“หากแดนศักดิ์สิทธิ์เห็นความสำคัญของพรสวรรค์แฝงของพวกเจ้า วันข้างหน้าย่อมมีโอกาสกลับมาที่นี่อีก” จงสุนกล่าวอย่างไร้อารมณ์
เมื่อเหล่าหนุ่มสาวผู้เปี่ยมความสามารถสูงได้ยินเช่นนี้ต่างพากันถอนหายใจ พวกเขาล้วนเป็นอัจฉริยะขั้นสูงในโลกแสงดาว ย่อมมีความมั่นใจในพรสวรรค์แฝงของตัวเองอย่างมาก
ทว่าจงสุนกลับหัวเราะเย้ยในใจ เพราะเขาค่อนข้างมั่นใจว่าภายในคนกลุ่มนี้ หากแดนศักดิ์สิทธิ์เห็นความสำคัญสักคนสองคนก็ถือว่าไม่เลวแล้ว
อีกอย่างต่อให้ถูกแดนศักดิ์สิทธิ์ให้ความสำคัญ ก็ไม่ได้หมายความว่าเมื่อการฝึกตนไปถึงแดนมหายุทธ์แล้วจะมีคุณสมบัติในการกลับมาฝึกตนที่นี่อีก และกว่าที่หนุ่มสาวกลุ่มนี้จะฝึกไปถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ก็คงใช้เวลาอีกนาน
“หากครบหนึ่งปีแล้ว พวกเจ้ายังคงมีเวลาฝึกตนที่ ตำหนักเต๋า เหลืออยู่ สามารถนำไปแลกเป็นสมบัติที่พวกเจ้าต้องการได้”
จงสุน ไม่ได้กล่าวอะไรต่อ เขาเคลื่อนกายหายตัววับไป
รู้เพียงอย่างเดียวว่าหนึ่งเดือนหลังจากนี้ก็จะจัดลำดับรายชื่อครั้งสุดท้ายแล้ว เด็กหนุ่มสาวทั้งยี่สิบคนนี้จึงต้องเริ่มพัฒนาพลังของตัวเองแข่งกับเวลาให้มากกว่าเดิม
“หลัวซิว เจ้าจะไปไหน” เมื่อลู่เมิ่งเหยาเห็นว่าหลัวซิวไม่ได้มุ่งหน้ากลับไปยังที่พักของตัวเองก็เอ่ยถามออกมา
“ไป ตำหนักเต๋า” หลัวซิวตอบ
“เอ๊ะ เจ้ายังเหลือเวลาฝึกตนที่ตำหนักเต๋าเหลืออยู่อีกหรือ” สีหน้าของลู่เมิ่งเหยาประหลาดใจ นางจำได้ว่าหลัวซิวฝึกอยู่ในตำหนักเต๋ามาร้อยกว่าวันแล้ว
“ตอนที่ผ่านด่านหอคอยมหาภพสองชั้นแรก ได้เวลามาเพิ่มอีกนิดหน่อย
“อ่อ อย่างนั้นข้าไม่กวนเจ้าแล้ว” ลู่เมิ่งเหยายิ้มอย่างเข้าใจ เพราะนางย่อมรู้เรื่องที่หลัวซิวผ่านด่านทั้งสองชั้น
“ข้าจะรอเจ้ากลับมา”
ตอนที่หลัวซิวทะยานตัวขึ้นฟ้าไปแล้วนั้น เขาพลันได้ยินน้ำเสียงของลู่เมิ่งเหยาดังก้องเข้ามา คำพูดทั้งห้าคำนั้นมีความหมายที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง
หลัวซิวยิ้มอย่างขมขื่น แต่เขายังคงไม่หยุดการเคลื่อนไหว เขาเคลื่อนกายอย่างรวดเร็วหายไปกลางท้องฟ้า
เนื่องจากความยากของหอคอยมหาภพนั้นมากกว่าหอคอยฝึกฝนอีกสามแห่งมาก ดังนั้นทุกครั้งที่ผ่านหอคอยมหาภพในแต่ละชั้น จะได้เวลาในการฝึกฝนตำหนักเต๋าและคะแนนสะสมที่มากกว่าอีกสามแห่งถึงสองเท่า
ผ่านด่านชั้นแรก หลัวซิวได้รับเวลา12 วัน ผ่านชั้นที่สองได้รับอีก40 วัน เมื่อรวมเข้าด้วยกันแล้วจึงกลายเป็น 52 วัน
แต่เวลาในการฝึกฝนหนึ่งปีกำลังจะครบในอีกหนึ่งเดือน ดังนั้นเวลาการฝึกฝน ตำหนักเต๋า ทั้งหมด 52 วันนี้ เขาจึงไม่มีทางใช้หมด
แต่จงสุนบอกว่าสามารถใช้เวลาในการฝึกฝนตำหนักเต๋ามาแลกเป็นสมบัติได้ แน่นอนว่าเขาย่อมอยากสะสมเวลาในการฝึกฝนตำหนักเต๋าให้มากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อคิดถึงตรงนี้แล้ว หลัวซิวยังไม่ได้มุ่งหน้าไปยังตำหนักเต๋าทันที แต่ไปที่หอคอยฝึกฝนทั้งสี่ก่อน
เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในแดนศักดิ์สิทธิ์ล้วนอยู่ในกระแสสัมผัสของเทวทูตจื่อเยียนทั้งสิ้น แน่นอนว่านางย่อมสัมผัสได้ถึงทุกการกระทำของหลัวซิว
“เจ้าเด็กคนนี้อยากผ่านชั้นสามของหอคอยมหาภพให้ได้งั้นรึ” เทวทูตจื่อเยียนแววตาเปล่งประกาย “ตราประทับที่เขาใช้ที่หอคอยมหาภพครั้งที่แล้วมีพลังน่าเกรงขามนัก บางทีเขาอาจจะมีโอกาสผ่านด่านได้”
นอกจากเทวทูตจื่อเยียนแล้ว ตัวสำนึกของผู้แข็งแกร่งหลายๆ คนภายในแดนศักดิ์สิทธิ์นี้ยังสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของหลัวซิวอีกด้วย
ผู้สืบทอดอันดับหนึ่งของแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ทั้งสี่แดนใหญ่ พรสวรรค์ของซิงหลิงนั้นสูงที่สุดจนเรียกได้ว่าหมื่นปีจะหาได้สักคน จึงมีความเป็นไปได้สูงที่จะข้ามแดนนิรันกาลได้
แม้ว่าโลกที่ดูจะเป็นรองกว่าจะปรากฏ เทพมาร หมื่นปีครั้งหนึ่ง แต่ตั้งแต่ผ่านสงครามครั้งใหญ่มา อัจฉริยะของโลกแสงดาวก็เริ่มถดถอยลง และไม่ปรากฏเทพมารมาสามหมื่นกว่าปีแล้ว
ส่วนฝีมือของหลัวซิวนั้นกลับโดดเด่นกว่าโลกซิงหลิง เรียกได้ว่าไม่ปรากฏในหน้าประวัติศาสตร์ของโลกแสงดาวมากว่าหมื่นปีแล้ว แน่นอนว่าย่อมตกอยู่ในความสนใจของหลายๆ คน
แต่หลัวซิวไม่ได้เป็นคนเพ้อฝันขนาดที่จะมุ่งหน้าไปยัง หอคอยมหาภพ เขามุ่งกลับไปยัง หอคอยเทพจิต แทน
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 698
เพลิงมรณะสีดำผนึกรวมขึ้นกลางที่นิ้วมือของเขา สิ่งที่ทำให้หลัวซิวตื่นเต้นก็คือ เขาใช้วิชาตราประทับนี้ได้สำเร็จ แม้ว่าความน่ายำเกรงของมันจะไม่เท่าตราธรรมจุติมรณะ แต่ก็ยังมีความน่ายำเกรงอยู่มาก
ตราธรรมจุติมรณะ!
เมื่อตราปรากฏขึ้นมา นิ้วมือของหลัวซิวก็เคลื่อนไหวเป็นวงกลม ร่างของมหายุทธ์กลั่นร่างถูกฝังเอาไว้มิด โลหิตสดสาดกระเซ็นไปทุกทิศทาง มหายุทธ์กลั่นร่างต้านทานอยู่ได้เพียงช่วงลมหายใจเดียว ก็ถูกตัดละเอียดจนกลายเป็นไอเลือด
ทว่าเมื่อใช้ตราเช่นนี้ ทำให้การฝึกตนที่เหลืออยู่ 4 ส่วนของหลัวซิวถูกเผาผลาญไปเหลือเพียงสามส่วนเท่านั้น
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง มหายุทธ์กลั่นวิญญาณกับมหายุทธ์ผู้มีพลังจิตแท้เข้มข้นก็ได้ร่วมมือโจมตีพร้อมกัน ทำให้เขาไม่สามารถต้านทานต่อไปได้
“ออก!”
ในช่วงเวลาที่หลัวซิวอับจนหนทางจึงเลือกที่จะถูกส่งตัวออกไป เพราะว่าเขารู้ตัวแล้วว่าครั้งนี้เขาคงไม่สามารถผ่านด่านไปได้
ฟึ่บ!
เมื่อร่างของหลัวซิวถูกส่งตัวออกมาจากหอคอยมหาภพแล้ว สายตาทุกคู่ต่างหลอมรวมมามองที่เขาเป็นหนึ่งเดียว
“น่าเสียดาย อีกนิดเดียวก็จะครบเวลาหนึ่งก้านธูปแล้ว”
“เหอะๆ เห็นว่าเป็นเวลาแค่นิดเดียว แต่ไม่ต่างอะไรกับฝางเส้นเดียวที่สามารถทับอูฐจนตายได้ ต่อให้ฝึกตนอย่างหนักมาหลายปีก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำได้”
การที่หลัวซิวล้มเหลวในด่านที่สามนี้ ฝูงชนที่มามุงดูบ้างก็เสียดายแทนเขา บ้างก็สมน้ำหน้า บ้างก็อิจฉาเพราะว่ามีอีกหลายคนที่ไม่แม้แต่ที่จะผ่านด่านในชั้นหนึ่งไปได้
“สุดท้ายเจ้าสำนักน้อยซิงหลิงก็ยังเหนือกว่าที่สามารถผ่านด่านชั้นสามไปได้!”
“ใช่แล้ว เจ้าสำนักน้อยซิงหลิงคือยอดฝีมืออันดับหนึ่งในรุ่นของพวกเรา”
“แม้ว่าบางคนจะเป็นอันดับหนึ่งในการประลอง แต่ก็มีดีแค่ชื่อเสียงภายนอกเท่านั้น ไม่สมกับความสามารถจริงๆ”
หลัวซิวไม่สนใจคำพูดพวกนี้เลยแม้แต่น้อย เขาออกจากหอคอยมหาภพแล้วมุ่งหน้ากลับไปยังที่พักของตนเองทันที
สามวันต่อมา มีเสียงที่มาจากวิชาห้ามค่ายกลดังเล็ดลอดเข้ามาในห้องและเข้าถึงหูของหลัววิว
“ทุกคนออกมาชุมนุมกันหมดแล้ว”
หลัวซิวคุ้นเคยเจ้าของเสียงนี้เป็นอย่างดี เขาคือชายอาภรณ์ม่วงที่พาทั้งยี่สิบคนมารวมตัวอยู่ที่นี่ในตอนแรก
หลัวซิวเข้ามาอยู่ที่แดนศักดิ์สิทธิ์เป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว เขาจึงรู้แล้วว่าชายอาภรณ์ม่วงผู้นี้เป็นผู้แข็งแกร่งของแดนศักดิ์สิทธิ์ มีนามว่าจงสุน ทำหน้าที่เป็นทูตของแดนศักดิ์สิทธิ์
ภายในแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ เหนือกว่าทูตขึ้นไปคือผู้อาวุโส เหนือกว่าผู้อาวุโสขึ้นไปคือเจ้าแดน และเหนือกว่าเจ้าแดนขึ้นไปคือเทวทูต
นั่นหมายความว่า เทวทูตจื่อเยียน เป็นผู้ที่มีฐานะสูงสุดในแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ส่วนการฝึกตนจะอยู่ในแดนไหนแล้วนั้นเป็นเรื่องที่ไม่มีใครล่วงรู้
บรรดาหนุ่มสาวที่มีความสามารถทั้งยี่สิบคนเดินออกมาจากห้องตามลำดับ เมื่อลู่เมิ่งเหยาเห็นหลัวซิวเดินออกมาก็ยิ้มและโบกมือทักทาย
ช่วงเวลาที่เขาฝึกตนอยู่ที่แดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ลู่เมิ่งเหยามักจะมาหาเขาบ่อยๆ แต่เวลาโดยส่วนใหญ่ของเขามักจะฝึกตนปิดขัง ดังนั้นทั้งสองจึงไม่ค่อยได้มีเวลาพูดคุยกันมากเท่าไหร่นัก
“การเรียกพวกเจ้ามาชุมนุมกันวันนี้ เพื่อที่จะบอกพวกเจ้าทุกคนว่า เหลือเวลาอีกหนึ่งเดือน เวลาในการฝึกตนที่แดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ของพวกเจ้าก็จะครบหนึ่งปีแล้ว”
“ตามกฎของเดนศักดิ์สิทธิ์ เมื่อครบหนึ่งปี จะทำการจัดลำดับว่าพวกเจ้าได้รับอะไรไปมากน้อยเพียงใด แต่ละคนจะได้รางวัลที่ไม่เหมือนกัน”
เมื่อจงสุนกล่าวออกมาแล้ว วัยรุ่นผู้มีความสามารถหลายคนในจำนวนนี้ต่างพากันส่งเสียงโวยวาย
“ผู้อาวุโส ให้พวกเราอยู่ฝึกในแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้นานกว่านี้หน่อยได้หรือไม่” มีคนเอ่ยปากถามขึ้นมา
ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ ทุกคนต่างรับรู้ได้ถึงข้อดีมากมายของการฝึกตนที่แดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ เพราะทุกคนต่างมีความก้าวหน้าขึ้นมาก โดยเฉพาะซิงหลิง กุ่ยโยว หวูหยุนและต้าวหวูซิน ทั้งสามพร้อมที่จะบรรลุแดนมหายุทธ์ได้ในทุกเมื่อ
“ไม่ได้!” จงสุน ตอบเสียงเฉียบ
“แล้ววันหน้าพวกเราจะยังมีโอกาสกลับมาฝึกที่แดนศักดิ์ศิทธิ์แห่งนี้อีกหรือไม่ หรือว่าหากต้องการกลับมาฝึกที่นี่ต้องมีเงื่อนไขอย่างไรบ้าง” ซิงหลิงถามคำถามสำคัญที่ทุกคนอยากรู้
บทที่ 697
บทที่ 699
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 697
แม้ว่าพลังของเขาจะแข็งแกร่งกว่าคู่ต่อสู้ทั้งสามคนนี้ แต่เมื่อทั้งสามคนร่วมมือกันกลับสามารถบีบเขาให้จนมุมได้
มหายุทธ์กลั่นร่างเข้ามาโจมตีเขาก่อน ส่วนมหายุทธ์กลั่นวิญญาณก็ใช้ตัวสำนึกกลายรูปฉวยจังหวะในการโจมตี มหายุทธ์ผู้มีพลังจิตแท้เข้มข้นทำหน้าที่ในการโจมตีหลัก ทักษะยุทธ์วิชายิ่งเลิศแต่ละกระบวนท่าโจมตีเข้าใส่หลัวซิวจนส่งเสียงร้องโอดครวญเป็นระยะ
เวลาครึ่งก้านธูปผ่านไปอย่างรวดเร็วโดยไม่รู้ตัว
เหตุการณ์ที่หลัวซิวผ่านด่านย่อมตกอยู่ในสายตาของเทวทูตจื่อเยียนและเจ้าแดนหลิวหงเทียน
“มกุฎยุทธ์ขั้นสี่สามารถผ่านด่านชั้นที่สามของหอคอยมหาภพได้ ดูท่าแล้วหากสู้ต่อไปอีกหนึ่งก้านธูปก็คงไม่เป็นปัญหาอะไร” หลิวหงเทียน กล่าวอย่างขมขื่นเล็กน้อย
หากว่ากันตามน้ำใจแล้ว แน่นอนว่าเขาย่อมอยากสนับสนุนซิงหลิง แต่ในฐานะที่เขาเป็น เจ้าแดน เมื่อเขาได้รับหน้าที่มาก็ย่อมต้องทำหน้าที่นั้น ในใจของเขาก็อดไม่ได้ที่จะยอมรับว่าพรสวรรค์และความสามารถของหลัวซิวนั้นเหนือกว่าซิงหลิงอยู่หนึ่งขั้น
“สิ่งที่ข้าให้ความสำคัญนั้นไม่ใช่แค่เพียงพรสวรรค์ของเขาแต่ยังเป็นความสามารถในการเข้าใจ” เทวทูตจื่อเยียนอมยิ้ม “เขาตระหนักรู้พลังแห่งกฎได้อย่างรวดเร็ว แต่เข้าใจเพียงด้านเดียว ท่านดูกระบวนท่าที่เขาใช้สิ แม้ว่าจะดูอ่อนหัดและมีจุดบกพร่องอยู่บ้าง แต่ก็เป็นกระบวนท่าที่เขาคิดขึ้นมาเอง ดังนั้นเขาจึงมีความสามารถมากกว่า”
“การฝึกฝนวรยุทธ์จากคนก่อนหน้า ไม่มีทางเหนือกว่าคนก่อนหน้าได้ มีเพียงการคิดค้นขึ้นมาเองเท่านั้นถึงจะมีเส้นทางที่บุกเบิกเป็นของตัวเอง”
“ใช่แล้ว อายุยังน้อยเท่านี้แต่กลับเข้าใจในประเด็นนี้ ไม่รู้จริงๆ ว่าเขาเป็นลูกศิษย์ของผู้ใด” หลิวหงเทียนกล่าว
“เจ้าแดนหลิวพูดไม่ถูกเท่าไหร่นัก ข้าเคยสืบเรื่องราวของหลัวซิวมาแล้ว เขาไม่ได้สืบทอดวิชามาจากใคร แต่ได้รับการสืบทอดส่วนหนึ่งมาจากสำนักไท่เสวียนโบราณในโลกแสงดาว” เทวทูตจื่อเยียนกล่าว
“ไท่เสวียนโบราณ?” เจ้าแดนหลิวขมวดคิ้วเล็กน้อย คิดอยู่สักพักหนึ่งจึงคิดออก “ที่สำนักไท่เสวียนโบราณเคยปรากฏเทพมาร คนเดียวเท่านั้น และยังเป็นเพียงเทพมารธรรมดาๆ ด้วย หากจะมีผู้สืบทอดก็คงเป็นเพียงแค่ผู้สืบทอดวิชายิ่งเลิศชั้นล่างเท่านั้น”
ความหมายของหลิวหงเทียนนั้นชัดเจน นั่นคือหากอาศัยเพียงฐานะผู้สืบทอดสำนักไท่เสวียน ไม่มีทางที่หลัวซิวจะเดินมาถึงจุดนี้ได้
ทว่าเทวทูตจื่อเยียนกลับส่ายหน้า “หากเป็นคนธรรมดาๆ คงเป็นไปไม่ได้ แต่หลัวซิวนั้นแตกต่าง ดังนั้นข้าถึงบอกว่าเขาเป็นผู้ที่มีความสามารถในการเข้าใจสูงมาก”
“ท่านดูทักษะการต่อสู้หมัดกระบี่ของเขาสิ มีเงาของวิชาสังหารไท่เสวียนแฝงอยู่ในนั้นด้วย แม้ว่าจะไม่เด็ดขาดเท่าวิชาสังหารไท่เสวียน แต่เขาเป็นคนสรรค์สร้างมันขึ้นมาเอง จึงเหมาะสมกับตัวเขามากที่สุด พลังที่แสดงออกมาจึงเหนือกว่าวิชาสังหารไท่เสวียนหลายเท่านัก”
“ท่านลองดูวิธีการตัวสำนึกกลายรูปของเขาสิ นั่นเป็นสิ่งที่เขาได้มาจากหอคอยเทพจิต และก่อนที่เขาจะเข้าไปในแดนศักดิ์สิทธิ์ นี่ยังเป็นสิ่งที่เขาทำไม่ได้”
ยิ่งเทวทูตจื่อเยียนมองหลัวซิวก็ยิ่งพอใจ นางอยู่ที่โลกแสงดาวมานานไม่รู้กี่ปีต่อกี่ปีแล้ว นี่เป็นอัจฉริยะคนแรกที่นางรู้สึกชื่นชม
ในขณะที่เทวทูตจื่อเยียนและหลิวหงเทียนกำลังสนทนากันอยู่นั้น หลัวซิวที่อยู่บนหอคอยมหาภพชั้นสาม เขาสูญเสียการฝึกตนไปแล้วเกือบหกเท่า หน้าผากของเขาเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อเล็กๆ ผุดออกมา เพราะเขาได้รับบาดเจ็บไปไม่น้อยเช่นกัน
แต่เป็นเพราะเขารู้ว่าจะต้องมีผู้แข็งแกร่งจากแดนศักดิ์สิทธิ์เฝ้ามองเขาอยู่ ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าโคจรพลังแห่งชีวิตเพื่อฟื้นฟูบาดแผล เพราะหากเขาใช้พร้อมๆ กับกฎแห่งความตายแล้ว การสังหารคนทั้งสามคนนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องยาก
“ตายเป็นตาย!”
เมื่อเห็นว่าเวลาหนึ่งก้านธูปกำลังจะหมดไป หลัวซิวจึงแผดเสียงออกมา โดยโคจรกฎแห่งความตายและใช้ตราธรรมจุติมรณะ
ตราธรรมจุติมรณะเป็นกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาแล้ว เมื่อก่อนตอนที่เขาใช้มักจะใช้พลังความเป็นตายทั้งสองอย่างคู่กัน แต่คราวนี้ เขาจะใช้เพียงพลังแห่งความตายเท่านั้น ส่วนจะประสบความสำเร็จหรือไม่นั้น เขาเองก็ไม่แน่ใจนัก
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 696
เหล่าผู้แข็งแกร่งที่ล่องหนอยู่เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ สีหน้าของพวกเขาก็ปรากฏความรังเกียจ วัยรุ่นพวกนั้นไม่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนหอคอยมหาภพ แต่พวกตนฝึกตนขั้นสูงจนสามารถใช่ตัวสำนึกสืบข้อมูลได้ จึงเห็นกับตาตัวเองว่าหลัวซิวไม่ได้ใช้พลังงานมากเกินกว่าที่ควรเลย
“ชั้นที่สามแล้ว!”
เวทีประลองยุทธ์อันกว้างใหญ่ หลัวซิวจ้องเขม็งไปยังเงาร่างสามคนที่ค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้นมาห่างออกไปหลายสิบจั้ง
คู่ต่อสู้ทั้งสามคนนี้อยู่ในขั้นมหายุทธ์ขั้นเก้า และยังเป็นมหายุทธ์ขั้นเก้าขั้นสูง ห่างชั้นกับเจ้ายุทธจักรเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ฟึ่บ!
มหายุทธ์กลั่นร่างเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ส่วนมหายุทธ์กลั่นวิญญาณกับมหายุทธ์พลังจิตแท้เข้มข้นนัั้นคอยโจมตีอยู่ไกลๆ ทั้งสามร่วมมือกันอย่างไร้รอยต่อ
ร่างยุทธ์ร่างเนื้อของแดนศักดิ์สิทธิ์ขั้นเก้าสามารถเคลื่อนที่ได้ไวอย่างน่าหวาดกลัวอยู่แล้ว แสงทองอร่ามรอบกายเปล่งปลั่งราวเทพสงคราม
ทางด้านหลัวซิวนั้นก็ไม่ได้คิดจะหลบหนีแต่อย่างใด รอบกายของเขาปรากฏเปลวเพลิงสีดำ กฎแห่งความตายหลอมรวมเข้ากับร่างยุทธ์ร่างเนื้อ
“ทำได้ดี!”
เขาตะโกนออกไปก่อนจะเหวี่ยงหมัดกระบี่ เข้าใส่ร่างเนื้อของมหายุทธ์กลั่นร่างจนสั่นสะท้าน
ตู้ม!
ราวกับเสียงสายฟ้าฟาดสั่นสะท้านไปทั่วบริเวณทำให้รอบกายแตกเป็นเสี่ยงๆ พลังงานสีทองและสีดำปะทะเข้าใส่กันอย่างบ้าคลั่ง คล้ายเป็นละอองน้ำกระจายไปทั่วทุกทิศทาง
หลัวซิวขมวดคิ้วแน่น เขาสัมผัสได้ถึงพลังงานแห่งกฎที่เคลื่อนไหวมาจากร่างของมหายุทธ์กลั่นร่าง
ประเด็นนี้ทำให้หัวใจของเขาแทบหยุดเต้น เขาคิดไม่ถึงว่าคู่ต่อสู้ที่ปรากฏตัวบนชั้นสาม นอกจากจะเป็นผู้ฝึกตนอยู่ในแดนมหายุทธ์ขั้นเก้าแล้ว ยังสามารถใช้พลังแห่งกฎได้ด้วย
เรื่องเดียวที่ยังพอจะทำให้หลัวซิวสบายใจได้อยู่บ้างคือ พลังแห่งกฎที่มาจากร่างของมหายุทธ์กลั่นร่างผู้นี้ไม่ได้มีความแข็งแกร่งนัก ยังไม่ถึงระดับที่สามารถควบคุมกฎขั้นแรกได้ด้วยซ้ำ
เมื่อหลัวซิวเข้ามายังหอคอยมหาภพชั้นที่สามแล้ว ฝูงชนที่อยู่ด้านนอกพากันตกอยู่ในความเงียบ สายตาของทุกคนจ้องไปยังชั้นสามเป็นตำแหน่งเดียวกัน
ภายในชั้นสามเวลานี้ หลัวซิวกำลังตกอยู่ท่ามกลางศึกอันอย่างลำบาก
แดนร่างเนื้อของเขาสู้มหายุทธ์กลั่นร่างไม่ได้ แต่เมื่อนำพลังแห่งกฎความตายขั้นต้นมาใช้ ทำให้สามารถต้านพลังของอีกฝ่ายเอาไว้ได้
ทว่าคู่ต่อสู้ของเขาไม่ได้มีเพียงคนนี้เพียงคนเดียวเท่านั้น มหายุทธ์ที่เหลืออีกสองคนก็สามารถใช้พลังแห่งกฎได้เช่นกัน
แววตาของมหายุทธ์กลั่นร่างทั้งสองข้างปรากฏแสงสีดำ เขาตัวสำนึกกลายรูปที่มีระดับเทียบเท่ากับเจ้ายุทธจักรก่อให้เกิดเป็นพายุมังกรเกลียวที่มีพลังแข็งแกร่งและหมุนวนไปทั่วทั้งสิบทิศ
ระดับตัวสำนึกของอีกฝ่ายเหนือกว่าของตน หลัวซิวจึงได้แต่ใช้พลังแห่งกฎรวมเข้ากับตัวสำนึกกลายรูปเป็นฝ่ามือขนาดใหญ่ทุบไปที่พายุมังกรเกลียว
จากนั้นหลัวซิวประสานหมัดกระบี่ทั้งเก้าสายโจมตีเข้าใส่มหายุทธ์กลั่นร่างจนถอยหนีไป หมัดกระบี่สายที่เก้าลอยพุ่งทะยานออกไป
ทว่าหลัวซิวยังไม่ทันจะมีช่องทางให้ถอยหนีเลยแม้แต่น้อย มหายุทธ์ขั้นเก้าผู้มีพลังจิตแท้เข้มข้นก็เริ่มลงมือต่อ แสงกระบี่น้ำแข็งสีฟ้ายาวหลายสิบเมตรก็ฟาดฟันเข้าใส่หลัวซิว
“จงพังทลาย!”
หลัวซิวแผดเสียง แล้วใช้พลังแห่งกฎเข้ามาช่วยเสริม เขาเหวี่ยง หมัดกระบี่ ออกไป หวังจะทุบแสงกระบี่นั้นให้แหลกละเอียด
ทว่าในช่วงเวลานั้นเอง มหายุทธ์กลั่นวิญญาณก็เริ่มลงมืออีกครั้ง ตัวสำนึกกลายรูปเป็นเสือคำรามลั่นพุ่งทะยานเข้ามาอีก
การโจมตีจากทั้งสองทางนี้ หลัวซิวให้ความสำคัญกับการโจมตีทางวิญญาณมากกว่า ดังนั้นจึงแปลงตัวสำนึกให้กลายเป็นฝ่ามือรับการโจมตีเอาไว้
ปั้ง!
เขาป้องกันการโจมตีทางวิญญาณเอาไว้ได้ แต่แสงกระบี่น้ำแข็งสีฟ้าที่ฟาดเข้าใส่นั้น เพียงครู่เดียวก็ฟาดฟันเขาจนกระเด็นไปไกลหลายร้อยเมตร
“เงาหารฟ้าเยือก!”
มหายุทธ์ขั้นเก้าผู้มีพลังจิตแท้เข้มข้นลงมือโจมตีต่อไป เขาปล่อยไอเย็นออกมาจากปากของเขา เงาน้ำแข็งสีฟ้าผนึกรวมรอบด้านก่อนจะพุ่งทะยานเข้าใส่หลัวซิว
การโจมตีทุกสายของเงาน้ำแข็งสีฟ้าพวกนี้ เทียบเท่ากับการโจมตีของมหายุทธ์ขั้นเก้า
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว หลัวซิวจึงตกอยู่ท่ามกลางศึกอันเลวร้าย
บทที่ 695
บทที่ 697
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 695
สมบัติทั้งสามชิ้นนี้ล้วนส่งพลังของการเป็นสมบัติขั้นสูงออกมาทุกชิ้น ซึ่งแต่ละชิ้นนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่ากระบี่เสวียนยวนในมือของเขาเลย
“เวรแล้ว แบบนี้ก็ได้รึ” หลัวซิวอ้าปากค้าง และตอนนั้นเองถึงได้เข้าใจว่าทำไมอัจฉริยะจากแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นจำนวนกว่าครึ่งถึงไม่สามารถผ่านด่านหอคอยมหาภพชั้นหนึ่งได้
นั่นเป็นเพราะว่าที่นี่ไม่สามารถใช้สมบัติได้ เพราะหากเราใช้สมบัติเมื่อไหร่ คู่ต่อสู้ของเราก็จะหยิบเอาสมบัติในระดับเดียวกับเราออกมาใช้เช่นกัน
และเพื่อเป็นการพิสูจน์ข้อสันนิษฐานของตัวเอง หลัวซิวจึงเก็บกระบี่เสวียนยวนลง สมบัติที่อยู่ในมือคู่ต่อสู้ทั้งสามก็หายวับไปเช่นกัน
“ดูท่าแล้วคงไม่สามารถเล่นตุกติกที่นี่ได้ คงต้องอาศัยเพียงความสามารถของตัวเองเพียงอย่างเดียวเท่านั้นในการฝ่าด่าน”
เมื่อคิดได้ถึงตรงนี้ หลัวซิวจึงก้าวอาดๆ ไปข้างหน้าแล้วเหวี่ยงฝ่ามือออกไป
มหายุทธ์กลั่นร่างผู้นั้นก็วิ่งตรงเข้ามาข้างหน้าเช่นกัน และเหวี่ยงฝ่ามือออกมาปะทะเข้ากับฝ่ามือของเขา
ปั้ง!
ฝ่ามือของมหายุทธ์กลั่นร่างแตกระเบิดออกเป็นไอเลือด หมัดกระบี่อันทรงพลังรุนแรงสะท้อนกลับไปยังร่างของมหายุทธ์กลั่นร่าง ทำให้ร่างกายของเขาแหลกสลายไปทันที
โจมตีคราเดียวถึงชีวิต!
มหายุทธ์กลั่นร่างในชั้นที่หนึ่งนี้ ร่างยุทธ์ร่างเนื้ออยู่ในมหายุทธ์ขั้นสาม ส่วนร่างยุทธ์ร่างเนื้อของหลัวซิวในปัจจุบันนี้ได้บรรลุไปถึงมหายุทธ์ขั้นเจ็ดแล้ว
เมื่อบวกกับหมัดกระบี่ที่เป็นทักษะยุทธ์ร่างเนื้อที่เขาตระหนักรู้แล้ว เมื่อใช้สังหารมหายุทธ์ขั้นสามย่อมทำสำเร็จได้อย่างง่ายดาย
“เปรี้ยง!”
เพลิงมรณะแผ่ซ่านออกมาจากภายในร่างแล้วหมุนวนไปทั่วร่าง ก่อนจะลุกโหมขึ้นสูง
พลังงานที่แผ่ซ่านออกมายังไม่ทันจะได้เข้ามาประชิดร่าง ก็ถูกเพลิงมรณะหลอมละลายไปจนไม่ส่งผลต่อความเร็วในการเคลื่อนที่ของเขา
เมื่อหลัวซิวใช้วิชาท่าร่างบรรลุมังกรเขียว ความเร็วของเขาก็ยิ่งเพิ่มขึ้นราวสายฟ้าฟาด เขาไม่สนใจการโจมตีของมหายุทธ์กลั่นวิญญาณแล้วพุ่งทะยานเข้าประชิดอีกฝ่ายทันที
ตั้งแต่เริ่มต้นการต่อสู้จนถึงตอนจบ หลัวซิวใช้เวลาเพียงช่วง 3 ลมหายใจเท่านั้นและใช้หมัดกระบี่สามครั้งในการสังหารผู้แข็งแกร่งมหายุทธ์ขั้นสามทั้งสามคนจนสิ้นชีพกลางสนาม
อีกทั้งมหายุทธ์ทั้งสามคนนี้ยังไม่ใช่มหายุทธ์ทั่วๆ ไปอีกด้วย กระบวนท่าวรยุทธ์ที่แสดงออกมานั้นล้วนอยู่ในระดับวิชายิ่งเลิศ ซึ่งเทียบเท่ากับผู้แข็งแกร่งที่มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์
ตั้งแต่ตอนที่เข้ามาในแดนศักดิ์สิทธิ์ เวลาสั้นๆ ไม่ถึงหนึ่งปี พลังของหลัวซิวก็เพิ่มขึ้นมาจนอยู่ในระดับนี้ นับได้ว่าน่าหวาดหวั่นเป็นอย่างยิ่ง
“ผ่านชั้นหนึ่งภายในเวลาเพียงช่วงสามลมหายใจ พลังของเด็กคนนี้ไม่เลวเลย”
ผู้แข็งแกร่งนักยุทธ์จากแดนศักดิ์สิทธิ์หลายคนที่ล่องหนอยู่ด้านนอกหอคอยมหาภพ ดวงตาเป็นประกาย เพราะหลัวซิวมีอายุยี่สิบเอ็ดปีเท่านั้น
ส่วนอัจฉริยะที่มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างตะลึงอ้าปากค้าง พวกเขารู้ดีว่าคู่ต่อสู้ที่อยู่ในชั้นหนึ่งรับมือยากขนาดไหน การพัฒนาฝีมือของหลัวซิวผู้นี้น่ากลัวยิ่งนัก
หอคอยมหาภพชั้นที่สอง
หลัวซิวพบกับคู่ต่อสู้สามคน ที่มีพลังอยู่ในระดับมหายุทธ์ขั้นหก
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งขนาดนี้ แม้ว่าแดนร่างเนื้อของเขาจะไปถึงแดนมหายุทธ์ขั้นเจ็ดแล้ว แต่เขาก็ยังคงรู้สึกได้ถึงความกดดันอย่างใหญ่หลวง
ไม่มีทางเลือกอื่น หลัวซิวได้แต่ใช้พลังแห่งกฎความตายเท่านั้น
“เพียงช่วงสิบลมหายใจเข้าออกก็ผ่านด่านชั้นสองได้แล้วหรือ”
เมื่อฝูงชนที่อยู่ด้านนอกเห็นว่าเขาใช้เวลาเพียงช่วงสิบลมหายใจ แสงสีม่วงบนชั้นสามก็สว่างวาบขึ้น ทุกคนต่างตะลึงจนตัวแข็งทื่อ
แม้แต่ซิงหลิงเองก็ยังต้องขมวดคิ้ว เพราะแม้ว่าเขาจะตระหนักรู้พลังแห่งกฎสามชนิด ก็ยังต้องใช้ลูกเล่นมากมายถึงจะผ่านชั้นที่สามไปได้ผ่านในระยะเวลาเพียงช่วงสิบลมหายใจ
แต่เมื่อใช้กระบวนท่าที่มีพลังแข็งแกร่งจากวิชายิ่งเลิศแล้ว ทำให้ผู้ฝึกตนเกิดการสูญเสียอย่างมาก เมื่อผ่านไปถึงชั้นสามแล้วอาจจะหมดแรงไปเสียก่อน
“เฮ้อ ก็แค่อยากแสดงฝีมือก็เท่านั้น หลังจากใช้กระบวนท่าอันแข็งแกร่งแล้ว เขาจะทนอยู่บนชั้นสามได้อย่างมากสุดเพียงช่วงเวลายี่สิบลมหายใจเท่านั้้น” ซิงหลิงกล่าวขัดขึ้น
เมื่อคนอื่นๆ ได้ยินคำพูดของเขาเช่นนี้ก็แสดงทีท่าเห็นด้วย เพราะพวกเขาไม่ยอมที่จะเชื่อว่าหลัวซิวแข็งแกร่งกว่าซิงหลิง
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 694
เพราะสำหรับหวูหยุนแล้ว เส้นทางการฝึกตนของนักยุทธ์นั้นยาวไกล มกุฎยุทธ์ก็ดี มหายุทธ์ก็ดี ล้วนเป็นเพียงการเริ่มต้นของเส้นทางเท่านั้น
ต่อให้เป็นซิงหลิงที่ได้ฉายาอัจฉริยะไร้เทียมทานที่จะหมื่นปีจะมีสักคนแล้วอย่างไร หนทางวันข้างหน้ายังอีกยาวไกล จะแข็งแกร่งหรืออ่อนแอก็ไม่มีผู้ใดรู้แน่ชัด
เพราะผู้ที่ยืนอยู่ในตำแหน่งผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานนั้น ไม่ได้หมายความว่าทุกๆ คนจะมีเป็นผู้มีพรสวรรค์สูงทุกคน
หลังจากซิงหลิงเข้าไปในหอคอยมหาภพ แล้ว จึงเกิดประกายแสงสีม่วงสว่างวาบออกมาจากชั้นที่สาม นั่นหมายความว่าสองชั้นก่อนหน้านั้น ซิงหลิงได้ใช้วิธีการที่สองผ่านด่านไปเรียบร้อยแล้ว
ทุกคนต่างมุ่งสายตาไปยังประกายแสงที่สว่างมาจากชั้นสาม และแอบคะเนเวลาอยู่ในใจ
หลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป แสงสีม่วงที่ปรากฏออกมาจากชั้นสามค่อยๆ หายไป จากนั้นก็มีแสงสว่างส่องประกายออกมาจากชั้นที่สี่
“คุณพระ ศิษย์พี่ซิงหลิงผ่านชั้นสามแล้ว”
“แม้ว่าจะผ่านด่านโดยใช้วิธีแรกก็ตาม แต่ก็เป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่าพลังของซิงหลิงนั้นแข็งแกร่งที่สุดในรุ่นพวกเรา”
ในขณะที่ฝูงชนพากันส่งเสียงอื้ออึงอยู่นั้น ซิงหลิงก็ถูกส่งออกมาจากหอคอยมหาภพ เขารู้ดีว่าพลังของตัวเองไม่พอ ดังนั้นจึงไม่ฝืนตัวเองเพื่อให้ผ่านด่านชั้นสี่
เมื่อเขาปรากฏตัวก็ถูกฝูงชนล้อมหน้าล้อมหลังเอาไว้ราวกับดาวล้อมเดือน บรรดาอัจฉริยะที่มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างเข้ามาแสดงความยินดีกับเขา
“หลัวซิวมาแล้ว”
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงคนตะโกนขึ้น สายตาของทุกคนจึงมองออกไปด้านนอกโดยมีซิงหลิงยืนอยู่ตรงกลาง
ซิงหลิงยิ้มออกมาด้วยรอยยิ้มบางๆ ที่มุมปาก การที่เขาเลือกฝ่าด่านเมื่อครู่นี้อันที่จริงแล้วเขามีเจตนาแอบแฝง
แต่วัตถุประสงค์หลักของเขาไม่ได้ต้องการจะท้าทายกับหลัวซิว แต่เป็นเพราะพวกหวูหยุนและคนอื่นๆ อยู่ในสนามตรงนั้นต่างหาก
เขาต้องการให้พวกของหวูหยุนได้เห็นกับตาว่าตนผ่านด่านชั้นที่สามแล้ว เพื่อให้พวกเขารู้ว่าตนกับพวกเขานั้นห่างชั้นกันขนาดไหน
ส่วนหลัวซิวนั้น ซิงหลิงกลับไม่ได้เห็นเขาอยู่ในสายตา
เมื่อเห็นว่ามีคนมากมายมารวมตัวกันอยู่ที่หอคอยมหาภพเช่นนี้ คิ้วของหลัวซิวก็เริ่มขมวดแน่น แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก และมุ่งหน้าตรงเข้าไปในหอคอยมหาภพ ทันที
เมื่อเข้าไปในหอคอยมหาภพแล้ว ร่างของหลัวซิวก็ไปปรากฏอยู่บนเวทีอันกว้างใหญ่ และปรากฏเงาของคนสามคนขึ้นตรงกันข้ามกับเขาโดยมีระยะห่างออกไปหลายสิบจั้ง
พลังงานที่แผ่ออกมาจากเงาร่างของคนทั้งสามคนนี้คือมหายุทธ์ขั้นสาม คนหนึ่งคือมหายุทธ์กลั่นร่าง คนหนึ่งคือมหายุทธ์กลั่นวิญญาณ และอีกคนหนึ่งคือผู้ที่พลังจิตแท้เข้มข้นเทียบเท่าได้กับมหายุทธ์ขั้นหก
ปั้ง!
เมื่อเท้าของมหายุทธ์กลั่นร่างสัมผัสพื้น พื้นเวทีก็สนั่นหวั่นไหวไปทั่ว ทันใดนั้นพลังงานของอีกฝ่ายก็ระเบิดออกมาแล้วพุ่งทะยานเข้าใส่หลัวซิว
ในเวลาเดียวกันนั้น การเคลื่อนไหวของตัวสำนึกอันแข็งแกร่งถูกถ่ายทอดออกมา มหายุทธ์กลั่นวิญญาณผู้นั้นใช้วิชาอาถรรพ์วิญญาณเพื่อโจมตีตัวหยั่งรู้ของเขา
ส่วนมหายุทธ์ที่มีพลังจิตแท้เข้มข้นผู้นั้นใช้สองมือบีบตรา ทันใดนั้นทั้งเวทีก็ถูกพลังอันเย็นยะเยือกปกคลุมไปทั่ว พื้นดินแข็งกลายเป็นน้ำค้างแข็ง ทำให้หลัวซิวรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองแข็งทื่อส่งผลต่อแรงในการเคลื่อนไหวของเขาเช่นกัน
บนหอคอยมหาภพแห่งนี้ปรากฏคู่ต่อสู้สามคน โดยแต่ละคนล้วนมีจุดแข็งของตัวเองและร่วมมือซึ่งกันและกัน อีกทั้งกระบวนท่าที่ทุกคนแสดงออกมานั้นล้วนมาจากวิชายิ่งเลิศทั้งสิ้น
“มิน่าเล่าถึงว่ากันว่าการฝ่าด่านที่หอคอยมหาภพนั้นยากที่สุด แต่พวกอัจฉริยะที่มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์ล้วนมีสมบัติที่มีพลังแข็งแกร่งอยู่ในมือทั้งสิ้น การผ่านด่านจึงไม่น่าจะเป็นเรื่องยาก”
หลัวซิวไม่อยากเสียเวลาอยู่ที่นี่นานนัก เขาจึงเอามือเข้าไปล้วงกระบี่เสวียนยวนสีดำออกมาและตั้งใจว่าจะใช้กระบี่ยุทธ์ในระดับสมบัติขั้นสูงนี้ช่วยในการผ่านด่านให้เร็วที่สุด
ในช่วงเวลาที่หลัวซิวล้วงกระบี่เสวียนยวนออกมานั้น บนมือของคู่ต่อสู้ฝ่ายตรงกันข้ามทั้งสามคนล้วนปรากฏแสงสว่างวาบขึ้นมาเช่นกัน
ในมือของมหายุทธ์กลั่นร่างปรากฏดาบรบ ในมือของมหายุทธ์กลั่นวิญญาณปรากฏกระจกทองแดง และในมือของมหายุทธ์พลังจิตแท้เข้มข้นก็ปรากฏพัดน้ำแข็งสีฟ้าออกมาหนึ่งเล่ม
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 693
ตอนที่หลัวซิวถูกส่งออกมาจากตำหนักเต๋า ดวงตาของเขายังคงสภาพปิดอยู่ และยืนนิ่งอยู่หน้าประตูตำหนักเต๋าอยู่เป็นเวลานาน
ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็เปิดออก ตาของเขาดำสนิทล้ำลึก และเปล่งแสงสุกสว่าง
“กฎชีวิตแม้ว่าจะยังไปไม่ถึงแดนควบคุมขั้นแรก แต่ก็ใกล้ถึงเป้าหมายเต็มทีแล้ว”
ความตระหนักรู้ในระยะเวลาสามเดือนกว่าที่ผ่านมานี้ หลัวซิวได้รับประโยชน์มามากมาย ตลอดมาเขาให้ความสำคัญกับการตระหนักรู้ในกฎแห่งความตาย ทำให้เสียโอกาสตระหนักรู้ในกฎชีวิตไปไม่น้อย จนถึงวันนี้เขากำลังจะฝึกกฎทั้งสองอย่างจนพัฒนามาอยู่ในระดับเดียวกันแล้ว
“กฎแห่งความเป็นตาย ประกอบด้วยด้านเป็นและด้านตาย ด้านเป็นป้องกันการโจมตี ด้านตายสังหารศัตรู!”
เมื่อออกมาจากตำหนักเต๋าแล้ว หลัวซิวรีบมุ่งหน้าไปยังหอคอยมหาภพ
“อะไรนะ เจ้าบอกว่าหลัวซิวฝึกอยู่ในตำหนักเต๋า สามเดือนกว่างั้นหรือ และตอนนี้ผ่านด่านแล้ว?”
“เขากำลังจะไปฝ่าด่านที่หอคอยมหาภพหรือ”
ข่าวที่หลัวซิวออกมาจาก ตำหนักเต๋า และมุ่งหน้าไปยัง หอคอยมหาภพ ทันทีนั้น กระจายไปถึงหูของอัจฉริยะคนอื่นๆ อย่างรวดเร็วราวสายลม
นักยุทธ์ผู้แข็งแกร่งบางคนที่ฝึกตนอยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์ก็ยังได้ยินข่าวคราวนี้ด้วยเช่นกัน จึงพากันมุ่งหน้าไปยังบริเวณใกล้ๆ หอคอยมหาภพ
“สามเดือนก่อน หลัวซิวผ่านด่านหอคอยร่างทองชั้นสาม แม้ว่าจะใช้เวลาเพียงหนึ่งก้านธูปและยังไม่สามารถเอาชนะโซนแสงทองได้ แต่ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่าแดนร่างทองของเขาได้มาถึงแดนมหายุทธ์ช่วงปลายแล้ว”
“ตอนนี้เขาใช้เวลาร้อยกว่าวันในการตระหนักรู้อยู่ในตำหนักเต๋า พลังของเขาจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างสูงลิบแน่ และไม่รู้ว่าตอนนี้แข็งแกร่งไปถึงขั้นไหน”
“ดูเหมือนว่าหลัวซิวจะยังไม่ผ่านด่านที่หอคอยมหาภพนะ ไม่รู้ว่าเขาจะผ่านด่านชั้นที่สามได้หรือไม่”
“อย่าล้อเล่นน่า สิ่งที่ต้องรับมือบนหอคอยมหาภพชั้นที่สามคือมหายุทธ์ขั้นปลายสามคน และไม่ใช่มหายุทธ์ขั้นปลายธรรมดาๆ นะ ขนาดซิงหลิงพยายามมาแล้วหลายครั้งยังไม่ผ่านเลย”
“ไม่ใช่แค่ซิงหลิงนะ แต่หวูหยุน กุ่ยโยว และต้าวหวูซินก็เคยไป แต่ทุกคนก็กลับมาด้วยผลงานที่ต่ำกว่าคาด”
หลัวซิวยังไม่ทันมาถึง บริเวณหอคอยมหาภพ กลับมีคนมาชุมนุมกันเป็นจำนวนมากแล้ว ไม่ได้มีเพียงอัจฉริยะจากแดนศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น แต่ยังมีนักยุทธ์ผู้แข็งแกร่งจำนวนมากที่แอบล่องหนอยู่บริเวณใกล้ๆ กันนี้
“ได้ยินมาว่าเทวทูตจื่อเยียนให้ความสำคัญกับเจ้าหนุ่มคนนี้มากทีเดียว”
“การที่ได้รับความสำคัญจากเทวทูตจื่อเยียน แสดงว่าเขาจะต้องไม่ธรรมดาแน่ ดังนั้นควรค่าต่อการมาดู……”
“อีกอย่างตอนที่หนุ่มคนนี้มาถึง ได้ยินมาว่าเจ้าแดนหลิวชอบเด็กหนุ่มคนนี้มาก ถึงขั้นยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะที่หมื่นปีจะได้เห็นสักครั้งหนึ่ง”
ในตอนนั้นเอง ร่างๆ หนึ่งปรากฏตัวขึ้นกลางท้องฟ้า แล้วพุ่งตรงเข้าไปที่หอคอยมหาภพทันที
“เงาร่างเมื่อครู่นี้คือ……ซิงหลิง?”
“ซิงหลิงก็จะมาฝ่าด่าน หอคอยมหาภพ ชั้นที่สามเช่นกันหรือ”
ฝูงชนเริ่มส่งเสียงอื้ออึง เนื่องจากพวกเขาต่างพากันเดาว่าการที่ซิงหลิงเลือกมาฝ่าด่านในเวลานี้ แสดงว่าเขาจะต้องเตรียมการเอาไว้แล้วอย่างแน่นอน
ณ ที่แห่งหนึ่งที่ห่างไกลจากหอคอยมหาภพ หวูหยุนยืนเอามือไพล่หลังอยู่ ใบหน้าของเขาปรากฏรอยยิ้มอ่อนๆ
อีกด้านหนึ่ง ต้าวหวูซินก็เฝ้ามองมาที่หอคอยมหาภพ อยู่ห่างๆ เช่นกัน ไหนจะยังมีกุ่ยโยวที่หยุดฝีเท้าอยู่ในบริเวณใดบริเวณหนึ่ง
“พรสวรรค์ของซิงหลิงนับว่าหมื่นปีจะปรากฏตัวสักคน เพราะตระหนักรู้กฎพื้นฐานสามชนิดแล้ว ศิษย์พี่หวูหยุนคิดว่าเขาจะสามารถฝ่าด่านชั้นสามไปได้หรือไม่” ต้าวหวูซินหันไปมองหวูหยุน
“ผ่านแล้วอย่างไร ไม่ผ่านแล้วอย่างไร” หวูหยุนยิ้มด้วยอารมณ์สงบ
“เหอะๆ หรือว่าศิษย์พี่หวูหยุนไม่กลัวว่าหากเขาผ่านด่านชั้นสามแล้วจะสามารถกดหัวศิษย์พี่ได้งั้นหรือ” ต้าวหวูซินยังคงกล่าวต่อ
“เหตุใดข้าต้องกลัว” สีหน้าของหวูหยุนยังคงแน่นิ่ง ราวกับว่าต่อให้ซิงหลิงผ่านหอคอยมหาภพ ชั้นสี่ อารมณ์ของเขาก็จะยังคงไม่หวั่นไหว
เมื่อการหลอกถามของต้าวหวูซินนั้นไร้ประโยชน์ นางจึงไม่ถามอะไรต่อไปอีก ในใจพลางคิดว่าจิตใจของศิษย์พี่หวูหยุนผู้นี้น่าหวาดกลัวนัก
ดูภายนอกเหมือนไม่รู้สึกอะไร แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความหยิ่งผยอง เขาไม่สนใจว่าซิงหลิงจะผ่านด่านชั้นสามหรือไม่ ไม่ใช่เพราะว่าเขาจะกลัวว่าซิงหลิงจะกดหัวเขาได้ แต่เป็นเพราะเขาไม่สนใจอะไรทั้งนั้นเลยต่างหาก
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 692
หอคอยเสวียนเทียนแห่งนี้เหมือนกับหอคอยเทพจิตและหอคอยร่างทองตรงที่ ไม่สกัดพลังแห่งกฎ
ในทุกๆ ชั้นของหอคอยเสวียนเทียนจะปรากฏคู่ต่อสู้เก้าคน และทั้งเก้าคนนี้มีการฝึกพลังจิตแท้ที่เหมือนกัน และไม่มีแดนตัวสำนึกและแดนร่างเนื้อเช่นกัน
คู่ต่อสู้เก้าคนในชั้นแรก ทุกคนล้วนอยู่ในแดนมหายุทธ์ขั้นสาม
หลัวซิวแน่ใจว่าหากใช้เพียงแค่พลังจิตแท้เพียงอย่างเดียวคงไม่สามารถผ่านอุปสรรคไปได้อย่างราบรื่น ดังนั้นเมื่อมาถึงที่นี่เขาจึงใช้พลังแห่งกฎทันที
ภายในเวลาสั้นๆ เพียงอึดใจเดียว คู่ต่อสู้ระดับมหายุทธ์ขั้นสามถูกเขากำจัดจนดับสลายไปทันที
กฎการผ่านอุปสรรคของหอคอยเสวียนเทียนแบ่งออกเป็นสองวิธีเช่นเดียวกัน วิธีแรกคือภายใต้การตีวงล้อมของคู่ต่อสู้ทั้งเก้าจะต้องรับมือให้ได้เป็นเวลา 1 ก้านธูป วิธีที่สองคือสังหารคู่ต่อสู้ทั้งเก้าคนภายในเวลาหนึ่งก้านธูป
แม้ดูเหมือนว่าจำนวนคู่ต่อสู้จะมากกว่าที่หอคอยมหาภพ แต่คู่ต่อสู้บน หอคอยมหาภพ นั้นช่วยเหลือซึ่งกันและกันจนไร้จุดอ่อน นี่เองทำให้ระดับความยากของ หอคอยมหาภพ สูงกว่า
ระยะเวลาสั้นๆ เพียงช่วงหายใจเข้าออก หลัวซิวก็ผ่านด่านที่หอคอยเสวียนเทียนชั้นสามแล้ว จากนั้นจึงออกไปจากที่นั่นทันที
การผ่านด่านชั้นแรกโดยวิธีการที่สองนั้นจะได้รับเวลาในการฝึก 6 วัน เมื่อผ่านชั้นที่ 2 แล้วจะได้รับเวลาในการฝึก 20 วัน และเมื่อผ่านชั้นที่ 3 จะได้รับเวลาในการฝึก 30 วัน
เมื่อรวมเข้าด้วยกันแล้ว หลัวซิวจะได้รับเวลาในการฝึกทั้งหมดนานถึง 3 เดือน
แต่หลัวซิวไม่รู้ตัวว่าฝีมือของตัวเองบนหอคอยเสวียนเทียนนั้นอยู่ในสายตาของเทวทูตจื่อเยียนทั้งหมดแล้ว
แม้ว่าญาณทิพย์ของเขาจะว่องไวมาก แต่ยังห่างไกลจากเทวทูตจื่อเยียนอยู่มาก ดังนั้นจึงไม่รู้ตัวว่านางกำลังสืบเรื่องของเขาอยู่
และต่อให้หลัวซิวรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังตามสืบเรื่องของตัวเองอยู่ก็คงจะไม่สนใจเท่าไหร่นัก บางทีการควบคุมกฎแห่งความตายได้ในขั้นแรกสำหรับผู้แข็งแกร่งจากโลกแสงดาวแล้วอาจจะเป็นเรื่องเหลือเชื่อ แต่สำหรับผู้แข็งแกร่งอย่างเทวทูตจื่อเยียนกลับเห็นเป็นแค่ผู้มีพรสวรรค์พอใช้ก็เท่านั้น
“เจ้าแดนหลิวข้าเคยพูดว่าอะไรนะ ซิงหลิงที่ควบคุมกฎเกิงจินเอาไว้นั้นไม่นับว่ามีประโยชน์อะไร” บนพระราชวังบนยอดเขาสูงในแดนศักดิ์สิทธิ์ เทวทูตจื่อเยียนกำลังกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“เจ้าเด็กคนนี้เหนือกว่าซิงหลิงแน่นอน” เจ้าแดนหลิวกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้มอันขมขื่นเช่นกัน
ในโลกแสงดาวนั้น ซิงหลิงนับว่าเป็นอัจฉริยะที่หมื่นปีจะปรากฏสักคน อายุเพียง 20 ปีก็สามารถตระหนักรู้การควบคุมพลังแห่งกฎถึงสามอย่าง ในประวัติศาสตร์กว่าหมื่นปีที่ผ่านมาก็นับว่าเป็นอัจฉริยะขั้นสุดยอดคนหนึ่ง
หากไม่มีอะไรเหนือความคาดหมาย เขาหวังว่าภายในร้อยปีจะบรรลุถึงแดนมหายุทธ์ได้ และกลายเป็นอัจฉริยะผู้แข็งแกร่งและโดดเด่นที่สุดในโลกแสงดาว
ทว่าชะตาชีวิตของคนก็มักจะพลิกผันเช่นนี้ จู่ๆ ก็ปรากฏคนประหลาดอย่างหลัวซิวขึ้นมา แถมยังมีอายุน้อยกว่าซิงหลิงอยู่หลายปี และในตอนนี้ก็ควบคุมกฎแห่งความตายขั้นแรกได้แล้ว
การตระหนักรู้กฎกับการควบคุมกฎในขั้นแรกได้มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แม้ว่าซิงหลิงจะตระหนักรู้กฎ 3 ประเภทธรรมดา แต่เมื่อรวมกันแล้วก็ยังไม่สามารถเทียบเท่าได้กับกฎแห่งความตายในระดับสูงสุด
เพราะกฎในระดับสูงสุดกับกฎธรรมดา ไม่สามารถเอามาเทียบเท่ากันได้เลย
สำหรับหลัวซิวที่ตระหนักรู้เรื่องราวของกฎความตายนั้น ต่อให้เขาพยายามปิดบังมากแค่ไหน แม้ว่าจะปิดบังคนอื่นๆ มาได้ แต่กลับไม่สามารถหนีรอดสายตาของเทวทูตจื่อเยียน กับ เจ้าแดนหลิวได้ ดังนั้นในตอนที่สังเกตุเห็นหลัวซิว พวกเขาก็สัมผัสได้ถึงพลังงานของกฎที่เคลื่อนไหวซ่อนอยู่ภายในร่างกายของเขา
“ตอนนี้เขาเข้าไปในตำหนักเต๋าเพื่อศึกษากฎแล้ว ไม่รู้ว่าตอนที่เขาออกมาจะสร้างความประหลาดใจให้ข้าอีกหรือไม่” เทวทูตจื่อเยียน จิบชาหนึ่งคำก่อนจะอมยิ้มพูดออกมา
ภายใน ตำหนักเต๋า หลัวซิวอยู่ในโซนที่มีความประหลาดเฉพาะตัว ตรงหน้าปรากฏร่องรอยแห่งกฎอย่างชัดเจน อธิบายถึงความมหัศจรรย์อย่างไม่รู้จบของกฎแห่งชีวิต
เวลาหนึ่งร้อยกว่าวันผ่านไปเงียบๆ จนไม่รู้สึกตัว
บทที่ 691
บทที่ 693
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 691
ริมฝีปากของหลัวซิวปรากฏรอยยิ้ม นักยุทธ์ส่วนมากมักเข้าใจว่าควบคุมพลังแห่งกฎได้แล้ว ก็หมายความว่าสามารถควบคุมแดนแห่งกฎขั้นแรกได้ แต่ในความเป็นจริงนั้นทั้งสองอย่างมีความแตกต่างกันอยู่ไกล
อีกทั้งในทุกๆ แดนของพลังแห่งกฎ ก็มีความแตกต่างที่ห่างกันค่อนข้างมาก นี่เองคือเหตุผลว่าทำไมเมื่อฝึกตนไปถึงช่วงปลายแล้ว การข้ามแดนจึงยากจนแทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
เพราะโดยทั่วไปแล้วคนที่สามารถฝึกตนจนตระหนักรู้แดนแห่งกฎได้ล้วนเป็นตระกูลอัจฉริยะ ภายใต้สถานการณ์ที่ผู้มีพรสวรรค์ใกล้เคียงกัน ความเป็นไปได้ที่จะข้ามขั้นก็จะยิ่งลดน้อยลงไปด้วย
“การฝึกตนของข้าอยู่ในแดนมกุฎยุทธ์ขั้นสี่แล้ว หากข้าไปที่ตำหนักเต๋าแล้วเลือกเอาสมบัติที่มีร่องรอยแห่งกฎชีวิต และสามารถตระหนักรู้กฎการเวียนว่ายตายเกิดจนสามารถควบคุมแดนขั้นแรกได้นั้น ไม่รู้ว่าพลังของข้าจะสามารถข้ามไปถึงหอคอยมหาภพ ชั้นสามได้หรือไม่”
แววตาของหลัวซิวส่องประกาย เขารู้ดีว่าการที่ เทวทูตจื่อเยียน เสนอข้อเสนอนี้ออกมาแสดงว่าจะต้องไม่สามารถทำสำเร็จได้ง่ายอย่างแน่นอน อีกอย่างเขาเคยได้ยินมาว่าหอคอยมหาภพเป็นหอคอยการฝึกฝนที่ยากที่สุดในบรรดาหอคอยทั้งสี่
อีกเรื่องหนึ่งคือกฎแห่งความเป็นตายไม่สามารถแสดงออกมาพร้อมกันได้ ในเมื่อเขาแสดงพลังแห่งความตายของตัวเองออกมาแล้ว นั่นหมายความว่าเขาจะต้องซ่อนพลังแห่งชีวิตเอาไว้
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เทพแห่งวัฏจักรเคยเตือนเขาเอาไว้ ในตอนที่พลังของเขายังไม่ได้รับการยอมรับ ไม่สามารถแสดงกฎแห่งความเป็นตายออกมาพร้อมกันได้
เพราะตามที่เทพแห่งวัฏจักรเคยได้บอกเอาไว้ หากเรื่องที่ผู้ฝึกกฎแห่งความเป็นตายพร้อมกันรั่วไหลไปถึงหูของผู้แข็งแกร่งบางพวก พวกเขาจะต้องนึกโยงไปถึงลูกแก้วความเป็นตาย เพราะมีเพียงแค่ผู้ที่ได้รับการยอมรับให้เป็นเจ้าของจากลูกแก้วความเป็นตายเท่านั้นถึงจะสามารถฝึกกฎแห่งความเป็นตายพร้อมกันและไม่ได้รับการโต้ตอบอย่างรุนแรงจากกฎทั้งสอง
แล้วพลังแบบไหนถึงจะได้รับการยอมรับจากเทพแห่งวัฏจักร เรื่องนี้หลัวซิวเองก็ยังไม่แน่ใจนัก เพราะว่าโดยปกติแล้วเทพแห่งวัฏจักรไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับเขาเท่าไหร่นัก
หลัวซิวหยุดความคิดของตัวเองแล้วเดินออกมา โดยที่ไม่แม้แต่จะหันไปมองศิลาสลักชื่อที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก
เพราะสำหรับเขา การจัดลำดับชื่อไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไปแล้ว ในเมื่อได้รู้จักกับผู้ยิ่งใหญ่ของแดนศักดิ์สิทธิ์แล้ว ที่เหลือก็เพียงแต่ต้องทำตามความต้องการของเทวทูตจื่อเยียน ให้ได้เท่านั้น
……
หอคอยฝึกฝนทั้งสี่ เป้าหมายของหลัวซิวตอนนี้มีเพียงแค่ผ่านหอคอยเทพจิตชั้นสอง หอคอยร่างทองชั้นสาม ตามกฎของหอคอยฝึกฝนนั้น เขาจะได้รับเวลาฝึกฝนตำหนักเต๋าทั้งหมด 55 วัน
ระยะเวลาเท่านี้สำหรับอัจฉริยะทั้งยี่สิบคนนั้้นไม่ถือว่าเยอะ เพราะพวกเขาได้ผ่านการฝึกฝนจากหอคอยฝึกฝนทั้งสี่แห่งมาแล้วหนึ่งรอบ ทุกคนต่างได้รับเวลาฝึกฝนตำหนักเต๋าอยู่ที่สองเดือนขึ้นไป
แม้ว่าระยะเวลาสองเดือนสำหรับนักยุทธ์ธรรมดานั้นจะไม่สามารถเอาไปทำอะไรได้ แต่สำหรับอัจฉริยะขั้นสูงที่มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์นั้น กลับเพียงพอที่จะทำความเข้าใจจากร่องรอยแก่งกฎจนได้รับผลประโยชน์อย่างมหาศาลได้
“ไปที่หอคอยเสวียนเทียนก่อนเถิด”
หลัวซิวกังวลว่าเวลาของตัวเองจะไม่พอ จึงตัดสินใจเปลี่ยนทิศทางที่จะมุ่งหน้าไปยังตำหนักเต๋า แล้วไปที่หอคอยเสวียนเทียนแทน
หอคอยเสวียนเทียนต่างจากหอคอยฝึกฝนที่เหลืออีกสามแห่ง ที่หอคอยฝึกฝนแห่งนี้ กายหยาบของนักยุทธ์จะไม่สามารถเข้าไปได้ แต่ต้องดึงตัวสำนึกบางส่วนออกมาเพื่อใช้เข้าไปในหอคอย หลังจากนั้นตัวสำนึกส่วนหนึ่งจะได้รับแรงเสริมจากค่ายกลในหอคอยเสวียนเทียนจนสามารถฝึกพลังจิตแท้ได้เช่นเดียวกับกายหยาบ
การฝึกตนของหลัวซิวอยู่ที่แดนมกุฎยุทธ์ขั้นสี่ ดังนั้นเมื่อตัวสำนึกของเขาเข้าไปในหอคอยฝึกฝนแล้ว สิ่งที่จะได้รับคือการฝึกพลังจิตแท้ของมกุฎยุทธ์ขั้นสี่ ส่วนแดนร่างเนื้อกับแดนตัวสำนึกก็จะถูกพรากไป
เนื้อหาในการฝึกฝนที่หอคอยเสวียนเทียน คือการทดสอบพลังในการต้านทานการโจมตีของนักยุทธ์ ซึ่งก็คือระดับความแข็งแกร่งของพลังจิตแท้ เพราะสำหรับนักยุทธ์คนหนึ่งนั้น หากพลังจิตแท้ไม่หนักแน่นพอ ต่อให้พลังจะแข็งแกร่งมากเพียงใดก็จะพบกับความยากลำบากในการต่อสู้เอาได้ง่ายๆ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจะทำให้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสี่ยงอันตรายได้ง่ายๆ
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 690
ในตอนที่หลัวซิวอยากรู้อยากเห็นว่าในแผ่นยกอีกแผ่นมีเนื้อหาอะไรอยู่นั่นเอง เทวทูตจื่อเยียนก็ได้เอ่ยขึ้นมาอย่างช้า ๆ “ในแผ่นยกอีกแผ่นนั้นได้บันทึกสถานที่ของโอกาสบางอย่างเอาไว้ รอจนเจ้ามีความสามารถในแดนเจ้ายุทธจักรขึ้นไป สามารถไปดูได้”
ตัวสำนึกของหลัวซิวแทรกซึมข้าไปในแผ่นหยก พบว่ามีแผนที่อย่างละเอียดอยู่ด้าน
“โอกาส?” ท่าทางของหลัวซิวเคลื่อนไหวเล็กน้อย เทวทูตจื่อเยียนจะต้องมีการดำรงอยู่ในแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ขึ้นไปแน่ ของที่นางนำออกมา ต้องไม่ใช่โอกาสธรรมดาอย่างแน่นอน
“สถานที่อยู่ของโอกาสครั้งนี้ถูกข้าคนพบโดยบังเอิญในโลกแสงดาว มันไม่มีประโยชน์สำหรับข้า แต่มันมีประโยชน์สำหรับเจ้ามาก” เทวทูตจื่อเยียนกล่าว
“อย่างไรเสียโอกาสก็เป็นของนอกกาย สิ่งสำคัญก็คือการตระหนักรู้ในกฎ หวังว่าเจ้าจะไม่ใกล้เกลือกินด่าง” เทวทูตจื่อเยียนกล่าวอีกครั้ง
“ขอบคุณผู้อาวุโสเทวทูตมาก” หลัวซิวโค้งตัวคารวะ
“เอาล่ะ เจ้ากลับไปตั้งใจฝึกตนเถอะ หากเจ้าสามารถทะลวงผ่านชั้นที่สามของหอคอยสุดหล้าไปได้ พอถึงตอนนั้นสามารถมาพบข้า ข้าสามารถชี้แนะกฎความตายให้กับเจ้าได้”
หลัวซิวกล่าวขอบคุณอีกครั้ง จากนั้นก็ออกมาจากตำหนักแห่งนี้
จากคำพูดของเทวทูตจมปลักเยียน เป็นธรรมดาที่หลัวซิวจะฟังออกได้ว่า อีกฝ่ายน่าจะเป็นผู้แข็งแกร่งที่ฝึกฝนกฎความตาย
ไม่เพียงเท่านี้ แผ่นหยกที่บันทึกความลึกล้ำของกฎความตายเอาไว้ที่นางมอบให้เขานั้น บอกว่าถ้าหากเขาสามารถทำความเข้าใจได้อย่างทะลุปุโป่งก็จะได้รับการยอมรับจากกฎดั้งเดิม ก้าวเข้าสู่แดนนิรันกาล หมายความว่าความสำเร็จของเทวทูตจื่อเยียนในด้านกฎความตาย อย่างน้อยก็ได้มาถึงแดนนี้เช่นเดียวกัน หรืออาจจะสูงกว่านั้นด้วยซ้ำ
“การดำรงอยู่เหนือแดนนิรันกาลหรือ?”
เดินออกมาจากตำหนัก หลัวซิวก็สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ อะไรที่เลือกว่าเหนือยังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน? ในที่สุดวันนี้เขาก็ได้เข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ในประโยคนี้
“มีแผ่นหยกที่เทวทูตจื่อเยียนให้มา บวกกับผังกฎดั้งเดิมของวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ ไม่รู้ว่าในช่วงเวลาที่ข้าฝึกตนอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ความสามารถจะพัฒนาได้ถึงขั้นไหนนะ?” ในดวงตาของหลัวซิวระยิบระยับไปด้วยประกายของความตื่นเต้น
แม้ว่าคำพูดบางอย่างของเทวทูตจื่อเยียน ทำให้เขาได้รับรู้ว่าตนเองนั้นมีขนาดเล็กมาก แต่กลับได้กระตุ้นจิตวิญญาณการต่อสู้ของหลัวซิว
หลัวซิวไม่ได้ไปหอคอยฝึกตนอื่น ๆ อีก แต่ได้กลับไปที่พักแทน และขับเคลื่อนค่ายกลที่อยู่รอบ ๆ ที่พัก จากนั้นก็หยิบเอาแผ่นหยกที่บันทึกความลึกล้ำของกฎความตายออกมา
ในแผ่นหยก ได้แบ่งแดนของกฎความตาย แยกออกเป็นห้าระดับ นั่นก็คือความเข้าใจพลังแห่งกฎเบื้องต้น แดนสำเร็จน้อย แดนบรรลุผล แดนบริบูรณ์ และแดนสุดท้ายที่ได้รับการยอมรับจากกฎดั้งเดิม
บรรลุถึงแดนที่ห้า ก็จะสามารถข้ามผ่านขีดจำกัด ก้าวเข้าสู่แดนนิรันกาล
มาวันนี้หลัวซิวได้รู้แล้วว่า สิบแดนฝึกตนของโลกยุทธ์ จากแดนกลั่นร่างถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ ความจริงแล้วมันมีไว้สำหรับคนธรรมดาเท่านั้น และทันทีที่เหนือผ่านแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์เข้าสู้แดนนิรันกาล ก็จะเป็นเหมือนการเกิดใหม่ ไม่ว่าจะเป็นวิญญาณหรือว่าร่างเนื้อ ล้วนก้าวเข้าสู่ระดับใหม่ทั้งหมด
ไม่นานหลัวซิวก็จมปลักอยู่ในการตระหนักรู้กฎแห่งความตาย แผ่นยกที่เทวทูตจื่อเยียนให้มานั้นได้อธิบายกฎความตายเอาไว้อย่างละเอียด แม้ว่าจะเทียบกับร่องรอยแห่งกฎที่สัมผัสได้โดยตรงอย่างในตำหนักเต๋าไม่ได้ แต่ก็ทำให้หลัวซิวได้รับประโยชน์จากมันเป็นอย่างมาก
เขานำกฎที่อธิบายเอาไว้ในแผ่นหยกและผังกฎดั้งเดิมภาพที่สี่ยืนยันเข้าด้วยกัน ไม่เพียงแดนแห่งกฎเพิ่มระดับขึ้น ผลการฝึกตนของเขาเองก็ได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน
ในขั้นตอนของการฝึกตน เวลาก็ได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งหกวันผ่านไป จู่ ๆ ร่างที่นั่งขัดสมาธิของหลัวซิวก็ได้สั่นสะเทือนขึ้นมา เขาพลันลืมตาขึ้น สายตาเหมือนดั่งกระบี่ที่แหลมคม แทงผ่านอากาศไป
“ความเข้าใจพลังแห่งกฎเบื้องต้น!”
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 689
“ผู้น้อยคิดว่าโลกแสงดาวนั้นใหญ่มาก แบ่งออกเป็นเหนือใต้ตะวันออกตะวันตกสี่อาณาจักรใหญ่ ข้าเคยไปแค่อาณาจักรเหนือ ที่ที่เคยไปมา ไม่ถึงหนึ่งในล้านของโลกแสงดาวด้วยซ้ำ” หลัวซิวกล่าวเช่นนี้
“ไม่ เจ้าผิดแล้ว ที่จริงโลกแสงดาวนั้นเล็กมาก” สตรีชุดม่วงส่ายหน้า “เมื่อเทียบกับทั่วทั้งจักรวาล โลกแสงดาวเป็นเพียงน้ำหยดหนึ่งที่ไม่สะดุดตาในทะเลที่ไม่มีที่สิ้นสุดเท่านั้น”
“ในจักรวาลมีพิภพอยู่มากมาย แบ่งออกเป็น พิภพชั้นล่าง พิภพ ชั้นกลาง พิภพชั้นสูง และพิภพชั้นสูงสุด เจ้ารู้หรือไม่ว่าโลกแสงดาว จัดอยู่ในพิภพชั้นไหน?”
เมื่อหลัวซิวได้ยินดังนั้น ก็ชะงักไปชั่วขณะ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ฟังแนวคิดเกี่ยวกับพิภพ
ในจักรวาลมีพิภพอยู่มากมาย โลกแสงดาวเป็นเพียงโลกที่ไม่โดดเด่นใบหนึ่งเท่านั้น?
ในอดีตที่ผ่านมา หลัวซิวไม่เคยคิดเลยว่านอกจากโลกแสงดาวแล้ว จะยังมีโลกอื่น ๆ อยู่อีก
คำถามของสตรีชุดม่วงที่อยู่ฝั่งตรงข้าม หลัวซิวครุ่นคิดอยู่สักพัก กล่าว: “ในโลกแสงดาวของเรามีผู้แข็งแกร่งแดนนิรันกาลอยู่จำนวนมาก ควรจะนับได้ว่าเป็นโลกในพิภพชั้นสูงใช่หรือไม่?”
หลังจากที่เขาได้พูดคำพูดนี้ออกมา สตรีชุดม่วงก็มีท่าทางยิ้มไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ออกมาทันที “โลกในพิภพชั้นสูง? โลกเล็ก ๆ อย่างโลกแสงดาวต่อให้วางไว้ในหมู่โลกในพิภพชั้นล่าง ก็นับได้ว่าเป็นโลกที่แสนธรรมดาใบหนึ่งเท่านั้นเอง”
“ทั่วทั้งจักรวาลโลกในพิภพชั้นล่างมีอยู่เป็นล้านแห่ง ตอนนี้เจ้ารู้แล้วหรือยังว่าโลกแดงดาวนั้นเล็กถึงเพียงใด?”
คำพูดเหล่านี้ของเทวทูตจื่อเยียน พูดได้ว่าได้ลบล้างทัศนคติที่มีต่อโลกของหลัวซิวโดยสิ้นเชิง
เมื่อเห็นท่าทางตื่นตระหนกตกตะลึงของหลัวซิว เทวทูตจื่อเยียนก็ได้ยิ้มออกมา กล่าว: “บางทีเจ้าอาจจะคิดมาโดยตลอดว่าเหนือแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ก้าวสู่แดนนิรันกาล ก็ได้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลกยุทธ์แล้ว แต่ก็แค่ในโลกพิภพชั้นล่างเท่านั้น”
“โลกในพิภพชั้นกลางเรียกแดนนิรันกาลว่า แดนเทพมาร และเหนือเทพมารนั้น ยังมีเทพฟ้า!”
“โลกในโลกพิภพชั้นล่าง หมื่นปีพบเทพมารอยู่หนึ่งครั้ง และโลกในพิภพชั้นกลาง แสนปีถึงจะพบเทพฟ้าหนึ่งครั้ง!”
“ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ในโลกแสงดาว ความจริงแล้วเป็นสถานที่ฝึกฝนที่โลกเสวียนเทียนสร้างขึ้นในโลกแสงดาว เพื่อค้นหายอดในยอดอัจฉริยะส่งไปยังโลกเสวียนเทียน และโลกเสวียนเทียน ก็เป็นโลกในพิภพชั้นกลางนั่นเอง!”
พุดมาถึงตรงนี้ สตรีชุดม่วงก็ชะงักเล็กน้อย “ที่ข้าพูดสิ่งเหล่านี้กับเจ้า เพียงเพราะข้าคิดว่าเจ้าไม่เลวนัก บางที่อาจมีสักวัน มีความเป็นไปได้เพียงเล็กน้อยที่จะเดินออกไปจากโลกแสงดาว ก้าวสู่โลกเสวียนเทียน”
“แน่นอน เจ้านับได้แค่ว่าไม่เลวเท่านั้น จะสามารถมีสักวันที่เดินออกไปจากโลกแสงดาวที่จัดอยู่ในพิภพชั้นล่างเข้าสู่โลกในพิภพ ชั้นกลางได้หรือไม่ ยังต้องดูที่ความพยายามและการกระทำของเจ้า”
“ข้าเห็นเจ้าถูกโฉลกกับข้า รู้สึกว่าข้ากับเจ้ามีวาสนาต่อกัน จึงจะมอบโอกาสบางอย่างให้แก่เจ้า”
สตรีชุดม่วงดีดนิ้วมือขึ้นมากลางอากาศ ลำแสงสีดำสองสายก็ได้ลอยเข้ามาสู่มือของหลัวซิว กลายเป็นแผ่นหยกสองชิ้น
เมื่อเห็นแผ่นหยกทั้งสองชิ้นนี้ หลัวซิวก็รู้สึกหวั่นไหวเล็กน้อย ดูก็รู้ว่าฐานะของสตรีชุดม่วงนางนี้ไม่ธรรมดา ของที่นางเอาออกมา ก็จะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
“ในแผ่นหยกหนึ่งในนั้นได้บันทึกความรู้ที่ข้าได้ตระหนักรู้จากกฎความตายเขาไว้ จากแดนการฝึกตนในตอนนี้ของเจ้าสามารถทำความเข้าใจสิ่งที่อยู่ด้านในได้ เพียงพอที่จะให้เจ้าใช้ประโยชน์จากมันโดยไม่รู้จบ หากเจ้าสามารถทำความเข้าใจสิ่งที่อยู่ด้านในแผ่นยกได้อย่างทั้งหมดได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เช่นนั้นเจ้าก็จะได้รับการยอมรับจากกฎดั้งเดิม เดินเข้าสู่แดนเทพมาร และก็คือที่โลกแสงดาวของพวกเจ้าเรียกว่าแดนนิรันกาลนั่นเอง!”
หลัวซิวได้ฟังคำพูดเหล่านี้ ในใจกก็รู้สึกตกตะลึงยิ่งนัก แผ่นหยกที่สามารถทำให้คนก้าวสู่แดนนิรันกาลได้ ที่บันทึกเอาไว้ยังเป็นกฎความตายระดับสุดยอด ความล้ำค่าของแผ่นหยกชิ้นนี้แค่คิดก็ทราบได้แล้ว!
ในขณะเดียวกัน หลัวซิวก็ยิ่งเฝ้าคอยและอยากรู้อยากเห็นมากยิ่งขึ้น ในแผ่นหยกอีกแผ่นนั้น ได้บันทึกสิ่งใดเอาไว้?
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 688
“เจ้าเป็นใคร?” หลัวซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย เขามั่นใจได้ว่าในบรรดาอัจฉริยะหนุ่มสาวทั้งยี่สิบคนไม่มีสตรีเช่นนี้อยู่
ดังนั้นหลัวซิวเลยนึกถึงเหล่าผู้แข็งแกร่งที่ฝึกตนอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์มาเป็นเวลานานพวกนั้น ภายในใจก็เคร่งเครียดขึ้นมาทันที
ตลอดระยะเวลาที่อยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์มานี้ เขาก็ได้รับรู้ถึงเรื่องราวบางอย่างในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ว่ากันว่าผู้ที่มีคุณสมบัติฝึกตนอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ระยะยาวได้ ทั้งหมดล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ขึ้นไป
สตรีผู้พราวเสน่ห์นางนี้สวมด้วยชุดผ้าโปร่งสีดำ เรือนร่างอ่อนช้อยงดงามผลุบ ๆ โผล่ ๆ เต็มไปด้วยความเย้ายวนชวนหลงใหล
ใบหน้าของนางงดงามจนทำให้คนรู้สึกหลงใหล แฝงไปด้วยความป่าเถื่อน ทำให้ห้ามใจไม่ได้ที่จะกำราบนาง
“เจ้าหนุ่ม เจ้านายของข้าต้องการพบเจ้า” สตรีผู้พราวเสน่ห์ในชุดผ้าโปร่งสีดำยิ้มอย่างน่าหลงใหลพลางกล่าว
“ข้าไม่รู้จักเจ้านายของเจ้า” หลัวซิวมีท่าทางเฝ้าระวัง เพราะเขาไม่รู้ว่าที่อีกฝ่ายมาหาตัวเองนั้นมีจุดประสงค์อะไร
หากเป็นศัตรู เช่นนั้นเขาคงต้องมีอันตรายแล้ว
“เจ้าต้องไม่รู้จักเจ้านายของข้าแน่นอนอยู่แล้ว” สตรีในชุดผ้าโปร่งสีดำยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย “ทำให้เจ้านายต้องการพบได้ นับเป็นกียรติของเจ้า”
“ขออภัยด้วย ข้าไม่มีเวลา” ในขณะที่พูด ร่างของหลัวซิวก็เคลื่อนไหว ใช้วิชาล่องหนเพื่อถอยห่างออกมา
“เหอะ ๆ นี่ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะตัดสินใจได้”
สำหรับการเคลื่อนไหวของหลัวซิว สตรีในชุดผ้าโปร่งสีดำไม่ได้ใส่ใจเลยสักนิด นิ้วมือจิ้มลงไปในอากาศ ช่องว่างในอากาศบริเวณหนึ่งก็แตกสลายไปทันที บีบให้ร่างของหลัวซิวปรากฏออกมา
จากนั้นก็ไม่รอให้หลัวซิวได้มีโอกาสตอบโต้เลยสักนิด มวลอากาศสีดำได้ม้วนร่างของเขาขึ้นมา และหายไปกับที่ทันที
หลัวซิวรู้สึกฟ้าพลิกแผ่นดินตลบ มวลอากาศสีพันธนาการร่างของเขาเอาไว้ พลังจิตแท้ในร่างกายและร่างเนื้ออสุราล้วนไม่สามารถใช้ได้ เห็นได้ว่าความสามารถของเขาและสตรีในชุดผ้าโปร่งสีดำนั้นแตกต่างกันเพียงใด
จากนั้นไม่นาน เมื่อการมองเห็นตรงหน้าของหลัวซิวกลับเป็นปกติ ก็พบว่าตนได้มาอยู่ในตำหนักใหญ่แห่งหนึ่งเป็นที่เรียบร้อย
ในตำหนัก มีสตรีชุดม่วงนางหนึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์หยกขาว ที่ด้านข้างของนาง นั่งอยู่ด้วยชายชรารูปร่างสูงใหญ่แข็งแรงผู้หนึ่ง
สตรีชุดม่วงดูแล้วอายุราวยี่สิบกว่า เหมือนจะเป็นหญิงสาวนางหนึ่ง แต่กลับมีท่าทางสูงศักดิ์เหนือคนทั่วไป ชายชรารูปร่างสูงใหญ่แข็งแรงผู้นั้นสีหน้าไร้ความรู้สึก รอบกายพลุ่งพล่านไปด้วยกระแสพลังอันมหาศาลที่มิอาจคาดเดาได้
ทั้งสองคนนี้ หลัวซิวมองความตื้นลึกหนาบางไม่ออกเลยสักนิด ถึงขนาดที่ว่าแม้แต่พลังชีวิตในร่างกายของอีกฝ่ายก็ยังสัมผัสไม่ได้ หากไม่ได้เห็นกับตา เขาไม่มีทางที่จะค้นพบทั้งสองคนนี้ได้เลย
“ผู้น้อยหลัวซิว คารวะผู้อาวุโสทั้งสอง”
หลัวซิวทำความเคารพอย่างนอบน้อม ดูจากโครงสร้างของตำหนักแห่งนี้ เขาสามารถเดาออกได้ว่า ทั้งสองท่านน่าจะเป็นบุคคลใหญ่โตของดินแดนศักดิ์สิทธิ์
เพราะต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งระดับเจ้ายุทธจักรอย่างสี่เจ้ายุทธจักร กระแสสัมผัสพลังชีวิตของเขาก็ยังสามารถสัมผัสถึงกลิ่นอายของพวกเขาได้ แต่ทั้งสองท่านนี้กลับล้ำลึกจนมิอาจคาดเดา จักต้องเป็นระดับยอดบุคคลในแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ขึ้นไปอย่างแน่นอน
“หลัวซิว ข้าคือเทวทูตจื่อเยียนแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของโลกแสงดาว ส่วนคนที่อยู่ข้างกายของข้าผู้นี้คือเจ้าแดนแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของโลกแสงดาวหลิวหงเทียน”
สตรีชุดม่วงเอ่ยขึ้นมาอย่างช้า ๆ มือลูบแมวสีดำที่นอนอยู่บนเข่าทั้งสองข้างเบา ๆ และในตอนที่หลัวซิวสังเกตเห็นเจ้าแมวตัวนี้ แมวตัวนี้ก็ได้มองมาที่เขาพอดี สายตาที่เหมือนกับสายตามนุษย์นั่น ทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยนักง
เมื่อได้ยินถึงสถานะของสตรีชุดม่วงและชายชรารูปร่างสูงใหญ่แข็งแรง หลัวซิวก็อดไม่ได้ที่จะหัวใจเต้นรัวขึ้นมา ท่านหนึ่งคือเทวทูต อีกท่านคือเจ้าแห่งดินแดน เรียกว่าเป็นบุคคลระดับสุดยอดในสุดยอดของโลกแสงดาวก็ไม่มากเกินไป
“หลัวซิว เจ้าคิดว่าโลกแสงดาวใหญ่หรือไม่?”
เหนือความคาดหมายของหลัวซิว จู่ ๆ เทวทูตจื่อเยียนก็เถามคำถามเช่นนี้ขึ้นมา
บทที่ 687
บทที่ 689
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 687
“ระยะเวลาสี่เดือนกว่าเพิ่มระดับร่างเนื้อจากแดนมกุฎช่วงปลายจนถึงแดนมหายุทธ์ช่างปายนับว่าไม่เลว ดูท่าแล้วเจ้าหนุ่มคนนี้น่าจะได้รับโอกาสที่ไม่เลวเลย” สตรีชุดม่วงยิ้มกล่าว
เหมือนกับที่ว่าเรื่องผิดปกติจักต้องมีลับลมคมในแน่ หลัวซิวเพิ่มระดับขึ้นมาได้รวดเร็วเช่นนี้ภายในสี่เดือน มันเกินกว่าปกติไป ไม่ว่าใครได้เห็นก็รู้ว่าเขาจะต้องได้รับโอกาสที่ไม่ธรรมดาแน่ มิเช่นนั้นก็คงไม่พัฒนาอย่างรวดเร็วเช่นนี้
นอกจากเจ้าแดนหลิวที่มีท่าทางประหลาดใจเล็กน้อยแล้ว สตรีชุดม่วงนั้นสงบมาก เพราะโอกาสนั้นเห็นได้ง่าย โดยเฉพาะสำหรับอัจฉริยะ มีผู้ใดบ้างที่ไม่เคยได้รับโอกาสมาก่อน?
หลัวซิวก้าวสู้เส้นทางอัจฉริยะโดยอาศัยภูมิหลังที่แสนธรรมดา แน่นอนว่าเป็นเพราะได้รับโอกาส
สำหรับอัจฉริยะของแดนศักดิ์สิทธิ์อาจจะไม่ได้รับโอกาสยิ่งใหญ่อะไร ได้พวกเขาได้ถูกแดนศักดิ์สิทธิ์ให้ความสำคัญในการเลี้ยงดูฝึกฝน นี่ก็เป็นโอกาสอย่างหนึ่งเช่นเดียวกัน
ดังนั้นสตรีชุดม่วงถึงคิดว่าเหล่าอัจฉริยะได้รับโอกาสนั้นเป็นเรื่องที่ธรรมดายิ่งนัก ทั่วทั้งจักรวาลนั้นมีอยู่หลายพิภพ โอกาสเองก็มีอยู่นับไม่ถ้วน
“จื่อเยียน หรือเจ้าคิดจะ……” เจ้าแดนหลิวขมวดคิ้วขึ้นมา
เนื่องด้วยเขาและคนผู้นั้นของตำหนักดารานภาเป็นสหายเก่า ดังนั้นจึงคิดที่จะแนะนำซิงหลิงให้กับเทวทูตจื่อเยียน จากนั้นค่อยมีเทวทูตจื่อเยียนแนะนำให้กับเบื้องบนอีกที
ทว่าตอนนี้เขากลับสังเกตเห็นว่า เหมือนเทวทูตจื่อเยียนผู้นี้จะให้ความสนใจกับหลัวซิวยิ่งกว่า
“เจ้าแดนหลิว ข้ารู้ว่าท่านอยากพูดอะไร แต่ท่านจะต้องรู้ว่า พรสวรรค์ที่แสดงออกมาเพียงช่วงเวลาหนึ่งนั้นมิอาจนับอะไร ที่สำคัญคือความพากเพียรอย่างไม่ลดละ”
จื่อเยียนยิ้มอ่อน ๆ “ซิงหลิงที่ท่านว่าผู้นั้นก็นับว่าไม่เลว สามารถรับเข้ามาสังเกตพิจารณาในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้ หากเขาสามารถฝึกฝนจนถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ได้ภายในร้อยปี แนะนำเขาให้กับเบื้องบน ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”
“แต่ข้าคิดว่าหลัวซิวผู้นี้มีศักยภาพยิ่งกว่า ในช่วงสามเดือนที่ผ่านมาดูเหมือนว่าจะเพิ่มระดับขึ้นมากในหอคอยร่างทอง แต่ความจริงแล้วความทุกข์ทรมานที่ตนเองทนรับนั้นมิใช่สิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปจะสามารถทนรับได้ แม้ว่าความเฉลียวฉลาดและความสามารถในการตระหนักรู้จะสำคัญ แต่การควบคุมตนเองของจอมยุทธ์ยิ่งมาถึงช่วงปลาย ก็ยิ่งสำคัญ”
กล่าวมาถึงตรงนี้ จื่อเยียนก็ลูบขนของแมวสีดำที่อุ้มเอาไว้ กล่าว: “ยิ่งไปกว่านั้นความเฉลียวฉลาดและความสามารถในการตระหนักรู้ของหลัวซิวผู้นี้ ไม่ด้อยไปกว่าซิงหลิงเลย”
“เหมียว……”
จื่อเยียนปล่อยมือ แมวที่อยู่ในอ้อมแขนก็พลันกระโดดลงไป เจ้าแดนหลิวเห็นเพียงว่าเงาร่างสีดำแวบผ่านไป เจ้าแมวดำก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
……
ตอนที่หลัวซิวถูกส่งตัวออกมาจากหอคอยร่างทอง สายตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจต่างจับจ้องมองมาที่เขา
ในบรรดาอัจฉริยะหนุ่มสาวทั้งยี่สิบคน จนถึงตอนนี้มีเพียงซิงหลิงที่ผ่านชั้นที่สามไปได้ในเมื่อสักครู่
แต่ที่ทำให้คนคาดไม่ถึงก็คือ คนที่สามารถผ่านชั้นที่สามของหอคอยร่างทองมาให้เป็นรายต่อไปไม่ใช่พวกกุ่ยโยว และหวูหยุน แต่กลับเป็นหลัวซิว?
แม้ว่าหลัวซิวจะเพียงแค่ทนอยู่ด้านในจนครบเวลาหนึ่งก้านธูปแล้วถูกส่งตัวออกมา มิได้ทำลายพื้นที่สีทองของชั้นที่สามโดยตรงอย่างซิงหลิง แต่คะแนนการต่อสู้เช่นนี้ ก็เพียงพอที่จะแซงหน้าอัจฉริยะส่วนใหญ่จากแดนศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ แล้ว
ในตอนที่ลู่เมิ่งเหยาได้ยินข่าวนี้ บนใบหน้าเล็ก ๆ ก็เต็มไปด้วยความตกตะลึง นางอยากจะรู้มากว่าหลัวซิวทำได้อย่างไรกัน เพราะช่วงเวลาสี่เดือนกว่า ๆ มานี้ นางทะลวงมาได้แค่ชั้นที่สองของหอคอยเสวียนเทียน ส่วนที่เหลืออีกสามหอคอยฝึกตนนั้นยังอยู่ในชั้นที่หนึ่งอยู่เลย
เพียงแต่ว่าตอนที่นางมาถึงที่พักของหลัวซิว หลัวซิวไม่ได้อยู่ในห้อง
“ในเมื่อแดนร่างเนื้อได้มถึงจุดคอขวด เช่นนั้นก็ลองไปที่หอคอยเสวียนเทียนดุหน่อยเถอะ”
หลังจากที่ออกมาจากหอคอยร่างทอง หลัวซิวก็มุ่งหน้าไปที่หอคอยเสวียนเทียนทันที ในครึ่งทาง เงาร่างสีดำสายหนึ่งก็ได้ร่วงลงมาจากท้องฟ้า กลายร่างเป็นสตรีผู้พราวเสน่ห์ในชุดผ้าโปร่งสีดำยืนขวางอยู่ที่ด้านหน้าของเขา
บทที่ 686
บทที่ 688
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 686
“หรือว่าจะเป็นกฎความตาย?” ซิงหลิงนึกขึ้นมาได้ว่าหลัวซิวฝึกฝนพลังแห่งความตาย แต่ Attr ความตายนั้นคือกฎระดับสูงสุด ความยากในการตระหนักรู้ Attr ความตายนั้นยากกว่า Attr โดยทั่วไปเป็นสิบเท่า หรืออาจเป็นร้อยเท่าเลยด้วยซ้ำ
ยิ่งไปกว่านั้นในตอนประลองยุทธ์ พลังแห่งความตายของหลัวซิวยังอยู่ในแดนบรรลุผลอยู่เลย นี่พึ่งผ่านไปแค่สี่เดือนกว่าเท่านั้น ต่อให้เหนือมนุษย์มนาเพียงใด ก็ไม่มีทางที่จะข้ามมาถึงแดนที่เข้าใจกฎเป็นอย่างดี
ดวงตาของซิงหลิงเคลื่อนไหวอยู่ไม่หยุด เขาจ้องมองชั้นที่สามของหอคอยร่างทองตาไม่กะพริบ “แม้ข้าจะใช้พลังแห่งกฎทั้งสามชนิด ก็ใช้เวลาเกือบครึ่งก้านธูปถึงสามารถทำลายพื้นที่สีทองในชั้นที่สามได้ ข้าก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าเจ้าจะทำได้ถึงขั้นไหนกัน”
ในขณะเดียวกันนั้น ในพื้นที่สีทองของชั้นที่สาม หลัวซิวก็ได้ขมวดคิ้ว
กระแสพลังอันดุร้ายที่กระจายอยู่ในที่นี้ ได้บรรลุถึงมหายุทธ์ขั้นเจ็ดเป็นที่เรียบร้อย และมีกระแสพลังอันดุร้ายที่เทียบได้กับมหายุทธ์ขั้นดเก้าจู่โจมเข้ามาเป็นบางครั้ง
กระแสพลังอันดุร้ายกระจายไปในทุกหนทุกแห่งของพื้นที่สีทอง ไม่ว่าท่าร่างจะรวดเร็วเพียงใดก็ไม่อาจหลบได้
“ดูท่าชั้นที่สามจะมาสามารถผ่านไปได้แล้ว” หลัวซิวส่ายศีรษะ
ก่อนหน้านี้เมื่อสามเดือนกว่า ๆ ตอนอยู่ในพื้นที่สีทองของชั้นที่สองเขาก็ถูกทรมานจนไม่เหลือสภาพของคนอยู่เลย และสลบไปทันทีหลังจากที่ถูกส่งตัวออกไป ทั่วทั้งร่างกายไม่มีตรงไหนที่มีสภาพดีอยู่เลย
ในตอนที่เขาสะลึมสะลืออยู่นั้น เขาจำได้อย่างเลือนรางว่าชายชุดม่วงผู้นั้นได้พาเขาไปส่งที่ที่พัก
ที่โชคดีก็คือเขาไม่ได้รับบาดเจ็บจนมีสภาพเช่นนั้นโดยเปล่าประโยชน์ พลังผู้เป็นอมตะได้ถูกกระตุ้นขึ้นมาแล้ว!
หนึ่งเดือนกว่าให้หลัง ในสภาพที่พลังผู้เป็นอมตะปะทุขึ้นมา อาการบาดเจ็บของเขาก็ฟื้นฟูขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และแดนร่างเนื้อของเขา ก็ได้พัฒนาจากแดนมกุฎช่วงปลาย บรรลุถึงแดนมหายุทธ์ช่วงกลาง!
จากนั้นเขาก็เข้าทะลวงหอคอยร่างทองอีกครั้ง และอยู่ในชั้นที่สองครบเวลาหนึ่งก้านธูปได้อย่างง่ายดาย และถูกส่งเข้ามายังชั้นที่สาม
กระแสพลังอันดุร้ายในชั้นที่สามนั้นบรรลุถึงขั้นมหายุทธ์ช่วงปลาย เขาทะลวงเข้าไปโดยอาศัยร่างยุทธ์แดนมหายุทธ์ช่วงกลาง และยากที่จะต้านทานได้เป็นธรรมดา หากเปลี่ยนเป็นคนธรรมดา ทนได้ไม่ถึงหายใจเข้าออกห้าครั้งก็ถูกส่งออกมาแล้ว
แต่เขากลับทนมาได้โดยอาศัยพลังซ่อมแซมลายเส้นชีวิต สุดท้ายก็ทำให้ตัวเองบาดเจ็บไปทั้งตัวอีกครั้ง
เพียงแต่ว่าการปะทุขึ้นมาครั้งที่สองของผู้เป็นอมตะนั้น ผลลัพธ์เทียบไม่ได้กับครั้งแรก แดนร่างเนื้อเพียงเพิ่มระดับขึ้นมาจากแดนมหายุทธ์ช่วงกลาง เพิ่มถึงแดนมหายุทธ์ช่วงปลายขั้นเจ็ด
อาศัยแดนร่างเนื้อแดนมหายุทธ์ขั้นเจ็ด อยู่ในชั้นที่สามเป็นเวลาหนึ่งก้านธูปนั้นไม่ยาก แต่ถ้าหากต้องการทำลายพื้นที่สีทอง อย่างน้อยต้องอาศัยร่างเนื้อแดนมหายุทธ์ขั้นสูงสุดถึงจะได้
“การปะทุของผู้เป็นอมตะนั้น ก็มีกฎเกณฑ์เช่นเดียวกัน”
นั่งขัดสมาธิอยู่ในชั้นที่สามของหอคอยร่างทอง หลัวซิวรำลึกถึงทุกครั้งที่ตนได้กระตุ้นให้ผู้เป็นอมตะปะทุขึ้นมา และได้พบกฎเกณฑ์บางอย่างอยู่ในนั้น
เขาพบว่าหลังจากที่ผู้เป็นอมตะปะทุขึ้นมาหหนึ่งครั้ง หากเว้นระยะเป็นเวลานานถึงกระตุ้นให้ปะทุขึ้นมาครั้งที่สอง ผลลัพธ์ก็จะชัดเจนเป็นพิเศษ แต่ถ้าหากกระตุ้นให้ปะทุติดต่อกัน เช่นนั้นผลลัพธ์ก็จะแย่ลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งมีเพียงน้อยนิด
ก็เหมือนกับธนาคาร เอาเงินออกมาไม่หยุด เงินก็จะลดลงเรื่อย ๆ แต่แต่หากไม่เอาออกมาเป็นเวลานาน ก็จะได้รับดอกเบี้ย เงินก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
พลังผู้เป็นอมตะก็เป็นเหมือนดั่งพลังงานลึกลับบางอย่างที่สะสมอยู่ในร่างกาย พลังลึกลับชนิดนี้จะสะสมไปเรื่อย ๆ ตามกาลเวลา จนกระทั่งพลังอมตะถูกกระตุ้นก็จะปะทุออกมาจนหมด
แต่ถ้าหากกระตุ้นให้ปะทุอยู่บ่อยครั้ง พลังลึกลับชนิดนี้ก็จะหมดไปอย่างรวดเร็ว ผลลัพธ์ก็จะต้องแย่ลงเป็นธรรมดา
“ดูท่าแดนร่างเนื้อของข้าได้มาถึงจุดคอขวดอีกแล้ว” การค้นพบนี้ทำให้ความคิดที่จะเพิ่มระดับแดนร่างเนื้อขึ้นไปอีกขั้นของหลัวซิวดับลงไป
หนึ่งก้านธูปให้หลัง หลัวซิวก็เลือกจากไป ร่างของเขาถูกส่งออกมาจากหอคอยร่างทอง
“ร่างยุทธ์แดนมหายุทธ์ขั้นเจ็ด ช่างเป็นการเพิ่มระดับที่น่ากลัวเสียจริง!”
ในกลางอากาศ ชายชรารูปร่างสูงใหญ่แข็งแรงที่สตรีชุดม่วงเรียกเขาว่าเจ้าแดนหลิวได้มีสีหน้าประหลาดใจขึ้นมา
บทที่ 685
บทที่ 687
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 685
หลังจากที่ซิงหลิงออกมา ก็มีอีกสองสามคนได้เข้าไปทะลวงด่าน คนพวกนี้เดิมทีก็ได้ทะลวงชั้นที่เป็นขีดจำกัดแล้ว ส่วนมากเมื่อเข้าไปแล้วไม่ถึงหนึ่งก้านธูปก็ถูกบีบให้ถูกส่งตัวออกมา ไม่สามารถทนต่อไปได้
ในนั้นมีอยู่หนึ่งคนที่สามารถทนมาได้เป็นเวลาหนึ่งก้านธูป แต่ก็ไม่มีความสามารถที่จะทำลายพื้นที่สีทองได้
ในตอนนี้เอง ก็ได้มาถึงคราวของหลัวซิว
วินาที่เดินเข้าสู่ค่ายกลนั่นเอง หลัวซิวก็ได้ปรากฏตัวขึ้นในพื้นที่สีทองของชั้นที่หนึ่งอีกครั้ง
ตามกฎของหอคอยฝึกตน มีเพียงใช้วิธีที่สองทะลวงผ่านด่านไป ถึงจะสามารถผ่านชั้นนั้น ๆ ไปได้โดยตรง
และก่อนหน้านี้หลัวซิวไม่สามารถทำลายพื้นที่สีทองในชั้นที่หนึ่งมาได้โดยตลอด ดังนั้นเมื่อถูกส่งตัวเข้ามา จึงได้ปรากฏตัวขึ้นในชั้นที่หนึ่ง
กระแสพลังอันดุร้ายเป็นเหมือนดั่งมีดดาบที่กรีดเนื้อหนังของเขาอยู่ไม่หยุด ทว่าหลัวซิวกลับไม่ใส่ใจเลยสักนิด สายตามองไปยังด้านบนของพื้นที่สีทองในทันที
เมื่อตอนเข้ามาที่นี่เป็นครั้งแรก อดทนได้ไม่นานนัก ผิวหนังก็ถูกกรีดจนเลือดอาบ และเมื่อเข้ามาในครั้งนี้ การโจมตีของกระแสพลังอันดุร้ายที่เทียบได้กับแดนมหายุทธ์ขั้นสาม สำหรับเขาแล้วไม่ได้ทำให้รู้สึกจั๊กจี้เลยสักนิด
“พัง!”
เท้าขวาของหลัวซิวเหยียบลงไปบนพื้น ปากก็เอ่ยออกมาหนึ่งคำ จากนั้นก็ต่อยออกมาหนึ่งหมัด กระแสพลังในรูปกระบี่สีดำสายหนึ่งได้ลอยออกมาจากหมัดของเขา
เงารูปกระบี่สีดำนี้ ไม่ได้มาจากพลังจิตแท้ แต่เกิดจากการรวบรวมของร่างเนื้ออสุรา เพราะพลังจิตแท้และตัวสำนึกใช้ได้ไม่เป็นผลในที่แห่งนี้
และหมัดกระบี่นี้ เป็นทักษะการต่อสู้ร่างเนื้อที่หลัวซิวได้ตระหนักรู้จากหอคอยร่างทองในระยะเวลาสามเดือนมานี้
กระบวนท่าที่แสดงออกมาโดยตัวสำนึกวิญญาณเป็นเคล็ดวิชาวิญญาณ
กระบวนท่าที่แสดงออกมาโดยร่างยุทธ์ร่างเนื้อนั้น คือทักษะการต่อสู้ร่างเนื้อ
ไม่ว่าจะเป็นเคล็ดวิชาหรือทักษะการต่อสู้ ล้วนอยู่เหนือขอบเขตของวิชายุทธ์โดยทั่วไป
หลังจากที่ตัวสำนึกกลายรูป ด้านร่างยุทธ์ร่างเนื้อของหลัวซิวก็ได้รับการพัฒนาขึ้นมาอย่างเต็มเปี่ยม ได้ตระหนักรู้ถึงหมัดกระบี่
ครืน!
หมัดกระบี่ หมัดกระบี่แทงเข้าไปในอากาศ ระลอกคลื่นสีทองได้สั่นสะเทือนขึ้นมา รอยสีดำปรากฏขึ้น เหมือนกับว่าพื้นที่สีทองได้ถูกหมัดกระบี่ ของหลัวซิวตัดออกเป็นสองท่อน
จากนั้น พื้นที่สีทองก็เริ่มพังทลายลง แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ เหมือนดั่งกระจก รอยแตกที่หนาทึบคล้ายใยแมงมุม กระจายไปในทุกทิศทุกทาง
“หือ? พึ่งจะเข้าไปก็ทำลายพื้นที่สีทองได้แล้วเช่นนั้นหรือ?”
ในตอนที่หลัวซิวเข้าไป ชั้นที่หนึ่งของหอคอยร่างของก็ได้ส่องสองสีทองออกมา จากนั้นไม่นานนัก แสงสีทองก็ได้หายไป และชั้นที่สองก็ได้ส่องแสงขึ้นมา
นี่ก็หมายความว่า หลัวซิวพึ่งจะเข้าไป ก็สามารถทำลายพื้นที่สีทองในชั้นที่หนึ่งไปได้ทันที
เพราะถ้าหากไม่ใช่ได้ทำลายพื้นที่ในชั้นที่หนึ่งไป เช่นนั้นก็จะต้องอยู่ในชั้นที่หนึ่งให้ครบเวลาหนึ่งก้านธูป ถึงจะสามารถผ่านด่านที่หนึ่งไปได้
“ต่อให้เป็นผู้ที่มีร่างยุทธ์ร่างเนื้อในแดนมหายุทธ์ขั้นกลาง ก็ไม่สามารถทำลายพื้นที่ในชั้นที่หนึ่งได้ภายในพริบตา เจ้าหมอนี่ช่างอยู่เหนือความคาดหมายจริง ๆ”
ซิงหลิงหรี่ตาลงเล็กน้อย เขาคิดว่าตนเองได้มองหลัวซิวผู้นี้สูงพอแล้ว แต่เหมือนกับว่าตนยังมองอีกฝ่ายต่ำเกินไปอยู่
“หรือว่าเขาเองก็ได้ตระหนักรู้พลังแห่งกฎเช่นกัน?” ซินหลิงแอบกล่าวอยู่ในใจ
เพราะเขาทราบดีว่า หากต้องการทำลายพื้นที่ในหอคอยร่างทองโดยอาศัยร่างเนื้ออสุราเพียงอย่างเดียวนั้นยากมาก ที่เขาสามารถผ่านชั้นที่สามมาได้ ก็เพราะอาศัยพลังแห่งกฎนั่นเอง
ในสายตาของเขา ที่หลัวซิวสามารถทำลายพื้นที่สีทองในชั้นที่หนึ่งได้ภายในพริบตา อย่างน้อยจะต้องใช้ร่างเนื้ออสุราแดนมหายุทธ์ขั้นกลาง ซิงหลิงไม่เชื่ออย่างแน่นอนว่าแดนร่างเนื้อของหลัวซิวจะบรรลุถึงแดนมหายุทธ์ช่วงปลาย
ในตอนที่ซิงหลิงประหลาดใจอยู่นั่นเอง ก็ได้มีเสียงอุทานอย่างตกตะลึงดังมาจากรอบหอคอยร่างทอง พบเพียงว่าแสงสว่างในชั้นที่สองนั้นได้ดับลงแล้ว และแสงสีทองในชั้นที่สามได้สว่างขึ้นมา
“ผ่านชั้นที่สองไปได้เร็วขนาดนี้เชียว?” ซิงหลิงมีท่าทางเคร่งขรึมขึ้นมา แม้เขาจะทำถึงจุดนี้ได้โดยอาศัยการหนุนจากพลังแห่งกฎ แต่เขาได้ตระหนักรู้กฎถึงสามชนิดเชียวนะ แล้วหลัวซิวผู้นี้ทำได้อย่างไร?”
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 684
ซิงหลิงตวาดออกมา ดวงดาวเก้าดวงลอยขึ้นมาเหนือศีรษะ สามดวงในนั้นเปล่งประกายสุกใส ลำแสงสีเขา เขียว น้ำเงินย้อยลงมาผสานเข้าสู่ร่างของซิงหลิง
ลำแสงทั้งสามสายนี้ สอดคล้องกับพลังแห่งกฎสามชนิด นั่นก็คือธาตุทอง ธาตุไม้ และธาตุน้ำ!
ในสายตาของคนอื่น ๆ ซิงหลิงเข้าใจเพียงกฎคังจินเท่านั้น แต่ความจริงแล้ว เขาได้เข้าใจถึงสามกฎ!
ใช่ว่าเขาจะตั้งใจปกปิด ความจริงแล้วนับจากที่ได้เข้ามาในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เขานอกจากจะเข้าใจกฎธาตุทองแล้ว ยังเข้าใจกฎธาตุไม้อีกด้วยเล็กน้อย ส่วนกฎธาตุน้ำนั้นเขาพึ่งได้เข้าใจจากการตระหนักรู้ร่องรอยแห่งกฎในตำหนักเต๋านี่เอง
เข้ามาในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เพียงสี่เดือนก็สามารถเข้าใจกฎชนิดที่สามได้ ความน่าหวาดกลัวของพรสวรรค์ของซิงหลิงนั้น เป็นที่ประจักษ์
ครืน!
ภายใต้การหนุนจากพลังแห่งกฎทั้งสามชนิด ร่างของซิงหลิงถูกปกคลุมไปด้วยลำแสงหลากสีสัน เขาต่อยหมัดออกมา เหมือนดั่งเทพสงครามทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
เสียงคำรามดังสนั่นหวั่นไหว ทั่วทั้งพื้นที่สีทองสั่นสะเทือนอยู่หลายครั้ง จากนั้นก็กลับคืนสู่ความสงบ ซิงหลิงขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกไม่พอใจเป้นอย่างมากกับการที่ตนไม่สามารถทำลายพื้นที่สีทองแห่งนี้ได้ในครั้งเดียว เห็นเพียงเขายื่นมือออกมาชี้ ดวงดาวทั้งเก้าลอยออกไป กระแทกลงเหนือพื้นที่สีทอง
ตอนที่ซิงหลิงถูกส่งตัวออกมาจากหอคอยร่างทอง ลำแสงสีทองสองสายก็ได้ตกเข้าสู่ป้ายประจำตัวของเขา ทำให้ผู้คนที่เห็นเหตุการณ์นี้ต่างอุทานออกมาอย่างตกตะลึง
“นายน้อยซิงหลิงผ่านชั้นที่สามของหอคอยร่างทองไปได้หรือนี่?”
“แค่ผ่านมาได้เสียที่ไหนกัน? ยังผ่านมาได้โดยใช้วิธีที่สองอีกด้วยซ้ำ!”
“ทำลายพื้นที่สีทองในชั้นที่สาม อย่างน้อยจะต้องเป็นร่างเนื้อแดนมหายุทธ์ขั้นสูงสุดสินะ?”
สำหรับคำชมเชยจากอัจฉริยะคนอื่น ๆ ทำให้มีรอยยิ้มบาง ๆ ที่มุมปากของซิงหลิง ขาพอใจกับผลลัพธ์เช่นนี้เป็นอย่างมาก
ในตอนที่เขาเตรียมจะไปจากหอคอยร่างทองเพื่อไปทะลวงชั้นที่สามของหอคอยฝึกตนอื่น ๆ นั่นเอง สายตาของเขาก็เฉียบคมขึ้นมาเล็กน้อย เห็นว่าหลัวซิวกำลังเดินมุ่งหน้ามาทางหอคอยร่างทอง
“ในช่วงเวลาที่ข้าได้ปิดขังตนเอง ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้าหมอนี่ได้ถึงระดับไหนแล้ว?”
สำหรับหลัวซิวผู้นี้ ซิงหลิงให้ความสนใจไม่น้อย แน่นอนว่าความสนใจนี้ไม่ได้หมายความว่าเขาเห็นอีกฝ่ายอยู่ในระดับเดียวกันกับตนเอง
ในบรรดาคนหนุ่มสาว ผู้ที่ทำให้เขายอมรับได้ มีเพียงหวูหยุน กุ่วโยว ต้าวหวูซินเท่านั้น หลัวซิวผู้นี้ สำหรับซิงหลิงแล้ว เป็นแค่คนที่น่าสนใจคนหนึ่งเท่านั้นเอง
“ยินดีกับศิษย์พี่ที่สามารถผ่านชั้นที่สามของหอคอยร่างทองมาได้” ชายหนุ่มในชุดคลุมยาวดารา เดินเข้ามาที่ด้านหน้าซิงหลิง
ชายหนุ่มผู้นี้มีชื่อว่าซิงซ่าย เป็นศิษย์น้องของซิงหลิง ในตอนนี้ก็สามารถผ่านชั้นที่สองของหอคอยเสวียนเทียนและหอคอยเทพจิตมาได้แล้วเรียบร้อย มีเพียงหอคอยร่างทองและหอคอยสุดหล้าที่ยังหยุดอยู่ในชั้นที่หนึ่ง
“ซิงซ่าย ตอนนี้หลัวซิวอยู่ในอันดับที่เท่าไหร่?” ซิงหลิงเอ่ยถามอย่างสบาย ๆ
“แค่อันดับเก้าเอง” ซิงซ่ายยิ้ม กล่าว: “ศิษย์พี่อยู่อันดับหนึ่งมาโดยตลอด”
“สามารถจัดอยู่ในสิบอันดับแรกได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว” ซิงหลิงพยักหน้า เขาไม่ได้แปลกใจเลยสักนิด กับอันดับของหลัวซิว
เพราะในสิบอันดับนี้ แปดอันดับแรกล้วนถูกครอบครองโดยสี่แดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ แต่ละแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์นั้นมีอัจฉริยะสองคนที่ได้เข้าฝึกตนในดินแดนศักดิ์สิทธิ์
และหลัวซิวสามารถอยู่ในสองอันดับที่เหลือได้ รองจากอัจฉริยะของสี่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ ในแดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูง ก็นับว่าเป็นยอดอัจฉริยะแล้ว
“เขาผ่านหอคอยร่างทองมาได้กี่ชั้น?”
“ไม่ทราบขอรับ ได้ยินว่าสามเดือนกว่ามานี้ เขาล้วนมาที่หอคอยร่างทอง” ซิงซ่ายกล่าว
ซิงหลิงพยักหน้า และไม่ได้ถามอะไรมากอีก สำหรับการไปทะลวงด่านในอีกสามหอคอยฝึกตนที่เหลือนั้น ไม่จำเป็นต้องรีบ
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 683
ก่อนที่จะเข้ามาในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ซิงหลิงก็ได้รับรู้มาจากผู้เป็นพ่อของตนเองแล้วว่า การประลองยุทธ์เพื่อชิงรายชื่อเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นเพียงแค่การแสดงของพวกเด็ก ๆ เท่านั้นเอง แต่ทันทีที่เข้ามาในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ผู้ที่แสดงออกได้โดดเด่นที่สุด มีความเป็นไปได้สูงว่าจะได้รับการให้ความสำคัญและอบรมเลี้ยงดูจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์
ตอนแรกนั้นซิงหลิงไม่เข้าใจ ตำหนักดารานภาเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ระดับนิรันดร์ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดในโลกแสงดาวแล้ว เหตุใดถึงยังให้ความสำคัญกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้?
แต่สำหรับเรื่องนี้นั้น ท่านพ่อมิได้อธิบายใด ๆ กับเขา เพียงแค่บอกว่ารอจนเขาถึงระดับที่แน่นอน ก็จะเข้าใจเอง
ได้ทำการตระหนักรู้ร่องรอยแห่งกฎอยู่ในตำหนักเต๋าเป็นเวลาสองเดือน ทำให้ซิงหลิงตระหนักรู้ถึงพลังแห่งกฎเพิ่มขึ้นไปอีกระดับหนึ่งใหม่ทั้งหมด
จากนั้นเขาก็ออกจากการปิดขังทันที และไปทะลวงหัวคอยสุกหล้าชั้นที่สามใหม่อีกครั้ง ภายใต้การร่วมมือโจมตีจากผู้แข็งแกร่งมหายุทธ์ช่วงปลายทั้งสาม สามารถอดทนเป็นเวลาหนึ่งก้านธูปได้สำเร็จ
แต่ซิงหลิงกลับไม่ได้พอใจเลยสักนิด เพราะการทะลวงด่านของหอคอยสุดหล้า ก็มีสองวิธีเช่นเดียวกัน วิธีแรกก็คือทนอยู่ด้านในเป็นเวลาหนึ่งก้านธูป วิธีที่สองคือสังหารคู่สู้ทั้งสามคนให้ได้ในระยะเวลาหนึ่งก้านธูป!
ดังนั้นซิงหลิงจึงได้ใช้ระยะเวลาฝึกตนในตำหนักเต๋าที่เหลืออยู่ทั้งหมดโดยไม่ลังเล
“รอข้าออกจากการขังตนอีกครั้ง จะต้องสามารถผ่านชั้นที่สามไปได้อย่างสวยงามแน่!”
ในตำหนักเต๋า ดวงตาของซิงหลิงแพรวพราวไปด้วยแสงแห่งดวงดาว “ไม่มีผู้ใดสามารถโดดเด่นไปกว่าข้า สุดท้ายแล้วผู้ที่ได้รับการให้ความสำคัญจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ จะต้องเป็นข้าอย่างแน่นอน!”
ระยะเวลาหนึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ซิงหลิงออกมาจากตำหนักเต๋า ฝีมือก็เพิ่มขึ้นมาอย่างมาก สีหน้าท่าทางเต็มไปด้วยความมั่นใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
“ครั้งนี้ข้ามีความมั่นใจเต็มสิบว่าจะสามารถผ่านชั้นที่สามมาได้โดยใช้วิธีที่สอง แต่ก็ไม่จำเป็นต้องใจร้อนนัก ไปดูที่หอคอยร่างทองก่อนดีกว่า”
นับตั้งแต่ที่เขามาในดินแดนศักดิ์สิทธิ์จนถึงตอนนี้ โดยไม่รู้ตัว อัจฉริยะหนุ่มสาวทั้งยี่สิบคนก็ได้ฝึกตนอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์มาเป็นเวลาสี่เดือนกว่าแล้ว
การแข่งขันระหว่างกัน การแย่งชิงการจัดอันดับ ทำให้อัจฉริยะทุกคนต่างพยายามฝึกตนอย่างเต็มที่ ฝีมือรุดหน้าอย่างรวดเร็ว
ในสี่เดือนมานี้ผลการฝึกตนของคนจำนวนมากต่างก็มีการทะลวงขั้น โดยเฉพาะหวูหยุน ซิงหลิงและกุ่ยโยวทั้งสามคน ต่างก็มีผลการบรรลุถึงระดับมกุฎยุทธ์ขั้นเก้า อยู่ในจุดคอขวดที่จะทะลวงสู่แดนมหายุทธ์ได้ทุกเมื่อ
นี่หมายความว่า เมื่อใดที่ล้นคอขวดออกมา และทานยากลายร่างมังกรลงไป ผลการฝึกตนก็จะบรรลุถึงแดนมหายุทธ์ไปตามน้ำทันที!
เดิมทีพวกเขาก็เป็นอัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุด ทันทีที่บรรลุถึงแดนมหายุทธ์ ความสามารถก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงทันที
“ครั้งนี้หลังจากทะลวงชั้นที่สามของหอคอยฝึกตนทั้งสี่แห่งไปได้ ข้าก็จะได้รับระยะเวลาฝึกตนเพื่อตระหนักรู้ร่องรอยแห่งกฎอยู่ในตำหนักเต๋าเป็นจำนวนมาก แดนมหายุทธ์ก็อีกไม่นานแล้ว!”
ในตอนที่ซิงหลิงมาถึงหอคอยร่างทอง อัจฉริยะบางคนที่ต่อแถวรอเข้าทดสอบต่างก็หลีกทางให้ แม้ว่าในใจของอัจฉริยะนั้นจะเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง แต่ก็ต้องดูเหมือนกันว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นใคร
เมื่ออยู่ด้านหน้ายอดอัจฉริยะอย่างซิงหลิง อัจฉริยะอย่างพวกเขาก็หมดสีสันลงไปมาก ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งสถานะหรือความสามารถผลการฝึกตน ต่างก็มิอาจเทียบได้
เมื่อคนที่ทะลวงด่านอยู่ในหอคอยร่างทองถูกส่งตัวออกมา ซิงหลิงไม่ได้ต่อแถว และก้าวเท้าเดินเข้าสู่ค่ายกลของหอคอยร่างทองทันที และคนอื่น ๆ ก็มิได้ขัดขวาง
ชั้นที่สามของหอคอยร่างทอง กระแสพลังอันดุร้ายที่แผ่ซ่านอยู่ด้านในได้เพิ่มเป็นการโจมตีระดับร่างเนื้ออสุราแดนมหายุทธ์ขั้นเจ็ดเป็นที่เรียบร้อย
แม้ว่าตัวสำนึกและพลังจิตแท้จะใช้ไม่เป็นผลในที่นี้ ทว่าพลังแห่งกฎกลับไม่ได้ถูกจำกัด ดังนั้นแม้ว่าแดนร่างเนื้อของซิงหลิงแม้ว่าตอนนี้จะอยู่ในแดนมหายุทธ์ขั้นห้าเท่านั้น แต่ภายใต้การหนุนจากพลังแห่งกฎ ต้านทานการโจมตีจากกระแสพลังในแดนมหายุทธ์ขั้นเจ็ดนั้น นับว่าง่ายเพียงนิดเดียว
“ทะลวงให้ข้าในบัดนี้!”
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 682
ที่สำคัญก็คือกระแสพลังอันดุเดือดกลุ่มนี้ได้กระจายไปทั่วทั้งพื้นที่ ทุกพื้นที่ของร่างเนื้อต่างก็ถูกกระแสพลังกรีดซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็นแบบนี้อยู่ซ้ำ ๆ ไม่นานการป้องกันก็ได้ถูกทำลายลง
การป้องกันจุดหนึ่งถูกทำลายลง ก็ได้เป็นเหมือนกับปฏิกิริยาลูกโซ่ ไม่นานบนร่างกายของหลัวซิวก็ได้มีบาดแผลเพิ่มขึ้นมาอีกเป็นสิบสาย เลือดไหลหยดย้อย
“พรึบ!”
เพลิงมรณะลุกพรึบขึ้นมาบนผิวหนังของเขา กลายเป็นเกาะพลังจิตแท้ ทว่ากระแสพลังอันดุร้ายที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่งกลับเหมือนไม่เห็นการป้องกันของเกาะพลังจิตแท้อยู่ในสายตาเลยสักนิด ยังคงกรีดลงบนร่างกายของเขาอยู่ไม่หยุด
การโจมตีทางวิญญาณไม่ได้ผล การป้องกันโดยพลังจิตแท้ก็ไร้ผลเช่นเดียวกัน!
ผู้แข็งแกร่งของแดนศักดิ์สิทธิ์ได้สร้างสถานที่ฝึกฝนเหล่านี้ขึ้นมาอย่างยากลำบาก แน่นอนว่าจะไม่ให้เกิดการฉายโอกาสเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
“เทียบกับอัจฉริยะจากแดนศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้น ข้ายังด้อยกว่านัก” หลัวซิวยิ้มส่ายหน้าอย่างขมขื่น
เขาเชื่อมาตลอดว่าระดับกลั่นร่างของเขานั้นสูงพอสมควร ในหมู่คนหนุ่มสาวนั้นน้อยมากที่จะเทียบกับเขาได้
แต่หลังจากที่เข้ามาในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เขากลับพบว่ามีอยู่หลายคนที่สามารถผ่านชั้นที่สองของหอคอยร่างทองไปได้ ถึงตระหนักได้ว่า ผู้ที่มีแดนร่างเนื้อแข็งแกร่งกว่าตนนั้น มีอยู่มากมายนัก
ในเมื่อตัวสำนึกและพลังจิตแท้ใช้อยู่ที่นี่ไม่ได้ผล หลัวซิวเลยไม่ต่อต้านอีก และนั่งขัดสมาธิลงไปบนพื้นที่สีทองแห่งนี้ ปล่อยให้กระแสพลังอันดุร้ายกรีดลงไปบนร่างของตัวเอง
บาดแผลเหวอะหวะน่ากลัวปรากฏขึ้นมาบนร่างกายอย่างไม่ขาดสาย แต่จากการขับเคลื่อนเคล็ดวิชาวัฏจักรการเวียนว่ายตายเกิด พลังแห่งชีวิตได้คอยซ่อมแซมลายเส้นชีวิตที่เสียหายอย่างต่อเนื่อง บาดแผลได้กลับคืนเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าสภาพเลือดอาบไปทั้งตัวของหลัวซิวในตอนนี้จะดูน่าหวาดกลัว แต่ความจริงแล้วเขาไม่ได้รับบาดเจ็บเลยสักนิด
“แบบนี้ไม่ได้……”
เห็นว่าเวลาหนึ่งก้านธูปใกล้จะผ่านไปแล้ว หลัวซิวก็ขมวดคิ้วขึ้นมาอีกครั้ง
แม้ว่ากระแสพลังอันดุร้ายจะสามารถทำรายการป้องกันร่างเนื้อของเขาได้ แต่กลับไม่สามารถสร้างอันตรายเขาได้ ดังนั้นจึงไม่สามารถกระตุ้นพลังผู้เป็นอมตะได้
เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็เท่ากับว่าเขาอยู่ที่นี่โดยเสียเวลา นอกจากสามารถฝึกตนอยู่ในตำหนักเต๋าเป็นเวลาสามวันแล้ว ความสามารถกลับไม่ได้เพิ่มขึ้นเลยสักนิด
สำหรับการใช้ร่างเนื้ออสุราทะลวงพื้นที่สีทองแห่งนี้ หลัวซิวเห็นว่าตอนนี้ตนยังไม่สามารถทำได้
“ดูท่าคงต้องไปที่ชั้นสองแล้ว”
จากนั้นไม่นานนัก ธูปก้านหนึ่งก็ได้มอดไหม้ไปจนหมด ทันใดนั้นธูปก้านใหม่ก็ได้ถูกจุดขึ้นมาบนกระถางที่อยู่บนโต๊ะใหม่อีกครั้ง
ในขณะเดียวกัน กระแสพลังอันดุร้ายที่แผ่ซ่านอยู่ในพื้นที่สีทอง ก็ได้เพิ่มความแข็งแกร่งขึ้นมาอีกมาก
พลัวะ!
ชั่วพริบตา บริเวณไหล่ของหลัวซิวก็ได้เกิดบาดแผลขึ้นมาหนึ่งแผล เลือดสด ๆ พุ่งกระฉูดออกมา
พลัวะ! พลัวะ! พลัวะ! ……
จากนั้นสถานที่อื่น ๆ บนร่างกายต่างได้ถูกกระแสพลังอันดุร้ายกรีดเป็นแผล เลือดไหลดั่งสายน้ำ
แกร็ก!
การโจมตีของกระแสพลังอันดุร้ายได้เพิ่มขึ้นเป็นระดับมหายุทธ์ขั้นสี่ตั้งแต่ที่ได้เข้าชั้นที่สองของหอคอยร่างทอง หน้าอกของหลัวซิวถูกกระแสพลังสายหนึ่งโจมตีเข้าอย่างแรง กระดูกซี่โครงหักไปสองท่อน
“มาเถอะ!”
หลัวซิวกัดฟันแน่น ความเจ็บปวดจากการฉีกขาดของร่างเนื้อ ทำให้สองตาของเขาแดงก่ำ บนปากเต็มไปด้วยรอยเลือด
……
ในตอนที่หลัวซิวพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเพิ่มระดับแดนร่างเนื้อของเขาอยู่ในหอคอยเทพจิตนั่นเอง เหล่าอัจฉริยะจากแดนศักดิ์สิทธิ์อื่น ๆ เองก็ไม่ได้อยู่นิ่ง ผู้ที่ได้ทะลวงหอคอยฝึกตนไปแล้ว ต่างก็ได้รับโอกาสฝึกตนในตำหนักเต๋า
ในนั้นซิงหลิงได้ทะลวงผ่านชั้นที่หนึ่งและสองของทั้งหอคอยฝึกตนทั้งสี่แห่งเป็นที่เรีบร้อย และได้รับโอกาสฝึกตนในตำหนักเต๋าเป็นเวลาเกือบหนึ่งร้อยวัน!
และได้ทดลองอยู่หลายครั้งก็ไม่สามารถผ่านด่านที่สามไปได้ ซิงหลิงจึงได้เข้าสู่ตำหนักเต๋าเพื่อตระหนักรู้ร่องรอยแห่งกฎ เตรียมที่จะเพิ่มพลังของตนเองเข้าสู่ระดับใหม่ทั้งหมด
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 681
คนผู้นี้หลัวซิวรู้จัก เป็นซางหลันจากแดนศักดิ์สิทธิ์ตระกูลยุทธ์นั่นเอง
“สามารถทะลวงชั้นที่สองของหอคอยร่างทองมาได้ ดูท่าแดนร่างเนื้อของซางหลัน อย่างน้อยก็เป็นมหายุทธ์ขั้นสาม” หลัวซิวแอบคิดอยู่ในใจ
และในตอนที่ประลองยุทธ์นั้น ซางหลันผู้นี้นอกจากแสดงพลังเกิงจินและธาตุไฟพลัง Attr ทั้งสองออกมาแล้ว ก็ไม่ได้แสดงร่างยุทธ์ร่างเนื้อที่แข็งแกร่งแบบนี้ออกมา
เห็นได้ว่าไม่ใช่แค่พวกกุ่ยโยวเท่านั้นที่ปิดบังความสามารถที่แท้จริง อัจฉริยะจากแดนศักดิ์สิทธิ์อื่น ๆ ต่างก็ได้ปกปิดความสามารถที่แท้จริงของตัวเองเช่นเดียวกัน
“เหตุใดคนพวกนี้ต้องปกปิดด้วยเล่า?” หลัวซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย
“เจ้าหนุ่ม เจ้าคิดว่าแดนศักดิ์สิทธิ์ใสสะอาดอย่างนั้นหรือ? ในฐานะที่เป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกแสงดาว แต่ละแดนศักดิ์สิทธิ์จะเปิดรับอัจฉริยะเข้ามาเป็นจำนวนมากในทุกสองสามปี และระหว่างอัจฉริยะพวกนี้ ก็มีการแข่งขันเช่นเดียวกัน”
เมื่อได้ยินที่มหาจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำกล่าวมา หลัวซิวเข้าใจอย่างคลับคล้ายคลับคลาว่า คงเป็นเพราะอัจฉริยะจากแดนศักดิ์สิทธิ์พวกนี้ไม่อยากเปิดเผยความสามารถที่แท้จริงของตนเอง หลีกเลี่ยงการหาเหาใส่หัว
เพราะอัจฉริยะคนหนึ่งหากแสดงตนโดดเด่นจนเกินไป ก็จะตกเป็นเป้าหมายของผู้คนได้ง่าย หากไม่ระวังอาจจะโดนสังหาร และไม่เหลือสิ่งใดเลย
เส้นทางการเติบโตของอัจฉริยะเอง ก็เต็มไปด้วยอุปสรรค เพียงแต่คนภายนอกมิอาจรับรู้ได้
หลังจากที่ซางหลันถูกส่งตัวออกมาเขาก็ทานยารักษาอาการบาดเจ็บลงไปทันที ยาวาตะทองน้ำค้างหยกระดับเจ็ดที่มีราคาแต่ไม่มีตลาดในประเทศเทียนหวู เมื่ออยู่ในมือของผู้สืบทอดของแดนศักดิ์สิทธิ์ กลับเป็นเพียงของธรรมดาที่ไม่มีราคาอะไรเท่านั้น
ซางหลันเองก็ได้มองเห็นหลัวซิวเช่นกัน เขามองมาที่หลัวซิวแล้วพยักหน้า และไม่ได้พูดอะไรมาก เหมือนว่าไม่ได้รู้สึกอันใดจากการต่อสู้ในเมื่อสักครู่เลย และรีบกลับไปปิดขังตัวเองเพื่อตระหนักรู้
ส่วนคนที่อยู่ด้านหน้าหอคอยร่างทองเมื่อก่อนหน้านี้นั้นก็ไม่ได้เข้าไปทะลวงด่าน แต่ได้จากไปพร้อมกับซางหลัน สองคนนี้น่าจะมาด้วยกัน
เมื่อเป็นเช่นนี้ หลัวซิวก็ไม่จำเป็นต้องรอต่อไปอีก และเข้าไปในหอคอยร่างทองทันที
พื้นที่ในหอคอยร่างทองนั้นคือสีทองเหลืองอร่าม ยืนอยู่ในพื้นที่สีทองแห่งนี้ ก็สัมผัสได้ว่ามีกระแสพลังอันดุเดือดอย่างไร้ที่เปรียบสายหนึ่งกำลังกรีดร่างของตนเองอยู่ เหมือนกับจะกรีดร่างของคนออกเป็นชิ้น ๆ
บริเวณตรงกลางของพื้นที่สีทองอร่าม วางไว้ด้วยโต๊ะตัวหนึ่ง ด้านบนมีธูปจุดเอาไว้ สำหรับเนื้อหาการทดสอบในหอคอยร่างทองนั้น ก็ได้ปรากฏขึ้นในตัวหยั่งรู้ของหลัวซิว
เหมือนกันกับหอคอยเทพจิต การทะลวงหอคอยร่างทองก็แบ่งออกเป็นสองวิธีเช่นเดียวกัน วิธีแรกก็คืออยู่ในหอคอยร่างทองเป็นเวลาหนึ่งก้านธูป สามารถฝึกตนในตำหนักเต๋าเป็นเวลาสามวัน
วิธีที่สองก็คืออาศัยร่างเนื้ออสุราทะลวงปริภูมิสีทองแห่งนี้ สามารถฝึกตนในตำหนักเต๋าเป็นเวลาหกวัน
กระแสพลังอันดุร้ายแผ่ซ่านไปทั่วพื้นที่สีทอง พลังที่โจมตีนั้นเทียบได้กับร่างยุทธ์แดนมหายุทธ์ขั้นสาม หากผู้ที่มีร่างยุทธ์แดนมหายุทธ์ขั้นหนึ่งเข้ามา ก็ไม่ยากอะไรที่จะทนอยู่ในนี้เป็นเวลาหนึ่งชั่วยาม
ที่ยากก็คือจะใช้ร่างเนื้ออสุราทะลวงพื้นที่สีทองแห่งนี้ออกไปได้อย่างไร
“พัง!”
หลัวซิวตวาดเบา ๆ กระบี่ที่เกิดจากตัวสำนึกกลายรูปอันทรงพลัง กลับเป็นเหมือนดั่งวัวโคลนลุยทะเล ไม่สามารถทำอันใด ๆ พื้นที่สีทองแห่งนี้ได้เลย
“การโจมตีทางวิญญาณไม่ได้ผล”
จากการทดสอบ หลัวซิวพบว่าพื้นที่สีทองแห่งนี้ค่อนข้างพิเศษ เป็นไปไม่ได้ที่จะให้คนใช้วิธีฉวยโอกาสผ่านด่านไปได้
“พลัวะ!”
ดอกไม้เลือดดอกหนึ่งเบ่งบานออกมาจากร่างของหลัวซิว ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวด
อย่างไรเสียแดนร่างเนื้อของเขายังอยู่ในแดนมกุฎช่วงปลาย แม้ว่าจะทัดเทียมได้กับแดนมหายุทธ์ขั้นหนึ่ง แต่ภายใต้การโจมตีของกระแสพลังอันดุร้ายที่เทียบได้กับแดนมหายุทธ์ขั้นสาม ก็ไม่อาจทนได้นานนัก
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 680
นับจากที่ได้รับลูกแก้วความเป็นตายมา จากประสบการณ์ในหลายปีมานี้ ของกำนัลจากกฎดั้งเดิมนั้นมีประโยชน์ต่อหลัวซิวเป็นอย่างมาก
นอกจากนี้แล้วยิ่งระดับผลการฝึกตนเพิ่มขึ้น ของกำนัลที่ได้รับจากกฎดั้งเดิมผ่านทางเทพแห่งวัฏจักรชีวิตก็ยิ่งมากขึ้น ก็เหมือนกับของกำนัลที่ได้มาตอนบรรลุถึงแดนจักรพรรดิยุทธ์ในเมื่อก่อนหน้านี้ โดยให้เขาได้รับรู้กฎการเวียนว่ายตายเกิดเล็กน้อย
“ไปที่หอคอยฝึกตนอีกสามหอคอยที่เหลือก่อน ของกำนัลจากกฎดั้งเดิมนั้นเอาไว้ก่อน”
ในที่สุดหลัวซิวก็ห้ามใจของตัวเองเอาไว้ได้ เพราะถึงอย่างไรเสียที่นี่ก็คือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ มีการดำรงอยู่อันยิ่งใหญ่ที่คนภายนอกไม่รับรู้ หากถูกคนพบตอนที่เขาเข้าสู่โซนสงสารวัฏเข้า เช่นนั้นคงไม่ใช่ปัญหาใหญ่อย่างธรรมดาแน่นอน
เขากวาดตามองอันดับรายชื่อที่อยู่บนแท่นศิลาหิน หลัวซิวก็เหาะขึ้นสู่อากาศ มุ่งหน้าไปยังจุดที่หอคอยร่างทองตั้งอยู่
ในบรรดาจอมยุทธ์ ผู้ที่เดินเส้นทางกลั่นร่างนั้นมีไม่มากนัก เพราะการชุบร่างเนื้อ ไม่ใช่ว่าจะต้องอาศัยการกลืนกินพลังฟ้าดินจิตเพื่อฝึกฝนเท่านั้น แต่จะต้องให้ร่างเนื้อผ่านการฝึกฝนครั้งแล้วครั้งเล่า จะต้องให้ร่างนี้ได้รับความเจ็บปวดถึงขีดสุด
ดังนั้น แม้ว่าจะอยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์ และมีคนที่เลือกเส้นทางการกลั่นร่างอยู่น้อยมาก
ด้วยเหตุนี้ในตอนที่หลัวซิวมาถึงด้านหน้าหอคอยร่างทอง มีเพียงหนึ่งคนที่กำลังทะลวงด่านอยู่ในหอคอย และอีกคนอยู่ด้านนอกที่ไม่รู้ว่ากำลังต่อแถวหรือรอคนที่อยู่ด้านในอยู่กันแน่
หอคอยร่างทองเองก็มีทั้งหมดเก้าชั้น ตอนนี้ชั้นที่สองมีแสงสีทองกำลังส่องแสงระยิบระยับอยู่ หมายความว่ากำลังมีคนทะลวงด่านในชั้นที่สองอยู่
ร่างของเขาเหาะลงไปยังด้านข้างหอคอยร่างทอง ห้วงความคิดของหลัวซิวกำลังซื่อสารของกับมหาจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำ
“เจ้าหนุ่ม ผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงนั้นล้วนฝึกฝนกลั่นวิญญาณและกลั่นร่าง จิตวิญญาณคือรากฐานของจอมยุทธ์ ในนั้นรวมไปด้วยพลังดวงจิต และพลังกาย!”
“นับแต่โบราณมา ผู้ที่สามารถบรรลุถึงแดนเจ้ายุทธจักรขึ้นไป ต่างก็เคยฝึกวรยุทธ์กลั่นวิญญาณหรือไม่ก็วรยุทธ์กลั่นร่าง แต่พวกคนที่ไม่ฝึกฝนวิญญาณ เพียงแค่ฝึกฝนพลังจิตแท้ ต่อให้มีพรสวรรค์เพียงใด ก็ยากที่จะบรรลุถึงแดนเจ้ายุทธจักรได้”
จากที่มหาจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำได้กล่าวมา เส้นทางที่เขาเดินนั้นก็คือการกลั่นร่าง และจากที่ระดับผลการฝึกตนยิ่งสูงขึ้น ความแข็งแกร่งของการกลั่นร่างและกลั่นวิญญาณก็จะยิ่งแสดงออกมาอย่างเต็มที่
“อย่าได้ดูถูกอัจฉริยะที่มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์พวกนั้นเด็ดขาด โดยเฉพาะอัจฉริยะทั้งสี่คนที่มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ที่เจ้าพูดถึงพวกนั้น จากพรสวรรค์และความเฉลียวฉลาดของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นระดับผลการฝึกฝนการกลั่นวิญญาณหรือการกลั่นร่าง จะต้องอยู่เหนือกว่าคนอื่นที่อยู่ในแดนเดียวกันอย่างแน่นอน” มหาจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำกล่าวเตือน
สำหรับเรื่องที่มหาจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำได้กล่าวมานั้น หลัวซิวนั้นเห็นด้วยเป็นอย่างมาก อย่างน้อยครั้งแรกที่เขาไปทะลวงหอคอยเทพจิต ก็ทะลวงได้ถึงแค่ชั้นที่สองเท่านั้น
และต้าวหวูซินได้ทะลวงก่อนหน้าเขา ก็สามารถทะลวงได้ถึงชั้นที่สอง เหมือนว่าจะผ่านมาได้อย่างสบายกว่าเขา เช่นนี้ก็หมายความว่า ต้าวหวูซินจะต้องฝึกฝนยอดวิชายิ่งเลิศของวรยุทธ์กลั่นวิญญาณเป็นแน่แท้ ไม่เพียงตัวสำนึกวิญญาณแข็งแกร่ง แถมยังได้ร่ำเรียนวรยุทธ์ที่ร้ายกาจ
ตอนประลองยุทธ์ก่อนที่จะเข้ามาในดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั้น หลัวซิวยังเย้ยหยันอัจฉริยะที่มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์พวกนี้อยู่เลย แต่พอได้ไปมาหาสู่นานวันเข้า อัจฉริยะพวกนี้ก็ได้ค่อย ๆ เปิดเผยความสามารถแท้ปกปิดเอาไว้ออกมา ทำให้หลัวซิวรู้ว่าตนมองคนพวกนี้ต่ำไปจริง ๆ
“แม้ว่าข้าจะได้ลูกแก้วความเป็นตายมา ก็ไม่ได้หมายความว่าพรสวรรค์และความเฉลียวฉลาดของเขาจะไม่มีใครเทียบได้ โลกกว้างใหญ่ไพศาล คนมีความสามารถปรากฏขึ้นอย่างไม่ขาดสาย คนที่โดดเด่นยิ่งกว่าข้านั้น มีอยู่มากมาย!”
สภาพจิตใจของหลัวได้ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลง เพราะหลายปีมานี้ความสามารถของเขาก้าวหน้าขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อเทียบกันแล้วก็ยังอ่อนวัยกว่าอีกมาก สติปัญญาก็ยังต้องเติบโตขึ้นไปอีก
ไม่นานนัก แสงสว่างในชั้นที่สองของหอคอยร่างทองก็พลันดับลง เงาร่างสายหนึ่งถูกส่งกลับออกมา เสื้อผ้าบนร่างกายขาดหลุดลุ่ย หน้าบวมจมูกช้ำ เลือดไหลอาบ
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 679
จากข้อผูกมัดของแดนร่างเนื้อกับผลการฝึกตนพลังจิตแท้ อานุภาพที่พลังแห่งกฎสามารถแสดงออกมาได้นั้นก็มีขีดจำกัดเป็นธรรมดา
แต่ตัวสำนึกของเขากลับแตกต่างออกไป ได้ถึงแดนมหายุทธ์ขั้นสี่ไปนานแล้ว ดังนั้นการโจมตีที่แสดงออกมาจึงแข็งแกร่งขึ้นหลายเท่า
“กลายรูป!”
หลัวซิวคิดในใจ กระบี่เปลวเพลิงสีดำได้ปรากฏขึ้นมาบนที่ตรงหน้าของเขา
กระบี่เปลวเพลิงสีดำนี้ไม่ได้มีร่างจริง แต่เป็นเพียงเงาลวง เหมือนว่าจะสลายไปทันทีที่ถูกลมพัด ทว่าเงาลวงที่ไม่มั่นคงเช่นนี้ กลับเป็นวิธีการของตัวสำนึกกลายรูป อานุภาพทรงพลังยิ่งนัก
ตัวสำนึกวิญญาณในแดนระดับมหายุทธ์ขั้นสี่เช่นเดียวกัน หลัวซิวโจมตีโดยใช้ตัวสำนึกกลายรูป สามารถจัดการจอมยุทธ์ที่ไม่รู้และเข้าใจตัวสำนึกกลายรูปได้อย่างง่ายดาย กระทั่งที่ว่าสามารถสังหารได้ในพริบตา
“ในเมื่อตอนนี้ได้เข้าใจตัวสำนึกกลายรูปแล้ว เช่นนั้นอานุภาพของกระบี่มรณะหวงเสวียนของข้าก็สามารถเพิ่มขึ้นมาอีกครั้งได้แล้ว!”
หลัวซิวไม่ได้แสดงเพลงกระบี่มรณะหวงเสวียนออกมา เพราะอานุภาพของกระบวนท่านี้ร้ายกาจมาก เลยไม่เหมาะที่จะลองใช้เมื่ออยู่ในห้องเป็นธรรมดา
จากที่ผลการฝึกตนได้เพิ่มระดับขึ้น หลัวซิวก็ค่อย ๆ เข้าใจขึ้นมาว่า ผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์ที่แท้จริงจะต้องสร้างวิชายุทธ์ที่เป็นของตนเองขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นวิชายิ่งเลิศหรือพลังอมตะที่มีอานุภาพร้ายกาจเพียงใด ที่คนอื่นสร้างขึ้นมานั้น ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ของตนเอง เมื่อได้มาถึงแดนที่แน่นอนแล้ว ก็จะหยุดอยู่ที่เดิมมิอาจก้าวหน้า
ดังนั้นหลัวซิวจึงลองสร้างวิชายุทธ์ของตัวเองมาโดยตลอด เริ่มจากวิชากระบี่พรากชีวี มาจนถึงกระบี่มรณะหวงเสวียน ก็เป็นกระบวนการที่ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงมาเรื่อย ๆ
นอกจากวิชานี้แล้ว ยังมีตราธรรมจุติมรณะที่ได้ตระหนักรู้จากวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ!
ตราธรรมจุติมรณะ มิได้เป็นวิชาในวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ แต่เป็นสิ่งที่หลัวซิวได้ตระหนักรู้ แต่ละคนที่ได้ฝึกวิชาในกฎแห่งความเป็นตายดั้งเดิม ล้วนจะได้รับการตระหนักรู้จากด้านในที่แตกต่างกันไป
ในตอนที่หลัวซิวเดินออกมาจากห้อง ก็ได้เห็นแท่นศิลาบอกอันดับที่ตั้งอยู่ตรงนั้น
นับจากที่เข้ามาในดินแดนศักดิ์สิทธิ์จนถึงตอนนี้ ได้ผ่านไปเกือบหนึ่งเดือนแล้ว และก็เท่ากับว่า ครั้งนี้หลัวซิวได้ปิดขังตัวเองไปเป็นเวลาสิบกว่าวัน
ในระหว่างนี้ ฝีมือของอัจฉริยะหนุ่มสาวคนอื่น ๆ ต่างก็รุดหน้าอย่างรวดเร็ว เขาที่เคยอยู่อันดับที่ห้า กลับได้ถูกเบียดลงไป ตอนนี้อยู่ในอันดับที่สิบสาม
“ตอนนี้ยังไม่ต้องรีบไปทะลวงหอคอยเทพจิตชั้นที่สาม ไม่รู้เหมือนกันว่าหอคอยร่างทองจะให้ความน่าทึ่งอะไรกับข้าหรือเปล่า?”
หลัวซิวมองไปยังทิศทางที่หอคอยร่างทองตั้งอยู่ เป็นเวลานานแล้วที่เขาไม่ได้ใช้พลังผู้เป็นอมตะของเขา นับจากที่พลังอมตะนี้ได้ตื่นขึ้น เขาก็พบว่านี่คือร่างอมตะอย่างหนึ่ง
ความหมายตามชื่อ ทุกครั้งที่พลังผู้เป็นอมตะปะทุออกมา จะทำให้แดนร่างยุทธ์ร่างเนื้อได้รับการเพิ่มระดับสูงที่สุด สำหรับผลการฝึกตนตัวสำนึกและพลังจิตแท้ ได้รับการเพิ่มระดับค่อนข้างน้อย และตามที่ผลการฝึกตนของเขาได้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อพลังผู้เป็นอมตะถูกใช้ออกมา การเพิ่มระดับของตัวสำนึกและพลังจิตแท้มีเพียงน้อยนิดเท่านั้น
พลังอมตะ อยู่เหนือวิชายิ่งเลิศ
จากการตระหนักรู้ผังกฎแห่งความเป็นตายดั้งเดิม มาวันนี้หลัวซิวก็ทราบแล้วว่า ที่ตนสามารถทำให้พลังผู้เป็นอมตะตื่นขึ้นมาได้นั้น เพราะเป็นผลมาจากกฎชีวิต
หลัวซิวคิดว่าในผังกฎดั้งเดิมซ่อนความลึกลับมหัศจรรย์เอาไว้อย่างไม่สิ้นสุด ในเมื่อสามารถใช้กฎชีวิตปลุกพลังผู้เป็นอมตะให้ฟื้นขึ้นมาได้ เช่นนั้นกฎความตายก็สามารถปลุกหรือตระหนักรู้พลังอมตะอื่นขึ้นมาได้เช่นกัน
นี่คือเหตุผลว่าทำไมหลัวซิวถึงได้ปล่อยวางการตระหนักรู้กฎเพลิงอัคคีและกฎปริภูมิ แต่ได้เลือกมุ่งความสนใจในการตระหนักรู้กฎการเวียนว่ายตายเกิดแทน
“หลังจากที่ผลการฝึกตนของข้าบรรลุถึงขั้นมกุฎยุทธ์ ยังมีของกำนัลจากกฎดั้งเดิมอยู่หนึ่งครั้งที่ยังไม่ได้ใช้” ในหัวใจของหลัวซิวเต็มไปด้วยความคาดหวัง
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 678
ในพิภพระดับล่าง แดนนิรันกาลที่ว่า เป็นแดนที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ในพิภพระดับกลางขึ้นไป เป็นเพียงเทพมาร เทพมารธรรมดาทั่วไปเท่านั้น
เหนือเทพมาร เทพมารยังมีที่แข็งแกร่งกว่าอย่าง เทพฟ้า ราชาเทพ มกุฎเทพ……
ดังนั้นถึงบอกว่า อัจฉริยะที่พบได้ยากในหมื่นปีในโลกแสดงดาว บางที่มีความเป็นไปได้มากว่าจะสามารถฝึกตนจนถึงแดนนิรันกาลและกลายเป็นเทพมาร เทพมารแต่ความเป็นไปได้ที่จะกลายเป็นเทพฟ้า ราชาเทพ กลับแทบจะเป็นศูนย์ น้อยเอาเสียมาก ๆ
หนทางแห่งการฝึกยุทธ์นั้นยาวไกลไร้ขีดสุด อาจมีอัจฉริยะบางคนที่ส่องประกายแวววาว แต่ท้ายที่สุดก็เป็นเพียงแค่อัจฉริยะ ตามิใช่ผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง พรสวรรค์ของพวกเขาก็ใช่ว่าจะรักษาเอาไว้ตลอดไปได้ บางทีอีกสักสิบปี ก็อาจจะไม่ต่างอะไรกับคนธรรมดา หรืออาจเกิดอุบัติเหตุบางประการ จนดับสิ้นชีวิตไป
เทพฟ้า ราชาเทพที่อยู่ในพิภพระดับสูงเหล่านั้น ต่างก็เกิดจากการผ่านวันเวลามาอย่างไม่รู้จบ ในพิภพระดับร่างหมื่นปีจะปรากฏเทพมาร เทพมารอยู่หนึ่งครั้ง พิภพระดับกลางแสนปีถึงจะเกิดเทพฟ้าขึ้นมาหนึ่งคน
“การทดสอบของดินแดนศักดิ์สิทธิ์พึ่งจะเริ่มขึ้น จะมีคุณสมบัติพอให้ข้าแนะนำให้กับเบื้องบนหรือไม่ ยังต้องดูว่าเขามีความสามารถเช่นนั้นหรือเปล่า” สตรีชุดม่วงกล่าวออกมาอย่างเรียบ ๆ และไม่ได้ชายตามองซิงหลิงที่กำลังทะลวงด่านอยู่ในหอคอยสุดหล้าอีกเลย
สำหรับผู้ที่มีชีวิตมาเป็นเวลานานอย่างนางแล้ว อัจฉริยะที่อายุยี่สิบกว่าถึงได้ตระหนักรู้กฎ นางได้เห็นมานับไม่ถ้วน แม้กระทั่งว่าตัวนางเองก็เป็นอัจฉริยะแบบนี้เช่นเดียวกัน
แต่เมื่อหันกลับไปดู ผู้คนที่โดดเด่นเช่นนั้น ต่างก็ดับสูญไป ตกต่ำไปในช่วงเวลาของการเติบโต มีเพียงตัวนาง ที่เดินมาถึงขั้นนี้
……
หลังจากกลับมาที่พักของตนเอง หลัวซิวก็ตัดขาดกระแสสัมผัสทุกอย่างกับด้านนอก
ในตัวหยั่งรู้ของเขามีความล้ำลึกของตัวสำนึกกลายรูปปรากฏขึ้นมาอยู่ไม่ขาดสาย แม้กระทั่งเขายังค้นพบว่า พลังแห่งกฎสามารถผสานเข้าไปในการโจมตีทางวิญญาณ
การฝึกยุทธ์ ไม่ว่าจะเป็นกลั่นวิญญาณหรือกลั่นร่าง สุดท้ายแล้วก็เป็นการฝึกฝนตัวของจอมยุทธ์เอง ล้วนมีจุดหมายเดียวกัน
นอกจากนี้แล้วไม่ว่าจะเป็นนักยุทธ์ที่ฝึกกลั่นวิญญาณหรือกลั่นร่าง เมื่อถึงแดนที่แน่นอนแล้ว ล้วนกำหนดว่าจะต้องตระหนักรู้กฎ
พลังแห่งกฎชุบร่างเนื้อ สามารถชุบร่างเนื้อให้แข็งแกร่งขึ้นได้ และทุกการโจมตี สามารถผสานพลังแห่งกฎเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งได้
และการโจมตีทางวิญญาณ ก็เป็นเช่นนี้ ถ้าหากผสานพลังแห่งกฎและตัวสำนึกเข้าด้วยกันได้ เช่นนั้นในตอนที่แสดงการโจมตีทางวิญญาณออกมา ก็จะได้รับการหนุนจากพลังแห่งกฎเช่นเดียวกัน
การค้นพบนี้ ทำให้หลัวซิวตื่นเต้นดีใจเป็นพิเศษ!
เขาเชื่อว่าหากเขาสามารถรู้และเข้าใจวิธีเช่นนี้ได้ อานุภาพพลังก็จะเพิ่มขึ้นหลายเท่า จะต้องก้าวรุดเดินหน้าอย่างรวดเร็วอีกครั้งแน่นอน
ใช้กฎความตายขับเคลื่อนการโจมตีวิญญาณ อานุภาพจักต้องเพิ่มขึ้นมาหลายเท่า ส่วนกฎชีวิตสามารถนำมาปกป้องตัวหยั่งรู้ ไม่ว่าจะเป็นการป้องกันหรือฟื้นฟูพลัง ล้วนสามารถเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ
ทันใดนั้น หลัวซิวค่อย ๆ ยกมือขึ้น รอบกายของเขา เพลิงมรณะสีดำรวมตัวกันขึ้นมาที่ฝ่ามือของเขา
เห็นเพียงสายตาของเขาเคร่งขรึมขึ้นมา และซัดฝ่ามือออกไปหนึ่งครั้ง ช่องอากาศที่อยู่ตรงหน้าถูกฝ่ามือของเขาซัดเป็นรอยแตกระแหง
เขาไม่ได้ลงมือต่ออีก ดวงตาทั้งสองข้างกลับกลายเป็นสีดำสนิทขึ้นมาทันที ช่องอากาศที่แตกระแหงอยู่แล้ว ก็แตกกระจายออกเป็นเสี่ยง ๆ ทันที กลายเป็นช่องสุญญากาศสีดำยาวหนึ่งเมตร
“การโจมตีด้วยพลังแห่งกฎที่ขับเคลื่อนด้วยตัวสำนึก ร้ายกาจกว่าการโจมตีโดยปกติของข้ามากนัก!” เมื่อหลัวซิวเห็นภาพตรงหน้า สายตาก็เป็นประกายขึ้นมา มีท่าทางดีอกดีใจ
ร่างยุทธ์ร่างเนื้อของเขาในตอนนี้อยู่ในระดับร่างยุทธ์แดนมกุฎช่วงปลายเท่านั้น เนื่องจากการฝึกฝนโดยกฎการเวียนว่ายตายเกิด จึงสามารถทัดเทียมได้กับร่างยุทธ์แดนมหายุทธ์
ส่วนผลการฝึกตนด้านพลังจิตแท้ของเขานั้นยิ่งต่ำไปอีก พึ่งจะอยู่ในแดนมกุฎยุทธ์ขั้นหนึ่ง
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 677
“ตามกฎแล้ว พวกเจ้าทั้งยี่สิบคนก็ได้แยกย้ายกันไปทำการทดสอบในหอคอยฝึกตนทั้งสี่แห่งเป็นที่เรียบร้อย ดังนั้นตอนนี้จะเริ่มประกาศอันดับ!”
ชายชุดม่วงได้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา จากนั้นก็เริ่มสลักรายชื่อลงไปบนแท่นศิลา
จากต่ำไปสูง ไม่นานทั้งยี่สิบรายชื่อก็ได้เรียงรายออกมา
ผู้ที่อยู่อันดับหนึ่ง คือซิงหลิงจากตำหนักดารานภา ผลงานของเขาคือทะลวงหอคอยสุดหล้าชั้นที่สอง หอคอยเทพจิตชั้นที่หนึ่ง หอคอยร่างทองชั้นที่หนึ่ง หอคอยเสวียนเทียนชั้นที่หนึ่ง รวม 7 คะแนน
“หอคอยเทพจิต หอคอยร่างทอง หอคอยเสวียนเทียน ทะลวงผ่านชั้นที่หนึ่งได้ 1 คะแนน ชั้นที่สองได้ 2 คะแนน เป็นไปตามนี้ แต่ละชั้นมีวิธีทะลวงผ่านสองวิธี มีเพียงใช้วิธีที่สองทะลวงด่านถึงจะได้เต็มคะแนน ให้วิธีแรกผ่านด่าน จะได้รับเพียงครึ่งหนึ่งจากคะแนนเต็ม!”
“ในระดับชั้นที่เหมือนกันของหอคอยสุดหล้า จะได้รับคะแนนเป็นสองเท่าของอีกสามหอคอยฝึกตน”
ต่อจากซิงหลิง ตามด้วยหวูหยุน กุ่ยโยว และต้าวหวูซิน
และที่ซิงหลิงสามารถยืนอยู่ในอันดับหนึ่งนั้น เพราะเขาได้รับ 4 คะแนนจากการทะลวงผ่านชั้นที่สองของหอคอยสุดหล้า และถ้าหากผ่านชั้นที่สองของสามหอคอยที่เหลือ จะได้รับเพียงสองคะแนนเท่านั้น
เป็นที่ประจักษ์ หอคอยสุดหล้าถึงเป็นหัวใจสำคัญในการดึงคะแนนออกห่าง
ซิงหลิง หวูหยุน กุ่ยโยว และต้าวหวูซิน ภายในบรรดาอัจฉริยะหนุ่มสาวทั้งยี่สิบคน พวกเขาจัดเป็นอัจฉริยะสูงสุดที่อยู่ในขั้นบันไดแรก
จากนั้นก็จะเป็นพวกเจียงหวูจี้ หลี่จ้าน และลู่เมิ่งเหยา จัดอยู่ในขั้นบันไดที่สอง
ส่วนหลัวซิวนั้น กลับถูกจัดให้อยู่ในขั้นบันไดที่สาม อยู่ในอันดับที่ห้าในตอนนี้ ทะลวงผ่านชั้นที่สองของหอคอยเทพจิต ได้รับเพียง 3 คะแนน
ในกลางอากาศ ชายชรารูปร่างสูงใหญ่แข็งแรงกล่าวอย่างเรียบ ๆ : “ทะลวงผ่านหอคอยเทพจิตชั้นที่สอง ผลงานเช่นนี้นับว่าธรรมดา”
“ที่เจ้าแดนหลิวพูดนั้นไม่ถูกนัก จะต้องรู้ว่าผลการฝึกตนของเขาอยู่ในแดนมกุฎยุทธ์ขั้นหนึ่งเท่านั้น” สตรีชุดม่วงยิ้มกล่าว
“อายุยี่สิบกว่าพึงจะดึงแดนมกุฎยุทธ์ขั้นหนึ่ง เห็นได้ว่าพรสวรรค์ของเขาก็เพียงเท่านั้นเอง” ชายชรารูปร่างสูงใหญ่แข็งแรงกล่าว
“ในเมื่อเจ้าแดนหลิวกล่าวเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นก็ไปดูกันว่าทายาทของซิงหวูคงจะโดดเด่นอย่างที่ท่านว่าหรือเปล่า”
ชายชรารูปร่างสูงใหญ่แข็งแรงกล่าว ยิ้มพลางพยักหน้า จากนั้นทั้งสองคนก็เดินไปในกลางอากาศ มาถึงหอคอยสุดหล้า
ในตอนนี้ ในชั้นที่สามของหอคอยสุดหล้า มีดาวเก้าดวงลอยอยู่เหนือศีรษะของซิงหลิง ส่วนคู่ต่อสู้ของเขานั้น คือผู้แข็งแกร่งที่มีผลการฝึกตนในแดนมหายุทธ์ช่วงปลายสามคน!
ในบรรดามหายุทธ์ช่วงปลายทั้งสามคน ผู้หนึ่งชำนาญด้านโจมตีวิญญาณ ผู้หนึ่งคือร่างยุทธ์แดนจักรพรรดิช่วงปลาย และอีกผู้หนึ่งนั้นมีพลังจิตแท้ที่ลึกล้ำยิ่งกว่ามหายุทธ์เหมือนกันอีกหลายเท่า
คู่ต่อสู้ทั้งสามคน ชำนาญกันไปคนละด้าน ชำนาญในการร่วมมือกัน แทบจะไม่มีข้าบกพร่องใด ๆ เลยสักนิด
นี่เป็นครั้งที่สี่ที่ซิงหลิงเข้ามาในชั้นที่สามของหอคอยสุดหล้าแล้ว สามครั้งที่ผ่านมา ล้วนจบลงด้วยความล้มเหลว
“ซิงหลิงผู้นี้พูดได้ว่าชำนาญในทุกด้าน แดนร่างเนื้อคือมหายุทธ์ขั้นปฐมภูมิ แดนกลั่นวิญญาณคือมหายุทธ์ช่วงกลาง บวกกับที่เขาได้เข้าใจกฎคังจินเล็กน้อย คงอีกไม่นาน ก็จะสามารถผ่านชั้นที่สามของหอคอยสุดหล้าไปได้”
ชายชรารูปร่างสูงใหญ่แข็งแรงกล่าวอย่างจริงใจ: “โดยเฉพาะอายุของเขา พึ่งจะยี่สิบเจ็ดปี พูดได้ว่าเป็นอัจฉริยะที่พบเห็นได้ยาก!”
สีหน้าท่าทางของสตรีชุดม่วงไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยสักนิด นางรู้ว่าเจ้าแดนหลิวและคนผู้นั้นของตำหนักดารานภาเป็นสหายเก่ากัน ดังนั้นจึงต้องการแนะนำทายาทของเขา ให้กับด้านบนผ่านดินแดนศักดิ์สิทธิ์
แต่อัจฉริยะที่พบได้ยากในหมื่นปีในโลกแสดงดาว สำหรับด้านบนแล้ว ก็ไม่นับเป็นอะไรด้วยซ้ำ ทั่วทั้งจักรวาลนั้นมีอยู่หลายพิภพ และโลกแสงดาวนั้นก็เป็นพิภพระดับล่างแห่งหนึ่งเท่านั้นเอง นอกจากนี้ยังมีพิภพระดับกลาง รวมทั้งพิภพระดับสูง และยังมีพิภพ สูงสุดอีกแปดแห่ง
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 676
“คงจะไม่หรอกกระมัง? ไม่เคยได้ยินว่ามีผู้ใดตายในหอคอยเทพจิตนี่”
หลังจากที่ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม อัจฉริยะหนุ่มสาวที่รวมตัวกันอยู่ด้านนอกหอคอยเทพจิตต่างก็มีสีหน้าประหลาดใจ
เพราะไม่เคยมีผู้ใดเข้าไปนานขนาดนี้มาก่อน สำหรับที่มีคนบอกว่าหลัวซิวตายอยู่ด้านใน ก็ไม่ได้รับการเห็นด้วยจากทุกคน เพราะลำแสงที่สาดส่องออกมาจากชั้นที่สองของหอคอยเทพจิตนั้น แสดงให้เห็นว่าตอนนี้หลัวซิวยังอยู่ในชั้นที่สองอยู่
“เขากำลังทะลวงเส้นทางแห่งวิญญาณในชั้นที่สอง?” ไม่นานก็มีคนคิดถึงความเป็นไปได้นี้ขึ้นมา
“ใช้วิธีแรกในการทะลวงชั้นที่สองต้องอดทนเพียงหนึ่งก้านธูปนี่นา เหตุใดนานขนาดนี้แล้วเขายังไม่ออกมาอีก จากที่เห็นเขากำลังทะลวงเส้นทางแห่งวิญญาณอยู่จริง ๆ”
“ไม่ว่าเขาจะผ่านเส้นทางแห่งวิญญาณไปได้หรือไม่ ถึงอย่างไรความสามารถด้านกลั่นวิญญาณของเขา อย่างน้อยก็อยู่ในระดับมหายุทธ์ขั้นสี่!”
หลังจากที่ได้ข้อสรุปนี้ออกมา อัจฉริยะจากแดนศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ จำนวนมากก็ได้มีท่าทีริษยาขึ้นมา พวกเขามีอยู่หลายคนที่ได้สืบประวัติและชาติกำเนิดของหลัวซิวมาก่อน มาวันนี้ได้ถูกคนที่มีชาติกำเนิดแสนธรรมดาทิ้งเอาไว้ด้านหลัง มันส่งผลกระทบไม่น้อย ต่อความหยิ่งยะโสของอัจฉริยะจากแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างพวกเขา
ได้ยินว่าเทพธิดาหวูซินผ่านเส้นทางแห่งวิญญาณในชั้นที่สองไปได้!”
“มันแน่นอนอยู่แล้ว ที่เทพธิดาหวูซินฝึกฝนนั้นเป็นวรยุทธ์กลั่นวิญญาณระดับสุดยอดของสำนักดำเหลืองเชียวนะ ยิ่งไปกว่านั้นยังได้บรรลุถึงแดนตัวสำนึกกลายรูป”
“ใช่แล้ว ด้านตัวสำนึกวิญญาณเทพธิดาหวูซินสมควรที่จะเป็นอันดับหนึ่งในหมู่ของพวกเรา หากตัวสำนึกกลายรูปสามารถบรรลุถึงแดนสำเร็จน้อย อาจจะสามารถทะลวงชั้นที่สามไปได้ก็เป็นได้”
ในระว่างที่ทุกคนวิพากษ์วิจารณ์อยู่นั่นเอง แสงสว่างในชั้นที่สองของหอคอยเทพจิตก็พลันหายไป จากนั้นชั้นที่สามก็ได้ส่องแสงเรืองรองอ่อน ๆ ออกมา
แต่ว่าไม่นานแสงสว่างในชั้นที่สามของหอคอยเทพจิตก็ได้ดับลง ขณะเดียวกันร่างของหลัวซิวก็ได้ถูกส่งกลับออกมา สีหน้าซีดขาว เลือดไหลออกมาที่มุมปาก ท่าทางเหมือนได้สูญเสียพลังไปอย่างมาก
“หลัวซิว เจ้าไม่เป็นอะไรนะ?” ลู่เมิ่งเหยาเดินเข้ามาเป็นคนแรก และยื่นมือออกมาพยุงหลัวซิว ขณะเดียวกันนั้นก็ได้หยิบเอายาเม็ดหนึ่งออกมา “ทานนี่เสีย สามารถเยียวยาอาการบาดเจ็บของเจ้าได้”
ทันใดนั้นเอง ก็ได้มีลำแสงสี่สายลอยออกมาจากหอคอยเทพจิต มีสองสายที่ค่อนข้างเฉียบบาง และอีกสองสายค่อนข้างหนา
สองสายที่ค่อนข้างเฉียบบางนั้น หมายถึงสามารถฝึกฝนในตำหนักเต๋าเป็นเวลาสามวัน ส่วนอีกสองสายที่ค่อนข้างหนาหมายถึงสามารถฝึกฝนในตำหนักเต๋าเป็นเวลาสิบวัน
ลำแสงทั้งสี่สายพุ่งเข้าไปในป้ายประจำตัวที่ห้อยอยู่บริเวณเอวของหลัวซิว เช่นนี้ก็หมายความว่า เขาได้รับโอกาสเข้าไปฝึกฝนในตำหนักเต๋าเป็นเวลายี่สิบหกวัน!
“ไม่ต้องหรอก”
หลัวซิวไม่ได้รับยาจากลู่เมิ่งเหยา แม้ว่านี่จะเป็นยาเทพจิตระดับเจ็ด หลังจากที่ทานลงไปแล้วสามารถฟื้นฟูตัวสำนึกที่สูญเสียไป ในขณะเดียวกันก็ช่วยซ่อมแซมตัวหยั่งรู้ไปด้วย
เขาแค่ต้องการรีบกลับไปปิดขังตัว เพราะจากการทะลวงเส้นทางแห่งวิญญาณในชั้นที่สองของหอคอยเทพจิต มันทำให้เขาได้ตระหนักรู้ถึงการพลิกผันของตัวสำนึกกลายรูปจริง ๆ!
“หากสามารถรู้และเข้าใจตัวสำนึกกลายรูปได้ เช่นนั้นตัวสำนึกที่แข็งแกร่งของข้าก็จะสามารถแสดงพลังที่แท้จริงออกมาได้แล้ว!”
ดังนั้นหลัวซิวจึงไม่ได้บอกกล่าวทักทายกับผู้ใดเลย เขาเหาะเหินเดินฟ้า แสดงวิชาท่าร่างบรรลุมังกรเขียวเหาะเหินไปยังที่พักของตนเอง
“คิดไม่ถึงว่าเจ้าหมอนี่จะทะลวงเส้นทางแห่งวิญญาณในชั้นที่สองของหอคอยเทพจิตไปได้ แต่บาดเจ็บถึงเพียงนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่สามารถเทียบเคียงกับเทพธิดาหวูซินได้”
“นั่นน่ะสิ ตอนที่เทพธิดาหวูซินถูกส่งตัวกลับออกมาสีหน้าไม่เปลี่ยนเลยสักนิด ทั้งยังได้อยู่ในชั้นที่สามครึ่งชั่วยามอีกด้วย”
……
หลังจากที่หลัวซิวกลับถึงที่พักของตัวเอง ก็ได้ขับเคลื่อนค่ายกลที่ได้สร้างเอาไว้ทันที จากนั้นก็เข้าสู่การปิดขังตนเอง
และหลังจากที่เขาปิดขังตัวเองไปได้ไม่นาน บนที่โลงในที่พักของอัจฉริยะหนุ่มสาวทั้งยี่สิบคน ก็ได้ปรากฏศิลาต้นหนึ่งขึ้น
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 675
เมื่อหลัวซิวเดินมาจนถึงจุดสิ้นสุดของเส้นทางแห่งวิญญาณ ภาพที่อยู่ตรงหน้าก็ได้เปลี่ยนไปอีกครั้ง ยังคงเป็นเหมือนดั่งปริภูมิในชั้นที่หนึ่ง ที่ด้านหน้าได้ปรากฏเส้นทางแห่งวิญญาณขึ้นมาอีกสาย
เพียงแต่ว่าเสาหินสีดำที่อยู่สองข้างทางของเส้นทางแห่งวิญญาณ พลังวิญญาณที่แผ่ซ่านออกมาในตอนนี้นั้น ได้ถึงระดับมหายุทธ์เป็นที่เรียบร้อย
“นี่ก็คือชั้นที่สองของหอคอยเทพจิต?” แววตาของหลัวซิวเฉียบคมขึ้นมาเล็กน้อย
เป็นที่ประจักษ์ ชั้นที่สองของหอคอยเทพจิต แม้ว่าจะใช้วิธีที่ง่ายที่สุดอย่างวิธีที่หนึ่งเพื่อผ่านด่านนี้ ก็จะต้องฝืนทนอยู่ในกระแสพลังวิญญาณในระดับมหายุทธ์ช่วงกลางเป็นเวลาหนึ่งก้านธูป
เช่นนี้ก็หมายความว่า ผู้ที่สามารถผ่านชั้นที่สองไปได้นั้น ระดับตัวสำนึกของเขา ก็จะต้องบรรลุถึงระดับนี้เช่นเดียวกัน
“ต้าวหวูซินผู้นั้นปิดปังได้ดีไม่น้อย”
หลัวซิวมองไปยังเส้นทางแห่งวิญญาณสายที่สอง จากนั้นก็ก้าวเดินเข้าไปโดยไม่ลังเล
เขาไม่มีทางที่จะพอใจแค่เพียงฝืนทนให้ผ่านไปอย่างปลอดภัยในระยะเวลาหนึ่งก้านธูปอย่างแน่นอน สิ่งที่เขาต้องการคือท้าทายขีดจำกัดของตัวเอง ทะลวงเส้นทางแห่งวิญญาณ!
ตึก!
วินาทีที่หลิวซิวเหยียบลงไปบนเส้นทางแห่งวิญญาณนั่นเอง พลังวิญญาณอันแข็งแกร่งก้อนหนึ่งก็ได้จู่โจมเข้ามา เหมือนดั่งคลื่นลูกใหญ่ที่โหมกระหน่ำเข้ามา กระแทกใส่เข้าตัวหยั่งรู้ของเขาอย่างแรง
ระดับของพลังวิญญาณก้อนนี้ ได้บรรลุถึงมหายุทธ์ขั้นห้าเป็นที่เรียบร้อย เกินกว่าระดับมหายุทธ์ขั้นสี่ของเขา
ดูเหมือนว่าจะแตกต่างกันเพียงแดนเล็กเท่านั้น แต่เมื่อมาถึงระดับมหายุทธ์ ความแตกต่างในหนึ่งขั้นนั้น แตกต่างกันนับพันลี้!
“อึก……”
หลัวซิวส่งเสียงอึกอักออกมาหนึ่งครั้ง รู้สึกสมองสั่นสะเทือน ฝีเท้าสั่นคลอนเล็กน้อย เกือบจะล้มลงไปบนพื้น
ทว่าว่าพลังโจมตีวิญญาณจากเสาหินสีดำที่อยู่สองข้างทางกลับไม่ได้หยุดลงเลยสักนิด ค้อนขนาดมหึมาได้ปรากฏขึ้นมาในกระแสสัมผัสของเขา และทุบลงไปบนตัวหยั่งรู้ของเขาอย่างดุเดือด
“ตัวสำนึกกลายรูป?” หลัวซิวสีหน้าเปลี่ยนไป
เขารวบรวมตัวสำนึกเพื่อต่อต้าน กลับถูกค้อนทุบแตกกระจาย ตัวหยั่งรู้สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ร่างของเขาลอยกลับออกมาจากเส้นทางแห่งวิญญาณในทันที เลือดไหลออกมาจากมุมปาก
ตัวสำนึกกลายรูป เป็นการโจมตีทางวิญญาณอย่างหนึ่ง และการโจมตีด้านนี้ เป็นจุดอ่อนของหลัวซิวพอดี
ตัวสำนึกวิญญาณของเขาแข็งแกร่งมาก แต่มีตัวสำนึกในระดับมหายุทธ์ขั้นสี่เสียเปล่า กลับไม่รู้จักวิธีใช้มัน ก็เลยขาดเคล็ดวิชาวิญญาณไป!
แม้ว่ามหาจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำจะเป็นผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ในสมัยโบราณ แต่ก็ไม่ชำนาญด้านตัวสำนึกวิญญาณและก็ไม่มีวรยุทธ์กลั่นวิญญาณที่ร้ายกาจอะไรมาถ่ายทอดให้เขา
สำหรับเคล็ดวิชาวิญญาณที่บันทึกอยู่ในคัมภีร์พลังก่อรวมวิญญาณ เมื่อต้องเผชิญกับตัวสำนึกวิญญาณระดับมหายุทธ์ มันก็ไร้ประโยชน์ใด ๆ
“เจ้าหนุ่ม นี่เป็นโอกาสที่ดี ถ้าหากการตระหนักรู้ของเจ้าพอใช้ได้ พอถึงตอนนั้นสามารถลองตระหนักรู้ตัวสำนึกกลายรูปอยู่ที่นี่” จู่ ๆ เสียงของมหาจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำก็ได้ดังขึ้น
ที่นี่อยู่ด้านในหอคอยเทพจิต เพราะฉะนั้นมหาจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำเลยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกพบเข้า
“ท่านก็พูดง่ายไป” หลัวซิวเบ้ปากอย่างไม่มีอะไรจะพูด แต่ก็ต้องยอมรับว่าคำแนะนำของมหาจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำเป็นวิธีที่ดีไม่น้อย
แต่หากคิดจะตระหนักรู้ถึงความลึกลับมหัศจรรย์ของตัวสำนึกกลายรูป ก็จะต้องก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งวิญญาณเพื่อรับการโจมตี ความเจ็บปวดจากการที่ตัวหยั่งรู้ถูกโจมตี ทำให้เขารู้สึกปวดหัวจนแทบจะระเบิด ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะสามารถทนรับได้
“สู้ตายวะ!”
หลัวซิวกัดฟันแน่น และก้าวเดินเข้าสู่เส้นทางแห่งวิญญาณอีกครั้ง
ถึงอย่างไร วรยุทธ์กลั่นวิญญาณ รวมทั้งเคล็ดวิชาวิญญาณก็เป็นสิ่งที่ผู้แข็งแกร่งท่านอื่นสร้างขึ้นมา และตัวสำนึกกลายรูป เปรียบเสมือนเค้าโครงโดยทั่วไป ตราบใดที่ตระหนักรู้ได้ ก็สามารถใช้ตัวสำนึกกลายรูปเป็นรากฐาน ก่อให้เกิดเป็นเคล็ดวิชาออกมา
จากที่หลัวซิวได้รู้มา เคล็ดวิชาระดับยิ่งเลิศที่บันทึกไว้ในคัมภีร์วรยุทธ์กลั่นวิญญาณ ก็คือตัวสำนึกกลายรูป
“หลัวซิวเข้าไปเกือบหนึ่งชั่วยามแล้ว เหตุใดถึงยังไม่ออกมาอีก?”
“หรือว่าจะพบกับอันตราย และตายอยู่ด้านในแล้ว?”
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 674
หลัวซิวไม่รู้เลยว่าที่กลางอากาศนั้นได้มีคนเกิดความสนใจในตนเองขึ้นมาเป็นอย่างมาก ท่ามกลางสายตาผู้คนมากมาย เขาก็ได้ก้าวเท้าเดินเข้าไปยังค่ายกลเรืองแสง
วินาทีที่เดินเข้าสู่ค่ายกล หลัวซิวพลันรู้สึกดั่งกระสวยที่วกไปวนมาในอากาศ กระแสพลังที่เต็มไปด้วยความกดดันได้ทับถมเข้ามา เขาได้ปรากฏตัวขึ้นในปริภูมิที่กว้างขวางแห่งหนึ่ง
ที่ด้านหน้าของเขา คือถนนที่ปูไปด้วยหินสีเงิน สองข้างทาง ตั้งไปด้วยเสาหินสีดำรายเรียงกัน กระแสพลังที่เต็มไปด้วยความกดดันนั่น ได้กระจายออกมาจากเสาหินสีดำเหล่านี้นั่นเอง
และกระแสพลังพวกนี้ ผสานไปด้วยพลังวิญญาณที่บริสุทธิ์
“ตัวสำนึกระดับมกุฎยุทธ์ขั้นเก้า”
เมื่อหลัวซิวได้สัมผัสกับกระแสพลังวิญญาณที่แผ่ซ่านออกมาจากเสาหินสีดำเหล่านั้นที่โจมตีตัวหยั่งรู้ของตน ก็คาดเดาระดับของกระแสพลังวิญญาณเหล่านี้ได้ทันที
การโจมตีและกดดันจากตัวสำนึกระดับมกุฎยุทธ์ขั้นเก้า เพียงพอที่จะทำให้คนจำนวนมากในบรรดายี่สิบคนนี้ยากที่จะก้าวเดินแม้แต่ก้าวเดียว
ในตอนนี้เอง ข้อมูลบางอย่างก็ได้ถูกส่งเข้ามาในตัวหยั่งรู้ของหลัวซิว เป็นข้อมูลเกี่ยวกับว่าจะสามารถทะลวงผ่านการทดสอบของหอคอยเทพจิตไปได้อย่างไร
วิธีที่จะผ่านชั้นแรกของหอคอยเทพจิตไปได้นั้นมีอยู่สองวิธี วิธีแรกก็คือทนการโจมตีและกดดันของตัวสำนึกระดับมกุฎยุทธ์ขั้นเก้าได้เป็นเวลาหนึ่งก้านธูป อีกวิธีหนึ่งก็คือเดินไปจนถึงปลายทางของถนนที่อยู่ตรงหน้าสายนี้ ก็จะสามารถผ่านชั้นที่หนึ่งไปได้
อดทนเป็นระยะเวลาหนึ่งก้านธูป สามารถฝึกตนในตำหนักเต๋าได้สามวัน หากเดินไปจนถึงปลายทางของถนนสีเงินสายนี้ จะสามารถฝึกตนในตำหนักเต๋าได้หกวัน!
มีช่องจิตปลอมที่คอยให้พลังวิญญาณบริสุทธิ์อย่างไม่ขาดสาย แม้ว่าหลัวซิวจะไม่มีวรยุทธ์และเคล็ดวิชาระดับสูงสุดของทางด้านกลั่นวิญญาณ ทว่าตัวสำนึกวิญญาณ กลับเป็นข้อได้เปรียบที่ทรงพลังที่สุดของเขา
ตัวสำนึกวิญญาณของเขาในตอนนี้ ได้บรรลุถึงแดนมหายุทธ์ขั้นสี่เป็นที่เรียบร้อย!
ด้วยเหตุนี้การโจมตีและกดดันจากตัวสำนึกระดับมกุฎยุทธ์ขั้นเก้าในชั้นแรกของหอคอยเทพจิต จึงไม่ส่งผลกระทบใด ๆ กับเขาเลยสักนิด
“วิธีที่สองนั้นจะได้รับเวลาในการฝึกตนในตำหนักเต๋านานกว่าวิธีแรกเป็นสองเท่า”
หลัวซิวหรี่ตาลงเล็กน้อย และเลือกวิธีที่สองโดยไม่ลังเล
เขาก้าวเดินออกมาด้านหน้า เพิ่งจะเหยียบลงไปบนเส้นทางที่ส่องแสงสีเงินแวววาว เสาหินสีดำที่อยู่สองข้างทางได้กระจายพลังวิญญาณอันมหาศาลถาโถมเข้ามาใส่เขา
ระดับของพลังวิญญาณเหล่านี้ก้อนนี้ ได้เหนือล้ำกว่ามกุฎยุทธ์ขั้นเก้าไปแล้ว เข้าใกล้ระดับมหายุทธ์อย่างไร้ที่สิ้นสุด
เป็นที่ประจักษ์ โอกาสในการเข้าฝึกตนในตำหนักเต๋าเป็นเวลาหกวันนั้น ไม่อาจได้รับมาง่าย ๆ
อย่างน้อยในสายตาของหลัวซิว แม้ว่าเหล่าอัจฉริยะของแดนศักดิ์สิทธิ์จะปกปิดความสามารถที่แท้จริงของตนมากน้อยเพียงใด แต่ตัวสำนึกวิญญาณสามารถบรรลุถึงระดับมหายุทธ์นั้น มีไม่เกินห้าคนอย่างแน่นอน!
ตึก! ตึก! ตึก! ……
ฝีเท้าของหลัวซิวไม่หยุดชะงักเลยสักนิด ไม่นานก็ได้เดินเข้าสู่ส่วนลึกของถนนสีเงินสายนี้
……
ในขณะเดียวกัน ที่ด้านนอกหอคอยเทพจิต เวลาได้ผ่านไปหนึ่งก้านธูปแล้ว
ผู้ที่มาทดสอบทะลวงหอคอยเทพจิต ต่างก็รู้ว่าหากทนอยู่ด้านในชั้นที่หนึ่งเป็นเวลาหนึ่งก้านธูปก็จะสามารถผ่านด่านไปได้
สำหรับเรื่องที่หลัวซิวสามารถทำถึงขึ้นนี้ได้นั้น ไม่มีใครมีแววประหลาดใจใด ๆ เลย ในทางกลับกันกลับคิดว่าสมเหตุสมผล
ส่วนสิ่งที่ทุกคนใส่ใจที่สุดนั้น คือหลัวซิวจะสามารถทนอยู่ด้านในหอคอยเทพจิตได้นานเพียงใด จะสามารถผ่านชั้นที่สองไปได้หรือไม่กันแน่?
“คิดไม่ถึงว่าเพียงแค่ชั้นแรกของหอคอยเทพจิต ก็จะต้องมีระดับตัวสำนึกใกล้เคียงกับมหายุทธ์ถึงจะสามารถผ่านไปได้”
เส้นทางแห่งวิญญาณสีเงินในชั้นแรกนั้น เพียงไม่นานหลัวซิวก็ได้เดินมาจนสุดทาง และไม่รู้สึกถึงความกดดันอะไรมากนัก
จากจุดเริ่มต้นมาจนถึงจุดสิ้นสุด การโจมตีตัวสำนึกที่ปรากฏขึ้นมาในเส้นเส้นทางแห่งวิญญาณนั้นจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ เริ่มจากมกุฎยุทธ์ขั้นเก้า เพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ จนเกือบถึงระดับมหายุทธ์ จนใกล้จะถึงจุดสิ้นสุด การโจมตีตัวสำนึกก็ได้เพิ่มขึ้นจนถึงระดับมหายุทธ์!
ใกล้เคียงกับระดับมหายุทธ์และระดับมหายุทธ์ที่แท้จริงนั้น แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 673
นี่ทำให้การเคลื่อนไหวของหลัวซิวชะงักเล็กน้อย และยิ้มอยู่ในใจอย่างขมขื่น
ที่คิดจะเอายาออกมาในเมื่อสักครู่นั้นเป็นปฏิกิริยาโดยสัญชาตญาณ เห็นได้ชัดว่าภายในใจของเขานั้นยังคงใส่ใจนาง
ทว่านางไม่ใช่เมิ่งเหยาในเมื่อก่อนแล้ว แต่เป็นลูกศิษย์ของเจ้ายุทธจักรหยกนารา จะขาดยารักษาตัวชั้นสูงได้อย่างไรกัน?
บริเวณทางเข้าหอคอยเทพจิตนั้นมีค่ายกลที่เรืองแสงระยิบระยับอยู่แห่งหนึ่ง ลู่เมิ่งเหยาพึ่งจะออกมาจากค่ายกล ก็ได้มีอีกคนเดินเข้าไป
เพียงแต่ว่าคนผู้นี้เพิ่งจะเข้าไปไม่นาน ก็ได้ถูกส่งออกมา และล้มลงไปบนพื้นด้วยใบหน้าซีดขาว
ไม่มีลำแสงใด ๆ ลอยออกมาจากชั้นที่หนึ่งของหอคอยเทพจิต เห็นได้ว่าคนผู้นี้แม้แต่ด่านแรกก็ยังผ่านไปไม่ได้
จากการสนทนาของผู้คนที่อยู่บริเวณใกล้เคียง หลัวซิวได้รู้ว่า นอกจากเขาแล้ว ในบรรดาสิบเก้าคนที่เหลือ คนที่สามารถผ่านหอคอยเทพจิตชั้นที่หนึ่งไปได้นั้นมีเพียงห้าคน และคนที่สามารถผ่านชั้นที่สอง ตอนนี้มีเพียงต้าวหวูซินแค่คนเดียว
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครไปทะลวงด่านอีก หลัวซิวก็เดินมุ่งหน้าไปยังค่ายเรืองแสงด้านหน้าหอคอยเทพจิต
การเคลื่อนไหวของเขา ได้กลายเป็นศูนย์รวมสายตาของผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ในทันที เพราะจุดประสงค์ของคนส่วนมากที่มาที่นี่ ก็เพื่อดูว่าแท้จริงแล้วหลัวซิวจะผ่านชั้นที่สองไปได้หรือไม่นั่นเอง
เพราะหลังจากที่หลัวซิวได้ประมือกับกุ่ยโยวในประตูแห่งตรีภพ ทำให้ทุกคนเริ่มพิจารณาฝีมือของเขาใหม่อีกครั้ง
และมาจนถึงตอนนี้ คนที่สามารถผ่านชั้นที่สองไปได้ มีเพียงสี่คนจากแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์
“หือ?”
กลางอากาศเหนือหอคอยเทพจิต จู่ ๆ ร่างของสตรีชุดสีม่วงก็พลันหยุดลง หยุดอยู่กลางอากาศ และมองลงไปยังด้านล่าง
“เจ้าหนุ่มคนนั้นเป็นใครมาจากไหน?” สตรีชุดสีม่วงเอ่ยถาม
ชายชรารูปร่างสูงใหญ่แข็งแรงมองไปตามทิศทางที่สตรีชุดสีม่วงชี้ไป พบว่าที่นางชี้อยู่นั้น เป็นหลัวซิวที่กำลังเดินไปยังหอคอยฝึกตนนั่นเอง
“เจ้าหมายถึงเจ้าหนุ่มคนนั้นน่ะหรือ? เขาชื่อหลัวซิว ได้อันดับหนึ่งจากการประลองยุทธ์” ชายชรารูปร่างสูงใหญ่แข็งแรงกล่าว
พูดมาถึงตรงนี้ ชายชรารูปร่างสูงใหญ่แข็งแรงก็ยิ้มกล่าว: “เจ้าเองก็ทราบดีว่า กองกำลังต่าง ๆ ในโลกแสงดาวต่องก็คอยป้องกันซึ่งกันและกัน ต่างก็จะไม่แสดงความสามารถที่แท้จริงออกมาในที่สาธารณะเช่นนี้ ดังนั้นเจ้าหนุ่มคนนี้ถึงได้อันดับหนึ่งไปครอบครอง”
“หึ รู้จักปิดบังความสามารถที่แท้จริงตั้งแต่อายุยังน้อยเช่นนี้ ต่างคนต่างวางแผน ก็ล้วนไม่ใช่พวกตาเฒ่าจากกองกำลังต่าง ๆ นั้นสอนหรอกหรือ?” สตรีชุดสีม่วงเย้ยหยัน
ด้วยประสบการณ์ของนางแค่คิดเพียงสักนิดก็เข้าใจแล้วว่า ผู้สืบทอดของแดนศักดิ์สิทธิ์พวกนี้จงใจปิดบังความสามารถที่แท้จริงของตนและผลักดันคนที่ไม่มีชื่อเสียงใด ๆ ให้ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งนั้น ไม่มีจุดประสงค์ดีเลยสักนิด
หลักที่ว่าไม้เรียวระหงกลางป่าย่อมถูกลมโค่น ใครจะไม่เข้าใจกันเล่า?
“แต่พวกเขาคิดว่าตนเองได้วางแผนทุกอย่างเป็นที่เรียบร้อย แต่เมื่ออยู่ตรงหน้าพลังอันแท้จริง แผนการและความฉลาดใด ๆ ล้วนไร้ประโยชน์ เป็นเพียงแค่เรื่องตลกเท่านั้นเอง!” ในคำพูดของสตรีชุดสีม่วง เหมือนว่าจะไม่เห็นแดนศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ อยู่ในสายตาเลยสักนิด
เมื่อชายชรารูปร่างสูงใหญ่แข็งแรงได้ยินคำพูดนี้ ก็ได้แต่ยิ้มอย่างประหม่า พูดอะไรไม่ได้ เพราะตัวเขาเอง ความจริงแล้วก็นับว่ามาจากแดนศักดิ์สิทธิ์ในโลกแสงดาวเช่นเดียวกัน
เมื่ออยู่ตรงหน้าความแข็งแกร่งที่แท้จริง แผนการต่าง ๆ ล้วนใช้การไม่ได้เป็นธรรมดา แต่ถ้าหากผลการฝึกตนได้มาถึงแดนที่แน่นอนและไม่อาจก้าวหน้าไปได้อีก ถึงตอนนี้เพื่อผลประโยชน์บางอย่าง เห็นได้ชัดว่าความฉลาดและการวางแผนนั้นสำคัญยิ่งกว่า
“จื่อเยียน พวกเรา……” ชายชรารูปร่างสูงใหญ่แข็งแรงคิดจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ที่ออกมาในครั้งนี้ก็เพื่อพานางไปดูซิงหลิง
ทว่าไม่รอให้ชายชรารูปร่างสูงใหญ่แข็งแรงพูดจบ สตรีชุดสีม่วงก็พลันโบกมือตัดคำพูดของเขาไป “ข้าอยากจะดูหลัวซิวผู้นี้”
ชายชรารูปร่างสูงใหญ่แข็งแรงขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่เข้าใจว่าเหตุใดนางถึงได้ให้ความสนใจหลัวซิว จากข้อมูลที่เขาได้รับมา ผลการฝึกตนของหลัวซิวนั้นต่ำที่สุดในบรรดาอัจฉริยะ
……
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 672
สตรีชุดสีม่วงยิ้มอ่อน ๆ “ทุกครั้งเจ้าแดนต่างบอกว่ามีต้นกล้าที่ไม่เลว แต่เหมือนว่าก็ไม่ค่อยเท่าไหร่นี่”
“นั่นไม่ใช่เพราะความต้องการของเจ้าสูงเกินไปหรอกหรือ?” ชายชรารูปร่างสูงใหญ่แข็งแรงเป่าหนวดเคราของตนเอง
สตรีชุดสีม่วงยิ้มอย่างงดงาม และไม่ได้กล่าวอธิบายอะไร
น้อยมากที่จะมีคนรู้ว่า ในโลกแสงดาวนั้น ดินแดนศักดิ์สิทธิ์มีการดำรงอยู่ที่ค่อนข้างพิเศษ มิเช่นนั้นจากรากฐานของแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ ก็คงจะไม่ส่งผู้สืบทอดคนหนุ่มสาวที่โดดเด่นที่สุดมาฝึกหาประสบการณ์ที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้
ดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั้น จะเปิดหนึ่งครั้งในทุก ๆ สองสามปี แต่ละแดนศักดิ์สิทธิ์จะส่งอัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดยี่สิบคนมาที่นี่ และผ่านการคัดเลือกจากผู้แข็งแกร่งของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เลือกผู้ที่โดดเด่นที่สุดที่มีอยู่จำนวนน้อยนิดออกมาเพื่ออบรมฝึกฝนอย่างเน้นหนัก
อย่างไรก็ตามนับจากที่ผ่านเคราะห์กรรมสมัยโบราณมา มาวันนี้อัจฉริยะในโลกแสงดาวนั้นซบเซาลง โอกาสที่จะพบเห็นอัจฉริยะนั้นมีน้อยลงมาก
บางที่ในสายตาของแต่ละแดนศักดิ์สิทธิ์ เช่นอย่างพวกหวูหยุน กุ่ยโยว และต้าวหวูซิน ทันทีที่เติบโตขึ้นมา ถูกกำหนดแล้วว่าจะต้องกลายเป็นผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์อย่างแน่นอน
แต่สำหรับดินแดนศักดิ์สิทธิ์แล้ว ผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์กลับไม่นับอะไร ที่อยากกว่านั้นคือการพัฒนาขึ้นไปอีกก้าว มิเช่นนั้นอย่างมากก็เป็นได้แค่เพียงผู้แข็งแกร่งของโลกแสงดาว ไม่อาจก้าวสู่ระดับสุดยอดผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริงได้
“จื่อเยียน ครั้งนี้ไม่เหมือนกับที่ผ่าน ๆ มา มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มีชื่อว่าซิงหลิง อายุยี่สิบเจ็ดปี ก็ได้ตระหนักรู้พลังแห่งกฎเป็นที่เรียบร้อย
“ตระหนักรู้พลังแห่งกฎในอายุยี่สิบเจ็ดปี?” เมื่อสตรีชุดสีม่วงได้ยินคำพูดนี้ ดวงตาก็เป็นประกายขึ้นมาเล็กน้อย “เขาได้ตระหนักรู้กฎอันใดหรือ?”
“กฎคังจิน” ชายชรารูปร่างสูงใหญ่แข็งแรงกล่าว
“แม่ว่าจะเป็นกฎที่ธรรมดา แต่สามารถตระหนักรู้ได้ในอายุยี่สิบเจ็ดปี ก็นับว่าพรสวรรค์ไม่เลวเลยจริง ๆ” สตรีชุดสีม่วงพยักหน้า จากนั้นก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ “ซิงหลิง? หรือว่าจะเป็นทายาทของซิงหวูคง?”
“ถูกต้อง เด็กหนุ่มคนนั้นเป็นทายาทของซิงหวูคงจริง”
“หากเป็นทายาทของซิงหวูคง เช่นนั้นวิถีที่เขาฝึกฝนย่อมจะต้องเป็นกฎที่เกิดจากพลังดาราอย่างแน่นอน แม้ว่าตอนนี้จะก่อให้เกิดเป็นเพียงกฎคังจิน ถ้าหากก่อให้เกิดกฎอื่น ๆ ได้ เช่นนั้นก็เป็นไปได้ว่าจะสามารถปั้นได้ในอนาคต” สตรีชุดสีม่วงพยักหน้า
“ในเมื่อเจ้าเองก็บอกว่าไม่เลว มิสู้ไปดูด้วยกันหน่อยไหม?” ชายชรารูปร่างสูงใหญ่แข็งแรงกล่าวเชื้อเชิญ
“ได้ เช่นนั้นก็ไปดูกัน หากเป็นอัจฉริยะที่สามารถปั้นได้จริง รอจนเขาบรรลุถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ ก็สามารถแนะนำให้กับด้านบนได้”
ในขณะที่กล่าว สตรีชุดสีม่วงก็ค่อย ๆ ยกมือขาวดั่งยกขึ้น ปริภูมิที่อยู่ด้านหน้าก็ถูกแยกออกทันที นางและชายชรารูปร่างสูงใหญ่แข็งแรงพากันก้าวเท้าเดินเข้าไป
……
ด้านหน้าหอคอยเทพจิต มีอัจฉริยะหนุ่มสาวรวมตัวกันอยู่สิบกว่าคน มีเพียงไม่กี่คนที่กำลังทะลวงด่านอยู่ที่อื่น ดังนั้นจึงไม่ได้มาที่นี่
ในบรรดาอัจฉริยะหนุ่มสาวทั้งยี่สิบคนที่มาฝึกตนที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เป็นธรรมดาที่จะไม่มีผู้ที่เน้นการฝึกตัวสำนึกวิญญาณ จำนวนมากเช่นนี้ ที่คนพวกนี้มารวมตัวกันอยู่ที่บริเวณใกล้เคียงหอคอยเทพจิตนั้น กลับมีสาเหตุมาจากหลัวซิว
หอคอยเทพจิตมีรูปร่างเรียบง่ายเก่าแก่ แต่ละชั้นล้วนสูงเป็นจั้ง ตึกสูงเก้าชั้นเมื่อรวมกันแล้ว สูงเกือบสิบจั้ง
ในเวลานี้ชั้นหนึ่งของหอคอยเทพจิตได้กะพริบเรืองแสงอ่อน ๆ แสดงให้เห็นว่ามีคนกำลังทะลวงด่านอยู่ด้านใน
ผ่านไปไม่นานนัก เงาร่างของลู่เมิ่งเหยาก็ได้ปรากฏขึ้นที่ด้านหน้าหอคอยเทพจิต นางทำเสียงอึกอักออกมาหนึ่งครั้ง และก้าวถอยหลังติดต่อกันไปหลายก้าว ใบหน้าซีดเซียวเล็กน้อย
คนที่ทะลวงด่านอยู่ในหอคอยเทพจิตเมื่อสักครู่นั้นก็คือนางนั่นเอง
ลำแสงสายหนึ่งพุ่งลอยออกมาจากชั้นแรกของหอคอยเทพจิต แล้วผสานเข้าไปในป้ายประจำตัวของลู่เมิ่งเหยา
นี่หมายความว่านางทะลวงผ่านชั้นที่หนึ่งได้สำเร็จ และได้รับรางวัลจากการทะลวงผ่านชั้นที่หนึ่งไปได้ ต่อไปถ้าหากมาทะลวงด้านอีกครั้ง สามารถเริ่มจากชั้นที่สองได้เลย
เมื่อเห็นว่านางได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย หลัวซิวก็กำลังจะหยิบเอายาออกมา กลับพบว่าลู่เมิ่งเหยาได้พลิกฝ่ามือเอายาเม็ดหนึ่งออกมาและกลืนลงไปเรียบร้อย ใบหน้าซีดเซียวได้ฟื้นฟูหน่อยแล้ว
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 671
“ศิษย์น้องอย่าท้อแท้ใจไปเลย ไม่ใช่แค่พวกเราที่ผ่านหอคอยฝึกตนพวกนี้ไปไม่ได้” บุรุษหนุ่มผู้ร่วมทางคนหนึ่งยิ้มกล่าว
“ได้ยินว่าเมื่อวานหวูหยุนทะลวงผ่านหอคอยเสวียนเทียนชั้นที่สอง กุ่ยโยวทะลวงผ่านหอคอยร่างทองชั้นที่สอง ต้าวหวูซินทะลวงผ่านหอคอยเทพจิตชั้นที่สอง ซิงหลิงทะลวงผ่านหอคอยสุดหล้าชั้นที่สอง”
“พวกเขาเป็นถึงยอดอัจฉริยะในหมู่คนรุ่นใหม่ของแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์สี่แดนใหญ่ แต่เหมือนว่าหอคอยสุดหล้าจะทะลวงได้ยากกว่าหอคอยฝึกตนอีกสี่หอคอยมาก เห็นได้ชัดว่าซิงหลิงร้ายกาจกว่ามากนัก”
คนพวกนี้เพิ่งจะได้ลองทะลวงหอคอยเทพจิตมา แต่ต่างก็ไม่สำเร็จ พวกเขาพูดคุยกันเสียงเบา พลางเดินมุ่งหน้ากลับที่พัก
“ข้าทะลวงผ่านหอคอยเทพจิตชั้นที่หนึ่งมาได้ สามารถฝึกตนที่ตำหนักเต๋าได้เป็นวาลาสามวัน หลังจากที่กลับไปข้าก็จะไปทำความเข้าใจร่องรอยกฎที่ตำหนักเต๋า อีกสามวันให้หลังจักต้องทะลวงผ่านหอคอยเทพจิตชั้นที่สองไปได้แน่!” สตรีนางหนึ่งจากแดนศักดิ์สิทธิ์ญาณที่หมดอาลัยตายอยากอยู่เมื่อก่อนหน้านี้ จู่ ๆ ก็ดูกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา
แม้อัจฉริยะของแดนศักดิ์สิทธิ์จะหยิ่งผยอง แต่ก็ใช่ว่าจะทนรับความล้มเหลวไม่ได้ สภาพจิตใจก็ต้องดีเป็นธรรมดา
แต่ทว่าเมื่อนางพูดคำพูดเหล่านี้ออกมา กลับไม่เห็นว่าเหล่าศิษย์พี่ที่อยู่ข้างกายจะพูดอะไร แต่สายตาได้มองไปยังด้านหน้า และอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเล็กน้อย
“เป็นเขา?”
สตรีจากแดนศักดิ์สิทธิ์ญาณเองก็ได้เงยหน้ามองไป และได้พบกับบุรุษหนุ่มในชุดดำผู้หนึ่ง กำลังเดินมาทางนี้อย่างช้า ๆ
บุรุษหนุ่มในชุดดำ ก็คือหลัวซิวนั่นเอง
หลังจากที่เหล่าอัจฉริยะหนุ่มสาวได้เลือกที่พักเรียบร้อยแล้ว มีจำนวนไม่น้อยที่แทบจะทนไม่ไหวอยากจะไปทะลวงด่านของหอคอยฝึกตนทั้งห้า และก็มีบางคนที่เหมือนกับหลัวซิว เลือกที่จะทำความเข้าใจสิ่งที่อยู่ในตำหนักเต๋าก่อน
ระยะเวลาเพียงห้าวัน หนึ่งในนั้นรวมพวกหวูหยุน ต่างก็ได้พากันทะลวงหอคอยฝึกตนทั้งหาไปหนึ่งรอบ
เนื่องด้วยวรยุทธ์ที่ฝึกนั้นไม่เหมือนกัน และจุดเน้นหลักที่จอมยุทธ์ทุกคนฝึกฝนนั้นก็แตกต่างกัน ดังนั้นจึงมีบางคนสามารถแสดงพลังออกมาได้อย่างเต็มที่เมื่ออยู่ในหอคอยเทพจิต และมีบางคนที่ถูกจำกัดพลังเมื่ออยู่ในหอคอยเทพจิต
ดังนั้นหลังจากที่ผ่านมาระยะหนึ่ง อัจฉริยะหนุ่มสาวจำนวนมากก็ได้ค่อย ๆ สรุปประสบการณ์ของตนออกมา
ผู้ที่ฝึกตนเน้นด้านตัวสำนึกวิญญาณ โดยปกติแล้วล้วนเลือกทะลวงหอคอยเทพจิตเป็นหลัก ถ้าหากไปทะลวงอีกห้าหอคอยฝึกตนที่เหลือ ก็จะลำบากมากกว่านี้หลายเท่า
ผู้ที่มีร่างยุทธ์ร่างเนื้ออยู่ในระดับสูงนั้น ก็จะเลือกไปทะลวงหอคอยร่างทอง
ส่วนผู้ที่มีพลังจิตแท้แข็งแกร่งนั้น ก็จะไปทะลวงหอคอยเสวียนเทียน ส่วนหอคอยสุดท้ายหอคอยสุดหล้านั้น จะทดสอบพลังการต่อสู้โดยรวม
“เป็นหลัวซิว เหมือนว่าเจ้าหมอนี่จะไปทะลวงหอคอยเทพจิต”
“ได้ยินว่าหลายวันมานี้เขาปิดขังตัวเองอยู่แต่ในห้องพัก ไม่รู้ว่าเขาจะสามารถผ่านไปได้กี่ชั้นกัน?”
“เหมือนว่าแดนร่างเนื้อของเขาสามารถทัดเทียมได้กับกุ่ยโยว เหมาะที่จะไปทะลวงหอคอยร่างทองยิ่งกว่า”
เมื่อหลัวซิวได้เดินผ่านคนพวกนี้ไป ผู้คนเหล่านี้ก็อดไม่ได้ที่จะวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมาอีกครั้ง
“พวกเราตามไปดูหน่อยดีไหม?”
“มีอะไรน่าดู ข้าคิดว่าแม้แต่ชั้นแรกเขาก็ผ่านไปไม่ได้ด้วยซ้ำ”
……
ในขณะเดียวกัน บนยอดเขาที่สูงที่สุดของแดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นล่าง บนชั้นสูงสุดของตำหนักสีขาวทองแห่งหนึ่ง สตรีในชุดสีม่วงผู้หนึ่ง มีตรากฎสีดำอยู่บริเวณตรงกลางระหว่างคิ้ว มือสองข้างไขว้หลัง ก้มหน้าลงมองทั่วทั้งดินแดนศักดิ์สิทธิ์
ในอ้อมแขนของสตรีในชุดสีม่วงนางนี้ ยังได้อุ้มแมวสีดำที่มีท่าทางเกียจคร้านเอาไว้
ทันใดนั้นเอง เสียงเคาะประตูเบา ๆ ก็ได้ดังลอยมา ประตูใหญ่ที่อยู่ด้านหลังสตรีชุดสีม่วงถูกคนผลักเปิดออก ชายชรารูปร่างสูงใหญ่แข็งแรงเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว
“เจ้าแดนมาหาข้ามีเรื่องอันใด?” สตรีชุดสีม่วงค่อย ๆ หันกลับมา มองไปยังชายชราที่เปิดประตูเข้ามาผู้นั้น
“ฮ่า ๆ พวกเด็ก ๆ ที่มาในครั้งนี้มีอยู่หลายคนเป็นต้นกล้าที่นับว่าไม่เลวเลย เทวทูตจื่อเยียนจะลองดูหน่อยไหม?” ชายชรารูปร่างสูงใหญ่แข็งแรงกล่าวพลางมือลูบผ่านหนวดยาวสีขาว
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 670
หลังจากที่ลู่เมิ่งเหยาออกไปแล้ว หลัวซิวก็ดึงความคิดกลับมาในห้องและทำจิตใจให้นิ่งราวบ่อน้ำ
เอาป้ายตัวตนออกมา ตัวสำนึกแทรกซึมเข้าไป ข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับแดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นล่างก็หลั่งไหลลงสู่ตัวหยั่งรู้
แดนศักดิ์สิทธิ์ เป็นโลกเล็ก ๆ ที่ผู้แข็งแกร่งระดับนิรันดร์ทั้งสี่จากพันธุ์มนุษย์ร่วมกันสร้างขึ้นมา และวิวัฒนาการของค่ายกลระดับเทพกลายเป็นปราณทิพย์ ในแดนศักดิ์สิทธิ์ ผลการฝึกตนจะสำเร็จเร็วเป็นเท่าตัว
เมื่อเทียบกับปราณทิพย์ในแดนศักดิ์สิทธิ์ สถานที่ฝึกตนทั้ง 5 แห่งถคงจะเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ดึงดูดอัจฉริยะนับไม่ถ้วนมากที่สุด
หอคอยเทพจิต หอคอยฝึกเป็นร่างทอง หอคอยเสวียนเทียน หอคอยสูงสุด และวังเต๋าสุดท้าย!
ในนั้นค่าของวังเต๋า รวมทั้งหลัวซิวและทุกคน ต่างประสบการณ์อย่างลึกซึ้ง หากสามารถทำความเข้าใจร่องรอยของพลังแห่งกฎในวังเต๋าได้เป็นเวลานาน เข้าใจพลังแห่งกฎและบรรลุสู่ระดับเจ้ายุทธจักร เป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้น
ท้ายที่สุดคือสี่พื้นที่การฝึกตนที่เหลือ ซึ่งแยกแยะได้ด้วยชื่อ แยกตามลำดับคือวิญญาณหยั่งรู้ ร่างยุทธ์ สำหรับหอคอยเสวียนเทียนและหอคอยสูงสุด เป็นการยากที่จะแยกแยะออกมาจากชื่อ
หอฝึกทั้งสี่นี้มีเก้าชั้น เริ่มจากชั้นหนึ่ง ทุกครั้งที่ผ่านหนึ่งชั้น จะได้รับเวลาการฝึกตนในวังเต๋า ยิ่งผ่านด่านจำนวนชั้นมากเท่าไหร่ ก็จะได้รับเวลาการฝึกตนนานขึ้นเท่านั้น
ในฐานะผู้มาใหม่ที่เพิ่งเข้ามาในแดนศักดิ์สิทธิ์ หลัวซิวและคนอื่น ๆ ทั้งหมดได้รับเวลาฝึกตนสามวันในวังเต๋า ตอนนี้ ทุกคนกลับมาที่พำนักของพวกเขาแล้ว พวกเขากำลังย่อยความเข้าใจที่ได้รับจากสามวันนี้
“เวลาฝึกตนของวังเต๋านั้นได้มาไม่ง่ายนัก และหอฝึกตนทั้งสี่นั้นก็ไม่ง่ายที่จะผ่านด่านไปได้อย่างแน่นอน”
หลัวซิวพึมพำในใจ และปฏิเสธความคิดที่จะไปที่หอฝึกทันที วางแผนปิดกั้นฝึกตนอยู่ในห้องชั่วระยะเวลาหนึ่ง ทำความเข้าใจข้อมูลเชิงลึกกฎความตายที่มาจาในเวลาสามวันนั้นก่อน รวมเอาข้อมูลเชิงลึกที่ได้จากการเข้าใจกฎแห่งความตายมาเป็นเวลาสามวัน .
หลัวซิวใช้มือบีบผนึก ทำจิตใจให้สงบ ในไม่ช้าหลัวซิวก็หมกมุ่นอยู่กับการทำความเข้าใจกฎการเวียนว่ายตายเกิด
ในตัวหยั่งรู้ของหลัวซิว ร่องรอยของพลังแห่งกฎปรากฏขึ้นทีละน้อย ร่องรอยพลังแห่งกฎสีดำแสดงถึงกฎแห่งความตาย และร่องรอยกฎสีขาวแสดงถึงกฎแห่งชีวิตที่สอดคล้องกัน
เนื่องจากลูกแก้วความเป็นตาย ร่างกายของเขามีธาตุระดับความเป็นตายอย่างละเอียดอ่อน ดังนั้นพลังแห่งชีวิตและความตายจะไม่มีข้อขัดแย้งใด ๆ ในร่างกายของเขา แยกออกจากกันอย่างชัดเจน แต่ก็อยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข
ร่องรอยของพลังแห่งกฎต่างๆ พันกัน ทำให้เกิดรูปแบบรูเล็ตวงกลมสีดำขาว อันที่จริง นี่คือจิตใต้สำนึกของหลัวซิว โดยอิงจากการกลับชาติมาเกิดของลูกแก้วความเป็นตาย เพื่อทำความเข้าใจความลึกลับของพลังแห่งกฎชีวิตและความตายทั้งสอง
จากร่องรอยของพลังแห่งกฎเหล่านี้ที่ปรากฏในตัวหยั่งรู้ จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าร่องรอยของพลังแห่งกฎความตาย มีมากกว่าพลังกฎแห่งชีวิต ซึ่งเห็นได้ชัดว่าความเข้าใจพลังกฎแห่งความตายของเขาลึกซึ้งกว่าพลังกฎแห่งชีวิต
สิบวันผ่านไปอย่างเงียบ ๆ โดยไม่รู้ตัว
ใกล้กับหอคอยเทพจิต สีหน้าของชายหนุ่มและหญิงสาวหลายคนดูแย่มาก
“หอฝึกทั้งสี่นี้ยากเกินไปแล้วมั้ง ยกเว้นหอคอยเทพจิตที่ผ่านชั้นหนึ่งแล้ว ข้าไม่สามารถผ่านชั้นแรกของหอฝึกอีกสี่หอด้วยซ้ำ”
คนที่พูดคือผู้หญิงคนหนึ่งสวมชุดแดนศักดิ์สิทธิ์ญาณ เห็นเพียงนางมุ่ยริมฝีปากและดูไม่ยอม
มีแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด 20 แห่งในโลกแสงดาว และพวกเขาสามารถได้รับสิทธิ์เพื่อเข้าไปฝึกตน แน่นอนว่าพวกเขาเป็นอัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบได้จากแดนศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญ ในขณะนี้ รู้สึกท้อแท้ในการทดลองบ่อยครั้ง และรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง
ยิ่งกว่านั้นแดนศักดิ์สิทธิ์ญาณเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เชี่ยวชาญการโจมตีทางวิญญาณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิญญาณตัวสำนึก เก่งกาจเช่นนี้แค่สามารถผ่านได้เพียงชั้นแรกของหอคอยเทพจิตเท่านั้น เห็นได้ว่ายากมากแค่ไหน
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 669
ไม่เพียงเท่านั้น ด้วยร่างแห่งภูตเยือกและวิชายิ่งเลิศที่เทวีหานยู่สอน นางเพิ่งบรรลุแดนราชายุทธ์ นางยังสามารถต่อสู้กับราชายุทธ์ช่วงปลายได้
หลังจากมีความแข็งแกร่งนี้ นางเต็มไปด้วยความมั่นใจและพร้อมที่จะกลับไปยังประเทศเทียนหวู เพื่อช่วยหลัวซิวแก้ปัญหาสำนักเหลยหวู่
และในเวลานี้ เทวีหานยู่มาหานางและพูดเกี่ยวกับแดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นล่างที่จะเปิดในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
ไม่ว่าลู่เมิ่งเหยาหรือเทวีหานยู่ การเปิดแดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นล่างเป็นเรื่องที่สำคัญมาก
เพื่อที่จะได้รับสิทธิ์แดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นล่าง ภายใต้การชักชวนของเทวีหานยู่ลู่เมิ่งเหยาทำได้เพียงเลิกที่จะกลับไปที่ประเทศเทียนหวูเพื่อตามหาหลัวซิว และปิดกั้นฝึกฝนต่อไป
“ข้าไม่อยากโกหกเจ้า แต่ข้าอยากบอกเจ้าว่าไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากไปหาเจ้า” ลู่เมิ่งเหยามองดูหลัวซิวด้วยน้ำตาคลอเบ้า
เมื่อนางพูดคำเหล่านี้ นางรู้สึกละอายใจเล็กน้อย เพราะสิ่งที่นางพูดเป็นความจริง แต่ก็ยังเป็นเรื่องโกหก
หลังจากการฝึกฝนบรรลุราชายุทธ์ นางต้องการไปหาหลัวซิวจริงๆ แต่ภายหลังที่ผลการฝึกฝนของนางสูงขึ้น วิสัยทัศน์และความคิดของนางก็เปลี่ยนไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผลการฝึกตนนางถึงระดับมกุฎยุทธ์ เมื่อรู้ว่าบริเวณโดยรอบของประเทศเทียนหวู นักยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือระดับมกุฎยุทธ์เท่านั้น
ในขณะนั้น นางรู้สึกว่านางและหลัวซิวไม่ได้อยู่ในโลกเดียวกันอีกต่อไป ในอีกไม่กี่ปี นางฝึกฝนบรรลุถึงระดับมกุฎยุทธ์ได้ เพราะร่างกายโดยกำเนิดของนาง และคำสอนของเทวีหานยู่ ผู้แข็งแกร่งระดับเจ้ายุทธจักร
และหลัวซิวไม่มีอะไรเลย เวลาหลายปี เขาอาจจะยังอยู่ในแดนราชายุทธ์
ดังนั้นความคิดของ ลู่เมิ่งเหยาจึงเปลี่ยนไปในขณะนั้นและความคิดในการมองหา หลัวซิวก็จางหายไป
จนกระทั่งในเวลาต่อมา ในสำนักหลัวเทียน นางคาดไม่ถึงว่าหลัวซิวจะปรากฏตัวที่นี่ และเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวยังให้ความสำคัญแก่เขาด้วย แนะนำให้เข้าร่วมการต่อสู้เพื่อแย่งสิทธิ์แดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นล่าง
ในขณะนั้น ใจของนางไม่สามารถสงบนิ่งได้ ความรู้สึกที่ค่อยๆ ลืมเลือนก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งเหมือนเห็ดหลังฝนตก
นางยังคงชอบหลัวซิว แต่นางคิดเกี่ยวกับตัวเองมากกว่า นางรู้สึกว่าเมื่อพระเจ้าปล่อยให้ทั้งสองได้พบกันอีกครั้ง และความสามารถของ หลัวซิวก็ไม่ได้เลวร้ายไปกว่าตัวนางเอง นางจึงคิดที่จะคืนดีกับเขาอีกครั้ง
“หลัวซิว เจ้ายกโทษให้ข้าได้ไหม?” นางมองดูหลัวซิวอย่างน่าสงสาร
“ข้าไม่ได้โทษเจ้าจริงๆ” หลัวซิวพูดช้าๆ “พวกข้าเป็นเพื่อนที่รู้จักกันมาหลายปี ข้าจะโทษเจ้าได้อย่างไรกัน?”
“เพื่อน? แค่เพื่อนหรือ?” ลู่เมิ่งเหยาดูเศร้าเล็กน้อยเมื่อได้ยินแบบนี้
นางรู้เรื่องเกี่ยวกับหลัวซิวและเหยียนเยว่เอ๋อร์ และนางได้ตรวจสอบที่มาของเหยียนเยว่เอ๋อร์คนนั้นแล้ว และนางก็รู้ว่าเหยียนเยว่เอ๋อร์ถูก คนจากเผ่าหงส์นำตัวไปแล้ว
ดังนั้นลู่เมิ่งเหยารู้สึกว่านี่เป็นโอกาสสำหรับตัวเอง นางเชื่อว่านางจะสามารถแย่งหัวใจและความรักของหลัวซิวกลับคืนมาได้ในเวลาที่เหยียนเยว่เอ๋อร์ไม่อยู่!
ลู่เมิ่งเหยาไม่ได้กล่าวถึงการคืนดีกันของทั้งสอง นางรู้ว่าความเหินห่างที่จางหายไปกันหลายปีจะไม่หายไปง่ายๆ
เมื่อลู่เมิ่งเหยาออกจากห้อง รอยยิ้มยิ้มเอือมก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลัวซิว
“สาวขี้ขลาดในตอนนั้นโตแล้วจริงๆ” หลัวซิวไม่รู้ว่าเขาควรจะโล่งใจหรือเป็นทุกข์
เทียบกับความคิดของเขาแล้ว หลัวซิวรู้ว่าตัวเองไม่แพ้ใคร ความคิดของลู่เมิ่งเหยาเขาจะคิดไม่ออกหรือ?
แต่เวลาเป็นมีดแกะสลักที่ไร้ความปราณี เวลาจะเปลี่ยนคนๆไป
คนๆนั้นไม่ใช่คนๆนั้นอีกต่อไป นางไม่ใช่เมิ่งเหยาเมื่อหลายปีก่อนอีกต่อไป…
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 668
ในขณะนั้น ลู่เมิ่งเหยาตกใจกลัวมาก เพราะนางไม่เห็นการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายก็ถูกคว้าข้อมือไว้ ถ้าผู้หญิงคนนี้ต้องการจะฆ่านาง นางจะไม่สามารถต้านทานได้เลยหรือ?
และเทวีหานยู่คว้าข้อมือของนางไว้ จริงๆแล้วก็เพื่อยืนยันร่างกายของนาง
แม้ว่าผลการฝึกตนของเทวีหานยู่ จะสามารถตรวรร่างกายของนางได้ด้วยตัวสำนึกของนาง แต่ร่างกายโดยกำเนิดนั้นไม่ธรรมดา ดังนั้นจึงต้องยืนยันดีๆ
“สาวน้อย พรสวรรค์ของเจ้าดีมาก เจ้ายินดีจะกราบข้าในฐานะอาจารย์ของเจ้าหรือไม่?”
เมื่อลู่เมิ่งเหยากำลังตกใจกลัว เทวีหานยู่ก็ปล่อยข้อมือของนางและพูดด้วยรอยยิ้ม
ลู่เมิ่งเหยาถอยหลังสองก้าว ดูตื่นตัว “ข้าไม่รู้จักเจ้าเลย”
เมื่อเทวีหานยู่เห็นว่านางตื่นตัวมาก นางรู้ว่าถ้านางไม่เปิดเผยตัวตนของนาง นางคงจะไม่สามารถทำให้หญิงสาวคนนี้เลิกระวังตัวได้
ดังนั้นนางจึงพลิกมือและหยิบป้ายสัญลักษณ์ออกมาแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้ารู้จักสิ่งนี้หรือไม่?”
อันที่จริง ป้ายที่นางเอาออกมาเป็นป้ายลาดตระเวน แต่ด้วยวิสัยทัศน์ของลู่เมิ่งเหยาในตอนนั้น นางไม่รู้จักด้วยซ้ำ
“แล้วเจ้ารู้จักองค์กรนักล่ายุทธ์ไหม? ข้าเป็นสมาชิกขององค์กรนักล่ายุทธ์” เทวีหานยู่อธิบายอย่างอดทนและไม่ได้บังคับพาลู่เมิ่งเหยาไปผลการฝึกตนของนางเอง
แต่ลู่เมิ่งเหยาระมัดระวังตัวมากและไม่เชื่อใจนางง่าย ๆ จากนั้นทั้งสองก็ไปที่องค์กรนักล่ายุทธ์
ทำให้ลู่เมิ่งเหยาคาดไม่ถึงก็คือเมื่อหัวหน้าแก๊งเสิ่นหยวนหนานเห็นป้ายชื่อที่เทวีหานยู่แสดงออกมา เขาตะลึงไปในทันที จากนั้นเขาก็คุกเข่าลงบนพื้นด้วยความเกรงกลัว “เสิ่นหยวนหนานคารวะท่าน!”
ในฐานะของเสิ่นหยวนหนาน เขาไม่เห็นป้ายลาดตะเวน แต่เขาเข้าร่วมองค์กรนักล่ายุทธ์มานานกว่า 10 ปี เขาได้อ่านข้อมูลเกี่ยวกับสี่แก๊งหลักและได้เห็นรูปแบบของหัวหน้าลาดตระเวนมาก่อน
นี่เป็นเหตุผลที่เมื่อหลัวซิวถามว่าใครเป็นคนพาลู่เมิ่งเหยาจากไป สีหน้าของหัวหน้าแก๊งเสิ่นหยวนหนานถึงดูไม่ดี
หัวหน้าลาดตะเวนดับสูง สำหรับเขาซึ่งเป็นหัวหน้าแก๊งเล็กๆ เปรียบเสมือนช่องว่างระหว่างมดกับมังกรที่ทะยานขึ้นสู่สวรรค์
ปฏิกิริยาของเสิ่นหยวนหนาน เกือบจะล้มล้างใจของลู่เมิ่งเหยาไปหมด เพราะนางมักจะรู้สึกว่าผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดแล้ว และผู้หญิงลึกลับคนนี้สามารถทำให้ผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์เคารพเช่นนี้ ผลการฝึกตนของนางคืออะไร ฐานะอะไร?
“ตอนนี้เจ้ายินดีที่จะกราบข้าในฐานะอาจารย์หรือไม่?” หลังจากยืนยันตัวตนของนางแล้ว เทวีหานยู่ได้พูดถึงเรื่องการรับศิษย์อีกครั้ง
“ข้ายอมรับว่าตอนนั้นข้าอยากกราบนางเป็นอาจารย์เล็กน้อย แต่ข้าไม่อยากจากไป เพราะข้าจะรอเจ้ากลับมาอยู่ที่เขตการปกครองโตว้ไห่”
เมื่อนางพูดจุดนี้ รอยยิ้มขมขู่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของลู่เมิ่งเหยา
“แล้วทำไมหลังจากนั้น เจ้าถึงไปล่ะ?” หลัวซิวถาม เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องไม่เล็กไม่ใหญ่สำหรับเขาเช่นกัน เขาต้องการทราบคำตอบ
แม้ว่าเขาจะเป็นคนที่เด็ดขาดและโหดเหี้ยมเมื่อรับมือกับศัตรู เขาเป็นคนที่ไว้ใจได้เสมอเมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนที่เขาไว้ใจ และเขาเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับความรู้สึกเป็นอย่างมาก
“ในฐานะอาจารย์ ก็สามารถรู้ได้อย่างง่ายดายว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างเจ้ากับสำนักเหลยหวู่ ดังนั้นนางบอกข้าว่าตราบใดที่ข้าเต็มใจไปกับนาง ข้าสามารถบรรลุถึงแดนราชายุทภายในสามปี”
ลู่เมิ่งเหยาไม่ได้ปิดบังความจริง เพราะนางรู้ดีว่าหลัวซิวเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับความรู้สึกเป็นอย่างมาก และสิ่งที่ทนไม่ได้ที่สุดสำหรับเขาคือการหลอกลวงและการทรยศ
เรื่องเลวร้ายของสำนักเซียวเหยา ทำให้พ่อของลู่เมิ่งเหยาเสียชีวิตในการต่อสู้เพื่อแย่งอำนาจในสำนัก เหตุการณ์นี้มีอิทธิพลและเงาที่ใหญ่หลวงอยู่ในใจของลู่เมิ่งเหยา
นางต้องการที่จะแข็งแกร่งขึ้น ดังนั้นในที่สุดนางก็เลือกที่จะติดตามเทวีหานยู่ ออกไปจากเขตการปกครองโตว้ไห่
เหมือนที่เทวีหานยู่ได้สัญญาไว้ ไม่ถึงสามปี นางก็บรรลุแดนราชายุทธ์
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 667
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ จริงๆ แล้วมีเงาของ ลู่เมิ่งเหยาอยู่ในใจของหลัวซิว
เพราะตอนนั้นเขายังเป็นวัยรุ่น รักแรกเป็นสิ่งที่ยากจะลืมเลือนที่สุด
หลังจากห่างกันหลายปี พวกเขาก็กลับมาพบกันโดยบังเอิญ เมื่อเห็นลู่เมิ่งเหยาในสำนักหลัวเทียน หลัวซิวก็ยินดีและประหลาดใจมาก
แต่ตอนนี้เขามีเยว่เอ๋อร์แล้ว ไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับลู่เมิ่งเหยาอย่างไร
นักยุทธ์ผู้แข็งแกร่งมากมายหลายคนมีภรรยาสามสี่คน แต่หลัวซิวไม่ใช่คนที่ชอบมอบความรักให้คนหลายๆคน และแน่นอนว่าเขาไม่ใช่คนที่จะเปลี่ยนไปชอบอีกคนหนึ่งแล้วเกลียดชังคนเก่า
ถ้าเมื่อก่อนไม่รู้ว่าลู่เมิ่งเหยาไปที่ไหน ก็ช่างเถอะ
แต่นางได้กลายเป็นศิษย์ของเจ้ายุทธจักรหยกนารา และเจ้ายุทธจักรหยกนาราไม่ได้จำกัดเสรีภาพของนาง ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ทำไมนางถึงไม่มาหาเขา?
เมื่อมีความสงสัยในใจ ความเหินห่างก็เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
หลัวซิวเป็นแบบนี้ ลู่เมิ่งเหยาก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน
ดังนั้นในช่วงนี้ จึงไม่มีใครเริ่มที่จะไปหาใครก่อน
หลัวซิวมองไปที่ผู้หญิงที่คุ้นเคยและไม่คุ้นเคยที่อยู่ตรงหน้าเขา ไม่รู้ว่าจะตอบคำถามนี้ของนางอย่างไร
ไม่โทษนางหรือ? แต่ในใจก็ยังรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง แต่ถ้าจะโทษนาง เขามีสิทธิ์อะไรไปโทษนาง?
“ทำไมข้าต้องโทษเจ้าด้วย?” หลัวซิวยิ้มและในที่สุดก็เลือกข้างหน้า
เวลาจะทำให้ทุกอย่างเจือจางลง แม้ว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ลู่เมิ่งเหยาจะไม่ได้มาหาเขา แต่เขารู้สึกอึดอัดเล็กน้อย แต่เมื่อเวลาผ่านไป หลัวซิวเชื่อว่าตัวเองจะปล่อยวางเรื่องนี้ไป
หลังจากที่เขาพูดจบ เขาก็หันหลังและจากไป ไม่ใช่เพราะเขาไม่ต้องการคุยกับลู่เมิ่งเหยา แต่เพราะมีคนอื่นอยู่รอบข้าง ไม่เหมาะที่จะพูดถึงหัวข้อเหล่านี้
มีเรือนหลายหลังที่เชิงเขา ซึ่งสะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อย หลัวซิวเลือกหนึ่งในเรือนเหล่านั้น และสร้างค่ายกลไว้รอบห้องตามนิสัยทันใดนั้น หลัวซิวก็ได้ยินเสียงเคาะประตู
เขาขมวดคิ้ว ท้ายที่สุดก็นขึ้นแล้วเปิดประตู
“หลัวซิว ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังโทษข้า แต่หลายปีที่ผ่านมานี้ข้าได้ฝึกฝนกับอาจารย์ ข้าไม่มีเวลาจริงๆ…”
ในห้อง หลัวซิวและลู่เมิ่งเหยานั่งตรงข้ามกัน นางเปลี่ยนเป็นชุดยาวสีขาว ชุดยาวนี้หลัวซิวคุ้นเคยมาก เป็นชุดที่พวกเขาสวมเมื่อเดินทางจากเขตการปกครองหยุนหลงไปยังเขตการปกครองโตว้ไห่ด้วยกัน
นางพูดถึงประสบการณ์ของนางในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
เมื่อหลายปีก่อนที่อยู่ที่เขตการปกครองโตว้ไห่ ประสบการณ์บางอย่างระหว่างทั้งสอง ทำให้ลู่เมิ่งเหยาตระหนักดีถึงการขาดความแข็งแกร่งของนางเอง ดังนั้นหลังจากที่หลัวซิวไปแดนปริศนา นางฝึกฝนสุดกำลังในองค์กรนักล่ายุทธ์ที่อยู่เขตการปกครองโตว้ไห่
แม้ว่าสถานการณ์ระหว่างหลัวซิวและสำนักเหลยหวู่จะเป็นศัตรูกันในขณะนั้น แต่เพราะมีหัวหน้าแก๊งเสิ่นหยวนหนานเฝ้าอยู่ แต่ก็ไม่มีใครกล้ารังแกนาง
แต่เรื่องการฝึกตนนี้ แต่แรกก็เป็นเรื่องที่เร่งรีบไม่ได้ ปิดกั้นฝึกตนนระยะยาว ทำให้นางอารมณ์เสียและผลการฝึกตนไม่เพียงแต่ช้าลงเท่านั้นแต่ยังเกือบประสบปัญหาหลายครั้ง
ต่อมา ภายใต้การสอนของหัวหน้าแก๊งเสิ่นหยวนหนาน ให้นางออกไปข้างนอกเพื่อพักผ่อนและผ่อนคลาย
ลู่เมิ่งเหยาทำตามคำแนะนำของหัวหน้าแก๊งเสิ่นหยวนหนาน เดินออกจากองค์กรนักล่ายุทธ์ เดินเล่นรอบเมืองสักครู่
นางเดินเล่นไปรอบๆ เป็นเวลานาน แต่ก็ไม่ได้ผลมากนัก และในขณะนี้ ผู้หญิงที่มีผ้าคลุมปิดหน้าก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้านาง
และผู้หญิงลึกลับคนนี้คือเทวีหานยู่ เจ้ายุทธจักรหยกนารา!
“สาวน้อย เจ้าชื่ออะไร?” ตอนนั้นเทวีหานยู่ถามด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าเป็นใคร?” ลู่เมิ่งเหยาดูตื่นตัว เพราะในเวลานั้นความสัมพันธ์ระหว่างสำนักเหลยหวู่กับหลัวซิวเทียบเท่ากับศัตรูตัวฉกาจ และนางกังวลว่าอีกฝ่ายหนึ่งคือคนของสำนักเหลยหวู่ที่จะโจมตีนาง
“อย่ากลัวไปเลย ข้าไม่มีเจตนาร้ายต่อเจ้า” เทวีหานยู่ยิ้ม จากนั้นค่อยๆ ยกมือออกแล้วคว้าข้อมือของลู่เมิ่งเหยาไว้
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 666
ฮึ่ม!
อาการวิงเวียนศีรษะปรากฏขึ้นในตัวหยั่งรู้ ปลุกหลัวซิวตื่นจากสถานะการฝึกฝนแบบลึก เมื่อเขาลืมตาขึ้นเขาก็พบว่าเขาปรากฏตัวขึ้นนอกวังเต๋าแล้ว
“แม่ง ข้าเดาไม่ผิดจริวๆ!”
หลังจากถูกบังคับเคลื่อนย้ายออกมา สีหน้าของหลัวซิวขรึมลงเล็กน้อย เพราะเขากำลังจำเข้าใจจุดสำคัญพอดี และกำลังจะก้าวออกไปก้าวใหม่ แต่จู่ๆก็ถูกขัดจังหวะ
เหมือนที่เขาเดาไม่ผิด ธูปหนึ่งธูปไหม้เป็นช่วงเวลาสามวัน เป็นเวลาที่เขาสามารถเข้าใจพลังแห่งกฎในวังได้
“พลังแห่งกฎช่างลึกซึ้งจริงๆ”
ในช่วงประมาณสามวันนี้ ทำให้หลัวซิวรู้สึกถึงตัวเองช่างกระจ้อยร่อยมากนัก ร่องรอยของพลังแห่งกฎสีทองในห้วงอวกาศที่มืดมิด เขาเข้าใจได้ไม่ถึงหนึ่งเปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำ
“สมบัติวิเศษเหล่านั้นที่มีร่องรอยพลังแห่งกฎ ถูกวางไว้ในวังเต๋าก็วางอยู่แบบนั้น ทำไมไม่ให้ทำความเข้าใจกันนานหน่อยล่ะ?”
ไม่เพียงแต่หลัวซิวเท่านั้น คนอื่นๆ อีกสิบเก้าคนก็ถูกส่งออกมาเหมือนกัน สีหน้าแต่ละคนดูไม่ดีและไม่พอใจ
“หุบปาก!”
ชายชุดม่วงมองทุกคนอย่างเฉยเมย “ทรัพยากรของแดนศักดิ์สิทธิ์ก็มีจำกัด ผู้แข็งแกร่งมากมายในแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ฝึกฝนอยู่ และพวกเขาก็ต้องใช้สมบัติวิเศษในวังเต๋าช่วยในการทำความเข้าใจร่องรอยของพลังแห่งกฎ พวกเจ้ามีโอกาสดีได้รับเวลาสามวันในการทำความเข้าใจ ดีมากแล้ว!”
เมื่อถูกชายชุดม่วงประณาม ทุกคนไม่กล้าที่จะเถียง
“ตามข้ามา”
ชายชุดม่วงไม่พูดอะไรมาก เดินออกไปจากที่ซึ่งวังเต๋าตั้งอยู่
ไม่นานนัก ทุกคนก็เดินออกจากวัง แล้วเดินจากเชิงเขามาที่ตีนเขา
ชายชุดม่วงชี้ไปที่เรือนใต้หลังคาอันสง่างามที่เชิงเขา พูดอย่างเฉยเมย “พวกเจ้าแต่ละคนสามารถเลือกที่จะอาศัยอยู่ที่นี่ได้ นี่คือสัญลักษณ์ประจำตัวของพวกเจ้า”
ขณะที่พูด ชายชุดสีม่วงยกมือขึ้นและโบกมือ แสง 20 ดวงปรากฏขึ้น บินไปทางหลัวซิวและคนอื่นๆ
หลัวซิวยกมือขึ้นและคว้าแสงที่พุ่งเข้าหาเขา พบว่ามันเป็นสัญลักษณ์สีทองที่มีชื่อของเขาจารึกไว้
“ตั้งแต่วันที่พวกเจ้าเข้ามาในแดนศักดิ์สิทธิ์ ตามอันดับที่ได้รับจากการแข่งขัน แต่ละคนมีเวลาฝึกฝนที่แตกต่างกัน”
ชายชุดม่วงพูดช้าๆ “ในช่วงระยะเวลาของการฝึกฝนในแดนศักดิ์สิทธิ์ พวกเจ้าสามารถไปที่หอคอยเทพจิต หอคอยฝึกเป็นร่างทอง หอคอยเสวียนเทียนและหอคอยสูงสุดเพื่อฝึกฝน”
“จากความสำเร็จของพวกเจ้าในหอคอยฝึกหัดทั้งสี่นี้ พวกเจ้าจะได้เวลาเข้าไปในวังเต๋าเพื่อทำความเข้าใจกฎหมาย”
เมื่อชายชุดสีม่วงพูดจบ สายตาของกลุ่มคนทั้ง 20 คนก็สว่างขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
“แต่มีกฎอีกข้อหนึ่งที่พวกเจ้าต้องจำไว้ นั่นคือ ห้ามต่อสู้ภายในแดนศักดิ์สิทธิ์ ผู้ใดกล้าฝ่าฝืนกฎจะต้องตายเท่านั้น!”
“ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร ไม่ว่าสถานะของเจ้าจะสูงส่งเพียงใดในโลกภายนอก แม้ว่าเจ้าจะเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์ของแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ ก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ยั่วยุกฎของดินแดนศักดิ์สิทธิ์”
“สำหรับข้อมูลพื้นฐานบางส่วน ถูกบันทึกไว้ในป้ายระบุตัวตนที่ข้าให้เจ้าพวกเจ้าดูเอง”
หลังจากพูดจบ ชายชุดม่วงก็หายวับไป
“เมื่อครู่นี้รู้สึกอย่างไรในวังเต๋า?”
หลังจากที่ชายชุดม่วงจากไป กลุ่มคนหนุ่มสาวไม่มีความกดดันอีกต่อไป คนที่คุ้นเคยกันก็เริ่มพูดคุยกัน
“หลัวซิว”
เมื่อหลัวซิวกำลังหาที่อยู่อาศัย จู่ ๆ ลู่เมิ่งเหยาก็เรียกหาเขาและเดินไปข้างเขา
“เจ้ายังโทษข้าที่ไม่ได้ไปหาเจ้าเมื่อหลายปีก่อนหรือไม่?”
สิ่งที่หลัวซิวไม่คาดคิดก็คือ ลู่เมิ่งเหยาเดินมาหาเขาและพูดแบบนี้ออกมา มีความเศร้าอยู่บนใบหน้าที่สวยงาม
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 665
แต่ในความเป็นจริง คุณค่าสูงสุดของภูตอัคคี ไม่ใช่พลังของมัน แต่เป็นพลังแห่งกฎที่ซ่อนอยู่ นักยุทธ์หลายคนได้ค้นหาร่องรอยของภูตอัคคีไปทั่วโลก เพื่อทำความเข้าใจพลังแห่งกฎทีซ่อนอยู่ในภูตอัคคี
แต่หลัวซิวต้องการเพียงพลังภูตอัคคีเท่านั้น ไม่ต้องการพลังแห่งกฎที่ซ่อนอยู่ภูตอัคคี
ด้วยตัวสำนึกระดับมหายุทธ์ หลัวซิวกวาดล้างกลุ่มแสงหลายร้อยกลุ่มอย่างรวดเร็วและในที่สุดก็พบว่ามีสมบัติวิเศษสามชิ้นเหมาะสำหรับเขา สองในสามนั้นมีร่องรอยพลังกฎแห่งความตาย และสมบัติวิเศษอีกชิ้นมีร่องรอยของพลังกฎแห่งชีวิต
สมบัติวิเศษในวังแห่งนี้ เกือบจะประกอบด้วยพลังแห่งกฎประเภทต่างๆ มากมาย ซึ่งในนั้นซ้ำกันมากมาย รากเหง้าเหมือนกัน แต่ทิศทางของการทำความเข้าใจและการรับรู้แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
ตัวอย่างเช่น ภูตอัคคีกลืนกินและภูตอัคคีเปลวเยือก ต่างก็มีพลังกฎแห่งเปลวไฟเหมือนกัน แต่ตัวหนึ่งกินทุกอย่างและทำลายทุกอย่างให้กลายเป็นความว่างเปล่า และอีกตัวหนึ่งดูดซับความร้อนเพื่อทำให้ทุกสิ่งถูกทำลายล้าง แกนเหมือนกัน แต่ทิศทางการขยายจะแตกต่างกัน
“เลือกร่องรอยของพลังแห่งกฎในการทำความเข้าใจ เลือกสมบัติวิเศษได้เพียงชิ้นเดียวหรือ? ” หลัวซิวถามกับสภาพแวดล้อมที่ว่างเปล่า
“เลือกได้เพียงชิ้นเดียว แม้ว่าข้าให้เจ้าเลือกสองชิ้น เจ้าก็ทำไม่ได้” เสียงเย็นชาดังขึ้นช้าๆ
เมื่อหลัวซิวได้ยิน เขาก็อดแปลกใจไม่ได้ เขาไม่เข้าใจว่าภูตแห่งค่ายที่ปกป้องวังเต๋าหมายถึงอะไร
“เขาหมายถึง ข้าเลือกได้สองชิ้น แต่ข้าทำไม่ได้?”
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ หลัวซิวก้าวไปข้างหน้า สายตาและตัวสำนึกจ้องแกะสลักหินสีดำ
หินแกะสลักก้อนนี้มีลักษณะผิดปกติมาก ราวกับเศษหินที่กระเด็นลงมาจากก้อนหิน
แต่ร่องรอยของพลังแห่งกฎบนนั้น ได้ปลดปล่อยออร่าลึกลับออกมา ซึ่งลึกลับยิ่งกว่าสมบัติอีกชิ้นที่มีพลังกฎแห่งความตาย ยิ่งลึกลับมากกว่า
ตามวิธีการที่ภูตแห่งค่ายกล่าวถึงก่อนหน้านี้ หลัวซิวก้าวไปข้างหน้าและคว้าหินแกะสลักแสงสีดำเข้มด้วยมือ
วินาทีที่ฝ่ามือของเขาสัมผัสกลุ่มแสง ความรู้สึกหมุนเวียนก็มาถึง จากนั้นร่างของหลัวซิวก็หายไปทันที กลายเป็นแสง และบินเข้าไปในหินแกะสลักที่ห่อโดยกลุ่มแสงมืด
เมื่อความรู้สึกวิงเวียนหายไป หลัวซิวพบว่าตัวเองอยู่ในโซนพื้นที่แปลก ๆ
นี่คือโซนพื้นที่มืด มีเส้นสีทองเป็นเส้นหนาและบางในอากาศเหมือนงู พันกันหรือเป็นเส้นแนวตั้งและแนวนอน
ทุกเส้นทางและออร่าของแต่ละรูปแบบแตกต่างกัน เมื่อพวกมันเชื่อมโยงกัน ความลึกลับที่ไม่รู้จบก็เกิดขึ้น
ในขณะนี้ หลัวซิวเห็นกระถางธูปปรากฏอยู่ข้างๆ ตัวเขา มีแท่งธูปจุดอยู่ กลิ่นหอมที่กระจัดกระจายก็ทำให้ใจสงบลง
แต่หลัวซิวไม่คิดว่าธูปสามารถช่วยให้เข้าใจถึงพลังแห่งกฎได้ดีขึ้น เขาเห็นว่าธูปไหม้ช้ามากและคาดว่ามันจะมอดหมดภายในสามวัน
“วังเต๋านี้ เป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะฝึกฝนอย่างไม่สิ้นสุดในนี้ เมื่อธูปนี้หมดลง เวลาในการฝึกตนของข้าก็น่าจะสิ้นสุดลง” หลัวซิวเดา
เขาคาดไม่ถึงว่าการทำความเจ้าใจพลังแห่งกฎจะถูกดูดเข้าไปในโซนพื้นที่พิเศษ ดังนั้นเขาจึงเข้าใจว่าทำไมภูตแห่งค่ายจึงบอกว่าเขาไม่สามารถเลือกสมบัติสองชิ้นเพื่อทำความเข้าใจในเวลาเดียวกันได้
เนื่องจากเวลามีจำกัด หลัวซิวจึงไม่ยอมเสียเวลาไป จิตใจของเขาหมกมุ่นอยู่กับเส้นสีทอง รู้สึกถึงความลึกลับของกฎแห่งความตาย
ในตัวหยั่งรู้ของหลัวซิว กฎแห่งชีวิตและความตายทั้งสองมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ขณะทำความเข้าใจ พลังจิตแท้เป็นตาย 2 ระดับ ของเขา ร่างกายของเขาก็ได้รับการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยเช่นกัน คล้ายกับที่เขาเห็นร่องรอยของพลังแห่งกฎ มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
ในสภาวะการฝึกฝนที่ลึกล้ำนี้ หลัวซิวไม่รู้สึกถึงเวลาผ่านไป และก่อนที่เขาจะรู้ตัว ธูปในกระถางธูปข้างๆ เขาก็ไหม้หมดแล้ว
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 664
หลังจากที่เสียงที่ไม่มีอารมณ์แม้แต่น้อยพูดกฎเกณฑ์เสร็จก็ไม่มีเสียงใดๆอีก
แต่หลัวซิวส่วนมากก็เดาได้ว่าเจ้าของเสียงในตอนนี้น่าเป็นวิญญาณของค่ายกล
มีเพียงค่ายกลระดับเทพที่สูงกว่าขั้น 9 เท่านั้น ที่สามารถเกิดจิตวิญญาณได้ หลัวซิวไม่ใช่ครั้งแรกที่รู้เรื่องนี้
สิ่งนี้ทำให้เขานึกถึงเทวทูตที่พบในแดนแต่งตั้งราชา
ในโลกแสงดาว ในแดนปริศนาทั้งห้าได้แก่ แต่งตั้งราชา จักรพรรดิยุทธ์ เทพศักดิ์สิทธิ์ เจ้ายุทธจักร มหาจักรพรรดิยุทธ์ ทุกแดนปรอศนาถูกปกคลุมไปด้วยค่ายกลระดับเทพ และมีเทวทูต
ค่ายกลระดับเทพนั้นไม่ได้ง่ายในการสร้างค่ายกลแต่อย่างใด ยิ่งค่ายกลที่แข็งแกร่ง การสร้างจะยากมากเท่านั้น แม้ว่าผลการฝึกตนจะตรงตามข้อกำหนดของการสร้างค่ายกล ก็ต้องรวบรวมวัสดุล้ำค่ามากมาย
แดนปริศนาทั้งห้า เป็นเรื่องยากสำหรับหลัวซิวที่จะจินตนาการว่าใครเป็นคนสร้างขึ้นมา จุดประสงค์ความสำคัญของอีกฝ่ายที่สร้างแดนปริศนาทั้งห้านี้คืออะไร?
หลัวซิวส่ายหัวและทิ้งความคิดเหล่านี้ไว้ข้างหลังชั่วคราว ดวงตาและตัวสำนึกของเขากวาดไปทั่วกลุ่มแสงที่ลอยอยู่ในอากาศ
เขาเห็นกระบี่ยาวสีแดงเพลิงเป็นอย่างแรก กระบี่เล่มนี้ ดูเหมือนจะมีจิตวิญญาณ บินไปมาด้วยหางเปลวเพลิงด้วยความเร็วที่เร็วมาก มีร่องรอยบนกระบี่ที่มองเห็นไม่ชัด พลังแห่งกฎเพลิงอัคคีและพลังกฎแห่งห้วงกระบี่ซ่อนอยู่
จากนั้นหลัวซิวก็เห็นโล่อีกอันหนึ่ง ซึ่งมีร่องรอยของพลังแห่งกฎด้วย ทำให้รู้สึกเหมือนภูเขาที่ไม่อาจทำลายได้ ไม่แตกหัก และมั่นคง
“สมบัติทุกอย่างที่นี่ ประเมินค่าไม่ได้!”
หลัวซิวมองแค่สองอย่างเท่านั้น ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกมีอึ้ง เพราะมีกลุ่มแสงหลายร้อยกลุ่มบินวนอยู่กลางอากาศทั่วทั้งห้อง
กลุ่มแสงเหล่านี้บางกลุ่มเป็นอาวุธ บางกลุ่มเป็นสิ่งของแปลก ๆ แต่ไม่มีข้อยกเว้นว่าต่างมีร่องรอยของพลังแห่งกฎ และสมบัติที่สามารถมีพลังแห่งกฎได้นั้นอย่างน้อยก็เป็นสมบัติระดับเจ้ายุทธจักรขั้น 9 !
งั้นก็หมายความว่าในห้องของวังเต๋า มีสมบัติวิเศษหลายร้อยชิ้น!
ถ้าเลือกทีละอัน หลัวซิวประเมินว่าเขาจะไม่สามารถดูได้หมดภายในสี่ชั่วโมง
ดังนั้นหลัวซิวไม่ใช้สายตาดู แต่ปล่อยตัวสำนึกของตนออกมา เพื่อสัมผัสถึงรัศมีแห่งกฎที่เหมาะกับตน
สำหรับหลัวซิว กฎการเวียนว่ายตายเกิดเป็นพื้นฐาน แม้ว่าเขาจะมีภูตอัคคีที่แข็งแกร่งก็ตาม แต่เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว เขาสนใจเกี่ยวกับความเข้าใจจากกฎการเวียนว่ายตายเกิดมากกว่า
ทันใดนั้น ตัวสำนึกของหลัวซิวก็หยุดนิ่งอยู่ที่ประตูทองแดงขนาดเล็กและละเอียดอ่อน ประตูทองแดงนี้ดูเหมือนจะมีขนาดเท่าฝ่ามือห่อหุ้มด้วยแสงสีเงินที่สรัว
หลัวซิวสัมผัสได้ถึงพลังแห่งกฎโซนจากร่องรอยพลังแห่งกฎประตูทองแดง
“พลังแห่งกฎโซนเป็นพลังแห่งกำที่สูงส่งที่สุด สมบัติที่มีร่องรอยของพลังแห่งกฎระดับสูงส่งนั้นประเมินค่าไม่ได้”
ตัวสำนึกของหลัวซิวหยุดอยู่ที่ประตูทองแดงเพียงครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็มองหาสมบัติอื่นต่อไป เพราะแม้ว่าพลังแห่งกฎโซนจะไม่เลว แต่ถ้าเขาต้องการฝึกฝน เว้นแต่ว่าต่อจากนี้ไปเขาจะเปลี่ยนไปฝึกฝนวิชาล่องหนไท่เสวียน
สำหรับหลัวซิวไม่ว่าจะเป็นวิชายิ่งเลิศของไท่เสวียน หรือภูตอัคคีฟ้าดิน สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นวิธีเสริมเท่านั้น เข้าทิ้งวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพไปแล้วไปฝึกวิชาอื่นไม่ได้
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าหลัวซิวจะฝึกฝนกฎการเวียนว่ายตายเกิดเป็นหลัก แต่วิธีการอื่นๆ จะไม่กลายเป็นเครื่องประดับ เช่นภูตอัคคีเปลวเยือก เพราะเป็นเปลวไฟที่ฟ้าและดินหล่อเลี้ยงมา มีพลังแห่งกฎซ่อนอยู่ในตัวอยู่แล้ว เปลวไฟแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง พลังแห่งกฎที่ซ่อนอยู่ก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 663
“วังเต๋าคือสถานที่อะไร?” หลัวซิวเหลือบมองผู้คนรอบตัวเขา
“ตามที่อาจารย์ของข้ากล่าว วังเต๋าได้รวบรวมสมบัติร่องรอยพลังแห่งกฎ สามารถเลือกพลังแห่งกฎที่เหมาะกับตนเพื่อทำความเข้าใจได้” ลู่เมิ่งเหยาเดินอยู่ข้างหลัวซิว และอธิบายให้เขาฟังผ่านตัวสำนึก
“มีสมบัติที่สามารถทำความเข้าใจพลังแห่งกฎจริงหรือ?” ดวงตาของหลัวซิวเป็นประกาย
แม้ว่าเขาจะเข้าใจกฎการเวียนว่ายตายเกิดเล็กน้อยแล้ว แต่เขาก็ยังไม่เชี่ยวชาญการควบคุมพลังแห่งกฎในขั้นต้นด้วยซ้ำ เขาทำได้แค่ยืมพลังแห่งกฎเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งเท่านั้นเอง
เขาได้ทำความเข้าใจภาพที่สี่ของวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพผังกฎดั้งเดิม แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจประเด็นเสียที และเขาไม่สามารถเข้าใจกฎการเวียนว่ายตายเกิดต่อไปได้อีก
“อาจารย์เคยมาฝึกตนที่แดนศักดิ์สิทธิ์ เมื่อครั้งยังเยาว์วัย ว่ากันว่าผู้ที่ทิ้งร่องรอยของพลังแห่งกฎเหล่านี้ไว้คือผู้แข็งแกร่งของเผ่าพันธุ์มนุษย์ของเรา และบางส่วนเป็นขุมทรัพย์โดยกำเนิดที่สวรรค์และโลกหล่อเลี้ยงไว้ ซึ่งประกอบด้วยความลึกลับของพลังแห่งกฎ” ลู่เมิ่งเหยากล่าว
จากเจ้าลักษณะพลังแห่งกฎ เป็นธรณีประตูที่ใหญ่โต พูดได้โดยไม่มีความลังเลใจว่ามันเป็นเหมือนปลาคาร์ฟและมังกรที่แท้จริง
จากเวลาตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน นักยุทธ์ส่วนใหญ่ติดอยู่ในระดับนี้ และเพียงไม่กี่คนที่สามารถเข้าใจพลังแห่งกฎ คนส่วนใหญ่เข้าใจพลังแห่งกฎธรรมดาเท่านั้น ผู้ที่สามารถเข้าใจและเชี่ยวชาญพลังแห่งกฎระดับสูง น้อยมากนัก
พลังแห่งกฎยิ่งแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเข้าใจยากขึ้นเท่านั้น วิถีแห่งสวรรค์ยุติธรรมเสมอ
และหลัวซิวยืนยันเรื่องนี้เป็นการส่วนตัว แม้จะมีความช่วยเหลือจากลูกแก้วความเป็นตาย ความเข้าใจของเขาเกี่ยวกับกฎการเวียนว่ายตายเกิดนั้นก็ช้ามาก หากไม่ใช่เพราะบรรลุแดนจักรพรรดิยุทธ์แล้วได้รับกฎดั้งเดิม ผ่านไปอีกหลายปี เขาอาจไม่สามารถเข้าใจผังกฎดั้งเดิมแผ่นที่สามอย่างถ่องแท้ได้
ตามหลังชายชุดม่วงไป ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ชายชุดม่วงที่อยู่ข้างหน้าก็หยุดลงกระทันหัน ประตูหินก็ปรากฏขึ้นข้างหน้า บนนั้นแกะสลักไว้ว่า ‘วังเต๋า’
ชายชุดม่วงค่อยๆ หันไปมองทุกคน “ตามกฎแล้ว เวลาฝึกของแต่ละคนจะถูกแบ่งตามอันดับการแข่งขัน ตอนนี้คนที่ได้อันดับหนึ่งในการแข่งขันสามารถเข้าไปก่อนได้”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ หลัวซิวก็ก้าวออกมาทันที และคนอื่นๆ ที่มาพร้อมเขาก็มองเขาด้วยสายตาที่ซับซ้อนอย่างแปลกๆ
เมื่อเห็นหลัวซิวเดินออกมา ชายชุดม่วงอึ้งเล็กน้อย ด้วยผลการฝึกตนของเขา เขาเพียงชำเลืองมองก็สามารถเห็นผลการฝึกตนของชายหนุ่มวัย 20ปี ได้
“คนที่มีผลการฝึกตนต่ำที่สุดได้อันดับหนึ่งหรือ?”
ชายชุดม่วงอึ้งไปชั่วขณะก็รู้สึกตัว ยกมือและโบกมือ ประตูหินของวังเต๋าก็เปิดออก
“เข้าไปเถอะ”
หลัวซิวคำนับชายชุดม่วงแล้วเดินเข้าไปในประตูหิน
หลังจากที่หลัวซิวเข้าสู่วังเต๋า ชายในชุดม่วงก็มองไปที่คนอื่นๆ “ผู้ที่ได้อันดับสอง ต้องรอสี่ชั่วโมงถึงจะเข้าไปได้”
ในเวลาเดียวกัน หลัวซิวที่เพิ่งเข้ามาในวังเต๋า ก็ถูกสิ่งที่เห็นในวังดึงดูดความสนใจเป็นอย่างมาก
วังเต๋า เป็นห้องที่กว้าง ห้องค่อนข้างสลัวและมีแสงสีต่าง ๆ ลอยอยู่กลางอากาศลอยไปมา เหมือนดาวตก
“พ่อน้อย ในฐานะที่เป็นอันดับหนึ่งในการแข่งขันของแดนศักดิ์สิทธิ์ เจ้ามีเวลาสี่ชั่วโมงในการเลือกพลังแห่งกฎที่เจ้าต้องการทำความเข้าใจ” เสียงที่ไม่มีอารมณ์แม้แต่น้อยดังเข้ามาในหูของหลัวซิว
“ถ้าเจ้ายังไม่ได้ตัดสินใจภายในสี่ชั่วโมง คนที่ได้อันดับสองในการแข่งขันสามารถเข้าไปในวังเต๋าเพื่อทำการเลือกได้”
“ถ้าเจ้าเลือกพลังแห่งกฎอย่างหนึ่งมาทำความเข้าใจ คนที่เข้ามาภายหลัง จะต้องเลือกพลังแห่งกฎอื่นมาทำความเข้าใจเท่านั้น”
“ตอนนี้เจ้าสามารถเลือกได้แล้ว จำไว้ว่าเจ้ามีเวลาแค่สี่ชั่วโมงในกรเลือกก่อนเท่านั้น!…”
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 662
ใบหน้าขนาดใหญ่ที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์มองลงมาจากท้องฟ้าอีกครั้ง จากนั้นอ้าปากหายใจเข้าทันที สูบพลังแห่งกฎที่มีสีสันมากมายเป็นก้อนเข้าไปในปาก
เมื่อเห็นภาพนี้ หลัวซิวและคนอื่นๆ ต่างตกตะลึง นั่นคือพลังแห่งกฎ ยักษ์ตัวนี้กล้าที่จะกลืนมันโดยไม่ต้องกลัวว่าจะแน่นท้องตายหรือ?
แต่เห็นได้ชัดว่ายักษ์นั้นไม่มีเป็นอะไรเลย สีหน้าอิ่มเอมด้วยซ้ำ แสดงให้เห็นว่าความแข็งแกร่งของยักษ์ตัวนี้น่ากลัวเพียงใด
บนกลางภูเขาของภูเขาขนาดใหญ่นี้ เรือรบลงจอดบนแท่นหินกว้าง
“ถึงแล้ว เด็กน้อยลงไปข้างล่างกัน ขอให้พวกเจ้าโชคดี”
เสียงของยักษ์ดังขึ้นอย่างช้าๆ แล้วมือใหญ่ก็พุ่งออกมาจากเมฆ คว้าเรือรบแล้วหดมือกลับเข้าไปในเมฆหมอก
พวกหลัวซิวแหงนหน้าขึ้นมอง เห็นวังสูงตระหง่านบนไหล่เขาสูงหลายสิบเมตร รอบ ๆ วังมีรูปปั้นสี่รูปของเจ้ายุทธจักรที่มีความยาวหลายร้อยเมตร ตั้งตระหง่านและเงียบสงบ
“รูปปั้นสี่เจ้ายุทธจักร น่าจะเป็นสี่มหาอำนาจที่สร้างเมืองศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาเหล่านั้น” มีคนเดา
ในขณะนี้ ร่างหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ มองลงมายังพวกหลัวซิว
นี่คือชายในชุดสีม่วง ร่างกายของเขาปกคลุมไปด้วยแสงพร่ามัว ทำให้ยากต่อการมองเห็น
แต่พวกหลัวซิว รู้สึกได้ถึงสายตาของอีกฝ่ายที่จ้องมองมาที่พวกเขา เป็นเพียงออร่าที่เล็ดลอดออกมาจากสิ่งที่มองไม่เห็น ก็ทำให้ทุกคนรู้สึกกดดันและทำได้เพียงเงยหน้าขึ้นมองเท่านั้น
แม้แต่คนอย่างหวูหยุน กุ่ยโยว ต้าวหวูซิน และซิงหลิงที่ผยองเหล่านั้น ต่างก็ก้มศีรษะลงในใจรู้สึกจนปัญญา
เพราะอัจฉริยะเป็นเพียงอัจฉริยะเท่านั้น ไม่ได้ผู้แข็งแกร่งจริงๆ
ในสถานที่เล็ก ๆ บางแห่ง ระดับมกุฎยุทธ์อาจถูกมองว่าเป็นผู้แข็งแกร่ง แต่บนถนนแห่งโลกยุทธ์ ระดับมกุฎยุทธ์เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น
“พวกเจ้าทั้งหลาย ตามข้ามา” ชายชุดม่วงพูดช้าๆ จากนั้นเขาก็ก้าวขึ้นไปกลางอากาศแล้วเดินไปที่วังขนาดใหญ่ที่อยู่บนกลางภูเขา
ทุกคนไม่พูดอะไร เดินตามหลังชายชุดม่วงไปในวังอย่างเงียบๆ
เดินผ่านทางเดินมากมาย เสียงชราดังมาช้าๆ “พาคนกลุ่มนี้ไปที่วังเต๋า”
เมื่อได้ยินเสียงนี้ ชายชุดสีม่วงที่เดินอยู่ข้างหน้าก็หยุดกะทันหันและกล่าวด้วยความเคารพว่า “ขอรับ!”
“ตามข้ามา” ชายชุดม่วงหันกลับมามองทุกคน แล้วเปลี่ยนทางในอุโมงค์
ออร่าของชายชุดม่วงที่เป็นผู้นำทางที่ปล่อยออกมา ทำให้หลัวซิวรู้สึกถึงกดดัน และเจ้าของเสียงชรา สามารถทำให้ชายชุดม่วงปฏิบัติต่อเขาด้วยความเคารพ ดังนั้นเขาน่าจะเป็นการดำรงอยู่ที่แข็งแกร่งที่สุด
“โลกแสงดาวนั้นกว้างใหญ่และไม่มีที่สิ้นสุด สิ่งที่ข้าได้สัมผัสเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น” หลัวซิวกล่าว
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เขาใช้ชีวิตเฉพาะในพื้นที่โดยรอบของประเทศเทียนหวู คู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดที่เขาพบคือเยว่คงจวินระดับมหายุทธ์ซึ่งมาจากเทือกเขาเหิงหยุน
แต่ด้วยคำเชิญ เขามาเมืองหลัวเทียนจากประเทศเทียนหวู วิสัยทัศน์และความรู้ของเขาก็ขยายออกไปนับไม่ถ้วนในทันใด
“ผู้แข็งแกร่งระดับมหายุทธ์ในโลกแสงดาว นับว่ามีสถานะและตำแหน่งมากแล้ว แต่ในแดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นนำและแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์เหล่านั้นภูมิหลังได้สืบทอดมาเป็นเวลาหลายหมื่นปี ผู้แข็งแกร่งมากมายที่พวกเขาได้ฝึกฝนมานับไม่ถ้วน”
หลัวซิวแอบคาดเดาในใจ เขารู้สึกว่าสิ่งที่เขาเห็นนั้นไม่ใช่ความจริง ในโลกนี้น่าจะมีอีกชั้นหนึ่งที่ซ่อนอยู่ ซึ่งเขาไม่สามารถสัมผัสได้
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 661
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน มีแสงสว่างจ้าปรากฏขึ้นตรงหน้า
แดนศักดิ์สิทธิ์!
ในตำนานเล่าว่านี่คือโซนที่ผู้แข็งแกร่งระดับนิรันดร์สี่ท่านจากเผ่าพันธุ์มนุษย์โบราณร่วมกันสร้างขึ้นมา
หลัวซิวเคยไปแดนปริษนาอื่น ๆมากมาย เดิมทีคิดว่าแดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นล่างอันทรงเกียรตินี้ต้องมีพื้นที่กว้างมาก
แต่เมื่อหลัวซิวเห็นภาพตรงหน้าจริงๆแล้ว ความจริงแตกต่างไปจากความคิดภายในใจของเขาอย่างสิ้นเชิง
พื้นที่ของแดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นล่างไม่ใหญ่ แต่กลับเล็กมาก!
มีภูเขาสูงตระหง่านเพียงแห่งเดียวในพื้นที่ทั้งหมด และมีตำหนักหลายตำหนักอยู่ที่กลางภูเขาและด้านล่างภูเขา ล้อมรอบด้วยหมอกเมฆ ราวกับแดนสวรรค์นอกโลก
“เจ้าเด็กน้อยทั้งหลาย ยืนดีๆ!”
เมื่อทุกคนมองขึ้นไปบนยอดเขาสูงตระหง่าน ทันใดนั้นก็มีเสียงหยาบดังขึ้น ราวกับฟ้าร้องก้องอยู่ในอากาศ
ทันทีที่เสียงนี้เข้ามาในหู สีหน้าของผู้สืบทอดจากแดนศักดิ์สิทธิ์ ต่างเปลี่ยนไป สีหน้าน่าเกรงขามปรากฎขึ้นบนใบหน้าของพวกเขา
แม้ว่าตัวสำนึกจิตวิญญาณของหลัวซิวจะบรรลุถึงระดับมหายุทธ์ เขายังรู้สึกถึงตัวหยั่งรู้สั่นสะเทือน ราวกับว่าภูเขาสูงตระหง่านกำลังกดขี่วิญญาณของเขา ทำให้หายใจลำบาก
“หือ? ต้นกล้าครั้งนี้ต่างไม่เลว มีคนที่ฝึกฝนตัวสำนึกถึงระดับมหายุทธ์แล้วด้วย”
บนท้องฟ้าเหนือศีรษะของทุกคน เมฆกระจายออกไปทีละส่วน เผยให้เห็นใบหน้าขนาดใหญ่ที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์ ราวกับยักษ์ตัวใหญ่ มองดูมดที่อยู่เบื้องล่าง
ทุกคนต่างนิ่งเงียบ เพราะเจ้าของใบหน้าใหญ่โตนี้แข็งแกร่งเกินไป
“โอม!…”
พื้นที่โซนสั่นสะเทือนและเรือรบขนาดใหญ่บุกเข้าไปในอวกาศ ลอยอยู่เหนือศีรษะของทุกคน
“เจ้าหนู ขึ้นเรือได้แล้ว” เสียงหยาบของยักษ์ดังก้องอยู่ในอากาศราวกับฟ้าร้อง
20 คน รวมทั้งหลัวซิว รู้สึกว่าออร่ากดดันได้หายไปจากร่างกายของพวกเขา จากนั้นก็บินขึ้นไปบนท้องฟ้าทีละคนทันทีและหยุดลงบนเรือรบขนาดใหญ่
โครม…
เรือรบแล่นออกไป พื้นที่โซนถูกบดขยี้แตกเป็นเสี่ยงๆ อย่างต่อเนื่อง และด้านหลังเรือรบ มีร่องรอยสีดำปรากฏขึ้น
ในเวลานี้ หลัวซิวสังเกตเห็นว่ามีปราณทิพย์ฟ้าดินพลุ่งพล่านอยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นล่าง!
ถูกต้อง ไม่ใช่พลังจิตฟ้าดิน แต่เป็นปราณทิพย์ฟ้าดิน!
ปราณทิพย์เป็นการดำรงอยู่ขั้นสูงกว่าพลังจิต ในสภาพแวดล้อมที่มีปราณทิพย์อุดมสมบูรณ์นั้น มีประสิทธิภาพมากกว่าการฝึกฝนด้วยพลังจิตมากกว่าสิบเท่า!
“ไม่น่าแปลกใจที่ทุกคนอยากเข้ามาฝึกตนในแดนศักดิ์สิทธิ์” หลัวซิวอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ
แต่ในเวลาเดียวกันหลัวซิวยังพบว่านอกจากตัวเขาเองแล้ว คนอื่นๆ รวมถึงหลี่จ้านและลู่เมิ่งเหยา ยังคงเฉยๆเพราะปราณทิพย์ฟ้าดินที่อุดมสมบูรณ์
เมื่อเห็นแบบนี้ หลัวซิวก็อดที่จะตกตะลึงไม่ได้ ดูเหมือนว่าคนเหล่านี้ต่างเคยฝึกตนในสภาพแวดล้อมที่อุดมไปด้วยปราณทิพย์มาก่อนและพวกเขาคุ้นเคยกันมานานแล้ว
“ไม่น่าแปลกใจเลยที่คนเหล่านี้สามารถฝึกตนบรรลุถึงระดับมกุฎยุทธ์ พวกเขาได้รับการฝึกตนในสภาพแวดล้อมที่อุดมไปด้วยปราณทิพย์ ตั้งแต่วัยเด็ก แม้แต่หมูตัวหนึ่งก็สามารถกลายเป็นอสูรได้หลังจากผ่านไปหลายสิบปี”
ขณะที่เรือรบยังคงลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ทุกคนค้นพบว่าท้องฟ้าในแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ หลังจากทะลวงผ่านชั้นหมอกเมฆ ท้องฟ้ากลับกลายเป็นหลากสี
พลังที่มีสีสันเหล่านี้ บางครั้งจะเปลี่ยนเป็นรูปร่างต่างๆ ซึ่งซ่อนความลึกลับอยู่ไม่รู้จบ
“นี่คือ… พลังแห่งกฎ?” ดวงตาของทุกคนเป็นประกาย รวมถึงอัจฉริยะชั้นนำอย่าง หวูหยุน กุ่ยโยว และต้าวหวูซิน
“ฮ่าฮ่า เด็กน้อยทั้งหลายประหลาดใจมากใช่หรือไม่? ปราณทิพย์ทั้งหมดในแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นมาจากพลังแห่งกฎเหล่านี้ และแดนศักดิ์สิทธิ์ถูกปกคลุมไปด้วยพลังแห่งกฎ ฝึกตนอยู่ที่นี่ จะทำคววามเข้าใจความลึกลับของพลังแห่งกฎง่ายกว่า ทำให้ห้วงยุทธ์ก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดด”
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 660
อย่างไรก็ตาม ทุกคนก็มองออกว่าหลัวซิวต่อสู้กับศัตรูด้วยมือเดียว มืออีกข้างจับเจียงหวูจี้ไว้
“ปล่อยศิษย์น้องของข้าไป เรื่องนี้ก็จบลง” กุ่ยโยตะคอก ขมวดคิ้ว
“เจ้าบอกให้ปล่อยก็ปล่อยหรือ? เจียงหวูจี้คนแอบลักลอบโจมตีข้าก็ช่างแล้วหรือ?” หลัวซิวเยาะเย้ย
“เจ้าได้สั่งสอนบทเรียนให้กับเขาแล้ว อย่ามากเกินไปนะ” ดวงตาของกุ่ยโยวเย็นเฉียบ
หลัวซิวไม่แยแส “อยากให้ข้าปล่อยเขาไม่ใช่ว่าไม่ได้ แต่อย่างน้อยเจ้าต้องแสดงความจริงใจบ้าง?”
หลัวซิวก็รู้ว่าร่างยุทธ์แดนศักดิ์สิทธิ์ขั้นปฐมภูมินั้นไม่ใช่พลังทั้งหมดของกุ่ยโยว อีกฝ่ายเพียงแค่ไม่ต้องการเปิดเผยความแข็งแกร่งของตนต่อหน้าหวูหยุนและคนอื่น ๆ ดังนั้นเขาจึงสงวนไว้
อย่างน้อยรัศมีอันตรายในร่างกายของเจียงหวูจี้ ทำให้เขารู้สึกว่าถูกคุกคาม ไพ่ตายของกุ่ยโยวจะต้องแข็งแกร่งกว่า
“กล้าต่อรองกับข้า กุ่ยโยว ข้าต้องชื่นชมความกล้าหาญของเจ้า” กุ่ยโยวหัวเราะอย่างโกรธจัด “เจ้าต้องการความจริงใจแบบไหน?”
“ยากลายร่างมังกรหนึ่งเม็ด” หลัวซิวพูดด้วยความโลภ
เดิมทีคิดว่าถ้าเขาขอยากลายร่างมังกรหนึ่งเม็ด กุ่ยโยวจะต้องต่อว่าเขาโลภอย่างโมโห แต่สิ่งที่หลัวซิวคาดไม่ถึงก็คือกุ่ยโยวเพียงแค่โยนขวดหยกมาให้อย่างง่ายดาย
สิ่งนี้ทำให้หลัวซิวตะลึงเล็กน้อย อัจฉริยะจากแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ ร่ำรวยและใจป้ำเช่นนี้เลยหรือ?
เอื้อมมือไปรับขวดหยก ตัวสำนึกของหลัวซิวตรวจสอบ ยืนยันว่ายากลายร่างมังกรอย่างไม่ต้องสงสัย แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่อีกฝ่ายหนึ่งจะทำเล่ห์เหลี่ยมภายใต้สายตาของปรมาจารย์กลั่นยาของเขา ไม่ต้องพูดถึงตำแหน่งของกุ่ยโยว ไม่ถึงกับทำแบบนี้
ในเมื่อได้ยากลายร่างมังกรหนึ่งเม็ดมาแล้ว หลัวซิวก็โยนเจียงหวูจี้ในมือออกไปทันที
“ไอ้สารเลว ข้าจะฆ่าแก!” ดวงตาของเจียงหวูจี้แดงก่ำ เจตนาฆ่าน่ากลัว แสงสีเลือดสองสว่างจากจุดตันเถียน จะใช้ไพ่ตายของเขาเพื่อฆ่าหลัวซิว
“หุบปาก!” ทำให้ทุกคนประหลาดใจก็คือ กุ่ยโยวเงื้อมมือตบหน้าเจียงหวูจี้ ร้อมตะคอก “เจ้ายังขายหน้าไม่พออีกหรือ?”
เจียงหวูจี้ถูกตบหน้าจนงุงงงไปเล็กน้อย “ศิษย์พี่ ทำไมเจ้าถึงตบข้า?”
กุ่ยโยวเยาะเย้ย “เจ้าคิดว่าเจ้าใช้ไพ่ตายก็สามารถจัดการเขาได้หรือ? เขาไม่มีไพ่ตายหรือไง? นี่ไม่ใช่ภายนอก แต่เป็นประตูแห่งความโกลาหลที่เชื่อมต่อแดนศักดิ์สิทธิ์ ถ้าเจ้าตายอยู่ที่นี่ อย่าโทษข้าที่ไม่ได้เตือนเจ้า!”
หลังจากพูดจบ กุ่ยโยวก็หันหลังและจากไป
สีหน้าของเจียงหวูจี้เปลี่ยนไปมา มองหลัวซิวด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความแค้นชั่วร้าย จากนั้นเดินตามกุ่ยโยวไปทันที
ในประตูแห่งความโกลาหลที่นำไปสู่แดนศักดิ์สิทธิ์ หลัวซิวและกุ่ยโยวต่อสู้กันในเวลาสั้น ๆ ทำให้ผู้สืบทอดที่ผยองเหล่านี้จากแดนศักดิ์สิทธิ์ ต้องประเมินความแข็งแกร่งของหลัวซิวอีกครั้ง
“เป็นไปได้ไหมว่าเขาซ่อนความแข็งแกร่งของเขาไว้ในระหว่างการแข่งขัน?” ร่างของซิงหลิงถูกปกคลุมไปด้วยแสงของดวงดาวหลากสีสัน ความปั่นป่วนในอวกาศนับไม่ถ้วนพุ่งเข้าหาเขา แต่ถูกแสงดาวขวางอยู่ด้านนอกไม่สามารถทำร้ายเขาได้แม้แต่น้อย
หลายคนรอบตัวเขาพยักหน้า และไม่มีใครคิดว่าผลการฝึกตนของหลัวซิวจะเพิ่มขึ้นมากภายในเวลาเพียงสองเดือน
“น่าสนใจขึ้นเรื่อยๆแล้ว” หวูหยุนยิ้มเบา ๆ ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
ต้าวหวูซินจ้องไปที่ร่างของหลัวซิว หลังจากผ่านไปสองเดือน นางพบว่าความรู้สึกอันตรายที่หลัวซิวให้มานั้น รุนแรงขึ้น
ทุกคนเดินไปที่ส่วนลึกของประตูแห่งความโกลาหลต่อไป กระแสโซนที่ปั่นป่วนวุ่นวายไม่สามารถขัดขวางเหล่าอัจฉริยะทั้ง 20 คนได้
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 659
แม้ว่าเขาจะมีไพ่ตายที่ทรงพลัง แต่เขาก็ไม่มีโอกาสได้ใช้มัน เขาก็รู้สึกอึดอัดมาก
ไม่ไกลนัก มีบางคนเห็นการเคลื่อนไหวทางนี้ สีหน้าพวกเขาแตกต่างกันออกไป แม้ว่าหลัวซิวจะได้อันดับหนึ่งจากการแข่งขันมา แต่ก็ไม่มีอะไรสำหรับอัจฉริยะที่อวดดีเหล่านี้จากแดนศักดิ์สิทธิ์ เพราะพวกเขาทุกคนมีไพ่ตายทรงพลังอยู่ในมือของพวกเขา ซึ่งสามารถพลิกสถานการณ์ต่อสู้ในช่วงเวลาวิกฤติได้อย่างง่ายดาย
ในบรรดายี่สิบคน ความแข็งแกร่งของเจียงหวูจี้ สามารถจัดอยู่ในระดับกลางขึ้นไปได้อย่างแน่นอน แต่เขาไม่สามารถต้านทานการโจมตีของหลัวซิวได้
นี่ไม่ใช่การแข่งขันต่อสู้ เจียงหวูจี้ไม่ต้องเป็นกังวลอะไร เหตุใดเขายังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลัวซิว?
“หรือว่าชายคนนี้เป็นผู้แข็งแกร่งจริง ๆ เหรอ?” หลายคนมองหน้ากัน รู้สึกว่าพวกเขาประเมินหลัวซิวต่ำไป
“หยุด!”
เสียงตะโกนอันเย็นชาดังขึ้น ร่างที่ปกคลุมไปด้วยแสงสีดำทองก็ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหน้าหลัวซิว ใช้มีดฝ่ามือฟันไปที่แขนของหลัวซิวที่คว้าเจียงหวูจี้ไว้
แสงสีดำทองทั่วร่างนี้เป็นสัญลักษณ์ของร่างทองของมารศักดิ์สิทธิ์ ตัวตนของผู้ยิงมันชัดเจนในตัวเอง เป็นพี่ชายของ เจียงหวูจี้ คนแรกในรุ่นน้องของ ปีศาจศักดิ์สิทธิ์ที่จะสอน กุ่ยโยว!
มันแตกต่างไปจากเวลาของการแข่งขันอย่างสิ้นเชิง ในขณะนี้ ร่างกายของ กุ่ยโยว เต็มไปด้วยรัศมีที่กว้างใหญ่ราวกับขุมนรก
เช่นเดียวกับที่หลัวซิวคาดเดา กุ่ยโยว ไม่ได้ใช้ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขาเลยในการแข่งขัน
อย่างไรก็ตาม หลัวซิวไม่สนใจ เพราะในช่วงสองเดือนก่อนการเปิดอาณาจักรแห่งความลับ ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นไม่เพียงหลายครั้ง!
ปัง!
เขาฟันมีดฝ่ามือออกชนกับกุ่ยโยว ขณะที่ร่างกายของพวกเขาชนกันอย่างรุนแรง ร่างของทั้งคู่ยืนนิ่งไม่ขยับ
““ร่างยุทธ์ระดับศักดิ์สิทธิ์?”
สีหน้าราบเรียบของกุ่ยโยวเคร่งขรึม ดูประหลาดใจมาก
และหลัวซิวก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยเช่นกัน คาดไม่ถึงว่าแดนร่างเนื้อของกุ่ยโยว จะเป็นร่างยุทธ์ระดับศักดิ์สิทธิ์ ก่อนหน้านี้ที่แข่งขัน เขาแสดงออกมาเป็น แดนมกุฎช่วงปลาย
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าร่างยุทธ์ระดับศักดิ์สิทธิ์ขั้นปฐมภูมิ ถึงจะเป็นแดนร่างเนื้อที่แท้จริงของกุ่ยโยว
ถ้าเขาแสดงพลังระดับนี้ตอนที่แข่งขัน หลัวซิวคาดว่าเว้นแต่ว่าเขาจะใช้พลังแห่งกฎ ไม่อย่างนั้นจะสู้เขาไม่ได้อย่างแน่นอน
กุ่ยโยวคาดไม่ถึงแน่ว่าหลัวซิวสามารถเพิ่มสูงได้มากเช่นนี้ในเวลาเพียงสองเดือน สีหน้าเข้มงวด เขาพูดอย่างเคร่งขรึม “ดูเหมือนว่าทุกคนดูหมิ่นเจ้าไปแล้ว เจ้าเองก็ได้ซ่อนความแข็งแกร่งที่แท้จริงไว้”
ขณะพูด การเคลื่อนไหวของมือของกุ่ยโยวไม่ได้ช้า หมัดและฝ่ามือปล่อยออกไปพร้อมกัน ต่อสู้กับหลัวซิวสิบกว่ากระบวนท่าด้วยเวลาสั้นๆ
บูม!
ในโซนที่ปั่นป่วน หลัวซิวและกุ่ยโยว ได้ต่อสู้กันอย่างดุเดือดอีกครั้ง ครั้งนี้หลัวซิวใช้พลังแปรเสวียนเทียนยี่สิบสี่เท่า กุ่ยโยวถอยหลังออกไปหลายสิบเมตร
เมื่อเห็นฉากนี้ อัจฉริยะอื่นๆ อีกหลายคนจากแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เข้ามาในประตูแห่งความโกลาหลต่างก็ตกตะลึง
พวกเขาสามารถมองออกได้อย่างชัดเจนว่าความแข็งแกร่งที่กุ่ยโยวแสดงออกมานั้นแข็งแกร่งกว่าตอนที่แข่งขัน และดูเหมือนว่าหลัวซิวคนนี้ได้ซ่อนความแข็งแกร่งของเขาในระหว่างการแข่งขัน คนๆนี้เป็นใครกันแน่?
กุ่ยโยวส่งเสียงฮึดฮัดออกมา ก้าวไปข้างหน้าก้าวใหญ่ แสงสีดำทองทั่วร่างกายสว่างยิ่งขึ้น เขาใช้วิชาลับร่างทองมารศักดิ์สิทธิ์
นิกายมารศักดิ์สิทธิ์เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์เพียงแห่งเดียวในอาณาจักรตะวันตก มีวิชาการโจมตีที่ดีที่สุดแน่นอน ไม่ได้แย่ไปกว่าพลังแปรเสวียนเทียน
ทั้งสองต่อสู้ประชิดตัวด้วยร่างเนื้ออย่างรุนแรง ต่อสู้กันเกือบร้อยกระบวนท่า แต่ไม่สามารถทำอะไรกับอีกฝ่ายได้
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 658
เมื่อเห็นว่าคนเหล่านี้เข้าไปแล้ว คนอื่นๆ ก็ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า
หลังจากเข้าสู่ประตูแห่งความโกลาหลแล้ว กระแสความปั่นป่วนจากโซนก็พุ่งเข้ามา กระแสที่ปั่นป่วนกระทบร่างกาย ราวกับค้อนที่ทุบร่างกาย เกิดเสียงทุบ
“ดูเหมือนว่ามันไม่ง่ายอย่างที่คิดที่จะเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เพื่อฝึกฝน” เมื่อมองขึ้นไปที่โซนปั่นป่วนไม่รู้จบที่อยู่ข้างหน้า ดวงตาของหลัวซิวหรี่ลงเล็กน้อย
ความปั่นป่วนของโซนที่นี่ แต่ละผลกระทบของกระแสความปั่นป่วนนั้นเทียบเท่ากับการระเบิดเต็มกำลังจากผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎยุทธ์ช่วงปลายครั้งหนึ่ง
หลัวซิวเห็นว่าหลายคนใช้วิธีการต่อต้านกระแสโซนที่ปั่นป่วนวุ่นวาย บางคนใช้ค่ายกลป้องกัน บางคนสวมชุดเกราะ และบางคนหลบเลี่ยงโดยใช้วิชาการหลบเลี่ยงจากร่างกาย
ในบรรดา 20 คนเหล่านี้ นอกเหนือจากหลัวซิว คนอื่นๆ อาจเป็นอัจฉริยะจากแดนศักดิ์สิทธิ์ หรือเป็นศิษย์ของฉายาเจ้ายุทธจักร ต่างรู้เรื่องที่เกี่ยวกับแดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นล่างจากผู้ใหญ่ ดังนั้นกระแสโซนปั่นป่วนวุ่นวายที่ปรากฎขึ้นในประตูแห่งความโกลาหล ไม่มีสีหน้าที่คาดไม่ถึง
“บูม! บูม! บูม!…”
หลัวซิวก้าวเดินกลางอากาศ ปล่อยให้กระแสโซนที่ปั่นป่วนวุ่นวายกระทบร่างกายเขา แต่ไม่สามารถหยุดเขาไม่ให้ก้าวไปข้างหน้า
หลังจากที่ผลการฝึกตนบรรลุไปสู่ระดับมกุฎยุทธ์ การต่อสู้ทางกายภาพของเขาไม่ได้หยุดอยู่ที่เดิม ตามผลการฝึกตนที่สูงขึ้น ร่างยุทธ์แดนมกุฎช่วงกลางบรรลุถึงช่วงปลาย
ร่างเนื้อที่ถูกกลั่นจากกฎการเวียนว่ายตายเกิด ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน แม้ร่างยุทธ์แดนมกุฎช่วงปลาย ก็เทียบกับร่างยุทธ์ระดับศักดิ์สิทธิ์ขั้นปฐมภูมิได้
เมื่อระดับผลการฝึกฝนเพิ่มขึ้น ความแข็งแกร่งของวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพและปราณเป็นตาย 2 ระดับ ก็สะท้อนออกมาอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น
ในขณะนี้ แสงสีดำพลังแห่งความตายได้คำรามไปทางหลัวซิว
ตัวสำนึกของหลัวซิวรับรู้ตั้งแต่เริ่ม ร่างของเขาหลบอย่างรวดเร็วก็หลีกเลี่ยงแสงสีดำ เงยหน้าขึ้นมองพร้อมขมวดคิ้ว “เจียงหวูจี้ เจ้าลักลอบโจมตีข้า?”
คนที่ยิงแสงสีดำโจมตีหลัวซิว เป็นอัจฉริยะจากนิกายมารศักดิ์สิทธิ์ เจียงหวูจี้
“ข้าลักลอบโจมตีเจ้า แล้วยังไงล่ะ? ข้ากล่าวไว้แล้วว่าวิชาของเจ้า ข้าต้องได้มา!”เจียงหวูจี้หัวเราะเสียงดัง
“แม้ว่าเจ้าจะชนะอันดับหนึ่งจากการแข่งขันมา แต่ข้าไม่สามารถใช้วิธีการต่างๆ ของข้าในการแข่งขัน และศิษย์พี่กุ่ยโยว จงใจยอมให้เจ้า มิฉะนั้นเจ้าคิดว่าเจ้ายังสามารถยืนอยู่ที่นี่ได้หรือ?”
เจียงหวูจี้หัวเราะอย่างเย็นชาและร่างของเขาก็เปลี่ยน พลังมารแห่งความตายหมุนวนอยู่รอบกาย กลายเป็นมังกรมาร คำรามพร้อมพุ่งไปยังหลัวซิว
“ไม่เจียมตัว!”
หลัวซิวเยาะเย้ย ร่างเนื้อซึ่งเทียบได้กับแดนศักดิ์สิทธิ์ร่างยุทธ์ขั้นปฐมภูมิ ปล่อยหมัดออกไปหมัดหนึ่ง
บูม!
เกิดเสียงดังลั่น ผลที่ตามมาคือกระแสโซนปั่นป่วนวุ่นวายใกล้เคียงได้บดขยี้แตกสลาย และมังกรมารของเจียงหวูจี้ ถูกหมัดของหลัวซิวต่อยจนสลายไป ร่างพุ่งถอยหลังไป เลือดพุ่งออกจากปากของเขา
“เจ้าหาที่ตาย!”
เจียงหวูจี้โกรธจัด รัศมีอันตรายปรากฏอยู่ในร่างกายของเขา
หลัวซิวรู้ว่าอัจฉริยะเหล่านี้จากแดนศักดิ์สิทธิ์มีไพ่ตายที่แข็งแกร่ง และสัมผัสได้ถึงรัศมีอันทรงพลังที่เกือบรู้สึกไม่ได้ในร่างกายของเจียงหวูจี้ เขาไม่คิดที่จะให้อีกฝ่ายใช้
แปรง!
ร่างของเขาหายไปในทันทีและปรากฏตัวต่อหน้าเจียงหวูจี้
เจียงหวูจี้ต้องการถอยกลับ แต่ความเร็วของเขาไม่เร็วเท่าหลัวซิว หลัวซิวคว้าแขนของเขาแล้วร่างของเขาก็บินขึ้นไปในอากาศ หลัวซิวกระแทกไปมาเหมือนหุ่นไล่กา
ในประตูแห่งความโกลาหลเต็มไปด้วยกระแสโซนปั่นป่วนวุ่นวาย และในช่วงครู่หนึ่ง เจียงหวูจี้ถูกหลัวซิวกระแทกไปมา ลมหายใจของเขาอ่อนแอลงเรื่อยๆ
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 657
“ค่ายวาร์ป?”
รู้สึกถึงการบิดเบือนของพลังแห่งโซนโดยรอบ ร่างของหลัวซิวหายไปในทันที ความรู้สึกของการหมุนมาถึง และในวินาทีต่อมาเขาก็ปรากฏตัวในหุบเขาที่เต็มไปด้วยเสียงนกและดอกไม้
หุบเขานี้เต็มไปด้วยหญ้า ต้นไม้ ดอกไม้ และพืชอยู่ทุกหนทุกแห่ง พลังจิตมากมาย ใจกลางหุบเขา มีแท่นหินทรงกลมขนาดใหญ่ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางอย่างน้อย 800 เมตร และมีค่ายกลอักษรโบราณนับไม่ถ้วน สลักไว้บนนั้น
“นี่เป็นค่ายวาร์ปหนึ่ง?” หลัวซิวเดินตามเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวไปข้างหน้าและรู้จักแค่เพียงว่านี่เป็นค่ายวาร์ป แต่เขาไม่เข้าใจหลักการเฉพาะ
ค่ายวาร์ปขั้นพื้นฐานที่สุดคือค่ายวาร์ปขั้น 5 ตราบใดที่ระดับการสร้างค่ายกลถึงขั้น 5 สามารถนำวัสดุบางอย่างมาสร้างค่ายวาร์ประยะสั้นได้
เพียงแต่ว่าค่ายวาร์ประดับ 5 นี้ นี้มีข้อจำกัดอย่างมาก ในบางพื้นที่ที่มีพลังจิตฟ้าดินมากมายไม่สามารถสร้างค่ายกลได้ เพราะที่ที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพลังจิตฟ้าดิน โซนจะมั่งคงเสถียรและพลังที่ถูกกระตุ้นด้วยค่ายวาร์ประดับ 5 ไม่สามารถส่งผ่านในพื้นที่ที่เสถียรเกินไป
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมจึงมีค่ายวาร์ป ระดับ 5 จำนวนมากในประเทศเทียนหวู และเทือกเขาเหิงหยุนที่มีพลังจิตฟ้าดินมาก แทบไม่มีค่ายวาร์ปอยู่เลย
นอกเหนือจากค่ายวาร์ประดับ 5 แล้ว ค่ายวาร์ประดับสูง ยังต้องการความเข้าใจอย่างสูงเกี่ยวกับพลังแห่งโซน แม้แต่ในสมัยโบราณ นักค่ายกลเพียงไม่กี่คนที่สามารถสร้างค่ายวาร์ปได้
ค่ายวาร์ปดังกล่าว จะถูกส่งไปยังที่ไหน?
แม้ว่าหลัวซิวจะฝึกฝนด้านค่ายวาร์ปค่อนข้างน้อย แต่เขาก็ยังมีความรู้ที่เกี่ยวข้อง
โดยทั่วไปค่าลกลที่ยิ่งซับซ้อน ค่ายกลที่ยิ่งใหญ่ ระยะส่งยิ่งก็จะยิ่งไกลขึ้นเท่านั้น ค่ายกลซับซ้อนและอักษรรูนจะพัวพันกันเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของโซนที่ไปไหนมาไหนและความเร็วของโซน
“ฮิฮิ หวูชิว เจ้ามาเร็วจัง”
ในขณะนี้ ก็มีเสียงหัวเราะยาวดังขึ้น ร่าง 2 ร่างปรากฏตัวขึ้นในหุบเขานี้ พวกเขาคือเจ้ายุทธจักรพลานุภาพ ต้วนฉือเทียน และหลี่จ้าน
หลี่จ้าน พ่ายแพ้ให้กับหลัวซิว และหยุดอยู่ในสิบอันดับแรก แต่ก็ไม่ยากเลยที่ด้วยความแข็งแกร่งของเขาจะได้ตำแหน่งสิบอันดับถัดไป
หลังจากที่เจ้ายุทธจักรพลานุภาพ ต้วนฉือเทียนปรากฏตัวพร้อมกับหลี่จ้าน คนอื่น ๆ จากทุกทิศทางก็มาถึงหุบเขานี้ผ่านทางค่ายวาร์ป
เจ้ายุทธจักรอัคคี เจ้ายุทธจักรพลานุภาพ เจ้ายุทธจักรหยกนารา เจ้ายุทธจักรมรณา เมืองศักดิ์สิทธิ์สี่เมืองใหญ่จากแดนศักดิ์สิทธิ์ ได้ขึ้นไปบนแท่นค่ายกลขนาดมหึมาด้วยกัน
เห็นเพียงสี่เจ้ายุทธจักรได้หยิบลูกแก้วออกมา และลูกปแก้วทั้งสี่นี้สอดคล้องกับ ดิน ลม น้ำ ไฟ พลังแห่งกฎทั้งสี่ของฮวงจุ้ย และไฟ และฝังลงไปในร่องของแท่นค่ายกันเป็นระดับ
ลูกแก้วทั้งสี่ของฮวงจุ้ยนี้ไม่ธรรมดา หลัวซิวสามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนของออร่าของพลังแห่งกฎได้อย่างชัดเจนราวกับว่ามีความลึกลับที่ไม่มีที่สิ้นสุดของพลังแห่งกฎทั้งสี่
บูม!
หลังจากฝังลูกแก้วทั้งสี่เม็ดแล้ว กระแสลมสีเทาก็พุ่งออกมาจากแท่นค่ายกลและพุ่งตรงขึ้นไปบนท้องฟ้า
กระแสลมสีเทาเหล่านี้ทำให้เกิดบรรยากาศที่วุ่นวาย ควบแน่นอยู่ในอากาศ กลายเป็นแรงกดดันมหาศาล ทำให้ผู้คนจำนวนมากรู้สึกทนไม่ได้
บูม!
ทันใดนั้น แท่นค่ายวาร์ปขนาดใหญ่ก็สว่างไสว ประตูสีเทาแห่งความโกลาหลก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ
“20 คนที่เข้าไปฝึกตนในแดนศักดิ์สิทธิ์ ตอนนี้สามารถเข้าไปได้แล้ว” เสียงของเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิว ดังเข้ามาในหูของทุกคนที่อยู่ที่นั่น
ก่อนที่เสียงของเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวจะเงียบลง ผู้สืบทอดของแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ทั้งสี่ได้มีการเคลื่อนไหวแล้ว นำโดย หวูหยุน กุ่ยโยว ต้าวหวูซินและซิงหลิงทั้งสี่ ร่างกายเข้าไปสู่ประตูแห่งความโกลาหล
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 656
“ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของข้า ข้าสามารถเอาชนะระดับแดนมหายุทธ์ขั้นปฐมภูมิได้อย่างง่ายดาย”
หลัวซิวทำความเข้าใจความลึกลับของระดับแดนมกุฎยุทธอย่างละเอียดรอบคอบ ก่อนหน้านี้เขาไม่สามารถเข้าใจอาณาจักร เขารู้สึกว่าตอนนี้เขาสามารถทำได้
ด้านพลังอาณาจักร โดยทั่วไปมีเพียงถึงระดับมหายุทธ์วิธีการเดียวที่สามารถเชี่ยวชาญได้ และหลัวซิวเพิ่งบรรลุระดับมกุฎยุทธ์ ใช้โอกาสในการบรรลุ ข้ามขั้นตอนนี้ไปโดยตรง
และถ้าเขาใช้พลังแห่งกฎ สิ่งที่เขาใช้ยังไม่ใช่พลังอาณาจักร แต่เป็นพลังอาณาจักรแห่งกฎ!
อาณาจักรที่เกิดจากกฎการเวียนว่ายตายเกิด ภายในอาณาจักร เว้นแต่จะเป็นผู้แข็งแกร่งระดับมหายุทธ์ช่วงกลางขึ้นไป ไม่เช่นนั้นชีวิตก็จะอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา!
หลังจากคำนวณเวลาแล้ว ยังมีเวลาอีกหลายวันก่อนการเปิดแดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นล่าง ดังนั้นหลัวซิวจึงใช้เวลาที่เหลือเพื่อรวมผลการฝึกตนที่เขาเพิ่งบรรลุ
ในเวลาเดียวกัน เขาได้กลั่นแปรกระบี่เสวียนยวนอย่างสมบูรณ์ และในขณะเดียวกันก็ทำความเข้าใจวิชาหลอมอัคคี ลองหลอมรวมภูตอัคคีกลืนกินกับภูตอัคคีเปลวเยือกเข้าด้วยกัน
หลังจากนั้นผ่านไปหลายวัน หลัวซิวเดินออกจากห้องปิดกั้นฝึกตน เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวนั่งอยู่ในตำหนัก
“ระดับแดนมกุฎยุทธ์แล้วหรือ?” เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวมองหลัวซิวและรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงพลังจิตแท้ของเขาโดยธรรมชาติ
หลัวซิวยิ้มและพยักหน้า สำหรับพวกอัจฉริยะ ผลการฝึกตนระดับแดนมกุฎยุทธ์นั้นไม่มีอะไรเลย เพราะทรัพยากรและความสามารถของเหล่าอัจฉริยะจากแดนศักดิ์สิทธิ์นั้น นักยุทธ์ธรรมดาไม่สามารถเทียบได้ เช่นยากลายร่างมังกรเม็ดหนึ่ง นักยุทธ์ธรรมดาใช้ทรัพย์สินทั้งหมดก็ไม่สามารถซื้อได้ และสำหรับเหล่าอัจฉริยะเหล่านั้นจากแดนศักดิ์สิทธิ์ ตราบใดที่ผลการฝึกตนของพวกเขาถึงระดับหนึ่ง ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จะมอบให้หนึ่งเม็ด หรือมากกว่านั้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เช่น กุ่ยโยว ต้าวหวูซิน หวูหยุนและซิงหลิงสี่คนนี้ พวกเขาใช้ทรัพยากรที่ดีที่สุดเพื่อฝึกฝนทุกวันและพวกเขายังฝึกฝนวิชายิ่งเลิศระดับสูงสุดอีกด้วย มีปัญหาด้านการฝึกตน ก็จะมีผู้แข็งแกร่งระดับแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ จะสอนเป็นการส่วนตัว พวกเขาคือผู้ที่สามารถยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลกแสงดาวได้ในอนาคต
เพราะถึงแม้จะเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ ไม่ว่าทรัพยากรจะมั่งคั่งเพียงใด ก็ไม่สามารถสูญเปล่าให้กับคนที่ไม่จำเป็น แต่จะเน้นที่การฝึกฝนอยู่ที่คนเพียงไม่กี่คนที่มีความสามารถโดดเด่น
สำหรับกุ่ยโยวและหวูหยุนนั้น หลัวซิวไม่ได้อิจฉาพวกเขา เพราะการได้เข้าร่วมในดินแดนศักดิ์สิทธิ์และการได้การฝึกฝนอย่างดีจากแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นก็เป็นโอกาสอย่างหนึ่ง
บนเส้นทางแห่งการฝึกตน พรสวรรค์เป็นสิ่งสำคัญ แต่บางครั้งโอกาสก็สำคัญกว่าพรสวรรค์
และถึงแม้ว่าหลัวซิวจะไม่มีทรัพยากรที่แดนศักดิ์สิทธิ์จัดหาให้ แต่เขาไม่เคยคิดว่าโอกาสของเขาจะต่ำกว่า เพราะตั้งแต่แรกเริ่ม เขาได้รับขุมทรัพย์สิ่งล้ำค่าแห่งกฎดั้งเดิม – ลูกแก้วความเป็นตาย!
เมื่อระดับการฝึกตนสูงขึ้นเรื่อย ๆ ระดับที่ หลัวซิวได้รับก็กว้างขึ้นเรื่อย ๆ และเขารู้สิ่งต่าง ๆ มากขึ้น
ในการรับรู้ของนักยุทธ์ส่วนใหญ่ ระดับแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์เป็นขีดจำกัดของการฝึกตนแล้ว
แต่ในความเป็นจริง เหนือมหาจักรพรรดิยุทธ์ ยังมีแดนนิรันดร์ และหนึ่งในข้อกำหนดเบื้องต้นสำหรับการเข้าสู่แดนนิรันดร์คือได้รับการยอมรับจากกฎดั้งเดิม
ลูกแก้วความเป็นตายกลายมาจากกฎดั้งเดิม กล่าวได้ว่าลูกแก้วความเป็นตาย เป็นที่มาของกฎการเวียนว่ายตายเกิด อย่างนี้แล้ว ลูกแก้วความเป็นตายคือสมบัติล้ำค่าที่สุดในโลกอย่างแน่นอน
มีสมบัติล้ำค่าอยู่ในมือ หลัวซิวเชื่อว่าวันหนึ่งเขาจะสามารถบรรลุถึงจุดสูงสุดของโลกยุทธ์ได้
ตามหลังเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิว หลัวซิวออกจากสำนักหลัวเทียน บนแท่นหินที่ลอยอยู่หน้าสำนักหลัวเทียน เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวยกมือผนึกวิชา พื้นที่บนแท่นหินเป็นประกายด้วยค่ายกลอักษร
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 655
ครั้งนี้ยาที่หลัวซิวกลั่นคือยาที่สามารถทานร่วมกับยากลายร่างมังกรได้ ด้วยวิธีนี้ สรรพคุณทางยาของยากลายร่างมังกรสามารถขยายได้สูงสุด
หนึ่งชั่วโมงต่อมา เมื่อการกลั่นยาเสร็จสิ้น หลัวซิวก็หยิบยากลายร่างมังกรออกจากขวดหยกและพูดกับตัวเองว่า “ผลการฝึกตนระดับจักรพรรดิยุทธ์ใช้ยากลายร่างมังกรมาช่วยในการฝึกฝน คงไม่มีใครในโลกที่ฟุ่มเฟือยมากกว่าข้าแล้วมั้ง?”
ต้องบอกว่าแม้หลัวซิวไม่ได้ให้ความสำคัญกับยากลายร่างมังกรมากเกินไป
ปรับสถานะของตนให้อยู่ในระดับสูงสุด หลัวซิวใส่ยากลายร่างมังกรและเม็ดยาที่เขาเพิ่งกลั่นเข้าไปในปากของเขา
เม็ดยาละลายในปากทันที และพลังยาก็พุ่งพล่านอยู่ในร่างกาย
ยากลายร่างมังกรเพียงพอแล้วที่จะทำให้ผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎยุทธ์ขั้น 9 สามารถทะลุสู่ระดับแดนมหายุทธ์ได้โดยไม่มีอุปสรรค ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของพลังงานยา
รู้สึกถึงพลังที่พลุ่งพล่านในร่างกาย สีหน้าของหลัวซิวเต็มไปด้วยความยินดี จากนั้นเขาก็เริ่มหมุนวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพจนถึงขีดจำกัด และดูดซับพลังยากลายร่างมังกรอย่างเมามัน
ในขณะที่หลัวซิวดูดซับพลังการรักษามากขึ้นเรื่อย ๆ พลังจิตแท้ในร่างกายของเขาก็มีพลังและทรงพลังมากขึ้นเรื่อย ๆ
แม้ว่าเขาเป็นแดนจักรพรรดิยุทธ์ แต่ได้ฝึกเป็นร่างทองแล้ว ร่างกายของเนื้อหนังนั้นถูกรวมเข้ากับเทพจิต และตัวสำนึกพลังจิตแท้ถูกเก็บไว้ในทุกตารางนิ้วของเนื้อและเลือด
ในไม่ช้าหลัวซิวก็เข้าสู่สภาวะที่ลืมอย่างไป พลังของยาที่ไม่มีที่สิ้นสุดถูกดูดซับและกลั่นแปร จากนั้นจึงแปรสภาพเป็นพลังจิตแท้เป็นตาย2ระดับ ซึ่งรวมอยู่ในทุกตารางนิ้วของเนื้อและเลือด
ในเวลาเดียวกันกับที่พลังจิตแท้เพิ่มขึ้น วิชากลั่นร่างก็ทำงานเช่นกัน โดยใช้พลังกฎการเวียนว่ายตายเกิดชุบร่างเนื้อ
ในชั่วพริบตา หนึ่งเดือนผ่านไป หลัวซิวค่อยๆลืมตาขึ้น พ่นถอนหายใจขุ่นออกมา
บูม!
มีเสียงคำรามเบาออกมาจากในร่างกาย ราวกับว่าโลกได้สร้างขึ้นมา โซ่ตรวนที่จำกัดผลการฝึกฝนแต่เดิมก็พังทลาย และผลการฝึกตนของเขาก็ทะลวงไปถึงจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 8
พลังยาของยากลายร่างมังกรนั้นแข็งแกร่งมาก แม้จะใช้เวลาหนึ่งเดือนก็ยังไม่ได้กลั่นแปรทั้งหมด
แม้ว่าผลการฝึกตนจะถึงจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 8 แต่พลังยาของยากลายร่างมังกรก็ยังเหลืออยู่มากกว่าครึ่ง
สีหน้าหลัวซิวมีความยินดี ตามที่เขาคาดไม่ผิดสักนิด หากเขาสามารถกลั่นแปรพลังยาทั้งหมดของยากลายร่างมังกรได้ ก็เพียงพอแล้วสำหรับเขาที่จะบุกทะลวงสู่ระดับแดนมกุฎยุทธ์
เมื่อคิดถึงจุดนี้ หลัวซิวจึงตัดสินใจฝึกฝนอยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นล่างก่อนที่แดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นล่างจะเปิด
เวลาผ่านไปอย่างเงียบ ๆ และเมื่อพลังจิตแท้ที่เก็บไว้ในเนื้อหนังถึงขีดจำกัดอีกครั้ง ระดับผลการฝึกตนของหลัวซิวไม่ถูกขัดขวางอีกต่อไป และไปถึงระดับแดนจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 9 อย่างสบายๆ
หลังจากผลการฝึกตนบรรลุระดับแดนจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 9 แล้ว หลัวซิวรู้สึกว่าพลังจิตแท้ของเขาแข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อนหลายเท่า ถ้าเขาเผชิญหน้ากับระดับมหายุทธ์ขั้นปฐมภูมิทั่วไปคนหนึ่ง แม้ว่าจะไม่ได้ใช้พลังแห่งกฎ เขาก็มั่นใจเต็มที่ว่า เขาสามารถฆ่าอีกฝ่ายได้
เขายังคงหมกมุ่นอยู่กับการฝึกตน เมื่อเวลาผ่านไป เวลาที่แดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นล่างจะถูกเปิดก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
ในวันนี้ ในห้องลับที่หลัวซิวปิดกั้นฝึกตน แสงจ้าส่องสว่างทั่วห้อง เห็นเพียงแต่ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยแสงสว่าง และรัศมีในร่างกายของเขาอยู่ที่จุดวิกฤต บางครั้งสูงขึ้น บางครั้งตกลงมา
หลังจากผ่านไปอีกแค่สามวัน แสงสว่างที่ประกายอยู่บนร่างของหลัวซิวก็เก็บเข้าไปร่างกายของเขา และรัศมีอันทรงพลังที่กว้างใหญ่ลึกลับ ได้ผลิบานอย่างเงียบ ๆ อยู่บนร่างกายของเขา
หลัวซิวค่อยๆลืมตาขึ้น รู้สึกว่าเขาสามารถควบคุมปราณเป็นตาย2ระดับได้อย่างง่ายดาย ตามผลการฝึกตนของเขาบรรลุ พลังกฎการเวียนว่ายตายเกิดที่เขาสามารถใช้ได้ก็เพิ่มขึ้น
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 654
หลังจากพูดจบ อาจารย์ของเผ่าหงส์ก็เยาะเย้ยและเดินจากไป
เห็นแผ่นหลังของเหยียนเยว่เอ๋อร์ ถูกเผ่าหงส์บีบบังคับพาไป สีหน้าของหลัวซิวนั้นเย็นชาอย่างยิ่ง
“เผ่าหงส์!” เขากัดฟันแน่นและบอกตัวเองทีละคำในใจ “ความอัปยศในวันนี้จะได้รับการตอบแทนเป็นสิบเท่าในอนาคต!”
“เฮ้อ……”
เสียงถอนหายใจดังเข้ามาในหูของเขา เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวลุกขึ้นจากที่นั่งและเดินมาที่ด้านข้างของหลัวซิว
เห็นเพียงเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวยกมือขึ้นคว้า ลำแสงสีแดงพุ่งออกจากร่างของหลัวซิวมาอยู่บนฝ่ามือของเขา
ลำแสงสีแดงที่ลุกเป็นไฟนี้เป็นพลังจิตแท้นี้ซ่อนตัวอยู่ในร่างกายของหลัวซิว หากไม่ใช่เพราะเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวพบก่อน เกรงว่าหลัวซิวคงไม่รู้ด้วยว่าเขาเสียชีวิตอย่างไร
“ช่างมีจิตใจที่โหดเหี้ยมจริงๆ!” สีหน้าของหลัวซิวยิ่งเย็นเฉียบ
“หัวใจของผู้หญิงมีพิษร้ายแรงที่สุดในโลก จิตใจของเจ้ายุทธจักรหงส์นั้นเหี้ยมโหดมาก นางติดอันดับหนึ่งในสิบระดับเจ้ายุทธจักร” เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวบีบพลังจิตแท้สีเพลิงออกเป็นชิ้น ๆ
“ขอบพระคุณที่ท่านช่วยชีวิตข้า” หลัวซิวขอบเจ้าเขาอย่างจริงใจ เขาไม่พบพลังจิตแท้ที่ซ่อนอยู่ในร่างกายของเขา
“ข้าไม่สามารถช่วยเจ้าให้นางผู้นั้นอยู่ที่นี่ต่อไปได้ เจ้าไม่โทษข้าหรอกหรือ?” เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวมองไปที่หลัวซิว
“ท่านล้อเล่นแล้ส ผู้เยาว์ไม่ใช่คนประเภทที่ไม่แยกแยะถูกผิด” หลัวซิวส่ายหัวและยิ้มอย่างขมขื่น “นอกจากนี้ ผู้เยาว์ยังเข้าใจถึงความยากลำบากของผู้ท่าน สามารถช่วยชีวิตข้าน้อยไว้ได้ ข้าน้อยก็รู้สึกขอบพระคุณท่านแล้ว”
สิ่งที่หลัวซิวพูดนั้นไม่ใช่คำสุภาพใดๆ เขารู้เรื่องบางอย่างเกี่ยวกับเผ่าหงส์
เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวพยักหน้าและกล่าวว่า “แม้ว่าในครั้งนี้ ข้าจะช่วยเจ้าไว้ได้ แต่ในอนาคตเจ้ายังต้องระวังให้มากขึ้น คนจากเผ่าหงส์จะไม่ยอมให้เรื่องนี้ผ่านไปง่ายๆแน่”
“ข้าเข้าใจ” แสงเย็นวาบขึ้นในดวงตาของหลัวซิว เรื่องนี้สำหรับเขาแล้วแม้ว่าเผ่าหงส์ต้องการจะยุติเรื่องนี้ เขาก็จะไม่ให้เรื่องนี้ผ่านไปง่ายๆ
และหลังจากเหตุการณ์นี้ หลัวซิวรู้สึกหมดหนทางและจนปัญญาที่เกิดจากการที่เขาไม่แข็งแกร่งมากพอ ถ้าเขาอยู่ในระดับเจ้ายุทธจักร แม้แต่เจ้ายุทธจักรหงส์ก็จะไม่สามารถพาเยว่เอ๋อร์ไปจากเขาได้
“ข้าแค่หวังว่าเยว่เอ๋อร์จะไม่ได้รับความคับข้องใจใด ๆ เมื่อนางถูกพาตัวไปที่เผ่าหงส์” หลัวซิวถอนหายใจ
เมื่อเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวได้ยิน เขาก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “หญิงสาวผู้นั้นอยู่ที่เผ่าหงส์จะไม่ถูกรังแกแน่ อัจฉริยะที่เลือดหงส์โบราณได้ตื่นขึ้นมา จะเป็นสมบัติของเผ่าหงส์”
แม้ว่ากระดูกในร่างกายของเขาจะแตกเป็นเสี่ยง แต่หลัวซิวก็ฟื้นความคล่องตัวในขณะที่เขาพูด
หลัวซิวกำลังจะบอกลาเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิว เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวกลับส่ายหัวและพูดว่า “เจ้าพักฟื้นอยู่ในสำนักหลัวเทียนเถอะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ใจของหลัวซิวก็กระตุก แม้ว่าเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวจะไม่อธิบาย แต่เขาก็เข้าใจความหมายในนั้น เหตุผลที่ เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวให้เขาพักฟื้นที่สำนักหลัวเทียน ต้องเป็นเพราะหากตอนนี้เขาออกไป เขาจะถูกโจมตีและสังหารโดยคนจากเผ่าหงส์!
หลัวซิวโค้งคำนับให้เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวอีกครั้ง จากนั้นไปที่ห้องลับด้านข้างและเริ่มฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ
หลังจากผ่านไปครึ่งวัน กระดูกที่แตกหักก็หายเป็นปกติ หลัวซิวไม่รีบออกจากสำนักหลัวเทียน เพราะเขารู้ดีว่าทั่งทั้งเมืองหลัวเทียน ไม่มีที่ไหนปลอดภัยไปกว่าสำนักหลัวเทียน
เขาพลิกมือหยิบขวดหยกที่บรรจุยากลายร่างมังกรออกมา จากนั้นวางขวดหยกไว้ข้างๆ แล้วเอาเตาทยานนภามังกรคู่ออกมาทันทีแล้วเริ่มกลั่นยา
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 653
เผชิญกับคำถามของเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิว เจ้ายุทธจักรหงส์ยังคงมีรอยยิ้มจาง ๆ อยู่บนใบหน้า “ลูกน้องไม่รู้เรื่อง เจ้ายุทธจักรอัคคีไปสนใจนางทำไมกัน?”
เมื่อพูดถึงจุดนี้ เจ้ายุทธจักรหงส์เปลี่ยนเรื่องทันที สีหน้าเย็นชา “ข้าต้องลงมือด้วยตนเองแล้ว”
ก่อนที่คำพูดของเจ้ายุทธจักรหงส์จะจบลง ออร่าร้อนแรงก็พุ่งเข้าหาหลัวซิว
“เจ้ายุทธจักรหงส์ เจ้าจะมากเกินไปแล้ว!”
เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวก็ปล่อยออร่าออกมาเพื่อป้องต่อต้านนเจตนาฆ่าของเจ้ายุทธจักรหงส์ ออร่าทั้งสองปะทะกันอยู่ในห้องโถง โซนสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงและผลที่ตามมากลายเป็นระลอกคลื่นที่เกิดขึ้น
เป็นเพียงระลอกคลื่น แต่ก็ยังเกินความสามารถของหลัวซิวที่จะต้านทานได้ เขากระอักเลือดแล้วบินออกไปในทันที
สำหรับเหยียนเยว่เอ๋อร์ นางได้รับการปกป้องจากออร่าของเจ้ายุทธจักรหงส์ ไม่ได้รับผลกระทบจากผลที่ตามมา
หลัวซิวกลับไม่ได้โชคดีมากนัก เพราะเจ้ายุทธจักรหงส์โจมตีอย่างกะทันหันเกินไป และเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวต่อต้านอย่างรีบเร่ง ปกป้องเขาไม่ทัน
ช่วงเวลาที่เขาถูกโจมตีโดยผลที่ตามมาและบินออกไป ได้ยินเสียงกระดูกหักจากร่างกายของหลัวซิวอย่างต่อเนื่อง ร่างกายของเขากระแทกเข้ากับหน้าตำหนักสำนักหลัวเทียน กระดูกทั้งหมดในร่างกายของเขาแตกหักไปหมด
“หลัวซิว!”
เมื่อเห็นอาการบาดเจ็บของหลัวซิว ผู้ที่กังวลมากที่สุดคือเหยียนเยว่เอ๋อร์
แต่นางกำลังจะเคลื่อนไหว นิ้วของจ้ายุทธจักรหงส์แตะกลางอากาศ เหยียนเยว่เอ๋อร์หน้ามืด ร่างกายของนางอ่อนยวบ กำลังจะล้มลงกับพื้น
หญิงชราจากเผ่าหงส์ก้าวไปข้างหน้าพยุงนางไว้ จากนั้นยืนอยู่ข้างหลังเจ้ายุทธจักรหงส์ด้วยความเคารพ
“หวูชิว ข้าไม่อ้อมค้อมแล้ว นี่คือผู้ที่เลือดหงส์โบราณได้ตื่นขึ้นมา มีความสำคัญมากสำหรับเผ่าหงส์ของข้า ดังนั้นครั้งนี้ข้าต้องพากลับไป” เจ้ายุทธจักรหงส์มองไปที่เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวพร้อมกล่าว
“เจ้าต้องการนางไป ได้ แต่เจ้าต่อสู้ในสำนักหลัวเทียนของข้า เจ้ายุทธจักรหงส์จะไม่ให้คำอธิบายกับข้าหรือ?” เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวตะคอกด้วยสีหน้าเหี้ยม
แต่เจ้ายุทธจักรหงส์กลับไม่สนใจ ชี้ไปที่หลัวซิวซึ่งนอนอยู่บนพื้น “หวูชิว เจ้าต้องการทำร้ายความสามัคคีระหว่างเผ่าหงส์ ของข้าและเมืองศักดิ์สิทธิ์ เพื่อรุ่นเยาว์คนหนึ่งหรือ?”
ทันทีที่คำนี้ออกมา ดวงตาของเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวก็หรี่ลงเล็กน้อย
เผ่าหงส์ ครึ่งมนุษย์และครึ่งอสูร หลังจากได้รับการสิบทอดมานับหมื่นปี เผ่าของพวกเขาจะแข็งแกร่งกว่าแดนศักดิ์สิทธิ์ทั่วไปเล็กน้อย
ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์หรือเผ่าอสูร พวกเขาจึงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อดึงเผ่าพันธุ์ครึ่งมนุษย์ครึ่งอสูรอย่างหมู่เผ่าหงส์เช่นนี้
และเห็นได้ชัดว่าคำพูดของเจ้ายุทธจักรหงส์ บ่งบอกถึงการข่มขู่น้อยๆ ต้องการใช้เรื่องนี้มากดดันตัวเอง
ถ้าเขาและเจ้ายุทธจักรหงส์แตกหักกัน และในที่สุดทำให้เผ่าหงส์เอนเอียงไปทางเผ่าอสูร แม้ว่าเขาจะมีฉายาเป็นระดับเจ้ายุทธจักร เขาก็จะต้องรับผิดชอบโดยผู้อาวุโสของเมืองศักดิ์สิทธิ์อย่างแน่นอน
“ในเมื่อคนที่เจ้าต้องการก็ได้ไปแล้ว งั้นก็ยกโทษให้ข้าไม่ส่งออกไปก็แล้วกัน!” เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวสูดจมูกและแสดงท่าทางเชิญแขกกลับไป
“ฮิฮิ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นข้าไม่รบกวนการฝึกตนอย่างสลบของเจ้ายุทธจักรอัคคี” เจ้ายุทธจักรหงส์ค่อย ๆ ลุกขึ้น หันหลังและเดินออกไปนอกห้องโถง
หญิงชราจากเผ่าหงส์พยุงเหยียนเยว่เอ๋อร์ ซึ่งหมดสติไปแล้วและตามอยู่ด้านหลังเจ้ายุทธจักรหงส์ด้วยความเคารพ
เมื่อเดินมาถึงด้านหน้าของห้องโถง เจ้ายุทธจักรหงส์ไม่ได้มองหลัวซิวสักนิดก็เดินตรงออกไป
สำหรับผู้แข็งแกร่งซึ่งตำแหน่งและความแข็งแกร่งสามารถเทียบได้กับผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ ผู้เยาว์ที่เป็นเพียงแค่จักรพรรดิยุทธ์คนหนึ่ง นางยังไม่ได้วางไว้ในสายตา
หญิงชราของเผ่าหงส์ไม่มีจิตใจอย่างเจ้ายุทธจักรหงส์ ดวงตาที่ขุ่นเคืองมีเจตนาฆ่า นางจ้องไปที่หลัวซิวที่กระดูกของเขาแตกเป็นเสี่ยง ๆ และเย้ยหยัน “บทเรียนที่เจ้ายุทธจักรหงส์ได้สั่งสอนเจ้า เจ้าพึงระลึกไว้ในใจซะ ไม่อย่างนั้นก็จงระวังภัยมรณะที่ตัวเจ้าสร้างให้กับตนเอง”
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 652
เหยียนเยว่เอ๋อร์จับมือหลัวซิว “ข้าไม่อยากไป”
“เป็นเพราะชายหนุ่มคนนี้หรือ?” เจ้ายุทธจักรหงส์จ้องมองไปที่หลัวซิว
“พรสวรรค์ค่อนข้างดี เจ้ามรสมบัติเหมาะสมที่จะไปที่เผ่าหงส์กับเจ้าในฐานะผู้รับใช้ได้” สายตาของเจ้ายุทธจักรหงส์อยู่ที่ร่างของหลัวซิวสักครู่ แล้วก็มองไปที่เหยียนเยว่เอ๋อร์อีกครั้ง
คนรับใช้?
หลัวซิวคาดไม่ถึงว่าเจ้ายุทธจักรหงส์จะดูถูกตัวเองมากแบบนี้ แต่หลังจากคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาก็โล่งใจ เพราะเขาอายุ 20ปีได้ฝึกฝนถึงแดนจักรพรรดิยุทธ์ สำหรับเผ่าหงส์เป็นเรื่องธรรมดามาก
แม้ว่าเจ้ายุทธจักรหงส์นี้อาจรู้ว่าการแข่งขันครั้งนี้เขาได้อันดับหนึ่ง ก็จะคิดว่าเขาสามารถได้รับอันดับหนึ่งเพราะอัจฉริยะเหล่านั้นจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้แสดงความแข็งแกร่งที่แท้จริงออกมา
เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิว รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนี้ เพราะหลัวซิวเป็นอัจฉริยะที่เขาแนะนำและเขาก็เป็นสมาชิกขององค์กรนักล่ายุทธ์ เจ้ายุทธจักรหงส์ดูถูกเขาเช่นนี้ ทำให้เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวขายหน้าด้วย
สีหน้าของเหยียนเยว่เอ๋อร์แสดงความโกรธออกมาเช่นกัน ในใจของนาง นางไม่ยอมให้ใครดูถูกหลัวซิวเด็ดขาด แม้ว่านางจะรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ใหญ่จากเผ่าหงส์ นางก็จะไม่ทน!
เพราะสำหรับนางแล้ว หลัวซิวมีความสำคัญมากกว่าชีวิตของนางเอง!
“ข้าจะไม่กลับไปที่เผ่าหงส์กับเจ้า” เหยียนเยว่เอ๋อร์ร์กล่าวด้วยใบหน้าเย็นชา
“โอ้อวด!” หญิงชราผู้อยู่เบื้องหลังเจ้ายุทธจักรหงส์ตะคอกอย่างโกรธจัด “แม้ว่าเจ้าจะเป็นอัจฉริยะที่เลือดหงส์ตื่นขึ้นมา เจ้ากล้าดูหมิ่นต่อหน้าท่านเจ้ายุทธจักรหงส์ได้อย่างไร?”
เจ้ายุทธจักรหงส์ยิ้มเล็กน้อย “ในเมื่อเจ้าไม่กลับไปที่เผ่าหงส์พร้อมข้าเพราะชายหนุ่มผู้นี้ งั้นข้าก็จะฆ่าเขา เพื่อที่เจ้าจะหยุดความคิดนี้ได้”
พูดถึงการฆ่าคนด้วยรอยยิ้ม อารมณ์นิสัยของเจ้ายุทธจักรหงส์นี้ไม่สามารถหาเหตุผลปกติมาพูดได้
ไม่ต้องรับคำสั่งจากเจ้ายุทธจักรหงส์ หญิงชราที่อยู่ข้างหลังก็ได้เริ่มลงมือ ไม้ค้ำในมือทุบลงไปที่หัวของหลัวซิว
หญิงชราคนนี้เป็นผู้แข็งแกร่งระดับมหายุทธ์ ทุกการเคลื่อนไหว พลังจิตแท้ธาตุไฟผนึกแน่น กลายเป็นร่างหงส์ พุ่งไปที่หลัวซิว
โดยธรรมชาติแล้ว หลัวซิวไม่สามารถนั่งเฉยๆ ได้ ดังนั้นเขาจึงใช้พลังแปรเสวียนเทียนยี่สิบเท่าและพลังลูกแก้วเสวียนดำโดยตรง
“วิชาสังหารไท่เสวียน!”
ชกหมัดออกไปหมัดหนึ่ง หมัดของหลัวซิวถูกล้อมรอบด้วยเพลิงมรณะ หมัดราวกับภูเขาสีดำ
บูม!
ร่างหงส์ที่ผนึกจากพลังจิตแท้ธาตุไฟนั้นถูกหมัดของหลัวซิวต่อยจนแตก และร่างของเขายืนอยู่ตรงจุดนั้น ไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย
“อืม?”
สีหน้าของหญิงชราจากเผ่าหงส์ดูไม่ดีเล็กน้อย การโจมตีจากผู้แข็งแกร่งระดับมหายุทธ์ กลับถูกจักรพรรดิยุทธ์รับไว้ได้
ยิ่งทำให้หญิงชราของเผ่าหงส์ประหลาดใจยิ่งกว่านั้นก็คือ ก่อนหน้านี้ชายหนุ่มต่อต้านสามกระบวนท่าของนางโดยอาศัยความสามารถในการเคลื่อนย้ายและตนเองก็คาดไม่ถึงว่าเขาจะสามารถเคลื่อนย้ายได้เร็วเช่นนี้ ดังนั้นถึงแพ้การเดิมที่รับสามกระบวนท่าไป
แต่นางไม่เคยคิดเลยว่าชายหนุ่มคนนี้จะสามารถรับการโจมตีของตนเองไว้ด้วย โดยไม่ต้องเคลื่อนไหวใดๆ
“สัตว์น้อย ไปตายซะ!”
รอบกายหญิงชราของเผ่าหงส์มีพลังจิตแท้เพิ่มขึ้น นางวางแผนที่จะใช้พลังทั้งหมดของตน เมื่อครู่นี้ล้มเหลวในการฆ่าชายหนุ่มคนนี้ ทำให้เจ้ายุทธจักรหงส์ไม่พอใจ
“เอาสำนักหลัวเทียนของข้าเป็นสถานที่อะไร?”
ในขณะนี้ เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวก็พูดขึ้นมา และแรงกระตุ้นจากร่างกายของหญิงชราจากเผ่าหงส์ก็เหมือนกับไฟที่โหมกระหน่ำถูกน้ำเย็นเทลงมา ส่งเสียงฮึดฮัด มุมปากมีเลือดไหลออกมา ร่างกายเกือบจะล้มลง
เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวมองไปที่เจ้ายุทธจักรหงส์ “กล้าที่จะฆ่าคนในสำนักหลัวเทียนของข้า เจ้ายุทธจักรหงส์ นี่คือวิธีที่เจ้าสั่งสอนลูกน้องของเจ้าหรือ์”
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 651
“เยว่คงจวินระดับมหายุทธ์ผู้นั้น ได้ทำข้อตกลงกับข้าเป็นเวลาสิบปี เพิ่งผ่านไปแค่สองปีเท่านั้น ข้าก็มีกำลังที่จะสู้กับเขาแล้ว”
นอกเหนือจากวิชาหลอมอัคคีในการฝึกฝนแล้ว ม้วนหยกยังกล่าวด้วยว่าเวลาเปิดของแดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นล่างคือสองเดือนหน้า อีกสองเดือนหน้า ให้หลัวซิวไปที่สำนักหลัวเทียน
ในขณะนี้ หลัวซิวขมวดคิ้วอย่างกะทันหัน
“มีอะไรผิดปกติ?” เหยียนเยว่เอ๋อร์ถามเมื่อเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของหลัวซิว
“คนจากเผ่าหงส์มาแล้ว” หลัวซิวกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
เมื่อครู่นี้ เหตุผลที่สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย เป็นเพราะมีเสียงส่งมาจากเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวทางตัวหยั่งรู้ โดยบอกว่าผู้คนจากเผ่าหงส์ต้องการพบเขาและเหยียนเยว่เอ๋อร์ทั้งสอง
ไม่จำเป็นต้องพูดเพิ่มเติมเกี่ยวกับจุดประสงค์ของคนจากเผ่าหงส์ และหลัวซิวคาดว่าผู้คนจากเผ่าหงส์ น่าจะมาถึงเมืองหลัวเทียนนานแล้ว แต่เนื่องจากการแข่งขันจึงไม่มีการดำเนินการอะไร
ตอนนี้แข่งขันสิ้นสุดลงแล้ว คนจากเผ่าหงส์ก็ไปหาเจ้าแห่งอัคคีหวูชิวทันที
“คนจากเผ่าหงส์สามารถขอให้เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวออกหน้า ดูเหมือนว่าคราวนี้คนที่มาหาถึงที่นี่น่าจะเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่ง” หลัวซิวคาดเดา
“แล้วควรทำอย่างไรดี? ข้าไม่อยากไปเผ่าหงส์” เหยียนเยว่เอ๋อร์ขมวดคิ้วเรียวเช่นกัน
“แค่เจ้าไม่อยากไป ก็ไม่มีใครบังคับเจ้าได้” หลัวซิวจับมือนางและปลอบโยน
แม้ว่าเขาจะพูดอย่างนี้ แต่หลัวซิวรู้ดีว่าด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขา เขายังห่างไกลจากความสามารถในการท้าทายเผ่าหงส์
แต่คนนั้นแปลกมาก มีบางเรื่องที่เจ้ารู้ว่าเจ้าทำไม่ได้ แต่เจ้าต้องทำ!
เพราะนี่คือหลักการ!
หลังจากนั้นไม่นาน หลัวซิวก็พาเหยียนเยว่เอ๋อร์ ไปที่สำนักหลัวเทียน ยามที่เฝ้าสำนักหลัวเทียน ไม่ได้ปิดกั้นอะไรเลย เห็นได้ชัดว่าได้รับคำสั่งล่วงหน้า
หลังจากเข้าไปในสำนักหลัวเทียนแล้ว หลัวซิวเห็นเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิว นั่งอยู่บนที่นั่งหลัก และในตำแหน่งด้านล่างนั้น มีหญิงวัยกลางคนสวยสวมชุดสีแดงเพลิง ดูสง่างามและหรูหรา คิ้วของนางนั้นยางมากและดูแปลกเล็กน้อย
ในเวลาเดียวกัน หลัวซิวมองเห็นร่างที่ยืนอยู่ข้างหลังผู้หญิงสวยคนนี้ด้วยความเคารพ และคนๆนี้หลัวซิวไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับเขา เป็นหญิงชราระดับมหายุทธ์ ที่เขาพบระหว่างทางมาเมืองหลัวเทียน
ยังสามารถนั่งข้างหน้าเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวได้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหญิงสาวสวยที่นั่งอยู่ที่นั่นอย่างน้อยก็ระดับเจ้ายุทธจักรและระดับเจ้ายุทธจักรธรรมดาไม่มีเจ้าสมบัติที่จะนั่งหน้าเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวได้
หลัวซิวและเหยียนเยว่เอ๋อร์ขึ้นมาแสดงความยินดี
เมื่อเห็นทั้งสองเดินเข้าไปในวัง หญิงสาวสวยจากเผ่าหงส์มองมา แต่สายตาของนางไม่ได้หยุดที่ร่างของหลัวซิวสักนิด แต่อยู่บนร่างของเหยียนเยว่เอ๋อร์
“เป็นออร่าแห่งเลือดหงส์โบราณที่ตื่นขันมาจริง ๆ” รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปากของหญิงสาวเผ่าหงส์
เหยียนเยว่เอ๋อร์รู้สึกอึดอัดเมื่อเผชิญหน้ากับสายตาของหญิงสาวสวยแห่งเผ่าหงส์ นางเอื้อมมือจับชายเสื้อของหลัวซิว
การกระทำเล็กๆ ของนาง ทำให้หญิงสาวสวยจากเผ่าหงส์ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ไม่รู้ว่าผู้อาวุโสเรียกผู้น้อยมาที่นี่เพื่อเหตุใด?” หลัวซิวถามหลังจากโค้งคำนับเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิว
เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวพยักหน้า โบกมือและกล่าวว่า “นี่คือเจ้ายุทธจักรหงส์ที่มาหาเจ้า”
เจ้ายุทธจักรหงส์!?
เมื่อหลัวซิวได้ยินชื่อนี้ ดวงตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อย เช่นเดียวกับที่เขาคิด ระดับเจ้ายุทธจักรธรรมดาไม่มีเจ้าสมบัติที่จะนั่งหน้าเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวได้ ผู้หญิงสวยจากเผ่าหงส์คนนี้ก็มีฉายาระดับเจ้ายุทธจักรเช่นกัน
หลัวซิวมองไปที่เจ้ายุทธจักรหงส์ คารวะด้วยการกำหมัด “ข้าไม่รู้ว่าผู้อาวุโสเจ้ายุทธจักรหงส์ มาหาผู้น้อยมีเรื่องอะไร?”
แต่เจ้ายุทธจักรหงส์คนนี้ก็ยังคงไม่มองเขา เพียงแค่ยิ้มและพูดกับเหยียนเยว่เอ๋อร์ว่า “สาวน้อย ทำไมเจ้าถึงไม่อยากไปที่ เผ่าหงส์?”
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 650
ที่เรียกว่าการผสมผสานการป้องกันและโจมตี ดูเหมือนจะยอดเยี่ยม แต่อันที่จริงแล้วสำหรับของขลังชิ้นหนึ่ง การโจมตีและการป้องกันต่างไม่ค่อยแข็งแกร่งนัก
พูดได้ว่า หากเป็นของขลังที่ใช้ในการป้องกันหรือการโจมตีเพียงด้านใดด้านหนึ่ง จะมีพลังที่มีกว่า
กระบี่ขลังชั้นสูงที่มีคุณสมบัติแห่งความตายนี้ เป็นของขลังที่ใช้ในการโจมตีอย่างไม่ต้องสงสัย หากมีมัน ก็จะทำให้ความสามารถในการโจมตีของหลัวซิวพัฒนาขึ้นไปอีกขั้น
ตำสำนึกได้แทรกซึมเข้าไปในกระบี่สีดำเล่มนี้ ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับกระบี่เล่มนี้ส่งผ่านไปยังตัวหยั่งรู้
กระบี่เล่มนี้มีชื่อว่ากระบี่เสวียนยวน เสวียนหมายถึงสีดำ สีดำเป็นสีแห่งความลึกลับ เรียกได้ว่าในสีดำยังมีสีดำ ลึกลงไปราวกับขุมนรก จึงเป็นที่มาของชื่อนี้
วัสดุที่ใช้หลอมกระบี่เสวียนยวนเล่มนี้ คือเหล็กดำมรณาระดับแปด
หลัวซิววางกระบี่เสวียนยวนลงก่อน จากนั้นจึงหยิบกล่องหินสีน้ำเงินออกมา บนกล่องหินสลักยันต์ที่มีออร่าปิดผนึกอยู่
แม้ว่าในใจจะพอคาดเดาถึงสมบัติที่อยู่ในกล่องหินใบนี้ได้ แต่หลัวซิวก็แทบทนรอไม่ไหวที่จะเปิดมัน
ขณะที่กล่องหินถูกเปิดออก หลัวซิวและเหยียนเยว่เอ๋อร์ซ่งยืนอยู่ในห้อง ก็สัมผัสได้ถึงออร่าของความเย็นยะเยือกอย่างรุนแรง
“หนาวจังเลย ด้านในคือของอะไรกันแน่ ?” เหยียนเยว่เอ๋อร์หนาวสั่น ผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่ไม่กลัวความหนาวเย็นมาช้านาน นี่เป็นครั้งแรกที่นางสัมผัสได้ถึงความเย็นเช่นนี้
“ภูตอัคคีเปลวเยือก” หลัวซิวหรี่ตาลง ในใจของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
ถึงแม้เหยียนเยว่เอ๋อร์จะรู้สึกหนาวเย็นเป็นอย่างยิ่ง ที่ในความเป็นจริงแล้วเปลวไฟของภูตอัคคีเปลวเยือก กลับไม่มีความเย็นแม้แต่น้อย ในทางกลับกัน กลับมีอุณหภูมิที่สูงจนน่าตกใจ และเมื่อภูตอัคคีเปลวเยือก ต้องการรักษาอุณหภูมิที่สูงเช่นนี้เอาไว้ จึงต้องดูดซับความร้อนจากโลกอย่างต่อเนื่อง
และสาเหตุที่เขากับเหยียนเยว่เอ๋อร์รู้สึกหนาวเย็นก็เป็นเพราะ ความร้อนที่อยู่โดยรอบถูกภูตอัคคีเปลวเยือกดูดซับไปจนหมด ถึงขั้นว่าแม้แต่ความร้อนในร่างกายของคน ภูตอัคคีเปลวเย็นก็จะดูดซับจนหมดเช่นกัน
ภูตอัคคีกลืนกินจะเผาทำลายทุกอย่างจนเหลือเพียงความว่างเปล่า จนไม่เหลือแม้ฝุ่นผง ส่วนภูตอัคคีเปลวเยือกกลับดูดซับความร้อนจากทุกสรรพสิ่ง หากสัมผัสเข้าเพียงเล็กน้อย เกรงว่าคงทำให้คู่ต่อสู้ถูกเผาไหม้จนกลายเป็นเถ้าถ่าน
ตุบ !
หลัวซิวปิดฝากล่องหินลง ถึงแม้รอบห้องจะมีการตั้งค่ายกลที่มีออร่าปิดกั้น แต่สมบัติล้ำค่าอย่างภูตอัคคีนี้ย่อมไม่ธรรมดาแน่นอน จึงควรระมัดระวังเอาไว้จะเป็นการดี
จากนั้นหลัวซิวก็ยื่นมือไปหยิบแผ่นหยกในกล่องไม้ออกมาอีก ของที่เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวให้คนนำมามอบให้ แผ่นหยกนี้เป็นของชิ้นสุดท้าย
เนื้อหาในแผ่นหยก ทำให้ใบหน้าของหลัวซิวปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง เพราะด้านในมีการบันทึกวิชายิ่งเลิศเอาไว้ ชื่อว่าวิชาหลอมอัคคี
ที่เรียกว่าวิชาหลอมอัคคี ความหมายของชื่อก็คือวิชาการกลั่นเปลวไฟ ถึงแม้ชื่อจะฟังดูธรรมดา แต่ด้านในกับบันทึกเกี่ยวกับวิชาฝึกตนพลังไสยอัคคีเอาไว้
จากคำอธิบายในแผ่นหยก หากต้องการฝึกวิชาหลอมอัคคีนี้ จะต้องมีพลังไสยอัคคี เพียงแต่พลังไสยอัคคีก็แบ่งออกเป็นพรสวรรค์และหลังกำเนิด
ที่เรียกว่าพรสวรรค์ ย่อมหมายถึงมีพลังไสยอัคคีติดตัวมาแต่กำเนิด ซึ่งเรียกว่าพลังไสยอัคคีพรสวรรค์
ส่วนหลังกำเนิด ย่อมหมายถึงจอมยุทธ์ผ่านการฝึกตนแล้ว ร่างกายภายในมีการผนึกรวมพลังไสยอัคคีออกมา
ในบันทึกวิชาหลอมอัคคี มีวรยุทธ์อยู่หนึ่งวิชา ซึ่งอธิบายเกี่ยวกับวิธีการที่จอมยุทธ์จะสามารถฝึกตนพลังไสยอัคคีหลังกำเนิดออกมาได้
แต่หลัวซิวไม่จำเป็นต้องฝึกวรยุทธ์ในวิชาหลอมอัคคี เพราะพลังไสยอัคคีภายในร่างกายของเขา ที่จริงแล้วคือพลังไสยอัคคีพรสวรรค์ ซึ่งเป็นพลังที่มาจากโรคชีพจรขาดธาตุไฟของลู่เมิ่งเหยา
สมบัติทั้งสี่ชิ้น ทุกชิ้นล้วนมีประโยชน์มหาศาล ขอเพียงแค่นำออกมาใช้งานอย่างเต็มที่ หลัวซิวเชื่อว่าความสามารถทั้งหมดของตนเองจะถูกพัฒนาขึ้นอย่างมาก
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 649
“นี่คือยากลายร่างมังกร” หลัวซิวพูดด้วยรอยยิ้ม แล้วปิดฝาขวดใหม่อีกครั้ง
“ยากลายร่างมังกร ?” เหยียนเยว่เอ๋อร์มีสีหน้าประหลาดใจ เพราะยากลายร่างมังกรมีชื่อเสียงโด่งดัง ได้ยินมาว่าขอเพียงแค่ฝึกตนอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าเจ้ายุทธจักร ไม่ว่าจะพบอุปสรรคใดในการฝึกตนก็ตาม ขอเพียงใช้ยากลายร่างมังกร ก็จะสามารถบรรลุการฝึกได้
โดยเฉพาะตอนที่มกุฎยุทธ์ขั้นเก้าบรรลุไปสู่ระดับมหายุทธ์ หากมียากลายร่างมังกรหนึ่งเม็ดแล้วละก็ จะต้องมีความเป็นไปได้อย่างยิ่งแน่นอน
และด้วยผลลัพธ์ที่น่าเหลือเชื่อเช่นนี้ ทำให้มูลค่าของยากลายร่างมังกร สามารถเทียบเท่าได้กับยาระดับเก้าเลยทีเดียว
อย่างเช่นเหยียนเยว่เอ๋อร์ที่ไม่สามารถบรรลุการฝึกตนไปได้ สาเหตุหลักเป็นเพราะนางยังขาดวรยุทธ์เลือดหงส์โบราณ แต่ถ้าหากใช้ยากลายร่างมังกรแล้วละก็ กฎเกณฑ์แปลก ๆ บางอย่างที่อยู่ในยากลายร่างมังกร จะช่วยเติมเต็มข้อบกพร่องนี้ แต่ทำให้นางบรรลุสู่แดนมกุฎยุทธ์ได้โดยไร้อุปสรรค
นี่คือความน่าเหลือเชื่อของยากลายร่างมังกร ต่อให้อายุขัยจะถูกใช้ไปจนหมดสิ้นแล้ว ขอเพียงแค่ได้รับยาเม็ดมังกรมา หลังจากกินเข้าไปแล้วสามารถบรรลุถึงแดนใหญ่ได้ อายุขัยของคนผู้นั้นก็จะเพิ่มขึ้น จะมีอายุยืนยาวต่อได้อีกหลายร้อยปี !
ยากลายร่างมังกร เรียกได้ว่าเป็นสิ่งล้ำค่าในการฝึกยุทธ์ ไม่เกินจริงเลยแม้แต่น้อย !
แต่หลัวซิวคิดว่ายากลายร่างมังกรนี้ คงไม่ใช่สิ่งล้ำค่าสำหรับคนอย่างซิงหลิงและหวูหยุน ด้วยมรดกที่มีอยู่ของแดนศักดิ์สิทธิ์ระดับนิรันดร์ ยาประเภทนี้ยังพอจะนำออกมาได้
“ตอนนี้ข้าฝึกตนถึงระดับจักรพรรดิยุทธ์ขั้นเจ็ด ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมที่สุดที่จะใช้ยากลายร่างมังกร”
หลังจากเก็บยากลายร่างมังกรแล้ว หลัวซิวก็หยิบกระบี่สีดำ ที่มีความยาวเพียงหนึ่งนิ้วออกมาจากกล่องไม้
สามฟุตเท่ากับหนึ่งเมตร สิบนิ้วเท่ากับหนึ่งฟุต หนึ่งนิ้วจะเล็กขนาดไหนคงไม่ต้องพูดถึง
หากจะเรียกว่ากระบี่ ไม่สู้เรียกว่าเข็มเสียยังดีกว่า แต่ที่หลัวซิวเรียกว่ากระบี่ เป็นเพราะเขาสัมผัสได้ถึงห้วงกระบี่ที่ดุดันที่ส่งผ่านออกมา
หลัวซิวเป็นผู้ที่เคยตระหนักรู้ถึงห้วงยุทธ์กระบี่สังหารมาก่อน จึงย่อมมีความไวต่อสัมผัสในการรับรู้ห้วงกระบี่
เหยียนเยว่เอ๋อร์เองก็มองดูกระบี่ที่หลัวซิวถืออยู่ในมือ ถึงแม้นางไม่อาจสัมผัสได้ถึงออร่าของห้วงกระบี่ แต่ก็รับรู้ได้ถึงความพิเศษของมัน
เพราะของชิ้นเล็ก ๆ ที่ดูไม่สะดุดตานี้ ทำให้ยอดฝีมือผู้สูงส่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ขั้นเก้าอย่างนาง เกิดความรู้สึกขนลุกขึ้นมา ราวกับมีกระบี่แทงเข้าที่คอของนาง
“กระบี่ขลังชั้นสูง !” รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลัวซิว
ยากลายร่างมังกรและของขลังล้ำค่า เป็นของรางวัลที่ผู้ชนะเลิศในการประลองได้รับ
เจ้ายุทธจักรอัคคีหวู เป็นหนึ่งในสี่เจ้ายุทธจักร และเป็นผู้จัดการประลองในครั้งนี้ ด้วยฐานะของเขา ของรางวัลที่นำออกมาให้ ย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
และสิ่งที่ทำให้หลัวซิวพึงพอใจมากที่สุด ก็คือกระบี่ขลังชั้นสูงเล่มนี้ ที่หลอมมาจากวัสดุล้ำค่าที่แฝงไปด้วยพลังแห่งความตาย
ยิ่งเป็นวัสดุชั้นยอดก็ยิ่งหาได้ยาก ที่เรียกว่าเป็นวัสดุชั้นยอดนั้น ไม่เพียงแต่หมายความถึงระดับของวัสดุเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงพลังของคุณสมบัติที่มีอยู่อีกด้วย
วัสดุที่สามารถนำมาหลอมจนกลายเป็นของขลังล้ำค่าได้นั้น อย่างน้อยต้องเป็นวัสดุขั้นแปด และแฝงไปด้วยพลังแห่งความตาย ซึ่งมีมูลค่าที่เทียบเท่าได้กับวัสดุขั้นเก้า
ของขลังอย่างกระบี่ยุทธ์ที่หลอมมาจากวัสดุประเภทนี้ ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งระดับมหายุทธ์ทุ่มเททรัพย์สินทั้งหมดที่มี ก็ยังไม่อาจซื้อได้
“เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวผู้นี้ใจกว้างจริง ๆ” หลัวซิวรู้สึกพึงพอใจกับของทั้งสองสิ่งนี้เป็นอย่างยิ่ง
พลังของของขลังชั้นสูงนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง อย่างเช่นเตาทยานนภามังกรคู่ในมือของหลัวซิว ประโยชน์ที่แท้จริงอย่างมากที่สุดก็คือ การกลั่นยา กลั่นสมบัติ ขณะต่อสู้กับศัตรู ถึงแม้จะสามารถนำออกมาใช้ผสมผสานการป้องกันและโจมตีได้ แต่ไม่ว่าจะด้านการป้องกันหรือการโจมตี ก็ยังด้อยกว่าของขลังชั้นสูงที่มีคุณสมบัติเพียงด้านเดียวอยู่เล็กน้อย
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 648
ต้าหวูซินเป็นคนฉลาด หลังจากผงะไปครู่หนึ่งก็ตั้งสติได้ จากนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มแหย ๆ
นางคาดเดาว่าที่หลัวซิวไม่สนใจตนเอง คงเป็นเพราะที่เขาถูกผลักให้ไปยืนอยู่ตรงปากเหว ล้วนมีสาเหตุมาจากนาง
แต่ว่าตอนนี้ทุกคนต่างอยู่กันครบ นางจึงรู้สึกว่าไม่สะดวกนัก อีกทั้งหากตนเองอธิบายออกไป จะไม่เท่ากับเป็นการลดฐานะของตนเองหรอกหรือ ?
เมื่อคิดได้ดังนี้ ต้าวหวูซินก็ไม่พูดอะไรต่อ
“เจ้าหมอนี่หยิ่งยโสจริง ๆ เทพธิดาหวูซินกล่าวแสดงความยินดีด้วยตนเองแท้ ๆ แต่เขากลับไม่สนใจ”
“คิดว่าตนเองเป็นที่หนึ่งของคนรุ่นใหม่แล้วจริง ๆ หรือ ?” มีคนแสดงท่าทีดูถูกและประชดประชันออกมา
ถึงแม้ผลการตัดสินผู้นำอันดับหนึ่งในการประลองครั้งนี้จะออกมาแล้ว แต่การประลองนี้ยังคงดำเนินต่อไป จนในที่สุดสามารถตัดสินรายชื่อยี่สิบอันดับแรกออกมาได้
สำหรับการประลองในช่วงหลัง หลัวซิวไม่รู้สึกสนใจแม้แต่น้อย เพราะเขารู้แล้วว่า บรรดาผู้มีพรสวรรค์ในแดนศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ ไม่มีใครคิดจะใช้ความสามารถที่แท้จริงของตนเองในการประลอง เป็นเพียงแค่ทางผ่านเท่านั้น
หลัวซิวเดินลงมาจากแท่นบัวเพลิงอัคคี ภายใต้สายตาดูถูกและตั้งคำถามคู่แล้วคู่เล่า จนมายืนอยู่ใกล้ ๆ เหยียนเยว่เอ๋อร์ที่อยู่ท่ามกลางฝูงชน
“หลัวซิว เจ้าเก่งจริง ๆ !” ใบหน้าของเหยียนเยว่เอ๋อร์เต็มไปด้วยความตื่นเต้น ถึงแม้นางจะมองออกว่าขั้นตอนการประลองดูจะแปลกไปสักหน่อย แต่การที่หลัวซิวสามารถคว้าตำแหน่งผู้นำอันดับหนึ่งมาได้ นี่ย่อมไม่ใช่เรื่องแย่อย่างแน่นอน
ส่วนที่ทุกคนวิพากษ์วิจารณ์กันว่าหลัวซิวใช้กลอุบายในการประลองครั้งนี้ เหยียนเยว่เอ๋อร์กลับมองว่าไร้สาระ นางเชื่อว่าหลัวซิวไม่ใช่คนแบบนั้น
“ผู้ลาดตระเวนฉีล่ะ ?” หลัวซิวเหลือบมองรอบ ๆ แต่ไม่เห็นเงาของฉีฝ่าเทียน
“ดูเหมือนผู้ลาดตระเวนฉีจะมีธุระบางอย่างจึงกลับไปก่อน” เหยียนเยว่เอ๋อร์พูด
“พวกเรากลับโรงเตี๊ยมกันก่อน” สายตาของคนรอบข้างทำให้หลัวซิวต้องขมวดคิ้วอยู่ตลอดเวลา
หลังจากนั้นไม่นาน ทั้งสองก็กลับมายังโรงเตี๊ยมกลางเมืองที่ฉีฝ่าเทียนจัดเตรียมไว้ให้
และขณะที่หลัวซิวเพิ่งจะกลับถึงโรงเตี๊ยมได้ไม่นานนัก ก็มีชายชราคนหนึ่งเดินมาเคาะประตูห้องของเขา
นี่คือชายชราที่ไว้หนวดเคราและผมสีขาว ออร่าพลังจิตแท้แสดงให้เห็นว่าเก็บตัว มีการฝึกตนที่ลึกซึ้ง เมื่อพิจารณาจากออร่าของลายเส้นชีวิต จะต้องเป็นผู้แข็งแกร่งที่อยู่ในแดนมหายุทธ์ขึ้นไปอย่างแน่นอน
“ท่านชายหลัว ข้าได้รับคำสั่งจากเจ้ายุทธจักรอัคคี ให้นำของมามอบให้กับเจ้าสองสามอย่าง” ชายชราพูดขึ้น
“เชิญเข้ามาได้” หลัวซิวผายมือเพื่อแสดงการเชื้อเชิญ
ทว่าชายชราผู้นั้นกลับส่ายหัว “ ข้าจะต้องกลับไปฟื้นคืนชีพใหม่ คงไม่เข้าไปแล้ว
ขณะที่พูด ชายชราก็หยิบกล่องไม้สีฟ้าออกมา แล้วยื่นให้กับหลัวซิว
หลังจากหลัวซิวยื่นมือออกไปรับกล่องไม้สีฟ้ามาแล้ว ชายชราผู้นั้นก็หันหลังเดินจากไปโดยไม่รีรอแม้แต่น้อย
หลังจากปิดประตูแล้ว หลัวซิวก็กลับเข้าไปในห้อง
“นี่มัน……”เมื่อเหยียนเยว่เอ๋อร์เห็นเขาเดินถือกล่องไม้กลับมา ก็แสดงสีหน้าสงสัย
“เจ้ายุทธจักรอัคคีให้คนนำมามอบให้” หลัวซิวพูด
ขณะที่พูด หลัวซิวได้ยื่นมือออกไปเปิดกล่องไม้แล้ว ภายในกล่องไม้บรรจุของเอาไว้สี่ชิ้น ได้แก่ ขวดหยก กระบี่สีดำขนาดเล็ก กล่องหินสีน้ำเงิน และสุดท้ายก็คือแผ่นหยกโบราณ
หลัวซิวหยิบขวดหยกออกมาก่อน จากนั้นจึงดึงจุกไม้ออก กลิ่นยาที่หอมเย้ายวนใจฟุ้งกระจายไปทั่วห้อง
“กลิ่นหอมของยาที่รุนแรงอย่างยิ่ง เพียงแค่สูดดม ก็ทำให้ข้ารู้สึกราวกับจะบรรลุการฝึกตนแล้ว” เหยียนเยว่เอ๋อร์ที่นั่งอยู่ตรงข้ามหลัวซิว แววตาเป็นประกายขึ้นมา
นางรู้ดีว่าหลัวซิวเป็นปรมาจารย์กลั่นยาขึ้นเจ็ด แต่ถึงแม้จะเป็นยาระดับเจ็ด ก็ไม่อาจทำให้นางสูดดมแล้วรู้สึกเหมือนบรรลุการฝึกตนเช่นนี้ได้
เป็นที่รู้กันดีว่า ผลการฝึกตนของนางบรรลุถึงแดนจักรพรรดิขั้นเก้าแล้ว เหลืออีกเพียงนิดเดียวก็จะสามารถบรรลุถึงแดนมกุฎยุทธ์ได้ แต่การบรรลุแดนใหญ่คงจะไม่ง่ายขนาดนั้น
บทที่ 647
บทที่ 649
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 647
พอจะเดาได้ว่า หลังจากนี้อีกพักใหญ่ คงมีคนไม่พอใจที่เขาใช้กลอุบายเพื่อคว้าอันดับหนึ่งในการประลองมาได้ จากนั้นก็จะมาหาเขาเพื่อท้าประลองสินะ ?
“ฮ่า ๆ ยินดีด้วยนะหลัวซิว สำหรับตำแหน่งผู้ชนะเลิศในการประลองครั้งนี้ !”
เหนือกลุ่มเมฆา เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวลุกขึ้นและหัวเราะเสียงดัง
ตามธรรมเนียมปฏิบัติในอดีต ผู้ชมในสนามจำนวนมากจะต้องปรบมือและส่งเสียงโห่ร้องแสดงความยินดี
แต่ครั้งนี้กลับเงียบจนน่าประหลาด
“ข้าไม่เห็นด้วย !”
“ใช่แล้ว พวกเราไม่เห็นด้วย !”
“เห็นได้ชัดว่าซิงหลิงกับหวูหยุนจงใจสละสิทธิ์ ทำให้เขาได้ที่หนึ่ง เจ้าหมอนี่จะต้องมีแผนการบางอย่างแน่นอน !”
มีคนจำนวนมากที่ให้การสนับสนุนซิงหลินและหวูหยุนอย่างคลั่งไคล้ ต่างตะโกนและขู่ตะคอกออกมาเสียงดังด้วยความโกรธ
เมื่อหลัวซิวได้ยินคำพูดเหล่านี้ มุมปากของเขาก็กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ แอบพึมพำว่า พวกโง่เหล่านี้ช่างอาจหาญเสียจริง
หากเขามีความสามารถที่จะข่มขู่ให้คนอย่างกุ่ยโยว ซิงหลิง และหวูหยุนยอมสละสิทธิ์ได้ละก็ เขายังจะต้องมาร่วมการประลองครั้งนี้ เพื่อชิงสิทธิ์ในการเข้าไปฝึกตนที่แดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นล่างอีกหรือ ?
ในฐานะที่เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ระดับนิรันดร์ทั้งสี่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกแสงดาว จะถูกคนข่มขู่ได้ง่ายดายเช่นนี้หรือ ?
“เจ้าพวกโง่” หลัวซิวกลอกตาด้วยความเบื่อหน่าย
ในเวลาเดียวกันนี้ หลัวซิวพบว่าพวกของหวูหยุน ซิงหลิง และกุ่ยโจวล้วนไม่ได้สนใจที่จะมองเขา แววตากลับเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง มีเพียงเทพธิดาต้าวหวูซินของสำนักดำเหลือเท่านั้น ที่หันมาพยักหน้าให้กับเขาแล้วพูดเบา ๆ ว่า : “ยินดีด้วยท่านชายหลัว”
คำยินดีของต้าวหวูซิน ทำให้พวกหวูหยุน ซิงหลิง และกุ้ยโจวอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้นมา
จะว่าไปครั้งนี้พวกเขาแอบแข่งขันกันลับ ๆ ในขณะที่แสดงความสามารถบนเวลีการประลอง ก็ได้ปกปิดความสามารถที่แท้จริงของตนเองเอาไว้ในเวลาเดียวกัน จึงจงใจที่จะผลักคนคนหนึ่งออกไป ดังนั้นจึงได้เลือกหลัวซิว ประการแรกเป็นเพราะคนผู้นี้ไม่มีภูมิหลัง ส่วนอีกประการหนึ่งเพราะต้าวหวูซินยอมแพ้ด้วยตนเอง
พวกเขาคิดว่าที่ต้าวหวูซินยอมแพ้ เป็นเพราะจงใจปกปิดความสามารถที่แท้จริงของตนเอง และผลักหลัวซิวให้ขึ้นไปอยู่บนเวที กลายเป็นเป้าโจมตีของผู้คน พวกเขาจึงไปตามน้ำ ผลักดันให้หลัวซิวขึ้นไปอยู่ตรงปากเหว
ตอนนี้เมื่อเห็นต้าวหวูซินเอ่ยปากแสดงความยินดีกับหลัวซิว ทำให้พวกกุ่ยโยว หวูหยุน และซิงหลิงต่างรู้สึกงุนงง
คนที่ถูกพวกเขาหลอกใช้จนสำเร็จ มีอะไรน่าแสดงความยินดีกัน ?
ถึงแม้ในด้านชื่อเสียง หลัวซิวจะได้ชื่อว่าเป็นผู้นำอันดับหนึ่ง แต่ในความเป็นจริงแล้ว ในสายตาของพวกซิงหลิง กุ่ยโยว เขาก็เป็นแค่หมากรุกที่ดูไม่น่าเกลียดนัก ที่ถูกพวกเขาหลอกใช้ก็เท่านั้น
แน่นอนว่าต้าวหวูซินย่อมต้องอธิบายให้คนเหล่านี้เข้าใจ ที่นางยอมแพ้ต่อหน้าหลัวซิวเป็นเพราะเป็นเพราะพรสวรรค์พิเศษที่มีมาแต่กำเนิดของนาง อีกทั้งการที่นางแสดงความยินดีต่อหลัวซิว ก็เป็นการแสดงความยินดีด้วยความจริงใจ เพราะทุกคนที่อยู่ในที่นี้ มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่มีพลังในการข่มขู่ที่แข็งแกร่งต่อนางมากที่สุด
“พวกซิงหลิง หวูหยุน และกุ้ยโยวต่างคิดว่า ที่ท่านชายหลัวกลายเป็นผู้นำอันดับหนึ่งได้นั้น เป็นเพราะพวกเขาจงใจหลีกทางให้ แต่หากต่อสู้กันสุดชีวิตจริง ๆ ก็ใช่ว่าคนพวกนี้จะเป็นคู่ต่อสู้ของท่านชายหลัว”
ต้าวหวูซินคิดว่าบนร่างกายของหลัวซิว จะต้องมีความลับซ่อนอยู่อย่างแน่นอน อีกทั้งยังปิดบังกลยุทธ์ที่เป็นไพ่ไม้ตายอันแข็งแกร่งเอาไว้อีกด้วย ดังนั้นจึงมีความคิดที่จะผูกมิตร
ทว่า เมื่อเผชิญหน้ากับคำยินดีของนาง หลัวซิวกลับทำเหมือนไม่ได้ยิน และไม่สนใจสิ่งที่นางต้องการจะพูดเลยแม้แต่น้อย
สิ่งนี้ทำให้ต้าวหวูซินรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย คิดว่าตัวนางต้าวหวูซินเป็นใครกัน ? เป็นเทพธิดาคนปัจจุบันของสำนักดำเหลือง ไม่ต้องพูดถึงเรื่องความแข็งแกร่งในการฝึกตน เพียงแค่ฐานะ ก็เท่ากับเป็นผู้อาวุโสในแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์แล้ว อีกทั้งการจะดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสในแดนศักดิ์สิทธิ์ระดับนิรันดร์สักคน อย่างน้อยจะต้องเป็นผู้แข็งแกร่งในระดับจักรพรรดิยุทธ์ !
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 646
บูม !
อัคคีดำบนร่างของหลัวซิวปะทุขึ้น เพลิงมรณะแผ่ขยายโดยรอบ ล้อมเขาเอาไว้ตรงกลาง เกิดเป็นขอบเขตของเปลวไฟสีดำที่มีรัศมีกว่าสิบเมตร
หลังแห่งความตายที่เขาสำแดงออกมาทั้งหมด ยังคงอยู่ในแดนบรรลุผล
“คิดจะใช้พลังแห่งความตายของแดนบรรลุผลต่อสู้กับข้า ดูเหมือนจะประมาทเกินไปหน่อยนะ” หวูหยุนยิ้มเล็กน้อย อาณาเขตของโซนขยายออก โซนที่มองไม่เห็นพุ่งเข้ากดดันหลัวซิว ทำให้เปลวไฟสีดำที่อยู่รอบตัวของเขาบิดเบี้ยวอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งขอบเขตรัศมีกว่าสิบเมตรของเปลวไฟ ก็ถูกบีบให้เล็กลงเรื่อย ๆ
เป็นพลังคุณสมบัติในระดับสูงสุดเช่นเดียวกัน พลังแห่งโซนของแดนบริบูรณ์ สามารถควบคุมพลังแห่งความตายของแดนบรรลุผลได้อย่างง่ายดาย
ตอนนี้เอง จู่ ๆ ก็มีเปลวไฟสีแดงปะทุขึ้น ท่ามกลางเปลวไฟสีดำที่อยู่รอบตัวหลัวซิว ทุกที่ที่เปลวไฟผ่าน พลังแห่งโซนที่มองไม่เห็นก็จะถูกเผาไหม้จนว่างเปล่า กลายเป็นหลุมดำขนาดใหญ่
ภูตอัคคีกลืนกินเผาทำลายโซน มีภูตอัคคีนี้คอยคุ้มกันร่างกายอยู่ นอกเสียจากว่าอีกฝ่ายจะอยู่ในโซนและบรรลุถึงระดับตระหนักรู้กฎ มิเช่นนั้นพลังแห่งโซนทั้งหมดที่ถูกควบคุมอยู่ ก็ไม่มีทางทำอะไรเขาได้แต่น้อย
“โซนทอร์นาโด”
หวูหยุนหยิบพลังตราประทับขึ้นมา บนเวทีประลองปรากฏพายุทอร์นาโดขนาดใหญ่ ที่ส่องประกายแสงสีเงิน ราวกับว่าจะบดขยี้หลัวซิวรวมไปถึงเปลวไฟบนร่างกายของเขาให้แหลกเป็นผง
แต่ในขณะที่โซนทอร์นาโดขนาดใหญ่นี้ ปะทะเข้ากับภูตอัคคีกลืนกิน พายุก็ถูกกลืนกินเข้าไปอย่างต่อเนื่อง แค่ชั่วพริบตาเดียว ก็ถูกเผาไหม้จนว่างเปล่า
“เป็นภูตอัคคีที่ทรงพลังอย่างยิ่ง ไม่แปลกใจเลยที่ซิงหลิงเองยังนึกหวั่นใจ ขอบอกตามตรง แม้แต่ตัวข้าเองก็เริ่มหวั่นใจบ้างแล้ว” หวูหยุนหรี่ตาลงเล็กน้อย รัศมีบนร่างกายของเขาดุดันขึ้นมาก
“แต่วันนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไปก่อนสักครั้ง”
ขณะที่พูด หวูชิวไม่ได้ลงมือต่อ แต่กลับหายตัวไปจากเวทีประลอง วินาทีต่อมาก็ไปปรากฏตัวอยู่บนแท่นบัวเพลิงอัคคี
เมื่อเห็นภาพนี้ ผู้ชมทุกคนที่อยู่โดยรอบเวทีประลองต่างมีสีหน้างุนงง
การตัดสินที่เกี่ยวพันถึงตำแหน่งผู้นำอันดับหนึ่ง หวูหยุนกลับยอมมอบให้ผู้อื่นง่าย ๆ เช่นนี้หรือ ?
ในเวลานี้ แม้กระทั่งคนโง่ก็มองออกว่าต้องมีเรื่องไม่ชอบมาพากล
“บ้าเอ๊ย หรือว่าหลัวซิวผู้นี้จะมีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดา ทำให้คนของแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ทั้งสี่ ต่างก็ไม่กล้าเอาชนะเขา ?”
บางคนที่อดไม่ได้เริ่มตะโกนด่าทอออกมา
ไม่มีใครคาดคิดว่า การประลองที่รวบรวมผู้มีพรสวรรค์ขั้นสุดยอดจากสี่อาณาเขตใหญ่ของโลกแสงดาว กลับมีจุดจบที่ไม่คาดคิดเช่นนี้
ที่ผ่านมา การประลองก่อนการเปิดแดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นล่างในทุกครั้ง บรรดาผู้มีพรสวรรค์จากแต่ละแดนศักดิ์สิทธิ์ จะต่อสู้อย่างสุดกำลัง เพื่อให้ได้อยู่ในอันดับที่สูงขึ้น กระบวนการของการประลองน่าตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง
แต่ครั้งนี้ เทพธิดาต้าวหวูซินแห่งสำนักดำเหลืองได้ยอมแพ้ก่อนเป็นคนแรก ตามมาด้วยกุ่ยโยว ซิงหลิง และหวูหยุน คนเหล่านี้ล้วนขึ้นไปต่อสู้เพียงสองกระบวนท่า จากนั้นก็ยอมสละสิทธิ์
ด้วยเหตุนี้ ทำให้เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ไร้ชื่อเสียงในหมู่ผู้มีพรสวรรค์จำนวนมาก กลายเป็นผู้นำอันดับหนึ่งในการประลองครั้งนี้
สายตาทุกคู่ ๆ ค่อย ๆ จับจ้องไปที่หลัวซิวซึ่งอยู่บนเวทีประลองด้วยความสงสัย นอกจากคนจำนวนเพียงเล็กน้อยแล้ว คนอีกจำนวนมากต่างเป็นผู้ชมที่ไม่รู้ความจริง
“บัดซบ สายตาของคนพวกนี้หมายความว่าอย่างไร ทำราวกับว่าข้าใช้กลอุบายจนได้ที่หนึ่งมาอย่างไรอย่างนั้น”
เมื่อถูกสายตาจำนวนมากจับจ้องเช่นนี้ ทำให้หลัวซิวรู้สึกอึดอัด เขาอยากตะโกนออกมาดัง ๆ ว่า ข้าต่างหากที่เป็นผู้เสียหายไม่ใช่หรือ ?
แต่เขามั่นใจว่าต่อให้ตนเองตะโกนออกมา ก็ไม่มีใครเชื่ออยู่ดี
บทที่ 645
บทที่ 647
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 645
เขาดูอ่อนโยนและสง่างาม แต่กลับมีออร่าที่ดุดันแผ่กระจายโดยรอบ เขายิ้มแล้วหันมองหลัวซิว แววตาคู่นี้ดูเหมือนปราณกระบี่ของจริง ที่แทงทะลุเข้ามาในจิตใจ
“จากที่ข้ารู้มา ตอนนี้เจ้าอายุยี่สิบเอ็ดปี ด้วยอายุเช่นนี้ แม้จะอยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ทั้งสี่ ก็คงมีเพียงไม่กี่คน ที่พอจะเป็นคู่ต่อสู้ของเจ้าได้”
หวูหยุนยิ้มเล็กน้อย “พรสวรรค์ของเจ้ายอดเยี่ยมเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งเจ้ายังเป็นผู้มีพรสวรรค์ ที่ผู้อาวุโสหวูชิวเสนอให้เข้าร่วมการประลองเองอีกด้วย หากเจ้าเข้ามาอยู่ในตระกูลยุทธ์ของเราได้ และใช้ทรัพยากรที่เข้าใจเป็นอย่างดีทั้งหมดของตระกูลยุทธ์ในการฝึกตน ความสำเร็จในอนาคตของเจ้า จะต้องไร้ขีดจำกัดอย่างแน่นอน”
หลัวซิวประหลาดใจเล็กน้อย เขาคิดไม่ถึงเลยว่า หวูหยุนผู้นี้จะพยายามชักชวนเขาเข้าตระกูลยุทธ์ ในขณะที่อยู่บนเวทีประลอง
จะว่าไปแล้ว การถูกชักชวนโดยตระกูลยุทธ์แดนศักดิ์สิทธิ์ระดับนิรันดร์ สำหรับคนหนุ่มสาวทุกคนที่อยู่ในโลกแสงดาว นับได้ว่าเป็นเกียรติสูงสุด
ยกตัวอย่างเช่นซางหลัน ซึ่งเดิมทีมีพรสวรรค์ที่สูงมากอยู่แล้ว แต่ถ้าหากไม่ใช่เพราะเขาเข้าร่วมตระกูลยุทธ์แดนศักดิ์สิทธิ์ ยังอยู่เพียงแค่ในสำนักธรรมดา ๆ ระดับสองหรือสาม ก็คงเป็นการยากที่เขาจะประสบความสำเร็จอย่างเช่นทุกวันนี้ นี่คือความแตกต่างของมรดกและทรัพยากร
ตระกูลยุทธ์ที่อยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์ระดับนิรันดร์เช่นนี้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการครอบครองทรัพยากรที่ไม่รู้จบ ที่สำคัญที่สุดก็คือการมีวรยุทธ์ระดับสูงสุด ประสบการณ์การฝึกตนของผู้แข็งแกร่งจำนวนนับไม่ถ้วน รวมไปถึงการมีผู้แข็งแกร่งในโลกยุทธ์คอยให้คำชี้แนะด้วยตนเอง
เรียกได้ว่าบนโลกใบนี้ ไม่มีใครที่จะปฏิเสธคำชักชวนของแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ แต่กลับมีเพียงหลัวซิวคนเดียวเท่านั้นที่เป็นข้อยกเว้น
“ในฐานะที่เป็นอันดับหนึ่งในหมู่คนรุ่นใหม่ของตระกูลยุทธ์ การได้รับการเชิญด้วยจากท่านด้วยตนเอง ทำให้ข้ารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง”
หลัวซิวพูดด้วยรอยยิ้ม จากนั้นกลับส่ายหน้า “แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่อาจเข้าร่วมกองกำลังอื่นได้ เพราะข้าคือเจ้าสำนักไท่เสวียน”
“จะเลือกอย่างไรขึ้นอยู่กับเจ้า” หวูหยุนพูดเบา ๆ
ด้วยฐานะของเขา การเอ่ยปากชักชวนอีกฝ่ายด้วยตนเอง ถือเป็นการให้เกียรติอย่างถึงที่สุดแล้ว เพราะตระกูลยุทธ์เองก็ไม่เคยขาดแคลนคนที่อยู่ในระดับพรสวรรค์มาก่อน ในเมื่อีกฝ่ายไม่ยินดี เขาย่อมจะไม่พูดต่อ
ทันทีที่พูดจบ หวูหยุนก็หายตัวไปจากที่เดิม
“หายตัว ?”
หลัวซิวรู้สึกตกใจ ปกติแล้วมีแต่เขาที่เป็นฝ่ายใช้วิชาล่องหนไท่เสวียนในการหายตัว เพื่อจัดการกับคนอื่น แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่า ตอนนี้จะมีคนใช้วิธีการเดียวกันจัดการกับตนเอง
การตระหนักรู้และเข้าใจพลังแห่งโซน หลัวซิวถือว่ายังอยู่ในระดับปฐมภูมิเท่านั้น ส่วนหวูหยุนนั้นอยู่ในระดับผนึกรวมอาณาจักรแล้ว ซึ่งมีความแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
ดังนั้นหลัวซิวรู้ดีว่า การต่อสู้กับหวูหยุน วิชาล่องหนไม่เสวียนนั้นไร้ประโยชน์
“รับฝ่ามือของข้า !”
หวูหยุนปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าหลัวซิว เขาตะโกนออกมาเบาๆ แล้วยกฝ่ามือขึ้นโจมตี ความผันผวนของพลังแห่งโซนระหว่างฝ่ามือนั้นรุนแรงมาก รอยแยกในอากาศค่อย ๆ แพร่ขยายใหญ่ขึ้น และเข้ามาใกล้ตัวของหลัวซิวในทันที
นี่คือพลังและความอยู่ยงคงกระพันของการแหวกอากาศ อย่างน้อยด้วยแดนร่างยุทธ์ร่างเนื้อของหลัวซิวในตอนนี้ ไม่มีทางต้านทานได้ แน่นอน ทันทีที่ถูกโจมตี ร่างกายก็จะถูกฉีกออกเป็นสองส่วนในทันที
บรรลุมังกรเขียว !
เสียงร้องของมังกรดังขึ้น หลัวซิวเพิ่มความเร็ว และหลบหลีกออกบริเวณที่อากาศถูกฉีกขาด
ดูเหมือนหวูหยุนจะคาดเดาเอาไว้แล้วว่า หลัวซิวจะสามารถหลบหลีกได้ จึงยกมือขึ้นสะบัดตามที่ตั้งใจไว้ และหลังแห่งโซนที่มองไม่เห็น ก็โจมตีเข้ามาอย่างเงียบ ๆ
ฉึบ !
ในช่วงวิกฤติ หลัวซิวหลบหลีกจุดสำคัญ แต่เอวด้านซ้ายก็ยังคงถูกโจมตี ร่างยุทธ์แดนมกุฎขั้นกลางถูกแทงทะลุในทันที มีเลือดไหลรินออกมา
“ช่างเป็นพลังโซนที่แข็งแกร่งจริง ๆ” หลัวซิวตาเบิกโพลง การหายตัวระยะสั้น เป็นเพียงแค่วิธีการระดับปฐมภูมิที่สุดของพลังแห่งโซน มีเพียงผู้แข็งแกร่งที่ฝึกพลังแห่งโซนจนลึกซึ้งอย่างหวูหยุนเท่านั้น ที่จะสามารถสำแดงความสามารถในการโจมตีที่น่ากลัวยิ่งขึ้นของพลังแห่งโซนออกมาได้
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 644
ในสายตาของหลัวซิว เรื่องนี้ไม่ถือว่าตนเองถูกหลอกใช้เสียทีเดียว พวกของต้าวหวูซิน กุ่ยโยว ซิงหลิง คิดที่จะปิดบังความสามารถที่แท้จริงและเก็บรายละเอียด ดังนั้นจึงผลักเขาขึ้นเวทีประลอง ส่วนหลัวซิวเองก็ต้องการตำแหน่งผู้นำอันดับหนึ่ง อันที่จริงแล้วจึงไม่มีความขัดแย้งใด ๆ
นอกจากนี้ สำหรับหลัวซิวแล้ว ถ้าหากคนหนุ่มเหล่านี้ลงมือโดยไม่ปิดบังความสามารถของตนเอง ตำแหน่งผู้นำอันดับหนึ่ง คงไม่อาจตกเป็นของตนเองได้
“ผู้ที่มาจากดารานภาของพวกเจ้า ดูเหมือนจะยินดีแสดงความสามารถออกมาอย่างเปิดเผยมากเกินไปหน่อยนะ”
“เหอะๆ เทพธิดาหวูซินจากสำนักดำเหลืองของพวกเจ้าก็เช่นกันมิใช่หรือ ?”
ในบรรดาคนสำคัญที่ชมการต่อสู้ ตัวสำนึกของผู้แข็งแกร่งทั้งจากตำหนักดารานภาและสำนักดำเหลืองส่งเสียง พูดพลางหัวเราะ
“ตอนนี้บรรดาคนหนุ่มสาวเริ่มแข็งขันกันอย่างลับ ๆ ในบรรดาพวกเขา ไม่รู้ว่าใครจะสามารถบรรลุถึงแดนมหายุทธ์ได้ก่อน ?”
การประลองยุทธ์ดำเนินมาถึงตอนนี้ ที่จริงแล้วผู้ที่มีสายตาเฉียบแหลมจากกองกำลังใหญ่ ต่างก็มองออกว่าการที่ซิงหลิงยอมจากไปด้วยตนเอง ไม่ใช่เพราะความสามารถด้อยกว่าหลัวซิว แต่ดูเหมือนจะไม่อยากลงมือต่อสู้อย่างสุดกำลังเสียมากกว่า
แต่ความสามารถทั้งหมดที่หลัวซิวแสดงออกมา ก็ได้รับการยอมรับจากคนจำนวนไม่น้อย ไม่ว่าอย่างไร หากไม่มีความสามารถที่แข็งแกร่งเพียงพอ คนอย่างต้าวหวูซิน กุ่ยโยว และซิงหลิง ก็คงไม่ผลักเขาขึ้นเวทีประลองอย่างแน่นอน
“หวูชิว เด็กหนุ่มที่ท่านเลือกคนนี้ ดูเหมือนจะติดกับดักเข้าแล้วนะ” ต้วนฉือเทียนเหลือบมองเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวด้วยความสะใจ
“ข้าหวูชิว เคารพในเรื่องของฝีมือมาโดยตลอด ใช้พลังยุทธ์ในการครองโลก ต่อให้แผนการจะดีแค่ไหน จะมีประโยชน์อะไร ?” เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวหัวเราะเยาะเรื่องนี้
ถึงแม้ในบรรดาสี่เจ้ายุทธจักร เขาจะมีชื่อเสียงในด้านของความมีไหวพริบ แต่กลับไม่เคยเห็นไหวพริบสำคัญกว่าความสามารถมาก่อน
จริงอยู่ที่ในระหว่างการเติบโต ไหวพริบเป็นวิธีการอย่างหนึ่งที่จำเป็น แต่เมื่อเข้าสู่ขั้นปลายของเส้นทางการฝึกตน ไหวพริบใด ๆ ก็ตาม เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความแข็งแกร่งที่แท้จริง ล้วนเป็นเพียงแค่ภาพลวงตาเท่านั้น และเป็นเพียงสิ่งที่เปราะบาง !
“ปกครองโดยใช้พลังยุทธ์ ? หรือท่านคิดว่าต่อไปเด็กหนุ่มคนนี้ จะกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นได้ ?” ต้วนฉือเทียนเองก็เบะปากอย่างดูถูก
ในโลกแสงดาว พวกเขาสี่จ้าวยุทธจักรถือได้ว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ มีฐานะเทียบเท่ากับผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์
คนที่จะถูกพวกเขาเรียกขานว่าผู้ยิ่งใหญ่ได้นั้น ย่อมต้องเป็นผู้แข็งแกร่งที่บรรลุถึงแดนนิรันดร์เท่านั้น รวมไปถึงผู้ที่อยู่ในระดับจักรพรรดิยุทธ์ที่ไม่อาจหาใครเทียบได้ ซึ่งมีอยู่เพียงไม่กี่คน มีเพียงคนระดับนั้นเท่านั้น ที่สามารถใช้พลังยุทธ์ในการครองโลกได้
มีความสามารถระดับนั้น ย่อมไม่จำเป็นต้องกลัวกับดักและแผนการใด ๆ อย่างแน่นอน แต่ปัญหาก็คือ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ผู้ที่สามารถบรรลุถึงระดับนั้นได้ มีอยู่สักกี่คนกัน ?
ซิงหลิงยอมออกจากเวทีประลองด้วยตนเอง ตามกฎของการประลองแล้ว ตำแหน่งผู้ชนะย่อมตกเป็นของหลัวซิว
จากนั้น ก็เหลือเพียงการประลองยกสุดท้ายระหว่างหลัวซิวและหวูหยุน !
จนถึงตอนนี้ ผู้ที่สามารถครองตำแหน่งผู้ชนะมาได้โดยตลอด เหลือเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้น ใครจะคว้าตำแหน่งผู้นำอันดับหนึ่งของการประลองครั้งนี้ไปได้ แทบไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะเป็นใคร
เพื่อรักษาความยุติธรรมในการประลอง การประลองระหว่างหลัวซิวและหวูหยุนจะเกิดขึ้นในอีกสามชั่วยามให้หลัง ในระหว่างนี้ ทั้งสองสามารถปรับสถานะของตนเองให้ไปอยู่ในจุดสูงสุดได้
บริเวณโดยรอบเวทีประลอง ผู้ชมทั้งหมดต่างอยู่ในความสงบ ถึงแม้บางคนจะไม่สามารถระงับความรู้สึกตื่นเต้นได้ และพูดคุยกันเป็นการส่วนตัว แต่ล้วนเป็นการส่งเสียงของตัวสำนึก ส่วนในสนามบรรยากาศเงียบสงัด
หลังจากผ่านไปสามชั่วยาม บนเวทีประลอง หวูหยุนสวมชุดสีขาว ดูราวกับหยก ใบหน้าหล่อเหลา และมีรอยยิ้มจาง ๆ ที่มุมปาก อยู่ในท่าทีสงบนิ่งและเยือกเย็น
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 643
สิ่งที่ทำให้เขายิ่งอดไม่ได้ที่จะตั้งตารอก็คือ หากนำภูตอัคคีกลืนกินและภูตอัคคีเปลวเยือกทั้งหมด มารวมเข้ากับพลังไสยอัคคี จะเกิดเป็นพลังที่น่ากลัวขนาดไหน ?
หลัวซิวไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะภารกิจที่สำคัญที่สุดของเขาในตอนนี้ก็คือ เอาชนะซิงหลิง !
“คิดไม่ถึงเลยว่า เจ้าจะเป็นปรมาจารย์ค่ายกลขั้นเจ็ด” ซิงหลิงแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา
เส้นทางของค่ายกลนั้นกว้างใหญ่และลึกซึ้ง นอกจากผู้มีพรสวรรค์ขั้นสูงในด้านค่ายกลที่มีอยู่จำนวนน้อยแล้ว คนอีกเป็นจำนวนมากที่ศึกษาค่ายกล หลังจากฝึกตนถึงระดับที่ยากจะพัฒนาต่อไปได้แล้ว ถึงจะเลือกทำความเข้าใจกับค่ายกล และแสวงหาโอกาสที่จะบรรลุการฝึกตนจากสิ่งนี้
ปรมาจารย์ค่ายกลขั้นเจ็ดหนึ่งคน หากอยู่ในโลกแสงดาว ย่อมมีฐานะที่สูงกว่า และได้รับความสำคัญยิ่งกว่ามกุฎยุทธ์อย่างแน่นอน
“เรื่องที่เจ้าคิดไม่ถึงยังมีอีกมาก”
หลัวซิวหัวเราะเยาะ สำหรับคนที่คิดจะสังหารตนเองนั้น เขาย่อมไม่คิดจะแสดงความเป็นมิตรอย่างแน่นอน
“เหอะๆ เอาล่ะ ครั้งนี้ถือว่าเจ้าชนะ”
และสิ่งที่ทำให้หลัวซิวคาดไม่ถึงก็คือ ซิงหลิงไม่ได้ลงมือต่อ แต่กลับเหาะขึ้นไปบนท้องฟ้า และเลือกที่จะยอมแพ้
“นี่หมายความว่าอย่างไร ?” หลัวซิวขมวดคิ้ว
ก่อนหน้านี้ เมื่อต้าวหวูซินเผชิญหน้ากับเขาก็ยอมแพ้ทันที ภายหลังยังมีกุ่ยโยว รวมไปถึงซิงหลิงในตอนนี้อีก อันที่จริงแล้วยังไม่ได้ต่อสู้กันอย่างสุดความสามารถบนเวทีการประลองเสียด้วยซ้ำ คนเหล่านี้มีแผนการอะไรอยู่ในใจกันแน่ ?
“เจ้าหนู เจ้ามีปัญหาแล้ว !” เสียงของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำดังขึ้นมาในตัวหยั่งรู้ น้ำเสียงจริงจังอย่างยิ่ง
ตั้งแต่อายุได้สิบสามปี หลัวซิวก็ค่อย ๆ พัฒนาตนเองมาถึงตอนนี้ ภายในระยะเวลาสั้น ๆ เพียงไม่กี่ปี ในกระบวนการทั้งหมด จิตใจของเขาก็ได้รับการขัดเกลาและเติบโตขึ้นเช่นกัน
ภายใต้การเตือนสติของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำ ดูเหมือนเขาจะคิดหาสาเหตุออกแล้วว่า ทำไมคนอย่างต้าวหวูซิน กุ่ยโยว และซิงหลิง จึงไม่ลงมือต่อสู้อย่างสุดกำลังในการประลองครั้งนี้
ที่จริงแล้ว คนเหล่านี้ไม่ให้ความสำคัญกับการประลองยุทธ์ในครั้งนี้เลยสักนิด
ถึงแม้ลำดับรายชื่อจากการประลองครั้งนี้ จะเกี่ยวพันถึงระยะเวลาในการฝึกตนภายในแดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นล่าง แต่สำหรับผู้มีพรสวรรค์ขั้นสูงสุดที่ถือกำเนิดในแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ เงื่อนไขในการฝึกตนที่พวกเขาได้สัมผัสอยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นทุนเดิมอยู่แล้วนั้น ไม่ได้ด้อยไปกว่าแดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นล่างเลยสักนิด ถึงขั้นอาจดีกว่าเงื่อนไขการฝึกตนในแดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นล่างเสียด้วยซ้ำ
ส่วนที่พวกเขายังมาเข้าร่วมการประลองยุทธ์ในครั้งนี้ ก็เพราะมีความคิดที่จะหยั่งเชิงกันและกัน
แดนศักดิ์สิทธิ์ที่ยิ่งใหญ่แต่ละแห่งของเผ่าพันธุ์มนุษย์ โดยเฉพาะแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ระดับนิรันดร์ทั้งสี่แห่ง ย่อมไม่สามัคคีกันอย่างแน่นอน ต่างฝ่ายต่างก็มีความขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์ระหว่างกัน คนเหล่านี้ในฐานะคนรุ่นใหม่ที่จะเป็นผู้สืบทอดในอนาคต ต่างก็อยู่ในความสัมพันธ์ที่ต้องต่อสู้แข่งขันกัน
แม้ว่าจะพ่ายแพ้ในการประลอง แต่อันนี้จริงแล้ว เป็นการแสร้งแสดงจุดอ่อนต่อหน้าศัตรูเท่านั้น คนให้คนอื่น ๆ ไม่สามารถคาดเดาความสามารถที่แท้จริงของคนเหล่านี้ได้
แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ หลัวซิวกลับโจมตีผู้มีพรสวรรค์ระดับสูงสุดของแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์จนพ่ายแพ้อย่างต่อเนื่อง นั่นไม่เท่ากับว่าหากใครสามารถเอาชนะหลัวซิวได้ เท่ากับพิสูจน์ว่าตนเองมีความแข็งแกร่งยิ่งกว่าทายาทของแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์เหล่านั้นหรอกหรือ ?
และด้วยเหตุนี้ จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำถึงพูดว่าตอนนี้หลัวซิวกำลังตกอยู่ในอันตรายรอบด้าน
นี่เท่ากับว่าหลัวซิวถูกผลักไปอยู่ตรงปากเหว ส่วนผู้มีพรสวรรค์ของแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่เหล่านั้น ก็สามารถฉกฉวยประโยชน์จากช่วงเวลานี้เพื่อเก็บรายละเอียดและพัฒนาตนเองได้
“ให้ตายเถอะ เด็กหนุ่มที่ถูกบ่มเพาะมาจากแดนศักดิ์สิทธิ์พวกนี้ คิดไม่ซื่อขนาดนี้เชียวหรือ ?” หลัวซิวเกลียดความรู้สึกที่ถูกวางกับดักเช่นนี้อย่างยิ่ง
“แต่อย่างไรเสีย การที่ข้ามาร่วมการประลองในครั้งนี้ก็เพื่อตำแหน่งผู้นำอันดับหนึ่ง ในเมื่อพวกเจ้ายินดีที่จะมอบผลประโยชน์นี้ให้แก่ข้า และถือโอกาสครั้งนี้หลอกใช้ข้า ข้าหลัวซิว ก็จะไม่เกรงใจอีกต่อไป”
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 642
ในฐานะที่เป็นผู้มีพรสวรรค์อันดับหนึ่ง ย่อมไม่มีทางฝึกตนพลังกฎเกิงจินเพียงอย่างเดียวแน่นอน เป้าหมายของเขาก็คือ สร้างกฎเก้าประการขึ้น ได้แก่ ทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดิน ลม สายฟ้า ความมืด และแสงสว่าง ผ่านพลังของดารา
คนคนเดียวต้องการรู้ซึ้งถึงกฎทั้งเก้าประการ แสดงให้เห็นว่าซิงหลิงเป็นเด็กหนุ่มที่มีความทะเยอทะยานไม่น้อย
“ภูตอัคคีของเจ้าไม่เลวเลย ข้าขอนะ”
ซิงหลิงพูดขึ้นอย่างไม่แยแส ราวกับว่าตนเองกำลังพูดเรื่องที่สมควรจะเป็นเช่นนั้น
กลางอากาศ ลำแสงสีขาวที่สั่นไหวอยู่ แสดงให้เห็นถึงการสั่นสะเทือนอย่างกะทันหันของพลังกฎเกิงจิน มีมือสีทองขนาดใหญ่ยื่นออกมา แล้วจับตัวของหลัวซิวเอาไว้
“คิดจะแย่งภูตอัคคีของข้าอย่างนั้นหรือ ?” หลัวซิวพูดอย่างเรียบเฉย
การโจมตีของซิงหลิงดูเหมือนจะธรรมดา แต่อันที่จริงแล้วกลับแฝงไปด้วยเจตนาฆ่า เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายวางแผนที่จะสังหารตนเอง แล้วแย่งชิงภูตอัคคีไป
“ภูตอัคคีหากอยู่ในมือของเจ้าก็จะเป็นเพียงแค่ของไร้ค่าเท่านั้น ต้องอยู่ในมือของข้าเท่านั้นจึงจะเจิดจรัสได้ หากเจ้ายอมมอบออกมาเองแต่โดยดี ข้าจะยอมละเว้นเจ้าสักครั้ง” ซิงหลิงแสดงทีท่าไม่แยแส
“เจ้านะหรือ ?” หลัวซิวยิ้มอย่างดูถูก
เมื่อเผชิญหน้ากับท่าทางดูถูกเยาะเย้ยของหลัวซิว ซิงหลิงกลับไม่โกรธ ทำเพียงพูดออกมาเบา ๆ ว่า : “เช่นนั้นเจ้าก็ตายเสียเถอะ”
ในโลกของจอมยุทธ์ มีคนถูกสังหารทุกวินาที ยอมยุทธ์ทุกคนที่เดินบนเส้นทางสายนี้ สังหารผู้อื่นและถูกผู้อื่นสังหาร ล้วนเป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
โดยเฉพาะกับศิษย์ที่มาจากกองกำลังใหญ่และแดนศักดิ์สิทธิ์ หลังจากฝึกฝนวรยุทธ์จนสำเร็จแล้ว ต่างก็ยอมรับการทดสอบที่เกี่ยวพันถึงความเป็นความตาย
ดังนั้นสำหรับซิงหลิงแล้ว การสังหารคนคนหนึ่ง เป็นเรื่องที่ง่ายดายอย่างยิ่ง
ทุกคนที่ยืนดูการต่อสู้แทบจะหยุดหายใจ ซิงหลิงใช้พลังทั้งหมดของพลังกฎในการลงมือ ไม่มีใครคิดว่าหลัวซิวจะเอาชนะได้ มีเพียงการคาดเดาว่าเขาจะสามารถต้านทานได้สักกี่กระบวนท่า ?
ตอนนี้เอง หลัวซิวพลิกฝ่ามือ แล้วธงขลังสรรพสิ่งก็ปรากฏขึ้นในมือ
“นี่มัน……ธงขลังโบราณ ?”
เด็กหนุ่มคนหนึ่งของสำนักค่ายเทพแห่งอาณาจักรเหนือ อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ
ตอนนี้เอง กองกำลังที่เคยตรวจสอบประวัติความเป็นมาของหลัวซิวค่อย ๆ ตั้งสติขึ้นมาได้ เพราะหากอ้างอิงจากข้อมูลที่พวกเขาสืบหามาได้ หลัวซิวยังมีอีกสองสถานะนั่นก็คือ นักค่ายกลและนักกลั่นยา !
ธงขลังสรรพสิ่งโบกสะบัด ก็มีลำแสงพุ่งตรงออกมาจากธงขลัง ชั่วพริบตาเดียว ลำแสงก็รวมตัวเข้าด้วยกัน และเกิดเป็นค่ายกลขึ้น
ออร่าไฟพลุ่งพล่าน และแพร่กระจายอยู่ในค่ายกล
ค่ายเพลิงนภาระดับเจ็ด !
ในช่วงที่ผ่านมา ถึงแม้ระดับค่ายกลของหลัวซิวจะไม่อาจบรรลุถึงขั้นแปดได้ แต่ก็อยู่ในระดับสูงสุดของขั้นเจ็ดแล้ว
ค่ายกลเพลิงนภาระดับเจ็ดนี้เป็นค่ายกลไฟ สามารถเพิ่งพลังให้เปลวไฟได้ ตอนนี้ที่สร้างค่ายกลขึ้นมา ก็เพื่อเพิ่มพลังให้กับภูตอัคคีกลืนกิน
บูม !
เมื่อมีค่ายเพลิงนภาระดับเจ็ดคอยเสริม พลังของภูตอัคคีกลืนกินก็ปะทุขึ้นมา ควบแน่นกลายเป็นกระบี่ขนาดใหญ่กว้างประมาณสามฟุต แทงเข้าใส่มือสีทองขนาดใหญ่ที่ยื่นเข้ามาจับตนเอง
บูม !
พลังที่รุนแรงทั้งสองปะทะกัน จนเกิดการระเบิดอย่างรุนแรง และเกิดเสียงดังสนั่น ความปั่นป่วนของพลังกฎเกิงจินที่แหลมคมกับภูตอัคคีกลืนกินที่ทำลายล้างทุกสรรพสิ่ง ปกคลุมไปทั่วเวทีประลอง
อีกทั้งยังคงมีผลพวงจากการปะทะแพร่กระจายออกมาอย่างต่อเนื่อง และพุ่งเข้าทำลายเกราะป้องกันม่านแสง ทำให้ทุกคนอดไม่ได้ที่จะกังวลใจ เกรงว่าค่ายกลป้องกันจะไม่อาจต้านทานได้ ทำให้ผลพวงจากการปะทะที่อยู่ภายใน โจมตีออกมาด้านนอก
“ในบรรดาธาตุทั้งห้า ไฟเอาชนะทอง ถึงแม้ข้าจะไม่เข้าใจกฎของเปลวไฟเป็นอย่างดี แต่สัญชาตญาณของภูตอัคคีกลืนกินก็มีกฎอยู่ พลังในตอนนี้ สามารถแข่งขันกับพลังของกฎได้จริง”
นานแล้วที่ไม่ได้ใช้งานภูตอัคคี หลัวซิวคิดไม่ถึงเลยว่า ภูตอัคคีของตนเองจะแข็งแกร่งถึงขนาดนี้แล้ว
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 641
นี่คือจุดที่ทรงพลังของอาณาจักร ภายในขอบเขตที่อาณาจักรปกคลุมอยู่ ความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้จะถูกระงับเอาไว้ สิ่งหนึ่งมลายหายไป เกิดสิ่งหนึ่งขึ้นมาแทนที่ ช่องว่างของความแข็งแกร่งยิ่งเพิ่มมากขึ้น
ขณะที่การโคจรของพลังจิตแท้ถูกระงับ วรยุทธ์วงล้อชีวิตแห่งเหล่าทวยเทพก็จะโครขึ้นมาด้วยตนเอง จากนั้นหลัวซิวก็จะรู้สึกว่าร่างกายผ่อนคลาย การถูกควบคุมจากอาณาจักรดาราก็มลายหายไป
การควบคุมไม่เป็นผล !
การถูกควบคุมจากอาณาจักรในลักษณะนี้ อันที่จริงแล้วไม่สามารถควบคุมการโคจรของวรยุทธ์วงล้อชีวิตแห่งเหล่าทวยเทพได้
“อืม ?”
ซิงหลิงเองก็สังเกตเห็นว่าหลัวซิวถูกควบคุมอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นออร่าก็กลับมาเป็นปกติดังเดิม เห็นได้ชัดว่าใช้วิธีการบางอย่างที่ไม่เป็นที่รู้จัก รอดพ้นจากการถูกอาณาจักรควบคุมได้
“ดูเหมือนวรยุทธ์ที่เจ้าฝึกตนไม่ธรรมดาเลยนะ”
ซิงหลิงหันมองหลัวซิวด้วยแววตาลึกซึ้ง ในฐานะที่เป็นทายาทของแดนศักดิ์สิทธิ์ เขาย่อมรู้ดีว่า ผู้ที่สามารถรอดพ้นจากการควบคุมของอาณาจักรได้ จะต้องเป็นผู้ที่มีการฝึกตนในระดับวรยุทธ์ขั้นสูงอย่างแน่นอน
ผู้ที่ไม่ได้ถือกำเนิดจากแดนศักดิ์สิทธิ์ แต่กลับฝึกวรยุทธ์ที่ไม่ด้อยไปกว่าการถ่ายทอดของแดนศักดิ์สิทธิ์เลย สิ่งนี้ทำให้ซิงหลิงรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง
เปรี้ยง !
ในบรรดาดวงดาวทั้งเก้าดวงที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า จู่ ๆ ก็มีดาววงหนึ่งตกลงมา นี่ไม่ใช่ดาราที่แท้จริง แต่กลับหนักอึ้งจนหาที่เปรียบไม่ได้ ราวกับภูเขาทั้งลูกที่ตกลงมา และสามารถบดขยี้โลกได้
หลัวซิวไม่ลังเลที่จะสละเตาทยานนภามังกรคู่ มีเสียงระเบิดดังสนั่นขึ้น เตากลั่นยาและดาราปะทะกัน เกิดความน่าสะพรึงกลัวอันไร้ขอบเขต ปะทุขึ้นราวกับคลื่นเชี่ยวกราก กวาดล้างความว่างเปล่าไปทุกทิศทาง
ดาราที่ตกลงมา ปะทะเข้ากับเตากลั่นตาจนแตกละเอียด แต่ทีท่าของหลัวซิวยังไม่ผ่อนคลายลงแม้แต่น้อย เพราะดาราที่แตกออกเป็นเสี่ยงดวงนั้น กลายเป็นลำแสงนับพันในทันที ทุกลำแสงทะลุผ่านอากาศ และพุ่งตรงเข้ามาหาเขา
การโจมตีที่ประดังเข้ามาเช่นนี้ ต่อให้จะมีความว่องไวเพียงใด ก็ยากที่จะหลบหนีได้ทัน
หลัวซิวส่งเสียงฟึดฟัดออกมา ยกมือขึ้นแล้วปล่อยพลังออกไป ภูตอัคคีกลืนกินพุ่งออกมา ทันใดนั้น พื้นที่โดยรอบทั้งหมดก็ถูกปกคลุมไปด้วยเปลวไฟสีแดงเพลิง
ฟึ่บ ! ฟึ่บ ! ฟึ่บ ! ฟึ่บ !……
ลำแสงที่ควบแน่นด้วยพลังของดารานับพันดวง เปรียบเสมือนแมลงเม่าที่บินเข้ากองไฟ ตกลงไปในภูตอัคคีกลืนกิน และถูกเผาไหม้กลายเป็นความว่างเปล่าอย่างรวดเร็ว
ตึ้ง !
เสียงของมังกรดังขึ้น หลัวซิวเหยียบลงบนพื้น ร่างของเขาลอยเหนือจากพื้นดินเป็นระยะหลายสิบจั้ง เมื่อชี้นิ้วออกไป ภูตอัคคีกลืนกินก็รวมตัวกลายเป็นแสงดาบ และแทงเข้าที่หน้าอกของซิงหลิง
สำแดงออกมาได้เพียงพลังแห่งความตายของแดนบรรลุผลเท่านั้น เดิมทีหลัวซิวไม่คิดที่จะนำออกมาใช้ เพราะอันที่จริงแล้วไม่อาจส่งผลต่อซิงหลิง ซึ่งเข้าใจกฎเป็นอย่างดี
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีครั้งนี้ สีหน้าของซิงหลิงไม่เปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย เขาค่อย ๆ ยกฝ่ามือที่ขาวสะอาดยิ่งกว่าฝ่ามือของสตรีขึ้นมา แล้วคว้ามือออกไปจับแสงดาบที่กลายร่างมาจากภูตอัคคีกลืนกินเอาไว้ มีแสงสีทองห่อหุ้มอยู่โดยรอบฝ่ามือ
เช้ง !
วินาทีที่ฝ่ามือของซิงหลิงปะทะกับเปลวไฟแสงดาบ พลังของภูตอัคคีกลืนกินและพลังกฎเกิงจินก็ปะทะกัน
ซิงหลิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาสัมผัสได้ว่าพลังของเปลวไฟนี้ สามารถเผาผลาญพลังกฎเกิงจินของตนเองได้
“เป็นเปลวไฟที่แข็งแกร่งจริง ๆ ยังไม่ทันเข้าใจกฎแห่งไฟเป็นอย่างดี ก็สามารถใช้พลังระดับนี้ได้แล้ว ถ้าหากเข้าใจกฎแห่งไฟเป็นอย่างดีแล้วละก็ จะยอดเยี่ยมขนาดไหน ?” แววตาของซิงหลิงเป็นประกาย
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า หกได้ครอบครองภูตอัคคีประเภทนี้ จากนั้นได้ตระหนักรู้กฎแห่งไฟ เช่นนั้นต่อให้เป็นผู้ฝึกตนในระดับกฎสูงสุดของแดนเดียวกัน ก็ใช่ว่าจะเป็นคู่ต่อสู้ของตนเองได้
กฎธรรมดาไม่อาจเทียบกับกฎสูงสุดได้ แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว ขอแค่มีโอกาสเพียงพอ ต่อให้จะเป็นกฎธรรมดา ก็สามารถกลายเป็นกฎที่แข็งแกร่งจนหาที่เปรียบไม่ได้ ถึงขั้นว่าอาจอยู่เหนือกฎสูงสุดได้อีกด้วย !
แน่นอนว่าทำให้ซิงหลิงรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 640
ดังนั้นผู้คนเช่น กุ่ยโยว เจียงหวูจี้ ซางหลัน ต้าวหวูซิน แพ้ให้กับหลัวซิว ไม่มากหรือมากในใจพวกเขาจะรู้สึกอึดอัด
เพราะหลัวซิวชายหนุ่มผู้นี้ เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึง ไม่ต้องพูดถึงไพ่ตายที่มีแข็งแกร่งเกินขอบเขตผลการฝึกตน ที่สำคัญคือไพ่ตายเหล่านี้แข็งแกร่งกว่ากันและกันอีกด้วย
แต่หลัวซิวไม่สนใจเรื่องนี้ จุดประสงค์ของเขาคือชัยชนะอันดับหนึ่ง ส่วนที่ว่าตัวเองได้มาเพราะใช้ประโยชน์จากมันหรือไม่นั้น ไม่สำคัญเลย สิ่งสำคัญคือจุดประสงค์ของเขาประสบความสำเร็จก็พอ
หลังจากการต่อสู้ระหว่างกุ่ยโยวและซิงหลิง ทุกคนเห็นถึงความแข็งแกร่งของพลังแห่งกฎ
กุ่ยโยวใช้ร่างทองมารศักดิ์สิทธิ์ พลังการต่อสู้เทียบได้กับแดนมหายุทธ์ช่วงกลาง แต่ก็ยังคงพ่ายแพ้อย่างง่ายดายให้กับซิงหลิง และสิ่งที่อาศัยคือพลังแห่งกฎน้อยๆนั้น
พลังแห่งกฎคือพลังที่นักยุทธ์นับไม่ถ้วนในโลกได้ไล่ตามมาตลอดชีวิต แต่มีเพียงไม่กี่คนที่เข้าใจและควบคุมมันได้อย่างแท้จริง ตั้งแต่สมัยโบราณมีจำนวนไม่มาก
หลัวซิวสังเกตเห็นว่าซิงหลิงใช้พลังแห่งกฎที่แข็งแกร่งออกมา แต่หวูหยุนผู้นั้นยังคงสงบราบเรียบ ไม่ร้อนใจเคร่งเครียดสักนิด
ช่องว่างระหว่างธาตุและพลังแห่งกฎ ระยะห่างไม่ใช่ว่าเล็กน้อย แม้ว่าพลังควบคุมเวลาจะแข็งแกร่งกว่าพลังเกิงจิน แต่พลังแห่งกฎและธาตุนั้นมีช่องว่างขนาดใหญ่ขวางไว้ ร่องรอยของพลังแห่งกฎเกิงจินเล็กน้อย สามารถบดขยี้พลังควบคุมเวลาแดนบริบูรณ์ได้ง่ายมาก
“หรือว่าหวูหยุนผู้นี้ก็ได้ซ่อนความแข็งแกร่งของตนไว้ด้วย?” หลัวซิวขมวดคิ้ว เขาพบว่ามันไม่ง่ายที่เขาจะเอาอันดับหนึ่งอย่างที่เขาคิด
“หลัวซิว ซิงหลิง!”
ในขณะนี้ ด้วยเสียงของเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวดังขึ้นมา สายตาของทุกคนมาบรรจบกันในทันที
พลังแห่งกฎ ภูตอัคคีฟ้าดิน ผู้ใดแข็งแกร่งกว่าหรืออ่อนกว่ากัน?
ภูตอัคคีเกิดขึ้นจากพลังกฎแห่งฟ้าดิน ซึ่งเทียบเท่ากับพลังแห่งกฎมีอยู่โดยกำเนิด
แต่พลังของภูตอัคคีก็ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งจากผลการฝึกตนของเจ้านาย ก่อนหน้านี้ที่หลัวซิวต่อสู้กับกุ่ยโยว ภูตอัคคีออกมาในพริบตาเท่านั้นก็ถูกเรียกกลับ ไม่มีใครรู้ว่าพลังของภูตอัคคีที่หลัวซิวเชี่ยวชาญนั้นแข็งแกร่งถึงเพียงใด
บนเวทีการแข่งขัน หลัวซิวและซิงหลิง คนหนึ่งอยู่ทางเหนือและอีกคนอยู่ทางใต้ ห่างกันหลายสิบฟุต
แต่สำหรับคนที่อยู่ในระดับเดียวกัน ระยะทางหลายสิบเมตรนี้สามารถไปถึงได้ในพริบตาเดียวเพียงหนึ่งลมหายใจเดียว
“หากภูตอัคคีฟ้าดินเป็นไพ่ตายสุดท้ายของเจ้า งั้นเจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า” ซิงหลิงมองไปที่หลัวซิวและพูดด้วยรอยยิ้ม
“จริงๆแล้ว สามารถมาถึงขั้นนี้ได้ด้วยผลการฝึกตนแดนจักรพรรดิยุทธ์ เจ้าทำให้ข้าประหลาดใจมากแล้ว แต่การพึ่งพาสิ่งภายนอกมากเกินไป ไม่ใช่ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของตนเอง”
ทัศนคติของซิงหลิงเป็นเหมือนผู้อาวุโสที่สอนศิษย์ที่อายุน้อยกว่า ซึ่งทำให้หลัวซิวรู้สึกไม่พอใจมาก
ถ้าเขาเป็นเหมือนที่ซิงหลิงพูดจริง ๆ ก็ไม่เป็นไรถ้าเขาจะถูกอีกฝ่ายว่าอย่างนี้ ที่สำคัญคือหลัวซิวมีความแข็งแกร่งนี้จริงๆ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขาไม่สามารถเปิดเผยความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขาได้ จึงทำได้เพียงพึ่งสิ่งภายนอกมาสู้เท่านั้น
“หากมีเพียงร่องรอยของพลังแห่งกฎเกิงจิน เป็นไพ่ตายของเจ้า ข้าคิดว่าผู้แพ้จะเป็นเจ้า” หลัวซิวตอบด้วยคำพูดน้ำเสียงเดียวกัน
เมื่อได้ยินประโยคนั้น ซิงหลิงที่อยู่ฝั่งตรงข้ามอึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นเขาก็หลุดเสียงหัวเราะออกมา “ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าควรพูดว่าเจ้ามั่นใจหรือหยิ่งกันแน่”
ในขณะที่พูด ซิงหลิงก้าวไปข้างหน้าโดยมีดาวเก้าดวงลอยอยู่กลางอากาศ ครอบคลุมเวทีการแข่งขันทั้งหมดด้วยทุ่อาณาจักรดารา
หลัวซิวรู้สึกกับตัว รู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงแสงริบหรี่ของดวงดาวทั้งเก้า ก่อให้เกิดการกดดัน ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อการทำงานของพลังจิตแท้ในร่างกายของเขา
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 639
ในการต่อสู้ครั้งนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้ชนะคือซิงหลิง !
การต่อสู้ที่แท้จริง?
การสนทนาระหว่างกุ่ยโยวและซิงหลิง ไม่ได้ปกปิดใคร หลัวซิวก็ได้ยิน
หรือว่าการต่อสู้ในตอนนี้ไม่ใช่การต่อสู้ที่แท้จริง แล้วการต่อสู้ที่แท้จริงคืออะไร?
หลัวซิวรู้สึกว่ามีบางสิ่งที่แปลกและผิดปกติในหมู่อัจฉริยะเหล่านี้
“พ่อหนุ่มหลัว อย่าประมาทอัจฉริยะจากแดนศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้” ในขณะนี้ เสียงของมหามหาจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำก็ดังขึ้นในวิญญาณหยั่งรู้ของหลัวซิว
“ผู้อาวุโสเสวียนดำ?” หลัวซิวอึ้งเล็กน้อย เขาคาดไม่ถึงว่ามหามหาจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำจะคุยกับเขามนเวลา เพราะมีผู้แข็งแกร่งจำนวนมากอยู่รอบๆ
“ไม่ต้องกังวล ไม่มีผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์อยู่แถวนี้ แค่ระวังหน่อย ก็ไม่ถึงกับจะถูกค้นพบ” มหามหาจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำอธิบาย
ตามคำกล่าวของมหามหาจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำในสมัยโบราณที่เขาอยู่ ทุกครั้งที่แดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นล่างชั้นล่างเปิดออกแล้วแข่งขันการต่อสู้ ย่อมมีมหาจักรพรรดิยุทธ์อยู่ด้วย แม้แต่ผู้ที่รับผิดชอบในการเป็นเจ้าภาพก็เป็นผู้แข็งแกร่งระดับแดนนิรันดร์ นั่นเป็นเหตุผลที่เขาเตือนหลัวซิวว่าอย่าติดต่อเขา
แต่ตอนนี้ไม่พบว่ามีแดนหาจักรพรรดิยุทธ์ขึ้นไปอยู่ที่นี่ จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำจึงไม่ต้องกลัวจนเกินไป
“ผู้อาวุโส เมื่อครู่นี้ท่านหมายความว่าอะไร?” หลัวซิวถามอย่างสงสัย
“ข้าบอกว่าเจ้าไม่ควรประมาทอัจฉริยะของแดนศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้น ก็มีเหตุผลอยู่แล้ว” มหาจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำกล่าวช้าๆ “เจ้าสามารถจินตนาการได้ว่าด้วยภูมิหลังของแดนศักดิ์สิทธิ์ สำหรับอัจฉริยะที่มีความสามารถสูงมาก พวกเขาจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อฝึกฝนพวกเขา ไม่ต้องพูดถึงของขลังชั้นสูง แม้แต่สมบัติวิเศษ ยันต์ขั้น 9 ตามภูมิหลังของแดนศักดิ์สิทธิ์ก็สามารถมอบให้พวกเขาได้อย่างง่ายดาย”
“เป็นเพียงว่าวิธีการเหล่านี้ไม่สามารถถือว่าเป็นความแข็งแกร่งของอัจฉริยะเหล่านี้ได้ ดังนั้นในสมัยโบราณ แดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายต่างเห็นพ้องต้องกันมานานแล้วว่าวิธีการเหล่านี้ไม่สามารถนำมาใช้ เว้นแต่พวกเขาจะต่อสู้ถึงแบบเอาเป็นเอาตาย”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้มหาจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำก็ขมวดคิ้ว “แม้ว่าเจ้าจะเอาชนะพวกเขาได้ แต่เจ้าไม่พบหรือว่าคนเหล่านี้ไม่ได้รู้สึกอะไรเลย และไม่ได้รู้สึกว่าเจ้าชนะพวกเขาแล้วไม่ได้น่าทึ่งอะไร?”
“ดูเหมือนว่าจะเป็นเช่นนี้…” หลัวซิวแตะจมูกด้วยความเขินอาย
“นั่นเป็นเพราะเจ้าแหกกฎที่ใช้มานานนี้ แต่เจ้าไม่ได้มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นเจ้าจึงไม่รู้กฎที่ซ่อนอยู่แล้วนี้ จึงไม่มีใครว่าอะไรเจ้า อย่างมากก็คิดว่าเจ้าเป็นชายหนุ่มที่โชคดีคนหนึ่งเท่านั้น”
“หากเป็นการต่อสู้แบบเอาเป็นเอาตาย แม้ว่าเจ้าจะใช้ไพ่ตายทั้งหมด เจ้าก็อาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอัจฉริยะแดนศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ เพราะคนเหล่านี้มีวิธีการที่ทรงพลังมากมาย แต่ถูกจำกัดด้วยกฎเกณฑ์และไม่สามารถนำมาใช้เท่านั้น”
ตามคำกล่าวของมหาจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำ อัจฉริยะจากแดนศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ที่มาเข้าร่วมการแข่งขัน ของขลังเหล่านั้นที่ไม่ได้อยู่ในความแข็งแกร่งของตนเองจะถูกเก็บไปก่อนการแข่งขันจะเริ่มขึ้น และจะถูกส่งคืนหลังจากการแข่งขันสิ้นสุดลงเท่านั้น
สำหรับคนที่ไม่ได้มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์ ก็ไม่มีข้อจำกัดดังกล่าว เพราะสำหรับอัจฉริยะจากแดนศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ แม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะมีไพ่ตายเหนือกว่า ตัวเองก็ยังสามารถชนะได้ ถึงจะแสดงความแข็งแกร่งระดับอัจฉริยะของแดนศักดิ์สิทธิ์ได้
ส่วนถ้าพ่ายแพ้เพราะเหตุนี้ นั่นก็ทำได้แค่โทษตัวเองที่ด้อยกว่าคนอื่น
อันที่จริงถ้าไม่มีหลัวซิว อัจฉริยะของแดนศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ จะต่อสู้มาจากความแข็งแกร่งที่แท้จริงของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรอบครั้งห่อนนี้ อัจฉริยะของกองกำละงชั้นหนึ่ง มีไพ่ตายมากมาย แต่ก็ยังเขาพ่ายแพ้อยู่ในมือของกุ่ยโยว ต้าวหวูซินพวกนี้
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 638
เหตุผลที่เขาแพ้ให้กับหลัวซิว ส่วนใหญ่เป็นเพราะพลังของภูตอัคคีนั้นแข็งแกร่งมากเกินไป
เมื่อได้ยินการสนทนาของฝูงชน หลัวซิวเบะปาก แต่เขาต้องยอมรับว่าเขาใช้ประโยชน์จากภูตอัคคีจริงๆ มิฉะนั้น เว้นแต่เปิดเผยกฎการเวียนว่ายตายเกิด แม้ว่าพลังแปรเสวียนเทียนถึงยี่สิบสี่เท่า เพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกาย อาจจะไม่สามารถเอาชนะร่างทองมารศักดิ์สิทธิ์ของกุ่ยโยวได้
ตามผลการฝึกตนที่สูงขึ้น ความแข็งแกร่งของภูตอัคคีกลืนกินก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน หลัวซิวคิดว่าถ้าเขาไม่หลบหนีและปล่อยให้ภูตอัคคีกลืนกินแผดเผา แม้จะเป็นร่างยุทธ์ระดับแดนศักดิ์สิทธิ์ช่วงปลาย ก็สามารถเผาผิวหลังและลอกหนังออกมาได้ชั้นหนึ่ง
แต่หลัวซิวก็รู้ด้วยว่าหากความเร็วของคู่ต่อสู้เร็วเกินไป ภูตอัคคีกลืนกินไม่สามารถเผาผลาญคู่ต่อสู้ได้ ก็เทียบเท่ากับสิ่งจำลอง
ความเร็วของกุ่ยโยวไม่ได้ช้า แต่สำหรับหลัวซิว เขาไม่มีข้อได้เปรียบด้านความเร็ว
ดังนั้นกุ่ยโยวก็ชัดเจนในเรื่องนี้เช่นกัน ดังนั้นเขาจึงยอมรับความพ่ายแพ้อย่างไม่ลังเล
เป็นอัจฉริยะจากแดนศักดิ์สิทธิ์เหมือนกัน มีคนบางคนรู้สึกว่ามีเพียงคนอื่นเท่านั้นที่จะยอมรับความพ่ายแพ้ได้ แต่ตัวเองไม่สามารถแพ้ได้ คนเหล่านี้โดยทั่วไปมีจิตใจที่ค่อนข้างแย่ไม่แข็งแรง และการรับรู้ของพวกเขาด้านแดนยุทธ์นั้นไม่สูงนักอย่างแน่นอน ตัวอย่างเช่น เจียงหวูจี้ก็เป็นเช่นนี้ พลังแห่งความตายได้รับการฝึกฝนเข้าใกล้แดนบรรลุผลเท่านั้น ก็มีท่าทีที่ไม่เอาคนอื่นวางไว้ในสายตา
ในทางกลับกัน คนอย่างกุ่ยโยว ไม่สนใจที่ตัวเองจะแพ้ครั้งหนึ่งในการแข่งขัน
เหมือนที่คนบางคนกล่าวไว้ สำหรับอัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบได้เหล่านี้ สิ่งที่สามารถลากห่างความแข็งแกร่งของกันและกันก็คือหลังจากแดนมหายุทธ์ ชัยชนะหรือความพ่ายแพ้ชั่วคราว จะไม่ส่งผลกระทบต่อสถานการณ์โดยรวม
บนเวทีการแข่งขัน หลังจากที่กุ่ยโยวใช้ร่างทองมารศักดิ์สิทธิ์ ความเร็วก็เร็วขึ้น การโจมตีรุนแรงกว่าเดิม ดาบมารในมือราวกับพายุฝน กลายเป็นปราณดาบสีดำทอง เกือบจะทำให้ร่างของซิงหลิงจมไป
“เคร่ง!”
ในขณะที่ทุกคนกำลังตึงเครียด จู่ๆ ฝ่ามือสะอาดก็ยื่นออกมาและจับปลายดาบมารสีดำทองไว้
เป็นไปได้ยังไง!
ทุกคนต่างเบิกตากล้าง และแม้แต่กุ่ยโยวเองที่อยูในที่เกิดเหตุก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา
ในขณะนี้ กุ่ยโยวสังเกตเห็นว่าสองนิ้วของซิงหลิงที่ถือปลายดาบมารนั้นเปล่งประกายด้วยแสงสีทอง
“พลังแห่งกฎเกิงจิน!”
ใจของกุ่ยโยวกระตุก ใช้พลังแห่งกฎเกิงจินเพิ่มความแข็งแกร่ง สองนิ้วมือของซิงหลิงนี้ก็เทียบเท่ากับของขลังชั้นสูง สามารถต้านดาบมารของตนได้อยู่แล้ว
“กุ่ยโยว เจ้าแพ้แล้ว”
ซิงหลิงยิ้มเล็กน้อยและปล่อยนิ้วของเขาอย่างสงบ
กุ่ยโยวเก็บดาบถอยกลับ แต่ไม่ได้โกรธ แต่พูดเรียบ ๆ ว่า “เจ้าก้าวเร็วไปหนึ่งก้าวจริง ๆ แต่เวลาต่อไปนั้นยาวมาก และเจ้าอาจไม่สามารถเดินอยู่ข้างหน้าเสมอไปได้”
เป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดอันดับหนึ่งในแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์เหมือนกัน กุ่ยโยวยอมรับว่าขณะนี้เขาอ่อนแอกว่าหวูหยุนและ ซิงหลิงเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่ท้อถอย
เพราะอัจฉริยะอย่างพวกเขาในระดับนี้ ระยะห่างที่ลากห่างกันคือหลังจากแดนมหายุทธ์ พลังแห่งความตายที่กุ่ยโยวฝึกฝน นั้นยากที่จะเข้าใจและฝึกฝน แต่ถ้าพวกเขาอยู่ในระดับแดนเดียวกัน พลังแห่งความตายก็จะแข็งแกร่งกว่าพลังควบคุมเวลา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพลังเกิงจิน
กุ่ยโยวเชื่อว่าด้วยความสามารถและพรสวรรค์ของเขา อีกไม่นานเขาสามารถไล่ตามหวูหยุนและซิงหลิงได้ เมื่อถึงเวลานั้น ใครจะแข็งแกร่งหรืออ่อนแอกว่านั้นขึ้นอยู่กับความสามารถของตนแล้ว
“ข้ารอคอยที่จะมีโอกาสได้ต่อสู้กับเจ้าอย่างแท้จริง” ซิงหลิงยังคงยิ้มจาง ๆ
กุ่ยโยว ไม่ได้พูดอะไรอีก ออร่าในร่างกายของเขาถูกระงับ เขากระโดดออกจากเวทีการแข่งขัน และกลับไปที่แท่นบัวเพลิงอัคคี
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 637
ตัวอย่างเช่น พลังไฟที่เกิดมาจากพลังดารา เรียกว่าอัคคีดารา ซึ่งแข็งแกร่งกว่าธาตุไฟทั่วไปมาก
การผสมผสานของธาตุที่แตกต่างกัน สามารถเกิดธาตุที่มีพลังแข็งแกร่งกว่า เช่น เบญจธาตุทั้ง 5 พลังตรีภพ พลังควบคุมเวลา พลังแห่งชีวิต พลังแห่งความตายและอื่นๆ
ในบรรดาพลังแห่งกฎธาตุระดับสูงสุดสี่ธาตุ มีเพียงพลังแห่งเวลาเท่านั้นที่ลึกลับที่สุดตั้งแต่สมัยโบราณ และไม่มีใครเคยได้ยินมาก่อนว่าจะมีใครสามารถฝึกฝนสำเร็จได้
ดาวเก้าดวงลอยอยู่กลางอากาศ ความเจิดจ้าของดาราปกคลุมทั่วทั้งเวทีการแข่งขัน ก่อตัวเป็นอาณาจักร
จนถึงตอนนี้ ในบรรดาอัจฉริยะทั้งหลาย มีเพียงซิงหลิงและหวูหยุนเท่านั้นที่เชี่ยวชาญบรรลุความเข้าใจในเรื่องนี้
หวูหยุนคืออาณาจักรโซน ซิงหลิงคืออาณาจักรดารา
สีหน้าของกุ่ยโยวเคร่งขรึม ทันทีที่เริ่มแข็งขัน เขาก็ใช้ดาบมารของขลังชั้นสูงทันที ดาบมารในมือฟันออกไป แสงสีดำหลายสิบแสงจากดาบมารฟันไปยังซิงหลิง
แต่ซิงหลิงไม่แยแส และไม่เห็นว่าเขาทำอะไรไปบ้าง วินาทีที่แสงจากดาบเข้าใกล้เขา ก็สลายหายไปในอากาศ
“พลังของอาณาจักร” รูม่านตาของหลัวซิวหดลง
แม้ว่าเขาจะเข้าใจกฎการเวียนว่ายตายเกิดแล้ว แต่เขาไม่ได้เข้าใจทีละขั้นตอน แต่ผ่านของประทานจากกฎดั้งเดิมตั้งแต่แรกจนจบ ขาดกระบวนการทีละขั้นตอนและเข้าใจอย่างช้าๆไป
นอกจากนี้ ยังรวมเวลาที่เขาทำความเข้าใจค่อนข้างสั้น และเขายังไม่ได้คิดหาวิธีใช้กฎการเวียนว่ายตายเกิดมาสร้างอาณาจักรเฉพาะของตัวเอง
อาณาจักรโซนที่หวูหยุนเคยใช้มาก่อนหน้านี้ ประกอบกับอาณาจักรดาราของซิงหลิงในตอนนี้ ทำให้หลัวซิวมีแรงบันดาลใจไม่น้อย ทำให้เขาเข้าใจถึงทักษะบางอย่างในนั้น
นี่เหมือนกับการเป็นปรมาจารย์แห่งวิชากระบี่ แม้ว่าจะไม่เคยฝึกฝนวิชากระบี่ใด ๆ มาก่อน แต่เขาก็สามารถรู้แก่นแท้ของมันได้เพียงแค่ดูสองสามครั้ง
“มารศักดิ์สิทธิ์อวยพรให้ข้า!”
บนเวทีการแข่งขัน กุ่ยโยวตะโกนอย่างกะทันหัน พลังมารทั้งหมดที่ล้อมรอบร่างกายของเขารวมตัวกันเข้าไปในร่างของเขา มีเงาสีดำขนาดใหญ่สูงตระหง่านปรากฏขึ้นข้างหลังเขา จากนั้นหดตัวและรวมเข้ากับร่างกายของเขาในทันที
ทันใดนั้น แสงสีดำทองก็แผ่ออกมาจากร่างของกุ่ยโยว พร้อมกับดาบมารดำในมือของเขา ก็เปลี่ยนเป็นดาบมารสีดำ-ทอง
พรึบ!
ความเร็วของเขาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาก็ปรากฏตัวด้านข้างซิงหลิงในชั่วพริบตา พลังอาณาจักรดาราตรงหน้าเขาราวกับไร้ตัวตนต่อหน้าเขา ไม่สามารถทำให้เกิดสิ่งกีดขวางแม้แต่น้อย
“นี่คือ… ร่างทองมารศักดิ์สิทธิ์?”
“หนึ่งในสามวิชายิ่งเลิศเฉพาะของนิกายมารศักดิ์สิทธิ์ เมื่อร่างทองมารศักดิ์สิทธิ์ฝึกฝนสำเร็จ กล่าวกันว่าในระดับแดนเดียวกันไร้คู่ต่อสู้!”
“ร่างยุทธ์ของกุ่ยโยวเป็นแดนมกุฎช่วงปลายอยู่แล้ว คาดไม่ถึงว่าเขาจะฝึกฝนร่างทองมารศักดิ์สิทธิ์สำเร็จ ความแข็งแกร่งทางร่างเนื้อของเขาเทียบได้กับแดนมหายุทธ์ช่วงกลางแล้ว!”
มีเสียงอุทานดังขึ้นในฝูงชน และในเวลาเดียวกัน บางคนก็สงสัยในเมื่อร่างทองมารศักดิ์สิทธิ์ทรงพลังมากขนาดนี้ ทำไมกุ่ยโยวไม่ใช้วิชายิ่งเลิศนี้ตอนที่ต่อสู้กับหลัวซิว?
“เปลวไฟสีน้ำตาลแดงที่หลัวซิวใช้นั้น น่าจะเป็นภูตอัคคีที่ทรงพลังแข็งแกร่งมาก เว้นแต่ร่างทองมารศักดิ์สิทธิ์จะฝึกฝนไปอยู่ในระดับที่สูงมาก ไม่อย่างนั้นไม่สามารถทนต่อการเผาไหม้ของภูตอัคคีได้” มีคนอธิบายกล่าวว่า
อันที่จริง โดยพื้นฐานแล้วสิ่งที่คนผู้นี้คาดเดานั้นใกล้เคียงกับความจริง เมื่อต่อสู้กับหลัวซิว กุ่ยโยวคิดจะใช้ร่างทองมารศักดิ์สิทธิ์ แต่ไม่รอให้เขาใช้ หลัวซิวก็ใช้ภูตอัคคีกลืนกินเสียก่อน รัศมีที่น่าสะพรึงกลัวที่ราวกับจะทำลายทุกสิ่งทำให้เขารู้ว่าแม้แต่ร่างทองมารศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่สามารถต่อต้านได้ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ใช้มัน
สำหรับการต่อสู้กับต้าวหวูซิน เขาไม่จำเป็นต้องใช้ร่างทองมารศักดิ์สิทธิ์ก็สามารถชนะได้ จากนี้ จะเห็นได้ว่าความแข็งแกร่งของกุ่ยโยวผู้นี้ก็แข็งแกร่งอย่างมากเช่นกัน
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 636
พวกผู้ใหญ่จากแดนศักดิ์สิทธิ์จากกองกำลังอื่นๆ ใช้ตัวสำนึกพูดคุยกัน และในขณะนี้ ตามที่เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวพูดอีกครั้ง ก็เป็นอีกการแข่งขันที่ดุเดือด
คู่แข่งขันในในครั้งนี้คือซิงหลิงและกุ่ยโยว!
กุ่ยโยวเพิ่งผ่านการต่อสู้มาเมื่อครู่นี้ แม้ว่าใช้พลังไปไม่น้อย แต่ภายใต้วิธีการของเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิว เขาได้ฟื้นตัวเต็มที่หลังจากนั่งขัดสมาธิอยู่บนแท่นบัวเพลิงอัคคีโดยไม่ถึงสิบห้านาที ก็ฟื้นคืนมาแล้ว
ทั้งนิกายมารศักดิ์สิทธิ์และโคจรมหาจักรวาลดารา ต่างเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ และพวกเขาสองคนยังเป็นรุ่นเยาว์อันดับหนึ่งในแดนศักดิ์สิทธิ์ของตน
ซิงหลิงเป็นที่รู้จักในฐานะอัจฉริยะที่ไม่ค่อยพบเห็นในหนึ่งหมื่นปีที่ผ่านมา หมื่นปีที่ผ่านมานี้ไม่ได้หมายถึงสถานที่เล็กๆ ที่ระดับการฝึกฝนต่ำ ๆ ทั่วไป แต่หมายถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของโคจรมหาจักรวาลดารา!
ในฐานะที่เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ ศิษย์ทุกปีที่เข้ามาในโคจรมหาจักรวาลดารา ล้วนแต่มีพรสวรรค์ที่หายากทั้งนั้น แม้ในสถานการณ์เช่นนี้ เขายังสามารถเรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบในหนึ่งหมื่นปีนี้ได้ ซึ่งสามารถรู้ได้ว่าพรสวรรค์ของซิงหลิงสยองขวัญเพียงใด!
เขาไม่ใช่ร่างกายพิเศษที่มีมาแต่กำเนิด และไม่ได้เกิดมาพร้อมกับความสามารถพิเศษใดๆ แต่เป็นเพียงร่างกายของมนุษย์ธรรมดา เพราะคนเช่นนี้เอง ความเข้าใจของเขาช่างน่ากลัวยิ่งนัก
เช่นเดียวกับกุ่ยโยวและหวูหยุน ผลการฝึกตนของพวกเขาอยู่ในแดนมกุฎยุทธ์ขั้น 9 แต่ในแดนยุทธ์ขึ้นไป ซิงหลิงได้เข้าใจร่องรอยเล็กน้อยของพลังแห่งกฎแล้ว!
แตกต่างจากชิ้นส่วนกฎที่ได้รับในแดนอนาคิน นักยุทธ์ที่เข้าใจพลังแห่งกฎเองนั้นมีพลังมากกว่าพลังที่ได้รับจากชิ้นส่วนกฎ
ด้วยภูมิหลังของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะได้ชิ้นส่วนกฎ จากแดนอนาคิน เกือบทุกครั้งที่แดนอนาคินเปิดออก ผู้ที่ได้รับตำแหน่งสิบอันดับแรกนั้น โดยทั่วไปแล้วจะเป็นอัจฉริยะจากแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่
สำหรับหลัวซิวเขา ไม่ได้พบกับอัจฉริยะจากแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ในแดนแต่งตั้งราชา แต่เป็นเพราะสำหรับกองกำลังของดินแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ระดับนี้ ไม่ต้องพูดถึงชิ้นส่วนกฎจากแดนแต่งตั้งราชา แม้จะเป็นชิ้นส่วนกฎจากแดนปริศนาจักรพรรดิยุทธ์ ก็ไม่อยากได้
ในเวลาเดียวกัน หลัวซิวพบว่าเขามองข้ามปัญหาหนึ่งไป ในเมื่อภูมิหลังของแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่นั้นมีมากนัก อัจฉริยะเหล่านี้ที่ออกมาจากแดนศักดิ์สิทธิ์ ทำไมถึงไม่มีชิ้นส่วนกฎที่ผู้อาวุโสมอบให้ได้อย่างไร?
แต่ในระหว่างการแข่งขันทั้งหมด หลัวซิวไม่พบใครว่ามีใครที่ใช้พลังจากชิ้นส่วนกฎ
สิ่งนี้ทำให้หลัวซิวงงงวยไม่เข้าใจ หากอัจฉริยะจากแดนศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ ใช้พลังของชิ้นส่วนกฎ ไม่ต้องพูดถึงระดับความแข็งแกร่งระดับของกุ่ยโยว แม้แต่ซางหลัน เขาอาจจะไม่สามารถเอาชนะได้
แน่นอน นอกซจากว่าเขาไม่เปิดเผยพลังแห่งกฎความเป็นความตายและปีกทิพย์ไร้มลทินของตน
เมื่อหลัวซิวครุ่นคิดเกี่ยวกับคำถามนี้ บนเวทีการแข่งขัน การต่อสู้ระหว่างกุ่ยโยวและซิงหลิง กำลังจะเริ่มต้นขึ้น
นักยุทธ์ธรรมดา สามารถเข้าใจความลึกลับของพลังแห่งกฎได้ก็ต่อเมื่อผลการฝึกตนของพวกเขาไปถึงระดับเจ้ายุทธจักร
และซิงหลิง ทำได้ถึงจุดนี้ได้ในแดนมกุฎยุทธ์ และเสียงที่จะได้รับชัยชนะอันดับหนึ่งนั้นสูงกว่าหลัวซิวและหวูหยุน
ไม่พูดถึงหลัวซิวแล้ว หวูหยุนได้ฝึกฝนพลังควบคุมเวลาจนถึงแดนบริบูรณ์ และผนึกอาณาจักรออกมาได้แล้ว แต่เขาก็ยังห่างไกลจากการควบคุมพลังแห่งกฎ
ในการต่อสู้ครั้งนี้ ไม่มีใครคิดว่ากุ่ยโยวจะสามารถชนะได้
ทันทีที่การแข่งขันเริ่มขึ้น ดาวฤกษ์สว่าง 9 ดวง ปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของซิงหลิง สีของดาวทั้ง 9 ดวงนี้แตกต่างกัน และธาตุลักษณะก็ต่างกัน
ดาวทั้งเก้าดวงนั้นสอดคล้องกับธาตุทั้งเก้า ได้แก่ ทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดิน ลม ฟ้าร้อง หยินและหยาง!
พลังดาราที่แตกต่างกัน สามารถเกิดเป็นธาตุที่ไม่เหมือนกันขึ้นมาได้ และแม้แต่พลังของธาตุที่เกิดขึ้นมาก็จะแข็งแกร่งมากกว่าธาตุทั่วไป
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 635
สุดท้ายถึงรอบหลัวซิวแข่งขัน คราวนี้คู่ต่อสู้ของเขาเป็นอัจฉริยะที่มาจากตำหนักดารานภา หลัวซิววางแผนที่จะดูวิธีการโคจรมหาจักรวาลดาราของโดยการต่อสู้กับอีกฝ่าย แต่เขาคาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะยอมรับความพ่ายแพ้โดยไม่ลังเลทันที
เท่าที่หลัวซิวรู้มา สายเลือดโคจรมหาจักรวาลดารา ฝึกฝนพลังดารา ซึ่งเป็นพลังธาตุพิเศษชนิดหนึ่ง ค่อนข้างคล้ายกับพลังเหลืองเสวียน ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา และได้เปลี่ยนแปลงออกมาเป็นธาตุอื่นๆ และฝึกฝนไปสู่แดนที่ขั้นสูง ยังจะสามารถแปลงเป็นพลังแห่งกฎระดับสูงได้
ตัวอย่างเช่น มีข่าวลือว่าโคจรมหาจักรวาลดารา เทพศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ที่ซึ่งเฝ้าอยู่ก็เพราะถึงระดับแดนเจ้ายุทธ จากพลังดาราความเข้าใจกลายเป็นกฎปริภูมิดั้งเดิม มีพลังแห่งกฎระดับสูงสุดอย่างหนึ่ง และกลายเป็นหนึ่งในผู้แข็งแกร่งที่สุดในโลกแสงดาว
เทพศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์จากสำนักดำเหลือง จากพลังเหลืองเสวียนบุกไปถึงระดับเจ้ายุทธจักร ได้รับรู้ถึงกฎแห่งชีวิต
ตั้งแต่เกิดภัยพิบัติในสมัยโบราณ แม้ว่าการฝึกฝนจะไม่ได้สูงสุดเหมือนในอดีตอีกต่อไป แต่ในบรรดาแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ทั้งสี่แห่ง ก็ยังมีระบบการสืบทอดที่สมบูรณ์
แต่แม้ว่าจะมีการสืบทอดที่สมบูรณ์ หลังจากผ่านไปหลายหมื่นปี ผู้ที่สามารถทำความเข้าใจได้จริงๆนั้นน้อยมาก
ว่ากันว่า ในโลกแสงดาว ห้าหมื่นปีมาแล้ว ที่ไม่ได้มีผู้แข็งแกร่งระดับนิรันดร์เกิดขึ้นมาอีก
รู้ว่าสู้ไม่ได้ ก็ไม่มีใครเต็มใจที่จะเป็นตัวตลก การต่อสู้ต่อมา ส่วนใหญ่ก็ไม่มีอะไรน่าดู ทุกคนต่างตั้งตารอการปะทะกันระหว่างหลัวซิว หวูหยุนและซิงหลิงสามคน
สามอันดับแรกของการแข่งขันครั้งนี้ จะต้องตกไปอยู่ในมือของสามคนนี้อย่างแน่นอน แต่สำหรับอันดับที่สี่ถึงสิบนั้นยังมีการแข่งขันกันอีกมาก
เพราะหลังจากการแข่งขัน ก็จะได้เข้าฝึกตนในแดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นล่าง และระยะเวลาในการฝึกฝนของแต่ละคนนั้นถูกกำหนดโดยอันดับของการแข่งขัน ทุกคนเลยพยายามอย่างหนักเพื่อให้ได้อันดับที่สูงขึ้น
ในสายตาของคนส่วนใหญ่ อันดับสี่และห้าจะเป็นของกุ่ยโยวและต้าวหวูซินอย่างไม่ต้องสงสัย
หลังจากผ่านการต่อสู้มาหลายครั้ง ก็ถึงรอบของกุ่ยโยวและต้าวหวูซินที่จะขึ้นเวลาแข็งขัน
คนสองคนนี้ คนหนึ่งเป็นนิกายมารศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่งในรุ่นเยาว์ และอีกคนเป็นเทพธิดารุ่นนี้ของสำนักดำเหลือง เทียบกันแล้ว ผลการฝึกตนของกุ่ยโยวนั้นสูงกว่า เพราะอายุของเขามากกว่าต้าวหวูซินเจ็ดหรือแปดปี
อายุเจ็ดหรือแปดปีอาจไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับนักยุทธ์ธรรมดา แต่สำหรับอัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบได้ในระดับเดียวกัน ก็สามารถเปิดช่องว่างระยะห่างขนาดใหญ่ได้แล้ว
ทันทีที่กุ่ยโยวขึ้นมา เขาได้ใช้พลังมารให้ถึงขีดสุด ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยพลังมาร กลายเป็นมังกรที่ขดไปมา คลุมไปทั้งเวทีการแข่งขัน
ต้าวหวูซินไม่ได้อ่อนแอสักนิด ใช้วิชายิ่งเลิศทุกชนิดด้วยพลังเหลืองเสวียนเป็น แต่ท้ายที่สุดก็ด้อยกว่าเล็กน้อยแล้วยอมรับความพ่ายแพ้
เมื่อเห็นการต่อสู้ครั้งนี้ ผู้คนจึงเข้าใจในทันทีว่ากุ่ยโยวผู้นี้เป็นที่รู้จักในฐานะผู้ที่เก่งกาจที่สุดในรุ่นเยาว์ของนิกายมารศักดิ์สิทธิ์ แต่พ่ายแพ้ให้กับหลัวซิว ซึ่งทำให้หลายคนรู้สึกว่าไม่คู่ควรกับชื่อนี้มากนัก เลยทำให้ผู้คนหลายคนรู้สึกว่าอัจฉริยะรุ่นเยาว์อันดับหนึ่งของนิกายมารศักดิ์สิทธิ์ ก็ไม่มีเก่งกาจอะไรมากนัก
จนกระทั่งถึงเวลานี้ ผู้คนค่อยตระหนักได้ว่าไม่ใช่ว่ากุ่ยโยวไม่ได้แข็งแกร่ง แต่หลัวซิวนั้นแข็งแกร่งเกินไป หากพูดให้ตรงกว่านี้คือ เปลวไฟที่หลัวซิวแสดงออกมานั้นน่ากลัวเกินไป ทำให้กุ่ยโยวหวาดกลัว
“ถ้าไม่มีผู้แข็งแกร่งที่คาดไม่ถึงอย่างหลัวซิว ในการแข่งขันครั้งนี้ กุ่ยโยวจะต้องอยู่ในสามอันดับแรกอย่างแน่นอน”
“อัจฉริยะที่แท้จริงไม่สามารถมองออกได้ในระยะแรก หลังจากที่ผลการฝึกตนไปถึงแดนมหายุทธ์ ช่องว่างจะค่อยๆกว้างขึ้น”
“ใช่ เส้นทางของยุทธ์ ขึ้นอยู่กับว่าใครสามารถไปได้ไกลกว่าบนเส้นทางแห่งการเข้าใจพลังแห่งกฎ ห่างกันเล็กน้อยก็เท่ากับว่าห่างกันมาก!”
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 634
ในอดีต หลัวซิวอยู่ในกลุ่มระดับต่ำเกินไป ดังนั้นเขาจึงไม่ค่อยรู้ว่าสองระดับความเป็นตายหมายถึงอะไร
จนกระทั่งภายหลัง เขาค่อยๆ ตระหนักได้ว่าตั้งแต่สมัยโบราณ ไม่มีใครสามารถฝึกฝนสองระดับความเป็นตายพร้อม ๆ กันได้
พลัง 2 ระดับ มีหยินและหยาง มีแสงสว่างและความมืด มีน้ำแข็งและไฟ แต่มีเพียงความเป็นตายเท่านั้นที่ยากสำหรับการฝึกฝน ตั้งแต่สมัยโบราณ ผู้ที่ลองฝึกฝนเรื่องนี้ก็จะล้มเหลวโดยไม่มีข้อยกเว้น
แม้ว่าจะโยนสองระดับความเป็นตายออกไปไม่พูดถึง กฎการเวียนว่ายตายเกิดคือพลังแห่งกฎระดับสูงสุด ทั่วทั้งโลกแสงดาว ผู้ที่สามารถฝึกฝนจนถึงแดนนี้ได้ก็น้อยมาก
ทันทีที่ผู้อื่นรู้เข้า ผลการฝึกตนของเขาแค่เพียงแดนจักรพรรดิยุทธ์ ก็สามารถใช้กฎการเวียนว่ายตายเกิดได้ งั้นแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ทั้งสี่จะต้องไม่สามารถนั่งนิ่ง ๆ ได้อีกต่อไป นี่เป็นสิ่งที่วางอยู่ตรงหน้าทุกคนว่าเขาได้ฝึกฝนวิชาที่สูงสุดวิชาหนึ่ง ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถอธิบายได้ว่าเขาสามารถใช้กฎการเวียนว่ายตายเกิดได้ด้วยผลการฝึกฝนที่ต่ำเช่นนี้
เพราะถ้าต้องการที่จะทำความเข้าใจเกี่ยวกับพลังแห่งกฎระดับสูงสุด ไม่เพียงแต่มีพรสวรรค์การฝึกฝนที่ไม่มีใครเทียบได้ก็พอแล้ว แต่ยังต้องการวิชาระดับสูงสุดและความโชคดีอีกด้วย
และหลัวซิวก็มีสองเงื่อนไขนี้ วิชาคือวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ ความโชคดีคือลูกแก้วแห่งความเป็นความตาย!
นี่คือรากฐานของหลัวซิว และก่อนที่ความแข็งแกร่งของเขาจะสามารถต่อต้านผู้แข็งแกร่งของโลกแสงดาวได้ จะไม่เปิดเผยออกมาเด็ดขาด
แม้ว่าจะเป็นเพราะเหตุนี้ทำให้เขาไม่สามารถได้รับอันดับหนึ่งในการแข่งขันนี้ เขาจะไม่เปิดเผยกฎการเวียนว่ายตายเกิด นี่เป็นขีดเส้นที่ต่ำที่สุดของเขา
“กุ่ยโยวพ่ายแพ้แล้ว เขาเป็นอัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบที่สามารถแข่งขันกับหวูหยุน!” หลายคนรู้สึกว่าไม่อยากจะเชื่อ
“ถึงแม้กุ่ยโยวจะพ่ายแพ้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ากุ่ยโยวนั้นไม่แข็งแกร่ง และไพ่ตายของหลัวซิวมากเกินไป แล้วยังมีของขลังล้ำค่าอย่างภูตอัคคีอีกด้วย”
“หากเป็นเช่นนี้ ในการต่อสู้เพื่อแย่งชิงหนึ่งในอันดับสิบแรก มีเพียงสามคนเท่านั้นที่สามารถรักษาชัยชนะได้อย่างสมบูรณ์ ยกเว้นหลัวซิวคนนี้ ก็คือหวูหยุนและซิงหลิงแล้ว”
มีการพูดคุยคาดเดากันมากมายในฝูงชน ตามกฎของการแข่งขัน แต่ละคนในสิบคนนี้ จะต้องแข่งขันกับอีกเก้าคน ในที่สุดใครชนะมากที่สุด ก็จะได้เป็นอันดับหนึ่งของการแข่งขันครั้งนี้!
ในเวลาเดียวกัน ทุกคนพบว่าหลัวซิวต่อสู้มาจนถึงตอนนี้ ทุกครั้งเขาจะแสดงความแข็งแกร่งที่ไม่คาดคิด ทุกคนที่ดูถูกเขาจะต้องตกใจและตกตะลึง ไพ่ตายไม่มีที่สิ้นสุด และไม่มีใครรู้ขีดจำกัดความแข็งแกร่งของเขาได้ว่าอยู่ที่ไหน
ไม่ใช่ว่ามีเพียงหลัวซิวเท่านั้นที่มีไพ่ตายของตัวเอง อัจฉริยะคนไหนในแดนศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ไม่มีวิธีการที่เด็ดขาดบ้าง?
แต่เพียงว่าเมื่อพวกเขาเผชิญหน้ากับอัจฉริยะคนอื่น ๆ ในรุ่นเยาว์ ถือได้ว่าเป็นวิธีการเด็ดขาดที่สามารถสร้างชัยชนะได้ และสามารถก้าวกระโดดต่อสู้กับผลการฝึกตนที่สูงกว่าตัวเองสามแดนได้
แต่ไพ่ตายของหลัวซิวนั้นแข็งแกร่งกว่าคนเหล่านี้ ดังนั้นเขาจึงสามารถเอาชนะผู้แข็งแกร่งทั้งหมดทีละคนได้ และกลายเป็นผู้ได้รับเลือกที่มีสิทธิ์แย่งชิงอันดับหนึ่ง
เมื่อหลัวซิวถูกเคลื่อนย้ายกลับไปที่แท่นบัวเพลิงอัคคีอีกครั้ง เขารู้สึกได้ว่ามีสายตาคู่หนึ่งกำลังจ้องมองมาที่เขา
เขาเงยหน้าขึ้นและบังเอิญสบตากับชายหนุ่มในชุดสีน้ำเงิน
“ซิงหลิง!”
หลัวซิวจำคนผู้นี้ได้ จากสายตาของอีกฝ่าย เขาสัมผัสได้ถึงร่องรอยของการต่อสู้และความกลัวเล็กน้อย
การแข่งขันดำเนินต่อไป ซางหลันเผชิญหน้ากับเจียงหวูจี้ ความแข็งแกร่งของทั้งสองเกือบเท่ากัน การต่อสู้ดุเดือดและน่าตื่นเต้น
แม้ว่าเจียงหวูจี้จะฝึกฝนพลังแห่งความตายระดับบนสุด แต่เขาไม่ได้ฝึกฝนจนถึงแดนบรรลุผล เมื่อเผชิญกับแดนบรรลุผลของซางหลันอย่างหนึ่ง พลังสองธาตุแดนบริบูรณ์ที่ สุดท้ายก็ตกสู่ความเสื่อมถอยและพ่ายแพ้
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 633
เมื่อครู่นี้แสงของเปลวไฟสีน้ำตาลแดงที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้น ทำให้หวูชิวประหลาดใจมาก แม้ว่าเขาจะไม่แน่ใจว่าเป็นภูตอัคคีประเภทใด แต่ต้องแข็งแกร่งกว่าภูตอัคคีเปลวเยือกมากอย่างแน่นอน
“ชายหนุ่มคนนี้…”
เมื่อคิดถึงจุดนี้ เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิว ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะในใจ เขาเป็นระดับเจ้ายุทธจักรที่ฝึกฝนกฎแห่งเปลวไฟ ได้รับภูตอัคคีชนิดหนึ่ง ก็ยังเป็นผู้อาวุโสที่มอบให้เขา และชายหนุ่มคนนี้เป็นเพียงจักรพรรดิยุทธ์เท่านั้น ก็สามารถกลั่นภูตอัคคีมาเป็นของตนเองได้ ความโชคดีนี้น่าอิจฉาจริงๆ
แต่มีบางคนอิจฉา แต่ก็มีหลายคนที่มีความคิดอื่น ๆ อยู่ด้วย เพราะภูตอัคคีเป็นสิ่งที่สามารถเติบโตได้ ไม่ว่าจะมีผู้แข็งแกร่งระดับใด ได้มาแล้วเลี้ยงดูฝึกฝน สามารถกลายเป็นไพ่ตายที่ทรงพลังไพ่หนึ่งของตนได้
“ประชาชนไม่มีความผิด แต่ถูกพิพากษาว่ามีความผิดเพราะซ่อนหยก”
เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของคนหลายคน รวมถึงพวกกองกำลังใหญ่และนักยุทธ์ผู้แข็งแกร่งจากแดนศักดิ์สิทธิ์
“ดูเหมือนว่ามีภูตอัคคีแบบนี้ ชายหนุ่มผู้นี้มีไพ่ตายที่จะแข่งขันเพื่อชิงอันดับหนึ่งแล้ว” เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวพูดในใจ
ในเวลาเดียวกัน ต้าวหวูซินก็จ้องหลัวซิวในสนามพร้อมการขมวดคิ้วเล็กน้อย บนใบหน้าที่งดงามที่มองไม่จริง
“นี่ไม่ใช่ความแข็งแกร่งทั้งหมดของเขา…” ต้าวหวูซินพูดกับตัวเอง น้ำเสียงของนางเบามาก และเพราะไม่มีใครอยู่ใกล้ๆ นางจึงไม่มีใครได้ยิน
ในสำนักดำเหลือง มีเพียงผู้อาวุโสและเทพศักดิ์สิทธิ์จำนวนน้อยเท่านั้นที่รู้ว่านางเกิดมาพร้อมกับความสามารถพิเศษที่สามารถทำนายอันตรายได้
และเมื่อระดับผลการฝึกตนของตนเองเพิ่มขึ้น ความสามารถในการคาดการณ์นี้จะยิ่งแม่นยำมากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อนางเห็นหลัวซิวเป็นครั้งแรก นางรู้สึกถึงพลังที่น่าสะพรึงกลัวที่ซ่อนอยู่ในร่างกายอีกฝ่าย ซึ่งทำให้นางหวาดกลัว
อย่างไรก็ตาม แม้ว่านางจะสามารถรับรู้ได้ถึงพลังที่คุกคามนางได้ แต่นางก็ไม่รู้ว่าพลังมาจากไหน และพลังที่ซ่อนอยู่ในร่างกายของหลัวซิว ทำให้นางรู้สึกถึงการคุกคามจากความตาย
นี่ก็หมายความว่าถ้าอีกฝ่ายใช้พลังนี้ นางอาจจะตายก็ได้!
ดังนั้นนางจึงยอมพ่ายแพ้ โดยไม่ต่อสู้กับหลัวซิว
สำหรับตอนที่เผชิญหน้ากับหวูหยุน แม้ว่านางจะรู้ว่าตัวเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหวูหยุน แต่ก็ไม่มีความรู้สึกที่ต้องเผชิญหน้ากับความตาย ดังนั้นนางจึงไม่ยอมรับความพ่ายแพ้
ในขณะนี้ นางเห็นเปลวไฟอันทรงพลังที่หลัวซิวเพิ่งแสดงออกมา แม้ว่าพลังของเปลวไฟจะมีพลังมาก แต่ก็ไม่ได้ทำให้ ต้าวหวูซินรู้สึกถึงภัยคุกคามจากความตาย ดังนั้นนางจึงสามารถสรุปได้ว่า นอกเหนือจากเปลวไฟนี้ หลัวซิวต้องมีไพ่ตายที่แข็งแกร่งกว่าซ่อนอยู่
“คนผู้นี้ลึกลับจริงๆ เมื่อก่อนไม่เคยได้มาก่อน”
ต้าวหวูซินจ้องไปที่หลัวซิวบนเวทีการแข่งขัน ไม่มีใครรู้ว่าในใจของเทพธิดาที่ราวกับนางฟ้าคิดอะไรอยู่ในใจ
บนเวทีการแข่งขัน หลัวซิวสามารถรู้สึกได้ถึงสายตาร้อนแรงที่จ้องมองจากผู้ชมที่มาชมการต่อสู้จากทุกทิศทางที่
เปิดเผยภูตอัคคีกลืนกินเป็นเรื่องที่จนปัญญา เพราะหลังจากที่กุ่ยโยวใช้ดาบมาร เป็นเรื่องยากมากที่จะเอาชนะเขาด้วยวิธีการที่เขาได้แสดงออกมาในตอนนี้
อัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบได้เหล่านี้จากแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ แต่ละคนไม่ใช่คนธรรมดา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผลการฝึกตนสูงขึ้นเรื่อย ๆ ความแข็งแกร่งของพวกเขาจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ ตราบใดที่พวกเขาไม่ตาย พวกเขาถูกกำหนดให้เป็นผู้แข็งแกร่งที่จะยืนอยู่บนโลกแสงดาวจุดทีสูงสุด
“โชคดีที่เปิดเผยแค่ภูตอัคคีกลืนกิน ถ้าคนเหล่านี้รู้ว่าข้าได้เข้าใจกฎการเวียนว่ายตายเกิดด้วย ข้าเดาว่าวันนี้ข้าไม่อาจจากไปจากที่นี่ได้”
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 632
“อัจฉริยะเหล่านี้จากแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ร่ำรวยจริงๆ!”
ของขลังชั้นสูงระดับสูงสุด ผู้แข็งแกร่งระดับแดนมหายุทธ์จำนวนมากอาจไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงินออมทั้งหมดที่มี
ยิ่งไปกว่านั้น ของขลังระดับนี้ จะหายากมากและไม่มีราคาตลาด
เกิดเสียงชนขึ้น ดาบมารชนกับหม้อ ภายในสองหรือสามลมหายใจ พลังของเตากลั่นยาก็ถูกระงับ
กุ่ยโยวถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเขาเห็นว่าพลังของดาบมารนั้นแข็งแกร่งกว่าเตากลั่นยาของคู่ต่อสู้ และในขณะนี้ ร่างของหลัวซิวปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาและชกออกไป
“ข้าบอกแล้วว่าการโจมตีแบบนี้ไม่มีประโยชน์กับข้า!” กุ่ยโยวส่งเสียงออกมาอย่างเย็นชา ใช้พลังจิตแท้แล้วปล่อยหมัดออกไป
บูม!
วินาทีที่หมัดทั้งสองปะทะกัน แสงสีน้ำตาลแดงก็ปรากฏขึ้นบนร่างกายของหลัวซิว
“นี่คือ…”
รู้สึกถึงออร่าที่น่าสะพรึงกลัวที่ดูเหมือนจะเผาผลาญทุกสิ่งในโลก สีหน้าของกุ่ยโยวเปลี่ยนไปในทันใดพร้อมถอยกลับอย่างรวดเร็ว
ทันทีที่เขาถอยกลับ เขาก็สูญเสียท่าทีแข็งแกร่งไป หลัวซิวก็ไล่ตามทันที ต่อยเขาเข้าที่หน้าอก
กุ่ยโยวรู้สึกราวกับว่าเขาถูกช้างยักษ์ฟาดเข้าที่หน้าอก ลำคอของเขารู้สึกได้ถึงความหวาน เขากระอักเลือดออกมา และร่างกายของเขาก็พุ่งทะยานและลอยออกไป
เมื่อเห็นฉากนี้ ทุกคนที่ชมการต่อสู้ในเมืองหลัวเทียนต่างตกตะลึงกันเล็กน้อย และแม้แต่พวกผู้ใหญ่ที่ออกมาจากแดนศักดิ์สิทธิ์ก็เต็มไปด้วยความไม่เชื่อ ดวงตาของพวกเขาเต็มไปแสงประกาย
สิ่งที่ทำให้คนเหล่านี้ตะลึงไม่ใช่ว่าหลัวซิวสามารถเอาชนะกุ่ยโยวได้ แต่เป็นเพราะการแสดงก่อนหน้านี้ของต้าวหวูซิน ได้บอกให้รู้ว่าความแข็งแกร่งของหลัวซิวนั้นไม่ได้ง่ายอย่างที่เขาแสดงออกมาอย่างง่ายๆนี้
“นั่นคือ… ภูตอัคคีหรือ?”
เปลวไฟสีน้ำตาลแดงที่น่าทึ่งมากในเมื่อครู่นี้ ทุกคนที่อยู่ที่นั่นต่างก็สังเกตเห็นแล้ว แม้ว่าจะมีค่ายกลปิดกลั้นอยู่รอบเวลา ได้กลั้นออร่าไปส่วนใหญ่ แต่ออร่าอันน่าสะพรึงกลัวที่สามารถทำลายสวรรค์และโลกหรือเผาทุกสิ่งทุกอย่างก็ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงมัน
“แม้แต่กุ่ยโยวก็ไม่กล้าต่อต้านต้องเป็นภูตอัคคีแน่นอน และดูเหมือนจะไม่ใช่ภูตอัคคีธรรมดา”
“ชายหนุ่มผู้นี้โชคดีมากที่ได้ของขลังอย่างภูตอัคคีเช่นนี้!”
เหนือเมฆ มุมปากเจ้ายุทธจักรพลานุภาพกระตุก 2 ครั้ง สำหรับนักยุทธ์ที่ฝึกฝนกลั่นร่าง ถ้าสามารถได้รับภูตอัคคีมาชุบร่างเนื้อ งั้นระดับแดนกลั่นร่างก็จะเร็วมาก กลั่นร่างวันหนึ่งก็เหมือนกลั้นร่างมาหลายวัน และกลั่นภูตอัคคีให้เป็นของตนเอง ยังทำให้การโจมตีของนักยุทธ์มีลักษณะของภูตอัคคี
เพียงแต่ว่าภูตอัคคีสิ่งนี้หายาก ต้วนฉือเทียนได้ค้นหาตามสถานที่ต่างๆ มากมาย แต่กลับไม่พบเบาะแสแม้แต่น้อย
ต้วนฉือเทียนและเทพธดาหานยู่ต่างก็หันมามองเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวทันที เพราะเท่าที่พวกเขารู้มา หวูชิวผู้นี้ ดูเหมือนจะมีภูตอัคคีอยู่ในมือตัวหนึ่ง ซึ่งเป็นอาจารย์ระดับนิรันดร์ของตระกูลหวูมอบให้เขา
แต่เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวไม่ได้ให้คำอธิบายใด ๆ อันที่จริงแล้วในใจของเขาก็ตกใจมากเช่นกัน
ภูตอัคคีที่เกิดจากฟ้าดิน เนื่องจากเงื่อนไขการเกิดต่างกัน ความสามารถพิเศษของภูตอัคคีแต่ละชนิดจึงแตกต่างกัน จึงมีการจัดระดับสูงและต่ำ
ในสมัยโบราณ เคยมีรายชื่อภูตอัคคีฟ้าดิน รายชื่อภูตอัคคีฟ้าดินแบ่งออกเป็น 27 ชนิด
เท่าที่หวูชิวรู้ ภูตอัคคีเปลวเยือกในมือของเขาอยู่ในอันดับที่ 25 ในรายชื่อภูตอัคคีฟ้าดิน ดูเหมือนว่าอันดับจะไม่สูง แต่ก็เป็นของขลังที่หายากในโลกเช่นกัน
เพราะพลังของภูตอัคคีจะเพิ่มขึ้นตามผลการฝึกตนของเจ้านาย หากผู้แข็งแกร่งระดับแดนนิรันกาลผู้หนึ่งมีภูตอัคคีตัวหนึ่ง พลังอันน่าสะพรึงกลัวนั้นไม่อาจจินตนาการได้
เนื่องจากวิชาเปลวไฟที่เขาฝึกฝน และช่องว่างขนาดใหญ่ผลการฝึกตนระหว่างหวูชิวและหลัวซิว เขาสามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของภูตอัคคีในร่างกายของหลัวซิวได้บ้าง
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 631
กุ่ยโยวไม่กล้าต่อต้านการโจมตีจากของขลังชั้นสูง เขาถอยกลับทันที พลังมารบนร่างกายพลุ่งพล่าน กลายเป็นดอกบัวสีดำบานเป็นดอกๆ ปกป้องร่างกายของเขาเป็นชั้นๆ
บูม!
เตาทยานนภามังกรคู่กระแทกลงไปด้วยออร่าที่รุนแรง ดอกบัวสีดำเป็นดอกๆถูกทุบให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยในทันที
เมื่อเห็นว่าเตากลั่นยาอันทรงพลังและน่าสะพรึงกลัวพุ่งเข้ามาหาเขาอย่างไม่ลดละ สายตาของกุ่ยโยวแข็งกระด้างขึ้นทันที เขาคาดไม่ถึงว่าหลัวซิวจะแข็งแกร่งกว่าที่เขาคาดไว้ โดยเฉพาะเตากลั่นยาเตานี้ ทรงพลังกว่าของขลังชั้นสูงทั่วไปมาก
กุ่ยโยวรู้ดีว่าถ้าเขาถูกเตากลั่นยานี้ทุบ เขาจะแพ้การแข่งขันนี้แน่นอน เพราะพลังของของขลังชั้นสูงเป็นสิ่งที่แม้แต่แข็งแกร่งระดับมหายุทธ์ก็ยังต้องกลัว
“พลังมารหนี!”
ร่างของกุ่ยโยวสลายหายไปในทันที กลายเป็นพลังมารหลบหนีไปยังบริเวณโดยรอบ เตาทยานนภามังกรคู่ทุบลงมา แต่ทำลายพลังมารไปเพียงสิบกว่าแสงเท่านั้น
พลังมารที่กระจัดกระจายไปทั่วทุกทิศทุกทางรวมตัวกันอีกครั้งจากไม่ไกล เผยร่างของกุ่ยโยวออกมา
“ช่างเป็นวิชาหลบหนีที่ยอดเยี่ยมอะไรเช่นนี้!”
เมื่อเห็นกระบวนท่าที่กุ่ยโยวใช้ หลัวซิวรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเป็นวิชายิ่งเลิศวิชาหนึ่ง และยอดเยี่ยมกว่าวิชาท่าร่างบรรลุมังกรเขียวเล็กน้อย
เพราะวิชาท่าร่างบรรลุมังกรเขียวเป็นเพียงวิชายิ่งเลิศชั้นต่ำเท่านั้น เพียงแต่ความเร็วเร็วเท่านั้นเอง แต่พลังมารหนีของกุ่ยโยวสามารถช่วยชีวิตเขาได้ในช่วงเวลาวิกฤติ
แต่ไม่ว่าอย่างไรหลัวซิวก็ดูออกแล้วว่ากุ่ยโยวผู้นี้ แม้จะรอดพ้นจากการปราบปรามของเตาทยานนภามังกรคู่ หลังจากที่บดขยี้พลังมารไปหลายแสง ออร่าของเขาก็อ่อนแอลง
เห็นได้ชัดว่าการใช้วิชาพลังมารหนีนั้น ไม่ใช่ไม่มีผลที่ใช้
“แหลกวิญญาณ!”
หลัวซิวหรี่ตาลงเล็กน้อย ระงับตัวสำนึกแดนมหายุทธ์ให้อยู่ในมกุฎยุทธ์ขั้น 9 และรีบใช้วิธีการโจมตีวิญญาณ
รู้สึกถึงการโจมตีวิญญาณหยั่งรู้ สีหน้าของกุ่ยโยวเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว ผลการฝึกตนของเขาคือมกุฎยุทธ์ขั้น 9 วิญญาณตัวสำนึกของเขาก็เช่นเดียวกัน และวิชาที่ฝึกฝนนั้นทรงพลังมาก และการผนึกแน่นของวิญญาณหยั่งรู้แข็งแกร่งมากนัก การโจมตีวิญญาณของระดับแดนเดียวกันสามารถเพิกเฉยได้
“การโจมตีวิญญาณของเจ้าไม่มีประโยชน์สำหรับข้า” กุ่ยโยวยิ้มอย่างเย็นชา
หลัวซิวไม่สนใจกับเรื่องนี้ หากเขาไม่ใช่เพราะกังวลความลับตัวสำนึกของเขาแข็งแกร่งจะถูกเปิดเผย ตัวสำนึกที่สามารถเทียบเท่ากับแดนมหายุทธ์ช่วงกลางได้ แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยเก่งเรื่องการโจมตีวิญญาณ และไม่ใช่ว่ามกุฎยุทธ์ขั้น 9 สามารถต้านทานได้
“ลองรับกระบวนท่าข้าครั้งนี้สิ”
หลัวซิวก้าวไปข้างหน้าโดยใช้สองนิ้วเป็นดาบแล้วชี้ออกไป
ทันใดนั้น ราวกับว่าสวรรค์และโลกได้แยกจากกัน เส้นทางไปสู่อีกโลกหนึ่งโผล่ออกมา น้ำพุสีเหลืองที่อยู่รอบๆ ทะลักออกมา เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย
กระบวนท่านี้คือกระบี่มรณะหวงเสวียนที่สร้างขึ้นโดยหลัวซิวตัวเขาเอง
ปฏิกิริยาแรกของกุ่ยโยวคือหลบ แต่ราวกับว่าร่างกายของเขาไม่สามารถควบคุมได้ เขาอยู่บนเส้นทางไปสู่อีกโลกหนึ่งที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย
“ทำลายมันซะ!”
กุ่ยโยวตะโกนเสียงดัง พลังมารสีดำรอบๆ ตัวของเขาผันผวนและพุ่งขึ้นอย่างรุนแรง ดาบมารพุ่งออกจากจุดตันเถียนของเขา ฟันเส้นทางไปสู่อีกโลกหนึ่งออก
ดาบมารนี้เป็นสีดำ ทันทีที่ปรากฏขึ้นมาก็มีวิญญาณชั่วร้ายที่แข็งแกร่งและน่าสะพรึงกลัวก็กระจายออกไป ฉีกโซนโดยรอบออกเป็นชิ้น ๆ
“ของขลังชั้นสูงระดับสูงสุด?” สีหน้าหลัวซิวเปลี่ยนไปเล็กน้อย ดาบมารดำที่กุ่ยโยวใช้ แค่เทียบกันด้านออร่าก็แข็งแกร่งเตาทยานนภามังกรคู่ของเขา
แม้ว่าเตาทยานนภามังกรคู่จะค่อนข้างมีชื่อเสียงในหมู่ของขลังชั้นสูงในสมัยโบราณ แต่ห่างจากชั้นสูงสุดก็ยังขาดอีกเล็กน้อย
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 630
ความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นนี้อาจดูน่ากลัว แต่ที่จริงแดนศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ไม่ใช่ว่าไม่มีวิชาลับคล้ายๆวิชาลับของหลัวซิววิชาลับดังกล่าวจะมีข้อจำกัด ตัวอย่างเช่นสามารถบังคับให้ผลการฝึกตนของจักรพรรดิยุทธ์เพิ่มขึ้นถึงแดนใหญ่ ไปถึงแดนมกุฎยุทธ์
แต่เป็นไปไม่ได้อย่างยิ่งที่จะให้ทำมกุฎยุทธ์คนหนึ่ง บังคับผลการฝึกตนให้ถึงแดนมหายุทธ์
เนื่องจากผลการฝึกตนเริ่มจากแดนมหายุทธ์ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการทำความเข้าใจอาณาจักร ผลการฝึกตนสามารถบังคับให้เพิ่มขึ้นได้ แต่ความเข้าใจของอาณาจักรนี้ ไม่สามารถชดเชยด้วยวิชาลับได้
ก่อนหน้านี้ ในบรรดารุ่นเยาว์ กุ่ยโยวรู้สึกว่ามีเพียงหวูหยุน ซิงหลิง ต้าวหวูซินและไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถทำให้เขารู้สึกกดดันเล็กน้อย
ในนี้แม้ว่าความแข็งแกร่งของต้าวหวูซินจะอ่อนแอเล็กน้อย แต่นางยังอายุน้อย และจะใช้เวลาไม่นานความแข็งแกร่งก็จะไล่ตามมาทัน
แต่กุ่ยโยวไม่เคยคิดว่าชายหนุ่มอายุ 21 ปีที่อายุน้อยกว่าเขาสิบปี จะทำให้เขารู้สึกกดดัน
แต่กุ่ยโยวจะไม่ยอมรับความพ่ายแพ้เหมือนที่ต้าวหวูซินทำ เห็นว่ารูม่านตาของเขาหดตัวและทันใดนั้นร่างของเขาก็กลายเป็นเงาดำ ระยะห่างสิบเมตร มาปรากฏต่อหน้าหลัวซิวทันทีพร้อมตบมือออก
พรึบ!
หลัวซิวต่อต้านด้วยหมัดของเขา ทั้งสองชนกันด้วยหมัดและฝ่ามือ ต่อสู้อย่างดุเดือดด้วยร่างกายของพวกเขา
คลื่นอากาศระเบิดออก ร่างของทั้งสองคนยังคงนิ่งไม่ขยับ และไม่มีใครถอยหลัง
กุ่ยโยวเป็นผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งรุ่นเยาว์ของนิกายมารศักดิ์สิทธิ์ และแดนร่างของเขาถึงแดนมกุฎช่วงปลายตั้งนานแล้ว แม้ว่าหลัวซิวจะอยู่ในแดนมกุฎช่วงกลาง แต่ร่างกายของเขาได้รับการกลั่นจากกฎการเวียนว่ายตายเกิด ไม่ได้แย่ไปกว่าแดนมกุฎช่วงปลาย
ร่างกายแข็งแรงเท่าเทียมกัน!
เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนบนเวทีแข่งขัน ยืนนิ่งราวก้อนหิน ก็มีเสียงอุทานจากผู้ชมด้านล่าง
ตามที่ทุกคนทราบกันดีว่าการฝึกฝนมีกลั่นร่างและกลั่นวิญญาณ กลั่นร่างและกลั่นวิญญาณแข็งแกร่งมากเพียงใด วิชาก็ยิ่งหายากขึ้นเท่านั้น และการฝึกฝนก็ยากมาก และยากที่จะฝึกฝนไปสู่แดนขั้นสูง
แต่สำหรับอัจฉริยะที่มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์ นี่ไม่ใช่ปัญหา ต้องการวิชาก็มีวิชา ต้องการทรัพยากรก็มีทรัพยากร ต้องการพรสวรรค์ก็มีพรสวรรค์
ในฐานะที่ผู้แข็งแกร่งที่สุดในรุ่นเยาว์ของนิกายมารศักดิ์สิทธิ์ กุ่ยโยวมีผลการฝึกตนในระดับมกุฎยุทธ์ขั้น 9 และร่างกายของเขาได้มาถึงร่างยุทธ์แดนมกุฎช่วงปลาย และตัวสำนึกของเขานั้นยอดเยี่ยมมาก ไม่กลัวการโจมตีวิญญาณธรรมดา
แต่หลัวซิวสามารถสู้ร่างยุทธ์กับเขาได้ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าค่อนข้างคาดไม่ถึง แม้ว่าก่อนหน้านี้หลัวซิวได้แสดงร่างยุทธ์การต่อสู้ที่แข็งแกร่งมาก่อน แต่คล้ายถึงแค่แดนมกุฎช่วงกลาง
หรือว่าไอ้หนุ่มนี้ซ่อนความแข็งแกร่งของเขาไว้จริงๆ ขีดจำกัดของความแข็งแกร่งของเขาคือเท่าไหร่กัน?
“ดาบมารดำ!”
กุ่ยโยวตะโกนเสียงดัง เหยียดมือสองข้างออก ต่างควบแน่นเป็นดาบมาร 2 เล่ม ดาบมารใมือซ้ายฟันไปยังไหล่ของหลัวซิว ดาบมารในมือขวาฟันไปยังหัวของหลัวซิวโดยตรง
เผชิญกับการโจมตีที่ดุร้ายเช่นนี้ หลัวซิวยังคงสงบราบเรียบ เท้าใช้วิชาท่าร่างบรรลุมังกรเขียว ความเร็วถึงจุดสุดยอดทันที
ในการต่อสู้ของผู้เก่งกาจ ด้วยความเชี่ยวชาญวิชาล่องหนไท่เสวียน ของหลัวซิว ในสถานการณ์เช่นนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะเคลื่อนย้ายเทเลพอร์ต
เพราะออร่าของผู้เก่งกาจจะทำให้โซนใกล้เคียงไม่เสถียรอย่างยิ่งและบังคับเดินทางผ่านโซนที่ไม่เสถียร เว้นแต่การรับรู้ของโซนจะสูงมาก ไม่อย่างนั้นอุบัติเหตุจะสูงมาก แม้แต่นักยุทธ์เองก็จะได้รับบาดเจ็บจากพลังแห่งโซนฉีกขาด
แม้ว่าจะไม่สามารถใช้วิชาล่องหนไท่เสวียนได้ แต่ความเร็วของหลัวซิวที่ใช้วิชาท่าร่างบรรลุมังกรเขียวก็ยังเร็วมาก
แปรง!
เงาๆหนึ่งผ่านวูบไป และดาบมารดำสองเล่มฟันเงานั้นออกจากกัน แต่ร่างกายของหลัวซิวพุ่งตรงไปถึงตรงหน้ากุ่ยโยวแล้ว พลังเตาทยานนภามังกรคู่เพิ่มขึ้น ทุบลงบนหัวของกุ่ยโยว
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 629
สิ่งที่ทำให้หลัวซิวประหลาดใจอย่างยิ่งคือพรสวรรค์ของหวูหยุนนั้นน่ากลัวมากนัก ตามที่เขารู้ปีนี้หวูหยุนอายุเพียง 32 ปี ตามมาตรฐานศิษย์ของแดนศักดิ์สิทธิ์ ศิษย์ส่วนใหญ่อยู่ในแดนราชายุทธ์หรือจักรพรรดิยุทธ์ อัจฉริยะชั้นนำน้อยมากที่สามารถไปถึงมกุฎยุทธ์ ขั้นปฐมภูมิหรือช่วงกลางได้ มีเพียงอัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบได้เท่านั้นที่มีผลการฝึกตนมกุฎยุทธ์ช่วงปลาย
เป็นที่ทราบกันดีว่าการเข้าใจพลังควบคุมเวลานั้นยากมาก มิฉะนั้น จะไม่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ฝึกฝน บุคคลผู้นี้สามารถฝึกฝนพลังควบคุมเวลาถึงแดนนี้ได้ในอายุเพียง 32 ปี หลัวซิวก็ละอายใจเหมือนกัน
แม้ว่าสองระดับความเป็นตายของเขาได้รับการฝึกฝนมาจนถึงระดับแห่งกฎแล้ว แต่นั่นเป็นเพราะกฎดั้งเดิมที่มอบผังกฎดั้งเดิมชิ้นที่สามมาให้ทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ มิฉะนั้น หลัวซิวคาดการณ์ว่าจะใช้เวลาอย่างน้อยหลายปีกว่าที่เขาจะทำความเข้าใจกฎดั้งเดิมชิ้นที่สามได้อย่างละเอียด
ความแข็งแกร่งของหวูหยุนนั้นแข็งแกร่งและน่ากลัวมาก จนทุกคนรู้สึกว่าความพ่ายแพ้ของเทพธิดาหวูซินเป็นเรื่องที่สมควร
นี่ไม่ได้หมายความว่าเทพธิดาหวูซินนั้นด้อยกว่าหวูหยุน แต่เป็นเพราะหวูหยุนมีอายุมากกว่าเทพธิดาหวูซินประมาณสิบปี
หากอายุใกล้เคียงกัน ก็ยากที่จะบอกว่าใครแข็งแกร่งหรืออ่อนแอกว่า
แต่แม้ว่าเทพธิดาหวูซินจะแพ้ แต่นางก็ต่อสู้กับหวูหยุน แต่ในการแข่งขันกับหลัวซิว นางไม่ได้โจมตีเลย และนางก็ยอมรับความพ่ายแพ้ทันที…
เป็นไปได้ไหมว่าในสายตาของเทพธิดาหวูซินหลัวซิวแข็งแกร่งกว่าหวูหยุน?
“เป็นไปไม่ได้ ผลการฝึกตนระดับมกุฎยุทธ์ขั้น 9 อาณาจักรโซน หลัวซิวใช้วิชาลับก็แค่เพียงระดับมกุฎยุทธ์ขั้น 7 พลังแห่งความตายแดนบรรลุผลเท่านั้นเอง”
“ไม่รู้ว่าชายผู้นี้ผุดมาจากไหน แม้ว่าเขาจะได้รับการสืบทอดเพียงเล็กน้อยจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์โบราณ แต่ก็ไม่น่าจะสามารถแข่งขันกับผู้สืบทอดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ได้หรอกนะ?”
“เจียงหวูจี้ผู้นั้นก็เป็นผู้สืบทอดของแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์เช่นกัน เขาก็แพ้ให้กับหลัวซิวไม่ใช่หรือ?”
มีการพูดคุยกันมากมายจากฝูงชนที่ดูการแข่งขันต่อสู้ แม้ว่าทุกคนจะสงสัยและงงงวยในความแข็งแกร่งของหลัวซิว แต่พฤติกรรมของเทพธิดาหวูซิน ทำให้เขามีตำแหน่งคล้ายคลึงกับหวูหยุน
“ครั้งต่อไปหลัวซิวและกุ่ยโยว!”
หลังจากต้าวหวูซินและหวูหยุน เป็นอีกการแข่งขันการต่อสู้ที่ผู้ชมรอคอยเป็นเวลานาน
เพราะเทพธิดาหวูซิน ทำให้ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของหลัวซิวสับสนงงงวยมากขึ้น การต่อสู้ครั้งนี้สามารถแสดงให้ทุกคนได้เห็นว่าเขามีความสามารถอะไร
“กุ่ยโยว เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในรุ่นเยาว์ของนิกายมารศักดิ์สิทธิ์ และผลการฝึกตนของเขาอยู่ในระดับมกุฎยุทธ์ขั้น 9 ทันทีที่ผลการฝึกตนของเขาเพิ่มขึ้น เขาจะเป็นคนแรกที่จะได้รับเลือกเป็นเจ้าสำนักน้อยของนิกายมารศักดิ์สิทธิ์”
“เหอะเหอะ ถ้าหลัวซิวไม่ใช่คู่ต่อสู้ของกุ่ยโยว ก็แสดงว่าความแข็งแกร่งของเขาไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่คิด”
“แม้จะพิสูจน์ว่าเขาไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้นแล้วยังไง? เหตุใดเทพธิดาหวูซินถึงยอมรับความพ่ายแพ้ เราก็ยังไม่ทราบเลย”
ต้องบอกว่าเมื่อเทียบกับการต่อสู้ระหว่างต้าวหวูซินและหวูหยุน การต่อสู้ระหว่างหลัวซิวและกุ่ยโยว เป็นการต่อสู้ที่ทุกคนรอคอยเป็นเวลานาน
บนเวทีการแข่งขัน กุ่ยโยวสวมชุดสีดำ มีใบหน้าที่ดูชั่วร้าย ยืนตรงมือไขว้หลังอย่างผยอง
ห่างออกไปสิบฟุต เผชิญหน้ากับกุ่ยโย หลัวซิวแต่งกายด้วยชุดดำและยืนตรงเหมือนกัน
“คนผู้นี้สามารถทำให้ข้ารู้สึกกดดันได้”
สีหน้าของกุ่ยโยวไม่ได้ผันผวนแม้แต่น้อย แต่เขาไม่ได้ดูถูกฝ่ายอยู่ในใจ
ยิ่งระดับแดนยุทธ์สูงเท่าไหร่ ความรู้สึกทางจิตวิญญาณก็จะยิ่งเฉียบคมมากขึ้นเท่านั้น สัญชาตญาณแบบนี้แม่นยำกว่าข้อมูลที่เห็นด้วยตาตนเองเสียอีก
ในสายตาของกุ่ยโยว ชายหนุ่มคนนี้ที่ชื่อหลัวซิว ความผันผวนของพลังจิตแท้ของเขาอยู่ที่ระดับจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 7 และเขาเชี่ยวชาญวิชาลับในการเพิ่มผลการฝึกตน สามารถยกระดับพลังจิตแท้ให้ถึงมกุฎยุทธ์ขั้น 7 ได้ ก้าวข้ามแดนใหญ่หนึ่งแดนใหญ่
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 628
บวกกับไปกับความแข็งแกร่งที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้ของเทพธิดาหวูซินทันทีหลังจากยอมรับความพ่ายแพ้ สิ่งนี้ทำให้ทุกคนสงสัยเกี่ยวกับหลัวซิวมากขึ้น
“ข้าไม่ได้มีเรื่องกับหญิงสาวคนนั้นไม่ใช่หรือ?” หลัวซิวงุนงง
เนื่องจากเทพธิดาหวูซินยอมรับความพ่ายแพ้ก่อน ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของหลัวซิวจึงยังไม่ถูกเปิดเผยอยู่พักหนึ่ง และหลายคนถึงกับรู้สึกว่าถ้าเทพธิดาหวูซินยอมรับความพ่ายแพ้เอง ความแข็งแกร่งของหลัวซิวนี้อาจแข็งแกร่งกว่าหวูหยุนและซิงหลิง
สถานการณ์การแข่งขันต่อสู้ก็ค่อยๆ ชัดเจน ในบรรดาสิบคน มีเพียงหลัวซิว หวูหยุน ซิงหลิงและกุ่ยโยวเท่านั้นที่รักษาสถิติชัยชนะทั้งหมด
“ครั้งต่อไป หวูหยุนและต้าวหวูซิน” เหนือกลุ่มเมฆ เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวได้ประกาศผู้แข่งขันสำหรับการแข่งขันครั้งต่อไป
เมื่อได้ยินชื่อสองคนนี้ ผู้ชมก็รู้สึกตื่นเต้นในทันใด แม้ว่าเทพธิดาหวูซินจะยอมแพ้ไปครั้งหนึ่ง แต่ความแข็งแกร่งที่นางแสดงออกมานั้นทุกคนก็ได้มองเห็นแล้วด้วย
แต่เมื่อเปรียบเทียบแล้ว ความนิยมของหวูหยุนนั้นสูงกว่า เนื่องจากผลการฝึกตนของเขาได้ไปถึงมกุฎยุทธ์ขั้น 9 ว่ากันว่าใช้เวลาอีกไม่นานก็จะถึงแดนมหายุทธ์แล้ว กลายเป็นผู้ได้รับเลือกเป็นเทพบุตรของตระกูลหวูรุ่นต่อไป
หลัวซิวค่อนข้างสนใจการแข่งขันครั้งนี้เช่นกัน เพราะเขารู้ดีว่าหวูหยุนเป็นหนึ่งในอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดที่เขาจะสามารถได้รับชัยชนะการแข่งขันครั้งนี้หรือไม่
การแข่งขันเพิ่งเริ่มต้น เทพธิดาหวูซินก็ถอยห่างจากหวูหยุน เพราะหวูหยุนคนนี้เป็นนักยุทธ์ที่ฝึกฝนการกลั่นร่าง และดูเหมือนว่าเขายังคงฝึกฝนพลังควบคุมเวลา ความเร็วเร็วมากนัก และพลังโจมตีก็แข็งแกร่งมากด้วย ต่อสู้ระยะประชิดกับนักยุทธ์ที่ฝึกฝนการกลั่นร่างซึ่งเชี่ยวชาญพลังควบคุมเวลา ต้องเป็นการสร้างปัญหาให้ตนเองแน่นอน
หลังจากนั้น ต้าวหวูซินยกมือขึ้นและบีบผนึก ปราณแห่งดำเหลืองแผ่กระจายเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ผนึกแน่นเป็นกระบี่ หอก ดาบ ง้าว มังกรและเสือหลากหลายรูปแบบ
เผชิญกับการโจมตีอย่างเต็มกำลังของต้าวหวูซินตั้งแต่ต้น หวูหยุนสงบราบเรียบ เพียงเห็นว่ามีเขาอยู่ตรงกลาง โซนภายในสิบเมตรแตกเป็นเสี่ยงๆ ก่อตัวเป็นสุญญากาศมืดที่มีรัศมีสิบเมตร
โซนมืดที่แตกเป็นเสี่ยงๆ เปรียบเสมือนหลุมดำ การโจมตีต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากปราณแห่งดำเหลืองถูกกลืนกินไปหมดและไม่สามารถมีบทบาทใดๆ ได้
“ศิษย์พี่หวูหยุนได้ฝึกฝนพลังควบคุมเวลาถึงแดนบริบูรณ์แล้วหรือนี่ และผนึกแน่นเป็นอาณาจักรโซน หวูซินต้องพ่ายแพ้แน่”
ต้าวหวูซินเห็นว่าการโจมตีไม่ได้ผล จึงไม่โจมตีต่อ และยอมรับความพ่ายแพ้โดยไม่ลังเลใดๆ
ทันทีที่คำกล่าวนี้ออกมา ผู้ชมต่างโกลาหลกันหมด!
สำหรับอัจฉริยะที่มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่ยากเลยที่จะฝึกฝนพลังของธาตุชนิดหนึ่งให้ถึงแดนบริบูรณ์ ตัวอย่างเช่น ซางหลัน ได้ฝึกฝนพลังเกิงจินถึงแดนบริบูรณ์ แล้วยังฝึกฝนพลังธาตุไฟถึงแดนบรรลุผลอีกด้วย
แต่การฝึกฝนพลังของธาตุถึงแดนบริบูรณ์ กับผนึกแน่นกลายเป็นเป็นอาณาจักรของตน หมายความว่าห่างจากการเข้าใจกฎปริภูมิดั้งเดิมไม่ไกลแล้ว
เนื่องจากแม้แต่ผู้แข็งแกร่งระดับมหายุทธ์ส่วนใหญ่ก็ไม่สามารถสร้างอาณาจักรของตนเองได้ กล่าวกันว่าภายในขอบเขตอาณาจักร นักยุทธ์สามารถไม่พ่ายแพ้ได้
จากพลังแห่งธาตุกระโดดไปสู่พลังแห่งกฎ อาณาจักรก็อยู่ระหว่างทั้งสองนี้ สามารถทำความเข้าใจและผนึกแน่นหมายความว่าหวูหยุนอยู่ไม่ไกลจากการเข้าใจกฎปริภูมิดั้งเดิมแล้ว
หลัวซิวซึ่งเป็นผู้ชม จ้องมองอย่างให้ความสนใจด้วยสายตาเคร่งขรึม
พลังควบคุมเวลาและพลังแห่งความตายเป็นธาตุระดับสูงสุดเช่นเดียวกัน ยังไม่ต้องพูดถึงว่าผลการฝึกตนของหวูหยุนผู้นี้คือมกุฎยุทธ์ขั้น 9 และเขายังได้ฝึกฝนพลังควบคุมเวลาจนสามารถผนึกแน่นออกมาถึงแดนอาณาจักร ถ้าเขาไม่เปิดเผยไพ่ตายบางอย่างของตนเองเกรงว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของบุคคลนี้
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 627
เจียงหวูจี้ยอมแพ้แล้ว ดังนั้นหลัวซิวจึงต้องหยุดใช้วงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ จากพฤติกรรมของเจียงหวูจี้ จะเห็นได้ว่าบุคคลผู้นี้มีเจตนาต้องการฆ่าเขา
เจียงหวูจี้ผู้นี้ หลัวซิวไม่กังวล แต่นิกายมารศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่เบื้องหลังเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ ถ้าเขาฆ่าอีกฝ่ายที่นี่ กลัวว่าแม้แต่เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวก็ไม่สามารถปกป้องเขาได้
และสถานการณ์แบบนี้ หลัวซิวเดาได้ตั้งนานแล้ว ในเมื่อเขาต้องการอันดับหนึ่ง เขาจึงต้องเปิดเผยวิธีการบางอย่างของเขาเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และคาดว่าจะดึงดูดความโลภจากผู้อื่นเช่นกัน
“นิกายมารศักดิ์สิทธิ์เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ชั่วนิรันดร์ แม้ว่าพวกเขาจะมีความโลภต่อวิชาที่ข้าฝึกฝน พวกผู้แข็งแกร่งระดับเจ้ายุทธจักรเหล่านั้นจะไม่มาแย่งง่ายๆ อย่างแน่นอน แค่ผลการฝึกตนของข้าสามารถสูงขึ้นได้โดยเร็วที่สุด ผู้แข็งแกร่งระดับแดนมหายุทธ์ก็ไม่กลัว!” หลัวซิวพูดในใจ
แต่เขาก็รู้อย่างชัดเจนมากด้วยว่าด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขา ถ้าเขาเผชิญกับผู้แข็งแกร่งระดับมหายุทธ์จากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เกรงว่าเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้
เพราะนักยุทธ์ที่อยู่ในแดนเดียวกัน ผู้ที่ออกมาจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ แข็งแกร่งกว่านักยุทธ์ทั่วไป และโดยทั่วไปแล้วจะมีความแข็งแกร่งที่แตกต่างกันสามแดนเล็ก
นอกจากนี้ยังหมายความว่าแดนมหายุทธ์ขั้นปฐมภูมิจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ สามารถเทียบได้กับนักยุทธ์แดนมหายุทธ์ช่วงกลางทั่วไป
และหากเป็นนักยุทธ์จากแดนศักดิ์สิทธิ์ชั่วนิรันดร์ แม้จะมีผลการฝึกตนแดนมหายุทธ์ขั้นปฐมภูมิก็เทียบเท่ากับความแข็งแกร่งของแดนมหายุทธ์ช่วงปลาย หากเป็นแดนมหายุทธ์ช่วงปลาย สามารถต่อสู้กับระดับเจ้ายุทธจักรทั่วไปได้
“ผลการฝึกตนของข้าตอนนี้อยู่ที่ระดับจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 7 หากครั้งนี้ข้าชนะได้รับอันดับหนึ่ง ข้าสามารถเข้าสู่แดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นล่างเพื่อฝึกฝนได้ จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำยังเคยกล่าวอีกว่าแดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นล่างสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งผลการฝึกตนได้อย่างรวดเร็ว หากข้าสามารถไปถึงแดนมกุฎยุทธ์ได้ในตอนที่อยู่ข้างใน แม้ว่าข้าจะไม่สามารถเอาชนะแดนมหายุทธ์ขั้นสูงได้ แต่ก็ไม่น่าเป็นปัญหาในการป้องกันตัวเอง”
ในขณะที่หลัวซิวกำลังคิดเกี่ยวกับปัญหาเหล่านี้ การแข่งขันสำหรับการจัดอันดับสิบแรกยังคงดำเนินต่อไป
ตอนนี้ซางหลันและหวูหยุนกำลังแข่งขันอยู่ในสนาม ทั้งคู่เป็นอัจฉริยะของแดนศักดิ์สิทธิ์จากตระกูลหวู ซางหลันยอมรับความพ่ายแพ้โดยไม่ลังเล เพราะทั้งสองมักแข่งขันในตระกูลหวูและรู้ว่าเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหวูหยุน
หลังจากนั้นเป็นเทพธิดาหวูซินเผชิญหน้ากับเจ้าผามีดแห่งสำนักดาบเทพ คราวนี้เทพธิดาหวูซิน ได้แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของนางออกมา นางยกมือชี้ โจมตีด้วยปราณแห่งดำเหลือง และเอาชนะเจ้าผามีดได้อย่างง่ายดาย
เล่ากันว่า เมื่อตรีภพเกิดขึ้น กลายเป็นดำเหลืองหยินหยาง จากดำเหลืองถูกแบ่งออกเป็นสอง ซึ่งกลายเป็นอากาศใสและอากาศขุ่น หยินหยางกลายเป็นเบญจธาตุทั้ง 5
ต่อมาซางหลันก็ต่อสู้กับเทพธิดาหวูซิน เขาฝึกฝนเกิงจินและไฟพลังสองธาตุพร้อมกัน แม้ว่าความแข็งแกร่งจะแข็งแกร่งกว่าผู้ที่ฝึกฝนเพียงธาตุเดียว แต่เขาก็ยังพ่ายแพ้ให้กับเทพธิดาหวูซิน
ปราณแห่งดำเหลืองเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และด้วยกระบวนท่าเดียว ความแข็งแกร่งของเทพธิดาหวูซินก็เพียงพอที่จะติดอันดับหนึ่งในสามจากอัจฉริยะทั้งหลาย
สิ่งนี้ทำให้ทุกคนประหลาดใจและไม่เข้าใจ เทพธิดาหวูซินแข็งแกร่งขนาดนี้ ทำไมนางต้องยอมรับความพ่ายแพ้เมื่อเผชิญหน้ากับหลัวซิว?
ในนี้ มีสาเหตุอะไรอยู่?
หลัวซิวเหลือบมองต้าวหวูซินและขมวดคิ้ว
ตั้งแต่การแข่งขันนี้ แม้ว่าความแข็งแกร่งที่เขาแสดงให้เห็นจะค่อนข้างคาดไม่ถึง แต่ก็ไม่มีความแตกต่างกับอัจฉริยะที่ถูกฝึกฝนโดยแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ หรือแข็งแกร่งกว่าเล็กน้อย
เดิมที ตามแผนของหลัวซิว โดยไม่เปิดเผยไพ่ตายมากเกินไป ชนะที่หนึ่งในการแข่งขันครั้งนี้มา
แต่เทพธิดาหวูซินที่ยอมรับความพ่ายแพ้เพียงประโยคเดียว ได้ผลักเขาไปสู่จุดพายุทันที
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 626
ขณะที่เขาพูด พลังอสูรสีดำพุ่งออกมาจากร่างของเจียงหวูจี้ ออร่าแห่งความตายแผ่ซ่านออกมา กระบี่ดาบที่ใช้ต้องมือสองข้างจับถูกเขาจับไว้ในมือ แผ่นออร่าแข็งแกร่งกดดันออกมาเป็นของขลังชั้นสูงชิ้นหนึ่ง
“มังกรอสูรกลืนฟ้า!”
เจียงหวูจี้คำรามเสียงดัง กระบี่ในมือกลายเป็นมังกรอสูรดำ พุ่งไปหาหลัวซิวด้วยพลังที่ไม่สามารถต้านทานได้
หลัวซิวใช้เตาทยานนภามังกรคู่โดยไม่ลังเล ด้วยเตากลั่นยาของขลังชั้นสูงที่ปกป้องร่างกาย ปล่อยหมัดออกไป
ด้วยพลังแปรเสวียนเทียนยี่สิบสี่เท่า บวกกับพลังแห่งความตายแดนบรรลุผล หมัดของหลัวซิวกระแทกเข้าที่หัวของมังกรอสูร
บูม! บูม! บูม!
ทุกครั้งที่หลัวซิวปล่อยหมัด เวทีการแข่งขันจะสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง หลังจากที่เขาชกออกไป 13 ครั้ง มังกรอสูรก็ถูกต่อยและแตกเป็นเสี่ยง ๆ กระบี่สีดำก็ลอยถอยกลับไป
สีหน้าของเจียงหวูจี้เปลี่ยนไป พลังแห่งความตายที่เต็มไปด้วยพลังอสูรพุ่งออกมาล้อมรอบหลัวซิว
แต่การโจมตีดังกล่าวไม่มีผลใดๆ ต่อหลัวซิวเลย พลังงอสูรทั้งหมดถูกดูดซับเข้าสู่ร่างกายของหลัวซิวทันทีที่เข้าใกล้หลัวซิวและในไม่ช้าก็ถูกกลั่นมาใช้เป็นของตนเอง
คราวนี้สีหน้าของเจียงหวูจี้ดูไม่ดีมาก เมื่อครู่นี้เขายังขู่ว่าจะฆ่าอีกฝ่ายแย่งวิชาของเขามา วินาทีนี้ ฉากนี้ เหมือนกับการตบหน้าตัวเองอย่างแรง
“เป็นไปไม่ได้! แม้ว่าเขาจะฝึกฝนพลังแห่งความตายถึงแดนบรรลุผล และข้าก็ฝึกฝนพลังแห่งความตายจนเกือบถึงแดนบรรลุผลแล้ว เขาดูดซับพลังแห่งความตายของข้าได้อย่างไร?”
สีหน้าของเจียงหวูจี้เปลี่ยนไปมา แต่เขามั่นใจว่าหากหลัวซิวความสามารถทำถึงเช่นนี้ได้ต้องเกี่ยวข้องกับวิชาที่เขาฝึกฝน
สิ่งที่เขาฝึกฝนเป็นวิชายิ่งเลิศพลังแห่งความตายของนิกายมารศักดิ์สิทธิ์ และวิชาของหลัวซิวนั้นแข็งแกร่งกว่า ถ้าเขาสามารถได้วิชานั้นมา…
หลังจากที่พลังแห่งความตายเข้าสู่ร่างของหลัวซิว ก็เหมือนกับหายไปแล้ว ร่างกายของเขาเหมือนหลุมลึกซึ่งไร้ที่สิ้นสุด ไม่สามารถเติมเต็มได้
ออร่าของเจียงหวูจี้เริ่มอ่อนแอลงมากขึ้นเรื่อย ๆ และแม้แต่พลังจิตแท้ในร่างกายที่เขาฝึกฝนของเขาก็ทะลักออกจากร่างกายของเขาอย่างไม่สามารถควบคุมได้แล้วถูกหลัวซิวกลืนกินเข้าไป
“ใช้พลังแห่งความตายต่อหน้าข้า ช่างน่าขายหน้าจริงๆ!”
สีหน้าหลัวซิวดูไร้ความรู้สึก แต่เขากลับเยาะเย้ยในใจ เขากับลูกแก้วแห่งความเป็นความตายรวมกันด้วยกันมานานแล้ว และลูกแก้วแห่งความเป็นความตายเป็นของขลังล้ำค่าที่สุดที่เปลี่ยนแปลงโดยกฎแห่งความเป็นตายดั้งเดิม จะกลัวการโจมตีของพลังแห่งความตายได้อย่างไร?
ไม่ต้องพูดถึงพลังแห่งความตาย แม้ว่าจะเป็นกฎแห่งความตาย เขายังสามารถรับมาทั้งหมดและดูดซับกลืนกินเข้าไปได้อย่างหมดจด!
ในเวลาเพียงครู่เดียว เจียงหวูจี้ก็ตกตะลึงทั้งหวาดกลัวและพบว่าพลังจิตแท้ในร่างกายของเขาถูกใช้ไปมากกว่าครึ่ง และถูกหลัวซิวดูดซึมและกลืนกินไปหมด ตามสถานการณ์นี้ลงไป ไม่นานนักพลังจิตแท้ทั้งหมดของเขาจะถูกกลืนหายไปจนไม่เหลือสักนิด
เขารู้สึกราวกับว่าเขาได้พบกับศัตรูตัวฉกาจ และเหมือนกับลำธารสายเล็ก ๆ ได้พบกับมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ ผลสุดท้ายจะเป็นเพียงแค่น้ำจากลำธารเล็ก ๆ ที่ไหลมาบรรจบกันในมหาสมุทรเท่านั้น ทั้งสองไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันเลย
คิดถึงคำขู่เมื่อครู่นี้ของเขาที่บอกว่าจะฆ่าอีกฝ่ายเพื่อแย่งวิชา เจียงหวูจี้กังวลว่าเขาจะถูกฆ่าโดยอีกฝ่าย ดังนั้นเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องตะโกนว่า “ข้ายอมรับความพ่ายแพ้!”
ในฐานะที่เป็นอัจฉริยะที่ได้รับการฝึกฝนโดยนิกายมารศักดิ์สิทธิ์ด้วยสิ่งของที่ดีทั้งหมด เจียงหวูจี้มีความเย่อหยิ่งโดยกำเนิดในกระดูกของเขา สำหรับคนอย่างเขา การสามารถยอมรับความพ่ายแพ้นั้นเป็นสิ่งที่หายากจริงๆ
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 625
ในฐานะที่เป็นเทพธิดาของสำนักดำเหลือง ต้าวหวูซินผู้นี้มีผลการฝึกตนแดนมกุฎยุทธ์ขั้น 8 ความแข็งแกร่งเปรียบได้กับแดนมหายุทธ์ และแข็งแกร่งมากกว่าแดนมหายุทธ์ทั่วไป
และความแข็งแกร่งของหลัวซิวที่แสดงออกมานั้น แข็งแกร่งกว่าซางหลันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
แต่ในไม่ช้า หลัวซิวก็พบว่าต้าวหวูซินไม่ใช่ยอมรับความพ่ายแพ้ในครั้งแรกที่ขึ้นมาบนสนามแข็งขัน แต่จู่ๆ ก็พูดออกมาว่ายอมแพ้ หรือว่านางพบอะไรบางอย่าง?
หลัวซิวขมวดคิ้วและมองไปยังอีกฝ่าย แต่ร่างของเทพธิดาหวูซินนี้ถูกปกคลุมไปด้วยแสงพร่ามัว มองไม่เห็นใบหน้าของนางเลย แน่นอนว่าไม่สามารถเดาความคิดในใจของนางผ่านสีหน้าของนางได้
เจ้ายุทธทั้งสี่ที่อยู่บนกลุ่มเมฆก็ตกตะลึงเช่นกัน ตามตำแหน่งแล้ว เทพธิดาหวูซินอาจกล่าวได้ว่าอยู่ในระดับเดียวกับพวกเขาเจ้ายุทธทั้งสี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานะเทพธิดา ซึ่งเป็นตัวแทนของแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ของสำนักดำเหลือง ยอมรับความพ่ายแพ้ก่อนการแข่งขัน ซึ่งจะทำให้ใบหน้าของสำนักดำเหลืองเสียหายอย่างไม่ต้องสงสัย
เทพธิดาหวูซินผู้นี้คิดอะไรอยู่?
สีหน้าทุกคนดูงุนงง แต่เทพธิดาหวูซินไม่ได้อธิบายอะไรทั้งนั้น
เดิมทีคิดว่าจะเป็นการต่อสู้ที่เก่งกาจวิเศษ แต่กลับจบลงเหมือนอย่างงงงวยแบบนี้ เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวมองเทพธิดาหวูซินและหลัวซิวด้วยสายตาที่งงงวย แต่ก็ไม่เห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ในนั้น
เขาโบกมือ เคลื่อนย้ายทั้งสองออกจากเวทีการแข่งขันกลับไปที่แท่นบัวเพลิงอัคคี
“หวูชิว เจ้ารู้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น?” เทพธดาหานยู่ถามหวูชิวด้วยความสงสัย
เนื่องจากหลัวซิวนี้เป็นอัจฉริยะที่หวูชิวแนะนำให้เข้าร่วมการแข่งขัน ในบรรดาเจ้ายุทธสี่คน มีเพียงหวูชิวเท่านั้นที่รู้จักหลัวซิวมากที่สุด
เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวส่ายหัว “ข้าก็ไม่รู้เช่นกันว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เทพธิดาดำเหลืองรุ่นนี้ ได้รับการกล่าวขานว่าเกิดมาพร้อมกับความสามารถพิเศษ”
“ความสามารถอะไร?” เจ้ายุทธพลานุภาพ ต้วนฉือเทียนหันมามอง
เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวยังคงส่ายหัว “นี่เป็นความลับสำคัญของสำนักดำเหลือง ไม่ใช่สิ่งที่เราสามารถรู้ได้อยู่แล้ว”
เขามองไปที่หลัวซิว แต่เห็นหลัวซิวนั่งขัดสมาธิอยู่บนแท่นบัวเพลิงอัคคี สีหน้ามีด้วยความสงสัยเช่นเดียวกัน
จากสีหน้าที่งงงวยของทุกคน หลัวซิวรู้ว่านอกเหนือจากเทพธิดาหวูซิน ไม่มีใครรู้ว่าทำไมนางถึงยอมแพ้อย่างกะทันหัน
นี่ทำให้หลัวซิวกังวลเล็กน้อย เขารู้ดีว่าความแข็งแกร่งของตนสามารถเอาชนะเทพธิดาหวูซินได้ แต่ต้องเปิดเผยไพ่ตายที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา
เช่น ปีกทิพย์ไร้มลทิน สองระดับความเป็นตายและพลังแห่งกฎ นี้เป็นไพ่ตายที่ไม่สามารถแสดงออกมาให้ผู้คนเห็นได้ จู่ๆเทพธิดาหวูซินก็ยอมรับความพ่ายแพ้ ซึ่งทำให้หลัวซิวกังวลเล็กน้อยว่าอีกฝ่ายมองไพ่ตายของเขาออก แล้วรู้ว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาจึงยอมพ่ายแพ้?
หลังจากเทพธิดาหวูซินแล้ว ในไม่ช้าคู่ต่อสู้ถัดมาของหลัวซิวก็คือ เจียงหวูจี้จากนิกายมารศักดิ์สิทธิ์!
“ข้าเคยบอกว่าข้าสนใจวิชาพลังแห่งความตายที่เจ้าฝึกฝนมาก หากเจ้ายอมมอบวิชาออกมา ข้าสามารถแนะนำให้เจ้าเข้าร่วมนิกายมารศักดิ์สิทธิ์ของพวกข้าได้”
บนเวทีการแข่งขัน เจียงหวูจี้พูดอย่างตรงไปตรงมา
“ข้าไม่สนใจ” หลัวซิวพูดเสียงเรียบ
“แม้ว่าเจ้าจะฝึกฝนพลังแห่งความตายถึงแดนบรรลุผล แต่เจ้าก็แข็งแกร่งกว่าข้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ผลการฝึกฝนของข้านั้นสูงกว่าเจ้า เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า” เจียงหวูจี้ขมวดคิ้ว “ไม่เคยมีใครกล้าที่จะปฏิเสธข้า เจ้าไม่กลัวตายหรือ?”
“อยากฆ่าข้า?” หลัวซิวหรี่ตาลง “งั้นก็ต้องดูว่าเจ้ามีความสามารถนี้หรือไม่!”
เจียงหวูจี้ได้ยินเช่นนี้ เขาก็เงยหน้าขึ้นและหัวเราะทันที “ในเมื่อเจ้าดื้อรั้นเช่นนี้ ข้าก็จะฆ่าเจ้า แล้วข้าก็จะได้ของของเจ้ามาเอง!”
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 624
“พี่ซางหลันแพ้หรือ” หญิงสาวหน้ามุ่ย ดวงตาที่สดใสของนางจ้องมองไปที่หลัวซิวซึ่งนั่งขัดสาธิอยู่บนแท่นบัวเพลิงอัคคีอย่างไม่พอใจ
เหยียนเยว่เอ๋อร์มีความยินดีเมื่อเห็นหลัวซิวชนะ
การแข่งขันดำเนินต่อไป ในฐานะที่เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์เพียงแห่งเดียวในอาณาจักรใต้ มีคนสองคนในตระกูลหวูที่เข้าสู่สิบอันดับแรก คนหนึ่งคือซางหลัน และอีกคนหนึ่งเป็นชายหนุ่มชื่อหวูหยุน
หลัวซิวพบว่าตั้งแต่ต้นจนจบ หวูหยุนคนนี้ไม่ได้ใช้อาวุธหรือของขลังใด ๆ พลังจิตแท้ของเขาสามารถฉีกโวนออกจากกันได้อย่างง่ายดายและการโจมตีของเขานั้นแข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งกว่าซางหลัน
นอกจากนี้ยังมีซิงหลิง ศิษย์รุ่นเยาว์ของตำหนักดารานภา คนผู้นี้กับหวูหยุนสองคนนี้ เป็นอัจฉริยะผู้แข็งแกร่งที่มีชื่อเสียงและเป็นผู้ที่มีความหวังว่าจะได้รับอันดับหนึ่งมากที่สุด
แน่นอน แม้ว่าสองคนนี้จะมีคนมากมายที่เชื่อว่าจะชนะได้รับอันดับที่หนึ่ง แต่ผู้สืบทอดคนอื่นๆ ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างก็แข็งแกร่งมากเช่นกัน เช่น เจียงหวูจี้ แห่งนิกายมารศักดิ์สิทธิ์ ต้าวหวูซิน แห่งสำนักดำเหลือง
การแข่งขันดำเนินต่อไป มีทั้งผู้ชนะและผู้แพ้ หลังจากผ่านไปหลายรอบ ก็ถึงรอบหลัวซิวแข็งขันอีกครั้ง
คราวนี้ คู่ต่อสู้ของเขาคือหญิงสาวที่สร้างความภาคภูมิในของสำนักดำเหลือง ต้าวหวูซิน
ต้าวหวูซินเป็นหญิงผู้หนึ่ง เป็นเทพธิดาของสำนักดำเหลือง และเป็นผู้แข็งแกร่งรุ่นเยาว์ที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนักดำเหลือง
ใบหน้าของนางปิดบังด้วยผ้าบางๆ ร่างกายของนางถูกปกคลุมด้วยแสงพร่ามัวที่ทำให้มองไม่เห็น
ในบรรดาสี่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ สำนักดำเหลืองในอาณาจักรเหนือนั้นลึกลับที่สุดมาโดยตลอด จริง ๆ แล้วเทพธิดาแต่ละรุ่นเป็นผู้สืบทอดของเจ้าของแดนศักดิ์สิทธิ์คนต่อไป
ในบรรดาแดนศักดิ์สิทธิ์หลัก ๆ มีเทพบุตร เทพธิดาฐานะเหล่านี้ และสถานะของพวกเขาเป็นอันดับสองรองจากเทพศักดิ์สิทธิ์ ผู้แข็งแกร่งเทพศักดิ์สิทธิ์จะเป็นผู้แข็งแกร่งที่เฝ้าอยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์ เพื่อไม่ให้ผู้อื่นมารุกราน และจะไม่ต่อสู้กับผู้อื่นง่ายๆ โดยพื้นฐานแล้วเทพบุตรและเทพธิดาจะเป็นตัวแทนของเทพศักดิ์สิทธิ์
ดังนั้นความแข็งแกร่งของเทพบุตรและเทพธิดาจะไม่ควรต่ำเกินไป โดยทั่วไปอย่างน้อยก็อยู่ในแดนมหายุทธ์ จึงมีสิทธิ์ได้รับการแต่งตั้งเป็นเทพบุตรหรือเทพธิดา
เมื่อก่อน สำนักดำเหลืองก็เหมือนกัน แต่คราวนี้เป็น ต้าวหวูซินซึ่งผลการฝึกฝนอยู่ในแดนมกุฎยุทธ์เท่านั้นก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเทพธิดาแล้ว
“สำนักดำเหลือง ต้าวหวูซิน โปรดชี้แนะ”
ร่างงดงามปกคลุมไปด้วยแสงหมอก ต้าวหวูซินที่อยู่ตรงหน้า เต็มไปด้วยความลึกลับ และเป็นความลึกลับที่ไม่จริงนี้ที่เป็นสิ่งดึงดูดความสนใจของผู้คน ทำให้ผู้คนต้องการจะสำรวจ
“สำนักไท่เสวียน หลัวซิว โปรดชี้แนะ” หลัวซิวก็กล่าวอย่างสุภาพ จ้องมองหญิงสาวลึกลับที่อยู่ข้างหน้า
แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้ปล่อยออร่าที่แข็งแกร่งออกมา แต่สัญชาตญาณของเขาบอกหลัวซิวว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดา
แต่ฉากต่อมานั้น กลับเกินความคาดหมายของทุกคน
“ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า ข้ายอมรับความพ่ายแพ้”
ทั้งสองยังไม่ได้ต่อสู้กัน ต้าวหวูซินพูดประโยคนี้ขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“อะไรนะ เทพธิดาหวูซิน ยอมรับความพ่ายแพ้จริง ๆ หรือ?”
“ชายผู้นั้นใช้เวทมนตร์ชั่วร้ายอะไร เป็นไปได้ไหมที่เขาได้หลอกลวงเทพธิดาหวูซิน?”
จู่ ๆ ต้าวหวูซินก็ยอมแพ้ในทันใด ทำให้เกิดความโกลาหลในหมู่ผู้ชม ไม่เพียงแต่ผู้ที่ชมการแข่งขันเท่านั้น แต่ยังรวมถึงบุคคลสำคัญจากแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างๆที่มาชมการแข่งขันต่างก็งงงวยกันหมด
ต้าวหวูซิน มีผลการฝึกตนแดนมกุฎยุทธ์ขั้น 8 ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นวิชายิ่งเลิศ เหตุใดถึงบอกว่ายอมรับความพ่ายแพ้?
หรือว่าหลัวซิวคนนี้ แม้แต่เทพธิดาหวูซินที่มีผลการฝึกตนมกุฎยุทธ์ขั้น 8 ก็ยังไม่แน่ใจว่าจะเอาชนะเขาได้?
บนเวทีการแข่งขัน หลัวซิวก็ตกตะลึงเช่นเดียวกัน เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดต้าวหวูซินถึงยอมแพ้
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 623
เมื่อเห็นซางหลันถอยกลับอย่างรวดเร็ว หลัวซิวรู้สึกงงงวยในตอนแรก แต่เขาก็เข้าใจได้อย่างรวดเร็วว่าเกิดอะไรขึ้น
นักยุทธ์ทั่วไปจะฝึกฝนเพียงธาตุเดียว แต่ซางหลันฝึกฝนสองธาตุพร้อมกัน แบบนี้แล้ว แม้ว่าความแข็งแกร่งจะแข็งแกร่งกว่านักยุท์ที่ฝึกฝนเพียงธาตุเดียวหลายเท่า แต่ใช้พลังสองธาตุพร้อมกัน จะสูญเสียพลังจิตแท้ก็จะมากกว่าด้วย
เหตุผลที่ซางหลันถอยกลับจะต้องเป็นเพราะพลังจิตแท้ถูกใช้ไปเร็วเกินไป และพลังจิตไม่เพียงพอแล้ว
เมื่อคิดได้เช่นนี้ หลัวซิวจะไม่ยอมให้เขาถอยไปอย่างง่ายดาย เขาบีบผนึกด้วยมือข้างหนึ่ง และเตาทยานนภามังกรคู่ที่ลอยอยู่เหนือศีรษะของเขา กลายเป็นกระแสแสงพุ่งชนซางหลันที่ถอยกลับทันที
เห็นเพียงสีหน้าของซางหลันเปลี่ยนไป เขายกมือขึ้นและฟันกระบี่ออกไปมากกว่าสิบครั้งทันที แต่การโจมตีระดับนี้ไม่สามารถขยับเตากลั่นยานี้ได้เลย
ปัง!
ร่างของซางหลันกลายเป็นส่วนโค้ง ถูกเตากลั่นยากระแทกออกไป กระอักเลือดออกมาจากปากของเขา
ในเวลานี้ มีคนสังเกตเห็นว่ามีคราบเลือดติดอยู่ที่แก้มซ้ายของหลัวซิว และมีเลือดไหลออกมา
คราบเลือดนี้เกิดจากกระบี่ของซางหลันเมื่อครู่นี้ แม้ว่าพลังส่วนใหญ่จะหายไปเพราะทำลายการป้องกันของเตากลั่นยา หลัวซิวก็หลีกเลี่ยงมันไปได้ในวินาทีสำคัญ แต่ลมแรงที่เกิดจากพลังกระบี่ก็ยังคงได้ทำลายการป้องกันของร่างยุทธ์แดนมกุฎ
จะเห็นได้ว่าการกระบวนท่ากระบี่ของซางหลันเมื่อครู่นี้ที่ผนึกรวมธาตุทั้งสองของเกิงจินและเปลวไฟแข็งแกร่งมากเพียงใด
“หวูชิว อัจฉริยะของตระกูลหวูของพวกเจ้าผู้นี้ไม่เลวเลย เขาได้ฝึกฝนธาตุเกิงจินและธาตุไฟสองธาตุนี้ให้อยู่ในระดับสูงเช่นนี้ได้ในเวลาเดียวกัน” เทพธดาหานยู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“น่าเสียดายที่แพ้ให้กับชายหนุ่มที่แนะนำโดยเจ้า หวูชิว ไม่รู้ว่าคนตระกูลหวูของเจ้าจะคิดเช่นไร?” ต้วนฉือเทียนประชดประชันอยู่ด้านข้าง
สำหรับหวูชิวแล้ว ซางหลันเป็นศิษย์ที่ตระกูลของตนฝึกฝน เขาเป็นฝ่ายของตน แม้ว่าเขาจะแนะนำหลัวซิวให้เข้าร่วมการแข่งขัน แต่หลัวซิวก็ยังเป็นคนนอกอยู่ดี
หวูชิวยิ้มโดยไม่พูดอะไร และไม่ได้รู้สึกว่าซางหลันแพ้ให้กับหลัวซิวจะเป็นยังไง เพราะเหตุผลที่เขาเลือกหลัวซิว ก็เพื่อรางวัลอันดับหนึ่ง!
บนเวทีการแข่งขัน หลัวซิวยกมือขึ้นเรียกเตาทยานนภามังกรคู่กลับมา กลายเป็นขนาดเท่าฝ่ามือแล้วตกลงไปที่ฝ่ามือของเขา
เขามองไปที่ซางหลัน และแอบคิดในใจว่า ผู้นี้สามารถฝึกฝนสองธาตุสองชนิดได้เพียงวัยยี่สิบกว่าปี ธาตุทั้งสองชนิดต่างก็ถึงแดนบรรลุผล เป็นอัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบได้จริงๆ ยกเว้นวิชาที่ไม่สามารถเปิดเผยออกมาได้ เขาใช้พลังทั้งหมดถึงเอาชนะเขาได้ไม่ง่ายดายนัก
ซางหลันก็เป็นแบบนี้ แต่เท่าที่เขารู้ซางหลันไม่ได้แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาผู้สืบทอดของแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์เหล่านี้ ถ้าเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่านี้ เขาจะต้องเปิดเผยไพ่ตายมากกว่านี้หรือ?
เช็ดเลือดจากมุมปากออก ซางหลันลุกขึ้นช้าๆ “เจ้าแข็งแกร่งมาก การต่อสู้ครั้งนี้ ข้าแพ้แล้ว”
แม้ว่าเขาจะเป็นผู้พ่ายแพ้ แต่ซางหลันยังคงมีรอยยิ้มจาง ๆ อยู่บนใบหน้าของเขา เกียรติหรือความอับอายเขาก็ยังคงเหมือนเดิม ในด้านจิตใจ เขาดีกว่ารุ่นเยาว์ส่วนใหญ่มาก
“ขอบใจที่ออมมือ” หลัวซิวกำหมัดคำนับ
ซางหลันยอมแพ้แล้ว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องต่อสู้ต่อ ร่างของทั้งสองหายตัวไปจากเวทีการแข่งขัน ถูกส่งตัวกลับไปที่แท่นบัวเพลิงอัคคี
ในทันใดนั้น ทุกสายตาจับจ้องไปที่หลัวซิว เพราะซางหลันมีชื่อเสียงมากในอาณาจักรใต้ และเขาเป็นอัจฉริยะที่มีความแข็งแกร่งสามารถแย่งชิงห้าอันดับแรก
นี่ทำให้ผู้สืบทอดหลายคนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ รู้สึกถึงความคุกคามเล็กน้อย
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 622
สิ่งที่ทำให้ผู้คนคาดไม่ถคงก็คือ เขาไม่ได้ฝึกฝนเพียงธาตุเดียว แต่มีสองธาตุ ธาตุทองและธาตุไฟ!
ไม่เพียงเท่านั้น ดูเหมือนว่าซางหลันในการทำความเข้าใจธาตุไฟอย่างน้อยก็บรรลุแดนบรรลุผลแล้ว!
ในเบญจธาตุทั้ง 5 ก่อกำเนิดซึ่งกันและกันและข่มกันและกัน ตามหลัวแล้วธาตุไฟข่มธาตุเกิงจิน แต่พลังธาตุทั้งสองที่ข่มกันและกัน กลับแยกออกจากกันอยู่ในร่างกายของซางหลัน และไม่มีข้อขัดแย้งระหว่างกัน
“นี่คือไพ่ตายของเขาหรือ?”
หลัวซิวหรี่ตาลงเล็กน้อย นักยุทธ์ส่วนใหญ่ ตลอดชีวิตนี้อาจไม่สามารถฝึกฝนธาตุเดียวถึงแดนบรรลุผลได้ และซางหลันผู้นี้ดูเหมือนจะอยู่ในวัยยี่สิบกว่าปี ก็สามารถฝึกฝนสองธาตุนี้ได้ถึงระดับสูงเช่นนี้ พรสวรรค์นี้ช่างน่ากลัวนัก
“ลองรับกระบวนท่าใหม่นี้ของข้า!”
เสียงของซางหลันเต็มไปด้วยความมั่นใจ ภายใต้พลังของธาตุทั้งสอง ออร่ากระจายไปทั่วร่างกายของเขา สามารถเทียบได้กับแดนมหายุทธ์
เขายกมือขึ้นคว้าไปข้างหน้า กระบี่ยาวสีแดง-ทองก็ปรากฏขึ้นในมือ กระบี่ยาวนี้ไม่ใช่กระบี่รบธรรมดา แต่เป็นอาวุธวิเศษที่สร้างขึ้นมาเป็นของขลังอาวุธพิเศษตามธาตุไฟและธาตุเกิงจินสองธาตุนี้
การผสมผสานของธาตุสองชนิดที่มีวัสดุที่ต่างกัน กลั่นออกมาเป็นของขลังชิ้นหนึ่ง ความสามารถของนักกลั่นของขลังที่ต้องการสูงมาก ดังนั้นกระบี่ของซางหลันนี้ ไม่ถึงระดับของขลังชั้นสูง แต่เป็นของขลังชั้นกลางชิ้นหนึ่ง
ในความเป็นจริง ในฐานะผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลหวู ซางหลันหาของขลังชั้นสูงที่ธรรมดาเล็กน้อยก็เป็นเรื่องง่ายๆ
แต่เพราะวัสดุพิเศษของของขลังชั้นกลางนี้ แม้ว่าจะเป็นของขลังชั้นกลาง แต่พลังก็ดีกว่าของขลังชั้นสูงทั่วไปเล็กน้อย และเข้ากับธาตุพลังจิตแท้ของซางหลัน ดังนั้นพลังของมันจึงแข็งแกร่งกว่า
มีกระบี่อยู่ในมือ ออร่าบนร่างกายของซางหลันแข็งแกร่งกว่าเดิม เห็นเขาแทงไปข้างหน้าด้วยกระบี่ ปราณกระบี่สีเพลิงทอง จำนวนหลายสิบปราณกระบี่ปรากฏขึ้นจากกลางอากาศ แล้วพุ่งตรงไปยังใบหน้าของหลัวซิว
“มาได้ดีมาก!” ไอรีนโนเวล
หลัวซิวเอาเตาทยานนภามังกรคู่ออกมาโดยไม่ลังเล เตากลั่นยาขนาดใหญ่ลอยอยู่เหนือศีรษะของเขาและม่านแสงส่องออกมา ด้วยการป้องกันของเตากลั่นยานี้ โดยพื้นฐานแล้วเขาไม่พ่ายแพ้
ต้องรู้ว่าในบรรดาของขลังในสมัยโบราณ เตาทยานนภามังกรคู่นี้มีชื่อเสียงมากและเป็นของขลังชั้นยอดที่อยู่ในการจัดอันดับ
“เฉียง! เฉียง! เฉียง!…”
ปราณกระบี่สีทองเพลิงจำนวนมากฟาดลงบนม่านแสงป้องกันของเตากลั่นยา มีประกายไฟจำนวนนับไม่ถ้วนกระเด็นออกมา ม่านแสงป้องกันสั่นไหวไม่หยุด แต่ก็ไม่ถูกทำลายลงเสียที
แต่ในขณะนี้ รูม่านตาของหลัวซิวหดตัวลงอย่างกะทันหัน
เห็นปราณกระบี่แสงหนึ่งฟันมา และทันใดนั้นก็กลายเป็นร่างคล้ายซางหลัน ลำแสงสองสองของกระบี่ยาวในมือของเขาบานสะพรั่งสดใสและยอดดาบหนาวเหน็บก็แทงมาอย่างโหดเหี้ยม
พัฟ!
ในทันใดนั้น ม่านแสงป้องกันของเตาทยานนภามังกรคู่ถูกแทงทลายลงเพียงแค่ครั้งเดียว!
“ช่างเป็นกระบี่ที่คมอะไรเช่นนี้!”
สีหน้าของหลัวซิวเปลี่ยนไปเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะการป้องกันของเตาทยานนภามังกรคู่ไม่ดี แต่เพราะเขาประเมินพลังกระบี่ในมือของซางหลันผิดไป
ในช่วงวินาทีที่อันตรายนั้น สัญชาตญาณการต่อสู้ระยะยาวของหลัวซิว ทำให้เขาเอียงศีรษะ และปลายกระบี่ที่คมมากนั้นกเฉียดหนังศีรษะของเขาไป
เปลวเพลิงมรณะประทุขึ้นระหว่างฝ่ามือ หลัวซิวยกมือขึ้นและตบมันลงบนกระบี่ยาวนี้
“ฉึก ฉึก ฉึก…”
เพลิงมรณะและพลังจิตแท้เปลวไฟเกิงจินสองธาตุนี้ชนกัน เพียงธาตุเดียวไม่สามารถต่อต้านเพลิงมรณะแดนบรรลุผลได้ แต่ธาตุทั้งสองรวมกัน ยังคงสามารถต่อต้านเพลิงมรณะให้อยู่ในระดับเดียวกันได้อยู่บ้าง
แต่สิ่งที่ทำให้หลัวซิวคาดไม่ถึงก็คือซางหลันโจมตีครั้งหนึ่งไม่สำเร็จกลับไม่โจมตีต่อ แต่รีบถอยกลับไปอย่างรวดเร็ว
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 621
เผชิญกับการโจมตีของหลัวซิว ซางหลันก็ไม่แยแสเช่นเคย และทันใดนั้นเขาก็ปล่อยออร่าที่เฉียบคมออกมา ทั้งร่างถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีขาวพราว
เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่เขาฝึกฝนคือพลังจิตแท้ทอง ทันทีที่เขาปล่อยออร่าออกมา ทั้งร่างของเขาเหมือนดาบที่หยิ่งผยองที่แทงเข้าไปในท้องฟ้า ดาบนั้นแข็งแกร่งและกวาดล้างทุกสิ่งในโลก
“ฉึก ฉึก ฉึก…”
ก่อนที่ทั้งสองจะต่อสู้กัน ออร่าได้โจมตีกันและกันแล้ว แสงสีขาวที่แหลมคมและเปลวไฟสีดำชนกันอย่างต่อเนื่อง ทำให้พื้นที่บนแท่นแข่งขันทั้งหมดสั่นสะเทือนไม่หยุด แตกออกทีละส่วน
“เอากระบี่ของข้าไปกินซะ!”
ซางหลันตะคอกเสียงเบา และก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ความเร็วเกินจินตนาการ ร่างกายกลายเป็นเงา ไม่มีกระบี่อยู่ในมือ แต่ทั้งตัวของเขากลายเป็นแสงสีขาวราวกับกระบี่คม
มีแสงสีขาวแวววาวบนร่างกายของเขา เกิดจากพลังจิตแท้ทองที่มีความเข้มข้นสูง ซึ่งเป็นห้วงยุทธ์ที่ไม่มีผู้ใดหยุดมันได้
ภายใต้แรงกดดันออร่าของทั้งสอง โซนในพื้นที่การแข่งขันทั้งหมดไม่เสถียรอย่างมาก ในสถานการณ์นี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะไปไหนมาไหนผ่านอวกาศเพื่อทำการเทเลพอร์ต
เสียงคำรามของมังกรดังขึ้น หลัวซิวเหยียบมังกรเขียว ร่างของเขาก็หายไปอีกครั้ง หลีกเลี่ยงการโจมตีของซางหลันที่ไม่มีสามารถหยุดได้
“เฉียง! เฉียง! เฉียง!…”
ซางหลันพลาดการโจมตีไป นิ้วมือสองนิ้วแตะเข้าด้วยกันเหมือนดาบ ปล่อยเก้านิ้วกระบี่ติดต่อกัน
ทุกครั้งที่เขาโจมตีด้วยนิ้วกระบี่ ปราณกระบี่สีขาวจะพุ่งออกมา ดูเหมือนปราณกระบี่ธรรมดา แต่เจาะโซนได้อย่างง่ายดาย และคมมาก แม้แต่ร่างกายของหลัวซิวจะเป็นร่างยุทธ์แดนมกุฎช่วงกลางก็ไม่กล้าที่จะต่อต้านโดยตรง
“เป็นความเข้าใจที่สูงกว่าพลังเกิงจิน ที่ถึงแดนบริบูรณ์แล้ว!”
มีเสียงอุทานจากฝูงชนที่ชมการต่อสู้ ในเบญจธาตุทั้ง 5 เกิงจินนำหน้า และเกิงจินถนัดด้านการโจมตี และเป็นเบญจธาตุทั้ง 5 ที่แข็งแกร่งที่สุดด้านการโจมตี
ซางหลันได้ฝึกฝนพลังเกิงจินถึงแดนบริบูรณ์ ซึ่งเทียบเท่ากับว่าแดนยุทธ์ ไปถึงระดับแดนมหายุทธ์แล้ว และทำความเข้าใจเพิ่มเติมเกี่ยวกับพลังแห่งกฎ มีเพียงผู้แข็งแกร่งระดับเจ้ายุทธจักรเท่านั้นที่สามารถทำได้
“นี่คือความแข็งแกร่งของผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์หรือ? ช่างน่ากลัวจริงๆ ดูเหมือนว่าซางหลันผู้นี้ยังไม่ใช่ผู้สืบทอดที่แข็งแกร่งที่สุดของตระกูลหวูในดินแดนศักดิ์สิทธิ์”
ฝูงชนเพิ่มพูดคุยกัน พวกเขาส่วนใหญ่รู้สึกว่า แม้ว่าพลังแห่งความตายของหลัวซิวจะถึงแดนบรรลุผล แต่พลังของซางหลันใช้พลังเกิงจินที่ถึงแดนบริบูรณ์ ก็เพียงพอที่จะชดเชยความแตกต่างได้แล้ว
เสียงกระทบกันยังคงปะทุขึ้นบนเวทีการแข่งขัน หลัวซิวและซางหลันกลายเป็นเงาสองเงาที่แม้แต่ตัวสำนึกก็ยากที่จะจับภาพ ความเร็วนั้นเร็วมาก และจะมีการชนกันหลายสิบครั้งหรือหลายสิบครั้งในทันที
ในบางครั้งจะมีเสียงดังกึกก้องดังขึ้น ซึ่งเป็นผลกระทบที่เกิดจากทักษะยุทธ์ที่แข็งแกร่งของคนสองคน
หลัวซิวถูกห่อหุ้มด้วยเปลวไฟสีดำ เชี่ยวชาญพลังแห่งความตายที่ถึงแดนบรรลุผล ใช้การป้องกันเป็นการโจมตี เพื่อผ่อนคลายการโจมตีทั้งหมดของซางหลันได้อย่างง่ายดาย
ซางหลันใช้เวลานานก็ไม่สามารถโจมตีได้ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ดูเหมือนว่าข้าไม่สามารถเอาชนะเจ้าได้ด้วยพลังเกิงจินแล้ว”
ขณะที่เขาพูด ออร่าบนร่างของซางหลันก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน และออร่าที่ร้อนแรงอย่างหาที่เปรียบมิได้ก็แผ่กระจายไปทั่วตัวเขา
แสงสีแดงราวกับเปลวเพลิงปรากฏขึ้นบนร่างกายของซางหลัน แสงสีขาวของพลังเกิงจินและพลังธาตุไฟสีแดงรวมกัน ซึ่งทำให้ออร่าของเขาเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวในคราวเดียว
ซางหลันผู้นี้เดิมที่มีผลการฝึกตนเป็นแดนมกุฎยุทธ์ขั้น 7 ด้วยพลังเกิงจินแดนบริบูรณ์ ความแข็งแกร่งขอเขาเทียบได้กับมกุฎยุทธ์ขั้น 9 และแม้แต่ผู้แข็งแกร่งระดับมหายุทธ์ทั่วไปก็สามารถต่อสู้ได้
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 620
หลัวซิวไม่ได้สนใจเจียงหวูจี้ผู้นี้ หากอีกฝ่ายต้องการแย่งวรยุทธ์ของตนก็ต้องมาดูกันทีหลังว่าเขามีความสามารถเพียงพอหรือไม่
แต่ความรู้สึกของการถูกคนจดจ้องอยู่นั้น ทำให้หลัวซิวรู้สึกอึดอัดใจ เขาหันไปมองเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูซิว หากไม่ได้เป็นเพราะภูตอัคคีเปลวเยือกนั่น เหตุใดเขาต้องมาแสดงไพ่เด็ดมากมายของตัวเองเพื่อดึงดูดสายตาของคนอื่นด้วยเล่า
ตามแผนการเดินของเขา ขอเพียงได้มีรายชื่อว่าฝึกตนอยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นล่างก็เพียงพอแล้ว ทว่าคราวนี้เขากลับมาเพื่อแย่งตำแหน่งผู้นำอันดับหนึ่ง
การแย่งเข้าไปอยู่ในสิบอันดับแรกครั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่าชนะหนึ่งสนามแล้วจะสามารถยกระดับขึ้นได้แล้ว แต่ทุกคนจะต้องประลองกับอีกเก้าคนที่เหลือที่มีความสามารถโดดเด่น การจัดลำดับรายชื่อจะอาศัยจำนวนผลแพ้ชนะ และความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้มาเป็นตัวตัดสิน
“หลัวซิว ซางหลัน!”
ลำดับของการประลองเปลี่ยนแปลงไป ไม่นานหลังจากนั้นก็มาถึงการต่อสู้สนามที่สองของหลัวซิว
“ซางหลัน?”
เมื่อได้ยินชื่อนี้หลัวซิวจึงหันไปมองยังชายชุดม่วงที่ใบหน้าเคลือยรอยยิ้มอยู่โดยอัตโนมัติ
ขณะที่หลัวซิวหันไปมองอีกฝ่าย ชายชุดม่วงที่มีนามว่าซางหลันก็หันมามองเขาเช่นกัน
การได้เข้ามาเป็นสิบอันดับแรกนั้น ตามกฎของการประลองแล้ว คนทั้งสองย่อมรู้ดีว่าไม่ช้าก็เร็วคึกครั้งนี้จะต้องเวียนมาถึง
ในตอนก่อนที่เขาอยู่ที่ภัตตาคารเทียนอีนั้น ซางหลันก็รู้สึกเช่นกันว่าหลัวซิวไม่ธรรมดา และสุดท้ายก็เป็นไปตามที่เขาคาดไว้
“พี่ซางหลัน สู้ๆ”
ในกลุ่มคนที่มาชมการประลองด้านล่าง สาวน้อยกระโปรงแดงยิ้มฟันขาวกำลังโบกมือมา ดวงตาเป็นประกายใสของนางจ้องไปที่ซางหลันที่อยู่กลางสนาม ในดวงตาของนางนั้นเต็มไปด้วยความชื่นชม
“หลัวซิว สู้ๆ”
และในเวลาเดียวกันนั้นเอง เหยียนเยว่เอ๋อร์ก็ตะโกนขึ้นมาเพื่อให้กำลังใจหลัวซิวเช่นกัน
สตรีทั้งสองอยู่ห่างกันไม่ไกล จึงหันไปสบตากันด้วยความแค้น
“พี่ซางหลันต้องเป็นฝ่ายชนะอยู่แล้ว” สาวน้อยจ้องเหยียนเยว่เอ๋อร์เขม็งแล้วพูดย้ำทีละคำ
“เฮ้อ ไม่เสมอไปหรอก” เหยียนเยว่เอ๋อร์เลิกคิ้ว
สำหรับเหยียนเยว่เอ๋อร์นั้น ประสบการณ์ชีวิตทำให้นางข้ามผ่านวัยของการเป็นสาวน้อยเอาแต่ใจไปแล้ว แต่หลังจากที่ได้ล้างแค้นรวมทั้งเวลาที่ติดตามหลัวซิวที่นานขึ้นเรื่อยๆ นิสัยของนางจึงค่อยๆ ร่าเริงขึ้น และกลับมามีนิสัยสาวน้อยในแบบฉบับของนางอีกครั้ง
แน่นอนว่าหลัวซิวเห็นสาวน้อยทั้งสองเผชิญหน้ากันอยู่ท่ามกลางฝูงชน จึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะพรวดออกมา เพราะเขาชอบเห็นเหยียนเยว่เอ๋อร์ในแบบร่างเริงเช่นนี้
“เริ่มเถอะ”
ในสนาม ซางหลันไม่ได้กล่าวคำพูดพิธีรีตองใดๆ ริมฝีปากของเขาปรากฏรอยยิ้มจืดชืด ดวงตาของเขาจ้องไปที่หลัวซิวด้วยความกระหายในชัยชนะ
ซางหลันผู้นี้กำเนิดมาจากตระกูลยุทธ์ในอาณาจักรใต้ แต่กลับไม่ใช่คนของตระกูลยุทธ์ แต่เป็นเพราะฝีมือและพรสวรรค์การฝึกตนที่ไร้เทียมทานของเขาทำให้ตระกูลยุทธ์ให้ความสำคัญ
เขาไม่เหมือนอย่างหลัวซิวที่ปรากฏตัวบนเวทีประลองยุทธ์ด้วยท่วงท่าอาชาดำ แต่ซางหลันผู้นี้มีชื่อเสียงโด่งดังมากในบรรดาวัยรุ่นอาณาจักรใต้ และไม่เสียชื่อที่เป็นอัจฉริยะไร้เทียมทาน
“ข้าจะลงมือแล้ว”
ยังไม่ทันจะสิ้นเสียงหลัวซิว ร่างของเขาก็หายไปจากที่เดิมโดยใช้วิชาล่องหนไท่เสวียนเคลื่อนที่เขาใส่ซางหลัน
ภายในช่วงเวลาสั้นๆ คนในสนามต่างพากันหยุดหายใจ เหยียนเยว่เอ๋อร์เองก็จิกชายเสื้อเอาไว้อย่างไม่รู้ตัว แม้ว่านางจะเชื่อมั่นในตัวหลัวซิวมาก แต่จากการประลองก่อนหน้านี้ นางก็ได้เห็นฝีมือของชายชุดม่วงที่มีนามว่าซางหลันผู้นี้แล้ว พลังของเขาแข็งแกร่งกว่าเจ้าผามีดจากสำนักดาบเทพที่หลัวซิวประลองไปด้วยก่อนหน้านี้มาก
หลังจากนั้นเหยียนเยว่เอ๋อร์ก็นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่นางกับหลัวซิวเจอกันครั้งแรกในทันที นางรู้สึกหวนรำลึกถึงมันอย่างมาก เวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ปี ช่วงเวลาหนุ่มสาวในตอนนั้นได้พัฒนามาถึงเหตุการณ์อย่างตอนนี้เสียแล้ว
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 619
ภายในระยะเวลาสั้นๆ ราวกับว่าหลัวซิวไม่สนใจทุกการโจมตีและเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าเจ้าผามีด เขาชี้มือออกไปแทนดาบ ทันใดนั้นราวกับเจ้าผามีดโดนสายฟ้าฟาดใส่ เขากระอักเลือดแล้วกระเด็นลอยไปข้างหลัง
ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้สืบทอดอันดับหนึ่งอันไร้เทียมทานของสำนักดาบเทพพ่ายแพ้ในที่สุด
“เจ้าเก่งมาก ข้ายอมแพ้ทั้งกายและใจ” เจ้าผามีดเช็ดเลือดที่ไหลซึมออกมาจากมุมปาก ตอนที่เขาบอกว่ายอมแพ้ออกมานั้น ร่างของเขากับหลัวซิวก็ได้หายวับไปจากเวทีประลองยุทธ์ทันที แล้วกลับลงมาสู่แท่นบัวเพลิงอัคคี
หลัวซิวสัมผัสได้ถึงพลังอันเข้มข้นที่ปกคลุมร่างกายของเขาไว้ ทำให้ร่างกายของเขาจะนำเอาพลังกฎการเวียนว่ายตายเกิดออกมารับมือ แต่เขากลับรู้สึกว่าพลังงานนี้ไม่มีประสงค์ร้าย จึงพยายามรีบข่มปฏิกิริยาของร่างกายตัวเองเอาไว้
เมื่อกลับมายังแท่นบัวเพลิงอัคคี หลัวซิวก็มองไปยังเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวที่อยู่บนกลุ่มเมฆาไกลๆ และรู้ในตอนนั้นว่าเมื่อครู่นี้เป็นฝีมือของผู้แข็งแกร่งเจ้ายุทธจักรคนนี้
“เคลื่อนย้ายคนให้ล่องหนไปได้อย่างง่ายดาย วิธีการเช่นนี้ ไม่เสียแรงที่ได้ชื่อว่าผู้แข็งแกร่งเจ้ายุทธจักร” หลัวซิวแอบคิดในใจ หากเทียบกับจอมยุทธ์จริงๆ แล้ว เขานับว่าอยู่ห่างไกลมากนัก
“ซิงซ่าย เจียงหวูจี้!”
เจ้ายุทธจักรอัคหวูซิวเอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง ชายหนุ่มทั้งสองลุกขึ้นจากแท่นบัวเพลิงอัคคีแล้วลงไปยังเวทีประลองยุทธ์
การปรากฏตัวของคนทั้งสองคนนี้ ทำให้คนทั้งสนามต่างพากันโห่ร้องขึ้นมา
เพราะว่าคนทั้งสองล้วนเป็นผู้สืบทอดจากแดนนิรันดร์
ซิงซ่ายคือผู้สืบทอดจากตำหนักดารานภาทางอาณาจักรตะวันออก ส่วนเจียงหวูจี้เป็นผู้สืบทอดจากนิกายมารศักดิ์สิทธิ์ทางอาณาจักรตะวันตก
ในด้านการฝึกตน ซิงซ่ายอยู่ในแดนมกุฎยุทธ์ขั้นเจ็ด ส่วนเจียงหวูจี้บรรลุไปถึงมกุฎยุทธ์ขั้นแปดแล้ว
เป็นผู้สืบทอดจากแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์เช่นกนัน แดนฝึกตนห่างกันเพียงเล็กน้อย แต่อันที่จริงแล้วนับว่าสามารถเดาผลได้ชัด
คนทั้งสองเมื่อปรากฏตัวขึ้นบนเวทีประลองยุทธ์ เจียงหวูจี้ก็ลงมือทันที ไอมารรอบกายของเขาอบอวลไปด้วยพลังแห่งความตาย
ดวงตาของหลัวซิวหรี่เล็กลง เจียงหวูจี้เป็นคนแรกที่ฝึก Attr ความตายที่หลัวซิวเคยเจอ
ไม่เพียงเท่านั้น เจียงหวูจี้ยังฝึกพลังความเป็นตายจนเกือบเข้าไปถึงขั้นแดนบรรลุผลแล้ว
หลายกระบวนท่าผ่านไป ซิงซ่ายโดนเจียงหวูจี้ไล่ต้อนจนจนมุม ผลการประลองครั้งนี้เห็นได้ชัดเจนแล้ว
เจียงหวูจี้เอาชนะได้อย่างง่ายดาย แววตาอำมหิตของเขามองไปที่หลัวซิว ราวกับเป็นงูพิษที่กำลังจ้องตะครุบเหยื่อ
นิกายศักดิ์สิทธิ์นับเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ในโลกมาร และคนของสำนักดาบเทพส่วนมากแล้วมักจะมีอารมณ์ที่ผิดปกติ และชอบทำอะไรตามอำเภอใจ
เมื่อถูกเจียงหวูจี้จ้องเขม็งเช่นนั้น หลัวซิวจึงรู้สึกอึดอัดร่างกายขึ้นมา เขารู้สึกว่าเมื่อต้องรับมือกับคนเช่นนี้ ไม่สามารถมองด้วยมุมมองเช่นทั่วๆ ไปได้
“เจ้าอายุเพียง 23 ปี แต่สามารถฝึกพลังความตายได้ถึงแดนบรรลุผล ข้าสนใจในฝีมือการฝึกวรยุทธ์ของเจ้ายิ่ง” มีเสียงของคนคนหนึ่งดังเข้ามาในหูของหลัวซิว
น้ำเสียงนั้นเย็นชาและลึกล้ำ แน่นอนว่าเป็นเสียงที่ส่งมาจากเจียงหวูจี้
สีหน้าของหลัวซิวชะงักไป เขาคิดอยากจะตอบไปว่า แกเป็นน่าโง่หรือไง”
ภายใต้สถานการณ์ที่มีคนอยากจะจัดการวรยุทธ์ของตนนั้น หลัวซิวได้มีการวางแผนรับมือเอาไว้บ้างแล้ว แต่เขาไม่เคยคิดว่า เจียงหวูจี้ไม่เพียงอยากทำลายวรยุทธ์ของตนเท่านั้น แต่ยังบอกตนอย่างหน้าตาเฉยอีก ทำไมเขาถึงมีนิสัยโอหังเช่นนี้ได้
หรือว่านี่เป็นสไตล์ของผู้ที่อยู่ในวิถีมาร
เมื่อเห็นท่าทางการแสดงออกอันแปลกประหลาดของหลัวซิว เจียงหวูจี้กลับไม่ได้สนใจ เขาส่งเสียงไปอีกว่า “ไม่เคยมีอะไรที่คนอย่างเจียงหวูจี้อยากได้แล้วไม่ได้”
หากหลัวซิวเคยสืบเรื่องราวของเจียงหวูจี้มาก่อน ก็จะรู้ว่าผู้สืบทอดของนิกายมารศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้ เวลาที่อยากจะทำอะไรก็จะประกาศก้องให้ใต้หล้ารู้ไปทั่ว
อย่างเช่นเวลาที่เขาอยากสังหารใครขึ้นมาสักคน เขายังไม่ทันลงมือก็มีคนรู้ร่วงหน้าแล้ว
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 618
เจ้าผามีดไม่มองออกถึงสัจธรรมที่แฝงอยู่ในนั้น แต่ผู้ยิ่งใหญ่ที่มาชมการประลองกับมองออกเพียงครั้งเดียว
ในการฝึกยุทธ์นั้น นอกจากจอมยุทธ์จะต้องยกระดับพลังจิตแท้ ตัวสำนึกและร่างเนื้อของตนเองแล้ว ยังต้องมีความเข้าใจต่อแดนฝึกยุทธ์อย่างแตกฉานด้วย นักยุทธ์ในแดนเดียวกันจะยังมีพลังที่ไม่ต่างกันมากนัก แต่เมื่อแดนของนักยุทธ์เริ่มสูงขึ้น พลังการต่อสู้ก็ต้องแข็งแกร่งมากตามไปด้วย
จอมยุทธ์จะเริ่มฝึกฝน Attr ตั้งแต่แดนพรสวรรค์ และการแตกฉานในแดนนี้คือการแตกฉานพลังในพลัง Attr
ไม่ว่าจะเป็นทองไม้น้ำไฟดินลมอัสนี ล้วนมีหยินหยาง เกิดและตาย ทุกๆ Attr ในแต่ละแดน จะมีการแบ่งชั้นเอาไว้อย่างชัดเจนเช่นเดียวกับทักษะยุทธ์ที่มีความสำเร็จแรก สำเร็จน้อย บรรลุผลและแดนบริบูรณ์
โดยทั่วไปแล้วเมื่อบรรลุมาถึงแดนจักรพรรดิยุทธ์แล้ว ถึงจะแตกฉานพลัง Attr ถึงแดนสำเร็จน้อย มกุฎยุทธ์จะบรรลุแดนสำเร็จใหญ่ และมหายุทธ์จะบรรลุแดนบริบูรณ์
เมื่อมาถึงแดนบริบูรณ์แล้ว ขั้นต่อไปจะเป็นการออกจากขอบเขตของพลัง Attr จะเข้าใจในกฎและบรรลุไปถึงแดนเจ้ายุทธจักร
และระดับ Attr ที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ การแตกฉานก็จะมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นจอมยุทธ์ส่วนมากจะฝึกฝน Attr rพื้นฐานเบญจธาตุทั้ง 5 มีคนจำนวนน้อยที่ฝึกฝนระดับกลางอย่าง อัสนีวายุ หยินและหยาง
ส่วนเวลาใน Attr ขั้นสูง โซน ชีวิตและความตาย ยังไม่รวมถึงความยากในการฝึกฝน และวิชาในการฝึก เดิมทีก็เป็นสิ่งที่ขาดแคลนอยู่แล้ว แม้ว่าจะสืบย้อนไปถึงยุคสมัยโบราณก็ยังมีน้อยคนที่จะฝึกฝนได้
และยังมีAttrรวมที่รองลงมาจาก Attr ขั้นสูง จำนวนคนที่ฝึกก็ยังมีไม่มากนัก เหตุผลหลักเป็นเพราะว่าวรยุทธ์เป็นสิ่งที่หายากและระดับการฝึกฝนยังยากอีกด้วย
ฝีมือที่หลัวซิวแสดงออกมาเมื่อครู่นี้ ทำให้ผู้ยิ่งใหญ่จำนวนมากที่อยู่ในที่นั้นต่างเคลิบเคลิ้มเป็นเพราะว่าพวกเขาพบว่าความแตกฉานที่มีต่อพลังความตายของหลัวซิวไปถึงแดนบรรลุผลแล้ว
หากเดาตามหลักการ แดนมกุฎยุทธ์ บรรลุผล Attr แต่สิ่งที่เขาฝึกฝนคือ Attr ความตายขั้นสูงสุดในแดนบรรลุผล ซึ่งเทียบเท่าได้กับAttr อันแข็งแกร่งในแดนบริบูรณ์ ยิ่งไปกว่านั้นยังนับว่าแข็งแกร่งกว่า Attr ทั่วไปในแดนบริบูรณ์เสียอีก
“อายุน้อยเพียงเท่านี้ก็แตกฉานในพลังความตายถึงแดนบรรลุผลเสียแล้ว ไม่แน่ว่าเขาอาจจะเริ่มแตกฉานกฎอายุขัยบางส่วนแล้ว
ผู้ยิ่งใหญ่หลายคนต่างรู้สึกสะเทือนใจ เพราะไม่มีใครรู้ว่าภายใต้การรับมอบผังกฎดั้งเดิมหลัวซิวได้สัมผัสถึงระดับของกฎแล้ว หากไม่ได้กังวลว่าตนเองจะแสดงความสามารถออกมาสะดุดตาเกินไป เขาคงจะไม่ใช้พลังแห่งกฎ และจะใช้เพียงพลังความตายในแดนบรรลุผลเท่านั้น
อีกอย่างเขายังแสดงเพียงพลังความตายออกมาเท่านั้น ยังคงซ่อนพลังแห่งชีวิตเอาไว้ เนื่องจากพลังความเป็นตายเมื่อฝึกฝนร่วมกัน เวลาที่แสดงออกมาจะส่งผลร้ายมากกว่าผลดี
“ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะซ่อนความสามารถไว้มากเช่นนี้”
หลังจากเจ้าผามีดครุ่นคิดดูแล้ว ก็ค้นพบว่าพลังความตายของหลัวซิวอยู่ในแดนบรรลุผลแล้ว ซึ่งมีความแข็งแกร่งกว่าพลังสังหารมีดในแดนบรรลุผลของเขามาก
แม้ว่าจะเป็นแดนบรรลุผลเหมือนกัน แต่พลังความตายกลับเป็นอันดับสูงสุดในพลัง Attr
“เจ้าลองรับมีดของข้าดูไหม”
เจ้าผามีดก้าวออกมา “โค่นเวหา!”
“ไม่มีประโยชน์หรอก”
หลัวซิวส่ายหน้าอย่างไม่แสดงท่าทีชัดเจนนัก ในเมื่อเขาแสดงพลังความตายออกมาแล้ว เขาก็ตั้งใจว่าจะปิดศึกให้เร็วมากขึ้น
เปลวเพลิงสีดำห้อมล้อมร่างของเขาโดยมีตัวเขาเป็นศูนย์กลาง กลายเป็นเขตหวงห้ามความตาย ไม่ว่าสรรพสิ่งใดๆ ก็ตามที่เข้ามาในเขตหวงห้ามนี้จะถูกพลังความตายหลอมละลายกลายเป็นสิ่งเดียวกัน
การโจมตีของเจ้าผามีดราวกับหลุดเข้าไปในแดนมรณะและไม่มีโอกาสให้โจมตีกลับได้เลยด้วยซ้ำ
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 617
“เขายังมีไม้เด็ดอีกจริงๆด้วย!”
เมื่อเห็นเตากลั่นขั้นสูงลอยอยู่เหนือศีรษะของหลัวซิว พวกที่ไม่ชอบใจการเข้ารอบสิบคนของเขาก็เริ่มแสดงสีหน้าสงสัย
ตอนที่ไม่ใช้สมบัติขั้นสูงชิ้นนี้ พลังของเขาก็แข็งแกร่งมากพออยู่แล้ว ตอนนี้เมื่อใช้พลังของสมบัติขั้นสูงมาช่วย บางทีเขาอาจจะแข่งขันกับผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ได้แล้ว
“เฮอะ ก็แค่อาศัยความสามารถของสมบัติขั้นสูงมาช่วยก็เท่านั้น”
แม้ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นนี้ แต่ก็ยังมีคนรู้สึกดูถูกเขาอยู่ดี
“ใช้สมบัติแล้วอย่างไร สมบัติก็นับว่าเป็นพลังส่วนหนึ่งก็เท่านั้น หากมีความสามารถเจ้าก็สร้างสมบัติขั้นสูงขึ้นมาสักชิ้นสิ” มีคนกล่าวถากถางกลับ
“แค่มีสมบัติขั้นสูงชิ้นเดียวก็คิดจะท้าชิงกับผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์เสียแล้ว คิดเพ้อฝันเกินไปหรือไม่ พวกเจ้าไม่คิดหรือว่าผู้สืบทอดจากแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ก็จะมีสมบัติในระดับเดียวกันนี้เช่นกัน”
ในขณะที่ทุกคนกำลังวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่นั้น หลัวซิวกับเจ้าผามีดก็ได้เริ่มต่อสู้กันในยกแรกแล้ว
หลัวซิวอาศัยว่ามีสมบัติขั้นสูงคุ้มครองร่างกาย เขาจึงบุกเข้าโจมตีอย่างเดียว เขาเหวี่ยงฝ่ามืออัดเข้ากระแทกที่หน้าอกของเจ้าผามีด ร่างของเขาจึงลอยกระเด็นออกไปและกระอักเลือดออกมาที่ริมฝีปาก
“น่าเสียดาย พลังสังหารอันแข็งแกร่งของเจ้าผามีดนั้นแข็งแกร่งมาก แต่เมื่อต้องปะทะเข้ากับการป้องกันของสมบัติขั้นสูงก็คงไม่สามารถเอาชนะได้”
ตามความคิดของคนส่วนมากในที่นั้นต่างคิดว่าศึกครั้งนี้ไม่มีอะไรให้ต้องเดาอีก เว้นเสียแต่ว่าเจ้าผามีดจะมีความสามารถในการเอาชนะการป้องกันของสมบัติขั้นสูงนี้ได้
“ทุกท่านอย่าเพิ่งดูแคลนสำนักดาบเทพ สายเลือดของพวกเขาเชี่ยวชาญด้านมีด ลำพังเพียงพลังสังหารอย่างเดียว แดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์สี่แดนใหญ่ยังไม่กล้าออกปากว่าตนเองเหนือกว่าสำนักดาบเทพ” มีคนหนึ่งสอดปากพูดออกมา
“ได้ยินมาว่าสำนักดาบเทพชำนาญด้านการเอาชนะจากจุดเล็กๆ และมีพลังสังหารที่สูงกว่าแดนของตน”
บนเวทีประลองยุทธ์ เจ้าผามีดถูกหลัวซิวต่อยกระเด็น คิ้วของเขาขมวดแน่น แต่สีหน้ากลับไม่ปรากฏการเปลี่ยนแปลง
“สมบัติชั้นสูงป้องร่างงั้นรึ” เจ้าผามีดพ่นลมหายใจ ก่อนจะกล่าวออกมาว่า “สยบเทพ!”
ไอมีดสีเลือดจำนวนมากรวมตัวอยู่รอบกายของเขา ไอมีดสีเลือดที่ผนึกรวมกันหมุนวน ภายใต้การหมุนวนนี้ ไอมีดแต่ละสายค่อยๆ รวมตัวเข้าด้วยกัน และค่อยๆ ผนึกรวมจนแปรเปลี่ยนไปจนมีความใกล้เคียงกับสสาร
ภายในช่วงเวลาสั้นๆ ก็ปรากฏมีดโลหิตที่เกิดจากการผนึกรวมของแรงอาฆาตและลอยอยู่เหนือเวทีการประลองยุทธ์
แววตาของหลัวซิวหยุดชะงัก แรงอาฆาตที่แผ่ออกมาจากมีดโลหิตนี้ แทบจะเทียบเท่ากับระดับมหายุทธ์
ด้วยการฝึกตนที่อยู่ในแดนมกุฎยุทธ์ขั้นเจ็ด ดาบสยบเทพของเจ้าผามีดนี้สามารถทำให้ผู้แข็งแกร่งมหายุทธ์รู้สึกหวั่นเกรงได้
หากเปรียบเทียบกันแล้ว สวีเฟิงที่มีระดับการฝึกตนเท่ากัน ยังมีความแข็งแกร่งห่างจากเขาอยู่มาก
ตู้ม!
ปรากฏแสงสว่างวาบจากมีดโลหิต ประกายดาบโชติช่วงปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า กดดันราวกับตะปูที่ตอกหลัวซิวนิ่งอยู่กับที่ไม่สามารถหลบหนีได้
เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีของมีดนี้ หลัวซิวยังคงหนักแน่น มือทั้งสองของเขาบีบตราประทับ ทันใดนั้นรอบนิ้วมือของเขาจึงปรากฏเปลวไฟสีดำหมุนวน ไอสังหารแผ่ซ่านเข้มข้น
เมื่อเขาวาดมือออกไป ภายใต้ไอสังหารทุกสรรพสิ่งจะดับสลาย!
ภายใต้สายตาตกตะลึงของทุกคน หลัวซิวยกมือคว้ามีดโลหิตที่พุ่งเข้ามา มีดโลหิตถูกพลังแห่งความตายบดสลายจนส่งเสียงฟู่ๆๆๆ
ในช่วงเวลาสั้นๆ นั้น มีดโลหิตถูกพลังแห่งความตายทำลายจนมลายหายไป
เจ้าผามีดที่อยู่ตรงหน้าเหม่อลอย มีดสยบเทพของเขากลับโดนเขาทำลายไปง่ายๆ เพียงนี้เลยหรือ
ตามข้อมูล มีดสยบเทพนี้เป็นทักษะยุทธ์ระดับวิชายิ่งเลิศของสำนักดาบเทพ
”เด็กคนนี้บรรลุพลังแห่งความตายได้มากถึงขั้นนี้เชียวหรือ”
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 616
แววตาของเจ้าผามีดคมปลาบราวใบมีดสองเล่มทันทีเมื่อมองไปที่หลัวซิว
ตู้ม!
พลังจากตัวของเจ้าผามีดเริ่มลุกโชนขึ้นเรื่อยๆ ราวกับมีดที่เสียบอยู่บนกลีบเมฆ โดนมีเขาเป็นศูนย์กลาง บรรยากาศโดยรอบกระเพื่อมเป็นระลอกคลื่นและคลายออกมาเป็นวงกลม
“เอามีดออกมา!”
เจ้าผามีดเอ่ยปากออกมากะทันหัน เสียงของเขาเจือความแหบแห้งและสั้นกระชับ
มีดที่อยู่กลางอกของเขาหลุดออกมาจากปลอกกะทันหัน ความอาฆาตน่าหวาดหวั่นราวกระแสน้ำระเบิดทะลักออกมา ภายในช่วงเวลาสั้นๆที่มีดลอยออกมานั้น รังสีมีดได้แผ่ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าบริเวณที่หลัวซิวอยู่
หลัวซิวมองปราดเดียวก็รู้ว่า เจ้าผามีดฝึกฝนมาทางด้านมีด โดยมีความเชี่ยวชาญในด้านการสังหารและการต่อสู้
อีกอย่างไม่ต้องสงสัยเลยว่าการที่เขาสามารถเอาชนะคนเก้าคนและเข้ามาติดหนึ่งในสิบได้นั้น พลังของเขาจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
หลัวซิวภายใต้สถานการณ์ที่ต้องพยายามควบคุมไพ่เด็ดเอาไว้ด้วยนั้น เมื่อเขาต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้เช่นนี้ เขาเองก็ไม่กล้าวางใจแม้เพียงสักอย่างก้าวเดียว
ฟึ่บ!
จุดตันเถียนของเขาเปล่งประกายวาบ ก่อนที่เตากลั่นยาจะลอยออกมาแล้วค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นจนมีขนาดราวหนึ่งจั้งและหยุดอยู่เหนือศีรษะ
เตากลั่นยามีรอยสลักมังกรเขียวสองตัว เวลานี้ราวกับมันเป็นสิ่งมีชีวิต มันลอยออกมาจากเตากลั่นยาแล้วบินพันรอบตัวของหลัวซิวเอาไว้
เตากลั่นยานี้คือเตาทะยานนภามังกรคู่ แม้ว่าจะเป็นเตาสำหรับกลั่นยาและกลั่นสมบัติแต่ก็นับเป็นสมบัติชั้นสูงชิ้นหนึ่งที่มีทั้งพลังโจมตีและพลังป้องกัน
นั่นเป็นเพราะว่าในสมัยโบราณนั้น นักกลั่นยาและนักกลั่นสมบัติก็ต้องทำการต่อสู้เช่นกัน
ไอมีดที่ปกคลุมอยู่ทั่วฟ้านั้น ถูกมังกรเขียวสองตัวขวางเอาไว้ทั้งหมด หลัวซิวใช้เตาเพื่อป้องกันร่างกาย ก่อนจะหายตัวไปโดยใช้วิชาล่องหนไท่เสวียน
“วิธีการของเจ้าไม่มีผลอะไรกับข้า”
สีหน้าของเจ้าผามีดยังคงไร้ความรู้สึก เขาควงดาบในมือและฟันไปด้านขวาของตัวเอง ซึ่งก็คือตำแหน่งที่หลัวซิวเพิ่งหายตัวไปเมื่อครู่นี้
เพล้ง!
ดาบฟันลงไปยังเตากลั่นที่ลอยอยู่เหนือศีรษะของหลัวซิว ความอาฆาตปะทะเข้ากับเตากลั่นอย่างรุนแรง จนส่งเสียงดังเพล้งๆ ทว่าเตากลั่นอันนี้กลับไม่สั่นสะท้านเลยแม้แต่น้อยและสามารถป้องกันการโจมตีเอาไว้ได้ทั้งหมด
“เตากลั่นในชั้นสมบัติขั้นสูง?”
เริ่มเห็นสีหน้าของเจ้าผามีดแปรเปลี่ยนไป เพราะสมบัติขั้นสูงไม่ใช่ของที่จะให้ได้ง่ายๆ โดยเฉพาะของประเภทเตากลั่นที่นับว่าเป็นสิ่งของที่มีมูลค่ามากที่สุดในชั้นดียวกัน
ในฐานะที่เป็นอันดับหนึ่งในกลุ่มคนอายุเดียวกันของสำนักดาบเทพ ดาบรบที่เขาใช้ด้ามนี้ก็ยังเป็นเพียงของขั้นกลางเท่านั้น
โดยทั่วไปแล้วสมบัติขั้นสูงส่วนมาก จะมีเพียงผู้แข็งแกร่งเจ้ายุทธจักรเท่านั้้นที่มีคุณสมบัติใช้งาน ผู้แข็งแกร่งมหายุทธ์จำนวนมากจะใช้เพียงสมบัติขั้นกลางเท่านั้น
ในแดนมกุฎยุทธ์การที่มีสมบัติขั้นกลางได้สักชิ้นก็ทำให้สามารถผ่านการประลองไปได้อย่างง่ายดาย ส่วนหลัวซิวนั้นเดิมทีพลังของตัวเขาเองก็ค่อนข้างแข็งแกร่ง และตอนนี้ยังมีสมบัติขั้นสูงอีกชิ้นเสียด้วย
“หวูซิว เจ้ายอมให้เด็กคนนี้ได้เชียวหรือ”
บนกลุ่มเมฆ เจ้ายุทธจักรพลานุภาพต้วนฉือเทียนเห็นหลัวซิวนำเอาเตากลั่นออกมาใช้ สิ่งแรกที่เขาคิดก็คือของล้ำค่าเช่นนี้ หวูซิวจะต้องเป็นคนมอบให้อย่างแน่นอน เป้าหมายก็เพื่อทำให้เขาได้รับการจัดลำดับที่สูงขึ้นในการประลอง
เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวยิ้มแต่ไม่ได้กล่าวอะไรและไม่พยายามที่จะอธิบาย อันที่จริงแล้วตอนที่เขาเห็นหลัวซิวนำเอาสมบัติขั้นสูงออกมา ตัวเขาเองก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน
เตากลั่นเป็นสมบัติที่นักกลั่นยาและนักกลั่นสมบัติให้ความสำคัญมากที่สุด เหตุผลที่สำคัญก็คือทั้งสองอาชีพนี้จำเป็นอย่างมากที่จะต้องใช้เปลวเพลิง และเตาเผานี้ก็มีส่วนสำคัญที่จะให้เปลวเพลิงลุกโชนได้
ในฐานะที่เขาเป็นเจ้ายุทธจักรที่ฝึกฝนวรยุทธ์ธาตุไฟ เตากลั่นขั้นสูงเช่นนี้ แน่นอนว่าเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวต้องรู้สึกปรารถนาบ้างเป็นธรรมดา
แต่เขาก็ไม่ถึงขั้นที่จะต้องไปแย่งเตากลั่นจากผู้น้อย อีกอย่างขอแค่เขาบรรลุถึงแดนมหายุทธ์ได้ ก็สามารถทำสมบัติวิเศษขึ้นมาใช้ได้ แล้วเขายังจะต้องใช้สมบัติธรรมดาอีกหรือ
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 615
เรื่องที่หลัวซิวได้จัดเข้าไปอยู่ในรายชื่อ 10 อันดับแรกนั้นทำให้คนส่วนใหญ่เกิดความไม่เชื่อใจขึ้นมา
เจ้ายุทธจักรพลานุภาพต้วนฉือเทียนถึงขั้นมองว่า เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูซิวตั้งใจจัดกลุ่มแบบนี้เพื่อให้ตนเองในฐานะคนแนะนำได้รับชื่อเสียงที่ดีตามไปด้วย
ผ่านไปอีกสักพักใหญ่ รายชื่อสิบคนที่เข้ารอบก็ปรากฏออกมา
เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูซิวโบกมือ ทันใดนั้นเวทีประลองยุทธ์อันใหม่ก็ปรากฏขึ้นที่เมืองหลัวเทียนโดยลอยอยู่กลางอากาศ
หลังจากนั้นแท่นบัวเพลิงอัคคีที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของหลัวซิวและคนทั้งเก้าก็ค่อยๆ ลอยสูงขึ้นไปยังเวทีประลองยุทธ์ที่กลางท้องฟ้า
“พวกเจ้าทั้งสิบคนเป็นสิบรายชื่อแรก ส่วนผู้ที่แพ้การประลองรอบเมื่อครู่นี้ ให้แบ่งกลุ่มใหม่ และจะตัดสินรายชื่ออีกสิบคนที่เหลือเป็นรอบสุดท้าย”
การประลองครั้งนี้จัดขึ้นที่เมืองหลัวเทียน กฎในการประลองจะกำหนดอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับเขาเป็นคนตัดสิน
ผู้ที่เป็นสิบอันดับแรกไม่ใช่ผู้สืบทอดที่มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ทั้งหมดและก็ไม่รู้ด้วยว่าเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูซิวตั้งใจให้เป็นแบบนี้หรือไม่ที่ปล่อยให้ผู้สืบทอดที่มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ได้พบกันในรอบที่ผ่านมา เมื่อมีคนหนึ่งแน่นอนว่าย่อมมีคนหนึ่งแพ้ตกรอบไป
“ผู้ที่ติดสิบอันดับแรก ข้าจะเป็นคนตัดสินพวกเจ้าเอง”
เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูซิวกล่าวช้าๆ ให้หลัวซิวและคนที่เหลือได้ยิน
เมื่อเผชิญหน้ากับเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูซิว แม้ว่าจะเป็นผู้สืบทอดมาจากแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ก็ยังไม่กล้าที่จะแสดงอาการรังเกียจเขา เพราะว่าคนตรงหน้าไม่ได้เป็นเพียงผู้แข็งแกร่งจากตระกูลยุทธ์แดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์เท่านั้น แต่ยังได้ชื่อว่าเป็นเจ้ายุทธจักรคนหนึ่งด้วย
ในบ้างด้าน เจ้ายุทธ์จักรที่ได้รับการแต่งตั้งยังได้รับความสำคัญมากกว่าผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์เสียอีก เพราะผู้ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้ายุทธจักรสามารถคานอำนาจกับมหาจักรพรรดิยุทธ์ได้ และเมื่อใดก็ตามที่สามารถบรรลุแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ได้ก็จะนับว่าเป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับยอดฝีมือ
“ยกแรก หลัวซิวแข่งกับเจ้าผามีด”
หลังจากที่เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวเอ่ยปาก สายตาของทุกคนก็ตกไปอยู่ที่คนทั้งสอง
หลัวซิวเองก็มองไปที่เจ้าผามีดเช่นกัน เขาเป็นชายหนุ่มที่กุมมีดเอาไว้ในอก สวมใส่ชุดสีดำประณีต สีหน้าไร้ความรู้สึก
บนกลุ่มเมฆา เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวหันมองไปมองต้วนฉือเทียน “เจ้ายุทธจักรพลานุภาพ ท่านว่าสองคนนี้ ใครเหนือกว่าใครรึ”
ต้วนฉือเทียนถอนใจ “เดิมทีท่านก็ตั้งใจจัดคู่ต่อสู้ที่ค่อนข้างอ่อนแอให้หลัวซิวอยู่แล้วไม่ใช่หรือ นั่นไม่ได้เป็นเพราะท่านต้องการให้หนุ่มน้อยคนนี้ถูกจัดลำดับสูงขึ้นกว่านี้อีกหน่อยหรือ”
“แม้การจัดลำดับของอัจฉริยะจะสูงขึ้นมากเท่าไหร่ แดนศักดิ์สิทธิ์ก็จะมีรางวัลให้ แต่สำหรับพวกเราทั้งสี่คนนั้น นอกจากกฎของโลกแสงดาวแล้ว รางวัลอื่นๆ ก็ไม่ได้มีความสำคัญอะไร”
“แต่การที่จะไปฝึกตนที่กฎแห่งโลกแสงดาวได้นั้น มีเพียงทางเดียวคืออัจฉริยะที่แนะนำจะต้องได้รับตำแหน่งผู้นำอันดับหนึ่ง”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ดวงตาของต้วนฉือเทียนก็หรี่ลง “อย่าหาว่าเราดูถูกหลัวซิวคนที่ท่านแนะนำมาเลยนะ หากดูจากฝีมือที่เขาแสดงออกมาเมื่อครู่นี้ไม่มีทางที่เขาจะได้รับตำแหน่งผู้นำอันดับหนึ่งได้อย่างแน่นอน อีกอย่างเจ้าผามีดคนนี้ ฝีมือของเขาก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน”
เจ้าผามีดกำเนิดมาจากสำนักดาบเทพของแดนศักดิ์สิทธิ์ของอาณาจักรตะวันออก เมื่อพิจารณาจากชื่อสำนักก็พอจะรู้ได้แล้วว่าพวกเขามีความชำนาญด้านมีด ในอดีตที่ผ่านมาได้ใช้พลังสังหารอันแข็งแกร่งไร้คู่ต่อสู้มาโดยตลอด
หลัวซิวกับเจ้าผามีดลงมาหยุดอยู่บนเวทีประลองยุทธ์ ยืนเผชิญหน้าห่างกันเพียงสิบจั้ง เจ้าผามีดที่ยืนอยู่ตรงหน้าเงียบสนิท พลังที่โคจรอยู่ในร่างกายของเขาถูกปล่อยออกมาทันที แรงอาฆาตเข้มข้นคล้ายมีตัวตน ปรากฏออกมาเป็นพลังสีแดงฉานปกคลุมไปทั่วเวทีประลองยุทธ์
ส่วนร่างของเขาก็แปรเปลี่ยนไปเป็นกระบี่รบสีเลือดตั้งตระหง่าน ที่สามารถร่วงลงมาฟันคอคู่ต่อสู้ได้ทุกเมื่อ
หลัวซิวกลับไม่ยอมปล่อยระบบโคจรปราณของตัวเองออกมา เขาปล่อยให้คู่ต่อสู้ปล่อยพลังออกมาว่าจะน่าหวาดหวั่นเพียงใด แต่เขากลับยืนนิ่งราวกับไม่ใส่ความเป็นไปที่เกิดขึ้น
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 614
สวีเฟิงถือกระบี่ฟ้าเอาไว้ด้วยสีหน้าหมองหม่น ในฐานะที่เขาเป็นผู้สืบทอดจากแดนศักดิ์สิทธิ์ เขาไม่เคยถูกใครดูถูกแบบนี้
“ข้ายังมีอีกแต่มีพลังมากเกินไป หากข้านำออกมาใช้ เจ้าอาจจะถึงแก่ความตายได้ เจ้ากล้ารับมือหรือไม่” สวีเฟิงกล่าวเสียงแข็งกระด้าง
ระหว่างที่พูด เขาไม่ได้มีเจตนาที่จะฟังหลัวซิวตอบเพราะเขาได้ดึงกระบี่ฟ้าออกมาแล้ว มือทั้งสองวาดเศษเงาและบีบตราประทับ
เวทีประลองยุทธ์สั่นสะเทือน พลังฟ้าดินระเบิดพวยพุ่งออกมาแล้วเข้ามาหลอมรวมอยู่ที่กระบี่ฟ้า
“รวมพลังฟ้าดิน!”
สวีเฟิงแผดเสียงลั่น กระบี่ฟ้าระเบิดประกายแสงสว่างโชติช่วง ราวเสาที่เปล่งแสงสว่าง แล้วเคลื่อนที่เข้าไปโจมตีหลัวซิวทันที
พลังอันน่าหวาดหวั่นของการโจมตีนี้ทำให้ผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์ขั้น 9ขนลุกขนพองได้
“ทำได้ดี!”
หลัวซิวเงยหน้าผิวปากแล้วเคลื่อนไหวร่างกายเพื่อโคจรวิชาสังหารไท่เสวียนแล้วโบกฝ่ามือออกไปอย่างไร้เทคนิค
ตู้ม!
ฝ่ามือของหลัวซิวราวกับโคมไฟที่แตกกระจาย ทะลุผ่านเสาไฟที่เปล่งประกายอยู่กลิ้งไปกับพื้น
ลำแสงสีเขียวค่อยๆ มืดหม่นลงเรื่อยๆ ส่วนเปลวไฟสีดำที่ห้อมล้อมร่างของเขาเอาไว้กลับยิ่งโหมกระหน่ำมากขึ้น
จากนั้นจึงเกิดเสียงดังแก๊ง กระบี่ฟ้าพุ่งทะยานพลางส่งเสียงสะอื้น สวีเฟิงได้รับบาดเจ็บที่หัวใจจนโลหิตไหลทะลักก่อนจะกระเด็นไปไกลสิบกว่าจั้ง หลังจากที่เขาทรุดลงกับพื้นแล้วเขานั่งคุกเข่าข้างหนึ่งเอาไว้บนพื้น พลางหายใจถี่ เลือดทะลักออกมาจากริมฝีปากของเขา
“พลังโจมตีน่ากลัวนัก!”
ในขณะที่ร่างของเขากระเด็นออกมานั้น สวีเฟิงก็รู้สึกว่าร่างกายของตนเองคล้ายจะถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ การโจมตีที่น่าหวาดผวาเช่นนี้ ไม่แปลกที่กระบี่ฟ้าจะร้องสะอื้น
เมื่อเหตุการณ์บนเวทีประลองยุทธ์ออกมาเป็นเช่นนี้ ผู้ที่มาชมศึกต่างตกอยู่ภายในความเงียบสงัด
“เกิดอะไรขึ้นกับกลุ่มที่สาม เหตุใดเด็กหนุ่มธรรมดาคนหนึ่งถึงกลายเป็นผู้ท้าชิงและเข้าไปอยู่สิบอันดับแรกได้”
“พลังการต่อสู้ของหลัวซิวน่ากลัวนัก แต่พลังการต่อสู้แข็งแกร่งไม่ได้หมายความว่าพรสวรรค์จะดีไปด้วย”
เมื่อเห็นว่ากลุ่มที่สามได้หลัวซิวเป็นผู้ท้าชิง คนอื่นๆ ที่เหลืออีกเก้าคนที่แพ้รวด อัจฉริยะที่มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์หลายคนต่างพากันไม่พอใจ
คนพวกนี้มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาคิดว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่นตั้งแต่อยู่ที่แดนพรสวรรค์แล้ว ละดูถูกนักยุทธ์ทั่วๆ ไปที่ไร้สังกัด
แต่ในฐานะที่พวกเขาเป็นผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แต่กลับพ่ายแพ้ แต่คนที่มีพื้นเพธรรมดาคนหนึ่งกับเข้าไปอยู่ในสิบอันดับ เรื่องนี้ทำให้ไฟในใจของพวกเขาลุกโชนอย่างไร้การควบคุม
เรื่องสำคัญอย่างหนึ่งคือการฝึกฝนของแดนศักดิ์สิทธิ์มีเวลาจำกัด และเวลาสั้นยาวในการฝึกฝนนั้นขึ้นอยู่กับการจัดลำดับในการประลองของนักยุทธ์ด้วย คนที่เข้าไปอยู่ในสิบอันดับแรกได้ย่อมได้รับเวลาในการฝึกฝนที่มาก ส่วนพวกเขาที่เป็นฝ่ายแพ้จะต้องไปแย่งโควต้าที่้เหลือสิบที่สุดท้าย
เมื่อทางกลุ่มสามรู้ผลแพ้ชนะแล้ว กลุ่มที่เหลืออีกเก้ากลุ่มก็เริ่มทยอยรู้ผลแพ้ชนะออกมาบ้างเช่นกัน
“ภายในกลุ่มของพวกเรา ไม่มีใครได้เจอผู้สืบทอดจากแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์” แววตาของหลัวซิวกวาดไปมองเวทีประลองกลุ่มอื่นๆ
แดนใหญ่ทั้งสี่ต่างมีแดนที่เทียบเท่ากับแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ของตนเอง อาณาจักรใต้มีแดนศักดิ์สิทธิ์ตระกูลยุทธ์ อาณาจักรเหนือมีสำนักดำเหลือง อาณาจักรตะวันออกมีตำหนักดารานภาและทางอาณาจักรตะวันตกมีนิกายมารศักดิ์สิทธิ์
ไม่ว่าจะเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์หรือว่าแดนศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ ลูกศิษย์อัจฉริยะที่ถูกส่งตัวมามีจำนวน 2 – 3 คน นอกจากนี้แล้วยังมีอัจฉริยะที่มาจากกองกำลังใหญ่ที่เจ้ายุทธจักรนั่งบัลลังก์ด้วย
หลังจากผ่านการคัดเลือกในรอบแรกมาแล้ว คนที่เหลืออีกร้อยคนล้วนเป็นคนวัยรุ่นตระกูลสูงที่มีความสามารถ คนทั้งสิบที่มีความสามารถโดดเด่นเหล่านี้มีพลังแข็งแกร่งจนสามารถเป็นตัวแทนของวัยรุ่นในสมัยนี้ได้
หากเปรียบเทียบแต่ละกลุ่มกันแล้ว กลุ่มที่สามที่หลัวซิวอยู่นับว่าเป็นกลุ่มที่โชคดีที่สุด เพราะไม่มีผู้สืบทอดจากแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์เลยสักคน
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 613
“ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ!”
ท่ามกลางเปลวไฟแผดเผาลุกโชน หลัวซิวเหวี่ยงฝ่ามือที่มีเปลวไฟสีดำโหมกระหน่ำเข้าใ่ส่สวีเฟิง
“กระบี่ฟ้า!”
สวีเฟิงตะโกนลั่น แสงจากจุดตันเถียนชี่ไห่สว่างวาบ เกิดเป็นกระบี่ยาวรูปมังกรเขียวพุ่งทะยานออกมา
การสืบทอดของสำนักฟ้าดินขึ้นอยู่กับคำว่าฟ้าดินสองคำนั้นเอง วิชายิ่งเลิศที่สอดคล้องกันแบ่งเป็นกระบี่ฟ้ากับตราดิน
พลังอำนาจของกระบี่ฟ้านั้นมีความแข็งแกร่งกว่าตราดิน สวีเฟิงนำกระบี่ฟ้ามาใช้เพราะว่าเขารับรู้ได้ถึงพลังอันแข็งแกร่งอย่างมากของหลัวซิวที่มากระทบตน
กระบี่ยาวเล่มนี้เป็นของขลังที่กลั่นมาจากวิชายิ่งเลิศกระบี่ฟ้า ไม่ใช่นักยุทธ์ทั่วๆ ไป
กระบี่ฟ้าภายใต้การควบคุมของสวีเฟิงได้กลายร่างเป็นมังกรเขียว มันบินทะยานหมุนวน พลางแยกเขี้ยวกางเล็บกว้าง
“แกร๊ง! แกร๊ง! แกร๊ง!”
ร่างของหลัวซิวตอนนี้ปกคลุมไปทั่วด้วยเปลวเพลิงสีดำลุกโชนสูงกว่า 10 กว่าจั้ง เสียงเหล็กกระทบร่างดังสะท้อนก้องไปทั่วเวทีประลอง นี่คือการต่อสู้กันระหว่างกระบี่ฟ้าและร่างยุทธ์แดนมกุฎ
“ทุกท่านคิดว่าศึกครั้งนี้ผู้ใดจะสามารถเข้าไปติดหนึ่งในสิบได้”
“เรื่องนี้ตัดสินยากทีเดียว พลังจิตแท้ของทั้งสองที่โคจรเทียบเท่ากับมกุฎยุทธ์ขั้น 7 แถมทั้งสองยังฝึกทักษะยุทธ์ยิ่งเลิศมาเหมือนกันเสียด้วย”
“ข้าคิดว่าโอกาสที่สวีเฟิงจะชนะมีมากกว่า เพราะกระบี่ฟ้ากับตราดินเป็นวิชายิ่งเลิศขั้นกลาง ส่วนวิชาไท่เสวียนโบราณที่สืบทอดมานั้นล้วนเป็นวิชายิ่งเลิศชั้นล่าง”
ยิ่งระดับของวิชายิ่งเลิศสูงมากเพียงใด การทำศึกกับผู้ที่อยู่แดนเดียวกันจึงยิ่งมีโอกาสชนะมากขึ้นเท่านั้น
“ฮ่าๆ แต่ข้ากลับคิดว่าหลัวซิวมีโอกาสที่จะชนะมากกว่า เด็กคนนี้มีที่มาธรรมดา แต่กลับเป็นคนที่มากับดวง บางทีเขาอาจจะมีไพ่เด็ดอื่นซ่อนอยู่อีกก็ได้”
“จะเป็นไปได้อย่างไร เขาแสดงไพ่เด็ดออกมาหลายใบแล้ว หรือว่าเขาจะยังมีไพ่เด็ดมากกว่านี้อีกหรือ”
ผู้ยิ่งใหญ่จากแดนศักดิ์สิทธิ์ที่มาชมศึกครั้งนี้ต่างพากันวิเคราะห์การประลองของกลุ่มที่สามบนเวทีประลองยุทธ์
“แต่แม้ว่าหลัวซิวจะชนะ แต่หากต้องไปเจอผู้สืบทอดจากแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ 4 แดนใหญ่ เขาจะต้องไม่ใช่คู่แข่งที่เหมาะสมอย่างแน่นอน” มีคนกล่าวเสริมออกมาอีก
เมื่อคำพูดเช่นนี้หลุดออกมา ผู้ยิ่งใหญ่ที่มาชมศึกครั้งนี้ต่างไม่มีใครเอ่ยความเห็นออกมาอีก
ตั้งแต่ศึกใหญ่จากโบราณมา การฝึกตนของนักยุทธ์ในโลกแสงดาวก็ไม่กลับมารุ่งเรืองอีก ภายในเผ่าพันธุ์มนุษย์มีเพียงแดนศักดิ์สิทธิ์ 4 แดนใหญ่เท่านั้นที่มีผู้แข็งแกร่งนั่งบัลลังก์ตลอดกาล จึงได้ชื่อว่าแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์
ความเป็นมาของแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ แดนศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ ยากที่จะสู้ได้ ยกเว้นในกลุ่มที่สามกลุ่มนี้ ฝีมือการรบของผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์บนเวทีประลองอื่นๆ ล้วนประจักษ์แก่สายตา
แม้ว่าจะมีคนคิดว่าหลัวซิวเกิดมาจากม้าสีดำ แต่หากเปรียบเทียบกับผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์แล้วก็ยังไม่สามารถมั่นใจได้เต็มที่ว่าจะเอาชนะได้
เสียงปะทะดังสะท้อนไม่ขาดสาย การต่อสู้บนเวทีประลองดุเดือดกว่าปกติ กระบี่ฟ้าที่กลายเป็นมังกรเขียวบินโฉบเฉี่ยวเมื่อถูกการบุกโจมตีของหลัวซิวที่ดุเดือดราวห่าพายุก็เริ่มถอยหนี และส่งเสียงคำรามออกมา
“เพล๊ง!”
เกิดเสียงแตกดังขึ้นกลางท้องฟ้า มังกรเขียวถอยกรูด กระบี่ฟ้าร่วงหล่น สวีเฟิงกระโดดลอยตัวขึ้นเพื่อรับของขลังเอาไว้
“ใช้ทั้งกระบี่ฟ้าและตราดินแล้ว เจ้ามีความสามารถเพียงเท่านี้น่ะหรือ” ร่างของหลัวซิวค่อยๆ ปรากฏตัวออกมาจากเปลวเพลิงลุกโชนสีดำ แล้วกล่าวอย่างเย็นชา
เมื่อยืมพลังจากกระบี่ฟ้ามาใช้ การโจมตีของสวีเฟิงเทียบเท่าได้กับมกุฎยุทธ์ขั้น 9 แต่หลัวซิวที่โคจรพลังแปรเสวียนเทียนกลับเหนือกว่า
แต่น่าเสียดายที่พลังแปรเสวียนเทียนมีพลังสูงสุดเพียงรอยเท่าเท่านั้น เขาจำเป็นต้องใส่ใจในประเด็นนี้ไม่อย่างนั้นแล้ว พลังการโจมตีที่ปล่อยออกมานั้นจะน่าหวาดหวั่นมากกว่านี้
เขาไม่อยากใช้วิธีรีบลงมือรีบชนะ ทุกครั้งที่เขาโคจรพลังแปรเสวียนเทียน อันที่จริงแล้วคือการใช้โอกาสเพื่อรับรู้ถึงความลับของพลังแปรเสวียนเทียนเพื่อทดสอบว่าตนจะสามารถบรรลุสัจธรรมในแดนสี่ได้หรือไม่
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 612
ตามที่เขารู้ วิชายิ่งเลิศเก้าวิชาของสำนักไท่เสวียน วิชาฝึกจิตไท่เสวียนจัดว่าอยู่ในประเภทวิชายิ่งเลิศด้วย สามารถต้านการโจมตีได้มาก
“การโจมตีที่น่ากลัวเช่นนี้ หลัวซิวป้องกันอยู่ได้อย่างไร”
“เปลวไฟสีดำรอบตัวเขาคือพลัง Attr อะไรกันแน่”
ในตอนนั้นเริ่มมีคนสังเกตเห็นเปลวเพลิงสีดำรอบกายหลัวซิว และพยายามเดาว่าสิ่งที่เห็นคือพลัง Attr อะไรกันแน่
นักยุทธ์ทุกคนเมื่อฝึกตนจนถึงแดนพรสวรรค์แล้วก็จะเริ่มฝึกฝนพลัง Attr ซึ่งพลังประเภทนี้มีระดับสูงต่ำเช่นกัน ยิ่งเป็นAttr ที่ยิ่งใหญ่มากเท่าไหร่ พลังในการสู้รบก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น
แต่เนื่องจากรอบเวทีประลองยุทธ์มีค่ายกลป้องกันเอาไว้ ตัวสำนึกของผู้ชมการประลองจึงไม่มีทางเข้ามาในบริเวณนี้ได้ ทำให้พวกเขาไม่สามารถสัมผัสได้ถึงพลังของเปลวไฟสีดำนั้น และไม่สามารถแยกแยะได้ว่าเป็น Attr ประเภทใด
“คงจะเป็นเปลวไฟพิเศษกระมัง” มีคนกล่าวคาดเดาขึ้นมา
นักยุทธ์ธรรมดาอาจจะมองไม่ออก แต่บุคคลยิ่งใหญ่ที่มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย รวมทั้งสี่เจ้ายุทธจักร ตัวสำนึกของพวกเขาสามารถทะลุผ่านค่ายกลสัมผัส Attr ของหลัวซิวได้
Attr ความตาย! จัดอยู่ในประเภทพลัง Attr ขั้นสูงสุด!
“จิตใจของหนุ่มคนนี้ป่าเถื่อนนัก ถึงขั้นเลือกฝึก Attr ความตายเสียด้วย” ผู้ใหญ่ที่มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์เริ่มเอ่ยปากพูด
“ผู้ที่สามารถฝึก Attr ความตายมาถึงแดนนี้ได้ เขาน่าจะมีวรยุทธ์ในการฝึกพลังแห่งความตายด้วย วรยุทธ์เช่นนี้เป็นสิ่งที่เห็นได้ไม่บ่อยนัก”
ยิ่งพลัง Attr แข็งแกร่งมากเท่าไหร่ ระดับความยากในการฝึกฝนก็ยิ่งมากขึ้นตามไปด้วยเท่านั้น วรยุทธ์ประเภทเดียวกันก็ยิ่งขาดแคลน
“หึ พลังAttr อันแข็งแกร่งก็สามารถเอาเปรียบได้เพียงผู้ที่อยู่ต่ำกว่าแดนเจ้ายุทธจักรลงไป ข้าที่เข้ามาในแดนเจ้ายุทธจักรแล้ว ย่อมเคยสัมผัสถึงความมีอยู่ของพลังแห่งกฎ ต่อให้เป็นพลัง Attr ที่แข็งแกร่งมากเพียงใด แต่หากไม่สามารถเข้าใจความลับของกฎได้อย่างถ่องแท้แล้ว สุดท้ายแล้วก็ต้องยอมก้มหัวให้กับแดนมหายุทธ์อยู่ดี”
“แม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น แต่หากเด็กคนนี้สามารถเข้าใจกฎความเป็นตายได้เมื่อไหร่ ถ้าวันหนึ่งเขาก้าวเข้าสู่แดนเจ้ายุทธจักรแล้ว ในแดนเดียวกันก็คงหาคนที่จะสามารถต่อกรกับเขาได้ยาก”
สำหรับบุคคลใหญ่โตที่มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์แล้ว พลัง Attr ขั้นสุดยอดอย่างมากก็แค่ดึงดูดให้พวกเขาชายตาไปมองได้เท่านั้น มีเพียงสิ่งที่เกี่ยวข้องกับพลังแห่งกฎเท่านั้นถึงจะสามารถดึงดูดความสนใจของพวกเขาได้อย่างแท้จริง
ในสายตาของนักยุทธ์ผู้แข็งแกร่งแล้ว หากไม่สามารถผ่านด่านแห่งกฎนี้ไปได้ ต่อให้เป็นอัจฉริยะไร้เทียมทาน มีคุณสมบัติยอดเยี่ยมก็ยังคงเป็นได้แค่มด
เวทีประลองยุทธ์ที่ถูกหอกรบพลังดินทำลายจนยุ่งเหยิงนั้น หลัวซิวยืนอยู่ตรงกลางอย่างไม่สะทกสะท้าน เปลวไฟรอบตัวลุกโชน ผมยาวของเขาปลิวไสว ราวกับปีศาจที่เดินออกมาจากอเวจี
พลังรอบกายของเขาดูเหมือนจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เปลวไฟสีดำลุกโชนรอบกายเขาก็ลุกสูงขึ้นมากเรื่อยๆ ไม่นานนักก็ลามสูงขึ้นไปเป็นความสูงสามจั้งกว่า
ร่างของเขาสูงไม่เกิดเจ็ดฟุต แต่เปลวไฟสีดำของเขากลับลุกโชนขึ้นกว่าสิบเมตรอย่างน่าหวาดหวั่นเกรงขามราวเทือกเขา
สำหรับสวีเฟิงที่เป็นอัจฉริยะขั้นสุดที่มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์ การฝึกตนระดับมกุฎยุทธ์ขั้น 7 ที่เทียบเท่าได้กับมกุฎยุทธ์ขั้น 9 นั้น
ศัตรูเช่นนี้ หลัวซิวจำเป็นต้องรับมืออย่างระมัดระวัง ดังนั้นเขาจึงใช้พลังจากลูกแก้วเสวียนดำ
ถึงอย่างไรคนที่อยู่ในที่นี้คงพอเดาได้แล้วว่าเขามีวิชาลับที่สามารถทำให้การฝึกตนแข็งแกร่งขึ้น ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องปิดบังอีก
ในช่วงเวลาสั้นๆ เพียงลมหายใจเข้าออกสามครั้ง การฝึกตนของหลัวซิวใช้พลังจากลูกแก้วเสวียนดำมาช่วยยกระดับเขาไปสู่แดนมกุฎยุทธ์ขั้น 7
“เมื่อเป็นเช่นนี้ การฝึกตนของข้ากับเจ้าก็เทียบเท่ากันแล้ว เช่นนี้ก็ถือว่าศึกครั้งนี้มีความเป็นธรรมแล้ว”
หลัวซิวยิ้มพลางขยับคอของเขาเพื่อเคลื่อนเส้นเอ็น สายตาของเขาเต็มไปด้วยความเย็นชา
โฮ่ว!
เสียงมังกรคำรามขึ้นมาจากปลายเท้า เขาใช้วิชาท่าร่างบรรลุมังกรเขียว ทำให้ความเร็วของเขาเพิ่มขึ้นถึงจุดสูงสุด
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 611
เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับสำนักฟ้าดินนั้น เขาก็พอรู้มาบ้าง การสืบทอดของแดนศักดิ์สิทธิ์นี้ค่อนข้างลึกลับ การควบคุมพลังฟ้าดินได้นับว่าเป็นจุดที่ไร้ที่ติ
ภายในแดนการฝึกยุทธ์ ผู้ที่ฝึกถึงแดนราชายุทธ์จะเริ่มควบคุมพลังฟ้าดินได้ในขั้นแรก และเมื่อแดนสูงขึ้นเรื่อยๆ จนถึงแดนจักรพรรดิยุทธ์แล้วผนึกรวมเป็นเทพจิตแล้ว หลังจากนั้นก็จะเป็นฝึกร่างทองแดนมกุฎยุทธ์
ในทุกๆ แดนใหญ่มักจะมีกระบวนที่พิเศษต่างกันไป ดังนั้นผู้ที่อยู่ในแดนราชายุทธ์ก็สามารถควบคุมพลังฟ้าดินได้ก็จะค่อยๆ ถูกขับไล่ออกมา
จนมาถึงในตอนหลัง ผู้แข็งแกร่งโลกยุทธ์ค้นพบว่า กระบวนการพิเศษในแต่ละแดนใหญ่ อันที่จริงแล้วจะมีการพัฒนาพลังโซนอย่างมาก
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ก็เริ่มมีการถ่ายทอดวิธีการฝึกฝนแปลกๆ หลายชนิด
สำนักฟ้าดินให้ความสำคัญกับการฝึกพลังฟ้าดิน พลังที่สามารถควบคุมได้แม้แต่ผู้ที่อยู่ในระดับราชายุทธ์ เมื่อผ่านการเปลี่ยนแปลงและเสริมความแข็งแกร่งแล้ว ก็เกิดเป็นพลังที่มีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้นกว่าเดิม
นอกจากพลังฟ้าดินแล้ว เทพจิตของผู้ที่อยู่ในแดนจักรพรรดิยุทธ์ก็มีการถ่ายทอดการฝึกเทพจิตเฉพาะทางอยู่บ้าง อย่างเช่นร่างทองของแดนมกุฎยุทธ์ก็เป็นวิชาร่างทองอันแข็งแกร่งที่ร่างเนื้อผ่านการทดสอบมาแล้วอย่างหนัก
และที่หลัวซิวไม่ได้ให้ความสำคัญกับการฝึกเพียงด้านเดียว ก็เป็นเพราะเขาฝึกวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพแล้ว จึงไม่ต้องทุ่มเทฝึกด้านใดด้านหนึ่ง
เพราะขอเพียงการฝึกตนของเขาพัฒนาขึ้นไปถึงระดับหนึ่ง ไม่ว่าเขาจะอยู่แดนไหนก็จะมีความสามารถที่เหนือกว่าเพื่อนร่วมแดนเดียวกัน
“ตราดิน!”
สวีเฟิงผนึกรวมพลังฟ้าดิน เขายกมือขึ้น พลังดินกลายเป็นหอกรบสว่างไสว และปรากฏเศษเงารางๆ ราวกับดาวตาที่แหวกทะยานขอบฟ้า
โซนบนเวทีประลองยุทธ์ไม่ได้กว้างขวางนัก ดังนั้นหอกรบที่กลั่นตัวมาจากพลังดินก็เคลื่อนที่ไปถึงตัวหลัวซิวอย่างรวดเร็ว
เว้นเสียแต่ว่าเขาจะใช้ความเร็วจากปีกทิพย์ไร้มลทินถึงจะหลบเลี่ยงได้ แต่ภายใต้การจ้องมองของผู้ชมเช่นนี้ เขาไม่อาจหยิบเอาสมบัติล้ำค่าจากแดนพรสวรรค์อย่างปีกทิพย์ไร้มลทินออกมาใช้ได้
ภายใต้ความอึดอัดนั้น หลัวซิวได้แต่ใช้ผนังเทพไท่เสวียนเพื่อรับมือการโจมตีนี้เท่านั้น
“ตู้ม!”
เสียงระเบิดดังสนั่น บริเวณเวทีประลองยุทธ์เกิดฝุ่นควันลอยโขมงขึ้น ส่วนร่างของหลัวซิวนั้นถูกฝุ่นอบอวลปกคลุมเอาไว้มิดจนไม่มีใครมองเห็นเขา
การโจมตีของสวีเฟิงไม่ได้หยุดอยู่เพียงเท่านี้ เขายังคงปล่อยหอกรบพลังดินออกมาอีกสิบกว่าอันต่อเนื่อง การโจมตีของหอกรบทุกๆ อันเทียบเท่ากับการลงมือของผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์
“อ๊าก!……”
เสียงโหยหวนดังขึ้นมาจากด้านล่างเวที การโจมตีอันน่าหวาดกลัวเช่นนี้ อย่าว่าแต่มกุฎยุทธ์ขั้น 7 ทั่วๆ ไปเลย แม้แต่มกุฎยุทธ์ขั้น 7 ที่มีฝีมือร้ายกาจก็คงโดนสังหารภายในระยะเวลาสั้นๆ เช่นกัน
สวีเฟิงผู้นี้มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างสำนักฟ้าดิน การฝึกตนอยู่ในระดับมกุฎยุทธ์ขั้น 7 พลังในการต่อสู้ไม่ได้ด้อยไปกว่ามกุฎยุทธ์ขั้น 9 เลยด้วยซ้ำ
ในบรรดาฝูงชนที่มาชมการต่อสู้ เหยียนเยว่เอ๋อร์เริ่มเกิดอาการตึงเครียดขึ้นมา แม้ว่านางจะรู้ว่าพลังของหลัวซิวนั้นแข็งแกร่ง แต่คู่ต่อสู้เป็นถึงอัจฉริยะขั้นสุดยอดที่มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์ การต่อสู้ในสนามแบบนี้หากพลาดพลั้งไปแม้แต่นิดเดียวก็อาจจะบาดเจ็บสาหัสได้
การโจมตีของหอกรบพลังดินสิบกว่าอันบดบังเวทีประลองยุทธ์ไปกว่าครึ่ง ริมฝีปากของสวีเฟิงปรากฏรอยยิ้มเย็น ส่วนผู้ชมการประลองแทบจะหยุดหายใจไปแล้ว เหยียนเยว่เอ๋อร์จับชายเสื้อเอาไว้แน่น พลางภาวนาขอให้หลัวซิวปลอดภัย
ทว่าหลังจากที่ฝุ่นควันจางลงไปแล้ว รอยยิ้มเย็นบริเวณริมฝีปากของสวีเฟิงก็แข็งชะงัก
เขาเห็นเวทีที่พังทลายตั้งอยู่ตรงกลาง หลัวซิวยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ร่างของเขาปกคลุมไปด้วยเปลวไฟลุกโชนสีดำที่แทบไม่ได้รับอันตรายใดๆ เลย
“วิชายิ่งเลิศคุ้มกัน?”
สีหน้าของสวีเฟิงหมองหม่นลง เขาไม่อยากจะเชื่อว่าร่างยุทธ์ในแดนมกุฎยุทธ์ขั้นกลางจะสามารถต้านทานการโจมตีของหอกรบพลังดิน 10 สายได้ เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเจ้าหนุ่มคนนี้ใช้วิชาป้องกันยิ่งเลิศ
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 610
กลุ่มที่สามที่หลัวซิวอยู่ หลังจากที่เหลียนเอ๋อร์พ่ายแพ้ไปแล้ว ก็เหลือหลัวซิวกับอีกคน
เขาเป็นชายหนุ่มในชุดผ้าฝ้าย ชุดท่อนบนของเขาปักลายนกบินผ่านเมฆขาว ส่วนท่อนล่างปักลายภูเขาและลำธาร
“สำนักฟ้าดิน แดนใต้”
ดูจากเครื่องแต่งกายก็รู้ว่า หนุ่มชุดผ้าฝ้ายคนนี้เป็นคนที่มาสำนักฟ้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์จากแดนใต้
นกบินผ่านเมฆขาวหมายความถึงท้องฟ้า ภูเขาและลำธารหมายความถึงแผ่นดิน เมื่อรวมเข้าด้วยกันแล้วจึงหมายถึงฟ้าดิน
“พลังของเจ้าแข็งแกร่งมาก ร่างยุทธ์แดนมกุฎขั้นกลาง ตัวสำนึกมกุฎยุทธ์ขั้น 7 ขึ้นไป และดูเหมือนว่ายังมีวิชาลับที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งการโจมตีได้อีก และยังมีสมบัติที่ช่วยเสริมการสูญเสียพลังจิตแท้อย่างรวดเร็ว”
ชายหนุ่มในชุดผ้าฝ้ายนี้สังเกตฝีมือในการต่อสู้ของหลัวซิวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้มาโดยตลอด จึงพอดูออกว่าหลัวซิวมีอะไรครอบครองอยู่ในมือบ้าง
จะว่าไปแล้วนั่นก็เป็นเพราะการฝึกตนของหลัวซิวนั้นต่ำเกินไป หากการฝึกตนของเขาไม่ต่างจากอัจฉริยะในแดนศักดิ์สิทธิ์มากนัก เขาไม่จำเป็นต้องใช้ไพ่เด็ดมากมายขนาดนี้ก็สามารถรับมือได้
“ไม่ทราบว่านอกจากพวกนี้แล้ว เจ้ายังมีไพ่เด็ดอื่นอีกหรือไม่” ชายหนุ่มชุดผ้าฝ้ายอมยิ้ม
“หากข้าบอกว่าไม่มีแล้ว เจ้าจะเชื่อหรือไม่” หลัวซิวหัวเราะด้วยท่าทางที่ไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ
เมื่อเห็นท่าทางสงบนิ่งไม่แยแสของหลัวซิว ชายหนุ่มชุดผ้าฝ้ายก็ชะงักไป “เจ้านี่ช่างมั่นใจในตัวเองนัก ดังนั้นเจ้าก็มีคุณสมบัติที่จะรับรู้ชื่อของข้า เจ้าฟังให้ดี วันนี้คนที่จะเอาชนะเจ้าได้มีนามว่าสวีเฟิง”
สวีเฟิงกล่าวพลางหรี่ตาลง พลังอันเข้มข้นย่าเกรงขามแผ่ซ่านออกมาจากร่างของเขา ราวกับพายุฝนที่ตั้งเค้ามานานแล้ว ทำให้บรรยากาศโดยรอบเริ่มบิดเบี้ยว
มกุฎยุทธ์ขั้น 7!
เมื่อสวีเฟิงแสดงพลังออกมา หลัวซิวก็ตัดสินได้ทันทีว่าการฝึกตนของเขานั้นไปถึงแดนมกุฎยุทธ์ช่วงปลายแล้ว
การที่อัจฉริยะที่เกิดในแดนศักดิ์สิทธิ์สามารถฝึกตนถึงแดนมกุฎยุทธ์ช่วงปลายได้ก่อนอายุ 40 ปีนั้นก็นับว่าเป็นคนที่ทรงคุณค่าแล้ว คนส่วนใหญ่มักจะติดอยู่ที่มกุฎยุทธ์ช่วงต้น มีเพียงจำนวนน้อยคนที่จะสามารถก้าวเข้าสู่มกุฎยุทธ์ขั้นกลางได้
และมกุฎยุทธ์ขั้นกลางกับขั้นปลายก็นับว่าเป็นเส้นแบ่งระหว่างอัจฉริยะขั้นสุดยอดกับอัจฉริยะไร้เทียมทาน
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับพลังกดดันที่มาจากสวีเฟิง หลัวซิวแทบไม่ได้รับผลกระทบใด เขาเคลื่อนที่พลันหายตัววับไปในทันที โดยใช้วิชาล่องหนไท่เสวียนกระโจนเข้าใส่อีกฝ่าย
“ปิดฟ้าดิน!”
สวีเฟิงพูดด้วยเสียงแผ่วเบา เขาชูตราประทับขึ้น ทำให้บรรยากาศรอบเวทีประลองยุทธ์ได้รับผลกระทบและเริ่มแข็งทื่ออยู่กับที่ ทำให้หลัวซิวไม่สามารถใช้วิชาล่องหนไท่เสวียนในการเทเลพอร์ตไปยังบริเวณใกล้ๆ นี้ได้
สำหรับนักยุทธ์ทั่วๆ ไปนั้น เทเลพอร์ตเป็นความสามารถที่แข็งแกร่งมาก แต่สำหรับนักยุทธ์ที่เป็นยอดฝีมือนั้น สามารถหาวิธีในการเอาชนะเทเลพอร์ตได้
ในเมื่อเทเลพอร์ตไม่ได้ผล ก็เหลือทางเดียวคือใช้ความเร็วของวิชาท่าร่างบรรลุมังกรเขียว สำหรับหลัวซิวแล้ว ใช้เวลาเพียงหายใจเข้าออกก็สามารถบุกไปถึงหน้าสวีเฟิงได้แล้ว
สวีเฟิงไม่ใส่ใจ เขาชูตราประทับออกมาอีก พื้นของเวทีประลองยุทธ์พลันสั่นสะเทือนขึ้นมา กำแพงหินเริ่มยกตัวเป็นเกลียวคลื่น
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
หลัวซิวใช้ร่างเนื้ออันแข็งแกร่งปะทะเข้ากับกำแพงหินแต่ละอันจนพังทลาย แต่กำแพงหินพวกนี้กลับต่อเนื่องทอดยาว ดังนั้นเขาทำลายไปแล้ว 18 อันก็ยังบุกไปไม่ถึงตัวสวีเฟิง
“เฮอะ ร่างยุทธ์ร่างเนื้อของเจ้าแข็งแกร่ง แต่หากเจ้ามีไม้เด็ดแค่นี้ก็นับว่าทำให้ข้าผิดหวังยิ่งนัก”
สวีเฟิงแค่นยิ้ม จากนั้นทั่วร่างของเขาก็ปรากฏเปลวไฟสีเขียวลุกโชนขึ้นมา เขาเพียงยกมือขึ้น พลังอันหนักแน่นรุนแรงก็ปะทุออกมาจากพื้นใต้เท้าของเขา แล้วมารวมอยู่ที่ฝ่ามือของเขา
“ใช้พลังฟ้าดินมาช่วยงั้นหรือ” ดวงตาของหลัวซิวหรี่เล็กลง
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 609
“หลัวซิว ข้าจะบรรลุมหาจักรพรรดิยุทธ์หรือไม่ก็ต้องขึ้นอยู่กับเจ้าแล้วล่ะ” แววตาของเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวส่องประกายด้วยความตื่นเต้น
ในตอนแรกเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งกับคำพยากรณ์ของธิดาเทพหยุนไห่ แต่เมื่อเห็นไพ่เด็ดที่หลัวซิวแสดงออกมาหลายอย่างแล้ว เขาก็เริ่มเชื่อ
เนื่องจากเรื่องนี้เกี่ยวข้องถึงโอกาสในการบรรลุมหาจักรพรรดิยุทธ์ของตน แม้ว่าคนที่หนักแน่นเช่นเขาในใจก็ยังมีความรู้สึกไหวหวั่นเช่นกัน
ก่อนที่จะเริ่มประลอง เมื่อกล่าวถึงชื่อของหลัวซิว ในเขตเล็กๆ อย่างแดนใต้นี้ก็ถือว่าพอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง
แต่หากเปรียบเทียบกับกองกำลังใหญ่ชั้นหนึ่งพวกนั้นแล้ว ผู้ที่เพิ่งมีชื่อเสียงในภายหลังไม่สามารถเทียบเคียงได้
สำหรับคนที่มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์แต่ละที่นั้น จักรพรรดิยุทธ์ที่มีอายุราวๆ 20 ปีเป็นสิ่งที่หาได้ไม่ยากนัก หรือแม้กระทั่งอัจริยะที่ไร้เทียมทานที่ไปถึงแดนมกุฎยุทธ์ก็มีให้เห็น
แต่การประลองครั้งนี้กลับแตกต่างกันออกไป เพราะเป็นการรวมลูกหลานของอัจฉริยบุคคลที่มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์สี่แดนของโลกแสงดาว ในบรรดาอัจฉริยบุคคลมากมายเหล่านี้ ฝีมือของต่อสู้ของหลัวซิวสามารถดึงดูดความสนใจของพวกเขาได้
แต่ไม่มีคาดคิดว่าเขาจะถึงขั้นเอาชนะองค์กุมารจากสระบัวแท้อย่างเหลียนเอ๋อร์ได้ แถมยังใช้ฝ่ามือทำลายแสงบัวป้องร่างที่ได้ชื่อว่าเป็นการป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดยากจะหาผู้ทำลายได้ในแดนเดียวกัน
คนรอบๆ ต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมา คนไม่น้อยต่างรู้สึกว่า รายชื่อทั้งยี่สิบกว่าคนของแดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นล่างนี้ หนุ่มชุดดำที่มีนามว่าหลัวซิวนั้นเป็นผู้ที่สามารถแสดงความโดดเด่นออกมาได้
ส่วนจะขึ้นไปถึงหนึ่งในสิบหรือไม่นั้น จะต้องเอาชนะคู่ต่อสู้คนสุดท้ายจากกลุ่มสามก่อน
ผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์ที่มาชมการประลองจำนวนมาก คนที่เข้าใจความเป็นมาของหลัวซิวมากที่สุดไม่ใช่เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิว แต่เป็นเทวีหานยู่
เรื่องราวเกี่ยวกับหลัวซิวในอดีต เทวีหานยู่ได้ข้อมูลมาจากลู่เมิ่งเหยา เนื่องจากในตอนนั้นหลัวซิวเคยฝึกตนอยู่ที่สำนักยุทธ์ในเมืองชิงหยุนมาถึงสามปี และในตอนนั้นลู่เมิ่งเหยาเป็นอาจารย์อยู่ที่สำนักยุทธ์นั้น
ตามที่เทวีหานยู่รู้มา ตอนที่หลัวซิวอายุได้สิบสามปี เขาก็อยู่ในแดนกลั่นร่างแล้ว ตอนนี้เขาอายุได้ยี่สิบเอ็ดปี ภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงแปดปี เขาก็สามารถฝึกตนจนถึงขั้นจักรพรรดิยุทธ์ได้ แม้ว่าจะสามารถขนานนามได้ว่าอัจฉริยะขั้นสุดยอด แต่ก็ไม่นับว่าเป็นอัจฉริยะไร้เทียมทาน
แต่มาตรฐานในการตัดสินอัจฉริยะนั้น ไม่สามารถใช้การฝึกตนมาตัดสินได้ แต่ต้องใช้พลังในการต่อสู้เป็นตัวตัดสิน
“เด็กหนุ่มผู้นี้เติบโตเร็วจนน่ากลัว” แววตาของเทวีหานยู่เปล่งประกายขึ้นมา ลู่เมิ่งเหยาสามารถฝึกฝนจนถึงแดนมกุฎยุทธ์ได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ เป็นเพราะว่านางได้รับเงื่อนไขและทรัพยากรพิเศษต่างๆ
แล้วหลัวซิวล่ะ หลายปีก่อนหน้านี้ เขาเป็นคนไร้ที่พึ่งพิง กล่าวได้ว่าเขาอาศัยเพียงโชคชะตาของตัวเองและค่อยๆ เติบใหญ่มาจนถึงขั้นนี้ได้
เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวสังเกตเห็นสีหน้าที่แปรเปลี่ยนไปของเทวีหานยู่จึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มพลางกล่าวถาม “เทวีเจ้ายุทธจักรหยกนาราพาอัจฉริยบุคคลคนหนึ่งไปจากแดนใต้ของข้า ไม่ทราบว่ายังต้องการขุดกำแพงอีกหรือไม่”
“เจ้ายุทธจักรอัคคีกล่าวล้อเล่นแล้ว ข้ากำลังคิดว่า หลัวซิวกับลู่เมิ่งเหยานั้นเหมาะสมกันมาก”
สิ่งที่ทำให้เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวคาดไม่ถึงก็คือ การที่เทวีหานยู่กล่าวคำพูดเช่นนี้ออกมาอย่างกะทันหัน
และเมื่อต้วนฉือเทียนได้ยินคำพูดเช่นนี้ เขาจึงหรี่ตาลง ลู่เมิ่งเหยาเป็นลูกศิษย์ที่เทวีหานยู่สอนมากับมือของตัวเอง หลัวซิวคืออัจฉริยะที่หวูซิวแนะนำให้มาลงประลองครั้งนี้ หากทั้งสองครองคู่กัน นั่นไม่เท่ากับว่าเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูซิวกับเทวีหานยู่เป็นพันธมิตรกันหรอกหรือ
ในฐานะที่เป็นสี่เจ้ายุทธจักรแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ ระหว่างพวกเขาย่อมต้องแก่งแย่งกันเป็นธรรมดา ต้วนฉือเทียนเหล่ไปมองเจ้ายุทธจักรมรณาเซียวโป๋และอดไม่ได้ที่จะแอบยิ้ม
เขาคิดอยากจะเป็นพันธมิตรกับคนผู้นี้ แต่เจ้ายุทธจักรมรณาเซียวโป๋มีนิสัยแปลกประหลาด เขาอยากจะเป็นพันธมิตรด้วย แต่เกรงว่าคนคนนี้จะไม่อยากจะมิตรกับใครเลยแม้แต่ตัวเองด้วยซ้ำ
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 608
หลัวซิวไม่รู้จะร้องไห้หรือจะยิ้มดี แต่ก็ไม่อยากจะทะเลาะกับเด็กน้อยคนหนึ่ง
เมื่อนึกถึงบรรยากาศบนเวทีประลองยุทธ์ ผู้ชมการต่อสู้ต่างมีแววตาสงสัย และจ้องเขม็งไปที่หลัวซิว
“เขาทำลายแสงบัวป้องร่างได้อย่างไร”
“เมื่อครู่พลังของเขาระเบิดออกมาเทียบเท่าได้กับมหายุทธ์แล้ว”
“น่าจะใช้วิชาลับอันทรงพลังบางอย่างเพื่อยกระดับการฝึกตน และเป็นไปได้ว่าจะใช้พลังของขลังมาช่วยด้วย เพียงแต่พวกเราคงสังเกตไม่เห็น”
ในความคิดของจอมยุทธ์ที่มาชมการต่อสู้วันนี้ ศึกครั้งนี้ ชื่อของหลัวซิวนับว่าเป็นชื่อแห่งความพิลึกพิลั่น
ในตอนเริ่มแรก ไม่มีใครให้ค่าเด็กหนุ่มที่ฝึกตนถึงขั้นจักรพรรดิยุทธ์เลยสักคน แต่เมื่อเขาทำการต่อสู้ผ่านไปหลายสนาม ทุกคนต่างพากันตกตะลึง
“น่าสนใจยิ่ง” เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวยิ้มออกมา เมื่อครู่นี้เขายังกังวลอยู่เลยว่าหลัวซิวจะแพ้ในศึกครั้งนี้
“หนุ่มน้อยผู้นี้มีวิชายิ่งเลิศที่สามารถยกระดับการโจมตีได้” เจ้ายุทธจักรพลานุภาพต้วนฉือเทียนหรี่ตาลง
การเพิ่มระดับกับการเพิ่มความแข็งแกร่งนั้นไม่เหมือนกัน โดยทั่วไปแล้วการเพิ่มระดับโดยใช้ตัวเลขมาตัดสิน แต่การเพิ่มความแข็งแกร่งนั้นค่อนข้างจะทำได้จำกัด
ในสายตาของเจ้ายุทธจักรพลานุภาพต้วนฉือเทียนนั้นสามารถมองออกได้ว่าในขณะที่หลัวซิวโคจรวิชาลับอยู่นั้น พลังการโจมตีได้เพิ่มขึ้นถึงยี่สิบเท่า
“ในร่างกายของเขาคงซ่อนสมบัติล้ำค่าบางอย่างเอาไว้ ทำให้เขาสามารถยกระดับการโจมตีได้หลายแดนมากขนาดนี้” เทวีหานยู่เองก็มองถึงความผิดปกติได้เช่นกัน นางหันไปมองเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวแล้วกล่าวว่า “มิน่าเล่าเจ้ายุทธจักรอัคคีถึงมั่นใจในตัวเขาเช่นนั้น นั่นเป็นเพราะว่าเขามีสมบัติติดตัวอยู่ อย่างนี้ก็ไม่ถือว่าเขาเป็นเพียงผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์แต่เป็นถึงมกุฎยุทธ์ขั้น7แล้ว”
สมบัติที่สามารถยกระดับการฝึกตนแดนใหญ่เช่นนี้อาจจะฟังดูแล้วน่าหวั่นเกรง แต่สำหรับสี่เจ้ายุทธจักรย่อมรู้ว่าสมบัติประเภทนี้มีข้อจำกัด อย่างมากสุดก็สามารถยกระดับการฝึกตนได้ถึงแดนมกุฎยุทธ์เท่านั้น เพียงเท่านี้ก็จะถึงจุดจำกัดสูงสุดของมันแล้ว
โดยทั่วไปแล้วสมบัติประเภทนี้มักจะยกระดับได้เพียงสองแดนเล็กๆ เท่านั้น แต่การที่สามารถยกระดับแดนใหญ่ได้จึงนับได้ว่าเป็นสมบัติที่ล้ำค่าหายากยิ่ง
เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวหัวเราะแต่ไม่ได้อธิบายอะไรต่อ เพราะในความเป็นจริงหลัวซิวมีไม้เด็ดอะไรบ้าง เขาเองก็ยังไม่แน่ชัดเท่าไหร่นัก
“ธิดาเทพหยุนไห่วางแผนได้อย่างเฉียบแหลมนัก……”
อันที่จริงแล้วเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวรู้อยู่แก่ใจดี การที่เขาให้ความสำคัญกับหลัวซิวเพียงคนเดียวในบรรดาอัจฉริยะทั้งหมด เป็นเพราะว่าเขาได้รับคำชี้แนะจากบุคคลสูงศักดิ์
ในฐานะที่เป็นเจ้ายุทธจักร และยังเป็นเจ้ายุทธจักรที่ได้รับการแต่งตั้งสูงสุด สิ่งที่หวูซิวต้องการมากที่สุดนั่นคือการบรรลุแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์
เพียงแต่การบรรลุแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ไม่เช่นนั้นแล้วจำนวนผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ในโลกแสงดาวคงไม่มีจำนวนน้อยเช่นนี้
ธิดาเทพแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่ในแดนใต้มีความชำนาญในด้านการทำนายดวงชะตา เขาต้องใช้ความพยายามมากมายกว่าจะแลกการทำนายของธิดาเทพมาได้ จึงรู้ว่าตนเองจะบรรลุแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับเด็กหนุ่มที่มีนามว่าหลัวซิวผู้นี้
หวูซิวรู้ดีว่าการจะบรรลุแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ได้นั้น เขายังมีจุดอ่อนอยู่ที่แดนร่างเนื้อ จำเป็นต้องมีวิชากลั่นร่างขั้นสูง
แม้ว่าที่แดนศักดิ์สิทธิ์ตระกูลยุทธ์จะมีบางคนที่มีวิชากลั่นร่างที่ไม่เลว แต่กลับไม่ได้มีความชำนาญในด้านการกลั่นร่างนัก ย่อมไม่อาจเปรียบเทียบกับวิชากลั่นร่างยิ่งเลิศอันสูงสุดนั่นได้
ดังนั้นเขาจึงสนใจพลังเก้าภพของต้วนฉือเทียน และยืมมือของหลัวซิวมาช่วยด้วยในครั้งนี้ จะทำให้ประสบความสำเร็จได้อย่างง่ายดาย
นอกจากนี้หากเขาต้องการบรรลุแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ เขายังขาดความเข้าใจในกฎธาตุไฟ หากหลัวซิวได้ตำแหน่งผู้นำอันดับหนึ่งได้ ในฐานะผู้แนะนำ เขาก็จะได้รับโอกาสในการฝึกฝนเพื่อเข้าไปสู่โลกแสงดาวด้วย
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 607
พลังแปรเสวียนเทียน 24 เท่า!
นอกจากพลังแปรเสวียนเทียนแล้ว เขายังใช้พลังจากลูกแก้วเสวียนดำ ทำให้การฝึกตนของเขายกระดับไปถึงขั้นมกุฎยุทธ์ขั้น 7
ภายในช่วงระยะเพียงครู่เดียวพลังความน่ากลัวของเขาก็ระเบิดออกมารุนแรงกว่าก่อนหน้านี้ถึงหลายสิบเท่า
“ท่าน……”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเหลียนเอ๋อร์หายไปทันที แววตาเป็นประกายของนางจ้องมองไปที่หลัวซิวอย่างไม่อยากจะเชื่อ เพราะนางรู้สึกว่าพลังของหนุ่มชุดดำตรงหน้าที่ระเบิดออกมาแทบจะเทียบเท่าได้กลับผู้แข็งแกร่งมหายุทธ์แล้ว
แสงบัวป้องร่างได้ชื่อว่ามีพลังป้องกันแข็งแกร่งมาก เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่มีใครสงสัย แต่บนโลกนี้ไม่มีการป้องกันใดที่ทำลายไม่ได้ ขอเพียงแค่การโจมตีเกินขอบเขตการป้องกันที่จะสามารถรับได้ แน่นอนว่าย่อมถูกทำลายได้อย่างแน่นอน
“ออกมาเดี๋ยวนี้!”
หลัวซิวตะโกน แล้วใช้ฝ่ามือชกออกไป ราวกับมังกรแท้ที่พุ่งทะยาน
“ตู้ม!”
ฝ่ามือชกเข้าที่แสงบัวป้องร่างอย่างแรง เสียงแตกกระจายราวกระจกแตกดังสะท้อนไม่หยุด วิชายิ่งเลิศที่ได้ชื่อว่าผู้ที่อยู่ในแดนเดียวกันไม่มีผู้ใดทำลายได้ ถูกฝ่ามือของหลัวซิวทุบทำลายจนแหลกละเอียด
“สาวน้อย เจ้าแพ้แล้ว!”
เมื่อทำลายแสงบัวป้องร่างได้แล้ว หลัวซิวจึงก้มลงมองสาวน้อยผู้เฉลียวฉลาดผู้นั้นด้วยรอยยิ้ม
สาวน้อยผู้นี้อายุยังดูไม่มากนัก อายุน่าจะน้อยกว่าตนไม่เท่าไหร่ นี่เองที่ทำให้รู้สึกประหลาดใจ
เขารู้อยู่แก่ใจว่าการที่จะมีระดับการฝึกตนได้เท่านี้ตอนอายุเท่านี้ได้ อย่างมากเขาคงต้องอาศัยพลังลูกแก้วความเป็นตายมาช่วยเท่านั้น
ส่วนเหลียนเอ๋อร์ผู้นี้อายุน้อยกว่าตน แต่กลับฝึกตนได้ถึงระดับมกุฎยุทธ์ขั้น 6 แล้ว พรสวรรค์ในการฝึกตนเช่นนี้ต่างหากที่เรียกได้ว่าน่ากลัวอย่างแท้จริง
“ข้าไม่ยอมแพ้หรอก”
นิสัยของเหลียนเอ๋อร์นั้นดื้อรั้น นางอ้าปากแล้วบ้วนเข็มทองเล็กๆเล่มหนึ่งออกมา เข็มทองพุ่งทะยานเข้าใส่หลัวซิวทันที
ระยะห่างระหว่างทั้งสองใกล้มาก เข็มทองจึงไปถึงเขาอย่างรวดเร็ว แม้ว่าปฏิกิริยาของหลัวซิวจะเร็วมากแค่ไหนก็ตาม ก็ไม่สามารถหลบได้ทัน
แต่เหลียนเอ๋อร์ไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายเขาถึงชีวิต เข็มเงินไม่ได้เลือกโจมตีที่ดวงตา แต่มุ่งหน้าไปที่ศีรษะของหลัวซิวแทน
แกร๊ง!
เสียงใสกังวานดังขึ้น เข็มทองปะทะเข้าที่ศีรษะของหลัวซิว เกิดเป็นเปลวไฟกระเซ็นออกมา เข็มเงินระเบิดออกทันที ศีรษะของหลัวซิวเหลือเพียงจุดเลือดเล็กๆ เท่านั้น
“สาวน้อยทำไมใจแคบนัก” สีหน้าของหลัวซิวแสดงอาการไม่พอใจ “รีบยอมแพ้เร็วเข้าเถิด ไม่อย่างนั้นข้าจะไม่เกรงใจแล้วนะ”
“ข้าไม่มีทางยอม!”
เหลียนเอ๋อร์เป็นคนหัวไว นางดูออกว่าหลัวซิวไม่ได้โกรธนางจริง ร่างบางของนางถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะสะบัดมือเพื่อปล่อยเข็มทองใส่หลัวซิวต่อ อย่างรวดเร็ว
เข็มทองพวกนี้อาจจะเล็กจิ๋ว แต่ในความเป็นจริงแล้วทุกๆ เข็มมีพลังโจมตีเทียบเท่ากับนักยุทธ์ดินชั้นกลาง หากไม่ใช่ผู้ที่ฝึกวรยุทธ์แล้วโดนโจมตีในระยะประชิด จะต้องบาดเจ็บหนักอย่างแน่นอน
เข็มเงินทุกเล่มที่ปะทะเข้าที่ร่างกายของหลัวซิวเด้งกลับออกมา จากนั้นเขาจึงรีบวิ่งกวดตามไปในทันที พลางยื่นมือดึงคอเสื้อด้านหลังของเหลียนเอ๋อร์เอาไว้แล้วดึงนางขึ้นมา
สาวน้อยผู้นี้มีความสูงประมาณหนึ่งเมตรห้า แต่ร่างกายกลับคล่องแคล่ว นางพยายามปัดป้องดิ้นรน จนเสื้อผ้าหลุดลุ่ย หลัวซิวเองก็รู้สึกเข๊อะเขินเช่นกัน
“เอาล่ะเหลียนเอ๋อร์ หยุดวุ่นวายได้แล้ว”
และในตอนนั้นเอง มีเสียงแผ่วเบาดังสะท้อนมาจากท้องฟ้าอันไกลโพ้น
เมื่อได้ยินเสียงนั้น เหลียนเอ๋อร์ที่อยู่ในมือของหลัวซิวก็ถอนหายใจ แม้ว่าจะไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก แต่นางก็ไม่พยายามดิ้นรนอีกต่อไปอีก
“หนุ่มน้อยชุดดำ ปล่อยข้าซะ ข้ายอมแพ้แล้ว”
“แบบนี้ถึงจะถูก” หลัวซิวยิ้มพลางกล่าวตอบ ก่อนจะปล่อยนางลงไป
สาวน้อยผู้ดื้อรั้นเมื่อเท้าเหยียบลงบนพื้นแล้ว ก็ลุกขึ้นมาด้วยท่าทางอย่างผู้ชนะ ราวกับว่าคนที่ยอมแพ้ไม่ใช่นางแต่เป็นหลัวซิว
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 606
นี่เองที่เรียกว่าสาวน้อยเหลียนเอ๋อร์ ที่ดึงดูดความสนใจของทุกคน
นางดูเป็นสาวน้อยอายุสิบห้าสิบหกปี มีความคิดอ่านเป็นเด็กและตัวเล็กน่ารัก
แต่สำหรับนักยุทธ์แล้วอายุไม่สามารถดูได้จากภายนอก หลายๆ คนดูเหมือนยังหนุ่มสาว แต่นั่นเป็นเพราะผลจากการฝึกวรยุทธ์ทำให้ใบหน้าอ่อนเยาว์ แต่ในความเป็นจริงแล้วอาจจะเป็นเพียงคนแก่ที่มีอายุมากกว่าร้อยปี
คนส่วนใหญ่มักจะมองไม่ออก แต่คนใหญ่คนโตของแดนศักดิ์สิทธิ์ทุกแดนต่างพากันเบิกตากว้าง
“นี่คือสาวน้อยอัจฉริยะแห่งสระบัวแท้แดนตะวันออกหรือ”
“ได้ยินมาว่าสาวน้อยคนนี้เพิ่งจะมีอายุเพียงสิบสี่ปี……”
บุคคลใหญ่โตที่รู้จักกันมาก่อนต่างใช้ตัวสำนึกในการพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน และข้อมูลที่เปิดเผยออกมานั้นทำให้ทุกคนเริ่มเครียดขึ้น
มกุฎยุทธ์ขั้น 6 อายุสิบสี่ปีงั้นหรือ
ยังไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องอื่นเพียงแค่ความเร็วในการฝึกฝน ก็เพียงพอที่จะทำให้อัจริยะบุคคลผู้ไร้เทียมทานใต้หล้าทั้งหมดพากันอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี
และยิ่งไม่ต้องพูดถึง นางไม่ได้ฝึกตนแค่เพียงมกุฎยุทธ์ขั้น 6 เท่านั้น แต่ในเวลาเดียวกันยังฝึกฝนวิชายิ่งเลิศทั้งสองไปจนถึงแดนขั้นสูงแล้วด้วย
“สาวน้อยคนนี้ไม่ธรรมดาเลย” สี่เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวก็ย่อมมองออกถึงความไม่ธรรมดาของสาวน้อยผู้นี้
เจ้ายุทธจักรมรณาเซียวโป๋ยังคงมีทีท่าไม่สนใจเช่นเคย ราวกับว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบกายทั้งหมดไม่มีความข้องเกี่ยวกับตัวเอง
เจ้ายุทธจักรมรณาเซียวโป๋และเจ้ายุทธจักรพลานุภาพต้วนฉือเทียน ต่างพากันหันไปมองเทวีหานยู่เป็นตาเดียว
เทวีหานยู่ผู้นี้ปกครองแดนตะวันออก มีฉายาว่าเจ้ายุทธจักรหยกนารา และมีความสัมพันธ์ที่ดีกับแดนศักดิ์สิทธิ์สระบัวแท้
“นางคือองค์กุมารพรสวรรค์” เทวีหานยู่หัวเราะเบาๆ
“อะไรนะ องค์กุมารพรสวรรค์รึ”
เมื่อคำพูดนี้หลุดออกมา แม้แต่เจ้ายุทธจักรมรณาเซียวโป๋ก็ยังแสดงอาการที่เปลี่ยนแปลงไป
จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำเคยเล่าให้หลัวซิวฟังว่า บนฟ้าดินนี้สมบัติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือการเกิดจากครรภ์ฟ้าดินที่เรียกว่าแดนพรสวรรค์”
อย่างเช่นภูติอัคคี สมบัติวิเศษเช่นนี้ แม้ว่าจะได้เป็นผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นสูงที่ท่องยุทธภพไปทั่วและค้นหาไปทั่วทั้งใต้หล้า เดินข้ามเทือกเขาสูงใหญ่เป็นแสนลูก ก็ไม่ได้หมายความว่าจะตามหาเจอ
และยังมีร่างพรสวรรค์ที่เป็นสิ่งล้ำค่าหาได้ยากยิ่ง เพราะจะมีพรสวรรค์ในการฝึกตนมาตั้งแต่เกิด และยังมีความสามารถยิ่งใหญ่อย่างภูมิต้านทานพิเศษที่แข็งแกร่งมากอีกด้วย
และในจำนวนนี้ยังมีสิ่งที่แข็งแกร่งกว่าภูติอัคคี สมบัติวิเศษและร่างพรสวรรค์อยู่อีก นั่นคือองค์กุมาร
องค์กุมารคือทารกที่ออกมาจากครรภ์ฟ้าดิน เกิดมาจากพลังฟ้าดินจิตอันบริสุทธิ์ และเติบโตมีชีวิตอยู่ต่อมา จึงครอบครองพรสวรรค์อันแข็งแกร่งที่ยากจะมีผู้ใดทัดเทียม
คนส่วนมากต่างคิดว่าร่างพรสวรรค์ที่แตกต่างกันก็นับว่าเป็นคุณสมบัติที่สุดยอดมากแล้ว
แต่ในความเป็นจริง หากเอาร่างพรสวรรค์กับองค์กุมารเปรียบเทียบกัน ก็จะเห็นความแตกต่างที่
ห่างกันไกลโพ้น
หากเป็นอย่างที่เทวีหานยู่บอกจริง นั่นคือสาวน้อยที่มีนามว่าเหลียนเอ๋อร์ผู้นี้เป็นองค์กุมารพรสวรรค์ การที่นางอายุสิบสี่แล้วสามารถฝึกตนถึงขั้นนี้ได้ นั่นก็เป็นเหตุผลที่ทุกคนพอจะเข้าใจได้ ไม่ใช่เรื่องที่แปลกประหลาดอะไรมากนัก
หากองค์กุมารพรสวรรค์ไม่มีพรสวรรค์ที่แข็งแกร่งและความน่าเกรงขามเท่านี้ นั่นต่างหากถึงจะเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจ
เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวขมวดคิ้วแน่น หากหลัวซิวแพ้ศึกครั้งนี้ นั่นก็เท่ากับว่าเขาไร้วาสนากับตำแหน่งผู้นำแห่งการประลองยุทธ์
“พลังแปรเสวียนเทียน 24 เท่า!”
ในขณะที่คนส่วนใหญ่คิดว่าหลัวซิวเป็นฝ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัยแน่นอนแล้ว ร่างของเขากลับพุ่งเข้าใส่เหลียนเอ๋อร์ ชั่วพริบตาเดียวก็ไปหยุดอยู่ตรงหน้าของนาง
การเคลื่อนไหวของเขาเช่นนี้ทำให้เหลียนเอ๋อร์ตกใจมาก เพราะนางมีอายุเพียง 14 ปีเท่านั้น จิตใจของนางจึงยังคงมีความไม่หนักแน่นอยู่
ทว่าเมื่อนึกถึงตัวเองที่ยังมีแสงบัวป้องร่างอยู่ นางก็สงบลง “เจ้าไม่อาจทำลายการป้องกันของข้าได้ วิ่งเข้ามาก็ไร้ประโยชน์”
“ใช่หรือ”
ริมฝีปากของหลัวซิวปรากฏรอยยิ้ม แววตาของเขาเปล่งประกายวิบไหว พลังจิตแท้รอบตัวโคจรอย่างรวดเร็ว
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 605
“ข้าจะลองดู”
หลัวซิวอมยิ้ม ร่างของเขาหายวับไปทันที ก่อนจะไปปรากฏตัวอยู่ด้านหน้าเหลียนเอ๋อร์ และใช้ฝ่ามือทลายไปที่แสงบัวสีขาวนั้น
การโจมตีนี้หลัวซิวใช้พลังทั้งหมดเก้าเท่า ความรุนแรงของมันเพียงพอที่จะทำให้ยอดฝีมือมกุฎยุทธ์ขั้น 6 ลอยกระเด็น
โครม!
ฝ่ามือกระทบเข้ากับแสงบัวป้องร่างอย่างรุนแรง ร่างเนื้อที่เป็นระลอกถูกการโจมตีอย่างรุนแรงนี้ ดอกบัวอันขาวสะอาดสั่นไหวสั่นคลอนก่อเป็นเกลียวคลื่นมากมายนับไม่ถ้วน
ลมแรงพัดเป็นเกลียวคลื่นไปทั่วทุกสารทิศ ทำให้ค่ายคุ้มกันที่ปกคลุมโดยรอบสั่นไหว ทว่าดรุณีน้อยที่ใช้แสงบัวป้องร่างอยู่นั้นกลับยืนนิ่งด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม
“เป็นการคุ้มกันที่แข็งแกร่งนัก” หลัวซิวรู้สึกได้ว่าแสงบัวป้องร่างที่ผนึกรวมขึ้นมานี้ มีพลังยุทธ์ที่แข็งแกร่งยากทำลาย
“เป็นอย่างไร ท่านอยากทำลายการคุ้มกันของข้า แค่นี้ท่านก็แพ้แล้ว” ใบหน้าของเหลียนเอ๋อร์ที่ถูกปกคลุมอยู่นั้นเปล่งประกายไปด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“วิชายิ่งเลิศแสงบัวป้องร่างของแดนศักดิ์สิทธิ์สระบัวแท้ นับเป็นวิชายิ่งเลิศขั้นสูง การป้องกันได้หมดนี้ไม่ได้มีเพียงชื่อเท่านั้น แต่นับได้ว่าเป็นหนึ่งในวิชาป้องร่างที่แข็งแกร่งที่สุดตอนนี้แล้ว”
“หากมีวิชาป้องกันได้หมดนี้ ก็เท่ากับว่าไม่มีทางที่จะพ่ายแพ้ ร่างเนื้ออสุราของหลัวซิวไม่สามารถทำลายแสงบัวป้องร่างได้ โดยที่ยังไม่จำเป็นต้องลงมือด้วยซ้ำ”
“แม้ตัวสำนึกวิญญาณของหลัวซิวจะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่วิชายิ่งเลิศอย่างแสงบัวป้องร่างก็สามารถป้องกันการโจมตีทางวิญญาณได้เช่นกัน”
เหลียนเอ๋อร์ที่อยู่ในแสงบัวป้องร่างยกมือขึ้นบีบตราประทับ แสงสีขาวที่ปกคลุมบางๆ อยู่รอบมือคล่อยๆ เคลื่อนที่หมุนวน
“หนุ่มน้อยชุดดำ ท่านลองดูฝีมือของข้าบ้างก็แล้วกัน”
ระหว่างที่พูด ตราประทับของเหลียนเอ๋อร์ก็ยิ่งเคลื่อนที่เร็วขึ้นเรื่อยๆ แท่นบัวสีขาวที่ปรากฏอยู่เหนือศีรษะของนางพลันปล่อยแสงขาวสว่างจ้าออกมาทันที
แสงสีขาวผนึกรวมเข้าด้วยกันทันทีกลายเป็นฝ่ามือยักษ์ ที่ปกคลุมไปทั่วฟ้ารวมทั้งปกคลุมเวทีประลองทั้งหมดด้วย ไม่ว่าจะหนีอย่างไรก็หนีไม่พ้น
“ฝ่ามือโอบจันทรา!”
ทักษะยุทธ์ที่เหลียนเอ๋อร์แสดงออกมาอย่างน่าตื่นตะลึงนี้เป็นหนึ่งในวิชายิ่งเลิศ ต่อให้เป็นอัจฉริยะที่มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์ โดยมากแล้วก็จะฝึกฝนวิชายิ่งเลิศเพียงสาขาเดียวเท่านั้น เพราะวิชายิ่งเลิศแข็งแกร่งมาก ความยากในการฝึกฝนจึงมากขึ้นตามไปด้วย คนส่วนมากใช้เวลาทั้งชีวิตก็อาจจะยังไม่สามารถศึกษาวิชายิ่งเลิศได้อย่างลึกซึ้งถึงแก่นแม้แต่สาขาเดียว
ประเด็นต่อมาคือทักษะวรยุทธ์อย่างวิชายิ่งเลิศไม่สามารถถ่ายทอดต่อๆ กันได้อย่างง่ายดาย อัจฉริยะส่วนมากก็มักจะได้รับวิชานี้จากการฝึกฝนเท่านั้น
ส่วนหลัวซิวนั้นฝึกฝนวิชายิ่งเลิศได้ทั้งสามสาขา อาจจะดูร้ายกาจ แต่ในความเป็นจริงแล้วคนส่วนมากมักจะดูแคลนเขา โดยคิดว่าการฝึกเช่นนี้คงไม่สามารถฝึกฝนวิชายิ่งเลิศทั้งสามวิชาได้ถึงแดนที่ลึกซึ้งอย่างแน่นอน นอกเสียจากว่าจะยอมทิ้งอีกสองสาขาแล้วตั้งใจฝึกเพียงสาขาเดียว
ส่วนวิชายิ่งเลิศที่เหลียนเอ๋อร์ผู้นี้ฝึกฝนเป็นวิชายิ่งเลิศสาขาที่สอง และสิ่งที่ทำให้คนรู้สึกตื่นตะลึงที่สุดก็คือนางได้ฝึกฝนสาขาวิชานี้จนถึงแดนขั้นสูง
พรสวรรค์ของนางน่ากลัวมากขนาดไหน
“วิชาสังหารไท่เสวียน!”
หลัวซิวเองก็ไม่ลังเลที่จะแสดงทักษะยุทธ์ยิ่งเลิศ ฝ่ามือที่แข็งแกร่งราวกับภูเขาลูกหนึ่งพุ่งทะยานเข้าปะทะกับฝ่ามือโอบจันทราที่ปกคลุมทั้งเวทีประลองยุทธ์เอาไว้
เกิดเสียงดังเพล้ง แสงสีขาววิบไหวภายใต้ฝ่ามือโอบจันทราได้บีบภูเขาลูกนั้นจนแตกละเอียด สิ่งที่ทั้งสองคนนั้นแสดงออกมาล้วนเป็นทักษะยุทธ์ยิ่งเลิศ แต่พลังที่เหลียนเอ๋อร์แสดงออกมานั้นแข็งแกร่งกว่าหลัวซิวมาก
ไม่ใช่ว่าวิชาสังหารไท่เสวียนนี้สู้ฝ่ามือโอบจันทราไม่ได้ แต่เป็นเพราะหลัวซิวยังไม่สามารถควบคุมวิชายิ่งเลิศนี้ได้จนถึงแดนขั้นสูงนั่นเอง
“ฮี่ๆ พ่อหนุ่มชุดดำ ท่านแพ้แล้ว!”
เมื่อเห็นว่าตนเองเป็นฝ่ายได้เปรียบ เหลียนเอ๋อร์จึงโบกกำปั้นของตัวเองอย่างร่าเริง
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 604
เจ้ายุทธจักรพลานุภาพต้วนฉือเทียนผู้ยิ่งใหญ่กลับมองไม่ออกว่าเป็นใคร
ในขณะเวลาเดียวกันนั้น ผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์จากแดนศักดิ์สิทธิ์หลายแดนที่มาชมการต่อสู้นั้น ก็สังเกตเห็นฝีมือของหลัวซิวเช่นกัน
จากแหล่งข่าวที่ผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์พวกนี้ควบคุมอยู่นั้น แน่นอนว่าพวกเขาย่อมสามารถสืบประวัติความเป็นมาของหลัวซิวได้
“ผู้สืบทอดวิชายิ่งเลิศไท่เสวียนโบราณ?”
ตามความคิดของเหล่าผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์ที่มีจากต่างแดนศักดิ์สิทธิ์กันนั้น การที่หลัวซิวสามารถโดดเด่นขึ้นมาได้ภายในระยะเวลาสั้นๆเพียงไม่กี่ปีนั้น ย่อมมีความข้องเกี่ยวกับการได้รับการสืบทอดมาแต่โบราณ
บางทีสำหรับนักยุทธ์ที่มีฐานะทั่วๆ ไป เมื่อได้ยินคำว่าผู้สืบทอดมาจากโบราณ ก็มักจะเกิดความละโมบขึ้นมา แต่นักยุทธ์ที่มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์ย่อมไม่มีความรู้สึกเช่นนี้ เพราะทักษะวรยุทธ์ระดับยิ่งเลิศนั้น ไม่ใช่สิ่งขาดแคลนในแดนศักดิ์สิทธิ์
และเพราะว่าผ่านสงครามครั้งใหญ่แต่โบราณมาก พลังจิตฟ้าดินก็เริ่มเบาบางลงกว่าอดีตที่ผ่านมาก การที่นักยุทธ์อยากบรรลุกฎจึงเป็นเรื่องยาก แม้ว่าจะได้รับพลังทักษะยุทธ์ระดับยิ่งเลิศมาก็ยังเป็นเรื่องยากที่จะฝึกฝนไปถึงระดับสูงได้
ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า ในสายตาของผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์พวกนี้ หลัวซิวเป็นแค่หนุ่มน้อยที่โชคดีก็เท่านั้น ในอนาคตของเขาจะประสบความสำเร็จได้หรือไม่นั้นถือว่ายังเป็นเรื่องที่ยากจะตัดสิน
ในการประลองยกที่สาม เนื่องจากปี้คงที่วิญญาณหยั่งรู้ได้รับการบาดเจ็บจนสลบอยู่กับพื้น ร่างของเขาจึงหายวับไปในทันที และไม่นานหลังจากนั้นก็ไปปรากฏอยู่ที่แท่นบัวเพลิงอัคคี รอบๆ แท่นบัวพลังฟ้าดินจิตก่อตัวขึ้นหนาแน่น ทำให้บาดแผลของเขาฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว
และหลังจากที่หลัวซิวสามารถเอาชนะศัตรูคนที่สามได้แล้ว เขากลับยังไม่ได้ออกไปจากเวทีประลอง แต่กลับมองไปที่คนอีกสองคนที่เหลือที่ยังไม่ถูกคัดออกของกลุ่มที่สาม
คนทั้งสองคนนี้ คนหนึ่งเป็นชาย คนหนึ่งเป็นหญิง ผู้หญิงสวมใส่ชุดกระโปรงสีขาว ขับให้เห็นเรียวขางามของเธอ ดวงตากลมโตและดำสนิทเปล่งประกายแวววับด้วยความน่ารัก
เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาที่หลัวซิวมองมาที่ตน เธอจึงยิ้มกว้างก่อนที่จะกระโดดไปข้างหน้า กระดิ่งทองที่แขวนติดตัวไว้ส่งเสียงดังสดใสน่าฟัง ก่อนจะลงมาสู่เวทีประลองยุทธ์อย่างแผ่วเบา
“ข้ามีนามว่าเหลียนเอ๋อร์ ท่านยอมให้ข้าได้หรือไม่” ดรุณีน้อยกะพริบตาที่มีขนตางอนยาวด้วยสีหน้าอันเจ็บปวด
เขาเคยต่อสู้กับคนมาแล้วมากมายนับไม่ถ้วน แต่กับดรุณีน้อยผู้มีไหวพริบดีที่ชื่อว่าเหลียนเอ๋อร์ผู้นี้ เขาไม่เคยประลองฝีมือด้วยเลยสักครั้ง
แม้จะดูอ่อนโยนน่ารัก แต่ในความเป็นจริงแล้วหลัวซิวเคยได้ยินมาว่าดรุณีน้อยคนนี้เป็นอัจฉริยะแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์สระบัวแท้
ความเป็นมาของแดนศักดิ์สิทธิ์สระบัวแท้นั้นมาจากสระน้ำปริศนาแห่งหนึ่ง ตรงกลางของสระน้ำมีดอกบัวขาวสะอาดหมดจดสามดอก ว่ากันว่าสามารถใช้ชำระล้างทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ได้
หลัวซิวคิดไม่ถึงเลยว่าอัจฉริยบุคคลที่อายุน้อยแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ด้านตะวันออกนี้ จะบอกให้เขาหลีกทางให้นางด้วยท่าทางที่น่ารักขนาดี้
ริมฝีปากของหลัวซิวเริ่มกระตุก และแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินอะไร พลางยกมือขึ้นมาประสานมือคารวะ “ข้าน้อยหลัวซิว ได้โปรดชี้แนะ”
“เฮอะ ใจแคบ!” เหลียนเอ๋อร์เบะปาก “ในเมื่อท่านไม่ยอมข้า หากมีความสามารถก็เข้ามาสู้กันสักยกได้เลย”
ระหว่างที่กล่าว เหลียนเอ๋อร์ก็ยื่นมือน้อยๆ ที่ขาวสะอาดหมดจดออกไปบีบพลังตราประทับ เหนือศีรษะจึงปรากฏดอกบัวสีขาวขึ้นมา ไม่นานหลังจากนั้นก็มีภาพแสงสีขาวเคลื่อนลงมาปกคลุมร่างกายเอาไว้ทั่วร่าง
“แสงบัวป้องร่าง?” ผู้ที่มาชมการประลองรู้ที่มาของวิชายิ่งเลิศที่นางใช้นี้
นั่นคือวิชายิ่งเลิศป้องร่างของแดนศักดิ์สิทธิ์สระบัวแท้ ว่ากันว่าแข็งแกร่งมากจนยากจะป้องกัน ในแดนนั้นไม่มีใครทำลายได้
เหลียนเอ๋อร์ผู้นี้อาจจะดูบอบบาง แต่ในความเป็นจริงแล้วนางได้ฝึกตนถึงแดนมกุฎยุทธ์ขั้น 6 แล้ว จึงต้องเป็นผู้ที่ฝึกตนถึงแดนมกุฎยุทธ์ขั้น 9 ขึ้นไปเท่านั้นถึงจะทำลายแสงป้องร่างนี้ได้
ซึ่งแตกต่างจากการป้องกันของวิชาฝึกจิตไท่เสวียน สิ่งที่หลัวซิวเคยฝึกฝนมาคือผนังไท่เสวียน สามารถป้องกันการโจมตีได้หลากหลายรูปแบบ และตนเองก็จะได้รับการโจมตีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ส่วนแสงบัวป้องร่างนี้ จะกันการโจมตีทั้งหมดเอาไว้ด้านนอก ว่ากันว่าเป็นการป้องกันที่ดีที่สุดและยังแข็งแกร่งกว่าผนังเทพไท่เสวียนด้วยซ้ำ
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 603
ในตอนยังเป็นวัยรุ่น นอกจากคนผิดปกติจำนวนน้อยพวกนั้นที่เขาไม่กล้าต่อสู้ด้วยแล้ว เขาก็ไม่เคยเห็นใครอยู่ในสายตาอีก
ทว่าในตอนนี้ เขากลับถูกจักรพรรดิยุทธ์คนหนึ่งถาโถมเข้าใส่ ทำให้เขาทั้งตื่นตะลึงทั้งโมโห
“เด็กหนุ่มคนนี้ไม่รู้จักวิชาลับทางวิญญาณระดับสูง มีเพียงแค่พลังของวิญญาณอันแข็งแกร่งเท่านั้น แม้การโจมตีอาจจะดูโหดร้ายไปบ้าง แต่ในความเป็นจริงแล้วก็เป็นเพียงการกระจายพลังของวิญญาณไปอย่างเสียเปล่า ไม่ได้สร้างความอันตรายแต่อย่างใด”
ปี้คงรู้สึกว่าบางทีตัวเองอาจจะมีโอกาสจะชนะอยู่บ้าง เพราะคนที่ไม่เข้าใจวิชาลับขั้นสูง ความเข้มข้นของวิญญาณจะถูกเผาผลาญอย่างรวดเร็ว แม้ว่าความเข้มข้นของวิญญาณจะแข็งแกร่งขนาดไหน แต่ก็ไม่สามารถหยุดการเผาผลาญอย่างไม่หยุดยั้งได้
ขอเพียงแค่เขายืนหยัดจนอีกฝ่ายเผาผลาญวิญญาณจนหมดสิ้น ก็จะเป็นโอกาสที่เขาจะพลิกกลับมาชนะได้
เมื่อในใจของเขาคิดได้ถึงความเป็นไปได้นี้ ปี้คงก็ยิ้มเย็นออกมา ไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้ไปโชคดีมาจากไหนถึงได้ฝึกตัวสำนึกจนแข็งแกร่งขนาดนี้ แต่ก็ยังไม่ต่างอะไรกับคนโง่ที่มีเพียงพลังแต่ไม่รู้จักการใช้ ดังนั้นเขาจะต้องแพ้แก่ตนอย่างแน่นอน
ทว่าต่อให้ปี้คงวางแผนจนปวดหัวแค่ไหน ก็คงไม่มีทางนึกออกได้ว่าการที่เขามีความคิดเช่นนี้คือความจงใจของหลัวซิว
การมีพลังทางวิญญาณแข็งแกร่งอย่างเดียว แต่ไม่รู้จักการใช้วิชาลับ สำหรับจุดด้อยในด้านนี้ หลัวซิวย่อมรู้ดีอยู่เต็มอก
ดังนั้นตั้งแต่เริ่มจนถึงตอนนี้ เขาวางแผนเอาไว้แล้วว่าการต่อสู้ครั้งนี้จะต้องยืดเยื้อ และการที่พยายามยืดเวลาออกไปนั้น ก็เป็นเพราะว่าต้องการเข้าใจพลังวิญญาณของตัวเองลึกซึ้งขึ้น และใช้โอกาสนี้ในการลับคมของตัวเอง
มิเช่นนั้นแล้ว แค่อาศัยตัวสำนึกอันแข็งแกร่งระดับมหายุทธ์อย่างเดียว ต่อให้ไม่เข้าใจวิชาระดับสูง ก็ยังไม่ใช่คนที่ปี้คงจะรับมือได้อยู่ดี
ที่เขายืนหยัดมาถึงตอนนี้ได้ เป็นเพราะหลัวซิวกดพลังทางวิญญาณของตัวเองเอาไว้
“พลังวิญญาณที่แข็งแกร่งสามารถจินตนาการรูปแบบในการโจมตีได้ตามความต้องการ”
การที่หลัวซิวพยายามที่จะสกัดความเข้าใจในวิชาลับทางวิญญาณของตัวเองเอาไว้ กลับเป็นการทำให้ปี้คงลำบากเปล่า เพราะต้องพยายามกัดฟันทนเอาไว้ เพื่อรอโอกาสที่พลิกกลับมาชนะได้
“เอาล่ะ ควรจบได้แล้ว……”
หลังจากยืนหยัดอยู่นาน และเนื่องด้วยการเผาผลาญทางวิญญาณมากเกินไป ทำให้ปี้คงมึนงงเมื่อได้ยินประโยคนี้
“แย่แล้ว!”
สีหน้าของปี้คงตื่นตระหนก สิ่งแรกที่เขาทำคือผนึกรวมพลังวิญญาณเพื่อใช้ในการต้านทานการโจมตี แต่กลับเกิดความรู้สึกไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาทันที เพราะว่าพลังวิญญาณของเขาใกล้หมดเต็มที หากโคจรอย่างแข็งกร้าวเกินไปจะทำให้สูญเสียพลังดั้งเดิมของวิญญาณ
แต่จุดเริ่มต้นของวิญญาณเกี่ยวข้องกับพื้นฐานของร่างกาย เมื่อเผาผลาญไปหมดแล้วไม่อาจที่จะเสริมกลับมาได้
ในขณะที่ปี้คงยังลังเลตัดสินใจไม่ได้อยู่นั้นเอง เขาจึงรู้สึกว่าตัวหยั่งรู้วิญญาณของตัวเองคล้ายถูกภูเขาถล่มใส่อย่างแรง ทันใดนั้นดวงตาของเขามืดมิดและล้มตึงลงกับพื้น
“หนุ่มตัวดี ตัวสำนึกแข็งแกร่งดีนักนะ”
บริเวณกลางท้องฟ้า แววตาของเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวที่กำลังชมการต่อสู้อยู่นั้นเป็นไปอย่างผ่อนคลาย
“หวูซิว หนุ่มน้อยที่เจ้าเลือกคนนี้ซ่อนความสามารถไว้ลึกนัก ดูผิวเผินเป็นแค่จักรพรรดิยุทธ์ขั้น 7 แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่เพียงแต่มีร่างยุทธ์แดนมกุฎเท่านั้น แต่ตัวสำนึกทางวิญญาณยังไปถึงแดนมกุฎยุทธ์ช่วงปลายแล้ว”
เมื่อจินตนาการว่าตัวเองจะต้องแพ้พนันแก่เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูซิว เจ้ายุทธจักรพลานุภาพต้วนฉือเทียนก็โกรธอย่างมาก ถึงขั้นคิดว่าคนเฮงซวยอย่างหวูซิวตั้งใจหลอกเขาให้มาติดกับดัก
แต่การแสดงของหลัวซิวที่พยายามเป็นจักรพรรดิยุทธ์ระดับ 7 นั้น สามารถล่อหลอกอีกฝ่ายหนึ่งมาเชือดได้อย่างง่ายดาย
เพราะใครเลยจะรู้ว่าผู้ที่ฝึกตนในแดนจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 7 จะมีพลังที่กล้าแกร่งขนาดนี้
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 602
การโจมตีทางวิญญาณ โดยตัวของมันเองก็เป็นส่วนหนึ่งของการโจมตีที่เกิดมาจากตัวสำนึกทางวิญญาณ เมื่อโจมตีแล้วถูกอีกฝ่ายหนึ่งทำลาย นั่นก็เท่ากับว่าตัวสำนึกทางวิญญาณส่วนหนึ่งถูกทำลาย ตัวนักยุทธ์เองก็จะได้รับแรงสะท้อนกลับด้วย
เวลาที่แสดงพลังการโจมตีทางวิญญาณ ยิ่งเราใช้พลังวิญญาณมากเท่าไหร่ แรงสะท้อนกลับก็จะยิ่งมากขึ้นไปด้วย หากวิญญาณดั้งเดิมได้รับความเสียหาย นั่นจะเท่ากับว่าสถานการณ์เลวร้ายอย่างแท้จริง
พลังการเผชิญหน้าของวิญญาณ หากพลังของทั้งสองฝ่ายต่างกันไม่มากเท่าไหร่ ส่วนใหญ่แล้วก็จะต้องเผชิญหน้ากัน
แต่ช่องว่างระหว่างปี้คงกับหลัวซิวนั้น ก็เหมือนกับช่องว่างระหว่างฟ้าดิน
เขาทะนงตนในตัวสำนึกมกุฎยุทธ์ขั้น 6 แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับหลัวซิวที่ตัวสำนึกอยู่ในแดนกว้างใหญ่ในขั้นมหายุทธ์แล้ว ก็ไม่ต่างอะไรกับน้ำหยดเล็กๆ ที่ต้องเผชิญหน้ากับมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไร้เขตแดน
เมื่อการโจมตีทางวิญญาณพังทลายลง ปี้คงย่อมได้รับแรงสะท้อนกลับ ในเวลาเดียวกันก็รับรู้ได้ว่าตัวสำนึกของอีกฝ่ายแข็งแกร่งขนาดไหน นี่เองที่ทำให้จิตใจของปี้คงหนาวสะท้านหวาดผวา
และในระหว่างการปะทะกันของพลังทางวิญญาณ สถานการณ์การต่อสู้จะพลิกแพลงได้ตลอดเวลา เมื่ออีกฝ่ายเกิดความหวาดกลัวขึ้น นั่นเท่ากับเป็นการเผยจุดอ่อนใหญ่หลวงออกมา และไม่มีทางหนีความพ่ายแพ้พ้น
หลัวซิวเปลี่ยนตัวสำนึกให้กลายเป็นเปลวไฟสีดำ และผนึกรวมกันเป็นรูปดาบ ในเวลาเพียงชั่วขณะทำให้วิญญาณที่ผนึกรวมของปี้คงแตกกระจายออกเป็นสองท่อน
……
“มีอะไรผิดพลาดหรือไม่ ปี้คงเป็นผู้ที่ชำนาญด้านการโจมตีทางวิญญาณ ตามหลักแล้วจะต้องทำให้ตัวหยั่งรู้ของหลัวซิวได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ทำไมสองคนนี้ถึงได้ประลองกันนานนัก ถึงตอนนี้ก็ยังไม่จบ?”
บริเวณใกล้ๆ เวทีประลองยุทธ์กลุ่ม 3 กลุ่มคนที่สนับสนุนปี้คงอดไม่ได้ที่จะบ่นออกมา
ทว่าในตอนนี้ วิญญาณของคนทั้งสองยังคงต่อสู้กันอยู่อย่างดุเดือดในโซนปิดตายแห่งหนึ่ง
หากจะพูดให้ถูก ฝ่ายปี้คงโดนหลัวซิวกระหน่ำโจมตีใส่ราวพายุถาโถมกระหน่ำ และดูเหมือนว่าจะไม่สามารถตอบโต้กลับได้เลยด้วยซ้ำ
“ไม่! เป็นไปไม่ได้!……”
ในอกของปี้คงเต็มไปด้วยความไม่ยอม อีกฝ่ายหนึ่งเป็นแค่จักรพรรดิยุทธ์ระดับ 7 เท่านั้น เหตุใดตัวสำนึกของเขาถึงได้แข็งแกร่งขนาดนี้ หรือว่าวรยุทธ์กลั่นวิญญาณที่เขาฝึกฝนแข็งแกร่งกว่าตำราฝึกจิตญาณของแดนศักดิ์สิทธิ์ญาณ
ทว่าปี้คงก็ค้นพบในทันทีว่า แม้ว่าตัวสำนึกของหลัวซิวจะแข็งแกร่ง แต่ก็รู้จักวิชาเพียงผิวเผิน มิเช่นนั้นแล้วป่านนี้เขาคงไม่มีเวลาแม้แต่จะหายใจและแพ้ราบคาบไปแล้ว
แต่ปี้คงก็รับรู้ได้ทันทีว่าต่อให้หลัวซิวไม่ชำนาญด้านการโจมตีทางวิญญาณ ตนเองก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาอยู่ดี เพราะตัวสำนึกของเขาแข็งแกร่งมาก จนสามารถเสริมจุดอ่อนของวิชาได้
หลัวซิวเองก็รู้ในประเด็นนี้เช่นกัน ตัวสำนึกทางวิญญาณของเขาแข็งแกร่งกว่าปี้คงมากหลายเท่า แต่ในด้านการใช้งานตัวสำนึกทางวิญญาณตามตำรานั้น เขายังอ่อนหัดกว่าอยู่มาก
ส่วนปี้คงเองก็อาศัยความรู้ในวิชาที่สูงกว่าจึงสามารถยืนหยัดต่อสู้อยู่ได้แม้ว่าตัวสำนึกของทั้งสองจะห่างกันขนาดนี้
และเมื่อสถานการณ์การต่อสู้ทางตัวสำนึกวิญญาณของทั้งสองกำลังดุเดือดนั้น ความเข้นข้นทางวิญญาณของปี้คงก็เริ่มด้อยลง และเนื่องด้วยความเข้นข้นทางวิญญาณถูกเผาผลาญไป ทำให้ใบหน้าของเขาซีดขาวจนน่าตกใจเพราะไม่เหลือร่องรอยของโลหิตอีกแม้แต่น้อย
“ไอ้หมอนี่มันฝึกตนอย่างไรกันแน่ เห็นชัดๆ ว่าเป็นแค่จักรพรรดิยุทธ์ระดับ 7 แต่นอกจากจะมีร่างเนื้ออยู่ในแดนร่างยุทธ์แดนมกุฎแล้ว ตัวสำนึกทางวิญญาณก็ยังแข็งแกร่งมากเช่นนี้ด้วย
ปี้คงพยายามอย่างหนัก เขาโกรธจนกัดฟันแน่นแต่ก็ทำอะไรไม่ได้
ในฐานะที่เป็นผู้สืบทอดผู้โดดเด่นของแดนศักดิ์สิทธิ์ญาณ ตำราการฝึกจิตวิญญาณของปี้คงถือได้ว่าเป็นวรยุทธ์ฝึกจิตวิญญาณชั้นเลิศ
เพราะในการฝึกจิตวิญญาณต้องใช้พรสวรรค์สูงมาก ดังนั้นเขาจึงเริ่มเลือกเดินในเส้นทางการฝึกกลั่นวิญญาณมาตั้งแต่แรกเริ่ม ความเข้มข้นของวิญญาณผนึกรวมอย่างเข้มแข็ง และด้วยการฝึกตนระดับมกุฎยุทธ์ขั้น 3 การโจมตีทางวิญญาณของเขาสามารถเอาชนะมกุฎยุทธ์ขั้นปลายได้
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 601
เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่าการโจมตีทางวิญญาณนั่นแข็งแกร่ง แต่ก็มีข้อบกพร่องอยู่บ้าง อย่างแรกเลยคือความอันตรายในการฝึกซ้อม หากไม่ระวังอาจจะทำให้จิตแตกสลาย หลังจากนั้นก็เป็นระหว่างการใช้การโจมตีทางวิญญาณ ตัวสำนึกวิญญาณของตัวเองจะทำการปะทะกับตัวหยั่งรู้ของศัตรู หากตัวสำนึกได้รับการบาดเจ็บแล้ว คิดจะฟื้นฟูถือเป็นเรื่องยาก
ดังนั้นในด้านการกลั่นวิญญาณ ผู้ที่จะฝึกฝนบรรลุถึงระดับสูงขึ้นจริงๆ ได้นั้น มีเพียงคนจำนวนน้อยเท่านั้น
“เพียงการฝึกตนระดับจักรพรรดิยุทธ์แต่กลับเอาชนะมกุฎยุทธ์ได้ทั้งสองคน ข้าต้องยอมรับจริงๆ ว่าเจ้ามีความสามารถมากนัก” เมื่อเห็นหลัวซิวลงมาจากเวทีประลองยุทธ์แล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าของปี้คงก็ยิ่งสดใสขึ้นจึงกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “แม้ว่าร่างเนื้อของเจ้าจะแข็งแกร่ง แต่การควบคุมการโจมตีทางวิญญาณของข้าเกรงว่าเจ้าจะไปไม่ถึงยกที่สองด้วยซ้ำ”
“ท่านแน่ใจขนาดนั้นเชียวหรือว่าจะชนะข้าได้” หลัวซิวยิ้มอย่างไม่ถือสา หากเป็นคนอื่น เมื่อต้องเผชิญหน้ากับนักยุทธ์กลั่นวิญญาณอาจจะรู้สึกปวดหัวอยู่บ้าง แต่หลัวซิวกลับตรงกันข้าม คนประเภทที่เขาไม่เกรงกลัวมากที่สุดก็คือผู้ที่ชำนาญการโจมตีทางวิญญาณ
“เจ้านี่ช่างมั่นใจเสียจริงนะ” ปี้คงชะงักไปเล็กน้อย เขาไม่เข้าใจเท่าไหร่นักว่าทำไมคนคนนี้ถึงมีความมั่นใจได้ขนาดนี้ หรือว่าเขาคิดว่าการฝึกตนจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 7 ของเขานั้นจะเพียงพอต่อการรับมือการโจมตีทางวิญญาณของผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์ได้
“ความมั่นใจย่อมมาจากฝีมือ” สีหน้าของหลัวซิวยังคงนิ่งสงบ
หากเป็นสถานการณ์ทั่วไป หลัวซิวไม่ชอบที่จะออกหน้าออกตามากนัก เขาค่อนข้างจะอยากเก็บฝีมือที่แท้จริงของตัวเองเอาไว้มากกว่า
แต่ครั้งนี้เขามีนัดหมายกับเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวเอาไว้แล้ว เขาจึงต้องทุ่มเทสรรพกำลังทุกอย่างกับการประลองครั้งนี้เป็นลำดับแรก เคล็ดลับต่างๆ ที่เขาเก็บซ่อนเอาไว้จึงไม่อาจปิดบังเอาไว้ได้อีกต่อไป
แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ หลัวซิวก็ยังขี้เกียจที่จะเสแสร้งถ่อมตน ทำให้ในสายตาของคนอื่น การกระทำเช่นนี้ของถือเป็นท่าทางที่เย่อหยิ่งอย่างยิ่ง
“ปากดีไม่น้อย ข้าอยากเห็นจริงๆ ว่าเจ้าจะรับมือการโจมตีทางวิญญาณของข้าอย่างไร”
หลังจากที่ปี้คงตวาดเสียงแข็ง บรรยากาศรอบตัวของหลัวซิวก็เริ่มรางเลือน ความมืดดำปกคลุมไปทุกทิศทุกทาง ออร่าแห่งความตายหนาวสะท้านแผ่ซ่านไปรอบตัว
ปี้คงมาจากแดนศักดิ์สิทธิ์ญาณ คำว่าศักดิ์สิทธิ์นี้ เป็นที่มาของวรยุทธ์กลั่นวิญญาณของแดนศักดิ์สิทธิ์ นั่นคือตำราล้ำค่าการฝึกจิตทางวิญญาณ
วรยุทธ์กลั่นวิญญาณของแดนศักดิ์สิทธิ์ญาณนี้ คือการเอาตัวสำนึกทางวิญญาณของตนฝึกฝนเป็น เทพผีเพื่อดูดทำลายวิญญาณหยั่งรู้ของฝ่ายตรงข้าม
“โฮ่!”
เสียงคำรามของภูตนี้ดังสนั่นขึ้น ใบหน้าของผีร้ายแสยะแยกเขี้ยว ทั้งน่าสยดสยองและน่าหวาดกลัว
“อ้อ? น่าสนุกซะแล้ว”
เมื่อเห็นผีร้ายพุ่งคำรามเข้ามาอย่างโหดร้าย หลัวซิวก็ยังคงยิ้มออกมาอย่างสบายๆ
เขาเคยฝึกวรยุทธ์กลั่นวิญญาณมาก่อน โดยมีชื่อว่าพลังก่อรวมวิญญาณ ทว่าระดับของวรยุทธ์กลั่นวิญญาณนี้ไม่สูงมากนัก เป็นเพียงวรยุทธ์ระดับ 8 เท่านั้น
วิชาการโจมตีทางวิญญาณที่จดบันทึกเอาไว้นั้นค่อนข้างไม่ซับซ้อน หากเผชิญกับจอมยุทธ์ระดับล่างถือว่าได้ผลลัพธ์ไม่เลว แต่หากใช้จัดการกับนักยุทธ์ระดับสูงแล้วกลับก่อให้เกิดผลกระทบน้อยมาก
ส่วนวิชาที่ปี้คงใช้นั้น กลับนำวิญญาณของศัตรูลากเข้าไปภายในโซนที่ปิดตาย วิธีการเช่นนี้นับเป็นวิธีการที่ฉลาดกว่าพลังก่อรวมวิญญาณหลายเท่าตัว
ร่างของหลัวซิวยังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ ในช่วงเวลาที่ผีร้ายบุกเข้ามาตรงหน้า กลับมีเปลวไฟสีดำระเบิดพวยพุ่งออกมาจากร่างของเขาทันที
เปลวไฟสีดำม้วนตัวขึ้น ทำให้ผีร้ายตัวนั้นหายวับเข้าไป เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นและภายในเวลาสั้นๆ ก็ถูกเผามอดไหม้จนไม่เหลือร่องรอย
“เจ้า……ตัวสำนึกของเจ้า……”
สีหน้าของปี้คงแปรเปลี่ยน จากนั้นจึงรู้สึกว่าศีรษะของเขาปวดร้าว ตัวหยั่งรู้ทางวิญญาณถูกฉีกทึ้ง เสียงร้องโหยหวนดังสนั่น ดวงตาของเขาเบิกกว้างราวกับกำลังจะถลนออกมา
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 600
หากจะให้พูดจริง ๆ เมื่อเทียบกับวิธีอื่น ๆ แล้ว การโจมตีวิญญาณผ่านตัวสำนึก ถึงเป็นไม้ตายที่ทรงพลังที่สุดของหลัวซิว
เพียงแต่ว่าไผ่ใบสุดท้ายใบนี้ หลัวซิวไม่คิดที่จะใช้มันออกมาโดยง่าย เพราะถ้าหากตกเป็นที่จับตาของผู้คน ไม่แน่ว่าช่องจิตปลอมอาจจะถูกเปิดโปงออกมาก็เป็นได้
ช่องจิตช่องหนึ่ง แม้ว่าจะไม่ได้แฝงไปด้วยช่องจิตที่แท้จริงของพลังแห่งกฎ ก็จะต้องทำให้ผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์หัวใจสั่นคลอนอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นหลัวซิวจะไม่ระวังไม่ได้
อาศัยกระแสสัมผัสตัวสำนึกที่แข็งแกร่ง หลัวซิวสามารถรับรู้ได้ถึงสถานการณ์การประลองบนเวทีอื่น ๆ
หนึ่งในนั้นบนเวทีประลองของกลุ่มที่สอง สตรีที่มีนามว่าหยุนจิ้งนางหนึ่งค่อนข้างดึงดูดสายตาของผู้คน แม้ว่าหน้าตาจะไม่ได้อยู่ในระดับงามล้มบ้านล้มเมือง แต่ที่ดึงดูดผู้คนนั้น เป็นการโจมตีทางวิญญาณที่แข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ของนาง
“อัจฉริยะจากเขาชะตาเทพ?” หลัวซิวหรี่ตาลงเล็กน้อย
เขาชะตาเทพ เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งที่สุดใจอาณาจักรเหนือ เพียงหนึ่งเดียว!
ที่อาณาจักรเหนือนั้นมีแดนศักดิ์สิทธิ์อยู่ทั้งหมดห้าแห่ง กลับมีเพียงตำแหน่งของเขาชะตาเทพที่อยู่เหนืออื่นใด เห็นได้ว่าภูมิหลังนั้นแข็งแกร่งขนาดใน
หยุนจิ้งผู้นี้เป็นศิษย์ของเขาชะตาเทพ ชำนาญด้านการโจมตีวิญญาณ ผลการฝึกตนอยู่ในระดับมกุฎยุทธ์ขั้นสี่ แต่ตัวสำนึกวิญญาณของนางนั้น กลับได้บรรลุถึงระดับมกุฎยุทธ์ขั้นเจ็ด
นอกจากนี้แล้วเหนือเวทีประลองประลองกลุ่มสี่ที่อยู่ติดกันนั้น หลัวซิวได้เห็นเข้ากับลู่เมิ่งเหยา แม้ว่าผลการฝึกตนของนางจะอยู่ในระดับมกุฎยุทธ์ขั้นสาม ทว่าอาศัยพรสวรรค์จากร่างแห่งภูตเยือก นางพึ่งจะข้ามขั้นเอาชนะคู่ต่อสู้ที่มีผลการฝึกตนอยู่ในระดับมกุฎยุทธ์ขั้นห้าไปได้ในเมื่อสักครู่
แต่ถึงแม้ว่าพรสวรรค์ของร่างแห่งภูตเยือกจะแข็งแกร่ง แต่มันก็มีขีดจำกัด ถ้าหากต้องเผชิญหน้ากลับผู้แข็งแกร่งในระดับมกุฎยุทธ์ขั้นเจ็ดขึ้นไป มันก็จะเกินกำลังของนาง
“แม้ว่าจะไม่มีโอกาสแย่งชิงสิบอันดับแรก แต่ถ้าแย่งชิงรายชื่อแดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นล่างนั้น ยังไม่ยากสำหรับนาง” หลัวซิวแอบกล่าวอยู่ในใจ
อัจฉริยะรุ่นใหม่ร้อยคนแบ่งออกเป็นสิบกลุ่ม หนึ่งกลุ่มมีสิบคน ใครสามารถยืนอยู่บนเวทีประลองได้เป็นคนสุดท้าย ก็จะกลายเป็นผู้ชนะ ผ่านเข้าสู้การแข่งขันจัดอันดับสิบอันดับแรกในรอบที่สอง
กลุ่มที่สามของทางฝั่งหลัวซิว ได้มีผู้แพ้ไปหกคนแล้ว ตามกฎของการประลอง ก็เท่ากับตกรอบชั่วคราวในรอบแรก
รวมหลัวซิวอยู่ในนั้นด้วย ยังเหลืออยู่สี่คน อีกสามคนที่เหลือนั้น ต่างก็มีผลการฝึกตนอยู่ในระดับมกุฎยุทธ์ช่วงกลางขึ้นไป
บุรุษหนุ่มผู้หนึ่งยืนอยู่กลางเวทีประลอง จ้องมองหหลัวซิวด้วยแววตาร้อนผ่าว
จากในสายตาของอีกฝ่าย หลัวซิวสัมผัสได้ถึงการถ้าทาย คนผู้นี้มีนามว่าปี้คง ชำนาญการโจมตีวิญญาณ
ความสามารถที่หลัวซิวได้แสดงออกมาในการประลองทั้งสองครั้งเมื่อก่อนหน้านี้ พูดได้ว่าได้ก่อให้เกิดลมพายุที่รุนแรงไม่น้อยในการประลองครั้งนี้ โดดเด่นไปต่าง ๆ นานา
เพราะเหตุนี้ก็ได้ทำให้มีผู้คนไม่น้อยไม่ชอบหน้าเขาขึ้นมา อยากจะลงมือเอาชนะเขาด้วยตนเอง เหยียบเขาเพื่อขึ้นสู่ตำแหน่ง
“หลัวซิว กล้าประลองกับข้าหรือไม่?” ปี้คงยิ้มอ่อน ๆ รอยยิ้มบนใบหน้านั้นสดใสยิ่งนัก
“ทำไมจะไม่กล้าเล่า?” หลัวซิวเอ่ยขึ้นมาอย่างเรียบ ๆ หลังจากที่ได้พักผ่อนมาระยะหนึ่ง อาการบาดเจ็บจากการต่อสู้ในเมื่อก่อนหน้านี้นั้นได้หายดีเป็นที่เรียบร้อย
การต่อสู้ระหว่างหลัวซิวกับปี้คง ชั่วขณะนั้นได้ทำให้ผู้คนที่อยู่โดยรอบโห่ร้องขึ้นมา
แม้ว่าหลัวซิวจะได้แสดงพลังที่แข็งแกร่งออกมาในการประลองเมื่อก่อนหน้านี้ ทว่าในสายตาของคนส่วนใหญ่ ข้อบกพร่องที่ใหญ่ที่สุดของเขาก็คือเขามีผลการฝึกตนในระดับจักรพรรดิยุทธ์เท่านั้น
ร่างยุทธ์แดนมกุฎที่แข็งแกร่ง แรงเปลือยที่มีอยู่เต็มร่างไม่มีข้อเสียเปรียบเมื่อสู้กันซึ่ง ๆ หน้า หากเผชิญหน้ากับยอดฝีมือที่ชำนาญการโจมตีวิญญาณ ก็จะถูกควบคุมในทันที
และปี้คงผู้นี้นั้น เป็นยอดฝีมือที่ชำนาญการโจมตีวิญญาณ มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์ญาณแห่งอาณาจักรตะวันตก
ยอดฝีมือที่ชำนาญการโจมตีวิญญาณโดยทั่วไป ผลการฝึกตนด้านตัวสำนึกนั้น จะสูงกว่าผลการฝึกตนพลังจิตแท้ขึ้นมาสองระดับเล็ก และปี้คงผู้นี้นั้น ตัวเขามีผลการฝึกตนอยู่ในระดับมกุฎยุทธ์ขั้นสาม ส่วนผลการฝึกตนด้านตัวสำนึกของเขานั้น กลับได้บรรลุถึงระดับมกุฎยุทธ์ขั้นหก!
แดนศักดิ์สิทธิ์ญาณแห่งอาณาจักรตะวันตก ฝึกฝนวรยุทธ์กลั่นวิญญาณเป็นหลัก ปี้คงผู้นี้จะต้องไม่ใช่นักยุทธ์กลั่นวิญญาณโดยทั่วไปอย่างแน่นอน ผสานกับเคล็ดวิชาโจมตีวิญญาณที่แข็งแกร่ง ต่อให้เป็นนักยุทธ์ในระดับระดับมกุฎยุทธ์ขั้นเจ็ด ก็ยากที่จะต้านทานการโจมตีวิญญาณของเขาได้
บทที่ 69 บริบูรณ์ใหญ่วิชายุทธ์ระดับ4
ขึ้นเวทีทีละคนตามลำดับ และบางครั้งก็ปรากฏวิชายุทธ์ระดับ3ที่ฝึกตนถึงแดนสำเร็จน้อย จะได้รับเจ็ดคะแนน
“บรรลุผลวิชาท่าร่างระดับ4! เก้าคะแนน!”
ในขณะนี้เอง ตามด้วยเสียงประกาศของจางหลู่เหลียงหัวหน้าผู้คุมสอบ ผู้คนในเหตุการณ์ก็แตกตื่น สายตาของทุกคนก็จับจ้องไปที่บนเวที
“คือสวีผิงของเมืองสุ่ยยุ่น เขาอยู่ในการประเมินรายการที่หนึ่งก็ได้เก้าคะแนน รายที่สองก็ได้คะแนนสูงขนาดนี้!”
“จำนวนคนสามคนที่เข้าสู่นอกสำนัก ดูเหมือนว่าเขาจะต้องครอบครองหนึ่งในนั้น วิชาท่าร่างระดับ4ฝึกตนจนบรรลุผล พรสวรรค์นี้น่าทึ่งจริงๆ!”
เมื่อสวีผิงก้าวลงจากเวที ก็มีอีกคนหนึ่งที่ขึ้นมาบนเวที ซึ่งเป็นอัจฉริยะเมืองหยูซานที่เสมอกันกับสวีผิง หวางช่าน!
การขึ้นแสดงบนเวทีของเขา ทำให้สายตาของทุกคนจับจ้องมองไป เพราะว่าหวางช่านและสวีผิงทั้งสองคน เรียกได้ว่าเป็นจุดเด่นของการประเมินขั้นปฐมภูมิในครั้งนี้
เห็นเพียงหวางช่านแสดงวิชาดาบอยู่บนเวที แสงปราณลมก็เปล่งออกมา แสงดาบก็ส่งเสียงดังกรรโชกอย่างน่ากลัว และพลังอานุภาพยิ่งใหญ่มาก
“บรรลุผลวิชาดาบะดับ4! เก้าคะแนน!”
ในกลุ่มคนก็มีเสียงอุทานดังมาอีกครั้ง หวางช่านที่มีศักยภาพในการแข่งขันการประเมินอันดับที่หนึ่ง และการแสดงออกมาให้เห็นไม่ได้แย่กว่าสวีผิง
อายุสิบห้าปีฝึกตนถึงวิชาชี่ไห่ขั้น3 แล้วก็ฝึกตนวิชายุทธ์ระดับ4ถึงบรรลุผล ผลคะแนนแบบนี้ ก็ย่อมทำให้คนประหลาดใจเป็นอย่างมาก
การทดสอบดำเนินไปอย่างช้าๆ ในที่สุด ในเวลานี้ถึงคราวที่หลัวซิวขึ้นเวทีแล้ว
สำหรับการขึ้นเวทีของหลัวซิว ในกลุ่มคนก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังมามากมาย เนื่องจากว่าในระหว่างการทดสอบผลการฝึกตนรายการที่หนึ่งของก่อนหน้านี้ จางหลู่เหลียงหัวหน้าผู้คุมสอบจะเพิกถอนสิทธิ์ในการประเมินของเขา ด้วยการปรากฏตัวที่ไม่คาดคิดของลู่เมิ่งเหยา ก่อให้เกิดปัญหามากมาย
“หลัวซิวคนนี้เป็นอัจฉริยะของสำนักยุทธ์ชิงหยุน สามารถที่จะฝึกฝนพลังหยางบริสุทธิ์ได้ พรสวรรค์น่าจะไม่เลว”มีคนพูดด้วยรอยยิ้ม
“นอกเหนือจากว่าเขาสามารถที่จะฝึกตนวิชายุทธ์ระดับ4ถึงแดนบริบูรณ์ ไม่อย่างนั้นคะแนนก็ไม่สามารถที่จะไล่ตามสวีผิงและหวางช่านทัน”ก็มีคนไม่เห็นด้วย
จางหลู่เหลียงก็จ้องมองหลัวซิวที่ประลองยุทธ์อยู่บนเวที เขาเป็นคนที่ไม่ต้องการให้หลัวซิวเข้าสู่นอกสำนักที่สุด
“เพล้ง!”
แสงดาบพุ่งขึ้นบนเวที ในทันใดนั้น แสงดาบก็ราวกับฟ้าผ่า และระบายแพร่กระจายออกไป
“วิชายุทธ์ระดับ4ถึง ……แดนบริบูรณ์!?”
ในกลุ่มผู้ชม เจ้าสำนักยุทธ์ทั้งสิบแปดเมืองต่างก็ลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ
แม้แต่ตัวของเจ้าสำนักชิงหยุนเองก็เต็มไปด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ เดิมทีเขาคิดว่าหลัวซิวอย่างมากก็เป็นบรรลุผลวิชายุทธ์ระดับ4 กลับคาดไม่ถึงว่า เขาฝึกตนถึงแดนบริบูรณ์แล้ว
สิ่งที่เรียกว่าบริบูรณ์ นั่นเป็นการเข้าใจความลึกลับทั้งหมดของวิชายุทธ์สำนักหนึ่งอย่างถ่องแท้ จอมยุทธ์ของแดนฝึกชี่ไห่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำถึงขั้นนี้ได้
บางคนอาจจะคิดว่าบริบูรณ์สูงกว่าบรรลุผลไปแค่แดนเล็กหนึ่งเท่านั้นเอง แต่ในความเป็นจริงช่องว่างระหว่างทั้งสองขนาดใหญ่มาก
ลู่เมิ่งเหยามองไปทางหลัวซิวที่อยู่บนเวที รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นที่มุมปาก“หมอนี่ มักจะทำเรื่องราวที่ไม่คาดคิดออกมาเสมอ”
“นี่……”สีหน้าของจางหลู่เหลียงก็ยิ่งดูไม่ดีมากขึ้น การแสดงของหลัวซิวยิ่งดีเลิศเท่าไหร่ ก็หมายความว่าความเป็นไปได้ที่จะเกิดภัยคุกคามต่อเขาในอนาคตก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
“ฮ่าๆ อายุสิบสี่ปีของแดนวิชาชี่ไห่ขั้น2 ฝึกฝนพลังหยางบริสุทธิ์และบริบูรณ์วิชายุทธ์ระดับ4 เป็นต้นกล้าที่ดี!”
ทันใดนั้น ก็มีเสียงหัวเราะเบิกบานใจในอากาศดังมา ทุกคนก็มองไปตามเสียง เห็นชายวัยกลางคนใส่เสื้อคลุมยาวสีน้ำเงิน ยืนอยู่บนท้องฟ้า และมองลงมาทางหลัวซิวบนเวที
“เจ้าสำนัก!”
“เข้าพบเจ้าสำนัก!”
เมื่อเห็นชายวัยกลางคนใส่เสื้อคลุมสีน้ำเงินก็ปรากฏตัวขึ้นที่นี่อย่างกะทันหัน จางหลู่เหลียงกับเจ้าสำนักยุทธ์ทั้งสิบแปดเมืองก็ทยอยลุกขึ้น และคารวะเขาที่อยู่ในอากาศด้วยความเคารพ
จอมยุทธ์มากมายที่มาเข้าร่วมการประเมินขั้นปฐมภูมิ ก็แตกตื่นตกตะลึงเหมือนกัน
สำหรับทุกคน การมีอยู่ของเจ้าสำนักของนอกสำนักแบบนี้ เป็นผู้ยิ่งใหญ่ในตำนานอย่างไม่ต้องสงสัย!
ในวินาทีนี้ ในสายตาของทุกคนที่มองไปทางหลัวซิวบนเวทีประลองยุทธ์ เต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาและรู้สึกขวางหูขวางตา
เพราะว่าเจ้าสำนักดูเหมือนจะประเมินเขาสูงมาก
วิชาชี่ไห่ขั้น2อายุสิบสี่ปีบางทีก็ไม่นับว่าเป็นอะไร ถ้ารวมกับพลังหยางบริสุทธิ์และบริบูรณ์ใหญ่วิชายุทธ์ระดับ4 นั่นก็เรียกได้ว่าน่าอัศจรรย์จริงๆ
“ท่านพ่อค่ะ”
ลู่เมิ่งเหยาลุกขึ้นมา และคำนับร่างบนท้องฟ้า
“ไม่จำเป็นต้องเป็นทางการ ลุกขึ้นเถอะ”
เจ้าสำนักลู่ลงมาจากบนท้องฟ้า และพูดด้วยรอยยิ้มช้าๆ
“การประเมินขั้นปฐมภูมิของปีนี้ ก็มีฉันมาดูแลจัดการด้วยตัวเอง” เจ้าสำนักลู่พูดออกมาให้คนประหลาดใจ
ในอดีตที่ผ่านมา การประเมินขั้นปฐมภูมิก็มีผู้ดูแลนอกสำนักมาดูแลจัดการ ไม่เคยมีแบบอย่างที่เจ้าสำนักมาดูแลจัดการด้วยตัวเอง
ข่าวคราวนี้ ทำให้พวกจอมยุทธ์ที่เข้าร่วมการประเมินตื่นเต้นอย่างไม่ต้องสงสัย ต่างก็เตรียมพร้อมที่จะแสดงให้ดีต่อหน้าของเจ้าสำนักอย่างสุดกำลัง
“นี่ก็คือหลัวซิวคนนั้นที่ลูกพูดถึงเหรอ?”ลู่เมิ่งเหยาก็ได้ยินเสียงของพ่อดังมาข้างหู
ตอนที่พูดประโยคนี้ เจ้าสำนักลู่ก็ใช้การส่งสัญญาณเสียง ดังนั้นคนอื่นบริเวณใกล้เคียงก็ไม่สามารถได้ยิน
ลู่เมิ่งเหยาพยักหน้า ทราบเจตนาของการรีบมาของพ่อด้วยตัวเอง
“พ่อรู้ความแค้นของเขากับจางหลู่เหลียง ในเมื่อเขาเป็นผู้มีพระคุณของลูก อยู่ในนอกสำนักนี้ พ่อก็ย่อมต้องปกป้องเขาให้ปลอดภัย” เจ้าสำนักลู่ก็พูดอย่างนั้น
ในขณะนี้เอง จางหลู่เหลียงที่หน้าอกอัดอั้นไปด้วยความแค้นก็ตะโกนว่า: “หลัวซิว บริบูรณ์ใหญ่วิชายุทธ์ระดับ4 สิบคะแนน!”
แม้ว่าในใจจะรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ แต่จางหลู่เหลียงกลับรู้สึกตามสัญชาตญาณว่า เจ้าสำนักลู่ท่านนี้เหมือนกับตั้งใจมาเพื่อหลัวซิวเป็นพิเศษ
ฐานะเจ้าสำนักของนอกสำนักสูงศักดิ์แค่ไหน เด็กเปรตอย่างหลัวซิวคนนี้โชคดีอะไรกันแน่?
บนเวทีประลองยุทธ์ หลัวซิวยิ้มเล็กน้อย รอยยิ้มของเขาอยู่ในสายตาของจางหลู่เหลียง ก็ทำให้ฟันหน้าสองซี่ของบรรพบุรุษตระกูลจางท่านนี้สั่นสะเทือน
……
การประเมินทักษะยุทธ์รายการที่สอง ค่อนข้างดำเนินการเร็วกว่าการทดสอบผลการฝึกตน ก่อนหน้าที่พระอาทิตย์ตก การประเมินทักษะยุทธ์ก็สิ้นสุดลง
ผลลัพธ์สุดท้าย นอกเหนือจากหลัวซิวที่ได้สิบคะแนนเต็ม ส่วนใหญ่ได้หกคะแนนเจ็ดคะแนน ได้แปดคะแนนก็เป็นจำนวนน้อย และเก้าคะแนนมีเพียงสวีผิงและหวางช่าน
สำหรับโม่ชวนที่ได้คะแนนสูงสุดในการประเมินรายการที่หนึ่ง การแสดงนั้นปานกลาง เพียงแค่ฝึกตนวิชายุทธ์ระดับ5สำนักหนึ่งถึงแดนสำเร็จน้อย
สถานการณ์แบบนี้ปกติเป็นอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าโม่ชวนใช้เวลาส่วนใหญ่มาเพิ่มผลการฝึกตน และไม่ได้สนใจการฝึกวิชายุทธ์
การประเมินอีกสองรายการที่เหลือ จะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ ตามการจัดอันดับคะแนนของการประเมินสองรายการก่อนหน้านี้ ในบรรดาหนึ่งร้อยคน มีเพียงคนที่อยู่ห้าสิบอันดับแรกเท่านั้นที่มีเข้าร่วมในการประเมินสองรายถัดไปในวันพรุ่งนี้ คนที่เหลือ จะถูกคัดออกทั้งหมด!
จำนวนคนสามคนที่ได้รับสิทธิ์การเข้าสู่นอกสำนัก จะปรากฏขึ้นมาทั้งหมด ในวันที่สอง!
เมื่อกลับมาถึงที่ตั้งของเขตการปกครองหยุนหลง อัจฉริยะของอีกสำนักยุทธ์ทั้งสิบเจ็ดเมืองที่พักอยู่ด้วยกันกับหลัวซิว มีเพียงหลัวซิวและเนี่ยเสี่ยวเตี๋ยทั้งสองคนที่สามารถเข้าร่วมการประเมินในวันพรุ่งนี้ได้ อีกยี่สิบกว่าคนที่เหลือ ก็ถูกคัดออกไปหมดแล้ว
แม้ว่าจะเป็นผลการฝึกตนวิชาชี่ไห่ขั้น2 แต่บางคนในนั้นก็อายุมากไปบาง อยู่ในการทดสอบรายการที่หนึ่งได้คะแนนไม่สูง สำหรับด้านทักษะยุทธ์ มีความต้องการเข้าใจต่อพรสวรรค์สูงมากกว่า อยากจะอยู่ข้างหน้าห้าสิบ ยากเกินไปจริงๆ
บทที่ 68 อันดับหนึ่ง
“เหลวไหล!”เจ้าสำนักชิงหยุนหน้าเขียว “หลัวซิวได้ฝึกฝนพลังหยางบริสุทธิ์แล้ว ปราณแท้จะแข็งแกร่งบริสุทธิ์มากกว่าคนอื่นในแดนเดียวกัน ปรากฏสถานการณ์แบบนี้เป็นเรื่องปกติมาก”
“พลังหยางบริสุทธิ์เหรอ?”
จอมยุทธ์หลายคนที่มาเข้าร่วมการประเมินต่างก็เผยให้เห็นสีหน้าที่ประหลาดใจ สายตาที่มองไปทางหลัวซิวก็แฝงไปด้วยความอิจฉาเล็กน้อย
เพราะว่าพลังหยางบริสุทธิ์เรียกได้ว่ามีชื่อเสียงยากที่จะฝึกฝนได้ ภายในเวลาไม่กี่ปีคนของเขตการปกครองหยุนหลงก็สามารถที่จะฝึกฝนออกมาหนึ่งถึงสองคน
ผู้คนไม่น้อยต่างก็พยักหน้า ถ้าเป็นพลังหยางบริสุทธิ์ ผลการฝึกตนปราณแท้ที่วิชาชี่ไห่ขั้น2แสดงออกมาทัดเทียมเสมอเหมือนกับเท่ากับวิชาชี่ไห่ขั้น3 กลับอยู่ในอารมณ์และเหตุผล ไม่เพียงพอที่จะแปลกใจ
“หึ!”
จางหลู่เหลียงทำเสียงหึ สายตาก็ลุกเป็นไฟ และพูดว่า: “ท่านบอกว่าเขาฝึกฝนเป็นพลังหยางบริสุทธิ์ นี่ก็เป็นแค่คำพูดด้านเดียวของท่านเจ้าสำนักชิงหยุน เป็นพลังหยางบริสุทธิ์จริงหรือเปล่า ข้าจะต้องตรวจสอบด้วยตัวเองถึงจะได้!”
ทันทีที่คำพูดนี้ออกมา ผู้คนในเหตุการณ์ก็แตกตื่นอีกครั้ง สำหรับจอมยุทธ์คนหนึ่ง ถ้าถูกคนตรวจสอบเส้นลมปราณและจุดตันเถียนชี่ไห่ ความลับทั้งหมดของตัวเองจะถูกเปิดเผยให้ผู้คนได้เห็นอย่างไม่ต้องสงสัย ถึงขนาดชีวิตของตัวเองก็เทียบเท่ากับถูกคนอื่นควบคุม ซึ่งเป็นสิ่งต้องห้ามในบรรดาจอมยุทธ์
สีหน้าของหลัวซิวก็เปลี่ยนไปในทันที ยังไงก็คาดไม่ถึงว่าจางหลู่เหลียงจะพูดถึงความต้องการแบบนี้
เขาก็ย่อมไม่มีทางให้จางหลู่เหลียงตรวจสอบเป็นธรรมดา ถ้าเกิดเทพวัฏจักรการเวียนว่ายตายเกิดในจุดตันเถียนชี่ไห่ถูกค้นพบ จะต้องเกิดปัญหา ยิ่งไปกว่านั้นด้วยผลการฝึกตนจอมยุทธ์พรสวรรค์ขั้นเก้าของจางหลู่เหลียง ก็สามารถที่จะทำกลอุบายในกระบวนการตรวจสอบได้อย่างสิ้นเชิง ถึงขนาดที่ว่าไม่แน่อาจจะฆ่าตัวเองตายได้ในทันที
ขอถามหน่อย ใครยินยอมให้ความลับความเป็นความตายที่ไม่รักษาเลยแม้แต่น้อยของตัวเองปล่อยให้คนที่เป็นศัตรูกับตัวเองตรวจสอบเหรอ?
ในขณะนั้นเอง จางหลู่เหลียงเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ปรากฏตัวตรงหน้าของหลัวซิวในทันที และพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา: “ข้ากลับจะดูว่าแกฝนฝึกเป็นพลังหยางบริสุทธิ์แล้วจริงเปล่า”
ปฏิกิริยาแรกของหลัวซิวก็คือถอยหลัง แต่พลังอานุภาพที่แข็งแกร่งของจอมยุทธ์พรสวรรค์ขั้น9ก็ตรึงเขาไว้ และอากาศโดยรอบก็ราวกับจะถูกบีบคั้น ทำให้เขาดูเหมือนท่อนซุงท่อนหนึ่งที่ติดอยู่กับที่ ไม่สามารถที่จะเคลื่อนไหวได้แม้แต่น้อย
“ไอ้แก่ แกอาศัยอำนาจส่วนรวมแก้แค้นส่วนตัว!”หลัวซิวตะโกนด้วยความโกรธ สายตามองไปทางเจ้าสำนักชิงหยุน หวังว่าเขาจะลงมือช่วยเหลือได้
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
ในขณะนั้นเอง เสียงอ่อนหวานก็ดังมา ทุกคนก็มองไปตามเสียง เห็นผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาจากในนอกสำนัก
เมื่อเห็นผู้หญิงคนนี้ ทุกคนก็รู้สึกว่าดวงตาเปล่งประกาย และการแสดงออกของหลัวซิวก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
ผู้หญิงคนนั้นใส่ชุดสีขาว ผมยาวคลุมไหล่ ผิวพรรณขาวเนียน โดยเฉพาะรัศมีที่บริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์นั้น ทำให้คนจิตใจเบิกบานผ่อนคลาย
พร้อมกับสาวใช้สองคนที่อยู่ข้างกาย ผู้หญิงในชุดกระโปรงสีขาวเดินช้าๆ ริมฝีปากบางเบาพูดว่า: “ฉันสามารถยืนยันได้ว่า หลัวซิวได้ฝึกฝนพลังหยางบริสุทธิ์แล้วจริงๆ”
เมื่อมองไปที่ผู้หญิงในชุดขาวที่อยู่ข้างหน้า หลัวซิวก็ตกใจแล้วประหลาดใจ
เพราะว่าผู้หญิงในชุดกระโปรงสีขาวเป็นครูดั้งเดิมของสำนักยุทธ์ชิงหยุน ลู่เมิ่งเหยา!
จางหลู่เหลียงก็มองไปตามทางที่เสียงดังมา เดิมทีมือที่จับไปทางหลัวซิวก็หยุดลงอย่างพรวดพราด และพูดด้วยความเคารพว่า: “คุณหนู”
ในเวลาเดียวกัน เจ้าสำนักยุทธ์ทั้งสิบแปดเมืองก็ทยอยลุกขึ้นมา และคารวะลู่เมิ่งเหยาด้วยความเคารพ
เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของหลัวซิวก็เต็มไปด้วยความสงสัย ลู่เมิ่งเหยาคนนี้อยู่ในสำนักเซียวเหยา ฐานะอะไรกันแน่?
“หัวหน้าจาง ฉันเป็นพยานให้กับหลัวซิว ท่านไม่มีอะไรที่จะคัดค้านใช่มั้ย?”
“นี่……”จางหลู่เหลียงขมวดคิ้ว บนใบหน้าเผยให้เห็นความลำบากใจ “คุณหนูออกหน้าเป็นพยาน ผมก็ย่อมไม่กล้าคัดค้านอะไร แต่ว่าการประเมินขั้นปฐมภูมิ ผมในฐานะหัวหน้าผู้คุมสอบ ถ้าไม่สามารถทำหน้าที่ด้วยความยุติธรรม กลัวว่าจะทำให้เจ้าสำนักผิดหวังกับความไว้เนื้อเชื่อใจ”
“หัวหน้าจางหมายความว่า ฉันก้าวก่ายทำให้คุณลำบากเหรอ?”ลู่เมิ่งเหยาตะโกนอย่างเย็นชา
“ผมไม่บังอาจ”จางหลู่เหลียงก้มหน้า
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ ฉันก็จะดูว่าคุณจะทำหน้าที่ด้วยความยุติธรรมยังไง หลัวซิวได้ฝึกฝนพลังหยางบริสุทธิ์เป็นความจริง”
ลู่เมิ่งเหยาพูดอย่างช้าๆ ต่อจากนั้นก็มีคนขนโต๊ะเก้าอี้มา ให้เธอนั่งลงดูการประเมินขั้นปฐมภูมิ
สีหน้าของจางหลู่เหลียงดูไม่ดีมาก ยังไงเขาก็คาดไม่ถึงว่าคุณหนูใหญ่ที่เพิ่งจะกลับมา ก็จะก้าวก่ายในเวลานี้อย่างกะทันหัน
ทางเจ้าสำนักชิงหยุนนั้น เขาสามารถไม่สนใจปัญหาของเกียรติยศได้โดยสิ้นเชิง แต่ในเวลานี้เกียรติยศของคุณหนูใหญ่คนนี้ เขากลับไม่กล้าไม่ให้
“เด็กเวร ถือว่าแกโชคดี ไม่นึกเลยว่าจะสามารถให้ลูกสาวของเจ้าสำนักออกหน้าช่วยนายคลี่คลายได้”
จางหลู่เหลียงจ้องมองไปทางหลัวซิวด้วยความไม่พอใจแวบหนึ่ง เท่าที่เขารู้ ลู่เมิ่งเหยาเคยอาศัยอยู่ในเมืองชิงหยุนมาหลายปี
“ในเมื่อคุณหนูใหญ่ออกหน้าเป็นพยานให้กับนาย การทดสอบผลการฝึกตนด่านนี้ก็ถือว่านายผ่าน!”
จางหลู่เหลียงพูดอย่างช่วยไม่ได้ “หลัวซิว อายุสิบสี่ปี วิชาชี่ไห่ขั้น2 แปดคะแนน!”
แปดคะแนนไม่ถือว่าสูง แต่ก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ใช้ได้ ทำให้คนไม่สามารถจับผิดได้
การประเมินทดสอบดำเนินต่อไป หลัวซิวยืนอยู่ในกลุ่มคน สายตาก็มองไปทางลู่เมิ่งเหยา เห็นเธอยิ้มให้กับตัวเองเล็กน้อย
“สาวสวยคนนี้เป็นใครน่ะ ไม่นึกเลยว่าจะทำให้หัวหน้าผู้คุมสอบหวาดกลัวขนาดนี้”
“ได้ยินมาว่าดูเหมือนจะเป็นลูกสาวของเจ้าสำนักนอกสำนัก!”
“พระเจ้า ฐานะสูงส่งขนาดนี้ งั้นหลัวซิวรู้จักได้ยังไง?”
จากการวิพากษ์วิจารณ์บางส่วนของกลุ่มคนบริเวณใกล้เคียง หลัวซิวก็พอที่จะรู้ฐานะบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับลู่เมิ่งเหยา
……
การประเมินทดสอบรายการที่หนึ่งของผลการฝึกตนดำเนินการไปทั้งเช้า จนถึงในช่วงบ่าย ถึงได้เริ่มดำเนินการประเมินรายการที่สอง ทักษะยุทธ์!
อยู่ในการประเมินรายการที่หนึ่ง คนที่ได้คะแนนสูงสุดมีเพียงคนเดียวเท่านั้น คือวัยรุ่นที่ชื่อว่าโม่ชวน
สวีผิงของเมืองสุ่ยยุ่นและหวางช่านของเมืองหยูซาน ทั้งสองคนนี้ได้เก้าคะแนน เสมอกันเป็นอันดับสอง คนที่อยู่ต่อด้านหลังก็เป็นอายุสิบสี่ปีบรรลุผลถึงวิชาชี่ไห่ขั้น2ได้แปดคะแนน มีทั้งหมดสิบแปดคน หลัวซิวก็เป็นหนึ่งในนั้น
การทดสอบของผลการฝึกตน จะประเมินพรสวรรค์ผลการฝึกตนของตัวจอมยุทธ์เอง แน่นอนว่าก็มีการฝึกตนบางส่วนที่อาศัยกองทรัพยากรทั้งหมดออกมา ดังนั้นอาศัยแค่การฝึกตนอย่างเดียว และไม่สามารถที่จะอธิบายอะไรได้
และการประเมินทักษะยุทธ์รายการที่สอง ก็คือจะดูความสามารถในการฝึกยุทธ์ แม้ว่าครูที่มีชื่อเสียงจะเป็นคนสอน ถ้าตัวของตัวเองไม่มีพรสวรรค์ที่รอบรู้มากพอ ก็ยากที่จะที่ฝึกตนทักษะยุทธ์ถึงแดนระดับสูงได้
สำหรับด่านนี้ หลัวซิวมีความมั่นใจเป็นอย่างมาก วิชากระบี่ฟ้าแลบบริบูรณ์ระดับ4 คงจะได้รับผลคะแนนที่ดีอย่างแน่นอน
สำหรับวิชาดาบเร็วจากในแง่หนึ่งมาพูด ไม่ได้ถือว่าเป็นทักษะยุทธ์ แต่เป็นทักษะในการออกแรง
สถานที่การประเมินทักษะยุทธ์ เป็นเวทีศิลปะการต่อสู้แบบเปิดแห่งหนึ่ง จอมยุทธ์ทุกคนที่เข้าร่วมการประเมินจะเดินไปยังตรงกลางเวทีประลองยุทธ์ แสดงทักษะยุทธ์ที่ตัวเองชำนาญที่สุดออกมา
คะแนนสุดท้าย จะพิจารณาจากระดับการฝึกทักษะยุทธ์และแดน
“วิชายุทธ์ระดับ3เหลือลมไร้เงาฝ่ามือ แดนสำเร็จน้อย หกคะแนน!”
คนที่หนึ่งที่ขึ้นเวที คือจอมยุทธ์อายุสิบห้าปีผลการฝึกตนเป็นวิชาชี่ไห่ระดับ2 ในการประเมินด่านที่หนึ่งผลการฝึกตนได้เจ็ดคะแนน
เมื่อเทียบกับผลการฝึกตนด่านนั้น การประเมินทักษะยุทธ์ด่านที่สองนี้ อยากจะได้คะแนนก็ยากลำบากมากกว่า
หลัวซิวพบว่า ในบรรดาจอมยุทธ์ที่มาเข้าร่วมการประเมิน ส่วนใหญ่ก็ฝึกตนวิชายุทธ์ระดับ3 และมีเพียงไม่กี่คนที่ฝึกตนวิชายุทธ์ระดับ4
########################
บทที่ 67 เพิกถอนสิทธิ์
คนที่มาเข้าร่วมการประเมินหลายร้อยคน ยิ่งไปกว่านั้นเป็นวัยรุ่นจอมยุทธ์ที่อายุไม่ถึงสิบแปดปีบรรลุผลถึงแดนฝึกชี่ไห่ อัจฉริยะแบบนี้ ทุกปีสำนักยุทธ์ทั้งสิบแปดเมืองก็สามารถมีหนึ่งถึงสองคนก็ถือได้ว่าดี และทั้งเขตการปกครองหยุนหลง ทุกปีก็มีจำนวนหลายร้อยคน
หลัวซิวรู้ดีว่า จอมยุทธ์ชี่ไห่ของอายุสิบสี่ปี อยู่ในจำนวนหลายร้อยคนก็ถือได้ว่าไม่ใช่ตัวอะไร อยู่ในนอกสำนักเซียวเหยาและในสำนัก ก็เป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ
แต่เขากลับมีความเชื่อเป็นอย่างมาก เพราะว่าในความเป็นจริงใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งปี ก็จากการกลั่นร่างขั้น2 ฝึกตนมาถึงขั้นนี้!
ผลงานนี้ ถ้าอยู่ในสำนักเซียวเหยา ไม่มีใครสามารถที่จะทำได้ นี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมเจ้าสำนักชิงหยุนถึงได้ให้ความสำคัญกับเขามากขนาดนี้ จนกระทั่งเพื่อเขา ทำให้จางหลู่เหลียงผู้แลดูนอกสำนักท่านนี้ขุ่นเคืองใจอย่างไม่คำนึงและไม่ลังเลที่จะตัดขาดกับเจ้าบ้านตระกูลจาง
เพราะว่าหลัวซิวมาจากสำนักยุทธ์ชิงหยุน หลังจากที่เขาเข้าสู่สำนักเซียวเหยาทำได้ดีมากเท่าไหร่ ความสำเร็จที่ได้รับก็มากขึ้นเท่านั้น ถ้าอย่างนั้นในฐานะเจ้าสำนักชิงหยุน ผลประโยชน์ที่เขาได้รับก็จะมากขึ้น!
การประเมินรายการที่หนึ่งของนอกประตู เพื่อทดสอบผลการฝึกตน เหมือนกับศิลาสีดำของสำนักยุทธ์ชิงหยุน
การประเมินรายการที่สองคือทดสอบทักษะยุทธ์ ตามระดับวิชายุทธ์ทั้งหมด เข้าใจแดน และตัดสินพรสวรรค์สูงต่ำ
รายการที่สามคือทดสอบความมุ่งมั่น คนฝึกยุทธ์จำเป็นต้องมีความมุ่งมั่นถึงจะมีความสำเร็จ ทฤษฎีความมุ่งมั่นไม่มีอยู่ให้เห็น แต่สำนักเซียวเหยายังคงมีวิธีทดสอบพลังความมุ่งมั่นของคนคนหนึ่ง
รายการที่สี่สุดท้ายคือการประลองยุทธ์ ได้สามอันดับแรก จะได้รับคะแนนที่สูงมาก
หลังจากการประเมินทั้งสี่รายการสิ้นสุดลง หัวหน้าผู้คุมสอบจะตัดสินอันดับคะแนนรวมออกมา อันดับที่หนึ่งจะได้ยาฝึกปราณสามเม็ด และวิชายุทธ์ระดับ5สำนักหนึ่ง!
วิชายุทธ์ระดับ5หลัวซิวกลับไม่ได้สนใจ จากคลังสมบัติราชายุทธ์ปู้เฉินในส่วนลึกเขาปาฉี เขาก็ได้รับวิชายุทธ์ระดับ5ทั้งสิบแปดสำนัก ก็มีวิชายุทธ์ระดับ6และวิชายุทธ์ระดับ7
เพียงแต่ว่าช่วงนี้ หลัวซิวเอาความคิดทั้งหมดไปอยู่ในวิชาดาบเร็วและเทพวัฏจักรการเวียนว่ายตายเกิด และไม่เคยทิ้งความพยายามที่จะเลือกวิชายุทธ์สำนักหนึ่งที่เหมาะสมกับตัวเอง
“ยาฝึกปราณสามารถทำให้จอมยุทธ์แดนฝึกชี่ไห่ทะลุผ่านแดนเล็กได้หลังจากที่รับประทาน กลับเป็นยาที่ดี”
หลัวซิวก็ให้ความสำคัญ แต่กลับเป็นยาฝึกปราณที่ไม่ได้มีมูลค่าสูง เพราะว่ายาเม็ดในมือของเขาก็ไม่น้อย แต่ระดับสูงเกินไป ด้วยผลการฝึกตนของเขาก็ไม่กล้าทานด้วยซ้ำ
ศิลาทดสอบผลการฝึกตน ตามผลการฝึกตนสูงต่ำของจอมยุทธ์ แสงที่เปล่งออกมายิ่งสว่างรุ่งโรจน์เท่าไหร่ ก็พิสูจน์ได้ว่าการฝึกตนยิ่งสูงเท่านั้น
การทดสอบรายการที่หนึ่ง จะขึ้นอยู่กับอายุและคะแนนที่ครอบคลุมของผลการฝึกตนของจอมยุทธ์
“อายุสิบหกปี วิชาชี่ไห่ขั้น2 หกคะแนน!”
“อายุสิบแปด วิชาชี่ไห่ขั้น2 สามคะแนน!”
“……”
การประเมินรายการทั้งสี่ คะแนนเต็มสำหรับแต่ละรายการคือสิบคะแนน เจ้าสำนักชิงหยุนก็เคยบอกกับหลัวซิวว่า ด้วยผลการฝึกตนวิชาชี่ไห่ขั้น2อายุสิบสี่ปีของเขา อยู่ในรายการที่หนึ่งทดสอบผลการฝึกตน ควรที่จะได้แปดคะแนน
การประเมินนอกสำนักของทุกปี โดยพื้นฐานวิชาชี่ไห่ขั้น1ไม่มีความหวัง แม้ว่าจะมาแล้ว ก็เพิ่มความรู้มากขึ้น สามารถที่จะผ่านการประเมินเข้าสู่นอกสำนักได้ อย่างน้อยก็เป็นวิชาชี่ไห่ขั้น2 และส่วนใหญ่คือขั้น3
ทันใดนั้น เกิดความโกลาหลมากมายตรงหน้า เด็กวัยรุ่นตัวเตี้ยคนหนึ่งเดินถึงตรงหน้าศิลา และวางมือไว้ด้านบน แล้วก็ถ่ายโอนปราณแท้
“คือสวีผิงอัจฉริยะรุ่นเยาว์ของตระกูลสวีในเมืองสุ่ยยุ่น ว่ากันว่าเป็นผลการฝึกตนของวิชาชี่ไห่ขั้น2!”
“หมับ!”
แสงสว่างรุ่งโรจน์สว่างจ้าขึ้น กลุ่มคนก็มีเสียงอุทานดังมาเป็นพักๆ
“อายุสิบห้าปี วิชาชี่ไห่ขั้น3 เก้าคะแนน!”
ผู้คนในเหตุการณ์ก็แตกตื่น วัยรุ่นวิชาชี่ไห่ขั้น2จำนวนมากมายก็เห็นผลคะแนนนี้ ก็ค่อนข้างรู้สึกสิ้นหวังอย่างช่วยไม่ได้ เพราะว่าเห็นได้ชัดว่าจำนวนคนสามอันดับที่เข้าสู่นอกสำนัก สวีผิงคนนี้จะต้องครอบครองหนึ่งในนั้นอย่างแน่นอน
ผ่านไปไม่นาน ก็มีคนคนหนึ่งทำให้ผู้คนเหตุการณ์สะเทือน กลับเป็นอัจฉริยะของตระกูลหวางในเมืองหยูซาน ชื่อว่าหวางช่าน ก็เป็นวิชาชี่ไห่ขั้น3อายุสิบห้าปีเหมือนกัน ได้เก้าคะแนน
การทดสอบของผลการฝึกตนดำเนินต่อไป นอกเหนือจากสวีผิงและหวางช่าน ก็มีสองคนที่เป็นผลการฝึกตนของวิชาชี่ไห่ขั้น3
แต่ว่าหนึ่งคนในนั้นอายุสิบแปดปีแล้ว ได้เพียงหกคะแนน อีกคนหนึ่ง คือวิชาชี่ไห่ขั้น3อายุสิบสี่ปี ชื่อว่าโม่ชวน ได้สิบคะแนน คนแรกที่ได้คะแนนเต็ม!
ในขณะนี้ ถึงคราวหลัวซิวแล้ว
เมื่อก้าวไปตรงหน้าของศิลา วางฝ่ามือไว้ด้านบน ภายใต้การเคลื่อนไหวของปราณแท้ ศิลาเปล่งแสงออกมา
อย่างไรก็ตาม ไม่เหมือนกับแสงที่จอมยุทธ์ปราณแท้วิชาชี่ไห่ขั้น2เปล่งออกมา แสงของหลัวซิวนั้นก็สว่างรุ่งโรจน์งดงามมากกว่า ทั้งหมดสามารถที่จะทัดเทียมเสมอเหมือนกับวิชาชี่ไห่ขั้น3!
“แม่งเอ๊ย! ก็เป็นวิชาชี่ไห่ขั้น3อีกคน วิชาชี่ไห่ขั้น2อย่างพวกเรา ก็ไม่มีโอกาสแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“ไม่ถูก ความผันผวนปราณแท้ของไอ้หนุ่มชุดดำคนนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นวิชาชี่ไห่ขั้น2 แสงที่เปล่งออกมากลับเทียบเท่ากับวิชาชี่ไห่ขั้น3 หรือว่าศิลาทดสอบมีปัญหางั้นเหรอ?”
ผู้คนรอบตัวทยอยวิพากษ์วิจารณ์กัน สำหรับผลลัพธ์นี้ แสดงให้เห็นความสงสัย
จางหลู่เหลียงในฐานะหัวหน้าผู้คุมสอบก็จ้องมองมา ขมวดคิ้ว ก้มหน้ามองรายชื่อแวบหนึ่ง
“สำนักหวูแห่งเมืองชิงหยุน อายุสิบสี่ปี หลัวซิว?”
เมื่อเห็นชื่อนี้ ในดวงตาแก่ที่ขุ่นมัวของจางหลู่เหลียงก็เต็มล้นไปด้วยความเยือกเย็น
สองเดือนกว่าก่อน เขาแอบส่งลูกศิษย์สามคนมุ่งหน้าไปเมืองชิงหยุนฆ่าไอ้หมอนี่ตาย ชี่ไห่ขั้นห้าสองคน วิชาชี่ไห่ขั้น7หนึ่งคน แต่ผ่านไปนานขนาดนี้ ลูกศิษย์สามคนนั้นก็ไม่สามารถติดต่อโดยวิธีใดได้เลยมาเสมอ
ในขณะนี้เด็กหนุ่มที่ชื่อหลัวซิวคนนี้ปรากฏตัวขึ้นที่นี่ หรือว่าลูกศิษย์ทั้งสามคนของตัวเองโชคร้ายมากกว่าโชคดีเหรอ?
ในความเป็นจริงไม่ว่าจะเป็นความเป็นความตายของลูกศิษย์ตัวเอง หรือว่าความเป็นความตายของเจ้าบ้านตระกูลจาง สำหรับจางหลู่เหลียงแดนพรสวรรค์ขั้นเก้าที่มีอายุหลายร้อยปี ก็ไม่ได้ให้ความสำคัญด้วยซ้ำ
สิ่งที่เขาสนใจคือเกียรติยศ ทุกคนก็รู้ว่าเขาเป็นบรรพบุรุษของตระกูลจางในเมืองชิงหยุน เด็กกะโปโลอายุสิบกว่าปีคนหนึ่งไม่นึกเลยว่าจะกล้าให้สำนักยุทธ์ชิงหยุนฆ่าเจ้าบ้านตระกูลจาง นี่คือไม่ให้เกียรติเขาจางหลู่เหลียงอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นเขาคิดว่าหลัวซิวสมควรตาย!
หางตาเหลือบมองไปยังเจ้าสำนักชิงหยุนที่นั่งอยู่ข้างๆ จางหลู่เหลียงพูดอย่างเคร่งขรึมว่า: “เห็นได้ชัดว่าเป็นวิชาชี่ไห่ขั้น2 กลับมีฝีมือกระตุ้นปราณแท้ออกมาทัดเทียมเสมอเหมือนกับวิชาชี่ไห่ขั้น3 อายุน้อยๆไม่เดินทางที่ถูกต้อง เพิกถอนสิทธิ์การประเมิน!”
“อะไรน่ะ?”
คำพูดของหัวหน้าผู้คุมสอบ ทำให้คนเหล่านั้นที่มาเข้าร่วมการประเมินด้านล่าง แตกตื่นอย่างกะทันหัน
“เพิกถอนสิทธิ์การประเมินเหรอ?”
ตัวของหลัวซิวก็นิ่งอึ้ง คาดไม่ถึงว่านายท่านของตระกูลจางคนนี้จะไร้ยางอายถึงขั้นนี้ ไม่ปล่อยโอกาสที่จะจัดการกับตัวเองไปแม้แต่น้อย
“จางหลู่เหลียง ท่านอย่ามากเกินไปนะ!”สีหน้าของเจ้าสำนักชิงหยุนก็เปลี่ยนไป และตะโกนอย่างโกรธจัด
ขณะที่พูด พลังอานุภาพของผู้แข็งแกร่งฝึกจิตครึ่งก็แพร่กระจายออกมา ทำให้ผู้คนเหล่านั้นที่อยู่บริเวณใกล้เคียงที่มาร่วมการประเมินก็รู้สึกหายใจไม่ออก
แม้ว่าความแข็งแกร่งสู้เจ้าสำนักชิงหยุนไม่ได้ แต่จางหลู่เหลียงในฐานะผู้ดูแลนอกสำนัก ฐานะก็เหมือนกับเจ้าสำนักยุทธ์ รวมทั้งในฐานะของหัวหน้าผู้คุมสอบการประเมินนอกสำนักในครั้งนี้ เขาก็ย่อมไม่กลัวเจ้าสำนักยุทธ์จะทำอะไรเป็นธรรมดา
“ข้าเป็นหัวหน้าผู้คุมสอบการประเมิน เจ้าสำนักชิงหยุนสงสัยการตัดสินของข้าเหรอ?”จางหลู่เหลียงพูดแล้วเยาะเย้ย
“เจ้ามีสิทธิ์อะไรเพิกถอนสิทธิ์การประเมินของหลัวซิวเหรอ?”เจ้าสำนักชิงหยุนพูดอย่างโกรธเคือง
“ข้าเพิ่งจะบอกไปแล้วว่า ทั้งที่เขาเป็นวิชาชี่ไห่ขั้น2 กลับใช้วิธีการพิเศษกระตุ้นวิชาชี่ไห่ขั้น3ออกมา เทียบเท่ากับว่าโกง เอาใจมวลชนขนาดนี้ คนมีศีลธรรมไม่ดี หรือว่าไม่ควรถูกเพิกถอนสิทธิ์ของการประเมินเหรอ?”
########################
บทที่ 66 เคารพผู้แข็งแกร่ง
สถานที่ประเมิน ตั้งอยู่ในอาคารขนาดใหญ่ในใจกลางเมืองแห่งหนึ่ง ที่นั่นเป็นที่ตั้งของนอกสำนักสำนักเซียวเหยา และในสำนักว่ากันว่าคืออยู่ในเขามังกรแหวกหว่ายซึ่งอยู่ห่างจากเขตการปกครองหยุนหลงสามพันกว่าไมล์
กิจการฆราวาสในเขตการปกครองหยุนหลง โดยทั่วไปจะรับผิดจัดการโดยนอกสำนัก ในสำนักไม่ยุ่งเกี่ยวมากเกินไป อยู่นอกเหนือฆราวาส และแสวงหาเส้นทางของผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์
การประเมินนอกสำนักนั้นเข้มงวดมาก ทุกปีก็จะมีอัจฉริยะจำนวนหลายสิบคนของสำนักยุทธ์ทั้งสิบแปดเมืองที่เป็นไปตามเงื่อนไข รวมทั้งอัจฉริยะบางคนที่ไม่ได้มาจากสำนักยุทธ์ ในบรรดาอัจฉริยะหลายร้อยคน ก็มีเพียงจำนวนสามคนเท่านั้น
ซึ่งหมายความว่า นอกเหนือจากสามคนที่ผ่านการประเมิน คนอื่นหลายร้อยคนก็จะถูกคัดออก และทำได้เพียงรอการประเมินในปีหน้าเท่านั้น
หากอายุเกินสิบแปดปียังไม่ผ่านการประเมิน ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีสิทธิ์เข้านอกสำนักตลอดไป
ก่อนอายุสิบแปดทะลุผ่านแดนฝึกชี่ไห่ อยู่ในสำนักยุทธ์ใหญ่ต่างๆสามารถเรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะที่ยอดเยี่ยม แต่สำหรับสำนักเซียวเหยากลับธรรมดาเป็นอย่างมาก แม้ว่าหลัวซิวจะบรรลุถึงแดนฝึกชี่ไห่เมื่ออายุสิบสี่ปี อยู่ในลูกศิษย์ของนอกสำนักของสำนักเซียวเหยา ก็ธรรมดามาก
สำหรับเด็กสาวมากมายในเขตการปกครองหยุนหลง การประเมินนอกสำนักก็เป็นโอกาสที่จะประสบความสำเร็จ ถ้าเกิดผ่านการประเมิน กลายเป็นลูกศิษย์นอกสำนัก ไม่เพียงสามารถได้รับเงื่อนไขทรัพยากรต่างๆสำหรับการฝึกตนเท่านั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือยังเป็นการสืบทอดวิชายุทธ์ระดับชั้นสูง!
วิชายุทธ์ที่หมุนเวียนในฆราวาส ระดับสูงสุดไม่เกินระดับ4 แต่อยู่ที่นอกสำนักของสำนักเซียวเหยา กลับสามารถได้รับโอกาสในการฝึกตนวิชายุทธ์ระดับ5 จนถึงวิชายุทธ์ระดับ6
ที่หน้าประตูที่ตั้งของนอกสำนัก ตอนที่หลัวซิวและกลุ่มคนมาถึง ก็มีผู้คนมากมายอยู่แล้ว
มาจากสำนักยุทธ์ ก็ไม่ได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษจากนอกสำนัก ทิ้งเจ้าสำนักสิบแปดท่านกับหลัวซิวและคนอื่นๆอยู่ที่นี่ และก็เข้าสู่ในที่ตั้งของนอกสำนัก
เพื่อรับรองว่าการประเมินมีความเป็นธรรม หัวหน้าผู้คุมสอบที่รับผิดชอบ คือผู้ดูแลคนหนึ่งของนอกสำนัก และเจ้าสำนักทั้งสิบแปดเมืองก็จะเฝ้าดูด้วย
เมื่อรวมอยู่ในกลุ่มคน หลัวซิวได้ยินการวิพากษ์วิจารณ์ซึ่งกันและกันของผู้คนมากมาย
“ทุกปีนอกสำนักเซียวเหยารับเพียงสามคนเท่านั้น แม้ว่าจะรู้ว่ามีความหวังเพียงเล็กน้อย ทุกปียังคงมีคนมากมายขนาดนี้มาเข้าร่วมการประเมิน”
“นั่นนะสิ ได้ยินมาว่ายอดฝีมือที่มาในครั้งนี้ก็ไม่น้อย พวกคนที่มาจากสำนักยุทธ์ แต่ละคนก็เป็นวิชาชี่ไห่ขั้น2!”
“วิชาชี่ไห่ขั้น2ไม่เห็นมีอะไรน่าทึ่งเลย? อัจฉริยะคนหนึ่งจากตระกูลหวางในเมืองหยูซาน อายุเพียงสิบห้าปี ผลการฝึกตนได้เข้าสู่แดนวิชาชี่ไห่ขั้น3แล้ว!”
“ไม่ใช่มั้ง ผิดปกติขนาดนี้เลยเหรอ? แดนวิชาชี่ไห่ขั้น3ที่อายุต่ำกว่าสิบแปดปีสามารถเข้าสู่นอกสำนักได้อย่างมั่นคง เพิ่งอายุสิบห้าปี พระเจ้าช่วย!”
“ดูตรงนั้น ดูเหมือนว่าจะเป็นคนของสำนักยุทธ์ทั้งสิบแปดเมือง ในนั้นมีหลายคนก็เป็นวิชาชี่ไห่ขั้น2 ก็มีโอกาสมากที่จะผ่านการประเมิน”
สายตาของผู้คนมากมายก็มองไปทางหลัวซิวและคนอื่นๆ
ไม่ใช่ว่าทุกคนก็จะเข้าเพ็ญตนสำนักยุทธ์เมื่ออายุสิบปี นอกจากนี้ก็ยังมีตระกูลในฆราวาสที่มีลูกหลานของตัวเองที่ได้รับการฝึกฝน โดยทั่วไปเข้าสู่สำนักยุทธ์เพื่อเพ็ญตนก็เป็นฐานะเดิมจากพลเรือน หรือว่าลูกศิษย์ของตระกูลเล็กทั่วไป
ในขณะนี้ ประตูของที่ตั้งของนอกสำนักเปิดออก ชายชราคนหนึ่งที่มีหนวดเคราและผมสีขาวเดินออกมา และตะโกนว่า: “ทุกคน คุณท่านจางหลู่เหลียงเป็นผู้ดูแลของนอกสำนักรับผิดชอบหัวหน้าควบคุมการสอบของการประเมินขั้นปฐมภูมิในครั้งนี้ ตอนนี้ทุกคนเข้าแถวตามลำดับ ดำเนินการประเมิน!”
“พรั่บ!”
เมื่อได้ยินว่าการประเมินเริ่มต้นขึ้น กลุ่มคนก็วุ่นวายเสียงดังขึ้นมาในทันที ผู้คนมากมายก็เริ่มที่จะแย่งกันเข้าแถว ก็หวังว่าตัวเองจะอยู่ด้านหน้า และเข้าไปประเมินก่อน
ลูกศิษย์บางคนที่ข้างกายของหลัวซิวก็ขยับขึ้นมา และเบียดไปข้างหน้าอย่างสุดชีวิต
“จางหลู่เหลียง?”
เมื่อมองไปที่ชายชราที่อยู่หน้าประตูนอกสำนัก หลัวซิวหรี่ตาลง ก็คือนายท่านตระกูลจางท่านนี้ที่ส่งลูกศิษย์สามคนไปลอบสังหารตัวเอง
“ไสหัวออกไปให้พ้น!”
ในขณะนี้ ก็มีเสียงตะโกนดังมาจากด้านหลังของหลัวซิว ชายหนุ่มที่มีรูปร่างแข็งแกร่ง กล้ามเนื้อแข็งแรงเบียดตัวไปข้างหน้า ผู้คนที่อยู่บริเวณใกล้เคียงมากมายที่มาเข้าร่วมการประเมินก็ถูกเขาเบียดจนล้มลงกับพื้นอย่างน่าสังเวช
พลังของชายหนุ่มแข็งแกร่งคนนี้ช่างน่าทึ่ง บรรดาผู้คนที่มาเข้าร่วมการประเมินล้วนเป็นจอมยุทธ์ชี่ไห่ บางคนไม่พอใจต้องการลงมือ แต่กลับถูกเขาตบหนึ่งฉาดจะกระเด็นออกไป ชั่วขณะหนึ่งทุกคนในบริเวณใกล้เคียงก็หวาดกลัว และรีบหลีกทางให้เขา
หลัวซิวก็อยู่ตรงหน้าของชายหนุ่มคนนี้ มีลมแรงปกคลุมมาจากด้านหลังศีรษะ ซึ่งเป็นชายหนุ่มที่แข็งแกร่งลงมือ ตั้งใจจับไอ้หนุ่มชุดดำคนนี้โยนไปอีกฝั่งหนึ่ง
“หือ?”
สีหน้าของหลัวซิวเยือกเย็น หัวก็ไปด้านข้าง และหลบหลีกการจับของอีกฝ่าย
“ยังกล้าหลบเหรอ? ไสหัวไปให้พ้นซะ”
เมื่อเห็นไอ้หนุ่มชุดดำหลบหลีกการจับของตัวเอง ชายหนุ่มแข็งแกร่งเผยให้เห็นรอยยิ้มเยาะเย้ยเล็กน้อย บนมือก็เรืองแสงด้วยแสงสีฟ้าจางๆ ผนึกรวมปราณแท้ นิ้วมือกลายเป็นกรงเล็บ
สิ่งที่เขาปลดปล่อยออกมา คือทักษะยุทธ์สำนักหนึ่ง รวมทั้งเดิมทีเขาก็มีพลังที่รุนแรง วิชาชี่ไห่ขั้น2ของธรรมดาก็ยากที่จะต่อต้าน
“ไสหัวไปซะ!”
สายตาของหลัวซิวเยือกเย็น ก่อนหน้าที่ห้านิ้วของชายหนุ่มแข็งแกร่งจะโดนตัวเอง ขาขวาของเขาก็ขยับอย่างกะทันหัน
“ผลัวะ!”
ชายหนุ่มแข็งแกร่งเพียงสัมผัสได้ถึงแรงอันแข็งแกร่งกระแทกหน้าอกของตัวเอง ร่างกายที่แข็งแรงสูงใหญ่ก็กระเด็นออกไปในทันที และกระแทกจอมยุทธ์หลายคนที่อยู่ข้างหลังจนล้มลงอยู่บนพื้น
โลกแห่งศิลปะการต่อสู้นั้นไม่มีอะไรที่สามารถยับยั้งมันได้ ด้วยความเร็วการลงมือของหลัวซิว ไม่ว่าทักษะยุทธ์ของแกจะยอดเยี่ยมแค่ไหน การโจมตีของฉันก็ได้ทำร้ายแกแล้ว
เมื่อเห็นฉากนี้ ผู้คนจำนวนมากในบริเวณใกล้เคียงมองดูหลัวซิวด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว เดิมทีผู้คนหลายคนที่ต้องการเบียดไปข้างหน้าของเขา ก็แอบดีใจที่ไม่ได้ไปหาเรื่องไอ้หนุ่มชุดดำคนนี้
“ไอ้เวร แกรนหาที่ตาย!”
ชายหนุ่มแข็งแกร่งลุกขึ้น สูงกว่าหลัวซิวสามหัวเต็มๆ ราวกับสิงโตที่โกรธ และกระโจนไปทางหลัวซิว
หลัวซิวก้าวออกมาอย่างแผ่วเบา ก็หลบการโจมตีของชายหนุ่มแข็งแกร่งในทันที ตามด้วยชกไปที่หน้าท้องของอีกฝ่าย ปราณแท้ที่แข็งแรงก็ระเบิดขึ้น ร่างกายของชายหนุ่มผู้แข็งแรงคนนี้ก็โค้งเหมือนกุ้งในทันใด และกระอักเลือดออกมาในทันที
สำหรับผู้ชายที่คิดเองเออเอง และข่มเหงรังแกคนแบบนี้ หลัวซิวไม่เคยเมตตามาก่อน ยกมือขึ้นสะบัด ตบหน้าฉาดใหญ่ทำให้ชายหนุ่มแข็งแกร่งคนนี้กระเด็นออกไปในทันที ฟันสีเลือดสองซี่ก็กระเด็นออกมา
หยวนเฟยซานที่อยู่ข้างๆเห็นฉากนี้ รู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองก็ร้อนผ่าว สองวันก่อน เขาก็ถูกหลัวซิวตบมาแบบนี้ แม้ว่าจะอาการบวมจะหายไปหลังจากทายาแล้ว แต่ก็ยังฟกช้ำอยู่เล็กน้อย
ชายหนุ่มผู้แข็งแกร่งก็ลุกขึ้นอีกครั้ง ดวงตาทั้งสองเต็มไปด้วยความโกรธ แต่กลับไม่กล้าลงมือกับหลัวซิวอีก
“ไอ้หนุ่มชุดดำ ฉันจะจำแกไว้ แกค่อยดูเถอะ!”ชายหนุ่มผู้แข็งแกร่งรู้ว่าตัวเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ ทิ้งคำพูดที่โหดร้าย และก็วิ่งไปเข้าแถวอยู่ที่ด้านหลังอย่างเศร้าหมอง
หลายคนที่เข้าแถวอยู่ตรงหน้าของหลัวซิวก็รู้สึกอึดอัดทั้งร่างกาย แต่ว่าหลัวซิวไม่ได้ตั้งใจที่จะแย่งตำแหน่ง เพียงแค่ยืนอยู่ในที่ของตัวเอง
ในความเป็นจริงสำหรับเรื่องราวที่แย่งตำแหน่งในการเข้าแถวแบบนี้ ก็ไม่มีคนมาดูแลด้วยซ้ำ เพราะว่าเป็นการแข่งขันอย่างหนึ่งเหมือนกัน เส้นทางของการฝึกยุทธ์ ทุกอย่างก็ต้องแย่ง ยิ่งแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ สิ่งของที่สามารถแย่งชิงได้ก็มากเท่านั้น สิทธิ์ก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
แนวคิดเคารพของผู้แข็งแกร่ง ฝังแน่นมานานแล้ว![1][1]
########################
บทที่ 65 ผังกฎเข้าใจ
สีหน้าท่าทางของหลัวซิวสงบมาก หมัดของอีกฝ่ายดูมีพลังเป็นอย่างมาก แต่สำหรับเขากลับไม่มีภัยคุกคามแม้แต่น้อย
ถึงขนาดที่ว่าคู่ต่อสู้ในระดับนี้ ขนาดไม่มีสิทธิ์ทำให้เขาชักดาบได้
เห็นเพียงฝีเท้าของเขาเคลื่อนไปในแนวนอน หันไปด้านข้าง หมัดที่ดูเหมือนรุนแรงของหยวนเฟยซาน ก็ลอยอยู่ในอากาศโดยตรง
ในขณะนี้ หลัวซิวก็ลงมือในทันที และก็ตบไปบนใบหน้าของหยวนเฟยซานหนึ่งฝ่ามือ
“เพียะ!”
เสียงตบดังก้องในอากาศ เห็นเพียงร่างกายของหยวนเฟยซานหมุนกระเด็นออกไป และกลิ้งล้มลงอยู่บนพื้น
นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
พวกอัจฉริยะของสำนักยุทธ์ที่อยู่บริเวณโดยรอบเหล่านั้นเตรียมที่จะดูเรื่องสนุกก็ตกตะลึงจนตาค้าง พวกเขาไม่ได้เห็นด้วยซ้ำว่าหยวนเฟยซานลงมืออย่างไร หยวนเฟยซานก็ถูกตบหนึ่งฉาดจนกลิ้งอยู่บนพื้น
หยวนเฟยซานในเวลาทั้งตกใจทั้งโกรธ ดวงตาค่อนข้างแดงก่ำเพราะความโกรธ เขาไม่นึกเลยว่าจะถูกผู้ชายที่อายุน้อยกว่าตัวเองสามปีตบหน้าต่อสาธารณะ ซึ่งนี่ทำให้เขาที่เรียกตัวเองว่าอัจฉริยะไม่สามารถยอมรับได้
“ไอ้เดรัจฉาน ฉันจะฆ่าแก!”
ภายใต้ความโกรธ หยวนเฟยซานลงมืออีกครั้ง หมัดทั้งสองแฝงด้วยเงาเศษ ปราณแท้เปล่งแสงสีทองจางๆ และวิชาหมัดระดับ4ปลดปล่อยถึงจนสุดขีด
และหลัวซิวยังคงสุขุมเยือกเย็น มือซ้ายไพล่หลัง มือขวาค่อยๆยกขึ้นมา
“เพียะ!”
ก็เป็นเสียงตบดังก้องอีกแล้ว ใบหน้าอีกข้างหนึ่งของหยวนเฟยซานถูกตบ ร่างกายหมุนกระเด็นขึ้น และเสียงดังพรึ่บพรั่บล้มลงกับบนพื้น
“เร็วมาก!”
ครั้งนี้ อัจฉริยะสำนักยุทธ์ที่มุงดูอยู่เห็นหลัวซิวลงมือได้อย่างชัดเจน
“ความเร็วในการลงมือของเขาทำไมถึงได้เร็วขนาดนี้ ถ้าใช้ดาบ ก็จะฆ่าหยวนเฟยซานวิชาชี่ไห่ขั้น2ได้ด้วยดาบเดียวในวินาทีเดียวไม่ใช่หรอกเหรอ?”
ผู้คนที่มุงอยู่ก็ตกตะลึงจนตาค้าง ไม่มีใครคาดคิดว่าผลลัพธ์สุดท้ายจะเป็นแบบนี้ หยวนเฟยซานวิชาชี่ไห่ขั้น2ยังไม่ได้ต่อสู้กลับ หลัวซิวคนนี้เป็นตัวประหลาดอะไรกันแน่? ในความเป็นจริงหลัวซิวลงมือได้เร็วขนาดนี้ ทั้งหมดก็เป็นเพราะฝึกตนวิชาดาบเร็ว
วิชาดาบเร็วมีทักษะประสิทธิผลพิเศษกลอุบายหนึ่ง ไม่เพียงสามารถทำให้กระบี่ในมือของมือกระบี่เร็วขึ้น ก็แม่นยำขึ้น และโหดเหี้ยมขึ้น ในเวลาเดียวกันก็สามารถใช้ในวิชาหมัด วิชาฝ่ามือ วิชาท่าร่างและวิชายุทธ์
ใช้ทักษะประสิทธิผลแบบนี้ หลัวซิวสามารถทำให้ความเร็วของวิชาท่าร่างเกิดขึ้นอย่างฉับพลันด้วยความรุนแรงในทันที ไม่ว่าจะเป็นการหลบหนีหรือว่าคนเข่นฆ่า ก็สามารถมีบทบาทที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
แก้มทั้งสองข้างของหยวนเฟยซานบวมเหมือนกับซาลาเปา เขาตะโกนเสียงดังอย่างบ้าคลั่ง ถูกหลัวซิวตบจนพลิกล้มอยู่บนพื้นสองฉาดอย่างต่ออย่างต่อเนื่อง สำหรับเขาอับอายขายหน้าอย่างไม่ต้องสงสัย
“ฉันจะฆ่าแก! ฆ่าแก!”
เขาเร่งเร้าปราณแท้ภายในร่างกายอย่าสุดชีวิต ในมือมีกริชบางและคมปรากฏขึ้นเล่มหนึ่ง แล้วแทงตรงไปตรงหน้าอกของหลัวซิว
ภายใต้สถานการณ์ที่เสียสติ หยวนเฟยซานมีใจที่จะฆ่า คราวนี้ถ้าแทงโดน จะแทงทะลุหัวใจของหลัวซิว และตายในทันที
แต่ความแตกต่างของความแข็งแกร่ง กลับไม่ใช่ว่ากริชเล่มเดียวในมือเพิ่มมาก็สามารถที่จะชดเชยได้
“ตูม!”
ทุกคนเห็นเพียงแค่หลัวซิวขยับขาอย่างกะทันหัน ต่อจากนั้นหยวนเฟยซานก็กระเด็นออกไป กระอักเลือด กลอกตาทั้งสอง และหมดสติกับพื้น
บนหน้าอกของหยวนเฟยซาน มีรอยเท้าที่สามารถมองเห็นได้
“เอี๊ยด!”
ขณะที่ทุกคนยังไม่สามารถดึงสติกลับมาได้ หลัวซิวก็เปิดประตูห้องของตัวเองเดินเข้าไป ต่อจากนั้นก็ปิดประตูเสียงดังปัง
สำหรับคู่ต่อสู้อย่างหยวนเฟยซานที่ไม่มีความท้าทายเลยแม้แต่แบบนี้ เอาชนะเขาได้ หลัวซิวไม่ได้ให้ความสำคัญด้วยซ้ำ คราวนี้แสดงความแข็งแกร่ง สันนิษฐานว่าจะทำให้ผู้ชายบางคนที่จะท้าทายตัวเองไตร่ตรองว่าตัวเองมีความสามารถแค่ไหนกันนะ?
ในไม่ช้า เรื่องราวที่หยวนเฟยซานถูกหลัวซิวตบสองครั้งและเตะจนล้มลงอยู่บนพื้นก็ไปถึงหูของเจ้าสำนักยุทธ์ของทั้งสิบแปดเมือง
สีหน้าของเจ้าสำนักเมืองเกายี่ไม่พอใจเป็นอย่างมากที่สุด เรื่องราวนี้ทำให้เจ้าสำนักอื่นถือว่าเป็นสิ่งน่าขันมาเยาะเย้ยตัวเองอย่างไม่ต้องสงสัย
ในฐานะเจ้าสำนัก เขาก็ย่อมไม่สามารถทำอะไรคนรุ่นหลังอย่างหลัวซิวได้ ดังนั้นจึงเรียกหยวนเฟยซานมาสั่งสอนอย่างรุนแรง เนื่องจากว่าถ้าหมอนี่ไม่ได้เป็นคนท้าทายก่อน ก็ไม่มีทางเกิดเรื่องแบบนี้
เนี่ยเสี่ยวเตี๋ยและหญิงสาวสำนักยุทธ์อื่นซื้อของกลับมาจากข้างนอกพร้อมกัน ก็ได้ยินเรื่องราวนี้
“เสี่ยวเตี๋ย หยวนเฟยซานคนนั้นออกหน้าให้กับเธอ กลับถูกหลัวซิวทุบตี เด็กผู้หญิงอย่างเธอเป็นต้นเหตุจริงๆ”
“ได้ยินว่าหยวนเฟยซานยังถูกเจ้าสำนักเมืองเกายี่ด่าอย่างรุนแรง เกรงว่าในใจจะโกรธแค้นเป็นอย่างมาก”
เด็กสาวหลายคนกำลังคุยกันอยู่ข้างหูของเนี่ยเสี่ยวเตี๋ยอย่างไม่หยุดหย่อน
“ฉันไม่ได้ให้เขาท้าทายหลัวซิว ยิ่งไปกว่าฉันจะเอาชนะหลัวซิวด้วยตัวเอง ทำไมต้องใช้เขากระทำเกินความจำเป็นด้วย?”เนี่ยเสี่ยวเตี๋ยภูมิใจเหมือนนกยูงตัวหนึ่ง
“เสี่ยวเตี๋ย โดยพื้นฐานความแข็งแกร่งของเธอกับหยวนเฟยซานก็พอๆกัน เกรงว่าเธอก็สู้หลัวซิวไม่ได้ ได้ยินมาว่าความเร็วในการลงมือของเขาเร็วมาก หยวนเฟยซานไม่ทันได้ตอบสนอง”
“หึ ฉันจะเอาชนะเขาให้ได้ในไม่ช้าก็เร็ว!”เนี่ยเสี่ยวเตี๋ยกำหมัดเล็กแน่นๆ
……
สำหรับคำพูดของโลกภายนอก หลัวซิวไม่มีอารมณ์ที่จะไปสนใจด้วยซ้ำ
ใช้เวลาฝึกตนอยู่ในหุบเขาลึกในเขาปาฉีหนึ่งเดือนกว่า ทักษะวิชาดาบเร็ว ก็จากระดับขั้นปฐมภูมิ บรรลุถึงแดนสำเร็จน้อย
ด้วยความเร็วการออกดาบของเขาในตอนนี้ พลังของดาบหนึ่ง ก็เพียงพอสามารถทัดเทียมเสมอเหมือนกับบริบูรณ์ทักษะยุทธ์ระดับ4
นอกจากนี้กฎผังที่หนึ่งของเทพวัฏจักรการเวียนว่ายตายเกิดในที่สุดก็เข้าใจทางเข้าออกบางส่วน ซึ่งในนั้นหมายถึงมีความลึกลับของการใช้พลังปราณเป็นตาย2ระดับอย่างไร
ตามความเข้าใจของตัวเอง หลัวซิวไตร่ตรองวิธีการโจมตีออกมาได้อย่างหนึ่ง และตั้งชื่อว่าตราแห่งความเป็นตาย
ในห้องนอน เขานั่งขัดสมาธิ แสงสีดำขาวสว่างขึ้นระหว่างมือทั้งสอง ปลายนิ้วประสานกัน ปลายนิ้วพันกันเป็นตราประทับที่แปลกประหลาด เห็นเพียงพลังปราณเป็นตาย2ระดับผนึกรวมอย่างไม่หยุดหย่อน และแสงสีดำขาวก็ยิ่งสว่างขึ้นเรื่อยๆ
ในไม่ช้า อยู่ระหว่างมือทั้งสองของเขา พลังปราณเป็นตาย2ระดับผนึกรวมเป็นตราแสงสีดำขาว คลื่นรุนแรงก็เริ่มแพร่กระจายออกมา ก่อตัวเป็นตราแสงสีดำขาว แทบจะดูดปราณแท้ทั้งหมดภายในร่างกายหลัวซิวไป
“เฮ้ย!”
เขาตะโกนอย่างแผ่วเบา เทพวัฏจักรการเวียนว่ายตายเกิดในจุดตันเถียนก็สั่นสะท้าน ตราแสงสีดำขาวที่ผนึกรวมอยู่ระหว่างมือทั้งสองก็ค่อยๆจางลง และในที่สุดก็หายไป
ตอนนั้นอยู่ในหุบเขาลึกในเขาปาฉี หลัวซิวเคยลองใช้พลังตราแห่งความเป็นตาย พลังก็ทรงพลัง เพียงพอที่จะกวาดล้างทักษะยุทธ์ระดับ4ใดก็ได้
เพียงแต่ว่าทักษะยุทธ์ที่เข้าใจจากเทพวัฏจักรการเวียนว่ายตายเกิดสำนักนี้ พลังนั้นทรงพลัง แต่ใช้จำนวนมาก และไม่สามารถใช้ได้อย่างง่ายดาย
“ถ้าฉันสามารถที่จะเข้าใจผังกฎผังที่หนึ่งได้อย่างละเอียด สันนิษฐานว่าน่าจะสามารถทำให้ตราแห่งความเป็นตายสมบูรณ์แบบเข้าไปอีกก้าวหนึ่ง ไม่เพียงพลังมากขึ้นเท่านั้น การใช้และความเร็วในการแสดงออกมาก็จะเพิ่มขึ้นทั้งหมดด้วย”
การฝึกตนน่าเบื่อมาก แต่หลัวซิวกลับชอบอย่างนี้ก็เลยไม่รู้สึกเหนื่อย โดยเฉพาะเมื่อปัญหาที่ไม่สามารถเข้าใจก็คิดออกได้ในทันที ความรู้สึกที่เข้าใจแบบนั้น ทำให้เขามีความรู้สึกของความสำเร็จเป็นอย่างมาก
ยิ่งไปกว่านั้น เขาค้นพบว่าตัวเองยิ่งเข้าใจมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งค้นพบว่าตรงที่ตัวเองไม่เข้าใจก็มากเท่านั้น เส้นทางของโลกยุทธ์ดูไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งทำให้เขาหลงใหล
ไม่รู้เนื้อรู้ตัว เวลาสองวันก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว การประเมินขั้นปฐมภูมิก็กำลังจะเริ่มต้นขึ้น
เช้าตรู่ อัจฉริยะสำนักยุทธ์ทั้งสิบแปดเมืองก็รวมตัวอยู่ด้วยกัน นำโดยเจ้าสำนักสิบแปดท่าน มุ่งหน้าไปยังสถานที่ประเมิน
########################
บทที่ 64 หยวนเฟยซานท้าทาย
“ยังมีอีกสามวันการประเมินขั้นปฐมภูมิก็จะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ ตอนนี้พวกเรารีบไป กลับยังมาทัน”
เจ้าสำนักชิงหยุนค่อยๆพูด ก้าวออกจากสำนัก ทันใดนั้นก็เงยหน้าเปล่งเสียงคำรามยาวออกมา
“วี๊ด!”
เสียงหวีดแหลมดังมาจากในอากาศ ตามด้วยหลัวซิวก็เห็นจุดดำบนท้องฟ้าที่ใหญ่ขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน และลงจอดมาอย่างรวดเร็ว
ตามด้วยระยะห่างที่เข้าใกล้อย่างไม่หยุดหย่อน เขาเห็นจุดดำนั้นเป็นนกอินทรีตัวใหญ่ตัวหนึ่ง มีขนสีดำ ปีกทั้งสองกางออก เหมือนกับเมฆดำก้อนหนึ่ง ทำให้เกิดลมกระโชกแรง
“วิหคเมฆานิล!”
หลัวซิวรู้ที่มาของอสูรกายตัวนี้ เป็นสัตว์ที่ใช้สำหรับขี่ที่เชื่อฟังเจ้าสำนักชิงหยุน อสูรกายที่บินได้ระดับสาม!
วิหคเมฆานิลกางปีกยี่สิบเมตรกว่าทั้งสองออก ด้านหลังกว้างใหญ่ และเหมาะสำหรับการขี่
เจ้าสำนักชิงหยุนก้าวขึ้นไปในอากาศ หล่นอยู่บนด้านหลังของวิหคเมฆานิล และมองไปทางหลัวซิวแล้วพูด: “ขึ้นมาเถอะ ด้วยความเร็วของวิหคเมฆานิล สามารถเข้าถึงเขตการปกครองหยุนหลงได้ภายในเวลาสองวัน”
หลัวซิวตอบรับ กระโดดขึ้นไป หล่นอยู่ด้านหลังของเจ้าสำนักชิงหยุน ก็ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก แอบคิดว่าพลังของตัวเองแข็งแกร่งขึ้นในอนาคต ก็จะทำให้อสูรกายที่ทรงพลังตัวหนึ่งสำหรับขี่เชื่อง และโดดเด่นจริงๆ
“ฮู้ววว!”
ปีกทั้งสองของวิหคเมฆานิลสั่นสะท้าน คลื่นลมก็พัดไปบริเวณรอบๆ ทำให้ฝุ่นใบไม้ที่ร่วงหล่นเต็มไปทั่วท้องฟ้า
ลมรุนแรงที่น่ากลัวก็พัดกรรโชกมา ความเร็วในการบินของวิหคเมฆานิลนั้นก็เร็วมาก และเมฆที่อยู่ใกล้เคียงทั้งหมดถอยหลังอย่างรวดเร็ว
มองลงไปเห็น พื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล สรรพสิ่งก็เห็นได้ชัดว่าเล็กขนาดนั้น
สองวันต่อมา เมืองที่สูงตระหง่านกว้างโอ่อ่าก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า กำแพงเมืองสีฟ้านั้นสูงหลายสิบฟุต เพิ่มขึ้นในแนวนอน เหมือนราวกับเทือกเขา และปกคลุมพื้นที่กว้างใหญ่
นี่ก็เป็นเขตการปกครองหยุนหลง เมืองชิงหยุนทั้งห้านั้นรวมอยู่ด้วยกัน ก็สู้ความสูงตระหง่านกว้างโอ่อ่าของเขตเมืองนี้ไม่ได้
เขตการปกครองหยุนหลงคือตั้งที่อยู่สำนักเซียวเหยานอกสำนัก เจ้าสำนักออกนั่งบัญชาการรักษาการณ์ด้วยตันเองอยู่นอกสำนัก ว่ากันว่าเป็นปรมาจารย์โลกยุทธ์ผลการฝึกตนบรรลุถึงแดนฝึกจิต
ห่างจากเขตการปกครองหยุนหลงสิบกว่าไมล์ เจ้าสำนักชิงหยุนให้วิหคเมฆานิลลงมา และทั้งสองก็เดินไปที่เทศมณฑล
ที่ประตูเมืองผู้คนพลุกพล่าน มีกลุ่มนักล่าพร้อมที่จะออกไปล่าเหยื่อ ก็เป็นจอมยุทธ์จากทุกทิศทุกทาง และพ่อค้าแม่ค้าเข้าแถวเพื่อเข้าเมือง
“ตามฉันมา”
เจ้าสำนักชิงหยุนไม่ได้ต่อแถว แต่พาหลัวซิวไปที่ประตูด้านข้างของประตูเมืองโดยตรง
คนที่เฝ้าประตูเป็นชายวัยกลางคน เห็นเจ้าสำนักชิงหยุนนำป้ายบัญชาการออกมา ก็คำนับในทันที และเปิดประตูด้านข้าง
ในฐานะผู้แข็งแกร่งของแดนฝึกจิตครึ่ง ฐานะของเจ้าสำนักยุทธ์ในเมืองต่างๆ เทียบเท่ากับผู้ดูแลนอกสำนัก ก็ย่อมมีสิทธิ์พิเศษบางอย่างเป็นธรรมดา
สำหรับเขตการปกครองหยุนหลงนี้ หลัวซิวมาเป็นครั้งแรก เจ้าสำนักชิงหยุนคุ้นที่คุ้นทาง พาเขาตรงไปมาถึงคฤหาสน์หลังหนึ่งในเมือง
คฤหาสน์หลังนี้ ก็เป็นฐานะเดิมของสำนักยุทธ์ และที่พักชั่วคราวสำหรับพวกอัจฉริยะที่เตรียมตัวจะเข้าร่วมการประเมิน
“หือ? เจ้าสำนักชิงหยุนมาแล้ว หลัวซิวคนนั้นของเมืองชิงหยุนของพวกเขาหายตัวไปแล้วไม่ใช่เหรอ?”
หลังจากที่เจ้าสำนักอีกสิบเจ็ดเมืองได้ยินข่าว ก็อดไม่ได้ที่จะนิ่งอึ้ง
“ไอ้หนุ่มชุดดำคนนั้นก็คือหลัวซิวเหรอ? ได้ยินว่าฝึกฝนเป็นพลังหยางบริสุทธิ์แล้ว ต่อให้เป็นลูกศิษย์ที่อยู่นอกสำนัก ฝึกฝนเป็นพลังหยางบริสุทธิ์ก็ไม่เกินยี่สิบคน”
“เจ้าสำนักชิงหยุนโชคดีนะ ตลอดแปดร้อยปีกว่าที่ผ่านมา นี่เป็นคนที่สี่ที่ฝึกฝนพลังหยางบริสุทธิ์ได้นะ?”
เจ้าสำนักของสิบเจ็ดเมืองต่างก็วิพากษ์วิจารณ์ซึ่งกันและกัน และมองไปที่เจ้าสำนักชิงหยุนและหลัวซิวที่เดินก้าวใหญ่มา
“ฮ่าๆ ทุกท่าน ผมมาช้าไปหน่อย แต่โชคดีที่นับว่าไม่สาย”
เจ้าสำนักชิงหยุนเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม และทักทายเจ้าสำนักคนอื่น
ในเวลาเดียวกัน คนรับใช้เก่าคนหนึ่งเดินเข้ามา พาหลัวซิวมุ่งหน้าไปที่ที่พักชั่วคราวของอัจฉริยะในสำนักยุทธ์เมืองต่างๆ และรอการเริ่มประเมินขั้นปฐมภูมิ
นี่เป็นสวนลานกว้างขวางแห่งหนึ่ง อัจฉริยะของสำนักยุทธ์ทุกคนก็มีห้องแยกส่วนตัวต่างหาก ตอนที่หลัวซิวมาถึงที่นี่ อัจฉริยะของสำนักยุทธ์อื่นก็มองไปทางเขาด้วยความสงสัย
“นายก็คือหลัวซิวเหรอ?”
ในลานบ้าน ชายหนุ่มใส่เสื้อแพรแล้วแขนทั้งสองกอดอกไว้ และขวางอยู่ตรงหน้าของหลัวซิว
“ได้ยินมาว่านายฝึกฝนเป็นพลังหยางบริสุทธิ์แล้ว เอาชนะน้องเสี่ยวเตี๋ยได้เหรอ?”ท่าทีของชายหนุ่มสวมเสื้อแพรหยิ่งผยองมาก และจ้องมองหลัวซิวด้วยใบหน้าที่มุ่งร้าย
“ใช่แล้วยังไง?”หลิวซิวพูดอย่างราบเรียบ
ก่อนหน้าระหว่างทางที่มานั่น เจ้าสำนักชิงหยุนบอกกับเขาแล้วว่า ก่อนหน้าที่อัจฉริยะของสำนักยุทธ์สิบแปดเมืองจะประเมินขั้นปฐมภูมิ มักจะมีการท้าทายต่อสู้ซึ่งกันและกัน ให้เขารับมืออย่างระมัดระวัง
เพียงแต่ว่าหลัวซิวคาดไม่ถึงว่า เขาเพิ่งจะมาถึง ก็มีคนท้าทายตัวเองแล้ว
ในสวนลาน หญิงสาวชายหนุ่มคนอื่นก็เผยให้เห็นท่าทางที่มองดูเรื่องสนุก
เมื่อเห็นท่าทางคัดค้านนั้นของหลัวซิว ชายหนุ่มใส่เสื้อแพรทำเสียงหึ ชี้จมูกของหลิวซิว และพูดว่า: “แกหยิ่งมากนะ ก็แค่ฝึกฝนเป็นพลังหยางบริสุทธิ์เท่านั้นเอง คิดว่าตัวเองเป็นยอดฝีมือจริงๆเหรอ?”
หลัวซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย และอีกฝ่ายก็ชี้จมูกของตัวเอง ท่าทางมั่นอกมั่นใจ ทำให้เขาไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“นั่นหยวนเฟยซานของสำนักยุทธ์เมืองเกายี่ไม่ใช่เหรอ ได้ยินว่าเขาชอบเนี่ยเสี่ยวเตี๋ยของสำนักยุทธ์แห่งซินฉือ”
“แฮะๆ เนี่ยเสี่ยวเตี๋ยไปท้าทายที่เมืองชิงหยุนพ่ายแพ้ให้กับหลัวซิวคนนี้ หยวนเฟยซานคนนี้ต้องการออกหน้าให้เธอ ไม่แน่สามารถได้รับไมตรีจากคนสวย”
“ปีนี้หยวนเฟยซานอายุสิบเจ็ดปี แดนวิชาชี่ไห่ขั้น2 ได้ยินว่าได้ฝึกตนวิชาหมัดระดับ4บรรลุผลแล้ว ความแข็งแกร่งสุดยอดมาก”
เมื่อฟังการวิพากษ์วิจารณ์ของอัจฉริยะสำนักยุทธ์อื่นๆ หลัวซิวพอจะเข้าใจว่าทำไมหยวนเฟยซานคนนี้ถึงได้ท้าทายตัวเอง
“แกต้องการอะไร?”หลัวซิวยังคงพูดอย่างราบเรียบ
ใบหน้าของหยวนเฟยซานเผยให้เห็นเยาะเย้ย“แกรังแกน้องเสี่ยวเตี๋ย ฉันก็ย่อมไม่สามารถปล่อยแกไปได้ ตราบใดที่แกคุกเข่าก้มกราบคำนับให้ฉันสามครั้ง ฉันก็จะไม่ถือสาเอาความ ปล่อยแกไปครั้งหนึ่ง เป็นยังไง?”
หลังจากที่พูดจบ หยวนเฟยซานยังหัวเราะเสียงดัง ราวกับว่าการกลั่นแกล้งคนอื่นแบบนี้ ทำให้เขามีความรู้สึกของความสำเร็จ
บนใบหน้าของหลัวซิวเต็มไปด้วยความเยือกเย็น และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา: “แกแน่ใจว่าไม่ได้ล้อเล่นนะ?”
“ล้อเล่นเหรอ? อย่างแกก็คู่ควรที่คุณชายอย่างฉันจะล้อเล่นด้วยเหรอ?”บนใบหน้าของหยวนเฟยซานเต็มไปด้วยความรังเกียจ “ตอนนี้แกมีสองทางเลือก ไม่เป็นคนคุกเข่าก้มกราบคำนับสามครั้งให้ฉันเอง ก็ฉันจะตีจนแกคุกเข่าลงขอความเมตตา ถึงเวลานั้นก็ไม่ได้ง่ายดายแค่ก้มกราบคำนับสามครั้ง”
มีการต่อสู้ระหว่างอัจฉริยะของสำนักยุทธ์ของเมืองต่างๆ ระดับบนสำนักยุทธ์ไม่มีทางก้าวก่าย เพราะว่านี่เป็นการแข่งขันในตัวของมันเอง ผู้อ่อนแอถูกกำหนดให้ถูกรังแกโดยผู้แข็งแกร่ง
แม้ว่าการแข่งขันแบบนี้จะค่อนข้างโหดร้าย แต่ในเมื่อเลือกทางเดินการฝึกยุทธ์ ก็ไม่มีใครสามารถหนีพ้นจากชะตากรรมนี้ได้
“แกแน่ใจว่านายเป็นคู่ต่อสู้ของฉันงั้นเหรอ?”หลัวซิวกระตุกมุมปากด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
เมื่อหยวนเฟยซานได้ยินแบบนี้ก็นิ่งอึ้ง เขารู้สึกว่าหลัวซิวคนนี้สมองมีปัญญาหรือเปล่า ตัวเองเป็นจอมยุทธ์วิชาชี่ไห่ขั้น2 เขาผู้ชายที่เพิ่งทะลุผ่านชี่ไห่ไปได้อย่างมาแค่สองสามเดือน ยังแล้วแต่ว่าตัวเองจะทารุณอย่างไรเหรอ?
“ไอ้เวร ดูเหมือนว่าแกจะไม่พอใจนะ ดูเหมือนว่าจะทำได้เพียงตีแกจนคุกเข่าขอความเมตตา!”
สีหน้าของหยวนเฟยซานไม่พอใจ ชกออกไปหนึ่งหมัดในทันที บนร่างกายก็ปลดปล่อยแสงสว่างของปราณแท้ออกมา ลมหมัดที่รุนแรงแหลกสลายในอากาศ และส่งเสียงดังผลัวะๆๆๆ
หมัดนี้ดูเหมือนไม่ตั้งใจ แต่ที่จริงเต็มไปด้วยพลัง เป็นจอมยุทธ์ชี่ไห่เหมือนกัน หยวนเฟยซานกล้าดูถูกหลัวซิวอย่างกำเริบเสิบสาน ก็มีความสามารถอยู่เล็กน้อย เขาอาศัยด้านผลการฝึกตนของวิชาชี่ไห่ขั้น2 อีกด้านหนึ่งเป็นแดนบรรลุผลของวิชาหมัดระดับ4!
หยวนเฟยซานได้ยินมาว่าหลัวซิวชำนาญวิชาดาบ และทั้งสองคนก็เข้าใกล้ขนาดนี้ เขามั่นใจว่าดาบของหลัวซิวไม่มีทางเร็วกว่าหมัดของตัวเอง
########################
บทที่ 63 วิชาชี่ไห่ขั้น2
หลัวซิวค้นพบแหวนจัดเก็บสิ่งของวงหนึ่งในสมบัติค่ายกลเหล่านั้น ถ้าเป็นสมบัติค่ายกลระดับ5 พื้นที่จับเก็บสิ่งของมีขนาดใหญ่กว่าแหวนที่เขาเคยใช้หลายสิบเท่า
สิ่งของทุกทั้งหมดก็ถูกหลัวซิวเก็บไว้ ทางลับมาตามหาคลังสมบัติของราชายุทธ์ในครั้งนี้เรียกได้ว่าเป็นสถานการณ์ที่มีความน่ากลัวแต่ไม่มีอันตรายใดๆ ประสบการณ์ที่ได้รับขนาดใหญ่อย่างไร้ที่เปรียบ
เมื่อเทียบกับความมั่งคั่งในคลังสมบัติราชายุทธ์เหล่านี้ หลัวซิวรู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเองได้รับมากที่สุด ก็ยังเป็นความเข้าใจอัญมณีแห่งความเป็นความตายในระดับที่ลึกซึ้งมากขึ้น
ตักตวงสมบัติล้ำค่าในห้องศิลาทั้งหมด หลัวซิวมองไปทางร่างใหญ่โตของท่าเสือสองหัวเขมือบลึกนั้น
ตามบันทึกที่เกี่ยวข้องกับราชายุทธ์ปู้เฉิน ท่าเสือสองหัวเขมือบลึกนั้นเป็นอสูรระดับ5 ทัดเทียมเสมอเหมือนกับราชาแห่งโลกยุทธ์ ความแข็งแกร่งทรงพลัง
อสูรชั้นสูงแบบนี้ สมบัติล้ำค่าทั้งร่างมูลค่านับไม่ถ้วน หลัวซิวยกมือขึ้นในทันที และเก็บร่างขนาดใหญ่โตไว้ในแหวนจับเก็บสิ่งของ
“ยังมีเวลาเกือบหนึ่งเดือนก่อนการประเมินขั้นปฐมภูมิ ในช่วงเวลานี้ก็ฝึกตนอยู่ที่นี่ดีกว่า เพิ่มความแข็งแกร่ง”
ที่ทางเข้าหุบเขาลูกนี้มีหมอกขาวที่เกิดจากค่ายกล ไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะถูกรบกวน และพลังฟ้าดินจิตที่นี่ค่อนข้างแข็งแรง เหมาะสำหรับการฝึกฝนอย่างตั้งใจ
ในแหวนจัดเก็บสิ่งของมียามากมาย แต่หลัวซิวกลับไม่กล้าใช้อย่างตามใจชอบ เพราะว่ายาเหล่านี้ต่ำที่สุดก็เป็นระดับ4 พลังยาที่มีอยู่ในตัวใดตัวหนึ่ง ก็ไม่ใช่สิ่งที่จอมยุทธ์ชี่ไห่สามารถพอที่จะรับได้
“อุปกรณ์ค่ายผนึกปราณระดับ5 หินพลังจิตชั้นกลาง จำเป็นต้องมีของสองอย่างนี้ ก็เพียงพอทำให้ผลการฝึกตนของฉันก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว”
หันหน้าเดินเข้าไปในห้องศิลา หลัวซิวอยู่ที่ตกแต่งหินพลังจิตชั้นกลางอยู่บนอุปกรณ์ผนึกปราณระดับ5 พลังฟ้าดินจิตทั่วทุกสารทิศก็รวมตัวเข้ามาอย่างรวดเร็ว ก่อตัวเป็นหมอกหนาทึบอยู่รอบตัวเขา
พลังฟ้าดินจิตที่แข็งแกร่งประสิทธิภาพฝึกตนดีมาก ในเวลาเพียงครึ่งวัน หลัวซิวก็รู้สึกว่าผลการฝึกตนของตัวเองบรรลุผลถึงขั้นสูงของวิชาชี่ไห่ขั้น1 เข้าใกล้กับวิชาชี่ไห่ขั้น2อย่างไม่สิ้นสุด
จากวิชาชี่ไห่ขั้น1ถึงขั้น2 คือการสะสมของพลังปราณแท้ ตราบใดที่ดูดซับพลังจิตให้เพียงพอ โดยทั่วไปของการทะลุผ่านไม่มีอุปสรรค
นำหินพลังจิตชั้นกลางก้อนหนึ่งออกมาจากในแหวนจัดเก็บสิ่งของ หลัวซิวหมุนเวียนวรยุทธ์ดูดซับพลังจิตบริสุทธิ์ข้างใน
ภายในคืนนั้น บนร่างกายของหลัวซิวลมปราณที่ทรงพลังก็เพิ่มขึ้นมา ตามด้วยปราณแท้ที่เจริญเติบโตอย่างไม่หยุดหย่อน พื้นที่ของจุดตันเถียนก็กลายเป็นยิ่งอยู่ยิ่งใหญ่ขึ้น หมอกของปราณแท้ยิ่งอยู่ก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ
หลังจากที่จุดตันเถียนบรรลุถึงสู่สภาวะอิ่มตัว หลัวซิวไม่สามารถที่จะดูดซับพลังจิตมากขึ้นต่อไปได้ ผลการฝึกตนเพิ่มถึงวิชาชี่ไห่ขั้น2
“ผังที่หนึ่งกฎดั้งเดิมของเทพวัฏจักรการเวียนว่ายตายเกิด……”
การเพิ่มของผลการฝึกตนไม่ได้ทำให้หลัวซิวพอใจมากขนาดนั้น เพราะว่าผังกฎดั้งเดิมนั้นยากมากเกินไปจริงๆ ขนาดเขาก็ยังไม่เข้าใจแม้แต่น้อย
ตามคำกล่าวของเทพแห่งวัฏจักรชีวิต ผังของกฎดั้งเดิมเล่มนี้มีทั้งหมดเก้าผัง มีเพียงผังที่หนึ่งเท่านั้นที่ลึกซึ้งซับซ้อนขนาดนี้ และผังกฎที่ลึกซึ้งอีกแปดผังที่ตามมา ความยากลำบากในการทำความเข้าใจแค่คิดก็รู้แล้ว
เวลาหนึ่งเดือนต่อไปนี้ หลัวซิวก็ฝึกฝนหนักในหุบเขาแห่งนี้
เมื่อเทียบกับผลการฝึกตนแห่งโลกยุทธ์ เขาก็เน้นที่จะบรรลุวิชาดาบเร็วและเทพวัฏจักรการเวียนว่ายตายเกิด
……
สำนักยุทธ์ชิงหยุน
“หลัวซิวยังไม่กลับมาอีกเหรอ?”เจ้าสำนักชิงหยุนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ขมวดคิ้วขึ้นมา“ยังมีเวลาเจ็ดวันก็เป็นวันที่ประเมินขั้นปฐมภูมิแล้ว นี่จะทำยังไงดี?”
“เจ้าสำนัก ตามที่ข้อมูลที่พวกเรามีอยู่ หลัวซิวออกจากเมืองมุ่งหน้าไปหาประสบการณ์ที่เขาปาฉีเมื่อสองเดือนก่อน เจออันตรายอะไรบนภูเขาหรือเปล่า?”ผู้อาวุโสจวงพูดอย่างค่อนข้างเป็นห่วง
“ไม่น่าจะใช่ ฉันคิดว่าหลัวซิวไม่ใช่คนใจร้อนบ้าระห่ำ เขาไม่ได้กลับมานานขนาดนี้ ในนั้นต้องมีเหตุผลอื่น”
เจ้าสำนักชิงหยุนพูดอย่างเคร่งขรึมว่า“สิ่งที่ฉันกังวลมากที่สุดคือจางหลู่เหลียงคนนั้นจะต้องลงมือกับหลัวซิว”
“งั้นจะส่งคนไปตามหาที่เขาปาฉีหรือเปล่า?”จวงหนานเทียนพูด
เจ้าสำนักชิงหยุนส่ายหน้า และพูดว่า: “ถ้าเขาไม่เป็นไร ก็จะกลับมาเอง ถ้าหากเกิดเรื่องจริงๆ ไปตามหาก็ไม่มีประโยชน์”
“ฮ่าๆ ได้ยินมาว่าหลัวซิวอัจฉริยะของเมืองชิงหยุนหายตัวไปเหรอ?”
ในขณะนี้เอง เสียงหัวเราะดังมาจากนอกห้องโถง คือเจ้าสำนักยุทธ์ซินฉือที่พาคนมาท้าทายเมืองชิงหยุนช่วงก่อนหน้านี้
ที่อยู่ข้างหลังของเจ้าสำนักซินฉือคนนี้ ก็คือเนี่ยเสี่ยวเตี๋ยที่สวมชุดสีแดงเดินตาม นัยน์ตาที่สดใสมองไปบริเวณรอบๆ และดูเหมือนกำลังตามหาร่างของหลัวซิว
“เจ้าสำนักซินฉือมาโดยไม่ได้รับเชิญ ต้องการทำอะไร?”เจ้าสำนักชิงหยุนทำเสียงเย็นชา และพูดอย่างไม่สบอารมณ์
“ฮ่าๆ การประเมินขั้นปฐมภูมิก็จะเริ่มแล้วไม่ใช่เหรอ ดังนั้นทางผ่านพอดี ตั้งใจที่จะมุ่งหน้าไปเขตการปกครองหยุนหลงพร้อมกับสำนักยุทธ์ชิงหยุนของพวกท่าน”เจ้าสำนักซินฉือพูดด้วยรอยยิ้ม
การประเมินขั้นปฐมภูมิของทุกปี ก็จะจัดขึ้นอยู่ในเขตการปกครองหยุนหลง พอถึงเวลานั้นจะมีการรวบรวมอัจฉริยะชั้นนำของสำนักยุทธ์จากทุกเมืองในเขตการปกครองหยุนหลง
“เจ้าสำนักซินฉือ ตอนนั้นเสี่ยวเตี๋ยพ่ายแพ้ให้กับหลัวซิว หลังจากที่กลับไปได้ฝึกฝนอย่างขยันขันแข็ง ตอนนี้แดนวิชาชี่ไห่ขั้น2 ตั้งใจว่าจะแข่งสูงต่ำกับเขาในการประเมินขั้นปฐมภูมิครั้งนี้ คนอยู่ไหน?”เจ้าสำนักซินฉือลูบเครา และท่าทางมีความสุข
“เจ้าสำนักซินฉือสันทัดกรณี รู้แล้วยังแกล้งถาม”สีหน้าของเจ้าสำนักชิงหยุนไม่พอใจ
เมืองชิงหยุนอยู่ติดกับเมืองซินฉือ สำนักยุทธ์ทั้งสองแห่งก็แข่งขันซึ่งกันและกันมาโดยตลอด ในฐานะเจ้าสำนักยุทธ์ เขากับเจ้าสำนักซินฉือก็เป็นคู่แข่งกันมานานหลายปีแล้ว
เมื่อเห็นสีหน้าของเจ้าสำนักชิงหยุนดูไม่ดี เจ้าสำนักซินฉือก็เห็นว่าพอสมควรแล้ว และพูดด้วยรอยยิ้มว่า: “ดูเหมือนว่า หลัวซิวจะพลาดการประเมินของในปีนี้ไปนะ ในเมื่อเป็นแบบนี้ ฉันก็จะไม่รบกวนมากเกินไป”
“ไม่ส่ง!”เสื้อคลุมแขนเจ้าสำนักชิงหยุนสั่น และอารมณ์เสียมาก
เวลาผ่านไปอย่างเงียบๆ ชั่วพริบตาเดียวก็สามวันแล้ว
เจ้าสำนักยุทธ์เมืองต่างๆพาเหล่าอัจฉริยะรวมตัวกันในเขตการปกครองหยุนหลง นอกจากนี้ยังมีอัจฉริยะรุ่นเยาว์คนอื่นๆในเขตการปกครองหยุนหลงที่ไม่ได้มาจากสำนักยุทธ์ ก็มาด้วยความชื่นชมในชื่อเสียง และเข้าร่วมการประเมินรับศิษย์ของสำนักเซียวเหยา
“จั้ก!”
เมื่อหลัวซิวขี่ม้าเข้าไปในเมืองชิงหยุน เจ้าสำนักยุทธ์ได้รับข่าวอย่างรวดเร็ว
“เด็กคนนี้ ถ้ากลับมาช้าอีกหนึ่งวัน เกรงว่าจะพลาดการประเมินครั้งนี้จริงๆ”เจ้าสำนักชิงหยุนถอนหายใจด้วยความโล่งอก และสั่งการว่า: “ให้หลัวซิวรีบมาพบฉัน!”
หลังจากนั้นไม่นาน หลัวซิวมาถึงที่สำนักยุทธ์ และเจอกับเจ้าสำนักชิงหยุน
เกี่ยวกับประสบการณ์ในช่วงเวลานี้ หลัวซิวได้เตรียมคำพูดไว้ตั้งนานแล้ว โดยบอกว่าตัวเองอยู่ในเขาปาฉีถูกลอบสังหาร ได้รับบาดเจ็บสาหัส ดังนั้นเขาจึงกลับมาช้าขนาดนี้
สำหรับที่หลัวซิวฆ่าลูกศิษย์ทั้งสามคนของจางหลู่เหลียงตายนั้น และยังมีเรื่องราวของคลังสมบัติราชายุทธ์ ไม่มีการกล่าวถึง
เนื่องจากว่าลูกศิษย์ทั้งสามคนของจางหลู่เหลียงตายนั้น ชี่ไห่ขั้นห้าทั้งสองคน วิชาชี่ไห่ขั้น7หนึ่งคน ว่ากันตามเหตุผล ด้วยความแข็งแกร่งของเขาไม่สามารถที่จะต่อต้านได้ด้วยซ้ำ ถ้าบอกว่าตัวเองฆ่าทั้งสามคน หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะทำให้คนสงสัยว่าเขามีวิธีการพิเศษอะไร
เกี่ยวข้องกับความลับอัญมณีแห่งความเป็นความตาย หลิวซิวไม่กล้าประมาณ เทพแห่งวัฏจักรชีวิตบอกไว้ว่า ถ้าหากผู้แข็งแกร่งบางคนที่ฝึกตนกฎความเป็นความตายรู้ว่าเขามีอัญมณีแห่งความเป็นความตาย จะต้องฆ่าเขาตายอย่างแน่นอน และแย่งเอากฎดั้งเดิมแห่งความเป็นความตายไป
“จะต้องเป็นไอ้แก่อย่างจางหลู่เหลียงแน่ๆ!”ใบหน้าของเจ้าสำนักชิงหยุนเผยให้เห็นความโกรธ “นายว่าสามคนนั้น น่าจะเป็นลูกศิษย์ของจางหลู่เหลียง นายสามารถที่จะรอดชีวิตจากการลอบสังหารของพวกเขาได้ ก็ลำบากจริงๆ”
ในขณะที่พูด สายตาของเจ้าสำนักชิงหยุนก็มองไปบนร่างกายของหลัวซิว และพูดด้วยความประหลาดใจว่า: “ผลการฝึกตนของนายบรรลุถึงแดนวิชาชี่ไห่ขั้น2หรือยัง?”
หลัวซิวพยักหน้า“ภายใต้สถานการณ์ที่สิ้นหวังของความเป็นความตาย ถึงได้โชคดีทะลุผ่านไปได้”
“ที่พูดก็ถูก ผลการฝึกตนลูกศิษย์ของจางหลู่เหลียงคนนั้นต่ำที่สุดก็เป็นชี่ไห่ขั้นห้า รอดชีวิตอยู่ในสถานการณ์ที่นับได้ว่าต้องตาย ผลการฝึกตนทะลุผ่านก็อยู่ในอารมณ์และเหตุผล”
ในฐานะผู้แข็งแกร่งของแดนฝึกจิตครึ่ง เจ้าสำนักชิงหยุนก็ย่อมรู้ดีว่าภายใต้สถานการณ์ที่สิ้นหวังความเป็นความตาย จอมยุทธ์ทะลุผ่านอย่างสุดขีดได้ง่ายดายที่สุด
ดังนั้นผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์ก็จะเดินทางไปต่างประเทศ เดินทางอยู่ในสถานที่อันตรายต่างๆ ขอเพียงแค่สามารถที่จะยืมอยู่หน้าผาความเป็นความตาย และโลกยุทธ์ก็ก้าวเข้าไป
########################
บทที่ 62 ค้นพบสมบัติ
“หลัวซิว? แก……แกรอดชีวิตมาได้ยังไง?”
ปู้เฟยเบิกตากว้าง ราวกับเห็นผี คนคนหนึ่งที่ถูกอสูรระดับห้ากลืนกินเมื่อสิบวันก่อนยังมีชีวิตรอดอยู่ นี่มันช่างเหลือเชื่อจริงๆ
“ใช่ ฉันยังมีชีวิตอยู่ ดังนั้นแกไปตายได้แล้ว!”
ทั่วร่างกายของหลัวซิวก็เป็นเลือด ราวกับอสูรที่เดินออกมาจากขุมนรก คมกระบี่ในมือราวกับลำแสง และฟันไปในอากาศ
“ฉึก!”
เลือดสดกระเด็น ปู้เฟยถอยหลังอย่างสุดชีวิต ฝ่ามือกำลังกุมคอไว้ และเต็มไปด้วยเลือด
“ดาบเร็วมาก!”
เมื่อกี้นี้ถ้าหากความเร็วของเขาช้าลงเล็กน้อย จะต้องถูกดาบฟันลำคอแน่ และหลัวซิวของเมื่อสิบวันก่อน เห็นได้ชัดว่าไม่มีความแข็งแกร่งระดับนี้ ดาบของเขาก็ไม่ได้เร็วขนาดนี้ และคมมากขนาดนี้
“เพียะ!”
หลัวซิวก้าวออกมา ร่างกายราวกับภูตผี และก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าของปู้เฟยในทันที
รูม่านตาของปู้เฟยหดตัวลง ความเร็วร่างกายของหลัวซิวในเวลานี้ ก็เร็วกว่าเมื่อสิบวันก่อนมาก
เขากลายเป็นแข็งแกร่งขนาดนี้ได้อย่างไร ถูกท่าเสือสองหัวเขมือบลึกกลืนกิน ไม่เพียงแต่ไม่ตาย แต่ความแข็งแกร่งก็เพิ่มมากขึ้นเหรอ?
ในวินาทีนี้ ปู้เฟยรู้สึกว่าตัวเองเข้าใกล้ความตายมากขนาดนี้
“ไม่! หลัวซิวแกฆ่าฉันไม่ได้”ปู้เฟยตะโกนเสียงดังด้วยความตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก
“หึ่ง!”
ดาบส่งเสียงสั่นเทาดังเข้ามาในหู คมกระบี่หยุดอยู่ที่ลำคอของปู้เฟย ลมที่พัดแรงฟันผิวหนังของเขาจนฉีกขาด และเลือดสดก็ไหลออกมา
ปู้เฟยรู้สึกว่าหัวใจของตัวเองก็กำลังจะกระโดดเต้นออกมาจากลำคอแล้ว
“ให้เหตุผลที่ฉันไม่ฆ่าแกข้อหนึ่ง?”หลัวซิวจ้องมองปู้เฟย และพูดอย่างเยือกเย็น
“ฉัน……ฉันเป็นทายาทเพียงคนเดียวของราชายุทธ์ปู้เฉิน มีเพียงฉันสามารถที่จะคลังสมบัติได้!”ปู้เฟยราวกับคว้าฟางเส้นสุดท้ายที่สามารถรอดชีวิตเอาไว้
“ทำไมฉันต้องเชื่อแกด้วย”
หลัวซิวกระตุกมุมปากแสยะยิ้ม สะบัดข้อมือ คมกระบี่ก็ฟันไปอย่างรุนแรง หัวของปู้เฟยที่ดวงตาเบิกกว้างก็กระเด็นขึ้นมา และเลือดพุ่งออกมาราวกับน้ำพุ
ปู้เฟยที่อยากจะฆ่าเขาให้ตายทุกที่ สำหรับคนอย่างนี้ ด้วยอุปนิสัยของหลัวซิว ไม่มีทางที่จะปล่อยไปด้วยซ้ำ
ต่อให้คลังสมบัติราชายุทธ์จำเป็นต้องเป็นปู้เฟยถึงจะเปิดได้ หลัวซิวก็ยอมไม่ได้สิ่งของในคลังสมบัติ แต่ไม่ยอมปล่อยเขาไป
ถ้าหากเป็นเมื่อก่อน เขาค่อนข้างหวั่นไหวกับคลังสมบัติราชายุทธ์อย่างไร้ที่เปรียบ แต่ประสบการณ์ที่อยู่ในพื้นที่แหล่งกำเนิดของอัญมณีแห่งความเป็นความตาย เมื่อเทียบกับคลังสมบัติราชายุทธ์ ในทางตรงกันข้ามกันคุณค่ากลับไม่เพียงพอที่จะหยิบยกขึ้นมาพูดถึง
เมื่อเก็บกระบี่แสงและสายรัดข้อมือที่จัดเก็บสิ่งของบนตัวของปู้เฟยขึ้นมา หลัวซิวค้นพบม้วนหนังสือเล่มหนึ่ง จากในสายรัดข้อมือที่จัดเก็บสิ่งของอย่างรวดเร็ว
รูปแบบของม้วนหนังสือค่อนข้างเก่า หลังจากที่เปิดออก ด้านบนเป็นบันทึกเกี่ยวกับคลังสมบัติที่ราชายุทธ์ปู้เฉินทิ้งไว้ให้ทายาทพอดี
ในนั้นพูดถึง ต้องการเปิดคลังสมบัติ นอกเหนือจากต้องใช้กระบี่คู่มืดสว่าง ยังจำเป็นต้องใช้หยกแขวนที่ชุบด้วยเลือดทายาทของราชายุทธ์ปู้เฉิน ทั้งสามรวมเข้าด้วยกัน ถึงจะเปิดคลังสมบัติได้
สำหรับเรื่องที่จำเป็นต้องใช้ทายาทของราชายุทธ์ปู้เฉินถึงจะเปิดได้ ไม่มีการเอ่ยถึงสิ่งใดในม้วนหนังสือ
“หึ ความตายใกล้เข้ายังหลอกฉันอีก!”หลัวซิวเหลือบมองศพของปู้เฟยแวบหนึ่ง ต่อจากนั้นก็ก้าวไปยังส่วนลึกของถ้ำ
แสงสว่างในถ้ำสลัว แต่ว่าหลัวซิวได้รับแผนที่แล้ว และในไม่ช้าก็พบประตูหิน ที่อยู่ลึกเข้าไปในถ้ำ
รูปร่างของประตูหินนั้นเรียบง่ายมาก สูงประมาณห้าถึงหกเมตร ข้างๆประตูหินทั้งสองบาน มีร่องอยู่สามร่อง
หลัวซิวหยิบกระบี่คู่มืดสว่างออกมา แบ่งออกเสียบเข้าไปในร่องทั้งสองนั้น ตัวกระบี่กับด้ามกระบี่เข้ากับร่องอย่างสมบูรณ์
ตามด้วยหลัวซิวหยิบหยกแขวนจากสายรัดข้อมือที่จับเก็บสิ่งของของปู้เฟย และกดเข้าไปในร่องที่สาม
หลังจากที่จอมยุทธ์ตาย เลือดก็จะสลายไป ดังนั้นหลัวซิวก็ไม่รู้ว่าหยกแขวนชิ้นนี้ชุบด้วยเลือดของปู้เฟยหรือเปล่า ถ้าหากไม่มี คลังสมบัติราชายุทธ์นี้ก็จะไม่สามารถเปิดได้
แต่ว่าสิ่งที่หลัวซิวไม่รู้ก็คือ ในความเป็นจริงหยกแขวนชิ้นนี้ก็เป็นสัญลักษณ์ของราชายุทธ์ปู้เฉิน ทายาทจำเป็นต้องรวมเลือดเข้ากับหยกแขวน ถึงไม่มีทางถูกการโจมตีของท่าเสือสองหัวเขมือบลึก ดังนั้นปู้เฟยเมื่อหลายสิบปีก่อน ก็ให้หยกแขวนได้ดูดซับเลือดของตัวเองแล้ว
ดังนั้น หลังจากที่หลัวซิวกดหยกแขวนเข้าไปในร่อง เพียงแค่หยุดชั่วขณะ และประตูหินก็สั่นสะท้าน ตามด้วยเสียงดังก้องกังวาน ความหนักของประตูหินสูงห้าถึงหกเมตรก็ค่อยๆเพิ่มขึ้น
บนใบหน้าของหลัวซิวเผยให้เห็นมีความสุข และก็ก้าวเข้าไปในประตูหินที่เปิดอยู่
นี่เป็นห้องศิลาที่ขุดขึ้นมาโดยคน กำแพงบริเวณรอบๆมีความแวววาว ไข่มุกมหัศจรรย์ที่สามารถเปล่งแสงในยามค่ำคืนได้หลายเม็ดตกแต่งอยู่บนกำแพงหิน ทำให้ทั้งห้องศิลาเต็มไปด้วยแสงสว่างเจิดจ้า
ทางด้านขวาของห้องศิลา มีชั้นหนังสืออยู่แถวหนึ่ง หลัวซิวก้าวเดินไปข้างหน้า เห็นหนังสือกลยุทธ์วิชายุทธ์วางอยู่บนนั้นเป็นเล่มๆ หนังสือทั้งหมดทำจากกระดาษพิเศษ ผ่านมาหลายร้อยปี ยังคงไม่บุบสลาย
“วิชายุทธ์ระดับ6?”
หลัวซิวหยิบขึ้นมาหนึ่งเล่มโดยไม่ตั้งใจ หลังจากที่เปิดอ่าน ด้านบนบันทึกทักษะยุทธ์สำนักหนึ่ง เรียกว่าฝ่ามือมรณะดับแสง
เท่าที่เขารู้ เจ้าแห่งอำนาจสำนักเซียวเหยาเขตการปกครองหยุนหลง มีวิชายุทธ์อันดับสูงสุดที่บันทึกไว้ ก็เป็นแค่ระดับ7 แต่เขาอยู่ที่นี่ ก็เปิดอ่านโดยไม่ตั้งใจเล่มหนึ่ง ก็เป็นวิชายุทธ์ระดับ6?
ในใจของหลัวซิวมีความสุขมาก และเก็บหนังสือกลยุทธ์ทั้งหมดเหล่านี้เข้าไปในสายรัดข้อมือจัดเก็บสิ่งของในทันที หนังสือกลยุทธ์มีทั้งหมดสามสิบสองเล่ม วิชายุทธ์ระดับ5สิบแปดสำนัก วิชายุทธ์ระดับ6สิบสามสำนัก วิชายุทธ์ระดับ7หนึ่งสำนัก
หลัวซิวไม่ได้อ่านดีๆ หันหน้าไปทางอีกด้านหนึ่งของห้องศิลา เห็นชั้นวางของแถวหนึ่ง วางด้ามกระบี่ยาวยี่สิบสามอยู่ด้านบนนั้น เปล่งแสงรัศมีที่เฉียบคมอย่างรุนแรง ทำให้ใจของหลัวซิวสั่นสะเทือนอย่างไม่สามารถช่วยได้
“กระบี่ยุทธ์! ยิ่งไปกว่านั้นไม่ใช่กระบี่ยุทธ์ธรรมดา!”บนใบหน้าของหลัวซิวเผยให้เห็นความตื่นเต้น
ตัวของเขาก็เป็นคนที่ฝึกกระบี่ สำหรับกระบี่ยุทธ์ที่ดี ก็ชอบโดยสัญชาตญาณ เข้าใกล้ ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่ไม่ใช่เพียงแค่กระบี่ยุทธ์เล่มเดียว แต่เป็นยี่สิบสามเล่ม!
ไม่ไกลออกไป หลัวซิวเห็นหนังสือเล่มหนึ่ง หยิบขึ้นมาเปิดอ่าน ค้นพบว่าด้านบนบันทึกข้อความบางส่วนที่ราชายุทธ์ปู้เฉินทิ้งไว้
ราชายุทธ์ปู้เฉิน นอกเหนือจากผลการฝึกตนก้าวเข้าสู่แดนราชาแห่งโลกยุทธ์ของตัวเอง ตัวของเขายังเป็นปรมาจารย์หลอมกระบี่ระดับ5 กระบี่ยุทธ์ยี่สิบสามเล่มในห้องศิลานี้ ก็ล้วนเป็นผลงานที่น่าภาคภูมิใจในชีวิตของเขา กระบี่ยุทธ์ยี่สิบห้าเล่มในนั้นเป็นระดับชั้นล่าง กระบี่ยุทธ์สามเล่มที่ดีที่สุด คือระดับชั้นกลาง!
กระบี่ยุทธ์ระดับชั้นกลาง ยึดตามเหตุผลทั่วไป ต้องเป็นปรมาจารย์หลอมกระบี่ระดับ6ถึงจะหลอมเหล็กได้ แต่ราชายุทธ์ปู้เฉินบังเอิญได้พบกับเศษเสี้ยวของเทคนิคการหลอมกระบี่โบราณ นี่ถึงได้ด้วยระดับ5 ก็หลอมกระบี่ยุทธ์ของระดับชั้นกลางออกมาได้
ในม้วนหนังสือนี้ ในนั้นก็บันทึกเทคนิคการหลอมกระบี่โบราณที่ราชายุทธ์ปู้เฉินได้รับด้วย
นอกเหนือจากวิชายุทธ์และกระบี่ยุทธ์ ในห้องศิลานี้ยังมีหินพลังจิตจำนวนมาก แตกต่างจากหินพลังจิตทั้งหมดที่หลัวซิวใช้ในชีวิตประจำวัน หินพลังจิตในห้องศิลานั้นก็บริสุทธิ์และโปร่งแสงมากกว่าด้วย ถ้าเป็นหินพลังจิตชั้นกลาง ข้างในจะมีความบริสุทธิ์ของพลังฟ้าดินจิตที่สูงกว่า
หินพลังจิตในกองนี้ น่าจะมีอยู่เกือบหนึ่งพันก้อน
นอกจากนี้ยังมีสมบัติค่ายกลบางส่วน ยารักษาโรค ซึ่งทั้งหมดถูกเก็บรวบรวมโดยราชายุทธ์ปู้เฉินในช่วงที่มีชีวิตอยู่
สมบัติของที่นี่ นำสิ่งใดออกไป ก็เพียงพอที่จะสามารถทำให้จอมยุทธ์พรสวรรค์คนหนึ่งสิ้นเนื้อประดาตัวก็ซื้อไม่ลง ทำให้ปรมาจารย์โลกยุทธ์แดนเทพยุทธ์บ้าคลั่ง!
“ฮ่าๆ รวยแล้ว!”
########################
บทที่ 61 การมอบของขวัญ
เสียงของเทพแห่งวัฏจักรชีวิตดังขึ้นมา และพูดว่า: “ตามข้อจำกัดของการปฏิบัติตามวิถีทาง ข้าจะช่วยเจ้าเมื่อเจ้าถูกคุกคามด้วยความตายเป็นอันดับแรกเท่านั้น จากนี้ไปถ้าหากเจ้าต้องการเข้าสู่พื้นที่แหล่งกำเนิด มีเพียงรอให้ระดับผลการฝึกตนของเจ้าบรรลุถึงแดนที่สูงกว่าถึงจะได้ ยิ่งไปกว่านั้นทุกครั้งที่ทะลุผ่าน ก็สามารถที่จะได้รับการมอบของขวัญจากกฎดั้งเดิมอีกด้วย”
“การมอบของขวัญจากกฎดั้งเดิมคืออะไร?”หลัวซิวถามด้วยความสงสัย
“เมื่อกี้นี้ข้าบอกแล้วว่า ความทรงจำทั้งหมดของอสูรจิตสรรพสิ่งในจักรวาลจะถูกบันทึกไว้ในการเกิดใหม่ แม้ว่าจะเสียชีวิตไป ความทรงจำเหล่านี้ก็ไม่มีทางหายไปในการกลับชาติมาเกิด การมอบของขวัญของกฎดั้งเดิม ก็คือความทรงจำของอสูรจิตนับไม่ถ้วน”
ดวงตาของหลัวซิวเปล่งประกาย“งั้นตามความหมายของท่าน ผมสามารถที่จะได้รับอสูรจิตของคนอื่นด้วยเหรอ?”
“ใช่ แต่ว่าจำเป็นต้องอยู่ภายในขอบเขตวิถีทางที่อนุญาต ตอนนี้เจ้าเป็นแดนฝึกชี่ไห่ สามารถได้รับการมอบของขวัญหนึ่งครั้ง แต่ว่าการมอบของขวัญแบบนี้เป็นการสุ่ม”เทพแห่งวัฏจักรชีวิตพูด
“การสุ่มเหรอ?”หลัวซิวอดไม่ได้ที่จะผิดหวังเล็กน้อย เพราะว่าถ้าหากเป็นการสุ่ม บางทีสิ่งที่ได้อาจไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองต้องการ
“การมอบของขวัญให้โดยเจตนาของกฎดั้งเดิม จะมีแนวโน้มเพิ่มความสามารถของเจ้า การมอบของขวัญจะไม่มีทางให้ความทรงจำที่ไร้ประโยชน์กับเจ้า”เทพแห่งวัฏจักรชีวิตพูดเสริม
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลัวซิวก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก และแอบพูดว่านี่ต่างหากที่ใช้ได้
“ผู้สืบทอดของผู้น้อย ตอนนี้เจ้าก็ต้องได้รับการมอบของขวัญหรือยัง?”เสียงของเทพแห่งวัฏจักรชีวิตดังมา
“ต้องการตอนนี้!”หลัวซิวพูดอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย
เขาตัดสินใจที่จะเพิ่มพลังของตัวเองโดยเร็วที่สุด และหลุดพ้นจากคำเรียกของผู้สืบทอดของผู้น้อยนี้
“ว้าว!”
ลำแสงสว่างสุกใสขนาดใหญ่พุ่งออกมาจากการเกิดใหม่ ก็เหมือนกับเป็นลำแสงที่ส่องประกายระยิบระยับ ปกคลุมร่างกายของหลัวซิว และอาบอยู่ในลำแสง
ทันใดนั้น หลัวซิวรู้สึกว่าในหัวของตัวเองปรากฏภาพหนึ่งภาพ คนที่ไม่สามารถมองหน้าได้อย่างชัดเจนก็กำลังโบกดาบยาวอยู่ในมือ……
“โลกแห่งศิลปะการต่อสู้นั้นไม่มีอะไรที่สามารถยับยั้งมันได้ วิธีฝึกดาบ ถือเคร่งในกฎและข้อบังคับตามปกติเป็นเพียงแค่เส้นทางเล็กๆ แค่ต้องปล่อยให้ดาบในมือเร็วไปถึงขีดสุด ก็จะสามารถเอาชนะวิชาดาบจำนวนนับไม่ถ้วนได้ นั่นเป็นวิธีที่ถูกต้อง!”
ความทรงจำเกี่ยวกับการฝึกตนดาบเร็วยังคงหลั่งไหลเข้ามาในหัวอย่างไม่หยุดหย่อน ทำให้หลัวซิวลุ่มหลง จมอยู่ในนั้นทำให้ตัวเองถอนตัวไม่ขึ้น
หลังจากที่ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน หลัวซิวก็ค่อยๆลืมตาขึ้น ลำแสงที่ปกคลุมอยู่บนตัวของเขาก็ค่อยๆหายไป
ทุกอย่างกลับสู่ความสงบ
วิชาดาบเร็ว ไม่มีระดับ แดนสี่ขั้น: ขั้นปฐมภูมิ สำเร็จน้อย บรรลุผล แดนบริบูรณ์
โลกแห่งศิลปะการต่อสู้ ไม่มีอะไรที่สามารถยับยั้งมันได้ ถ้าดาบเร็วถึงขีดสุด ก็สามารถเอาชนะวิชาดาบใดก็ได้ ถ้าดาบหลุดออกมา ราวกับฟ้าแลบฟ้าผ่า ก็สามารถฟันศัตรูได้ในพริบตา
“เฮ้อ……”
หลัวซิวถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก เหมือนอย่างที่เทพแห่งวัฏจักรชีวิตบอก การมอบของขวัญของกฎดั้งเดิม จะมีแนวโน้มเพิ่มความแข็งแกร่งของเขา
วิชาดาบเร็วนี้ ทำให้เขาเปิดประสบการณ์ใหม่จริงๆ แม้ว่าจะเป็นอุบายหนึ่งของทักษะยุทธ์ที่ไม่มีระดับอะไรก็ตาม แต่กลับเหนือกว่าวิชาดาบที่เขาเคยอ่านมาในสำนักหวูแห่งเมืองชิงหยุน
“เพล้ง!”
ดาบหลุดออกจากฝักแล้ว แสงกระบี่ส่องเคลื่อนไหวผ่านไปอย่างรวดเร็วในทันที อากาศสั่นสะเทือน และสามารถเห็นความผันผวนเล็กน้อยด้วยตาเปล่า
“ตามคำอธิบายในความทรงจำ ตอนนี้ผมถือได้ว่าเป็นระดับขั้นปฐมภูมิของวิชาดาบเร็วเท่านั้น”
หลัวซิวรู้ดีว่า ความทรงจำที่ได้รับการมอบของขวัญของกฎดั้งเดิมเพียงแค่ทำให้เขารู้ควรไปฝึกฝนอย่างไร แต่ไม่สามารถทำให้เขาบรรลุจากวิชาดาบเร็วไปถึงแดนบริบูรณ์ได้โดยตรง
อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ดาบเร็วระดับขั้นปฐมภูมิ แต่พลังกลับสามารถทัดเทียมเสมอเหมือนกับวิชาเก้ากระบี่สะท้านฟ้าระดับสี่แดนบริบูรณ์
ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าจากดาบเร็วมาปลดปล่อยวิชาเก้ากระบี่สะท้านฟ้า พลังก็จะแข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีก!
“เมื่อเปรียบเทียบกับวิชาดาบเร็ว งั้นกฎของวัฏจักรการเวียนว่ายตายเกิดนั้นกลับยากยิ่งกว่า”
หลัวซิวขมวดคิ้วขึ้นมา ผังของกฎดั้งเดิมเก้าผัง ผังที่หนึ่งในนั้นถือได้ว่าง่ายดายที่สุด แต่ยังคงทำให้หลัวซิวรู้สึกเหมือนอ่านหนังสือ รูปแบบต่างๆ อักษรรูน และรอยตราประทับมีความยุ่งเหยินและซับซ้อนมาก
“เทพแห่งวัฏจักรชีวิต ผมจะออกจากพื้นที่แหล่งกำเนิดได้ยังไง?”หลัวซิวมองขึ้นไปทางการกลับชาติมาเกิดขนาดใหญ่แล้วถาม
“ผู้สืบทอดของผู้น้อย เจ้าสามารถที่จะออกไปได้ตลอดเวลา รอผลการฝึกตนของเจ้าบรรลุถึงแดนพรสวรรค์ ทำความเข้าใจกับกฎดั้งเดิมผังที่หนึ่งของเทพวัฏจักรการเวียนว่ายตายเกิดโดยสมบูรณ์ จากนั้นก็สามารถที่จะเข้าสู่พื้นที่แหล่งกำเนิดได้อีก”เสียงของเทพแห่งวัฏจักรชีวิตดังมา
“สถานการณ์ข้างนอกเป็นยังไงบ้าง? ผมออกจะมีอันตรายมั้ย?”หลัวซิวถาม ความสยดสยองของท่าเสือสองหัวเขมือบลึก แต่ทำให้เขาได้รับความทรงจำใหม่
“หลังจากที่เจ้ากลับไปก็ปรากฏตัวในท้องของท่าเสือสองหัวเขมือบลึก ผู้สืบทอดของผู้น้อย ขอให้เจ้าโชคดี”
ทันทีที่เสียงของเทพแห่งวัฏจักรชีวิตลดลง พลังที่ไม่มีใครหยุดยั้งได้ก็ม้วนตัวหลัวซิวในทันที และหายไปจากพื้นที่แหล่งกำเนิดในอัญมณีแห่งความเป็นความตาย
มาพร้อมกับอาการวิงเวียนศีรษะอย่างฉับพลัน หลัวซิวได้กลิ่นเหม็นเน่าที่น่าสะอิดสะเอียน และก็อยู่ในท้องของท่าเสือสองหัวเขมือบลึก
……
“สิบวันแล้ว ฉันไม่พอใจจริงๆ!”
ใบหน้าของปู้เฟยซีดเผือด บนร่างกายก็มีกลิ่นน่ารังเกียจ ค้นหาอุจจาระของท่าเสือสองหัวเขมือบลึกอย่างนับไม่ถ้วน ก็ไม่สามารถค้นหาเบาะแสเกี่ยวกับกระบี่มืดได้ตลอด
“หึ่ง!”
ทันใดนั้น กระบี่สว่างที่อยู่ข้างหลังตัวสั่นขึ้นมากะทันหัน
“คือปฏิกิริยาของกระบี่มืด!”
ใบหน้าที่ซีดเซียวของปู้เฟยเผยให้เห็นความสุขในทันที และสายตาก็มองไปทางตัวของท่าเสือสองหัวเขมือบลึกที่นอนอยู่ที่ในมุมทันที
กระบี่สว่างรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของกระบี่มืด และก็อยู่ในร่างของสัตว์ร้ายตัวนี้!
“คำราม!”
ท่าเสือสองหัวเขมือบลึกที่กำลังหลับสนิทตื่นขึ้นทันใด ร่างกายที่ใหญ่โตลุกขึ้น และเงยหน้าเปล่งเสียงคำรามสะเทือนฟ้า
ทั้งถ้ำก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงขึ้นมา เศษหินก็ตกลง ฝุ่นปลิวว่อน ปู้เฟยที่อยู่ไม่ไกลก็ประสบภัยพิบัติเป็นคนแรก ก็ถูกคลื่นเสียงคำรามที่น่ากลัวของเสือโคร่งสะบัดออกในทันที สนั่นแก้วหู หน้ามืด และกระอักเลือด
“บัดซบ! สัตว์ร้ายตัวนี้เป็นบ้าอะไรวะ?”ปู้เฟยก็ทั้งตกใจทั้งโกรธ
ตูม! ตูม! ตูม! ……
เห็นเพียงท่าเสือสองหัวเขมือบลึกกลิ้งไปมาอย่างรุนแรงอยู่ในถ้ำ เปล่งเสียงคำรามสะเทือนฟ้าอย่างไม่หยุดหย่อน ปู้เฟยไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำได้เพียงมองดูอยู่ในระยะไกล และไม่กล้าเข้าใกล้
ในท้องของเสือสองหัวเขมือบลึก หลัวซิวถือกระบี่ยุทธ์ของชั้นกลางฟันไปบริเวณรอบๆอย่างไม่หยุดหย่อน สัตว์ประหลาดระดับห้ามีร่างกายที่แข็งแกร่ง แต่อวัยวะภายในและหลอดเลือดยังคงเปราะบาง ประกอบกับความสามารถพิเศษของหลัวซิวสามารถที่จะทำลายของเส้นชีวิตได้โดยตรง ก็สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อท่าเสือสองหัวเขมือบลึก
เสียงดังก้อง……
ท่าเสือสองหัวเขมือบลึกกลิ้งไปกลิ้งมาอย่างไม่หยุดหย่อน คำรามด้วยความเจ็บปวด หัวทั้งสองก็กระอักเลือดออกมาอย่างหยุด และยังเศษอวัยวะภายในออกมาด้วย
ปู้เฟยมองดูจนใจสั่น ไม่รู้เรื่องว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
หลังจากครึ่งชั่วโมงกว่า การเคลื่อนไหวของท่าเสือสองหัวเขมือบลึกยิ่งอยู่ยิ่งเล็กลง และในถ้ำก็เงียบลง
“ตายเหรอ?”
ปู้เฟยค่อยๆเข้าใกล้ รู้สึกว่าเลือดลมของท่าเสือสองหัวเขมือบลึกได้หายไปแล้ว ในเวลาเดียวกันในใจก็เต็มไปด้วยความสงสัย ท่าเสือสองหัวเขมือบลึกนี้เป็นอสูรระดับห้า อยู่ดีๆทำไมถึงได้ตายอย่างกะทันหัน?
ทันใดนั้น ปู้เฟยก็สังเกตเห็นกลิ่นอายอันตรายเล็กน้อย
“แหวก!”
ท้องของท่าเสือสองหัวเขมือบลึกก็เปิดออก ร่างหนึ่งก็พุ่งออกมา แสงกระบี่ก็เหมือนกาแล็กซี และฆ่าไปทางเขา
ปู้เฟยกลัวจนหน้าถอดสี ขนพองสยองเกล้า ร่างก็ถอยกลับอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นใบหน้าของคนตรงหน้า เขาตกตะลึงจนตาค้างในทันที
########################
บทที่ 60 กฎการเวียนว่ายตายเกิดดั้งเดิม
ในความมืด หลัวซิวก็ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว ในหัวรู้สึกปวดๆ แล้วเขาก็ลืมตาขึ้นมา
ความทรงจำก็ไหลเข้ามาในหัวเหมือนเขื่อนแตก เขาจำได้ว่าตนเองถูกเสือดำหัวคู่ตัวหนึ่งตามฆ่า สุดท้ายตอนที่ถูกเสือดำหัวคู่เขมือบเข้าไปนั้น ก็รู้สึกว่าเจ็บๆ ที่ส่วนลึกของวิญญาณ จากนั้นก็จำอะไรไม่ได้เลย
วิญญาณ? เจ็บปวด?ลูกแก้วความเป็นตาย?
พอคิดถึงจุดนี้ หลัวซิวก็รีบมองดูรอบๆ พบว่าตนเองอยู่ในห้วงเวลาที่มหัศจรรย์แห่งหนึ่ง
รอบๆ เหมือนกับท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว เปล่งแสงเป็นดวงเต็มท้องฟ้า กลุ่มดาวเรียงตัวก็เหมือนสายน้ำ ทำให้หลัวซิวรู้สึกคุ้นเคย
เขาขมวดคิ้ว ไม่นานก็นึกถึงตอนที่ตนเองรักษาโรคชีพจรขาดธาตุไฟให้กับลู่เมิ่งเหยา ความทรงจำเคยถูกลูกแก้วความเป็นตายกลืนกินไป จากนั้นก็เข้าไปสู่ห้วงเวลาพิเศษแห่งหนึ่ง
แต่ว่าครั้งนั้น ความทรงจำมันเข้าไปอยู่ในลูกแก้วความเป็นตาย แต่ครั้งนี้ ดูเหมือนว่าร่างกายของตนเองก็เข้ามาด้วย
“นั่นมันคืออะไรกัน?”
หลัวซิวเงยหน้าไป ทันใดนั้นก็ได้เห็นภาพที่เขาจะไม่มีวันลืมเลยทั้งชีวิต
ทางด้านบนหัวเขา มีรูเล็ตขนาดใหญ่กำลังหมุนอย่างช้าๆ เต็มไปด้วยพลังโบราณที่ยากจะหยั่งถึงได้ปกคลุมไปทั่ว แสงดาวนับไม่ถ้วน กลุ่มดาวกาแล็คซี่มากมาย ล้วนล้อมรอบรูเล็ตใหญ่อันนี้ไว้
บนวงรูเล็ตนี้ มีสัญลักษณ์ ตรา ลวดลายต่างๆ เปล่งแสงออกมา เต็มไปด้วยความลึกล้ำ ราวกับเต็มไปด้วยกฎธรรมฟ้าดิน
“วิ๊ง!”
นาทีนี้ หลัวซิวรู้สึกว่าวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพในจุดตันเถียนของตนเอง จะเรียกหากันระหว่างมันกับรูเล็ตนั่น
อีกอย่าง วงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพก็มีความเหมือนกับรูเล็ตนี้มากด้วย เหมือนกับฉบับขนาดใหญ่กับเล็ก
“เจ้าก็คือคนที่สืบทอดในยุคนี้งั้นหรือ? อ่อนแอไปหน่อยหรือเปล่า……..”
ทันใดนั้น น้ำเสียงที่มีความเป็นโบราณมากๆ ก็ดังเข้ามาในหูของหลัวซิว
“ใคร?”
หลัวซิวมองรอบๆ สุดท้ายสายตาก็หยุดมองไปที่รูเล็ตขนาดยักษ์ใหญ่บนหัวของตนเอง เสียงที่เขาได้ยิน ดูเหมือนว่าจะมาด้านในรูเล็ตนี้
“ผู้สืบทอด ข้าไม่ใช่คน เจ้าเรียกข้าว่าเทพแห่งวัฏจักรชีวิตก็ได้ หรือไม่ก็เรียกข้าว่าวิญญาณแห่งความเป็นตายดั้งเดิมก็ได้”
“ผมไม่เข้าใจหมายความว่าอะไรกันแน่” หลัวซิวขมวดคิ้ว
รูเล็ตยักษ์ค่อยๆ หมุนไป หลัวซิวอยู่ต่อหน้ามัน ก็เหมือนกับตนเองเป็นมดตัวเล็กที่เผชิญกับช้างตัวใหญ่
“ถึงแม้เจ้าจะอ่อนแอ แต่ในเมื่อลูกแก้วความเป็นตายเลือกเจ้า ข้าก็จะบอกในสิ่งที่เจ้าต้องการรู้”
เสียงโบราณๆ นั้นก็ค่อยๆ ดังขึ้น “ในจักรวาลนี้มีกฎเกณฑ์มากมาย ดำเนินการไปตามกฎธรรมชาติ แต่ละกฎเกณฑ์ก็จะมีที่มา เช่นกฎเวลาดั้งเดิม กฎปริภูมิดั้งเดิม กฎชีวิตดั้งเดิม กฎความตายดั้งเดิม…….”
“ส่วนลูกแก้วความเป็นตาย ก็คือกฎดั้งเดิมแห่งความเป็นตายที่เปลี่ยนรูปร่างไปเป็นสิ่งล้ำค่า สิ่งมีชีวิตที่ถูกลูกแก้วความเป็นตายเลือก ก็คือผู้สืบทอดกฎดั้งเดิมแห่งความเป็นตาย”
“การฝึกตนของสิ่งมีชีวิตในจักรวาลนี้ มีเพียงการได้ควบคุมกฏดั้งเดิมเท่านั้น ถึงจะสามารถกลายเป็นผู้อยู่สูงสุดได้ ตอนนี้เจ้ารู้หรือไม่ว่าตนเองโชคดีขนาดไหน?”
“ท่านหมายความว่า ผมเป็นผู้สืบทอดกฎดั้งเดิมแห่งความเป็นตายงั้นหรือ?” หลัวซิวถาม
“ใช่แล้ว กฏแต่ละอย่าง ล้วนไม่มีทางมีจุดกำเนิดแหล่งที่สองได้ นั่นก็หมายความว่าขอเพียงเจ้าสามารถฝึนตนจนมีระดับพลังที่แข็งแกร่งพอ เจ้าก็จะสามารถควบคุมลูกแก้วความเป็นตายได้ ควบคุมกฎดั้งเดิมแห่งความเป็นตายได้”
“แน่นอนว่า ตอนนี้เจ้าอ่อนมากจนแทบจะจางหายไป ไม่แน่ว่าจะสามารถเดินไปจนถึงขุดนั้นได้ ถ้าถูกยอดฝีมือที่ฝึกกฎการเวียนว่ายตายเกิดรู้เข้าว่าเจ้ามีลูกแก้วความเป็นตาย ถ้าพวกนั้นมันฆ่าเจ้า ก็จะสามารถแย่งเอาไป และควบคุมที่มาของกฎเกณฑ์ได้”
“จากที่ผ่านการทำลายล้างจากยุคก่อน ข้าก็เข้าสู่สภาพหลับใหล คิดไม่ถึงว่าลูกแก้วความเป็นตายจะเลือกสิ่งมีชีวิตอ่อนแอแบบนี้มาเป็นผู้สืบทอด”
หลัวซิวได้ยินดังนั้นก็ทำอะไรไม่ถูก เสียงโบราณๆ นั้นที่เรียกตนเองเทพแห่งวัฏจักรชีวิต เหมือนจะไม่พอตนเอง
จากที่เทพแห่งวัฏจักรชีวิตพูดมา มันเป็นเพราะเขาได้รับการข่มขู่จากความตายลูกแก้วความเป็นตายก็เลยช่วยเหลือเขาอัตโนมัติ จากนั้นก็เลยทำให้มันตื่นขึ้นมาจากการหลับใหล
“ผู้สืบทอดอ่อนแอ ในเมื่อลูกแก้วความเป็นตายเลือกเจ้าแล้ว ข้าก็จะปฏิบัติตามกฎดั้งเดิมแห่งความเป็นตาย เพื่อทำให้เจ้าแข็งแกร่งขึ้นภายใต้การได้รับอนุญาตของกฎเกณฑ์ทั้งหลาย” เทพแห่งวัฏจักรชีวิตกล่าว
“ท่านอยู่ที่ไหน?” หลัวซิวถามขึ้นมา
“ข้าก็อยู่ตรงหน้าเจ้า วัฏจักรชีวิตที่เจ้ามองเห็นก็คือข้าเอง ผู้สืบทอด ผู้อ่อนแอ”
“วัฏจักรชีวิตงั้นหรือ? ?”
หลัวซิวบ่นกับตัวเอง ในตำนานมากมาย วัฏจักรชีวิตหมายถึงความหมายที่ธรรมดาเลยทีเดียว
“เจ้าเห็นแสงไฟที่เหมือนดวงดาวรอบๆ วัฏจักรชีวิตนั่นไหม? ผู้สืบทอดอ่อนแอ” เทพแห่งวัฏจักรชีวิตพูดออกมา
หลัวซิวพยักหน้า แล้วบึนปาก “คำที่ท่านเรียกผม เปลี่ยนหน่อยได้ไหม?”
“ในเมื่อตัวเล็กและอ่อนแอ ก็ต้องยอมรับในตัวเอง อยากจะให้ข้าเปลี่ยนคำเรียกขานเจ้า อย่างนั้นเจ้าก็แข็งแกร่งขึ้นมาเองสิ ผู้สืบทอดอ่อนแอ”
หลัวซ้ายทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ไหล่ตก “งั้นก็ตามใจท่านแล้วกัน”
เทพแห่งวัฏจักรชีวิตพูดเสริมว่า “ในจักรวาลนี้ ตอนที่ทุกสิ่งมีชีวิตถือกำเนิดขึ้นมานั้น ก็จะชะตาชีวิตถูกประทับไว้ในกฎดั้งเดิมแห่งความเป็นตาย ถูกบันทึกไว้ในวัฏจักรชีวิต ดวงไฟที่เจ้าเห็น ก็คือบางสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในจักรวาลนี้”
“และหลังทุกสิ่งมีชีวิตได้ตายไป รอยชะตาชีวิตก็จะหายไป แต่ความทรงจำทั้งชีวิตของมันจะถูกบันทึกอยู่ในวัฏจักรชีวิตของกฎดั้งเดิมแห่งความเป็นตาย”
หลัวซิวได้ยินดังนั้น ก็รู้สึกว่าไม่อยากจะเชื่อ ก็เลยถามว่า “ในหมู่ดวงไฟพวกนั้น อันไหนเป็นรอยชะตาชีวิตของผม?”
“ที่นี่ไม่มีรอยชะตาชีวิตของเจ้า ในฐานะที่เป็นผู้สืบทอดของกฎดั้งเดิม รอยชะตาชีวิตของเจ้าได้หลอมรวมเข้ากับกฎดั้งเดิมนานแล้ว”
เทพแห่งวัฏจักรชีวิตก็เลยพูดออกมาแบบนี้ “ว่า ผู้สืบทอดตัวน้อยเอ๋ย ข้าอยากจะเตือนเจ้าเสียหน่อย ด้วยที่พลังของเจ้ายังเล็กน้อย ถ้าถูกสิ่งมีชีวิตอื่นฆ่าตาย หรือตายผิดธรรมชาติ รอยชะตาชีวิตของเจ้าก็สลายไปเหมือนกันลูกแก้วความเป็นตายก็จะทำตามกฎดั้งเดิม และคัดเลือกผู้สืบทอดคนต่อไป”
“วิ๊ง!”
ทันใดนั้น แสงสีขาวดำก็ร่วงลงมาจากวัฏจักรชีวิต แล้วก็หายเข้ามาในหว่างคิ้วของหลัวซิว
ในขณะเดียวกัน ข้อมูลมากมายก็ไหลเข้ามาในความทรงจำของหลัวซิว
ข้อมูลความทรงจำส่วนนี้ มันเกี่ยวกับ วงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ หนึ่งในนั้นกล่าวถึง วงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพเต็มไปด้วยความลึกล้ำของกฎดั้งเดิมแห่งความเป็นตาย มีทั้งหมด9ภาพกฎดั้งเดิม
แต่ว่ากฎดั้งเดิมทั้ง9ภาพยากที่จะเข้าใจได้ ล้ำลึกยากเข้าใจ
“ผู้สืบทอดตัวน้อยเอ๋ย วงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพเป็นวรยุทธ์ที่ขยายออกมาจากกฎดั้งเดิม และเป็นวรยุทธ์ที่ผู้สืบทอดทุกคนจะต้องฝึก ถ้าหากว่าเจ้าสามารถเข้าใจกฎดั้งเดิมทั้ง9ภาพได้ ก็จะได้รับการยอมรับ และกลายเป็นผู้ควบคุมของกฎดั้งเดิมแห่งความเป็นตาย”
########################
บทที่ 6 การกลั่นร่างขั้น4
บางคนมีพรสวรรค์ด้านการฝึกยุทธ์ที่ยอดเยี่ยม เพียงแต่แรกเริ่มไม่รู้ว่าควรจะดึงมันออกมาใช้อย่างไร แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักระยะ พรสวรรค์เหล่านี้ก็จะปรากฏออกมา และระดับความสามารถก็จะถูกพัฒนาขึ้น
นางรู้สึกว่าหลัวซิวน่าจะเป็นลูกศิษย์ประเภทนี้ หากเป็นต้นกล้าพันธุ์ดีจริง ๆ ก็ควรได้รับการบ่มเพาะที่เหมาะสม
เมื่อเทียบกับบรรดาผู้ลากมากดีที่มาจากตระกูลขุนนาง ลู่เมิ่งเหยามักจะให้ความสำคัญกับคนธรรมดาสามัญมากกว่า เป็นเพราะพวกเขาอยากมีอนาคตที่ดีขึ้น จึงเต็มใจที่จะทุ่มเทความพยายามให้กับการบำเพ็ญตนมากกว่าผู้อื่นหลายเท่า ความเพียรพยายามเช่นนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ที่มาจากตระกูลผู้ลากมากดีทุกคนจะทำได้
เมื่อถูกลู่เมิ่งเหยาจ้องมอง หลัวซิวก็รู้สึกประหม่า ลูกศิษย์ที่อยู่นอกสายตามาโดยตลอดอย่างเขา นี่ถือเป็นครั้งแรกที่ได้รับความสนใจจากอาจารย์
“การต่อสู้กันระหว่างลูกศิษย์ ในฐานะที่เป็นอาจารย์ ข้าก็ไม่ควรที่จะยื่นมือเข้าไปยุ่ง” ลู่เมิ่งเหยาเบนสายตากลับมา แล้วกวาดตามองทุกคน จากนั้นจึงกล่าวด้วยสีหน้าที่ไร้ความรู้สึก : “แต่ความเท่าเทียมและความยุติธรรมของสำนักยุทธ์ จะปล่อยให้ใครมาดูถูกเหยียดหยามไม่ได้เช่นกัน”
สายตาของนางไปหยุดอยู่ที่จางห่าย “ถ้าหากเจ้าคิดจะต่อสู้กับหลัวซิว ข้าเองก็ไม่คิดจะโต้แย้ง การทดสอบที่จะเกิดขึ้นในอีกสามเดือนหลังจากนี้ ถ้าหากหลัวซิวสามารถเข้าไปอยู่ในชั้นกลางได้ ข้าก็จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวอีก แต่ตอนนี้ เจ้าจงรีบไสหัวกลับไปฝึกตนเดี๋ยวนี้ !”
ตอนนี้ทุกคนล้วนตีความออกว่า อาจารย์สาวสวยผู้มีรูปร่างอันเร่าร้อน แต่มีนิสัยที่เย็นชาราวกับภูเขาน้ำแข็งผู้นี้ กำลังเข้าข้างหลัวซิว
ในสำนักยุทธ์ การที่ลูกศิษย์ในชั้นสูงและชั้นกลางรังแกลูกศิษย์ชั้นต้น ถือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นปกติ จางเจี๋ยกล้าวางอำนาจบาตรใหญ่ในชั้นต้น ก็เป็นเพราะเขารู้ดีว่ามีจางห่ายคอยหนุนหลังเขาอยู่ โดยปกติแล้ว หากไม่วิวาทกันจนถึงแก่ชีวิต อาจารย์ในสำนักยุทธ์เองก็มักจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว
มีคนจำนวนไม่น้อยหันมองหลัวซิวด้วยแววตาอิจฉา เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะเมื่อสองสามวันก่อน เด็กคนนี้สามารถเอาชนะจางเจี๋ยได้ จึงกลายเป็นจุดเด่นและดึงดูดความสนใจจากอาจารย์ได้
จางห่ายกำหมัดแน่น เขารู้สึกไม่เต็มใจนักที่ไม่สามารถลงมือจัดการหลัวซิวให้ราบคาบเสียตั้งแต่ตอนนี้ได้
แต่ถึงแม้เขาจะมีความกล้าสักเท่าไหร่ เขาก็ไม่กล้าขัดต่อเจตนาของลู่เมิ่งเหยาอยู่ดี เพราะในสำนักยุทธ์มีคำร่ำลือมายาวนานว่า อาจารย์ลู่ผู้นี้มีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดา อาจารย์ท่านอื่น ๆ ในสำนักยุทธ์ หรือแม้กระทั่งผู้อาวุโสของสำนักยุทธ์เอง ล้วนแล้วแต่แสดงความเกรงใจต่อนางอย่างมาก
“ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อีกสามเดือนให้หลัง ข้าจะมาคิดบัญชีกับเขา !” จางห่ายจ้องหลัวซิวตาเขม็ง จากนั้นจึงหันไปคารวะลู่เมิ่งเหยา แล้วเดินจากไป
การปรากฏตัวของลู่เมิ่งเหยา ทำให้สถานการณ์คลี่คลายลงทันที แต่ทุกคนรู้ดีว่า เรื่องนี้ยังไม่จบ
จางห่ายมีผลการฝึกตนอยู่ในระดับการกลั่นร่างขั้น7 ส่วนหลัวซิวเองถึงแม้สามเดือนให้หลังจะสามารถผ่านการทดสอบเข้าสู่ชั้นกลางได้ แต่อย่างมากก็อยู่เพียงแค่ระดับการกลั่นร่างขั้น5เท่านั้น อย่างไรเสียทั้งสองก็ยังคงมีความแตกต่างกันอยู่มาก
“ขอบคุณครับอาจารย์ลู่” หลัวซิวหันไปกล่าวแสดงความขอบคุณต่อลู่เมิ่งเหยา
ต่อให้ต่อสู้กันขึ้นมาจริง ๆ เขาเองก็ไม่เกรงกลัวจางห่าย แต่เมื่อครู่เห็นได้ชัดว่าอาจารย์ลู่ผู้นี้เข้าข้างเขาจริง ๆ หลัวซิวจึงรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง
ลู่เมิ่งเหยายิ้มแล้วพยักหน้า “สามารถรวบรวมพลังได้ในช่วงเวลาวิกฤติเช่นนี้ได้ ถือว่าเจ้าเองก็มีความสามารถพอตัว จงฝึกตนให้ดี และผ่านการทดสอบที่จะเกิดขึ้นในอีกสามเดือนข้างหน้าไปให้ได้”
ถ้าหากความเร็วในการฝึกตนของหลัวซิวยังเป็นอย่างเช่นแต่ก่อน คงไม่มีทางผ่านการทดสอบไปได้อย่างแน่นอน เมื่อเห็นว่าการทดสอบกำลังใกล้เข้ามา และเขาสามารถสะสมพลังจนสามารถผ่านระดับที่บรรลุถึงไปได้ถึง2ระดับ สิ่งนี้จึงเป็นสิ่งที่ทำให้ลู่เมิ่งเหยารู้สึกสนใจและให้ความช่วยเหลือเขา
เพราะในความเห็นของนางแล้ว หากหลัวซิวถูกจางห่ายทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ เรื่องที่จะผ่านการทดสอบในอีกสามเดือนให้หลัง นับว่าเป็นไปไม่ได้เลย
แน่นอนว่า ตอนนี้ลู่เมิ่งเหยายังไม่มั่นใจนักว่าหลัวซิวจะเป็นต้นกล้าชั้นดีที่ควรค่าแก่การบ่มเพาะ นอกเสียจากว่าเขาจะยังคงรักษาระดับความเร็วในการฝึกตนเช่นนี้เอาไว้ได้ มิเช่นนั้นเขาก็คงเป็นได้แค่ดอกไม้ที่บานเพียงชั่วคราวและโรยราลงอย่างรวดเร็วเท่านั้น
หลังจากพูดจบ ลู่เมิ่งเหยาก็หันหลังเดินจากไป ส่วนลูกศิษย์คนอื่น ๆ ต่างก็แยกย้ายกลับไปทำหน้าที่ของตนเอง
เมื่อมองดูลู่เมิ่งเหยาที่กำลังเดินจากไป หลัวซิวก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อครู่เข้าเห็นลายเส้นชีวิตของอาจารย์ลู่ผู้นี้ ลายเส้นชีวิตบางจุดดูแข็งแกร่ง และบางจุดก็ดูอ่อนแอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตรงบริเวณหัวใจมีความผิดปกติบางอย่าง
นี่เป็นครั้งแรกที่หลัวซิวได้เห็นเส้นลายชีวิตของนักยุทธ์ระดับแดนฝึกชี่ไห่ ลายเส้นชีวิตของผู้ฝึกยุทธ์ที่ผ่านการกลั่นร่างและของคนธรรมดาทั่วไปจะมีแสงสีขาวจาง ๆ ส่องประกายออกมา แต่ลายเส้นชีวิตของนักยุทธ์ระดับแดนฝึกชี่ไห่ กลับส่องประกายแสงสีเขียว
หลัวซิวรู้ดีว่า นี่เป็นเพราะนักยุทธ์ระดับแดนฝึกชี่ไห่ แข็งแกร่งว่าผู้ฝึกยุทธ์ในระดับการกลั่นร่าง ลายเส้นชีวิตจึงปรากฏชัดเจนตามไปด้วย ถึงแม้เขาใช้ลงมือด้วยพลังทั้งหมดที่มี ก็ไม่อาจทำลายลายเส้นชีวิตของอีกฝ่ายได้
“ดูเหมือนว่าความสามารถของข้ายังอ่อนหัดอยู่มาก จะทระนงตนเพียงเพราะได้ความสามารถพิเศษมาครอบครองไม่ได้โดยเด็ดขาด”
แววตาของหลัวซิวแน่วแน่ยิ่งขึ้น เขาก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังหอเก็บหนังสือของสำนักยุทธ์
หอเก็บหนังสือเป็นสถานที่เก็บรวบรวมวิชายุทธ์ทั้งหมดเอาไว้ จึงเป็นสถานที่สำคัญที่ใช่ว่าจะเข้าไปได้ง่าย ๆ
นอกจากจะมีผู้อาวุโสระดับปรมาจารย์แดนพรสวรรค์คอยนั่งประจำการอยู่แล้วนั้น ยังมีลูกศิษย์ของสำนักยุทธ์บางส่วนที่คอยรับจ้างเฝ้ายามหอเก็บหนังสือ ซึ่งพอมีรายได้หลายตำลึงในแต่ละเดือน
ลูกศิษย์ส่วนใหญ่ที่รับจ้างทำหน้าที่นี้ ก็มักจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่มาจากครอบครัวฐานะธรรมดา ส่วนบรรดาลูกศิษย์ที่มาจากตระกูลสูงศักดิ์ ไม่มีทางสนใจเงินเพียงเล็กน้อยเหล่านี้
“หยุดนะ หอเก็บหนังสือเป็นสถานที่สำคัญ ห้ามเข้าก่อนได้รับอนุญาต !” ที่บริเวณประตูของหอเก็บหนังสือ มีนักเรียกของสำนักยุทธ์ยืนขวางหลัวซิวเอาไว้สองคน
หลัวซิวขมวดคิ้ว แล้วมองดูคนสองสามคนที่เดินเข้าไปในหอเก็บหนังสือก่อนหน้า แล้วพูดว่า : “แล้วทำไมข้าไม่เห็นว่าพวกเจ้าจะขวางพวกเขาเลย ?”
“เจ้ามีสิทธิ์อะไรเอาตัวเองไปเทียบกับบรรดาคุณชายเหล่านั้น ? พวกเขามาที่หอหนังสือเพื่อซื้อวิชายุทธ์ หรือไม่ก็มีผลการฝึกตนที่อยู่ในระดับที่สามารถเข้ามาเลือกรับวิชายุทธ์ได้ ส่วนผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ในระดับการกลั่นร่างขั้น2อย่างเจ้า รีบไสหัวไปให้พ้นเดี๋ยวนี้ !”
คนที่พูดเป็นลูกศิษย์ในระดับชั้นกลาง เป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ในระดับการกลั่นร่างขั้น5 มีนามว่าหวางฮุย เขาเป็นเพื่อนบ้านกับหลัวซิว ดังนั้นจึงไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับเขา
หวางฮุยอายุมากกว่าหลัวซิวเล็กน้อย ตอนนี้เขาอายุ15ปี ตอนที่เขาอยู่ในระดับต้นมักคอยติดตามจางห่าย จึงได้รับสิทธิพิเศษเล็กน้อย มิเช่นนั้นคนที่มีฐานะอยู่ในระดับธรรมดาอย่างเขา ถือเป็นการยากที่จะไต่เต้าขึ้นสู่ระดับกลาง
สาเหตุที่เขาขัดขวางหลัวซิวและพูดจาถากถาง เป็นเพราะเขาได้ยินมาว่าหลัวซิวทำร้ายจางเจี๋ยซึ่งเป็นน้องชายของจางห่าย
“เห็นแก่ที่เราสองครอบครัวเป็นเพื่อนบ้านกัน ข้าขอเตือนเจ้าให้ไปกล่าวขอโทษคุณชายจางเสีย มิเช่นนั้นไม่เพียงแต่ตัวเจ้าเองที่จะเดือดร้อนเท่านั้น แม้แต่พ่อแม่รวมไปถึงพี่สาวของเจ้าเองก็จะต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย” หวางฮุยเชิดหน้า แล้วเหลือบมองหลัวซิวราวกับกำลังจ้องมองผู้น้อย
เขาไม่รู้สึกว่าการติดตามจางห่ายถือเป็นเรื่องน่าอับอาย นี่เรียกว่าการเอาตัวรอด ต่อให้อีกหน่อยหากอายุครบตามเกณฑ์แล้วยังไม่สามารถไต่เต้าขึ้นสู่ชั้นสูงได้ และต้องถูกไล่ออกจากสำนักยุทธ์ ถึงเวลานั้น เขาก็ยังคงพึ่งใบบุญของตระกูลจางได้
“เขาคือหลัวซิวที่ทำร้ายคุณชายของตระกูลจางคนนั้นเองหรือ ? ปกติแล้วไม่เคยเห็นแสดงฝีมือ เอาแต่คอยหลบซ่อนตัว……” นักเรียนชั้นกลางอีกคนที่ยืนอยู่กับหวางฮุยกล่าวด้วยท่าทีประชดประชันและดูถูกเหยียดหยาม
หลัวซิวไม่อยากสนใจทั้งสองคน ถึงแม้ในสมัยเด็กหวางฮุยจะเคยเป็นเพื่อนเล่นของตน แต่หลังจากเข้ามาในสำนักยุทธ์ และต่างคนต่างมีปณิธานของตนเองที่แตกต่างกัน พวกเขาก็ตัดขาดความสัมพันธ์กันอย่างหมดสิ้นแล้ว
“ตามกฎระเบียบของสำนักยุทธ์ การกลั่นร่างขั้น4สามารถเข้าไปในหอหนังสือเพื่อเลือกรับวิชายุทธ์ได้ หรือพวกเจ้าคิดจะทำลายกฎระเบียบของสำนักยุทธ์ ?” หลัวซิวเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“การกลั่นร่างขั้น4 ?” หวางฮุยหัวเราะลั่น “หลัวซิว เจ้าคิดจะคุยโวโอ้อวดกลับไม่รู้จักดูตาม้าตาเรือเอาเสียเลย เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้จักเจ้าหรืออย่างไร ? สองสามวันก่อนเจ้ายังอยู่ในระดับการกลั่นร่างขั้น2อยู่เลย ไม่รู้ว่าใช้วิธีอะไรถึงสามารถทำร้ายคุณชายจางได้ แค่นี้ก็คิดที่จะอวดเบ่งตนเองแล้วอย่างนั้นหรือ ?”
########################