มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake – บทที่ 599

บทที่ 599

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 599
ปัง!

ผุ้คนจำนวนมากที่อยู่ด้านล่างต่างก็ไม่กล้าที่จะไปมองภาพนั้น ต่างก็ได้หลับตาลง

“อ้าก!…..”

เสียงร้องโอดครวญดังมาจากเวทีประลอง ซุนชิงผู้นั้นไม่ใช่นักยุทธ์กลั่นร่าง ถูกหลัวซิวชนเข้าให้ หลังจากที่ร้องโอดโอยก็ได้ล้มลงไปบนพื้น บนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเลือด เท้าข้างหนึ่งของหลัวซิวเหยียบลงไปบนหน้าอกของซุนชิง เขาฉีกปากยิ้ม “เจ้าแพ้แล้ว”

นี่ไม่ใช่การต่อสู้เอาเป็นเอาตาย ดังนั้นหลัวซิวจึงไม่จำเป็นต้องลงมืออย่างเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นละก็เท้านี้ของเขาเพียงพอที่จะทำให้หน้าอกของซุนชิงทะลุ

ผู้คนที่คอยชมอยู่นั้นต่างตะลึงงัน แม้ว่าการประลองในครั้งนี้จะทำให้คนรู้สึกหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้อยู่บ้าง แต่ถ้าหากคิดดูดี ๆ แล้ว ทำให้คนรู้สึกเสียวสันหลังยิ่งกว่า

“เป็นเจ้าหนุ่มที่น่ากลัวมากจริง ๆ !”

ในสายตาของผู้คนจำนวนมากแฝงไปด้วยความหวาดเกรง จ้องมองไปยังหลัวซิวที่อยู่บนเวทีประลอง

คนผู้นี้รับมือกับสมบัติวิเศษชั้นสูงซึ่ง ๆ หน้า โดยแลกกับแขนทั้งสองข้าง เอาชนะซุนชิงไปได้

แม้ขั้นตอนจะดูง่ายดาย แต่สำหรับการควบคุมจังหวะของการต่อสู้นั้น กลับไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะทำได้

“ปณิธานของคนผู้นี้ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน!”

ผู้คนที่อยู่ตรงนั้นต่างก็รู้ดี ถ้าหากเปลี่ยนเป็นตัวเอง ไม่แน่ว่าจะคิดวิธีเอาชนะที่สะอาดและเด็ดขาดเช่นนี้ออกมาได้

เดิมทีตามความสามารถที่ปรากฏออกมาให้เห็นนั้น ซุนชิงอาศัยสมบัติวิเศษชั้นสูง มีความได้เปรียบ ทว่าหลัวซิวกับสามารถเปลี่ยนจุดด้อยให้กลายเป็นจุดเด่นได้ นี่ถึงเป็นจุดที่น่ากลัวอย่างแท้จริง

“แต่ว่ากระดูกแขนของเจ้าหมอนี่ต่างก็ได้หักทั้งสองข้างแล้ว กลับไม่ขมวดคิ้วเลยสักนิด ปณิธานไม่ต้องพูดถึงเลยจริง ๆ”

“หึ ๆ ถ้าหากมีคนขึ้นเวทีประลองในตอนนี้ ภายใต้สถานการณ์ที่แขนหักทั้งสองข้าง จักต้องแพ้อย่างแน่นอน”

ใครบางคนได้เอ่ยประโยคนี้ขึ้นมา แต่ไม่นานก็ถูกผู้คนที่อยู่รอบ ๆ มองอย่างเหยียดหยามจนไม่อาจเงยหน้าขึ้นมาได้

“อัจฉริยะรุ่นใหม่ที่สามารถผ่านการทดสอบรอบแรกเข้ามาได้นั้น มีใครบ้างที่ไม่ใช่อัจฉริยะที่มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์? คนพวกนี้ทะนงตนอย่างหาที่เปรียบมิได้ ไม่มีทางที่จะฉวยโอกาสเล็กน้อยแบบนี้แน่”

“ถูกต้อง ยิ่งเป็นอัจฉริยะ ก็ยิ่งทะนงตน ขึ้นเวทีไปในตอนนี้ ต่อให้ชนะก็ไร้ศักดิ์ศรี”

ในขณะที่ผู้คนต่างวิพากษ์วิจารณ์อยู่นั้น ในกลุ่มที่สามก็ไม่ได้มีผู้ใดอาศัยโอกาสลงมือในขณะที่แขนทั้งสองข้างของหลัวซิวได้รับบาดเจ็บจริง ๆ

หลัวซิวกระโดดลอยตัวขึ้น กลับไปยังแท่นบัวเพลิงอัคคีของตนเอง ทันใดนั้นพลังฟ้าดินจิตที่เข้มข้นก็ได้จับตัวกันเข้ามาในทันที และเริ่มรักษาอาการบาดเจ็บของแขนทั้งสองข้าง

จากนั้นไม่นาน แขนข้างหนึ่งของเขาก็สามารถเคลื่อนไหวอย่างเรียบง่ายได้แล้ว เขาพลิกมือเอายารักษาตัวออกมาจากแหวนเก็บของเม็ดหนึ่งและโยนเข้าปาก

ยาวาตะทองน้ำค้างหยกระดับเจ็ด มันมีค่าอย่างมากสำหรับมกุฎยุทธ์โดยทั่วไป แต่สำหรับอัจฉริยะจากแดนศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ตรงนี้แล้ว กลับไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

สำหรับหลัวซิวแล้วอาการบาดเจ็บของแขนนั้นไม่นับอะไร อาศัยพลังของสองระดับความเป็นตายเปลี่ยนเป็นพลังชีวิตเพื่อฟื้นฟูลายเส้นชีวิตที่ได้รับบาดเจ็บ ขอเพียงเขายินดี เขาสามารถฟื้นฟูทั้งหมดได้ภายในเวลาไม่ถึงสิบห้านาที

แต่เพื่อไม่ให้เป็นการดึงดูดสายตาผู้คนมากเกินไป หลัวซิวจึงจงใจที่จะฟื้นฟูอาการบาดเจ็บให้ช้าลง

ต่อให้เป็นเช่นนี้ ความรวดเร็วในการฟื้นฟูของเขา ก็ยังเร็วกว่านักยุทธ์โดยทั่วไปอีกหลายเท่า

ในการฝึกยุทธ์ มีความรู้บางอย่างที่เป็นที่รู้กันโดยทั่วไป ด้านการรักษาตัว นักยุทธ์ที่ยิ่งมีผลการฝึกตนสูง ก็จะยิ่งบาดเจ็บได้ยาก แต่ในทางกลับกัน ทันทีที่ผู้ที่มีผลการฝึกตนอันแข็งแกร่งได้รับบาดเจ็บ เช่นนั้นระยะเวลาในการฟื้นฟูอาการบาดเจ็บก็จะช้ายิ่งกว่า

ยกตัวอย่างเช่นอาการบาดเจ็บที่เหมือนกัน ตามการฟื้นฟูโดยปกติทั่วไป มกุฎยุทธ์ต้องใช้เวลาหนึ่งเดือน เช่นนั้นผู้แข็งแกร่งในระดับระดับมหายุทธ์บางทีอาจต้องให้เวลาถึงสามเดือน ส่วนเจ้ายุทธจักรนั้นจะต้องให้เวลาเป็นครึ่งปีถึงจะหายดีได้

ในระยะเวลาที่ฟื้นฟูอาการเจ็บนั้น ไม่ได้มีผู้ใดมาท้าประลองในกลุ่มที่สามเลย ต่างก็ไม่ต้องการที่จะฉวยโอกาส กลายเป็นขี้ปากของผู้อื่น

หลัวซิวเองก็ผ่อนคลายไม่น้อย กวาดสายตามองไปยังเวทีประลองอื่น ๆ อย่างตั้งใจ ในนั้นได้ปรากฏยอดฝีมือที่แข็งแกร่งขึ้นมาอยู่หลายคน

หลัวซิวอยู่ในกลุ่มที่สาม ที่อยู่ใกล้ที่สุดแบ่งเป็นกลุ่มที่สองและกลุ่มที่สี่

ตัวสำนึกของเขาผ่านการดูดซับพลังวิญญาณบริสุทธิ์ที่ปะปนอยู่ในช่องจิตปลอม ตัวสำนึกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วอยู่ตลอดเวลา ตอนนี้ได้บรรลุถึงระดับที่ทัดเทียมกับมหายุทธ์เป็นที่เรียบร้อย

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 598
เห็นเพียงซุนชิงผู้นั้นยืนอยู่บนเวทีประลองอย่างมั่นอกมั่นใจ ถือเจดีย์เล็ก ๆ สีเขียวอยู่ในมือ เขากวาดสายตาไปยังทุกคน สุดท้ายก็ได้หยุดลงที่หลัวซิว “ร่างเนื้อของเจ้าบรรลุถึงแดนมกุฎ กล้าที่จะประลองกับสมบัติวิเศษของข้าหรือไม่?”

เมื่อคำพูดนี้ถูกกล่าวออกมา สายตาของผู้คนจำนวนมากต่างจับจ้องไปที่หลัวซิว

“หึ ๆ ซุนชิงนั้นเป็นนักกลั่นสมบัติที่มาจากเขาสมบัติวิเศษเชียวนะ ยิ่งไปกว่านั้นเจดีย์สีเขียวที่อยู่ในมือของเขายังเป็นสมบัติวิเศษชั้นสูง มีพลังการโจมตีที่แข็งแกร่งร่างเนื้อแดนมกุฎยากที่จะต่อต้านได้”

“หลัวซิวผู้นี้อาศัยแค่ความแข็งแกร่งของร่างเนื้อเท่านั้น แต่เมื่อพบกับอาวุธยุทธ์ที่เป็นสมบัติวิเศษนั้น ยังห่างไกลกันอีกมาก”

หลายคนต่างมองหลัวซิวด้วยอารมณ์ที่ว่ารอดูเรื่องสนุก

ทั้งหมดต่างก็รู้ดี นักยุทธ์ที่ฝึกวิชากลั่นร่างนั้นจะมีพลังการต่อสู้ที่น่าตกตะลึงเมื่ออยู่ในแดนฝึกยุทธ์เดียวกัน แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีวิธียับยั้ง ตราบใดที่มีพลังการโจมตีที่แข็งแกร่งพอ เช่นนั้นก็จะสามารถอยู่เหนือนักยุทธ์กลั่นร่างได้

ยังมีนักยุทธ์ที่ฝึกฝนวิชากลั่นวิญญาณก็เช่นเดียวกัน แม้ว่าการโจมตีวิญญาณนั้นค่อนข้างจะลึกลับ ยากต่อการป้องกัน แต่ทว่านักกลั่นสมบัติกลับสามารถกลั่นสมบัติที่ป้องกันการโจมตีทางวิญญาณออกมาได้

“สมบัติวิเศษชั้นสูง?”

หลัวซิวเบ้ปาก แล้วกระโดดลอยตัว ร่อนลงสู่เวทีประลอง

เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวของหลัวซิว ซุนชิงผู้นั้นก็หรี่ตาลวงเล็กน้อย “เจ้ากล้ามาจริง ๆ ด้วย”

กล่าวไป เขาก็ตวาดออกมาเบา ๆ หนึ่งครั้ง เจดีย์สีเขียวเล็ก ๆ ที่อยู่ในมือลอยขึ้นสู่อากาศ ขยายใหญ่ขึ้นตามกระแสลม เพียงชั่วพริบตาก็ขยายใหญ่จนมีขนาดหนึ่งจั้งแล้ว

ภายใต้การควบคุมจากตัวสำนึกพลังจิตแท้ เจดีย์นี้ทับลงไป ต่อให้เป็นภูเขาขนาดเล็ก ก็ต้องถูกทับจนแบนเรียบ

พลังกดทับที่แผ่ซ่านออกมาจากสมบัติวิเศษชั้นสูง ได้ปิดกั้นพื้นที่โดยรอบเอาไว้ เมื่อเป็นเช่นนี้ หลัวซิวก็จะไม่สามารถใช้วิชาล่องหนไท่เสวียนเพื่อเคลื่อนไหวไปในปริภูมิได้

“โฮก!”

ได้ยินเพียงเสียงร้องของมังกรดังขึ้น เห็นเพียงหลัวซิวนั้นไม่ได้ใช้วิชาล่องหนไท่เสวียน แต่เป็นได้ก้าวเท้าออกมาหนึ่งก้าว เงาร่างของเขาเป็นเหมือนดั่งมังกร และพุ่งเข้าไป

“เคลื่อนไหวได้รวดเร็วยิ่งนัก!”

การเคลื่อนไหวของหลัวซิวนั้นรวดเร็วอย่างสุดขีด ภายใต้การวิ่งของร่างเนื้อ ช่องว่างที่เขาวิ่งผ่านนั้นต่างแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ เพียงชั่วพริบตาเดียวก็ได้ปรากฏตัวขึ้นที่ตรงหน้าของซุนชิง

ปฏิกิริยาแรกของซุนชิงก็คือก้าวถอยหลัง ในฐานะอัจฉริยะที่มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์ วิชาร่างกลที่เขาฝึกฝนนั้น แน่นอนจะต้องอยู่นระดับยิ่งเลิศ

“สะบั้นสะเทือนสาแหรก!”

ซุนชิงแตะนิ้วลงไปในอากาศ เจดีย์ขนาดสูงใหญ่พลันพุ่งเข้าใส่ศีรษะของหลัวซิว

เปลวเพลิงสีดำบนร่างของหลัวซิวลุกโชนขึ้นมาในชั่วพริบตา และขับเคลื่อนพลังแปรเสวียนเทียนยี่สิบสี่เท่าอยู่อย่างลับ ๆ

“ปัง!”

เขาวัดออกไปหนึ่งฝ่ามือ ประทับลงบนแท่นของเจดีย์สีเขียว เสียงทุ้มต่ำดังลอยออกมา คลื่นเสียงกระเพื่อมเป็นระลอกคลื่น เจดีย์เขียวลอยกลับออกไป

“ร่างเนื้อต่อต้านสมบัติวิเศษชั้นสูง?” ซุนชิงเบิกตากลมโต คางแทบจะตกลงไปถึงตาตุ่ม

แกร๊ก!

เสียงกระดูกหักดังลอยเข้ามาในหู สีหน้าของซุนชิงถึงได้อ่อนโยนลงมาบ้าง แม้ว่าหลัวซิวจะซัดจนเจดีย์เขียวลอยออกไป แต่กระดูกของแขนข้างหนึ่ง กลับถูกพลังของเจดีย์เขียวกระแทกจนแตกหัก

ต่อให้เป็นเช่นนี้ สามารถจู่โจมจนสมบัติวิเศษชั้นสูงลอยออกไปได้โดยอาศัยร่างยุทธ์แดนมกุฎ พลังเปลือยที่แข็งแกร่งเช่นนี้ ก็น่าสะพรึงกลัวมากพอแล้ว

ความเจ็บปวดจากแขน ทำให้หลัวซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย พลังแปรเสวียนเทียนสามารถเพิ่มพลังการโจมตีของเขา กลับไม่สามารถทำให้การป้องกันร่างเนื้อของเขาแข็งแกร่งขึ้นได้ นั่นก็เป็นเพราะเขาได้ฝึกฝนวิชากลั่นร่างของวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ ถ้าหากเปลี่ยนเป็นนักยุทธ์กลั่นร่างในระดับเดียวกันผู้อื่น เมื่อสักครู่จะต้องถูกเจดีย์เขียวนั่นกระแทกจนได้รับบาดเจ็บหนักไปแล้ว

สำหรับกระดูกแขนที่หักนั้น หลัวซิวไม่ได้ใส่ใจเลยสักนิด ร่างของเขาพลันเคลื่อนไหว และโจมตีเข้าหาซุนชิงอีกครั้ง

ซุนชิงขยับถอยหลังอย่างรวดเร็ว เวลาเดียวกันนั้นก็ได้ขับเคลื่อนเจดีย์เขียวให้จู่โจม ทว่าเนื่องจากพื้นที่ของเวทีประลองนั้นมีขีดจำกัด สุดท้ายเขาก็ถอยจนไม่มีที่ให้ถอย ถ้าหากถอยไปอีก ก็จะชนเข้ากับเกราะป้องกันที่อยู่ด้านหลังแล้ว

เสียงดังกระหน่ำ หลัวซิวซัดเจดีย์เขียวลอยออกไปอีกครั้ง กระดูกของแขนอีกข้างก็ได้หักเช่นเดียวกัน แขนทั้งสองข้างห้อยลง ไม่สามารถออกแรงได้

แต่การเคลื่อนไหวของเขากลับไม่ได้หยุดลงเลยแม้แต่น้อย พุ่งเข้าไปหาซุนซิวที่ถอยจนไม่มีที่จะถอยได้อีกผู้นั้น และใช้ศีรษะโจมตีอีกฝ่าย

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 597
“นี่น่ะหรือที่เรียกว่าโชคชะตาเล่นตลก?”

จากกันมานานหลายปี ไม่มีข่าวคราวใด ๆ ลู่เมิ่งเหยาทราบดีว่า ระหว่างตนและหลัวซิวนั้น ได้เกิดช่องว่าขึ้นมากมายแล้ว

นางคิดว่าตนเป็นปลาทะยานข้ามประตูมังกร กลับพบว่ามังกรแท้ที่สามารถทะยานขึ้นสู่เก้าสวรรค์ได้นั้น ไม่ใช่ตนเอง แต่ยังคงเป็นหลัวซิว……

โลกแสงดาวนั้นกว้างใหญ่ไพศาล การฝึกยุทธ์สามารถเพิ่มอายุขัย ยอดฝีมือในโลกยุทธ์มากมายที่มีอายุขัยมากกว่าสองร้อยปี

ชีวิตที่ยาวนาน บวกกับความสามารถในการสืบพันธุ์อันแข็งแกร่งของมนุษย์ ฐานประชากรของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เป็นตัวเลขที่ทำให้คนยากที่จะจินตนาการได้

ภายใต้ฐานประชากรของเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่มากมายเช่นนี้ แม้ว่าความน่าจะเป็นที่จะเกิดอัจฉริยะขึ้นมานั้นจะน้อยมาก แต่ก็มีบุคคลที่มีพรสวรรค์อันน่าทึ่งปรากฏตัวขึ้นในทุก ๆ ปี

ภายใต้การแข่งขันของเหล่าอัจฉริยะมากมาย มีคนชนะ ก้าวหน้าขึ้นมาอีกขั้น มีคนพ่ายแพ้ และไม่อาจฟื้นตัวขึ้นมาได้อีก

หลังจากที่ได้ผ่านการทดสอบมาอย่างหนัก ผู้ที่สามารถอดทนมาได้และมีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมานั้น ต่างเป็นยอดฝีมือที่แท้จริงของคนในรุ่นเดียวกัน คือธิดาที่เป็นความภาคภูมิใจของสวรรค์ เป็นโอรสสวรรค์ที่แท้จริง!

การที่หลัวซิวเอาชนะหลี่จ้านนั้นทำให้ผู้คนตกตะลึง แต่ก็ไม่ได้เป็นที่จับตามองอะไรมากนัก จากการประลองในครั้ง ความสามารถของเขานั้นเป็นที่ยอมรับจากทุกคนก็จริง แต่พวกอัจฉริยะที่มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์บางพวก แข็งแกร่งมากเกินไปจริง ๆ

ในจำนวนนั้นถึงขั้นมีบางคนที่มีผลการฝึกตนบรรลุถึงระดับมกุฎยุทธ์ขั้นเจ็ดขึ้นไป ไม่เพียงสูงกว่าหลัวซิวในหนึ่งระดับแดนใหญ่ ร่างกายของพวกเขาก็ล้วนเป็นอัจฉริยะที่สามารถสู้ข้ามระดับได้ ความแตกต่างในนั้น ไม่สามารถที่จะเทียบกันได้เลยสักนิด

แต่ก็ยังมีผู้คนจำนวนมากที่คิดว่า มีความเป็นไปได้ที่หลัวซิวจะติดยี่สิบอันดับ สำหรับเรื่องที่เขาอยากจะติดสิบอันดับแรกนั้น กลับยังมีอุปสรรคอยู่ไม่น้อย

นอกจากนี้แล้วหลัวซิวยังได้สังเกตเห็นซางหลันในชุดสีม่วงผู้นั้น ตั้งแต่ต้นจนจบคนผู้นี้ไม่ได้ลงมือเลยสักครั้ง แต่กลับมีชื่อเสียงมากในอาณาจักรตะวันออก เคยประมือกับอัจฉริยะมากมาย และไม่เคยแพ้มาก่อน

ในภัตตาคารเทียนอีเมื่อตอนนั้น คนที่ยกจอกให้กับหลัวซิว ก็คือเขานั่นเอง

“กระแสพลังชีวิตของคนผู้นี้แรงกล้ายิ่งนัก ผลการฝึกตนอย่างน้อยอยู่ที่ระดับมกุฎยุทธ์ขั้นเจ็ด”

หลัวซิวมองดูซางหลันผู้นั้นแวบหนึ่ง จากนั้นก็เก็บสายตากลับคืนมา และได้มองไปยังคนผู้หนึ่งในกลุ่มที่สาม

คนผู้นี้ใบหน้าเยือกเย็น กอดดาบเอาไว้ในอ้อมอก มีชื่อว่าดาบเดียวดายมาจากสำนักดาบเทพแห่งอาณาจักรตะวันตก กระแสพลังชีวิตแรงกล้า ไม่ด้อยไปกว่าซางหลันชุดม่วงเลยสักนิด

การประลองยุทธ์ในแต่ละกลุ่มยังคงดำเนินต่อไป เพียงแต่ว่าทุกคนต่างก็ระมัดระวัง ไม่มีความมั่นใจ ล้วนจะไม่ลงมือโดยง่าย

เพราะถ้าหากพ่ายแพ้ ก็จะสูญเสียโอกาสในการแย่งชิงสิบอันดับแรกไป โดยเฉพาะตำแหน่งผู้ชนะอันดับหนึ่งนั้น ยิ่งมีรางวัลที่ไม่ธรรมดา

ยากลายร่างมังกรและสมบัติวิเศษชั้นสูง ต่อให้เป็นอัจฉริยะจากแดนศักดิ์สิทธิ์ ก็ยากที่จะได้มาครอบครอง ยิ่งไปกว่านั้นนอกจากผลประโยชน์เหล่านี้ ยิ่งอยู่ในอันดับที่สูง ยิ่งจะได้ฝึกตนอยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นล่างเป็นเวลานาน

ในเวลานี้ บนเวทีประลองของกลุ่มที่สาม ยืนอยู่ด้วยบุรุษหนุ่มชุดเขียวผู้หนึ่ง คนผู้นี้มีนามว่าซุนชิง มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์เขาสมบัติวิเศษ

แค่ฟังจากชื่อก็รู้แล้วว่า เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ชำนาญในด้านหลอมอาวุธและของวิเศษ ว่ากันว่าเป็นสุดยอดในวิถีสืบทอดการหลอมอาวุธและของวิเศษของทั่วทั้งโลกแสงดาว

และซุนชิงผู้นี้ นอกจากผลการฝึกตนของตนเองจะบรรลุถึงระดับมกุฎยุทธ์ขั้นห้าแล้ว ยังเป็นนักกลั่นสมบัติ ขั้นเจ็ดอีกด้วย

สำหรับนักยุทธ์โดยทั่วไปแล้ว ที่ได้พบเห็นนั้นส่วนมากจะเป็นนักหลอมอาวุธ แต่สำหรับนักยุทธ์ที่มาจากกองกำลังใหญ่ ๆ ที่แท้จริงนั้น โดยทั่วไปแล้วจะไม่ไปตามหานักหลอมอาวุธเพื่อให้หลอมอาวุธให้ แต่จะหานักกลั่นสมบัติ เพื่อกลั่นสมบัติ กลั่นสมบัติของขลังแทน

เพราะสำหรับนักยุทธ์ที่มาจากกองกำลังใหญ่แล้ว ให้อาวุธยุทธ์ไม่ค่อยเหมาะกับฐานะของตนสักเท่าไรนัก มีเพียงใช้สมบัติวิเศษที่แข็งแกร่ง ถึงจะสามารถแสดงถึงความแข็งแกร่งและภูมิหลังที่ลึกล้ำของตนได้

กล่าวอย่างไม่ลังเล อัจฉริยะรุ่นใหม่ทั้งร้อยคนที่อยู่ตรงนี้นั้น ในมือของแต่ละคนต่างก็มีสมบัติเช่นนี้อยู่หนึ่งถึงสองชิ้น

หลี่จ้านที่ถูกหลัวซิวเอาชนะมาได้ความจริงแล้วก็มีสมบัติวิเศษอยู่เช่นกัน แต่ในตอนที่ต่อสู้กับหลัวซิว ไม่มีโอกาสที่จะใช้มันออกมาเลยสักนิด

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 596
การต่อสู้ในครั้งนี้ เขาได้แพ้อย่างสมบูรณ์แบบ ร่างยุทธ์ร่างเนื้ออันเป็นที่น่าภูมิใจ ถูกอีกฝ่ายกดขี่จนไม่อาจต่อต้าน

จากการพ่ายแพ้ของหลี่จ้าน สีหน้าของเจ้ายุทธจักรพลานุภาพต้วนฉือเทียนที่นั่งอยู่บนตำแหน่งสูงสุดแย่ลงไปจนแทบดูไม่ได้ในทันที

“เจ้ายุทธจักรพลานุภาพ เหมือนว่าข้าจะโชคดีที่ได้รับชัยชนะนะ” รอยยิ้มปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิว

เมื่อคำพูดนี้ได้ยินเข้าหูเจ้ายุทธจักรพลานุภาพต้วนฉือเทียน กลับแสลงหูยิ่งนัก ลูกศิษย์ที่เขาฝึกฝนมาอย่างยากลำบาก คิดไม่ถึงว่าจะแพ้!

ถ้าหากถูกคนที่มีผลการฝึกตนในแดนเดียวกันเอาชนะได้ ก็ไม่ใช่ว่าเจ้ายุทธจักรพลานุภาพต้วนฉือเทียนจะยอมรับไม่ได้ แต่จักรพรรดิยุทธ์ขั้นเจ็ดเอาชนะมกุฎยุทธ์ขั้นสี่ ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ใช่มกุฎยุทธ์ขั้นสี่ธรรมดา เจ้าหนุ่มที่ชื่อหลัวซิวผู้นี้ทำได้อย่างไรกัน?

ต้วนฉือเทียนมองดูเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวแวบหนึ่ง แม้เขาจะยอมรับว่าหวูชิวผู้นี้แผนการไหวพริบไม่น้อย แต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะฝึกฝนอัจฉริยะเช่นนี้ออกมาได้

“ข้ากล้าเล่นกล้าเสีย!” ต้วนฉือเทียนสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ หนึ่งครั้ง จากนั้นก็ได้พลิกมือเอาม้วนหยกม้วนหนึ่งออกมา แล้วโยนกับเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิว

แม้ว่าพลังเก้าภพจะเป็นวิชากลั่นร่างระดับสุดยอด แต่เคล็ดวิชานี้ก็ฝึกฝนได้ยากเช่นเดียวกัน

บนเวทีประลองยุทธ์ หลังจากที่หลี่จ้านได้ยอมแพ้ ก็ได้กลับไปที่แท่นบัวเพลิงอัคคีด้วยใบหน้าเสื่อมโทรม ตามกฎในการประลอง ผู้ที่ได้แพ้หนึ่งครั้งแล้ว ไม่อนุญาตให้ขึ้นเวทีอีกครั้ง

หลังจากที่ได้อันดับหนึ่งของแต่ละกลุ่มมา พวกคนที่สู้แพ้เหล่านั้น ก็จะไปแย่งชิงรายชื่อสิบอันดับที่เหลือของแดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นล่าง

ในกลุ่มที่สาม หลัวซิวเอาชนะหลี่จ้าน ก็ได้กลายเป็นที่กล่าวถึงขึ้นมาในทันที มีชื่อเสียงขึ้นมาในเวลาอันรวดเร็ว

“หลัวซิวผู้นี้ช่างน่ากลัวจริง ๆ ได้ชนะได้แม้กระทั่งหลี่จ้าน”

“ที่น่ากลัวที่สุดก็คือเขาต่อสู้มาเป็นเวลานาน กลับไม่เห็นว่าสูญเสียพลังไปเลยสักนิด หรือว่าในมือของเขามีสมบัติวิเศษบางอย่างอยู่ ทำให้เขาสามารถเติมเต็มพลังจิตแท้ที่สูญเสียไปได้อย่างรวดเร็ว?”

“หึ ๆ สมบัติวิเศษที่สามารถเติมเต็มพลังจิตแท้ได้นั้นไม่ใช่สิ่งธรรมดาอย่างแน่นอน ดูเหมือนว่าโชคชะตาของหลัวซิวผู้นี้จะไม่เลวเลยจริง ๆ”

ผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ต่างวิพากษ์วิจารณ์ และหลังจากที่หลัวซิวได้เอาชนะหลี่จ้าน ก็ไม่ได้รอรับการท้าประลองอยู่ต่อไป แต่กลับได้ลอยตัวขึ้น กลับไปยังแท่นบัวเพลิงอัคคีของตน

ตามกฎในการประลอง ผู้แพ้งไม่สามารถขึ้นประลองได้อีก แต่ผู้ที่ชนะนั้นสามารถกลับไปที่แท่นบัวเพลิงอัคคีเพื่อฟื้นฟูพลังได้

เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวได้รับพลังเก้าภพมา ก็ได้มองไปยังหลัวซิวอย่างภาคภูมิใจแวบหนึ่ง

“เจ้าหนุ่มคนนี้ยังได้ปิดบังฝีมือที่แท้จริงของตน ไม่แน่ว่าอาจจะได้ตำแหน่งอันดับหนึ่งมาจริง ๆ ก็ได้”

เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวแอบกล่าวอยู่ในใจ แม้จะคิดเช่นนี้ แต่เขาก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่นัก เพราะถึงอย่างไรเสียการประลองยุทธ์ในครั้งนี้ อัจฉริยะของแต่ละแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างก็ได้มาจำนวนไม่น้อยเช่นเดียวกัน ส่วนหลัวซิวนั้นอายุเพียงยี่สิบเอ็ดปี คิดจะเอาชนะคนพวกนั้นคงไม่ง่ายนัก

“” อายุเพียงแค่นี้ก็รู้จักปิดบังความสามารถของตนเองแล้ว ข้าสงสัยจริง ๆ เลยว่า เจ้าปิดบังความสามารถเอาไว้เท่าไหร่กันแน่ และยังมีไม้ตายอะไรอยู่อีก?”

ในขณะเดียวกันนั้น ยังมีสายตาอีกสองสายที่ได้มองมายังหลัวซิว เจ้าของของสายตาทั้งสองสายนี้ คือเหยียนเยว่เอ๋อร์และลู่เมิ่งเหยานั่นเอง

“สู้ ๆ!” เหยียนเยว่เอ๋อร์โบกมือให้กับหลัวซิว นางเชื่อว่าเมื่อผ่านการประลองในครานี้ไป ชื่อของหลัวซิวจักต้องโด่งดังไปทั่วโลกแสงดาวอย่างแน่นอน ไม่มีผู้ใดไม่รู้ ไม่มีผู้ใดไม่ทราบ

หลู่เมิ่งเหยาก็จับจ้องมายังหลัวซิวเช่นเดียวกัน ในสายตาเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน

“เดิมคิดว่าเมื่อข้าได้กราบเจ้ายุทธจักรหยกนาราเป็นอาจารย์ก็จะเป็นเหมือนดั่งปลาทะยานข้ามประตูมังกร นับจากนี้ไม่ใช่คนในโลกเดียวกันกับเขาอีกต่อไป”

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ รอยยิ้มอันขมขื่นก็ได้ปรากฏขึ้นที่มุมปากของลู่เมิ่งเหยา ความทรงจำในอดีตทะลักออกมาเหมือนกับน้ำพุ

เมื่อตอนที่อยู่เขตการปกครองโตว้ไห่ในปีนั้น ได้พบเข้ากับเจ้ายุทธจักรหยกนาราโดยบังเอิญ ตอนนั้นได้เกิดความสัมพันธ์ขึ้นระหว่างตนเองกับหลัวซิวแล้ว เจ้ายุทธจักรหยกนาราต้องการพาตนไป ตอนนั้นนางไปอยากจะไปเลยสักนิด

แต่ได้รู้จากปากเจ้ายุทธจักรหยกนาราในเวลาต่อมาว่า ตนนั้นมีร่างพรสวรรค์ที่หาได้ยาก มีอนาคตที่ไร้ขอบเขต ไม่ใช่คนในโลกเดียวกันกับเขา ความแตกต่างนับวันจะยิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ

เจ้ายุทธจักรหยกนาราได้ชี้ทางของอนาคตที่เจิดจรัสให้กับนาง สุดท้ายนางก็ไม่อาจยืนหยัดความคิดของตนเองได้ พ่ายแพ้ให้กับเส้นทางของอนาคตที่สดใสที่เจ้ายุทธจักรหยกนาราได้มอบให้ ไปแล้วไม่หวนกลับ

บทที่ 595

บทที่ 597

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 595
“หลัวซิวผู้นี้ช่างน่าหวาดกลัวยิ่งนัก ผลการฝึกตนในระดับจักรพรรดิยุทธ์ขั้นเจ็ด ร่างเนื้อกลับบรรลุสูงถึงระดับร่างยุทธ์แดนมกุฎขั้นกลาง!” กลุ่มผู้คนที่อยู่โดยรอบ ต่างมีสีหน้าตกตะลึง

“หึ ต่อให้ร่างเนื้อของเขาสามารถต่อกรกับหลี่จ้านได้ แต่หลี่จ้านเป็นถึงลูกศิษย์ที่เจ้ายุทธจักรพลานุภาพฝึกสอนมาเองกับมือ พลังการต่อสู้ของร่างเนื้อนั้นไร้เทียมทาน”

ตูม! ตูม! ตูม! ……

เพียงชั่วพริบตา ทั้งสองคนก็ได้สู้กันกลับไปกลับมาอย่างดุเดือดอยู่บนเวทีประลองยุทธ์หลายสิบรอบแล้ว

หลัวซิวที่กำลังต่อสู้อยู่อย่างดุเดือดนั้นพบว่า ร่างเนื้อของหลี่จ้านอยู่ในระดับร่างยุทธ์แดนมกุฎขั้นกลางเหมือนกันกับตน แต่วรยุทธ์ที่เขาฝึกนั้นอยู่ในระดับที่สูงมาก พลังการต่อสู้ไม่ได้ด้อยไปกว่าตนเลยสักนิด

“ดูเหมือนว่าวิชาที่หลี่จ้านฝึกนั้นคงจะเป็นพลังเก้าภพแน่แล้ว” เมื่อนึกเชื่อมไปถึงว่าหลี่จ้านเป็นศิษย์ของเจ้ายุทธจักรพลานุภาพต้วนฉือเทียน หลัวซิวก็วางใจลง

ผลการฝึกตนในระดับเดียวกัน แน่นอนว่าวรยุทธ์ที่ฝึกฝนนั้นระดับยิ่งสูง พลังการต่อสู้ก็จะยิ่งสูงด้วย ในโลกปัจจุบัน พูดถึงวิชากลั่นร่าง พลังเก้าภพเป็นหนึ่งในวรยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดของวิชากลั่นร่างอย่างแน่นอน

“สยบ!”

หลัวซิวแสดงวิชาล่องหนไท่เสวียนออกมา จู่ ๆ ก็ได้ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังของหลี่จ้าน ภูเขาสีดำได้ก่อตัวขึ้นที่ระหว่างฝ่ามือของเขา และซัดออกไปทันที

เสียงดังสนั่นหวั่นไหว ร่างของหลี่จ้านถูกภูเขาสีดำทับลงไปในทันที

“นั่นต้องเป็นทักษะยุทธ์ระดับยิ่งเลิศอย่างแน่นอน!” ในกลุ่มผู้คนที่อยู่โดยรอบ มีจำนวนไม่น้อยที่สีหน้าเปลี่ยนไป

อัจฉริยะรุ่นใหม่ที่อยู่บนแท่นบัวเพลิงอัคคีเหล่านั้นเองก็ได้มองมาเช่นเดียวกัน มีผู้ที่รู้จักประวัติของหลัวซิวได้กล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น: “คนผู้นี้มีนามว่าหลัวซิว ว่ากันว่าได้รับการสืบทอดวิชายิ่งเลิศจากแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนโบราณ ที่เขาได้แสดงออกมานั้นน่าจะเป็นวิชาล่องหนไท่เสวียนและวิชาสังหารไท่เสวียน”

“ตะครุบฉีกฟ้า!”

หลี่จ้านโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ เงยหน้าตะโกน งอนิ้วทั้งห้า กลายเป็นกรงเล็บสีทอง ตะครุบภูเขาสีดำนั้นด้วยมือเปล่าจนล่มสลายไป

ร่ำเรียนวิชาจากเจ้ายุทธจักรพลานุภาพต้วนฉือเทียน สิ่งที่หลี่จ้านผู้นี้ได้ฝึกฝนนั้น ก็มีเพียงแค่ทักษะยุทธ์วิชายิ่งเลิศเพียงเท่านั้น พลังการต่อสู้เหนือกว่าผู้คนโดยทั่วไปมากนัก

ท่าทีของหลัวซิวยังคงสงบนิ่งดั่งเดิม ภายใต้การเฝ้ามองจากผู้แข็งแกร่งมากมาย เขาไม่คิดจะใช้สองระดับความเป็นตาย เพียงแค่ใช้พลังของเพลิงมรณะ และแสดงวิชาสังหารไท่เสวียนออกมาอีกครั้ง

มีลูกแก้วเสวียนดำเป็นแหล่งให้พลังงาน เขาไม่ต้องกังวลว่าพลังจิตแท้ของตนจะถูกใช้จนหมด

ครืน!

ภูเขาสีดำก่อตัวขึ้นมาลูกแล้วลูกเล่า ถูกหลีจ้านใช้ทักษะยุทธ์ตะครุบฉีกฟ้า ทำลายไปครั้งแล้วครั้งเล่า

ทว่าได้ต่อสู้มาเป็นเวลานาน พลังจิตแท้ของหลัวซิวไม่มีท่าทีว่าจะหมดไปเลยสักนิด เขาสร้างตราประทับขึ้นมาที่ฝ่ามืออย่างรวดเร็ว มีภูเขาสีดำก่อตัวขึ้นมาอย่างไม่ขาดสาย ถูกโยนเข้าใส่หลี่จ้าน

เผชิญหน้ากับการโจมตีที่ไม่หยุดหย่อน แต่ให้เป็นผู้ที่แข็งแกร่งอย่างหลี่จ้านก็ฝืนทนไม่ไหว สีหน้าท่าทางเคร่งเครียดขึ้นมาเรื่อย ๆ

พลั๊ก!

ใช้วิชาล่องหนไท่เสวียนออกมา หลัวซิวได้หายตัวไปจากตรงนั้น เพียงชั่วพริบตาก็ได้ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังของหลี่จ้าน และแสดงวิชาสังหารไท่เสวียนออกมา ซัดเข้าใส่ด้านหลังของหลี่จ้าน

เสียงดังสะนั่น หลี่จ้านถูกกระแทกจนลอยออกไป แต่ในวินาทีที่ร่วงลงพื้นนั่นเอง จู่ ๆ ก็ได้เพิ่มความเร็วขึ้น และพุ่งเข้าหาหลัวซิว วิชาตะครุบฉีกฟ้าครอบงำเข้าหัวหลัวซิว

ชั่ววินาที ร่างของทั้งสองขยับเข้าใกล้ หมัดเท้าบวกเข้าหากัน ความเร็วในการลงมือนั้นเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ

“ร่างทองไร้เทียมทาน!”

หลี่จ้านตวาดเสียงดัง แสดงวิชายิ่งเลิศอีกอย่างหนึ่งออกมา ร่างกายเปล่งแสงสีทอง กลายเป็นปราณกระบี่ขึ้นมาหลายเล่ม ทั้งหมดฟันเข้าใส่หลัวซิวที่อยู่ตรงกลาง

หลัวซิวไม่ขยับเขยื้อน มือก็สร้างพลังตราประทับขึ้นมา ม่านแสงลอยขึ้น ปกป้องร่างกายเอาไว้

จากนั้นไม่นาน ฝุ่นละอองปลิวว่อน เสียงอันเย็นชาของหลัวซิวก็ได้ดังขึ้นมาอย่างช้า ๆ “ถึงเวลาที่ข้าจะตอบโต้กลับแล้วสินะ?”

“สวรรค์ เป็นไปได้อย่างไรที่เขาไม่ได้รับบาดเจ็บเลย?”

“ที่เขาแสดงออกมาเมื่อสักครู่นั้นเหมือนว่าจะเป็นวิชายิ่งเลิศอย่างหนึ่งของสำนักไท่เสวียนโบราณ มีชื่อว่าวิชาฝึกจิตไท่เสวียน สามารถดูดกลืนการโจมตีส่วนมากได้ พลังการปกป้องแข็งแกร่งเป็นที่สุด”

“คนผู้หนึ่งฝึกวิชายิ่งเลิศสามแขนง?”

ร่างของหลัวซิวถูกปกคลุมไปด้วยเปลวไฟสีดำ กระแสพลังที่รอบกายเพิ่มขึ้นอย่างไม่ขาดสาย

อาศัยวิชาล่องหนไท่เสวียนสามารถเดินทางผ่านปริภูมิได้ ร่างของเขาผลุบ ๆ โผล่ ๆ เสียงพลั๊กดังขึ้น หลี่จ้านไม่ทันระวัง จึงได้ถูกซัดจนลอยออกไป

คราวนี้หลัวซิวไม่ได้ยั้งมือ อาศัยร่างยุทธ์ร่างเนื้อที่แข็งแกร่งและสามวิชายิ่งเลิศ กดขี่หลี่จ้านได้โดยปริยาย

ตึง!

เสียงอู้อี้ดังขึ้น หมัดของหลัวซิวต่อยเข้าไปบนใบหน้าของหลี่จ้าน เลือดสด ๆ ได้พุ่งออกมาจากปากของมัน หลี่จ้านในตอนนี้นั้น ได้รับบาดเจ็บไปทั้งตัว สีหน้าซีดเซียว

“ข้าแพ้แล้ว…..”

หลี่จ้านคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น ใบหน้าซีดขาวจนน่ากลัว พลังจิตแท้ของเขาถูกใช้ไปจนแทบหมดสิ้น แต่หลัวซิวกลับยังมีชีวิตชีวาอยู่เหมือนเดิม เหมือนกับว่าไม่ได้สูญเสียพลังไปเลยสักนิด

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 594
เจ้ายุทธจักรพลานุภาพต้วนฉือเทียนลูบคางของเขา และยิ้มกล่าว: “หวูซิว บุรุษหนุ่มที่เจ้าเลือกมาผู้นี้ มีความกล้าไม่น้อย แต่มีเพียงแค่ความกล้านั้นคงไม่พอ แขนขาเล็ก ๆ นั่น เกรงว่าคงจะรับหมัดของหลี่จ้านไม่ได้”

“เจ้ายุทธจักรพลานุภาพคอยดูเอาเถอะ” เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวหรี่ตาลงเล็กน้อย

เมื่อเห็นเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวสงบเช่นนี้ เจ้ายุทธจักรพลานุภาพต้วนฉือเทียนก็ได้ทำเสียงหึออกมาอย่างเย็นชาหนึ่งครั้ง แม้จะรู้สึกผิดปกติเล็กน้อย แต่จักรพรรดิยุทธ์ขั้นเจ็ดผู้หนึ่งและมกุฎยุทธ์ขั้นสี่ผู้หนึ่ง ช่องว่างระหว่างทั้งสองนั้น ไม่ใช่เพียงแค่เล็กน้อย

ยิ่งไปกว่านั้นเขาเป็นคนฝึกฝนหลี่จ้านมาเองกับมือ อาศัยระดับมกุฎยุทธ์ขั้นสี่ เคยได้ข้ามขั้นสังหารมกุฎยุทธ์ขั้นหกผู้หนึ่งที่อาณาจักรเหนือมาก่อน

“เจ้าตัวใหญ่ เจ้าคือนักยุทธ์กลั่นร่างงั้นหรือ?” หลัวซิวยืนอยู่ที่ด้านหน้าหลี่จ้าน และถามด้วยรอยยิ้มขึ้นมาหนึ่งประโยค

“ใช่แล้วอย่างไรเล่า?” หลี่จ้านก้มลงมองหลัวซิว พลางบีบหมัด เหมือนกำลังบอกว่า ดูร่างของข้าสิ ดูกล้ามเนื้อนี่สิ ใช่นักยุทธ์กลั่นร่างหรือไม่ ยังต้องให้ข้าพูดอีกหรือ?

แต่ที่ทำให้หลี่จ้านคิดไม่ถึงก็คือ หลัวซิวได้ยิ้มออกมา แสดงให้เห็นฟันสีขาวที่มีอยู่เต็มปาก กล่าว: “บังเอิญเสียจริง ข้าเองก็เป็นนักยุทธ์กลั่นร่าง”

“เจ้าก็เป็นนักยุทธ์กลั่นร่าง?”

เมื่อหลี่จ้านได้ยินคำพูดนี้ มุมปากก็กระตุกขึ้นมาสองครั้ง อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าหัวเราะขึ้นมา

“ข้าไม่สนว่าเจ้าจะเป็นนักยุทธ์กลั่นร่างหรือไม่ ภารกิจของข้าคือเอาชนะเจ้า!”

ทันใดนั้นเอง หลี่จ้านก็ต่อยออกมาหนึ่งหมัด พุ่งเข้าใส่หน้าของหลัวซิว

เผชิญหน้ากับการโจมตีของหลี่จ้าน หลัวซิวได้ย่อร่างลงเล็กน้อย ลมอันดุเดือดจากพลังหมัดได้พัดผ่านศีรษะของเขาไป

ในวินาทีที่เขาย่อตัวลง หลัวซิวเองก็ได้ต่อยหมัดออกมาอย่างกะทันหัน หกเข้าใส่บริเวณท้องน้อยของหลี่จ้าน

“แค่อาศัยเจ้าจะทำลายการป้องกันของข้าได้เช่นนั้นหรือ?”

หลี่จ้านไม่ได้ใส่ใจเลยสักนิด ต่อให้หลัวซิวบอกว่าตนเป็นนักยุทธ์กลั่นร่าง ในสายตาของหลี่จ้าน คนผู้นี้มีผลการฝึกตนในระดับจักรพรรดิยุทธ์ขั้นเจ็ด ร่างเนื้อจะสู้ร่างยุทธ์แดนมกุฎของตนได้อย่างไร?

ทว่าวินาทีต่อมา การเคลื่อนไหวของหลี่จ้าน ก็พลันหยุดชะงักลง

ปัก!

หมัดที่แสนจะธรรมดาหมัดหนึ่ง ต่อยเข้าที่ท้องน้อยของเขาเต็ม ๆ หลี่จ้านก้มลงไปมอง เหมือนกับได้โดนฟ้าผ่า

“เจ้า……”

เขาเบิกตาโพลง มองหลัวซิวอย่างไม่อยากจะเชื่อ การป้องกันร่างเนื้อของร่างยุทธ์แดนมกุฎ ต้านทานหมัดของเจ้าคนนี้ไม่ได้เช่นนั้นหรือ?

หลี่จ้านก้าวถอยหลังไปหลายก้าวด้วยใบหน้าซีดขาว ภายในใจของเขา ทั้งตะลึงทั้งโมโห

หลัวซิวค่อย ๆ เก็บหมัดกลับไป รอยยิ้มผ่านเข้ามาในแววตาของเขาแวบหนึ่ง กล่าว: “ข้าบอกกับเจ้าแล้ว ข้าเองก็เป็นนักยุทธ์กลั่นร่าง เจ้ากลับไม่เชื่อ!”

เมื่อได้ยินดังนั้น หลี่จ้านโกรธจนหน้าแดงขึ้นมา จากนั่นก็ตวาดด้วยความโมโห และกระโจนเข้าหาหลัวซิว

ลำแสงสีท้องอันเจิดจรัสแผ่ซ่านออกมาที่รอบกายของหลี่จ้าน ลำแสงทุกสายนั้นคมดั่งกระบี่ เป็นเหมือนดั่งอาวุธต่อสู้ในร่างมนุษย์ พุ่งกระโจนเข้ามา

“มาได้เยี่ยม!”

หลัวซิวหรี่ตาเล็กน้อย ซัดออกไปหนึ่งฝ่ามือ แสดงวิชาสังหารไท่เสวียนออกมา พลังของฝ่ามือนั้นหนักหน่วง เหมือนดังภูเขาลูกหนึ่งกดทับลงไป

เสียงดังสนั่น หมัดและฝ่ามือของทั้งสองกระทบกัน พื้นที่โดยรอบแตกเป็นเสี่ยง ๆ เหมือนดั่งใยแมงมุมที่แตกกระจาย

ลำแสงสีทองบนร่างของหลี่จ้านแผ่ซ่านไปทุกทิศทุกทาง ร่างกายเหมือนกับได้หล่อหลอมขึ้นด้วยทองคำ

ร่างของหลัวซิวถูกปกคลุมไปด้วยเปลวไฟสีดำ เหมือนดั่งอสุราที่มาจากอเวจี

แม้ว่าควันหลงจากการต่อสู้ของทั้งสองนั้นก็มีเกราะป้องกันที่อยู่รอบเวทีประลองควบคุมเอาไว้ แต่ผู้ชมที่อยู่ด้านนอก ก็ยังคงสัมผัสได้ถึงพลังที่น่าสะพรึงกลัวจากการต่อสู้ร่างเนื้อของทั้งสอง

“คิดไม่ถึงว่าร่างเนื้อของเจ้าจะไม่ด้อยไปกว่าข้าเลย!”

หลังจากที่เสียเปรียบไปหนึ่งครั้ง ท่าทีของหลี่จ้านก็ได้จริงจังขึ้นมา และได้เห็นหลัวซิวที่อยู่ตรงหน้าเป็นคู่ต่อสู้ที่ไม่ด้อยไปกว่าตัวเอง

ประกายสีทองแผดเผาอยู่ในดวงตาของเขา พุ่งร่างออกไปข้างหน้า หมัดสีทองต่อยสุญญากาศแตกละเอียด ทำให้คนยากที่จะจินตนาการได้ว่าพลังของมันนั้นแข็งแกร่งเพียงใด

ปัง!

หลัวซิวยังคงขับเคลื่อนวิชากลั่นร่างวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ ให้วิชายิ่งเลิศสังหารไท่เสวียนต่อกรกับมัน

เวทีที่ใช้ในการประลอง ทำมาจากวัสดุที่แข็งแรงเป็นพิเศษ แต่ในการต่อสู้อันดุเดือดระหว่างทั้งสอง เวทีประลองกลับไม่อาจทนรับได้ และแตกหักไปมุมหนึ่ง

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 593
“หลัวซิว กล้าขึ้นไปประลองกับข้าหรือไม่?”

เสียงหนักหยาบดังลอยเข้ามาในหู เงาร่างสายหนึ่งได้กระโดดลงจากแท่นบัวเพลิงอัคคี สู่กลางเวทีประลองยุทธ์

เจ้าของของเสียงนี้ คืออัจฉริยะที่เจ้ายุทธจักรพลานุภาพต้วนฉือเทียนเลือกให้เข้าแข่งขัน หลี่จ้านนั่นเอง!

หลัวซิวอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “เจ้าตัวใหญ่ผู้โง่เขลา ข้ากับเจ้ามีความแค้นอะไรกัน ทำไมเจ้าถึงได้กัดข้าไม่ปล่อย?”

“เจ้าไม่กล้าหรือ?” เสียงของหลี่จ้านเป็นเหมือนดั่งสายรุ้ง ผู้คนที่ชมการประลองอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงแทบทั้งหมดต่างก็ได้ยินอย่างชัดเจน

“ผลการฝึกตนในระดับมกุฎยุทธ์ขั้นสี่? ในอัจฉริยะรุ่นใหม่นับร้อยคนเหล่านี้ เพียงพอที่จะอยู่ในยี่สิบอันดับแรกแล้ว!”

“คนผู้นี้มีนามว่าหลี่จ้าน เหมือนจะเป็นอัจฉริยะที่เจ้ายุทธจักรพลานุภาพแห่งอาณาจักรเหนือให้ความสำคัญ ฝีมือจะต้องแข็งแกร่งอย่างแน่นอน

บนท้องฟ้าเหนือแท่นประลองยุทธ์กลุ่มที่สาม ถูกหลี่จ้านท้าประลองโดยการเรียกชื่อพร้อมแซ่ หลัวซิวรู้สึกหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้จริง ๆ

“เจ้าตัวใหญ่ผู้โง่เขลา เจ้ารนหาที่เองนะ!” หลัวซิวดวงตากะพริบ และเตรียมที่จะลงไปประลองด้วย

ทว่าในตอนนี้นี่เอง เงาร่างสายหนึ่งกลับได้ลงไปเร็วยิ่งกว่าหลัวซิวหนึ่งก้าว

“ข้าจางเฟิงขอทราบความสามารถของเจ้า!”

ผลการฝึกตนของจางเฟิงผู้นี้ด้อยกว่าหลี่จ้านเล็กน้อย อยู่ในระดับมกุฎยุทธ์ขั้นสาม แต่สามารถโดดเด่นออกมาจากอัจฉริยะมากมายได้ จักต้องมีฝีมือในการสู้ข้ามขั้นอย่างแน่นอน

“เจ้าอ่อนแอเกินไป! สามารถจัดการได้ภายในสามกระบวนท่า” หลี่จ้านหัวเราะเยาะ เขาบีบหมัดของตนเอง เสียงนิ้วดังลั่นเป๊าะ

“สามกระบวนท่า? เจ้าไม่กลัวจะหักหน้าตนเองหรืออย่างไร?”

ในฐานะอัจฉริยะ จางเฟิงเองก็เป็นผู้ที่โอหังไม่น้อย ถูกอีกฝ่ายไม่เห็นอยู่ในสายตาเช่นนี้ ความโมโหก็ได้ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าทันที

อาวุธต่อสู้ของจางเฟิงนั้นคือหอกยาวขั้นดินสูง ใช้พลังทั้งหมดในทันทีที่ลงมือ แสดงทักษะยุทธ์ระดับยิ่งเลิศออกมา

อัจฉริยะรุ่นใหม่ทุกคนที่สามารถโดดเด่นออกมาในแดนศักดิ์สิทธิ์นั้น ต่างก็ได้ฝึกวิชายุทธ์ในระดับยิ่งเลิศ นับว่าเป็นเรื่องที่แสนจะธรรมดา

เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีที่ดุเดือดและรุนแรงของจางเฟิง หลี่จ้านไม่ได้เห็นอยู่ในสายตาเลยสักนิด เขาต่อยออกไปหนึ่งหมัด ก็ได้ทำลายการโจมตีของอีกฝ่ายไป

จากนั้นหมัดที่สองก็ได้ต่อยออก กระแทกจนหอกยาวของจางเฟิงลอยปลิวออกไป ง่ามมือระหว่างนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ฉีกแตก

จากนั้นก็ไม่ได้ให้โอกาสจางเฟิงตอบโต้กลับเลยสักนิด เท้าข้างหนึ่งได้เตะลงไปบนหน้าอกของเขาอย่างจัง ร่างถูกเตะจนลอยปลิวออกไปในทันที หลังชนเข้ากับเกาะป้องกันที่อยู่รอบเวทีประลองอย่างเต็มแรง

“ข้ายอมแพ้……”

เห็นว่าหมัดของหลี่จ้านกำลังโจมตีเข้าหาตนอีกครั้ง สีหน้าของจางเฟิงก็เปลี่ยนไป และรีบกล่าวยอมแพ้ในทันที

ผู้คนที่อยู่ด้านล่างเวทีประลองต่างแสดงความคิดเห็นต่าง ๆ นานา จางเฟิงผู้นั้นเป็นอัจฉริยะที่มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์เชียวนะ อาศัยผลการฝึกตนในระดับมกุฎยุทธ์ขั้นสามเพียงพอที่จะต่อกรกับมกุฎยุทธ์ช่วงกลาง แต่ภายใต้เงื้อมมือของหลี่จ้าน กลับรับมือได้ไม่ถึงสามกระบวนท่า

หลังจากที่เอาชนะจางเฟิงได้อย่างง่ายดาย หลี่จ้านก็มองไปหาหลัวซิวด้วยความยิ่งยโส ในแววตาเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นของการต่อสู้

“ในเมื่อเจ้าอยากจะสู้กับข้าถึงขนาดนั้น งั้นข้าก็จะให้เจ้าสมปรารถนา”

หลัวซิวลุกขึ้นยืนบนแท่นบัวเพลิงหิมะอย่างสมาธิแน่วแน่ และกระโดดลอยตัวลงมา ร่างของเขาร่อนลงไปบนเวทีประลองยุทธ์ที่อยู่ด้านล่างอย่างนุ่มนวล

“คนผู้นี้เป็นใครกัน? ถึงได้กล้าประลองกับหลี่จ้าน?”

“สวรรค์ ข้าไม่ได้ดูผิดไปใช่ไหม? เจ้าหนุ่มชุดดำผู้นั้นมีผลการฝึกตนอยู่เพียงแค่ในระดับจักรพรรดิยุทธ์ขั้นเจ็ดเท่านั้น?”

“ฮ่า ๆ จักรพรรดิยุทธ์ขั้นเจ็ดกล้าท้าทายหลี่จ้าน? ไม่เท่ากับเป็นการรนหาที่ตายหรอกหรือ?”

“คนผู้นี้มีนามว่าหลัวซิว เหมือนว่าจะเป็นอัจฉริยะที่เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวแนะนำให้เข้าร่วมการประลองยุทธ์ น่าเสียดายที่ผลการฝึกตนต่างกันเกินไป ไม่มีทางที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของหลี่จ้าน”

รอบด้านของเวทีประลอง ผู้ชมต่างวิพากษ์วิจารณ์ไปต่าง ๆ นานา ไม่มีผู้ใดสนับสนุนการประลองในรอบนี้เลย

สำหรับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่อยู่โดยรอบ หลัวซิวฟังหูซ้ายทะลุหูขวา เขายืนอยู่บนประลองอย่างแน่วแน่เป็นธรรมชาติ ร่างกายที่ค่อนข้างจะผอมบาง เมื่อเทียบกับร่างบึกบึนกำยำของหลี่จ้าน ก็เป็นเหมือนดังผู้ใหญ่กับเด็ก

เขาก้าวเท้าเดินมายังด้านหน้าของหลี่จ้าน ความสูงของเขาถึงบริเวณหน้าอกของหลี่จ้านเท่านั้น แขนเพียงข้างเดียวของอีกฝ่าย ใหญ่กว่าต้นขาของตนเสียอีก

ในตอนนี้ บนเวทีประลองยุทธ์อื่น ๆ ก็คึกคักเร่าร้อน ดุเดือดเป็นพิเศษ มีการป้องกันจากเกราะป้องกัน ควันหลังจากการต่อสู้ต่างถูกควบคุมให้อยู่ในบริเวณเวทีประลองยุทธ์เป็นอย่างดี จะไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ชมที่อยู่ด้านนอกอย่างแน่นอน

ทว่าสถานการณ์ในกลุ่มที่สาม กลับได้ดึงดูดสายตาของผู้คนจำนวนมาก มีคนได้สังเกตเห็น สี่เจ้ายุทธจักรผู้สูงส่ง ก็ได้มองมายังทางด้านนี้

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 592
ผู้ที่มีคุณสมบัติมาเข้าร่วมการแข่งขัน อย่างน้อยก็เป็นอัจฉริยะที่มาจากกองกำลังใหญ่ชั้นหนึ่ง อัจฉริยะเหล่านี้เมื่ออยู่ในตระกูลสำนักของตนนั้น มักรู้สึกว่าตนเหนือผู้อื่นอยู่เสมอมา

ทว่าเมื่อผ่านการแข่งขันแค่เพียงในครั้งแรกนี้ กลับทำให้คนพวกนี้เข้าใจว่า อย่าว่าแต่กองกำลังใหญ่ชั้นหนึ่งที่มีผู้แข็งแกร่งเจ้ายุทธจักรประจำการอยู่เลย แม้แต่ผู้สืบทอดของแดนศักดิ์สิทธิ์ธรรมดาเหล่านั้น เมื่ออยู่ต่อหน้าอัจฉริยะของสุดยอดแดนศักดิ์สิทธิ์ ก็ไม่นับอะไรเลยสักนิด

ในขณะเดียวกันนั้น หลัวซิวยังสังเกตเห็นว่า เหล่าอัจฉริยะที่ได้ยืนอยู่บนแท่นบัวเพลิงอัคคีแล้วพวกนั้น หลายคนที่มองพวกคนที่ใช้กำลังสุดชีวิตต่อต้านพลังกดดันและเดินอย่างยากลำบาก ในสายตาเต็มไม่ด้วยความดูถูกเหยียดหยาม

“คิดว่าตนเหนือกว่า มองผู้อื่นด้วยสายตาเหมือนดั่งก้มมองมด แต่กลับหารู้ไม่ว่าในสายตาของผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง อย่างพวกเขานั้น ก็เป็นแค่มดเหมือนกันไม่ใช่หรอกหรือ?”

หลัวซิวทอดถอนใจอย่างเงียบ ๆ ส่ายหน้าเล็กน้อย แล้วหลับตาลง นั่งขัดสมาธิอยู่บนแท่นบัวเพลิงอัคคี

นี่เพียงแค่รอบแรกเท่านั้น ก็ได้มีผู้คนตกรอบไปกว่าครึ่งแล้ว บนแท่นบัวเพลิงอัคคีร้อยแท่นในเวลานี้ หนุ่มสาวบางคนยืนอยู่อย่างภาคภูมิใจ บางคนก็ได้นั่งขัดสมาธิลง สายตาแต่ละคู่ต่างมองไปที่เจ้ายุทธจักรอัคคีผู้ที่ดำเนินการงานประลองยุทธ์ในครั้งนี้

เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวยิ้มเบา ๆ เขายกมือขึ้นอย่างช้า ๆ และสร้างพลังตราประทับขึ้นมา

เพียงชั่วพริบตา อัจฉริยะรุ่นใหม่ร้อยคนที่อยู่บนแท่นบัวเพลิงอัคคี ก็รู้สึกว่าพลังฟ้าดินจิตที่อยู่บริเวณรอบ ๆ ได้เข้มข้นขึ้นมาหลายเท่าในทันที ภายใต้สภาพแวดล้อมเช่นนี้ สามารถฟื้นฟูพลังจิตแท้ที่สูญเสียไปได้อย่างรวดเร็ว

“คนผู้นี้เองหรือคือหลัวซิว?” บนแท่นบัวเพลิงอัคคีแห่งหนึ่ง บุรุษหนุ่มในชุดสีเลือดจ้องมองหลัวซิวด้วยสีหน้าบึ้งตึง

บุรุษหนุ่มในชุดสีเลือดผู้นี้มีนามว่าลี่ซู่เป็นพี่ชายของลี่หยวนที่ถูกหลัวซิวทำร้านจนได้รับบาดเจ็บในภัตตาคารเทียนอี

ในตอนที่ลี่ซู่มองมาที่หลัวซิวนั่นเอง หลัวซิวก็สัมผัสได้ เขาพลันหันหน้าขวับ และสบตาเข้ากับสายตาของลี่ซู่พอดี

พบว่าอีกฝ่ายสวมเครื่องแต่งกายของแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด หลัวซิวก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย

แต่การหันหน้าอย่างกะทันหันของเขา ก็ได้ทำให้ลี่ซู่ตะลึงเล็กน้อย “คนผู้นี้สามารถเอาชนะลี่หยวนน้องชายของข้าได้ กระแสสัมผัสว่องไวไม่เบา สัมผัสได้แม้กระทั่งว่าสายตาของข้าตกอยู่บนร่างกายของมัน”

“พวกเจ้าทั้งหนึ่งร้อยคน ให้แบ่งเป็นสิบกลุ่ม กลุ่มละสิบคน แบ่งไปประลองกันบนเวทีประลองยุทธ์ที่อยู่ด้านล่างทั้งสิบเวทีตามลำดับ”

เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวเอ่ยปากกล่าวอย่างช้า ๆ ยกมือขึ้นโบกสะบัด แท่นบัวเพลิงอัคคีที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของทุกคนก็ได้เริ่มเคลื่อนที่ บนแต่ละเวทีประลองยุทธ์ มีแท่นบัวเพลิงอัคคีลอยอยู่สิบแท่น รวมเป็นหนึ่งกลุ่ม

จากตะวันตกไปตะวันออก เรียงตามลำดับจากหนึ่งถึงสิบ หลัวซิวอยู่ในกลุ่มที่สาม

ทุกคนต่างพิจารณาดูคู่แข่งทั้งเก้าคนของตนเอง รายชื่อผู้ผ่านเข้ารอบของแดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นล่างมีเพียงยี่สิบคนเท่านั้น แบบนี้ก็หมายความว่า สองอันดับแรกของแต่ละกลุ่ม ถึงจะมีความหวังเข้าฝึกตนในแดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นล่าง

ทันใดนั้นเอง เสียงดังสนั่นเหมือนดั่งฟ้าผ่าได้ดังลอยมาจากท้องฟ้าสูงที่อยู่ห่างไกลออกไป รถม้าปีกฟ้าที่เปล่งประกายดั่งสายฟ้าคันหนึ่งก็ได้ลอยมาในอากาศ ที่ลากรถม้านั้นคืออสูรอัสนีสามตัว แผ่ซ่านรัศมีอันแข็งแกร่งที่ดูหมิ่นใต้หล้าออกมา

“ช่างเป็นกระแสพลังที่น่ากลัวยิ่งนัก แค่อสูรอัสนีทั้งสามตัวที่ลากรถม้า เกรงว่าคงเทียบได้กับผู้แข็งแกร่งระดับมหายุทธ์อสูรยักษ์ระดับห้าแล้ว!”

“เป็นบุคคลใหญ่โตของเขาว่านเหลยมาแล้ว!”

“ว่ากันว่าเขาว่านเหลยเป็นหนึ่งในแดนศักดิ์สิทธิ์ของอาณาจักรตะวันตก มีผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ประจำการอยู่หลายท่าน”

ผู้คนจำนวนมากที่ทราบที่มาที่ไปของอสูรอัสนีและรถม้าปีกฟ้าคนนี้ และต่างใช้ตัวสำนึกสื่อสารกันเป็นการส่วนตัว วิพากษ์วิจารณ์กันไปมา

“เขาว่านเหลย?” หลัวซิวได้ยินสถานที่แห่งนี้เป็นครั้งแรก

รถม้าปีกฟ้าอสูรอัสนีไม่ได้ลงจอด แต่ได้จอดอยู่ในกลางอากาศที่ห่างไกลออกไป

จากนั้น แดนศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ จากสี่อาณาจักรใหญ่ ต่างก็ได้มีผู้แข็งแกร่งมาด้วยตนเอง เพื่อชมการประลองยุทธ์ในครั้งนี้

พวกบุคคลใหญ่โตที่มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นตั้งแต่แรก ในตอนนี้การประลองยุทธ์กำลังจะเริ่มขึ้น พวกเขาถึงได้ปรากฏตัว

สำหรับพวกผู้แข็งแกร่งจากที่ต่าง ๆ ที่มาชมการประลองยุทธ์เหล่านี้ สี่เจ้ายุทธจักรที่มีเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวเป็นผู้นำก็ไม่ได้มีการแสดงออกใด ๆ จากนั้นเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวก็ได้ยกมือขึ้นโบกสะบัด “การประลองยุทธ์เริ่มขึ้น ณ บัดนี้!”

เวทีประลองยุทธ์สิบเวที แต่ละเวทีมีผู้แข่งขันสิบคน กฎในการแข่งขันนั้นก็ง่ายมาก ทุกคนต่างสามารถเสนอตัวเป็นผู้รับคำท้า เพื่อรับคำท้าประลองจากคนอื่น ๆ สุดท้ายผู้ท้าประลองเพียงหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่บนเวที ก็จะสามารถเข้าสู่รอบที่สองได้

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 591
ในตอนนี้นั่นเอง เสียงหยาบกระด้างก็ได้ดังลอยเข้ามาในหูของเขา “หลัวซิว เจ้าต้องแพ้อย่างแน่นอน!”

หลัวซิวหันไปมอง พบว่าคนที่พูดประโยคนี้ออกมานั้น คือบุรุษหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหลังเจ้ายุทธจักรพลานุภาพต้วนฉือเทียน เมื่อตอนอยู่ด้านในสำนักหลัวเทียนนั่นเอง จำได้อย่างเลือนรางว่ามีนามว่าหลี่จ้าน เป็นอัจฉริยะที่มาจากอาณาจักรเหนือ

“ประหลาดคนเสียจริง” สิ่งที่หลี่จ้านกล่าวออกมานั้น ทำให้หลัวซิวมีสีหน้าประหลาดใจขึ้นมา ตนไม่เคยล่วงเกินบุรุษผู้นี้ ทำไมเขาถึงได้บอกว่าตนจักต้องแพ้แน่?

เมื่อครุ่นคิดมาถึงตรงนี้ หลัวซิวก็คร้านที่จะไปสนใจเขา และได้เดินตรงไปยังแท่นบัวเพลิงอัคคี

เมื่อเห็นว่าหลัวซิวไม่สนใจตน หลี่จ้านคิดว่าอีกฝ่ายไม่เห็นตนอยู่ในสายตา ร่องรอยของความโมโหปรากฏออกมาจากคิ้วหนาและดวงตากลมโต

ตูมมมม!

เห็นเพียงหลี่จ้านพลันก้าวเท้าออกมา ฝ่าเท้าเหยียบลงไปบนอากาศ เกิดเสียงดังกระหึ่มเหมือนระเบิดขึ้นมา ร่างกายเป็นเหมือนดั่งลูกกระสุนปืนใหญ่ที่พุ่งออกจากกระบอก

“ข้าเคยบอกแล้ว เจ้าจะต้องแพ้ให้กับข้าแน่!”

เมื่อเสียงของหลี่จ้านดังข้ามาในหูอีกครั้ง หลัวซิวอดไม่ได้ที่จะตะลึงงัน สีหน้าหม่นหมองลง

เพราะเจ้าคนนั้นพลันเพิ่มความเร็ว เพียงพริบตาเดียวก็ได้ขึ้นไปยึดครองแท่นบัวเพลิงอัคคีที่ตนกำลังจะไป

ไม่เพียงแย่งแท่นบัวเพลิงอัคคีของตน เจ้าคนนี้ยังยโสโอหังเหมือนว่ามันเป็นผู้ชนะอย่างไรอย่างนั้น หากไม่ใช่เพราะกฎในรอบแรกกำหนดอย่างชัดเจนแล้วว่าห้ามลงมือ หลัวซิวจะต้องทำให้เจ้าคนนี้ได้รู้อย่างแน่นอนว่าทำไมดอกไม้ถึงได้แดงแบบนั้น!

สำหรับการกระทำที่ผิดปกติของหลี่จ้าน หลัวซิวก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เจ้ายุทธจักรพลานุภาพต้วนฉือเทียนไม่ถูกกันกับเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิว นี่เป็นเรื่องที่ต่างก็รู้กันโดยทั่วไป ดังนั้นถึงได้คิดเป็นอันดับแรกว่า เป็นเพราะเรื่องนี้หลี่จ้านถึงได้หาเรื่องตน

“เจ้าตัวใหญ่ ทางที่ดีเจ้าจะต้องรู้สึกโชคดีที่ไม่ตกอยู่ในเงื้อมมือของข้า” หลัวซิวบดฟันกรามเล็กน้อย จากนั้นก็เลือกแท่นบัวเพลิงอัคคีแทนอื่นแล้วเดินเข้าไป

การเคลื่อนไหวเช่นนี้ของหลัวซิว ทำให้ชายที่หยาบคายอย่างหลี่จ้านชะงักไปเล็กน้อย ตามความคิดของเขา หลัวซิวผู้นี้จะต้องถกเถียงกับเขาถึงจะถูก

“ช่างยโสโอหังยิ่งนัก ข้าอยากจะรู้เหมือนกันว่าเจ้าจะอาศัยผลการฝึกตนจักรพรรดิยุทธ์เทียบเคียงกับข้าหลี่จ้านได้อย่างไร!” หลัวซิวถูกหลี่จ้านจัดให้อยู่ในกลุ่มคนที่ยโสโอหังที่สุด แต่หารู้ไม่ว่าที่หลัวซิวเป็นเช่นนี้ เพราะเขาไม่รู้เลยว่าตนเป็นคนสำคัญในการเดิมพันของจ้ายุทธจักรทั้งสอง

ภายในเมืองหลัวเทียน ผู้คนที่มาชมการประลองยุทธ์ในครั้งนี้นั้นมีจำนวนมาก แต่ที่เข้าร่วมการประลองจริง ๆ นั้นมีเพียงเหล่าอัจฉริยะรุ่นใหม่ที่มีจำนวนน้อยมาก

เมื่อมีคนจำนวนมาก ก็ต้องหลีกเลี่ยงการวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้เป็นธรรมดา โดยเฉพาะพวกอัจฉริยะที่มีเชื่อเสียงเอามากเหล่านั้น ยิ่งมีการเอ่ยถึงมากที่สุด

“เห็นเจ้าคนนั้นหรือยัง? คนที่สวมชุดดำคนนั้น ได้ยินว่าเมื่ออยู่ที่ภัตตาคารเทียนอีไม่กี่วันก่อน เขาได้ทำร้ายลูกศิษย์ของแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดจนตายหนึ่งคนและบาดเจ็บอีกหนึ่งคน!”

“ว่าอย่างไรนะ? คนของแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดตายหนึ่งคนและบาดเจ็บอีกหนึ่งคน? คนของแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดไม่เคยยอมเสียเปรียบแต่ไหนแต่ไรมาเชียวนะ”

สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นที่ภัตตาคารเทียนอี ผู้คนส่วนมากต่างก็รับรู้ แต่คนที่รู้ว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือของหลัวซิวนั้นกลับมีไม่มาก

พวกอัจฉริยะรุ่นใหม่ที่ได้ยึดครองแท่นบัวเพลิงอัคคีแห่งหนึ่งไปแล้วนั้น ต่างก็ได้มองมาที่หลัวซิว และคอยจับตามองอย่างเงียบ ๆ

เพราะไม่ว่าอย่างไรคนที่กล้ามีเรื่องกับพวกวิปริตอย่างแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดพวกนั้น จักต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

ครั้งนี้ไม่มีพิจารณาลี่จ้านผู้นั้นมาก่อกวน หลัวซิวได้เดินไปถึงแท่นบัวเพลิงอัคคีแห่งหนึ่งได้อย่างราบรื่น

เขานั่งขัดสมาธิลง และมองสายตาไปรอบ ๆ พบว่าแท่นบัวเพลิงอัคคีส่วนมากต่างก็มีคนอยู่บนนั้นแล้วมีเพียงแท่นบัวเพลิงอัคคีส่วนน้อยที่ยังว่างอยู่ อัจฉริยะหนุ่มสาวมากมายต่างใช้พลังทั้งหมดต่อต้านพลังกดดัน เพื่อขยับเข้าใกล้แท่นบัวเพลิงอัคคีอย่างต่อเนื่อง

ใช้สายตามอง ไม่อาจทราบได้ว่าฝีมือของใครคนหนึ่งนั้นแข็งแกร่งหรืออ่อนแอ แม้ว่าหลัวซิวจะมีกระแสสัมผัสพลังชีวิต ก็ทราบดีว่าถึงแม้พลังชีวิตของคนคนหนึ่งจะสูงส่งเพียงใด ก็ไม่ได้หมายความว่าคนคนนั้นจะมีฝีมือที่แข็งแกร่ง

จนกระทั่งผ่านไปหนึ่งก้านธูป แท่นบัวเพลิงอัคคีทั้งหนึ่งร้อยกว่าแท่นต่างมีเจ้าของ หลัวซิวสังเกตเห็นว่าลู่เมิ่งเหยาเองก็ผ่านด่านเข้ามาได้เช่นเดียวกัน ในตอนที่เขามองไป นางก็ได้มองมาเช่นเดียวกัน

เขาเห็นลู่เมิ่งเหยามองมาทางเขาพร้อมกับยิ้มและพยักหน้า เขาก็ยิ้มตอบ

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 590
เมื่อเห็นว่าสองสามคนแรกที่ทำการเคลื่อนไหวประสบความสูญเสีย จู่ ๆ ก็มีคนร้องตะโกนเพื่อเตือนเพื่อนของพวกเขา

บางคนไม่เชื่อในความร้ายกาจ พวกเขาบินขึ้นไปในอากาศด้วยพละกำลังทั้งหมด แต่ยิ่งเร่งความเร็วเท่าไร ก็ยิ่งล้มหนักขึ้นเท่านั้น บางคนถึงกับกระอักเลือดและหมดสติไปทันที

ผู้คนนับสิบตกลงมาในพริบตา แต่พวกที่ผลการฝึกตนค่อนข้างแข็งแกร่ง สามารถจ้องมองที่ความกดดันจากอากาศ ค่อย ๆ ดึงตัวเองให้สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ ค่อย ๆ เข้าใกล้กับตำแหน่งของแท่นบัวเพลิงอัคคี

ช่องว่างของพลังผลการฝึกตน ในเวลานี้ประจักษ์ชัดที่สุด แรงกดดันจากเบื้องบนนั้น นอกจากจะต้องใช้ผลการฝึกตนจำนวนหนึ่งเพื่อต่อต้าน ต้องมีความเข้าใจในขอบเขตของโลกยุทธ์เอง ซึ่งเป็นระดับที่สูงมากอีกด้วย

ร่างหนึ่งสวมชุดสีแดงเพลิง ดูเหมือนว่าแม่หญิงประหลาดคนนี้จะไม่ได้รับผลกระทบจากแรงกดดันจากอากาศเลย ในไม่ช้านางก็บินไปที่แท่นบัวเพลิงอัคคีที่ใกล้ที่สุด

“องหญิงเล็กเซวียนเซวียนแห่งตำหนักอัคคีนภา!”

มีคนรู้จักตัวตนของแม่หญิงประหลาดคนนี้ และตำหนักอัคคีนภา ก็คือหนึ่งในห้าแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งอาณาจักรใต้

“ทำไมความแตกต่างถึงได้มากเช่นนี้?”

หนุ่มสาวหลายคนที่มาประลองยุทธ์ด้วยความมั่นใจย่อมเกิดความรู้สึกเช่นนั้นขึ้นในใจ ในบรรดากองกำลังที่พวกเขาเป็นสมาชิก อาจกล่าวได้ว่าพวกเขาได้ถือรัศมีของอัจฉริยะตั้งแต่เด็กยันโต แต่เมื่อเทียบกับอัจฉริยะเหล่านั้นจากแดนศักดิ์สิทธิ์แล้ว ไม่มีทางเทียบได้เลย

การรวมตัวกันแข่งขันของเหล่าอัจฉริยะ จะทำให้อัจฉริยะหลายคนถูกกระตุ้นเป็นสองเท่าตัว

“ซางหลัน กล้าแข่งกับข้าเสียหน่อยหรือไม่?”

ชายหนุ่มชุดดำ ใบหน้านิ่งเรียบพูดขึ้นด้วยความเย็นชา

ณ บริเวณใกล้ ๆ ชายหนุ่มชุดดำ ซางหลันสวมชุดสีม่วงที่เคยปรากฏตัวที่ภัตตาคารเทียนอีมีใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มเขายิ้มโดยไม่พูดอะไรสักคำ

“หยางเสวียน ในเมื่อเจ้าอยากแข่ง แข่งเสียหน่อยก็ไม่ได้เสียหายอะไร” ซางหลันพูดพร้อมรอยยิ้ม

ทันทีที่สิ้นเสียงนั้น ทั้งสองออกตัวพร้อม ๆ กันความเร็วราวกับปีศาจ สองหรือสามลมหายใจ พวกเขาได้ปรากฏบนแท่นบัวเพลิงอัคคีแล้ว

อัจฉริยะรุ่นเยาว์ได้ครอบครองแท่นบัวเพลิงอัคคีทีละคน ๆ มีหลายคนที่ค่อนข้างโดดเด่นออกมา

หลัวซิวเมื่อบินขึ้นไปถึงกลางอากาศ ก็รับรู้ได้ถึงความกดดันนั้น และความแข็งแกร่งของความกดดันนี้ ต่อให้เป็นจอมยุทธ์แดนมกุฎยุทธ์ก็ยังยากต่อการทรงตัว

อย่างไรก็ตาม ความกดดันระดับนี้ สำหรับหลัวซิวแล้วไม่ได้ถือเป็นปัญหาอะไร ในตอนนั้นที่เดินขึ้นไปบนสำนักหลัวเทียนเขาได้เดินต้านพลังลมปราณของอนาคินพรีเมี่ยมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสี่ขึ้นไปด้วยซ้ำ

“รอบแรกนี้เพิ่งเริ่มต้น ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบไป”

หลัวซิวไม่ได้ไปอย่างเร็วที่สุดเพื่อครอบครองแท่นบัวเพลิงอัคคีก่อน และไม่มีความคิดที่จะเป็นจุดเด่นในเวลาเช่นนี้

เขาไม่ได้เคลื่อนไหวเร็วมาก แต่ดูเหมือนไม่รีบร้อน ลักษณะการเดินเหมือนเดินชมทิวทัศน์ในสวนหลังบ้าน มันทำให้คนรู้สึกคาดเดาไม่ได้

มีชายหนุ่มรุ่นเยาว์มากมายที่อยู่ไม่ไกลจากแท่นบัวเพลิงอัคคีแล้ว แต่ร่างกายเหมือนเต็มไปด้วยตะกั่วและเคลื่อนไหวลำบาก ที่หลังเหมือนถูกกดทับด้วยภูเขา หายใจยากลำบาก สีหน้าหน้าแดงก่ำ

เมื่อหลัวซิวเดินผ่านหญิงสาวที่มีใบหน้าแดงก่ำ และก้าวไปข้างหน้าด้วยความยากลำบาก หญิงสาวเบิกตากว้าง “สบายเช่นนี้เลยหรือ? เจ้าหมอนี่ใช่คนหรือเปล่า?”

เมื่อจิตใจแปรปรวน ทันใดนั้นหญิงสาวก็ทนความกดดันที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นี้ไม่ได้ ร่างกายตกลงไปที่ด้านล่างอย่างรวดเร็ว

เมื่อหลัวซิวเดินขึ้นไป แท่นบัวเพลิงอัคคีร้อยแท่นยังเหลืออีกมากมาย เขาเหลือบมองแท่นหนึ่งโดยการสุ่ม จากนั้นก็สาวเท้าเดินบนอากาศตรงไปยังเป้าหมาย

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 589
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีหลายสิ่งเกิดขึ้นมากเกินไป และร่องรอยของความรักที่งอกเงยขึ้นในอดีตก็ค่อย ๆ จางหายไปมากตามกาลเวลา

หลังจากที่คิดดูแล้ว หลัวซิวก็ตัดสินใจเล่าเรื่องที่เจอกับเมิ่งเหยาให้เหยียนเยว่เอ๋อร์ฟัง

สำหรับลู่เมิ่งเหยาคนนี้ เหยียนเยว่เอ๋อร์ก็เคยได้ยินหลัวซิวพูดถึงอยู่บ้าง ยังรู้อีกว่าก่อนที่จะรู้จักตน หลัวซิวได้เคยมีความรู้สึกเล็กน้อยกับนาง

เพียงว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองยังไม่ทันได้พัฒนา ลู่เมิ่งเหยาก็ถูกผู้แข็งแกร่งปริศนาคนหนึ่งพาตัวไป นานหลายปีที่จากกันโดยไม่มีการติดต่อ และไม่มีข่าวคราวใด ๆ

“หลัวซิว เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า ในเมื่อลู่เมิ่งเหยาถูกหนึ่งในสี่เจ้ายุทธจักรอย่างเจ้ายุทธจักรหยกนาราพาตัวไป ผ่านไปเนิ่นนานหลายปี ทำไมนางจึงไม่ติดต่อเจ้ามาเลย?” เหยียนเยว่เอ๋อร์ได้ฟังจบ ก็พูดสิ่งที่ตนสงสัยออกมา

คำถามนี้ เป็นสิ่งเดียวกับที่หลัวซิวเองก็ยังสงสัย ตอนแรกยังคิดอยู่ว่าบางทีอาจเพราะว่าเจ้ายุทธจักรหยกนาราได้จำกัดอิสระของลู่เมิ่งเหยาบางอย่าง

แต่เมื่อดูจากท่าทางที่ปฏิบัติต่อลู่เมิ่งเหยาของเทพธิดาหานยู่ราวกับเป็นศิษย์กับอาจารย์ ไม่เหมือนกับคนที่ถูกจำกัดอิสระ

หลายปีมานี้ เขาใช้ชีวิตโลดแล่นอยู่ในประเทศเทียนหวูอยู่ตลอด หากลู่เมิ่งเหยาต้องการจะตามหาเขาจริง ๆ มันก็เป็นเรื่องที่ง่ายมากที่จะหาเขาพบ

แต่ในความเป็นจริง ตลอดหลายปีมานี้ ต่างก็ไม่มีข่าวคราวอะไรแม้แต่น้อย

คน ต่างก็ต้องเปลี่ยนแปลง ผู้คนที่แตกต่างกัน สภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน จิตใจของผู้คนก็จะได้รับผลกระทบและเปลี่ยนแปลงเช่นกัน

คำพูดพวกนี้เหยียนเยว่เอ๋อร์ไม่ได้พูดออกมา ถึงอย่างไรลู่เมิ่งเหยาก็ถือเป็นรักแรกของหลัวซิว มีบางคำพูดที่ไม่ควรพูดออกมาตรง ๆ

วันเวลาผ่านไปแค่เพียงพริบตาเดียว อัจฉริยะรุ่นเยาว์ทุกคนต่างก็มารวมตัวกันที่ในเมืองหลัวเทียน ทุกคนต่างได้ปรับจิตวิญญาณของพวกเขาให้อยู่ในสภาพที่ดีที่สุด

ที่ใจกลางเมืองหลัวเทียน สร้างเวทีประลองยุทธ์ชั่วคราวขึ้นหลายแห่ง โดยมีเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวเป็นผู้นำ สี่เจ้ายุทธจักรมาพร้อมกัน!

หัวหน้าลาดตระเวนทั้งสี่ท่านนี้ เรียกได้ว่าเป็นยักษ์ใหญ่แห่งสี่อาณาจักรใหญ่ ทุกคนต่างมีแสงสว่างอยู่รอบ ๆ มีร่องรอยของอำนาจบารมีเล็กน้อยกระจายอยู่รอบ ๆ ตัว

ใกล้ ๆ เวทีประลองยุทธ์ มีคนมารวมตัวกันจำนวนมาก ในวินาทีที่สี่เจ้ายุทธจักรปรากฏตัวขึ้น ทุกคนรู้สึกถึงแรงกดดันของลมปราณ กลั้นหายใจโดยที่ยังรู้สึกตัว ทั่วทั้งพื้นที่นั้นเงียบสงัด

“การเปิดแดนศักดิ์สิทธิ์ครั้งนี้ การประลองยุทธ์ถูกจัดขึ้นที่เมืองหลัวเทียนของข้า ข้าจึงได้มาเป็นประธานด้วยตนเอง”

บนเมฆสูงกลางอากาศ เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวค่อย ๆ เอ่ยปากพูดทีละประโยค ทันใดนั้นเขาก็ยกมือขึ้นโบก บนท้องฟ้าเหนือเวทีประลองยุทธ์สูง แท่นบัวเพลิงอัคคีที่เกิดจากเปลวไฟที่ควบแน่นปรากฏขึ้น

เมื่อสังเกตดูแล้ว แท่นบัวเพลิงอัคคีเหล่านี้มีจำนวนไม่มากไม่น้อย ประมาณหนึ่งร้อยพอดี

เผชิญกับสายตาสงสัยของนักยุทธ์มากมายที่อยู่เบื้องล่าง เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวก็ไม่ได้อธิบายแต่อย่างใด พูดต่อด้วยเสียงราบเรียบ “ก่อนประลองยุทธ์คือการคัดออกรอบที่หนึ่ง ใครสามารถขึ้นมานั่งบนแท่นบัวเพลิงอัคคีได้ จึงจะมีคุณสมบัติเข้าสู่รอบที่สอง อีกทั้งยังตลอดกระบวนการห้ามมีการต่อสู้ มิเช่นนั้นจะถูกคัดออกทันที!”

ทันทีที่คำกล่าวนี้ออกมา ฝูงชนด้านล่างก็โกลาหล เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครคาดคิดว่าเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวจะคิดวิธีการคัดคนออกได้แปลกประหลาดเช่นนี้

เพราะการเปิดของแดนศักดิ์สิทธิ์ครั้งนี้ การประลองยุทธ์ครั้งนี้ดึงดูดอัจฉริยะรุ่นเยาว์ราว ๆ 300 คน และนี่เป็นเพียงแค่รอบแรกเท่านั้น ก็จะคัดออก 200 คนในทันทีเลยหรือ?

เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวยิ้มอ่อน โบกมือเบา ๆ “เอาล่ะ ตอนนี้ก็เริ่มได้ เมื่อใดที่ที่นั่งบนแท่นบัวเพลิงอัคคีครบหนึ่งร้อยที่ถือเป็นอันสิ้นสุด!”

เสียงของเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวเพิ่งจบลงไป เหล่าอัจฉริยะรุ่นเยาว์ทุกคนด้านล่างก็ไม่อาจรอคอยต่อไปได้ พากันสำแดงวิชา บินไปทางแท่นบัวเพลิงอัคคีที่ลอยอยู่กลางอากาศด้วยความเร็วสูงสุด

แท่นบัวเพลิงอัคคีมีเพียงแค่หนึ่งร้อยอัน อีกทั้งกติกาคือไม่สามารถต่อสู้ได้ แน่นอนว่าความเร็วของใครเร็วที่สุด ก็จะสามารถยึดครองพื้นที่ได้

อย่างไรก็ตาม คนเหล่านี้มักมองข้ามบางอย่างที่แน่นอนไป เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวเป็นคนตั้งกฎการทดสอบด้วยตนเอง มันจะง่ายดายเช่นนั้นได้อย่างไร?

ชายหนุ่มหลายคนที่คิดว่าพวกเขาเก่งเรื่องความเร็วเพิ่งจะบินขึ้นไป และจู่ ๆ แรงกดดันมหาศาลก็ถูกส่งผ่านมาถึงหัวของพวกเขา,คนเหล่านี้ไม่ทันระวังและตกลงมาจากอากาศเหมือนกับเกี๊ยว แตกกระจายเป็นชิ้น ๆ

“ทุกคนระวังตัวด้วย การทดสอบในรอบแรกไม่ได้ง่ายดายเช่นนั้น”

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 588
“เจ้าก็ไม่ต้องถ่อมตัวไป เรื่องของเจ้าข้าก็ได้ทำความเข้าใจมาไม่น้อย ในตอนที่เจ้าอยู่ที่แดนราชายุทธ์ ก็สามารถข้ามแดนไปฆ่าจักรพรรดิยุทธ์ เมื่อถึงแดนจักรพรรดิยุทธ์ก็สามารถข้ามแดนไปฆ่ามกุฎยุทธ์ได้ ถึงแม้จะบอกว่าอัจฉริยะเหล่านั้นกองกำลังใหญ่ต่าง ๆ ไม่ใช่มกุฎยุทธ์ธรรมดาที่สามารถเปรียบเทียบได้ แต่ข้ากลับรู้สึกว่า เจ้าแข็งแกร่งกว่าพวกเขาเสียอีก!”

แววตาของเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวสั่นเป็นประกาย หลังจากผลการฝึกตนบรรลุถึงแดนของเขาในตอนนี้ เขาก็เชื่อในสัญชาตญาณของตัวเองเป็นอย่างมาก แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าหลัวซิวคนนี้ที่มีเพียงผลการฝึกตนแดนจักรพรรดิยุทธ์ มีสิ่งมหัศจรรย์แฝงอยู่ใดกันแน่

“ตราบใดที่เจ้าสามารถชนะที่หนึ่งได้ นอกเหนือจากผลประโยชน์ของเจ้าเอง ข้าในฐานะผู้แนะนำของเจ้า ก็จะได้รับประโยชน์บางอย่างเช่นกัน”

“ข้าก็เข้าใจดีถึงความกังวลของเจ้า ไม่อยากโดดเด่นจนกลายเป็นเป้าหมายของทุกคน ในจุดนี้ข้าข้าสามารถมอบสิ่งทดแทนให้เจ้าได้”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ โดยพื้นฐานระหว่างเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูกับชิวหลัวซิวก็ถึงว่าได้วางไพ่หมดหน้าตักแล้ว เห็นเขาค่อย ๆ กางยื่นมือออกมา กลางฝ่ามือของเขา เปลวไฟกลุ่มหนึ่งลุกโชนขึ้น

นี่คือเปลวไฟเย็นสีน้ำเงิน วินาทีที่มันปรากฏขึ้นมานั้น อุณหภูมิทั่วทั้งภายในสำนักหลัวเทียนก็ลดลงโดยทันที ชั้นของน้ำค้างแข็งยังก่อตัวเป็นชั้นบนพื้นอีกด้วย

“ภูตอัคคีเปลวเยือก?” หลัวซิวดวงตาของเขาหรี่ลงด้วยความแปลกใจ

ในชื่อของมัน มีคำว่าภูตอัคคี ที่มาของเปลวเพลิงนี้ ย่อมปรากฏชัดโดยธรรมชาติ

ภูตอัคคีทุกช่อ ล้วนเป็นสมบัติล้ำค่าที่หาได้ยากในโลกนี้ ไม่รู้ว่าผู้แข็งแกร่งมากมายเพียงใดที่ต้องการใช้ภูตอัคคี บางทีใช้เวลาทั้งชีวิต เดินทางผ่านแม่น้ำนับพันสาย ภูเขานับพันลูก ก็อาจจะไม่พบร่องรอยของภูตอัคคีแม้สักนิดเดียวเลยก็ได้

ภูตอัคคีทุกชนิดต่างก็มีความสามารถที่เป็นเอกลักษณ์ ความสามารถของภูตอัคคีกลืนกินคือเผาผลาญทุกสิ่งให้กลายเป็นความว่างเปล่า ด้วยพลังทำลายล้างที่ทรงพลัง

ส่วนภูตอัคคีเปลวเยือกในมือเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวนั้น ดูเหมือนเย็นยะเยือก อันที่จริงอุณหภูมินั้นสูงจนน่ากลัว สาเหตุของปรากฏการณ์ประหลาดนี้ก็คือ ภูตอัคคีดูดซับความร้อนรอบ ๆ หลังจากสูญเสียความร้อนไปจะกลายเป็นพลังแห่งความหนาวเย็นสุดขั้ว

“นี่คือสิ่งชดเชยของข้า?” มุมปากของหลัวซิวกระตุก อนาคินพรีเมี่ยมยุทธ์คนนี้ไม่ธรรมดาจริง ๆ ทุกครั้งที่เอาอะไรออกมา หากไม่ใช่สมบัติระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น9 ก็คือภูตอัคคีซึ่งเป็นระดับสมบัติหายากทั้งนั้น

เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวสามารถดูออกว่าหลัวซิวนั้นตื่นเต้น จึงได้ยิ้มมุมปาก “เจ้ามีพลังไสยอัคคี สามารถเอาภูตอัคคีเปลวเยือกหลอมรวม และถ้าข้าคาดเดาไว้ถูกต้อง เจ้ามีภูตอัคคีอีกตัวในร่างกายของเจ้า หลอมรวมพลังของสองภูตอัคคีใหญ่ คนจากแดนเดียวกันที่สามารถแข่งขันกับเจ้าก็คงจะหาได้ยาก”

สำหรับเรื่องที่เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวรู้เรื่องภูตอัคคีในกายของตนนั้น หลัวซิวไม่ได้แสดงความรู้สึกประหลาดใจออหมา เพราะเวลาที่เขาต่อสู้กับคนอื่น ๆ ก็มีการใช้พลังของภูตอัคคีกลืนกิน รวมถึงอนาคินผู้แข็งแกร่งท่านนี้ยังเป็นเจ้ายุทธจักรอัคคี สำหรับลมปราณของเปลวเพลิงนั้นเขาสามารถสัมผัสได้ไวกว่าผู้อื่น สามารถรับรู้ได้นั้นก็ถือเป็นเรื่องปกติ

หลังจากออกมาจากสำนักหลัวเทียน หลัวซิวรู้สึกว่าตนนั้นยังไม่ได้สติกลับคืนมา

ภูตอัคคีเปลวเยือกยังไม่ได้อยู่ในมือของเขา เพราะว่าเงื่อนไขของเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิว คือเขาต้องเอาชนะอันดับที่หนึ่งในการประลองยุทธ์ครั้งนี้ ถึงจะให้ภูตอัคคีเปลวเยือกเป็นสิ่งตอบแทนเขา

ภูตอัคคีต่อให้ดีอย่างไร แต่เมื่อเทียบกับการคว้าอันดับหนึ่งและตกเป็นเป้าสายตาของทุกคน หลัวซิวยังลังเลที่จะปฏิเสธ

แต่เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวดูเหมือนว่าจะเป็นไปตามคาดทุกอย่าง หลังจากนั้นมีการชดเชยอีกหนึ่งอย่าง นั่นคือวิชาลับ ว่าจะทำเช่นไรจึงจะสามารถหลอมรวมภูตอัคคีเข้ากับพลังธาตุไฟได้!

ด้วยเหตุนี้ เส้นป้องกันที่หลัวซิวขีดไว้ก็ขาดสะบั้น เพราะเมื่อเทียบกับความเสี่ยงที่ตนจะต้องเผชิญ ผลประโยชน์ที่ล่อตาล่อใจนี้ มันออกจะมากเกินไปหน่อยแล้ว

แต่ถึงอย่างนั้น หลัวซิวก็รู้ดีว่าเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวยินยิมที่จะนำภูตอัคคีเปลวเยือกและวิชาลับเป็นสิ่งชดเชยให้กับเขา ประโยชน์ที่เขาจะได้รับจากสิ่งนี้ ย่อมมีค่ามากกว่าสิ่งเหล่านี้อย่างแน่นอน

เมื่อออกจากสำนักหลัวเทียน หลัวซิวก็ติดต่อกับฉีฝ่าเทียน จึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายได้พาเหยียนเยว่เอ๋อร์ ไปพักอยู่ที่เกสเฮ้าว์กลางเมือง

สำหรับเรื่องในสำนักหลัวเทียน หลัวซิวไม่ได้พูดอะไรออกมา ถึงอย่างไรก็เป็นที่เกี่ยวข้องกับสี่เจ้ายุทธจักร สำหรับคนระดับฉีฝ่าเทียนแล้วนั้น ยิ่งรู้น้อยเท่าไรก็ยิ่งเป็นเรื่องดีเท่านั้น

ฉีฝ่าเทียนก็ยังเข้าใจกฎพื้นฐานนี้เป็นอย่างดี เมื่อหลัวซิวไม่พูด เขาก็ไม่เอ่ยปากถาม

เมื่อพบกับเหยียนเยว่เอ๋อร์แล้ว หลัวซิวก็อดคิดไม่ได้ที่จะคิดถึงลู่เมิ่งเหยาที่ได้เจอในสำนักหลัวเทียน เขาเกิดความลังเลว่าควรจะเล่าเรื่องของเมิ่งเหยาให้เหยียนเยว่เอ๋อร์ฟังหรือเปล่า

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 587
ความคิดภายในใจ เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวนั้นก็ไม่ได้แสดงออกมาทางสีหน้า สำหรับหลัวซิวแล้วนั้น เมื่อปีสองปีก่อนเขาก็เพิ่งจะสังเกตถึงเขาเป็นครั้งคราว

จากการตรวจสอบและเข้าใจเกี่ยวกับตัวของหลัวซิว ชายหนุ่มคนนี้น่าจะได้รับโอกาสที่ดีมาก ๆ เมื่อประมาณ12-13ปี จากเด็กธรรมดาคนหนึ่ง กลายเป็นอัจฉริยะวัยเยาว์

ในเวลาสั้น ๆ ไม่ถึงสิบปี เขาก็สามารสำเร็จกระบวนการกลั่นร่างถึงจักรพรรดิยุทธ์ ความเร็วในการฝึกตนไม่ด้อยไปกว่าเหล่าอัจฉริยะที่เกิดในแดนศักดิ์สิทธิ์

แต่ถึงอย่างไร เรื่องต้นกำเนิดของแบบนั้นกลับมีโอกาสมากมายที่ไม่สามารถเทียบเท่าได้ แม้ว่าหลัวซิวจะเก่งกาจมาก แต่จากสายตาของเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวแล้ว เทียบกับเหล่าลูกศิษย์สายตรงของแดนศักดิ์สิทธิ์ ยังต่างชั้นกันอยู่บ้าง

“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ต้องการโดดเด่นจากฝูงชน เพื่อไม่ให้เกิดความริษยาขึ้น”

เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวครุ่นคิดเล็กน้อย ค่อย ๆ พูดออกมา “แต่มีการสนับสนุนจากข้า พวกรุ่นเก่าจากกองกำลังต่าง ๆ ก็จะไม่มีใครกล้าทำอะไรเจ้า”

เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวพูดคำพูดนี้ออกมา นั่นหมายความชัดเจนแล้วว่าจะเป็นกองหนุนให้กับหลัวซิว อีกทั้งในฐานะผู้แข็งแกร่งระกับอนาคินพรีเมี่ยมยุทธ์คนหนึ่ง เป็นความจริงที่เขานั้นครอบครองอำนาจเพียงพอ

แต่ว่าหลัวซิวกลับไม่ชอบความรู้สึกเช่นนี้ บางครั้งถึงกับเกลียดความรู้สึกที่ว่าไม่สามารถควบคุมชะตากรรมของตัวเองได้

ทั้งที่เขารู้ว่า ด้วยสถานะของเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวไม่มีทางที่จะทรยศ เขาพูดว่าจะหนุนหลังตน แต่ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์เช่นไร ต่างก็ต้องมีเรื่องราวอีกด้านอยู่แล้ว?

หลัวซิวแอบวัดสิ่งที่จะได้หรือเสียอยู่ในใจ แอบคิดว่า “เจ้ายุทธจักรอัคคีคนนี้เกิดจากแดนศักดิ์สิทธิ์ตระกูลหวู หากเขาต้องเผชิญหน้ากับตระกูลหวูขึ้นมา เขายังจะหนุนหลังตนข้าอยู่หรือ?”

ถึงแม้หลัวซิวจะใช้หัวแม่เท้าคิด ก็สามารถรู้ได้ว่าคำตอบสุดท้ายนั้นคืออะไร

ยากลายร่างมังกรและของขลังชั้นสูงที่เป็นรางวัลที่หนึ่งจากการประลองยุทธ์แน่นอนว่ามีค่าอย่างมาก แต่เมื่อเทียบกับชีวิตน้อย ๆ น้องเขาแล้ว หลัวซิวนั้นรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าสิ่งใดสำคัญกว่ากัน

“เจ้าเข้าใจเกี่ยวกับแดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นล่างมากน้อยเพียงใด?” เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวอยู่ ๆ ก็เปลี่ยนหัวข้อ

หลัวซิวส่ายหน้าไปมา ความเข้าใจของเขาเกี่ยวกับแดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นล่าง จำกัดอยู่แค่คำบอกเล่าของฉีฝ่าเทียนเท่านั้น อีกทั้งระดับของฉีฝ่าเทียน ไม่สามารถสัมผัสถึงเรื่องด้านนี้ได้เลย สิ่งที่รู้ก็มีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ภาพจำส่วนใหญ่ของแดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นล่าง รู้เพียงแค่อัจฉริยะทุกคนที่มีคุณสมบัติได้รับเลือกให้เข้าไปที่แดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นล่างฝึกตน ต่างก็สามารถใช้เวลาอันน้อยนิดติดปีกให้ผลการฝึกตนอย่างเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

“โควต้าเข้าไปในแดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นล่างมีเพียงแค่20คนเท่านั้น แต่เวลาในการฝึกตนในแดนปริศนา กลับถูกจำกัดด้วยอันดับจากการประลองยุทธ์”

เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวยิ้มบาง ๆ “อันดับหนึ่งจากการประลองยุทธ์ สามารถฝึกตนในแดนปริศนาได้สามปี”

“เวลาสามปีอาจจะดูไม่นาน แต่อย่างน้อย ๆ ก็จะสามารถทำให้เจ้ามีหนทางบรรลุถึงแดนมกุฎยุทธ์ หรืออาจจะมากกว่านั้น”

เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวอธิบายข้อดีต่าง ๆ ในการได้ที่หนึ่งจากการประลองยุทธ์ให้หลัวซิวฟัง แต่กลับไม่พูดสักคำว่าหากหลัวซิวได้อันดับที่หนึ่ง แล้วท่านหัวหน้าลาดตระเวนคนนี้จะได้อะไรตอบแทน?

หลัวซิวไม่เชื่อว่าเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวจะเอาใจใส่ตนอย่างไม่มีเหตุผล คำแนะนำทีละขั้นตอนเพื่อให้เขาไปคว้าอันดับหนึ่งในงานประลองยุทธ์ เขาทำถึงขนาดนี้ แน่นอนว่าต้องมีจุดประสงค์บางอย่างแน่นอน

เมื่อหลัวซิวกำลังใช้ความคิดกับเรื่องนี้ เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวก็พูดออกมาเอง “เจ้ากำลังคิดว่า หากเจ้าได้อันดับที่หนึ่ง แล้วข้าจะได้ได้ประโยชน์อะไรใช่หรือไม่?”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลัวซิวก็ยกมือขึ้นเกาหัวด้วยความเขินอายทันที

เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวหัวเราะออกมา “พูดกันตามความจริง อัจฉริยะทุกคนที่เข้าร่วมการประลองยุทธ์ เบื้องหลังจะต้องมีคนแนะนำหนึ่งคน และผลการฝึกตนกับสถานะของคนที่เป็นคนแนะนำนั้น อย่างน้อยต้องเป็นแดนเจ้ายุทธจักร”

“ถึงแม้ว่าข้าจะเกิดในแดนศักดิ์สิทธิ์ตระกูลหวู แต่ฝ่ายภายในตระกูลนั้นซับซ้อน ในบรรดากลุ่มต่างๆ ที่ข้าเป็นสมาชิกอยู่ ไม่มีอัจฉริยะคนใดที่โดดเด่น”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ ความหมายที่ต้องการจะสื่อของเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวก็ชัดเจนขึ้นมาทันที

“ผู้น้อยผลการฝึกตนต่ำนัก เกรงว่าข้าน้อยจะทำไม่ได้ตามความไว้วางใจที่ท่านอาวุโสมอบให้” หลัวซิวกล่าว

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 586
ตั้งแต่ได้ก้าวเข้ามาที่สำนักหลัวเทียนแห่งนี้ วิญญาณจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำก็พลันนิ่งเงียบไปทันที ถึงอย่างไรสี่เจ้ายุทธจักรต่างก็เทียบเท่าการมีอยู่ของมหาจักรพรรดิยุทธ์ สัมผัสนั้นค่อนข้างละเอียดอ่อน หากวิญญาณจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำมีการเคลื่อนไหวแม้เพียงเล็กน้อย ก็ไม่แน่ว่าอาจจะถูกพวกเขาพบเอาได้

ถึงแม้ต่อให้ถูกสี่เจ้ายุทธจักรสัมผัสได้ ก็ใช่ว่าจะต้องเกิดเรื่องไม่น่าพึงใจเสมอไป แต่ถึงอย่างไรปัญหาน้อยลงหนึ่งเรื่องย่อมดีกว่าปัญหามากขึ้นหนึ่งเรื่องอยู่แล้ว

หลังจากนั้นสักครู่ เจ้ายุทธจักรพลานุภาพต้วนฉือเทียนก็ขอตัวลาไปก่อน จากนั้น เทพธิดาหานยู่ก็ได้พาลู่เมิ่งเหยาออกไปจากสำนักหลัวเทียนด้วยเช่นกัน ก่อนที่จะจากกันไป ลู่เมิ่งเหยาและหลัวซิวสบตากันอีกครั้ง ทั้งสองมีเรื่องจะพูดมากมายหลังจากห่างกันไปหลายปี แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะคุยกัน

สำหรับเจ้ายุทธจักรมรณาเซียวโป๋ที่ยังคงนั่งอยู่นั้น ร่างนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย โดยไม่พูดอะไรสักคำ เพียงแต่ตอนสุดท้ายก่อนที่เขาจะหายไปนั้น สายตานั้นจ้องเขม็งมายังหลัวซิว

เจ้ายุทธจักรทั้งสามได้ออกไปแล้ว ภายในสำนักหลัวเทียน ก็เหลือเพียงแค่หลัวซิวกับเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวเท่านั้น

“หลัวซิว ประลองยุทธ์ครั้งนี้ เจ้ามั่นใจเท่าใดกัน?” เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวอยู่ ๆ ก็ถามขึ้นมา

ด้วยฐานะผู้แข็งแกร่งระดับอนาคินพรีเมี่ยมยุทธ์ แต่เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวกลับดูเหมือนไม่ได้วางท่าอะไร นิสัยก็ดูออกจะเป็นมิตร ทำให้หลัวซิวไม่ได้รู้สึกถึงความกดดันใดใด

หลัวซิวนั้นไม่ได้รู้ว่าเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวกับเจ้ายุทธจักรพลานุภาพต้วนฉือเทียนนั้นเดิมพันเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตัวเอง

ได้ยินคำถามนั้นของเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิว เขาก็ตอบเสียงเข้ม “เข้าถึง20อันดับแรก น่าจะไม่ใช่เรื่องยากอะไร”

เมื่อพูดประโยคนี้จบลง หลัวซิวแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจที่มีอยู่เต็มเปี่ยม ถึงแม้จะพูดกันว่าผู้ที่เข้าร่วมการประลองยุทธ์นั้นส่วนมากเป็นถึงอัจฉริยะยอดฝีมือที่ผลการฝึกตนต่างก็บรรลุถึงแดนมกุฎยุทธ์ แต่เขาก็ยังมีความคิดที่มั่นใจเช่นนั้นอยู่

เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาก็ยิ้มและพยักหน้า “มีความมั่นใจว่าจะได้อันดับที่หนึ่งหรือไม่?”

“อันดับหนึ่ง?”

หลัวซิวเลิกคิ้ว คนที่ฝึกยุทธ์ โดยเฉพาะรุ่นเยาว์อย่างเขา หากบอกว่าไม่มีความปรารถนาที่จะชนะ มันคือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ถึงอย่างไรเขาก็อายุเพียงแค่21ปี ยังไม่ถึงขั้นเหมือนพวกผู้ใหญ่ที่ไม่มีความสนใจทางโลกแล้ว

เพียงแค่เขาไม่เข้าใจความหมายของเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิว ยิ่งไปกว่านั้นอัจฉริยะที่เข้าร่วมการประลองยุทธ์นั้นก็มีตั้งมาก ถ้าปล่อยให้เด็กหนุ่มที่ไม่มีภูมิหลังได้อันดับหนึ่ง …

เมื่อคิดถึงตรงนี้ หลัวซิวก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มฝืน ๆ อยู่ในใจ คนที่มีพรสวรรค์โดดเด่นมักถูกอิจฉาและตำหนิได้ง่าย ข้อนี้เขารู้ดี

เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวราวกับมองความคิดของหลัวซิวได้อย่างทะลุปรุโปร่ง จึงพูดพร้อมรอยยิ้ม “ข้ารู้ถึงความกังวลของเจ้าดี เป็นความจริงที่เจ้านั้นอายุน้อยแต่ความคิดราวกับผู้ใหญ่ นิสัยรักสงบและมั่นคง แต่คนหนุ่มสาวก็ควรมีใช้ชีวิตเช่นคนหนุ่มสาว ไม่เช่นนั้นทำไมจึงมีคำพูดว่าพวกเด็กไม่รู้จักคิดกันล่ะ?”

เมื่อฟังถึงตรงนี้ หลัวซิวมีความรู้สึกว่าไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ในโลกยุทธ์ที่มีเพียงผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะได้รับการยกย่อง จะเป็นเด็กบ้า ๆ ได้ก็ต้องดูด้วยว่าคนคนนั้นมีภูมิหลังอย่างไร

เหล่าอัจฉริยะรุ่นเยาว์พวกนั้นมีกองกำลังใหญ่หนุนหลัง แน่นอนว่าจะทำตัวเป็นเด็กบ้าก็ย่อมได้ ต่อให้ไปก้าวล่วงใคร หรือก่อเรื่องใหญ่ใด ๆ ตนเองรับไม่ไหว แต่ก็ยังมีกองกำลังที่คอยหนุนช่วยรับมือให้

แต่เหล่าบรรดาอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่ไม่มีภูมิหลัง ทำได้แค่ยับยั้งขอบเขตของตัวเองเท่านั้น พยายามฝึกตน และใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง

นี่คือวิถีชีวิต ไม่ว่าจะอยู่ในโลกคนธรรมดาหรือในโลกยุทธ์ก็ตาม มันสามารถใช้หลักการนี้ได้ทั้งนั้น

คนหนุ่มสาวที่โดดเด่น แน่นอนว่าย่อมมองเห็นธรรมชาติได้ชัดเจน แต่บางครั้งความสุดโต่งก็จะเข้าตัว ไม่มีอะไรเป็นที่แน่นอน

ในระหว่างที่หลัวซิวกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวก็เอ่ยขึ้นมา “ข้าอยากให้เจ้าขึ้นเป็นที่หนึ่ง จริง ๆ แล้วมันก็มีประโยชน์ต่อเจ้าด้วย ข้าคิดว่าเจ้าคงรู้อยู่แล้วว่า รางวัลที่หนึ่งจากการประลองยุทธ์นั้นมากมายเพียงใด”

หลัวซิวเผยใบหน้าหมดหนทาง สองมือประกบกันพร้อมพูดขึ้น “ข้าน้อยเกรงว่าจะมีชีวิตได้มันมา แต่ไม่มีชีวิตได้ใช้มัน”

“ฮ่า ๆ …” เมื่อเห็นหลัวซิวมีใบหน้าหมดหนทางเช่นนั้น เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “เจ้ากล้าพูดเช่นนี้ ดูแล้วเจ้าก็คงจะมั่นใจว่าต้องได้ที่หนึ่งเช่นกันถูกหรือไม่?”

ถึงแม้จะพูดเช่นนั้น แต่ในใจของเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวกลับเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ผลการฝึกตนของหลัวซิวเห็นได้ชัดว่าเป็นผลการฝึกตนระดับจักรพรรดิยุทธ์ขั้น7 เขาไปเอาความมั่นอกมั่นใจมากจากไหน ถึงกล้าบอกว่าตัวเองจะสามารถเอาชนะที่หนึ่งของการประลองยุทธ์ได้?

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 585
ต้วนฉือเทียนสามารถได้รับอนาคินว่าเจ้ายุทธจักรพลานุภาพ นั่นก็เพราะโอกาสที่พอดีทำให้เขาได้รับวิชายิ่งเลิศสมัยโบราณพลังเก้าภพ เพียงแค่ฝึกตนถึงภพที่หก ร่างเนื้อก็จะแข็งแกร่งเทียบเท่ามหาจักรพรรดิยุทธ์

“หากต้องการพลังเก้าภพ แค่ยาอัคคีเสวียนเม็ดเดียวไม่พอ!” ต้วนฉือเทียนส่ายหน้าไปมา

ไหวพริบของเขาไม่เท่าหวูชิว แต่สามารถฝึกตนถึงแดนเจ้ายุทธจักร จะไม่มีมันสมองเลยหรือ? หวูชิวค่อย ๆ หว่านล้อม ปล่อยให้ศัตรูตายใจ เป้าหมายที่แท้จริงก็คือเพื่อครอบครองพลังเก้าภพ

“เม็ดเดียวไม่พอ เช่นนั้นสามเม็ดเล่า?” หวูชิวยิ้ม “สองในสามเม็ดหลอมรวมขึ้นมาเป็นอัคคีจักรพรรดิสีเจ็ด อีกหนึ่งเม็ดเป็นอัคคีจักรพรรดิสีเก้าหลอมรวมขึ้นมา!”

“อัคคีจักรพรรดิสีเก้า?”

ต้วนฉือเทียนได้ยินเช่นนั้น ก็ลุกขึ้นยืนในทันที

อัคคีจักรพรรดิมีสามชนิดคือสีห้า สีเจ็ด และสีเก้า

อัคคีจักรพรรดิสีเก้า สามารถทำให้ผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ช่วงปลายไม่สามารถต้านทานได้

ต้วนฉือเทียนต้องการยาอัคคีเสวียน เพราะต้องการใช้ประโยชน์จากอัคคีจักรพรรดิสีเจ็ดที่แฝงอยู่ในนั้น เพื่อให้ฝึกตน到ร่างเนื้อบรรลุถึงร่างยุทธ์แดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ช่วงกลาง หากมีอัคคีจักรพรรดิสีเก้าอีกเม็ด เช่นนั้นการบรรลุถึงร่างยุทธ์แดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ช่วงปลาย ก็มีความหวังแล้ว!

ไม่แน่เขาอาจจะใช้โอกาสนี้ ใช้พลังเก้าภพฝึกตนถึงภพที่เจ็ด!

แต่พลังเก้าภพเป็นทรัพยากรสำคัญของเขา ต้วนฉือเทียนยังคงฝืนกดความคิดในหัว แล้วส่ายหัว “สามเม็ดก็ไม่พอ!”

เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวกลับไม่ได้รู้สึกประหลาดใจใดใด ยังคงยิ้มอย่างอ่อนโยนเช่นเคย “ยาอัคคีเสวียนไม่พอ เช่นนั้นเพิ่มน้ำแท้จิตอลวนอีกสักหยดเล่า?”

“น้ำแท้จิตอลวน แฝงไปด้วยกฎธาตุน้ำ น้ำไฟกลั่นเข้าด้วยกัน สำหรับการกลั่นร่างเพียงแค่เล็กน้อยกลับได้ผลมหาศาล”

ต้วนฉือเทียนสีหน้าเปลี่ยนไปอีกครั้ง ราคาของน้ำแท้จิตอลวน ไม่ได้ด้อยไปกว่ายาอัคคีเสวียนที่ถูกหลอมรวมโดยอัคคีจักรพรรดิสีเก้าเลย

เทพธิดาหานยู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย เหลือบมองไปทางเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิว ไม่อาจรู้ได้ว่าที่เขาวางแผนเลี้ยวลดคดเคี้ยวเช่นนี้ แท้จริงแล้วต้องการจะเอาพลังเก้าภพไปทำอะไร

ส่วนเจ้ายุทธจักรมรณาเซียวโป๋นั้น สายตากลับจับจ้องไปที่หลัวซิวอยู่ตลอดเวลา ที่เขาอยากรู้ที่สุดในตอนนี้ไม่ใช่ว่าหวูชิวต้องการพลังเก้าภพด้วยเหตุใด แต่เป็นเจ้าหนุ่มคนนี้ว่าสามารถรับรู้ถึงลมปราณของเขาได้อย่างไรต่างหาก

หลัวซิวเมื่อเห็นเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวกับเจ้ายุทธจักรพลานุภาพต้วนฉือเทียนต่อรองกัน แค่พริบตาเดียวก็สามารถมองออกแล้วว่า เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวมีแผนการในใจและทางด้านต้วนฉือเทียนนั้นก็ติดกับแล้ว

“ทันทีที่เริ่มก็เป็นสมบัติระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น9 อนาคินพรีเมี่ยมยุทธ์ช่างร่ำรวยและเอื้อเฟื้อเหลือเกิน” หลัวซิวลอบถอนหายใจในใจ

ยาอัคคีเสวียน น้ำแท้จิตอลวน ไม่ว่าจะหยิบอะไรออกมา ต่างก็สามารถทำให้ผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ส่วนใหญ่ใจสั่นได้ เป็นสมบัติที่ไม่สามารถสงบใจได้เลย

สมบัติล้ำค่าที่เพาะพันธุ์โดยฟ้าดินนั้น ไม่ว่าจะเป็นหิน วัตถุดิบ ยาวิเศษ ยิ่งเป็นของระดับสูง เวลาในการเพาะพันธุ์ยิ่งนาน การเพาะพันธุ์ก็ยิ่งยากมากขึ้น ดังนั้นสมบัติยิ่งมีระดับสูง ก็ยิ่งหาได้ยากเท่านั้น

หลัวซิวสามารถแน่ใจได้ว่า เจ้ายุทธจักรพลานุภาพต้วนฉือเทียนได้หวั่นไหวไปแล้ว สำหรับพลังเก้าภพของเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวมีโอกาสอย่างมากที่จะได้มาครอบครอง

“ดี ตกลงตามนี้!” ต้วนฉือเทียนกัดฟันพูด

นี่ไม่ใช่การแลกเปลี่ยน แต่เป็นการเดิมพัน หากชนะ เขาก็จะได้รับยาอัคคีเสวียนสามเม็ดและน้ำแท้จิตอลวนอีกหนึ่งหยด

แน่นอน ถ้าหากว่าเขาแพ้ เขาไม่เพียงแต่จะไม่สามารถครอบครองสมบัติทั้งสองชนิดได้ อีกทั้งยังต้องสูญเสียพลังเก้าภพไปอีกด้วย

มีได้ก็ต้องมีเสีย หากต้องการครอบครองประโยชน์มากเท่าใด ก็จำเป็นจะต้องเตรียมจ่ายราคาที่แพงขึ้นไปมากเท่านั้น

“หวูชิว ท่านต้องการพลังเก้าภพ หรือว่าคิดจะ…”

เทพธิดาหานยู่แววตาเป็นประกาย เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวด้วยความรอบคอบ

สำหรับเรื่องนี้ เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวเพียงแค่ยิ้มเล็กน้อย ไม่ได้ปฏิเสธ

เมื่อเห็นท่าทีของเขา เทพธิดาหานยู่ก็สูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ ความรู้สึกตื่นเต้นพลุ่งพล่านจนไม่อาจเก็บอาการไว้ได้

“ท่านคิดจะข้ามไปก้าวนั้นหรือ?” เจ้ายุทธจักรพลานุภาพต้วนฉือเทียนก็เข้าใจได้ในทันที มองไปทางเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวด้วยสีหน้าประหลาดใจ

ระหว่างสี่เจ้ายุทธจักรนั้นเหมือนกำลังเล่นปริศนา ทำให้เหล่าหนุ่มสาวอย่างพวกหลัวซิวต่างก็รู้สึกมึนงงราวกับกำลังจมน้ำ

บทที่ 584

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 584
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลัวซิวก็ราวกับได้เปิดโลกใหม่ในทันที ร่างของวิญญาณน้ำแข็งถือเป็นหนึ่งในร่างพรสวรรค์ วรยุทธ์ฝึกตนธาตุน้ำแข็ง ทำเพียงน้อยนิดแต่ได้ผลมหาศาล จึงบรรลุแดนได้อย่างรวดเร็ว

เมื่อพูดถึงตรงนี้ เทพธิดาหานยู่ดวงตางดงามก็มองไปทางหลัวซิว ไม่ว่าจะเป็นการปลายตาหรือการยิ้มต่างก็งดงามชวนใจตื่น “ข้าสงสัยนัก เจ้าคลายโรคชีพจรขาดธาตุไฟได้อย่างไร ต่อให้ใช้ผลการฝึกตนของข้า หากต้องการคลายโรคชีพจรขาดธาตุไฟ ก็ยังเป็นเรื่องยากลำบาก หากผิดพลาดแม้แต่น้อย ก็จะทำให้เส้นชีพจรเสียหาย ทำให้ธาตุไฟแผดเผาร่างกายได้”

หลัวซิวมองไปทางลู่เมิ่งเหยา กลวิธีที่เขาคลายโรคชีพจรขาดธาตุไฟนั้น นอกจากเขาที่รู้ ก็มีแค่ลู่เมิ่งเหยาคนเดียวเท่านั้นที่รู้ เขาคาดการณ์ว่า เทพธิดาหานยู่น่าจะรู้จากปากนางอย่างละเอียดแล้ว

เมื่อคิดถึงตรงนี้ หลัวซิวก็ไม่ได้ปิดบังอะไรอีก ค่อย ๆ ยื่นมือขวาออกไปแล้วแบออก ที่กลางฝ่ามือ เปลวเพลิงกลุ่มหนึ่งก็ลุกโหมขึ้นมา

“พลังไสยอัคคี?” เทพธิดาหานยู่แววตาเป็นประกาย

หลัวซิวเผยสีหน้าฉงนใจ เขาไม่รู้ว่าพลังไสยอัคคีคืออะไร รู้เพียงแค่เปลวเพลิงที่ตนหลอมรวมได้นั้น กับเปลวเพลิงของจอมยุทธ์ทั่วไป ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรแตกต่าง

“ดูแล้วเมิ่งเหยาคงจะพูดไว้ไม่ผิด เจ้าสามารถใช้เรียกใช้พลังไสยอัคคี เพื่อคลายโรคชีพจรขาดธาตุไฟ พลังไสยอัคคีอาจจะดูไม่แตกต่างจากเปลวเพลิงทั่วไป แต่กลับสามารถหลอมรวมสรรพอัคคีมีการเติบโตที่ยิ่งใหญ่”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ เทพธิดาหานยู่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก สายตานั้นเหลือบมองไปทางเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิว หากจะให้พูดถึงเรื่องความรู้เกี่ยวกับเพลิงอัคคี ไม่มีใครสามารถรู้ดีได้เทียบเท่ากับ เจ้ายุทธจักรอัคคีคนนี้แล้ว

“เทพธิดากล่าวถูกแล้ว ศักยภาพสูงสุดของพลังไสยอัคคี ก็คือสามารถหลอมรวมสรรพอัคคี โดยเฉพาะกับภูตอัคคีฟ้าดิน หากสามารถหลอมรวมกันได้ ก็จะสามารถเพิ่มระดับได้อย่างต่อเนื่อง”

เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวยิ้ม พร้อมกับพูดเสริม “หากต้องการเพิ่มศักยภาพของพลังไสยอัคคีหลอมรวมสรรพอัคคี จำเป็นต้องใช้วิชาลับเฉพาะ อีกทั้งยิ่งพลังไสยอัคคีหลอมรวมภูตอัคคีได้มากเท่าไร พลานุภาพก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น”

ได้ยินเช่นนี้ หลัวซิวก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น เขาคิดมาตลอดว่าเพราะเขาคลายโรคชีพจรขาดธาตุไฟแล้วได้จึงได้รับเปลวเพลิง เป็นแค่เพียงเปลวเพลิงธรรมดาทั่วไปเท่านั้น

ภูตอัคคีฟ้าดิน ในมือของเขาก็มีอยู่หนึ่งชนิดพอดี อีกทั้งพลังของมันยิ่งใหญ่มากกว่าภูตอัคคีกลืนกินเสียอีก

จากนั้น เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวพูดถึงตรงนี้อยู่ดี ๆ ก็หยุดพูดไปเสียดื้อ ๆ ยิ่งกระตุ้นความอยากรู้ของหลัวซิวมากขึ้นไปอีก

“ไม่รู้ว่าเดิมพันระหว่างข้ากับเจ้ายุทธจักรพลานุภาพ ยังมีผลอยู่หรือไม่?”

เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวหันไปมองทางเจ้ายุทธจักรพลานุภาพต้วนฉือเทียน

ต้วนฉือเทียนได้รับสมยานามว่าเจ้ายุทธจักรพลานุภาพ ขึ้นชื่อเรื่องความแข็งแกร่ง ฝึกตนร่างยุทธ์ร่างเนื้อโดยเฉพาะ พละกำลังไม่เป็นสองรองใคร ว่ากันว่าเจ้ายุทธจักรพลานุภาพอาศัยพลังอันแข็งแกร่งของร่างยุทธ์ร่างเนื้อ สมบัติวิเศษชั้นสูงต่างก็สามารถถูกเขาทำลายเป็นผุยผงได้

“แน่นอนว่ายังมีผล!” ต้วนฉือเทียนพ่นลมหายใจออกมา

หลัวซิวมึนงงไปหมด ไม่รู้ว่าท่านหัวหน้าลาดตระเวนทั้งสองไปเดิมพันอะไรกันไว้

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ไม่รู้ว่าหากเจ้ายุทธจักรพลานุภาพชนะ ต้องการสิ่งใดตอบแทนหรือ?” เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวยิ้มบาง ๆ

เมื่อได้ยินคำนี้ เจ้ายุทธจักรพลานุภาพก็รี่ตาลง “ข้าต้องการยาอัคคีเสวียนของท่านหนึ่งเม็ด ท่านจะยอมมอบให้ข้าหรือ?”

ยาอัคคีเสวียน อัคคีจักรพรรดิสีเจ็ดหลอมรวมเป็นสารสกัดเข้มข้น แฝงไปด้วยความลึกลับของกฎธาตุไฟ สำหรับนักยุทธ์ที่ฝึกตนวรยุทธ์ธาตุไฟแล้วนั้น เป็นสมบัติล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่ง

แต่สำหรับนักยุทธ์กลั่นร่าง กลับสามารถใช้วิธีกลั่นอัคคีเสวียนในยาอัคคีจักรพรรดิ เพื่อชุบร่างยกระดับร่างยุทธ์ร่างเนื้อ

เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิว เพิ่งได้รับอัคคีเสวียนมาสามเม็ดพอดิบพอดี ต้วนฉือเทียนอยากได้มานานมากแล้ว เพียงแต่เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวเก็บมันไว้เป็นเหมือนลูกในไส้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยินยอมเอาออกมาสักเม็ด

“เหตุใดต้องไม่ยินยอม?”

ที่ทำให้ต้วนฉือเทียนรู้สึกประหลาดใจก็คือ เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวตอบรับเสียดื้ออย่างนั้น

“แต่ว่าถ้าหากเจ้ายุทธจักรพลานุภาพแพ้ล่ะ?” เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวถามกลับ

ต้วนฉือเทียนนัยน์ตาสั่นไหวเป็นประกาย “เจ้าต้องการสิ่งใด?”

“พลังเก้าภพ เจ้ายุทธจักรพลานุภาพยินยอมมอบให้ข้าหรือ?” เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวพูดพร้อมรอยยิ้ม

“ท่านต้องการพลังเก้าภพของข้าหรือ?” ต้วนฉือเทียนนัยน์ตาหดลงทันที

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 583
หลัวซิวก้าวเข้าสู่ห้องโถงตามที่บอก ภายใต้การส่งสัญญาณของเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิว ให้เดินไปยืนอยู่ด้านหลังเขา

นี่เป็นครั้งแรกที่หลัวซิวได้อยู่ใกล้กับผู้แข็งแกร่งระดับพรีเมี่ยมยุทธ์ระยะกระชั้นชิด ยิ่งไปกว่านั้นพรีเมี่ยมยุทธ์ทั้งสี่คน ยังไม่ใช่พรีเมี่ยมยุทธ์ทั่วไป แต่เป็นอนาคินพรีเมี่ยมยุทธ์!

อนาคินราชายุทธ์สามารถข้ามแดนฆ่าจักรพรรดิยุทธ์ อนาคินจักรพรรดิยุทธ์สามารถข้ามแดนฆ่ามหายุทธ์ และอนาคินพรีเมี่ยมยุทธ์ ก็สามารถข้ามแดนฆ่ามหาจักรพรรดิยุทธ์อันทรงพลังได้!

ถึงแม้จะเป็นแดนเจ้ายุทธจักร แต่มันเทียบกับว่าหลัวซิวในตอนนี้กำลังเพชิญหน้ากับการคงอยู่ของระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ทั้งสี่!

ในเวลานี้ ดวงตาของหลัวซิวค่อยๆหรี่ลง สังเกตเห็นหญิงสาวเยาว์วัยใบหน้างดงามที่ยืนอยู่ด้านหลังเจ้ายุทธจักรหยกนาราเทพธิดาหานยู่ ภาพของร่างหนึ่งในความทรงจำกับหญิงสาวตรงหน้าค่อย ๆ ซ้อนทับกัน

“เมิ่งเหยา?”

หลัวซิวแววตาเป็นประกาย จากลากันไปตั้งหลายปี คาดไม่ถึงว่าเขาจะได้มาพบกับนางอีกครั้งที่นี่

ลู่เมิ่งเหยาก็มองไปทางหลัวซิวเช่นกัน ตาสองคู่ประสานกัน มีประกายแห่งความตื่นเต้นปรากฏในดวงตาที่พร่างพรายคู่นั้น

เพียงแต่ว่ามีสี่เจ้ายุทธจักรอยู่ที่นี่ด้วย ความตื่นเต้นนั้นจึงได้ถูกนางกดเอาไว้ ไม่ได้แสดงออกมา

ตอนนั้นหลัวซิวรู้ว่าลู่เมิ่งเหยาถูกคนใหญ่คนโตในสี่แก๊งใหญ่พาตัวไป แต่หัวหน้าแก๊งเสิ่นหยวนหนานก็ไม่รู้ว่าคนที่พานางไป แท้จริงแล้วเป็นใครกันแน่

ในตอนนี้หลัวซิวถึงได้รู้ว่า คนที่พาลู่เมิ่งเหยาไป เป็นถึงหัวหน้าลาดตระเวนแห่งอาณาจักรตะวันออก เจ้ายุทธจักรหยกนารา!

ห่างกันไปนานหลายปี ลู่เมิ่งเหยายังคงงดงามเช่นเดิม แต่เอกลักษณ์กลับต่างจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง กลายเป็นคนที่สุขุม นิ่งสงบ ดวงตาที่ไร้เดียงสาของของเด็กสาวอ่อนเยาว์ในตอนนั้น ก็กลายเป็นแววตาที่เฉลียวฉลาด

คนที่มีความเปลี่ยนแปลงมากกว่ากลับเป็นหลัวซิว เมื่อก่อนเขายังเป็นเด็กน้อยอายุสิบกว่าปี ใบหน้านั้นเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย ตัวก็สูงของขึ้นด้วย

“เหอ ๆ เจ้าคงจะเป็นหลัวซิว?” เทพธิดาหานยู่สังเกตได้ถึงสายตาที่ประสานกันของทั้งสองคน จึงได้พูดขึ้นพร้อมรอยยิ้ม

“เป็นข้าน้อย” หลัวซิวพยักหน้า

ถึงแม้เขาจะเป็นเจ้าสำนักไท่เสวียน แต่ต่อหน้าผู้แข็งแกร่งระดับอนาคินพรีเมี่ยมยุทธ์ การเรียกตนเองว่าผู้น้อยไม่ถือเป็นการดูถูกสถานะตนเอง

“เมิ่งเหยาชอบพูดถึงเจ้ากับข้าอยู่บ่อย ๆ คาดไม่ถึงว่าในตอนนั้นข้าจะพลาดอัจฉริยะอย่างเจ้าไปได้” เทพธิดาหานยู่พูดด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย รูปลักษณ์ที่สง่างามนั้นหาตัวจับยาก

หากพูดถึงใบหน้าที่งดงาม เทพธิดาหานยู่คนนี้อาจจะด้อยกว่าเหยียนเยว่เอ๋อร์หรือลู่เมิ่งเหยาอยู่เล็กน้อย แต่ท่วงท่าที่ราวกับนางฟ้านางสวรรค์ของนาง กลับเอาชนะพวกนางทั้งสองได้อย่างขาดรอย ทำให้เมื่อหลัวซิวอยู่ต่อหน้านาง ก็ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองขี้เหล่จนน่าละอาย

แม้แต่จิตใจของหลัวซิวนังเกิดความรู้สึกเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าเอกลักษณ์ของเทพธิดาหานยู่คนนี้แตกต่างจากคนทั่วไปขนาดไหน

“ท่านเทพธิดาพูดเช่นนี้ ท่านพาตัวอัจฉริยะอาณาจักรใต้คนหนึ่งของข้าไป แล้วยังคิดจะกวาดไปทั้งหมดเลยหรืออย่างไร?” เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวหัวเราะแห้ง ๆ

เห็นได้ชัดว่า เรื่องที่ในตอนนั้นเทพธิดาหานยู่พาตัวลู่เมิ่งเหยาออกไปจากอาณาจักรใต้นั้น เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวก็รู้เรื่องนี้ดี

หลัวซิวเพิ่งจะสังเกตว่า ผลการฝึกตนของลู่เมิ่งเหยา เพิ่มขึ้นรวดเร็วยิ่งกว่าเขาเสียอีก ตอนนี้บรรลุถึงมกุฎยุทธ์ขั้นสามแล้ว

นั่นทำให้หลัวซิวรู้สึกประหลาดใจอยู่ไม่น้อย เขาจำได้ว่าตอนนั้นผลการฝึกตนของลู่เมิ่งเหยาต่ำกว่าเขามาก อีกทั้งพรสวรรค์ด้านการฝึกตนก็ไม่ได้ถือว่าสูงนัก เทพธิดาหานยู่เห็นอะไรในตัวนางกันแน่ อีกทั้งยังใช้เวลาเพียงน้อยนิดฝึกฝนจนนางบรรลุถึงแดนมกุฎยุทธ์?

หลัวซิวถามตัวเอง การฝึกตนของตนนั้นจริง ๆ ก็ถือว่าเร็วมาก ๆ แล้ว แต่ลู่เมิ่งเหยากลับเร็วกว่าตนอีก หรือเขาจะเข้าใจผิดในความสามารถของเธอในตอนนั้น?

“เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ข้าก็คงต้องขอบใจหลัวซิวด้วย หากไม่ได้เขา หากไม่ได้เขาช่วยคลายโรคชีพจรขาดธาตุไฟในร่างกายของเมิ่งเหยา เกรงว่าคงไม่ต้องรอให้ข้าหานางเจอ นางก็น่าจะถูกธาตุไฟเผาจนไหมตายไปแล้ว”

เทพธิดาหานยู่ฉีกยิ้มที่ดูเหมือนกับดอกไม้กำลังเบ่งบาน “โรคชีพจรขาดธาตุไฟนี้ คำว่า‘ขาด’ นั่นก็คือขาดพลังชีวิต อย่างไรก็ตาม สรรพสิ่งในโลกล้วนมีรัศมีแห่งชีวิต โรคชีพจรขาดธาตุไฟเมื่อถูกกำจัดไปแล้ว ร่างกายก็จะค่อย ๆ เปลี่ยนแปลง กลายเป็นร่างของวิญญาณน้ำแข็งที่อยู่ตรงข้ามกับธาตุไฟ”

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 582
หลังจากที่คิดว่าตนชนะเดิมพันอย่างแน่นอนและสามารถนำมันมาเยาะเย้ยฉายาเจ้าแห่งไหวพริบที่ไม่มีใครเทียบได้ของหวูชิว ต้วนฉือเทียนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกมีความสุขขึ้นมาในใจ

สำหรับคนที่ฝึกตนจนถึงแดนที่สูงเช่นพวกเขาแล้วนั้น นอกจากการฝึกตน ในระหว่างช่วงเวลาที่ยาวนาน ความสนุกสนานเป็นครั้งคราวก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจเช่นกัน

เพราะความอายุยืนยาวของพรีเมี่ยมยุทธ์ เป็นเวลาประมาณห้าพันปี เวลานานเช่นนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะฝึกตนที่น่าเบื่อเพียงอย่างเดียว

“หลี่จ้าน เจ้าน่ะพอถึงเวลาก็ทำให้เต็มที่ล่ะ” ต้วนฉือเทียนพูดพร้อมรอยยิ้ม

“ศิษย์จะพยายาม ไม่ทำให้ท่านต้องผิดหวัง” ชายหนุ่มผู้แข็งแกร่งนามว่าหลี่จ้านตอบรับอย่างชัดถ้อยชัดคำ

ณ เวลานี้ สายตาของทุกคนที่อยู่ที่นั่นล้วนมองไปที่ประตูของสำนักหลัวเทียน เห็นชายหนุ่มสวมชุดดำรูปร่างผอมบางปรากฏตัวขึ้น เหงื่อออกท่วมตัวไปหมด

“เหนื่อยเกือบตาย…”

ภายใต้ความกดดันของสี่พรีเมี่ยมยุทธ์ หลัวซิวหลังจากเดินข้ามบันไดหลายร้อยขั้น ในที่สุดก้นของเขาก็ได้นั่งลงบนพื้น พร้อมทั้งหายใจเข้าเฮือกใหญ่

ถึงแม้หัวหน้าลาดตระเวนทั้งสี่คนนี้ไม่ได้จงใจปล่อยลมปราณออกไปเพื่อกดดัน ตามจริงคือลมปราณต่างก็ถูกเก็บไว้ในร่างกาย ไม่มีการรั่วไหลแม้แต่น้อย คนธรรมดาไม่สามารถสัมผัสได้ถึงลมปราณ แน่นอนว่าจะไม่มีทางรับรู้ได้ถึงความกดดัน มิเช่นนั้นอัจฉริยะรุ่นเยาว์ทั้งสามคนที่อยู่ที่นี่ ณ ตอนนี้ ก็คงจะไม่สามารถยืนนิ่งอย่างสงบสุขอยู่ด้านหลังพรีเมี่ยมยุทธ์ทั้งสามท่านได้เป็นแน่

แต่หลัวซิวกลับสามารถรับรู้ได้ถึงลมปราณของสี่เจ้ายุทธจักร ในขณะที่รับรู้ถึงลมปราณ ก็สามารถรับรู้ได้ถึงแรงกดดันที่แฝงอยู่ในลมปราณของพรีเมี่ยมยุทธ์ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมมันจึงลำบากมากกว่าจะเดินมาถึงบนนี้

ยังโชคดีที่พรีเมี่ยมยุทธ์ทั้งสี่คนไม่ได้จงใจปล่อยแรงกดดันจากลมปราณออกมา มิเช่นนั้น หลัวซิวเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเดินมาถึงหน้าสำนักหลัวเทียนแห่งนี้

หลัวซิวตะลึงงัน เขาขึ้นบันไดมา ด้วยความเหนื่อยมากจึงได้นั่งลงไปกับพื้น ในเวลานี้เองถึงได้สังเกตว่ามีปูชนียบุคคลทั้งสี่กำลังส่งสายตามองมาที่ตัวเขาอยู่

สารรูปเช่นนี้ มันดูค่อนข้างน่าเกลียด อีกทั้งยังเป็นการเสียมารยาทอย่างมาก

แต่ว่าสี่เจ้ายุทธจักรที่อยู่ในโถงนั้น กลับไม่ได้สนใจในส่วนที่เข้าเสียมารยาท กลับกันแต่ละคนต่างมีสีหน้าประหลาดใจแทน

“เขาสามารถสัมผัสถึงพลังลมปราณของเราที่เก็บซ่อนเอาไว้ได้จริง ๆ หรือ?” ด้วยสายตาของสี่เจ้ายุทธจักร แน่นอนว่าสามารถดูออกว่าหลัวซิวได้กำลังแสดงละครอยู่

โดยเฉพาะเจ้ายุทธจักรมรณาเซียวโป๋ที่ใบหน้ามีแต่รอยยิ้มอยู่ตลอดเวลา แต่กลับเป็นคนแรกที่มีสีหน้าเปลี่ยนไป

การฝึกตนของเขาคือพิฆาต อีกทั้งยังไม่ได้ฝึกตามกฎทั่วไป ที่ฝึกคือวิชาลอบสังหาร ที่เชี่ยวชาญที่สุดคือการเก็บพลังลมปราณ เพื่อที่จะเข้าใกล้ศัตรูได้โดยไม่มีสัญญาณใด ๆ โจมตีแค่ครั้งเดียวก็ทำให้ถึงแก่ชีวิตได้

ภายใต้การเก็บพลังลมปราณของตน แต่กลับถูกคนรับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของลมปราณ นั่นก็หมายความว่าตนไม่สามารถใช้วิธีการลอบฆ่า เพื่อจู่โจมคนคนนั้นได้

ที่ทำให้คนรู้สึกยอมรับไม่ได้มากที่สุดคือ คนคนนี้ไม่ใช่ผู้แข็งแกร่งที่มีผลการฝึกตนระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ แต่เป็นเพียงแค่เด็กน้อยที่คนหนึ่งที่มีผลการฝึกตนแดนจักรพรรดิยุทธิ์เท่านั้น!

รอยยิ้มหายไปจากใบหน้าของเซียวโป๋ มุมปากกระตุกเล็กน้อย ร่องรอยของเจตนาฆ่าปรากฏขึ้น และหัวใจของเขาไม่สามารถสงบได้

เขากลับรู้สึกได้ถึงการคุกคามจากผู้น้อยระดับจักรพรรดิยุทธ์ จิตสังหารจึงเกิดขึ้นโดยสัญชาตญาณ

เมื่อถูกพรีเมี่ยมยุทธ์ทั้งสี่คนจ้องมองมา หลัวซิวก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่มากกว่าเดิม เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่า การมีพลังกระแสสัมผัสพลังชีวิต กลับไม่ใช่เรื่องดี เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายตั้งใจเก็บพลังลมปราณไว้อย่างดีแล้ว แต่ตนกลับยังสามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจน นี่มันขุดหลุมฝังตัวเองชัด ๆ?

แต่ระหว่างทางมีบันไดหลายร้อยขั้น หลัวซิวก็ค่อย ๆ คุ้นชินกับพลังกดขี่จากลมปราณนี้บ้างแล้ว จึงได้ลุกขึ้นยืน มือประกบเข้าหากันเป็นการคารวะ จากนั้นก็ตะโกนเสียงดัง “หลัวซิว คารวะสี่เจ้ายุทธจักร”

เขาไม่รู้จักสี่เจ้ายุทธจักร แต่ก็เคยได้ยินอนาคินสี่เจ้ายุทธจักร รู้ว่าใครที่สามารถนั่งในห้องโถงนี้ได้ ต้องเป็นคนใหญ่โตที่ไม่ธรรมดาเป็นแน่

“ไม่ต้องมากพิธี เข้ามาเถอะ” หวูชิวยิ้มบาง ๆ

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 581
เทพธิดาหานยู่ได้ยินเช่นนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะเพิ่มพ่นลมหายใจออกมา ไม่ว่าใครก็สามารถฟังออกว่าต้วนฉือเทียนคนนี้กำลังจงใจหาเรื่อง แต่นางก็รู้ดี คนผู้นี้กับเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิว ไม่ถูกกัน

ส่วนเจ้ายุทธจักรมรณาเซียวโป๋ ตั้งแต่ต้นจนจบ เขานั่งอยู่ที่นั่นอย่างเฉยเมย ด้วยสีหน้าสงบและรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา ราวกับว่าทุกสิ่งในโลกนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา

แต่ว่าเทพธิดาหานยู่ก็รู้ดีว่าในบรรดาสี่เจ้ายุทธจักร คนที่น่ากลัวที่สุดคือชายชราคนนี้ที่มักจะยิ้มอยู่เสมอ อย่ามองแค่เพียงรอยยิ้มที่ใจดีของเขา เพราะเวลาฆ่าคนเขาเลือดเย็นเสียยิ่งกว่าใคร มิเช่นนั้นคงไม่ได้รับฉายาเจ้ายุทธจักรมรณา

สี่อาณาจักรใหญ่แห่งโลกแสงดาว ด้วยจำนวนที่มากของกองกำลังวิชามารของอาณาจักรตะวันตก ในบรรดาวิชามารคนส่วนมากฝึกตนวิชามารพิฆาต ก็มีเพียงเจ้ายุทธจักรมรณาเซียวโป๋คนนี้เท่านั้นที่ครองบัลลังก์อาณาจักรตะวันตก จึงไม่มีใครกล้าก่อเรื่องอะไรโดยไม่คิด

เผชิญหน้ากับคำสบประมาทของต้วนฉือเทียน สีหน้าของเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวก็ยังคงผ่อนคลาย “เจ้ายุทธจักรพลานุภาพคิดว่า คนที่ข้าเลือกมานี้แย่มากหรือ?”

เจ้ายุทธจักรพลานุภาพต้วนฉือเทียนคนนี้ร่างกายกำยำ คิ้วเข้มตากลม ได้ยินคำพูดนั้นอยู่ดี ๆ ก็เผยรอยยิ้มออกมา “ไม่เพียงแค่แย่ แต่แย่จนถึงที่สุดเลยต่างหาก!”

ถึงแม้ว่าเขาจะกำลังยิ้มอยู่ คำพูดนั้นเต็มไปด้วยการเยาะเย้ยและประชดประชัน

อย่างไรก็ตามเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวกลับไม่ได้ใส่ใจอะไร พูดตอบพร้อมรอยยิ้ม “ในเมื่อเจ้ายุทธจักรพลานุภาพรู้สึกว่าคนที่ข้าเลือกนั้นไม่ดีพอ เช่นนั้นพวกเรามาเดิมพันกันดูดีหรือไม่?”

“เดิมพันหรือ?” เจ้ายุทธจักรพลานุภาพเมื่อได้ยินเช่นนั้น คิ้วหนา ๆ ของเขาก็เลิกขึ้นทันที

ระหว่างพวกเขาสี่เจ้ายุทธจักร ต่างก็รู้จักกันเป็นอย่างดี เจ้ายุทธจักรพลานุภาพเมื่อได้ยินเช่นนั้น ก็รู้ได้ทันทีว่าเจ้าหนุ่มหวูชิวคนนี้ไม่ได้มีเจตนาดีอย่างแน่นอน

หากพูดถึงความร้ายกาจและเจ้าเล่ห์ ก็คงไม่พ้นเจ้ายุทธจักรมรณา แต่หากพูดถึงความฉลาดและไหวพริบ ในบรรดาทั้งสี่คน กลับไม่มีใครสามารถเทียบกับเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวได้เลย

ไหวพริบของเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิว ไม่ว่าอย่างไรก็ดูไม่เหมือนคนที่ฝึกตนวรยุทธ์ธาตุไฟแม้แต่น้อย เพราะคนส่วนมากที่ฝึกตนวรยุทธ์ธาตุไฟ อารมณ์จะค่อนข้างร้อน ควบคุมตัวเองไม่ได้

“ท่านอยากเดิมพันอย่างไร?” ต้วนฉือเทียนฝืนใจถามกลับ

ทั้งที่รู้ว่าตัวเองอาจตกหลุมพรางของอีกฝ่าย แต่ต้วนฉือเทียนกลับยังคงต้องการรักษาหน้าตัวเอง ไม่เช่นนั้นถ้าหากไม่เดิมพัน ก็คงจะหนีไม่พ้นว่าตนนั้นกลัวเจ้าหวูชิวคนนี้?

หวูชิวยิ้มบาง ๆ “ในเมื่อเจ้ายุทธจักรพลานุภาพคิดว่าข้าเลือกคนมาได้ไม่ดี เห็นได้ชัดว่าท่านคงจะมั่นใจในคนที่ท่านเลือกไม่เช่นนั้นก็ลองดูว่าพวกเขาทั้งสอง ใครจะได้อันดับในการประลองยุทธ์สูงกว่ากัน ท่านเห็นว่าเช่นไร?”

“ท่านแน่ใจหรือ?” ต้วนฉือเทียนรี่ตาลง เมื่อครู่เขาได้ใช้ตัวสำนึกตรวจสอบเด็กหนุ่มคนนั้นที่กำลังเดินขึ้นบันไดอยู่นอกตำหนัก เห็นได้ชัด ๆ ว่ามีเพียงแค่ผลการฝึกตนแดนจักรพรรดิยุทธ์ขั้น7

เขาไม่รู้ว่าหวูชิวไปเอาความมั่นใจมาจากไหน แค่เจ้าหนูจักรพรรดิยุทธ์ขั้น7คนหนึ่ง จะแข็งแกร่งไปกว่าพลังของผลการฝึกตนแดนมกุฎยุทธ์ขั้นสี่ได้งั้นหรือ?

ด้านหลังของต้วนฉือเทียน มีชายร่างกำยำยืนอยู่ตรงนั้นเช่นเดียวกัน เป็นชายผู้แข็งแกร่งที่มีความสูงเก้าศอก ผู้นี้คือลูกศิษย์ที่ได้รับการฝึกฝนจากเขาโดยตรง อย่ามองแค่เพียงผลการฝึกตนมกุฎยุทธ์ขั้นสี่ ความจริงแล้วพลังของเขานั้นเมื่อเทียบกับมกุฎยุทธ์ขั้นหกแล้ว ยังแข็งแกร่งเสียมากกว่า

ช่องว่างระหว่างคนทั้งสอง มันไม่สมเหตุสมผลแม้แต่น้อย

เทพธิดาหานยู่ก็มองไปทางเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยคำถาม ด้วยไหวพริบของหวูชิว ความจริงแล้วไม่ควรจะทำเรื่องอะไรที่ไม่ฉลาดเช่นนี้ถึงจะถูก

ไม่มีใครคิดว่า จักรพรรดิยุทธ์ขั้น7 จะสามารถสู้กับพลังของผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์ขั้นหกได้

ต่อให้คนที่หวูชิวเลือกมาจะมีพรสวรรค์มากมายเพียงใด สามารถต่อสู้ข้ามระดับได้ แต่คนอื่นก็มีพรสวรรค์ที่สูงมากเช่นกัน สามารถต่อสู้ข้ามระดับได้เหมือนกัน ต่างกันราว ๆ หนึ่งแดนใหญ่ ช่องว่างระหว่างระดับนั้นมีขนาดใหญ่เกินกว่าจะเชื่อมได้

ในบรรดาสี่เจ้ายุทธจักร มีเพียงเจ้ายุทธจักรมรณาเซียวโป๋เท่านั้นที่สีหน้าไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ดูเหมือนว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่สามารถส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของเขาได้แม้แต่น้อย

“เจ้ายุทธจักรพลานุภาพไม่กล้าเดิมพันหรือ?” หวูชิวพูดพร้อมรอยยิ้ม

“ตลกหรือ! ข้ามีอะไรให้ต้องกลัวหรือไร?” ต้วนฉือเทียนเสียงดังก้องไปทั่วทั้งห้องโถง สะเทือนไปทั้งโซนทั้งสี่ทิศเกิดเป็นระลอกคลื่นกระเพื่อมออกไป

ในความเห็นของเขา ไม่รู้ว่าหวูชิวกินยาอะไรผิดไป เห็นได้ชัดว่านี่เป็นการพนันที่ต้องแพ้แน่ ๆ แต่กลับกล้ายกขึ้นมาเดิมพันกับตน?

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 580
ป้ายบัญชาการของผู้ลาดตระเวนจดจำลมปราณที่เฉพาะเจาะจง องครักษ์บนหอคอยต้อนรับใช้ตัวสำนึกกวาดออกไป ก็สามารถยืนยันตัวตนได้ถูกต้อง

“พวกเจ้ารออยู่ที่นี่ ข้าจะเข้าไปรายงาน” เสียงขององครักษ์ยังไม่ทันสิ้นลง ก็กลายเป็นลำแสงสีทอง บินขึ้นไปที่สำนักหลัวเทียนด้านบนสุด

หลังจากนั้นไม่นาน องครักษ์คนนั้นก็กลับมา “ในบรรดาพวกเจ้า ใครคือหลัวซิว?”

“ข้าเอง” หลัวซิวยืนขึ้น

“ท่านเจ้าเมืองมีคำสั่ง ให้เจ้าเข้าไปได้” องครักษ์พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย

หลัวซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย “เช่นนั้นเพื่อนของข้ากับท่านผู้ลาดตระเวนฉีเล่า?”

“ท่านเจ้าเมือง รับสั่งเพียงแค่ให้เจ้าเข้าไป อีกสองคนไม่สามารถเข้าไปได้” น้ำเสียงขององครักษ์ ไม่มีวี่แววของหนทางเจรจา

“เจ้าสำนักหลัว ถึงอย่างไรท่านเจ้าเมืองก็เรียกพบเพียงแค่ท่านคนเดียว ท่านก็เข้าไปเถิด” ฉีฝ่าเทียนเอ่ยปาก เขาเป็นเพียงแค่ผู้ลาดตระเวนตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งเท่านั้น ไม่มีคุณสมบัติเพียงพอจะได้เข้าพบหัวหน้าลาดตระเวน นั่นก็เป็นเรื่องที่ปกติมาก

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ต้องรบกวนท่านผู้ลาดตระเวนฉีพาเยว่เอ๋อร์ ไปพักผ่อนในที่ปลอดภัยด้วย” หลัวซิวพูด

เมื่อพูดจบ หลัวซิวก็หันไปทางองครักษ์บนหอคอยต้อนรับ “รบกวนท่านนำทางไปเถอะ”

บันไดสีทองก็ยืนออกไปจากหอคอยต้อนรับ ยืดยาวไปจนถึงหน้าสำนักหลัวเทียนที่อยู่สูงสุด

หลัวซิวทำตามเงื่อนไขขององครักษ์ สาวเท้าก้าวขึ้นไปบนบันได เดินขึ้นไปยังสำนักหลัวเทียน

เหยียนเยว่เอ๋อร์มองแผ่นหลังของหลัวซิว “ผู้ลาดตระเวนฉี หลัวซิวจะไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”

ฉีฝ่าเทียนได้ยินเช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “ท่านหัวหน้าผู้ลาดตระเวนเป็นใครกันล่ะ? เจ้าสำนักหลัวจะไม่มีเรื่องอะไรหรอก เจ้าวางใจได้”

บันไดสีทองนั้นยาวมาก มีราว ๆ ร้อยขั้น ลำแสงสีทองส่องประกาย ราวกับของจริง เมื่อก้าวขึ้นไปด้านบน มองไปรอบ ๆ ด้าน สามารถมองเห็นเมืองหลัวเทียนได้ทั้งเมือง

เมื่อระยะห่างของสำนักหลัวเทียนยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ หลัวซิวก็ยิ่งรับรู้ได้อย่างชัดเจน ภายในสำนักหลัวเทียน มีลมปราณที่น่าเกรงขามแพร่กระจายออกมาเป็นระลอก ๆ

ลมปราณเหล่านี้ไม่ได้เป็นความตั้งใจในการแพร่ออกมา แต่หลัวซิวนั้นมีความสามารถของกระแสสัมผัสพลังชีวิต จึงสามารถสัมผัสสิ่งที่เข้ามากระทบร่างของตนได้ ยิ่งใกล้สำนักหลัวเทียนเท่าไร ก็รู้สึกว่าแต่ละก้าวเดินนั้นยิ่งยากขึ้นไปเท่านั้น

ภายในสำนักหลัวเทียน มีร่างสี่ร่างนั่งอยู่ บนที่นั่งผู้นำนั้น คือชายหนุ่มคนหนึ่งที่สวมชุดคลุมยาวสีแดงเพลิง ส่วนอีกสามคนนั้น คนหนึ่งคือหญิงสาวที่สวมชุดสีเขียวอ่อน คนหนึ่งคือชายวัยกลางคนที่สวมชุดสีดำ อีกคนหนึ่งคือชายชราสวมชุดสีขาว

หนุ่มชุดคลุมแดงคนนั้น ก็คือหัวหน้าลาดตระเวนแห่งอาณาจักรใต้ นามว่าหวูชิว ดูราวกับเป็นชายหนุ่ม แต่ความจริงแล้วนั้นเป็นเฆ่าประหลาดที่มีอายุนับพันปีแล้ว เพียงเพราะว่าวรยุทธ์ที่ฝึกตนนั้นมีวิชาเยาว์วัย นี่คือวิธีที่สามารถคงความอ่อนเยาว์อยู่เสมอ

ส่วนหญิงสาวชุดเขียวอ่อน ดูเหมือนอายุประมาณ20ต้น ๆ คือหัวหน้าลาดตระเวนแห่งอาณาจักรตะวันออก นามว่าชิงหานยู่ ผู้คนมักจะเรียกกันว่าเทพธิดาหานยู่บุคลิกและใบหน้าที่สง่างามเช่นนั้น ทำให้คนที่ยืนต่อหน้านาง รู้สึกว่าตนขี้เหล่อย่างช่วยไม่ได้

ยังมีชายวัยกลางคนชุดสีดำคือหัวหน้าลาดตระเวนแห่งอาณาจักรเหนือ ต้วนฉือเทียน ส่วนชายชราชุดขาวคือหัวหน้าลาดตระเวนอาณาจักรตะวันตกเซียวโป๋

หัวหน้าลาดตระเวนสี่อาณาจักรใหญ่ที่บัญชาแดนศักดิสิทธิ์ ทุกคนต่างก็เป็นถึงพรีเมี่ยมยุทธ์ หวูชิวคือเจ้ายุทธจักรอัคคีเทพธิดาหานยู่คือเจ้ายุทธจักรหยกนารา ต้วนฉือเทียนคือเจ้ายุทธจักรพลานุภาพ เซียวโป๋คือเจ้ายุทธจักรมรณา

นอกจากเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวแล้ว ด้านหลังหัวหน้าลาดตระเวนทั้งสามคนต่างก็มีหนุ่มสาววัยเยาว์ยืนอยู่ด้วย

“นี่คืออัจฉริยะแห่งอาณาจักรใต้ที่ท่านหวูชิวเลือกมางั้นหรือ?” เทพธิดาหานยู่พูดด้วยรอยยิ้ม

ในขณะที่หลัวซิวกำลังเดินขึ้นบันไดขึ้นมานั้น พรีเมี่ยมยุทธ์ทั้งสี่คนที่อยู่ในสำนัก ก็สามารถรับรู้ได้ถึงลมปราณของเขา

หวูชิวยิ้มพร้อมกับพยักหน้า “เทพธิดาหานยู่คิดว่าการเลือกคนผู้นี้ของข้าเป็นเช่นไร?”

เทพธิดาหานยู่ยิ้มเล็กน้อย “ในบรรดาพวกเราเจ้ายุทธจักรทั้งสี่ ในด้านการมองคนนั้นท่านมองได้ขาดที่สุดเสมอ ในตอนนี้ชายวัยเยาว์ผู้นี้ได้รับความสำคัญจากท่าน ดูแล้วก็คงจะมีคุณสมบัติใดที่ไม่ธรรมดาเป็นแน่?”

ในเวลานี้เอง หัวหน้าลาดตระเวนอาณาจักรเหนือ‘ต้วนฉือเทียน’กลับพ่นลมหายใจออกมา “ข้าเห็นเพียงเจ้าหนุ่มคนนี้มีผลการฝึกตนแดนจักรพรรดิยุทธ์ขั้น7 ความสามารถระดับนี้ยังหวังจะได้รับโควตาแดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นล่างงั้นหรือ?”

“เจ้ายุทธจักรพลานุภาพพูดเช่นนี้คงไม่ถูก เจ้าหนุ่มคนนี้ผลการฝึกตนไม่สูง แต่ลมปราณสงบมั่นคง ที่น่ายกย่องที่สุดคือ บรรดาพวกเราทั้งสี่ต่างก็เก็บซ่อนพลังลมปราณเอาไว้ แต่เขากลับดูเหมือนว่าจะสามารถสัมผัสลมปราณของพวกเราได้ตั้งแต่อยู่ด้านนอก กระทั่งสามารถรับแรงกดจากพลังลมปราณของพวกเราแล้วเดินขึ้นมาที่สำนักหลัวเทียนแห่งนี้ได้” เทพธิดาหานยู่ขมวดคิ้วพูดตอบ

“ตลกแล้ว! ด้วยความสามารถของเราในการระงับลมปราณ เพียงแค่จักรพรรดิยุทธ์ตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งเท่านั้น ยังสามารถรับรู้ได้ถึงลมปราณของเราเช่นนั้นหรือ?” ต้วนฉือเทียนมุ่ยปาก “จะให้ข้าพูด เจ้าหนูคนนี้คงจะไม่เคยเผชิญโลกกว้างเสียมากกว่า เพราะกังวล จึงได้ก้าวเดินอย่างลำบาก ขี้ขลาดตาขาว!”

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 579
“นอกจากเซวี่ยลี่เฟิง เหล่ารุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด ต่างก็ไม่มีใครสามารถเป็นคู่ต่อสู้กับคนผู้นี้ได้”

……

กลางเมืองหลัวเทียน กองกำลังทุกฝ่ายต่างก็ต้องมีที่ทำการ ในตอนนี้ ณ ประตูทางเข้าที่ทำการของแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด ศิษย์หลายคนที่สวมชุดของจันทราสีเลือด เขารีบพาคนสองคนเข้าไปอย่างรีบร้อน

“เกิดอะไรขึ้น? ฝีมือใครกัน?”

ชายวัยกลางคนที่มีใบหน้าเคร่งขรึมพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว และเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นเหยียบ

ศิษย์จันทราสีเลือด คนหนึ่งเจ็บคนหนึ่งตาย คนที่ตายนั่นเป็นลูกศิษย์คนหนึ่งที่ได้รับการถ่ายทอดทักษะระดับสูง

ส่วนคนที่ได้รับบาดเจ็บ คือหลานของผู้อาวุโสคนหนึ่งแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด ใครกันที่ช่างอาจหาญ ลงมือโจมตีศิษย์ของแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด?

แดนศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ท่ามกลางที่โลกแสงดาว แดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดนั้นไม่ว่าความแค้นจะเล็กน้อยเพียงใดก็ต้องชำระ จิตใจโหดเหี้ยม ดังนั้นต่อให้เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง ไม่ว่าจะทำให้ขุ่นเคืองได้ง่ายดายเพียงใด ก็ไม่ปรารถนาจะจะทำให้แดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดขุ่นเคือง

ส่วนผู้แข็งแกร่งอีกส่วนหนึ่งต่างก็พากันเรียกคนจากแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดลับหลังว่าหมาบ้า เมื่อใดที่ไปขัดใจ ก็ราวกับหมาบ้าที่กัดไม่ปล่อย

“เส้นลมปราณขาด จุดตันเถียนก็ได้รับบาดเจ็บ คนที่ลงมือโหดเหี้ยมมาก”

ชายวัยกลางคนคนนี้เป็นผู้คุมกฎแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด จิตสังหารถูกปล่อยออกมา ทำเอาเหล่าศิษย์ของจันทราสีเลือดหลายคนตรงนั้นตัวสั่นอย่างช่วยไม่ได้ รีบเล่าทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในภัตตาคารเทียนอีออกมาจนหมด

ผู้คุมกฎแดนจันทราสีเลือดเมื่อฟังจบ ดวงตาก็พลันเป็นประกาย “ฝึกตนพลังแห่งโซน มีร่างยุทธ์แดนมกุฎ?”

“แต่เป็นคนที่เกิดจากกองกำลังเล็ก ๆ ที่ไม่มีระดับแห่งอาณาจักรใต้ คิดว่าตนเองได้รับโอกาสเสียหน่อยก็กล้าหยามพวกเราแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด?”

ชายหนุ่มในชุดคลุมสีเลือดสูดลมหายใจเข้า “กล้าทำร้ายน้องข้าจนบาดเจ็บถึงเพียงนี้ ข้าหลี่ฮุ่ยจะให้มันชดใช้ด้วยชีวิต!”

ที่ปลายชุดของชายหนุ่มชุดคลุมสีเลือดคนนี้ประดับด้วยด้ายทอง เป็นสัญลักษณ์ว่ามีฐานะเป็นศิษย์ในสำนักของแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด

ศิษย์แดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด ต่างก็สวมชุดสีเลือด แต่ที่แตกต่างกันคือมุมหนึ่งอาภรณ์ของศิษย์ธรรมดานั้นจะตกแต่งด้วยด้ายสีเงิน ส่วนศิษย์ในสำนักจะเป็นด้ายสีทอง ส่วนศิษย์ใจกลางจะเป็นเชือกสีม่วงทอง

นอกเหนือจากบรรดาศิษย์ใจกลาง ยังมีลูกศิษย์สายตรงของเทพศักดิ์สิทธิ์ จะใส่ชุดสีเลือดบริสุทธิ์ ปราศจากสีอื่นแทรกแซม

แม้ว่าหลัวซิวจะสำแดงพลังร่างยุทธ์แดนมกุฎที่ใจกลางภัตตาคารเทียนอี แต่กลางเมืองหลัวเทียนแห่งนี้ มันทำให้เกิดแรงกระเพื่อมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้ดึงดูดความสนใจได้มากสักเท่าใดนั้น

เพราะเรื่องการเปิดแดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นล่าง แดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ทุกแห่งหนต่างก็ส่งศิษย์ยอดฝีมือวัยเยาว์ บางส่วนในบรรดายอดฝีมือเหล่านี้ ไม่ขาดแคลนยอดฝีมือที่ฝึกตนถึงแดนมกุฎยุทธ์ ไม่เพียงผลการฝึกตนบรรลุถึงแดนมกุฎยุทธ์เท่านั้น ผู้ที่ร่างเนื้อและตัวสำนึกได้บรรลุถึงแดนมกุฎยุทธ์ ต่างก็มีอยู่ถมไป

ถึงอย่างไรเหล่าอัจฉริยะ ก็เกิดและโตมาในแดนศักดิ์สิทธิ์ วิชายิ่งเลิศที่ใช้ฝึกตนก็เป็นระดับที่สูงที่สุด ใช้ทรัพยากรที่มีคุณภาพที่ดีที่สุด เงื่อนไขการฝึกตนก็เป็นที่สุด ยังมีผู้แข็งแกร่งอาวุโสแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นคนถ่ายทอดวิชาด้วยตนเอง

คนเหล่านี้ จึงเรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะที่แท้จริงในหมู่คนรุ่นใหม่!

เมืองหลัวเทียนนั้นกว้างใหญ่ ครอบคลุมรัศมีหลายร้อยลี้ ป้อมปราการถูกสร้างขึ้นในตอนแรกนั้น ก็เพื่อจะต้านทานการโจมตีของกองทัพเผ่าพันธุ์มาร มีผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์เคลื่อนย้ายสายทิพย์สามเส้นด้วยตัวเอง แล้วฝังอยู่ในบ่อใต้เมือง

สายทิพย์สามารถเกิดเป็นปราณทิพย์ได้ ปราณทิพย์เป็นพลังงานชนิดหนึ่งที่มีระดับสูงกว่าพลังฟ้าดินจิต เหมาะเป็นอย่างมากกับการฝึกตน

ดังนั้นการฝึกตนในเมืองหลัวเทียน ก็จะสามารถดูดซับปราณทิพย์บาง ๆ ได้ด้วย นี่ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลว่าทำไมนักยุทธ์ส่วนใหญ่จึงหลั่งไหลกันมาพัฒนาตนเองที่เมืองหลัวเทียน

และปราณทิพย์ที่แพร่กระจายออกมาจากสายทิพย์ เก้าในสิบส่วนต่างก็หลวมรวมกันอยู่ในสามตำหนักใจกลางเมืองหลัวเทียน ตำหนักทั้งสามนี้ลอยอยู่กลางอากาศ ตำหนักที่ใหญ่โตและสง่างามที่สุดอยู่ด้านบน ส่วนอีกสองตำหนักซึ่งเล็กลงมาหน่อยจะอยู่ด้านล่างถัดลงมา

ตำหนักที่อยู่ในตำแหน่งที่สูงที่สุดนั้น เรียกว่าสำนักหลัวเทียน เป็นสถานที่พำนักของเจ้าเมืองหลัวเทียน

และเจ้าเมืองหลัวเทียนคนนี้ยังมีอีกหนึ่งสถานะ นั่นก็คือหัวหน้าลาดตระเวนแห่งสี่แก๊งใหญ่อาณาจักรใต้!

ด้านหน้าสำนักหลัวเทียน มีหอคอยสำหรับต้อนรับและให้คำแนะนำอยู่ หากต้องการจะเข้าไปในสำนักหลัวเทียน ก็จำเป็นต้องผ่านหอคอยต้อนรับนี้ก่อน

ที่หอคอยต้อนรับนี้ มีองครักษ์18คนที่สวมชุดเกราะนักยุทธ์อยู่ ยืนตรงด้วยสีหน้าราบเรียบ บนร่างกายของทุกคนเต็มไปด้วยจิตสังหารที่เยือกเย็นแพร่กระจายออกมา ทั้งหมดเป็นผลการฝึกตนมกุฎยุทธ์ขั้น9 บรรดาพวกเขาทั้งหมดยังมีหัวหน้าและรองหัวหน้าที่เป็นผู้แข็งแกร่งระดับมหายุทธ์

“ผู้ใดกำลังมา?”

ร่างสามร่างบินเข้ามาทางหอคอยต้อนรับ องครักษ์คนหนึ่งเงยหน้าขึ้นมอง แล้วจึงตะโกนออกไปเสียงเข้ม

สำนักหลัวเทียน แสดงถึงความยิ่งใหญ่ของหัวหน้าลาดตระเวน ไม่สามารถล่วงล้ำได้ง่าย ๆ สำหรับองครักษ์เหล่านี้แล้วนั้น หากทั้งสามคนไม่บอกกล่าวเหตุผลออกมา ก็จำเป็นต้องลงมือสั่งสอนเสียหน่อย ไม่เช่นนั้นไม่ว่าใครก็คงจะพากันบินขึ้นมาถึงที่นี่ เช่นนั้นบารมีของท่านหัวหน้าผู้ลาดตระเวนจะอยู่ตรงไหนกัน?

ฉีฝ่าเทียนชูป้ายบัญชาการที่เปล่งแสง “ข้าคือผู้ลาดตระเวนฉีฝ่าเทียน ได้รับคำสั่งให้เข้าพบท่านหัวหน้าผู้ลาดตระเวน”

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 578
แต่ที่เมืองหลัวเทียนแห่งนี้ กลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง หากสุ่มขว้างก้อนหินเข้าไปในเมืองส่ง ๆ หินนั้นอาจจะไปโดนศิษย์ของกองกำลังใหญ่ชั้นหนึ่ง หรือทายาทบางคนของแดนศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นได้ กองกำลังเช่นนั้นสำหรับหลัวซิวแล้ว ถือเป็นยักษ์ใหญ่ที่ดูเหมือนแข็งแกร่งแต่แท้จริงแล้วอ่อนแอที่แท้จริง ไม่ใช่สิ่งกองกำลังของประเทศเทียนหวูสามารถเทียบได้โดยสสิ้นเชิง

ที่เมืองหลัวเทียนได้รวบรวมสายลับของกองกำลังต่าง ๆ ไว้ ข้อมูลนั้นแพร่สะพัดไปได้อย่างรวดเร็ว เรื่องเกิดที่กลางภัตตาคารเทียนอี แค่เพียงไม่นานก็ถูกเล่าสู่ผู้คนมากมายในเมือง

“ชายหนุ่มชุดดำคนนั้นชื่อว่าหลัวซิว อายุ21ปี ผลการฝึกตนระดับจักรพรรดิยุทธ์ขั้น7”

“ว่ากันว่าคนคนนี้ได้รับการสืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์โบราณไท่เสวียน อีกทั้งยังก่อตั้งสำนักเขาขึ้นที่ประเทศเทียนหวู สืบทอดลัทธิไท่เสวียนโบราณอีกด้วย”

“หลี่หยวนก็ถือเป็นหนึ่งในอัจฉริยะรุ่นเยาว์ของแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดถือว่ามีชื่อเสียงอยู่พอสมควร หากไม่ได้ผู้แข็งแกร่งแห่งภัตตาคารเทียนอีออกหน้าไว้ เกรงว่าจะถูกหลัวซิวฆ่าตายคาที่ไปแล้ว!”

หลี่หยวน คือชายหนุ่มหน้าตาร้ายกาจจากแดนศักดิ์สิทธิ์พื้นนภาที่มีเรื่องขัดแย้งกับหลัวซิวในภัตตาคารเทียนอี

“หลี่หยวนเป็นถึงแดนจักรพรรดิยุทธ์ขั้น9 แต่หลัวซิวนั่นเป็นแค่จักรพรรดิยุทธ์ขั้น7 ผลการฝึกตนห่างกันถึงสองแดนเล็ก ผู้อ่อนแอเอาชนะผู้แข็งแกร่ง หลัวซิวคนนี้ไม่ใช่ธรรมดาจริง ๆ”

ในขณะที่ทั่วทั้งเมืองกำลังถกเถียงกันอยู่นั้น หลัวซิวกลับนั่งดื่มเหล้าอยู่กับฉีฝ่าเทียนที่ภัตตาคารเทียนอีเช่นเดิม

“สหายท่านนี้ ข้าคือตวนมู่หยาง ขอคำนับท่านหนึ่งจอก”

เมื่อเห็นหลัวซิวเอาชนะหลี่หยวนได้อย่างง่ายดายเช่นนั้น กลุ่มคนจากแดนศักดิ์สิทธิ์พื้นนภาเหล่านั้นก็ต่างพากันตกตะลึงตาค้างเช่นกัน

ผู้นำอย่างตวนมู่หยางเดินเข้ามา ดื่มเหล้าขอบคุณต่อหลัวซิว

หลัวซิวก็ยิ้มพลางยกจอกเหล้าขึ้นเป็นสัญญาณ จากนั้นก็ยกรวดเดียวหมดแก้ว

“ไม่รู้ว่าสหายท่านนี้มีนามว่าอย่างไร?” ตวนมู่หยางถาม

“หลัวซิว”

“ศิษย์พี่หลัว คนจากแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดจิตใจคับแคบ ท่านต้องระวังให้มาก” ตวนมู่หยางเอ่ยเตือน ถึงอย่างไรหากไม่ใช่เพราะตนเอง อีกฝ่ายก็คงไม่ต้องไปขัดแย้งกับเจ้าพวกแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดนั่น

หลัวซิวไม่ได้สนใจในจุดนี้ เขารู้ตัวเองดีถึงนิสัยเช่นนี้ของเขา ในเส้นทางการฝึกยุทธ์ยิ่งเดินไปไกลเท่าไร คนที่จะต้องขัดแย้งด้วยก็ยิ่งมากขึ้น ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น

การฝึกยุทธ์ คือการยื้อชีวิตกับสวรรค์ หลัวซิวไม่กลัวว่าอีกฝ่ายจะแข็งแกร่งเพียงใด ตรงกันข้าม เขากลัวว่าคู่ต่อสู้จะอ่อนแอเกินกว่าจะกดดันเขาได้

ทันใดนั้น หลัวซิวรู้สึกถึงสายตาของใครบางคนที่จ้องมา หันหลังไปมอง ก็เห็นว่าที่มุมหนึ่งของภัตตาคาร มีชายหนุ่มใบหน้ายิ้มแย้มคนหนึ่งนั่งอยู่

ชายหนุ่มคนนี้ สวมชุดสีม่วง ยกจอกเหล้าและขยับเล็กน้อยไปทางหลัวซิว

หลัวซิวไม่รู้ว่าชายหนุ่มชุดสีม่วงคนนี้คือใคร แต่สามารถแน่ใจได้ว่าสายตาที่สัมผัสได้เมื่อครู่นี้ จะต้องมาจากคนผู้นี้เป็นแน่

แต่หลัวซิวกลับไม่ได้รู้สึกถึงความเป็นศัตรูจากอีกฝ่ายแต่อย่างไร จึงได้ยกจอกเหล้าขึ้นเป็นสัญญาณ ถือเป็นการทักทาย

นอกจากหนุ่มชุดม่วงแล้ว มีเด็กสาวคนหนึ่งที่มีดวงตาเป็นประกายและฟันขาวสะอาด ใบหน้างดงามไม่ด้อยไปกว่าเหยียนเยว่เอ๋อร์แม้แต่น้อย

“ชายชุดดำคนนั้นสุดยอดมาก แต่ดูเหมือนจะเพิ่งเริ่มฝึกพลังแห่งโซน สามารถเทเลพอร์ตได้เพียงแค่ระยะใกล้ ๆ เท่านั้น” ผู้หญิงคนนั้นพูดเสียงเบา

“สิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดคือความแข็งแกร่งของร่างเนื้อของเขา จะต้องข้ามผ่านระดับจักรพรรดิ บรรลุถึงแดนมกุฎแล้วเป็นแน่ แม้แต่ที่เขาตรีภพของพวกเรา อัจฉริยะอายุประมาณ20ปีที่สามารถฝึกตนร่างเนื้อได้ถึงแดนมกุฎก็มีไม่มากนัก”

“เจ้าพูดถูกแล้ว แค่เพียงร่างยุทธ์ร่างเนื้อบรรลุถึงแดนมกุฎ ก็สามารถกวาดล้างคนรุ่นใหม่ของกองกำลังแดนศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ส่วนมากได้แล้ว” ชายหนุ่มชุดม่วงยิ้มพลางจิบเหล้าในมือ

เด็กสาวยิ้มออกมาบาง ๆ “แต่หากเทียบกับท่านพี่ใหญ่ซางหลันแล้ว ยังห่างไกลกันมากนัก”

“เหอ ๆ คนผู้นี้ไม่ธรรมดา ที่เขาสำแดงออกมาให้เห็นนั้นเป็นเพียงพลังส่วนหนึ่งที่เปรียบได้กับยอดของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น” ชายหนุ่มชุดม่วงนามว่าซางหลันพูดพร้อมยิ้มตาหยี

“อ๋อ? ยอดภูเขาน้ำแข็ง?” เด็กสาวชะงักไป นางรู้ดีว่าแววตาของซางหลันเฉียบแหลมเพียงใด สามารถทำให้เขาให้ความสำคัญกับหนุ่มชุดดำคนนี้ได้ เก็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ธรรมดาจริง ๆ เพียงแค่ตนยังมองคนไม่ขาดก็เท่านั้น

ซางหลันก็ไม่ได้อธิบายอะไร ค่อย ๆ เอ่ยต่อ “แดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดในบรรดาแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ มีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องเห็นแก่ตัวและใจแคบมาตลอด ข้าอยากจะรู้ยิ่งนักว่าคนผู้นี้กับศิษย์ยอดฝีมือเซวี่ยลี่เฟิงแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดใครจะแข็งแกร่งกว่ากัน”

หญิงสาวเผยสีหน้าประหลาดใจอีกครั้ง “ท่านพี่ใหญ่ซางหลันคิดว่าเซวี่ยลี่เฟิงจะลงมือหรือ?”

สามารถยึดอันดับหนึ่งของแดนศักดิ์สิทธิ์ท่ามกลางเหล่าศิษย์อัจฉริยะได้ แน่นอนว่าต้องไม่มีข้อกังขาในพลังของเซวี่ยลี่เฟิง

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 577
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหนึ่งต่อต้านด้วยฝ่ามือเปล่า ๆ ของเขา ชายหนุ่มหน้าตาร้ายกาจก็เผยรอยยิ้มเย้ยยันบนใบหน้า รำพึงออกมาเบา ๆ ‘รนหาที่ตาย’!

“ชายผู้นี่ช่างอวดดีเสียเหลือเกิน จะใช้เพียงมือเปล่าต้านนักยุทธ์ชั้นดินชั้นสูงงั้นหรือ?” คนอื่น ๆ ที่อยู่ในบริเวณนั้นต่างก็พากันทำสีหน้าเหยเก คิดในใจว่ามือข้างนั้นของเด็กหนุ่มชุดดำคงจะไม่เหลือเป็นแน่

“ชิ้ง!”

ประกายไฟสาดกระเซ็น ที่ทำให้ทุกคนรู้สึกประหลาดใจคือจังหวะที่มือเปล่านั้นปะทะเข้ากับกริชสีเลือด กลับเกิดเสียงเหมือนเหล็กปะทะเข้าหากันดังขึ้น

ฝ่ามือของหลัวซิวไม่มีแม้แต่รอยแผล ส่วนกริชสีเลือดนั้น ไม่ปรากฏแม้แต่ร่องรอยฝุ่นผงสีขาวสักนิดเดียว

เมื่อมองกลับมาที่ชายหนุ่มหน้าตาร้ายกาจ เขากลับรู้สึกว่ามีพลังบางอย่างที่รุนแรงเหมือนสัตว์ประหลาดทำให้เขาไม่อาจต้านทานได้ส่งผ่านมาจากกริช เรียกกรีดร้องโหยหวนดังขึ้น ข้อมือขาดสะบั้น และร่างนั้นก็กระเด็นออกไป

หลัวซิวลงมืออย่างไร้ความปราณี พลังกระบี่เล่มหนึ่งกำลังจะพุ่งออกไป หมายจะฆ่าชายหนุ่มหน้าตาร้ายกาจที่ลอยออกไปกลางอากาศ

“หยุด!”

ในนาทีนั้นเอง ชายชุดแพรคนหนึ่งพุ่งลงมาจากชั้นสองของภัตตาคาร ยกมือขึ้นจับไปยังพลังกระบี่ที่หลัวซิวส่งออกไป และทำลายจนสลายไปในทันที

ภัตตาคารเทียนอีสามารถทำการค้าอยู่กลางเมืองหลัวเทียนได้ แน่นอนว่าจะต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลังที่ไม่ธรรมดา ชายชุดแพรคนนั้น คือยอดฝีมือที่รับผิดชอบภัตตาคารเทียนอีแห่งนี้

หลัวซิวครอบครองความสามารถกระแสสัมผัสพลังชีวิต แน่นอนว่ารับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของเขาตั้งแต่แรกแล้ว

ชายวัยกลางคนในชุดผ้าแพรคนนี้ ขมวดคิ้วมองไปทางหลัวซิว “เจ้าหนุ่มไม่ลงมือโหดเหี้ยมเกินไปหน่อยหรือ ถึงขั้นกล้าลงมือฆ่าคนในภัตตาคารเทียนอีของข้า?”

ชายชุดแพรมีผลการฝึกตนระดับมกุฎยุทธ์ขั้น9 เทียบเท่ากับผู้คุมกฎเฟิ่งหลิงแห่งเผ่าหงส์

“คนบางคนก็สมควรตาย เพราะถึงต่อให้ตายก็ไม่มีสิ่งใดให้เสียดาย” หลัวซิวพูดพร้อมรอยยิ้ม

เมื่อครู่นี้เอง ฉีฝ่าเทียนได้ส่งเสียงผ่านมาทางตัวสำนึกของเขา ที่ภัตตาคารเทียนอีแห่งนี้คือธุรกิจขององค์กรนักล่ายุทธ์ ให้เขาไม่ต้องเป็นกังวลว่าอีกฝ่ายจะสร้างความลำบากให้ตน

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของหลัวซิว ชายชุดแพรก็พ่นลมหายใจออกมา สายตากวาดมองทุกคนที่อยู่ตรงนั้น “ภัตตาคารเทียนอีของพวกเราทำธุรกิจการค้า ดังนั้นลูกค้าทุกท่านหากใครมีความแค้นหรือขัดแย้งต่อกัน โปรดออกไปจัดการที่ด้านนอกภัตตาคาร”

เมื่อพูดจบ ชายชุดแพรก็มองหลัวซิวด้วยแววตาที่ที่เต็มไปด้วยความนับถือ จากนั้นจึงหันหลังเดินจากไป และหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

ในนาทีนี้เอง เหล่าบรรดาศิษย์ที่เหลือของแดนจันทราสีเลือดมือเท้าพันกันรีบพยุงชายหนุ่มหน้าตาร้ายกาจที่ตอนนี้ใบหน้าซีดเผือดขึ้นมา ยังมีคนที่ก่อนหน้านี้ถูกฆ่าตายอีกคนก็ถูกคนพวกนี้หามขึ้นด้วยเช่นกัน

“เจ้าหนู เรื่องไม่จบเท่านี้แน่ แดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดของข้าไม่ใช่ที่ที่เจ้าจะทำให้ขุ่นเคืองได้!” ในขณะที่ถูกพยุงอยู่นั้น ชายหนุ่มหน้าตาร้ายกาจยังคงอวดดีกับหลัวซิว

หลัวซิวขมวดคิ้ว หากไม่ใช่เพราะชายชุดแพรวัยกลางคนลงมือช่วยไว้ ชายผู้นี้ก็คงตายด้วยน้ำมือของเขาไปแล้ว ยังจะกล้าปากดีอีกหรือ?

เมื่อจิตสังหารของเขาเรื่องเคลื่อนไหว ฉีฝ่าเทียนกลับห้ามเขาขึ้นมาอย่างกะทันหัน “เจ้าสำนักหลัว คนจากแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดเป็นพวกจิตใจคับแคบความแค้นเพียงเล็กน้อยก็ต้องชำระ ท่านฆ่าตายไปหนึ่งคนยังไม่เท่าไร แต่หากจะฆ่าคนของแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดอีกคน เรื่องก็คงจะไม่สงบง่าย ๆ เป็นแน่”

“ผู้ลาดตระเวนฉีคงไม่คิดว่าคนของแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดจะหยุดมือไว้เพียงเท่านี้?” หลัวซิวขมวดคิ้ว

“ศิษย์คนอื่น ๆ ของแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดต่างก็ยึดถือคนผู้นี้ว่าเป็นผู้นำ เห็นได้ชัดว่าฐานะของคนคนนี้ไม่ธรรมดา” ฉีฝ่าเทียนพูดด้วยสีหน้ากังวลใจ

ฆ่าศิษย์คนหนึ่งที่ไม่ได้สลักสำคัญใดใดของแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่หากไปฆ่าคนที่มีเบื้องหลังไม่ธรรมดา เรื่องก็คงจะไปกันใหญ่แน่นอน

หลัวซิวก็รู้ว่าที่ฉีฝ่าเทียนพูดมานั้นก็มีเหตุผล แต่ในใจกลับรู้สึกไม่สบายใจ ตามรูปแบบการกระทำของเขา จะต้องฆ่าทิ้งให้หมดโดยไม่ลังเลอย่างแน่นอน

เมื่อเห็นหลัวซิวเก็บจิตสังหารไปแล้ว ฉีฝ่าเทียนก็เบาใจขึ้นมา ดึงเขากลับมานั่ง พลางพูดเกลี้ยกล่อม “เจ้าสำนักหลัว วิธีการทำสิ่งต่าง ๆ ในตอนที่อยู่ประเทศเทียนหวูนั้น หากนำมาใช้ที่เมืองหลัวเทียนแห่งนี้ ต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่นอน”

เมื่อได้ยินฉีฝ่าเทียนพูดเช่นนี้ หลัวซิวก็เข้าใจถึงความหมายที่เขาจะสื่อ เขารู้ดีว่าตนเป็นพวกฆ่าแบบถอนรากถอนโคน ไม่มีความปราณีใดใดสำหรับศัตรู ในตอนนั้นที่ประเทศเทียนหวู เพราะนิสัยและกลวิธีเช่นนี้ จึงทำให้ถูกกองกำลังจำนวนมากไล่ตามฆ่า

แต่ที่ประเทศเทียนหวูนั้นระดับโดยรวมมีขีดจำกัด ช่วงแรกของการฝึกยุทธ์ หลัวซิวอยู่ในขั้นตอนของการพัฒนาความแข็งแกร่งอย่างรวดเร็ว ดังนั้นกองกำลังเหล่านั้นที่มีความแค้นต่อเขา สุดท้ายก็ถูกเขาเยียบไว้ใต้ฝ่าเท้า

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 576
เสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งหยุดลงกะทันหัน ศิษย์จากแดนจันทราสีเลือดดูท่าน่าจะไม่รอดแล้ว ล้มตัวลงนอนกับพื้นเหมือนหมาที่ตายแล้ว เลือดสดไหลนองไปทั่วพื้น

ในตอนนี้หลัวซิวได้ยืนอยู่ด้านข้างของชายหนุ่มหน้าตาร้ายกาจ เหล่าบรรดาผู้คนจากแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด ก็ได้ให้ชายผู้นี้เป็นผู้นำของพวกเขาด้วย

“เทเลพอร์ต?” สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปในทันที ร่างนั้นก้าวถอยหลังไปหลายก้าว มือก็กำกริชไว้แน่น

เทเลพอร์ต ความสามารถเช่นนี้ มีเพียงแค่อัจฉริยะที่ฝึกตนพลังแห่งโซนเท่านั้นจึงจะสามารถทำได้ ไม่เช่นนั้น ก็มีเพียงแค่ผลการฝึกตนบรรลุถึงมหายุทธ์ช่วงปลาย อาศัยความแข็งแกร่งจากผลการฝึกตนฉีกทะลุโซน จึงจะสามารถเทเลพอร์ตได้

วิชาลับฝึกตนพลังแห่งโซนหายากมาก มีเพียงแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ไม่กี่แห่งที่ได้ครอบครอง อีกทั้งคนที่สามารถฝึกตนได้สำเร็จนั้น ก็มีเพียงเหล่าอัจฉริยะจำนวนน้อยนิดเท่านั้น

ทุกคนต่างรู้ดีว่า ท่ามกลางพลังAttrนั้น พลังที่อยู่ในจุดสูงสุดก็คือเวลา โซน ชีวิต และความตาย สี่พลังAttrใหญ่นี้

แต่คนที่จะไปฝึกตนสี่พลังAttrใหญ่นั้น กลับมีเพียงแค่หยิบมือ ด้านหนึ่งเป็นเพราะวรยุทธ์ฝึกตนพลังAttrนั้นหากได้ยาก อีกด้านหนึ่งคือฝึกตนสุดยอดพลังAttr ต้องใช้พรสวรรค์และความชำนาญที่ยอดเยี่ยม

หากความสามารถและความชำนาญมีไม่เพียงพอ ต่อให้สามารถฝึกตนสุดยอดพลังAttrได้สำเร็จ แต่หากต้องการแปรสภาพพลังAttrให้เป็นกฎตระหนักรู้ กลับยากเย็นแสนเข็ญยิ่งนัก และหากต้องการบรรลุถึงแดนเจ้ายุทธจักร เงื่อนไขข้อสำคัญข้อหนึ่งคือ ตระหนักรู้พลังแห่งกฎ!

“วิชาล่องหนไท่เสวียน?” อีกด้านของภัตตาคาร ชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังนั่งดื่มเหล้าอยู่ สายตาของเขาจ้องไปยังหลัวซิว สีหน้าเต็มไปด้วยความสนใจใคร่รู้

เขาก็เคยได้ยินบ้างเรื่องของหลัวซิว อีกทั้งยังเป็นอัจฉริยะที่หัวหน้าลาดตระเวนให้ความสำคัญ อายุยี่สิบเอ็ดปี ก็สามารถขึ้นสู้ตำแหน่งหัวหน้าแก๊งใหญ่แห่งแก๊งนักกลั่นยาของภูมิภาคหนึ่ง ที่อาณาจักรใต้ต่อให้ยังไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะที่เปล่งประกายที่สุด แต่ก็นับว่ามีชื่อเสียงอยู่พอตัว

และที่ประทับใจชายหนุ่มมากที่สุดก็คือ แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นศิษย์จากแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด แต่หลัวซิวก็ยังคงลงมือได้อย่างโหดเหี้ยมไร้ซึ่งความลังเลใดใด เพียงแค่ฝ่ามือเดียวก็ทำให้ศิษย์จันทราสีเลือดคนหนึ่งหมดลมหายใจในทันที

“ศิษย์จันทราสีเลือดที่ถูกโจมตีจนตายนั้นมีพลังไม่มาก แต่ก็มีผลการฝึกตนระดับจักรพรรดิยุทธ์ขั้น7 หลัวซิวสามารถทำให้อีกฝ่ายไร้ซึ่งกำลังในการตอบโต้ นอกจากจะอาศัยความเร็วของเทเลพอร์ต พลังที่แท้จริงของเขาอย่างน้อย ๆ ก็ต้องมีถึงแดนจักรพรรดิยุทธ์ขั้น9!”

ชายหนุ่มหน้าตาร้ายกาจที่เป็นหัวโจกของเหล่าศิษย์แดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดหน้าถอดสี อีกฝ่ายฝึกตนมีพลังแห่งโซน, สามารถใช้เทเลพอร์ตได้ในระยะใกล้ ถึงแม้ว่าเขาจะกลัว แต่ก็ไม่ตื่นตระหนกจนเกินไป

ยิ่งไปกว่านั้นคนพวกนี้ในภัตตาคารเทียนอี ต่างก็มีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดาทั้งนั้น มีตาหลายคู่จับจ้องอยู่ ศิษย์คนหนึ่งจากแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดถูกโจมตีจนตาย หากเรื่องในวันนี้จะจบลงที่ตรงนี้ เช่นนั้นบารมีของแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดจะหาได้จากที่ใดอีก?

“อย่าคิดว่าตนสามารถฝึกตนพลังแห่งโซนได้สำเร็จแล้วจึงคิดว่าไม่มีใครในใต้หล้าสามารถสู้ได้ ความเร็วของเทเลพอร์ตของเจ้าถึงแม้จะรวดเร็ว แต่หากเพียงผลการฝึกตนนั้นไม่แตกต่างกันมากนัก ก็จะไม่ถูกเจ้าโจมตีโดยง่าย”

ชายหนุ่มหน้าตาร้ายกาจพูดเสียงเย็นชา นัยยะสำคัญในคำพูดของเขาก็คือ หลัวซิวสามารถฆ่าศิษย์ของจันทราสีเลือดได้คนหนึ่ง นั่นก็เป็นเพราะลอบโจมตีทั้งสิ้น

“เจ้าช่างพูดมากเสียจริง”

หลัวซิวทำปากมุ่ย เผยรอยยิ้มหยามเหยียด ทันใดนั้นร่างของเขาก็หายจากที่ตรงนั้น

“คิดจะลอบโจมตีข้า? ฝันไปเถอะ!”

ชายหนุ่มหน้าตาร้ายกาจตระโกนเสียงดัง ตัวสำนึกถูกกระจายออกไป รับรู้ได้ถึงแรงกระเพื่อมบาง ๆ ของโซนที่ที่ส่งมาจากทางด้านหลังของตน

“เจอแล้ว!” เขาหันกลับมาในทันที กริชในมือที่เต็มไปด้วยจิตสังหารสีแดงเลือด พุ่งทะลุโซน

การต่อสู้ของชายหนุ่มหน้าตาร้ายกาจนั้นมีสติค่อนข้างดี เขาสามารถตัดสินใจได้อย่างแน่ชัดถึงตำแหน่งที่หลัวซิวจะปรากฏกายหลังจากเทเลพอร์ต

เห็นเพียงเงาของหลัวซิวปรากฏขึ้นมาลาง ๆ สำหรับกริชสีเลือดพุ่งเข้ามาหาตนนั้น เขาไม่แม้แต่จะมองมันสักนิด ยกมือขึ้นเตรียมต้านมันไว้ทันที

กริชสีแดงเลือดในมือชายหนุ่มหน้าตาร้ายกาจ เป็นถึงนักยุทธ์ชั้นดินชั้นสูง อาศัยแรงผลักทั้งหมดจากผลการฝึกตนแดนจักรพรรดิยุทธ์ขั้น9 ต่อให้เป็นนักยุทธ์กลั่นร่างที่มีร่างยุทธ์ระดับจักรพรรดิก็ยังไม่กล้าที่จะต่อต้าน

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 575
เงาของตวนมู่หยางตกลงบนพื้น สีหน้าซีดเผือด กระอักเลือดออกมา ร่างกายถอยหลังโซเซไปหลายก้าว

เมื่อมองไปก็เห็นว่ากำลังจะชนเข้ากับโต๊ะของพวกหลัวซิว ทันใดนั้นฝ่ามือหนึ่งก็ยื่นออกมาและวางลงบนหลังของเขา

ตวนมู่หยางทรงตัวได้ เหลือบหันไปมอง เห็นว่าคนที่ช่วยตนไว้นั้นคือชายหนุ่มสวมชุดสีดำ

“สหายท่านนี้ ข้าขอบใจ” ตวนมู่หยางเอ่ยคำขอบคุณ

แต่การกระทำของหลัวซิว กลับทำให้คนจากทางฝั่งแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดเขม่นมองมาทางนี้ทันที

ชายหนุ่มหน้าตาร้ายกาจคนนั้นขมวดคิ้ว สีหน้าเยือกเย็น เหตุที่เขาลงมือนั้นก็เป็นเพราะว่าต้องการเหยียบย่ำคนจากแดนศักดิ์สิทธิ์พื้นนภา เจ้าหนุ่มคนนี้ออกโรงช่วยตวนมู่หยาง ทำให้เขารู้สึกไม่ดีนักที่ไม่สามารถทำให้ตวนมู่หยางกลายเป็นคนโง่ต่อหน้าทุกคนได้

ศิษย์ของแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด ฝึกตนพิฆาต หากรู้สึกไม่พอใจก็มีทางเดียวคือสังหารทิ้งเท่านั้น!

“เจ้าหนู เจ้ามาจากสำนักใดกัน?” ชายหนุ่มหน้าตาร้ายกาจมองมาทางโต๊ะของหลัวซิวด้วยสายตาเย็นชา

เมื่อเขามองไปที่เสื้อผ้าบนตัวของหลัวซิว เหยียนเยว่เอ๋อร์และฉีฝ่าเทียน พบว่าไม่ได้มีสัญลักษณ์ของสำนักใดอยู่ ดังนั้นจึงได้ถามถึงที่มาของอีกฝ่าย

พอดีกับงานประลองยุทธ์แย่งชิงโควตาแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นล่างใครจะเริ่มขึ้น กองกำลังต่าง ๆ จากสี่เมืองใหญ่ต่างก็ไหลมารวมกันที่เมืองหลัวเทียน บางทีถ้าเจอใครในเมืองก็อาจจะมาจากสำนักตระกูลแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นได้

“สำนักไท่เสวียนแห่งอาณาจักรใต้” หลัวซิวพูดพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ

เมื่อเทียบกับแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด สามารถพูดได้ว่าสำนักไท่เสวียนนั้นเป็นเพียงแค่สำนักเล็ก ๆ เท่านั้น หลัวซิวก็รู้ดีว่าหากตนเอ่ยอ้างถึงที่มาของตน อาจจะทำให้สำนักไท่เสวียนเดือดร้อนจากการยั่วยุแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดก็เป็นได้

แต่ว่าที่แห่งนี้มีคนมากมายนัก อีกทั้งยังมีฉีฝ่าเทียนอยู่ด้วย หลัวซิวในฐานะเจ้าสำนักไท่เสวียน หากไม่กล้าแม้แต่จะบอกเล่าที่มาของตัวเองก็จะถูกดูหมิ่นจริง ๆ

ดังคำกล่าวที่ว่า มนุษย์อาศัยใบหน้า ต้นไม้อาศัยเปลือกไม้ เรื่องของหน้าตานั้นบางครั้งบางทีก็สำคัญมาก บางคนถึงกับมองว่าเรื่องของหน้าตานั้นสำคัญกว่าชีวิตของตัวเองด้วยซ้ำ

หากว่าหลัวซิวไม่ใช่เจ้าสำนักไท่เสวียน บางทีเขาอาจจะไตร่ตรองเสียก่อน แต่แต่ในเมื่อเขาอยู่ในหน้าที่ เขาต้องเป็นตัวแทนไม่ใช่เพียงแค่ตนคนเดียว แต่ยังมีเกียรติและศักดิ์ศรีของทั้งสำนักไท่เสวียนที่ต้องรักษาอีกด้วย

“สำนักไท่เสวียน?” ชายหนุ่มหน้าตาร้ายกาจขมวดคิ้ว ดูเหมือนว่ากำลังคิดว่าทั้งสี่เมืองใหญ่ มีกองกำลังใหญ่ใดที่มีชื่อเช่นนี้บ้าง

ในเวลานี้ มีคนคนหนึ่งได้เดินเข้ามาข้างกายของชายหนุ่มหน้าตาร้ายกาจ กระซิบเสียงต่ำบางอย่างกับเขา

“แค่เพียงกองกำลังเล็กระดับสามที่เพิ่งก่อตั้งได้ไม่นาน?” ชายหนุ่มหน้าตาร้ายกาจเผยสีหน้าเหยียดหยามไม่ใส่ใจ

แขกที่มาใช้บริการที่ในภัตตาคารนั้นไม่มาก แต่ทุกโต๊ะที่กำลังมากพอจะมากินดื่มที่ภัตตาคารเทียนอีได้ ต่างก็เป็นยอดฝีมือที่ร่ำรวยทั้งนั้น

อาณาจักรใต้ไท่เสวียน สำหรับจอมยุทธ์ส่วนใหญ่นั้นอาจจะไม่คุ้นเคยนัก ต่อให้เคยได้ยินมาบ้างก็รู้เพียงแค่ว่าเป็น แดนศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งที่เคยอยู่ในอาณาจักรใต้สมัยโบราณ เรียกว่าไท่เสวียน

แต่บางคนที่เกิดในกองกำลังใหญ่ กลับรู้แค่ว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้ สำนักไท่เสวียนแห่งอาณาจักรใต้เรียกได้ว่ามีชื่อเสียงดังกระฉ่อน ดังก้องราวกับสายฟ้าที่ฟาดผ่าน ได้รับความสนใจอย่างยิ่ง

แน่นอน ก็ไม่ใช่ทุกคนที่เกิดจากกองกำลังใหญ่จะเคยได้ยินเรื่องราวของไท่เสวียนอาณาจักรใต้ แต่ว่าเพียงแค่คนที่เคยได้ยินได้ข่าวมานั้น แต่เพียงแค่เคยได้ยินและมีสายข่าวอยู่บ้างก็จะสามารถรู้ได้ว่า ที่สำนักไท่เสวียนมีเจ้าสำนักเป็นชายหนุ่มวัยเยาว์ ว่ากันว่าเป็นอัจฉริยะที่ท่านหัวหน้าผู้ลาดตระเวนแห่งอาณาจักรใต้ให้ความสำคัญ

สำนักไท่เสวียนวันนี้อยู่ที่อาณาจักรใต้แน่นอนว่ามีชื่อเสียงเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น แต่สำหรับแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดของอาณาจักรตะวันตกกลับห่างไกลออกไปหนึ่งแสนแปดพันลี้

“แค่เพียงกองกำลังเล็ก ๆ ระดับสามก็กล้าจะยื่นจมูกเข้ามายุ่งเรื่องของข้าแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด ช่างรนหาที่ตายเสียจริง!”

ศิษย์คนหนึ่งแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดลุกขึ้น สายตาจาบจ้วงโดยไม่ปิดบังถูกส่งไปยังเหยียนเยว่เอ๋อร์ที่ยืนอยู่ข้างกายหลัวซิว “เจ้าหนู ดูแม่หญิงข้างกายเจ้าช่างงดงามยิ่งนัก ทิ้งนางไว้ที่นี่ แล้วเจ้าก็คลานออกไปจากภัตตาคารเทียนอีเสีย ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า!”

เมื่อรู้สึกถงแววตาชั่วร้ายของอีกฝ่ายที่จ้องมองมายังร่างของตน เหยียนเยว่เอ๋อร์ก็มีสีหน้าเย็นชาขึ้นมาทันที หมายใจว่าจะลงมือในทันที

สายตาของหลัวซิวก็พลันเย็นเยียบลงในทันที โดยปกติแล้วเขาค่อนข้างที่จะเป็นคนอารมณ์ดี มีเพียงแค่บางครั้งเท่านั้นที่มีคนมาก้าวล่วงคนที่เขาใส่ใจ เขาก็ไม่อาจทนอยู่เฉยได้!

“คำพูดเมื่อครู่ เจ้าพูดหรือ?” หลัวซิวรี่ตาลง มองไปทางศิษย์จันทราสีเลือดผู้ที่เปิดปากพูดจาหยาบคายที่ยืนอยู่ด้านหลังชายหนุ่มหน้าตาร้ายกาจ

“ฮ่า ๆ เป็นข้าพูดแล้วจะอย่างไร? เจ้าแม่ง…”

ศิษย์ของจันทราสีเลือดคนนั้นหยิ่งผยองถึงขีดสุด อ้าปากเย้ยหยันสนุกปาก จากนั้นคำพูดของเขายังไม่ทันได้พูดจบ ก็ต้องหยุดกะทันหัน

โดยไม่มีสัญญาณเตือนใดใด ร่างของหลัวซิวก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าศิษย์แห่งจันทราสีเลือด คนผู้นี้สัมผัสได้เพียงแสงสลัวตรงหน้า ฝ่ามือข้างหนึ่งเงื้อมือขึ้น ฟาดลงไปทางหัวของเขา

“ปัง!”

สถานการณ์ตรงหน้าเกิดขึ้นรวดเร็วเกินไป เร็วเสียจนทุกคนไม่สามารถตอบสนองได้ทัน ศิษย์จันทราสีเลือดคนนั้นที่หยิ่งผยองพองขนเมื่อครู่ ศีรษะของเขาถูกตบเข้าอย่างแรงจนห้อยลงมาอยู่บริเวณหน้าอก

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 574
อายุยังน้อยแต่กลับสามารถฝึกตนถึงแดนจักรพรรดิยุทธิ์ ทั้งยังเกิดในแดนศักดิ์สิทธิ์ พวกคนหนุ่มสาวพวกนี้ มีใครบ้างล่ะที่จะไม่ใช่คนเย่อหยิ่ง?

กลุ่มอัจฉริยะรุ่นเยาว์รวมตัวกัน เยินยอกันไปมา วาทศิลป์ที่เกินจริง นั่นต่างก็เป็นเรื่องที่เป็นปกติไม่มีอะไรผิดแปลกแม้แต่น้อย

ในสายตาของหลัวซิว เหล่าพวกคนจากแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดมีเจตนาหาเรื่องอย่างชัดเจน

ยังจำได้ในตอนนั้นที่อยู่ในแดนแต่งตั้งราชาก็เป็นเช่นนี้ กลุ่มคนจากแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดรวมตัวกันปิดทางเพื่อฆ่าคนจากกองกำลังอื่น ๆ วิธีการนั้นโหดร้ายและเต็มไปด้วยการนองเลือด

“ได้ยินมาว่ากลุ่มอัจฉริยะรุ่นเยาว์แดนศักดิ์สิทธิ์พื้นนภาในรุ่นนี้ก็มีเพียงแค่คนที่ชื่อตวนมู่เท่านั้น ดูท่าแล้วคงจะเป็นเจ้าสินะ” ทางฝั่งแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด ชายหนุ่มที่มีใบหน้าร้ายกาจยืนขึ้นและพูดอย่างเย้ยหยัน

“ข้าคือตวนมู่หยาง แล้วอย่างไร?” ตวนมู่หยางก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน สถานการณ์ค่อนข้างตึงเครียด

“อย่างไร?” ชายหนุ่มใบหน้าชั่วร้ายยิ้ม “ไม่อย่างไร เพียงแค่ต้องการชื่นชมวิชาพื้นนภาของแดนศักดิ์สิทธิ์พื้นนภาก็เท่านั้น”

เมื่อพูดจบ ชายหนุ่มใบหน้าร้ายกาจยื่นนิ้วออกมาแล้วกระดิกเบา ๆ เต็มไปด้วยเจตนายียวนอีกฝ่าย

ตวนมู่หยางเมื่อเห็นแววตาหยามเหยียดของอีกฝ่าย สีหน้าก็พลันหม่นลงด้วยความโกรธ กระบี่ยุทธ์ถูกดึงออกจากฝักเกิดเป็นเสียงดังเหล็กกระทบ ร่างกลายเป็นลำแสงพุ่งตรงไปหาอีกฝ่ายโดยทันที

“ไม่สำเหนียกกำลังตัวเอง!” ชายหนุ่มหน้าตาร้ายกาจยิ้มอย่างดูถูกเหยียดหยาม เมื่อพลิกมือ กริชสีเลือดก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา และที่น่าประทับใจคือมันเป็นดาบรบชั้นดินชั้นสูง

ภายใต้การปะทุของพลังจิตแท้ กริชห่อหุ้มไปด้วยรัศมีสีแดงเลือด จิตสังหารอันน่าสะพรึงกลัวแผ่ซ่าน บรรยากาศในภัตตาคารก็พลันลดลงอย่างมากในทันใด

“ชิ้งเช้ง!”

ดาบและมีดปะทะเข้าหากัน ผลพวงของพลังจิตแท้กวาดออกไป ทันใดนั้นโต๊ะและเก้าอี้หลายตัวก็ถูกทุบจนกลายเป็นผุยผง

ตวนมู่หยางรู้สึกได้ถึงเจตนาฆ่าที่น่าสะพรึงกลัวพุ่งตรงเข้าที่หัวใจ กระบี่ยุทธ์ปากเสือที่อยู่ในมือระเบิดออก เลือดกระอักปาก ฝีเท้าก้าวถอยหลังหลายก้าว สีหน้าซีดเผือด

แต่ชายหนุ่มหน้าตาร้ายกาจกลับยังคงมีใบหน้ายิ้มเยือกเย็น ไม่มีการเคลื่อนไหวใดใดแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าใครแพ้ใครชนะ

“ศิษย์พี่ตวนมู่!”

กลุ่มคนเยาว์วัยหลายคนที่มากับตวนมู่หยางก็รีบลุกขึ้น พยุงตัวเขาไว้ แต่ทันทีที่ฝ่ามือสัมผัสเขา ก็สัมผัสได้ถึงเจตนาฆ่าที่เย็นยะเยือกเจาะเข้าไปถึงกระดูก ทำเอาอดไม่ได้ที่จะสั่นเทา

หลัวซิวมองดูอยู่ข้าง ๆ อย่างชัดเจน ตามผลการฝึกตน ตวนมู่หยางกับชายหนุ่มหน้าตาร้ายกาจนั้นต่างก็เป็นแดนจักรพรรดิยุทธ์ขั้น9 แต่ความเข้าใจในโลกยุทธ์ของแต่ละคน กลับเป็นชายหนุ่มที่หน้าตาร้ายกาจแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดที่เข้าใจได้ถ่องแท้มากเสียกว่า

การรับรู้ของคนคนนี้ในวิชาแดนพิฆาต เพียงพอที่จะเทียบเท่ากับผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎยุทธ์ มีต้นทุนที่น่าภาคภูมิใจ

ชายหนุ่มหน้าตาร้ายกาจเอาชนะได้หนึ่งครั้ง ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเสียงดัง “วิชาพื้นนภาแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์พื้นนภาดูแล้วก็ไม่เท่าไร”

“เจ้ากล้าดีอย่างไรมาดูถูกแดนศักดิ์สิทธิ์พื้นนภาของพวกข้า?”

ตวนมู่หยางตระโกนเสียงดัง พลังจิตแท้ปะทุขึ้นรอบกาย ลงมืออีกครั้งด้วยความโกรธเคือง บนกระบี่ยุทธ์มีสีดำและสีทองตัดกัน เส้นหนึ่งเป็นหยินเส้นหนึ่งเป็นหยาง

วิชาพื้นนภาของแดนศักดิ์สิทธิ์พื้นนภา เป็นวรยุทธ์วิชายิ่งเลิศที่มหาจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งในสมัยโบราณสร้างขึ้น เต็มไปด้วยความลึกลับของหยินและหยาง

เพียงแค่ตวนมู่หยางยังไม่สามารถควบคุมพลังหยินหยางได้อย่างเสถียรและสมบูรณ์

เวลาที่สำแดงพลังหยินหยางนั้น ส่วนที่สำคัญมากที่สุดคือการควบคุมสมดุลแห่งพลังหยินหยาง

ถึงอย่างนั้น พลังของดาบเล่มนี้ก็ยังคงแข็งแกร่งอย่างมาก เพราะพลังหยินหยาง แข็งแกร่งกว่าพลังของคุณสมบัติธรรมดาทั่วไปมากนัก

ตวนมู่หยางภายใต้การถูกยั่วยวน ได้ใช้สัญชาตญาณที่กดเอาไว้ ชายหนุ่มหน้าตาร้ายกาจแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดก็หุบยิ้มในทันที พลันเปลี่ยนเป็นสีหน้างุนงงสงสัย

ปัง!

รัศมีอาฆาตสีแดงเลือดที่ปรากฏขึ้นบนร่างกายของเขา กริชที่แต่เดิมมีสีแดงเข้มกลับยิ่งดูประหลาดและดุร้ายยิ่งขึ้นไปอีก ราวกับเพิ่งดึงออกมาจากกองเลือดสด ๆ ก็มิปาน

เสียงปังดังขึ้น ยังโชคดีที่ภัตตาคารเทียนอีแห่งนี้มีค่ายคุ้มกันสร้างไว้ มิเช่นนั้นภายใต้การประมือของยอดฝีมือแดนจักรพรรดิยุทธ์ขั้น9ทั้งสอง เกรงว่าจะกลายเป็นพื้นที่ว่างเปล่าไปในชั่วพริบตา

พลังของตวนมู่หยางท้ายที่สุดแล้วก็ยังอ่อนกว่าชายหนุ่มหน้าตาร้ายกาจอยู่บ้าง เงานั้นพุ่งออกไปอีกครั้ง ไม่เอียงซ้ายขวา มันบังเอิญไปตกที่ฝั่งของหลัวซิวและฉีฝ่าเทียนพอดิบพอดี

ฉีฝ่าเทียนขมวดคิ้วเข้าหากัน ด้านหนึ่งคือแดนศักดิ์สิทธิ์พื้นนภา ด้านหนึ่งคือแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด เขาก็ยังมีผลการฝึกตนแดนมกุฎยุทธ์และเป็นถึงผู้ลาดตระเวน ย่อมไม่ยินดีหากจะถูกดึงเข้าไปพัวพันท่ามกลางแดนศักดิ์สิทธิ์

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 573
“แดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นล่างใกล้จะเปิดแล้ว ได้ยินมาว่าประลองยุทธ์ครั้งนี้ ยี่สิบอันดับแรกจึงจะสามารถได้รับโอกาสเข้าไปฝึกตนในแดนปริศนา ครั้งนี้ไม่ว่าอย่างไรต้องแย่งชิงที่ว่างมากให้ได้”

คนที่เอ่ยคำปากพูดนั้นมีผลการฝึกตนแดนจักรพรรดิยุทธ์ขั้น9 อายุน่าจะราว ๆ 25ปีก็สามารถบรรลุถึงผลการฝึกตนเช่นนี้ ความสามารถไม่ธรรมดาเลยทีเดียว

ก่อนนี้หลัวซิวได้รู้จากปากของฉีฝ่าเทียนมาว่า ผู้ที่มีคุณสมบัติสามารถเข้าร่วมประลองยุทธ์ แย่งชิงโควตาแดนปริศนา ทุกคนต่างก็เป็นอัจฉริยะที่ได้รับบัตรเชิญ ความสามารถไม่ธรรมดา

“ฮ่า ๆ ศิษย์พี่ตวนมู่ตอนนี้ก็มีผลการฝึกตนแดนจักรพรรดิยุทธ์ขั้น9 หากสามารถเข้าไปฝึกตนในแดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นล่าง การบรรลุถึงแดนมกุฎยุทธ์คงเป็นเรื่องที่สามารถทำได้โดยง่าย”

“บรรลุมกุฎยุทธ์ยากตรงไหนกันเชียว? ข้าอยากเข้าไปฝึกตนในแดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นล่าง เป้าหมายสำคัญของข้าคือบรรลุแดนมหายุทธ์!”

“ศิษย์พี่ตวนมู่ฝึกตนระดับวิชายิ่งเลิศวรยุทธ์ ‘วิชาพื้นนภา’ ในวันข้างหน้าเมื่อบรรลุแดนมหายุทธ์มิใช่ใกล้แค่เอื้อมมือหรือ? ไม่แน่อีกร้อยปีให้หลัง ศิษย์พี่ตวนมู่ก็คงจะบรรลุถึงพรีเมี่ยมยุทธ์แล้ว!”

เมื่อถูกคนข้าง ๆ เยินยอเช่นนี้ คนหนุ่มที่ถูกเรียกว่าตวนมู่ก็รู้สึกสบายใจอย่างยิ่ง ใบหน้าแปดเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม

“วิชาพื้นนภา? คนผู้นี้น่าจะเป็นอัจฉริยะแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์พื้นนภาอาณาจักรตะวันออก” เมื่อได้ยินคนหนุ่มเหล่านั้นพูดคุยกัน ฉีฝ่าเทียนก็ค่อย ๆ พูดออกมา

“คนจากแดนศักดิ์สิทธิ์พื้นนภาก็สามารถเข้าร่วมการต่อสู้แย่งชิงโควต้าแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นล่าง?” หลัวซิวมีสีหน้าสงสัย

ฉีฝ่าเทียนยิ้มเล็กน้อย “ในสมัยโบราณ ผู้แข็งแกร่งทั้งสี่ท่านก่อตั้งแดนศักดิ์สิทธิ์ เป้าหมายของสี่แก๊งใหญ่นั่นก็เพื่อรวบรวม กองกำลังต่าง ๆ ของพวกเราเผ่าพันธุ์มนุษย์และต่อต้านกับเผ่าพันธุ์มาร ดังนั้นไม่ว่าเป็นแดนศักดิสิทธิ์หรือสี่แก๊งใหญ่ ในความเป็นจริงนั้นต่างก็มีผู้แข็งแกร่งจากกองกำลังต่าง ๆ เข้ารับตำแหน่งอยู่ด้วย”

“อย่างเช่นท่านหัวหน้าผู้ลาดตระเวนแห่งอาณาจักรใต้ของพวกเรา ก็เกิดในตระกูลใหญ่ แดนศักดิ์สิทธิ์ตระกูลหวู!” ฉีฝ่าเทียนพูดพร้อมรอยยิ้ม

แดนศักดิ์สิทธิ์ตระกูลหวู หลัวซิวเคยได้ยินมาก่อน ยังคงเป็นหนึ่งในกองกำลังใหญ่ทั้งห้าระดับแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งอาณาจักรใต้

หากตัดอาณาจักรใต้ อาณาจักรเหนือ อาณาจักรตะวันตก อาณาจักรตะวันออกออกไป ก็ยังมีกองกำลังใหญ่ทั้งห้าระดับแดนศักดิ์สิทธิ์ ที่แข็งแกร่งที่สุดคือแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ มีเพียงหนึ่งในสี่ภูมิภาคเท่านั้น

แดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์แห่งอาณาจักรใต้นี้ ก็คือแดนศักดิ์สิทธิ์ตระกูลหวู!

เพียงเพราะว่ากองกำลังต่าง ๆ ท่ามกลางแดนศักดิ์สิทธิ์มีสถานการณ์ซับซ้อน ดังนั้นทุกครั้งที่มีการเปิดของแดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นล่าง กองกำลังใหญ่ต่าง ๆ ต่างก็จะพยายามและต่อสู้กันอย่างเต็มที่เพื่อส่งศิษย์อัจฉริยะของตนไปแข่งขันกันเพื่อชิงโควต้า

การต่อสู้นี้เรียกได้ว่าเป็นการรวบรวมเหล่าผู้มีพรสวรรค์ รวมพลคนรุ่นใหม่แห่งโลกแสงดาว เรียกได้ว่าเป็นการรวบรวมสุดยอดอัจฉริยะไว้เกือบทั้งหมด

แม้ว่าจะไม่สามารถสรุปได้ก็ตาม แต่มาเข้าร่วมการประลองยุทธ์ต่อสู้แย่งชิงโควตาแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ จะต้องเป็นอัจฉริยะยอดฝีมือหาตัวจับยากแน่นอน

“ร้อยปีบรรลุพรีเมี่ยมยุทธ์? อวดดีเสียจริง!” ทันใดนั้นก็มีเสียงที่เต็มไปด้วยการดูหมิ่นและดูถูกเหยียดหยามดังขึ้นมาจากโต๊ะหนึ่งซึ่งห่างไปไม่ไกลนัก

คนที่โต๊ะนี้ ตอนที่หลัวซิวเข้ามาในภัตตาคารเทียนอีก็สังเกตเห็นแล้ว แต่ละคนแต่งกายด้วยชุดสีแดงเลือด ที่บริเวณหน้าอกมีสัญลักษณ์จันทราสีเลือดอยู่

อาณาจักรตะวันตก แดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด!

พูดถึงแดนศักดิ์สิทธิ์พื้นนภาและแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด ตอนนั้นในแดนแต่งตั้งราชามีมากมายหลายคนที่ตายด้วยน้ำมือของหลัวซิว

“เฮอะ ที่แท้ก็ศิษย์วิชามารจันทราสีเลือดแห่งอาณาจักรตะวันตก” เหล่าคนแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์พื้นนภาที่อยู่อีกฝั่งทั้งสองฝ่ายตึงเครียดอยู่ครู่หนึ่ง

กองกำลังเผ่าพันธุ์มนุษย์ มีสถานการณ์ซับซ้อนมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันเกี่ยวข้องกับการแข่งขันเพื่อผลประโยชน์และทรัพยากร ความขัดแย้งซึ่งกันและกันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

เพราะแนวคิดแห่งโลกยุทธ์ ฝึกตน วรยุทธ์และความแตกต่างในพฤติกรรมของผู้คน บางกองกำลังถือครองความชอบธรรม เรียกว่าบัญชาสวรรค์ และก็มีบางกลุ่มคนที่ฝึกตนวิชามารพิฆาต ก็จะถูกเรียกว่าเส้นทางปีศาจ

แต่ในความเป็นจริงสำหรับโลกยุทธ์ผู้แข็งแกร่งแล้วนั้น ไม่ได้มีการแบ่งแยกว่าเป็นสายดำหรือสายขาว ในโลกแห่งนี้ยอมรับเพียงพลังที่แท้จริงเท่านั้น ตราบใดที่เจ้ามีพลังมากเพียง ไม่ว่าเจ้าจะฆ่ากี่คน ก็ไม่มีใครกล้าเรียกพูดว่าเจ้าคือปีศาจ

องค์กรนักล่ายุทธ์ ท่ามกลางเผ่าพันธุ์มนุษย์ ทำหน้าที่กำกับดูแล วรยุทธสายดำบางอย่างที่ทำลายหลักความสามัคคี นั่นถือเป็นสิ่งที่ห้ามฝึก อย่างเช่นตระกูลฝานแห่งประเทศเทียนหวูก็เคยแอบใช้วรยุทธสายดำในการฝึกตนเช่นกัน จึงได้เป็นเช่นนั้น

ยิ่งได้สัมผัสมากเท่าไร หลัวซิวก็ยิ่งค่อย ๆ เข้าใจ เหตุที่ตระกูลฝานฝึกตนวรยุทธสายดำ จึงถูกองค์กรนักล่ายุทธ์คัดลายชื่อเข้าสู่บัญชีดำ แต่ความเป็นจริงแล้ว ก็คือพลังของตระกูลฝานไม่แข็งแกร่งมากพอ

หากตระกูลฝานมี ผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์สักคนเป็นผู้ครองบัลลังก์ มีใครอีกบ้างที่สามารถตัดสินพวกเขาได้? องค์กรนักล่ายุทธ์ ก็คงจะทำได้เพียงแค่ปิดตาข้างหนึ่งเท่านั้น

หลายๆ อย่างในโลกนี้ล้วนเป็นสัจธรรม มันขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนมองมันอย่างไร

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 572
อาหารของภัตตาคารเทียนอี ไม่ได้เหมือนเดิมอยู่ตลอดเวลา บางครั้งอาจได้วัตถุดิบหายาก มาปรุงเป็นเมนูที่เอร็ดอร่อย

บริกรกล่าวด้วยท่าทีเคารพ “ตอบท่านผู้ลาดตระเวน ก่อนหน้านี้ไม่นานเราจับมังกรมคราได้หลายตัว พร้อมกับยาวิเศษหายากอีกหลายรายการ หากนำมาต้มเป็นซุป ก็จะมีสรรพคุณในการกลั่นร่าง เนื้อมีความสดนุ่ม ประกอบด้วยพลังจิตบริสุทธิ์”

มังกรมคราคืออสูรกายที่พบได้ยาก ซ่อนตัวอยู่ในภูเขาลึกและทะเลสาบ มีความรวดเร็วมาก ต่อให้เป็นถึงผู้แข็งแกร่งระดับมหายุทธ์ ก็ยังจับได้ยาก

หลัวซิวเมื่อได้ยินว่าภัตตาคารเทียนอีนำเอามังกรมครามาเป็นวัตถุดิบ เขาอดไม่ได้ที่จะเม้มริมฝีปาก รู้สึกว่านี่เป็นการเสียของเปล่า ๆ เพราะเลือดสดของมังกรมครา สามารถนำมากลั่นยากลั่นร่างระดับแปดชนิดหนึ่งได้ นั่นคือยาฐานมังกร!

“เอามาสามที่” ฉีฝ่าเทียนเอ่ยปากบอก หลังจากนั้นก็สั่งอาหารที่ขึ้นชื่อของภัตตาคารเทียนอีมาอีกสามลี่อย่าง

ผ่านไปไม่นาน อาหารก็ถูกนำมาวางจนครบ มังกรมคราตัวหนึ่งหนึ่งยาวราว ๆ เจ็ดถึงแปดนิ้ว แต่เจ้าสิ่งเล็ก ๆ เช่นนี้ กลับมีมูลค่าสูงมหาศาล!

อาหารที่ปรุงจากวัตถุดิบหายาก เต็มไปด้วยพลังจิตบริสุทธิ์ หากบริโภคเป็นเวลานาน สามารถปรับปรุงร่างกายของจอมยุทธ์ได้อย่างละเอียด มีประสิทธิภาพช่วยในการฝึกตน

แต่อาหารมื้อนี้ก็แพงพอสมควร ต่อให้เป็นฉีฝ่าเทียน ก็ไม่ค่อยอยากจะมาใช้จ่ายที่นี่บ่อย ๆ

“เจ้าสำนักหลัว แม่นางเหยียน เป็นเช่นไรบ้าง?” ฉีฝ่าเทียนดื่มเหล้าหนึ่งจอกแล้วถามพร้อมรอยยิ้ม

หลัวซิวกินเนื้อมังกรมคราหนึ่งคำ รู้สึกถึงความนุ่มอร่อย ก็ยิ้มออกมาบาง ๆ “ถ้าหากสามารถทานอาหารเช่นนี้ได้ทุกวัน แม้แต่หมูตัวหนึ่งก็สามารถฝึกตนจนถึงแดนจักรพรรดิยุทธิ์ได้เลย”

เมื่อได้ยินหลัวซิวเปรียบเปรยเช่นนั้น ฉีฝ่าเทียนก็อดไม่ได้ที่จะฉีกยิ้มกว้าง “เจ้าสำนักหลัวท่านก็พูดไป ขุมทรัพย์ของพวกกองกำลังใหญ่มากมายมหาศาล มีผู้คนมากมายที่เติบโตขึ้นมาโดยรับประทานอาหารเสริมอันล้ำค่าเหล่านี้ตั้งแต่วัยเด็ก เมื่อถึงอายุ17-18ปี แม้แต่คนที่ไม่มีพรสวรรค์ก็ยังสามารถฝึกตนจนถึงแดนราชายุทธ์ได้อย่างง่ายดาย”

หลัวซิวมีความรู้สึกเห็นด้วยอย่างมาก “ขุมทรัพย์ของกองกำลังใหญ่ ว่ากันว่ามากกว่าเก้าในสิบของทรัพยากรและความมั่งคั่งอยู่ในมือของคนเพียงไม่กี่คน เหล่าแดนศักดิ์สิทธิ์ที่โลกแสงดาว เกรงว่าครอบครองทรัพยากรโลกแสงดาวไปแล้วกว่าครึ่ง”

“ช่องว่างแห่งความแตกต่างนั้นกว้างเกินไป” เหยียนเยว่เอ๋อร์ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ ความสามารถของนางค่อนข้างดี ตอนอายุ17-18ปีกลับถึงแค่เพียงแดนฝึกจิต ฝึกตนเป็นเวลาสามร้อยปี กว่าจะบรรลุถึงแดนจักรพรรดิยุทธ์ขั้น9

ใช่ว่าพรสวรรค์ของนางมิอาจเทียบเท่าเหล่าจอมยุทธ์ที่เกิดในแดนศักดิ์สิทธิ์ แต่เป็นเพราะเงื่อนไขการฝึกตนของนางไม่สามารถเอาไปเปรียบเทียบกับคนเหล่านั้นได้

หากเงื่อนไขการฝึกตนของนางมีเหมือน ๆ กับคนเหล่านั้น ในระยะเวลา300ปี ต่อให้เป็นการฝึกตนถึงแดนมหายุทธ์ก็สามารถบรรลุได้โดยง่าย แม้แต่ความเป็นไปได้ที่จะบรรลุถึงแดนเจ้ายุทธจักร ก็ไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลย

จอมยุทธ์ในใต้หล้านั้นต่างก็ต้องมองหาโอกาส แต่การเกิดนั้นในความเป็นจริงก็ถือเป็นโอกาสชนิดหนึ่ง นับตั้งแต่วินาทีที่ลืมตาดูโลกก็ได้รับสิทธิพิเศษในด้านเงื่อนไขและจุดเริ่มต้นมากกว่าคนอื่น ๆ

ฉีฝ่าเทียนยิ้มเล็กน้อย พลางหันไปมองหลัวซิว “เจ้าสำนักหลัวไม่มีเงื่อนไขการฝึกตนเหล่านี้ แต่กลับยังสามารถโดดเด่นเสียยิ่งกว่าพวกที่เกิดในตระกูลสูงศักดิ์เสียอีก”

ยิ่งได้ใกล้ชิดกับหลัวซิวมากเท่าไร ฉีฝ่าเทียนก็ยิ่งเข้าใจว่าเหตุใดท่านหัวหน้าผู้ลาดตระเวนถึงให้ความสำคัญกับเขามากเช่นนั้น

แต่ฉีฝ่าเทียนเป็นผู้มากประสบการณ์ จอมยุทธ์คนหนึ่งที่เกิดมาอย่างธรรมดา ต่อให้ได้รับโอกาสอันดีงามเพียงใด แต่คาดหวังว่าจะใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีฝึกตนบรรลุถึงแดนจักรพรรดิยุทธ์ เส้นทางแห่งการดิ้นรนนี้ ก็ไม่อาจรู้ได้ว่าต้องพบเจอกับความยากลำบากขนาดไหน

การฝึกยุทธ์หากมีเพียงแค่พรสวรรค์นั้นไม่อาจเพียงพอ ยังต้องอาศัยความปรารถนาอย่างแน่วแน่ การตัดสินใจที่เฉียบขาด และยังต้องอาศัยโอกาสอันดีงาม มีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ จึงสามารถเดินบนเส้นทางสายนี้ได้ไกลขึ้น

ในวลานี้เอง มีชายหนุ่มหลายคนแต่งตัวหรูหราพร้อมทั้งรังสีความเก่งกาจไม่ธรรมดาแผ่ไปทั่วเดินเข้ามาในภัตตาคารเทียนอี คนที่ดูเหมือนจะเป็นผู้นำพูดขึ้นเสียงดังก้อง “ได้ยินมาว่าภัตตาคารเทียนอีจับมังกรมครามาได้หรือ? รีบนำมาให้ข้าลองชิมเสีย และกับข้าวชั้นดีอีกสองสามอย่าง เหล้าชั้นหนึ่งอีกสองกา!”

บริกรรีบเดินเข้ามาต้อนรับด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ภูมิหลังของคนชายหนุ่มเหล่านี้แค่ดูก็รู้ว่าไม่ธรรมดา มีสองสามคนที่ไม่ได้เก็บนักยุทธ์ไว้ในแหวนเก็บของ เพียงแค่วางลงบนโต๊ะส่ง ๆ ทุกชิ้นต่างก็เป็นชั้นดินชั้นสูง

ถึงแม้จะเป็นนักยุทธ์ชั้นดินชั้นสูง ผลการฝึกตนแดนมกุฎยุทธ์ก็สามารถสำแดงพลังออกมาได้อย่างเต็มที่ แต่เพราะจำนวนของปรมาจารย์หลอมอาวุธระดับ7นั้นมีไม่มาก แต่ผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎยุทธ์มีมากเกินไป ดังนั้นยอดฝีมือระดับมกุฎยุทธ์จำนวนมากต่างก็หานักยุทธ์ชั้นดินชั้นสูงสักชิ้นหนึ่งเพื่อใช้งานได้ยาก

ปรมาจารย์ระดับ7เมื่อเทียบกับผลการฝึกตนระดับมกุฎยุทธ์ ในบรรดามกุฎยุทธ์ร้อยคน แต่ก็ไม่แน่ว่าจะมีปรมาจารย์ระดับ7ปรากฏขึ้นสักคน นับเป็นสินค้าหายาก ดังนั้นราคาของสมบัติค่ายกล นักยุทธ์และยา จึงได้สูงลิบลิ่วและขาดตลาด

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 571
หลัวซิวยังขาดอาวุธที่เหมาะมืออยู่สักชิ้น ถ้าหากสามารถครอบครองอาวุธของขลังที่เหมาะมือสักชิ้นหนึ่งย่อมเป็นดีที่สุด แต่อาวุธของขลังต่างมีราคาที่แพงมหาศาล หลัวซิวประเมินสถานการณ์ของตนเองแล้ว ก็พบว่าสามารถซื้ออย่างมากที่สุดก็สามารถซื้อได้แค่ของขลังชั้นกลางหนึ่งชิ้นเท่านั้น

ตราขลังมังกรเขียวชิ้นนั้นก็ไม่เลว แต่ของขลังประเภทตราขลังไม่ค่อยเหมาะกับตนเท่าไรนัก ดังนั้นหลัวซิวจึงไม่ได้ใช้มัน และมอบให้เกาเหลียนหงแทน

นอกจากนี้ยังไม่ใช่แค่เขาคนเดียว หอกรบอัคคีของเหยียนเยว่เอ๋อร์ก็มีระดับที่ต่ำเกินไปเช่นกัน เพียงแค่ขั้นดินล่าง

จอมยุทธ์ทั่วไปที่มีผลการฝึกตนบรรลุถึงแดนจักรพรรดิยุทธิ์ ต่างก็ใช้นักยุทธ์ขั้นดินกลางกันแล้ว

จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำก็เป็นปรมาจารย์ค่ายกลระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น9คนหนึ่ง สำหรับวิชาประเมินสมบัติก็ค่อนข้างเชี่ยวชาญเช่นกัน ไม่เช่นนั้นก็ไม่สามารถกลั่นสมบัติวิเศษชั้นสูงออกมาถึงสามชิ้นได้

โดยตลอดมา สำหรับหลัวซิววิชากลั่นสมบัติและหลอมอาวุธต่างก็ไม่ค่อยได้ข้องเกี่ยวเท่าใดนัก แต่หากต้องการอาวุธของขลังที่เหมาะมือสักชิ้น และไม่สามารถซื้อได้ก็จำเป็นต้องกลั่นออกมาเอง

เตาทยานนภามังกรคู่ เป็นเตากลั่นยาชั้นดินสูงอันเลื่องชื่อในสมัยโบราณ นอกจากจะสามารถใช้เพื่อกลั่นยาได้แล้ว ก็ยังสามารถนำมาใช้เพื่อกลั่นสมบัติได้อีกด้วย

“มีหรือไม่มีอาวุธของขลังสำหรับพลังของข้อแล้ว ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรมากนัก”

หลังจากพิจารณาอยู่พักหนึ่ง หลัวซิวก็ล้มเลิกความคิดที่จะกลั่นอาวุธของขลังด้วยตนเองไป เพราะถ้าหากต้องใช้เวลาไปทุ่มเทให้กับวิชาประเมินสมบัติแล้วล่ะก็ ต้องส่งผลกระทบต่อการบรรลุแดนแห่งโลกยุทธ์ของตนอย่างแน่นอน

ถึงแม้เขาจะเชี่ยวชาญวิชากลั่นยาและค่ายกล แต่หากว่ากันตามจริงแล้วนั้น เขาค้นคว้าเพียงแค่วิชาค่ายกลเท่านั้น สำหรับวิชากลั่นยา นั่นคือการถ่ายทอดความทรงจำของปรมาจารย์ระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น9มาทั้งสิ้น

ในส่วนของเหยียนเยว่เอ๋อร์ หลัวซิวเดาว่าคราวนี้หลังจากแดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นล่าง ก็น่าจะต้องไปในส่วนของเผ่าหงส์แล้ว

นี่ก็เป็นสิ่งที่หลัวซิวตัดสินใจหลังจากพิจารณาแล้ว เหยียนเยว่เอ๋อร์ไม่อยากไปเผ่าหงส์ เพราะไม่อยากแยกห่างจากตนเอง แต่ถ้าหากไม่ไปเผ่าหงส์ ผลการฝึกตนของนางก็จะหยุดอยู่ที่แดนจักรพรรดิยุทธ์ขั้น9 ไม่สามารถบรรลุถึงแดนมกุฎยุทธ์ได้

เหยียนเยว่เอ๋อร์ก็รู้ในส่วนนี้ดี ดังนั้นนางถึงใช้เวลาในตอนนี้อยู่กับหลัวซิวอย่างมีคุณค่าที่สุดในทุกนาทีทุกวินาที

เพราะนางไม่ต้องการให้ตัวเองไม่มีเรี่ยวแรงมากพอ จนทำให้หลัวซิวต้องฟุ้งซ่านคอยดูแลนางอยู่ตลอด

สิ่งที่นางต้องการคือจับมือกับเขาบนเส้นทางการฝึกยุทธ์ ไม่อยากกลายเป็นภาระของเขา ต่อให้นางรู้ดีว่าหลัวซิวจะไม่มีวันดูถูกนาง แต่ด้วยนิสัยของนางแล้ว นางไม่ยอมให้ตัวนางเองเป็นเพียงแค่แจกันดอกไม้เท่านั้น

หลัวซิวซื้อยาวิเศษจากในเมืองมาไม่น้อย เขาวางแผนว่าก่อนเหยียนเยว่เอ๋อร์จะไปที่เผ่าหงส์ เขาจะกลั่นยาส่วนหนึ่งให้นาง

ถึงอย่างไรต่อให้กองกำลังของเผ่าหงส์จะใหญ่มาก แต่ทรัพยากรในการฝึกตนที่สามารถเตรียมให้ได้ก็ต้องมีจำกัดแน่ หลัวซิวไม่ได้พูดออกไป แต่ในใจกลับได้เตรียมทุกอย่างเอาไว้ให้นางแล้ว

“เจ้าสำนักหลัว ภัตตาคารแห่งนี้ในเมืองหลัวเทียนมีชื่อเสียงเลื่องลืออย่างมาก เข้าไปนั่งพักเสียหน่อยดีหรือไม่?” ฉีฝ่าเทียนพูดพร้อมรอยยิ้ม

ที่นี่คือภัตตาคารที่มีการตกแต่งที่หรูหรา ชื่อว่าภัตตาคารเทียนอี

“อสูรระดับ8?”

เมื่อเข้ามาในภัตตาคารแล้ว ด้านในมีที่ว่างไม่น้อย หลังจากคนทั้งสามเลือกที่นั่งที่ติดกับหน้าต่าง หลัวซิวก็ดูรายการอาหาร บนรายการอาหารนั้นมีรายการหนึ่งที่ใช้อสูรระดับ8เป็นวัตถุดิบ!

อสูรระดับ8เทียบเท่ากับการมีอยู่ของผู้แข็งแกร่งระดับมหายุทธ์ หากนำไปไว้ที่ประเทศเทียนหวูเพียงพอที่จะกวาดทุกสิ่ง ต่อให้เป็นตัวหลัวซิวเอง หากพบเข้ากับอสูรระดับ8 ก็ต้องอาศัยวิชาลับที่ได้รับการสืบทอดมาอย่างเจ้ามรณะ ถึงจะสามารถต้านทานไว้ได้

อสูรระดับ8ทั้งร่างเต็มไปด้วยขุมทรัพย์ ถึงแม้ว่าเพราะเนื้อผสมวิญญาณกลั่นกลายเป็นร่างทองจึงไม่มียาอสูร แต่ภายใต้การชุบร่างนับปีโดยไม่มีจุดสิ้นสุด ชิ้นส่วนต่างๆ ใช้ได้กับกลั่นยา กลั่นสมบัติ แต่ท่ามกลางภัตตาคารเทียนอีแห่งนี้กลับนำมาใช้ปรุงเป็นอาหาร มันช่างฟุ่มเฟือยเสียเหลือเกิน

ในนาทีนี้เองที่หลัวซิวได้เข้าใจ ว่าเหตุใดกลางภัตตาคารแห่งนี้มีที่ว่างมากมาย เพราะรู้สึกว่าอาหารของที่แห่งนี้แพงจนน่าตกใจ คนธรรมดาทั่วไปไม่มีกำลังพอจะกินได้

แต่ด้วยฐานะของฉีฝ่าเทียนที่เป็นถึงผู้ลาดตระเวนอาณาจักรใต้ ตำแหน่งและสถานะไม่ใช่ธรรมดา กินอาหารที่นี่สักมื้อ ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องผิดแปลกอะไร

“เจ้าสำนักหลัว สั่งได้ตามใจ ไม่ต้องเกรงใจข้า” ฉีฝ่าเทียนพูดพร้อมรอยยิ้ม พลางโบกมือเรียกบริกรของภัตตาคารให้เข้ามา

บริกรรีบเดินเข้ามา เรียกท่านผู้ลาดตระเวนเป็นการแสดงความเคารพ เห็นได้ชัดว่าฉีฝ่าเทียนเป็นแขกประจำของที่แห่งนี้

“เอาเหล้าเทียนอีมาก่อนหนึ่งกา มีสินค้าใหม่เข้ามาในช่วงเร็ว ๆ นี้หรือไม่?” ฉีฝ่าเทียนหันไปถามบริกร

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 570
สิ่งนี้ทำให้หลัวซิวหายใจเข้าลึก ๆด้วยความอึ้ง จักรพรรดิยุทธ์คนหนึ่งในประเทศเทียนหวู อาจเป็นผู้อาวุโสของกองกำลังหนึ่งได้ แม้แต่เป็นเจ้าสำนักที่สร้างสำนัก

แต่ในเมืองหลัวเทียนนี้ สามารถเป็นได้แค่ผู้เฝ้าประตู ซึ่งอยู่ในนักยุทธ์ระดับล่าง

สถานะแตกต่างกันมาก แต่ก็ยังมีคนจำนวนมากที่แย่งกันมาที่นี่ เพราะยิ่งมีผู้แข็งแกร่งอยู่รวมกันมากเท่าไหร่ เงื่อนไขสำหรับการฝึกตนก็จะดีมากขึ้นเท่านั้น พลังฟ้าดินจิตก็จะยิ่งแน่นหนาน

เพราะคนเหล่านี้รู้มาก อยู่ในพื้นที่เล็กๆ แม้ว่าเจ้าจะได้รับสถานะที่ดี แต่เจ้าไม่ต้อหวังว่าจะมีความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ในชีวิต เจ้าทำได้เพียงรอให้อายุขัยของเจ้าหมดลง

แต่อยู่ในสถานที่ที่มีผู้แข็งแกร่งรวมตัวกัน แม้ว่าสถานะจะค่อนข้างต่ำ แต่มีความหวังทำให้ผู้คนมีทะลวงไปสู่แดนที่สูงขึ้นได้

เมืองหลัวเทียนนั้นใหญ่มาก มีคนจำนวนมากที่เข้าๆ ออกๆ อยู่ทุกวัน แต่ก็ดูไม่แออัดเลย

ประตูเมืองมีทางเข้าเก้าทาง แต่ละแห่งมียามเฝ้าอยู่สิบกว่าคน

หากต้องการเข้าไปในเมืองหลัวเทียน ต้องจ่ายหินพลังจิตชั้นกลาง 10 ก้อน สำหรับผู้ที่มีผลการฝึกฝนสูงกว่าจักรพรรดิยุทธ์หินพลังจิตชั้นกลาง 10 ก้อน นั้นไม่มีค่าอะไร แต่มีผู้คนจำนวนมากที่เข้าเมืองทุกวัน แค่ค่าเข้าเมืองก็เป็นความมั่งคั่งที่ไม่สามารถจินตนาการได้

“เจ้าสำนักหลัว รู้สึกอย่างไรบ้าง?” หลังจากเข้าไปในเมือง ฉีฝ่าเทียนก็ถามด้วยรอยยิ้ม

“กลในกะลา” หลัวซิวยิ้ม

เหยียนเยว่เอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างก็รู้สึกเช่นเดียวกัน เมื่อตอนที่อยู่ในประเทศเทียนหวู นางคิดว่ามกุฎยุทธ์นั้นแข็งแกร่งมากอยู่แล้ว แต่เมื่อมาถึงเมืองหลัวเทียน สถานที่สำคัญในอาณาจักรใต้ นางเพิ่งรู้ว่าจะมีผู้แข็งแกร่งกว่าที่รู้ที่เห็น

ในประเทศเทียนหวู มกุฎยุทธ์ที่ใกล้ถึงจุดสูงสุด ในเมืองหลัวเทียนนี้สามารถพบเห็นได้ทุกที่

จักรพรรดิยุทธ์มีมากมายพอๆ กับสุนัข มกุฎยุทธ์เดินไปทั่วทุกที่ ซึ่งเพียงพอที่จะบรรยายถึงความเจริญรุ่งเรืองของเมืองหลัวเทียนแห่งนี้!

แม้แต่ผู้แข็งแกร่งระดับมหายุทธ์นั้น หลัวซิวยังเดินเล่นไม่หมดถนนแถวหนึ่ง เขาก็เห็นมาแล้วสองคน

นี่ไม่ได้หมายความว่าในอาณาจักรใต้มีระดับมหายุทธ์มากมาย แต่เพราะเมืองหลัวเทียนเป็นสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในอาณาจักรใต้ ผู้แข็งแกร่งส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดมารวมกันที่นี่ ดังนั้นจึงเห็นผู้แข็งแกร่งระดับนี้ง่ายมาก

สำหรับระดับมหายุทธ์ขึ้นก็คือระดับยุทธจักรและมหาจักรพรรดิยุทธ์นั้น หลัวซิวไม่เห็นพวกเขาเลย เนื่องจากการมีอยู่ของระดับนั้นค่อนข้างสูงตระหง่าน โดยส่วนมากแล้วจะไม่รู้ว่าพวกเขาอยูที่ไหน

มีร้านค้ามากมายในเมือง หลัวซิวได้เข้าไปในร้านค้าหลายร้าน บางคนขายอาวุธรบ บางคนขายยา บางคนขายสมบัติค่ายกล แล้วยังมีร้านที่ตกแต่งอย่างหรูหราทำการค้าขายเกี่ยวข้องกับการแลกเปลี่ยนสมบัติ!

ทุกสิ่งที่ขายในร้านค้าเหล่านี้ถือเป็นสมบัติล้ำค่าหากนำมันไปที่ประเทศเทียนหวู กยุทธ์ธรรมดานำเงินออมทั้งหมดของตนออกมาก็อาจจะไม่สามารถซื้อได้

ไม่ต้องพูดถึงวัสดุระดับ 7 และระดับ 8 ของสมบัติ วัสดุระดับ 9 ยังพร่างพรายขายอยู่ในร้านค้าใหญ่ๆ อีกด้วย

สิ่งนี้ทำให้หลัวซิวค่อนข้างอารมณ์ดี แม้ว่าเขาจะเคยออกจากประเทศเทียนหวูมาก่อน แล้วยังเคยไปอาณาจักรเหนือมาก่อน แต่ระดับการติดต่อไม่สูงนัก อยู่ในระดับที่ไม่เหมือนกัน การมองเห็นและความแตกต่างเลยไม่เหมือนกัน

ถ้าเขาไม่ได้รับลูกแก้วความเป็นตายและก้าวไปไกลบนเส้นทางวิถียุทธ์ เกรงว่าตลอดชีวิตของเขาจะไม่มีโอกาสได้มาที่เมืองหลัวเทียนนี้ และเห็นว่าความเจริญรุ่งเรืองอย่างแท้จริงเป็นอย่างไร!

“นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าสำนักหลัวมาที่นี่ ไปเดินเล่นดีหรือไม่ สำหรับที่พัก ข้าได้จัดการไว้แล้ว” ฉีฝ่าเทียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ตกลง” หลัวซิวพยักหน้า เขามีความตั้งใจนี้เช่นกัน คิดจะไปดูและเรียนรู้ความรู้ต่างๆ

เขารู้หลายสิ่งหลายอย่าง แต่ส่วนใหญ่เป็นเพียงทฤษฎี หลายสิ่งหลายอย่างต้องเห็นด้วยตาก่อนจึงจะสามารถกลายเป็นความเข้าใจของตนเองได้อย่างแท้จริง

ดวงตาของเหยียนเยว่เอ๋อร์เปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น สิ่งที่นางเห็นและได้ยินจากเมืองหลัวเทียน ก็ทำให้นางได้เปิดโลกทรรศเหมือนกัน

เมืองหลัวเทียนมีสินค้าดีๆมากมาย หลัวซิวก็ถือว่าร่ำรวยเล็กน้อย วัสดุมากมายที่หายากในประเทศเทียนหวู อยู่ที่นี่หาซื้อได้ไม่ยาก

ตามคำพูดของฉีฝ่าเทียนก็คือแค่เจ้ามีหินพลังจิตเพียงพอ โดยพื้นฐานแล้วไม่มีสมบัติใดที่เจ้าไม่สามารถซื้อได้ในเมืองหลัวเทียน

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 569
และร่างของหลัวซิวได้ปรากฏอยู่บนดาดฟ้าของเรือรบแล้ว เขายิ้มจาง ๆ “สามกระบวนท่าผ่านไปแล้ว เชิญทุกท่านกลับไปเถอะ!”

“เทเลพอร์ต!” ดวงตาของหญิงชราจากเผ่าหงส์แข็งกระด้าง

นางรู้จักเก้าวิชายิ่งเลิศของไท่เสวียนโบราณ หนึ่งในนั้นคือวิชายิ่งเลิศที่เรียกว่าวิชาล่องหน ซึ่งฝึกฝนพลังแห่งโซน

ตามที่นางรู้ แม้แต่ในสมัยโบราณ ผู้แข็งแกร่งของสำนักไท่เสวียน มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ฝึกฝนวิชายิ่งเลิศสองวิชาในเวลาเดียวกัน ไม่คาดคิดว่าไท่เสวียนไม่มีอยู่แล้ว รุ่นเยาว์คนนี้ยังมีโอกาสที่ดีขนาดนี้ที่ได้เรียนรู้วิชายิ่งเลิศสองประเภท

สิ่งที่ทำให้หญิงชราจากเผ่าหงส์ประหลาดใจยิ่งกว่านั้นก็คือวิชายิ่งเลิศทุกประเภทนั้นยากต่อการฝึกฝนมาก ไม่เช่นนั้นจะไม่ถูกเรียกว่าวิชายิ่งเลิศ และฝึกฝนวิชายิ่งเลิศสองประเภทพร้อมกันนั้นไม่ใช่สิ่งที่พรสวรรค์ทั่วไปสามารถทำได้อย่างแน่นอน

สิ่งที่ทำให้หญิงชราจากเผ่าหงส์หวาดกลัวยิ่งกว่าก็คือวิธีที่อีกฝ่ายใช้ในกระบวนท่าที่สองที่สามารถยับยั้งและมีอิทธิพลต่อวิญญาณหยั่งรู้ของผู้แข็งแกร่งระดับมหายุทธ์ได้ เขาทำอย่างไร?

เก้าวิชายิ่งเลิศของไท่เสวียนโบราณ ไม่มีวิธีลับดังกล่าวนี้

สีหน้าของหญิงชราจากเผ่าหงส์เคร่งขรึมเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ไม่ต้องพูดถึงว่านางแพ้สัญญาเดิมพันสามกระบวนท่า คู่ต่อสู้ยังไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆอีก คราวนี้ทำให้นางอับกายเสียหน้าไปหมด

หลังจากหลัวซิวพูดจบ เขาก็จ้องไปที่หญิงชรานิ่ง หากอีกฝ่ายไม่ปฏิบัติตามเดิมพันและยืนกรานที่จะจู่โจม งั้นก็ต้องตายไปอีกข้างแล้วละ

เฟิ่งหลิงทั้งสามคนไม่กล้าที่จะหายใจแรง พวกเขาสามารถรู้สึกถึงโทสะและความโกรธที่ถูกระงับไว้ข้างในใจของผู้อาวุโสของผ่าหงส์

“ข้าประเมินเจ้าต่ำไป แต่ในวันนี้ ถึงแม้ข้าจะจากข้าไปเป็นชั่วคราว ผู้คนที่ปลุกสายเลือดหงส์ตื่นขึ้นมา ก็จะต้องกลับไปที่สำนักใหญ่อย่างแน่นอน!”

หงส์เพลิงเขียวกลายเป็นไม้ค้ำอีกครั้งและถูกหญิงชราจากเผ่าหงส์จับไว้ นางมองหลัวซิวอย่างมีความหมายแล้วกลายเป็นเปลวไฟหายตัวไปในท้องฟ้าทันที

เฟิ่งหลิงทั้งสามมีสีหน้าที่ซับซ้อน แล้วพวกเขาก็จากไป

เมื่อเห็นผู้คนจากเผ่าหงส์ล่าถอย บนเรือรน ฉีฝ่าเทียนมองไปที่หลัวซิวด้วยท่าทางตกตะลึง

เขาคาดไม่ถึงว่าหลัวซิวจะแข็งแกร่งขนาดนี้ เขายังสามารถต่อสู้กับผู้แข็งแกร่งระดับมหายุทธ์ได้อีกด้วย

ฉีฝ่าเทียนรู้ดีว่า หากเขาได้หลอมรวมชิ้นส่วนกฎชิ้นหนึ่ง เขาก็ไม่สามารถต้านทานกระบวนท่าสามครั้งของเผ่าหงส์ระดับมหายุทธ์ได้อย่างแน่นอน แม้จะพยายามต่อต้านได้ ไม่ตายก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส

และหลัวซิวทำทั้งหมดนี้ได้อย่างง่ายดายเหมือนกับไม่ได้ใช้ความพยายามมากนัก งั้นก็หมายความว่าความแข็งแกร่งของเขาจะแข็งแกร่งกว่าเขา ผู้ลาดตระเวนคนนี้?

“ไม่น่าแปลกใจเลยที่หัวหน้าลาดตระเวนให้ความสำคัญกับเขามาก พรสวรรค์ของชายผู้นี้ในการฝึกฝนนั้นน่ากลัวเกินไป” ฉีฝ่าเทียนแอบคิดในใจ

เขาสามารถมั่นใจได้ว่า แค่หลัวซิวชายผู้นี้ไม่ตาย เขาจะสามารถกลายเป็นหนึ่งในผู้แข็งแกร่งที่นับได้ภายในอาณาจักรใต้ ภายในร้อยปี ภายในหนึ่งพันปีจะยืนอยู่บนโลกแสงดาวที่สูงที่สุดก็อาจเป็นไปได้

คนแบบนี้ต้องผูกมิตรไว้ ไม่เช่นนั้น ถ้าเป็นศัตรูกับเขา ถูกจ้องมองโดยชายที่มีความสามารถพรสวรรค์น่ากลัวจ้องมองอยู่ตลอดเวลา จะทำให้เขาไม่ว่าจะนั่งจะนอนก็ไม่สบายใจ

เรือรบยังคงมุ่งหน้าไปยังเมืองหลัวเทียน

“เจ้าสำนักหลัวทำให้ข้าได้เปิดโลกทัศน์จริงๆ ผลการฝึกตนแดน จักรพรรดิยุทธ์สามารถต่อต้านแดนมหายุทธ์ได้” บนดาดฟ้า ฉีฝ่าเทียนเทเหล้าให้หลัวซิวด้วยตัวเองและพูดอย่างชื่นใจ

ในอดีต เขาสุภาพต่อหลัวซิวเพราะอีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่หัวหน้าลาดตระเวนให้ความสำคัญ แต่หลังจากการต่อสู้ครั้งนี้ เขามีความคิดที่มีต่อหลัวซิว เขาชื่นชมความแข็งแกร่งและพรสวรรค์ของเขาจริงๆ

หลัวซิวยิ้มเล็กน้อย “ผู้ลาดตระเวนฉีชมเกินไปแล้ว เผ่าหงส์ระดับมหายุทธ์ไม่ได้ใช้พลังทั้งหมด และข้าก็ชนะการเดิมพันด้วยอุบาย ถ้าต่อสู้กันจริงๆขึ้นมา ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนางอย่างแน่นอน”

เมืองหลัวเทียนตั้งอยู่ใกล้ภูเขาซวนโหลวในอาณาจักรใต้ เป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองมากที่สุดในอาณาจักรใต้

ทุกการแข่งขันก่อนเปิดแดนศักดิ์สิทธิ์ จะผลัดกันจัดการแข่งขันโดยสี่ภูมิภาคหลัก และครั้งนี้ถึงเวลาที่อาณาจักรใต้จัดงานแข็งขัน

ว่ากันว่าเมืองหลัวเทียนแห่งนี้สร้างขึ้นในช่วงภัยพิบัติสมัยโบราณ เพื่อต้านทานการโจมตีของมารนกจากเผ่าพันธุ์มาร มีการสร้างค่ายกลห้ามบินภายในระยะ 300 กิโลเมตรรอบเมือง

ดังนั้นเมื่อหลัวซิวและฉีฝ่าเทียนมาถึงที่นี่ พวกเขาลงมาจากฟากฟ้าห่างออกไปสามร้อยกิโลเมตรแล้วเดินเท้าเปล่าไปยังเมืองหลัวเทียนอันยิ่งใหญ่

เวลาพลบค่ำ แสงตะวันยามอัสดงสาดส่องทั่วเมือง อาคารในเมืองกระจัดกระจายเป็นระเบียบ มนต์เสน่ห์ของเวลาผันผวน ราวกับเมืองศักดิ์สิทธิ์ที่ลึกลับทำให้คนอยากบูชา

เมืองหลัวเทียนเป็นสถานที่สำคัญในอาณาจักรใต้ แม้แต่ยามที่หน้าประตูเมืองก็อยู่ในระดับจักรพรรดิยุทธ์แล้ว หัวหน้าองครักษ์ มีผลการฝึกตนถึงแดนจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 9

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 568
ถูกยั่วยุโดยผู้เยาว์จักรพรรดิยุทธ์ หญิงชราจากเผ่าหงส์มีโทสะเล็กน้อยเลยเยาะเย้ยว่า“นี่เจ้าหาที่ตายเอง!”

กระบวนท่าก่อนหน้านี้ นางใช้พลังเพียงห้าส่วนเท่านั้น หากนางใช้พลังทั้งหมดจริงๆ ด้วยพลังของระดับมหายุทธ์ ต้องการสามกระบวนท่าหรือ? กระบวนท่าเดียวก็สามารถทำให้ผู้เยาว์จักรพรรดิยุทธ์กลายเป็นเถ้าถ่านเสียชีวิตได้!

ไม่มีใครคิดว่าจักรพรรดิยุทธ์คนหนึ่ง สามารถต้านทานสามกระบวนท่าของระดับมหายุทธ์ได้ เว้นแต่ผู้แข็งแกร่งระดับมหายุทธ์จะตั้งใจอ่อนข้อให้ ไม่อย่างนั้นจักรพรรดิยุทธ์เผชิญหน้ากับมหายุทธ์ จะเป็นทางตันสู่ความตายอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม หญิงชราจากเผ่าหงส์จะอ่อนข้อให้หรือ? ยิ่งไปกว่านั้น ผู้เยาว์จักรพรรดิยุทธ์นี้ยั่วยวนเกียรติของตนด้วยการรับสามกระบวนท่า วินาทีนี้แทบรอไม่ไหวที่จะสังหารเขา!

“อย่าคิดว่าถ้าเจ้ามีภูมิหลังของสี่แก๊งใหญ่ ข้าจะมีเมตตาต่อเจ้า เจ้าเป็นผู้เดิมพันเอง หากเจ้าไม่แข็งแรงพอแล้วถูกข้าฆ่าตาย ก็เป็นเพราะเจ้าหาเรื่องใส่ตัวเอง!”

ก่อนหน้านั้น นางจู่โจมเขายังมีความเมตตาเล็กน้อย เพราะหญิงชราจากเผ่าหงส์รู้ว่ารุ่นเยาว์คนนี้เป็นคนที่พรสวรรค์ที่หัวหน้าลาดตระเวนอาณาจักรใต้ให้ความสำคัญ

แม้ว่าเผ่าหงส์จะมีอำนาจ แต่ก็ไม่อยากที่จะรุกรานสี่แก๊งใหญ่สร้างปัญหาให้ตนอย่างง่ายดาย แต่ถ้าทั้งสองฝ่ายเดิมพัน ตายหรือเป็นก็แล้วแต่โชคชะตา แม้ว่าจะสังหารหลัวซิว หัวหน้าผู้ลาดตระเวนอาณาจักรใต้จะพูดอะไรไม่ออก

หญิงชราจากเผ่าหงส์เชื่อว่านางมีความมั่นใจอย่างมากที่จะสังหารหลัวซิวได้ภายในสามกระบวนท่า และหลัวซิวก็มีความมั่นใจอย่างมากที่ว่าจะสามารถรับสามกระบวนท่าของคู่ต่อสู้ได้

“ในเมื่อเจ้าตกลงเดิมพันแล้ว งั้นก็โจมตีเถอะ”

หลัวซิวบินขึ้นไปบนท้องฟ้าออกจากเรือรบ เกรงว่าผลที่ตามมาของการต่อสู้จะส่งผลกระทบต่อฝ่าเทียนและเหยียนเยว่เอ๋อร์

แต่คราวนี้หลัวซิวยังคงเริ่มการจู่โจมก่อน บีบผนึกด้วยมือทั้งสอง เปลวไฟสีดำพุ่งออกไปราวกระแสน้ำวนขนาดใหญ่ที่ไม่มีที่สิ้นสุด

วิชาที่เขาใช้ยังคงเป็นวิชาสังหารไท่เสวียน แต่รูปแบบการโจมตีแตกต่างออกไปเท่านั้น

“ของเด็กๆ!” หญิงชราจากเผ่าหงส์ดูถูกเหยียดหยาม ในสายตาของผู้แข็งแกร่งระดับมหายุทธ์นี้ การโจมตีระดับนี้ไม่เป็นภัยคุกคามต่อนางเลย

แต่เมื่อหญิงชราจากเผ่าหงส์กำลังจะเริ่มต้น ออร่าลึกลับก็ไหลเข้าสู่ตัวหยั่งรู้ของนาง ทำให้นางรู้สึกว่าห้วงความคิดของนางมึนงงเล็กน้อย

“วิญญาณ?”

หญิงชราจากเผ่าหงส์ตกใจเล็กน้อย นางคิดถึงความเป็นไปได้อย่างนี้ก่อน แต่อีกฝ่ายเป็นเพียงจักรพรรดิยุทธ์เล็กๆ แม้ว่าจะรู้วิชาลับการโจมตีด้วยวิญญาณ แล้วจะส่งผลต่อนางได้อย่างไร?

วิญญาณหยั่งรู้ได้รับผลกระทบ หญิงชราจากเผ่าหงส์เสียสติไปครู่หนึ่ง

แค่ชั่วครู่นี้ กระแสน้ำวนที่ผนึกมาจากวิชาสังหารไท่เสวียนของหลัวซิวก็ได้ปกคลุมไปทั่ว

ในช่วงเวลาที่ถูกกระแสน้ำวนเปลวไฟสีดำปกคลุม หญิงชราจากเผ่าหงส์ผู้นี้รู้สึกราวกับว่าวิญญาณหยั่งรู้ของนางถูกล็อคด้วยโซ่เหล็ก

“ทำลายลงซะ!”

หญิงชราจากเผ่าหงส์กัดลิ้นของตนให้ฉีกขาด บังคับตนเองให้ตื่นขึ้น แล้วนางก็ตะโกนอย่างโกรธจัด เปลวเพลิงสีเขียวรอบตัวปะทุไปทั่วร่างกายของนาง

ในทันทีนั้น กระแสน้ำวนที่ผนึกแน่นด้วยวิชาสังหารไท่เสวียน ถูกทำลายลงจากเปลวไฟสีเขียว ร่างของหลัวซิวถอยกลับอย่างรวดเร็วโดยไม่ได้รับผลกระทบอะไรแม้แต่น้อย

“นี่เป็นกระบวนท่าที่สองแล้ว!”

ในขณะนี้ เสียงของหลัวซิวค่อย ๆ ดังเข้าไปในหูของหญิงชราเผ่าหงส์ ทำให้ใบหน้าของนางขรึมลงทันที

“ไปตายซะ!”

หญิงชราจากเผ่าหงส์มีใจจะสังหารเขา ไม้ค้ำในมือของนางถูกนางขว้างทิ้ง ทันใดนั้น แสงสว่างก็สว่างขึ้น แล้วกลายเป็นหงส์เพลิงสีเขียวกางปีกออกหลายร้อยเมตร หงส์ร้องแล้วพุ่งไปหาหลัวซิว

กระบวนท่านี้ หลัวซิวไม่กล้าต่อต้านโดยตรง เมื่อครู่นี้เขาใช้วิชาคุมมารอย่างลับๆ และได้รับการยืนยันแล้วว่าวิชาลับนี้สามารถส่งผลกระทบต่อหญิงชราของตระกูลเผ่าหงส์

เพียงเพราะช่องว่างความแข็งแกร่งระหว่างทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันมาก และเผ่าหงส์ไม่เพียงแต่มีสายเลือดของเผ่าพันธุ์มารเท่านั้น แต่ยังมีสายเลือดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ด้วย ดังนั้นผลของวิชาลับที่ควบคุมอสูรจึงมีผลไม่มากนัก

แต่ถึงแม้ผลกระทบจะน้อย แต่แค่สามารถส่งผลกระทบให้อีกฝ่ายได้ สำหรับหลัวซิวก็เพียงพอแล้ว!

ไม้ค้ำในมือของหญิงชราจากเผ่าหงส์เป็นสมบัติชั้นกลาง ซึ่งใช้ด้วยผลการฝึกตนของมหายุทธ์เรียกหงส์เพลิงสีเขียวออกมา นี่เป็นกระบวนที่สามแล้ว

มีรอยยิ้มบนปากของหลัวซิว ปล่อยให้หงส์เพลิงสีเขียวมาสังหารเขา แต่ร่างของเขากลับหายไปในทันที

บูม!

ภายใต้การเผาไหม้ของเปลวไฟสีเขียว พื้นที่ขนาดใหญ่ถูกเปลี่ยนเป็นสุญญากาศสีดำ สิ่งที่จับได้ทั้งหมดถูกแผดเผาเป็นเถ้าถ่าน ซึ่งแสดงถึงความน่ากลัวของพลัง

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 567
“กระบี่มรณะหวงเสวียน!”

หลัวซิวแบฝ่ามือ พลังแห่งความเป็นตายควบแน่น กลายเป็นกระบี่ขาวดำแล้วฟันออกไป เปิดทางไปสู่นรก

เปิดทางนรก ส่งเจ้าไปสู่ความตาย นรกเป็นเหมือนกระบี่ที่สังหารทุกสิ่ง ฟันกฎทั้งหมด!

กระบี่ที่ฟันออกไปนี้เป็นทักษะยุทธ์หลัวซิวสร้างขึ้นโดยการทำความเข้าใจสองระดับความเป็นตาย พลังนั้นทรงพลังมากกว่าวิชาสังหารไท่เสวียน

เนื่องจากตอนนี้ความเข้าใจถึงสองระดับความเป็นตายของเขา เขาเชี่ยวชาญพลังแห่งกฎเล็กน้อย แล้วรวมทักษะยุทธ์นี้สร้างขึ้นโดยตัวเขาเอง จึงใช้ได้อย่างสะดวกกว่าการใช้ทักษะยุทธ์ที่คนอื่นสร้างขึ้นมาธมรรดา จึงปล่อยพลังได้ทรงพลังมากที่สุด

ทางนรกกลืนกินเงากรงเล็บสีเขียวที่ผนึกแน่นด้วยเปลว ร่างของหลัวซิวที่บนดาดฟ้าของเรือรบก้าวถอยหลังไปสองสามก้าว

“หือ? ผู้เยาว์อย่างเจ้าไม่เลวเลยจริงๆ ที่สามารถต้านทานการกระบวนท่าของข้าได้” หญิงชราจากเผ่าหงส์ขมวดคิ้วเล็กน้อย ในฐานะที่เป็นผู้แข็งแกร่งระดับมหายุทธ์ นางไม่สามารถจัดการจักรพรรดิยุทธ์เล็ก ๆ ได้ด้วยกระบวนท่าหนึ่ง นี่ทำให้นางรู้สึกอับอาย

หลัวซิวหัวเราะเยาะ “ด้วยเกียรติของระดับมหายุทธ์ แต่กลับจู่โจมข้าที่เป็นจักรพรรดิยุทธ์คนหนึ่ง คนจากเผ่าหงส์ก็งั้นๆแหละ””

“อวดดี เจ้ากล้าหาญมาก ที่กล้าไม่เคารพผู้อาวุโสเผ่าหงส์ของเรา!” เฟิ่งหงเสว่ตำหนิอย่างโกรธเคือง

“หลัวซิว เจ้าไม่เป็นไรนะ” เหยียนเยว่เอ๋อร์เดินไปข้างหลัวซิวพร้อมถามอย่างกังวล

หลัวซิวส่ายหัวบอกว่าเขาไม่เป็นไร แต่ในใจครุ่นคิดถึงช่องว่างระหว่างเขากับหญิงชราจากเผ่าหงส์

ตามความรู้สึกของออร่า ฐานการฝึกฝนของอาจารย์เผ่าหงส์นี้อยู่ในแดนระดับมหายุทธ์ขั้นปฐมภูมิ และฐานการฝึกฝนจริงๆควรต่ำกว่าระดับมหายุทธ์ขั้น 2 ยังไม่ถึงระดับมหายุทธ์ขั้น 3 อย่างแน่นอน

พึ่งลูกแก้วเสวียนดำ หลัวซิวสามารถยกระดับผลการฝึกตนพลังจิตแท้ของตนให้ขึ้นไปถึงมกุฎยุทธ์ขั้น 7 แล้วรวมพลังแปรเสวียนเทียนยี่สิบสี่เท่าก็เทียบได้กับมกุฎยุทธ์ขั้น 9

หากใช้พลังแห่งกฎอีก ก็สามารถต่อต้านมหายุทธ์ขั้นปฐมภูมิได้

หากการสืบทอดวิชาลับของเจ้ามรณะสามารถช่วยได้ด้วย หลัวซิวมีความมั่นใจในระดับหนึ่งว่าเขาสามารถเอาชนะผู้อาวุโสระดับแดนระดับมหายุทธ์จากเผ่าหงส์ได้

แต่ถ้าไม่ใช่ทางเลือกสุดท้าย หลัวซิวก็ไม่อยากทำเช่นนี้ ถ้าเขาเปิดเผยความแข็งแกร่งมากเกินไป ก็หมายความว่าประกาศต่อโลกอย่างไม่ต้องสงสัยว่าบนร่างเขามีความลับมากมายอยู่ เมื่อถึงเวลานั้นไม่รู้ว่าจะมีผู้แข็งแกร่งมากแค่ไหนที่อยากได้เพราะความโลภ

เมื่อก่อน เขาเอาชนะจักรพรรดิยุทธ์ที่แดนสูงกว่าเขาหรือฆ่ามกุฎยุทธ์มาก แม้ว่าจะน่าตกใจพอๆ กัน แต่ก็ไม่ได้รับความสนใจจากผู้แข็งแกร่งใดๆ แต่ถ้าเจ้าเอาชนะระดับมหายุทธ์ด้วยผลการฝึกตนจักรพรรดิยุทธ์ก็น่ากลัวเกินไป

ขณะที่เขาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ หลัวซิวก็มีแผนในใจ ดังนั้นเขาจึงพูดเสียงดังว่า “ในฐานะที่เป็นผู้อาวุโสของเผ่าหงส์และเป็นผู้แข็งแกร่งระดับมหายุทธ์ ไม่รู้ว่ากล้าเดิมพันกับข้าหรือไม่?”

“เจ้ามีสิทธิ์อะไรที่จะเจรจาข้อตกลงกับข้า?” หญิงชราจากเผ่าหงส์เยาะเย้ยไม่ถูกหลอก

หลัวซิวยังคงยิ้มอย่างไม่แยแส “เป็นถึงผู้อาวุโสของเผ่าหงส์ ผู้แข็งแกร่งระดับมหายุทธ์ หรือเจ้ากังวลว่าจักรพรรดิยุทธ์อย่างข้าจะหลอกเจ้า?”

ในฐานะที่เป็นผู้แข็งแกร่งระดับมหายุทธ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานะผู้อาวุโสของเผ่าหงส์ หญิงชราผู้นี้มักให้ความสำคัญกับเกียรติมากกว่า

แม้ว่านางจะรู้ว่าหลัวซิวต้องมีแผนอะไรแน่ นี่เป็นกลวิธีใช้คำพูดที่ทำให้นางโมโหแล้วตอบตกลง และนางก็ไม่ตอบตกลงไม่ได้ อดไม่ได้ที่จะตอบโต้กับกลวิธีก้าวร้าวแบบนี้

เพราะที่นี่ยังมีคนนอกอยู่ หากข่าวนี้ถูกกระจายออกไปว่าเป็นถึงระดับมหายุทธ์กลับหวาดกลัวผู้เยาว์จักรพรรดิยุทธ์คนหนึ่ง ก็น่าละอายมากไม่ใช่หรือ?

“เจ้าต้องการเดิมพันอย่างไร?” หญิงชราจากเผ่าหงส์หรี่ตาลง

“เดิมพันสามกระบวนท่า เป็นยังไง?” หลัวซิวยิ้มเล็กน้อย “เจ้าคือระดับมหายุทธ์และข้าเป็นจักรพรรดิยุทธ์ ผลการฝึกตนห่างกันตั้งสองแดนใหญ่!”

“ข้ารับสามกระบวนท่าของเจ้า ถ้ารับได้ เจ้าพาคนกลับไป หากข้ารับไม่ได้ ก็ยอมให้เจ้าพาเยว่เอ๋อร์ไป”

ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ออกมา คนหลายคนที่อยู่ที่นั่นต่างมีสีหน้าที่แตกต่างกัน แต่ไม่มีใครที่คิดว่าหลัวซิวจะชนะ โดยเฉพาะคนจากเผ่าหงส์ทั้งสาม สีหน้ายิ่งเยาะเย้ย

หญิงชราจากเผ่าหงส์เหมือนคาดไม่ถึงว่าหลัวซิวจะเดิมพันเช่นนี้ หรือผู้เยาว์คนนี้รู้สึกว่าเขาสามารถต่อต้านกระบวนท่าหนึ่งครั้งจากนางได้ เขาก็คิดว่าตัวเองสามารถรับสามกระบวนท่าของนางได้?

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 566
เพื่อนผู้ยุทธ์หมายถึงสหายวิถียุทธ์ที่ฝึกตนด้วยกัน บนถนนวิถียุทธ์ของการฝึกฝน จับมือไปด้วยกัน เทียบเท่ากับภรรยาและสามีของมนุษย์ธรรมดา

หญิงชราจากเผ่าหงส์ดูถูกฝูงชนด้วยท่าทางที่สูงส่ง ซึ่งทำให้หลัวซิวรู้สึกไม่ชอบนัก เขาจึงพูดขึ้นอย่างเย็นชา “เจ้าคิดว่าข้าจะคู่ควรกับนางได้ยังไง?”

ขณะพูด เปลวเพลิงสีดำก็ลุกโชนขึ้นจากร่างของหลัวซิว ออร่าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายมาหาเรื่องและหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต่อสู้

“หือ? พลังแห่งความตาย? ดูเหมือนว่าโชคของเจ้าไม่เลวที่สามารถฝึกฝนพลังธาตุระดับสูงสุดแบบนี้ได้”

หญิงชราจากเผ่าหงส์เห็นเปลวไฟสีดำบนร่างกายของหลัวซิวแล้วดวงตาที่ขุ่นมัวของนางก็สว่างขึ้นเล็กน้อย

เผ่าหงส์ฝึกฝนไฟ แต่ไม่ใช่แค่ฝึกฝนเปลวไฟธรรมดา ธาตุพลังอื่น ๆ ก็สามารถรวมเข้ากับเปลวไฟเพื่อให้กลายเป็นเปลวไฟที่มีพลังมากขึ้น

ตัวอย่างเช่น เปลวไฟที่เกิดจากพลังแห่งความตาย สามารถเรียกได้ว่าเพลิงมรณะ ซึ่งแข็งแกร่งกว่าเปลวไฟบริสุทธิ์มาก

“น่าเสียดายที่ผลการฝึกตนของเจ้าต่ำเกินไป แม้ว่าเจ้าจะฝึกฝนพลังแห่งความตาย แต่เจ้าก็ยังอ่อนแอ” หญิงชราจากเผ่าพูดอย่างเย็นชา

เฟิ่งหลิง เฟิ่งหงเสว่และเฟิ่งเยียนหรานเห็นด้วยอย่างยิ่งกับเรื่องนี้และมองไปที่เปลวไฟสีดำบนร่างกายของหลัวซิวด้วยความสนใจ

ทุกคนเผ่าหงส์หวังที่จะฝึกฝนเปลวไฟอันทรงพลังออกมาได้ เพราะเปลวไฟเป็นรากฐานของเผ่าหงส์ ยิ่งเปลวไฟแห่งการฝึกฝนแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ พื้นที่สำหรับการเติบโตในอนาคตก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น และความสำเร็จก็จะยิ่งสูงขึ้น

พลังแห่งความตายเป็นธาตุอันดับต้น ๆ ในเผ่าหงส์มีเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่โชคดีอย่างมากเท่านั้นที่สามารถประสบความสำเร็จในการฝึกฝน นับออกมาได้ด้วยนิ้วมือ

เผ่าหงส์ส่วนใหญ่ฝึกฝนเปลวไฟที่เป็นธาตุทั่วไป เช่น เพลิงอัคคี เพลิงไม้ เพลิงเยือกเสวียน เพลิงนภา เพลิงพสุเพลิงวาโย เพลิงอัสนีพิฆาต

ตอนนี้พลังแฟ่งไฟเบญจธาตุทั้ง 5 ที่เหยียนเยว่เอ๋อร์ฝึกฝน รองจากพลังธาตุระดับสูงสุดเท่านั้น

“แม้ว่าเจ้าจะเป็นระดับมหายุทธ์ เจ้าคิดว่าเจ้าสามารถยืนอยู่เหนือผู้คนและควบคุมชีวิตความเป็นความตายของผู้อื่น?”

หลัวซิวขี้เกียจพูดเรื่องไร้สาระกับอีกฝ่าย ในเมื่อต้องการต่อสู้งั้นก็ต่อสู้!

ไม่มีใครคาดคิดว่า หลัวซิวผู้ที่มีพื้นฐานการฝึกตนเพียงจักรพรรดิยุทธ์ จะเริ่มจู่โจมผู้แข็งแกร่งระดับมหายุทธ์

เขาพลิกฝ่ามือ ใช้วิชาสังหารไท่เสวียน และภูเขาที่ก่อตัวขึ้นจากเพลิงมรณะกระแทกลงไปที่หญิงชราจากเผ่าหงส์

“วิชายิ่งเลิศของไท่เสวียน?”ทันทีที่หลัวซิวเริ่มต้น หญิงชราจากเผ่าหงส์ก็รู้ที่มาของวิชาการต่อสู้ที่เขาใช้ได้อย่างรวดเร็ว

ประวัติการดำรงอยู่ของเผ่าหงส์นั้นเก่าแก่กว่าไท่เสวียน และเคยประสบกับภัยพิบัติในสมัยโบราณ ไท่เสวียนถูกทำลาย เผ่าหงส์ยังคงอยู่ต่อ ดังนั้นเรื่องบางเรื่องของสมัยโบราณ คล้ายกองกำลังเผ่าหงส์ที่เคยประสบกับภัยพิบัติสมัยโบราณแล้วยังรอดมาได้ ก็จะรู้ครอบคลุมมากกว่า

“ไท่เสวียนโบราณ มีเก้าวิชายิ่งเลิศ แต่ไม่ว่าวิชายิ่งเลิศจะแข็งแกร่งเพียงใด มันขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นผู้ใช้”

หญิงชราจากเผ่าหงส์ไม่แยแส เยาะเย้ยเสียงเย็น “ความแข็งแกร่งแค่นี้สามารถคุกคามมกุฎยุทธ์ได้ แต่ต่อหน้าหญิงชราอย่างข้า ยังไม่เพียงพอ”

ขณะพูด เผ่าหงส์หญิงชรายกมือไปจับ เปลวไฟสีเขียวผนึกแน่นกลายเป็นเงากรงเล็บ ราวกับว่าหงส์สีเขียวจะฉีกเหยื่อออกเป็นชิ้นๆ

บูม!

เงากรงเล็บเปลวไฟสีเขียวชนกับภูเขาเปลวไฟสีดำ และภูเขาที่ผนึกมาจากวิชาสังหารก็มีรอยแตกทันที แรงยังคงไม่ลดลงพร้อมจับไปที่หลัวซิวซึ่งยืนอยู่บนเรือรบ

เรือรบลำนี้มีความยาวมากกว่า 200 เมตร แต่ภายใต้เงากรงเล็บเปลวไฟสีเขียว ขนาดเล็กเท่าแมลงวัน

วิชาสังหารไท่เสวียนถูกทำลาย หลัวซิวไม่คงที่ ร่างกายถอยหลังไปสองก้าว ม่านตาของเขาหดตัวเล็กน้อย

ในหนึ่งปีที่ผ่านมาความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด แต่ก็ยังแย่กว่าเมื่อเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งระดับมหายุทธ์อยู่มาก

หลัวซิวรู้ดีว่าหญิงชราจากเผ่าหงส์ผู้นี้ไม่ได้ใช้พลังทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม หลัวซิวจะไม่ยอมพ่ายแพ้อย่างง่ายดาย เขายังมีไพ่ไม้ตายอีกหลายใบที่ยังไม่ได้ใช้

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 565
“ระดับมหายุทธ์!”

สีหน้าของฉีฝ่าเทียนเคร่งขรึม เมื่อเทียบกับทั่วอาณาจักรใต้ มกุฎยุทธ์ถือได้ว่าเป็นผู้แข็งแกร่งในเขตนั้นเท่านั้น แต่มหายุทธ์ สามารถพูดได้ว่าเป็นผู้แข็งแกร่งที่หายากในอาณาจักรใต้

ผู้แข็งแกร่งระดับมหายุทธ์นั้นเป็นคนของกองกำลังชั้นนำหรือแดนศักดิ์สิทธิ์ ไม่ก็เป็นใหญ่อยู่ที่ใดที่หนึ่งหรือตระกูลที่สร้างสำนัก เป็นกองกำลังระดับสอง

ก่อนหน้านั้น เฟิ่งหงเสว่เรียกสำนักไท่เสวียนว่าเป็นกองกำลังระดับสาม เพราะไท่เสวียนในตอนนี้ มีเพียงมกุฎยุทธ์เฝ้าเท่านั้น

สำหรับตระกูลหรือสำนักเหล่านั้นที่ไม่มีมกุฎยุทธ์ สามารถถูกมองว่าเป็นกองกำลังไม่เป็นที่นิยมเท่านั้น

หากเป็นระดับมหายุทธ์ของกองกำลังทั่วไประดับสอง ก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้ฉีฝ่าเทียนกลัว แต่ถ้าฝ่ายตรงข้ามเป็น ระดับมหายุทธ์จากเผ่าหงส์ก็ถือว่าไม่ธรรมดาแล้ว

เพราะความแข็งแกร่งของเผ่าหงส์ สามารถเทียบเท่ากับแดนศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าพันธุ์มนุษย์

เมื่อหลัวซิวเห็นสีหน้าการเปลี่ยนแปลงของฉีฝ่าเทียน เขารู้ว่าอีกฝ่ายเป็นระดับมหายุทธ์ของเผ่าหงส์ที่ไม่สามารถรุกรานได้อย่างง่ายดาย

“ผู้ลาดตระเวนฉี ในเมื่ออีกฝ่ายหาข้า ก็ให้ข้ามาจัดการเอง” หลัวซิวกล่าวด้วยรอยยิ้ม

สำหรับเหยียนเยว่เอ๋อร์ตอนนี้ นางอยู่ในห้องโดยสารของเรือรบ แม้ว่านางจะไม่ปรากฏตัว ผู้คนจากเผ่าหงส์ก็ยังคงมั่นใจว่านางอยู่ในเรือรบ

“หลัวซิว…” ในทันใดนั้น เหยียนเยว่เอ๋อร์ก็เดินออกจากห้องเรือรบ ทันทีที่คนทั้งสี่ของเผ่าหงส์เห็นนาง พวกเขาก็หรี่ตาลง

“เยว่เอ๋อร์ เจ้าออกมาทำไม?” หลัวซิวนิ่วหน้า

เหยียนเยว่เอ๋อร์เดินไปยืนข้างหลัวซิว “ข้าไม่ต้องการให้เจ้าเสี่ยงเพื่อข้า ข้าตามพวกเขาไปที่เผ่าหงส์”

นางไม่อยากแยกจากหลัวซิว แต่เผ่าหงส์มีผู้แข็งแกร่งระดับมหายุทธ์มาหาถึงที่นี่ แม้ว่านางจะรู้ว่าหลัวซิวแข็งแกร่งมาก แต่นางก็ยังกังวลเล็กน้อย

นางยอมที่จะทุกข์ทรมานความคับข้องใจเองมากกว่าปล่อยให้หลัวซิวได้รับบาดเจ็บเพราะตัวนางเอง

“เจ้าสำนักหลัว จริง ๆ แล้วแม่นางเยว่เอ๋อร์ไปที่สำนักใหญ่ของเผ่าหงส์จะเป็นประโยชน์มากสำหรับนาง”ฉีฝ่าเทียนพูดแทรก

นอกจากนี้เขายังไม่คิดว่าฝ่ายเขายังไม่มีความแข็งแกร่งที่จะต่อต้านระดับมหายุทธ์ เพราะมีคำกล่าวว่าผู้แข็งแกร่งที่ไปถึงแดนมหายุทธ์ สามารถเปลี่ยนแห่งวิถียุทธ์ของตนให้กลายเป็นรอยวิถียุทธ์ได้ เป็นวิธีโจมตีที่ทรงพลังมาก

ทุกแดนใหญ่ที่วิถียุทธ์ที่ฝึกฝน มีวิธีการเฉพาะของตัวเอง ด้วยวิธีพิเศษนี้ สามารถบดขยี้นักยุทธ์ที่มีระดับการฝึกตนต่ำกว่าของตนได้ และยิ่งผลการฝึกตนสูงขึ้น วิธีพิเศษที่ได้รับก็จะยิ่งมีพลังมากขึ้นเท่านั้น ท้าทายคู่ต่อสู้ที่แดนสูงกว่าตนจะยิ่งยาก เข้าไปใหญ่

ฉีฝ่าเทียนก็รู้ด้วยว่าหลัวซิวสามารถต่อสู้กับมกุฎยุทธ์ได้โดยอาศัยผลการฝึกตนจักรพรรดิยุทธ์ แต่ฝ่ายตรงข้ามคือระดับมหายุทธ์!

หลัวซิวรู้ว่าฉีฝ่าเทียนพูดแบบนี้ออกมาเพื่อตัวเขาและเยว่เอ๋อร์ แต่เขาสามารถเห็นความจนปัญหาในสายตาของเหยียนเยว่เอ๋อร์ได้ นางไม่อยากแยกจากเขาจริงๆ

เมื่อเทียบกับการไปที่สำนักใหญ่ของเผ่าหงส์ สามารถได้เงื่อนไขการฝึกฝนที่ดีขึ้น นางรู้สึกว่าการได้อยู่กับเขาเป็นเรื่องสำคัญมากกว่า

ซึ่งทำให้หลัวซิวซาบซึ้งใจมาก

“ผู้เยาว์ พูดเรื่องไร้สาระเสร็จหรือยัง?”

มีเสียงของผู้แข็งแกร่งระดับมหายุทธ์ดังออกมาจากทะเลเพลิง จากนั้นทะเลเพลิงแยกจากกัน เผยให้เห็นถนนและหญิงชราหลังค่อมถือไม้เท้าสีแดงเดินออกมาอย่างช้าๆ

แม้ว่านางจะดูแก่ชราเหมือนจะตายแล้ว แต่ออร่าบนร่างกายของนางช่างน่ากลัวนัก

หญิงชราจากเผ่าหงส์ผู้นี้ มองดูเหยียนเยว่เอ๋อร์ที่อยู่บนเรือรบ “ในฐานะคนของเผ่าหงส์ ปลุกสายเลือดหงส์สำเร็จก็ต้องกลับไปที่สำนักใหญ่ของเผ่าหงส์ นี่เป็นกฎที่ใช้กันมาเป็นหมื่นปี”

“หากเจ้ายอมกลับไปยังเผ่าหงส์พร้อมกับข้าในตอนนี้ เรื่องนี้สามารถอภัยได้ ไม่เช่นนั้นข้าจะเป็นผู้ที่จับเจ้ากลับไป”

เสียงของหญิงชราเย็นชา นางหันไปมองหลัวซิว “นี่คือเพื่อนผู้ยุทธ์ของเจ้า? เป็นเพียงเจ้าสำนักเล็ก ๆ ระดับสาม มีสิทธิ์คู่ควรกับพรสวรรค์ที่ปลุกสายเลือดหงส์สำเร็จของเผ่าหงส์ได้อย่างไร?”

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 564
ฉีฝ่าเทียนยิ้มและกล่าวว่า “อย่างไรก็ตาม ถ้าเจ้าสำนักหลัวต้องการที่จะได้อันดับหนึ่งในการแข่งขัน เกรงว่าจะต้องระวังให้ดี เพราะแดนศักดิ์สิทธิ์เปิดคราวนี้ จะมีผู้ที่มีความสามารถมากมายมาจากทั่วทุกมุมของโลก ในนั้นจะมีผู้ที่ฝึกฝนมาแล้วสองสามร้อยปีและอาจจะความแข็งแกร่งมากกว่าข้าก็ได้”

เพราะเริ่มต้นจากแดนพรสวรรค์ ทุกครั้งที่ผ่านแดนไปแดนหนึ่ง อายุของจอมยุทธ์จะเพิ่มขึ้น โดยทั่วไปถ้าสามารถฝึกตนไปจนถึงแดนจักรพรรดิยุทธ์ ก็จะมีอายุขัยมากกว่าหนึ่งพันปี

ยิ่งระดับการฝึกฝนสูงขึ้นกว่าเดิม ให้ผลการฝึกตนสูงได้เร็วที่สุด ก็จะมีอายุขัยที่ยาวนานและเวลาไปไล่ตามแดนสูงขึ้นได้ ดังนั้นความเร็วของการฝึกฝนจึงกลายเป็นหน่วยวัดพวกพรสวรรค์

โดยทั่วไปแล้ว ผู้ที่สามารถถูกประเมินว่าเป็นพรสวรรค์ระดับแนวหน้า หรือพรสวรรค์ที่ไม่มีใครเทียบได้ ผลการฝึกตนจะถึงแดนราชายุทธ์หรือแดนจักรพรรดิยุทธ์

ตัวอย่างเช่น ตอนนี้หลัวซิวอายุ 21 ปี ในวิธีวัดพรสวรรค์ เขาสามารถอยู่ในแถวพรสวรรค์ชั้นนำได้

แต่ผู้ที่ฝึกฝนจนถึงแดนจักรพรรดิยุทธ์ในอายุ 20 ปี ถือเป็นปาฏิหาริย์ในประเทศเทียนหวู แต่ถ้ามองไปทั่วโลกแสงดาว ก็มีผู้คนมากมายที่สามารถทำได้เช่นกัน

แน่นอน ถ้าแบ่งแยกตามเวลาของการฝึกตน หลัวซิวสามารถโยนพวกพรสวรรค์ที่ไม่มีใครเทียบได้ทั้งหมดเหล่านี้ให้ห่างออกไปได้ไกลมาก

เพราะหลัวซิวเริ่มฝึกตนอย่างเป็นทางการเมื่ออายุ 13 ปี นับแล้ว เวลาที่เขาฝึกตนเพียงแปดปี!

“พริบตาเดียวก็แปดปีแล้ว”

หลัวซิวดื่มเหล้าแก้วหนึ่ง มองย้อนกลับไปถึงประสบการณ์ของเขาในช่วงแปดปีที่ผ่านมา รู้สึกเหมือนผ่านมานานอยู่ชั่วขณะหนึ่ง

ท่านพ่อท่านแม่ของเขาอยู่ในสำนักเขาไท่เสวียน แม้ว่าจะไม่สามารถฝึกฝนได้ แต่ร่างกายแข็งแรงดีด้วยการหล่อเลี้ยงจากพลังฟ้าดินจิตในสำนัก

แต่หลัวซิวชัดเจนมากว่าเมื่อระดับการฝึกตนของเขาสูงขึ้นเรื่อย ๆ แนวคิดเรื่องเวลาก็จะยิ่งเบลอมากขึ้น บางทีปิดขังฝึกตนอาจใช้เวลาหลายปีหรือหลายสิบปี เมื่อคนในครอบครัวของเขากลายเป็นดิน เขาจะยังคงมีชีวิตที่ยาวนาน

คนธรรมดาไม่สามารถหลีกหนีการเกิด แก่ ตาย เจ็บไข้ได้ป่วยได้ นักยุทธ์แย่งชีวิตกับสวรรค์ นี่คือสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

แม้ว่าจะอาลัยอาวรณ์ แต่หลัวซิวก็รู้ว่าบางสิ่งเขาไม่สามารถหยุดยั้งได้ แค่คนในครอบครัวของเขาสามารถมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขและปลอดภัยในตอนที่มีชีวิตอยู่ นี่เป็นผลที่ดีที่สุด

และก่อนหน้านี้จะเป็นไปได้เขาจะต้องสามารถปกป้องคนในครอบเขาได้ ให้พวกเขามีชีวิตอย่างสบายและมีความสุขจนสิ้นสุด

ก่อนหน้านี้ก็คือความแข็งแกร่งและเป็นเป้าหมายที่หลัวซิวแสวงหา ไปถึงจุดสูงสุดของจอมยุทธ์!

“ถ้าข้าสามารถไปถึงจุดสูงสุดของจอมยุทธ์ได้ ไม่ใช่ว่าข้าจะไม่มีวิธีทำให้อายุของครอบครัวข้าให้ยาวนานได้” หลัวซิวแอบพูดในใจ

สำหรับความเป็นอมตะ เขาไม่เคยคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะแม้ว่าจะอยู่เหนือกว่ามหาจักรพรรดิยุทธ์ ก้าวเข้าสู่แดนนิรันกาลก็ไม่กล้าพูดว่าตนเองสามารถเป็นอมตะ ไปเกิดใหม่แต่ละครั้ง บางทีบางชาติหนึ่งอาจจะหลงทางอยู่วัฏจักรไปเกิดมา และจะไม่มีวันฟื้นคืนความทรงจำของเขาได้อีกตลอดไป

ทันใดนั้น หลัวซิวมีความรู้สึกบางอย่างในใจ เมื่อเขามองไปทางด้านหน้าของเรือรบ เขาก็สัมผัสได้ถึงออร่าพลานุภาพ

ฉีฝ่าเทียนก็รู้สึกได้ถึงออร่านี้เหมือนกัน ห่างจากเรือรบมากกว่าสิบกิโลเมตรก็เห็นทะเลเพลิงขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น

ฉีฝ่าเทียนควบคุมเรือรบให้หยุดทันที แล้วมองขึ้นไปที่ทะเลเพลิงขนาดใหญ่พร้อมหลัวซิว

“ผู้ใดขวางทาง?” ฉีฝ่าเทียนตะโกนเสียงดัง

อันที่จริงทันทีที่เขาเห็นทะเลเพลิงนี้ เขาก็เดาออกแล้วว่าน่าจะเป็นคนจากเผ่าหงส์มาหาถึงที่

“ผู้ลาดตระเวนฉี ไม่ได้พบกันมาหลายปีแล้ว ยังจำข้าได้หรือไม่?”

ร่างๆหนึ่งออกมาจากทะเลเพลิง เป็นผู้คุมกฎเฟิ่งหลิงของเผ่าหงส์

เมื่อมองเห็นเฟิ่งหลิง ฉีฝ่าเทียนแอบในใจว่า ตามที่คาดไว้ แต่สีหน้าของเขาไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย เขายิ้มและพูดว่า “เป็นผู้คุมกฎเฟิ่งหลิงนี่เอง พวกข้าไม่ได้เจอกันนานหลายสิบปีแล้ว ไม่รู้ว่าทำไมถึงขวางเรือรบของข้า?”

เฟิ่งหลิงยิ้มเล็กน้อย “ผู้ลาดตระเวนฉีเข้าใจผิดแล้ว ข้าจะกล้าดียังไงถึงขวางทางเรือรบของเจ้าได้ง่ายๆ แต่แค่ต้องการคุยกับเพื่อนผู้น้อยที่อยู่ข้างเจ้าเท่านั้น”

ฉีฝ่าเทียนขมวดคิ้วเมื่อได้ยินแล้วมองไปที่หลัวซิว

อีกฝ่ายเรียกตัวเองว่าเพื่อนผู้น้อยและถือว่าตัวเขาเป็นผู้เยาว์แบบนี้ ทำให้หลัวซิวรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย

เพราะตอนนี้ตัวตนปัจจุบันของเขาคือเจ้าสำนักไท่เสวียน แม้ว่าเขาจะยังเด็ก แต่เขาก็เป็นตัวแทนเกียรติของสำนัก

“เจ้ามาหาข้าเรื่องใด?” หลัวซิวพูดเสียงเรียบ

“อวดดี! เจ้าเป็นเพียงจักรพรรดิยุทธ์เล็กคนหนึ่ง กล้าเรียกตัวเองว่าข้าต่อหน้าผู้คุ้มกฎของเผ่าหงส์หรือ?” เฟิ่งหงเสว่ซึ่งอยู่ด้านหลังเฟิ่งหลิงลุกขึ้นมาต่อว่าเขาเสียงเย็น

“ข้าคุยกับผู้คุมกฎเฟิ่งหลิง เจ้ามีสิทธิ์อะไรเข้ามาแทรก?” ดวงตาของหลัวซิวเย็นเฉียบ

“ฮึ่ม! ช่างเป็นรุ่นเยาว์ที่หยิ่งผยองนัก!”

ทันใดนั้น เสียงชราดังมาจากส่วนลึกของทะเลเพลิง ตามด้วยออร่าที่คาดเดาไม่ได้แผ่ขยายออกมา ทำให้สีหน้าของฉีฝ่าเทียนที่อยู่บนเรือรบเปลี่ยนไป

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 563
“ถ้าเจ้าสำนักหลัวเป็นห่วง สามารถพาแม่นางเหยียนไปด้วยได้” ฉีฝ่าเทียนแนะนำ

“ก็ดีเหมือนกัน” หลัวซิวพยักหน้า

เหตุผลที่เขากังวลก็เพราะเขากลัวว่าหลังจากที่เขาจากไป คนจากเผ่าหงส์จะกลับมาอีก มีเพียงเกาเหลียนหงคนเดียวเฝ้าอยู่ในไท่เสวียน กลัวว่าเขาจะไม่สามารถต้านทานได้

สำหรับเรื่องที่พาเหยียนเยว่เอ๋อร์ไปกับเขาด้วย คนจากเผ่าหงส์จะได้มาหาเขาโดยตรงและจะไม่ไปสร้างปัญหาที่สำนักเขาไท่เสวียน

หลังจากที่เขากลับมาได้ไม่นาน หลัวซิวก็จากไปอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาพาเหยียนเยว่เอ๋อร์ไปด้วย ซึ่งทำให้นางตื่นเต้นมาก

“วันๆเอาแต่ปิดขังฝึกตน จะทำให้ข้าเบื่อจะตายแล้ว”

หลังจากความแค้นของท่านพ่อท่านแม่ได้รับการล้างแค้น นิสัยของเหยียนเยว่เอ๋อร์ก็สดใสขึ้น ไม่เหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป ที่เหมือนกับภูเขาน้ำแข็งที่ไม่สามารถละลายได้

แต่นางจะแสดงนิสัยอารมณ์ที่แท้จริงของนางต่อหน้าหลัวซิวเท่านั้น ต่อหน้าคนนอกนางยังเย็นชาเหมือนเมื่อก่อน

ฉีฝ่าเทียนนำเรือรบออกมา ทั้งสามก็เริ่มออกเดินทางไปยังเมืองหลัวเทียน

“นอกจากสิทธิ์เข้าไปฝึกฝนในแดนศักดิ์สิทธิ์แล้ว การแข่งขันระหว่างนักพรสวรรค์นี้ยังมีรางวัลให้อีกด้วย”

บนดาดฟ้าของเรือรบ หลัวซิวและฉีฝ่าเทียนนั่งตรงข้ามกัน ดื่มเหล้าและพูดคุยกันด้วยรอยยิ้มเกี่ยวกับการเปิดแดนศักดิ์สิทธิ์ในครั้งนี้

“หือ? รางวัลอะไร?” หลัวซิวถามด้วยความสนใจ

“หากเหมือนอย่างเคย ได้รับอันดับหนึ่งในการแข่งขัน สามารถรับยายากลายร่างมังกร! เจ้าสำนักหลัวก็เป็นนักกลั่นยา คาดว่าต้องเคยได้ยินชื่อยากลายร่างมังกรนี้มาก่อนแล้วนะ?”

“เป็นยากลายร่างมังกร?”

หลัวซิวแปลกใจเล็กน้อย แน่นอนว่าเขารู้จักยากลายร่างมังกร และเขาก็รู้ว่ายากลายร่างมังกรเป็นยาพิเศษที่ไม่มีระดับ

สรรพคุณของยากลายร่างมังกร คือเพิ่มอัตราความสำเร็จของการผ่านแดนที่ต่ำกว่าแดนมหายุทธ์

โดยทั่วไป หากพรสวรรค์ไม่เลวร้ายเกินไปและไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิด จะปลอดภัยอย่างยิ่งที่จะใช้ยากลายร่างมังกรเพื่อฝ่าฟันฐานการฝึกฝน และแทบไม่มีโอกาสล้มเหลวเลย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการทะลวงผ่านแดนมกุฎยุทธ์ขั้นถึงแดนมหายุทธ์ ยากลายร่างมังกรเป็นสมบัติล้ำค่าอย่างยิ่ง

ยากลายร่างมังกรนั้นกลั่นแปรไม่ยากนัก เหตุผลที่ล้ำค่าก็คือวัตถุดิบในการกลั่นยากลายร่างมังกรนั้นหายาก ยาวิเศษทุกชนิดจะปรากฏออกมาในสภาพแวดล้อมที่พิเศษ และความน่าจะเป็นไปได้ที่จะหาพบไม่สูง

จากปัจจัยข้างต้นนี้ หลัวซิวรู้สึกประหลาดใจมากเมื่อเขาได้ยินว่ารางวัลที่หนึ่งในการแข่งขันคือยากลายร่างมังกร

ได้ยากลายร่างมังกรหนึ่งเม็ดมา โดยพื้นฐานแล้วเทียบเท่ากับการมีหนังสือเดินทางไปยังแดนมหายุทธ์

ระดับยุทธจักรและผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ส่วนใหญ่จะอยู่ในกองกำลังระดับแนวหน้า ผู้แข็งแกร่งมหายุทธ์ถือได้ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกแล้ว

เมื่อเห็นสีหน้าน่าประหลาดใจของหลัวซิวฉี ฝ่าเทียนไม่ได้แปลกใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่อยู่ในแดนมกุฎ ผู้ใดไม่อยากได้ยากลายร่างมังกร?

“นอกจากยากลายร่างมังกรแล้ว ยังสามารถได้รับสมบัติชั้นสูงอีกด้วย”

เมื่อหลัวซิวได้ยินสมบัติชั้นสูง ใจของเขากระตุก เพราะเขารู้ดีถึงพลังอาวุธสมบัติเป็นอย่างดี เมื่อเปรียบเทียบอาวุธแล้ว ไม่สามารถเปรียบเทียบได้เลย

สำนักไท่เสวียนในขณะนี้ มีสมบัติชั้นกลางชิ้นหนึ่ง ซึ่งก็คือตราขลังมังกรเขียว มีอาวุธวิเศษนี้อยู่ในมือ เกาเหลียนหงเพิ่งฝึกตนไปถึงแดนมกุฎ และพลังการต่อสู้ของเขาสามารถระงับมกุฎยุทธ์ช่วงกลางได้ จะเห็นช่องว่างการต่อสู้ได้ว่ามีสมบัติและไม่มีสมบัติเป็นยังไง

และระดับสมบัติชั้นสูงนั้นสูงกว่าตราขลังมังกรเขียว พลังของมันก็แข็งแกร่งกว่าด้วย

ปัจจุบัน มีเพียงไม่กี่คนที่รู้วิชากลั่นสมบัติ และยังเป็นการสืบทอดไม่สมบูรณ์ที่หลงเหลือมาจากสมัยโบราณ ดังนั้นผู้แข็งแกร่งระดับมหายุทธ์จำนวนมากอาจไม่สามารถได้หาสมบัติชั้นสูงชิ้นหนึ่งได้

“ผู้อาวุโสในแก๊ง ค่อนข้างใจกว้างอยู่นะ” หลัวซิวหัวเราะ

“ฮ่าฮ่า แน่นอน! ในโลกแสงดาวนี้ นอกจากแดนศักดิ์สิทธิ์โบราณสองสามแห่งแล้ว กองกำลังไม่กี่แห่งก็ไม่สามารถเทียบกับเมืองศักดิ์สิทธิ์ได้”

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 562
ฉีฝ่าเทียนไม่ได้เปิดกล่องไม้ออก แต่ดึงดูดผู้ฟังแล้วพูดอย่างลึกลับว่า “ไม่รู้ว่าเจ้าสำนักหลัวเคยได้ยินแดนศักดิ์สิทธิ์?”“แดนศักดิ์สิทธิ์?”หลัวซิวขมวดคิ้ว เขาไม่เคยได้ยินว่าแดนศักดิ์สิทธิ์คืออะไรมาก่อนจริงๆ

แต่ตอนที่เขาถามจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำด้วยห้วงความคิด ปรมาจารย์โบราณท่านผู้นี้กลับรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย

“เมืองศักดิ์สิทธิ์สร้างขึ้นโดยแดนศักดิ์สิทธิ์และเป็นแดนปริศนาที่ผู้แข็งแกร่งสี่ท่านของสี่แก๊งใหญ่สร้างขึ้นมา!”

ตามคำกล่าวของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำ แดนศักดิ์สิทธิ์มีอยู่ตั้งแต่สมัยโบราณแล้วและเป็นสถานที่ที่สี่สี่แก๊งใหญ่ใช้ในการฝึกฝนผู้มีพรสวรรค์ระดับแนวหน้า ผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะเข้าไปในแดนศักดิ์สิทธิ์จะต้องเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ระดับ 1 ที่ไม่มีใครเทียบได้

เมื่อได้ยินคำอธิบายของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำ หลัวซิวเข้าใจคร่าวๆ

แดนศักดิ์สิทธิ์นั้นจริงๆคล้ายกับแดนตำหนักจื่อของสำนักไท่เสวียน แดนปริศนา แดนนานาอสูร แต่ดูแดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นล่างจะเป็นระดับที่สูงกว่า ผลของการเข้าไปฝึกฝนในนั้นดีกว่า

ในสมัยโบราณ สำนักไท่เสวียนก็ถือเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน แต่เมื่อเทียบกับแดนศักดิ์สิทธิ์ของสี่แก๊งใหญ่แล้ว ก็แย่กว่ามาก

ทุกครั้งที่แดนศักดิ์สิทธิ์เปิด ผู้นำของสี่แก๊งใหญ่จะส่งคำเชิญไปยังสมาชิกผู้ที่มีความสามารถมีศักยภาพและพรสวรรค์สูงภายในแก๊ง

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า สามารถให้ฉีฝ่าเทียน ผู้ลาดตระเวนมาส่งมอบด้วยตนเอง ในกล่องไม้นี้ น่าจะเป็นคำเชิญของแดนศักดิ์สิทธิ์

หลัวซิวยังได้รู้จากจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำอีกว่าคำเชิญของแดนศักดิ์สิทธิ์นี้ไม่ใช่ว่าใครก็จะได้รับคำเชิญ เพราะทุกครั้งที่เปิดแดนศักดิ์สิทธิ์มีเพียงยี่สิบคนที่จะเข้าไปได้เท่านั้น

โลกแสงดาวใหญ่ขนาดนี้ คาดไม่ถึงเลย ในสี่อาณาจักรมีพรสวรรค์จำนวนมาก แต่มีเพียงยี่สิบสิทธิ์เท่านั้น

แต่ได้รับคำเชิญ ไม่ได้หมายความว่าหลัวซิวได้รับสิทธิ์เข้าสู่แดนศักดิ์สิทธิ์แล้ว 20สิทธิ์นั้น ยังต้องการการแข่งขันเพื่อให้ได้มา

“ก่อนอื่น ข้าขอแสดงความยินดีกับเจ้าสำนักหลัว ทุกครั้งก่อนที่แดนศักดิ์สิทธิ์จะเปิด จะมีการแข่งขันครั้งหนึ่ง ผู้ที่ชนะอยู่ในอันดับ 20 ของการแข่งขัน สามารถเข้าสู่แดนศักดิ์สิทธิ์เพื่อฝึกฝนได้” ฝ่าเทียนกล่าว หัวเราะด้วยความอิจฉา

แม้ว่าเขาจะเป็นผู้ลาดตระเวนของสี่แก๊งใหญ่แห่งหนึ่ง แต่เขาไม่เคยไปฝึกฝนที่แดนศักดิ์สิทธิ์

ตามที่เขาได้ยินมา ทุกคนที่เข้าไปฝึกฝนในแดนศักดิ์สิทธิ์ หลังจากออกมา ผลการฝึกตนจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และยังมีคนบางคนที่สามารถรับรู้ถึงพลังแห่งกฎได้ด้วย แล้วก้าวกระโดดกลายเป็นผู้แข็งแกร่งแนวหน้า

รับรู้พลังแห่งกฎด้วยตนเองกับได้รับพลังแห่งกฎจากชิ้นส่วนกฎนั้นแตกต่างอย่างสิ้นเชิง และพลังก็แตกต่างกันมาก

นอกจากนี้ ฉีฝ่าเทียนมาที่นี่ด้วยตนเอง นอกจากส่งคำเชิญแล้ว เขายังมีหน้าที่อื่นอีก คือนำหลัวซิวไปยังเมืองหลัวเทียนในอาณาจักรใต้

“คาดวว่าตอนนี้ข้าน่าจะไปเมืองหลัวเทียนกับผู้ลาดตระเวนฉีไม่ได้”

หลัวซิวเปิดกล่องไม้ออก เห็นมีคำเชิญที่สวยงามวางอยู่ข้างในตามที่คิด ซึ่งมีคำว่าแดนศักดิ์สิทธิ์เขียนอยู่ สำหรับเนื้อหานั้นว่างเปล่า

คำเชิญนี้เป็นเพียงแบบฟอร์มที่แสดงความสำคัญต่อผู้ที่มีพรสวรรค์ระดับต้นของเมืองศักดิ์สิทธิ์

“เพราะเหตุใด?”ฉีฝ่าเทียนอึ้ง เมื่อเทียบกับโอกาสที่จะเข้าสู่แดนศักดิ์สิทธิ์ ยังมีอะไรสำคัญไปกว่านี้อีก?

หลัวซิวพูดเรื่องของเหยียนเยว่เอ๋อร์และเผ่าหงส์ให้เขาฟัง

เมื่อได้ยินว่าเผ่าหงส์มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย สีหน้าของฉีฝ่าเทียนก็เคร่งขรึมลง

“ถ้าเป็นกองกำลังอื่นในอาณาจักรใต้ก็จะจัดการได้ง่าย แต่เผ่าหงส์นั้นพิเศษกว่าเล็กน้อย” ฉีฝ่าเทียนกล่าวอย่างลำบากใจ

“หือ? เหตุใดเผ่าหงส์ถึงพิเศษ?” หลัวซิวงุนงง

“เพราะว่าเผ่าหงส์เป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งอสูร และปัจจุบันนี้ มนุษย์ อสูร และมารอยู่ในระดับเดียวกันกัน คอยตรวจสอบและถ่วงดุลซึ่งกันและกัน บางครั้งก็มักจะมีความขัดแย้งกันในเรื่องบางอย่าง ดังนั้นคล้ายเผ่าหงส์ครึ่งมนุษย์ครึ่งอสูร เผ่าพันธุ์เหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นเผ่ามนุษย์หรือเผ่าพันธุ์มาร ต่างจะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อดึงมาอยู่ฝ่ายเดียวกับตน” ฉีฝ่าเทียนกล่าว

เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลัวซิวสามารถเข้าใจเรื่องสำคัญได้โดยไม่ต้องให้ฉีฝ่าเทียนอธิบายมากนัก

นอกจากเผ่าหงส์แล้ว ยังมีเผ่าพันธุ์อื่นอีกมากมายในโลกแสงดาว พวกเขาทั้งหมดเป็นครึ่งมนุษย์และครึ่งอสูร เป็นผู้แข็งแกร่งเผ่าพันธุ์มนุษย์ในสมัยโบราณ เพื่อแสวงหาความสามารถและพรสวรรค์ที่ทรงพลังกว่า เป็นเผ่าพันธุ์พิเศษที่เกิดจากการหลอมรวมของสายเลือดเผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าพันธุ์มาร

บางเผ่าพันธุ์ได้แยกตัวออกจากเผ่าพันธุ์มนุษย์และตั้งบ้านเมืองของตนเอง ยังมีเผ่าพันธุ์บางกลุ่มยังคงถือว่าตนเองเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ ไม่เคยยอมรับว่าพวกเขาเป็นฝ่ายเผ่าพันธุ์มาร แล้วยังมีบางเผ่าพันธุ์ที่จะแสดงลักษณะเฉพาะของพวกเขากลายเป็นอสูรแล้วถูกเผ่าพันธุ์มนุษย์กีดกัน กลายเป็นไปอยู่ในค่ายของเผ่าพันธุ์มาร

จริงๆแล้วเผ่าหงส์เป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มว่าจะอยู่ข้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่เนื่องจากมีเลือดหงส์ที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย จึงมีความพิเศษภายในเผ่าพันธุ์มนุษย์ และกองกำลังของเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั่วไปตะไม่อยากมีความขัดแย้งกับเผ่าหงส์

เพราะหากเกิดเป็นเรื่องใหญ่ รุนแรงขึ้น เผ่าหงส์อาจแยกตัวออกจากเผ่าพันธุ์มนุษย์แล้วไปลี้ภัยข้างเผ่าพันธุ์มาร ซึ่งจะเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ต่อเผ่ามนุษย์อย่างแน่นอน

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 561
นอกจากนี้ คนในเผ่าหงส์ ครึ่งมนุษย์และครึ่งอสูร และวิชาลับสามวิชาที่สืบทอดมาจากเจ้ามรณะสามารถยับยั้งพวกเขาได้ ดังนั้นหลัวซิวจึงไม่กลัวการคุกคามของเผ่าหงส์

สำหรับผู้แข็งแกร่งระดับแดนมหายุทธ์ขึ้นไป เป็นเรื่องที่ตัดสินใจทำแล้วก็จะเป็นเรื่องใหญ่ของทุกคน หลัวซิวเชื่อว่าสำนักใหญ่ของเผ่าหงส์จะไม่ปล่อยให้ผู้แข็งแกร่งระดับนี้มาจัดการเรื่องนี้

“เจ้าสำนัก คนของเผ่าหงส์นี้ เป็นเจ้าตระกูลเหยียนพามา”

รู้จากปากของเกาเหลียนหง หลัวซิวได้รู้ว่าเหตุผลที่คนจากเผ่าหงส์ส่งคนมาที่นี่เป็นเพราะเจ้าตระกูลเหยียนได้ส่งข่าวไปยังสำนักใหญ่ของเผ่าหงส์ว่าเหยียนเยว่เอ๋อร์มีเลือดหงส์โบราณ

เมื่อได้ยินข่าวนี้ หลัวซิวย่นคิ้วเล็กน้อย เพราะเหยียนเยว่เอ๋อร์ เขาเลยไม่เคยไปแตะต้องตระกูลเหยียน เมื่อพูดถึงตอนที่เขายังอ่อนแออยู่ เคยเกิดความขัดแย้งไม่เล็กน้อยระหว่างเขากับตระกูลเหยียน

ยิ่งไปกว่านั้น เหยียนเยว่เอ๋อร์ได้รับความลำบากมากมาย ตระกูลเหยียนก็เป็นหนึ่งในนั้นที่มีส่วนเป็นอย่างมากเช่นกัน

แต่หลัวซิวก็รู้ว่าเหยียนเยว่เอ๋อร์เป็นคนแบบไหน เพราะนางมาจากตระกูลนี้และเจ้าตระกูลเหยียนก็เป็นคนในครอบครัวเพียงคนเดียวของนาง

“ต้องการใช้เผ่าหงส์เพื่อพัฒนาอำนาจตระกูลเหยียน?”

หลัวซิวส่งเสียงออกมาอย่างเย็นชา ถ้าตระกูลเหยียนไม่สร้างปัญหาให้เขาก็ช่างเถอะ ถ้าจะสร้างความเดือดร้อนและปัญหาเขาจะไม่เมตตาต่อตระกูลเหยียน

เขาเหลือบมองเกาเหลียนหง “เพื่อเยว่เอ๋อร์ เลยไม่เคยทำอะไรกับระกูลเหยียน ในเมื่อพวกเขาไม่อยู่ดีๆ ก็ให้ตระกูลสวีปราบปรามอำนาจของตระกูลเหยียน”

“ตกลง!” เกาเหลียนหงพยักหน้าทันที ตอนนี้ในดินแดนของประเทศเทียนหวู ถ้าสำนักไท่เสวียนต้องการปราบปรามใครก็หรือสนับสนุนใครซักคนก็เป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น

ในองค์กรนักล่ายุทธ์ ยกเว้นจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงที่ไม่ได้กล่าวอย่างชัดเจนว่าเข้าร่วมไท่เสวียน เหว้ยห้าวหราน ประธานแก๊งนักค่ายกลได้กลายเป็นผู้คุมกฎของไท่เสวียน และอาจารย์หงหมิง ประธานของแก๊งนักหลอมอาวุธ ภายหลังก็ได้กลายเป็นแขกรับเชิญของสำนักไท่เสวียน ด้านการหลอมอาวุธ เขาได้ให้ความช่วยเหลือสำนักไท่เสวียนไม่น้อย

และตัวหลัวซิวเองก็เป็นประธานของแก๊งนักกลั่นยาอยู่แล้ว ดังนั้นสำนักไท่เสวียนที่ตั้งอยู่ในประเทศเทียนหวูนี้แทบจะถือได้ว่าเป็นใหญ่ในที่นี้

แต่หลัวซิวไม่ได้ดีใจในเรื่องนี้ เขารู้ดีว่าสำนักไท่เสวียนเพิ่งพัฒนาขึ้นมา ความแข็งแกร่งโดยรวมเทียบเท่ากับกองกำลังระดับสามขนาดเล็กเท่านั้น ในอนาคตยังมีหนทางอีกยาวไกลที่จะเดินต่อไป

ทั้งสามคนจากเผ่าหงส์ได้ล่าถอยไป และไม่มีการเคลื่อนไหวมาหลายวันแล้ว แต่หลัวซิวรู้สึกว่าพายุกำลังจะมาถึง

วิชาลับสามวิชาของเจ้ามรณะ ในการควบคุมอสูร สังหารอสูร และการกลั่นแปรอสูร ระหว่างที่หลัวซิวทำความเข้าใจนั้นสอดคล้องกับ《วงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ》 ที่เขาฝึกฝนและได้รับประโยชน์มากมายจากมัน เมื่อก่อนมีเงื่อนงำหลายอย่างที่ไม่เข้าใจ ก็ค่อยๆเข้าใจขึ้นมาเล็กน้อย

ในตัวหยั่งรู้ของเขา ลูกแก้วความเป็นตายลอยอยู่ แผ่กระจายบานสะพรั่งรัศมีที่ลึกลับที่ไม่รู้จัก

ในจุดตันเถียนของเขา ศิลามรณะลอยอยู่ที่ด้านบนสุด และด้านล่างเป็นเขาทองดำไท่เสวียน ตำหนักเสวียนดำและสมบัติวิเศษของลูกแก้วเสวียนดำทั้งสามชิ้น

จะเห็นได้ว่า ศิลามรณะนี้เป็นสมบัติระดับที่สูงกว่าสมบัติวิเศษลูกแก้วเสวียนดำทั้งสามชิ้น

แม้ว่าวิชาลับสามวิชาสืบทอดเป็นของเจ้ามรณะ จะกล่าวได้ว่าสร้างขึ้นสำหรับต่อต้านเผ่าพันธุ์มาร แต่ไม่เพียงใช้กับเผ่าพันธุ์เท่านั้น แต่วิชาลับทั้งสามวิชานี้มีผลกับเผ่าพันธุ์มารมากกว่า

ไม่พูดถึงว่าต่อต้านเผ่าพันธุ์มาร วิชาลับทั้งสามใช้วิชาหนึ่งก็อยู่ในระดับวิชายิ่งเลิศ

สองสามวันต่อมา หลัวซิวไม่ได้รอถึงคนจากเผ่าหงส์มาหาเรื่อง แต่เป็นผู้ลาดตระเวนฉีฝ่าเทียนจากอาณาจักรใต้มาที่ไท่เสวียน

ประเทศเทียนหวูเป็นเพียงพื้นที่ที่พลังฟ้าดินจิตค่อนข้างบางในอาณาจักรใต้ ในฐานะที่เป็นลาดตระเวนของหนึ่งในสี่แก๊งใหญ่ ฉีฝ่าเทียนอาจไม่มาเยี่ยมเยียนสักครั้งในหลายร้อยปี แต่ในระยะนี้ เขาได้มาดินแดนแห่งนี้บ่อยครั้ง

ที่มาของทั้งหมดนี้เป็นเพราะหลัวซิว

“ฮ่าฮ่า เจ้าสำนักหลัว ไม่ได้พบกันมาปีกว่าแล้ว ผลการฝึกตนของท่านดีขึ้นกว่าเดิมมากนะ!”

เมื่อเดินเข้าไปในตำหนักวัฏสงสาร ฉีฝ่าเทียนกำหมัดตารวะให้หลัวซิวและพูดด้วยรอยยิ้ม

“ผู้ลาดตระเวนฉียินดีต้อนรับ เชิญนั่ง!”

หลังจากที่ฉีฝ่าเทียนนั่งลงแล้ว หลัวซิวยิ้มเล็กน้อย “ไม่รู้ว่าครั้งนี้ผู้ลาดตระเวนฉีมาที่ไท่เสวียน มีเรื่องใดหรือ?”

“ข้าไม่กล้าพูดว่ามีเรื่องใด ครั้งนี้ที่ข้ามา เพื่อส่งคำเชิญให้เจ้าสำนักหลัว” ฉีฝ่าเทียนกล่าวด้วยรอยยิ้มลึกลับเล็กน้อย

“คำเชิญ?”

หลัวซิวอึ้งเล็กน้อย เขาไม่เข้าใจว่าคำเชิญอะไร แต่เขามีเจ้าสมบัติที่จะให้ผู้ลาดตระเวนอาณาจักรหนึ่งมาที่นี่ด้วยตนเอง?

เห็นฉีฝ่าเทียนหยิบกล่องไม้ที่สวยงามออกมาจากวงแหวนเก็บของ เพียงแต่วัสดุของกล่องไม้นี้ก็ทำมาจากวัสดุระดับ 7 ซึ่งราคาไม่ต่ำเลย

สิ่งนี้ทำให้หลัวซิวอยากรู้มากขึ้นเกี่ยวกับคำเชิญในกล่องไม้นี้

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 560
“เจ้าตระกูลเหยียน เชิญ”

เกาเหลียนหงยื่นมือออกมาอย่างเย็นชาชัดเจนว่าเขาต้องการส่งแขก

เจ้าตระกูลเหยียน ถอนหายใจและไม่ได้พูดอะไรอีก เขาหันหลังและจากไป

ในเวลาเดียวกัน หลังจากออกจากขอบเขตของสำนักเขาไท่เสวียน ดวงตาของชายชราเฟิ่งหลิงเต็มไปด้วยความตื่นเต้น

“ปลุกพลังของเลือดหงส์โบราณ เดิมทีก็มีพรสวรรค์เฉพาะสำหรับการฝึกฝนอบยู่แล้ว และตอนนี้ยังฝึกฝนกฎเบญจธาตุ ความสำเร็จในอนาคตของนางไร้ขีดจำกัด!”

เฟิ่งหลิงรู้ดีว่าหากนำพรสวรรค์ดังกล่าวกลับไปที่สำนักใหญ่ของเผ่าหงส์ ผู้อาวุโสของเผ่าหงส์จะต้องพึงพอใจกับเขาอย่างแน่นอน

“ผู้คุมกฎ ก้าวต่อไปพวกข้าควรทำอย่างไร?” เฟิงเหยียนหรันถาม

ความจริงก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าความแข็งแกร่งของเหยียนเยว่เอ๋อร์นั้นเทียบได้กับความแข็งแกร่งของมกุฎยุทธ์ และแข็งแกร่งกว่ามกุฎยุทธ์ทั่วไป ถ้าต้องการบังคับนำพานางออกจากสำนักเขาไท่เสวียน ด้วยความแข็งแกร่งของทั้งสามคนไม่มีทางทำได้แน่

“แค่ส่งข่าวกลับไปที่สำนักใหญ่ก็พอ แล้วผู้อาวุโสระดับแดนมหายุทธ์ก็จะมาจัดการเอง” เฟิ่งหลิงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น

หลังจากออกมาจากแดนนานาอสูรแล้ว หลัวซิวก็รีบกลับไปที่สำนักเขาไท่เสวียนทันทีหลังจากได้รับข่าวคราวจากเกาเหลียนหง

เมื่อเขากลับไปถึงสำนักเขาไท่เสวียน ก็ผ่านไปหลายวันแล้วหลังจากที่เผ่าหงส์ได้มาที่นี้

เวลากว่าหนึ่งปีมานี้ การพัฒนาของสำนักไท่เสวียนค่อนข้างมั่นคง แม้ว่าจะมีศิษย์ไม่มาก แต่พวกเขาก็เป็นศิษย์ที่สมบูรณ์แบบ แต่ละคนก็เป็นคนที่มีความสามารถ

แค่ศิษย์รุ่นนี้เติบโตขึ้นมา ก็สามารถเป็นรากฐานของไท่เสวียนได้ เพื่อเป็นรากฐานที่แข็งแกร่งในการพัฒนาในอนาคต

การพัฒนาของสำนักไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน แต่ต้องอาศัยการสะสมที่ละน้อย

“เยว่เอ๋อร์ เจ้าจะไม่ไปที่สำนักใหญ่ของเผ่าหงส์จริงๆหรือ?”

ในตำหนักวัฏสงสาร หลัวซิวถามเหยียนเยว่เอ๋อร์

“เจ้าหวังให้ข้าไปจริง ๆ หรือ?” เหยียนเยว่เอ๋อร์กลอกตาใส่เขาและพิงศีรษะอยู่ในอ้อมแขนของหลัวซิว “เจ้าจากไปก็นานมาก ข้ายังไม่ได้จากไป อยากอยู่กับเจ้าตลอดเวลาก็ยากมาก หากข้าไปสำนักใหญ่ของเผ่าหงส์จริงๆ แล้วอยากเจอเจ้าข้าควรทำอย่างไร?”

“ข้าไปหาเจ้าได้นี่” หลัวซิวยิ้มพร้อมลูบผมยาวสลวยของนาง

เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเหยียนเยว่เอ๋อร์สามารถอยู่กับเขา แต่หลัวซิวรู้ดีต้องไปที่สำนักใหญ่ของเผ่าหงส์เท่านั้น เหยียนเยว่เอ๋อร์ถึงจะสามารถฝึกใช้พลังของเลือดหงส์โบราณให้ได้ดีที่สุด

ในวัฏจักร มีข้อมูลนับไม่ถ้วน ความลับของเผ่าหงส์ หลัวซิวสามารถได้รับผ่านวัฏจักรได้ แต่เนื่องจากข้อจำกัดผลการฝึกตนของเขาเอง หลัวซิวจึงสามารถได้รับสิ่งที่อยู่ใต้แดนจักรพรรดิยุทธ์เท่านั้น

และผลการฝึกตนของเหยียนเยว่เอ๋อร์ก็ถึงจุดติดขัด ต้องการเจาะลึกไปยังแดนมกุฎ ก็ต้องการวิชาฝึกฝนระดับแดนมกุฎ ของเผ่าหงส์

นอกจากนี้ เผ่าหงส์มีอยู่ตั้งแต่สมัยโบราณ ภูมิหลังก็เก่าแก่และแข็งแกร่ง หากเหยียนเยว่เอ๋อร์ไปที่เผ่าหงส์ ผลการฝึกตนนางจะเร็วกว่าการที่ติดตามเขาอย่างแน่นอน

“ข้าไม่อยากไปที่เผ่าหงส์” ”เหยียนเยว่เอ๋อร์ส่ายหัวโดยไร้ความลังเลใดๆ กว่านางจะสามารถอยู่กับหลัวซิวได้ไม่ง่ายเลย นางไม่ต้องการแยกจากเขา

แม้ว่าเพื่อการฝึกตน หลัวซิวจะมีเวลาอยู่ด้วยกันไม่มากนัก แต่สามารถอยู่เคียงคู่เขาได้ สำหรับเหยียนเยว่เอ๋อร์แล้วเป็นเรื่องสำคัญมากกว่าสิ่งอื่นใด

หลัวซิวเองก็เป็นเช่นนี้ จึงไม่มีเหตุผลที่จะบังคับนาง แม้ว่าจะขัดแย้งกับเผ่าหงส์ด้วยเรื่องนี้ก็ตาม เขาก็ไม่สนใจ

เขาได้รับการฝึกฝนในแดนนานาอสูรมานานกว่า 1 ปี ด้วยความช่วยเหลือจากพลังปราณเลือดพลานุภาพลูกแก้ว ผลการฝึกตนของเขาถึงจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 7 แล้ว

กล่าวได้โดยไม่ลังเลใจได้เลยว่าด้วยผลการฝึกตนในตอนนี้ของหลัวซิว เขามีความมั่นใจที่จะสู้กับผู้ที่อยู่ในระดับแดนมกุฎทุกคน แม้ว่าจะเป็นแข็งแกร่งระดับมกุฎยุทธ์ขั้น 9 ก็ตาม ก็ไม่ยากสำหรับเขาที่จะรับมือ

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 559
เผชิญหน้ากับมกุฎยุทธ์ทั้งสองด้วยผลการฝึกตนแดนจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 9 สามารถพูดได้ว่านางแทบไม่มีโอกาสชนะ

แต่ในเวลานี้ ระหว่างคิ้วของนางมีเครื่องหมายห้าสีเป็นประกายก็ปรากฏขึ้น

“นี่…นี่คือ…”

ออร่าในร่างกายของเหยียนเยว่เอ๋อร์ขณะนี้ ทำให้สีหน้าของเฟิ่งหงเสว่และเฟิ่งเยียนหรานทั้งสองคนเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน

ขณะที่พวกเขากำลังประหลาดใจ ร่างของเหยียนเยว่เอ๋อร์ก็หายไปแล้วปรากฏตัวต่อหน้าเฟิ่งหงเสว่ หอกรบเปลวเพลิงปรากฏขึ้นมาอยู่ในมือของนาง

บูม!

ตำหนักไท่เสวียนสั่นสะเทือน ร่างๆหนึ่งกพุ่งออกมาจากประตูตำหนักพร้อมกระอักเลือดออกจากปาก

“กฎเบญจธาตุ! แล้วเจ้ายังฝึกร่างเบญจธาตุวิเศษณ์ได้สำเร็จด้วย?”

เสียงอุทานดังขึ้นจากตำหนักไท่เสวียน จากนั้นร่างของเฟิ่งหลิงก็บินออกมา ปกป้องเฟิ่งเยียนหรานให้อยู่เบื้องหลัง

เรืองแสงห้าสีพุ่งออกไป กลายเป็นรูปร่างของเหยียนเยว่เอ๋อร์ บนร่างกายของนาง เดิมทีเปลวไฟสีแดงกลายเป็นเปลวไฟห้าสี

คนจากเผ่าหงส์ มีความเชี่ยวชาญด้านธาตุพลังแห่งไฟ แม้ว่าจะฝึกฝนจนถึงระดับที่สัมผัสได้ถึงกฎ ส่วนใหญ่ฝึกฝนทำความเข้าใจด้านกฎแห่งไฟ

แต่เหยียนเยว่เอ๋อร์ฝึกฝนผ่านทางชิ้นส่วนกฎเบญจธาตุ ใช้พลังแห่งกฎในการช่วยชุบร่างเนื้อ ฝึกร่างแห่งเบญจธาตุได้สำเร็จ

แค่อาศัยพลังแห่งกฎเบญจธาตุ เหยียนเยว่เอ๋อร์จึงสามารถโจมตีเฟิ่งหงเสว่ซึ่งอยู่ในระดับแดนมกุฎยุทธ์ขั้น 5 ด้วยผลการฝึกตนจักรพรรดิยุทธ์ขั้น

ในตอนนี้สีหน้าของเฟิ่งหงเสว่ขรึมลงไปมาก เขาคาดไม่ถึงว่าแค่กองกำลังขนาดเล็กระดับสาม จะทำให้ตัวเองเสียเปรียบสองครั้งติดต่อกัน

และในดวงตาของเขายังคงมีความอิจฉาริษยาแผดเผาอยู่ด้วย โชคของนางผู้นี้ดีเกินไปแล้ว ไม่ต้องพูดถึงการปลุกพลังของเลือดหงส์โบราณขึ้นมาได้ แล้วยังได้พลังแห่งกฎเบญจธาตุด้วย?

ในฐานะที่เป็นคนของเผ่าหงส์ เฟิ่งหงเสว่คุ้นเคยกับพลังแห่งกฎมาก

“เรากลับไป!”

ดวงตาของเฟิ่งหลิงเป็นประกาย ไม่ได้พูดอะไรอีก เขามองเหยียนเยว่เอ๋อร์ชั่วขณะ แล้วหันหลังกลับและจากไป

แม้ว่าเขาจะเป็นผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎยุทธ์ขั้น 9 แต่ก็รู้ดีว่าวันนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะบังคับพาเหยียนเยว่เอ๋อร์ไปด้วย

เกาเหลียนหงไม่ได้ควบคุมค่ายกลขัดขวาง แม้ว่าเขาจะสามารถกักขังคนสามคนไว้ที่สำนักได้ แต่สำนักใหญ่ของเผ่าหงส์

ต้องมีผู้ที่แข็งแกร่งกว่านี้แน่

เขารู้ดีว่าเรื่องนี้ยังไม่จบ

“เจ้าสำนัก หนึ่งปีกว่าแล้ว ท่านไปที่ไหนแล้ว?” เกาเหลียนหงแสดงความกังวลออกมา จ้องมองไปที่คนสามคนของเผ่าหงส์ที่จากไป

“เยว่เอ๋อร์…”คนจากเผ่าหงส์ทั้งสามคนจากไปแล้ว แต่เจ้าตระกูลเหยียนไม่ได้จากไป หันความสนใจไปที่เหยียนเยว่เอ๋อร์

“เจ้าเป็นผู้ที่พาคนของเผ่าหงส์มาใช่ไหม?” เหยียนเยว่เอ๋อร์ดับเปลวไฟห้าสีบนร่างกายของนางและขมวดคิ้วมองไปยังเจ้าตระกูลเหยียน

เจ้าตระกูลเหยียนเป็นพี่ใหญ่ของนาง เมื่อตอนที่ยังเป็นเด็กเล็ก เขารักนางมาก ตั้งแต่พ่อแม่เสียชีวิต เขาดูแลนางเป็นอย่างดี

แต่เมื่อเวลาผ่านไป คนจะเปลี่ยนไปเสมอ หัวใจของผู้คนก็เปลี่ยนได้เช่นกัน

“สำหรับพี่ใหญ่ สำนักใหญ่ของเผ่าหงส์เป็นสถานที่ที่ดีที่สุดที่จะไป”

เจ้าตระกูลเหยียนไม่ได้ตอบออกมาโดยตรง แต่เหยียนเยว่เอ๋อร์รู้คำตอบแล้ว

นางรู้ว่าพี่ใหญ่คนนี้ของนาง ต้องการทำให้ตระกูลเหยียนพัฒนาขึ้นมาโดยตลอด และหากนางสามารถพึ่งพลังของสำนักใหญ่ของเผ่าหงส์ได้ จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการพัฒนาของตระกูลเหยียนอย่างไม่ต้องสงสัย

“สำหรับพี่ใหญ่ ผลประโยชน์ของตระกูลอยู่เหนือทุกสิ่งจริง ๆหรือ? แม้แต่น้องสาวคนนี้ของพี่ใหญ่ สามารถเป็นได้แค่เครื่องมือที่ใช้แลกผลประโยชน์ของพี่ใหญ่?”

เหยียนเยว่เอ๋อร์ยิ้มอย่างเศร้าๆ “เมื่อก่อน พี่ใหญ่รู้ว่าตำหนักจื่อฆ่าท่านพ่อท่านแม่ของเรา แต่พี่ใหญ่ยังจะให้ข้าหมั้นหมายกับเจ้าสำนักน้อยของตำหนักจื่อ”

“พี่ใหญ่อยากจะแก้แค้นให้ท่านพ่อท่าน ก็ต้องอดกลั้น แต่พี่ใหญ่เคยคิดถึงความรู้สึกข้าบ้างไหม?”

“ตอนนี้ตำหนักจื่อไม่มีอยู่แล้ว ความแค้นของท่านพ่อท่านแม่ก็ได้ล้างแค้นแล้ว แต่พี่ใหญ่ยังเป็นแบบนี้ ข้ามองพี่ใหญ่ผิดไปจริงๆ!”

มองพี่ใหญ่ที่เป็นสายเลือดเดียวกันที่อยู่ตรงหน้า สีหน้าของเหยียนเยว่เอ๋อร์ก็ยิ่งเย็นชามากขึ้นเรื่อยๆ “จากนี้ไป ข้าไม่ใช่คนของตระกูลเหยียนอีกต่อไป พี่ใหญ่ก็ไม่ต้องมาหาข้าอีก พี่ใหญ่และข้าเลิกเป็นพี่น้องกัน!”

ก่อนที่จะพูดจบ เหยียนเยว่เอ๋อร์ได้หันหลังเดินออกไปแล้ว และบินไปยังตำแหน่งสูงสุดของตำหนักวัฏสงสาร

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 558
สองปีกว่าที่ผ่านมา ผลการฝึกตนของนางยังคงอยู่ที่แดนระดับจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 3 แต่ในเวลาเพียงสองปี ผลการฝึกตนของนางก็ได้ถึงแดนจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 9

อันที่จริงด้วยความเร็วและพรสวรรค์ในการฝึกฝนของนางในขณะนี้ ฝึกตนไปถึงแดนมกุฎก็จะไม่ยากมากนัก เพราะเลือดหงส์โบราณนั้นไม่ธรรมดา ไม่เช่นนั้น คนในสำนักใหญ่ของเผ่าหงส์จะไม่ให้ความสำคัญกับนางมากเช่นนี้

แต่ดังที่เฟิ่งหลิงกล่าว หากต้องการใช้ศักยภาพของเลือดหงส์โบราณเพิ่มมากขึ้นก็ต้องมีวิชาฝึกฝนพิเศษ เพราะเหยียนเยว่เอ๋อร์ขาดวิชาพิเศษนี้ ผลการฝึกตนของนางถึงแดนจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 9 แล้วไม่เพิ่มขึ้นอีก ไม่สามารถทะลุไปถึงขอบเขตแดนมกุฎยุทธ์ ได้

นางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากออกมาจากการฝึกตน แล้วรู้เรื่องที่คนของเผ่าหงส์มาที่นี่จากเกาเหลียนหง

จากปากของเฟิ่งหลิง เหยียนเยว่เอ๋อร์ถึงเพิ่งรู้ว่าเหตุผลที่นางถูกล็อกอยู่ในแดนจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 9 ไม่สามารถทะลุไปอีกขั้นได้เพราะขาดวิชาที่เหมาะสมสำหรับฝึกฝนพร้อมเลือดหงส์โบราณ และวิชานี้ต้องอยู่ในสำนักใหญ่ของเผ่าหงส์เท่านั้นถึงจะสามารถสืบทอดได้

แต่เหยียนเยว่เอ๋อร์ก็รู้เช่นกันว่าสำนักใหญ่ของเผ่าหงส์อยู่ห่างไกลจากอาณาจักรใต้มาก อย่างไม่มีใครเทียบ ทันทีที่นางไปสำนักใหญ่ของเผ่าหงส์ ต้องการพบหลัวซิวก็ไม่รู้ว่าจะต้องรอไปถึงเมื่ไหร่

“พวกท่านทั้งสาม โปรดกลับไปเถอะ ข้าไม่อยากไปเผ่าหงส์”

ดังนั้น เหยียนเยว่เอ๋อร์ปฏิเสธข้อเสนอของเฟิ่งหลิงโดยไม่ลังเลเลย

การตัดสินใจของเหยียนเยว่เอ๋อร์ทำให้สีหน้าคนทั้งสามคนของเผ่าหงส์แตกต่างกันไป เฟิ่งหลิงขมวดคิ้วจนมีรอยย่น สีหน้าของเฟิ่งเยียนหรานสงบราบเรียบปกติ เฟิ่งหงเสว่แสดงความปิติยินดีออกมาเล็กน้อย

“คนในเผ่าที่ได้ปลุกเลือดหงส์โบราณสำเร็จ จะต้องกลับไปที่สำนักใหญ่ ตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบันไม่มีข้อยกเว้น” เฟิ่งหลิงกล่าวด้วยเสียงขรึม

ภารกิจที่ได้รับมอบหมายจากสำนักใหญ่คือนำผู้ที่ได้ปลุกเลือดหงส์โบราณสำเร็จกลับไปหากอีกฝ่ายเต็มใจ ถ้าอีกฝ่ายเต็มใจร่วมมือด้วยก็ดีไป ถ้าไม่ร่วมมือ เขาก็พร้อมจะทำการจับกุม

เกาเหลียนหงรู้สึกถึงรัศมีอันตรายจากร่างเฟิ่งหลิงในทันที พลิกฝ่ามือจับตราขลังมังกรเขียวไว้ในมือ

แม้ว่าคนทั้งสามคนของเผ่าหงส์จะอยู่ในค่ายพิทักษ์เขา แต่เฟิ่งหลิงเป็นผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎยุทธ์ขั้น 9 และไม่กลัวค่ายกลคุ้มเขาระดับ 7

ยิ่งกว่านั้น พวกเขาทั้งสามคนอยู่ในแดนมกุฎ และสำนักไท่เสวียนมีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่ถึงแดนมกุฎยุทธ์ ถ้าจะสู้กันขึ้นมาจริงๆ สถานการณ์ไม่ดีนัก

“แม่นางเยว่เอ๋อร์ อภัยให้ข้าด้วย”

เฟิ่งหลิงหรี่ตาลงเล็กน้อย และทันใดนั้น เขาก็ยกมือขึ้นและจับไปทางเหยียนเยว่เอ๋อร์ ความเร็วนั้นเร็วราวสายฟ้า

เกาเหลียนหงเตรียมพร้อมมาก่อนแล้ว เขาไม่ได้พูดอะไรสักคำ ก็โยนตราขลังมังกรเขียวออกไป ในขณะเดียวกันก็กระตุ้นวิชาลับควบคุมพลังของค่ายพิทักษ์เขาที่หลัวซิวสอนให้เขา

แม้ว่าความแข็งแกร่งของเกาเหลียนหงจะไม่แข็งแกร่งเท่ากับผู้คุมกฎเฟิ่งหลิง แต่ในสำนักเขาไท่เสวียนนี้ เขามีประโยชน์จากสถานที่และเวลาที่เหมาะสม ด้วยพลังของตราขลังมังกรเขียวและค่ายกลคุ้มเขา เขาก็สามารถสู้กับอีกฝ่ายได้ถึงขั้นที่ไม่แพ้อีกฝ่าย

แม้ว่าเกาเหลียนหงจะต่อต้านผู้คุมกฎ เฟิ่งหลิงไม่ได้ แต่ก็ไม่สามารถดูแลอีกสองคนของเผ่าหงส์ได้

แม้ว่าเฟิ่งหงเสว่และ เฟิ่งเยียนหรานจะไม่ค่อยอยากให้เหยียนเยว่เอ๋อร์กลับไปที่สำนักใหญ่ แต่ตอนนี้พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องโจมตี

พวกเขาสังเกตเห็นแล้วว่าผลการฝึกฝนของเหยียนเยว่เอ๋อร์นี้อยู่ในแดนจักรพรรดิยุทธ์เท่านั้น แค่พึ่งผลการฝึกตนแดนมกุฎของทั้งสอง เป็นเรื่องง่ายที่จะพานางกลับไปที่สำนักใหญ่

บูม!

เปลวไฟขนาดใหญ่พ่นออกมาจากร่างกายของเหยียนเยว่เอ๋อร์และผนึกรวมเป็นร่างหงส์ขนาดใหญ่อยู่บนหัวของนางทันที

พลังโบราณและเก่าแก่แผ่ซ่านออกจากร่างกายของนาง ทำให้คนทั้งสามจากเผ่าหงส์ ต่างรู้สึกสั่นสะเทือนและมีความหวาดกลัวจากส่วนลึกของสายเลือด

ผู้คนจากเผ่าหงส์ ครึ่งมนุษย์และครึ่งมาร ในเผ่าพันธุ์มาร เคารพผู้มีสายเลือดบริสุทธิ์ มีสายเลือดที่สูงส่ง เมื่อปลดปล่อยพลังของสายเลือดออกมา ก็จะเกิดการปราบปรามสายเลือดที่ต่ำกว่า

แน่นอนว่าการปราบปรามนี้จะเกี่ยวข้องกับความแข็งแกร่งของทั้งสองฝ่าย ผลการฝึกตนของเหยียนเยว่เอ๋อร์อยู่ในแดนจักรพรรดิยุทธ์ และพวกเขาทั้งสามอยู่ในแดนมกุฎ ดังนั้นพวกเขารู้สึกได้ถึงการปราบปรามแต่ก็ไม่มีผลกระทบมากนัก

เหยียนเยว่เอ๋อร์เองก็รู้นี้ถึงเรื่องนี้ แม้ว่านางจะมีพลังของเลือดหงส์โบราณ แต่นางไม่มีวิชาสำหรับการฝึกฝนที่เหมาะสมคู่ ดังนั้นนางจึงไม่สามารถใช้พลังออกมาอย่างที่ควรได้

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 557
เขารู้ว่าเหยียนเยว่เอ๋อร์ได้ปลุกเลือดหงส์โบราณขึ้นมาแล้ว ไม่ช้าหรือเร็วก็จะเกี่ยวข้องกับเผ่าหงส์ แต่เขาคาดไม่ถึงว่าคนในเผ่าหงส์จะมาหาถึงที่นี่เร็วขนาดนี้

“ในโลกแสงดาว เผ่าหงส์มีอำนาจไม่น้อยและมีภูมิหลังที่มั่นคง หากเยว่เอ๋อร์ไปเผ่าหงส์ จะได้รับการฝึกที่ฝนที่สำคัญ จะเป็นประโยชน์ต่อนาง”

หลัวซิวครุ่นคิดในใจ แต่ด้วยความเข้าใจเกี่ยวกับนิสัยของเหยียนเยว่เอ๋อร์ที่เขามีต่อนาง นางจะไม่ทิ้งเขาแล้วไปเผ่าหงส์แน่

สำนักเขาไท่เสวียน ตำหนักนภาเสวียน

เพราะฝึกฝนวิชาล่องหนไท่เสวียน เกาเหลียนหงรับผิดชอบสายนภาเสวียน ชื่อตำหนักผู้คุมกฎที่เขาอยู่เลยตั้งชื่อว่านภาเสวียน

ลึกลับ ประตูแห่งความมหัศจรรย์ คำว่าเสวียน มีความหมายลึกซึ้งในฝึกฝนของโลกยุทธ์

เมื่อไท่เสวียนถูกสร้างขึ้นมาในตอนแรก ตำหนักอาวุโสไร้คนเฝ้ารับผิดชอบดูแล เจ้าสำนักไม่อยู่ที่นั่น ดังนั้นจึงไม่มีใครมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะเข้าไปในตำหนักวัฏสงสาร ดังนั้นเกาเหลียนหงจึงต้อนรับพวกเขาโดยนำคนสามคนจากเผ่าหงส์ไปยังตำหนักไท่เสวียน

เฟิ่งหลิงกล่าวถึงจุดประสงค์ของการมาที่นี่โดยตรง ต้องการนำเหยียนเยว่เอ๋อร์กลับไปที่สำนักใหญ่ของเผ่าหงส์

“ภรรยาของเจ้าสำนักอยู่ในการปิดขังฝึกตน เรื่องนี้ผู้คุมกฎอย่างข้าก็ไม่สามารถให้คำตอบพวกเจ้าได้” เกาเหลียนหงส่ายหัวพร้อมกล่าวโดยไม่ลังเล

“ในเมื่อกำลังปิดขังฝึกตน เจ้าไปบอกนาง ให้นางออกมาก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ?” เฟิ่งหงเสว่พูดอย่างไม่พอใจ

ในรุ่นเยาว์ของสำนักใหญ่ของเผ่าหงส์ เขาถือเป็นพรสวรรค์ที่ค่อนข้างโดดเด่น แต่เขาไม่ได้ปลุกเลือดหงส์โบราณความสามารถนี้

ดังนั้น ในใจของเขาจึงมีการต่อต้านต่อเหยียนเยว่เอ๋อร์อยู่บ้าง เพราะทันทีที่นางเข้าไปในสำนักใหญ่เผ่าหงส์ นางจะได้รับความสนใจจากผู้บริหารระดับสูงของสำนักใหญ่เผ่าหงส์ นี่ไม่ใช่สิ่งที่เฟิ่งหงเสว่ต้องการเห็นแน่

และจากหางตาของเขา เขาจะสังเกตเฟิ่งเยียนหรานที่มาพร้อมเขาอยู่บ่อยๆ และแอบคิดในใจว่า ผู้หญิงคนนี้ก็น่าจะไม่อยากให้คนที่ปลุกเลือดหงส์โบราณขึ้นมาไปที่สำนักใหญ่ของเผ่าหงส์ด้วย?

ทั้งเขาและเฟิ่งเยียนหรานต่างก็ไม่มีเลือดหงส์โบราณ ทันทีที่ผู้มีเลือดหงส์โบราณกลับไปที่สำนักใหญ่ สถานะของเขาและ เฟิ่งเยียนหรานในหัวใจของผู้บริหารระดับสูงของเผ่าหงส์ก็จะลดลงอย่างแน่นอน

ก่อนหน้านี้ที่เฟิ่งหงเสว่สร้างปัญหานอกสำนักไท่เสวียน ในสายตาของเฟิ่งหลิงคิดว่ามันเป็นการสร้างปัญหา แต่ในความเป็นจริง เฟิ่งหงเสว่ตั้งใจสร้างปัญหา

เขาก็รู้ด้วยว่าเฟิ่งหลิงต้องการใช้โอกาสนี้เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ที่มีเลือดหงส์โบราณ เมื่อไปที่สำนักใหญ่ของเผ่าหงส์ เขาจะได้มีที่พึ่งพา

แต่เฟิ่งหงเสว่ไม่คิดอย่างนั้น เขารู้สึกว่าแค่ไม่ให้ผู้ที่มีเลือดหงส์โบราณไม่สามารถกลับไปที่สำนักใหญ่ของเผ่าหงส์ สถานะของเขาถึงจะสามารถรักษาไว้ได้

ดังนั้นนี่ถึงเป็นเหตุผลที่เฟิ่งหงเสว่สร้างปัญหาไม่หยุด เพื่อกระตุ้นความขัดแย้งระหว่างทั้งสองฝ่าย ทำให้ผู้ที่มีเลือดหงส์โบราณ กลายเป็นศัตรูกับสำนักใหญ่ของเผ่าหงส์

เฟิ่งหลิงถลึงตาใส่เฟิ่งหงเสว่ แต่ใบหน้าเขายังคงมีรอยยิ้มที่มีเมตตา พูดกับเกาเหลียนหงว่า “พลังของเลือดหงส์โบราณจะต้องใช้กับวิชาพิเศษถึงจะสามารถใช้พลังที่แท้จริงออกมาได้ และวิชาดังกล่าวนี้เป็นวิชาที่ไม่สืบทอดให้คนนอกเผ่าหงส์ของเรา”

“ดังนั้น แม้ว่าภรรยาเจ้าสำนักของพวกเจ้าจะปลุกพลังของเลือดหงส์โบราณได้ หากไม่มีวิชาขิงเผ่าหงส์ของเรา เลือดหงส์โบราณก็จะไม่มีผลมากนัก”

เมื่อพูดตรงนี้ น้ำเสียงของเฟิ่งหลิงหยุดชะงักเล็กน้อยแล้วพูดต่อว่า “ท้ายที่สุด เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอนาคตและความสำเร็จของเหยียนเยว่เอ๋อร์ ดังนั้นข้าหวังว่าจะได้คุยกับนางแบบตัวต่อตัว”

เกาเหลียนหงขมวดคิ้วเล็กน้อย “พวกเจ้าต้องการคุยกับภรรยาเจ้าสำนักตัวต่อตัวก็ได้ แต่ต้องรอให้นางออกจากปิดขังฝึกตน”

แม้ว่าเขาไม่อยากจะมีความขัดแย้งกับคนเหล่านี้จากเผ่าหงส์ต่อไป แต่เกาเหลียนหงก็รู้ว่าการฝึกตนของเหยียนเยว่เอ๋อร์มาถึงช่วงเวลาสำคัญแล้ว เวลานี้ไปรบกวนนางไม่ได้ ไม่อย่างนั้นความพยายามของนางก็จะสูญเสียไป

“ อืม ในเมื่อเป็นแบบนี้ พวกข้าก็รบกวนพวกเจ้าช่วงหนึ่งเพื่อรอนางออกมาจากการฝึกฝน” เฟิ่งหลิงพูดช้าๆ หลังจากครุ่นคิด

หลังจากผ่านไปไม่กี่วัน เหยียนเยว่เอ๋อร์ออกมาจากการฝึกตน ด้วยความช่วยเหลือของพลังที่มีอยู่ในหินตรีภพ ที่หลัวซิวทิ้งไว้ให้กับนาง ควบคู่ไปกับพลังจิตอุดมสมบูรณ์ในหอฝึก ระดับแดนของนางในช่วงหนึ่งปีกว่าที่ผ่านมานี้ ก้าวไปข้างหน้าอย่างก้าวกระโดด

นอกจากนี้ ยังมีเลือดหงส์โบราณของนางที่ได้ปลุกขึ้นมา ได้เติบโตขึ้นในร่างกายของนางด้วย และภายใต้อิทธิพลของสายเลือด ความเร็วในการฝึกฝนของนางก็เร็วขึ้น

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 556
ผู้ที่ได้ปลุกเลือดหงส์โบราณขึ้นมา ทันทีที่เข้าสู่สำนักใหญ่ของเผ่าหงส์ จะต้องได้รับการฝึกฝนอย่างดี ความสำเร็จในอนาคตจะไม่ต่ำแน่นอน

เดิมที ถ้าเขาสามารถเป็นผู้ที่นำเหยียนเยว่เอ๋อร์กลับไปที่สำนักใหญ่ได้ เขาจะมีโอกาสเป็นเพื่อนกับนางได้ หากในอนาคต นางสามารถประสบความสำเร็จ เขาก็จะได้รับประโยชน์จากนางด้วย

แต่ในขณะนี้ถูกเฟิ่งหงเสว่ขัดขวางแผนการของเขาไปหมด และบางทีอาจจะทำให้คนดังที่กำลังจะเข้าไปในสำนักใหญ่ขุ่นเคือง!

หลังจากตำหนิเฟิ่งหงเสว่แล้ว เฟิ่งหลิงก็สงบอารมณ์ลงและมองไปที่เกาเหลียนหงด้วยรอยยิ้ม “ข้าคือเฟิ่งหลิง ในเมื่อเจ้าสำนักไท่เสวียนไม่อยู่ ไม่รู้ว่าตอนนี้ผู้ใดเป็นผู้ดูแลสำนักไท่เสวียน?”

เดิมทีเกาเหลียนหงคิดว่าอีกฝ่ายจะใช้กำลังโดยตรงเพราะอีกฝ่ายแข็งแกร่ง แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายสุภาพแบบนี้ เขาก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร

เขาไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “ก่อนการเดินทางเจ้าสำนักเคยกล่าวไว้ว่าเรื่องในสำนักให้ข้า เกาเหลียนหง รับผิดชอบเรื่องต่างๆในสำนัก”

“ฮ่าฮ่า เป็นผู้คุมกฎเกานี่เอง ข้าคือเฟิ่งหลิง” ก่อนหน้านี้เฟิ่งหลิงก็ได้รู้จากปากของเจ้าตระกูลเหยียนแล้วว่ามกุฎยุทธ์เพียงคนเดียวในสำนักไท่เสวียนคือเกาเหลียนหงผู้นี้

เกาเหลียนหงกำหมัดคารวะ “ไม่รู้ว่าแขกผู้มีเกียรติทั้งสามจากเผ่าหงส์มาไท่เสวียน เพื่อเรื่องใด?”

แม้เขาจะคาดเดาได้บ้าง แต่เขาไม่ได้พูดออกมาโดยตรง

“ผู้คุมกฎเกา พวกข้ามาจากที่ไกล เพื่อเรื่องสำคัญอยู่แล้ว ยืนคุยกันข้างนอกแบบนี้คงไม่เหมาะสมนะ?”หญิงชุดขาว เฟิ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เกาเหลียนหงรู้สึกทำอะไรไม่ค่อยถูกเล็กน้อย ที่จริงเขาก็รู้มารยาทดี แต่เขาเดาเจตนาของอีกฝ่ายได้ ดังนั้นเขาจึงไม่อยากให้คนเหล่านี้เข้าไปมาในสำนักเท่านั้นเอง

แต่อีกฝ่ายได้พูดโดยตรงถึงขนาดนี้แล้วไปแล้ว เขาไม่สามารถแสร้งทำเป็นโง่อีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงค่ายกลคุ้มเขา เชิญคนทั้งสามของเผ่าหงส์ให้เข้ามา

เขตที่ 5 ของแดนนานาอสูร ได้รับการสืบทอดจากเจ้ามรณะ ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากกับหลัวซิว แม้ว่าการสืบทอดของ เจ้ามรณะ จะมุ่งเป้าหมายไปที่อสูรกายเท่านั้นก็ตาม แต่สามวิชาลึกลับ มีความเกี่ยวข้องกับความลึกลับมากมาย ทำให้เขาสามารถอนุมานจากกรณีหนึ่งไปยังเรื่องอื่นได้ เพิ่มความเข้าใจของผังกฎดั้งเดิมได้

เคยมีอาวุโสผู้เก่งกาจเคยพูดว่าทุกอย่างมีวิถีที่เหมือนกัน หลัวซิวยืนยันการทำความเข้าใจและรับรู้ผังกฎดั้งเดิมผ่านทางค่ายกล การกลั่นยา และวรยุทธ์วิชายิ่งเลิศ จริงๆแล้วก็มาจากทุกอย่างมีวิถีที่เหมือนกันคำนี้

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาสามารถรับข้อมูลมากมายจากวัฏจักร วิสัยทัศน์และความรู้ของเขาถูกขยายออกไปอย่างต่อเนื่อง และเขายังพบว่าข้อมูลที่เขาได้รับผ่านวัฏจักรดูเหมือนจะไม่มีแค่ทักษะยุทธ์และวรยุทธ์เท่านั้น

ตัวอย่างเช่น ประสบการณ์การฝึกฝนของผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์บางคน ก็จะถูกบันทึกไว้ในวัฏจักรด้วย หลังจากที่หลัวซิวได้รับมันมา เขาสามารถรวบรวมจุดแข็งของทุกท่านได้ ได้เก็บเกี่ยวสิ่งที่มีประโยชน์กับเขาอย่างมากมาย และความเข้าใจเกี่ยวกับโลกยุทธ์ก็ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ยังมีความรู้มากมายเกี่ยวกับผู้แข็งแกร่งมากมาย ในนั้นยังมีความลับมากมายที่ซ่อนอยู่ แต่ข้อมูลในวัฏจักรมากเกินไป ต้องใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อค้นหาว่าสิ่งใดที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเอง

“นับแล้ว เป็นเวลาหนึ่งปีกว่าแล้วที่ข้าออกมา ไม่รู้ว่าว่าสถานการณ์ในประเทศเทียนหวูมั่นคงลงมาหรือยัง”

ขณะที่คิดถึงเรื่องนี้ หลัวซิวหยุดการทำความเข้าใจการสืบทอดของเจ้ามรณะในแดนนานาอสูร แล้ววาดมือไปกลางอากาศก็มีประตูปรากฏออกมาอยู่กลางอากาศ เขาออกไปจากแดนนานาอสูรทันที

ทันทีที่เขาออกมาจากแดนนานาอสูร หลัวซิวก็รู้สึกได้ว่ากล่องส่งเสียงในวงแหวนจัดเก็บสั่นสะเทือน

เขาหยิบกล่องออกมาและพบข้อความหนึ่งข้อความที่ส่งมาจากเกาเหลียนหง

“เยว่เอ๋อร์,เลือดหงส์โบราณ,สำนักใหญ่เผ่าหงส์ …”

แดนนานาอสูรแยกออกจากโลกภายนอก ดังนั้นก่อนหน้านี้ที่เขาอยู่ในแดนปริษนา จะไม่สามารถรับข้อมูลจากโลกภายนอกได้

ตัวสำนึกอ่านข้อความ หลัวซิวขมวดคิ้วทันที เขาเป็นเจ้าของวัฏจักร คลังข้อมูลขนาดใหญ่ เขาจึงรู้เรื่องของเผ่าหงส์โดยธรรมชาติ

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 555
เมื่อเจ้าตระกูลเหยียนได้ยินแบบนี้ สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่เมื่อคิดได้ว่าเขาได้รับการสนับสนุนจากสำนักใหญ่เผ่าหงส์อยู่ด้านหลัง ดังนั้นเขาจึงสงบสติอารมณ์และพูดเสียงเรียบว่า “ผู้คุมกฎเกาพูดผิดแล้ว เพียงแต่พาแขกผู้มีเกียรติจากเผ่าหงส์มาเยี่ยมเจ้าสำนักหลัวเท่านั้นเอง แต่เจ้าสำนักหลัวกลับไม่ยอมออกมาพบ หมายความว่าอย่างไร?”

“เจ้ากล้าดียังไง! เจ้าสำนักออกเดินทางไปข้างนอกปีกว่าแล้ว ไม่ได้อยู่ในสำนักเขา จะพบเจ้าได้อย่างไร?” เกาเหลียนพูดอย่างเย็นชา เขายังรู้ว่าเจ้าตระกูลเหยียนไม่มีความกล้าหาญที่จะมาสร้างปัญหาที่ไท่เสวียน ดังนั้นเขาจึงหันความสนใจไปที่เผ่าหงส์ทั้งสามคน “เมื่อสักครู่นี้ผู้ใดโจมตีค่ายกลคุ้มเขาของสำนักไท่เสวียน?”

“ข้าเป็นผู้ที่โจมตีเอง เจ้าจะทำอย่างไร?” เฟิ่งหงเสว่ยืนออกมาขึ้นและเยาะเย้ยเสียงเย็น

“คำที่ว่าผู้ที่มาจากแดนไกลก็คือแขก เจ้าโจมตีค่ายกลคุ้มเขา เป็นการยั่วยุสำนักไท่เสวียนของเราหรือ ?” เกาเหลียนหงขมวดคิ้วเมื่อเห็นการดูถูกจากอีกฝ่าย

เขาคาดเดาได้ตั้งนานแล้วว่าพวกที่มาจากกองกำลังใหญ่เหล่านี้ ต่างหยิ่งผยอง จองหองมากนัก ตอนนี้ดูแล้วเป็นไปตามที่คาดจริงๆ

แต่เกาเหลียนหงก็รู้เช่นกันว่าแม้ว่าเผ่าหงส์จะแข็งแกร่ง แต่ถ้าหลัวซิวอยู่ที่นี่ เขาจะไม่ยอมให้อีกฝ่ายมาโจมตีถึงหนน้าประตูแล้วไม่ออกเสียงใดๆ

ดังนั้นเมื่อเกาเหลียนหงพูด มือขวาซึ่งซ่อนอยู่ในแขนเสื้อยาว ได้จับตราขลังมังกรเขียวไว้ในมือแล้ว

“ยั่วยุสำนักไท่เสวียนของพวกเจ้า? เป็นเพียงกองกำลังขนาดเล็กระดับสามเท่านั้น มีสิทธิ์ให้ข้ามายั่วยุหรือ?” เฟิ่งหงเสว่เยาะเย้ย “แม้ว่าข้าจะเป็นผู้ยั่วยุก่อน เจ้าจะทำอะไรข้าได้?”

“ทำอะไรได้บ้าง?”

เมื่อเกาเหลียนหงได้ยิน มุมปากก็ยิ้มอย่างเย็นชา จากนั้นโบกมือขวาทันที โยนตราขลังมังกรเขียวออกไป

โฮก!

เสียงคำรามของมังกรดังก้องไปทั่วท้องฟ้า แสงระยิบระยับปกคลุมท้องฟ้า ตราขลังต้านลมแล้วใหญ่ขึ้นขนาดเท่าภูเขาในชั่วพริบตา

“กล้าดียังไง!”

ใบหน้าของเฟิ่งหงเสว่แสดงโทสะออกมา แม้แต่เฟิ่งหลิงและเฟิ่งเยียนหรานที่อยู่ข้างๆก็คาดไม่ถึงว่า คนจากสำนักไท่เสวียนจะกล้าโจมตีโดยตรงแบบนี้

เห็นเพียงเปลวไฟพุ่งออกมาจากร่างกายของเขา กลายเป็นหงส์เพลิง และต่อสู้กับมังกรเขียวที่ทะยานจากตราขลัง

หลังจากนั้น เขายกมือขึ้นตบออกไป คำรามด้วยโทสะ และกระแทกเข้าไปตราขลังที่ทุบลงมา

บูม!

หลังจากเกิดเสียงอู้อี้ สีหน้าของเฟิ่งหงเสว่เปลี่ยนไป ร่างของเขาบินถอยหลังออกไป มีเลือดออกจากมุมปาก

“ระวัง นี่เป็นสมบัติโบราณ!”

สีหน้าของเฟิ่งหลิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย เปลวเพลิงพุ่งขึ้นมาระหว่างฝ่ามือของเขา ตบตราขลังมังกรเขียวด้วยฝ่ามือจนถอยไป

ในขณะที่เฟิ่งหลิงโจมตี พลังจิตแท้พลานุภาพ ได้ทำให้สีหน้าของเกาเหลียนหงเปลี่ยนไปในทันที

“มกุฎยุทธ์ขั้น 9 !”

เกาเหลียนหงตระหนักดีถึงพลังของตราขลังมังกรเขียว ไม่เช่นนั้นเขาจะไม่โจมตีจนเฟิ่งหงเสว่ที่มีผลการฝึกตนแดนมกุฎยุทธ์ขั้น 5 กระอักเลือด แต่ชายชราชุดเขียว สามารถรับการโจมตีตราขลังมังกรเขียวได้อย่างง่ายดาย ชายชราของเผ่าหงส์ผ1นี้ แข็งแกร่งไม่ธรรมดา

หากผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎยุทธ์ขั้น 9 โจมตีด้วยพลังทั้งหมด ค่ายพิทักษ์เขาขั้น 7 จะไม่สามารถต้านทานได้นานนัก

เกาเหลียนหงเอื้อมมือเรียกตราขลังมังกรเขียวกลับมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา

เขารู้ว่าตอนนี้มันปัญหาใหญ่แล้ว คนสามคนจากเผ่าหงส์ มีผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎยุทธ์ขั้น 9 อยู่ด้วย

“เจ้ากล้าทำร้ายข้าหรือ?”

เฟิ่งหงเสว่เช็ดมุมปาก เมื่อเห็นเลือดที่ปลายนิ้ว ในดวงตามีเจตนาฆ่าพุ่งขึ้น เผยให้เห็นถึงความโหดเหี้ยม

“หุบปาก!”

เฟิ่งหลิงถลึงตาใส่เขาพร้อมตำหนิเขาด้วยน้ำเสียงเย็นชา เดิมทีเขาไม่ต้องการที่จะสร้างปัญหาให้มาก แต่ก็ถูกเฟิ่งหงเสว่สร้างปัญหาขึ้นมา ซึ่งทำให้เขารู้สึกโมโหเล็กน้อย

ถูกเฟิ่งหลิงตำหนิ เฟิ่งหงเสว่ไม่กล้าเถียง แต่สังเกตเห็นว่าเฟิ่งเยียนหรานซึ่งมักจะขัดแย้งกับเขาเสมอ มองดูเขาแล้วเผยรอยยิ้มที่เกือบจะมองไม่เห็นออกมา ความโกรธและเจตนาการฆ่าในใจของเขาก็เพิ่มมากขึ้น และยิ่งทนไม่ได้

“ไม่ได้เรื่อง!” เฟิ่งหลิงมองเฟิ่งหงเสว่อย่างเย็นชาและต่อว่าในใจ

จากการบรรยายของหัวหน้าตระกูลเหยียน เขาได้รู้มาว่า เหยียนเยว่เอ๋อร์ผู้มีเลือดหงส์โบราณ มีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับเจ้าสำนักไท่เสวียนนี้

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 554
ยกเว้นพวกเกาเหลียนหงในสำนักไท่เสวียน ไม่มีใครรู้ว่าหลัวซิวได้ออกไปจากสำนักเขาไท่เสวียนมานานกว่าหนึ่งปีแล้ว

“เป็นแค่เจ้าสำนักไท่เสวียนเล็กๆ ผยองจริงๆ!” เฟิ่งหงเสว่ต่อว่าด้วยโทสะ นึกว่าเจ้าสำนักไท่เสวียนไม่ใช่ไม่อยู่ แต่ทำตัวหยิ่งไม่อยากออกมาพบพวกเขา

คำพูดประโยคนี้ของเฟิ่งหงเสว่ไม่ได้ปิดบังแม้แต่น้อย ศิษย์ไท่เสวียนสองคนที่มีหน้าที่เฝ้าสำนักเขาได้ยินอย่างชัดเจน

ในพิธีเปิดสำนักเมื่อหนึ่งปีกว่า หลัวซิวได้สร้างภาพลักษณ์ที่สูงส่งในใจของศิษย์ไท่เสวียนหลายคน

เมื่อได้ยินว่ามีคนไม่เคารพเจ้าสำนัก ศิษย์ไท่เสวียนสองคนนี้ก็แสดงสีหน้าที่ไม่เป็นมิตรออกมาทันที

“ในเมื่อเจ้าของพวกเจ้าไม่อยู่ แล้วผู้รับผิดดูแลสำนักเป็นผู้ใด?” เฟิ่งหงเสว่ถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“เจ้าเป็นใคร? เพราะเหตุใดถึงต้องบอกเจ้าเรื่องสำนักไท่เสวียนของเรา” ศิษย์ไท่เสวียนหนุ่มเยาะเย้ย

“เพราะเหตุใด?”

เฟิ่งหงเสว่หรี่ตาลงเล็กน้อย ผู้เยาว์สองคนที่มีผลการฝึกตนเพียงแดนพรสวรรค์เท่านั้นก็กล้าพูดกับเขาเช่นนี้ ซึ่งทำให้เขาโกรธจนหัวเราะออกมา

“ผู้เยาว์สองคนที่ไม่รู้ว่าจะอยู่หรือตาย กล้าอวดดีต่อหน้าข้าหรือ?”

ขณะที่กล่าว เจตนาสังหารก็ฉายประกายในดวงตาของเฟิ่งหงเสว่ พลังจิตแท้กลายเป็นเปลวไฟมือขนาดใหญ่ คว้าไปที่ศิษย์ไท่เสวียนสองคนที่เฝ้าสำนักเขา

เมื่อเห็นการกระทำของเขา เฟิ่งหลิงรู้สึกไม่เหมาะสมเล็กน้อย แต่หลังจากคิดดูแล้วก็ไม่ได้หยุดเขา

ในฐานะผู้คนในสำนักใหญ่ของเผ่าหงส์ พวกเขามีความหยิ่งที่มาจากกระดูกของพวกเขา แค่สำนักเล็ก ๆ ระดับสาม แต่กลับไม่ให้พวกเขาเข้าไป ห้ามพวกเขาอยู่นอกประตูสำนักเขา ในใจของเฟิ่งหลิงก็รู้สึกไม่พอใจเช่นกัน

ยิ่งกว่านั้น เฟิ่งหงเสว่ทำร้ายพวกเขา ก็ลองสำรวจปฏิกิริยาของสำนักไท่เสวียนว่าเป็นเช่นไร

สีหน้าของศิษย์ไท่เสวียนสองคนเปลี่ยนไป ภายใต้แรงกดดันของผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์ พวกเขารู้สึกหายใจไม่ออก แม้แต่นิ้วมือนิ้วเดียวก็ขยับไม่ได้

แต่ตำแหน่งของคนสองคนนี้อยู่ในค่ายพิทักษ์เขา ทันทีที่มือเปลวเพลิงเข้าใกล้ ค่ายกลคุ้มเขาก็ถูกเปิดโดยอัตโนมัติ มีม่านแสงปรากฏขึ้น ขวางมือเปลวเพลิงนั้นไว้

บูม!

มือเปลวเพลิงขนาดใหญ่ทุบลงบนม่านแสงค่ายกลอย่างแรง ทำให้เกิดเสียงดังสั่นสะเทือนไปไกล แม้ว่าศิษย์ไท่เสวียนสองคนที่เฝ้าสำนักเขาจะไม่ถูกโจมตีโดยตรง แต่พวกเขาก็ถูกผลกระทบจนเลือดไหลออกจากจมูก ปาก ร่างกายโอนเอนยืนไม่มั่น

ในเวลาเดียวกัน ในตำหนักสิบแปดแห่งของผู้คุมกฎ เกาเหลียนหงที่กำลังหลับตาปรับลมหายใจ ก็ลืมตาขึ้น รู้สึกได้ว่ามีคนกำลังโจมตีค่ายพิทักษ์เขา

“ดูเหมือนว่าคนตระกูลเหยียนและเผ่าหงส์มาที่นี่เพื่อนายหญิงเจ้าสำนัก” เกาเหลียนหงขมวดคิ้วพึมพำ

เมื่อครู่นี้เขาได้รับแจ้งว่าเจ้าตระกูลเหยียนได้พาคนสามคนที่อ้างว่าเป็นคนของเผ่าหงส์มายังไท่เสวียน เขานึกถึงเหยียนเยว่เอ๋อร์ซึ่งเป็นผู้หญิงของเจ้าสำนักทันที ซึ่งดูเหมือนได้ปลุกพลังเลือดหงส์โบราณขึ้นมาแล้ว

เมื่อก่อน เกาเหลียนหงเคยเดินทางไปทั่วโลกและเขามีความรู้มากมาย ได้ยินมาว่าภายในเผ่าหงส์ ผู้ที่ได้ปลุกเลือดหงส์โบราณขึ้นมานั้นมีค่าอย่างมาก เมื่อมีคนอย่างนี้ปรากฏตัว ก็จะถูกดึงเข้าสำนักใหญ่ของเผ่าหงส์เพื่อรับการฝึกฝน

เจ้าสำนัก หลัวซิวไม่อยู่ เกาเหลียนหงใช้สิ่งนี้เป็นข้ออ้างในการกันผู้คนจากเผ่าหงส์อยู่จากประตู แต่เขาคาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะโจมตีค่ายพิทักษ์เขาโดยตรง

“ข้าไม่สนหรอกว่าเจ้าจะเป็นเผ่าหงส์หรือเผ่านก กล้ามาสร้างปัญหาที่สำนักเขาไท่เสวียนของเรา ข้าจะไม่สุภาพกับพวกเจ้า!”

คนในเผ่าหงส์หยิ่งมาก ในฐานะที่เป็นทายาทของไท่เสวียนโบราณ ในกระดูกของเกาเหลียนหงก็หยิ่งผยองเช่นกัน

ค่ายพิทักษ์เขาถูกโจมตีเกิดเสียงดังกึกก้อง ศิษย์เกือบทั้งหมดที่กำลังฝึกฝนอยู่ในสำนักเขาต่างตื่นตระหนก มีเพียงเหยียนเยว่เอ๋อร์และสวีจิงเหนียนที่ฝึกฝนอยู่ในหอฝึกเท่านั้นที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นข้างนอก

“ผู้ใดโจมตีค่ายกลคุ้มเขาของสำนักไท่เสวียน?”

ร่างของเกาเหลียนหงหายไปจากตำหนักผู้คุมกฎทันที ชั่วขณะ เขาก็มาถึงหน้าสำนักเขา

เขายืนอยู่หน้าสำนัก จ้องมองไปที่เจ้าตระกูลเหยียนและคนสามคนจากเผ่าหงส์ที่อยู่กลางอากาศ

“เจ้าตระกูลเหยียน แม้ว่าเจ้าจะเป็นพี่ชายของภรรยาเจ้าสำนัก แต่เจ้าพาคนมาสร้างปัญหาที่ไท่เสวียน เจ้ารู้ผลที่จะตามมาหรือไม่?” เกาเหลียนหงตะโกนถามด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ

แต่เมื่อเขาได้ยินเจ้าตระกูลเหยียนบอกว่าเจ้าสำนักไท่เสวียน หลัวซิว ยังเป็นประธานของแก๊งนักกลั่นยาในประเทศเทียนหวู เขาก็ขมวดคิ้วอย่างอัตโนมัติ

ในฐานะคนสำนักใหญ่ของเผ่าหงส์ เฟิ่งหลิงจะรู้ดีกว่า คนๆหนึ่งในอายุประมาณยี่สิบ สามารถดำรงตำแหน่งประธานของอาณาจักรหนึ่งได้นั้น พรสวรรค์ดังกล่าวนี้ในสี่แก๊งใหญ่ จะต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างมากกับเขาแน่นอน และอำนาจจะไม่ต่ำ

“ผู้ที่ได้ปลุกเลือดหงส์โบราณมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเผ่าหงส์เรา ในเมื่อหลัวซิว เจ้าสำนักไท่เสวียน ได้รับความสำคัญจากพวกผู้ใหญ่ของสี่แก๊งใหญ่ จึงไม่สามารถแตะเขาได้ง่ายๆ” ชายวัยกลางคนชุดแดงที่อยู่ข้างๆ พูดช้าๆ

“พวกข้ามาที่นี่เพียงเพื่อนำพาผู้ที่ได้ปลุกสายเลือดหงส์ ไม่เกิดเรื่องจะเป็นการดีที่สุด” เสียงของหญิงสาวในชุดขาวนั้นเฉยเมย

เฟิ่งหลิงพยักหน้า “อย่างแรกเลยคือติดต่อกับเหยียนเยว่เอ๋อร์ ซึ่งอยู่ในสำนักไท่เสวียน เพื่อดูว่านางเต็มใจที่จะไปที่สำนักใหญ่กับเราหรือไม่”

ว่าแล้ว พวกเขาก็ลุกขึ้นยืนทันที นำโดยเจ้าตระกูลเหยียน ไปยังที่ตั้งของสำนักเขาไท่เสวียน

“แม้ว่าประตเขาของสำนักไท่เสวียนจะไม่ใหญ่นัก แต่ก็สร้างขึ้นมาค่อยข้างดีทีเดียว”

หลังจากมาถึงสำนักเขาไท่เสวียน ชายชราชุดเขียวเงยหน้าขึ้นมอง และแสดงความคิดเห็นด้วยรอยยิ้ม

“มีค่ายคุ้มกันขั้น 8 หนึ่งค่ายกลและค่ายพิทักษ์เขาขั้น 7 หนึ่งค่ายกล” ชายวัยกลางคนในชุดแดงกล่าว

“โอ้? ยังค่ายคุ้มกันขั้น 8 อีกหรือ?”ชายชราชุดเขียวเลิกคิ้วขึ้น ค่อนข้างแปลกใจ

เขารู้ว่าชายวัยกลางคนในชุดแดงนี้เป็นปรมาจารย์ค่ายกลขั้น 7 ของเผ่าหงส์ และเชื่อว่าสายตาของเขาจะดูไม่ผิด

มีเพียงปรมาจารย์ค่ายกลขั้น 8 เท่านั้นที่สามารถสร้างค่ายกลขั้น 8 ออกมาได้ ในโลกแสงดาวปัจจุบัน ปรมาจารย์ค่ายกลขั้น 8 นั้นหายากมาก สาเหตุหลักมาจากความหายนะของสงครามสมัยโบราณ ทำใหเการสืบทอดจำนวนมากถูกทำลายล้างไปกับฝุ่นละอองประวัติศาสตร์

“สถานที่สำคัญของสำนักเขาไท่เสวียน ผู้ที่มาคือผู้ใด?”

ศิษย์หนุ่มสองคนที่มีหน้าที่เฝ้าดูแลสำนักเขา เห็นมีคนสี่คนบินมาจากอากาศ ก็ตะโกนเสียงดังพร้อมกัน

“ข้าเจ้าตระกูลเหยียน ทั้งสามท่านนี้เป็นแขกผู้มีเกียรติจากเผ่าหงส์ มาเยี่ยมเจ้าสำนักไท่เสวียน” เจ้าตระกูลเหยียนก้าวไปข้างหน้าแล้วบอกจุดประสงค์ที่มา

เจ้าตระกูลเหยียนก็ถือว่าเป็นกองกำลังแข็งแกร่งในประเทศเทียนหวู ศิษย์ไท่เสวียนสองคนที่เฝ้าสำนักเขาเป็นเพียงศิษย์นอกสำนักธรรมดา เมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายเป็นผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ พวกเขาก็โค้งคำนับอย่างมีมารยาท

“เจ้าตระกูลเหยียน กรุณารอสักครู่ ทางข้าจะเข้าไปรายงานก่อน” ศิษย์สองคนเฝ้าอยู่คนหนึ่งและอีกคนรีบไปรายงานที่สำนักเขา

“ฮึ่ม เป็นแค่กองกำลังระดับสามเล็กๆเท่านั้น แสร้งตัวหนักมาก” ชายชุดแดงส่งเสียงอย่างเย็นชา สีหน้าไม่พอใจ

ในฐานะที่เป็นปรมาจารย์ค่ายกลขั้น 7 เขาจะเป็นศูนย์กลางของความสนใจทุกที่ที่เขาไป และเขาได้รับการยกย่องเป็นแขกสำคัญจากตระกูลขุนนางต่างๆ เป็นเพียงกองกำลังระดับสามเล็กๆที่มีมกุฎยุทธ์เฝ้าอยู่ กลับให้พวกเขารออยู่ที่นี่?

“เฟิ่งหงเสว่ หากเจ้ามีความสามารถเจ้าก็ทำลายค่ายคุ้มกันขั้น 8 ซะ” หญิงในชุดขาวเยาะเย้ยและชำเลืองมองเขา

“เฟิ่งเยียนหราน เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” ชายชุดแดงที่ชื่อเฟิ่งหงเสว่ สีหน้าเย็นชา

“พอได้แล้ว! เจ้าสองคนสงบหน่อย อย่าลืมจุดประสงค์ของการเดินทางของเราในครั้งนี้ด้วย” เฟิ่งหลิงขมวดคิ้วและตำหนิทั้งสองคน

เฟิ่งหงเสว่และเฟิ่งเยียนหราน เป็นผู้เยาว์ของเฟิ่งหลิง ครั้งนี้ที่มาประเทศเทียนหวู อาณาจักรใต้ ก็เพื่อพาพวกเขามาหาความรู้ที่นี่

สำหรับผู้เยาว์สองคนนี้ เฟิ่งหลิงนับว่าให้ความสำคัญกับพวกเขา ความสามารถสูง แต่ค่อนข้างจะหยิ่งสะโย จองหอง

ในเวลานี้ ศิษย์ไท่เสวียนที่ไปรายงานเรื่องได้กลับมา ป้องหมัด “เจ้าสำนักไม่อยู่ แขกผู้มีเกียรติทุกท่าน โปรดกลับไปเถอะ”

“ไม่อยู่?” เจ้าตระกูลเหยียนขมวดคิ้ว เขาสังเกตเห็นคนสามคนที่มาจากสำนักใหญ่เผ่าหงส์จากหางตา สีหน้าของพวกเขาไม่พอใจขึ้นมา

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 552
“ข้ารู้ว่าพวกเจ้าอยู่ในแดนปริศนานี้มานาน และจะอึดอัดตายอยู่แล้ว แต่ในไม่ช้าพวกเจ้าจะมีโอกาสได้ออกไปดูโลกภายนอกแล้วล่ะ” หลัวซิวพูดเสียงดังขณะยืนอยู่กลางอากาศ

“สามารถออกไปยังโลกภายนอกได้จริงหรือ?” อสูรกายทั้งหมดมองหน้ากันและกัน ข้างในใจอยากจะออกไปมาก

ตั้งแต่หลัวซิวออกจากสำนักเขาไท่เสวียน เวลาผ่านไปอย่างเงียบ ๆ ชั่วขณะก็ผ่านไปหนึ่งปีกว่าแล้ว

ตอนนี้ทั่วทั้งประเทศเทียนหวู มีเพียงไท่เสวียนเท่านั้นที่มีผู้แข็งแกร่งระดับแดนมกุฎเฝ้าอยู่

ด้วยการสนับสนุนจากสำนักไท่เสวียน เมื่อก่อนตระกูลสวีซึ่งเคยอยู่ลำดับสุดท้ายของตระกูลสิบอันดับแรกของประเทศเทียนหวู ได้กลายมาเป็นผู้ที่มีอำนาจในดินแดนแห่งนี้ เวลาเพียงปีเดียว พวกเขาก็ได้ขยายอำนาจอย่างรวดเร็วและกลายเป็นตระกูลอันดับหนึ่ง ในประเทศเทียนหวู

อ่อนแอกว่าตระกูลสวีเล็กน้อยก็คือตระกูลเหยียน เพราะจักรพรรดิยุทธ์เทียนเฟิ่ง เหยียนเยว่เอ๋อร์จากตระกูลเหยียนเป็นผู้หญิงของเจ้าสำนักไท่เสวียน!

วันนี้ มีตำหนักที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ในเมืองเทียนหวู มีรูปปั้นหงส์เหินนวสวรรค์สองรูปวางอยู่ที่หน้าประตู ซึ่งเป็นสำนักใหญ่ของตระกูลเหยียนในเมืองเทียนหวู

ในห้องใต้หลังคาที่อยู่ลึกเข้าไปในตำหนัก เจ้าตระกูลเหยียนมองดูคนสามคนที่นั่งอยู่ข้างหน้าเขา สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา

สามคนนี้มีเครื่องหมายเปลวเพลิงพิเศษอยู่บนคิ้วของพวกเขา คนหนึ่งเป็นหญิงชุดขาว คนหนึ่งเป็นชายชราในชุดสีเขียว และอีกคนเป็นชายวัยกลางคนในชุดแดง

“ตั้งแต่สมัยโบราณ ตระกูลเหยียนเป็นหนึ่งในตระกูลแยกของเผ่าหงส์เรา ในเมื่อตระกูลเหยียนของพวกเจ้ามีผู้ปสามารถปลุกสายเลือดของเผ่าหงส์ คนที่เก่งกาจเช่นนี้ จะต้องกลับไปสู่สำนักใหญ่เผ่าหงส์ของเราโดยธรรมชาติ”

คนแรกที่พูดคือชายชราชุดเขียว

ชายชราในชุดสีเขียวผู้นี้ชื่อเฟิ่งหลิง เป็นผู้คุมกฎของสำนักใหญ่เผ่าหงส์ ความแข็งแกร่งของเขาโดดเด่นในบรรดาผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์จำนวนมากในสำนักใหญ่ของเผ่าหงส์

ครั้งนี้ได้รู้มาว่า ในประเทศเทียนหวูอาณาจักรใต้ มีผู้มีความสามารถคนหนึ่งได้ปลุกสายเลือดเผ่าหงส์ เขาเลยรับคำสั่งมาที่นี่

เผ่าหงส์ที่แยกออกมามีหลายตระกูล ผู้คนในสำนักใหญ่แค่มีสายเลือดที่ค่อนข้างเข็มและสูงส่งเล็กน้อยเท่านั้น และผู้ที่สามารถปลุกเลือดหงส์โบราณได้นั้นก็มีเพียงไม่กี่คน

แตกต่างจากมารที่มีสายเลือดเผ่าพันธุ์มารบริสุทธิ์ ผู้คนของเผ่าหงส์ ครึ่งมนุษย์ครึ่งมาร ทันทีที่สามารถปลุกเลือดหงส์โบราณ ก็จะสามารถมีข้อดีของทั้งเผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าพันธุ์มารในเวลาเดียวกัน หลังจากที่ได้วิวัฒนาการสายเลือดไม่รู้จมาหลายปี จะทรงพลังยิ่งกว่ามารหงส์สายเลือดบริสุทธิ์

เพียงว่าในเผ่าหงส์ ผู้ที่สามารถปลุกเลือดหงส์โบราณได้อย่างแท้จริงนั้น น้อยเกินไป

และในประเทศเทียนหวูอาณาจักรใต้ มีคนๆหนึ่งที่ปลุกสายเลือดหงส์สำเร็จ สำนักใหญ่ของเผ่าหงส์ จะต้องดึงเข้าไปอยู่แล้ว

และผู้ที่ปลุกสายเลือดหงส์สำเร็จ ก็คือเหยียนเยว่เอ๋อร์

“ด้วยเหตุผลบางอย่าง นับได้ว่านางได้ออกจากตระกูลเหยียนของเราไปแล้ว ตอนนี้นางอยู่ที่สำนักไท่เสวียน ” เจ้าตระกูลเหยียนพูดช้าๆ หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง

“สำนักไท่เสวียน?” ชายชราในชุดเขียวอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “ในสมัยโบราณ สำนักไท่เสวียนได้ถูกทำลายไปแล้วไม่ใช่หรือ?”

“ไม่ใช่ไท่เสวียนโบราณ แต่เป็นมีคนได้รับการสืบทอดของไท่เสวียนโบราณ และได้สร้างสำนักเขาไท่เสวียนขึ้นใหม่” เจ้าตระกูลเหยียนอธิบาย

“แล้วความแข็งแกร่งของสำนักไท่เสวียนเป็นอย่างไร?” ชายชราชุดเขียวถามต่อ พวกเขาทั้งสามคนรีบมา ไม่ได้สืบข่าวของที่นี่

สำนักใหญ่ของเผ่าหงส์ รวมถึงตระกูลจำนวนมากที่แยกออกไป ถือได้ว่าเป็นกองกำลังระดับแดนศักดิ์สิทธิ์ในโลกแสงดาว

“ในสำนักไท่เสวียน มีมกุฎยุทธ์ท่านหนึ่ง หนึ่งปีที่แล้วเพิ่งจัดพิธีก่อตั้งสร้างสำนัก เจ้าสำนักชื่อหลัวซิว พรสวรรค์ด้านยุทธ์ ของเขานั้นยอดเยี่ยมมาก ในเวลาเพียงไม่กี่ปี เขาก็ถึงแดนจักรพรรดิยุทธ์ และเคยสังหารมกุฎยุทธ์มาก่อน!” เจ้าตระกูลเหยียนได้พูดในสิ่งที่เขารู้เกี่ยวกับสำนักไท่เสวียนออกมา

สำหรับความแข็งแกร่งของสำนักไท่เสวียน ชายชราชุดเขียวเย้ยหยันไม่วางไว้ในสายตา แค่กองกำลังที่มีเพียงมกุฎยุทธ์คนหนึ่งที่เฝ้าอยู่ สำหรับเผ่าหงส์ เป็นแค่คนอ่อนแอฐานะต่ำเท่านั้น

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 551
หลัวซิวลืมตาขึ้น นิ้วมือสร้างผนึก ศิลาสีดำขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านตรงหน้าดังก้องกังวาน ลอยขึ้นจากพื้นดิน แล้วเล็กลงอย่างรวดเร็ว กลายเป็นแสงสีดำ หนีเข้ามาในร่างกายของเขา จากนั้นลอยอยู่ในจุดตันเถียนของเขา

วินาทีที่เก็บศิลามรณะเข้ามาในร่างกาย หลัวซิวรู้สึกได้ว่าเขามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพลังแห่งฟ้าดินในแดนนานาอสูร

แค่เขาอยาก ราวกับว่าเขาจะออกไปจากที่นี่ได้ทุกเมื่อ แต่ถ้าเขาต้องการเข้าสู่เขตที่ 6 หรือสูงกว่านี้ ผลการฝึกตนของเขาจะต้องถึงระดับแดนที่เพียงพอ

ในเวลาเดียวกัน ในอานาคตไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหน เขาก็สามารถใช้ศิลามรณะเพื่อเข้าสู่แดนนานาอสูรได้ตลอดเวลา และด้วยวิชาคุมมาร เขาสามารถกลั่นแปรส่วนเล็ก ๆ ของศิลามรณะได้ เพื่อควบคุมอสูรกายทั้งหมดในเขตที่ 1 ถึงเขตที่5

อสูรกายใน 5 เขตนี้รวมกันได้เป็นหมื่นๆ ตัว ถ้าใช้ขึ้นมา จะเป็นพลังที่ไม่ไม่ความสำคัญไม่ได้

หลัวซิวไม่ได้พูดอะไรสักคำ ใช้วิชาคุมมารเริ่มกลั่นแปรศิลามรณะทันที

ในเวลาเดียวกัน ในเวลาที่เขากำลังกลั่นแปรศิลามรณะ อสูรยักษ์และอสูรกายทั้งหมดตั้งแต่เขตที่ 1 ถึงเขตที่ 5 ต่างรู้สึกได้จากสัญชาตญาณที่มาจากส่วนลึกของจิตวิญญาณ รู้ว่าพวกมันมีนายท่านคนใหม่แล้ว

เนื่องจากระหว่างที่หลัวซิวอยู่ในขั้นตอนการกลั่นแปรศิลามรณะ จะใช้ผ่านสมบัติวิเศษนี้ เพื่อประทับตราในวิญญาณของอสูรกายทั้งหมด กลายเป็นนายท่านของพวกมัน

“นึกไม่ถึงเลยว่าโลกนี้จะมีวิชาวิเศษเช่นนี้!”

หลายเดือนต่อมา หลัวซิวได้ฝึกฝนวิชาคุมมารขั้นแรกสำเร็จ ด้วยวิธีลับนี้ อสูรกายหรือเผ่าพันธุ์มารที่ระดับแดนต่ำกว่าแดนมกุฎ หากพบเขาจะไม่สามารถหนีรอดออกไปจากฝ่ามือของเขาได้

“นายท่าน!”

อสูรยักษ์สิบตัวในเขตที่ 5 แปลงร่างเป็นมนุษย์ ได้นำพาอสูรกายหลายพันตัวที่อยู่ภายใต้การควบคุมของพวกมัน ทันทีที่พวกมันเห็นหลัวซิว พวกมันทั้งหมดก้มลงกับพื้นและโค้งคำนับด้วยความเคารพ

ระดับจักรพรรดิยุทธ์ขั้นปฐมภูมิมากกว่าหนึ่งพันเจ็ดกว่าตัว ระดับจักรพรรดิยุทธ์ขั้นกลางแปดร้อยกว่าตัว และระดับจักรพรรดิยุทธ์ขั้นปลายสามร้อยกว่าตัว แม้แต่กองกำลังระดับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ก็เกรงว่าพวกเขาคงจะไม่สามารถนำผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ออกมาได้มากมายขนาดนี้ในครั้งเดียวหรอกนะ?

หลัวซิวอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย โดยเฉพาะอสูรยักษ์ระดับจักรพรรดิยุทธ์ขั้นปลายที่สูงที่สุดรสิบตัวนี้ในเขตที่ 5 ซึ่งแต่ละตัวมีพลังการต่อสู้เทียบเท่ากับมกุฎยุทธ์ทั่วไป

อสูรสาวเผ่าพันธุ์มังกร ก้มศีรษะที่เย่อหยิ่งของนางอยู่ บางครั้งดวงตาสวยก็จะมองเจ้านายคนใหม่ของตนอย่างอยากรู้อยากเห็น

เวลาที่ผ่านมานานจนไม่สามารถนับได้ นางจำไม่ได้แล้วว่าเมื่อก่อนนางอยู่ในตำแหน่งไหนในเผ่าพันธุ์มังกร หลังจากที่เจ้ามรณะ เจ้านายเก่าได้เสียชีวิตไป นางไม่เคยได้ไปโลกภายนอกอีกเลย

ไม่เพียงแต่นางเท่านั้น แต่ยังมีอสูรกายอีกมากมายที่แสดงความตื่นเต้นยินดีออกมา เพราะเจ้านายคนใหม่ได้ปรากฏตัวขึ้น ซึ่งหมายความว่าพวกมันมีโอกาสได้ออกไปสู่โลกภายนอก!

เพียงแต่ว่านอกจากความตื่นเต้นยินดีแล้ว ในใจของพวกมันยังรู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย เพราะเผ่าพันธุ์มนุษย์คนหนึ่งได้รับการสืบทอดจากเจ้ามรณะ ต้องเป็นภัยพิบัติและหายนะสำหรับเผ่าพันธุ์มารอย่างแน่นอน

แต่ภายใต้การควบคุมของวิชาคุมมาร พวกมันก็ไม่สามารถต้านทานเจ้านายของพวกมันได้

พวกมันจะไม่มีวันลืมว่าเมื่อก่อนเวลาที่ไร้ที่สิ้นสุด ในสนามรบระหว่างเผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าพันธุ์มาร เจ้ามรณะได้ควบคุมอสูรหลายหมื่นตัวและเผ่าพันธุ์มารต่อสู้ เผ่าพันธุ์เดียวกันฆ่ากันเอง!

หลัวซิวไม่รู้ความคิดในใจของเผ่าพันธุ์มารเหล่านี้ เขายังคงยินดับมากที่ได้รับพลังอันทรงพลังเช่นนี้

เขาสามารถปล่อยอสูรกายเหล่านี้และอสูรยักษ์ออกไปเพื่อช่วยเขาต่อสู้ผ่านศิลามรณะ ซึ่งเทียบเท่ากับเขามีกองทับเผ่าพันธุ์มารกองหนึ่งอยู่กับตัว!

เพียงแต่ว่าอสูรกายเหล่านี้จะไม่ถูกฆ่าจริงๆ ในแดนปริศนานี้ แต่ถ้าพวกมันออกจากแดนปริศนา เมื่อพวกมันตาย พวกมันก็จะตายจริงๆ

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 550
ในสมัยยุคโบราณอันห่างไกลโพ้น ในโลกแสงดาวยังไม่มีร่องรอยของเผ่าพันธุ์ปีศาจ มีเพียงเผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าพันธุ์มาร สองเผ่าพันธุ์ใหญ่ที่อยู่คู่กัน และเกิดสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์ขึ้นเป็นครั้งคราว

ผู้แข็งแกร่งนามเจ้ามรณะคือผู้ที่ต่อกรกับเผ่าพันธุ์มารโดยเฉพาะ หลังจากอุทิศตนมายาวนานหลายพันปี เริ่มคิดค้นวิชาลับทั้งสามแขนง ทำให้เผ่าพันธุ์มารต้องสั่นสะท้าน!

ทว่าผู้แข็งแกร่งเจ้ามรณะคนนี้กลับเสียชีวิตในอุบัติเหตุครั้งหนึ่ง ก่อนเสียชีวิต เขาได้เปิดแดนนานาอสูร สร้างบททดสอบขึ้นมากมาย ทิ้งวิชาทั้งหมดของตนเองไว้ให้บุคคลที่มีวาสนา

ภายในของแดนนานาอสูรมีทั้งอสูรและเผ่ามาร ล้วนแต่เป็นอสูรและเผ่ามารที่ถูกเจ้ามรณะจับมาขังไว้ที่นี่ก่อนเสียชีวิต โดยใช้วิชาห้ามค่ายกลควบคุม มีเพียงคนที่สามารถอาศัยความแข็งแกร่งฝ่าอสูรพวกนี้เข้ามา ถึงมีสิทธิ์ได้รับการสืบทอดของเขา

“คิดไม่ถึงในบรรดาเผ่ามนุษย์ เคยมีผู้แข็งแกร่งแบบนี้ถือกำเนิดขึ้น” ภายในใจของหลัวซิวเต็มไปด้วยความตกใจ

ตามที่บนแผ่นศิลามรณะได้บันทึก เมื่อไหร่ที่สามารถฝึกเคล็ดวิชาที่ใช้สยบมารทั้งสามแขนงได้สำเร็จ เมื่อเป็นแบบนี้ก็จะกลายเป็นดาวหายนะของเผ่ามาร ไม่ว่าผู้แข็งแกร่งของเผ่ามารตนไหนเจอก็ต้องเดินอ้อม

แน่นอน ถ้าหากมีอสูรของเผ่ามารรู้ว่ากำลังฝึกวิชาลับแบบนี้อยู่ ต้องถูกเผ่ามารทั้งหมดไล่ล่าอย่างแน่นอน เผ่ามารไม่มีทางปล่อยให้วิชาลับแบบนี้ดำรงอยู่

เจ้ามรณะที่เป็นคนคิดค้นวิชาทั้งสามแขนง เป็นเพราะถูกไล่ล่าโดยเผ่ามารอย่างบ้าคลั่ง ถึงขั้นมีเทพอสูรระดับนิรันดร์กาลลงมือฆ่าเขา

ก่อนตายเจ้ามรณะได้ทิ้งคำพูดประโยคหนึ่งเอาไว้ ในคำพูดแฝงไปด้วยอารมณ์ของความโกรธและไม่พอใจ เขาบอกว่า ถ้าหากตนเองสามารถฝึกฝนจนถึงระดับแดนนิรันดร์กาล ถ้าเป็นแบบนั้น เขาสามารถสยบได้แม้กระทั่งเทพอสูรระดับนิรันดร์กาล เจอเขาต้องตายสถานเดียว!

แต่น่าเสียดาย ท้ายที่สุดเจ้ามรณะไม่สามารถบรรลุแดนนิรันดร์กาล ถูกเทพอสูรสังหาร ในระหว่างที่อยู่แดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ช่วงกลาง

ตามคำพูดของเจ้ามรณะ ด้วยผลการฝึกตนระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ช่วงกลาง สามารถใช้วิชาคุมมารควบคุมจักรพรรดิอสูรเจ็ดตน ใช้วิชาสยบมารสังหารจักรพรรดิอสูรสามตน!

สวรรค์ริษยาผู้ปราดเปรื่อง หากไม่ได้เป็นเพราะเขาถูกเทพอสูรสังหาร เกรงว่าในฟ้าดินของโลกแสงดาวคงไม่มีเผ่าพันธุ์มารดำรงอยู่อีกแล้ว

หลัวซิวได้รับข้อมูลจำนวนมากที่เจ้ามรณะได้บันทึกเอาไว้ หลังจากเข้าใจทุกอย่างอย่างถ่องแท้ ลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า

“ภายในเขตที่ห้า เป็นวิชาสืบทอดของเจ้ามรณะ เขตที่หก เขตที่เจ็ด เขตที่แปด เป็นทรัพยากรของวิเศษบางส่วนที่เจ้ามรณะเหลือทิ้งเอาไว้ ขอเพียงผลการฝึกตนของข้าสามารถทะลวงหนึ่งระดับใหญ่ได้สำเร็จ ก็สามารถเดินทางไปเก็บได้แล้ว”

“เมื่อเทียบกัน วิชาสืบทอดที่ถูกเก็บไว้ในเขตที่ห้าถึงจะร้ายกาจที่สุด วิชาลับสามแขนง แย่งชิงความอัศจรรย์การเปลี่ยนแปลงของฟ้าดิน ช่างน่าตกใจยิ่งนัก!”

มันมีวงล้อแห่งชีวิตเหล่าเทวเทพสามารถสัมผัสได้ถึงวิชาอันทรงพลังของผังกฎดั้งเดิม บวกกับสุดยอดวิชาหลายแขนงที่ตนเองฝึกมา หลัวซิวคิดว่าตนเองเจออะไรมาเยอะแล้ว

แต่นอกจากวิชาวงล้อแห่งชีวิตเหล่าเทวเทพแขนงนี้ ถึงรวมเข้ากับสุดยอดวิชาทั้งเก้าของสำนักไท่เสวียน เกรงว่าคงไม่สามารถเทียบกับการสืบทอดของเจ้ามรณะ

หลักและเหตุผลนานาที่อยู่ด้านใน ลึกลับละเอียดอ่อน ทำให้หลัวซิวได้เข้าใจอะไรมากขึ้น ราวกับแสงสุริยะเทพสาดส่อง หัวใจว่างเปล่า ลึกซึ้งและกว้างไกล

หลัวซิวไม่ได้รีบร้อนออกจากที่นี่ แต่ยังคงอยู่ที่นี่สักพักใหญ่เพื่อเข้าถึงความลึกลับที่ซ่อนอยู่ด้านใน

ยิ่งเข้าถึงเขายิ่งรู้สึกเสียวสันหลัง เป็นการยากที่จะซ่อนความตกใจ วิชาลับทั้งสามแขนงลึกลับมาก ซับซ้อนยากที่จะคาดเดา หยั่งรู้ทุกสรรพสิ่งของฟ้าดิน

“ทั้งแดนนานาอสูรก่อตัวขึ้นจากวิชากลั่นมาร ขอเพียงแค่ข้าสามารถฝึกวิชาคุมมารและวิชาสยบมารวิชาใดวิชาหนึ่ง อย่าว่าแต่อสูรที่อยู่ในระดับเดียวกัน ถึงเป็นอสูรที่อยู่ต่างระดับก็สามารถสยบลงได้อย่างง่ายดาย!”

“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง……”

ด้านล่างของศิลามรณะ หลัวซิวไม่ได้เลือกที่จะฝึกวิชาสยบมารก่อน แต่เลือกที่จะเข้าถึงเคล็ดวิชาคุมมาร

จนกระทั่งหลังจากฝึกวิชาคุมมารได้ถึงระดับหนึ่งที่แน่นอน เขาเพิ่งรู้ เดิมทีทั้งแดนนานาอสูรและศิลามรณะเป็นสมบัติวิญญาณที่ค่อนข้างร้ายกาจ

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 549
หลัวซิวไม่ปฏิเสธและไม่ได้ยอมรับ เขาเองก็รู้ว่าความเร็วที่ตนเองแสดงออกมาอย่างกะทันหัน ทำให้ทั้งสิบอสูรกายไม่ทันได้ตั้งตัว ถ้าหากถูกปิดล้อมอีกครั้ง ภายใต้สถานการณ์ที่มีการเตรียมพร้อม วิธีการแบบนี้ไม่สามารถทำให้ได้ผลลัพธ์ที่เหมือนกัน

ภายใต้สถานการณ์ที่พลังถูกค่ายกลจำกัด อานุภาพของค่ายกลที่เกือบเทียบเท่าระดับเจ็ด ไม่ใช่สิ่งที่สามารถฝ่าไปได้อย่างง่ายดาย

เพื่อปกป้องความลับศิลามรณะ เผ่ามารของที่นี่ยอมทำทุกวิถีทาง

“ตราธรรมจุติมรณะ!”

มือทั้งสองข้างของหลัวซิวกลายเป็นภาพเงาติดตา ปลดปล่อยพลังตราประทับนับร้อยออกมาด้วยความเร็วของร่างกายและตัวสำนึกตามไม่ทัน

เงาลวงวัฏจักรความเป็นตายที่สูงใหญ่หลายฟุตปรากฏขึ้นเหนือหัว เมื่อมีพลังของกฎการเวียนว่ายตายเกิดหนุนเสริม ทำให้เงาลวงวัฏจักรความเป็นตายครั้งนี้ยิ่งดูเหมือนจริงมากขึ้น

โครม……

เงาลวงวัฏจักรความเป็นตายระเบิดออกไป ความว่างเปล่าของทุกจุดที่พุ่งผ่านเกิดการแตกร้าว นี่เป็นการโจมตีที่รุนแรงที่สุดของหลัวซิวแล้ว ถ้าหากไม่สามารถฝ่าค่ายกลอัสนีขั้นเจ็ด ก็เท่ากับว่าเขาไม่มีวิธีอื่นอีกแล้ว

บูม! บูม! บูม! ……

สายฟ้าส่องสว่าง ลำแสงระเบิด เจ้าแห่งอสูรกายทั้งสิบที่ถูกนำโดยสาวมังกรแห่งเผ่ามังกรและชายร่างใหญ่เผ่ามาร สีหน้าของทุกตนตกตะลึง

“จบแล้ว!”

ไม่รู้ว่าใครเป็นคนพูดขึ้น สีหน้าของแต่ละคนมืดมนและน่าเกลียดจนถึงขีดสุด

เพราะพวกเขาคิดไม่ถึง เผ่ามนุษย์คนนั้นถึงขั้นสามารถบุกเข้าไปถึงในเขตแดนของศิลามรณะ ด้วยการทำลายค่ายกลอัสนีระดับเจ็ดโดยการโจมตีเพียงครั้งเดียว

เมื่อมองไปทางตำแหน่งของค่ายกลอัสนีระดับเจ็ด มีหลุมขนาดใหญ่ที่น่าตกใจปรากฏขึ้น และยังมีประกายของสายฟ้าแลบส่องสว่าง

ส่วนนักยุทธ์เผ่ามนุษย์คนนั้นได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยนานแล้ว

ศิลามรณะตั้งอยู่ที่นี่มาอย่างยาวนานนับไม่ถ้วน แต่อสูรกายที่อาศัยอยู่ที่นี่กลับไม่สามารถเข้าใกล้ภายในรัศมีแปดร้อยเมตรของศิลามรณะ

แต่อสูรกายพวกนี้กลับรู้ดี บนศิลามรณะมีการบันทึกความลับที่เป็นภัยคุกคามต่อเผ่าใหญ่ จำเป็นต้องหยุดสิ่งมีชีวิตทุกอย่างที่เข้าใกล้สถานที่แห่งนี้

เวลานี้ กลับมีเผ่ามนุษย์คนหนึ่งบุกเข้ามา มันทำให้ภายในใจของเจ้าอสูรพวกนี้ถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอก เริ่มเกิดความรู้สึกกระสับกระส่าย

ซ่า!

หลัวซิวอาศัยพลังของตราธรรมจุติมรณะพุ่งผ่านค่ายกลอัสนีระดับเจ็ด ไปหยุดอยู่ตรงเชิงของแผ่นศิลาสีดำขนาดใหญ่

เขาพลิกมือเรียกยาเม็ดออกมาหลายเม็ดกลืนลงท้อง เพราะทุกครั้งที่ใช้ตราธรรมจุติมรณะ ล้วนแต่เกือบจะทำให้ปราณแท้ของเขาถูกเผาผลาญจนหมด

ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจเล็กน้อยคือ อสูรกายพวกนั้นกลับหยุดไม่ได้ไล่ตามมา

“สถานที่แห่งนี้มีวิชาห้ามค่ายกลปกคลุม ถึงว่าพวกเขาไม่ไล่ตามมา” ตัวสำนึกของหลัวซิวกระจายไปโดยรอบ ค้นพบเบาะแสบางอย่าง

อะไรกันแน่ที่ถูกบันทึกไว้บนแผ่นศิลา ทำให้อสูรกายพวกนี้ปกป้องอย่างสุดชีวิต แต่กลับไม่สามารถเข้ามาตรวจดู?

หลัวซิวเงยหน้าขึ้นมอง เห็นเพียงบนแผ่นศิลาสีดำมีตัวอักษรถูกแกะสลักไว้นับไม่ถ้วน เขาหรี่ตาลงเพื่อต้องการมองให้ชัดเจนมากขึ้น กลับเห็นตัวอักษรที่อยู่ด้านบนเรืองแสงพร้อมกันทั้งหมด

ตัวอักษรทั้งหมดหลุดออกจากแผ่นศิลา หลังจากนั้นมันรวมกันที่กลางอากาศ กลายเป็นภาพเงาของมนุษย์ขนาดใหญ่อย่างรวดเร็ว

ร่างเงาของคนคนนี้เป็นสีทองทั้งหมด มีวงแหวนศักดิ์สิทธิ์ลอยอยู่ตรงหลังศีรษะ สายตามองมาทางหลัวซิว หลังจากนั้นยกนิ้วมือขึ้นชี้ไปที่กลางหว่างคิ้วของเขา

เห็นภาพนี้ หลัวซิวกำลังจะหลบตามสัญชาตญาณ แต่กลับมีกลิ่นอายที่รุนแรงสายหนึ่งพันธนาการทำให้ไม่สามารถขยับตัว

บูม!

ทันทีที่นิ้วมือจิ้มลงกลางหว่างคิ้วของหลัวซิว หลัวซิวรู้สึกว่าภาพตรงหน้าของตนเองเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ประกายแสงที่เจิดจรัสปะทุขึ้น กลืนกินร่างกายของเขาหายไป

มีข้อมูลนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่ตัวหยั่งรู้ ชั่วขณะ ทำให้หลัวซิวขมวดคิ้ว แสดงสีหน้าของการเข้าถึงออกมาเป็นครั้งคราว

ส่วนจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำที่อยู่ในร่างกายของเขา ถูกพลังสายหนึ่งปิดกั้น วินาทีนี้กลับเข้าสู่สภาวะจำศีล ไม่สามารถรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกภายนอก

“ข้านามเจ้ามรณะ สงครามระหว่างเผ่ามนุษย์และเผ่ามาร ข้าเปิดทางสายใหม่ ต่อกรเผ่ามาร คิดค้นวิชาลับสามแขนง”

“วิชาคุมมาร ใช้พลังแห่งกฎสร้างขีดจำกัด ทะลวงสู่ร่างเผ่ามาร สามารถควบคุมดั่งใจปรารถนา!”

“วิชาสยบมาร หมื่นอสูรก้มกราบ ข้าผู้ไร้เทียมทาน!”

“วิชากลั่นมาร ผนึกมารด้วยค่ายกล สังหารเพื่อรับลูกแก้ว……”

ข้อมูลที่หลั่งไหลเข้าไปในหัว เป็นบันทึกชีวิตของผู้แข็งแกร่งเผ่ามนุษย์ที่ชื่อเจ้ามรณะ

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 548
“นี่ก็คือความลับของแดนนานาอสูรเหรอ?” ตอนที่จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำมองแผ่นศิลาสีดำผ่านสายตาของหลัวซิว ในส่วนลึกของหัวใจก็เต็มไปด้วยความตกใจเช่นกัน

ศิลาจารึกโบราณที่มีความสูงหลายร้อยฟุต ก็คือชื่อของผู้แข็งแกร่งที่ชื่อเจ้ามรณะ ผู้ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของสถานที่แห่งนี้?

“ลงมือ!”

ในตอนนั้นเอง หลัวซิวยิ่งอยู่ก็ยิ่งเข้าใกล้แผ่นศิลาจารึก ราชาเผ่ามารอีกเก้าคนที่เหลือซึ่งกลายร่างเป็นมนุษย์ลงมือพร้อมกัน

แดนนานาอสูรดำรงอยู่มายาวนานจนนับไม่ถ้วน หลายหมื่นปีที่ผ่านมา อสูรกายที่อาศัยอยู่ในแดนนานาอสูรไม่มีวันตาย ราวกับพวกมันมีชีวิตที่ไม่รู้จบ

ผลการฝึกตนของอสูรกายพวกนี้ไม่สามารถเพิ่มพูนไปอยู่ในระดับที่เหนือกว่า แต่กลับสามารถใช้วิธีบางอย่างทำให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้น

โดยเฉพาะอสูรกายระดับจักรพรรดิขั้นสูงสุดที่กลายร่างเป็นมนุษย์สิบตน แต่ละตนเมื่อออกสู่โลกภายนอก สามารถก้าวข้ามระดับไปฆ่าผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์แน่นอน

อสูรกายพวกนี้ลงมือพร้อมกัน ถึงเป็นหลัวซิว ก็ต้องรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลราวกับกำลังแบกรับภูเขาลูกใหญ่ในทันที

“ผนังเทพไท่เสวียน!”

หลัวซิวส่งเสียงคำรามด้วยความโกรธ โคจรวิชาฝึกจิตไท่เสวียนปกป้องร่างกาย ถึงสามารถสลายพลังการจู่โจมส่วนใหญ่ แต่ภายใต้การปิดล้อมโจมตีของเผ่ามารสิบตนที่ไม่ด้อยไปกว่าตนเอง เขาเข้าสู่ศึกการต่อสู้ที่ยากลำบากทันที

เพียงแค่พริบตาเดียว หลัวซิวได้รับบาดเจ็บ เลือดสีแดงสดนองร่าง โดนไล่ต้อนถอยอย่างต่อเนื่อง

“เจ้าหนูหลัว เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอสูรกายพวกนี้ รีบหนีเร็ว!” จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำพูดขึ้นด้วยความร้อนใจ

บูม!

ร่างกายพุ่งออกไป เลือดสีแดงกระอักออกจากปาก แววตาทั้งคู่ของหลัวซิวควบแน่น บนแผ่นหลังมีปีกทิพย์คู่หนึ่งกางออกอย่างกะทันหัน

ในขณะเดียวกัน เขาโคจรพลังกฎการเวียนว่ายตายเกิดไปที่ปักทิพย์ทั้งคู่ ความเร็วของเขาเพิ่มสูงขึ้นจนถึงระดับขีดจำกัดทันที

ความเร็วที่ระเบิดออกมาในช่วงพริบตา ถึงขั้นก้าวข้ามคำว่าเคลื่อนย้ายพริบตา!

“เร็ว! รีบหยุดเขา!”

เจ้าอสูรกายทั้งสิบรวมไปถึงมังกรสาว สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน

“ทำไมการความเร็วของเขาถึงเร็วขนาดนี้? ตัวสำนึกของข้าไม่สามารถจับร่องรอยด้วยซ้ำ!”

อสูรกายพวกนี้ แต่ละตนปลดปล่อยปราณแท้ออกมาปิดกั้นพื้นที่ แต่กลับไม่ได้ผลแต่อย่างใด ถูกหลัวซิวพุ่งผ่านแนวป้องกันของเจ้าอสูรกายทั้งสิบตนในพริบตา

“กลัวอะไร? พวกเราวางค่ายกลไว้โดยรอบศิลามรณะตั้งนานแล้ว เขาอย่าหวังจะบุกเข้าไปได้” เผ่ามารที่เชี่ยววชาญค่ายกลตนหนึ่งพูดด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย

“ความเร็วของเจ้า……”

จักรพรรดิเสวียนดำก็รู้สึกตกใจเช่นกัน เท่าที่เขารู้เกี่ยวกับหลัวซิว แต่กลับไม่รู้ว่าความเร็วของหลัวซิวถึงขั้นสามารถบรรลุถึงระดับนี้

เร็วกว่าการเคลื่อนย้ายในพริบตาระยะสั้น นี่มันหลักการแบบไหน?

ถ้าหากพูดถึงระยะทางหลายร้อยเมตร เมื่อใช้การเคลื่อนย้ายในพริบตาระยะสั้น สามารถถึงจุดหมายได้ภายในเวลาเพียงชั่วอึดใจเดียว ระยะทางหนึ่งพันกว่าเมตรใช้เวลาประมาณเกือบสองช่วงอึดใจ

และหลัวซิวกลับสามารถพุ่งผ่านระยะทางพันเมตรในเวลาหนึ่งอึดใจโดยตรง

ความเร็วของปีกทิพย์ไร้มลทินก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือใช้พลังของกฎการเวียนว่ายตายเกิดมาขับเคลื่อน

จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำรู้ว่าหลัวซิวทิ้งชิ้นส่วนของกฎเบญจธาตุไว้ที่สำนักไท่เสวียน ไม่มีกฎเบญจธาตุ เขาสามารถขับเคลื่อนปีกไร้ทิพย์ด้วยความเร็วที่สูงขนาดนี้ได้อย่างไร?

“หรือว่าเขาเข้าถึงกฎอย่างอื่นแล้ว?”

จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำไม่สามารถรับรู้สถานการณ์ร่างกายโดยรวมของหลัวซิว นอกเสียจากหลัวซิวจะเป็นคนบอกเขาเอง ส่วนเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกฎการว่ายเวียนตายเกิด หลัวซิวกลับไม่เคยเอ่ยถึง

หลัวซิวบินหนีด้วยความเร็วสูง สามารถพุ่งผ่านแนวป้องกันของเจ้าอสูรกายทั้งสิบตนในชั่วพริบตาเดียว

แต่ระบบประสาทของเขากลับไม่มีความรู้สึกที่ผ่อนคลายลง เพราะตัวสำนึกของเขาสามารถสัมผัสได้ถึงด้านหน้ากำลังมีค่ายกลที่กำลังรอให้เขาเข้าไปในตาข่ายเอง

“เป็นค่ายกลที่มีพลังทำลายล้างเกือบเทียบเท่าค่ายกลอัสนีขั้นเจ็ด” จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำคาดเดาระดับและพลังของค่ายกลออกมาในแทบจะทันที

“ไม่มีเวลาพอให้เจ้าคลายค่ายกลแล้ว ทำได้เพียงต้องฝ่าไปเท่านั้น ไม่เช่นนั้น เมื่อไหร่ที่เจ้าหยุดลง เจ้าอสูรกายทั้งสิบที่อยู่ด้านหลังไล่ตามมาทันแน่นอน” จักรพรรดิเสวียนดำพูดเสริมอีกประโยค

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 547
แกนกลางของสถานที่แห่งนี้ มีอสูรกายจำนวนมากที่จำศีลอยู่ หลัวซิวรู้ดีว่าถึงการเคลื่อนไหวของตนเองจะเร็วมากแค่ไหน ก็ต้องถูกขวางแน่นอน เมื่อไหร่ที่ถูกอสูรกายจักรพรรดิช่วงปลายปิดล้อม ด้วยความสามารถของเขาหนีเอาตัวรอดไม่ใช่เรื่องยาก แต่ถ้าหากต้องการบุกเข้าไปในแกนกลางก็เลิกคิดได้เลย

ดังนั้นหลัวซิวจึงปกปิดความแข็งแกร่งของตนเองมาโดยตลอด จุดประสงค์หลักคือ ก็เพื่อทำให้อสูรกายที่ตื่นจากการหลับใหลพวกนี้ คาดเดาความแข็งแกร่งของตนเองผิด

ผ่านไปสักพัก ชายร่างเผ่ามารก็ไล่ตามมาจนทัน แต่ไม่ได้ยื่นมือเข้ามายุ่ง เพียงแค่ยืนสองมือกอดอกดูการต่อสู้ด้วยความสนใจ

“แฮ่ๆ เขตที่ห้าของพวกเรามีราชาทั้งหมดสิบตน ความแข็งแกร่งของราชามังกรสาวตนนี้จัดอยู่ที่อันดับสาม นักยุทธ์เผ่ามนุษย์คนนั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง”

“เนื้อแท้ของมังกรมีตัณหา เกรงว่าที่ราชามังกรสาวต้องการจับมนุษย์คนนี้เพื่อ…”

การต่อสู้กลางอากาศโดยพื้นฐานเป็นการไล่ต้อนอยู่ฝ่ายเดียว สำหรับอสูรกายส่วนใหญ่ที่กำลังชมการต่อสู้อยู่โดยรอบ มันคือการที่ราชามังกรสาวของพวกมันกำลังแสดงความน่าเกรงขาม ไล่ต้อนนักยุทธ์เผ่ามนุษย์คนนั้นขออย่างต่อเนื่อง

ด้านข้างของชายร่างใหญ่เผ่ามาร มีเผ่ามารที่กลายเป็นรูปร่างของมนุษย์ปรากฏขึ้นหลายตนอย่างไร้เสียงไร้กลิ่น

หนึ่งในเผ่ามารรูปร่างมนุษย์คนแก่ลูบเคราสีขาวของตนเอง ขมวดคิ้วแล้วพูด “เผ่ามนุษย์คนนี้สู้พลางถอยพลาง เข้าใกล้ทิศทางของศิลามรณะอย่างต่อเนื่อง มีแรงจูงใจแอบแฝง”

เผ่ามารที่อยู่ในแดนนานาอสูรไม่มีวันตาย ดำรงอยู่มายาวนานไม่รู้จบ พวกเขาย่อมสังเกตเห็นพฤติกรรมที่มีลับลมคมในของหลัวซิวบางอย่างเป็นเรื่องธรรมดา

“ฮึ่ม กาลเวลานับไม่ถ้วนที่ผ่านมา มีเผ่ามนุษย์จำนวนนับไม่ถ้วนที่เกิดความโลภต่อศิลามรณะ ถ้าหากเขาคิดว่าการทำแบบนี้ช่วยทำให้เขาสามารถทำสำเร็จ มันจะเป็นการดูถูกพวกเราเกินไปแล้ว” เผ่ามารตนหนึ่งพูดด้วยสีหน้าที่ดูถูก

“เรื่องศิลามรณะมีความสำคัญอย่างยิ่ง เมื่อไหร่ที่มีคนได้ไป มันจะเป็นหายนะครั้งใหญ่สำหรับเผ่ามารอย่างพวกเรา จำเป็นต้องหยุดเขา”

“นิสัยขี้เล่นของมังกรสาวทุกคนก็รู้ดี ในเวลานี้ถ้าหากมีใครยื่นมือเข้าไปยุ่ง ไม่แน่นางอาจจะระเบิดอารมณ์ออกมาทันที พวกเราไปเฝ้าทางศิลามรณะด้วยกัน ถึงเผามนุษย์คนนี้มีสามเศียรหกหัตถ ก็ไม่มีทางฝ่าพวกเราไปได้อย่างแน่นอน”

หลังจากที่เผ่ามารหลายตนปรึกษากันสักพัก ทันใดนั้นทะยานขึ้นกลางอากาศ กลายเป็นลำแสง บินไปเฝ้าทิศทางของทิศทางของศิลามรณะ

หลัวซิวยอมสังเกตเห็นพฤติกรรมของเผ่ามารเหล่านี้ ตรงมุมปากปรากฏให้เห็นรอยยิ้ม “ถูกพวกเจ้าจับได้แล้วยังไง?”

เขารู้อยู่แล้วว่ากลอุบายเล็กน้อยของตนเองต้องถูกเผ่ามารพวกนี้จับได้แน่นอน แต่หลัวซิวกลับไม่ใส่ใจ ขอเพียงสามารถเข้าใกล้เป้าหมาย เขาก็สำเร็จเกินครึ่งแล้ว

หลัวซิวเพิ่งสังเกตเห็นตอนที่เข้าใกล้ สิ่งที่ตั้งอยู่ตรงแกนกลางของเขตห้า มันใช่ยอดเขาสีดำอะไรสักที่ไหน เห็นได้ชัดว่ามันคือแผ่นศิลาจาลึกสีดำขนาดใหญ่!

แผ่นศิลาจาลึกแผ่นนี้ทะลุทะลวงฟ้าดิน ราวกับปล่อยดอกทะลวงเข้าไปในท้องฟ้า

เผ่ามารเก้าตนที่กลายร่างเป็นมนุษย์เฝ้าอยู่ตรงทางที่จำเป็นต้องผ่าน แต่ละตนปล่อยจิตสังหารที่รุนแรงออกมา เมื่อไหร่ที่เผ่ามนุษย์คนนี้เข้าใกล้ ถึงการลงมือต้องล่วงเกินมังกรสาว พวกเขาก็ไม่ลังเลที่จะลงมือเข่นฆ่า

“แผ่นจารึกเจ้ามรณะ ตั้ง ณ สถานที่แห่งนี้!”

ห่างตาของหลัวซิวเหลือบมอง สังเกตเห็นตัวอักษรบนแผ่นศิลาที่เหมือนภูเขาสีดำขนาดใหญ่

แผ่นศิลาสีดำขนาดใหญ่แผ่นนี้ ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางของเขตที่ห้าโดยไร้เสียง

มองจากระยะไกล ก็เหมือนกับยอดเขาสีดำที่ตั้งตะหง่านทะลุท้องฟ้า

มีกลิ่นอายของความโบราณและความผันผวนไปเวียนอยู่บนแผ่นศิลา บนแผ่นศิลาเต็มไปด้วยร่องรอยของกาลเวลา

มันถูกตั้งอยู่ตรงนี้ตั้งแต่ก่อนยุคบรรพกาล ผ่านกาลเวลามายาวนานนับไม่ถ้วน

ศิลาจารึกเจ้ามรณะ ตั้ง ณ สถานที่แห่งนี้

เจ้ามรณะเป็นใคร?

คนแรกที่หลัวซิวนึกถึงเลยก็คือเจ้าของแดนนานาอสูรแห่งนี้

นอกจากนี้ บนแผ่นศิลายังมีลวดลายแกะสลักของตัวอักษรและรูปภาพ แต่เนื่องจากระยะห่าง หลัวซิวไม่สามารถมองเห็นอย่างชัดเจน

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 546
ปัง! ปัง! ปัง! ……

ร่างกายของคนทั้งสองกลายเป็นเงา หลัวซิวไม่ได้ใช้ปราณแท้ อสูรกายสาวก็ไม่ได้ใช้พลัง หนึ่งคนหนึ่งอสูรกายอาศัยพละกำลังของร่างกายเข่นฆ่ากัน การต่อสู้ยากจะแยกฝ่ายใดเป็นผู้เหนือกว่า

“แหมแหม ข้าชักจะยิ่งอยู่ยิ่งชอบเจ้าแล้วสิ ไม่สู้เจ้าอยู่ที่นี่ ข้ารับประกันไม่มีใครทำร้ายเจ้าแน่นอน ว่ายังไง?”

มีลวดลายของมังกรสีทองปรากฏขึ้นกลางหว่างคิ้วของอสูรกายสาว ดวงตาทั้งคู่กวาดมองหลัวซิวตั้งแต่หัวจรดเท้าโดยไม่มีความเกรงใจด้วยสีหน้าที่พึงพอใจ

ถึงเป็นนักยุทธ์ร่างที่ฝึกร่างเผ่ามนุษย์ ภายใต้สถานการณ์ที่อยู่ในระดับเดียวกัน ร่างเนื้อยังคงด้อยกว่าอสูรกายที่มีลักษณะเฉพาะ มีเพียงส่วนน้อยที่นักยุทธ์ใช้วิชาฝึกร่างขั้นสูง ถึงสามารถฝึกร่างเนื้อจนเทียบเท่ากับเผ่ามาร หรือถึงขั้นเหนือกว่าเผ่ามาร

ส่วนอสูรกายสาวในฐานะที่เป็นเผ่ามังกร มีสายเลือดชั้นสูง ร่างกายย่อมต้องจัดอยู่ในระดับแนวหน้าของเผ่ามาร และเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่อยู่ตรงหน้าสามารถยืนหยัดสู้กับตนเอง เรื่องนี้ทำให้อสูรกายสาวรู้สึกตกใจมาก

ทว่าอสูรกายสาวกลับไม่รู้ ร่างเนื้อของหลัวซิวไม่ได้อยู่ในระดับที่สูสีกับนาง แต่แข็งแกร่งกว่านาง แต่เป็นเพียงเพราะถูกจำกัดโดยวิชาห้ามค่ายกลของแดนนานาอสูรเท่านั้น

“มังกรสาว เจ้าหนูเผ่ามนุษย์คนนี้ดูแล้วน่าจะอายุยังน้อย คาดว่าขนยังขึ้นไม่ครบเลยมั้ง แต่เจ้ากลับทำอะไรไม่ได้เลย?”

ทันใดนั้น มีเสียงหัวเราะที่สะเทือนฟ้าสะท้านดินดังขึ้น ชายร่างสูงกำยำหนึ่งเมตรแปด สีผิวเงาเทา ตกลงมาจากท้องฟ้าราวกับหอคอยสูง รองเท้าเหยียบลงพื้น ฝุ่นตลบอบอวลไปทั่ว

ชายร่างใหญ่คนนี้ย่อมกลายร่างมาจากเผ่ามาร การที่สามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ในระดับจักรพรรดิขั้นหก ต้องเป็นอสูรกายที่มีสายเลือดชั้นสูงแน่นอน

เพราะร่างกายของมนุษย์เหมาะแก่การฝึกตนมากกว่า ดังนั้นสำหรับอสูรกาย ยิ่งสามารถเปลี่ยนแปลงเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น ยิ่งมีสายเลือดชั้นสูงมากเท่าไหร่ การเปลี่ยนแปลงก็ยิ่งเร็วขึ้นเท่านั้น การเติบโตของศักยภาพก็ย่อมสูงตามไปด้วย

อย่างเช่นหลิงหมิงมังกรไร้เงา สามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ตั้งแต่ตอนอยู่ในระดับราชาขั้นห้า

ไม่ต้องสงสัยเลย ในแกนกลางของเขตที่ห้า เผ่ามารที่กลายร่างเป็นมนุษย์แข็งแกร่งที่สุด ชายเผ่าพันธุ์มารตนนี้ไม่ด้อยไปกว่าอสูรกายสาว

“เขาเป็นของข้า เจ้าตัวใหญ่ เจ้ากล้ามาแย่งกับข้า ระวังข้าจะไม่เกรงใจกับเจ้า!” อสูรกายสาวเห็นชายร่างใหญ่ปรากฏตัว มือเท้าเอวตะคอกด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาทันที

ทว่าในตอนนั้นเอง ร่างของหลัวซิวกระโดดทะยานขึ้นกลางอากาศ ยิ้มแล้วพูด “พวกเจ้าค่อยๆเล่นไปเถอะ ข้าขอตัวก่อนแล้ว”

พูดจบ หลัวซิวใช้วิชาท่าร่างบรรลุมังกรเขียว กลายเป็นลำแสงบินไปทางส่วนลึกของแกนกลาง

“เหอะเหอะ เจ้าหนุ่มเจ้าหนีไม่พ้นหรอก หรือเจ้าไม่รู้ว่าถ้าเทียบเรื่องของความเร็ว ในเผ่ามารมีเพียงไม่กี่คนที่สามารถเทียบกับเผ่ามังกรของพวกเรา?”

อสูรกายสาวไม่คิดแบบนั้น ร่างกายกลายเป็นแสงสีทอง ไล่ตามหลัวซิวออกไปพร้อมกับเสียงคำรามของมังกร

“ฮึ่ม! มังกรสาวเจ้าอย่าห่วงแต่เล่น ถ้าหากปล่อยให้เขาเข้าใกล้ศิลามรณะ ผลที่ตามมาเป็นยังไงเจ้าก็น่าจะรู้ดี!” ชายร่างใหญ่เผ่ามารตะคอกเสียงดัง

แต่อสูรกายสาวกลับทำเหมือนไม่ได้ยิน มีเพียงเสียงหัวเราะที่เย้ายวนราวกับระฆังเงินของนางเท่านั้นที่สะท้อนบนท้องฟ้า

วิชาท่าร่างบรรลุมังกรเขียว อันที่จริงเป็นเพราะผู้อาวุโสเผ่าพันธุ์มนุษย์มีโอกาสเห็นมังกรเขียวเหินหาวอยู่กลางอากาศ และเรียนรู้บางสิ่งจับมัน ซึ่งนำมาสู่การใช้ปราณแท้ที่เป็นลักษณะเฉพาะเพื่อให้ได้ผลที่คล้ายคลึงกัน

แต่ถ้าหากเผชิญหน้ากับเผ่ามังกรที่แท้จริง วิชาท่าร่างแขนงนี้ย่อมไม่สามารถเทียบกับต้นกำเนิดของมัน ดังนั้นในเวลาเพียงไม่กี่สิบอึดใจ หลัวซิวโดนเผ่ามังกรที่กลายร่างเป็นอสูรกายสาวไล่ตามจนทัน

“เหอะเหอะเหอะ ข้าบอกแล้วเจ้าหนุ่มเจ้าหนีไม่พ้น เข้ามาอยู่ในชามของข้าเดี๋ยวนี้”

เสียงหัวเราะของสาวอสูรกายเผ่ามังกรดังเข้ามาในหู หลังจากนั้นมีแสงสีทองรวมตัวกลางอากาศ สุดท้ายกลายเป็นชามขนาดใหญ่คว่ำลงมาคลุมตัวของหลัวซิว

“คิดจะจับข้าเหรอ มังกรตัวเมียอย่างเจ้ายังขาดความสามารถอีกเยอะ” หลัวซิวไม่คิดแบบนั้น ยกมือขึ้นชี้ออกไป ชามสีทองระเบิดแตกออกเป็นเสี่ยงทันที

ครั้งนี้ หลัวซิวไม่ได้เลือกที่จะหนีต่อ แต่หันมาปะทะกับอสูรกายสาวเผ่ามังกรอย่างต่อเนื่อง สู้พลางถอยพลาง

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 545
“มาแล้ว!”

ทันทีที่หลัวซิวเคลื่อนไหวเข้าไปในแกนกลางอีกครั้ง เผ่าพันธุ์อสูรกายและอสูรกายบางตนที่มีพรสวรรค์พิเศษสามารถรับรู้ฟ้าดิน สัมผัสได้ถึงทันที

“อย่ารวมตัวเข้าด้วยกัน ไม่เช่นนั้นจะทำให้เขาตกใจกลัวจนหนีไปอีก แบบนั้นจะไม่มีใครมาสนุกกับพวกเราแล้ว”

“คิดแต่จะสนุกอย่างเดียวก็ไม่ได้ ห้ามให้เขาเข้าใกล้ศิลามรณะเด็ดขาด”

“น่าขำ อสูรกายนับร้อยอย่างพวกเรามารวมตัวกันอยู่ที่นี่ ถึงเขามีสามเศียรหกหัตถก็อย่าหวังจะได้บุกเข้าไป”

เดิมทีตามความคิดของหลัวซิว หลังจากที่เขาเข้าสู่แกนกลาง อสูรกายและเผ่ามารจะรุมล้อมเข้ามาโจมตีตนเองทันที

เมื่อเป็นแบบนี้ เขาจะอาศัยความเร็วของปีกทิพย์ไร้มลทินทิ้งห่างอสูรกายพวกนี้ เข้าไปสำรวจในส่วนลึกของแดนปริศนาแห่งนี้ ตกลงมันมีความลับอะไรซ่อนอยู่กันแน่

แต่สิ่งที่ทำให้เขาคาดคิดไม่ถึงคือ หลังจากที่เข้าไปอีกครั้ง กลับไม่มีฉากที่เอิกเกริกปรากฏขึ้น มีเพียงอสูรกายสองตนขวางอยู่ตรงหน้าของเขา

อสูรกายสองตนนี้ ในนั้นคือหมาป่ายักษ์ที่มีขนสีทองทั้งตัว ตรงหว่างคิ้วมีดวงตาที่สามตั้งฉากอยู่ตรงนั้น

ส่วนอีกตนเป็นลิงยักษ์ที่มีขนสีขาวทั้งตัว นอกจากนี้บนไหล่ของมันยังมีอสูรกายที่กลายเป็นร่างมนุษย์ยืนอยู่ตรงนั้นหนึ่งตน เป็นผู้หญิงสง่างามที่มีรูปร่างพริ้วบาง

คิ้วของผู้หญิงคนนี้ราวกับผ้าไหม รวมชุดผ้าแพรโปร่ง เรือนร่างที่บอกบางถูกซ่อนอยู่ใต้ผ้าแพรโปร่ง ค่อนข้างดึงดูดสายต่อ

“เผ่ามนุษย์ การที่เจ้าสามารถบุกเข้ามาถึงที่นี่ ดูเหมือนเจ้าเป็นคนที่แข็งแกร่งมาก ไม่รู้ว่ากล้าสู้กับข้าสักครั้งหรือเปล่า?” ลิงยักษ์ทุบหน้าอกของตนเอง ส่งเสียงพูดที่ดังและทุ้มต่ำออกมา

“เมื่อกี้คุยกันแล้วว่าข้าก่อน หลบไปเลยเจ้าลิงบ้า” หางสีทองของหมาป่ายักษ์กระดิกไปมา ย่อเข่าลงกระโดดไปยืนอยู่ตรงหน้าของลิงยักษ์ด้วยท่าทางที่กระตือรือร้นอยากลอง

“พวกเจ้าสองตัวเลิกแย่งกันได้แล้ว ผิวพรรณของมนุษย์คนนี้ละเอียดอ่อนนุ่มนวล ข้าอยากใกล้ชิดกับเขามาก” อสูรกายสาวที่ยืนอยู่บนไหล่ของลิงยักษ์ใช้มือปิดปากของตนเอง หัวเราะเหอะเหอะแล้วพูด และยังขยิบตาให้หลัวซิวอย่างมีเสน่ห์

อสูรกายทั้งสามตนเหมือนกำลังโต้เถียง ล้วนแต่ต้องการประลองฝีมือกับหลัวซิว

ตัวสำนึกของหลัวซิวคอยเฝ้าระวังการเคลื่อนไหวโดยรอบตลอด ภายใต้ขอบเขตการรับรู้ชีวิต สามารถมั่นใจได้ว่าโดยรอบไม่มีฝูงอสูรกายตนอื่น

ในตอนนั้นเอง อสูรกายสาวที่มีเสน่ห์กระโดดลงมาจากไหล่ของลิงยักษ์อย่างกะทันหัน เดินเข้าไปหาหลัวซิว หัวเราะเหอะเหอะแล้วพูด “เจ้าหมาป่าใหญ่ เจ้าลิงรอง ผู้ชายเผ่ามนุษย์คนนี้ให้ข้าลิ้มลองก่อน”

การเดินของอสูรกายสาวไม่ได้ถือว่าเร็ว แต่ร่างกายกลับปรากฏขึ้นและหายไปเป็นครั้งคราว ไปยืนอยู่ตรงหน้าของหลัวซิวในชั่วพริบตา ระยะห่างของคนทั้งสอง อย่างมากก็มีเพียงสองก้าว

สีหน้าของหลัวซิวเป็นปกติ ไม่ได้แสดงท่าทีของความตื่นตระหนกที่หวาดกลัวออกมา ภายใต้สถานการณ์ที่ใกล้กัน เขาสังเกตเห็นอสูรกายสาวที่อยู่ฝั่งตรงข้ามมีม่านตาสีทองที่ตั้งฉากหนึ่งคู่

“เด็กน้อย ลองรับฝ่ามือของข้าดู”

ทันใดนั้น อสูรกายสาวยกฝ่ามือที่ขาวเรียวราวกับหยกขึ้น การเคลื่อนไหวดูอ่อนโยน ทว่ากลับทำให้รูม่านตาของหลัวซิวหดลง รีบลงมือทันทีเช่นกัน

ปัง!

มีเสียงระเบิดสายหนึ่งกระจายออกเป็นวงกว้าง ตรงฝ่ามือที่ปะทะกัน ความว่างเปล่าเกิดการแตกร้าว หลัวซิวและอสูรกายสาว ถอยหลังคนละก้าวทันที

“เป็นพละกำลังที่แข็งแกร่งมาก!”

“เป็นร่างกายที่ทนทานมาก ข้ายิ่งอยู่ก็ยิ่งชอบเจ้าแล้ว”

หลัวซิวรู้สึกตกใจเล็กน้อย ส่วนอสูรกายสาวเลียริมฝีปากสีแดงของตนเองด้วยท่าทางที่เย้ายวน ม่านตาสีทองที่ตั้งฉากทั้งคู่ปลดปล่อยประกายความตื่นเต้น ราวกับค้นพบเหยื่อที่ตนเองรู้สึกสนใจอย่างยิ่ง

“โฮง!”

อสูรกายสาวเงยหน้าขึ้นส่งเสียงคำรามของมังกรออกมาอย่างกะทันหัน รูปลักษณ์ที่ดูอ่อนโยนกลับพุ่งเข้ามาหาหลัวซิวด้วยความดุดัน ในขณะเดียวกันก็หัวเราะเหอะเหอะแล้วพูด “ร่างกายของเจ้ายิ่งทนทานยิ่งดี ข้าจะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องสนุกกับเจ้าจนพัง”

ทันทีที่ได้ยินเสียงคำรามของมังกร หลัวซิวรู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นมารที่กลายร่างมาจากเผ่ามังกร

ในบรรดาอสูรกาย เผ่ามังกรต้องเป็นเผ่าที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างแน่นอน เกิดมาพร้อมกับร่างกายที่แข็งแกร่ง พลังการต่อสู้หน้าตกใจ

“ร่างกายของมังกรตัวเมียตนนี้ต้องอยู่ในระดับแดนขีดจำกัดร่างยุทธ์อย่างแน่นอน”

หลัวซิวหรี่ตาลง ถ้าหากไม่โดนจำกัดด้วยวิชาห้ามค่ายกลของเขตที่ห้า เขาต้องการจัดการมังกรตัวเมียตนนี้ย่อมเป็นเรื่องที่ง่ายมาก

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 544
“เผ่ามนุษย์! พวกข้ารอเจ้ามานานมากแล้ว!” มีเสียงพูดที่น่าเกรงขามสายหนึ่งดังขึ้นอย่างกะทันหัน

“เป็นตัวสำนึกที่แข็งแกร่งมาก” หลัวซิวขมวดคิ้ว รับรู้ความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายผ่านตัวสำนึก

เห็นได้ชัด เจ้าของตัวสำนึกก็คืออสูรกายแข็งแกร่งที่พิทักษ์แกนกลางของสถานที่แห่งนี้ อสูรกายพวกนี้ไม่สามารถออกจากแกนกลาง แต่กลับรู้เรื่องที่มีมนุษย์เข้ามาในแดนปริศนา

หลัวซิวรู้สึกถึงบางอย่าง เงยหน้าขึ้นมองกลางอากาศที่อยู่ไม่ไกล กลิ่นอายอสูรกายที่พลุ่งพล่านกลายเป็นหมอกสีดำปกคลุมท้องฟ้า ราวกับภูเขาสีดำกำลังกดทับลงมา

เมื่อเทียบกับคลื่นยักษ์ที่เกิดจากการรวมตัวของอสูรกายเผ่าน้ำก่อนหน้านี้ หมอกสีดำที่เกิดขึ้นจากกลิ่นอายอสูรกายกลุ่มนี้ มันเหมือนกับอสูรกายร้ายโบราณที่น่าสะพรึงกลัว ส่วนคลื่นยักษ์อ่อนโยนราวกับลูกแกะ

“เวร พลังสายนี้แม้แต่มกุฎยุทธ์ก็ต้องหันหลังวิ่งหนี ข้าต้านไม่ไว้!” หลังจากเข้ามาในแดนนานาอสูร นี่เป็นครั้งแรกที่สีหน้าของหลัวซิวเปลี่ยนไป

ภายในหมอกสีดำที่มืดมน มีร่างของอสูรกายขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นเป็นครั้งคราว ยิ่งไปกว่านั้น หลัวซิวยังสังเกตเห็นอสูรกายหลายตนที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์ยืนอยู่ตรงนั้น สีหน้าเผยให้เห็นรอยยิ้มที่เย็นชา เจตนาแห่งการฆ่าท่วมท้น

“ตอนไม่ไหวยังไม่รีบหนีอีก?” จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำเบ้ปากพูด

ในขณะที่พูด หลัวซิวได้โคจรปีกทิพย์ไร้มลทินมาสักพักแล้ว ทันใดนั้น กลายเป็นลำแสงสายหนึ่งหายเข้าไปในสุดขอบฟ้า

“นี่……”

ภายในเมฆสีดำ อสูรกายที่มีกลิ่นอายเจตนาแห่งการฆ่าท่วมท้นตกตะลึง

“หรือเป็นเพราะการแสดงออกของพวกเราน่ากลัวเกินไป ก็เลยทำให้เขาตกใจกลัวจนหนี?”

“บัดซบเอ้ย เวลาหลายหมื่นปีมานี้เบื่อจนแทบจะทนไม่ไหวแล้ว มันไม่ง่ายเลยที่จะมีเผ่ามนุษย์มาสนุกด้วย แต่กลับโดนพวกเจ้าทำให้ตกใจจนหนีไปแล้ว!”

เวลาหลายหมื่นปีที่ไม่สามารถฝึกตน และยังไม่สามารถตาย ชีวิตแบบนี้มันไร้จุดหมายและอ้างว้าง ทำให้อสูรกายส่วนใหญ่ที่อยู่ในดินแดนแห่งนี้คาดหวังที่จะมีมนุษย์เดินเข้ามา เมื่อเป็นแบบนี้มันจะทำให้พวกมันรู้สึกเหมือนดำรงอยู่บนโลกใบนี้…

หลัวซิวไม่รู้เรื่องพวกนี้ สิ่งเดียวที่เขารู้คือ อสูรกายจักรพรรดิช่วงปลายนับร้อยตนมารวมตัวด้วยกัน มันไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถต้านทานได้แน่นอน

ยิ่งไปกว่านั้น ในบรรดาอสูรกายจักรพรรดิช่วงปลายพวกนี้ ส่วนใหญ่ได้กลายเป็นร่างมนุษย์ที่บรรลุจักรพรรดิยุทธ์ขั้นสูงแล้ว!

ตรงสุดเขตแดนของแกนกลาง หลัวซิวหยุดลง พวกอสูรกายจักรพรรดิช่วงปลายไม่สามารถข้ามเขตแดน อสูรกายจักรพรรดิช่วงกลางทั่วไปก็ไม่สามารถทำอะไรเขา ดังนั้นสถานที่แห่งนี้ถือว่าเป็นสถานที่ปลอดภัย

“เจ้าหนู เห็นยอดเขาที่อยู่ไกลออกไปลูกนั้นหรือเปล่า?” จักรพรรดิเสวียนดำพูดอย่างกะทันหัน

หลัวซิวได้ยิน รีบทะยานขึ้นที่สูง มองไปทางส่วนที่ลึกที่สุดของแกนกลางเขตที่ห้า สามารถมองเห็นเงาสีดำขนาดใหญ่ตั้งตะหง่านอยู่ตรงนั้นได้อย่างเลือนลาง แต่กลับดูไม่เหมือนจริง

“เขตที่ห้าจนถึงเขตที่เก้า ในส่วนลึกสุดของแกนกลางทุกเขตจะมียอดเขาแบบนี้หนึ่งลูก ถ้าหากเจ้าสามารถปีนขึ้นบนยอดเขาลูกนั้น บางทีเจ้าอาจจะสามารถตามหาความลับที่ซ่อนอยู่ในสถานที่แห่งนี้” จักรพันธยุทธ์เสวียนดำพูดแบบนี้

หลัวซิวได้ยิน อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว

แกนกลางของสถานที่แห่งนี้มีจำนวนอสูรกายมากเกินไป ยิ่งไปกว่านั้นยังรู้จักช่วยเหลือกัน สถานการณ์ที่พลังส่วนใหญ่ถูกวิชาห้ามค่ายกลจำกัด คิดจะบุกเข้าไปมันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

“วิชาล่องหนไท่เสวียนสามารถทำให้ข้ารวมเป็นหนึ่งกับพื้นที่โดยรอบ ขอเพียงไม่อยู่ใกล้มากเกินไป ถึงเดินผ่านรังของอสูรกายก็จะไม่ถูกจับได้อย่างง่ายดาย”

“ไม่ได้ เจ้าดูถูกเผ่าพันธุ์อสูรกายที่กลายเป็นร่างมนุษย์มากเกินไปแล้ว ในบรรดาพวกนั้น มีไม่น้อยที่มีพลังพรสวรรค์ที่พิเศษ สามารถสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของห้วงอากาศ ถึงใช้วิชาล่องหนไท่เสวียนซ่อนตัวอยู่ในอากาศ ก็สามารถโดนจับได้อย่างง่ายดายเช่นกัน” จักรพรรดิยุทธ์ฺเสวียนดำปฏิเสธความคิดของหลัวซิวโดยตรง เพราะวิธีแบบนี้ ในยุคบรรพกาลเคยมีผู้แข็งแกร่งของสำนักไท่เสวียนลองใช้มาแล้ว

“บุกเข้าไปไม่ได้ ลอบเข้าไปก็ไม่ได้ ถ้าเป็นแบบนั้นคงต้องอาศัยความเร็วของข้าดูว่าใครเร็วกว่ากัน!” หลัวซิวหรี่ตาลง

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 543
คลื่นยักษ์ที่ดุดันโดนกระบี่แทงทะลุ มีเสียงระเบิดดังปัง แตกกระจายออกเป็นเสี่ยง ทันใดนั้นมีอสูรกายหลายสิบตนร่างระเบิดกลายเป็นละอองเลือด

อสูรกายเผ่าน้ำห้าสิบกว่าตนที่มีมังกรเจียวน้ำแข็งเป็นผู้นำแสดงสีหน้าที่ตกใจ

“เผ่ามนุษย์คนนี้เป็นใคร ความแข็งแกร่งน่ากลัวมาก”

มังกรเจียวน้ำแข็งหน้าถอดสี อสูรกายจักรพรรดิช่วงกลางนับร้อยร่วมมือกัน อสูรกายจักรพรรดิขั้นสูงก็ยังต้องถอยสามก้าว แต่กลับโดนทำลายด้วยกระบวนท่าเดียวของมนุษย์คนนี้?

ทว่าในตอนนั้นเอง กลิ่นอายของความตายสายหนึ่งเข้าปกคลุมมัน มังกรเจียวน้ำแข็งเพิ่งพบว่า นักยุทธ์เผ่ามนุษย์ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามได้หายไปแล้ว มันเข้าใจได้ในทันที ตอนนี้อีกฝ่ายกำลังอยู่ด้านหลังของตนเอง

ปฏิกิริยาตอบสนองแรกของมังกรเจียวน้ำแข็งคือหลบ แต่ก่อนที่เขาจะได้เคลื่อนไหว มีเปลวเพลิงที่ร้อนแรงน่าสะพรึงกลัวสายหนึ่งกลืนกินทั้งร่างของมันโดยตรง

“ไม่! ……”

มังกรเจียวน้ำแข็งกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว มันไม่ได้กลัวตาย เพราะที่นี่คือแดนปริศนา มันสามารถฟื้นคืนชีพ แต่ภายใต้การเผาผลาญด้วยเปลวเพลิงแบบนี้ กลับทำให้มันเจ็บปวดเจียนตาย ก่อนตายยังรู้สึกดีกว่านี้

ผ่านไปไม่นาน ร่างกายของมังกรเจียวน้ำแข็งถูกเผาไหม้จนไม่เหลือซาก ทะเลเพลิงมีรัศมีกว้างร้อยเมตร หลัวซิวเหยียบอยู่บนคลื่นเปลวเพลิง สีหน้านิ่งสงบและไร้อารมณ์

“ฆ่ามัน! แก้แค้นให้ท่านมังกรเจียวน้ำแข็ง!”

อสูรกายเผ่าน้ำที่เหลือกลับไม่ได้เลือกที่จะหนี พวกมันอาศัยความสามารถที่สามารถฟื้นคืนชีพ เข้ามาปิดล้อมหลัวซิวอย่างไม่กลัวตาย

ถ้าหากพวกมันรู้ว่าการถูกเปลวเพลิงเผาผลาญต้องเจ็บปวดเพียงใด เกรงว่าอสูรกายพวกนี้คงไม่พุ่งเข้ามาอย่างวู่วามเป็นแบบนี้

อสูรกายพวกนี้มีเจตนาที่จะฆ่าตนเองให้ตาย หลัวซิวย่อมไม่มีทางใจอ่อน เพราะเขาต้องการลูกแก้วโลหิตที่ควบแน่นหลังจากอสูรกายพวกนี้ตาย

“สิบลูก ยี่สิบลูก……”

หลัวซิวลงมือฆ่าอย่างโหดเหี้ยม อสูรกายพวกนี้ไม่สามารถรวมตัวกันเป็นคลื่นยักษ์จู่โจม ดังนั้นจึงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา

ผ่านไปสักพัก อสูรกายเผ่าน้ำนับร้อยถูกกำจัด แต่หลัวซิวรู้ดี หลังจากผ่านไปช่วงเวลาหนึ่ง อสูรกายพวกนี้ยังสามารถฟื้นคืนชีพได้อีกครั้ง

หลังจากนับลูกแก้วโลหิตในมือ ทุกลูกล้วนแต่แฝงไปด้วยพลังอันบริสุทธ์ สามารถเทียบเท่ายาระดับหก ยิ่งไปกว่านั้นยังแฝงไปด้วยพลังของกลิ่นอายโลหิต สามารถเพิ่มพูนผลการฝึกตนและร่างเนื้อในเวลาเดียวกัน

หลัวซิวอดไม่ได้ที่จะนึกถึงคำพูดของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำก่อนหน้านี้ เขาบอกว่าศาสตราวุธขั้นสูงสุดบนโลกใบนี้ ยาเม็ดและค่ายกล ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์สามารถหลอม แต่เป็นสิ่งของที่เกิดจากการก่อตัวของฟ้าดิน

สิ่งมีชีวิตที่อยู่บนโลกใบนี้ อันที่จริงในเหตุผลบางประการ ก็ถือกำเนิดขึ้นจากฟ้าดินเช่นกัน

หลังจากอสูรกายตายไป กลิ่นอายโลหิตในร่างกายจะกลายเป็นลูกแก้วโลหิต มองจากอีกมุมหนึ่ง สามารถพูดได้ว่าเป็นยาเม็ดที่ถือกำเนิดขึ้นจากฟ้าดิน

บางทีเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องยากที่จะจินตนาการ แต่ถ้าหากคิดจะลงมือทำมันกลับยากยิ่งกว่าเป็นขึ้นสวรรค์ สิ่งนี้ยิ่งทำให้หลัวซิวเกิดความรู้สึกอยากรู้อยากเห็น ตกลงใครเป็นคนสร้างแดนนานาอสูรขึ้นมา?

ประวัติศาสตร์ของยุคบรรพกาล ส่วนใหญ่จมอยู่ใต้น้ำในแม่น้ำสายยาวแห่งประวัติศาสตร์ การดำรงอยู่ของฟ้าดินยาวนานไร้ที่สิ้นสุด ก่อนยุคบรรพกาลต้องมีอารยธรรมที่เก่าแก่กว่าแน่นอน ทั้งหมดนี้อย่าว่าแต่หลัวซิว แม้กระทั่งผู้แข็งแกร่งในยุคบรรพกาลก็ไม่สามารถทำให้เรื่องนี้กระจ่าง

ลูกแก้วโลหิตจักรพรรดิช่วงกลางหนึ่งร้อยกว่าลูกถึงมือ หลัวซิวคิดจะเพิ่มพูนผลการฝึกตนของตนเองทันที ถึงได้รับแรงกดดันของวิชาห้ามค่ายกล ระดับของผลฝึกตนไม่สามารถทำให้ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้น แต่จุดประสงค์การมาแดนนานาอสูรครั้งนี้ของเขาก็คือการเพิ่มพูนผลการฝึกตน

อาศัยวิธีการสร้างค่ายกลขึ้นมา ตัวสำนึกของระดับจักรพรรดิยุทธ์ขั้นเก้าสูงสุด ร่างเนื้อ ผลการฝึกตน บวกกับสุดยอดวิชาที่เคยฝึกมา หลังจากหนึ่งเดือน หลัวซิวบุกเข้าสู่แกนกลางของเขตที่ห้า

หลังจากกลืนลูกแก้วโลหิตช่วงกลางที่ผ่านการปรับแต่งจำนวนมาก ผลการฝึกตนของเขาก้าวหน้าเข้าสู่ระดับจักรพรรดิยุทธ์ขั้นสี่ในเวลาอันสั้น บรรลุแดนจักรพรรดิช่วงกลาง

ทันทีที่เขาเพิ่งก้าวเข้าสู่แกนกลางของสถานที่แห่งนี้ มีตัวสำนึกที่บริสุทธิ์และแข็งแกร่งสายหนึ่งล็อคเขาไว้ทันที

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 542
โครม……

อสูรกายจักรพรรดิช่วงกลางนับร้อยกลายเป็นคลื่นยักษ์ กลิ่นอายอสูรกายท่วมท้น เสียงดังกระหึ่ม

ระยะห่างหลายสิบลี้ แทบจะมาถึงชั่วพริบตาในเวลาเพียงไม่กี่สิบอึดใจ

“บูม!”

กลิ่นอายโดยรอบของหลัวซิวเริ่มพลุ่งพล่าน อาศัยพลังของลูกแก้วเสวียนดำที่เป็นของวิเศษยุคบรรพกาล ทำให้ผลการฝึกตนของเขาเพิ่มสูงขึ้นจากระดับจักรพรรดิยุทธ์ขั้นสามกลายเป็นจักรพรรดิยุทธ์ขั้นเก้าขั้นสูงสุดในเวลาเพียงช่วงสองอึดใจ

เนื่องจากได้รับการจำกัดจากค่ายกลของแดนปริศนา เขาไม่สามารถใช้พลังที่เหนือกว่าแดนจักรพรรดิยุทธ์

ยิ่งไปกว่านั้นอสูรกายในแดนนานาอสูร ราวกับวิญญาณหยั่งรู้ไม่มีอยู่ ด้วยวิญญาณจู่โจมที่ตัวสำนึกปลดปล่อยออกมาก็ไม่มีผลแต่อย่างใด

“ผนังเทพไท่เสวียน!”

หลัวซิวตะคอกเสียงดังด้วยความโกรธ เผชิญหน้ากับคลื่นยักษ์ที่เกิดจากการรวมตัวของอสูรกายนับร้อย เขาปลดปล่อยวิชาฝึกจิตไท่เสวียน ทำให้เกิดม่านพลังสีขาวดำประสานกันเป็นชั้น ราวกับเป็นโล่ขนาดใหญ่ขวางอยู่ด้านหน้า

บูม!

คลื่นยักษ์ที่ดุดันถาโถมเข้ามา ราวกับมีดที่แหลมคมผ่าใส่ผนังเทพไท่เสวียน วิชายุทธ์แขนงนี้เกิดจากการพลิกแพลงทักษะป้องกันของวิชาฝึกจิตไท่เสวียน สามารถดูดซับพลังโจมตีส่วนใหญ่

แต่ภายใต้สถานการณ์ที่มีอสูรกายจักรพรรดิช่วงกลางนับร้อยร่วมมือกันจู่โจม ผนังเทพไท่เสวียนแตกสลายอย่างกะทันหัน ส่วนร่างกายของหลัวซิวก็ลอยกระเด็นถอยหลังออกไปด้วย กระแทกใส่บนหน้าผาหินเรียบที่อยู่ไม่ไกลออกไปอย่างแรง

หน้าผาสั่นสะเทือน เสียงดังโครมคราม ร่างกายของหลัวซิวฝังเข้าไปในหน้าผาทั้งร่าง จมอยู่ในกองเศษฝุ่นเศษดิน

“บัดซบ!”

หลัวซิวที่อยู่ในท่ามกลางฝุ่นตลบอบอวลเดินออกมาพร้อมกับสบถด่า ชุดกี่เพ้าสีดำมีรอยฉีกขาดปรากฏขึ้นหลายจุด คายเศษฝุ่นออกมาจากปาก

พลังทำลายล้างของอสูรกายจักรพรรดิช่วงกลางนับร้อยร่วมมือกัน สามารถเทียบเท่ากับการโจมตีของผู้แข็งแกร่งระดับแดนมกุฏ อาศัยข้อได้เปรียบที่เหนือกว่า ไม่น่าแปลกใจ ทำไมยอดฝีมือของสำนักไท่เสวียนในสมัยนั้นถึงไม่สามารถบุกเข้าไปใจกลางเขตแดนปริศนาเพื่อนำความลับของสถานที่แห่งนี้ออกมา

“พลังแปรเสวียนเทียนยี่สิบสี่เท่า!”

เท้าขวาของหลัวซิวถีบใส่หน้าผา เสียงดังปังหน้าผาเกิดการระเบิด เศษหินสาดกระจาย ส่วนร่างกายของเขาพุ่งออกไปเหมือนลูกกระสุนระเบิด พุ่งเข้าหาคลื่นยักษ์ที่เกิดจากการรวมตัวของอสูรกายกายนับร้อยตนด้วยความเร็วสูง

บูม!

บูม! บูม! ……

เมื่ออยู่ต่อหน้าคลื่นยักษ์ ร่างกายของหลัวซิวเล็กจนเหมือนเม็ดทราย แต่พลังของเขากลับแข็งแกร่งมาก ชั่วขณะทั้งสองฝ่ายเกิดการปะทะกัน ยากที่จะคาดเดาฝ่ายใดเหนือกว่า

“ถ้าหากมีตราขลังมังกรเขียวอยู่ในมือ แค่การจู่โจมครั้งเดียวก็เกินพอ สามารถทำลายคลื่นยักษ์ที่เกิดจากอสูรกายนับร้อยตน”

การมาฝึกฝนในแดนนานาอสูรครั้งนี้ของหลัวซิวไม่ได้นำของวิเศษหรืออาวุธแต่อย่างใดมา กระบี่อาถรรพ์ฟันเสือสำหรับเขามันไม่พออีกแล้ว ร่างยุทธ์ระดับแดนมกุฎสามารถเทียบเท่ากับของวิเศษมากมาย ขาดแคลนอาวุธที่ค่อนข้างเหมาะมือมาโดยตลอด

“ฆ่า!”

อสูรกายนับร้อยส่งเสียงคำรามพร้อมกัน แต่ละตนเริ่มโคจรพลังอสูรกายอย่างไม่กลัวตาย

“ฝ่ามือมรณา”

หลัวซิวใช้ทักษะสังหารของวิชาสังหารไท่เสวียน ยื่นฝ่ามือออกไป ทันใดนั้นกระแสลมพลุ่งพล่านปกคลุมท้องฟ้า บนฝ่ามือมีแสงสีขาวดำประสานควบแน่นรวมกันกลายเป็นภูเขากดทับลงมา

บูม!

คลื่นยักษ์บิดเบี้ยว ตรงด้านข้างสุดระเบิดอย่างกะทันหัน อสูรกายบางส่วนที่ค่อนข้างอ่อนแอกระอักเลือด บางตนร่างกายแตกสลาย กลายเป็นลูกแก้วโลหิตตกลงมาจากท้องฟ้า

คลื่นยักษ์เกิดจากการรวมกันของกลิ่นอายอสูรกายนับร้อย เมื่อมีช่องว่างปรากฏขึ้น กลิ่นอายอสูรกายทั้งหมดขาดการเชื่อมต่อจึงได้รับผลกระทบ มีช่องโหว่ปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว

หลัวซิวเคยผ่านประสบการณ์สู้รบมานับร้อยศึก มีความเข้าใจเกี่ยวกับการหาโอกาสระหว่างการต่อสู้อย่างยิ่ง พลังกฎการเวียนว่ายตายเกิดรวมตัวที่มือ สุดท้ายกลายเป็นรูปร่างของกระบี่

กระบี่มรณะหวงเสวียน!

ซ่า!

กระบี่ถูกฟันออกไป ความว่างเปล่าถูกผ่าเป็นวิธีเส้นตรงทันที แสงของดาบมีความยาวเกือบสามสิบฟุต โดยรอบมีน้ำพุมรณะที่พลุ่งพล่านปรากฏขึ้น กลายเป็นภาพของแดนชำระล้างที่แบ่งความเป็นกับความตาย

ชั่วพริบตา พลังของกฎแห่งการว่ายเวียนควบแน่นรวมกันเป็นคลื่นกระบี่ ทะลวงใส่คลื่นยักษ์ที่เกิดจากการรวมตัวของอสูรกายนับร้อยอย่างแรง

เสียงระเบิดราวกับฟ้าพังทลายดินแตกสลายดังก้องอยู่บนท้องฟ้า

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 541
ในขณะเดียวกัน หลัวซิวตั้งใจอ้อมผ่านพื้นที่รอบนอกเพื่อมุ่งหน้าไปยังพื้นที่ใจกลางของแดนปริศนา

ขณะที่เขาเข้าสู่ส่วนลึกของด้านในอย่างต่อเนื่อง ความแข็งแกร่งของอสูรกายที่ปรากฏก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น บรรลุถึงระดับจักรพรรดิช่วงกลาง มีอสูรกายกายมากมายที่อยู่ในระดับจักรพรรดิขั้นหก

“หืม? มีการวางค่ายกลด้วย?”

ตรงหน้าของทะเลสาบที่กว้างขวางแห่งหนึ่ง ฝีเท้าของหลัวซิวหยุดลงอย่างกะทันหัน มองขึ้นบนท้องฟ้าของทะเลสาบที่อยู่ด้านหน้าด้วยความสนใจ

ถึงมีการปกปิดร่องรอยของค่ายกลอย่างมิดชิด แต่ด้วยความสามารถของหลัวซิว ยังสามารถสัมผัสได้ถึงร่องรอยบางส่วนของค่ายกล

“เคยบอกเจ้าตั้งนานแล้ว อย่าดูถูกสัตว์เดรัจฉานพวกนี้เด็ดขาด เผ่ามนุษย์มีนักค่ายกล นักหลอมอาวุธ นักเล่นแร่แปรธาตุ เผามารก็มีเช่นกัน อสูรกายกายพิเศษบางตนถึงขั้นมีพรสวรรค์ด้านใดด้านหนึ่งเหนือกว่าเผ่ามนุษย์อย่างพวกเราด้วยซ้ำ” จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำพูด

หลัวซิวรู้สึกเห็นด้วยกับเรื่องนี้อย่างยิ่ง สติปัญญาของอสูรกายกายชั้นต่ำไม่สูง สำหรับเผ่ามนุษย์นับประสาอะไรไม่ได้ แต่สติปัญญาของอสูรกายกายชั้นสูงไม่ด้อยไปกว่ามนุษย์ บวกกับเป็นเผ่าพันธุ์ขนาดใหญ่ มีลักษณะเฉพาะ มีข้อได้เปรียบเหนือเผ่าพันธุ์มนุษย์ในหลายด้าน

บนโลกใบนี้ สาเหตุที่เผ่าพันธุ์มนุษย์ได้กลายเป็นเจ้าแห่งโลกทั้งใบ สาเหตุหลักมาจากมีจำนวนประชากรจำนวนมาก ความสามารถในการสืบพันธุ์ และความเร็วของการเติบโต

อสูรกายกายมีพรสวรรค์ที่เหนือชั้น แต่กลับมีความสามารถในการสืบพันธุ์ต่ำ ยิ่งเป็นอสูรกายกายที่มีสายเลือดสูงและแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ อาจจะถึงขั้นหลายร้อยปีหรือหลายพันปี พวกมันถึงจะให้กำเนิดทายาทผู้สืบทอด

ยิ่งไปกว่านั้น สภาพร่างกายของเผ่าพันธุ์มนุษย์เหมาะแก่การฝึกตนมากกว่า ภายใต้สถานการณ์ที่ใช้เวลาเหมือนกัน การฝึกตนของเผ่าพันธุ์มนุษย์มีความก้าวหน้าเร็วกว่า นี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำไมหลังจากอสูรกายกายที่บรรลุถึงความแข็งแกร่งระดับหนึ่ง ล้วนแต่กลายเป็นรูปลักษณ์ของมนุษย์

ในยุคบรรพกาลอันห่างไกล ร่างกายของมนุษย์ถูกเรียกว่าร่างวิถี ซึ่งหมายถึงร่างกายที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการเข้าถึงวิถีฟ้าดิน

“เป็นค่ายกลสังหารระดับหก” ตัวสำนึกของหลัวซิวกวาดต้อนออกไป ผ่านไปเพียงครู่เดียว สามารถสัมผัสได้ถึงค่ายกลที่อยู่เหนือทะเลสาบได้อย่างชัดเจน

ในขณะเดียวกัน อาศัยกระแสสัมผัสพลังชีวิต เขาสามารถสัมผัสได้ถึงอสูรกายกายนับร้อยตนที่หลบซ่อนอยู่ใต้ทะเลสาบแห่งนี้ ราวกับกำลังรอให้เขาเข้าไปติดอยู่ในค่ายกล พวกมันจะพุ่งออกมาทันที

หลัวซิวไม่เก็บเอาไปใส่ใจ ถึงขั้นไม่ใช้วิชาล่องหนไท่เสวียนเพื่อซ่อนร่างกายของตนเอง เขาก้าวเท้าเตรียมตัวบินข้ามทะเลสาบโดยตรง เหมือนกับกำลังเดินเล่นอยู่ในลานบ้าน

ในขณะที่เขากำลังจะเข้าสู่เขตแดนของค่ายกลสังหาร เขายกแขนขึ้นประสานอินหลายรูปแบบอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นร่างกายพุ่งผ่าน แต่ค่ายกลกลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง ราวกับเกิดการทำงานที่ผิดปกติ

“เกิดอะไรขึ้น? เต่าขนเขียว ทำไมค่ายกลที่เจ้าวางไม่ตอบสนอง?”

อสูรกายกายนับร้อยที่ซ่อนอยู่ใต้น้ำหันไปมองหน้ากันด้วยความตกตะลึง จนกระทั่งหลัวซิวบินไปไกล ถึงสามารถตั้งสติได้

ดวงตาที่กลมโตของอสูรกายกายทุกตนหันไปมองทางเต่าตัวใหญ่ที่มีขนสีเขียวเป็นกระจุกอยู่ตรงศีรษะ

“เผ่ามนุษย์คนนั้นก็เป็นนักค่ายกลเหมือนกัน ยิ่งไปกว่านั้นเหนือชั้นกว่าข้า สามารถคลายรูปแบบค่ายกลของข้าได้อย่างง่ายดาย” เต่าขนเขียวหดคอแล้วพูด

“ไอ้โง่ที่เรื่องดีมีไม่พอ เรื่องระยำมีเหลือเฟือ! ก็ไหนเจ้าบอกว่าคนที่อยู่ในระดับเดียวกันไม่มีใครสามารถคลายได้?” มังกรเจียวที่มีศีรษะสีฟ้าน้ำแข็งแยกเขี้ยว ใช้กรงเล็บตบเต่าเฒ่าขนเขียวจนลอยกระเด็นออกไป

“อสูรกายทุกตนฟังคำสั่ง ไล่ล่า! จะปล่อยให้เผ่ามนุษย์คนนั้นเข้าสู่ศูนย์กลางของเขตแดนไม่ได้เด็ดขาด!”

มีมังกรเจียวน้ำแข็งเป็นผู้นำ เผ่าใต้น้ำอสูรกายนับร้อย มีทั้งปลาตัวใหญ่ที่มีความยาวขนาดหลายสิบฟุตและงูเหลือมยักษ์พุ่งออกมาจากคลื่นใต้น้ำ ทะยานสู่ท้องฟ้า กลายเป็นคลื่นขนาดใหญ่พุ่งผ่านท้องฟ้า

อสูรกายพวกนี้ได้รับการฝึกมาอย่างดี ถึงขั้นก่อตัวขึ้นเป็นรูปแบบของการจู่โจม ใช้เวลาเพียงไม่นานก็สามารถตามหลัวซิวจนทัน

“ฝูงอสูรกายจักรพรรดิช่วงกลาง? ลูกแก้วโลหิตนับร้อยลูก สามารถทำให้ผลการฝึกตนของข้าบรรลุถึงระดับจักรพรรดิยุทธ์ขั้นสี่หรือเปล่า?”

หลัวซิวหยุดฝีเท้า หรี่ตาลงมองไปทางคลื่นยักษ์มหึมาที่อยู่ด้านหลัง

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 540
และเมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีอย่างมืดฟ้ามัวดิน หลัวซิวกลับไม่ขยับเขยื้อน แสงสองขั้วดำขาวได้ถูกปลดปล่อยออกมาจากร่างของเขา การโจมตีจำนวนมากตกลงบนตกลงบนม่านลำแสง อานุภาพได้ถูกบั่นทอนไปเกินกว่าครึ่ง อานุภาพที่เหลืออยู่ ไม่อาจทำร้ายร่างยุทธ์ร่างเนื้อของเขาได้เลยสักนิด

“พี่น้องทุกคน ถอยเร็ว!”

อสูรเสือตนหนึ่งตวาดขึ้นมา และก้าวเท้าทั้งสี่ข้างในทันที และหนีไปไวอย่างกับลม ระยะเวลาครึ่งปี หลัวซิวประมือกับอสูรกายในบริเวณรอบนอกของเขตที่ห้าพวกนี้ไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้งแล้ว รู้ถึงความร้ายกาจของมนุษย์ผู้นี้ดี เมื่อเห็นว่ารอบโจมตีไม่สำเร็จ ก็เลือกที่จะถอยหลังหนีไปในทันที และอสูรกายในเขตที่ห้าพวกนี้มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน น้อยมากที่จะสู้กัน และเมื่อหลายหมื่นปีก่อนนั้นได้ต่อสู้กับผู้แข็งแกร่งของสำนักไท่เสวียนอยู่บ่อยครั้ง รู้จักที่จะร่วมมือระหว่างกัน มีความคิดตรงกันมากเลยทีเดียว

“เจ้าเสือน้อย เจ้าวิ่งหนีเร็วกว่าผู้ใดทุกครั้งเลย”

รอยยิ้มเล็กน้อยได้ปรากฏขึ้นมาที่มุมปากของหลัวซิว แม้ว่าในระยะเวลาครึ่งปีมานี้ได้ต่อสู้กับอสูรเหล่านี้อยู่บ่อยครั้ง และมีบางครั้งที่ได้รู้สึกว่าอสูรกายของที่นี่นั้นน่าสนใจมากเลยทีเดียว

เสียงพรึบดังขึ้นหนึ่งครั้ง ปีกทิพย์ไร้มลทินได้กางออกมาจากด้านหลัง ใช้ร่วมกับวิชาล่องหนไท่เสวียนมีพลังที่สามารถพุ่งตัวไปในอากาศได้ หลัวซิวใช้ระยะเวลาเพียงหายใจเข้าออกสองสามครั้ง ก็ได้ตามอสูรเสือที่หนีเป็นตัวแรกมาทัน

นี่คืออสูรเสือวาโยเขียวที่มีปีกหนึ่งคู่ มีลายเสือสีเขียวมาโดยกำเนิด เป็นอสูรธาตุลม มีการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว

เหมือนอสูรเสือวาโยเขียวตนนี้รู้ว่าตนเองจะถูกตามมาทัน มันขยับปีกทั้งสองข้าง ร่างที่สูงหลายจ้างพลันหยุดลง ดวงตาแดงก่ำคู่หนึ่งมองไปโดยรอบ และได้กวาดปล่อยตัวสำนึกออกไป

“เจ้าเสือน้อย ข้าอยู่ที่ด้านบนของเจ้า!”

เสียงหัวเราะดังลอยมา อสูรเสือวาโยเขียวขนลุกซู่ไปทั้งตัว ยังไม่ทันจะมีการตอบสนองใด ๆ หมัดหมัดหนึ่งก็ได้ต่อยเข้าที่ศีรษะของมัน

“โฮกกก!”

อสูรเสือวาโยเขียวกรีดร้องโหยหวน ร่างร่วงหล่นเหมือนดาวตก เสียงดังกระหึ่ม กระแทกพื้นจนเกิดเป็นหลุมขึ้นมา

ตามหลักแล้ว อาศัยแรงจากร่างเนื้อร่างยุทธ์แดนมกุฎของหลัวซิว สามารถสังหารเสืออสูรระดับจักรพรรดิยุทธ์ขั้นปฐมภูมิได้ในหมัดเดียว

แต่เนื่องจากถูกวิชาห้ามค่ายกลของเขตที่ห้าแห่งนี้กดเอาไว้ ร่างยุทธ์แดนมกุฎของเขาสามารถแสดงพลังออกมาได้เพียงร่างยุทธ์ระดับจักรพรรดิ แม้แต่พลังการป้องกันเอง ก็ยังถูกกดลงมา

นอกจากนี้แล้วยังมีพลังของลูกแก้วเสวียนดำเองก็ถูกกดพลังเช่นเดียวกัน สามารถเพิ่มระดับผลการฝึกตนได้ถึงระดับจักรพรรดิยุทธ์ขั้นเก้าสูงสุดเพียงเท่านั้น

แน่นอนว่า นี้มีสาเหตุมาจากหมัดนี้ของหลัวซิวไม่ได้ใช้พลังทั้งหมด เช่นเดียวกัน ไม่เช่นนั้นละก็แม้จะถูกกดพลังการต่อสู้เอาไว้ สังหารอสูรเสือตนนี้ในหมัดเดียว ก็เป็นเรื่องที่ง่ายดายยิ่งนัก

อสูรเสือวาโยเขียวไม่ได้ถูกสังหาร แต่ก็ถูกหมัดนี้ชกจนงุนงง ครึ่งค่อนวันถึงได้คลานออกมาจากหลุมนั่น บนศีรษะเต็มไปด้วยเลือด เจ็บจนร้องครวญครางอยู่ไม่หยุด

มันมองไปรอบ ๆ เป็นอันดับแรก กลับไม่เห็นร่างของมนุษย์นักยุทธ์ผู้นั้นเลยแม้แต่เงา อดไม่ได้ที่จะกังวลใจขึ้นมา เกรงว่าอีกฝ่ายจะปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน และต่อยตนเองเข้าให้อีกครั้ง

“พี่เสือ ท่านไม่เป็นอะไรนะ”

ในตอนนี้เอง ในป่ารกทึบที่อยู่ไม่ไกลนัก อสูรกายหลายตัวได้เดินออกมา

“เจ้ามนุษย์ผู้นั้นล่ะ?” อสูรเสือวาโยเขียวเหมือนว่าจะเป็นหัวหน้าของอสูรกายกลุ่มนี้

“ไปทางนั้นแล้ว น่าจะไปที่เขตจุดศูนย์กลาง” วานรดำตัวหนึ่งได้ชี้ออกไปยังทิศทางหนึ่ง

อสูรเสือวาโยเขียวทำเสียงฮึดฮัดออกมาหนึ่งครั้ง “ไปแล้วก็ดีเหมือนกัน เขตจุดศูนย์กลางมีอสูรกายที่ร้ายกาจอยู่มากมาย เจ้าหนุ่มคนนั้นจะต้องถูกทำร้ายจนหนีออกมาอย่างแน่นอน”

“นั่นน่ะสิ แต่ว่าครึ่งปีมานี้พวกเราได้รับความลำบากมาไม่น้อย เจ้าสามหมูถูกสังหารไปตั้งสี่ครั้ง” อสูรหมูตนหนึ่งกล่าวอย่างโมโห

แม้ว่าอสูรกายในที่นี้จะสามารถฟื้นคืนชีพได้ แต่ก็มีความเจ็บปวดและประสาทสัมผัสเช่นเดียวกัน ในตอนที่ถูกสังหาร แค่คิดก็ขนหัวลุกแล้ว

“บ้าเอ๊ย พวกเราอสูรกายในเขตนี้ มีหรือที่ไม่ถูกมันสังหารมากกว่าสองครั้ง?”

อสูรกายสิบกว่าตัวรวมกันบ่นพึมพำ มีทั้งร่างเล็กร่างใหญ่ เสียงเข้มเสียงแหลม สถานการณ์เช่นนี้ ทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกตลกเสียจริง

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 539
“เจ้ามนุษย์หนุ่ม ท่านปู่หมูของเจ้ากลับมาอีกแล้ว! รีบไสหัวออกมาให้ท่านปู่ของเจ้าเสีย!”

ในเขตที่ห้าของแดนนานาอสูร อสูรกายหมูป่าเกาะดำตัวหนึ่งวิ่งไปมาอยู่ในป่าเขา ปากก็ตวาดอยู่ไม่หยุด

ที่บริเวณใกล้เคียงอสูรกายหมูป่าเกาะดำตนนี้ ยังมีอสูรกายขั้นหกนอนซ่อนตัวอยู่อีกสิบกว่าตัว จ้องจะตะครุบอยู่

บนภูเขาลูกเล็กที่อยู่ห่างออกไป หลัวซิวได้สร้างค่ายพรางตัวขึ้นที่บริเวณรอบ ๆ เมื่อได้เห็นภาพเช่นนี้ เขาก็มีความรู้สึกร้องไห้ไม่ออกหัวเราะไม่ได้

อสูรกายหมูป่าที่โอหังตนนี้ได้ถูกเขาสังหารไปถึงสามครั้งแล้ว แต่ผ่านไปไม่กี่วันก็ฟื้นคืนชีพกลับมากระโดดโลดเต้น และมาหาเรื่องหลัวซิวอีกครั้ง

นับจากที่ได้เข้ามาในแดนนานาอสูร หลัวซิวได้เข้ามาที่เขตที่ห้าแห่งนี้เป็นเวลาเกือบครึ่งปีแล้ว

ระหว่างนี้ เขาได้สังหารอสูรกายไปจำนวนมาก ในจำนวนนั้นมีอยู่มากมายที่ได้ถูกเขาฆ่าไปสองสามครั้งแล้ว แต่อสูรกายในที่นี้มีจำนวนมากเกินไป เขาไม่อาจเข้าไปในเขตศูนย์กลางได้เลย

ตามที่มหาจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำได้กล่าว รอบนอกก็ยากที่จะทวงไปได้ถึงขนาดนี้แล้ว ถ้าหากเข้าไปในเขตศูนย์กลาง ยิ่งจะลำบากกว่าเดิม

“ในแดนนานาอสูรแห่งนี้มีความลับอะไรซ่อนอยู่กันแน่ ถึงทำให้อสูรกายพวกนี้ขัดขวางไม่ให้มีคนได้ไปอย่างไม่คิดชีวิต?” หลัวซิวขมวดคิ้ว คิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ

“สำหรับคำถามนี้ ในสมัยโบราณสำนักไท่เสวียนก็ได้มีการคาดเดาต่าง ๆ นานา แต่กลับไม่ได้รับการยืนยันใด ๆ” มหาจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำส่ายหัว แสดงออกว่าตนก็ไม่เข้าใจเช่นเดียวกัน

ในระยะเวลาครึ่งปีมานี้เขาได้รับลูกแก้วโลหิตมาเป็นจำนวนมาก อาศัยวิชาฝึกจิตไท่เสวียน พลังของหลัวซิวได้รุดก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว

เปลี่ยนเป็นจักรพรรดิยุทธ์โดยทั่วไป จากจักรพรรดิยุทธ์ขั้นหนึ่งถึงจักรพรรดิยุทธ์ขั้นสามนับเป็นจักรพรรดิยุทธ์ขั้นปฐมภูมิ การบรรลุแดนเล็ก อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาหลายปี อย่างมากใช้เวลาหลายสิบปี หรือแม้กระทั่งนับร้อยปี

ส่วนหลัวซิว กลับใช้เวลาเพียงครึ่งปี ก็เพิ่มระดับจากจักรพรรดิยุทธ์ขั้นหนึ่ง มาถึงจักรพรรดิยุทธ์ขั้นสามเป็นที่เรียบร้อย

ลูกแก้วโลหิตแห่งแดนนานาอสูรสามารถเพิ่มระดับผลการฝึกตนและร่างเนื้อไปได้พร้อมกัน เนื่องจากร่างเนื้อของเขาได้บรรลุถึงระดับร่างยุทธ์แดนมกุฎไปนานแล้ว ลูกแก้วโลหิตระดับจักรพรรดิยุทธ์ขั้นหกเหล่านี้ ไม่มีประสิทธิภาพในการเพิ่มระดับเลยสักนิด

นอกจากลูกแก้วโลหิตแล้ว หลัวซิวยังได้ยาวิเศษมาเป็นจำนวนมาก อสูรกายในแดนปริศนาแห่งนี้นั้นไม่สามารถฝึกตนได้ ยาวิเศษจึงไม่มีประโยชน์สำหรับพวกมัน ระยะเวลาหลายหมื่นปีมานี้ ทำให้มียาวิเศษล้ำค่าหายากมากมายเกิดขึ้นมาในแดนปริศนาแห่งนี้ ทำให้หลัวซิวได้รับอย่างอุดมสมบูรณ์

“ลูกแก้วโลหิตของอสูรกายจักรพรรดิยุทธ์ขั้นปฐมภูมิ ไม่มีผลลัพธ์อะไรมากมายต่อการเพิ่มระดับผลการฝึกตนของข้า ข้าต้องการจะบรรลุสู่จักรพรรดิยุทธ์ขั้นสี่ ต้องการลูกแก้วโลหิตของอสูรกายจักรพรรดิยุทธ์ขั้นกลางเป็นจำนวนมาก ถ้าหากได้ลูกแก้วโลหิตของอสูรกายจักรพรรดิยุทธ์ขั้นปลายมาได้ก็จะดียิ่งกว่า!”

ภายในค่ายซ่อนตัว หลัวซิวจับตามองอสูรกายหมูป่าเกาะดำที่ร้องโวยวายอยู่ห่างออกไป เขาบิดคอไปมาเล็กน้อย เป็นการยืดเส้นยืดสาย

ยกมือโบกสะบัด เขาได้เก็บเอาธงขลังสรรพสิ่งลงไป ค่ายซ่อนตัวอันตรธานหายไปในพริบตา และร่างของเขาเองก็ได้หายไปเช่นเดียวกัน เหมือนได้กลายเป็นหนึ่งเดียวกับปริภูมิโดยรอบ

นี่เป็นความสามารถที่จะทำได้ก็ต่อเมื่อฝึกฝนวิชาล่องหนไท่เสวียนถึงจุดที่แน่นอนแล้วเท่านั้น เหมือนกับที่มังกรไร้ร่างหลงหมิงสามารถกลายเป็นหนึ่งเดียวกับปริภูมิได้ เหมือนกันไม่มีผิด

“เจ้ามนุษย์หนุ่มยังไม่รีบไสหัวออกมาอีก? กลัวท่านปู่หมูของเจ้าแล้วหรืออย่างไร?”

ศีรษะของอสูรกายหมูป่าเกาะดำชนเขา เขี้ยวอันแหลมคมของมันก็ได้ตัดภูเขาลูกหนึ่งไปครึ่งลูกภายในพริบตา

“เจ้าลูกหมู เจ้ากำลังเรียกข้าท่านปูของเจ้าอยู่หรือ?”

ทันใดนั้นเอง เสียงเยาะเย้ยก็ได้ดังเข้ามาในหูของอสูรกายหมูป่าเกาะดำ ไม่รอให้มันได้ตอบสนอง สองตาก็มืดดำ และสิ้นสติไปในทันที

“บ้าเอ๊ย ตายในเงื้อมมือของเจ้าสารเลวนั่นอีกแล้ว!” ก่อนที่อสูรกายหมูป่าเกาะดำจะสิ้นสติไป นี่เป็นเพียงประโยคเดียวที่ได้ลอยขึ้นมาในสมองของมัน

ร่างของอสูรกายหมูป่าเกาะดำกลายเป็นแสงสว่างและหายไป ทิ้งไว้เพียงลูกแก้วโลหิตก้อนกลม แต่หลัวซิวกลับไม่ได้ยื่นมือออกไปเก็บ เพราะลูกแก้วโลหิตในระดับนี้ ไม่สามารถทำให้ผลการฝึกตนของเขารุดหน้าได้

สวบ! สวบ! สวบ!

แสงสีขาวเจิดจรัสแยงตาหลายสิบสายได้จู่โจมเข้ามาหาหลัวซิว อสูรกายมากมายที่นอนซ่อนตัวอยู่บริเวณใกล้เคียงได้ลงมือแล้ว Attrของอสูรกายพวกนี้แตกต่างกันไป ทองไม้น้ำไฟดินลมอัสนี ที่ควรมีต่างก็ไม่ขาด และยังมีอสูรกายประหลาดที่ร้ายกาจยิ่งกว่า มีพลัง Attr มากกว่าสองประเภท

อสูรกายขั้นหกหลายสิบตัวร่วมมือกันจู่โจม แม้ว่าอสูรกายเหล่านี้จะมีผลการฝึกตนที่ระดับจักรพรรดิยุทธ์ขั้นปฐมภูมิ ทว่าแม้แต่จักรพรรดิยุทธ์ขั้นปลายยังต้องหลบเลี่ยง

อย่างคำที่ว่าการเปลี่ยนแปลงเชิงปริมาณนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ เชือกเส้นหนึ่งไม่แข็งแรง ถ้าหากหลายสิบเส้นร่วมเป็นหนึ่งเดียว ก็จะแตกต่างออกไป

“พูดบ้าอะไรเล่า! เก่งจริงเจ้าก็ฆ่าท่านปู่หมูของเจ้าเสียสิ ไม่กี่วัน ข้าก็จะกลับมาเป็นอสูรกายที่สมบูรณ์แบบอีกตัวเช่นเคย!” อสูรกายหมูป่าตัวนี้ไม่เกรงกลัวการข่มขู่ของหลัวซิวเลยสักนิด เพราะมันทราบดีว่าต่อให้ตนถูกสังหาร อีกไม่นาน ก็จะฟื้นคืนชีพขึ้นมาในแดนปริศนาอีกครั้ง

หลัวซิวได้ลองถามอีกหายประโยค ทว่าอสูรกายหมูป่าตนนี้กลับไม่เปิดปากเลย พูดไปด่าไปอยู่ตลอดเวลา สำหรับเรื่องที่ในส่วนลึกของแดนปริศนามีความลับอะไรอยู่นั้น กลับไม่กล่าวเลยสักคำ

“ในเมื่อไม่พูด งั้นเจ้าก็ตายเสียเถอะ” เมื่อถามไม่ได้ความอะไร หลัวซิวก็ลงมือสังหารอย่างไม่ลังเล

อสูรกายหมูป่าคำรามออกมาหนึ่งครั้ง ร่างของมันระเบิดกลายเป็นละอองโลหิต จากนั้นลองเลือดก็ได้จับตัวกัน กลายเป็นลูกแก้วโลหิตก้อนกลม ๆ

“อสูรกายของที่นี่ ก็ไม่นับว่าแข็งแกร่งสักเท่าไหร่นี่” หลัวซิวยกมือขึ้นไปจับ และเก็บลูกแก้วโลหิตก้อนนั้นลง

“เจ้าอย่าได้ชะล่าใจไป อสูรกายหมูป่าจัดอยู่ในกลุ่มอสูรกายระดับต่ำที่สุดเท่านั้น อสูรกายในแดนนานาอสูรแห่งนี้จะไม่มีวันตาย เมื่อผ่านกาลเวลามาแสนนาน แม้ผลการฝึกตนจะไม่สามารถเพิ่มขึ้น แต่ก็สามารถคิดหาวิธีทำให้ความสามารถของตนสูงขึ้นได้ การต่อสู้ข้ามระดับสำหรับอสูรกายจำนวนมากในหมู่ของพวกมันถือเป็นเรื่องที่ง่ายมาก”

สำหรับอสูรกายในเขตที่ห้าขึ้นไปของแดนนานาอสูรนั้น มหาจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำมีความทรงจำที่ลึกซึ้งเป็นอย่างยิ่ง

“เมื่อก่อนสำนักไท่เสวียนของพวกเราได้รวมศิษย์ร้อยกว่าคนบุกเข้าสู่สวนลึกของเขตที่ห้าพร้อมกันกลับได้ลูกทำร้ายขับไล่ออกมา แถมยังบาดเจ็บล้มตายไปจำนวนมาก อสูรกายแปลกประหลาดขั้นหกช่วงปลายบางพวก ทั้งที่ตอนนั้นข้าอยู่ในระดับจักรพรรดิยุทธ์ขั้นเก้า ก็หาใช่คู่ต่อสู้ไม่”

มหาจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำตักเตือนหลัวซิวอย่าได้ชะล่าใจ อสูรกายหมู่ป่าเกาะดำตัวหนึ่งเป็นเพียงอาหารเรียกน้ำย่อยเท่านั้นเอง ยิ่งลึกเข้าไปในดินแดนปริศนา ความสามารถของอสูรกายที่ต้องเผชิญหน้า ก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น

ทางด้านนี้หลัวซิวได้สังหารอสูรกายหมู่ป่าเกาะดำไปตัวหนึ่ง ไม่นานก็มีกระแสพลังอันแรงกล้าหลายสายพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว วินาทีที่อสูรกายพวกนี้ได้พบหลัวซิวเข้า ต่างก็ได้กระโจนเข้ามาอย่างไม่รีรอ ล้วนสู้อย่างไม่คิดชีวิต

อสูรกายสามตัวแรกที่ได้เผชิญหน้า มีขั้นสองสองตัว และระดับสี่หนึ่งตัว

อสูรกายในที่แห่งนี้ปิดปากแน่นเกี่ยวกับความลับที่อยู่ส่วนลึกของแดนปริศนา นอกจากนี้ตัวหยั่งรู้พิเศษก็ไม่สามารถสอดแนมผ่านด้วยวิธีตรวจจับวิญญาณได้ หลัวซิวทำได้เพียงลงมือสังหาร และได้รับลูกแก้วโลหิต

วิธีเหล่านี้ที่เขาใช้นั้น ผู้แข็งแกร่งของสำนักไท่เสวียนในเมื่อก่อนจะต้องเคยใช้มาแล้วแน่ ดังนั้นต้องการทราบความลับของที่แห่งนี้ เขาคงต้องตรวจสอบด้วยตนเองแล้ว

ในขณะเดียวกันนั้น ข่าวคราวที่มนุษย์คนหนึ่งได้เข้ามาในเขตที่ห้านั้น ก็ได้แพร่งพรายไปในหมู่อสูรกาย

“ผ่านไปหลายหมื่นปีถึงได้มีมนุษย์เข้ามา เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรใหม่ ๆ ขึ้นที่โลกภายนอกกันแน่?”

“โลกด้านนอกเป็นเช่นไร เกี่ยวอะไรกับพวกเราด้วย? ต่อให้รับรู้ ก็ไม่สามารถออกไปได้”

“ไม่ว่าอย่างไรก็จะให้มันเข้าไปในดินแดนส่วนลึกไม่ได้เป็นอันขาด”

นับจากที่ได้เข้ามาในเขตที่ห้าของแดนนานาอสูร หลัวซิวก็ถูกอสูรการของที่นี่โจมตีอยู่ไม่หยุด แม้ว่าผลการฝึกตนของเขาจะลึกล้ำ ก็ไม่อาจต้านทานการต่อสู้ที่ไม่สิ้นสุดนี้ได้ ผ่านไปครึ่งค่อนวัน ก็ได้หมดแรงไปเสียแล้ว พลังจิตแท้ถูกใช้ไปเหลืออยู่ไม่ถึงสองส่วน

“บ้าเอ๊ย อสูรกายในที่นี้สามารถฟื้นคืนชีพได้ มันไม่กลัวตายเลยสักนิด”

มาถึงตอนหลัง อสูรกายระดับจักรพรรดิยุทธ์ขั้นปฐมภูมิก็ได้ร่วมมือกันล่าสังหารหลัวซิว

โชคดีที่เขตุที่ห้าแห่งนี้มีพื้นที่กว้างขวาง หลัวซิวอาศัยความเร็วของวิชาล่องหนไท่เสวียนไม่นานก็สลัดหลุดจากการไล่สังหารของอสูรกาย หาสถานที่เงียบสงบและสร้างค่ายกลขึ้น เพื่อหยุดพักเป็นการชั่วคราว

“ตอนนี้เจ้ารู้ถึงความร้ายกาจแล้วสินะ?” มหาจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำยิ้มกล่าว “หากไม่ใช่เพราะอสูรกายที่ร้ายกาจพวกนั้นถูกจำกัดให้เคลื่อนไหวได้เฉพาะในจุดที่กำหนดเท่านั้น เจ้าก็ได้แต่หนีออกไปจากเขตที่ห้าแล้ว”

“ผู้อาวุโส ท่านไม่คิดหรือว่า สถานการณ์เช่นนี้เป็นเหมือนกับบดทดสอบ?”

ถ้าหากปริภูมิแห่งนี้เปรียบเสมือนวงกลม เช่นนั้นจุดตรงกลางของวงกลมเป็นจุดศูนย์กลาง ยิ่งเข้าใกล้จุดศูนย์กลาง ความสามารถของอสูรกายก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น นอกจากนี้แล้วอสูรกายในระดับจักรพรรดิยุทธ์ขึ้นไป เคลื่อนไหวได้เฉพาะในพื้นที่ใกล้จุดศูนย์กลางที่ถูกกำหนดเอาไว้เท่านั้น เหมือนกับการทะลวงบททดสอบ จากด้านนอกที่สุด บุกเข้าสู่จุดศูนย์กลาง

“ข้าต้องรู้อย่างแน่นอน แต่ในยุคสมัยโบราณนั้น ในสำนักไท่เสวียนกลับไม่มีใครสามารถผ่านเข้าไปได้เลย”

หลัวซิวส่ายหัวยิ้มอย่างขมขื่น เมื่อก่อนหน้านี้เขายังค่อนข้างไม่เห็นด้วย คิดว่าอาศัยความสามารถที่สังหารมกุฎยุทธ์ได้ของตน ยังต้องหวาดเกรงอะไรในเขตที่ห้านี้อีกเช่นนั้นหรือ?

แต่อสูรกายที่ไม่กลัวตายพวกนั้น ทำให้เขารู้ว่าความคิดนี้ของตนนั้น ตลกถึงเพียงใด

ต่อให้อสูรกายในระดับจักรพรรดิยุทธ์ขั้นปฐมภูมิจะสู้หลัวซิวไม่ได้ การต่อสู้ครั้งแล้วครั้งเล่าก็สามารถทำให้เขาสูญเสียพลังจิตแท้ไปมาก ไม่อาจเข้าไปในส่วนลึกได้

มิน่าสำนักไท่เสวียนได้รวบรวมผู้แข็งแกร่งร้อยกว่าคนในตอนนั้น ก็ไม่อาจบุกเข้าไปในจุดศูนย์กลางได้

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 537
ในสมัยโบราณ มีว่าจะมีเพียงอัจฉริยะผู้สืบทอดของสายเทพเสวียนเท่านั้นที่มีคุณสมบัติฝึกวิชาฝึกจิตไท่เสวียน แต่ศิษย์ภายในสำนัก ล้วนจะได้รับวิธีพิเศษอย่างหนึ่ง เท่ากับเป็นวิชาฝึกจิตไท่เสวียนฉบับย่อ สามารถเขามาล่าเอาลูกแก้วโลหิตภายในแดนปริศนา เพิ่มระดับผลการฝึกตนและร่างเนื้อ

มหาจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำเองก็เคยใช้ที่นี่เป็นสถานที่เพิ่มระดับผลการฝึกตนอย่างรวดเร็วเช่นกัน ทว่าต่อให้เป็นเขาเอง หลังจากที่ผลการฝึกตนได้บรรลุถึงจักรพรรดิยุทธ์ขั้นเก้า ก็เคยเข้าไปในส่วนลึกของเขตที่ห้ามาก่อนเลย

“เริ่มจากเขตที่ห้า ไม่ว่าผลการฝึกตนของเจ้าจะสูงเพียงใด หลังจากที่เข้าไป ผลการฝึกตนจะถูกกดให้ต่ำลง ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งแดนนิรันกาลเมื่อเข้ามาในเขตที่ห้า ผลการฝึกตนก็จะถูกกดลงมาที่ระดับจักรพรรดิยุทธ์”

เรื่องของแดนนานาอสูร นับเป็นหนึ่งในใจกลางความลับใหญ่ของสำนักไท่เสวียน มหาจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำรู้เรื่องราวเหล่านี้ นั่นเพราะเขาเป็นหนึ่งในสามผู้อาวุโสใหญ่

สำหรับความลับของแดนนานาอสูร สำหรับห้าพื้นที่ตั้งแต่เขตที่ห้าขึ้นไป ก็มีความเข้าใจเพียงคร่าว ๆ ไม่อาจรู้ทั้งหมดได้

พื้นที่ของเขตที่หานั้นกว้างขวางมาก จากที่มหาจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำได้กล่าวมา อสูรกายของที่นี่แบ่งออกเป็นสามประเภทใหญ่ ๆ นั่นคืออสูรบก อสูรปีก และอสูรเกล็ดกระดอง หลัวซิววาร์ปเข้ามายังเขตที่ห้า เป็นป่าเขาแห่งหนึ่ง ทันทีที่ปรากฏตัวขึ้น ก็ได้มีตัวสำนึกที่แข็งแกร่งจำนวนมากกวาดเข้ามา

“เอ๊ะ? หลังจากผ่านไปหลายหมื่นปี มีมนุษย์เข้ามาอีกแล้วเช่นนั้นหรือ?” เสียงเหมือนกับฟ้าร้องดังอู้อี้ลอยมา จากนั้นแผ่นดินก็ได้สั่นสะเทือน อสูรขนาดมหึมาตัวหนึ่งได้พุ่งออกมาจากป่าในหุบเขา

นี่คือหมูป่าที่สวมเกาะดำเอาทุกส่วนตัวหนึ่ง เขี้ยวยาว ลมหายใจสีขาวพ่นฟูดฟาดออกมาจากจมูก ร่างกายใหญ่โต สูงสิบกว่าเมตร ราวกับภูเขาเล็ก ๆ ลูกหนึ่ง

ได้รับผลกระทบจากวิชาห้ามค่ายกลของแดนปริศนา อสูรกายของที่นี่สามารถฟื้นคืนชีพได้ ความสามารถล้วนถูกกำหนดเอาไว้ ไม่อาจก้าวหน้าได้ แต่พวกมันกลับมีอายุขัยที่ไม่สิ้นสุด ไม่มีวันที่จะตายลงจริง ๆ

อสูรกายหมู่ป่าเกาะดำที่ปรากฏอยู่ที่ด้านหน้าของหลัวซิวตนนี้ก็เป็นเช่นนั้น แม้ว่าจะเป็นอสูรปฐมภูมิขั้นหก กับดำรงอยู่มาเป็นเวลานับหมื่นปีแล้ว มีชีวิตยืนยาวกว่าผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ผู้หนึ่งเสียอีก

อสูรขั้นหกนั้นได้มีความคิดอ่านเป็นของตัวเองแล้ว อสูรกายหมู่ป่าเกาะดำก้มลงมองหลัวซิว แล้วตะคอกกล่าว: “เจ้าหนุ่ม เกิดเรื่องอะไรขึ้นที่โลกภายนอก ทำไมหลายหมื่นปีมานี้ถึงมีเจ้ามาที่นี่เพียงคนเดียว?”

หลัวซิวหลุดหัวเราะออกมา “เจ้าอสูรหมูตนนี้ ทำไมข้าต้องบอกเจ้าด้วยล่ะ?”

อสูรหมูป่าถลึงตาดั่งโคมไฟของมัน “เชื่อไม่ว่าท่านปูหมูของเจ้าสามารถเหยียบเจ้าให้ตายได้ภายในเท้าเดียว?”

แม้ว่าอสูรหมูป่าจะข่มขู่ด้วยท่าทางดุร้าย แต่หลัวซิวกลับรู้สึกว่ามันตลก ขาหมูขนาดใหญ่ที่แกว่งไปมานั้น ทำให้คนอดที่จะหัวเราะไม่ได้

หลัวซิวไม่ได้สนใจมัน และกว่าวขึ้นมาโดยตรง “ข้าถามเจ้า ที่ใจกลางของเขตที่ห้าแห่งนี้ มีความลับอะไรอยู่กันแน่?”

มหาจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำได้เคยบอกกับเขา เริ่มจากเขตที่ห้า เมื่อมีคนต้องการที่จะเข้าไปในส่วนลึก ก็จะถูกอสูรกายนับไม่ถ้วนต่อต้านและกีดขวางอย่างสุดชีวิต ดังนั้นหลัวซิวจึงอยากรู้เป็นพิเศษว่า ในนั้นมีความลับอะไรอยู่กันแน่

ทว่าทันทีที่หลัวซิวได้กล่าวถึงเรื่องนี้ อสูรกายหมูป่าเกาะดำที่อยู่ตรงข้ามก็มีท่าทางดุร้ายขึ้นมาทันที “มนุษย์อย่างพวกเจ้าไม่มีคนดีอยู่เลยจริง ๆ”

กล่าวไป มันก็ได้ขยับรูปร่างอันใหญ่โตของมัน และกระโจนเข้าหาหลัวซิวอย่างดุร้าย

ดวงตาข้างหนึ่งของมันใหญ่กว่าหลัวซิวอีกหลายเท่า รูปร่างของทั้งสองไม่อาจเทียบสัดส่วนกันได้เลยสักนิด ราวกับช้างตัวหนึ่ง พุ่งเข้าชนมดตัวเล็ก ๆ

หลัวซิวสงบนิ่งไม่ขยับ ยกมือขึ้นกดลงในอากาศ วิชาสังหารไท่เสวียนถูกขับเคลื่อนออกมา

ภูขาวสูงใหญ่ขาวดำลูกหนึ่งลอยปรากฏขึ้นมาในอากาศ เสียงดังกระหึ่มและทับลงไปบนหลังของอสูรกายหมู่ป่า

ครืนนนน!

แผ่นดินสั่นสะเทือน ฝุ่นลอยกระจัดกระจาย อสูรกายหมูป่าถูกทับจนลงไปนอนคว่ำอยู่บนพื้น หอบหายใจฟูดฟาด แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ลุกขึ้นมาไม่ได้ ภูเขาที่อยู่บนหลังหนักอย่างไร้ที่เปรียบ อาศัยพลังของมัน ไม่สามารถขยับได้เลยแม้แต่นิดเดียว

หลัวซิวลอยตัวขึ้นสู่อากาศ ร่อนลงบนจมูกของอสูรกายหมู่ป่า และยิ้มกล่าว: “ตอนนี้เจ้าจะบอกได้หรือยัง?”

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 536
นี่คือผืนป่ารกร้างที่เก่าแก่แห่งหนึ่ง ตามที่ปรากฏบนแผนที่ ทางเข้าสู่แดนปริศนาที่ปรากฏขึ้นแบบสุ่มในครั้งนี้ อยู่ในส่วนลึกของป่ารกร้างแห่งนี้

ในตอนที่หลัวซิวมาถึงที่นี่ แต่เป็นตอนกลางคืนแล้ว พระจันทร์เต็มดวงลอยอยู่บนท้องฟ้า รัศมีของอสูรระดับห้ากระจายอยู่รอบตัวของสิงห์ทิพย์อัคคีอร่าม ทำให้ป่าบริเวณนี้ดูเงียบเป็นพิเศษ อสูรระดับต่ำที่เดิมทีวนเวียนอยู่บริเวณรอบ ๆ ต่างก็หนีกระเจิดกระเจิง

จากพลังการต่อสู้ของผลการฝึกตนของหลัวซิวในตอนนี้ นอกเหนือจากสถานที่อันตรายที่มีอยู่ไม่กี่แห่งพวกนั้น จะไปที่ไหนก็ได้ ในป่ารกร้างแห่งนี้ไม่มีความพิเศษอะไร มุ่งหน้าสู่ส่วนลึกเข้าไปเรื่อย ๆ ไม่นานก็ได้มาถึงจุดที่ปรากฏอยู่บนแผนที่

นำเอาหยกอสูรจันทราคู่ออกมา ใช้พลังจิตแท้ขับเคลื่อนมัน ค่ายกลแห่งหนึ่งก็ได้ลอยปรากฏออกมา หลัวซิวก้าวเท้าเดินเข้าไปอย่างไม่ลังเล ร่างกายและค่ายกล ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยในพริบตา

ส่วนสิงห์ทิพย์อัคคีอร่ามนั้นได้ถูกเขาปล่อยเอาไว้ให้เฝ้าคอยอยู่ด้านนอก

เมื่อปริภูมิตรงหน้าได้เปลี่ยนไป พลังจิตที่เข้มข้นก้อนหนึ่งก็ได้พุ่งเข้ามาปะทะใบหน้า ตอนที่เข้ามาในเมื่อก่อนหน้านี้นั้นไม่ได้พบเห็น ตอนนี้วิญญาณตัวสำนึกไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว หลัวซิวสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจน พลังจิตที่พลุ่งพล่านอยู่ในแดนนานาอสูร แตกต่างจากพลังฟ้าดินจิตที่อยู่ด้านนอกอย่างชัดเจน

พลังฟ้าดินจิตในที่นี้นั้น เหมือนว่าภายใต้อิทธิพลของวิชาห้ามค่ายกล มีกลิ่นอายของปีศาจรวมอยู่ด้วย ทำให้อสูรกายดูดซับมากลั่นแปรได้ง่ายขึ้น แปลงเป็นพลังอสูรกายที่พิเศษเก็บเอาไว้ในร่างกาย

และเป็นเพราะได้รับผลกระทบจากกลิ่นอายที่พิเศษชนิดนี้ หลังจากที่อสูรกายในที่นี้ได้ถูกสังหาร ถึงได้รวมตัวกันเป็นลูกแก้วโลหิต และหลังจากที่ตายไปได้ไม่นาน ก็จะกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งในวิชาห้ามค่ายกลของแดนปริศนาแห่งนี้

อสูรกายในแดนปริศนาแห่งนี้ ไม่ว่าจะถูกสังหารไปเท่าไหร่ หลังจากที่ผ่านไประยะหนึ่ง ก็จะกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง

สามเขตใหญ่แรก ๆ หลัวซิวไม่ได้มีการหยุดลงเลยสักนิด หลังจากที่ได้มาถึงเขตที่สี่ เขาก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงวังใต้ดินที่ได้พบกับหลงหมิงแห่งนั้นไม่ได้

จากที่ฟังหลงหมิงพูดมา แท่นวิภาไร้เขตสมบัติวิเศษชั้นสูงที่ผนึกเขาเอาไว้เป็นเวลาหลายหมื่นปีนั้น อยู่ในส่วนลึกของวังใต้ดิน

“เจ้าหนุ่ม ข้าขอแนะนำเจ้าอย่าได้มีความคิดต่อแท่นวิภาไร้เขตนั่น นอกเสียจากผลการฝึกตนของเจ้ามีวิชามหาวิภา ไม่เช่นนั้นละก็สมบัติวิเศษชั้นสูงนั่นไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตาเลย พลังเพียงเล็กน้อยก็สามารถเอาชีวิตเจ้าได้” มหาจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำกล่าวเสียงจริงจัง

วิชามหาวิภา เป็นเคล็ดลับวิชาอย่างหนึ่งที่สืบทอดกันมาของสายเหนือ แต่ในสมัยโบราณ อัจฉริยะของสายเหนือได้เหี่ยวเฉาโรยรา แม้แต่ผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ก็ยังไม่มีปรากฏขึ้นแม้แต่คนเดียว ด้วยเหตุนี้สมบัติวิเศษชั้นสูงชิ้นนั้น จึงได้วางอยู่ที่ส่วนลึกของวังใต้ดินมาโดยตลอด ใช้กดผนึกมังกรไร้ร่างหลงหมิงเอาไว้

สำหรับประวัติของสมบัติวิเศษชั้นสูงชิ้นนี้ เมื่อนานมาแล้วในสมัยโบราณ ได้ถูกหลอมขึ้นมาโดยผู้แข็งแกร่งท่านหนึ่งของสายเหนือ หลังจากที่ผุ้แข็งแกร่งได้จากไปอย่างสงบ สายเหนือก็ไม่มีผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ปรากฏขึ้นมาอีกเลย และเป็นธรรมดาที่จะไม่มีคุณสมบัติควบคุมสมบัติวิเศษชั้นสูงชิ้นนี้

จากที่มหาจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำได้กล่าวมา แม้ว่าหลัวซิวจะได้ฝึกฝนวิชามหาวิภา ก็จะต้องมีผลการฝึกตนในระดับเจ้ายุทธจักร ถึงจะสามารถนำแท่นวิภาไร้เขตไปด้วยได้

ไม่มีทางเลือก หลัวซิววจึงทำได้เพียงล้มเลิกความคิดนี้ไป สำหรับสามสมบัติวิเศษเสวียนดำที่อยู่ในร่างกายของเขา แม้ว่าจะเป็นสมบัติวิเศษชั้นสูงเช่นเดียวกัน แต่ที่สามารถเก็บเข้าไปในร่างกายได้นั้น มีสาเหตุมาจากวิญญาณของมหาจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำ

วิชายิ่งเลิศไม่อาจถ่ายทอดอย่างง่ายดายได้ ปัจจุบันทั่วทั้งสำนักไท่เสวียน นอกเหนือจากตัวหลัวซิวเองแล้ว ก็มีเพียงเกาเหลียนหงที่ได้ฝึกฝนวิชาล่องหนไท่เสวียน สำหรับผู้ที่ไม่เคยฝึกวิชาเทพไท่เสวียนมาก่อน แม้จะได้รับลูกแก้วโลหิตในแดนนานาอสูร ก็ไม่มีผลอะไรมากต่อการเพิ่มระดับของความสามารถ ไม่เร็วสู้ประสิทธิภาพของยา

ดังนั้นหลัวซิวจึงไม่ได้หยุดอยู่ในเขตที่สี่นี่อีกต่อไป และมุ่งหน้าไปยังเขตที่ห้า

“ในเขตที่ห้านี้ เต็มไปด้วยอสูรระดับหก หลังจากที่สังหารก็จะได้รับลูกแก้วโลหิต สามารถให้นักยุทธ์ในระดับจักรพรรดิยุทธ์นำมาเพิ่มระดับผลการฝึกตนและร่างเนื้อ”

เอ่ยมาถึงตรงนี้ เสียงของมหาจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำก็ชะงักไปเล็กน้อย “แต่เจ้าจะต้องระวังตัวให้ดี พลังของอสูรบางตัวในเขตที่ห้านี้นั้นแข็งแกร่งมาก ถึงขนาดแปลงร่างเป็นมนุษย์”

มหาจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำทราบดีว่าความสามารถของหลัวซิวสามารถเทียบได้กับมกุฎยุทธ์ แต่ก็ยังได้กล่าวเช่นนี้ จะต้องมีเหตุผลของเขาแน่ แดนนานาอสูรแห่งนี้ดำรงอยู่มาเป็นเวลานาน อสูรกายที่ถูกเลี้ยงดูกักขังเอาไว้ที่นี่ ก็เป็นชนิดแปลกประหลาดที่หาได้ยาก พลังแข็งแกร่ง

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 535
ชิ้นส่วนกฎทั้งสิบแปดชิ้น หลัวซิวได้มอบให้กับเหยียนเยว่เอ๋อร์สิบสามชิ้นเพื่อหลอมรวมเข้าสู่ร่างกาย ชิ้นส่วนกฎอีกห้าชิ้นที่เหลืออยู่ เขาได้นำไปวางไว้ในหอฝึกฝนแห่งหนึ่งในแดนปริศนา ให้คนระดับผู้คุมกฎขึ้นไปของสำนัก ได้มาศึกษาทำความเข้าใจ

เมื่อเทียบกับผลการฝึกตนของคนอื่น ๆ ที่ต่างก็มีความก้าวหน้า ในสองปีมานี้ผลการฝึกตนของหลัวซิว กลับก้าวหน้าได้อย่างเชื่องช้า ยังอยู่ห่างจากการบรรลุถึงระดับจักรพรรดิยุทธ์ขั้นสอง อยู่อีกไม่น้อยเลยทีเดียว

หินตรีภพที่ใหญ่ที่สุดก้อนนั้น เขายังไม่สามารถตัดใจที่จะใช้มันได้ หลังจากที่สถานการณ์ของสำนักได้มั่นคงลง เขาเตรียมที่จะจากไปสักระยะ

เรื่องราวต่าง ๆ ของสำนัก มอบให้เกาเหลียนหงดูแลเป็นการชั่วคราว ส่วนหลัวซิวนั้นในระยะเวลาสองปีมานี้ เขาได้กลั่นยาเอาไว้จำนวนมาก สามารถให้สำนักไท่เสวียนใช้ได้ในระยะยาว

เมื่อทราบว่าหลัวซิวเตรียมที่จะไปฝึกตนที่โลกภายนอก เดิมทีเหยียนเยว่เอ๋อร์คิดจะไปกับเขาด้วย แต่เนื่องจากผลการฝึกตนได้มาถึงช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ อยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเก็บตัวฝึกตน ไม่สามารถออกจากการเก็บตัวในช่วงเวลาอันสั้นได้

สิงห์ทิพย์อัคคีอร่ามที่สยบมาได้ในตอนที่ได้รับภูตอัคคีกลืนกินตนนนั้น ตอนนี้ได้บรรลุถึงระดับที่สามารถทัดเทียมกับราชายุทธ์ได้ หลัวซิวจึงได้ใช้มันเป็นพาหนะ มุ่งหน้าไปยังทิศตะวันตกเฉียงใต้ของอาณาจักรใต้

ตามคำกล่าวของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำ แม้ว่าทางเข้าของแดนนานาอสูรประปรากฏขึ้นแบบสุ่ม ๆ เป็นระยะ แต่ก็มีวิธีที่จะกำหนดทางเข้าได้เช่นกัน จะต้องเพิ่มระดับของค่ายกลให้บรรลุถึงปรมาจารย์ระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นเก้าถึงจะได้

สำหรับหลัวซิวแล้ว อย่าว่าแต่ระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นเก้าเลย ต่อให้เป็นระดับเจ้ายุทธจักรขั้นเก้า ก็ยังห่างไกลจากเขาอีกมากนัก

อย่างไรก็ตามถ้าหากมีสักวันที่สามารถกำหนดทางเข้าของแดนนานาอสูร และวางทางเข้าของแดนนานาอสูรไว้ที่สำนักได้ พอถึงตอนนั้นก็จะให้ศิษย์ในสำนักเข้าไปฝึกฝนในแดนปริศนาเพิ่มระดับผลการฝึกตนได้ มีผลดีมากเลยทีเดียว

สิงห์ทิพย์อัคคีอร่ามบินไปในอากาศด้วยความเร็วที่ไม่นับว่าเร็วนัก แต่หลัวซิวก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร ระยะนี้ผลการฝึกตนของเขาได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเกินไป ก้มลงมองภูเขาและผืนดิน แม่น้ำใหญ่ไหลทะลัก ทำให้จิตใจเบิกบานไปกับธรรมชาติ

แดนนานาอสูรดำรงอยู่มาเป็นเวลานานมาก แบ่งออกเป็นเก้าเขตใหญ่ ๆ อสูรกายที่อยู่ในดินแดนที่หนึ่งนั้นเทียบได้กับแดนฝึกชี่ไห่ แบ่งตามประเภทเช่นนี้ เพิ่มระดับขึ้นเรื่อย ๆ ในเขตที่ห้านั้นเป็นอสูรระดับหก เทียบได้กับผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์

เขตที่ห้าของแดนนานาอสูร ก็คือจุดมุ่งหมายของการเดินทางในครั้งนี้ของหลัวซิวนั่นเอง

“เขตที่ห้านั้นเป็นอสูรระดับหก เขตที่หกเป็นอสูรระดับเจ็ดมกุฎยุทธ์ เขตที่เจ็ดเป็นอสูรระดับแปดมหายุทธ์ เขตที่แปดเป็นอสูรระดับเก้าเจ้ายุทธจักร เขตที่เก้านั้น ก็จะไม่ใช่จักรพรรดิอสูรระดับเก้ามหาจักรพรรดิยุทธ์หรอกหรือ?”

จากการอธิบายของมหาจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำ หลัวซิวยากที่จะจินตนาการได้ว่าผู้ใดกันที่สร้างสถานที่เพาะเลี้ยงอสูรแบบนี้ขึ้นมาได้ หรือว่ามีคนที่สามารถเลี้ยงจักรพรรดิอสูรระดับเก้าเอาไว้เป็นเชลยได้จริง ๆ?”

ระดับเจ้ายุทธจักรและระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ เป็นระดับเก้าเช่นเดียวกัน ระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นเก้า แทบจะเป็นขีดสุดที่นักยุทธ์บรรลุถึงแล้ว ระยะเวลาอันไม่สิ้นสุดตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน สามารถข้ามผ่านระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นเก้าบรรลุถึงแดนนิรันกาลได้ ล้วนเป็นคนที่หาได้ยาก

“ในสายตาของพวกเรา บางทีระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นเก้าอาจจะสุดยอดเอามาก แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าบางสิ่งบางอย่างที่เหนือธรรมชาติ ระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นเก้า จะนับอะไรได้กันล่ะ?”

มหาจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำเหมือนได้ทอดถอนใจอย่างหดหู่เล็กน้อย

แดนนิรันกาล สำหรับทุกคนที่ได้ฝึกตนในโลกยุทธ์แล้ว เป็นเป้าหมายสูงสุดของชีวิต เพราะแดนนิรันกาล เป็นตัวแทนของความเป็นอมตะ!

แม้ว่าผลการฝึกตนของเจ้าจะสูงส่งเพียงใด อย่างไรก็จะต้องตาย ยากที่จะหนีพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ผู้แข็งแกร่งในระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ สามารถมีอายุขัยได้ถึงหมื่นปี หลังจากหมื่นปีผ่านไป ก็ต้องกลายเป็นเถ้าถ่าน มาจากที่ไหนหลับไปที่นั่นเช่นกัน

อาจมีบางคนที่คิดว่าระยะเวลาหมื่นปีนั้นยาวนาน แต่ในประวัติศาสตร์อันยาวนานไม่มีที่สิ้นสุดนั้น หมื่นปีนับเป็นเพียงการดีดนิ้วเท่านั้นเอง

สามารถบรรลุถึงแดนนิรันกาลได้ ไม่ใช่ว่าจะมีชีวิตนิรันดร์ แต่หลังวจากที่อายุขัยได้ถึงขีดสุด สามารถรักษาดวงวิญญาณไม่ให้แตกสลายในการเวียนว่ายตายเกิดเอาไว้ได้เพียงเล็กน้อย มีโอกาสที่จะฟื้นฟูความทรงจำของชาติก่อน ในตอนที่ไปเกิดใหม่ได้

เพราะฉะนั้นแล้ว ก็นับเป็นความอมตะอย่างหนึ่ง ดังนั้นจึงได้เรียกระดับนี้ว่าแดนนิรันกาล

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 534
อาณาจักรตะวันออก สำนักอัสนีวายุ

ตำหนักอันสง่างามบนภูเขาแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ในทิศเหนือหันหน้าไปยังทิศใต้ โอ่อ่าตระการตา ยิ่งใหญ่อลังการ

เจ้าสำนักอัสนีวายุนั่งอยู่ในตำหนัก รอบกายรายล้อมไปด้วยรัศมีอันแรงกล้าของผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์ช่วงปลาย

นอกเหนือจากแดนศักดิ์สิทธิ์ที่สูงส่งต่าง ๆ แล้ว แม้แต่สำหรับกลองกำลังในลำดับต้น ๆ การสิ้นชีพของผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์ผู้หนึ่ง ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ อย่างแน่นอน เพราะทรัพยากรและเวลาที่ใช้ในการเลี้ยงดูฝึกฝนมกุฎยุทธ์ผู้หนึ่งนั้น แลกมากับอะไรมากมาย ไม่อาจสูญเสียไปอย่างง่ายดายได้

ทว่าในครั้งนี้ สำนักอัสนีวายุกลับสูญเสียไปพร้อมกันถึงสามคน บวกกับซุนเชียนซางในเมื่อก่อนหน้านี้ เท่ากับสูญเสียยอดฝีมือในระดับเดียวกันไปพร้อมกันถึงสี่คน เรื่องนี้สำหรับสำนักอัสนีวายุแล้ว นับเป็นการสูญเสียพลังชีวิตไปอย่างหนักหนาสาหัสอย่างแน่นอน

เดิมทีการตายของซุนเชียนซาง ก็ได้ถูกสำนักอัสนีวายุให้ความสำคัญอยู่แล้ว ดังนั้นจึงได้ส่งผู้อาวุโสมกุฎยุทธ์ทั้งสามท่านมุ่งหน้าไปยังอาณาจักรใต้ เพื่อจัดการเรื่องนี้ ในขณะเดียวกันก็สามารถใช้โอกาสนี้ ขยายอิทธิพลของสำนักอัสนีวายุ ในอาณาจักรใต้

แต่ไม่มีใครคาดคิดเลยว่า ในดินแดนเล็ก ๆ อย่างประเทศเทียนหวู ผู้อาวุโสมกุฎยุทธ์ทั้งสามท่านกลับไปแล้วไม่กลับ!

ในตอนที่ข่าวการตายของส่งผู้อาวุโสทั้งสามท่านถูกส่งกลับมา ทั่วทั้งสำนักอัสนีวายุ ครอบคลุมไปด้วยบรรยากาศที่หดหู่บางอย่าง

“จากข่าวคราวที่พวกเราได้รับ เหมือนว่าสำนักไท่เสวียนนั่นจะไม่ธรรมดาเลย โดยเฉพาะหลัวซิวเจ้าสำนักไท่เสวียนผู้นั้น อายุเพียงแค่ยี่สิบ ก็มีความสามารถในการต่อสู้ทัดเทียมกับมกุฎยุทธ์ ถ้าหากเรื่องนี้ไม่อาจแก้ไขได้ หากวันหน้าเขาได้เติบโตขึ้นมา สำหรับสำนักอัสนีวายุของข้า ถือเป็นต้นเหตุของความหายนะอย่างไม่ต้องสงสัย”

“แต่เหมือนว่าผลการฝึกตนของหลัวซิวนั่นเหมือนจะไม่สูงนัก มีผลการฝึกตนอยู่แค่ในระดับจักรพรรดิยุทธ์ สามารถต่อกรกับมกุฎยุทธ์ได้ คงอาศัยค่ายกลของสำนัก ไม่ต้องกังวลมากเกินไป”

“แม้ว่าพรสวรรค์ของมันจะสูงเพียงใด แต่ก็อายุยังน้อย แต่สำนักอัสนีวายุของข้ากลับมีผู้อาวุโสระดับมหายุทธ์ประจำตำแหน่งอยู่ จำเป็นต้องกลัวมันด้วยหรือ?”

ผู้อาวุโสและผู้คุมกฎจำนวนมากที่อยู่ภายในตำหนัก ต่างวิพากษ์วิจารณ์ แสดงความคิดเห็นของตน

“ทุกท่านกล่าวไม่ผิด แต่ว่ากันว่าหลัวซิวเจ้าสำนักไท่เสวียนผู้นั้นได้รับการให้ความสำคัญจากหัวหน้าลาดตระเวนแห่งอาณาจักรใต้ จะแตะต้องมันง่าย ๆ ไม่ได้!” เจ้าสำนักอัสนีกล่าวเสียงเข้ม

“เรื่องนี้จักต้องวางแผนระยะยาว……”

เมื่อเทียบกับอาณาจักรใต้แล้ว ประเทศเทียนหวูเป็นเพียงสถานที่เล็ก ๆ ที่ค่อนข้างจะสงบสุขแห่งหนึ่งเท่านั้น ผู้ที่มีฝีมือแข็งแกร่งที่สุดก็อยู่เพียงในระดับมกุฎยุทธ์เท่านั้น

แต่เนื่องด้วยมีส่วนเกี่ยวข้องกับหัวหน้าลาดตระเวน จึงได้รับความสนใจจากกองกำลังต่าง ๆ ในอาณาจักรใต้ขึ้นมาอย่างกะทันหัน

อาณาจักรตะวันออกตะวันตกเหนือใต้ทั้งสี่อาณาจักรของโลกแสงดาว ทุกอาณาจักร มีหัวหน้าลาดตระเวนอยู่เพียงท่านเดียวเท่านั้น ล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งในระดับเจ้ายุทธจักร แถมยังล้วนเป็นเจ้ายุทธจักรที่ถูกแต่งตั้งขนานนาม!

เจ้ายุทธจักรที่ถูกแต่งตั้งขนานนามผู้หนึ่ง ความสามารถในการต่อสู้ทัดเทียมได้กับมหาจักรพรรดิยุทธ์ หรือแม้กระทั่งเผชิญหน้ากันโดยตรง สามารถสังหารมหาจักรพรรดิยุทธ์โดยทั่วไปได้!

ผู้แข็งแกร่งเช่นนี้ สามารถสั่นสะเทือนไปทั่วสารทิศ แม้แต่แดนศักดิ์สิทธิ์โดยทั่วไปก็ไม่กล้าที่จะไปล่วงเกิน

บวกกับที่มีสี่แก๊งใหญ่อยู่เบื้องหลัง หัวหน้าลาดตระเวนท่านหนึ่งเป็นบุคคลใหญ่โตที่เพียงแค่กระทืบเท้า ก็สามารถทำให้อาณาจักรใต้สั่นคลอนได้อย่างแน่นอน

ด้วยอำนาจของหัวหน้าลาดตระเวนแห่งอาณาจักรใต้ เขาหวูโจวแห่งอาณาจักรตะวันตกก็ได้เลือกประนีประนอม ได้ส่งทูตมาผู้หนึ่ง ใช้ทรัพยากรและของมีค่าจำนวนมาก ถึงสามารถไถ่ตัวจูชิงกลับไปได้

เวลาล่วงเลยไปโดยไม่รู้ตัว ชั่วพริบตาก็ผ่านมาสองปีแล้ว หลัวซิวจากเด็กหนุ่มที่ยังไม่เติบโตคนนั้น ได้กลายมาเป็นชายหนุ่มในวัยยี่สิบปี

เนื่องด้วยได้ฝึกวรยุทธ์วงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ หน้าตาของเขาจึงไม่ได้เปลี่ยนไปสักเท่าไรนัก

ในระยะเวลาสองปีที่ผ่านมา สถานการณ์ของประเทศเทียนหวูอยู่ในความสงบสุขมาโดยตลอด

สำนักไท่เสวียนก็ได้อาศัยโอกาสนี้พัฒนาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ได้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว หอคอยมังกรบินแห่งนั้น ก็ได้ถูกหลัวซิวเคลื่อนย้ายมาไว้ที่สำนักไท่เสวียน ใช้เพื่อทดสอบพรสวรรค์และระดับผลการฝึกตนของศิษย์ในสำนัก

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 533
“เวลาสิบปี?”

ด้านหน้าตำหนักวัฏสงสาร หลัวซิวยืนเอามือไขว้หลัง เขาไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจเลยสักนิด

แม้ว่าการฝึกยุทธ์จะยิ่งสูงขึ้น การเลื่อนระดับที่บรรลุถึงของแต่ละคนจะยิ่งยากขึ้นเรื่อย ๆ เขาก็ยังคงเต็มไปด้วยความมั่นใจ

พิธีเปิดเขาในครั้งนี้ สำนักไท่เสวียนมีศิษย์นอกสำนักเข้าร่วมร้อยกว่าคน พูดได้ว่าได้ฉีดเลือดที่สดใหม่เข้ามา ทำให้สำนักที่แต่เดิมมีคนเพียงน้อยนิด ในที่สุดก็มีชีวิตชีวาขึ้นมา

เพียงแต่ว่าแม้จะมีคนเพิ่มมากขึ้น แต่คนที่สามารถเชื่อถือได้ กลับมีไม่มาก โชคดีที่ในศิษย์จำนวนร้อยกว่าคนนี้ ก็มีใบหน้าที่คุ้นเคยอยู่บ้าง

หนึ่งในจำนวนนนั้น ก็คือปี้เซียนเสว่นั่นเอง หญิงสาวที่มีอายุรุ่นราวคาวเดียวกับหลัวซิวคนนี้ มีร่างกายที่พิเศษอย่างร่างแห่งเสวียนหยิน สำนักฉางเหอได้ให้ความสำคัญในตอนนั้น ถึงขนาดที่อาจารย์สำนักฉางเหอจะลงมือสั่งสอนด้วยตนเอง

แต่น่าเสียดายที่อาจารย์สำนักฉางเหอได้ประสบเคราะห์ร้ายในเวลาต่อมา ยอดเขาเทียนเหอถูกสำนักอัสนีวายุทำลายล้าง ปี้เซียนเสว่โชคดีหนีรอดออกมาได้ ในตอนที่ไร้ซึ่งหนทางได้ยินว่าสำนักไท่เสวียนที่หลัวซิวก่อตั้งขึ้นได้เปิดสำนักเขา รับศิษย์ เลยได้มาตามที่ได้ยิน

สำนักฉางเหอได้ทุ่มเททรัพยากรและกำลังใจกายมากมายบนตัวของนาง เพราะเหตุนี้ผลการฝึกตนของนางจึงได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มีวันนี้ได้มีผลการฝึกตนในแดนราชายุทธ์ขั้นสามเป็นที่เรียบร้อย

ด้วยเหตุนี้หลัวซิวจึงได้แหกกฎทำให้นางจากศิษย์นอกสำนัก ได้เข้ามามีสถานะเป็นศิษย์ใจกลาง

อยู่ในสำนักตำแหน่งของศิษย์ใจกลาง แทบจะทัดเทียมได้กับระดับผู้คุมกฎ

นอกจากนี้แล้วยังมีเย่เจียเอ๋อร์แห่งหอหย่งชาง นางได้สืบทอดบิดาของนาง ได้กลายเป็นเจ้าหอแห่งหอหย่งชางเป็นที่เรียบร้อย กลับได้มาที่สำนักไท่เสวียน เนื่องจากผลการฝึกตนของนางได้ถึงระดับฝึกจิตขั้นสาม ดังนั้นจึงได้กายเป็นศิษย์ในสำนักโดยตรง

หลังจากที่ได้มีพลังของกฎการเวียนว่ายตายเกิด กฎเบญจธาตุไม่ได้มีประโยชน์อะไรมากมายสำหรับหลัวซิวอีกแล้ว ดังนั้นจึงได้หยิบเอาทองไม้น้ำไฟดินอย่างละชิ้น ออกมาจากชิ้นส่วนกฎทั้งสิบแปดชิ้น ส่วนที่เหลือนั้นได้มอบให้เหยียนเยว่เอ๋อร์ทั้งหมด

ช่วงระยะเวลาที่ผ่านมานี้ เหยียนเยว่เอ๋อร์ได้อาศัยหินตรีภพมาฝึกตน บรรลุระดับผลการฝึกตนได้อย่างรวดเร็ว ได้บรรลุถึงระดับจักรพรรดิยุทธ์ขั้นหกเป็นที่เรียบร้อย มีกฎเบญจธาตุคอยช่วยเหลือ ความสามารถเพียงพอที่จะต่อกรกับผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ขั้นเก้า

นอกจากนี้แล้วหลังจากที่ได้รับกฎเบญจธาตุ เหยียนเยว่เอ๋อร์ก็ไม่ได้ฝึกพลังอมตะของแสงจิตห้าสี แต่ได้อาศัยกฎเบญจธาตุชุบร่างยุทธ์ร่างเนื้อ บวกกับพลังตรีภพและสภาพแวดล้อมอันโดดเด่นของหอฝึกฝนแดนปริศนา การบรรลุขั้นจึงได้รวดเร็วยิ่งขึ้น และพลังก็ได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ในตำหนักวัฏสงสาร หลัวซิวได้เรียกให้เกาเหลียนหงมาหา

“สำนักไท่เสวียนพึ่งได้ก่อตั้ง ตอนนี้ยังไม่มีคนที่สามารถใช้ได้ มีเพียงผู้คุมกฎเกาที่เป็นมกุฎยุทธ์ ดังนั้นมีอยู่เรื่องหนึ่ง ข้าต้องการให้ผู้คุมกฎเกาไปจัดการด้วยตนเอง” หลัวซิวกล่าว

“เจ้าสำนักโปรดกล่าว”

“หลี่เสวียนหยางผู้นั้นได้ตายไปแล้ว จึงไม่มีผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์มาจัดการค่ายพิทักษ์เขาของสำนักเสวียนหยาง ท่านนำตราขลังมังกรเขียวไปที่นั่น” หลัวซิวกล่าวสั่งการ

ในวันนี้สถานการณ์โดยรวมได้ถูกกำหนดเรียบร้อย จากความสามารถของเกาเหลียนหง สามารถปฏิบัติการได้โดยไม่ต้องหวาดกลัวใด ๆ มอบภารกิจนี้ให้เขา แน่นอนว่าเหมาะสมที่สุดแล้ว

สำหรับเรื่องข่าวที่หลี่เสวียนหยางได้สิ้นชีพแพร่พายไปถึงสำนักเสวียนหยาง เจ้าสำนักเสวียนหยางจะพาผู้คนหลบหนีนั้น หลัวซิวไม่ได้ใส่ใจ อาศัยข่าวกรองที่องค์กรนักล่ายุทธ์มีอยู่ในมือ ในดินแดนประเทศเทียนหวู คนพวกนั้น ไม่มีทางหลบหนีเลยสักนิด

จากนั้น หลัวซิวก็ได้มาที่คุกของสำนัก สีชูทงและจูชิงทั้งสองคน ถูกคุมขังเอาไว้ที่นี่

สีชูทงมีผลการฝึกตนในระดับจักรพรรดิยุทธ์ช่วงปลาย ฝึกตนมาเป็นระยะเวลาร้อยกว่าปี พรสวรรค์ก็นับว่าไม่เลว แต่เขากลับเป็นลูกศิษย์ของป๋ายหลี่หยวนหลง และการตายของป๋ายหลี่หยวนหลง ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับหลัวซิว

“สีชูทง ข้าจะให้ทางเลือกกับเจ้าสองทาง ทางที่หนึ่งคือให้ข้าใช้วิชาสยบวิญญาณกับเจ้า กลายเป็นผู้ดูแลในสำนักของสำนักไท่เสวียนของข้า ทางที่สองก็คือข้าสามารถปล่อยเจ้าไปก็ได้ แต่ข้าจะลงกฎข้อห้ามเข้าสู่ร่างกายของเจ้า ถ้าหากเจ้ามาสามารถทำลายกฎข้อห้ามได้ ผลการฝึกตนในชีวิตนี้ของเจ้าก็จะไม่อาจก้าวหน้าได้” หลัวซิวกล่าวกับสีชูทงที่อยู่ในคุก

ตอนนี้สำนักไท่เสวียนจำเป็นต้องใช้คน นอกจากนี้แล้วสำนักเพิ่งได้ก่อตั้งขึ้น ไม่เหมาะแก่การสู้รบ มีศัตรูไปทั่ว ไม่เช่นหลัวซิวก็ของไม่ทำเรื่องที่ไร้ประโยชน์เช่นนี้

สีชูทงเองก็เป็นคนที่เข้าใจสถานการณ์ดี โลกของนักยุทธ์ ผู้ที่สังหารผู้อื่น ก็จะถูกผู้อื่นสังหารเช่นเดียวกัน ไม่อาจพูดได้อย่างชัดเจนว่า ใครถูกใครผิด

สุดท้ายแล้ว สีชูทงก็ได้เลือกเส้นทางแรกอย่างชาญฉลาด ยอมที่จะให้หลัวซิวลงวิชาสยบวิญญาณอย่างเต็มใจ นับจากนี้ไปอยู่ที่สำนักไท่เสวียน

ส่วนจูชิงผู้นั้น เป็นผู้แข็งแกร่งในระดับมกุฎยุทธ์ ไม่สามารถกำราบได้ง่าย ๆ จากข่าวกรองที่เขาได้ยินมา แม้ว่าในอาณาจักรตะวันตกเขาหวูโจวจะไม่ได้เป็นกองกำลังใหญ่โตอะไร แต่ก็มีมกุฎยุทธ์ขั้นเก้าผู้หนึ่งนั่งประจำตำแหน่งอยู่

ทว่าหลัวซิวก็ไม่คิดที่จะปล่อยอีกฝ่ายไปอย่างง่ายดายเช่นนี้ ถ้าหากเขาหวูโจวต้องการที่จะได้คนกลับไป ก็จะต้องหาอะไรมาไถ่ตัว

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 532
ยังไม่ต้องพูดถึงความสามารถของหลัวซิว เพียงแค่ความเร็วของผลการฝึกตนของเขาที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ พูดได้ว่ามู่จื่อซิวและหนิงเหอโจวเคยได้สัมผัสมาก่อน

เมื่อหนึ่งปีก่อน ในตอนที่เขาเป็นราชายุทธ์ปฐมภูมิ ฝีมือของเขาก็สามารถทัดเทียมกับจักรพรรดิยุทธ์ได้แล้ว

ระยะเวลาสั่น ๆ เพียงแค่ปีกว่า ผลการฝึกตนของเขาไม่เพียงเพิ่มมาถึงแดนจักรพรรดิยุทธ์ ความสามารถของเขานั้นยังทัดเทียมได้กับมกุฎยุทธ์ สังหารแม้กระทั่งมกุฎยุทธ์ แบบนั้นถึงน่าหวาดกลัวอย่างแท้จริง

ถึงอย่างไรผลการฝึกตนยิ่งเพิ่มขึ้น ความลำบากในการต่อสู้ข้ามระดับก็ยิ่งยากขึ้น ถ้าหากรอจนเขาถึงระดับมกุฎยุทธ์สามารถต่อต้านมหายุทธ์ เช่นนั้นก็ไม่ใช่น่าหวาดกลัวแล้ว แต่เป็นเหนือมนุษย์

การคัดเลือกศิษย์เข้าสำนัก เมื่อก่อนหน้านี้เหว้ยห้าวหรานได้ทำตามความต้องการของหลัวซิวแล้ว ได้สร้างค่ายกลต่าง ๆ นานาเพื่อทดสอบ

จากการทดสอบแต่ละขั้น ภายในผู้คนนับพันคน มีเพียงร้อยกว่าคน ที่มีคุณสมบัติเข้าเป็นศิษย์นอกสำนักของสำนักไท่เสวียน

ผลการฝึกตนของคนพวกนี้ อาจจะไม่ได้สูงที่สุดให้ในคนจำนวนนับพันคน แต่ล้วนมีรากฐานที่มั่นคง หลังจากที่ได้เข้าสำนักไท่เสวียน ความสำเร็จในอนาคตอย่างน้อยก็อยู่ที่ระดับจักรพรรดิยุทธ์

ที่จริงแล้วพิธีเปิดเขานั้น เป็นการแสดงให้คนบนโลกได้เห็นถึงรากฐานและความแข็งแกร่ง

เกาเหลียนหงผู้คุมกฎของสำนักได้สังหารมกุฎยุทธ์ทั้งสามท่านของสำนักอัสนีวายุ หลัวซิวลงมือจับเป็นมกุฎยุทธ์ช่วงปลายอย่างจูชิง ได้เป็นการแสดงให้เห็นความสามารถของทำนักไท่เสวียนเป็นที่เรียบร้อย

ส่วนรากฐานของกองกำลังนั้น แน่นอนว่าก็คือการสืบทอดนั่นเอง!

หอเสวียนดำเปิดออก ส่องแสงสว่างวาบ วรยุทธ์ต่าง ๆ นานาตั้งแต่ระดับสี่ถึงระดับเจ็ด มากมายนับไม่ถ้วน เป็นการเปิดหูเปิดตาสำหรับทุกคนจริง ๆ

ทว่าหลัวซิวกลับทราบเป็นอย่างดี สำนักไท่เสวียนเริ่มก่อตั้ง พูดได้ว่าเป็นที่เคารพนับถือในประเทศเทียนหวู แต่ทั่วทั้งอาณาจักรใต้ ไม่คู่ควรแก่การเอ่ยถึง ยังมีเส้นทางอีกยาวไกลที่จะต้องเดิน

“ข้าหลัวซิวไม่ทำก็คือไม่ทำ ถ้าทำแล้วก็ต้องทำให้ดีที่สุด จะต้องมีสักวัน ข้าจะทำให้สำนักไท่เสวียนส่องสว่างเจิดจรัสไปทั่วโลกแสงดาว แม้จะเกิดเคราะห์กรรมโบราณขึ้นอีกครั้ง ก็จะไม่สิ้นสลาย!”

ยามพลบค่ำพระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า พิธีเปิดเขากำลังจะสิ้นสุด แขกที่ได้มาร่วมพิธีมากมาย ต่างก็ได้ทยอยจากไป

หลัวซิวยืนอยู่ที่ด้านหน้าตำหนักวัฏสงสาร ก้มมองแผ่นดินอันกว้างใหญ่ ทอดมองความว่างเปล่าอันกว้างขวาง ความฮึกเหิมเกิดขึ้นมาภายในใจ

เขาจะทำให้สำนักไท่เสวียน รุ่งเรืองและเกรียงไกรยิ่งกว่าสมัยโบราณด้วยมือของเขา ทางเส้นนี้ถูกกำหนดว่าจะต้องเดินอย่างยากลำบาก แต่เขากลับเต็มไปด้วยความเชื่อมั่น

การฝึกยุทธ์ แย่งชิงชีวิตกับสวรรค์ เหตุใดต้องกลัวความยากลำบากและอันตราย?

แม้ว่าเยว่คงจวินผู้แข็งแกร่งมหายุทธ์คนนี้จะไม่ได้สร้างปัญหา แต่ก่อนที่เขาจะจากไป กลับได้ฝากไว้กับหลัวซิวหนึ่งประโยค

“เรื่องของศิษย์ไม่ได้เรื่องของข้าคนนั้น เห็นแก่หัวหน้าลาดตระเวน ข้าสามารถไม่เอาเรื่องเป็นการชั่วคราวได้ แต่ข้าให้โอกาสเจ้าเพียงแค่สิบปีเท่านั้น หลังจากสิบปีผ่านไป ถ้าหากเจ้าไม่มีความสามารถที่จะเผชิญหน้ากับข้าได้ เช่นนั้นเมื่อข้าลงมือต่อเจ้า หัวหน้าลาดตระเวนก็ไม่อาจที่จะปกป้องเจ้าได้!”

เยว่คงจวินไม่ได้ถามว่าเป็นหลัวซิวที่สังหารหยูเชียนฮั่วหรือไม่ เพราะสำหรับผู้แข็งแกร่งมหายุทธ์คนหนึ่ง แหล่งที่มาของข่าวคราวของเขานั้นกว้างขวางมาก ต้องการสืบหาต้นสายปลายเหตุของเรื่องราว มันไม่ใช่เรื่องอยากอะไร

สำหรับผู้ที่พึ่งบรรลุถึงแดนจักรพรรดิยุทธ์ คิดจะต่อกรกับมหายุทธ์ได้ในระยะเวลาภายในสิบปี ก็เท่ากับการเอาไข่ไปกระทบหิน ไม่มีความเป็นไปได้เลยสักนิด อย่าว่าแต่สิบปีเลย ต่อให้เวลาเป็นร้อยปี ก็ไม่มีทางที่จะทำได้

ทว่าหลัวซิวกลับทราบดี แทนที่จะบอกว่าเป็นสัญญาสิบปีนี้ เป็นผลกรรมระหว่างเขากับเยว่คงจวิน สู้บอกว่าเป็นบททดสอบที่หัวหน้าลาดตระเวนแห่งอาณาจักรใต้ให้เขาจะดีกว่า

“บางที หากหัวหน้าลาดตระเวนผู้สูงส่งท่านนั้นได้รู้ว่าข้าบรรลุแดนจักรพรรดิยุทธ์ได้ภายในระยะเวลาสั้น ๆ เพียงสิบปี คิดจะยืมมือเยว่คงจวินให้ความกดดันแก่ ดูว่าข้าจะสามารถสร้างปาฏิหาริย์ได้อีกครั้งหรือไม่?”

ความคิดของบุคคลใหญ่โตเหล่านั้น คาดเดาได้ยาก แต่หลัวซิวทราบดีว่าตนเองทำได้เพียงเดินไปข้าง จะต้องมีสักวันที่ตนนั้นมีความสามารถทัดเทียมได้ ถึงจะสามารถตัดขาดกับสถานะของการเป็นหมากของผู้อื่น

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 531
“หากว่าผู้อาวุโสมาเข้าร่วมพิธี เช่นนั้นก็เชิญนั่ง” หลัวซิวยืนอยู่ด้านหน้าตำหนักวัฏสงสารที่ลอยอยู่บนท้องฟ้ามองไปยังเยว่คงจวิน

เยว่คงจวินไม่ได้กล่าวอะไร กวาดสายตาไปยังพวกคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าตำหนักวัฏสงสาร โดยเฉพาะฉีฝ่าเทียนผู้ลาดตระเวนอาณาจักรใต้ผู้นั้น เป็นธรรมดาที่เขาจะรู้จักสถานะของคนผู้นั้น

“เจ้าศักดิ์สิทธิ์เยว่ หลัวซิวเจ้าสำนักไท่เสวียนผู้นี้เป็นคลื่นลูกใหม่ที่ท่านหัวหน้าลาดตระเวนให้ความสำคัญมาก” ฉีฝ่าเทียนลุกยืนขึ้น กำหมัดคารวะไปทางเยว่คงจวิน

ได้ยินว่าหัวหน้าลาดตระเวนบนใบหน้าไร้ความรู้สึกของเยว่คงจวิน มีความประหลาดใจเล็กน้อย ไม่นาน เขาก็ลอยตัวลงที่ด้านหน้าตำหนักวัฏสงสาร และนั่งลงไปบนที่นั่งแห่งหนึ่ง

เมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ของอีกฝ่าย หลัวซิวก็รู้ว่าเยว่คงจวินคงจะไม่ลงมือกับสำนักไท่เสวียนอย่างแน่นอน ดูเหมือนว่าชื่อเสียงของหัวหน้าลาดตระเวนจะใช้ได้ไม่เบา เพียงพอที่จะสั่นสะเทือนมหายุทธ์ผู้หนึ่ง

“คนรุ่นหลังที่น่าเกรงขาม!” หลังจากที่เยว่คงจวินได้นั่งลง ก็จับจ้องไปที่หลัวซิว และกล่าวขึ้นมาอย่างเรียบ ๆ

“สำนักเขาได้เปิดออก รับศิษย์เข้าสำนักจำนวนมาก!”

เกาเหลียนหงยืนออกมา ยืนอยู่กลางอากาศ บันไดที่เกิดจากการรวมตัวของลำแสงอันโชติช่วง ยื่นออกมาจากประตูสำนักไท่เสวียน

ทราบกันโดยทั่วไปว่า วันนี้สำนักไท่เสวียนจะเปิดประตูสำนัก รับศิษย์เข้าสำนักจำนวนมาก ดังนั้นผู้คนจากทั่วทุกสารทิศของประเทศเทียนหวูต่างก็ได้มากัน นอกเหนือจากเหล่าผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์ที่มาร่วมชมพิธี ก็เป็นผู้คนที่ต้องการกราบเป็นศิษย์

เมื่อเห็นภาพเช่นนี้ ทุกคนต่างเงียบไป

มกุฎยุทธ์ทั้งสามคนของสำนักอัสนีวายุ ตาย!

อาจารย์เสวียนหยาง ตาย!

จูชิงผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์ขั้นเจ็ดของเขาหวูโจวถูกทำร้ายบาดเจ็บสาหัส ผลการฝึกตนถูกปิดผนึกและจับเป็น!

ผู้แข็งแกร่งมหายุทธ์เยว่คงจวินมาด้วยตนเอง แต่กลับเลือกที่จะประนีประนอมไม่ลงมือ กลายเป็นผู้เข้าร่วมชมพิธี

ประตูสำนักไท่เสวียนได้เปิดออกเรียบร้อย การใหญ่เป็นอันสำเร็จ!

ในอาณาจักรประเทศเทียนหวู สำนักและตระกูลใหญ่น้อยต่างส่งลูกศิษย์วัยหนุ่มสาวที่โดดเด่นออกมา

นับจากนี้ไป สำนักไท่เสวียนจะกลายเป็นกองกำลังที่ใหญ่ที่สุดของประเทศเทียนหวูไปโดยปริยาย ถ้าหากลูกศิษย์ที่โดดเด่นของตนสามารถเข้าสำนักไท่เสวียนได้ จะเป็นประโยชน์ต่อตระกูลของตน เป็นอันมากอย่างไม่ต้องสงสัย

เพียงช่วงเวลาสั้น ๆ บันไดที่เกิดจากการรวมตัวกันของลำแสง ก็ได้เต็มไปด้วยผู้คน ซึ่งมีจำนวนนับพันคน

ที่ด้านหน้าตำหนักวัฏสงสาร หลัวซิวและมู่จื่อซิวฉีฝ่าเทียน หนิงเหอโจวมกุฎยุทธ์ทั้งสามคน รวมทั้งเยว่คงจวินมหายุทธ์ท่านนี้นั่งอยู่ด้วยกัน บนที่นั่งในรองลงไป ก็จะเป็นจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงและจักรพรรดิยุทธ์คนอื่น ๆ นั่งอยู่ ส่วนผู้คนที่มีผลการฝึกตนอยู่ในระดับราชายุทธ์ กลับไม่มีคุณสมบัติที่จะได้นั่ง

โอวโหเหลียงลอยตัวขึ้นสู่อากาศ มองดูผู้คนมากมายที่อยู่บนบันไดที่ได้มาเข้าร่วมสำนักไท่เสวียนและกล่าวเสียงดัง: “นักกลั่นยาขั้นสามขึ้นไป สามารถมารายงานตัวที่หอกลั่นยา!”

เหว้ยห้าวหรานเองก็ได้นั่งประจำอยู่ที่หอค่ายกล “นักค่ายกลขั้นสามขึ้นไป ก็สามารถมารายงานตัวที่หอค่ายกล!”

ส่วนสวีจิงเหนียนนั้นได้ประจำตำแหน่งที่หอหลอมอาวุธเป็นการชั่วคราว “นักหลอมอาวุธขั้นสามขึ้นไป สามารถมาที่หอหลอมอาวุธ!”

ในระหว่างที่กล่าวนั้น ต่างก็ได้มีเส้นทางที่เกิดจากม่านแสงทอดออกมาจากหอทั้งสามแห่ง ภายในหมู่ผู้คนนับพันคนที่มาเข้าร่วมสำนักไท่เสวียน ก็ได้มีคนเดินออกมาเป็นจำนวนมาก แยกไปตามหอกลั่นยา หอค่ายกล ส่วนทางหอหลอมอาวุธนั้น มีเพียงแค่สองคน

สาเหตุที่มีนักกลั่นยาและนักค่ายกลมาเป็นจำนวนมาก นั่นเป็นเพราะผลจากสถานะประธานแก๊งของหลัวซิวและเหว้ยห้าวหราน

ส่วนคนอื่น ๆ ที่เหลือ จะต้องผ่านการทดสอบ ถึงจะกลายเป็นสมาชิกคนหนึ่งของสำนักไท่เสวียนอย่างแท้จริงได้ เนื้อหาของการทดสอบ มีเกาเหลียนหงเป็นผู้รับผิดชอบ

พิธีเปิดสำนักเขา ในครั้งนี้ แม้จะไม่ค่อยสงบเท่าไหร่ แต่ก็นับว่าทุกอย่างผ่านไปด้วยดี

“ได้ยินมาตลอดว่าแดนตำหนักจื่อเป็นดินแดนปริศนาที่สำนักไท่เสวียนโบราณใช้ฝึกฝน เพียงเพราะเกิดการกัดกร่อนของวันเวลานับหมื่นปี ทำให้สภาพแวดล้อมของการฝึกฝนที่ด้านในเทียบไม่ได้กับเมื่อก่อน มาตอนนี้เจ้าสำนักหลัวได้ก่อตั้งไท่เสวียนขึ้นมาอีกครั้ง คิดว่าคงได้รับการสืบทอดจากไท่เสวียน ไม่ทราบว่าได้ฟื้นฟูแดนตำหนักจื่อนั่นแล้วหรือไม่?”

ด้านหน้าตำหนักวัฏสงสาร จู่ ๆ ฉีฝ่าเทียนก็ได้ยิ้มกล่าวขึ้นมาหนึ่งประโยค

หลัวซิวยิ้มเล็กน้อย “พูดแล้วน่าละอายใจนัก ความสามารถของข้าน้อยมีขีดจำกัด จะฟื้นฟูค่ายผนึกปราณที่อยู่ในแดนปริศนากลับมาเป็นดั่งเดิมได้นั้น ความสามารถของข้ายังห่างไกลยิ่งนัก”

“สหายน้อยยังคงถ่อมตัวเช่นเคย มีผลการฝึกตนถึงระดับนี้ได้ในตอนที่อายุไม่ถึงยี่สิบ ความสำเร็จในวันหน้าของเจ้า จะถึงไม่มีสิ้นสุดอย่างแน่นอน” มู่จื่อซิวยิ้มกล่าว

บทที่ 530

บทที่ 532

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 530
“พลังของกฎการเวียนว่ายตายเกิด แข็งแกร่งกว่ากฎเบญจธาตุที่ได้รับมาจากแดนแต่งตั้งราชาเสียอีก”

สำหรับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนี้ ตัวหลัวซิวเองก็คาดไม่ถึงเช่นกัน

สิ่งที่แตกต่างจากกฎเบญจธาตุ นั่นคือตอนที่เขาใช้พลังกฎการเวียนว่ายตายเกิด หว่างคิ้วของเขาไม่ปรากฏตราประทับขึ้นมา นั่นเป็นเพราะกฎการเวียนว่ายตายเกิดได้มาจากการที่เขาบรรลุผังกฎดั้งเดิมที่ 3 ด้วยตัวเองและเข้ากับร่างของเขาได้เป็นอย่างดี

ส่วนกฎเบญจธาตุจะใช้การผนึกรวมชิ้นส่วนกฎ และยืมพลังจากด้านนอกมาใช้ เวลาที่ใช้งานถึงจะมีตราประทับปรากฏขึ้นระหว่างคิ้ว

เช่นเดียวกับตอนที่ฉีฝ่าเทียนใช้กฎธาตุทอง หว่างคิ้วของเขาก็ปรากฏตราขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าพลังแห่งกฎที่เขาใช้ได้รับมาจากชิ้นส่วนกฎ

“การมีกฎการเวียนว่ายตายเกิดและกฎเบญจธาตุกลับไม่มีประโยชน์อะไรกับข้ามากนัก แต่กลับสามารถนำมาใช้ยกระดับพลังของคนอื่นๆ ในสำนักได้” หลัวซิวคิดในใจ

เมื่อเห็นปฏิกิริยาตื่นตระหนกของคนในที่นั้นที่มาแสดงความยินดี หลัวซิวก็รู้แล้วว่าสิ่งที่ตนต้องการเป็นไปตามเป้าหมายพอสมควรแล้ว ขอเพียงแค่พิธีเปิดสำนักเขาจัดขึ้นอย่างราบรื่นสมบูรณ์ ต่อจากนี้ไปทั่วทั้งแผ่นดินประเทศเทียนหวูนี้ก็จะพากันยกย่องสำนักไท่เสวียน

“เยว่คงจวินคงใกล้จะมาถึงแล้วกระมัง” หลัวซิวหรี่ตาลงแล้วมองไปยังขอบฟ้าอันห่างไกล

ในตอนนั้นเองพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ก็ได้เคลื่อนตัวมาถึงและปกคลุมอยู่เหนือศีรษะของทุกคนในที่นั้น

นี่เองเป็นเหตุทำให้เกิดอาการตัวสั่นและหวาดกลัวได้ สายตาของทุกคนในที่นั้นต่างมองไปที่ทิศทางเดียวกัน กลางท้องฟ้าปรากฏผู้อาวุโสเคราขาวที่เอามือไพล่หลังเอาไว้แล้วเดินเข้ามาด้วยความมั่นใจ

“มาแล้ว!”

หลัวซิวหรี่ตาเล็กลง เขารู้มาจากฉีฝ่าเทียนว่าคนผู้นี้คือเยว่คงจวิน หรือก็คืออาจารย์ตระกูลหยูแห่งเทือกเขาเหิงหยุน อาจารย์ของหยูเชียนฮั่วนั่นเอง

หยูเชียนฮั่วเป็นถึงผู้แข็งแกร่งแดนมกุฎยุทธ์ อาจารย์ของเขาคือเยว่คงจวิน เป็นมหายุทธ์ที่ยังมีชีวิตอยู่

ผู้แข็งแกร่งมหายุทธ์ในแผ่นดินของประเทศเทียนหวูแห่งนี้ สามารถทำลายล้างทุกสิ่งของที่นี่ได้

แม้ว่าจะเป็นฉีฝ่าเทียนหรือมู่จื่อซิว ผู้ลาดตระเวนของสี่แก๊งใหญ่ก็ตาม เมื่ออยู่ต่อหน้ามหายุทธ์ก็ยังต้องเจียมเนื้อเจียมตัว

เพราะว่าในโลกของเรานี้แบ่งออกเป็น มนุษย์ ปีศาจและมาร ผู้แข็งแกร่งมหายุทธ์ถือเป็นผู้ที่พลังแข็งแกร่งสูงสุดของมนุษย์ มีจำนวนไม่มาก ดังนั้นจึงมีฐานะที่สูงส่ง

“สำนักไท่เสวียนมีศัตรูฝีมือฉกาจไม่น้อยเลยจริงๆ”

“ได้ยินมาว่าสงครามเทียนเหอมีมกุฎยุทธ์สองคนที่มีเบื้องหลังไม่ธรรมดาสิ้นชีพ เจ้าสำนักหลัวซิวเองก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย สำนักฉางเหอก็ถูกกำจัดไปแล้ว ลำดับต่อไปก็คือสำนักไท่เสวียนแล้วล่ะ”

“น่าเสียดาย เจ้าสำนักหนุ่มมีพลังเหลือล้น แต่การมาเยือนของมหายุทธ์เช่นนี้เกรงว่าพิธีเปิดสำนักจะต้องล่มสลายแน่แล้ว”

ก่อนหน้านี้มีผู้มาร่วมงานพิธีเปิดสำนักเขาไท่เสวียนจำนวนมาก การมาเยือนของเยว่คงจวินทำให้ฝูงชนต่างส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์

แม้ว่าสำนักไท่เสวียนจะแสดงฝีมือออกมาให้เห็นแล้วเมื่อกี้ว่าแข็งแกร่งขนาดไหน แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ามหายุทธ์ ไม่มีใครคิดว่าพวกเขาจะต้านทานได้

ทว่าสีหน้าของหลัวซิวยังคงนิ่งเฉย เขามองท้องฟ้าแล้วกล่าวอย่างสบายอารมณ์ “ถึงเวลาอันเหมาะสมแล้ว เปิดสำนัก!”

เยว่คงจวินยืนเงียบๆ อยู่กลางท้องฟ้า สายตาของเขาจับจ้องมาที่หลัวซิว เมื่อเห็นเจ้าสำนักไท่เสวียนหนุ่มเมินเฉยกับตนเองเช่นนี้ก็ได้แต่ขมวดคิ้ว

สิ้นเสียงคำสั่งของหลัวซิว ทั่วบริเวณสำนักไท่เสวียนต่างมีแสงสีคึกคัก ค่ายพิทักษ์เขาขั้น 7 เริ่มทำงาน ตำหนักวัฏสงสารที่หลัวซิวอยู่เริ่มขยับขึ้นช้าๆ ภายใต้เสียงดังอึกทึกนั้น และลอยอยู่กลางฟ้าในที่สุด

การที่ตำหนักนี้สามารถลอยอยู่กลางฟ้าได้ แน่นอนว่าเป็นเพราะได้วางค่ายกลกลางฟ้าเอาไว้แต่แรกอยู่แล้ว

แม้ว่าผู้ร่วมงานจะรู้เรื่องนี้ แต่เมื่อเห็นตำหนักลอยตระหง่านขึ้นกลางท้องฟ้าเช่นนี้ต่างยังคงรู้สึกประหลาดใจ

จากนั้น ตำหนักผู้อาวุโสทั้งสามก็เคลื่อนตัวขึ้นกลางอากาศอยู่ภายใต้ตำหนักวัฏสงสาร จากนั้นก็เป็นตำหนักผู้คุมกฎทั้งสิบแปดที่อยู่ด้านล่างตำหนักผู้อาวุโสอีกที เพื่อคอยอารักขาตำหนักวัฏสงสาร เป็นภาพราวกับพีรามิดโบราณ

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 529
“แก๊ง!”

นิ้วของทั้งสองปะทะเข้าหากันกลางอากาศ การโจมตีของจูชิงหายวับไปกับตาอย่างง่ายดาย

กลางท้องฟ้าสูง จูชิงที่ยืนอยู่กลางฟ้าขมวดคิ้วเข้าหากัน เขาเป็นถึงผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์ขั้น 7 แต่อีกฝ่ายกลับรับมือการโจมตีของตนได้ เห็นได้ชัดว่าระดับการฝึกตนของเขาไม่ธรรมดา

ผู้ลาดตระเวนในระดับเทียบเท่ากัน พลังของฉีฝ่าเทียนกลับแข็งแกร่งกว่ามู่จื่อซิวมากกว่าหนึ่งขั้น

ชั่วเวลาเพียงพริบตาเดียว ผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์ทั้งสองได้ต่อสู้กันกลางท้องฟ้าไปแล้วไม่ต่ำกว่าสิบยก

ทันใดนั้นเอง ปลายนิ้วของฉีฝ่าเทียนปรากฏเปลวไฟสว่างไสวดวงใหญ่พุ่งทะยานออกมา ทุกที่ที่มันเคลื่อนผ่านแปรเปลี่ยนกลายเป็นผุยผงอย่างน่าหวาดหวั่น

“พลังกฎธาตุทอง?”

จูชิงหน้าถอดสี เขาสัมผัสได้ว่าเปลวไฟสว่างลุกโชนนั้นแฝงไปด้วยพลังงานอันน่าหวาดหวั่นที่ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัว

มกุฎยุทธ์ที่สามารถใช้พลังแห่งกฎเอาได้นั้น ในแดนเดียวกันนับว่ายากที่จะหาคู่ต่อสู้ที่เทียบเท่าได้ เว้นเสียแต่ว่าอีกฝ่ายจะใช้พลังแห่งกฎได้เช่นเดียวกัน ก็ต้องมาดูว่าพลังแห่งกฎของใครจะเหนือกว่ากัน

เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ จูชิงก็เริ่มรู้ตัวแล้วว่าตัวเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉีฝ่าเทียน จึงตั้งท่าจะคิดหนี

ทว่าเขายังไม่ทันจะได้ถอยหนี แสงค่ายกลก็ได้ร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้าปิดทางหนีของเขาเอาไว้

“สำนักไท่เสวียนของข้ากำลังจัดพิธีเปิดสำนักเขาอยู่ ไม่ใช่ว่าเจ้าคิดจะมาก็มา คิดจะไปก็ไปได้ง่ายๆ”

หลัวซิวแสงแข็ง ร่างของเขาเริ่มสั่นคลอน เขาแหวกผ่านอากาศ ภายในชั่วพริบตาก็ไปปรากฏอยู่ตรงหน้าของจูชิงแล้วปล่อยหมัดเข้าใส่เขาอย่างจัง

“เป็นแค่จักรพรรดิยุทธ์ กล้าดีอะไรมาอวดดีกับข้าแบบนี้” จูชิงยังคงกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงดูแคลน เขาเป็นผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์ช่วงปลายแล้ว แม้ว่าที่นี่จะมีค่ายพิทักษ์เขาขั้น 7 หากเขาคิดจะหนี ใครจะขวางเขาเอาไว้ได้หรือ

ทว่าเมื่อเขาสัมผัสได้ถึงพลังงานอันน่ากลัวของหมัดของหลัวซิวที่โจมตีมา สีหน้าของเขาก็ถอดสีอย่างฉับพลัน

หมัดๆ นี้ หลัวซิวใช้พลังของลูกแก้วเสวียนดำ แถมยังเสริมด้วยพลังแปรเสวียนเทียนยี่สิบสี่เท่า รวมทั้งยังมีร่างเนื้อในร่างยุทธ์แดนมกุฎที่แข็งแกร่ง ทั้งความเร็วและกำลังต่างแข็งแกร่งมากอย่างที่สุด

ไม่เพียงเท่านี้ ในการโจมตีของหลัวซิวยังแฝงไปด้วยกฎการเวียนว่ายตายเกิด รวมทั้งความลึกลับของวิชาสังหารไท่เสวียน

ระหว่างที่จูชิงกำลังมีสีหน้าตื่นตระหนก เขารีบกระตุ้นพลังจิตแท้ให้ผนึกรวมกลายเป็นโล่สีเลือด เพื่อที่จะรับมือหมัดของหลัวซิวที่กำลังโจมตีเข้ามาในระยะประชิด

ตู้ม!

แรงระเบิดอันรุนแรงสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งท้องฟ้า โล่ที่เกิดจากการผนึกรวมของพลังจิตแท้สีเลือดได้แหลกละเอียดกลายเป็นจุนภายในชั่วพริบตาเดียว

ต่อจากนั้นทันทีการโจมตีที่รุนแรงของหมัดหลัวซิวได้กระแทกเข้าที่กลางอกของจูชิงเข้าอย่างเต็มแรง

ร่างของอีกฝ่ายลอยละลิ่วไปราวกับว่าวที่หลุดออกจากด้าย โลหิตสดพุ่งทะลักออกมาจากปาก เสียงกระดูกแตกทำให้ผู้ที่ได้ยินต่างพากันขนหัวลุก

จูชิงยังไม่ทันที่จะตั้งตัวได้ ร่างของหลัวซิวก็ได้มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าของเขาอย่างรวดเร็ว แล้วใช้นิ้วกดลงที่หว่างคิ้วของเขา

พลังของกฎการเวียนว่ายตายเกิดทะลักเข้าสู่ร่างกายของเขา ฝังผังลายชีวิตของจูชิงเอาไว้ทันที ทำให้การฝึกตนถึงแดนมกุฎยุทธ์ช่วงปลายของเขาถูกกักขังเอาไว้ภายในร่าง ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้อีก

“ทหาร มาจับตัวคนคนนี้ไปแล้วขังเอาไว้”

หลัวซิวไม่คิดจะสังหารเขา สิ้นเสียงก็มีลูกศิษย์นอกสำนักสองคนเดินออกมาแล้วจับตัวจูชิงที่ไม่สามารถขยับเขื้อนตัวได้ไป

หากก่อนหน้านี้การที่หลัวซิวสังหารอาจารย์เสวียนหยางได้ ทำให้ทุกคนที่เห็นต่างพากันรู้สึกตื่นตะลึง

เช่นนั้นตอนนี้การทำร้ายมกุฎยุทธ์ช่วงปลายจนได้รับบาดเจ็บแถมยังปิดการฝึกตนของเขาเอาไว้แล้วจับเป็น ทำให้ทุกคนที่เห็นไม่ได้รู้สึกเพียงตื่นตะลึงอีกต่อไป แต่รู้สึกหวาดกลัวอย่างมาก

แววตาของฉีฝ่าเทียนเริ่มวับไหวขั้นมา ตัวเขาเองก็เป็นมกุฎยุทธ์ช่วงปลายคนหนึ่งเช่นกัน ก่อนหน้าตอนที่ต่อสู้กับจูชิง เขามั่นใจว่าหากเขาไม่ได้ใช้พลังแห่งกฎ อย่างมากเขาก็คงทำได้แค่เพียงเสมอกับอีกฝ่ายเท่านั้น

“หมายความว่า หากผู้ลาดตระเวนอย่างข้าต่อสู้กับหลัวซิวก็อาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาด้วยงั้นหรือ” บทสรุปเช่นนี้ ทำให้ฉีฝ่าเทียนรู้สึกว่าหลัวซิวล้ำลึกอย่างหยั่งถึง

ครั้งนี้ที่เขาตัดสินใจมาที่พิธีเปิดสำนักเขา เป็นเพราะว่าผู้ลาดตระเวนเห็นความสำคัญของเด็กหนุ่มคนนี้ จึงตั้งใจมาเพื่อที่จะเชื่อมความสัมพันธ์

แต่เขาไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่า พลังของเด็กหนุ่มคนนี้จะน่าหวาดกลัวมากขนาดนี้

บทที่ 528

บทที่ 530

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 528
หลี่เสวียนหยางที่พยายามต้านทานทิวเขาสีดำในช่วงเวลาสั้นๆ สุดท้ายก็ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ร่างของเขาค่อยๆ ลดระดับลง ทุกครั้งที่เขาย่อตัวลงทิวเขาสีดำก็จะยิ่งกดทับต่ำลงเรื่อยๆ

บรรยากาศรอบๆ ถูกล็อกเอาไว้นิ่ง หลี่เสวียนหยางอยากที่จะถอนตัวแล้วถอยหนีไป แต่กลับไม่สามารถขยับเขยื้อนได้แม้สักครึ่งก้าว

หลังจากนั้นไม่นาน ทิวเขาสีดำก็ลดระดับต่ำลงอยู่เหนือศีรษะของเขา เขาจนปัญญา แผดเสียงร้องลั่น มือทั้งสองข้างของเขาดันทิวเขาสีดำนั่นเอาไว้

ในตอนนั้น อาจารย์มกุฎยุทธ์อย่างหลี่เสวียนหยางถูกกดทับจากด้านบนจนร่วงลงมาสู่พื้นดินด้านล่าง เท้าทั้งสองของเขาจมอยู่ในโคลนตม และยังคงจมลงด้านล่างต่อไปเรื่อยๆ

วิชาสังหารไท่เสวียนได้พัฒนากลายเป็นทิวเขาที่หนักไร้ใดเปรียบ ถึงแม้ว่าหลี่เสวียนหยางจะฝึกตนอยู่ในแดนมกุฎยุทธ์ขั้น 4 แล้ว แต่ก็ยังรับมือกับทิวเขานี้ได้อย่างยากลำบาก

และสิ่งที่ทำให้คนในที่นั้นยิ่งรู้สึกช็อกยิ่งไปกว่านั้นคือ คนที่ต้อนจนหลี่เสวียนหยางตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ได้คือหลัวซิว

“เป็นไปได้ยังไง เขาอายุไม่เท่าไหร่เองนะ” จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิง เฆ่าประหลาดฉิวและคนอื่นๆ ต่างสบตากันไปมา

เมื่อไม่ถึงหนึ่งปีก่อนหน้านี้ ตอนที่หลัวซิวกลับมาเขามีพลังในสังหารจักรพรรดิยุทธ์ แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับอาจารย์มกุฎยุทธ์ เขาทำได้แค่ถอยหนีไม่สามารถรับมือได้

ในตอนนั้นที่เขาสามารถกำจัดตำหนักจื่อได้ และไปสร้างความวุ่นวายให้กับสำนักเสวียนหยาง นั่นเป็นเพราะว่าเขาไปยืมมือมกุฎยุทธ์สองคน ไม่ได้ทำได้ด้วยความสามารถของเขา

แต่ในวันนี้เขากลับใช้ความสามารถของตัวเองไล่ต้อนอาจารย์เสวียนหยางจนจนมุมกับที่ พลังของเขายกระดับขึ้นมารวดเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร

ไหนจะยังมีทักษะยุทธ์ที่เขาใช้ในวันนี้อีก เป็นกระบวนท่าอะไรถึงได้มีพลังยุทธ์ที่แข็งแกร่งขนาดนี้

“ฮ่าๆ การฝึกตนของหัวหน้าแก๊งหลัวพัฒนาไปอย่างรวดเร็วจริงๆ”

ในตอนนั้นเอง เสียงหัวเราะดังสนั่นดังลอยลงมาจากด้านบน ร่างของผู้ลาดตระเวนอาณาจักรใต้ของฉีฝ่าเทียนค่อยๆ ปรากฏกายขึ้นมา

หลัวซิวอมยิ้มพร้อมประสานมือคารวะ “ผู้ลาดตระเวนฉีชมเกินไปแล้ว เชิญนั่งก่อน”

พิธีเปิดสำนักเขามีการตกแต่งอย่างสวยสง่า แน่นอนว่าตำแหน่งที่นั่งของแขกเหรื่อภายในงานย่อมต้องมีลำดับสูงต่ำ

ฉีฝ่าเทียนเองก็ไม่ได้มีท่าทีเกรงใจอะไร จึงเดินเข้าไปนั่งลงที่ตำแหน่งด้านหน้า

จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิง หงหมิงและคนอื่นๆ ต่างพากันลุกขึ้นแล้วทำความเคารพฉีฝ่าเทียน

“ผู้น้อยหลัว ไม่ได้เจอกันนานแล้วนะ”

หลังจากนั้นสักพัก ผู้ลาดตระเวนมู่จื่อซิวจากอาณาจักรเหนือ รวมทั้งหนิงเหอโจวที่อยู่ไม่ไกลจากมากนักก็เดินทางมาถึงที่ประเทศเทียนหวูที่อาณาจักรใต้

พิธีเปิดสำนักเขายังไม่ทันจะเริ่มต้นอย่างเป็นทางการ ก็มีผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์ถึงสามคนมาร่วมแสดงความยินดี นี่เองทำให้คนที่อยู่ในที่นั้นต่างพากันประหลาดใจ

หากเป็นเมื่อก่อน ฐานะของสามสำนักใหญ่ยิ่งใหญ่ได้เป็นเพราะมีมกุฎยุทธ์นั่งบัลลังก์ แต่ในตอนนี้ตำหนักจื่อกับสำนักฉางเหอไม่มีอยู่อีกแล้ว อาจารย์เสวียนหยางก็ตกต่ำ สำนักเสวียนหยางก็คงเหลือแต่ชื่อเท่านั้น

ในวันข้างหน้าแผ่นดินอันยิ่งใหญ่อย่างประเทศเทียนหวูแห่งนี้ จะยังมีกองกำลังไหนอีกที่จะมีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน

เปรี้ยง!

ทันใดนั้นเอง พลังงานอันน่าหวาดกลัวได้กินบริเวณปกคลุมเป็นวงกว้างอยู่บริเวณขอบฟ้า กลางท้องฟ้าสูงลิบปรากฏรอยแตกระแหงรอยหนึ่ง ชายวัยกลางคนสวมชุดสีแดงเลือดเดินออกมาจากตรงนั้น

เมื่อชายชุดสีแดงเลือดปรากฏตัวออกมา เขาก็มองลงมาด้านล่าง แล้วมองมาที่สำนักเสวียนหยางอย่างดูแคลน

“ข้าคือผู้อาวุโสจูชิงจากเขาหวูโจวในอาณาจักรใต้ เจียงตงหลิวคือศิษย์น้องของข้า เจ้าสำนักไท่เสวียนออกมารับโทษจากข้าเดี๋ยวนี้!”

ชายชุดแดงที่อยู่กลางฟ้าโกรธจัด ฉีฝ่าเทียนยิ้มพลางมองไปที่หลัวซิว “ดูท่าหัวหน้าแก๊งหลัวจะสร้างเรื่องใหญ่เอาไว้เสียแล้ว”

หลัวซิวยิ้มอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว “ความผูกพันไม่อาจตัดขาดได้ สังหารเด็กก็จะมีผู้ใหญ่ตามมา ฆ่าผู้ใหญ่ก็จะมีผู้ใหญ่กว่าตามมาอีก เป็นแบบนี้ไม่รู้จบ”

เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ สีหน้าของหลัวซิวก็เริ่มแข็งกระด้าง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มาหนึ่งก็กำจัดหนึ่ง มาสองก็กำจัดสอง จัดการอย่างถอนรากถอนโคน นั่นต่างหากถึงจะเป็นวิธีการที่เหมาะสมที่สุด”

หลัวซิวกล่าวคำพูดนี้ออกมาด้วยความอาฆาตแค้นจริงจัง คนรอบด้านที่ได้ยินเช่นนี้ต่างพากันขนหัวลุก

ในตอนนั้นเอง สายตาของชายชุดแดงอย่างจูชิงจึงล็อกไปที่หลัวซิวที่อยู่ในตำหนักวัฏสงสาร “คนบ้าระห่ำอย่างแกต้องให้ข้าสั่งสอนสักหน่อยว่าใครกันแน่ที่แน่กว่ากัน”

ระหว่างที่กล่าว จูชิงก็ยื่นนิ้วมือออกมาหนึ่งนิ้ว นิ้วของเขาค่อยๆ ขยายใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ แล้วชี้ตรงลงมาที่หลัวซิวราวกับกำลังจะมอบงานสำคัญ

นิ้วที่เต็มไปด้วยพลังแห่งความอาฆาตแค้น นักยุทธ์แห่งอาณาจักรตะวันตกส่วนมากแล้วจะเป็นผู้ที่อยู่ในเส้นทางปีศาจที่ฝึกฝนธรรมพิฆาต

ขณะที่หลัวซิวกำลังจะลงมือ ฉีฝ่าเทียนก็รีบลุกขึ้นยืนทันที “งานนี้ยกให้ผู้ลาดตะเวนอย่างข้าเป็นคนจัดการแทนหลัวซิวก็แล้วกัน”

สิ้นเสียงฉีฝ่าเทียนก็ชี้นิ้วออกไปเช่นเดียวกัน ทว่านิ้วของเขาได้เปลี่ยนเป็นกระบี่เล่มหนึ่ง ลำแสงกระบี่ดูดกลืนพุ่งทะยานแหวกอากาศออกไป

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 527
สีหน้าของหยูฉู่เซิงกับจางไห่หยวนเริ่มเดือดจัด เมื่อโดนค่ายพิทักษ์เขาล่วงลงมาขวางกั้น

“บังอาจมากไอชั้นต่ำ!” หยูฉู่เซิงแผดเสียงกร้าว

ทว่ายังไม่ทันสิ้นเสียงของเขา ตราขลังมังกรเขียวก็ส่งเสียงระเบิดและล่วงลงใส่ศีรษะของซือทงจวิน ทำให้ร่างของมกุฎยุทธ์ผู้นั้นแหลกสลายเหลือเพียงละอองเลือด

ตอนนี้สีหน้าของหยูฉู่เซิงดูไม่ได้ ภายใต้การจับจ้องของฝูงชน เขาคิดว่าอีกฝ่ายไม่กล้า แต่อีกฝ่ายกลับสังหารผู้อาวุโสของสำนักอัสนีพายุ ทำให้หน้าของเขาร้อนผ่าว

“สำนักไท่เสวียนกล้าสังหารผู้อาวุโสของสำนักอัสนีพายุ พวกแกต้องล่มสลาย!” หยูฉู่เซิงแผดเสียงลั่นด้วยอารมณ์โกรธจัด

“ในงานพิธีเปิดสำนักเขาไท่เสวียน คนของสำนักอัสนีพายุเป็นฝ่ายมาก่อกวนก่อน ยังมีหน้ามาพูดแบบนี้อีกหรือ” หลัวซิวยิ้มหยัน “สำนักอัสนีวายุจะอวดเบ่งแค่ไหนในแดนอาณาจักรตะวันออก สำนักไท่เสวียนของพวกเราไม่สนใจ แต่ถ้าจะมาอวดเบ่งที่สำนักไท่เสวียนของพวกเรา ก็ไม่ต่างอะไรกับรนหาที่ตายเอง!”

เมื่อหลัวซิวกล่าวประโยคนี้ออกไป เกาเหลียนหงก็เข้าใจความหมายทันที เขาต้องการใช้โอกาสนี้ในการสร้างบารมี จึงยกมือเพื่อสั่งให้ตราขลังมังกรเขียวโจมตีอีกครั้ง

“บังอาจ!”

สีหน้าของหยูฉู่เซิงกับจางไห่หยวนแปรเปลี่ยน แต่เกาเหลียนหงกลับปลุกพลังของตราขลังมังกรเขียวด้วยรอยยิ้มหยัน ก่อนจะฝังคนทั้งสองตายคาที่

ที่เขาสามารถสังหารคนทั้งสองนี้ได้อย่างง่ายดาย แน่นอนว่าเป็นเพราะหลัวซิวปลุกพลังของค่ายพิทักษ์เขาเพื่อกักขังพลังการฝึกตนของพวกเขาเอาไว้

สถานการณ์ตอนนั้นโกลาหลวุ่นวาย คนส่วนมากในที่นั้นรู้ดีว่าพิธีเปิดสำนักเขาไท่เสวียนจะต้องไม่ราบรื่นอย่างแน่นอน แต่ก็ไม่มีใครคาดคิดว่าเพิ่งเริ่มต้นก็จะมีผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์ตายไปถึงสามคน

อีกอย่างประวัติของมกุฎยุทธ์ทั้งสามคนนี้ก็ไม่ธรรมดา เพราะมาจากสำนักอัสนีพายุที่มีมหายุทธ์เป็นผู้นั่งบัลลังก์

จะว่าไปแล้วก็ถึงคราวซวยของผู้อาวุโสมกุฎยุทธ์ทั้งสามคนนี้ สำนักเขาไท่เสวียนจัดพิธีเปิดสำนักจึงได้เปิดค่ายพิทักษ์เขาเอาไว้เพื่อให้แขกเข้ามาในสำนักเขาได้

พวกเขาคิดว่าการเป็นคนของสำนักอัสนีวายุ สำนักไท่เสวียนคงไม่กล้าลงมือกับพวกตน แต่คิดไม่ถึงว่าสำนักไท่เสวียนจะใช้โอกาสนี้ในการสร้างบารมีให้กับตนเอง ยังไม่ทันจะรู้ตัวก็ถูกฆ่าตายคาที่เสียแล้ว

บนเรือรบของสำนักอัสนีพายุ ยังมีลูกศิษย์ของผู้คุมกฎสำนักอัสนีวายุหลงเหลืออยู่ พวกเขาตัวแข็งทื่อไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อไป

“จับคนพวกนั้นเอาไว้!” หลัวซิวค่อยๆ กล่าวออกมาอย่างใจเย็น

เหว้ยห้าวหรานปลุกพลังของหุ่นเชิดสงครามพุ่งทะยานขึ้นไปยังเรือรบนั้น เกาเหลียนหงควบคุมให้ตราขลังมังกรเขียวกดค่ายเอาไว้ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนดังขึ้น

ในขณะนั้น หลัวซิวจึงหรี่ตาลงแล้วมองไปด้านนอกของค่ายพิทักษ์เขา “หลี่เสวียนหยาง ในเมื่อมาถึงนี้แล้ว จะหนีไปไหนล่ะ”

ฝูงชนค่อยๆ มาตามเขาไป จึงเห็นว่าหลี่เสวียนหยางอาจารย์ของสำนักเสวียนหยางปรากฏตัวอยู่ด้านนอกเขตของค่ายกลด้วย

เขารู้ถึงความร้ายกาจของค่ายพิทักษ์เขา จึงไม่กล้าเข้ามา เดิมทีตั้งใจว่าจะแอบดูห่างๆ จากด้านนอก คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้วคนของสำนักอัสนีพายุจะถูกฆ่าตายเรียบเช่นนี้

“ฉันอยากจะกลับก็กลับได้ แกจะทำอะไรฉันรึ” หลี่เสวียนหยางตอบโต้เสียงแข็ง

“ท่านกลับไปไม่ได้ง่ายๆ หรอก” หลัวซิวสาวเท้าก้าวออกมา ก่อนจะมาปรากฏอยู่ด้านนอกค่ายพิทักษ์เขา

ความเร็วที่เขาใช้นั้นเร็วมากหาใดเปรียบ จนไม่สามารถใช้ตัวสำนึกได้ มีเพียงการเคลื่อนไหวของพลังแห่งโซนเท่านั้น จักรพรรดิยุทธ์หลายคนที่อยู่ในที่นั้นก็สามารถสัมผัสได้

สีหน้าของหลี่เสวียนหยางแปรเปลี่ยน เมื่อเห็นว่าหลัวซิวออกมาเพียงคนเดียวก็หัวเราะเย้ย “ก็แค่ใช้ค่ายพิทักษ์เขา ถ้าไม่มีค่ายกลนี้ ในสายตาของข้า เจ้าสำนักไท่เสวียนอย่างเจ้าข้าจะสังหารเมื่อไหร่ก็ได้”

หลัวซิวไม่กล่าวอะไรออกมา เขายกมือขึ้นกลางอากาศ พลังจิตแท้อันเข้มข้นผนึกรวมเข้าด้วยกัน กลายเป็นทิวเขาสีดำทะมึนที่กดทับลงใส่หลี่เสวียนหยาง

ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาเดินออกมาจากด้านในสำนักเขามายังด้านนอกค่ายกล เขาได้ใช้วิชาล่องหนไท่เสวียน

ส่วนกระบวนท่านี้ คือวิชาสังหารไท่เสวียน

หลี่เสวียนหยางเองก็ลงมือตอบโต้ทันทีเช่นกัน ภาพมายารูปคนสีทองปรากฏขึ้นด้านหลัง พลังจิตแท้แปรเปลี่ยนเป็นทักษะยุทธ์หลากชนิด ทุกการโจมตีพุ่งเข้าสู่ทิวเขาสีดำนั้น แต่กลับหายวับไปกับตาและไม่ทิ้งร่องรอยความเสียหายใดๆ เอาไว้

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 526
ในฐานะที่เขาเป็นประธานแก๊งนักค่ายกล เขาจึงสามารถรวบรวมทรัพยากรต่างๆ ที่สำคัญของแก๊งเอาไว้ได้จำนวนมาก และยิ่งช่วงนี้ได้มาอยู่ที่หอค่ายกลของสำนักไท่เสวียน วิชาหุ่นเชิดของเขาก็ยิ่งแตกฉาน หุ่นเชิดตนนี้ เขาได้ยกระดับมันจนเทียบเท่ากับจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 7 แล้ว

ผู้คุมกฎของสำนักอัสนีวายุคิดไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะนำหุ่นเชิดที่บ้าระห่ำเช่นนี้ออกมาใช้ ในช่วงที่ยังไม่ทันตั้งตัวนั้น หุ่นเชิดสงครามก็ได้เหวี่ยงหมัดเข้าใส่

“หุ่นเชิดสงครามจักรพรรดิยุทธ์ช่วงปลาย?” สีหน้าของผู้อาวุโสสำนักอัสนีวายุทั้งสามแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากสีหน้าดูถูกดูแคลนสำนักไท่เสวียน ค่อยๆ แปรเปลี่ยนไป

การที่ฝึกฝนจนได้หุ่นเชิดสงครามจักรพรรดิยุทธ์ช่วงปลายออกมาได้นั้น แสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายจะต้องเป็นปรมาจารย์นักค่ายกลขั้น 6 ถึงได้มีวิชาหุ่นเชิดที่ไม่ธรรมดา

หากเหว้ยห้าวหรานไม่ลงมือก็แล้วไป แต่เมื่อเขาลงมือขึ้นมาแล้ว เขาจะลงมืออย่างไม่ออมแรง หุ่นเชิดสีดำทะมึนเหวี่ยงหมัดออกไปภายใต้การควบคุมของเขา บรรยากาศทั่วบริเวณแตกกระจายด้วยพลังอันน่าพรั่นพรึง

หากโดนพลังของหมัดนี้เข้า ผู้คุมกฎของสำนักอัสนีวายุไม่ตายก็ต้องเจ็บหนัก

“เฮอะ อยู่ต่อหน้าข้ายังกล้าทำร้ายผู้คุมกฎของสำนักอัสนีวายุเชียวหรือ” ซือทงจวินตวาดเสียงกร้าว ภายในชั่วพริบตา ปรากฏพลังกระบี่สีเขียวส่งเสียงกระทบดังกริ๊ง หุ่นเชิดสงครามตัวนั้นจึงต้องถอยกลับมา

แต่พลังกระบี่สีเขียวก็ไม่ได้ลดกำลังลง มันพุ่งทะยานต้านลมยาวหลายสิบจั้ง แล้วมุ่งหน้าเข้าใส่เหว้ยห้าวหราน

สีหน้าของเหว้ยห้าวหรานเปลี่ยนไป เขาเตรียมจะถอยหลังหนี แต่กลับรู้สึกว่าร่างกายคล้ายโดนผูกมัดเอาไว้ จึงไม่สามารถเคลื่อนไหว

ฝ่ายตรงข้ามเป็นถึงผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์ พลังจึงแข็งแกร่ง เมื่อคิดอยากจะสังหารใครขึ้นมา แน่นอนว่าคนอย่างจักรพรรดิยุทธ์ไม่สามารถที่จะต้านทานเอาไว้ได้

“ในงานพิธีเปิดสำนักไท่เสวียนของข้ายังกล้าโอหังเช่นนี้เชียว?”

ในตอนนั้นเอง น้ำเสียงแข็งกร้าวดังมาจากภายในสำนักเขาไท่เสวียน คนที่ไร้รูปร่างและไร้พลังงานได้ออกมาปรากฏกายอยู่ตรงหน้าเหว้ยห้าวหราน

แน่นอนว่าผู้ที่ปรากฏตัวออกมานี้เป็นผู้ที่บรรลุแดนมกุฎยุทธ์แล้วอย่างเกาเหลียนหง

เกาเหลียนหงยกมือขึ้นโบกสะบัด พลันเกิดพายุลูกใหญ่ม้วนตัวอย่างบ้าคลั่ง

“พลังแห่งโซน?”

สีหน้าของซือทงจวินแปรเปลี่ยน รอบกายของเขาปรากฏพลังจิตแท้ Attr ลมเคลื่อนที่อยู่รอบด้านกลายเป็นสิ่งกีดขวางที่กั้นพายุเอาไว้อีกด้าน

การต่อสู้ของผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์ทั้งสองนั้น ทำให้เกิดพลังลูกหลงแพร่กระจายไปทั่วบริเวณ ผู้คุมกฎสำนักอัสนีวายุที่เพิ่งต่อสู้กับเหว้ยห้าวหรานเมื่อครู่นี้ ยังไม่ทันระวังตัวก็ได้รับพลังลูกหลงอันนี้โจมตีจนกระอักเลือดและกระเด็นลอยคว้างออกไปราวผ้าขี้ริ้ว

เมื่อต้านทานพายุแห่งพลังโซนเอาไว้ได้แล้ว จิตของซือทงจวินก็นิ่งสงบ “ที่แท้ก็เพิ่งจะบรรลุมกุฎยุทธ์ขั้น 1 เท่านั้น แต่ข้าบรรลุถึงแดนมกุฎยุทธ์ขั้น 4 แล้ว คนอย่างแกใช่คู่ต่อสู้ของข้าหรือ”

ซือทงจวินยิ้มเย้ย พลังจิตแท้ Attr ลมผนึกรวมกลางอากาศเกิดเป็นพลังกระบี่สิบสายสิบจั้ง ที่โจมตีพายุแห่งพลังโซนจนแตกละเอียด จากนั้นจึงพุ่งเข้าไปแผ่ปกคลุมอยู่ด้านบนของเกาเหลียนหง

เกาเหลียนหงที่เห็นพลังกระบี่สิบกว่าสายพุ่งทะยานเข้ามาอยู่ตรงหน้ายังคงมีท่าทีนิ่งสงบ เขาพลิกมือแล้วหยิบตราขลังมังกรเขียวออกมาเพื่อตอบโต้กลับ

เปรี้ยง!

เสียงดังสนั่นหวั่นไหวก้องสะท้านไปทั่วท้องฟ้า พลังกระบี่สิบกว่าสายแตกกระจายไปอย่างรวดเร็วต่อหน้าตราขลังมังกรเขียว นอกจากนั้นแล้วพลังของตราขลังยังคงไม่เสื่อมลงมุ่งหน้าเข้าใส่ซือทงจวินอย่างรวดเร็ว

“ของวิเศษที่แข็งแกร่งยิ่ง!”

เมื่อหยูฉู่เซิงกับจางไห่หยวนบนเรือรบเห็นดังนั้น สีหน้าพลันแปรเปลี่ยน พวกเขาส่งลำแสงออกไปเพื่อช่วยซือทงจวินขวางกั้นการโจมตีของของวิเศษนั้นเอาไว้

ในขณะที่ตราขลังกำลังจู่โจมเข้ามานั้น พวกเขาสัมผัสได้ถึงพลังงานที่น่าหวาดหวั่น แต่ลำพังพลังของซือทงจวิน แน่นอนว่าไม่สามารถรับมือเอาไว้ได้

“สามรุมหนึ่ง รังแกคนของสำนักไท่เสวียนมากเกินไปหรือไม่”

ด้านมุมสูงสุดของสำนักเขาไท่เสวียน หลัวซิวที่ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางสบายๆ พลันเอ่ยปากขึ้น

ในขณะที่เขาเอ่ยปาก ค่ายพิทักษ์เขาของสำนักไท่เสวียนก็เริ่มส่งแสงสว่างขวางกั้นมกุฎยุทธ์ทั้งสองอย่างหยูฉู่เชิงกับจางไห่หยวนเอาไว้ ทำให้พวกเขาไม่สามารถยื่นมือช่วยเหลือซือทงจวินได้

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 525
แม้ว่าสำนักไท่เสวียนจะเพิ่งเริ่มก่อตั้ง แต่เพราะชื่อเสียงของหลัวซิว ที่โด่งดังในแผ่นดินประเทศเทียนหวูแห่งนี้ เรื่องสำคัญอย่างพิธีเปิดสำนักจึงดึงดูดความสนใจของคนจำนวนมาก

“จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิง ประธานแก๊งองค์กรนักล่ายุทธ์ ขอเข้าทำความเคารพ!”

“อาจารย์หงหมิง ประธานแก๊งนักหลอมอาวุธ ขอเข้าทำความเคารพ!”

“……”

ผู้ที่มีหน้ามีตาใหญ่โตในประเทศเทียนหวูต่างพากันมาที่นี่ แต่หลัวซิวไม่ได้ออกไปต้อนรับคนพวกนี้ด้วยตัวเอง โดยให้เหว้ยห้าวหรานทำหน้าที่แทน

เนื่องด้วยตอนนี้เขามีฐานะเป็นเจ้าสำนัก แม้ว่าจะไม่อยากโอ้อ้วดตน แต่ก็ต้องรักษาฐานะของตน วางตัวให้ยิ่งใหญ่

เหว้ยห้าวหรานเองก็เป็นหนึ่งในประธานแก๊งสี่แก๊งที่ยิ่งใหญ่ การที่คนฐานะอย่างเขาไปต้อนรับแขกก็ถือว่าเป็นการให้เกียรติคนพวกนี้มากแล้ว จึงไม่มีใครติดใจเรื่องนี้

เมื่อเห็นว่าเหว้ยห้าวหรานกลายเป็นผู้คุมกฎของสำนักไท่เสวียนแล้ว คนพวกนี้ต่างแสดงออกแตกต่างกัน โดยไม่รู้ว่าในใจของพวกเขาคิดอะไรกันบ้าง

หัวหน้าแก๊งเหวินเซวียนหงของเขตการปกครองหยุนหลง รวมทั้งหัวหน้าแก๊งเสิ่นหยวนหนานของเขตการปกครองโตว้ไห่ก็มาทำความเคารพด้วย แม้ว่าตอนนี้ฐานะของหลัวซิวจะเหนือกว่าพวกเขา แต่ในตอนที่เขาเข้ามาในเส้นทางของการฝึกยุทธ์ใหม่ๆ เขาก็ได้คนทั้งสองคนนี้เป็นคนช่วยดูแลอย่างดี

หลัวซิวคิดเอาไว้แล้วว่าพิธีเปิดสำนักจะต้องไม่ราบรื่น ตามที่เขาได้รับข่าวคราวจากแก๊งนักล่ายุทธ์ สำนักอัสนีวายุได้ส่งผู้อาวุโสขั้นมกุฎยุทธ์มาถึงสามคน ทางด้านอาณาจักรตะวันตกก็มีเพื่อนของป๋ายหลี่หยวนหลงและเจียงตงหลิว ไหนจะยังมีเบื้องหลังหยูเชียนฮั่วอย่างผู้แข็งแกร่งมหายุทธ์ ซึ่งจะสร้างความกดดันได้มากกว่ามกุฎยุทธ์

“เฮอะ ไท่เสวียนโบราณคือแดนศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าพวกเรา ถึงขั้นกล้าเอาไท่เสวียนมาเป็นชื่อของตน คิดว่าตนเองเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้บุกเบิกแดนศักดิ์สิทธิ์งั้นหรือ”

น้ำเสียงไม่เป็นมิตรดังลอยเข้ามาจากด้านนอกสำนัก เป็นผู้อาวุโสสวมใส่เสื้อผ้าของสำนักอัสนีวายุของอาณาจักรตะวันออกสามคน ด้านหลังยังพาลูกศิษย์ที่ขี่อยู่ด้านบนสุดของเรือรบที่ออกมาฝึกฝนมาด้วย พวกเขามองลงมายังสำนักไท่เสวียนอย่างดูแคลน

การกระทำเช่นนี้ในพิธีเปิดสำนัก ถือเป็นพฤติกรรมที่ยั่วยุและไม่ให้เกียรติอย่างยิ่ง

หลัวซิวเหลือบตาขึ้นไปมองอย่างเรียบเฉย เขารู้จักคนทั้งสามคนนี้ นั่นก็คือผู้อาวุโสมกุฎยุทธ์ทั้งสามของสำนักอัสนีวายุ และเพราะสามคนนี้เองที่ทำให้สำนักเขาเทียนเหอต้องล่มสลายลง

คนทั้งสามคนนี้ คนหนึ่งมีนามว่าหยูฉู่เซิง อีกคนหนึ่งมีนามว่าซือทงจวิน และอีกคนมีนามว่าจางไห่หยวน

สำนักอัสนีวายุของอาณาจักรตะวันออกมีผู้อาวุโสหกคน ซุนเชียนซางที่ตายไปแล้วอยู่ในลำดับที่หก เขามีพลังอ่อนแอที่สุด ห่างชั้นกับคนทั้งสามคนนี้มาก

“พิธีเปิดสำนักเขาไท่เสวียนของเราวันนี้ หากพวกท่านมาเพื่อแสดงความยินดี พวกเราสำนักไท่เสวียนก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง แต่ถ้าไม่ได้มาแสดงความยินดีก็เชิญกลับไปเถิด” เหว้ยห้าวหรานก้าวออกมาพูด

“ผู้อาวุโสจงของเราอยู่ตรงนี้ทั้งคน แกเป็นใครกันถึงได้กล้าพูดแบบนี้” จักรพรรดิยุทธ์ผู้คุมกฎของสำนักอัสนีวายุที่อยู่ด้านหลังของผู้อาวุโสมกุฎยุทธ์ทั้งสาม เดินออกมากล่าวเสียงแข็ง

เมื่อเหว้ยห้าวหรานได้ยินคำพูดดังนี้สีหน้าของเขาก็หม่นหมองลง นิสัยของเขาเป็นคนตรงไปตรงมาโดยตลอด หากวันนี้ไม่ใช่งานพิธีเปิดสำนักไท่เสวียนที่ต้องระวังการกระทำของตัวเอง ป่านนี้เขาคงเข้าไปต่อยหน้าคนพวกนี้แล้ว

“ได้ยินมาว่าแกก็เป็นแค่ผู้คุมกฎของสำนักเล็กๆ ที่ไม่เอาไหน คงต้องให้ผู้คุมกฎของสำนักอัสนีวายุอย่างข้าสั่งสอนให้รู้เสียบ้างว่าอะไรคือกฎอะไรคือระเบียบ!”

วัตถุประสงค์ของคนพวกนี้ที่มาจากสำนักอัสนีวายุก็เพื่อมาก่อกวนอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้ก็พยายามมาแล้วหลายครั้ง แต่ก็ไม่สามารถผ่านค่ายพิทักษ์เขาเข้ามาได้

วันนี้จึงใช้โอกาสที่มีพิธีเปิดสำนักไท่เสวียน หากอีกฝ่ายยังหดหัวไม่กล้าออกมาจากค่ายกลอีก ก็คงจะถูกหักหน้าอย่างแรง

ระหว่างที่กล่าวผู้คุมกฎของสำนักอัสนีวายุก็เริ่มลงมือ พลังจิตแท้ของเขาก่อตัวกลายเป็นมังกรที่พุ่งทะยานเข้าใส่เหว้ยห้าวหรานอย่างดุดัน

การฝึกตนของเหว้ยห้าวหรานไม่สูงนัก อยู่ในแดนจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 4 เท่านั้น แต่ผู้คุมกฎของสำนักอัสนีวายุเป็นถึงจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 6 นั่นคือสาเหตุที่เขากล้าลงมืออย่างอุกอาจเช่นนี้

“บังอาจนักที่กล้ามาอาละวาดงานเปิดสำนักเขาไท่เสวียน ไสหัวไปเดี๋ยวนี้!”

เหว้ยห้าวหรานโกรธจัด เขายกมือกวัดแกว่ง หุ่นเชิดขั้น 6 สีดำทะมึนจึงปรากฏออกมา ก่อนที่จะต่อยไปที่มังกรตัวนั้นจนแตกละเอียด

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 524
เหว้ยห้าวหรานได้ยินดังนั้นก็รีบใช้ตัวสำนึกแทรกเข้าไปในม้วนหยกนั้น ทันใดนั้นดวงตาแก่ชราของเขาก็เปล่งประกาย แล้วดื่มด่ำอยู่กับเนื้อหาด้านในม้วนหยก

ในเส้นทางของค่ายกลนั้นมีเส้นทางที่ล้ำลึก โดยจะแบ่งออกเป็น 3 พรรค พรรคแรกคือพรรคค่ายกล ซึ่งเป็นพรรคที่หลัวซิวกำลังศึกษา โดยใช้ค่ายกลมาช่วยในการฝึกตนเพื่อยกระดับพลังการต่อสู้ เชี่ยวชาญในการจัดวางค่ายกลทุกประเภท

พรรคที่สองคือพรรคฮู้ ชำนาญในการทำฮู้ทุกชนิด แม้ว่าการฝึกตนจะไม่แข็งแกร่งมากนัก แต่หากใช้ฮู้จำนวนมาก แม้ว่าจะต้องเจอกับคนที่ฝึกตนแข็งแกร่งกว่าตนก็ยังต้องถอยหนีไม่กล้าเข้ามาข้องเกี่ยว

ส่วนพรรคที่สาม คือพรรคหุ่นเชิด ชำนาญในการฝึกฝนฮู้ ซึ่งเป็นเส้นทางที่เหว้ยห้าวหรานชำนาญ

ในบรรดาค่ายกล 3 พรรคนี้ จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำอยู่ในพรรคค่ายกล แต่ในฐานะที่เขาเป็นถึงปรมาจารย์นักค่ายกลขั้น 9 เขาจึงมีส่วนข้องเกี่ยวกับอีกทั้งสองพรรคที่เหลือด้วย ด้วยความรู้และประสบการณ์ของเขาสามารถทำให้เหว้ยห้าวหรานบรรลุขั้น 7 ได้อย่างง่ายดาย

นอกจากนี้แล้ว การฝึกตนของหลัวซิวอยู่ในแดนจักรพรรดิยุทธ์ สามารถใช้วัฏจักรเพื่อให้ได้รับข่าวสารที่เกี่ยวข้องจากแดนจักรพรรดิยุทธ์ได้ ทำให้เขาสามารถสืบวิชาหุ่นเชิดค่ายกลขั้น 6 ที่สาบสูญไปแล้วได้อย่างง่ายดาย จึงดึงดูดความสนใจของเหว้ยห้าวหรานเอาไว้ได้

เหว้ยห้าวหรานได้ถูกเนื้อหาในม้วนหยกดึงดูด เขาอ่านมันโดยสูญเสียการควบคุมตนเองไปแล้ว ผ่านไปพักใหญ่เขาถึงจะได้สติกลับคืนมา

แน่นอนว่าม้วนหยกที่หลัวซิวให้เขา ไม่ใช่ม้วนหยกที่มีเนื้อหาสมบูรณ์ แต่หยิบเอาเพียงเนื้อหาที่สำคัญออกมาส่วนหนึ่งที่เพียงพอที่จะดึงดูดเหว้ยห้าวหรานได้เท่านั้น

หากเหว้ยห้าวหรานต้องการเนื้อหาในส่วนที่เหลือ แน่นอนว่าเขาต้องเข้าร่วมสำนักไท่เสวียนเท่านั้น

เหว้ยห้าวหรานเองก็เข้าใจประเด็นนี้ดี เขารู้ว่าม้วนหยกที่หลัวซิวให้เขาเมื่อครู่นี้เป็นเพียงแค่ตัวล่อ ตอนนี้หัวใจของเขาราวกับถูกตะครุบเอาไว้แล้ว เขามั่นใจมากว่าหากเขาได้รับเนื้อหาส่วนที่เหลือ การบรรลุปรมาจารย์นักค่ายกลขั้น 7 จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

หลัวซิวรู้จักนิสัยของเหว้ยห้าวหรานดี เขาจึงไม่อยากอ้อมค้อมจึงกล่าวออกไปตรงๆ ว่า “ตำหนักผู้คุมกฎสิบแปดของสำนักไท่เสวียน ตอนนี้มีเพียงสองตำหนักเท่านั้นที่มีเจ้าของ หัวหน้าเหว้ยอยากจะเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งด้วยหรือไม่”

เหว้ยห้าวหรานได้ยินดังนี้ ก็รีบลุกขึ้นยืนแล้วก้มตัวคารวะ “เหว้ยห้าวหราน ขอคารวะท่านเจ้าสำนัก”

สีหน้าของหลัวซิวปรากฏรอยยิ้มออกมา การที่ได้เหว้ยห้าวหรานเป็นผู้คุมกฎ ถือเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อสำนักไท่เสวียน นอกจากเขากำลังจะกลายเป็นปรมาจารย์นักค่ายกลขั้น 7แล้ว เขายังมีฐานะเป็นถึงประธานแก๊งนักค่ายกลแห่งประเทศเทียนหวูด้วย ซึ่งจะทำให้สามารถสรรหานักค่ายกลเข้าสำนักไท่เสวียนได้อีกเป็นจำนวนมาก เพื่อเสริมบารมีของสำนัก

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้แล้ว หลัวซิวจึงอมยิ้ม “ผู้คุมกฎเหว้ยไม่ต้องมากพิธีหรอก นับแต่นี้เป็นต้นไป นอกจากท่านจะได้รับหน้าที่คุมกฎแล้ว ยังต้องมานั่งที่หอค่ายกล ที่นั่นมีสิ่งที่ท่านต้องการ”

ระหว่างที่กล่าว หลัวซิวก็ยกมือโยนป้ายบัญชาการออกมา “ด้วยป้ายบัญชาการนี้ ท่านสามารถเข้าออกหอค่ายกลได้ สำนักไท่เสวียนของพวกเรากำลังจะเปิดแล้ว จึงต้องการความทุ่มเทจากผู้คุมกฎเหว้ย”

“ท่านเจ้าสำนักโปรดวางใจ ข้าไม่มีทางละเลยหน้าที่” เหว้ยห้าวหรานรับปากในทันที

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เกาเหลียนหงที่เพิ่งบรรลุแดนมกุฎยุทธ์ก็สามารถควบคุมการฝึกตนให้มั่นคง พลังจิตแท้ทั่วร่างของเขาบริสุทธิ์ เคลื่อนไหวอย่างไร้รูปร่าง สามารถทำให้พลังแห่งโซนรอบกายแปรเปลี่ยนได้

วันนี้หลัวซิวออกมาจากตำหนักวัฏสงสาร และหยุดยืนอยู่ด้านหน้า เพื่อมองไปรอบๆ สำนักไท่เสวียน

เขาอดไม่ได้ที่จะคิดถึงลู่เมิ่งเหยาขึ้นมา เมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ตั้งแต่ที่ลู่เมิ่งเหยาถูกผู้แข็งแกร่งปริศนาจับตัวไป เขาก็ไม่รู้ข่าวคราวของเธออีก

ไหนจะยังมีปี้เซียนเสว่ที่ผ่านอุปสรรคด้วยกันมาในแดนปริศนา หลังจากที่เข้าร่วมกับสำนักฉางเหอ สำนักฉางเหอก็ถูกโจมตีจนล่มสลายไป ตอนนี้จึงไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง

เรื่องของโชคชะตาเป็นเรื่องที่มนุษย์ยากจะคาดเดาได้ ได้แต่ดำเนินชีวิตไปทีละก้าวและแก้ไปทีละก้าว และทำตามความตั้งใจของตนเอง อย่าทำให้ตัวเองหมดหวังในตัวเองก็เท่านั้น

แสงอาทิตย์เฉิดฉายขึ้นกลางฟ้า ผู้คนในสำนักเขาไท่เสวียนต่างเดินออกมาจากที่พักของตัวเอง การฝึกตนปิดขังจำเป็นต้องหยุดเอาไว้ชั่วคราว

เนื่องด้วยวันนี้ เป็นวันสำคัญที่สำนักเขาไท่เสวียนจะเปิดสำนัก

เมื่อมีเกาเหลียนหงเป็นตัวอย่างอย่างที่ประสบความสำเร็จในการบรรลุ เหยียนเยว่เอ๋อร์ สวีจิงเหนียนและหลินจื่อเฟิงต่างพากันกลับเข้าไปอยู่ในสภาวะปิดขังตนอีกครั้ง เพื่อใช้โอกาสนี้ก่อนที่สำนักเขาจะเปิด ในการยกระดับการฝึกตนของตัวเองให้สูงขึ้นอีกหน่อย

การฝึกตนของหลัวซิวเดินมาถึงช่วงคอขวดแล้ว ต่อให้ปิดขังตนเอาไว้ก็ไร้ประโยชน์ เขาจึงออกมาจากแดนปริศนาแล้วมาที่ตำหนักวัฏสงสาร

วันนี้เกาเหลียนหงมาอยู่ที่สำนัก “ท่านเจ้าสำนัก ด้านนอกสำนักมีคนผู้หนึ่งมาเยือน เขามีชื่อว่าเหว้ยห้าวหราน บอกว่าอยากมาพบท่านเจ้าสำนัก”

“อ้อ? คนคนนี้คงเก็บความตื่นเต้นเอาไว้ไม่ไหว” หลัวซิวได้ยินดังนั้นก็อมยิ้ม “เจ้าพาเขาเข้ามาสิ”

ผ่านไปครู่หนึ่ง เกาเหลียนหงก็กลับมาอีกครั้ง โดยพาเหว้ยห้าวหรานเข้ามาในสำนักด้วย

ตำหนักวัฏสงสาร คือสถานที่ที่ศักดิ์สูงกว่าตำหนักผู้คุมกฎทั้งสิบแปด รวมทั้งผู้อาวุโสสำนักทั้งสาม เป็นสถานที่ที่เจ้าสำนักนั่งบัลลังก์อยู่

หลังจากที่สำนักเขาได้วางค่ายคุ้มกันขั้น 8 เอาไว้ สำนักไท่เสวียนก็มีบารมีขึ้นมาก แม้ว่าจะมีคนน้อยแต่ก็มีปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่อยู่บ้าง

“หัวหน้าแก๊งเหว้ย สบายดีหรือไม่” หลัวซิวยิ้ม

เหว้ยห้าวหรานยิ้มตอบเช่นกัน “ไม่ทราบว่าจะให้ข้าเรียกท่านว่าเจ้าสำนักหลัว หรือหัวหน้าแก๊งหลัวดี”

“อยู่ในสำนักไท่เสวียน ข้าย่อมอยู่ในฐานะเจ้าสำนัก หากอยู่ในแก๊ง ข้าย่อมเป็นหัวหน้าแก๊ง” หลัวซิวยิ้มเรียบๆ

เหว้ยห้าวหรานกุมมือคารวะ “อีกไม่ถึงหนึ่งเดือน เจ้าสำนักหลัวก็จะเปิดสำนักเขาแล้ว หากคนตระกูลเหว้ยมาเข้าร่วมสำนักไท่เสวียนด้วยจะได้รับการดูแลอย่างไรหรือ”

เดิมทีเหว้ยห้าวหรานก็ไม่ใช่คนที่ชอบพูดจาอ้อมค้อมอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อมาถึงจึงพูดอย่างตรงประเด็นทันที เพื่อแสดงให้เห็นถึงเจตนารมณ์ที่แท้จริงในการมาเยือน

ก่อนหน้านี้ตอนที่หลัวซิวอยู่ที่เมืองเทียนหวู เคยส่งคำเชิญให้เขารวมทั้งผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์อีกหลายคน ทว่าคนพวกนี้กลับยังคงสงวนท่าทีอยู่ มีเพียงเหว้ยห้าวหรานคนเดียวเท่านั้นที่มาเยือนถึงที่ โดยมีเป้าหมายที่จะมาขออาศัยบารมี

ทว่าหลัวซิวเองก็เข้าใจดี แม้ว่าเหว้ยห้าวหรานจะมาถึงที่นี่แล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเข้าร่วมสำนักไท่เสวียนด้วย คนหัวหมอพวกนี้ ทุกคนล้วนเจ้าเล่ห์หลักแหลม หากไม่มีข้อเสนอที่สามารถจูงใจพวกเขาได้ พวกเขาไม่มีทางยอมถวายชีวิตให้

ทว่าหลัวซิวกลับคว้าจุดสำคัญของคนพวกนี้เอาไว้ได้ นั่นคือพวกเขาได้บรรลุมาจนถึงขีดจำกัดพลังของพวกเขาแล้ว ยากที่จะพัฒนาขึ้นสู่ระดับที่สูงขึ้นอีก สิ่งที่พวกเขาเป็นกังวลมากที่สุดนั่นคือการบรรลุขีดจำกัดนี้ให้ได้เพื่อที่จะไปถึงแดนมกุฎยุทธ์

“หัวหน้าแก๊งเหว้ย ท่านเป็นถึงหัวหน้าแก๊งนักค่ายกลของประเทศเทียนหวู ในด้านค่ายกลบรรลุถึงขั้น 7แล้ว และชำนาญวิชาหุ่นเชิดเป็นที่สุด เหตุใดถึงอยากมาอยู่ที่สำนักไท่เสวียนของข้าเล่า?”

หลัวซิวอมยิ้มแล้วกล่าวอีก “จากความสามารถของหัวหน้าแก๊งเหว้ยแล้ว ต่อให้เป็นกองกำลังที่มีมหายุทธ์นั่งบัลลังก์ก็คงจะต้อนรับท่านด้วยความยินดีเช่นกัน”

เหว้ยห้าวหรานทิ้งตัวนั่งลงด้านข้าง เมื่อได้ยินคำพูดนี้ก็เบะปาก “ไอ้แก่เหว้ยคนนี้อยู่เป็นอิสระจนชินแล้ว ไม่ชอบสำนักที่ผูกมัดมากจนเกินไป แม้กองกำลังที่มีมหายุทธ์นั่งบัลลังก์จะดีก็ตาม แต่ก็คงไม่สามารถทำให้ข้ามีโอกาสที่จะบรรลุถึงระดับนักค่ายกลขั้น 7 ได้”

เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ในดวงตาของเหว้ยห้าวหรานก็เกิดความวิบไหวขึ้นมา “ตอนที่ข้าเข้ามาเมื่อครู่นี้ เห็นว่าสำนักเขาไท่เสวียนมีค่ายกลอยู่ถึงสองค่าย ค่ายหนึ่งเป็นค่ายคุ้มกันขั้น 8 อีกค่ายเป็นค่ายคุ้มกันเขาขั้น 7 อีกทั้งข้ายังรู้มาอีกว่าในด้านค่ายกล เจ้าสำนักหลัวไม่ได้ด้อยไปกว่าข้าเลย ขอเพียงแค่เจ้าสำนักหลัวเปิดโอกาสให้ข้าได้เป็นปรมาจารย์นักค่ายกลขั้น 7 ถึงตอนนั้นให้ข้าถวายชีวิตให้ท่านข้าก็ยอม”

หลัวซิวรู้อีกว่าเหว้ยห้าวหรานผู้นี้หลงใหลในเส้นทางของค่ายกลมาก ต้องการแค่บรรลุในเส้นทางของค่ายกล แต่ไม่ค่อยใส่ใจในด้านการฝึกตนของตัวเองมากเท่าไหร่นัก

หลัวซิวเพียงอมยิ้มออกไป เขาพลิกมือแล้วดึงม้วนหยกออกมา ก่อนจะยกฝ่ามือขึ้น นำม้วนหยกตกลงสู่เบื้องล่างตรงหน้าเหว้ยห้าวหราน

เหว้ยห้าวหรานรีบยื่นมือออกไปรับ “นี่มัน……”

“หัวหน้าแก๊งเหว้ยไม่ได้อยากเป็นปรมาจารย์นักค่ายกลขั้น 7 หรอกหรือ ท่านลองอ่านม้วนหยกดูว่าพอใจหรือไม่” หลัวซิวยิ้มพลางกล่าวตอบ

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 522
ตัวสำนึกของหลัวซิวสัมผัสได้ถึงพลังโซนในตัวของเกาเหลียนหงที่เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนค่อนข้างมาก จึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวว่า “ในเมื่อผู้คุมกฎเกาบรรลุแดนมกุฎยุทธ์แล้ว จะต้องผนึกรวมร่างทองฝ่าเซียงได้แน่ ช่วยแสดงให้ข้าเห็นหน่อยได้หรือไม”

การปิดขังตัวเองช่วงก่อนหน้านี้ไม่นาน หลัวซิวก็ได้ผนึกรวมร่างทองฝ่าเซียง โดยทำตามวิธีการของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำ ร่างทองฝ่าเซียงที่เขาผนึกรวมได้ถือเป็นร่างทองที่สมบูรณ์แบบ จึงไม่รู้ว่าหากเทียบกับร่างทองของเกาเหลียนหงแล้วจะเป็นอย่างไรบ้าง

เพราะวิชายิ่งเลิศที่เกาเหลียนหงฝึกคือวิชาล่องหนไท่เสวียนที่มีรากฐานลึกซึ้ง ภายในเขตแดนเดียวกันนี้คงจะมีฝีมือร้ายกาจกว่าคนหลายๆ คนอย่างแน่นอน

“ท่านเจ้าสำนักช่วยชี้แนะด้วย”

เกาเหลียนหงยิ้มอย่างถ่อมตน พลังของเขาหมุนวนอยู่รอบกาย ปรากฏแสงเงินระยิบระยับทั่วทั้งเรือนร่าง แสงเงินที่ผนึกรวมปรากฏขึ้นเป็นภาพลวงตาอยู่ด้านหลัง

เช่นเดียวกับการที่จักรพรรดิยุทธ์เรียกเทพจิต การที่มกุฎยุทธ์เรียกร่างทองฝ่าเซียงออกมาก็คือการทำให้พลังในการรบยกระดับขึ้นสูงสุด

เนื่องด้วยการฝึกวิชาล่องหนไท่เสวียน เมื่อร่างทองฝ่าเซียงของเกาเหลียนหงปรากฏ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อบรรยากาศอย่างรุนแรงรอบด้าน

พลังแห่งการทำลายล้างฉีกกระชากบิดเบี้ยวแพร่กระจายออกไปทั่ว ต้องเป็นผู้ที่ฝึกพลังโซนเข้าสู่แดนสูงสุดแล้วถึงจะแสดงปรากฏการณ์เช่นนี้ออกมาได้

ทว่าเกาเหลียนหงยังคงห่างไกลจากการตระหนักรู้กฎดั้งเดิมอยู่มาก เพราะกฎดั้งเดิมยังคงเป็นหนึ่งในกฎขั้นสูงสุด แข็งแกร่งกว่ากฎทั่วไปหลายเท่าตัว และยากที่จะตระหนักรู้เช่นกัน

หลัวซิวคาดการณ์ว่า แม้ว่าตอนนี้เกาเหลียนหงจะฝึกตนบรรลุมกุฎยุทธ์ขั้น 1 แต่หากต้องเผชิญหน้ากับมกุฎยุทธ์ขั้น 3 ก็มีพลังเทียบเคียงกันได้ จากความเก่งกาจของพลังล่องหนไท่เสวียน ต่อให้เจอมกุฎยุทธ์ช่วงกลางขั้น 4 แม้ว่าจะเอาชนะไม่ได้ แต่ก็พอรับมือได้และจะไม่ตกเป็นฝ่ายแพ้

ประเด็นนี้ทำให้หลัวซิวรู้สึกชื่นชม ยาที่ใช้สำหรับฝึกแก่นร่างทองเม็ดนั้นไม่เสียเปล่า การที่ได้ผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์มานั่งบัลลังก์ ทำให้สำนักไท่เสวียนมีความสามารถในการป้องปรามไปทั่วอาณาบริเวณ

“ผู้คุมกฎเกาบรรลุแดนมกุฎยุทธ์ได้เป็นเรื่องที่น่ายินดีมาก นับเป็นมกุฎยุทธ์คนแรกของสำนักไท่เสวียนของเรา ในฐานะที่ข้าเป็นเจ้าสำนัก ข้าจะใจแคบไม่ได้”

หลัวซิวอมยิ้มเล็กน้อยก่อนจะดีดนิ้ว แสงสีเขียวลอยหมุนวนขึ้นราวมังกร ก่อนที่จะหยุดอยู่กลางท้องฟ้า

แสงสีเขียวผนึกรวมปรากฏเป็นตราขลังอันหนึ่ง มังกรเขียวม้วนตัวทำให้เกิดพลังงานที่แข็งแกร่งกระจายตัวไปรอบๆ บรรยากาศรอบด้านเริ่มบิดเบี้ยว

เมื่อเกาเหลียนหงเห็นตราขลังมังกรเขียว ในแววตาของเขาจึงปรากฏความร้อนแรง ในตอนที่เขายังอยู่ในแดนจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 7 ก็ได้ตราขลังอันนี้ร่วมกับค่ายพิทักษ์เขาเทียนเหอ ทำให้มกุฎยุทธ์ถึงสองคนตายคาที่อยู่ที่ค่ายพิทักษ์เขาโดยที่เขารอดชีวิต

ทว่าตอนนี้การฝึกตนของเขาบรรลุแดนมกุฎยุทธ์แล้ว ก็จะยิ่งทำให้ตราขลังอันนี้แสดงพลังที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น หากได้ตราอันนี้มาครอบครอง เมื่อบรรลุถึงขั้นมกุฎยุทธ์ช่วงปลายเมื่อไหร่จะยังมีใครเป็นคู่แข่งของเขาได้อีก?

“เจ้าสำนัก นี่มัน……ล้ำค่าเกินไป……”

แม้ว่าในใจลึกๆ ของเขาจะอยากได้ตราขลังมังกรเขียวนี้ แต่เกาเหลียนหงยังคงพยายามข่มใจเอาไว้

ตามความคิดของเขา หลัวซิวเป็นถึงเจ้าสำนักไท่เสวียน ควรจะมีสมบัติล้ำค่าเช่นนี้ป้องกันตัวเอาไว้ถึงจะเหมาะสม

“ผู้คุมกฎเกาอย่าปฏิเสธเลย แม้ว่าสำนักไท่เสวียนของพวกเราจะเพิ่งเริ่มต้น และมีรากฐานเปราะบาง แต่สมบัติเพียงชิ้นสองชิ้นยังสามารถเอาออกมาใช้ได้” หลัวซิวอมยิ้ม ตราขลังมังกรเขียวลงมาปรากฏอยู่ตรงหน้าเกาเหลียนหง

เมื่อเห็นรูปการณ์ดังนี้ เกาเหลียนหงจึงไม่ปฏิเสธอีก เขารับตราขลังมาด้วยสีหน้ายินดี

ในใจของหลัวซิวมีความคิดว่า ขอเพียงพลังของเกาเหลียนหงยกระดับขึ้นได้ เพียงเท่านี้ธุระหลายๆ เรื่องก็ไม่จำเป็นต้องใช้เจ้าสำนักอย่างเขาลงไปจัดการเองอีก

หากเกาเหลียนหงรู้ว่าในใจของหลัวซิวกำลังคิดอะไรอยู่ เขาคงพูดไม่ออก แต่คงรู้สึกว่านี่ท่านเจ้าสำนักไม่ได้จะตกรางวัลให้ข้า แต่กำลังจะฝึกฝนเพื่อเอาข้าไปทำงานแทนต่างหาก?

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 521
วิชายิ่งเลิศไท่เสวียนทั้งสามวิชา วิชาฝึกจิตจะได้มาจากการผ่านอุปสรรคที่หอคอยมังกรบินชั้นเก้า โดยการกลั่นแปรพลังฟ้าดินจำนวนมหาศาลเพื่อนำมาใช้ยกระดับการฝึกตนของตนเอง แต่นี่เป็นการใช้วิชาฝึกจิตเพียงขั้นเบื้องต้นเท่านั้น

หากสามารถนำวิชาฝึกจิตไท่เสวียนฝึกถึงแดนระดับสูงขึ้นได้ วรยุทธ์ก็จะยิ่งพัฒนา ความสามารถในพลังจิตของศัตรูระหว่างการโจมตี ก็จะถูกวิชาฝึกจิตทำลาย เช่นนี้แล้วจะทำให้พลังของอีกฝ่ายลดลงไปมาก

ดังนั้นวรยุทธ์วิชายิ่งเลิศของวิชาฝึกจิตไท่เสวียนในด้านการป้องกันนี้ถือว่าได้เปรียบกว่า จนถึงขั้นเรียกได้ว่าหาตัวจับยาก เมื่อใช้มันแล้วต่อให้เผชิญกับจอมยุทธ์ที่ฝึกตนเกินแดนเล็กทั้งสามแดนก็ยังยากจะได้รับอันตรายใดๆ

ต่อจากนั้นก็จะเป็นวิชาสังหารไท่เสวียน ประเด็นสำคัญของวิชายิ่งเลิศนี้คือการรวมกันของคำว่า “สงบสุข” กับ “สังหาร”

หากใช้คำพวกนี้เพียงคำเดียวก็นับว่าได้รับพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่มากพอแล้ว แต่เมื่อทั้งสองคำรวมเป็นหนึ่ง ก็จะยิ่งทำให้วิชายิ่งเลิศวิชานี้ยิ่งมีพลังมากยิ่งขึ้น ทำให้สามารถข้ามแดนเล็กได้หลายแดนและสามารถกำจัดศัตรูได้อย่างง่ายดาย

วิชายิ่งเลิศวิชาที่สาม คือวิชาล่องหนไท่เสวียนที่ได้รับความอัศจรรย์จากพลังแห่งโซน เมื่อฝึกฝนเข้าสู่แดนที่สูงขึ้นแล้วก็จะได้สัมผัสกับสัจธรรมของกฎดั้งเดิมแห่งโซน ซึ่งไม่ด้อยไปกว่าพรสวรรค์แห่งโซนของมังกรไร้ร่างในสมัยโบราณเลย

วิชาล่องหนไท่เสวียนเป็นตัวแทนที่ได้รับการสืบทอดมาจากสายนภาเสวียน เกาเหลียนหงจะพยายามฝึกฝนวิชายิ่งเลิศนี้เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อการสร้างพื้นฐานภายในของสำนักไท่เสวียน

นอกจากวิชายิ่งเลิศสามวิชานี้แล้ว ยังต้องนำผังกฎดั้งเดิมทั้งสามภาพมาทำความเข้าใจให้แตกฉาน เพื่อให้ได้วิชาองค์ความรู้ใหม่ขึ้นมา

ก่อนหน้านี้หลังจากที่หลัวซิวแตกฉานผังกฎดั้งเดิมแล้วก็ตระหนักรู้วิชาตราประทับอันยิ่งใหญ่อย่างตราธรรมจุติมรณะ

และหลังจากที่แตกฉานผังกฎดั้งเดิมภาพที่สองแล้ว เขาก็ตระหนักรู้ถึงความอัศจรรย์ในวิชากลั่นร่าง ในวิชากลั่นร่างนี้มีความพิสดารสองระดับความเป็นตาย แดนร่างเนื้อของเขาเพิ่งจะบรรลุถึงแดนมกุฎขั้นปฐมภูมิ แต่พลังต่อสู้ที่แท้จริงของเขากลับไม่ด้อยไปกว่าร่างยุทธ์ในแดนมกุฎขั้นกลาง

วิชาที่ได้รับการสืบทอดมาจากวรยุทธ์วงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพนี้ ไม่มีอะไรที่แข็งแกร่งกว่านี้มาเปรียบเทียบได้อีก

เมื่อแตกฉานผังกฎดั้งเดิมภาพที่สามแล้ว หลัวซิวก็สามารถควบคุมจนตระหนักรู้ถึงพลังกฎการเวียนว่ายตายเกิด เมื่อผ่านกฎการเวียนว่ายตายเกิดแล้ว ก็ใช้ทักษะยุทธ์กระบี่วิญญาณเจี้ยนเซินหลัวและวิชากระบี่วาตะ จนถ่ายทอดทักษะยุทธ์ออกมา โดยมีชื่อว่าโลกาตายเกิด

ในขณะที่ฝึกอยู่ในห้องลับ หลัวซิวก็ลืมตาขึ้นมากะทันหัน แล้วใช้นิ้วมือแทนกระบี่ชี้ไปข้างหน้า พลังสองระดับความเป็นตายพุ่งทะยานม้วนตัวเกาะเกี่ยวแหวกอากาศจนปรากฏสะพานหินสีดำ บริเวณรอบๆ สะพานหิน มีพลังหวงเสวียนกำลังคุกรุ่นที่มีพลังอันตรายถึงชีวิตซ่อนตัวอยู่

“เพียงแค่กระบวนท่านี้ ต่อให้เป็นจักรพรรดิยุทธ์ระดับ 9 ตกลงไปก็จะดับสิ้นไม่ได้กลับมาเกิดอีก และต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์ก็ยากที่จะรับมือได้เช่นกัน” หลัวซิวกล่าวถึงกระบวนท่าที่ตัวเองคิดค้นขึ้นมาอย่างพอใจ

นอกจากเรื่องนี้แล้ว ก่อนที่จะเปิดสำนักเขาเพื่อรับสมัครลูกศิษย์ สำนักเขายังต้องการการตระเตรียมเรื่องอื่นๆ อีกเล็กน้อย ทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมของเขาที่ดำเนินไปตามลำดับอย่างเร่งด่วน

ผ่านไปสองเดือน หลัวซิวก็สัมผัสถึงบางอย่างได้ เขาเพ่งไปยังหอคอยฝึกตนที่แดนตำหนักจื่อ ก่อนจะอมยิ้มออกมา

ค่ายผนึกปราณภายในแดนตำหนักจื่อนี้เป็นสิ่งที่เขาวางขึ้นมาเอง จึงสามารถสำรวจทุกอย่างภายในแดนปริศนาได้และสามารถรับรู้ทุกอย่างได้อย่างแจ่มชัด

ในตอนนั้นเองที่เขาสัมผัสได้ว่าเกาเหลียนหงได้บรรลุแดนมกุฎยุทธ์แล้ว

ยากลั่นแก่นร่างทองเพียงเม็ดเดียวมีประสิทธิภาพไม่ธรรมดา บวกกับสภาพแวดล้อมในการฝึกฝนภายในแดนตำหนักจื่อที่สมบูรณ์ รวมทั้งวิชายิ่งเลิศอย่างวิชาล่องหนไท่เสวียน ดังนั้นการที่เกาเหลียนหงสามารถผ่านขั้น 8 ขั้น 9 และบรรลุเข้าสู่แดนมกุฎยุทธ์ได้ก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา

“ฮ่าๆ ในที่สุดข้าก็บรรลุแล้ว!”

ในตอนนั้นเองก็มีเสียงลากยาวดังออกมาจากหอคอยฝึกตน รอยแยกอากาศปรากฏขึ้นอย่างไร้สุ้มเสียง มีเงาร่างของคนคนหนึ่งก้าวเดินออกมาจากรอยแยกนั้น

การเคลื่อนไหวในฝั่งนี้ รบกวนเหยียนเยว่เอ๋อร์ สวีจิงเหนียนและหลินจื่อเฟิงที่อยู่ระหว่างการฝึกตน เมื่อเห็นฉากทัศน์ตรงหน้า สีหน้าของพวกเขาต่างประหลาดใจ “ผู้คุมกฎเกาบรรลุแล้วหรือ”

เหยียนเยว่เอ๋อร์พยักหน้า “ดูรูปการณ์แล้วผู้คุมกฎเกาบรรลุเข้าสู่แดนมกุฎยุทธ์แล้วอย่างแน่นอน สามารถใช้พลังโซนจนบรรลุร่างทองฝ่าเซียง เดินทางโดยใช้การหายตัว และสามารถปรากฏตัวได้ในทุกๆ ที่”

เกาเหลียนหงเองก็เห็นหลัวซิวเดินออกมาจากหอคอยฝึกตน เขาจึงลอยลงมายังด้านล่างแล้วมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าของเขา พร้อมน้อมตัวทำความเคารพ “ขอบพระคุณท่านเจ้าสำนัก”

หลัวซิวพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม “ผู้คุมกฎเกาไม่ต้องขอบคุณเรา การที่บรรลุแดนมกุฎยุทธ์ได้นั้นอาศัยความสามารถของตัวเจ้าเองต่างหาก เราก็แค่คอยช่วยเหลือเท่านั้น”

“ข้าไม่ทำให้เจ้าสำนักผิดหวังเป็นเรื่องดีที่สุดแล้ว” เกาเหลียนหงยิ้ม

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 520
เกาเหลียนหงใจเต้นรัว ถือขวดหยกที่บรรจุยาไว้อย่างระมัดระวัง ถอยออกไปจากตำหนักวัฏสงสารอย่างเคารพนับถือ

เดิมเขาคิดว่าตนเองจะต้องใช้เวลาอีกหลายสิบปีที่จะไปถึงขั้นแดนมกุฎยุทธ์ ไม่คิดว่าจะได้เจอโอกาสแบบนี้ ณ เวลานี้หัวใจเปี่ยมล้นไปด้วยความซาบซึ้งและเกรงกลัวหลัวซิว

ซาบซึ้งที่หลัวซิวมอบโอกาสนี้ให้เขา เกรงกลัวที่แม้แต่ยามแบบนี้ยังสามารถมอบให้เขาได้ งั้นความสามารถของเจ้าสำนัก จะแข็งแกร่งถึงขนาดไหน?

จากนั้น หลัวซิวก็หันไปมองสวีจิงเหนียน ให้ยาที่ทำมาจากแก่นร่างทองแก่เกาเหลียนหงแล้ว สวีจิงเหนียนเองก็เป็นผู้คุมกฎ จึงจะลำเอียงไม่ได้

เห็นเพียงเขาดีดนิ้ว มีแสงเปล่งประกายออกมา ตรงหน้าสวีจิงเหนียน ปรากฏแท่นบัวทิพย์ห้าสี

“ผู้คุมกฎสวี เจ้าฝึกตนมายาวนานที่สุด จะว่าไปแล้ว พื้นฐานและศักยภาพมีจำกัด หากไม่มีเหตุบังเอิญ ชั่วชีวิตนี้เจ้าสามารถไปถึงได้มากสุดคือแดนมกุฎยุทธ์ ไม่มีความหวังมากกว่านี้” หลัวซิวพูดขึ้นอย่างเชื่องช้า

สวีจิงเหนียนก็รู้ว่าหลัวซิวพูดความจริง กระทั่งหากไม่มีสภาพการฝึกสอนของสำนักไท่เสวียน ที่มีหอฝึกฝนแดนปริศนา มียาให้ทุกเดือน ในชีวิตนี้เขาไม่มีโอกาสฟันฝ่าไปถึงแดนมกุฎยุทธ์ด้วยซ้ำ

ก่อนหน้านี้เกาเหลียนหงที่เป็นผู้คุมกฎเหมือนกันได้ยาที่ทำมาจากแก่นร่างทอง ทำให้ในใจสวีจิงเหนียนตื่นเต้นอย่างมาก เขารู้ว่าในเมื่อหลัวซิวพูดเช่นนี้ ยังไงก็ยังมีความหวังแน่นอน

“ของล้ำค่าสิ่งนี้ มีชื่อเรียกว่าแท่นบัวทิพย์ห้าสี สามารถรวบรวมพลังฟ้าดินให้กลายเป็นปราณทิพย์ ปราณทิพย์สามารถชำระล้างร่างกาย ดับขจัดสิ่งสกปรก ต่อไปเจ้าฝึกฝนบนแท่นบัวทิพย์ห้าสี เวลาผ่านไปหลายปี สามารถทำให้เจ้าเกิดใหม่ได้ มีโอกาสไปสู่แดนศิลปะการต่อสู้ที่สูงที่สุด”

ได้ยินเช่นนี้ สวีจิงเหนียนแทบจะร้องไห้น้ำตาไหล เทียบกับยาแก่นร่างทองแล้ว แท่นบัวทิพย์ห้าสีนี้ ช่วยเขาได้อย่างมาก

ไม่อย่างนั้น ต่อให้มอบยาแก่นร่างทองให้เขา ด้วยร่างกายที่เสื่อมโทรมของเขา เกรงว่าคงไม่มีโชคที่จะได้รับพลังอันยิ่งใหญ่จากยา

สวีจิงเหนียนรับแท่นบัวทิพย์ห้าสีมา แล้วหลัวซิวก็หันไปมองหลินจื่อเฟิง ภายในสำนักไท่เสวียนในตอนนี้ คนที่เขาไว้วางใจ มีเพียงไม่กี่คนนี้ หนึ่งในนี้ ผลการฝึกตนของหลินจื่อเฟิงน้อยที่สุด แต่เป็นผู้ที่มีศักยภาพสูงสุดคนหนึ่ง

หลัวซิวเอายาอสูรหมีเยือกเนตรพิษให้เขา มียาตัวนี้ เขาฟันฝ่าไปถึงแดนจักรพรรดิยุทธ์ ถือเป็นง่ายมาก

ส่วนเหยียนเยว่เอ๋อร์ หลัวซิวเอาหินตรีภพอันที่สองออกมา

ตอนที่เขาฟันฝ่าไปถึงแดนจักรพรรดิยุทธ์ ไม่ได้ใช้พลังในหินตรีภพจนหมด ยังเหลืออีกประมาณสามส่วน

ถึงแม้พลังสามส่วนนี้จะไม่เพียงพอที่จะทำให้ผลการฝึกตนของนางไปถึงแดนมกุฎยุทธ์ได้ แต่สามารถช่วยให้พื้นฐานของนางยิ่งมั่นคง โดยเฉพาะกฎตรีภพมีลักษณะพิเศษ สามารถทำให้ความเข้าใจในขอบเขตศิลปะการต่อสู้ของนางก้าวกระโดดขึ้น เป็นประโยชน์มหาศาล

หลัวซิวรู้ว่าในระยะสั้นนี้ ไม่ควรใช้กำลังภายนอกเพื่อเพิ่มพูนการฝึกตน เขาต้องใช้เวลาเพื่อทำความคุ้นเคยกับแดนปัจจุบัน ไม่อย่างนั้นผลการฝึกตนที่เพิ่มขึ้นรวดเร็วเกินไป จะทำให้รากฐานไม่เสถียร

ดังนั้นทรัพยากรที่อยู่ในมือเหล่านี้ เขาจึงเอามาเพิ่มความแข็งแกร่งของคนอื่นในสำนัก ส่วนตัวเขาเองหากต้องการเพิ่มผลการฝึกตน ก็สามารถไปยังแดนนานาอสูรได้ อาศัยวิชาฝึกจิตไท่เสวียน เขาฆ่ายาเลือดในแดนนานาอสูร ก็จะสามารถเพิ่มผลการฝึกตนของร่างกายตนเองได้อย่างรวดเร็ว

ทางด้านสติ ช่องจิตจอมปลอมในทะเลแห่งสตินั้น พัฒนาอย่างต่อเนื่องทุกขณะ

“ทุกอย่างถูกจัดวางไว้หมดแล้ว ดังนั้นก็สามารถรออีกสามเดือน”

หลัวซิวอมยิ้มพยักหัว ช่วงเวลานี้ เขาก็พร้อมที่จะทำความคุ้นเคยกับวิชายิ่งเลิศไท่เสวียนสามสำนักที่เพิ่งฝึกสำเร็จ

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 519
“ไอ้หนุ่มหลัว ดูเหมือนเจ้าจะโชคดีไม่น้อย หากมีประธานผู้ลาดตระเวนคนหนึ่งเป็นที่พึ่ง ต่อไปเจ้าจะสบายกว่านี้” จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำพูดขึ้น

อย่างเช่นมู่จื่อซิว ฉีฝ่าเทียนผู้ลาดตระเวนธรรมดาแบบนี้ ผลการฝึกตนล้วนอยู่ในระดับแดนมกุฎยุทธ์ ผู้ลาดตระเวนที่ระดับที่สูงกว่านี้น่าจะเป็นผู้แข็งแกร่งของระดับมหายุทธ์ ส่วนประธานผู้ลาดตระเวนรับผิดชอบดูแลสี่แก๊งใหญ่ทั้งหมดในภูมิภาค เป็นยักษ์ใหญ่ระดับเจ้ายุทธจักร กระทั่งอาจเป็นถึงผู้แข็งแกร่งสูงสุดของแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์

ผ่านไปหลายวัน ชายอาวุโสผมขาวคนหนึ่ง พาผู้ติดตามสามคนมายังสำนักไท่เสวียน

คนอาวุโสที่เป็นผู้นำคนนั้น ก็คือค่ายกลขั้นแปดสำนักไท่เสวียนที่แก๊งนักค่ายกลส่งมา เดิมก็เป็นผู้แข็งแกร่งของระดับมหายุทธ์คนหนึ่ง

เพียงแต่คนอาวุโสคนนี้มีนิสัยประหลาด ไม่ชอบพูดมาก หลัวซิวเดินไปพูดคุยด้วย อีกฝ่ายก็ไม่ตอบสนอง

ใช้เวลาอยู่ประมาณเจ็ดวัน เดิมค่ายกลป้องกันภายในภูเขาระดับที่เจ็ด มีการจัดรูปแบบเพิ่มถึงระดับแปด ตำแหน่งสำคัญหลายประการในค่ายกล ล้วนหลอมไปด้วยวัสดุล้ำค่า ทำให้ค่ายกลป้องกันภูเขาระดับแปดนี้มีความสามารถป้องกันการโจมตีจากผู้แข็งแกร่งของมหายุทธ์ขั้นปฐมภูมิ

คงเพราะคำนึงถึงสำนักไท่เสวียนขาดความแข็งแกร่งโดยรวม ไม่มีใครมีความสามารถเพียงพอที่จะดำเนินการสร้างค่ายกลระดับแปด ดังนั้นรูปแบบค่ายกลการป้องกันภูเขานี้ จึงได้ปรับปรุงเปลี่ยนเป็นใช้พลังงานหินเป็นฐานรากของการก่อตัวในการให้พลังงาน

เมื่อค่ายกลเริ่มขึ้น ต้องใช้พลังงานอย่างต่อเนื่อง รากฐานหลักของการก่อตัว ต้องเติมพลังหินจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง ถึงจะสามารถให้พลังงานอย่างเพียงพอสำหรับค่ายกลระดับที่แปด

อีกอย่าง เนื่องจากใช้เวลาในการสร้างค่ายกลค่อนข้างน้อย ดังนั้นค่ายกลนี้จึงไม่ใช่ค่ายกลเพื่อปกป้องภูเขา แต่เป็นแนวป้องกันค่ายกล ไม่มีความสามารถในการโจมตีกลับ ไม่เหมือนค่ายกลป้องกันภูเขาที่สามารถโจมตีและป้องกันเป็นหนึ่งเดียวได้

แต่หลัวซิวก็ไม่ได้สนใจในสิ่งนี้ รอผ่านไปสักระยะหนึ่ง หลังจากที่ตนบำเพ็ญได้มากขึ้นกว่านี้ ก็จะสามารถสร้างค่ายกลระดับแปดขึ้นมาได้ ถึงตอนนั้นค่อยปรับปรุงให้ดีขึ้นอีกครั้ง

หลังจากสร้างค่ายกลเสร็จเรียบร้อยแล้ว ค่ายกลขั้นแปดสำนักไท่เสวียนคนนั้นก็พาคนของตนจากไปอย่างไม่พูดไม่จา หลัวซิว ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายมีชื่อเรียกว่าอย่างไร

ค่ายกลขั้นแปดสำนักไท่เสวียนถือเป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่งในอาณาจักรใต้ หลัวซิวก็รู้ อีกฝ่ายคงจะคิดว่าคนระดับอย่างตน ไม่มีเจ้าสมบัติที่คู่ควรไปพูดคุยกับเขา

อีกฝ่ายยอมที่จะมาสร้างค่ายกลในพื้นที่เล็กแบบนี้ ไม่ใช่เพราะเห็นแก่หน้าหลัวซิว แต่เป็นการเห็นแก่หน้าประธานผู้ลาดตระเวน

“มีค่ายกลระดับแปดแล้ว ถึงเวลาแล้วที่จะเปิดประตู ป่าวประกาศให้คนทั้งโลกรู้ว่าสำนักไท่เสวียนกลับมาแล้ว”

หลัวซิวนั่งอยู่ในตำหนักวัฏสงสาร ยิ้มหัวเราะพร้อมติดต่อกับจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิง อาจารย์หงหมิง เหว้ยห้าวหราน ตลอดจนผู้อาวุโสทั้งหกของแก๊งนักกลั่นยา อาศัยช่องทางของสี่แก๊งใหญ่ ป่าวประกาศให้ทุกคนรู้กันไปทั่วว่า สำนักไท่เสวียนกลับมาแล้ว

ผ่านไปสามเดือน สำนักไท่เสวียนเปิดประตูอย่างเป็นทางการ เปิดกว้างรับสมัครสาวก

หลังจากทำเช่นนี้เรียบร้อยแล้ว หลัวซิวได้ตามเหยียนเยว่เอ๋อร์ เกาเหลียนหง สวีจิงเหนียน ตลอดจนหลินจื่อเฟิงมาที่ตำหนักวัฏสงสาร

“ผู้คุมกฎเกา ผลการฝึกตนของเจ้าจากจักรพรรดิยุทธ์ขั้นเจ็ดถึงจักรพรรดิยุทธ์ขั้นแปดแล้ว ยินดีด้วย” หลัวซิวมองดูเกาเหลียนหงอย่างยิ้มแย้ม พร้อมพูดขึ้น

“ขอบเจ้าเจ้าสำนักที่ชม ที่สำคัญคือในหอฝึกฝนแดนปริศนามีพลังจิตที่เพียงพอ ผมจึงสามารถฝ่าฟันไปได้” เกาเหลียนหง กำหมัดหัวเราะพร้อมพูดขึ้น

หลัวซิวพยักหัว พลิกมองเอาขวดหยกออกมา ยื่นให้กับอีกฝ่าย พร้อมพูดขึ้นว่า “ในขวดหยกนี้ มียาที่ผมใช้แก่นร่างทองของผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์ทำขึ้นมา มียาตัวนี้แล้ว ไม่รู้ว่าผู้คุมกฎเกามีความมั่นใจแค่ไหนว่าสามารถถึงแดนมกุฎยุทธ์ได้ภายในสามเดือน?”

ยาที่ทำมาจากแก่นร่างทอง เป็นพลังผลการฝึกตนกว่าครึ่งหนึ่งของผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์คนหนึ่ง

เกาเหลียนหงที่เพิ่งรับขวดหยกไป เมื่อได้ยินเช่นนี้ มือทั้งคู่อดไม่ได้ที่จะสั่นเทา เขาคิดไม่ถึงว่า เจ้าสำนักจะเอายาล้ำค่าเช่นนี้ยกให้ตนเองใช้

ฟันฝ่าไปถึงแดนมกุฎยุทธ์อยู่แค่เอื้อม เกาเหลียนหงไม่ปล่อยโอกาสไปอยู่แล้ว พูดขึ้นอย่างมุ่งมั่นทันทีว่า “ภายในสามเดือน ผมจะฟันฝ่าไปถึงแดนมกุฎยุทธ์ให้ได้ จะไม่ทำให้เจ้าสำนักผิดหวัง”

“ดี เพื่อไม่เป็นการเสียเวลา ผู้คุมกฎเกาเข้าไปฝึกฝนในหอฝึกฝนแดนปริศนาตั้งแต่ตอนนี้เลย” หลัวซิวหัวเราะพร้อมพูดขึ้น

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 518
หลัวซิวจำศีลในหอฝึกฝนแดนปริศนาครั้งนี้ใช้เวลาไปครึ่งปีเต็ม

ในช่วงเวลานี้เขามีสมาธิจดจ่อและเกือบจะตัดขาดการติดต่อกับโลกภายนอกทั้งหมด จนกระทั่งเขาออกมาจากหอฝึกฝนแดนปริศนา เขารู้ว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา

เรื่องแรกคือหลังจากที่อาจารย์สำนักฉางเหอถูกฆ่าตาย ผ่านไปไม่นานสำนักเขาก็ถูกทำลายและมีสาวกเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถหลบหนีได้

หลัวซิวได้รับข้อมูลโดยการรวบรวมขององค์กรนักล่ายุทธ์ จึงได้ทราบว่า ซุนเชียนซางที่ถูกฆ่าตัดหัวในสงครามเทียนเหอเป็นผู้อาวุโสท่านหนึ่งของสำนักอัสนีวายุตะวันออก

หลี่เสวียนหยางแจ้งข่าวแก่สำนักอัสนีวายุ สำนักอัสนีวายุโกรธอย่างมากจึงส่งผู้อาวุโสระดับมกุฎยุทธ์สามคนไปจัดการกับเรื่องนี้ทันที

นอกจากนี้ เพื่อนสนิทบางคนของป๋ายหลี่หยวนหลงและเจียงตงหลิวทางตะวันตกก็ได้ยินข่าวเช่นกัน พวกเขาพยายามบุกค่ายพิทักษ์เขาสำนักไท่เสวียนหลายครั้ง แต่พวกเขากลับทำไม่สำเร็จ

ว่ากันว่าคนเหล่านี้กำลังขอความช่วยเหลือจากปรมาจารย์นักค่ายกลขั้นเจ็ด เพื่อจัดการกับค่ายพิทักษ์เขาสำนักไท่เสวียน นอกจากนี้เยว่คงจวินอาจารย์ของหยูเชียนฮั่วผู้แข็งแกร่งในแดนมหายุทธ์ ก็ส่งคนไปตรวจสอบสาเหตุการตายของหยูเชียนฮั่ว ตามเบาะแสบางอย่างพวกเขาสืบไปถึงประเทศเทียนหวู

“พายุกำลังจะมา!”

หลัวซิวตาเป็นประกายเมื่อได้ยินข่าวทั้งหมดนี้

ต่อมาหลัวซิวติดต่อกับผู้ลาดตระเวนฉีแห่งอาณาจักรใต้ เขาเชื่อว่าด้วยความสามารถด้านข่าวกรองขององค์กรนักล่ายุทธ์ น่าจะสามารถค้นหาข้อมูลการตายของหยูเชียนฮั่ว ซึ่งต้องเกี่ยวข้องกับเขาแน่นอน

เยว่คงจวินเป็นผู้แข็งแกร่งระดับมหายุทธ์ ซึ่งเกินกว่าที่เขาจะสามารถต่อต้านได้ในตอนนี้ ดังนั้นเขายังคงต้องพึ่งพาพลังขององค์กรนักล่ายุทธ์

กล่องส่งเสียงถูกนำออกมา หลังจากนั้นไม่นานกล่องส่งเสียงก็สว่างขึ้น เผยให้เห็นร่างของผู้ลาดตระเวนฉีฝ่าเทียน

“เจ้าสำนักหลัว ปัญหาที่ท่านยั่วยุในครั้งนี้ไม่ธรรมดาเลย” ฉีฝ่าเทียนกล่าวช้าๆ “เรื่องของท่าน ข้าได้รายงานไปยังสี่แก๊งใหญ่เมื่อไม่นานนี้ เนื่องจากท่านเป็นสมาชิกสมาชิกพรสวรรค์ขั้นดินระดับกลาง และยังทำหน้าที่เป็นประธานของแก๊งนักกลั่นยาประเทศเทียนหวู ทางแก๊งนักค่ายกลจะมีปรมาจารย์นักค่ายกลขั้นแปดท่านหนึ่งเดินทางมาประเทศหวู เพื่อยกระดับการป้องกันค่ายพิทักษ์เขาสำนักไท่เสวียนของท่านขึ้นเป็นระดับที่แปด ”

เมื่อได้ยินดังนั้นดวงตาของหลัวซิวเปล่งประก่น สิ่งที่เขากลัวมากที่สุดเกี่ยวกับผู้แข็งแกร่งมหายุทธ์คือ พวกเขาสามารถทำลายค่ายกลคุ้มเขาขั้นเจ็ด หากสามารถยกระดับค่ายกลคุ้มเขาได้ถึงขั้นแปดได้แน่นอนว่าคงไม่ต้องเกรงกลัวการรุกรานของมหายุทธ์อีกต่อไป

ตราบใดที่ประตูเขายังปลอดภัย แม้ว่าเขาจะถูกไล่ฆ่าโดยผู้แข็งแกร่งมหายุทธ์ที่ข้างนอก ถึงหลัวซิวจะสู้ไม่ได้แต่ก็ยังหลบหนีได้

“ขอบคุณผู้ลาดตระเวนฉีมาก” หลัวซิวยกมือคารวะ

“เหอะเหอะ เจ้าสำนักหลัวไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า ข้าก็แค่ส่งข่าว หัวหน้าลาดตระเวนแห่งอาณาจักรทางใต้ให้ความสำคัญกับท่านอย่างมาก” ฉีฟาเทียนยิ้มแล้วยิ้มอีก และภาพมายาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

“หัวหน้าลาดตระเวน?” หลัวซิวเก็บกล่องส่งเสียงและขมวดคิ้วเล็กน้อย

เท่าที่เขารู้ สี่แก๊งใหญ่นำโดยองค์กรนักล่ายุทธ์ในสี่อาณาจักรหลักๆ ตั้งตำแหน่งผู้ลาดตระเวนมีหน้าที่ตรวจสอบและกำกับดูแล ซึ่งเท่ากับผู้ตรวจตราและใช้กฎหมายของสี่แก๊งใหญ่ในโลก

จากผู้ลาดตระเวนทั่วไป เป็นรองหัวหน้าท่านลาดตระเวน จากนั้นเป็นหัวหน้าลาดตระเวน

มู่จื่อซิวและฉีฝ่าเทียนคือผู้ลาดตระเวนทั่วไป ไม่ว่าจะในอาณาจักรเหนือหรืออาณาจักรภาคใต้ ผู้ลาดตระเวนไม่ได้มีเพียงคนเดียวแต่มีหลายคน โดยกำกับดูแลอาณาจักรที่ต่างกัน

ลูกน้องของหัวหน้าลาดตระเวนโดยทั่วไปจะเป็นรองหัวหน้าสามคน และรองหัวหน้าแต่ละคนจะมีลูกน้องเป็นผู้ลาดตระเวนทั่วไปอีกสามคน

หลัวซิวคาดว่าเหตุผลที่หัวหน้าลาดตระเวนให้ความสำคัญกับเขาอาจเป็นเพราะเขาเห็นคุณค่าในความสามารถของการฝึกตนของเขา

ในเมื่อในบันทึกขององค์กรนักล่ายุทธ์ สิ่งที่โดดเด่นที่สุดในตัวเขาไม่เรื่องอายุที่น้อยกว่า20 ปี แต่เป็นตอนช่วงอายุ13ปีที่เขายังอยู่ในแดนกลั่นร่าง ในเวลาเพียงไม่กี่ปีเขาได้ฝึกตนจนถึงแดนจักรพรรดิยุทธ์ อีกทั้งพลังการต่อสู้ของเขานั้นทัดเทียมกับพลังของผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎยุทธ์

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 517
อย่างไรก็ตามเทพแห่งวัฏจักรชีวิตไม่ได้มีอารมณ์แปรปรวนแม้แต่น้อยและพูดช้าๆว่า “จักรวาลนั้นกว้างใหญ่นัก โลกแสงดาวเป็นเพียงข้าวเม็ดหนึ่งในมหาสมุทรและมีอสูรจิตมากมายที่อยู่ในแดนนิรันกาลตั้งแต่แรกเกิด เจ้าคิดว่าหากเปรียบเทียบตัวเองกับแดนนิรันกาล เจ้าเป็นอย่างไร?

“นิรันดร์กาลแต่แรกเกิด?” หลัวซิวพูดไม่ออกเมื่อได้ยินสิ่งนี้ นี่หมายความว่าเขาเทียบไม่ได้แม้แต่กับอสูรจิตที่เพิ่งเกิดใหม่หรอกหรือ?

แน่นอนว่าเขาไม่คิดว่าเทพแห่งวัฏจักรชีวิตกำลังโกหก เพราะมันไม่จำเป็นต้องหลอกตัวเองด้วยเรื่องแบบนี้

หลัวซิวยักไหล่อย่างจนปัญญา หลัวซิวโต้เถียงกับเทพแห่งวัฏจักรชีวิตเกี่ยวกับเรื่องการเรียกชื่อ ซึ่งเป็นการหาเรื่องทำให้ตัวเองต้องอับอายแท้ๆ

“ผู้สืบทอดตัวน้อย ผลการฝึกตนของเจ้าเหนือราชายุทธ์และไปถึงแดนจักรพรรดิยุทธ์ตามเจตจำนงของผังกฎดั้งเดิมแล้ว เจ้าจะได้รับของขวัญจากวัฏจักรชีวิตอีกครั้ง”

ตามเสียงของเทพแห่งวัฏจักรชีวิต ลำแสงก็พุ่งออกมาจากท้องฟ้าในวัฏจักรชีวิตที่เต็มไปด้วยดวงดาวและปกคลุมร่างของหลัวซิว

ร่างกายของหลัวซิวสั่นไหว ตาเบิกกว้าง และในชั่วพริบตา ดูเหมือนว่าผ่านไปนานหลายร้อยล้านปี แสงที่ส่องประกายปกคลุมเขาแยกไม่ออกว่าเป็นสีอะไร แต่รู้สึกได้ว่ามันมีความลึกลับของสองระดับความเป็นตาย

ความนึกคิดนับไม่ถ้วนผุดขึ้นในใจ การรู้สึกเหล่านี้ดูเหมือนจะปรากฏขึ้นจากอากาศบางๆแต่ก็ย่อมเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว ซึ่งทำให้หลัวซิวรู้สึกนึกอะไรออกอย่างฉับพลันเหมือนแหวกเมฆหมอกและเห็นฟ้าสดใส

ในอดีต เขาไม่เข้าใจผังกฎดั้งเดิมเล่มที่สาม แต่ตอนนี้เขาเข้าใจทะลุปรุโปร่ง ในเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจเขาเข้าใจผังกฎดั้งเดิมเล่มที่สามอย่างถ่องแท้และบรรลุสภาพที่สมบูรณ์แบบ!

“กฎการเวียนว่ายตายเกิด?“

ขณะนี้หลัวซิวรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่งที่พบว่าเขาสามารถควบคุมพลังกฎการเวียนว่ายตายเกิด

ในเวลานี้เทพแห่งวัฏจักรชีวิตไม่พูดอะไรและส่งเขาออกไปทันที

หลัวซิวยังคงตกตะลึงเล็กน้อยเมื่อเขาถูกส่งออกมาทันที เขาไม่ได้คาดหวังของขวัญจากกฎดั้งเดิม ในเมื่อมันได้ทำให้เขาเข้าใจผังกฎดั้งเดิมเล่มที่สามอย่างถ่องแท้และควบคุมพลังกฎการเวียนว่ายตายเกิด เท่าที่เขารู้ในระบบการฝึกยุทธ์ มีเพียงหลังจากที่ฝึกบรรลุแดนพรีเมี่ยมยุทธ์แล้วเท่านั้น จึงจะมีความสามารถที่จะควบคุมกฎโดยอาศัยความรู้สึกของเขาเอง

ก่อนที่จะบรรลุแดนพรีเมี่ยมยุทธ์ หากจอมยุทธ์ต้องการรับพลังแห่งกฎ ทำได้เพียงแค่ฉวยเชิ้นส่วนของกฎที่ปรากฏในชื่อแดนปริศนา

มีชื่อผู้แข็งแกร่งบางคนล่มสลายและชิ้นส่วนของกฎถูกขโมยไป และทุกครั้งที่ชื่อแดนปริศนาถูกเปิดออก มักจะมีผู้แข็งแกร่งจำนวนนับไม่ถ้วนรุมล้อมเข้ามาทีละคน และสุดท้ายมีเพียงสิบคนแรกเท่านั้นที่สามารถได้รับชิ้นส่วนของกฎ

ดังนั้นพลังของกฎจึงมีค่ามาก แม้กระทั่งสำหรับผู้แข็งแกร่งแดนพรีเมี่ยมยุทธ์ก็ยังถือเป็นสมบัติอันล้ำค่า

เพราะแม้ว่าผู้แข็งแกร่งแดนพรีเมี่ยมยุทธ์สามารถเข้าใจกฎได้ แต่หากผ่านชิ้นส่วนของกฎโดยตรงพวกเขาสามารถสอดแนมความลึกลับของกฎได้โดยตรง ซึ่งเป็นประโยชน์ในการเพิ่มการรับรู้

“หากข้าเดาไม่ผิด ถ้าไม่มีของขวัญจากกฎดั้งเดิม ลำพังตัวข้าที่จะทำความเข้าใจผังกฎดั้งเดิมเล่มที่สามอย่างถ่องแท้ เกรงว่าต้องไปถึงแดนพรีเมี่ยมยุทธ์”

หลัวซิวรู้ดีว่าเขาสามารถควบคุมพลังของกฎการเวียนว่ายตายเกิดได้ ไม่ใช่เพราะความสามารถในการรับรู้ของเขาเหนือฟ้า แต่เพราะเทพแห่งวัฏจักรชีวิตใช้ลูกแก้วความเป็นตายและวัฏจักรชีวิตช่วยเหลือเขา ทำให้เข้ารับรู้พลังแห่งกฎได้ในแดนพรีเมี่ยมยุทธ์และก้าวเข้าสู่แดนพรีเมี่ยมยุทธ์ก่อน

ตามที่เทพแห่งวัฏจักรชีวิตกล่าว มีเพียงคนที่ควบคุมพลังกฎการเวียนว่ายตายเกิดเท่านั้น จึงจะถือว่าเป็นผู้สืบทอดที่มีคุณสมบัติอย่างแท้จริง

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 516
ตอนนี้ลมปราณในร่างของเขาเทียบเท่ากับร่างทองฝ่าเซียง ทั้งยังแข็งแกร่งกว่าหลายเท่า ยิ่งกว่านั้นลมปราณยังแกร่งกว่าหยูเชียนฮั่วและเจียงตงหลิวมกุฎยุทธ์ขั้นสี่หลายส่วน

“ช่างเป็นลมปราณที่แกร่งมาก ไอ้หนุ่มเจ้าเพิ่งผนึกรวมร่างทองฝ่าเซียงเมื่อกี้ แต่ลมปราณนี้เทียบได้กับขั้นกลางของมกุฎยุทธ์แล้ว”

จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำกล่าวชมเขาก่อนและน้ำเสียงก็ตกตะลึงในทันที “เดี๋ยวก่อน ร่างทองฝ่าเซียงของไอ้หนุ่มล่ะ”

ทันใดนั้นหลัวซิวพูดไม่ออกบอกไม่ถูก “ร่างเนื้อของข้าเป็นร่างทองฝ่าเซียง เทพจิตและพลังจิตแท้ของข้าหลอมรวมกันเป็นหนึ่งอย่างสมบูรณ์”

เมื่อจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำได้ยินเช่นนั้นก็ตกตะลึงเป็นเวลานานและทันใดนั้นก็ตะโกนว่า “ไอ้หนุ่มเจ้าจะไปรู้อะไรเจ้านี่แหละคือร่างทองฝ่าเซียงที่แท้จริง หรือเจ้าคิดว่าภาพมายาที่สร้างขึ้นมานั่นคือร่างทองฝ่าเซียงที่แท้จริง?”

“ไม่ใช่หรือ” หลัวซิวประหลาดใจเพราะเขาเคยเห็นมกุฎยุทธ์คนอื่นๆก็สร้างร่างทองฝ่าเซียงขึ้นมาและต่างเป็นเงาคนร่างใหญ่ซึ่งมีพลังแข็งแกร่งกว่าเทพจิตที่จักรพรรดิยุทธ์ผนึกรวมมากนัก

“บ้าบอ! พวกที่สร้างเงาลวงออกมา นั่นหมายความว่าขณะผนึกร่างทองฝ่าเซียงนั้นผสานเข้ากันไม่สมบูรณ์และมีข้อบกพร่อง แต่เจ้าคือเทพจิตที่แท้จริงร่างเนื้อและเทพจิตรวมเข้ากันได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้นลมปราณร่างทองฝ่าเซียงเมื่อกี้ของเจ้าจึงทัดเทียมขั้นกลางของมกุฎยุทธ์

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำหยุดนิ่งครู่หนึ่งและกล่าวอย่างเคร่งขรึม:“อย่างไรก็ตามแม้ในสมัยโบราณผู้ที่สามารถฝึกร่างทองฝ่าเซียงได้อย่างสมบูรณ์แบบได้นั้นล้วนหายากยิ่งนัก แม้แต่สองวิชายิ่งเลิศที่เหนือชั้นที่สุดในสำนักไท่เสวียนของข้า ทั้งวิชาฝึกจิตไท่เสวียนและวิชาหยินหยางไท่เสวียน ในประวัติศาสตร์มีไม่เกินห้าคนที่สามารถฝึกฝนร่างทองฝ่าเซียงได้สมบูรณ์แบบ “หากต้องการผนึกร่างทองให้สมบูรณ์ ต้องมีวรยุทธ์ขั้นสูงอีกทั้งยังต้องมีจังหวะที่เหมาะสม ดูเหมือนในตัวไอ้หนุ่มคนนี้จะมีความลับมากมาย”

เกี่ยวกับความลับของหลัวซิวจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำคาดเดามานานแล้ว แต่เขาไม่รู้จริงๆว่าหลัวซิวฝึกวรยุทธ์อะไรกันแน่ ซึ่งทำให้เขาสามารถควบคุมพลังสองระดับความเป็นตายได้ในเวลาเดียวกัน

แต่หลังจากคิดดูแล้ว มันก็สมเหตุสมผลสำหรับคนที่สามารถควบคุมพลังสองระดับความเป็นตายได้ที่จะสามารถฝึกร่างทองสมบูรณ์แบบได้ หลัวซิวไม่ได้อธิบายอะไรมากนักเกี่ยวกับเรื่องนี้ จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำรู้เรื่องส่วนใหญ่ของเขา แต่เมื่อพูดถึงเรื่องลูกแก้วความเป็นตายแม้แต่คนที่สนิทกับหลัวซิวมากที่สุด เขายังไม่เคยเปิดเผยแม้แต่น้อย ที่ไม่พูดไม่ใช่ไม่ไว้ใจอีกฝ่าย แต่เพราะคำนึงถึงความปลอดภัย

แม้ว่าร่างทองแดนมกุฏจะฝึกสำเร็จแล้ว แต่หลัวซิวไม่ได้เร่งรีบจากการฝึก แต่เชื่อมโยงจิตใจของเขากับลูกแก้วความเป็นตายในตัวหยั่งรู้เพื่อสื่อสารกับเทพแห่งวัฏจักรชีวิต

ทันใดนั้น ร่างของเขาก็หายเข้าไปในห้องลับในหมอกหนาทึบของพลังฟ้าดินจิต ลูกแก้วความเป็นตายลูกหนึ่งถูกแขวนไว้และไหลออกมาจากความลึกลับที่ไม่มีวันคาดเดาได้ เมื่อพบว่าภาพตรงหน้าของเขาเปลี่ยนไป หลัวซิวรู้ว่าเขาถูกเคลื่อนย้ายไปในวัฏจักรลูกแก้วความเป็นตาย ในขณะที่ถูกเคลื่อนย้ายเข้าไปในพื้นที่วัฏจักร วิญญาณของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำที่อยู่ในร่างของเขาจะถูกปิดกั้นการรับรู้ทั้งหมดและเขาไม่มีทางรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

“ผู้สืบทอดตัวน้อย ขอแสดงความยินดีกับเจ้าที่ก้าวไปอีกขั้นบนเส้นทางแห่งการฝึกยุทธ์”

ความว่างเปล่าไร้จุดสิ้นสุดที่อยู่บนหัวในวัฏจักรอันยิ่งใหญ่ เสียงที่คุ้นเคยของเทพแห่งวัฏจักรชีวิต เมื่อได้ยินเช่นนี้หลัวซิวก็อดไม่ได้ที่จะเบ้ปาก “เทพแห่งวัฏจักรชีวิต เมื่อไหร่ท่านจะลบคำว่า “ตัวน้อย” สองคำข้างหน้าเมื่อเรียกชื่อข้า?”

ก่อนเข้าสู่อาณาจักรของจักรพรรดิยุทธ์เขาสามารถโต้แย้งกับมกุฎยุทธ์ได้ หากวันนี้เอาชนะจักรพรรดิยุทธ์และบรรลุร่างทองที่สมบูรณ์แบบได้ เมื่อมองไปที่ดินแดนประเทศเทียนหวู หลัวซิวถามตัวเองว่าไม่มีใครอาจเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้

ถึงกระนั้น เขาก็ยังถูกเรียกว่าผู้สืบทอดตัวน้อย ในใจเขารู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 515
เทพจิตร่างเนื้อทั้งสองบรรลุถึงแดนมกุฎ ทำให้ศักยภาพของหลัวซิวแข็งแกร่งขึ้นหลายเท่า ในเวลาเดียวกันความมั่นใจก็เพิ่มสูงตามไปด้วย ต้องการแดนมกุฎก่อนหน้า และก็เหมือนกับผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์ที่ทำได้ถึงเนื้อผสมวิญญาณ กลั่นจนเป็นร่างทองฝ่าเซียง

เวลานี้มีผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์มากมายที่ฝึกฝนจนได้ร่างทองฝ่าเซียง ร่างเนื้อมีมากไปก็ไม่สามารถบรรลุถึงระดับร่างยุทธ์แดนมกุฎได้ เพราะในด้านการฝึกฝนร่างกายต้องบรรลุถึงแดนมกุฎ ยากมากกว่าพลังจิตแท้มากมายร้อยเท่าที่จะฝึกฝนจนถึงแดนมกุฎได้!

ยังมีเทพจิตอีกที่เหมือนกันร่างเนื้อ ถึงแม้ฝึกฝนจนได้แดนมกุฎยุทธ์ เทพจิตสำนึกตนของคนส่วนมากล้วนเป็นเทพจิตแดนมกุฎที่ดีแต่เปลือกนอกเท่านั้น ห่างไกลไม่เหมือนกับนักยุทธ์แดนกลั่นวิญญาณ ผนึกรวมเทพจิตจนตัวสำนึกพลุ่งพล่าน

อีกทั้งหลัวซิวนั้นมีกลั่นวิญญาณกับกลั่นร่างทั้งสองอย่าง หากว่าจะเป็นเทพจิตแดนมกุฎกับเนื้อผสมวิญญาณแดนมกุฎ ฝึกฝนจนได้ร่างทองฝ่าเซียง ก็จำเป็นต้องแข็งแกร่งมากกว่ามกุฎยุทธ์ทั่วไป

แน่นอนว่าเนื้อผสมวิญญาณฝึกฝนเป็นร่างทองฝ่าเซียง เป็นธรรมดาที่พูดแล้วไม่ง่ายขนาดนั้น ในจำนวนนั้นยังจำเป็นต้องมีเทพจิตที่พลุ่งพล่านมาประคับประคองการฝึกตน

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นเทพจิต ร่างเนื้อ ก็เป็นผลการฝึกตนพลังจิตแท้เช่นเดียวกัน หลัวซิวล้วนมีปัจจัยพร้อมครบครันในการผนึกรวมร่างทองฝ่าเซียง

“ไอ้เจ้าบ้านี่ เพิ่งจะทะลวงถึงแดนจักรพรรดิยุทธ์ ก็จะกลั่นเป็นร่างทองมกุฎยุทธ์อีก?” จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำรับรู้ถึงความคิดนี้ของหลัวซิว ก็ตกใจเป็นอย่างมาก

“กลั่นเป็นร่างทองมกุฎยุทธ์ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ อย่างแน่นอน ไม่ได้สะสมมานานนับสิบปี ไม่ระวังเล็กน้อยร่างเนื้อก็จะพังทลาย เทพจิตแยกสลาย หรือผลการฝึกตนอาจถูกทำลายลง ไม่ว่าอย่างไรจะปรากฏสถานการณ์แบบใดก็ล้วนอันตรายอย่างยิ่ง”

ถึงแม้ว่าเป็นคำเตือนของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำ แต่หลัวซิวยังคงมีแววตาแน่วแน่แล้วพูด “เพียงแค่ข้าพอที่จะสามารถสำเร็จได้ สถานการณ์เหล่านี้จะไม่เกิดขึ้น”

หลัวซิวแต่ไหนแต่ไรก็เป็นคนที่กล้าคิดกล้าทำ ถึงแม้ว่าการกระทำของเขามากมายที่จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำเห็นแล้วรู้สึกว่าเขาเหิมเกริมโดยไม่เกรงกลัวใครใด ๆ ทั้งสิ้น

“เนื้อผสมวิญญาณ!”

ถอนหายใจเบา ๆ หลัวซิวใช้พลังทั้งหมดหมุนวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ ลงมือตรงใจกลางเงาลวงวัฏจักรที่เมื่อครู่เพิ่งผนึกรวมเทพจิตสำเร็จ และพริบตาเดียวก็กลายเป็นแสงสว่างวางทับซ้อนกันเป็นชั้น ๆ รวมกันกับร่างเนื้อ

เทพจิตกับร่างเนื้อหลอมรวมกัน ต้องการสอดคล้องกันทุกหยดเลือด ทุกหยาดเนื้อ ทุกกระดูกทุกส่วน

เมื่อเป็นเช่นนี้ หยดเลือดและเส้นผมของเขา จนกระทั่งเหงื่อที่ไหลออกมา ล้วนครอบคลุมไปด้วยตราสำนึกของเขา ขอเพียงร่างเนื้อไม่มอดไหม้ เทพจิตก็จะไม่มอดไหม้ เพียงแค่เทพจิตไม่มอดไหม้ ร่างเนื้อก็จะเป็นอมตะ!

ผ่านขั้นตอนการหลอมรวม จำเป็นที่พลังจิตแท้จะสิ้นเปลืองจำนวนมาก ในเวลาเดียวกันยังต้องนำพลังจิตแท้ทั้งหมดหลอมรวมไปกับเลือดเนื้อกระดูกทุกสิ่งอย่าง แบบนี้ถึงจะสามารถนำเทพจิต ร่างเนื้อ พลังจิตแท้ผสมเข้าด้วยกัน กลั่นออกเป็นร่างทองฝ่าเซียงที่แท้จริง

สองระดับความเป็นตายของศูนย์กลางตันเถียนชี่ไห่ยาเทพจิตค่อย ๆ สั่นเทิ้ม แตกเป็นเสี่ยง ๆ กลายเป็นพลังจิตแท้กลิ้งไล่หลังมา ทะลักออกมาจากเส้นเลือดของแขนขาทั้งสี่และจุดชีพจรทั้งแปด

เวลาต่อมา หลัวซิวกระตุ้นพละกำลังของลูกแก้วเสวียนดำ ทำให้พลังจิตแท้ภายในตั้งแต่เริ่มจนจบคงรักษาสภาพเต็มอิ่ม ไม่ว่าอย่างไรผ่านขั้นตอนการหลอมรวมแล้วสูญสลายไปเท่าไหร่ก็จะเพิ่มเติมไปเท่านั้น

ท่ามกลางหอฝึกฝนแดนปริศนา หินพลังจิตชั้นสูงกองสุมเป็นจำนวนมาก ภายใต้การผนึกรวมในค่ายผนึกปราณและแท่นบัวทิพย์ห้าสี กลายเป็นปราณทิพย์เส้นเล็กเล็ก ปราณทิพย์เหล่านี้เพิ่งจะก่อเกิดออกมา ก็ถูกร่างกายของหลัวซิวดูดซึมในพริบตา ราวกับสัตว์ร้ายหิวกระหาย

ผ่านไปไม่นาน หินพลังจิตชั้นสูงจำนวนมากก็แสงสว่างก็ยิ่งมืดมัวลง จนพลังจิตค่อย ๆ สูญสิ้นไปในที่สุด แตกสลายกลายเป็นผุยผง

หลังจากต่อเนื่องเช่นนี้ไปจนใกล้ถึงครึ่งเดือน หลัวซิวก็หลับตาทั้งสองข้าง แล้วค่อย ๆ ลืมตา

แต่ในสายตาของเขา กลับแสดงออกถึงความกลัดกลุ้มบางอย่าง

“ทำไมล่ะ?เจ้านี่ผนึกรวมร่างทองฝ่าเซียงมีปัญหารึ?” จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำถามทันที ถึงแม้เขาจะอยู่ต่างถิ่นในขอบเขตด้านซ้ายของหลัวซิน แต่กลับไม่ได้รับรู้ถึงความผิดปกติของร่างกายหลัวซิน มีเพียงสภาพที่หลัวซินอนุญาติถึงจะสามารถรับรู้การเคลื่อนไหวภายนอกได้

“ข้าก็ไม่รู้ว่าแบบนี้นับว่าเป็นปัญหาหรือไม่” เสียงหลัวซิวหัวเราะอย่างขมขื่น

“นำร่างทองฝ่าเซียงของเจ้าออกมาดูหน่อย” จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำพูดทันที

หลัวซิวพยักหน้า ไม่นานพลังจิตแท้สองระดับความเป็นตายรอบตัวก็เปิดเผยออกมา ก็มีเงาลวงวัฏจักรปรากฏอยู่ที่ท้ายทอย

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 514
คิดจนถึงตรงนี้ หลัวซิงกำลังหยิบกล่องส่งเสียงออกมา โดยภูตแห่งค่าย เชื่อมต่อไปยังผู้ลาดตระเวนฉีฝ่าเทียนของอาณาจักรใต้

ฉีฝ่าเทียนตอบกลับอย่างรวดเร็ว คำพูดเรียกชื่อเขากำลังตอบสนองเรื่องนี้ไปยังด้านบน และพูดเกี่ยวกับความคลุมเครือ ดูเหมือนว่าชั้นสูงของสี่แก๊งใหญ่จะให้ความสำคัญต่อหลัวซิวค่อนข้างมาก แก๊งน่าจะให้ความช่วยเหลือเขาทางด้านนี้

หลังจากเห็นการตอบกลับแบบนี้ ในที่สุดหลัวซิวก็โล่งใจ

“มีคนสนับสนุนอยู่เบื้องหลังก็ไม่เหมือนกัน”

หลังจากปล่อยวางเรื่องนี้ลงชั่วคราว หลัวซิวก็เข้าไปกักตัวในหอฝึกฝนแดนปริศนา

ครั้งนี้เขาไม่เพียงสำเร็จลุล่วงในการทะลวงแดนจักรพรรดิยุทธ์ เขายังเตรียมกลั่นยาบางอย่าง เพื่อเพิ่มศักยภาพของผู้คนสำนักไท่เสวียน

เพราะในเมื่อเขาบรรลุถึงแดนจักรพรรดิยุทธ์ งั้นก็เป็นการเปิดสำนักเขา เป็นจังหวะโอกาสรับลูกศิษย์อย่างกว้างขวาง!

ในหอฝึกฝนแดนปริศนา หลัวซิวจัดเก็บแหวนเก็บของของเจียงตงหลิว ผู้แข็งแกร่งแดนมกุฎยุทธ์ขั้นสี่ท่านหนึ่ง มีวงศ์ตระกูลครอบครัวพอจะพูดได้ว่ามากมายอย่างที่สุด ในนั้นก็มีเจียงตงหลิวที่ตนเองฝึกพลังธาตุอัสนีระดับเก้าและทักษะยุทธ์

“วรยุทธ์ทักษะยุทธ์เหล่านี้สามารถเก็บบรรจุไว้ในหอเสวียนดำ”

ทันทีหลังจากนั้น หลัวซิวก็ค้นพบแหวนอีกวงที่อยู่ในแหวนเก็บของ โดยเฉพาะบนนั้นยังมีลมปราณของอาจารย์สำนักฉางเหอแพร่กระจายอยู่

“นี่คือ……” หลัวซิวกำลังหยิบแหวนวงนั้นออกมา ในใจก็เข้าใจแล้ว นี่น่าจะเป็นที่หลังจากอาจารย์สำนักฉางเหอถูกสังหาร แหวนเก็บของก็ตกเป็นของเจียงตงหลิว

หลังจากนั้นชั่วประเดี๋ยวเดียว กล่องหยกที่มีปริมาตรค่อนข้างใหญ่อันหนึ่ง ถูกหลัวซิวหยิบออกมาจากแหวนเก็บของ หลังจากเปิดออกข้างในมีหินตรีภพที่มีขนาดเท่ากำปั้นผู้ใหญ่กำปั้นหนึ่ง!

ปริมาตรของหินตรีภพก้อนนี้ เทียบกับสองก้อนก่อนหน้าที่อาจารย์สำนักฉางเหอนำออกมาบวกเข้าไป ยังนับว่าใหญ่ยิ่งกว่า

“ในมือของเขาแท้จริงยังมีก้อนที่สาม!” ในใจหลัวซิวประหลาดใจอย่างยิ่ง หินตรีภพสมบัติล้ำค่าเช่นนี้ยากจะพบเจอในยุคโบราณ คาดไม่ถึงว่าที่นี่จะปรากฏแล้วถึงสามก้อน อีกทั้งก้อนหนึ่งยังใหญ่กว่าอีกก้อนหนึ่ง

“ไอ้หนุ่ม โชคชะตาของเจ้าช่างสวนทางสวรรค์ แต่ข้าแนะนำว่าให้เจ้าเก็บหินตรีภพก้อนนี้ไว้ก่อนดีที่สุด ถ้าหากว่าใช้เลื่อนขั้นการฝึกตน ระดับที่บรรลุถึงจะรวดเร็วมาก จนง่ายต่อการก่อให้เกิดรากฐานที่ไม่มั่นคง” จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำกล่าว

หลัวซิวพยักหน้า ประเดี๋ยวเดียวหินตรีภพที่ใหญ่ที่สุดก้อนนี้ก็ถูกจัดเก็บอีกครั้ง นอกจากนั้นในแหวนเก็บของสองวงยังมีของอย่างอื่น เทมาก็ไม่มีสิ่งของพิเศษมากแล้ว

หายใจลึกรวดเดียว หลัวซิวจะปรับสภาพของตนเองให้ถึงที่ยอดเยี่ยมที่สุด หลัวจากนั้นจะยาวิเศษและสังหารหยูเชียนฮั่วเพื่อจะได้รับแก่นร่างทอง งานยาไม้เสวียนจะได้รับยาอสูรของยาอสูรหมีเยือกเนตรพิษออกมา ตั้งใจว่าจะกลั่นเป็นยา

หลังจากนั้นครึ่งเดือน หลัวซิวก็กลั่นยาทั้งหมดสำเร็จ ประเดี๋ยวเดียวมือก็จับหินตรีภพ เริ่มกลั่นแปรลมปราณของตรีภพ ได้ซาบซึ้งถึงกฎตรีภพ ตนเองเข้าใจเกี่ยวกับกฎทะลุปรุโปร่งมากยิ่งขึ้น ได้เชื่อมโยงบรรลุผังกฎดั้งเดิมใบที่สาม และมีการพัฒนาไม่น้อยเลย

วันนี้ลมปราณบนตัวของหลัวซิวพุ่งสูงขึ้นฉับพลัน พลังจิตแท้แห่งสองระดับความเป็นตายพุ่งกระจาย ก่อให้เกิดการรวมตัวกันที่ท้ายทอยของเขาสร้างเป็นรูปร่างเงาลวงวัฏจักร วนเวียนอยู่ข้างบน เป็นลายเส้นผสมผสานกันและสัญลักษณ์กะพริบระยิบระยับนับไม่ถ้วน ตั้งแต่โบราณมาและฝากฝังไว้ชั่วนิรันดร์ไม่มีที่สิ้นสุด

ผลการฝึกตนพลังจิตแท้ของเขา ณ เวลานี้ ในที่สุดก็ทะลวงขั้นสุด ข้ามเข้าสู่ระดับที่บรรลุถึงจักรพรรดิยุทธ์!

ท้ายทอยปรากฏเงาลวงวัฏจักร การรวมตัวกันอย่างรวดเร็วของเงามนุษย์เงาลวง การนั่งสมาธิอยู่ใจกลางการวนเวียนกลับ ราวกับถูกกดอัดชั่วนิจนิรันดร์

เงามนุษย์นี้กับหลัวซิวรูปร่างเหมือนกันเลย เสื้อผ้าดำขาวของชุดแบบไทเก๊ก แล้วก็ผลการฝึกตนของเขาบรรลุถึงระดับจักรพรรดิยุทธ์ ผนึกรวมเทพจิตจนสำเร็จ!

พริบตาเดียวผลการฝึกตนก็ระดับที่บรรลุถึงจักรพรรดิยุทธ์ ช่องจิตปลอมของตัวหยั่งรู้ก็พุ่งกระจายพลังงานของวิญญาณมากมายมหาศาล ทำให้ระดับขั้นตัวสำนึกของเขาบินขึ้นสูงไม่หยุด เสียงฉับฉับดังขึ้น ราวกับบุกทะลุบางอย่างที่พันธการมัดไว้ เทพจิตตัวสำนึก บุกทะลุขีดจำกัดโดยตรง จนบรรลุถึงระดับจักรพรรดิยุทธ์

แต่ทว่าผลการฝึกตนของหลัวซิว กลับไม่ได้หยุดลง ลมปราณของตรีภพถูกเขากลั่นเข้าร่างเนื้อ อีกทั้งได้ผ่านพลังสองระดับความเป็นตาย แสงจิตห้าสีที่กะทัดรัด สว่างโชติช่วงอย่างยิ่งใหญ่ในทันที

ฝนขณะนั้น หลัวซิวรับรู้ได้ว่าพละกำลังซัดสาดพลุ่งพล่านในร่างกายตนเองอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

เทพจิตกับร่างเนื้อของแดนมกุฎยุทธ์ อีกทั้งผลการฝึกตนพลังจิตแท้ของแดนจักรพรรดิยุทธ์ หากยืมพลังของลูกแก้วเสวียนดำ ก็หมายความว่าเขาสามารถทัดเทียมเสมอเหมือนผู้แข็งแกร่งแห่งมกุฎยุทธ์ได้ทุกด้าน!

เพิ่มไพ่ตายกับอุบายมากมายของเขา ผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎยุทธ์ช่วงปลายก็สามารถต่อสู้ได้!

สายตาของหลัวซิวเปล่งประกายอย่างไม่ได้นึกมาก่อน “ในเมื่อร่างเนื้อกับเทพจิตของข้าบรรลุถึงระดับแดนมกุฎยุทธ์แล้ว เป็นไปได้ไหมที่จะสามารถฝึกตนให้บรรลุถึงมกุฎยุทธ์ก่อนหน้า และก็ทำให้ได้ถึงผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์ ถึงจะสามารถทำได้ถึงเนื้อผสมวิญญาณ กลั่นจนเป็นร่างทองฝ่าเซียง?”

บทที่ 513

บทที่ 515

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 513
เจียงตงหลิวร้องเสียงดัง ด้านจิตใจไม่สมดุล ร่างทองฝ่าเซียงแสงสว่างโชติช่วงวาววับกระจาย ในไม่นานก็ถูกภูตอัคคีกลืนกินแผดเผาจนว่างเปล่า ภูตอัคคีซัดสาดโจมตีไปกำลังแผ่คลุมร่างทองฝ่าเซียงของเขา จนเกิดเสียงซือซือซือดังออกมา

เจียงตงหลิวร้องเสียงแหลมน่าเวทนา การโคจรของวรยุทธพลังจิตแท้เสียการควบคุมไปในพริบตา ตราฝ่ามืออัสนีค่อย ๆ หายไป เขาห้าสีหล่นลงมาดังสะเทือนเลื่อนลั่น เสียงดังปัง กำลังจะบดศีรษะของเขาละเอียดเป็นผุยผง เสียงอันน่าเวทนาจู่ ๆ ก็เงียบตามไปด้วย

หลังจากนั้นไม่นาน ตราขลังมังกรเขียวโจมตีออกไป ศพไร้ศีรษะในพริบตาถูกโจมตีจนแหลกละเอียดเป็นละอองเลือด เลือดเนื้อกระเด็น

ผู้แข็งแกร่งแห่งแดนมกุฎยุทธ์ขั้นสี่ท่าหนึ่ง ซากกระดูกไม่เหลือ!

ในขณะเดียวกัน ร่างทองฝ่าเซียงของเขาก็ถูกภูตอัคคีกลืนกินแผดเผาแทบไม่เหลือ ภูตอัคคีกลืนกินพลังของร่างทองฝ่าเซียง พลาภาพเพิ่มขึ้นไม่น้อย

หลัวซิวรวบรวมสมาธิ กลับพบเพียงแค่แหวนเก็บของของเจียงตงหลิว หาแก่นร่างทองไม่พบ

แสดงว่าไม่ใช่มกุฎยุทธ์ทุกคนเมื่อตกจากที่สูงจะสามารถจะแข็งตัวจนเป็นสมบัติแก่นร่างทองนี้ได้

หลี่เสวียนหยางเห็นหลัวซิวใช้ค่ายกำบังแล้วความรู้สึกของตนเองก็กระวนกระวายใจทันทีทันใด

หลังจากรอไปชั่วขณะหนึ่ง ในที่สุดเขาก็รอไม่ไหว พุ่งขึ้นไปทันที หนึ่งดาบกำลังทะลายค่ายกำบังของหลัวซิวที่วางไว้

แต่ทว่าค่ายกลนั้นกลับมีเพียงหลัวซิว เจียงตงหลิวที่มีศักยภาพแข็งแกร่งกว่าตนเองมากผู้นั้น แต่ทว่าไม่เห็นร่องรอยแล้ว

มองเห็นฉากนี้ หลี่เสวียนหยางไหนเลยจะไม่เข้าใจ เจียงตงหลิวไม่อาจหลีกเลี่ยงมืออำมหิตอย่างหลัวซิวได้ ช่างเคราะห์ร้ายแล้ว!

หลี่เสวียนหยางไม่รู้ว่าหลัวซิวสังหารผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์ได้อย่างไร อีกทั้งยังไม่ใช่มกุฎยุทธ์ธรรมดาทั่วไป เป็นถึงมกุฎยุทธ์ขั้นกลาง แต่เขากลับชัดแจ้งมาก การวางค่ายกำบังก่อนหน้าของหลัวซิว แน่นอนว่าเพื่ออำพรางขั้นตอนที่เขาสามารถสังหารผู้แข็งแกร่งแห่งมกุฎยุทธ์ได้

ในขณะเดียวกัน หลี่เสวียนหยางสนใจว่าลมปราณของหลัวซิวอ่อนแอสุดขีด ผ่านการเข่นฆ่ากับเจียงตงหลิวมาชัดเจนว่าความสูญเสียของเขาก็หนักมาก

“นี่คือโอกาสทองแล้ว!” สายตาของหลี่เสวียนหยางเปิดเผยแววตาสังหารทันที ถือกระบี่พุ่งโจมตีสังหารไปทางหลัวซิว พลังกระบี่ผ่าออก 20 ฟุต

หลัวซิวในเวลานั้นก็สูญเสียไปอย่างหนัก อย่างไรเสียพลังของลูกแก้วเสวียนดำและกฎเบญจธาตุ ตอนที่เขาใช้ร่างกายก็ต้องแบกรับน้ำหนักถึงขีดจำกัด

เห็นหลี่เสวียนหยางที่มุ่งสังหารมา เขายกมือลงมือจับวิกลทันที ค่ายพิทักษ์เขาด้านหลังลอยออกมาแสงค่ายด้วยกัน ทุกๆ แสงค่ายเหมือนกับปราณกระบี่มหึมาที่มีขนาดยาว 10 ฟุต

“แท้จริงเจ้ายังสามารถระดมพลังของค่ายพิทักษ์เขาได้?”

หลี่เสวียนหยางตกใจจนหน้าถอดสี เขายังไม่ได้แบกรับได้ถึงขนาดสามารถต่อต้านกับค่ายพิทักษ์เขาระดับ7 ได้

พูดตามหลัก นอกจากเป็นค่ายกลที่วางด้วยมือตนเอง ไม่เช่นนั้นนอกจากลงมือบัญชาการด้วยตนเองอยู่ใจกลางของสนามรบ ควบคุมค่ายกล ถึงจะสามารถระดมพละกำลังของค่ายกลทั้งหมดตามอำเภอใจเพื่อต่อสู้กับศัตรูได้

หรือว่าค่ายกลคุ้มเขาลูกนี้ของเจ้าสำนักไท่เสวียน เป็นหลัวซิวลงมือวางเองเลยไม่สำเร็จ?

หลี่เสวียนหยางไม่ทันได้คิดมากความ เงาร่างกลายเป็นแสงล่องหนสีทอง บินลอยถอยกลับอย่างรวดเร็ว

“หลัวซิว เจ้าสังหารศิษย์พี่ทั้งสองป๋ายหลี่หยวนหลงและซุนเชียนซาง อีกทั้งสังหารศิษย์พี่เจียง เจ้ารอถูกฆ่าทั้งตระกูลได้เลย!”

แสงล่องหนของหลี่เสวียนหยางไปอย่างรวดเร็ว เต็มไปด้วยเสียงอาฆาตแค้นดังก้องไปทั่วขอบฟ้า

สีหน้าของหลัวซิวหนักแน่น ทางลับของหลี่เสวียนหยางผู้นี้แท้จริงแล้วกลับหน้าไม่อายถึงที่สุด เจียงตงหลิวเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของป๋ายหลี่หยวนหลง งั้นซุนเชียนซางแน่นอนว่าก็คงมีเพื่อนอยู่บ้าง ไม่ก็สำนักตระกูลอยู่เบื้องหลัง

ถึงเวลานั้นหลี่เสวียนหยางเพียงแค่ต้องการปล่อยข่าวออกไป เขาอย่าหวังจะได้มีวันสงบสุข

“ผลการฝึกตนของข้ากำลังจะทะลวงสู่แดนจักรพรรดิยุทธ์ ร่างยุทธ์ร่างเนื้อก็กำลังเข้าสู่แดนมกุฎ ถึงเวลานั้นก็สามารถเพิ่มพลานุภาพค่ายขึ้นได้ ถึงแม้ว่าเป็นผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์ช่วงปลายเข้ามา ข้าเองก็ไม่กลัว”

กลับมาถึงสำนักเขา สีหน้าของหลัวซิวนิ่งขรึม เพราะถ้าหากว่าบุกเข้ามาโจมตีเป็นผู้แข็งแกร่งระดับมหายุทธ์แล้วละก็ เขาไม่มีความมั่นใจเลยแม้แต่น้อยว่าจะต้านทานได้ไหว

“สำนักไท่เสวียนของข้าโดยพื้นฐานยังอ่อนแอมาก ใคร ๆ ก็ล้วนกล้าที่จะมารังแกศีรษะของข้า”

เวียนกลับมาที่สำนัก สีหน้าหลัวซิวนิ่งขรึม เขาเข้าใจชัดแจ้งว่าหลี่เสวียนหยางไอ้แก่ผู้นั้นหลังจากหนีกลับไป ใช้เวลาไม่นานก็จะมีความยุ่งยากใหม่มาถึงสำนัก

เจียงตงหลิวแห่งแดนมกุฎยุทธ์ขั้นสี่ถูกเขาฆ่าตาย มกุฎยุทธ์ธรรมดาแน่นอนว่าไม้กล้ามาสำนักโดยง่าย กล้าที่จะมาถึงสำนัก มีเพียงยอดฝีมือที่เก่งกาจและแข็งแกร่งมากๆ

“ไม่ว่าอย่างไรข้าก็เป็นประธานแก๊งนักกลั่นยาในเขตพื้นที่ ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่ไม่มีที่ให้พึ่งพิง ในวันนี้สี่แก๊งใหญ่ก็เป็นที่พึ่งของข้า!”

เมื่อก่อนหลัวซิวอยู่ในสี่แก๊งใหญ่มีขอบเขตอำนาจ แต่กลับไม่มีตำแหน่ง พูดเปรียบเทียบก็ไม่ต้องแบกรับความรับผิดชอบอะไร และเช่นเดียวกันก็ไม่ได้รับการคุ้มครองของแก๊ง

แต่ในตอนนี้เขาเป็นประธานแก๊งของแก๊งนักกลั่นยาประเทศเทียนหวู ถ้าหากว่าถูกใครฆ่าตายตามใจ อย่างนั้นหน้าของสี่แก๊งใหญ่จะเก็บรักษาไว้ได้อย่างไร

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 512
การวางค่ายกลทั้งหมดแบบนี้มาป้องกันการตรวจสอบ ซ่อนงำลมปราณ ก็เป็นเพราะหลัวซิสเตรียมจะใช้พละกำลังของชิ้นส่วนกฎแล้ว

“เจ้าวางแผนจะสร้างค่ายซ่อนงำ เพราะอยากซ่อนงำความลับบางอย่างบนร่างกายของเจ้า?” รูม่านตาของเจียงตงหลิวหดลง

ราชายุทธ์คนหนึ่งแต่กลับสามารถต่อสู้กับมกุฎยุทธ์ได้ ถึงแม้ว่าจะเสียเปรียบ แต่ก็สามารถสะท้านฟ้าได้อย่างเด็ดขาด เจียงตงหลิวใช้แค่หัวแม่เท้าก็สามารถเดาได้ว่าร่างกายของไอ้เจ้านี่ต้องมีความลับอย่างแน่นอน

คิดเชื่องโยงจนถึงการตายของป๋ายหลี่หยวนหลงกับคนผู้นี้มีส่วนเกี่ยวข้องกัน สีหน้าของเจียงตงหลิวเคร่งรึมระมัดระวังขึ้นมาทันที

เขาเชื่อว่าอาศัยศักยภาพของตนเอง ถึงแม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะมีอุบายไพ่ตายที่ยอดเยี่ยมล้ำเลิศแบบไหน ตนเองก็สามารถที่จะก้าวหน้าหรือถอยหลังได้อย่างอิสระ

ปัง!

เสียงโจมตีดังมาจากอากาศ เจียงตงหลิวจ้องมองไป เห็นเพียงด้านหลังของหลัวซิว ปรากฏปีกคู่หนึ่งกางออกจนสั่นสะเทือนหลายเมตร ปีกสองด้าน มีด้านหนึ่งสีดำด้านหนึ่งสีขาว มีลมปราณที่ลึกลับยากที่สัมผัสได้ไม่มีที่สิ้นสุดเคลื่อนไหวไปทั่ว

“นี่คือสมบัติอะไรกัน?” เจียงตงหลิวผ่านประสบการณ์รู้เห็นมามาก แค่แวบเดียวก็ดูออกว่าสิ่งที่หลัวซิวใช้ต้องเป็นวิชาร่างกลบางอย่างแน่นอน และยังเป็นสมบัติหกเหินอย่างหนึ่ง

เพียงแค่ในขอบเขตความรู้และประสบการณ์ของเขา กลับไม่รู้จักว่าสมบัติชิ้นนี้สรุปเป็นอย่างไรกันแน่

ในช่วงเวลาที่ไม่ทันนึกคิด เงาร่างของหลัวซิวก็หายไปจากที่เดิม ลูกตาของเจียงตงหลิวแข็งทื่อ ทันใดนั้นก็รู้สึกว่ามีลมปราณที่มีพลังจู่โจมมาจากด้านหลัง

“รวดเร็วมาก นี่ไม่ใช่การเคลื่อนย้ายพริบตาเดียว แต่เป็นความรวดเร็วบริสุทธิ์ ปีกคู่นั้นที่ด้านหลังของเขา เป็นสมบัติที่สุดแย่งยุคอย่างแน่นอน!”

เจียงตงหลิวยกมือโจมตีไปด้านหลัง หันหลังกลับไปในพริบตา แต่กลับมองเห็นแผ่นแสงจิตห้าสีซัดสาดมาทันที

“นี่คือ……ออร่าแห่งกฎ!”

ในใจของเจียงตงหลิวประหลาดใจ เขาเข้าใจชัดเจน ในโลกนี้สามารถเข้าใจพลังแห่งกฎได้ แต่นอกจากได้รับชิ้นส่วนกฎของแดนอนาคิน ก็น้อยมากที่อาศัยความสามารถของตนเองแล้วบรรลุพรสวรรค์ที่สุดของพลังแห่งกฎได้

อีกทั้งสิ่งที่ให้เขาตกใจจนสั่นก็คือคาดไม่ถึงว่าหลัวซิวจะโจมตีด้วยแสงจิตห้าสี แค่เข้าใจพลังกฎเบญจธาตุเท่านั้น ถึงจะสามารถแสดงพลังอมตะออกมาได้!

แสงจิตห้าสีผ่านหลัวซิวที่เข้าใจต่อกฎตรีภพ พลานุภาพเพิ่มขึ้นอย่างมาก แสงจิตผสมผสานกันกลางอากาศ กลายเป็นเขาห้าสี ตกลงมาดังสะเทือนเลื่อนลั่น มุ่งกดอัดไปทางเจียงตงหลิว

แค่เห็นเจียงตงหลิวคำรามด้วยความโกรธ อัสนีหลังศีรษะทะลักจนกลายเป็นทะเลอัสนี มือใหญ่อัสนีสองมือยื่นออกมา ค้ำยันด้านบนไว้ ไม่ให้เขาห้าสีนั้นหล่นทับลงมาได้

เจียงตงหลิวผู้นี้ผลการฝึกตนเรียบ ๆ แต่มีพลัง เอามือค้ำยันเขาห้าสี แต่แสงจิตห้าสีกลับทรงพลังมาก หนักหน่วงจนหาใดเปรียบ ทำให้เขาก็ไม่มีวิธีเคลื่อนย้าย แม้แต่จะเล็งเป้าหมายดี ๆ ก็ยังทำไม่ได้ง่าย ๆ

นี่จึงเป็นศักยภาพทั้งหมดของหลัวซิว ลงมือใช้ลูกแก้วเสวียนดำกับกฎเบญจธาตุ ศักยภาพของเขาพอสามารถยับยั้งผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์ขั้นสี่ได้!

“เจียงตงหลิว ป๋ายหลี่หยวนหลงตายไปก็ไม่สาสมกับความผิดที่ได้กระทำ ข้าก็ได้ส่งเจ้าอีกขั้น ให้ไปยมโลกอยู่เป็นเพื่อนเขา”

หลัวซิวยกมือแล้วโยน ตราขลังมังกรเขียวลอยออกไป กลายเป็นเนินเขาใหญ่โตมหึมา มุ่งโจมตีเจียงตงหลิวออกไปอย่างดุร้าย

เจียงตงหลิวตกใจจนหน้าถอดสี เมื่อครู่เขามีประสบการณ์จากพลานุภาพของตราขลังนี้มา ถ้าหากอยู่ในสภาพที่เต็มที่ ตกลงมาก็ไม่กลัว แต่ในขณะนี้เขาห้าสีกดอัดจนหนักหนา หากถูกตราขลังนี้โจมตีต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างแน่นอน

“ร่างทองฝ่าเซียง!”

เจียงตงหลิวคำรามอย่างโมโห ทะเลอัสนีหลังศีรษะ ปรากฏเงาคนที่แสงอัสนีผสมผสานกันออกไป แสงสว่างโชตช่วงกระจายออกแวววับจับตา กำลังจะต้านทานตราขลังมังกรเขียวอยู่ด้านนอก ไม่มีทางเข้าใกล้ร่างกายได้

“ผู้แข็งแกร่งของมกุฎยุทธ์ขั้นสี่แท้จริงแล้วช่างเก่งกาจ แสงจิตห้าสีกับตราขลังมังกรเขียวล้วนทำอะไรเจ้าไม่ได้ ข้าก็ได้แต่เพียงใช้วิธีที่สามแล้ว”

แค่คำพูดหลัวซิวออกไป สีหน้าของเจียงตงหลิวก็เปลี่ยนทันที สีหน้าเคร่งขรึมจนหาใดเปรียบ พูดคำรามด้วยความโมโห “ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะยังมีวิธีอะไรอีกที่สามารถทำลายการป้องกันร่างทองฝ่าเซียงของข้าได้!”

สำหรับการคำรามของเจียงตงหลิว หลัวซิวไม่สนใจเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ แล้วเปลวไฟสีแดงคล้ำก็พุ่งสาดออกไปตรงเขตพื้นที่นั้นที่เจียงตงหลิวอยู่ทั้งหมด ทับถมปกคลุมไปทั่ว

ตราขลังมังกรเขียวไม่มีทางทำลายแสงโชติช่วงกระจายของร่างทองฝ่าเซียงได้ แต่อยู่ใต้การแผดเผาของภูตอัคคีกลืนกิน แสงโชติช่วงแวววับนั้นจะถูกละลายไม่หยุด เปลวไฟประชิดใกล้เขตพื้นที่ของเจียงตงหลิวไม่ขาดสาย อีกทั้งตราขลังมังกรเขียวก็กำลังบุกไปข้างหน้า ทันทีทันใดก็พุ่งชนร่างกายของเขาแล้ว

“เจ้า นี่มันคือ……ภูตอัคคีฟ้าดิน?เจ้ามีของพันธุ์นี้เชียวหรือ?”

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 511
ในเวลาเดียวกันนี้ เกาเหลียนหง สวีจิงเหนียนและเหยียนเยว่เอ๋อร์ต่างพูดแนะนำให้หลัวซิวอย่าผลีผลาม ฝ่ายตรงข้ามถึงอย่างก็เป็นถึงผู้แข็งแกร่งแห่งมกุฎยุทธ์ อีกทั้งแม้แต่แดนจักรพรรดิยุทธ์เขาก็ยังแคล้วคลาด

แต่ทว่าหลัวซิวกลับไม่ฟังคำแนะนำ ก้าวเท้าออกไป และก็เดินจากค่ายพิทักษ์เขาออกไป

“หึหึ คนหนุ่มสาวระงับความโกรธไม่อยู่กันเสียจริง คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะกล้าออกมาจากค่ายจริง ๆ ไม่มีค่ายพิทักษ์เขานี้ เจ้าที่เป็นเพียงราชายุทธ์เล็กน้อย อยู่ต่อหน้าข้าเพียงแค่มือง่ายๆ ก็สามารถบี้มดตายได้!”

ชั่วพริบตาเดียวหลัวซิวก็ออกมาจากค่ายพิทักษ์เขา ในตาที่เปล่งประกายของเจียงตงหลิวฉับพลันก็ไม่เหลือหลอ เสียงตะคอกด้วยความโกรธ คล้ายกับฟ้าผ่าดังก้องออกมา ร่างกายดุจสายฟ้าแลบ ภายในเวลาสั้น ๆ ก็ปรากฏตัวด้านหน้าของหลัวซิว

“ชกวงในแล้วเข้าตะลุมบอนด้วยอาวุธ?55 เป็นความปรารถนาของข้าพอดี!”

หลัวซิวหัวเราะเสียงดัง หมัดหนึ่งพุ่งออกไป

ฝ่ายตรงข้ามคือมกุฎยุทธ์ ส่วนร่างเนื้อของเขายังอยู่ในร่างยุทธ์แดนจักรพรรดิช่วงปลาย แต่อยู่ภายใต้แดนโคจรพลังแปรเสวียนเทียน 24 เท่า ร่างเนื้ออสุราเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน

อีกทั้งก่อนที่จะลงมือ เขาก็กระตุ้นพลังของลูกแก้วเสวียนดำเรียบร้อยแล้ว ทำให้ร่างกายตนเองอยู่ในสภาพที่แข็งแกร่งที่สุด

ป้าง!

หมัดของทั้งสองปะทะกัน พื้นที่ของสี่โคจรต่างมีรอยเส้นสีดำแยกออกจากกัน เจียงตงหลิวรู้สึกว่าแขนของตัวเองเริ่มชา แทบจะสูญเสียความรู้สึก ในเวลานั้นก็ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง

“ร่างเนื้ออสุราแข็งแกร่งมาก!”

เจียงตงหลิวไม่ได้เป็นนักยุทธ์กลั่นร่าง แรงหมัดก่อนหน้าก็ไม่ได้ใช้ร่างเนื้ออสุรา อีกทั้งผนึกรวมพลังจิตแท้โจมตีออกไป

แต่เขากลับคิดไม่ถึง ฝ่ายตรงข้ามเป็นเด็กหนุ่มอายุไม่ถึง 20 ปีคนหนึ่ง คาดไม่ถึงว่าจะสามารถฝึกตนร่างเนื้ออสุราจนถึงระดับนี้ น่าหวาดกลัวมากจริง ๆ

ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าทำไมหลี่เสวียนหยางผู้นั้นถึงหวาดกลัวลูกชายคนนี้มาก ยังต้องดีกว่าอาจารย์สำนักฉางเหอ

ชั่วพริบตาเดียวที่ร่างกายถอยหลัง รอบตัวเจียงตงหลิวก็มีแสงฟ้าแลบปรากฏขึ้นกะทันหัน กลายเป็นงูอัสนีขนาดมหึมาหนึ่งตัว ยืดลำคอยาว อ้าปากไปทางหลัวซิวเพื่อจะกัดฉีก

วิชากระบี่วาตะ!

หลัวซิวชี้แนะออกไป เสียงก็ดังป้าง ศีรษะของงูอัสนีนั้นระเบิด แต่พลังจิตแท้ทรงพลังของผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎยุทธ์กลับเพิ่งจะลอยสูงโจมตีเขาจนถอยกลับไปสามก้าว

ช่วงนี้มีเรื่องราวทยอยเกิดขึ้นมากมายหลายเรื่อง จนกระทั่งหลัวซิวก็ไม่มีเวลาฝึกฝน 3 วิชายิ่งเลิศไท่เสวียนในจำนวนนั้นอย่างวิชาฝึกจิตไท่เสวียนก็ฝึกได้เพียงขั้นแรก สามารถกลั่นแปรพลังงานอันมากมายมหาศาล แต่ไม่ทางใช้ในการต่อสู้ได้

เขาคาดคะเนว่าถ้าหากฝึกฝนสามวิชาวิชาที่หายสาบสูญสำเร็จ ศักยภาพยังจะสามารถเลื่อนขั้นได้อีกหลายเท่า และจะไม่โดนโจมตีจนถอยกลับสามก้าวอีกแน่นอน

“ถึงแม้นเจ้าจะสามารถใช้วิชาพลังนอกเพื่อเพิ่มศักยภาพได้ แต่ระยะห่างระหว่างราชายุทธ์กับมกุฎยุทธ์ เจ้าจะสามารถคาดคะเนได้ที่ไหนกัน?”

ตราฝ่ามืออัสนี!

เสียงตกใจของเจียงตงหลิวดังออกมา ด้านหลังมีอัสนีพุ่งออกมาไม่หยุด กลายเป็นทะเลอัสนีผืนหนึ่ง มือใหญ่มือหนึ่งสำรวจทะเลอัสนีทันที ตราฝ่ามือประทับลงครอบคลุมพื้นที่กว้างใหญ่มาก

นี่คือทักษะยุทธ์ระดับ9วิชาหนึ่งที่พลานุภาพน่าทึ่ง หลัวซิวถ้าหากต้องการต่อต้านต่อสู้ ก็จำเป็นต้องใช้ทักษะยุทธ์ขั้นวิชายิ่งเลิศถึงจะทำได้

แต่ว่า 3 วิชายิ่งเลิศไท่เสวียน เขายังฝึกไม่สำเร็จ ในตอนนี้เพียงสามารถสับมือนำเอาตราขลังมังกรเขียวโจมตีออกไปต่อต้านตราฝ่ามือนี้

ตูม!

ตราฝ่ามืออัสนีกับตราขลังมังกรเขียวปะทะกันกลางชั้นอากาศสูง พลังมหาศาลกลุ่มหนึ่งตกลงอย่างฉับพลัน เหมือนกับภูเขาใหญ่กดอัดดิน ทำให้ตกหล่นอย่างรวดเร็วจากชั้นอากาศสูงพร้อมกันกับตราขลังมังกรเขียว บนพื้นดินถูกกระทบจนแตกเป็นหลุมขนาดใหญ่โตมหึมาลึกจนไม่เห็นก้น

มองเห็นฉากนี้ คนทั้งหลายของสำนักไท่เสวียนค่ายพิทักษ์เขา ทั้งหมดล้วนมีสีหน้าท่าทางเปลี่ยนไปมาก สีหน้าแสดงออกถึงความตึงเครียดกังวล

เหยียนเยว่เอ๋อร์อยากพุ่งออกไปช่วย แต่ก็รู้ว่าศักยภาพของตนเองถ้าออกไปจริง ๆ ไม่เพียงแต่ช่วยหลัวซิวไม่ได้ กลับกันอาจจะเพิ่มความลำบากให้เขาเพิ่ม

กลางหลุ่มใหญ่โตมหึมา ควันตลบฟุ้งเต็มไปหมด หลัวซิวเอามือรองที่ตราขลังมังกรเขียวแล้วลอยสูงออกไป “สมกับที่เป็นผู้แข็งแกร่งของแดนมกุฎยุทธ์ขั้น4 ดูแล้วข้าต้องลงมือด้วยศักยภาพทั้งหมดแล้ว”

ระหว่างความนึกคิด หลัวซิวก็พลิกมือหยิบเอาธงขลังสรรพสิ่ง ธงขลังมีแสงสว่างจ้า กลุ่มแสงบินลอยออกไปผสมผสานกัน กำลังจะปกคลุมเขตพื้นที่ในขอบเขต 100 เมตร

เขาวางแผนจะทำค่ายซ่อนงำกำบัง ไม่ว่าคนทั้งหมดในสำนักไท่เสวียนหรือว่าจะเป็นหลี่เสวียนหยางที่อยู่ไกลออกไปกว่าสามโยชน์ เงาของหลัวซิวและเจียงตงหลิวล้วนหายไปจากสายตาของพวกเขาโดยไม่ทันคาดคิด

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 510
เขาลุกขึ้นและเดินออกไปจากตำหนักวัฏสงสารในทันที เงยหน้ามองไปทางด้านนอกของสำนักเขา เห็นร่างสองร่างยืนอยู่ข้างนอก รอบกายมีรังสีลมปราณที่แข็งแกร่งของมกุฎยุทธ์ผู้แข็งแกร่งของแผ่กระจายออกมา

หนึ่งในนั้น ก็คือหลี่เสวียนหยาง คนที่อยู่ข้างกายเขา เป็นชายวัยกลางคนที่ใส่ชุดคลุมยาวสีทอง สีหน้าเคร่งขรึม จ้องมองค่ายพิทักษ์เขาแห่งสำนักไท่เสวียนอย่างดุเดือด

เมื่อเห็นหลัวซิวปรากฏตัว หลี่เสวียนหยางชี้มาทางเขา และพูดกับชายวัยกลางคนชุดคลุมทองที่อยู่ข้างกายว่า “ศิษย์พี่เจียง คนผู้นี้คือคนที่ร่วมมือกับหลี่ฉางเหอ ฆ่าผู้เพื่อนยุทธ์ป๋ายหลี่!”

ชายวัยกลางคนชุดคลุมทองคนนี้ นามว่าเจียงตงหลิว และเป็นเพื่อนที่สนิทของป๋ายหลี่หยวนหลงในอาณาจักรตะวันตก เป็นพี่น้องร่วมสาบาน

ป๋ายหลี่หยวนหลงเสียชีวิตในค่ายพิทักษ์เขาของเทียนเหอ หลี่เสวียนหยางก็ได้แจ้งกับเจียงตงหลิว คนคนนี้จึงรีบรุดมาที่นี่เพื่อแก้แค้นในทันที

เมื่อได้ยินเช่นนั้น รังสีอาฆาตบนตัวของเจียงตงหลิวยิ่งน่าหวาดกลัวขึ้นไปอีก “ข้ากับป๋ายหลี่หยวนหลงเป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน ไม่ว่าใครก็ตามที่ทำร้ายเขาจนตาย ข้าเจียงตงหลิวจะทำให้มันต้องชดใช้ด้วยชีวิต!”

เขาชี้ไปที่หลัวซิวที่อยู่ท่ามกลางค่ายพิทักษ์เขา “กล้าออกมาสู้กับข้าหรือไม่?”

“เป็นถึงมกุฎยุทธ์ แต่กลับท้าทายข้าที่เป็นเพียงราชายุทธ์คนหนึ่งเท่านั้น เจ้าไม่กลัวอับอายขายหน้า ถูกหัวเราะเยาะหรือ?” หลัวซิวเผยยิ้มเย็นชา “อาจารย์สำนักฉางเหอ เจ้าฆ่าหรือ?”

“หากใช่แล้วจะเป็นเช่นไร? ข้าเจียงตงหลิวที่มาครั้งนี้เพื่อแก้แค้นให้กับป๋ายหลีเพื่อนข้า หลี่ฉางเหอจายแล้ว คนต่อไปก็คือเจ้า!” เจียงตงหลิวพูดพร้อมกับรังสีอาฆาต

“หากเจ้ามีปัญญา นั่นก็เข้ามาฆ่าข้าสิ” หลัวซิวไม่ใส่ใจ เมื่อสะบัดมือ ค่ายพิทักษ์เขาก็ปรากฏขึ้นที่ทางเข้า มันเป็นท่าทางเชิญชวนให้บุรุษผู้นั้นเข้ามาตาย

หลี่เสวียนหยางสีหน้าพลันเปลี่ยน สถานการณ์เช่นนี้ ทำให้เขาเผลอคิดถึงเหตุการณ์ที่เทียนเหอ หากไม่ใช่ว่าเขา ป๋ายหลี่หยวนหลงและซุนเชียนซางทั้งสามคนถูกขังไว้ในค่ายพิทักษ์เขา เรื่องมันจะเลยเถิดมาจนถึงจุดนี้ได้อย่างไร?

เจียงตงหลิวก็ไม่ได้โง่ รู้ดีถึงความเก่งกาจของค่ายพิทักษ์เขา หัวเราะเสียงเย็น “ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นถึงเจ้าแห่งสำนัก แต่กลับเอาแต่พึ่งพาค่ายพิทักษ์เขา หากเจ้ามีความกล้าจริง ๆ ก็ออกมาสู้กับข้าโดยตรง”

“ถึงแม้เจ้าจะเป็นราชายุทธ์ แต่ข้าได้ยินมาว่าพลังของเจ้านั้นเกินขั้นแดนของตนไปมาก แม้แต่จักรพรรดิยุทธ์ก็ยังสามารถฆ่าได้ ป๋ายหลีเพื่อนข้าเป็นถึงมกุฎยุทธ์ ก็ยังถูกเจ้าฆ่าด้วยเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าพลังของเจ้านั้นไม่ธรรมดา หรือว่าไม่กล้าสู้กับข้าตรง ๆ?”

เจียงตงหลิวแม้ว่าเขาจะอาฆาต แต่ก็ยังไม่เสียสติ แต่ใช้วิธีท้าทายแทน เพื่อต้องการให้หลัวซิวออกมาสู้กับเขา

สำหรับผู้แข็งแกร่งแดนมกุฎยุทธ์ หลัวซิวไม่ได้มีความหวาดกลัวเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว ผลการฝึกตนของเขาบรรลุถึงราชายุทธ์ขั้นเก้า ใช้พลังของลูกแก้วเสวียนดำ ก็มีผลการฝึกตนเทียบเท่าจักรพรรดิยุทธ์ขั้นเก้า เพิ่มด้วยเบญจธาตุทั้ง5กฎ อีกทั้งยังมีไพ่ตายอีกนานากลยุทธ์ ทักษะการรบเมื่อเทียบกับมกุฎยุทธ์ทั่วไป ก็สามารถลงแข่งได้สบาย

แต่พลังการต่อสู่ของเข้าสามารถถ่วงดุลได้เพียงแค่กับมกุฎยุทธ์ช่วงต้นเท่านั้น เผชิญหน้ากับเจียงตงหลิวกับหลี่เสวียนหยางที่เป็นถึงมกุฎยุทธ์ช่วงกลาง จึงทำได้แค่ดิ้นรนเพื่อรับมือ ก่อนนี้ที่สามารถฆ่าหยูเชียนฮั่วได้ นั่นก็เพราะว่าอีกผ่านสูญเสียพลังจิตแท้มากเกินไป จนทำให้สูญเสียพลังไปมาก

แต่พูดจากใจจริง หลัวซิวอยากจะออกไปต่อสู้ตัวต่อตัวกับมกุฎยุทธ์ผู้แข็งแกร่งสักครั้ง ใช้โอกาสนี้ทดสอบขอบเขตความแข็งแกร่งของตัวเขาเอง

“เจียงตงหลิวคิดว่าเพียงแค่ข้าออกไปจากกลางค่ายนี้ ก็จะไม่สามารถใช้พลังของค่ายพิทักษ์เขาได้แล้วหรือ อย่างที่รู้ ค่ายกลใหญ่นี้ข้าเป็นคนสร้างมันเองกับมือ เพียงแค่ระยะห่างจากค่ายพิทักษ์เขาไม่เกินสิบลี้ ข้าก็สามารถใช้พลังแห่งค่ายกลอันยิ่งใหญ่ได้ตามใจชอบ!”

“แต่ด้านนอกยังมีหลี่เสวียนหยางที่จ้องพร้อมตะครุบดั่งพญาเสือ หากถูกมกุฎยุทธ์ทั้งสองร่วมมือกันล้อมโจมตี ข้าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้อย่างแน่นอน”

เมื่อคิดถึงตรงนี้ หลัวซิวตะโกนเสียงดัง “เจ้าต้องการสู้กับข้าเจ้าสำนักก็ย่อมได้ แต่หลี่เสวียนหยาง ต้องถอยออกไป18ลี้!”

“ดี!” เจียงตงหลิวไม่รีรอพลันตอบตกลงในทันที หันหน้าไปทางหลี่เสวียนหยาง “ศิษย์พี่หลี่ เจ้าถอยออกไป18ลี้ก่อนเถอะ!”

“ศิษย์พี่เจียง ชายคนนี้เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก มันต้องการให้ข้าล่าถอยออกไป แน่นอนต้องหาโอกาสสังหารท่านแน่นอน” หลี่เสวียนหยางชมวดคิ้วพูด

“เฮอะ เพียงแค่ข้าไม่ก้าวเข้าไปในค่ายกล มันจะทำอะไรข้าได้?” เจียงตงหลิวพูดอย่างไม่ใส่ใจ

หลี่เสวียนหยางไม่มีทางเลือก ทำได้แค่เหินฟ้ากลายเป็นลำแสง ล่าถอยไปยังยอดเขาหนึ่งที่ห่างไป18ลี้ และคอยเฝ้าดูอยู่ที่นั่น

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 509
เนื่องจากเวลาที่กำหนดคือเจ็ดวันต่อมา และหลัวซิวที่กลั่นยาเสร็จแล้ว ก็ไม่ได้รีบร้อนที่จะไปทำการแลกเปลี่ยนกับอาจารย์สำนักฉางเหอ

ในเมื่อยังเหลือเวลาอีกสี่วัน หลัวซิวจึงได้ตัดสินใจฟื้นฟูพลังจิตแท้ที่เสียไปในการกลั่นยา

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ภายในระยะเวลา7วันนั้น อาจารย์สำนักฉางเหอก็สามารถนั่งนิ่ง ๆ หลับตาทำสมาธิปรับลมปราณอยู่ในตำหนักวัฏสงสาร

เมื่อหลัวซิวปรากฏตัวขึ้นที่ตำหนักวัฏสงสารอีกครั้ง อาจารย์สำนักฉางเหอก็ลืมตาขึ้น พูดพร้อมเสียงหัวเราะ “เจ้าสำนักหลัวช่างตรงเวลาเสียจริง”

“เฮอะ ๆ ข้าน่ะเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับคำสัญญาเสมอ”

หลัวซิวพูดพร้อมรอยยิ้ม ยื่นขวดหยกที่บรรจุยาเสวียนหยวนลายทองสี่เม็ดให้

ทั้งสองสำเร็จการทำการแลกเปลี่ยนในครั้งนี้ อาจารย์สำนักฉางเหอมองไปทางหลัวซิว “ไม่รู้ว่าเจ้าสำนักหลัวจะช่วยแนะนำท่านอาจารย์ของท่าน ให้ข้าได้รู้จักได้หรือไม่?”

หลัวซิวได้ยินดังนั้น สีหน้าก็พลันปรากฎรอยยิ้มเจื่อน ๆ “มิใช่ว่าข้าไม่ยินยอมแนะนำให้ท่านรู้จัก แต่ท่านอาจารย์ของข้านั้นปลีกวิเวกจากโลกไปนานหลายปี ไม่ต้องการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางโลก”

ยิ่งลึกลับ ก็ยิ่งทำให้คนไม่สามารถมองเห็นรายละเอียดได้ สำหรับท่านอาจารย์ลวงตาคนนี้ หลัวซิววางแผนไว้ว่าจะให้เป็นความลึกลับไปตลอด

อาจารย์สำนักฉางเหอเสียดายนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้พยายามเซ้าซี้ต่อ จากนั้นก็กล่าวลาหลัวซิวและหมุนตัวเดินจากไป

หลัวซิวเมื่อมองเห็นกล่องหยกที่บรรจุหินตรีภพเอาไว้ ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้างจนเห็นแผงฟันขาว

เมื่อมีหินตรีภพนี้ เขาแน่ใจว่าภายในอีกไม่กี่วันก็สามารถบรรลุถึงแดนจักรพรรดิยุทธ์ ร่างเนื้อร่างยุทธ์ก็เป็นไปได้อย่างมากว่าจะบรรลุถึงแดนมกุฏ

อีกทั้งหินตรีภพชิ้นนี้ เขาก็ยังมียาเสวียนหยวนลายทองที่เพิ่งกลั่นไปอีกด้วย ยาชนิดนี้สามารถยกระดับผลการฝึกตนพลังจิตแท้ได้ กลั่นหนึ่งเตาได้แปดเม็ด แบ่งให้อาจารย์สำนักฉางเหอสี่เม็ด ก็ยังเหลืออีกสี่เม็ด

อาศัยว่าเขาร่างเนื้อร่างยุทธ์บรรลุถึงแดนจักรพรรดิช่วงปลาย สามารถทนต่อพลังของยาระดับเจ็ดได้

ในวันนี้สำหรับหลัวซิวแล้วนั้น สามารถกล่าวได้ว่าพร้อมด้วยทุกอย่าง ขาดอย่างเดียวก็คือเวลา

หลังจากนั้นหลัวซิวที่เพิ่งเข้าไปฝึกตนปิดขังอยู่ในหอฝึกฝนแดนปริศนา ผ่านไปได้ไม่นาน ก็มีข้อความส่งเข้ามา อาจารย์สำนักฉางเหอระหว่างทางที่กำลังกลับไปสำนักเขาถูกคนฆ่าตายเสียแล้ว

หลัวซิวไม่สนใจที่จะฝึกตนปิดขัง รีบออกจากหอฝึกฝนแดนปริศนาในทันที มาถึงที่ตำหนักวัฏสงสาร

ศพที่เปื้อนเลือดสด ๆ ถูกขนเข้ามาด้านใน ทำให้หลัวซิวรูม่านตาหดตัวลงทันใด

ศพที่อยู่ตรงหน้า ก็คืออาจารย์สำนักฉางเหอที่ออกจากสำนักไท่เสวียนไปได้ไม่ถึงสองวัน!

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” หลัวซิวถามเสียงเข้ม

“มีคนเอาศพร่างนี้มาแขวนไว้ที่หน้าสำนักเขาแห่งสำนักไท่เสวียนของพวกเรา” สวีจิงเหนียนตอบกลับ

หลัวซิวใช้ตัวสำนึกสำรวจบาดแผลบนกายของอาจารย์สำนักฉางเหอ พบว่าเขาต้องได้พบกับการต่อสู้ที่น่าสลดใจอย่างแน่นอน ท้ายที่สุดไม่สามารถทำอะไรได้จึงได้ถูกฆ่าตาย

อาจารย์สำนักฉางเหอมีผลการฝึกตนแดนมกุฎยุทธ์ขั้นสี่ หากต้องการจะฆ่าเขา อย่างน้อยต้องใช้ผู้แข็งแกร่งในแดนถึงสองคน หรือแดนมกุฎยุทธ์ขั้นห้าเป็นคนลงมือเอง

อีกทั้งอาจารย์สำนักฉางเหอแม้จะพ่าย ก็สามารถหนีพ้น เขาอาจจะติดอยู่ที่ไหนสักแห่งหรือเขาถูกล้อมรอบด้วยศัตรูไม่มีโอกาสหนีรอดไปได้

อีกฝ่ายหนึ่งโยนศพไว้ที่หน้าสำนักเขาแห่งสำนักไท่เสวียน ซึ่งเป็นการข่มขู่ เตือน และท้าทายสำนักไท่เสวียนอย่างไม่ต้องสงสัย

หลัวซิวโบกมือขึ้น กลั่นหินหยกกลายเป็นโรงศพในทันที อาจารย์สำนักฉางเหอท่านนี้ถึงอย่างไรก็เป็นพันธมิตรของตน ไม่สามารถจะทิ้งศพเขาไปอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าได้

เกาเหลียนหงกับสวีจิงเหนียนมองหน้ากันด้วยความสงสัย สามารถสัมผัสได้ถึงความกดดันที่เกิดขึ้น

“ข้ายังไม่ทันได้เคลื่อนไหว ศัตรูกลับชิงลงมือก่อนเสียแล้ว”

หลัวซิวสูดหายใจเข้าลึก “อีกฝ่ายไม่ได้โจมตีสำนักเขาโดยตรง เห็นได้ชัดว่าไม่สามารถต่อกรกับค่ายพิทักษ์เขา อาจจะไม่ใช่ผู้มีผลการฝึกตนระดับมกุฎยุทธ์ช่วงปลาย”

สำหรับหลัวซิวแล้วนั้น เพียงแค่ศัตรูไม่ใช่ผู้แข็งแกร่งแดนมกุฎยุทธ์ช่วงปลายขึ้นไป ก็ยังพอที่จะถ่วงดุลไว้ได้

ในเวลานี้เอง ด้านนอกสำนักเขามีเสียงตะโกนดังเข้ามา “หลัวซิวแห่งสำนักไท่เสวียนอยู่ที่ใด?”

เมื่อเสียงนั้นจบลง ก็เกิดเสียงดังก้องขึ้นบนท้องฟ้า มีคนโจมตีค่ายพิทักษ์เขา

หลัวซิวสีหน้าเย็นชา “แค่เพียงครู่เดียวก็อดทนไม่ไหวเสียแล้วหรือ?”

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 508
อาจารย์สำนักฉางเหอไม่เต็มใจ ทั้งสองเจรจาเป็นเวลานาน หลัวซิวก็พูดตามเงื่อนไขของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำ ต่อให้กัดจนตายก็ไม่ยอมปล่อย

ตามคำพูดของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำ หากเมื่อใดทีเขาเผลอผ่อนปรน อาจารย์สำนักฉางเหอก็จะรู้ได้ทันทีว่าคุณค่าของหินตรีภพนั้นมากยิ่งกว่านี้ จะหยิบยื่นความต้องการที่สูงขึ้นแท้จริงแล้วอีกฝ่ายก็ใช้วิธีนี้ เพื่อลองดูปฏิกิริยาของหลัวซิวเช่นกัน ใช้วิธีนี้เพื่อเก็งกำไรมูลค่าของหินตรีภพ

ในที่สุด อาจารย์สำนักฉางเหอก็ทำได้เพียงยอมรับราคานี้ ใช้หินตรีภพหนึ่งชิ้น เพื่อแลกกับยาระดับเจ็ดสี่เม็ด เดิมทีสามารถแลกได้ห้าเม็ด แต่หนึ่งในห้าเม็ดนั้น ต้องแบ่งออกมาให้หลัวซิวไปที่องค์กรนักล่ายุทธ์เพื่อประกาศภารกิจรางวัลนำจับ

“เหย ๆ มีเจ้าหินตรีภพที่ก้อนใหญ่กว่าเดิม การบรรลุแดนจักรพรรดิยุทธ์ ก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม!” ในใจหลัวซิวตื่นเต้นจนถึงขีดสุด

ตั้งแต่ผลการฝึกตนบรรลุถึงราชายุทธ์ ผลการฝึกตนของเขาก็ช้าลงเรื่อย ๆ หมดหนทางไปต่อ หากไม่มีสมบัติอย่างหินตรีภพปรากฏขึ้น การที่เขาจะบรรลุถึงแดนจักรพรรดิยุทธ์ อย่างน้อย ๆ ก็ต้องมีอีกหลายปี

แต่อาจารย์สำนักฉางเหอที่คำนวณอยู่ในใจ ในมือของเขายังมีหินตรีภพก้อนสุดท้ายอยู่ ใหญ่กว่าอีกสองก้อนที่นำออกมา หากสามารถแลกกับยาระดับเจ็ดได้ นั่นก็คงจะได้ประมาณสิบเม็ด?

สามารถแลกได้สิบเม็ด นั่นหมายถึงหินตรีภพชิ้นสุดท้ายในมืออาจารย์สำนักฉางเหอ คือสองเท่าของหินชิ้นก่อนหน้านี้!

ในความเป็นจริงในใจของอาจารย์สำนักฉางเหอก็รู้สึกตะขิดตะขวงใจเล็กน้อย ยาระดับเจ็ดสำหรับมกุฎยุทธ์ผู้แข็งแกร่งแล้วเป็นการดึงดูดที่ค่อนข้างจะไม่ธรรมดา หากสามารถได้รับยาระดับเจ็ดอีกสิบเม็ด เขาก็มีโอกาสที่จะบรรลุถึงแดนมกุฎยุทธ์ขั้นห้า หรือแม้กระทั่งแดนขั้นหก!

แต่อาจารย์สำนักฉางเหอกลับยับยั้งช่างใจเอาไว้ เขารู้สึกว่าความสามารถของหินตรีภพนั้นต้องไม่ได้มีเพียงเท่านี้แน่นอน

หลัวซิวยาวิเศษนำยาวิเศษระดับเจ็ดจำนวนมากมาจากคลังสมบัติที่องค์กรนักล่ายุทธ์ ส่วนมากสามารถนำมากลั่นยาเสวียนหยวนลายทองได้ ยาชนิดนี้สามารถยกระดับผลการฝึกตนพลังจิตแท้แดนมกุฎยุทธ์ได้ เป็นยาที่สำคัญที่สุดสำหรับการฝึกตนของมกุฎยุทธ์ผู้แข็งแกร่ง

อาจารย์สำนักฉางเหอคนนี้ไม่ได้กลั่นร่างมกุฎยุทธ์ ที่จำเป็นมากที่สุดก็คือยาระดับเจ็ดชนิดนี้ที่สามารถยกระดับผลการฝึกตนพลังจิตแท้ได้

“ท่านอาจารย์น่าจะออกจากการปิดตนในอีกเจ็ดวันข้างหน้า อาจารย์สำนักฉางเหอสามารถรอได้หรือไม่?” หลัวซิวพูด

“ไม่มีปัญหา” อาจารย์สำนักฉางเหอพยักหน้า สำหรับการฝึกตนนับพันปีของเขาแล้วนั้น เวลาแค่เพียงเจ็ดวันก็แค่เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น

จากนั้น หลัวซิวก็กล่าวลา มาที่หอคอยฝึกตนใจกลางแดนตำหนักจื่อ

เพราะผลการฝึกตนถึงขีดจำกัดแล้ว หลัวซิวจะกลั่นยาระดับหก ก็สามารถทำได้ง่าย ๆ แต่ถ้าต้องการกลั่นยาระดับเจ็ด ก็จำเป็นต้องออกแรงอยู่บ้าง

ยาเสวียนหยวนลายทอง นี้เป็นครั้งแรกที่เขาจะกลั่น ดังนั้นจึงได้บอกเวลาไปประมาณเจ็ดวัน เพื่อเป็นการเผื่อเวลาให้ตัวเอง

ณ หอคอยฝึกตน หลัวซิวหยิบเอาเตาทยานนภามังกรคู่ออกมา จากนั้นก็ใส่ภูตอัคคีกลืนกินลงไปเพื่อทำให้เตาร้อน

ด้วยผลการฝึกตนของเขาในตอนนี้ การกลั่นยาระดับเจ็ดจำเป็นต้องทุ่มสุดตัว ตลอดทั้งกระบวนการไม่สามารถเกิดความผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อย

ให้ระหว่างที่กำลังทำให้เตาร้อนนั้น เขาก็ได้หยิบเอาหินพลังจิตจำนวนมากออกมากองเต็มห้องลับ ในขั้นตอนการกลั่นยา เขาจะต้องใช้พลังจิตแท้จำนวนมหาศาล หากไม่สามารถเติมเต็มได้ทันเวลา ความพยายามทั้งหมดจะสูญเปล่า

สำหนรับยาระดับเจ็ด หลัวซิวเคยมีประสบการณ์กลั่นยาสลายร่างหลงหยางกับยาวาตะทองน้ำค้างหยก ในไม่ช้าเขาก็เข้าสู่สภาวะ มือคู่หนึ่งกลายเป็นเส้นความไวที่ไม่สามารถมองออกได้ด้วยตาเปล่า และใส่วิชายาหลายสายลงไป

สามวันถัดมา กลิ่นหอมของยาก็ลอยขึ้นมาจากเตากลั่นยา มุมปากของหลัวซิวเผยรอยยิ้มออกมา

เขาได้จัดสรรไว้เจ็ดวันเป็นการเผื่อเวลาให้ตัวเอง แต่คิดไม่ถึงว่าใช้เวลาแค่เพียงสามวันก็สามารถกลั่นสำเร็จแล้ว

“เจ้าหนุ่มคนนี้ เป็นตัวประหลาดจริงเสียด้วย! ราวกับว่าเกิดมาก็สามารถกลั่นยาได้อย่างไรอย่างนั้น” จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำก็หมดคำจะพูด เขารู้ดีว่า ก่อนหน้านี้หลัวซิวไม่เคยกลั่นยาชนิดนี้มาก่อน

เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าจะมีนักกลั่นยาคนใดที่กลั่นยาชนิดนั้น ๆ เป็นครั้งแลกและประสบความสำเร็จ ถึงต่อให้มี ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะข้ามสองแดน เพื่อไปกลั่นยาระดับสูง!

สำหรับความคิดที่อิจฉาริษยาของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำเช่นนี้ หลัวซิวเคยชินกับมันเสียแล้ว เพียงแต่ตนมีความทรงจำของปรมาจารย์กลั่นยาระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น9 เรื่องเช่นนี้นั้นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้

“หลี่เสวียนหยางยังไม่ตาย ข้าก็ไม่สามารถอยู่ได้อย่างวางใจ จิตใจมันไม่สงบ” อาจารย์สำนักฉางเหอไตร่ตรองครู่หนึ่ง “เช่นนั้นข้อเสนอนั้นคืออะไร ปรมาจารย์กลั่นยาท่านนั้นจึงจะยอมเคลื่อนไว?”

“เหมือนครั้งก่อนที่อาจารย์สำนักฉางเหอมอบให้ข้า พวกก้อนหินสีเทานั่นก็เพียงพอ ครั้งก่อนข้าให้ท่านอาจารย์ดู ก็ถูกเขาแย่งไปทันที” หลัวซิวพูดด้วยสีหน้าเหยเก

อาจารย์สำนักฉางเหอได้ยินเช่นนั้น สีหน้าก็พลันลำบากใจขึ้นมา ในตอนแรกเขามอบหินตรีภพชิ้นหนึ่งให้กับหลัวซิวเป็นการปาหินถามทาง ถึงอย่างไรเขาไม่รู้ว่าหินตรีภพที่แท้มันใช้งานอย่างไร

แต่สิ่งที่เขากังวลใจมากที่สุดก็ได้เกิดขึ้นแล้ว เจ้าหนุ่มหลัวซิวคนนี้กลับจดจำหินตรีภพที่อยู่ในมือเขาได้

หลี่เสวียนหยางจิตใจหมกมุ่นอยู่กับการเล่นงานสำนักฉางเหอ เป้าหมายก็คือหินตรีภพเช่นกัน

อาจารย์สำนักฉางเหอขมวดคิ้วอยู่นาน “หินชนิดนั้น ข้ารู้เพียงมันเรียกว่าหินตรีภพ ไม่รู้ว่ามันใช้ทำอะไรได้ ถ้าหากเจ้าสำนักหลัวสามารถบอกข้าได้ว่าเจ้าก้อนหินนั้นสามารถทำอะไรได้บ้าง ข้าก็สามารถนำหินชิ้นสุดออกมาให้ได้”

หลัวซิวได้ยินดังนั้น ในใจคิดแล้วว่ามีเรื่องสนุก ก็รีบพูดทันที “ที่แท้ก้อนหินนั้นคือหินตรีภพนี่เอง ส่วนประสิทธิผลของมันนั้น อาจารย์ของข้าเขาเคยกล่าวถึง ดูเหมือนว่าจะเอามาเพื่อช่วยในการกลั่นยา สามารถยกระดับอัตราการสำเร็จในการกลั่นยา”

พอพูดถึงตรงนี้ หลัวซิวก็ยิ้มออกมาบาง ๆ “ข้าคิดว่าสมบัติที่ช่วยยกระดับอัตราการสำเร็จในการกลั่นยา สำหรับนักกลั่นยาคนหนึ่งสำคัญเสียจนไม่อาจคาดการณ์ได้ ไม่ต้องให้ข้าพูด ท่านอาจารย์สำนักฉางเหอก็น่าจะเข้าใจดี”

“โดยเฉพาะเมื่อถึงแดนปรมาจารย์กลั่นยา เป็นเรื่องยากมากที่จะเพิ่มอัตราความสำเร็จได้แม้เพียงสักหนึ่งส่วน ดังนั้นเมื่อเห็นหินชนิดนั้น เขาจึงรีบคว้ามันไว้เหมือนสมบัติล้ำค่า”

การร่ายยาวของหลัวซิวนี้ อาจารย์สำนักฉางเหอเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่เมื่อเห็นหลัวซิวที่ดูทีท่าไม่เหมือนกำลังพูดโกหก สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกอึดอัดในทันใด

“ไม่รู้ว่าหินตรีภพนั้น อาจารย์สำนักฉางเหอยังมีอีกกี่ชิ้น? ข้าคิดว่าท่านอาจารย์ของข้าน่าจะเสนอราคาให้ท่านได้ในราคาที่ท่านพอใจ” หลัวซิวพูดพร้อมรอยยิ้ม

“ข้าได้รับมาทั้งหมดสองชิ้น แต่ไม่เคยรู้เลยว่ามันมีวิธีการใช้อย่างไร เพราะมันคือสมบัติที่ช่วยยกระดับอัตราการสำเร็จในการกลั่นยา ถึงให้อยู่ในมือของข้าต่อไปก็คงจะเป็นสิ่งที่เสียเปล่า สู้นำออกมาแลกเปลี่ยนกับอาจารย์ของเจ้าสำนักหลัว ท่านคิดว่าอย่างไร?”

อาจารย์สำนักฉางเหอก็เปลี่ยนใจกะทันหัน คิดจะเอาหินตรีภพชิ้นที่สองมาแลกกับสมบัติบางอย่าง

หลัวซิวพยักหน้า เขาหยิบกล่องส่งข้อความออกมา ทำท่าทำทางเหมือนส่งข้อความ “ข้าคิดว่า ท่านอาจารย์ของข้าน่าจะเห็นด้วย”

จากนั้นสักพัก หลัวซิวก็เก็บกล่องส่งข้อความ มองไปทางอาจารย์สำนักฉางเหอ “ท่านอาจารย์ตกลงแล้ว หากเป็นหินตรีภพขนาดเท่า ๆ กับครั้งก่อน สามารถกลั่นยาระดับเจ็ดได้สี่เม็ด ที่องค์กรนักล่ายุทธ์การประกาศภารกิจรางวัลนำจับโดยให้มกุฎยุทธ์เคลื่อนไหวนั้น ต้องการสองเม็ด ข้าและท่านจ่ายกันคนละเม็ด อาจารย์สำนักฉางเหอก็จะสามารถได้รับยาระดับเจ็ดสามเม็ด”

“สามเม็ด?” อาจารย์สำนักฉางเหอขมวดคิ้ว เขาสามารถมั่นใจได้ว่า หินตรีภพนี้ต้องไม่ใช่สมบัติธรรมดาแน่นอน หากเพียงสามารถแลกได้แค่ยาระดับเจ็ดสามเม็ด เขาก็รู้สึกว่าตยต้องขาดทุนแน่นอน

หลัวซิวก็สามารถเดาได้คร่าว ๆ ถึงความคิดในใจของอาจารย์สำนักฉางเหอ จึงพูดพร้อมรอยยิ้ม “หินตรีภพถึงแม้จะสามารถช่วยยกระดับอัตราความสำเร็จของการกลั่นยา แต่ก็ไม่ใช่แบบที่สามารถยกระดับได้อย่างถาวร เพียงสามารถยกระดับได้สองสามครั้ง ผลนั้นก็จะหายไป นำมาแลกยาระดับเจ็ดสามเม็ด ความจริงก็ถือว่ามากอยู่”

ยาระดับเจ็ดในประเทศเทียนหวูนี้ประเมินค่าไม่ได้ แม้แต่ที่อื่นก็ยากจะจับต้องได้ เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือปรมาจารย์กลั่นยาขั้นเจ็ดขึ้นไปนั้นมีน้อยมาก

อาจารย์สำนักฉางเหอย่อมรู้เรื่องนี้ดี โดยไม่มีทางเลือก เขาได้หยิบหินตรีภพออกมาแล้วพูดว่า “หินตรีภพชิ้นนี้ใหญ่กว่าครั้งก่อนสักหน่อย สามารถแลกยาได้มากที่สุดกี่เม็ดหรือ?”

ครั้งก่อนหลัวซิวได้รับหินตรีภพมามีขนาดใหญ่เท่ากำปั้นเด็กทารก แต่ครั้งนี้ที่อาจารย์สำนักฉางเหอนำออกมา กลับมีขนาดเท่ากับกำปั้นของเด็กอายุประมาณ7-8ขวบ

ในใจของหลัวซิวนั้นดีใจจนดอกไม้แทบจะบานในใจเขาอยู่แล้ว แต่ใบหน้าของเขาก็ยังคงแกล้งทำเป็นลำบากใจอยู่เช่นเดิม “ยาระดับเจ็ดนั้นวัตถุดิบหายากมาก กลั่นก็ไม่ง่าย อย่างมากก็เพิ่มให้ท่านได้อีกเพียงหนึ่งเม็ด”

หลังจากสงครามเทียนเหอ เวลาผ่านไปหลายเดือน นับว่ายังมีความสงบอยู่

แต่หลัวซิวกลับรู้ดีว่า วันที่เงียบสงบเช่นนี้เกรงว่าจะห่างไกลกับหัวหน้าแก๊งนัก ความหายนะบางอย่าง ไม่ช้าก็เร็วก็จำเป็นต้องเผชิญหน้าและแก้ไขมัน

ข่างการรับตำแหน่งประธานแก๊งนักกลั่นยาของเขา ถูกกระจายไปทั่วประเทศเทียนหวูอย่างรวดเร็ว สำนักฉางเหอและสำนักไท่เสวียนนับเป็นพันธมิตรต่อกัน เป็นเรื่องปกติที่จะมีการส่งของขวัญมายินดี

ที่ตำหนักวัฏสงสาร หลัวซิวก็ได้พบอาจารย์สำนักฉางเหอ

“เจ้าสำนักหลัว ยินดีด้วย!” หลี่ฉางเหอพูดพร้อมรอยยิ้ม

หลัวซิวยิ้มอ่อน ๆ “ระหว่างท่านอาจารย์สำนักฉางเหอกับข้า เป็นครั้งแรกที่ได้พบปะกัน ข้าว่าอาจารย์สำนักฉางเหอตงจะไม่ได้มาเพื่อยินดีกับข้าเพียงอย่างเดียวใช่หรือไม่?”

ถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นถึงผู้แข็งแกร่งแดนมกุฎยุทธ์ แต่หลัวซิวในวันนี้ก็สามารถเผชิญหน้าได้อย่างใจเย็น

หลังจากได้คำแนะนำของเกาเหลียนหงเมื่อครั้งก่อน ความคิดของเขาก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไป ยิ่งนานวันไปก็ยิ่งเหมาะสมกับตำแหน่งเจ้าสำนักไท่เสวียน

“เหอ ๆ เจ้าสำนักหลัวช่วงเป็นคนตรงไปตรงมาเสียจริง” อาจารย์สำนักฉางเหอยิ้มบาง ๆ “ครั้งก่อนสงครามเทียนเหอ ต้องขอบใจเจ้าสำนักหลัวอย่างมากที่ช่วยออกแรง มิฉะนั้นด้วยความสามารถของชายชราอย่างข้า เกรงว่าคงเป็นไปไม่ได้ที่จะไว้ชีวิตอีกฝ่ายทั้งสองคน”

“ที่ข้ามาในวันนี้ หนึ่งคือมาแสดงความยินดี สองมาเพื่อขอบคุณ ส่วนสามนั้นก็คือต้องการปรึกษาท่านเจ้าสำนักหลัวว่าจะต่อกรอย่างไรกับสำนักเสวียนหยางดี”

พูดถึงตรงนี้ อาจารย์สำนักฉางเหอก็ฉีกยิ้ม “ในตอนแรก เจ้าสำนักหลัวได้รับการสืบทอดจากผู้แข็งแกร่งสมัยโบราณ หลี่เสวียนหยางกับตาเฒ่าประหลาดถาว ต้องการจับคนสนิทของเจ้าเป็นตัวประกันเพื่อขู่เจ้า มีเพียงข้าคนเดียวที่ต่อต้าน ผลสุดท้ายกลับถูกทั้งสองร่วมมือกันโจมตีเสียจนบาดเจ็บหนัก แต่วันนี้ตาเฒ่าประหลาดถาวได้ตายไปแล้ว ส่วนเจ้าหลี่เสวียนหยาง ข้าคิดว่าเจ้าสำนักหลัวคงจะไม่ยอมปล่อยไปง่าย ๆ แน่นอน?”

“นั่นเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว สิ่งที่ข้าเกลียดที่สุดในชีวิต คือมีคนคุกคามความปลอดภัยของคนที่ข้ารัก หลี่เสวียนหยางกล้าทำร้ายถึงคนสนิทของข้า นั่นเป็นการรนหาที่ตาย!” หลัวซิวพูดอย่างไม่ลังเล

“เจ้าสำนักหลัวพูดถูก ข้าสำนักฉางเหอและสำนักเสวียนหยางไม่ใครก็ใครต้องตายกันไปข้าง ดังนั้นที่ข้ามาที่นี่ด้วยตนเอง นั่นเพราะต้องการร่วมมือกับเจ้าสำนักหลัวอย่างจริงจัง!” อาจารย์สำนักฉางเหอกล่าว

หลัวซิวได้ยินอย่างนั้นก็หัวเราะออกมาเบา ๆ “หรือว่าอาจารย์สำนักฉางเหอมีแผนอยู่แล้ว?”

อาจารย์สำนักฉางเหอมือลูบเคราสีขาว มองออกไปด้านนอกตำหนักวัฏสงสาร “ต่อกรกับสำนักเสวียนหยางเป็นเรื่องยากที่สุด ค่ายพิทักษ์เขา ราวกับว่าหลี่เสวียนหยางพยายามจะจัดการกับสำนักฉางเหออย่างจงใจ จึงได้เชิญปรมาจารย์ค่ายกลระดับเจ็ดมา”

“ข้าเห็นสำนักไท่เสวียนก็มีการสร้างค่ายพิทักษ์เขาระดับเจ็ด คิดไปคิดมาเจ้าสำนักหลัวน่าจะรู้จักยอดฝีมือผู้นี้ เพียงแค่สามารถทำลายค่ายพิทักษ์เขาของสำนักเสวียนหยางได้ นั่นก็ถือว่าได้ชัยชนะมาครึ่งหนึ่งแล้ว”

ได้ยินเช่นนั้น หลัวซิวกลับส่ายศีรษะไปมา “อาจารย์สำนักฉางเหอคิดเช่นนั้นก็ง่ายเกินไป ต่อให้ข้ามีวิธีทำลายค่ายพิทักษ์เขา แต่หลี่เสวียนหยางยังมีผลการฝึกตนถึงมกุฎยุทธ์ขั้นสี่ อาจารย์สำนักฉางเหอแน่ใจหรือว่าจะสามารถเอาชนะได้?”

อาจารย์สำนักฉางเหอหัวเราะเบา ๆ “เจ้าสำนักหลัวไม่ใช่ว่าเคยเชิญมกุฎยุทธ์สองท่านร่วมต่อสู้หรอกหรือ? ประกาศภารกิจรางวัลนำจับที่องค์กรนักล่ายุทธ์จากนั้นค่อยเชิญมาก็ได้แล้ว ค่าตอบแทนทั้งหมดนั้น ข้าสำนักฉางเหอสามารถช่วยจ่ายร่วมกับเจ้าสำนักหลัวได้”

หลัวซิวรู้อยู่แล้วว่า อาจารย์สำนักฉางเหอต้องมีแผนการเช่นนี้ แต่เขาก็ไม่ได้ตอบรับในทันที แต่กล่าวออกไปว่า “มกุฎยุทธ์ผู้แข็งแกร่งแห่งองค์กรนักล่ายุทธ์ ไม่ได้เชิญกันง่าย ๆ เช่นนั้น คราก่อนที่ข้าเชิญทั้งสองมาได้ ก็ต้องใช้ยาระดับเจ็ดเป็นค่าตอบแทน เพราะอย่างไรมกุฎยุทธ์ผู้แข็งแกร่งแห่งองค์กรนักล่ายุทธ์ ต่างก็มีพลังที่แข็งแกร่งมากทีเดียว สมบัติทั่วไปไม่สามารถดึงดูดอะไรได้”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ หลัวซิวก็ชะงักไปเล็กน้อย “ที่สำนักไท่เสวียนของข้ามีปรมาจารย์กลั่นยาที่ปลีกวิเวกอยู่ ถึงจะสามารถลงมือกลั่นยาระดับเจ็ดให้ได้ แต่ถึงแม้ข้าจะเป็นถึงเจ้าสำนัก แต่หากไม่มีเงื่อนไขใดที่จะทำให้เขาประทับใจได้ เกรงว่าเขาจะไม่เคลื่อนไหว”

เมื่อฟังถึงตรงนี้ อาจารย์สำนักฉางเหอขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาก็เคยได้ยินมาว่าเบื้องหลังของหลัวซิวมีอาจารย์ลึกลับอยู่ท่านหนึ่ง และเป็นปรมาจารย์กลั่นยาเสียด้วย

ศิษย์ให้อาจารย์กลั่นยา แล้วยังจำเป็นต้องมีข้อเสนอด้วย?

อาจารย์สำนักฉางเหอใช้หัวแม่โป้งเท้าคิดก็ยังสามารถคาดเดาได้ว่า เจ้าหนูหลัวซิวคนนี้ต้องการให้ตนเสียสละอะไรบางอย่างถึงจะเต็มใจร่วมมือด้วย

หลังจากนั้นหลัวซิวก็นำเอายาวิเศษระดับหกขึ้นไปจากองค์กรนักล่ายุทธ์ กลับไปที่สำนักไท่เสวียน

ถึงแม้ในตอนนี้คนในสำนักไท่เสวียนจะยังไม่มาก เหล่าศิษย์นอกสำนักที่คัดเลือกมาจากตระกูลสวี ผลการฝึกตนก็ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว มีวิชายุทธ์มากมายที่เก็บมาจากหอเสวียนดำ รวมกับพลังฟ้าดินจิตที่เข้มข้นของสำนักเขาไท่เสวียน และยาที่ได้รับประจำจากหอกลั่นยา ส่วนมากต่างก็บรรลุถึงพรสวรรค์ช่วงปลายแล้ว มีหลายคนที่ใช้เวลาไม่นานก็สามารถบรรลุถึงแดนฝึกจิตแล้ว

สำหรับผู้ดูแลนอกสำนักหลายคนที่มาจากตระกูลสวีนั้น กลับไม่ก้าวหน้าสักเท่าใด เพราะเดิมทีแล้วพวกเขาก็มีผลการฝึกตนอยู่ในระดับแดนราชายุทธ์ ถึงแม้จะมีพรสวรรค์ส่วนตัวไม่เลว แต่เพราะว่าก่อนหน้านี้เคยได้ใช้หนทางที่ไม่ปกติมามากมายในการฝึกตน ดังนั้นจึงแทบจะไม่มีโอกาสไปต่อได้แล้ว

ศิษย์ในสำนักหนึ่งเดียวคนนั้น หลินจื่อเฟิงก็ตั้งใจชี้แนะจนถึงที่สุด ในวันนี้ก็บรรลุถึงแดนฝึกจิตขั้นหก

ผลการฝึกตนของเหยียนเยว่เอ๋อร์ก็พัฒนาไปมากทีเดียว ตอนนี้ได้ข้ามจักรพรรดิยุทธ์ช่วงกลางไป จนบรรลุถึงแดนจักรพรรดิยุทธ์ขั้นสี่แล้ว

“เจ้าสำนัก!”

ที่ตำหนักวัฏสงสาร สวีจิงเหนียนและเกาเหลียนหง ผู้คุมกฎทั้งสองคนเดินเข้ามา คารวะหลัวซิว

“ครั้งนี้เรียกทั้งสองมา เป็นการแจ้งแก่เจ้าทั้งสองว่า ต่อไปในทุก ๆ เดือนพวกเจ้ามีเวลาสามวันเพื่อเข้าไปฝึกตนในหอคอยฝึกตนที่แดนตำหนักจื่อ ผู้ดูแลนอกสำนักและผู้ดูแลในสำนัก ทุก ๆ เดือนจะมีเวลาหนึ่งวันสามารถเข้าไปในหอฝึกฝนแดนปริศนา” หลัวซิวพูดพร้อมรอยยิ้ม

ได้ยินเช่นนี้ สวีจิงเหนียนและเกาเหลียนหงต่างก็เผยสีหน้าทั้งประหลาดใจและดีใจ พวกเขาย่อมรู้ดีว่าภายในแดนตำหนักจื่อนั้นมีพลังฟ้าดินจิตเข้มข้นอย่างมาก เหมาะแก่การฝึกตนอย่างมาก ต่อให้มีเวลาเพียงสามวันต่อเดือนในการฝึกตนในนั้น ผลลัพธ์นั้นก็คุ้มค่าจนสามารถเทียบเท่าการฝึกสามปีได้เลย!

จนถึงตอนนี้ หลัวซิวไม่ได้วางแผนจะเปิดหอคอยฝึกตนแห่งแดนตำหนักจื่อให้กับศิษย์ทั้งในและนอกสำนัก ถึงอย่างไรก็เป็นสถานที่ที่ดีของสำนัก หากสามารถเข้าถึงได้ง่าย ๆ นั่นก็จะไม่สามารถแสดงถึงความล้ำค่าของมันได้

“หากใครสามารถมีส่วนช่วยทำให้กับสำนักได้ ก็สามารถรับรางวัลเป็นเวลาในการเข้าไปในหอฝึกฝนแดนปริศนา”

หลัวซิวพูดเช่นนี้ ถือได้ว่าเป็นการตั้งกฎเกณฑ์บางอย่างไว้ล่วงหน้าก่อนเปิดสำนักเขา

หลังจากนั้น หลัวซิวก็เอาม้วนหยกออกมา ด้วยการควบคุมของพลังจิตแท้ มันลอยไปทางสวีจิงเหนียน

“ข้อกำหนดของศิษย์ในสำนัก ให้เป็นหน้าที่ของผู้คุมกฎสวีรับผิดชอบ เจ้าลองดูเนื้อหาด้านในม้วนหยก หากมีส่วนใดต้องการเพิ่มเติม เจ้าก็สามารถเพิ่มเติมเข้าไปได้” หลัวซิวกล่าวเช่นนั้น

สวีจิงเหนียนเอื้อมมือไปรับมา เมื่อดูเนื้อหาในม้วนหยก ก็อดที่จะตกใจไม่ได้

“ศิษย์นอกสำนัก ทุก ๆ เดือนสามารถรับยาระดับสามที่หอกลั่นยาได้หนึ่งเม็ด ผลการฝึกตนระดับฝึกจิตสามารถรับยาระดับสี่ได้หนึ่งเม็ด? ศิษย์ในสำนัก ทุก ๆ เดือนสามารถรับยาที่หอกลั่นยา โดยผลการฝึกตนแดนฝึกจิตสามารถรับยาระดับสี่ได้สามเม็ด ผลการฝึกตนแดนราชายุทธ์รับยาระดับห้าได้สามเม็ด? ผลการฝึกตนแดนจักรพรรดิยุทธ์ทุกเดือนสามารถรับยาระดับหกได้สองเม็ด ผลการฝึกตนแดนมกุฎยุทธ์ทุกเดือนสามารถรับยาระดับเจ็ดได้หนึ่งเม็ด?”

สวีจิงเหนียนเมื่อเห็นเนื้อหาในส่วนนี้ ก็รู้สึกอึ้งเล็กน้อย “เจ้าสำนัก ถ้าหากเป็นเช่นนี้ ทุก ๆ เดือนหอกลั่นยาของพวกเราก็ต้องจ่ายยาออกเป็นจำนวนมากอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้?”

ในมุมมองของสวีจิงเหนียน ในตอนนี้สำนักยังมีศิษย์น้อยอยู่ การใช้จ่ายตามกฎนี้เป็นเรื่องที่สามารถทำได้ แต่หากต่อไปเปิดสำนักเขาใหญ่ รวบรวมศิษย์ได้เป็นจำนวนมากเมื่อใด นั่นเป็นสิ่งที่ค่อนข้างน่ากลัวทีเดียว

ถึงอย่างไร จำนวนยาที่เยอะขนาดนี้ ต่อให้เป็นสำนักเสวียนหยาง สำนักฉางเหอก็คงจะไม่สามารถรับภาระได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสำนักไท่เสวียนที่เพิ่งก่อตั้งเลย

สำหรับสิ่งนี้ หลัวซิวกลับยิ้มโดยไม่ได้มีความกังวลใดใด “เรื่องยานั้นเจ้าไม่ต้องกังวล เจ้าเพียงทำตามกฎที่ข้าเขียนไว้ให้ลุล่วงก็พอ”

หลัวซิวเชื่อว่า ด้วยสถานะของเขาที่เป็นถึงประธานแก๊งแห่งแก๊งนักกลั่นยาในตอนนี้ ไม่นานก็จะมีนักกลั่นยาจำนวนไม่น้อยมาพึ่งพาสำนักไท่เสวียน อีกทั้งยังมีแก๊งนักกลั่นยาเป็นกองหนุนอีก การกลั่นยาจำนวนมาก มันไม่ใช่ปัญหาอะไรเลย

เพียงแต่ว่ายาระดับหกขึ้นไป จำเป็นต้องให้ตัวเขาเป็นคนลงมือกลั่นด้วยตนเอง

เมื่อดูมาถึงตอนนี้ หลัวซิวก็อดตกใจไม่ได้ เทียบกับอาณาจักรใต้อันกว้างใหญ่ไพศาล ประเทศเทียนหวูก็เป็นเพียงยอดของภูเขาน้ำแข็ง ไม่เพียงแค่ประเทศเทียนหวูเท่านั้น ทุก ๆ สิบปีต่างก็ต้องจ่ายยาหลายระดับนับพันเม็ด ทั่วทั้งอาณาจักรใต้ จำนวนยาที่จ่ายให้กับเมืองศักดิ์สิทธิ์ในทุก ๆ สิบปี อาจมีมากถึงหลายหมื่น?

อีกทั้งยังมีอาณาจักรเหนือ อาณาจักรตะวันออก อาณาจักรตะวันตก ภายในระยะเวลาสั้น ๆ สิบปี โดยผ่านทางแก๊งนักกลั่นยา แดนศักดิ์สิทธิ์ก็สามารถสะสมความมั่งคั่งที่น่าสะพรึงกลัวได้มากมายจนคาดไม่ถึง!

โดยการเปรียบเทียบแล้วนั้น หลัวซิวก็สังเกตเห็นได้ว่า ในเริ่มแรกที่ตนก่อตั้งสำนักไท่เสวียน ก็เหมือนมดตัวน้อยที่อยู่ต่อหน้าวาฬยักษ์

แก๊งนักกลั่นยายังเป็นเช่นนี้ หลัวซิวคาดการว่าแก๊งนักหลอมอาวุธและแก๊งนักค่ายกล ในทุก ๆ สิบปีก็น่าจะต้องใช้ทรัพยากรมากมายมหาศาลเพื่อการนี้เช่นกัน อีกทั้งยังมีองค์กรนักล่ายุทธ์ แค่เพียงภารกิจรางวัลนำจับในทุก ๆ ปี ก็สามารถทำเงินได้จนล้นโถ

เพราะตามที่หลัวซิวได้รู้มานั้น ในองค์กรนักล่ายุทธ์ ได้รวบรวมกลุ่มคนที่มีอำนาจมากที่สุดในสี่แก๊งใหญ่

เหล่านักยุทธ์ผู้ทรงพลังเหล่านี้ ในทุก ๆ ปีได้เข่นฆ่าอสูรกายนับไม่ถ้วน สิ่งของที่ได้รับนั้นมากมายเกินกว่าจะจินตนาการได้

“ไม่น่าแปลกใจเลยที่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทั่วไป เมื่ออยู่ต่อหน้าสี่แก๊งใหญ่ต่างก็แตกต่างอย่างชัดเจน” หลัวซิวสุดลมหายใจเข้า

สี่แก๊งใหญ่ก็น่ากลัวได้ถึงเพียงนี้แล้ว เช่นนั้นสี่แก๊งใหญ่ที่ขึ้นตรงกับเมืองศักดิ์สิทธิ์ จะแข็งแกร่งมากสักเพียงใด?

หลัวซิวพบว่า ยิ่งตนได้รู้จักกับโลกนี้มากเท่าขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งรู้สึกว่าตนยิ่งตัวเล็กลงไปอีกเท่านั้น

“เมืองศักดิ์สิทธิ์ นั่นหมายความถึงนครแห่งทวยเทพ มันเป็นยุคของสมัยโบราณที่ไม่มีที่สิ้นสุด สร้างขึ้นโดยผู้แข็งแกร่งอมตะทั้งสี่ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ของเรา”

“ว่ากันว่า ประวัติศาสตร์ของเมืองศักดิ์สิทธิ์ที่เก่าแก่ที่สุดสามารถสืบย้อนไปถึงต้นกำเนิดของอารยธรรมโลกยุทธ์ ในเวลานั้น เผ่าพันธุ์มนุษย์ของเราเพิ่งเข้าใจการฝึกตน ผู้แข็งแกร่งสี่คนแรกที่ปรากฏตัวขึ้น แบ่งได้เป็น ตี้จ้านเทียน เสวียนหวูชิง จู้เทียนวู กุ่ยกู่หมิง”

จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำรู้บางอย่างเดี่ยวกับคำบอกเล่าของเมืองศักดิ์สิทธิ์ ค่อย ๆ กล่าวขึ้น “ข้าคิดว่าเจ้าก็น่าจะพอเดาได้ ผู้แข็งแกร่งโบราณทั้งสี่ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ก็คือผู้ที่สร้างเมืองศักดิ์สิทธิ์ และพวกเขาก็คือเหล่าผู้ก่อตั้งสี่แก๊งใหญ่”

“ในยุคสมัยโบราณที่ข้าอยู่ พวกเขาทั้งสี่ก็ได้กลายเป็นตำนานที่ถูกพูดถึงต่อ ๆ กันมาไปแล้ว ได้ยินเพียงชื่อ แต่ไม่เคยเก็นตัวคน หลังจากเกิดภัยพิบัติในสมัยโบราณ สงครามใหญ่ระหว่างมนุษย์ เชลยอสูร มาร เมืองศักดิ์สิทธิ์ในทุกวันนี้เป็นเช่นไร กลับไม่เป็นที่รู้จักเสียแล้ว”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำก็ถอนหายใจออกมา

หลัวซิวเมื่อฟังจบ ก็ไม่ได้คิดอะไรมากมาย ท้ายที่สุดสำหรับเขา ผู้แข็งแกร่งในระดับนั้นก็ห่างไกลกับเขามากจนเกินไป

เรื่องเฉพราะขององค์กรนักล่ายุทธ์ หลัวซิวนั้นก็ไม่ได้เข้าไปยุ่มย่ามมากเกินไป เขาในตอนนี้ในแม้แค่เวลาจะฝึกตนยังแทบจะไม่พอ เขาจะไปมีกะจิตกะใจที่ไหนไปยุ่งกับเรื่องของแก๊งที่มีอิสระในการจัดการขนาดใหญ่เช่นนี้?

“ภารกิจของแก๊ง จะถูกจัดการโดยเจ้าผู้อาวุโสทั้งหกท่าน หากมีเรื่องใดที่ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ก็ค่อยมาแจ้งแก่ข้า” หลัวซิวหันไปสั่งการกับพวกของหนานเหมินโต้ว

“ขอรับ!” ทุกคนต่างเอ่ยตอบรับ

“ยาวิเศษระดับหกขึ้นไปที่แก๊งรวบรวมได้ ให้ส่งไปที่สำนักไท่เสวียน ยาระดับหกที่จำเป็นต้องนำไปจ่ายนั้น ข้าในฐานะหัวหน้าแก๊งจะเป็นคนรับผิดชอบ ส่วนยาระดับห้าลงไป ให้พวกเจ้ารับรับผิดชอบจนเสร็จสิ้น มีคำถามหรือไม่?” หลัวซิวเอ่ยปากถาม

“ท่านประธานแก๊งวางใจได้ เราจะตั้งใจจะทำภารกิจให้สำเร็จ!” หนานเหมินโต้วตอบ

หลัวซิวพยักหน้า “ยาที่พวกเจ้ากลั่นเกินมาและยาวิเศษที่ใช้ไม่หมดนั้นก็สามารถส่งมาให้ข้า เพิ่มเป็นสมบัติของแก๊ง ข้าหัวหน้าแก๊งจะมอบให้พวกเจ้าเป็นรางวัล และชี้แนะแก่พวกเจ้าว่าทำเช่นไรจึงจะยกระดับจากห้าเป็นระดับหก!”
ทันทีที่คำกล่าวนี้ออกมา ผู้อาวุโสหนานเหมินโต้วทั้งหกคนก็มีสีหน้าประหลาดใจ พวกเข้าต่างก็เป็นปรมาจารย์กลั่นยาระดับห้า ห่างจากระดับหกหนึ่งขั้นแต่ก็เป็นระยะห่างที่กว้างมาก หากสามารถแนะนำให้บรรลุถึงระดับหกได้ เช่นนั้นสถานะก็จะแตกต่างจากในวันนี้

ผลประโยชน์ได้รับการสัญญา แล้วหลัวซิวก็พูดอย่างจริงจัง “แต่ข้าขอพูดคำที่ไม่น่าฟังเอาไว้ล่วงหน้า ไม่ว่าใครก็ตามที่ต้องการขัดขาข้า ข้าในฐานะหัวหน้าแก๊งก็จะไม่ปรานีเช่นกัน!”

วิถีการปกครอง ต้องมีทั้งตึงและหย่อน ไม่อาจที่จะกดจนเกินไป และก็ไม่สามารถให้อิสระจนเกินไป รางวัลและการลงโทษนั้นต้องพอเหมาะ ต้องสร้างศักดิ์ศรีและความน่าเชื่อถือ

หลัวซิวไม่รู้เรื่องพวกนี้ แต่จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำเคยเป็นหนึ่งในสามผู้อาวุโสใหญ่แห่งสำนักไท่เสวียน สำหรับเรื่องพวกนี้ ถือว่าทำได้อย่างราบรื่น บางครั้งหลัวซิวก็มักจะขอคำแนะนำจากเขาในเรื่องพวกนี้

ถึงอย่างไรสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ที่สุดในโลกนี้คือหัวใจของมนุษย์ เขาจำเป็นต้องป้องกัน

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 503
ฉีฝ่าเทียนก็ไม่ได้อยู่ประเทศเทียนหวูนานนัก ในฐานะผู้ลาดตระเวนแห่งอาณาจักรใต้ เขามีเรื่องให้ต้องจัดการอีกมากมาย

จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิง ปรมาจารย์หงหมิง เหว้ยห้าวหรานก็ค่อย ๆ พลัดกันเดินหน้าขึ้นมายินดี ภายในใจก็อดรู้สึกใจหายไม่ได้

เมื่อสองสามปีก่อน ในสายตาของพวกเขายังเป็นเพียงชายหนุ่มรุ่นหลังที่มีพรสวรรค์เท่านั้น แต่ในวันนี้กลับอยู่ในตำแหน่งที่สามารถเท่าเทียมกับพวกเขาได้แล้ว

อีกทั้งหลัวซิวยังเป็นถึงประธานแก๊งแห่งแก๊งนักกลั่นยา จะมีคนมาชื่นชมเรียนยามากมายอย่างแน่นอน ขึ้นเป็นชายระดับสูงคนใหม่ในแผ่นดินนี้

“ทุกท่านหากใครต้องการตำรับยา สามารถมาที่สำนักไท่เสวียน ในฐานะที่ทุกคนต่างก็เป็นคนที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี ข้าสามารถลดราคาให้ทุกท่านได้” หลัวซิวพูดพร้อมรอยยิ้ม

วิถีการดำเนินชีวิตของนักกลั่นยา ทุกอย่างพึ่งพาวิชากลั่นยาเท่านั้น แม้กระทั่งเพื่อนที่สนิทสนมกันดี ก็ยังไม่สามารถช่วยกลั่นยาให้โดยไม่มีค่าตอบแทนได้

“ข้าต้องการยาทิพย์กระดูกเสือหนึ่งเตา ไม่รู้ว่าเจ้าสำนักหลัวจะคิดค่าตอบแทนเท่าไรหรือ?” จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงอดไม่ได้ที่จะถามออกมา

ในตอนนี้เขากำลังอ้อนวอนอยู่ ดังนั้นการกระทำและท่าทางต่อหลัวซิวนั้นก็แตกต่างไปกว่าเดิมอย่างมาก

หลัวซิวรู้ดีว่าผลการฝึกตนของจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงได้บรรลุไปถึงแดนจักรพรรดิยุทธ์ขั้นห้าแล้ว สิ่งที่เร่งด่วนที่สุดในตอนนี้คือการไปให้ไกลกว่านั้น จากจักรพรรดิยุทธ์ช่วงกลาง ยกระดับไปถึงจักรพรรดิยุทธ์ช่วงปลาย และเขาก็ยังอยู่ในเส้นทางของนักยุทธ์กลั่นร่างอีกด้วย ยาที่จำเป็นมากที่สุด ก็คือยาทิพย์กระดูกเสือชุบร่างระดับหก

“ยาวิเศษห้าชุด สามารถกลั่นได้หนึ่งเตา” หลัวซิวพูดด้วยรอยยิ้ม

“ถูกลงอีกหน่อยได้หรือไม่?” จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย

“ยาทิพย์กระดูกเสืออยู่ในยาระดับหก นับว่าเป็นยาที่กลั่นยากทีเดียว ค่าตอบแทนที่ข้าเรียกเก็บนั้นไม่ถือว่ามาก หากไปตามหาปรมาจารย์กลั่นยาระดับหกคนอื่น ๆ หากยาวิเศษไม่ถึงสิบชุด เกรงว่าจะไม่สามารถกลั่นได้สักเตา”

“แต่หากต้องการกลั่นยากลั่นจิตอัคคีม่วง นั่นก็สามารถใช้ยาวิเศษสามชุดต่อหนึ่งเตา”

หลัวซิวอธิบาย เขาพูดมากมายเช่นนี้ ประเด็นสำคัญคือต้องการทำให้ชายผู้นี้ช่วยตนกระจายข่าวออกไป พอถึงเวลาก็จะมีเหล่ายอดฝีมือจำนวนมากมาที่สำนักไท่เสวียนเพื่อเรียนยา เขาก็จะใช้โอกาสนี้ กอบโกยสมบัติทรัพยากรมากมายเช่นกัน วางรากฐานของสำนักไท่เสวียน

“เจ้าสำนักหลัวได้รับการสืบทอดจากผู้แข็งแกร่งในสมัยโบราณ ประสบการณ์ฝึกตนที่มอบให้กับข้าก่อนหน้านี้ มีประโยชน์กับข้าอย่างมาก ไม่รู้ว่าสามารถ…” ปรมาจารย์หงหมิงรุดขึ้นมาร่วมวง พูดด้วยเสียงแผ่วเบา

แต่หลัวซิวก็ไม่ได้รอให้เขาพูดจบ ก็พลันโบกมือตัดบท “ประสบการณ์ฝึกตน เป็นความลับของสำนักไท่เสวียนที่จะไม่ส่งต่อ ปรมาจารย์หงหมิงก็อย่าได้พูดถึงอีกเลย”

เมื่อพูดจบ ไม่เพียงแค่หงหมิง จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิง เหว้ยห้าวหรานต่างก็มีสีหน้าหม่นลงทันที ถึงอย่างไรการฝึกตนของพวกเขาก็ได้มาถึงช่วงคอขวดแล้ว หากต้องการบรรลุขั้นต่อไป ต้องหาโอกาสอื่น ๆ อีกครั้ง

หลัวซิวย่อมรู้ว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่ ดังนั้นเขาจึงพูดพร้อมรอยยิ้ม “หัวหน้าแก๊งทั้งสามต่างก็ยังไม่ได้เข้าร่วมกับกองกำลังใด หากยินยอมจะมาเข้าร่วมที่สำนักไท่เสวียนของข้า ไม่ต้องพูดถึงประสบการณ์การฝึกตนแดนจักรพรรดิยุทธ์ ต่อให้เป็นประสบการณ์การฝึกตนแดนมกุฎยุทธ์ ในสำนักไท่เสวียนของข้าก็ยังมี”

เมื่อพูดจบ หลัวซิวก็หมุนตัวจากไปทันที ทิ้งไว้เพียงจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงกับพวกที่ต่างมองหน้ากันไปมา

พวกเขาจะไม่เข้าใจความหมายโดยนัยน์ของหลัวซิวได้อย่างไร เพียงแค่พวกเข้าเคยชินกับชีวิตอิสระไม่ขึ้นกับใครของนักยุทธ์อิสระเสียแล้ว สำหรับการเข้าร่วมกองกำลังฝั่งใดฝั่งหนึ่งนั้น มันจะทำให้เกิดความขัดแย้งภายในใจ

……

เมื่ออกมาจากองค์กรนักล่ายุทธ์แล้ว หลัวซิวที่อยู่ภายใต้การนำทางของเหล่าผู้อาวุโสหนานเหมินโต้วทั้งหกคน ก็ได้มาถึงแก๊งนักกลั่นยาใจกลางประเทศเทียนหวู

ส่วนที่ลึกที่สุดของแก๊งนักกลั่นยา มีตำหนักสองชั้นอยู่แห่งหนึ่ง ก่อนหน้านี้ฝานไท่เต๋อก็อาศัยอยู่ที่นี่

นักกลั่นยาสามารถพูดได้ว่าเป็นกลุ่มนักยุทธ์ที่มั่งคั่งที่สุด ตำหนักที่พำนักของประธานแก๊งนี้ แน่นอนว่าภายในได้ถูกตกแต่งอย่างหรูหรา

หนานเหมินโต้วม้วนหยกม้วนหนึ่งให้หลัวซิว ด้านในมีการบันทึกหน้าที่ความรับผิดชอบของแก๊งนักกลั่นยา

มีบันทึกไว้ว่า สี่แก๊งใหญ่มีต้นกำเนิดมาจากเมืองศักดิ์สิทธิ์ แต่ละคนมีหน้าที่ของตนเอง

ทุก ๆ สิบปี แก๊งนักกลั่นยาต่างพื้นที่ต่าง ๆ ทั้งหมดต้องกลั่นยาจำนวนหนึ่งให้กับดินแดนศักดิ์สิทธิ์

แก๊งนักกลั่นยาที่ประเทศเทียนหวู ทุก ๆ สิบปีต้อง กลั่นยาระดับหกทั้งหมด50เม็ด ยาระดับห้า100เม็ด ยาระดับสี่300เม็ด และยาระดับสามอีก500เม็ด

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 502
เหว้ยห้าวหรานเดิมทีอยากจะพูดว่าเอายาระดับสูงแปดส่วน แต่มาคิดอีกที ต่อให้เป็นฝานไท่เต๋อในตอนนั้นยังไม่สามารถกลั่นยาแปดส่วนระดับสูงออกมาได้ อย่างมากที่คุณบางครั้งอาจจะสามารถกลั่นยาเจ็ดส่วนระดับกลางออกมาได้สักเม็ดสองเม็ด ดังนั้นจึงตอบว่า “ยาระดับกลางเป็นเช่นไร?”

หลัวซิวได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมาบาง ๆ “ตามที่ท่านปรารถนา”

หลังจากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีกต่อไป มือหนึ่งยกขึ้น เปิดใช้งานเตากลั่นยา ฝาเตาลอยขึ้น ควบคู่ไปกับเสียงคำรามอย่างแผ่วเบาของมังกร

หลัวซิวก็ไม่ได้ใช้ภูตอัคคีกลืนกิน พลังจิตแท้สองระดับความเป็นตายผสานเป็นพลังแห่งชีวิต กลายเป็นเปลวเพลิงสีขาวบริสุทธิ์ ใส่เข้าไปในเตากลั่นยา

หลังจากนั้น หลัวซิวก็ยกมือขึ้นอีกครั้ง ภายใต้การควบคุมของพลังจิตแท้ ยาวิเศษจำนวนหนึ่งลอยขึ้นและตกลงไปในเตากลั่นยา ตลอดทั้งกระบวนการกลั่นยา ไหลลื่นราวกับเมฆเคลื่อนน้ำไหล ทำให้คนมองรู้สึกถึงความรื่นรมย์

หนานเหมินโต้วและเหล่าผู้อาวุโสแก๊งนักกลั่นยา มองการกระทำของหลัวซิวเป็นตาเดียว แต่ก็พบว่าตนนั้นไม่เข้าใจการสำแดงวิชายาของหลัวซิวเลย

วิชายาว่าด้วยการกลั่นยารวมจิตเรืองอร่าม พวกเขาต่างก็เลยเห็นฝานไท่เต๋อสำแดงมาแล้ว ทั้งสองกลั่นยาชนิดเดียวกัน แต่วิชายาที่สำแดงนั้น แต่ดูแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ตอนที่ฝานไท่เต๋อกลั่น ประมาณสามหรือสี่อึดใจก็จะต้องปล่อยวิชายานับสิบออกมา แต่หลัวซิวในช่วงเวลาหนึ่งส่วนสี่ของชั่วโมง ก็ปล่อยวิชายาออกมาเพียงสี่ครั้ง ดูเหมือนว่าทุกวิชายาจะมีความลึกลับไม่รู้จบรวมอยู่ ประกอบด้วยแก้นแท้ของวิชายานับสิบ

ในช่วงเวลาสั้น ๆ หลัวซิวก็ปล่อยวิชายาครั้งสุดท้าย “เก็บ!”

เห็นเพียงเขาอ้าปาก เมื่อสูดลมหายใจเข้า เปลวเพลิงสีขาวบริสุทธิ์ในเตากลั่นยาก็ลอยเข้าไปในปากเขา หลังจากนั้นยาเม็ดกลมสีใสลูกแล้วลูกเล่าก็ลอยตามกันออกมา และถูกเขาเก็บลงไปในขวดหยก

“เท่านี้ก็เสร็จแล้วหรือ?” หนานเหมินโต้วดวงตาเบิกกว้าง การกลั่นยาอันอัศจรรย์เช่นนี้ เป็นครั้งแรกที่เขาเคยพบเห็น

ไม่นับส่วนที่ล้มเหลว ก็ยังต้องใช้เวลาเป็นวัน แต่หลัวซิวกลับใช้เพียงหนึ่งเค่อกว่า ๆ เท่านั้น ความแตกต่างของเวลานั้น เป็นเพียงแค่ความแตกต่างเล็ก ๆ น้อย

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อครู่ตอนที่หลัวซิวเก็บยา นั่นเห็นได้ชัดว่ากลั่นยาสำเร็จแล้ว กลิ่นหอมของยาที่เข้มข้นนั้นไม่สามารถปลอมแปลงได้

ในเวลาอันสั้นเช่นนี้ ก็สามารถกลั่นได้สำเร็จได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ นี่เป็นสิ่งที่ปรมาจารย์กลั่นยาระดับหกที่ไหนสามารถทำได้กันล่ะ?

หนานเหมินโต้วก้มศีรษะลง ไม่มีคำใดถูกเอ่ยออกมา เพียงแค่ยืนขึ้นและโค้งคำนับไปที่หลัวซิวอย่างสุดซึ้ง

เขามั่นใจอย่างถึงที่สุด พูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว

นี่สิ ถึงจะเรียกว่าเป็นผู้ที่สามารถทำให้คนยอมจำนนได้โดยไม่มีข้อกังขา สำหรับนักกลั่นยาหนึ่งคน ไม่มีสิ่งใดน่าเชื่อถือไปมากกว่าสิ่งนี้อีกแล้ว

“อาจารย์เหว้ย นี่คือยาของท่าน”

หลัวซิวยกมือขึ้น ขวดหยกลอยออกไปทางเหว้ยห้าวหราน

เหว้ยห้าวหรานรีบเอื้อมมือไปรับไว้ และรีบตรวจสอบดูยาในทันที มันใดนั้นสีหน้าของเขาก็ชะงักไปทันที ยาหนึ่งเตาแปดเม็ด ทุกเม็ดต่างก็เป็นยาระดับกลางเจ็ดส่วนจริง ๆ ด้วย

สิ่งนี้ทำให้เหว้ยห้าวหรานอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจในภายหลัง เมื่อเห็นหลัวซิวกลั่นออกมาอย่างง่ายดายเช่นนี้ บอกว่าเอายาระดับกลางก็ได้ยาระดับกลาง หากเขาบอกว่าเอายาระดับสูง เช่นนั้นก็จะสามารถกลั่นออกมาได้งั้นหรือ?

“อย่างไรเล่า? อาจารย์เหว้ยไม่พอใจยาที่ข้ากลั่นหรือ?” หลัวซิวพูดพร้อมรอยยิ้ม

“พอใจ ต้องพอใจอยู่แล้ว!” เหว้ยห้าวหรานเรียกคืนสติได้ รอยยิ้มที่ระบายอยู่บนหน้านั้นมันกว้างเสียจนแทบจะฉีกถึงหูอยู่แล้ว

ยาวิเศษหนึ่งชุดสามารถแลกมาได้หนึ่งเตา เขาต้องดีใจและพอใจมากอยู่แล้ว

“ฮ่า ๆ เจ้าสำนักหลัวเปิดหูเปิดตาให้พวกเราจริง ๆ!”

ฉีฝ่าเทียนหัวเราะเสียงดัง “เช่นนี้ เหล่าผู้อาวุโสแก๊งนักกลั่นยา ยังมีใครไม่ยอมรับอีกหรือไม่?”

“คารวะท่านประธานแก๊ง!”

ด้วยการนำของหนานเหมินโต้ว ผู้อาวุโสแก๊งนักกลั่นยาทั้งหมดหกคน พวกเขาทั้งหมดยืนขึ้นด้วยความเคารพและโค้งคำนับหลัวซิวอย่างสุดซึ้ง

ฉีฝ่าเทียนยิ้มพร้อมกับหยิบตราประทับของปรมาจารย์กลั่นยาระดับหกออกมาอันหนึ่ง มันแตกต่างจากตราประทับของนักกลั่นยาทั่วไป ตราประทับนี้เป็นสีทอง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของสถานะประธานแก๊งแห่งภูมิภาคหนึ่ง

เมื่อมีตราประทับนี้ หลัวซิวก็จะได้รับสมญานามว่าเป็นประธานแก๊งแห่งแก๊งนักกลั่นยา ของดินแดนของประเทศเทียนหวูที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้!

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 501
“ในเมื่อเจ้าบอกว่าข้าไม่ใช่ปรมาจารย์กลั่นยาระดับหก เช่นนั้นข้าจะกลั่นยาระดับหกให้เจ้าดูหนึ่งครั้งในตอนนี้”

หลัวซิวยิ้มบาง ๆ “แต่หากใครก็สามารถสงสัยในตัวข้าได้ ต่อให้ข้าได้นั่งตำแหน่งประธานแก๊ง เกรงว่าจะไม่สามารถเป็นได้อย่างสมศักดิ์ศรี เจ้าต้องการให้ข้าพิสูจน์ทักษะระดับหกก็ย่อมได้ แต่ข้าต้องการแลกเปลี่ยนข้อตกลงหนึ่งข้อ เจ้ากล้ารับปากหรือไม่?”

“ข้อตกลงใด?” หนานเหมินโต้วนัยน์ตาเต็มไปด้วยความสงสัย

“หากข้าสามารถกลั่นยาระดับหกออกมาได้ในตอนนี้ ต่อไปเมื่อข้าได้เป็นประธานแก๊งนักกลั่นยา เจ้าจำเป็นต้องฟังคำสั่งของข้าอย่างเคร่งครัด โดยไม่สามารถต่อต้านได้ ข้ารู้ดีว่าเรื่องของฝานไท่เต๋อที่ผ่านมานั้นมันทำให้เกิดประเด็นในใจเจ้า แต่ทำสิ่งที่อยู่ภายใต้อำนาจของข้า ข้าคาดหวังว่าจะไม่มีใครมาคอยฉุดรั้ง”

“ดังนั้นข้าจึงขอกล่าวคำที่ไม่น่าฟังเช่นนี้เอาไว้เสียตั้งแต่ตอนนี้ หากใครไม่จำใส่ใจ ถึงเวลานั้นอย่าหาว่าข้าหลัวซิวคนนี้ไม่ไว้หน้า!”

หลัวซิวพูดคำพวกนี้ออกมา ไม่เพียงแค่ต้องการพูดให้หนานเหมินโต้วฟังคนเดียว แต่มันรวมถึงการบอกกล่าวกับผู้อาวุโสแก๊งนักกลั่นยาที่อยู่ที่นี่ด้วยเช่นเดียวกัน

เขารู้ดีว่า หากตนต้องการมีที่ยืนในแก๊งนักกลั่นยา ก็จำเป็นต้องสร้างอำนาจ และหนานเหมินโต้วคนนี้ก็วิ่งเข้ามาในมือเขาพอดี มันเป็นโอกาสที่ดีที่จะให้เขาได้สร้างอำนาจ

หลังจากสิ้นเสียงลง ด้วยการสะบัดนิ้วของหลัวซิว สำแสงสีเขียวก็พุ่งออกมาจากแหวนเก็บของ ตกลงไปเหนือพื้นดินสามฟุต

แสงสีเขียงยังคงแพร่กระจายอย่างต่อเนื่อง แค่เพียงพริบตาก็กลายเป็นเตากลั่นยาเตาหนึ่ง มีสองหัวสามขา เป็นสีเขียวทั้งตัวโดยมีมังกรคู่พันล้อมรอบ

เตากลั่นยานี้ คือเตากลั่นยาโบราณที่หลัวซิวได้รับมาจากเมืองร้างในตอนแรก ซึ่งนั่นก็คือเตาทยานนภามังกรคู่!

ต่อให้ในสมัยโบราณ เตาทยานนภามังกรคู่ก็เป็นหนึ่งในเตากลั่นยาขั้นดินที่ถือได้ว่าเป็นสมบัติขั้นสูง

เมื่อเตาทยานนภามังกรคู่ปรากฏขึ้น มีความแปรปรวนของวิถีเต๋าโบราณไหลออกมา ถึงแม้จะไม่รู้เรื่องการกลั่นยาอย่างฉีฝ่าเทียนและจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิง ต่างก็สามารถรับรู้ได้ว่า เตากลั่นยานี้ไม่ใช่ธรรมดา

แต่พวกนักกลั่นยาของหนานเหมินโต้ว กลับยังเห็นโลกไม่กว้างพอ ไม่สามารถรู้ถึงที่มาของเตากลั่นยานี้ได้

เพื่อสังเวยเตาทยานนภามังกรคู่ สายตาของหลัวซิวมองไปที่กลุ่มคนที่มุงอยู่ “ทุกท่านมีใครมียาวิเศษหรือไม่ ข้าสามารถกลั่นยาหนึ่งเตาในตอนนี้ให้ได้โดยไม่คิดค่าตอบแทน”

“ข้ามี!”

เหว้ยห้าวหรานเป็นคนแรกที่เอ่ยปาก หยิบยาวิเศษจำนวนหนึ่งออกมาโดยไม่พูดอะไร พอดีกับยาวิเศษที่จะกลั่นเตานี้คือยารวมจิตเรืองอร่าม

ยารวมจิตเรืองอร่าม เป็นยาชนิดหนึ่งที่สามารถชุบเทพจิต ยาระดับหกที่ช่วยเพิ่มตัวสำนึก ถือเป็นยาระดับหกที่อยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง โดยทั่วไปนักกลั่นยาระดับหกนั้นมีอัตราความสำเร็จไม่มากนัก

“ไม่รู้ว่าอัตราความสำเร็จของเจ้าสำนักหลัวมีเท่าไรหรือ?” เหว้ยห้าวหรานเอ่ยปากถาม

ก่อนหน้านี้เขาก็เคยไปหาฝานไท่เต๋อกลั่นให้กลั่นยาประเภทนี้ แต่อัตราความสำเร็จของฝานไท่เต๋อมีอยู่ไม่ถึงห้าส่วนด้วยซ้ำไป โดยปกติต้องใช้ยาวิเศษหกถึงเจ็ดชุด ถึงจะสามารถกลั่นได้สักหนึ่งเตา และนั่นเป็นเพียงผลสำเร็จของยาวิเศษ ยังไม่รวมถึงค่าตอบแทนสำหรับการกลั่นยาของฝานไท่เต๋อ

ได้ยินเช่นนี้ หลัวซิวก็หัวเราะดังลั่น “อาจารย์เหว้ยไม่มั่นใจในตัวข้าหรือ? เช่นนั้นท่านเอายาวิเศษออกมา ไม่กลัวข้ากลั่นขยะออกมาให้ท่านหรืออย่างไร?”

“ไม่ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น” เหว้ยห้าวหรานหน้าแดงขึ้นมา คำถามของเขาเมื่อครู่มันฟังดูหยาบคายเกินไปจริง ๆ

หลัวซิวกลับไม่ได้ใส่ใจอะไร ถึงอย่างไรวัตถุดิบของยารวมจิตเรืองอร่ามหนึ่งชุด สำหรับเหว้ยห้าวหรานที่เป็นถึงจักรพรรดิยุทธ์แล้ว มันเป็นแค่เพียงจำนวนเล็กน้อยเท่านั้น

“ไม่รู้ว่าอาจารย์เหว้ยอยากได้ยากี่ส่วนหรือ?” หลัวซิวถามกลับ

เมื่อถามประโยคนี้ ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นก็ตกตะลึง มีนักกลั่นยาที่ไหนถามอีกฝ่ายว่าอยากได้ส่วนยาเท่าไรกัน?

หรือหากข้าอยากได้ยาบริสุทธิ์ เจ้าก็สามารถกลั่นออกมาได้งั้นหรือ?

ไม่มีใครอยากได้ยาบริสุทธิ์สิบส่วน แต่ไม่ว่าใครก็รู้ดี ทั่วทั้งอาณาจักรใต้ ยังไม่เห็นนักกลั่นยาคนใดที่สามารถกลั่นยาบริสุทธิ์ออกมาได้

นักกลั่นยาในโลกปัจจุบันมีการแบ่งลำดับมาตรฐาน คือหกส่วนจะเป็นยาระดับล่าง เจ็ดส่วนเป็นยาระดับกลาง แปดส่วนคือยาระดับสูง เก้าส่วนเป็นยาชั้นพิเศษ

แต่ในสมัยโบราณ ต้องเป็นยาบริสุทธิ์สิบส่วนเท่านั้น จึงจะสามารถมีคุณสมบัติเรียกว่าเป็นยาชั้นพิเศษได้

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 500
ณ จุดนี้ ไม่ว่าใครก็สามารถมองออก ผู้ลาดตระเวนอาณาจักรใต้ ฉีฝ่าเทียนคนนี้ มีใจต้องการให้หลัวซิวมรับตำแหน่งหัวหน้าแก๊งแห่งแก๊งนักกลั่นยา

จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิง ปรมาจารย์หงหมิง อีกทั้งยังมีเหว้ยห้าวหรานทั้งสามคน ไม่ได้รู้สึกอะไร ด้วยความสามารถและพลังของหลัวซิวในทุกวันนี้ มันได้ไปไกลกว่าพวกเขาแล้ว ต่อให้ไม่นับเรื่องที่หลัวซิวมีฐานะเป็นนักกลั่นยา เขายังเป็นนักค่ายกลอีกด้วย เรียกได้ว่าความสามารถรอบด้านจริง ๆ

เขาไม่เคยได้แสดงออกถึงพลังในด้านของการหลอมอาวุธ แต่นั่นทำให้ทุกคนเกิดความสงสัยไปล่วงหน้าว่า เจ้าหนุ่มคนนี้เป็นนักหลอมอาวุธด้วยหรือไม่?

ถึงแม้พวกเขาจะคิดเช่นนี้ แต่มันก็เป็นการประเมินหลัวซิวสูงเกินไป ในทางของการหลอมอาวุธนั้น เขาไม่เคยได้ริลองเลยแม้แต่น้อย สามารถประสบความสำเร็จทางด้านกลั่นยาได้ ก็เป็นเพราะอาศัยความทรงจำของปรมาจารย์กลั่นยาระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น9

อีกทั้งทางด้านค่ายกล ก็มีจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำที่เป็นถึงปรมาจารย์ค่ายกลในสมัยโบราณคอยชี้แนะ หากว่าจะให้เขาเรียนรู้ด้วยตนเอง เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมาถึงจุดที่เป็นอยู่ตอนนี้

“ท่านผู้ลาดตระเวน หากให้หลัวซิวมารับช่วงต่อตำแหน่งหัวหน้าแก๊งนั้น ข้าคิดว่าไม่สมควร”

ผู้อาวุโสในแก๊งนักกลั่นยาคนหนึ่งลุกขึ้น และพูดพร้อมกับสายตามุ่งมั่น

สี่แก๊งใหญ่รวมกันเป็นหนึ่ง โดยมีองค์กรนักล่ายุทธ์เป็นผู้นำ ฉีฝ่าเทียนมีฐานะเป็นผู้ลาดตระเวน ย่อมมีคุณสมบัติที่จะแต่งตั้งตำแหน่งของประธานแก๊งในภูมิภาคนั้น ๆ

แต่เหล่าผู้อาวุโสแก๊งนักกลั่นยา ส่วนมากเคยเป็นลูกน้องคนสนิทของฝานไท่เต๋อมาก่อน และการที่ฝานไท่เต๋อต้องมาอยู่ในสถานะเช่นนี้ ทั้งหมดก็เป็นเพราะพ่ายแพ้ให้กับหลัวซิว ดังนั้นเหล่าผู้อาวุโสแห่งแก๊งนักกลั่นยา จึงมีความรู้สึกเป็นศัตรูกับหลัวซิวอยู่ไม่น้อย

ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาไม่คิดว่าชายหนุ่มอายุไม่ถึงยี่สิบปี จะเป็นปรมาจารย์กลั่นยาระดับหกได้

ต่อให้เป็นอดีตหัวหน้าแก๊งอย่างฝานไท่เต๋อยังต้องศึกษาวิถีการกลั่นยานับพันปี ไม่ว่าพรสวรรค์ของหลัวซิวคนนี้จะสูงส่งจนเกินธรรมดาสักเพียงใด หรือถึงขนาดเรียนรู้กลั่นยาตั้งแต่ในท้องแม่ ก็ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะบรรลุถึงระดับหกอย่างแน่นอน

“อย่างไร? เจ้าสงสัยในการตัดสินใจของข้างั้นหรือ?” ฉีฝ่าเทียนขมวดคิ้ว ไม่โมโหแต่เย่อหยิ่ง ทำให้เหล่าผู้อาวุโสแก๊งนักกลั่นยา ต่างก็รู้สึกถูกกดจนตัวเล็กลงไปถนัดตา

สถานะผู้ลาดตระเวนอาณาจักรใต้ ถึงแม้มีผลการฝึกตนแดนมกุฎยุทธ์ สถานะของฉีฝ่าเทียนก็เปรียบได้กับผู้แข็งแกร่งระดับมหายุทธ์แล้ว ตำแหน่งอันสูงส่ง สำหรับการที่มีคนมาขัดใจตนนั้น แน่นอนว่าต้องรู้สึกไม่ดีอยู่แล้ว

“ข้าน้อยไม่กล้า เพียงแต่ตำแหน่งประธานแก๊งนักกลั่นยาแห่งประเทศเทียนหวู จำเป็นต้องเป็นปรมาจารย์กลั่นยาระดับหกจึงจะสามารถรับตำแหน่งได้ แต่หลัวซิวคนนี้ยังเด็กเกินไป ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะมีทักษะถึงระดับหก”

ผู้อาวุโสนักกลั่นยาพูดอย่างตรงไปตรงมา “ยิ่งไปกว่านั้น ในบันทึกของแก๊งนักกลั่นยา เขาได้รับรองพียงปรมาจารย์กลั่นยาระดับสี่เท่านั้น”

ผู้อาวุโสพูดอย่างสมเหตุสมผล หากฉีฝ่าเทียนยังตั้งใจจะแต่งตั้งให้หลัวซิวเป็นประธานแก๊งนักกลั่นยาต่อ นั่นก็จะเป็นการลำเอียงเกินไป

“เจ้าสงสัยนความสามารถการรายงานขององค์กรนักล่ายุทธ์หรือ? หลัวซิวมีทักษะถึงระดับหกหรือไม่นั้น ข้าจะไม่รู้เชียวหรือ?”

ฉีฝ่าเทียนมีน้ำเสียงไม่พอใจ หันไปทางหลัวซิว และพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “เจ้าสำนักหลัว ดูท่าแล้วเจ้าคงต้องสำแดงพลังการกลั่นยาของตนเองออกมาเสียหน่อย มิเช่นนั้นเกรงว่าจะไม่สามารถทำให้เหล่าผู้อาวุโสแก๊งนักกลั่นยาเหล่านี้ยอมรับได้”

ในการนี้ หลัวซิวยิ้มบาง ๆ พร้อมกับพยักหน้า เขาคาดไม่ถึงว่าสมาชิกระดับสูงของแก๊งจะแต่งตั้งตัวเองให้เป็นประธานแก๊งนักกลั่นยาแห่งประเทศเทียนหวู สำหรับเขาแล้วมันส่งผลดีต่อเขาไม่น้อยเลยทีเดียว

อันดับแรกตำแหน่งประธานแก๊งสามารถได้รับสิทธิพิเศษมากมาย ทรัพยากรในประเทศเทียนหวูพื้นที่นี้ เขาสามารถกำหนดเวลาและควบคุมได้ตามต้องการ และด้วยสถานะนี้เขาสามารถหานักกลั่นยาจำนวนมากเพื่อใช้ในสำนักไท่เสวียน วางรากฐานที่มั่นคงให้กับสำนักไท่เสวียน

จากนั้น สายตาของหลัวซิวก็ไปหยุดอยู่ที่ผู้อาวุโสแห่งแก๊งนักกลั่นยาคนหนึ่ง “ท่านนี้คงเป็นผู้อาวุโสหนานเหมินโต้วใช่หรือไม่?”

“เป็นข้าน้อย” หนานเหมินโต้วกำหมัดขึ้นเป็นการคำนับ

ต่อให้เป็นเพราะเรื่องของฝานไท่เต๋อ หนานเหมินโต้วคนนี้จึงมีความรู้สึกไม่เป็นมิตรกับหลัวซิว แต่ภายในสี่แก๊งใหญ่ อำนาจของหลัวซิวนั้นอยู่เหนือกว่าเขา จึงจำเป็นต้องทำความเคารพ

 

 

 

 

 

บทที่ 59 อสูรกายกลืนกิน

 

จากนั้นไม่นาน ปู้เฟยก็เดินออกจากพื้นที่หมอกปกคลุม แล้วเข้าสู่หุบเขา จนหาปากถ้ำเจอ

ถ้ำนี้ มีด้านในสูง10กว่าเมตร ลมพัดหวนอยู่ในถ้ำ ราวกับเสียงร้องโหยหวนของผีสาง เพียงแค่ยื่นอยู่ที่ปากถ้ำ ปู้เฟยก็สามารถรับรู้ได้ว่าในถ้ำนี้มีพลังน่ากลัวครองพื้นที่อยู่

“จากบันทึกที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ให้ ทางเข้าของขุมรัพย์นี้ จะมีอสูรกายระดับ5เฝ้าอยู่!”

ปู้เฟยพลิกฝ่ามือ แล้วหยิบป้ายหยกออกมาจากสนับข้อมือเก็บของ จากนั้นเขาก็กัดนิ้วตนเอง เอาเลือดหยดบนป้ายหยกนั้น ป้ายหยกนั้นก็เปล่งแสง แล้วดูดซึมเลือดเข้าไปในพริบตา

“โฮก!”

เสียงคำรามที่ทำให้คนหวาดกลัว ดังออกมาจากด้านในถ้ำ เสียงสะท้อนไปไกลกว่าสิบลี้ ทำให้หมอกควันในหุบเขาหมุนวนไปหมด

“นี่มันตัวอะไร?”

หลัวซิวที่กำลังเดินอยู่ในกลุ่มหมอกควัน ก็ได้ยินเสียงคำราม เลือดลมในตัวก็สั่นสะเทือน เจ็บๆ ที่หู แค่เสียงคำรามเท่านั้น ก็ทำให้ใจสับสนวุ่นวายได้

ที่ปากถ้ำในหุบเขาลึก ปู้เฟยสัมผัสได้ถึงพลังที่น่ากลัวกำลังพุ่งเข้ามา อสูรเสือสองหัวตัวดำสนิทปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา

อสูรกายตัวนี้สูง700เมตร ตัวยาว10กว่าเมตร ใหญ่ตาราวกับเป็นภูเขาย่อมๆ ลำตัวปกคลุมไปด้วยไอสังหาร จนแทบจะทำให้คนหยุดหายใจ

“ท่าเสือสองหัวเขมือบลึก!”

ปู้เฟยรู้สึกว่าตนเองหยุดหายใจไป หัวใจเต้นแรงขึ้นมาก

นี่เป็นอสูรกายที่มีพลังเทียบเท่าราชายุทธ์ได้เลย เป็นอสูรสัญญาของราชายุทธ์ปู้เฉิน บรรพบุรุษของตระกูลปู้ ตอนที่ราชายุทธ์ปู้เฉินยังมีชีวิตอยู่ ก็ทิ้งอสูรกายตัวนี้ไว้เฝ้าสมบัติ ในขณะเดียวกันก็ทิ้งของแทนสัญลักษณ์ไว้ให้ลูกหลานตนเองด้วย

และป้ายหยกในมือของปู้เฟย ก็คือสัญลักษณ์นั้น!

ดวงตาสีแดงทั้งสี่บนสองหัวของอสูรกายจับจ้องมาที่ป้ายหยกในมือของปู้เฟย พลังรอบตัวของท่าเสือสองหัวเขมือบลึกก็เริ่มเก็บเข้าไป แล้วส่งเสียงคำรามต่ำๆ ออกมา พลังอาฆาตในดวงตาสีเลือด ก็อ่อนโยนลงมามาก

กลิ่นไปเลือดในป้ายหยก ทำให้มันมั่นใจได้ว่า มนุษย์ตรงหน้านี้ ก็คือลูกหลายรุ่นหลังของอดีตเจ้านายมัน

พอเห็นว่าท่าเสือสองหัวเขมือบลึกไม่ทำร้ายตนเอง ปู้เฟยก็หายใจเข้าอย่างลึก แล้วก็ตั้งสติได้

เขาจับป้ายหยกในมือแน่น นิ้วชี้ไปยังพื้นที่ที่มีหมอกควันปกคลุม แล้วพูดอย่างมีความอาฆาตว่า “มีคนจะมาแย่งชิงขุมทรัพย์ที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ เจ้าไปฆ่ามันเสีย!แล้วเอาของในตัวมันหลับมา”

อสูรกายระดับ5ก็ฉลาดมาก ถึงแม้จะพูดภาษาคนไม่ได้ แต่ฟังรู้เรื่องว่าปู้เฟยหมายความว่าอะไร

“โฮก!”

ท่าเสือสองหัวเขมือบลึกเงยหน้าคำรามออกไป ตัวยักษ์ใหญ่ของมันก็พุ่งออกไป เร็วดั่งสายฟ้าสีดำ บุกเข้าไปยังพื้นที่หมอกควัน

มีพลังของประสาทสัมผัสสิ่งมีชีวิต หลัวซิวรับรู้ถึงพลังชีวิตของปู้เฟยแล้ว แค่อีกไม่นาน ก็จะสามารถเดินออกไปจากพื้นที่นี้ได้แล้ว

ทันใดนั้น พลังชีวิตที่ใหญ่โตมโหฬารก็ปรากฏขึ้นในการรับรู้ของเขา แถมยังบุกมาถึงตำแหน่งของเขาอย่างรวดเร็วอีกด้วย

“ไม่ได้การแล้ว!”

หลัวซิวได้ยินเสียงคำรามที่น่ากลัวนั้น ภายใต้หมอกควันที่อึมครึม ก็มองเห็นเงาดำใหญ่ๆ บุกเข้ามาอย่างน่ากลัว

พลังที่น่ากลัวเกือบทำให้หลัวซิวหยุดหายใจ ภายใต้ความเป็นความตาย วงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพในจุดตันเถียนก็หมุนเร็วขึ้นมา ปราณเป็นตาย2ระดับไหลเวียนไปทั่วร่าง

“ฟิ้ว!”

ใช้วิชาท่ากลไกวิเศษ ร่างกายของเขากลายเป็นเงา แล้วหายไปจากตำแหน่งเดิม

“โครม!”

เงาดำใหญ่ๆ มาทับตำแหน่งเดิมของหลัวซิว หินกรวดกระเด็นไปทั่ว ดวงตาสีแดงทั้ง4ก็เปล่งแสงสีแดงของอสูรการออกมา ภายในหมอกที่หนาแน่น เผยให้เห็นเหมือนตะเกียงไฟสีแดง

อสูรกายที่น่ากลัวตัวนี้ มันน่ากลัวมาก ต่อให้เป็นจอมยุทธ์ที่เก่งที่สุดที่หลัวซิวเคยเจอ เช่นเจ้าสำนักยุทธ์ของเมืองชิงหยุน เมื่อเทียบกับเสือดำตัวนี้แล้วล่ะก็ เจ้าสำนักยุทธ์เป็นเหมือนเด็กเลย

“วิ่ง!”

หลัวซิวไม่จำเป็นต้องช้าอะไร วิชาท่าร่างถูกเขาใช้ออกมาอย่างสุดขีดจำกัด ภายใต้สภานการณ์เป็นตายแบบนี้ สัญชาตญาณทุกอย่างก็ถูกเอาออกมาใช้จนหมด

แต่ต่อให้หลัวซิวจะเร็วแค่ไหน ต่อหน้าท่าเสือสองหัวเขมือบลึก ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย

“ฟิ้ว!”

ท่าเสือสองหัวเขมือบลึกกระโดดเบาๆ ตัวยักษ์ใหญ่ของมันก็พุ่งออกไป ราวกับเป็นเงาดำสูงขึ้น ปกคลุมตัวหลัวซิวได้ทั้งหมด

“ไม่!”

หลัวซิวตะโกนออกมาอย่างดัง ดวงตาทั้งสองกลัวสุดขีด เขาไม่ยอมตายไปง่ายๆ แบบนี้แน่นอน

ช่วงเวลาคับขัน ความตายบีบให้เขาระเบิดใช้สัญชาตญาณออกมา วิชาท่ากลไกวิเศษแดนบรรลุผล พอกระโดดก็เลื่อนระดับใหม่เลย

“โครม!”

อุ้งมือขนาดยักษ์ก็ตะครุบลงไปที่พื้นจนเป็นหลุมใหญ่ สิ่งที่แหลกสลายนั้น เป็นเพียงเงาของหลัวซิวเท่านั้น

“โฮก!”

ท่าเสือสองหัวเขมือบลึกคำรามเสียงต่ำ อดไม่ได้ที่มนุษย์ตัวเล็กหลุดรอดไปจากเงื้อมมือตนเองได้

มันอ้าปากกว้าง พลังดูดที่รุนแรงก็บังเกิดขึ้นมา หมอกควันรอบด้านถูกรวมเข้ามา หลัวซิวที่เพิ่งหนีไปได้ไม่ไกล ก็รับรู้ได้ถึงแรงดูดมหาศาล ร่างกายเหมือนถูกยึดติดไว้ ขยับไม่ได้

พอเขาหันกลับไปมอง ก็เห็นท่าเสือสองหัวเขมือบลึกอ้าปากออกมาแดงแจ๋ ราวกับหลุมดำที่กำลังดูดกลืนกินทุกอย่างเข้าไป ปกคลุมไปทั่วทั้งหลายร้อยเมตร

“ไม่!เราจะตายไม่ได้!”

หลิวซิวพยายามเคลื่อนพลังพลังหยางบริสุทธิ์ แต่ต่อให้เป็นวิชาท่ากลไกวิเศษที่ถึงระดับแดนบริบูรณ์แล้ว ก็ไม่มีทางออกไปจากแรงดูดมหาศาลนี้ได้ ร่างกายลอยขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ แล้วลอยตกไปทางปากของใหญ่ๆ ของท่าเสือสองหัวเขมือบลึก

ช่วงเวลาเป็นตายนี้ หลัวซิวรู้สึกว่าในวิญญาณมีอะไรขยับขึ้นมาอย่างรุนแรง แสงสีขาวดำได้ปกคลุมไปทั่วทั้งร่างของเขา

“วิ๊ง!”

ร่างของหลัวซิวหายไป มีเพียงลูกแก้วขาวดำตกลงไปในปากของท่าเสือสองหัวเขมือบลึก

การรับรู้ของหลัวซิว ได้เข้าสู่ห้วงแห่งความมืด

ปู้เฟยก็รออยู่ที่ปากถ้ำ มุมปากก็เผยรอยยิ้มร้ายๆ ออกมา

เขาได้ยินเสียงตะโกนไม่ยอมก่อนตายของหลัวซิว เมื่อเผชิญกับท่าเสือสองหัวเขมือบลึกระดับ5 ไม่ต้องพูดถึงจอมยุทธ์ระดับแดนชี่ไห่หรอก ต่อให้เป็นจอมยุทธ์พรสวรรค์ ก็ต้องตายแน่นอน

“ฟู่!”

ลมที่มีพลังน่ากลัวพัดเข้ามากระทบใบหน้า ท่าเสือสองหัวเขมือบเข้ามาแล้ว หัวด้านซ้ายของมันอ้ากว้าง แล้วยื่นอุ้งมือออกมาชี้

“กินมันไปแล้วหรือ?” ปู้เฟยเผยสีหน้าดีใจ

ท่าเสือสองหัวเขมือบลึกพยักหน้า

“สิ่งของบนตัวมันล่ะ?” ปู้เฟยถาม

ท่าเสือสองหัวเขมือบลึกก็ยังคงชี้ไปที่ปากของตัวเอง

“กินไปแล้วงั้นหรือ?” ปู้เฟยสีหน้าเปลี่ยน

“ให้เจ้าไปฆ่ามัน แล้วเอาสิ่งของมันมา ทำไมเจ้าถึงกินมันไปหมดเลยล่ะ?” ปู้เฟยอยากจะร้องไห้ ตนเองก็คงจะไม่คลานเข้าไปหาของในปากมันหรอกมั้ง?

แต่ท่าเสือสองหัวเขมือบลึกไม่ได้สนใจเขา ในฐานะที่เป็นอสูรกายระดับ5 ถึงแม้จะฉลาด แต่หลักความคิด ยังไงก็ไม่เหมือนกับมนุษย์

ลำตัวยักษย์ใหญ่ก็คลานเข้าไปในถ้ำ ท่าเสือสองหัวเขมือบลึกก็นอนคว่ำลงในที่แห่งหนึ่ง สองหัวอ้าปากกว้าง แล้วก็หาวนอน

ปู้เฟยก็หน้าบึ้งมาก แต่ก็ไม่กล้าทำอะไรอสูรกายระดับ5ตัวนี้

เขารีบกลับไปยังพื้นที่หมอกควันแห่งนั้น แล้วตามหาอยู่3วัน แต่ก็ไม่เจออะไร

“หรือว่าจะถูดไอ้เดรัจฉานนั้นกินไปแล้วจริง? แล้วจะทำอย่างไรดี?”

เดิมทีนั้นคิดว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามแผน ปู้เฟยคิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น

เขาไม่ยอมจากไปแบบนี้ ดังนั้นก็เลยอยู่หุบเขานี้เสียเลย ทุกสองวันท่าเสือสองหัวเขมือบลึกก็จะออกมาหาอาหาร เขาหวังว่าระบบย่อนอาหารขอไอ้ตัวใหญ่นี้จะไม่ค่อยดี พอถึงตอนนั้นจะได้ขับถ่ายข้าวของในตัวหลัวซิวออกมา

กระบี่สว่างก็ไม่ได้มีการตอบสนองอะไร ปู้เฟยสันนิษฐานว่า หลัวซิวน่าจะเอากระบี่มืดใส่ไว้ในอุปกรณ์เก็บของแล้ว

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 58 กระบี่คู่มืดสว่าง

 

ถ้าหากว่าสามารถฝึกจนถึงระดับนี้ได้ ก็เพียงพอที่จะเอาไว้คุยกับกองกำลังที่มีอำนาจยิ่งใหญ่อย่างสำนักเซียวเหยาได้

“ขุมทรัพย์นั้นเป็นของบรรพบุรุษกูทิ้งไว้ให้ ถ้าจะเปิดมันออก จะต้องใช้กระบี่คู่มืดสว่าง ในมือกูมีแต่กระบี่สว่าง กระบี่มืดอยู่ที่มึง กูสามารถพามึงไปด้วยได้” หนุ่มน้อยหน้าดำกล่าว

เขาคงจะไม่มีทางบอกตำแหน่งของขุมทรัพย์ได้ตอนนี้

“บรรพบุรุษของมึงเป็นราชายุทธ์คนไหน” หลัวซิวถาม

“ราชายุทธ์ปู้เฉิน!และเป็นนักหลอมกระบี่ระดับ5ด้วย ส่วนกูก็คือคนเชื้อสายรุ่นหลังของปู้เฉิน ชื่อว่า ปู้เฟย”

“แล้วทำไมกูต้องเชื่อมึง?” หลัวซิวจ้องมองปู้เฟย “ในเมื่อเป็นขุมทรัพย์ที่บรรพบุรุษมึงทิ้งไว้ แล้วมึงจะยอมแบ่งกับกูงั้นหรือ?”

พอสัมผัสได้ว่าหลัวซิวไม่เชื่อตนเอง ปู้เฟยก็ส่งเสียงไม่พอใจออกมา “จะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่มึง ถ้าไม่ใช่เพราะกระบี่มืดอยู่ในมือมึง และกูก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้มึง กูจะบอกมึงงั้นหรือ?”

หลัวซิพิจารณาว่าที่ปู้เฟยพูดมาก็ค่อนข้างน่าเชื่อถือ ขุมทรัพย์ที่ราชายุทธ์คนหนึ่งทิ้งไว้ น่าดึงดูดพอสมควร ต่อให้เป็นกองกำลังที่ยิ่งใหญ่อย่างสำนักเซียวเหยาก็ยังสนใจ แล้วจะนับประสาอะไรกับหลัวซิวที่เป็นจอมยุทธ์ระดับวิชาชี่ไห่ขั้น1?

แต่ว่าเขารู้ดี ว่าในโลกนี้มีเรื่องอะไรที่ได้มาฟรีๆ ที่ปู้เฟยบอกเรื่องนี้กับเขา คงจะต้องมีจุดประสงค์

“เดินทางไปยังขุมทรัพย์ ใช้เวลานานแค่ไหน?” หลัวซิวถาม เขาไม่อยากพลาดเวลาการเข้าร่วมสอบเข้าสำนักเซียวเหยา

“1เดือนก็เพียงพอแล้ว” ปู้เฟยกล่าว

“ได้ กูจะไปกับมึง หวังว่ามึงอย่าเล่นแง่ก็แล้วกัน ไม่งั้นกูฆ่ามึงแน่ คิดไปแล้วมึงก็คงไม่น่าเอาชีวิตตัวเองมาล้อเล่นหรอก ใช่ไหมล่ะ?” สุดท้ายหลัวซิวก็ตัดสินใจ พอถึงตอนนั้นก็ระวังมากกว่าเดิมหน่อย ถ้าเจออะไรผิดปกติก็รีบถอยออกมา

ตามที่ปู้เฟยพูดมา ขุมทรัพย์ที่ราชายุทธ์ปู้เฉินทิ้งไว้ อยู่ในส่วนลึกของเขาปาฉี

เดิมทีตระกูลปู้เป็นตระกูลที่ฝึกยุทธ์ระดับต้นๆ ในเขตการปกครองหยุนหลง แต่ตั้งแต่ที่บรรพบุรุษราชายุทธ์ปู้เฉินสิ้นไปเมื่อ700กว่าปีก่อน กระบี่คู่มืดสว่างได้หายไปหนึ่งเล่ม ตระกูลปู้ก็เลยตกต่ำ ค่อยๆ กลายเป็นตระกูลปกติทั่วไป มาถึงรุ่นของปู้เฟย ตระกูลปู้ก็เหลือเขาเพียงคนเดียว

ในส่วนลึกของเขาปาฉี สามารถพบเจออสูรกายระดับ2ได้ง่ายๆ มีอสูรกายระดับ2ขั้นสูงบ้าง พลังเทียบเท่าวิชาชี่ไห่ขั้น9

“หยุด!”

ตอนที่2คนเดินไปในป่านั้น หลัวซิวก็หยุดฝีเท้าลง ขมวดคิ้ว

“เป็นอะไร?” ปู้เฟยถาม

“ถ้ายังเดินไปอีกล่ะก็ ห่างจากพวกเราอีก700กว่าเมตร จะอสูรกายระดับ3 พลังเทียบเท่าจอมยุทธ์พรสวรรค์”

หลัวซิวพูดเสียงขรึม จากนั้นก็มองด้านขวา “พวกเราอ้อมไปทางนี้”

“เอ็งรู้ได้ไงว่ามีอสูรกายระดับ3?” ปู้เฟยสงสัย

“โฮก!”

ในตอนนี้เอง เสียงคำรามอันน่าหลัวก็ดังมาจากด้านหน้า รังสีอำมหิตเต็มไปทั่วป่า ทำให้ปู้เฟยสีหน้าเปลี่ยน สีหน้าอึ้งๆ

แค่พลังที่ส่งออกมานี้ ปู้เฟยก็มั่นใจได้ว่า อสูรกายที่ส่งเสียงคำรามน่ากลัวแบบนี้ จะต้องเป็นสิ่งที่น่ากลัวแน่ๆ ไม่ใช่สิ่งที่จอมยุทธ์แดนชี่ไห่จะต้านทานได้

พอเห็นว่าหลัวซิวได้เดินไปทางขวาแล้ว สายตาของปู้เฟยก็เป็นประกาย และยิ่งรู้สึกว่าหนุ่มน้อยชุดดำคนนี้เต็มไปด้วยความลึกลับ

สองคนเดินกันมาสักระยะ ก็ไม่ได้เงียบกันไปเสียทั้งหมด เขาเองก็ลองเชิงถามที่มาของหลัวซิว รู้ว่าเขาเป็นนักเรียนของสำนักหวูแห่งเมืองชิงหยุน ชื่อว่า หลัวซิว

ในการรับรู้ของหลัวซืว มีพลังของอสูรกายที่แข็งแกร่ง เก่งกว่าผู้อาวุโสระดับจอมยุทธ์พรสวรรค์ในสำนักยุทธ์เยอะกว่ามาก

ยืมพลังของประสาทสัมผัสสิ่งมีชีวิต หลัวซิวและปู้เฟยเดินเข้ามาในส่วนลึกของเขาปาฉี ก็ถือว่ากลัวๆ กันอยู่ แต่ไม่มีอันตรายใดๆ

ถ้าไม่ได้หลัวซิวช่วยเตือน ปู้เฟยรู้ดี แค่ตัวเองคนเดียว คงไม่สามารถเดินเข้ามาถึงในนี้ได้แน่ ระหว่างทางที่ผ่านมา อย่างน้อยก็ได้เดินหลบเลี่ยงอสูรกายระดับ3ไปกว่านับ10ครั้ง

“อีกนานแค่ไหนกว่าจะถึงขุมทรัพย์?” หลัวซิวถาม

ระหว่างนี้ สองคนได้เดินอยู่ในเขาปาฉีเป็นเวลา7วันแล้ว เนื่องจากระหว่างทางจะต้องคอยหลบเลี่ยงพื้นที่ของอสูรกาย ดังนั้นส่วนใหญ่จะต้องเดินอ้อม ก็เลยต้องเสียเวลาไปมากหน่อย

ปู้เฟยหยิบหนังสัตว์ขึ้นมาหนึ่งแผ่น ด้านในวาดเป็นแผนที่ แล้วเทียบเคียงกับสภาพภูมิประเทศโดยรอบดู ก็พูดว่า “อย่างมากก็อีก2วัน ก็น่าจะถึงแล้ว”

“ไหนดูหน่อย” หลัวซิวขยับเข้าไปใกล้ แต่ปู้เฟยก็รีบเก็บแผนที่ไปอย่างรวดเร็ว

การตามหาขุมทรัพย์ราชายุทธ์ในครั้งนี้ ทั้งสองคนก็ระแวงกันอยู่ตลอด ปู้เฟยรู้ดีว่าหลัวซิวมีพลังที่สามารถฆ่าตนเองให้ตายได้ ดังนั้นแผนที่นี้ ก็คือสิ่งที่ทำให้เขากับหลัวซิวร่วมมือกันได้

หลัวซิวมีกระบี่มืดที่เป็นกุญแจสำคัญในการเปิดขุมทรัพย์ ถ้าอยากจะฆ่าตนเองเพื่องแย่งชิงเอาแผนที่ไปล่ะก็ เขาก็สามารถที่จะทำลายแผนที่นี้ก่อนที่หลัวซิวจะฆ่าตนเองตาย แล้วแย่งชิงแผนที่ไป

หลัวซิวเองก็รู้ดี ดังนั้นระหว่างเขากับปู้เฟย ก็เลยรักษาการดีกันเข้าไว้

ก็เป็นไปแบบนี้ ผ่านไปอีก2วัน หลัวซิวและปู้เฟย ก็มาถึงปากทางเข้าหุบเขาแห่งหนึ่ง

ด้านข้างของหุบเขา มีแม่น้ำสายหนึ่ง ขึ้นไปยืนบนกิ่งไม้ใหญ่ มองไปยังหุบเขาที่ไกลออกไป เห็นว่าในหุบเขามีหมอกควันปกคลุมไปทั่ว เป็นหมอกควันสีขาว มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าชัดเจน

“จากที่แผนที่ระบุไว้ ขุมทรัพย์ก็อยู่ในหุบเขาแห่งนี้ แต่ถ้าอยากจะเปิดมัน นอกจากจะใช้กระบี่คู่มืดสว่างแล้ว จะต้องใช้เลือดของลูกหลานของปู้เฉินเท่านั้นถึงจะได้!”

ปู้เฟยเอ่ยปากพูดขึ้นมา ในขณะเดียวกันสายตาก็มองหลัวซิวอย่างระแวง เพื่อป้องกันไม่ให้เขาแอบแย่งกระบี่สว่างไป

พอเห็นฝั่งตรงข้ามระแวงแบบนั้น หลัวซิวก็พูดนิ่งๆ ว่า “กูไม่ถึงขั้นจะต้องเสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพลหรอก ขอเพียงมึงไม่เล่นลูกไม้อะไร กูก็รับปากว่าจะไม่ลงมือทำอะไรมึง”

ตอนแรกนั้น ปู้เฟยไม่ได้บอกว่าการเปิดขุมทรัพย์จะต้องใช้เลือดเนื้อลูกหลานของราชายุทธ์ปู้เฉิน และที่ตอนนี้เขาพูดแบบนี้ออกมา เห็นได้ชัดว่ากังวลกลัวหลัวซิวหักหลัง

สองคนระแวงกันและกัน เดินเข้าป่าไป เข้าไปยังหุบเขานั้น

หลัวซิวปล่อยประสาทสัมผัสสิ่งมีชีวิตออกมา พบว่าในหุบเขานี้ไม่มีพลังชีวิตของอสูรกายและมนุษย์อยู่เลย

สองคนเพิ่งเดินเข้าสู่หุบเขา หมอกควันสีขาวรอบๆ ก็ถาโถมเข้ามา ตาเปล่าสามารถมองเห็นได้แค่1เมตรไกลออกไป

“ปู้เฟย มันเกิดอะไรขึ้น?”

หลัวซิวขมวดคิ้วถาม แต่พอหันหลังกลับไป ปู้เฟยหนุ่มน้อยหน้าดำก็หายไปแล้ว

หมอกสีขาวปกคลุมปิดบังไปทั่วหุบเขา ในมือของปู้เหยถือเข็มทิศกลมๆ ไว้ ด้านบนสลักลวดซับซ้อนไว้ในเข็มทิศมีเข็มแดงชี้บอกทิศทาง ตอนนี้เข็มก็ได้หมุนไปมา

“ไม่รู้จักที่ตายดี ขุมทรัพย์ที่บรรพบุรุษตระกูลปู้ของกูทิ้งไว้ จะให้คนอื่นมาชุบมือเปิปได้อย่างไร?”

ตามที่เข็มทิศชี้บอกทิศทาง หมอกควันสีขาวรอบๆ ก็เหมือนจะเป็นอุปสรรคต่อปู้เฟยเลย

จริงๆ แล้วหมอกควันที่ปกคลุมไปทั่วหุบเขานี้ คือค่ายกลระดับ4ชนิดหนึ่ง ถ้าไม่มีตัวบอกทิศทางชัดเจน ต่อให้เป็นยอดฝีมือจอมยุทธ์พรสวรรค์เข้ามาข้างใน ก็ยากที่จะออกไปได้ ต้องถูกขังอยู่ในนี้ทั้งชีวิต

“กระบี่มืดยังอยู่ในมือมัน จะต้องฆ่ามันให้ได้ ลึกลับถึงจะได้กระบี่มืดมา แล้วเปิดขุมทรัพย์” สายตาของปู้เฟยเผยรังสีการฆ่าออกมา

ถ้าปีนั้นกระบี่มืดไม่ได้หายไป จากของล้ำค่าที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ ตระกูลปู้ก็คงจะไม่ตกต่ำจนถึงขั้นนี้

ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ปู้เฟยคิดไว้ว่าจะต้องครอบครองขุมทรัพย์ที่บรรพบุรุษเหลือไว้ให้ได้ ต่อให้ไม่ต้องเอามาก่อร่างสร้างตระกูลใหม่ อย่างน้อยก็หวังว่าจะได้ใกล้เคียงกับราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่งอย่างบรรพบุรุษ!

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 57 เปลวไฟดำที่รุนแรง

 

“เอ๊ะ?” หลัวซิวก็เผยสีหน้าตกใจออกมาเหมือนกัน แล้วก็นึกถึงพลังสีเหลืองคล้ำเมื่อสักครู่นี้ พลังนั้นมันแข็งแกร่งมาก เดิมทีนั้นคิดว่าแค่หมัดเดียวก็จะสามารถทำอันตรายต่อลายเส้นชีวิตของฝั่งตรงข้ามได้ แต่หนุ่มน้อยหน้าดำคนนั้นไม่ได้เป็นอะไรเลย

“กูเกิดมาก็มีร่างกายพิเศษ ตอนที่อยู่ระดับแดนกลั่นร่างนั้น กำลังภายในที่ฝึกออกมาก็แฝงพลังธาตุอยู่ด้วย ดูเหมือนว่ามึงก็น่าจะมีความพิเศษอะไรเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นยังไม่ถึงระดับแดนพรสวรรค์ ก็คงยังไม่สามารถฝึกพลังAttrได้หรอก”

หนุ่มน้อยหน้าดำพูดเสียงต่ำออกมา โดยไม่รู้ว่าหลัวซิวไม่ได้มีร่างกายพิเศษอะไรแต่เกิด แต่ได้พลังจากการซึมซับโรคชีพจรขาดธาตุไฟ จึงได้มีพลังธาตุไฟ

อีกอย่าง ที่หลัวซิวมีนั้น ไม่ได้เป็นพลังAttrชนิดเดียว!

Attrชีวิต Attrความตาย Attrเปลวไฟ รวมถึงเปลวไฟขาวชีวิตที่รวมเข้าด้วยกัน เปลวไฟดำเป็นตาย ปราณเป็นตาย2ระดับ……..

ดวงตาจ้องมองไป จับจ้องไปยังลายเส้นชีวิตของหนุ่มน้อยหน้าดำคนนั้น หลัวซิวพบว่า ลายเส้นชีวิตของฝั่งตรงข้ามก็เหมือนกับจอมยุทธ์แดนชี่ไห่คนอื่นๆ ล้วนมีแสงสีเขียวเหมือนกัน แต่ที่ต่างกันก็คือ ลายเส้นชีวิตของหนุ่มน้อยหน้าดำคนนี้มีแสงสีเหลืองคล้ำอีกชั้นหนึ่ง

ที่กำปั้นเมื่อครู่ไม่อาจทำร้ายลายเส้นชีวิตของฝั่งตรงข้ามได้ ก็เพราะว่าถูกพลังของแสงสีเหลือคล้ำนี้มาขวางไว้

นี่คือสิ่งที่หลัวซิวไม่เคยเห็นบนตัวของจอมยุทธคนอื่นๆ เลย

เห็นได้ชัดว่า ทุกอย่างมันเป็นความพิเศษของหนุ่มน้อยหน้าดำคนนี้

ในตอนนี้เอง หนุ่มน้อยหน้าดำตรงหน้าก็ลงมืออีกครั้ง นิ้วทั้งห้างอเป็นรูปกรงเล็บ ระหว่างนิ้วก็มีแสงสีเหลืองคล้ำเปล่งออกมา

หลัวซิวก็รับศึก วงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพในจุดตันเถียนก็หมุนเร็ว เปลวไฟดำเป็นตายมารวมกันที่สองหมัด

“ตุ้ม!”

สองคนปะทะกันอย่างแรงอีกแล้ว หลัวซิวรู้สึกว่าปราณแท้ของฝั่งตรงข้ามหนักแน่นมาก ยิ่งใหญ่รุนแรง ทำให้กำปั้นของเขารู้สึกเจ็บปวดเนืองๆ ขึ้นมา

ครั้งนี้ เขาก็ถอยร่นไป3ก้าวอีกแล้ว หนุ่มน้อยหน้าดำตรงหน้าไม่ได้บุกตาม แต่มองที่ฝ่ามือตนเอง ด้วยสีหน้านิ่งขรึม

“เปลวไฟดำน่าแปลกจริง” ออกท่าไป2ครั้ง เขาสามารถรับรู้ได้ว่าปราณแท้เปลวไฟดำที่ฝั่งตรงข้ามใช้นั้นเข้ามารุกรานในร่างกาย กำลังเผาไหม้เส้นชีพจรเลือดเนื้อของเขา ต่อให้ใช้ปราณแท้Attrดินก็ยากที่จะต้านได้

อาศัยจังหวะที่หนุ่มน้อยหน้าดำกำลังเหม่อลอย หลัวซิวก็พลิกฝ่ามือ แล้วใช้กระบี่ยุทธชั้นกลางที่ได้มาหลังจากที่ฆ่าวัยรุ่นชุดขาวนั้น เอาออกมาจากแหวนเก็บของ

“วิชาเก้ากระบี่สะท้านฟ้า!”

แสงกระบี่ดั่งสายฟ้า ฟาดผ่านอากาศ มีไฟสีดำติดอยู่ด้วย รวดเร็วมาก เพียงชั่วลมหายใจก็มาถึงตรงหน้าของหนุ่มน้อยหน้าดำแล้ว

“เหอะ ปราณแท้ของกูถนัดป้องกัน มึงทำอะไรกูไม่ได้หรอก”

หนุ่มน้อยหน้าดำสีหน้านิ่ง แล้วก็ร่ายท่าหมัดปัดป้องคมกระบี่ แต่ต่อจากนั้น หนุ่มน้อยหน้าดำก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป

“สึบ!”

เลือดกระจาย เจ็บปวดที่แขนขวา หนุ่มน้อยหน้าดำก็ถอยออกไปอย่างรวดเร็ว ใบหน้ามีความตกใจไม่น้อย

“อย่างนี้นี่เอง!” หลัวซิวตาโต ถึงแม้ลายเส้นชีวิตของฝั่งตรงข้ามจะมีพลังสีเหลืองคล้ำปกป้องอยู่ แต่ขอเพียงมีพลังโจมตีที่เพียงพอ ก็สามารถทำลายได้ ทำร้ายฝั่งตรงข้ามได้

ใช้กระบี่ยุทธ์ชั้นกลางมาออกกระบวนท่าวิชาเก้ากระบี่สะท้านฟ้า พลังก็จะมากกว่ากำปั้นของหลัวซิวเป็นธรรมดา

“หยุดก่อน!”

ตอนที่หลัวซิวจะลงมือนั้น หนุ่มน้อยหน้าดำคนนั้นก็ตะโกนออกมา

“ทำไม? จะซัดมึงนี่แหละ มึงบอกให้หยุดก็จะหยุดงั้นหรือ?”

หลัวซิวหัวเราะเย็น ร่ายวิชากระบี่ เป็นแสงสีดำกลุ่มใหญ่ ปกคลุมตัวของหนุ่มน้อยหน้าดำ

“สึบ!สึบ!สึบ!……”

เลือดกระเด็นเป็นสายๆ หนุ่มน้อยหน้าดำถูกโจมตีจนถอยไปหลายครั้ง ลำตัวเป็นแผลหลายแห่ง เลือดไหลออกมา ปราณแท้Attrดินที่ปกติแล้วจะภาคภูมิใจ ไม่อาจต้านทานคมกระบี่ของหลัวซิวได้เลย

แต่หลัวซิวก็ไม่ได้จะเอาตาย บาดแผลบนตัวของหนุ่มน้อยหน้าดำ ก็เป็นเพียงแผลภายนอก เพียงแต่มันดูแย่ก็เท่านั้นเอง

กระบี่ยุทธ์เผยคมกระบี่ แล้วก็เก็บเข้าฝักไป หลัวซิวยิ้มเบาๆ “เอาเถอะ มึงที่อะไรก็พูดมาเลย”

“มึง……..” หนุ่มน้อยหน้าดำเกือบจะกระอักเลือด สีหน้านิ่งขรึมมาก แต่เพราะว่าเดิมทีหน้าก็ดำอยู่แล้ว ก็เลยมองไม่ออก

“มึงเมิงอะไรล่ะ? มึงมาถึงก็ลงไม้ลงมือ ดังนั้นก็เลยสั่งสอนมึงไปหน่อย ไม่อย่างนั้น แค่ที่มึงบอกจะฆ่ากู มึงคิดว่ามึงจะยังมีชีวิตรอดอีกหรือไง?” หลัวซิวตวาด

“เหอะ!” หนุ่มน้อยหน้าดำก็รู้ว่าหลัวซิวพูดจริง ไม่อย่างนั้นบาดแผลที่ได้จากกระบี่เมื่อครู่ คงจะไม่ใช่จุดทั่วไปบนร่างกาย แต่เป็นจุดสำคัญไปแล้ว

“แพล๊ง!”

หนุ่มน้อยหน้าดำเอากระบี่จากด้านหลังออกมา เป็นกระบี่ที่ขาวดั่งหิมะทั้งเล่ม และกำลังสั่นอย่างแรงเหมือนกัน

สายตาของหลัวซิวก็หยุดมองไปที่รอยต่อระหว่างด้ามกับใบกระบี่ และเห็นว่าสลักคำว่า สว่าง ไว้

“กระบี่ของกูเล่มนี้ ชื่อว่า กระบี่สว่าง ส่วนของมึง ก็คือ กระบี่มืด” หนุ่มน้อยหน้าดำพูดออกมา

“กระบี่สองเล่มนี้มันเกี่ยวข้องอะไรกัน?” หลัวซิวถาม

หนุ่มน้อยหน้าดำมองหลัวซิว “กระบี่สองเล่มนี้ ชื่อว่า กระบี่คู่มืดสว่าง เป็นกระบี่ที่ปรมาจารย์หลอมกระบี่ระดับ5ตีขึ้นเมื่อ700กว่าปีที่แล้ว”

“ปรมาจารย์หลอมกระบี่ระดับ5งั้นหรือ?” หลัวซิวเผยสีหน้าตกใจออกมา แต่ก็รีบขมวดคิ้วทันที “มึงแต่งเรื่องขึ้นมาหรือเปล่า? ปรมาจารย์หลอมกระบี่ระดับ5สามารถสร้างกองทัพดินออกมาได้เลย แต่กระบี่สองเล่มนี้ก็แค่อาวุธชั้นล่างทั่วไปเท่านั้นเอง”

นักยุทธ์แบ่งเป็น3ระดับ ฟ้า ดิน คน แต่ละระดับจะแยกเป็นชั้นล่าง ชั้นกลาง ชั้นสูง และชั้นยอด

มีแต่นักหลอมอาวุธระดับ5เท่านั้นที่สามารถหลอมนักยุทธ์ออกมาได้ ส่วนกองทัพฟ้า ส่วนมากจะเป็นตำนาน ต่อให้เป็นนักหลอมอาวุธระดับ9 ก็ไม่มีทางหลอมออกมาได้

ตามที่หลัวซิวรู้ กลุ่มนักหลอมอาวุธในเมืองชิงหยุน ก็แค่ระดับ3 นักหลอมอาวุธระดับ5สักคน ทั้งในเขตการปกครองหยุนหลง ก็ถือว่าระดับสูงสุดแล้ว

“มึงจะรู้อะไร? นักหลอมอาวุธระดับ5ที่กูพูดถึง ไม่ใช่นักหลอมอาวุธธรรมดา ปรมาจารย์หลอมกระบี่ที่วิจัยการหลอมกระบี่อย่างเดียวเท่านั้น!” หนุ่มน้อยหน้าดำพูดอย่างไม่พอใจ

อาวุธที่จอมยุทธ์ใช้นั้นมีมากมาย นักหลอมอาวุธบางคนจะหลอมแค่อาวุธชนิดเดียว จำพวกอาวุธที่จอมยุทธ์ชอบใช้มากที่สุด

“เขาตั้งใจหลอมกระบี่คู่มืดสว่างออกมา คงจะไม่ใช่อาวุธธรรมดาๆ แน่ แต่มันเป็นกุญแจ!” หนุ่มน้อยหน้าดำพูดไป แล้วก็เอายาสมานแผลออกมาทาแผลไปด้วย

“กุญแจงั้นหรือ? กุญแจอะไร?” หลัวซิวถามต่อ คิดลึกๆ ว่าหนุ่มน้อยหน้าดำคนนี้คงจะไม่ได้แต่งเรื่องขึ้นมา

“เป็นกุญแจขุมทรัพย์แห่งหนึ่ง!เป็นขุมทรัพย์ที่ราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่งทิ้งไว้”

“ขุมทรัพย์ราชายุทธ์งั้นหรือ?” หลัวซิวตาเป็นประกาย

ตอนนี้เขาไม่ใช่เด็กที่เพิ่งได้ออกจากบ้านแล้ว เคยได้รับการชี้แนะจากเจ้าสำนักยุทธ์ รู้ว่าเหนือผู้ฝึกยุทธ์แดนกลั่นร่าง แดนชี่ไห่ จอมยุทธ์พรสวรรค์ขึ้นไป จริงๆ แล้วยังมีความแข็งแกร่งมากกว่านั้น

เหนือจอมยุทธ์พรสวรรค์ ก็คือปรมาจารย์ฝึกจิตแห่งโลกยุทธ์ ปรมาจารย์ยุทธ์ที่ว่านั้น ก็คือปรมาจารย์แห่งโลกยุทธ์ สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ตามสบาย!

เหนือปรมาจารย์ฝึกจิตแห่งโลกยุทธ์ ขึ้นไป ก็ยังมีแดนผู้ชนะ ชื่อเสียงว่าผู้ชนะแห่งโลกยุทธ์ คนเรียกว่า ราชายุทธ์

ที่สำนักเซียวเหยาได้เป็นกองกำลังใหญ่ของเขตการปกครองหยุนหลงได้ เรียกได้ว่าพื้นที่ยิ่งใหญ่ของประเทศเทียนหวู ก็เพราะว่ามีผู้แข็งแกร่งระดับราชายุทธ์นั่งเป็นประธาน!

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 56 ราชายุทธ์

 

“โฮก!”

ทันใดนั้น เสียงคำรามของสัตว์ก็สะเทือนเลื่อนลั่นไปทั้งป่า ทำให้หลัวซิวหูอื้อ เลือดลมในตัวก็สะเทือนกันขึ้นมา

“แค่เสียงคำรามก็มีพลังขนาดนี้ อย่างน้อยก็เป็นอสูรระดับ3ขึ้นไป!”

หลัวซิวสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย นี่คือเขาปาฉีที่มีอันตรายรอบด้าน กลิ่นคาวเลือดสามารถดึงดูดอสูรบริเวณใกล้เคียงเข้ามาได้ง่ายๆ

เขาไม่กล้าอยู่ต่อ ในขอบเขตของสัญญาณชีวิต มีกลิ่นอายของอสูรกายที่แข็งแกร่งปรากฏขึ้น เขารีบใช้วิชาท่าร่างออกไปจากที่นี่ทันที

ผ่านไปพักใหญ่ หลัวซิวก็มาโผล่ที่ข้างลำธารสายหนึ่ง ใช้มือช้อนน้ำขึ้นมาดื่ม และล้างหน้าด้วย

พอนึกถึง3คนนั้นที่ถูกตนเองฆ่าตาย ใบหน้าของหลัวซิวก็หน้าเคร่งขรึมขึ้นมา

“จางหลู่เหลียงส่งลูกศิษย์3คนมาฆ่าเรา แล้วถ้า3คนนั้นยังไม่กลับไปสักทีล่ะก็ เขาก็ต้องสงสัยแน่ๆ พอถึงตอนนั้นเราได้ไปในสำนักเซียวเหยาคงจะเจอปัญหาไม่น้อย”

สำหรับเรื่องของนายท่านของตระกูลจางนั้น เจ้าสำนักชิงหยุนก็เคยบอกกับหลัวซิวแล้ว ว่าเป็นยอดฝีมือพลังระดับแดนพรสวรรค์ขั้น9แค่นิ้วมือเดียวก็สามารถแสดงพลังแดนชี่ไห่แบบเขาออกมาได้ง่ายๆ

หลัวซิวรู้ดี ต่อให้ตนเองต้องทำลายลายเส้นชีวิตเพื่อต่อสู้ข้ามระดับ แต่ถ้าพลังมันมากกว่าตนเองมากเกินไป ก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี เพราะว่าจอมยุทธ์ที่ยิ่งแข็งแกร่ง ลายเส้นชีวิตก็จะแข็งแกร่งไปด้วยเหมือนกัน ทำลายได้ยาก

คิ้วขมวดแน่น หลัวซิวเคยคิดว่าจะไม่ไปเข้าร่วมสอบ แต่ถ้าไม่ได้มีฐานะเป็นลูกศิษย์ของสำนักเซียวเหยา เขาก็จะไม่มีตำแหน่งอะไรในเขตการปกครองหยุนหลง พอถึงตอนนั้นนายท่านตระกูลจางจะมาเล่นงานตนเองอีก ก็จะไม่มีความเกรงกลัวอะไรเลย

“รู้ดีว่ามันอันตราย แต่ก็ได้แค่มุ่งหน้าไปหามันเท่านั้น” พอหลัวซิวพิจารณาแล้ว ก็ตัดสินใจที่จะไปเข้าร่วมสอบ

เจ้าสำนักชิงหยุนบอกไว้ว่า ขอเพียงเขาได้เป็นศิษย์นอกสำนัก ต่อให้นายท่านตระกูลจางจะมีอำนาจ ก็ไม่กล้าทำอะไรเขา ถ้าหากว่าถูกคัดเลือกให้ถูกฝึกอย่างดี ตำแหน่งก็อาจจะอยู่เหนือนายท่านตระกูลจางนั่นได้

ส่วนพ่อแม่ของตนเอง เจ้าสำนักชิงหยุนก็รับปากไว้แล้ว ขอเพียงอยู่ในเมืองชิงหยุน ก็จะช่วยปกป้องดูแลให้ปลอดภัย เพื่อให้หลัวซิวไม่ต้องกังวลอะไร

“วิ๊ง!”

ในตอนนี้เอง หลัวซิวรู้สึกว่ากระบี่เงามืดด้านหลังสั่นๆ

“เกิดอะไรขึ้น?”

หลัวซิวตกใจเล็กน้อย แล้วก็ชักกระบี่ออก เห็นว่ารอยต่อที่ตัวกระบี่กับด้ามสลักไว้ว่า มืด เปล่งรัศมีสีดำออกมา ตัวกระบี่สั่นๆ ราวกับถูกเรียกขานให้กลับไปที่เดิมจากแดนไกล

“รับรู้ถึงเสียงเรียกงั้นหรือ?”

หลัวซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วมองไปที่ห่างไกล เขาสัมผัสได้ถึงที่มาที่ทำให้กระบี่เงามืดสั่นไหว มันมาจากทิศทางนี้

ตอนนั้นที่เขาซื้อกระบี่เงามืดมาจากร้านขายอาวุธ เจ้าของร้านบอกว่ากระบี่เล่มนี้เคยเป็นของนักล่าอสูรคนหนึ่ง ไปเจอมาจากโบราณสถานแห่งหนึ่ง

หลัวซิวคิดมาตลอดว่าเจ้าของร้านอาวุธแกล้งพูด เพื่อให้ของในร้านตัวเองมีราคาสูงขึ้น

แต่ว่ากระบี่เงามืดก็เป็นวัสดุพิเศษจริงๆ พลังเหมือนกับอาวุธชั้นล่าง แต่ต่อให้อาวุธขั้นสูงมาฟันใส่ ก็ไม่มีทางทิ้งร่องรอยความเสียหายไว้ให้มันได้เลย

“หรือว่ากระบี่เล่มนี้จะมีที่มาจริงๆ? แล้วการเรียกขานนี้มันคืออะไรกันแน่?” หลัวซิวชักแปลกใจ และสงสัยขึ้นมา

เก็บกระบี่เข้าฝัก หลัวซิวเดินต่อ เข้าไปในเขาปาฉีตามเสียงเรียกของกระบี่เงามืด

ในขณะเดียวกัน ก็มีหนุ่มน้อยผิวดำคนหนึ่งเดินอยู่ในป่าเหมือนกัน กระบี่ที่แบกด้านหลังก็สั่นๆ

“กระบี่สว่างสั่นไหว หรือว่าจะรับรู้ได้ว่ากระบี่มืดอยู่แถวนี้?” หนุ่มน้อยคนนี้ตาเป็นประกาย แล้วก็รีบเดินต่อไป เดินไปยังทิศทางที่กระบี่สั่นไหว

“พลังของกระบี่คู่มืดสว่าง เทียบเท่าของชั้นล่าง ระดับจอมยุทธ์พรสวรรค์ อย่างน้อยก็ต้องใช้ของชั้นกลาง คนที่ถือกระบี่มืดคงจะมีพลังไม่แข็งแกร่งมากนัก เราน่าจะแย่งชิงมาได้อยู่!”

หนุ่มน้อยคนนี้ผิวดำเป็นเงา รูปร่างกำยำ ท่าทางบึกบึน ท่าเดินเหมือนพยัคฆ์ อารมณ์ดุร้าย

ในป่าทึบของเขาปาฉี มีเงาคนสองคนเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เดินมุดเข้าป่า

พอระยะห่างใกล้เข้าเรื่อยๆ กระบี่ยุทธ์ที่แผ่นหลังของทั้งสองคน ก็สั่นมากขึ้นกว่าเดิมเรื่อยๆ

หลัวซิวก็ได้ใช้ประสาทสัมผัสสิ่งมีชีวิต สัมผัสการเคลื่อนไหวรอบๆ โดยตลอด ทันใดนั้น เขาก็สัมผัสได้ว่ามีพลังของจอมยุทธ์คนหนึ่งโผล่ขึ้นมา ในสายตาก็ปรากฏคนคนหนึ่งขึ้นมา และกำลังเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว

“เขานี่เอง!”

สายตาจับจ้องไป หลัวซิวเห็นว่าฝั่งตรงข้ามแบกกระบี่ไว้ที่หลังหนึ่งเล่ม การตอบสนองของกระบี่เงามืด ก็เกิดจากกระบี่เล่มนั้นที่ส่งมา

“โครม!”

ตอนที่ทั้งสองคนห่างกัน10กว่าเมตรนั้น บนตัวของหนุ่มน้อยผิวดำเงาคนนั้น ก็เผยพลังสีเหลืองคล้ำออกมา แล้วก็ฉีกต้นไม้ต้นใหญ่ๆ จนแยกออกเป็นเสี่ยง แล้วก็ทุ่มมายังตัวหลัวซิว

ต้นไม้นั้นมันใหญ่มาก พุ่งเกิดเป็นเสียงลม ยิ่งใหญ่รุนแรง ดูเหมือนว่าพลังของฝั่งตรงข้ามจะน่ากลัว

“ฟุบ!”

กระบี่เงามืดด้านหลังออกจากฝัก เห็นเป็นเศษไม้กระจัดกระจาย หลัวซิวก็ร่อนลงพื้น ฟันเอาต้นไม้ที่พุ่งมาแหลกสลายกลางอากาศ

กระบี่เงามืดในมือของเขาก็สั่นแรง เหมือนจะไม่ฟังคำสั่ง ทำให้กลัวซิวต้องขมวดคิ้วขึ้นมา

ห่างออกไป5-6เมตร หนุ่มน้อยผิวดำเงาคนนั้น มีสายตาตั้งมั่น จ้องมองมาที่กระบี่เงามืดในมือของเขา

“เห้ย เอากระบี่ในมือมึงมาให้กู” หนุ่มน้อยคนนั้นจ้องมองหลัวซิว แล้วพูดเสียงแข็ง

“ทำไมต้องให้มึง?” หลัวซิวเก็บกระบี่เข้าฝัก เนื่องจากมันสั่นแรงมาก จะทำให้ตนเองเสียแรงในการควบคุมไปได้

หนุ่มน้อยหน้าดำคนนั้นก็ลงมือทันที กระบี่สองเล่มรับรู้ถึงกันได้อย่างรุนแรง จะต้องมีอะไรแน่ๆ หลัวซิวไม่มีทางให้กระบี่ไปเด็ดขาด

“มึงไม่กลัวกูฆ่ามึงหรือไง?” หนุ่มน้อยจ้องมองหลัวซิว น้ำเสียงเย็นชา

“มึงก็ลองดูสิ” หลัวซิวไม่กลัว จากพลังชีวิต สัมผัสได้ว่าพลังของฝั่งตรงข้ามพอๆ กับวัยรุ่นชุดขาวที่จะมาฆ่าตนเองก่อนหน้านี้

“ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นกูก็ต้องลงมือแล้วล่ะ”

หนุ่มน้อยหน้าดำยิ้มตาหยี กำสองหมัดแน่น กระดูกนิ้วถูกเขากำแน่นจนได้ยินเสียงดังแกร๊บ

“ตุบ!”

หนุ่มน้อยหน้าดำคนนั้นก้าวเท้าออกมา พื้นก็สั่นสะเทือน ราวกับพยัคฆ์ร้ายจะกระโจนออกมา แล้วมาโผล่ที่ตรงหน้าของหลัวซิว บนกำปั้นมีปราณแท้รวมอยู่ เปล่งเป็นแสงสีเหลืองคล้ำ ลมส่งมารุนแรงเกินจะเทียบ

หลัวซิวสายตานิ่ง แล้วก็รีบร่ายหมัดเสือมังกรทันที กำปั้นเปล่งไฟสีดำออกมา แล้วต่อยออกไป

เขารู้ดี เมื่อเผชิญกับยอดฝีมือระดับวิชาชี่ไห่ขั้น7แบบนี้ จะต้องเต็มที่ถึงจะสู้ไหว

“โครม!”

สองกำปั้นที่มีปราณแท้รวมอยู่ปะทะเข้าหากัน พลังที่ไร้ลักษณ์แตกออก ทำให้อากาศกระจายออกเป็นคลื่น จนสามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า พวกใบไม้พบพื้นป่าก็ถูกลมพันกระจายออกไปจนหมด เห็นได้ว่ากำปั้นของทั้งสองคนมันรุนแรงแค่ไหน

“ตุบๆๆ !” หลัวซิวถอยหลังไป3ก้าวติดต่อกัน กลับกัน หนุ่มน้อยหน้าดำฝั่งตรงข้ามกลับมั่นคงนิ่งเฉย ไม่ขยับอะไรเลย

“พลังธาตไฟสีดำ นี่มึงสามารถควบคุมพลังธาตุได้หรือนี่!” หนุ่มน้อยหน้าดำเผยสายตาตกใจเล็กน้อย[1][1]

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 55 วิชาจันทราคำรามหมาป่าฟ้า

 

วิชายุทธ์ระดับ5บรรลุจนใกล้จะบริบูรณ์ พลังแบบนี้ ต่อให้อยู่ในระดับวิชาชี่ไห่ขั้น7 ก็ถือว่าเป็นยอดฝีมือระดับต้นๆ เลย

ไม่นาน ก็รับการโจมตีติดต่อกันหลายครั้ง ถูกวัยรุ่นชุดขาวคนนั้นโจมตีรุกใส่

“แพล๊ง!”

สะเก็ดไฟกระจายทั่ว แรงกระทบกลับ ทำให้หลัวซิวถอยร่นไปหลายก้าว

กำลังภายในที่ฝุ่งตรงข้ามฝึก อย่างน้อยก็เป็นระดับ5 บวกกับพลังของกำลังภายในที่กดดันมา หลัวซิวก็เลยไม่ใช่คู่ต่อสู้

และวิชากระบี่ของวัยรุ่นชุดขาวก็สูงส่งมาก ขั้นบรรลุผลจนเกือบจะถึงแดนบริบูรณ์ หลัวซิวไม่มีทางทำร้ยเขาได้เลย

“ไปตายเสียเถอะ!วิชาจันทราคำรามหมาป่าฟ้า!”

เสียงตะโกนดังออกมาจากปากของวัยรุ่นชุดขาวคนนั้น เงาของกระบี่สาดเข้ามา ทำให้หลัวซิวรู้สึกเหมือนเป็นหมาป่าที่กำลังเงยหน้าเห่าหอน

เห็นได้ชัดว่า ทักษะยุทธ์วิชากระบี่วัยรุ่นชุดขาวใช้นั้น เป็นวิชาระดับ5ขึ้นไป!

“วิชาเก้ากระบี่สะท้านฟ้า!”

หลัวซิวก็รับมือสุดกำลัง กระบี่ของเขาร่ายรำออกไปอย่างเร็วที่สุด อากาศซัดออกเป็นคลื่น

กระบี่สองเล่มกระทบกัน ตัวของหลัวซิวถอยร่นไปอย่างรวดเร็ว ง่ามมือสะเทือนจนฉีกออก มีเลือดไหลออกมา

“หือ? รับวิชาจันทราคำรามหมาป่าฟ้าของกูได้งั้นหรือ?” วัยรุ่นชุดขาวขมวดคิ้ว รู้สึกไม่พอใจกับกระบวนกระบี่นี้ของตนเอง ที่ทำให้หลัวซิวง่ามมือฉีก

เขาเป็นถึงจอมยุทธ์ระดับวิชาชี่ไห่ขั้น7 ปราณแท้ผนึกกันจนจะเป็นสะสารแท้แล้ว วิชาจันทราคำรามหมาป่าฟ้าก็เป็นทักษะยุทธ์ระดับ5 มีคนที่อยู่ระดับเดียวกันมากมาย ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตนเอง

“ถ้ามึงไม่ตาย วันหน้าได้เข้าไปในสำนักเซียวเหยา ก็อาจจะมีตำแหน่งหลักในนั้น แต่เสียดายมึงต้องมาตายด้วยืมอกู ต้องโทษมึงที่ไปหาเรื่องกับคนไม่ควรหาเรื่องด้วย!” วัยรุ่นชุดขาวถือกระบี่ยาวในมือ แล้วบุกฆ่าเข้ามีอีกครั้ง

“โครม!”

ปราณแท้ของหลัวซิวก็ขับเคลื่อนออกมาสุดขีดจำหัด วงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพในจุดตันเถียนก็หมุนเร็วมาก ไฟสีดำพุ่งพล่านออกมานอกตัว

“พลังธาตุไฟงั้นหรือ? เป็นไปได้อย่างไรกัน?” ยรุ่นชุดขาวเห็นไฟสีดำบนตัวของหลัวซิว สีหน้าก็เปลี่ยนไปมาก

“วิชาเก้ากระบี่สะท้านฟ้า!”

ในตอนนี้เอง หลัวซิวใช้เปลวไฟดำเป็นตายควบคุมวิชากระบี่ รังสีกระบี่สาดกระจาย ความตายที่น่ากลัวปกคลุมไปทั่ว

“แพล๊ง!”

กระบี่ในมือของทั้งสองคนกระทบกัน ครั้งนี้หลัวซิวไม่ถูกโจมตีจนต้องถอยร่น ด้วยพลังของเปลวไฟดำเป็นตาย รับมือกับการโจมตีของปราณแท้จากฝ่ายตรงข้าม

วัยรุ่นชุดขาวก็เผยสีหน้าตกใจออกมา “แดนชี่ไห่ก็สามารถควบคุมพลังธาตุได้งั้นหรือ………”

แต่ไม่นานก็ตั้งสติได้ มุมปากก็เผยรอยยิ้มออกมาอีกครั้ง “ต่อให้มึงควบคุมพลังธาตุได้ แต่ผลการฝึกตนของมึงมันต่ำไป สุดท้ายก็ต้องตายด้วยมือกูอยู่ดี”

“หมัดเสือมังกร!”

หลัวซือกำหมัดซ้าย แล้วซัดท่าเสือพิฆาตของหมัดเสือมังกรออกไป เปลวไฟดำเป็นตายรวมพลังเข้าด้วยกัน พุ่งไปยังใบหน้าของวัยรุ่นชุดขาว

“หมัดเปิดเขา!”

มุมปากของวัยรุ่นชุดขาวก็แสยะยิ้ม แล้วก็ปล่อยวิชาฝ่ามือระดับ4ออกมา ปราณแท้รวมเป็นพลัง จะทำลายกระบวนท่าหมัดของหลัวซิว

“ตุบ!”

หมัดกับฝ่ามือกระทบกัน หลัวซิวสะเทือน แล้วถอยไป แต่ในใจกลับยิ้มเย็นขึ้นมา ลายเส้นชีวิตทางมือซ้ายของฝั่งตรงข้ามได้ถูกเขาโจมตีจนบาดเจ็บแล้ว

“เฮือก!”

ได้ยินวัยรุ่นชุดขาวร้องเจ็บ หน้าก็ขาวซีดไป มือซ้ายเกิดความเจ็บปวดขึ้นมา เส้นเอ็นและกระดูกแตกหัก แถมยังมีพลังความร้อนกำลังเผาเลือดเนื้อของเขาอยู่ เจ็บปวดยากจะทน

“นี่มันเป็นไปได้อย่างไรกัน? ต่อให้มันควบคุมพลังธาตุได้ แต่ปราณแท้ก็ไม่ได้แข็งแกร่งไปกว่ากู กูโจมตีมันจนถอยไปแล้วแท้ๆ แล้วทำไมกูถึงบาดเจ็บเสียเอง?” วัยรุ่นชุดขาวคิดไม่ตกว่าเป็นเพราะอะไรกันแน่

แต่หลัวซิวก็ไม่ได้ให้โอกาสเขาได้คิดอะไรเลย กระบี่เงามืดเร็วดั่งสายฟ้าสีดำ มุ่งจะฆ่าศตรูออกไป

วัยรุ่นชุดขาวรีบใช้กระบี่มาปัดป้องไว้ แต่เนื่องจากมือซ้ายบาดเจ็บ ใช้การไม่ได้ พลังของทั้งตัวก็เลยได้รับผลกระทบ ถึงแม้จะไม่ถึงขนาดถูกหลัวซิวโจมตีกดดันเป็นรอง แต่ถ้าอยากจะฆ่าหลัวซิว ก็แทบจะไม่มีโอกาสนั้นแล้ว

“ท่ามังกรทะยาน!”

หลัวซิวจับจุดอ่อนอันเล็กน้อยของฝั่งตรงข้ามได้ มือซ้ายก็รวบรวมเปลวไฟดำเป็นตายขึ้นมาอีกครั้ง แล้วซัดพลังไปที่วัยรุ่นชุดขาว

“มึงมันสมควรตาย!”

วัยรุ่นชุดขาวโมโหมาก มือซ้ายของเขาบาดเจ็บ ปัดป้องไม่ได้ กระบี่ในมือก็ถูกหลัวซิวโจมตีใส่ไม่หยุด แต่ได้ปลีกตัวหนีออก เพื่อหลบกำปั้นของหลัวซิว

แต่พอเขาถอย กลับทำให้หลัวซิวได้เปรียบ

“มันจบแล้ว!”

สายตาของหลัวซิวเป็นสาดประกายเย็นยะเยือกออกมา กระบี่เงามืดสีดำก็กวัดแกว่งไป บาดฟันเข้าที่ข้อมือของวัยรุ่นชุดขาวคนนั้น จนเลือดสาดกระเซ็น

“เฮือก!”

วัยรุ่นชุดขาวร้องโอดโอยอีกครั้ง กระบี่ในมือก็ร่วงลงพื้น จากนั้นก็มีกระบี่ที่แหลมคม มาชี้ที่หว่างคิ้วของเขา

เวลานี้ วัยรุ่นชุดขาวก็เย็นซาบซ่านไปทั้งตัว

เขาเป็นถึงจอมยุทธ์ระดับวิชาชี่ไห่ขั้น7 แต่กลับแพ้ให้กับคนที่เพิ่งเข้าสู่วิชาชี่ไห่ขั้น1 นี่ทำให้ในใจเขาทั้งตกใจทั้งโกรธ

แต่ความตายบีบมาตรงหน้า เขาไม่กล้าขยับตัวทำอะไรทั้งสิ้น

“ใครเป็นคนให้มึงมาฆ่ากู?” หลัวซิวถามเสียงเย็น

“ถ้ากูบอก มึงจะปล่อยกูไปไหม?” วัยรุ่นชุดขาวจ้องมองหลัวซิว “ถ้ามึงรับปากว่าจะไม่ฆ่ากู กูก็จะบอกมึง”

“มึงไม่มีสิทธิ์มาพูดข้อตกลงกับกู” หลัวซิวตวาดเสียงเย็น ปลายกระบี่ก็ขยับเข้าไปอีกครึ่งนิ้วแทงเข้าไปยังผิวหนังที่หว่างคิ้วของวัยรุ่นชุดขาว จนเลือดไหลออกมา

เจ็บปวดที่หว่างคิ้ว ทำให้วัยรุ่นชุดขาวสีหน้าเปลี่ยน ถ้าตนเองไม่พูดไป ก็กล้ามั่นใจได้ว่าหลัวซิวจะฆ่าตนเองแน่

พอคิดถึงจุดนี้ เขาก็หายใจเข้าอย่างลึก แล้วพูดว่า “พวกเรา3คนพี่น้อง ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ให้มาเมืองชิงหยุนเพื่อฆ่ามึง อาจารย์ของกูก็คือจางหลู่เหลียง เป็นผู้ดูแลนอกสำนักของสำนักเซียวเหยา”

“จางหลู่เหลียงงั้นหรือ?” หลัวซิวตาเป็นประกาย “นายท่านของตระกูลจาง ก็คือจางหลู่เหลียง เป็นผู้ดูแลนอกสำนักของสำนักเซียวเหยา”

เห็นได้ชัดว่า การตายของนายท่านตระกูลจางจางช่าวฉง ทำให้จางหลู่เหลียงโกรธแค้นตนเอง เขาไม่กล้าหาเรื่องเจ้าสำนักชิงหยุน ดังนั้นก็เลยส่งลูกศิษย์ตนเองมาที่เมืองชิงหยุน เพื่อหาโอกาสฆ่าเขา

“กูบอกมึงไปแล้วนะ มึงจะ…..” วัยรุ่นชุดขาวหวังว่าหลัวซิวจะปล่อยตนเองไป

แต่ยังไม่ทันได้พูดขอร้องออกมาเลย หว่างคิ้วของเขาก็ถูกกระบี่เงามืดแทงเข้าไป สิ้นลมทันที ร่วงลงพื้น

หลัวซิวสีหน้าเย็นชา วัยรุ่นสามพี่น้อง3คนมาจะฆ่าตนเอง สุกท้ายฆ่าตนเองไม่ได้ แต่กลับหวังว่าเขาจะยอมปล่อยไป โลกนี้มันมีเรื่องดีๆ แบบนั้นที่ไหนกัน?

สำหรับหลัวซิวแล้ว เขามีตรรกะในการกระทำของตนเอง เขาไม่ไปหาเรื่องใครก่อน และไม่ฆ่าคนบริสุทธิ์ ถ้ามีคนจะฆ่าตนเอง เขาก็ไม่มีทางออมมือ และไม่สนใจว่าคนนั้นจะเป็นใคร

เอากระบี่เก็บเข้าฝัก หลัวซิวเริ่มค้นของมีค่าในตัวของ3คนนั้น สามารถเป็นลูกศิษย์ของจางหลู่เหลียงที่มีตำแหน่งผู้ดูแลนอกสำนักได้ 3คนนี้จะต้องเป็นลูกศิษย์นอกสำนักของสำนักเซียวเหยาแน่นอน

ทุกปี สำนักยุทธ์ใหญ่ๆ ในเขตการปกครองหยุนหลงจะมีจอมยุทธ์แดนชี่ไห่ที่มีอายุไม่เกิน18มาจำนวนหนึ่ง แต่มีเพียง3คนเท่านั้นที่มีสิทธิ์ที่จะได้เข้าเป็นศิษย์นอกสำนัก เห็นได้ชัดว่าคนที่ได้รับเลือกจากสำนักเซียวเหยา ล้วนเป็นอัจฉริยะที่หายากจริงๆ

แต่ว่าในหมู่อัจฉริยะทั้งหลาย ก็มีความเก่งไม่เท่ากัน เช่นชี่ไห่ขั้นห้า2คนที่ถูกหลัวซิวฆ่าไปก่อน พลังก็ธรรมดา ส่วนวัยรุ่นชุดขาวนั้น ถ้าไม่ได้ใช้วิธีทำให้ลายเส้นชีวิตบาดเจ็บหรือเปลวไฟดำเป็นตาย หลัวซิวก็อาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคนนั้น

บนตัวของ3คนนี้ หลัวซิวค้นเจอป้ายบัญชาการศิษย์นอกสำนัก3แผ่น นอกจากนี้บนตัว3คนนี้ยังมีอุปกรณ์เก็บของด้วย มีปลอกแขน2อัน แหวน1วง มีหินพลังจิตไม่น้อย และมียาด้วย

แหวนเก็บของ1วงนั้นค้นได้จากตัวของวัยรุ่นชุดขาว ขนาดด้านในใหญ่กว่าสนับข้อมือเก็บของของหลัวซิวไม่มากนัก น่าจะเป็นสิ่งของที่อาจารย์ค่ายกลขั้น3ทำขึ้น

และยังมีอาวุธที่พวกนั้นใช้ ชี่ไห่ขั้นห้า2คนใช้อาวุธระดับล่าง กระบี่ของวัยรุ่นชุดขาว เป็รระดับกลาง มีราคาเป็นพันก้อนหินพลังจิต

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 54 หนุ่มน้อยชุดขาว

 

“หลังจากนี้สองเดือน ผมจะเข้าร่วมการสอบเข้าสำนัก พอถึงตอนนั้นผมก็จะได้เข้าไปในสำนักเซียวเหยา เดี๋ยวพวกเราก็ได้พบกันอีก” หลัวซิวยิ้มพูด

ลู่เมิ่งเหยาเป็นใครกันแน่ เธอไม่ได้พูด หลัวซิวก็ไม่ได้ถาม

แบมือออกมา หลัวซิวก็เอากำไลอัญมณีฟ้ามาวางไว้บนโต๊ะตรงหน้าของทั้งสองคน “กำไลข้อมืออันนี้ ถือว่าเป็นของที่ระลึกที่เราจะแยกจากกันก็แล้วกัน วันข้างหน้าพวกเราคงจะได้พบกันอีก”

3วันผ่านไป มีคนเอาจดหมาย มาให้หลัวซิวที่บ้าน

ในจดหมายเขียนสั้นๆ ว่า “หลัวซิว ฉันจะรอนายที่สำนักเซียวเหยา ฉันจะรอนายอยู่ที่สำนักเซียวเหยา…………”

หลัวซิวหายใจเข้าอย่างลึก แล้วก็เอาจดหมายใส่ไว้ในอก “ผมจะไปหาคุณแน่นอน”

วันนี้ หลัวซิวก็ออกไปจากเมืองชิงหยุน มุ่งหน้าไปยังเขาปาฉี ก่อนที่จะสอบเข้าสำนัก เขาคิดว่าจะพยายามเพิ่มพลังตนเองให้มากที่สุด

แต่ว่าตอนที่เขาเพิ่งก้าวขาออกเมืองชิงหยุนไปนั้น ก็มี3คนแอบติดตามมา มีทีมนักล่าอสูรมากมายมุ่งหน้าไปยังเขาปาฉี ดังนั้นหลัวซิวก็เลยไม่ได้สังเกต

“คนนี้ก็คือหลัวซิว ได้ยินว่าเพิ่งบรรลุแดนชี่ไห่”

“ก็แค่แดนชี่ไห่ จัดการง่ายเหมือนฆ่าหมาตัวหนึ่ง อาจารย์ให้พวกเรา3คนมาฆ่ามัน มันจะดูเล่นใหญ่เกินไปหรือเปล่า”

“อย่าชะล่าใจไป จะต้องจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย จะให้ทางเจ้าสำนักชิงหยุนจับผิดอะไรไม่ได้เด็ดขาด”

“วางใจเถอะศิษย์พี่ พวกผมเข้าใจแล้ว!”

……

ในป่าทึบ หลัวซิวเดินเบียดเข้าไป ไม่นาน วิชาท่ากลไกวิเศษก็บรรลุผล

ถึงแม้จะไม่เคยเห็นวิชายุทธ์ระดับ5มาก่อน แต่ตอนนี้สำหรับหลัวซิวแล้วนั้น วิชายุทธ์ระดับ4ไม่ได้มีความน่าลึกล้ำยากอะไรอีกแล้ว สามารถทำเข้าความเข้าใจมันได้ง่ายๆ

นอกจากวิชาท่ากลไกวิเศษที่บรรลุผลแล้วนั้น วิชาเก้ากระบี่สะท้านฟ้าก็ถูกหลัวซิวฝึกจนเข้าใจอย่างถ่องแท้ ถึงขั้นแดนบริบูรณ์!

ตัวเบาดั่งนกนางแอ่น บางครั้งหลัวซิวก็เดินเหินบนอากาศได้ สามารถหยุดอยู่กลางอากาศได้ในเวลาสั้นๆ วิชาท่าร่างระดับนี้ ต่อให้เป็นจอมยุทธ์พรสวรรค์บางคนก็ไม่อาจทำได้

“เจ้าสำนักยุทธ์สามารถเหาะบนอากาศได้ ไม่รู้ว่าวันไหนเราจะไปถึงระดับนั้นได้” ในใจของหลัวซิวมีความหวัง

จากพลังของเขาในตอนนี้ อสูรกายระดับ1ไม่อาจทำอะไรเขาได้แล้ว ฆ่าได้สบายๆ ดังนั้นพอเข้ามาเขาปาฉี เขาก็เลยเข้ามาในส่วนลึก คิดว่าหาอสูรระดับ2มาลองวิชาตนเองสักหน่อย

ใจกลางป่าไม่ค่อยมีทีมนักล่าอสูรเข้ามาเท่าไรนัก ต่อให้เป็นคนระดับจอมยุทธ์ชี่ไห่นำทีมมา ส่วนมากก็จะวนเวียนอยู่รอบนอกข้างใจกลางป่า

หลัวซิวปล่อยประสาทสัมผัสไป แล้วคิ้วก็ขมวด เพราะว่าสิ่งที่เขารับรู้ได้นั้น มีกลิ่นไปของจอมยุทธ์3คน กำลังเข้าใกล้ตำแหน่งของเขามาเรื่อยๆ

ไม่นาน มีวัยรุ่นรูปร่างผอมแห้ง มาปรากฏตัวตรงหน้าของหลัวซิว อายุน่าจะประมาณ20กว่าๆ จากข้อมูลที่ลายเส้นชีวิตปล่อยออก หลัวซิวก็คาดคะเนได้ว่า คนนี้น่าจะมีผลการฝึกตนอยู่ระดับชี่ไห่ขั้นห้าขึ้นไป ปราณแท้ในจุดตันเถียนเป็นของเหลว

จากนั้น ก็มีอีกสองคนโผล่ออกมา เป็นวัยรุ่นอายุ20กว่าๆ เหมือนกัน

“หือ?” พอเห็นหลัวซิวยืนอยู่บนกิ่งไม้ตรงหน้า วัยรุ่น3คนนั้นก็อึ้งๆ

“ทั้ง3ท่านตามผมมาทำไมกันแน่?” หลัวซิวถามเสียงขรึม จากบนตัวของ3คนนั้น เขาสัมผัสได้ถึงความอันตราย

วัยรุ่นที่เป็นหัวหน้าสวมชุดขาว ท่าทางจะแข็งแกร่ง คาดว่าอย่างน้อยก็ประมาณวิชาชี่ไห่ขั้น7 อีกสองคนอ่อนกว่า แต่ก็มีผลฝึกตนชี่ไห่ขั้นห้า

จอมยุทธ์ชี่ไห่3คนแบบนี้ ในเมืองชิงหยุนก็ถือว่าเป็นยอดฝีมือเหมือนกัน

“ไม่คิดเลยว่า มึงจะรู้ด้วยว่าพวกกูตามมึงมา แต่คนใกล้ตายอย่างมึง ก็ไม่สมควรรู้อะไรให้มันมากไปหรอก”

ในมือของวัยรุ่นชุดขาวก็เผยกระบี่ยาวแวววาวสะท้อนแสงออกมา อีกสองคนก็หยิบอาวุธออกมาเหมือนกัน คนหนึ่งถือกระบี่ คนหนึ่งถือดาบ

หลัวซิวก็กระตุกสายตา เห็นได้ชัดว่า3คนนี้จะมาฆ่าตนเอง ครั้งก่อนที่เฉินหู่นำคนมาตามฆ่า ก็เป็นการกระทำของตระกูลจาง แล้ว3คนนี้รับคำสั่งใครมากันแน่?

“ฆ่า!”

วัยรุ่นที่มีผลฝึกตนระดับชี่ไห่ขั้นห้าก็ขับเคลื่อนวิชาท่าร่าง แล้วก็บุกมายังตัวของหลัวซิว

แต่หัวหน้าที่เป็นวัยรุ่นชุดขาวไม่ได้ลงมือ มุมปากยิ้มเย็นอยู่ที่เดิม เหมือนว่าสำหรับเขานั้น เด็กน้อยพลังระดับวิชาชี่ไห่ขั้น1 ไม่คู่ควรให้เขาลงมือจัดการเอง

ชั่วพริบตา สองคนนั้นก็บุกเข้ามาใกล้ตัวหลัวซิวแล้ว กระบี่และดาบสาดสะท้อนแสงคมกระบี่ออก รังสีการฆ่าพลุ่งพล่าน

“แพล๊ง!”

กระบี่เงามืดที่หลังของหลัวซิวก็ชักออกมาทันที มีแสงคมกระบี่แฝงออกมาด้วย

“ไปตายเสียเถอะ!”

วัยรุ่นสองคนนั้นเผยสีหน้าเยาะเย้ย สำหรับพวกเขาแล้ว จะฆ่าคนระดับวิชาชี่ไห่ขั้น1สักคน มันก็ง่ายเหมือนยกแก้วดื่มน้ำ

“แพล๊ง!แพล๊ง!……”

ดังคมกระบี่กระทบกันดังขึ้น ปราณแท้ถูกปลดปล่อยออกมาเป็นแสง วัยรุ่นระดับชี่ไห่ขั้นห้าสองคนนั้นรู้สึกว่ามีพลังที่แข็งแกร่งโจมตีเข้ามา

“ปราณแท้แข็งแกร่งมาก!ไอ้เด็กนี่มีระดับวิชาชี่ไห่ขั้น1จริงหรือนี่?” สองคนนั้นเผยสีหน้าตกใจออกมา

“วิชาเก้ากระบี่สะท้านฟ้า!”

กระบี่เงามืดในมือของหลัวซิวสั่น แสงแสบตาก็ส่องไปทั่วตัวสองคนนั้น

“สึบ!”

เลือดสาด วัยรุ่นสองคนที่ร่วมมือกันโจมตีหลัวซิว มีหนึ่งคนอึ้งตาค้างกลิ้งออกไป ลำคอที่บอบบางถูกบาดออก เลือดไหลกระฉูดออกมา ตายคาที่!

“อะไรกัน!วิชากระบี่แดนบริบูรณ์งั้นหรือ?”

วัยรุ่นอีกคนก็หน้าเสีย เขารู้ว่าวิชาเก้ากระบี่สะท้านฟ้าเป็นทักษะยุทธ์วิชากระบี่ระดับ4 แต่พลังที่ออกมาจากมือของหลัวซิว สามารถฆ่าคนพลังระดับชี่ไห่ขั้นห้าได้ในพริบตา เห็นได้ชัดว่าฝึกวิชาเก้ากระบี่สะท้านฟ้าจนถึงแดนบริบูรณ์แล้ว!

วิชายุทธ์ระดับ4ถึงขั้นแดนบริบูรณ์ พลังสามารถเปรียบวิชายุทธ์ระดับ5แดนบรรลุผลได้เลย!

หลัวซิวก็ไม่ออมมือ เพราะว่าวุยรุ่นชุดขาวที่ยังไม่ได้ลงมือนั้น ทำให้เขาได้กลิ่นถึงความอันตราย

บนกระบี่สีดำ ปราณเป็นตาย2ระดับก็ปล่อยรัศมีสีดำออกมา กลิ่นอายของความตายที่น่ากลัว กำลังแพร่ออกไปจุดของหลัวซิว

“ซู่!”

แสงกระบี่สาดส่องอีกแล้ว เหมือนกับสายฟ้าสีดำฟาดผ่านอากาศไป วัยรุ่นพลังระดับชี่ไห่ขั้นห้าอีกคนก็กระเด็นออกไป ตำแหน่งหัวใจมีบาดแผล เลือดไหลออกมา

ส่วนหลัวซิว ก็ยืนอยู่ที่เดิมไม่ได้ขยับไปไหน ตอนที่ได้จังหวะ ก็จัดการยอดฝีมือระดับชี่ไห่ขั้นห้า2คน ตายคาที่

“ไอ้หนู คิดไม่ถึงว่ามึงเพิ่งบรรลุวิชาชี่ไห่ขั้น1 ก็มีพลังขนาดนี้แล้ว!แต่ว่าวันนี้มึงต้องตาย”

วัยรุ่นชุดขาวก็คิดไม่ถึงเหมือนกันศิษย์น้องของตนเองจะถูกฆ่าตายต่อหน้า เขาอยากจะยื่นมือเข้าช่วย ก็ไม่ทันเสียแล้ว

“ฟุบ!ฟุบ!ฟุบ!”

เขาร่ายวิชาท่าร่าง แล้วพุ่งมายังตัวของหลัวซิว ปราณแท้ในตัวก็เปล่งแสง ราวกับเป็นสะสารของจริง

หลัวซิวฉุกสายตา สามารถเอาปราณแท้รวบรวมจนเกือบได้เป็นสะสารของจริงแบบนี้ อย่างน้อยก็ต้องเป็นยอดฝีวิชาชี่ไห่ขั้น7ถึงจะสามารถทำได้

เขาไม่รู้ว่าเป็นใครกันแน่ ถึงได้ส่งคนมีฝีมือแบบนี้มาตามฆ่าตนเอง

“ตายซะ!”

วัยรุ่นชุดขาวแหกปาก กระบี่ยาวในมือก็เกิดรังสีกระบี่ของจริงออกมา โจมตีมายังตัวหลัวซิว

“แพล๊ง!แพล๊ง!แพล๊ง!……”

ไม่นาน สองคนก็ประมือกันไปหลายกระบวนท่า หลัวซิวพบว่าวิชาท่าร่างของฝั่งตรงข้ามดีมาก ไม่ต่างจากวิชาท่ากลไกวิเศษของตนเองมากนัก

แถมผลการฝึกตนของคนนี้ก็ถึงระดับวิชาชี่ไห่ขั้น7 ปราณแท้แข็งแกร่งและเป็นกลุ่มก้อน ทุกครั้งที่ออกกระบวนท่า ก็ถูกเขาโจมตีจนเลือดลมสั่นสะเทือนไปหมด

“วิชายุทธ์ที่เขาฝึก อย่างต่ำก็น่าจะเป็นระดับ5 แถมยังฝึกจนถึงขั้นบรรลุผลและเข้าใกล้แดนบริบูรณ์แล้ว”

ตอนที่ประมือกันนั้น หลัวซิวก็ได้คาดการพลังของฝั่งตรงข้าม จากปราณแท้และทักษะยุทธ์

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 53 จอมยุทธ์ชี่ไห่

 

พลังที่รุนแรงพุ่งส่งผ่านหอกเข้ามา ทำให้เนี่ยเสี่ยวเตี๋ยรู้สึกชาๆ ที่ง่ามมือ ลำตัวก็ถอยร่นไป หอกยาวก็เกือบหลุดมือ

ใบหน้าเรียวๆ ก็แหยๆ เนี่ยเสี่ยวเตี๋ยคิดไม่ถึงว่าแค่2กระบวนท่าเท่านั้น ตนเองก็จะพลาดท่าให้กับหลัวซิวเสียแล้ว

“นี่………” บนห้องใต้หลังคา รอยยิ้มบนใบหน้าของเจ้าสำนักซินฉือก็ค้างไป ส่วนเจ้าสำนักชิงหยุนก็อมยิ้ม ในใจก็แทบจะมีดอกไม้บ้านขึ้นมา

เห็นบนเวทีประลองยุทธ์นั้น เนี่ยเสี่ยวเตี๋ยลงมือต่อเนื่อง แต่ไม่ว่าเธอจะออกกระบวนท่าสุดยอดแค่ไหน ก็ไม่มีทางโจมตีถูกเนื้อต้องตัวหลัวซิวได้แม้แต่ชายเสื้อ ปราณแท้ก็สู้หลัวซิวไม่ได้ ถูกโจมตีถอยกลับมาครั้งแล้วครั้งเล่า

สีหน้าของเจ้าสำนักซินฉือก็เย็นชาขึ้นเรื่อยๆ หรือว่าครั้งนี้จะต้องแพ้ให้กับเจ้าสำนักชิงหยุนอีกแล้วหรือไง?

“ตุบ!” “เพล๊ง!” ……

บนเวทีประลองยุทธ์ ทุกครั้งที่เนี่ยเสี่ยวเตี๋ยประมือกับหลัวซิวก็ต้องถูกโจมตีจนถอยร่นเสียทุกครั้งไป ถูกโจมตีจนมาถึงขอบเวทีประลองแล้ว

“ยัยผู้หญิงลูกคุณหนู ยังไม่ยอมแพ้อีกหรือไง?” หลัวซิวยิ้มเย็นพูด

“นาย….นายมันไอ้คนบ้า!” เนี่ยเสี่ยวเตี๋ยมีสีหน้าโมโหเล็กน้อย ใครๆ ก็ฟังออก ว่าหลัวซิวกำลังเยาะเย้ยเธอ

“ตุบ!”

หลัวซิวซัดฝ่ามือไป ปราณแท้ที่แข็งแกร่งส่งผ่านหอกยาวเข้าสู่ร่างของเนี่ยเสี่ยวเตี๋ย เห็นเธอตัวสั่นๆ เท้ายืนไม่มั่นคง แล้วร่างก็ร่วงลงเวทีประลองไป

“ฮ่าๆ ดีมาก!”

บนห้องใต้หลังคา เจ้าสำนักชิงหยุนหัวเราะลั่น “เจ้าสำนักซินฉือ ต้องขอบคุณสำหรับยาพรสวรรค์ด้วยนะครับ!”

ผู้อาวุโสทั้งหลายในสำนักยุทธ์ทางด้านหลังเขา ก็เผยรอยยิ้มออกมาเหมือนกัน หลัวซิวได้ชัยชนะ ก็ถือว่าได้รักษาศักดิ์ศรีของสำนักหวูแห่งเมืองชิงหยุนไว้ได้แล้ว

“เหอะ ต้องขอแสดงความยินดีกับสำนักหวูแห่งเมืองชิงหยุนด้วยแล้วกัน ที่มียอดอัจฉริยะแบบนี้ ถ้าหากว่าทางสำนักใหญ่รับเข้าสำนัก เจ้าสำนักชิงหยุนก็คงจะได้รางวัลไม่น้อยเลยทีเดียว”

เจ้าสำนักซินฉือบึนปากพูดอย่างอิจฉา แล้วก็พลิกมือหยิบเอาขวดหยกมาวางไว้บนโต๊ะ “กล้าพนันก็กล้าเสีย นี่คือยาพรสวรรค์ ขอตัวลาล่ะ!”

เจ้าสำนักซินฉือลุกขึ้น แล้วก้าวขายาวเดินจากไป พอเห็นใบหน้าของเจ้าสำนักชิงหยุนยิ้มตาหยีแบบนั้น เขาก็โมโหหลายเรื่องมากกว่าเดิม

“หลัวซิว ฉันจำชื่อนายไว้แล้ว นายคอยดูแล้วกัน!สักวันฉันจะต้องเอาชนะนายให้ได้!”เนี่ยเสี่ยวเตี๋ยพูดเสียงเย็นขึ้นมา แล้วก็จากไปพร้อมกับเจ้าสำนักซินฉือ

สำหรับเนี่ยเสี่ยวเตี๋ยแล้ว หลัวซิวไม่ได้สะทกสะท้านอะไรเลย เขาไม่ได้ใช้พลังหนึ่งในสิบออกมาเลยด้วยซ้ำ เนี่ยเสี่ยวเตี๋ยก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตนเองแล้ว ต่อจากนี้ความแตกต่างด้านพลัง ก็คงจะยิ่งห่างไกลกันมากขึ้นเรื่อยๆ

วงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพหมุ่นเวียนอยู่ในจุดตันเถียน ทุกวินาทีจะมีความล้ำลึกของกฎการเวียนว่ายตายเกิดไหลเวียนเข้าสู่หัวใจ ทำให้เขาได้เห็นเส้นทางที่จะก้าวเข้าสู่ยอดยุทธ์

“สุดยอดมาก แค่เดือนกว่าๆ หลัวซิวก็ฝึกจนถึงจอมยุทธ์ชี่ไห่แล้ว เขาอายุแค่14เองนะเนี่ย!”

“เนี่ยเสี่ยวเตี๋ยคนนั้นก็แค่ฝึกถึงระดับชี่ไห่สำเร็จตอนอายุ15 ก็ไม่มองใครอยู่ในสายตาแล้ว เมื่อเทียบกับหลัวซิวแล้ว ยัยนั่นไม่เท่าไรหรอก”

เจ้าสำนักซินฉือและเนี่ยเสี่ยวเตี๋ยก็จากไป เหล่านักเรียนของสำนักหวูแห่งเมืองชิงหยุนก็ยังคงคุยกันเรื่องนี้ต่อไป

……

ที่ห้องเจ้าสำนักของสำนักหวูแห่งเมืองชิงหยุน

“ฮ่าๆ หลัวซิว เอ็งอายุแค่14ก็สามารถบรรลุแดนชี่ไห่ ต่อให้ในสำนักเซียวเหยา คนที่สามารถทำได้แบบนี้ ก็มีไม่มาก!”

“ครั้งนี้เอาชนะเนี่ยเสี่ยวเตี๋ยของสำนักยุทธ์แห่งมืองซินฉือได้ รักษาชื่อเสียงของสำนักหวูแห่งเมืองชิงหยุนไว้ได้ กำไลอัญมณีฟ้าอันนี้ก็เป็นของเอ็งแล้วกัน!”

เจ้าสำนักชิงหยุนยืนมือออกมา ก็เห็นเป็นหินคริสทัลสีฟ้าแกะสลักเป็นกำไลข้อมือ แล้วก็โยนมาให้หลัวซิว

หลัวซิวก็ยื่นมือไปรับไว้ เห็นว่ากำไลข้อมือนี้สวยดี แต่ตนเองเป็นผ็ชาย จะใช้ของสวยๆ งามๆ แบบนี้ไปทำไมกัน?

“ฮ่าๆ หลัวซิว เอ็งอย่าดูถูกกำไลข้อมือนี้เชียวนะ นี่คือของล้ำค่าที่อาจารย์ค่ายกลขั้น3 ทำขึ้นมาเลยเชียวนะ ขอเพียงใช้ปราณแท้ขับเคลื่อน ก็จะกลายเป็นเกราะกำบัง จอมยุทธ์พรสวรรค์ขั้น7ลงไม่มีทางทำลายได้” เจ้าสำนักชิงหยุนยิ้มพูด

“ร้ายกาจขนาดนั้นเลยหรือ?” หลัวซิวมีสีหน้าตกใจ

สำหรับเจ้าสำนักชิงหยุนที่เป็นเหมือนฝึกจิตครึ่งแล้วนั้น กำไลอัญมณีฟ้าแบบนี้ไม่มีประโยชน์อะไรกับเขา แต่สำหรับหลัวซิว ที่เป็นจอมยุทธ์ที่เพิ่งเข้าสู่แดนชี่ไห่แล้วนั้นถือว่าเป็นของล้ำค่าป้องกันตัวที่หาได้ยากเลยทีเดียว

“หลัวซิว ในเมื่อเอ็งก็ได้บรรลุแดนชี่ไห่แล้ว มีบางเรื่อง ก็ควรจะที่บอกเอ็งได้แล้ว”

เจ้าสำนักชิงหยุนพูดด้วยสีหน้านิ่งๆ “สำนักยุทธ์ใหญ่ทั้งหลายในเขตการปกครองหยุนหลง คนอายุน้อยกว่า18ที่มีผลการฝึกตนถึงระดับแดนชี่ไห่ ก็จะมีสิทธิ์เข้าร่วมการสอบเข้าสำนัก พอถึงตอนนั้น สำนักยุทธ์ทั้ง18เมือง ถ้ามีจอมยุทธ์ที่ผ่านคุณสมบัติ ก็จะมาเข้าร่วม แต่มีเพียง3คนเท่านั้นที่จะสอบผ่าน แล้วกลายเป็นศิษย์นอกสำนัก”

“เดิมทีอาจารย์ยังคิดไว้ว่าจะให้เอ็งไปร่วมสอบปีหน้า แบบนี้เอ็งจะได้มีเวลาเพิ่มพลังให้ตัวเอง ผ่านได้อย่างมั่นใจหน่อย แต่ในเมื่อเอ็งได้บรรลุแดนชี่ไห่ก่อนแล้ว จะไปเข้าร่วมสอบหรือไม่ เอ็งก็ตัดสินใจเองก็แล้วกัน”

“การสอบเข้าสำนักมันจะเริ่มขึ้นตอนไหนครับ?” หลัวซิวถามขึ้นมา

“วันที่8หลังจากนี้อีก3เดือน!” เจ้าสำนักชิงหยุนกล่าว “ตามที่ได้ยินมา คนที่เข้าร่วมปีนี้ มีคนที่ฝึกตนถึงวิชาชี่ไห่ขั้น2และขั้น3 เหลือเวลาให้เอ็งน้อยมาก เอ็งสู้กับพวกนั้นยาก”

“แล้วถ้าปีนี้สอบไม่ผ่าน ปีหน้าสามารถเข้าสอบอีกได้ไหมครับ?” หลัวซิวถามอีก

“ได้สิ ขอเพียงอายุไม่เกิน18ก็พอ เอ็งมีโอกาส4ครั้ง” เจ้าสำนักชิงหยุนยิ้มตอบ

“แบบนี้ล่ะก็ งั้นปีนี้ผมก็ขอลองหน่อย บางทีอาจจะสำเร็จ” หลัวซิวกล่าว

“ฮ่าๆ ดีมาก!อาจารย์หวังว่าเอ็งจะทำสำเร็จในครั้งเดียว!” เจ้าสำนักชิงหยุนยิ้มพูด “ไปฝึกให้ดี พอถึงตอนนั้นจะส่งคนไปบอกข่าวเอง”

สำหรับเจ้าสำนักยุทธ์ของแต่ละเมือง สำนักเซียวเหยาก็มีกติกาการให้รางวัล อัจฉริยะที่เดินออกมาจากสำนักยุทธ์แล้วมาเข้าร่วมสำนักเซียวเหยา มีผลงานที่โดดเด่นเท่าไร ก็จะได้ผลสำเร็จสูงเท่านั้น เจ้าสำนักยุทธ์ของอัจฉริยะคนนั้นก็จะได้รางวัลที่ดีขึ้นไปอีกด้วย

ดังนั้นเจ้าสำนักชิงหยุนก็เลยมองหลัวซิวเป็นพิเศษ ฝากความหวังไว้ที่เขา

หลังจากที่ผลการฝึกตนบรรลุมาถึงแดนชี่ไห่ หลัวซิวก็สามารถดูดเอาพลังธาตุไฟจากโรคชีพจรขาดธาตุไฟในตัวของลู่เมิ่งเหยาออกมาได้แล้ว

หลังจากทำไป2ครั้ง โรคชีพจรขาดธาตุไฟของลู่เมิ่งเหยาก็รักษาจนหายขาด จากนี้ก็ไม่ต้องเจ็บปวดเหมือนไฟเผาไหม้หัวใจทุก7วันอีกแล้ว

“หลัวซิว ขอบคุณนายมาก”

หลังจากแก้ผ้าให้กัน สองคนก็เอาเสื้อผ้ามาใส่ ลู่เมิ่งเหยารู้สึกว่าใจของตนเอง เริ่มสับสนวุ่นวายขึ้นมา

“ไม่ต้องขอบคุณหรอก……” หลัวซิวยิ้มตอบ

จริงๆ แล้วที่รักษาโรคชีพจรขาดธาตุไฟให้ลู่เมิ่งเหยา เขาเองก็ได้ประโยชน์ไม่น้อย ไม่เพียงสามารถเพิ่มผลการฝึกตนได้ ยังสามารถครอบครองพลังธาตุไฟได้อีกด้วย

ตอนนี้ก็รักษาโรคชีพจรขาดธาตุไฟหายแล้ว ในหัวของหลัวซิวก็ผุดภาพที่ทั้งสองคนแก้ผ้าเผชิญหน้ากันขึ้นมา ในใจก็กระตุกเบาๆ

ตอนนี้ ทั้งสองคนก็นิ่งเงียบไป ลู่เมิ่งเหยาค่อนข้างไม่กล้ามองตาของหลัวซิว ผ่านมาหลายเดือนนี้ ถือเป็นช่วงเวลาที่ยากจะลืมได้

“หลัวซิว คือฉัน….” ลู่เมิ่งเหยาเอ่ยขึ้นมมา ทำลายความเงียบไป “ฉันจะไปแล้ว”

“ไป?ไปไหน?” หลัวซิวขมวดคิ้ว

“ไปสำนักเซียวเหยา”

พอได้ยินดังนั้น หลัวซิวก็ไม่ได้ตกใจอะไรมาก เขาเดาออกนานแล้ว ว่าตัวตนของลู่เมิ่งเหยาไม่ธรรมดา เพราะเจ้าสำนักยุทธ์และเหล่าผู้อาวุโส ล้วนมีท่าทางที่เกรงใจเธอ

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 52 สาวน้อยชุดแดงมาขอสู้

 

เห็นว่าบนเวทีประลองนั้น มีสาวน้อยสวมชุดแดงยืนอย่างมั่นใจอยู่บนนั้น สายตามองเยอะเย้ยมายังคนทางด้านล่างเวที แล้วยิ้มพูดว่า “หรือว่าสำนักหวูแห่งเมืองชิงหยุนจะไม่มีคนเก่งแล้วหรือไงกัน? แค่ผู้หญิงอย่างฉันคนเดียวก็สู้ไม่ได้ กระจอกจริงๆ !”

พอพูดออกมาดังนั้น นักเรียนในสำนักยุทธ์ทั้งหลายก็โมโหมาก แต่ก็ไม่มีคำพูดไหนพูดสู้ได้

บนห้องใต้หลังคา เจ้าสำนักชิงหยุนก็หน้านิ่ง ฝั่งตรงข้ามหยามเกียรติบนเวทีประลองแบบนี้ จะให้เจ้าสำนักเอาหน้าไปไว้ที่ไหน

“ฮ่าๆ เจ้าสำนักชิงหยุนอย่าเพิ่งโมโหไป เด็กน้อยมันไม่รู้ความ” เจ้าสำนักซินฉือเอามือลูบเคราพูด

“เหอะ!” เจ้าสำนักชิงหยุนส่งเสียงไม่พอใจ “คุณกล้าพาคนมาท้าทายถึงเมืองชิงหยุนของผม เพียงเพราะอาศัยอัจฉริยะอา15ปีที่เป็นจอมยุทธ์ชี่ไห่คนนี้น่ะหรือ?”

เรื่องของเมืองซินฉือสำนักยุทธ์นั้น เจ้าสำนักชิงหยุนก็พอรู้มาบ้าง รู้ว่าเมืองซินฉือมีสาวน้อยอัจฉริยะ ชื่อว่า เนี่ยเสี่ยวเตี๋ย ก็คือสาวน้อยชุดแดงบนเวทีประลองคนนี้

หลังจากที่จบการประลองยุทธ์ สวี่ชิวเซิงและหานซานก็เก็บตัวฝึกตนไม่ออกมา เพื่อพยายามไปให้ถึงแดนฝึกชี่ไห่ ตอนนี้ก็มีแต่เฟิงเซวียนจวี๋ ที่มีพลังมากที่สุด แต่ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเนี่ยเสี่ยวเตี๋ยเลย

“ไม่รู้ว่าหลัวซิวจะสู้กับเนี่ยเสี่ยวเตี๋ยได้ไหม”

เจ้าสำนักชิงหยุนขมวดคิ้ว โดยไม่รู้ว่าหลัวซิวกลายเป็นจอมยุทธ์ชี่ลึกลับแล้ว

“หลัวซิวมาแล้ว!”

“หลัวซิวจริงๆ ด้วย!”

“หลัวซิวเป็นยอดฝีมืออันดับ1ของสำนักหวูแห่งเมืองชิงหยุนเรา จะต้องเอาชนะผู้หญิงคนนี้ได้แน่!”

ทันใดนั้น ผู้คนข้างเวทีประลองก็ดังกระหึ่มขึ้นมา สายตาของทุกคนก็จับจ้องไปยังชายหนุ่มชุดดำที่แบกกระบี่ไว้ที่หลัง

“ยอดฝีมืออันดับหนึ่งงั้นหรือ? ไม่รู้ว่าจะรับกระบวนท่าของฉันได้สักท่าหรือเปล่า?” สาวน้อยชุดแดงบนเวทีพูดอย่างไม่สนใจ

พอได้ยินเสียงเหยียดหยามกันแบบนี้ หลัวซิวก็มองขึ้นไปบนเวทีประลองยุทธ์ แล้วก็สังเกตลายเส้นชีวิตของสาวน้อยชุดแดงคนนั้นอย่างชัดเจน

“จอมยุทธ์ชี่ไห่งั้นหรือ?ถึงว่าอวดเก่งไม่เบา……”

จากพลังในลายเส้นชีวิต หลัวซิววินิจฉัยได้ว่าผลฝึกตนของสาวน้อยชุดแดงคนนี้อยู่ที่วิชาชี่ไห่ขั้น1น่าจะเหมือนกับตนเอง ที่เพิ่งบรรลุแดนชี่ไห่ได้ไม่นาน

แต่ว่าหลัวซิวไม่ได้สนใจสาวน้อยชุดแดงคนนั้น แต่มองไปยังบนห้องใต้หลังคาเพื่อทำความเคารพเจ้าสำนักชิงหยุนก่อน

“เจ้าสำนักชิงหยุนพยักหน้า แล้วพูดเสียงขรึมว่า “หลัวซิว คนบนเวทีนั้น ก็คือเนี่ยเสี่ยวเตี๋ย สาวน้อยยอดอัจฉริยะของเมืองซินฉือสำนักยุทธ์”

ทันใดนั้น สายตาของทุกคนก็มองไปยังตัวของหลัวซิว เหล่านักเรียนของสำนักหวูแห่งเมืองชิงหยุนทั้งหลายล้วนรู้ดี ว่าหลัวซิวเป็นยอดฝีมืออันดับ1 ถ้าแม้แต่เขาก็ยังแพ้ล่ะก็ ก็ต้องนอกจากสวี่ชิวเซิงหรือหานซาน ใครสักคนบรรลุขั้นออกจากการฝึกตนมา ไม่อย่างนั้นวันนี้สำนักหวูแห่งเมืองชิงหยุนคงจะต้องขายหน้าแล้วล่ะ

“มี!” หลัวซิวค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ใบหน้ามีรอยยิ้มด้วยความมั่นใจ บนร่างกายก็ปล่อยพลังของจอมยุทธ์ชี่ไห่ออกมา เหล่านักเรียนของสำนักยุทธ์โดยรอยล้วนรับรู้ได้ถึงแรงกดดันที่ส่งเข้ามา

“หลัวซิวบรรลุแดนฝึกชี่ไห่แล้วงั้นหรือ?”

“ไม่เสียแรงที่เป็นยอดอัจฉริยะอันดับ1ในการประลองยุทธ์ หลัวซิวจะต้องเอาชนะเนี่ยเสี่ยวเตี๋ยคนนี้ได้แกฎเกณฑ์”

“หลัวซิว!หลัวซิว!หลัวซิว!……”

เหล่านักเรียนของสำนักหวูแห่งเมืองชิงหยุนก็กระหึ่มดังกันขึ้นมา คนนับร้อยเรียกชื่อของเขา

การต่อสู้ครั้งนี้เกี่ยวกับศักดิ์ศรีของสำนักหวูแห่งเมืองชิงหยุน หลัวซิวบรรลุแดนฝึกชี่ไห่ ไม่แปลกที่จะทำให้ทุกคนมองเห็นถึงความหวัง มีคนเชียร์กันมากมายถึงที่สุด

พอสัมผัสถึงปราณแท้ที่บนตัวของหลัวซิว เจ้าสำนักชิงลึกลับนก็มีสีหน้าออกมาเล็กน้อย เดิมทีเขายังคิดว่าอย่างน้อยอีก1-2เดือนหลัวซิวถึงจะสามารถบรรลุแดนฝึกชี่ไห่ได้

“ฮ่าๆ เจ้าสำนักซินฉือเมื่อครู่คุณบอกว่าอยากจะพนันกับผมใช่ไหม?” เจ้าสำนักชิงหยุนหันตัวไปมองเจ้าสำนักซินฉือ

เจ้าสำนักซินฉือที่มีรูปร่างท้วมๆ ก็มองหลัวซิว แล้วพูดในใจว่า “นี่ก็คืออัจฉริยะที่ฝึกพลังหยางบริสุทธิ์สำเร็จงั้นหรือ? บรรลุแดนฝึกชี่ไห่แล้วเหมือนกันนี่………”

เจ้าสำนักซินฉือบ่นพึมพำ เห็นได้ชัดว่าการบรรลุของหลัวซิว ทำให้ในใจของเขาเริ่มไม่ค่อยมั่นใจแล้ว

“ทำไมล่ะ? เจ้าสำนักซินฉือไม่กล้าพนันแล้วงั้นหรือ?” เจ้าสำนักชิงหยุนแกล้งพูดหยอกเล่น

“เหอะ มีระดับวิชาชี่ไห่ขั้น1เหมือนกัน หมอนั่นก็ไม่แน่ว่าจะเป็นคู่ต่อสู้ของเสี่ยวเตี๋ยได้” เจ้าสำนักซินฉือบึนปากพูด “พนันแน่นอน ถ้าเสี่ยวเตี๋ยชนะ คุณก็เอากำไลอัญมณีฟ้ามาให้ผม”

“แล้วถ้าหลัวซิวชนะล่ะ?” เจ้าสำนักชิงหยุนยิ้มพูดว่า “กำไลอัญมณีฟ้านั้น เป็นถึงสมบัติค่ายกลระดับ3เลยนะ”

ได้ยินดังนั้น เจ้าสำนักซินฉือก็หน้ากระตุกๆ เดิมทีกำไลอัญมณีฟ้า เป็นของของเขาเอง 3ปีก่อนแพ้พนันให้กับเจ้าสำนักชิงหยุน

“เสี่ยวเตี๋ยจะแพ้ได้อย่างไรกัน? ถ้าไอ้หลัวซิวของสำนักหวูแห่งเมืองชิงหยุนชนะได้ล่ะก็ ผมให้ยาพรสวรรค์หนึ่งขวดเลย!”

ยาพรสวรรค์คือยาระดับ3ที่จอมยุทธ์พรสวรรค์ใช้เพิ่มผลฝึกตน 1ขวดมี6เม็ด ราคาก็สามารถเทียบกับสมบัติค่ายกลระดับ3ได้เลย

“ได้!” เจ้าสำนักชิงหยุนหัวเราะลั่น หลัวซิวกลายเป็นจอมยุทธ์ชี่ไห่ ทำให้เขามั่นใจเต็มเปี่ยม

“หลัวซิว การต่อสู้ครั้งนี้เกี่ยวเนื่องกับศักดิ์ศรีของสำนักหวูแห่งเมืองชิงหยุน เอ็งจะต้องทำให้เต็มที่นะ!” เขามองไปที่หลัวซิวแล้วพูด

“ครับ!”

หลัวซิวพยักหน้า แล้วก็กระโดดขึ้นไปบนเวทีประลองยุทธ์

เนี่ยเสี่ยวเตี๋ยสวดชุดแดงทั้งตัว สีหน้ามองหลัวซิวด้วยความเย่อหยิ่ง แล้วพูดอย่างไม่แยแสว่า “คิดไม่ถึงว่าในบรรดาสวะของสำนักหวูแห่งเมืองชิงหยุน จะมีจอมยุทธ์ชี่ไห่อยู่ด้วย”

เธออายุ10ปีก็เข้ามาในสำนักยุทธ์แห่งเมือยซินฉือ ก็ได้รับการยอมรับจากทุกคน ได้รับการเยินยอจากทุกคนมาตลอด คิดว่าตนเองเก่ง ถึงแม้จะเป็นจอมยุทธ์ชี่ไห่เหมือนกัน เธอก็ไม่มองหลัวซิวอยู่ในสายตา

หลัวซิวสีหน้านิ่ง ถึงแม้เนี่ยเสี่ยวเตี๋ยจะหน้าตาดี แต่ท่าทางเป็นผู้หญิงแบบที่เขาเกลียดเลย

เห็นเนี่ยเสี่ยวเตี๋ยยื่นมือออกมา หอกยาวก็ปรากฏขึ้นบนมือเธอ แล้วพูดอวดเก่งว่า “คนที่ทำให้ฉันใช้หอกได้ มีไม่เยอะ ต่อให้นายแพ้ ก็ถือว่าเก่งแล้วล่ะ”

ขณะพูดนั้น เธอก็ขยับตัว หอกยาวก็พุ่งแทงมายังตัวของหลัวซิว ปราณแท้เปล่งประกาย

แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนคิดไม่ถึงก็คือ หลัวซิวไม่ได้ชักกระบี่ออกมา แต่ใช้เท้าก้าวออกเป็นฝีเท้าแปลกๆ ทุกคนก็รู้สึกเหมือนตาลาย หลัวซิวก็มาโล่ทางด้านหลังของเนี่ยเสี่ยวเตี๋ยแล้ว จากนั้นก็ซัดฝ่ามือออกไป

“รวดเร็วมาก!”

ใบหน้าเรียวๆ ของเนี่ยเสี่ยวเตี๋ยก็เปลี่ยนสีหน้า แล้วรีบดึงหอกกลับมาเพื่อป้องกันการโจมตีจากฝ่ามือของหลัวซิว

“ตุบ!”

เสียงดังขึ้น ทุกคนก็อึ้งไป เนี่ยเสี่ยวเตี๋ยถูกหลัวซิวโจมตีจนถอยร่นไปหลายก้าว

“พลังแค่นี้ยังจะกล้ามาอวดเก่งที่สำนักหวูแห่งเมืองชิงหยุนนี้อีก เธอไม่มันคู่ควรให้ผมชักกระบี่ออกมาด้วยซ้ำ!” หลัวซิวยิ้มพูด

คนด้านล่างเวทีก็อึ้ง ใครก็คิดไม่ถึงว่าคนที่นิ่งเงียบอย่างหลัวซิว จะพูดจาแบบนี้ออกมาได้

แต่ว่าทุกคนก็ล้วนรู้สึกว่าคำพูดของหลัวซิวนี้มันสะใจ เพราะว่าตอนที่เขายังไม่มานั้น เนี่ยเสี่ยวเตี๋ยเอาแต่ว่าเป็นพวกไม่เอาไหน ทำให้ทุกคนเจ็บแค้นอยู่ในใจ

“ฮ่าๆ พูดได้ดี!เป็นจอมยุทธ์ชี่ไห่ไม่ใช่หรือไง จะเก่งสักแค่ไหนกันเชียว?”

“หลัวซิวเก่งมาก ให้ยัยหนูคนนั้นได้รู้เสียบ้างว่ายอดฝีมืออันดับ1ของสำนักหวูแห่งเมืองชิงหยุนเราร้ายกาจแค่ไหน!”

“นี่นาย……รนหาที่ตาย!” ใบหน้าเรียวๆ ของเนี่ยเสี่ยวเตี๋ยบังเกิดความโกรธ เป็นผู้หญิงที่ทุกคนประคบประหงม ยังไม่เคยมีใครมาดูถูกเธอแบบนี้มาก่อน

“หอกล่าลม!”

ใช้วิชาท่าร่างออกมา ชุดสีแดงพลิ้วไหวเป็นเงา หอกยาวเปล่งรังสีออก ใช้ปราณแท้ช่วยเสริม เกิดเป็นลมรุนแรง ใช้แทงออกมา3ครั้ง ที่จุดสำคัญของหลัวซิวทั้งสิ้น

ถึงแม้วิชาหอกของเธอจะคม แต่วิชาท่าร่างของหลัวซิวก็ไม่หยุดอยู่กับที่ ปราณแท้ก็มารวมที่หมัด แล้วต่อยออกไป

“หมัดเสือมังกร!”

“เพล๊ง!”

หมัดกับหอกปะทะกัน ประกายไฟกระจายทั่วทิศ

จอมยุทธ์แดนฝึกชี่ไห่ใช้ปราณแท้ขับเคลื่อน สามารถใช้กายเนื้อต้านอาวุธได้ ทำให้นักเรียนแดนกลั่นร่างทั้งหลายเห็นแล้วอิจฉาไปตามๆ กัน

 

 

 

 

 

 

 

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 51 แดนฝึกชี่ไห่

 

“พลังหยางบริสุทธิ์ ร้อยชีพจรเปิดออก ทะลวงเดี๋ยวนี้!”

หลัวซิวเสียงดังฟังชัด พูดออก เคลื่อนพลังหยางบริสุทธิ์อย่างที่สุด ทั้งกระดูกเนื้อหนัง อวัยวะทุกส่วน เส้นเลือกชีพจร ล้วนมีปราณใน ราวกับเป็นคลื่นจากสายน้ำและมหาสมุทร พุ่งมายังจุดตันเถียนอย่างไม่หยุด

“ตู้ม!”

เขตป้องกันที่มองไม่เห็นบริเวณจุดตันเถียนในตัว ก็ลึกลับมือนถูกระเบิดออกมา ปราณในมหาศาลเหมือนถูกเปิดฝาออกมา ไหลเข้าจุดตันเถียนเหมือนน้ำท่วม

ความรู้สึกเต็มเปี่ยมด้วยพลังเริ่มจากบริเวณท้องน้อย ทำให้หลัวซิวรู้สึกกระปรี้กระเปร่ามาก

“ทะลวงจุดตันเถียน ก็เท่ากับบรรลุได้ก้าวแรกแล้ว!”

ปราณในทั้งหมดในตัวมารวมอยู่ที่จุดตันเถียน เหมือนกับทะเลสาบมหาสมุทรทั้งหลาย ปราณปล่อยรังสีเปล่งประกายออกมา ส่องไปยังจุดดำมืดของจุดตันเถียน นี่ก็คือชี่ไห่!

เอาจุดตันเถียนเป็นพื้นฐาน ปราณก็จะอาศัยจุดชีพจรเส้นเลือดลมทั้งหลายไหลเวียนไปทั่วกาย ไม่ว่าจะเป็นผลการใช้ประโยชน์ หรือว่าจะเป็นความละเอียดล้ำลึก ก็ล้วนแข็งแกร่งมากกว่าก่อน

ขับเคลื่อนปราณในของผู้ฝึกยุทธ์กลั่นร่าง ถูกเรียกว่าโคจรจุลจักรวาล

และมีแต่การเปิดชี่ไห่แล้วเท่านั้น การขับเคลื่อนพลัง ถึงจะกลายเป็นโคจรมหาจักรวาล!

แต่ว่าถ้าอยากบรรลุแดนฝึกชี่ไห่ แค่ทะลวงจุดตันเถียนมันยังไม่พอ ยังจะต้องบีบอัดปราณใน ให้กลายเป็นปราณแท้ด้วย!

“นี่มันคืออะไรกัน?”

ทันใดนั้น หลัวซิวก็รู้สึกว่าที่จุดตันเถียนมีความรู้สึกเจ็บๆ พอสัมผัสไป ปราณเป็นตาย2ระดับก็หมุนอยู่ในจุดตันเถียนของเขา เผยให้เห็นเป็นสีขาวดำสองสี เหมือนกับภาพไทเก๊ก และเหมือนกับเครื่องโม่หิน

ในขณะที่หมุนเวียนนี้ ปราณเป็นตาย2ระดับก็บีบตัวไม่หยุด ทั้งยังรวดเร็วมาก

โดยปกติแล้ว การบีบปราณแท้ไม่ใช่จะทำได้ในเวลาสั้นๆ หลัวซิวคาดไว้ว่า อย่างน้อยต้องใช้เวลา1-2วัน ปราณในถึงจะสามารถลายเป็นปราณแท้ที่บีบอัดอยู่ในจุดตันเถียนแล้วเปลี่ยนเป็นพลังที่แข็งแกร่งรุนแรงมากขึ้นได้

แต่ภายใต้ปราณเป็นตาย2ระดับที่หมุนเวียนกันอย่างรุนแรงนี้ ใช้เวลาไปเพียงไม่กี่อึดใจ ก็สามารถรวมตัวกันจนสมบูรณ์แบบแล้ว

ที่กึ่งกลางจุดตันเถียน มีวงล้อฝั่งซ้ายสีขาว ฝั่งขวาสีดำหมุนอยู่ มีไอหมอกเป็นสายแพร่ออกมาจากวงล้อนั้น เต็มเปี่ยมไปทั่วจุดตันเถียน กลายเป็นชี่ไห่

พลีงที่เป็นไอเหล่านี้ ก็คือปราณแท้!

การฝึกตนในแดนฝึกชี่ไห่ก็คือการรวบรวมปราณแท้ ขั้น1-3ปราณแท้จะเป็นไอ ขั้น4-6ปราณแท้จะเป็นของเหลว แล้วจะยิ่งรวบรวมมากขึ้น พลังรุนแรงมากขึ้น ขั้น7-9จะรวมเป็นของแข็ง ไม่มีอะไรทำลายได้

“บรรลุแดนฝึกชี่ไห่ง่ายๆ แบบนี้เลยงั้นหรือ?”

หลัวซิวมีสีหน้าตกใจ เห็นเข้าชี้นิ้วไปข้างบน แล้วก็มีพลังที่ไร้ลักษณ์พุ่งออกมา ทำให้หลังคาที่สูงขึ้นไปหลายเมตรสั่นสะเทือนแตกออก

จากนั้น เขาก็ขยับตัว แล้วหายไปจากจุดที่เคยอยู่ วินาทีต่อมาก็มาโผล่อยู่นอกห้อง

“ใช้ปราณแท้มาขับเคลื่อนวิชาท่าร่าง ความเร็วดั่งปีศาจ ไม่เสียแรงที่เป็นวิชาที่ขาดไปบางส่วน แต่ก็ยังถูกนับรวมอยู่ในวิชาท่าร่างระดับ4”

ตอนนี้หลัวซิวรู้สึกว่าตนเองแข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านี้มาก

ในขณะเดียวกัน ก็มีความรู้สึกส่งมาจากลูกแก้วอัญมณีแห่งความเป็นความตาย ทำให้เขารับรู้ได้ว่าจุดตันเถียนของตนเองมีวงล้อขาวดำรวมอยู่ด้านใน มีชื่อว่าวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ!

นี่ไม่ใช่ทักษะยุทธ์ และไม่ใช่วรยุทธ์ แต่เป็นตราที่เกิดจากกฎการเวียนว่ายตายเกิด

ในจุดตันเถียน วงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพหมุนเวียน ความอัศจรรย์ทั้งหลายของกฎการเวียนว่ายตายเกิดเคลื่อนไหวมาในประสาทความรู้สึก ความรับรู้นี้สัมผัสไปถึงวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ หลัวซิวพบว่า วิชายุทธ์ที่เรียนแล้วไม่เข้าใจ ก็ได้เข้าใจขึ้นมาได้ทันที ราวกับสามารถทำความเข้าใจความลึกล้ำทุกอย่างได้หมด

เพราะว่าความเป็นตาย คือกฏแห่งธรรมชาติที่สูงส่งที่สุดอย่างหนึ่ง ถึงแม้หลัวซิวจะสามารถรับรู้ได้ถึงส่วนเล็กๆ เท่านั้น แต่ตัวมันก็มีระดับสูงมาก แต่วิชายุทธ์ที่เขาฝึกมัน มันมีระดับที่ต่ำกว่ามาก ใช้ระดับที่สูงกว่าไปมองดู สิ่งของระดับต่ำก็จะชัดเจนง่ายขึ้นมาก

“มหัศจรรย์มากเลย……”

หลัวซิวอดพูดออกมาไม่ได้ การปรากฏขึ้นของวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ เรียกได้ว่า เพิ่มพลังให้ตนเองไปในทุกด้านเลยทีเดียว

อันดับแรกคือ ด้านการฝึกตน ขับเคลื่อนวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ หลัวซิวสามารถดูดซับพลังฟ้าดินจิตและพละกำลังสรรพสิ่งได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ผลลัพธ์สามารถเทียบกับอุปกรณ์ค่ายผนึกปราณขั้น2ได้เลย

ถ้าหากว่าเพิ่มอุปกรณ์ค่ายผนึกปราณขั้น2เข้ามาด้วย ความรวดเร็วของการฝึกตนของเขา สามารถเพิ่มเป็น4เท่าจาก4เท่าเดิม เพิ่มเป็นทั้งหมด16เท่าได้อย่างน่าตกใจ!

ความรวดเร็วแบบนี้ ต่อให้ฝึกวิชาแย่ๆ ผลการฝึกตนก็ยังสามารถเพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็ว แล้วจะประสาอะไรกับพลังหยางบริสุทธิ์ที่เขาฝึก

รองลงมาก็คือทักษะยุทธ์และวิชาท่าร่าง ตอนนี้เขาสามารถมองดูความล้ำลึกของวิชาได้อย่างชัดเจน วิชายุทธ์ระดับ4ทั่วไป เขามั่นใจว่าสามารถฝึกจนบรรลุผลได้ในเวลาอันสั้นที่สุด แล้วใช่เวลาอีกหน่อยก็จะฝึกจนถึงแดนบริบูรณ์ได้ไม่ยาก

“ก๊อก!ก๊อก!ก๊อก!……”

ในตอนนี้เอง เสียงเคาะประตูดังเข้ามา ทำให้หลัวซิวตื่นจากสภาพการฝึกตน คิ้วก็ขมวดขึ้น เพราะว่าตอนที่จอมยุทธ์กำลังฝึกตนอยู่นั้น ไม่ชอบการรบกวน

ชี้นิ้วออกไป พลังก็พุ่งออกมา ทำให้ประตูเปิดออก มีคนแก่คนหนึ่งเดินเข้ามาอย่างเคารพ

“ท่านชายหลัว เจ้าสำนักเชิญคุณไปที่สำนักยุทธ์” คนแก่พูดขึ้นมา

คนแก่คนนี้หลัวซิวก็ไม่ได้จะแปลกหน้าแปลกตาอะไร เขาคือคนรับใช้ข้างกายของเจ้าสำนักยุทธ์

พอได้ยินว่าเจ้าสำนักยุทธ์เรียกหาตนเอง หลัวซิวก็ค่อยๆ ลุกขึ้น “ไม่ทราบว่าเจ้าสำนักยุทธ์มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”

สำหรับเจ้าสำนักยุทธ์แล้วนั้น หลัวซิวก็เคารพอยู่มาก

“เรียนคุณชาย เจ้าสำนักยุทธ์ของเมืองซินฉือมาเมืองชิงหยุนพบกับเจ้าสำนัก เขาพาสาวน้อยอัจฉริยะคนหนึ่งมาท้าทายกับยอดฝีมือในสำนัก มีหลายคนพ่ายแพ้ให้กับเธอไปแล้ว ที่เจ้าสำนักเชิญตัวท่านไป ก็น่าจะเป็นเพราะเรื่องนี้” คนรับใช้กล่าว

พอได้ยินดังนั้น หลัวซิวก็ขมวดคิ้ว เมืองซินฉือคืออีกเมืองที่อยู่ข้างเคียงกับเมืองชิงหยุน

ทุกเมืองในเขตการปกครองหยุนหลง ล้วนมีสำนักยุทธ์ที่สำนักเซียวเหยาก่อตั้งขึ้นมา ถึงแม้จะบอกว่ามีเอาไว้เพื่อชุบเลี้ยงอัจฉริยะต่างๆ แต่จริงๆ แล้วระหว่างกันก็ยังมีการแข่งขันระหว่างกันด้วย มาเชิญท้าทายกัน ก็เป็นเรื่องธรรมดา

ตอนนี้ ในหมู่นักเรียนของสำนักหวูแห่งเมืองชิงหยุน หลัวซิวอยู่อันดับ1 ก็ต้องมีหน้าที่รับคำท้าจากยอดฝีมือในสำนักยุทธ์จากเมืองอื่นๆ เพื่อรักษาชื่อเสียงของสำนักหวูแห่งเมืองชิงหยุนเอาไว้

บนเวทีประลองของสำนักหวูแห่งเมืองชิงหยุน ตอนนี้ก็มีคนเข้ามาดูมากมาย บนห้องชมการประลองใต้หลังคานั้น เจ้าสำนักชิงหยุนก็นั่งอยู่กับชายวัยกลางคนท้วมๆ และนั่นก็คือเจ้าสำนักซินฉือ

บนเวทีประลอง วัยรุ่นสองคนกำลังประมือกัน ด้านหนึ่งคือเฟิงเซวียนจวี๋ของสำนักหวูแห่งเมืองชิงหยุน คู่ต่อสู้คือสาวน้อยชุดแดงหน้าตาสะสวย

“ฮ่าๆ เจ้าสำนักชิงหยุน ได้ยินมาว่าสำนักหวูแห่งเมืองชิงหยุนมีอัจฉริยะที่ฝึกพลังหยางบริสุทธิ์สำเร็จ ไม่ทราบว่าจะกล้ามาพนันกับผมหน่อยไหม?” อยู่ดีๆ เจ้าสำนักซินฉือยิ้มพูดออกมา

ในเขตการปกครองหยุนหลงมีทั้งหมด18เมือง เจ้าสำนักยุทธ์ของแต่ละเมือง มักจะนำพาคนเก่งๆ ของตนเองมาสู้กัน บางครั้งก็เล่นพนันกัน ถือเป็นเรื่องธรรมดา

“เจ้าสำนักซินฉือ อยากจะพนันอะไรครับ?” เจ้าสำนักชิงลึกลับนยิ้มถาม

“เดิมพันเอาเป็นกำไลอัญมณีฟ้าที่คุณชนะผมไปเมื่อ3ปีก่อนดีไหม?” เจ้าสำนักซินฉือยิ้มพูดตาหยี

“ผัวะ!”

ในตอนนี้เอง บนเวทีประลองก็มีเสียงตบบ้องหูดังขึ้นมา เฟิงเซวียนจวี๋ร่วงลงจากเวทีประลอง ใบหน้าเป็นร้อยฝ่ามือ สองตาโกรธเป็นฟืนไฟ ทั้งตกใจทั้งโมโห

นักเรียนของสำนักยุทธ์ที่มาดูการประลอง ก็ตกใจไปตามกัน แล้วก็ลุกฮือกันขึ้นมาทันที

“มากไปหรือเปล่า สู้กันไม่หยามกัน ในเมื่อชนะแล้ว ทำไมจะต้องทำให้คนอื่นอับอายด้วย?”

“หน้าตาก็สวย ทำไมถึงใจไม้ไส้ระกำแบบนี้ คิดว่าสำนักหวูแห่งเมืองชิงหยุนไม่มีคนเก่งหรือไง?”

คนไม่น้อยตะโกนออกมาด้วยความไม่พอใจ

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 50 ความสัมพันธ์กับลู่เมิ่งเหยา

 

เห็นหลัวซิวที่กำลังนั่งขัดสมาธิฝึกตนอย่างสงบอยู่นั้น ในใจของลู่เมิ่งเหยาก็บังเกิดความรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา

ก่อนหน้านี้เธอก็ไม่เคยคิดเลยว่า เรือนร่างของตนเอง จะมาถูกหนุ่มน้อยอายุเพียง14ปีเห็นเข้าทั้งหมด

ตอนแรกก็รับไม่ได้ แต่ตอนนี้ พอถูกเขาจ้องมองแบบนั้น กลับทำให้ใจเต้นแรงมากขึ้น เริ่มมีความรู้สึกอายๆ

“เดี๋ยวรออาการโรคชีพจรขาดธาตุไฟของฉันดีขึ้นแล้ว ก็จะกลับไปแล้วสินะ?” ลู่เมิ่งเหยาพูดคนเดียวขึ้นมา

ทั้งเมืองชิงหยุน มีเพียงเจ้าสำนักยุทธ์และผู้อาวุโสทั้ง5ที่รู้ตัวตนและที่มาที่ไปแท้จริงของเธอ

เธอเคยเจออัจฉริยะมาหลายคน ตัวเธอเองก็เป็นอัจฉริยะ ถ้าไม่ใช่เพราะโรคชีพจรขาดธาตุไฟมาทำให้อ่อนแอ เธอก็ได้เป็นจอมยุทธ์พรสวรรค์นานแล้ว

แต่หลัวซิว ก็ยังทำให้เธอทึ่ง เวลาสั้นๆ เพียงครึ่งปี จากการกลั่นร่างขั้น2บรรลุมาถึงการกลั่นร่างขั้น9 แค่นี้ก็ยังไม่ถือว่าอัศจรรย์อะไรมาก เพราะว่าพวกคนเก่งในสำนักเซียวเหยา ก็สามารถทำได้

แต่สิ่งที่หลัวซิวทำได้นั้น มันไม่ใช่แค่เท่านี้ เขายังฝึกพลังหยางบริสุทธิ์ได้สำเร็จอีกด้วย!

พลังหยางบริสุทธิ์ พลังพรสวรรค์ เป็นสายเดียวกัน ตามตำนานว่ากันว่าเป็นคัมภีร์ลับเล่มเดียวกัน มีชื่อว่าพลังหยางบริสุทธิ์ มีระดับถึงวิชายุทธ์ระดับ8!

แต่ว่าวิชาแขนงนี้ฝึกสำเร็จยาก ต่อให้เป็นคนเก่งๆ ทั้งหลายในประเทศเทียนหวูก็ยังมีคนฝึกสำเร็จน้อยมาก แต่ถ้าฝึกสำเร็จขึ้นมา ผลการฝึกตนก็จะล้ำลึก เหนือกว่าใคร!

วิชายุทธ์แขนงนี้แบ่งเป็นสองขั้น หนึ่งเรียกว่าหยางบริสุทธ์ สองเรียกว่าพรสวรรค์ พลังหยางบริสุทธิ์เป็นพื้นฐาน สามารถฝึกตนจนถึงชี่ไห่ขั้น9 คนที่ฝึกพลังพรสวรรค์เท่านั้น ถึงจะสามารถเข้าสู่แดนพรสวรรค์ได้

ถ้าสามารถเอาพรสวรรค์และหยางบริสุทธ์รวมเป็นหนึ่งได้ ก็จะหลายเป็นวิชายุทธ์ระดับ8อย่างเต็มตัว

ถึงแม้ระดับพวกนั้นยังห่างจากหลัวซิวในตอนนี้อีกไกล แต่อย่างน้อย เขาก็ยังมีโอกาสนั้น

อีกอย่างวิชายุทธ์ในตัวของกลัวซิวก็มีพรสวรรค์ไม่ธรรมดา วันข้างหน้าได้เข้าสำนักเซียวเหยา ก็อาจจะได้มีหน้ามีตามีตำแหน่งในนั้นเหมือนกัน

“ฟู่……”

หลิวซิวอ้าปากหายใจออกมา ค่อยๆ ลืมตาขึ้น แล้วเห็นลู่เมิ่งเหยากำลังจ้องมองตัวเองอยู่พอดี จ้องตากันพอดี

ลู่เมิ่งเหยาก็ตั้งสติได้ แล้วรีบหลบสายตา เหมือนว่ากลัวที่จะจ้องตากับหลัวซิว

ได้อยู่ด้วยกันหลายวันมานี้ แก้ผ้าเผชิญหน้ากันหลายครั้ง บอกตามตรง ในใจของหลัวซิวเองก็เกิดความคิดอะไรขึ้นมาเหมือนกัน

เพียงหลัวซิวไม่ใช่คนที่อธิบายอะไรเก่ง และไม่รู้ว่าลู่เมิ่งเหยาคิดอะไรกับตนเองหรือเปล่า เขาก็เลยได้แต่เก็บความคิดนั้นซ่อนไว้ในใจต่อไป

หลังจากผ่านเรื่องของหลิวหยู่ซินมาแล้ว บางครั้งหลัวซิวก็ตั้งใจที่จะออกห่างความคิดเรื่องความรู้สึกอะไรแบบนี้

“เมิ่งเหยา เดี๋ยวรอผมฝึกตนจนถึงแดนฝึกชี่ไห่ก่อน น่าจะอีกประมาณ2-3ครั้ง ก็จะสามารถรักษาอาการโรคชีพจรขาดธาตุไฟของคุณได้แล้วล่ะ” หลัวซิวพูดออกมา

ความสัมพันธ์ของทั้งสองคน มันไม่เหมือนตอนแรกอย่างเห็นได้ชัด คำเรียกขาน จากอาจารย์ลู่ พี่ลู่ ตอนนี้ก็เรียกเธอว่าเมิ่งเหยาอย่างเดียวแล้ว เรียกกันสนิทสนมดีจริงเชียว

“นายจะบรรลุแดนฝึกชี่ไห่แล้วงั้นหรือ?”

ไม่รู้ว่าทำไม พอได้ยินว่าอีก2-3ครั้งก็จะรักษาโรคชีพจรขาดธาตุไฟได้แล้ว ในใจของลู่เมิ่งเหยาไม่เพียงไม่มีความสุข แต่กลับรู้สึก….ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นเสียอีก?

“นี่ฉันเป็นอะไรไป? ถูกโรคชีพจรขาดธาตุไฟทรมานมาหลายปี ในเมื่อสามารถรักษาหายได้ ฉันก็ควรจะดีใจถึงจะถูกสิ”

เวลานี้ ใจของลู่เมิ่งเหยาก็สับสน “หรือว่าหลังจากที่รักษาหายแล้ว ก็จะไม่มีได้อยู่กับเขาไปแบบนี้ใช่ไหม?”

หลัวซิวไม่รู้ว่าในใจของเธอคิดอย่างไร แต่กลับเห็นเธอมีสีหน้ากลัดกลุ้ม

“เป็นอะไรไปเมิ่งเหยา ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?” หลัวซิวลุกขึ้น แล้วเดินไปตรงหน้าเธอ แล้วจ้องมองไปยังลายเส้นชีวิต ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ

ลายเส้นชีวิตสามารถมองเห็นอาการป่วยได้ แต่ไม่สามารถอ่านใจคนได้

“ไม่ได้ไม่สบาย น่าจะเหนื่อยน่ะ” ลู่เมิ่งเหยาพยายามยิ้มออกมา

“งั้นคุณก็พักผ่อนแล้วกัน ช่วงนี้ผมก็จะเก็บตัวฝึกตนเพื่อให้บรรลุแดนฝึกชี่ไห่” หลัวซิวกล่าว

……

หลังจากออกไปจากที่พักของลู่เมิ่งเหยา หลัวซิวก็มายังลานสวนแห่งหนึ่งในเมืองชิงหยุน

จากที่เกิดเรื่องของตระกูลจางแล้วนั้น หลัวซิวก็ซื้อลานสวนมาหลังหนึ่ง พาพ่อแม่และพี่สาวของตนเองมาอยู่ที่นี่ เพราะถึงอย่างไรตอนนี้เขาก็มีกำลังที่มากพอแล้ว สามารถทำให้คนรอบกายตนเองมีชีวิตที่ดีขึ้นได้แล้ว

พ่อแม่และพี่สาวของหลัวซิวไม่มีพรสวรรค์ด้านการฝึกยุทธ์ ทั้งชีวิตเป็นได้แค่คนธรรมดาทั่วไป สำหรับพวกเขาแล้ว ได้มีชีวิตที่สุขสบายไปจนแก่ ชีวิตนี้ก็ไม่มีอะไรต้องเสียดายแล้ว

ห้องของหลัวซิวอยู่ในส่วนลึกที่สุดของลานสวน ที่นี่คือพื้นที่ฝึกตนของเขา

วิชายุทธ์ในแผ่นดิน แบ่งเป็น9ระดับ ระดับ1-3เป็นวิชายุทธ์ชั้นล่าง ส่วนวิชายุทธ์ระดับ4กลับเริ่มเป็นชั้นกลางแล้ว

ชั้นที่3ของหอเก็บหนังสือในสำนักหวูแห่งเมืองชิงหยุน วิชายุทธ์ระดับ4มีเพียง6อย่าง กำลังภายใน ทักษะยุทธ์ วิชาท่าร่าง อย่างละ2 เรียกได้ว่าเป็นวิชายุทธ์ที่สูงที่สุดในเมืองชิงหยุนแล้ว

จากที่ได้เป็นแชมป์การประลองยุทธ์ หลัวซิวสามารถเลือกฝึกวิชายุทธ์ระดับ4ได้ตามใจ สำหรับเขาแล้ว ถ้าจะฝึกก็ต้องฝึกของที่ดีที่สุด เขาก็เลยเลือกฝึกวิชาเก้ากระบี่สะท้านฟ้า และวิชาท่ากลไกวิเศษ

วิชาเก้ากระบี่สะท้านฟ้านั้น เป็นการพัฒนาของวิชากระบี่ฟ้าแลบ

ส่วนวิชาท่ากลไกวิเศษนั้น ถือว่าเป็นวิชายุทธ์ที่ล้ำค่าที่สุดในบรรดาวิชายุทธ์ระดับ4 มีค่าทัดเทียมพลังหยางบริสุทธิ์

เป็นวิชาท่าร่างระดับ4 แต่ วิชากลไกวิเศษ ไม่ครบถ้วน มีส่วนที่ขาดหาย

แต่ต่อให้เป็นวิชาท่าร่างที่มีส่วนขาดหาย ก็ยังถูกนับเป็นวิชาระดับ4 เห็นได้ว่ามันไม่ธรรมดา

มีวิชากระบี่ฟ้าแลบที่สำเร็จแล้วเป็นพื้นฐาน ดังนั้นตอนที่หลัวซิวฝึกวิชาเก้ากระบี่สะท้านฟ้า ก็ราบรื่นมาก ใช้เวลาเพียง7วัน ก็สามารถฝึกวิชาเก้ากระบี่สะท้านฟ้าจนได้ระดับแดนสำเร็จน้อยแล้ว

แต่ผังโคจรเส้นลมปราณของวิชาท่ากลไกวิเศษมันซับซ้อน ใช้ผังลายเส้นชีวิตมาช่วยด้วย หลัวซิวใช้เวลาไปครึ่งเดือน ก็ยังฝึกได้แค่ขั้นปฐมภูมิ

แต่หลัวซิวกลับพบว่า ใช้วิชาท่ากลไกวิเศษขั้นปฐมภูมิ มาผนวกเข้ากับทักษะหลบหลีกในระยะมิลลิเมตร ไม่ว่าจะเป็นความเร็วหรือความคล่องตัว ก็ได้เหนือวิชาก้าวสั้นแดนบริบูรณ์ไปแล้ว

วิชาท่าร่างนี้เต็มไปด้วยความน่าค้นหา สามารถเกิดเป็นความเร็วฉับพลันในพริบตาจนทำให้คนอึ้งไป เป็นการเคลื่อนตัวระยะสั้นอย่างฉับพลัน

ส่วนการบรรลุแดนฝึกชี่ไห่นั้น หลัวซิวไม่ได้รีบร้อน เขามียาผนึกปราณ1เม็ด สามารถบรรลุขั้นได้ตลอดเวลา

ช่วงนี้ เจ้าสำนักยุทธ์ก็ได้มาชี้แนะการฝึกตนกับเขาเหมือนกัน บอกกับเขาว่าก่อนที่จะบรรลุแดนฝึกชี่ไห่ พยายามฝึกพื้นฐานให้มั่นคง รากฐานที่มั่นคงจะมีผลต่อความสำเร็จของโลกยุทธ์ในอนาคต

ไม่นาน ก็ผ่านไป1เดือน หลัวซิวอยู่แต่ในบ้านไม่ค่อยออกไปไหน แทบจะใช้เวลาทั้งหมดฝึกวิชาเก้ากระบี่สะท้านฟ้าและวิชาท่ากลไกวิเศษ

การฝึกตนจนลืมความเป็นตัวเองแบบนี้ หลัวซิวก็ได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจมาก บวกกับผลของค่ายผนึกปราณขั้น2 ต่อให้ไม่ได้กินยาผนึกปราณ ผลการฝึกตนของเขาก็ใกล้เคียงแดนฝึกชี่ไห่แล้ว

วิชาเก้ากระบี่สะท้านฟ้าบรรลุผล วิชาท่ากลไกวิเศษสำเร็จเล็กน้อย!

และวิชาท่ากลไกวิเศษในส่วนที่ขาดหายไป หลัวซิวก็ใช้ผังลายเส้นชีวิตช่วยเสริมเข้าไปจนครบ

“ถึงเวลาที่ทะลวงแดนฝึกชี่ไห่แล้ว”

วันนี้ หลัวซิวเข้ามาในป่าแห่งหนึ่งในเมืองชิงหยุน ที่นี่อยู่ใกล้กับชานเมือง ดังนั้นก็เลยไม่มีสัตว์ป่าและอสูรกาย

อุปกรณ์ค่ายผนึกปราณขั้น2ถูกเปิดออก พลังฟ้าดินจิตจากทั้ง8ทิศก็รวมเข้ามา หลัวซิวหยิบยาผนึกปราณใส่ปาก พลังของยาที่บริสุทธิ์เข้มข้นก็เกิดเป็นพลังขึ้นในตัวเขา

“วิ๊ง!วิ๊ง!วิ๊ง!……”

ตัวของเขาเกิดเป็นประกายแสงออกมา ปราณในก็รวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ รวมเข้าอยู่ที่จุดตันเถียนอย่างไม่หยุด

ในความรู้สึกของเขานั้น จุดตันเถียนก็เริ่มสั่นๆ ตามด้วยปราณในที่กระแทกไม่หยุด จุดตันเถียนสั่นจนรู้สึกชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ แรงขึ้นเรื่อยๆ

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 5

“สุนัขมาจากไหนกัน ถึงได้ออกมาไล่กัดคนเพ่นพ่านเช่นนี้ ?”
หลัวซิวไม่รู้จักว่าอีกฝ่ายเป็นใคร จู่ ๆ ก็มาเอ่ยปากด่าทอว่าตนเองนั้นเป็นพวกสวะ ตอนนี้หลัวซิวไม่ใช่คนที่คนอื่นจะมาดูถูกง่าย ๆ ได้อีกแล้ว
“เจ้ากล้าด่าข้าอย่างนั้นหรือ ?” ชายหนุ่มสวมเสื้อแพรมีสีหน้าโกรธเคือง แววตาของเขาเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าที่รุนแรง
“เจ้ากล้าด่าข้าว่าเป็นสวะ แล้วทำไมข้าจะไม่กล้าด่าเจ้าว่าเป็นสัตว์เดรัจฉานล่ะ ? เจ้าคงคิดว่าเจ้าเป็นผู้รากมากดี ที่เกิดในตระกูลสูงส่งอย่างนั้นสินะ ?” หลัวซิวพูดเย้ยหยัน
ชายหนุ่มสวมเสื้อแพรยิ่งแสดงท่าทีอาฆาต “เจ้านี่ช่างใจกล้าเสียจริง ๆ แต่พวกสวะชั้นต่ำอย่างเจ้า ยิ่งใจกล้ามากเท่าไหร่ ก็ยิ่งจะตายเร็วขึ้นมากเท่านั้น !”
หลัวซิวไม่คิดเช่นนั้น เขาหัวเราะเยาะออกมา “น้องชายของเจ้าถูกคนที่เจ้าเรียกว่าสวะเอาชนะได้ และเหยียบเขาจนจมดิน เช่นนั้นน้องชายเจ้าถือว่าเป็นอะไรกันล่ะ ? ส่วนเจ้าซึ่งเป็นพี่ชายของเขา ตัวเจ้าเองนับว่าเป็นอะไรกัน ?”
“เจ้ารนหาที่ตายชัด ๆ !” แสงประกายจาง ๆ ส่องสว่างออกมาจากชายหนุ่มที่สวมใส่เสื้อแพร เขาพุ่งเข้าใส่หลัวซิวด้วยท่าทีที่ดุดันในทันที
ปราณในของเขาส่องสว่าง ที่คือผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ในระดับการกลั่นร่างขั้น7 เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดจากการมีปราณในที่บริสุทธิ์และทรงพลัง
เหมือนที่หลัวซิวคาดการณ์ไว้ไม่มีผิด ชายหนุ่มที่สวมใส่เสื้อแพรผู้นี้คือจางห่าย ซึ่งเป็นพี่ชายของจางเจี๋ยจริง ๆ เขาเป็นลูกศิษย์ที่โดดเด่นในบรรดาลูกศิษย์ระดับปี2 ตอนนี้เขาไต่เต้าไปถึงระดับการกลั่นร่างชั้น7เรียบร้อยแล้ว !
หลัวซิวจ้องตาเขม็ง ผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ในระดับการกลั่นร่างขั้น7 สำหรับเขาแล้วถือเป็นคู่ต่อสู้ที่รับมือได้ยาก แต่ถ้าหากต่อสู้กันจริง ๆ เขาก็สามารถเลือกใช้วิธีทำลายลายเส้นชีวิตของอีกฝ่ายโดยตรงได้ จึงทำให้เขาคลายความกลัว
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดึงดูดสายตาของผู้คนไม่น้อย ทำให้ผู้คนที่รวมตัวกันอยู่ไม่ไกลต่างหันมอง
“ดูเหมือนชายคนนั้นจะเป็นจางห่ายพี่ชายของจางเจี๋ยนะ เมื่อครู่ร่างกายของเขาส่องแสงสว่างของปราณในออกมา นั่นหมายความว่าเขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ในระดับการกลั่นร่างขั้น7แล้ว !”
“ได้ยินมาว่าผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ในระดับการกลั่นร่างขั้น7 มีสิทธิ์เข้าไปในหอเก็บหนังสือเพื่อเลือกรับวิชายุทธ์ระดับ3 ช่างเป็นเรื่องน่าอิจฉาจริง ๆ”
“หลายวันก่อนหลัวซิวทำร้ายจางเจี๋ยจนได้รับบาดเจ็บ จางห่ายจึงออกโรงด้วยตัวเอง คราวนี้หวังซิวคงไม่รอดแน่”
ผู้คนต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ไปต่าง ๆ นานา ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนตกตะลึงในความสามารถของจางห่าย ส่วนหลัวซิวนั้น ถึงแม้หลายวันก่อนจะสามารถเอาชนะจางเจี๋ยได้ แต่คนพวกนั้นเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับจางเจี๋ยแล้ว ถือว่าอยู่คนละชั้น
“กำลังจะลงมือแล้ว !”
ทุกคนเห็นร่างกายของจางห่ายส่องประกายแสงของปราณในออกมา ก็รู้ได้โดยทันทีว่านี่เป็นปรากฏการณ์ที่ปราณในของผู้ฝึกยุทธ์ในระดับการกลั่นร่างขั้น7 กำลังเคลื่อนไหวไปสู่จุดสูงสุด
“เจ้าทำลายมือทั้งสองข้างของน้องชายข้า ทำให้ซี่โครงของเขาหักไปสองซี่ เพราะฉะนั้นข้าจะทำลายแขนขาของเจ้าซะ และหักซี่โครงของเจ้าทุกซี่จนหมด !”
จางไห่พูดพลางแสยะยิ้ม ในสำนักยุทธ์มีกฎเกณฑ์ว่าห้ามฆ่าคน แต่ถ้าหากทำให้หมอนี่พิการและไม่สามารถฝึกยุทธ์ได้อีก ก็เท่ากับว่าเขาจะต้องถูกไล่ออก ถึงตอนนั้นเมื่อออกจากสำนักยุทธ์ไปแล้ว ด้วยวิธีการของตระกูลจาง หากคิดที่จะฆ่าคนชั้นต่ำที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าสักคน ก็เป็นเรื่องที่ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก
ยังไม่ทันจะพูดจบ จางห่ายก็เริ่มลงมือ เขาก้าวเท้าไปหนึ่งก้าว แล้วปล่อยหมัดพุ่งตรงไปที่หน้าอกของหลัวซิว เป็นหมัดที่รวดเร็วและทรงพลัง
เมื่อเห็นว่าจางห่ายเริ่มลงมืออย่างรวดเร็ว สีหน้าของหลัวซิวก็เย็นชาลงทันที เขายกแขนทั้งสองข้างขึ้นเพื่อป้องกันการโจมตีจากอีกฝ่าย
“ตุบ !”
หลัวซิวรู้สึกว่ากระดูกแขนทั้งสองข้างของเขาเจ็บปวดอย่างรุนแรง แรงปะทะที่พุ่งตรงเข้ามาอย่างฉับพลัน ทำให้เขาถอยร่นไปหลายก้าวโดยไม่ทันได้ตั้งตัว
“ไม่เสียแรงที่อยู่ในระดับการกลั่นร่างชั้น7 ไม่ว่าจะเป็นความเร็วหรือพลัง ถือว่าเยี่ยมยอดกว่าข้าหลายเท่านัก”
หลัวซิวพยายามทรงตัวให้มั่นคง ดวงตาของเขาดูมุ่งมั่น ปราณในของเขากำลังซ่อมแซมลายเส้นชีวิต ความเจ็บปวดบนแขนทั้งสองข้างค่อย ๆ จางหายไป
“อะไรกัน ? ไม่ล้มลงไปอย่างนั้นหรือ ดูเหมือนว่าสวะอย่างเจ้าสามารถเอาชนะน้องชายที่ไม่เอาไหนของข้าได้ คงจะต้องมีความสามารถพอตัว”
จางห่ายขมวดคิ้วเล็กน้อย ผลการฝึกตนของเขาไม่เพียงแต่อยู่ในระดับการกลั่นร่างขึ้น7เท่านั้น แต่การฝึกตนในทักษะยุทธ์ของเขาก็ไต่เต้าถึงระดับวิชายุทธ์ระดับ3 การที่เขาไม่สามารถโจมตีหลัวซิวให้พ่ายแพ้ลงในคราวเดียวได้ ถือเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายมากจริง ๆ
แต่นี่คงเป็นเพียงเรื่องที่เหนือความคาดหมายเท่านั้น สำหรับจางห่ายแล้ว เขามีความมั่นใจในความสามารถของตนเองอยู่ไม่น้อย เขาส่งเสียงเย้ยหยันออกมาแล้วเริ่มลงมืออีกครั้งอย่างรวดเร็ว เขาใช่ท่าตะครุบอินทรีเหล็กพุ่งตรงเข้าไปบีบคอของหลัวซิวเอาไว้
ถึงแม้จะเป็นท่าตะครุบอินทรีเหล็กที่อยู่ในทักษะยุทธ์ระดับสามเช่นเดียวกัน แต่ผลลัพธ์ที่ออกมา ช่างต่างกับจางเจี๋ยลิบลับ ทั้งรวดเร็วและรุนแรงอย่างยิ่ง
“หยุดเดี๋ยวนี้ !”
ตอนนี้เอง จู่ ๆ ก็มีเสียงตะโกนด้วยความโกรธดังขึ้น
เมื่อได้ยินเสียงนี้ จางห่ายก็รีบปล่อยมือทันที เมื่อหันมองไปพบกับหญิงสาวรูปร่างร้อนแรง แต่งกายด้วยชุดต่อสู้รัดรูปสีขาว กำลังเดินเข้ามาด้วยใบหน้าที่เย็นชา
“อาจารย์ลู่”
เมื่อบรรดาลูกศิษย์ของสำนักยุทธ์ที่ยืนอยู่โดยรอบเห็นนาง ต่างก็รีบทำความเคารพ
หญิงสาวคนนี้มีนามว่าลู่เมิ่งเหยา เป็นหนึ่งในอาจารย์ของสำนักยุทธ์แห่งเมืองชิงหยุน และเป็นนักยุทธ์ที่มีผลการฝึกตนอยู่ในระดับแดนฝึกชี่ไห่อย่างแท้จริง !
ด้วยทรวดทรงของร่างกายที่ดูเร่าร้อน ท่อนขาที่เรียวสวย ใบหน้าที่งดงามไร้ที่ติ ความสามารถที่แข็งแกร่ง พรสวรรค์ที่สูงส่ง รวมไปถึงจุดเด่นมากมายที่ถูกรวเอาไว้ในตัวของนาง ทำให้ลู่เมิ่งเหยาซึ่งเป็นบุคคลที่โดดเด่นอย่างยิ่งในสำนักยุทธ์เมืองชิงหยุน
ต่อหน้าอาจารย์ในสำนักยุทธ์ จางห่ายไม่กล้ากระทำความผิดแม้แต่น้อย ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าลงมือกับหลัวซิวต่อ
“คารวะอาจารย์ลู่” จางห่ายและหลัวซิวทำความเคารพโดยพร้อมเพรียงกัน
“เจ้าชื่อจางห่ายใช่ไหม ? ในฐานะที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับการกลั่นร่างขั้น7ในชั้นเรียนระดับกลาง แต่กลับมาหาอวดเบ่งวิชาการต่อสู้ของตนเองในชั้นเรียนระดับต้น รังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า นี่เป็นสิ่งที่ผู้ฝึกยุทธ์ควรกระทำอย่างนั้นหรือ ?” ลู่เมิ่งเหยาแสดงความไม่พอใจออกมา และพูดพลางขมวดคิ้ว
“อาจารย์ลู่เข้าใจผิดแล้วครับ เป็นเพราะหลัวซิวผู้นี้ทำร้ายน้องชายของข้า ในฐานะที่ข้าเป็นพี่ จึงเป็นธรรมดาที่ข้าต้องมาทวงคืนความยุติธรรม” จางห่ายกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
ลู่เมิ่งเหยาเหลือบมองหลัวซิว อันที่จริงแล้วสำหรับลูกศิษย์ที่ไร้ซึ่งผลงานและความโดดเด่นมาตลอดสามปี นางจึงไม่เคยให้ความสนใจเลยแม้แต่น้อย
การต่อสู้กันระหว่างลูกศิษย์ สำนักยุทธ์มักจะปิดตาข้างเดียว เพราะนี่ถือเป็นการแข่งขันเพื่อเขาชีวิตรอดของผู้ที่มีความแข็งแกร่งรูปแบบหนึ่ง
แต่ทว่าเมื่อหลายวันก่อน หลัวซิวเพิ่งจะเอาชนะลูกศิษย์ในชั้นต้นที่มีความสามารถโดดเด่นอย่างจางเจี๋ยไปได้ สิ่งนี้ทำให้ลู่เมิ่งเหยารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“การกลั่นร่างขั้น4 ?”
ลู่เมิ่งเหยาสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของปราณในในตัวของหลัวซิว นางจำได้อย่างแม่นยำว่าเมื่อสองสามวันก่อนลูกศิษย์คนนี้ยังอยู่ในระดับการกลั่นร่างขั้น2
นางรู้สึกตกใจเล็กน้อย “หรือว่าเขาจะเพิ่งค้นพบพรสวรรค์ด้านการฝึกยุทธ์ของตนเองซึ่งถูกสั่งสมมาเป็นเวลานาน ?”

########################

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

None

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท