดูกที่หลอมรวมได้พังทลายลงในชั่วพริบตา ลำแสงสีม่วงจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งมาทางหลัวซิวเพื่อกดให้เขาจมลง

“สมกับเป็นผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ แม้ว่าจะเป็นจักรพรรดิยุทธ์ขั้นหนึ่งทั่ว ๆ ไป หากไม่หงายไพ่ตายออกมา ข้าก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้เจ้า”

แม้ว่าการโจมตีของเขาจะถูกต่อต้าน แต่สีหน้าของหลัวซิวก็ไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย

“แหลกวิญญาณ!”

ในดวงตาของเขา มีแสงวาบขึ้นมาทันใด ตัวสำนึกที่เทียบเท่าผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ขั้นห้าพุ่งออกไปอย่างดุร้าย

ตัวสำนึกเหมือนดาบที่ทำลายไม่ได้ ตรงไปที่หัวของฝ่ายตรงข้ามที่มีแสงสีม่วงเปล่งประกายราวกับดวงอาทิตย์

จรัสม่วงนั้น คือเทพจิตของผู้อาวุโสจักรพรรดิยุทธ์ที่ฝึกตนออกมาได้

“ตัวสำนึกทรงพลังมาก!”

เมื่อหลัวซิวสำแดงการโจมตีวิญญาณ ผู้อาวุโสจักรพรรดิยุทธ์ที่อยู่ตรงข้ามก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที เพราะเขาพบว่า ราชายุทธ์ที่เขาไม่เคยใส่ใจราวกับเป็นเพียงมดตัวหนึ่ง จะมีตัวสำนึกที่แข็งแกร่งกว่าเขาเสียอีก

ผุบ!

เขากระอักเลือดออกมาเต็มปากทันที เทพจิตจรัสม่วงที่ลอยอยู่ด้านหลังศีรษะ ได้รับผลกระทบจากการโจมตีวิญญาณ มันสั่นไหว แต่กะพริบอยู่ชั่วขณะ

“ดาวจักรพรรดิจรัสม่วง!”

เทพจิตของผู้อาวุโสจักรพรรดิยุทธ์ได้รับบาดเจ็บ ตะโกนอย่างโกรธจัดออกมาทันที พลังจิตแท้ที่ตระหง่านนั้นถูกพ่นออกมาจากร่างกาย กลายเป็นร่างปลอมที่สูงกว่าสิบฟุต

นี่คือวิชาทักษะยุทธ์ระดับเก้าของตำหนักจื่อ ชื่อว่าดาวจักรพรรดิจรัสม่วง มีเพียงแค่เป็นผู้แข็งแกร่งมีผลการฝึกตนบรรลุถึงแดนจักรพรรดิยุทธ์ ถึงจะมีคุณสมบัติฝึกตน

ร่างคนของดาวจักรพรรดิปล่อยหมัดออกมา พื้นที่ก็บิดเบี้ยวจนแทบแตกเป็นเสี่ยง

บทที่ 411 แดนตำหนักจื่อ
ในตอนแรกหลงหมิงได้เคยกล่าวเอาไว้แล้ว สำนักไท่เสวียนในอดีตเคยมีแดนปริศนาอยู่แห่งหนึ่ง ชื่อว่าแดนตำหนักจื่อ การก่อตั้งของตำหนักจื่อ มีความเป็นไปได้อย่างมากว่าจะจะเกี่ยวข้องกับแดนตำหนักจื่อ

ภายหลังวิญญาณของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำ ได้เข้ามาอาศัยอยู่ภายในร่างของหลัวซิว เขาก็เคยสอบถามเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน แต่เมื่อเขามาถึงบริเวณใกล้เคียงของเทือกเขาจื่อเหยียนแห่งนี้ จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำก็แน่ใจได้ทันที แดนตำหนักจื่อตั้งอยู่ในส่วนลึกของเทือกเขาแห่งนี้จริง ๆ ด้วย

ส่วนหลงหมิงนั้น ตั้งแต่เข้ามาเขาเข้ามาในแดนแต่งตั้งราชาแล้ว ก็ไม่ได้พบเจอเขาอีกเลย หลังจากนั้นพอออกมาจากแดนแต่งตั้งราชา หลัวซิวก็พบว่าการเชื่อมกันด้วยวิชาสยบวิญญาณระหว่างเขาและหลงหมิงนั้น ก็หายไปแล้วด้วย

เขาไม่สามารถรู้ได้ว่าหลงหมิงไปที่แห่งใด และก็ไม่รู้ว่าในระหว่างที่เขาอยู่ภายในแดนแต่งตั้งราชานั้น มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

เขาคิดว่า การหายตัวไปของหลงหมิงบางที่อาจจะมีความเป็นไปได้สองประการ ประการแรกคืออาจจะถูกผู้แข็งแกร่งบางคนพบว่าเป็นตระกูลมารจึงจับเขาไปแล้ว หรือความเป็นไปได้อีกประการคือเขาได้มุ่งหน้าไปที่ถิ่นที่อยู่ของตระกูลมารแล้ว

“ตามรายงานจากแก๊ง ที่ตั้งของตำหนักจื่อ ตั้งอยู่ท่ามกลางแดนปริศนาโบราณ ต้องมีสิ่งที่ถือเป็นหลักฐานยืนยันเฉพาะ ถึงจะสามารถรับรู้ได้ถึงที่ตั้งของแดนปริศนา และจะได้พบสำนักเขาแห่งตำหนักจื่อ”

ลอยอยู่บนอากาศ ท่ามกลางขุนเขา มู่จื่อซิวมองมาทางหลัวซิว พูดเอ่ยช้า ๆ

“ข้าสามารถหาทางเข้าที่ตั้งของแดนปริศนาได้” หลัวซิวพูดขึ้นในทันที

จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำคือหนึ่งในสามมหาจักรพรรดิยุทธ์ผู้อาวุโสผู้ยิ่งใหญ่แห่งสำนักไท่เสวียนในอดีต สำหรับพิกัดทางเข้าแดนปริศนานั้น แน่นอนว่าย่อมชัดเจนยิ่งกว่าใคร ๆ

“ตามข้ามา” หลัวซิวพูดกับมู่จื่อซิวและหนิงเหอโจวซึ่งเป็นมกุฏยุทธ์ทั้งสอง

เหยียนเยว่เอ๋อร์เดินตามอยู่ด้านข้างเขา หลัวซิวสามารถรู้สึกได้ ภายในใจของนาง ไม่ได้สงบไปกว่าตนเท่าไรนัก

ตำหนักจื่อจับตัวท่านพ่อท่านแม่ของเขาไป เมื่อเทียบกับนางแล้วนั้น ก็มีความบาดหมางกันอย่างดุเดือดเช่นกัน ในตอนที่นางยังเยาว์วัย ท่านพ่อท่านแม่แท้ ๆ ของนางก็ถูกผู้แข็งแกร่งแห่งตำหนักจื่อทำร้ายจนตาย

หลัวซิวจับมือของนางไว้ พลางเอ่ยขึ้นเสียงเบา “ข้าจะทำให้ตำหนักจื่อไม่มีทางได้ผุดได้เกิดอีกต่อไป”

เหยียนเยว่เอ๋อร์พยักหน้า ร่างบางสั่นไหวเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าภายในใจนางนั้นไม่สงบเสียเลย

“แดนตำหนักจื่อพลังฟ้าดินจิตเข้มข้นมาก เป็นที่ตั้งของลานฝึกตนปิดขังของศิษย์ในสำนักไท่เสวียนในสมัยโบราณ”

“ภายในแดนปริศนา แต่เดิมมีการสร้างค่ายผนึกปราณแปดสิบเอ็ดสายที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมากไว้ แต่เวลาได้ผ่านไปเนิ่นนานเช่นนี้ ค่ายกลไม่ได้รับการทำนุบำรุงเป็นเวลานาน ประสิทธิภาพก็ลดลงไปอย่างมาก นอกเสียจากว่าจะได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาใหม่โดยปรมาจารย์ค่ายกลระดับเก้า”

จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำเข้าใจแดนตำหนักจื่อเป็นอย่างดี เพราะในสมัยโบราณนั้น ค่ายผนึกปราณอันแข็งแกร่งในสมัยโบราณแห่งแดนตำหนักจื่อนั้น มันเกิดขึ้นมาจากมือของเขาเอง

“เป็นที่แห่งนี้”

ในส่วนลึกของเทือกเขาจื่อเหยียน ภูเขาทั้งเจ็ดถูกจัดวางตามทิศทางพิเศษ ตามคำบอกเล่าของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำ ณ จุดที่ห่างอย่างเท่ากันของภูเขาทั้งเจ็ดนี้ ก็คือทางเข้าของแดนตำหนักจื่อ

ทางเข้าของแดนปริศนา ก็มีค่ายกลที่ถูกสร้างขึ้นไว้เช่นกัน จะรับรู้ถึงลมปราณของป้ายบัญชาการ ต้องเป็นคนที่ครอบครองป้ายบัญชาการเท่านั้น ถึงสามารถเข้าไปที่แดนปริศนาได้

ในขณะเดียวกัน หลัวซิวพบว่า ระหว่างภูเขาเหล่านี้ มีการสร้างตำหนักและบ้านเรือนจำนวนมาก อีกทั้งยังมีศิษย์ตำหนักจื่อจำนวนไม่น้อยปรากฎตัวเป็นครั้งคราว

เห็นได้ชัดว่า ศิษย์ตำหนักจื่อพวกนี้ที่อยู่ด้านนอก คือเหล่าคนที่ไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเข้าไปยังแดนปริศนา ส่วนมากมีผลการฝึกตนไม่สูงพอ ที่สูงที่สุดก็คือแดนฝึกจิต น่าจะเป็นศิษย์นอกของตำหนักจื่อ

หลัวซิวก็ไม่ได้กระทำอะไรโดยประมาท หากเมื่อได้ที่แหวกหญ้าให้งูตื่น ท่านพ่อและท่านแม่ของเขาก็จะมีความเป็นไปได้อย่างมากที่จะกลายเป็นตัวประกันในมือของตำหนักจื่อ เมื่อถึงเวลานั้นไม่ว่าตนจะเดินหน้าหรือถอยหลังก็คงจะเป็นเรื่องยาก

“เราจะเคลื่อนไหวกันอย่างไร?” มู่จื่อซิวและหนิงเหอโจวส่งสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามไปยังหลัวซิว

“ท่านพ่อท่านแม่ของข้าอยู่ในมือของพวกมัน ข้าจำเป็นต้องช่วยท่านพ่อท่านแม่ของข้าก่อน” หลัวซิวูดด้วยนำเสียงเคร่งขรึม

ในป่าที่ห่างออกไปหลายสิบลี้ หลัวซิวหยิบเอาธงขลังสรรพสิ่งออกมา และสร้างค่ายกลผังค่ายซ่อนงำและแยกลมปราณขึ้นมา

เขาไม่ได้หลบซ่อนความสามารถในด้านค่ายกลของเขา ค่ายกลทั้งสองที่สร้างขึ้นนั้น ต่างก็บรรลุถึงระดับหกแล้ว ทำให้มู่จื่อซิวและหนิงเหอโจว มกุฏยุทธ์ผู้แข็งแกร่งทั้งสองคนต่างก็มีสีหน้าประหลาดใจอย่างเต็มประดา

ชายหนุ่มคนหนึ่งที่อายุเพียงสิบกว่าปี สามารถฝึกตนได้ถึงแดนราชายุทธ์มันเหนือชั้นอยู่แล้ว แต่กลับยังเป็นถึงปรมาจารย์ค่ายกลระดับหกด้วย นี่เป็นสิ่งที่น่าน่าสะพรึงกลัวจริง ๆ

โดยเฉพาะมู่จื่อซิว เมื่อสังเกตได้ว่าหลัวซิวคือปรมาจารย์ค่ายกลระดับหก เขาก็ยิ่งมั่นใจ มีความเป็นไปได้อย่างมากว่าเจ้าหนุ่มวัยรุ่นคนนี้คือคิงซิวหลัว!

เพราะถึงแม้ว่าผลการฝึกตนของเขาจำไม่สูง แต่อาศัยอำนาจของค่ายกลระดับหก ความสามารถที่แท้จริงของเขาในตอนที่อยู่ในแดนแต่งตั้งราชา ก็ไม่ได้แตกต่างไปกว่าพวกปรมาจารย์ราชายุทธ์ขั้นเก้าเลย มิหนำซ้ำอาจจะห่างชั้นกว่าเสียด้วยซ้ำ

แต่ในใจของหลัวซิวในเวลานี้คิดเพียงแต่จะช่วยเหลือท่านพ่อท่านแม่ของตนจากภายในแดนตำหนักจื่อได้อย่างไร จึงไม่ได้คำนึงมากถึงขนาดนั้น ที่เขาสร้างค่ายกลทั้งสองขึ้นมานั้น ก็เพราะเพื่อกลั่นฮู้และสามารถเข้าไปในแดนตำหนักจื่อได้

ค่ายกลทั้งหมดภายในแดนตำหนักจื่อ ต่างก็ถูกสร้างขึ้นด้วยมือของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำ ค่ายกลที่อยู่ปากทางเข้านั้นจะข้ามผ่านได้อย่างไร แน่นอนว่าจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำรู้ได้อย่างชัดเจน

ผ่านไปไม่นานนัก เขาก็กลั่นฮู้ออกมาสี่อัน วัสดุของฮู้นั้น คือหยกน้ำเงินระดับหก

เขาเอาฮู้สามอันแบ่งให้กับเหยียนเยว่เอ๋อร์ มู่จื่อซิวและหนิงเหอโจว

“ฮู้นี้ที่อยู่ในมือ สามารถผ่านการยืนยันตัวตนของค่ายกลที่หน้าทางเข้าแดนปริศนาได้ อีกเดี๋ยวข้าจะเข้าไปก่อน พยายามช่วยท่านพ่อท่านแม่ของข้าออกมา หลังจากที่ข้าเข้าไปได้ครึ่งชั่วโมง พวกเจ้าทั้งสามก็เข้าไปได้ เมื่อถึงตอนนั้นยิ่งเสียงดังมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี” หลัวซิวบอกแผนการ

สำหรับเรื่องที่เขารู้จักแดนตำหนักจื่อมากเช่นนี้ได้อย่างไรนั้น มู่จื่อซิวและหนิงเหอโจวก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เป็นเพียงความคิดอุปาทาน ว่าเขามีความแค้นกับตำหนักจื่อ ดังนั้นจึงได้เข้าใจเรื่องราวของตำหนักจื่อได้ดีถึงเพียงนี้

“เจ้าเข้าไปคนเดียวมันอันตรายเกินไป” เหยียนเยว่เอ๋อร์พูดพลางจับมือหลัวซิว นางไม่วางใจให้หลัวซิวเข้าไปเพียงคนเดียว

“ไม่เช่นนั้นข้าเข้าไปพร้อมกับเจ้า หากมีอันตรายใดจริง ๆ หากมีข้าอยู่สามารถรับรองความปลอดภัยของเจ้าได้” มู่จื่อซิวก็เอ่ยขึ้นอีกเสียง

“ใช่แล้ว ไอ้หนุ่มหากเจ้าติดอยู่ด่านใน ค่าตอบแทนของข้ากับท่านพี่มู่ก็ไม่มีแล้วน่ะสิ” หนิงเหอโจวพูดหยอกล้อ

“เจ้าให้ผู้อาวุโสมู่เข้าไปกับเจ้าเถิด” เหยียนเยว่เอ๋อร์ก็เห็นดีด้วย นางรู้ดีว่าพลังของนางนั้นยังไม่เพียงพอ แต่มู่จื่อซิวคือมกุฏยุทธ์ผู้แข็งแกร่ง ให้เขาเข้าไปด้วย ความปลอดภัยของหลัวซิวนั้นก็ไม่มีอะไรต้องห่วง

หลัวซิวก็รู้ดีว่า หากเขาไม่รับปาก เหยียนเยว่เอ๋อร์ก็น่าจะไม่มีเห็นด้วยที่จะให้เขาเข้าไปเสี่ยงอันตรายคนเดียว ดังนั้นเขาคิดแล้วก็รับปากตกลงไป

เขาหยิบผังค่ายที่กลั่นออกมาเป็นผังค่ายซ่อนงำออกมาจากแหวนเก็บของ หลังจากเปิดใช้ ม่านแสงก็ปกคลุมทั้งเขาและมู่จื่อซิว ร่างนั้นหายไปจากกลางอากาศ

บริเวณใกล้เคียงกับทางเข้าของแดนปริศนา มีศิษย์นอกของตำหนักจื่ออยู่มากมาย แน่นอนว่าไม่สามารถเข้าไปแบบอึกทึกคึกโครมได้

บทที่ 410 เทือกเขาจื่อเหยียน
“เป็นพลังวิญญาณที่บริสุทธิ์มาก ขอบใจเจ้าหนู” วิญญาณของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำตื่นจากการหลับไหล

“ผู้อาวุโสเกรงใจเกินไปแล้ว ถ้าหากไม่มีท่าน ไม่แน่ชีวิตของข้าอาจจะจบลงที่เขาจิตนภาไปแล้ว” หลัวซิวพูด

“ได้ของที่อยู่ด้านในหรือยัง?” จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำถาม

“ได้มาแล้ว แต่เป็นอย่างที่ผู้อาวุโสเคยพูดเอาไว้ สิ่งที่ควบแน่นอยู่ตรงศูนย์กลางของค่ายกลไม่ใช่ช่องจิต แต่เป็นเพียงกลุ่มพลังวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น” หลัวซิวพูด ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องของช่องจิตปลอม

สำหรับของอย่างช่องจิต ความเข้าใจของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำที่ยังไม่เข้าใกล้ดินแดนนิรันดร์มีขีดจำกัด

“ของอย่างช่องจิต มันใช่สิ่งที่อาศัยค่ายกลอย่างเดียวก็สามารถควบแน่นหรือ?” จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำถอนหายใจ “ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ไม่รู้มีผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์มากเท่าไหร่ที่ไม่สามารถเข้าใกล้ดินแดนนิรันดร์ ทั้งหมดเป็นเพราะ การที่จะบรรลุถึงดินแดนนิรันดร์ จำเป็นต้องได้รับการยอมรับจากกฎดั่งเดิม”

“เดิมทีกฎก็เป็นสิ่งที่ยากจะตระหนัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกฎดดั้งเดิม” จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำพูดอย่างเสียดาย “แต่ไม่รู้ว่าพลังวิญญาณที่ควบแน่นอยู่ใจกลางค่ายกลแห่งนั้นมานานเท่าไหร่ พลังสายนี้ยิ่งใหญ่มาก เจ้าได้รับผลเก็บเกี่ยวไม่น้อยเลย”

ที่พูดแบบนี้เป็นเพราะตอนที่จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำตื่นจากการหลับไหล เขาสัมผัสได้ถึงตัวสำนึกของหลัวซิวบรรลุถึงระดับจักรพรรดิยุทธ์แล้ว

ส่วนตัวหยั่งรู้ของหลัวซิวเนื่องจากมีการดำรงอยู่ของลูกแก้วความเป็นต่อไป เขาไม่สามารถสัมผัสได้ถึงสถานการณ์ที่อยู่ด้านใน

“ด้วยตัวสำนึกวิญญาณระดับจักรพรรดิยุทธ์ เจ้าสามารถยืมใช้พลังส่วนหนึ่งของสามสมบัติวิเศษเสวียนดำของข้าแล้ว” จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำพูดอย่างกะทันหัน

“สามสมบัติวิเศษเสวียนดำ?” หลัวซิวได้ยินคำพูดประโยคนี้ ตาลุกวาวเป็นประกาย

สามสมบัติวิเศษเสวียนดำที่พูดถึงก็คือสมบัติวิญญาณสามชิ้นที่จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำใช้ในอดีตจนสร้างชื่อให้กับตนเอง

ถึงแม้สมบัติวิญญาณทั้งสามชิ้นจะไม่ได้ถือกำเนิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมา แต่ก็ถูกตั้งโดยปรมาจารย์ค่ายกลระดับเก้า บวกกับวิธีการหลอมของวิเศษในยุคบรรพกาล ตอนที่หลอมสมบัติวิญญาณทั้งสามชิ้น เรียกได้ว่าผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์คนนี้ทุ่มเททั้งหมดที่เขามี ของทุกชิ้นล้วนแต่เป็นสมบัติวิญญาณขั้นสูง

ลูกแก้วเสวียนดำ ตำหนักเสวียนดำ เขาทองดำไท่เสวียน!

“สมบัติวิญญาณทั้งสามชิ้นที่ข้าสร้างขึ้น หนึ่งในเขาทองดำไท่เสวียนใช้สังหาร ตำหนักเสวียนดำใช้ป้องกัน ส่วนลูกแก้วเสวียนดำมีพลังมหาศาลซ่อนอยู่ สามารถทำให้พลังจิตแท้ของข้าอยู่ในสภาวะสมบูรณ์ตลอดเวลา ในสมัยยุคบรรพกาล ข้าอาศัยสมบัติวิญญาณทั้งสามชิ้นสังหารมหาจักรพรรดิยุทธ์พร้อมกันสามคน ผลการฝึกตนของแต่ละคนไม่ได้ด้อยไปกว่าข้า”

เรื่องในอดีตเรื่องนี้เป็นเรื่องที่จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำรู้สึกภาคภูมิใจมากที่สุด ศึกครั้งนั้นกินเวลานานถึงสามวันเต็ม เขาอาศัยสามสมบัติวิเศษเสวียนดำสามชิ้นเผชิญหน้ากับมหาจักรพรรดิยุทธ์สามคน สุดท้ายมีสองคนได้รับบาดเจ็บสาหัส และชนะไปในที่สุด

“เจ้าไม่สามารถใช้ตำหนักเสวียนดำและเขาทองดำไท่เสวียน แต่เจ้าสามารถอาศัยตัวสำนึกระดับจักรพรรดิยุทธ์ขับเคลื่อนลูกแก้วเสวียนดำ ยืมพลังของลูกแก้วเสวียนดำ สามารถทำให้ผลการฝึกตนของเจ้าเพิ่มขึ้นได้ประมาณหนึ่งขั้นใหญ่” จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำพูด

“หนึ่งขั้นใหญ่? แบบนี้ไม่เท่ากับ…” แววตาของหลัวซิวเป็นประกาย ผลการฝึกตนก้าวข้ามหนึ่งขั้นใหญ่ แบบนี้ก็หมายความว่าเขาสามารถอาศัยพลังของลูกแก้วเสวียนดำ ปลดปล่อยพลังระดับจักรพรรดิยุทธ์ขั้นสาม

ด้วยไพ่ตายที่อยู่ในมือของเขา บวกกับผลการฝึกตนของจักรพรรดิยุทธ์ขั้นสาม ถึงไม่สามารถเอาชนะผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ แต่การปกป้องตนเองไม่ใช่ปัญหา

ส่วนในระดับดินแดนจักรพรรดิยุทธ์ เขาไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวใคร!

ทว่ากลับไม่สามารถใช้ตำหนักเสวียนดำและเขาทองดำไท่เสวียว ทำให้หลัวซิวรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ของทั้งสองสิ่งเป็นถึงสมบัติวิญญาณที่ใช้จู่โจมและตั้งรับของยุคบรรพกาล การป้องกันของตำหนักเสวียนดำ คนที่อยู่ระดับจักรพรรดิยุทธ์ลงไปไม่สามารถทำลาย ส่วนเขาทองดำไท่เสวียนหากโยนออกไป ต้องสามารถบดขยี้มกุฎยุทธ์คนหนึ่งตายอย่างง่ายดายแน่นอน

แต่หลังจากที่ครุ่นคิด ผลการฝึกตนของตนเองเป็นเพียงดินแดนราชายุทธ์ ถ้าหากสามารถใช้ของวิเศษที่ร้ายกาจเช่นนี้มารับมือศัตรู แบบนี้มันก็ขัดกับลิขิตสวรรค์มากเกินไป

เวลาล่วงเลยผ่านไปทีละนิดโดยไม่รู้ตัว ตอนที่ตัวสำนึกของหลัวซิวบรรลุถึงจักรพรรดิยุทธ์ขั้นห้า เรือรบที่ลอยอยู่กลางอากาศหยุดชะงักอย่างกะทันหัน

หลัวซิวลุกขึ้นยืน ปลดผนึกค่ายกลต้องห้าม เดินออกมาจากในเรือ

“ถึงแล้วเหรอ?”

เขายืนอยู่บนดาดฟ้า ด้านล่างของเรือเป็นผืนป่าที่รกร้างแห่งหนึ่ง หลังจากเดินทางติดต่อกันมานานสองเดือน ในที่สุดก็มาถึงสถานรกร้างภาคเหนือของประเทศเทียนหวู

“ผู้อื่นไม่รุกล้ำข้า ข้าไม่รุกรานผู้อื่น ตำหนักจื่อและสำนักเสวียนหยาง พวกเจ้ารนหาที่เอง!” หลัวซิวกระตุกมุมปากขึ้นยิ้มอย่างเย็นชา

สถานที่รกร้างภาคเหนือ เป็นสถานที่ที่มีข้อมูลรวดเร็วที่สุด ย่อมเป็นเมืองร้าง

หลัวซิวไม่ต้องการให้คนของตำหนักจื่อและสำนักเสวียนดำรู้ว่าตนเองกลับมาแล้ว เหตุนี้จึงสั่งให้มู่จื่อซิวเก็บเรือรบ คนทั้งกลุ่มบินอยู่กลางอากาศ เดินทางตรงไปยังตำแหน่งของเมืองร้าง

ในขณะเดียวกันเขาได้ติดต่อกับสวีจิงเหนียน ให้เขาช่วยสืบญาติมิตรสหายของตนเองถูกจับตัวไปที่ไหน

“เขากลับมาแล้วเหรอ?”

ในเมืองเทียนหวู ภายในตำหนักตระกูลสวี บนใบหน้าที่ชราภาพของสวีจิงเหนียนมีรอยยิ้มปรากฏขึ้น

ในระยะเวลาสองปีที่ผ่านมา ภายใต้การกดดันของตำหนักจื่อและสำนักเสวียนหยาง ความรุ่งเรืองของตระกูลสวีได้รับผลกระทบอย่างหนัก ทำให้อาจารย์ของตระกูลสวีคนนี้รู้สึกอัดอั้นใจมาโดยตลอด

“ในเมื่อหลัวซิวกล้ากลับมา แสดงว่าเขาต้องมั่นใจว่าสามารถรับมือตำหนักจื่อและสำนักเสวียนหยาง มีปรมาจารย์ลึกลับอยู่เบื้องหลังของเจ้า!”

ที่สวีจิงเหนียนเชื่อใจหลัวซิวมากขนาดนี้ นั่นเป็นเพราะเขารู้สึกว่าหลัวซิวเป็นคนลึกลับมาก และผู้คนมักจะรู้สึกหวั่นเกรงต่อเรื่องลึกลับที่ตนเองไม่รู้

เขาตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว “พี่สาวของเจ้าและคนของตระกูลหลิว ถูกจับตัวไปที่สำนักเสวียนหยาง ส่วนพ่อแม่ของเจ้าถูกคนของตำหนักจื่อจับตัวไป”

หลังจากผ่านการเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นของสวีจิงเหนียน หลัวซิวก็พอจะรู้เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นหลังจากปีที่เขาจากไป

ก่อนที่เขาจะจากไป เขาให้คำชี้แนะวิธีการฝึกฝนบางอย่างให้แก่ผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์หลายคน นอกเหนือจากนี้เพื่อป้องกันอาจารย์ของตำหนักจื่อถูกบีบคั้นจนทำเรื่องที่ไม่คาดคิด เขาตั้งใจมอบม้วนหยกส่วนหนึ่งให้เจ้าสำนักเสวียนหยางและเจ้าสำนักฉางเหอ ด้านในเป็นบันทึกเกี่ยวกับเคล็ดลับการฝึกฝนดินแดนมกุฎยุทธ์

เคล็ดลับเหล่านี้ล้วนแต่ได้มาจากจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำ เป็นของล้ำค่ามาก

ต่อมาอาจารย์ของตำหนักจื่อพาคนจำนวนมากกลุ่มหนึ่งมาเยือนมืองชิงหยุน จุดประสงค์คือจับตัวญาติของเขา ในตอนนั้นอาจารย์เสวียนหยางและอาจารย์ฉางเหอปรากฏตัวขึ้นทันที เผชิญหน้ากับอาจารย์จักรพรรดิยุทธ์สองคนร่วมมือกัน อาจารย์ตำหนักจื่อต้านทานไม่ไหว จึงทำได้แต่ถอยจากไปด้วยความโกรธ ค่อยกลับมาล้างแค้นทีหลัง

แต่ผ่านไปได้ไม่นาน อาจารย์ตำหนักจื่อและอาจารย์เสวียนหยางแอบทำข้อตกลงกัน ร่วมมือกันลอบโจมตีอาจารย์ฉางเหอที่ไม่ทันระวัง โชคดีที่อาจารย์ฉางเหออาศัยวิธีการที่พิเศษหนีรอดมาได้ เพราะแบบนี้จึงไม่จบชีวิตลงที่นั่น

ต่อมาสำนักฉางเหอปิดผนึกภูเขา ตำหนักจื่อและสำนักเสวียนหยางยิ่งได้ใจ จับตัวญาติมิตรสหายของเขาในเมืองชิงหยุนไปจนเกือบหมด และทำลายเมืองชิงหยุนจนสิ้นซาก

ไม่เพียงแค่นั้น หัวหน้าแก๊งเสิ่นหยวนหนานของเขตการปกครองโตว้ไห่และหัวหน้าแก๊งเหวินเซวียนหงของเขตการปกครองหยุนหลง ก็โดนทั้งสองสำนักทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ หากไม่ได้เป็นเพราะพวกเขาเป็นคนขององค์กรนักล่ายุทธ์ เกรงว่าคนทั้งสองต้องจบชีวิตลงแน่นอน

เห็นได้ชัดว่าตำหนักจื่อและสำนักหยางเสวียนต้องการเล่นงานคนทั้งหมดที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา

หลังจากที่รู้เรื่องทั้งหมด ถึงสีหน้าของหลัวซิวจะดูสงบนิ่ง แต่ส่วนลึกภายในใจของเขามันเต็มไปด้วยเจตนาแห่งการฆ่าที่ท่วมท้น

“ดินแดนแห่งนี้กำลังจะเปื้อนเลือด!” หลัวซิวพูดในใจ!

ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศเทียนหวู มีป่าทึบโบราณที่ทอดยาวไม่มีสิ้นสุดแห่งหนึ่ง ฟ้าดินเต็มไปด้วยพลังจิตแท้ เป็นสถานที่อุดมไปด้วยทรัพยากร

เพราะหินของสถานที่แห่งนี้ล้วนแต่เป็นสีม่วง ดังนั้นจึงถูกเรียกว่าเทือกเขาจื่อเหยียน

บท

บทที่ 409 รวมตัว
สายตาของเขาหันไปมองเหยียนเยว่เอ๋อร์ก่อน เพราะผลการฝึกตนของผู้หญิงคนนี้เป็นจักรพรรดิยุทธ์ ดังนั้นหนิงเหอโจวจึงคิดว่านางน่าจะเป็นคนประกาศภารกิจ

ส่วนเด็กหนุ่มที่เป็นเพียงราชายุทธ์ขั้นสามคนนั้น ถูกหนิงเหอโจวมองข้ามโดยตรง

“ท่านน่าจะเป็นผู้อาวุโสหนิงใช่หรือเปล่า ข้าเป็นคนประกาศภารกิจเอง” หลัวซิวลุกขึ้นยืน ยกมือขึ้นคำนับยิ้มแล้วพูด

“เจ้า? ……” หยิงเหอโจวเบิกตากว้าง หันความสนใจมาทางเด็กหนุ่มที่เป็นเพียงราชายุทธ์ขั้นสาม

“ผลการฝึกตนราชายุทธ์ขั้นสาม ถ้าข้าจำไม่ผิด การประกาศจ้างวานมกุฎยุทธ์อย่างน้อยก็ต้องเป็นอัจฉริยะขั้นดินชั้นล่าง ราชายุทธ์ขั้นสามถึงขั้นคิดอยากได้การประเมินอัจฉริยะขั้นดินชั้นล่าง เจ้าเพิ่งอายุสิบกว่าปีเองมั้ง?”

หนิงเหอโจวกวาดสายตามองหลัวซิวตั้งแต่หัวจรดเท้า ในแววตาปรากฏให้เห็นความประหลาดใจ

ในองค์กรนักล่ายุทธ์มีมกุฎยุทธ์ไม่น้อย แต่การประเมินอัจฉริยะที่สามารถบรรลุขั้นดินกลับมีน้อยมาก

โดยเฉพาะคนที่สามารถบรรลุราชายุทธ์ในตอนอายุเพียงสิบกว่าปี มีเวลาอีกเป็นพันปีในการฝึกทะลวงระดับดินแดนที่สูงกว่า ตราบใดที่ไม่ยอมแพ้ ความสำเร็จในอนาคตไร้ขีดจำกัด

หลัวซิวพยักหน้า ไม่ได้อธิบายเรื่องอายุของตนเองอย่างละเอียด และไม่ได้พูดถึงเรื่องการประเมินระดับขั้นดินชั้นกลางของตนเอง ระดับสิทธิในองค์กรของเขา สูงยิ่งกว่าหนิงเหอโจวที่เป็นผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์คนนี้เสียอีก

“เหอะเหอะ เดิมทีข้าตั้งใจไปตามหาหญ้าวิญญาณในสถานรกร้างโลหิตมาร หลังจากนั้นค่อยไปตามหาปรมาจารย์กลั่นยาระดับเจ็ดมาช่วยข้ากลั่นยา แต่บังเอิญเห็นการประกาศภารกิจจ้างวานของเจ้า ดวงของข้าถือว่าไม่เลว”

หนิงเหอโจวหัวเราะเหอะเหอะ สถานรกร้างโลหิตมารที่เขาเอ่ยถึงอยู่ห่างจากเมืองห้าวซานไม่ได้ถือว่าไกลมากนัก เป็นสถานที่ที่ค่อนข้างอันตราย มีอสูรระดับหกที่แข็งแกร่งมากมายอาศัยอยู่ไม่น้อย

แต่หลัวซิวกลับเข้าใจคำพูดของหนิงเหอโจวไปอีกแบบหนึ่ง นั่นก็คือค่าตอบแทนของภารกิจ

หลัวซิวก็ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจอะไร การรับภารกิจของผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์ ไม่ใช่ญาติมิตรสหายของเขา เดิมทีก็มาเพื่อค่าตอบแทนอยู่แล้ว เมื่อไม่มีมิตรภาพต่อกัน มันย่อมหมายถึงเรื่องของผลประโยชน์

หลัวซิวพลิกมือเรียกขวดหยกสองขวดออกมาวางลงบนโต๊ะ ยิ้มแล้วพูด “นี่คือยาระดับเจ็ดเป็นค่าตอบแทนของภารกิจครั้งนี้ ผู้อาวุโสหนิงเชิญดูก่อน”

หนิงเหอโจวพยักหน้าพร้อมกับรอยยิ้ม หลังจากนั้นยื่นมือออกไปหยิบขวดหยกทั้งสองขึ้นมาอย่างไม่เกรงใจ ดึงฝาออก ยื่นจมูกเข้าไปดม หลังจากนั้นเทยาทั้งสองเม็ดออกมาตรวจสอบอย่างละเอียด

“อืม เป็นยาสลายร่างหลงหยางและยาวาตะทองน้้ำค้างหยก จริง” หลังจากที่หนิงเหอโจวมั่นใจ จึงนำยาใส่กลับเข้าไปในขวดหยก หลังจากนั้นวางคืนลงบนโต๊ะ

ก่อนที่ภารกิจจะเสร็จสิ้น ย่อมไม่มีกฎที่ต้องจ่ายค่าตอบแทนล่วงหน้า สิ่งที่เขาทำเมื่อกี้เป็นเพียงการตรวจสอบค่าตอบแทนใช่ของจริงหรือไม่ จะได้หลีกเลี่ยงถึงเวลาตนเองไม่ต้องเหนื่อยเปล่า

“แต่มีสิ่งหนึ่งที่ข้ารู้สึกสงสัยมาก ด้วยผลการฝึกตนราชายุทธ์ของเจ้า เจ้าไปได้ยาระดับเจ็ดมาจากไหน?” หนิงเหอโจวถามอย่างกะทันหัน “ถ้าหากบนตัวเจ้ายังมียาสองชนิดนี้มากกว่านี้ ข้าสามารถใช้หินพลังจิตและของวิเศษแลกกับเจ้า”

การที่หนิงเหอโจวพูดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะผลการฝึกตนของเด็กหนุ่มในชุดกี่เพ้าดำคนนี้ไม่ได้สูงมาก มียาระดับเจ็ดแบบนี้อยู่ในมือก็ไม่ได้ใช้ ไม่สู้ขายเป็นของที่สามารถใช้เพิ่มพูนผลการฝึกตนของตนเองดีกว่า

“เหอะเหอะ ผู้อาวุโสหนิงเข้าใจผิดแล้ว ผู้น้อยเป็นเพียงผู้ฝึกตนราชายุทธ์ ย่อมไม่มีทางมียาระดับเจ็ดมากกว่านี้ ยาทั้งสี่เม็ดที่ประกาศจ้างวาน ผู้น้อยได้มาจากอาจารย์ของข้า” หลัวซิวยิ้มพูดอธิบาย

“ฮืม? อาจารย์ของเจ้าเป็นใคร?” หนิงเหอโจวถาม

“ผู้อาวุโสหนิงโปรดให้อภัย อาจารย์เคยบอกไว้ หากท่านไม่ยินยอม ห้ามเอ่ยชื่อเสียงเรียงนามของท่านกับคนอื่นเด็ดขาด”

สำหรับเรื่องนี้ หนิงเหอโจวเพียงแค่หัวเราะเหอะเหอะ ไม่ได้ถามอะไรมากอีก มันก็จริงที่มีผู้แข็งแกร่งละทิ้งทางโลกไม่ชอบเรื่องวุ่นวายมากมาย

ผ่านไปอีกสองวัน มู่จื่อซิวก็เดินทางมาถึงเมืองห้าวซานเช่นกัน

“คือเจ้า?”

ทันทีที่มู่จื่อซิวเห็นผู้ประกาศจ้างวานคือเด็กหนุ่มที่เคยเข้าร่วมศึกแต่งตั้งราชาที่เขาจัดขึ้นในตอนนั้น ในแววตาปรากฏให้เห็นความประหลาดใจ

“ฮืม? พี่มู่รู้จักน้องชายคนนี้?” หนิงเหอโจวที่อยู่ด้านข้างยิ้มแล้วพูด

มู่จื่อซิวพยักหน้า “ศึกแต่งตั้งราชาเมื่อหนึ่งปีก่อน ข้าเป็นคนแนะนำสหายน้อยซิวหลัวคนนี้”

เห็นได้ชัด ความสัมพันธ์ระหว่างมู่จื่อซิวและหนิงเหอโจวรู้จักกัน

“ศึกแต่งตั้งราชา?” หนิงเหอโจวรู้สึกอึ้งเล็กน้อย หันไปมองหลัวซิว “น้องชายทำให้ข้าต้องประหลาดใจอีกแล้ว เข้าร่วมศึกแต่งตั้งราชาด้วยผลการฝึกตนราชายุทธ์ขั้นสาม ตั้งแต่ในอดีตไม่เคยมีมาก่อน!”

ทุกคนรู้ดี คนที่เข้าร่วมศึกแต่งตั้งราชา อย่างน้อยก็เป็นถึงยอดฝีมือราชายุทธ์ขั้นเจ็ด

ทันใดนั้น แววตาของหนิงเหอโจวหยุดชะงัก “เดี๋ยวก่อน…เจ้าชื่อซิวหลัว? หรือว่ากับคิงหลัวซิวคนนั้น……”

หลัวซิวได้ยินคำพูดประโยคนี้ ส่ายหัวยิ้มอย่างขมขื่นทันที “ทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องบังเอิญ ผู้น้อยไม่เกี่ยวข้องอะไรกับคิงซิวหลัวคนนั้นแต่อย่างใด ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสมู่ก็เคยถามข้าแล้ว”

“มันก็จริง คิงซิวหลัวเป็นถึงอันดับหนึ่งของฉายาราชายุทธ์ ส่วนเจ้าเป็นเพียงผู้ฝึกตนราชายุทธ์ขั้นสาม” หนิงเหอโจวก็ส่ายหัวเช่นกัน รู้สึกว่าความคิดของตนเองเลอะเลือนเกินไป

“เหอะเหอะ พี่หนิงไม่รู้อะไร ตอนที่สหายน้อยซิวหลังเข้าร่วมศึกแต่งตั้งราชา ผลการฝึกตนเพิ่งเป็นราชายุทธ์ขั้นสอง”

มู่จื่อซิวยิ้มเล็กน้อย สายตาหันไปมองทางหลัวซิวโดยทั้งเจตนาและไม่ตั้งใจพร้อมกับความหมายที่ลึกซึ้ง

ถึงแม้ด้วยผลการฝึกตนของเขา แทบจะไม่มีความเป็นไปได้เลยที่จะเป็นคิงหลัวซิวคนนั้น แต่มู่จื่อซิวมักจะรู้สึกว่าเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ธรรมดา

เขาเคยใช้สถานะของผู้ลาดตระเวนตรวจสอบที่ไปที่มาของซิวหลัว พบว่าชื่อจริงของเขาคือหลัวซิว ปีนี้เพิ่งจะอายุสิบแปด สิ่งที่น่าเหลือเชื่อไปกว่านั้นคือ ตอนเขาอายุสิบสองยังเป็นแค่ผลการฝึกตนกลั่นร่าง ในเวลาเพียงห้าหกปีกลับสามารถบรรลุถึงระดับราชายุทธ์!

มกุฎยุทธ์สองคนจากการจ้างวานมาถึงแล้ว คนทั้งกลุ่มออกเดินทางไปอาณาจักรใต้ของประเทศเทียนหวูโดยตรง

ในระหว่างการเดินทาง สถานที่ส่วนใหญ่ไม่สามารถอาศัยค่ายกลวาร์ปในการเดินทาง คนทั้งสี่จึงขึ้นเรือรบของมู่จื่อซิว เพื่อไปดินแดนของประเทศเทียนหวูต่อ ต้องใช้เวลาประมาณสองเดือนกว่า

ในระหว่างนี้ หลัวซิวใช้เวลาส่วนใหญ่ฝึกฝนอยู่ในห้องลับของเรือลำนี้ เมื่อเทียบกับผลการฝึกตนที่ยิ่งอยู่ยิ่งก้าวหน้าช้า ตัวสำนึกวิญญาณของเขากลับก้าวหน้าอย่างรวดเร็วเนื่องจากการมีอยู่ของช่องจิตปลอม

ก่อนหน้านี้สามารถบรรลุถึงดินแดนจักรพรรดิยุทธ์ขั้นหนึ่ง หลายวันต่อมาทะลวงถึงดินแดนจักรพรรดิยุทธ์ขั้นสอง หลังหนึ่งเดือน ถึงขั้นบรรลุดินแดนจักรพรรดิยุทธ์ขั้นสี่

ยิ่งไปกว่านั้นหลัวซิวยังแบ่งพลังวิญญาณบริสุทธิ์ส่วนหนึ่งไปที่ฝ่ามือ ปล่อยให้จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำที่อยู่ในสภาวะจำศีลได้ดูดซับ อย่างไรก็ตาม การที่เขาได้ช่องจิตปลอมดวงนี้มาครอบครอง มันหนีไม่พ้นความดีความชอบของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำ

แต่หลัวซิวก็ยังคงหวาดระแวงเช่นกัน เขาไม่ได้สนับสนุนพลังวิญญาณให้จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันไม่ให้หลังจากที่มหาจักรพรรดิยุทธ์ยุคบรรพกาลคนนี้ฟื้นฟูพลังกลับมาแล้วเป็นภัยคุกคามต่อตนเอง

หลังจากดูดซับพลังวิญญาณที่หลัวซิวสนับสนุน จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำปลดปล่อยกลิ่นอายวิญญาณที่ผันผวนสายหนึ่งออกมา ดวงวิญญาณที่อ่อนแอก็แข็งแกร่งขึ้นไม่น้อย

บทที่ 408 ประกาศภารกิจ
หลัวซิวคิดไม่ถึง ตนเองถึงขั้นสามารถประเมินสิทธิในระดับขั้นดินชั้นกลาง เดิมทีเขาคิดว่าอาศัยผลการฝึกตนระดับราชายุทธ์ขั้นสาม สามารถเป็นสิทธิของระดับขั้นดินชั้นกลางก็ถือว่าไม่เลวแล้ว ถึงขั้นถ้าหากไม่ได้ เขาเตรียมคิดเอาไว้แล้วว่าจะเปิดเผยความสามารถในด้านค่ายกลหรือไม่ก็กลั่นยา

แต่หลังจากครุ่นคิด เขาเข้าใจแล้ว ที่สามารถประเมินสิทธิระดับขั้นดินชั้นกลาง คาดว่าน่าจะเป็นเพราะเขาที่เพิ่งอายุสิบแปด แต่กลับมีตัวสำนึกที่เทียบเท่ากับระดับจักรพรรดิยุทธ์ขั้นหนึ่ง

ในตัวหยั่งรู้ของเขา วิญญาณดั้งเดิมได้ก่อตัวขึ้นเป็นรูปร่างของมนุษย์แล้ว หน้าตาเหมือนกับเขาไม่มีผิดเพี้ยน สวมชุดกี่เพ้าสีดำขาว ลูกแก้วความเป็นตายถูกฝังอยู่ตรงหน้าผากกลางหว่างคิ้ว

ผลการฝึกตนของเขาไม่ได้บรรลุดินแดนจักรพรรดิยุทธ์อย่างแท้จริง ดังนั้นวิญญาณดั้งเดิมก็ไม่ได้กลายเป็นเทพจิต พูดให้ถูกน่าจะเป็นเทพจิตปลอม

คล้ายคลึงกับช่องจิตปลอม เทพจิตปลอมมีตัวสำนึกที่แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิยุทธ์ แต่กลับไม่ได้อยู่ในระดับผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์

ในองค์กรนักล่ายุทธ์ อัจฉริยะระดับขั้นดินชั้นกลาง สอดคล้องกับสิทธิของผู้แข็งแกร่งมหายุทธ์

และนั่นก็หมายความว่าการประกาศจ้างวานภารกิจในองค์กรนักล่ายุทธ์ของหลัวซิว มากสุดสามารถเชิญผู้แข็งแกร่งระดับมหายุทธ์ลงมือ

แต่ค่าตอบแทนที่ผู้แข็งแกร่งมหายุทธ์ลงมือก็ไม่ธรรมดา หลัวซิวคิดว่าด้วยความมั่งคั่งของตนเอง ไม่มีปัญญาเชิญผู้แข็งแกร่งระดับนี้แน่นอน

“ประกาศจ้างวานภารกิจ!” หลังจากระดับของสิทธิเพิ่มขึ้น หลัวซิวพูดขึ้นทันที

เท่าที่หลัวซิวรู้มา ผลการฝึกตนอาจารย์จักรพรรดิยุทธ์ของตำหนักจื่อและสำนักเสวียนหยางไม่เกินมกุฎยุทธ์ขั้นสาม

ส่วนผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ ว่านเหลียนเฉิงและเจ้าตำหนักของตำหนักจื่ออยู่ในมือของหลัวซิว ส่วนอาวุโสจักรพรรดิยุทธ์ของสำนักเสวียนหยางก็ถูกเขาและเหยียนเยว่เอ๋อร์ร่วมมือกันสังหาร เรียกได้ว่าขอเพียงสามารถจัดการความน่าเกรงขามอาจารย์มกุฎยุทธ์ ทั้งสองสำนักก็จะไม่เป็นภัยคุกคามต่อหลัวซิวอีก

ดังนั้นการประกาศจ้างวานภารกิจภายในองค์กรของเขาคือเชิญผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎยุทธ์สองคนขึ้นไป ค่าตอบแทนคือยาเม็ดระดับเจ็ด ยาสลายร่างหลงหยางและยาวาตะทองน้้ำค้างหยก

ร่างกายและเทพจิตของผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎยุทธ์รวมเป็นหนึ่ง จุดประสงค์คือการฝึกกลายเป็นร่างทอง ระดับนี้เป็นการฝึกร่างกายเป็นหลัก ส่วนยาสลายร่างหลงหยาง เป็นยาระดับเจ็ดที่ใช้ฝึกร่างกาย

ส่วนยาวาตะทองน้้ำค้างหยก เป็นยาระดับเจ็ดที่ใช้รักษาอาการบาดเจ็บ

หลัวซิวได้หญ้าวิญญาณระดับเจ็ดมาส่วนหนึ่ง หญ้าวิญญาณที่อยู่ในมือของเขาปัจจุบัน เพียงพอที่จะกลั่นยาเพียงสองชนิดนี้เท่านั้น

ภารกิจถูกประกาศออกไป วิญญาณแห่งค่ายกลจะส่งรายละเอียดภารกิจไปให้ผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎยุทธ์ที่ตรงตามเงื่อนไขของการจ้างวานภารกิจ ถ้าหากมีคนรับภารกิจ เขาจะได้รับการแจ้งเตือนในทันที

เวลาที่เหลือต่อจากนี้ สิ่งที่เขาต้องทำก็คืออดทนรอก็พอ

หลัวซิวเชื่อ ขอเพียงผลการฝึกตนไม่เกินมกุฎยุทธ์ขั้นหก ยาสลายร่างหลงหยางและยาวาตะทองน้้ำค้างหยก เพียงพอที่จะทำให้มกุฎยุทธ์ทุกคนหวั่นไหว

……

ดินแดนเป่ยเซี๋ย ผู้ลาดตระเวนมู่จื่อซิวกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนชั้นบนสุดของห้องใต้หลังคาหลังแห่งหนึ่ง รอบตัวมีแสงสีทองเป็นประกายจางๆ จมอยู่ในสภาวะของการฝึกตน

ทันใดนั้น เขาลืมตาขึ้น พลิกมือเรียกม้วนหยกที่อยู่ในแหวนเก็บของออกมาหนึ่งม้วน มีข้อมูลสายหนึ่งถูกส่งผ่านจากม้วนหยกเข้าไปในตัวหยั่งรู้

“การจ้างวานระดับมกุฎ? ยาสลายร่างหลงหยางและยาวาตะทองน้้ำค้างหยก ?”

มู่จื่อซิวรู้สึกหวั่นไหวเล็กน้อย ดินแดนเป๋ยเซี๋ยมีปรมาจารย์กลั่นยาระดับหกไม่น้อย แต่ปรมาจารย์กลั่นยาระดับเจ็ดกลับมีน้อยมากจนน่าสงสาร ยิ่งไปกว่านั้นโอกาสความสำเร็จและคุณภาพไม่ได้สูงมาก จึงส่งผลให้ผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎยุทธ์ทุกคนล้วนแต่ขาดแคลนยาระดับเจ็ดมาช่วยในการหนุนเสริมผลการฝึกตน

โดยเฉพาะยาสลายร่างหลงหยาง มันเป็นหนึ่งในยาที่ดีที่สุดสำหรับการฝึกชุบร่างทองของผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎยุทธ์ มู่จื่อซิวเคยได้มาหนึ่งเม็ดเมื่อร้อยกว่าปีกว่า

ปัจจุบันเขาบรรลุถึงดินแดนมกุฎยุทธ์ขั้นสาม ถ้าหากได้ยาสลายร่างหลงหยางมาอีกหนึ่งเม็ด ขอเพียงคุณภาพของยาบรรลุถึงแปดส่วนขึ้นไป เขาก็มีความมั่นใจเจ็ดส่วนในการทะลวงถึงดินแดนมกุฎยุทธ์ขั้นสี่ จากมกุฎยุทธ์ปฐมภูมิ ก้าวเข้าสู่มกุฎยุทธ์ช่วงกลาง

ขั้นสามและขั้นสี่ เป็นเหมือนกับเส้นกั้นต้นน้ำ ทันทีที่สามารถทะลวง ความแข็งแกร่งจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว

มู่จื่อซิวหรี่ตาลงเล็กน้อย หลังจากนั้นตรวจสอบรายละเอียดการจ้างวานภารกิจ

“ตำหนักจื่อและสำนักเสวียนหยางของอาณาจักรใต้?”

เขาอาศัยอยู่ในดินแดนเป๋ยเซี๋ยมาเป็นเวลานานมากแล้ว ไม่เคยได้ยินชื่อของทั้งสองสำนัก ดังนั้นจึงตรวจสอบผ่านระบบข่าวกรองขององค์กรนักล่ายุทธ์

“ข้ามู่จื่อซิวสามารถอาศัยมกุฎยุทธ์ขั้นสามกลายเป็นผู้ลาดตระเวนของดินแดนเป่ยเซี๋ย ยากจะหาคู่ปราบในหมู่คนระดับเดียวกัน ถึงแม้ทั้งสองสำนักจะมีมกุฎยุทธ์ แต่ผลการฝึกตนไม่เกินมกุฎยุทธ์ขั้นสาม ข้าสามารถจัดการได้สบาย”

มู่จื่อซิวลองชั่งน้ำหนักดูสักพัก ตั้งใจจะรับภารกิจนี้ ผู้จ้างวานภารกิจได้หมายเหตุเอาไว้แล้ว ต้องการมกุฎยุทธ์สองคนช่วยเหลือ ถ้าหากรับภารกิจช้า บางทีอาจจะโดนคนอื่นแย่งภารกิจนี้ไป

แม้กระทั่งผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์ที่มีสถานะสูงส่ง แต่เพื่อความก้าวหน้าของผลฝึกตน ตามหาทรัพยากรในการฝึกตน การแย่งชิงระหว่างนี้ก็ถือว่าค่อนข้างรุนแรง อย่างไรก็ตามเรื่องของทรัพยากร ทรัพยากรยิ่งมีระดับสูง ยิ่งมีมูลค่าเพิ่มขึ้น

ระยะห่างจากที่หลัวซิวประกาศภารกิจจ้างวานเพียงแค่ครึ่งวัน เขาได้รับข้อความหลายข้อความ

“นี่เพิ่งจะเวลาครึ่งวัน มีมกุฎยุทธ์ถึงหกคนรับภารกิจแล้ว ดูเหมือนของอย่างยาระดับเจ็ดไม่ได้ขาดแคลนธรรมดา”

องค์กรนักล่ายุทธ์ในเมืองห้าวซานหลัวซิวได้รับข้อความแล้ว เขาจำเป็นต้องคัดเลือกมกุฎยุทธ์สองคนในบรรดาทั้งหกคน

ในข้อความ มีหมายเหตุบอกว่ามีผู้ที่มีผลฝึกตนระดับมกุฎยุทธ์หกคน

แน่นอน คนที่สนใจภารกิจนี้ไม่ได้มีเพียงมกุฎยุทธ์ทั้งหกคนแน่นอน แต่เป็นเพราะผู้คนส่วนใหญ่อยู่ห่างจากผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์มากเกินไป ไม่เช่นนั้น ด้วยค่าตอบแทนยาระดับเจ็ดสองเม็ด ต้องทำให้มกุฎยุทธ์มากมายหวั่นไหวแน่นอน

“มู่จื่อซิว?” ในข้อมูลของผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์ทั้งหกคน หลัวซิวสังเกตเห็นชื่อของคนที่คุ้นเคย

ผู้ลาดตระเวนของดินแดนเป่ยเซี๋ยคนนี้ ถือว่าเคยมีวาสนาพบเจอหลัวซิวหนึ่งครั้ง ยิ่งไปกว่านั้นเขารู้มาจากจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำ คนที่สามารถขึ้นนั่งตำแหน่งผู้ลาดตระเวนของดินแดนหนึ่ง จะต้องเป็นคนที่แข็งแกร่งมาก

ไม่ต้องสงสัยเลย การมีมู่จื่อซิวช่วยลงมือ อาจารย์มกุฎยุทธ์ของตำหนักจื่อและสำนักเสวียนหยาง จะไม่มีภัยคุกคามสำหรับเขาอีก

มู่จื่อซิวเป็นผู้ฝึกตนมกุฎยุทธ์ขั้นสาม ในบรรดามกุฎยุทธ์ทั้งหก ยังมีอีกหนึ่งคนที่เป็นมกุฎยุทธ์ขั้นสี่ ชื่อหนิงเหอโจว

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้เกี่ยวข้องถึงความปลอดภัยของญาติมิตรตนเอง มกุฎยุทธ์ที่เชิญมายิ่งแข็งแกร่งก็ยิ่งดี

ดังนั้นหลัวซิวจึงแทบจะไม่ลังเลอะไรมาก เขาตัดสินใจเลือกให้มู่จื่อซิวและหนิงเหอโจวทั้งสองคนเป็นผู้รับภารกิจนี้ผ่านระบบ

ในเวลาเพียงแค่สามวัน หนิงเหอโจวเดินทางมาถึงองค์กรในเมืองห้าวซาน เขาเป็นชายวัยกลางคนที่มีรูปร่างสูงใหญ่ บนแผ่นหลังสะพายขวานสองเล่มประสานกัน รอบตัวถูกรายล้อมด้วยกลิ่นอายที่ป่าเถื่อน

คนทั้งสองพบกันในห้องหนังสือแห่งหนึ่งขององค์กร

“พวกเจ้าคือคนที่ประกาศภารกิจ?”

หลังจากที่หนิงเหอโจวเดินเข้าไปในห้อง สังเกตเห็นชายหญิงคู่หนึ่งนั่งอยู่ภายในห้อง อดไม่ได้ที่จะถามด้วยความสงสัย

บทที่ 407 สิทธิเพิ่มขึ้น
ไม่มีใครคิดว่าราชายุทธ์ขั้นสองคนหนึ่งสามารถติดอันดับแต่งตั้งฉายาราชายุทธ์

หลิวซิวไม่รู้ว่าที่มู่จื่อซิวถาม เป็นเพราะเจตนารมณ์ของตนเองหรือเจตนารมณ์ของสมาคม

ไม่ว่าจะพิจารณาจากด้านไหน หลัวซิวก็ไม่มีทางยอมรับว่าตนเองคือคิงซิวหลัว ดังนั้นเขาจึงตอบกลับมู่จื่อซิวอย่างรวดเร็ว “ผู้อาวุโสล้อเล่นแล้ว ผลการฝึกตนของผู้น้อยต่ำมากขนาดนี้ สามารถเอาชีวิตรอดจากศึกแต่งตั้งราชาก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว จะใช่คิงหลัวซิวได้อย่างไร?”

หลังจากที่ข้อความถูกส่งออกไป ผ่านไปเนิ่นนาน ตั้งแต่เริ่มจนจบมู่จื่อซิวไม่ได้ตอบกลับ

หลังจากนั้น หลัวซิวพาเหยียนเยว่เอ๋อร์เดินทางไปองค์กรนักล่ายุทธ์ในเมือง อาศัยค่ายวาร์ป ถูกส่งตัวไปอีกเมืองหนึ่ง

บางสถานที่ที่ไม่สามารถใช้ค่ายกลวาร์ป ก็ต้องใช้วิธีบินในการเดินทาง

เวลาล่วงเลยผ่านไปทีละนิด เวลาหนึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็วโดยไม่รู้ตัว

หลิวซิวและเหยียนเยว่เอ๋อร์เดินทางมาถึงเขตชายแดนของดินแดนเป่ยเซี๋ย อีกไม่นานก็จะเข้าสู่อาณาจักรใต้ ระยะทางอยู่ห่างจากประเทศเทียนหวูถึงว่าไม่ไกลแล้ว

“ระยะทางนี้ น่าจะสามารถติดต่อกับประเทศเทียนหวูได้แล้วมั้ง?” หลัวซิวคิดในใจ

การสื่อสารก็จำกัดระยะทางเช่นกัน หากระยะทางเกินขีดจำกัด ข้อความจะไม่สามารถส่งไปยังอุปกรณ์สื่อสารของอีกฝ่ายได้

การสื่อสารประเภทนี้เป็นการสื่อสารผ่านค่ายกล ระดับของค่ายกลยิ่งสูง ระยะที่จำกัดของการสื่อสารก็จะยิ่งไกลเท่านั้น

อย่างเช่นอยู่ในดินแดนเป่ยเซี๋ย หลัวซิวสามารถรับข้อความที่มู่จื่อซิวส่งมา และเมื่อไหร่ที่เขาออกจากดินแดนเป่ยเซี๋ยเข้าสู่อาณาจักรใต้ มู่จื่อซิวก็จะไม่สามารถติดต่อเขาอีก

คิดแล้วคิดอีก หลัวซิวส่งข้อความหาสวีจิงเหนียนบรรพบุรุษของตระกูลสวี ส่วนจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงเขาไม่ได้ติดต่อ เพราะเมื่อเทียบกันแล้ว เขาเชื่อใจสวีจิงเหนียนมากกว่า

ผ่านไปไม่นาน กล่องส่งเสียงสั่น สวีจิงเหนียนส่งข้อความตอบกลับ

“ตำหนักจื่อ สำนักเสวียนหยาง! …… ”

หลังจากตรวจดูข้อความของสวีจิงเหนียน สีหน้าของหลัวซิวมืดมนลง ถูกปกคลุมด้วยเจตนาแห่งการฆ่า

“มีอะไรเหรอ?” เหยียนเยว่เอ๋อร์สัมผัสได้ถึงเจตนาแห่งการฆ่าที่ไม่สามารถควบคุมบนร่างกายของเขา จึงถามด้วยความเป็นห่วง

“พ่อแม่และพี่สาวของข้า รวมไปถึงคนของตระกูลหลิวแห่งเมืองชิงหยุน ถูกคนของตำหนักจื่อและสำนักเสวียนหยางจับตัวไปแล้ว” หลัวซิวพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม

ในช่วงสองปีนับตั้งแต่เขาจากไป โครงสร้างโดยรอบของประเทศเทียนหวูก็เปลี่ยนไปไม่น้อย

ก่อนอื่นเลยคือราชวงศ์ตระกูลฝาน โดยพื้นฐานถือว่าล่มสลายแล้ว ถึงแม้ฝานไท่เต๋ออาศัยตะเกียงวิญญาณรักษาชีวิตเอาไว้ได้ แต่คิดจะฟื้นฟูผลการฝึกตนให้กลายเป็นจักรพรรดิยุทธ์เหมือนเมื่อก่อน อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาสิบกว่าปี

ราชวงศ์ตระกูลฝานไม่มีคนคุ้มครอง ย่อมไม่สามารถสยบกลุ่มอิทธิพลในประเทศหวู

ฝานไท่เต๋อหายตัวไป ราชวงศ์ตระกูลฝานถูกหลายตระกูลใหญ่ร่วมมือกัน ขับไล่ออกจากประเทศหวู

เมื่อก่อนประเทศหวูมีสิบตระกูลใหญ่ แต่หลังจากผ่านคีตโลกาถ้ำเทพสถิต มีอาจารย์ของหลายตระกูลถูกหลัวซิวสังหาร เหลือเพียงสี่ตระกูลใหญ่เท่านั้น

ในบรรดาสี่ตระกูลใหญ่มีตระกูลสวี ตระกูลเหยียน ตระกูลโกว ตระกูลหวาง

ตระกูลโกวหันไปเข้ากับตำหนักจื่อ ตระกูลหวางหันไปเข้ากับสำนักเสวียนหยาง ตระกูลสวีและตระกูลเหยียนแทบจะไม่มีที่ยืน

นอกเหนือจากนี้ ยังเกิดเรื่องใหญ่อีกเรื่องหนึ่ง นั่นก็คืออาจารย์มกุฏยุทธ์ของสำนักฉางเหอ ถูกอาจารย์ของตำหนักจื่อและสำนักเสวียนหยางร่วมมือกันลอบโจมตีจนได้รับบาดเจ็บสาหัส สำนักฉางเหอปิดประตูค่ายกลสำนัก ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีทางเลือกจึงทำได้แต่ปิดผนึกภูเขา

เมื่อก่อนสามสำนักใหญ่ต่างฝ่ายต่างอยู่ ไม่เคยมีสองสำนักใหญ่ร่วมมือกันแบบนี้มาก่อน

หลัวซิวรู้ดีว่าทำไมตำหนักจื่อและสำนักเสวียนหยางจึงจับคนในครอบครัวของตนไป เพราะพวกเขาต้องการวิชาสืบทอดของคีตโลกาถ้ำเทพสถิตในมือเขา

เพื่อนสนิทมิตรสหาย สำหรับหลัวซิวเป็นสิ่งที่ล้ำเส้นไม่ได้ ในใจของเขา ตำหนักจื่อและสำนักเสวียนหยางกลายเป็นศัตรูที่เขาต้องทำลายล้างไปแล้ว

ตั้งแต่ได้รับช่องจิตปลอมจากหุบเขาจิตนภา ช่วงนี้เขาไม่เคยหยุดที่จะฝึกฝนตนเองมาก่อน

ช่องจิตปลอมมีพลังวิญญาณจำนวนมหาศาล ตัวสำนึกวิญญาณของเขาก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ในเวลาเพียงหนึ่งเดือนกว่า บรรลุถึงระดับจักรพรรดิยุทธ์แล้ว!

หลังจากที่ตัวสำนึกทะลวงถึงระดับจักรพรรดิยุทธ์ ทำให้เขามีความสามารถกลั่นยาระดับเจ็ด ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถแสดงอานุภาพของค่ายกลขั้นหกออกมาอย่างเต็มกำลัง

แต่ทั้งหมดนี้ เมื่อเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งระดับมกุฏยุทธ์ ยังคงอ่อนหัดเกินไป

“อาศัยความแข็งแกร่งของข้าไม่สามารถรับมือมกุฏยุทธ์สองคน จำเป็นต้องยืมพลังจากภายนอก และต้องพึ่งพากำลังจะไปนอก!” หลัวซิวขมวดคิ้วแน่น

เหยียนเยว่เอ๋อร์นั่งอยู่ด้านข้าง มองเขาที่กำลังครุ่นคิดโดยไม่ได้รบกวน

หลังจากครุ่นคิด ในหัวของหลัวซิวมีเพียงสองวิธีที่สามารถทำได้ หนึ่งคืออาศัยที่ตนเองสามารถกลั่นยาเม็ดระดับเจ็ด โดยใช้ยาเม็ดเป็นค่าตอบแทน ตามหาผู้แข็งแกร่งระดับมกุฏยุทธ์หลายคนมาช่วยเหลือ

แต่ปัญหาคือผู้แข็งแกร่งระดับมกุฏยุทธ์ไม่ได้หาง่ายขนาดนั้น ยิ่งไปกว่านั้นด้านความเชื่อใจ ก็ถือเป็นปัญหาใหญ่ด้วย

ยังมีอีกวิธีหนึ่งนั่นก็คือประกาศภารกิจจ้างคนในองค์กรนักล่ายุทธ์ เชิญผู้แข็งแกร่งระดับมกุฏยุทธ์ขององค์กรที่พึ่งพาได้มาช่วย

แต่สิทธิของเขาในองค์กรเป็นเพียงขั้นดำชั้นสูง อย่างมากก็สามารถเชิญแค่ผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ หากต้องการมีคุณสมบัติในการจ้างผู้แข็งแกร่งมกุฏยุทธ์ จำเป็นต้องบรรลุสิทธิขั้นดิน

หลัวซิวปัดความคิดของวิธีแรกทิ้งไปอย่างรวดเร็ว ทำข้อตกลงกับผู้แข็งแกร่งมกุฏยุทธ์ เท่ากับรนหาที่อย่างไม่ต้องสงสัย เขาไม่สามารถสยบผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์ ถ้าหากทำแบบนั้นจริง มีความเสี่ยงสูงมาก

ส่วนวิธีที่สองสามารถทำได้ จำเป็นต้องเพิ่มสิทธิของตนเองในองค์กรให้สูงขึ้น

ในเขตชายแดนระหว่างดินแดนเป๋ยเซี๋ยและอาณาจักรใต้ หลัวซิวเดินทางมาถึงองค์กรนักล่ายุทธ์แห่งหนึ่ง

เหมือนกับเมืองโม่โหลว องค์กรนักล่ายุทธ์ที่นี่ก็มีส่งมอบภารกิจและประกาศจ้างภารกิจเช่นกัน

เขาวางตรานักล่าอสูรลงในร่อง ลําแสงของค่ายกลส่องไปทางกำแพงที่อยู่ด้านหน้า ปรากฏให้เห็นใบหน้าของมนุษย์ที่เลือนลาง

หลัวซิวรู้ นี่คือวิญญาณแห่งค่ายกล ควบคุมระบบภายในทั้งหมดขององค์กรนักล่ายุทธ์

“หลัวซิว สมาชิกอัจฉริยะระดับขั้นดำชั้นสูง ไม่มีภารกิจให้ส่งมอบ ต้องการรับภารกิจหรือประกาศภารกิจหรือไม่” วิญญาณแห่งค่ายกลพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่มีอารมณ์อ่อนไหวแม้แต่นิดเดียว

“ข้าต้องการประกาศจ้างผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์ในองค์กร” หลัวซิวพูด

“สิทธิของเจ้าไม่ถึง”

“ข้าต้องการประเมินระดับสิทธิใหม่” หลัวซิวรีบพูดต่อ

บนใบหน้าที่เลือนลางราวกับมีดวงตา มองข้ามสิ่งกีดขวางที่ไร้ขีดจำกัดลงบนตัวของหลัวซิว

“หลัวซิว อายุสิบแปดปี ผลการฝึกตนราชายุทธ์ขั้นสาม เทพจิตจักรพรรดิยุทธ์ขั้นหนึ่ง สามารถเพิ่มสิทธิเป็นระดับดินชั้นกลาง” วิญญาณแห่งค่ายกลพูดอย่างเชื่องช้า

สำหรับเรื่องที่วิญญาณแห่งค่ายกลสามารถตรวจสอบผลการฝึกตนของตนเองอย่างง่ายดาย หลัวซิวไม่ได้รู้สึกประหลาดใจแม้แต่นิดเดียว เพราะค่ายกลระดับเทพมีวิญญาณแห่งค่ายกลที่เหนือกว่ามหาจักรพรรดิยุทธ์

ระดับสิทธิขององค์กรนักล่ายุทธ์ ขั้นดำชั้นสูงสอดคล้องกับสิทธิของระดับจักรพรรดิยุทธ์ ขั้นดินชั้นล่างสอดคล้องกับสิทธิของมกุฎยุทธ์ ส่วนขั้นดินชั้นกลางสอดคล้องกับระดับมหายุทธ์!

“ระวัง!” เหยียนเยว้เอ๋อร์เห็นหลัวซิวปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน บนใบหน้าปรากฏให้เห็นความดีใจ ในเมื่อเขาปรากฏตัวขึ้นที่นี่ แสดงว่าไม่ได้เกิดอะไรขึ้นในหุบเขาจิตนภา

แต่เมื่อนึกถึงการไล่ล่าของมังกรเจียว สีหน้าของนางปรากฏให้เห็นความกังวลแทน อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นถึงสิ่งมีชีวิตน่าสะพรึงกลัวระดับจักรพรรดิยุทธ์ขั้นแปด

ไป๋หลิงเชวียนก็หันกลับไปมองแผ่นหลังของหลัวซิวด้วยความประหลาดใจเช่นกัน นางไม่เคยคิดว่าเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เป็นเพียงราชายุทธ์ จะสามารถเอาชีวิตรอดในหุบเขาจิตนภานานถึงสามเดือนกว่า ถึงขั้นเผชิญหน้ากับวิญญาณมังกรเจียวที่เป็นถึงจักรพรรดิยุทธ์ขั้นแปดก็ไม่คิดจะหนี?

หลังจากนั้น ภาพที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นทำให้เหยียนเยว่เอ๋อร์และไป๋หลิงเชวียนถึงกับเลิกตาอ้าปากค้างทันที

หลัวซิวพูดเพียง ‘ไสหัวไป’ ประโยคเดียว วิญญาณมังกรเจียวตัวนั้นกลับหนีกระเจิงเหมือนหนูวิ่งที่กำลังหนีแมว หันหลังแล้วหนีเข้าไปในกลีบเมฆไม่เห็นแม้แต่ร่องรอยทันที

ตอนที่เขาหันกลับมา เหยียนเยว่เอ๋อร์ได้วิ่งเข้ามาแล้ว เขารีบอ้าแขนดึงนางเข้ามาไว้ในอ้อมกอด

หลัวซิวสามารถสัมผัสได้ถึงความกระวนกระวายในจิตใจของเหยียนเยว่เอ๋อร์ อย่างไรก็ตามในช่วงเวลาสามเดือนที่เขาเข้าไปในหุบเขาจิตนภา ช่วงนี้นางรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนอยู่ตลอดเวลา

“ไม่เป็นไรแล้ว…” หลัวซิวลูบผมสีแดงเพลิงของนางด้วยความอ่อนโยนแล้วพูดปลอบใจ

“อาการบาดเจ็บของเทพธิดาไป๋ฟื้นฟูกลับมาแล้ว?” หลังจากนั้นเขามองไปทางไป๋หลิงเชวียน

“คำว่าเทพธิดาข้าคงรับไว้ไม่ได้ ถ้าหากน้องหลัวซิวยินดี เรียกข้าว่าพี่เชวียนเถอะ” ไป๋หลิงเชวียนยิ้มแล้วพูด

แม้นางจะไม่เข้าใจว่าทำไมมังกรเจียวถึงหนีไปหลังจากที่เห็นเขา แต่นางมั่นใจได้เลยว่าในเวลาสามเดือนกว่าที่ผ่านมา หลังซิวต้องเจอกับโชคลาภที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

ในตอนนี้นางพึ่งจะเข้าใจ ความแข็งแกร่งของหลัวซิวต้องไม่ธรรมดาเหมือนที่เห็นแน่นอน อย่างไรก็ตาม หุบเขาจิตนภาแห่งนี้ เรียกได้ว่าแม้กระทั่งผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ก็ไม่เคยกล้าพูดว่าสามารถเอาชีวิตรอดได้นานเกินสามเดือน

“หรือว่าเขาคือคิงซิวหลัวจริง?” ไป๋หลิงเชวียนรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้สูงมาก

เพราะมีเพียงคนที่ถูกยกย่องให้เป็นราชายุทธ์ถึงมีความแข็งแกร่งเท่ากับจักรพรรดิยุทธ์ และถึงขั้นสามารถข้ามระดับไปฆ่าจักรพรรดิยุทธ์ธรรมดา

“พี่เชวียนเข้ามาตามหาเจ้าเป็นเพื่อนข้า” เหยียนเยว่เอ๋อร์เอ่ยปากพูดอย่างกะทันหัน ราวกับไม่ต้องการให้หลัวซิวเป็นปรปักษ์กับไป๋หลงเชวียน

หลังจากได้ยินคำพูดประโยคนี้ หลัวซิวอดไม่ได้ที่จะมองไปทางไป๋หลิงเชวียนด้วยความประหลาดใจแวบหนึ่ง นางไม่เพียงช่วยตนเองและเหยียนเยว่เอ๋อร์รับมือลู่เจิ้งเซี๋ยงจนได้รับบาดเจ็บ และยังเสี่ยงชีวิตเข้ามาตามหาตนเองในหุบขาวจิตนภาพร้อมกับเหยียนเยว่เอ๋อร์

จุดประสงค์ที่แท้จริงของผู้หญิงคนนี้คืออะไรกันแน่?

แต่หลังจากที่เขารู้เรื่องราวชีวิตเมื่อสองร้อยปีก่อนของไป๋หลิงเชวียนจากปากของเหยียนเยว่เอ๋อร์ เข้ากับเกิดความรู้สึกนับถือในตัวของผู้หญิงคนนี้

เพราะนางไม่เพียงเป็นผู้หญิงที่ซื่อสัตย์ในความรัก ยังรู้จักแยกแยะบุญคุณความแค้น สามารถแบกรับความอัปยศแบบนี้มานานหลายปี บนโลกใบนี้ทุกคนล้วนแต่ทำเพื่อผลประโยชน์ คนเช่นนี้หาได้ยากมากแล้ว ดังนั้นผู้หญิงเช่นนี้คู่ควรแก่การให้หลัวซิวนับถือ

เนื่องจากวิญญาณเทพจิตของที่นี่เห็นหลัวซิวแล้วต้องหนีไปทันที ดังนั้นพวกเขาก็ไม่คิดจะสังหารวิญญาณที่นี่เพื่อรวบรวมผลึกวิญญาณ

หลังออกจากหุบเขาจิตนภา หลัวซิวส่งมอบแหวนเก็บของของลู่เจิ้งเซี๋ยงให้ไป๋หลิงเชวียน

ของที่อยู่ในแหวนเก็บของวงนี้ นอกจากม้วนหยกที่มีการบันทึกเกี่ยวกับหุบเขาจิตนภา ของอย่างอื่น หลัวซิวแทบไม่เคยแตะต้อง

ตอนแรกไป๋หลิงเชวียนปฏิเสธ อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้เหยียนเยว่เอ๋อร์เคยช่วยชีวิตนาง ต่อมาได้รับบาดเจ็บสาหัส พวกเขาก็เป็นคนป้อนยาให้นาง เพราะแบบนี้จึงสามารถทำให้จุดตันเถียนฟื้นฟูกลับมา

“พี่เชวียน ถ้าหากท่านเห็นพวกข้าเป็นสหาย ก็รับไว้เถอะ เพราะการที่สามารถเอาชนะลู่เจิ้งเซี๋ยง ก็เพิ่งผ่ายันต์จู่โจมขั้นเจ็ดของท่านด้วย ท่านเองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสเพราะเหตุนี้” หลัวซิวพูด

ท้ายที่สุดไป๋หลิงเชวียนก็ยอมรับแหวนเก็บของวงนั้น นางรู้ดีว่าคนทั้งสองไม่ใช่คนธรรมดา ลู่เจิ้งเซี๋ยงก็เคยพูดกับนาง หลัวซิวคนนี้ขายของวิเศษได้หินพลังจิตมาถึงสองแสนกว่าก้อน ต้องเป็นคนที่มั่งคั่งกว่านางแน่นอน

“ข้าตั้งใจไม่กลับเมืองโม่โหลวแล้ว ข้าเตรียมตัวออกจากดินแดนเป่ยเซี๋ย เดินทางไปอาณาจักรตะวันตกของแสงดาว ทางโน้นมีดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ปลอดภัยมากมาย สงบสุขกว่าสถานการณ์ในเป่ยเซี๋ยและอาณาจักรตะวันตก”

เมื่อถึงเวลาต้องลาจาก ไป๋หลิงเชวียนบอกความคิดของตนเองออกไป ความปรารถนาของนางเป็นจริงแล้ว ตอนนี้ไม่มีอะไรให้ห่วงอีก เตรียมตัวเดินทางไปอาณาจักรตะวันตก ยิ่งไปกว่านั้นฝึกตนและใช้ชีวิตที่เหลือที่นั่น

“พวกเราเตรียมตัวกลับอาณาจักรใต้ หากมีวาสนาแล้วพบกัน!” หลัวซิวและเหยียนเยว่เอ๋อร์ยกมือขึ้นประสานคารวะ

“แล้วพบกัน!” ไป๋หลิงเซวียนยกมือขึ้นคำนับกลับ หลังจากนั้นลอยตัวขึ้นกลางอากาศ กลายเป็นแสงสีน้ำเงินบินหายไปสุดขอบฟ้า

……

หุบเขาจิตนภาตั้งอยู่พื้นที่ขาดแคลนทรัพยากรแห่งหนึ่งของดินแดนเป่ยเซี๋ย ระยะทางอยู่ห่างจากเมืองโม่โหลวนับหมื่นลี้

หลิวซิววางแผน ต้องการกลับจากที่นี่สู่อาณาจักรใต้ของประเทศเทียนหวู หากเดินทางด้วยความเร็วอย่างเดียว อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลานานถึงครึ่งปี

เหตุนี้ถึงแม้ความเร็วของปีกทิพย์ไร้มลทินจะเร็วเพียงใด แต่ก็ต้องใช้พลังจิตแท้และพลังกฎมาขับเคลื่อน เป็นไปไม่ได้ที่จะบินโดยไม่พัก

หลัวซิวนำม้วนหยกออกมาจากแหวนเก็บของ ด้านในเป็นแผนที่ของดินแดนเป่ยเซี๋ย

“สถานที่อยู่ห่างจากที่นี่ใกล้มากที่สุดมีเมืองหลงถาน ที่นั่นมีสมาคมขององค์กรนักล่ายุทธ์ สามารถใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายของที่นั่นเดินทาง”

หลัวซิวตั้งใจใช้เส้นทางที่รวดรัดมากที่สุด เขาย่อมไม่มีทางบินกลับไปโดยเสียเวลาครึ่งปี

สำหรับการตัดสินใจของหลัวซิว เหยียนเยว่เอ๋อร์ย่อมไม่มีความเห็น สิ่งเดียวที่นางกังวลคือ กลับไปประเทศเทียนหวูด้วยความแข็งแกร่งในตอนนี้ มันจะเร็วเกินไปหรือเปล่า?

อย่างไรก็ตาม ศัตรูของพวกเขาเป็นถึงสามกลุ่มอิทธิพลใหญ่ประเทศเทียนหวู ล้วนแต่มีผู้แข็งแกร่งระดับมกุฏยุทธ์คุ้มครอง

แต่เหยียนเยว่เอ๋อร์รู้ดี หลัวซิวเป็นห่วงความปลอดภัยของพ่อแม่เขา ความเป็นห่วงก็เหมือนลูกธนู นางไม่สามารถห้ามเขากลับไปในตอนนี้

แม้การกลับไปประเทศเทียนหวูต้องตายสถานเดียว แต่ขอเพียงได้อยู่ข้างกายหลัวซิว นางไม่กลัวอะไรทั้งนั้น

ถึงจะบอกว่าเมืองหลงถานอยู่ใกล้ที่สุดในม้วนแผนที่ แต่หลัวซิวและเหยียนเยว่เอ๋อร์ก็ใช้เวลาถึงสิบวันในการเดินทาง กว่าจะถึงละแวกของเมืองหลงถาน

ตำแหน่งที่ตั้งของเมืองหลงถานค่อนข้างชนบท เมื่อเทียบกับเมืองอื่นถือว่าค่อนข้างขาดแคลนทรัพยากร ยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดในเมือง เป็นเพียงจักรพรรดิยุทธ์ขั้นสาม

ทันทีที่หลัวซิวเพิ่งเข้าเมืองไปได้ไม่นาน สัมผัสได้ถึงกล่องส่งเสียงในแหวนเก็บของได้รับข้อความอย่างกะทันหัน

ข้อความที่ถูกส่งมาไม่ใช่คนคุ้นเคยของเขา แต่เป็นมู่จื่อซิว ผู้ลาดตระเวนของดินแดนเป่ยเซี๋ย ซึ่งเป็นคนของผู้จัดศึกแต่งตั้งราชาที่เขาเข้าร่วมในตอนนั้น

ข้อความที่มู่จื่อซิวส่งมา ถามว่าอันดับหนึ่งของคิงซิวหลัวศึกแต่งตั้งราชาใช่เขาหรือเปล่า

ศึกแต่งตั้งราชาสิ้นสุดไปหลายเดือนแล้ว มู่จื่อซิวส่งข้อความมาถามอย่างกะทันหันตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าทุกฝ่ายทำการตรวจสอบมาตั้งนาน แต่ก็ไม่ได้เบาะแสอะไรเลย ดังนั้นก็เลยสงสัยในตัวของเขา

อย่างไรก็ตามในบันทึกผู้เข้าร่วมศึกแต่งตั้งราชาทั้งหมด คนที่ชื่อซิวหลัวมีเพียงเขาคนเดียว

ที่ไม่สงสัยเขาตั้งแต่ตอนแรก คาดว่าน่าจะเป็นเพราะตอนที่เขาเข้าร่วมฝึกแต่งตั้งราชา ผลการฝึกตนเป็นเพียงราชายุทธ์ขั้นสอง

จิตใจของมนุษย์ยากแท้หยั่งถึง ปกป้องตนเองจากผู้อื่นเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เรื่องนี้หลัวซิวย่อมรู้ดีที่สุด

“ในเมื่อเจ้ามีของวิเศษคุ้มกันร่างกาย สามารถลองเข้าใกล้ น่าจะไม่มีปัญหาอะไร” จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำพูดอย่างเชื่องช้า “วิญญาณของข้าเผาผลาญพลังไปไม่น้อย จำเป็นต้องจำศีลระยะหนึ่ง ไม่สามารถช่วยอะไรเจ้าอีกแล้ว”

หลังจากสิ้นเสียง จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำเข้าสู่การจำศีลทันที

หลัวซิวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หลังจากนั้นเดินเข้าไปใกล้แท่นหินทรงกลมอย่างระมัดระวัง

ยิ่งเข้าใกล้แท่นหิน เขายิ่งสามารถสัมผัสได้ถึงตัวหยั่งรู้ของตนเองสั่นสะเทือนแรงขึ้น หากไม่ได้เป็นเพราะมีลูกแก้วความเป็นตายปกป้อง เกรงว่าวิญญาณดั้งเดิมของเขา คงจะโดนค่ายกลระดับเทพดูดไปในพริบตา ตัวหยั่งรู้พังทลาย ร่างดับวิญญาณสลาย

หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม เขาไปยืนอยู่บนแท่นหิน กวาดสายตามอง สังเกตหินเสาหินที่อยู่ใจกลางแท่น มีแสงสีขาวรูปร่างผลึกแก้วลอยเคว้งอยู่ในความว่างเปล่า ราวกับผลึกวิญญาณ ปลดปล่อยแรงกดดันวิญญาณที่คาดไม่ถึงออกมาอย่างต่อเนื่อง

ผลึกสีเงินปลดปล่อยแสงออกมากลายเป็นกลุ่มก้อน หากมองด้วยตาเปล่าจะรู้สึกแสบตามาก

“นี่คือช่องจิตเหรอ?”

ภายใต้แรงกดดันวิญญาณที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากผลึกสีเงิน หลัวซิวรู้สึกว่าตัวหยั่งรู้ของตนเองราวกับสามารถพังทลายได้ทุกเมื่อ ลูกแก้วความเป็นตายในตัวหยั่งรู้ปลดปล่อยแสงจางๆ ทำให้เขาปลอดภัยภายใต้แรงกดดันสายนี้

วิญญาณของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำหลับใหลไปแล้ว หลัวซิวไม่รู้ควรจะไปถามใคร ยิ่งไปกว่านั้นจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำก็ไม่เคยเข้าใกล้ดินแดนนิรันดร์ คาดว่าเขาเองก็น่าจะไม่เคยเห็นรูปร่างของช่องจิตเป็นอย่างไร

หลัวซิวแยกตัวสำนึกของตนเองออกจากตัวหยั่งรู้ ต้องการตรวจสอบผลึกสีเงินก้อนนี้ แต่ทันทีที่ปลดปล่อยตัวสำนึกออกมา กลับไม่สามารถสัมผัสโดนผลึกสีเงินก้อนนั้น

ทั้งที่ผลึกสีเงินอยู่ตรงหน้าเขา ความรู้สึกที่เขาได้รับ กลับเหมือนอยู่ห่างกันนับร้อยนับพันปี ส่งผลให้ตัวสำนึกไม่สามารถเข้าใกล้

ไม่ได้เป็นเพราะผลึกสีเงินต่อต้านตัวสำนึกจึงไม่สามารถเข้าใกล้ แต่เป็นความรู้สึกที่อยู่ห่างไกลโพ้น

ในตอนนั้นเอง หลัวซิวเพิ่งสังเกต พื้นที่โดยรอบของผลึกสีเงินเกิดการบิดเบี้ยวจนถึงขีดสุด พลังวิญญาณจำนวนมหาศาล เปลี่ยนแปลงพื้นที่ที่อยู่โดยรอบ มีพื้นที่ทับซ้อนนับไม่ถ้วน ทำให้ระยะห่างเพียงแค่เอื้อม กลายเป็นระยะทางนับร้อยนับพันปี

หลักการแบบนี้มีส่วนคล้ายคลึงกับการขัดเกลาความว่างเปล่าภายในแหวนเก็บของ แหวนขนาดเล็กวงเดียว แต่ด้านในกับมีพื้นที่โล่งกว้าง

ทันใดนั้น หลัวซิวสัมผัสได้ถึงการสั่นสะเทือนจากลูกแก้วความเป็นตายใจตัวหยั่งรู้ มีแสงสีขาวดำสายหนึ่งบินออกจากกลางหว่างคิ้วของเขา ตรงเข้าไปหาผลึกสีเงิน

เพียงแค่พริบตาเดียว ผลึกสีเงินที่อยู่บนความว่างเปล่าของเสาหินกลายเป็นลำแสงสายหนึ่ง บินกลับเข้ามากลางหว่างคิ้วของเขาโดยตรง เข้าไปในตัวหยั่งรู้ รออยู่ตรงด้านล่างของลูกแก้วความเป็นตาย

“ผู้สืบทอดที่อ่อนแอ โชคของเจ้าไม่เลว คิดไม่ถึงว่าจะได้ครอบครองช่องจิตปลอมดวงหนึ่ง ”

ในตอนนั้นเอง เทพแห่งวัฏจักรชีวิตที่หลับใหลไปนานดังออกมาจากจิตสำนึกของหลัวซิว

“ช่องจิตปลอม?” หลัวซิวแสดงสีหน้าสงสัย

“ช่องจิตที่แท้จริงจำเป็นต้องหลอมรวมเข้ากับกฎดั้งเดิม ได้รับการยอมรับจากกฎดั้งเดิม ผู้แข็งแกร่งที่สามารถควบแน่นช่องจิตก็คือแดนนิรันดร์ ในบางที่ก็ถูกขนานนามว่าผู้แข็งแกร่งระดับเทพยุทธ์”

“ส่วนช่องจิตปลอม ถึงจะไม่ใช่ช่องจิตที่แท้จริง เนื่องจากไม่ได้รับการยอมรับจากกฎดั้งเดิม เป็นเพียงพลังวิญญาณจำนวนมหาศาลที่ผ่านการกลั่นเกลามาเป็นเวลานาน สุดท้ายก่อตัวขึ้นเป็นรูปร่างของช่องจิต ในพลังวิญญาณ ช่องจิตปลอมกับช่องจิตจริงมีความคล้ายคลึงกันมาก สิ่งที่ขาดไปมีเพียงการยอมรับจากกฎดั้งเดิม” เทพวัฏจักรแห่งชีวิตพูดอธิบาย

“แต่ผลการฝึกตนของเจ้าในตอนนี้ต่ำเกินไป ไม่สามารถหลอมช่องจิตปลอมดวงนี้ได้ ถ้าใช้พลังส่วนหนึ่งของลูกแก้วความเป็นตายรับมันเข้ามาอยู่ในวิญญาณหยั่งรู้ของเจ้า ต่อไป เวลาที่เจ้าฝึกตน สามารถใช้พลังของช่องจิตปลอมเพิ่มพูนความแข็งแกร่งวิญญาณของเจ้า”

หลังจากฟังคำพูดของเทพแห่งวัฏจักรชีวิตจบ หลัวซิวรู้สึกดีใจมาก เขาคิดไม่ถึงว่าเทพแห่งวัฏจักรชีวิตจะลงมือช่วยตนเองอย่างกะทันหัน คิดว่าพฤติกรรมแบบนี้ของเทพแห่งวัฏจักรชีวิต น่าจะไม่อยู่ในขอบเขตของกฎดั้งเดิม

หากเกี่ยวข้องกับเงื่อนไขของกฎดั้งเดิม เทพแห่งวัฏจักรชีวิตไม่เคยสนใจความเป็นความตายของเขา

ในขณะเดียวกัน หลัวซิวพบว่าถึงแม้ช่องจิตปลอมที่อยู่บนเสาหินถูกดูดเข้าไปในร่างกายของตนเองแล้ว แต่ค่ายกลระดับเทพยังคงทำงานอยู่ พลังวิญญาณมากมายยังคงถูกดูดมารวมกันที่นี่

แต่หลัวซิวกลับรู้ดี ถึงจะผ่านไปอีกนับร้อยนับพันปี ที่นี่ก็ไม่มีทางมีช่องจิตดวงที่สองก่อตัวขึ้นอีกแล้ว วิญญาณที่อยู่ในหุบเขาจิตนภาเหลือไม่มาก ถึงวิญญาณทั้งหมดถูกดูดพลังวิญญาณไปจนหมดเกลี้ยง ก็ไม่มีทางบรรลุถึงเงื่อนไขที่สามารถก่อตัวขึ้นเป็นช่องจิตปลอม

ในเมื่อได้ช่องจิตปลอมมาอยู่ในมือ หลัวซิวก็ไม่ได้คิดจะอยู่ที่นี่ต่อ เขาหันหลังแล้วเดินจากไปทันที

หลังจากที่เดินออกมาจากแท่นหินทรงกลมหลายร้อยเมตร ความรู้สึกที่ถูกดูดวิญญาณก็หายไปด้วย

ครั้งนี้ ไม่มีการชี้แนะของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำ ด้วยมาตรฐานค่ายกลของหลัวซิว ไม่สามารถคาดเดาร่องรอยของค่ายกล จึงทำได้แต่พึ่งความทรงจำที่เลือนราง บินออกไปทางออกของหุบเขาจิตนภา

ในระหว่างทาง เขาไม่เพียงสัมผัสโดนร่องรอยของค่ายกลครั้งเดียว มีวิญญาณเทพจิตพบเบาะแสของเขา แต่ทันทีที่เห็นเขา กลับหันหลังแล้ววิ่งหนี ไม่มีท่าทีที่จะจู่โจมเขาเลยแม้แต่นิดเดียว

“นี่มันอะไรกัน?”

หลัวซิวรู้สึกประหลาดใจมาก แต่ไม่นานเขาก็นึกขึ้นได้ อาจจะเป็นเพราะเขาครอบครองช่องจิตปลอม

ช่องจิตปลอมมีพลังวิญญาณจำนวนมหาศาลควบแน่น ถึงแม้จะซ่อนอยู่ในตัวหยั่งรู้ของเขา แต่วิญญาณที่อาศัยอยู่ในหุบเขาจิตนภา กลับสามารถสัมผัสถึงอย่างชัดเจน ดังนั้นจึงเกิดความรู้สึกเกรงกลัวเขา

ทุกอย่างเกินความคาดหมายของหลัวซิว เขาไม่เคยคิดว่าระหว่างทางจะราบรื่นมากขนาดนี้

ในตอนที่กำลังจะไปถึงทางออกของหุบเขาจิตนภา แต่กลับสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของพลังจิตแท้ที่รุนแรงสายหนึ่งกำลังผันผวน

หลังจากนั้น เขาสัมผัสได้ถึงความผันผวนของพลังจิตแท้สายที่สองซึ่งแตกต่างกันออกไป เท่ากับว่าในหุบเขาจิตนภา อย่างน้อยก็มีผู้ฝึกยุทธ์สองคน

สิ่งที่อาศัยอยู่ในหุบเขาล้วนแต่เป็นวิญญาณ ไม่มีทางปลดปล่อยพลังจิตแท้ที่ผันผวน

ยิ่งไปกว่านั้นความผันผวนของพลังจิตแท้ทั้งสองสายทำให้เขาเกิดความรู้สึกที่คุ้นเคยเล็กหน่อย โดยเฉพาะความผันผวนของสายแรก เขารู้ได้ในทันทีว่านั่นเป็นกลิ่นอายของเหยียนเยว่เอ๋อร์

หลัวซิวรีบตรงไปทางนั้นทันที

ผ่านไปสักพัก เขาสังเกตเห็นเหยียนเยว่เอ๋อร์และไป๋หลิงเซวียน คนทั้งสองกำลังโคจรพลังจิตแท้หนีเอาชีวิตรอด ที่ด้านหลังของพวกนาง ยังคงเป็นวิญญาณเทพจิตรูปร่างมังกรเจียวไล่ตามเหมือนเดิม

วิญญาณมังกรเจียวตัวนี้มีความผันผวนของวิญญาณขั้นแปด พลังจู่โจมวิญญาณที่ปลอดปล่อยออกมา ด้วยผลการฝึกตนของเหยียนเยว่เอ๋อร์และไป๋หลิงเซวียนไม่สามารถต้านทาน

“ไสหัวไป!”

แผ่นหลังของหลัวซิวมีปีกทิพย์กางออก เพียงแค่พริบตาเดียว ไปปรากฏตัวขึ้นระหว่างตรงกลางของมังกรเจียวและผู้หญิงทั้งสอง

“ลู่เจิ้งเซี๋ยงคิดว่าข้าไม่รู้อะไรเลยมาตลอด แต่อันที่จริงตอนที่เขาฆ่าหลู่เหว่ย ข้ากำลังมองจากจุดที่ไกลออกไปพอดี”
“หลายปีมานี้ ข้าเก็บซ่อนความแค้นส่วนนี้ไว้ในส่วนลึกของหัวใจมาโดยตลอด แต่ท้ายที่สุดความแข็งแกร่งของข้าสู้เขาไม่ได้ จึงไม่มีโอกาสล้างแค้น”
“ข้ารู้ดี ถึงข้าไม่ลงมือลอบโจมตีเขาจากด้านหลัง ทันทีที่เขาฆ่าเจ้าและหลัวซิว คนต่อไปจะต้องเป็นข้าแน่นอน”
“เศษสวะเช่นนี้สมควรตายยิ่งนัก!” หลังจากเหยียนเยว่เอ๋อร์ฟังจบ นางรู้สึกรังเกียจพฤติกรรมของลู่เจิ้งเซี๋ยงจนถึงขีดสุด
“ใช่ โชคดีที่สุดท้ายข้าก็สามารถฆ่าเขาได้สำเร็จ ถือว่าได้ล้างแค้นให้หลู่เหว่ยแล้ว ในที่สุดความคับแค้นหลายปีที่ผ่านมาก็ได้รับการปลดปล่อย ทำให้ภายในใจของข้ารู้สึกโล่งขึ้นมา” ในขณะที่กำลังพูดคำพูดเหล่านี้ ในเบ้าตาของไป๋หลิงเซวียนนองไปด้วยน้ำตา
แม้ผ่านไปแล้วสองร้อยปี นางยังคงไม่เคยลืมคนที่นางเคยรักคนนั้น แบกรับความอัปยศอดสูมานานหลายปี ทั้งหมดเพื่อวันหนึ่งจะได้ล้างแค้น
เหมือนกับว่าได้รับผลกระทบจากไป๋หลิงเซวียน เหยียนเยว่เอ๋อร์นึกถึงหลัวซิวอย่างกะทันหัน เพิ่งคิดได้ว่าเขาเข้าไปในหุบเขาจิตนภาสามเดือนกว่าแล้ว เริ่มเกิดความรู้สึกร้อนใจขึ้นมาทันที
“ไม่ได้ ข้าต้องเข้าไปดูสักหน่อย” เหยียนเยว่เอ๋อร์ลุกขึ้นอย่างกะทันหัน
“มีอะไรหรือ?” ไป๋หลิงเซวียนมองนางด้วยความสงสัย เพิ่งสังเกตเห็นเด็กหนุ่มที่มีผลการฝึกตนระดับราชายุทธ์ไม่ได้อยู่ที่นี่
“เขาเข้าไปในหุบเขาจิตนภาสามเดือนกว่าแล้ว ข้ารู้สึกเป็นห่วง ต้องการเข้าไปตามหาเขา” เหยียนเยว่เอ๋อร์พูด
“อะไรนะ? เขาเข้าไปอีกแล้ว?” ไป๋หลิงเซวียนรู้สึกตกใจมาก ก่อนหน้านี้แม้กระทั่งลู่เจิ้งเซี๋ยงที่เป็นจักรพรรดิยุทธ์ขั้นหกบวกกับพวกเขาสองคน ก็ยังไม่สามารถเข้าไปในส่วนลึกของหุบเขาจิตตภา สุดท้ายต้องหนีเอาชีวิตรอดออกมา
ดูเหมือนผลการฝึกตนของเด็กหนุ่มคนนั้นเพิ่งจะบรรลุถึงระดับราชายุทธ์ เขาไปเอาความกล้ามาจากไหน ถึงขั้นกล้าบุกเข้าไปในหุบเขาจิตนภาเพียงคนเดียว?
ถึงปากไม่ได้พูด แต่ปฏิกิริยาของไป๋หลิงเซวียนมันแสดงออก เด็กหนุ่มที่ชื่อหลิวซิวต้องตายอยู่ด้านในแน่นอน
เหยียนเยว่เอ๋อร์ไม่มีเวลาให้คิดมาก นางกลายเป็นเปลวไฟสายหนึ่งบินตรงไปทางเข้าของหุบเขาจิตนภาโดยตรง
“ข้าไปกับเจ้า” ไป๋หลิงเซวียนก็บินขึ้นกลางอากาศ นางเห็นเหยียนเยว่เอ๋อร์เป็นห่วงหลัวซิวเช่นนี้ จึงรู้ได้เลยว่าแม่นางเหยียนคนนี้น่าจะรักเขามาก ก็เหมือนกับตนเองเมื่อสองร้อยปีก่อน จนกระทั่งถึงตอนนี้ยังคงไม่เคยลืมเลือนหลู่เหว่ย
ถ้าหากสามารถเลือกได้ นางยินดีตายไปพร้อมกับหลู่เหว่ยในตอนนั้น นางไม่ต้องการทนทุกข์ทรมานอยู่แบบนี้มาเป็นเวลานานถึงสองร้อยปี
……
เพียงแต่ตอนที่หลู่เหว่ยถูกฆ่า นางมองจากจุดที่ไกลออกไป หากตนเองตายไป ก็จะไม่มีใครล้างแค้นให้เขาอีกแล้ว
หลังจากเวลาสามเดือนผ่านไป ในที่สุดหลัวซิวก็สามารถมาถึงส่วนลึกของหุบเขาจิตนภา
ด้านหน้าเป็นแท่นหินที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณหนึ่งร้อยเมตร ตรงกลางของแท่นหิน มีเสาหินสูงประมาณหนึ่งเมตรตั้งอยู่ตรงนั้น มีแสงสีขาวคอยส่องประกายอยู่บนนั้น
มีการชี้แนะทิศทางของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำ ช่วงนี้เขาไม่ได้ถูกวิญญาณเทพจิตในหุบเขาโจมตีแต่อย่างใด
ถึงจะเป็นแบบนี้ การเคลื่อนไหวช้าลงมากแต่ให้ความปลอดภัยมากขึ้น
“นี่น่าจะเป็นศูนย์กลางของค่ายกลแล้วมั้ง ข้าเข้ามาในนี้ตั้งนาน เยว่เอ๋อร์ยังไม่เห็นข้าออกไป ต้องเป็นห่วงแน่นอน”
สิ่งที่เขากังวลมากที่สุดคือเหยียนเยว่เอ๋อร์เข้ามาตามหาเขา ด้วยความแข็งแกร่งของนาง หากเจอวิญญาณเทพจิตที่แข็งแกร่ง เกรงว่าคงต้องอันตรายถึงชีวิตแน่นอน
“ถูกต้อง ที่นี่คือศูนย์กลางของค่ายกล ในค่ายกลแห่งนี้ ที่นี่คือสถานที่ที่ปลอดภัยมากที่สุดแล้ว แต่ที่นี่เต็มไปด้วยพลังดูดซับพลังวิญญาณ หากเจ้าเข้าไปใกล้ มีความเป็นไปได้ที่วิญญาณของเจ้าจะถูกกลืนกิน” จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแรงเล็กน้อย อย่างไรก็ตามเขาเป็นเพียงร่างวิญญาณ วิเคราะห์รูปแบบของค่ายกลระดับเทพต่อเนื่องมานานถึงสามเดือน ทำให้เขาเผาผลาญพลังของตนเองไปไม่น้อย
หลัวซิวจ้องไปข้างหน้า เขาสามารถมองเห็นพลังวิญญาณบริสุทธิ์ที่ลอยมาจากทุกสารทิศด้าน ไปรวมกันที่แสงสีขาวบนแท่นตรงนั้น
ในขณะเดียวกัน เขาที่อยู่ในใจกลางค่ายกลก็เข้าใจแล้ว พลังวิญญาณบริสุทธิ์ที่มารวมกันในศูนย์กลางของค่ายกล ล้วนแต่มาจากวิญญาณธรรมดาและวิญญาณเทพจิตนอกและในหุบเขาจิตนภา
บางทีหุบเขาจิตนภาแห่งนี้อาจจะเคยมีวิญญาณที่แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ แต่เนื่องจากถูกดูดซับพลังวิญญาณมาอย่างยาวนาน ทำให้วิญญาณพวกนี้เริ่มอ่อนแอลง จนกระทั่งสุดท้ายถูกดูดซับพลังวิญญาณจนหมด แตกสลายหายไปกลายเป็นความว่างเปล่า
และนั่นก็หมายความว่าพวกวิญญาณที่อาศัยอยู่ในหุบเขาจิตนภา เมื่อก่อนเคยเป็นวิญญาณที่แข็งแกร่งมาก แต่เป็นเพราะถูกดูดซับพลังวิญญาณจำนวนมาก จึงส่งผลให้ความแข็งแกร่งตกลงมาอยู่ในระดับจักรพรรดิยุทธ์
ส่วนแสงสีขาวที่อยู่บนแท่นหิน ผ่านการหลอมรวมวิญญาณจำนวนมหาศาลนับหมื่นปี มีเพียงสวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าน่าสะพรึงกลัวแค่ไหน
พลังวิญญาณสายนี้หากระเบิดกลายเป็นพายุวิญญาณ หลัวซิวสามารถมั่นใจ ตนเองจะต้องถูกกลืนกินและหายไปในพริบตาอย่างแน่นอน
เขาเดินเข้าไปใกล้ด้วยความระมัดระวัง ตอนที่เริ่มเข้าใกล้แท่นหินทรงกลม สามารถสัมผัสได้ถึงพลังงานสายหนึ่งกำลังทำปฏิกิริยาในตัวหยั่งรู้ ราวกับต้องการดูดวิญญาณของตนเองไป
ในตัวหยั่งรู้ ลูกแก้วความเป็นตายส่องแสงจางๆ วิญญาณของเขาและลูกแก้วหลอมรวมเป็นหนึ่ง ถึงแม้ตัวหยั่งรู้จะสั่นสะเทือนไม่หยุด แต่วิญญาณก็ไม่ถึงขั้นถูกค่ายกลแห่งนี้ดูดไป
วิญญาณของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำสิงสถิตอยู่ในร่างกายเขา ก็ได้รับการปกป้องจากลูกแก้วความเป็นตายเช่นกัน มิเช่นนั้นพลังวิญญาณของเขาคงถูกดูดและแตกสลายไปในที่สุด
“ร่างกายของเจ้ามีของแปลกคอยปกป้อง?” จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำสัมผัสได้ถึงจุดนี้ เขาสิงสถิตอยู่ในฝ่ามือข้างซ้ายของหลัวซิว จึงไม่รู้ว่าในตัวหยั่งรู้ของหลัวซิวมีของวิเศษลูกแก้วเป็นตายอยู่ด้วย
“ดูเหมือนบนตัวเจ้าจะมีความลับไม่น้อย ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่ามีของวิเศษที่สามารถคุ้มกันวิญญาณถูกจู่โจม หรือจะเป็นเรื่องจริง?”
ก่อนหน้านี้ที่เข้ามาในหุบเขาจิตนภา หลัวซิวเคยบอกกับลู่เจิ้งเซี๋ยงและไป๋หลิงเซวียนว่าตนเองมีของวิเศษคุ้มกันการถูกจู่โจมของวิญญาณ
ทว่าหลังจากที่เขาเข้ามาในหุบเขาจิตนภา ภายใต้การจู่โจมของวิญญาณรูปร่างมังกรเจียว ตัวหยั่งรู้กลับได้รับผลกระทบ จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำสัมผัสได้ถึงอย่างชัดเจน
แต่ในตอนนี้ เผชิญหน้ากับพลังแย่งชิงวิญญาณของค่ายกลระดับเทพ เขากลับไม่เป็นอะไรเลย ซึ่งขัดแย้งกับก่อนหน้านี้ไปมาก
กำลังแย่งชิงวิญญาณของค่ายกลระดับเทพ เป็นการจู่โจมวิญญาณรูปแบบหนึ่ง
“ของวิเศษชิ้นนี้บางครั้งก็มีประโยชน์ แต่บางครั้งก็ไม่มีประโยชน์” หลัวซิวพูดด้วยน้ำเสียงที่กระอักกระอ่วนเล็กน้อย
เขาเองก็ไม่รู้ควรจะอธิบายอย่างไร สำหรับการจู่โจมวิญญาณหยั่งรู้โดยตรง มีเพียงครั้งแรกที่ลูกแก้วความเป็นตายแสดงปฏิกิริยาต่อต้าน ต่อไปหากเจอกับการจู่โจมประเภทนี้ ต้องพึ่งพาตนเองเท่านั้น
แต่สำหรับผลกระทบของค่ายกลที่แย่งชิงวิญญาณโดยตรงเช่นนี้ เนื่องจากวิญญาณดั้งเดิมและลูกแก้วความเป็นตายหลอมรวมเป็นหนึ่ง ก็เท่ากับพลังของค่ายกลระดับเทพดูดลูกแก้วความเป็นตายโดยตรง ลูกแก้วความเป็นตายย่อมต่อต้านตามสัญชาตญาณ
ลูกแก้วความเป็นตายเกี่ยวพันถึงเรื่องสำคัญ ดังนั้นหลัวซิวจึงไม่เคยพูดกับจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำ แม้ตอนนี้ไม่ต้องกังวลเรื่องการแย่งชิงพลังของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำ แต่ในอนาคตหากมีความเป็นไปได้ที่จะฟื้นฟู ยากที่จะรับประกันว่าเขาจะไม่มีความโลภต่อสิ่งล้ำค่าดั้งเดิมเช่นนี้

“ค่ายกลระดับเทพ?”

หลิวซิวได้ยินคำพูดประโยคนี้ บนใบหน้าปรากฏให้เห็นรอยยิ้มที่ขมขื่น

อย่าว่าแต่ค่ายกลระดับเทพ ถึงเป็นค่ายกลระดับเจ็ดและแปด สำหรับเขามันแทบจะเป็นเรื่องที่ไม่สามารถจัดการเองได้ ต้องยอมรับว่า นี่ถือเป็นข่าวร้ายมาก

“แล้วข่าวดีล่ะ?” หลัวซิวทำได้แต่ไปฝากความหวังไว้ที่อีกข่าว

“ทางที่ดีเจ้าไม่ควรคาดหวังมากเกินไป เพราะข่าวดีที่ข้าจะบอกเจ้าก็คือค่ายกลระดับเทพอันนี้ ไม่มีวิญญาณแห่งค่ายกล” จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำพูด

ค่ายกลระดับเทพที่อยู่เหนือกว่าค่ายกลขั้นเก้า มีความเป็นไปได้ที่จะก่อตัวขึ้นกลายเป็นวิญญาณแห่งค่ายกล ความน่าจะเป็นนี้ไม่ได้สูงมาก จำเป็นต้องมีปัจจัยเฉพาะบางประการ ถึงสามารถก่อตัวขึ้นกลายเป็นวิญญาณแห่งค่ายกล

ทว่า ถึงไม่มีวิญญาณแห่งค่ายกล แต่ท้ายที่สุดค่ายกลระดับเทพก็ยังเป็นค่ายกลระดับเทพ อยู่ในดินแดนที่สูงส่ง ทำให้หลัวซิวทำได้แต่เงยหน้ามอง

“ถ้ารู้ว่าเป็นค่ายกลระดับเทพแต่แรก ข้าคงไม่เข้ามาแล้ว” หลัวซิวยิ้มอย่างขมขื่นแล้วพูด ถึงเขามั่นใจในตนเองมากแค่ไหน ค่ายกลระดับเทพไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถเข้าใกล้ได้อย่างแน่นอน

“คนอย่างเจ้าก็รู้จักกลัวด้วยหรือ? แต่เจ้าก็ไม่ต้องกังวลมากไป ค่ายกลระดับเทพอันนี้ไม่ใช่ค่ายกลสังหาร แต่เป็นค่ายกลที่ใช้ดูดซับพลังงานของวิญญาณ ถือเป็นค่ายกลหนุนเสริมประเภทหนึ่ง”

จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำพูดอย่างเชื่องช้า “แม้ข้าไม่สามารถถอดรูปแบบค่ายกลระดับเทพ แต่การสัมผัสถึงอักขระรูปแบบของค่ายกลไม่ใช่เรื่องยาก สามารถทำให้เจ้าหลีกเลี่ยงร่องรอยของค่ายกลและดึงดูดการโจมตีของวิญญาณได้”

ฟังมาถึงตรงนี้ ดวงตาของหลัวซิวลุกวาวเป็นประกาย แอบคิดในใจว่าโชคดีที่ในร่างกายของตนเองมีปรมาจารย์ค่ายกลยุคบรรพกาลอย่างจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำสิงสถิตอยู่ ไม่เช่นนั้น อาศัยพลังของเขาคนเดียว เมื่อไหร่ที่เผชิญหน้ากับการจู่โจมของวิญญาณที่แข็งแกร่ง ไม่แน่ชีวิตของเขาอาจจะจบลงที่นี่ก็เป็นได้

ร่องรอยของค่ายกลระดับเทพยากจะสัมผัสถึง แม้เป็นจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำที่เป็นถึงปรมาจารย์ค่ายกลยุคบรรพกาลก็ตาม อย่างไรก็ตาม เขาเป็นเพียงวิญญาณ ต้องใช้ประสาทสัมผัสตัวสำนึกของหลัวซิวในการตรวจสอบ จึงจำเป็นต้องคาดเดาสักพัก ถึงจะสามารถกำหนดทิศทางและไปต่อได้

……

เมื่อเป็นแบบนี้ เมื่อเทียบกับตอนที่หลัวซิวใช้ปีกทิพย์ไร้มลทิน ความเร็วของเขาตกลงเกือบครึ่ง

นอกหุบเขาจิตนภา ภายในค่ายกลระดับหกสองชั้น ไป๋หลิงเซวียนยังคงอยู่ในสภาพหมดสติ สรรพคุณของยาเสวียนจือแผ่ซ่านไปทั่วร่างของนาง เนื่องจากการระเบิดของลูกแก้วอัสนีพันทำให้จุดตันเถียนได้รับความเสียหาย กำลังฟื้นฟูทีละนิด

ส่วนเหยียนเยว่เอ๋อร์นั่งขัดสมาธอยู่ด้านข้าง มีหินพลังจิตขั้นสูงที่หลัวซิวให้วางไว้ข้างกายมากมาย นำยากลั่นจิตอัคคีม่วงระดับหกออกจากแหวนเก็บของ ร่างกายถูกรายล้อมด้วยพลังจิต คลื่นพลังจิตแท้พลุ่งพล่าง

ด้านนอกของม่านพลังค่ายกลป้องกัน มีแสงสีเงินกระทบม่านพลังเป็นครั้งคราว ซึ่งเกิดจากกันลองโจมตีของวิญญาณระดับราชายุทธ์ที่เที่ยวเล่นอยู่นอกหุบเขา แต่กลับโดนต้านทานเอาไว้ด้านนอกทั้งหมด

ทันทีที่สัมผัสโดนค่ายกลคุ้มกัน ค่ายกลสังหารระดับหกก็ถูกกระตุ้นจนตื่นด้วยทันที แสงสีดำที่น่าสะพรึงกลัวราวกับลำแสงกระบี่กวาดต้อน ทำลายแสงสีเงินที่เกิดจากวิญญาณทั่วไปจนแตกสลายทันที

เวลาล่วงเลยไปทีละนิดโดยไม่รู้ตัว กลิ่นอายบนร่างกายของเหยียนเยว่เอ๋อร์ยิ่งอยู่ก็ยิ่งแข็งแรง ภายใต้การหนุนเสริมของหินพลังจิตขั้นสูงและการฝึกตนด้วยยา นางได้ทำการกลั่นเศษชิ้นส่วนผลึกวิญญาณที่ได้มาในหุบเขาจิตนภาก่อนหน้านี้ไปด้วย

ทันใดนั้น ร่างกายของนางสั่นสะเทือน มีเปลวไฟที่ร้อนแรงโหมกระหน่ำขึ้นบนร่างกาย มีภาพเงาของหงส์อัคคีปรากฏขึ้นที่ด้านหลัง ควบแน่นทีละนิด ก่อตัวขึ้นเป็นสิ่งมีชีวิตวิญญาณที่แข็งแกร่งเหมือนจริงราวกับมีชีวิต

เทพจิตของนางแข็งแกร่งขึ้น ถึงขั้นสามารถบรรลุจักรพรรดิยุทธ์ขั้นหกแล้ว!

และผลการฝึกตนภายใต้การหนุนเสริมของพลังจิตอันยิ่งใหญ่ นางสามารถฝ่าทะลวงอีกครั้ง บรรลุถึงจักรพรรดิยุทธฺขั้นสี่

เมื่อสามปีก่อน นางหนีออกจากบ้านตระกูลเหยียน ก่อนที่เทพจิตจะได้รับบาดเจ็บ ผลการฝึกตนของนางเป็นเพียงจักรพรรดิยุทธ์ขั้นสาม

ต่อมาอาศัยยาวิญญาณหยินหยางฟื้นฟูเทพจิตได้รับความเสียหาย แต่เนื่องจากได้รับบาดเจ็บจึงส่งผลให้ผลการฝึกตนของนางตกลงไปเป็นจักรพรรดิยุทธ์ขั้นสอง

ในเวลาเพียงแค่ประมาณสามปี นางไม่เพียงแต่สามารถฟื้นฟูผลการฝึกตนให้กลับมาเป็นเหมือนเมื่อก่อน ยิ่งไปกว่านั้นยังก้าวหน้าขึ้นอีกหนึ่งก้าว บรรลุถึงระดับจักรพรรดิยุทธฺขั้นสี่!

ตามการฝึกตนปกติ นางต้องการบรรลุถึงจักรพรรดิยุทธ์ขั้นสี่ อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาในการฝึกตนหลายสิบปี

ตอนที่นางลืมตาขึ้น พบว่าการฝึกตนของตนเองสามารถฝ่าทะลวง ภายในใจรู้สึกซาบซึ้งอย่างยิ่ง นางรู้ดีว่าที่ตนเองสามารถก้าวหน้าได้เร็วเช่นนี้ ด้านหนึ่งเป็นเพราะสายเลือดหงส์โบราณที่ตื่นขึ้น ทำให้นางมีคุณสมบัติการฝึกตนสูง เหตุผลที่สำคัญมากกว่านั้นคือยาที่หลัวซิวให้นาง และรวมไปถึงทรัพยากรจำนวนมาก

ถึงคุณสมบัติสูงมากแค่ไหน หากไม่มีทรัพยากรที่เพียงพอ ผลการฝึกตนก็ไม่มีทางก้าวหน้าเร็วเช่นนี้

แต่หลังจากนั้น คิ้วของนางขมวดเข้าด้วยกัน เพราะนางพบว่าการฝึกตนของตนเองผ่านไปแล้วสามเดือนโดยไม่รู้ตัว ส่วนหลัวซิวตั้งแต่เข้าไปในหุบเขาจิตนภา จนกระทั่งถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยออกมา

“นานขนาดนี้แล้วยังไม่ออกมา หรือจะเจอภัยอันตรายอะไรที่ด้านใน?” เรื่องนี้ทำให้นางเริ่มนั่งไม่ติดแล้ว

ในตอนนั้นเอง มีเสียงคร่ำครวญที่แผ่วเบาดังขึ้นจากด้านข้าง กลับเห็นไป๋หลิงเซวียนที่หมดสติฟื้นแล้ว ภายใต้การฟื้นฟูของยาเสวียนจือ จุดตันเถียนที่ได้รับความเสียหายของนางหายดีแล้ว

“แม่นางเหยียน?” หลังจากที่นางฟื้น สังเกตเห็นเหยียนเยว่เอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างทันที

หลังจากนั้นพบว่าอาการบาดเจ็บของตนเองหายดีแล้วเกือบครึ่ง โดยเฉพาะจุดตันเถียนที่สาหัสมากที่สุด ถ้าหากไม่สามารถฟื้นฟู มีความเป็นไปได้ที่ผลการฝึกตนจะลดระดับลง แต่มันกลับหายดีแล้ว

นางรู้ดีว่าจุดตันเถียนของตนเองได้รับความเสียหาย จำเป็นต้องใช้ยาเสวียนจือในการฟื้นฟู แม้ยาประเภทนี้จะเป็นเพียงยาเม็ดระดับหก แต่มันกลับล้ำค่ามาก มูลค่าของมันถึงขั้นสูงกว่ายาเม็ดระดับเจ็ดบางชนิด

ถึงแม้ดินแดนเป่ยเซี๋ยจะมีปรมาจารย์กลั่นยาขั้นหกหลายคน แต่มีคนที่รู้เรื่องวิธีการกลั่นยาเสวียนจือน้อยมาก

“แม่นายเหยียน เจ้าช่วยชีวิตข้าอีกครั้งแล้ว” ไป๋หลิงเซวียนลุกขึ้นพูดขอบคุณเหยียนเยว่เอ๋อร์

“เทพธิดาไป๋ไม่ต้องเกรงใจ หากไม่ได้เป็นเพราะเจ้า พวกเราก็คงโดนลู่เจิ้งเซี๋ยงฆ่าตายไปแล้ว” เหยียนเยว่เอ๋อร์พูด

หลังจากได้ยินคำพูดประโยคนี้ ไป๋หลงเซวียนรู้ได้ในทันทีว่าลู่เจิ้งเซี๋ยงตายไปแล้ว อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างโล่งอก “ลู่เจิ้งเซี๋ยงเป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในเมืองโม่โหลว เขาเคยบอกกับข้าให้หาโอกาสลงมือกับเจ้าและหลัวซิวในหุบเขาจิตนภา”

พูดถึงตรงนี้ สีหน้าของไป๋หลงเซวียนมืดมนลงเล็กน้อย ราวกับนึกย้อนถึงเรื่องราวบางอย่างที่เคยผ่านมา พูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา “เมื่อสองร้อยปีก่อน ข้าเคยมีสามีคนหนึ่ง เขาชื่อหลู่เหว่ย ตอนนั้นข้าและเขาเพิ่งบรรลุดินแดนจักรพรรดิยุทธ์ ต่อมาครั้งหนึ่งในระหว่างการฝึกตน ได้มารู้จักกับลู่เจิ้งเซี๋ยง”

“ตอนนั้นลู่เจิ้งเซี๋ยงเป็นผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ขั้นสาม เขาเชิญข้าและหลู่เหว่ยเข้ากลุ่ม เนื่องจากเขาปฏิบัติกับทุกคนอย่างเป็นมิตร ไม่มีการวางตัวที่อยู่เหนือกว่า ข้าและหลู่เหว่ยรู้สึกว่าเขาเป็นคนดีใช้ได้ จึงตอบตกลง”

“ต่อมาพวกเราพบถ้ำของผู้แข็งแกร่งมกุฏยุทธ์แห่งหนึ่ง หลังจากที่เข้าไป ถูกค่ายกลในถ้ำแยกออกจากกัน ตอนที่เขาและหลู่เหว่ยกำลังไปตามหาสมบัติและวิชาของผู้แข็งแกร่งมกุฏยุทธ์คนนั้น ลู่เจิ้งเซี๋ยงลงมือสังหารหลู่เหว่ย ยึดสมบัตินับไม่ถ้วนเป็นของตนเอง”

มีกลิ่นอายของความโบราณแผ่ซ่านออกมาจากม้วนหยก อย่างน้อยก็น่าจะมีอายุยาวนานนับหมื่นปี แต่เนื่องจากเสียหายไปส่วนหนึ่ง ข้อมูลที่อยู่ด้านในจึงไม่ครบถ้วน แต่หลัวซิวก็ยังได้ข้อมูลสำคัญมาจากด้านในเรื่องหนึ่ง

เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวิญญาณ บนม้วนหยกไม่ได้เอ่ยถึง เพียงแค่พูดถึงสิ่งมีชีวิตวิญญาณจำนวนมากในที่นี่ ผู้บันทึกม้วนหยกก็บังเอิญพบกับที่นี่เช่นกัน

โดยมีจุดศูนย์กลางของหุบเขาจิตนภาเป็นศูนย์กลาง มีค่ายกลขนาดใหญ่ตั้งอยู่ที่นั่น วิญญาณทุกดวงถูกค่ายกลขนาดใหญ่สะกด ไม่สามารถออกไปจากดินแดนแห่งนี้ วิญญาณธรรมดาเฝ้าอยู่นอกหุบเขา วิญญาณเทพจิตอยู่ในหุบเขา

ในส่วนที่ลึกที่สุดของหุบเขาจิตนภา เป็นจุดศูนย์กลางของค่ายกล มีการดูดซับพลังวิญญาณที่บริสุทธิ์มาอย่างยาวนาน ตอนนี้กำลังก่อตัวขึ้นเป็นช่องจิต!

ตอนที่เจ้าของม้วนหยกพบสถานที่แห่งนี้ ช่องจิตที่อยู่ตรงจุดศูนย์กลางของค่ายกลยังไม่ก่อตัวขึ้นเป็นรูปร่าง ดังนั้นเขาจึงบันทึกม้วนหยกม้วนนี้ หวังว่าหลังจากที่ช่องจิตก่อตัวขึ้นสำเร็จ ค่อยกลับมาเอามัน

“ช่องจิต?”

หลัวซิวอ่านถึงตรงนี้ บนใบหน้าปรากฏให้เห็นอารมณ์ของความตกใจ เขาเคยได้ยินจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำพูด มีเพียงผู้แข็งแกร่งนิรันดร์ที่ก้าวข้ามระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ เทพจิตจะมีการเปลี่ยนรูปร่างเป็นช่องจิตต่อไป

“นี่มันเป็นไปไม่ได้! ผู้แข็งแกร่งนิรันดร์หลอมรวมช่องจิตนั่นเป็นเพราะได้รับการยอมรับจากผังกฎดั้งเดิม แค่สามารถดูดซับพลังวิญญาณที่หลอมรวม แต่ไม่สามารถควบแน่นผังกฎดั้งเดิม เป็นไปไม่ได้ที่จะหลอมรวมออกมาเป็นช่องจิต!” จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำปฏิเสธเนื้อหาที่อยู่ในม้วนหยกทันที

เนื่องจากม้วนหยกได้รับความเสียหาย มีข้อมูลมากมายไม่สมบูรณ์ หลัวซิวจึงทำได้แต่อ่านเนื้อหาบางส่วนมาสรุป

“ไม่ว่าจะเป็นช่องจิตที่แท้จริงหรือเปล่า พลังวิญญาณบริสุทธิ์ที่ถูกหลอมรวมมานานนับหมื่นปี ต้องเป็นโชคลาภที่ดีมากอย่างแน่นอน” ดวงตาของหลัวซิวลุกวาวเป็นประกายทันที

“เจ้าหนูบ้าไปแล้วเหรอ ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่มีช่องจิตจริงหรือไม่ ถึงมี ในหุบเขาจิตนภายังมีวิญญาณระดับเทพจิตมากมายอาศัยอยู่ เจ้าเข้าไปก็เท่ากับรนหาที่ตาย!” จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำพูดเตือน

“ข้ามีปีกทิพย์ไร้มลทิน ถ้าข้าสู้วิญญาณระดับจักรพรรดิยุทธ์ไม่ได้ อย่างน้อยก็สามารถหนีอย่างรวดเร็ว” หลัวซิวกัดฟันพูด

“แล้วถ้าหากด้านในมีวิญญาณระดับมกุฏยุทธ์ล่ะ? และไม่แน่ในส่วนลึกของหุบเขาจิตนภาอาจจะมีวิญญาณระดับมหายุทธ์ หรือแม้กระทั่งวิญญาณระดับเจ้ายุทธ์จักร!”

“ท่านพูดถูกแล้ว แต่มีโชคลาภแบบนี้วางอยู่ตรงหน้า ถ้าหากข้าไม่ไขว่คว้า ไม่เท่ากับว่าพลาดโอกาสนี้ไปแล้วเหรอ?” แววตาของหลัวซิวหวั่นไหว

เขารู้ดีว่าหลังจากที่ก้าวเข้าหุบเขาจิตนภา ชีวิตของเขาจะตกอยู่ในความอันตราย แต่โชคลาภเช่นนี้ มันมาพร้อมกับความอันตรายเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว โชคลาภยิ่งมาก ความอันตรายก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น

“เจ้ารอจนกระทั่งผลการฝึกตนของเจ้าสูงกว่านี้แล้วค่อยมาที่นี่ใหม่” จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำไม่เห็นด้วยกับความคิดที่บ้าคลั่งของหลัวซิว

หลัวซิวกลับส่ายหัวอย่างกะทันหัน “เรื่องในอนาคตมันไม่แน่นอน ในเมื่อเจ้าของม้วนหยกเคยพบที่นี่ ลู่เจิ้งเซี๋ยงก็ตามเบาะแสนี้มาจนเจอที่นี่ มันยากที่จะรับประกันว่าไม่มีคนอื่นจะมาพบที่นี่อีก ถึงเวลาโชคลาภที่อยู่ด้านใน อาจจะไม่ใช่ของข้าอีกแล้ว”

หลัวซิวเป็นคนที่ค่อนข้างมีหลักการ เมื่อไหร่ที่ตัดสินใจเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เขาไม่มีทางเปลี่ยนแปลงท่าทีของตนเองอย่างง่ายดาย

จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำพูดเกลี้ยกล่อม จึงทำได้แต่ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “เจ้าหนูเจ้านี่มันบ้าไปแล้ว แม้แต่ข้าก็ต้องนับถือในความกล้าของเจ้า”

หลังจากที่ตัดสินใจเรียบร้อย หลัวซิวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พูดกับเหยียนเยว่เอ๋อร์ “ข้าตั้งใจจะเข้าไปดูในหุบเขาจิตนภาสักหน่อย เจ้ารอข้าอยู่ที่ข้างนอก”

“อะไรนะ? นี่มันอันตรายเกินไปแล้ว” ปฏิกิริยาของเหยียนเยว่เอ๋อร์แทบจะเหมือนกับจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำทุกประการ

หลัวซิวรู้ดี นางและจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำล้วนแต่เป็นห่วงความปลอดภัยของตนเอง

“ไม่ต้องเป็นห่วง ข้ารู้จักแยกแยะ ข้ามีกฎเบญจธาตุและปีกทิพย์ไร้มลทิน ถึงเจอกับภัยอันตราย การหนีไม่ใช่ปัญหาสำหรับข้า” หลัวซิวพูดปลอบใจนาง

“ข้าจะไปกับเจ้า” เหยียนเยว่เอ๋อร์พูดอย่างไม่ลังเล

“ไม่ได้ หากพวกเราไปด้วยกัน มันจะทำให้จิตใจของข้าวอกแวก ถึงตอนนั้นมันจะยิ่งอันตรายมากขึ้น” หลัวซิวส่ายหัว

เหยียนเยว่เอ๋อร์รู้จักนิสัยของหลัวซิว รู้ดีว่าเมื่อไหร่ที่เขาตัดสินใจ ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน

“ได้ ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่ข้างนอก แต่ถ้าผ่านไปนานแล้วเจ้ายังไม่ออกมา ข้าจะเข้าไปตามหาเจ้า”

ท้ายที่สุด เหยียนเยว่เอ๋อร์ก็ยินยอมให้หลัวซิวเข้าไปในหุบเขาจิตนภา และนางก็รู้ด้วยว่าหลัวซิวมีไพ่ตายมากมาย ดูจากภายนอกผลการฝึกตนไม่ได้สูงมาก แต่ความแข็งแกร่งของเขากลับเหนือกว่าตนเองเล็กน้อย

ก่อนไป หลัวซิวสร้างค่ายกลขึ้นด้านนอกหุบเขาสองชั้น ชั้นแรกเป็นค่ายกลสังหาร ชั้นที่สองเป็นค่ายกลคุ้มกัน เหยียนเยว่เอ๋อร์และไป๋หลงเซวียนที่ได้รับบาดเจ็บอยู่ในค่ายกล

หลัวซิวมอบธงค่ายกลที่ใช้ควบคุมค่ายกลให้เหยียนเยว่เอ๋อร์ ถ้าหากไป๋หลิงเซวียนได้สติแล้วมีจิตใจคิดคด ถึงเวลานั่นสามารถใช้ค่ายกลสยบอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย

หลังจากทำเรื่องพวกนี้เรียบร้อย หลัวซิวไม่ลังเลอีก ร่างกายสั่นไหว ไปปรากฏตัวขึ้นในหุบเขาจิตนภา หายลับตาไปในท่ามกลางหมอกควัน

การเคลื่อนไหวของเขาเร็วมาก ในระหว่างบิน ใต้เท้าของเขามีเงาของมังกรเขียวปรากฏขึ้น ด้วยวิชาท่าร่างบรรลุมังกรเขียว ร่างกายของเขาพุ่งผ่านหมอกในหุบเขาไปอย่างรวดเร็ว

ตราสำนึกขยายออกเป็นวงกว้างคอยเฝ้าระวังการเคลื่อนไหวโดยรอบอยู่ตลอดเวลา เมื่อไหร่ที่พบกลิ่นอายการเคลื่อนไหวของวิญญาณ เขาจะใช้ปีกทิพย์ไร้มลทินทันที อาศัยความเร็วในการเคลื่อนไหวเพียงแค่พริบตาเดียว ถึงจะเป็นการโจมตีของวิญญาณ ก็มีโอกาสสูงมากที่จะหลบพ้น

ในเวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป หลัวซิวพบกับการโจมตีของวิญญาณเทพจิตสี่ข้าง เขาสามารถหลบการโจมตีสามในสี่ครั้งได้สำเร็จ อาศัยความเร็วของปีกทิพย์ไร้มลทิน สามารถสะบัดหลุดจากการไล่ล่าของวิญญาณเทพจิตอย่างรวดเร็ว

ในมุมหนึ่งที่ไม่รู้จักของหุบเขา หลัวซิวพลิกมือเรียกยาฟื้นพลังจิตออกมาจากแหวนเก็บของ จมูกและดวงตาของเขามีร่องรอยของเลือดสีแดงไหลออกมา ดูแล้วค่อนข้างน่าตกใจ

นี่เป็นเพราะเมื่อกี้เขาโดนวิญญาณเทพจิตดวงหนึ่งลอบโจมตี ทำให้วิญญาณหยั่งรู้ได้รับความเสียหาย

วิญญาณเทพจิตที่โจมตีเขาเป็นวิญญาณที่มีรูปร่างมังกรเจียวเหมือนกับก่อนหน้านี้ที่ไล่ล่าเขา ลู่เจิ้งเซี๋ยงและคนอื่นออกจากหุบเขาจิตนภา เป็นระดับจักรพรรดิยุทธ์ขั้นแปด!

แต่ท้ายที่สุดหลัวซิวอาศัยความเร็วของปีกทิพย์ไร้มลทินหนีพ้นจากการไล่ล่าของวิญญาณรูปร่างมังกรเจียว มาจนถึงสถานที่ค่อนข้างปลอดภัยแห่งหนึ่ง

“เจ้าหนูหลัว ระวังเท้าของเจ้า”

หลังจากกลืนยาฟื้นพลังจิต ในขณะที่หลัวซิวกำลังจะก้าวเท้าจากไป เสียงของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำดังขึ้นในวิญญาณหยั่งรู้อย่างกะทันหัน

“ทำไมเหรอ?” ร่างกายของเขาหยุดชะงัก ถามด้วยความสงสัย

“ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยสังเกตเห็นค่ายกลของสถานที่แห่งนี้เลย จากที่เจ้าอ่านคำเตือนจากม้วนหยกเมื่อกี้ ข้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของค่ายกลบางอย่าง ตำแหน่งที่เจ้าอยู่ มันเป็นหนึ่งในทิศทางของค่ายกล เมื่อไหร่ที่เจ้าเดินสุ่มสี่สุ่มห้า เจ้าจะไปสัมผัสโดนล่องลอยของค่ายกล และพวกวิญญาณที่อยู่ในค่ายกลก็จะสามารถสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของเจ้า หลังจากนั้นจะหันมาจู่โจมใส่เจ้า” จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำพูด

“นี่คือค่ายกลอะไร?” หลัวซิวถามด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด

จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำเป็นปรมาจารย์ค่ายกลในยุคบรรพกาล แม้กระทั่งเขาก็ยังไม่สามารถสัมผัสได้ถึงค่ายกลของที่นี้ในตอนแรก สามารถพิสูจน์ให้เห็นว่าค่ายกลที่ตั้งอยู่ในหุบเขาจิตนภาไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง

“ไม่รู้ควรจะบอกว่าเจ้าเป็นคนดวงดีหรือดวงกุดกันแน่ ตอนนี้มีข่าวอยู่สองเรื่อง เรื่องหนึ่งคือข่าวดี ส่วนอีกเรื่องเป็นข่าวร้าย เจ้าอยากฟังอันไหนก่อน?” ยากที่จะได้เห็นจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำพูดติดตลกเช่นนี้

“ขอฟังข่าวร้ายก่อนก็แล้วกัน ข้าเป็นคนชอบวางแผนกับเรื่องที่เลวร้ายที่สุดก่อน” หลัวซิวยิ้มแล้วพูด

แม้ตัวจะอยู่ในสถานการณ์ที่ค่อนข้างอันตราย เขายังคงมองโลกในแง่ดีเสมอ

“ข่าวร้ายก็คือค่ายกลของที่นี่อยู่เหนือระดับของข้า เป็นค่ายกลที่ก้าวข้ามระดับเทพ!”

“ลู่เจิ้งเซี๋ยง ข้าไป๋หลิงเซวียนมันใช่เศษสวะอย่างเจ้าหรือ แม่นางเหยียนช่วยข้าหนึ่งชีวิต ข้าไป๋หลิงเซวียนจะตอบแทนบุญคุณด้วยความแค้นหรือ? ข้ารอวันนี้มานานมากแล้ว ข้าต้องการล้างแค้นให้หลู่เหว่ย”

“คิดไม่ถึงว่านางแพศยาอย่างเจ้าจะรู้นานแล้ว ไปตายซะเถอะ!”

ลู่เจิ้งเซี๋ยงโกรธจัด ยกมือขึ้นปลดปล่อยสายฟ้าที่มีขนาดเท่าหัวแม่นิ้วมือพุ่งตรงเข้าหาไป๋หลิงเซวียน

การที่ไป๋หลิงเซวียนสามารถทำให้ลู่เจิ้งเซี้ยงได้รับบาดเจ็บ นั่นเป็นเพราะนางใช้ประโยชน์จากการลอบโจมตี บวกกับลู่เจิ้งเซี้ยงไม่ได้ระวังนาง

ภายใต้การโจมตีด้วยความโกรธของลู่เจิ้งเซี๋ยง นางต้านทานไม่ไหวทันที โดนสายฟ้าระเบิดจนลอยกระเด็นออกไปในพริบตาเดียว มีเลือดกระอักออกมาจากปาก

แต่ก่อนที่จะโดนระเบิดจนลอยกระเด็นออกไป ไป๋หลิงเซวียนได้บดขยี้ยันต์สีม่วงแผ่นหนึ่ง ปลดปล่อยแสงสีม่วงสายหนึ่งออกมา

“ยันต์ขั้นเจ็ด?” สีหน้าของลู่เจิ้งเซี๋ยงเปลี่ยนไปทันที เขาคิดไม่ถึงว่าไป๋หลิงเซวียนที่มีผลการฝึกตนเพียงแดนจักรพรรดิยุทธ์ขั้นสี่จะมีของวิเศษแบบนี้

เขาอัญเชิญเสื้อเกราะและนักรบดินขั้นกลางออกมาพยายามต้านทานอย่างเต็มกำลัง แต่กลับไม่สามารถต้านทานแสงสีม่วงที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากยันต์ เนื่องจากนี่เป็นการโจมตีของยันต์ขั้นเจ็ด ซึ่งเทียบเท่ากับการโจมตีของผู้แข็งแกร่งระดับมงมกุฏยุทธ์

สำหรับผู้แข็งแกร่งแดนจักรพรรดิยุทธ์ ยันต์ขั้นเจ็ดเป็นของวิเศษระดับชั้นฟ้า

มีราชายุทธ์ไม่น้อยสามารถหายันต์ขั้นหกมาไว้ในครอบครอง แต่การที่ผู้แข็งแกร่งแดนจักรพรรดิยุทธ์จะหายันต์ขั้นเจ็ดมาไว้ในครอบครองกับเป็นเรื่องที่ยากมาก

เพราะปรมาจารย์ค่ายกลขั้นเจ็ดหายากยิ่งกว่าปรมาจารย์ค่ายกลขั้นหกไปเยอะมาก บวกกับหยกสีม่วงที่ใช้กลั่นหลอมยันต์ยิ่งเป็นของล้ำค่า

การต่อสู้เริ่มต้นขึ้นอย่างรวดเร็ว และจบลงอย่างรวดเร็ว

ในเวลาเพียงแค่พริบตาเดียว การป้องกันของลู่เจิ้งเซี๋ยงพังทลาย ถูกแสงสีม่วงพุ่งทะลวงเสื้อเกราะดินขั้นกลางจนเกิดเสียงดังฉึก ยิ่งไปกว่านั้นยังทะลวงจุดตันเถียนของเขาโดยที่อานุภาพไม่ลดลงแม้แต่นิดเดียว

หลัวซิวได้ยินเสียงแควกดังออกมาจากในร่างกายของลู่เจิ้งเซี๋ยง ยาชีวีของเขาแตกสลายตอนที่ถูกแสงสีม่วงทะลวงจุดตันเถียน!

“นางแพศยาไป๋หลิงเซวียน! ถึงข้าต้องตายก็ไม่มีทางปล่อยให้เจ้าอยู่อย่างเป็นสุข!”

ลู่เจิ้งเซี๋ยงกระอักเลือดออกมากองใหญ่ พลิกมือเรียกลูกแก้วสีน้ำเงินลูกหนึ่งออกจากแหวนเก็บของ แล้วโยนมันออกไป

มีสายฟ้าสีน้ำเงินร่ายรำอยู่บนลูกแก้วลูกนี้ ปลดปล่อยกลิ่นอายทำลายล้างและแรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัวออกมา

“เวรเเล้ว นั่นมันลูกแก้วอัสนีพัน! เจ้าหนูหลัวรีบหนีเร็ว!” เสียงของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำดังออกมาจากจุดวิญญาณหยั่งรู้ของหลัวซิว

หลัวซิวไม่รู้ว่าลูกแก้วอัสนีพันคืออะไร แต่เขาสามารถสัมผัสได้ถึงความตื่นตระหนกของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำอย่างชัดเจน ต้องเป็นของที่ไม่ธรรมดา มีพลังทำลายล้างสูงแน่นอน

เขากระชากเหยียนเยว่เอ๋อร์ลุกขึ้น ปีกทิพย์ไร้มลทินกลางออกจากแผ่นหลังอย่างไม่ลังเล ยิ่งไปกว่านั้นยังใช้พลังกฎเบญจธาตุ แสงศักดิ์สิทธิ์ห้าสีส่องสว่าง เพียงแค่พริบตาเดียวไปปรากฏตัวขึ้นนอกรัศมีหนึ่งพันสองร้อยเมตร

บูม!

ทันทีที่ลูกแก้วอัสนีพันระเบิด หลัวซิวได้พาเหยียนเยว่เอ๋อร์หนีออกนอกรัศมีสองพันสี่ร้อยเมตรแล้ว

การระเบิดที่น่าสะพรึงกลัวครอบคลุมพื้นที่รัศมีโดยรอบพันเมตร มีประกายสายฟ้ามากมายฟาดประสาน ทำลายทุกสิ่งที่อยู่บริเวณโดยรอบ

การระเบิดครั้งนี้ถึงขั้นสะเทือนไปถึงหุบเขาจิตนภา หลัวซิวสังเกตเห็นแผ่นศิลาแตกหักที่อยู่ตรงทางเข้าหุบเขาจิตนภา ปลดปล่อยแสงสีเงินออกมา ต้านทานการจู่โจมของสายฟ้านับไม่ถ้วน

“พลังทำลายล้างสูงขนาดนี้เลย?”

หลัวซิวและเหยียนเยว่เอ๋อร์หันกลับไปมอง ถึงกับลืมตาอ้าปากค้าง รู้สึกเสียวสันหลังวูบ

ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากที่ผ่านประสบการณ์ครั้งนี้ หลัวซิวก็เข้าใจแล้ว ทุกคนที่สามารถฝึกฝนจนกลายเป็นผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ ล้วนแต่เป็นบุคคลที่ดูถูกไม่ได้เด็ดขาด

เหยียนเยว่เอ๋อร์ก็เช่นกัน นางมีสายเลือดหงส์โบราณ ส่วนไป๋หลิงเซวียนมียันต์ขั้นเจ็ด ลู่เจิ้งเซี๋ยงมีลูกแก้วอัสนีพัน

ในการต่อสู้ที่เกี่ยวพันถึงความเป็นความตาย มันใช่ว่าเจ้ามีผลการฝึกตนที่สูงกว่า แล้วเจ้าจะสามารถสังหารคู่ต่อสู้จนได้รับชัยชนะ บางทีผู้ที่อ่อนแอกว่าอาจจะมีไพ่ตายที่ร้ายกาจซ่อนอยู่ สามารถพลิกแพ้ให้เป็นชนะ

แม้กระทั่งหลัวซิวก็เช่นกัน หากมีคนมองเขาเป็นเพียงผู้อ่อนแอที่มีผลการฝึกตนราชายุทธ์ขั้นสาม จะต้องเสียใจอย่างสุดซึ้งแน่นอน

สถานการณ์เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ไป๋หลิงเซวียนลงมือกับลู่เจิ้งเซี๋ยนอย่างกะทันหัน เรื่องนี้ถือว่าอยู่เหนือความคาดหมายของหลัวซิวและเหยียนเยว่เอ๋อร์

เห็นได้ชัด ไป๋หลิงเซวียนเป็นคนรู้จักแยกแยะบุญคุณความแค้น เหมือนนางและลู่เจิ้งเซี๋ยงได้บรรลุข้อตกลงอย่างใดอย่างหนึ่งตั้งแต่ก่อนหน้านี้ แต่กลับเป็นเพราะเหยียนเยว่เอ๋อร์ได้ช่วยชีวิตของนางในหุบเขาจิตนภา จึงเปลี่ยนทิศทางหันมาลงมือฆ่าลู่เจิ้งเซี๋ยงแทน

แน่นอนว่าสิ่งนี้ไม่ได้ตัดความเป็นไปได้ที่ไป๋หลิงเซวียนมีแผนร้ายอยู่ในใจ ต้องการฆ่าลู่เจิ้งเซี๋ยงรับผลประโยชน์แต่เพียงผู้เดียว

“อัสนีพันเป็นของวิเศษประเภทหนึ่ง จะปรากฏขึ้นในสถานที่เต็มไปด้วยสายฟ้าโหมกระหน่ำ ลูกแก้วที่ไม่ได้ดูสะดุดตา แต่กลับรวบรวมพลังของสายฟ้านับพันสายไว้ด้วยกัน เพราะเหตุนี้จึงได้ชื่อนี้มา” จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำพูด

ตามที่จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำพูด อานุภาพการทำลายล้างของลูกแก้วอัสนีพันเพียงพอที่จะสร้างความเสียหายอย่างหนักต่อมงกุฎยุทธ์จนถึงขั้นจักรพรรดิยุทธ์ เมื่อไหร่ที่จมอยู่ภายใต้พลังของลูกแก้วอัสนีพัน โดยพื้นฐานต้องพบกับจุดจบของความตายเท่านั้น

พลังระเบิดของลูกแก้วอัสนีพันกินเวลานานถึงสิบห้านาที จึงค่อยๆสงบลงทีละนิด

ตรงทางเข้าหุบเขาจิตนภา ทั่วทุกที่เต็มไปด้วยหลุมบ่อ และพื้นดินจมลงไปลึกอย่างน้อยสองถึงสามเมตรกลายเป็นหลุมขนาดใหญ่

บนพื้นยังคงมีประกายสายฟ้าสว่างวาบอยู่ตลอดเวลา ส่วนเงาของไป๋หลิงเซวียนและลู่เจิ้งเซี๋ยงก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว

หลัวซิวปลดปล่อยตราสำนึกของตนเอง ไม่นานก็พบกับร่างของศพสีดำร่างหนึ่งจากจุดที่ไกลออกไป เขาสังเกตเห็นจุดตันเถียนของศพร่างนี้ถูกทะลวงจนทะลุ นึกย้อนถึงภาพเมื่อกี้ เขามั่นใจว่าน่าจะเป็นศพของลู่เจิ้งเซี๋ยง

“หลัวซิว มานี่!”

ในตอนนั้นเอง เหยียนเยว่เอ๋อร์ที่อยู่ไม่ไกลตะโกนอย่างกะทันหัน

หลัวซิวยื่นมือออกไปถอดแหวนเก็บของบนมือของลู่เจิ้งเซี๋ยง ออกแรงเล็กน้อย นิ้วมือของศพสีดำที่ไหม้เกรียมแตกละเอียดทันที

ไม่นานเขาเดินมาถึงข้างกายของเหยียนเยว่เอ๋อร์ สังเกตเห็นร่างของผู้หญิงคนหนึ่งที่ไหม้เกรียม นอนหมอบอยู่ท่ามกลางเถ้าธุรี

“นางยังมีชีวิต แต่อาการสาหัสมาก ตันเถียนแตกแล้ว” เหยียนเยว่เอ๋อร์ประคองนางลุกขึ้นตรวจสอบอาการบาดเจ็บ

“ผู้หญิงคนนี้ดวงแข็งมาก” หลัวซิวพูดด้วยความประหลาดใจ พลังทำลายล้างที่น่าสะพรึงกลัวเมื่อกี้ทำให้ลู่เจิ้งเซี๋ยงตายในทันที ไป๋หลิงเซวียนคนนี้กลับสามารถรอดมาได้ ถือว่าเป็นปาฏิหาริย์ยิ่งนัก

แต่เมื่อนึกย้อนกลับไป ตอนที่ลู่เจิ้งเซี๋ยงปลดปล่อยลูกแก้วอัสนีพัน จุดตันเถียนถูกทะลวง ยาเทพจิตแตกสลาย ยังไงก็ต้องตายอย่างไม่มีข้อสงสัย

ในเมื่อไป๋หลิงเซวียนมียันต์โจมตีขั้นเจ็ดติดตัว ไม่แน่อาจจะมียันต์ป้องกันขั้นเจ็ดก็ได้ เพราะอาศัยพลังของยันต์จึงสามารถปกป้องชีวิตเอาไว้ได้

เพียงแต่อานุภาพทำลายล้างของลูกแก้วอัสนีพันสูงมาก ถึงจะเป็นยันต์ป้องกันขั้นเจ็ดก็แค่สามารถปกป้องชีวิตเอาไว้ได้ การบาดเจ็บสาหัสเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม การที่สามารถกำจัดลู่เจิ้งเซี๋ยงก็หนีไม่พ้นความดีความชอบของไป๋หลิงเซวียน ไม่เช่นนั้น เผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ขั้นหกคนหนึ่ง หลัวซิวเพียงแค่มั่นใจว่าสามารถปกป้องตนเองได้ด้วยการอาศัยปีกทิพย์ไร้มลทิน ถึงจะใช้พลังของกฎเบญจธาตุ ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของลู่เจิ้งเซี๋ยงแน่นอน

“ป้อนยาเม็ดนี้ให้นาง” หลัวซิวพลิกมือเรียกขวดหยกออกมาส่งให้เหยียนเยว่เอ๋อร์

ในขวดหยกเป็นยาเสวียนจือหนึ่งเม็ด เป็นยาระดับหกที่สามารถฟื้นฟูความเสียหายของจุดตันเถียน

หลังจากกลืนยาเสวียนจือ อาการบาดเจ็บของไป๋หลิงเซวียนเริ่มคงที่ แต่เนื่องจากเส้นเลือดและอวัยวะภายในได้รับความเสียหายอย่างหนัก ชั่วขณะจึงไม่มีทางที่จะได้สติ

ในแหวนเก็บของของลู่เจิ้งเซี๋ยง หลัวซิวพบม้วนหยกโบราณหนึ่งม้วน สิ่งที่บันทึกอยู่ในม้วนหยกโบราณคือข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับหุบเขาจิตนภา

บูม!

ทันใดนั้น เปลวไฟลุกโชติช่วงก็พุ่งออกมา ปิดผนึกพื้นที่รอบ ๆ วิญญาณเทพจิต

ภายใต้เปลวเพลิงที่แผดเผา วิญญาณเทพจิตกรีดร้องไม่หยุด ดูเหมือนว่าจะกลัวออร่าของเปลวเพลิงอยู่เล็กน้อย

คนที่ใช้พลังนี้คือเหยียนเยว่เอ๋อ

“ขอบใจ แม่นางเหยียน” ไป๋หลิงเซวียนมองมาที่นางและเอ่ยขอบใจ

วิญญาณเทพจิตนี้อยู่ที่จักรพรรดิยุทธ์ขั้น 4 ซึ่งเทียบเท่ากับระดับการฝึกฝนของนาง เมื่อมันรวมพลังวิญญาณทั้งหมดเพื่อโจมตีตัวหยั่งรู้อย่างบ้าคลั่ง แม้ว่าจะสามารถต้านทานได้ก็จะต้องพ่ายแพ้ทั้งสองฝ่าย

ในสถานที่อันตรายเช่นหุบเขาจิตนภานี้ เมื่อได้รับบาดเจ็บสาหัสสถานการณ์จะเลวร้ายมาก ในแง่หนึ่งอาจกล่าวได้ว่าเหยียนเยว่เอ๋อร์ได้ช่วยชีวิตนางไว้

“ไม่ต้องเกรงใจ” เหยียนเยว่เอ๋อร์พูดเสียงเรียบ

จากนั้น ลู่เจิ้งเซี๋ยงก็มาถึง จักรพรรดิยุทธ์นักยุทธ์ทั้งสามร่วมมือโจมตี ในเวลาเพียงครู่เดียว ร่างกายของวิญญาณเทพจิตแยกออกจากกันเป็นสามร่าง

ทั้งสามได้รับพลังงานวิญญาณบริสุทธิ์ 1ส่วน หลังจากที่ตัวสำนึกวิญญาณที่บรรจุอยู่ในนั้นถูกลบออกไป พลังวิญญาณก็เริ่มแข็งตัว ในที่สุดก็กลายเป็นคริสตัลสีเงินที่ไม่สม่ำเสมอ

คริสตัลสีเงินนี้เรียกว่าในสมัยโบราณเรียกว่าคริสตัลวิญญาณ จักรพรรด์ยุทธ์เสวียนดำเคยเห็นในห้องประมูลมาก่อน

เหยียนเยว่เอ๋อร์มอบชิ้นส่วนคริสตัลวิญญาณให้ทันที

“เจ้าเก็บไว้เองได้เถอะ” หลัวซิวส่ายหัวและปฏิเสธ เพราะพลังวิญญาณที่บรรจุอยู่ในคริสตัลวิญญาณนี้พลานุภาพมาก และยังเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับเหยียนเยว่เอ๋อร์ ที่จะเพิ่มพลังแห่งตาสำนึกวิญญาณ

ทั้งสี่ยังคงเดินหน้าต่อไป หลังจากนั้นไม่นาน จักรพรรดิยุทธ์ทั้งสามร่วมมือสังหารวิญญาณเทพจิตจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 3 พลังวิญญาณยังคงถูกแบ่งออกเป็นสามส่วนและกลายเป็นชิ้นส่วนผลึกคริสตัลวิญญาณสามชิ้น

มีที่ว่างมากมายในหุบเขาชั้นในนี้ ดูเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด หลัวซิวตามหลังเสมอ เมื่อเผชิญกับการโจมตีวิญญาณระยะไกลที่ปล่อยออกมาจากวิญญาณเทพจิต เขาสามารถต้านทานมันได้ ซึ่งทำให้ลู่เจิ้งเซี๋ยงและไป๋หลิงเซวียนประหลาดใจนัก มั่นใจว่าต้องมีสมบัติล้ำค่าบนร่างกายของเขาเพื่อป้องกันการโจมตีของวิญญาณ

ไม่รู้ว่า ช่วงเวลานี้หลัวซิวกำลังกลั่นวิญญาณระดับราชายุทธ์สี่ดวงในตัวหยั่งรู้ และพลังแห่งตัวสำนึกยังคงก้าวกระโดดไปข้างหน้า

“แครก!”

เหมือนมีบางอย่างแตก หลัวซิวรู้สึกว่าการตอบสนองของเขาเร็วขึ้น การรับรู้ของเขาชัดเจนขึ้น และการเชื่อมต่อกับโลกนี้ก็ชัดเจนขึ้นมาก

หลังจากกลั่นวิญญาณระดับราชายุทธ์ทั้งสี่หมดไป วิญญาณของเขาก็เติบโตขึ้นอย่างมาก ตัวสำนึกของเขาก็มาถึงราชายุทธ์ขั้น 8

ทันใดนั้นความกดดันจากการบีบบังคับที่กว้างใหญ่และน่าสะพรึงกลัวก็ลงมาทำให้ หลัวซิวรู้สึกราวกับว่าตัวหยั่งรู้ของเหมือนถูกภูเขาทับ

จู่ๆหมอกที่อยู่ตรงหน้าก็เปิดออก ร่างของสิ่งมีชีวิตที่เหมือนมังกรสีเงินขาวก็พุ่งออกมา ความยาวลำตัวสามร้อยกว่าเมตร และความดุร้ายของมันช่างน่ากลัว

นี่ไม่ใช่ชีวิตเนื้อหนัง แต่เป็นวิญญาณเทพจิตที่เป็นพลังวิญญาณผนึกรวมออกมา แต่รูปร่างที่เปลี่ยนไปไม่ใช่รูปร่างของมนุษย์ แต่เป็นรูปร่างของสัตว์ร้าย

“โฮก!”

มันเงยหน้าขึ้นและส่งเสียงคำราม คลื่นเสียงอันน่าสะพรึงกลัวก็พุ่งออกไป กระจายหมอกรอบๆออกไป การโจมตีด้วยวิญญาณในระยะหนึ่งทำให้ใบหน้าของหลัวซิวเปลี่ยนไปเล็กน้อย

นี่คือวิญญาณที่แข็งแกร่งที่สุดที่พวกเขาเคยพบมา ความผันผวนของออร่าวิญญาณนั้นแข็งแกร่งกว่าลู่เจิ้งเซียง

“ทุกคนระวัง นี่คงจะเป็นสิ่งมีชีวิตวิญญาณจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 7 “ ลู่เจิ้งเซี๋ยงพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม เขาไม่รู้เกี่ยวกับวิญญาณ ดังนั้นเขาจึงเรียกวิญญาณที่นี่ว่าสิ่งมีชีวิตวิญญาณ

การโจมตีวิญญาณของจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 7 เรียกได้ว่าน่ากลัวมาก แม้ว่าหลัวซิวจะใช้กฎเบญจธาตุทั้งห้าปกป้องตัวหยั่งรู้ แต่เขาก็ยังเหมือนโดนฟ้าผ่า ร่างของเขาลอยออกไปแล้วเขาก็กระอักคำใหญ่ออกมา

เหยียนเยว่เอ๋อร์และไป๋หลิงเซวียนก็เหมือนกัน มีเพียงลู่เจิ้งเซี๋ยงเท่านั้นที่ยังอยู่ในสภาพที่ดีเล็กน้อย แต่ใบหน้าของเขาซีด มุมปากของเขามีเลือดออก ถอยกลับหลังไปหลายสิบก้าว

“หนี!” ลู่เจิ้งเซี๋ยงคำรามและหันหลังวิ่งหนีไปโดยทันที

เมื่อเขาหันกลับมา กลับมองเห็นหลัวซิวดึงเหยียนเยว่เอ๋อร์ขึ้นมา หนีเข้าไปในหมอกในระยะไกลทันที แล้วหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

“บัดซบ ไอ้ชายหนุ่มเจ้าเล่ห์” ลู่เจิ้งเซี๋ยงสบถด่า พยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อระดมพลังจิตแท้ และหนีโดยเร็วที่สุด

ไป๋หลิงเซวียนก็หนีเอาชีวิตรอดเช่นกัน วิญญาณเทพจิตระดับจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 7 ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาสามารถต้านทานได้

แม้ว่าลู่เจิ้งเซี๋ยงจะอยู่ที่ระดับจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 6 ห่างจากขั้น 7 แค่แดนเล็ก แต่เมื่อการฝึกฝนมาถึงแดนนี้ ช่องว่างขอบเขตเล็กๆ ก็ทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างฟ้าและเหวได้ หากต่อสู้กันขึ้นมาจริงๆ ลู่เจิ้งเซี๋ยงสามารถต้านทานการโจมจีวิญญาณได้สิบกว่าครั้ง และตายเพราะตัวหยั่งรู้แตกสะลาย

วิญญาณเทพจิต หากวางไว้ในหมู่นักยุทธ์ ก็เป็นผู้ฝึกฝนการต่อสู้ที่เชี่ยวชาญด้านฝึกจิต และจะบริสุทธิ์มากกว่าผู้ฝึกฝนด้านฝึกจิต เพราะแม้แต่ร่างกายของพวกมันประกอบขึ้นจากพลังงานที่ควบแน่นของวิญญาณ

เมื่อหลัวซิวเข้าสู่หุบเขาจิตนภานี้ ก็ได้จดจำเส้นทางที่เคยเดิน ดังนั้น ใช้เวลาไม่นานก็หนีไปถึงหน้าปากหุบเขา

ใบหน้าของเขาซีดเล็กน้อย เขาพลิกมือหยิบยาสองเม็ดออกมาและส่งให้เหยียนเยว่เอ๋อร์หนึ่งเม็ด

เหยียนเยว่เอ๋อร์รับมาและกลืนเข้าไปในปากโดยไม่ลังเลใด ๆ พลังการรักษาแผ่กระจายไปทั่วร่างกายของนางแล้วรวมตัวกันในตัวหยั่งรู้ เพื่อหล่อเลี้ยงตัวหยั่งรู้ที่เสียหาย

เม็ดยาที่หลัวซิวหยิบออกมาคือยาวิญญาณหยินหขั้น 6 วัสดุสำหรับเม็ดยานี้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะรวบรวมมาได้ ในมือเขามีเพียงสี่เม็ดเท่านั้น

หลังจากนั้นไม่นาน ลู่เจิ้งเซี๋ยงก็พุ่งออกจากหุบเขา เลือดออกจากมุมปาก ผมเผ้ากระเซิง ดูทุลักทุเลมาก ไร้ซึ่งท่าทีของนัผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์

หลังจากนั้น ไป๋หลิงเซวียนก็หลบหนีออกมา ดูเหมือนว่านางถูกโจมตีวิญญาณอีกครั้งในระหว่างการหลบหนี ปาก หู จมูก ตาของนางมีเลือดออก

เทียบกันแล้ว สถานการณ์ของหลัวซิวและเหยียนเยว่เอ๋อร์ดีกว่า

“โฮก!”

ในหุบเขาจิตนภา วิญญาณเทพจิตในรูปแบบของมังกรคำรามอย่างโกรธจัด แต่ดูเหมือนว่าจะถูกผูกมัดด้วยกฎบางอย่าง มันไม่สามารถออกมาจากหุบเขาจิตนภาได้

“ผู้น้อยซิวหลัว ความเร็วในการเคลื่อนที่ของเจ้าเร็วมาก ไม่รู้ว่าเจ้าฝึกวิชาร่างแบบไหน?”

เมื่อเห็นว่าวิญญาณเทพจิตไม่สามารถตามออกมาได้ ลู่เจิ้งเซี๋ยงก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและหันไปมอง หลัวซิว

เขาเป็นผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ แต่เมื่อครู่นี้ที่หลบหนี เขาพบว่าซิวหลัวคนนี้เร็วกว่าตัวเขาเอง ซึ่งทำให้เขาประหลาดใจนัก

เขาแน่ใจ แม้ว่าผู้ชายผู้นี้จะฝึกฝนวิชาร่างขั้น 9 ก็ไม่สามารถบรรลุถึงความเร็วนี้ได้

“ทำไม? หัวหน้าแก๊งลู่สนใจวิชาร่างที่ข้าฝึกอยู่หรืออ?” หลัวซิวพูดด้วยรอยยิ้มอย่างไม่สนใจ จริงๆแล้วมันเป็นพฤติกรรมที่หยาบคายมากที่สอบถามเกี่ยวกับวรยุทธ์หรือทักษะยุทธ์การฝึกฝนของคนอื่นในหมู่นักยุทธ์

ก่อนหน้านี้ ลู่เจิ้งเซี๋ยงรู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร แต่ตอนนี้เขาไม่สนใจสักนิด เห็นได้ชัดว่าพร้อมจะแตกหักแล้ว

“หึหึ ผู้น้อยซิวหลัวเป็นเพื่อนรักของข้าจริงๆ ข้าไม่เพียงแต่สนใจวิชาร่างที่เจ้าฝึกฝน ยังสนใจวรยุทธ์ที่เจ้าฝึกฝน และแหวนเก็บของบนร่างของเจ้า ข้าก็สนใจด้วย”

ขณะพูด ใบหน้าของลู่เจิ้งเซี๋ยงก็เย็นลงทันที ร่างของเขาก็กลายเป็นเงา แสงอัสนีควบแน่นอยู่ระหว่างฝ่ามือของเขา จับไปที่หลัวซิว

เหยียนเยว่เอ๋อร์ก็เริ่มลงมือทันที พลิกมือของนางหอกรบเปลวไฟออกมา แทงไปที่ฝ่ามือของลู่เจิ้งเซี๋ยง

ลู่เจิ้งเซี๋ยงเยาะเย้ย อย่างไม่สนใจ หญิงนามสกุลเหยียนเป็นเพียงจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 3 เท่านั้น ไป๋หลิงเซวียนสามารถต้านทานได้อย่างง่ายดาย

“แคร่ง!”

ฝ่ามือและหอกรบชนกัน และร่างของเหยียนเยว่เอ๋อร์ถอยห่างออกไปหลายสิบก้าวทันที

แต่สีหน้าของลู่เจิ้งเซี๋ยงเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน เพราะเขาคาดว่าภาพที่ ไป๋หลิงเซวียนเข้ามาห้ามเหยียนเยว่เอ๋อร์ไม่ได้เกิดขึ้น

แต่ไป๋หลิงเซวียนได้ลงมือจริงๆ แต่เป้าหมายของการโจมตีไม่ใช่เหยียนเยว่เอ๋อร์แต่เป็นการลอบโจมตีลู่เจิ้งเซี๋ยงจากด้านหลัง!

“ไป๋หลิงซวน นาาร่านที่โง่เขลา!”

พลังจิตแท้ของการปกป้องร่างกายที่อยู่ด้านหลังลู่เจิ้งเซี๋ยงก็ถูกทำลายลงด้วยดาบสีฟ้าน้ำแข็งทันทีโดยที่เขาไม่ทันได้ตั้งตัว เสียงดาบฟันเข้าเนื้อ เลือดพ่อออกมา เลือดกระเซ็นออกมาจากหลังของลู่เจิ้งเซี๋ยง เลือดเพิ่งไหลออกมาก็กลายเป็นผลึกน้ำแข็งทันที

 

 

บทที่ 49 ของล้ำค่าที่ยากจะนับราคาได้

 

ผลการฝึกตนเพิ่มเป็น4เท่า แสดงว่าหลัวซิวฝึกตน1วัน เท่ากับคนอื่นที่ใช้เวลาฝึก4วัน และอุปกรณ์ค่ายผนึกปราณขั้น1ที่เขาใช้อยู่ มันแค่เพิ่มผลการฝึกตนเป็นสองเท่าเอง

อุปกรณ์ค่ายผนึกปราณขั้น2นี้ จะมีค่ามากกว่ายาผนึกปราณระดับ2มาก ราคาใกล้เคียงกับหินพลังจิตสองพันก้อน!

รางวัลของแชมป์ ช่างทำให้คนอิจฉาจริงๆ !

แค่ยาผนึกปราณกับอุปกรณ์ค่ายกล ก็มีราคาสามพันหินพลังจิตแล้ว การที่ได้เลือกเรียนวิชายุทธ์ระดับ4 ยิ่งหาค่าเปรียบไม่ได้เลย

“ขอบคุณเจ้าสำนักที่ให้ครับ!” หลัวซิวโค้งตัวคำนับทำความเคารพ

เจ้าสำนักยุทธ์ก็ยิ้มๆ “ไม่ต้องมาขอบคุณหรอก นี่คือสิ่งที่เอ็งสมควรได้ สำหรับอัจฉริยะ ทางสำนักยุทธ์ไม่หวงทรัพยากรที่จะใช้ชุบเลี้ยงหรอก”

พอสิ้นเสียง เจ้าสำนักยุทธ์ก็หันไปมองผู้อาวุโสจวงหนานเทียนด้านล่าง

“เอาเข้ามา!”

จวงหนานเทียนลุกขึ้น แล้วพูดเสียงดัง

ที่หน้าประตูตำหนัก หลัวซิวได้ยินเสียงคนเดินเข้ามา แล้วก็หันไปมอง ก็เห็นองครักษ์เกราะเขียวควบคุมตัวชายวัยกลางคนสวมชุดผ้าแพรคนหนึ่งเข้ามา

ชายวัยกลางคนสวมชุดผ้าแพรคนนี้สีหน้าอิดโรย พอเห็นหลัวซิวที่ยืนอยู่ตรงกลางห้องโถง สายตาก็เป็นประกาย

“หลัวซิว คนนี้ก็คือจางช่าวฉง หัวหน้าตระกูลจางในเมืองชิงหยุน”

จวงหนานเทียนค่อยๆ พูดว่า “ในการต่อสู้ เอ็งได้ทำลายเส้นชีพจรของจางห่าย จางช่าวฉงคนน็เคียดแค้น เคยจ้างทีมนักล่าอสูรที่มีเฉินหู่เป็นผู้มา มาตามฆ่าเอ็ง สำนักยุทธ์ได้รวบรวมหลักฐานไว้หมดแล้ว ก็เลยจับตัวมันมา”

“ที่แท้ก็คือตระกูลจาง!” หลัวซิวก็เข้าใจอะไรขึ้นมาได้ จริงๆ แล้วตั้งแต่แรก ก็สงสัยตระกูลจางที่สุด แต่ไม่มีหลักฐาน

“ที่ตระกูลจางมีที่ยืนในเมืองชิงหยุน ก็ใช่ว่าจะไม่มีเบื้องหลัง นายท่านของตระกูลจางคือจอมยุทธ์พรสวรรค์ขั้น9 จัดการเรื่องราวภายนอกสำนักให้กับสำนักเซียวเหยา ไม่นานมานี้ นายท่านของตระกูลจางส่งข่าวมา ว่าช่วยรักษาชีวิตจางช่าวฉงไว้หน่อย”

จวงหนานเทียนก็พูดเสริมไป ทำให้หลัวซิวขมวดคิ้ว

“ตามกฎแล้ว คนที่คิดจะฆ่านักเรียนของสำนักยุทธ์มีโทษถึงตาย แต่มีนายท่านคนนั้นของตระกูลจางอยู่ เรื่องนี้ก็เลยพิเศษหน่อย ที่บอกแบบนี้ เอ็งเข้าใจไหม?” จวงหนานเทียนพูดจบ ก็ถามหลัวซิว

หลัวซิวหายใจเข้าลึก แล้วพยักหน้าพูดว่า “ผมทราบครับ ผู้อาวุโสหมายความว่า ตระกูลจางมีนายท่านเป็นเบื้องหลัง จะฆ่าไม่ได้ ใช่ไหมครับ?”

“เอ็งพูดถูก แต่ก็ไม่ถูก!” จวงหนานเทียนยิ้มเบาๆ “ถึงแม้นายท่านของตระกูลจางจะเป็นคนดูแลนอกสำนัก แต่ก็ยังไม่สามารถเข้ามายุ่งเกี่ยวเรื่องภายในของสำนักหวูแห่งเมืองชิงหยุนได้ ขอเพียงเอ็งบอกมาคำเดียว ก็จะสามารถตัดสินความเป็นตายของจางช่าวฉงคนนี้ได้!”

พอได้ยินดังนั้น จางช่าวฉงก็สีหน้าเปลี่ยน แต่ตอนอยู่ต่อหน้าเจ้าสำนักยุทธ์และผู้อาวุโสทั้งหลาย เขากลับไม่กล้าพูดอะไร

ในตอนนั้นเอง เจ้าสำนักยุทธ์ก็พูดนิ่งๆ ขึ้นว่า “หลัวซิว นี่มันเป็นทางเลือกของเอ็ง ด้วยอัจฉริยะอย่างเอ็ง จะต้องเข้าไปในสำนักเซียวเหยาแน่ ศิษย์ทุกคนจะต้องเริ่มจากนอกสำนักทั้งนั้น และนายท่านของตระกูลจางคนนี้ ก็เป็นคนดูแลนอกสำนัก……”

เจ้าสำนักยุทธ์ไม่ได้บอกชัดเจน แต่หลัวซิวก็พอจะฟังความหมายออก

“ถ้าผมฆ่าจางช่าวฉง ก็จะเป็นการไปหาเรื่องกับนายท่านของตระกูลจางที่ดูแลเรื่องนอกสำนักคนนั้น แต่ถ้าผมไม่ฆ่า……..”

หลัวซิวขมวดคิ้ว สำหรับเขาแล้ว ต่อให้ตนเองไม่ฆ่าจางช่าวฉง นายท่านตระกูลจางคนนั้นก็คงจะไม่จำบุญคุณของตนเองครั้งนี้หรอก

ยิ่งกว่านั้น จะขึ้นไปยืนบนจุดสูงสุดในโลกยุทธ์ ถ้ายังมัวกลัวนั่นกลัวนี่ ก็คงจะมีผลกระทบต่อจิตใจที่มีต่อโลกยุทธ์

สำหรับคนที่อยากจะให้ตนเองตายนั้น หลัวซิวคิดว่า จางช่าวฉงสมควรตาย!

ในขณะเดียวกันเขาก็เข้าใจว่า เจ้าสำนักยุทธ์ให้เขามาเลือก จริงๆ แล้วก็เหมือนเป็นการทดสอบอย่างหนึ่ง ถ้าเขากลัวนายท่านตระกูลจาง ก็จะทำให้ทางระดับสูงของสำนักยุทธ์กลัวอำนาจไป พูดน่าฟังหน่อยก็คือ คนฉลาดก็อยู่ให้เป็น พูดให้น่าเกลียดหน่อยก็คือ ขี้ขลาด อ่อนแอ!

ตอนที่หลัวซิวกำลังครุ่นคิดข้อดีข้อเสียทั้งหลายนั้น ผู้อาวุโสจวงหนานเทียนก็พูดขึ้นมาว่า “ยังมีอีกเรื่อง หลายวันก่อนหน้านี้ ตระกูลจางส่งคนไปที่หมู่บ้านผานฉือ แล้วจับตัวพ่อแม่และพี่สาวของเอ็งไว้”

“อะไรนะ!” หลัวซิวสีหน้าเปลี่ยนไปมาก

“นี่มัน…..อันนี้ผมไม่ได้ทำ!” จางช่าวฉงก็งงไป “ผมไม่ได้ส่งคนไปจับตัวพ่อแม่ของหลัวซิวนะ!”

“บังอาจ!ต่อหน้าเจ้าสำนัก จะมาโวยวายในนี้ได้อย่างไร?” ผู้อาวุโสคนหนึ่งพูดขึ้น พลังที่ส่งออกมา ทำให้จางช่าวฉงเงียบกริบและตัวสั่น

“คุณบอกว่าคุณไม่ได้ทำ แล้วทำไมตระกูลจางถึงส่งคนไปจับตัวพ่อแม่และพี่สาวผมไว้ล่ะ?”

หลัวซิวพูดเสียงโมโห สายตาเผยรังสีอาฆาต “คุณมัน สมควรตาย!ตายก็ไม่มีอะไรน่าเสียดาย!”

พ่อแม่และพี่สาวของหลัวซิว ถือว่าเป็นสิ่งที่ไปแตะต้องไม่ได้ของหลัวซิว ไม่ต้องพูดถึงนายท่านที่อยู่เบื้องหลังของตระกูลจาง ต่อให้เป็นเจ้าสำนักของสำนักเซียวเหยา เขาก็ไม่สน

ไม่สนใจหรอกว่าจะเบื้องหลังอย่างไร ใครกล้ามาทำญาติของกู กูจะเอาตายให้หมด!

“ลากออกฆ่า!” เจ้าสำนักยุทธ์ไม่โกรธแต่มีความยิ่งใหญ่ น้ำเสียงเย็นชา

“ครับ!” องครักษ์เกราะเขียวสองคนก็ลากตัวไปจางช่าวฉงทันที

“ผมไม่ได้ทำ!ไว้ชีวิตด้วยเจ้าสำนัก!เจ้าสำนัก………” จางช่าวฉงตะโกนสุดเสียง แต่คนระดับสูงของสำนักยุทธ์ก็นิ่งใส่ แค่เจ้าสำนักเล็กๆ ในสังคมคนหนึ่ง ในสายตาของพวกเขา ก็แค่มดตัวน้อยๆ เท่านั้น

พอเห็นจางช่าวฉงถูกลากออกไป ในใจของหลัวซิวกลับเดือดดาลยากจะสงบลง

“หลัวซิว เอ็งอายุเท่านี้แต่มีความกล้า มีความแข็งแกร่ง แต่เอ็งต้องรู้ไว้ พอเอ็งเข้าไปในฝ่ายนอกสำนักของสำนักเซียวเหยา นายท่านตระกูลจางคงจะต้องหาโอกาสเล่นงานเอ็งแน่” เจ้าสำนักยุทธ์กล่าว

“ผมทราบครับ แต่ผมไม่กลัว!”

หลัวซิวทำความเคารพ “ขอเจ้าสำนักช่วยบอกด้วย ว่าตอนนี้พ่อแม่และพี่สาวของผมอยู่ที่ไหน?”

“เรื่องนี้เอ็งวางใจได้เลย พวกเขาสบายดี” เจ้าสำนักยุทธ์กล่าว

หลัวซิวก็รีบขอบคุณ ในใจก็โล่งอก

เขาก็รู้ดี ว่าถ้าไม่ใช่เพราะตนเองแสดงความสามารถออกมาแบบนั้น ทางระดับสูงของสำนักยุทธ์ก็คงจะไม่ปฏิบัติกับเขาเป็นพิเศษแบบนี้ จะว่าไปแล้ว โลกนี้มันก็ใช้กำลังเอามาพูดกันทั้งนั้น

ขอเพียงตนเองมีพลังที่แข็งแกร่ง ถึงจะสามารถรับรองความปลอดภัยของคนรอบกายได้ จะไม่ได้มีใครกล้ามทำร้าย

ก็เหมือนกับที่เจ้าสำนักยุทธ์ที่อยู่ในเมืองชิงหยุน ก็คือความยิ่งใหญ่ที่แพร่ไปทั่ว ไม่มีใครกล้าบังอาจ!

“ในเมื่อไม่มีอะไรที่ต้องกังวลแล้ว อย่างนั้นก็สามารถสงบใจฝึกฝนได้แล้ว พยายามบรรลุแดนฝึกชี่ไห่ให้เร็วที่สุด รอเอ็งกลายเป็นจอมยุทธ์ชี่ไห่ เดี๋ยวอาจารย์จะแนะนำให้เอ็งไปทำการประเมินนอกสำนัก”

เจ้าสำนักยุทธ์เอ่ยปากช้าๆ “ในบรรดาวิชายุทธ์ระดับ4 อาจารย์ขอแนะนำเอ็งว่าอย่าเลือกกำลังภายใน เพราะว่าเอ็งฝึกพลังหยางบริสุทธิ์ เดิมมันก็เป็นวิชากำลังภายในที่สูงส่งอยู่แล้ว”

ที่ได้เลือกให้อยู่กำลังภายในระดับ3 เพราะว่าพลังหยางบริสุทธิ์มันฝึกสำเร็จยาก แต่ถ้าฝึกสำเร็จ ผลฝึกตนที่ได้ กำลังภายในระดับ4ไม่อาจเทียบได้เลยเชียวล่ะ รอเอ็งเข้านอกสำนักเซียวเหยา พอถึงตอนนั้นก็สามารถฝึกกำลังภายในที่สายเดียวกับพลังหยางบริสุทธิ์ ที่มีชื่อว่าพลังพรสวรรค์!

“โครม!”

ในห้องของลู่เมิ่งเหยา มีไฟโหมลุกขึ้น สองคนที่นั่งขัดสมาธิตรงข้ามกัน เสื้อผ้าบนตัวถูกเผาจนสิ้น แก้ผ้านั่งตรงข้ามกัน

7วันครั้ง นี่ไม่รู้ว่ากี่ครั้งแล้ว แต่สภาพที่แก้ผ้าใส่กันแบบนี้ ก็ทำให้ใบหน้าเรียวๆ ของลู่เมิ่งเหยาแดงก่ำขึ้นมา เธอรีบหันตัวไป หันหลังให้หลัวซิว

ผิวขาวๆ เรียบเนียนนั้น ทำให้หลัวซิวใจเต้นเล็กน้อย แต่พลังไฟร้อนในกายที่แผ่ออกมา ทำให้เขาได้แต่ต้องหลับตาไปอย่างไม่อยากทำ แล้วเริ่มขับเคลื่อนพลังหยางบริสุทธิ์กลับเข้ามา

ผลการฝึกปราณในได้มาถึงจุดที่สูงสุดแล้ว ปราณในที่เกินออกมาก็จะไปรวมอยู่ที่จุดตันเถียน ตอนที่จะทะลวงไปยังแดนฝึกชี่ไห่นั้น ปราณในนี้ก็จะพุ่งออกมาเหมือนภูเขาไฟ เพื่อช่วยเขาอีกแรง

ไม่นาน ลู่เมิ่งเหยาก็ไปใส่เสื้อผ้าใหม่ แล้วก็สามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าโรคชีพจรขาดธาตุไฟของตนเองดีขึ้นกว่าครั้งแล้ว และตนเองก็ไม่ต้องอาศัยยาธาตุน้ำและปราณในมาคอยควบคุมไว้แล้ว

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 48 หลัวซิวมีชื่อ

 

“แพล๊ง!”

กระบวนท่าที่98 กระบี่เงามืดกระทบกับปืนเงิน ปืนเงินในมือของสวี่ชิวเซิงกระเด็นออกจากมือไป ร่างก็ถอยร่น ง่ามมือฉีก เลือดไหลเป็นหยด

จริงๆ แล้วตั้งแต่ที่หลัวซิวชักกระบี่ออกมานั้น ทุกครั้งที่หอกและกระบี่กระทบกัน เขาก็รับรู้ได้ถึงพลังภายในที่ส่งเข้ามาอย่างรุนแรงทุกครั้ง ถ้าไม่ใช่เพราะอดทนรับแรงนั้นไว้ ก็คงพ่ายแพ้ไปนานแล้ว

“ทำไมปราณในของมึงถึงได้แข็งแหร่งกว่าของกู หรือว่ามึงฝึกพลังหยางบริสุทธิ์?” สวี่ชิวเซิงมองไปที่หลัวซิวอย่างไม่อยากจะเชื่อ

“แพล๊ง!”

หลัวซิวเก็บกระบี่เข้าฝัก แล้วพยักหน้าพูดว่า “วิชาหอกของศิษย์พี่สวี่แข็งแกร่งมาก ถ้าไม่ใช่เพราะว่าผมฝึกพลังหยางบริสุทธิ์แล้วมีปราณในที่แข็งแกร่ง ก็คงจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของศิษย์พี่สวี่แน่”

พลังหยางบริสุทธิ์งั้นหรือ?

800มานี้มีเพียง3คนที่ฝึกกำลังภายในระดับ3ขั้นสุดยอดสำเร็จ

พอได้ยินบทสนทนาของทั้งสองคนบทเวทีประลอง ด้านล่างเวทีก็เป็นเสียงตื่นตกใจกันดังขึ้นมาทันที

นอกจากเจ้าสำนักยุทธ์อย่างจวงหนานเทียนที่รู้เรื่องนี้มาก่อนแล้ว แม้แต่ลู่เมิ่งเหยา ครูสาวสุดสวยก็ตกใจจนต้องลุกขึ้นยืน

เธอคิดไม่ถึงว่า หลัวซิวจะฝึกพลังหยางบริสุทธิ์ได้สำเร็จ

คนส่วนมากไม่รู้ที่มาที่ไปของวิชากำลังภายในสายนี้ แต่เธอมีตัวตนพิเศษ เธอรู้ที่มาของมันอย่างชัดเจน

บนห้องใต้หลังคา เจ้าสำนักยุทธ์ค่อยๆ ลุกขึ้น แล้วกล่าวเสียงดังฟังชัดออกมาว่า “การประลองครั้งนี้ หลัวซิวเป็นผู้ชนะ!”

พอเห็นเจ้าสำนักยุทธ์ประกาศผลด้วยตัวเอง สายตาของทุกคนก็ไปหยุดอยู่ที่ตัวของหลัวซิว ทันใดนั้นทุกคนก็นิ่ง สายตาลังเลกันมาก

การต่อสู้ครั้งสุดท้าย แทบไม่มีอะไรให้ต้องลุ้น แม้แต่สวี่ชิวเซิงก็ยังแพ้ให้กับหลัวซิว หานซานก็ยอมแพ้ขึ้นมาเองเลย

จากนั้น เฟิงเซวียนจวี๋เจอกับสวี่ชิวเซิงก็เสนอตัวยอมแพ้ อันดับรายชื่อก็ถูกกำหนดชัดเจน

3อันดับแรกของการประลองยุทธ์ครั้งนี้ เรียงตามลำดับ คือ หลัวซิว สวี่ชิวเซิงและหานซาน!

หลัวซิว เป็นแชมป์!

“เขาทำได้ถึงขนาดนี้เลยหรือนี่……..”

ในกลุ่มคนด้านล่างเวทีประลอง ใบหน้าเรียวๆ ของหลิวหยู่ซินก็อึ้งนิ่งไป ในใจก็บังเกิดความรู้สึกผิดขึ้นมา

ถ้าหากว่า……..ถ้าหากว่าตอนนั้นที่เขามาชอบตนเอง แล้วตนเองรีบคว้าโอกาสนั้นไว้ อย่างนั้นไม่เพียงตัวเองที่ได้ผลประโยชน์เท่านั้น ทั้งตระกูลหลิวก็จะได้ผลประโยชน์นี้ไปด้วย

ไม่น่าแปลก หลัวซิวกำลังจะกลายเป็นคนดังของทั้งเมืองชิงหยุน และอีกไม่นาน ก็จะออกไปจากเมืองชิงหยุนนี้ ไปมีชื่อเสียงทั้งเขตการปกครองหยุนหลง และทั้งประเทศเทียนหวู!

“หลัวซิว!หลัวซิว!หลัวซิว!……”

ได้เป็นแชมป์การประลองยุทธ์ ชื่อเสียงของหลัวซิว มีเหล่านักเรียนของสำนักยุทธ์มากมายอยากจะเข้ามาคบค้าสมาคมด้วยมากมาย

คนจำนวนไม่น้อยตะโกนอยู่ด้านล่างเวที โดยเฉพาะเหล่านักเรียนที่เกิดในสังคมชาวบ้านยากลำบากทั้งหลาย แต่ละคนล้วนมองเขาว่าเป็นบุคคลต้นแบบแห่งการต่อสู้

เด็กชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมา มันจะแปลกเลยที่จะได้เป็นตำนานที่เล่าขานในสำนักหวูแห่งเมืองชิงหยุนไปอีกนาน

สัมผัสถึงการยกย่องจากคนนับไม่ถ้วน บนตัวมีรัศมีของความเป็นอัจฉริยะ แต่ในใจของหลัวซิว กลับนิ่งเฉย

เขารู้ดีว่าทุกอย่างมันได้มาได้อย่างไร

ถ้าบอกว่าหลอมลูกแก้วความเป็นตายไป เป็นตัวแปรหลักที่ทำให้เขาได้กลายเป็นผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์ อย่างนั้นระยะเวลา5เดือนที่ฝึกฝนอย่างหนัก ผ่านความเป็นความตาย นี่แหละถึงหล่อหลอมทำให้เขามีพลังและตำแหน่งอย่างทุกวันนี้

ถ้าจะพูดถึงผลลัพธ์ที่ใหญ่ที่สุดของหลัวซิว นั่นก็คือ เขาเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ผู้แข็งแกร่งตัวจริง มันเกิดจากการหลอมรวมของเลือดและไฟเข้าด้วยกัน จะต้องผ่านความยากลำบากหลายครั้ง และผ่านมันมาได้ นั่นถึงจะเป็นผู้แข็งแกร่ง!

แดนกลั่นร่าง ก็เป็นแค่จุดเริ่มต้นของวิถียุทธ์ เส้นทางที่เขาจะต้องเดินไป มันยังอีกยาวไกล

หลัวซิวเดินลงเวทีประลอง กลุ่มคนก็เปิดเป็นช่องทางเดิน นักเรียนทุกคนในสำนักยุทธ์ ไม่ว่าจะเป็นชั้นต้น ชั้นกลางหรือคนเก่งในขั้นสูง ตอนที่มองไปทางเขา ล้วนมีใบหน้าที่เคารพเกรงกลัว

สวีเฟยที่ยืนอยู่ข้างๆ หลิวหยู่ซินราวกับเป็นคนปกป้องดูแลสาวงาม ตอนนี้ก็ก้มหน้านิ่งไป ในใจก็ไม่คิดกล้าที่จะไปหาเรื่องอะไรกับหลัวซิวอีก

“ทางที่ดีเอ็งอย่าไปหาเรื่องอะไรมันเลยดีกว่า” จ้าวฉีชวง ญาติผู้พี่ของสวีเฟยยิ้มพูดหน้าแหย ตอนที่ประลองกันก็ยังดูถูกหลัวซิว ใครจะรู้ล่ะว่าเขาจะเดินมาถึงจุดนี้ได้?

หลิวหยู่ซินก็จ้องมองหลัวซิว แต่ว่าตั้งแต่ต้นจนจบ หลัวซิวไม่มองเธอเลยแม้แต่หางตา

เธอมีสีหน้านิ่งไป กัดปากแดงๆ นั้น ในใจก็เสียดายที่ทำลงไปแบบนั้น ตอนนี้ก็ได้แต่หัวเราะเยาะตัวเอง

เดิมทีเธอคิดว่า หลัวซิวนั้นไม่คู่ควรกับตัวเธอเลย

แต่ตอนนี้ แม้แต่คุณสมบัติที่จะให้หลัวซิวหันมามองสักหน่อย ก็ไม่เหลือแล้ว………

“หลัวซิว ตามมานี่”

การประลองยุทธ์เพิ่งจบลง จวงหนานเทียน ผู้อาวุโสสำนักยุทธ์ก็มาปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าของหลัวซิว

ในส่วนลึกที่สุดของสำนักยุทธ์ มีอยู่ตำหนักหนึ่ง เป็นพื้นที่ที่เจ้าสำนักยุทธ์ใช้เป็นที่พำนัก

ในห้องโถงของตำหนัก นอกจากผู้อาวุโสที่เฝ้าหอเก็บหนังสือไม่ได้มา ผู้อาวุโสทั้ง4ก็ล้วนมากันหมด เจ้าสำนักยุทธ์นั่งสูงๆ อยู่ตำแหน่งหลัก แล้วมองลงมาด้านล่าง

“กระผมหลัวซิว ขอทำความเคารพเจ้าสำนักครับ และผู้อาวุโสทุกท่าน” หลัวซิวก้าวไปข้างหน้า แล้วยืนอยู่ตรงกลางตำหนัก พร้อมกับทำความเคารพ

เขารู้ดี ว่าหลายคนตรงหน้านี้ กุมอำนาจใหญ่ๆ ของทั้งเมืองชิงหยุนไว้!

ไม่ใช่แค่เพียงในเขตการปกครองหยุนหลง แต่เป็นสำนักยุทธ์ในเมืองใหญ่ๆ ของประเทศเทียนหวู ตำแหน่งสูงๆ ทั้งนั้น

“หลัวซิว เอ็งเป็นแชมป์ของการประลองยุทธ์ครั้งนี้ เป็นอันดับ1 นี่คือรางวัลของเอ็ง”

เจ้าสำนักยุทธ์ค่อยๆ เอ่ยปาก จากนั้นก็มีนางสนองพระโอษฐ์เดินออกมาจ้างห้องข้างๆ สองมือยกจานหยก ด้านบนมีผ้าสีแดงปิดไว้

นางสนองพระโอษฐ์3คน จานหยก3จาน หลัวซิวตาเป็นประกาย อยากรู้ว่าตนเองจะได้รางวัลเป็นอะไร

“ชุบ!”

เปิดผ้าแดงบนจานหยกจานแรกออก เห็นว่าในจานหยดนั้น มีป้ายบัญชาการสีเงินขนาดเท่าฝ่ามืออยู่หนึ่งอัน

“มีป้ายบัญชาการนี้ เอ็งจะสามารถเข้าออกมาชั้น3ของหอเก็บหนังสือได้ เลือกเรียนวิชายุทธ์ระดับ4ได้ตามสบาย!” เจ้าสำนักยุทธ์กล่าว

“เลือกได้ตามสบายงั้นหรือ?” หลัวซิวตกใจ เดิมทีเขาคิดว่าได้เรียนวิชายุทธ์ระดับ4สักวิชาก็ไม่เลวแล้ว ไม่คิดเลยว่าจะได้เลือกเรียนได้อย่างตามใจ

นี่มันก็หมายความว่า กำลังภายใน ทักษะยุทธ์ วิชาท่าร่างของตนเอง ก็จะสามารถฝึกวิชายุทธ์ระดับ4ได้แล้วล่ะสิ?

จากนั้น ผ้าสีแดงที่ปิดจานหยกจานที่2ก็เปิดออก ด้านบนมีขวดหยกหรูหราขวดหนึ่งวางอยู่

“นี่คือยาผนึกปราณ1เม็ด เป็นยาระดับ2 หลังจากกินลงไป ก็จะทำให้ผลการฝึกตนของเอ็งบรรลุไปถึงการกลั่นร่างขั้น9ขั้นสูง ก้าวเข้าสู่แดนชี่ไห่ กลายเป็นจอมยุทธ์!”

หลัวซิวผงะ รู้ว่ายาเม็ดนี้มีค่ามาก ปกติแล้วผู้ฝึกยุทธ์การกลั่นร่างขั้น9ขั้นสูงทั่วไป ถ้าอยากจะบรรลุเข้าแดนชี่ไห่ จะต้องรวบรวมปราณในจำนวนมาก ต้องทดลองเปิดจุดตันเถียนหลายครั้ง ใช้เวลาครึ่งปีหรือเป็นปี เพื่อให้บรรลุเข้าสู่แดนชี่ไห่

แต่ถ้ากินยาผนึกปราณเม็ดนี้ลงไป ก็จะเร็วมาก สำเร็จได้ทันที ร่นระยะเวลาได้ครึ่งปีหรือเป็นปีได้เลย

ยาระดับ2แบบนี้ ในเมืองชิงหยุน อย่างน้อยต้องใช้หินพลังจิตชั้นล่างเป็นพันอันถึงจะซื้อได้

จากนั้น ผ้าแดงบนจานหยกจานที่3ก็เปิดออก ด้านบนนั้น เป็นจานสำริดกลมขนาดเท่าปากถ้วย แกะลวดลายมากมาย ลวดลายคล้ายกับค่ายผนึกปราณที่เขาเคยใช้

“นี่คือ อุปกรณ์ค่ายผนึกปราณขั้น2 สามารถทำให้การฝึกฝนของเอ็ง เพิ่มขึ้นเป็น4เท่า!”

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 47 สู้กับสวี่ชิวเซิงอย่างดุเดือด

 

เฟิงเซวียนจวี๋ออกกระบี่เร็วขึ้นเรื่อยๆ รังสีคมกระบี่รวมตัวกันมากดั่งเม็ดฝน โจมตีครอบคลุมไปทั้งจุดสำคัญบนตัวของหานซาน

ส่วนหานซานก็ยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ มือกำดาบเปิดเขาผายออกมา ปัดป้องกันโจมตีของเฟิงเซวียนจวี๋ทั้งหมด หลบไม่ได้ก็ต้องผนึกปราณป้องกันแบบนี้

ผ่านไปพักใหญ่ สุดท้ายปราณในของหานซานก็หมดก่อน พลังปราณแข็งไม่อาจจะใช้ได้ต่อไป แล้วถูกรังสีคมกระบี่ของเฟิงเซวียนจวี๋ฟันจนเสื้อที่หน้าอกขาดไป เลือดก็สาดออกมา

ส่วนเฟิงเซวียนจวี๋ ตอนนี้ก็เหงื่อท่วมตัว ถ้าผ่านไปอีกสักพัก เขาเองก็ต้องหมดแรงเหมือนกัน

“เฟิงเซวียนจวี๋ชนะ!”

จากสนามนี้ ทุกคนล้วนมองออกว่า พลังของหานซานกับเฟิงเซวียนจวี๋พอๆ กัน เพียงแต่หานซานจะถูกโจมตีมากกว่า ปราณในก็เลยหมดเร็วกว่า

จากนั้น ก็ถึงคิวของหลัวซิวขึ้นเวทีประลอง ส่วนคู่ต่อสู้ของเขา ก็คือสวี่ชิวเซิงยอดฝีมืออันดับ1ที่ได้รับการยอมรับ!

สองคนนี้มาเจอกัน เรียกได้ว่าเก่งเจอเก่ง ผลงานของหลัวซิวนั้นได้ใจผู้ชม อายุเพียง14ปีก็บุกมาได้ถึงรอบนี้ แถมยังมีโอกาสที่จะได้เป็นผู้ชนะในการแข่งขันครั้งนี้ด้วย เรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกของสำนักหวูแห่งเมืองชิงหยุนเลยทีเดียว

งานประลองยุทธ์ในแต่ละปีที่ผ่านมานั้น คนที่ได้แชมป์ล้วนเป็นยอดฝีมือของชั้นหัวกะทิ

รอบนี้ ได้รับการสนใจจากสายตาของทุกคน ในใจของทุกคนล้วนกำลังลุ้นว่าใครจะชนะ

สวี่ชิวเซิงขึ้นเวทีประลอง มือกำปืนเงิน สีหน้าไร้อารมณ์ มีวิชาหอกระดับ3ระดับแดนบริบูรณ์ พลังของเขาสามารถที่จะอวดทุกคนได้

“นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่กูจะได้เข้าร่วมงานประลองยุทธ์ หวังว่ามึงจะไม่ทำให้กูผิดหวัง”

สวี่ชิวเซิงจ้องมองหลัวซิว แล้วพูดนิ่งๆ ปีนี้เขาอายุ18แล้ว หลังจากงานประลองยุทธ์นี้ เขาก็จะจบการศึกษาแล้ว

หลัวซิวพยักหน้า “ผมก็อยากจะขอเรียนรู้วิชาหอกของพี่เสียหน่อย”

“ลงมือเถอะ กูจะไม่ออมมือเด็ดขาด” ปืนเงินในมือสวี่ชิวเซิงขยับ แล้วก็วาดโค้ง คล้ายเป็นแสงสีเงินออกมา พริบตาก็แทงเข้ามาตรงหน้าหลัวซิวแล้ว

กระบวนท่าแรกที่สวี่ชิวเซิงโจมตีออกมา หลัวซิวก็สัมผัสได้ถึงความเย็นทะลุกระดูก รังสีแหลมคมพุ่งเข้าหน้า

“ฟุบ!”

หลัวซิวขยับตัว ปลายหอกแทบจะลากผ่านลำตัวของเขาไป เสื้อขาด บนผิวหนังเผยเป็นรอยเลือด

ถึงแม้จะเป็นทักษะยุทธ์หลบหลีกในระยะมิลลิเมตร หลัวซิวก็หลบหลีกการโจมตีได้อย่างอันตรายมาก แต่รังสีความแรงที่ปืนเงินนำพามาด้วย ทำให้เสื้อของเขาขาด และบาดเข้าหนังจนเป็นรอยเลือด

“วิชาหอกร้ายกาจมาก!” หลัวซิวกระตุกจิต รู้ว่าครั้งนี้ตนเองเจอกับคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อกันเข้าแล้วจริงๆ

พลังของสวี่ชิวเซิง มันสามารถเทียบกับจอมยุทธ์ชี่ไห่ธรรมดาได้เลย ทำให้หลัวซิวรู้สึกว่าร้ายกาจกว่าครั้งที่ตนเองเจอกับเฉินหู่ที่เขาปาฉีในครั้งก่อน

“ฟุบ!”

ปืนเงินในมือของสวี่ชิวเซิงก็เปลี่ยนท่า หลัวซิวชักกระบี่ออกมาไม่ทัน พลังรังสีความคมกริบก็ปกคลุมไปทั่วร่างเขา

“ไม่ได้การแล้ว!”

หลัวซิวหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย ตัวก็ถอยร่นไป แต่วิชาหอกของคู่ต่อสู้ก็กินพื้นที่มาก เขาไม่มีทางที่จะหลบหลีกได้

“เหอะๆ ถึงแม้หลัวซิวคนนี้จะไม่เลว แต่เทียบกับสวี่ชิวเซิง ก็ยังห่างอยู่อีกหลายขุม” บนที่นั่งชม ผู้อาวุโสแซ่หลี่ยิ้มพูดขึ้นมา

แต่ในตอนนั้นเอง หลัวซิวก็ยืนมือทั้งสองออกมา ระหว่างนิ้วมือก็มีปราณในสาดออกมาโดยที่ไม่ใช่แสงน้อยๆ แต่มันลุกโชนเหมือนดวงไฟ

“ตูม!”

ตอนที่เขากำลังจะถูกหอกฟันมานั้น เขาก็ซัดสองมือออกไป ทำให้ปืนเงินของสวี่ชิวเซิงลอยกระเด็นไป

ปืนเงินสั่นถี่มาก ปราณในที่แข็งแกร่งก็ส่งเข้ามา ทำให้ง่ามมือของสวี่ชิวเซิงชาไป จนปืนเงินเกือบจะหลุดมือ

“ปราณในล้ำลึกมาก!”

สวี่ชิวเซิงไม่มีสีหน้าใด นอกจากอาการตกใจ ตัวเขานั้นก็เป็นการกลั่นร่างขั้น9ขั้นสูง แต่หลัวซิวกลับมีปราณที่ล้ำลึกมากกว่าเขา ถ้าหลัวซิวไม่ใช้ปราณใน แต่ใช้ปราณแท้ล่ะก็ เขาก็คงจะสงสัยเหมือนกันว่าหมอนี่บรรลุขั้นแดนฝึกชี่ไห่ไปแล้วหรือเปล่า

“กำลังภายในแข็งแกร่งมาก!วิชาท่าร่างของเขาถูกวิชาหอกของสวี่ชิวเซิงแก้ทางได้ แต่ก็ใช้ปราณในแก้กลับได้หมด ใช้กำลังภายในที่แข็งแกร่ง เปลี่ยนรับเป็นรุก!”

บนห้องใต้หัลงคา จวงหนานเทียนในฐานะผู้อาวุโสของสำนักยุทธ์ เอามือตบโต๊ะลุกขึ้น สายตาจ้องเขม็ง

“เป็นไปไม่ได้!การกลั่นร่างขั้น9ขั้นสูง ต่อให้ฝึกกำลังภายในระดับ4 ก็ไม่มีกำลังภายในแข็งแกร่งแบบนี้!”

ผู้อาวุโสหลี่ที่ก่อนหน้านี้ยังชื่นชมสวี่ชิวเซิง ก็ลุกขึ้นยืน ด้วยสีหน้าตื่นตกใจ

จวงหนานเทียนเอามือลูบเครา ยิ้มไม่พูดอะไร เขารู้ว่าที่กำลังภายในของหลัวซิวแข็งแกร่งแบบนี้ ก็เพราะว่าฝึกพลังหยางบริสุทธิ์สำเร็จแล้ว

800กว่าปีมานี้มีเพียง3คนที่ฝึกสำเร็จ พลังหยางบริสุทธิ์มีหรือจะกระจอกๆ?

บนเวทีประลอง วิชาหอกของสวี่ชิวเซิงก็ยังคงดุดันเหนือใคร ทำให้หลัวซิวไม่มีโอกาสที่จะชักกระบี่ออกมาได้เลย ได้แต่ใช้วิชาท่าร่างของตัวเองหลบไปเรื่อยๆ หรือไม่ก็ใช้พลังภายในมาปัดป้องไว้

วิชาหอกแดนบริบูรณ์นั้นไม่มีช่องโหว่ การโจมตีต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน แต่หลัวซิวกลับนิ่งมาก เพื่อรอโอกาสที่จะโจมตีกลับ

“ที่เรียกว่าพลังเดียวชนะทุกวิชา ถ้าเราใช้พลังธาตุไฟ ปราณในก็จะเพิ่มพลังเป็นเท่าตัว แล้วจะสามารถกดวิชาหอกสวี่ชิวเซิงของไว้ได้”

หลัวซิวคิดในใจ พลังAttrมีเพียงจอมยุทธ์พรสวรรค์ถึงจะสามารถควบคุมได้ เรียกได้ว่านี่เป็นไพ่ไม้เด็ดของเขา

แต่พอหลัวซิวหวนคิด ถ้าใช้พลังไปกดไว้ ก็จะสามารถเอาชนะได้ แต่สุดท้ายแล้วมันก็เท่ากับยืมพลังนอกมาใช้ ไม่ถือว่าเป็นความสามารถจริงๆ

“ถ้าไม่คับขัน เราก็จะไม่ใช่ไม้เด็ดเป็นดีที่สุด ก็ใช้วิชาหอกแดนบริบูรณ์ของสวี่ชิวเซิงมาฝึกวิชาท่าร่างและวิชากระบี่ของตัวเองก็แล้วกัน”

หลัวซิวหดม่านตา ในใจก็ตัดสินใจแล้ว สะกิดปลายเท้าไป ร่างกายก็ถอยร่นอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกันซัดฝ่ามือออกมา ทำให้ปืนเงินสะเทือนจนต้องถอยไป

“แพล๊ง!”

พลังที่ปล่อยมาแรงในฉับพลันนี้ เขาก็ได้อาศัยโอกาสนี้ชักกระบี่ออก กระบี่เงามืดได้ออกจากฝัก กระบี่เร็วดั่งสายฟ้า

“หอกแก้วแสงเยือก!”

สวี่ชิวเซิงก็ไม่ยอม ไม่สนใจรังสีกระบี่ที่หลัวซิวโจมตีมา ปืนเงินเล็งแทงไปยังคอหอยหลัวซิว

การโจมตีของหอกจะยาวกว่ากระบี่ ก่อนที่กระบี่ของหลัวซิวจะแทงมาถูกตนเอง หอกของตนเองคงจะแทงเข้าตัวของหลัวซิวไปก่อนแน่นอน

หลัวซิวทำอะไรไม่ได้ ได้แต่หลบหลีกไป วิชาท่าร่างรีบหลบหลีก อยากจะประชิดเข้าวงในใกล้ๆ ตัวสวี่ชิวเซิง วงโจมตีของหอกมันกว้าง แต่ถ้าได้ประชิดตัว ก็จะออกกระบวนท่าไม่ได้ ถูกแก้ทางได้มากมาย

“แพล๊ง!แพล๊ง!แพล๊ง!……”

ไม่นาน ทั้งสองคนก็ได้สู้กันไปกว่า40กระบวนท่า ทำเอาคนด้านล่างเวทีอึ้งอ้าปากค้างไปตามกัน

มีผลการฝึกตนระดับการกลั่นร่างขั้น9ขั้นสูงเหมือนกัน ก่อนหน้านี้หานซานและเฟิงเซวียนจวี๋สู้กันไม่ถึง30กระบวนท่าก็หมดแรงกันแล้ว แต่หลัวซิวและสวี่ชิวเซิงสู้กันมา40กว่ากระบวนท่า แต่ปราณไม่มีวี่แววว่าจะหมดสิ้นเลย

นี่ก็แสกงให้เห็นว่าผลการฝึกปราณในของทั้งสองคน จะล้ำลึกกว่าหานซานและเฟิงเซวียนจวี๋ จุดชีพจรยืดยาวกว่า

จากนั้น ก็ผ่านไปอีกพักใหญ่ หน้าผากของสวี่ชิวเซิงก็ผุดเหงื่อออกมาเป็นเม็ดเล็กๆ ปราณในเริ่มขับเคลื่อนต่อไม่ไหวแล้ว

พอมองกลับไปยังหลัวซิว เขากลับนิ่งสบายๆ ไม่มีท่าทางอ่อนแรงอะไรเลย

“ให้ตายเถอะ บ้าไปแล้ว นี่ก็ตั้ง60กว่ากระบวนท่าแล้วนะ!”

“คุณพระ หรือว่าพวกเขาจะสู้ดุเดือดกันเป็นร้อยกระบวนท่าเลยหรือไง?”

คนด้านล่างเวทีก็อึ้งกันไปหมด สวี่ชิวเซิงเป็นถึงอันดับ1 ที่เขามีผลการฝึกปราณในที่ล้ำลึกแบบนี้ มันก็อยู่ใต้ขอบเขตการรับรู้ของทุกคน แต่หลัวซิวก็ทำได้เหมือนกัน ทำให้คนไม่อยากจะเชื่อว่ามันคือเรื่องจริง

 

########################
 

 

 

 

 

 

บทที่ 46 ยอมแพ้

 

มุมปากหลัวซิวก็เผยแสยะยิ้มออกมา ในเขาปาฉี เขาเคยเจอกับแมวเงาลายดอก เป็นอสูรระดับ2 รวดเร็วจนตาเปล่ามองไม่ทัน ความเร็วของเฟิงเซวียนจวี๋ที่แสดงออกมา พอเทียบกับมันแล้ว สู้ไม่ได้เลย

จากนั้นก็เข่นฆ่ากันกับแมวเงาลายดอกตัวนั้น ภายใต้ความเป็นความตาย ทำให้หลัวซิวบรรลุทักษะที่หลบหลีกได้ในระยะมิลลิเมตร และวิชาท่าร่างก้าวสั้นก็สำเร็จเกินขั้นบรรลุผล ไปจนถึงระดับแดนบริบูรณ์

เขายังเอาวิชาท่าร่างและวิชากระบี่ผนวกเข้าด้วยกันจนกลายเป็นหนึ่งเดียว ก็เลยฆ่าเอาชนะแมวเงาลายดอกตัวนั้นได้

เฟิงเซวียนจวี๋ถือตัวมาก กระบี่ยังไม่ออกจากฝัก แต่ใช้ฝักกระบี่ฟันมาที่หัวของหลัวซิว

แต่หลัวซิวก็ยังทำเหมือนกับที่สู้กับคนอื่นๆ ก้าวขาเคลื่อนไปด้านข้างช้าๆ หลบหลีกได้อย่างง่ายดาย ไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ

“ฟุบ!ฟุบ!ฟุบ!……”

เฟิงเซวียนจวี๋ออกกระบวนท่าเต็มที่ ลงมือติดต่อกัน แต่ก็ไม่โจมตีโนตัวของหลัวซิวได้แม้แต่ชายเสื้อ

“ให้ตายสิ!นี่มันเป็นวิชาก้าวสั้นระดับ2จริงหรือนี่? ทำไมรู้สึกว่าร้ายกาจกว่าวิชาท่าร่างระดับ3เสียอีก?”

ด้านล่างเวทีตื่นเต้นตกใจ ทุกคนจ้องมองไปยังชายหนุ่มสวมชุดดำหลัวซิว อึ้งตาค้าง อ้าปากจนแทบจะยาวถึงพื้นอยู่แล้ว

จริงๆแล้ว วิชาท่าร่างของหลัวซิวมันได้เกินไปจากวิชาก้าวสั้นระดับ2แล้ว จากที่ได้ปรับปรุงตามผังลายเส้นชีวิต ก็สามารถเทียบกับวิชายุทธ์ระดับ3ได้แล้ว

แบบนี้ก็แสดงว่า จริงๆ แล้ววิชาหมัดและทักษะยุทธ์ของหลัวซิว ถือว่าเป็นวิชายุทธ์ระดับ3แดนบริบูรณ์แล้ว!

ฉากนี้ ทำให้เจ้าสำนักยุทธ์ที่อยู่บนห้องใต้หลังคาออกอาการขึ้นมา รอยยิ้มบนใบ้หน้าหายไป ดวงตาหรี่ลง แล้วจ้องมองไปยังหลัวซิวในสนามแข่งขัน

เขาคือคนที่ก้าวขาข้างหนึ่งเข้าไปเป็นคนเก่งระดับแดนปรมาจารย์ในโลกยุทธ์แล้ว สายตาและความรู้ก็ไม่ใช่ผู้อาวุโสคนอื่นๆ จะเทียบได้

ตอนแรกเขายังมองไม่ออก เพราะว่าคู่ต่อสู้ของหลัวซิวนั้นอ่อนแอมาก แต่ว่าเฟิงเซวียนจวี๋เป็นถึงคนที่มีวิชาท่าร่างระดับ3 ฝึกยุทธ์ระดับสูง เมื่อเปรียบเทียบฝีมือกัน ในที่สุดเขาก็ได้เห็นสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ด้านใน

“ดีนักนะหลัวซิว แค่วิชายุทธ์ระดับ2 ก็ถูกเอ็งฝึกจนเทียบกับวิชายุทธ์ระดับ3ได้เลย นี่มันไม่ใช่อัจฉริยะธรรมดา นี่มันฟ้าส่งมาเกิด!”

เขาอดหัวใจพองโตขึ้นมาไม่ได้ ในฐานะที่เป็นเจ้าสำนักยุทธ์ ในเมืองชิงหยุนดูเหมือนจะตำแหน่งสูง แต่ถ้าอยู่ในทั้งเขตการปกครองหยุนหลง ก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไร

ถ้าในเมืองชิงหยุนมีคนที่เป็นยอดอัจฉริยะได้เข้าไปในสำนักเซียวเหยา เขาก็จะมีผลงานที่เสนอชื่อไป ไม่แน่ว่าอาจจะได้รางวัลจากสำนัก เพื่อให้ได้เขาได้มีโอกาสที่จะฝึกยุทธ์ทะลุแดนได้เป็นแดนเทพยุทธ์!

จริงๆ แล้วเจ้าสำนักยุทธ์ของแต่ละเมืองก็ไม่ต่างจากเขามากนัก ผลการฝึกตนถึงระดับฝึกจิตครึ่ง ใช้พลังในตัวหมดแล้ว ยากที่จะบรรลุระดับต่อไป

ดังนั้นสำนักเซียวเหยาก็เลยให้โอกาสพวกเขา ส่งตัวมาดูแล้วสำนักยุทธ์ต่างๆ ในเมืองใหญ่ ถ้าหากว่าสามารถแนะนำยอดอัจฉริยะเข้ามาสำนักได้ ก็จะได้ยาฝึกจิตเป็นรางวัลแล้วก็ได้พัฒนาตัวเองจนถึงระดับแดนเทพยุทธ์

ตั้งแต่แดนพรสวรรค์ถึงแดนเทพยุทธ์ เป็นอุปสรรคที่ใหญ่มาก ถ้าบรรลุได้ ก็จะมีอายุยืนถึง800ปี มีเวลมากพอที่จะไปพัฒนาตัวเองให้มีระดับที่สูงขึ้นไป

แต่ถ้าไม่สามารถบรรลุแดนเทพยุทธ์ได้ อย่างมากก็มีอายุแค่100กว่าปี พอร่างกายเริ่มแก่ตัวไปเรื่อยๆ เลือดลมอ่อนแรง พละกำลังก็จะอ่อนแรงไปด้วย ถ้าอยากจะบรรลุก็คงจะยาก

“แพล๊ง!แพล๊ง!”

มีเสียงดังขึ้น2ครั้ง ในสนาม หลัวซิวและเฟิงเซวียนจวี๋เหมือนจะชักกระบี่ออกมาพร้อมกัน

“วิชากระบี่บรรลุผลงั้นหรือ?”

เจ้าสำนักยุทธ์ตกใจอีกครั้ง แต่ไม่นานก็เก็บอารมณ์ได้ สุดยอดอัจฉริยะที่สามารถฝึกวิชายุทธ์ระดับ2ให้มีพลังเหมือนกับวิชายุทธ์ระดับ3ได้ ภายในสองเดือนก็ฝึกวิชากระบี่จะถึงขั้นบรรลุผล ทำให้เขารู้สึกว่ามันก็สมเหตุสมผลกันอยู่

ในสนาม สีหน้าเย่อหยิ่งของเฟิงเซวียนจวี๋ก็มลายสิ้น ถึงแม้จะเป็นวิชากระบี่ฟ้าแลบแดนบรรลุผลเหมือนกัน แต่วิชากระบี่ของหลัวซิวแข็งแกร่งกว่าเขา แถมยังออกกระบวนท่าเร็วกว่าด้วย สามารถกดเขาได้อย่างสิ้นเชิง

พูดถึงวิชาท่าร่าง เขาสู้หลัวซิวไม่ได้ พูดถึงวิชากระบี่ เขาก็สู้หลัวซิวไม่ได้อีก!

คิดๆ ที่ก่อนหน้านี้ที่ตนเองได้บอกไปว่าจะเอาชนะภายใน3กระบวนท่า เฟิงเซวียนจวี๋ก็รู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหน้า เรื่องนี้มันจะต้องกลายเป็นเรื่องตลกที่ใหญ่มากแน่ๆ

“วิ๊ง!”

แสดงกระบี่สาดเข้ามาในทันใด อยู่ดีๆ ตัวของเฟิงเซวียนจวี๋ก็นิ่งไป เพราะว่ากระบี่ยุทธ์สีดำในมือของหลัวซิวนั้น ได้ชี้ปลายกระบี่มาที่คอหอยของเขาแล้ว ห่างเพียงแค่มิลลิเมตร!

“ผม………..ผมยอมแพ้!”

เฟิงเซวียนจวี๋ก็กัดฟันจนแทบจะแตก อยากจะมุดแผ่นดินหนี

เขารู้ดีว่าตนเองแพ้แล้ว ไม่เพียงแค่แพ้การประลองยุทธ์ แม้แต่ศักดิ์ศรีและจิตใจ ก็แพ้อย่างราบคาบ

บนห้องใต้หลังคา เจ้าสำนักยุทธ์หายใจเข้าอย่างแรง นิ้วมือก็เคาะลงที่พนักแขนเบาๆ

ฝึกพลังหยางบริสุทธิ์ขั้นสุดยอดระดับ3สำเร็จ ภายใน5เดือนจากการกลั่นร่างขั้น2บรรลุมาถึงการกลั่นร่างขั้น9 ภายในสองเดือนฝึกวิชากระบี่ฟ้าแลบจนถึงแดนบรรลุผล แถมยังผนวกเข้ากับวิชาท่าร่าง เรียกได้ว่าไม่มีคู่ต่อสู้อีกแล้วในใต้ระดับแดนฝึกชี่ไห่!

หนึ่งในนี้ ไม่ว่าจะเรื่องไหนๆ ล้วนสามารถเรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะ แต่เรื่องพวกนี้มันเกิดขึ้นกับคนเพียงคนเดียวทั้งหมดเลย…..

จากนั้น การแข่งขันรอบที่สามก็ดำเนินต่อไป สวี่ชิวเซิงและหลัวซิวชนะกันคนละสนาม เป็นที่1เท่ากัน ดังนั้นก็เลยวนมาถึงการประลองกันของหานซานกับเฟิงเซวียนจวี๋ ถ้าใครชนะ ก็จะได้อยู่ในรายชื่อด้านหน้า

“ฮ่าๆ ไอ้หนุ่ม เห็นหน้ามึงขี้ขลาดบูดเบี้ยวเหมือนมะระแบบนั้น หรือว่าแพ้จนร้องไห้ไปแล้วล่ะ?” หานซานเดินขึ้นมาบนเวทีประลองยุทธ์ หัวเราะพูดเสียงหนักแน่น

“ไอ้ทึ่มตัวใหญ่ กูไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลัวซิว แต่มึงก็เป็นได้แค่เป้าาของกูเท่านั้นแหละ!” เฟิงเซวียนจวี๋ส่งเสียงโมโห กระบี่ยุทธ์ก็ออกจากฝัก

“ฮ่าๆ มาเลย ระวังดาบเปิดเขาของพี่ฟันจนเบี้ยวไปนะน้อง!”

สองคนประชันหน้ากัน ล้วนมีผลการฝึกตนระดับการกลั่นร่างขั้น9ขั้นสูงเหมือนกัน รังสีของปราณในก็สาดออกมาทั่วตัว

อันดับรายชื่อของปีที่แล้วนั้น หานซานอยู่ลำดับที่2 เฟิงเซวียนจวี๋อยู่ลำดับที่3

ในชั้นหัวกะทิ พวกเขาสองคนถือว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่เหมาะสมกัน

“ไอ้ทึ่มตัวใหญ่ เดี๋ยวจะให้ลิ้มลองความร้ายกาจของวิชากระบี่ฟ้าแลบ!”

เฟิงเซวียนจวี๋ตะโกนออกไป กระบี่คมกริบออกจากฝัก รังสีกระบี่เยือกเย็นฟันผ่านอากาศไป รวดเร็วดั่งสายฟ้า จนน่าตกใจ

เขารู้ดีว่าตนเองแพ้ให้กับหลัวซิวไปแล้วหนึ่งสนาม ถ้ายังไม่มีโอกาสชนะสวี่ชิวเซิงได้ล่ะก็ และถ้าครั้งนี้แพ้ให้หานซานไป เกรงว่าจะไม่ได้เข้า3อันดับแรก

ดังนั้นสนามนี้ เฟิงเซวียนจวี๋จะต้องสู้อย่างเต็มกำลังที่สุด

ตอนที่ประมือกับหลัวซิวนั้น ไม่ว่าจะเป็นวิชาท่าร่างหรือวิชากระบี่ ก็ล้วนถูกหลัวซิวกดไว้หมด แต่ตอนนี้สู้กับหานซาน เขาก็สามารถแสดงพลังฝีมือที่แท้จริงของตนเองออกมาได้แล้ว ทำให้คนด้านล่างเวทีล้วนส่งเสียงตื่นเต้นตกใจขึ้นมา

แพล๊ง!พล๊าง!แพล๊ง!

ดาบและกระบี่กระทบกัน เฟิงเซวียนจวี๋ถอยร่นไป3ก้าว แต่เขาก็รีบใช้วิชาเคลื่อนไหวย้ายร่างเปลี่ยนเงาทันที กระบี่ไวดั่งเม็ดฝน ทำให้หานซานจำเป็นต้องขับเคลื่อนปราณในออกมาป้องกันทันที

สองคนนี้ หานซานเน้นด้านพละกำลังและการปัดป้อง ส่วนเฟิงเซวียนจวี๋นั้น เน้นคล่องแคล่วว่องไว คนหนึ่งมั่นคง คนหนึ่งเร็วดั่งลม

ในฐานะที่เป็นยอดฝีมือขั้นสุดยอดของ พลังของสองคนนี้จะร้ายกาจกว่าการกลั่นร่างขั้น9ธรรมดาทั่วไปมาก

เฟิงเซวียนจวี๋ได้ฝึกฝนจนวิชาท่าร่างและวิชากระบี่จนถึงแดนบรรลุผล วิชาดาบและวิชาปราณแข็งของหานซานก็ฝึกจนถึงแดนบรรลุผลแล้วเหมือนกัน

ช่วงพริบตา สองคนก็ได้สู้กันไปกว่า20กระบวนท่าแล้ว ใครก็ทำอะไรอีกฝั่งไม่ได้เลย เฟิงเซวียนจวี๋ไม่อาจทำลายการป้องกันของหานซานได้ ส่วนหานซานก็อาจจะตามความเร็วของเฟิงเซวียนจวี๋ได้

ตอนนี้ สองคนจะวัดกันที่ปราณในของใครจะหมดก่อนกัน และใครจะอดทนได้นานกว่ากัน

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 45 เฟิงเซวียนจวี๋หาเรื่อง

 

จวงหนานเทียนเบ้ปาก “ถ้าแม้แต่คุณเองยังทำไม่ได้ แล้วจะมีสิทธิ์อะไรไปเป็นอาจารย์คนอื่นเขาล่ะ?”

“ไอ้แซ่จวง คุณหมายความว่าไง?” ผู้อาวุโสหลี่เผยสีหน้าโมโห หน้าแดงก่ำ

ถึงแม้เขาจะเป็นจอมยุทธ์พรสวรรค์ แต่ก็ฝึกมาเป็น10ปีกว่าจะมีวันนี้ได้ ไม่ได้เกี่ยวกับพรสวรรค์ว่ามีมากแค่ไหน การฝึกวิชาขั้นที่สุดของที่สุดของแดนบริบูรณ์ ไม่ใช่แค่ว่าผลการฝึกตนสูงแล้วก็จะทำได้ แต่มันต้องมีพรสวรรค์และรู้แจ้งถึงจะได้

“ความหมายของผมก็บอกชัดเจน คุณกับผมต่างกันแค่ไหน ทุกคนก็รู้ดี อัจฉริยะแบบนี้ ถ้าเอามาให้พวกเรา จะทำให้เสียเวลาเขาเปล่าๆ ในเมืองชิงหยุน มีแค่เจ้าสำนักเท่านั้นที่สามารถสอนเขาได้” จวงหนานเทียนยิ้มพูด

พอพูดออกไปดังนั้น ทุกคนก็หันไปยิ้มมองใส่เจ้าสำนักยุทธ์

เจ้าสำนักยุทธ์ก็ยิ้มรับเบาๆ “หลัวซิวถือว่าเป็นคนที่เหมาะสมที่จะสั่งสอน สำนักหวูแห่งเมืองชิงหยุนของพวกเราก็ยังเล็กเกินไป สำนักเซียวเหยาถึงจะเป็นสถานที่ที่เขาควรจะไป”

ในตอนนี้เอง บริเวณเวทีประลองยุทธ์ก็เฮกันขึ้นมา การประลองของหลัวซิวและจ้าวฉีชวง ได้ปิดฉากลงแล้ว

เห็นว่าหลัวซิวไม่ได้ออมมืออีกแล้ว จับจุดอ่อนได้ แล้วก็ซัดเข้าไปที่หน้าอกของจ้าวฉีชวง เล่นเอาเขากระเด็นลอยออกไป จนตกลงไปด้านล่างเวทีประลอง

“หลัวซิวคนนี้ใช้แค่วิชายุทธ์ระดับ2 ก็เอาชนะจ้าวฉีชวงได้เลยหรือนี่?”

“มองไม่ออกเลยว่า วิชายุทธ์ระดับ2จะร้ายกาจขนาดนี้ วิชาดาบเจ็ดดาวของจ้าวฉีชวงก็ได้สำเร็จเล็กน้อยไปแล้วไม่ใช่หรือไง ต่อให้วิชายุทธ์ระดับ2บรรลุไปแล้ว ก็คงไม่ร้ายกาจขนาดนี้ได้หรอก”

“คุณจะรู้อะไร เมื่อครู่ผมได้ยินอาจารย์พูดว่า หมัดเสือมังกรและวิชาก้าวสั้นของหลัวซิวเลยขั้นบรรลุไปแล้ว ถึงขั้นที่สุดของที่สุดของแดนบริบูรณ์แล้ว!”

ในเสียงตื่นเต้นตกใจทั้งหลายนั้น ภายใต้สายตาทุกคน หลัวซิวได้กลายเป็น3อันดับสุดยอดจุดสนใจไปแล้วทันที

“ฝึกฝนวิชายุทธ์ระดับ2ได้สมบูรณ์แบบขนาดนี้ถือว่าพบได้ยาก แต่ว่าถ้าเจอกับคนของห้องขั้นสูง เกรงว่าคงจะแพ้ยับเยิน วิชายุทธ์ระดับ2ก็ยังเป็นแค่วิชาระดับสอง”

จากอารมณ์ขึ้นเมื่อครู่ ผู้อาวุโสตนเองลี่ก็นิ่งลง แล้วพูดวิเคราะห์ออกมา

“ผู้อาวุโสหลี่พูดถูกต้อง วิชายุทธ์ระดับ2ยังมีข้อจำกัด ถ้าฝึกจนบรรลุวิชายุทธ์ระดับ3 ก็จะสามารถจัดการกับวิชายุทธ์ระดับ2ได้อย่างหมดจด” ผู้อาวุโสด้านข้างคนหนึ่งพูดเห็นด้วย

“ก็แค่ฝึกวิชายุทธ์ระดับ2จนถึงแดนบริบูรณ์เท่านั้นเอง ถ้าเจอผม จะทำให้เขาได้รับรู้ว่าอะไรที่เรียกว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้า!”

หนุ่มน้อยสวมผ้าแพรคนหนึ่งเผยสีหน้าไม่พอใจ เสียงดังมาก คนใกล้ๆ หลายคนได้ยินชัดเจน

สายตาเริ่มมองมาที่เขา อยากรู้ว่าเขาเป็นใครกันแน่ ถึงได้พูดจาโอหังแบบนี้

แต่ตอนที่ทุกคนเห็นเขานั้น ก็ผงะไปตามกัน

“คือเฟิงเซวียนจวี๋ ยอดฝีมืออันดับ3ในห้องขั้นสูง ได้ยินมาว่าวิชากระบี่ระดับสามฝึกจนถึงแดนบรรลุผลแล้ว!”

“ที่แท้ก็เขานี่เอง วิชากระบี่ระดับสามฝึกแดนบรรลุผล ก็สมควรที่จะมองข้ามวิชายุทธ์ระดับ2แดนบริบูรณ์ได้อยู่”

การแข่งขันดำเนินต่อไป ไม่นานก็เหลือเพียงไม่กี่สิบคน กำลังจะเริ่มเข้าสู่การคัดเลือกรอบตัดสิน

หลัวซิวก็ได้สังเกตดูการต่อสู้ของคนอื่นๆ ด้วย พบว่าพลังของหลายๆ คน ไม่ด้อยไปกว่าตนเองเลย

เพราะถึงอย่างไรเมืองชิงหยุนก็มีประชากรหลายแสนคน บวกกับหมู่บ้านรอบๆ เมืองอีก ทุกๆ ปีจะมีนักเรียนใหม่เข้ามาในสำนักยุทธ์มากมาย ตั้งแต่อายุ10-18ปี ในนักเรียนทั้ง8รุ่น ก็มีอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์ด้านฝึกยุทธ์ไม่น้อย

เมื่อเทียบกับพวกที่เริ่มแสดงพรสวรรค์ออกมาให้เห็นตั้งแต่เริ่มแรก แล้วพัฒนาตัวเองได้อย่างรวดแล้วนั้น หลัวซิวรู้ดีว่าตัวเองเก่งขึ้นมาได้ในเวลาอันสั้น ที่สามารถฝึกยุทธ์จนมีความสามารถตามคนพวกนี้ได้ในเวลาไม่ถึงครึ่งปี ก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องง่าย

หนึ่งในนั้นมีคนที่ฝึกวิชากระบี่ฟ้าแลบเหมือนกัน ชื่อว่าเฟิงเซวียนจวี๋ และฝึกวิชากระบี่จนบรรลุผลแล้วเหมือนกันกับเขา

แล้วยังมีสวี่ชิวเซิงที่อยู่ในอันดับหนึ่ง วิชาหอกเรียกได้ว่าล้ำลึกมาก มันคือที่สุดของที่สุด ยิ่งกว่านั้นคือฝึกวิชาหอกระดับ3จนถึงแดนบรรลุบริบูรณ์!

ยังมีหานซานอีกคน ที่เป็นอันดับ2 มีพละกำลังมากตั้งแต่เกิด แค่โจมตีออกมาธรรมดาๆ ก็เทียบกับทักษะยุทธ์ระดับ3ได้เลย บวกกับฝึกทักษะยุทธ์ป้องกันตัวขั้น3 ใช้ปราณในออกมารอบตัว การโจมตีธรรมดาไม่สามารถทำอะไรได้

ผ่านการคัดเลือกไปอีกครั้ง ผลคะแนนสุดท้ายก็ไม่แปลกไปจากที่คิด สวี่ชิวเซิง หานซานเฟิงเซวียนจวี๋ล้วนเอาชนะได้อย่างง่ายๆ โดยแทบจะเป็นตัวเต็ง3คนแรกอยู่แล้ว

เพราะถึงอย่างไรทั้งงานประลองยุทธ์นี้ รางวัลที่สำคัญที่สุด ก็คือ3อันดับแรก

เมื่อเทียบกับ3คนนี้ หลัวซิวที่เข้ารอบมาเหมือนกัน ถึงแม้จะโดดเด่น แต่กลับไม่ค่อยมีคนเชียร์เขาเท่าไรนัก แต่ว่าเขาอาศัยอายุเพียง14ปี สู้มาจนถึงรอบนี้ ก็เพียงพอที่จะเป็นจุดเด่นของงานประลองยุทธ์ปีนี้

4คนชิงกันเขา3อันดับแรก ตามกติกา แต่ละคนจะต้องสู้กันคนละสนาม แล้วนับจำนวนครั้งที่ชนะมาเรียงลำดับคะแนน

ในตอนนี้เอง อยู่ดีๆ เฟิงเซวียนจวี๋ก็เดินมาตรงหน้าของหลัวซิว แล้วยิ้มเย็นพูดว่า “ไอ้หนู ดังไม่เบาเลยนะ เดี๋ยวรอมึงมาเจอกับกู กูจะทำให้มึงแพ้อย่างราบคาบเลย!”

หลัวซิวก็ขมวดคิ้ว เขาไม่เคยไปหาเรื่องเฟิงเซวียนจวี๋คนนี้มาก่อน ทำไมหมอนี่ถึงได้คิดเป็นศัตรูกับตนเองขนาดนี้นะ?

แต่ว่าหลัวซิวก็รู้ดี บางคนก็มักจะคิดว่าตนเองเป็นจุดศูนย์กลางของโลก เห็นคนอื่นได้ดีก็ไม่พอใจ เฟิงเซวียนจวี๋ก็น่าจะเป็นคนจำพวกนี้

“บรรลุวิชากระบี่แล้วเก่งมากหรือไง? ใครจะแพ้ราบคาบ ก็ยังไม่รู้เลย!” หลัวซิวก็พร้อมสู้ อดใจอยากจะสู้กับยอดฝีมือห้องขั้นสูงพวกนั้นไม่ได้แล้ว

สนามแรก คือสวี่ชิวเซิงกับหานซาน คนหนึ่งวิชาหอกบรรลุแดนบริบูรณ์ที่สุดของที่สุดพลังรุนแรง กับอีกคนที่มีพละกำลังมาก พร้อมกับวิชาปัดป้องทั้งตัว

อาวุธของหานซานคือดาบเปิดเขา แต่ละกระบวนท่าฟันกว้างฟันแคบ เสียงลมดังเป็นเสียง ฝุ่นตลบอบอวล

ถึงแม้การโจมตีของเขาจะรุนแรง แต่ก็ประชิดตัวของสวี่ชิวเซิงไม่ได้เลย ปืนเงินเคลือนไหวดั่งมังกรเลื้อย ครอบคลุมจุดสำคัญของหานซานทั้งหมด

หานซานก็ได้แต่ใช้พลังปราณแข็งออกมาป้องกันไว้ แต่เมื่อตำแหน่งเดิมถูกปืนเงินโจมตีเข้าหลายๆ ครั้ง สุดท้ายเขาก็กระอักเลือดพุ่งออกมา ตัวก็ถอยร่นไป แล้วยอมแพ้

จากนั้น ทั้งสองคนก็ลงเวทีไปพักผ่อน เพื่อฟื้นพลังที่เสียไปจากการประลอง

เฟิงเซวียนจวี๋กระโดดขึ้นเวทีประลอง ยืนเอามือข้างหนึ่งไพล่หลัง อีกมือก็ชี้มายังหลัวซิวที่อยู่ด้านล่างเวที มองต่ำลงไป แล้วก็พูดอย่างอวดเก่งว่า “ภายใน3กระบวนท่า จะต้องเอาชนะมึงได้แน่!”

พอเห็นเฟิงเซวียนจวี๋ที่มีท่าทีหาเรื่องหลัวซิวแบบนี้ คนด้านล่างเวทีก็มีสายตาสนใจอยากจะเห็นเรื่องสนุก แล้วมองไปที่หลัวซิว

พลังของเฟิงเซวียนจวี๋นั้น เป็นยอดฝีมืออยู่ใน3อันดับแรก ไม่เหมือนกับคู่ต่อสู้ที่หลัวซิวเคยเจอมาก่อนหน้านี้เลย

“จะเอาชนะผมภายใน3กระบวนท่างั้นหรือ คุยโวโอ้อวดเก่งดี!คิดว่าตัวเองเป็นจอมยุทธ์ชี่ไห่หรือไง?” หลัวซิวกระโดดขึ้นเวทีประลอง แล้วยิ้มพูดว่า “ผมก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าคุณจะเอาชนะผมใน3กระบวนท่าได้อย่างไร”

“แหกลูกตาหมาๆ ของมึงดูให้ดีก็แล้วกัน!” เฟิงเซวียนจวี๋มีสายตาจิก

“ฟิ้ว!”

พอสิ้นเสียงพูด เขาก็เคลื่อนตัว พริบตาก็มาอยู่ตรงหน้าของหลัวซิว รวดเร็วดั่งผี ทำให้คนด้านล่างเวทีตื่นเต้นตกใจไปตามกัน

“เร็วมากเลย!”

“ย้ายร่างเปลี่ยนเงา วิชาท่าร่างขั้น3 นี่มันร้ายกาจกว่าวิชาก้าวสั้นขั้น2ของหลัวซิวมากเลย!”

เห็นได้ชัดว่า เฟิงเซวียนจวี๋แสดงความรวดเร็วของตนเองออกมา ทำให้ทุกคนตกใจยอมจำนน

เร็วงั้นหรือ? เร็วแล้วจะมีประโยชน์หรือ?

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 44 สู้กับจ้าวฉีชวง

 

อายุ18เป็นเกณฑ์พื้นฐาน ขอเพียงได้กลายเป็นจอมยุทธ์ชี่ไห่ตอนอายุไม่เกิน18 ก็จะมีคุณสมบัติได้เข้าร่วมทดสอบ ถ้าผ่าน ก็จะได้เป็นศิษย์นอกสำนักของสำนักเซียวเหยา

สำนักเซียวเหยานั้นเป็นกองกำลังใหญ่ของเขตการปกครองหยุนหลง จะเรียกว่ามีอิทธพลก็ไม่เกินไป มาตรฐานต่ำที่สุดของศิษย์นอกสำนัก ก็คือแดนชี่ไห่ แต่ผลการฝึกตนห้ามเกินอายุ18ปี

จากข่าวลือ ถ้าอยากเป็นศิษย์ในสำนักของสำนักเซียวเหยาจริงๆ จะต้องมีระดับแดนพรสวรรค์ก่อน อายุห้ามเกิน25 พลังเทียบได้กับผู้อาวุโสทั้งหลายของสำนักหวูแห่งเมืองชิงหยุน!

ส่วนเหนือกว่าศิษย์ในสำนัก ก็ยังมีศิษย์ใจกลาง พลังก็ยิ่งสูงขึ้นไป

เมื่อเทียบกับสำนักยุทธ์ทั้งหลายในเมืองใหญ่ของเขตการปกครองหยุนหลง สำนักเซียวเหยาถือว่าเป็นแดนสวรรค์ของวิชายุทธ์ ศิษย์นอกสำนักก็สามารถเลือกวิชายุทธ์ระดับ4มาฝึกฝนได้แล้ว ส่วนศิษย์ใจกลาง ก็ได้ฝึกวิชายุทธ์ระดับ7ในตำนาน!

วรยุทธสุดยอดในเมืองชิงหยุน อย่างมากก็แค่ขั้น4 ขั้น7นั้น สำหรับนักเรียนของสำนักยุทธ์อย่างหลัวซิวแล้วนั้น มันเป็นยิ่งกว่าตำนานเสียอีก

การได้กลายเป็นศิษย์ของสำนักเซียวเหยา จริงๆ แล้วก็เป็นจุดประสงค์หนึ่งของหลัวซิวเหมือนกัน ปีนี้เขาอายุ14 ก็สามารถฝึกจนได้การกลั่นร่างขั้น9ขั้นสูงแล้ว อีกไม่นานก็จะถึงระดับจอมยุทธ์ชี่ไห่ จากนั้นก็สามารถเข้าร่วมการสอบเข้าเป็นศิษย์นอกสำนักของสำนักเซียวเหยาได้

“ตุบ!”

เงาคนหนึ่งกระโดดขึ้นมาบนเวที หลัวซิวมองไป ก็เห็นคู่ต่อสู้ของตนเอง ยอดฝีมืออันดับ4บนศิลาอันดับฝีมือ จ้าวฉีชวง

“หลัวซิว เจอกับตนเอง มึงไม่ได้เข้ารอบแล้วล่ะ วิชาหมัดและวิชาท่าร่างที่มึงภาคภูมิใจ ไม่มีโอกาสทำอะไรได้เมื่ออยู่ภายใต้วิชาดาบเจ็ดดาวของกู”

จ้าวฉีชวงยืนอย่างมั่นใจ ท่าทางมองเยาะเย้ย แล้วยิ้มพูดว่า “ได้ยินว่ามึงฝึกวิชากระบี่ฟ้าแลบ กล้าชักกระบี่ออกมาประลองกันหรือเปล่า”

แต่ละคำพูดล้วนเป็นการดูถูก แต่จริงๆ แล้วจ้าวฉีชวงก็ยังกลัวๆ วิชาหมัดและวิชาท่าร่างของหลัวซิวอยู่เหมือนกัน แต่เขามั่นใจว่าภายใน2เดือน หลัวซิวไม่มีทางฝึกวิชากระบี่ได้ล้ำลึกหรอก

ดังนั้นเขาก็เลยพูดท้าทาย ให้หลัวซิวใช้วิชากระบี่ แบบนี้ตนเองก็จะเอาชนะได้ง่ายขึ้น

“อยากให้ผมใช้วิชากระบี่จริงๆ งั้นหรือ?” มุมปากของหลัวซิวเผยรอยยิ้มหลอกล่อออกมา

“แน่นอน แต่ถ้ามึงคิดว่าวิชากระบี่ของมึงมันน่าอายล่ะก็ แบกมันไว้เป็นเครื่องประดับก็ได้” จ้าวฉีชวงยิ้มพูดตาหยี

ด้วยความฉลาดของหลัวซิว มีหรือจะมองความคิดของจ้าวฉีชวงไม่ออก? แต่ว่าเขาขี้เกียจจะไปสนใจความอวดฉลาดของฝั่งตรงข้ามมากกว่า

“อยากให้ผมชักกระบี่ งั้นก็ต้องดูกันก่อนว่าพี่มีความสามารถขนาดนั้นหรือเปล่า” หลัวซิวยิ้มพูด

จ้าวฉีชวงยิ้มแห้ง สีหน้านิ่งพูดว่า “มึงนี่บ้าดีว่ะ ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นกูก็จะทำให้มึงไม่มีแม้แต่โอกาสจะชักกระบี่เลยแล้วกัน!”

ก้าวขาออก จ้าวฉีชวงมือซ้ายถือดาบ มือขวาจับด้ามดาบ ตาเป็นประกายมองไป แล้วชักดาบออก รังสีดาบสาดไปสี่ทิศ

“วิชาชักดาบ!”

นี่คือวิชาดาบพื้นฐานที่สุด แต่มีพลังทำลายล้างสูง เน้นรวบรวมกำลังแล้วปล่อยไป โจมตีครั้งเดียวกะเอาชีวิต ช่วงที่ชักดาบออกมานั้น พลังจะรุนแรงที่สุด

ดาบนี้เร็วมาก ภายใต้ปราณในที่ส่งเสริม บนดาบก็มีเงาสะท้อนออกมา เป็นความกดดันอย่างหนึ่งที่โจมตีเข้ามา

หลัวซิวก็ยังคงนิ่งๆ ไม่กลัวอะไร ขยับตัวหลบไปข้างเล็กน้อย รังสีดาบก็ฟันผ่านหนังหัวเขาไป แต่ไม่ได้ทำอันตรายอะไรเลย

“สึบ!”

ด้านล่างเวทีมีเสียงลุ้นดังขึ้น ใครก็คิดไม่ถึงว่าหลัวซิวจะอวดเก่งแบบนี้ เผชิญกับดาบที่ฟันลงมารุนแรงแบบนี้ ก็ยังกล้าที่จะหลบหลีกแบบนี้

“วิชาท่าร่างร้ายไม่เบา ถึงแม้จะเป็นวิชาท่าร่างระดับ2 แต่ใช้ทักษะที่หลบหลีกในระยะมิลลิเมตร ต่อให้เป็นวิชาท่าร่างระดับ3ก็เทียบไม่ได้” มีคนพูดขึ้นมาอย่างตื่นเต้น

“เหอะ มึงคิดว่าหลบแบบนี้แล้วจะพ้นงั้นหรือ?” มุมปากของจ้าวฉีชวงเผยรอยยิ้มเย็นออกมา รังสีดาบฟันเป็นแนวนอน ราวกับเจ็ดดาวผสานกัน อากาศที่บีบอัด เกิดเป็นเสียงฟิ้วๆๆ

เห็นบนเวทีมีแสงดาบวูบวาบไปมา หลัวซิวก็ใช้วิชาท่าร่างหลบหลีกไป โดยไม่มีโอกาสได้ตอบโต้

“อืม จ้าวฉีชวงคนนี้ก็ไม่เลว วิชาดาบเจ็ดดาวก็สำเร็จเล็กน้อย” บนห้องใต้หลังคา มีผู้อาวุโสคนหนึ่งพูดหยักหน้าอย่างชื่นชม

“วิชาตัดน้ำเจ็ดดาว!”

บนเวทีประลองยุทธ์ จ้าวฉีชวงส่งเสียงออกมา แล้วก็รวบรวมปราณในไว้ที่ดาบ รวบรวมพลังทำลายล้างของวิชาดาบเจ็ดดาวให้สูงที่สุด

นี่คือกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา แค่ระดับสำเร็จเล็กน้อย เขาก็มั่นใจว่าหลัวซิวไม่มีทางหลบได้แน่

ดาบนั้นไร้ตา พอไม่อาจหลบดาบนี้ได้ ไม่ตายก็เจ็บหนัก

แต่สีหน้าของหลัวซิวก็ยังนิ่งเฉย ช่วงเวลาที่ฝึกฝนในเขาปาฉี ผ่านการเข่นฆ่าเอาชีวิตมานับไม่ถ้วน ได้ฝึกกับความรู้สึกในจิตใจไปแล้ว

“ฟุบ!”

เคลื่อนเท้าไปแนวนอน ก็ยังคงเป็นเคลื่อนไหวเบาๆ ดาบยาวที่เงาวับก็ฟันผ่านหน้าอกของเขาลงไป

“นี่มัน……หลบได้งั้นหรือ?” ดาบที่ฟันสุดแรง โจมตีไม่ถูก ทำให้จ้าวฉีชวงรู้สึกเหมือนต่อยอากาศ

“ท่ามังกรทะยาน!”

ในตอนนั้นเอง มีเสียงดังเข้ามาในหู จ้าวฉีชวงรู้สึกเจ็บหน้าอก ร่างก็กระเด็นออกไปทันที จนเกือบจะตกเวทีลงไป

เขาพลิกตัวลุกขึ้นมา ใบหน้าที่เคร่งขรึมก็เต็มไปด้วยความอึ้งและไม่อยากจะเชื่อ

เดิมทีนั้นคิดว่าจะสามารถจัดการตนเองซิวได้ แต่ว่าเขาคิดไม่ถึงว่าวิชาท่าร่างของหมอนี่จะร้ายกาจขนาดนี้ ถึงขนาดอยู่ในจุดที่ไม่แพ้ใคร

“วิชาท่าร่างสุดยอดมาก!”

“ไม่ใช่แค่วิชาท่าร่างสุดยอด แต่หลัวซิวไม่เสียสมาธิตอนคับขัน สงบ นิ่ง อยู่ในจุดที่ไม่แพ้ใครแล้ว!”

“นอกเสียจากจะมีคนใช้วิชายุทธ์ระดับ3ที่ฝึกจนถึงระดับแดนบรรลุผล ไม่อย่างนั้นก็ทำอะไรหลัวซิวไม่ได้เลย”

ด้านล่างเวทีส่งเสียงลุ้นไม่ขาดสาย เล่นเอาใบหน้าที่บึ้งทึงของจ้าวฉีชวงแทบจะเหงื่อตก

“กูไม่เชื่อว่ามึงยังจะหลบได้ เมื่อครู่นี้มึงต้องโชคช่วยแน่ๆ ……”

จ้าวฉีชวงตะโกนออกมา แล้วก็ร่ายกระบวนท่าวิชาดาบเจ็ดดาวอีกครั้ง แล้วบุกไปยังตัวของหลัวซิวอย่างบ้าคลั่ง

หลัวซิวก็ไร้สีหน้า และได้เห็นว่าจิตใจของจ้าวฉีชวงได้เสียสมดุลไปแล้ว ตอนที่ผู้ฝึกยุทธ์กำลังต่อสู้กันนั้น จิตใจนั้นสำคัญมาก ถ้าเสียสมดุลก็เผยจุดอ่อนออกมา

ฝีเท้าเคลื่อนไหว หลัวซิวหลบได้3กระบวนท่า แล้วก็จับจุดอ่อนของจ้าวฉีชวงได้

“ฟุบ!”

ซัดกระบวนท่าเสือพิฆาตออกไป โจมตีถูกหัวไหล่ของจ้าวฉีชวง ทำให้เขาตัวสั่น แล้วถอยไปหลายก้าว

เนื่องจากเป็นการประลองอยุทธ์ ไม่ใช่การสู้เอาชีวิต ดังนั้นหลัวซิวก็ไม่ได้ลงมือมากเกินไป

“ฮ่าๆ ปรานในมึงอ่อนไป มีแรงแค่นี้หรือไง? ไปตายเสียเถอะ ไปตายเสีย!”

จ้าวฉีชวงเหมือนจะบ้าไปแล้ว จนไม่ได้ป้องกันตัวเองเลย เอาแต่สู้ไม่ปัดป้อง

หลัวซิวก็หลุดยิ้มออกมา ตัวเองออมมือให้แท้ๆ ไอ้หมอนี่มันกลับคิดตัวเองมีปรานในอ่อนแอ แล้วทำอะไรมันไม่ได้

โลกนี้มีพวกไม่รักดี และได้คืบเอาศอกแบบนี้อยู่ด้วยหรือ…….

หลัวซิวส่ายหัว รู้สึกว่าจิตใจตนเองนั้นดีเกินไปแล้ว

บนห้องใต้หลังคา มีผู้อาวุโสคนหนึ่งจับจ้องการประลองอยู่ แล้วก็พูดขึ้นมาว่า “หลัวซิวคนนี้อายุแค่14เท่านั้นเอง ทักษะการต่อสู้ทำไมถึงได้เก่งกาจแบบนี้ ราวกับเป็นยอดฝีมือที่ผ่านการต่อสู้มาแล้วนับร้อยครั้ง จิตใจก็มั่นคง แบบนี้เป็นต้นกล้าที่ดี ผมจะรับมันไว้เป็นศิษย์!”

“เหอะ ผู้อาวุโสหลี่จะรับศิษย์ เขาอาจจะไม่ยินยอมก็ได้ หลัวซิวไม่มีใครชี้แนะ ทั้งยังเกิดในครอบครัวที่ยากลำบาก วิชาหมัดและวิชาท่าร่างขั้นสองก็ยังฝึกจนบรรลุผล ก้าวเข้าสู่ที่สุดของที่สุดของแดนบริบูรณ์ไปแล้ว คุณทำได้ไหมล่ะ?”

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 43 หลิวหยู่ซินถูกปฏิเสธ

 

อาจารย์ผู้ตัดสินบนเวทีก็ตกกับพลังฝีมือของหลัวซิวที่แสดงออกมา รีบสะดุ้งดึงสติกลับมา แล้วก็รีบประกาศว่าหลัวซิวชนะ

ไม่ต้องแปลกใจ จากงานประลองยุทธ์ครั้งนี้ ชื่อของหลัวซิว คงจะกลายเป็นตำนานในสำนักหวูแห่งเมืองชิงหยุนไปแล้วจริงๆ !

ด้านล่างเวทีประลองยุทธ์ เสียงปรบมือและเสียงเชียร์ดังขึ้น ถ้าบอกว่าก่อนหน้านี้มีคนคิดว่าหลัวซิวมีแค่วิชาท่างร่างที่ดีเท่านั้น โชคดีเท่านั้น แต่พอได้สู้กับหลินเจี๋ย หลัวซิวก็ได้แสดงให้ทุกคนเห็นพลังที่แท้จริงออกมาแล้ว และมันไม่ใช่โชคช่วยเท่านั้น

โดยเฉพาะนักเรียนที่เกิดในสังคมชาวบ้านธรรมดาเหมือนกับหลัวซิว ก็ยิ่งตื่นเต้นกว่าใคร ล้วนเกิดในสังคมที่ยากลำบากเหมือนกัน ในเมื่อหลัวซิวสามารถเก่งได้ แล้วทำไมตนเองจะทำไม่ได้?

บนเวทีประลองยุทธ์ ร่างกายที่ยืนตรงของหลัวซิว เป็นเหมือนกับตราประทับ ที่ติดตรึงเข้าไปในใจของคนไม่น้อย คนจำนวนมากคิดในใจว่า ต่อจากนี้จะตั้งใจบำเพ็ญตน ไม่แน่ว่าอาจจะทำได้เหมือนกับหลัวซิว

เดินลงมาจากบนเวที รับรู้ได้ถึงสายตาแห่งความเกรงใจ ชื่นชอบ และอิจฉาริษยาผสมปะปนกันไป หลัวซิวก็ทำหน้านิ่งๆ ไม่สนใจอะไร

ไม่แปลก จากการต่อสู้ครั้งนี้ หลังจากงานประลองยุทธ์ เขาจะต้องได้เข้าไปอยู่ในระดับสูงของสำนักยุทธ์แน่นอน บางที่อาจจะได้ยกเว้นให้เข้าสู่ขั้นสูง ได้รับความรู้ด้านวิชายุทธ์มากมาย

พวกนักเรียนในสำนักยุทธ์ที่ปกติไม่เคยคบค้าสมาคมกับเขา ก็เริ่มวิ่งเข้าไปคุยเล่นตีสนิท

“หลัวซิว คิดไม่ถึงเลยว่านายจะฝึกตนได้เร็วขนาดนี้ อีกสองวันจะเป็นวันเกิดฉันครบ16ปี นายจะมาได้ไหม?”

หลิวหยู่ซินก็เดินมาตรงหน้าของหลัวซิวเหมือนกัน ยิ้มหวานปานฤดูใบไม้ผลิ แววตาเป็นประกาย ดูไร้เดียงสา ชวนให้เห็นแล้วใจเต้น

ได้ยินดังนั้น หลัวซิวก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ผมต้องฝึกตนอีก เกรงว่าจะไม่มีเวลา ขอโทษด้วยนะ”

จะว่าไปแล้ว ตอนแรกเขาก็เคยแอบรักสาวน้อยคนนี้เหมือนกัน และเพราะเธอนั่นแหละ จึงได้เกิดเรื่องขึ้นมามากมาย แต่ว่าเธอนั้นเป็นคุณหนูที่เกิดในตระกูลใหญ่ ดังนั้นหลัวซิวจึงไม่อยากจะคบค้าสมาคมอะไรมาก

พอได้ยินหลัวซิวปฏิเสธ หลิวหยู่ซินก็อึ้ง ทำตัวไม่ถูก ด้วยความสวยอย่างเธอ ไม่รู้ว่ามีคนมากมายแค่ไหนมาตามจีบเธอ เธอก็รู้ว่าหลัวซิวนั้นชอบเธอ เดิมยังคิดว่าจะใช้ความสวยของตนเองไปตีสนิทกับหลัวซิวได้ แต่ตอนนี้ เธอกลับรู้สึกว่าพ่ายแพ้

มองแผ่นหลังของหลิวหยู่ซินที่ทำตัวไม่ถูจนต้องเดินจากไป หลัวซิวก็ไม่ขยับตัว เขาเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว บนโลกใบนี้มีแต่ความแข็งแกร่งเท่านั้นที่เป็นอมตะ ถ้าวันหนึ่งได้ขึ้นไปอยู่บนจุดสุดยอดของโลกยุทธ์ จะต้องกลัวไม่มีผู้หญิงอีกหรือไง?

“ไอ้คนไม่รักดี หยู่ซินไปชวนมึงด้วยตัวเอง นั่นก็เพราะชอบมึง ถือว่าว่าเป็นบุญที่โคตรเหง้ามึงทำบุญสะสมมาถึงมึง แต่มึงกลับปฏิเสธไปงั้นหรือ?” สวีเฟยอดไม่ได้ เลยออกมาพูดแทนหลิวหยู่ซิน

หลัวซิวก็หน้าชา แล้วมองไปยังสวีเฟยนิ่งๆ “ไอ้คนไม่เอาไหนที่อาศัยบารมีตระกูลตัวเองอย่างมึง ทางที่ดีก็เก็บปากของตัวเองไปเสีย!”

“มึงว่ากูเป็นคนไม่เอาไหนงั้นหรือวะ?” สวีเฟยโมโหมาก หน้านี่แดงก่ำ

“กูพูดผิดหรือไง? กินยาไปก็ไม่น้อย จ่ายเงินซื้อสิทธิ์ให้ได้วิชายุทธ์ระดับสูงไปไม่น้อย อายุ17เพิ่งฝึกได้การกลั่นร่างขั้น7 เพราะว่ากลัวขายหน้าคนอื่น ก็เลยไม่กล้าลงแข่งขันการประลองยุทธ์ ไม่ใช่พวกไม่เอาไหน แล้วจะเป็นอะไรวะ?” หลัวซิวหัวเราะเย็น

ตอนนั้นในหอเก็บหนังสือ สวีเฟยคนนี้ก็ทำท่าอวดเก่งเหนือใคร ถึงขนาดขมขู่ให้ตนเองอยู่ห่างๆ หลิวหยู่ซิน

แต่ตอนนี้ แค่มือเดียวของเขา ก็สามารถต่อยคนอย่างสวีเฟยได้เป็นสิบ ในสำนักยุทธ์ที่อาศัยพลังฝีมือมาพูดกัน ก็คงจะไม่มองเขาอยู่ในสายตา

“มึงอยากตายหรือไงไอ้หลัวซิว!”

ถูกหลัวซิวด่าว่าเป็นคนไม่เอาไหนต่อหน้าคนมากมาย สวีเฟยก็โกรธจนเส้นเอ็นขึ้นที่หน้าผาก

“อยากลงมืองั้นสิ?” หลัวซิวยิ้มเย็นที่มุมปาก “อย่างมึงอะ ไม่มีคุณสมบัติรับกระบวนท่าของกูแม้แต่กระบวนท่าเดียวหรอก”

“นี่มึง……” สวีเฟยหัวร้อนสุดขีด “มึงคอยดูแล้วกัน อย่าคิดว่าเป็นการกลั่นร่างขั้น9 แล้วจะเก่ง เดี๋ยวจะมีคนมาจัดการมึงแน่!”

“กูรออยู่” หลัวซิวยิ้มอย่างไม่สนใจ

สวีเฟยโมโหจากไป กัดฟันแน่นจนฟันจะแตก เดินฝ่าฝูงชนไปหาวัยรุ่นที่สวมชุดสีขาว ในมือถือดาบอยู่

“พี่ครับ ไอ้หลัวซิวมันกล้ามาดูถูกผม พี่ต้องแก้แค้นให้ผมนะ!” สวีเฟยพูดกับหนุ่มคนนั้น

หนุ่มคนนี้หน้าตาหล่อเหลา บนตัวมีกลิ่นอายความอาจหาญ ปีนี้อายุ18 ชื่อว่า จ้าวฉีชวง มีพลังอยู่ในอันดับที่4!

“หลัวซิวงั้นหรือ?” จ้าวฉีชวงคิ้วกระตุก สำหรับญาติผู้น้องคนนี้ เขาก็ไม่ชอบเหมือนกัน มีพรสวรรค์ในการฝึกยุทธ์ธรรมดาๆ ก็แค่อาศัยว่าตัวเองเป็นลูกชายคนโตของตระกูลสวี ใช้ยาจำนวนมากถึงฝึกได้การกลั่นร่างขั้น7

สภาพครอบครัวของจ้าวฉีชวงนั้นธรรมดา ถึงแม้จะมีพรสวรรค์ไม่เลว แต่ถ้าไม่มีความช่วยเหลือจากตระกูลสวี เขาก็ไม่แน่ว่าจะมีความสำเร็จดั่งทุกวันนี้ ดังนั้นที่สวีเฟยให้เขาช่วยสั่งสอนหลัวซิว เขาเองก็ไม่อาจจะปฏิเสธได้

“ถ้าพี่เจอมัน จะช่วยสั่งสอนมันให้” จ้าวฉีชวงยิ้มพูด ถึงแม้ฝีมือที่หลัวซิวแสดงออกมาจะน่าตกใจ แต่เขากลับไม่มองอยู่ในสายตา

“ขอบคุณพี่มาก เล่นงานมันหนักๆ เลย เอาพิการเลยยิ่งดี!” สวีเฟยพูดอย่างร้ายๆ “ถ้าวันข้างหน้าผมได้เป็นเจ้าสำนัก จะไม่ลืมผลงานดีๆ ที่พี่ทำให้เลย”

“ฮ่าๆ ได้เลยๆ” จ้าวฉีชวงยิ้มพูด แต่ในใจเอือมระอา ขอเพียงตอนนั้นได้บรรลุกลายเป็นจอมยุทธ์ชี่ไห่ ต่อให้ไม่ได้เป็นลูกศิษย์ของสำนักเซียวเหยา ก็สามารถเข้าร่วมองครักษ์เกราะเขียวได้ ตระกูลสวีเล็กๆ จะเทียบได้อย่างไร?

แต่ว่าจ้าวฉีชวงก็รู้ดี ถ้าอยากจะเป็นจอมยุทธ์แดนฝึกชี่ไห่ ยังจะต้องการทรัพยากรและการช่วยเหลือจากตระกูลสวี

พอเอาชนะหลินเจี๋ยได้แล้ว การประลองยุทธ์ก็ดำเนินต่อไป การแข่งขันรอบนี้ก็ดำเนินมาถึงช่วงสุดท้าย คนที่สามารถเข้ารอบต่อไปได้ ล้วนเป็นคนเก่งขั้นสูงที่มีพลังระดับการกลั่นร่างขั้น9

จ้าวฉีชวงก็จับจ้องการแข่งขันของหลัวซิว แล้วคิดในใจว่า “วิชาหมัดและวิชาท่าร่างของหลัวซิวคนนี้เก่งกาจ แต่ได้ยินมันฝึกวิชากระบี่แค่ภายในสองเดือน มันก็เลยแบกกระบี่ไว้ไม่ยอมชักออกจากฝัก คงจะยังฝึกไม่สำเร็จ”

เขาไปสืบมาว่าหลัวซิวเลือกฝึกวิชากระบี่ฟ้าแลบ ถือว่าเป็นวิชาจำพวกวิชาดาบระดับ3ที่ฝึกยากพอสมควร คนที่มีพรสวรรค์ดี เวลา3เดือนอย่างมากก็ได้ขั้นต้น ถ้าอยากจะฝึกสำเร็จ อย่างน้อยต้องครึ่งปี

“โครม!”

มีคนร่วงเวทีอีกแล้ว หลัวซิวเอาชนะคู่ต่อสู้ได้อีกครั้ง เข้าสู่รอบต่อไป

“ฝีมือที่หลัวซิวแสดงออกมาอยู่5อันดับแรก ไม่รู้ว่าถ้าเทียบกับจ้าวฉีชวงที่อยู่ในอันดับ4จะเป็นอย่างไร”

“ผมคิดว่าจ้าวฉีชวงน่าจะเก่งกว่าหน่อย หมัดเสือมังกรและวิชาก้าวสั้นของหลัวซิวยังเป็นวิชายุทธ์ระดับ2 พลังทำลายล้างมีจำกัด”

ในกลุ่มคนด้านล่างเวที เริ่มคุยกัน เปรียบเทียบพลังฝีมือของแต่ละคน

นอกจากพลังที่หลัวซิวแสดงออกมาน่าสนใจแล้ว พวกขั้นสูงที่มีพลังฝีมืออันดับต้นๆ ก็ไม่รอช้าคู่ต่อสู้ที่เจอกับพวกนั้น ล้วนยอมแพ้กันหมด

เช่นสวี่ชิวเซิง ที่อยู่ในอันดับ1 มีคนชอบมากที่สุด ได้ยินว่าเคยได้รับคำชี้แนะจากเจ้าสำนักยุทธ์ด้วย หวังไว้ว่าก่อนอายุ19 จะได้เป็นจอมยุทธ์ชี่ไห่

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 42 ทำลายสถิติ

 

หลังจากจบการแข่งขันรอบสอง คนที่ได้เข้ารอบ ก็เหลือเพียง70กว่าคน

พอเข้าสู้รอบที่สาม ครั้งนี้หลัวซิวขึ้นเวทีเร็ว คู่ต่อสู้ของเขานั้น เป็นหนุ่มน้อยที่สวมชุดประลองสีกรมท่า แบกทวนสีดำ ใบหน้าเย่อหยิ่ง

“เหอะๆ ไอ้หลัวซิวซวยแล้ว ถึงได้เจอกับหลินเจี๋ย!”

ด้านล่างเวที ข้างๆ ตัวของหลิวหยู่ซิน ก็มีสวีเฟยที่คอยทำหน้าที่เป็นคนปกป้องผู้หญิงทั้งวัน พูดหัวเราะสะใจอยู่ข้างๆ

หลิวหยู่ซินก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย สายตาก็เผยความรังเกียจต่อสวีเฟยที่อยู่ข้างๆ คนนี้ “อย่างน้อยหลัวซิวก็ยังกล้าที่จะลงแข่งขันประลองยุทธ์ แถมยังเอาชนะได้ตั้ง2รอบ ถึงแม้จะแพ้ให้กับหลินเจี๋ย ก็ไม่ถือว่าขายหน้า”

“มันก็แค่ดวงดี ที่ก่อนหน้านี้เจอกับคนอ่อนแอเท่านั้นเอง” สวีเฟยพูดหน้าแหย เขาฟังออก ว่าหลิวหยู่ซินกำลังประชดตนเองที่ไม่กล้าแม้แต่จะลงแข่งขัน

แต่ว่าพอคิดดูแล้วว่า ไม่ช้าก็เร็วผู้หญิงคนนี้ก็จะต้องเป็นของตนเอง เขาก็เลยอดกลั้นไว้ แล้วก็คิดในใจ รอวันที่มึงแต่งงานเข้ามาในตระกูลสวี พอถึงตอนนั้นกูจะทำอะไรกับมึงก็ได้!

“หลินเจี๋ยงั้นหรือ?”

หอชมการแข่งขันบนห้องใต้หลังคา จวงหนานเทียนก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย เขารู้ว่าสองเดือนก่อนหลัวซิวก็ได้ถึงระดับการกลั่นร่างขั้น8แล้ว เพราะว่าฝึกพลังหยางบริสุทธิ์สำเร็จ สามารถเทียบได้กับการกลั่นร่างขั้น9

แต่หลินเจี๋ยคนนี้ก็ไม่ธรรมดา เป็นการกลั่นร่างขั้น9ขั้นสูงสุด มีชื่ออยู่ในลำดับที่5!

ในฐานะที่เป็นอัจฉริยะที่ฝึกพลังหยางบริสุทธิ์สำเร็จเป็นคนที่4ในรอบ800ปีมานี้ จวงหนานเทียนก็ยังให้กำลังหลัวซิว เดิมทีนั้นยังคิดไว้ว่าหลังจากการประลองยุทธ์นี้แล้ว จะรับไว้เป็นลูกศิษย์ แต่ถ้าหลัวซิวไม่สามารถได้ผลงานลำดับดีๆ ในการประลองยุทธ์ครั้งนี้ล่ะก็ ถ้าเขารับไว้เป็นศิษย์ ก็จะทำให้คนอื่นๆ เอาไปนินทากันได้

“ผู้อาวุโสจวงอย่าเพิ่งรีบร้อนไป หลัวซิวคนนี้ ไม่ได้อ่อนเหมือนที่เห็น” เจ้าสำนักยุทธ์ยิ้มเบาๆ แล้วก็หยิบถ้วยชาขึ้นมายิ้มพูด

ด้านหลังของเจ้าสำนักยุทธ์และผู้อาวุโสทั้งหลายนั้น เหล่าอาจารย์ที่สอนในสำนักยุทธ์ล้วนยืนอยู่ แต่มีเพียงคนเดียวที่ได้นั่งพร้อมกับผู้อาวุโสทั้งหลาย นั่นก็คือ ลู่เมิ่งเหยา คณุสาวสายที่มีฉายาว่าน้ำแข็งไฟทวีคูณ

“ฉันเห็นด้วยกับเจ้าสำนัก หลัวซิวน่าจะชนะ” ลู่เมิ่งเหยากล่าว

จวงหนานเทียนเผยสีหน้าแปลกใจ แล้วก็ยิ้มเบาๆ สายตาก็เผยความสนใจ แล้วก็มองไปยังหลัวซิวบนเวที แล้วพูดในใจว่า “หรือว่าบนตัวเด็กนั่น จะมีความลับอะไรที่เรามองไม่เห็น?”

บนเวทีประลองยุทธ์ หลัวซิวกับหลินเจี๋ยยืนประชันหน้ากัน

“คุณไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผมหรอก ถ้าไม่อยากบาดเจ็บ ก็ลงไปเองเถอะ” หลินเจี๋ยยืนอยู่อย่างเย่อหยิ่ง แล้วมองหลัวซิวนิ่งๆ พร้อมเผยสีหน้าไม่สนใจ

หลัวซิวส่ายหัวเงียบๆ บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าเมื่อก่อนโตมาในสังคมชาวบ้าน แล้วมักจะถูกลูกคนรวยรังแกบ่อยๆ เขาเกลียดพวกที่คิดว่าตัวเองสูงส่ง เย่อหยิ่ง และไม่เห็นใครอยู่ในสายตา

พอเห็นหลัวซิวส่ายหัว หลินเจี๋ยก็ขมวดคิ้ว สายตาก็เพ่งเล็ง “ดูเหมือนว่าเอ็งจะไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาเสียแล้ว!”

ขณะที่พูด เขาก็พุ่งตัวออกไป รอบตัวเผยเป็นรังสีบางๆ กำลังภายในยังไม่ได้ขับเคลื่อนเต็มที่ก็มีออร่าออกมาแล้ว ปกติแล้วจะมีแต่ผู้ฝึกยุทธ์ที่มีพลังระดับการกลั่นร่างขั้น9ชั้นยอดเท่านั้น ถึงจะมีได้

“สำหรับเศษสวะอย่างเอ็ง ไม่ต้องใช้ทวนหรอก รับกระบวนท่าแล้วกันหมัดถล่มเขา!”

หลินเจี๋ยบุกเข้ามาใกล้ตัวหลัวซิว หมัดมุ่งมายังหน้าอกของเขา ออร่ากำลังภายในขับเคลื่อน เสียงจากการออกหมัดดังไปมา

เผชิญหน้ากับหมัดอันรุนแรง หลัวซิวกลับนิ่งๆ ถอยหลังไปนิ่งๆ ครึ่งก้าว หมัดของหลินเจี๋ยห่างจากหน้าอกของเขาไม่ถึงครึ่งนิ้ว

หลินเจี๋ยก็อึ้ง แต่หมัดที่ซัดออกไปมันเบาแรงพอดี ทำให้หลัวซิวหลบได้พอดี

โชคช่วยงั้นหรือ? หรือว่าหมอนี่จะรู้ว่าหมัดของเราจะหมดแรงในจังหวะนี้ ก็เลยโจมตีไม่ถูกตัว?

หลินเจี๋ยสามารถขึ้นชื่ออยู่ในตำแหน่งที่7 ก็ไม่ใช่คนโง่ ในใจก็คิดได้ว่าหลัวซิวคนนี้ คงจะไม่ธรรมดาเหมือนที่ตนเองคิด

“หมัดเงาซ้ำ!”

หลินเจี๋ยรีบเปลี่ยนกระบวนท่า สองหมัดรัวดั่งสายฝน เงาหมัดจำนวนมาก ทำให้คนตาลาย

วิชาหมัดนี้ ส่วนมากจะเป็นท่าหลอกล่อ ถ้าไม่มีสติก็จะถูกโจมตีจนแพ้ไปได้ง่ายๆ

หลัวซิวใช้วิชาท่าร่าง ภายใต้หมู่หมัดที่ซัดออกมา หลบได้อย่างคล่องแคล่ว ต่อให้หมัดของหลินเจี๋ยจะรุนแรงแค่ไหน เขาก็สบายๆ รับมือได้อย่างนิ่งๆ

“วิชาท่าร่างบรรลุผล หลบหลีกได้ในระยะมิลลิเมตร ฝึกวิชาก้าวสั้นระดับ2จนได้ถึงระดับนี้ ไม่เลว ไม่เลว……”

ที่นั่งชมการแข่งขันบนห้องใต้หลังคา เจ้าสำนักยุทธ์เอามือลูบเคราตนเอง ยิ้มพยักหน้าอายุเพียง14ก็ฝึกพลังหยางบริสุทธิ์สำเร็จ ทั้งยังสามารถบรรลุทักษะวิชาท่าร่างของการหลบหลีกในระยะมิลลิเมตรได้ พรสวรรค์แบบนี้พบเจอได้น้อยมาก

“แต่ว่าหลินเจี๋ยถนัดวิชาปืนโอบจันทรา ไม่รู้ว่าวิชากระบี่ฟ้าแลบของหลัวซิวฝึกไปถึงไหนแล้ว?”

เจ้าสำนักยุทธ์ก็มีสายตาร้ายๆ เห็นพลังฝีมือที่หลัวซิวซ่อนไว้นานแล้ว ดูไปแล้วจะเหมือนฝึกการกลั่นร่างขั้น8สำเร็จ แต่จริงๆ แล้วกำลังภายในได้ฝึกไปถึงขั้นการกลั่นร่างขั้น9แล้ว

ในสายตาทุกคน ออร่าทั้วตัวของหลินเจี๋ย การโจมตีที่รุนแรงนั้น จะกดการตอบโต้ของหลัวซิวไว้ได้ เพื่อเป็นต่อ

เสียงโห่ร้อง เสียงเชียร์ไม่ขาดสาย แต่ในตอนนี้เอง การขับเคลื่อนของปราณในก็ส่งออกมาจากเวทีประลอง ออร่าสาดแสงส่องออกมา

ในการประลอง พลังของหลัวซิวมากขึ้นเรื่อยๆ รอบกายก็มีออร่าของปราณในปล่อยออกมา เห็นได้ชัดว่าถึงระดับการกลั่นร่างขั้น9แล้ว!

“อะไรนะ!?”

“การกลั่นร่างขั้น9งั้นหรือ?เป็นไปได้อย่างไรกัน?”

ด้านล่างเวทีก็เงียบไปทันที สายตาของทุกคนก็มองไปยังชายหนุ่มชุดดำอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง

ทุกคนรู้ดีว่า สองเดือนก่อนหลัวซิวยังอยู่ระดับการกลั่นร่างขั้น8อยู่เลย ภายในเวลาอันสั้น จะฝึกถึงการกลั่นร่างขั้น9ได้อย่างไรกัน?

ยิ่งกว่านั้นก็คือ 5เดือนก่อน หลัวซิวยังเป็นการกลั่นร่างขั้น2อยู่เลย!

5เดือน!ก็ก้าวกระโดดมา7ระดับงั้นหรือ?

นี่มันทำลายสถิติบันทึกการฝึกตน800กว่าปีมานี้ของสำนักหวูแห่งเมืองชิงหยุน!

ผู้ชมทุกคน รวมทั้งผู้อาวุโสทั้งสี่ที่รวมจวงหนานเทียนอยู่ด้วย ก็ลึกขึ้นทันที สองตาจ้องมองชายหนุ่มชุดดำอย่างอึ้งๆ

หลัวซิวเป็นตัวประหลาดหรือไง ทำไมถึงได้ฝึกตนได้เร็วขนาดนี้?

ในหมู่ทุกคน มีเพียงเจ้าสำนักยุทธ์และลู่เมิ่งเหยาเท่านั้น ที่มีสีหน้านิ่งๆ สำหรับคนธรรมดาแล้ว การฝึกตนที่รวดเร็วแบบนี้ ถือว่าเป็นเรื่องอัศจรรย์มาก แต่สำหรับเมืองชิงหยุนแล้วนั้น ถ้าเทียบกับทั้งเขตการปกครองหยุนหลง หรือในสำนักเซียวเหยา การฝึกตนที่รวดเร็วแบบนี้ ถึงแม้จะมีไม่มาก แต่ก็ยังพอมี

“แคร๊ง!”

ทันใดนั้น บนเวทีประลองก็มีเสียงของมีคมดังขึ้น หลินเจี๋ยที่บุกไม่ชนะสักที ก็ได้เอาวิชาปืนออกมาใช้ ปืนสีดำเร็วดั่งลม วิชาปืนโอบจันทราหมุนเป็นวงกลม แล้วโจมตีไปทางหลัวซิว

ตอนที่ทุกคนคิดว่ากระบี่ยาวด้านหลังของหลัวซิวควรจะออกจากฝักแล้วนั้น เขากลับไม่ได้มีท่าทีอะไรเลย ใช้เพียงมือดันไปเบาๆ ทวนยาวก็เด้งออกไป วิชาท่าร่างก็ตามไปดั่งเงา บุกโจมตีไปดั่งพยัคฆ์ กำปั้นโจมตีไปที่หน้าอกของหลินเจี๋ย

“ตุบ!”

พลังระเบิดออกมา ตัวของหลินเจี๋ยกระเด็นลอยออกไป ราวกับว่าวสายขาดลอยไปตามลม แล้วร่วงลงด้านล่างเวทีประลองยุทธ์

“ห๊ะ……”

พอเห็นว่าหลัวซิวใช้เพียงแค่วิชาท่าร่างและวิชาหมัดก็สามารถเอาชนะหลินเจี๋ยที่ถนัดวิชาหอกได้ ด้านล่างเวทีก็ผงะไปตามกัน ทุกคนแทบจะอ้าปากค้างไป ไม่อยากจะเชื่อว่า ภายในครึ่งปี หลัวซิวที่ไม่มีชื่อเสียงอะไร จะแข่งแกร่งได้ถึงขนาดนี้

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 41 วิชาท่าร่างบรรลุผล หลบหลีกได้ในระยะมิลลิเมตร

 

“ตระกูลจางจะขาดผู้นำไม่ได้แม้แต่วันเดียว ก่อนที่ลูกพี่จะกลับมา ผมก็จะขอรับตำแหน่งรักษาการเจ้าสำนักแทนไปก่อนแล้วกัน!” พอนั่งลงไปบนเก้าอี้เจ้าสำนัก มุมปากของจางช่าวไห่ก็เผยรอยยิ้มเย็นๆ ออกมา เขารอวันนี้มานานแล้ว!

“ถ้านายท่านออกไปช่วยลูกพี่ ตำแหน่งเจ้าสำนักนี้ก็คงไม่ใช่ของผม ขอเพียงเขาตาย ตำแหน่งเจ้าสำนักนี้ถึงจะเป็นของผมอย่างแท้จริง!”

เขาเรียกลูกน้องคนสนิทของตนเองมา แล้วสั่งการไปว่า “เอ็งพาพวกไปที่หมู่บ้านผานฉือ ไปจับตัวคนบ้านหลัวซิวมา”

……

ในที่สุด งานประลองยุทธ์ประจำปีในสำนักหวูแห่งเมืองชิงหยุนที่ทุกคนรอคอย ก็กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว

ในสนามแข่งขัน ที่นั่งบริเวณรอบๆ เวทีประลอง มีนักเรียนเกือบทั้งสำนักยุทธ์มารวมตัวกันที่นี่ ห่างจากเวทีประลองไม่ไกลนัก สร้างเป็นห้องใต้หลังคาชมการแข่งขัน ด้านบนมีที่นั่ง เป็นที่นั่งของผู้นำระดับสูงของสำนักยุทธ์ เพื่อนั่งชมงานประลองยุทธ์

พอเวลาผ่านไป คนก็เริ่มเข้ามามากขึ้น ในตำแหน่งที่นั่งบนห้องใต้หลังคา นอกจากผู้อาวุโสที่คอยดูแลหอเก็บหนังสือคนนั้นแล้ว ก็มีผู้อาวุโสทั้ง4 รวมทั้งผู้อาวุโสจวงนั่งอยู่กันหมด

“เจ้าสำนักมาแล้ว!”

พอมีคนส่งเสียงเฮ ทุกคนก็หันหน้าไปมอง เห็นเป็นคนใส่ชุดสีม่วง เดินบนอากาศ กระโดดขึ้นไปบนห้องใต้หลังคา แล้วนั่งลงที่เก้าอี้ตำแหน่งกลาง

“เหาะเหินเดินอาการ นี่มันเป็นกระบวนท่าในตำนาน!”

“ได้ยนิมาว่าพลังฝีมือของเจ้าสำนักยุทธ์เก่งกว่ากว่ารุ่นก่อนมาก สมกับเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของเมืองชิงหยุน”

หลัวซิวก็อยู่ในกลุ่มผู้ชมด้านล่าง พลังฝีมือที่เจ้าสำนักยุทธ์เผยออกมา ก็ทำให้เขาตกไม่น้อยเหมือนกัน

เหาะเหินเดินอากาศ ตัวเราเองจะมีพลังแบบนั้นตอนไหนกันนะ?

“เงียบหน่อย!”

ทันใดนั้น ผู้อาวุโสจวงหนานเทียนที่อยู่บนห้องใต้หลังคาก็ลุกขึ้น แล้วพูดอย่างเสียงดังว่า “ได้เวลาแล้ว!”

“ตามกฏกติกาของงานประลองยุทธ์ จะจับสลากขึ้นมาเพื่อต่อสู้ตัวต่อตัวแล้วคัดเลือกผู้ชนะ คนที่จับสลากได้หมายเลขเดียว ให้ขึ้นมาบนเวทีประลอง ระหว่างการประลอง ไม่จำกัดอะไรทั้งสิ้น จนกว่าฝั่งใดฝั่งหนึ่งจะยอมแพ้ หรือตกจากเวทีประลอง”

“ระหว่างการประลอง อาวุธนั้นไร้ตา แต่จะฆ่ากันไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะถูกตัดสินการแข่งขัน แล้วไล่ออกจากสำนักยุทธ์ พร้อมกับจับขังคุก10ปี!”

พอผู้อาวุโสจวงกล่าวกฎกติกาการแข่งขัน ก็มีกล่องไม้ขึ้นมาวางไว้บนเวทีประลอง เพื่อให้นักเรียนที่เข้าการแข่งขันทุกคน ขึ้นมาจับสลาก

หลัวซิวเอามือล้วงเข้าไปในกล่องไม้ แล้วได้กระดาษกลมขึ้นมาหนึ่งลูก พอคลี่ออก ด้านในนั้นเขียนไว้ว่าเลข98

เวทีประลองยุทธ์มีทั้งหมด10 เวที คนที่จับได้หมายเลข1-10 ก็จะขึ้นไปบนเวทีก่อน

คนที่ชนะก็จะได้เข้าไปในรอบที่สอง

คนที่ลงสมัครแข่งขัน มีทั้งหมด300กว่าคน หมายความว่า ในรอบแรก จะต้องคัดทิ้งผู้แข่งขันไป100กว่าคน!

และในระหว่างนั้น ทุกคนก็ไม่รู้ว่าคู่ต่อสู้ของตนเองคือใคร

“เริ่มประลองยุทธ์ได้!”

พอผู้อาวุโสประกาศ ก็มีเงาคนกระโดดขึ้นมาตามกัน แล้วหยุดลงบนเวทีประลองยุทธ์

การประลองยุทธ์ของสำนักยุทธ์นั้น ใช้วิธีจับสลากเลือกคู่ต่อสู้ ก็ต้องอาศัยดวงกันบ้าง

บางคู่ฝีมือไม่ต่างกันมาก สู้กันไปมาบนเวทีประลอง หอกดาบแทงกันไปมา เสียงเฮลั่นสนาม

บางคู่ฝีมือต่างกันมาก กระบวนท่าเดียวก็ตัดสินแพ้ชนะแล้ว มีหนุ่มคนหนึ่งชื่อฮู๋กัง ดาบในมือยังไม่ทันได้ออกจากฝัก แค่ฝ่ามือเดียวก็ซัดคู่ต่อสู้ร่วงเวทีไป

คนที่กล้ามาสมัครการประลองยุทธ์ อย่างน้อยก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่ฝึกการกลั่นร่างขั้น7กันทั้งนั้น พรสวรรค์เป็นเลิศ ฝึกวิชายุทธ์ระดับ3 พลังฝีมือก็จะเก่งกาจกว่านักเรียนในสำนักยุทธ์มากนัก

ด้านล่างเวทีส่งเสียงดัง นักเรียนในสำนักยุทธ์ไม่น้อยตะโกนกันยกใหญ่ เพื่อส่งกำลังใจให้กับคนที่ตนเองชื่นชอบ

รอบคัดเลือกในรอบแรกผ่านไปเร็วมาก ไม่นาน ก็ถึงคิวของหลัวซิวที่ต้องขึ้นเวทีแล้ว

“เวทีประลองยุทธ์หมายเลข3 ผู้เข้าแข่งขันหมายเลข98!”

ตุบ!

ชายหนุ่มคนหนึ่งสองเท้าดันพื้น ตัวลอยหมุนไปบนอากาศ แล้วลอยตัวลงบนเวทีประลองยุทธ์

ด้านล่างเวทีก็ส่งเสียงเฮ คนที่ตาดีก็จะมองออก ว่าคนนี้น่าจะฝึกวิชาท่าร่างระดับ3 วิชาตัวเบาไม่เลวเลย

เมื่อเทียบกับที่คู่ต่อสู้โชว์วิชาตัวเบา หลัวซิวกลับนิ่งธรรมดาไปมาก แค่กระโดดเบาๆ แล้วขึ้นไปเหยียบบนเวทีประลอง

“นายก็คือหลัวซิว คนที่เพื่องได้เลื่นชั้นมาอยู่ชั้นกลาง แล้วจัดการกับจางห่าย ใช่ไหม?” คู่ต่อสู้ค่อนข้างผอม พอเห็นว่าคู่ต่อสู้ของตนเองเป็นหลัวซิว สายตาก็เผยความกลัวๆ ออกมา

หลัวซิวพยักหน้าไปนิ่งๆ แล้วก็ไม่ได้พูดอะไร

แต่ความนิ่งของหลัวซิวแบบนี้ สำหรับเขาแล้ว มันเป็นเหมือนการดูถูก ทำให้คนตรงหน้าส่งเสียงไม่พอใจ แล้วก็ยิ้มเย็นขึ้นในใจ

“ไอ้หลัวซิวคนนี้ คิดว่าตัวเองเอาชนะจางห่ายได้ แล้วจะไม่เห็นกูอยู่ในสายตางั้นหรือ ก็เป็นการกลั่นร่างขั้น7เหมือนกัน กูก็ไม่แน่ว่าจะแพ้ให้มึงหรอก!”

เขามั่นใจในวิชาท่าร่างของตนเอง พอขยับตัว ก็พุ่งไปยังตัวของหลัวซิว ในขณะเดียวกันก็สะบัดมือออกมา คมอาวุธก็พุ่งไปยังตัวของหลัวซิว

คมอาวุธนั้น ก็คือมีดบินขนาดนิ้วกว่าๆ เห็นได้ชัดว่าหนุ่มคนนี้จะเป็นวิชาอาวุธลับที่นอกคอก

หลัวซิวก็ไม่ได้กลัวอะไร แล้วออกแรงที่เท้าเลื่อนตัวไปด้านข้าง มีดบินก็พุ่งผ่านหน้าอกของเขาไป ห่างกันเพียงแค่มิลลิเมตร!

กระบวนท่านี้ คนอื่นเห็นแล้วก็ไม่มีอะไร แต่พออยู่ในสายตาของเจ้าสำนักยุทธ์และผู้อาวุโสทั้งหลายบนห้องใต้หลังคาแล้วล่ะก็ มันกลับไม่เหมือนกัน

“วิชาท่าร่างบรรลุผล หลบหลีกได้ในระยะมิลลิเมตรเลยหรือ?” จวงหนานเทียนเผยสีหน้าแปลกใจ

ที่ว่าหลบหลีกได้ในระยะมิลลิเมตร มันคือเคล็ดลับวิชาตัวเบาอย่างหนึ่ง หมายถึงการหลบหลีกการโจมตีที่ได้ผลที่สุด แต่ว่าเคล็ดลับนี้มันฝึกฝนสูงมาก ถ้าพลาดแม้แต่น้อย ก็จะถูกคู่ต่อสู้โจมตีถูกตัวได้

บนเวทีประลองยุทธ์ ตอนที่หลัวซิวหลบหลีกการโจมตีของมีดบินนั้น เท้าก็แตะออกไปด้วย แล้วเคลื่อนตัวราวกับสายลม แล้วก็ไปโผล่ตรงหน้าของชายหนุ่มคนนั้น

“ตุบ!”

พอเสียงดังขึ้น ก็มีร่างคนตกลงไปด้านล่างเวทีประลองยุทธ์

“หลัวซิวชนะ!”

อาจารย์ผู้ตัดสินประจำเวทีประลองยุทธ์หมายเลข3ก็ประกาศขึ้น

“บัดซบ ไอ้หลัวซิวคนนี้มันโชคดีจริง มีดบินของกู อีกนิดเดียวก็จะพุ่งโดนตัวมันแล้ว!”

ชายหนุ่มที่หลัวซิวใช้ฝ่ามือเดียวซัดตกเวทีประลองไป ก็มีสีหน้ากลุ้ม สายตามีแต่ความไม่ยอมแพ้

“จางห่ายที่มีการกลั่นร่างขั้น8ยังถูกจัดการไปแล้ว เอ็งแพ้ให้เขาก็ไม่ถือว่าขายหน้าหรอก” เพื่อนข้างๆ ก็พูดปลอบใจ

หลัวซิวเดินลงมาจากเวทีประลองยุทธ์ คู่ต่อสู้ที่มีการกลั่นร่างขั้น7มันอ่อนแอเกินไป ไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะให้เขาชักกระบี่ออกมาเลย

การประลองกว่าร้อยคู่ดูเหมือนจะเยอะ แต่มันจบเร็วมาก นักเรียนที่ลงแข่งขันล้วนเป็นผู้ฝึกยุทธ์กลั่นร่าง อย่างมากก็ประลองกัน10กว่ากระบวนท่าก็ตัดสินได้แล้ว

รอบที่สองเริ่มแล้ว คนที่เข้ารอบก็จับสลากอีกครั้ง หลัวซิวจับได้หมายเลข 13 ไม่นานก็ได้ขึ้นเวที

คู่ต่อสู้คนที่สองของหลัวซิวนั้น ก็ยังคงเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่มีการกลั่นร่างขั้น7

พอเริ่มแข่งขัน หลัวซิวก็ขี้เกียจเสียเวลา ก็เลยเคลื่อนตัวไปด้านหน้า ไม่รอให้ฝ่ายตรงข้ามออกหมัด แล้วก็ใช้ฝ่ามือซัดตกเวทีไป

เหมือนกับการแข่งรอบแรก หลัวซิวยังไม่ได้ใช้พลังฝีมืออะไรของตนเองเลย แค่ใช้วิชาท่าร่างที่เก่งกาจของตนเอง แล้วก็เอาชนะมาได้

“ไอ้หมอนี่มันคิดว่าเก่งหรือไง คิดว่าวิชาท่าร่างของตนเองมีดี แล้วจะคิดว่าไม่มีคู่ต่อสู้แล้วหรือไง?”

“ผมว่าไอ้หมอนี่คงจะฝึกวิชาท่าร่างมาดี ทักษะยุทธ์และกำลังภายในคงไม่เท่าไร ถ้าเจอคนที่อ่อนแอกว่าก็พอไหว แต่ถ้าเจอยอดฝีมือเข้าล่ะก็ ต่อให้วิชาท่าร่างมันดีแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์”

นักเรียนของสำนักยุทธ์ที่ลงแข่งขันก็มองดูท่าทางของหลัวซิวที่เผยออกมา แล้วก็จัดว่าเขาอยู่ในพวกที่มีวิชาท่าร่างไม่เลว แต่จริงๆ แล้วก็ฝีมือธรรมดาๆ

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 40 งานประลองยุทธ์

 

“งานประลองยุทธ์ในทุกปีจะมีการจัดอันดับ ได้ยินว่ามีแค่คนที่ได้สามอันดับแรกเท่านั้น ถึงจะได้รางวัลมากมาย” ชายหนุ่มในชุดนักรบพูดขึ้น

“เวลานี้เฮียจ้าวเหลี้ยงบรรลุการกลั่นร่างขั้น7แล้ว ไม่รู้ว่าจะเข้าร่วมงานประลองยุทธ์หรือไม่?” มีคนยิ้มแล้วเอ่ยถาม

“แน่นอนว่าต้องเข้าร่วม ถึงแม้จะบอกว่าความหวังที่จะได้สามอันดับแรกมีไม่มาก แต่สิ่งสำคัญคือต้องแสดงพรสวรรค์และความแข็งแกร่งของตนออกมาบนเวทีประลองยุทธ์ ซึ่งสามารถได้รับการสนใจจากคนระดับสูงของสำนักยุทธ์ !” ชายหนุ่มพูดด้วยความทระนง

หลัวซิวมองไปตามเสียง เห็นชายหนุ่มในชุดนักรบ ซึ่งคือนักเรียนชั้นกลางที่ในตอนนั้นเดิมพันกับเขาที่เขตศิลดาดำ จ้าวเหลี้ยง

ตอนเดิมพัน ผลการฝึกตนของจ้าวเหลี้ยงคือการกลั่นร่างขั้น6ผลการฝึกตน เวลานี้บรรลุการกลั่นร่างขั้น7

“ยอดฝีมือชั้นกลางและชั้นสูงมีไม่น้อย ได้ยินว่าขอเพียงอยู่สิบอันดับแรก ก็จะได้รับหินพลังจิตและยาเป็นของรางวัล!”

“ได้ห้าอันดับแรก ก็จะได้เป็นลูกศิษย์ของผู้อาวุโสในสำนักยุทธ์!”

“ฮ่าๆ ถ้าหากได้สามอันดับแรก ได้ยินว่าจะได้รับคำชี้แนะจากเจ้าสำนักยุทธ์ มีสิทธิ์เลือกวิชายุทธ์ระดับ4หนึ่งวิชา!”

คนจำนวนไม่น้อยต่างพูดคุยกัน ถึงรางวัลต่างๆ ในเมืองชิงหยุนให้ความสำคัญกับตำแหน่งและอำนาจ ถ้าหากได้เป็นลูกศิษย์ของผู้อาวุโส ถือเป็นสัญลักษณ์ทางตำแหน่งอย่างหนึ่ง

เจ้าสำนักยุทธ์ สำหรับนักเรียนมากมายในสำนักยุทธ์แล้ว ถือเป็นตำนาน คือยอดฝีมืออันดับหนึ่งของเมืองชิงหยุน ว่ากันว่าเหนือกว่าจอมยุทธ์พรสวรรค์!

โดยเฉพาะของรางวัลวิชายุทธ์ระดับ4 ยิ่งทำให้คนตื่นเต้น

ทว่าทุกคนต่างรู้ดี อยากจะขึ้นเป็นสามอันดับแรกในงานประลองยุทธ์คือเรื่องที่ยากมาก เพราะว่างานประลองยุทธ์จัดขึ้นปีละหนึ่งครั้ง คนที่ในเคยเข้าร่วมงานประลองยุทธ์เมื่อปีก่อนๆซึ่งได้อันดับที่ดี อาศัยของรางวัลที่ได้ ทำให้ความแข็งแกร่งของผลการฝึกตนพุ่งทะยาน เหนือชั้นกว่าคนอื่นมาก

แต่ว่าถ้าหากผลการฝึกตนบรรลุถึงแดนฝึกชี่ไห่ หรือว่าอายุเกิดสิบแปดปีแล้ว ก็จะไม่สามารถเข้าร่วมงานประลองยุทธ์ได้ ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีอะไรให้น่าประลองแล้ว

คนในเมืองชิงหยุนมีนับแสนคน นักเรียนในสำนักยุทธ์มีจำนวนมากมาย แค่ผลการฝึกตนบรรลุการกลั่นร่างขั้น7ขึ้นไป ก็มีนับร้อยคนแล้ว

ข้างๆที่รับสมัคร มีศิลาตั้งตรงหนึ่งก้อน ด้านบนตั้งแต่ด้านล่างถึงด้านบน มีชื่อของนักเรียนในสำนักยุทธ์

ศิลาก้อนนี้ คือศิลาบอกอันดับสำนักยุทธ์แห่งเมืองชิงหยุน

ด้านบนศิลาบอกอันดับมีชื่อแค่ห้าสิบคน ต่ำสุดคือการกลั่นร่างขั้น8 คนมากมายรวมตัวกันที่ข้างๆศิลาบอกอันดับ

หลัวซิวเองก็มองไป เห็นชื่อบนศิลาบอกอันดับชื่อของอันดับแรกคือ คนชื่อแซ่สวี่วี่!

ได้ยินคนที่อยู่รอบๆพูดคุยกัน แซ่สวี่ปีนี้อายุสิบแปดปี เป็นลูกศิษย์ของผู้อาวุโสที่เฝ้าหอไตร ผลการฝึกตนบรรลุการกลั่นร่างขั้น9ขั้นสูง กำลังภายใน ทักษะยุทธ์ วิชาท่าร่างล้วนเป็นวิชายุทธ์ระดับ3ของการฝึกตน

จากนั้นตั้งแต่อันดับสอง ถึงอันดับสิบ ล้วนอายุสิบแปด ผลการฝึกตนก็เป็นการกลั่นร่างขั้น9กันหมดทุกคน

ในสำนักยุทธ์ อายุสิบแปดคือเกณฑ์พื้นฐาน อายุมากเกินสิบแปดก็จะไม่ใช่นักเรียนในสำนักยุทธ์แล้ว สำนักยุทธ์ก็จะไม่อบรมเลี้ยงดูอีกแล้ว คนที่มีพรสวรรค์จำนวนน้อย ที่ผลการฝึกตนบรรลุแดนฝึกชี่ไห่ สามารถกลายเป็นลูกศิษย์นอกสำนักของสำนักเซียวเหยา ซึ่งคือลูกศิษย์นอกสำคัญเกณฑ์ที่ต่ำที่สุด

ส่วนหลัวซิว แทบไม่มีใครรู้เลยว่าผลการฝึกตนของเขาบรรลุการกลั่นร่างขั้น9ขั้นสูงแล้ว ดังนั้นบนศิลาบอกอันดับจึงไม่มีชื่อของเขา

“ยังมีเวลาอีกหนึ่งเดือน”

เวลาผ่านไปเหมือนกระแสน้ำ ในป่าที่อุดมสมบูรณื ร่างกายของหลัวซิวเคลื่อนไปมา เขาใช้วิชากระบี่ฟ้าแลบครบกระบวนท่าหนึ่งชุด ซึ่งก็คือเปลวไฟบริสุทธิ์ เคลื่อนไหวดุจน้ำ แสงกระบี่ทำลายอากาศ แทบจะไม่สามารถมองเห็นร่องรอยของกระบี่ด้วยตาเปล่า

“พึ่บ!”

ด้วยการสนับสนุนของปราณใน ต้นไม้ใหญ่ถูกเขาฟันจนล้ม ทำให้เกิดฝุ่นตลบ

ระยะเวลาที่ผ่านมานี้ เขาไปดูดรับพลังแห่งไฟจากลู่เมิ่งเหยาหลายครั้ง ปราณในภายในร่างกายบริสุทธิ์และหนาแน่นจนถึงขั้นสุด สามารถบรรลุแดนฝึกชี่ไห่ได้ตลอดเวลา

แต่ว่าหลัวซิวระงับผลการฝึกตนไม่ให้บรรลุ เพราะถ้าบรรลุ เขาก็จะไม่สามารถเข้าร่วมงานประลองยุทธ์ได้อีก

เทียบกับสามอันดับแรกมีโอกาสได้เลือกวิชายุทธ์ระดับ4ในหอเก็บหนังสือแล้ว หลัวซิวไม่อยากพลาด

ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมานี้ หลัวซิวไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว โดยเฉพาะบุคลิกของเขาดูแตกต่างอย่างชัดเจน คิ้วหนาและคมเฉียบ เปี่ยมไปด้วยพละกำลัง เขาเหมือนกระบี่แหลมคมที่กำลังจะออกมาจากฝัก

“ฉึบ!”

เก็บกระบี่เข้าไปในฝัก หลัวซิวเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก พ่นลมหายใจออกมา พูดในใจ: “นอกจากพวกเฉินหู่เมื่อคราวก่อนแล้ว ระยะที่ผ่านมานี้ไม่ได้ถูกลอบฆ่าอีก”

เขาฝึกฝนในเขาปาฉี ตั้งใจหลีกเลี่ยงนักยุทธ์ที่มาล่าอสูรบนเขา การมีความสามารถพิเศษที่สามารถรับรู้พลังชีวิตได้ ทำได้แบบนี้ไม่ใช่เรื่องยากแม้แต่น้อย

……

เมืองชิงหยุน ตระกูลจางตำหนัก

“ปั้ง!”

เสียงดังก้อง ประตูตำหนักที่ปิดสนิทหักเป็นสี่ห้าส่วน คนมากมายพุ่งตัวเข้าไป เสียงโลหะกระทบกันดังไม่หยุด ทุกคนคว้ากระบี่ออกมา บุกเข้าไปในตำหนัก

ในเมืองชิงหยุนตระกูลจางถือเป็นตระกูลใหญ่ แน่นอนว่าต้องมีองครักษ์มากมาย เวลานี้แต่ละคนเหมือนเจอศัตรูตัวฉกาจ

มีคนบุกเข้าไปในตระกูลจางยี่สิบคน ทุกคนล้วนใส่เสื้อเกราะเขียว ร่างกายของเขาพวกเขาเผยความเหี้ยมโหดที่มองไม่เห็น แต่ไปด้วยแรงกดดัน

“องครักษ์เกราะเขียว?” องครักษ์ตระกูลจางเกือบร้อยคน หน้าเปลี่ยนสีทันที

องครักษืตระกูลจางเหล่านี้ คนที่แข็งแกร่งที่สุดก็บรรลุถึงแค่การกลั่นร่างขั้น9 ถึงแม้จำนวนคนจะมีมากกว่าห้าเท่า แต่ว่าคนจำนวนไม่น้อยเริ่มตัวสั่น

เพราะองค์รักษ์เกราะเขียว คือองครักษ์ของสำนักยุทธ์ ทุกคนล้วนเป็นนักยุทธ์ที่บรรลุแดนฝึกชี่ไห่!

สมาชิกองครักษ์เกราะเขียว โดยมากล้วนเป็นนักเรียนที่เรียนจบจากสำนักยุทธ์ คนพวกนี้ไม่ได้เป็นศิษย์ต่างสำนักของสำนักเซียวเหยา จึงได้เข้าร่วมองครักษ์เกราะเขียว

“จางช่าวฉงหัวหน้าตระกูลจางเป็นผู้ต้องสงสัยลอบฆ่านักเรียนในสำนักยุทธ์ พวกเราองครักษ์เกราะเขียวมาตามคำสั่ง คนที่ไม่อยากตายไสหัวไปซะ!”

ชายร่างยักษ์ซึ่งเป็นหัวหน้าองครักษ์เกราะเขียวที่มีดวงตากลมโต พูดเสียงเหี้ยม เสียงของเขาเหมือนเสียงฟ้าร้อง ยังไม่ทันได้ลงมือ ก็ทำให้องครักษ์ตระกูลจาง ตกใจจนถอยหลัง

พวกองครักษ์หลีกทาง จางช่าวฉงเดินออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “หัวหน้าหาน คุณพาคนบุกตำหนักตระกูลจาง หมายความว่าอะไร?”

หัวหน้าองครักษ์เกราะเขียวแซ่หานคนนั้นสีหน้าไร้อารมณ์ พูดเสียงเหี้ยม : “ผมมาตามคำสั่งของผู้อาวุโสจวง คุณเป็นผู้ต้องสงสัยเรื่องลอบฆ่านักเรียนในสำนักยุทธ์ ไปอธิบายให้ผู้อาวุโสฟังเถอะ”

ขณะพูด หัวหน้าหานผายมือ “จับตัวจางช่าวฉง ผู้อาวุโสมีคำสั่ง ถ้าขัดขืน ฆ่าได้ไม่ต้องเว้น!”

สีหน้าของจางช่าวฉงแปรเปลี่ยน เขารู้ดีว่าถ้าความผิดฐานลอบฆ่านักเรียนในสำนักยุทธ์ถูกตัดสิน ตนต้องตายแน่นอน เดือดร้อนไปทั่วทั้งตระกูลจาง อีกทั้งยังมีความเป็นไปได้ว่าจะถูกลมชื่อออกจากเมืองชิงหยุน!

แต่ว่าเขาก็ตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว การที่ตระกูลจางสามารถยืนหยัดอยู่ในเมืองชิงหยุนได้ แน่นอนว่าไม่มีทางที่จะไม่มีผู้อยู่เบื้องหลัง เขาเชื่อว่าขอเพียงนายท่านออกมาจากภูเขา ต้องปกป้องตระกูลจางให้แคล้วคลาดได้แน่นอน

ครุ่นคิดถึงตรงนี้ จางช่าวฉงไม่ได้ขัดขืนอีก ปล่อยให้องครักษ์เกราะเขียวเอาตัวเขาไป ไม่อย่างนั้นพวกองครักษ์เกราะเขียวที่ฟังคำสั่งคนระดับสูงของสำนักยุทธ์ ต้องฆ่าพวกเขาอย่างไม่ละเว้นแน่

หลังจากหัวหน้าตระกูลถูกองครักษ์เกราะเขียวนำตัวไป ตระกูลจางวุ่นวายปั่นป่วน จางช่าวไห่น้องชายของจางช่าวฉงขจัดความเห็นต่าง ขึ้นนั่งบนตำแหน่งหัวหน้าตระกูล

 

########################

บทที่ 4

จางเจี๋ยร้องโอดครวญแล้วถอยร่นไป นิ้วทั้งห้าของมือข้างขวาหัก ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตกใจ
ทุกคนต่างตกตะลึง และไม่สามารถเข้าใจได้เลยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
มีเพียงตัวของหลัวซิวผู้เดียวเท่านั้นที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ตามหลักทฤษฎีแล้ว ผลการฝึกตนของเขาอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าจางเจี๋ย อีกทั้งปราณในก็ไม่อาจเทียบชั้นกับอีกฝ่ายได้ ทักษะยุทธืเองก็อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าจางเจี๋ย แต่หลังจากที่วรยุทธ์ระดับ1ของเขาถูกยกระดับ ก็เท่ากับเป็นการยกระดับวรยุทธ์ที่ฝ่านการฝึกตนมาทั้งหมดแล้วด้วยเช่นกัน จนไต่ขึ้นไปถึงระดับ2 หรืออาจถึงขั้นที่ว่าแข็งแกร่งกว่าระดับ2ก็เป็นได้
ดังนั้นหากต้องประจันหน้ากัน ปราณในของเขาก็ไม่ถือว่าด้อยกว่าจางเจี๋ยเท่าไหร่นัก
อีกทั้งหลังจากที่ร่างกายของเขาหลอมรวมเข้ากับลูกแก้วอัญมณีแห่งความเป็นความตายเรียบร้อยแล้ว หลัวซิวก็มีความสามารถอีกอย่างหนึ่งปรากฏขึ้นมา นั่นก็คือการโจมตีของเขาสามารถทำลายลายเส้นชีวิตของอีกฝ่ายได้ !
ปราณเป็นตาย2ระดับ ปราณแห่งความเป็นสามารถช่วยซ่อมแซมฟื้นฟูลายเส้นชีวิตได้ ส่วนปราณแห่งความตายกลับสามารถทำลายลายเส้นชีวิตได้เช่นกัน
ปราณในของหลัวซิว สามารถสลับสับเปลี่ยนไปมาระหว่างความเป็นและความตายได้
นี่ถือเป็นปรากฏการณ์ที่น่าเหลือเชื่อ ดังนั้นท่าตะครุบอินทรีเหล็กของจางเจี๋ยซึ่งดูเหมือนจะยอดเยี่ยม เมื่อปะทะเข้ากับหมัดของหลัวซิว ทำให้นิ้วมือทั้งห้าของเขาหักลง
การบาดเจ็บส่งผลให้ลายเส้นชีวิตได้รับความเสียหาย ในทางกลับกัน หากลายเส้นชีวิตได้รับความเสียหายโดยตรง ก็จะแสดงอาการบาดเจ็บภายในร่างกายบางอย่างออกมา
“ตุบ !”
หลัวซิวกระทืบพื้นจนฝุ่นตลบ หลังจากที่สำแดงหมัดกระทิงบิ่นออกมา เขาก็ดูเหมือนกระทิงต่อสู้ที่กำลังโกรธเกรี้ยว พุ่งตรงไปข้างหน้าอย่างดุดันและก้าวร้าว
หลังจากที่นิ้วมือด้านขวาหัก ทำให้ท่าทีบ้าอำนาจของจางเจี๋ยที่ติดจนเป็นนิสัยสลายไปโดยสิ้น เขากลับเดินถอยร่นไปอย่างต่อเนื่องด้วยความตื่นตกใจ
“ไสหัวไป !”
หลัวซิวยกเท้าขึ้นแล้วเตะไปที่หน้าอกของจางเจี๋ย ร่างกายของอีกฝ่ายลอยกระเด็นออกไปราวกับว่าวที่ขาดออกจากสายป่าน
“กรอบ !”
เสียงของกระดูกหักดังขึ้นอีกครั้งซี่โครงของจางเจี๋ยหักไปสองซี่ เขาล้มลงบนพื้นโดยคาดไม่ถึงเลยว่าเรื่องทั้งหมดจะกลายเป็นเช่นนี้ไปได้
เมื่อวานเขาเพิ่มจะพาคนกลุ่มหนึ่งมาดูถูกเหยียดหยามหลัวซิวอยู่เสียด้วยซ้ำ แต่ทว่าวันนี้เรื่องราวทั้งหมดกลับตาลปัตร
“โอ๊ย !” “โอ๊ย !” “โอ๊ย !”
เสียงร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นอย่างต่อเนื่องภายในลานฝึกยุทธ์ เหล่าบรรดาลูกศิษย์ของสำนักยุทธ์ที่ยืนอยู่โดยรอบต่างตกตะลึง แล้วไม่มีใครกล้าส่งเสียง ทำให้บรรยากาศเงียบสงัด
“บ้าเอ๊ย นี่ข้าไม่ได้ตาฝาดไปใช่ไหมเนี่ย ?”
“คนผู้นี้คือหลัวซิวจริง ๆ หรือ ? เขาสามารถเอาชนะหลี่ห่ายกับจางเจี๋ยได้อย่างนั้นหรือ ?”
ทันใดนั้น บรรดาลูกศิษย์ของสำนักยุทธ์ที่อยู่ในลานฝึกยุทธ์ต่างก็ตกอยู่ในบรรยากาศโกลาหล ทุกคนต่างตกตะลึงจนอ้าปากค้างและหน้าถอดสี
แขนข้างหนึ่งของหลิวห่ายถูกบิดเป็นเกลียว กระดูกของเขาผิดรูป เส้นลมปราณถูกทำลาย
จางเจี๋ยยิ่งได้รับบาดเจ็บสาหัส นิ้วมือด้านขวาทั้งห้านิ้วของเขาหัก กระดูกว่โครงเองก็หักไปถึงสองซี่
ตั้งแต่เล็กจนโตพวกเขาเป็นฝ่ายทำร้ายคนอื่นมาโดยตลอด แต่ทว่าวันนี้ต่อหน้าบรรดาลูกศิษย์ของสำนักยุทธ์ที่อยู่ในลานฝึกยุทธ์ทุกคน พวกเขากลับถูกทำร้ายจนล้มลงไปกองกับพื้น
และสิ่งที่ทำให้พวกเขายิ่งรับไม่ได้ก็คือ คนที่ทำร้ายพวกเขาจนอับอายขายหน้าต่อหน้าบรรดาลูกศิษย์ของสำนักยุทธ์ และทำให้พวกเขาต้องรู้สึกละอายใจ คือเจ้าสวะที่ถูกพวกเขารุมทำร้ายไปเมื่อวานนี้ !
“เจ้าสวะ เจ้ากล้าทำร้ายข้า เจ้าไม่รอดแน่ !” ความเจ็บปวดบนร่างกาย ทำให้ใบหน้าของจางเจี๋ยเต็มไปด้วยความเคียดแค้น แววตาของเขาเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง
“ยังกล้าต่อปากต่อคำอีกหรือ ? ดูเหมือนข้าจะยังลงมือหนักไม่พอสินะ !” หลัวซิวแสดงท่าทีเย้ยหยัน แล้วก้าวขึ้นไปเตะอีกหนึ่งครั้ง
“เศษสวะอย่างเจ้ากล้าริอาจมาลองดูกับข้าหรือ ? ข้าจะให้เจ้าชดใช้อย่างสาสม !” จางเจี๋ยพูดขึ้นด้วยความโกรธ
“ยังจะกล้าขู่ข้าอีกหรือ ?” ดวงตาของหลัวซิวเป็นประกาย เขาใช้เท้าเหยียบลงไปบนมือซ้ายของจางเจี๋ยจนเกิดเสียงดังกรอบขึ้นอีกครั้ง กระดูกข้อมือของเขาหักเรียบร้อยแล้ว
ความเจ็บปวดในตอนนี้ เมื่อรวมเข้ากับความเจ็บปวดที่มีอยู่เดิม ทำให้ดวงตาของจางเจี๋ยมืดสนิทลง และเขาก็หมดสติไปในทันที
“จางเจี๋ยผู้นี้ถือว่าครอบครัวมั่งคั่งร่ำรวยจึงวางอำนาจบาตรใหญ่จนเป็นนิสัย วันนี้ถูกข้าทำร้ายเข้าเช่นนี้ คงจะต้องคิดหาทางแก้แค้นอย่างแน่นอน”
หลังจากได้ระบายความแค้นที่มีอยู่ทั้งหมดออกไป หลัวซิวก็พอจะคิดถึงผลที่จะตามมาจากการกระทำเช่นนี้ออก
แต่หลัวซิวก็ไม่มีอะไรที่จะต้องกลัว ขอเพียงแค่เขาสามารถยกระดับผลการฝึกตนของเขาให้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วได้ เขาจะต้องได้รับการชื่นชมและดูแลเอาใจใส่จากสำนักยุทธ์เป็นอย่างดีแน่นอน ถึงเวลานั้น ต่อให้เป็นตระกูลจางก็คงไม่กล้าต่อกรกับสำนักยุทธ์อย่างแน่นอน
เพราะทั่วทั้งเขตการปกครองหยุนหลง ใคร ๆ ก็รู้ดีว่า เบื้องหลังของสำนักยุทธ์ที่ยิ่งใหญ่คือสำนักเซียวเหยา
สามตำหนักหกตระกูลสิบสามสำนัก สำนักเซียวเหยาถือเป็นที่หนึ่งในสิบสามสำนัก ภายในเขตการปกครองหยุนหลงที่กว้างใหญ่นี้ ถือเป็นพลังอำนาจยิ่งใหญ่ที่ยากจะปฏิเสธได้ !
หลังจากทำร้ายจางเจี๋ยอย่างรุนแรง สายตาของบรรดาลูกศิษย์สำนักยุทธ์ที่ยืนอยู่ในลานประลอง จับจ้องไปที่หลัวซิวราวกับกำลังจองมองสัตว์ประหลาด
“เป็นไปได้อย่างไร ? จางเจี๋ยอยู่ในระดับการกลั่นร่างขั้น4 ฝึกฝนทั้งเส้นเอ็นและกระดูก แต่หลัวซิวอยู่พียงแค่ระดับการกลั่นร่างขั้น2เท่านั้น”
“ดูเหมือนหลัวซิวใช้เพียงสองกระบวนท่าก็เอาชนะจางเจี๋ยได้แล้ว……”
ทุกคนต่างตกใจจนอ้าปากค้าง ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ พวกเขาไม่อาจหาความเชื่อมโยงระหว่าง “เจ้าสวะ” หลัวซิว กับหลัวซิวผู้แข็งแกร่งที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ได้เลย จึงทำได้เพียงแค่มองดูหลัวซิวค่อย ๆ เดินจากไป
……
สำนักยุทธ์กว้างใหญ่ ลูกศิษย์แต่ละคนล้วนมีที่พักส่วนตัว หลัวซิวกลับไปถึงห้องของตนเอง ความตื่นเต้นของเขาค่อย ๆ ลดลง
“ก็แค่เอาชนะจางเจี๋ยได้เท่านั้น ข้าจะทระนงตนเพียงเพราะเรื่องนี้ไม่ได้ ดูเหมือนจางเจี๋ยจะมีพี่ชายอยู่หนึ่งคน เป็นลูกศิษย์ชั้นกลางของสำนักยุทธ์ ผลการฝึกตนของเขา อย่างน้อยก็น่าจะอยู่ในระดับการกลั่นร่างขั้น5หรือสูงกว่า”
ลูกศิษย์ในสำนักยุทธ์แบ่งออกเป็นสามระดับ อายุสิบปีถึงอายุสิบสามปีอยู่ในชั้นต้น อายุสิบสี่ปีถึงอายุสิบหกปีอยู่ในชั้นกลาง และอายุสิบเจ็ดปีถึงอายุสิบแปดปีอยู่ในชั้นสูง
ลูกศิษย์ในชั้นต้นส่วนมากจะอยู่ระดับการกลั่นร่างขั้น1ถึง4 ส่วนลูกศิษย์ในชั้นกลางอย่างน้อยจะอยู่ในระดับการกลั่นร่างขั้น5 หากไม่สามารถยกระดับขึ้นสู่การกลั่นร่างขั้น5ได้ตามเกณฑ์อายุที่กำหนดไว้ พวกเขาก็จะไม่สามารถรักษาระดับชั้นเอาไว้ได้ และจะต้องถูกไล่ออกจากสำนักยุทธ์
ส่วนลูกศิษย์ชั้นสูง ถูกกำหนดให้อยู่ในระดับการกลั่นร่างขั้น8 หากไม่สามารถไต่เต้าถึงระดับที่กำหนดไว้ได้ ก็จะต้องถูกสำนักยุทธ์ไล่ออกเช่นกัน
ตอนนี้หลัวซิวมีอายุสิบสามปี ถ้าหากอาศัยความเร็วในการฝึกตนของเขาก่อนหน้านี้ ก่อนที่อายุจะครบสิบสี่ปี เขาไม่มีทางไต่เต้าถึงระดับการกลั่นร่างขั้น5ได้เลย หากเขาถูกไล่ออกจากสำนักยุทธ์ ไม่เพียงแต่จะถูกผู้คนดูถูกเย้ยหยันเอาเท่านั้น แต่จะทำให้พ่อแม่ที่ยอมรวบรวมเงินทั้งหมดของครอบครัวที่มีอยู่ส่งเขามาฝึกยุทธ์ ต้องพลอยผิดหวังไปด้วย !
“อีกสามเดือน การทดสอบประจำปีก็จะเริ่มขึ้นแล้ว ข้าจะต้องผ่านการทดสอบการกลั่นร่างขั้น5ให้ได้ !”
ระหว่างการฝึกตน เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันรู้ตัว ในช่วงเวลานี้ หลัวซิวเอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องและฝึกตนอย่างมุ่งมั่น
หลังจากจางห่ายผู้เป็นพี่ชายของจางเจี๋ยได้รู้เรื่องนี้เข้า เขาก็ต้องการไปเอาเรื่องหลัวซิวทันที แต่สำนักยุทธ์มีกฎระเบียบ ที่พักส่วนตัวของลูกศิษย์ห้ามเข้าไปโดยพลการ มิเช่นนั้นจะถูกลงโทษอย่างหนัก
กฎระเบียบของสำนักยุทธ์ไม่มีใครกล้าขัด ถึงแม้จะเป็นลูกศิษย์ที่มีภูมิหลังทางครอบครัวที่ไม่ธรรมดา แต่สำนักยุทธ์ก็ไม่ได้ละเว้น ดังนั้น หากหลัวซิวไม่ยอมออกมาเช่นนี้ จางห่ายเองก็จนปัญญา
ในช่วงระยะเวลาที่เก็บตัวอยู่ในห้อง หลัวซิวรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของร่างกายอย่างชัดเจน หลังจากใช้พลังจิตกำหนดลมหายใจในการฝึกฝนปราณเป็นตาย2ระดับที่อยู่ภายในร่างกาย สภาพร่างกายของเขาก็แข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง การฝึกตนก็รวดเร็วขึ้นหลายเท่าตัว
ร่างกายของเขาดูเหมือนหลุมลึกที่ไร้ข้อจำกัด หลังจากเก็บตัวเป็นเวลาสองวัน เขาก็สามารถไต่เต้าขึ้นสู่ระดับการกลั่นร่างขั้น3 จากนั้นจึงอาศัยปราณเป็นตาย2ระดับในการฝึกฝนเส้นเอ็นและกระดูก ทำให้การฝึกตนกลายเป็นเรื่องง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก
ห้าวันต่อมา ความแข็งแกร่งของหลัวซิวถูกยกระดับขึ้นอีกครั้ง เขากลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ในระดับการกลั่นร่างขั้น4
ถ้าหากไม่มีลูกแก้วอัญมณีแห่งความเป็นความตาย ความเร็วในการฝึกตนของตนเองตอนนี้ ถือเป็นเรื่องที่ไม่อาจจินตนาการถึงได้ พลังของลูกแก้วเม็ดนี้ ช่างอยู่เหนือคำบรรยายจริง ๆ
แต่หลังจากไต่เต้าขึ้นถึงระดับการกลั่นร่างขึ้น4 หลัวซิวกลับพบว่า ถึงแม้จะมีการยกระดับวรยุทธ์ระดับ1แล้ว แต่ผลการฝึกตนกลับลดถอยลงมาก ไม่รวดเร็วเหมือนอย่างเช่นก่อนหน้านี้อีก
หลังจากครุ่นคิดดู หลัวซิวก็เข้าใจทันที เป็นเพราะวรยุทธ์ระดับหนึ่งมีพื้นฐานที่ต่ำเกินไป จึงเป็นเหตุให้มีข้อจำกัดในการพัฒนา
“หากจะว่ากันตามกฎระเบียบของสำนักยุทธ์ ผู้ฝึกยุทธ์ที่มีผลการฝึกตนถึงระดับการกลั่นร่างขั้น4 มีสิทธิ์เข้าไปในหอเก็บหนังสือและเลือกรับวิชายุทธ์ระดับ2ได้ !”
วันนี้ หลัวซิวก้าวออกจากห้องพักของตนเอง เขาต้องการยกระดับผลการฝึกตนของตนเองให้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และต้องการฝึกฝนวรยุทธ์ในระดับที่สูงขึ้น
“เจ้าสวะ ในที่สุดเจ้าก็ยอมออกมาจนได้ !”
หลัวซิวที่เพิ่งก้าวเท้าออกมาจากห้อง ก็พบเข้ากับชายหนุ่มสวมใส่เสื้อแพรกำลังจ้องมองเขาอย่างดุดัน

########################

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

None

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท