มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake – บทที่ 799

บทที่ 799

“แม้ว่าสภาพแวดล้อมของแดนดารานอกจะโหดร้าย แต่ก็มียาวิเศษล้ำค่าอยู่มากมาย รวมทั้งสมบัติวิเศษและโอกาสที่ล้ำค่า ดังนั้นจึงได้มีจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งไปฝึกหาประสบการณ์ที่นั่นอยู่บ่อยครั้ง”

เมื่อได้ฟังคำบอกเล่าของหลิงหงเทียน หลัวซิวรู้สึกหวั่นไหวขึ้นมาจริง ๆ ตอนนี้ไม่ว่าเขาจะไปที่แห่งใดในโลกแสงดาว ต่างก็มีคนแอบซ่อนรอลงมือกับตนเองอยู่ในที่ลับ เพื่อแย่งชิงสมบัติวิเศษ

แม้จะมีคำเตือนจากหลิวหงเทียน แต่ก็ไม่อาจรับรองได้ว่าจะมีบางแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เสี่ยงอันตรายเพราะเข้าตาจน และให้ผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ลงมือ

ดังนั้นถ้าหากสามารถไปจากโลกแสงดาวได้ ก็จะสามารถหนีห่างจากสถานที่อันตรายแห่งนี้เป็นการชั่วคราวได้ รอจนตนเองมีความสามารถในการต่อสู้ในระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์แล้วค่อยกลับมา พอถึงตอนนั้นก็ไม่ต้องเกรงกลัวผู้ใดอีกต่อไป

“ผู้อาวุโส ไม่ทราบว่าไปที่แดนดารานอก ต้องมีเงื่อนไขเช่นไร?” หลัวซิวเอ่ยถาม

หลิงหงเทียนยิ้มเล็กน้อย เขาทราบดีว่าในเมื่อหลัวซิวถามเช่นนี้แล้ว ก็หมายความว่าเขาได้มีความคิดที่จะไปยังแดนดารานอก

หากว่าหลัวซิวสามารถไปที่แดนดารานอก นับว่าเป็นเรื่องที่ดีกับทั้งสองฝ่ายอย่างแน่นอน เพราะถ้าหากหลัวซิวยังอยู่ที่โลกแสงดาว ไม่ว่าเขาจะถูกสังหารโดยแดนศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ หรือว่าเขาสังหารยอดฝีมือของแต่ละแดนศักดิ์สิทธิ์ ก็ล้วนเป็นความเสียหายอันใหญ่หลวงของเผ่าพันธุ์มนุษย์

“ไม่มีเงื่อนไขพิเศษอันใด แต่อย่างไรข้าก็ต้องเตือนเจ้าหนึ่งประโยค แดนดารานอกเป็นโลกที่แตกสลายแห่งหนึ่ง แม้จะเป็นสถานที่ฝึกประสบการณ์ที่ไม่เลว แต่ก็เต็มไปด้วยอันตรายเช่นเดียวกัน โอกาสรอดตายมีน้อยมากก็ว่าได้”

“และในโลกแห่งนั้น ไม่ได้มีแค่โลกแสงดาวของเราที่ไปฝึกประสบการณ์ ยังมีผู้แข็งแกร่งของโลกอื่น ๆ ในพิภพต่ำ ไปที่นั่น เจ้าจะต้องระมัดระวังสำหรับทุกเรื่อง”

โดยปกติแล้ว ผู้แข็งแกร่งระดับเทพมารนิรันกาลถึงจะมีความสามารถในการเดินทางข้ามช่องปริภูมิได้ แต่เนื่องจากแดนดารานอกได้ล่มสลายไป ปริภูมิไร้ซึ่งความมั่นคง ดังนั้นขอแค่มีความสามารถในระดับเจ้ายุทธจักร ก็สามารถเดินทางข้ามไปมาระหว่างสองโลก เพื่อเดินทางสู่ที่นั่นได้

ถึงแม้หลิวหงเทียนจะได้กล่าวถึงแดนดารานอกว่าอันตรายเพียงใด หลัวซิวไม่เพียงไม่ลังเล ในทางกลับกันเมื่อได้ยินหลิวหงเทียนบอกว่าจะได้พบกับจอมยุทธ์จากโลกอื่น ดวงตาของเขาเป็นประกายขึ้นมา เพราะแต่ในแต่ไรมานั้นเขาเคยพบแค่จอมยุทธ์ในโลกแสงดาว ยังไม้เคยพบเห็นจอมยุทธ์จากโลกอื่นมาก่อน

เมื่อเห็นว่าหลัวซิวได้ทำการตัดสินใจแล้ว หลิวหงเทียนก็ไม่พูดอะไรมากอีก ยกมือและซัดออกไปในอากาศหนึ่งฝ่ามือ ช่องอากาศบริเวณหนึ่งได้แตกออกเหมือนดั่งกระจก ปรากฏให้เห็นเส้นทางแห่งปริภูมิที่มืดดำสายหนึ่งขึ้นมา

และนี่ก็คือพลังอันน่าสะพรึงกลัวของผู้แข็งแกร่งเทพมาร แค่เคลื่อนไหวเล็กน้อยก็สามารถทะลวงปริภูมิ ทำให้เกิดเส้นทางแห่งปริภูมิออกมาได้

หลัวซิวเองก็ไม่คิดสิ่งใดมาก และเดินเข้าไปในเส้นทางแห่งปริภูมิทันที บริเวณรออบด้านมืดสนิท สติการรับรู้จมอยู่ในความมืด และเริ่มเดินทางไปในช่องอากาศ

……

ใช้พลังเทพสูงสุดเพื่อเปิดเส้นทางแห่งปริภูมิให้หลัวซิวเดินทางไปยังแดนดารานอก บนใบหน้าชราของหลิวหงเทียน ปะปนไปด้วยความจนใจเล็กน้อย

แม้จะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ในโลกแสงดาว เขาเองก็มีภารกิจที่จำใจของตนเช่นเดียวกัน

ทันใดนั้น เงาร่างมนุษย์สายหนึ่งก็ได้ปรากฏขึ้นบนอากาศที่อยู่ห่างออกไป คนผู้นั้นก้าวเดินอยู่ในอากาศ ตรงมายังทางด้านนี้

“ท่านหลิว”

ผู้ที่มานั้นทั่วร่างเต็มไปด้วยแสงดาว ดวงดาวล่องลอยอยู่รอบกาย เปล่งประกายระยิบระยับ เป็นเจ้าศักดิ์สิทธิ์แห่งตำหนักดารานภานั่นเอง

อีกด้านหนึ่ง เจ้าศักดิ์สิทธิ์เสวียนหวง เจ้านิกายมารศักดิ์สิทธิ์ เจ้าศักดิ์สิทธิ์ตระกูลยุทธ์ ทางก็ทยอยกันมาอย่างไม่ขาดสาย เจ้าศักดิ์สิทธิ์แห่งสี่แดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ นั่งอยู่ร่วมกันกับหลิวหงเทียน

พวกเขาห้าคน เป็นผู้แข็งแกร่งที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ในโลกแสงดาว

……

การเดินทางในเส้นทางแห้งปริภูมิ ทำให้หลัวซิวสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดของการที่ปริภูมิแตกฉีก จนกระทั่งไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด ความรู้สึกนึกคิดของเขาถึงได้สว่างไสวขึ้นมาอีกครั้ง ร่างกายหลุดพ้นออกจากเส้นทางแห่งปริภูมิ มาถึงจุดหมายปลายทาง

เนื่องจากความระมัดระวังของสภาพจิต ปฏิกิริยาแลกของหลัวซิวไม่ใช่การมองด้วยสายตา แต่ได้ใช้ตัวสำนึกออกมา เพื่อสำรวจความเคลื่อนไหวในบริเวณรอบ ๆ

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 798
“ถูกต้อง ข้าคิดว่าควรให้เขามอบสมบัติวิเศษชิ้นนั้นออกมา ให้พวกเราแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์เป็นคนดู

แล มิเช่นนั้นหากยังเก็บเอาไว้กับเขา มันจะอันตรายเกินไป” มหาจักรพรรดิยุทธ์ของนิกายมารศักดิ์สิทธิ์เองก็ได้เอ่ยขึ้นเช่นกัน

ในเรื่องนี้ สี่แดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ได้บรรลุข้อตกลงกันเป็นที่เรียบร้อย เพราะไม่ว่าแดนศักดิ์สิทธิ์ใดก็ตามกะครอบครองเพียงลำพังไม่ได้ มิเช่นนั้นจะได้รับการกดดันจากอีกสามแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ที่เหลือ

คนของแต่ละแดนศักดิ์สิทธิ์วาทะเต็มไปด้วยสัจธรรม พวกเขาทราบเป็นอย่างดีว่ามีเจ้าแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์อยู่ตรงนี้ คิดจะสังหารหลัวซิวนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ดังนั้นจึงได้แต่ให้เขามอบม้วนหยกออกมา

เป็นธรรมดาที่หลิงหงเทียนจะรู้เรื่องม้วนหยก เขารู้แม้กระทั่งว่า ม้วนหยกนี้เป็นสมบัติวิเศษที่ผู้แข็งแกร่งเทพฟ้าแห่งพิภพกลางได้ทิ้งเอาไว้ ในนั้นอาจบันทึกเบาะแสที่สำคัญเอาไว้

ทว่าหลิวหงเทียนกลับทราบเป็นอย่างดี เทวทูตจื่อเยียนให้ความสำคัญกับหลัวซิวผู้นี้มาก นอกเสียจากหลัวซิวจะยอมนำออกมาเอง มิเช่นนั้นเขาเองก็ไม่อาจแย่งม้วนหยกมาจากหลัวซิวได้

“ของนั่นมันเป็นของหลัวซิว แม้แต่ข้าเองก็ไม่มีสิทธิ์ให้เขามอบมันออกมาได้” หลิวหงเทียนกล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก นับว่าเป็นการแสดงจุดยืนของตนแล้ว

เหมือนคนของแดนศักดิ์สิทธิ์อยากจะพูดอะไรอีก กลับเห็นว่าหลิวหงเทียนได้โบกมือ: “ที่ควรพูด ข้าก็ได้พูดไปหมดเรียบร้อย พวกเจ้ากลับไปได้แล้ว”

หลังจากคนของแดนศักดิ์สิทธิ์ได้จากไป หลิงหงเทียนก็ได้หันไปหาหลัวซิว “เจ้าหนุ่ม แม้ว่าข้าจะได้ออกหน้า แต่ก็ใช่ว่าคนของแดนศักดิ์สิทธิ์จะละมือ ม้วนหยกที่เจ้าได้มาชิ้นนั้นไม่ใช่เรื่องเล็ก ไม่ได้มีเพียงเผ่าพันธุ์มนุษย์เท่านั้นที่อยากได้มัน เผ่าพันธุ์มารและเผ่าพันธุ์ปีศาจล้วนจะลงมือต่อเจ้าเช่นกัน ความกดดันของเจ้ามีไม่น้อยเลย”

หลัวซิวได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม: “เหตุใดพวกเขาถึงต้องการม้วนหยกนั่นเล่า?”

“หลายหมื่นปีก่อน เผ่าพันธุ์ปีศาจได้มายังโลกแสงดาว เพื่อตามหาของบางอย่าง การปรากฏของแผ่นหยกสีทองในครั้งนี้ เผ่าพันธุ์ปีศาจเองก็ได้เข้ามาร่วมด้วย แต่ละแดนศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าพันธุ์มารได้คาดเดาว่าสิ่งที่เผ่าพันธุ์ปีศาจตามหา มีความเป็นไปได้มากว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับม้วนหยกนั่นและเกราะนักยุทธ์ทอง”

หลิวหงเทียนมีฐานะเป็นเจ้าแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์พูดได้ว่าเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ในโลกแสงดาว เป็นธรรมดาที่ความลับที่ได้รับรู้นั้นจะมากกว่าผู้อื่น

อย่างไรก็ตามจากน้ำเสียงและท่าทางของหลิวหงเทียนเจ้าแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้ทำให้หลัวซิวมองออกมาว่า เขาอาจจะรู้ถึงประวัติบางอย่างของม้วนหยกชิ้นนี้ แต่มิได้รู้ถึงความลับที่แท้จริงของมัน

และความลับที่แท้จริงนั้น ถึงเป็นสิ่งสำคัญ มีส่วนเกี่ยวข้องถึงสมบัติวิเศษและโอกาสที่เทพสงครามเวหากาลได้รับในพิภพสูง

“ตอนนี้ข้าได้กลายเป็นเป้าหมายของผู้คนไปเรียบร้อย ไม่ว่าจะเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าพันธุ์มนุษย์หรือเผ่าพันธุ์มารและเผ่าพันธุ์ปีศาจต่างก็ต้องการแย่งชิงม้วนหยกชิ้นนี้ไปจากข้า ข้าจะต้องพัฒนาความแข็งแกร่งและแดนฝึกตนของข้าโดยเร็ว”

หลัวซิวรู้สึกถึงความกดดัน คิดว่าเวลาที่มีให้ตัวเองได้พัฒนาความแข็งแกร่งนั้นมีไม่มากแล้ว

หากมอบม้วนหยกนั่นออกไป แน่นอนว่าจะสลัดหลุดจากอันตรายได้ ทว่าหลัวซิวเองก็มีความสนใจในสมบัติวิเศษและโอกาสที่เทพสงครามเวหากาลได้รับเช่นเดียวกัน เป็นไปไม่ได้ที่จะมอบมันออกไป

หลิวหงเทียนไม่รู้ถึงสิ่งที่หลัวซิวคิดอยู่ในตอนนี้เลย เขากล่าวขึ้นมาอย่างช้า ๆ : “ที่ข้าออกหน้าในครั้งนี้ ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ได้รับการไว้วานจากเทวทูตจื่อเยียน ให้ข้าส่งเจ้าไปยังแดนดารานอก”

“แดนดารานอก?” หลัวซิวงงงัน

“แดนดารานอกนั้นเป็นหนึ่งในสองสถานที่ฝึกประสบการณ์ที่ลึกลับของโลกแสงดาวเรา นอกจากแดนดารานอกแล้ว ก็ยังมีโลกแสงดาวเกณฑ์กฎ”

หลิวหงเทียนกล่าวอย่างช้า ๆ “แต่เดิมแดนดารานอกเป็นพิภพต่ำแห่งหนึ่ง แต่ได้แตกสลายไปในกาลเวลาอันแสนนานที่ผ่าน จึงไม่เหมาะที่จะอาศัยฝึกตนอยู่ด้านใน และยังมีสัตว์ร้ายทรงพลังที่สามารถอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายอยู่มากมาย”

บทที่ 797

บทที่ 799


บทที่ 796

บทที่ 798

เพียงแต่ว่าแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ทั้งสี่ล้วนคิดไม่ถึงว่า บุคคลเล็ก ๆ อย่างหลัวซิว จะทำให้บุคคลที่มีการดำรงอยู่เหนือใด ๆ อย่างเจ้าแดนท่านนี้ออกหน้าได้

ตำหนักดารานภาเพิ่งจะกล่าวจบ ชายในชุดสีแดงโลหิตผู้หนึ่งก็ได้ลุกยืนขึ้น และกล่าวอย่างเยือกเย็น: “ชายผู้นี้ได้สังหารเทพบุตรคนต่อไปของแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดของข้า แน่นอนว่าจะต้องเรียกร้องความเป็นธรรม”

ชายในชุดสีแดงโลหิตผู้นี้คือมหาจักรพรรดิยุทธ์ท่านหนึ่งของแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด เทพบุตรคนต่อไปคนต่อไปที่เขาเอ่ยถึงนั้นแน่นอนว่าเป็นเซี๋ยลี่เฟิง

มิใช่ว่าชายในชุดสีแดงโลหิตจงใจยกยอสถานะของเซี๋ยลี่เฟิง เดิมทีมีคนที่รู้เรื่องนี้อยู่ไม่น้อย แดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดได้ตกลงกันภายในเอาไว้นานแล้ว เมื่อเซี๋ยลี่เฟิงฝึกตนจนบรรลุถึงแดนมหายุทธ์ช่วงกลาง ก็จะให้เขารับช่วงตำแหน่งเทพบุตรทันที

“เจียงหวูจี้ศิษย์นิกายมารศักดิ์สิทธิ์ของข้า ก็ได้ตายในเงื้อมมือของเจ้าหนุ่มคนนี้เช่นเดียวกัน”

“ลวงล่อผู้แข็งแกร่งของแดนศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ เข้าไปสังหารในเหวปีศาจมรณาอย่างไร้ความปรานี คนผู้ควรถูกกำจัด!”

“……”

ผู้คนจากแดนศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ที่นั่งอยู่ตรงนี้ต่างก็ได้เอ่ยขั้น น้ำเสียงน่าครั่นคร้าม

“พอแล้ว!”

หลิวหงเทียนพลันเอ่ยขึ้นมา กวาดสายตาไปรอบ ๆ “แต่ละคนต่างก็เป็นผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ของสถานที่ต่าง ๆ แล้ว ยังถกเถียงส่งเสียงดังเป็นเด็กขี้ฟ้องอยู่อีก มันพึงปฏิบัติรึ?”

ผู้คนจากแต่ละแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างเงียบไป แม้ว่าจะมีมหาจักรพรรดิยุทธ์อยู่หลายคนที่มีชีวิตมานับพันปีแล้ว แต่เมื่ออยู่ตรงหน้าเจ้าแดนที่มีชีวิตมายาวนานอย่างหลิวหงเทียนผู้นี้ กลับไม่กล้าโวยวายใด ๆ และเก็บไอสังหารของตนลงไป

“หลัวซิววางแผนหลอกล่อคนของพวกเจ้าเข้าไปสังหารในเหวปีศาจมรณา เรื่องนี้นับเป็นความผิดของเขาจริง แต่พวกเจ้าเล่า?”

หลิวหงเทียนตบโต๊ะ และกล่าวอย่างเย้ยหยัน: “หากไม่ใช่คนที่พวกเจ้าส่งออกมาละโมบโลภมากในสมบัติวิเศษของหลัวซิว คิดจะฆ่าชิงทรัพย์ จะมีจุดจบเช่นนี้หรือ?”

เมื่อคำพูดที่ของเขาได้กล่าวออกมา ก็บ่งบอกได้อย่างชัดเจนแล้วว่าจะปกป้องหลัวซิว ผู้อาวุโสมหาจักรพรรดิยุทธ์ท่านหนึ่งของเผ่าหงส์นั่งไม่ติดพื้นขึ้นมาในทันที “เป็นคนผู้นี้ที่สังหารคนเผ่าหงส์ของข้าก่อน”

“ถูกต้อง ยังมีศิษย์ของแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด ก็ได้ถูกมันสังหารเช่นกัน ดังนั้นพวกเราจึงได้ให้คนไปล่าสังหารมัน หรือว่าเช่นนี้ก็เป็นความผิดอย่างนั้นหรือ?”

“แต่ละวันในโลกแสงดาวมีผู้คนที่ได้ตายไปจากการต่อสู้แข่งขันมากมาย หรือว่าคนอื่นได้ตาย คนของพวกเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ตายไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”

หลิวหงเทียนยิ้มเยาะ “ที่ข้าออกหน้าในครั้งนี้ ก็เพื่อคลี่คลายบุญคุณความแค้นนี่ หลังจากวันนี้ไปพวกเจ้าจะทำเช่นไร ข้าเองก็คร้านที่จะเข้าไปแทรกแซง”

“แต่ข้าขอพูดคำพูดที่ไม่น่าฟังเอาไว้ก่อน ผู้ที่มีผลการฝึกตนในแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ขึ้นไปห้ามลงมือกับคนรุ่นใหม่ นี่เป็นกฎที่ตั้งเอาไว้แต่นานแล้ว หากผู้ใดละเมิดกฎ อย่าได้หาว่าข้าไร้ความปรานี!”

กฎข้อนี้ได้ตั้งเอาไว้หลังจากที่เคราะห์กรรมโบราณได้เกิดขึ้น เพราะหลังจากเคราะห์กรรมโบราณ อัจฉริยะของเผ่าพันธุ์มนุษย์ซบเซาลง เพื่อให้เจริญรุ่งเรืองเหมือนดั่งสมัยโบราณอีกครั้ง จึงได้ตั้งกฎข้อนี้ขึ้น จุดประสงค์หลักก็คือเพื่อให้ผู้แข็งแกร่งที่มีพรสวรรค์และศักยภาพในหมู่คนรุ่นใหม่ เติบโตได้ดียิ่งขึ้น

แต่เมื่อกาลเวลาได้ผ่านไป แต่ละแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างก็เคยชินกับการอยู่เหนือผู้อื่น ทนเห็นผู้อื่นมาเหยียบย่ำเกียรติยศของตนเองไม่ได้ ยกตัวเองเช่นตำหนักดารานภา ที่ได้ส่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ผู้หนึ่งออกมา หากไม่ได้ถูกหลัวซิวหลอกล่อให้เข้าไปตายในเหวปีศาจมรณา มิเช่นนั้นคนที่ตายจักต้องเป็นหลัวซิวแน่ และสมบัติวิเศษและความลับต่าง ๆ ก็จะต้องถูกแย่งชิงไป

หลิวหงเทียนได้ยกกฎออกมา ทำเห็นทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างหาเหตุผลมาถกเถียงไม่ได้

แต่ว่าหลิงหงเทียนเองก็ได้กล่าวเอาไว้แล้ว ขอเพียงมหาจักรพรรดิยุทธ์ขึ้นไปไม่ลงมือ ส่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ลงมาไปสังหารหลัวซิวก็ได้เช่นกัน

“ท่านเจ้าแดน ในมือของหลัวซิวมีสมบัติวิเศษที่สำคัญบางอย่างอยู่ เป็นสิ่งที่เผ่าพันธุ์ปีศาจจะต้องเอาไปให้ได้” มหาจักรพรรดิยุทธ์ของตำหนักดารานภากล่าวขึ้นมาอีกครั้ง “พวกเราแดนศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ของเผ่าพันธุ์มนุษย์สามารถอยู่ในกฎได้ แต่ใช่ว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจและเผ่าพันธุ์มารจะรักษากฎ”

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 796
ยิ่งไปกว่านั้นเขาพบว่าผลการฝึกตนของหลัวซิวอยู่ที่มหายุทธ์ขั้นหนึ่ง หากเป็นเช่นนี้ต่อไปละก็ ไม่แน่ว่ารอจนเขาบรรลุถึงแดนเจ้ายุทธจักร ก็จะสามารถต่อต้านมหาจักรพรรดิยุทธ์ได้แล้ว

“ปีศาจแท้ ๆ! มิน่าเล่าเทวทูตจื่อเยียนถึงได้ให้ความสำคัญเช่นนี้” หลิวหงเทียนจับจ้องหลัวซิว และแอบกล่าวอยู่ในใจ

การต่อสู้ข้ามขั้น ผลการฝึกตนยิ่งสูงยิ่งแทบจะเป็นไปไม่ได้ หลังจากที่บรรลุถึงแดนมหายุทธ์ต่อให้เป็นสุดยอดอัจฉริยะ สามารถต่อสู้ข้ามขั้นหนึ่งถึงสองแดนเล็ก ก็นับว่าสุดยอดมากแล้ว

หากว่าหลังจากที่บรรลุถึงแดนเจ้ายุทธจักร สามารถแข็งแกร่งจนไร้คู่ต่อสู้ในแดนเดียวกันได้ นั่นก็คือสุดยอดอัจฉริยะ

หลังจากที่บรรลุถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ โดยปกติแล้วอยู่ในแดนเดียวกัน พลังการต่อสู้ก็จะไม่แตกต่างกันมากนัก

สิ่งสำคัญก็คือ ฝีมือความสามารถของแต่ละคน รวมทั้งแดนของกฎที่ได้ตระหนักรู้

ส่วนหลัวซิวบรรลุมาถึงแดนนี้ ยังสามารถต่อสู้ข้ามขั้นได้ถึงหนึ่งแดนใหญ่ เช่นนี้มันช่างเป็นที่น่าหวาดผวายิ่งนัก

“พรสวรรค์ที่เหนือมนุษย์มนาเช่นนี้ ไม่คิดเลยว่าเทวทูตจื่อเยียนจะให้คำประเมินค่าแค่ว่ามีความเป็นไปได้ที่จะกลายเป็นเทพฟ้าเพียงริบหรี่เท่านั้น เทพฟ้าที่อยู่เหนือเทพมาร แท้จริงแล้วเป็นการดำรงอยู่ที่น่ากลัวเพียงใดกันแน่?”

“เจ้าหนุ่มไปกับข้า” หลิวหงเทียนกล่าวเสียงเข้ม

“ไปที่ใดรึ?” หลัวซิวเอ่ยถาม เขารู้ดีว่าหากหลิวหงเทียนคิดร้ายกับเขา เขาไม่มีทางที่จะขัดขืนได้เลย

“เมืองศักดิ์สิทธิ์”

ระหว่างที่พูดนั้น หลิวหงเทียนก็โบกมือ ฉีกช่องอากาศที่อยู่ตรงหน้าออก ทำให้เกิดเป็นช่องว่างทางเดินระหว่างปริภูมิ เขาดึงหลัวซิวเข้ามา และเดินไปในช่องอากาศ

ฉีกช่องอากาศ นี่คือความสามารถของผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ และสามารถทำได้อย่างสบายเช่นนี้ เห็นได้อย่างชัดเจนว่าผลการฝึกตนของหลิวหงเทียนนั้นลึกล้ำอย่างไม่อาจคาดเดา

เมืองศักดิ์สิทธิ์ มีตำแหน่งที่ค่อนข้างพิเศษในเผ่าพันธุ์มนุษย์

เมื่อนานมาแล้ว มนุษย์และปีศาจต่อสู้กันมาไม่ครั้งแล้วครั้งเล่า สิ่งมีชีวิตเดือดร้อนไปทั่วทุกหย่อมหญ้า ในตอนนั้นกองกำลังต่าง ๆ ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ต่างแยกกันสู้ใครสู้มัน

ในเวลาต่อมาได้มีผู้แข็งแกร่งสี่ท่านของเผ่าพันธุ์มนุษย์เป็นผู้ออกหน้า จัดตั้งพันธมิตร สร้างเมืองศักดิ์สิทธิ์ จึงได้มีสี่แก๊งใหญ่ขึ้นมา

เมืองศักดิ์สิทธิ์นั้นใหญ่โตโอมโหฬารเป็นอย่างมาก กำแพงเมืองสูงเป็นร้อยจั้ง ตั้งตระหง่านระฟ้า เหมือนดั่งยอดเขาลูกใหญ่

นี่คือป้อมปราการศึกขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง เล่าขานกันว่าได้รวบรวมภูมิปัญญาและเลือดเนื้อความทุ่มเทของปรมาจารย์ค่ายกลกับปรมาจารย์กลั่นสมบัติในเผ่ามนุษย์เอาไว้ ใต้พื้นดินและบนกำแพงของทั่วทั้งเม่องต่างได้วาดไว้ด้วยลายค่าย หากขับเคลื่อนทั้งหมดพร้อมกัน จะมีอานุภาพที่ทัดเทียมได้กับเทพมารเลยทีเดียว

มาถึงตอนนี้ บนจุดสูงสุดของเมืองศักดิ์สิทธิ์ บุคคลใหญ่โตจากแดนศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ของเผ่ามนุษย์ต่างมารวมตัวกันอยู่ที่นี่

เมื่อหลิวหงเทียนปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับหลัวซิว ผู้คนจากแต่ละแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างก็ได้ลุกขึ้น และโค้งคารวะหลิวหงเทียนอย่างนอบน้อม ไม่กล้าที่จะบุ่มบ่ามเลยแม้แต่น้อย

ทว่าสายตาของแต่ละคนที่มองหลัวซิวนั้น กลับเต็มไปด้วยความสังหารและความอำมหิต

หลิวหงเทียนนั่งลง ส่วนหลัวซิวยืนอยู่ที่ด้านข้างของเขา ในเวลาเดียวกันนั้นสายตาก็มองไปที่คนจากแต่ละแดนศักดิ์สิทธิ์

ทันทีที่มองไป เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหนาวสะท้าน เพราะพวกคนที่อยู่ตรงนี้ แต่ละคนต่างเลือดลมพลุ่งพล่าน พลังชีวิตเต็มเปี่ยมและน่าสะพรึงกลัว ล้วนมีผลการฝึกตนในแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ขึ้นไป

ถึงขนาดที่หลัวซิวสงสัยว่ามีผู้แข็งแกร่งระดับเทพมารนิรันกาลอยู่ด้วยหรือไม่ ถูกกลุ่มผู้แข็งแกร่งที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดในโลกยุทธ์ของโลกแสงดาวจ้องมอง ต่อให้เป็นความหลัวซิวที่สงบเยือกเย็น ยังรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง

“ท่านเจ้าแดน เมืองศักดิ์สิทธิ์และดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นสถานที่ที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของเผ่าพันธุ์มนุษย์เรา หลัวซิวมีฐานะเป็นผู้ลาดตระเวนขององค์กรนักล่ายุทธ์ นับเป็นสมาชิกคนหนึ่งของเมืองศักดิ์สิทธิ์ แต่เขากลับโหดเหี้ยมอำมหิต สังหารทำร้ายมนุษย์พวกเดียวกัน ขอท่านเจ้าแดนโปรดให้ความเป็นธรรมด้วยเถิด!”

คนที่พูดคนนี้ คือผู้อาวุโสมหาจักรพรรดิยุทธ์ท่านหนึ่งของตำหนักดารานภา สีหน้าของเขาในตอนนี้นั้นดูมืดมนและน่ากลัวนัก

การต่อสู้สังหารในเหวปีศาจมรณา ตำหนักดารานภาได้รับความสีหายมากที่สุด เนื่องด้วยได้สูญเสียมหาจักรพรรดิยุทธ์คนหนึ่งไป

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 795
“รอบก่อนที่เขาฆ่าคนอื่นไปทั่ว อีกทั้งยังฆ่าผู้คนฝีมือดีของแดนศักดิ์สิทธิ์ไปมากมาย อีกทั้งมหาจักรพรรดิยุทธ์ของตำหนักดารานภา อีกทั้งลมรอบนี้ยังไม่ทันพัดผ่านไป เขาก็ลงมืออีกครั้ง โดยที่ครั้งนี้ได้ฆ่าผู้อาวุโสท่านหนึ่งของเผ่าหงส์ไป”

เจ้าแดนหลิวได้แต่เดินไปเดินมา ก่อนที่หางตาจะคอยเหลือบมองไปที่เทวทูตจื่อเยียน

ในรอบก่อนที่มีเทวทูตมากมายจากแดนเบื้องบนลงมา เจ้าแดนหลิวนั้นมาจากโลกแสงดาว อีกทั้งยังเป็นเผ่ามนุษย์ ในมุมมองของผลประโยชน์ แน่นอนว่าจะต้องเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์

“พวกมดเหล่านี้ ฆ่าไปแล้วก็ฆ่าไปเถอะ” เทวทูตจื่อเยียนพูดมาอย่างไม่เต็มใจ

“ข้าพูดว่าเทวทูตผู้ใหญ่ เจ้าพูดออกมาได้อย่างง่ายดายมาก ตั้งแต่จากที่ภัยพิบัติโบราณนั้นผ่านไป พวกเราเผ่ามนุษย์ไม่ง่ายเลยที่จะปรากฎเจ้ายุทธจักรและมหาจักรพรรดิยุทธ์อย่างในสมัยก่อนยังอยาก ถ้าหากถูกฆ่าไปอีกไม่กี่คน ถ้าอย่างงั้นก็จะสูญเสียไปมากกว่าเดิม” เจ้าแดนหลิวพูดยิ้มอย่างฝืนๆ

“ถ้าหากไม่มีข้า ในรอบที่ภัยพิบัติโบราณนั้น พวกเจ้าเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็คงจะถูกเผ่ามารยึดครองไปแล้ว”เทวทูตจื่อเยียนยิ้มๆ “ในส่วนที่เกี่ยวข้องเรื่องที่เกี่ยวกับเผ่าพันธุ์มนุษย์ เจ้าหาวิธีจัดการเองก็แล้วกัน”

ถึงแม้เรื่องที่จะจัดการกับหลัวซิวนั้น เทวทูตจื่อเยียนไม่ได้เอ่ย แต่เจ้าแดนหลิวก็รู้ทราบดีว่า เทวทูตเบื้องบนนั้นฝากฝังความหวังอันสูงส่งไว้กับหลัวซิว

“ถ้าหากว่าเขานั้นได้ล้มลงระหว่างการต่อสู้ ถ้าอย่างงั้นเขาก็สมควรตาย เพราะว่าการที่นักรบที่แข็งแกร่งปรากฏตัวนั้นก็มาจากการต่อสู้ประสบการณ์มากมาย ที่ต่อสู้จนเกิดการเติบโตและพัฒนา”

เทวทูตจื่อเยียนพูดเอ่ยช้า “แต่ว่าที่ข้าพูดไม่ดีก็แค่ตอนแรก ถ้าหากมีคนไม่ทำตามกฎเกณฑ์ล่ะก็ ข้าจะบดขยี้ฆ่าเขาสะ การที่จะอยู่รอดต่อไปของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ”

“เป็นเช่นนี้เอง ถ้าอย่างงั้นข้าผู้อาวุโสที่แก่ขนาดนี้จะไปดูด้วยตนเอง”

เจ้าแดนหลิวยิ้มเจื่อนๆ ก่อนที่จะเดินออกจากสำนัก ก่อนที่จะใช้มือโบกสะบัดเพื่อเปิดดูข้อความ ก่อนที่จะออกจากแดนศักดิ์สิทธิ์

ก่อนที่จะปิดกั้นตัวเอง ตลอดระยะเวลาครึ่งเดือน หลิวซิวก็ได้ฆ่าเจ้ายุทธจักรแห่งเผ่าหงส์ไปอีกสามคน

โดยหนึ่งคนนั้นคือเจ้ายุทธจักรขั้นปลาย และอีกสองคนคือจยุทธจักรขั้นกลาง

จนถึงตอนนี้ คนของเผ่าหงส์ที่ถูกฆ่าด้วยน้ำมือของเขานั้น รวมๆกันแล้วเกือบสิบกว่าคนแล้ว

เมื่อจักรพรรดิหงส์ได้ทราบเรื่องก็โกรธแค้นเป็นอย่างมาก ก่อนจะออกคำสั่งให้ไปไล่ล่าฆ่าหลัวซิว

หลัวซิวรู้ดีว่าเขานั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้ายุทธจักรหงส์ ดังนั้นเขาจึงได้แต่หาที่หลบซ่อนตัวอยู่บนภูเขาป่าทึบ ถึงแม้เจ้ายุทธจักรหงส์จะมีความสามารถมากมายขนาดไหน ก็ยากที่จะหาเขาพบ

เขานั้นเชี่ยวชาญวิชาเวทมนตร์ต่างๆเป็นอย่างมาก ก่อนที่เขาจะหาสถานที่ที่หลบซ่อนดีๆในกลางป่า ก่อนที่จะร่ายเวทมนตร์บัง ถ้าหากใครจะมาหาเขาหละก็ ก็ราวๆเท่ากับว่างมเข็มในมหาสมุทร

ในวันนี้ หลัวซิวนั้นได้ทำการเปิดปากถ้ำที่มีกฎความตายดั้งเดิม

ก่อนที่เขาจะรู้สึกแปลกๆและหวาดกลัวก่อนจะลืมตาขึ้นมา จากนั้นจึงแสดงอารมณ์ออกมาอย่างเคร่งขรึมก่อนรู้สึกถึงคลื่นอันอ่อนแอ

ในตอนที่เขาลืมตาขึ้นไม่รู้ว่ามีเงาตอนไหน ที่มาอยู่ภายเบื้องหน้าของเขาแล้ว

ในตอนนี้ หลัวซิวเขาก็ได้รู้สึกถึงขนทั้งตัวของเขาตั้งตรงขึ้น ไม่คิดว่าจะมีใครที่ไม่ส่งเสียงส่งสารที่พยายามแหวกเวทมนตร์รุกเข้ามาได้ในที่ของตน อีกทั้งยังมาอยู่ตรงหน้าอีกด้วย?

ไม่ว่าอย่างไรตอนที่หลัวซิวกำลังมองไปที่ใบหน้าของคนผู้นี้ อดไม่ได้ที่จะแสดงสีน่าตกใจ“ผู้อาวุโส ท่านมาได้อย่างไร?”

สายตาของหลัวซิวที่ถูกดึงดูด คือชายชราที่มีรูปร่างที่แข็งแกร่ง ที่ออกมาจากแดนศักดิ์สิทธิ์ ที่มาหาหลัวซิวเจ้าแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์โดยเฉพาะ เจ้าแดนหลิว

“หึ เจ้าเด็กน้อยที่เจ้าใกล้จะทำให้บนท้องฟ้ากลายเป็นหลุมถ้ำอยู่แล้ว ข้าจะมาไม่ได้หรือยังไง”เจ้าแดนหลิวพูดอย่างเคืองๆ

แต่ทว่าในเวลานี้ เข้าได้สังเกตเห็นถึงว่าหลัวซิวนั้นได้ฝึกวิชาจนสามารถที่จะไปแดนแดนมหายุทธ์ได้แล้ว อีกทั้งยังมีออร่าของกฎบนตัวเขานั้นได้เกิดความแปนปรวนไปเป็นอย่างมาก

“ตั้งแต่ออกมาจากแดนศักดิ์สิทธิ์ประมาณปีกว่าๆ เจ้าเด็กนี่ทำไมถึงได้พัฒนาได้เร็วขนาดนี้?”เจ้าแดนหลิวตกใจมาก อีกทั้งในตอนที่ยังไม่เคยเข้าไปในดินแดนมหายุทธ์ พลังของหลัวซิวสามารถที่จะต่อสู้ตีเสมอกับเจ้ายุทธจักรในขั้นแรกได้ ถ้าหากวันนี้สามารถไปถึงแดนมหายุทธ์ ไม่แปลกใจหากเขาจะสามารถฆ่าเจ้ายุทธจักรขั้นปลายได้

ในตอนนี้ทันใดนั้นก็มีคนบินอยู่บนฟ้า หลัวซิวนั้นภายในดวงตาก็เปล่งประกาย“อยากจะให้พลังอำนาจของตัวเองนั้นพัฒนาเร็วขึ้นกว่านี้ ทางที่ดีคงจะมีแต่การต่อสู้ อีกทั้งกองกำลังก็มีเจ้ายุทธจักรขั้นปลายไม่เยอะมาก แต่ทว่าก็สามารถที่จะเอาไว้ช่วยเหลือได้อยู่”

ในเวลานี้ หลัวซิวตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ก่อนที่จะพลิกมือแล้วหยิบไพ่ลาดตระเวนออกมา และขมวดคิ้ว

เข้าได้รับข้อความ มาจากเมืองศักดิ์สิทธิ์!

ในโลกแสงดาวสี่แก๊งใหญ่ มีอำนาจที่ล้นเหลือไปทั่ว อีกทั้งพวกเขาทั้งสี่แก๊งใหญ่ก็ร่วมกันปกครองโลกแสงดาวอีกด้วย

ในบางทีนั้น เมืองศักดิ์สิทธิ์นั้นได้เป็นพันธมิตรกับกองกำลังของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เพราะในแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างๆนั้นมีนักรบที่แข็งแกร่งอยู่มาก อีกทั้งยังดำรงตำแหน่งต่างๆในเมืองศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย

แต่ว่ารอบนี้แดนศักดิ์สิทธิ์มีคนได้ใช้ระบบการติดต่อภายในเพื่อส่งข่าวออกมา และเรียกให้เขาไปที่เมืองศักดิ์สิทธิ์

หลัวซิวก็ไม่ค่อยแน่ใจว่านี่ใช่เรื่องหลอกลวงหรือเปล่า

ถึงอย่างไรในแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างๆนั้นก็มีผู้แข็งแกร่งมากมายที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ หรือว่าจะเป็นการหลอกลวงเพื่อให้เขาไปที่นั่น

หลัวซิวนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะตัดสินใจไม่สนใจเขา ถึงแม้เข้าจะนับว่าเป็นสมาชิกมารของแดนศักดิ์สิทธิ์ แต่จริงๆแล้วเขากับสี่แก๊งใหญ่ก็ไม่ค่อยที่จะติดต่อกันเท่าไหร่นัก แล้วก็ไม่ได้รู้จักอะไรขนาดนั้น

ในวันนี้ หลัวซิวนั้นได้ใช้ข่าวกรองขององค์กรนักล่ายุทธ์ และล็อกตำแหน่งของเจ้ายุทธจักรเผ่าหงส์เอาไว้

นี่คือเจ้ายุทธจักรในขั้นปลาย ในชนเผ่าหงส์ ก็นับว่าเป็นผู้อาวุโสในเผ่าหงส์

ในทั้งเผ่าหงส์มีมหาจักรพรรดิยุทธ์อยู่สามคน คนหนึ่งในปัจจุบันเป็นหัวหน้าของเผ่าหงส์ โดยที่เขานั้นเป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์สิบอันดับต้นๆ ชื่อว่า จักรพรรดิหงส์!

จึงเรียกเขาได้ว่ามหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งการต่อสู้ เปรียบเสมือนได้กับเทพมารทั่วไป ดังนั้นในโลกแสงดาว ตำแหน่งของเผ่าหงส์นั้น นับว่าเป็นอันดับสี่นิรันกาลของแดนศักดิ์สิทธิ์

แต่ว่านอกจากจักรพรรดิหงส์ ก็ยังมีผู้อาวุโสอีกสองท่าน ที่มีอายุที่ค่อนข้างสูง อีกทั้งวิชาของพวกเขายังแข็งแกร่งมากอีกด้วย

สามมหาจักรพรรดิยุทธ์ทั้งสามคนนี้ นับว่าเป็นระดับผู้อาวุโสของเจ้ายุทธจักร อีกทั้งยังใกล้จะเป็นเจ้ายุทธจักรขั้นปลาย และยังไม่มีถึงสิบคนด้วย

ในตอนนี้เหวปีศาจมรณะ เจ้ายุทธจักรขั้นปลายหนึ่งคนของชนเผ่าหงส์นั้นถูกเย่หานฆ่าตาย ถ้าหากมีใครถูกฆ่าอีกหละก็ ข้าผู้อาวุโสระดับสิบ ก็จะฆ่าพวกมันทั้งสองคนก่อนที่จะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ

ความสัมพันธ์ของหลัวซิวและเผ่าหงส์ที่โกรธแค้นนั้นไม่อาจที่จะสลายไปได้ หากเขานั้นตั้งใจที่จะดูแลเหยียนเยว่เอ๋อร์ก็ดีไป แต่ว่าเขาได้ยินมาว่าเผ่าหงส์นั้นอยากจะให้เธอและเทพบุตรของเผ่าหงส์มารวมกัน เพื่อสืบทอดสายเลือดตระกูลต่อไป

เรื่องนี้เองที่ทำให้ หลัวซิวอดทนไม่ได้ ถ้าหากเขามีพลังอำนาจระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ เขาคงจะฆ่าพวกเผ่าหงส์ไปตั้งนานแล้ว

โชคดีที่การสืบสายเลือดเทพหงส์นั้นเลื่อนออกไป อีกทั้งการฝึกวิชาก็ยังมีกฎเกณฑ์ และเมื่อฝึกวิชาได้ในขั้นที่สูงขึ้น การให้กำเนิดสายเลือดลูกหลานในรุ่นต่อไปก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น ดังนั้นเลื่อนการสืบสายเลือดเทพหงษ์ออกไปจะทำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ดังนั้นเผ่าหงส์จึงตัดสินใจ รอให้พวกเขาทั้งสองคนนั้นสามารถไปถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ แล้วค่อยทำการสืบสายเลือดของเผ่าหงส์ต่อไป

เมื่อเปรียบกับอัจฉริยะต่างๆ การที่จะไปแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์นั้นแค่คิดก็ยากแล้ว แต่เมื่อพูดถึงสายเลือดของเผ่าหงส์ล่ะก็ ให้ฝึกฝนวิชาจนไปถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์นั้นไม่ใช่เรื่องยาก จนกระทั่งจะมีโอกาส ที่จะได้เปลี่ยนเป็นเทพมาร รอให้มีพลังแห่งเทพหงส์และมีโอกาสสูงที่จะเป็นไปได้

“เผ่าหงส์ บัญชีระหว่างพวกเรา ค่อยๆคิดล่ะ!”

ในตกดึก หลัวซิวได้เข้าไปใกล้ๆคูเมืองที่มีแต่ความมืดมิด เขายืนยันข้อความ เจ้ายุทธจักรผู้อาวุโสของเผ่าหงส์ ได้พำนักอยู่ที่บริเวณคูเมืองนี้

เพราะว่าในบริเวณรอบๆคูเมืองนี้มีทรัพยากรที่สำคัญและล้ำค่าอยู่ ในเมืองนี้มีทรัพย์สมบัติมากมายที่เป็นของเผ่าหงส์ ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องมีผู้อาวุโสเจ้ายุทธจักรขั้นปลายมาอยู่ที่นี่

ภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์

“เจ้าหลัวซิว สร้างปัญหาไว้ไม่น้อยจริงๆ ”

ตำหนักที่ตั้งอยู่บนยอดเขาสูงนั้น ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เจ้าแดนหลิวที่กำลังมองขมวดคิ้วไปที่เทวทูตจื่อเยียน

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 793
เขานั้นได้พูดคุยส่วนตัวกับเจ้าแดนหลิวดินแดนศักดิ์สิทธิ์แล้ว เพราะเขารู้ว่าเทวทูตพิภพเบื้องบนนั้นได้ให้ความสำคัญกับหลิวซิว ดังนั้นเขาจึงได้เอ่ยถาม

เรื่องที่เกี่ยวกับชุดเกราะทองและหยกม้วนทองนั้น ทั้งเผ่าพันธุ์มนุษย์และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์นั้นก็มีความเป็นกังวล ดังนั้นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์จังได้มีการออกคำสั่งออกไป

“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องสนใจหรอก แต่แค่คอยติดตามเฝ้าระวังกับพวกเผ่าพันธุ์มารก็พอ”เทวทูตจื่อเยียนพูดอย่างเรียบๆ

“รับทราบ!”เจ้าศักดิ์สิทธิ์ตำหนักดาราเอ่ยพร้อมหยักหน้า

“เจ้ากลับไปก่อนเถอะ”

……

เมื่อต้องเผชิญกับเทวทูตที่มีขั้นสูงกว่า ที่แม้แต่เจ้าศักดิ์สิทธิ์ตำหนักดารา ก็ยังจะต้องก้มเคารพเขา ไม่เพียงแต่เพราะว่าฝั่งตรงข้ามนั้นมาจากพิภพแดนที่ขั้นสูงกว่า เหตุผลที่สำคัญเลยนั้น ก็คืออำนาจพลังของเขา

เมื่อเปรียบหากเจ้าศักดิ์สิทธิ์ตำหนักดารากับมหาเทพมาร ไม่ว่าฝั่งตรงข้ามเบื้องหลังจะแข็งแกร่งแค่ไหน? เพียงแค่ฝั่งตรงข้ามมีพลังอำนาจไม่เท่าข้า ข้าก็จะไม่เกรงกลัวใดๆ

เพราะว่ามีกฎขอบเขตอยู่ คนที่มีพลังอำนาจที่แข็งแกร่งกว่าเทพมาร ก็ไม่สามารถที่จะลงมาที่ดินแดนเบื้องล่างได้ เพียงแค่เจ้านั้นในแดนเทพมารมีพลังอำนาจที่มากมายไร้เทียมทาน ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องหวาดกลัวอันใดไป

ถึงแม้เทวทูตจื่อเยียนจะเป็นเพียงหญิงสาว แต่ทว่ามีพลังอำนาจที่น่ากลัวเป็นอย่างมาก ที่แม้แต่เจ้าศักดิ์สิทธิ์ตำหนักดารายังคงต้องทำตัวอ่อนน้อมต่อหน้าเธอ

“นายท่าน” เย่หานเอ่ยถามอย่างนอบน้อม

“ท่านคงจะเคยพบเจอกับเจ้านั่นบ้างแล้วล่ะ”เทวทูตจื่อเยียนยิ้มๆ

“รับทราบ เขาคือเจ้าศักดิ์สิทธิ์ตำหนักดารา เป็นเพราะเขาเป็นคนเริ่มเรื่องขึ้นมา ” เย่หานเอ่ยออกมาอย่างตรงไปตรงมา

“เรื่องนี้ข้าได้ทราบดีแล้ว แต่ว่าเจ้าเด็กนั่นช่างโชคดีดีจริงๆ ได้รับของไปมากมาย”

“ก็เพียงแค่โอกาสจังหวะดีนั่นแหละ ไม่ใช่ทุกอย่างจะดีเสมอไป แต่ว่ายังไงสะก็ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป ไม่แน่นะว่าอาจจะมีโอกาสได้เป็นถึงเทพฟ้า”

เงาเสมือนของเทวทูตจื่อเยียน ก่อนที่ดวงตาที่ว่างเปล่าทั้งสองข้างที่จะแหงนหน้ามองท้องแต่ แต่ก็ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

……

“หลัวซิวยังไม่ตาย!”

ตั้งแต่มีข่าวจากสำนักตำหนักดารานภา

แพร่กระจายออก อิงจากที่เจ้าศักดิ์สิทธิ์ตำหนักดาราพูดออกมาเอง

“โอ้พระเจ้า แม้แต่มหาจักรพรรดิยุทธ์ที่แข็งแกร่งยังตายในเหวปีศาจนั่น แล้วเจ้าหลัวซิวรอดมาได้ยังไง?”

ผู้คนต่างก็วิพากษ์วิจารณ์กันไป บางคนก็พูดว่าเจ้าหลัวซิวนั้นรู้จักกับพวกปีศาจที่อยู่ภายใน อีกทั้งยังดึงดูดให้พวกกองกำลังบุกเข้าไป เพื่อที่จะฆ่าคนทิ้ง

ไม่ว่าจะพูดอย่างไร เมื่อเปรียบกับกองกำลังแล้ว หลัวซิวไม่ตาย ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีแล้ว

เพราะว่าเขาไม่ตาย ถ้าหากจับที่ตัวเขา ก็จะได้รับของล้ำค่ามากมายที่อยู่บนตัวเขา ไม่ว่าจะเป็นปีกทิพย์ไร้มลทินหรือหยดม้วนทอง ล้วนแต่เป็นของล้ำค่าที่มิอาจเปรียบราคาได้

เมื่อเวลาหนึ่งเดือนผ่านไป ก็ไม่ได้มีข่าวของหลัวซิวออกมา

ในช่วงเวลานี้ หลัวซิวได้แต่อยู่ตัวคนเดียว

เย่หานก็ได้เริ่มทำการฆ่าสังหารรอบใหญ่ในเหวปีศาจมรณะ มหาจักรพรรดิยุทธ์ สามสิบกว่าคน และแหวนของมหาจักรพรรดิยุทธ์นั้นก็มีพลังและทรัพยากรจำนวนมากที่จะสมไว้อยู่

วันที่หลัวซิวออกมา ท้องฟ้าก็เกิดการแปรปรวนสั่นไหว ทางกฎความตายดั้งเดิมที่เปลี่ยนเป็นมังกรที่มีรูปร่างสีดำ ก่อนจะบินขึ้นไปบนท้องฟ้า แล้วก็กระจายสลายหายไป

“แดนมหายุทธ์!”

ในช่วงที่เก็บตัวอยู่คนเดียวนั้น ไม่ได้มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น และเขาได้ฝึกฝนตนเองจนไม่มีที่สิ้นสุดจนมาถึงแดนมหายุทธ์!

แต่ไม่ว่าอย่างไร แดนกฎของเขานั้นก็ได้มีความก้าวหน้าขึ้น และได้พัฒนาไปจนถึงช่วงปลายของความเชี่ยวชาญในขั้นต้น

ดังนั้นก็หมายความว่า แดนกฎ ของเขานั้นก็มาถึงในช่วงเจ้ายุทธจักรในช่วงปลาย

นอกจากแดนกฎ หลัวซิวนั้นได้พัฒนามากที่สุด นั่นก็คือดินแดนสำนึกของเขา ได้พัฒนาไปถึงขั้นเจ้ายุทธจักรขั้นต้น ในช่องจิตปลอมที่ซ่อนวิญญาณอันบริสุทธิ์ไว้มากมายได้ถูกใช้ไปมากมาย

อีกทั้งยังมีเนื้อหนังของเขา ก็พัฒนาจนไปถึงขั้นสูงสุดของร่างแดนศักดิ์สิทธิ์

“พลังอำนาจของเขาตอนนี้เปรียบเทียบเสมือนกับเจ้ายุทธจักรแล้ว พลังทั้งหมดของเขานั้น นับว่าเป็นเจ้ายุทธจักรขั้นปลาย”

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 792
“ท่านคือภูตน้ำแห่งมรณาจิ่วหยินที่แปลงร่างเป็นอสูรจิตแห่งสวรรค์ใช่ไหม?”เจ้าศักดิ์สิทธิ์ตำหนักดาราพยักหน้า ก่อนที่จะมองออกถึงที่มาของเขา

“เจ้านี่ช่างมีดวงตายิ่งนัก ถึงได้รู้ถึงประวัติความเป็นมาของข้า”งูยักษ์ดำพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา

“ท่านสามารถฝึกฝนจนได้เป็นเทพมาร ทำไมเจ้าถึงได้ฆ่าคนไปมากมายขนาดนี้ ถึงให้คนอื่นถึงได้รับความทรมาน”เจ้าศักดิ์สิทธิ์ตำหนักดาราเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

“ข้าจะฆ่า แล้วทำไมข้าจะต้องอธิบายให้เจ้าด้วย?”ถึงแม้ว่าฝั่งตรงข้ามนั้นจะเป็นเทพมารตนเดียวแห่งโลกแสงดาว แต่ทว่างูยักษ์ดำกับพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา และไม่ได้ไว้หน้าเขา

“หึ!”

เจ้าศักดิ์สิทธิ์ตำหนักดารามองไปที่เขาด้วยสายตาอาฆาตแวบหนึ่ง ก่อนที่จะมีแสงส่องออกมาจากนิ้วทั้งห้าของเขา และเปลี่ยนกลายเป็นดาบอันแหลมคม ก่อนที่จะส่องสว่างไปทั่ว

โดยที่การถ่ายทอดของเจ้าศักดิ์สิทธิ์ตำหนักดารา โดยปกติแรงนั้นขึ้นอยู่กับพลังของดวงดาว ก่อนที่จะแปลงเป็นกฎเก้าประเภท ดังนั้นเมื่ออิงกับสถานการณ์ของตนเองแล้ว เมื่อเกิดการรวมตัวกันขึ้นจะทำให้เกิดกฎพลังที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก

เส้นทางที่ท่านเจ้าศักดิ์สิทธิ์ตำหนักดาราได้เดินมานั้นขึ้นอยู่กับ กฎเบญจธาตุ ที่รวมและเปลี่ยนเป็นกฎตรีภพ

“โฉ่งฉ่าง!โฉ่งฉ่าง!โฉ่งฉ่าง!”

ดาบแห่งตรีภพที่ส่องแสงออกมาก แสงและพลังที่ส่งออกมาอย่างแรงกล้า และในทุกจุดของดาบก็ส่องสว่างและแสดงถึงความคมกริบ ที่เสมือนจะสามารถตัดภูเขาออกจากกันได้อย่างง่ายดาย ที่สามารถที่จะทำลายล้างทุกสิ่ง ตัดออกให้เป็นผงได้

“กฎตรีภพ?”

งูยักษ์ดำไม่เพียงแม้แต่จะหวาดกลัว ก่อนจะแสดงถึงรอยยิ้มอันเยือกเย็นและถาม “ตั้งแต่ข้าและเจ้านายนั้นได้กลับมาถึงโลกแสงดาว ข้าเย่หานน่าจะเวลาประมาณเกือบล้านปีแล้วที่ไม่ได้ต่อสู้กับใคร”

เย่หาน เขาคือภูตน้ำที่ฝึกฝนวิชาจนมาถึงแดนเทพมาร เขาจึงตั้งชื่อให้ตัวเอง

เขาเงยหน้าขึ้นก่อนจะตะโกนเสียงดัง บริเวณรอบๆเต็มไปด้วยการสั่นสะเทือน พลังของจิ่วหยินนั้นที่เปลี่ยนรูปร่างเป็นกำแพงน้ำสีดำ ที่ขวางกั้นรังสีกระบี่แสงหมื่นผสมเอาไว้

น้ำมรณะจิ่วหยิน ที่แท้ก็คือภูน้ำแห่งฟ้าดิน ที่รวมไปด้วยกฎธาตุน้ำและกฎไท่หยิน โดยที่เย่หานนั้นร่างกายของเขานั้นเป็นภูตน้ำที่ประกอบไปด้วยสองกฎรวมกัน ที่ฝึกออกมาจนเป็นกฎจิ่วหยิน

บู๊ม!

กำแพงม่านน้ำสีดำนั้นถูกพลังแสงหมื่น นั้นทำลายจนย่อยยับ ก่อนที่เย่หานจะโบกมืออีกครั้ง เพื่อเรียกม่านกำแพงน้ำขึ้นมา ก่อนที่จะมากั้นพลังรังสีกระบี่แสงหมื่นผสม

“ในระดับชั้นเทพพิภพมารระดับนี้ ไม่คาดคิดว่าจะมีคนเก่งระดับนี้อยู่ด้วย ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ”

การต่อสู้เมื่อสักครู่ก็ทำให้พอที่จะดูออก ว่าพลังการต่อสู้ของเย่หาน ยังด้อยกว่าเจ้าศักดิ์สิทธิ์ตำหนักดาราอยู่เล็กน้อย

ถึงแม้จะอยู่ในระดับพิภพชั้นกลาง แต่เย่หานก็อยู่ในแดนของเทพมาร และก็นับว่าเป็นบุคคลที่แข็งแกร่ง ถึงแม้เดิมทีเขาจะเป็นเทพมารที่มาจากชนชั้นภิภพของเทพมารที่ต่ำกว่าหนึ่งชั้น แต่เขาก็สามารถที่จะพัฒนาตนเองให้แข็งแกร่งขึ้นมา พูดๆแล้วมันก็ไม่ง่ายเลยจริงๆ

เพราะว่าการที่จะฝึกฝนวิชาในภิภพที่สภาพแวดล้อมและทรัพยากรที่ต่ำกว่า

“เจ้ามาจากแดนเบื้องบนหรอ?”

เจ้าศักดิ์สิทธิ์ตำหนักดาราขมวดคิ้ว ก่อนที่จะไม่ได้ลงมือต่อ

เขานั้นมาที่นี่นับว่าเป็นผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์ที่สูงสุดแห่งโลกแสงดาว เป็นธรรมชาติที่เขาจะสามารถมาถึงระดับพิภพนี้ เพราะต้องรู้ว่าโลกแสงดาว เป็นยุทธภพที่ไม่มีที่สิ้นสุด และเป็นพิภพที่ต่ำที่สุดในแดนนี้

งูยักษ์ดำไม่ได้เอ่ยขึ้น ก่อนที่จะมองเห็นคิ้วสีดำของเขานั้นมีบางอย่างส่องแสงบินออกมา ราวกับได้เปลี่ยนแปลงเป็นรูปร่างของสาวสวย

“เทวทูต?”

เจ้าศักดิ์สิทธิ์ตำหนักดาราเมื่อมองเห็นหญิงสาว ก็ตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะก้มหลังทำความเคารพ

เพราะเขานั้นคือเจ้าศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ อีกทั้งในโลกแสงดาวคนที่จะทำให้เขาเคารพได้นั้น น่าจะมีเทพแดนศักดิ์สิทธิ์ที่คอยนั่งเฝ้ารักษาอยู่สองคน

คนแรกเขานั้นเป็นเทวทูตที่มาจากพิภพเบื้องบน ส่วนอีกคนเป็นเจ้าศักดิ์สิทธิ์แห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เจ้าแดนหลิว

“ เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ข้าทราบดีแล้ว เพราะคนพวกนั้นไม่สมควรที่จะมีชีวิตอยู่”เทวทูตจื่อเยียนรู้สึกงงๆก่อนที่ค่อยๆเอ่ยๆช้า โดยที่น้ำเสียงและการแสดงออกนั้นช่างเย็นชา

ที่ทำให้เจ้าศักดิ์สิทธิ์ตำหนักดาราเกิดความรู้สึกเกรงขามขึ้น เพราะเขาและเทวทูตผู้นี้ได้พบเจอกันเพียงไม่กี่ครั้ง และรู้ดีเกี่ยวกับเทวทูตผู้นี้ ว่าเขานั้นไม่ได้แม้แต่จะสนใจเกี่ยวกับการตายของเจ้ายุทธจักรและเจ้ามหาจักรพรรดิยุทธ์

“เทวทูต เมื่อก่อนนั้นจะปรากฏในดินแดนอาณาจักรตะวันออกของเกราะนักยุทธ์ทองและม้วนหยก และตอนนี้อำนาจของม้วนหยกนั้นได้ตกไปอยู่ในมือของหลิวซิว ”เจ้าศักดิ์สิทธิ์ตำหนักดาราเอ่ยออกมา”

บทที่ 791

บทที่ 793

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 791
หลังจากที่หลัวซิวออกจากเหวปีศาจมรณะ ในใจของเขานั้นเต็มไปด้วยความสับสน บนใบหน้าเต็มไปด้วยความดีใจ ก่อนที่จะแสดงใบหน้าแห่งความกังวลออกมาด้วย

ในตอนนี้มีกองกำลังที่แข็งแกร่งกำลังบุกเข้าไปที่เหวปีศาจมรณะ และได้ถูกสังหารฆ่าตายภายใต้น้ำมือของเจ้ายุทธจักรงูยักษ์ดำ มีประมาณสามสิบคน ในแดนมหายุทธ์นั้นมีมากกว่าร้อยกว่าคน อีกทั้งยังมีคนแบบมหาจักรพรรดิยุทธ์อยู่อีกได้

แม้แต่พวกแหวนของคนพวกนี้ งูยักษ์ดำยังไม่แม้แต่ที่จะสนใจมอง และยังไม่สนใจอีกด้วย

ดังนั้นเลยทำให้ ของสมบัติล้ำค่ามากมายนั้น ตกไปอยู่ในมือของหลัวซิว เมื่อมีทรัพยากรพวกนี้ ก่อนที่จะบุกทะลวงเข้าไปในแดนมหายุทธ์เลยทำให้มีความคิดดีๆในการจัดการทรัพยากร

แต่ทว่าสิ่งที่ทำให้หลัวซิวนั้นปวดหัวหละก็ คงจะเป็นเพราะกองกำลังนั้นได้สูญเสียผู้คนไปจำนวนมาก โดยเฉพาะนักรบมหาจักรพรรดิยุทธ์ที่ยิ่งใหญ่ กลัวว่าบัญชีพวกนี้ มันจะถูกนับมาจากกองกำลังทหารสะจนนับมาถึงหัวของตนเอง

ในตอนที่หลิวซิวกำลังคิดลังเลอยู่นั้น ถึงแม้ว่าคนที่เข้าไปในเหวปีศาจมรณะจะตายกันหมด แต่ว่ากองกำลังก็พอจะทราบว่าเกิดอะไรขึ้นภายในนั้น

เมื่อข่าวได้แพร่กระจายออกไป คนทั้งหมดต่างก็ตกใจเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ เผ่าพันธุ์มาร หรือเผ่าพันธุ์ปีศาจ ทุกคนต่างก็แตกตื่นและเป็นกังวลกันอย่างมาก

ตำหนักดารานภานั้นสูญเสียมหาจักรดิยุทธ์หนึ่งท่าน ที่ได้ใช้เวลากว่าร้อยพันปีในการฝึกซ้อมวิชาในแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์เพื่อเป็นเทพนักรบมหาโหด ที่แม้แต่วิญญาณของเขาถูกทำลายในเหวปีศาจมรณะแม้แต่กลับชาติมาเกิดยังทำไม่ได้ เลยทำให้ในโลกฝึกยุทธ์เกิดการสั่นสะเทือนไปทั่ว

ไม่เพียงแต่แค่นี้ อีกทั้งกองกำลังยังได้สูญเสียนักรบเจ้ายุทธจักรไปอีกมากมาย ยังไม่กลัวหากว่าจะมีระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ระดับนิรันด์จะมาพูด เจ้ายุทธจักรที่แข็งแกร่งนั้นเป็นกองกำลังที่สำคัญ เพราะว่ามหาจักรพรรดิยุทธ์ของแดนศักดิ์สิทธิ์ในอนาคต จะต้องคัดเลือกมาจากเจ้ายุทธจักรแต่ทว่าตอนนี้ก็เสียเจ้ายุทธจักรไปตั้งมากมาย

แค่ชั่วเวลาเดียวก็หายไปตั้งมากมาย กองกำลังที่โดนโจมตีขนาดนี้ และก็ได้รับความสูญเสียและเสียหายไปมากมาย

เมื่อข่าวได้แพร่กระจายออกไปผู้คนมากมายต่างก็ไม่อยากจะเชื่อ ทันในเร็วๆนั้นหัวหอกมากมายก็ชี้ไปทางหัวของหลัวซิว เพราะว่าเมื่อได้ยืนยันจากกำลังของกองทัพแล้ว เหตุการณ์สังหารทั้งหมดที่ได้เกิดขึ้นในครั้งนี้นั้น ทั้งหมดก็เพราะหลัวซิวนั้นจงใจที่จะให้ทั้งกองกำลังคนและม้านั้น บุกเข้าไปในเหวปีศาจมรณะ

“รู้ทั้งรู้ว่าแล้วว่าข้างในเหวปีศาจมรณะในนั้นจะมีเทพมหาโหด แต่ทว่ายังจะให้กองกำลังพลทหารและม้านั้นบุกเข้าไปข้างในอีก จิตใจช่างโหดเหี้ยมชั่วร้ายจริงๆ!”

“รู้ทั้งรู้เกี่ยวกับเหวปีศาจมรณะ กลัวว่ากองกำลังทหารจะไม่มีความสงบสุข โดยเฉพาะอาณาจักรตะวันออกของตำหนักดารานภา เพราะว่าเหวปีศาจมรณะนั้นอยู่ภายในพื้นที่ของตำหนักดารานภา อีกทั้งยังใกล้กับตำหนักดารานภาอีก ”

“คนทุกคนตายกันไปหมดแล้ว ถ้าอย่างงั้นหลัวซิวก็ควรจะตายได้แล้ว?”

ในตอนนี้มีแต่คนพูดแต่เรื่องนี้ เพราะบริเวณรอบเหวปีศาจมรณะนั้นมักมีกองกำลังนักรบที่แข็งแกร่งวนเวียนเข้ามามากมาย แต่ทว่าไม่มีผู้ใดกล้าที่จะเสี่ยงบุกเข้าไปภายใน

เพราะว่าทั้งเหวปีศาจมรณะนี้ ราวกับว่าทั้งหมดนี้เป็นกฎพื้นที่ที่จะมีแต่เทพโหดแห่งทะเลสาบดำ แม้แต่มหาจักรพรรดิยุทธ์ยังสิ้นชีวิตภายในที่แห่งนี้ ถ้าอย่างงั้นนักรบทั่วไปใครหละก็จะกล้าบุกเข้าไป?

ในวันนี้ พื้นที่ด้านบนของเหวปีศาจมรณะได้เปิดออก และมีรูปร่างเงาขนาดใหญ่ที่โผล่ออกมา ก่อนที่บรรยากาศรอบๆนั้นก็เต็มไปด้วยหมอกควัน ที่ปกคลุมไปทั่ว

โดยที่ร่างกายของคนนี้ได้เปล่งแสงออกมา โดยที่ทำให้ไม่เห็นอะไรรอบๆตัวเขา เนื่องจากแสงที่ส่องออกมา ราวกับท้องฟ้าที่มองไม่เห็นเมฆ

เขาคนนี้คือเจ้าของดินแดนทางอาณาจักรตะวันออก คือเจ้าศักดิ์สิทธิ์แห่งตำหนักดารานภา และเป็นเทพมารนิรันกาลที่แข็งแกร่ง

ตำหนักดารานภานั้นตั้งอยู่ในอาณาจักรตะวันออก และมีการปรากฏพบเทพมารนิรันกาล ที่ทำให้เจ้าศักดิ์สิทธิ์ตำหนักดารานั้นต่างก็ตกตะลึง ถึงกับต้องมาดูด้วยตาตนเอง

ตอนที่เจ้าศักดิ์สิทธิ์ตำหนักดารานภาเสด็จมาก เขาคือเทพผู้ยิ่งใหญ่ ที่ร่างกายสูงใหญ่ราวกับยักษ์ ราวกับว่าทุกอย่างแม้แต่ท้องฟ้าและดวงดาวได้ถูกเขาควบคุมไว้หมดแล้ว

เขาเปรียบเหมือนราวกับพระพุทธรูป เมื่อเขาก้าวเดินออกมา หมอกควันของเหวปีศาจมรณะนั้นก็ได้สลายหายไป และได้เปิดทางเป็นวแนวเพื่อเป็นทางเข้าไปสู่เหวปีศาจมรณะ

ทันใดนั้น เขาก็พบกับหลุมทะเลสีดำขนาดใหญ่บนท้องฟ้า และตอนนี้เขาก็ได้สัมผัสถึงพลังที่ซ่อนอยู่ในภายใต้มหาสมุทรนั้น

“เทพมารของเผ่าพันธุ์มนุษย์แห่งโลกแสงดาว?”

ก่อนที่จะมีเงาสีดำนั้นบินลอยออกมาจากทะเลสาบสีดำ ที่ดวงตากำลังจ้องมองมาที่เจ้าศักดิ์สิทธิ์ตำหนักดารา

ชายเสื้อสีดำนี้ ก่อนที่จะแปลงร่างเป็นร่างงูยักษ์ดำ

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 790
หลัวซิวเดาว่างูมรณาจิ่วหยิน มีความเป็นได้อย่างมากที่จะเป็นสิ่งมีชีวิตตามที่เล่าขานกันมา

“ตาย!”

งูใหญ่สีดำไม่แยแส ตั้งแต่เริ่มจนจบไม่ได้หยุดมือเลย การสังหารที่มองไม่เห็นครอบคลุมทุกคนไว้ มีผู้แข็งแกร่งอีกสองสามคนในจุดนั้นที่ร่างกายฉีกขาด กลายเป็นละอองเลือด ตายลงในทันที

ปุบ! ปุบ! ปุบ!……

อัสนีโลหิตถูกปล่อยออกไปอย่างต่อเนื่อง ในช่วงเวลาสั้น ๆ ทุกคนที่ไล่ตามฆ่าหลัวซิวและลงมายังเหวปีศาจมรณาแห่งนี้ ต่างก็ตายกันจนหมดสิ้น!

รอบด้านของทะเลสาบดำ เลือดไหลดั่งสายน้ำ กระดูกและโคลนเลือดมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ราวกับอสูรชำระล้าง

งูใหญ่สีดำโหดเหี้ยมไร้ความปรานี ฆ่าทุกคนจนสิ้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ เผ่าพันธุ์มาร หรือว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจ

แม้กระทั่งมหาจักรพรรดิยุทธ์คนหนึ่งจากตำหนักดารานภา ก็ถูกฆ่าตายที่นี่ด้วย!

“ไอ้หนุ่ม คนพวกนี้เจ้าพามาหรือ?”

ร่างเงาที่ไร้ความปราณีปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าหลัวซิวอย่างเงียบเชียบ บรรดาผู้ที่บุกเข้าไปในที่ต้องห้ามอันน่าสยดสยองแห่งนี้ นอกจากตัวเองแล้ว ทุกคนได้ตายไปกันหมด

งูมรณาจิ่วหยินดุร้ายเสียจนทำให้คนเกรงกลัว แต่หลัวซิวรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้หมายจะฆ่าตนเอง แน่นอนว่าเป็นเพราะเรื่องของเทวทูตจื่อเยียน

และงูมรณาจิ่วหยินนี้คือนายของเทวทูตจื่อเยียน เช่นนั้นพลังของเทวทูตจื่อเยียนจะแข็งแกร่งมากถึงเพียงใด?

“ข้าน้อยถูกไล่ฆ่า เพราะอับจนหนทางจึงทำได้เพียงหนีมาซ่อนอยู่ในที่แห่งนี้” หลัวซิวท่าทีเคารพอย่างมาก กังวลใจว่าเขาจะทำให้เทพที่ดุร้ายท่านนี้โมโห

งูใหญ่สีดำขมวดคิ้ว “ข้าไม่ได้ให้น้ำมรณาจิ่วหยินไปหยดหนึ่งแล้วหรือ?”

ตามคำพูดของงูใหญ่สีดำ เขามอบน้ำมรณาจิ่วหยินให้กับหลัวซิวแท้จริงแล้วมันไม่ได้ธรรมดาอย่างที่เห็น หากตกอยู่ในอันตราย สามารถใช้น้ำมรณาจิ่วหยินเรียกร่างแยกของเขาออกมาได้

สำหรับเขาแล้ว ถึงแม้จะมีเพียงแค่หนึ่งร่างแยก การฆ่ามหาจักรพรรดิยุทธ์ก็ยังคงเป็นเรื่องที่ง่ายดายอยู่ดี

หลัวซิวเดิมทีคิดว่านั่นคือน้ำมรณาจิ่วหยินทั่วไป แต่กลับคาดไม่ถึงว่ามันจะเป็นร่างแยกของงูใหญ่สีดำอีกร่างหนึ่ง

“ครั้งนี้เจ้าก่อปัญหา ข้าออกตัวช่วยเจ้าด้วยตัวเอง แต่กลับรบกวนการนอนหลับของข้า เจ้าต้องตอบรับเงื่อนไขข้าหนึ่งข้อ ไม่เช่นนั้นจุดจบของเจ้าก็จะเหมือนกับคนพวกนั้น”

งูใหญ่สีดำเอื้อมมือออกไปชี้สนามรบที่มีเลือดนองอยู่รอบด้าน สีหน้าไม่แยแสอย่างยิ่ง ท่าทีบ่งบอกว่าไม่ใช่การล้อเล่น

“ไม่รู้ว่าท่านผู้อาวุโสต้องการให้ข้าน้อยทำสิ่งใด?” หลัวซิวถาม

“ข้าต้องการให้เจ้าฝึกตนถึงมหาจักรพรรดิยุทธ์ภายในสิบปี เจ้าทำได้หรือไม่?” นัยน์ตาแดงกร่ำของงูใหญ่สีดำจ้องเขม็งมาที่หลัวซิว

“สิบปี?”

หลัวซิวเผยสีหน้าที่เหลือเชื่อ เพราะสำหรับเขาแล้ว มันเหมือนกับเป็นเรื่องไม่สามารถเป็นไปได้

แม้ว่าเขาจะมีความสามารถและความถนัดดังกล่าว แต่กลับยากมากที่จะรวบรวมทรัพยากรมหาศาลเพื่อฝึกตนให้ถึงมหาจักรพรรดิยุทธ์

“ฝึกตนไม่ถึงไม่เป็นไร แต่ต้องมีพลังการต่อสู้ระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ ถึงเวลานั้นเจ้าต้องมาพบข้าพร้อมกับหัวของผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์”

งูใหญ่สีดำพูดเสียงเรียบ “หากเจ้าทำไม่ได้ ข้าจะฆ่าเจ้าด้วยมือข้าเอง”

ยังไม่ทันสิ้นเสียง ไม่แม้แต่จะเปิดโอกาสให้หลัวซิวพูดสักคำ ร่างของงูใหญ่สีดำก็จมลงสู้ก้นทะเลสาบดำทันที

“นี่มันเรื่องอะไรกันแน่เนี่ย……”

หลัวซิวไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี แม้ว่าตามแผนของเขา ใช้พลังของงูดำเพื่อต่อกรกับผู้แข็งแกร่งจากกองกำลังต่าง ๆ ที่ไล่ตามฆ่าเขา แต่คาดไม่ถึงว่าจะทำให้เกิดเรื่องราวใหญ่โตเช่นนี้ อีกทั้งยังถูกกำหนดเส้นตายสิบปีอีกด้วย

เขาสามารถรู้สึกได้ งูใหญ่สีดำไม่ได้เล่นตลกกับเขา หากระยะเวลาสิบปีหมดลง ถ้าเขาไม่สามารถฆ่าผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ได้สักคน อีกฝ่ายน่าจะฆ่าตัวตายด้วยมือของเขาเองจริง ๆ

นิสัยของงูใหญ่สีดำกับเทวทูตจื่อเยียนช่างแตกต่างกันลิบลับ วิธีคิดไม่สามารถคิดตามเหตุผลทั่วไปได้

……

ดวงตาแดงก่ำมองไปยังเผ่าพันธุ์ปีศาจ “กล้ารบกวนการนอนของข้า หาที่ตาย!”

“อ๊าก!……”

เขาเอื้อมมือใหญ่ออก ทันใดนั้นก็ยื่นไปบิดคอผู้แข็งแกร่งเผ่าพันธุ์ปีศาจคนหนึ่ง เลือดพุ่งกระจาย แว่วเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด

ฉากนี้สยองมาก ผู้ที่ถูกบิดศีรษะด้วยมือเดียว เป็นถึง เจ้ายุทธจักรท่านหนึ่งของเผ่าพันธุ์ปีศาจ อีกทั้งยังเป็น เจ้ายุทธจักรช่วงปลาย

แต่มันเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น งูใหญ่สีดำถูกรบกวนการนอนหลับดูเหมือนโกรธมาก และเพื่อระบายความโกรธ เขาจ้องเขม็งไปที่เผ่าพันธุ์ปีศาจ เอื้อมมือออกไปอีกครั้ง ฉีก เจ้ายุทธจักรคนหนึ่งของเผ่าพันธุ์ปีศาจขาดเป็นสองท่อน

เลือดกระจายเป็นสายฝน ตกลงบนตัวคนอื่นที่อยู่ใกล้เคียง ภาพตรงหน้าสยดสยองถึงที่สุด

ปุบ!

ผู้แข็งแกร่งเผ่าพันธุ์ปีศาจคนที่สามกรีดร้อง ศีรษะถูกฝ่ามือบีบแตก เลือดปะปนกับสมองสีขาว กระเด็นไปทั่วทั้งสี่ทิศ

ในเวลานี้ ทุกคนรู้สึกเสียวซ่าหนังศีรษะ การมีอยู่ของงูใหญ่สีดำตรงหน้านี้ช่างน่ากลัว ฆ่า เจ้ายุทธจักรราวกับบี้มด ไร้ซึ่งหนทางในการต่อต้าน

บรรยากาศน่าสยดสยองปกคลุมทั่วหัวใจของทุกคน ทุกคนเริ่มถอยห่างออกไป รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ

“ในเมื่อมาที่นี่แล้ว ก็อย่างได้ออกไปแม้แต่คนเดียว!”

งูใหญ่สีดำสีหน้านิ่งเรียบ เขาเป็นถึงการแปรเปลี่ยนของเทพแห่งฟ้าดิน ไม่สนใจอยู่แล้วว่าเจ้าพวกนี้จะเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์หรือมารปีศาจ

เขาพูดออกไปแบบส่ง ๆ แต่เหมือนคำพูดนั้นเป็นข้อบังคับ โซนทั่วทั้งเหวปีศาจมรณาถูกปิดสนิท กลายเป็นอาณาเขตส่วนตัวของงูใหญ่สีดำ

“พื้นที่ถูกปิดกั้น พวกเราช่วยกันโจมตี!”

ไม่รู้ว่าใครตะโกนออกมา ทันใดนั้น ผู้แข็งแกร่งเผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าพันธุ์มารก็พากับลงมือ แต่คนจากเผ่าพันธุ์ปีศาจกลับก้าวถอยหลังด้วยสีหน้าซีดเผือด

เผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าพันธุ์มารแห่งโลกแสงดาว ไม่รู้จักประวัติของงูมรณาจิ่วหยิน แต่เผ่าพันธุ์ปีศาจกลับรู้อย่างชัดแจ้ง

“หาที่ตาย!”

งูใหญ่สีดำคามเสียงดัง คลื่นเสียงที่น่ากลัวกระจายออกไป ทันใดนั้น เจ้ายุทธจักรผู้แข็งแกร่งเผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าพันธุ์มาร หลายสิบคันก็วิ่งไปข้างหน้า แต่ต่างก็ร่างแหลกสลาย กลายเป็นละอองเลือด

ที่โลกแสงดาว เจ้ายุทธจักรที่สามารถเดินอวดดีไปทั่วทั้งสี่ทิศได้นั้น เมื่ออยู่ในที่แห่งนี้ราวกับหมูกับไก่ ไม่สามารถทำอะไรได้เลย

“ปัง!”

โซนแตกเป็นผุยผง มีออร่าที่แข็งแกร่งกำลังมาเยือน ทั้งหมดปกคลุมไปด้วยแสงดาว บินจากฟากฟ้า มีดวงดาวระยิบระยับอยู่ข้างหลัง กลายเป็นภาพดวงดาวที่แข็งแกร่ง

ผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์!

ฝั่งเผ่าพันธุ์มนุษย์ มีความดีใจในการแสดงออกของพวกเขา ผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ตำหนักดารานภาปรากฏตัวแล้ว

“ตาย!”

มหาจักรพรรดิยุทธ์เผ่าพันธุ์มนุษย์แววตาแหลมคม ยกมือขึ้น ดวงดาวนับหมื่นส่องแสง สายรุ้งระยิบระยับพุ่งออกมา ปล่อยไปทางงูใหญ่สีดำที่กลายร่างเป็นคน

หลัวซิวก็มองไปทางงูใหญ่สีดำ ไม่รู้ว่ามันกับผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์เมื่อสู้กันจะเป็นอย่างไร

ในเวลานี้เอง สายรุ้งของมหาจักรพรรดิยุทธ์เผ่าพันธุ์มนุษย์ถูกปล่อยออกมา แต่ในจังหวะที่มันเข้าใกล้ร่างของงูใหญ่สีดำ อยู่ดี ๆ ก็แหลกสลาย ราวกับว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

งูใหญ่สีดำส่งเสียงหึในลำคอ นัยน์ตาคู่นั้นปล่อยอัสนีโลหิตสีแดงก่ำออกมา

พุ!
เลือดสาดกระเซ็น อัสนีโลหิตที่งูใหญ่สีดำยิ่งออกมาจากตานั้น แค่พริบตาเดียวก็แทงทะลุหว่างคิ้วของผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งตำหนักดารานภา ร่างกายก็แตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เลือดกระเซ็นไปทั่ว

“พระเจ้า ผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ก็ถูกฆ่าตายด้วย?”

เมื่อเห็นฉากนี้ ทุกคนก็ตกตะลึงจนแทบขาดใจ

หลัวซิวกฌยังตกใจกับภาพที่เห็น ฆ่า เจ้ายุทธจักรราวกับฆ่ามดนั่นก็อีกเรื่อง ฆ่ามหาจักรพรรดิยุทธ์ก็ราวกับเอื้อมมือหยิบของ นี่มันน่ากลัวจนถึงขีดสุดแล้ว พลังของงูใหญ่สีดำนี้ ช่างมากมายเสียจนไม่อาจคาดเดา

ที่ต้องรู้ ผู้แข็งแกร่งที่สามารถฝึกตนถึงระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ ในตอนที่ยังเป็นวัยรุ่นนั้นต่างก็เป็นอัจฉริยะหาตัวจับยาก ด้วยพลังของตัวเองก็สามารถสร้างแดนศักดิ์สิทธิ์เพื่อสืบทอดได้ แต่กลับถูกฆ่าตายในพริบตาเดียว

การมีอยู่ระดับเทพมารนิรันดร์!

จากบทสนทนาจากผู้แข็งแกร่งทั้งสามเผ่าพันธุ์ หลัวซิวเหมือนจะได้ยินความลับเล็กน้อยบางอย่าง

เมื่อหลายพันปีก่อน เผ่าพันธุ์ปีศาจมายังโลกแสงดาว เพื่อตามหาสิ่งของบางอย่าง

เหมือนจะพอดีกับตอนที่เทพสงครามเวหากาลตกต่ำ เมื่อคิดถึงตอนที่ เทพสงครามเวหากาลได้รับสมบัติวิเศษมาจากโลกพิภพระดับสูงชิ้นหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจมาที่โลกแสงดาว ก็เพื่อมาหาสมบัติวิเศษชิ้นนั้น

“แม้แต่ผู้แข็งแกร่งโลกพิภพระดับสูงยังโลภในสมบัติวิเศษ เห็นได้ชัดว่ามันวิเศษมาก แต่โลกแสงดาวกลับเป็นเพียงโลกพิภพระดับล่าง เทพสงครามเวหากาลตกลงมาที่นี่ เป็นเรื่องร้ายไม่ใช่เรื่องดี” สีหน้าของหลัวซิวค่อนข้างเป็นกังวล

ผู้แข็งแกร่งเผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าพันธุ์มาร รู้เพียงว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจมาเยือนโลกแสงดาวเพื่อตามหาสมบัติบางอย่าง แต่ไม่รู้ว่าสมบัติชิ้นนี้คืออะไร และไม่รู้ว่าภัยใดจะนำมาสู่โลกแสงดาว

ผู้ยิ่งใหญ่อย่างเทพสงครามเวหากาล ยังตกต่ำได้เพราะสมบัติชิ้นนั้น โลกพิภพระดับล่างที่ต่ำต้อยเพียงนี้ สำหรับการดำรงอยู่ของผู้สูงส่ง ก็ไม่มีค่าควรกล่าวถึง

ในภวังค์ หลัวซิวรู้สึกได้ถึงเงามหึมาครอบงำโลกแสงดาวไว้ สามารถกลับตาลปัตรฟ้าดินได้ทุกเวลา

คิดว่าในอนาคตอันใกล้นี้ โลกแสงดาวจะเกิดโศกนาฏกรรมใหญ่หลวงขึ้น หลัวซิวถึงกับอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหนาวสั่น

ทันใดนั้น หลัวซิวเรียกสติคืนมา เพราะเขารู้สึกถึงร่องรอยของเจตนาฆ่าที่ตกอยู่บนร่างของเขา

เจตนาฆ่าเหล่านี้ไม่ได้มาจากเพียงเผ่าพันธุ์ปีศาจ ยังมีเผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าพันธุ์มารด้วย เห็นได้ชัดว่าทุกคนต้องการม้วนหยกในมือของเขา

เพราะเผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าพันธุ์มารต่างก็รู้อยู่เต็มอกว่า สมบัติที่สามารถทำให้เผ่าพันธุ์ปีศาจมาเยือนโลกแสงดาวได้นั้น ต้องมีมูลค่ามากพอให้แย่งชิง ย่อมต้องไม่ใช่ของธรรมดา หากสามารถได้มันมาครอง ไม่แน่อาจเป็นโอกาสอันใหญ่หลวงส่วนหลัวซิวคนนี้ เขารู้สึกเหมือนไม่มีความสำคัญ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับผลประโยชน์มหาศาล

และมีแค่เพียงหลัวซิวที่รู้ สิ่งที่ถูกแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ต่าง ๆ ของเผ่าพันธุ์มนุษย์มองว่าเป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่นั้น ไม่ใช่โอกาส แต่เป็นหายนะ!

“ในเมื่อพวกเจ้าต้องการฆ่าข้า เช่นนั้นก็อย่าโทษว่าข้าโหดร้าย”

หลัวซิวรี่ตาลงเล็กน้อย พลิกมือเรียกมกุฎอัคคีนภาเหลืองขึ้นมา ปล่อยมันลงสู่ทะเลสาบดำเบื้องล่าง

ปุด ปุด ปุด……

วินาทีที่เปลวเพลิงสีทองกับน้ำสีดำของทะเลสาบปะทะกัน ก็เกิดควันสีขาวโขมงไปทั่ว กองกำลังต่าง ๆ ที่ล้อมรอบทะเลสาบดำไว้นั้น เมื่อเห็นท่าทางของหลัวซิว ต่างก็พากันเผยสีหน้างุนงง ไม่เข้าใจว่าเขากำลังทำอะไร

สำหรับทะเลสาบมรณาจิ่วหยินแห่งนี้ หลายคนคุ้นเคย แต่ไม่มีใครรู้ว่าความลับจริง ๆ ของทะเลสาบดำแห่งนี้

“ใครมารบกวนการยอยของข้าอีกแล้ว?”

ทันใดนั้นเสียงตะโกนโกรธมาจากก้นทะเลสาบ เสียงเหมือนฟ้าผ่า ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ที่อยู่ใกล้เคียงทะเลสาบดำ อดไม่ได้ที่จะต้องปิดหูของพวกเขาเอาไว้ และมีเลือดออกจากทวารทั้งเจ็ด

หลัวซิวก็ยังตกใจจนเลือดสาด เห็นได้ชัดว่างูใหญ่สีดำกำลังโกรธมาก เพราะว่ามันเพิ่งตื่นจากการนอน อีกทั้งยังเป็นการตกใจตื่นอีกด้วย

ออร่าที่น่าเกรงกลัวแพร่กระจายออกไปทั่วทั้งสี่ทิศของทะเลสาบดำ ปิดตายพื้นที่แห่งนี้อย่างสมบูรณ์ ทำให้แดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ต่าง ๆ เผ่าพันธุ์มนุษย์ รวมถึงผู้แข็งแกร่งเผ่าพันธุ์มารและเผ่าพันธุ์ปีศาจ ต่างก็เผยสีหน้างุนงง ราวกับมีศัตรูที่ยิ่งใหญ่มาเยือน

ออร่าที่น่าหวาดผวาดั่งสายน้ำที่โหมกระหน่ำ ควบแน่น พุ่งทะยานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แผ่กระจายไปทั่วทั้งเหวปีศาจมรณา

น้ำที่อยู่ตรงกลางทะเลสาบดำค่อย ๆ สูงขึ้น หัวสามเหลี่ยมสีดำขนาดใหญ่เท่าเนินเขาปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกคน

รูม่านตางูสีเลือดกลับหัวคู่นั้น กวาดไปรอบ ๆ ด้วยเจตนาฆ่าอย่างเย็นชา

“งูมรณาจิ่วหยิน!”

การปรากฏตัวของงูใหญ่สีดำ ผู้แข็งแกร่งมากมายจากเผ่าพันธุ์ปีศาจ มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที

วาบ!

แสงสีดำที่เย็นยะเยือกสั่นไหว หัวงูยักษ์ทมิฬค่อย ๆ หายไป ถูกแทนที่ด้วยชายวัยกลางคนที่มีใบหน้าไร้อารมณ์ แต่งกายด้วยชุดดำ ยืนอยู่ท่ามเหนือทะเลสาบดำ

เมื่อคำพูดนี้จบลง เสียงพึมพำจากทั้งสี่ทิศก็ดังขึ้น หลายคนพูดด้วยน้ำเสียงตำหนิว่าหลัวซิวช่างอาจหาญ กล้าดูหมิ่นแดนศักดิ์สิทธิ์

“หลัวซิว เจ้าช่างอาจหาญเหลือเกิน ยังไม่รีบคุกเข่ารับโทษอีก บางทีมันอาจจะช่วยให้เจ้าเหลือศพที่สมบูรณ์ได้!” ผู้อาวุโสคนหนึ่งจากตำหนักดารานภาพูดเสียงเข้ม

“ฮ่า ๆ พูดได้ดี เผ่าพันธุ์มนุษย์เดิมทีก็ชอบสู้กันเองอยู่แล้ว ดังนั้นเจ้าน้องชายก็มาเข้าร่วมเผ่าพันธุ์ปีศาจของข้าเถิด” คนจากเผ่าพันธุ์ปีศาจกลับปรบมือยินดี ทำให้ทางฝั่งแดนศักดิ์สิทธิ์เผ่าพันธุ์มนุษย์ต่างก็มีสีหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ

“พวกแดนศักดิ์สิทธิ์น่าไม่อาย พวกเจ้าเผ่าพันธุ์ปีศาจก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไร” หลัวซิวเย้ยหยัน เพราะอุบัติภัยในสมัยโบราณก็เป็นสิ่งที่เผ่าพันธุ์ปีศาจสร้างขึ้นกับมือ จนทำให้ชีวิตของเผ่าพันธุ์มนุษย์ยากเข็ญ

“เจ้าหนู อย่าคิดว่ามีพลังเพียงแค่นี้ก็ไม่เห็นหัวคนอื่น ต่อให้เจ้ามีความสามารถ แต่ก็เป็นแค่เด็กน้อย อย่าสำคัญตัวผิด” ผู้อาวุโสท่านหนึ่งจากสำนักดำเหลืองเอ่ยปากพูด

“หลัวซิว เจ้าคืออัฉริยะที่เจ้ายุทธจักรอัคคีเลือกด้วยตัวเอง เพียงแค่เจ้ายินยอมมอบม้วนหยก เราตระกูลยุทธ์รับรองชีวิตของเจ้า” ตระกูลยุทธ์ก็มีผู้แข็งแกร่งอาวุโสมาที่นี่ด้วย ใบหน้าเต็มไปด้วยร้อยยิ้มที่เป็นมิตร

หลัวซิวสามารถรับรู้ได้ว่าผู้อาวุโสท่านนี้ไม่ได้มีเจตนาร้ายใด ๆ ท่ามกลางแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ต่าง ๆ ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ดูเหมือนจะมีเพียงตระกูลยุทธ์ที่มีท่าทีเป็นมิตรกับเขาอยู่บ้าง

แต่หลัวซิวกลับรับรู้ได้ถึงความหมายแฝงในคำพูดของผู้อาวุโสตระกูลยุทธ์คนนี้ จึงได้เอ่ยตอบ “หากข้าไม่มอบม้วนหยกให้ ตระกูลยุทธ์ก็จะไม่ปกป้องข้า ใช่หรือไม่?”

ผู้อาวุโสตระกูลยุทธ์ทำหน้าตกใจ ราวกับคาดไม่ถึงว่าหลัวซิวจะถามเช่นนี้ เอ่ยตอบเสียงขรึม “ม้วนหยกนั้นสำคัญมาก มันเกี่ยวกับเรื่องราวใหญ่โต อยู่ในมือเจ้าหากถูกเผ่าพันธุ์ปีศาจแย่งไปได้ มันจะนำหายนะครั้งใหญ่มาสู่พวกเราเผ่าพันธุ์มนุษย์”

ผู้อาวุโสตระกูลยุทธ์อธิบายอย่างใจเย็น ราวกับรู้เรื่องเกี่ยวกับม้วนหยกอยู่บ้าง เรื่องราวที่เป็นความลับ คำพูดจึงดูคลุมเครือ

“ให้เจ้ามอบม้วนหยกออกมา หาใช่ความโลภของเราตระกูลยุทธ์ไม่ แต่เพื่อพวกเราทั้งเผ่าพันธุ์มนุษย์” ผู้อาวุโสตระกูลยุทธ์พูดพร้อมถอนหายใจ

“เฮอะ พูดเสียน่าฟัง ข้าไม่เชื่อว่าพวกเจ้าตระกูลยุทธ์ไม่มีใจโลภ!” ผู้อาวุโสตำหนักดารานภาพ่นลมออกทางจมูกเสียงเย็นชา

“พอแล้ว!”

เสียงคำรามด้วยความโกรธนี้ ไม่ใช่เสียงของหลัวซิว แต่เป็นคนของเผ่าพันธุ์ปีศาจ

“มีของบางอย่างที่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเจ้าโลกแสงดาวสามารถก้าวก่ายได้ ระวังจะทำให้ตัวเองต้องพบกับจุดจบ!” น้ำเสียงของผู้อาวุโสเผ่าพันธุ์ปีศาจเย็นเยียบ

“สิ่งของของโลกแสงดาว ย่อมต้องเป็นของพวกเรา พวกเจ้าเผ่าพันธุ์ปีศาจมีสิทธิ์อะไรมาก้าวก่าย?” ผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งของเผ่าพันธุ์มารพูดเสียงเย็น

ในเวลานี้ เผ่าพันธุ์ปีศาจ เผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าพันธุ์มาร กำลังยืนเผชิญหน้าในสนามรบเดียวกัน

ก่อนเกิดอุบัติภัยในสมัยโบราณ ท่ามกลางโลกแสงดาว เผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าพันธุ์มารมักจะสู้รบกันอยู่เสมอ จนกระทั่งต่อมาเผ่าพันธุ์ปีศาจได้ลงมาเยือน จัดการผู้แข็งแกร่งเผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าพันธุ์มารด้วยท่าทีที่เผด็จการ สิ่งนี้ทำให้เกิดวิกฤตครั้งใหญ่สำหรับทั้งสองเผ่าพันธุ์ จากนั้นจึงได้ร่วมมือกันต่อต้านเผ่าพันธุ์ปีศาจ

หลังเกิดอุบัติภัยในสมัยโบราณ สามเผ่าพันธุ์ลงนามข้อตกลงสงบศึก การร่วมมือของเผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าพันธุ์มารก็จบลงที่ตรงนั้น

อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้น เผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าพันธุ์มารยังคงยืนหยัดเคียงข้างกัน ต่อต้านเผ่าพันธุ์ปีศาจโดยไม่คำนึงถึงความแคลงใจก่อนหน้านี้

ไม่ใช่ว่าความแค้นระหว่างเผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าพันธุ์มารจะหมดไป แต่เพราะเผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าพันธุ์มารต่างก็รู้ดีว่า ไม่ว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ไม่สามารถต่อต้านเผ่าพันธุ์ปีศาจได้ จึงได้มีพูดกันว่าหนึ่งคนหัวหาย สองคนเพื่อนตาย!

“เฮอะ ดื้อดึงนัก พวกเจ้าโลกแสงดาวจะต้องชดใช้ให้กับสิ่งเหล่านี้!” ผู้อาวุโสเผ่าพันธุ์ปีศาจไม่ได้ใส่ใจเผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าพันธุ์มารแม้แต่น้อย

ทุกครั้งที่เขาเอ่ยปากก็แทนด้วยคำว่า พวกเจ้าโลกแสงดาว เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเผ่าพันธุ์ปีศาจ มาจากอาณาเขตโลกอื่น

เดิมทีกองกำลังทั้งสามฝั่งมาที่นี่เพื่อตามล่าหลัวซิว ในเวลากลับขัดแย้งกันเองเสียแล้ว

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 786
ที่ด้านข้างของเหวปีศาจมรณามีภูเขาที่แห้งแล้งอยู่ลูกหนึ่ง หลัวซิวนั่งขัดสมาธิ ดวงตาของเขาจ้องมองไปที่ขอบฟ้าอันไกลโพ้น

ปัง ……

ออร่าอันน่าหวาดกลัวหลายสายปะทุขึ้นมา จอมยุทธ์จำนวนมากลอยขึ้นมากลางอากาศ พุ่งมาทางนี้อย่างหนาแน่น

หัวหน้าในหมู่คนเหล่านี้ล้วนแต่เป็นผู้อาวุโส เจ้ายุทธจักรผู้แข็งแกร่งที่มีผมขาวและเคราสีขาว แต่ละคนต่างฝึกตนมานับพันปีแล้ว ทรงพลังไร้เทียมทาน

ข้างหลังผู้อาวุโสพวกนี้ ก็คือกลุ่มคนที่มารอชมความสนุกเท่านั้น มีอัจฉริยะรุ่นเยาว์จากแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ต่าง ๆ กระจัดกระจายกันมาร่วมด้วย

“เผ่าพันธุ์มารปีศาจก็มาด้วย”

สายตาของหลัวซิวหันไปทางอีกสองทิศทาง ด้านหนึ่งออร่ามารพุ่งทะลุฟ้า ด้านหนึ่งออร่าปีศาจจับกันเป็นก้อน

“มอบม้วนหยกที่เจ้าได้รับมา ข้าเผ่าพันธุ์ปีศาจรับรองว่าเจ้าจะไม่ตาย!” เสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอำนาจ ดังออกมาจากกลุ่มก้อนออร่าปีศาจ

“หลัวซิว เจ้าเข่นฆ่า เจ้ายุทธจักรหลายคนของเผ่าเรา วันนี้เจ้าจงอย่าได้คิดหนี!” ผู้อาวุโสจากเผ่าหงส์หลายคนรวมตัวกัน น้ำเสียงเคร่งขรึม

“หลัวซิว ม้วนหยกในมือของเจ้าไม่อาจตกอยู่ในมือเผ่าพันธุ์ปีศาจ เอามันออกมาเถอะ” แดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ต่าง ๆ จากเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็ค่อย ๆ เอ่ยปาก

บนยอดเขาที่แห้งแล้ง หลัวซิวค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน “ไม่ว่าสิ่งที่พวกเจ้าต้องการจะเป็นม้วนหยกหรือชีวิตของข้า หากมีความสามารถก็เข้ามาเอาเอง!”

ระหว่างที่พูด หลัวซิวไม่ได้รอให้ฝูงชนจากทั้งสามฝั่งได้เข้ามาใกล้ ปีกทิพย์ไร้มลทินสยายอยู่ที่ด้านหลังของเขา บินลงไปยังเหวปีศาจมรณาด้านหลัง

“เจ้าไม่มีทางหนีได้!”

กองกำลังทั้งสามฝั่งตามเข้าไปอย่างไม่ลังเล พุ่งลงไปยังเหวปีศาจมรณา โดยเฉพาะผู้อาวุโสที่บินอยู่ข้างหน้า สามารถเดินทางได้ไกลหลายลี้อย่างรวดเร็วในชั่วพริบตาราวกับสายฟ้า

ภูตมารที่อยู่ในเหวปีศาจมรณา ภายใต้พลังอำนาจของผู้แข็งแกร่งที่มากมายเช่นนี้ หายไปเหมือนน้ำที่ระเหย ไม่สามารถต้านทานฝีเท้าของคนเหล่านี้ได้เลย

“หยุดเดี๋ยวนี้!”

ผู้อาวุโสเผ่าพันธุ์ปีศาจคนหนึ่งอยู่ดี ๆ ก็เพิ่มความเร็ว และเป็นผู้แข็งแกร่งที่ฝึกตนกฎธาตุลม อีกทั้งผลการฝึกตนยังสูงเสียดฟ้า ความเร็วนั้นไม่ช้าไปกว่าปีกทิพย์ไร้มลทินของหลัวซิวเลย

เขายกมือขึ้นโบก ทันใดนั้นลมก็พัดมาจากทั้งสี่ทิศ ทำให้หมอกในเหวปีศาจมรณาปลิวกระจายเป็นวงกว้าง ลมกระโชกแรงก่อตัวเป็นทอร์นาโด หมายจะขังหลัวซิวเอาไว้ที่ตรงนั้น

ปัง!

พลังแห่งกฎความตายแปรเปลี่ยนเป็นเพลิงนิลระเบิดออกมารอบกายของหลัวซิว หลุดพ้นจากพันธนาการของกฎธาตุลม และบินต่อไปยังสถานที่ที่ไกลออกไป

แต่ความเร็วของเขาก็ได้รับผลกระทบจากสิ่งนี้เช่นกัน ดังนั้นทั้งสามฝ่ายที่อยู่ข้างหลังเขาจึงเข้าใกล้เขามากขึ้น

ไม่นาน หลัวซิวก็มองเห็นทะเลสาบดำที่อยู่ในส่วนลึกสุดของเหวปีศาจมรณา แววตาที่ไร้ความปราณีฉายแววขึ้นทันใด

ซวบ!

ปีกทิพย์ไร้มลทินสั่นสะเทือนอย่างกะทันหัน ความเร็วของเขาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง ปรากฏตัวขึ้นเหนือทะเลสาบดำ

ในเวลาเดียวกัน กองกำลังทั้งสามฝั่ง เผ่าพันธุ์มนุษย์แดนศักดิ์สิทธิ์ เผ่าพันธุ์มารและเผ่าพันธุ์ปีศาจก็ตามกันมาทันแล้ว ร่างเงาเบียดเสียด ล้อมรอบทะเลสาบดำทั้งสี่ทิศ

“เจ้าหนุ่ม เจ้าไร้หนทางหนีแล้ว ข้ายังคงยืนยันคำเดิม เอาม้วนหยกมาให้ข้า ข้าเผ่าพันธุ์ปีศาจรับรองว่าเจ้าจะไม่ตาย อีกทั้งเผ่าพันธุ์ปีศาจจะมอบเลือดให้กับเจ้า ให้เจ้าได้เป็นหนึ่งในเผ่าพันธุ์ปีศาจของข้า” ผู้อาวุโสเผ่าพันธุ์ปีศาจคนหนึ่งเอ่ยเสียงเข้ม

“หลัวซิว เจ้าต้องรู้ตัวตนของเจ้า เจ้าคือเผ่าพันธุ์มนุษย์ ม้วนหยกควรที่จะมอบให้กับพวกเราแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์”

แดนศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ กับเผ่าพันธุ์ปีศาจเผชิญหน้ากัน ทั้งสองต่างมีสถานการณ์ตึงเครียด

หลัวซิวได้ยินคำพูดต่าง ๆ พวกนี้ก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ “ม้วนหยกที่ข้าได้รับมา เหตุใดจึงต้องมอบให้พวกเจ้า?”

“พวกเจ้าพลิกฟ้าค้นหาข้า ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะสมบัติวิเศษบนตัวของข้าหรือ? ยังจะเอาคุณธรรมเผ่าพันธุ์มนุษย์มากดข้า พวกเจ้าคู่ควรที่จะเรียกตัวเองว่าแดนศักดิ์สิทธิ์เผ่าพันธุ์มนุษย์หรือ? ช่างหน้าไม่อายเหลือเกิน!” หลัวซิวยืนอยู่เหนือทะเลสาบดำพูดเสียงเย็นเยียบ

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 785
แต่ด้วยรากฐานของหลัวซิว หากเขาต้องการบรรลุคอขวดไปถึงแดนใหญ่ ทรัพยากรที่จำเป็นต้องใช้นั้นมากกว่านักยุทธ์ทั่วไปหลายเท่า เกินกว่าสิบเท่าจึงจะพอ

ฝึกตนปิดขังไร้ผลลัพธ์ หลัวซิวจึงทำได้เพียงออกมาเท่านั้น

“ข้าต้องการทรัพยากรจำนวนมากในตอนนี้ ถึงแม้จะฆ่า เจ้ายุทธจักรไปหลายคน ทรัพยากรเหล่านี้ก็เพียงพอที่จะฝีกฝนมหายุทธ์ได้หลายคนแล้ว แต่สำหรับข้า มันยังไม่พออยู่ดี!”

หลัวซิวสองมือไขว้หลัง ยืนอยู่บนยอดเขาอย่างภาคภูมิใจ ดวงตาของเขาสั่นไหวอย่างไม่แน่ใจ

ทันใดนั้น เขาก็หยิบเอาป้ายบัญชาการของผู้ลาดตระเวนออกมา เคลื่อนไหวตราค่ายกลที่อยู่ภายใน ลำแสงเปล่งประกายพุ่งออกมาจากป้ายบัญชาการ กลายเป็นภาพลวงใบหน้า

ภาพลวงใบหน้านี้ คือค่ายกลแห่งเทพของสี่แก๊งใหญ่ ทุกคนที่มีป้ายบัญชาการของสี่แก๊งใหญ่ ต่างก็สามารถใช้ป้ายบัญชาการเพื่อพูดคุยกับค่ายกลแห่งเทพได้ สามารถสอบถามข้อมูลที่ตนต้องการรู้จากค่ายกลแห่งเทพ ตามสิทธิ์ที่แตกต่างกันของแต่ละคนได้

ตามข้อมูลที่ได้มาจากค่ายกลแห่งเทพ หลัวซิวรับรู้ถึงกองกำลังต่าง ๆ ว่าตลอดมาไม่เคยล้มเลิกความคิดที่จะไล่ฆ่าเขา แต่หลังจากแดนตำหนักจื่อหลบซ่อนเข้าไปในโซน ก็ไม่ได้มีการพบเจออีก

เช่นนั้น หลัวซิวก็ไม่ได้รู้สึกกังวลใจอีกต่อไป

“เขาจำเป็นต้องสะสมทรัพยากรเพื่อบรรลุถึงมหายุทธ์ และวิธีที่เร็วที่สุดในการรวบรวมทรัพยากรคืออะไร?”

หลัวซิวรี่ตาลง และพูดกับตัวเอง “วิธีที่เร็วที่สุด แน่นอนว่าต้องฆ่าคน!”

“เพียงแค่ต้องฆ่า เจ้ายุทธจักรอีกไม่กี่คน ยึดเอาแหวนเก็บของของเขามา ก็น่าจะเพียงพอแล้วที่จะทำให้ข้าบรรลุถึงแดนมหายุทธ์แล้ว”

“เมื่อบรรลุถึงแดนมหายุทธ์ เช่นนั้นผู้แข็งแกร่งระดับ เจ้ายุทธจักรจะไม่สามารถคุกคามข้าได้อีกต่อไป ในส่วนของสมบัติวิเศษที่จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำทิ้งเอาไว้ให้ ข้าก็สามารถนำพลังบางอย่างออกมาใช้ได้ พลังการต่อสู้จะก้าวกระโดดในทุกด้าน”

“ไม่เพียงเท่านั้น ผลการฝึกตนของข้าหากบรรลุถึงมหายุทธ์ ยังสามารถได้รับการมอบของขวัญจากกฎดั้งเดิมอีกครั้ง”

ยืนอยู่บนยอดเขาเป็นเวลานาน แนวคิดของหลัวซิวก็ค่อย ๆ ผุดขึ้นในใจ

เมื่อสามารถนำแนวคิดนี้ไปปฏิบัติได้สำเร็จ ทรัพยากรที่จำเป็นทุกอย่างในการบรรลุถึงระดับมหายุทธ์ ก็สามารถเอามาครองได้

“แต่หากข้าทำเช่นนี้จริง ๆ มันจะโหดเหี้ยมเกินไปหรือไม่?” หลัวซิวใช้มือข้างหนึ่งลูบคางไปมา ในท้ายที่สุดก็มีร่องรอยของความโหดร้ายในแววตาของเขา

ผู้ที่บรรลุสิ่งยิ่งใหญ่ไร้จรรยาบรรณ!

หลัวซิวมีความคิดบ้าบออยู่ในใจ

หลังจากได้แนวคิดแล้ว เขาออกเดินทางทันทีมุ่งหน้าไปยังอาณาจักรตะวันออก

เขามีน้ำมรณาจิ่วหยินหนึ่งหยด เป็นสิ่งที่งูมรณาจิ่วหยินมอบให้ในตอนนั้น งูใหญ่สีดำตัวนั้น ก็คือภูตน้ำฟ้าดิน แข็งแกร่งจนหน้าหวาดกลัว

ถึงแม้หลัวซิวจะไม่รู้แน่ชัดว่าพลังที่แท้จริงของงูใหญ่สีดำตัวนั้น ที่แท้แล้วอยู่ในระดับที่บรรลุถึงใด แต่พิจารณาจากที่เขามอบน้ำมรณาจิ่วหยินให้เขาหยดหนึ่ง หลัวซิวสามารถแน่ใจได้ว่าสามารถฆ่า เจ้ายุทธจักรได้โดยง่าย หรือแม้กระทั่งกดขี่มหาจักรพรรดิยุทธ์ได้อีกด้วย

สิบวันถัดมา เขาเหยียบเข้ามาที่อาณาจักรตะวันออกอีกครั้ง จากนั้นก็มาถึงบริเวณใกล้ ๆ กับเหวปีศาจมรณา

คราวนี้เขาไม่ได้ซ่อนร่องรอยของเขา หลังจากที่มีคนพบเขา ข่าวแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว

ในคูเมืองที่ใกล้ที่สุดจากเหวปีศาจมรณา ในเวลาไม่ถึงสองวัน ได้รวบรวมผู้แข็งแกร่งจากกองกำลังต่าง ๆ จำนวนมาก

ทุกคนต่างรู้ดีว่าหลัวซิวครอบครองพลังการต่อสู้ที่แข็งแกร่งสามารถฆ่า เจ้ายุทธจักรได้ ดังนั้นผู้ที่มาในครั้งนี้ โดยทั่วไปต่างก็เป็น เจ้ายุทธจักรอาวุโสจากกองกำลังต่าง ๆ ส่วนวัยรุ่นนั้นมาเพื่อสังเกตการณ์เท่านั้น

หลัวซิวอาศัยค่ายกลแห่งเทพสามารถได้รับการรายงานข้อมูลที่ถูกต้อง เขาสงสัยว่าในครั้งนี้กองกำลังต่าง ๆ ต้องการตัวเขาเป็นอย่างมาก ไม่แน่ว่าอาจจะมีผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์หลบซ่อนอยู่ในเงามืด สามารถโจมตีได้ทุกเวลา

ม้วนหยกสีทองลึกลับนั้น ดูเหมือนจะสำคัญกับกองกำลังใหญ่ต่าง ๆ อย่างมาก ไม่เพียงแค่แดนศักดิ์สิทธิ์เผ่าพันธุ์มนุษย์ เผ่าพันธุ์มารปีศาจก็ยังมีผู้แข็งแกร่งมาเยือนถึงบริเวณใกล้ ๆ เหวปีศาจมรณา

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 784
สำหรับเพื่อนที่ต้องเข้ามาข้องเกี่ยวเพราะตัวเองนั้น หลัวซิวก็ทำอะไรไม่ได้ ในเวลาเดียวกันก็โมโหอย่างมาก จะเห็นได้ว่าบนโลกแห่งการฝึกยุทธ์ ไม่ใช่ทุกคนที่จะทำเรื่องใดก็ทำอย่างเปิดเผย ยังคงมีคนอีกมากที่เพียงเพื่อให้สำเร็จเป้าหมายของตน ก็สามารถทำได้ทุกอย่างโดยไม่เลือกวิธี

“ในเมื่อพวกเจ้าอยากเล่น เช่นนั้นข้าก็จะเล่นกับพวกเจ้าบ้างจะเป็นไร?”

หลัวซิวยิ้มเยือกเย็นในใจ จากนั้นก็ออกไปจากเขตการปกครองโตว้ไห่อย่างรวดเร็ว

……

เผ่าหงส์ตั้งอยู่ในเส้นข้ามเขตระหว่างอาณาจักรตะวันออกและอาณาจักรใต้ มีกลุ่มภูเขาไฟอยู่ที่นี่ ทั้งยังมีต้นไม้โบราณเต็มไปด้วยเปลวเพลิง

ที่ด้านบนของภูเขาไว้ทุกลูก มีการก่อสร้างวังและตำหนักมากมาย ที่แห่งนี้ก็คือที่ตั้งของสำนักใหญ่เผ่าหงส์

“เกิดเรื่องอีกแล้ว!”

ภายในสำนักเผ่าหงส์ ผู้อาวุโสคนหนึ่งวิ่งเข้ามาด้วยความตื่นตระหนก ในมือถือป้ายหยกหกชิ้นที่มีความมืดมน

ในกองกำลังใหญ่ต่าง ๆ ทุกคนที่มีผลการฝึกตนระดับที่บรรลุถึง เจ้ายุทธจักร หรือเหล่าศิษย์สาวกผู้มีความสามารถที่ดูแลฝึกฝนเป็นพิเศษ ต่างก็มีป้ายชีวิตวางเอาไว้ในกองกำลัง

ป้ายชีวิตจะเก็บออร่าวิญญาณเอาไว้ หากเจ้าของป้ายชีวิตตายไป เช่นนั้นออร่าวิญญาณที่อยู่ในป้ายชีวิตก็จะหายไปด้วย อีกทั้งแสงของป้ายชีวิตก็จะมืดดับลงในที่สุด

สำหรับสมบัติระดับโคมวิญญาณโบราณ เป็นสิ่งที่จะพบได้เมื่อมีโอกาสเท่านั้น ในกองกำลังใหญ่ระดับสูงถึงแม้จะมีอยู่บ้าง แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่ทุกคนจะมีไว้ครอบครอง

ก่อนหน้านี้ฝานไท่เต๋อแห่งประเทศเทียนหวูได้รับโคมวิญญาณมาชิ้นหนึ่ง เรียกได้ว่าเป็นโอกาสที่ดีอย่างมาก และเพราะว่าอาศัยโคมวิญญาณ ทำให้เขายังไม่ถูกลิขิตให้ตาย ไม่เช่นนั้นเขาคงจะตายด้วยมือของหลัวซิวไปนานแล้ว

“ไอ้สัตว์เดรัจฉาน อาจหาญฆ่าคนของเผ่าข้า ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ข้าจะไปแล่เนื้อมันมาด้วยตัวเอง!”

เสียงคำรามด้วยความโกรธดังขึ้นมาจากภายในสำนักเผ่าหงส์ ทันใดนั้นเพลิงอัคคีรูปมือใหญ่ก็ชูขึ้นไปบนท้องฟ้า เกิดเสียงดังแควก โซนถูกทำลาย ลำแสงหนึ่งบินเข้าไปในรอบร้าวของโซน และหายไปอย่างรวดเร็ว

ไม่นานนัก ห่างออกไปหลายล้านลี้เหนือเขตการปกครองโตว้ไห่ โซนถูกฉีกออกอย่างกระทันหัน ลำแสงหนึ่งบินออกมา

ลำแสงแปรเปลี่ยน กลายเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งที่สวมชุดคลุมยาวอัคคี ยืนตรงอยู่กลางอากาศ ก้มมองคูเมืองที่อยู่ด้านล่าง

อำนาจกดขี่ที่คาดเดาไม่ได้ครอบคลุมทั้งคูเมือง ให้ทุกคนรู้สึกถึงความกลัวและการกดขี่จากส่วนลึกที่สุดของจิตวิญญาณ

“หนีไปเสียแล้ว?”

ผู้อาวุโสเผ่าหงส์คำรามด้วยความโกรธ ตัวสำนึกที่แหลมคมสังเกตเห็นออร่าที่อ่อนแอ จึงรีบตามไปในทันที

ผู้อาวุโสท่านนี้คือผู้อาวุโสระดับสูงคนหนึ่งของเผ่าหงส์ นามว่าเฟิ่งหวูเจียง เมื่อหนึ่งพันปีก่อนได้ฝึกตนถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ นับเป็นเวลาหลายร้อยปีแล้วที่ไม่ได้มาเดินที่โลกมนุษย์แห่งนี้

เขาติดตามออร่าเล็กน้อยที่หลัวซิวทิ้งเอาไว้ที่กลางเมือง ไม่นานก็มาถึงพันลี้นอกเขตการปกครองโตว้ไห่

“ออร่าหายไปแล้ว? ไอ้สัตว์เดรัจฉานรอบครอบเสียจริง!” เฟิ่งหวูเจียงสีหน้าหม่นลง เบาะแสถูกตัดไปแล้ว

หลัวซิวแต่เดิมก็ได้ป้องกันว่าจะมีผู้แข็งแกร่งโลกยุทธ์สะกดรอยตามออร่าของตน ทั้งนั้นเมื่อถึงเวลาที่ต้องออกจากสถานที่หนึ่ง ก็จะกำจัดร่องรอยออร่าที่ตนเองทิ้งเอาไว้ บางครั้งก็จงใจทิ้งข้อบกพร่องบางอย่าง ก็คือจงใจสร้างค่ายกล หากมีคนที่ติดตามออร่าอยู่จริง แน่นอนว่าไม่สามารถหาตัวจริงของเขาเจอได้

หลัวซิวไม่รู้ว่ามหาจักรพรรดิยุทธ์ของเผ่าหงส์เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว หลังจากที่ออกจากเขตการปกครองโตว้ไห่ เขาวนไปหลายที่ จากนั้นก็หายเข้าไปในป่าโบราณ เปิดถ้ำ และฝึกตนปิดขังอีกครั้ง

ฝึกตนได้ราว ๆ หนึ่งเดือน ออร่าของหลัวซิวเข้มข้นกว่าเมื่อก่อนมากทีเดียว พลังผลการฝึกตนก็เพิ่มขึ้นไม่น้อย แต่ระยะห่างระหว่างมกุฎยุทธ์ขั้นเก้าบรรลุถึงมหายุทธ์ขั้นหนึ่ง ยังคงมีระยะห่างอยู่ไม่น้อย

การข้ามแดนใหญ่ระดับที่บรรลุถึง ยากกว่าจากมกุฎยุทธ์ขั้นหนึ่งฝึกตนถึงขั้นเก้าอยู่มาก ปัญหาที่สำคัญข้อหนึ่ง คือจำเป็นต้องเติมเต็มและสะสมทรัพยากรมหาศาล

บทที่ 783

บทที่ 785

ในระยะเวลาอันสั้น เขาได้ออกมาจากเมืองชิงหยุน ก้าวเข้าไปในเขตการปกครองหยุนหลง จึงได้รู้ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า

ผ่านไปเพียงชั่วพริบตา เวลาก็ล่วงเลยไปถึงเก้าปี เขาได้ครอบครองพลังการต่อสู้ที่สามารถเข่นฆ่า เจ้ายุทธจักรได้ ระยะห่างของอันดับที่จะได้เข้าเป็นผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์แดนขั้นสูง มันห่างไปแค่เพียงหนึ่งก้าวเท่านั้น!

ด้านหน้าหอคอยที่กักขังเหวินเซวียนหง เสิ่นหยวนหนาน และเย่เจียเอ๋อร์ได้มีค่ายกลสร้างเอาไว้ หลัวซิวสะบัดนิ้วมือยิงออกไป ค่ายกลนั้นก็ทลายลงในทันที จากนั้นจึงสาวเท้าเข้าไปด้านในหอคอย

แอ๊ด!

ประตูไม้ค่อย ๆ เปิดออก ในห้องที่มืดมน คนสามคนที่มีใบหน้าซีดเล็กน้อยเงยหน้าขึ้นมอง ทันใดนั้นแววตาที่เหม่อลอย ก็ฉายแววประหลาดใจออกมา

“หลัวซิว?”

“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”

“มีคนต้องการจะเล่นงานเจ้า เจ้ารีบหนีไปเร็วเข้า!”

เหวินเซวียนหงคือผู้นำทางของหลัวซิว ทำให้เขาเข้าใจว่าบนโลกใบนี้ไม่ใช่ทุกคนที่มีนิสัยหน้าไหว้หลังหลอก แต่เหวินเซวียนหงที่รู้ถึงความลับบนตัวของเขาดี แต่กลับไม่เคยมีจิตใจริษยาแม้สักน้อย

ยังมีเสิ่นหยวนหนาน ในตอนที่หลัวซิวมีเรื่องบาดหมางกับสำนักเหลยหวู่ที่เขตการปกครองโตว้ไห่ ในเวลานั้นสำหรับเขาแล้ว สำนักเหลยหวู่เรียกได้ว่าเป็นมังกรที่ยิ่งใหญ่ โชคดีที่มีหัวหน้าแก๊งเสิ่นหยวนหนานคอยปกป้อง เขาจึงสามารถเดินมาถึงทุกวันนี้ได้อย่างปลอดภัย

วันเวลาเก่า ๆ เหล่านั้น คือจุดเริ่มต้นในเส้นทางโลกยุทธ์ของเขา ในตอนนั้นพลังความสามารถของเขาอ่อนแอนัก ต้องดิ้นรนกับชะตากรรมที่ขมขื่น

แม้ว่าสำหรับเขาในตอนนี้ ผลการฝึกตนของเหวินเซวียนหงและเสิ่นหยวนหนานไม่ได้เพิ่มขึ้นอีกแม้สักน้อย แต่สำหรับหลัวซิว ก็ยังเต็มไปด้วยความรู้สึกเคารพนับถือ และปฏิบัติต่อพวกเขาทั้งสองอย่างถ่อมตัว

เพราะเขารู้ดีว่า หากไม่มีทั้งสองท่านนี้ บางทีเขาอาจจะไม่มีวันได้เดินมาถึงจุดนี้

“ผู้อาวุโสทั้งสองท่าน ทำให้พวกท่านต้องติดร่างแหไปด้วย ข้าน้อยรู้สึกผิดยิ่งนัก” หลัวซิวเดินขึ้นไปทำความเคารพ และเอ่ยด้วยน้ำเสียงกังวลใจ

เมื่อรู้เรื่องราวของคนพวกนั้นที่จับตนมาเป็นตัวประกันว่าได้ถูกหลัวซิวฆ่าทิ้งไปแล้ว เหวินเซวียนหงและเสิ่นหยวนหนานก็สงบจิตใจลงได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว แววตาที่มองมายังหลัวซิว เต็มไปด้วยความชื่นชม

พวกเขารู้ดีว่าพรสวรรค์ของพวกเขานั้นถือว่าอยู่ในระดับธรรมดาทั่วไป ทั้งชีวิตนี้บางทีแม้แต่บรรลุถึงระดับจักรพรรดิยุทธ์ก็คงเป็นก้าวเดินที่ยากลำบาก แต่กลับสามารถเห็นผู้แข็งแกร่งวัยเยาว์ค่อย ๆ เติบโตทีละก้าว ในชีวิตนี้ก็นับว่าไม่มีเรื่องใดต้องเสียดายอีก

“เฮียหลัว” เย่เจียเอ๋อร์หันมาทำความเคารพหลัวซิว

“ทำให้เจ้าต้องติดร่างแหไปด้วย ต้องขออภัยจริง ๆ” หลัวซิวเอ่ยขอโทษ เด็กสาวที่ดื้อรั้นและอวดดีในอดีต ในวันนี้ก็เติบโตขึ้นแล้ว ทั้งยังสืบต่อกิจการของครอบครัวขนาดใหญ่ด้วย

ในตอนที่เริ่มเปิดเขาไท่เสวียน นางก็เคยขอเข้าร่วมเป็นศิษย์ในสำนักไท่เสวียน แต่เพราะคุณสมบัติด้านพรสวรรค์ที่ขาดไปเพียงเล็กน้อย จึงไม่ได้กลายเป็นศิษย์ของไท่เสวียน

ถึงแม้พรสวรรค์ของนางครั้งหนึ่งเมื่ออยู่ในเขตการปกครองโตว้ไห่จะนับได้ว่าเป็นหัวกะทิ แต่หากเทียบกับทั้งประเทศเทียนหวูแล้ว มันไม่ได้มีประโยชน์ใดเลย

“ครั้งนี้ทำให้ทั้งสามท่านต้องพลอยติดร่างแหไปด้วย เป็นความผิดพลาดของข้า แต่ในวันนี้อันตรายยังคงมีอยู่ ทั้งสามท่านรีบออกไปก่อนเถิด ทางที่ดีที่สุดคือออกไปให้ไกลจากอาณาเขตของประเทศเทียนหวู เก็บตัวเงียบ ๆ อยู่ที่เมืองหลวงอื่นสักพัก ไม่ว่าอย่างไรก็อย่าได้เผยตัวว่ารู้จักกับข้าเป็นอันขาด” หลัวซิวกล่าว

“มันเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่?” เหวินเซวียนหงถามอย่างตรงประเด็น

“ด้วยเหตุผลบางอย่าง ข้าถูกกองกำลังต่าง ๆ ไล่ตามฆ่า……” หลัวซิวไม่ได้อธิบายอย่างละเอียด แต่ในคำพูดของเขาชี้ให้เห็นอย่างคลุมเครือว่ากองกำลังที่ตามล่าเขานั้นไม่ธรรมดามากเพียงใด

เหล่าเหวินเซวียนหงและอีกสองคนต่างรู้ดีว่าสิ่งใดควรไม่ควร จึงไม่ได้อยู่รำลึกความหลังกับหลัวซิวนานนัก รีบออกไปจากเขตการปกครองโตว้ไห่ทันที

ในตอนที่ร่ำลากัน หลัวซิวหยิบแหวนเก็บของสามชิ้นมอบให้พวกเขาทั้งสาม มีทรัพยากรพวกนี้ที่อยู่ในแหวนเก็บของ หากตนมีพรสวรรค์ที่เพียงพอ ฝึกตนระดับที่บรรลุถึงมหายุทธ์ก็ไม่ใช่เรื่องยาก

เพราะว่าแหวนเก็บของที่เขามอบให้นั้น ก็คือสิ่งที่ได้มาจากการฆ่า เจ้ายุทธจักรเผ่าหงส์!

การเก็บสะสมของ เจ้ายุทธจักรผู้แข็งแกร่งคนหนึ่ง จะธรรมดาได้อย่างไร?

“ทุกท่าน ตอนนี้ก็ได้เวลาแล้ว พวกเจ้าควรเดินทางได้แล้ว” หลัวซิวยิ้มบาง ๆ แต่คำพูดและน้ำเสียงนั้นกลับน่ากลัวถึงขีดสุด

“หลัวซิว เจ้าจะเปิดสงครามกับเผ่าหงส์จริง ๆ หรือ?” ผู้อาวุโสเผ่าหงส์ระดับ เจ้ายุทธจักรช่วงกลางพูดขึ้นเสียงเคร่งขรึม

พลังการต่อสู้ของหลัวซิวทำให้พวกเขารู้สึกหวาดผวา หากมีโอกาสให้เขาได้รักษาชีวิตเอาไว้ พวกเขาก็ไม่อยากจะต่อสู้กับเจ้าหนุ่มที่น่ากลัวเช่นนี้

“เปิดสงคราม?” หลัวซิวหัวเราะเสียงดัง “ตั้งแต่แรกข้าไม่เคยทำอะไรที่ถือเป็นการขัดใจพวกเจ้าเผ่าหงส์ แต่คนของเผ่าหงส์อย่างพวกเจ้ากลับจ้องจะฆ่าข้าอยู่ทุกนาทีทุกวินาที แต่ตอนนี้กลับมาถามข้ากลับ?”

หลัวซิวสีหน้าเย็นชา พูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “หากพวกเจ้าเผ่าหงส์คิดจะเล่นงานแค่ข้าเพียงคนเดียวนั่นก็ว่าไปอย่าง แต่กลับลากคนบริสุทธิ์มาเกี่ยวข้องด้วย ดังนั้นวันนี้พวกเจ้าต้องตายอยู่ที่นี่ และตายอย่างน่าเวทนาที่สุด!”

“สู้กับเขา!”

เจ้ายุทธจักรเผ่าหงส์ทั้งห้าได้ยินเช่นนั้น ก็รู้ได้ทันทีว่าบุญคุณความแค้นไม่อาจแก้ไขได้แล้ว สามในห้าคนนั้นก็พุ่งเข้ามาทางหลัวซิว แต่อีกสองคนกลับพุ่งเข้าไปหอแห่งหนึ่งกลางตำหนัก

“อาจหาญทำตุกติกต่อหน้าต่อตาข้า ช่างน่าขันสิ้นดี”

หลัวซิวยิ้มบาง ๆ ปีกทิพย์ไร้มลทินสั่นไหวเล็กน้อย ทันใดนั้นก็มองข้ามการโจมตีของทั้งสาม เจ้ายุทธจักรเผ่าหงส์ ตรงเข้าไปต้าน เจ้ายุทธจักรเผ่าหงส์สองคนที่กำลังตรงไปที่หอคอยแทน

ปีกทิพย์ไร้มลทินได้ชื่อว่ารวดเร็วที่สุดในใต้หล้า ไม่ใช่เรื่องโกหกแต่อย่างใด ถึงแม้หลัวซิวในเวลานี้จะมีเพียงแค่ผลการฝึกตนแดนมกุฎยุทธ์ขั้นเก้า แต่เมื่ออาศัยปีกคู่นี้ ความเร็วของเขาก็สามารถทำให้แม้แต่ผู้แข็งแกร่งระดับ เจ้ายุทธจักรช่วงปลายก็ไม่สามารถตามได้ทัน

แต่ถ้าหากพบเจอกับผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ ที่สามารถฉีกทำลายโซนได้อย่างง่ายดายนั้น หลัวซิวก็ยากที่จะหนีได้

ปัง!

หลัวซิวปล่อยมกุฎอัคคีนภาเหลืองออกไปอย่างไม่ลังเล เพลิงอัคคีที่น่าหวาดกลัวซึ่งสามารถทำให้ เจ้ายุทธจักรช่วงกลางผู้แข็งแกร่งกลายเป็นเถ้าถ่านได้ เพียงแค่ช่วงพริบตา เจ้ายุทธจักรเผ่าหงส์ทั้งสองคนก็สลายหายไปทันที

ผู้แข็งแกร่งเผ่าหงส์ที่มีชื่อเสียงทางด้านฝึกตนกฎเพลิงอัคคี ไม่ว่าอย่างไรก็คาดไม่ถึงว่าจะมีวันที่ตนถูกคนอื่นใช้ไฟเผาจนตาย

เมื่อการต่อสู่เดินทางมาถึงนาทีนี้ ก็ไม่ได้มีสิ่งที่น่าประหลาดใจอื่นใดปรากฏขึ้นอีก หากคู่ต่อสู้ของหลัวซิวไม่ใช่ เจ้ายุทธจักรเผ่าหงส์ทั้งหก แต่เป็น เจ้ายุทธจักรผู้แข็งแกร่งที่ฝึกตนด้วยพลังแห่งกฎอื่น ๆ หากเขาต้องการสู้แบบหนึ่งต่อหก สามารถกล่าวได้ว่ามีความหวังเพียงน้อยนิดเท่านั้น

และสามารถที่เขาสามารถใช้พลังกด เจ้ายุทธจักรทั้งหกไว้ได้ นั่นก็เป็นเพราะพลังแห่งกฎเพลิงอัคคีของ เจ้ายุทธจักรเผ่าหงส์ เมื่ออยู่ต่อหน้ามกุฎอัคคีนภาเหลืองแล้ว มันไม่ได้มีประโยชน์ใดเลย

“ไอ้สัตว์เดรัจฉาน เจ้าต้องไม่ตายดี!”

“ไอ้หนุ่มหลัว เจ้าต้องตายด้วยน้ำมือของมหาจักรพรรดิยุทธ์เผ่าหงส์!”

“……”

ภายใต้การควบคุมรอบด้านของหลัวซิว ไม่ว่าจะเป็นกฎ หรือเป็นเล่ห์เหลี่ยมของวิชายิ่งเลิศ เหล่า เจ้ายุทธจักรเผ่าหงส์ ต่างก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลัวซิว

หลังจากที่ผลการฝึกตนบรรลุถึงมหายุทธ์ ความสูงต่ำของกฎระดับที่บรรลุถึง ได้ตัดสินความแข็งแกร่งของพลังการต่อสู้ แต่ความแตกต่างของผลการฝึกตน กลับไม่ได้ส่งผลกระทบต่อพลังการต่อสู้มากนัก

แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าผลการฝึกตนไม่สำคัญ ยิ่งผลการฝึกตนสูงมากเท่าไร ก็สามารถเข้าใจความลึกลับของกฎได้ง่ายขึ้นเท่านั้น อีกทั้งการเพิ่งระดับผลการฝึกตน ยังสามารถเพิ่มอายุไข ทำให้พลังชีวิตเบ่งบานมากขึ้น และสามารถค้นหาระดับที่บรรลุถึงที่สูงขึ้นต่อไปได้

เจ้ายุทธจักรเผ่าหงส์ทั้งหกไม่เหลือแม้แต่เศษซากกระดูก หากไม่มีสิ่งใดผิดพลาด พวกเขาสามารถมีอายุได้ราว 5000 ปี หากมีโอกาสที่ดี จนกระทั่งมีความเป็นไปได้ที่จะเหยียบเข้าสู่แดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ และฝึกยุทธ์ในป่าแห่งผู้แข็งแกร่งแดนขั้นสูง

“นี่เป็น เจ้ายุทธจักรคนที่เท่าไรแล้วที่ตายด้วยน้ำมือข้า?”

หลัวซิวยืนโดดเดี่ยวอยู่กลางตำหนัก ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้มขึ้นมา และมีฝนตกปรอย ๆ

คิดไปไกลถึงตอนที่เขาเริ่มก้าวเข้าสู่เส้นทางการฝึกยุทธ์นี้ แม้ว่าจะเป็นคนที่การกลั่นร่างขั้นสามขึ้นไป ต่างก็ต้องการให้เขายอมสยบอยู่แทบเท้า

จนกระทั่งเวลาต่อมา เขาได้รับลูกแก้วความเป็นตายโดยบังเอิญ โอกาสในชีวิตก็เปลี่ยนไปราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ

ในขณะเดียวกัน เขายกมือขึ้น กระบี่เสวียนยวนก็ปรากฏขึ้นที่มือซ้าย กระบี่โลหิตก็ปรากฏขึ้นที่มือขวา ต่างก็เป็นอาวุธขลังชั้นดีที่ทรงพลัง

ไม่เพียงเท่านั้น เขายังปลดปล่อยอาณาเขตของตัวเอง ภายใต้การกักขังของกฎความตาย แก่งแย่งกลืนกินพลังชีวิตของเหล่า เจ้ายุทธจักรแห่งเผ่าหงส์

เจ้ายุทธจักรเผ่าหงส์ที่ถูกโจมตีโดยหลัวซิวจนได้รับบาดเจ็บไปก่อนหน้านี้ก็เข้ารวมการล้อมโจมตีนี้ด้วย เจ้ายุทธจักรเผ่าหงส์ทั้งหกคนต่างใช้พลังแห่งกฎป้องกันตัวเอง ต้านทานผลกระทบจากอานาเขตกฎความตาย หยุดการถูกแย่งชิงพลังชีวิต

ทุกครั้งที่ปีกทิพย์ไร้มลทินสั่นไหว ความเร็วของหลัวซิวก็รวดเร็วดังสายฟ้า นักยุทธ์ในมือทั้งสองข้างของเขา อาศัยความเร็วสูงสุดในการต่อสู้ระยะประชิด

ด้วยอาศัยอำนาจจากมกุฎอัคคีนภาเหลือง พลังของกฎเพลิงอัคคีที่เหล่า เจ้ายุทธจักรเผ่าหงส์ทั้งหกหลอมรวมขึ้น ไม่มีทางคุกคามเขาได้เลย

แต่การโจมตีของหลัวซิวยังเต็มไปด้วยพลังแห่งกฎความตาย อีกทั้งภายใต้กฎระดับที่บรรลุถึงเกินกว่า เจ้ายุทธจักรเผ่าหงส์ทั้งหมด เพียงชั่วพริบตาเดียว ก็สามารถควบคุม เจ้ายุทธจักรทั้งหกได้

“เป็นไปได้อย่างไร? เขาเป็นแค่มกุฎยุทธ์คนหนึ่งแต่กลับสามารถครอบครองพลังการต่อสู้เช่นนี้ได้?”

“กฎระดับที่บรรลุถึงของพวกเราทั้งหกต่างก็อยู่ในระดับกฎตระหนักรู้ แต่เขากลับบรรลุถึงระดับการควบคุมขั้นต้น อีกทั้งพลังนาจกฎความตายยังแข็งแกร่งยิ่งกว่ากฎเพลิงอัคคี ยังมีเปลวเพลิงสีทองที่เขาสำแดงออกมาอีก สามารถกลืนกินพลังแห่งกฎเพลิงอัคคีได้ตามอำเภอใจ”

“เกรงว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป แม้แต่พวกเราทั้งหกคนร่วมมือกันก็ไม่สามารถเอาชนะเขาได้”

“ส่งสานท์ออกไป ให้ผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ของเผ่าเรามาจัดการเขาด้วยตัวเอง!”

สำนึกของ เจ้ายุทธจักรเผ่าหงส์ทั้งหกตัวพูดคุยกัน ไม่นานก็สามารถหาทางออกได้ หนึ่งในนั้นถอยออกไปด้วยความรวดเร็ว พลิกมือหยิบยันต์หยกชิ้นหนึ่งออกมา ใช้ตัวสำนึกสลักข้อความลงไปบนฮู้ ในวินาทีที่กำลังจะทำลายมัน

“ระวัง!”

อีกห้าคนเปลี่ยนสีหน้าอย่างกะทันหัน พากันกู่ร้องตะโกน

เจ้ายุทธจักรเผ่าหงส์คนนั้นที่พยายามส่งสานท์ก็รู้สึกได้ถึงออร่าที่น่าหวาดกลัวพุ่งเข้ามา เห็นเพียงหลัวซิวที่อาศัยความเร็วถึงขีดสุดของปีกทิพย์ไร้มลทิน พุ่งเข้าไปในเขตป้องกันของ เจ้ายุทธจักรเผ่าหงส์ทั้งห้า และพุ่งตรงเข้าไปหาเขาทันที

วืด!

เพลิงนิลหลวมรวม กลายเป็นแท่นกลมสีดำขลับราวกับหมึก ขนาดใหญ่ราวขุนเขา จากนั้นก็หล่นลงมาจากด้านบนศีรษะ

เจ้ายุทธจักรเผ่าหงส์ท่านนี้ออกแรงต้านเต็มที่ แต่ทุกการโจมตีกลับถูกแท่นกลมเพลิงนิลบดเป็นผุยผง ทำได้เพียงมองประตูแห่งความตายตรงหน้า ที่ใกล้ตัวเขาเข้ามาเรื่อย ๆ

เสียงดังปัง ร่างของ เจ้ายุทธจักรเผ่าหงส์คนนั้นแตกกระจาย ถูกตราทวยมรณะของหลัวซิวระเบิดจนตายคาที่

ชัยชนะ บาดเจ็บ และเข่นฆ่า แนวคิดที่ไม่เท่าเทียมกันโดยสิ้นเชิง ฉากนี้ ทำให้ เจ้ายุทธจักรเผ่าหงส์อีกห้าคน มีสีหน้าเหยเกถึงขีดสุด

หกคนร่วมมือกัน อีกทั้งยังมีหนึ่งในนั้นถูกฆ่าตาย นี่เป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มอายุยี่สิบกว่าปีเท่านั้น พลังการต่อสู้มันช่างเหลือเชื่อเหลือเกินไปแล้ว!

“พวกเราช่วยกันส่งสานท์!”

เจ้ายุทธจักรเผ่าหงส์ทั้งห้าพลิกมือหยิบยันต์หยกพร้อมกัน ไม่ว่าหลัวซิวจะลงมือกับใครก็ตาม พวกเขาก็ยังสามารถช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้

จากนั้นเมื่อหลัวซิวเห็นท่าทางของทั้งห้าคน กลับเผยรอยยิ้มเย้ยหยันออกมา และไม่ได้ลงมือห้ามอะไร

เจ้ายุทธจักรเผ่าหงส์ทั้งห้ามองหน้ากันไปมา ในใจเต็มไปด้วยความสงสัย ไม่นานก็สลักข้อความสำเร็จ จากนั้นก็บีบทำลายยันต์หยกด้วยความรวดเร็ว ลำแสงทั้งห้าพุ่งทะยานสู่ท้องฟ้า รวดเร็วถึงขีดสุด พุ่งเข้าไปในโซน

“ไอ้สัตว์เดรัจฉาน ส่งสาสน์ไปแล้ว มหาจักรพรรดิยุทธ์ของเผ่าข้าไม่กี่ชั่วยามก็ต้องตามมา เจ้าตายแน่!”

เจ้ายุทธจักรเผ่าหงส์คนหนึ่งหัวเราะเสียงเย็น แต่เสียงหัวเราะยังไม่ทันสิ้น กลับมีเสียงปังดังติดต่อกันห้าครั้งลอยมาเหนือศีรษะ

เห็นเพียงโซนโดยรอบของตำหนักแห่งนี้ ราวกับว่ามีกำแพงเหล็ก จัดการกับลำแสงส่งสานท์ทั้งห้าที่พวกเขาปล่อยออกไป ทั้งหมดถูกกันเอาไว้ และแตกกระจายอยู่กลางอากาศ

ส่งสาสน์ล้มเหลว?

“ไม่ได้การ! มีคนสร้างค่ายซ่อนงำคุมขังโซนเอาไว้จากทางด้านนอก!” เจ้ายุทธจักรเผ่าหงส์ทั้งห้า ก็พลันมีสีหน้าซีดเผือดขั้นมา

ผู้อาวุโสเผ่าหงส์ที่เป็นคนสร้างค่ายขังมังกรเมื่อรับรู้ได้ถึงฉากนั้น ก็มีสีหน้าตกตะลึงในทันที “สามารถต้านค่ายขังมังกรระดับแปดระดับแปดได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ ไอ้หนุ่มนี่ไม่ธรรมดาเลย”

“เฮอะ ต่อให้ไม่ธรรมดามากเพียงใดก็เป็นแค่คนรุ่นหลัง พวกเราหกคนจะจัดการเขาไม่ได้เลยหรือ?”

ผู้แข็งแกร่งระดับ เจ้ายุทธจักรช่วงกลางของเผ่าหงส์มีท่าทีไม่สนใจ พวกเขาทั้งหกคนต่างมีผลการฝึกตนระดับ เจ้ายุทธจักร อีกทั้งมีสองคนที่เป็น เจ้ายุทธจักรช่วงกลาง แต่หลัวซิวกลับเป็นแค่ผู้น้อยระดับมกุฎยุทธ์เท่านั้น ตรงกลางมีความแตกต่างกันถึงหนึ่งแดนใหญ่

หากพูดแค่ระดับที่บรรลุถึง เจ้ายุทธจักรสามารถฆ่ามกุฎยุทธ์ให้ตายได้อย่างง่ายดายด้วยมือข้างเดียว แต่ก็มีอัจฉริยะหาตัวจับยากบางคนที่สามารถข้ามไปฆ่าหนึ่งแดนใหญ่ได้

ยังไงก็ตาม ด้วยจำนวนหกต่อหนึ่ง หากพวกเขาไม่สามารถจัดการหลัวซิวได้ เจ้ายุทธจักรทั้งหกของเผ่าหงส์ก็จะต้องรู้สึกว่าการฝึกตนนับพันปีของตนนั้นช่างสูญเปล่าจริง ๆ

“ข้าจะไปจัดการเอง!”

ผู้อาวุโส เจ้ายุทธจักรช่วงกลางที่เอ่ยปากพูดเมื่อครู่ก้าวเท้าเดินออกไป เมื่อมาถึงกลางตำหนัก แค่พริบตาเดียวก็เห็นหลัวซิวที่กำลังสาวเท้าเดินเข้ามา

“ไอ้สัตว์เดรัจฉาน คิดจะมาช่วยคนจำต้องผ่านด่านข้าไปก่อน”

ผู้อาวุโสเผ่าหงส์คนนี้หนวดเคราปลิวไสว ด้านหลังปรากฏทะเลเพลิง พลังแห่งกฎเพลิงอัคคีกลายร่างเป็นหงส์ ร่อนลงมาทางหลัวซิว

ในระยะที่ใกล้เช่นนี้ การโจมตีของผู้อาวุโสเผ่าหงส์นั้นกะทันหันอย่างมาก ไม่มีโอกาสให้สามารถหลบได้เลย

หลัวซิวไม่ได้ยอมรับ ยกมือขึ้นปล่อยหมัดออกไป ทักษะการต่อสู้หมัดกระบี่ตกลงบนตัวของหงส์ โจมตีจนแตกออกเป็นผุยผง

ผู้อาวุโสเผ่าหงส์ที่เผชิญหน้าอยู่นั้นหน้าถอดสี กัดฟันแน่ในทันที มือจีบพลังตราประทับ “กระบี่หงส์!”

เพลิงอัคคีด้านหลังของเขา มีเปลวไฟพุ่งออกมา หลอมรวมกันเป็นรูปทรงกระบี่ พร้อมกับเสียงร้องของหงส์ พุ่งตรงไปฆ่าหลัวซิวราวกับเหยี่ยวที่ตกใจ

นี่คือวิชายิ่งเลิศของเผ่าหงส์ พลังอำนาจนั้นแข็งแกร่งมาก ผู้อาวุโสเผ่าหงส์คนนี้ ตั้งแต่ที่ฝึกจนสำเร็จ ไม่ว่าไปที่ใดก็ไม่เคยเสียเปรียบ

“เป็นแค่รูปลักษณ์ดูดี แต่ไร้ประโยชน์!”

หลัวซิวพลิกฝ่ามือ สีทองของมกุฎอัคคีนภาเหลืองปะทุขึ้นมา ดับกระบี่เพลิงอัคคีจนสิ้นแสง เสียงหงส์ร้องเมื่อครู่ก็เงียบไปด้วยเช่นกัน

“เจ้า ……”

ผู้อาวุโสเผ่าหงส์ทั้งโกรธทั้งอาย ตนเป็นถึงผลการฝึกตน เจ้ายุทธจักรช่วงกลาง เพียงแค่ต่อสู้กับมกุฎยุทธ์ตัวเล็ก ๆ แต่กลับโดนอีกฝ่ายทำลายลงได้อย่างง่ายดาย เช่นนี้เขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?

“นภาเพลิงช่วงโชติ!”

ทะเลเพลิงโหมกระหน่ำออกไป เพลิงอัคคีที่เต็มไปด้วยพลังแห่งกฎที่สามารถเผาพลาญโซนจนไม่เหลือชิ้นดีได้นั้น พุ่งตรงมายังร่างของหลัวซิวอย่างรวดเร็ว

“กล้าเล่นไฟต่อหน้าข้า พวกเจ้าเผ่าหงส์ยังห่างไกลนัก!”

เสียงหัวเราะของหลัวซิวดังออกมาท่ามกลางทะเลเพลิงที่โหมกระหน่ำ เพลิงอัคคีอันไม่มีที่สิ้นสุดอยู่ดี ๆ ก็เริ่มหดเล็กลง ผู้อาวุโสเผ่าหงส์มองด้วยความตกใจถึงขีดสุด เพลิงอัคคีทั้งหมดที่เขาปล่อยออกไปนั้น ได้ถูกหลัวซิวกลืนกินดูดซับเข้าไปในร่างของตนจนหมด ไม่เหลือแม้แต่เศษเสี้ยว

“ไอ้แก่ แก่ก็ลองรับมือกับข้าบ้าง”

ปีกเพลิงนิลที่อยู่ด้านหลังสยายออก เพียงพริบตาเดียว หลัวซิวก็พลันปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าผู้อาวุโสเผ่าหงส์ ทักษะการต่อสู้หมัดกระบี่ถูกปล่อยออกไป

ปัง!

ผู้อาวุโสเผ่าหงส์ยกมือขึ้นกำบัง ทันใดนั้นแขนของเขาก็ขาดออกทันที ร่างทั้งร่างลอยกระเด็นออกไป ชนเข้ากับกำแพงหินด้านหนึ่งภายในตำหนักจนแตกกระจาย
“ไม่ได้การ ทุกคนออกมาช่วยกัน!”

พลังที่หลัวซิวเผยให้เห็นนั้นดูเหมือนจะเกินความคาดหมายของเหล่าผู้อาวุโสเผ่าหงส์ แม้แต่ เจ้ายุทธจักรช่วงกลางต่างก็ไม่ใช่คู้ต่อสู้ นั่นทำให้ที่เหลืออีกห้าคนมีสีหน้าตื่นตระหนกอย่างมาก

โซ่เพลิงอัคคีที่ถูกหลัวซิวโจมตีจนแตกสลายไปก่อนหน้านี้ก่อตัวขึ้นใหม่อีกครั้ง ร่างทั้งห้าปรากฏตัวขึ้นกลางตำหนัก โจมตีมายังหลัวซิวเป็นทางเดียว เปลวเพลิงโหมสูงเสียดฟ้า

เพราะเลือดในตัวของเผ่าหงส์ เหมาะสมที่จะฝึกตนกฎเพลิงอัคคีตั้งแต่กำเนิด แต่ในกฎประเภทเดียวกัน มีวิธีการฝึกตนที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้นวิธีการโจมตีของเหล่า เจ้ายุทธจักรเผ่าหงส์ จึงได้ละลานตาไปหมด ทำให้คนมองเวียนหัวได้

ปัง!

ออร่ารอบกายหลัวซิวพุ่งสูงขึ้น พลังต่อสู้ทั้งหมดถูกเปิดออก เตาทยานนภามังกรคู่ลอยขึ้นเหนือศีรษะ มังกรเขียวสองตัวพันรอบ ปกป้องรอบกาย ต้านการโจมตี

เหวินเซวียนหง เสิ่นหยวนหนาน และเย่เจียเอ๋อร์ถูกจับตัวไป หลัวซิวปิดบังตัวตน ติดตามร่องรอยอันแสนน้อยนิดไปจนพบว่าเป็นเผ่าหงส์

ที่กลางเขตการปกครองโตว้ไห่ประเทศเทียนหวู ผู้แข็งแกร่งของเผ่าหงส์หลายคนรวมตัวกันอยู่ด้านในตำหนักหนึ่ง

“จับพวกมดราชายุทธ์สองสามคนมาจะมีประโยชน์อะไร?”

“คนพวกนี้เคยเกี่ยวข้องกับหลัวซิว หลัวซิวหากได้ยินข่าว บางทีอาจจะหวนนึกถึงอดีตแล้วออกมาถึงที่นี่ด้วยตนเองก็เป็นได้”

“พวกเราจงใจทิ้งร่องรอยเล็กน้อยเอาไว้ อีกทั้งยังสร้างค่ายกลเอาไว้ใกล้ ๆ กับตำหนักแห่งนี้ด้วย หากเขากล้ามา จะไม่ได้กลับออกไปอีกแน่นอน”

ที่กลางตำหนักแห่งนี้ มีผู้แข็งแกร่งของเผ่าหงส์ทั้งหมด 6 คน ทุกคนต่างมีผลการฝึกตนระดับ เจ้ายุทธจักร ในนั้นคนที่มีผลการฝึกตนสูงที่สุด ก็คือระดับ เจ้ายุทธจักรช่วงกลาง

หลัวซิวแปลงร่างเปลี่ยนรูปลักษณ์ สำรวจไปทั่วทั้งบริเวณใกล้เคียงของตำหนักแห่งนี้

“ค่ายขังมังกรระดับแปด”

แค่เพียงแวบเดียวเขาก็สามารถมองที่มาของการสร้างค่ายยากเย็นออกได้ เมื่อมีคนข้ามเข้าไปภายในค่ายยากเย็นแห่งนี้ จะมีแสงค่ายเก้าลำแสงแปรเปลี่ยนเป็นโซ่รูปมังกรขังเอาไว้ด้านใน

ปรมาจารย์ค่ายกลที่มีระดับต่างกันนั้น อำนาจของค่ายกลก็ต่างกันไปด้วย ค่ายขังมังกรระดับแปดที่อยู่ตรงหน้านี้ สามารถกักขัง เจ้ายุทธจักรช่วงต้นได้อย่างสบาย ๆ ส่วนผู้แข็งแกร่งระดับ เจ้ายุทธจักรช่วงกลางก็สามารถขังได้ประมาณหนึ่งชั่วยาม

“เผ่าหงส์ พวกเจ้าแส่หาเรื่องเอง”

หลัวซิวเตรียมพร้อมที่จะเข่นฆ่าแล้ว อีกทั้งเขายังมีแผนว่าจะเบนสายตาไปยังกองกำลังต่าง ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เพื่อน ๆ ของตนต้องถูกร่างแหละบาดเจ็บไปด้วย

ค่ายขังมังกรระดับแปด หลัวซิวคิดจะทำลายก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ถ้าอยากทำลายอย่างเงียบ ๆ ไม่ให้คนในค่ายรับรู้ นั่นก็ยากขึ้นเล็กน้อย

หลังจากนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ในใจของหลัวซิวก็ได้มีแผนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

ผู้คนบนเส้นทางใกล้ตำหนักนั้นผ่านไปมามากมาย หลัวซิวเนียนเข้าไปอยู่ในกลุ่มคน เพราะออร่าเปลี่ยนรูปลักษณ์ จึงไม่มีใครสงสัยว่าเขามีเป้าหมายอะไร

เขาเดินไปรอบ ๆ ทางเดินในตำหนักหลายรอบ สองมือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อ ก็จีบกันสร้างพลังตราประทับค่ายกล จากนั้นก็เอาวัสดุที่จำเป็นสำหรับการสร้างค่ายกลทั้งหมดวางเอาไว้ตามจุดที่ต้องการ

“สำเร็จ!”

ครึ่งชั่วยามต่อมา มุมปากของหลัวซิวก็เผยรอยยิ้มบาง ๆ ออกมา

เขาไม่เคยลองแก้ค่ายขังมังกร เพราะเมื่อถูกยอดฝีมือเผ่าหงส์ที่อยู่ในค่ายพบเข้า เช่นนั้นทั้งสามคนที่ถูกจับเป็นตัวประกันก็จะกลายเป็นเครื่องมือที่อีกฝ่ายเอาไว้ใช้ควบคุมตน

ครั้งนี้หลัวซิวไม่ได้เพียงแค่จะทำสงครามเท่านั้น ยังต้องช่วยคนด้วย จึงจำเป็นต้องแน่ใจว่าจะไม่มีสิ่งใดผิดพลาด

ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้คลายค่ายขังมังกร แต่กลับสร้างค่ายกลขึ้นมาอีกแห่งหนึ่งที่บริเวณด้านนอกของค่ายขังมังกร ซึ่งเป็นค่ายกลระดับแปดเช่นกัน ต่างมีความสามารถเป็นได้ทั้งค่ายยากเย็นและค่ายซ่อนงำทั้งสองชนิด

นอกจากนี้ยังหมายถึง มีค่ายกลที่เขาสร้างเอาไว้อยู่ ถึงแม้เขากับยอดฝีมือเผ่าหงส์ปะทะกันดุเดือดเพียงใด หากมองจากภายนอกก็จะไม่พบความผิดปกติใด ๆ ออร่าของคลื่นพลังจิตแท้ก็จะไม่ไหลออกไปด้านนอกด้วย

เมื่อเตรียมทุกอย่างครบแล้ว หลัวซิวก็สาวเท้าก้าวเข้าไปที่กลางตำหนัก

กลางโถงรับแขกของตำหนัก ยอดฝีมือของเผ่าหงส์ทั้งหกคนนั่งคุกเข่าอยู่ต่างก็พากันเบิกตาโพล่ง

“ฮ่าฮ่า ปลาติดเบ็ดแล้ว วัยรุ่นนี่ประสบการณ์น้อยจริงด้วย เดินเข้ามาติดกับดักเองง่าย ๆ เช่นนี้”

ผู้อาวุโส เจ้ายุทธจักรช่วงต้นของเผ่าหงส์คนหนึ่งหัวเราเสียงดัง เขาก็คือคนที่สร้างค่ายขังมังกร มีระดับเป็นปรมาจารย์ค่ายกลระดับแปด ทั่วทั้งโลกแสงดาว ก็นับว่ามีตำแหน่งที่ไม่ธรรมดา

เขาจีบมือวิชาค่ายกล ค่ายขังมังกรก็ทำงานในทันที เพลิงอัคคีเส้นแล้วเส้นเล่าหลอมรวมขึ้นเป็นโซ่ ออกมาจากรอบตำหนักทั้งแปดทิศ พุ่งตรงเข้าไปทางหลัวซิว

“เพียงแค่ค่ายขังมังกรระดับแปด ไม่มีประโยชน์ต่อข้า”

หลัวซิวเดินเข้าไปในตำหนักอย่างสบาย ๆ เหมือนเดินเล่น ด้วยพลังของตัวสำนึกและพลังแห่งกฎความตาย ตัวสำนึกแปรเปลี่ยนออกไป ทำลายโซ่ทั้งแปดเส้นนั้นจนแตกกระจาย

หลังจากรวบรวมทรัพยากรที่จำเป็นครบหมดแล้ว เขาก็เริ่มฝึกตนปิดขัง เตรียมพร้อมที่จะเข้าเข้าสู่ระดับที่บรรลุถึงมกุฎยุทธ์ขั้นเก้า

ภายในระยะเวลาสามเดือนเต็ม เขาเก็บตัวเงียบอยู่ในสภาวะที่ไร้ตัวตน ในหัวของเขามีร่องรอยของผังกฎดั้งเดิมปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่อง เทียบกับ ประสบการณ์ฝึกตนที่เทวทูตจื่อเยียนมอบให้ทั้งหมด ทำให้เกิดความรู้ความเข้าใจมากมาย

ในวันที่เขาออกจากการปิดขัง กำแพงหินที่สูงชันสูงตระหง่านอยู่บนท้องฟ้า ดวงตาสีเข้มคู่หนึ่งก็ฉายเป็นประกายอันเยือกเย็นออกมา

ผมดำขลับปกคลุมไหล่ เสื้อคลุมของเขาปลิวไสวตามสายลม หลังจากบรรลุผลการฝึกตน พลังในการต่อสู่ของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก

อีกทั้งในช่วงระยะเวลาสามเดือนที่ฝึกตนปิดขัง เขาใช้มกุฎอัคคีนภาเหลืองชุบร่างเนื้อ ระดับที่บรรลุถึงของร่างเนื้อที่ร่วงหล่นไปก่อนหน้านี้ ก็ได้ฟื้นฟูขึ้นมาถึงแดนศักดิ์สิทธิ์ช่วงปลายอีกครั้ง

ในเวลาเดียวกันกับที่ผลการฝึกตนเพิ่มขึ้น อำนาจของมกุฎอัคคีนภาเหลืองก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย สามารถกด เจ้ายุทธจักรช่วงปลายได้

เพียงแต่ว่าการหลอมรวมของภูตอัคคีเสือพิฆาตจิ่วหยินชนิดที่สามกลับไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิดเอาไว้ เมื่อภูตอัคคีร้อยแปรสามารถฝึกตนถึงการแปรที่สาม ก็จะกลายร่างเป็นจักรพรรดิอัคคีนภาแดง สามารถก่อให้เกิดภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ต่อผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ช่วงต้นได้

เพลิงอัคคีที่แข็งแกร่งเช่นนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ผลการฝึกตนทั่ว ๆ ไปสามารถควบคุมได้ หลัวซิวมีลางสังหรณ์บางอย่าง นอกจากผลการฝึกตนของตนจะบรรลุถึงระดับ เจ้ายุทธจักร ไม่เช่นนั้นหากฝืนหลอมรวมภูตอัคคีชนิดที่สาม ก็จะเป็นการดูดไฟเผาตัวเอง ไม่สามารถรับอำนาจของภูตอัคคีชนิดนี้ได้ ยังไม่ทันได้ทำร้ายคนอื่น แต่กลับทำร้ายตัวเองไปเสียก่อน

เมื่ออกมาได้ไม่นาน หลัวซิวก็ได้รับรายงานจากองค์กรนักล่ายุทธ์รับรู้ได้ว่าในช่วงเวลานี้ ทั่วทั้งโลกแสงดาวต่างไร้ความสงบ

กองกำลังต่าง ๆ ตามหาเขาแต่ไม่พบเขา จึงได้หมายตาแดนตำหนักจื่อ ผู้แข็งแกร่งนับไม่ถ้วนถูกฆ่าตาย ไม่ได้สนใจสถานะ ผู้ลาดตระเวนเมืองหลวงของเขาแม้แต่น้อย

เพราะเมืองศักดิ์สิทธิ์เดิมทีก็เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ร่วมมือกันจัดตั้งขึ้นมา ตำแหน่งสำคัญบางตำแหน่ง ต่างต้องให้ผู้แข็งแกร่งแดนศักดิ์สิทธิ์มารับหน้าที่

ทางเข้าแดนตำหนักจื่อได้ถูกทำลายไปแล้ว แดนปริศนาหายเข้าไปในโซน ไม่สามารถพบเจอได้ ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งที่เชี่ยวชาญด้านกฎปริภูมิ ก็ยังเป็นการยากที่จะหาพบ

กองกำลังต่าง ๆ ไม่พบสิ่งที่ต้องการอีกครั้ง ไม่ได้อะไรกลับมา

เดิมทีไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร แต่คนของตำหนักดารานภากับเผ่าพันธุ์ปีศาจเกิดการขัดแย้งกันขึ้น ทั้งสองฝ่ายเปิดศึกสังหารกันอย่างดุเดือด มหาจักรพรรดิยุทธ์ท่านหนึ่งของตำหนักดารานภาถูกมหาจักรพรรดิยุทธ์สองตนจากเผ่าพันธุ์ปีศาจลอบโจมตี ผลการฝึกตนตกลงและบาดเจ็บสาหัส

หากไม่ได้มหาจักรพรรดิยุทธ์ท่านหนึ่งแห่งสำนักดำเหลืองยื่นมือเข้าไปช่วย เกรงว่าตำหนักดารานภาคงจะต้องเสียผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ไปท่านหนึ่งแล้ว

เผ่าพันธุ์มนุษย์มีแดนศักดิ์สิทธิ์ 20 แห่ง ดูเหมือนมีจำนวนมาก แต่ว่าจำนวนของผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์นั้นมีเพียงน้อยนิด หากนับกันให้ดี จะพบว่าแต่ละแดนศักดิ์สิทธิ์มีมากที่สุดก็เพียงแค่สองสามท่านเท่านั้น

เช่นนี้ก็หมายความว่า ทั่วทั้งเผ่าพันธุ์มนุษย์ จำนวนผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ที่สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนนั้น ก็มีเพียงแค่ประมาณ 60 คนเท่านั้น

ตัวเลขนี้ดูเหมือนไม่น้อย แต่หากเทียบกับจำนวนที่มากมายของเผ่าพันธุ์มนุษย์แล้วนั้น กลับเป็นน้อยเสียจนน่าตกใจ

โลกแสงดาวคือโลกพิภพระดับล่าง หมื่นปีกำเนิดเทพมาร แต่รองลงมาจากเทพมารอย่างผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์นั้น พันปีจะมีสักหนึ่งคนก็ถือว่าดีมาก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่เกิดอุบัติภัยในสมัยโบราณ การฝึกยุทธ์ไม่ได้รุ่งเรืองเหมือนในอดีตอีกต่อไป เวลาผ่านไปหลายหมื่นปีก็ยังไม่เคยมีกำเนิดเทพมาร จำนวนของมหาจักรพรรดิยุทธ์ก็ยิ่งน้อยลงเรื่อย ๆ เช่นเดียวกัน

ผู้แข็งแกร่งนิรันดร์สามารถใช้วิธีเกิดใหม่เพื่อเพิ่มอายุให้ยืนยาว สามารถถือครองนิรันดร์ไม่มีวันตายได้ แต่อายุของผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์กลับมีข้อจำกัด โดยปกติจะอยู่ที่ประมาณสองหมื่นปี

การต่อสู้อันดุเดือดครั้งนี้ ตำหนักดารานภาสูญเสียไปไม่น้อย มีผู้อาวุโสระดับ เจ้ายุทธจักรหลายคนที่กลายเป็นเถ้าธุลี

เรื่องนี้ทำให้เกิดความโกลาหลอย่างมาก ทำให้การรักษาความสงบสุขมาหลายหมื่นปีระหว่างเผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าพันธุ์ปีศาจ กลายเป็นเพียงลมฝนที่พัดผ่านไปเท่านั้น

ในขณะเดียวกัน หลัวซิวก็ยังได้รับข้อมูลอีกว่า กลุ่มคนที่เคยข้องเกี่ยวกับเขาในอดีต ก็ถูกร่างแหไปด้วย

สิ่งนี้ทำให้หลัวซิวโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เตรียมพร้อมที่จะเปิดสงครามใหญ่

แต่ศัตรูคู่แค้นจาหโลกพิภพระดับสูงกลับไม่ยอมปล่อยไปง่าย ๆ ผู้แข็งแกร่งระดับราชาเทพไม่สามารถลงมาเยือนได้ จึงได้ใช้พลังอมตะมหาศาลเปิดโซนเป็นทางผ่าน ส่งเทพฟ้าผู้แข็งแกร่งหลายคนลงมายังโลกและตามฆ่าเขา

ที่ทำให้ เทพสงครามเวหากาลคาดไม่ถึงก็คือ คนจากเผ่าของตัวเองได้หีกหลังเขา อีกทั้งผู้ที่หักหลังเขาก็คือลูกชายของเขาเอง อาศัยโอกาสที่เขาไม่ได้ระวังตัววางยาพิษ

นั่นเป็นพิษประหลาดที่นำมาจากโลกพิภพระดับสูง ในตอนที่เขาพบว่าตัวเองถูกวางยาพิษนั้น เทพฟ้าผู้แข็งแกร่งหลายคนก็ตามมาสังหารเขาถึงที่

เทพสงครามเวหากาลสู้อย่างสุดชีวิต เข่นฆ่าเทพฟ้าทั้งแปดที่ลงมาจากโลกพิภพระดับสูง ท่ามกลางความเหน็ดเหนื่อย ก็ได้ทลายโซนอีกครั้ง ร่วงลงมาถึงโลกพิภพระดับล่าง—-โลกแสงดาว!

“โอกาส? โอกาสใดกัน?”

หลัวซิวอ่านเนื้อหาที่บันทึกในม้วนหยกจบ ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว

ในม้วนหยกพูดเพียงแค่ เทพสงครามเวหากาลได้รับโอกาสจากโลกพิภพระดับสูง แต่กลับไม่ได้บอกเอาไว้ว่าโอกาสที่ว่านั่นที่จริงแล้วคืออะไรกันแน่

แต่หลัวซิวก็ยึดตามเบาะแสอันน้อยนิดจากเนื้อหาในม้วนหยก ก็น่าจะอนุมานได้ว่า การตายของเทพสงครามเวหากาล จะต้องมีความเกี่ยวข้องกับโอกาสที่ว่านั้นแน่นอน ไม่เช่นนั้นคงจะไม่สามารถทำให้กองกำลังใหญ่จากโลกพิภพระดับสูง ต้องเปิดทางผ่านโซนส่งผู้แข็งแกร่งลงมาตามสังหารเขาเช่นนี้

อีกทั้งการหักหลังของลูกชายแห่งเทพสงครามเวหากาล เป็นไปได้อย่างมากว่า เขาก็ทำเพื่อโอกาสนั้นเช่นกัน

ทำให้เทพฟ้าทั้งหลายต่างก็ให้ความสำคัญอย่างมาก จนกระทั่งสามารถทำให้เทพสงครามเวหากาลเข้าทัพราชาเทพ อีกทั้งยังได้โอกาสในการเพิ่มระดับที่บรรลุถึง!

ม้วนหยกมีแผนที่โดยย่ออยู่ ในแผนที่นั้นมีการทำสัญลักษณ์ไว้ตรงสถานที่หนึ่งแห่งโลกแสงดาว

ต่อให้ในม้วนหยกไม่ได้มีอะไรอธิบายไว้ แต่หลัวซิวก็พอจะคาดเดาได้ หลังจากเทพสงครามเวหากาลผลการฝึกตนร่วงลง ก็น่าจะเอาโอกาสที่ว่านั่นทิ้งเอาไว้ตรงที่แห่งนั้นแน่นอน

นอกจากนี้ ในม้วนหยกกล่าวถึงข้อกำหนดหนึ่ง นั่นก็คือผู้แข็งแกร่งจากโลกพิภพระดับสูง ไม่สามารถเข้ามาที่โลกพิภพระดับล่างได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งถึงแม้จะข้ามแดนมาได้ ก็จะมีการจำกัดผลการฝึกตน

อย่างเช่นผู้แข็งแกร่งแห่งโลกพิภพระดับกลางหรือโลกพิภพระดับสูง ต้องการจะลงมาที่โลกแสงดาว เพราะโลกแสงดาวเป็นต้นกำเนิดของโลกพิภพระดับล่าง ต้องเป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทพมารเท่านั้นที่จะสามารถลงมาเยือนได้ มากเกินกว่าระดับนี้จะไม่สามารถลงมาได้

ส่วนเทพสงครามเวหากาลสามารถทำลายข้อกำหนดนี้ลงมายังโลกแสงดาวได้นั้น ก็เพราะว่าเขาตอนที่เขาได้เปิดทางผ่านโซนคือตอนที่เขากำลังจะตาย ออร่าพลังเทพฟ้าดูเหมือนว่าจะกระจายหายไปจนหมด

โอกาสที่ถูกบันทึกไว้ในม้วนหยก มากพอที่จะทำให้หลัวซิวสนใจได้ แต่เขาก็ไม่ได้วางแผนได้จะต้องไปตามหาโอกาสนั้นในเวลานี้ ถึงอย่างไร เทพสงครามเวหากาลตกต่ำไปไม่รู้กี่ปีต่อกี่ปีแล้ว โอกาสที่ว่านั้นหากว่ามันยังมีอยู่ ก็คงจะไม่สามารถถูกคนอื่นแย่งไปได้ง่าย ๆ

อีกทั้งคนทั่วไปยังไม่รู้ถึงที่อยู่ของเจ้าโอกาสที่ว่านั้น เขามีม้วนหยกทองนี้อยู่ในมือ รอให้ตนมีพลังมากเพียงพอ โอกาสนั้นไม่ช้าก็เร็วก็ต้องเป็นของเขาอยู่ดี

สำหรับหลัวซิวแล้ว สิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดคือเพิ่มผลการฝึกตนระดับที่บรรลุถึง ในเวลาอันใกล้นี้ผลการฝึกตนของเขากำลังจะบรรลุถึงมกุฎยุทธ์ขั้นเก้า แต่เขายังไม่พอใจ เขาต้องการใช้เวลาที่สั้นที่สุดเพื่อบรรลุถึงระดับมหายุทธ์

เพียงแต่จากมกุฎยุทธ์ขั้นเก้าถึงมหายุทธ์ เป็นการบรรลุแดนใหญ่ จำเป็นต้องใช้ทรัพยากรมหาศาล แต่ในมือของเขานั้นไม่มียากลายร่างมังกรเม็ดที่สามที่สามารถใช้ได้แล้ว

“ไม่ได้การ คงต้องกลั่นยาด้วยตัวเองแล้ว”

วิญญาณสีขาวศึกษาวิชากลั่นยา ร่างแยกทั้งสองนอกจากกฎแล้ว ที่เหลือก็เหมือนกันทุกอย่าง

เพลิงมรณะไม่เหมาะที่จะกลั่นยา แต่หลัวซิวยังมีมกุฎอัคคีนภาเหลือง ผลลัพธ์จากกลั่นแปรนั้น แม้จะไม่เท่ากฎชีวิตที่แปรอัคคีขาวเสวียนหยาง แต่ผลลัพธ์ก็ไม่ธรรมดาอยู่ดี

ในช่วงนี้ หลัวซิวฆ่ายอดฝีมือไปไม่น้อย ได้รับทรัพยากรมากมายที่ได้มาจากแหวนเก็บของของคนพวกนั้น

ในวันนี้เขาอยู่ปลายยอดของการต่อสู้อันดุเดือด ไม่กล้าที่จะแสดงตัวตนออกมาสุ่มสี่สุ่มห้า แต่ก็ยังสามารถใช้ประโยชน์จากภายในองค์กรนักล่ายุทธ์เพื่อแลกเปลี่ยนทรัพยากรทั้งหมดที่ตัวเองต้องการได้

ในท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวอันไร้ที่สิ้นสุด ดวงดาวกำลังส่องแสงเป็นประกาย ภายในระยะใกล้ ดวงดาวทุกดวงมีขนาดใหญ่มาก

ร่างสองร่างต่อสู้กันบนท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาว ระหว่างการเคลื่อนไหวของมือและเท้าเต็มไปด้วยออร่าอันน่าเกรงกลัว สามารถบดขยี้ดาวดวงใหญ่ให้กลายเป็นผุยผง

หลัวซิวรวบรวมตัวสำนึกมองต่อไปอย่างละเอียด พบว่าหนึ่งในร่างที่กำลังสู้รบอยู่นั้น สวมเกราะนักยุทธ์สีเหลืองทอง เป็นรูปแบบโบราณ เหมือนกันกับเกราะนักยุทธ์ที่เขาเห็นที่ใจกลางตำหนักก่อนหน้านี้ไม่มีผิด

คนผู้นี้สวมเกราะนักยุทธ์สีเหลืองทองราวกับเทพเจ้าแห่งสงคราม หนึ่งหมัดปล่อยออกไปทำให้ในท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวที่ไม่มีที่สิ้นสุดเกิดเป็นหลุมดำ อีกทั้งดาวหลายสิบดวงก็กลายเป็นผุยผง

และคู่ต่อสู้ของเขาก็แข็งแกร่งเสียจนน่าหวาดกลัวเช่นเดียวกัน ร่างกายเต็มไปด้วยรังสีความน่าหวาดกลัวอันไร้ขอบเขต แม้ว่านี่จะเป็นเพียงผลกระทบ รังสีอาฆาตจากภาพลวงตานั้น ก็ทำให้หลัวซิวรู้สึกว่าวิญญาณของตนกำลังจะถูกทำลายอย่างไรอย่างนั้น

“นี่คือเทพสังหารที่น่ากลัว!”

หลัวซิวสามารถแน่ใจได้ว่า ผู้แข็งแกร่งคนนี้ที่ต่อสู้กับเจ้าของเกราะนักยุทธ์สีเหลืองทอง ต้องอยู่ในระดับที่บรรลุถึงของกฎสังหารถึงระดับที่สูงที่สุดแล้วเป็นแน่

สงครามดำเนินไปอย่างยาวนาน เจ้าของเกราะนักยุทธ์สีเหลืองทองคนนั้นดูเหมือนว่าจะบาดเจ็บอยู่ก่อนแล้ว อยู่ดี ๆ เขาก็กระอักเลือดออกมา มือหนึ่งฟาดลงไปทำลายดวงดาว บินหนีออกไป

แต่คู่ต่อสู้ของเขากลับไม่ได้ตามไปโจมตี ร่างกายโอนเอนไปมา ร่างกายแตกร้าวเกิดเป็นแผลฉกรรจ์

ในม้วนหยกบันทึกภาพเอาไว้ถึงแค่เพียงตรงนี้ จากนั้นก็จบลง

“ข้าเทพสงครามเวหากาลต่อสู้อยู่ในโลกพิภพ หลายร้อยหลายพันปีมิเคยพ่ายแพ้ แต่กลับถูกคนต่ำทรามปองร้าย เข่นฆ่าเทพฟ้าทั้งแปด ในที่สุดหมดเรี่ยวแรง และตายลงด้วยฤทธิ์ยาพิษ……”

กลางม้วนหยกสีทองนี้ บันทึกเรื่องราวชีวิตสั้น ๆ ของ เทพสงครามเวหากาลไว้

เขาเกิดในเผ่าพันธุ์เทพสงครามระดับกลาง ทันทีที่เขาเกิด เขาได้แสดงพรสวรรค์และความเชี่ยวชาญเฉพาะตัวของเขา เมื่ออายุหกปีเริ่มฝึกตน สิบปีฝึกตนถึงระดับมกุฎยุทธ์ อายุ 13 ถึงมหายุทธ์ อายุ 16 ถึง เจ้ายุทธจักร!

จากนั้น เมื่อเขาอายุได้ 30 ปีก็ฝึกตนระดับที่บรรลุถึงมหาจักรพรรดิยุทธ์ เมื่ออายุ 50 ปีก็ได้กลายเป็นเทพมาร

ประสบการณ์การเติบโตของเขาเป็นตำนาน ในยุคสมัยเดียวกันไม่มีใครสามารถสู้เขาได้ เพราะถึงแม้จะเป็นโลกพิภพระดับกลาง หากต้องการฝึกตนเป็นเทพมาร อย่างน้อย ๆ ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยร้อยปีขึ้นไป

แต่เขาอายุเพียง 50 ปีก็สามารถบรรลุถึงระดับเทพมารได้ ภายในระยะเวลาร้อยปี ก็บรรลุถึงเทพฟ้า!

หลังจากผลการฝึกตนบรรลุถึงเทพฟ้า เขาก็ได้กลายเป็นผู้นำเผ่าพันธุ์เทพสงคราม นำเผ่าพันธุ์เทพสงครามก่อสงครามต่อโลกพิภพครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อรบชนะหนึ่งครั้งก็ต่อสู้กับรายต่อไปที่แข็งแกร่งกว่า

คู่ต่อสู้ของเขาไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ไม่ใช่เทพฟ้า แต่กลับแพ้ด้วยน้ำมือของเขา ในตอนที่เขามีอายุได้หนึ่ง 1300 ปี เขาได้ต่อสู้ครบ 100 โลกพิภพระดับกลางและไม่มีใครสามารถเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้อีก หลังจากนั้นก็บรรลุถึงแดนขั้นสูงของเทพฟ้า!

เขาได้รับการกล่าวขานจากโลกว่าเป็น เทพสงครามเวหากาล ผู้ปกครองโลกพิภพนับร้อย

วันเวลาล่วงเลยไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เขารู้สึกถึงความเหงาที่ไม่มีคู่ต่อสู้ ถึงแม้จะมีคนมาท้าทายเขา แต่กลับไม่มีใครที่สามารถทำให้เขาออกแรงทั้งหมดได้

เขาต้องการโจมตีระดับที่บรรลุถึงเทพฟ้า ยึดครองตำแหน่งราชาเทพ!

ดังนั้นเขาจึงทรงสละตำแหน่งอันทรงเกียรติอย่างเด็ดเดี่ยว และมุ่งหน้าสู่โลกพิภพระดับสูง

ต่อมาเขาได้มีโอกาส ที่สามารถทำให้เขาสามารถเข้าร่วมทัพราชาเทพ กระทั่งได้โอกาสเหยียบขึ้นไปในระดับที่บรรลุถึงที่สูงขึ้น!

แต่ก็เพราะว่าเขาขัดขากองกำลังใหญ่แห่งโลกพิภพระดับสูง โดยไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงใช้เผาผลาญผลการฝึกตนเป็นราคาที่ต้องจ่าย บดขยี้โซน กลับลงมาที่โลกพิภพระดับกลาง

จากโลกพิภพระดับล่างเข้าไปถึงโลกพิภพระดับสูงนั้นไม่ยาก แต่หากจะลงมาจากโลกพิภพระดับสูงเข้าสู่โลกพิภพระดับล่างนั้น กลับจำเป็นต้องชดใช้ด้วยมูลค่าที่สูงลิบ

เพราะว่าเขาสูญเสียผลการฝึกตน ตกลงมาอยู่ในระดับเทพฟ้าช่วงปลาย

ถึงอย่างนั้น เขาก็เชื่อว่าพลังการต่อสู้ของตนเองก็มากพอที่จะต่อกรกับศัตรูทุกคนในโลกพิภพระดับกลางได้

“ความสงบก่อนพายุจะมา ……”

หลัวซิวที่สวมชุดขาวกำลังฝึกตนปิดขังอยู่ใจกลางภายในแดนตำหนักจื่อมาโดยตลอดนั้นก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น

จุดที่แตกต่างจากวิญญาณสีดำก็คือ วิญญาณสีขาวจะฝึกตนอยู่ตลอดทุกนาทีทุกวินาที ในขณะที่เรียนรู้ความลับของกฎอยู่นั้น ก็แบ่งสมาธิเพื่อค้นคว้าเส้นทางวิชากลั่นยา ค่ายกลและกลั่นสมบัติอีกด้วย

สามารถพูดได้ว่าหลัวซิวไม่ได้ขาดแคลนการฝึกตนวิชาอาถรรพณ์ประเภทต่าง ๆ เลยแม้สักนิด เพราะตามผลการฝึกตนที่เพิ่มขึ้นของเขา สามารถดึงความรู้ในการฝึกตนจำนวนมหาศาลจากวัฏจักรภายในลูกแก้วความเป็นตาย

วิญญาณทั้งสองเชื่อมโยงถึงกัน ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นจากทางด้านวิญญาณสีดำนั้น ทางด้านวิญญาณสีขาวก็สามารถรับรู้ได้ราวกับเห็นด้วยตาตัวเอง

วิญญาณสีดำอยู่ด้านนอกสร้างปัญหาใหญ่หลวงเอาไว้ ราวกับจะทำให้ฟ้าของโลกแสงดาวทะลุเป็นรูใหญ่ แดนตำหนักจื่อในตอนนี้ก็ไม่ได้สงบเช่นเดิมอีกต่อไปแล้ว

แม้ว่าจะมีสถานะของผู้ลาดตระเวนอยู่ ทำให้กองกำลังต่าง ๆ ไม่อาจหาญที่จะเผชิญหน้าท้าทายเมืองศักดิ์สิทธิ์โจมตีสำนักไท่เสวียนโดยตรง แต่แน่นอนว่าต้องมีคนแอบโจมตีอยู่ลับหลัง

“ทางเข้าแดนตำหนักจื่อถึงแม้จะซ่อนอยู่ในโซน แต่หากมีผู้แข็งแกร่งที่เชี่ยวชาญด้านกฎโซน เพียงแค่ต้องสิ้นเปลืองเวลาเล็กน้อย ก็สามารถหาตำแหน่งเจอได้ ด้วยวิธีการของแดนศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ การระเบิดเพื่อเปิดมันนั้นช่างเป็นเรื่องที่ง่ายดาย”

วิญญาณสีขาวเดินออกมาจากในหอฝึกตน พูดเสียงขรึม “มีทางใดที่จะทำให้ทางเข้าแดนปริศนาไม่ถูกพบเจอหรือไม่?”

“ก็ไม่เชิงว่าไม่มีวิธี……” นกสีดำตัวหนึ่งที่ตัวเล็กเหมือนนกกระจอกบินร่อนลงบนไหล่ของวิญญาณสีขาว พูดเอ่ยด้วยภาษามนุษย์ น้ำเสียงให้ความรู้สึกถึงความแก่ชรา

เจ้าของเสียงนี้ ก็คือจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำ หลังจากที่หลัวซิวสำแดงวิชาแยกวิญญาณสองระดับ วิญญาณมหาจักรพรรดิยุทธ์ไม่ได้เลือกที่จะติดตามวิญญาณสีดำออกไปสร้างความวุ่นวายด้านนอก แต่เลือกที่จะอยู่ที่แดนตำหนักจื่อ

และวิญญาณสีขาวศึกษาวิชาค่ายกลกับวิชากลั่นสมบัติ ก็ได้กลั่นหุ่นเชิดที่เหมือนนกตัวเล็ก ๆ ออกมาหนึ่งตัว ให้จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำวิญญาณอาศัยอยู่ชั่วคราว เท่ากับว่าสามารถมีร่างกายเป็นของตัวเอง

สาเหตุที่การกลั่นร่างนี้มีขนาดค่อนข้างเล็ก นั่นก็เพราะว่าวิญญาณของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำบอบบางเกินไป จากจิตวิญญาณฟื้นฟูกลับไปเป็นวิญญาณ แล้วจึงกลับไปเป็นวิญญาณดั้งเดิม หลอมรวมเทพจิตใหม่อีกครั้ง จำเป็นต้องใช้ขั้นตอนที่ยาวนานมากทีเดียว

“อ้อ? มีวิธีอะไรหรือ?” หลัวซิวเอ่ยถาม

“ทำลายทางเข้าแดนปริศนาเสียก็ได้แล้ว” จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำเอ่ยตอบ เขาไม่ได้รู้ว่าหลัวซิวได้สร้างปัญหาใหญ่โตไว้ด้านนอก ไม่นานก็จะต้องมีผู้แข็งแกร่งมาเยือนถึงหน้าประตู

ได้ยินเช่นนั้น หลัวซิวก็รี่ตาลงเล็กน้อย “ถือเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ดี”

“เจ้าคงไม่ได้คิดจะทำลายทางเข้าแดนปริศนาจริง ๆ ใช่หรือไม่? เมื่อใดที่ทางเข้าถูกทำลาย แดนปริศนาแห่งนี้ก็จะหลบซ่อนเข้าไปในส่วนลึกของโซน คนจากด้านนอกเข้ามาไม่ได้ ส่วนคนจากด้านในนอกจากจะทำลายแดนปริศนาแห่งนี้ทิ้งเสีย ก็ออกไม่ได้เช่นกัน”

“นั่นไม่ได้เป็นปัญหาอะไร วิญญาณสีดำและวิญญาณสีขาวของข้าจิตใจเชื่อมโยงกัน ถึงแม้ร่างกายจะอยู่ที่โลกภายนอก ก็สามารถค้นหาตำแหน่งของแดนปริศนาได้ ผ่านการรับรู้ของร่างแยกวิญญาณ”

หลัวซิวไม่ได้อธิบายอะไรมากมาย ก้าวกระโดดขึ้นไปบนกาศเหนือแดนตำหนักจื่อ มือหนึ่งจีบมือวิชาค่ายกล อีกมือหนึ่งกระหน่ำปล่อยพลังแสงสีขาว

ปัง!

หลังจากนั้นไม่นาน โซนแดนปริศนาทั้งแดนก็สั่นไหวอย่างรุนแรง ยาวนานประมาณครึ่งก้านธูปได้ จึงได้สงบลงในที่สุด

เหล่าไท่เสวียนที่ฝึกตนอยู่ภายในแดนปริศนาก็พากันตกใจ สีหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่

“เจ้าเด็กคนนี้……” เมื่อเห็นหลัวซิวทำลายวิชาห้ามค่ายกลที่ปากทางเข้าแดนปริศนาอย่างไม่ลังเล ทำให้แดนปริศนาทั้งแดนหลบเข้าไปในโซนอย่างสมบูรณ์แบบ จะยังไม่เข้าใจอีกได้อย่างไรว่า ร่างแยกของเขาอีกร่างได้สร้างปัญหาใหญ่เอาไว้ที่ด้านนอก

ในขณะเดียวกัน สถานที่ที่ปลอดภัยแห่งหนึ่งของอาณาจักรตะวันออก หลัวซิวหยิบม้วนหยกสีทองออกมา ตัวสำนึกถูกส่งออกไปสำรวจเนื้อหาด้านใน

ปัง!

ตัวสำนึกของหลัวซิวเพิ่งจะเข้าไปในม้วนหยก ก็ถูกแรงระเบิดดึงเข้าไปลากเข้าไปด้านในของโซนแห่งหนึ่ง จากนั้นก็ได้เห็นภาพหนึ่งที่ทำให้รู้สึกประทับใจอย่างมาก

“ได้ยินมาว่าผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์หลายท่าน ออกแรงแย่งชิงเกราะนักยุทธ์สีเหลืองทองเพื่อให้ได้มันมาครอง แต่ท้ายที่สุดเกราะนักยุทธ์บินหนีไป เหมือนเอาตะกร้าไปตักน้ำ ตักได้แค่ความว่างเปล่า”

“นอกจากเกราะนักยุทธ์สีเหลืองทอง ยังมีม้วนหยกปริศนาอีกหนึ่งชิ้น แต่ถูกคนที่ชื่อหลัวซิวเอาไปแล้ว”

ทุกหนแห่งในอาณาจักรตะวันออกต่างก็มีแต่เสียงถกเถียงกันเรื่องนี้ และข้อมูลนี้ก็ถูกขยายไปถึงอีกสามอาณาจักรใหญ่อย่างรวดเร็ว

“หลัวซิว? ชื่อนี้ทำไมฟังดูแล้วมันคุ้น ๆ อย่างบอกไม่ถูก? สามารถแย่งชิงม้วนหยกจากกองกำลังใหญ่แดนศักดิ์สิทธิ์และสองเผ่าพันธุ์มารปีศาจไปแบบต่อหน้าต่อตาเช่นนั้น มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์ใดกันแน่?”

“คนผู้นี้เกิดที่เมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในอาณาจักรใต้ แต่พรสวรรค์สูงมาก ว่ากันว่าระหว่างการฝึกซ้อมที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ สามารถกดซิงหลิง หวูหยุน ต้าวหวูซินและกุ่ยโยว สี่อัจฉริยะหาตัวจับยาก และคว้าอันดับหนึ่งมาครองได้!”

“ที่ในตำหนักตอนนั้นข้าก็ได้เห็นเองกับตา อัจฉริยะแห่งราชวงศ์มารม่วงเฟิงเฉิงโจวก็ถูกเขาโจมตีเสียจนไม่สามารถตอบโต้ได้”

“ว่ากันว่าเทพบุตรเผ่าหงส์ก็เคยสู้กับเขาเรื่องกฎระดับที่บรรลุถึง แต่น่าเสียดายสู้ไม่ได้เลยหนีไปเสียก่อน”

คนมากมายกำลังพูดคุยกัน แต่ต่างก็รู้สึกว่ามันเชื่อได้ยาก ถึงอย่างไรนี่มันก็เหลือเชื่อเกินไป

เฟิงเฉิงโจว แห่งราชวงศ์มารม่วง คืออัฉริยะแปลกประหลาดจากเผ่าพันธุ์ปีศาจ ครั้งหนึ่งเคยเผชิญหน้าชนะ เจ้ายุทธจักรคนหนึ่งแห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์ ถูก กองกำลังต่าง ๆ จากแดนศักดิ์สิทธิ์เผ่าพันธุ์มนุษย์ ถูกมองว่าเป็นภัยใหญ่หลวงในอนาคต

แต่หลังจากนั้นเขากลับไม่สามารถตอบโต้กลับในการสู้กับหลัวซิวได้ จะไม่ให้ผู้คนตกใจได้อย่างไร?

“เผ่าหงส์มี เจ้ายุทธจักรสองคนที่เคยตายด้วยน้ำมือของคนผู้นี้ วันนี้กองกำลังต่าง ๆ ต่างก็กำลังออกตามหาร่องรอยของคนผู้นี้ด้วย”

“เจ้าเด็กคนนี้ก็ช่างกล้าหาญชาญชัยเหลือเกิน ขัดแข้งขัดขาเผ่าหงส์ยังไม่พอ ยังฆ่าอัจฉริยะแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดและนิกายมารศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย วันนี้ยังแย่งสมบัติล้ำค่าไปต่อหน้าต่อตาเหล่ากองกำลังทั้งหลาย ใต้หล้ากว้างขวางเพียงใด แต่ก็เกรงว่าจะไม่มีที่ยืนให้กับเขาแล้ว”

“เขาเกิดที่อาณาจักรใต้ มีสำนักอยู่ที่อาณาจักรใต้ ต่อให้เขาหลบซ่อนตัว เหล่ากองกำลังทั้งหลายต่างก็มีวิธีที่จะบีบบังคับให้เขาออกมา”

ข้อมูลต่าง ๆ ไหลไปดั่งสายน้ำ ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับหลัวซิวต่างถูกผู้คนตรวจสอบจนสิ้น

จนกระทั่งถึงเวลานี้ ทุกคนต่างพบกับการตกตะลึง เขาเพิ่งจะมีอายุเพียง 22 ปี!

“พระเจ้า 22 ปีก็สามารถครอบครองพลังที่สามารถเข่นฆ่า เจ้ายุทธจักรได้ นี่คือการทำลายกฎของธรรมชาติหรือไร?”

“เขาสามารถฆ่า เจ้ายุทธจักร แต่ก็เป็นการพึ่งพาของนอกกาย มีภูตอัคคีอันแข็งแกร่งและของขลังปีกทิพย์ไร้มลทินที่ได้ชื่อว่ามีความรวดเร็วที่สุดในโลกก็เท่านั้น”

“กองกำลังต่าง ๆ ต่างก็มีผู้แข็งแกร่ง ไม่ขาดผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ ไม่ว่าเขาจะเก่งกาจอีกมากเพียงใด สุดท้ายก็ยังเป็นเพียงแค่มกุฎยุทธ์ตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งอยู่ดี”

“ด้วยผลการฝึกตนระดับมกุฎยุทธ์ สามารถทำได้ถึงขั้นนี้ มันก็ถือว่าน่ากลัวมาก ๆ แล้ว”

แดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ต่าง ๆ เคลื่อนไหวกำลังพลจำนวนมาก หลายคนก็เดินหน้าตามหาร่องรอยของหลัวซิวไปทั่วทั้งสี่ทิศ

ยังไม่พูดถึงว่าม้วนหยกสีทองที่ถูกหลัวซิวชิงไปนั้น แท้จริงแล้วบันทึกอะไรเอาไว้แน่ แค่เพียงสมบัติที่เขาครอบครองอยู่นั้น ก็มากพอให้ที่จะทำให้ผู้แข็งแกร่งระดับ เจ้ายุทธจักรใจสั่นระรัวได้แล้ว

สำหรับส่วนที่เขามีภูตอัคคีอยู่ในมือนั้น ทำให้ผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ต่างเตรียมพร้อมที่จะทำอะไรสักอย่าง เพียงแต่ความเป็นตัวตนของพลังในระดับที่บรรลุถึงนั้น กลับไม่สามารถลงมือตามอำเภอใจได้

นอกจากแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ต่าง ๆ จากเผ่าพันธุ์มนุษย์ แม้แต่เผ่าพันธุ์มารและเผ่าพันธุ์ปีศาจก็มีการเคลื่อนไหวด้วยเช่นกัน มักจะปรากฏตัวขึ้นที่คูเมืองและเมืองหลวงของเผ่าพันธุ์มนุษย์

ตั้งแต่เกิดโศกนาฏกรรมในสมัยโบราณ ทั้งสามเผ่าพันธุ์ต่างลงนามในข้อตกลงยุติสงคราม แต่ทั้งทุกฝ่ายนั้นก็มีการติดต่อกันน้อยมาก ในชีวิตปกติจะอาศัยกันอยู่ในเขตเมืองที่แตกต่างกัน

แต่ในครั้งนี้ ม้วนหยกสีทองและเกราะยุทธ์สีเหลืองทองได้ดึงดูดจิตใจของผู้คน เผ่าพันธุ์มารปีศาจก็เริ่มเข้ามาที่เขตเมืองของเผ่าพันธุ์มนุษย์อย่างไร้ยางอาย

การเคลื่อนไหวของเผ่าพันธุ์มารปีศาจ ทำให้แดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ต่าง ๆ ของเผ่าพันธุ์มนุษย์รู้สึกไม่สงบสุข โศกนาฏกรรมครั้งโบราณเมื่อหลายหมื่นปีก่อนนำมาซึ่งความหายนะครั้งใหญ่ของฟ้าดินนี้ ให้ทั้งสามเผ่าพันธุ์ต้องทนทุกข์ทรมานจากการบาดเจ็บของพลังจิต

หลังจากพักฟื้นมาหลายหมื่นปี ทั้งสามเผ่าพันธุ์ก็ได้ฟื้นฟูพลังจิตได้ไม่น้อยแล้ว ควบคู่ไปกับความขัดแย้งในอดีต มีความเป็นไปได้สูงที่หายนะครั้งใหญ่รอบที่สองจะเกิดขึ้นอีกครั้ง

……

ในเวลาเดียวกัน สายตาของทั้งสองคนก็เปล่งประกายขึ้นมา ซิงหลิงใช้กฎดาราเปลี่ยนเป็นกฎเบญจธาตุ เตรียมที่จะเส้นทางหลอมรวมกฎเบญจธาตุ ฝึกฝนเส้นทางแสงจิตห้าสี

หากสามารถหลอมรวมเทพแห่งเบญจธาตุฟ้าดิน พลังของแสงจิตห้าสีก็จะพุ่งทะยาน ไม่ว่าใครในแดนเดียวกันก็ไม่สามารถสู้เขาได้

ส่วนกุ่ยโยวเดินในเส้นทางกฎร่างยุทธ์ชุบร่างทอง ต้องการภูตอัคคีที่แข็งแกร่งเพื่อชุบร่างเนื้อ ยกระดับแดนร่างยุทธ์

“สองตระกูลมารปีศาจมองด้วยสายตากระหายเช่นนี้ พวกเจ้ายังมีจิตใจโลภในสมบัติของข้าด้วยหรือ?” แววตาของหลัวซิวก็เผยรังสีอาฆาตต่อทั้งสองแล้วเช่นกัน

เมื่อหลัวซิวพูดออกมา ทำให้ซิงหลิงและกุ่ยโยวขมวดคิ้วแน่น ที่ด้านนอกพวกเขาเป็นตัวแทนของแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์,หากเป็นเช่นนั้น ก็คงจะต้องตกเป็นที่นินทาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

และในตอนที่ทั้งสองกำลังลังเลอยู่ว่าจะสู้กับหลัวซิวดีหรือไม่ ลำแสงสีเงินสายหนึ่งก็ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน พันรอบร่างของหลัวซิวเอาไว้

“เจ้า……”

ซิงหลิงโมโหมาก เห็นในมือของหลัวซิวกำฮู้หยกดำชิ้นหนึ่ง ยกมือขึ้นและปล่อยกฎแสงดาราออกมา

อย่างไรก็ตามการที่เขาเลือกลงมือเวลานี้มันกลับช้าไปเล็กน้อย แสงสีเงินได้ขังหลัวซิวเอาไว้ ในวินาทีนั้นเองที่ร่างนั้นหนีเข้าไปภายในตำหนัก หายไปในทันที

ยันต์ธรรมสุทธิ์ขั้นแปด!

นี่คือฮู้ที่ได้มาหลังจากสังหารเจียงหวูจี้ในตอนนั้น สิ่งที่เรียกว่าธรรมสุทธิ์ ก็คือหนีเข้าไปในความว่างเปล่า ในชั่วพริบตา มันสามารถโบยบินไปได้ไกลถึงสามพันลี้ในความว่างเปล่า

เทียบกับยันต์ทะลุฟ้าขั้นเก้า ยันต์ธรรมสุทธิ์ขั้นแปดนี้ให้ผลลัพธ์ที่ด้อยกว่ามาก แต่ในสถานการณ์ที่จำเป็นต้องหลบหนีนั้นถือว่าไม่ใช่เรื่องยากอะไร

นอกเสียจากมีผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ใช้พลังของกฎคุมขังโซนไว้ จึงจะสามารถจับหลัวซิวให้อยู่ได้

“ให้ตายเถอะ!”

ทุกคนต่างโมโหอย่างมาก ม้วนหยกสีทองนั้นไม่รู้ว่าบันทึกข้อมูลสำคัญใดไว้บ้าง แต่กลับถูกหลัวซิวเอาไปเสียแล้ว

“มีความเป็นไปได้ว่าจะสามารถฝึกตนถึงยอดวิชายิ่งเลิศแห่งแดนนิรันกาล!”

“ไม่แน่ในบันทึกอาจจะมีทักษะการต่อสู้วิชายิ่งเลิศบางอย่างที่แข็งแกร่ง!”

“อาจจะมีการสืบทอดจากผู้แข็งแกร่งในสมัยโบราณบางท่าน”

หลายคนมีความเสียดายบนสีหน้าของพวกเขา หากเป็นวรยุทธ์ลับระดับวิชายิ่งเลิศ ก็สามารถทำให้กองกำลังใหญ่จากทุกแดนศักดิ์สิทธิ์หวั่นไหวได้

ปัง!

ในนาทีนี้เอง ออร่าที่น่าเกรงขามได้เข้าปกคลุมภายในตำหนัก ผู้อาวุโสเผ่าพันธุ์ปีศาจคนหนึ่งที่มีพลังมารสีดำม่วงล้อมรอบอยู่รอบตัวพุ่งเข้ามา ตรงเข้าไปที่กลางสำนัก

ทุก ๆ คนต่างก็ค่อย ๆ ถอยออกไป มีบางคนที่การเคลื่อนไหวค่อนข้างช้าจึงถูกพลังมารสีดำม่วงกวาดเข้าให้ ทันใดนั้นก็ถูกฉีกออกเป็นชิ้น ๆ และแตกเป็นละอองเลือด

ผู้อาวุโสเผ่าพันธุ์ปีศาจคนนี้ก็เข้ามาถึงใจกลางรัศมีหนึ่งร้อยเมตรเขตหวงห้ามของสำนักอย่างรวดเร็ว การปราบปรามของออร่ากฎดั้งเดิมสำหรับเขาแล้วไม่ได้มีผลกับเขาเท่าไรนัก

“เกราะเทพเวหากาล?”

ผู้อาวุโสเผ่าพันธุ์ปีศาจมองแค่ปราดเดียวก็เห็นเกราะนักยุทธ์สีเหลืองทองที่ลอยอยู่ใจกลางสำนัก ราวกับว่ารับรู้ได้ถึงที่มาของเกราะนักยุทธ์ชุดนี้

เขาใช้พลังจิตแท้หลอมรวมเป็นมือใหญ่สีม่วงดำคว้าออกไปยังเกราะนักยุทธ์สีเหลืองทอง เกราะนักยุทธ์ปล่อยแสงเปล่งประกายออกมา เกิดเสียงดังปัง ฝ่ามือใหญ่สีม่วงดำสั่นไหวแล้วแตกกระจาย

“สมบัติชิ้นนี้เป็นของเราเผ่าพันธุ์มนุษย์ของ!”

ยักษ์ตนหนึ่งมีแสงดาราเก้าสีเปล่งประกายอยู่รอบตัวสาวฝีเท้าก้าวยาว ๆ ตรงเข้ามา ระหว่างที่โบกมือ ฝ่ามือก็หลอมรวมภาพลวงแสงดารา ฉีกกระฉากโซนให้ขาดออกทุกลำแสงที่ปล่อยออกไปรุนแรงจนทำให้เกิดรอยร้าวขนาดใหญ่

“หนี!”

เมื่อเห็นทั้งสองผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานเตรียมจะเปิดฉากต่อสู้อันยิ่งใหญ่ภายในตำหนักแห่งนี้ ทั้งกุ่ยโยว ซิงหลิง และทุกคนที่อยู่ภายในก็ค่อย ๆ เปลี่ยนสีหน้า ใช้ความเร็วที่รวดเร็วที่สุดหนีออกมา

……

หลายวันต่อมา อาณาจักรตะวันออกสั่นสะเทือน เกิดการต่อสู้อันยิ่งใหญ่ระหว่างกองกำลังเผ่าพันธุ์มนุษย์จากแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ต่าง ๆ กับผู้แข็งแกร่งแห่งเผ่าพันธุ์มารและเผ่าพันธุ์ปีศาจ เพื่อแย่งชิงเกราะนักยุทธ์สีเหลืองทองปริศนา

อย่างไรก็ตามเกราะนักยุทธ์สีเหลืองทองชิ้นนี้ ในท้ายที่สุดกลับไม่ได้ไปตกลงอยู่ในมือของฝ่ายใด เกราะนักยุทธ์นั้นมีจิตวิญญาณอยู่ โบยบินเข้าไปในโซน เพียงพริบตาเดียวก็สามารถไปได้ไกลถึงพันลี้ แม้แต่ผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ต่างก็ยังไม่สามารถตามได้ทัน

“เกราะนักยุทธ์สีเหลืองทองนั้นที่แท้แล้วเป็นสมบัติใดกันแน่? ถึงขั้นสามารถทำให้เกิดการเคลื่อนไหวจากกองกำลังใหญ่ต่าง ๆ ของแดนศักดิ์สิทธิ์เผ่าพันธุ์มนุษย์และผู้แข็งแกร่งจากทั้งสองเผ่าพันธุ์มารปีศาจ”

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 772
ปัง! ปัง! ปัง! ……

หมัดกระบี่เก้าสายโจมตีลงบนม่านแสงสีม่วงทอง กระหน่ำโจมตีจนสั่นไหวอย่างต่อเนื่อง แต่กลับไม่มีร่องรอบของรอยร้าวปรากฏให้เห็น

เห็นได้ชัดว่า เกล็ดสีม่วงแดงนี้ไม่ธรรมดา เกรงว่าต่อให้ผู้แข็งแกร่งระดับ เจ้ายุทธจักรช่วงปลายมา คิดจะทำให้ม่านแสงนั้นแตกออกก็คงยังต้องใช้เวลาอย่างมาก

“ข้าพูดแล้ว เจ้าตายแน่!” มีม่านทิพย์ป้องกันตัว เฟิงเฉิงโจวไม่มีความกลัวใด ๆ

“กระดองเต่านี่แข็งจริงด้วย ลองวิธีนี้ของข้าสักหน่อยเป็นไร?” หลัวซิวสีหน้าไม่เปลี่ยน มือซ้ายปล่อยตราหมัด มือขวากำตราทวยมรณะไว้แน่น

ไม่เพียงเท่านี้ ที่จุดตันเถียนของเขายังมีแสงสีดำและอัสนีโลหิตเปล่งประกายอีกด้วย ทุกการโจมตีต่างรวมทุกอย่างเข้าไป

กระบี่คือกระบี่เสวียนยวน เป็นของขลังชั้นสูงที่เป็นรางวัลจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ พลังอำนาจไม่ด้อยไปกว่าอาวุธขลังชั้นดีเลย

และมีดโลหิตเล่มนั้น ก็คือของขลังดาบรบชั้นยอดได้มาจากการฆ่าเซี๋ยลี่เฟิง

เจ้ายุทธจักรทั่วไปหาได้ยากนักที่จะได้ครอบครองนักยุทธ์ของขลังชั้นยอดสักชิ้น แต่ในมือหลัวซิวกลับมีถึงสองชิ้น ทำให้คนส่วนมากทั้งอิจฉาและริษยาในเวลาเดียวกัน

“น่าเสียดายที่นักรบจื่อโม่ถูกไอ้แก่สารเลวเจ้าดาบปีกเพลิงนั่นแย่งไปเสียได้ ไม่เช่นนั้นข้าคงจะได้สามารถทำลายกระดองเต่าของเจ้าให้แตกได้เป็นแน่”

หลัวซิวยังคงโจมตีอย่างต่อเนื่อง ทำให้ลำแสงสีม่วงทองบนร่างของเฟิงเฉิงโจวยิ่งจืดจางลงเรื่อย ๆ แต่ไม่ว่าอย่างไรในท้ายที่สุดก็ยังไม่ทีท่าว่าจะแตกออก

แต่เฟิงเฉิงโจวก็ไม่ได้รู้สึกดีเท่าไรนัก การโจมตีของหลัวซิวแข็งแกร่งมากถึงระดับใด ต่อให้ถูกแสงทิพย์สีม่วงทองต้านไว้เกือบครึ่ง แต่ตัวเขาเองก็ได้รับบาดเจ็บไม่น้อยจากการโจมตี เสื้อผ้าขาดวิ่น ผมเพร้ากระเซิง เลือดซิบออกจากมุมปาก สภาพดูน่าเวทนาอย่างมาก

“ข้าจะทำให้เจ้าตายทั้งเป็น!” แม้ว่าจะบาดเจ็บ แต่สายตาของเฟิงเฉิงโจวกลับยิ่งดุร้ายขึ้น รังสีอาฆาตก็ยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้น

“โฮก!”

และในเวลานี้เอง ด้านนอกของตำหนักเกิดเสียงอึกทึกคึกโครมขึ้น เพียงชั่วครู่ก็เกิดภูเขาสั่นแผ่นดินไหว ตำหนักทั้งตำหนักต่างก็สั่นไหวตามไปด้วย

นักยุทธ์จำนวนมากที่อยู่ภายในตำหนัก จอมยุทธ์บางกลุ่มที่มีผลการฝึกตนค่อนข้างต่ำก็รู้สึกถึงความเลือนลางในสมอง แต่ละคนต่างล้มหัวทิ่มพื้น เลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด

สามารถเข้ามาในตำหนักแห่งนี้ได้ ผลการฝึกตนอย่างต่ำต้องถึงมกุฎยุทธ์ขั้นเจ็ดขึ้นไป ความแข็งแกร่งระดับนี้ไม่สามารถต้านทานเสียงสะท้อนของเสียงคำรามได้ เห็นได้ชัดว่าเจ้าของเสียงคำรามนี้น่ากลัวมากเพียงใด

ปัง! ปัง! ปัง! ……

ด้านนอกของตำหนักแผ่นดินสั่นไหว ผู้แข็งแกร่งหาตัวจับยากกำลังต่อสู้ครั้งใหญ่

“ผู้แข็งแกร่งแห่งเผ่าพันธุ์ปีศาจของข้ามาถึงแล้ว!” เฟิงเฉิงโจวหัวเราะเสียงดัง จ้องเขม็งมาทางหลัวซิวด้วยแววตาอาฆาต

“วันหลังหากมีโอกาส ข้าจะมาฆ่าเจ้าอีกครั้งแน่!” หลัวซิวยืดขาออกไปถีบเฟิงเฉิงโจวจนกระเด็นออกไป มีแสงทิพย์สีม่วงทองป้องกันตัวไว้ ดูสภาพของเขาที่น่าเวทนาเช่นนั้น แต่ในความจริงแล้วบาดแผลไม่ได้หนักหนาเท่าไรนัก

ในเมื่อมีผู้แข็งแกร่งหาตัวจับยากมาเยือน หลัวซิวก็มีความคิดว่าจะล่าถอยไปก่อน แต่สายตาของผู้คนจากแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ต่าง ๆ กำลังจ้องมองมาที่เขา ทำให้รู้สึกไม่ดีเท่าไรนัก

“ทุกท่านนี่หมายความว่าอย่างไร?” หลัวซิวชะงักไปเล็กน้อย ถึงแม้พลังของเขาจะแข็งแกร่ง แต่สองมือก็ยากจะสู้ศัตรูที่มากกว่า อัจฉริยะหาตัวจับยากเหล่านี้ทุกคนต่างมีพลังที่แข็งแกร่ง อีกทั้งยังมีไพ่ไม้ตายที่แข็งแกร่งมากอีกด้วย

“ทิ้งม้วนหยกไว้” ดวงดาราเก้าดวงปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของซิงหลิง สีหน้าราบเรียบ

“เอาม้วนหยกให้ข้า จะรับรองได้ว่าเจ้าจะไม่ตาย และแก้ไขความแค้นระหว่างนิกายมารศักดิ์สิทธิ์ของข้าและเจ้า” กุ่ยโยวก็เอ่ยปากพูดเสียงขรึม

แต่ต้าวหวูซินและหวูหยุนกับยังคงนิ่งเงียบอยู่ ต้าวหวูซินเป็นเพราะกังวลถึงพลังของหลัวซิว แต่หวูหยุนไม่ได้ขัดแย้งอะไรกับหลัวซิว ด้วยเหตุผลเพราะว่าเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิว

อนาคิน เจ้ายุทธจักร ถึงแม้ตระกูลยุทธ์อยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์จะถือว่ามีฐานะไม่ด้อย แต่ก็ใช่ว่าจะสูงมาก อย่างไรก็ตามเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวได้เข้ากฎแสงดาว เมื่อสามารถ เมื่อสามารถบรรลุถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ สถานะก็จะไม่ธรรมดาอีกต่อไป แม้ว่าหวูหยุนจะเป็นคนแรกของรุ่นหลัง แต่ก็จำเป็นต้องประเมินให้รอบครอบ

“ถอยไป ไม่เช่นนั้นอย่างหาว่าข้าไม่ปรานี”

หลัวซิวสีหน้านิ่งเรียบเปลวเพลิงสีทองโหมกระหน่ำรอบตัวเขา

“ภูตอัคคี!”

ซิงหลิงและกุ่ยโยวมีสีหน้าเปลี่ยนไป เพราะพวกเขารับรู้ได้ถึงพลังอำนาจที่น่ากลัวอย่างมาก จากกลางเปลวเพลิงสีทองบนร่างของหลัวซิว

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 771
หลัวซิวคาดไม่ถึงว่าภายใต้การควบคุมออร่ากฎดั้งเดิมของตัวเอง แต่กลับไม่ได้รับความกดดันมากเท่าไร ความเร็วของเขาถึงแม้จะช้าลงมามากแล้ว แต่ก็ยังเร็วกว่าซิงหลิง หนุ่มมารม่วงและหลงเย๋เทียนอยู่มาก

จากนั้นไม่นาน หลัวซิวก็เดินมาถึงกลางสำนัก เอื้อมมือออกไปเก็บม้วนหยกสีทองออกมา

สำหรับเกราะนักยุทธ์สีเหลืองทองนั้น หลัวซิวไม่กล้าไปจัดการมันสุ่มสี่สุ่มห้า เพราะเกราะนักยุทธ์ชุดนี้เป็นการกลั่นจากภูตทองฟ้าดิน มีจิตวิญญาณส่งสัญญาณเตือนให้กับเขา

เกราะนักยุทธ์ที่ภูตทองฟ้าดินกลั่นขึ้นมา มีออร่ากฎดั้งเดิมแฝงอยู่ด้วย สมบัติของเทพมารที่ทรงพลังเช่นนี้ หลัวซิวรู้ดีว่าด้วยพลังของตนเองนั้นไม่สามารถรับมือได้ และไม่สามารถเก็บไปได้ด้วย

แม้กระทั่งตำหนักเสวียนดำและเขาทองดำที่จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำทิ้งเอาไว้ให้ เขาก็ยังไม่สามารถควบคุมได้

“วางม้วนหยกนั่นลงเดี๋ยวนี้!” มารม่วงหนุ่มเห็นว่าหลัวซิวเอาม้วนหยกเก็บไป ก็รีบคำรามเสียงดัง

คนนี้คืออัจฉริยะแห่งราชวงศ์มารม่วงเฟิงเฉิงโจว ระหว่างที่ตะโกนด้วยความโกรธนั้น ก็ฝืนต้านความกดดันจากออร่ากฎดั้งเดิมไปด้วย สะบัดมือปล่อยพลังมารสีดำม่วงโจมตีมาทางหลัวซิว

พลังการต่อสู้ของเขาเทียบเท่า เจ้ายุทธจักร แต่ภายในรัศมีร้อยเมตรของเขตหวงห้าม พลังถูกควบคุม ลำแสงโจมตีพลังมารสีดำม่วงครั้งนี้ อย่างมากก็เทียบเท่าได้เพียงมหายุทธ์ขึ้นเจ็ด

“เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร?”

หลัวซิวหัวเราเยาะ ด้านหนึ่งก็สาวเท้าก้าวใหญ่ โบกมือขึ้นทำลายล้างพลังมารสีดำม่วง เพลิงนิลกลางฝ่ามือถูกปล่อยออกไป เสียงปังดังขึ้น เฟิงเฉิงโจวถูกโจมตีกลับจนบินลอยออกไป

การล่มสลายของไท่เสวียนโบราณ มีเหตุมาจากเผ่าพันธุ์ปีศาจเป็นคนทำ หลัวซิวสร้างไท่เสวียนขึ้นมาใหม่ เป็นเจ้าสำนักไท่เสวียนคนปัจจุบัน สำหรับเผ่าพันธุ์ปีศาจแล้วย่อมไม่มีความรู้สึกเมตตาอยู่แล้ว

“เจ้ากล้าทำร้ายข้า?” เฟิงเฉิงโจวคำรามด้วยความโกรธ ดวงตาที่ชั่วร้ายคู่นั้นจ้องเขม็งไปที่หลัวซิว เต็มไปด้วยจิตสังหาร

“ข้าไม่เพียงแต่ทำร้ายเจ้า ข้ายังจะฆ่าเจ้าด้วย!”

หลัวซิวไร้ซึ่งความปราณี หมัดกระบี่พลังอมตะถูกปล่อยออกไป เสียงดังสนั่น จากนั้นแขนของเฟิงเฉิงโจวก็ถูกโจมตีจนเป็นละอองเลือด

“เจ้าสำนักน้อย!” คนอื่นของเผ่าพันธุ์ปีศาจเห็นว่าเฟิงเฉิงโจวได้รับบาดเจ็บ ก็พากันตะโกนคำราม พุ่งตรงมาที่กลางสำนัก0

“ออกไปให้หมด!”

เฟิงเฉิงโจวตะคอกเสียงดัง เขารู้ดีว่า พวกคนรับใช้ของเขาต่อให้พากันกรู่เข้ามา แต่ภายใต้การควบคุมของออร่ากฎดั้งเดิมแล้ว พวกเขาก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้

สายตาชั่วร้ายคู่หนึ่งจ้องเขม็งมาทางหลัวซิว สายตาของเฟิงเฉิงโจวเปลี่ยนเป็นดูรร้ายขึ้นมา “เจ้ากล้ายั่วโมโหข้า!”

เฟิงเฉิงโจวตะโกนเสียงดัง แสงสลัวสีดำม่วงปะทุขึ้นรอบกาย เป็นอิสระจากการควบคุมของออร่ากฎดั้งเดิมพุ่งตรงเข้ามาทางหลัวซิวหมายเอาชีวิต

พลังมารสีดำม่วงกลายเป็นรอบฝ่ามือ บดขยี้สุญญากาศ พลังนั้นแข็งแกร่งจนถึงขีดสุด

“ก็จริงอยู่ที่มีความสามารถ แต่ทั้งหมดนี้ไม่มีประโยชน์ต่อข้า” ปีกทิพย์ไร้มลทินด้านหลังของหลัวซิวขยับเคลื่อนไหว เสียงซือดังขึ้นและตัวเขาก็หายไปจากตรงที่เดิม

ปัง!

ฝ่ามือสีม่วงดำตกลงกลางอากาศ ภายใต้การควบคุมของออร่ากฎดั้งเดิม มันเป็นเรื่องยากมากอยู่แล้วสำหรับเขาที่สามารถโจมตีออกมาได้ พลังมารในร่างกายของเขาก็อ่อนแอลงไปมากด้วย

หลัวซิวปรากฏตัวขึ้นด้านหลัง หมัดกระบี่ถูกปล่อยออกไป เสียงแตกร้าวของกระดูกดังออกมา

“ไอ้หนุ่มเผ่าพันธุ์มนุษย์ เจ้าตายแน่!” เฟิงเฉิงโจวได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่นัยน์ตากลับโหดเหี้ยมมากยิ่งขึ้น

“ที่เจ้าไม่มีความกลัวเช่นนี้ เพราะเจ้ากำลังรอให้ผู้แข็งแกร่งเผ่าพันธุ์ปีศาจลงมาถึงที่แห่งนี้เช่นนั้นหรือ?” หลัวซิวยิ้มเยือกเย็น มองความคิดของอีกฝ่ายออกอย่างทะลุปรุโปร่ง

แผนการถูกรู้ทัน แต่เฟิงเฉิงโจวกลับไม่ได้รู้สึกโมโหแม้แต่น้อย พูดเสียงเยือกเย็น “ถึงแม้เจ้าจะสามารถทำร้ายข้าได้ แต่ก็ไม่สามารถฆ่าข้าได้ รอให้ผู้แข็งแกร่งเผ่าพันธุ์ปีศาจของข้ามาลงมาถึงก่อน จะฆ่าเจ้าให้ตายเหมือนกับเหยียบมด”

“ข้าจะลองดูสิว่าจะสามารถฆ่าเจ้าได้หรือไม่”

หลัวซิวก้าวขึ้นไปด้านหน้าก้าวใหญ่ กระหน่ำพลังอมตะหมัดกระบี่เก้าสายโจมตีออกไป กระหน่ำเสียจนพื้นที่รอบ ๆ แตกกระจาย สีหน้าของหลายคนต่างเปลี่ยนไป

บริเวณหว่างคิ้วของเฟิงเฉิงโจวเผยเกล็ดสีม่วงทองขึ้นมา เส้นสีทองหลายเส้งพุ่งออกมา ปกป้องเขาไว้รอบตัว

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 770
ความแข็งแกร่งของตัวสำนึกจู่โจม ไม่จำเป็นต้องสงสัย แต่ก็มีข้อจำกัดมากมาย บวกกับการเข้าแดนฝึกจิต ยากลำบากกว่าการกลั่นร่างอยู่มาก

โดยทั่วไปตัวสำนึกของจอมยุทธ์กลั่นวิญญาณ อย่างมากก็มากกว่าผลการฝึกตนของตนเองสามแดนเล็กเท่านั้น นั่นก็สามารถเรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะแถวหน้าของเส้นทางนี้แล้ว

หากสามารถข้ามผลการฝึกตนของตนเองได้ถึงสี่แดนเล็ก จะได้ชื่อว่าอัจฉริยะหาตัวจับยาก

จนถึงตอนนี้ ในบรรดาอัจฉริยะรุ่นหลังของเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่รับรู้กันทั่วว่า ในด้านกลั่นวิญญาณผู้ที่โดดเด่นมากที่สุดนั่นคือต้าวหวูซิน

หญิงผู้นี้ใช้เหลืองเสวียนชุบตัวสำนึก ผลการฝึกตนคือมหายุทธ์ช่วงต้น แต่ตัวสำนึกกลับบรรลุถึงมหายุทธ์ขั้นเก้าแล้ว เมื่อผสานเข้ากับการสำแดงวิชาลับ การโจมตีของตัวสำนึกนั้นสามารถทำให้พรีเมี่ยมยุทธ์ได้รับบาดเจ็บได้

แต่หลัวซิวมีผลการฝึกตนระดับใด? แม้แต่แดนมหายุทธ์เขายังไม่สามารถบรรลุถึง เป็นเพียงแค่มกุฎยุทธ์ขั้นแปด แต่ถึงกระนั้นบรรลุถึงมหายุทธ์ขั้นเก้า มีความเป็นไปได้ว่าเขามีพรสวรรค์ทางด้านกลั่นวิญญาณ มากเสียยิ่งกว่าต้าวหวูซิน?

หลัวซิวสีหน้านิ่งเรียบ มีเพียงแต่เขาเท่านั้นที่รู้ ตัวสำนึกของเขาสามารถฝึกตนถึงแดนนี้ ทั้งหมดเพราะอาศัยการมีอยู่ของช่องจิตปลอม พรสวรรค์ด้านกลั่นวิญญาณ ยังห่างไกลจากต้าวหวูซินมากนัก

ทุกคนต่างคิดว่าคุณสมบัติด้านพรสวรรค์ของหลัวซิวช่างน่าเกรงกลัวนัก แต่ในความจริงแล้ว พรสวรรค์ของเขาไม่ได้โดดเด่นไปกว่าใครเลย แต่เพียงเพราะโอกาสที่หลากหลาย เขาจึงได้รับพลังและศักยภาพที่แข็งแกร่งขึ้น

หากว่ากันถึงพรสวรรค์ของเขามีค่าควรแก่การเอาออกมาพูดถึง ก็มีเพียงแค่ความเข้าใจเท่านั้น มิเช่นนั้นก็ไม่สามารถ ตระหนักรู้ทักษะการต่อสู้หมัดกระบี่จุลอมตะในการฝึกซ้อมที่ดินแดนศักดิสิทธิ์ได้ รวมถึงตราทวยมรณะฉบับย่อ ก็อยู่บนแดนกฎบรรลุถึงพื้นฐานควบคุมช่วงกลาง ล้ำหน้ากว่ารุ่นเดียวกันมาก

“หลัวซิว ช่างอาจหาญนัก เวลาเช่นนี้ยังกล้าปรากฏตัวออกมา คิกว่านิกายมารศักดิ์สิทธิ์ของข้าไม่มีใครสามารถฆ่าเจ้าได้หรือ?”

จอมยุทธ์หลายคนที่มีออร่าแกร่งกล้าเดินออกมา ผลการฝึกตนต่ำกว่าระดับมหายุทธ์ขั้นเจ็ด และมีราว ๆ สิบคนที่มีผลการฝึกตนระดับมหายุทธ์ขั้นเก้า

“นิกายมารศักดิ์สิทธิ์!” หลัวซิวแววตาสั่นไหวเล็กน้อย ศิษย์แดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ ไม่ใช่สิ่งที่แดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดสามารถเทียบได้

ต่อให้เขามีความสามารถฆ่าคนพวกนี้ได้ แต่ก็ไม่สามารถทำได้อย่างง่ายดายไร้ความกดดันอย่างเมื่อครู่ได้

นิกายมารศักดิ์สิทธิ์นั่นคือแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์อาณาจักรตะวันตก คนจากนิกายมารศักดิ์สิทธิ์ลุกยืนขึ้น แดนศักดิ์สิทธิ์อื่น ๆ จากอาณาจักรตะวันตก อย่างเช่นเขาว่านเหลยและสำนักกระบี่เทพ ต่างก็มองมาที่หลัวซิวเป็นตาเดียว

“ข้าไม่ได้ชอบถูกรุมทำร้ายเป็นงานอดิเรก”

หลัวซิวหัวเราะเสียงดัง ปีกทิพย์ไร้มลทินที่มีเพลิงนิลหลอมรวมสยายอยู่กลางแผ่นหลัง ภายใต้การสั่นไหวของปีกเพลิงนิล ร่างของเขาเหมือนกับเปลวเพลิง บินตรงเข้าไปกลางโถงใหญ่

“ปีกทิพย์ไร้มลทิน!”

ครั้งนี้หลัวซิวเปิดเผยปีกทิพย์ไร้มลทินต่อหน้าต่อตาฝูงชน ผู้คนจำนวนมากจำได้ทันที

ก่อนหน้านี้ถูกดาบปีกเพลิงไล่ฆ่า ปีกทิพย์ไร้มลทินก็ถูกเปิดเผยแล้ว แน่นอนว่าหลัวซิวก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังอีกต่อไป

ทันทีที่หลัวซิวเข้าสู่เขตหวงห้าม 100 เมตรใจกลางห้องโถงใหญ่ ออร่าที่เฉียบคมพุ่งเข้ามาหา ในขณะเดียวกันยังมีแรงกดดันจากออร่ากฎดั้งเดิม ทำให้ความเร็วของปีกทิพย์ไร้มลทินพลันช้าลงหลายเท่า

พลังของลูกแก้วเสวียนดำเปิดใหญ่งาน หลัวซิวใช้พลังจิตแท้ยกระดับผลการฝึกตนครั้งหนึ่งก็ถึงระดับมหายุทธ์ขั้นแปด

ด้วยบารมีพลังจิตแท้คอยหนุนหลัง มือเขาจีบพลังตราประทับ เพลิงมรณะหลวมรวมเป็นเพลิงนิลรูเล็ตอยู่เหนือศีรษะ มีร่องรอยจาง ๆ ของออร่ากฎดั้งเดิม

แม้ว่าออร่านี้จะอ่อนแออย่างมาก แต่ก็สามารถทำให้หลัวซิวลดแรงกดดันจากที่นี่ได้ไม่น้อยเลย

ตราทวยมรณะฉบับย่อนั้น มีต้นกำเนิดจากตราธรรมจุติมรณะ และตราธรรมจุติมรณะก็คือพลังอมตะที่แปรเปลี่ยนมาจากกฎความเป็นตายดั้งเดิม ย่อมต้องมีออร่ากฎดั้งเดิมแฝงอยู่เป็นเรื่องธรรมดา

อีกทั้งร่างเนื้อของหลัวซิวได้รับผลกระทบจากออร่าลูกแก้วความเป็นตายเป็นระยะเวลานาน ความจริงแล้วก็ยังแฝงไปด้วยออร่ากฎดั้งเดิมบาง ๆ ถึงแม้ออร่านี้จะไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้ และไม่สามารถนำมาต้านพลังโจมตีของกฎดั้งเดิมได้ แต่หากนำมาต้านผลกระทบจากออร่ากฎดั้งเดิม นั่นก็ไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่องยากอะไร

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 769
“ด้วยพวกเจ้าน่ะหรือ?” หลัวซิวหัวเราะเบา ๆ คนเหล่านี้ไม่ใช่คนนุ่นหลัง แต่ผลการฝึกตนต่างอยู่ในระดับมหายุทธ์ ไม่ใช่เหล่าเฒ่าประหลาดระดับพรีเมี่ยมยุทธ์

“อย่าพูดให้มากความ ฆ่ามัน!”

พูดจบ บรรดาศิษย์แดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดก็กรูกันเข้ามา คนพวกนี้ในตอนที่อายุยังน้อยก็มีพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดา ฝึกตนนับสิบนับร้อยปี พลังการต่อสู้ต่างแข็งแกร่งมาก

จิตสังหารของคนพวกนี้หลวมรวมเข้าด้วยกัน กลายเป็นดาบโลหิตสีแดงก่ำ ทำลายปริภูมิ บดขยี้ทุกสรรพสิ่ง เข่นฆ่าอย่างไม่มีจุดสิ้นสุด

“ไข่มุกเล็กเท่าเม็ดข้าว ยังกล้าท้าสู้กับดวงจันทร์ที่ส่องสว่าง?” หลัวซิวยังมีท่าทีสงบนิ่ง สีหน้าท่าทางไม่ทุกข์ร้อน

ชิ้ง!

ดาบโลหิตสีแดงก่ำยาวหลายสิบฟุตหลวมรวมรังสีสังหารไม่มีที่สิ้นสุดได้ฟาดลงมา บรรดาศิษย์จันทราสีเลือดยิ้มเยาะในใจ เพราะการร่วมมือโจมตีของพวกเขาครั้งนี้ ต่อให้เป็นพรีเมี่ยมยุทธ์ช่วงต้นก็ยังต้องล่าถอย

แต่วินาทีต่อมา สีหน้าของพวกเขาก็พลันเปลี่ยนไป กำปั้นกระแทกขึ้นไปในอากาศ เพลิงนิลปะทุขึ้นหลวมรวมเป็นกระบี่แสง เสียงดังปังเกิดขึ้น ทำให้ดาบโลหิตสีแดงก่ำถูกทำลายเป็นเศษธุลี

จากนั้น หลัวซิวทิ้งภาพติดตาไว้ที่เดิม และปรากฎตัวขึ้นตรงหน้าบรรดาศิษย์จันทราสีเลือดในชั่วพริบตา

ปัง! ปัง! ปัง! ……

เสียงทุ้มของร่างเนื้อที่ถูกโจมตีดังก้องอยู่ในห้องโถง บรรดาศิษย์จันทราสีเลือดไม่มีเรียวแรงต่อต้านแม้แต่น้อย ถูกหลัวซิวใช้หมัดกระบี่จุลอมตะกระหน่ำโจมตีในระยะประชิด

หลัวซิวตระหนักรู้หมัดกระบี่ พลังทักษะการต่อสู้นั้นแข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าวิชายิ่งเลิศ รวมกับพื้นฐานการควบคุมของแดนกฎช่วงกลาง แค่เพียงโจมตีออกไปอย่างไม่ตั้งใจ ก็แข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าผู้แข็งแกร่งระดับพรีเมี่ยมยุทธ์ช่วงต้นอย่างมาก

“แดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดก็เท่านี้เองหรือ” หลัวซิวยิ้มเยาะ นัยน์ตาเย็นชากวาดมองศิษย์จันทราสีเลือดที่เหลืออยู่ในที่แห่งนี้

ศิษย์จันทราสีเลือดที่เหลือ ส่วนมากเป็นผลการฝึกตนระดับมกุฎยุทธ์ มีสองคนที่อยู่ระดับมหายุทธ์

“เจ้าอย่ามาอวดดี!” เมื่อเห็นยอดฝีมือระดับมหายุทธ์หลายคนถูกฆ่าตายด้วยหมัดเดียว ศิษย์ทั้งหมดของจันทราสีเลือดก็หน้าถอดสี แต่กลับยังหยิ่งผยองไม่ยอมก้มหัวให้

มหายุทธ์สองคนที่เหลือเดินออกมา ต่างเป็นมหายุทธ์ขั้นเก้า และเป็นหัวหน้ากองทัพอัจฉริยะรุ่นเยาว์ของแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด

พวกเขามีอายุไม่เกินร้อยปี หากไม่มีเหตุเหนือความคาดหมาย ภายในไม่กี่ปีก็สามารถเข้าสู่แดนพรีเมี่ยมยุทธ์ได้ นับว่าเป็นอัจฉริยะแถวหน้า

“ดูแล้ว ชะตาของข้าคงชงกับพวกเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด ลิขิตให้พวกเจ้าอัจฉริยะแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดต่างก็ต้องตายด้วยน้ำมือของข้า” หลัวซิวพูดพร้อมเสียงหัวเราะ

“คิดว่าตนเองใหญ่คับฟ้าแล้วหรือ?” มหายุทธ์ขั้นเก้าทั้งสองต่างเผยสีหน้ากริ้วโกรธ พวกเขาก็เป็นอัจฉริยะ พลังการต่อสู้ก็สามารถข้ามแดนต้านระดับพรีเมี่ยมยุทธ์ได้ เมื่อใดกันที่เคยโดนดูถูกเช่นนี้?

ไม่นาน ทั้งสองก็ลงมือ รังสีสังหารสีเลือดหลวมรวมกันปิดกั้นปริภูมิ

หลัวซิวยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ เพลิงนิลบริเวณหว่างคิ้วสั่นไหว พลังแห่งตัวสำนึกกลายรูปถูกปล่อยออกไป

ตัวสำนึกของเขาทุกนาทีทุกวินาทีต่างก็ดูดซับพลังงานวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในช่องจิตปลอม ในวันนี้ได้บรรลุถึงระดับมหายุทธ์ขั้นเก้าแล้ว

ในตอนแรก ด้วยกลยุทธ์ตัวสำนึกกลายรูปของตระหนักรู้ภายในหอคอยเทพจิต รวมเข้ากับกฎความตายดั้งเดิม ตัวสำนึกจู่โจมของหลัวซิวหากหากลอบโจมตี สามารถต่อกรกับพรีเมี่ยมยุทธ์ช่วงกลางได้

ตัวสำนึกของหลัวซิวกลายรูปเป็นเพลิงนิลกระบี่แสง ความเร็วของตัวสำนึกจู่โจมนั้นเพียงแค่ช่วงอึดใจ ทำให้มหายุทธ์ขั้นเก้าทั้งสองแห่งจันทราสีเลือดไม่สามารถหลับได้ทัน

“อ๊าก!”

ทั้งสองกรีดร้องโหยหวน มือกุมที่หว่างคิ้วแล้วก้าวถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว เลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด

ทว่าครั้งนี้พวกเขาต้องการล่าถอย แต่มันก็สายเกินไป หลัวซิวไม่แม้แต่จะต้องลงมือด้วยตัวเอง ตัวสำนึกหลอมรวมเป็นมือใหญ่สีดำ เสียงปังดังสนั่น ทั้งสองถูกกระแทกจนร่างแหลกเป็นละอองเลือด

ตัวสำนึกไร้รูปร่าง แต่หากรวมเป็นรูปร่างแล้ว ไม่เพียงแต่สามารถโจมตีวิญญาณหยั่งรู้ ยังสามารถฆ่าร่างเนื้อได้ด้วย

ร่างยุทธ์ร่างเนื้อก็เช่นเดียวกัน เมื่อแข็งแกร่งถึงแดนที่เหมาะสม สามารถทำลายตัวสำนึก และเข่นฆ่าเทพจิต

ตัวสำนึกจู่โจม!

เมื่อเห็นหลัวซิวใช้ตัวสำนึกจู่โจมฆ่ามหายุทธ์ขั้นเก้าทั้งสองในชั่วพริบตา บรรดาผู้ที่เห็นฉากนี้อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านด้วยความกลัว

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 768
เมื่อเข้าไปใกล้สมบัติทั้งสองชิ้นนี้ในระยะร้อยเมตร ก็จะมีออร่ากฎดั้งเดิมอันน่าหวาดกลัวปรากฏขึ้น ของขลังชั้นสูงต่างถูกบดขยี้เป็นผุยผงในชั่วพริบตา

เทพธิดาต้าวหวูซินจากสำนักดำเหลืองรอบตัวเปล่งแสงเป็นประกาย เหนือศีรษะของนางมีเตาหนึ่งลอยอยู่ บนตัวของเตานั้น มีออร่าเหลืองเสวียนพันโดยรอบ และสามารถต้านทานการบดขยี้ของออร่ากฎดั้งเดิมไว้ได้ ค่อย ๆ ก้าวเดินทีละก้าว ๆ ตรงไปยังเกราะนักยุทธ์เหลืองทองและม้วนหยกที่อยู่ใจกลางโถง เพียงแต่การเคลื่อนไหวร่างกายของนางช่างลำบากยากเย็นยิ่งนัก

เสวียนหมายถึงสีดำ แทนความลึกลับ

เหลืองหมายถึงราชันย์ แทนความสูงส่ง

ต้าวหวูซินในครั้งนี้สำแดงพลังที่แกร่งกล้าออกมา ทำให้ผู้คนตกใจ โดยเฉพาะเตาที่ลอยอยู่เหนือศีรษะของนาง แม้แต่หลัวซิวยังสงสัยว่าอาจจะเป็นอัญมณีแห่งเทพมาร

อีกด้านหนึ่ง ซิงหลิง หวูหยุนและกุ่ยโยวต่างก็สำแดงกลยุทธ์ของตนออกมา ก้าวทีละก้าวอย่างยากลำบากแบบเดียวกัน เพื่อเข้ามาใกล้ศูนย์กลางของห้องโถง

อัจฉริยะหนุ่มมารม่วงก็ไม่ได้เก็บซ่อนกลยุทธ์อีกต่อไป เดินเข้าไปด้านหน้าเช่นเดียวกัน ในตอนนี้กำลังแข็งกันว่าใครจะเป็นคนแรกที่สามารถเดินถึงกลางโถงใหญ่ได้ และมีความเป็นไปได้มากที่สุดที่จะได้ครอบครองสมบัติทั้งสองชิ้นนี้

ส่วนคนอื่น ๆ กลับไม่มีกลยุทธ์ชั้นเลิศเช่นอัจฉริยะเหล่านี้ ทำได้เพียงหยุดอยู่ที่หลังระยะหนึ่งร้อยเมตรจากศูนย์กลางของห้องโถง ไม่สามารถเข้าไปต่อได้ ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถต้านทานออกร่ากฎดั้งเดิมที่ถูกปล่อยออกมาได้

เพียงแค่ออร่าที่แผ่กระจายออกมานั้นก็น่าหวาดกลัวถึงเพียงนี้แล้ว หากว่าเป็นพลังแห่งกฎดั้งเดิม จะแข็งแกร่งมากขนาดไหน?

“ปัง!”

หลงเย๋เทียนก็สาวเท้าก้าวใหญ่เดินเข้าไป รอบตัวมีออร่าสีทองเปล่งประกายออกมา ดั่งราชามังกรบินข้ามท้องฟ้า เข้าใกล้ศูนย์กลางของห้องโถง

ในเวลานี้เอง เกราะนักยุทธ์เหลืองทองนั้นก็สั่นไหวขึ้นมาอย่างกะทันหัน หลอมรวมใบหน้าสีทองนิ่งเรียบขึ้นมา และปล่อยเสียงคำรามดังลั่น!

ทันใดนั้น เกราะนักยุทธ์เหลืองทองเปล่งประกายเจิดจ้า พื้นที่ในห้องโถงทั้งหมดถูกบิดเบี้ยวอย่างสมบูรณ์ อัจฉริยะหาตัวจับยากที่อยู่ภายในรัศมีร้อยเมตร ต่างก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันมหาศาลที่เพิ่มขึ้น ร่างกายหยุดชะงักลง ไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้

“วิญญาณแห่งเกราะทอง?” หลัวซิวได้ยินเสียงคนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงตกใจ เมื่อครู่ใบหน้าสีทองที่หลวมรวมอยู่เหนือเกราะนักยุทธ์เหลืองทอง มีจิตวิญญาณ

“สวรรค์ เกราะนักยุทธ์นี้คือสมบัติล้ำค่าที่ถูกกลั่นขึ้นโดยภูตทองฟ้าดิน!”

“ใช้จิตฟ้าดินกลั่นสมบัติ ไม่รู้จริง ๆ ว่าเป็นใครกันแน่ที่มีพลังแกร่งกล้าเช่นนี้”

“ภูตทองฟ้าดินได้ชื่อว่าร่างกายที่เป็นอมตะ ด้วยการกลั่นสมบัติเช่นนี้ เมื่อได้สวมใส่เกราะนักยุทธ์นี้ ไม่ว่าในที่ใดใต้หล้าก็สามารถไปเยือนได้โดยไม่จำเป็นต้องเกรงกลัว”

คนส่วนใหญ่ไม่มีกำลังพอที่จะบุกเข้าไปในระยะ 100 เมตรตรงกลางโถง แต่ก็ยังมีคนที่มีความรู้อยู่มากมาย

ณ ขณะนี้ ร่างหนึ่งเดินไปข้างหน้า คราวนี้เดินตรงไปยังเขตหวงห้าม 100 เมตรตรงกลางห้องโถง

เขาเปลี่ยนหน้าด้วยการวิชาปรับกระดูก แต่ทุกคนในที่แห่งนี้ตัวสำนึกต่างไม่มีใครที่แข็งแกร่งเท่าหลัวซิว แน่นอนว่าไม่มีใครสามารถรับรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของเขาได้

เพียงแต่สิ่งที่ทำให้เหล่าผู้คนประหลาดใจคือ มีเพียงอัจฉริยะหาตัวจับยากที่มีพลังการต่อสู้เทียบเท่าพรีเมี่ยมยุทธ์เท่านั้นที่สามารถเข้ามาในเขตหวงห้าม 100 เมตรได้ หรือว่าเจ้าหนุ่มคนนี้ก็มีพลังการต่อสู้ถึงระดับนั้น?

“หยุดตรงนั้น!” คนจากแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดอยู่ดี ๆ ก็ลุกขึ้นมา ในมือเขาถือกระจกทองสัมฤทธิ์ ในกระจกนั้นฉายภาพใบหน้าที่แท้จริงของหลัวซิวออกมา

สีหน้าของหลัวซิวเปลี่ยนไปเล็กน้อย คาดไม่ถึงว่าคนจากแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด แค่เพียงเพราะตามไล่ล่าเขา ถึงกับนำสมบัติล้ำค่าที่ส่องความจริงติดตัวออกมาด้วย

แต่หลัวซิวก็ไม่ได้กังวลใจอะไร ในตำหนักแห่งนี้ไม่ได้มีผู้แข็งแกร่งอาวุโสจากแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ต่าง ๆ เป็นแค่เพียงเหล่าอัจริยะรุ่นหลังเท่านั้น เขาไม่ได้มองอยู่ในสายตาอยู่แล้ว

ในเมื่อถูกจับตัวตนที่แท้จริงได้แล้ว หลัวซิวจึงไม่ได้ปิดบังอีกต่อไป และเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงออกมา

“ฆ่าคนจากแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดของข้า เจ้ายังกล้ามาปรากฏตัวอยู่ในที่แห่งนี้ วันนี้อย่าได้คิดว่าจะหนีไปได้ ทิ้งชีวิตไว้ที่นี่เสีย” บรรดาศิษย์แดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดพากันลุกฮือ จิตสังหารแผ่กระจายออกมา

ด้วยการโจมตีของหลงเย๋เทียน ทันใดนั้นภายในตำหนักก็กลายเป็นความโกลาหล ความสมดุจที่กองกำลังใหญ่ต่าง ๆ คอยรักษาเอาไว้อย่างต่อเนื่องนั้นได้ถูกทำลายลง จิตสังหารที่ไม่มีที่สิ้นสุดแทรกซึมอยู่ทุกหนทุกแห่ง

มุมปากของหลงเย๋เทียนเผยความเย้ยหยันออกมา แน่นอนว่าเขาไม่ได้ประมาท ไม่ได้หยิ่งในศักดิ์ศรีตนเองจนคิดว่าอาศัยเพียงแค่พลังของตัวเขาเองแล้วจะสามารถต้านทานทุกคนได้ เป้าหมายของเขาก็คือการทำให้สถานการณ์ตรงหน้าวุ่นวายขึ้นมา ทำให้การต่อสู้แย่งชิงขุมทรัพย์นี้เริ่มต้นขึ้นมาก่อน

ป้าบ!

สายฟ้าสีทองที่ส่องประกายบนร่างของหลงเย๋เทียน เขาเป็นถึงราชามังกรเหลืองทองที่ฝึกตนกฎอัสนี ความเร็วของกฎอัสนีนั้นเร็วมาก ในการต่อสู้ที่โกลาหลนี้ ทำให้เขาเป็นเหมือนปลากระดี่ได้น้ำ ไม่นานก็สามารถพ้นการปิดล้อม และพุ่งเข้าไปในกลุ่มคนได้

สงครามเริ่มขึ้นแล้ว ย่อมไม่สามารถหยุดได้ ทุกคนก็ไม่ได้อยากหยุดมือ ค่อย ๆ พุ่งเข้าไปที่เกราะนักยุทธ์เหลืองทองและม้วนหยกกลางโถงใหญ่

กุ่ยโยวพลิกมือแล้วหยิบธงดำออกมา ภายใต้การปะทุของกฎความตาย ธงดำปลิวไสวตามสายลม มังกรอสูรสีดำที่น่าสะพรึงกลัวแต่ละตัว ๆ คำรามออกมา ม้วนไปทางเกราะนักยุทธ์เหลืองทองและม้วนหยก

อัจฉริยะมารม่วงเผ่าพันธุ์ปีศาจอ้าปากและคายเตาออกมา ลำแสงสีม่วงดำทับซ้อนกันอยู่รอบเตา เต็มไปด้วยความลึกลับของร่องรอยกฎ แต่กลับทำให้ผู้คนมองแล้วรู้สึกไม่สมจริง

พลังดูดกลืนวิญญาณลอยออกมาจากเตา หมายจะเก็บเอาเกราะนักยุทธ์เหลืองทองและม้วนหยกเข้าไปด้านใน

ทั้งสองตนต่างลงมือแล้ว คนอื่น ๆ ย่อมไม่อยากล้าหลัง ค่อย ๆ สำแดงวิธีการของพวกเขา เพื่อคว้าสมบัติทั้งสองชิ้นนี้มาครอบครอง

คนเหล่านี้ในสถานที่แห่งนี้ พลังที่อ่อนแอที่สุดก็ยังเป็นระดับมหายุทธ์ เช่นอัจฉริยะแถวหน้าจากเผ่าพันธุ์มนุษย์ เผ่าพันธุ์ปีศาจและเผ่าพันธุ์มาร แต่ละคนต่างมีพลังการต่อสู้ในระดับพรีเมี่ยมยุทธ์

ในสงครามที่น่ากลัวเช่นนี้ ตำหนักแห่งนี้กลับยังมั่นคงดั่งหินผา ไม่มีร่องรอยร้าวหรือแตกแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่ามันไม่ธรรมดาเพียงใด

อีกทั้งเกราะนักยุทธ์เหลืองทองนั้นยังปล่อยออร่ากฎดั้งเดิมออกมาด้วย แม้เหล่าคนพวกนี้จะใช้วิธีการต่าง ๆ แต่เกราะนักยุทธ์เหลืองทองนั้นก็ยังคงลอยอยู่อย่างนั้น ไม่มีการเขยื้อนแม้แต่น้อย

“เก็บมันมา!”

อัจฉริยะมารม่วงเผ่าพันธุ์ปีศาจตระโกนเสียงดัง เตาสีม่วงขยายใหญ่ขึ้น หันไปครอบเกราะนักยุทธ์เหลืองทองนั้นไว้ เพื่อบังคับผนึกไว้ในเตา

จากนั้นในขณะที่เตาม่วงเพิ่งจะลอยเข้าไปใกล้ ๆ เกราะนักยุทธ์เหลืองทอง ออร่าที่น่าเกรงขามก็แผ่กระจายออกมาจากเกราะนักยุทธ์เหลืองทอง เสียงคล้ายเหล็กกระทบกันดังขึ้น เตาม่วงถูกโจมตีกระเด็นออกไป แตกออกเป็นรูโหว่

อัจฉริยะหนุ่มมารม่วงคนนั้นหน้าถอดสี เตาม่วงนี้เป็นของที่เขาใช้จิตวิญญาณกลั่นแปรออกมา หากเตาม่วงได้รับบาดเจ็บ ตัวเขาเองก็ย่อมต้องถูกผลกระทบไปด้วย มุมปากมีรอยเลือดปรากฏให้เห็น

“เก็บ!”

กุ่ยโยวใช้ธงดำแปรเป็นมังกรอสูรหลายตัวบินเจ้าไป พันรอบเกราะนักยุทธ์เหลืองทองนั้นไว้

แต่เกราะนักยุทธ์เหลืองทองนั้นกลับเหมือนว่าได้ผนึกตัวเองเข้ากับปริภูมิอย่างไม่มีวันสั่นคลอน ไม่ว่า มังกรอสูรหลายตัวนั้นจะลากดึงอย่างไร ก็ไม่สามารถทำให้มันขยับเขยื้อนได้แม้แต่น้อย

ปัง! ปัง! ปัง!……

ในชั่วพริบตา มังกรอสูรที่พันรอบเกราะนักยุทธ์เหลืองทองก็แตกละเอียด กลายเป็นหมอกสีดำและหายไป กุ่ยโยวคร่ำครวญเล็กน้อย ร่างกายโอนเอนถอยหลังไปสองก้าว ประกายแสงธงดำในมือพลันมืดลงทันใด

หลัวซิวยืนชมอย่างเงียบสงบ ไม่ได้เสี่ยงเข้าไปร่วมแย่งชิงแต่อย่างใด เพราะเขารู้ดีว่าคนจากแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ต่าง ๆ รวมตัวกันในที่แห่งนี้ ถึงแม้จะได้สมบัติของขลังมาครอง ก็ไม่มีวันเอามันออกไปจากที่นี่ได้โดยง่าย

ทันใดนั้น ก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นนอกห้องโถง แดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจากอาณาจักรใต้ อาณาจักรตะวันตก และอาณาจักรเหนือ ต่างก็ส่งคนเข้ามากลุ่มหนึ่ง

“ฆ่า!”

คนเหล่านี้เข้าร่วมการต่อสู้ระยะประชิดทันทีที่เข้ามา เป้าหมายถูกกำหนดไว้ที่เกราะนักยุทธ์เหลืองทองและม้วนหยก

“เวรเอ้ย นี่มันเรื่องอะไรกันแน่? เกราะนักยุทธ์ชุดนี้ไม่สามารถเก็บไปได้”

มีบางคนอดไม่ได้ที่จะสบถออกมา เพราะว่าทุกคนต่างก็ลองใช้กลยุทธ์มากมาย ไม่ต้องพูดถึงว่าจะเก็บเกราะนักยุทธ์เหลืองทองและม้วนหยกออกไป แม้แต่จะเข้าใกล้สมบัติทั้งสองชิ้นนี้ในระยะร้อยเมตรยังทำไม่ได้

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 766
แค่ยืนอยู่หน้าตำหนักแห่งนี้ หลัวซิวสามารถสัมผัสได้ถึงแรงกดขี่ที่น่ากลัวจากด้านในตำหนัก ทำให้อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตัวสั่นขึ้นมา

“ออร่ากฎดั้งเดิม?” หลัวซิวเผยสีหน้าตกใจ เพราะตามที่เขาได้รู้มานั้น มีเพียงผู้ที่ก้าวเข้าสู่แดนเทพมารนิรันกาลเท่านั้นถึงจะสามารถรับรู้ได้ถึงพลังงานของกฎดั้งเดิม

หรือว่า ที่ตำหนักแห่งนี้จะยังมีผู้แข็งแกร่งระดับนิรันกาลอยู่?

หลัวซิวจ้องเขม็งไปทางด้านในของตำหนักแห่งนี้ ก็รู้สึกแปลกใจที่เห็นคนสองคนกำลังต่อสู้กันอยู่ในห้องโถง

หนึ่งในนั้นถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีทอง สุกสว่างดั่งเทพสงครามเหลืองทอง อัจฉริยะเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่สำแดงวิชาร่างทองมารศักดิ์สิทธิ์ —— กุ่ยโยว!

และคู่ต่อสู้ของเขาคือคนที่รอบกายถูกปกคลุมไปด้วยออร่าปีศาจสีม่วงดำ บางครั้งก็เผยให้เห็นใบหน้าที่ชั่วร้าย น่าจะเป็นอัจฉริยะแห่งเผ่าพันธุ์ปีศาจ

เผ่าพันธุ์ปีศาจแบ่งออกเป็นห้าสายพันธุ์ใหญ่ คือมารแดง มารเขียว มารฟ้า มารดำ และมารม่วงตามลำดับ

มารแดงมีจำนวนมากที่สุดแต่มีสถานะต่ำที่สุด ส่วนมารม่วงนั้นมีจำนวนน้อยที่สุด สถานะสูงส่งที่สุด เป็นราชวงศ์ของเผ่าพันธุ์ปีศาจ

คนที่ต่อสู้กับกุ่ยโยว รอบตัวเปล่งไปด้วยออร่าปีศาจสีม่วงดำ เห็นได้ชัดว่าเป็นสายเลือดของมารม่วง

ภายในตำหนักแห่งนี้ นอกจากการต่อสู้ของกุ่ยโยวกับอัจฉริยะมารม่วงเผ่าพันธุ์ปีศาจ คนอื่น ๆ ต่างก็รายล้อมอยูบริเวณใกล้เคียง ไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้นี้ด้วย

เมื่อหลัวซิวเข้ามากลับไม่ได้ดึงดูดความสนใจจากใครเลย สายตาของทุกคนต่างรวมกันอยู่ที่ใจกลางตำหนักแห่งนี้

ในใจกลางของห้องโถงที่กว้างใหญ่และว่างเปล่า มีเกราะนักยุทธ์เหลืองทองชุดหนึ่งลอยอยู่ แปลกตาทว่าลึกลับ รัศมีแห่งแสงอันเป็นมงคลเปล่งประกายระยิบระยับ

นอกจากนี้ ที่ด้านข้างของเกราะนักยุทธ์เหลืองทองชุดนี้ ม้วนหยกสีทองม้วนหนึ่งลอยอยู่คู่กันด้วย ทำให้ผู้คนอยากรู้ว่าภายในม้วนหยกนั้นบันทึกข้อมูลใดเอาไว้

สิ่งของทั้งสองชิ้นนี้ ต่างเป็นสมบัติล้ำค่าอย่างไม่ต้องสงสัย ม้วนหยกสีทองที่ลึกลับเช่นนี้หลัวซิวไม่รู้ แต่สำหรับเกราะนักยุทธ์เหลืองทองชุดนี้ กลับทำให้หลัวซิวรู้สึกถึงออร่าที่ทำให้ผู้คนหัวใจสั่นระรัวอย่างผิดปกติ แต่เขารับรู้ได้ถึงออร่าดั้งเดิมในตอนที่เขาอยู่ด้านนอกตำหนัก ก็เป็นสิ่งที่แผ่กระจายออกมาจากเกราะนักยุทธ์เหลืองทองชุดนี้นี่เอง

เต็มเปลี่ยมไปด้วยออร่ากฎดั้งเดิม อย่างน้อย ๆ ก็ต้องเป็นเกราะนักยุทธ์ที่ผู้แข็งแกร่งระดับเทพมารนิรันกาลเป็นผู้สวมใส่

“ไม่แปลกใจเลยที่แดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ต่าง ๆ อาณาจักรตะวันออกมารวมตัวกัน แม้แต่เผ่าพันธุ์มารและเผ่าพันธุ์ปีศาจก็ยังเข้าร่วมด้วย คาดไม่ถึงว่าที่นี่จะมีขุมทรัพย์ลับที่น่าทึ่งเช่นนี้”

หลัวซิวแววตาเป็นประกาย กวาดมองไปทั่วทั้งภายในตำหนัก ผู้คนจากแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ต่าง ๆ เผ่าพันธุ์มนุษย์ เผ่าพันธุ์มารและเผ่าพันธุ์ปีศาจต่างเฝ้าระแวดระวังกันและกัน ต่างหมายว่าจะลงมือช่วงชิงเกราะนักยุทธ์เหลืองทองและม้วนหยกลึกลับนั้น

“ฮึ ของขลังล้ำค่าเช่นนี้ มันควรจะเป็นของเราเผ่าพันธุ์มาร!”

ชายหนุ่มเผ่าพันธุ์มารคนหนึ่งที่มีร่างกายกำยำแข็งแรงสวมชุดเกราะนักยุทธ์สีม่วงทองสาวเท้าก้าวใหญ่เดินเข้าไป เสียงดังคำรามเหมือนฟ้าร้อง

มีเขามังกรสีทองสองเขาอยู่บนหัวของเขา ถึงอย่างไรเขาก็เกิดในตระกูลมังกรของเผ่าพันธุ์มาร อีกทั้งยังเป็นสายเลือดราชามังกร!

หลัวซิวได้ยินทางฝั่งเผ่าพันธุ์มนุษย์พูดคุยกันด้วยเสียงค่อนข้างที่จะแผ่วเบา จึงได้รู้ว่าหนุ่มเผ่าพันธุ์มารตนนี้เป็นเผ่าพันธุ์มารสายเลือดราชามังกรจริง ๆ นามว่าหลงเย๋เทียน

ออร่าของเขาแข็งแกร่ง ออร่ามารพุ่งทะลุฟ้า ในมือถือจี่รบสีเหลืองทอง ดวงตาเต็มไปด้วยความดุร้ายกวาดมองไปทั่วทุกคน “ในเมื่อพวกเจ้าไม่ลงมือ เช่นนั้นข้าก็จะไม่เกรงใจเช่นกัน”

ขณะที่พูดนั้น หลงเย๋เทียนได้ยื่นมือออกมา จี่รบสีเหลืองทองในมือกวาดไปทั่ว ปริภูมิผืนใหญ่เปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยว จากนั้นก็แตกสลาย หายไปในทันที

อัจฉริยะสายเลือดราชามังกรเหลืองทองท่านนี้กลายร่างเป็นมังกรสีเหลืองทอง โดยการพุ่งเข้าไปหาเกราะนักยุทธ์เหลืองทองชุดนั้นเป็นอย่างแรก ในเวลาเดียวกันกรงเล็บกางออกแล้วเอื้อมไปคว้าม้วนหยกสีทอง หมายจะนำสมบัติทั้งสองนี้เป็นสมบัติของตนเอง

“สามหาว!”

ผู้คนจากแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ต่าง ๆ เผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าพันธุ์ปีศาจ แน่นอนว่าต้องไม่เห็นด้วย แม้แต่กุ่ยโยวและอัจฉริยะเผ่าพันธุ์ปีศาจที่กำลังต่อสู้กันนั้นก็ยังหยุดลงในทันที ทุกคนต่างพากันลงมือ โจมตีฆ่าหลงเย๋เทียน

“ราชามังกรพิโรธ!”

หลงเย๋เทียนคำราม ทั่วร่างเต็มไปด้วยแสงสีทองอร่าม เห็นแสงสีทองหลายหมื่นเส้นถูกปล่อยออกมา ทุก ๆ เส้นแหลมคมดุจมีด สามารถแทงทะลุปริภูมิ พุ่งกระฉูดไปทุกทิศทุกทาง เพื่อต้านทานการโจมตีของทุกคน

“วูบ!”

แสงอันมืดมิดมากระทบ ตัวสำนึกของหลัวซิวนั้นค้นพบอยู่นานแล้วว่ามีผู้แข็งแกร่งเผ่าพันธุ์มารหลบอยู่ในมุมมืด

เจ้าอสูรเสือสีดำระดับเจ็ดตัวนั้น มีเผ่าพันธุ์มารผู้นี้คอยควบคุม และพลังของเผ่าพันธุ์มารผู้นี้ คือแดนมหายุทธ์

“รนหาที่ตาย!”

หลัวซิวพลิกมือฟาดออกไป เพลิงนิลหลวมรวม กลายเป็นฝ่ามือขนาดมหึมา

ด้วยพลังการต่อสู้ในปัจจุบันของเขา นอกเสียจากเหล่าผู้แข็งแกร่งอาวุโสระดับพรีเมี่ยมยุทธ์ขึ้นไปเท่านั้น ที่จะสามารถทำให้เขากังวลใจได้

ปัง!

วินาทีที่แสงมืดมิดปะทะเข้ากับฝ่ามือเพลิงนิล ก็พังทลายลงทันที จากนั้นฝ่ามือเพลิงนิลฟาดลงมา เผ่าพันธุ์มารวัยกลางคนคนหนึ่งก็เผยสีหน้าหวาดวิตก ก่อนที่จะถูกฝ่ามือนั้นฟาดจนแตกละเอียดกลายเป็นผุยผง

“คิดจะตามหาภูตทองในผืนป่าแห่งนี้ ดูแล้วคงจะไม่สงบสุข” หลัวซิวขมวดคิ้ว

หากมีเพียงกองกำลังใหญ่ต่าง ๆ จากเผ่าพันธุ์มนุษย์เข้าร่วมการค้นหา นั่นก็ถือว่าไม่เท่าไร

แต่เมื่อมีการมาของเผ่าพันธุ์มารและเผ่าพันธุ์ปีศาจ ก็จะยิ่งทำให้สถานการณ์ในผืนป่าแห่งนี้วุ่นวายมากยิ่งขึ้น

ถึงแม้หลังจากประสบอุบัติภัยโบราณ มนุษย์ ปีศาจและมารจะได้ลงนามสงบศึก แบ่งอาณาเขตในโลกแสงดาวให้กับเผ่าพันธุ์มารและเผ่าพันธุ์ปีศาจ แต่ก็สามารถรักษาความสงบได้เพียงผิวเผินเท่านั้น

ระหว่างสามเผ่าพันธุ์มีการเคลื่อนไหวอย่างลับ ๆ ครั้งนี้มาตามหาภูตทอง อัจฉริยะรุ่นเยาว์จากเผ่าพันธุ์มนุษย์กองกำลังใหญ่ต่าง ๆ ก็เข้าร่วมไม่น้อย หากสามารถอาศัยโอกาสนี้เข่นฆ่าอัจฉริยะเผ่าพันธุ์มนุษย์ แน่นอนว่าต้องเป็นสิ่งที่น่าดูชมสำหรับเผ่าพันธุ์มารและเผ่าพันธุ์ปีศาจ

หลัวซิวเดินต่อไปในผืนป่า ตัวสำนึกกระจายออกไปค้นหาการเคลื่อนไหวของออร่าพลังเกิงจิน

แต่ว่าเมื่อค้นหาเป็นเวลาสามวันติดต่อกัน กลับไม่พบสิ่งใดปรากฏขึ้นเลย และภายในระยะเวลาสามวันนี้ หลัวซิวก็ต้องพบกับการลอบโจมตีหลายครั้ง อีกทั้งยังไม่ใช่เพียงแค่คนจากเผ่าพันธุ์มารและเผ่าพันธุ์ปีศาจ แม้กระทั่งจอมยุทธ์เผ่าพันธุ์มนุษย์ก็ยังอยากฆ่าเพื่อชิงทรัพย์

ความเยือกเย็นของมนุษย์ ช่างหน้าเกรงกลัว เผชิญหน้าการล่าของเผ่าพันธุ์มารปีศาจยังไม่พอ กลับยังต้องเผชิญการต่อสู่จากภายในอีก

นอกจากตนเองจะต้องเผชิญหน้ากับการลอบโจมตีแล้ว หลัวซิวก็ยังเห็นร่างไร้วิญญาณอีกจำนวนไม่น้อย มีทั้งเผ่าพันธุ์มาร มีทั้งเผ่าพันธุ์ปีศาจ แต่ที่มากที่สุดเห็นจะเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์

เพราะเมื่อเข้ามาในผืนป่าแห่งนี้ ด้วยจำนวนที่มากมายของจอมยุทธ์เผ่าพันธุ์มนุษย์ อีกทั้งยังมีทั้งคนดีคนชั่วปะปนกันไป

แต่เผ่าพันธุ์มารและเผ่าพันธุ์ปีศาจที่มาที่นี่นั้นต่างก็เป็นชนชั้นสูง อย่างน้อยที่สุดก็ต้องมีพลังระดับมหายุทธ์ช่วงกลางขึ้นไป และในนั้นก็ยังมีผู้แข็งแกร่งระดับพรีเมี่ยมยุทธ์อยู่อีกหลายคน

วันที่สี่ หลัวซิวเหมือนว่าจะได้ยินเสียงการต่อสู่ที่ดุเดือด เขาจึงได้พุ่งไปตามทิศทางของเสียงนั้นทันที

จากนั้นไม่นาน หลัวซิวก็มาถึงตำหนักแห่งหนึ่งที่ไม่โดดเด่นใกล้หุบเขาเล็ก ๆ คิ้วก็พลันขมวดเข้าหากันทันที

เพราะว่าหุบเขาเล็ก ๆ ที่ดูธรรมดามาก ไม่เป็นที่สะดุดตา แต่กลับมีร่องรอยของค่ายกลที่ซ่อนเร้นอยู่อย่างมิดชิด หากว่าระดับค่ายกลของเขาไม่ได้เข้าใกล้ระดับขั้นแปด เขาก็ไม่มีทางที่จะสามารถมองออกได้เลย

เสียงการต่อสู้ที่เขาได้ยินนั้น มันดังออกมาจากในหุบเขาเล็ก ๆ แห่งนี้เอง

หลัวซิวไม่ได้เสี่ยงเข้าไป แต่เดินสำรวจอย่างละเอียดไปรอบ ๆ บริเวณด้านนอกหุบเขา สังเกตการณ์ร่องรอยทิศทางของค่ายกล

“ยังดี เป็นแค่ค่ายกลซ่อนเร้น”

เนิ่นนานหลังจากนั้น หลัวซิวแน่ใจแล้ววาสค่ายกลที่นี่ไม่ใช่ค่ายสังหาร แต่เป็นเพียงค่ายกลซ่อนเร้นที่แยกตัวออกจากโลกภายนอกเท่านั้น

หากว่าเป็นเพียงค่ายกลซ่อนเร้น แม้ว่าระดับจะสูงมากเพียงใด ก็ไม่ได้มีความอันตรายใด ๆ แฝงอยู่ ดังนั้นหลัวซิวจึงสาวเท้าก้าวเข้าไปภายในหุบเขา

ภายในหุบเขาแตกต่างจากภายนอก ราวกับเป็นโลกสองใบที่ต่างกัน

ข้างนอกคือผืนป่ากว้างไม่มีที่สิ้นสุด แต่ด้านในหุบเขานี้ มันคือตำหนักที่เต็มไปด้วยแสงสว่างเปล่งประกาย

ตำหนักที่ส่องแสงระยิบระยับนี้ลอยอยู่กลางอากาศ ราวกับดวงอาทิตย์ที่เปล่งแสงสะพรั่งพราวพร่างพราย

“ออร่าเกิงจินเข้มข้นมาก เหมือนว่ายังมีความเคลื่อนไหวของกฎ หรือว่าภูตทองจะอยู่ที่นี่?”

หลัวซิวตื่นเต้นจนใจสั่น รีบเหยียบเหินเดินอากาศขึ้นไป ร่อนตัวลงหน้าตำหนักแห่งแสงสว่างที่ลอยอยู่บนอากาศ

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 764
หลัวซิวรู้ดีว่า ในเมื่อเหล่าอัจฉริยะจากแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ต่าง ๆ ได้ปรากฏตัวขึ้นแล้ว เช่นนั้นผู้แข็งแกร่งอาวุโสจำนวนไม่น้อยก็ต้องมาด้วยเช่นกัน เพียงแต่เหล่าเฒ่าประหลาดพวกนี้จะหลบซ่อนอยู่ในมุมมืด ไม่ได้เผยตัวตนจริง ๆ ออกมา

จิตฟ้าดิน สามารถดึงดูดใจผู้แข็งแกร่งแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ และการปรากฏตัวของภูตทอง ไม่เพียงแค่เป็นฉนวนชิ้นหนึ่ง ในความเป็นจริงแล้วยังเป็นการแข่งขันครั้งหนึ่งของเหล่าอัจฉริยะรุ่นเยาว์จากแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ต่าง ๆ ด้วย

“ผู้แข็งแกร่งเผ่าพันธุ์มารก็มาด้วย!”

ขอบฟ้าอันไกลโพ้น เสียงของอสูรกายดังขึ้นต่อเนื่อง อสูรกายดุร้ายนับร้อยบินตามกันมา ด้านบนต่างก็มีผู้แข็งแกร่งเผ่าพันธุ์มารที่ได้เปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นมนุษย์แล้วนั่งอยู่

ในบรรดาเผ่าพันธุ์มาร คนที่แปลงร่างเป็นมนุษย์ได้นั้นต่างมีพลังที่น่าอัศจรรย์ ถึงแม้เผ่าพันธุ์มารจะมีจำนวนไม่มาก แต่กลับสามารถขับขี่อสูรกาย ทำสงครามกับเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่โลกแสงดาวได้เป็นเวลายาวนานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

เผ่าพันธุ์มารนับร้อยไม่ได้เข้ามาในเมือง แต่ร่อนลงที่นนอกเมืองราว ๆ สิบสามลี้ รวมตัวอยู่ด้วยกัน รังสีอันทรงพลังที่รวมตัวกัน ทำให้ผู้คนในเมืองรู้สึกกดดันอย่างมาก

ทันใดนั้น ที่เส้นขอบฟ้าก็มีออร่ามารม้วนขึ้นมา ราชรถบดขยี้โซน เสียงคำรามดังขึ้น ทำให้ท้องฟ้าสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง

“แม่งเอ้ย เผ่าพันธุ์ปีศาจก็มาเข้าร่วมด้วย?” หลัวซิวมองด้วยแววตาตกตะลึง พูดไปแล้วนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นเผ่าพันธุ์ปีศาจ

ในประวัติศาสตร์ของโลกแสงดาว เผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าพันธุ์มารสู้รบกันมาอย่างยาวนาน แต่เผ่าพันธุ์ปีศาจกลับลงมาที่นี่เมื่อราว ๆ หมื่นปีก่อนอย่างกะทันหัน นำหายนะขนาดมหึมามายังโลกแสงดาวด้วย

และหายนะครั้งนี้ ถูกเรียกว่าอุบัติภัยโบราณ ทำให้ไม่ว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์หรือเผ่าพันธุ์มาร ต่างก็ต้องสูญเสียผู้แข็งแกร่งจำนวนมาก จนถึงปัจจุบัน การฝึกตนของโลกยุทธ์ก็ไม่อาจหวนคืนความรุ่งเรืองอย่างในอดีตได้อีก

พลังปีศาจที่เข้มข้นบดบังทัศนวิสัย ทำให้หลัวซิวไม่สามารถมองได้อย่างชัดเจนถึงรูปร่างของเผ่าพันธุ์ปีศาจที่อยู่บนราชรถ

ห่างจากเมืองเทียนหัวราวสามสิบหกลี้คือผืนป่ากว้างไร้ที่สิ้นสุด ผืนป่านี้ทอดยาวไปจนถึงจุดแบ่งอาณาเขตระหว่างอาณาจักรตะวันออกและอาณาจักรเหนือ ครอบคลุมพื้นที่หลายร้อยหลายพันลี้

ค้นหาภูตทองในผืนป่าเช่นนี้ เป็นการงอมเข็มในมหาสมุทรอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ก็ยังคงมีจอมยุทธ์จำนวนมากมาที่แห่งนี้ ด้วยหวังว่าอาจจะเจอโชคดี

ถ้าหากมีโชคสามารถได้ภูตทองมาครอบครอง แม้ว่าตนจะไม่สามารถกลั่นแปรได้ นำออกไปขายก็ยังสามารถแลกเปลี่ยนเป็นราคาสูงเสียดฟ้าได้

ถึงแม้ว่าจะมีคนจำนวนมากมาที่นี่ โดยเฉพาะการมาของแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ต่าง ๆ เผ่าพันธุ์มนุษย์อีกทั้งเผ่าพันธุ์มารและเผ่าพันธุ์ปีศาจ ยิ่งทำให้ผู้คนจำนวนมากรู้สึกถึงแสงแห่งความหวังที่จะสามารถค้นพบภูตทองได้

แต่อาณาเขตของป่านี้กว้างเกินไป โอกาสที่จะได้เจอกันมีน้อยมาก

“ผืนป่าที่กว้างขวางเช่นนี้ จะไปหาภูตทองได้จากที่ใด?” เมื่อหลัวซิวมาถึงที่นี่ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว

ตามรายงานขององค์กรนักล่ายุทธ์ จวบจนบัดนี้มีเพียงแค่คำบอกเล่าว่ามีคนเห็นภูตทองอยู่ในป่านี้ แต่รายละเอียดที่บ่งบอกว่าภูตทองอยู่ที่ใดกันแน่นั้น กลับไม่มีใครรู้

และคนที่บอกว่าเห็นภูตทองนั้น กลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ก็ไม่รู้ว่าถูกฆ่าปิดปาก หรือบางทีอาจจะถูกขังเอาไว้ก็เป็นได้

“โฮก!”

หลัวซิวเพิ่งเดินเข้ามาในผืนป่าแห่งนี้ได้ไม่นาน เสียงคำรามที่น่าเกรงขามดังขึ้นมา อสูรเสือสีดำพุ่งตรงเข้ามา ความเร็วนั้นรวดเร็วราวกับสายฟ้าสีดำ

อสูรเสือตัวนี้ร่างสูงราวห้าเมตร กรงเล็บแหลมคมดำขลับยาวประมาณหนึ่งฟุตกว่า มีเกล็ดกลมทั่วทั้งร่างกาย เขี้ยวคมราวกับคมดาบ สะท้อนประกายแสงเย็นยะเยือก

“อสูรกายระดับเจ็ด?”

หลัวซิวขมวดคิ้ว ถึงแม้อสูรกายระดับเจ็ดสำหรับเขาแล้วจะไม่ได้ทำให้เขามีความกดดันแต่อย่างใด แต่บริเวณโดยรอบของผืนป่าแห่งนี้ ว่ากันตามเหตุผลแล้วไม่ควรจะมีอสูรกายระดับสูงปรากฏตัวขึ้นถึงจะถูก

อสูรเสือสีดำได้พุ่งตรงเข้ามาด้านหน้า เผยความดุร้ายออกมาเต็มที่ หลัวซิวยกมือขึ้นปล่อยหมัดกระบี่ออกไป วินาทีนั้นเองเจ้าอสูรเสือตัวใหญ่มหึมาก็กระเด็นออกไป ร่างกายแตกละเอียดกลายเป็นละอองเลือด

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 763
จากนั้นหลัวซิวก็เห็นผู้อาวุโสสองคนที่สวมชุดของแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด มาถึงเมืองเทียนหัวด้วย

ผู้อาวุโสทั้งสองเดินเข้ามาดุจพญาเสือ ล้อมรอบด้วยรังสีสังหารสีเลือด ตลอดทั้งทางที่เดินมา ทำให้ผู้คนล่าถอยไป ไม่มีใครที่กล้าเข้าใกล้

เมื่อเห็นบรรดาผู้แข็งแกร่งมากมายเช่นนี้มารวมตัวกัน หลัวซิวก็อดไม่ได้ที่จะเกิดความประหลาดใจ เมื่อหาสถานที่ที่ปลอดภัยในเมืองที่หนึ่งได้ ก็ติดต่อกับภูตแห่งค่ายของสี่แก๊งใหญ่

วันนี้ในระบบขององค์กรนักล่ายุทธ์ หลัวซิวได้ครอบครองสิทธิขั้นฟ้าแล้ว จากนั้นก็อาศัยสิทธิเพื่อเรียกดูข้อมูลที่เกี่ยวข้องได้

เขาเชื่อว่าด้วยความสามารถในการรายงานขององค์กรนักล่ายุทธ์ จะสามารถมีข้อมูลในส่วนนี้ได้นั้นคงไม่ยากเกินความสามารถ

“ภูตทอง?”

เมื่อหลัวซิวได้รับข้อมูลตอบกลับจากองค์กรนักล่ายุทธ์ ก็เกิดความรู้สึกประหลาดใจขึ้นในทันที

คนจากกองกำลังใหญ่ต่าง ๆมารวมตัวกันที่เมืองเทียนหัว เพราะว่ามีคนที่นี่พบภูตทองฟ้าดิน

เพียงแต่ว่าจิตฟ้าดินนั้นต่างมีจิตวิญญาณและความชาญฉลาด เมื่อถูกคนพบเจอก็จากไปด้วยความรวดเร็ว ส่วนจอมยุทธ์ที่พบเจอภูตทองนั้นมีผลการฝึกตนไม่สูง ไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะจับเอาไว้ได้

คนที่เข้าใจจิตฟ้าดินอย่างแท้จริงนั้นต่างรู้ดีว่า สถานที่ที่สามารถทำให้จิตฟ้าดินปักฐานได้นั้น แต่เดิมย่อมเป็นสถานที่ที่ไม่ธรรมดา แต่ในเมื่อจิตฟ้าดินมาหยุดลงตรงที่แห่งนี้ นั่นหมายความว่าสิ่งแวดล้อมในสถานที่แห่งนี้เหมาะสมกับการเติบโตของมัน

ดังนั้น เว้นแต่จะไม่อับจนหนทางจริง ๆ จิตฟ้าดินจะไม่เคลื่อนย้ายถิ่นที่อยู่อย่างง่ายดาย

“ที่แท้ก็มาเพราะภูตทอง” หลัวซิวรี่ตาลงเล็กน้อย

ในบรรดาจิตฟ้าดิน ภูตอัคคีพบเจอได้ยากกว่า ถูกจอมยุทธ์พูดถึงก็มากกว่าด้วย ส่วนจิตฟ้าดินอื่น ๆ เมื่อเทียบกันแล้วน้อยกว่ามาก

ถ้าสามารถพิชิตภูตทองได้ จะสามารถทำให้พลังการโจมตีมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะในบรรดาธาตุทั้งห้า การโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดคือธาตุทอง!

นอกจากนี้หลังจากการกลั่นแปรภูตทอง ความแข็งแกร่งของร่างเนื้อก็สามารถยกระดับได้อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นทางด้านการโจมตีหรือทางด้านการคุ้มกัน

โดยเฉพาะจอมยุทธ์ที่ฝึกตนกฎธาตุทอง ภูตทองถือว่าเป็นขุมทรัพย์สำหรับพวกเขา สามารถทำความเข้าใจความลึกลับของกฎที่แฝงอยู่ด้านในนั้น ยกระดับแดนกฎของตัวเอง

ปัง!

ทันใดนั้น ที่ท้องฟ้าด้านนอกเมืองก็มีเสียงดังอึกทึกคึกโครมเกิดขึ้น คลื่นออร่าแห่งกฎที่รุนแรงขยายเป็นวงกว้าง มีผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์กำลังทำสงครามใหญ่อยู่

หลัวซิวเหลือบตามองขึ้นไป เห็นร่างสองร่างอยู่กลางอากาศที่นอกเมือง หนึ่งในสองสวมชุดสีฟ้า มีดาวเก้าดวงปรากฎอยู่ด้านบนศีรษะ ขณะที่เคลื่อนไหวมือและเท้าก็สามารถหลอมรวมพลังแห่งกฎทองไม้น้ำไฟทั้งสี่ชนิด

“นั่นนายน้อยซิงหลิง อีกคนคือใครกัน ถึงกล้าปะมือกับเขาในที่แห่งนี้?” หลัวซิวประหลาดใจเล็กน้อย

ในหมู่คนรุ่นใหม่ หากไม่นับรวมตัวหลัวซิวเองแล้ว ซิงหลิงเรียกได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งของคนรุ่นใหม่ ด้วยคุณสมบัติด้านพรสวรรค์ที่สูงมาก เรียกได้ว่าหมื่นปีจะเจอสักคนหนึ่ง

คนที่ต่อสู้กับซิงหลิง เปลวเพลิงแผดเผาอยู่รอบตัว แสงไฟพุ่งทะลุฟ้า แปลงร่างเป็นนกฟีนิกซ์ขนาดมหึมา ปกคลุมท้องฟ้า

“ที่แท้ก็เทพบุตรเผ่าหงส์” หลัวซิวสามารถยืนยันตัวตนของอีกฝ่ายได้

ถึงแม้หากเทียบเรื่องแดนกฎกับตัวเอง เทพบุตรเผ่าหงส์จะไม่อาจสู้ได้ แต่หลัวซิวก็ต้องยอมรับว่า คนผู้นี้สามารถฝึกตนกฎเพลิงอัคคีถึงแดนขั้นแรกได้แล้ว ไม่ใช่แค่เพียงอาศัยสายเลือดเทพหงส์ คุณสมบัติด้านพรสวรรค์ของตัวเขาเองนั้นก็ถือว่าอยู่ในระดับต้น ๆ เช่นกัน

ทั้งสองต่อสู้กันอย่างดุเดือด แต่กลับไม่มีใครใช้ไพ่ไม้ตายออกมา ผ่านไปชั่วครู่ ผู้แข็งแกร่งตำหนักดารานภาและผู้อาวุโสเผ่าหงส์ก็ปรากฎตัวขึ้น หยุดการพิพาทในทั้งนี้

เหล่าอัจฉริยะต่างก็มีจิตใจที่หยิ่งผยอง ในโลกฝึกยุทธ์ทุกยุคสมัย เหล่าอัจฉริยะวัยรุ่นมักจะขัดแย้งซึ่งกันและกัน เหยียบคนอื่น ๆ เพื่อขึ้นไปเป็นระดับหัวมังกรของ เหล่าอัจฉริยะ มีความกระตือรือร้นที่จะก้าวหน้า เข้าทัพแดนขั้นสูงแห่งโลกยุทธ์

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 762
ในสถานการณ์ที่ตัวเองอยู่ในที่สว่างแต่ศัตรูอยู่ในที่มืดนั้น แม้ว่าครอบครองปีกทิพย์ไร้มลทินของขลังในการบินชั้นยอดเช่นนี้ เมื่อถูกปิดล้อมเอาไว้ หลัวซิวก็รู้ดีว่ามันจะต้องร้ายมากกว่าดี

ก่อนอื่นหลัวซิวใช้ตัวสำนึกกวาดสำรวจไปทั่วร่างกายหลายรอบ แต่กลับไม่ได้พบความผิดปกติใด ๆ แม้แต่น้อย

จากนั้น ก็ใช้ภูตอัคคีแผดเผาไปทั่วร่างกายอีกครั้ง ทันใดนั้นตัวสำนึกก็ส่งเสียงปุออกมา มีสองรอยประทับที่ซ่อนเร้นไว้อย่างดีถูกภูตอัคคีทำลายแผดเผาทิ้งไปแล้ว

ทั้งสองรอยประทับนี้ รอยหนึ่งติดอยู่ด้านบนเส้นผมของเขา อีกรอยหนึ่งอยู่บนรองเท้าของเขา เหมือนว่าจะไม่มีร่องรอยของออร่าที่เคลื่อนไหว ดังนั้นเมื่อครู่ที่เขาใช้ตัวสำนึกกวาดสำรวจ จึงไม่พบเบาะแสใด ๆ ทั้งสิ้น

แต่ภูตอัคคีเป็นการเผาไหม้ในทุกส่วนของร่างกายโดยไม่มีข้อยกเว้น เช่นนั้นแล้ว ไม่ว่ารอยประทับทั้งสองนี้จะซ่อนอยู่ลึกเพียงใด พวกมันย่อมถูกเผาอย่างแน่นอน

หลังจากแก้ปัญหาร้ายแรงนี้ไปได้แล้ว หลัวซิวก็สบายใจขึ้นมา จากนั้นก็ออกจากโรงเตี๊ยมในทันที

เขาเพิ่งจะเดินออกจากโรงเตี๊ยม สายตาก็พลันไปเห็นร่างหนึ่งที่คุ้นตา —— ลู่เมิ่งเหยา!

นางสวมชุดกระโปรงสีชมพูแดง เดินอยู่บนตรอก ใบหน้าที่งดงามนั้นดึงดูดสายตาทุกคู่ให้หันมาสนใจ

มีผู้หญิงอีกคนเดินอยู่กับนางด้วย อีกทั้งใบหน้ายังงดงาม ทั้งสองพูดคุยกันพร้อมกับรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ดูแล้วความสัมพันธ์ของทั้งคู่นั้นไม่เลวเลย

“นางมาทำอะไรที่นี่?” หลัวซิวรู้ว่านางเพ็ญตนอยู่กับเทวีหานยู่ แต่เขายู่หลิงห่างจากคูเมืองแห่งนี้ออกไปนับแสนลี้

หลัวซิวไม่ได้เดินเข้าไปแสดงตัวว่ารู้จักกับนาง เพราะว่าเขาใช้วิชาเปลี่ยนรูปลักษณ์อยู่ อีกทั้งในเวลานี้ผู้แข็งแกร่งจากนิกายมารศักดิ์สิทธิ์และแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดก็คงจะตามมาถึงอาณาจักรตะวันออกแล้วเป็นแน่ เขาไม่สามารถเปิดเผยตัวตนอย่างง่ายดายได้

เพราะอย่างนี้ ทั้งสองคนจึงได้เดินสวนกันบนถนนเท่านั้น หลัวซิวก็ไม่ได้แสดงออกถึงความผิดปกติแต่อย่างใด เดินผ่านกันไปเฉย ๆ เช่นนั้น

แต่ลู่เมิ่งเหยากลับหยุดลงทันทีเหมือนถูกไฟดูด หันศีรษะไปมองแผ่นหลังสีดำที่ค่อย ๆ เดินห่างออกไป

“เมิ่งเหยาเจ้ามองสิ่งใดอยู่?” หญิงสาวทีเดินมากับนางเอ่ยถาม

“พี่เซี๋ย ข้ารู้สึกว่าคนที่เพิ่งเดินผ่านไปเมื่อครู่นี้มีบางอย่างพิเศษ” ลู่เมิ่งเหยาครุ่นคิด

“เพียงแค่คนที่มีผลการฝึกตนแดนราชายุทธ์เท่านั้น มีอะไรพิเศษหรือ?” หญิงสาวคนนั้นหัวเราะพร้อมส่ายศีรษะ

เมื่อได้ยินนางพูดเช่นนั้น ถึงแม้ลู่เมิ่งเหยาจะยังคงรู้สึกสงสัยอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากอีก ทั้งสองคนเดินห่างกันออกไปเรื่อย ๆ

หลัวซิวไม่ได้ยินที่ทั้งสองพูดคุยกัน เพื่อที่จะปิดซ่อนตัวตนของตัวเอง เขากดผลการฝึกตนให้อยู่ในแดนราชายุทธ์ และไม่ปล่อยตัวสำนึกออกไปโดยง่าย

เขาเดินไปตามถนนกว้างในเมือง ทันใดนั้นก็เจอกับหกลุ่มคนห้าคน ทั้งห้าคนต่างก็วัยรุ่นมาก สวมชุดของแดนศักดิ์สิทธิ์พื้นนภา

จากนั้น หลัวซิวก็สังเกตเห็นคนอีกกลุ่มหนึ่ง สวมชุดแดนศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมิน

หลังจากนั้นศิษย์ของ แดนศักดิ์สิทธิ์เวหาเซียนก็ปรากฏตัวขึ้นที่กลางคูเมืองแห่งนี้ด้วย

“สามแดนศักดิ์สิทธิ์อาณาจักรตะวันออกรวมตัวกันที่นี่ หรือว่าจะเป็นเพียงเหตุบังเอิญ?” หลัวซิวรู้สึกว่าที่นี่กลายเป็นสถานที่ที่ไม่ใช่ที่ที่ควรอยู่อีกต่อไป คิดเพียงแค่ว่าต้องออกไปให้เร็วที่สุด

ยังไม่ทันเดินไปถึงประตูเมือง กลางท้องฟ้าจากที่ไกล ๆ ดวงดาวเก้าดวงส่องแสงประกายระยิบระยับ ซิงหลิงก็มาด้วย!

ไม่เพียงแต่ซิงหลิง ต้าวหวูซินและเหลียนเอ๋อร์ที่แยกจากหลัวซิวไปก่อนหน้านี้ที่เหวปีศาจมรณา ก็มาที่แห่งนี้ด้วย

คูเมืองแห่งนี้มีชื่อว่าเมืองเทียนหัวหลัวซิวสามารถแน่ใจได้ว่าที่แห่งนี้ต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้น มิฉะนั้น คนเหล่านี้จะไม่มารวมกันที่นี่อย่างแน่นอน

การรวมตัวของเหล่าคนจากแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ต่าง ๆ ที่เมืองเทียนหัวเช่นนี้ ทำให้หลัวซิวรู้สึกว่าต้องมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นที่นี่

หลังจากซิงหลิง ต้าวหวูซินและเหลียนเอ๋อร์หลังจากเข้าเมืองมาได้ไม่นาน เสียงนกฟีนิกซ์คำรามก็ดังก้องไปทั่วฟ้าดิน เทพบุตรเผ่าหงส์ก็ขี่นกฟีนิกซ์มายังเมืองเทียนหัวนี้ด้วย

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 761
“ไอ้แก่ อาศัยผลการฝึกตนพรีเมี่ยมยุทธ์มาไล่ตามฆ่าข้าที่เป็นแค่เพียงมกุฎยุทธ์ตัวเล็ก ๆ อายุที่มากเช่นนี้ดูแล้วน่าจะใช้ชีวิตมาอย่างเสียเปล่าแล้วสินะ” หลัวซิวหัวเราะเย้ยหยัน

“ไอ้สัตว์เดรัจฉาน อย่ามาพูดจาพล่อย ๆ รอให้ข้าจับเจ้าให้ได้ก่อน เจ้าจะได้รู้ถึงความเก่งกาจของข้าแน่”

“ไอ้แก่ ถ้ามีความสามารถตามข้าให้ทันก่อนค่อยพูด”

คนหนึ่งหนีคนหนึ่งไล่ตาม คำก็ไอ้สัตว์เดรัจฉาน อีกคำก็ไอ้แก่ แต่หลัวซิวนั้นระหว่างที่บินหนี ตัวสำนึกก็ติดตามการเคลื่อนไหวของทั้งสี่ทิศอย่างใกล้ชิด พบว่านอกจากเจ้าดาบปีกเพลิงแล้วนั้น ก็ไม่มีผู้แข็งแกร่งคนอื่นไล่ตามฆ่าเขาอีก

สิ่งนี้ทำให้หลัวซิวสามารถคลายความกังวลใจลงไปได้ในทันที ถ้าหากเป็นผู้แข็งแกร่งระดับพรีเมี่ยมยุทธ์สามคนขึ้นไป บางทีเขาอาจจะต้องเป็นกังวลอย่างมาก หากมีแค่ดาบปีกเพลิงคนเดียว ต่อให้อีกฝ่ายไม่ใช่พรีเมี่ยมยุทธ์ทั่วไป แต่เป็นถึงพรีเมี่ยมยุทธ์ช่วงกลาง หลัวซิวก็ยังคงไม่ต้องกลัวเช่นเดิม

อีกทั้งสำหรับพลังของเขาในตอนนี้ สามารถต้านทานพรีเมี่ยมยุทธ์ช่วงต้นได้ แต่กลับยังไม่เคยปะมือกับผู้แข็งแกร่งพรีเมี่ยมยุทธ์ช่วงกลาง

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ร่างของหลัวซิวก็พลันหยุดลงทันที

เมื่อเห็นว่าอยู่ ๆ หลัวซิวก็หยุดลง ดาบปีกเพลิงก็เผยรังสีสังหารออกมา พูดด้วยน้ำเสียงหน้าหวาดกลัว “ไอ้สัตว์เดรัจฉานตายเสีย!”

เขายกมือขึ้นปล่อยลำแสงสีเลือดสายหนึ่งออกไป ราวกับว่าสายฟ้าสีเลือดพุ่งทะลุท้องฟ้า ความเร็วถึงขีดสุด พลังที่ทำให้คนตกตะลึง เต็มไปด้วยพลังแห่งกฎสังหาร

ในฐานะผู้แข็งแกร่งพรีระดับเมี่ยมยุทธ์ช่วงกลาง ยังอยู่ในตำแหน่งผู้อาวุโสแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด แดนกฎแห่งดาบปีกเพลิงย่อมบรรลุถึงในระดับต้นแล้วเช่นกัน

หลัวซิวก้าวเท้าก้าวใหญ่ขึ้นไปข้างหน้า พลังการต่อสู้ถูกปล่อยออกมาหมด พลังอำนาจเพิ่มขึ้น พลิกมือหยิบง้าวยุทธ์จื่อโม่ออกมา บดขยี้โซนจนแตกเป็นผุยผง

ปัง!

วินาทีที่แสงสีเลือดกลางจี่รบสว่างขึ้น พลังมหาศาลที่น่าเกรงขามก็ถูกส่งออกมา ทำให้ร่างกายของหลัวซิวสั่นไหว ก้าวถอยหลังไปหลายก้าว

“ไอ้สัตว์เดรัจฉาน ข้าจะต้องฉีกเจ้าออกเป็นชิ้น ๆ!”

ดาบปีกเพลิงเมื่อเห็นง้าวยุทธ์จื่อโม่ สายตาคู่นั้นก็แดงก่ำขึ้นมา ยกมือขึ้นและปล่อยพลังตราประทับออกไป

วาบ!

หลัวซิวรับรู้ได้การสั่นไหวของง้าวยุทธ์จื่อโม่ในมือ ทันใดนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นลำแสง บินตรงไปที่ดาบปีกเพลิงบนเรือรบ

สิ่งนี้ทำให้หลัวซิวชะงักไปเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าดาบปีกเพลิงนี้มีวิชาลับที่สามารถควบคุมง้าวยุทธ์จื่อโม่ได้ สามารถแย่งอาวุธขลังชั้นดีชิ้นนี้ออกไปไปจากในมือของเขาได้อย่างง่ายดาย

ดาบปีกเพลิงเอื้อมมือออกไป จับง้าวยุทธ์จื่อโม่ไว้ แต่เดิมออร่าที่แข็งแกร่งระดับพรีเมี่ยมยุทธ์ช่วงกลาง ก็พลันเพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับที่เทียบเท่าพรีเมี่ยมยุทธ์ช่วงปลาย

ถึงแม้จะไม่มีง้าวยุทธ์จื่อโม่ หลัวซิวถามตัวเองกฌพบว่าเป็นการยากที่จะเอาชนะดาบปีกเพลิงได้ อีกทั้งยังมีอาวุธขลังชั้นดีอยู่ในมืออีก หลัวซิวไม่พูดอะไรตต่อ หันหลังและจากไปทันที

ครั้งนี้เขาใช้พลังในการบินหนีอย่างสุดแรง แม้กระทั่งปีกทิพย์ไร้มลทินก็สยายอยู่ด้านหลังของเขา โดยไม่ได้คำนึงถึงแม้แต่น้อยว่าของขลังพรสวรรค์ชิ้นนี้จะถูกเปิดเผยหรือไม่

“ปีกทิพย์ไร้มลทิน?”

เมื่อเห็นปีกสยายอยู่ด้านหลังหลัวซิว ดาบปีกเพลิงก็อดไม่ได้ที่จะตกใจอย่างรุนแรง ก็รีบขับเคลื่อนเรือรบจันทราสีเลือดอย่างเต็มกำลัง

แต่ความเร็วของปีกทิพย์ไร้มลทินนั้นเร็วเกินไป ปีกเพลิงนิลสั่นไหวอยู่สองสามครั้ง ร่างของหลัวซิวก็ได้กลายเป็นจุดสีดำพร่ามัวในสายตาของเขาแล้ว

รับรู้ถึงออร่าของดาบปีกเพลิงที่ห่างจากตัวเองออกไปยิ่งไกลมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่หลัวซิวกลับไม่กล้าแม้แต่จะผ่อนกำลังลง บินติดต่อกันสามวันเต็ม และมาถึงบริเวณใกล้เคียงของคูเมืองแห่งอาณาจักรตะวันออก

ใช้วิธีการเคลื่อนเปลี่ยนกระดูกเพื่อเปลี่ยนรูปลักษณ์ หลัวซิวเข้าไปในคูเมืองนี้ จากนั้นก็พักชั่วคราวในโรงเตี๊ยมกลางเมือง หลังจากที่ได้สร้างค่ายกลเอาไว้ทั้งสี่ทิศของห้องแล้ว ก็เริ่มปิดขัง

การปิดขังครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อฝึกตน แต่เป็นการค้นหาว่าบนตัวของเขานั้นมีร่องรอยของวิชาลับเหลือเอาไว้อยู่หรือไม่

เพราะเขารู้ได้อย่างชัดเจนว่าดาบปีกเพลิงสามารถคนหาเขาเจอได้โดยง่าย ถ้าหากไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ ไม่นานผู้แข็งแกร่งคนอื่น ๆ จากนิกายมารศักดิ์สิทธิ์และแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดก็ต่างสามารถตามหาเขาถึงที่ได้

เขาออกแรงบีบ ยันต์สีทองแตกกระจายในทันที ลายเส้นสีเงินที่วาดอยู่ด้านบนเหมือนได้มีชีวิตขึ้นมา คลื่นพลังอันแรงกล้าของกฎปริภูมิได้แผ่ซ่านออกมา แสงสีเงินได้ม้วนห่อหุ้มเขาเอาไว้ จากนั้นก็ได้ทำลายช่องอากาศ และได้หายไปในทันที

“ยันต์ทะลุฟ้าขั้นเก้า?”

วินาทีที่โฮ๋สงได้ใช้ยันต์หลบหนีไปนั่นเอง เงาร่างของหลัวซิวก็ได้หยุดลงในทันที ใบหน้ามืดมน

จากที่เขาทราบมา ยันต์ทะลุฟ้าขั้นเก้าสามารถทำลายช่องอากาศ สามารถทะลุปริภูมิออกไปเป็นหมื่นลี้ได้ภายในพริบตา

ทันทีที่โฮ๋สงได้กระจายเรื่องที่เกิดขึ้นในเหวปีศาจมรณาออกไป หลัวซิวทราบตัวเองดีว่าจะต้องถูกนิกายมารศักดิ์สิทธิ์และแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดตามสังหารอย่างแน่นอน

คิดมาถึงตรงนี้ หลัวซิวก็ไปจากเหวปีศาจมรณาในทันที แม้เขาจะไม่กลัวผู้แข็งแกร่งของแดนศักดิ์สิทธิ์มาตามสังหารที่เหวปีศาจมรณา เพราะงูดำยักษ์ที่อยู่ในทะเลสาบมรณาจิ่วหยินนั้น น่าหวาดกลัวยิ่งกว่าผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์อีกมากนัก

แต่สำหรับหลัวซิวถ้าไม่ถึงที่สุด หรือหมดทางเลือกแล้วจริง ๆ ไม่เช่นนั้นเขาไม่มีทางที่จะอาศัยพลังของงูดำยักษ์อย่างแน่นอน

……

เหมือนกับที่หลัวซิวได้คาดการเอาไว้ สิ่งแรกที่โฮ๋สงทำหลังจากหลบหนีมาได้ก็คือบอกเรื่องที่เจียงหวูจี้กับเซี๋ยลี่เฟิงถูกสังหารให้ทางนิกายมารศักดิ์สิทธิ์และแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดได้รับรู้

ในระยะเวลาไม่ถึงครึ่งวัน สองแดนศักดิ์สิทธิ์ก็ได้ส่งผู้แข็งแกร่งมายังอาณาจักรใต้ เพื่อล่าสังหารหลัวซิว

“มาเร็ว จริง ๆ!”

ในป่าเขาแห่งหนึ่ง สีหน้าของหลัวซิวพลันเปลี่ยนไป กระแสสัมผัสที่ว่องไวได้สัมผัสถึงคลื่นความผิดปกติบางอย่าง

ทันใดนั้นเอง หมู่เมฆที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าได้ถูกสะเทือนกระจัดกระจาย ไอสังหารสีเลือดโหมซัดสาด แทงทะลุช่องอากาศ

ครืน!

ช่องอากาศบริเวณกว้างแตกกระจายเป็นสุญญากาศ เรือรบสีแดงเลือดขนาดมหึมาได้ปรากฏขึ้น ตัวเรือรบเหมือนดั่งได้เอาออกมาจากกองเลือด ทั้งแดงสดทั้งน่าเกลียดน่ากลัว

ธงผืนหนึ่งได้ชูตระหง่านอยู่บนเรือรบ ด้านบนวาดเอาไว้ด้วยพระจันทร์สีเลือด

“เรือรบจันทราสีเลือด” หลัวซิวมีท่าทางเคร่งขรึม เวลาไม่ถึงครึ่งวัน กองทัพไล่ล่าก็ได้มาถึงอาณาจักรใต้ แถมยังได้ตามหาร่องรอยของตนจนเจอ

กองกำลังขนาดใหญ่จำนวนมากต่างก็มีเรือรบเป็นของตนเอง ยกตัวอย่างเช่นเรือรบเทพหงส์ของเผ่าหงส์ เรือรบจันทราสีเลือดของแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด

เรือรบเป็นอาวุธสงครามที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างหนึ่ง ผสานไว้ด้วยความยอดเยี่ยมของการกลั่นสมบัติและค่ายกล ไม่เพียงการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วอันน่าทึ่ง อานุภาพก็เป็นที่น่าสะพรึงกลัว

สำหรับเรื่องที่คนของแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดตามหัวตนเองเจอ หลัวซิวไม่ได้ประหลาดใจเลยสักนิด เขาเคยได้ยินมาว่ากองกำลังขนาดใหญ่บางกองกำลังมีวิชาอาถรรพณ์พิเศษบางอย่างอยู่ในมือ เมื่อศิษย์ใจกลางหรือผู้อาวุโสที่ค่อนข้างจะสำคัญถูกสังหาร วิชาอาถรรพณ์ชนิดนี้จะพุ่งเป้าหมายไปที่กลิ่นอายของฆาตกรในทันที ไม่ว่าอีกฝ่ายจะหนีไปที่แห่งใด ล้วนจะถูกตามหาจนเจอ

“เจ้าเดรัจฉาน กล้าสังหารศิษย์แดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดของข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า วันนี้แม้แต่ลี่เฟิงบุตรชายของข้ายังตายในเงื้อมมือเจ้าอย่างอนาถ เอาชีวิตของเจ้ามาให้ข้าเสีย!”

มีเงาร่างร่างหนึ่งยืนอยู่บนดาดฟ้าของเรือรบจันทราสีเลือด รอบกายรายล้อมไปด้วยรัศมีพลังของเจ้ายุทธจักร

คนผู้นี้มีนามว่าดาบปีกเพลิงเป็นผู้อาวุโสเจ้ายุทธจักรของแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด และเป็นบิดาของเซี๋ยลี่เฟิง

หลังจากได้รับข่าวว่าบุตรชายของตนถูกสังหาร ภายใต้ความโมโหเขาจึงได้ขับเคลื่อนเรือรบจันทราสีเลือดมาที่อาณาจักรใต้ในทันที สาบานว่าจะต้องให้ฆาตกรที่สังหารบุตรชายของตนร่างฉีกออกเป็นชิ้น ๆ

หลัวซิวไม่รีรอ กลายเป็นลำแสงพุ่งหนีไกลออกไปในทันที

“เจ้าเดรัจฉาน เจ้าหนีไม่พ้นหรอก ต่อให้เจ้ารวดเร็วเพียงใด จะเร็วไปกว่าเรือรบจันทราสีเลือดอย่างนั้นหรือ?” ไอสังหารของดาบปีกเพลิงพลุ่งพล่าน

ครืนนน…….

เรือรบสีเลือดอันน่ารังเกียจบดขยี้ไปในอากาศ ด้วยความเร็วเป็นที่สุด ตามไปติด ๆ

“เจ้าเดรัจฉาน ต่อให้เจ้าหนีไปไกลสุดขอบฟ้า ข้าก็จะต้องเลาะเอ็นล้วงกระดูกของเจ้าเป็นแน่ ยังมีทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเจ้า ข้าจะต้องให้พวกมันเหมือนตายทั้งเป็น!” เสียงอาฆาตแค้นของดาบปีกเพลิงดังมาเข้าหูของหลัวซิว

เขาคิดจะใช้คำพูดมาทำให้จิตใจของหลัวซิวสับสนวุ่นวาย

เดิมหลัวซิวไม่คิดจะพัวพันกับผู้สืบทอดของแดนศักดิ์สิทธิ์ แต่เซี๋ยลี่เฟิงกลับคิดร่วมมือกับเจียงหวูจี้สังหารตัวเอง นี่ทำให้หลัวซิวคิดจะเอาชีวิตมันเช่นเดียวกัน

แม้เขาจะไม่ต้องยั่วยวนพวกเฒ่าประหลาดที่อยู่ด้านหลังพวกมัน แต่ต่อให้ยั่วยวนไปจนถึงคนพวกนั้นเข้าจริง ๆ เขาก็ไม่ได้เกรงกลัวเลยสักนิด

พรึบ!

มกุฎอัคคีนภาเหลืองถูกเขาซัดออกมา และได้กลบทับง้าวยุทธ์จื่อโม่ไปในทันที ภายใต้การแผดเผาของไฟทิพย์ เจียงวูจี้ก็ได้ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เพราะตัวสำนึกที่ประทับอยู่บนง้าวยุทธ์ของเขาได้ถูกเผาผลาญ ทำให้ตัวเขาเองก็ได้ถูกพลังกลับมาทำร้ายไปด้วย

“นี่มันเปลวเพลิงอะไรกัน? น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก……” เจียงหวูจี้ถอยหลังไปด้วยความหวาดผวา

ในตอนนี้เอง หลัวซิวก็ได้ยื่นมือออกไปคว้าจับง้าวยุทธ์จื่อโม่ แล้วฟันออกไปในขวาง กระแทกดาบโลหิตที่ฟันเข้ามาให้ลอยออกไป

เข้าได้ผสานทักษะยุทธ์หมัดกระบี่เข้ากับง้าวยุทธ์ และก้าวออกไปก้าวใหญ่ ๆ ขยับเข้าประชิดเซี๋ยลี่เฟิงภายในพริบตา

“เจ้าคิดจะสังหารข้าหรือ?” หรือซิวก้มลง มองเซี๋ยลี่เฟิงที่มีสีหน้าซีดเซียว

“ข้า……” เมื่อเห็นหลัวซิวแสดงความแข็งแกร่งออกมาบีบจนเขาและเจียงหวูจี้ไม่สามารถต่อต้านกลับได้เลย เซี๋ยลี่เฟิงก็ได้หวาดผวาไปอย่างสมบูรณ์แบบ

มือเผชิญกับรัศมีพลังที่บีบรัดของหลัวซิว เขาได้พยายามข่มความหวาดกลัวที่อยู่ภายในใจลง และกล่าวเยาะเย้ย: “เจ้าคนแซ่หลัว เจ้ากล้าฆ่าข้าอย่างนั้นหรือ? เจ้ารู้หรือไม่ว่าเทพศักดิ์สิทธิ์ของแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดมีผลฝึกตนในระดับใด?”

“มหาจักรพรรดิยุทธ์แล้วอย่างไรเล่า? ต่อให้เทพศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดแข็งแกร่งเพียงใด ก็ไม่ใช่ความแข็งแกร่งของเจ้า” หลัวซิวมีสีหน้าเย้ยหยันขึ้นมา ง้าวยุทธ์จื่อโม่ที่อยู่ในมือกวาดออกมาแนวขวาง

ผลัวะ!

เลือดสาดกระเด็น ศีรษะที่ดวงตาเบิกกว้างลอยปลิว กลิ้งตกลงไปในที่ที่ห่างออกไป เซี๋ยลี่เฟิงคิดไม่ถึงว่าหลัวซิวจะกล้าฆ่าตัวเองจริง ๆ

หลังจากที่ได้สังหารเซี๋ยลี่เฟิง การเคลื่อนไหวของหลัวซิวไม่ได้หยุดลงเลยแม้แต่น้อย จู่โจมเข้าหาเจียงหวูจี้และโฮ๋สงในทันที

เขาเข้าใจดีว่า ในเมื่อลงมือแล้ว ก็จะต้องกำจัดให้หมด มิเช่นนั้นถ้าหากข่าวคราวได้แพร่ออกไป เกรงว่าพวกเฒ่าประหลาดของแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดจะต้องมาเอาเรื่องกับตนเองในอีกไม่ช้าเป็นแน่

“หนี!”

โฮ๋สงไม่พูดมากใด ๆ หันหลังและหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว

เจียงหวูจี้ในตอนนี้ก็ได้สูญเสียความกล้าและความมั่นใจที่จะต่อสู้กับหลัวซิวไปโดยสิ้นเชิง เลือกหลบหนีไปคนละทางกับฑโฮ๋สง

“พวกเจ้าไม่มีใครหนีไปได้ทั้งนั้น!”

หลังซิวเองก็ไม่ได้ยั้งมืออีก ปีกทิพย์ไร้มลทินกางออกมาที่ด้านหลังของเขาในทันที ปีกสีดำสนิทกระพือเบา ๆ ความเร็วของเขาเพิ่มขึ้นจนถึงขีดสุด

ผลัวะ!

การเคลื่อนไหวในการหลบหนีของเจียงหวูจี้ค้างอยู่เช่นนั้น หน้าอกถูกแทงทะลุด้วยง้าวยุทธ์จื่อโม่ เขาคิดไม่ถึงเลยว่าหลัวซิวจะตามมาถึงอย่างรวดเร็วเพียงนี้

เขาก้มมองง้าวที่แทงทะลุหน้าอก ที่มือด้านซ้ายได้บีบยันต์แผ่นหนึ่งเอาไว้ ไม่ทันที่จะได้บีบแตกมันเลย

“ยันต์ธรรมสุทธิ์ขั้นแปด?” หลัวซิวมองดูยันต์ที่อยู่ในมือของเจียงหวูจี้ จากนั้นง้าวยุทธ์ก็ได้ขยับ ร่างของเจียงหวูจี้แยกออกเป็นชิ้น ๆ ในทันที แตกกระจายกลายเป็นม่านโลหิต

พรึบ!

ปีกทิพย์ไร้มลทินขยับอีกครั้ง หลัวซิวได้มุ่งหน้าไปในทางที่โฮ๋สงหลบหนีไป

ความเร็วของปีกทิพย์ไร้มลทินไม่เป็นสองรองใคร อย่างน้อยในแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ลงมา ในด้านความเร็วหลัวซิวสามารถข่มทุกคู่ต่อสู้ได้โดยอาศัยปีกทิพย์ไร้มลทิน

โฮ๋สงมั่นใจว่าหลัวซิวจะไม่ตามตนเองมาก่อนเป็นแน่ แต่เขากลับคิดไม่ถึงว่า เจียงหวูจี้จะถูกสังหารอย่างรวดเร็วเช่นนี้ และสิ่งที่ยิ่งทำให้เขาคิดไม่ถึงก็คือ หลัวซิวจะมีสมบัติอย่างปีกทิพย์ไร้มลทินอยู่ในมือ

จอมยุทธ์โดยทั่วไปไม่รู้จักปีกทิพย์ไร้มลทิน แต่โฮ๋สงเป็นผู้สืบทอดของแดนศักดิ์สิทธิ์ญาณ เคยได้เห็นบันทึกเกี่ยวกับปีกทิพย์ไร้มลทินในคัมภีร์โบราณมาก่อน

ในคัมภีร์โบราณได้อธิบายเกี่ยวกับปีกทิพย์ไร้มลทินเอาไว้เพียงประโยคเดียว เร็วสุดในปฐพี!

ตัวสำนึกสัมผัสได้ว่าหลัวซิวใกล้ตนเองเข้ามาเรื่อย ๆ โฮ๋สงกัดฟัน ยื่นมือล้วงเอายันต์สีทองแผ่นหนึ่งออกมา ด้านบนได้วาดไว้ด้วยลายเส้นสีเงิน

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 758
ในโลกของการฝึกยุทธ์ โดยทั่วไปแล้วสรรพนามที่ใช้เรียกคนในรุ่นเดียวกันจะแบ่งตามความสามารถ เจ้าเรียกผู้อื่นว่าศิษย์พี่ เป็นการยอมรับว่าตนสู้คนผู้นั้นไม่ได้ และผู้อื่นเรียกตนว่าศิษย์น้อง ฝีมือก็จะต้องอยู่เหนือตนเองอย่างแน่นอน

มิเช่นนั้นละก็ จะนับว่าเป็นการดูหมิ่นและหาเรื่อง

“เจ้าคนแซ่หลัว อย่าได้ใจจนเกินไป!” เจียงหวูจี้ถูกยั่วโมโหขึ้นมา “คิดจะเป็นศิษย์พี่ของข้า ต้องดูว่าเจ้ามีความสามารถเช่นนั้นอยู่หรือไม่!”

หลังจากที่หลัวซิวได้ยินเช่นนั้นหัวเราขึ้นมาเสียงดัง “อย่าได้ยกยอตนเองอีกเลย ข้าไม่อยากมีศิษย์น้องอย่างเจ้าหรอกนะ”

ทว่าจู่ ๆ สีหน้าของหลัวซิวก็เปลี่ยนไป ไอสังหารแรงกล้า “หากเจ้าคิดจะประมือกับข้าละก็ ระวังจะถูกข้าอัดจนตายล่ะ ในตอนนี้ไม่มีกุ่ยโยวมาช่วยเจ้าหรอกนะ”

“หาที่ตาย!”

เจียงหวูจี้โมโหเป็นฟืนเป็นไฟ กระแสพลังอันแข็งแกร่งแผ่ซ่านอยู่ในจุดตันเถียนของเขา เขาใช้ไพ่ไม่ตายที่ร้ายกาจที่สุดของเขาออกมาในทันที

สวบ!

แสงสีดำสายหนึ่งได้พุ่งออกมาจากร่างของเจียงหวูจี้ หล่นลงบนมือของเขา กลายเป็นง้าวยุทธ์เล่มหนึ่ง

ง้าวยุทธ์เล่มนี้มีสีม่วงไปทั่วทั้งเล่ม มีลายเส้นสลักเอาไว้ด้านบน เหมือนกับจะเป็นร่องรอยแห่งกฎ แต่เทียบกับวิจิตรงดงามดั่งในตำหนักเต๋าไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

แม้จะเป็นเช่นนั้น สมบัติวิเศษที่มีร่องรอยแห่งกฎอยู่ก็นับว่าเป็นสิ่งที่ไม่ธรรมดาแล้ว!

“ง้าวยุทธ์จื่อโม่?” เมื่อโฮ๋สงและเซี๋ยลี่เฟิงที่ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลได้เห็นง้าวยุทธ์เล่มนี้ ต่างก็สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย

“ดูท่าพี่เจียงจะได้รับการเอ็นดูจากพวกผู้อาวุโสเอามาก ถึงได้มอบอาวุธมารเช่นนี้ให้กับเขา”

“ง้าวยุทธ์จื่อโม่เป็นอาวุธขลังชั้นดีที่เป็นรองเพียงแค่สมบัติวิเศษเท่านั้นเชียวนะ!”

อาวุธขลังชั้นดีไม่สู้สมบัติวิเศษ แต่ก็เป็นที่น่าสะพรึงกลัวมากแล้ว เพราะอาวุธยุทธ์ในระดับสมบัติวิเศษ มีเพียงผู้แข็งแกร่งในระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์เท่านั้นถึงจะควบคุมมันได้ นอกจากนี้สมบัติวิเศษมีน้อย ผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ได้ค้นหาวัสดุไปทั่วหล้า ก็ยากที่จะสร้างมันขึ้นมาได้

สำหรับสมบัติวิเศษที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ยิ่งหาได้ยากกว่า ล้วนตกอยู่ในมือของมหาจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งรวมไปจนถึงผู้แข็งแกร่งแดนนิรันกาล

มือจับง้าวยุทธ์จื่อโม่ รัศมีพลังของเนียงหวูจี้เพิ่มสูงขึ้นมาเรื่อย ๆ กระแสพลังเหมือนดั่งมหาสมุทร

“อาวุธขลังชั้นดีที่สลักไว้ด้วยกฎความตาย? สมกับที่เป็นผู้สืบทอดของแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์จริง ๆ มีของดีอยู่ไม่น้อยเลย” หลัวซิวหรี่ตาลงเล็กน้อย ง้าวยุทธ์เล่มนี้แข็งแกร่งกว่ากระบี่เสวียนยวนของเขาอีกมากนัก

ผลการฝึกตนของเจียงหวูจจี้อยู่ในแดนมกุฎยุทธ์ขั้นเก้า แต่ความสามารถเทียบเท่ากับมหายุทธ์ช่วงปลาย บวกกับง้าวยุทธ์จื่อโม่ในตอนนี้ พลังการต่อสู้ใกล้เคียงกับมหายุทธ์ขั้นเก้า

“ตายเสียเถอะ!”

เจียงหวูจี้ตวาดออกมาด้วยความโมโห มือถือง้าวยุทธ์จื่อโม่จู่โจมเข้ามา ง้าวยุทธ์ฟันออกมาในแนวขวาง ฟัดฟันลงมา

เพราะได้ใช้วิชาแบ่งร่างดับเบิ้ล แดนร่างเนื้อของหลัวซิวจึงได้ฟื้นฟูแดนมหายุทธ์ช่วงกลางเท่านั้น หากถูกง้าวยุทธ์จื่อโม่ฟันเข้า คงทนรับไม่ได้แน่

อย่าว่าแต่ร่างยุทธ์แดนมหายุทธ์ช่วงกลางเลย ต่อให้เป็นมหายุทธ์ช่วงปลายก็ไม่อาจต้านทานได้

เตาทยานนภามังกรคู่ได้ลอยออกมาจากร่างของหลัวซิว แม้ว่าจะเป็นเตาระดับของขลังชั้นสูง แต่ภายใต้การส่งเสริมจากพลังแห่งกฎความตาย ก็เพียงพอที่จะต้านรับการโจมตีจากง้าวยุทธ์จื่อโม่ได้แล้ว

ตูม!

ง้าวยุทธ์จื่อโม่ฟันลงไปบนเตายักษ์อย่างจัง คลื่นการกระแทกอันน่าสะพรึงกลัวได้แผ่ซ่านออกมา ทำให้โฮ๋สงและเซี๋ยลี่เฟิงต่างสีหน้าเปลี่ยนไป และรีบก้าวถอยหลังอย่างรวดเร็ว

โดยเฉพาะเซี๋ยลี่เฟิง ที่เดิมที่ได้ถูกหลัวซิวอัดไปอย่างหนัก ตอนนี้ได้ถูกคลื่นการกระแทกโจมตี สีหน้าก็ได้ซีดเซียวลงไปอีกหลายเท่า

“พี่เจียง ข้าจะช่วยท่านฆ่ามันอีกแรง!”

เซี๋ยลี่เฟิงพลันตวาดขึ้นมา ดาบโลหิตเล่มหนึ่งได้ลอยออกมาจากร่าง กลายขนาดเป็นสิบจั้ง แผ่ซ่านรัศมีพลังที่ทัดเทียมได้กับผู้แข็งแกร่งเจ้ายุทธจักรออกมา

นี่ก็เป็นอาวุธขลังชั้นดีอีกเล่มเช่นเดียวกัน แม้ว่าจะมีรัศมีพลังที่ไม่แข็งแกร่งเท่าง้าวยุทธ์จื่อโม่ แต่ก็ไม่ธรรมดาเช่นเดียวกัน

“น่าขันสิ้นดี! คิดว่าเช่นนี้ก็จะสามารถสังหารข้าได้อย่างนั้นหรือ?”

บทที่ 757

บทที่ 759

แต่หลัวซิวได้เพิ่มระดับขึ้นมายิ่งกว่า ผลการฝึกตนบรรลุถึงแดนมกุฎยุทธ์ขั้นแปด แม้จะต่ำกว่าเซี๋ยลี่เฟิงในหนึ่งแดนเล็ก แต่ด้วยพลังการต่อสู้ของหลัวซิว ความแตกต่างในหนึ่งแดนเล็ก สามารถเมินเฉยเลยก็ว่าได้

สำหรับหลัวซิวในปัจจุบันแล้ว ในบรรดาคนรุ่นใหม่นอกจาก หวูหยุน ซิงหลิง ต้าวหวูซิน และกุ่ยโยวที่พอให้เขาต้องปฏิบัติด้วยอย่างจริงจังแล้ว คนอื่น ๆ ในบรรดาคนรุ่นใหม่ โดยทั่วไปแล้วล้วนเปราะบางยิ่งนัก

ครืน!

หลัวซิวก้าวออกมาด้านหน้า การเคลื่อนไหวที่ดูแสนง่ายดาย กลับเคลื่อนผ่านระยะห่างในร้อยเมตรมาได้ภายในพริบตา เขาต่อยหมัดกระบี่ออกมา ปราณกระบี่เพลิงดำเหมือนดั่งจะฟันแยกฟ้าแยกแผ่นดิน

เซี๋ยลี่เฟิงตวาดออกมา รวบรวมพลังแห่งกฎสังหาร เพื่อต้องการทำลายปราณกระบี่เพลิงดำ

ทว่าในปราณกระบี่นี้กลับได้รวบรวมไว้ด้วยพลังของกฎความตาย เซี๋ยลี่เฟิงไม่อาจต่อต้านได้เลยแม้แต่น้อย ถูกฟันลอยออกไปอย่างทุลักทุเล เลือดไหลออกมาที่มุมปาก

ทั้งสองคนไม่ใช่คู่ต่อสู้ในระดับเดียวกันเลย

“เจ้าคนนี้น่ากลัวถึงเพียงนี้เชียวหรือ?” เมื่อเจียงหวูจี้เห็นเช่นนี้ก็รู้สึกหวั่นใจเล็กน้อย มิน่าแม้แต่ศิษย์พี่กุ่ยโยวเองยังหวั่นเกรงมันถึงเพียงนั้น

เซี๋ยลี่เฟิงในฐานนะอันดับหนึ่งในบรรดาคนรุ่นใหม่ของ ฝีมือแข็งแกร่งไม่น้อย ถึงขนาดที่เจียงหวูจี้คิดว่าหากไม่ใช้ไพ่ไม้ตาย อย่างมากก็เพียงเสมอกันกับเขาเท่านั้น

แต่ตอนนี้เซี๋ยลี่เฟิงกลับไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลัวซิวเลยสักนิด เช่นนั้นก็ไม่หมายความว่าตนก็ห่างจากหลัวซิวอีกมากนักไม่ใช่หรอกหรือ?

“โฮ๋สง พวกเราลงมือข้ามันพร้อมกัน” เจียงหวูจี้มองดูชายอีกคนที่รูปร่างค่อนข้างเตี้ย และใช้การส่งเสียงผ่านตัวสำนึก

คนผู้นี้มีนามว่าโฮ๋สง เป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของแดนศักดิ์สิทธิ์ญาณ และเป็นศิษย์พี่ของปี้คงที่พ่ายแพ้ให้กับหลัวซิวคนนั้น

ผลการฝึกตนของโฮ๋สงเองก็อยู่ในแดนมกุฎยุทธ์ขั้นเก้าเช่นเดียวกัน แต่แดนตัวสำนึกของเขา ได้บรรลุถึงมหายุทธ์ขั้นหกเป็นที่เรียบร้อย ได้ทะลวงผ่านชั้นที่สองของหอคอยเทพจิตในการฝึกทดสอบของดินแดนศักดิ์สิทธิ์

“หลัวซิวแข็งแกร่งจนเกินไป พวกเราสามคนร่วมมือกัน เกรงว่าคงยากที่จะสังหารมันได้” โฮ๋สงขมวดคิ้ว แข็งแกร่งจนเกินไป

“โฮ๋สงพูดเช่นนี้จะมองหลัวซิวสูงเกินไปหน่อยไหม พูดตามตรง พวกเราสามคนใช้ไพ่ไม้ตายออกมาทั้งหมด แม้แต่เจ้ายุทธจักรโดยทั่วไปก็ใช่ว่าจะสามารถรับมือได้ หรือว่ายังจะฆ่ามันไม่ได้อย่างนั้นหรือ?” เจียงหวูจี้กล่าว

“แม้แต่เจ้ายุทธจักรของเผ่าหงส์ยังตายภายใต้เงื้อมมือของหลัวซิวตั้งสองคน บ่งบอกได้ว่าฝีมือของเขาร้ายกาจกว่าเจ้ายุทธจักรโดยทั่วไปเสียอีก นอกจากนี้แล้วพวกเรามีไพ่ไม่ตายในมือ แล้วหลัวซิวจะไม่มีหรืออย่างไรกัน?”

โฮ๋สงระมัดระวังเป็นพิเศษ ในสถานการณ์ที่ไม่มั่นใจว่าจะสามารถสังหารหลัวซิวได้ เขาจะไม่ลงมือโดยง่ายอย่างแน่นอน

“พี่เจียงฟังคำข้าทางที่ดีอย่างได้ลงมือ แม้ท่านต้องการจัดการหลัวซิว ตอนนี้ก็ไม่ใช่โอกาสที่ดีที่สุด” โฮ๋สงกล่าวเช่นนี้

เจียงหวูจี้ทำเสียงฮึดฮัดอย่างไม่พอใจ ยังคงไม่ยินดีสักเท่าไหร่นัก ถึงขนาดที่คิดว่าโฮ๋สงคนนี้ขี้ขลาดเกินไป ไม่คู่ควรกับตำแหน่งยอดฝีมืออันดับหนึ่งในหมู่คนรุ่นใหม่ของแดนศักดิ์สิทธิ์ญาณ

ในตอนนี้นั่นเอง เงาร่างสายหนึ่งก็ได้ลอยเข้ามาในแนวนอน เสียงปังดังขึ้น หล่นลงที่ด้านหน้าของเขาและโฮ๋สง ฝุ่นละอองปลิวว่อน

เจ้าของของเงาร่างสายนี้ แน่นอนว่าต้องเป็นเซี๋ยลี่เฟิง พึ่งจะประมือกันไปไม่ถึงสิบลมหายใจเข้าออก ก็ได้ถูกหลัวซิวอัดจนไม่เหลือรูปร่างเดิมไปเสียแล้ว ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล

หลัวซิวลงมืออย่างมีขอบเขต ไม่ได้มีเจตนาสังหาร เพราะเขาทราบเป็นอย่างดีว่าผู้สืบทอดใจกลางของแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างเซี๋ยลี่เฟิง หากถูกคนฆ่าตายละก็ พวกตาแก่เหล่านั้นของแดนศักดิ์สิทธิ์จะต้องกระโดดออกมาแน่

แน่นอน หากอีกฝ่ายยังคงไม่เลิกราอยู่ละก็ คนที่ควรฆ่าหลัวซิวก็จะไม่ยั้งมืออย่างแน่นอน

“ผู้สืบทอดอันดับหนึ่งของแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดมีฝีมือเท่านี้เองหรือ” หลัวซิวมองไปยังเจียงหวูจี้ “ศิษย์น้องเจียงจะลองสักสองสามกระบวนท่าหน่อยไหม?”

ความโมโหปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของเจียงหวูจี้ อีกฝ่ายเรียกตนว่าศิษย์น้อง ไม่เท่ากับว่าสูงกว่าตัวเองหนึ่งขั้นหรอกหรือ?

บทที่ 756

บทที่ 758

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 756
“มีบางคนรนหาที่ตาย ข้าแค่ส่งเสริมพวกเขาเท่านั้นเอง” หลัวซิวยิ้มกล่าว จากนั้นก็ได้กวาดสายตามองไปรอบ ๆ “เหตุใดกุ่ยโยวถึงไม่อยู่ด้วยเล่า? ประตูแห่งตรีภพเมื่อครั้งที่แล้วหากไม่มีกุ่ยโยวศิษย์พี่ของเจ้าอยู่ละก็……”

กล่าวถึงตรงนี้ หลัวซิวก็ไปได้กล่าวต่อไปอีก แต่ความหมายนั้นชัดเจนแล้ว

“บังอาจ เจ้านี่ช่างกล้าเสียจริงเลยนะ ถึงได้กล้าพูดกับศิษย์พี่เจียงเช่นนี้” ชายร่างผอมสูงผู้หนึ่งที่ติดตามอยู่ข้างกายของเจียงหวูจี้ตวาดขึ้นมา

คนผู้นี้ไม่ได้สวมเครื่องแบบศิษย์นิกายมารศักดิ์สิทธิ์ แต่จันทราสีเลือดที่ปักอยู่บริเวณหน้าอกนั้น หลัวซิวก็คุ้นเคยเช่นเดียวกัน

“อย่าคิดว่าตัวเองได้อันดับหนึ่งในการฝึกทดสอบของดินแดนศักดิ์สิทธิ์แล้วจะไม่เห็นคนอื่นอยู่ในสายตา มีบางครั้ง ไม่ใช่ว่าความสามารถจะอธิบายทุกอย่างได้ ชายร่างผอมสูงกล่าวอย่างเย้ยหยัน

กล่าวไป ชายร่างผอมสูงก็ได้ยืนออกมา “ที่เมืองหลัวเทียนในตอนนั้น เจ้าได้สังหารศิษย์แดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดของข้า เดิมต้องการสิ้นสุดทุกอย่างกับเจ้าเมื่อตอนประลองยุทธ์ แต่กลับไม่ได้ถูกแบ่งให้อยู่ในกลุ่มเดียวกันกับเจ้า ในเมื่อวันนี้ได้บังเอิญพบ เช่นนั้นก็มอบชีวิตของเจ้ามาเสีย”

ชายร่างผอมสูงสวมในชุดสีเลือด เครื่องแบบเช่นนี้ มีเพียงศิษย์สายตรงของเจ้าศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดเท่านั้นที่มีคุณสมบัติสวมใส่

“เจ้าอยากตายข้าก็จะส่งเสริมเจ้า” หลัวซิวเย้ยหยัน

ไม่ว่าจะเป็นเจียงหวูจี้หรือคนของแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด หลัวซิวล้วนไม่มีความรู้สึกที่ดีด้วยเลยสักนิด ในเมื่ออีกฝ่ายเข้ามาหาเรื่องเอง เขาก็จะไม่ไว้ไมตรี

ชายร่างผอมสูงเป็นหนึ่งในยี่สิบคนที่เข้าร่วมการฝึกทดสอบของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ นามว่าเซี๋ยลี่เฟิง เป็นอันดับหนึ่งของคนรุ่นใหม่ในแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด

ที่จริงแล้วความสามารถของเขา จัดอยู่ในสิบอันดับแรกได้ เพียงแต่ว่ากลุ่มที่เขาถูกจัดให้อยู่นั้น อยู่ในกลุ่มเดียวกันกับหวูหยุนพอดี ดังนั้นในสิบอันดับแรก จึงไม่อาจตกถึงมือเขาเป็นธรรมดา

เมื่อเห็นเซี๋ยลี่เฟิงออกมาท้าประลองหลัวซิว เจียงหวูจี้คิดว่าคนผู้นี้ได้ข้ามหน้าข้ามตาของตนเอง จึงได้ขมวดคิ้วขึ้นมาในทันที

“หึ ในเมื่อเซี๋ยลี่เฟิงชอบได้หน้าเช่นนี้ ให้มันได้ทดสอบฝีมือของหลัวซิวก่อนก็ดีเหมือนกัน” เจียงหวูจี้แอบกล่าวอยู่ในใจ

หลังจากการฝึกทดสอบของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้ผ่านไป ศิษย์พี่กุ่ยโยวก็ได้เคยเตือนเจียงหวูจี้ว่าอย่างได้บุ่มบ่ามไปหาเรื่องหลัวซิว เพราะกุ่ยโยวทราบเป็นอย่างดี หลัวซิวสามารถแซงซิงหลิงเอาที่หนึ่งในการฝึกทดสอบของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้ จะต้องเป็นเพราะทะลวงชั้นที่สี่ของหอคอยสุดล้ามาได้แน่ มีความสามารถในการสังหารเจ้ายุทธจักร

เจียงหวูจี้รู้ถึงความแข็งแกร่งของศิษย์พี่ตนเองดี แม้แต่ศิษย์พี่กุ่ยโยวยังหวาดเกรงหลัวซิวถึงเพียงนี้ เขาก็ต้องรู้ถึงความหนักเบาที่ซ่อนอยู่ในนั้นเป็นอย่างดี

แต่เจียงหวูจี้กลับไม่ตายใจ เขามั่นใจว่าที่หลัวซิวสามารถฝึกฝนกฎความตายมาจนถึงขั้นนี้ได้ จะต้องมีความลับอะไรอย่างแน่นอน บวกกับที่เขามีไม้ตายที่ผู้อาวุโสของแดนศักดิ์สิทธิ์มอบให้ ดังนั้นเขาจึงไม่เห็นหลัวซิวอยู่ในสายตาสักเท่าไรนัก

เจียงหวูจี้คิดเช่นนี้ เซี๋ยลี่เฟิงเองก็เช่นกัน แม้ว่าแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดจะเทียบกับนิกายมารศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้เลย แต่เขาในฐานะอันดับหนึ่งในบรรดาคนรุ่นใหม่ จะไม่มีไพ่ไม้ตายอยู่ในมือได้อย่างไรกัน?

ตั้งแต่ต้นจนจบ หลัวซิวมีสีหน้าท่าทางสงบนิ่งมาโดยตลอด เพราะเขารู้ว่าเมื่อได้พบกับเจียงหวูจี้และเซี๋ยลี่เฟิงอยู่ที่นี่ ทั้งสองฝ่ายจะต้องลงมืออย่างแน่นอนแล้ว

พรึบ!

เซี๋ยลี่เฟิงพลันเคลื่อนไหวขึ้นมา คลื่นพลังกลุ่มหนึ่งได้ระเบิดออกมาที่ใต้เท้าของเขา เงาร่างรวดเร็วเหมือนดั่งสายฟ้าสีเลือด พุ่งกระโจนเข้าหาหลัวซิว

หลัวซิวก้าวออกมาด้านหน้าหนึ่งก้าว และซัดออกไปหนึ่งฝ่ามือ เพลิงมรณะโหมกระหน่ำออกไป

ปัง!

ในวินาทีที่ทั้งสองปะทะเข้าด้วยกัน เซี๋ยลี่เฟิงก็ได้ถูกกระแทกจนลอยปลิวออกไป

หลังจากที่ได้ฝึกตนอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์มาเป็นเวลาหนึ่งปี ผลการฝึกตนของเซี๋ยลี่เฟิงก็ได้บรรลุถึงแดนมกุฎยุทธ์ขั้นเก้า อีกไม่นานก็จะบรรลุถึงแดนมหายุทธ์ได้

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 755
“ขอบคุณผู้อาวุโสที่ส่งเสริม” หลัวซิวเก็บเอาดวงไฟที่ผนึกเสือพิฆาตจิ่วหยินเอาไว้เข้าสู่ร่างกาย จากนั้นก็ประสานมือคารวะงูดำยักษ์

“หากจะขอบคุณก็ขอบคุณเจ้านายของข้าเถอะ สำหรับเรื่องที่เจ้าสามารถสยบเสือพิฆาตจิ่วหยินได้นั่นก็เป็นความสามารถของเจ้าเอง ไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า”

น้ำเสียงอันเย็นชาของงูดำยักษ์ทำให้หลัวซิวรู้สึกประหม่าเล็กน้อย ไม่รู้ว่าควรรับคำอย่างไรต่อดี

“ในเมื่อเจ้าได้รับมันไป ตอนนี้ก็ไปจากที่นี่ได้แล้ว ไม่มีเรื่องอันใดอย่าได้มารบกวนการหลับนอนของข้า”

ศีรษะขนาดมหึมาหมุดจมกลับลงไปในทะเลสาบสีดำ จากเมื่องูดำยักษ์ได้หายไป พลังกดดันอันน่าสะพรึงกลัวที่ครอบงำทะเลสาบดำเอาไว้ ก็ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นกัน

หลัวซิวประสานมือคารวะไปทางทะเลสาบดำอีกครั้ง ไม่ว่าอย่างไร ก็นับว่าเป็นงูดำยักษ์ตนนี้ที่ได้มอบเสือพิฆาตจิ่วหยินให้กับเขา

ในตอนนี้เอง ลำแสงสีขาวสายหนึ่งก็ได้ลอยออกมาจากทะเลสาบดำ

หลัวซิวไม่ได้สัมผัสถึงอันตรายใด ๆ ที่อยู่ด้านในลำแสงสีขาวเลยสักนิด จึงได้ยื่นมือออกไปคว้า

พบเพียงว่ามันเป็นลูกแก้วสีขาวที่มีขนาดเท่าไข่ไก่ลูกหนึ่ง มีของเหลวสีดำสงบนิ่งอยู่ที่ด้านใน

“เห็นแก่หน้าเจ้านาย ข้ามอบน้ำมรณาจิ่วหยินให้เจ้าหนึ่งหยด” เสียงเคร่งขรึมเย็นชาของงูดำยักษ์ลอยออกมาจากทะเลสาบดำอย่างช้า ๆ

“ขอบคุณผู้อาวุโส”

หลัวซิวประสานมือคารวะอีกครั้ง คราวนี้เขาไม่ได้ชักช้า หมุนตัวจากไปในทันที

เขาทราบเป็นอย่างดีว่าน้ำมรณาจิ่วหยินหนึ่งหยดดูแล้วเหมือนจะไม่มีอะไร เพราะในทะเลสาบดำแห่งนั้นมีอยู่มากมายมหาศาล

แต่สำหรับหลัวซิวแล้ว น้ำมรณาจิ่วหยินหนึ่งหยดนี้เป็นอาวุธสังหารอันร้ายกาจอย่างหนึ่ง

จากความน่าสะพรึงกลัวของภูตน้ำงูมรณาจิ่วหยิน หลัวซิวคาดว่าน้ำมรณาจิ่วหยินหนึ่งหยดนี้สามารถสังหารผู้แข็งแกร่งในระดับเจ้ายุทธจักรแต่งตั้งได้อย่างง่ายดาย!

เพียงแต่หลังจากที่น้ำมรณาจิ่วหยินได้ออกจากการควบคุมของภูตน้ำ จะต้องปิดผนึกถึงจะรักษาเอาไว้ได้ และเมื่อใช้ไปหนึ่งครั้ง ก็จะหายไปโดยสิ้นเชิง

จากนั้นไม่นานนัก หลัวซิวก็ได้ไปจากที่ทะเลสาบดำ แต่กลับไม่ได้พบเห็นต้าวหวูซินและเหลียนเอ๋อร์ เขาคิดว่าหลังจากที่ทั้งสองคนได้สัมผัสถึงกระแสพลังอันน่าสะพรึงกลัวของทะเลสาบดำ ก็ได้เลือกหนีไปในทันที

แม้ขั้นตอนจะดูยาวนาน ความจริงแล้วหลัวซิวได้อยู่ที่บริเวณใกล้เคียงกับทะเลสาบดำเป็นเวลาหนึ่งก้านธูปกว่า ๆ เท่านั้นเอง ระยะเวลาเช่นนี้เพียงพอที่จะให้พวกนางทั้งสองออกไปไกลจากเหวปีศาจมรณาเป็นที่เรียบร้อย

“เพิ่มผลการฝึกตนให้ถึงมกุฎยุทธ์ขั้นเก้าก่อนค่อยว่า”

เหวปีศาจมรณาเป็นสถานที่ฝึกตนที่หาได้ยากแห่งหนึ่ง หลัวซิวไม่ได้รีบจากไปแต่อย่างใด แต่ได้เดินเตร็ดเตร่อยู่ในที่นี้ไปทั่ว กลืนกินกลั่นแปรภูตมารไปจำนวนมาก

สำหรับทะเลสาบดำแห่งนั้น หลัวซิวไม่ได้ขยับเข้าใกล้อีกเลย เหมือนว่างูดำยักษ์ตนนั้นจะไม่ชอบให้ใครมารบกวนการหลับใหลของมันนัก

นอกจากนี้แล้วบริเวณใกล้เคียงกับทะเลสาบดำ ก็ไม่มีภูตมารใด ๆ กล้าเข้าใกล้เลย

แม้ว่าเหวปีศาจมรณาจะอยู่ในอาณาจักรตะวันออก แต่เนื่องด้วยสถานที่แห่งนี้เหมาะสำหรับจอมยุทธ์ที่ฝึกฝนกฎความตายมาเพิ่มระดับผลการฝึกตน ดังนั้นผู้แข็งแกร่งวิถีมารจากอาณาจักรตะวันตกจำนวนมาก ที่ได้มาที่นี่แม้เส้นทางจะยาวไกล

ในวันที่สามที่หลัวซิวฝึกตนอยู่ในเหวปีศาจมรณา ก็ได้พบเจ้ากับจอมยุทธ์วิถีมารสามคน นอกจากนี้แล้ว หนึ่งในนั้นยังเป็นคนคุ้นเคยของหลัวซิว

“หลัวซิว! คิดไม่ถึงว่าจะได้พบกับเจ้าที่นี่!”

คนที่เป็นผู้นำในสามคนนั้นมีสายตาดุร้าย แฝงไปด้วยไอสังหารที่ไม่ปกปิดเลยสักนิด

“นั่นสิ ช่างบังเอิญเสียจริง” หลัวซิวยิ้มอย่างสงบมองดูอีกฝ่าย

ผู้ที่มีความแค้นกับหลัวซิวคนนี้ เป็นผู้สืบทอดของนิกายมารศักดิ์สิทธิ์ เจียงหวูจี้นั่นเอง

เจียงหวูจี้ทำเสียงฮึดฮัดอย่างเย้ยหยัน “ตอนนี้เจ้าช่างโด่งดังเสียจริงนะ ได้อันดับหนึ่งในการฝึกทดสอบของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ แถมยังได้สังหารเจ้ายุทธจักรสองท่านของเผ่าหงส์?”

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 754
“ภูตอัคคีเสือพิฆาตจิ่วหยินตนนี้ไม่รู้ถูกผนึกกักขังมาเป็นเวลานานเพียงใด ไม่นึกเลยว่าจะมีพลังที่ทัดเทียมได้กับเจ้ายุทธจักร”

หลัวซิวกัดฟันขับเคลื่อนวรยุทธ์ มือก็ได้สร้างตราภูตอัคคีร้อยแปรขึ้นมา จากการกระแทกในแต่ละครั้งของเสือพิฆาตจิ่วหยิน เขารู้สึกเหมือนว่าร่างกายของตนเองแทบจะถูกฉีกขาดอยู่แล้ว ใบหน้าเริ่มซีดขาวลง

“ข้าได้บอกตั้งแต่แรกแล้วว่าเจ้าทำไม่ได้ วางมือเสียเถอะ มนุษย์เจ้าลูกมด” งูดำยักษ์กล่าวอย่างเย็นชา

หลัวซิวไม่ได้กล่าวใด ๆ ดวงตาคู่นั้นได้เปลี่ยนเป็นสีดำดั่งหมึกทันที ราวกับดวงดาวสีดำสนิทสองดวง

เปลวเพลิงสีดำได้ลุกโชนขึ้นมาบนร่างของเขาอีกครั้ง แผงเอาไว้ด้วยกระแสพลังแห่งกฎความตาย

“หือ? กฎความตายรึ?”

ดวงตาสีแดงคู่นั้นของงูดำยักษ์เป็นประกายขึ้นมายิ่งกว่าเดิม “มนุษย์เจ้าลูกมดที่อ่อนแอผู้นี้สามารถตระหนักรู้ถึงกฎได้ นับว่าเป็นยอดอัจฉริยะในโลกแสงดาวแล้ว แต่ในพิภพกลางนับว่าพอใช้ได้เท่านั้น”

“เอ๊ะ? ไม่ใช่สิ เหมือนว่าเขาจะไม่ได้แค่ตระหนักรู้กฎ ซ้ำยังได้บรรลุถึงแดนเข้าใจกฎเบื้องต้นอีกด้วย!”

งูดำยักษ์ได้หวั่นไหวเป็นครั้งแรก แดนมกุฎยุทธ์สามารถฝึกฝนกฎระดับสุดยอดถึงแดนเข้าใจกฎเบื้องต้นได้ ในพิภพกลาง แม้จะไม่เข้าขั้นระดับสุดยอด แต่ก็นับว่าอยู่ในระดับที่สูงแล้ว

“มิน่าเล่าเจ้านายถึงได้ให้ความสำคัญ คิดไม่ถึงว่าโลกเล็ก ๆ ในพิภพต่ำ จะมีอัจฉริยะเช่นนี้อยู่ด้วย”

สัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวของกระแสพลังแห่งกฎบนร่างกายของหลัวซิว งูดำยักษ์คิดว่าตนเองนั้นคงตาถั่วเกินไปเสียแล้ว ไม่แน่ว่ามนุษย์เจ้าลูกมดผู้นี้อาจจะสามารถสยบเสือพิฆาตจิ่วหยินจริง ๆ ก็เป็นได้

“พลังแปรเสวียนเทียน!”

หลัวซิวตวาดเสียงต่ำ พลังแห่งกฎบนร่างกายแข็งแกร่งขึ้นมายี่สิบสี่เท่าในทันที!

“เคล็ดวิชาเพิ่มพลังแห่งกฎ?” งูดำยักษ์กล่าวขึ้นมาด้วยความตะลึงงัน

เคล็ดวิชาเพิ่มพลังนั้นไม่ได้เป็นสิ่งที่หาได้อยาก แต่ส่วนมากจะเป็นการเพิ่มผลการฝึกตน เพิ่มความแข็งแกร่ง

แต่เคล็ดวิชาที่สามารถเพิ่มพลังแห่งกฎได้หลายเท่านั้น กลับหาได้ยากเป็นอย่างยิ่ง ต่อให้เป็นในพิภพกลาง ก็เป็นการสืบทอดในใจกลางของแดนศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ

หลัวซิวเองก็ได้สังเกตเห็นความตะลึงงันของงูดำยักษ์เช่นเดียวกัน สิ่งที่สามารถทำให้การดำรงอยู่อันน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ตกตะลึงได้ เห็นได้ว่าพลังแปรเสวียนเทียนไม่ได้ง่ายอย่างที่เขาคิด

เมื่อตอนแรกเริ่ม เขาเองก็คิดว่าพลังแปรเสวียนเทียนเป็นเคล็ดวิชาระดับสุดยอด ทำให้เขาสามารถต่อสู้ข้ามขั้นกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่ง อย่างราบรื่นมาโดยตลอด

จนต่อมาเขาได้ตระหนักรู้ถึงกฎ พบว่าพลังแปรเสวียนเทียนสามารถเพิ่มพลังแห่งกฎได้ สิ่งนี้ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงความน่าสะพรึงกลัวของเคล็ดวิชาอย่างหนึ่ง

พลังแห่งกฎเพิ่มขึ้นยี่สิบสี่เท่า สามารถทำให้แดนของกฎเพิ่มขึ้นมาในหนึ่งระดับเล็ก ซึ่งนั่นก็หมายความว่า เขาสามารถแสดงพลังที่ทัดเทียมได้กับแดนเข้าใจกฎเบื้องต้นช่วงปลายออกมาได้

เมื่อเป็นเช่นนี้ ภายใต้การควบคุมของพลังแห่งกฎความตาย เสือพิฆาตจิ่วหยินได้ถูกกักขังเอาไว้แน่น ขังอยู่ในกรงที่แปรรูปมาจากเพลิงดำ

นอกจากนี้แล้วร่างของเสือพิฆาตจิ่วหยินก็ได้ถูกบีบให้หดเล็กลงอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งได้กลายเป็นดวงไฟสีดำทองขนาดเท่ากำปั้น และเสือพิฆาตจิ่วหยินขนาดเล็กนี้ ก็ได้ถูกผนึกเอาไว้ในดวงไฟสีดำทองก้อนนั้น

ไม่ว่าเสือพิฆาตจิ่วหยินที่อยู่ในดวงไฟจะกระแทกโจมตีเช่นไร ดวงไฟก็มั่นคงเป็นพิเศษ ไม่มีร่องรอยว่าจะแตกร้าวเลยสักนิด

จากนั้นไม่นานนัก เสือพิฆาตจิ่วหยินก็ได้ค่อย ๆ สงบลง รู้ว่าตนไม่อาจหลบหนี จึงได้แต่ยอมรับชะตากรรม

ความปีติยินดีปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของหลัวซิว ยื่นมือออกมาเช็ดเม็ดเหงื่อที่อยู่บนหน้าผาก ใช้พลังแปรเสวียนเทียนเพิ่มพลังแห่งกฎนั้นแข็งแกร่งก็จริง แต่ก็ทำให้สูญเสียพลังของตนเองไปมากเช่นเดียวกัน

“เจ้าหนุ่ม เจ้าช่างทำให้ข้าทึ่งจริง ๆ”

งูดำยักษ์กล่าวขึ้นมาอย่างช้า ๆ แม้น้ำเสียงจะเย็นชาเหมือนเดิม แต่สรรพนามที่ใช้เรียกหลัวซิวนั้นได้เปลี่ยนไปแล้ว

อัจฉริยะที่มีพรสวรรค์อันร้ายกาจ แม้ว่าในสายตาของเขาจะยังมีฝีมือเหมือนดั่งมดตัวเล็ก ๆ แต่ก็มีคุณสมบัติพอที่จะให้เขามองตรง ๆ

“โฮกกก!”

ภูตอัคคีเสือดำคำราม พยายามที่จะหนีออกมาจากปากของงูดำยักษ์

“มนุษย์เจ้าลูกมด แม้ว่าจะเป็นเจ้านายที่ให้เจ้ามาที่นี่ แต่ด้วยความสามารถในตอนนี้ของเจ้า กลับยังไม่มีความสามารถพอที่จะกำราบเสือพิฆาตจิ่วหยินนี้ได้”

น้ำเสียงของงูดำยักษ์แสนจะเย็นชา มันได้ปลดปล่อยพันธนาการที่ผูกมัดภูตอัคคีเสือดำ ปล่อยให้ภูตอัคคีเสือหนีออกมาจากปากโดยไม่ใส่ใจ

ในขณะเดียวกัน หลัวซิวก็สัมผัสได้ว่ารัศมีพลังที่กักขังตนก็ได้หายไปเช่นเดียวกัน งูดำยักษ์มองดูอย่างเมินเฉย เหมือนกับมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าเขาไม่สามารถกำราบภูตอัคคีเสือพิฆาตจิ่วหยินนี้ได้

“หากเจ้ากำราบภูตอัคคีเสือพิฆาตจิ่วหยินไม่ได้ ข้าก็จะไม่มอบมันให้เจ้าอย่างแน่นอน” งูดำยักษ์กล่าวอย่างเย็นชา

ในสายตาของมัน มนุษย์ตัวกระจิดผู้นี้มีผลการฝึกตนในแดนมกุฎยุทธ์เท่านั้น คิดจะสยบภูตอัคคีเสือพิฆาตจิ่วหยินที่ทัดเทียมกับเจ้ายุทธจักรด้วยผลการฝึกตนเพียงเท่านี้ มันช่างเป็นความฝันอันเลื่อนลอยยิ่งนัก

มันไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดเจ้านายถึงได้ให้เจ้าลูกมดผู้ต่ำต้อยเช่นนี้มาเอาไฟทิพย์ แม้ว่ามันจะไม่ขัดขืนความปรารถนาของเจ้านาย แต่ถ้าหากเจ้าลูกมดผู้นี้ไม่มีความสามารถที่จะสยบเสือพิฆาตจิ่วหยินนี้ได้ มันก็จะไม่ยอมละเลยแน่

“มันก็ไม่แน่หรอก” เมื่อสัมผัสได้ว่ากระแสพลังที่ควบคุมตนเองอยู่ได้หายไป หลัวซิวรู้สึกร่างกายปลอดโปร่งขึ้นมาทันที รอยยิ้มแห่งความมั่นใจปรากฏขึ้นมาที่มุมปาก

งูดำยักษ์ได้ยิ้มเยาะอย่างมนุษย์ออกมา มันเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าเจ้าลูกมดที่ต่ำต้อยคนนี้มีความสามารถอะไรถึงได้กล้าพูดจาโอหังเช่นนี้

“เห็นแก่หน้าของเจ้านาย หากเขาไม่สามารถสยบเสือพิฆาตจิ่วหยินได้ ข้าก็จะรักษาชีวิตของเขาเอาไว้ในช่วงเวลาคับขันก็แล้วกัน” งูดำยักษ์คิดเช่นนี้อยู่ภายในใจ

ในตอนนี้เอง หลัวซิวพลันเคลื่อนไหวขึ้นมา พบเพียงว่าพลังจิตแท้ได้ระเบิดออกมาจากทั่วร่างกายของเขา บนร่างกายมีเปลวเพลิงสีดำได้ลุกโชนสูงขึ้นมาหลายจั้ง

มือข้างที่ได้รวบรวมเพลิงมรณะขึ้นมาได้ยื่นออกไป จับเข้าไปยังภูตอัคคีเสือพิฆาตจิ่วหยิน

“โฮกกก!”

ภูตอัคคีเสือพิฆาตจิ่วหยินคำรามออกมาด้วยความโมโห ถูกงูมรณาจิ่วหยินกักขังควบคุมมาเป็นเวลานานแสนนาน ทำให้มันมีนิสัยอารมณ์ที่รุนแรงไปเสียแล้ว ในตอนนี้ผู้ที่เห็นได้อย่างชัดเจนว่าอ่อนแอกว่ายังคิดที่จะจับตนเอง นี่ทำให้มันขุ่นเคืองจนถึงขีดสุด

มันคำรามออกมาด้วยความโมโห และกระโจนเข้าหาหลัวซิว

“ผนึก!”

หลัวซิวพ่นลมหายใจพลางตวาดออกมา มือที่มีเปลวเพลิงสีดำพลันแปรเปลี่ยนไป ใช้วิชาสังหารไท่เสวียนกลายรูปเป็นภูเขาลูกใหญ่ เหมือนดั่งภูเขาไท่ซานได้ทับอยู่บนศีรษะของภูตอัคคีเสือพิฆาตจิ่วหยิน พบเพียงว่าร่างของภูตอัคคีเสือพิฆาตจิ่วหยินสั่นสะท้าน การเคลื่อนไหวของมันลดช้าลงมามาก

“มนุษย์เจ้าลูกมด อาศัยฝีมือเพียงเท่านี้ไม่อาจสยบภูตอัคคีเสือพิฆาตจิ่วหยินได้หรอกนะ ทางที่ดีเจ้าวางมีเสียเถอะ” เสือยักษ์ดำได้เอ่ยออกมาอีกครั้ง แม้จะมีน้ำเสียงเย็นชา แต่เป็นเพราะหลัวซิวรู้จักมีความสัมพันธ์กับเจ้านาย ดังนั้นมันจึงไม่อยากให้เขาเสี่ยงอันตราย

“นี่มันพึ่งจะเริ่มต้นเอง” หลัวซิวยิ้มออกมาใจเย็น

“หึ หาเหาใส่หัว!” งูดำยักษ์กล่าวอย่างเย้ยหยัน จากนั้นก็ไม่ใส่ใจอีก

“กลืนกิน!”

ตราประทับในมือของหลัวซิวพลันเปลี่ยนไป เพลิงมรณะแปรเปลี่ยนเป็นวังวน พลังกลืนกินอันแข็งแกร่ง ลากดึงเสือพิฆาตจิ่วหยินขยับใกล้เข้ามาหาเขา

ความอำมหิตได้แวบเข้ามาในดวงตาของเสือพิฆาตจิ่วหยิน จากนั้นก็ได้ถือโอกาสกระโจนเข้าหาหลัวซิวอย่างกะทันหัน เปลวเพลิงสีดำได้โหมกระหน่ำออกมา แทบแยกแยะไม่ออกเมื่อผสานเข้ากับเพลิงมรณะของหลัวซิว

“ไฟทิพย์แปรผัน!”

มือของหลัวซิวซัดตราประทับออกมาอย่างรวดเร็ว เพลิงมรณะที่อยู่รอบกายพลันหายไป แทนที่ด้วยมกุฎอัคคีนภาเหลืองสีทอง

พบเพียงว่าเสือพิฆาตจิ่วหยินได้ถูกดึงออกมาทีละนิดละน้อย และถูกมกุฎอัคคีนภาเหลืองที่แปรรูปเป็นกรงกักขังเอาไว้

เสือพิฆาตจิ่วหยินพบว่าตนได้ถูกกักขัง ก็ได้กระแทกโจมตีกรงขังอย่างเต็มแรง ทุกครั้งที่มันกระแทก ร่างของหลัวซิวก็จะสั่นสะท้านตาม ราวกับได้ถูกฟ้าผ่า

เทวทูตจื่อเยียนผู้นั้นบอกกับเขาว่า รอเขามีฝีมือในระดับเจ้ายุทธจักร สามารถมาที่นี่เพื่อค้นหาภูตอัคคีได้

ทว่าภูตอัคคีได้อยู่ในส่วนลึกของทะเลสาบมรณาจิ่วหยินแห่งนี้ และที่นี่ยังมีภูตน้ำมรณาจิ่วหยิน เพียงแค่รัศมีพลังที่แผ่ซ่านออกมา ก็แข็งแกร่งยิ่งกว่าเจ้ายุทธจักรแต่งตั้งอย่างเจ้ายุทธจักรอัคคีและเจ้ายุทธจักรหงส์อีกหลายเท่ายิ่งนัก

อย่าว่าแต่ฝีมือในระดับเจ้ายุทธจักรเลย ต่อให้มีฝีมือในระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ เกรงว่าคงไม่พอให้ภูตน้ำมรณาจิ่วหยินได้ยืดเส้นสายด้วยซ้ำ

ดังนั้นเมื่อหลัวซิวได้เห็นงูดำขนาดมหึมาตัวนี้ ถึงรู้สึกว่าตนได้ถูกเทวทูตจื่อเยียนผลักสู้ขวากหนามเข้าให้เสียแล้ว

อย่างไรก็ตามหลัวซิวก็ไม่ได้หวาดกลัวจนเกินเหตุ โชคดีที่เขาได้ฝึกวิชาแบ่งร่างดับเบิ้ล ต่อให้ร่างแยกชุดดำต้องตายอยู่ที่นี่ พอถึงตอนนั้นก็สามารถใช้ผู้เป็นอมตะมาฟื้นคืนชีพอยู่ในแดนตำหนักจื่อได้

นอกจากนี้แล้วลูกแก้วความเป็นตายก็ได้อยู่ในร่างแยกชุดขาว แม้ต้องตายอยู่ตรงนี้มันก็จะไม่หายไป

เพียงแต่ว่าไฟทิพย์ทั้งสามชนิดที่เขารวบรวมมาอย่างยากลำบากคงต้องเสียเปล่าแล้ว และยังมีสามสมบัติวิเศษเสวียนดำที่อยู่ในร่างกายของเขา ก็ล้วนเป็นสมบัติวิเศษระดับมหาจักรพรรดิ

ในตอนที่หลัวซิวคิดหลับตารอความตายนั่นเอง ทันใดนั้นเองแหวนเก็บของที่สวมอยู่บนนิ้วมือก็ได้สั่นสะท้านขึ้นมา จากนั้นม้วนหยกชิ้นหนึ่งก็ได้ลอกออกมาจากแหวนเก็บของเอง ส่องแสงสีดำทมิฬ

“นี่คือ……” หลัวซิวมีสีหน้าสงสัยขึ้นมา ม้วนหยกที่ลอยออกมาเองชิ้นนี้ เป็นม้วนหยกที่เทวทูตจื่อเยียนมอบให้เขาในตอนนั้นนั่นเอง ในนั้นได้ใส่ไว้ด้วยแผนที่การเดินทางมายังที่แห่งนี้

“หือ? เป็นกลิ่นอายของเจ้านาย เหตุใดบนร่างของเจ้าลูกมดตัวน้อยอย่างเจ้าถึงได้มีกลิ่นอายของเจ้านายได้?” งูยักษ์สีดำได้พูดภาษามนุษย์ออกมา ลูกตาสีดำจ้องมองหลัวซิวตาไม่กะพริบ ทำให้เขารู้สึกเหมือนว่าร่างกายของเขาแทบจะถูกกระแสพลังอันน่าสะพรึงกลัวที่แผ่ซ่านออกมาสะท้านให้แตกกระจาย

“เทวทูตจื่อเยียนเป็นคนมอบม้วนหยกนี่ให้ข้า” หลัวซิวกล่าวตามความจริง ในขณะเดียวกันนั้นจากคำพูดของงูดำยักษ์ หลัวซิวคาดว่าเจ้านายที่มันเอ่ยถึง ก็น่าจะเป็นเทวทูตจื่อเยียนแล้ว

นี่มันทำให้หลัวซิววางใจลงมาเล็กน้อย คราวนี้คงไม่ต้องตายแล้วล่ะ

งูดำยักษ์ยื่นศีรษะขนาดมหึมาเข้ามา ลิ้นขนาดใหญ่อยู่ห่างจากหลัวซิวไม่ถึงครึ่งเมตร

“เป็นกลิ่นอายของเจ้านายจริง ๆ ด้วย เจ้านายให้เจ้าลูกมดอย่างเจ้ามาที่นี่ทำไมกัน?” เสียงของงูดำยักษ์เคร่งขรึมเป็นอย่างมาก แฝงความชั่วร้ายเอาไว้ด้านใน

“เทวทูตจื่อเยียนให้ข้ามาตามหาภูตอัคคี ข้าดูตามเครื่องหมายบนแผนที่ในม้วนหยก ดังนั้นจึงได้มาถึงที่นี่” หลัวซิวกล่าว อีกฝ่ายเรียกตนว่าเจ้าลูกมดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้มันจะทำให้หลัวซิวไม่พอใจนัก แต่ด้วยพลังอันแข็งแกร่งของมัน เขาจึงได้แต่กัดฟันฝืนทน

งูดำยักษ์ไม่ได้สงสัยในคำพูดของหลัวซิวเลยสักนิด แม้ว่ามนุษย์ผู้นี้จะเป็นเพียงเจ้าลูกมดที่ไม่สะดุดตา แต่เขามีม้วนหยกอยู่ในมือ เป็นของแทนกายที่มีกลิ่นอายของเจ้านายอยู่จริง ๆ

ทันใดนั้นเอง งูดำยักษ์ก็ได้อ้าปากขนาดใหญ่ออก กลิ่นเหม็นสาบแผ่ซ่านออกมา ทำให้หลัวซิวตาเหลือกตาปลิ้น เหม็นจนเกือบจะสลบไป จนใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีดำ

แม้แต่เขาที่ฝึกฝนกฎความตายจนถึงแดนควบคุมเบื้องต้นขั้นกลางก็ยังไม่อาจต่อต้านการกัดกร่อนของพิษได้ เป็นที่ประจักษ์แล้วว่าพิษของน้ำมรณาจิ่วหยินนั้น เป็นที่น่าสะพรึงกลัวถึงเพียงใด

นี่ไม่ใช่แค่เพียงรัศมีพลังที่แผ่ซ่านออกมา หากร่างเนื้อได้สัมผัสกับน้ำพิษที่ชั่วร้ายนี้เข้า เกรงว่าคงต้องกลายเป็นน้ำหนองภายในชั่วพริบตาแน่

ในตอนนี้เอง เปลวเพลิงสีดำก้อนหนึ่งก็ได้ลอยออกมาจากจากของงูดำยักษ์ ทำให้หลัวซิวกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที เพราะจากด้านในของเปลวเพลิง เขาได้สัมผัสถึงแหล่งกำเนิดของไฟทิพย์

เห็นเพียงว่าเปลวเพลิงสีดำนั่นบิดเบี้ยวเปลี่ยนรูปร่างอย่างต่อเนื่อง จากนั้นก็ได้กลายร่างเป็นรูปเสือ และคำรามออกมาอย่างอ่อนแรง

เห็นได้ชัด เปลวเพลิงสีดำนี่เป็นไฟทิพย์ชนิดหนึ่ง เพียงแต่ว่ากระแสพลังค่อนข้างจะอ่อนแอ คงเป็นเพราะได้ถูกน้ำมรณาจิ่วหยินผนึกเอาไว้เป็นเวลานาน ไม่มีโอกาสเติบโตได้เลย

แม้จะเป็นเช่นนี้ เปลวเพลิงสีดำนั่นได้กลายร่างเป็นเสือ ก็มีกระแสพลังที่ทัดเทียมได้กับเจ้ายุทธจักร

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 751
“น้ำกับไฟเข้ากันไม่ได้ ในเมื่อน้ำมรณาจิ่วหยินคือภูตน้ำชนิดหนึ่ง เช่นนั้นข้าข่มด้วยภูตอัคคี ไม่รู้ว่าจะต่อต้านได้หรือไม่?”

หลัวซิวความคิดผันเปลี่ยน ยกมือและซัดมกุฎอัคคีนภาเหลืองก้อนหนึ่งออกไปทันที

วินาทีที่มกุฎอัคคีนภาเหลืองสีทองและน้ำมรณาจิ่วหยินกระทบกัน เสียงซู่ซ่าก็ดังมาไม่ขาดสาย น้ำสีดำถูกเปลวเพลิงแผดเผา ควันสีดำลอยโขมง กลิ่นเหม็นสาบกระทบจมูก ทำให้คนแทบอยากจะอาเจียน

ยิ่งไปกว่านั้นแล้วกลิ่นเหม็นสาบนี้ ต่อให้ปิดกั้นประสาทสัมผัสทั้งห้า ก็ส่งผลกระทบต่อตัวสำนึกของจอมยุทธ์ ทำให้คนหน้ามืดเวียนหัว

เมื่อเทียบกับน้ำมรณาจิ่วหยินในทะเลสาบแล้ว มกุฎอัคคีนภาเหลืองก้อนหนึ่งที่หลัวซิวซัดออกไปนั้นไม่เป็นที่สะดุดตาเลยสักนิด ดังนั้นในระยะเวลาเพียงแค่สองลมหายใจเข้าออก มกุฎอัคคีนภาเหลืองก้อนนั้นก็ได้ถูกน้ำมรณาจิ่วหยินทับถมไป แม้ว่าจะได้แผดเผาน้ำมรณาจิ่วหยินไปไม่น้อย แต่สำหรับน้ำในทะเลสาบแล้ว มันไม่นับอะไรเลย

แต่จากการทดสอบในเมื่อสักครู่ หลัวซิวพบว่าใช้วิธีไฟต้านน้ำ สามารถถ่วงดุลน้ำมรณาจิ่วหยินได้จริง

ถึงแม้น้ำมรณาจิ่วหยินจะชั่วร้ายอย่างที่สุดก็ตาม แต่มกุฎอัคคีนภาเหลืองของหลัวซิวก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน มันเป็นสิ่งที่การรวมไฟทิพย์ทั้งสามชนิด

“โฮกก!”

ทันใดนั้นเอง เสียงร้องคำรามดังมาจากก้นทะเลสาบดำ ราวกับว่ามีสัตว์ร้ายโบราณได้ถูกทำให้ตื่นจากการหลับใหล จึงคำรามออกมาด้วยความโมโห

“พวกเจ้าสองคนถอยไป!” หลัวซิวสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย

“กลิ่นความชั่วร้ายอันเป็นที่น่ารังเกียจ ทว่าแข็งแกร่งยิ่งนัก” เหลียนเอ๋อร์เองก็ได้ตกใจเสียงนี้คำรามนี้จนหน้าถอดสี

“เป็นภูตน้ำมรณาจิ่วหยินหรือ?” ต้าวหวูซินดึงเหลียนเอ๋อร์ถอยไปอย่างรวด ในเมื่อน้ำมรณาจิ่วหยินเป็นน้ำทิพย์ ก็ต้องมีภูตน้ำเป็นธรรมดา

และเวลานี้ภูตน้ำได้ตื่นจากการหลับใหล เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะมกุฎอัคคีนภาเหลืองที่หลัวซิวซัดออกไปเมื่อสักครู่

น้ำกับไฟเข้ากันไม่ได้ ภูตน้ำใด ๆ เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของภูตอัคคี ล้วนต้องรู้สึกรังเกียจโดยสัญชาตญาณ

ไม่รู้ว่าทะเลสาบน้ำมรณาจิ่วหยินแห่งนี้ผ่านกาลเวลามานานเพียงใด ภูตน้ำที่กำเนิดขึ้นมานั้นจะต้องแข็งแกร่งไร้ที่เปรียบเป็นแน่

“ศิษย์พี่หลัว!” เมื่อต้าวหวูซินพบว่าหลัวซิวไม่มีทางหนีทีไล่แล้ว จึงได้ร้องเรียกเขาขึ้นมา

เหวปีศาจมรณาดำรงอยู่มาเป็นเวลานานเช่นนี้ ในยุคสมัยที่ผ่านมาเคยมีผู้แข็งแกร่งมากมายมายังที่แห่งนี้ แต่ทะเลสาบน้ำมรณาจิ่วหยินแห่งนี้กลับดำรงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน เห็นได้ว่าไม่ธรรมดาเลย

หลัวซิวได้ยินเสียงของต้าวหวูซิน ภายในใจรู้สึกยิ้มไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ “ข้าก็อยากถอยไปเหมือนกัน แต่ข้ามิอาจถอยได้เลย”

วินาทีที่ภูตน้ำตื่นคำรามในเมื่อสักครู่นั่นเอง กระแสพลังอันน่าเกรงขามอย่างสุดขีดได้ขังหลัวซิวเอาไว้เป็นที่เรียบร้อย ทำให้เขาขยับไม่ได้เลยสักนิด

ดังนั้นเขาถึงได้ให้ต้าวหวูซินและเหลียนเอ๋อร์ถอยไปก่อน โชคยังดีเป็นตนเองที่ทำให้ภูตน้ำตื่นขึ้นมา ทำให้พวกนางได้ไม่ถูกกระแสพลังของภูตน้ำกักขังเอาไว้

“ไม่ต้องสนใจข้า พวกเจ้าหนีไปให้ไกลที่สุด” ร่างของหลัวซิวไม่สามารถขยับ แต่ก็ยังเอ่ยปากพูดได้

ต้าวหวูซินเห็นหลัวซิวยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับเหมือนกับตะปู ก็เข้าใจขึ้นมาในทันทีว่ามิใช่ว่าหลัวซิวไม่อยากจะหนี แต่เป็นเพราะไม่อาจหนีได้

เขามองหลัวซิวอย่างลึกซึ้ง และแอบรู้สึกเสียดายอยู่ภายในใจ อัจฉริยะผู้ลึกลับแข็งแกร่งที่มีพลังแฝงไม่สิ้นสุดผู้นี้ วันนี้เกรงว่าต้องตายอยู่ที่นี่แล้ว

ตูม!

ภายในทะเลสาบดำ คลื่นน้ำทะยานสู่ฟ้า ภายในน้ำสีดำที่ซัดกระเซ็น กัดเซาะช่องอากาศให้กลายเป็นหลุมเป็นบ่อ ราวกับรังผึ้งอย่างไรอย่างนั้น

ศีรษะขนาดใหญ่มหึมาทะยานขึ้นมาจากใต้น้ำ ศีรษะมีรูปสามเหลี่ยม ผมดำสนิท รูม่านตาที่ตั้งกลับหัวคู่หนึ่งส่องประกายสีแดง

ฟู่!

ลิ้นงูที่ยาวสิบกว่าเมตรแลบเข้าแลบออก ศีรษะของภูตน้ำมรณาจิ่วหยิน มีขนาดเท่ากับภูเขาเล็ก ๆ ลูกหนึ่ง

“บัดซบ ภูตน้ำนี้คงฝึกตนมาหลายหมื่นปีแล้วสินะ?” หลัวซิวหมดคำจะพูดเป็นที่สุด รู้สึกราวกับว่าตนได้ถูกเทวทูตจื่อเยียนหลอกเข้าให้เสียแล้ว

บทที่ 750

บทที่ 752

ตอนที่ต้าวหวูซินมองเห็นเพลิงสีทองนั้น สายตาก็จับจ้อง ในใจก็พูดว่า “นี่คือภูตอัคคีงั้นหรือ?”

นางมองหลัวซิว แต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากถาม ถึงแม้ของอย่างภูตอัคคีจะล้ำค่ามาก มีผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ไม่น้อยตามหามันทั่วแผ่นดินก็ยังไม่พบ แต่สำหรับแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์อย่างสำนักดำเหลืองแล้วนั้น ก็ถือว่าไม่ใช่ของหายากอะไร

การจะเป็นภูตอัคคีนั้นมันยากมาก แต่โลกแสงดาวมีมานานแล้ว และมีภูตอัคคีมากมายถูกคนค้นพบ และภูตอัคคีมันจะไม่ดับง่ายๆ เมื่อดูจำนวนแล้ว จริงๆ มันก็มีไม่น้อยเลยเหมือนกัน

เพียงแต่ของล้ำค่าระดับภูตอัคคีนี้ ล้วนอยู่ในการควบคุมของผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานและคนที่มีอำนาจ จอมยุทธ์ธรรมดาทั่วไปยากจะได้มาครอบครอง

ในตอนนี้เอง เพลิงสีทองในฝ่ามือของหลัวซิวก็สั่นสะเทือน เปลวไฟมันเอียงไปฝั่งหนึ่ง

พอเห็นดังนั้น หลัวซิวก็ตาโต “ไปทางนี้”

อาศัยมกุฎอัคคีนภาเหลืองสัมผัสพลังของภูตอัคคี ในที่สุดหลัวซิวก็จับทิศทางได้แล้ว

เหลียนเอ๋อร์มีความคิดไร้เดียงสาไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ต้าวหวูซินเห็นหลัวซิวกระทำแบบนั้น ก็เริ่มเดาได้ว่าที่เขามายังเหวปีศาจมรณา น่าจะมาเพื่อตามหาภูตอัคคี

“ในเหวปีศาจมรณามีภูตอัคคีงั้นหรือ?” ต้าวหวูซินค่อนข้างตกใจ

พอเห็นว่าหลัวซิวเดินออกไปไกลแล้ว นางก็รีบจูงมือของเหลียนเอ๋อร์ แล้วตามไป

หลัวซิวไม่ได้สังเกตว่าหญิงสองคนนี้ตามมา จากการต่อสู้กับภูตมารเมื่อครู่นี้ ทำให้หลัวซิวพบว่าพอพลังแห่งความตายแพร่ไปทั่วทั้งเหวปีศาจมรณา เป็นเหมือนพื้นที่ของตนเองเสียอย่างนั้น

ดังนั้นต่อให้พบภูตอัคคีแล้ว ถ้าต้าวหวูซินกับเหลียนเอ๋อร์จะร่วมมือกันเข้ามาแย่งชิง หลัวซิวก็ไม่กลัวเลยแม้แต่น้อย

อีกอย่างเขารู้สึกว่าผู้หญิงสองคนนี้ไม่ใช่คนที่เห็นของล้ำค่าแล้วเกิดความโลภ

ภายใต้การนำทางของหลัวซิว เวลาผ่านไปชั่วธูปหนึ่งดอก ด้านหน้าก็ปรากฏทะเลสาบที่ดำสนิทเหมือนน้ำหมึก ทะเลสาบแห่งนี้อยู่ในพื้นที่ต่ำสุดของเหวปีศาจมรณา น้ำด้านในดำสนิท และมีฟองอากาศผุดขึ้นมาเป็นระยะ จากนั้นก็แตกออก

ทะเลสาบสีดำนี้ ดูไปแล้วเหมือนจะไม่ธรรมดา ดังนั้นหลัวซิวก็เลยขมวดคิ้วขึ้นมา เพราะว่าเขาสัมผัสได้ถึงพลังของเทวอัคคีอ่อนๆ มันส่งออกจากส่วนลึกของทะเลสาบสีดำนี้

แบบนี้ก็แสดงว่า ถ้าอยากได้ภูตอัคคี ก็จะต้องลงไปในทะเลสาบสีดำนี้

“นี่คือ…. ทะเลสาบมรณาจิ่วหยินงั้นหรือ?” ต้าวหวูซินกับเหลียนเอ๋อร์ตกใจพร้อมกัน เห็นได้ชัดว่ารู้จักทะเลสาบนี้

“ทะเลสาบมรณาจิ่วหยินคืออะไร?” หลัวซิวถาม

“พื้นที่อันตรายมาก!” ต้าวหวูซินหายใจเข้าอย่างลึก ดูเหมือนจะกลัวทะเลสาบมรณาจิ่วหยินแห่งนี้มาก

“ตามตำนาน น้ำมรณาจิ่วหยิน เป็นพลังที่ชั่วร้ายที่สุดในโลกมนุษย์ กลืนกินได้ทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นวิญญาณ กายเนื้อ หรืออาวุธของขลังทั้งหลาย ถ้าไปสัมผัสกับน้ำมรณาจิ่วหยินเข้า ก็สูญเสียพลังไปจนหมด แถมยังเน่าเสียเป็นน้ำเลือดน้ำหนอง น่ากลัวมาก” ต้าวหวูซินพูดอธิบาย

“งั้นหรือ? หรือว่าน้ำมรณาจิ่วหยินนี้ จะเป็นภูตน้ำชนิดหนึ่ง?” หลัวซิวทำตาหยี

ภูตในฟ้าดินนี้ มีภูตอัคคี ก็ต้องมีภูตน้ำ พอได้ยินต้าวหวูซินอธิบาย ดังนั้นหลัวซิวก็เลยคาดเดา

ต้าวหวูซินพยักหน้า “ใช่แล้ว น้ำมรณาจิ่วหยินเป็นภูตน้ำชนิดหนึ่งจริงๆ แต่ภูตน้ำแบบนี้มันควบคุมเอามาใช้ได้ยาก ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งที่ฝึกกฎความตาย ก็ยากที่จะต้านทานการกลืนกินของน้ำมรณาจิ่วหยินได้”

พอได้ยินต้าวหวูซินอธิบายถึงน้ำมรณาจิ่วหยินเสียน่ากลัวแบบนี้ ก็ทำให้หลัวซิวเริ่มกลัวทะเลสาบสีดำตรงนี้ขึ้นมา

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 749
ถึงแม้พลังของต้าวหวูซินจะเทียบได้กับเจ้ายุทธจักร แต่ภูตมารเป็นวิชาเงาลวง บ้างก็เป็นพลังของกฎความตายที่ผนึกกันขึ้นมา การโจมตีหลายครั้งมันไม่ได้ผล

และเหลียนเอ๋อร์ก็ได้เข้าใจกฎชีวิตดั้งเดิมบ้างเล็กน้อย แต่ระดับยังไม่สูงมากนัก จำนวนภูตมารก็มีมาก การชำระพลังชั่วร้ายของนางสู้กับความเร็วที่ภูตมารเข้ามารวมตัวกันไม่ได้

“พวกเจ้าสองคนมาฝั่งข้านี่” หลัวซิวใช้ตัวสำนึกส่งเสียงพูดออกมา

พอได้ยินเสียงที่หลัวซิวส่งมา ต้าวหวูซินกับเหลียนเอ๋อร์ถึงจะสังเกตเห็นทางฝั่งของหลัวซิว พอเห็น ก็ตาค้างพูดไม่ออก

เห็นภูตมารหลายร้อยตัวบุกกันเข้ามาล้อมรอบหลัวซิวไว้ แต่ภูตมารทั้งหลายเข้าใกล้ตัวไม่ได้เลย ถ้าเข้าใกล้ก็จะถูกเผาและกลั่นแปร ตอนนี้หลัวซิวเป็นเหมือนไฟที่ถูกโยนเข้าไปในกองฟาง เหมือนมาเพื่อจัดการกับภูตมารพวกนี้โดยเฉพาะ

“เหอะ ไอ้คนชุดดำก็ยังคงเก่งกว่าข้า” เหลียนเอ๋อร์บืนปาก

“คิดไม่ถึงว่าระดับพลังกฎเกณฑ์ของเขาจะสูงเช่นนี้” ต้าวหวูซินสาดสายตาไป

หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยาม รอบๆ ทั้งสามคนก็ไม่เหลือภูตมารแล้วสักตัว และหลังจากที่หลัวซิวกลั่นแปรภูตมารไปเป็นพันตัวแล้วนั้น เพลิงมรณะที่เคลื่อนไหวรอบตัว ก็ดูเข้มข้นและแข็งแกร่งขึ้น

ตอนนี้เขาก็นั่งสมาธิลง ผลการฝึกตนกำลังมุ่งหน้าไปยังแดนมกุฏยุทธ์ขั้นแปด

“พี่หวูซิน ผลการฝึกตนของเขาไม่สูง ทำไมถึงได้เก่งกาจแบบนี้?” เหลียนเอ๋อร์ถามอย่างสงสัย พอได้เห็นเมื่อสักครู่นี้ นางก็ต้องยอมรับว่าที่คนอื่นบอกนางสู้หลัวซิวไม่ได้มันเป็นความจริง บางทีพี่หวูซินก็อาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหมอนี่

“เพราะว่าระดับเข้าใจในกฎความตายมีสูงมาก” ต้าวหวูซินกล่าว

ในตอนนี้เอง หลัวซิวก็ลืมตาขึ้น ผลการฝึกตนได้บรรลุไปถึงขั้นมกุฏยุทธ์ขั้นแปดแล้วเรียบร้อย

และในตอนที่เขากำลังบรรลุขั้นอยู่นั้นเอง ลำตัวอันอ่อนช้อยของต้าวหวูซินก็สั่นเบาๆ รู้สึกได้ว่าแรงกดดันจากหลัวซิวมันจะบีบตนเองรุนแรงขึ้น

เห็นได้ชัดว่า พลังของหลัวซิวได้แข็งแกร่งขึ้นแล้ว

“ผลการฝึกตนเพิ่มขึ้นแค่ขั้นเดียว แต่ข้ากลับรู้สึกถึงแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นขนาดนี้ ความลับบนตัวเขามันคืออะไรกันแน่?” ต้าวหวูซินเอาสายตัวไปมองบนตัวของหลัวซิวอยู่บ่อยครั้ง

จากการสู้ครั้งใหญ่นี้ หลัวซิวไม่ได้บาดเจ็บอะไรเลย แถมยังเพิ่มผลการฝึกตนไปอีกครั้งหนึ่งอีก ต้าวหวูซินกับเหลียนเอ๋อร์กลับเสียแรงไปไม่น้อย ผมเพร่ายุ่งเหยิงไปหมด

เหลียนเอ๋อร์จ้องมองหลัวซิวอย่างสงสัย เพราะว่าความคิดที่ไม่ยอมแพ้ จากการประลองแพ้หลัวซิวมาครั้งก่อน ตอนนี้มันก็ได้หายไปหมดแล้ว แถมยังมีความชื่นชอบและเคารพหลัวซิวอยู่ลึกๆ

อย่างไรเสียเหลียนเอ๋อร์ก็เป้นแค่เด็กสาวที่อายุ10กว่าปีเท่านั้น ในโลกฝึกยุทธ์นี้ เด็กสาวจะชื่นชอบและเคารพผู้แข็งแกร่งมันก็เป็นเรื่องธรรมดา

ต้าวหวูซินก็จัดผมที่ยุ่งเหยิง “ถ้าครั้งนี้ไม่มีศิษย์พี่หลัวอยู่ด้วยล่ะก็ เมื่อครู่ที่เจอกับภูตมารกลุ่มนั้น ข้ากับเหลียนเอ๋อร์คงจะรับมือไม่ไหว”

“นั่นสิๆ พี่ชายเก่งมากเลย ข้าคงจะสู้เจ้าไม่ได้แล้วล่ะ” เหลียนเอ๋อร์ก็พูดเสริมอยู่ด้านข้าง แม้แต่คำที่ใช่เรียกหลัวซิว ก็เปลี่ยนจาก ไอ้คนชุดดำ เป็น พี่ชาย เสียแล้ว

ส่วนต้าวหวูซินใช้ฐานะที่เป็นเทพธิดาของสำนักดำเหลืองเรียกหลัวซิวว่าศิษย์พี่ ก็เพราะรู้ว่าพลังตนเองสู้เขาไม่ได้ ในโลกฝึกยุทธ์นี้ ล้วนนับคนแข็งแกร่งกว่าเป็นใหญ่ ถ้าต้าวหวูซินคิดว่าพลังของหลัวซิวสู้ตนเองไม่ได้ ก็จะไม่ลดฐานะตนเองไปเรียกหลัวซิวว่าศิษย์พี่หรอก

หลัวซิวก็ไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้ เขาแค่อยากรู้ว่าที่เทวทูตจื่อเยียนบอกว่าที่นี่มีภูตอัคคี แล้วภูตอัคคีมันอยู่ส่วนไหนของเหวปีศาจมรณา

ฝ่ามือค่อยๆ เปิดออก เพลิงสีทองก็ค่อยๆ ลอยสูงขึ้นจากฝ่ามือของหลัวซิว

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 748
วิ๊ง!

เป็นอย่างนั้นจริงๆ ตอนที่เงาดำจะเข้ามาใกล้นั้น บนหัวของเหลียนเอ๋อร์ก็มีดอกบัวสีขาวบริสุทธิ์ลอยขึ้นมา แสงสีขาวถูกปล่อยออกมา แล้วปกคลุมภูตมารนั้นไว้

วิชาที่แดนศักดิ์สิทธิ์สระบัวแท้ใช้ฝึก มีประสิทธิภาพที่สามารถชำระล้างพลังชั่วร้ายได้ ถ้านับรวมกับกฎเกณฑ์ล่ะก็ ก็คือกฎชีวิตดั้งเดิม

“วิ๊ง!”

ภูตมารถูกแสงแห่งการชำระล้างความชั่วปกคลุมไว้ จากนั้นก็เกิดเสียงกรีดร้องออกมาทันที ทนได้ไม่นานก็ถูกชำระล้างจะเป็นกลุ่มควันสีดำ

และเนื่องจากเหลียนเอ๋อร์ชำระภูตมารได้หนึ่งตัว พลังชีวิตของนางก็เพิ่มขึ้นมานิดหนึ่ง ถึงแม้จะไม่เยอะ แต่ถ้ารวมกันหลายครั้งล่ะก็ มันก็จะเพิ่มอย่างชัดเจน

“กฎชีวิตดั้งเดิมฝึกแบบนี้ก็ได้ด้วยงั้นหรือ?” หลัวซิวเผยสีหน้าแปลกใจ

ระดับกฎชีวิตดั้งเดิมของเขา ก็ถึงระดับที่เริ่มต้นควบคุมกฎเกณฑ์ได้แล้ว รู้อยู่แล้วว่ากฎชีวิตดั้งเดิมสามารถชำระล้างความชั่วได้ โดยเฉพาะพลังของAttrความตายที่ค่อนข้างไปในทางหยิน

แต่ว่าเขาใช้กฎชีวิตดั้งเดิมกับศัตรูไม่มากนัก ดังนั้นจึงไม่รู้พลังที่สามารถชำระล้างพลังชั่วร้ายได้ แถมยังเพิ่มพลังชีวิตได้อีกด้วย

พอกลุ่มนี้เดินเข้าไปลึกขึ้นเรื่อยๆ ก็เจอภูตมารมากขึ้นเรื่อยๆ และหลัวซิวยังพบว่าพลังกฎความตายของเขายังสามารถกลืนกินภูตมารที่นี่ได้ พอกลั่นแปรไปแล้ว พลังของกฎความตายก็จะเพิ่มขึ้น

“เป็นสถานที่ที่ดีต่อการฝึกวิชาจริงๆ” การค้นพบนี้ ทำให้หลัวซิวดีใจออกหน้า

เดมทีนั่นเขามาเพื่อตามหาภูตอัคคี ถ้าสามารถเพิ่มผลการฝึกตนได้ในนี้ล่ะก็ มันก็จะดีมากเลย

เหลียนเอ๋อร์อาศัยการชำระล้างภูตมารเพื่อเพิ่มผลการฝึกตน หลัวซิวใช้การกลืนกินและกลั่นแปร มีเพียงต้าวหวูซิน เหมือนจะมาเป็นเพื่อนเหลียนเอ๋อร์เท่านั้น ไม่ได้ลงมืออะไรเลย

ในตอนนี้เอง พลังที่น่ากลัวก็ออกมาจากด้านหน้า

ถึงแม้ตัวสำนึกจะถูกจำกัดการใช้งานที่นี่ แต่พอสัมผัสได้ถึงพลังนี้ สีหน้าของต้าวหวูซินก็เปลี่ยนไปทันที

“แย่แล้ว ภูตมารเป็นกลุ่ม รีบถอย!” ต้าวหวูซินพูดอย่างแฝงความรีบร้อน ตอนที่พูดก็ได้ลากมือของเหลียนเอ๋อร์ให้ถอยแล้ว

แต่ไม่นานต้าวหวูซินก็หยุดลง เพราะด้านหลังของพวกนางนั้น ก็มีภูตมารอีกกลุ่มหนึ่งเหมือนกัน

ภูตมารสองกลุ่มรวมกัน มีจำนวนเป็นพันตัว พลังที่ภูตมารแต่ละตัวปล่อยออกมา เทียบเท่าได้กับระดับมหายุทธ์ ในนั้นยังมีภูตมารที่แข็งแกร่งกว่า เทียบได้กับระดับเจ้ายุทธจักร

“ในเมื่อหนีไม่พ้น งั้นก็สู้”

หลัวซิวกลับไม่รีบร้อนอะไรเลย กลับกันยิ่งมีภูตมารเยอะ เขายิ่งดีใจ เพราะว่าถ้ากลืนกินและกลั่นแปรภูตมารจำนวนมากล่ะก็ ผลกรฝึกตนของเขาก็จะถูกเพิ่มขึ้นที่นี่

หลังจากใช้วิชาแบ่งร่างดับเบิ้ล พลังของเขาลดลงไปมาก ตอนนี้มีสถานที่ที่สามารถเพิ่มพลังได้ ก็ต้องดีใจเสียเป็นธรรมดา

“เหลียนเอ๋อร์ รีบตามข้ามา” ต้าวหวูซินพูดกับเหลียนเอ๋อร์ สองสาวเริ่มร่ายวิชาของตนเอง แล้วก็เอาอาวุธของตนเองออกมา

ภูตมารสองกลุ่มหน้าหลัง หลัวซิวรับมืออยู่ตรงหน้า ต้าวหวูซินกับเหลียนเอ๋อร์ร่วมมือกันรับมือทางด้านหลัง

“อาณาจักรแห่งกฎ!”

หลัวซิวไม่เพียงไม่ถอย แต่ยังบุกเข้าไปหาภูตมารกลุ่มนั้นเสียด้วย พลังของกฎความตายแพร่กระจาย กลายเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่หลายร้อยเมตร

ในขณะเดียวกัน บนตัวของเขาก็มีเพลิงมรณะลอยขึ้นมา ถือกำตราทวยมรณะ ตราวัฏสงสารเพลิงดำปรากฏขึ้นบนหัว เป็นเหมือนดวงอาทิตย์สีดำ แผดเผาและปลั่นแปรภูตมารที่เข้าใกล้นับไม่ถ้วน

เมื่อเทียบกับความสบายๆ ทางฝั่งหลัวซิว ทางฝั่งของต้าวหวูซินกับเหลียนเอ๋อร์ท่าทางจะกินแรงหน่อย

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 747
หลัวซิวส่ายหัวบอกว่าตนเองไม่ได้ใส่ใจ เขาก็เข้าใจความหมายของต้าวหวูซิน คนของโลกมารที่ว่า ก็คือพวกที่ชั่วช้าอำมหิต โดยเฉพาะพื้นที่แถบเหวปีศาจมรณานี้ ถ้าเจอคนจำพวกนี้ เกรงว่าคงจะต้องได้ประมือกันบ้าง

“ทั้งโชคและอันตรายมีหมด” หลัวซิวยิ้มพูด

ต้าวหวูซินเห็นด้วยอย่างมาก มีทั้งโชคและอันตรายเป็นความเข้าใจร่วมกันของทั้งในโลกฝึกยุทธ์ และเป็นหลักการที่จอมยุทธ์มากมายรู้ดี

สถานที่ที่ยิ่งมีโชคเยอะๆ ปกติจะมีอันตรายตามมาด้วย และที่ที่ยิ่งอันตราย ก็จะยิ่งมีอะไรดีๆ ซ่อนอยู่มากมาย

การได้โอกาสอะไรดีๆ โชคชะตานั้นเป็นปัจจัยเล็กๆ เท่านั้น ยังจะต้องมีความกล้าและไม่กลัวอันตรายให้เพียงพอด้วย

ขณะที่พูด ทั้งสามคนก็ได้ค่อยๆ เข้าสู่ส่วนลึกของเหวปีศาจมรณาแล้ว สถานที่ที่จอมยุทธ์ทั่วไปอยากจะหนีออกไปให้ไกล แต่สามคนนี้กลับเดินเข้ามาเล่นอย่างมั่นใจ ด้วยความมั่นใจในพลังของตนเอง

พลังของหลัวซิวนั้นไม่ต้องพูดถึง ต้าวหวูซินก็จะต้องมีไม้ตายที่สู้กับยอดฝีมือเจ้ายุทธจักรได้อยู่แล้ว เหลียนเอ๋อร์คนนั้นก็คงไม่ได้แย่

เหวปีศาจมรณาเต็มไปด้วยพลังอันแปลกประหลาด เหมือนมีเสียงร้องของภูตผีปีศาจดังเข้ามาโดยรอบ แต่ไม่ว่าจะใช้สายตาหรือตัวสำนึก ก็ไม่อาจพบสิ่งผิดปกติได้เลย

อีกอย่างหมอกควันพวกนี้ยังแทรกซึมตัวสำนึกได้อีก ดังนั้นก็เลยจะใช้ออกไปไกลมากไม่ได้

“ตัวสำนึกของข้ายื่นออกไปได้แค่15เมตรเท่านั้น” ต้าวหวูซินขมวดคิ้วขึ้นมา

ตอนนั้นในแดนศักดิ์สิทธิ์ นางบุกหอคอยมหาภพชั้นที่สาม ตัวสำนึกสามารถเทียบได้กับระดับมหายุทธ์ช่วงท้ายได้เลย

แม้แต่ตัวสำนึกของนางก็ใช้ที่นี่ได้แค่15เมตร เหลียนเอ๋อร์ก็บืนปากพูดว่า “ของข้ายื่นออกไปได้แค่10เท่านั้นเอง”

ต้าวหวูซินก็มองไปยังหลัวซิว อยากรู้มากเลยว่าตัวสำนึกของหลัวซิวจะแข็งแกร่งกว่าตนเองหรือไม่

“ของข้าเองก็ได้แค่ประมาณ10กว่าเมตร ไม่ต่างกับน้องเหลียนเอ๋อร์” หลัวซิวผายมือพูด

“เหอะ” เหลียนเอ๋อร์ส่งเสียงไม่พอใจ ดูเหมือนว่าถ้าเด็กคนนี้ยังไม่เอาชนะหลัวซิวได้สักครั้งล่ะก็ ก็คงจะไม่ยอมหายโกรธ

ต้าวหวูซินก็ไม่ได้พูดอะไรกับคำตอบของหลัวซิว ในใจกลับไม่ค่อยเชื่อ เพราะตอนที่อยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์นั้น หลัวซิวก็บุกขึ้นหอคอยมหาภพชั้นสามเหมือนกัน แสดงว่าความสามารถด้านตัวสำนึกวิญญาณ ไม่ได้ด้อยกว่าตนเองเลย

ต้าวหวูซินรู้สึกว่าหลัวซิวไม่ได้พูดความจริง แต่หลัวซิวก็รู้สึกว่าต้าวหวูซินไม่ได้พูดความจริงเหมือนกัน การประลองครั้งก่อนเขาก็ได้พบแล้วว่า อัจฉริยะที่อยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์นี้ ล้วนคิดอะไรล้ำลึกกันหมด

คนที่ไม่ได้มีแผนอะไรในใจ ก็คงจะมีเพียงเหลียนเอ๋อร์คนเดียว

หลัวซิวไม่ได้สนใจอะไรมาก ขอเพียงอย่ามาวางแผนกับตนเองก็พอ พวกนางจะคิดอะไรจะทำอะไรก็ตามใจ แต่ถ้ามาวางแผนกับตัวเขาล่ะก็ เขาไม่สนใจแน่ว่าจะมีฐานะอะไร

ตอนนี้หลัวซิวคิดเพียงว่าจะเพิ่มพลังของตนเอง เพราะว่าครั้งก่อนที่เจอกับเทพบุตรเผ่าหงส์ เขารู้สึกว่าเยว่เอ๋อร์ปลอดภัยอยู่ในเผ่าหงส์ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะปลอดภัยแน่นอน

ทันใดนั้นเอง เงาดำเงาหนึ่งก็ลอยออกมาจากหมอกควัน พุ่งมาใส่เหลียนเอ๋อร์

เงาดำนั้นมีความเร็วมาก พริบตาก็มาตรงหน้าของเหลียนเอ๋อร์เลย แต่เนื่องจากตัวสำนึกของนางถูกจำกัดพื้นที่ใช้งาน ดังนั้นก็เลยไม่ได้รู้ว่ามีเงาดำนี้เข้ามาโจมตี

“เหลียนเอ๋อร์ระวัง คือภูตมาร!” ต้าวหวูซินเอ่ยปากเตือน แต่ไม่ได้ลงมือ

หลัวซิวเห็นว่านางไม่ได้ลงมือ ก็เลยอดกลั้นไว้ คาดว่าเหลียนเอ๋อร์คนนี้น่าจะมีวิธีที่รับมือได้

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 746
องค์กุมารพรสวรรค์ และยังเป็นผู้สอบทอดของแดนศักดิ์สิทธิ์สระบัวแท้แห่งอาณาจักรตะวันออก หนึ่งปีก่อน ก็มีผลการฝึกตนระดับมกุฏยุทธ์ขั้น6แล้ว ตอนนี้ผ่านไปหนึ่งปี

นี่ก็คือความเร็วอันน่ากลัวขององค์กุมารพรสวรรค์ แม้แต่หลัวซิวก็ยังเทียบไม่ได้

ส่วนต้าวหวูซิน ก็เป็นเทพธิดาของสำนักดำเหลืองแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ในอาณาจักรเหนือ มาอาณาจักรตะวันออกได้อย่างไรกัน?

“ศิษย์พี่หลัวก็มาเพื่อเหวปีศาจมรณาเหมือนกันหรือ?” ต้าวหวูซินพูดอย่างกับหลัวซิวอย่างเกรงใจ

ด้วยฐานะเทพธิดาของสำนักดำเหลืองอย่างนาง ต่อให้พบเจอกับเจ้ายุทธจักรระดับหนึ่งก็ไม่ต้องเกรงใจแบบนี้ แต่นางก็ยังปฏิบัติกับหลัวซิวแบบนี้

จริงๆ แล้วก็เป็นสิ่งที่หลัวซิวสงสัยเหมือนกัน และเขาก็ยังรู้สึกว่าผู้หญิงอย่างต้าวหวูซินมีความแปลกและลึกลับมาก

“ดูเหมือนว่าท่านทั้งสองก็มาเพื่อเหวปีศาจมรณาอย่างนั้นหรือ?”

“ในเหวปีศาจมรณามีภูตมารมากมาย วิชาที่น้องเหลียนเอ๋อร์ฝึกสามารถเพิ่มพลังได้จากการชำระภูตมาร ดังนั้นก็เลยมาหาประสบการณ์ที่นี่” ต้าวหวูซินกล่าว

“ผมมาตามหาวัตถุดิบของAttrความตาย” หลิวซิวไม่บอกหรอกว่าตนเองมาตามหาภูตอัคคี

“เหอะ ไอ้คนชุดดำ กล้าสู้กับข้าอีกสักรอบไหม?” เหลียนเอ๋อร์ก็กวัดแกว่งกำปั้นตนเองอยู่ข้างๆ เหมือนจะไม่ยอมที่ครั้งก่อนแพ้ให้กับหลัวซิว

“ไอ้คนสวดชุดดำ ผลการฝึกตนของข้าเพิ่มขึ้นไม่น้อยเลยนะจะบอกให้ ครั้งนี้เอาชนะเจ้าได้แน่”

“เหลียนเอ๋อร์อย่าเสียมารยาท ต้องเรียกเขาว่าพี่นะ” ต้าวหวูซินขมวดคิ้วพูด

เพราะนางรู้ดีว่าพลังของหลัวซิวนั้นยากเกินจะหยั่งถึง ไม่ต้องพูดถึงผลการฝึกตนของเหลียนเอ๋อร์มาถึงระดับแดนมกุฎยุทธ์ชั้น9แล้ว ต่อให้บรรลุถึงมหายุทธ์ ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา

นางกังวลว่าหลัวซิวจะทำร้ายเหลียนเอ๋อร์ เลยไม่ให้เหลียนเอ๋อร์ไปสู้กับเขา

“พี่หวูซิน ข้าเอาชนะเจ้านั่นได้แน่นอน” เหลียนเอ๋อร์ก็ยังไม่ยอม

หลัวซิวก็เผลอหัวเราะออกมา “ยัยหนูคนนี้ อยากจะเอาชนะข้าขนาดนั้นเลยหรือไง?”

“เหอะๆ ……”

พอต้าวหวูซินเตือน สุดท้ายเหลียนเอ๋อร์ก็ได้แต่ต้องยอมล้มเลิกความคิดที่จะสู้กับหลัวซิว

“ในเมื่อศิษย์พี่หลัวมาหาประสบการณ์ที่เหวปีศาจมรณาเหมือนกัน ก็เดินทางร่วมกันเลยดีไหม?” ต้าวหวูซินเอ่ยปากเชิญ

“ได้เลย ข้าไม่มีปัญหา” หลัวซิวกล่าว

จากนั้นทั้งสามคนก็พากันเดินเข้าไปในหมอกดำ พอเดินกันไป พื้นที่ก็เริ่มต่ำลงเรื่อยๆ ที่นี่ก็คือเหวปีศาจมรณา

“เทพธิดาหวูซินรู้จักเหวปีศาจมรณาดีเท่าไร?” หลิวซิวแกล้งๆ ถาม

เขาตามหาตามแผนที่ในม้วนหยกที่เทวทูตจื่อเยียนให้ไว้มาจนถึงที่นี่ ส่วนเหวปีศาจมรณาจะอยู่ที่ไหนอย่างไรนั้น กลับไม่รู้อย่างแน่ชัด

ก่อนหน้านี้ที่เขาพูดว่าจะมาหาวัตถุของAttrความตาย ก็เพราะว่าสัมผัสได้ถึงพลังของAttrความตายเคลื่อนไหวแถวนี้ ดังนั้นก็เลยพูดอ้างไป

ต้าวหวูซินยิ้มเบาๆ ไม่สงสัยอะไร แล้วค่อยๆ พูดว่า “เหวปีศาจมรณาเป็นหนึ่งในสถานที่อันตรายของอาณาจักรตะวันออก หมอกควันในนี้แฝงไปด้วยพลังแห่งความตายที่สามารถแทรกซึมเข้าไปทำลายชีวิตดั้งเดิมของจอมยุทธ์ได้ ดังนั้นก็เลยมีคนยอมเข้าไปน้อยมาก”

“แต่ว่าที่นี่ถึงแม้จะอันตราย แต่ก็มีของล้ำค่ามากมาย ดังนั้นบางเวลาก็มีคนเข้ามาหาประสบการณ์หรือหาของมีค่าในนี้อยู่บ้าง”

“อีกหนึ่งสิ่งที่ต้องระวังก็คือ คนที่เข้ามาที่นี่ส่วนมากจะเป็นจอมยุทธ์ที่ฝึกพลังแห่งความตาย ส่วนใหญ่จะเป็นคนของโลกมาร”

ต้าวหวูซินพูดถึงจุดนี้ ก็เลยอธิบายว่า “ศิษย์พี่หลัวอย่าเข้าใจผิด พวกเราไม่ได้ว่าศิษย์พี่”

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 745
ปกติธิดาเทพจะสืบทอดกันแค่คนเดียวเท่านั้น และยังเข้มงวดกับการคักเลือกผู้สืบทอดอย่างมาก ดังนั้นธิดาเทพทุกรุ่น ล้วนจะทำนายครั้งสุดท้ายก่อนที่จะสิ้นอายุขัย เพื่อตามหาผู้สืบทอดที่เหมาะสม

ดังนั้นคำทำนายที่ออกมา ก็คือเหยียนซีโรว่

นางทำนายได้ว่าตอนแรกเหยียนซีโรว่เป็นแค่ศิษย์ในสำนักเล็กๆ ธรรมดา แดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่จะรับนางไว้เป็นศิษย์ สำนักนั้นก็หวั่นเกรงในความเมตตา เลยนำนางมาส่งยังแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่อย่างไม่ลังเล

และธิดาเทพหยุนไห่ก็ยังทำนายได้อีกว่าเหยียนซีโรว่กับหลัวซิวมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา แต่มันจะเกี่ยวข้องกันอย่างไรนั้น นางกลับทำนายมันออกมาไม่ได้

“น้องโรว่ ชาติก่อนเจ้าฝึกถึงระดับมกุฏยุทธ์ได้แค่อายุ3ขวบ เห็นได้ชัดว่าชาติก่อนจ้าไม่ธรรมดา เนื่องด้วยผลการฝึกตนของเจ้าก็สูงขึ้น เจ้าก็จะได้รับประสบการณ์จากชาติก่อนมากขึ้นเรื่อยๆ ชาติสำหรับเจ้านั้น เป็นเหมือนโชคลาภอันล้ำค่า อนาคตไกลแน่นอน”

หญิงชรามีน้ำเสียงแห้งกร้าน “อาจารย์จัดเก็บตัวฝึกวิชาสักระยะ จากนั้นก็จะทำนายครั้งที่เก้า”

“ท่านอาจารย์!” พอได้ยินคำพูดของหญิงชรา เหยียนซีโรว่ก็สีหน้าเปลี่ยน

เพราะว่านางรู้ว่า การทำนายครั้งเก้านั้น อาจารย์ของนางก็จะต้องตาย

“อาจารย์เหลืออายุขัยไม่มากแล้ว อีกอย่างธิดาเทพทุกรุ่นจำเป็นต้องทำนายให้กับแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่หนึ่งครั้ง มันเป็นชะตาของข้าเอง!” หญิงชราไม่ได้รู้สึกเสียใจ แต่ดูปลงได้แล้ว

……

หลังจากอันตรายของแดนตำหนักจื่อถูกกำจัดไปแล้ว หลัวซิวก็ออกเดินทางไปยังอาณาจักรตะวันออก เพราะว่าแผนที่ในม้วนหยกที่เทวทูตจื่อเยียนให้เขาไว้นั้น แสดงพื้นที่ตำแหน่งของภูตอัคคี เป็นตำแหน่งที่อาณาจักรตะวันออก

ของล้ำค่าระดับภูตอัคคีนี้ ต่อให้เป็นภูตอัคคีชั้นล่าง ก็ทำให้ผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ตามหากันทั่วแผ่นดินแล้ว

หลัวซิวคิดไม่ถึงว่าตนเองเพิ่งได้เข้ามาฝึกวิชาได้แค่ไม่กี่ปี ก็ได้มา3แบบแล้ว หนึ่งในนั้นมีภูตอัคคีกลืนกินได้มาตอนระดับแดนฝึกจิต

ณ เขายู่หลิงในอาณาจักรตะวันออก

ที่นี่เป็นหัวหน้าลาดตระเวนของอาณาจักรตะวันออก เป็นสถานที่ฝึกวิชาของเทพธิดาหานยู่ เจ้ายุทธจักรหยกนารา

“อาจารย์ ข้าได้ยินว่าคนของเผ่าหงส์กำลังตามฆ่าหลัวซิวที่อาณาจักรใต้ ขอให้อาจารย์ได้โปรดอนุญาตให้ข้าได้ลงเขาไปช่วยเขาด้วยเถิด” ลู่เมิ่งเหยามายังตำหนักยู่หลิง แล้วขอร้องต่อเทวีหานยู่

“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวล มีเจ้ายุทธจักรอัคคีคอยช่วย หลัวซิวไม่เป็นอะไรหรอก” เทวีหานยู่ยิ้มเบาๆ “ข้าว่าเจ้ากับหลัวซิวดูเหมาะสมกันดี เรื่องนี้เดี๋ยวอาจารย์จะลองคุยกับเจ้ายุทธจักรอัคคีดู จะได้เป็นผู้ใหญ่ให้กับพวกเจ้าสองคน”

“ท่านอาจารย์….” ลู่เมิ่งเหยาก็ทำตัวไม่ถูกขึ้นมา

เทวีหานยู่เห็นการตอบสนองของลู่เมิ่งเหยา ก็รู้ได้ว่าลูกศิษย์ของตนเองมีใจให้กับหลัวซิวคนนั้น ก็เลยหยิบคำสั่งหัวหน้าลาดตระเวนออกมา แล้วรีบติดต่อเจ้ายุทธจักรอัคคีที่อาณาจักรใต้ทันที

แต่เทวีหานยู่ไม่ได้รับการตอบรับจากเจ้ายุทธจักรอัคคี เพราะว่าหลังจากที่เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวช่วยหลัวซิวจากอันตรายในแดนตำหนักจื่อแล้ว ก็รีบเดินทางไปยังโลกแสงดาวเกณฑ์กฎทันที

การไปครั้งนี้ ไม่รู้ว่านานแค่ไหน เพราะว่าครั้งนี้เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวคิดจะบรรลุมหาจักรพรรดิยุทธ์ให้ได้!

ตำแหน่ง!นั้น ถ้าได้มันมาแล้ว พลังของเขาก็จะสูงขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง

ในขณะเดียวกัน หลัวซิวก็มาถึงพื้นที่ของภูตอัคคี ตามที่แผนที่ในม้วนหยกบอกไว้ แต่ก็เจอกับคนสองคนในนี้

“หลัวซิวใช่ไหม?”

“ต้าวหวูซินงั้นหรือ?”

“เหอะ ไอ้คนชอบใส่ชุดดำ”

คนที่พูดประโยคที่สาม เป็นสาวน้อยที่กำลังเบ้ปาก ก็คือเหลียนเอ๋อร์ที่แพ้การประลองให้กับหลัวซิวที่เมืองหลัวเทียน

“น้องโรว่……”

เสียงที่ดูแก่ๆ ดังเข้ามา จากนั้นก็มีร่างอันแก่ชราปรากฏขึ้นในหุบเขา มองดูหญิงสาวที่นั่งขัดสมาธิอยู่กลางหุบเขาด้วยใบหน้าอันเมตตา

สาวงามเมืองลืมตาขึ้น ดวงตาคู่นั้นเปล่งประกาย “อาจารย์ ท่านมาได้อย่างไรหรือ?”

นางรีบลุกขึ้น แล้วเดินเข้าไปพยุงหญิงชราไว้

“ฮ่าๆ อาจารย์ก็มาดูเจ้าไงล่ะ” หญิงชรายิ้มเบาๆ แล้วถามว่า “บัดนี้วิชาแห่งชะตาฝึกไปถึงไหนแล้ว?”

“ฝึกสำเร็จแล้ว ข้าระลึกชาติเห็นความทรงจำชาติที่แล้วที่ข้าฝึกถึงระดับมกุฎยุทธ์” หญิงงามเมืองไม่ได้จะปิดบังอะไรไว้เลย

“ฮ่าๆ ถ้าเจ้าอยากระลึกชาติเห็นความทรงจำมากกว่านี้ ก็จะต้องฝึกให้มีระดับสูงกว่านี้” หญิงชรายิ้มๆ แล้วพูดว่า “แบบนี้ เจ้าก็จะเหมือนมีประสบการณ์ที่ฝึกถึงระดับมกุฏยุทธ์ถึงสองครั้งเลย แถมยังได้รับความเข้าใจในความเป็นมนุษย์ถึงสองครั้ง มีส่วนช่วยในวิชาแห่งชะตาของเจ้าอย่างมาก”

“แต่อาจารย์ก็สงสัยเหมือนกันว่า ชาตินี้เจ้าอายุ22ปีฝึกได้รับมกุฏยุทธ์ แล้วชาติก่อนเจ้าฝึกถึงระดับมกุฏยุทธ์ได้ในตอนอายุเท่าไร?” หญิงชราถามอีก

สาวงามเมืองก็กะพริบตาปริบๆ แล้วยื่นนิ้วมือสามนิ้วออกมา

“อายุ30งั้นหรือ?” หญิงชราอึ้งเล็กน้อย ถ้าชาติก่อนนางฝึกได้ระดับมกุฏยุทธ์ตอนอายุ30ล่ะก็ พรสวรรค์ของนางคงจะไม่ธรรมดาเลย

“แต่ว่าท่านอาจารย์ เหมือนว่าชาติก่อนข้าอายุ3ขวบก็ถึงระดับมกุฏยุทธ์แล้ว” หญิงงามเมืองพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยมั่นใจ

เพราะว่าตอนที่นางมองเห็นอดีตชาติผ่านวิชาแห่งชะตานั้น ก็ไม่ยากที่จะเชื่อได้

“อะไรนะ 3ขวบงั้นหรือ?” หญิงชราอึ้งตาค้างไป

ถ้าอายุ3ขวบล่ะก็ นางก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน เพราะว่าคนส่วนใหญ่ในโลกฝึกยุทธ์ ล้วนมีอายุ10ปีขึ้นไปทั้งนั้น

แต่ถ้าอายุ3ขวบมีระดับมกุฏยุทธ์ล่ะก็ มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน?

หญิงชราสายตาเป็นประกาย “ดูเหมือนว่าอดีตชาติของลูกศิษย์ข้า จะไม่ธรรมดาเลยนะ”

หญิงชราที่ดูไม่ต้องตาคนนี้ จริงๆ แล้วเป็นธิดาเทพหยุนไห่ที่คนในโลกแสงดาวล้วนเคารพนับถือ

ชีวิตนี้ของนาง ได้ทำนายไปแล้ว8ครั้ง ถึงแม้จะห่างจากข้อจำกัดอีกเพียงครั้งเดียว แต่อายุขัยของนางเหลือไม่มากแล้ว

ระดับมกุฏยุทธ์ มีอายุขัยหมื่นปี แต่เนื่องจากใช้วิชาแห่งชะตาทุกครั้งจะบั่นทอนอายุขัยตนเอง ดังนั้น นางจึงมีอยู่ได้เพียงแค่สี่พันกว่าปีเท่านั้นเอง อายุเท่าๆ กับระดับมหายุทธ์คนหนึ่ง

นางจำได้ว่าตอนที่ใช้วิชาแห่งชะตาครั้งที่เจ็ดนั้น ก็เพราะว่าเรื่องบางเรื่อง นางเลยติดหนี้น้ำใจเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิว

ครั้งนั้น เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวเข้ามาขอคำทำนาย เขาอยากจะได้โอกาสเข้าไปฝึกวิชาในโลกแสงดาวเกณฑ์กฎ เลยจำเป็นต้องเสนอผู้ชนะในการประลองตอนที่แดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นล่างเปิดขึ้น

ดังนั้นตอนนั้นคำนายที่เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวขอมา ก็คือ วัยรุ่นยุคนี้นอกจากผู้สืบทอดจากแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายแล้ว ยังมีใครที่มีพรสวรรค์สูงส่งอีกบ้าง

เพื่อใช้หนีน้ำใจของเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิว ธิดาเทพหยุนไห่เลยทำนายไปหนึ่งครั้ง นี่ก็คือเหตุผลที่เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวถึงไปหาหลัวซิวให้ไปฝึกวิชา

เนื่องจากผลลัพธ์ที่ธิดาเทพหยุนไห่ทำนายออกมา ก็คือตัวหลัวซิว ตอนนั้นธิดาเทพหยุนไห่ยังประเมินอีกว่า เด็กคนนี้มีพรสวรรค์ที่เหล่าคนรุ่นใหม่แห่งยุคไม่มีใครเปรียบได้เลย อนาคตยาวไกล

ต่อมา ธิดาเทพหยุนไห่ก็ได้ใช้วิชาแห่งชะตาไปเป็นครั้งที่แปดแล้ว และการทำนายครั้งที่แปดนี้ ก็ทำนายผู้สืบทอดธิดาเทพคนต่อไป

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 743
เรื่องราวได้ถูกแก้ไขแล้ว เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวก็พูดคุยกับหลัวซิวเล็กน้อย จากนั้นก็ขับเรือรบกลับออกไป

หลัวซฺวยืนกลางอากาศ ด้านล่างเป็นสำนักเขาไท่เสวียนในอดีต ตอนนี้เป็นที่รกร้างไปหมดแล้ว

นอกจากตัวเขาเองแล้ว คนอื่นๆ ในสำนักไท่เสวียนล้วนไม่รู้ว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น

หลัวซิวยังไม่คิดจะกลับไปยังแดนตำหนักจื่อ แยกร่างเป็นชุดดำกับชุดขาว เขาใช้ร่างชุดขาวสัมผัสได้ถึงทุกสิ่งทุกอย่างในแดนตำหนักจื่อ

“จะต้องรีบเพิ่มพลังเสียแล้ว”

หลัวซิวส่ายหัว จากนั้นก็รีบหายตัวไปอย่างรวดเร็ว ต่อให้ตอนนี้เขามีพลังต่อสู้ที่สามารถต่อต้านเจ้ายุทธจักรขั้นปฐมภูมิได้แล้ว แต่มันก็ยังไม่พอ

เพราะว่าจากพลังที่เพิ่มขึ้นของตนเองนั้น เขาก็จะเจอกับผู้แข็งแกร่งที่เก่งมากขึ้นเรื่อยๆ มีเพียงเพิ่มพลังของตนเองตลอดเวลา ถึงจะอยู่รอดในโลกฝึกยุทธ์นี้ได้

ไม่อย่างนั้นต่อให้มีพลังต่อสู้ระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ แต่เหนือจากนี้ ก็ยังมีเทพมารระดับแดนนิรันดร์กาลอีกมากมาย ที่พร้อมจะบีบให้เราหายใจไม่ออก

ห้าแดนศักดิ์สิทธิ์ในอาณาจักรทางใต้ หนึ่งในนั้นมีแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่ง ชื่อว่า แดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่ สร้างอยู่บนยอดบนสุดของเมฆ

ในหมู่แดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายนั้น แดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่ไม่ค่อยมีชื่อเสียง ค่อนข้างธรรมดา มีผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์แค่สองคน

คนหนึ่งคือ เจ้าศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่ อีกคนคือธิดาเทพหยุนไห่

ไม่ได้มีเทพศักดิ์สิทธิ์เป็นใหญ่คนเดียวเหมือนกับแดนศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ ในแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่ ตำแหน่งของธิดาเทพจะสูงกว่าเทพศักดิ์สิทธิ์เสียอีก

เพราะว่าธิดาเทพหยุนไห่คนปัจจุบันนี้ เก่งกาจวิชาแห่งชะตา

วิชาแห่งชะตานี้ สืบทอดกันผ่านสายธิดาเทพหยุนไห่เท่านั้น และธิดาเทพหยุนไห่ทุกคน และชั่วชีวิตสามารถใช้วิชาแห่งชะตาได้แค่9ครั้งเท่านั้น ถ้าเกิน9ครั้ง ต่อให้มีผลการฝึกตนสูงแค่ไหน ก็จะต้องตาย

วิชาแห่งชะตา จะเผยความลับสวรรค์ ฟ้าดินไม่ยอมรับ ถึงแม้จะยังไม่เกิน9ครั้ง แต่ทุกครั้งที่ใช้มัน ก็จำทำให้อายุสั้น

ทุกคนล้วนอยากให้ธิดาเทพหยุนไห่ทำนายให้สักครั้ง แต่ธิดาเทพหยุนไห่ไม่ทำนายให้ง่ายๆ แม้แต่เทพศักดิ์สิทธิ์ก็ยังไม่กล้าที่จะบีบบังคับให้นางทำนายให้ได้

เนื่องจากธิดาเทพหยุนไห่ทุกรุ่นล้วนฝึกวิชาแห่งชะตาแขนงหนึ่ง สามารถปลุกบทลงโทษจากฟ้าดินให้มนุษย์พินาศไปพร้อมกันหมดได้

ในยุคดึกดำบรรพ์นานมาแล้ว เคยมีเทพมารแดนนิรันดร์กาลต่อสู้กับธิดาเทพหยุนไห่ สุดท้ายก็ตายด้วยบทลงโทษของฟ้าดิน

ธิดาเทพหยุนไห่ไม่ทำนายให้ใครง่ายๆ บวกกับปกติแล้วแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่ทำอะไรเรียบง่าย หลายหมื่นปีมานี้ก็เลยไม่ค่อยมีอะไรที่ต้องเผชิญมากนัก

ถึงขนาดครั้งที่มีภัยพิบัติครั้งใหญ่เมื่อหลายหมื่นปีก่อน มีเพียงแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่ที่รอดจากภัยครั้งนั้นได้

นี่ก็เลยทำให้ทุกคนเคารพธิดาเทพหยุนไห่เป็นเหมือนเทพเจ้า เพราะว่าภัยพิบัติครั้งนั้น แม้แต่เทพมารแดนนิรันด์กาลก็ยังตายไปไม่น้อย

ดังนั้นต่อให้แดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่ไม่มีผู้แข็งแกร่งแดนนิรันด์กาลเป็นกำลังหลักให้ และไม่มีชื่อเสียงอะไร แต่แดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในโลกแสงดาว ล้วนเกรงใจต่อแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่

ตอนนี้ ในหุบเขาส่วนลึกแห่งหนึ่งของแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่ มีหญิงสาวงามเมืองคนหนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ใจกลางหุบเขา

บนหน้าตักของนางทั้งสองข้าง มีกระบี่ยุทธ์ดินเล่มหนึ่งวางอยู่

ในฐานะที่เป็นศิษย์ของแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่ และมีผลการฝึกตนถึงระดับมกุฎยุทธ์ ไม่ต้องพูดถึงกระบี่ยุทธ์ดินหรอก ต่อให้เป็นกระบี่ยุทธ์ขั้นฟ้าก็สามารถหามาได้ง่ายๆ แม้แต่ของขลังหรือนักยุทธ์ก็ยังได้รับมาง่ายๆ

แต่ที่ผ่านมานี้ กระบี่ยุทธ์ดินอยู่กับนางมาโดยตลอด ถึงแม้นางจะได้กระบี่ยุทธ์ที่แข็งแกร่งกว่าแล้ว แต่ก็ไม่พกติดตัวตลอดเวลา

“ทำลายมันเสีย!”

หลัวซิวตะโกน ตราธรรมจุติมรณะก็ถูกใช้ออกไป ถึงแม้จะเป็นวิชาตราประทับที่ย่อมาแล้ว แต่ก็ยังมีพลังที่น่าตกใจ

ตราประทับที่เกิดจากการรวมตัวกันของเพลิงดำบดขยี้สุญญากาศในพริบตา เป็นเหมือนกับโม่หินขนาดใหญ่ บดขยี้กฎเพลิงอัคคีบนตัวของเขาจะแหลก

ฟุบ!ฟุบ!ฟุบ!………

เทพหงส์ถูกตราวัฏสงสารมรณะกักขังไว้ ทุกครั้งนี้ตราวัฏสงสารหมุน กฎเพลิงอัคคีบนตัวของเขาก็จะลดน้อยลงไปหนึ่งส่วน

ไม่นาน ตราทวยมรณะก็เคลื่อนไปได้ง่ายขึ้นเรื่อยๆ ทำลายกฎเพลิงอัคคีบนตัวของเทพหงส์ไปจนหมด แล้วเผยร่างที่แท้จริงของเทพบุตรเผ่าหงส์ออกมา

“หยุดเดี๋ยวนี้!”

พอเห็นว่าเทพบุตรเผ่าหงส์มีอันตราย เจ้ายุทธจักรหงส์ก็ไม่มีทางนั่งอยู่เฉย เคลื่อนตัวเข้ามา แล้วก็มาอยู่ด้านล่างของตราทวยมรณะ จากนั้นก็เอาตัวเทพบุตรเผ่าหงส์ไปหลบไว้ด้านหลังตนเอง

หลัวซิวเห็นว่าเจ้ายุทธจักรหงส์ปรากฏตัวขึ้น สายตาก็มองอย่างเย็นชา ถ้าเป็นไปได้ เขาก็อยากจะเอาตราทวยมรณะอันนี้ซัดใส่ตัวของยัยแก่เจ้ายุทธจักรหงส์คนนี้เหมือนกัน

“เหอะ ไม่รู้อะไรเสียแล้ว!”

ประสาทสัมผัสของนางดีมาก สัมผัสได้ว่าหลัวซิวคิดฆ่าตนเอง เลยส่งเสียงไม่พอใจออกมา แล้วก็ซัดฝ่ามือใส่ตราวัฏสงสารที่เกิดจากเพลิงดำ

พอเจ้ายุทธจักรหงส์ซัดฝ่ามือไป ก็เกิดรอยฝ่ามือขนาดใหญ่เป็นไฟขึ้นบนท้องฟ้า เสียงดังตูม ทำลายตราทวยมรณะแตกเป็นเสี่ยงๆ

คลื่นพลังกระเด็นกลับออกมา ทำให้หลัวซิวสะอึกไป แล้วได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย

“กล้ามาลงมือกับข้า สมควรตาย!”

เจ้ายุทธจักรหงส์คนนี้จิตใจอำมหิต เรื่องเล็กน้อยก็จะแก้แค้น ไม่เล่นตามกติกา โดยไม่สนใจฉายาเจ้ายุทธจักรของตนเองเลย ฝ่ามือไฟขนาดใหญ่ก็โจมตีไปยังหลัวซิว

เห็นได้ชัดว่า นางคิดจะอาศัยโอกาสนี้กำจัดอัจฉริยะอย่างหลัวซิว ที่ในอนาคตอาจจะเป็นภัยต่อนางได้

“เจ้ายุทธจักรหงส์ ไม่เห็นหัวข้าเลยหรือไง?”

เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวก็ไม่มีทางให้เจ้ายุทธจักรหงส์ได้สมดั่งใจ เขามาปรากฏตัวขึ้นข้างๆ หลัวซิว แล้วก็ใช้ดาบฟันฝ่ามือไฟนั้นออกไป

“เหอะ วันนี้ถือว่าพวกเจ้าชนะ พวกเรากลับ!”

มีเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวอยู่ด้วย เจ้ายุทธจักรหงส์ก็รู้ดีว่าจะทำอย่างที่คิดไม่ได้ ก็เลยส่งเสียงไม่พอใจ แล้วก็พาเทพบุตรเผ่าหงส์ขึ้นไปด้านบนเรือรบเทพหงส์

จากนั้นเรือรบเทพหงส์ก็พุ่งทะยานตัดอากาศออกไป ไม่นานก็ไม่เห็นเงาแล้ว

พอเห็นว่าเจ้ายุทธจักรหงส์พาคนกลับออกไป หลัวซิวก็โล่งอก อย่างน้อยอันตรายของแดนตำหนักจื่อ ก็ผ่านไปได้ชั่วคราว

“ขอบคุณผู้อาวุโสมาก” หลัวซิวโค้งคำนับให้กับเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิว

“จะว่าไปก็ไม่ต้องมาขอบคุณข้าหรอก ข้าเองก็รับคำไหว้วานจากคนอื่นมาเท่านั้นแหละ” เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวยิ้มพยักหน้าตอบ

รับคำไหว้วานคนอื่นมางั้นหรือ?

หลัวซิวอึ้งเล็กน้อย เขารู้ดีว่าคนที่สามารถให้เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวมาทำงานได้ ฝั่งนั้นจะต้องไม่ธรรมดา แต่ในโลกแสงดาว ดูเหมือนว่านอกจากเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวแล้ว ตนเองก็ไม่ได้รู้จักคนใหญ่คนโตอื่นๆ เลย

ทันใดนั้น หลัวซิวก็นึกถึงเทวทูตจื่อเยียนกับเจ้าแดนหลิวหงเทียนในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ หรือว่าจะเป็นผู้อาวุโสสองคนนี้ที่คอยแอบช่วยเหลือ?

เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวก็ดูเหมือนจะไม่ได้อยากอธิบายอะไร และหลัวซิวก็ไม่กล้าถามเพิ่ม

“ถึงแม้เผ่าหงส์จะถอยกลับออกไปแล้ว แต่จากที่ข้ารู้จักเผ่านี้ เกรงว่าจะไม่ยอมรามือง่ายๆ แน่ ช่วงนี้ข้าจะไปฝึกวิชาที่โลกแสงดาวเกณฑ์กฎ พอถึงตอนนั้นเจ้าก็ระวังตัวหน่อยแล้วกัน” เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวกล่าว

หลัวซิวเคยได้ยินโลกแสงดาวเกณฑ์กฎ และที่มาของโลกแสงดาว ก็เป็นเพราะการมีอยู่ของโลกแสงดาวเกณฑ์กฎนี่แหละ

ได้ยินมาว่า พอได้เข้าไปในโลกแสงดาวเกณฑ์กฎจะทำให้สามารถเข้าใจความลึกล้ำของพลังกฎเกณฑ์มากขึ้น โดยเฉพาะการเข้าใจผังกฎดั้งเดิม

ผู้แข็งแกร่งเทพมารทุกคนที่ปรากฏในโลกแสงดาว ล้วนบรรลุในโลกแสงดาวเกณฑ์กฎทั้งหมดทุกคน

“อะไรนะ!มันเป็นไปได้อย่างไรกัน?”

รอยยิ้มของเทพบุตรเผ่าหงส์หายไปแล้ว สีหน้าเปลี่ยนไปมาก ยกมือขึ้นไปคว้า กระบี่ยุทธ์สีทองคาบแดงเล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือ

เพล๊ง!

เพลิงมรณะมากระทบกับตัวกระบี่ยุทธ์ เทพบุตรเผ่าหงส์ลอยถอยออกไปหลายก้าว กระบี่ยุทธ์ในมือก็สั่นไม่หยุด

พอเห็นดังนั้น เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวและเจ้ายุทธจักรหงส์ก็อึ้งนิ่งไป ใบหน้าก็เผยความคิดที่ไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเองออกมา

การเปลี่ยนร่างของกฎสามารถเพิ่มขีดความสามารถได้ แต่ที่หลัวซิวต่อยพลังกฎความตายออกไป โจมตีกฎเพลิงอัคคีของเทพบุตรเผ่าหงส์จนถอยร่นไป นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน?

และอัคคีดำสายนั้นไม่เพียงทำลายดอกบัวที่กฎเพลิงอัคคีเปลี่ยนรูปลักษณ์ออกมาได้เท่านั้น แถมยังมีแรงโจมตีไปยังตัวเทพบุตรเผ่าหงส์ได้อีกด้วย เห็นได้ชัดว่าระดับกฎความตายของหลัวซิวจะเหนือกว่าเทพบุตรเผ่าหงส์!

มีระดับของกฎสูง ทั้งยังควบคุมกฎระดับสุดยอดไว้ได้ ใครแข็งแกร่งหรืออ่อนแอ ก็ถูกตัดสินได้ทันที!

“ไอ้หนุ่มนี่ หรือว่าผลการฝึกตนของเอ็งไม่สูงแต่กลับสามารถคว้าที่หนึ่งจากการทดสอบในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้ ระดับกฎความตายของเอ็งนั้น ถ้าข้ามองไม่ผิดล่ะก็ ถึงระดับที่เริ่มสามารถควบคุมช่วงกลางได้แล้ว”

เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวหายใจเข้าอย่างหนักใจ เจ้ายุทธจักรหงส์ที่นั่งอยู่บนเรือรบเทพหงส์ก็ลุกขึ้นเหมือนกัน นางมีฉายาเป็นถึงระดับเจ้ายุทธจักร แต่ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่ามีคนแค่ระดับมกุฎยุทธ์ก็สามารถฝึกพลังกฎเกณฑ์ได้สูงส่งขนาดนี้

“ระดับแค่มกุฎยุทธ์ก็ฝึกกฎความตายได้จนถึงเริ่มที่จะเข้าสู่ช่วงกลางแล้ว ถ้ารอให้เขาได้ไปถึงระดับเจ้ายุทธจักรล่ะก็ ไม่น่าว่าอาจจะฝึกกฎความตายจนถึงระดับแดนบริบูรณ์เลยก็ได้”

เจ้ายุทธจักรหงส์รู้ดีว่า กฎขั้นสูงระดับแดนบริบูรณ์นั้น จะแข็งแกร่งกว่าระดับเจ้ายุทธจักรมากนัก นี่มันก็หมายความว่า ถ้าหลัวซิวไปถึงระดับเจ้ายุทธจักรได้ แต่ตนเองยังไม่ถึงระดับเจ้ายุทธจักรล่ะก็ ก็อาจจะเป็นไปได้มากว่าจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลัวซิว

พอคิดถึงจุดนี้ เจ้ายุทธจักรหงส์ก็รู้สึกได้ถึงการข่มขู่ได้ส่งผ่านออกมาจากหนุ่มคนนี้ เพราะคนคนนี้มันมีพลังที่สามารถเป็นภัยต่อตนเองได้แล้ว

“หลัวซิว คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะมีพลังระดับที่สามารถเริ่มควบคุมกฎได้แล้ว” เทพบุตรเผ่าหงส์กระตุกมุมปาก แดนกฎเกณฑ์นั้นเป็นจุดที่เขาภาคภูมิใจมาโดยตลอด เดิมทีนั้นยังมั่นใจเต็มเปี่ยม แต่คิดไม่ถึงว่าจะถูกหลัวซิวทำให้ขายหน้าเสียได้

“สายตาอาฆาตสาดออกมาจากดวงตาของเขา ในใจก็พูดว่า “มีระดับที่เริ่มควบคุมกฎได้เหมือนกัน กฎเกณฑ์ขั้นสูงแข็งแกร่งกว่ากฎเกณฑ์ธรรมดา แต่ผลการฝึกตนของเราสูงกว่าเขา บวกกับสุดยอดวิชาที่มีแต่สายเลือดของเทพหงส์เท่านั้นถึงจะใช้ได้ เขาอาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเรา”

คิดไปดังนั้น เทพบุตรเผ่าหงส์ก็คิดอาฆาตขึ้นมา เขาคิดว่าถ้าครั้งนี้ไม่สามารถอาศัยโอกาสนี้ฆ่าหลัวซิวให้ตายล่ะก็ ถ้าหลัวซิวมีพลังเพิ่มขึ้นมา จะต้องเป็นปฏิปักษ์กับเผ่าหงส์อย่างแน่นอน

“ผืนนภาแผดเผา!”

เทพบุตรเผ่าหงส์ตะโกนด้วยความโมโห ไฟสีแดงก็ลุกโชนออกมารอบตัว ร่างกายกับไฟรวมเป็นหนึ่ง กลายร่างเป็นเทพหงส์ ลอยพุ่งมายังหลัวซิว บนตัวของเทพหงส์เต็มไปด้วยไฟ เผาไหม้อากาศไม่หยุดหย่อน ทำให้เกิดเป็นสูญญากาศที่มืดดำขนาดใหญ่

หลัวซิวก็ยังนิ่งเฉย กฎความตายรวมพลังกันเป็นรังสีกระบี่เพลิงดำ พุ่งไปอย่างรวดเร็ว ทะลุตัวเทพหงส์ไป

ร่างของเทพหงส์ถูกแทงเป็นรู แต่ไม่นานก็มีเพลิงขนาดใหญ่เคลื่อนเข้ามา แล้วปิดรูที่ทะลุไปนั้นให้กลับมาสนิทเหมือนเดิม

ในร่างของเทพหงส์มีเสียงของเทพบุตรเผ่าหงส์หัวเราะเสียงเย็น “วิชาที่ข้าใช้ออกมา เป็นสุดยอดวิชาที่สายเลือดของเทพหงส์เท่านั้นถึงจะใช้ได้ เจ้าจะรับมือง่ายได้อย่างไรกัน?”

สุดยอดวิชาที่สายเลือดของเทพหงส์เท่านั้นถึงจะใช้ได้งั้นหรือ?

หลัวซิวบืนปาก สุดยอดวิชาบ้าบออะไรไม่สนใจทั้งนั้น จะแข็งแกร่งไปกว่าตราธรรมจุติมรณะอย่างนั้นหรือ?

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 740
“ความหมายของข้าชัดเจนมาก มีเพียงสายเลือดเทพหงส์และสายเลือดเทพหงส์หลอมรวมกันเท่านั้น ถึงจะสามารถผสมพันธุ์เป็นลูกหลานที่เก่งกาจของสายเลือดออกมาได้ ดังนั้นเฟิ่งเยว่เอ๋อร์ถูกกำหนดให้เป็นผู้หญิงของข้า และเจ้าต้องตายถึงจะตัดความคิดไม่จำเป็นของนางออก” เทพบุตรเผ่าหงส์กล่าวอย่างตรงไปตรงมา

การสืบทอดเผ่าหงส์มีมาเป็นเวลาหลายหมื่นปี เป็นเรื่องยากที่สายเลือดเทพหงส์จะปรากฏขึ้นพร้อมกันสองคน โดยเฉพาะชายหนึ่งคนและหญิงหนึ่งคน

เมื่อสายเลือดเทพหงส์สองคนปรากฏขึ้นพร้อมกันและหากเป็นเพศชายและเพศหญิง ทั้งสองหลอมรวมกัน จะทำให้เกิดลูกหลานที่มีแนวโน้มที่จะให้กำเนิดสายเลือดเทพหงส์ แม้ว่าจะไม่ใช่สายเลือดเทพหงส์ ก็จะมีพลังสายเลือดค่อนข้างสูง

หลัวซิวคาดไม่ถึงว่าเผ่าหงส์จะยังคงมีความคิดดังกล่าว

“ผู้หญิงของข้าก็กล้าที่จะแตะต้อง พวกเผ่าหงส์เบื่อที่จะมีชีวิตอยู่แล้วหรือ!” สีหน้าของหลัวซิวขรึมลงอย่างมาก

“เจ้าช่างเย่อหยิ่งจริงๆ”

เทพบุตรเผ่าหงส์ยิ้มอย่างเย็นชา ปลายนิ้วชี้ออกไป เพลิงอัคคีก็ลุกโชนขึ้น กลายเป็นดอกบัวสีเพลิงค่อยๆ หมุนวน

จะไม่น่าแปลกใจเลยหากกลายจากพลังจิตแท้ แต่สามารถควบคุมพลังของกฎได้อย่างละเอียดถี่ถ้วนเช่นนี้ เห็นได้ว่าแดนพลังแห่งกฎเพลิงอัคคีของเทพบุตรเผ่าหงส์ไม่ได้ต่ำต้อย

หลัวซิวอึ้งในใจเล็กน้อย เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวที่อยู่บนเรือรบสีทอง ขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้าของเขากังวลเล็กน้อย

“สมกับเป็นสายเลือดเทพหงส์ที่ใกล้ชิดกับสายเลือดเทพหงส์ ได้ฝึกฝนพลังแห่งกฎเพลิงอัคคีให้ถึงแดนระยะเบื้องต้นตั้งแต่อายุยังน้อย”

โดยทั่วไปแล้ว เฉพาะเจ้ายุทธจักรขั้นกลางเท่านั้นที่สามารถเชี่ยวชาญแดนระยะเบื้องต้นได้ ในบางครั้งผู้มีพรสวรรค์โดดเด่นสามารถทำได้จากแดนเจ้ายุทธจักรขั้นปฐมภูมิ แต่เทพบุตรเผ่าหงส์ผู้นี้แค่ผลการฝึกตนแดนมหายุทธ์ ของแดนแห่งกฎก็เชี่ยวชาญถึงแดนระยะเบื้องต้น เห็นได้ว่าเข้าใจพลังแห่งกฎเช้ากว่านี้

“เทพบุตรเผ่าหงส์ อาจจะอยู่ในแดนมกุฎยุทธ์ ก็เข้าใจพลังแห่งกฎเพลิงอัคคีแล้ว ดังนั้นเขาจึงสามารถใช้ผลการฝึกตนแดนมหายุทธ์ ฝึกฝนแดนแห่งกฎจนถึงแดนระยะเบื้องต้นได้” เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวจ้องไปที่สนาม ทันทีที่เขาพบว่าสถานการณ์ไม่ดี เขาจะช่วยหลัวซิวโดยไม่ลังเล

“หลัวซิว เจ้ารู้สึกถึงความสิ้นหวังมากหรือยัง? แม้แต่ซิงหลิงที่รู้จักกันในนามอัจฉริยะหมื่นปี ด้านแดนแห่งกฎก็ยังด้อยกว่าข้ามาก” เทพบุตรเผ่าหงส์แสดงรอยยิ้มแห่งชัยชนะออกมา

หลัวซิวหรี่ตาลงเล็กน้อย มองดูเพลิงอัคคีพลังแห่งกฎที่เปลี่ยนแปลงไปมาในมือเทพบุตรเผ่าหงส์ “เข้าใจเพลิงอัคคีพลังแห่งกฎระยะเบื้องต้น นี่คือสิ่งที่เจ้าภาคภูมิใจ?”

“ชายที่ไม่รู้อะไร!”

เมื่อเทพบุตรเผ่าหงส์เห็นสีหน้าที่ไม่แยแสของหลัวซิวก็ตะโกนอย่างโกรธจัดแล้วโยนพลังแห่งกฎเพลิงอัคคีที่ผนึกรวมเป็นดอกบัวสีเพลิงขึ้นมาออกไปทันที ดอกบัวสีเพลิงพุ่งเข้าหาหลัวซิว

แม้ว่าพลังแห่งกฎเพลิงอัคคีจะเป็นกฎธรรมดา และกฎความตายเป็นกฎความตายชั้นสูงสุด แต่ความห่างกันของพลังแห่งกฎนั้น อยู่บนสมมติฐานที่แดนแห่งกฎที่ไม่แตกต่างกันมากนัก

และถ้าแดนแห่งกฎค่อนข้างห่างกัน แม้จะเป็นกฎธรรมดาก็สามารถบดขยี้กฎความตายชั้นสูงสุดได้

สาเหตุที่เทพบุตรเผ่าหงส์คิดว่าตัวเขาเองจะชนะ ก็เพราะคิดว่าเป็นไปไม่ได้ที่หลัวซิวจะเข้าใจกฎความตายในระดับที่สูงมาก เพราะยิ่งเป็นกฎขั้นสูงสุดเท่าไรก็ยิ่งเข้าใจยากขึ้นเท่านั้น นอกจากนี้เขายังเด็กมากนัก จะเทียบกับสายเลือดเทพหงส์อย่างเขาในระดับแดนแห่งกฎได้อย่างไหร่?

หลัวซิวดูเฉยเมย สะบัดนิ้วขึ้นไปในอากาศ เพลิงมรณะก็ทะลุผ่านอวกาศแล้วบินออกไปราวกับลูกศร

ทันใดนั้น เพลิงมรณะก็ชนกับดอกบัวสีเพลิง เกิดเสียงกระแทกที่คมชัด เพลิงอัคคีผนึกรวมออกมาเป็นดอกบัวสีเพลิงนั้นถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ ในขณะที่เพลิงมรณะที่ยิงด้วยนิ้วของหลัวซิวยังไม่ออ่อนแรงลง ยังคงพุ่งไปหาเทพบุตรเผ่าหงส์ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 739
“ฮึ่ม เจ้ายุทธจักรสองคนจากเผ่าหงส์ของข้าเสียชีวิตไปเปล่าๆอย่างนั้นหรือ?” เจ้ายุทธจักรหงส์ยังคงจองหอง แต่ไม่ได้โจมตีต่อไป

เป็นผู้แข็งแกร่งระดับเจ้ายุทธจักรเหมือนกัน ความแข็งแกร่งก็มีสูงและต่ำ

ในบรรดาสิบอันดับฉายาเจ้ายุทธจักร เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวยู่ในอันดับที่สี่และเจ้ายุทธจักรหงส์อยู่ในอันดับที่หก

บางทีทั้งสองฝ่ายอาจจะไม่สามารถบอกผู้ชนะได้ในเวลาอันสั้น แต่ถ้าพวกเขาต่อสู้จริงๆ คนที่น่าจะแพ้มากที่สุดก็คือเจ้ายุทธจักรหงส์แน่นอน

“เจ้าต้องการอะไรถึงจะหยุด?” เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวขมวดคิ้ว

“จะให้ข้าหยุดก็ได้ เว้นแต่หลัวซิวจะชนะเทพบุตรเผ่าหงส์ด้านแดนแห่งกฎ ” เจ้ายุทธจักรหงส์กล่าวอย่างกะทันหัน

เมื่อได้ยินเช่นนี้ สายตาของเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวก็หรี่ลง เขารู้ว่าเทพบุตรของเผ่าหงส์ล้วนเป็นอัจฉริยะที่ปลุกสายเลือดเทพหงส์ให้ตื่นขึ้นมาได้ มีความผูกพันสูงพลังแห่งกฎเพลิงอัคคีโดยกำเนิด

“ถ้าหลัวซิวสามารถเอาชนะเทพบุตรของเผ่าหงส์ได้ เรื่องที่เขาฆ่าเจ้ายุทธจักรสองคนของเผ่าข้าก็จะผ่านไป แต่ถ้าเขาแพ้ เขาจะต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นี่!” เสียงของเจ้ายุทธจักรหงส์นั้นเย็นชา แต่กลับหัวเราะออกมา ให้รู้สึกขัดแย้งกัน

หากพูดแล้ว จุดประสงค์ของเจ้ายุทธจักรหงส์ยังคงที่จะฆ่าหลัวซิว เพราะอาจมีอัจฉริยะในรุ่นเยาว์ที่แข็งแรงกว่าเทพบุตรเผ่าหงส์ แต่ในด้านของแดนแห่งกฎมีเพียงไม่กี่คนที่สามารถเทียบได้

แม้แต่ซิงหลิงผู้ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นอัจฉริยะที่หายากในหนึ่งหมื่นปีไม่มีใครเทียบได้ เข้าใจพลังแห่งกฎสี่อย่าง แต่ในแดนแห่งกฎ ยังไม่ถึงแดนเบื้องต้น

แต่เทพบุตรของเผ่าหงส์ ได้ฝึกฝนพลังแห่งกฎเพลิงอัคคีถึงแดนเบื้องต้นเมื่อปีที่แล้ว โดยทั่วไป ผู้ที่สามารถครอบครองแดนแห่งกฎดังกล่าวได้ ส่วนใหญ่จะเป็นผู้แข็งแกร่งเจ้ายุทธจักรขั้นกลาง

“ตกลง ข้าตกลง!” เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวเลิกคิ้วขมวด มีรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา

เพราะเขารู้ว่าหลัวซิวชนะที่หนึ่งในแดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นล่าง และผลการฝึกตนของหลัวซิวนั้นไม่สูง ซึ่งหมายความว่าแดนแห่งกฎของเขาต้องสูงมาก

และแม้ว่าหลัวซิวจะแพ้ให้กับเทพบุตรเผ่าหงส์ในการแข่งขันของแดนแห่งกฎ เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวก็ตัดสินใจจะช่วยชีวิตของหลัวซิว

สำหรับเผ่าหงส์จะเอะอะโวยวายเช่นไร แน่นอนว่าจะต้องมีผู้ใหญ่ในเมืองศักดิ์สิทธิ์จะมาแก้ปัญหาด้วยตนเอง

บุคคลที่สามไม่ได้ยินการสนทนาระหว่างเจ้ายุทธจักรสองคน แต่ทุกคนบนเรือรบทั้งสองลำ สังเกตเห็นว่าผู้ใหญ่สองคนไม่ได้ต่อสู้กันอัก ต่างก็โล่งอก

เพราะหากทั้งสองผู้นี้เกิดอะไรขึ้น ซึ่งไม่เป็นผลดีสำหรับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเลย

เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวกลับไปที่เรือรบ และส่งเสียงผ่านด้วยตัวสำนึก เขาได้บอกเงื่อนไขที่เขาและเจ้ายุทธจักรหงส์ได้ทำกันออกมา

“เทพบุตรเผ่าหงส์ต้องการแข่งแดนแห่งกฎกับข้า?”

หลังจากที่หลัวซิวฟังเสร็จ สีหน้าของเขาก็อึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นเขาก็แสดงรอยยิ้มออกมา “ในเมื่อเขาต้องการแข่งขัน ข้าจะเปรียบเทียบกับเขา”

“เจ้ามั่นใจกี่ส่วน?”เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวถามด้วยรอยยิ้ม

เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวเดิมทีคิดว่าหลัวซิวจะลังเลนิดหนึ่ง แต่เขาคาดไม่ถึงว่าหลัวซิวจะพูดออกมาโดยไม่ลังเลเลย”สิบส่วน!”

ขณะพูด หลัวซิวได้ก้าวขึ้นไปในอากาศแล้วเดินขึ้นไปกลางอากาศระหว่างเรือรบทั้งสองลำ

บนเรือรบเทพหงส์ฝั่งตรงข้าม เทพบุตรเผ่าหงส์ปกคลุมไปด้วยเพลิงอัคคีทั่วร่าง เดินมาอย่างลึกลับ

“เจ้าคือหลัวซิว?” เทพบุตรเผ่าหงส์เงยหน้าขึ้นมอง ใบหน้าของเขาดูเบลอ แต่ดวงตาของเขาเย็นชา จ้องมองไปที่หลัวซิว

“สายเลือดเทพหงส์ถูกกำหนดให้หลอมรวมกับข้า ดังนั้นวันนี้เจ้าต้องตาย” เสียงของเทพบุตรเผ่าหงส์นั้นเย็นเฉียบย่างยิ่ง

“เจ้าหมายความว่ายังไง?” หลัวซิวหรี่ตาลง

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 738
แคร่ง!

กระบี่ปะทะกัน จนยอดเขาโดยรอบสะเทือนไปมา พลังสีแดงและสีทองโหมกระหน่ำอย่างรุนแรง พุ่งไปมาอย่างบ้าคลั่งไปทุกทิศทุกทาง

ยอดเขาบางแห่งที่ค่อนข้างใกล้แตกเป็นเสี่ยงๆ และผลที่ตามมาของการต่อสู้ระหว่างผู้แข็งแกร่งระดับฉายาเจ้ายุทธจักร ได้ทำลายทุกอย่างที่มองเห็นได้ทั้งหมดที่อยู่รอบด้าน

“นี่คือความแข็งแกร่งของเจ้ายุทธจักรหรือ?” หลัวซิวยืนอยู่บนเรือรบสีทอง รู้สึกตะลึงมาก

เมื่อเขารีบกลับมาที่ประเทศเทียนหวู เขาได้พบกับเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิว เลยนั่งเรือมาที่นี่ด้วยเรือรบสีทองลำนี้

เดิมทีคิดว่าเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวออกมาจัดการจะแก้ไขวิกฤตของแดนตำหนักจื่อได้ แต่คาดไม่ถึงว่าเจ้ายุทธจักรทั้งสองพบกันแล้ว ยังไม่ทันได้พูดมากเท่าไหร่ก็ต่อสู้กันเลย

“บูม!”

กระบี่ในมือของเจ้ายุทธจักรหงส์สั่นสะเทือน ริ้วแสงสีแดงเข้มลุกโชติช่วง

เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวถือกระบี่และก้าวไปข้างหน้า การโจมตีของเขาทำให้ท้องฟ้าสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง

บูม!

ภูเขาที่อยู่ไกลออกไปพังทลายลงอย่างกะทันหัน กรวดถูกม้วนขึ้น แล้วกลายเป็นฝุ่นผง ฝุ่นเต็มอากาศ

รัศมีของพลังแห่งกฎเพลิงอัคคีกลบกลืนรัศมีหลายสิบกิโลเมตร ภายใต้พลังอันน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ แม้แต่หลัวซิวก็ไม่กล้าเข้าใกล้

“ไม่ว่าจะเป็นเจ้ายุทธจักรอัคคีหรือเจ้ายุทธจักรหงส์ บนพลังแห่งกฎเพลิงอัคคี ต่างถึงแดนบรรลุผลแล้ว” หลัวซิวประหลาดใจ

แดนแห่งกฎแบ่งออกเป็น อาณาจักร ความเข้าใจระยะแรก สำเร็จน้อย บรรลุผลและบริบูรณ์ 5ระดับแดน แต่ละแดนจะแบ่งออกเป็นขั้นปฐมภูมิ ขั้นกลาง ช่วงปลาย แม้แต่ความแตกต่างสำเร็จน้อย ก็มีผลอย่างมากต่อความแข็งแกร่ง

เมื่อการฝึกฝนห้วงยุทธ์ก้าวเข้าสู่แดนแห่งกฎ อิทธิพลของผลการฝึกตนมีผลเพียงเล็กน้อยต่อจอมยุทธ์เท่านั้น ส่วนใหญ่เป็นการรับรู้ถึงแดนแห่งกฎ

ตัวอย่างเช่น หลัวซิวสามารถข้ามแดนฆ่าเจ้ายุทธจักรด้วยผลการฝึกตนมกุฎยุทธ์ เพราะแดนแห่งกฎของเขามาถึงขั้นกลางของการเรียนรู้เบื้องต้นแล้ว

เจ้ายุทธจักรอัคคีและเจ้ายุทธจักรหงส์มีความสามารถในการข้ามแดนต่อสู้กับมหาจักรพรรดิยุทธ์ธรรมดา โดยอาศัยแดนบรรลุผลของพลังกฎ

“โครม โครม โครม!…”

เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวโจมตีไม่หยุด และเขางฝึกฝนพลังกฎแห่งเพลิงอัคคีเช่นกัน เพลิงอัคคีของเขาเป็นสีทอง ในขณะที่เปลวไฟของเจ้ายุทธจักรหงส์เป็นสีแดงเข้ม

ในเปลวเพลิงที่ควบคุมโดยทั้งสองที่มีฉายาเจ้ายุทธจักร มีปราณร่องรอยของฟ้าดินดั้งเดิม ซึ่งทำให้หลัวซิวมั่นใจได้ว่าพวกเขาทั้งหมดได้กลั่นภูตอัคคีชนิดหนึ่ง

ก่อนหน้านั้น หลัวซิวไม่รู้ว่าภูตอัคคีถูกแบ่งออกเป็นระดับต่างๆ เช่นกัน จนกระทั่งต่อมาเขาได้รับวิชาลับของการฝึกฝนภูตอัคคีร้อยแปร จากนั้นเขาก็ถึงรู้ภูตอัคคีก็แบ่งออกเป็นระดับสูงและระดับต่ำเช่นกัน

ชั้นล่าง ชั้นกลาง ขั้นสูงและขั้นยอดเยี่ยม นี่คือสี่ระดับของภูตอัคคี

จนถึงตอนนี้ ภูตอัคคีทั้งหมดที่หลัวซิวได้สัมผัสคือภูตอัคคีชั้นล่าง ซึ่งรวมถึงภูตอัคคีกลืนกิน ภูตอัคคีเปลวเยือกและภูตอัคคีฟ้าคราม

หลังจากที่เจ้ายุทธจักรทั้งสองต่อสู้กันหลายกระบวนท่า เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวพลิกฝ่ามือและตีผนึกเพลิงอัคคีสีทองพำพันเป็นกระบี่ด้วยพลังอันน่าทึ่ง บดขยี้สุญญากาศ

สีหน้าของเจ้ายุทธจักรหงส์ไม่เปลี่ยนแปลง เพลิงอัคคีสีแดงกลายเป็นร่างหงส์ กรงเล็บหงส์ขนาดใหญ่ยื่นออกมาปกคลุมท้องฟ้า

กรงเล็บของหงส์จับแสงดาบป้องกันจนแตกออก พลังรุนแรงก็ระเบิดขึ้น ยอดเขาเป็นลูกๆถูกทำลายอย่างเงียบ ๆ

“เจ้ายุทธจักรหงส์ รู้จักพอเสียที” เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าไม่ได้โจมตีสุดกำลัง ไม่อย่างนั้นเจ้าจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า”

“ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า?” เจ้ายุทธจักรหงส์หัวเราะด้วยความโกรธ “เจ้ายังไม่ได้ข้ามก้าวนั้นไป ยังกล้าพูดจาแบบนี้อีกหรือ?”

“แม้ว่าข้าจะยังไม่ได้ก้าวข้ามนั้นไป แต่ก็ไม่ไกลแล้ว แค่ยอมหยุดเรื่องนี้ เรื่องอื่นๆก่อนหน้านี้สามารถให้อภัยได้” เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวกล่าว

เผ่าหงส์มักจะครอบงำการกระทำของพวกเขาอย่างเอาแต่ใจ และพวกเขาถือว่าตนเองเป็นทายาทของเทพหงส์ กองกำลังของพวกเขาเปรียบได้กับแดนศักดิ์สิทธิ์และถูกดึงดูดโดยทั้งเผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่ามาร ดังนั้นพวกเขาจึงทำอะไรเอาแต่ใจมาเป็นเวลานาน

เจ้ายุทธจักรสองคนถูกฆ่าและเรือรบเทพหงส์ลำหนึ่งถูกแย่ง สำหรับเผ่าหงส์นี่เรื่องน่าละอายอย่างยิ่ง

เจ้ายุทธจักรหงส์มาที่อาณาจักรใต้อีกครั้งและตรงไปที่ประเทศเทียนหวู เชิญผู้ผู้แข็งแกร่งกฎแห่งโซนเข้าใจกฎแห่งอวกาศ เพื่อค้นหาพิกัดของทางเข้าแดนตำหนักจื่อ

แม้ว่าทางเข้าของแดนตำหนักจื่อจะถูกล็อกโดยค่ายกล แต่อย่างมากที่สุดก็สามารถปิดกั้นการเข้ามาของผู้แข็งแกร่งระดับมหายุทธ์ ถ้าผู้แข็งแกร่งฉายาเจ้ายุทธจักรหงส์ สามารถใช้กำลังทำลายค่ายห้ามและบุกเข้าไปได้

หลังจากรู้ข่าวนี้ หลัวซิวรู้สึกถึงวิกฤต ทำได้เพียงขอความช่วยเหลือจากเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวอย่างจนปัญญา

“ไม่ต้องห่วง เรื่องนี้ข้ามาจัดการเอง” เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวตอบกลับอย่างรวดเร็ว

มีคำสัญญาของเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิว หลัวซิวรู้สึกสบายใจเล็กน้อย เลยกลับไปที่ประเทศเทียนหวูในทันที

สำนักเขาไท่เสวียนเก่า ตำหนักส่วนใหญ่ในสำนักเขาถูกย้ายไปยังแดนตำหนักจื่อ เหลือเพียงตำหนักที่ไม่ค่อยสำคัญจำนวนน้อย ซึ่งดูว่างเปล่า

เรือรบเทพหงส์ลอยอยู่กลางอากาศ ภายใต้แสงแดดที่ส่องลงมา ราวกับเทพหงส์ที่เกิดใหม่จากไฟ เต็มไปด้วยรัศมีที่แข็งแกร่งลึกลับ

นี่ไม่ใช่เรือรบเทพหงส์ธรรมดา แต่เป็นเรือรบระดับสูง แม้แต่ผู้แข็งแกร่งระดับเจ้ายุทธจักรก็ยังต้องหลีกหนีจากเรือรบลำนี้สามส่วน หากไม่ระวังอาจถูกถล่มฆ่าโดยปืนเทพหงส์

และเจ้าของเรือรบเทพหงส์ระดับสูงลำนี้คือเจ้ายุทธจักรหงส์!

“เจ้ายุทธจักรหงส์ เจ้าข้ามเส้นไปแล้ว”

ทันใดนั้น เสียงเย็นชาดังมาจากความว่างเปล่า จากนั้นพื้นที่บนอากาศสูงก็แตกเป็นเสี่ยง ๆ รอยแตกก็แตกออกทีละส่วน

เรือรบสีทองออกมาจากช่องว่างที่แตกสลาย และพลังของมันก็ไม่ได้แย่ไปกว่าเรือรบเทพหงส์ระดับสูง และทรงพลังยิ่งกว่า

เหนือเรือรบสีทองแขวนธงที่มีคำว่า “หวู” เขียนไว้บนตะขอเหล็กสีเงิน

เรือรบของตระกูลหวูแดนศักดิ์สิทธิ์ระดับนิรันดร์!

บนดาดฟ้าของเรือรบลำนี้ เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวไขว้มือไว้ด้านหลังสีหน้าเย็นชา

“หวูชิว เจ้าจะห้ามข้า”

เจ้ายุทธจักรหงส์ที่สง่างามหรูหราขมวดคิ้วและถามอย่างเย็นชา

“หลัวซิวเป็นผู้ลาดตระเวนอาณาจักรใต้ พวกเจ้า เผ่าหงส์ได้ส่งคนไปยังอาณาจักรใต้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อตามล่าสังหารเขา และคราวนี้ยังสร้างเรื่องให้ใหญ่จะทำลายรากฐานของเขา ข่าจะนั่งดูเฉยๆได้อย่างไหร่?”

“คนที่ข้าต้องการจะฆ่า ต่อให้เป็นเจ้า หวูชิว มาด้วยตัวเอง ก็ไม่สามารถหยุดข้าได้” น้ำเสียงของเจ้ายุทธจักรหงส์นั้นเย็นชา ไม่มีความตั้งใจจะถอยสักนิด

ก่อนหน้านั้นนางได้ทำร้ายหลัวซิวต่อหน้าเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวในสำนักหลัวเทียน ซึ่งแสดงให้เห็นว่านางเย่อหยิ่งจองหองจนสุดขีด

“ถ้าอย่างนั้นให้ข้ามาสัมผัสวิชายิ่งเลิศของเจ้ายุทธจักรหงส์ก็แล้วกัน”

เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าและร่างกายของเขาเต็มไปด้วยรัศมีแข็งแกร่งลึกลับ ราวกับมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ที่น่ากลัว

“หวูชิว เจ้าจะเป็นศัตรูกับข้าจริงๆหรือ?” เจ้ายุทธจักรหงส์ก็มีออร่าที่ทรงพลังเช่นกัน

“เผ่าหงส์ของพวกเจ้าทำอะไรไม่เกรงใจเกินไปในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่มีประเด็นสำคัญบางอย่างที่ไม่สามารถแตะต้องได้” เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวไม่ต้องการอธิบายมากเกินไป

“ดูเหมือนว่าต้องต่อสู้กันรอบหนึ่งจริงๆ” ร่างของเจ้ายุทธจักรหงส์ก็บินขึ้นไปบนท้องฟ้าเช่นกัน

ทั้งเรือรบสีทองและเรือรบเทพหงส์บินไปไกล เพราะผู้แข็งแกร่งระดับเจ้ายุทธจักรต่อสู้ จะทำลายโซนพื้นความว่างเปล่าเป็นวงกว้าง อยู่ใกล้เกินไปจะได้รับผลกระทบได้ง่าย

“บูม!”

เจ้ายุทธจักรหงส์โจมตีก่อน กระบี่สงครามสีแดงที่ปกคลุมไปด้วยเปลวไฟก็ปรากฏขึ้นในมือของนาง ขณะที่เหวี่ยงไปมา โซนความว่างเปล่าก็ทรุดตัวลงและสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง

เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวยื่นมือออกไปจับ หยิบกระบี่รบออกมา

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 736
“หลัวซิว เจ้าโหดมาก ที่ฆ่าเจ้ายุทธจักรสองคนของเผ่าหงส์?”

สิ่งที่หลัวซิวคาดไม่ถึงก็คือฉีฝ่าเทียนอาณาจักรใต้ผู้ลาดตระเวนฉีได้ติดต่อเขาก่อน

“เผ่าหงส์รังแกคนมากเกินไป และข้าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องลงมือ”

“ไม่มีทางเลือกอื่น? ฆ่าเจ้ายุทธจักรสองคนของเผ่าหงส์ตายไปแล้วเจ้ายังรู้สึกว่าตัวเองถูกรังแก?” ฝ่าเทียนไร้คำพูด และเปลี่ยนหัวข้อว่า “เจ้าต้องระวังหน่อยแล้ว หัวหน้าลาดตระเวนให้ข้าบอกเจ้าประโยคหนึ่ง ดูเหมือนว่าเจ้ายุทธจักรหงส์ได้ออกจากสำนักใหญ่ของเผ่าหงส์ และบางทีอาจจะลงมือกับเจ้าด้วยตัวเอง”

เมื่อได้ยินข่าวนี้ หลัวซิวก็ขมวดคิ้วทันที เจ้ายุทธจักรหงส์เป็นผู้แข็งแกร่งเจ้ายุทธจักรในระดับแรก พลังการต่อสู้ที่แท้จริงเปรียบได้กับมหาจักรพรรดิยุทธ์ธรรมดา เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้

“ผู้ลาดตระเวนฉี ท่านรู้ไหมว่าสำนักใหญ่ของเผ่าหงส์อยู่ที่ใด?” หลัวซิวถาม

“อย่าบอกนะว่าเจ้าจะฆ่าไปถึงสำนักใหญ่ของเผ่าหงส์คนเดียว?…”

ตามคำกล่าวของฉีฝ่าเทียน สำนักใหญ่ของเผ่าหงส์ซ่อนตัวอยู่อย่างลึกลับมาก มีเพียงสมาชิกหลักของเผ่าหงส์เท่านั้นที่รู้ตำแหน่งเฉพาะ

เรื่องเกี่ยวกับสำนักใหญ่ของเผ่าหงส์ หลัวซิวได้ตรวจสอบข้อมูลที่เกี่ยวข้องผ่านอำนาจของเขาในองค์กรนักล่ายุทธ์ ไม่มีคำอธิบายเกี่ยวกับตำแหน่งเฉพาะของสำนักใหญ่เผ่าหงส์

“ดูเหมือนว่าแม้ว่าระดับอำนาจของข้าจะถึงขั้นฟ้าชั้นสูงแล้ว แต่เป็นเพราะว่าข้าได้ที่หนึ่งในการฝึกฝนที่แดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นล่าง สิทธิ์ที่ข้าสามารถได้รับจริงๆ ไม่ได้รับเพิ่มขึ้นมากนัก”

หลัวซิวส่ายหัว เขามั่นใจว่าสี่แก๊งใหญ่ต้องมีข้อมูลที่แน่นอนของสำนักใหญ่ของเผ่าหงส์แน่นอน แต่ข้อมูลระดับนี้จะได้ก็ต่อเมื่อความแข็งแกร่งของเขาถึงระดับหนึ่งเท่านั้น

หลังจากฆ่าเฟิ่งซื่อหยางแล้ว หลัวซิวก็ซ่อนที่อยู่ของเขาอีกครั้ง

ในป่าภูเขาห่างจากเมืองตี้หยาง หลายร้อยกิโลเมตร ผู้แข็งแกร่งหลายคนจากเผ่าหงส์มาถึงที่เกิดเหตุและเห็นภาพความยุ่งเหยิง

ชายหนุ่มคนหนึ่งจากเผ่าหงส์ ร่างกายถูกปกคลุมไปด้วยเพลิงอัคคี เขาเป็นผู้ใดนั้นมองไม่ออก รัศมีของเขาก็ลึกราวกับเหลวลึก

ในอีกด้านหนึ่ง ชายหนุ่มในชุดขาวมีสีหน้าเฉยเมยยืนอยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่ง มองมาจากระยะไกล

ฝูงชนอุทานออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า บางคนก็จำชายหนุ่มชุดขาวได้ ซึ่งเป็นผู้สืบทอดรุ่นเยาว์ของตระกูลหวู ดินแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ หวูหยุน!

และชายหนุ่มเผ่าหงส์ที่ปกคลุมไปด้วยเพลิงอัคคี คือเทพบุตรของเผ่าหงส์!

เผ่าหงส์ ครึ่งมนุษย์ครึ่งมาร ไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าไปในแดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นล่าง มิฉะนั้นด้วยพรสวรรค์และคุณสมบัติของเทพบุตรเผ่าหงส์เผ่าหงส์ จะต้องสามารถได้รับสิทธิ์ของแดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นล่างแน่นอน

แดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นล่างเป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ มีเพียงอัจฉริยะของเผ่าพันธุ์มนุษย์เท่านั้นที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะเข้าไปการฝึกฝนได้

“ว่ากันว่าเทพบุตรเผ่าหงส์แต่ละรุ่น จะต้องเป็นอัจฉริยะที่ปลุกเลือดหงส์โบราณขึ้นมาได้”

“เป็นเวลาหลายหมื่นปีแล้วที่เผ่าหงส์ไม่ได้มีเลือดของหงส์โบราณปรากฏออกมาแล้วใช่หรือไม่? ตำแหน่งของเทพบุตรนั้นว่างมาหลายพันปีแล้ว ไม่นึกเลยว่าตอนนี้จะมี”

“สายเลือดเทพหงส์โบราณ ฝึกฝนวิชาเทพหงส์ระดับสูงสุดของเผ่าหงส์ ทั้งในแง่ของความสามารถและพลังการต่อสู้ เพียงพอที่จะแข่งขันกับอัจฉริยะชั้นนำของรุ่นเยาว์ในแดนศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญแล้ว”

“ไม่ใช่เพียงเทพบุตรเท่านั้น? ข้าได้ยินมาว่า เผ่าหงส์จะมีเทพธิดาอีกคน!”

“เทพธิดา? โอ้ พระเจ้า หรือว่าเผ่าหงส์รุ่นนี้จะมีสายเลือดเทพหงส์สองคน?”

หลัวซิวก็ได้ยินคำพูดดังกล่าว คิ้วของเขาย่นขึ้นทันที เดาได้เลยว่าถ้าเผ่าหงส์จะมีเทพธิดา ต้องเป็นเหยียนเยว่เอ๋อร์อย่างไม่ต้องสงสัย

แต่ไม่นานนัก คิ้วของหลัวซิวค่อย ๆ คลายลงในไม่ช้า ในตอนแรก เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวเคยกล่าวว่า เผ่าหงส์ให้ความสำคัญกับสายเลือดเทพหงส์มาก หากเหยียนเยว่เอ๋อร์ถูกแต่งตั้งให้เป็นเทพธิดาในรุ่นนี้ สถานะในเผ่าหงส์ไม่ควรจะต่ำและจะไม่ถูกรังแกใดๆ

สีหน้าของหลัวซิวเย็นชามาก เขารู้ดีว่าเขาไม่สามารถมีความเมตตาได้แม้แต่น้อย ไม่ใช่เพราะเขาถือว่าชีวิตมนุษย์เป็นสิ่งไร้ค่า แต่เพราะโลกจอมยุทธ์เป็นเช่นนี้

ในเมื่อเขาได้ก้าวเข้าสู่โลกจอมยุทธ์แล้ว การต่อสู้และการแย่งชิงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ฆ่าคนและถูกฆ่าเป็นไปได้ทั้งสอง

หากเขาไม่แข็งแกร่งพอ ก็มีความเป็นไปได้สูงที่คนเหล่านี้จะช่วยคนจากเผ่าหงส์ให้ปิดล้อมเขา

หลัวซิวก้าวขึ้นไปในอากาศ ทุกย่างก้าวที่เขาเดินออกไป ผู้ที่ก็ตามที่ถูกล็อคโดยตัวสำนึกของเขาจะถูกแทงลงไปในหยั่งรู้ด้วยกระบราสำนึก ฆ่าอย่างกระทันหัน

พัฟ! พัฟ! พัฟ! …

ตัวสำนึกของเขารวมกฎความตายด้วย ทุกการโจมตีของวิญญาณสามารถฆ่ามหายุทธ์ขั้นปฐมภูมิได้อย่างง่ายดาย

เพราะหากพลังโจมตีของวิญญาณแข็งแกร่งถึงระดับหนึ่ง ไม่เพียงแต่จะทำลายหยั่งรู้ดั้งเดิมของคู่ต่อสู้ได้เท่านั้น แต่ยังทำลายร่างกายของคู่ต่อสู้ได้ด้วย

ยกเว้นเฟิ่งซื่อหยาง ผู้คนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่ มีเพียงสองสามคนที่มีการฝึกฝนถึงมหายุทธ์ช่วงปลาย

ทั้งสามคนนี้รวมตัวกันพร้อมพุ่งไปฆ่าหลัวซิวอย่างบ้าคลั่ง เพียงเห็นหลัวซิวยกมือขึ้นโบก กระบี่เสวียนยวนได้ฟันเปลวไฟสีดำที่ยาวหลายสิบฟุตออกไป เกิดเสียงแทงเข้าเนื้อ แล้วหนึ่งในนั้นถูกฆ่าตาย

หลังจากนั้น หลัวซิวบีบผนึกด้วยมือซ้ายของเขา ยกมือพลิกมัน ตราทวยเทพมรณะถูกใช้ และอีกคนก็กรีดร้องแล้หายไปจนไม่เหลืออะไร

มหายุทธ์ช่วงปลายคนสุดท้ายที่เหลืออยู่นั้น หวาดกลัวมาก ต้องการล่าถอย แต่เห็นมือซ้ายของหลัวซิวกลายเป็นหมัด หมัดกระบี่ปล่อยออกมา ต่อยร่างกายส่วนบนของเขาให้เป็นละอองเลือด

ในเวลาไม่นาน ผู้คนหลายสิบคนได้กลายเป็นศพอยู่บนพื้น และมีคนจำนวนมากถูกต่อยจนกลายด้วยละอองเลือดหรือถูกฆ่าตายไม่เหลือซากอะไร

มีเพียงเจ้ายุทธจักรเฟิ่งซื่อหยางเท่านั้นที่ยังคงดิ้นรนอยู่ในการเผาไหม้ของมกุฎอัคคีนภาเหลือง

แม้ว่า เฟิ่งซื่อหยางจะไม่ตาย แต่เห็นได้ชัดว่าเขามีชีวิตได้ไม่นาน ผลการฝึกตนของเขากำลังจะหมดลง และไฟของมกุฎอัคคีนภาเหลืองจะเผาไหม้ร่างกายและจิตวิญญาณของเขาในไม่ช้า

“หลัวซิว ผู้แข็งแกร่งของเผ่าหงส์ของข้าจะฆ่าเจ้าอย่างแน่นอน เจ้าจะอยู่ได้ไม่นาน!” เฟิ่งซื่อหยางพูดอย่างโกรธเคือง

“ผู้แข็งแกร่งจากเผ่าหงส์ของเจ้าอาจไม่สามารถฆ่าข้าได้ แต่ถ้าวันหนึ่งข้าก้าวเข้าสู่เจ้ายุทธจักร ข้าจะไปที่เผ่าหงส์ของเจ้าอย่างแน่นอน” มีการเยาะเย้ยอยู่ที่มุมปากของหลัวซิว

“สัตย์เดรัจฉานตัวร้าย อย่าภูมิใจในตัวเอง อย่าคิดว่าพรสวรรค์ของเจ้าสูง แต่พรสวรรค์ไม่ได้หมายถึงความแข็งแกร่ง เผ่าหงส์ของข้าจะไม่ให้เวลาเจ้าเติบโตขึ้น” เฟิ่งซื่อหยางรู้ว่าเขากำลังจะตาย ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน สายตาโหดเหี้ยม

“ไม่สำคัญว่าเผ่าหงส์ของเจ้าจะให้เวลาข้าหรือไม่ สิ่งสำคัญคือเจ้าสามารถไปตามตายก่อนได้แล้ว”

หลัวซิวใช้วิชาลับ พลังมกุฎอัคคีนภาเหลืองพุ่งสูงขึ้น เผาเพลิงอัคคีพลังแห่งกฎของเฟิ่งซื่อหยาง ที่ปกป้องร่างกายให้กลายเป็นความว่างเปล่า

หลังจากนั้น หลัวซิวไม่ได้อยู่ที่นี่ต่อ แต่ก่อนออกเดินทาง เขาได้นำวัสดุค่ายยากเย็นขั้น 8 จากไปด้วย

แต่ในเวลาเพียงครึ่งวัน ผู้แข็งแกร่งจำนวนมากจากเผ่าหงส์ได้มาถึงบริเวณเมืองตี้หยางเผ่าหงส์สามารถระดมกำลังบางส่วนในอาณาจักรใต้เพื่อช่วยติดตามเส้นทางของหลัวซิว

แต่หลัวซิวสามารถรับรู้การเคลื่อนไหวของเผ่าหงส์ผ่านช่องทางขององค์กรนักล่ายุทธ์

นับตั้งแต่สิ้นสุดการฝึกตนจากแดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นล่าง หลัวซิวพบว่าอำนาจของเขาในระบบภายในขององค์กรนักล่ายุทธ์ ดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นอีกครั้งและไปถึงขั้นฟ้าชั้นสูง

ในระบบอำนาจของสี่แก๊งใหญ่ อำนาจของขั้นฟ้าชั้นสูงนั้นเทียบเท่ากับอำนาจของผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์แล้ว!

แน่นอนว่าอำนาจระดับนี้ เป็นเพียงระดับเท่านั้น อำนาจบางอย่าง สามารถได้รับอย่างแท้จริงหลังจากที่เขามีความแข็งแกร่งของมหาจักรพรรดิยุทธ์เท่านั้น

นี่คืออาณาจักรที่กำเนิดจากกฎความตาย มีพลังพิเศษของกฎ กลืนกินพลังชีวิต!

“อายุชีวิตของเขา!”

ทุกคนรู้สึกถึงความชราอย่างรวดเร็วของร่างกาย ดังนั้นพวกเขาจึงถอยกลับอย่างรวดเร็วด้วยความหวาดกลัว ต้องการออกจากขอบเขตที่ปกคลุมอยู่ในอาณาจักร

แต่พื้นที่ที่ปกคลุมอยู่ในอาณาจักรมรณะเต็มไปด้วยออร่าความกดดันของหลัวซิว ทำให้คนเหล่านี้ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ พวกเขารู้สึกได้เพียงพลังชีวิตที่หายไปอย่างต่อเนื่องด้วยความสยดสยอง

พลังชีวิตเชื่อมโยงกับอายุ ยิ่งเด็ก ยิ่งมีอายุขัยมาก ลมหายใจชีวิตยิ่งมีพลัง เมื่ออายุหายไป หากต้องการเพิ่มอายุขัยกลับคืนมาต้องใช้ขุมทรัพย์ฟ้าดิน

สำหรับจอมยุทธ์ทั่วไป สมบัติฟ้าดินที่สามารถเสริมเพิ่มเติมอายุขัยได้นั้นมีค่ามากจนไม่สามารถนับได้

มีผู้เฒ่าบางคนที่อายุขัยเหลือไม่มาก ที่ยังไม่สามารถหนีออกจากพื้นที่ที่อาณาจักรปกคลุม ลมหายใจแห่งชีวิตของพวกเขาได้หายไป กลายเป็นกระดูกที่ตายแล้วล้มลง แล้วแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

ยังมีบางคนที่หลบหนีรอดพ้นจากอาณาจักร แต่พวกเขาก็แก่มากเกินไป และหวาดกลัวจนไม่กล้าเข้าใกล้ รีบถอยหลังอย่างรวดเร็ว

“เจ้าทำความเข้าใจกฎความตายสำเร็จหรือ?”

เฟิ่งซื่อหยางรู้สึกว่าอาณาจักรของหลัวซิวนั้นไม่ธรรมดา มีออร่าที่ผันผวนของพลังแห่งกฎ ซึ่งทำให้เขาตกตะลึงอย่างมาก

กฎความตายเป็นกฎความตายชั้นสูงสุด ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันมีเพียงอัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบได้เท่านั้นที่สามารถเข้าถึงขอบเขตของแดนอาณาจักรกฎได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นอัจฉริยะที่มีแดนแค่มกุฎยุทธ์ก็เข้าใจกฎความตายชั้นสูงสุด ยิ่งน้อยมาก

“เจ้าพูดมากเกินไปแล้ว”

หลัวซิวเยาะเย้ยและก้าวไปข้างหน้า ออร่ารอบกายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตบมือออกไป เพลิงอัคคีสีทองก็พุ่งออกมา เผาผลาญความว่างเปล่า

“เพลิงอัคคีสีทอง นี่มันพลังอะไรกัน?” สีหน้าของเฟิ่งซื่อหยางเปลี่ยนไปอีกครั้ง จากเพลิงอัคคีสีทองนั้น เขารู้สึกมีความรู้สึกที่ไม่อาจต้านทานได้

“โฮก!”

เสียงคำรามของมังกรดังขึ้นมา มกุฎอัคคีนภาเหลืองกลายร่างเป็นมังกร

“ข้าฝึกฝนกฎธาตุไฟ เจ้าต้องการใช้ไฟมาต่อสู้กับข้า ไม่รู้ที่ตายจริงๆ!”

เฟิ่งซื่อหยางระงับความอยากที่จะถอยหลัง เพลิงอัคคีพลังแห่งกฎกลายเป็นหงส์แล้วบินออกไปอีกครั้ง

พัฟ!

ทันทีที่เพลิงอัคคีร่างมังกรสีทองและร่างหงส์สีเพลิงปะทะกัน เพลิงอัคคีร่างหงส์ต่อต้านเพียงสองลมหายใจเท่านั้นก็ถูกปกคลุมหายไป

หลัวซิวเหยียบอากาศ เดินทางด้วยมังกร ในที่สุด เฟิ่งซื่อหยางสีหน้าของก็เปลี่ยนสี เขาถอยกลับอย่างรวดเร็ว แต่ในพริบตาหลัวซิวก็ตามมาทัน จะจมตายอยู่ในมกุฎอัคคีนภาเหลือง

มกุฎอัคคีนภาเหลืองนี้ เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงครั้งที่สองของภูตอัคคี พลังนั้นแข็งแกร่งมากจนสามารถเผาผลาญเจ้ายุทธจักรขั้นกลางได้

“อ๊าก!……”

เฟิ่งซื่อหยางพยายามอย่างเต็มที่ที่จะต่อต้านด้วยพลังจิตแท้ แต่เขาไม่สามารถหนีออกมาได้เลย แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นผู้แข็งแกร่งระดับเจ้ายุทธจักร ดังนั้นเขาจึงไม่ถูกไฟคลอกตายไปอย่างกะทันหัน

หลัวซิวเองก็ไม่รีบ เขาปิดกั้นสถานที่นี้ด้วยค่ายกล เฟิ่งซื่อหยางไม่มีทางที่จะหลบหนีไปได้ เมื่อพลังจิตแท้ของเขาเกือบหมดไปแล้ว ก็จะไม่สามารถต้านทานพลังของมกุฎอัคคีนภาเหลืองได้ เขาถูกลิขิตให้ถูกเผาจนกลายความว่างเปล่า

ในเวลาเดียวกัน หลัวซิวเริ่มเคลียร์พื้นที่ นอกจาก เฟิ่งซื่อหยางแล้วยังมีมหายุทธ์จากเผ่าหงส์หลายคน

แม้แต่เจ้ายุทธจักรจากเผ่าหงส์ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลัวซิว มหายุทธ์เหล่านี้ยิ่งไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา

หลัวซิวปล่อยหมัดกระบี่ออกไป ทำลายสุญญากาศทุกที่ที่ผ่านไป มหายุทธ์ผู้หนึ่งถอยหลังอย่างรวดเร็วด้วยความตื่นตระหนก แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรได้เลย ร่างกายถูกต่อยจนชุ่มเลือด เลือดหายไปในอากาศ

“ข้าเคยให้โอกาสพวกเจ้าแล้ว แต่พวกเจ้าไม่หวงแหนมันเอง แม้ตายก็ไม่สามารถต่อว่าข้าได้”

นัยน์ตาของหลัวซิวเย็นชา สำหรับผู้คนที่ไม่ใช่คนจากเผ่าหงส์ เขาก็ฆ่าหมดเหมือนกัน สำนึกกลายเป็นกระบี่ ทำลายหยั่งรู้ไปมากกว่า 20 คนและเสียชีวิตไปทันที

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 733
หลัวซิวไม่ได้ไล่ตามเขา เพราะสำหรับเขา มหายุทธ์คนหนึ่ง ไม่มีอะไรเลย ถ้าต้องการทำให้เผ่าหงส์รู้สึกเสียดาย เขาต้องฆ่าเจ้ายุทธจักร ตรงหน้านี้

สายตาของเขากวาดไปรอบๆ อย่างเย็นชา หลัวซิวกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องให้เวลาพวกเจ้าในการล่าถอยสามลมหายใจ มิฉะนั้นจะฆ่าอย่างเดียว!”

เหล่าจอมยุทธ์มากมายที่รวมตัวกันที่นี่ มีบางคนเริ่มถอย ผู้คนส่วนนี้มาดูความสนุกและไม่ต้องการประสบภัยพิบัติที่ไม่สมควรด้วยเหตุนี้

“คนบ้ามาจากไหนกัน กล้าพูดเรื่องไร้สาระอยู่ที่นี่?”

“กล้าทำร้ายผู้คนที่นี่ สมควรตายจริงๆ ทุกคนจะต้องฆ่าเขาให้ตาย!”

นอกจากนี้ยังมีบางคนที่ร้องตะโกนปฏิเสธที่จะจากไป สายตาของพวกเขาสั่นไหว เห็นได้ชัดว่าทำโดยเจตนา ต้องการเอาใจผู้แข็งแกร่งของเผ่าหงส์

ในสายตาของพวกเขา ไม่ว่าหลัวซิวจะแข็งแกร่งเพียงใด เขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเผ่าหงส์ที่แข็งแกร่งอย่างแน่นอน

“หนึ่ง!”

“สอง!”

“สาม!……”

เมื่อเวลาผ่านไปสามลมหายใจ หลัวซิวหัวเราะออกมา และทันใดนั้นก็ยกมือขึ้นและบีบผนึก

บูม!

ห่างออกไปหลายสิบกิโล ม่านแสงสีดำสนิทก็ปรากฏขึ้นอย่างกระทันกัน ครอบคลุมพื้นที่หลายสิบกิโลเมตร

สีหน้าของคนจำนวนมากที่อยู่ที่นั่นเปลี่ยนไป มีเพียง มีเพียงเจ้ายุทธจักรเผ่าหงส์เท่านั้นที่ไม่มีความประหลาดใจใด ๆ เพราะเมื่อครู่นี้เขาพบว่านี่เป็นกัลป์ดับ ก็รู้เรื่องนี้ด้วย

“มาให้ข้าได้สัมผัสถึงความแข็งแกร่งของเจ้ายุทธจักรจากเผ่าหงส์กันเถอะ” หลัวซิวก้าวไปข้างหน้า ภายใต้ค่ายยากเย็นขั้น 8 สิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่น่าจะไม่สามารถเผยแพร่ออกไปได้ชั่วขณะหนึ่ง

“เจ้ามั่นใจมากอย่างนี้ ดูเหมือนว่าเฟิ่งหวูเนี่ยนน่าจะตายในมือเจ้าจริงๆ”

สีหน้าของ เฟิ่งซื่อหยางกลายเคร่งขรึมขึ้นมา เหตุผลที่เขาไม่ให้ความสำคัญกับหลัวซิวอย่างจริงจังในตอนแรก เป็นเพราะฝ่ายตรงข้ามยังเด็กมาก และไม่สามารถต่อต้านเจ้ายุทธจักรได้ แม้ว่าการตายของผู้บัญชาการเผ่าหงส์ เฟิ่งหวูเนี่ยน เขาก็ไม่เคยคิดว่าหลัวซิวจะเป็นผู้ฆ่าตาย

แต่เมื่อดูการกระทำของหลัวซิวในขณะนี้ ดูเหมือนว่าเขามีพลังต่อสู้เทียบเท่าเจ้ายุทธจักร นี่น่ากลัวจริงๆ

ต้องรู้ว่าคนๆนี้อายุเพิ่งยี่สิบสามปีคนนี้ก็มีพลังต่อสู้เทียบเท่าเจ้ายุทธจักร ผ่านไปอีกหลายสิบปีก็จะไม่เหมือนคนธรรมดาแล้ว?

“ทุกคนลงมือพร้อมกัน ฆ่าเขา!” เฟิ่งซื่อหยางพ่นลมหายใจออกมาอย่างเย็นชา ชำเลืองมองไปที่คนอื่นๆ ทันที “ไม่ว่าใครก็ตาม ที่ช่วยฆ่าชายคนนี้ เผ่าหงส์ของข้าจะตอบแทนอย่างมากมายอย่างแน่นอน!”

เพื่อให้มีความมั่นใจมากขึ้นในการฆ่าหลัวซิว เฟิ่งซื่อหยางจึงเลือกที่จะระดมจอมยุทธ์คนอื่นๆ

แม้ว่าจอมยุทธ์ส่วนใหญ่เหล่านี้จะไม่แข็งแกร่ง แต่ก็มีมหายุทธ์บางคนด้วยเช่นกัน

คำพูดของ เฟิ่งซื่อหยางทำให้จอมยุทธ์หลายสิบคนสนใจเล็กน้อย

แต่หลัวซิวไม่แยแส เขาไม่กลัวการต่อสู้แบบเป็นกลุ่มเลย

“วันนี้ให้ข้าเอากำไรเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อยจากเผ่าหงส์ของพวกเจ้าก็แล้วกัน”

หลัวซิวเริ่มโจมตี ร่างของเขาหายไป พร้อมใช้วิชาทักษะหมัดกระบี่

“หอกหงส์ฟ้า!”

เฟิ่งซื่อหยางก้าวไปข้างหน้าก้าวใหญ่ เหยียดมือขวาออก หอกรบที่มีรูปร่างเรียบง่ายปรากฏอยู่ในฝ่ามือของเขา

มีหอกรบอยู่ในมือ ความมั่นใจของเฟิ่งซื่อหยางเพิ่มขึ้นอย่างมาก สะบัดหอกรบ ใช้วิชายิ่งเลิศทักษะการต่อสู้

เพลิงอัคคีเปล่งประกาย กลายเป็นร่างหงส์ ฉายรัศมีแห่งการทำลายล้างอันน่าสะพลึงกลัวออกมา หลัวซิวกระบี่เสวียนยวนออกมา ทั้งสองก็ต่อสู้กันอย่างดุเดือดกลางอากาศสิบกว่ากระบวนท่า

“อาณาจักรมรณะ!”

ร่างกายของหลัวซิวสั่นสะเทือน กฎความตายสีดำก่อตัวเป็นระลอกคลื่น โดยเขาเป็นศูนย์กลาง ก่อตัวเป็นอาณาจักรที่มีรัศมีหลายร้อยเมตร

ยกเว้นว่า เฟิ่งซื่อหยางสามารถใช้เพลิงอัคคีพลังแห่งกฎปกป้องร่างกายของเขาจากการปราบปรามของอาณาจักร จอมยุทธ์คนอื่นๆ เหล่านั้นพุ่งมาฆ่าหลัวซิวอยู่ข้างหน้า และทันทีที่เข้าไปในอาณาจักร พวกเขารู้สึกว่าลมหายใจชีวิตของพวกเขาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 732
หลังจากที่ผู้แข็งแกร่งของเผ่าหงส์ในเมืองตี้หยาง ได้รับข่าว พวกเขาก็รีบไปทันที

ไม่นานนัก นักรบจากเมืองตี้หยาง หลายคนได้ข่าวแล้วตามมา ด้านหนึ่งเพราะความอยากรู้ อีกด้านมาเพื่อมองดูผู้แข็งแกร่งของเผ่าหงส์ โดยหวังว่าจะหาโอกาสผูกมิตรกับพวกเขา

กลุ่มคนขิองเผ่าหงส์มาถึงอย่างรวดเร็ว นำโดยเจ้ายุทธจักรที่สวมชุดเกราะสีแดงเพลิง เมื่อกลุ่มคนมาถึง ฝูงชนที่รวมตัวกันในบริเวณใกล้เคียงก็โกลาหลทันที

“นี่คือผู้แข็งแกร่งของเผ่าหงส์หรือ? แม้ว่าจะไม่แสดงออร่าออกมา แต่ก็ยังรู้สึกถึงการกดดันถึงใจจนใจสั่นได้”

“การสืบทอดของเผ่าหงส์นั้นเก่าแก่พอ ๆ กับแดนศักดิ์สิทธิ์ มีการสืบทอดมากว่าหลายหมื่นปี ไม่ว่าผู้ใดที่ออกมาก็จะเป็นเจ้ายุทธจักร”

มีการพูดคุยกันมากมาย และผู้คนรวมตัวกันรอบๆ กลุ่มคนเผ่าหงส์ราวกับดวงดาวที่ถือดวงจันทร์อยู่ในมือ

หลัวซิวก็อยู่ท่ามกลางฝูงชนเช่นกัน พวกเผ่าหงส์คาดไม่ถึงมาก่อนว่าคนที่พวกเขาพยายามไล่ตามอย่างหนักนั้นอยู่ใต้หนังตาของพวกเขา

“แย่แล้ว นี่คือกับดัก!”

ทันใดนั้น ชายที่นำโดยผู้แข็งแกร่งเจ้ายุทธจักรที่ของเผ่าหงส์ ตัวสำนึกของเขาก็สัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปกติของสถานที่นี้ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปกระทันหัน

“อะไรนะ กับดัก?” ฝูงชนที่อยู่ใกล้ๆ ก็ส่งเสียงดัง สีหน้าทุกคนต่างประหลาดใจ

“ในเมื่อกล้าสร้างกับดักอยู่ที่นี่ เหตึใดถึงไม่กล้าออกมา?” ดวงตาของเผ่าหงส์เจ้ายุทธจักรกวาดมองไปรอบๆ สายตาของเขามีเจตนาฆ่า

คนนี้ชื่อ เฟิ่งซื่อหยางเป็นระดับผู้อาวุโสของเผ่าหงส์ ออร่าของผู้แข็งแกร่งระดับเจ้ายุทธจักรแผ่กระจายออกมา รัศมีของพลังแก่งกฎกลายเป็นอาณาจักร ซึ่งทำให้ทุกคนที่อยู่บริเวณใกล้เคียงรู้สึกถึงแรงกดดันที่น่ากลัวในทันที

“ร้อนมาก!”

“ข้าทนไม่ไหวแล้ว!”

ฝูงชนอุทานซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในอาณาจักรที่ เฟิ่งซื่อหยางปล่อยออกมา เต็มไปด้วยพลังแห่งกฎเพลิงอัคคี จอมยุทธ์ที่ต่ำกว่าระดับเจ้ายุทธจักรที่อยู่ในนั้น ต่างถูกกดดัน

บางคนที่มีผลการฝึกตนที่ค่อนข้างอ่อนแอได้หมอบอยู่บนพื้นแล้ว เหงื่อออกเต็มร่าง ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เลย

“ฮ่าฮ่า สมกับผู้แข็งแกร่งของเผ่าหงส์ ช่างแข็งแกร่งจริงๆ”

ในฝูงชน มีเพียงหลัวซิวเท่านั้นที่ยืนอยู่ที่เดิม สงบและเรียบนิ่งและยิ้มอย่างสบายๆ

สีหน้าของ เฟิ่งซื่อหยางเย็นลงและเขาก็จ้องไปที่หลัวซิวทันที “เป็นเจ้าจริงๆ! เจ้ายังกล้าที่จะปรากฏตัว ก็กล้าเหมือนกันนี่”

“อาณาจักรใต้กว้างใหญ่มาก ข้าไม่สามารถไปที่ไหนบ้าง? นึกว่าเผ่าหงส์ของพวกเจ้าสามารถครอบคลุมท้องฟ้าด้วยมือเดียวหรือ?” หลัวซิวเย้ยหยันอย่างดูถูก

“ฮึ่ม ในเมื่อเจ้ากล้าปรากฏตัวในวันนี้ งั้นก็อยู่ที่นี่ก็แล้วกัน” เฟิ่งซื่อหยางโบกมือ และหนึ่งในมหายุทธ์ที่อยู่ข้างหลังเขาก็กลายเป็นม่านเพลิงอัคคีทันทีพร้อมพุ่งไปทางหลัวซิว

ท่ามกลางไฟ ชายคนหนึ่งที่มีใบหน้าเคร่งขรึมหล่อเหล่า เผยให้เห็นร่างของเขา ผนึกรวมเปลวไฟที่แผดเผาอยู่ระหว่างฝ่ามือของเขา ตีไปยัง หลัวซิว

แม้ว่าผู้บัญชาการของเรือรบเทพหงส์จะเสียชีวิตในไท่เสวียน แต่เผ่าหงส์ไม่คิดว่าหลัวซิวมีกำลังที่จะฆ่าเจ้ายุทธจักรได้ และสงสัยว่ามีคนช่วย หลัวซิวต่อต้านกับเผ่าหงส์

ดังนั้น เผ่าหงส์จึงทำเรื่องใหญ่ขึ้น จุดประสงค์หลักคือการตามหาบุคคลที่อยู่เบื้องหลังหลัวซิว

ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ว่าจะเป็นหลัวซิวหรือไท่เสวียน สำหรับเผ่าหงส์เป็นเพียงมดที่สามารถฆ่าได้ทุกเวลา

แววตาดูถูกของหลัวซิวปรากฏออกมา ผู้คนในเผ่าหงส์หยิ่งผยองมากเกินไป กลับให้มหายุทธ์เพียงคนเดียวต่อสู้กับเขา

เห็นเพียงหลัวซิวยืนนิ่งและไม่ขยับ จนกว่าการโจมตีของคู่ต่อสู้เข้ามาใกล้ จากนั้นเขาก็ค่อยๆ ยกมือขึ้น ใช้สองนิ้วชิดกันราวกับกระบี่ แล้วชี้ออกไป

อัก!

ฝ่ามือของเผ่าหงส์มหายุทธ์ถูกแทงทะลุด้วยกระบี่นิ้วของหลัวซิวในทันที เลือดสดพุ่งกระฉูดกระเซ็นออกไป สีหน้าของเผ่าหงส์มหายุทธ์ซีดเผือด ร่างของเขาถอยกลับอย่างรวดเร็ว แต่ฝ่ามือที่บาดเจ็บถูกล้อมรอบด้วยปราณสีดำ ทำลายบาดแผลอย่างต่อเนื่อง พังทลาย แผลกว้าง ฟื้นตัวยาก

บทที่ 731

บทที่ 733

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 731
ในเวลาเดียวกัน หลัวซิวยังพบว่าเผ่าหงส์ได้ส่งผู้แข็งแกร่งจำนวนมากเพื่อตามหาเขา และได้ระดมกองกำลังจำนวนมากของอาณาจักรใต้

เนื่องจากความพิเศษของเผ่าหงส์ แดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้าในอาณาจักรใต้ ไม่ได้ห้ามพวกเขา ตราบใดที่เผ่าหงส์ไม่ก้าวข้ามเส้นที่ไม่ควรก็พอ

อยู่ที่นี่ หลัวซิวไม่ได้กังวลว่าเขาจะถูกมองเห็นตัวตนของเขา วิธีย้ายร่างเปลี่ยนกระดูกของเขา อาจไม่เรียกว่าฉลาดมากนัก แต่สำนึกของเขาแข็งแกร่งพอ เว้นแต่ผู้แข็งแกร่งระดับเจ้ายุทธจักร จึงจะพบว่าเขาได้ซ่อนรูปลักษณ์ของตน

ทันใดนั้น หลัวซิวสัมผัสได้ถึงรัศมีที่แข็งแกร่งลึกลับได้เข้ามาที่นี่ และก้าวเข้าไปในร้านอาหารใกล้เคียงทันทีและนั่งที่หน้าต่างเล็กน้อย

คนที่เข้าๆออกๆจากร้านอาหารแห่งนี้ล้วนเป็นจอมยุทธ์ และพวกเขากำลังพูดถึงเรื่องบางเรื่องในโลกของยุทธ์

“หลัวซิวผู้นั้น ไม่รู้ว่าเขาได้ทำอะไรทำให้เผ่าหงส์ไม่พอใจ น่าเสียดายชายหนุ่มอัจฉริยะคนหนึ่ง”

“ใช่ พลังของเผ่าหงส์นั้นเทียบได้กับแดนศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ได้ระดมกองกำลังระดับหนึ่งและระดับสองจำนวนมากในอาณาจักรใต้เพื่อขุดลึกลงไปสามเมตรตามหาชายหนุ่มคนนั้น”

“เผ่าหงส์ทำเรื่องให้ใหญ่เกินไปแล้ว เท่าที่ข้ารู้ ชายหนุ่มที่ชื่อหลัวซิวมีอายุเพียงยี่สิบสามปีเท่านั้น”

“ยี่สิบสามปีแล้วยังไง? เรือรบเทพหงส์หนึ่งลำ ผู้บัญชาการเจ้ายุทธจักรและแดนจักรพรรดิยุทธ์จำนวนหนึ่งร้อยคนถูกฆ่าตาย ไม่เช่นนั้นเผ่าหงส์จะโกรธแค้นได้อย่างไร?”

“โอ้ พระเจ้า อายุยี่สิบสามได้ฆ่าเจ้ายุทธจักร ชายคนนั้นกินอะไรเติบโตขึ้นมากัน?”

สิ่งที่จอมยุทธ์ในร้านอาหารกำลังพูดถึงคือการกระทำล่าสุดของเผ่าหงส์ เพื่อค้นหาเขาเผ่าหงส์ก็คิดแผนมากมายเช่นกัน

เพราะการระดมกองกำลังเหล่านั้นในอาณาจักรใต้เพื่อช่วยค้นหาเขา เผ่าหงส์ก็ต้องให้ประโยชน์แก่กองกำลังเหล่านี้ด้วย

เมื่อหลัวซิวได้ยินคำพูดเหล่านี้ สีหน้าของเขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย

ในเวลานี้ ดวงตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อย เขาเห็นกลุ่มคนที่เดินผ่านมาบนถนนด้านนอกร้านอาหาร

ผู้ที่เดินนำหน้า เดินอย่างด้วยท่าทีเคร่งขรึม ทรงพลัง และสง่างามยิ่งนัก สวมชุดเกราะสีแดงเพลิง บนอกสลักหงส์สีทองกางปีกออก

ข้างหลังของคนผู้นี้ มีอีกสี่คน ทุกคนเป็นผลการฝึกตนระดับมหายุทธ์

หลัวซิวไม่สนใจมหายุทธ์ สายตาของเขาจับจ้องไปที่เดินนำหน้าชั่วขณะหนึ่ง แม้ว่าออร่าของอีกฝ่ายจะถูกยับยั้ง แต่เขาสามารถสัมผัสได้ถึงพลังจิตแท้พลานุภาพในร่างกายของเขาที่ราวกับภูเขาไฟกำลังจะปะทุ

เจ้ายุทธจักร!

นี่คือเจ้ายุทธจักรคนหนึ่ง และผลการฝึกตนนั้นใกล้เคียงกับระดับของผู้บัญชาการเผ่าหงส์ ที่ถูกเขาฆ่ามาก่อน น่าจะเป็นเจ้ายุทธจักรขั้นปฐมภูมิ

ดวงตาของหลัวซิวหรี่ลงเล็กน้อย หากในเมืองตี้หยางเผ่าหงส์มีเจ้ายุทธจักรขั้นปฐมภูมิเพียงคนเดียว เขาก็ไม่มีอะไรต้องกลัว

ในเมื่อเผ่าหงส์กล่าวว่าหากเขาไม่ปรากฏตัว จะไปโจมตีแดนตำหนักจื่อ หลัวซิวรู้สึกว่าเขาควรจะทำอะไรบางอย่างและเป็นการเคลื่อนไหวที่ใหญ่หน่อย เพื่อดึงดูดความสนใจของเผ่าหงส์

“เผ่าหงส์ส่งคนไปค้นหาร่องรอยของข้าในอาณาจักรใต้ แม้กระทั่งบังคับให้ไท่เสวียนของข้าต้องซ่อนตัวอยู่ในแดนตำหนักจื่อ ได้เวลาเอากำไรกลับคืนมาแล้ว”

หลังจากคิดถึงเรื่องนี้แล้ว หลัวซิวก็หยิบหินพลังจิตออกมาแล้ววางลงบนโต๊ะ จากนั้นก็ออกจากร้านอาหาร

ก่อนอื่น หลัวซิวไปที่ป่าบนภูเขาที่ห่างจากเมืองตี้หยาง หลายร้อยกิโลเมตร จากนั้นก็จัดแต่งบางอย่างที่นี่ ทิ้งร่องรอยออร่าของเขาอยู่ที่นี่

ไม่นานนัก ก็มีคนพบการจัดแต่งของหลัวซิว และข่าวก็แพร่กระจายอย่างรวดเร็วไปยังเมืองตี้หยาง ที่อยู่ใกล้เคียง

“นอกเมืองหลายร้อยกิโลเมตร มีร่องรอยของการสร้างค่ายกล และยังคงมีออร่าของหลัวซิวด้วย”

“เขาต้องเคยคงอยู่ที่นั่นมาก่อนแน่ และบางทีเขาอาจทิ้งเบาะแสอื่นๆไว้ด้วย สามารถสืบหาร่องรอยของเขาได้”

“แค่มีออร่าของเขาหลงเหลืออยู่ แค่ออร่านี้ ก็สามารถใช้วิชาลับเพื่อตามหาเขาได้!”

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 730
ต่อจากนี้ไป หลัวซิววางแผนที่จะซ่อนร่างแยกชุดขาว เพราะตราบใดที่ร่างแยกชุดขาวไม่ตาย ร่างแยกชุดดำของเขาก็ไม่ต้องกังวลว่าจะตาก

หลัวซิวชุดดำจะเป็นผู้ที่ต่อสู้และสังหาร! ในขณะที่ร่างแยกชุดขาวยังคงอยู่ในไท่เสวียน ด้านหนึ่งเขาสามารถจดจ่อกับการทำความเข้าใจกฎชีวิต และยังสามารถศึกษาการกลั่นยา ค่ายกล และการหลอมอาวุธ แยกงานอย่างชัดเจน

และในช่วงเวลาที่จำเป็น เมื่อร่างแยกทั้งสองรวมกันเป็นหนึ่ง จะฟื้นฟูสถานะของร่างแท้เดียว ไม่ว่าจะความแข็งแกร่งและผลการฝึกตนจะถูกยกระดับสู่แดนใหม่

“ได้เวลาออกไปเล่นแล้ว”

หลัวซิวออกจากแดนตำหนักจื่อทันทีที่เขามีความคิดนี้ เพราะเขาต้องการเบี่ยงเบนความสนใจของเผ่าหงส์ เพื่อความปลอดภัยในไท่เสวียนแดนตำหนักจื่อของไท่เสวียน

ตามการคำนวณของเขา เผ่าหงส์จะต้องกลัวกองกำลังที่อยู่เบื้องหลังเจ้ายุทธจักรอัคคี ดังนั้นพวกเขาจะไม่มาที่อาณาจักรใต้อย่างเปิดเผย

ก่อนหน้านี้ที่มีเรือรบเทพหงส์มาจอด การเคลื่อนไหวนั้นไม่เล็กเลย หากการเคลื่อนไหวนั้นใหญ่ขึ้น ก็จะทำให้เกิดความไม่พอใจจากแดนศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญในอาณาจักรอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

แต่ถ้าเขาฆ่าคนของเผ่าหงส์ เผ่าหงส์จะไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆแน่ ดังนั้นหากหลัวซิวซ่อนตัวอยู่ในแดนตำหนักจื่อตลอด เผ่าหงส์อาจไปเชิญผู้แข็งแกร่งกฎแห่งโซนมาค้นหาพิกัดทางเข้าแดนตำหนักจื่อ

แต่ถ้าเขาปรากฏตัวอยู่ภายนอก จะดึงดูดสายตาของเผ่าหงส์ ทำให้เผ่าหงส์จะไม่มาหาเรื่องที่แดนตำหนักจื่ออยู่ช่วงหนึ่ง

ร่างแยกขาวดำที่แยกด้วยวิชาแบ่งร่างดับเบิ้ลแยกออกมาเป็นความเป็นและความตาย อีกคนควบคุมชีวิต อีกคนควบคุมความตาย

ร่างชุดขาวนั่งอยู่ในแดนตำหนักจื่อ ก่อนหน้านี้ยากลายร่างมังกรเม็ดหนึ่งที่ได้รับจากกุ่ยโยวตอนที่อยู่ในประตูตรีภพ ถูกหลัวซิวชุดดำทานเข้าไป ฟื้นฟูโลหิตสามหยดกลับคืนมา

“ความแข็งแกร่งลดลงมากในทันที”

หลังจากแดนตำหนักจื่อแล้ว หลัวซิวก็รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของตนเอง

เดิมทีแดนผลการฝึกตนมกุฎยุทธ์ขั้น 7 ลดลงถึงมกุฎยุทธ์ขั้น 3 ระดับแดนศักดิ์สิทธิ์ร่างยุทธ์ จากช่วงปลายลดลงถึงขั้นปฐมภูมิ

และตอนนี้เขาได้สูญเสียหนึ่งในไพ่ตายที่ทรงพลังที่สุดไป ตราธรรมจุติมรณะ

“แต่ความแข็งแกร่งเหล่านี้จะลดลงเพียงชั่วคราว หากร่างแยกสองคนได้รับการฝึกฝนไปยังแดนขั้นสูงพร้อมๆ กัน ความแข็งแกร่งของข้าจะแข็งแกร่งกว่าสถานะตอนร่างร่างหนึ่ง”

หลัวซิวไม่ได้ท้อแท้แม้แต่น้อยเพราะความแข็งแกร่งที่ลดลง เขาเตรียมจะอยู่เฉยๆสักพัก และฟื้นฟูความแข็งแกร่งของเขาให้อยู่ในระดับหนึ่งก่อน

หลังจากออกจากแดนตำหนักจื่อแล้ว หลัวซิวไม่ได้จงใจซ่อนที่อยู่ของเขา เผ่าหงส์ได้รับข่าวอย่างรวดเร็วและส่งผู้แข็งแกร่งจำนวนมากเพื่อตามล่าเขา

แต่เมื่อคนเหล่านี้รีบไปยังจุดที่หลัวซิวปรากฏตัว เขาก็ได้หายตัวไปแล้ว

เขาหลบหลบซ่อนซ่อนอยู่เช่นนี้ ขนเวลาผ่านไปนานกว่าสองเดือนในพริบตา

สำหรับผู้แข็งแกร่งที่มีแดนมกุฎยุทธ์ เวลาสองเดือนเป็นเพียงพริบตาเดียว

แต่สำหรับเผ่าหงส์แล้ว การที่พวกเขาล้มเหลวในการจับหลัวซิวมาเป็นเวลานาน ทำให้คนที่แข็งแกร่งของเผ่าหงส์โกรธอย่างสมบูรณ์ ปล่อยคำพูดออกมาว่าหากหลัวซิวไม่ปรากกตัวออกมา จะไปโจมตีแดนตำหนักจื่อ

วันนี้ หลัวซิวออกจากการปิดกั้นฝึกตนไปในป่าที่แห้งแล้ง ผลการฝึกตนที่หายไปจากการใช้วิชาแบ่งร่างดับเบิ้ล ในที่สุดก็ฟื้นคืนมาได้เล็กน้อย แต่ก็ยังห่างไกลจากการฟื้นฟูเต็มที่

ผลการฝึกตนได้กลับสู่มกุฎยุทธ์ขั้น 5 และแดนร่างเนื้อได้กลับสู่ระดับแดนศักดิ์สิทธิ์ขั้นกลาง

ตอนนี้พื้นที่ที่เขาอยู่นั้นอยู่ไกลจากประเทศเทียนหวู มีเมืองใกล้เคียงที่เรียกว่าเมืองตี้หยาง

เมืองนี้มีประวัติความเป็นมายาวนานหลายพันปีและมีประชากรหลายล้านคน เป็นเมืองโบราณที่ค่อนข้างเจริญรุ่งเรืองในอาณาจักรใต้

หลัวซิวเปลี่ยนรูปลักษณ์ของเขาด้วยย้ายร่างเปลี่ยนกระดูก เขาเข้าไปในเมืองเพื่อสืบข่าว และได้รู้คำพูดของเผ่าหงส์ไม่นานมานี้

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน หลัวซิวรู้สึกว่าเวลาวันหนึ่งเหมือนเวลาหนึ่งปี เมื่อวิญญาณดั้งเดิมถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ในที่สุดเขาก็โล่งอก ร่างกายรู้สึกว่างเปล่าอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

ขณะนี้ ในหยั่งรู้ของเขา วิญญาณดั้งเดิมถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนโดยเฉลี่ย ในที่สุดก็เสร็จสิ้นขั้นตอนแรกของการฝึกฝนวิชาแบ่งร่างดับเบิ้ล

ขั้นตอนที่สองคือการแยกร่างเนื้อ!

การแยกร่างเนื้อที่กล่าวถึงในที่นี้ ไม่ใช่ต้องการให้หลัวซิวแยกร่างกายของเขาออกเป็นสองส่วน แต่เป็นการแยกโลหิตของเขาเองออกครึ่งหนึ่งและผนึกรวมเป็นร่างที่สอง

ด้วยวิธีนี้ ร่างแยกทั้งสอง ไม่ว่าวิญญาณหรือเนื้อหนัง จะมาจากแหล่งเดียวกัน ถึงจะไม่มีปัญหา

หลัวซิวปาดข้อมือของตนด้วยนิ้วมือ หลอดเลือดถูกปาดออก แต่ไม่มีภาพที่มีเลือดทะลักไหลออกมา

เลือดที่เขาต้องการแยกออกไม่ใช่เลือดธรรมดา แต่เป็นโลหิต ดังนั้นเลือดสดทุกหยดที่ไหลออกจากบาดแผลจึงหนาราวกับจับต้องได้ ใสและสว่างราวกับทับทิม!

นี่คือชีวีโลหิตของจอมยุทธ์!

จอมยุทธ์ทุกคนมีชีวีโลหิตเพียง 10 หยด และจำนวนจะไม่เพิ่มขึ้นตามผลการฝึกฝน มีเพียงเพราะยิ่งผลการฝึกตนมากเท่าใด พลังที่บรรจุอยู่ในโลหิตแต่ละหยดก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น

ทันทีที่โลหิตถูกใช้ จำเป็นต้องมีทรัพยากรสมบัติมากมายจากฟ้าดินเพื่อบำรุง ยิ่งระดับการฝึกตนสูงขึ้นเท่าใด ทรัพยากรสมบัติก็จะยิ่งมีระดับสูงขึ้นเท่านั้นอ ดังนั้นจอมยุทธ์จะให้ความสำคัญกับโลหิตของตนมาก จะไม่ใช้ง่ายๆ

โลหิต 10 หยดของตน หลัวซิวปล่อยออกมา 5 หยก ในครั้งเดียว สีหน้าของเขาซีดมากในทันที

แต่เขาไม่กล้าที่จะผ่อนคลายสักนิด บังคับให้สมองตื่นตัวและบีบผนึก และโลหิต 5 หยดที่ลอยอยู่ตรงหน้าเขาค่อยๆ รวมเข้าด้วยกัน

หลังจากนั้นไม่นาน โลหิตยังคงเปลี่ยนแปลง กลายเป็นรูปร่างของมนุษย์ รูปลักษณ์เหมือนกับรูปร่างหน้าตาของเขา

หลัวซิวหยิบเสื้อคลุมสีขาวออกมาแล้วยื่นให้อีกฝ่าย

ด้วยวิธีนี้ วิชาแบ่งร่างดับเบิ้ลนับว่าขั้นแรกได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว คนหนึ่งคือหลัวซิวในชุดดำ และอีกตัวคือหลัวซิวในชุดขาว

จากสีของเสื้อ จะเห็นได้ว่าต่อจากนี้ไปหลัวซิวในชุดดำจะฝึกฝนกฎความตายเป็นหลัก และหลัวซิวในชุดขาวจะฝึกฝนกฎชีวิตเป็นหลัก

หลัวซิวใส่ลูกแก้วความเป็นตายอยู่ในหยั่งรู้ของร่างแยกกฎชีวิต และตั้งใจว่าต่อจากนี้ไป ร่างแยกชุดขาวจะนั่งทำความเข้าใจผังกฎดั้งเดิมอยู่ในสำนักไท่เสวียน เพิ่มการเข้าใจของกฎชีวิต

และร่างแยกชุดดำก็ออกไปสำรวจและทำความเข้าใจกฎความตาย

หลัวซิวสองคน คนหนึ่งในชุดขาวและอีกคนชุดดำ นั่งตรงข้ามกัน

คิ้วของหลัวซิวแตกออก ช่องจิตปลอมสองสว่างที่สั่นไหวก็บินออกมา ลอยอยู่ระหว่างคนทั้งสอง

การแยกวิญญาณดั้งเดิมครั้งก่อน ทำให้ดินแดนสำนึกของหลัวซิว ลดลงจากมหายุทธ์ขั้น 7 ไปสู่ระดับมหายุทธ์ขั้นปฐมภูมิ ในเวลานี้สามารถใช้พลังวิญญาณในช่องจิตปลอม เติมเต็มพลังวิญญาณที่หายไปกลับคืนมา

เวลาผ่านไปอย่างเงียบ ๆ ตัวสำนึกของหลัวซิวสองคนในชุดขาวและดำก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วถึงมหายุทธ์ขั้น 7

หลัวซิวพลิกแหวนเก็บของของเขา แม้ว่าจะมีทรัพยากรสมบัติและยาอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะกู้คืนโลหิตห้าหยดที่หายไปกลับมาได้

และเขาต้องการจะฟื้นฟูไม่ใช่แค่เพียงโลหิตห้าหยดเท่านั้น แต่เป็นสิบหยด! ร่างแยกสองคน แต่ละร่างต้องเพิ่มห้าหยด

การสูญเสียของโลหิต เกี่ยวข้องโดยตรงกับแดนร่างเนื้อ ร่างแยกสองคนของหลัวซิวในขณะนี้ แดนร่างเนื้ออยู่ในระดับแดนศักดิ์สิทธิ์ขั้นปฐมภูมิ ได้ตกลงไปสองแดน

“แม้ว่าใรตอนแรกจะค่อนข้างยาก แต่ในวันข้างหน้า ประโยชน์ของวิชาแบ่งร่างดับเบิ้ลจะค่อยๆ ปรากฏขึ้นมา”

ร่างแยกชุดชุดขาวอยู่ในหอฝึกฝนกลางต่อไป แต่หลัวซิวในชุดดำเลือกที่จะออกจากการปิดกั้นฝึกตน

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 728
ก้อนแสงบินออกมาจากวงวัฏจักรอันเก่าแก่นิรันดร์ นี่เป็นของประทานจากกฎดั้งเดิม

ทุกครั้งที่ผลการฝึกตนบรรลุผ่านหนึ่งแดนใหญ่ ก็จะได้รับของประทาน ซึ่งเป็นประโยชน์มหาศาลของผู้สืบทอดกฎดั้งเดิม

ในใจของหลัวซิวเต็มไปด้วยความคาดหวัง ตลอดทางที่เขาเติบโตขึ้นมา กล่าวได้ว่าเขารู้สึกอย่างลึกซึ้งถึงประโยชน์มหาศาลที่ได้รับจากของประทานจากกฎดั้งเดิม

เมื่อก้อนแสงเข้ามาใกล้ หลัวซิวยกมือคว้ามันไว้ ในวินาทีที่เขาจับก้อนแสงได้ ข้อความก็หลั่งไหลเข้ามาในสมองของเขา

“วิชาแบ่งร่างดับเบิ้ล?”

เมื่อหลัวซิวทำความเข้าใจข้อมูลที่เขาได้รับ เทพแห่งวัฏจักรชีวิตได้ส่งเขาออกจากโซนวัฏจักรชีวิตอย่างไม่เกรงใจ

วิชาแบ่งร่างดับเบิ้ลนี้เป็นวิชาพลังอมตะหนึ่ง แต่พลังอมตะนี้ค่อนข้างพิเศษ ต้องเป็นจอมยุทธ์ที่ฝึกฝนกฎสองระดับจึงจะสามารถฝึกฝนได้

ตัวอย่างเช่น น้ำไฟสองระดับ หยินหยางสองระดับ มืดสว่างสองระดับ …

เมื่อฝึกฝนวิชาพลังอมตะนี้สำเร็จ จะสามารถแยกสองระดับออกจากกันเพื่อสร้างร่างสองร่าง และร่างทั้งสองร่างสามารถหลอมรวมได้ตลอดเวลา

ถ้าหลัวซิวมาฝึกฝน เขาสามารถแปลงร่างเป็นสองคนได้ คนหนึ่งควบคุมกฎแห่งชีวิต และอีกคนหนึ่งควบคุมกฎแห่งความตาย

ข้อดีของสิ่งนี้คือร่างทั้งสองนี้สามารถทำความเข้าใจพลังแห่งกฎที่แตกต่างกันได้ แดนแห่งกฎสามารถเพิ่มได้เร็วขึ้น

และมีข้อเสียด้วยเช่นกัน คือ เมื่อแยกจากกันแล้วจะไม่แข็งแกร่งเท่าคนเดียวอย่างเมื่อก่อนแน่นอน

ข้อดีและข้อเสียของพลังอมตะวิชานี้ชัดเจนมาก สามารถเพิ่มการรับรู้เกี่ยวกับแดนแห่งกฎได้ แต่จะลดความแข็งแกร่งของตัวเองลงในระดับหนึ่ง

หากเป็นกรณีนี้ หลัวซิวอาจต้องคิดดีๆว่าตัวเองจะฝึกฝนวิชาพลังอมตะนี้

แต่เมื่อหลัวซิวสังเกตเห็นข้อมูลเพิ่มเติม เขาก็ตัดสินใจว่าต้องฝึกฝนพลังอมตะนี้ทันที

เพราะในตอนท้ายของข้อมูลที่ให้โดยกฎดั้งเดิม มีประโยคหนึ่งที่กล่าวว่า “จอมยุทธ์ผู้ได้ปลุกผู้เป็นอมตะขึ้นมานั้น ได้ฝึกฝนวิชาแยกร่างนี้ ตราบใดที่ร่างแยกมีผู้เป็นอมตะไม่ตาย งั้นร่างแยกอีกหนึ่งร่างตายไปก็สามารถคืนชีพได้”

“นี่เท่ากับว่าเป็นผู้อมตะเลย!” ดวงตาของหลัวซิวร้อนจัด

ผู้เป็นอมตะ เกิดมาจากกฎชีวิตกลายเป็นพลังอมตะ ซึ่งหมายความว่าหากเขาฝึกฝนวิชาแบ่งร่างดับเบิ้ล ตราบใดที่ร่างแยกของกฎชีวิตไม่ตาย แม้ว่าร่างแยกของกฎความตายได้ตายไป ก็สามารถคืนชีพผ่านกฎชีวิตได้

แม้ว่าความแข็งแกร่งของเขาจะลดลงด้วยเหตุนี้ แต่มันก็คุ้มค่าอย่างแน่นอน และวิชาพลังอมตะนี้ แดนแห่งกฎของเขาจะเพิ่มขึ้นเร็วขึ้น

หลัวซิวนั่งขัดสมาธิ ปรับสถานะร่างกายให้ถึงจุดสูงสุด

ขั้นตอนแรกของวิชาแบ่งร่างดับเบิ้ลคือการแยกวิญญาณดั้งเดิม

วิญญาณดั้งเดิม เป็นบ่อเกิดของหยั่งรู้ ถ้าแบ่งเป็น 2 ส่วน เรียกได้ว่าเป็นกระบวนการที่อันตรายอย่างยิ่ง

แต่สำหรับจุดนี้ หลัวซิวไม่ต้องกังวลมากเกินไป วิญญาณดั้งเดิมของเขาหลอมรวมเข้ากับลูกแก้วความเป็นตายเป็นร่างเดียวดัน มีลูกแก้วความเป็นตายปกป้อง แค่ระมัดระวัง ก็จะไม่มีอุบัติเหตุที่ควบคุมไม่ได้

“ฟัน!”

ในหยั่งรู้ หลัวซิวตะคอกเบา ๆ ตัวสำนึกรูปกระบี่ฟันไปยังวิญญาณดั้งเดิม

ทุกครั้งที่กระบี่สำนึกถูกฟันออกไป วิญญาณดั้งเดิมของหลัวซิวจะเกิดช่องว่าง ในกรณีนี้ เขาไม่กล้าที่จะประมาทเพียงเล็กน้อยและควบคุมกำลังอย่างระมัดระวัง

การแยกวิญญาณดั้งเดิมนั้นเจ็บปวดอย่างยิ่ง ความเจ็บปวดนี้ มากกว่าความเจ็บปวดของร่างกายที่ถูกฉีกออกเป็นสองชิ้น

ในช่วงเวลาสั้น ๆ หลัวซิวก็มีเหงื่อออกมากแล้ว แม้ว่าเขาจะมีจิตใจแน่วแน่เหมือนภูเขา แต่ก็ยากที่จะทนต่อความเจ็บปวดแบบนี้

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 727
“ผู้คุมกฎเกา เจ้าถือป้ายของข้า ภายในสามวัน ส่งศิษย์ไท่เสวียนทั้งหมดไปยังแดนตำหนักจื่อ ยังมีตำหนักต่างๆในสำนักเขา สามารถเคลื่อนย้ายได้ก็ย้ายไปยังแดนปริศนา” หลัวซิวพูดช้าๆ

เมื่อหลัวซิวพูดเช่นนี้ เกาเหลียนหงก็เข้าใจทันทีว่าต้องทำอย่างไร

ในเวลาเพียงสองวัน เกาเหลียนหงทำตามคำสั่งของหลัวซิว ได้ส่งศิษย์สำนักไท่เสวียนทั้งหมดไปยังแดนตำหนักจื่อ

แม้ว่าพื้นที่ในแดนตำหนักจื่อจะไม่ใหญ่มาก แต่ก็สามารถรองรับคนหลายร้อยคนได้อย่างง่ายดาย และได้ย้ายตำหนักจำนวนมากในสำนักเขาไปยังแดนปริศนา พื้นที่ก็ไม่แน่นหนา

“โอ้ พระเจ้า ที่นี่มีพลังฟ้าดินจิตมากเลย!”

“เหมือนว่าจะยังสัมผัสได้ถึงพลังที่บริสุทธิ์ยิ่งกว่าพลังฟ้าดินจิต!”

“หรือว่านี่คือปราณทิพย์ฟ้าดินในตำนาน?”

“สำนักไท่เสวียนของเรายังมีสถานที่ฝึกตนอันล้ำค่าเช่นนี้!”

หลังจากที่สาวกหลายร้อยคนเข้าสู่แดนตำหนักจื่อ พวกเขาต่างก็ตะลึงอย่างมากกับพลังฟ้าดินจิตที่อุดมสมบูรณ์ของที่นี่

ค่ายผนึกปราณขั้น 8 แปดสิบเอ็ดค่ายกล ได้เพิ่มและผนึกแน่น ในสภาพแวดล้อมนี้ ฝึกตนวันหนึ่งก็เท่ากับฝึกตนในโลกภายนอกเป็นเวลาหนึ่งปี!

“ข้ารู้สึกว่าผลการฝึกตนจะบรรลุแล้ว ใช้เวลาไม่กี่วันก็จะบรรลุแล้ว” ใบหน้าของหลายคนแสดงสีหน้ายินดี

พวกเขาส่วนใหญ่คิดว่าการเข้าสู่แดนปริศนาคือสำนักต้องการเพิ่มความแข็งแกร่งของพวกเขา แต่ในความเป็นจริง หลายคนไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าสู่แดนตำหนักจื่อเพื่อฝึกฝน

เหตุผลที่ได้รับโอกาสในการเข้าสู่แดนปริศนาเพื่อฝึกฝน เพื่อหลีกเลี่ยงการแก้แค้นของเผ่าหงส์

พลังของเผ่าหงส์สามารถเทียบได้กับแดนศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นจึงต้องมีระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์อยู่แน่ หลัวซิวรู้ว่าเขาสามารถต่อสู้กับเจ้ายุทธจักรธรรมดาได้ แต่ถ้าพบผู้แข็งแกร่ง ที่มีฉายาเจ้ายุทธจักร เขาจะไม่ใช่คู่ต่อสู้อย่างแน่นอน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้เก่งกาจระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์?

ดังนั้นหลัวซิวจึงหาทางออกตั้งแต่แรกเริ่มแล้ว นั่นคือแดนตำหนักจื่อ!

แดนตำหนักจื่อนี้เป็นแดนปริศนาที่สร้างขึ้นมาเพื่อฝึกตนโดยไท่เสวียนโบราณในอดีต ทางเข้าแดนปริศนามีจำกฎห้าม และถูกซ่อนอยู่ในสุญญากาศ ยกเว้นรู้พิกัดที่แน่นอน เป็นการยากที่จะค้นพบ

“พ่อหนุ่ม เผ่าหงส์เชี่ยวชาญกฎแห่งเพลิงอัคคี หาพิกัดทางเข้าแดนปริศนาได้ยากจริงๆ แต่ถ้าพวกเขาเชิญผู้แข็งแกร่งที่เข้าใจผู้แข็งแกร่งกฎแห่งโซน หาทางเข้าแดนปริศนาก็ไม่ค่อยยากนัก”

สำหรับทางเลือกถอยหลังของหลัวซิว มหาจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำรู้สึกว่าไม่ปลอดภัยมากนัก

“เผ่าหงส์ไม่ควรมีการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่เช่นนี้” หลัวซิวกล่าว

ไม่ว่าในกรณีใด เขายังเป็นผู้ลาดตระเวนที่สังกัดเมืองศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ข้างบนมีการคุ้มครองจากเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิว และเบื้องหลังเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวมีนิรันดร์แดนศักดิ์สิทธิ์ ตระกูลหวูและเมืองศักดิ์สิทธิ์

เผ่าหงส์ทำอะไรลับๆล่อเล็กน้อยอยู่ด้านล่างก็ช่าง หากจะจัดการเขาอย่างเปิดเผย งั้นเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวจะไม่นั่งเฉยแน่นอน

ไม่ว่าเผ่าหงส์จะแข็งแกร่งผยองเพียงใด พวกเขาก็ต้องคิดถึงกองกำลังที่อยู่เบื้องหลังเจ้ายุทธจักรอัคคี

หลังจากจัดการทุกอย่างอย่างเรียบร้อยแล้ว หลัวซิวเลือกหอฝึกฝนชั้นที่สูงที่สุดส่วนกลางในแดนปริศนาปิดกั้นฝึกตน

หลังจากที่ผลการฝึกตนบรรลุถึงมกุฎยุทธ์ จนถึงขณะนี้ผลการฝึกตนถึงมกุฎยุทธ์ขั้น 7 เขาไม่เคยใช้ของประทานจากกฎดั้งเดิมเลย

คราวนี้หลัวซิวปิดกั้นฝึกตนเพื่อของประทานจากกฎดั้งเดิม

“ผู้สืบทอดที่อ่อนแอ…”

เมื่อเข้าสู่โซนวัฏจักรชีวิตในลูกแก้วความเป็นตาย หลัวซิวเลือกที่จะเพิกเฉยต่อคำต่อไปนี้ทันทีที่เขาได้ยินเสียงของเทพแห่งวัฏจักรชีวิต

หลังจากสนทนาพูดคุยกับเทวทูตจื่อเยียนแล้ว ทำให้หลัวซิวตระหนักถึงความแคบของวิสัยทัศน์และความรู้ของเขา เขาคาดว่าถึงแม้ว่าเขาจะบรรลุแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ เขาก็ไม่สามารถถอดหมวกของผู้สืบทอดที่อ่อนแอออกไปได้

บทที่ 726

บทที่ 728

เพียงแต่เขาคาดไม่ถึงว่าผู้บัญชาการเผ่าหงส์คนนี้จะไม่ใช้แม้แต่ไพ่ตาย แล้วเลือกที่จะหนีไป

“ผู้บัญชาการของเผ่าหงส์ก็ไม่ได้เก่งกาจอะไรมาก ดูเหมือนว่าข้าจะประเมินเจ้าสูงไป”

หลัวซิวเยาะเย้ย ระหว่างที่ร่างกายเคลื่อนไหวก็ไล่ตามเขาไปอย่างไม่เร่งรีบ ดูเหมือนว่าฝีเท้าของเขาจะไม่เร็วนัก แต่แต่ละก้าวก็ลดระยะทางหลายไมล์ในทันที

“ไปตายซะ!”

ทันใดนั้น ผู้บัญชาการเผ่าหงส์ที่หนีไปอย่างรวดเร็วก็หันกลับมา แล้วโยนคริสตัลที่ล้อมรอบด้วยเพลิงอัคคีใส่หลัวซิว

บูม!

คริสตัลเพลิงอัคคีระเบิดทันที และกฎแห่งเพลิงอัคคีที่น่าสะพรึงกลัวก็กระจายออกมา

ผู้บัญชาการเผ่าหงส์จงใจหลบหนี วัตถุประสงค์เพื่อล่อให้หลัวซิวไล่ตาม จากนั้นใช้โอกาสนี้โยนคริสตัลพลังแห่งเพลิงอัคคี

นี่คือคริสตัลเพลิงอัคคีชั้นกลางลูกหนึ่ง เดิมทีผู้บัญชาการเผ่าหงส์คิดจะทำความเข้าใจพลังแห่งกฎที่อยู่ข้างใน เพื่อเพิ่มแดนแห่งกฎของเขาเอง ตอนนี้ เพื่อฆ่าหลัวซิว เขาทำได้เพียงให้คริสตัลนี้ระเบิด

คริสตัลกฎขั้นกลางระเบิด แม้แต่เจ้ายุทธจักรขั้นกลางอยู่ใกล้ก็จะได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง

“นี่คือไพ่ตายของเจ้าเหรอ?”

สีหน้าที่ดุร้ายบนใบหน้าของผู้บัญชาการเผ่าหงส์แข็งทื่ออย่างกะทันหัน เพราะเสียงของหลัวซิวดังมาจากด้านหลังเขาในทันใด

“เจ้า…” ผู้บัญชาการเผ่าหงส์หันกลับมาทันที เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหลัวซิวมาข้างหลังเขาเมื่อไร

“จุดประสงค์ของการหลบหนีโดยเจตนาของเจ้าคือการระเบิดคริสตัลกฎธาตุไฟ เพื่อฆ่าข้า?”

แผ่นหลังหลัวซิว มีปีกคู่หนึ่งที่ผนึกรวมด้วยเปลวไฟสีดำค่อยๆ กระพือ เขาเยาะเย้ย “น่าเสียดายที่ตอนนี้เจ้าไม่มีแม้แต่โอกาสหลบหนี”

ขณะพูด ร่างของหลัวซิวหายไปในทันที

อัก!

ผู้บัญชาการของเผ่าหงส์ยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น จู่ ๆ เขาก็รู้สึกเจ็บหน้าอก ดาบสีดำแทงทะลุร่างกายของเขา และดาบที่เปื้อนเลือดก็ยื่นออกมาจากหน้าอกของเขา

ผู้บังคับบัญชาของเผ่าหงส์ก้มศีรษะลงมองดาบที่แทงทะลุหน้าอกของเขา สีหน้าสยดสยอง ณ เวลานี้ เขาถึงตระหนักได้ว่ามันง่ายมากที่อีกฝ่ายจะฆ่าเขา แต่ตัวเขาเองยังรู้สึกว่าเขาสามารถฆ่าอีกฝ่ายได้ด้วยไพ่ตายของเขา ช่างน่าตลกจริงๆ!

หลัวซิวดึงกระบี่เสวียนยวนออกมา ศพของผู้บัญชาการเผ่าหงส์ตกลงมาจากอากาศ สำหรับแหวนเก็บของของอีกฝ่าย ถูกหลัวซิวเก็บมาอย่างเชี่ยวชาญ

เก็บปีกทิพย์ไร้มลทินและกระบี่เสวียนยวน หลัวซิวไม่แม้แต่จะมองไปที่ศพของผู้บัญชาการเผ่าหงส์ ร่างของเขาสั่นไหวสองสามครั้ง ก็กลับไปถึงไท่เสวียนสำนักเขา

เรือรบเทพหงส์ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงขนาดได้ ยังคงลอยอยู่เหนือสำนักเขา

“คำนับเจ้าสำนัก!”

เมื่อหลัวซิวกลับมาถึง ศิษย์ไท่เสวียนทั้งหมดทำความเคารพอย่างเคารพ มองมาที่เขาด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชมและเคารพ

พวกเขาไม่รู้ที่มาของกลุ่มคนที่จู่ ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นในเรือรบเมื่อครู่นี้เป็นใคร แต่พวกเขาสามารถสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งและความหวาดกลัวจากคนเหล่านั้นได้อย่างชัดเจน

และศัตรูที่แข็งแกร่งเช่นนี้ ก็พ่ายแพ้ให้กับเจ้าสำนักอย่างง่าย ซึ่งทำให้หลัวซิวเป็นภาพลักษณ์ที่ทรงพลังและไร้คู่แข่งในใจของศิษย์ไท่เสวียนอย่างไม่ต้องสงสัย

“เจ้าสำนัก คือผู้คนจากเผ่าหงส์หรือ?” เกาเหลียนหงถามอย่างกังวลเมื่อเขากลับไปที่ตำหนักวัฏสงสาร

เมื่อเห็นหลัวซิวพยักหน้า เกาเหลียนหงยิ้มอย่างขมขื่น “ดูเหมือนว่าเจ้าสำนักก็เป็นศัตรูกับเผ่าหงส์แล้ว เผ่าหงส์ฉาวโฉ่ในเรื่องจำความแค้น ครั้งนี้เจ้าสำนักได้ฆ่าพวกเขาไปหลายคน จะไม่ปล่อยไปง่ายๆแน่นอน บางทีอาจไม่นานนักก็จะมีผู้แข็งแกร่งเจ้ายุทธจักรมาหาถึงที่”

“อย่ากังวลไปเลย ข้ามีวิธีรับมือ” หลัวซิวไม่ได้อธิบายว่าผู้บัญชาการเผ่าหงส์ที่ถูกเขาฆ่าคือเจ้ายุทธจักรผู้หนึ่ง

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 725
ห่างออกไปหนึ่งร้อยเมต ผู้บัญชาการเผ่าหงส์บังคับร่างของเขามั่นคง ใบหน้าของเขาซีดไปชั่วขณะ เลือดไหลออกมาจากมุมปากของเขา

“ช่างเป็นชายหนุ่มที่น่าสะพรึงกลัวจริงๆ…” สีหน้าของผู้บัญชาการเผ่าหงส์เปลี่ยนไป เขารู้สึกว่าเป็นการกระทำที่ไม่ฉลาดจริงๆ ที่เผ่าหงส์ยั่วยุชายหนุ่มผู้นี้

ตามข้อมูลที่เขาได้มาจากเผ่าหงส์ ชายหนุ่มคนนี้ที่ชื่อหลัวซิว ดูเหมือนว่าปีนี้อายุน้อยกว่า 23 ปี ในวัยนี้เขามีพลังต่อสู้เทียบเท่าเจ้ายุทธจักรแม้แต่ในแดนศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญ มีเพียงอัจฉริยะไม่กี่คนเท่านั้นที่ทำได้

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเขายังเด็กมาก เมื่อเขาโตขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ก็จะน่ากลัวจริงๆ

แต่เรื่องนี้มาถึงจุดนี้แล้ว สายตาของผู้บัญชาการเผ่าหงส์ฉายแววเจตนาฆ่าอย่างดุเดือด เมื่อเป็นศัตรูกับคนประเภทนี้แล้ว ต้องไม่ให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นหายนะสำหรับเผ่าหงส์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“ทำลายมัน!”

ในขณะที่ผู้บัญชาการเผ่าหงส์ลังเล หลัวซิวก็ตะโกนออกมาเสียงดัง

พลังเพลิงอัคคีที่เขาได้กลืนกินดูดซับเข้าไปก่อนหน้านี้ ถูกเขากระตุ้นออกมาในครั้งเดียว ได้โจมตีม่านแสงเพลิงของเรือรบเทพหงส์อย่างดุเดือด

ม่านแสงเพลิงของเรือรบเทพหงส์แตกในทันที จากนั้นหลัวซิวราวกับเข้าไปในดินแดนที่ไม่มีผู้คนอยู่ ยกมือขึ้นแล้วสะบัด กระบี่เพลิงสีดำหลายสิบเล่มไขว้กันไปมา แล้วฆ่านักรบหนึ่งร้อยคนที่มีผลการฝึกตนระดับแดนจักรพรรดิยุทธ์ของเผ่าหงส์ให้ตายทั้งหมด

ดวงตาของผู้บัญชาการเผ่าหงส์ราวกับจะแตกออก เขาคำรามและพุ่งเข้าหาหลัวซิวด้วยความโกรธแค้น ดวงตาของเขาดูดุร้าย หอกรบในมือของเขาแทงไปทางหลัวซิวครั้งแล้วครั้งเล่า

“เจ้าพาคนมาทำลายล้างไท่เสวียนของข้า คิดจะฆ่าข้า เจ้าก็ควรเตรียมตัวตายแล้ว เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าเผ่าหงส์นั้นไร้เทียมทานในโลกนี้ และคนอื่นฆ่าพวกเจ้าไม่ได้?”

หลัวซิวหัวเราะเยาะ “ไม่ต้องพูดถึงว่าเผ่าหงส์ของเจ้าในโลกแสงดาว ยังไม่มีคุณสมบัติที่จะอยู่ยงคงกระพันไร้เทียมทาน ในโลกอื่นนอก โลกแสงดาว ยังมีผู้แข็งแกร่งมากมายที่สามารถสังหารเผ่าหงส์ของเจ้าเหมือนเชือดสุนัขอย่างง่ายดาย!

“กลในกะลาครอบ กบในกะลาครอบ!”

มือข้างหนึ่งของหลัวซิวไขว้ไว้ข้างหลังและใช้มือซ้ายต้านทานการโจมตีของผู้บัญชาการเผ่าหงส์

นี่ทำให้ผู้บัญชาการเผ่าหงส์รู้สึกละอายใจและโกรธแค้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันเป็นความอัปยศสำหรับเขาที่อีกฝ่ายต่อสู้กับเขาด้วยมือเดียว

ตราทวยเทพมรณะ!

หลังจากทำให้ตราธรรมจุติมรณะเรียบง่ายขึ้น หลัวซิวก็ใช้งานสะดวกขึ้นเรื่อยๆ เขาสามารถใช้มันได้ด้วยการพลิกมือก็ได้แล้ว

แม้ว่าเวอร์ชันที่เรียบง่ายจะไม่ทรงพลังเหมือนเมื่อก่อน แต่ก็มีพลังมากกว่าหมัดกระบี่ของพลังอมตะเล็ก ซึ่งสามารถเรียกได้ว่าเป็นกระบวนท่าของพลังอมตะ

บูม!

มีการระเบิดที่รุนแรงอีกครั้ง และผู้บัญชาการของเผ่าหงส์ก็ถูกโจมตีอีกครั้งแล้วบินออกไปหนึ่งร้อยเมตร แม้ว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บ แต่อาการไม่หนัก

หลัวซิวก้าวไปข้างหน้า ปรากฏตัวต่อหน้าผู้บัญชาการเผ่าหงส์พร้อมปล่อยหมัดกระบี่ออกไป

ร่างของผู้บัญชาการเผ่าหงส์เพิ่งจะทรงตัว เพราะความรีบร้อน เขาทำได้เพียงผนึกรวมลมปราณแท้เล็กน้อยต่อต้านหมัดกระบี่ของหลัวซิว

บูม!

ผู้บัญชาการของเผ่าหงส์ถูกต่อยออกไปอีกครั้ง เลือดในร่างกายของเขาร้อยรุ่ม เป็นถึงเจ้ายุทธจักรผู้กลับถูกชายหนุ่มที่มีผลการฝึกตนมกุฎยุทธ์กระทืบและทุบตี รู้ได้เลยว่าอารมณ์ของเขาทั้งตกใจและโกรธแค้นเป็นอย่างมาก

หลัวซิวไร้ความปราณี หมัดกระบี่ปล่อยออกไปเรื่อย ๆ ทุกหมัดเท่ากับการโจมตีสุดกำลังของเจ้ายุทธจักรขั้นปฐมภูมิ

เผชิญกับการโจมตีที่รุนแรงเช่นนี้ ผู้บัญชาการของเผ่าหงส์รับมือไม่ไหว และได้รับบาดเจ็บซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ในเวลาไม่นาน ผู้บัญชาการเผ่าหงส์ก็มีบาดแผลเป็นไปหมด เขารู้ว่าถ้าเขายังไม่จากไป กลัวว่าเขาจะตายอยู่ที่นี่แล้ว

แต่ถ้าเขาหนีไปตอนนี้ ในใจของเขาก็ไม่พอชอบใจ เพราะเขายังมีไพ่ตายที่ยังไม่ได้ใช้ เขาอาจจะฆ่าชายหนุ่มเก่งกาจที่น่าสะพรึงกลัวคนนี้ได้

ทันใดนั้น ผู้บัญชาการของเผ่าหงส์กัดฟันหันหลังกลับเพื่อหนี และแม้แต่เรือรบเทพหงส์ก็ถูกทิ้งอยู่ที่นี่ ไม่มีเวลาไปสนใจเรือรบแล้ว

“อยากหนีหรือ?” หลัวซิวเยาะเย้ย จริง ๆ แล้วเขาไม่ได้ใช้กำลังเต็มที่ เพราะเขารู้ว่าอีกฝ่ายจะต้องมีไพ่ตายแน่นอน

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 724
หลัวซิวปรากฏตัวต่อหน้าเรือรบเทพหงส์ แต่เขาไม่ได้โจมตี แต่วางฝ่ามือลงบนหน้าม่านเปลวไฟ

เพลิงอัคคีสีทองลุกโชนขึ้นระหว่างฝ่ามือของหลัวซิว ตามด้วยพลังเพลิงอัคคีที่เพลิงอัคคีโดยเรือรบเทพหงส์ทั้งหมด ถูกหลัวซิวดูดกลืนเข้าไปในร่างกายของเขาอย่างบ้าคลั่งผ่านฝ่ามือของเขา

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

นักรบเผ่าหงส์ร้อยคนบนเรือรบต่างตกตะลึง และการสูญเสียพลังเพลิงอัคคีมากมาย ทำให้การโจมตีของปืนเทพหงส์ ผนึกรวมได้ยาก

ผู้บัญชาการของเผ่าหงส์ก็สังเกตเห็นความผิดปกติที่นี่ ถือหอกรบเพื่อผนึกรวมเพลิงอัคคีพลังแห่งกฎ และแทงไปทางหลังหัวใจของหลัวซิว

หลัวซิววางมือข้างหนึ่งบนม่านแสงเพลิงเพื่อดูดซับพลังเพลิงอัคคีของเรือรบเทพหงส์อย่างต่อเนื่อง และใช้มืออีกข้างรับการโจมตีของผู้บัญชาการเผ่าหงส์

ภูตอัคคีร้อยแปรที่เขาฝึกฝน รากฐานพลังการกลืนกินคือภูตอัคคีกลืนกิน ภูตอัคคีชนิดนี้สามารถพูดได้ว่าเป็นกรรมตามสนองของไฟทุกชนิดในโลก แม้แต่ภูตอัคคีตัวอื่นก็สามารถกลืนกินได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพลังเพลิงอัคคีของเรือรบเทพหงส์?

แม้ว่าพลังเพลิงอัคคีของเรือรบเทพหงส์จะพลานุภาพ แต่ก็ไม่มีร่องรอยของความลึกลับดั้งเดิมอย่างเช่นภูตอัคคี ดังนั้นแม้ว่าจะใช้ภูตอัคคีร้อยแปรกลืนกินมากเท่าไหร่ก็ไม่สามารถทำให้ภูตอัคคีกลืนกินเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบที่สาม

หากต้องการให้ภูตอัคคีกลืนกินเกิดการเปลี่ยนแปลง ก็ต้องกลืนกินภูตอัคคีตัวอื่น ๆ และต้องเป็นภูตอัคคีประเภทอื่นเท่านั้น เคยกลืนกินภูตอัคคีชนิดหนึ่งมาก่อนแล้วกลืนกินอีกครั้ง ไม่ได้ผล!

บูม!

หมัดกระบี่ของหลัวซิวปะทะกับหอกรบของผู้บัญชาการเผ่าหงส์อีกครั้ง และผลที่ตามมาของพลังปั่นป่วนก็ซัดมา ก่อตัวเป็นกระแสน้ำวนพลังขนาดใหญ่โดยมีสองคนเป็นศูนย์กลางในรัศมีหลายร้อยฟุต โซนอากาศเกิดรอยแตกมากมาย เหมือนกระจกที่มีรอยแตก

“เฉียง! เฉียง! เฉียง! เฉียง!…”

ผู้บัญชาการของเผ่าหงส์คือกลั่นร่างแดนเจ้ายุทธจักร ร่างยุทธ์แดนเจ้ายุทธจักรแข็งแกร่งมาก ทุกการเคลื่อนไหวมีพลังแห่งกฎปะปนอยู่ด้วย

แม้ว่าร่างยุทธ์ร่างเนื้อของหลัวซิวคือระดับแดนศักดิ์สิทธิ์ช่วงปลาย แต่เนื่องจากความเข้าใจแดนพลังแห่งกฎสูง ด้วยพรของกฎความตาย จึงดีกว่าร่างยุทธ์แดนเจ้ายุทธจักรขั้นปฐมภูมิของบัญชาการเผ่าหงส์ส่งเล็กน้อย

เห็นผู้บัญชาการของเผ่าหงส์ยังคงแทงหอกไม่หยุด การรุกเหมือนพายุที่รุนแรง แต่ไม่ว่าความเร็วในการโจมตีของเขาจะเร็วแค่ไหน ไม่ว่าเขาจะแข็งแกร่งแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถทำให้หลัวซิวเคลื่อนไหวได้ครึ่งก้าว

ในระหว่างสถานการณ์นี้ หลัวซิวดูดซับพลังเพลิงอัคคีจำนวนมากของเรือรบเทพหงส์ ออร่าของเรือรบก็ลดลงสามส่วนอย่างกะทันหัน

“พวกที่ดูแลหน่วยสืบข่าวในเผ่ากินด้วยอะไร? ความแข็งแกร่งของหลัวซิวนี้ เทียบได้กับความแข็งแกร่งของเจ้ายุทธจักร แล้วยังสามารถกลืนกินและดูดซับพลังเพลิงอัคคีได้ นี่เป็นศัตรูตัวฉการของเผ่าหงส์ของเราแล้ว”

รู้สึกถึงพลังเพลิงอัคคีของเรือรบเทพหงส์อ่อนแอลงเรื่อย ๆ ผู้บัญชาการเผ่าหงส์ตกใจและโกรธ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้

“หงส์ร้องนวสวรรค์!”

หอกรบในมือของผู้บัญชาการเผ่าหงส์ส่องประกาย เพลิงอัคคีพ่นออกมาเป็นกองๆ ผนึกรวมเป็นร่างหงส์ และเสียงหงส์ร้องที่คมชัดก็ดังก้องอยู่บนท้องฟ้า

เห็นเขาตะโกนด้วยความโกรธและหอกรบก็แทงไปยังศีรษะของหลัวซิว เขามั่นใจในการโจมตีของเขาครั้งนี้มาก หลัวซิวจะหลบอย่างแน่นอนและไม่สามารถกลืนกินและดูดซับพลังเพลิงอัคคีของเรือรบเทพหงส์ต่อไปได้

แต่สิ่งที่ทำให้ผู้บัญชาการเผ่าหงส์ไม่คาดคิดก็คือหลัวซิวไม่มีความคิดที่จะหลบเลี่ยงด้วยซ้ำ ยังใช้มือข้างหนึ่งบีบผนึกที่ยุ่งยาก และรูเล็ตที่ผนึกแน่นจากเปลวไฟสีดำก็พุ่งออกมา

ตราทวยเทพมรณะ!

ย้อนกลับไปบนชั้นสี่ของหอคอยสุดหล้า หลัวซิวใช้ตราทวยเทพมรณะฆ่ากลั่นร่างเจ้ายุทธจักรในครั้งเดียว!

บูม!

หอกรบของผู้บัญชาการเผ่าหงส์แทงลงบนรูเล็ตเปลวไฟสีดำและพลังอันน่าสะพรึงกลัวก็พุ่งออกมา ผู้บัญชาการเผ่าหงส์รู้สึกถึงพลังพลานุภาพที่ไม่อาจต้านทานได้พุ่งเข้ามาหาเขา ทันใดนั้น ร่างของเขาก็พุ่งออกไปกว่าร้อยเมตร

แคร่ง!

หลัวซิวปล่อยหมัดกระบี่ออกไปชนกับหอกยาวของผู้บัญชาการเผ่าหงส์

บูม! บูม! บูม!

วินาทีที่พลังน่ากลัวทั้งสองปะทะกัน ผลพวงอันทรงพลังก็กวาดออกไป ทำลายโซนโดยรอบให้กลายเป็นความมืด

“อืม?”

ผู้บังคับบัญชาของเผ่าหงส์รู้สึกว่าหอกยาวในมือสั่นอย่างรุนแรง หมัดที่ดูเหมือนธรรมดาของคู่ต่อสู้ ดูเหมือนจะมีกลิ่นอายของการทำลายล้างทุกอย่าง ทำให้หอกยาวของขลังขั้นสูงของเขา รู้สึกทนความแข็งแกร่งของพลังนี้ไม่ได้เล็กน้อย

ปรากฏการณ์นี้ทำให้ผู้บัญชาการของเผ่าหงส์ประหลาดใจ เพราะนี่เป็นอาวุธของขลังขั้นสูง

“กระบวนท่าของเขาแปลกประหลาด!”

ผู้บัญชาการเผ่าหงส์หลีกเลี่ยงอันตรายชั่วคราว และเลือกที่จะถอยหลัง สายตาของเขาจดจ่อกับหมัดของหลัวซิว เห็นได้ชัดว่าไม่มีอะไรแปลกๆ

“ความแข็งแกร่งของคนผู้นี้ไม่อ่อนแอ แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะต่อต้านของขลังขั้นสูงได้ เป็นไปได้ไหมว่า…” สีหน้าของผู้บัญชาการเผ่าหงส์ขรึมลงทันที

ทักษะการต่อสู้ร่างเนื้อพลังอมตะ?

ในโลกแสงดาวนี้ การสืบทอดของเผ่าหงส์นั้นเก่าแก่มาก และในม้วนหยกโบราณบางส่วนได้บันทึกบางสิ่งที่เกี่ยวข้องกับพลังอมตะ

สิ่งที่แข็งแกร่งมากที่สุดในโลกแสงดาวคือวิชายิ่งเลิศขั้นสูงสุด มีเพียงไม่กี่คนที่เคยได้ยินเกี่ยวกับพลังอมตะ และมีเพียงไม่กี่คนที่เข้าใจแนวคิดของพลังอมตะ

แต่ในประวัติศาสตร์อันไม่รู้จบของโลกแสงดาว เคยมีผู้แข็งแกร่งที่มาจากโลกอื่นที่ใช้พลังอมตะ

“หรือว่าเมื่อครู่นี้สิ่งที่เขาเพิ่งใช้นั้นเป็นร่างเนื้อพลังอมตะ? มิฉะนั้น ก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่าเพียงแค่ร่างยุทธ์ร่างเนื้อระดับแดนศักดิ์สิทธิ์เพียงอย่างเดียว ก็สามารถต่อต้านอาวุธของขลังขั้นสูงได้”

พลังอมตะไม่สามารถคาดเดาได้ ผู้บัญชาการเผ่าหงส์นี้เพียงแค่เคยได้ยินเกี่ยวกับพลังอมตะ พลังอมตะ เขาไม่มีความเข้าใจที่แท้จริงและไม่เคยพบกับตัวมาก่อน

แต่ผู้บัญชาการของเผ่าหงส์มองออกว่าหมัดกระบี่ของหลัวซิวนั้นคล้ายกับพลังอมตะ ก็นับว่าเขารู้มากแล้ว ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาอยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นล่าง เทวทูตจื่อเยียนผู้นั้น ประเมินหมัดกระบี่ของหลัวซิวว่าเป็นพลังอมตะเล็กๆ

แม้เป็นเพียงพลังอมตะเล็กๆก็แข็งแกร่งกว่าวิชายิ่งเลิศขั้นสูงสุด

แต่อาวุธของขลังขั้นสูงนั้นไม่ใช่สิ่งธรรมดา หมัดของหลัวซิวก็เจ็บปวดน้อยๆเช่นกัน ถูกหอกรบแงจนเกิดคราบเลือด

หลัวซิวเพิกเฉยต่อความประหลาดใจและความตกใจของผู้บัญชาการเผ่าหงส์ เมื่อเห็นว่าปืนเทพหงส์ลูกที่สองกำลังจะยิงออกมา เขาก้าวออกไปหนึ่งก้าว โซนอากาศถูกฉีกออกเป็นชิ้น ๆ ภายใต้เท้าของเขา และความเร็วเพิ่มขึ้นถึงขีดจำกัดอย่างกะทันหัน

ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของหลัวซิว ความเร็วนั้นเร็วกว่าการเคลื่อนย้ายระยะใกล้ของวิชาล่องหนไท่เสวียน

และหากวิชาล่องหนไท่เสวียน ต้องการทำการเคลื่อนย้ายระยะทางไกล จะต้องเข้าเข้าใจถึงพลังแห่งโซนในระดับหนึ่ง

ฮึ่ม!

เมื่อเห็นหลัวซิวพุ่งไปหาเรือรบ นักรบนับร้อยบนเรือรบเทพหงส์ ได้กระตุ้นค่ายคุ้มกันอักษรอย่างรวดเร็ว ม่านแสงลุกโชนขึ้นปกป้องทุกมุมของเรือรบอย่างแน่นหนา

ในสงครามของจอมยุทธ์ เรือรบเปรียบเสมือนป้อมปราการที่สามารถโจมตีและป้องกันได้ และพลังก็เผด็จการแข็งแกร่ง

ปืนเทพหงส์ของเรือรบเทพหงส์ธรรมดา การโจมตีเทียบเท่ากับผู้แข็งแกร่งเจ้ายุทธจักรขั้นปฐมภูมิที่โจมตีสุดกำลัง

ม่านแสงเพลิงในการป้องกัน ยังสามารถต้านทานการโจมตีของเจ้ายุทธจักรธรรมดาได้

นักรบหนึ่งร้อยคนของเผ่าหงส์ที่มีผลการฝึกตนแดนจักรพรรดิยุทธ์ ขับเรือรบลำหนึ่ง สามารถต่อต้านผู้แข็งแกร่งผู้แข็งแกร่ง ซึ่งเห็นได้ถึงความแข็งแกร่งของเรือรบ

ต้องรู้ว่า นับประสาแค่แดนจักรพรรดิยุทธ์หนึ่งร้อยคน แม้แต่ในแดนจักรพรรดิยุทธ์หนึ่งหมื่นคน ก็อาจไม่มีสักคนเดียวที่สามารถฝึกฝนถึงเจ้ายุทธจักรได้

ยิ่งกว่านั้น ต่อหน้าเจ้ายุทธจักร แดนจักรพรรดิยุทธ์ร้อยคนก็ไม่สามารถต้านทานได้แม้เพียงนิ้วเดียว แต่สามารถต่อสู้กับเจ้ายุทธจักรด้วยความช่วยเหลือจากเรือรบเทพหงส์!

เมื่อเปรียบเทียบแล้ว สำนักไท่เสวียนก็มีเรือรบหลายลำ แต่ทั้งหมดได้มาโดยการที่หลัวซิวทำลายแดนตำหนักจื่อและสำนักเสวียนหยาง ไม่สามารถเทียบกับเรือรบเทพหงส์ได้เลย

พูดโดยไม่ลังเลว่าเรือรบเทพหงส์ลำหนึ่ง สามารถทำลายกองกำลังระดับสองได้อย่างง่ายดาย แม้แต่กองกำลังชั้นหนึ่งที่มีผู้แข็งแกร่งเจ้ายุทธจักรอยู่ก็ยังต้องกลัวสามส่วน

และที่ได้กล่าวมาข้างต้นคือเรือรบเทพหงส์ธรรมดาของเผ่าหงส์ ยังมีเรือรบเทพหงส์ขั้นสูง และซุปเปอร์เรือรบที่เก่าแก่

ตอนนี้เรือรบเทพหงส์ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าเหนือสำนักไท่เสวียน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้มา ไม่หวังดี

“หลัวซิว เจ้าสำนักไท่เสวียน อยู่ที่ไหน?”

เรือรบเทพหงส์ข้ามผ่านอากาศ ชายร่างกำยำที่ถือหอกยาวยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือและพูดด้วยเสียงอันดัง

ธงรบของเผ่าหงส์สะบัดไปมาจนเกิดเสียงดัง มีนักรบเผ่าหงส์จำนวนหนึ่งร้อยคนสวมชุดเกราะสีเปลวไฟเป็นหนึ่งเดียวยืนอยู่

ออร่าที่ทำให้รู้สึกถึงความกดดันปรากฏขึ้นอยู่เหนือไท่เสวียน

หลัวซิวเดินออกจากตำหนักวัฏสงสาร มองดูเรือรบเทพหงส์ที่อยู่บนท้องฟ้า “เผ่าหงส์กล้ามากที่มาจอดอยู่เหนือสำนักเขาของข้า รังแกไท่เสวียนไม่มีคนเก่งหรือ?”

หลัวซิวไม่แปลกใจกับการมาถึงของเผ่าหงส์ แต่เขาคาดไม่ถึงว่าเผ่าหงส์จะสั่งเรือรบเทพหงส์ลำหนึ่งมา เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ตั้งใจจะจัดการเขาเพียงคนเดียว แต่ยังจะทำลายไท่เสวียนด้วยกัน

ชายร่างกำยำบนเรือรบเทพหงส์สีหน้าไร้อารมณ์ เอื้อมมือออกและเปิดม้วนภาพแล้วมองหลายครั้ง จากนั้นดวงตาของเขาก็จับจ้องไปที่หลัวซิว “เจ้าคือหลัวซิวนี่เองที่ฆ่าคนของเผ่าหงส์ เจ้าสมควรตาย!”

ว่าแล้ว ชายร่างกำยำยกมือขึ้นและโบกมือ “ฆ่า!”

“ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า!…”

นักรบหงส์หลายร้อยคนโห่ร้องพร้อมกัน ออร่าทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า นักรบเผ่าหงส์ทุกคนมีผลการฝึกตนแดนจักรพรรดิยุทธ์ขึ้นไป

บูม!

เรือรบเทพหงส์ลงจอดและชนกันอย่างรุนแรงกับม่านแสงที่เกิดขึ้นจากค่ายพิทักษ์เขาขั้น 8

ม่านแสงเปลี่ยนรูปร่างไม่หยุด แต่ไม่แตกสลาย เรือรบขนาดใหญ่ที่มีความยาวสองร้อยฟุตไม่สามารถลงจอดต่อไปได้

“ข้อมูลไม่ถูกต้อง ไม่ใช่กล่าวว่าสำนักไท่เสวียนนี้มีเพียงค่ายพิทักษ์เขาขั้น 7 เท่านั้นไม่ใช่หรือ?” ชายร่างกำยำขมวดคิ้วเล็กน้อย “ส่งคำสั่งของข้าออกไป เปิดใช้ปืนใหญ่เทพหงส์!”

“ขอรับ ผู้บัญชาการ!” นักรบเผ่าหงส์ร้อยคนตะโกนพร้อมกัน จากนั้นพวกเขาทั้งหมดก็ผนึกรวมพลังจิตแท้ กระตุ้นลายเส้นบนตัวเรือรบ

ราวกับปีกที่ทำจากโลหะสีแดงเพลิงส่องแสงเจิดจ้าอย่างยิ่ง เพลิงอัคคีที่ลุกโชติมาผนึกรวมกันในที่แห่งเดียว และจากนั้นก็ก่อตัวเป็นลำแสง เกิดเสียงกระทบกระเทือนแล้วโจมตีม่านแสงของค่ายพิทักษ์เขา

กระตุ้นค่ายกลอักษร ผนึกรวมเป็นลำแสงเพลิงเทพหงส์ที่ยิงออกไป ก็คือปืนเทพหงส์ และเป็นวิธีการโจมตีที่ทรงพลังที่สุดของเรือรบเทพหงส์

แม้จะเป็นเรือรบเทพหงส์ธรรมดา พลังของปืนใหญ่นี้สามารถเทียบได้กับการโจมตีสุดกำลังของผู้แข็งแกร่งเจ้ายุทธจักร

บูม!

ม่านแสงค่ายกลสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เกิดรอยแตกที่น่ากลัว หากเป็นเช่นนี้ต่อไป อีกไม่เกิน 2 นัด ก็จะสามารถระเบิดค่ายพิทักษ์เขานี้ได้

“เผ่าหงส์รังแกกันเกินไปแล้ว!”

หลัวซิวดื่มอย่างเย็นชาตะคอกเสียงเย็น ร่างกายของเขลอยขึ้นไปในอากาศ ปรากฏอยู่นอกค่ายพิทักษ์เขา

“แม่ทัพทุกคนปฏิบัติตามคำสั่ง ข้า ผู้บัญชาการจะไปจัดการหลัวซิวเป็นการส่วนตัว พวกเจ้าขับเรือรบเทพหงส์และทำให้สำนักเขาด้านล่างแบนราบ!”

ชายร่างกำยำบนเรือรบเทพหงส์ตะโกนเสียงดัง และกลายเป็นเพลิงอัคคีแสงสว่างพุ่งไปที่หลัวซิวทันที

ในฐานะที่เป็นผู้บัญชาการของเรือรบเทพหงส์ ผลการฝึกตนของชายร่างกำยำผู้นี้เป็นถึงแดนเจ้ายุทธจักรขั้น 1

แม้แต่เจ้ายุทธจักรที่ธรรมดาที่สุดก็ต้องเข้าใจถึงการมีอยู่ของพลังแห่งกฎ แทงหอกออกไป เปลวไฟขนาดใหญ่ที่มีพลังแห่งกฎปกคลุมไปทั่ว พุ่งไปยังหลัวซิว

เจ้ายุทธจักรขั้นปฐมภูมิ หลัวซิวไม่กลัว ใช้พลังจิตแท้ของร่างกายทั้งหมด พลังลูกแก้วเสวียนดำถูกใช้โดยตรง ให้พลังจิตแท้ผลการฝึกตนได้เพิ่มขึ้นถึงมหายุทธ์ขั้น 7 และที่ ในเวลาเดียวกัน และใช้พลังแปรเสวียนเทียน 24 เท่า รอบกายคือออร่าอันพลานุภาพ

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 721
จากสิ่งนี้จะเห็นได้ว่าพรสวรรค์ของเกาเหลียนหงนั้นดีมาก ในอดีต เหตุผลที่ผลการฝึกตนช้า ส่วนใหญ่เป็นเพราะทรัพยากรไม่เพียงพอ

ถ้าเขาสามารถได้รับทรัพยากรอย่างอัจฉริยะในแดนศักดิ์สิทธิ์ หลัวซิวประมาณการว่าภายในเวลาไม่กี่ปี เกาเหลียนหงน่าจะสามารถบรรลุแดนมหายุทธ์ได้

นอกจากนี้ยังมีปี้เซียนเสว่ ซึ่งเป็นร่างแห่งเสวียนหยิน แดนผลกการฝึกตนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่นานมานี้ เพิ่งบรรลุแดนจักรพรรดิยุทธ์

อันที่จริง ความสามารถของปี้เซียนเสว่นั้นเทียบได้กับอัจฉริยะในแดนศักดิ์สิทธิ์ แต่เงื่อนไขการฝึกตนและทรัพยากรของ ไท่เสวียนนั้นด้อยกว่าแดนศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นความเร็วในการฝึกตนของนางจึงถูกจำกัดไม่น้อย

“ดูเหมือนว่าการเปิดของแดนตำหนักจื่อ กำลังใกล้เข้ามาแล้ว”

หลัวซิวชัดเจนมากว่าหากสำนักหนึ่งต้องการพัฒนา ต้องมีผู้แข็งแกร่งที่สามารถต่อต้านคนนอกได้คนเดียว เป็นไปไม่ได้ที่จะพึ่งพาตนเองตลอดเวลา

คิดเรื่องนี้แล้ว หลัวซิวก็ไปแดนตำหนักจื่อ

หนึ่งปีกว่าที่ผ่านมา ค่ายผนึกปราณในดินแดนลับของแดนตำหนักจื่อ ได้รับการฟื้นฟูสู่ถึงค่ายกลขั้น 7

แต่ค่ายผนึกปราณขั้น 7 มีผลอย่างมากต่อจอมยุทธ์ที่แดนต่ำกว่าแดนมกุฎยุทธ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในเหตุผลที่การฝึกตนของเกาเหลียนหงช้า

ตามที่มหาจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำกล่าว ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขา เขาสามารถสร้างค่ายกลขั้น 8 ได้ แต่ค่ายกบยิ่งสูงเท่าไร ความต้องการวัสดุสำหรับการสร้างค่ายกลก็จะยิ่งสูงขึ้น

ดังนั้นตอนที่เขาออกจากแดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นล่าง หลัวซิวใช้เวลาฝึกตนในตำหนักเต๋าที่เหลืออยู่ แลกเปลี่ยนวัสดุจำนวนมากในการสร้างค่ายกล

ใช้เวลาไปหลายวัน หลัวซิวก็ยุ่งอยู่กับการสร้างค่ายกลอยู่ในแดนตำหนักจื่อ

เมื่อค่ายผนึกปราณแปดสิบเอ็ดค่ายกลทั้งหมดฟื้นฟูถึงขั้น 8 พลังฟ้าดินจิตในแดนตำหนักจื่อ ก็มากขึ้นอย่างรวดเร็วหลายเท่าและมีร่องรอยของปราณทิพย์ปะปนอยู่ในพลังจิตที่มากมาย

จากนั้น หลัวซิวได้ยกระดับค่ายกลคุ้มเขาขึ้นเป็นขั้น 8 สำหรับค่ายคุ้มกันขั้น 8 เมื่อก่อน ที่แก๊งค่ายกลช่วยสร้าง หลัวซิวได้รื้อถอนโดยตรง

นอกเหนือจากค่ายกลคุ้มเขาแล้ว หลัวซิวไม่ลังเลเลยที่ใช้วัสดุสร้างค่ายโซ่ไว้หลายสิบอันใกล้กับสำนักเขา มีค่ายกลคุ้มเขาเหล่านี้ แม้ว่าจะมีผู้แข็งแกร่งแดนเจ้ายุทธจักรมาหาเรื่องถึงที่ ก็ยังจะต่อต้านได้นาน

ขณะที่หลัวซิวเพิ่งทำสิ่งเหล่านี้เสร็จ ปัญหาที่คาดหวังก็มาหาเรื่องถึงที่

วันนี้ รัศมีที่แข็งแกร่งและคาดเดาไม่ได้เต็มท้องฟ้าเหนือไท่เสวียนสำนักเขา โซนอากาศสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ทำให้เกิดคลื่นที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

หลังจากนั้น อวกาศความว่างเปล่าก็เริ่มแตกเป็นเสี่ยงๆ ราวกับใยแมงมุม หลุมดำปรากฏขึ้นที่ใจกลางของความว่างเปล่าที่แตกเป็นเสี่ยงๆ เรือรบสีแดงเพลิงขนาดใหญ่ก็บินออกไป

เรือรบลำนี้มีรูปร่างเหมือนหงส์ มีสองปีก รูปทรงเรียบง่ายและสง่างาม เหมือนหงส์ที่เหินอยู่ในนวสวรรค์

“เรือรบเทพหงส์?”

ภายในตำหนักวัฏสงสาร หลัวซิวสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวเหนือสำนักเขา เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย

เผ่าหงส์บอกว่าเป็นพวกเขาทายาทของหงส์ และหงส์ยังเป็นที่รู้จักกันในนามเทพหงส์ ว่ากันว่าหงส์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก เคยบรรลุถึงแดนนิรันดร์ และได้รับการยกย่องว่าเป็นเทพมาร และชื่อเทพหงส์ก็มาจากสิ่งนี้เช่นกัน

เรือรบเทพหงส์ สร้างขึ้นโดยเผ่าหงส์ตามภาพลักษณ์ของบรรพบุรุษ และเป็นเรือรบพิเศษเฉพาะของเผ่าหงส์

เรือรบเป็นอาวุธที่ยอดเยี่ยมในการล้อมเมืองและปล้นแย่งที่ดิน และเรือรบเทพหงส์มีชื่อเสียงมาก การป้องกันหลักของตัวเรือรบ สามารถต้านทานการโจมตีของผู้แข็งแกร่งมหายุทธ์ได้อย่างง่ายดาย ปีกคู่สีเพลิงแดงที่กางออกนั้น มีค่ายอักษรสลักอยู่มากมาย หลังจากถูกกระตุ้นสามารถพ่นเพลิงเทพหงส์ออกมาได้ แม้แต่ผู้แข็งแกร่งระดับเจ้ายุทธจักรก็ไม่กล้าต่อต้านอย่างง่ายดาย

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 720
จากนั้น ลู่เจิ้งเย๋ไม่ได้ใส่ใจสายตาของคนอื่น ๆ เลย เดินเข้ามาใกล้ ๆ หลัวซิวด้วยความเคารพนอบน้อม และคุกเข่าลงหนึ่งข้าง “ข้าน้อยลู่เจิ้งเย๋ คารวะท่านเจ้าสำนัก!”

“เจ้า……เจ้าสำนัก?”

ปรมาจารย์ยุทธ์แดนฝึกจิตที่ติดตามลู่เจิ้งเย๋มา ต่างก็มีสีหน้าตกตะลึงพรึงเพริด

……

นับจากที่หลัวซิวจากไป ตำหนักวัฏสงสารก็ได้ว่างมาเป็นเวลานาน

ตอนที่จากไปในตอนนั้น หลัวซิวก็ได้มอบเรื่องทุกอย่างในสำนักไท่เสวียน มีเกาเหลียนหง และสวีจิงเหนียนเป็นคนดูแลรับผิดชอบ

วันนี้ ในตำหนักวัฏสงสาร บรรยากาศดูอึดอัดเล็กน้อย

หลัวซิวนั่งอยู่บนตำแหน่งของเจ้าสำนัก ไม่ได้ส่งเสียงใด ๆ แต่กลับมีความน่าเกรงขามที่มองไม่เห็น ทำให้ผู้คนที่อยู่ด้านล่างไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง

“ผู้คุมกฎสวี ท่านมีอะไรจะพูดหรือ?” เงียบอยู่สักพัก หลัววิวก็ได้มองไปยังสวีจิงเหนียน

“เจ้าสำนัก!” สวีจิงเหนียนคุกเข่าลงกับพื้น กล่าวด้วยความเสียอกเสียใจ: “หนิงซวน อายุยังน้อยไม่รู้จักความได้ล่วงเกินท่านไป โทษสมควรตายจริง ๆ แต่ขอเจ้าสำนักโปรดเห็นแก่ที่ตระกูลสวีของเราได้อุทิศตนให้กับสำนักไท่เสวียน โปรดเมตตาสักครั้ง!”

สีหน้าท่าทางของหลัวซิวไม่เปลี่ยนแปลงเลยสักนิด และหันไปยังเกาเหลียนหง “ผุ้คุมกฎเกา ท่านมีความเห็นอย่างไร?”

เกาเหลียนหงลุกยืนขึ้น “เรียนท่านเจ้าสำนัก ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งไท่เสวียน ตระกูลสวีมีความดีความชอบ แต่ด้วยเหตุนี้ตระกูลสวีก็ได้รับการคุ้มครองจากไท่เสวียน กลายเป็นตระกูลของราชวงศ์ ที่มีสถานะไม่ธรรมดาในประเทศเทียนหวูในปัจจุบัน”

“จากการตรวจสอบของข้า ในช่วงหลายปีมานี้คนตระกูลสวีเที่ยวใช้อำนาจบาตรใหญ่ อาศัยว่าผู้คุมกฎสวีเป็นคนแรก ๆ ที่ติดตามเจ้าสำนัก ได้ทำเรื่องผิดกฎสำนักอยู่หลายอย่าง”

แม้ว่าเกาเหลียนหงและสวีจิงเหนียนจะเป็นผู้คุมกฎเหมือนกัน แต่เดิมทีเกาเหลียนหงก็เป็นทายาทของสายนภาเสวียนอยู่แล้ว สิ่งแรกที่ต้องจงรักภักดีก็คือสำนักไท่เสวียน

และก็เพราะเหตุนี้ หลัวซิวจึงได้มอบอำนาจส่วนใหญ่ของผู้คุมกฎ ไว้ในมือของเขา

“ตระกูลสวีช่างเยี่ยมยอดไปเลย!” หลัววิวยิ้มอย่างเย็นชา “คิดว่าเจ้าสำนักอย่างข้าไม่อยู่ ไท่เสวียนก็แซ่สวีแล้วอย่างนั้นหรือ?”

ในตำหนักวัฏสงสารเงียบเป็นเป่าสาก ดั่งเช่นพวกเหว้ยห้าวหราน ก็ไม่มีใครออกมาช่วยพูดแทนสวีจิงเหนียนเลย

“ผู้คุมกฎสวี เห็นแก่ความสัมพันธ์แต่ก่อน เรื่องนี้ข้าจะไม่ติดตามเอาความก็ได้”

หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่สักพัก หลัวซิวก็ได้มีแผนการอยู่ในใจ และค่อย ๆ กล่าวขึ้นมา: “แต่ถ้าหากข้าไม่ทำอะไรเลย ก็ยากที่จะเป็นที่ยอมรับของทุกคนได้”

“นับจากวันนี้เป็นต้นไป ลิดรอนตำแหน่งผู้คุมกฎของท่าน วันหน้าหากข้าไม่อยู่ มีผู้คุมกฎเกาดูแลงานของเจ้าสำนักทั้งหมด!”

สำหรับตระกูลสวี นับตั้งแต่ที่สำนักไท่เสวียนได้เริ่มก่อตั้งขึ้น หลัวซิวก็คาดเดาได้แล้วว่าจะต้องมีวันนี้

มาตอนนี้ตระกูลสวีมีอิทธิพล ลูกหลานมากมาย บวกกับที่แทนสวีจิงเหนียนติดตามตนมาเป็นเวลานาน ดังนั้นจึงมีลูกหลานของตระกูลสวีจำนวนมากได้เข้าสู่สำนักไท่เสวียน และได้มีบางตำแหน่งในสำนัก

สำหรับเรื่องนี้เกาเหลียนหงเองก็ทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ เพราะเขาและสวีจิงเหนียนต่างเป็นผู้คุมกฎของสำนักไท่เสวียน ดังนั้นจะจัดการกับตระกูลสวีอย่างไร ต้องเป็นหลัวซิวเท่านั้นถึงจะได้

“เจ้าสำนัก หลังจากที่สวีจิงเหนียนจากไป ศิษย์ของตระกูลสวีจำนวนไม่น้อยก็ได้ออกไปจากสำนัก”

วันนี้ เกาเหลียนหงได้มาที่ตำหนักวัฏสงสาร

หลัวซิวค่อย ๆ ลืมตาที่ปิดลงเล็กน้อยขึ้นมา และกล่าวอย่างเรียบ ๆ : “ตระกูลสวีจะเป็นเช่นไร ก็ปล่อยพวกเขาไปเถอะ แม้ว่าปัจจุบันตระกูลสวีจะมีอิทธิพลในประเทศเทียนหวู แต่ก็มีวันนี้ได้เพราะการคุมครองจากไท่เสวียนของข้า”

“หากตระกูลสวีทำตามหน้าที่อันพึงกระทำของตัวเองก็แล้วไป หากมีจิตใจคิดคดละก็ สำนักไท่เสวียนของข้าก็ไม่จำเป็นต้องไว้หน้าพวกเขาอีก”

อย่างในตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นวิสัยทัศน์ หรือสภาพจิตใจของหลัววิวต่างก็แตกต่างจากเมื่อก่อนมาก ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เก็บเอาเรื่องของตระกูลสวีมาใส่ใจ

“ปีกว่า ๆ มานี้ ผลการฝึกตนของผู้คุมกฎเกานับว่าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วไม่น้อยเลย” หลัวซิวยิ้มพลางเปลี่ยนหัวข้าสนทนา

ตอนที่เขาไปจากสำนักไท่เสวียน เกาเหลียนหงพึ่งจะบรรลุถึงแดนมกุฎยุทธ์ แต่ตอนนี้ได้บรรลุถึงมกุฎยุทธ์ขั้นสามแล้ว ความรวดเร็วในการเพิ่มขึ้นของผลการฝึกตนเช่นนี้ ก็นับว่าเร็วมากแล้ว

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 719
ทว่าในตอนที่หมาป่าเพลิงตะกายอยู่ห่างจากหลัววิวเพียงหนึ่งร้อยเมตรนั่นเอง จู่ ๆ เท้าทั้งสี่ข้างก็ได้อ่อนแรงลง และคุกเข่าหมอบลงไปบนพื้น เนื่องจากการเคลื่อนไหวที่เร็วจนเกินไปในก่อนหน้านี้ จึงได้ไถลไปเป็นทางยาว เกิดเป็นคลองสองสายขึ้นมาบนพื้นดิน ฝุ่นลอยตลบอบอวล

“รีบหลบไป!” ศิษย์เฝ้าประตูผู้หนึ่งไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ทนเห็นคนคนหนึ่งถูกอสุรกายชนตายไม่ได้ ดังนั้นจึงได้ยื่นมือออกมาดึงหลัววิว

เพียงแต่ว่ามือของเขามาสามารถแตะต้องร่างของหลัวซิวได้เลย จากนั้นก็ถูกดีดกลับออกไป

หลัวซิวสะบัดแขนเสื้อ ฝุ่นละอองสลายไป จากนั้นศิษย์เฝ้าประตูทั้งสองก็ได้พบกับภาพที่ทำให้พวกเขาต้องตกตะลึง

ขาทั้งสี่ข้างของหมาป่าเพลิงตะกายคุกเข่าลงไปบนพื้น เปลวเพลิงบนร่างกายหายไป ปรากฏให้เห็นขนสีแดงเพลิง ส่วนศีรษะของมันนั้นได้แนบชิดติดพื้น หมอบคลานอยู่ตรงหน้าของบุรุษหนุ่มชุดดำ

“เจ้าเพลิงเป็นอะไรไป?” บุรุษหนุ่มชุดแพรมองหลัวซิวด้วยความสงสัย “เป็นฝีมือของเจ้าใช่หรือไม่?”

“เจ้าแซ่สวี?” หลัววิวไม่ได้ตอบคำถามของเขา และได้ถามอีกฝ่ายกลับคำถามหนึ่ง

“หึ ในเมื่อรู้ว่าข้าแซ่สวี เห็นได้ชัดว่าเจ้าเองก็รู้สถานะของข้าดี อย่าคิดว่าตัวเองเป็นยอดฝีมือแดนฝึกจิตก็มีคุณสมบัติมาแสดงตัวเป็นยอดฝีมืออยู่ต่อหน้าข้าได้”

ในสายตาของบุรุษหนุ่มชุดแพร อีกฝ่ายสามารถควบคุมหมาป่าเพลิงตะกายขั้นสี่ได้ น่าจะเป็นยอดฝีมือแดนฝึกจิต อย่างมากก็แค่ราชายุทธ์

และสำหรับสำนักไท่เสวียนแล้ว ราชายุทธ์คนหนึ่งไม่นับว่าเป็นอะไรด้วยซ้ำ

หลัวซิวสีหน้าไร้ความรู้สึก กล่าวอย่างเรียบ ๆ : “ในเมื่อเจ้าแซ่สวี เช่นนั้นสวีจิงเหนียนเป็นอะไรกับเจ้า?”

“บังอาจ! สามหาว! ท่านปู่ทวดของข้าเป็นถึงผู้คุมกฎของสำนักไท่เสวียน นามของเขาใช่สิ่งที่คนอย่างเจ้าเรียกได้หรือ?”

บุรุษหนุ่มชุดแพรตวาดด้วยความโมโห “ใครก็ได้ ช่วยข้าจับคนสามหาวผู้นี้เอาไว้!”

บุรุษหนุ่มชุดแพรผู้นี้หยิบเอาม้วนหยกชิ้นหนึ่งออกมาและบีบแตก พลางตวาดเสียงดัง

พรึบ!

กระแสพลังจิตแท้หลายก้อนได้พุ่งออกมาจากในสำนักเขาไท่เสวียน จากนั้นก็มีลำแสงหลายสายลอยมา ปรากฏตัวขึ้นเหนือประตูสำนัก

“คุณชายสวี เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” ราชายุทธ์ที่เป็นผู้นำคนหนึ่งได้เอ่ยขึ้น

“พี่ลู่มาพอดีเลย คนผู้ที่ได้ทำร้ายเจ้าเพลิงของข้า แถมยังไม่เห็นท่านปู่ทวดของข้าอยู่ในสายตาเลยสักนิด ท่านพิจารณาดูเองก็แล้วกัน” บุรุษหนุ่มชุดแพรสองมือกอดอก กล่าวอย่างเย้ยหยัน

ราชายุทธ์แซ่ลู่ผู้นี้ มีนามว่าลู่เจิ้งเย๋ เป็นราชายุทธ์กลุ่มแรก ๆ ที่เข้าสำนักไท่เสวียน

เมื่อได้ยินคำพูดของบุรุษหนุ่มชุดแพร เขาก็ได้หัวเราะเยาะเย้ยอยู่ภายในใจ เพราะทั่วทั้งสำนักไท่เสวียนมีใครบ้างที่ไม่รู้ว่าคนผู้นี้มีนิสัยอย่างไร?

แต่คนผู้นี้กลับเป็นหลานชายที่ผู้คุมกฎสวีรักใครที่สุด เขาเองก็พูดอะไรมากไม่ได้ ดังนั้นจึงได้เลื่อนสายตาไปยังบุรุษหนุ่มชุดดำที่อยู่นอกประตูสำนัก และกล่าวขึ้นมาอย่างเย็นชา: “ที่คุณชายสวีกล่าวมานั้นเป็นความจริงหรือ?”

หลัววิวไม่ได้เอ่ยอะไร เพียงแค่ชายตามองลู่เจิ้งเย๋อย่างเรียบ ๆ

และในตอนนี้เองลู่เจิ้งเย๋ก็ได้มองเห็นใบหน้าของหลัวซิวได้ชัดเจน สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปในทันที!

“ศิษย์ของสำนัก จับตัวสวีหนิงซวนเอาไว้ให้ข้า!” ลู่เจิ้งเย๋ตวาดขึ้นมาเสียงดัง

ที่ด้านหลังของเขา ติดตามมาด้วยปรมาจารย์ยุทธ์แดนฝึกจิตช่วงปลายสี่คน เมื่อได้ยินเช่นนี้ ก็ต้องตะลึงงันทันที?

“พี่ลู่ ท่านแน่ใจหรือว่าจะให้จับตัวคุณชายสวี?” ปรมาจารย์ยุทธ์ผู้หนึ่งกล่าวเสียงเบา เขาคิดว่าหากไม่ใช่ตัวเองฟังผิด ก็เป็นพี่ลู่ที่พูดผิดไป

“ถูกต้อง จับสวีหนิงซวนคนทรยศนี้เอาไว้ให้ข้า!” ลู่เจิ้งเย๋กล่าวย้ำอีกครั้ง

“ลู่เจิ้งเย๋ เจ้ากล้าแตะต้องข้า เจ้าช่างบังอาจไปแล้วนะ!” สวีหนิงซวนกระทืบเท้าด่า

ปรมาจารย์ยุทธ์แดนฝึกจิตที่ติดตามอยู่ด้านหลังลู่เจิ้งเย๋ ทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ

เมื่อหลัวซิวเห็นปฏิกิริยาของลู่เจิ้งเย๋ ก็รู้ทันทีว่าอีกฝ่ายน่าจะรู้ว่าตนเองเป็นใครแล้ว แต่เขากลับจำอะไรเกี่ยวกับคนผู้นี้ไม่ได้เลย

“บังอาจ!”

ลู่เจิ้งเย๋ตวาดด้วยความโมโห รัศมีพลังของราชายุทธ์แผ่ซ่านออกมา กดจนแดนพรสวรรค์เล็ก ๆ อย่างสวีหนิงซวนนอนคว่ำลงไปกับพื้นภายในชั่วพริบตา

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 718
“เจ้า……นี่เจ้าสังหารคุณชายหยุนเซี๋ยหรือ?” ใบหน้าของเฟิ่งหลีบิดเบี้ยวจนถึงขีดสุด นางคิดไม่ถึงว่าหลัวซิวจะกล้าลงมือสังหารจริง ๆ

“ข้าไม่เพียงฆ่าเขา ยังจะฆ่าเจ้าด้วย” ไอสังหารอันดุเดือดกระเพื่อมอยู่บนร่างกายของหลัวซิว

ตูม!

เห็นเพียงร่างของหลัวซิวพลันเคลื่อนไหวขึ้นมา ช่องอากาศที่อยู่ด้านหน้าถูกร่างยุทธ์ร่างเนื้อที่แข็งแกร่งชนจนแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ แค่เพียงก้าวเดียว ก็ได้มาปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเฟิ่งหลีในทันที

เฟิ่งหลีรีบยกไม้เท้าในมือขึ้นมามันที แต่อาวุธระดับของขลังขั้นกลางเช่นนี้ กลับถูกหลัวซิวชกจนแตกกระจายในหมัดเดียว

ผลัวะ!

เฟิ่งหลีกระอักเลือดออกมาคำโต ร่างลอยปลิวกลับออกไป เพลิงมรณะแผดเผาอยู่บนร่างกายของนางอย่างต่อเนื่อง เจ็บปวดจนนางร้องครวญครางอยู่ไม่หยุด

“ยายแก่ ก่อนหน้านี้เจ้าอาศัยอำนาจของเผ่าหงส์มารังแกข้า เคยคิดหรือเปล่าว่าจะมีวันนี้?”

ในขณะที่พูดหลัวซิวก็ได้ซัดออกมาอีกหนึ่งหมัด มกุฎอัคคีนภาเหลืองกลายร่างเป็นมังกรสีทองกระโจนออกมาพร้อมกับเสียงคำราม ทับถมกลืนกินมหายุทธ์ของเผ่าหงส์ที่มีนามว่าเฟิ่งจาง

“ที่ฆ่าเจ้าในวันนี้ เป็นเพียงการเก็บดอกเบี้ยเท่านั้น ต้องมีสักวันที่ข้าจะไปเหยียบเผ่าหงส์ ความอัปยศในวันก่อน จะต้องคืนให้ยายแก่เจ้ายุทธจักรหงส์ผู้นั้นเป็นสิบเท่า!”

ระยะเวลาเพียงปีกว่า ๆ ความสามารถของหลัวซิวได้แตกต่างจากเมื่อก่อนโดยสิ้นเชิง ในทุกการเคลื่อนไหว สังหารมหายุทธ์ได้อย่างง่ายดายราวกับฆ่าหมูฆ่าสุนัข

“เจ้าเดรัจฉานน้อย เจ้าต่องไม่ตายดีแน่!” เฟิ่งหลีกรีดร้องโหยหวน แต่ไม่นานเสียงของนางก็ได้หายไปในเปลวเพลิงสีดำ

เพียงระยะเวลาสั้น ๆ มหายุทธ์ของเผ่าหงส์ทั้งสี่คนที่มาดักรอสังหารหลัวซิว ก็ได้ตายไปทั้งหมด

แม้ว่าความแข็งแกร่งของเผ่าหงส์จะทัดเทียมกับแดนศักดิ์สิทธิ์ แต่จำนวนของผู้แข็งแกร่งระดับมหายุทธ์นั้นต้องมีอยู่ไม่มากอย่างแน่นอน ตายไปพร้อมกับถึงสี่คนในชั่วพริบตา

หลัวซิวยื่นมือออกไป แหวนเก็บของสี่วงได้ตกลงมาในมือของเขา จากนั้นก็เหมือนกับไปมีอะไรเกิดขึ้น และเหาะเหินเดินอากาศไปทางสำนักไท่เสวียน

เขาทราบเป็นอย่างดี การตายของเผ่าหงส์ทั้งสี่คนนี้ หลังจากที่เผ่าหงส์ได้รับรู้จะต้องสงสัยตนเองแน่ และจากความสามารถของเผ่าหงส์ ก็น่าจะสืบถามถึงสถานการณ์ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้

เช่นนี้ก็หมายความว่า อีกไม่นาน ก็จะมีผู้แข็งแกร่งของเผ่าหงส์มายังประเทศเทียนหวู

และก่อนที่จะถึงตอนนั้น หลัวซิวจะต้องวางแผนการรับมือเอาไว้ให้ดีก่อน

“สถานที่สำคัญไท่เสวียน ผู้ที่มาโปรดหยุดก่อน!”

ที่ด้านหน้าสำนักเขาไท่เสวียน ศิษย์นอกสำนักสองคนที่คอยเฝ้าประตูในมือถือหอกยาวกล่าวขึ้นเสียงดัง

สองคนนี้ หลัววิวไม่เคยเห็นมาก่อน เห็นได้ชัดว่าในระยะเวลาหนึ่งปีที่เขาจากไป สำนักไท่เสวียนได้รับศิษย์เข้ามาใหม่อีกแล้ว

สำหรับเรื่องที่ตนกำลังจะกลับมานั้น หลัวซิวไม่ได้บอกผู้ใดในสำนักไท่เสวียนเลย

ในตอนที่หลัวซิวกำลังจะแสดงฐานะของตนเองออกมานั่นเอง เสียงตวาดเสียงหนึ่งก็ได้ดังขึ้นมาจากด้านหลัง

“คนที่อยู่ข้างหน้าไสหัวหลบไป!”

หลัววิวหันไปตามเสียง ก็ได้พบเข้ากับบุรุษหนุ่มสวมชุดแพรผู้หนึ่ง กำลังขี่อยู่บนอสูรหมาป่าที่ร่างกายรายล้อมไปด้วยเปลวเพลิง ผิวปากพลางวิ่งพุ่งมาทางประตูสำนัก

เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ หลัววิวก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ประตูสำนักนั้นเป็นสถานที่สำคัญ แต่คนผู้นี้กลับได้ชนนั่นชนนี่ไปทั่วอยู่ตรงนี้ เห็นสำนักเขาไท่เสวียนเป็นอะไร?

“หูหนวกหรืออย่างไร? บอกให้เจ้าหลบไปได้ยินหรือยัง ระวังถูกหมาป่าเพลิงตะกายของคุณชายสวีชนตายเสียล่ะ” ศิษย์เฝ้าประตูทั้งสองหลบไปที่ด้านข้างอย่างรู้ตัวเอง หนึ่งในนั้นได้กล่าวกับหลัวซิว

ทว่าร่างของหลัวซิวกลับไม่ขยับเลย หมาป่าเพลิงตะกายนั่น เป็นเพียงแค่อสุรกายระดับฝึกจิตเท่านั้นเอง สำหรับบุรุษหนุ่มที่อยู่บนหลังของหมาป่าเพลิงตะกาย แค่อยู่ในแดนพรสวรรค์

“ฮ่า ๆ นี่กล้าขวางทางข้าอย่างนั้นหรือ? เจ้าเพลิง ชนมันให้ตายเสีย!” บุรุษหนุ่มที่อยู่บนหลังหัวเราขึ้นมาอย่างโอหัง

“โฮกกกก!”

หมาป่าเพลิงตะกายคำรามออกมาเสียงยาว ทำตามคำสั่งของเจ้านาย การเคลื่อนไหวพลันเพิ่มความเร็วขึ้นมา พุ่งชนเข้าใส่หลัวซิวที่อยู่นอกสำนักอย่างดุร้าย

บทที่ 717

บทที่ 719

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 717
เฟิ่งหยุนเซี๋ยร้องออกมาอย่างอนาถอีกครั้ง “เจ้าจะฆ่าข้าไม่ได้ ท่านพ่อของข้าเป็นผู้อาวุโสของเผ่าหงส์ หากเจ้าฆ่าข้า เจ้าเองก็จ้องตายอย่างแน่นอน!”

“อาวุโสของเผ่าหงส์แล้วอย่างไร?” หลัวซิวยิ้มเยาะ ดีดนิ้วออกมากลางอากาศ เปลวเพลิงสีทองลอยออกไปเหมือนดั่งลูกธนูในทันที พุ่งเข้าใส่ชายชราในชุดคลุมแดงที่กำลังกระโจนเข้ามา

“อ้ากกก!……”

เกราะป้องกันพลังจิตแท้บนร่างของชายชราในชุดคลุมแดงถูกเปลวเพลิงสีทองทะลุผ่านไปอย่างง่ายดาย จากนั้นชายชราในชุดคลุมแดงผู้นี้ก็ร้องออกมาอย่างอนาถ ร่างกายถูกเปลวไฟสีทองครอบคลุมไปโดยสิ้นเชิง

เปลวไฟสีทองนี้ คือมกุฎอัคคีนภาเหลืองที่หลัวซิวใช้การเปลี่ยนแปลงครั้งที่สองของภูตอัคคีฝึกฝนขึ้นมานั่นเอง แผดเผาให้ตายได้แม้กระทั่งเจ้ายุทธจักรผู้แข็งแกร่ง จะนับประสาอะไรกับเพียงแค่มหายุทธ์?

ไม่ถึงสองลมหายใจเข้าออก ร่างของชายชราชุดแดงกลายเป็นความว่างเปล่า และเมื่อเฟิ่งหยุนเซี๋ยได้เห็นภาพเช่นนี้ ก็ต้องอึ้งทึ่งตะลึงงันไปโดยสิ้นเชิง นั่นมันเปลวเพลิงอะไรกัน ถึงได้น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้?

นับจากที่หลัวซิวได้ปรากฏตัวขึ้น จากนั้นก็ได้ทำให้เฟิ่งหยุนเซี๋ยบาดเจ็บหนัก สังหารชายชราชุดแดง กระบวนการทั้งหมดดูเหมือนยาวนาน ที่จริงแล้วไม่ถึงสิบลมหายใจเข้าออก

เฟิ่งหยุนเซี๋ยในเวลานี้ได้หวาดกลัวโดยสิ้นเชิง ภายในใจของเขาได้ด่ายายแก่เฟิ่งหลีไปต่าง ๆ นานาแล้ว เจ้าคนนี้เป็นมกุฎยุทธ์เสียที่ไหนกัน? เห็นได้ชัดว่าเป็นฆาตกรที่ฆ่ามหายุทธ์เหมือนหมูเหมือนหมา!

“หลัวซิว ขอเพียงเจ้าไม่ฆ่าข้า ข้าจะรับปากเจ้าทุกอย่าง”

เฟิ่งหยุนเซี๋ยพยายามทำให้ตัวเองสงบลง ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ เข้ารู้ดีว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือต้องรักษาชีวิตของตนเองเอาไว้

ในตอนนี้เฟิ่งหยุนเซี๋ยรู้สึกเสียใจในภายหลังเป็นอย่างยิ่ง แม้เขาจะมีผลการฝึกตนในแดนมหายุทธ์ขั้นห้า แต่พรสวรรค์และมันสมองของเขาเองไม่นับว่าดีสักเท่าไหร่ หลัก ๆ คืออาศัยว่าบิดาของตนเองเป็นผู้อาวุโสเผ่าหงส์ ถึงได้มีผลการฝึกตนในระดับนี้ได้

เขามองดูสีหน้าหลัวซิวอย่างประหม่า เกรงว่าคนเหี้ยมโหดผู้นี้จะสังหารตนเอง

ในตอนนี้เอง กระแสพลังอันแรงกล้าสองสายได้พุ่งมาจากทางทิศเหนือ ก่อนที่จะสิ้นใจชายชราชุดแดงได้บีบม้วนหยกแตก ยายแก่เฟิ่งหลีและเฟิ่งจางก็ได้รีบมาที่นี่โดยเร็วที่สุด

“หลัวซิว เจ้ากล้าสังหารคนในเผ่าของข้าหรือ?” เฟิ่งหลีตวาดอย่างเดือดดาล

“ฆ่าแล้วอย่างไร?” หลัวซิวยิ้มอย่างเย็นชา มองไปยังเฟิ่งหยุนเซี๋ย “นำเสียงของยายแก่โอหังเช่นนี้ ข้ากลัวว่าจะทำให้เจ้าบาดเจ็บโดยไม่ระวัง”

คนที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้เป็นบุตรชายของผู้อาวุโสเผ่าหงส์ เห็นได้ชัดว่าพอมีฐานะอยู่บ้าง

ถึงแม้เฟิ่งหยุนเซี๋ยจะยโสโอหัง แต่ก็ไม่ได้โง่ เข้าใจความหมายของหลัวซิวในทันที และหันไปตวาดใส่ยายแก่: “เฟิ่งหลี เจ้าหุบปากเสีย!”

“คุณชายหยุนเซี๋ย……” เฟิ่งหลีสีหน้าไม่ค่อยจะดีนัก มองไปยังหลัวซิวอย่างเย็นชา “หากเจ้ากล้าทำอันตรายคุณชายหยุนเซี๋ยแม้แต่ปลายขน ข้าต้องทำให้เจ้าเหมือนตายทั้งเป็นแน่!”

เฟิ่งหลีผู้นี่ไม่มีท่าทีที่จะกล่าวอย่างอ่อนโยนเลย เห็นได้ชัดว่าโดยปกติแล้วในฐานะคนรับใช้ที่ติดตามเจ้ายุทธจักรหงส์มาเป็นเวลานาน นางยโสโอหังจนเคยชินแล้ว

“ให้ข้าเหมือนตายทั้งเป็นอย่างนั้นหรือ?” หลัวซิวยิ้มออกมา นิ้วมือดีดออก เฟิ่งหยุนเซี๋ยนั่นร้องออกมาอย่างอนาถทันที บนร่างกายมีรูเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งรู

“เจ้าช่างบังอาจนัก!” ใบหน้าแก่ ๆ ของเฟิ่งหลีบิดเบี้ยวขึ้นมา “อย่าคิดว่าเจ้ามีฝีมือเพียงเล็กน้อยก็สามารถทำอะไรตามอำเภอใจได้ อย่าลืมเสียล่ะว่า ญาติสนิทของเข้าต่างก็อยู่ในสำนักไท่เสวียน!”

ญาติสนิทเป็นสิ่งสำคัญของหลัวซิวมาโดยตลอด ผู้ใดแตะต้องผู้นั้นต้องตาย!

“ดูท่าแล้ว ยายแก่นั่นไม่คิดที่จะช่วยเจ้าเลย ถึงขั้นที่ว่านางได้ทำให้ข้าโมโหขึ้นมาแล้ว” หลัวซิวมองไปยังเฟิ่งหยุนเซี๋ยพลางยิ้มกล่าว

“ข้า……”

เฟิ่งหยุนเซี๋ยกำลังจะเอ่ยขึ้นมา แต่เสียงของเขากลับขาดหายไปทันที ปราณกระบี่อัคคีดำได้ทะลุผ่านตรงกลางระหว่างคิ้วของเขาไป

เลือดสด ๆ พุ่งกระฉูด เฟิ่งหยุนเซี๋ยเบิกตาโพลงอย่างไม่เต็มใจ จากนั้นร่างไร้วิญญาณก็ถูกเปลวเพลิงสีดำแผดเผากลายเป็นผุยผง ปลิวหายไปในอากาศ

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 716
ชายชราในชุดคลุมแดงยิ้มกล่าว “เจ้าหนุ่มคนนั้นจะเทียบกับคุณชายหยุนเซี๋ยได้อย่างไร ต่อให้มันบรรลุถึงแดนมหายุทธ์ ก็จะต้องไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคุณชายแน่”

“ฮ่า ๆ ข้าชอบฟังที่เจ้าพูด อัจฉริยะบ้าบออะไรนั่น ไม่มีผลการฝึกตน อัจฉริยะก็เป็นเพียงแค่ลมตดเท่านั้น!” เฟิ่งหยุนเซี๋ยหัวเราะขึ้นมาอย่างพอใจ

ชายชราในชุดคลุมแดงเองก็หัวเราะตาม แต่จู่ ๆ ก็สัมผัสถึงกลิ่นอายความผิดปกติขึ้นมา เขาฝึกตนมาเป็นเวลานับพันปี ผ่านการต่อสู้มามากมายนับไม่ถ้วน และไวต่อกลิ่นของความอันตรายเป็นอย่างมาก

“คุณชายระวัง!”

ชายชราในชุดคลุมแดงพลันตะโกนขึ้นมา ร่างกายก้าวถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว

เฟิ่งหยุนเซี๋ยเองก็สัมผัสถึงไอสังหารที่อยู่ด้านหลังของตนเอง ตกใจจนหน้าถอดสีขึ้นมาทันที ร่างของเขากลายเป็นเปลวไฟสายหนึ่ง ปลีกตัวหลบหลีกอย่างร้อนรน

วินาทีที่พวกเขาทั้งสองปลีกตัวหลบนั่นเอง เราร่างของบุรุษหนุ่มในชุดคลุมสีดำก็ได้ค่อย ๆ ปรากฏขึ้น

เฟิ่งหยุนเซี๋ยและชายชราในชุดคลุมแดงต่างหันมามอง เห็นเพียงบุรุษหนุ่มในชุดคลุมสีดำผู้นั้นกำลังยืนมือไขว้หลัง สีหน้าเย็นชา ร่างกายเหมือนได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าดิน ทำให้ผู้คนรู้สึกยากที่จะคาดเดา

“เจ้าคือ……” เฟิ่งหยุนเซี๋ยหรี่ตาลงเล็กน้อย “เจ้าคือหลัวซิว? ข้ากำลังพูดถึงเจ้าอยู่พอดีเลย คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเอาตัวเข้ามามอบให้เอง”

เฟิ่งหยุนเซี๋ยหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง พลังจิตแท้กระเพื่อมอยู่รอบตัว ออร่าอัคคีแพร่กระจาย แสดงกระแสพลังอันแรงกล้าของมหายุทธ์ขั้นห้าออกมา

กลิ่นอายของอีกฝ่าย หลัวซิวไม่รู้สึกไม่คุ้นเคยเลยสักนิด เพราะเขาเคยได้สัมผัสกระแสพลังแบบเดียวกันนี้ จากคนอื่น ๆ ของเผ่าหงส์

“คนเผ่าหงส์? เพียงแค่มหายุทธ์ขั้นห้า ก็กล้ามาอวดดีต่อหน้าของข้า?” หลัวซิวแสดงท่าทางเย้ยหยันออกมา จากความสามารถของเขาในตอนนี้ เป็นธรรมดาที่จะไม่เห็นมหายุทธ์โดยทั่วไปอยู่ในสายตา

“เพียงแค่งั้นหรือ? ……” ใบหน้าของเฟิ่งหยุนเซี๋ยดุร้ายขึ้นมาเล็กน้อย “ข้าคิดว่าตัวเองนั้นยโสโอหังมากพอแล้ว คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะโอหังยิ่งกว่าข้าเสียอีก กล้าบอกว่าข้าเป็นเพียงแค่มหายุทธ์ขั้นห้าอย่างนั้นหรือ?”

กล่าวไป กระบี่ยุทธ์ที่เป็นของขลังชั้นกลางเล่มหนึ่งก็ได้ปรากฏขึ้นมาในมือของเฟิ่งหยุนเซี๋ย กระบี่ข้ามผ่านระยะห่างหลายสิบจั้ง แทงตรงเข้ามายังตรงกลางระหว่างของหลัวซิว

หลัวซิวสีหน้าไร้ความรู้สึก ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว สองนิ้วชิดกันเหมือนกระบี่ และจิ้มออกไปหนึ่งครั้ง

การเคลื่อนไหวที่ดูเหมือนไม่ได้ตั้งใจของเขา กลับเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วจนถึงขีดสุด วินาทีที่ปลายนิ้วและกระบี่กระทบกันนั่นเอง เสียงแตกหักดังเป๊าะก็ได้ดังขึ้น กระบี่ยุทธ์ในมือของเฟิ่งผลัวะนเซี๋ย หักออกเป็นสองท่อน

อะไรกันน่ะ?

เมื่อเห็นว่ากระบี่ของตนเองหักออกเป็นสองท่อนด้วยนิ้วมือเดียวของอีกฝ่าย คราวนี้ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าเพราะเหตุใดยายแก่เฟิ่งหลีถึงได้เกรงกลัวคนผู้นี้เช่นนี้

หลังจากที่กระบี่หัก เฟิ่งหยุนเซี๋ยก็ถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว ทว่าปราณกระบี่อัคคีดำสายหนึ่งกลับได้ถูกดีดออกมาจากปลายนิ้วของหลัวซิว การเคลื่อนไหวเร็วกว่าการก้าวถอยหลังของเขาเสียอีก

อ้ากกก!……

เฟิ่งหยุนเซี๋ยร้องออกมาอย่างเจ็บปวด หน้าอกด้านขวาถูกปราณกระบี่อัคคีดำแทงทะลุเป็นรู ความเจ็บปวดอันแรงกล้าทำให้ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวเป็นที่น่าสะพรึงกลัว

“แค่นิ้วมือเดียวของข้ายังรับมือไม่ได้ บอกว่าเจ้าเป็นเพียงแค่ ยังนับเป็นการเชิดชูเจ้าแล้ว” หลัวซิวเลิกคิ้วขึ้น ดีดนิ้วออกไปอีกหนึ่งครั้ง ปราณกระบี่อัคคีอีกสายหนึ่งได้พุ่งออกมาอีกครั้ง

เฟิ่งหยุนเซี๋ยตกใจจนวิญญาณแทบออกจากร่าง มองไปยังชายชราในชุดคลุมแดงพลางตะโกนขึ้นมา: “ยังไม่รีบมาช่วยข้าอีก!”

เพียงพริบตาเดียว เฟิ่งหยุนเซี๋ยก็ถูกโจมตีจนได้รับบาดเจ็บหนัก มันทำให้ชายชราในชุดคลุมแดงรับรู้ถึงความน่าสะพรึงกลัวของหลัวซิวได้อย่างลึกซึ้ง เขาหยิบเอาม้วนหยกออกมา และบีบแตกในทันที

เพียงแค่ม้วนหยกนี่ถูกบีบแตก เฟิ่งหลีและเฟิ่งจางก็จะรับรู้ได้ทันทีว่าเกิดเรื่องขึ้นที่ทางฝั่งนี้ และจะต้องรบมาในทันทีแน่

ในขณะเดียวกัน ชายชราในชุดคลุมแดงก็ได้พยายามขับเคลื่อนพลังจิตแท้อย่างสุดชีวิต และพุ่งกระโจนเข้าไปหาหลัวซิว “อย่าได้ทำร้ายคุณชายหยุนเซี๋ยอย่างเด็ดขาด!”

สำหรับชายชราในชุดคลุมแดงที่มีผลการฝึกตนเพียงในระดับมหายุทธ์ขั้นหนึ่ง หลัวซิวคร้านแม้แต่จะชายตามอง ปราณกระบี่อัคคีไม่ได้หยุดลงเลยสักนิด เสียงผลัวะดังขึ้น อีกรูหนึ่งได้ถูกทิ้งเอาไว้บนร่างของเฟิ่งหยุนเซี๋ย

บทที่ 715

บทที่ 717

ในอาณาจักรใต้นั้นมีป่าเขาอยู่มากมาย มองไปสุดลูกหูลูกตา ต่างเต็มไปด้วยสีเขียวขจี

ประเทศเทียนหวู ตั้งอยู่ในทิศตะวันตกเฉียงใต้ของอาณาจักรใต้ อยู่ในมุมที่ค่อนข้างสงบสุข ขาดแคลนทรัพยากร ความเข้มข้นของพลังฟ้าดินจิตก็แสนธรรมดา

และในตอนนี้เอง บริเวณใกล้เคียงกับป่าเขาฝืนหนึ่ง เงาร่างสามสี่สายก็ได้ปรากฏขึ้นมาอย่างเงียบ ๆ หนึ่งในนั้น คือยายแก่เผ่าหงส์ที่เคยประมือกับหลัวซิวมาสองครั้งนั่นเอง

ผลการฝึกตนของยายแก่เผ่าหงส์ผู้นี้ไม่สูงนัก อยู่ในแดนมหายุทธ์ขั้นสามเท่านั้น แต่สถานะของนางกลับไม่ธรรมดา เป็นคนรับใช้ของเจ้ายุทธจักรหงส์ นามว่าเฟิ่งหลี

ที่ด้านหน้าของยายแก่เผ่าหงส์ คือชายวัยกลางคนไว้เคราผู้หนึ่ง นามว่าเฟิ่งจาง มีผลการฝึกตนในแดนมหายุทธ์ขั้นหนึ่ง

อีกด้านหนึ่ง ยังมีชายชราในชุดคลุมแดง มีผลการฝึกตนในแดนมหายุทธ์ขั้นสอง

และคนที่สี่นั้น รูปร่างหน้าตาดูค่อนข้างอ่อนโยนละเอียดอ่อน มีรอยยิ้มชั่วร้ายบาง ๆ ปรากฏอยู่บนใบหน้า

ในบรรดาสี่คนนี้ มีเพียงผลการฝึกตนของชายที่ละเอียดอ่อนผู้นี้ที่สูงที่สุด อยู่ในแดนมหายุทธ์ขั้นห้า

คนผู้นี้มีนามว่าเฟิ่งหยุนเซี๋ย เป็นบุตรหลานของผู้อาวุโสบางท่าน

“ท่านหลี แค่เจ้าหนุ่มที่มีผลการฝึกตนในแดนมกุฎยุทธ์คนหนึ่งเท่านั้น ให้แดนมหายุทธ์อย่างพวกเราทั้งสี่คนมาล่าสังหาร มันจำเป็นด้วยหรือ?” เฟิ่งหยุนเซี๋ยเบ้ปากกล่าว

ที่เข้าเอาตัวเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เพียงเพราะเขาถูกใจสตรีที่เจ้ายุทธจักรหงส์นำกลับมาด้วยนางนั้น

เขาได้ยินมาว่าสตรีนางนั้นเป็นอัจฉริยะที่ได้ปลุกเลือดหงส์โบราณ หากสามารถฝึกวิชาคู่ร่วมกับนางได้ ก็จะสามารถดูดซับพลังของเลือดหงส์ กลั่นแปรสายเลือดของตนเอง ผลประโยชน์นั้นสามารถรู้ได้โดยไม่ต้องกล่าวใด ๆ

“คุณชายหยุนเซี๋ยอย่าได้ประมาทไป เจ้าเดรัจฉานน้อยนั้นไม่ธรรมดาเลยทีเดียว ยิ่งไปกว่านั้นมันยังได้เข้าไปฝึกตนในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นเวลาหนึ่งปี ฝีมือจะต้องพัฒนาขึ้นมาไม่น้อยแน่”

“ต่อให้ร้ายกาจเพียงใดก็เป็นแค่มกุฎยุทธ์เท่านั้นเอง นอกเสียจากมันจะสามารถบรรลุแดนมหายุทธ์ได้ภายในเวลาหนึ่งปี” เฟิ่งหยุนเซี๋ยกลับไม่คิดว่าเป็นเช่นนั้น ในสายตาของเขาต่อให้เป็นมกุฎยุทธ์ที่ร้ายกาจเพียงใดก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตนเอง

เมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ของเฟิ่งหยุนเซี๋ย เฟิ่งหลีรู้ว่าต่อให้พูดอะไรไปก็ไร้ประโยชน์ เชื่อว่าพอได้พบกับหลัวซิวเข้า คุณชายหยุนเซี๋ยผู้นี้ก็จะได้เห็นความสามารถของอีกฝ่ายเอง

ก็ไม่แปลกที่ยายแก่เฟิ่งหลีจะระมัดระวังเช่นนี้ เพราะในตอนที่หลัวซิวยังมีผลการฝึกตนในแดนมกุฎยุทธ์ขึ้นหนึ่งอยู่ ก็ยังมีความสามารถในการต่อกรกับตนเองได้ หลังจากที่เข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ฝีมือจะต้องเพิ่มขึ้นมามากแน่ ตนอาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงได้เรียกกำลังเสริมมา

“สถานที่แห่งนี้เป็นเส้นทางสู่สำนักไท่เสวียนเพียงเส้นทางเดียว พวกเราแบ่งเป็นสองกลุ่ม แบ่งออกไปจับตาดูทางทิศตะวันออกและทิศเหนือ ทันทีที่พบเห็นเจ้าเดรัจฉานน้อยนั่น แจ้งให้คนอื่นรับรู้ทันที” เฟิ่งหลีเอ่ยขึ้น

“เมื่อข้าพบมันเข้า จะต้องกำจัดมันได้ภายในสามกระบวนท่าอย่างแน่นอน” เฟิ่งหยุนเซี๋ยพูดขึ้นมาอย่างลอย ๆ จากนั้นก็กระโดดลอยตัวขึ้น เหาะไปยังทางทิศตะวันออก

เฟิ่งหลีขมวดคิ้ว มองไปยังชายชราในชุดคลุมแดงผู้นั้น “เจ้าตามคุณชายหยุนเซี๋ยไป จำเอาไว้ว่าจะต้องคุ้มครองความปลอดของคุณชายให้ดี”

“ขอรับ” ชายชราในชุดคลุมแดงตอบรับ และเหาะเหินเดินอากาศไปยังทิศตะวันออก

ส่วนยายแก่เฟิ่งหลีและเฟิ่งจางนั้น ได้มุ่งหน้าไปยังทิศเหนือ เก็บซ่อนกระแสพลังเอาไว้ รอให้หลัวซิวมาติดกับ

นางได้รับข่างมาก่อนหน้านี้แล้วว่า หลัวซิวได้ออกมาจากเมืองหลัวเทียนเป็นที่เรียบร้อย และทางที่เขามุ่งหน้าไปนั้น ก็คือเส้นทางในการกลับสำนักไท่เสวียนนั่นเอง

ดังนั้นเฟิ่งหลีถึงได้พาคนมาซุ่มสังหารอยู่ที่นี่ ก็เพื่อกำจัดให้ได้ภายในครั้งเดียว ตรงนี้อยู่ไม่ไกลจากสำนักไท่เสวียนนัก เชื่อว่าเมื่อเดินมาถึงตรงนี้ หลัวซิวจะต้องคลายความระแวงลงแน่

“เจ้าตามมาทำไม? มีข้าอยู่ที่นี่คนเดียวก็พอแล้ว” เฟิ่งหยุนเซี๋ยสังเกตเห็นชายชราในชุดคลุมแดงที่ตามมาด้านหลัง จึงขมวดคิ้วกล่าว

“คุณชายหยุนเซี๋ย ในเมื่อท่านหลีได้บอกแล้วว่าหลัวซิวผู้นั้นไม่ธรรมดา จะต้องระวังให้มากถึงจะดี”

“ทำไม? เจ้าคิดว่าข้าจำกัดไม่ได้แม้แต่มกุฎยุทธ์ผู้หนึ่ง? หรือเจ้าคิดว่ามีคนที่สามารถบรรลุถึงแดนมหายุทธ์ได้ภายในหนึ่งปี?” เฟิ่งหยุนเซี๋ยกล่าวเย้ยหยัน

สุดท้ายแล้ว พวกเขาก็กลายเป็นเทพฟ้า อัจฉริยะพวกนั้นส่วนใหญ่ต่างก็จมหายไปในหมู่ผู้คน หรือแม้กระทั่งดับชีวิตไป

ในอนาคตหลัวซิวจะกลายเป็นเทพฟ้าได้หรือไม่นั้น จื่อเยียนเองก็ไม่อาจแน่ใจ ที่นางบอกว่ามีความเป็นไปได้เพียงริบหรี่นั้น เป็นเพราะหลัวซิวมีพรสวรรค์ที่ค่อนข้างสูง

แต่นี่ก็หมายความว่าหลัวซิวมีกำลังแฝงที่สามารถกลายเป็นเทพฟ้าได้เท่านั้นเอง แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาสามารถกลายเป็นเทพฟ้าได้อย่างแน่นอน

“เจ้าหนุ่ม ขอให้เจ้าโชคดี” จื่อเยียนมองไปในอากาศ ไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่ในใจ

ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ หลัวซิวใช้ค่ายวาร์ปในการจากไป และปรากฏตัวขึ้นบนแท่นศิลาที่อยู่ด้านหน้าสำนักหลัวเทียนก้อนนั้น

วินาทีที่หลัวซิวปรากฏตัวขึ้น เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวที่อยู่ด้านในสำนักหลัวเทียนก็สัมผัสได้ทันที

“ผู้อาวุโส”

หลัวซิวได้มาถึงสำนักหลัวเทียน และโค้งตัวคารวะเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิว

“ฮ่า ๆ หลัวซิวตอนนี้ชื่อเสียงของเจ้าโด่งดังไปทั่วโลกแสงดาวเลยนะ! แม้แต่ข้าเองก็คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะได้รับอันดับหนึ่งจากการฝึกฝนในดินแดนศักดิ์สิทธิ์!” เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวหัวเราะเสียงดังขึ้นมา

หลัวซิวมีหน้ามีตาจากการฝึกฝนในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวก็ต้องดีใจเป็นธรรมดา เพราะเขาเป็นคนแนะนำหลัวซิวเอง ดังนั้นการแสดงออกของหลัวซิวยิ่งโดดเด่น รางวัลที่เขาได้รับก็จะยิ่งสูง

เมืองศักดิ์สิทธิ์ต้องการอัจฉริยะ หากผู้ใดแนะนำอัจฉริยะที่โดดเด่นให้กับเมืองศักดิ์สิทธิ์ ก็จะต้องได้รับรางวัลจากเมืองศักดิ์สิทธิ์เป็นธรรมดา

และเมืองศักดิ์สิทธิ์ ก็คือตัวแทนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ในโลกแสงดาวนั่นเอง

ส่วนสี่แก๊งใหญ่นั้น อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของเมืองศักดิ์สิทธิ์

ก่อนที่หลัวซิวจะออกมาจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ อัจฉริยะหนุ่มสาวคนอื่น ๆ ก็ได้ออกมากันหมดแล้ว การจัดอันดับในดินแดนศักดิ์สิทธิ์จึงได้ถูกผู้คนภายนอกรับรู้เป็นธรรมดา

หลัวซิวโผล่ขึ้นมาได้อันดับที่หนึ่งไปอย่างกะทันหัน ทำให้ผู้คนที่รับรู้ต่างไม่คิดไม่ฝันจริง ๆ

เพราะการฝึกฝนในดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่ใช่การประลองยุทธ์ อัจฉริยะหนุ่มสาวมากมายต่างก็ไม่มีใครที่จะปิดบังความสามารถที่แท้จริง ล้วนแต่จะแสดงออกอย่างเต็มที่ เพื่อจะได้เข้าสายของดินแดนศักดิ์สิทธิ์

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หลัวซิวยังสามารถได้อันดับหนึ่งมาครอบครองได้ ความสามารถของเขาเป็นที่ประจักษ์

อย่างไรก็ตามเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวและหลัวซิวต่างก็ทราบดี มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วยุทธภพอาจไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป

ไม้เรียวระหงกลางป่า อยู่ท่ามกลางพายุลมฝน พูดได้ว่ามันอันตรายมาก

“หลัวซิว ผลการฝึกตนของเจ้าในตอนนี้ได้บรรลุถึงแดนมกุฎยุทธ์ช่วงปลายแล้ว ดูท่าสิ่งที่เจ้าได้รับในดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่น้อยเลยทีเดียว ข้าแต่งตั้งเจ้าเป็นผู้ลาดตระเวนอาณาจักรใต้ มีสถานะนี้แล้ว ผู้คนโดยทั่วไปไม่กล้าที่จะแตะต้องเจ้า” เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวกล่าวออกมาเช่นนี้

“ขอบคุณผู้อาวุโส” หลัวซิวเข้าใจจุดประสงค์ของเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวเป็นอย่างดี เมื่อมีสถานะผู้ลาดตระเวนอาณาจักรใต้ ก็เท่ากับว่าเขาเป็นคนของเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิว หากผู้ใดกล้าแตะต้องเขา ก็จะต้องไตร่ตรองดูว่าจะรับมือกับโทสะของเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวได้หรือไม่

และเมื่อมีสถานะผู้ลาดตระเวนอาณาจักรใต้ การเคลื่อนไหวในโลกแสงดาวของหลัวซิว ก็จะสะดวกขึ้นมาไม่น้อย

ดังนั้นลาดตระเวน ก็คือลาดตระเวนตรวจสอบกำกับนั่นเอง ในความหมายบางประการ ถือเป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์ที่ลาดตระเวนอยู่ในยุทธภพ เป็นหน้าเป็นตาของสี่แก๊งใหญ่รวมทั้งเมืองศักดิ์สิทธิ์

แม้ว่าโดยปกติแล้วผลการฝึกตนของผู้ลาดตระเวนล้วนอยู่ในแดนมกุฎยุทธ์ น้อยมากที่จะมีแดนมหายุทธ์ แต่ก็แทบจะไม่มีใครกล้าลงมือต่อผู้ลาดตระเวนเลย เพราะการกระทำเช่นนี้ ถือเป็นการท้าทายอำนาจของเมืองศักดิ์สิทธิ์

อย่างไรก็ตามบนโลกใบนี้ มักมีบางคนที่ไม่เห็นผู้อื่นอยู่ในสายตา และไม่เกรงกลัวต่ออำนาจของเมืองศักดิ์สิทธิ์

ดังนั้นเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวถึงได้บอกว่าผู้คนโดยทั่วไปไม่กล้าที่จะแตะต้องหลัวซิว แต่คนที่ไม่ธรรมดาเหล่านั้น ไม่ได้อยู่ในขอบเขตที่ว่านี้

จากนั้นเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวก็ได้มอบป้ายประจำตัวผู้ลาดตระเวนให้กับหลัวซิว จากนั้นหลัวซิวก็ได้กล่าวลาเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิว เพื่อกลับไปที่สำนักไท่เสวียนสักหน่อย

“การเดินทางในครั้งนี้เจ้าต้องระวังตัวให้มาก ด้วยนิสัยของเจ้ายุทธจักรหงส์ผู้นั้น แม้ว่าไม่ถึงขั้นที่ต้องลงมือสังหารเจ้าด้วยตนเอง แต่ก็จะไม่ปล่อยเจ้าไปง่าย ๆ แน่” ก่อนที่จะจากไป เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวก็ได้กล่าวตักเตือน

……

หลัวซิวพลันลืมตาขึ้นมา ผลการฝึกตนบรรลุถึงแดนมกุฎยุทธ์ช่วงปลาย เช่นนั้นเป้าหมายต่อไปของเขา ก็คือบรรลุแดนมหายุทธ์!

“เพิ่มความแข็งแกร่งโดยอาศัยลูกแก้วเสวียนดำ ก็เท่ากับว่าข้ามีผลการฝึกตนในแดนมหายุทธ์ขั้นเจ็ด” ภายในใจของหลัวซิวรู้สึกปีติยินดีเป็นอย่างมาก

แดนมหายุทธ์ นับว่าเป็นยอดฝีมือในบางพื้นที่ แต่สำหรับทั่วทั้งโลกแสงดาว กลับไม่นับอะไร

มีเพียงก้าวเข้าสู่แดนเจ้ายุทธจักร ถึงจะนับว่าได้เข้าสู่ระดับยอดฝีมือของโลกแสงดาว ต่อให้เป็นในแดนศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ผู้แข็งแกร่งเจ้ายุทธจักรก็จะถูกให้ความสำคัญ แม้แต่เจ้ายุทธจักรขั้นปฐมภูมิธรรมดาทั่วไป อยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์ก็สามารถได้รับสถานะผู้อาวุโสนอกสำนัก

ทว่าหลัวซิวในตอนนี้กลับมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม แม้ต้องเผชิญหน้ากับเจ้ายุทธจักรขั้นผู้หนึ่ง ตราบใดที่ระดับแดนกฎของอีกฝ่ายไม่บรรลุถึงระดับความเข้าใจเบื้องต้น ตนก็สามารถสังหารอีกฝ่ายได้

และนี่ก็หมายความว่า ความแข็งแกร่งของเขาได้ก้าวเข้าสู่ระดับยอดฝีมือของโลกแสงดาวแล้ว

“เจ้ายุทธจักรหงส์ แม้ว่าท่านจะไม่ใส่ใจเรื่องในสำนักหลัวเทียน แต่ข้าหลัวซิวกลับจำได้ขึ้นใจ!”

แม้ว่าตลอดระยะเวลาหนึ่งปีที่อยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ความสามารถจะเพิ่มขึ้นมามาก แต่หลัวซิวรู้ดีว่าตนยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้ายุทธจักรที่ถูกตั้งฉายา

เจ้ายุทธจักรที่ถูกตั้งฉายาสามารถข้ามแดนสังหารมหาจักรพรรดิยุทธ์ได้ จะต้องไม่ใช่เรื่องพูดเล่น ๆ แน่

การเปลี่ยนแปลงครั้งที่สองของภูตอัคคีฝึกฝนสำเร็จ หลัวซิวเองก็ได้บรรลุถึงแดนมกุฎยุทธ์ขั้นเจ็ด ในช่างเวลาไม่กี่วันต่อมา หลัวซิวก็ได้มุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่การตระหนักรู้กฎ

ในเมื่อก่อน ผังกฎดั้งเดิมภาพที่สี่จับต้นชนปลายไม่ได้เลย และหลังจากที่แดนแห่งกฎของเขาบรรลุถึงแดนความเข้าใจเบื้องต้นช่างกลาง หลายจุดที่ไม่สามารถเข้าใจมาก่อน ต่างก็เริ่มเข้าใจขึ้น

……

บนจุดสูงสุดของยอดภูเขาในดินแดนศักดิ์สิทธิ์

“เทวทูต หลัวซิวได้จากไปแล้ว” เจ้าแดนหลิวแดนมายังด้านหลังของเทวทูตจื่อเยียนและกล่าว

“อืม ข้าทราบแล้ว หวังว่าเขาจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง” สายตาของจื่อเยียนมองทอดออกไปยังอากาศที่ไม่มีสิ้นสุด

“เหตุใดถึงไม่รั้งเขาไว้ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์? สภาพแวดล้อมการฝึกตนในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ จากพรสวรรค์และมันสมองของเขา น่าจะเพิ่มระดับได้เร็วยิ่งกว่า” หลิวหงเทียนกล่าวด้วยความสงสัย

จื่อเยียนส่ายศีรษะ “อัจฉริยะทุกคนต่างก็มีโชคชะตาและโอกาสของตนเอง หากเราเข้าไปแทรกแซงมากเกินไป จะสิ่งผลกระทบต่อการพัฒนาตนเองของเขา”

“สิ่งที่ข้าชี้แนะเขาได้ก็ชี้แนะไปแล้ว ในอนาคตจะประสบความสำเร็จหรือไม่ ต้องดูที่ตัวเขาเองแล้ว บางทีสักวันหนึ่ง เขาอาจจะมีความหวังอันเล็กน้อยที่จะกลายเป็นเทพฟ้าจริง ๆ ก็ได้” จื่อเยียนกล่าวเช่นนี้

อยู่ที่โลกแสงดาวมานับหมื่นปี ไม่เคยมีอัจฉริยะคนไหนที่เคยได้รับการประเมินที่สูงเช่นนี้จากนางเลย เพราะต่อให้เป็นในพิภพกลาง หมื่นปีถึงจะพบเทพฟ้าได้หนึ่งครั้ง ต่อให้มีความหวังเพียงน้อยนิดที่จะกลายเป็นเทพฟ้า ก็นับว่าเป็นพรสวรรค์เหนือมนุษย์แล้ว

อย่างไรก็ตามตัวจื่อเยียนเองก็รู้ดี ต้องการกลายเป็นเทพฟ้านั้นมันยากเพียงใด? ยกตัวอย่างในโลกเสวียนเทียน มีเทพฟ้าทั้งหมดสี่สิบสามคน และเทพฟ้าเหล่านี้ ล้วนเกิดจากยุคสมัยอันยาวนาน อายุขัยของเทพฟ้าบางคน ถึงขั้นที่มีอายุมานานหลายล้านปีเลยทีเดียว

ความยากลำบากในการบรรลุถึงเทพฟ้านั้นยากที่คนธรรมดาจะจินตนาการได้ แม้ว่าเจ้าจะมีพรสวรรค์ที่เพียงพอ ก็ไม่แน่ว่าจะสามารถกลายเป็นเทพฟ้าได้ เพราะคนที่มีพรสวรรค์และมันสมองอันแข็งแกร่งนั้นมีอยู่มากมาย ประมาณทุก ๆ สิบปี ก็จะมีอัจฉริยะกลุ่มหนึ่งถือกำเนิดขึ้น ต่อให้เจ้าเป็นที่โดดเด่นในหมู่อัจฉริยะกลุ่มนั้น แต่ใครจะรู้ล่ะว่าอนาคตของเจ้าจะเป็นอย่างไร?

ตอนนี้พรสวรรค์ของเจ้าสูงส่ง ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะรักษาเอาไว้ได้ตลอดไป ไม่แน่พอถึงระดับที่แน่นอนระดับหนึ่งและกำลังแฝงถูกใช้จนหมดไป ก็จะตกอยู่ในธุลีแห่งประวัติศาสตร์

และไม่ใช่ว่าอัจฉริยะทุกคนจะเคยเป็นที่โดดที่สุดในหมู่อัจฉริยะ ในโลกเสวียนเทียนก็มีเทพฟ้าบางคนที่ไม่มีชื่อเสียงในช่วงวัยหนุ่มสาว ความสามารถไม่ได้เป็นที่โดดเด่น แต่ในเวลาต่อมา บรรดาผู้คนที่มีพรสวรรค์กว่าพวกเขา กลับถูกพวกเขาค่อย ๆ ตามมาทัน และแซงไปในที่สุด!

ในขณะเดียวกัน มกุฎอัคคีนภาแดงก็ได้มีจุดตันเถียนเป็นศูนย์กลางและแผ่ซ่านไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย พลังอันมหาศาลเติมเต็มไปทั่วร่างกาย

ภูตอัคคีเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่กำเนิดจากฟ้าดิน ภูตอัคคีที่แตกต่างกันออกไป มีแหล่งกำเนิดที่ไม่เหมือนกัน และการฝึกฝนของภูตอัคคีร้อยแปร คือการอาศัยพลังแหล่งกำเนิดของภูตอัคคีกลืนกินมาแย่งชิงดูดกลืนบ่อเกิดของภูตอัคคีอื่น ๆ

ภูตอัคคีกลืนกินได้กลืนกินบ่อกำเนิดของภูตอัคคีเปลวเยือก แต่พลังอันมหาศาลที่มีอยู่ในภูตอัคคีมาแต่เดิม จะกระจายไปโดยอัตโนมัติ กลายเป็นสารอาหารเพื่อเพิ่มระดับผลการฝึกตน

พลังอันบริสุทธิ์ถูกกลั่นแปรอย่างต่อเนื่อง ผลการฝึกตนพลังจิตแท้ของหลัวซิวเพิ่มขึ้นเรื่อง ๆ แสงสว่างสาดส่องไปทั่วร่างกาย ในตอนที่มกุฎอัคคีนภาแดงฝึกฝนสำเร็จนั่นเอง ผลการฝึกตนของเขาก็ได้มาถึงจุดหัวเลี้ยวหัวต่อ และกำลังจะบรรลุถึงแดนมกุฎยุทธ์ขั้นเจ็ด

หลัวซิวรู้สึกดีอกดีใจขึ้นมา ในตอนที่เข้าพึ่งเข้ามาในดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นพึ่งจะอยู่ในแดนมกุฎยุทธ์ขั้นหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าผ่านไปแค่หนึ่งปีกว่า ๆ เขาก็ใกล้จะบรรลุถึงแดนมกุฎยุทธ์ขั้นเจ็ดแล้ว

หลับตารวบรวมสติ นำพาจิตใจและความรู้สึกนึกคิดให้อยู่ในสภาพที่สงบที่สุด หลัวซิวขับเคลื่อนวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพจนถึงขีดสุด รวบรวมพลังทั้งหมดเพื่อทะลวงจุดคอขวด

ไม่รู้ว่าเป็นเช่นนี้อยู่นานเท่าใด จู่ ๆ คลื่นพลังจิตอันดุเดือดก็ได้กระจายไปทั่วตำหนักเต๋า และเนื่องจากพลังงานไม่เพียงพอ ทำให้ปราณทิพย์อันมหาศาลที่อยู่เหนือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ถูกนำพามายังตำหนักเต๋า

“หือ? ปราณทิพย์ต่างรวมกันไปยังตกหนักเต๋า ดูท่าหลัวซิวจะบรรลุอีกแล้ว” ในตำหนักที่อยู่บนยอดเขาสูงสุด เทวทูตจื่อเยียนค่อย ๆ ลุกยืนขึ้น ใบหน้าแฝงไปด้วยรอยยิ้ม

“ฮ่า ๆ บรรลุจากมกุฎยุทธ์ขั้นปฐมภูมิถึงมกุฎยุทธ์ขั้นกลางได้ภายในระยะเวลาเพียงหนึ่งปี และแดนในการตระหนักรู้กฎยิ่งสูงกว่า ความสำเร็จในอนาคตของคนผู้นี้ไร้ขีดจำกัด” ไม่ไกลจากเทวทูตจื่อเยียนนัก เจ้าแดนหลิวมือลูบเคราขาวพลางยิ้มกล่าว

เทวทูตจื่อเยียนพยักหน้า แต่จู่ ๆ สีหน้าก็เปลี่ยนไป “ในมือเขายังมีภูตอัคคีชนิดอื่นอยู่อีกหรือ?”

นางสัมผัสได้แล้วว่าหลัวซิวฝึกฝนการเปลี่ยนแปลงครั้งที่หนึ่งของภูตอัคคีร้อยแปรได้สำเร็จ นึกกว่าเขาได้กลืนกินภูตอัคคีฟ้าครามแต่ตอนนี้นางกลับยังคงสัมผัสถึงกลิ่นอายของภูตอัคคีฟ้าครามได้อยู่ เช่นนั้นภูตอัคคีที่เขากลืนกืนไปเมื่อสักครู่จะต้องเป็นภูตอัคคีชนิดอื่นอย่างไม่ต้องสงสัย

ในตำหนักเต๋า หลัวซิวถือลูกแก้วที่มีขนาดเท่ากำปั้นลูกหนึ่งเอาไว้ในมือ เป็นภูตอัคคีที่เจ้าแดนหลิวให้เป็นรางวัลกับเขานั่นเอง

ภูตอัคคีที่ถูกผนึกเอาไว้ด้านในลูกแก้วเปล่งแสงสีเขียวอ่อน ๆ มีชื่อว่าภูตอัคคีฟ้าครามว่ากันว่าสิ่งมีชีวิตที่ถูกภูตอัคคีชนิดนี้แผดเผา ต้นกำเนิดของวิญญาณนั้น ๆ ก็จะถูกแผดเผาไปด้วย ไม่ได้ผุดได้เกิดอีกเลย

“ตามบันทึกในภูตอัคคีร้อยแปร การเปลี่ยนแปลงครั้งที่สองของภูตอัคคีเรียกว่ามกุฎอัคคีนภาเหลือง แม้แต่เจ้ายุทธจักรผู้แข็งแกร่งยังต้องหลบห่างจากมัน”

“แต่คิดจะฝึกฝนการเปลี่ยนแปลงครั้งที่สองของภูตอัคคีจะต้องมีความสามารถในแดนเจ้ายุทธจักร ไม่รู้ว่าข้าจะทำสำเร็จหรือไม่?” หลัวซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย

สามารถทะลวงผ่านหอคอยสุดหล้าชั้นที่สี่ ที่จริงแล้วสามารถแสดงได้ว่าเขามีความสามารถในการต่อต้านเจ้ายุทธจักรธรรมดาทั่วไป แต่การเปลี่ยนแปลงครั้งที่สองของภูตอัคคีไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย หากหลุดพ้นจากการควบคุมแล้วกลับมากลืนกินตัวเอง ผลลัพธ์ไม่อาจคาดเดาได้

หลัวซิวไม่ได้ลังเลมากนัก เขาบีบลูกแก้วแตกในทันที และดูดกลืนภูตอัคคีฟ้าครามลงไปยังจุดตันเถียน

หลายปีมานี้ ผลการฝึกตนของเขาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่กลับไม่ได้เป็นไปอย่างราบรื่น แต่ได้ผ่านความทุกข์ทรมานอยากลำบากมามากมาย ดังนั้นเขาจึงทราบเป็นอย่างดีว่าการฝึกตนในโลกยุทธ์ โดยเฉพาะเมื่อเผชิญหน้ากับโอกาสและจุดหัวเลี้ยวหัวต่อในการบรรลุ ที่ต้องการยิ่งกว่าก็คือความกล้า!

นอกจากความกล้าแล้ว ยังมีความเชื่อมั่นในตนเอง เชื่อมั่นในตนเองจะต้องสำเร็จอย่างแน่นอน

บางทีอาจเป็นเพราะมกุฎอัคคีนภาแดงที่เกิดจากการกลืนกินนั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่า ฝึกฝนการเปลี่ยนแปลงครั้งที่สองของภูตอัคคี ใช้เวลาประมาณสิบวันเท่านั้น

ภายใต้การหนุนนำจากพลังของภูตอัคคีเปลวเยือกและภูตอัคคีฟ้าครามในที่สุดผลการฝึกตนของหลัวซิวก็บรรลุจุดคอขวด ก้าวเข้าสู่แดนมกุฎยุทธ์ขั้นเจ็ด!

“สำเร็จแล้ว!”


บทที่ 710

บทที่ 712

ตลอดเวลามานี้ เขาเป็นอันดับหนึ่งในบรรดาคนรุ่นใหม่ที่เป็นที่ยอมรับกันทั่วไป ตอนนี้กลับได้ถูกเหยียบย่ำอยู่ที่ปลายเท้า จะให้ซิงหลิงทนได้อย่างไร?

นอกจากนี้ในบรรดาผู้คนทั้งหมด เขาเป็นคนเดียวที่สามารถผ่านชั้นสี่ของหอคอยสุดหล้ามาได้

“ข้าไม่มีหน้าที่ต้องมาตอบคำถามเจ้า” จงสุนเหลือบมองซิงหลิงอย่างเย็นชา ถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นนายน้อยของตำหนักดารานภา แต่สำหรับตนแล้ว สถานะเช่นนี้กลับไม่นับอะไร

ซิงหลิงไม่ได้ถกเถียงอีกต่อไป แต่ภายในใจก็ยังไม่สามารถยอมรับเรื่องที่หลัวซิวแข็งแกร่งกว่าตัวเองได้

“คะแนนรวมของมันคิดจะเอาชนะข้า เว้นแต่มันจะสามารถผ่านชั้นที่สี่ของหอคอยสุดหล้าด้วยวิธีที่สองไปได้”

ความยากของหอคอยสุดหล้าชั้นที่สี่ ซิงหลิงได้สัมผัสมาแล้ว อาศัยกฎสี่ชนิดถึงสามารถทนอยู่ในชั้นที่สี่เป็นเวลาหนึ่งก้านธูปมาได้อย่างลำบาก ต้องการสังหารเจ้ายุทธจักรทั้งสามคน ยากเสียยิ่งกว่าอีก

ซิงหลิงรู้สึกอึดอัดที่บริเวณหน้าอก สายตากวาดมองไปรอบด้าน ตามหาเงาร่างของหลัวซิว แต่กลับไม่พบเห็นใด ๆ เลย

ตามอันดับเมื่อตอนประลองยุทธ์ หลัวซิวสามารถฝึกตนอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นเวลาหนึ่งเดือน

ด้วยเหตุนี้หลังจากที่หลัวซิวออกมาจากที่พักของเทวทูตจื่อเยียน ก็ตรงไปที่ตำหนักเต๋าทันที เพื่อใช้ระยะเวลาหนึ่งเดือนที่เหลืออยู่อย่างเต็มที่

ในตำหนักเต๋า ด้านหนึ่งหลัวซิวตระหนักรู้ร่อยรอบแห่งกฎ อีกด้านหนึ่งเริ่มฝึกฝนภูตอัคคีร้อยแปร

ก่อนที่จะเข้ามาในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เขาอาศัยพลังไสยอัคคีที่เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวถ่ายทอดให้ ลองผสานภูตอัคคีกลืนกินกับภูตอัคคีเปลวเยือกเข้าด้วยกัน

แต่ในตอนนั้นผสานกันไม่สำเร็จ เพราะคิดจะผสานภูตอัคคีสองชนิดเข้าด้วยกัน เป็นกระบวนการค่อยเป็นค่อยไปทีละขั้นตอน

ในวันนี้ได้มีภูตอัคคีร้อยแปร เป็นธรรมดาที่วิชาหลอมอัคคีที่เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวถ่ายทอดให้จะไม่มีประโยชน์อันใดอีก ดังนั้นครั้งนี้ หลัวซิวไม่ได้ผสานภูตอัคคีสองชนิดเข้าด้วยกัน แต่เป็นกลืนกิน!

เมื่อเทียบกับการผสานข้าด้วยกันแล้ว การกลืนกินเหี้ยมโหดยิ่งกว่า ถูกกำหนดเอาไว้แล้วว่าภูตอัคคีทั้งสองชนิดนี้จะหายไปโดยสิ้นเชิง!

มือรวบรวมพลังตราประทับขึ้นมา เปลวเพลิงสีน้ำตาลแดงปะทุออกมาจากจุดตันเถียนของหลัวซิว เปลวเพลิงกลายรูปเป็นเด็กทารก พลันอ้าปากและสูดลมหายใจเข้า ภูตอัคคีเปลวเยือกกลายเป็นเหมือนดั่งงูสีฟ้าตัวเล็ก ๆ ถูกกลืนกินเข้าไปในท้องของมัน

ตูม!

ชั่ววินาทีเดียว กระแสพลังอันร้อนระอุก็ได้รายล้อมไปทั่วร่างกาย หลัวซิวรู้สึกว่าทุกส่วนของร่างกายกำลังถูกแผดเผา ความเจ็บปวดชนิดนี้เพียงพอที่จะทำให้คนรู้สึกทุกข์ทรมานแทบเป็นแทบตาย ทว่าหลัวซิวยังคงรักษาเจตนาเดิมเอาไว้ ฝืนทนยืนหยัดด้วยปณิธานอันแข็งแกร่ง

ตามบันทึกของภูตอัคคีร้อยแปร ในระหว่างที่กลืนกินภูตอัคคีก็มีอัตราความล้มเหลวอยู่เช่นกัน ทันทีที่ล้มเหลว ภูตอัคคีที่ถูกกลืนกินก็จะพ้นจากการถูกควบคุม และแว้งกัดกลืนกินร่างของจอมยุทธ์เอง ทั่วทั้งกระบวนการกลืนกินภูตอัคคี จะให้เกิดความผิดพลาดขึ้นมาไม่ได้แม้แต่น้อย

หลัวซิวขับเคลื่อนพลังจิตแท้อย่างเงียบ ๆ ควบคุมภูตอัคคีกลืนกินตาม《ภูตอัคคีร้อยแปร》 ในขณะเดียวกันนั้นมือก็ได้สร้างพลังตราประทับออกมาเพื่อนำทางอย่างต่อเนื่อง ภูตอัคคีกลืนกินที่กลายร่างเป็นเด็กทารก ได้นั่งขัดสมาธิลงในจุดตันเถียนของเขา และเริ่มกลั่นแปรกลืนกินพลังแห่งภูตอัคคีเปลวเยือก

เปลวเพลิงเป็นภูตอัคคี จิตวิญญาณที่ได้รับตามมานั้น ก็คือวิญญาณอัคคี

รูปร่างวิญญาณอัคคีของภูตอัคคีกลืนกิน ก็คือทารก และรูปร่างวิญญาณอัคคีของภูตอัคคีเปลวเยือก ก็คืองูน้ำแข็งสีฟ้านั่นเอง

ในขั้นตอนการกลืนกิน แสงสีแดงดั่งโลหิตได้กะพริบวิบวับไปทั่วร่างของภูตอัคคีกลืนกิน เปลวเพลิงที่เดิมมีสีน้ำตาลแดงนั้น ก็ได้ค่อย ๆ กลายเป็นเปลวเพลิงสีแดง

เมื่อเปลวเพลิงสีน้ำตาลแดงได้เปลี่ยนเป็นสีแดงจนหมด การแปรเปลี่ยนครั้งที่หนึ่งของภูตอัคคีร้อยแปร นับว่าฝึกฝนได้สำเร็จ

แน่นอนว่าภูตอัคคีเปลวเยือกไม่เต็มใจที่จะถูกกลืนกิน งูน้ำแข็งที่เกิดจากการแปลงร่างได้วิ่งไปทั่วร่างของภูตอัคคีกลืนกินอย่างร้อนรน พยายามที่จะหลุดพ้น

หลัวซิวขับเคลื่อนกฎการเวียนว่ายตายเกิดบีบบังคับเอาไว้ จากความสามารถในตอนนี้ของเขา สำเร็จการเปลี่ยนแปลงครั้งที่หนึ่งของภูตอัคคีร้อยแปรขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น

ชั่วพริบตา เวลาก็ได้ผ่านไปครึ่งเดือน ภูตอัคคีกลืนกินกลายเป็นสีแดง เปลี่ยนเป็นมกุฎอัคคีนภาแดงโดยบริบูรณ์

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 710
หากสามารถฝึกฝนภูตอัคคีจนถึงการแปรเปลี่ยนครั้งที่สามได้ ก็จะเปลี่ยนแปลงเป็นจักรพรรดิอัคคีนภาแดง ก็จะสามารถแผดเผามหาจักรพรรดิยุทธ์ให้กลายเป็นผุยผงได้

หลัวซิวไม่ยอมรับไม่ได้ว่า ภูตอัคคีร้อยแปรเป็นพลังอมตะที่แข็งแกร่งมากจริง ๆ ประการสำคัญก็คือไม่จำเป็นต้องตระหนักรู้ถึงกฎเพลิงอัคคี แค่ต้องกลืนกินภูตอัคคีอย่างไม่ขาดสาย อานุภาพก็จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“ได้ ข้าเลือกภูตอัคคี!”

ในที่สุดหลัวซิวก็ได้ตัดสินใจ เขาไม่ขาดอาวุธวิเศษ ยาก็สามารถกลั่นขึ้นเองได้ ทักษะยุทธ์ก็มีวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ ข้อคิดและประสบการณ์ในการฝึกยุทธ์เขาก็มีวิญญาณมหาจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำคอยให้คำแนะนำ รวมทั้งข้อคิดและประสบการณ์แห่งกฎความตายที่เทวทูตจื่อเยียนมอบให้เขา

เดิมตามแผนการของหลัวซิว คือต้องการข้อคิดและประสบการณ์ของกฎชีวิต แม้แต่ข้ออ้างก็ยังเตรียมพร้อมเอาไว้แล้ว ก็คือบอกว่าตนเองต้องการกฎชีวิตที่ขัดแย้งกับกฎความตาย เพื่อมาเปรียบเทียบการตระหนักรู้กฎคความตาย

แต่ในเมื่อเทวทูตจื่อเยียนได้เอาพลังอมตะภูตอัคคีร้อยแปรออกมาแล้ว หลัวซิวก็เปลี่ยนแปลงความคิดทันที

จากเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิว เขาได้รับภูตอัคคีเปลวเยือกมาแล้ว หากสามารถได้รับภูตอัคคีอีกชนิดหนึ่งจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ก็จะมีภูตอัคคีอยู่สองชนิด หลังจากที่ให้ภูตอัคคีกลืนกินได้กลืนกินไปทั้งหมด ก็จะเพิ่มขึ้นถึงระดับมกุฎอัคคีนภาเหลืองได้

สำหรับเคล็ดวิชาพลังไสยอัคคีที่เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวมอบให้ ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันกับภูตอัคคีร้อยแปรเลยสักนิด

“ดี!”

เมื่อเห็นหลัวซิวได้เลือกแล้ว หลิวหงเทียนก็ไม่ได้พูดอะไรมาก และได้หยิบเอาลูกแก้วที่มีขนาดเท่ากำปั้นลูกหนึ่งออกมา ที่ตรงกลางของลูกแก้ว ได้ผนึกเปลวเพลิงสีเขียวเอาไว้ ราวกับว่ามันได้ถูกกำหนดเอาไว้ งดงามเป็นอย่างมาก

เป็นที่ประจักษ์ นี่ก็คือภูตอัคคีชนิดหนึ่งที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้เก็บเอาไว้นั่นเอง

หลัวซิวอยากรู้เป็นอย่างยิ่งว่ายังมีภูตอัคคีชนิดอื่นอยู่ที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์อีกหรือไม่ หากมีละก็ เช่นนั้นตนก็ต้องดูว่าในอนาคตจะมีโอกาสเอามาได้หรือไม่ เพื่อนำมาฝึกฝนภูตอัคคีร้อยแปร

หลิวหงเทียนเหมือนว่าสามารถอ่านความคิดของหลัวซิวออก และยิ้มกล่าว: “แม้ว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์จะได้สะสมจิตฟ้าดินทั้งเจ็ดชนิดเอาไว้ แต่ภูตอัคคีกลับมีเพียงชนิดเดียว เจ้าอย่าได้คิดอีกเลย”

เมื่อได้ยินดังนั้น หลัวซิวก็ดูผิดหวังเล็กน้อย ทว่าจากนั้นเทวทูตจื่อเยียนก็ได้เอ่ยขึ้น: “ก่อนหน้านี้ข้าได้ให้ม้วนหยกสองม้วนกับเจ้าไป ในม้วนหยกม้วนที่สองมีแผนที่อยู่ด้านใน นั่นเป็นแผนที่ที่อยู่ของภูตอัคคีชนิดหนึ่ง แต่ถ้าหากเจ้าต้องการไปตามหา จะต้องมีผลการฝึกตนในระดับเจ้ายุทธจักรขึ้นไปถึงจะได้”

“แต่จากความสามารถของเจ้าในตอนนี้สามารถทะลวงผ่านชั้นที่สี่ของหอคอยสุดหล้า ก็นับว่ามีความสามารถที่เทียบเคียงกับเจ้ายุทธจักรโดยทั่วไปได้ แต่เพื่อป้องกันการเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น ทางที่ดีรอเจ้าบรรลุถึงแดนเจ้ายุทธจักรก่อนแล้วค่อยไปสถานที่ที่ข้า” เทวทูตจื่อเยียนกล่าวตักเตือน

“ขอรับ ผู้น้อยทราบแล้ว”

ด้านหน้าแท่นศิลาที่บันทึกการจัดอันดับ อัจฉริยะหนุ่มสาวในโลกแสงดาว ต่างก็มีท่าทางแปลกประหลาดขึ้นมา

ในตอนนี้ รายชื่อในอันดับหนึ่งได้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น ซิงหลิงที่อยู่ในอันดับหนึ่งมาโดยตลอด ได้ถูกบีบจนลงไปอยู่อันดับที่สอง

“นี่มันเป็นไปได้อย่างไร? เขาทำได้อย่างไรกัน?”

บนใบหน้าของทุกคนต่างปะปนไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ เพราะรายชื่อที่อยู่อันดับหนึ่งในตอนนี้นั้น เป็นหลัวซิว!

เงาร่างของจงสุนชายในชุดม่วงได้ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ ก้มลงมองเหล่าอัจฉริยะหนุ่มสาวที่อยู่ด้านล่าง

“ระยะเวลาหนึ่งปีได้ครบกำหนด ตามอันดับการประลองยุทธ์ก่อนที่จะเข้ามาในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ผู้ที่อยู่ในสิบอันดับแรกจะได้รับเวลาฝึกตนในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เพิ่มขึ้น นอกเหนือจากสิบอันดับแรก จะต้องไปจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ในวันนี้แล้ว”

เสียงของจงสุนดังก้องไปในอากาศ “ตอนนี้หากพวกเจ้ายังเหลือเวลาฝึกตนในตำหนักเต๋าอยู่ สามารถนำมาแลกทรัพยากรสมบัติกับข้าได้”

“ผู้อาวุโส ข้าอยากรู้ว่าเหตุใดอันดับของหลัวซิวถึงอยู่เหนือข้า” จู่ ๆ ซิงหลิงก็เอ่ยขึ้นมา

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 709
ได้ยินสิ่งที่เจ้าแดนหลิวกล่าว หัวใจของหลัวซิวก็หวั่นไหวขึ้นมา “ข้าต้องการจิตฟ้าดินก็ได้หรือ?”

ภูตอัคคีชนิดหนึ่ง ก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ตามหาไปทั่วทั้งปฐพี แต่ที่เจ้าแดนหลิวเอ่ยถึงนั้นกลับไม่ใช่ภูตอัคคีแต่เป็นจิตฟ้าดินมันทำให้หลัวซิวรู้สึกว่ารากฐานของดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั้น แข็งแกร่งจนถึงขั้นที่ไม่อาจจินตนาการได้

“ถูกต้อง ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก่อตั้งขึ้นมาเป็นเวลาหลายหมื่นปี แม้ว่าจิตฟ้าดินจะหาได้ยาก แต่ก็ได้รวบรวมเอาไว้ไม่น้อย ทองไม้น้ำไฟดินลมอัสนีมีครบทั้งเจ็ดชนิด!”

หลัวซิวอึ้งทึ่งตะลึงงัน จนถึงตอนนี้เขาเคยพบเห็นเพียงภูตอัคคีเท่านั้น จิตฟ้าดินชนิดอื่น ก็เพียงแค่เคยได้ยินมา แต่ไม่เคยพบมาก่อนเลย

“หลัวซิว ในร่างของเจ้ามีกลิ่นอายของภูตอัคคีกลืนกิน ดูท่าชะตาและโอกาสของเจ้าไม่เลวเลย ถึงได้รับภูตอัคคีที่หายากเช่นนี้มาครอบครอง”

ในตอนนี้เอง เทวทูตจื่อเยียนก็ได้เอ่ยขึ้นมา “ในเมื่อเจ้าได้รับภูตอัคคีกลืนกินมาครอบครองแล้ว ก็น่าจะรู้ว่าภูตอัคคีกลืนกินสามารถกลืนกินเปลวเพลิงอื่น ๆ เพื่อเพิ่มระดับได้ และถ้าได้กลืนกินภูตอัคคีชนิดอื่น จะยิ่งมีประสิทธิภาพ”

“ใช่ขอรับ” หลัวซิวพยักหน้า

“ข้าเคยบอกเอาไว้ว่าจะชี้แนะเจ้าอีกครั้งหากเจ้าสามารถทะลวงชั้นที่สามของหอคอยสุดหล้าได้ ดังนั้นสำหรับของรางวัลที่เจ้าเลือก ข้าแนะนำให้เจ้าเลือกภูตอัคคีชนิดหนึ่ง”

“แม้ว่าภูตอัคคีจะเป็นของภายนอก แต่ข้ากลับได้รับพลังอมตะอย่างหนึ่งมาโดยบังเอิญ มีชื่อว่าพลังอมตะหลอมอัคคี แต่หากจะฝึกพลังชนิดนี้ ก็จำเป็นจะต้องมีภูตอัคคีกลืนกิน”

“พลังอมตะหลอมอัคคี มีการกลืนกินภูตอัคคีเป็นพื้นฐาน ทุกครั้งที่กลืนกินภูตอัคคีชนิดอื่น ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงชนิดหนึ่ง หลังจากที่กกลืนกินภูตอัคคีไปเก้าชนิด ก็จะสามารถแปรเปลี่ยนเป็นอัคคีเทพเพลิงนภา”

เมื่อได้ฟังคำพูดเหล่านี้ของเทวทูตจื่อเยียน แม้แต่ท่าทางของหลิวหงเทียนเองก็ยังเกิดการเคลื่อนไหว เขาคิดไม่ถึงว่า แม้แต่พลังอมตะเทวทูตจื่อเยียนผู้นี้ก็ยังเต็มใจนำออกมาได้ ดูท่าจะฝากความหวังเอาไส้กับหลัวซิวผู้นี้มากจริง ๆ ดูท่าจะฝากความหวังไว้กับหลัวซิวมากจริง ๆ

“ผู้อาวุโส ที่ข้าฝึกนั้นเป็นกฎความตาย ฝึกฝนพลังอมตะธาตุไฟ เหมือนว่าจะไม่เหมาะสมนัก” หลัวซิวบอกถึงความสงสัยของตนเองออกมา

“หึ ๆ ใครบอกว่าฝึกกฎความตาย ไม่สามารถฝึกฝนพลังอมตะธาตุไฟได้?” เทวทูตจื่อเยียนยิ้มอย่างงดงาม “แม้จะบอกว่าผู้ที่ฝึกฝนกฎแห่งธาตุไฟเหมาะที่จะฝึกฝนพลังอมตะธาตุไฟยิ่งกว่า แต่การเพิ่มระดับดินแดนของกฎนั้นจะยากขึ้นมาเรื่อย ๆ และการฝึกฝนพลังอมตะธาตุไฟ กลับสามารถทำให้เจ้ามีฝีมือที่ร้ายกาจยิ่งกว่า”

“และฝีมือก็คือความแข็งแกร่ง ความแข็งแกร่งถึงเป็นเส้นทางที่ถูกต้อง!”

“หากมีสักวันที่กฎความตายของเจ้าฝึกฝนจนถึงดินแดนที่สูงพอ ก็เป็นธรรมดาที่จะสามารถทิ้งพลังอมตะหลอมอัคคีนี้เอาไว้ก่อนได้ นอกจากนี้แล้วตัวภูตอัคคีฟ้าดินเองก็ได้แฝงกฎเอาไว้อยู่แล้ว และไม่จำเป็นที่เจ้าจะแบ่งความสนใจเพื่อไปตระหนักรู้กฎแห่งธาตุไฟ ตราบใดที่กลืนกินภูตอัคคีได้อย่างเพียงพอ อานุภาพของพลังอมตะชนิดนี้ก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ”

“พลังอมตะที่สามารถเพิ่มระดับได้โดยไม่ต้องอาศัยดินแดนของกฎ หากไม่ใช้เพราะตลอดเวลามานี้หาภูตอัคคีกลืนกินไม่พบ ข้าก็คงฝึกเองไปตั้งนานแล้ว”

ในตอนที่เทวทูตจื่อเยียนกล่าวคำพูดเหล่านี้ ไม่ได้มีท่าที่ว่าจะแย่งภูตอัคคีกลืนกินมาครอบครองเลยสักนิด

“เจ้าลองดูเองก็แล้วกัน” ในระหว่างที่กล่าว เทวทูตจื่อเยียนก็ได้ดีดนิ้วออกไป ลำแสงสายหนึ่งก็ได้พุ่งเข้าไปยังตรงกลางระหว่างคิ้วของหลัวซิว

กระแสพลังสายหนึ่งหลั่งไหลเข้าไปยังตัวหยั่งรู้ของเขา เป็นวิธีในการฝึกฝนพลังอมตะหลอมอัคคีนั่นเอง

ชื่อของพลังอมตะนี้ เรียกว่าภูตอัคคีร้อยแปร ทุกครั้งที่กลืนกินภูตอัคคีชนิดหนึ่ง ภูตอัคคีคือก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นหนึ่งครั้ง หลังจากที่เปลี่ยนครบเก้าครั้ง ก็จะกลายเป็นอัคคีเทพเพลิงนภา สามารถทำให้เทพฟ้าถดถอยได้!

การเปลี่ยนแปลงครั้งที่หนึ่งของภูตอัคคี เรียกว่ามกุฎอัคคีนภาแดง สามารถแผดเผาเจ้ายุทธจักรธรรมดาทั่วไปให้ตายได้

การเปลี่ยนแปลงครั้งที่หนึ่งของภูตอัคคี เรียกว่ามกุฎอัคคีนภาเหลืองสามารถแผดเผาสังหารยอดฝีมือเจ้ายุทธจักรระดับสุดยอดได้

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 708
ผลการฝึกตนยิ่งสูง ก็ยิ่งมีอายุขัยยืนยาว ก็ยิ่งเกรงกลัวความตาย นี่คือจุดอ่อนโดยทั่วไปของผู้แข็งแกร่งในโลกยุทธ์ คนปกติแล้วต่างไม่กล้าตัดใจเสี่ยงชีวิตในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนั้น

ในตอนนี้เอง เจ้าแดนหลิวก็สังเกตเห็นว่าเทวทูตจื่อเยีบนได้หายตัวไปแล้ว

ตอนนี้เขาถึงได้สติกลับคืนมา เห็นได้ชัดว่าในช่วงเวลาสำคัญหลัวซิวผู้นั้นได้ใช้พลังไปจนหมดสิ้นแล้ว คงเป็นเพราะเทวทูตจื่อเยียนมีใจชื่นชมอัจฉริยะ จึงได้ไปช่วยรักษาอาการบาดเจ็บให้กับเขาแล้ว

จริงอย่างที่คิด เงาร่างของเทวทูตจื่อเยียนได้ปรากฏขึ้นในตำหนักอีกครั้ง และได้พาหลัวซิวที่สลบไสลอยู่กลับมาด้วย

“เขาเพียงแค่ใช้พลังไปจนหมดสิ้น ข้าได้ให้เขาทานยาลงไปแล้ว อีกไม่นานก็คงฟื้นขึ้นมา”

มีรอยยิ้มอ่อน ๆ อยู่บนใบหน้าของเทวทูตจื่อเยียน สำหรับการแสดงออกของหลัวซิว ทำให้นางพอใจเป็นอย่างยิ่ง

หากในอนาคต แม้หลัวซิวมีโอกาสที่จะกลายเป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทพฟ้าเพียงน้อยนิด เช่นนั้นนางก็ไม่ต้องอยู่ในโลกชั้นล่างแห่งนี้ในฐานะคนบาปอีกต่อไป

แน่นอน ความเป็นไปได้นี้มีน้อยมาก เนื่องจากถึงแม้ว่าพรสวรรค์ของหลัวซิวจะสูงส่ง แต่ในโลกเสวียนเทียนในพิภพกลาง สามารถปรากฏได้หนึ่งคนในทุก ๆ หลายร้อยถึงหนึ่งพันปี แต่ผู้แข็งแกร่งระดับเทพฟ้านั้นแสนปีถึงจะพบได้หนึ่งครั้ง ความน่าจะเป็นนี้ต่ำมาก แค่คิดก็ทราบได้

“ไม่ว่าอย่างไร อย่างน้อยในหลายหมื่นปีมานี้ ในที่สุดข้าก็ได้มองเห็นความหวังอันริบหรี่นั่นแล้ว” เทวทูตจื่อเยียนเหลือบมองหลัวซิวที่สลบอยู่แวบหนึ่ง และกล่าวกับตัวเองอยู่ในใจ

“ยินดีกับเทวทูตจื่อเยียนที่ได้ค้นพบอัจฉริยะเนื้อดีเช่นนี้” หลิวหงเทียนเดินเข้ามาพลางกล่าว

สำหรับประวัติของเทวทูตจื่อเยียนนั้น หลิวหงเทียนก็พอรู้อยู่บ้าง แต่เขากลับไม่เคยที่จะไม่เคารพเพียงเพราะอีกฝ่ายเป็นคนบาปที่ถูกลงโทษให้ลงมาที่นี่เลยสักนิด

“มันเร็วไปที่เจ้าแดนหลิวจะยินดีกับข้าในตอนนี้ แต่ถ้าข้าสามารถกลับไปที่เสวียนเทียนได้ จะต้องปฏิบัติต่อจ้าแดนหลิวอย่างดีแน่” เทวทูตจื่อเยียนยิ้มกล่าว

นางรู้ดีว่าโอกาสที่ตนจะกลับไปนั้นมีอยู่เลือนรางมาก แต่ต่อให้เลือนรางเพียงใด อย่างน้อยก็ยังพอมีความหวังอันริบหรี่อยู่

ให้คำสัญญาต่อหลิวหงเทียน ก็เป็นการคิดเพื่อหลัวซิว เพราะก่อนที่ผลการฝึกตนจะบรรลุถึงระดับที่เพียงพอ หลัวซิวยังต้องอยู่ที่โลกแสงดาวไปก่อน หลิวหงเทียนน่าจะรู้ว่าควรทำเช่นไร

เหมือนกับที่เทวทูตจื่อเยียนคาดเดาเอาไว้ เมื่อหลิวหงเทียนได้รับคำสัญญานี้ของนาง ก็มีท่าทางปีติยินดีขึ้นมาเล็กน้อย และกล่าวขอบคุณต่อ ๆ กัน

ในตอนนี้เอง ทางด้านหลัวซิวก็มีความเคลื่อนไหวเล็กน้อย ดวงตาคู่นั้นค่อย ๆ เปิดออก และฟื้นได้สติขึ้นมา

แม้ว่าเขาจะแปลงพลังจิตแท้สองระดับความเป็นตายให้กลายเป็นพลังแห่งความตายอันบริสุทธิ์ เพื่อปกปิดความลับที่ตนได้ฝึกสองระดับความเป็นตายพร้อมกัน แต่สภาพร่างกายของเขากลับได้ถูกฝึกฝนจากกฎการเวียนว่ายตายเกิดจนไม่ธรรมดาไปนานแล้ว มีความสามารถในการฟื้นฟูอันแข็งแกร่ง

ทันทีที่เขาลืมตา ก็พบว่าตัวเองอยู่ในตำหนัก ในขณะเดียวกันนั้นก็ได้มองเห็นเทวทูตจื่อเยียนและเจ้าแดนหลิว

“ขอบคุณผู้อาวุโส” หลัวซิวลุกขึ้นคารวะกล่าวขอบคุณ ในเมื่อตนเองได้มาอยู่ตรงนี้ เป็นที่ประจักรว่าตนได้ถูกพามาในตอนที่สลบอยู่

หลิวหงเทียนยิ้มอ่อน ๆ : “หลัวซิวเจ้าทะลวงผ่านชั้นที่สี่ของหอคอยสุดหล้า บัดนี้ได้อยู่ในอันดับที่สูงที่สุดของทั้งยี่สิบคน ตามกฎของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ข้าจะให้รางวัลเจ้าตามที่สมควร เจ้าต้องการสิ่งใด?”

หลิวหงเทียนทราบเป็นอย่างดี หากต้องการให้คำสัญญาที่เทวทูตจี่อเยียนให้ไว้เป็นจริง เงื่อนไขอย่างแรกก็คือนางสามารถกลับไปยังโลกเสวียนเทียนได้ แต่ทั้งหมดนี้จะต้องดูว่าความสำเร็จในวันหน้าของหลัวซิวจะถึงระดับใด

ดังนั้นตัวหลิวหงเทียนจึงคิดที่จะออกแรงในส่วนของตนเอง ให้หลัวซิวได้รับผลประโยชน์สูงสุดอยู่ในที่นี้ให้ได้

“แดนศักดิ์สิทธิ์ของเรานั้นมีทรัพยากรรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นอาวุธวิเศษ จิตฟ้าดิน ยา วิชายุทธ์ ข้อคิดและประสบการณ์ในการฝึกกฎและอื่น ๆ อีกมากมาย ที่ควรมีล้วนมีอยู่ทั้งนั้น!”

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 707
หลิงหงเทียนไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดีแล้ว เทวทูตจื่อเยียนนั้นเป็นถึงเทพมารที่ฝึกฝนกฎความตาย และยังเป็นผู้แข็งแกร่งระดับสุดยอดในหมู่เทพมารความมหัศจรรย์ที่แม้แต่นางยังมองไม่ออก หลัวซิวสามารถเข้าใจได้อย่างไร?

เทวทูตจื่อเยียนเห็นท่าทางของหลิวหงเทียน ก็รู้ว่าในใจเขาคิดสิ่งใดอยู่ ดังนั้นก็เลยได้กล่าวอธิบาย: “นี่น่าจะเป็นทักษะยุทธ์ที่เขาคิดค้นขึ้นมาเอง ไม่ว่าจะเป็นเค้าโครงของจุลอมตะหรือเค้าโครงของพลังอมตะ แต่ก็เป็นเพียงเค้าโครงเท่านั้น จะสามารถสำเร็จเป็นพลังอมตะที่แท้จริงได้หรือไม่ ยังต้องดูว่าในด้านการตระหนักรู้กฎของเขาจะสามารถบรรลุถึงแดนไหนได้”

มีอัจฉริยะมากมายที่สามารถสร้างทักษะยุทธ์ที่มีเค้าโครงของพลังอมตะขึ้นมา แต่ผู้ที่สามารถบรรลุถึงแดนเทพฟ้า เปลี่ยนแปลงเค้าโครงของพลังอมตะให้กลายเป็นพลังอมตะที่แท้จริงได้ กลับหาได้ยากมากเลยทีเดียว

เค้าโครงของพลังอมตะนั้นไม่เป็นที่หายาก พลังอมตะที่แท้จริงถึงเป็นที่น่าสะพรึงกลัว!

แต่อย่างไรก็ตามในการเผชิญหน้าในระดับเดียวกัน ผู้ที่เข้าใจถึงเค้าโครงของพลังอมตะ แทบจะสามารถจัดการกับคนอื่น ๆ ได้โดยง่าย หรือต่อให้เป็นผู้ที่เคยได้ฝึกพลังอมตะที่แท้จริงมา ก็ไม่แน่ว่าจะสามารถเป็นคู่ต่อสู้ของผู้ที่เข้าใจถึงเค้าโครงของพลังอมตะได้

เพราะเค้าโครงพลังอมตะนั้นเป็นสิ่งที่คิดค้นขึ้นด้วยตนเอง ส่วนคนที่ได้ฝึกพลังอมตะที่แท้จริงนั้น กลับได้เดินตามเส้นทางของคนรุ่นก่อน เป็นไปไม่ได้ว่าจะเหมาะสมกับตนเอง และไม่สามารถแสดงอานุภาพของพลังอมตะออกมาได้อย่างเต็มที่

เค้าโครงพลังอมตะนั้นมีกำลังแฝง ก็เหมือนกันกับกำลังแฝงของอัจฉริยะ กำลังแฝงไม่ได้หมายถึงความสำเร็จ!

เจ้าแดนหลิวคิดว่า ความสามารถของหลัวซิวนั้นสามารถสังหารเจ้ายุทธจักรได้จริง ให้เวลาที่เพียงพอกับเขา เจ้ายุทธจักรขั้นปฐมภูมิทั้งสามคนในชั้นที่สี่ของหอคอยสุดหล้า เขาสามารถสังหารได้

แต่ถ้าหากจะต้องสังหารให้ได้ภายในเวลาหนึ่งก้านธูป คงเป็นไปไม่ได้แล้ว

เพราะเวลามีไม่พอแล้ว และเขาพึ่งสังหารไปได้แค่เจ้ายุทธจักรกลั่นร่าง นอกจากนี้ตนเองยังได้รับบาดเจ็บ

ในหอคอยสุดหล้า หลัวซิวมองข้ามอาการบาดเจ็บของตนเองไปโดยสิ้นเชิง และฝืนขับเคลื่อนพลังแห่งกฎความตาย มือซ้ายแสดงทักษะยุทธ์กระบี่หมัดออกมา มือขวาแสดงตราทวยมรณะ!

ภายใต้การโจมตีของกระบี่หมัดและตรามรณะ เจ้ายุทธจักรกลั่นวิญญาณถูกเขาสังหารในทันที แต่ก่อนที่เจ้ายุทธจักรกลั่นวิญญาณจะตายไปนั้นก็ได้จู่โจมด้วยพลังทั้งหมดออกมา บวกกับการโจมตีของเจ้ายุทธจักรที่มีพลังจิตแท้ล้ำลึกผู้นั้น ทำให้หลัวซิวได้รับบาดเจ็บอีกครั้ง

และครั้งนี้ เขาได้รับบาดเจ็บหนักยิ่งกว่าเดิม เกิดรอยแผลขึ้นมาที่ตรงกลางระหว่างคิ้ว เลือดไหลหยดย้อย ที่แผ่นหลังของเขานั้นเต็มไปด้วยบาดแผลและเลือดสด ๆ ถึงขนาดที่มองเห็นได้แม้กระทั่งกระดูกสีขาว

วินาทีนี้ หลัวซิวแทบจะใช้พลังไปจนหมดแล้ว แต่คู่ต่อสู้ของเขา ยังเหลือเจ้ายุทธจักรอยู่อีกหนึ่งคน

“พินาศไปด้วยกันเถอะ!”

หลัวซิวตัดสินใจอย่างโหดเหี้ยม เมินเฉยต่อการโจมตีของอีกฝ่าย เพิ่มระดับความเร็วของการเคลื่อนไหวจนถึงขีดสุดกระโจนเข้าไปยังตรงหน้าของอีกฝ่าย กระบี่หมัดและตรามรณะถูกซัดออกไปพร้อมกัน

ตูม!

ในวินาทีที่สังหารคู่ต่อสู้ หลัวซิวเองก็ได้รับบาดเจ็บอีกเช่นเดียวกัน อย่างไรเสียการโจมตีด้วยวิชายิ่งเลิศของผู้แข็งแกร่งระดับเจ้ายุทธจักร อานุภาพทรงพลังไม่น้อย

บาดแผลขนาดใหญ่เป็นที่น่าหวาดกลัว จากบริเวณคอของหลัวซิว ยาวลงไปจนถึงเอว มองเห็นแม้กระทั่งหัวใจที่เต้นอยู่อย่างเลือนราง

“ออกไป!”

ในตอนที่เขากำลังจะสิ้นสติไปนั่นเอง หลัวซิวก็เอ่ยออกมาสองพยางค์อย่างหมดแรง จากนั้นร่างของเขาก็หายไปจากพื้นที่ในชั้นที่สี่ของหอคอยสุดหล้า

จนกระทั่งเงาร่างของหลัวซิวได้หายไปจากหอคอยสุดหล้า เจ้าแดนหลิวผู้นั้นก็ยังไม่ได้สติกลับคืนมา

“เจ้าหนุ่มคนนี้เหี้ยมโหดพอ! ปณิธานแรงกล้า!”

สิ่งที่ทำให้เจ้าแดนหลิวตกตะลึงอีกครั้งไม่ใช่การที่หลัวซิวทะลวงผ่านชั้นที่สี่ของหอคอยสุดหล้ามาได้ แต่เป็นความใจกล้าเหี้ยมโหดในตอนสุดท้ายของเขา

มีอยู่หลายครั้ง การต่อสู้ระหว่างจอมยุทธ์ที่ฝีมือต่างกันไม่มาก ผู้ที่มีปณิธานแรงกล้า โดยธรรมดาแล้วจะกลายเป็นผู้ชนะในที่สุด

ถึงขนาดที่มีบางคนสามารถเอาชนะผู้แข็งแกร่งแม้ตนเองจะอ่อนแอกว่าได้ มิใช่ว่ามีความสามารถในการต่อสู้ข้ามขั้น แต่เป็นเพราะมีปณิธานอันแรงกล้า

มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 706
ต่อให้เป็นเช่นนี้ ก็น่าเกรงกลัวมากแล้ว น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าความสามารถในการตระหนักรู้กฎของเขาเสียอีก เพราะเขาพึ่งจะอยู่ในแดนมกุฎยุทธ์เท่านั้น!

“แดนมกุฎยุทธ์ก็สามารถสร้างเค้าโครงทักษะยุทธ์จุลอมตะได้แล้ว ผ่านการพัฒนาอย่างไม่ขาดในวันหน้า ความสำเร็จของเขาไร้ขอบเขต”

ในฐานะเจ้าแดนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ หลิวหงเทียนก็นับว่าได้พบอัจฉริยะมามากมาย แต่กลับไม่เคยมีผู้ใดสามารถสร้างความตกตะลึงมากมายให้กับเขาเหมือนหลัวซิวมาก่อน

เหมือนกันกับความสามารถในการตระหนักรู้กฎ การทำความเข้าใจของหลัวซิวไม่ได้เป็นที่น่าสะพรึงกลัวจนถึงขั้นนั้น ที่เขาสามารถสร้างทักษะยุทธ์ที่มีอานุภาพร้ายกาจอย่างกระบี่หมัดขึ้นมาได้ ที่จริงแล้วความดีความชอบส่วนใหญ่ ต้องยกให้กับวิชากลั่นร่างของวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ

วิชากลั่นร่างของแต่ละแดนศักดิ์สิทธิ์ ล้วนมีทักษะยุทธ์ที่มาควบคู่กัน แม้ว่าอานุภาพจะร้ายกาจ แต่กลับถูกสร้างขึ้นมาโดยคนรุ่นก่อน ๆ ไม่เหมาะกับผู้ฝึกตนในเวลาต่อ ๆ มาเท่าไหร่นัก

ส่วนวิชากลั่นร่างของวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ แม้ว่าจะไม่มีกระบวนท่าทักษะยุทธ์ใด ๆ แต่กลับแฝงไปด้วยความมหัศจรรย์ที่ไม่รู้จบ นำพาให้หลัวซิวสร้างทักษะยุทธ์ที่เหมาะสมกับตนเองขึ้นมา

พลังอมตะ เป็นสิ่งเฉพาะสำหรับเทพฟ้า แต่ตอนที่หลัวซิวอยู่ในแดนฝึกจิต ก็ได้ปลุกตื่นผู้เป็นอมตะแล้ว

ทั้งหมดนี้ ก็ล้วนเป็นความดีความชอบของลูกแก้วความเป็นตาย!

ลูกแก้วความเป็นตาย เป็นจุดเปลี่ยนชะตาชีวิตของหลัวซิว กำหนดให้เขาเดินสู่จุดสูงสุดในเส้นทางแห่งโลกยุทธ์

หอคอยสุดหล้าชั้นที่สี่ มีว่าผลการฝึกตนของหลัวซิวค่อนข้างจะต่ำ แต่อาศัยแดนของกฎและทักษะยุทธ์กระบี่หมัดระดับจุลอมตะ แม้ว่าจะต้องก้าวถอยหลังติดต่อกันอยู่หลายเก้าภายใต้การโจมตีของเจ้ายุทธจักรทั้งสาม แต่ก็ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร

หากเป็นเช่นนี้ต่อไป อดทนอยู่ในนี้จนครบเวลาหนึ่งการธูป สำหรับเขาแล้วไม่ใช่เรื่องยากเลย

ฮึ่ม! ฮึ่ม! ฮึ่ม! ……

การลงมือของผู้แข็งแกร่งระดับเจ้ายุทธจักร ทุกครั้งล้วนนำมาซึ่งแรงสั่นสะเทือนอันมหาศาล

“ตอนนี้แหละ!”

หลัวซิวคว้าโอกาสในการลงมือครั้งหนึ่งเอาไว้ แสงสว่างพลันเบ่งบานขึ้นมาในดวงตาของเขา

ตราทวยมรณะ!

เขารวบรวมพลังแห่งกฎความตาย วิชาตราประทับถูกวัดออกไปจากฝ่ามือของเขา

ตูม!

เจ้ายุทธจักรกลั่นร่างที่ได้ถูกเขาทำลายหมัดข้างหนึ่งไปเมื่อก่อนหน้านี้ได้ถูกวิชาตราประทับกระแทกเข้าที่หน้าอก ร่างท่อนบนของขาแตกสลายไปไหนทันที เหลือเพียงท่อนล่างที่ยังยืนอยู่กับที่

อย่างไรก็ตามอานุภาพของตราทวยมรณะยิ่งใหญ่มาก และก็ทำให้ผู้ฝึกตนสูญเสียพลังไปมากเช่นเดียวกัน หลัวซิวรู้สึกว่าในร่างกายนั้นว่างเปล่า ไม่ทันที่จะตั้งรับการโจมตีจากเจ้ายุทธจักรอีกสองคนที่เหลือ

ตูม!

ร่างของเขาถูกกระแทกลอยออกไป นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับบาดเจ็บ หลังจากเข้ามาในชั้นที่สี่ของหอคอยสุดหล้า

ทว่าเขาใช้การได้รับบาดเจ็บ แลกกับการสังหารเจ้ายุทธจักรหนึ่งคน!

“วิธีต่อสู้ของเจ้าหนุ่มคนนี้เป็นการใช้ชีวิตเข้าแลกจริง ๆ” สีหน้าของเจ้าแดนหลิวแทบจะด้านชาไปเลยทีเดียว แม้ว่าหลัวซิวจะได้รับบาดเจ็บ แต่สามารถสังหารเจ้ายุทธจักรคนหนึ่งได้ การได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยนั้นก็นับว่าคุ้มค่า

“เขาสูญเสียพลังไปไม่น้อย เวลาหนึ่งก้านธูปก็ใกล้จะหมดลงแล้ว ดูท่าเขาจะไม่สามารถสังหารเจ้ายุทธจักรที่เหลืออีกสองคนได้แล้ว”

เวลานี้เจ่แดนหลิวสามารถมั่นใจได้ว่า ความสามารถของหลัวซิวนั้นแข็งแกร่งกว่าซิงหลิงจริง ๆ ไม่ใช่แค่พรสวรรค์เท่านั้นที่เหนือกว่าซิงหลิง!

“เทวทูตจื่อเยียน เมื่อครู่ที่เขาใช้ออกมานั้นคือวิชาตราประทับหรือ?” เจ้าแดนหลิวมองไปยังเทวทูตจื่อเยียน

“เหมือนว่าจะมีเค้าโครงของพลังอมตะอยู่เล็กน้อย……” เทวทูตจื่อเยียนกล่าวเสียงเข้ม ดวงตาเปล่งประกายแวววาว

“อะไรนะ? เค้าโครงของพลังอมตะอย่างนั้นหรือ?” เจ้าแดนหลิวเบิกตากลมโต

จากผลการฝึกตนและสถานะของเขา ไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้แปลกใจจนถึงขั้นนี้ ต่อให้เป็นในตอนที่ได้รับรู้ว่าหลัวซิวตระหนักรู้ถึงเค้าโครงของจุลอมตะในเมื่อสักครู่ ก็ไม่ได้ตะลึงจนถึงขั้นยับยั้งอารมณ์ไม่ได้

พลังอมตะคือสิ่งใด? นั้นเป็นสิ่งเฉพาะสำหรับผู้แข็งแกร่งระดับเทพฟ้าเชียวนะ!

“วิชาตราประทับนั่นดูแล้วเหมือนจะยังไม่สมบูรณ์แบบนะ เผยความมหัศจรรย์อันลึกล้ำบางอย่างออกมา ทำให้ข้ามองไม่ทะลุสักเท่าไหร่นัก” เทวทูตจื่อเยียนกล่าว

“อยู่ในโลกเสวียนเทียนก็สามารถจัดอยู่ในกลุ่มอัจฉริยะชั้นสูง แต่ก็ไม่ถึงขั้นยอดอัจฉริยะ” เทวทูตจื่อเยียนพยักหน้า

อัจฉริยะสำหรับพิภพต่ำ อยู่ในพิภพกลางไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึงเลยสักนิด ต่อให้เป็นผู้ที่ถูกเรียกว่าเป็นยอดอัจฉริยะที่หมื่นปีพบได้เพียงหนึ่งครั้งอย่างซิงหลิง ในพิภพกลาง ก็สามารถจัดอยู่ในอัจฉริยะระดับกลางเพียงเท่านั้น

เทวทูตจื่อเยียนสามารถประเมินให้หลัวซิวจัดอยู่ในอัจฉริยะชั้นสูง นับว่าเป็นการประเมินที่ค่อนข้างสูงแล้ว

“เขาผ่านแล้ว!”

ทันใดนั้น แววตาของเจ้าแดนหลิวเคร่งขรึมขึ้นมาเล็กน้อย คู่ต่อสู้มหายุทธ์ขั้นเก้าคนสุดท้ายถูกหลัวซิวสังหาร ทะลวงชั้นที่สามของหอคอยสุดหล้าได้สำเร็จ

“ทะลวงผ่านชั้นที่สามได้ภายในสามสิบลมหายใจเข้าออก ดูเขามีท่าทางสบาย ๆ หรือว่าจะลองทะลวงชั้นที่สี่ดุอย่างนั้นหรือ?”

เจ้าแดนหลิวอึ้งทึ่ง ทุกชั้นของหอคอยเสวียนเทียน ระดับความยากก็จะเพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ โดยเฉพาะชั้นสามถึงชั้นสี่ ชั้นหกถึงชั้นเจ็ดการข้ามขั้นระหว่างสองแดนใหญ่นี้ ระดับความยากยิ่งเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ!

“หรือว่าความสามารถของเขาในตอนนี้แข็งแกร่งยิ่งกว่าซิงหลิงแล้วอย่างนั้นหรือ?” เจ้าแดนหลิวพึมพำกับตัวเอง เขายอมรับว่าพรสวรรค์ของหลัวซิวนั้นเหนือกว่าซิงหลิง แต่ความสามารถจะเหนือกว่าซิงหลิงได้นั้น อย่างน้อยจะต้องใช้เวลาสองสามปี

บริเวณโดยรอบเปลี่ยนไป หลัวซิวเข้าสู่ชั้นที่สี่ของหอคอยฝึกตน

คู่ต่อสู้แดนเจ้ายุทธจักรขั้นสามสามคนปรากฏขึ้น บนร่างกายของแต่ละคนต่างกระเพื่อมไปด้วยกระแสพลังอันมหาศาลที่ไม่อาจคาดเดาได้ เหมือนมีพลังแห่งกฎเคลื่อนไหวอยู่เลือนราง

ไร้ซึ่งคำพูดใด ๆ การทดสอบในหอคอยสุดหล้าจะไม่ยั้งมือให้กลับผู้ใดแม้แต่คนเดียว เจ้ายุทธจักรขั้นสามทั้งสามคนลงมือในทันที ยังคงเป็นเจ้ายุทธจักรกลั่นร่างที่นำอยู่ด้านหน้า

วินาทีนี้ หลัวซิวที่มีท่าทางสุขุมมาโดยตลอด ก็ได้ปรากฏท่าทางเคร่งเครียดออกมา ในดวงตาทั้งสองข้างของเขาลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิงสีดำ พลังแห่งกฎความตายภายใต้การขับเคลื่อนของเขา ปะทุขึ้นมาเหมือนดั่งคลื่นยักษ์!

สองเท้าของหลัวซิวเหยียบลงไปบนพื้น พื้นของเวทีประลองที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขาแตกเป็นรอยร้าวขึ้นมา เปลวเพลิงสีดำรายล้อมขึ้นมาบนหมัดของเขา รวมตัวกันกลายเป็นรูปกระบี่ กระบี่หมัดซัดออกไป

“โฮกกก!”

เสียงร้องคำรามตะโกนออกมาจากปากของเขา ราวกับเสียงคำรามของสัตว์ร้ายโบราณ บริเวณที่กระบี่หมัดเลื่อนผ่าน ช่องอากาศพังทลาย เศษช่องอากาศจำนวนมากแตกกระจายไปทั่วสารทิศ

ตูม!

กระบี่หมัดและหมัดของเจ้ายุทธจักรกลั่นร่างกระทบเข้าด้วยกัน เทียบกับร่างยุทธ์แดนเจ้ายุทธจักร หลัวซิวไม่ได้ด้อยกว่าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ที่ทำให้คนคิดไม่ถึงก็คือ กระบี่หมัดของเขากลับได้ต่อยจนหมัดของอีกฝ่ายแตกกระจายกลายเป็นม่านโลหิตในทันที

“นี่คือ…… จุลอมตะ?”

ไม่ว่าจะเป็นเจ้าแดนหลิวหรือเทวทูตจื่อเยียนต่างก็ตะลึงจนลุกยืนขึ้นมาภายในตำหนัก จะต้องรู้ว่าจุลอมตะแม้จะไม่นับว่าเป็นพลังอมตะที่แท้จริง แต่อานุภาพนั้นกลับได้เหนือชั้นกว่าวิชายิ่งเลิศเสียอีก!

ในโลกแสงดาว วิชายิ่งเลิศนั้นนับเป็นทักษะยุทธ์ระดับสุดยอดแล้ว ที่เหนือวิชายิ่งเลิศขึ้นมา สิ่งนั้นเรียกว่าพลังอมตะ

และระหว่างวิชายิ่งเลิศและพลังอมตะ ยังมีทักษะยุทธ์ชนิดหนึ่งที่เรียกว่าจุลอมตะ

อานุภาพของจุลอมตะ อยู่เหนือวิชายิ่งเลิศ ด้อยกว่าพลังอมตะ

ในสถานการณ์โดยทั่วไป ผู้แข็งแกร่งแดนเทพมารนิรันกาลถึงจะสามารถสร้างวิชายิ่งเลิศธรรมดาได้ เทพมารที่ร้ายกาจขึ้นมาหน่อยสามารถสร้างวิชายิ่งเลิศขั้นสูง และมีเพียงผู้แข็งแกร่งชั้นสุดยอดในหมู่เทพมารถึงจะสามารถสร้างวิชายิ่งเลิศระดับสุดยอดขึ้นมาได้

สำหรับวิชายิ่งเลิศในระดับที่สูงกว่านั้น ผู้แข็งแกร่งเทพฟ้าถึงจะสามารถสร้างทักษะยุทธ์ได้

เทวทูตจื่อเยียนและเจ้าแดนหลิวต่างก็ทราบดีว่า ทักษะยุทธ์หมัดกระบี่นั้นคือทักษะการโจมตีของร่างเนื้อที่หลัวซิวตระหนักรู้ได้จากหอคอยร่างทอง

แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาคิดไม่ถึงก็คือ หลังจากที่ทักษะยุทธ์หมัดกระบี่ได้ถูกหลัวซิวพัฒนาให้สมบูรณ์แบบอย่างต่อเนื่อง คาดไม่ถึงว่าจะสามารถบรรลุถึงระดับจุลอมตะได้

นี่หมายความว่าอย่างไร? ที่หมายความว่าทักษะยุทธ์ที่เขาสร้างขึ้น มันเหนือกว่าวิชายิ่งเลิศที่ผู้แข็งแกร่งชั้นสุดยอดในหมู่เทพมารสร้างขึ้นเสียอีก!

แน่นอน นี่ไม่ได้หมายความว่าแดนฝึกตนของหลัวซิวในโลกยุทธ์เหนือชั้นกว่าผู้แข็งแกร่งชั้นสุดยอดในหมู่เทพมารกระบี่หมัดของเขายังมีข้อบกพร่องอยู่หลายแห่ง เพียงแค่มีเค้าโครงของจุลอมตะอยู่เท่านั้น

เทวทูตจื่อเยียนและเจ้าแดนหลิวล้วนคิดว่าความน่าสะพรึงกลัวของหลัวซิวนั้นอยู่ที่ความสามารถในการตระหนักรู้กฎ

แต่ที่จริงแล้วความสามารถในการตระหนักรู้กฎของหลัวซิว ไม่ได้น่าสะพรึงกลัวหรือเหนือมนุษย์อย่างที่พวกเขาคิด

ที่เขาสามารถตระหนักรู้กฎความตายได้อย่างรวดเร็วนั้น เป็นเพราะมีสาเหตุมาจากหลายด้าน

อันดับแรกก็คือวิญญาณของเขาได้รวมเป็นหนึ่งเดียวกับลูกแก้วความเป็นตาย สามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของกฎดั้งเดิมที่แผ่ซ่านออกมาจากลูกแก้วความเป็นตายที่เป็นสมบัติของกฎดั้งเดิมชิ้นนี้ได้ตลอดเวลา ทำให้รู้และเข้าใจกฎได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

ประการที่สองก็คือข้อคิดและประสบการณ์ในการฝึกตนที่เทวทูตจื่อเยียนมอบให้ ในนั้นได้บันทึกทุกอย่างเกี่ยวกับความซับซ้อนของกฎความตายเอาไว้ อธิบายอย่างแจ่มแจ้ง และละเอียดหมดจด

และสุดท้ายก็คือร่องรอยกฎของเค้าโครงผังกฎดั้งเดิมได้ปรากฏอยู่ในสมองส่วนลึกของหลัวซิว จึงสามารถตระหนักรู้ถึงความล้ำลึกซับซ้อนของมันได้อย่างง่ายดาย

ปัจจัยหลายอย่างรวมกัน หากหลัวซิวไม่สามารถเพิ่มระดับแดนของกฎได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ละก็ เช่นนั้นบอกได้แค่ว่าความสามารถในการตระหนักรู้กฎของเขาแย่จนถึงขีดสุด

เพียงแต่ว่าเทวทูตจื่อเยียนและเจ้าแดนหลิวไม่มีทางที่จะรู้ว่าหลัวซิวมีข้อได้เปรียบในการตระหนักรู้กฎที่มากมายเช่นนี้ ดังนั้นจึงได้คิดไปเองว่า เขาจะต้องเป็นอัจฉริยะด้านการตระหนักรู้ที่มีพรสวรรค์เหนือมนุษย์อย่างแน่นอน!

“อัจฉริยะไม่ได้หมายถึงฝีมือความแข็งแกร่ง หวังว่าเขาจะเติบโตไปจนถึงจุดนั้นได้” เทวทูตจื่อเยียนกล่าวพลางสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ

“หากเขารักษาความสามารถในการตระหนักรู้กฎเอาไว้ต่อไปได้ ไม่แน่ในอนาคตเขาอาจจะก้าวเข้าสู่แดนเทพฟ้าได้ก็เป็นได้” เจ้าแดนหลิวเองก็กล่าวอย่างถอดถอนใจ

เทพฟ้านั่นเป็นผู้แข็งแกร่งที่ปรากฏได้แค่ในพิภพกลางเท่านั้น!

นอกจากนี้แล้วต่อให้เป็นพิภพกลางก็ตาม แสนปีถึงจะปรากฏเทพฟ้าขึ้นผู้หนึ่ง ส่วนพิภพต่ำอย่างโลกแสงดาว ไม่ว่าจะกี่ปีก็ไม่มีทางที่จะปรากฏเทพฟ้าได้

นี่ไม่ได้หมายความว่าความสามารถของอัจฉริยะในโลกแสงดาวไม่เพียงพอที่จะฝึกตนจนบรรลุถึงแดนเทพฟ้า แต่เป็นเพราะข้อผูกมัดของพิภพต่ำ อยู่ที่นี่ไม่มีทางที่จะกลายเป็นเทพฟ้าได้

ในช่วงเวลาที่ผ่านมาอันยาวนาน ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็เคยได้ส่งอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์อันยอดเยี่ยมไปยังโลกเสวียนเทียน แต่การแข่งขันในโลกเสวียนเทียนนั้นดุเดือดโหดร้ายกว่าที่โลกแสงดาวหลายเท่า

ผู้คนที่มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมพวกนั้น ไม่มีใครที่ทำสำเร็จเลย สุดท้ายแล้วก็หยุดฝีเท้าอยู่ที่แดนเทพมารนิรันกาลและมีบางคนที่แม้กระทั่งแดนเทพมารก็ยังไม่สามารถบรรลุถึงได้ หยุดอยู่เพียงที่แดนมหาจักรพรรดิยุทธ์

มีบางคนที่เลือกอยู่ที่โลกเสวียนเทียนต่อไป และมีบางคนที่รู้สึกสิ้นหวัง จึงเลือกกลับมาที่โลกแสงดาว

และคนส่วนมาก ที่ได้สิ้นชีพไป ภายใต้การแข่งขันอันโหดร้ายในพิภพกลาง!

ดังนั้นแม้ว่าหลัวซิวจะได้แสดงพรสวรรค์และมันสมองอันน่าสะพรึงกลัวออกมา แต่เทวทูตจื่อเยียนและเจ้าแดนหลิวก็ยังคงคิดว่า เขามีโอกาสที่จะกลายเป็นเทพฟ้าอยู่เพียงน้อยนิดเท่านั้นเอง

ต้องการบรรลุถึงแดนเทพฟ้านั้น มันเป็นเพียงความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ไม่ใช่มีเพียงพรสวรรค์และมันสมองก็สามารถบรรลุถึงได้

ครืน! ครืน! ครืน! ……

การต่อสู้ภายในชั้นสามของหอคอยสุดหล้ายังคงดำเนินต่อไป ไม่มีการลอบโจมตีเป็นครั้งคราวจากมหายุทธ์กลั่นวิญญาณ หลัวซิวก็ได้ค่อย ๆ ควบคุมสถานการณ์โดยรวม

ผ่านไปอีกประมาณสิบลมหายใจเข้าออก ฝ่าเท้าของหลัวซิวเหยียบลงไปบนพื้น มั่นคงดั่งภูเขา ปล่อยให้การโจมตีของมหายุทธ์กลั่นร่างตกลงมาบนร่างของเขาตามอำเภอใจ กระบี่หมัดของเขาจู่โจมจนศีรษะของอีกฝ่ายตกกระจายกลายเป็นม่านโลหิตอย่างไร้ไมตรี

คู่ต่อสู้คนที่สอง ถูกสังหาร!

และเวลา พึ่งผ่านไปยังไม่ถึงสามสิบลมหายใจเข้าออก!

รอยยิ้มปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของเจ้าแดนหลิว “เทวทูตจื่อเยียน อัจฉริยะเหมือนดั่งหลัวซิว อยู่ที่โลกเสวียนเทียนก็นับว่ายอดเยี่ยมแล้วสินะ?”

ไม่เหมือนกับเทวทูตจื่อเยียน หลิวหงเทียนเกิดอยู่ในโลกแสงดาว ส่วนเทวทูตจื่อเยียนนั้นมาจากพิภพกลาง โลกเสวียนเทียน!

แม่ว่าคนผู้นั้นของตำหนักดารานภาจะเป็นสายเก่าของตน แต่หลิวหงเทียนก็จะไม่จงใจพุ่งเป้าหมายไปที่หลัวซิวเพียงเพราะหลัวซิวโดดเด่นกว่าซิงหลิง เพราะในฐานะที่เป็นเจ้าแดนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ หากที่นี่มีอัจฉริยะที่สามารถเข้าตาโลกเสวียนเทียนได้ ตัวเขาเองก็จะได้รับรางวัลจากโลกเสวียนเทียน

ดังนันตอนนี้หลิวหงเทียนไม่เพียงไม่หวังให้หลัวซิวด้อยกว่าซิงหลิง ในทางกลับกันกลับหวังว่าเขาจะแสดงความโดดเด่นออกมายิ่งกว่านี้ เช่นนี้ถึงจะถูกเห็นความสำคัญได้ง่าย

ครืน! ครืน! ครืน!

มหายุทธ์ชั้นเก้าทั้งสามโจมตีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง กระแสพลังมหาศาลเกลื่อนกลาดผันผวนไปทั่วบริเวณ ทว่าการโจมตีที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้กลับทำอันตรายใด ๆ หลัวซิวไม่ได้เลยสักนิด เพียงแค่กระบี่หมัดอย่างเรียบง่าย ก็สามารถทำลายการโจมตีทุกอย่างได้อย่างง่ายดาย

“เจ้าแดนหลิว ตอนนี้ท่านยังคิดว่าหลัวซิวเทียบซิงหลิงไม่ได้อยู่หรือเปล่า?” เทวทูตจื่อเยียนยิ้มกล่าวอย่างความหมายลึกซึ้ง

เจ้าแดนหลิวลูบเคราสีขาวของตน “เทวทูตจื่อเยียนพูดเร็วเกินไปหน่อยไหม เขาสามารถอยู่ในชั้นที่สามของหอคอยสุดหล้าอย่างไม่สะทกสะท้านได้ แต่หากต้องการสังหารคู่ต่อสู้ทั้งสามนั้น กลับไม่ใช่เรื่องง่าย”

ในตอนที่เจ้าแดนหลิวพูดคำพูดนี้ออกมาได้ยังไม่นานนั่นเอง ในหอคอยสุดหล้า ร่างของหลัวซิวพลันเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว และปรากฏตัวขึ้นตรงหน้ามหายุทธ์กลั่นวิญญาณ กระบี่หมัดจู่โจมออกไปอย่างไร้ปรานี

ปฏิกิริยาตอบสนองของมหายุทธ์กลั่นวิญญาณเองก็นับว่าเร็วไม่น้อย และขวางการโจมตีกระบี่หมัดแรกของหลัวซิวเอาไว้ได้ แต่จากนั้นก็มีหมัดกระบี่โจมตีเข้ามาติดต่อกันอย่างนับไม่ถ้วน จากนั้นร่างก็แตกกระจายเป็นผุยผง

“จัดการไปได้หนึ่งคนเร็วขนาดนี้เชียว?”

เมื่อเห็นเช่นนี้ เจ้าแดนหลิวก็หวั่นไหวเล็กน้อย เพราะนี่พึ่งผ่านไปไม่กี่อึดใจ คิดไม่ถึงว่าหลัวซิวจะสังหารคู่ต่อสู้หนึ่งคนไปได้ และการโจมตีของมหายุทธ์ขั้นเก้าทั้งสองคนที่เหลืออยู่ ก็ถูกเขาทำลายได้อย่างง่ายได้ ไม่ได้รับอันตรายใด ๆ เลยสักนิด

จะต้องรู้ว่าตอนที่ซิงหลิงสังหารคู่ต่อสู้คนแรกในตอนที่เขาทะลวงชั้นที่สามนั้น ก็ได้แลกมากับการบาดเจ็บเล็กน้อย

และการทะลวงด่านของอคอยสุดหล้า ขอเพียงสังหารคู่ต่อสู้หนึ่งในสามคนได้ การทะลวงด่านก็จะง่ายขึ้นมามาก

“แดนกฎของเขาเพิ่มระดับขึ้นมาอีกแล้ว”

แววตาของเจ้าแดนหลิวเฉียบคมขึ้นมา ด้วยสายตาของเขาเป็นธรรมดาที่จะสามารถดูออกว่า แดนในการตระหนักรู้กฎความตายของหลัวซิวนั้น เมื่อเทียบกับเมื่อหนึ่งเดือนก่อนแล้ว ได้พัฒนาขึ้นมามาก แม้ว่าแดนของกฎจะยังอยู่ในแดนความเข้าใจเบื้องต้น ทว่าในแดนเดียวกันนั้น ก็แบ่งออกเป็นขั้นปฐมภูมิ ขั้นกลาง ขั้นปลาย และขั้นสูงสุด

“ปีนี้หลัวซิวเพิ่งจะอายุยี่สิบสองใช่หรือไม่?” เจ้าแดนหลิวอดไม่ได้ที่จะกล่าวชื่นชม

ก่อนที่จะเข้ามาในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ หลัวซิวอายุยี่สิบเอ็ดปี ระยะเวลาสั้น ๆ เพียงหนึ่งปี ความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นของเขานั้นพูดได้ว่าเป็นที่น่าสะพรึงกลัว รวดเร็วยิ่งกว่าฝนดาวตกเสียอีก

มกุฎยุทธ์ขั้นสี่ในอายุยี่สิบสองปีบางทีอาจไม่ควรค่าแก่การพูดถึง แต่ด้านแดนกฎกลับบรรลุถึงแดนความเข้าใจเบื้องต้นขั้นกลาง เช่นนี้ก็เป็นที่น่าสะพรึงกลัวแล้ว

จะต้องรู้ว่า ปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่เกี่ยวพันถึงความแข็งแกร่งของจอมยุทธ์ ก็คือแดนของกฎนั่นเอง

เจ้ายุทธจักรจำนวนมากในโลกแสงดาว ต่างก็อยู่ในระดับตระหนักรู้กฎ แม้แต่ระดับความเข้าใจเบื้องต้นก็ยังไม่สามารถบรรลุถึง

“การฝึกตนในโลกยุทธ์เริ่มจากเจ้ายุทธจักร ความแตกต่างของระดับผลการฝึกตนนั้นมีผลกระทบต่อความแข็งแกร่งน้อยมากถึงมากที่สุด สิ่งสำคัญก็คือแดนของกฎที่บรรลุถึง!”

“การฝึกตนในโลกยุทธ์เริ่มจากเจ้ายุทธจักร ความแตกต่างของระดับผลการฝึกตนนั้นมีผลกระทบต่อความแข็งแกร่งน้อยมากถึงมากที่สุด สิ่งสำคัญก็คือแดนของกฎที่บรรลุถึง!”

“เจ้ายุทธจักรที่มีแดนของกฎในแดนสำเร็จน้อย สามารถรับมือกับเจ้ายุทธจักรที่มีแดนของกฎในแดนความเข้าใจเบื้องต้นสิบคนพร้อมกันได้อย่างง่ายดาย”

“หลัวซิวพึ่งจะบรรลุถึงแดนมกุฎยุทธ์ขั้นสี่เองแดนกฎก็บรรลุถึงแดนความเข้าใจเบื้องต้นขั้นกลางแล้ว หากรอเขาบรรลุถึงแดนมหายุทธ์หรือแม้แต่แดนเจ้ายุทธจักร จะไม่เป็นที่ตกตะลึงเลยหรือ?”

ไม่เพียงเจ้าแดนหลิวที่ต้องตกตะลึง เทวทูตจื่อเยียนเองก็ตะลึงงันเล็กน้อย เพราะเมื่อหนึ่งเดือนก่อน หลัวซิวยังมีแดนกฎอยู่ในแดนความเข้าใจเบื้องต้นขั้นปฐมภูมิอยู่เลย นี่เพิ่งผ่านไปเพียงหนึ่งเดือน ก็บรรลุถึงขั้นกลางแล้ว?

นี่ต้องมีความสามารถในการตระหนักรู้กฎที่น่าสะพรึงกลัวถึงเพียงใด?

ไม่เพียงเท่านี้ บนร่างของกุ่ยโยวยังมีกลิ่นอายของกฎเคลื่อนไหวอยู่อย่างเลือนราง เห็นได้ชัดว่าได้ตระหนักรู้ถึงแดนกฎความตายเป็นที่เรียบร้อย!

ในฐานะผู้สืบทอดอันดับหนึ่งของแดนศักดิ์สิทธิ์ระดับนิรันดรอย่างนิกายมารศักดิ์สิทธิ์ เป็นธรรมดาที่จะได้รับสิ้นส่วนของกฎความตาย และสามารถตระหนักรู้กฎนั้น ๆ ผ่านทางสิ้นส่วนของกฎความตายได้ แม้ว่าผลลัพธ์จะไม่ดีเท่าตระหนักรู้จากร่องรอยกฎ แต่ก็มีผลลัพธ์ที่ไม่ธรรมดาเช่นกัน

อยู่ในแดนตระหนักรู้กฎเช่นเดียวกัน แม้ว่ากุ่ยโยวจะได้ตระหนักรู้กฎความตาย ด้วยกฎระดับสุดยอดชนิดนี้ ก็สามารถเทียบได้กับกฎทั้งสามชนิดของซิงหลิงแล้ว

ด้วยพลังแห่งกฎความตาย บวกกับที่ผลการฝึกตนของเขาบรรลุถึงแดนมหายุทธ์ เมื่อกุ่ยโยวออกจากการปิดขังฝึกตน ก็รีบมาทะลวงหอคอยสุดหล้าทันที เนื่องจากวันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้ว

ในตอนที่กุ่ยโยวเข้าไปในหอคอยสุดหล้าได้ไม่นาน หวูหยุน ต้าวหวูซิน และซิงหลิงก็ออกจากปิดขังฝึกตนตามลำดับ ผลการฝึกตนบรรลุถึงแดนมหายุทธ์

พวกเขาทั้งสี่คน พูดได้ว่าเป็นยอดอัจฉริยะหนุ่มสาวที่บรรลุถึงแดนมหายุทธ์เป็นอันดับแรก!

……

ด้านหน้าตำหนักเต๋า เงาร่างของหลัวซิวค่อย ๆ ปรากฏขึ้น เขาหลับตาเบา ๆ มั่นคงเหมือนดั่งหินก้อนยักษ์

เนื่องจากคนอื่น ๆ ไม่เหลือเวลาฝึกตนในสำนักเต๋าอยู่อีกแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีคนอื่นอยู่ใกล้ ๆ บริเวณนี้เลย บริเวณโดยรอบเงียบสงบไร้สุ้มเสียง

จากนั้นไม่นานนัก หลัวซิวก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น ไม่มีกระแสพลังใด ๆ กระจายอยู่บริเวณโดยรอบเลย เขาก้าวเดินอย่างสงบนิ่ง ออกไปจากตำหนักเต๋า

“หลัวซิวออกจากการปิดขังฝึกตนแล้ว”

ในตำหนักบนยอดเขาที่สูงที่สุดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ รอยยิ้มได้ปรากฏขึ้นมาที่มุมปากของเทวทูตจื่อเยียน

ภายในหนึ่งวัน ผู้สืบทอดอันดับหนึ่งของแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ทั้งสี่ล้วนแสดงพลังออกมาอย่างเต็มที่เป็นวันสุดท้าย

กุ่ยโยวออกจากการปิดขังตนเองเป็นคนแรก ทะลวงผ่านชั้นที่สามของหอคอยสุดหล้าไปได้ในคราวเดียว สังหารคู่ต่อสู้แดนมหายุทธ์ขั้นเก้าทั้งสามคนได้ภายในหนึ่งก้านธูป

พึ่งจะบรรลุแดนมหายุทธ์ก็สามารถสังหารมหายุทธ์ขั้นเก้าทั้งสามคนได้ ความน่าสะพรึงกลัวของความแข็งแกร่งของผู้สืบทอดอันดับหนึ่งแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ เป็นที่ประจักษ์

จากนั้น หวูหยุน ต้าวหวูซินก็ได้เข้าไปทะลวงหอคอยฝึกตนตามลำดับ และต่างก็สังหารคู่ต่อสู้ได้ภายในหนึ่งก้านธูป ทะลวงด่านได้สำเร็จ

ความสามารถของทั้งสามคนนี้ห่างกันไม่มากนัก สุดท้ายการทะลวงด่านของซิงหลิงนั้น เป็นที่ตกตะลึงของทุกคน!

เพราะเขาไม่เพียงสังหารคู่ต่อสู้ในชั้นที่สามของหอคอยสุดหล้าได้ภายในเวลาหนึ่งก้านธูป และยังสามารถอยู่ในหอคอยสุดหล้าชั้นที่สี่เป็นเวลาหนึ่งก้านธูปได้อีกด้วย!

“เทวทูตจื่อเยียน ความแตกต่างระหว่างมกุฎยุทธ์และมหายุทธ์ต่างกันมากนัก ซิงหลิงไม่เพียงบรรลุถึงแดนมหายุทธ์ ยังได้ตระหนักรู้ถึงกฎชนิดที่สี่อีกด้วย ถึงสามารถทนอยู่ในหอคอยสุดหล้าชั้นที่สี่เป็นเวลาหนึ่งก้านธูปได้” เจ้าแดนหลิวยิ้มกล่าว

“ทำไม? เจ้าแดนหลิวยังคงคิดว่าหลัวซิวเทียบกับซิงหลิงไม่ได้เช่นนั้นหรือ?” เทวทูตจื่อเยียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“กล่าวตามพรสวรรค์และมันสมอง หลัวซิวอาจจะโดดเด่นกว่าซิงหลิงเล็กน้อย แต่พรสวรรค์ของซิงหลิงเองก็ไม่เลว ซ้ำยังมาจากแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ อายุมากกว่าหลัวซิวเล็กน้อย ผลการฝึกตนสูงกว่าอีกมาก” เจ้าแดนหลิวยิ้มอ่อน ๆ “หากอีกสักสิงสามปี หลัวซิวอาจจะแซงหน้าซิงหลิงไปได้ แต่ตอนนี้น่ะหรือ……”

ได้ยินเจ้าแดนหลิวกล่าวเช่นนี้ เทวทูตจื่อเยียนก็เพียงแค่ยิ้มและไม่ได้อธิบายอะไร

จากนั้นไม่นานนัก หลัวซิวก็เข้าไปยังหอคอยสุดหล้า และปรากฏตัวขึ้นในชั้นที่สามโดยตรง

“ครืน!”

การทดสอบพึ่งเริ่มขึ้น การต่อสู้อันดุเดือดในชั้นที่สามของหอคอยสุดหล้าก็ได้เริ่มขึ้น ภายใต้การล้อมโจมตีของมหายุทธ์ชั้นเก้าทั้งสามคน หลัวซิวดูชำนาญไม่สะทกสะท้าน สามารถทำลายการโจมตีต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดาย

“ดูเหมือนว่าภายในหนึ่งเดือนฝีมือของเขาเพิ่มขึ้นมาไม่น้อยเลย” ตัวสำนึกของเจ้าแดนหลิวมองเห็นทุกการเคลื่อนไหวของหลัวซิวที่อยู่ภายในหอคอยสุดหล้าได้อย่างชัดเจน

“เทวทูตจื่อเยียนบอกว่า หากข้าสามารถทะลวงผ่านชั้นที่สามของหอคอยสุดหล้าได้ ก็จะชี้แนะข้าอีกครั้ง หากข้าใช้วิธีแรกในการทะลวงด่าน คงไม่อาจสนองความต้องการของเทวทูตจื่อเยียนได้แน่”

ระหว่างที่คิด หลัวซิวก็ได้คำนวณดูเวลาฝึกตนในตำหนักเต๋าของตัวเอง ห้าสิบวันในก่อนหน้านี้ บวกกับหกสิบวันของหอคอยสุดหล้าชั้นที่สาม สามสิบวันของหอคอยร่างทองชั้นที่สาม รวมหนึ่งร้อยสี่สิบสองวัน

สามสิบวันสามารถนำมาตระหนักรู้ร่องรอยกฎที่อยู่ในตำหนักเต๋า ส่วนที่เหลืออีกหนึ่งร้อยสิบสองวัน พอถึงตอนนั้นสามารถนำมาแลกสิ่งที่ตนเองต้องการกับทางดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้

“เจ้าหนุ่มคนนี้สุขุมไม่เบา มิได้รีบร้อนไปทะลวงหอคอยสุดหล้าชั้นที่สาม” เทวทูตจื่อเยียนเห็นหลัวซิวตรงไปยังตำหนักเต๋า

ก็มีแววชื่นชมปรากฏขึ้นมาบนใบหน้า

“ไม่อวดเก่งไม่ใจร้อน พรสวรรค์เป็นเลิศ เป็นต้นกล้าที่ดีจริง ๆ” หลิวหงเทียนเองก็ไม่ยอมรับไม่ได้ ซิงหลิงเมื่อเทียบกับหลัวซิวแล้ว ยังด้อยกว่ามาก

เวลาผ่านไปอย่างเงียบ ๆ สำหรับเหล่าจอมยุทธ์แล้ว เวลาหนึ่งเดือนนั้นผ่านไปเร็วมาก อัจฉริยะหนุ่มสาวทั้งยี่สิบคนเข้ามาฝึกตนในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เป็นเวลาครบหนึ่งปี

ในหนึ่งเดือนที่ผ่านมา อัจฉริยะหนุ่มสาวทุกคนต่างแต่งกลับไปกลับมาระหว่างที่พักและหอคอยฝึกตน และเวลาฝึกตนในหอคอยฝึกตนนั้นส่วนมากก็ใช้กันจนหมดแล้ว ฝีมือก็เพิ่มขึ้นมาจนถึงขีดสุด ไม่สามารถทะลวงหอคอยในระดับที่สูงกว่านี้ได้ และเป็นธรรมดาที่จะไม่ได้รับเวลาในการฝึกตนในตำหนักเต๋าเพิ่มขึ้นอีก

ดังนั้นอัจฉริยะหนุ่มสาวจำนวนมากต่างก็พยายามทะลวงหอคอยฝึกตนอย่างสุดชีวิต ประการหนึ่งคือเพื่อที่จะได้รับเวลาฝึกตนในตำหนักเต๋า และอีกประการหนึ่งที่สำคัญยิ่งกว่า นั้นก็คือได้รับคะแนนสะสม เพื่อจะได้อยู่ในอันดับที่สูงยิ่งกว่า

อันดับในปัจจุบัน อันดับหนึ่งนั้นยังคงเป็นซิงหลิง เขาได้ทะลวงผ่านสามชั้นแรกของทั้งสี่หอคอยไปได้ ในจำนวนนั้นเขาใช้วิธีแรกในการทะลวงหอคอยสุดหล้า ส่วนอีกสามหอคอยที่เหลือล้วนใช้วิธีที่สองในการทะลวงด่าน

นี่ไม่ได้หมายความว่าซิงหลิงมีระดับการกลั่นวิญญาณและการกลั่นร่างที่ค่อนข้างสูง แต่จุดสำคัญนั้นคือเขาตระหนักรู้กฎได้สูงยิ่งกว่า เขาเพียงคนเดียวตระหนักรู้กฎได้ถึงสามชนิด ใช้พลังแห่งกฎเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตัวสำนึกและร่างเนื้อ ค่อนข้างง่ายมากที่จะทะลวงหอคอยเทพจิตและหอคอยร่างทอง

และต่อให้เป็นเช่นนี้ ซิงหลิงก็ยังไม่พอใจ เขาตัดสินใจอย่างเด็ดขาดที่จะเลือกปิดขังตนเองเพื่อทะลุแดนมหายุทธ์!

ในขณะเดียวกัน หวูหยุน ต้าวหวูซิน และกุ่ยโยวทั้งสามคนต่างก็ปิดขังฝึกตน

วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาหนึ่งเดือน อารมณ์ของอัจฉริยะหนุ่มสาวทั้งยี่สิบคนนั้นซับซ้อนมาก มองดูรายชื่อของตนเองในอันดับบนแท่นศิลา บางคนมีรอยยิ้มบนใบหน้า แต่คนส่วนมากนั้นกลับหน้านิ่วคิ้วขมวด

คนพวกนี้ต่างเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์โดดเด่นที่สุดของแต่ละแดนศักดิ์สิทธิ์ แต่พอมาที่นี่แล้วกลับอยู่ในอันดับที่ค่อนข้างต่ำ ในใจจึงรู้สึกไม่ค่อยดีนัก

จนถึงขณะนี้ ห้าอันดับแรกนับว่าได้ถูกกำหนดแล้ว อันดับหนึ่งคือซิงหลิง หวูหยุน ต้าวหวูซิน และกุ่ยโยวทั้งสามคนต่างอยู่อันดับที่สอง เรียงตามคะแนนที่ได้รับก่อนหลัง หวูหยุนอยู่ในอันดับที่สอง อันดับสามคือกุ่ยโยว และอันดับที่สี่นั้นเป็นต้าวหวูซิน

ส่วนหลัวซิวนั้น อยู่ในอันดับที่ห้า

สาเหตุที่หลัวซิวอยู่ในอันดับที่ค่อนข้างต่ำ เพราะเขาใช้วิธีแรกในการทะลวงชั้นที่สามของหอคอยเสวียนเทียน แต่ไม่ใช่วิธีที่สอง

ข้อได้เปรียบของซิงหลิงคือเขาทะลวงชั้นที่สามของหอคอยสุดหล้ามาได้ ส่วนคะแนนจากอีกสามหอคอยที่เหลือ ล้วนเท่าเทียมกับพวกหวูหยุน ต้าวหวูซิน และกุ่ยโยวทั้งสามคน

“กุ่ยโยวออกจากการปิดขังฝึกตนแล้ว!”

“ฮ่า ๆ ศิษย์พี่บรรลุถึงแดนมหายุทธ์แล้ว ครั้งนี้จะต้องทะลวงผ่านหอคอยสุดหล้าชั้นที่สามไปได้ในคราวเดียวแน่!”

กุ่ยโยวปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหน้าหอคอยสุดหล้า กระแสพลังอันแรงกล้าแผ่ซ่านอยู่ที่รอบกายของเขา ทำให้อัจฉริยะหนุ่มสาวจำนวนมากต่างรู้สึกถึงแรงกดดัน

โซนชั้นสามของหอคอยเทพจิต อบอวลไปด้วยตัวสำนึกของมหายุทธ์ขั้นปลาย และเส้นทางของวิญญาณ ยิ่งไปกว่านั้นยังต้องรับการโจมตีของมหายุทธ์ขั้น 9 อีกด้วย

จนถึงตอนนี้ ในบรรดาหนุ่มสาวผู้มีความสามารถทั้ง 20 คนนั้น มีเพียงต้าวหวูซินเท่านั้นที่ผ่านชั้นสามของหอคอยเทพจิต ได้แล้ว

ตอนนี้การฝึกตนของต้าวหวูซินบรรลุไปถึงแดนมกุฎยุทธ์ขั้น 9 แล้ว จึงมีโอกาสที่จะบรรลุแดนมหายุทธ์ได้ทุกเมื่อ ส่วนตัวสำนึกการฝึกตนของนางนั้นได้บรรลุไปถึงแดนมหายุทธ์ขั้นสูงสุดแล้วและได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีตัวสำนึกการฝึกตนอันดับหนึ่งของโลกแสงดาว

เนื่องจากไม่มีวิชายิ่งเลิศกลั่นวิญญาณขั้นสูง แม้ว่าหลัวซิวจะมีช่องจิตปลอมเป็นตัวช่วย แต่ภายในเวลาสิบเอ็ดเดือนที่ผ่านมานี้ ตัวสำนึกการฝึกตนของเขาก็ไปถึงเพียงขั้นมหายุทธ์ขั้น 7 เท่านั้น

แต่แดนแห่งกฎของเขานั้นสูงกว่า เมื่อใช้พลังแห่งกฎเสริมเข้ากับตัวสำนึก ดังนั้นจึงทำให้ผ่านเส้นทางวิญญาณของหอคอยเทพจิตชั้นที่สามได้ไม่ยากนัก

“ได้เวลาฝึกฝนตำหนักเต๋ามาอีก 60 วัน!”

เมื่อเดินทางมาถึงปลายทางของเส้นทางแห่งวิญญาณแล้ว ริมฝีปากของหลัวซิวก็ปรากฏเป็นรอยยิ้มขึ้นมา

ด้วยเหตุนี้ เทวทูตจื่อเยียนและผู้แข็งแกร่งในแดนศักดิ์สิทธิ์คนอื่นๆ จึงไม่แปลกใจ เพราะด้วยความสามารถในการควบคุมแดนกฎแห่งความตายได้ในขั้นแรก หากไม่สามารถผ่านหอคอยเทพจิตชั้นที่สามได้ต่างหากถึงจะเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมาย

ทว่าในตอนที่หลัวซิวก้าวเข้าไปยังหอคอยเทพจิตชั้นที่สี่ การโจมตีทางวิญญาณก็อบอวลขึ้นใหม่ในระดับที่สูงกว่าเดิม นั่นคือเจ้ายุทธจักรขั้นปฐมภูมิ

ความแตกต่างระหว่างแดนใหญ่เป็นเรื่องที่ไม่สามารถใช้เหตุผลในการคาดคะเนได้ สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าก็คือ การโจมตีทางวิญญาณของหอคอยเทพจิตชั้นที่สี่มีพลังแห่งกฎแฝงอยู่ด้วย

เนื่องด้วยผู้แข็งแกร่งที่บรรลุถึงแดนเจ้ายุทธจักรทุกคนต้องตระหนักรู้ในกฎ ไม่เช่นนั้นแล้วจะหยุดอยู่เพียงขั้นมหายุทธ์เท่านั้น

ด้วยเหตุนี้เอง ความกดดันจึงตกอยู่ที่หลัวซิวอย่างมาก เพราะสุดท้ายแล้วก็ยังคงไม่สามารถต้านทานอยู่ที่นั่นได้นานถึงหนึ่งก้านธูป ส่วนเส้นทางแห่งวิญญาณนั้นเขาไม่มีแม้แต่โอกาสจะลองผ่านมันไปด้วยซ้ำ

“หลังจากที่ฝึกอยู่ที่แดนศักดิ์สิทธิ์มาเกือบครบหนึ่งปีแล้ว พลังของข้าก็พัฒนาขึ้นอย่างมาก แต่หากเอาไปเทียบกับผู้แข็งแกร่งแดนเจ้ายุทธจักรแล้วถือว่ายังห่างชั้นกันมากนัก”

แม้ว่าจะไม่สามารถผ่านด่านหอคอยเทพจิตชั้นที่สี่ได้ แต่หลัวซิวก็ไม่ได้รู้สึกผิดหวังแต่อย่างใด เพราะเขาเข้าใจดีว่าเวลาในการฝึกฝนของตนนั้นน้อยเกินไป ขอเพียงเขามีเวลาเพียงพอเท่านั้น การที่พลังแห่งการฝึกตนจะไปถึงขั้นเจ้ายุทธจักรได้นั้นอยู่ที่เวลาเท่านั้นว่าจะช้าหรือเร็ว

จากนั้นหลัวซิวรีบออกไปจากหอคอยเทพจิตในทันที และมุ่งหน้าไปยังหอคอยร่างทองต่อ

คราวที่แล้วเขาใช้ร่างยุทธ์ร่างเนื้อแดนมหายุทธ์ขั้นปลายจนสามารถผ่านด่านชั้นที่ 3 ไปได้ แม้ว่าจะต้านทานอยู่ที่ชั้น 3 ได้เป็นเวลาหนึ่งก้านธูป แต่ก็ยังไม่สามารถเอาชนะโซนสีทองไปได้

แต่ครั้งที่แล้วเขาใช้เพียงความดุดันของร่างยุทธ์ร่างเนื้อเท่านั้น แต่ยังไม่ได้ใช้พลังแห่งกฎ

“จงพังทลาย!”

หลังจากเข้ามายังชั้นที่ 3 แล้ว หลัวซิวก็เริ่มส่งเสียงคำราม เขาใช้พลังแห่งความตายร่วมกับร่างยุทธ์ร่างเนื้อ แล้วปล่อยหมัดกระบี่ 13 สายออกไปทำลายโซนสีทอง จนได้รับเวลาในการฝึกตนตำหนักเต๋าอีก 30 วัน

ส่วนชั้น 4 ที่อยู่เหนือขึ้นไปนั้น หลัวซิวไม่แม้แต่จะพยายามผ่านด่านด้วยซ้ำ เขาเลือกที่จะออกจากหอคอยร่างทองไปทันที

บนชั้นที่ 4 ของสี่หอคอยฝึกฝนทุกแห่งล้วนเป็นชั้นแห่งเจ้ายุทธจักรเหมือนกัน หลัวซิวรู้อยู่แก่ใจดีว่าด้วยพลังของเขาตอนนี้ยังไม่สามารถที่จะฝ่าด่านไปได้อย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงไม่อยากเสียเวลาอยู่ที่นี่อีก

ส่วนหอคอยเสวียนเทียนและหอคอยมหาภพที่เหลือ หลัวซิวเลือกที่จะยังไม่ไปฝ่าด่าน บนหอคอยเสวียนเทียนจะเน้นการทดสอบการฝึกพลังจิตแท้ ซึ่งในด้านนี้นั้นถือเป็นด้านที่หลัวซิวอ่อนหัดมากที่สุด ส่วนชั้นที่สามของหอคอยมหาภพ เขาก็เลือกที่จะยังไม่กลับไปฝ่าด่านอีกครั้ง

อันที่จริงในครั้งที่แล้วนั้น หากเขาทนเอาไว้ก่อน เพราะการต้านทานบนชั้น 3 ของหอคอยมหาภพนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่เขากลับอยากผ่านด่านชั้นที่ 3 ด้วยการสังหารคู่ต่อสู้ ดังนั้นเมื่อเขาระเบิดมหายุทธ์กลั่นร่างได้แล้วเขาจึงถูกขับไล่ออกมาทันที

 

 

 

 

 

 

บทที่ 79 ประลองเป็นตาย

 

ในเวลานี้เอง เจียงตงชิงที่ถูกหลัวซิงตบหน้าลอยกระเด็นออกไปเมื่อสักครู่ได้เดินเข้ามา สีหน้าเคร่งขรึมเป็นที่สุด ในดวงตาเต็มไปด้วนความเกลียดชัง

ที่ทั้งสองคนมาในครั้งนี้ เดิมทีคิดจะสั่งสอนหลัวซิวให้หนัก ๆ ให้เขาไม่กล้าเข้าใกล้ลู่เมิ่งเหยาอีก กลับคิดไม่ถึงว่าคนที่ขายหน้าจะเป็นพวกเขาทั้งสอง

“ทำไม? คนเดียวสู้ไม่ได้ จะลงมือพร้อมกันสองคนงั้นหรือ?” หลัวซิวสีหน้าเย้ยหยัน

“เจ้าหนุ่ม ข้าจะเอาเจ้าให้ตาย!” เจียงตงชิงตวาดด้วยความโมโห โผกระโจนเข้าหาหลัวชิง แสงพลังปราณแท้ส่องกระจายไปทั้งร่าง ซัดออกมาหนึ่งหมัด ดุร้ายทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง!

ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่มือทั้งสองของหลัวซิว เนื่องด้วยเหตุการณ์เมื่อสักครู่ เข้าทราบดีว่าหลัวซิวลงมือได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นถึงได้มีการป้องกันเอาไว้ก่อน

ทว่าเขายังไม่ทันจะเข้าใกล้หลัวซิว พลังมหาศาลก็ได้กระแทกเข้าที่หน้าอกของเขา

“นี่……ข้าเห็นอยู่ชัด ๆ ว่าเขาไม่ได้ลงมือ……”

ร่างของเจียงตงชิงได้ลอยออกไปอีกครั้ง ดวงตาเบิกโพลง กระอักเลือดสด ๆ ออกมาจากปาก นอนหงายลงไปบนพื้น

จนถึงตอนนี้ เขาถึงสังเกตเห็นว่าหลัวซิวไม่ได้ขยับมือจริง ๆ แต่ใช้เท้าเตะเขาออกมา

“วิชายุทธ์ในใต้หล้าอานุภาพเกรียงไกรทำลายได้แม้แต่กำแพงเหล็ก มีเพียงความเร็วที่ไม่สามารถทำรลายได้ ความร้ายกาจของหลัวซิวไม่เพียงลงมืออย่างรวดเร็วเท่านั้น ที่สำคัญที่สุดก็คือ เขาสามารถมองเห็นจุดบกพร่องที่เจียงตงชิงแสดงออกมา จากนั้นเอาชนะได้ภายในครั้งเดียว!”

“เจียงตงชิงผู้นี้ก็จริง ๆ เลย หาเรื่องใครไม่หาเรื่อง กลับมาหาเรื่องหลัวซิว เป็นถึงชี่ไห่ระดับ6 กลับตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ช่างขายหน้าสิ้นดี”

ได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของผู้อื่น เจียงตงชิงใบหน้าแดงก่ำ โมโหจนสิ้นสติไปกับที่

“ครืน!”

ในเวลานี้นั่นเอง กระแสพลังในตัวของหลินจิงหยุนก็ถูกปลดปล่อยออกมา เย็นยะเยือกดุจน้ำแข็ง “เจ้าแซ่หลัว ข้าจะทำให้เจ้าอยู่ก็ไม่ได้ ตายก็ไม่ได้!”

แม้ว่านอกสำนักจะมีกฎว่าศิษย์ในสำนักจะฆ่ากันเองไม่ได้ แต่ถ้าหากทำให้อีกฝ่ายพิการ อย่างมากก็แค่ถูกลงโทษ

สำหรับเรื่องนี้ หลินจิงหยุนไม่หวาดกลัวเลยสักนิด ช่างมีเจตนาร้ายที่รุนแรงเสียจริง

“เจ้าพูดมากเกินไปแล้ว” หลัวซิวคร้านจะใส่ใจ

“ข้าขอท้าประลองกับเจ้า กล้าไปที่แท่นประลองเป็นตายกลับข้าหรือไม่?”

หลินจิงหยุนถูกหลัวซิวยั่วโมโหโดยสิ้นเชิง เขาร้องโวยวายอยู่ตรงจุดนั้น

“เจ้าแน่ใจหรือว่าจะไปแท่นประลองเป็นตายกับข้า?” หลัวซิวหรี่ตาเล็กน้อย

แท่นประลองเป็นตายเป็นสถานที่จัดการความแค้นส่วนตัวของศิษย์นอกสำนักเซียวเหยา ทันทีที่เหยียบขึ้นไปบนแท่นประลองเป็นตาย นอกเสียจากว่าคู่ต่อสู้จะปล่อยเจ้าไป มิเช่นนั้นละก็จักต้องมีฝั่งใดตกตายเป็นแน่!

เป็นที่ประจักษ์ชัด หลินจิงหยุนกล่าวแบบนี้ออกมา ก็ได้มีความคิดที่จะเอาชีวิตเขาแล้ว

สำหรับคนที่คิดจะฆ่าตนเอง หลัวซิวหยุนเองก็มีความคิดที่จะสังหารขึ้นมา มิเช่นนั้นจะเป็นการปล่อยเสือเข้าป่า เป็นปัญหาในอนาคตได้

เพราะว่าเขาทราบดี บนโลกที่ผู้แข็งแกร่งเป็นใหญ่ จะใจอ่อนไม่ได้

“เจ้ากล้าหรือไม่เล่า?” หลินจิงหยุนปล่อยกระแสพลังออกมา กดขี่ข่มเหง

“ทำไมจะไม่กล้าล่ะ……” หลัวซิวรับคำอย่างรวดเร็ว ไม่ลังเลเลยสักนิด

นับจากผู้อาวุโสจ้าวฉีหยวนได้บอกกับเขาว่า จะต้องขึ้นเป็นบุคคลอันดับหนึ่งของนอกสำนักให้ได้ก่อนอายุสิบแปดปีถึงจะคู่ควรกับลู่เมิ่งเหยา หลัวซิวก็ทราบทันทีว่า วันเวลาที่เขาฝึกตนในนอกสำนักเซียวเหยา จะต้องหลีกเลี่ยงการต่อสู้ไม่ได้แน่

ผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง มิใช่ว่าเก็บตัวตั้งใจฝึกฝนก็สำเร็จได้ แต่ได้ผุดขึ้นมาจากการต่อสู้ครั้งแล้วครั้งเล่า!

นี่เป็นชะตากรรมของผู้ที่ต้องการกลายเป็นผู้แข็งแกร่ง มิอาจหลีกเลี่ยงได้……

นอกสำนักเซียวเหยา มีลูกศิษย์หนึ่งพันกว่าคน รวบรวมหนุ่มสาวชั้นยอดในเขตการปกครองหยุนหลงเอาไว้แทบทั้งหมด

ข่าวลือว่าหลัวซิวที่ได้รับอันดับหนึ่งจากการสอบเข้าสำนักเมื่อครึ่งเดือนก่อน จะขึ้นประลองกับหลินจิงหยุนที่พอมีชื่อเสียงในนอกสำนักที่แท่นประลองเป็นตาย เกิดเป็นคลื่นลมที่ใหญ่พอสมควรในนอกสำนักเซียวเหยาอย่างรวดเร็ว

“หลัวซิวเสียสติไปแล้วหรือไร?”

เมื่อสวีผิงและหวางช่านได้ยินข่าวนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะตะลึง

ได้เข้ามาในนอกสำนักเซียวเหยาเป็นเวลาสักพักแล้ว ในฐานะศิษย์ใหม่ ถูกลูกศิษย์ที่อยู่มาก่อนรังแกนับเป็นเรื่องปกติ ไม่ว่าจะเป็นสวีผิงหรือหวางช่าน ก็ทำได้เพียงกล้ำกลืนความเจ็บช้ำน้ำใจ

แต่หลัวซิวกลับไม่เหมือนกันกับพวกเขา ไม่ได้คิดว่าจะถ่อมตนเลยสักนิด ผู้ใดท้าทาย ก็โต้กลับอย่างแรง ตัดสินเป็นตายบนเวทีประลอง จักต้องยื่นขอความเที่ยงธรรมจากระดับสูงของนอกสำนัก ถ้าหากคร่าชีวิตอีกฝ่ายจากการต่อสู้กันเอง จักต้องได้รับบทลงโทษที่รุนแรง

ดังนั้นการต่อสู้ระหว่างหหลัวซิวและหลินจิงหยุน กำหนดเป็นเที่ยงวันพรุ่งนี้

หลัวซิวพึ่งจะกลับมาที่พักของตนได้ไม่นาน ลู่เมิ่งเหยาก็รีบมาหาทันที

“ทำไมเจ้าต้องรับปากขึ้นแท่นประลองเป็นตายกับหลินจิงหยุนด้วยเล่า?” ทันทีที่ลู่เมิ่งเหยาเข้าประตูมา ใบหน้าโฉมสะคราญก็ปกคลุมไปด้วยน้ำค้างแข็ง และสายตาต่อว่า จ้องหลัวซิวตาเขม็ง

“ข้ารู้ว่าเจ้ามีความสามารถแข็งแกร่ง แต่ยังไงเจ้าก็ฝึกตนยังไม่นาน ต่อให้ทะลวงถึงขั้นชี่ไห่ระดับ3 ทว่าหลินจิงหยุนนั่นกลับอยู่ในชี่ไห่ระดับ7 จัดอยู่อันดับที่137 ของศิษย์นอกสำนัก!”

ความกังวลของลู่เมิ่งเหยาย่อมมีเหตุผลของนาง อันดับที่137 เหมือนจะไม่สูงนัก แต่ลูกศิษย์นอกสำนักมีทั้งหมดถึงพันกว่าคน สามารถอยู่ในอันดับหนึ่งใน150 ได้ ล้วนเป็นยอดฝีมือที่พอจะมีชื่อเสียงอยู่บ้าง

อย่าว่าแต่ชี่ไห่ระดับสามของหลัวซิวเลย ต่อให้เป็นผลการฝึกตนชี่ไห่ระดับ5 อย่างนาง ก็เพียงจัดอยู่ใน500 อันดับแรกเท่านั้นเอง

หากเป็นการประลองโดยปกติทั่วไปก็ไม่นับอะไร ต่อให้หลินจิงหยุนกล้าแค่ไหนก็ไม่กล้าคร่าชีวิตคน แต่เวทีประลองตัดสินตายนั้นไม่เหมือนกัน ถูกสังหารอยู่บนเวที อีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบใด ๆ

แม้ว่าในน้ำเสียงของลู่เมิ่งเหยานั้นจะมีท่าทีต่อว่า ทว่าในใจของหลัวซิวกลับรู้สึกอบอุ่น เขาทราบดีว่าลู่เมิ่งเหยาเป็นห่วงตน ถึงได้มีท่าทีเช่นนี้

“ไม่ต้องกังวลไป ข้ารู้ขอบเขตพอ” หลัวซิวเอื้อมมือออกมาลูบคลำใบหน้าที่ขาวเนียนของนาง

หลังจากที่หลัวซิวได้เล่าเรื่องที่ตนเองถูกลูกศิษย์สามคนของจางหลู่เหลียงตามสังหารที่เขาปาฉีออกมา ลู่เมิ่งเหยาอ้าปากค้างทันที บนใบหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึง

“เจ้าบอกว่าเจ้าสามารถสังหารยอดฝีมือชี่ไห่ระดับ7 ได้รึ?”

หากไม่ใช่เพราะเข้าใจนิสัยของหลัวซิว เปลี่ยนเป็นคนอื่นมากล่าวเรื่องนี้กับตนเอง ลู่เมิ่งเหยาจักต้องคิดว่าอีกฝ่ายคุยโวอย่างแน่แท้

“จริงแท้แน่นอน มิเช่นนั้นข้าไม่ใช่เจ้าโง่สักหน่อย รู้ว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ยังจะประลองตัดสินตายกับหลินจิงหยุนหรืออย่างไรเล่า?” หลัวซิวยิ้มกล่าว

เมื่อได้ฟังหลัวซิวกล่าวเช่นนี้ ลู่เมิ่งเหยาถึงได้ผ่อนคลายจิตใจที่เป็นกังวลลง ตอนที่นางเพิ่งจะได้รับข่าวนี้นั้น นางกังวลแทบตาย

แม้ว่าจะมีอายุเพียงสิบสี่ปี ทว่าได้เข้าฝึกวรยุทธ์ที่สำนักตั้งแต่อายุสิบปี ในระยะเวลาสี่ปีได้เผชิญกับความยากลำบากต่าง ๆ นานา หากไม่ใช่ใบหน้ายังคงดูอ่อนวัยอยู่บ้าง สภาพจิตของหลัวซิวนั้นไม่ต่างอะไรกับผู้ใหญ่นัก

เอื้อมมือออกไปม้วนเส้นผมของลู่เมิ่งเหยาขึ้นมา มุมปากของหลัวซิวแฝงไปด้วยรอยยิ้ม กล่าว: “ถ้าต้องการอยู่ร่วมกันกับเจ้า เส้นทางที่ข้าต้องเดินนั้น ยังอีกยาวไกลนัก”

การเคลื่อนไหวที่สนิทสนม คำพูดอันแสนอ่อนโยน หัวใจของลู่เมิ่งเหยาอดไม่ได้ที่จะสั่นเล็กน้อย

สำหรับเรื่องนี้ นางทราบดีเป็นธรรมดา ในฐานะบุตรสาวของลู่เฟยเฉิน ไม่เพียงแค่นอกสำนัก รวมถึงในสำนักก็มีอัจฉริยะไม่น้อยที่สนใจในตัวนาง นอกจากนี้นางยังทราบดีว่า เรื่องหลินจิงหยุนนั้น มีต้นเหตุมาจากนาง

“ทำไม? เจ้ากลัวแล้วรึ?”

“กลัว? น่าขันสิ้นดี! หากข้ากลัวจริง ๆ ข้ายังจะมาอีกหรือ?” หลัวซิวหัวเราะเสียงดัง เงาร่างพลันโผไปข้างหน้า และจุมพิตลงไปบนริมฝีปากแดง ๆ ของลู่เมิ่งเหยา

การจุมพิตอย่างกะทันหันนี้ ทำให้ลู่เมิ่งเหยาร่างกายแข็งทื่อไปทันที กลิ่นอายของบุรุษเพศถาโถมเข้ามา ทำให้นางมีความรู้สึกลุ่มหลงขึ้นมาอย่างกะทันหัน

 

########################
 

 

 

 

บทที่ 78 สู้กับบุรุษหนุ่มชุดขาว

 

“เมื่อสี่ปีก่อนข้าได้เข้าถึงแดนฝึกชี่ไห่เป็นที่เรียบร้อย ทว่าเนื่องจากโรคชีพจรขาดธาตุไฟ เลยไม่สามารถพัฒนาฝึกฝนต่อได้ ในวันนี้โรคชีพจรขาดธาตุไฟไม่มีอีกต่อไป ข้าก็ควรที่ตั้งใจฝึกฝนแล้ว”

ลู่เมิ่งเหยากล่าวด้วยรอยยิ้ม กะพริบตาปริบ ๆ ให้กับหลัวซิว กล่าวหยอกล้อ: “ข้าอายุมากว่าเจ้า ผลการฝึกตนไม่มีทางต่ำกว่าเจ้าหรอก”

ลู่เมิ่งเหยาไม่เคยแสดงผลการฝึกตนของตัวเองออกมาต่อหน้าหลัวซิว แต่สำหรับหลัวซิวที่สามารถมองเห็นกระแสพลังลายเส้นชีวิตแล้ว ในสายตาของหลัวซิวผลการฝึกตนของนางไม่ได้เป็นความลับเลยสักนิด

ชี่ไห่ขั้นห้า!

นั่นคือผลการฝึกตนของลู่เมิ่งเหยา

ตอนนี้นางมีอายุยี่สิบเอ็ดปี ตามกฎของสำนักเซียวเหยา หากไม่สามารถทะลวงถึงแดนพรสวรรค์ได้ก่อนอายุยี่สิบห้า ก็จะไม่มีโอกาสเข้าในสำนัก หมดโอกาสในการฝึกวิชายุทธ์ที่ลึกล้ำไปกว่าเดิมไปตลอดชีวิต

ทว่ายังไงบิดาของนางก็เป็นเจ้าสำนักนอกสำนัก ขอเพียงผลการฝึกตนสูงพอ ก็สามารถไปเลือกวิชายุทธ์ในหอเซียวเหยาได้

สำหรับเรื่องราวในอดีตของลู่เมิ่งเหยา อยู่ที่นอกสำนักหลัวซิวก็พอได้ยินมาบ้าง เหมือนว่านางได้เข้าสู่แดนฝึกชี่ไห่ อายุสิบสามชี่ไห่ขั้นสี่ อายุสิบแปดชี่ไห่ขั้นเก้า!

ความเร็วในการฝึกตนเช่นนี้ พูดได้ว่าเป็นดรุณีที่สวรรค์ภาคภูมิใจ!

ทว่าการปรากฏตัวของโรคชีพจรขาดธาตุไฟ กลับทำให้นางตกต่ำถึงที่สุด ผลการฝึกตนไม่ก้าวหน้ากลับถอยหลัง ถอยไปจนถึงชี่ไห่ขั้นสอง

เนื่องด้วยสาเหตุบางประการ นางได้ไปจากเขตการปกครองหยุนหลง ใช้ชีวิตอยู่ที่สำนักชิงหยุนเป็นเวลาสี่ปี

ส่วนข้างในมีเหตุผลอะไรนั้น ลู่เมิ่งเหยาไม่กล่าว หลัวซิวก็ไม่เคยเอ่ยถาม

ในระหว่างทางที่กลับไป บุรุษหนุ่มสองคนได้ขวางหลัวซิวเอาไว้ ดูแล้วอายุประมาณยี่สิบปี ท่าทางไม่เป็นมิตร

“เจ้าเองหรือที่ชื่อหลัวซิว? อันดับหนึ่งในการสอบเข้าสำนัก?” คนที่กล่าวนั้นเป็นบุรุษหนุ่มชุดดำ แม้ว่าคำพูดที่กล่าวออกมานั้นจะดูสุภาพ แต่ในน้ำเสียงกลับแฝงไปด้วยแววเหยียดหยามและท้าทาย

หลัวซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย “เจ้ามีเรื่องอะไรงั้นหรือ?”

ห่างออกไปไม่ไกลนัก ยังมีบุรุษหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งยืนอยู่ ระหว่างคิ้วมีความยิ่งยโสที่โอหังเป็นอย่างมาก ไม่ชายตามองหลัวซิวเลยสักนิด ไม่เห็นผู้อื่นอยู่ในสายตา

“ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่ตั้งใจมาบอกกับเจ้าว่า ต่อไปอย่าเข้าใกล้แม่นางลู่นัก” บุรุษหนุ่มชุดดำยิ้มกล่าว

เมื่อได้ยินอีกฝ่ายกล่าวออกมาเช่นนี้ หลัวซิวท่าทางเฉยเมย ราวกับเขาได้คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้แล้ว สาเหตุมาจากเมิ่งเหยา เขาอยู่ในนอกสำนักแห่งนี้ จะต้องเป้าโจมตีอย่างแน่นอน

ก่อนหน้านี้ได้เก็บตัวฝึกตน นี่พึ่งจะออกมา ก็มีคนมาหาเรื่องทันที

“เรื่องของข้าไม่จำเป็นต้องให้เจ้าเข้ามายุ่งเกี่ยว” หลัวซิวกล่าวด้วยใบหน้าไร้อารมณ์

เฉกเช่นเดียวกันกับสำนักยุทธ์ นอกสำนักเซียวเหยาเองก็มิได้ห้ามปรามมิให้ลูกศิษย์ต่อสู้กัน ผู้แข็งแกร่งรังแกผู้อ่อนแอ เป็นเรื่องปกติอย่างยิ่ง

หากระหว่างทั้งสองมีความแค้นใหญ่หลวง ก็สามารถร้องขอขึ้นแท่นประลองเป็นตายได้ มีผู้ดูแลสำนักเป็นพยาน บนแท่นประลองเป็นตาย ต่อให้คร่าชีวิตของอีกฝ่าย ก็ไม่ต้องรับผิดชอบใด ๆ

“เจ้าหนุ่ม เจ้ามันโอหังไม่เบานี่” รอยยิ้มบนใบหน้าของบุรุษหนุ่มชุดดำได้สลายหายไป ใบหน้าเย็นชา : “อย่าคิดว่าเป็นอันดับหนึ่งจากการสอบเข้าสำนักก็แน่มากแล้ว ผลการฝึกตนเพียงแค่ชี่ไห่ขึ้น2 อยู่ในนอกสำนักเซียวเหยาเป็นเพียงระดับล่างเท่านั้นเอง”

หลัวซิวสีหน้าเย็นชา กล่าวเสียดสีกลับ: “เจ้าเองก็แค่ผลการฝึกตนชี่ไห่ขั้น6 อยู่ในนอกสำนักเซียวเหยาก็ไม่นับอะไรด้วยซ้ำ”

จากกระแสพลังลายเส้นชีวิต หลัวซิวสามารถมองเห็นระดับที่บรรลุถึงชี่ไห่ระดับ6 ของบุรุษหนุ่มชุดดำได้อย่างง่ายดาย

สำหรับจอมยุทธ์ชี่ไห่ตอนต้นคนอื่น ๆ แล้ว ชี่ไห่ระดับ6 นั้นพูดได้ว่าสูงเกินเอื้อม ทว่าหลัวซิวกลับไม่ได้ใส่ใจ เนื่องด้วยนับจากที่เขาได้ทะลวงถึงแดนฝึกชี่ไห่ใหม่ ๆ เขาก็ได้คร่าชีวิตชี่ไห่ระดับ7 ของนอกสำนักเซียวเหยาไป!

ยิ่งไปกว่านั้นผลการฝึกตนของเขาในตอนนี้ได้เข้าสู่ชี่ไห่ระดับ3 แล้ว ทักษะยุทธ์วิชาท่าร่างต่างก็ได้ก้าวหน้าขึ้นมาเป็นอย่างมาก เป็นธรรมดาที่จะไม่เห็นชี่ไห่ระดับ6 อยู่ในสายตา

“เจ้ารนหาที่ตาย?” บุรุษหนุ่มชุดดำสีหน้าเคร่งขรึมลง “เจ้าก็แค่ชี่ไห่ระดับ2 กล้าดูถูกชี่ไห่ระดับ6 งั้นรึ เชื่อไหมว่าข้าสามารถจัดการเจ้าได้อย่างง่ายดาย?”

“เจียงตงชิง คนแบบนี้ไม่จำเป็นต้องพูดมากกับมัน จัดการมันก่อนค่อยว่า” บุรุษหนุ่มชุดขาวที่อยู่ห่างออกไปพลันกล่าวขึ้นมา

“คุณชายหยุนวางใจ ข้าจะลงมือตอนนี้เลย!” บุรุษหนุ่มชุดดำตอบด้วยรอยยิ้ม บุรุษหนุ่มชุดขาวผู้ที่ถูกขนานนามว่า ‘คุณชายหยุน’ พยักหน้า

“หมัดระเบิดสายฟ้า!”

ฉับพลันทันใด บุรุษหนุ่มชุดดำที่มีนามว่าเจียงตงชิงก็ได้ลงมือในชั่วพริบตา กระแสพลังระเบิดอย่างรุนแรงสายโหมกระหน่ำออกมาจากร่าง

เคล็ดวิชาที่เจียงตงชิงแสดงออกมานั้นเป็นวิชาหมัดระดับห้า ปราณแท้จับตัวเป็นดุจดั่งเส้นสายฟ้า เกิดเสียงระเบิดดังนั้นในอากาศ รุนแรงทรงพลัง

“ไสหัวไป!”

มือของหลัวซิวพลันขยับขึ้นมา ทักษะพลังที่พิเศษของวิชาดาบเร็ว ทำให้มือของเขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว

“เพียะ!”

เสียงตหน้าดังขึ้นอย่างชัดแจ๋ว เจียงตงชิงยังคงอยู่ในท่าออกหมัด กลับถูกหลัวซิวตบเข้าที่ใบหน้า ร่างลอยหมุนตัวกลับออกไป

“เป็นการลงมือที่รวดเร็วยิ่งนัก เขาก็คือหลัวซิวผู้ที่เป็นอันดับหนึ่งในการสอบเข้าสำนักงั้นหรือ? สมคำร่ำลือจริง ๆ!”

บริเวณใกล้ ๆ มีศิษย์นอกสำนักคนอื่น ๆ ที่เดินไปมาได้หยุดดู ต่างกระซิบกัน

บุรุษหนุ่มชุดขาวผู้ที่ถูกขนานนามว่า ‘คุณชายหยุน’ ชะงักเล็กน้อย สีหน้าดูไม่ดีนัก เดิมคิดว่าหลัวซิวเป็นเพียงชี่ไห่ระดับ2 ที่พึ่งเข้าสำนักมาเท่านั้น อาศัยชี่ไห่ระดับ6 ของเจียงตงชิงสามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย กลับคิดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นแช่นนี้

ฟาดหน้าเจียงตงชิงจนลอยกระเด็นออกไป สีหน้าของหลัวซิวไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง และหมุนตัวเดินหน้าต่อไปทันที

“หยุดนะ!” บุรุษหนุ่มชุดขาวตวาดขึ้นมา

ทว่าคำพูดของเขาสำหรับหลัวซิวแล้ว กับทำเป็นไม่ได้ยิน ไม่มีว่าท่าว่าจะหยุดลงเลยสักนิด

“เชียง!”

แสงกระบี่สว่างไสวสายหนึ่งได้ปรากฏขึ้น การที่หลัวซิวไม่สนใจตนเองนั้น ทำให้บุรุษหนุ่มชุดขาวลงมือด้วยความโมโห ปราณแท้จับตัวเป็นคมแสงกระบี่ ครอบงำเข้าหาหลัวซิว

“ท่ามังกรทะยาน!”

หลัวซิวขยับเท้าเป็นแนวนอน ทิ้งเงาร่างเอาไว้ ณ จุดเดิม จากนั้นก็ซัดหมัดสองข้างออกมา เฉกเช่นมังกรทะยาน แสงสว่างของปราณแท้ทะลักออกมาอย่างดุเดือด ราวกับคลื่นที่เกรี้ยวกราด

บุรุษหนุ่มชุดขาวยกหัวคิ้วทันที คิดไม่ถึงว่าหลัวซิวที่มีวิชาชี่ไห่ระดับสอง วิชาท่าร่างและทักษะยุทธ์จะร้ายกาจเช่นนี้

มือซ้ายรวบรวมพลังปราณแท้และซัดฝ่ามือออกไป หลังจากที่หมัดและฝ่ามือกระทบกัน บุรุษหนุ่มชุดขาวก้ก้าวถอยหลังไปหลายก้าวอย่างห้ามไม่ได้

“สวรรค์! เจ้าหนุ่มนั้นเป็นปีศาจหรือยังไง? บีบให้หลินจิงหยุนก้าวถอยหลังไปหลายก้าวเช่นนี้เชียว?”

“ได้ยินว่าตอนที่สอบเข้าสำนักเขายังอยู่ที่ชี่ไห่ระดับสอง ทว่าพลังปราณที่เขาแสดงออกมาเมื่อสักครู่นั้น ได้เข้าสู่ขั้นชี่ไห่ระดับสามแล้ว แต่ต่อให้เป็นชี่ไห่ระดับ3 ก็ไม่น่าจะร้ายกาจถึงเพียงนี้ว่าไหม?”

“หลินจิงหยุนมีผลการฝึกตนถึงขั้นชี่ไห่ระดับ7 เชียวนะ และได้ฝึกฝนวิชากระบี่ถึงแดนบรรลุผล มีฝีมือชั้นยอด!”

กลุ่มผู้คนที่มุงดูต่างกระซิบกระซาบ ไม่ว่าใครก็สามารถดูออกว่าหลัวซิวอยู่ในขั้นชี่ไห่ระดับ3 แต่หลินจิงหยุนคือชี่ไห่ระดับ6 ตามหลักแล้วต่อให้เป็นชี่ไห่ระดับ3 สิบคนลงมือสู้กับหลินจิงหยุนพร้อมกันก็ไม่ใช่คู่ต่อสู่ของหลินจิงหยุน เวลานี้กลับถูกหลัวซิวบีบให้ถอยหลัง ถ้าหากไม่เห็นกับตา มันทำให้คนยากที่จะเชื่อจริง ๆ

เมื่อได้ยินคำวิพากษ์วิจารณ์ของศิษย์นอกสำนักคนอื่น ๆ หลินจิงหยุนมีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก ในศิษย์นอกสำนักเซียวเหยาจำนวนมาก เขานับเป็นบุคคลที่พอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง ถูกหลัวซิวบีบให้ถอยหลัง ทำให้เขาขายหน้าอย่างไม่ต้องสงสัย[1][1]

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 77 ฟังการบรรยาย

 

หอเซียวเหยามีทั้งหมดสองชั้น ชั้นหนึ่งเก็บวิชายุทธ์ระดับ5 เอาไว้ ชั้นสองเก็บวิชายุทธ์ระดับ6

หากต้องการฝึกฝนวิชาที่สูงกว่าอย่างวิชายุทธ์ระดับ7 ก็จะต้องเข้าในสำนักกลายเป็นศิษย์หลัก ถึงจะได้รับการถ่ายทอด

วิชายุทธ์ระดับ7 นั้นเป็นการถ่ายทอดที่สูงที่สุดของสำนักเชียวเหยา เป็นธรรมดาที่จะไม่ถ่ายทอดอย่างง่ายได้ ต่อให้เป็นผู้อาวุโสในสำนักบางคน ยังไม่มีคุณสมบัติฝึกฝน

วิชายุทธ์ระดับ5 ที่อยู่ในชั้นหนึ่งนั้นมีเยอะมาก วิชาหมัด วิชาเท้าวิชาเตะ วิชาหมัด วิชาดรรชนี วิชาดาบ วิชากระบี่และอื่น ๆ มีครบทุกอย่าง

ทว่าหลัวซิวเหลือบมองอยู่หนึ่งรอบ ก็ไม่พบวิชายุทธ์ที่ยอดเยี่ยมกว่าวิชากระบี่แสงเหนือและวิชาเงาเศษสิบช่อง

หลังจากที่เดินอยู่หนึ่งรอบ หลัวซิวก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย หากไม่เลือกวิชายุทธ์ระดับ5 ทว่าในอนาคตตนเองได้แสดงวิชายุทธ์ระดับ5 ออกมา แถมยังไม่ใช่เคล็ดวิชาที่หอเซียวเหยามีอยู่ พอถึงตอนนั้นจะอธิบายเช่นไร?

เมื่อนึกถึงตรงนี้ หลัวซิวก็ได้บอกเรื่องคลังสมบัติราชายุทธ์กับลู่เมิ่งเหยา สำหรับกระบวนการที่อันตรายถึงชีวิตนั้น ถูกเขาละเว้นไป

เขาเชื่อลู่เมิ่งเหยา ดังนั้นถึงได้บอกกับนาง

แม้ว่าหลัวซิวจะกล่าวอย่างสบาย ๆ สิ่งที่ได้จากคลังสมบัติราชายุทธ์เหมือนจะมากมาย ทว่าลู่เมิ่งเหยาทราบดี ไม่มีโอกาสใดในโลกนี้ที่ได้มาอย่าง่ายดาย ยิ่งเป็นโอกาสที่ดี ก็จะยิ่งอันตราย

ทว่านางคิดไม่ถึงว่า หลัวซิวจะได้รับคลังสมบัติของราชายุทธ์ที่แข็งแกร่งทิ้งเอาไว้ ทรัพยากรความมั่งคั่งที่อยู่ในนั้น ต่อให้เป็นระดับสูงสุดของสำนักเซียวเหยา เกรงว่าคงจะต้องใจสั่นหวั่นไหวแน่นอน!

“หลัวซิว เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล ศิษย์มากมายออกไปฝึกฝนที่ด้านนอก มีบางครั้งก็ได้รับเช่นกัน ได้รับการสืบทอดวิชายุทธ์อื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นนอกสำนักหรือในสำนัก สำหรับเรื่องนี้ล้วนไม่มีกฎเกณฑ์มาผูกมัด”

สำหรับปัญหาของหลัวซิว ลู่เมิ่งเหยาได้ให้คำอธิบาย

“นอกจากนี้หากเจ้ามีเคล็ดวิชายุทธ์ที่ตนเองไม่ได้ใช้ สามารถเอาออกมาเก็บไว้ที่หอเซียวเหยาได้ ตามระดับของเคล็ดวิชายุทธ์ที่เจ้ามอบออกมา ก็จะสามารถได้รับรางวัลตามความเหมาะสม”

ลู่เมิ่งเหยากล่าวต่อ “วิชายุทธ์ระดับ5 เคล็ดวิชาหนึ่ง สามารถแลกกับยาฝึกปราณสามเม็ด”

“ยาฝึกปราณสามเม็ด?” หลัวซิวชะงักเล็กน้อย

ตามมูลค่าที่แท้จริงแล้ว ยาฝึกปราณสามเม็ดมิอาจทัดเทียมได้กับวิชายุทธ์ระดับ5 เคล็ดวิชาหนึ่ง แต่วิชายุทธ์ที่ไม่ได้ใช้เก็บเอาไว้ก็ไร้ประโยชน์ แลกกับยาฝึกปราณนับเป็นทางเลือกที่ดีไม่น้อย

หลัวซิวไม่ได้แลกยาฝึกปราณมาในตอนนี้ เขาใช้ไปแล้วหนึ่งเม็ด ยังเหลืออีกสองเม็ด พึ่งจะทะลวงถึงขั้นชี่ไห่ขั้นสาม จะต้องใช้เวลาสักระยะเพื่อให้ผลการฝึกตนเสถียรภาพ สามารถรอแลกในตอนที่ต้องการในอนาคตได้

ออกมาจากหอเซียวเหยา หลัวซิวได้กลับไปที่ที่พักของตนเอง ในตอนที่สร้างความเสถียรภาพให้กับวิชาชี่ไห่ขั้น3 นั้น ขณะเดียวกันก็เริ่มฝึกวิชากระบี่แสงเหนือและวิชาท่าร่างเงาเศษสิบช่อง

มีวิชากระบี่ฟ้าแลบและวิชาดาบเร็วเป็นที่พึ่ง หลัวซิวเข้าใจวิชากระบี่แสงเหนือได้อย่างรวดเร็ว ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ก็ได้เข้าใจประเด็นหลักของขั้นปฐมภูมิ

วิชากระบี่แสงเหนือแบ่งเป็นสามกระบวนท่า แยกเป็นกระบี่สะท้อนแสง กระบี่พรากชีวี กระบี่แสงเหนือ

สามกระบวนท่าเป็นไปตามนี้ กระบวนท่าหนึ่งมีพลังสูงกว่าอีกกระบวนท่าหนึ่ง หลัวซิวใช้เวลาทั้งวัน ก็เพียงเข้าใจกระบี่สะท้อนแสงขั้นต้นเท่านั้น

ในขณะเดียวกัน หลัวซิวก็เริ่มฝึกฝนวิชาเงาเศษสิบช่อง นึกผังลายเส้นชีวิตอยู่ในหัว พัฒนาวิชายุทธ์ทั้งสองนี้

ส่วนเรื่องกำลังภายใน ถึงแม้ว่าพลังหยางบริสุทธิ์จะเป็นระดับ3 ขั้นสุดยอด ทว่าในความเป็นจริงผลลัพธ์ที่แท้จริงสามารถทัดเทียมกำลังภายในระดับห้า เพียงแค่ยากที่จะฝึกฝน ดังนั้นถึงถูกจัดให้อยู่ในระดับสาม

รอจนผลการฝึกตนถึงชี่ไห่ระดับ7 หลัวซิวก็จะสามารถฝึกพลังพรสวรรค์ ผสมผสานกับพลังหยางบริสุทธิ์ ฝึกฝนพลังหยางบริสุทธิ์พรสวรรค์

โดยไม่รู้ตัว หลัวซิวหมกมุ่นอยู่กับการบรรลุความลึกซึ้งของวิชายุทธ์ เขาเข้านอกสำนักเซียวเหยามา เป็นเวลาครึ่งเดือนแล้ว

ในช่วงเวลานี้ เข้าได้ฝึกฝนวิชาเงาเศษสิบช่องจนถึงแดนบรรลุผล สามารถแยกเงาร่างออกมาได้ถึงเจ็ดสาย

จากการอาศัยเรียนรู้ระหว่างวิชาดาบเร็วและวิชากระบี่แสงเหนือ สำหรับแดนวิชากระบี่ของหลัวซิวนั้น ก็ได้มีการพัฒนาขึ้นมาอย่างเต็มเปี่ยม สองกระบวนท่าแรกของเคล็ดวิชากระบี่ กระบี่สะท้อนแสงและกระบี่พรากชีวีเขาต่างฝึกได้สำเร็จแล้ว!

ทว่ากระบวนที่สุดท้ายกระบี่แสงเหนือ ความยากในการฝึกฝนกลับยากมาก หลัวซิวทำได้เพียงแสดงออกมาอย่างยากลำบาก หากต้องการรับรู้ให้ได้ทั้งหมด ความซาบซึ้งของวิชากระบี่คงต้องถึงแดนบรรลุผล

แดนวิชากระบี่ที่ว่า ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับทักษะยุทธ์ แต่เป็นระดับวิชากระบี่ที่มีความหมายกว้างอย่างหนึ่ง

ตามคำอธิบายในวิชาดาบเร็ว แดนวิชากระบี่ของหลัวซิว ตอนนี้อยู่ในแดนสำเร็จน้อย

แดนวิชากระบี่ ก็มีวิถีที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่นวิถีที่หลัวซิวเดินนั้นเป็นวิถีแห่งดาบเร็วมีบางคนที่เดินวิถีความละเอียดอ่อนของกระบวนท่า มีบางคนที่ไม่เดินตามกฎเป็นต้น……

ก็เหมือนกับวิชากระบี่ วิชาหมัด วิชาฝ่ามือก็มีการแบ่งเขตแดนที่มีความหมายกว้างเช่นกัน

หากแดนวิชากระบี่สามารถโดดเด่นไม่ธรรมดาได้ เกินกว่าขั้นที่เรียกว่า ‘วิชา’ ก็จะกลายเป็นที่สุดของที่สุด ความสามารถแทบจะเหมือนเต๋า ก้าวสู่ขบวนโลกกระบี่

วิชากระบี่และโลกกระบี่ เรียกได้ว่าแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน

หลัวซิวทราบดีว่า ตนเองนั้นยังอยู่ห่างไกลจากโลกกระบี่อีกมาก การฝึกยุทธ์ ไม่ว่าจะเป็นผลการฝึกตนหรือระดับที่บรรลุถึง ล้วนต้องเป็นไปทีละขั้น กาวไปทีละก้าว ไม่อาจก้าวข้ามขั้นไปได้

นอกสำนักเซียวเหยา ทุกเดือน จะมีผู้อาวุโสแดนเทพยุทธ์มาบรรยายคำสั่งสอน

หลัวซิวมาที่นี่เป็นเวลาครึ่งเดือนกว่าแล้ว พอดีกับวันนี้มีผู้อาวุโสท่านหนึ่งมาบรรยายคำสั่งสอน ลู่เมิ่งเหยาเลยมาชวนเขาไปฟังคำบรรยายด้วยกัน

ผู้อาวุโสที่มาบรรยายสั่งสอนนั้น เป็นชายชราที่มีเคราและผมสีขาว ในสายตาของหลัวซิว ลายเส้นชีวิตของผู้อาวุโสท่านนี้ มีลำแสงสีฟ้ากะพริบอยู่

ลายเส้นชีวิตของผู้ฝึกยุทธ์กลั่นร่างนั้นเป็นสีขาว จอมยุทธ์ชี่ไห่มีสีเขียว จอมยุทธ์พรสวรรค์นั้นจะมีสีเขียวที่เข้มกว่า และถ้าถึงแดนเทพยุทธ์ จะส่งแสงสีฟ้าออกมา!

ประจักษ์ชัด การฝึกตนถึงแดนเทพยุทธ์ ชีวิตและร่างกายของจอมยุทธ์นั้นจะเกิดการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นจึงได้แสดงออกมาผ่านทางลายเส้นชีวิต

จากกระแสพลังที่ปล่อยออกมาผ่านทางลายเส้นชีวิต หลัวซิวรู้สึกว่าผู้อาวุโสนอกสำนักท่านนี้ด้อยกว่าลู่เฟยเฉินและจ้าวฉีหยวนเล็กน้อย อยู่ประมาณแดนเทพยุทธ์ตอนต้น ส่วนเป็นขั้นไหนนั้น ก็มิอาจมั่นใจได้

แดนใหญ่ทั้งเก้าระดับ ถูกแบ่งอย่างละเอียดประณีต ขั้นหนึ่งถึงขั้นสามเป็นตอนต้น ขึ้นสี่ถึงขั้นหกเป็นตอนกลาง ขั้นเจ็ดถึงขั้นเก้าเป็นตอนหลัง จากนั้นก็เป็นขั้นเก้าขั้นสูง

ขั้นสามถึงขั้นสี่ ขั้นหกถึงขั้นเจ็ด ขั้นเก้าถึงขั้นเก้าขั้นสูง ทั้งสามช่วงนี้ เป็นสันปันน้ำ ความสามารถแตกต่างกันมาก

ในแง่ของแดนชี่ไห่ วิชาชี่ไห่ขั้น3 เหมือนกับนวิชาชี่ไห่ขั้น2 และ1 ปราณแท้ล้วนมีสภาวะเป็นหมอกควันเช่นกัน เพียงแค่ปราณแท้จะทรงพลังมากกว่า และทันทีที่ก้าวเข้าสู่วิชาชี่ไห่ขั้น4 ปราณแท้ที่มีสภาวะเป็นหมอกควันก็จะกลายเป็นของเหลว เป็นการข้ามขั้นแบบเปลี่ยนธาตุ!

ดังนั้นวิชาชี่ไห่ระดับสี่ ก็คือชี่ไห่ตอนกลาง ขั้นสามนับเป็นเพียงตอนต้นขั้นสูง!

ปรมาจารย์โลกยุทธ์ในเขตการปกครองหยุนหลงนั้นพบได้ยากมาก ทว่าในนอกสำนักเซียวเหยาแห่งเขตการปกครองหยุนหลง กลับหาไม่ยาก แค่จับผู้อาวุโสนอกสำนักออกมาสักคน ล้วนเป็นปรมาจารย์โลกยุทธ์แดนเทพยุทธ์

ยอดฝีมือแดนเทพยุทธ์ขั้น9 ขั้นสูงอย่างเจ้าสำนักลู่เฟยเฉินนั้น ยิ่งมีฉายาเป็นปรมาจารย์แห่งโลกยุทธ์!

ส่วนในในสำนักเซียวเหยา หลัวซิวก็ได้ยินลู่เมิ่งเหยาเอ่ยเป็นครั้งครา ว่าศิษย์ในสำนักล้วนเป็นแดนพรสวรรค์ ผู้คุมกฎเป็นแดนเทพยุทธ์ มีเพียงผู้แข็งแกร่งที่มีฉายาเป็นราชา ถึงจะขึ้นเป็นเจ่สำนักได้

สิ่งที่ผู้อาวุโสสั่งสอนบรรยายนั้น ล้วนเกี่ยวกับทักษะยุทธ์ หรือเคล็ดลับในการฝึกกำลังภายในรวมทั้งข้อห้ามต่าง ๆ

ในฐานะปรมาจารย์โลกยุทธ์แดนเทพยุทธ์ ชายชรานั้นมีประสบการณ์มากมาย ยังได้บรรยายเกี่ยวกับทักษะการป้องกันตัวเมื่อต่อสู้กับอสุรกาย ทักษะในการเอาตัวรอดและอื่น ๆ

ศิษย์นอกสำนักส่วนมากอายุยังน้อย ทักษะชั้นต้นเหล่านี้มีประโยชน์มาก หากสามารถเข้าใจได้ ในการฝึกฝนในอนาคต สามารถให้รักษาชีวิตของตนได้

เมื่อผู้อาวุโสสั่งสอนบรรยายจบและจากไป หลู่เมิ่งเหยาเองก็เตรียมที่จะกลับไป

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 76 หอเซียวเหยา

 

“หลัวซิว เจ้า……ข้า……” ชั่วขณะนั้น ลู่เมิ่งเหยาไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี

เมื่อเห็นท่าทางเขินอายของนาง หลัวซิวจับมือของนางขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว “เมิ่งเหยา เจ้าบอกว่าจะรอข้าที่สำนักเซียวเหยา ในเมื่อวันนี้ข้าได้มาตามนัดแล้ว ก็จักต้องทำให้เห็นผลสำเร็จ ให้มีฐานะและตำแหน่งที่คู่ควรกับเจ้า!”

แม้ว่าทั้งสองเคยเปลือยกายอยู่ด้วยกันหลายครั้ง แต่ในตอนนั้นก็เพื่อรักษาโรคชีพจรขาดธาตุไฟ ถูกหลัวซิวจับมือเอาไว้ในเวลานี้ ลู่เมิ่งเหยาทำอะไรไม่ถูกขึ้นมาทันที

มองดูลู่เมิ่งเหยาวิ่งออกไปด้วยท่าทางเขินอาย ในดวงตาที่สงบนิ่งของหลัวซิว เผยความหนักแน่นอย่างสุดซึ้งออกมา

เขารู้ดี โลกใบนี้พูดกันด้วยฝีมือ มีเพียงฝีมือที่แข็งแกร่ง ถึงจะมีฐานะและตำแหน่งที่สูงพอได้

ที่หลัวซิวต้องการ ไม่ใช่ให้เจ้าสำนักลู่เห็นว่าเขาคู่ควรที่จะอยู่ด้วยกันกับลู่เมิ่งเหยา แต่เพื่อให้ลู่เฟยเฉินรู้ว่า เมิ่งเหยาคบหากับตนนั้น เป็นทางเลือกที่ถูกต้องที่สุด!

ที่พักของหลัวซิว อยู่ในเขตนอกสำนักเซียวเหยา ศิษย์นอกสำนักทุกคน อยู่ที่นี่ต่างมีที่พักที่เป็นส่วนตัว

หลังจากที่อาการบาดเจ็บของหลัวซิวฟื้นคืนเป็นปกติ เขาก็ได้ทราบว่า จางหลู่เหลียงไม่ได้ถูกทำลายผลการฝึกตน และไม่ได้ถูกล่ามกระดูกสะบักด้วยโซ่

ไม่เพียงเท่านั้น จางหลู่เหลียงยังถูกปล่อยตัวออกมาจากคุกน้ำ และยังมีฐานะเป็นผู้ดูแลนอกสำนักเช่นเดิม

เรื่องนี้สำหรับหลัวซิวแล้ว จักต้องไม่ใช่ข่าวดีอย่างแน่นอน

จากลู่มิ่งเหยา หลัวซิวได้ทราบมาว่าจางหลู่เหลียงได้รับการคุ้มครองจากผู้อาวุโสในสำนักท่านหนึ่ง

สำนักเซียวเหยา แบ่งเป็นนอกสำนักและในสำนัก ฐานะของในสำนักเหนือกว่า ฐานะของผู้อาวุโสในสำนักนั้น สูงกว่าเจ้าสำนักนอกสำนักเสียอีก

“จางหลู่เหลียงคิดจะเอาชีวิตข้าอยู่บ่อยครั้งแต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ จักต้องไม่ยอมละมือง่าย ๆ แน่ เขายังมีผู้อาวุโสในสำนักเป็นที่พึ่งพิงด้วย?”

หลังจากที่พิจารณาอย่างถี่ถ้วน หลัวซิวตัดสินใจถ่อมตนไปสักระยะ เขาทราบดีว่าระหว่างเขาและจางหลู่เหลียง เป็นความสัมพันธ์ที่ถึงขึ้นไม่ตกตายจะไม่ยอมละมือ

รางวัลในการสอบเข้าสำนักสำหรับผู้ที่ได้อันดับหนึ่ง คือยาฝึกปราณสามเม็ด โดยปกติแล้ว ยาฝึกปราณเม็ดหนึ่ง สามารถทำให้จอมยุทธ์ชี่ไห่ เลื่อนแดนขึ้นมาได้เล็กน้อย

แน่นอน ยาชนิดนี้มิใช่ว่าจะไม่จำกัดไร้ประโยชน์ ระยะห่างในการใช้ยาฝึกปราณหนึ่งเม็ด ต้องห่างกันประมาณหนึ่งปี

สาเหตุที่มีข้อจำกัดเช่นนี้ เนื่องด้วยหากใช้ยาฝึกปราณติดต่อกัน ฤทธิ์ของยาจะยิ่งด้อยลงไปเรื่อย ๆ หรือแม้กระทั่งทำให้ร่างกายของจอมยุทธ์เกิดการพึ่งพายาอีกด้วย ส่งผลกระทบต่อการทะลวงแดนยุทธ์ในอนาคต

นอกจากนี้จอมยุทธ์ชี่ไห่ธรรมดานั้น เพื่อกลั่นแปรดูดซับฤทธิ์ยาของยาฝึกปราณอย่างสมบูรณ์แบบนั้น ต้องใช้เวลาเกือบหนึ่งปี

ภายในห้อง หลัวซิวหยิบเอายาฝึกปราณออกมา แล้วโยนเข้าไปในปากหนึ่งเม็ดทันที

ไม่นาน ฤทธิ์ยาของยาฝึกปราณก็ได้กระจายไปตามร่างกาย กลายเป็นพลังจิตที่บริสุทธิ์ จอมยุทธ์ชี่ไห่ธรรมดานั้นไม่สามารถกลั่นแปรฤทธิ์ยาได้มากเพียงนี้ภายในครั้งเดียวได้ ดังนั้นจิตวิญญาณของยาส่วนมากจะถูกเก็บไว้ในร่างกายของตัวจอมยุทธ์เอง และกลั่นแปรอย่างช้า ๆ ในเวลาต่อมา

สำหรับหลัวซิวแล้ว กลับไม่มีเงื่อนไขเช่นนี้

“วงล้อแห่งชีวิตและความตาย!”

ตามการเคลื่อนไหวพลังจิตของหลัวซิว วงล้อแห่งชีวิตและความตายตรงกลางชี่ไห่จุดตันเถียนได้หมุนวนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ทำให้ปราณแท้ที่เป็นดั่งหมอกควันในชี่ไห่หมุนตามขึ้นมาด้วย กลายเป็นวังวนทะเลหมอก กลายเป็นแรงดูดกลืนพลังมหาศาล

หลัวซิวขับเคลื่อนพลังหยางบริสุทธิ์ในทันที เริ่มกลั่นแปรดูดซับฤทธิ์ยาอย่างรวดเร็ว

เป็นเช่นนี้ หลัวซิวใช้เวลาฝึกตนอยู่ในห้องเป็นเวลาหนึ่งวัน ตอนที่เขาลืมตา ก็เป็นเช้าของวันถัดมาแล้ว

ฤทธิ์ของยาฝึกปราณหนึ่งเม็ด ใช้เวลาเพียงหนึ่งวัน ก็ได้กลั่นแปรดูดซับจนหมดสิ้น ปราณแท้ดั่งหมอกควันในชี่ไห่จุดตันเถียนให้หนาแน่นและทรงพลังยิ่งขึ้น

“แดนวิชาชี่ไห่ขั้น3 ฤทธิ์ของยาฝึกปราณนับว่าไม่เลว”

หลัวซิวยิ้มอย่างพอใจ ลุกขึ้นมาขยับเขยื้อนเส้นสาย

ผลักเปิดประตูห้อง แล้วเดินออกไปยังลานด้านนอก หลัวซิวใช้กระบวนท่าหมัดเสือมังกรออกมาชุดหนึ่ง ให้กล้ามเนื้อและกระดูกที่นั่งมาหนึ่งวันได้ผ่อนคลาย

“วิชาชี่ไห่ขั้น3 สามารถฝึกวิชายุทธ์ระดับ5 ได้แล้วนี่”

โดยปกติแล้ว วิชายุทธ์ระดับ5 เหมาะกับวิชาชี่ไห่ขั้น3 ถึงขึ้น6

ในมือของหลัวซิวมีเคล็ดวิชายุทธ์ระดับ5 อยู่สิบแปดเคล็ดวิชา ไม่ว่าจะเป็นกำลังภายในทักษะยุทธ์ วิชาท่าร่าง ล้วนมีครบหมดทั้งนั้น

ในนั้นยังมีทักษะยุทธ์วิชากระบี่และวิชาท่าร่างที่เหมาะสมกับตนเองอยู่

กลับเข้ามาในห้อง หลัวซิวเลือกดูอย่างละเอียด เลือกเป็นเคล็ดวิชากระบี่แสงเหนือ เป็นเคล็ดวิชากระบี่ที่เชี่ยวชาญด้านการเคลื่อนไหว หากนำมาใช้ร่วมกับเคล็ดวิชาดาบเร็ว อานุภาพมหาศาล จักต้องทัดเทียมกับวิชายุทธ์ระดับ6 ได้อย่างแน่นอน!

ส่วนวิชาท่าร่าง หลัวซิวก็ได้เลือกมาเคล็ดวิชาหนึ่ง มีชื่อว่าวิชาเงาเศษสิบช่อง เคล็ดวิชาท่าร่างนี้เมื่อฝึกถึงขั้นปฐมภูมิ สามารถสร้างเงาร่างขึ้นมาอีกเงาได้ ฝึกถึงแดนสำเร็จน้อย สามารถสร้างเงาร่างขึ้นมาอีกสามเงา ตามเหตุดังกล่าว ฝึกตนถึงแดนบริบูรณ์ ทันทีที่เคลื่อนไหว จะเกิดเงาร่างขึ้นมาสิบเงา ทำให้ศัตรูยากที่จะแยกแยะได้ว่าร่างไหนคือร่างจริง

“หลัวซิว!”

เสียงที่คุ้นหูดังมาจากด้านนอกประตู ทำให้ที่มุมปากของหลัวซิวอดไม่ได้ที่จะปรากฏรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย

เขาเก็บเคล็ดวิชายุทธ์ลง หลัวซิวลุกยืนขึ้น เปิดประตูออก ก็ได้เห็นลู่เมิ่งเหยายืนอยู่ที่ด้านนอก สวมชุดกระโปรงยาวสีฟ้า ด้วยสีผิวที่เนียนขาวดั่งหยกและใบหน้าที่งามล้มบ้านล้มเมืองของนาง ทำให้หลัวซิวมองตาค้างไปทันที ไม่อาจเลื่อนสายตาจากไปได้

เมื่อถูกหลัวซิวจ้องมองเช่นนี้ ลู่เมิ่งเหยาอดไม่ได้ที่จะมีท่าทีเขินอายขึ้นมา ทว่าภายในใจกลับรู้สึกได้ใจเล็กน้อย

แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองจะยังไม่ถูกเปิดเผย แต่ภายในใจของทั้งสองต่างก็รู้ดี

“คนบ้า เจ้าดูพอหรือยัง?” ลู่เมิ่งเหยากล่าวอย่างเขินอาย นางเองก็ไม่รู้ว่าตนเองถูกอะไรดลบันดาล ถึงได้รักใคร่หนุ่มน้อยอายุเพียงสิบสี่อย่างหลัวซิว

“ดูพองั้นรือ? ชาตินี้ทั้งชาติข้าก็ดูไม่พอ!” หลัวซิวทำหน้านิ่ง กล่าวด้วยท่าทางจริงจัง

“ช่างกะหล่อนเสียจริง” ลู่เมิ่งเหยามองค้อนเขาอย่างอ่อนหวาน จากนั้นก็กลับเข้าสู่หัวข้อหลัก กล่าว: “เจ้าได้อันดับหนึ่งในการสอบเข้าสำนัก สามารถเข้าไปเลือกเคล็ดวิชายุทธ์ระดับ5 ในหอเซียวเหยาได้แล้ว รอเจ้าทะลวงถึงขั้นชี่ไห่ระดับ3 ก็สามารถฝึกตนได้ทันที”

ในเวลานี้หลัวซิวไม่ได้กระจายกระแสพลังของตนเองออกมา ดังนั้นลู่เมิ่งเหยาจึงไม่อาจรับรู้ได้ว่าเขาได้ทะลวงถึงขั้นชี่ไห่ระดับ3 ได้ในทันที

“อืม ไปดูหน่อยก็ดีเหมือนกัน” หลัวซิวพยักหน้ากล่าว

เมื่อเทียบกับราชายุทธ์ปู้เฉินนั่นแล้ว ยังไงสำนักเซียวเหยาก็เป็นเจ้าแห่งทำนาจในเขตการปกครองหยุนหลง ทักษะยุทธ์ที่เก็บรวบรวมเอาไว้นั้นมากมายหลากหลาย บางทีในนั้นอาจจะมีวิชายุทธ์ที่เหนือกว่าวิชากระบี่แสงเหนือและวิชาเงาเศษสิบช่องอยู่ ก็อาจเป็นไปได้

เคียงบ่าเคียงไหล่กับลู่เมิ่งเหยาเดินผ่านทางเล็ก ๆ ของนอกสำนักไปด้วยกัน ตลอดทางมานั้นในสายตาของศิษย์นอกสำนักที่มองมาที่หลัวซิว ล้วนแฝงไปด้วยความเยือกเย็น

ในฐานะบุตรสาวเจ้าสำนักนอกสำนัก ฐานะของลู่เมิ่งเหยานั้นไม่ธรรมดา สำหรับคนหนุ่มสาวมากมายภายในนอกสำนักนั้น ยิ่งมีความหมายที่ไม่ธรรมดา

ความเป็นศัตรูของศิษย์นอกสำนักหลายคน หลัวซิวไม่ได้ใส่ใจ วิถีแห่งยุทธ์จะต้องพบกับความลำบากและบททดสอบมากมาย เขาไม่เกรงกลัวการท้าทายใด ๆ

ไม่นานสักเท่าไร หลัวซิวและลู่เมิ่งเหยาก็ได้มาถึงสถานที่ที่เก็บวิชายุทธ์เอาไว้มากมาย หอเซียวเหยา!

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 75 บุคคลอันดับหนึ่งของนอกสำนัก

 

ร่างกายมีเส้นชีพจรขาดไปยี่สิบเอ็ดแห่ง ปราณแท้มิอาจขับเคลื่อนโคจรมหาจักรวาล ถ้าหากเป็นจอมยุทธ์โดยทั่วไปแล้ว หากไม่อาจหาของล้ำค่าที่สามารถต่อชีพจรได้ ทั้งชีวิตนี้นับว่าสิ้นสุดแล้ว ไม่อาจฝึกฝนกำลังภายในได้อีกต่อไป

ตอนนี้เขาทำลายผลการฝึกตนของจางห่าย ก็ใช้วิธีการนี้เช่นเดียวกัน

และอาการบาดเจ็บบนร่างกายของหลัวซิว นอกจากเส้นชีพจรแตกหักแล้ว ยังมีกระแสพลังอันเหน็บหนาวคลื่นไหวไปทั่วร่างกาย กัดกร่อนเส้นชีพจรที่ยังสมบูรณ์อยู่อย่าต่อเนื่อง หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ถ้าไม่มีวิธีกำจัดกระแสพลังนี่ออกไปได้ เส้นชีพจรทั่วร่างของเขาล้วนต้องขาดสะบั้น การเป็นคนพิการไร้ประโยชน์ไปทันที ต้องนอนอยู่บนเตียงไปตลอดชีวิต!

บนเวทีประลองยุทธ์ จางหลู่เหลียงไม่กล้าเอาชีวิต แต่เขาทำเช่นนี้ สำหรับคนที่ฝึกยุทธ์แล้ว กายเป็นคนพิการ มันยากเกินที่จะรับได้ยิ่งกว่าโดนฆ่าตายเสียอีก

“เอี๊ยด”

ในเวลานี้เอง ประตูถูกเปิดออกอย่างช้า ๆ ลู่เมิ่งเหยาในชุดสีขาว ท่วงท่างดงามอ่อนช้อยดุจดั่งเทพธิดาลงมาจุติเดินเข้ามา

“หลัวซิว เจ้าฟื้นแล้ว?”

เมื่อเห็นหลิวซิวนอนลืมตาอยู่บนแคร่ไม้ ลู่เมิ่งเหยาก็มีทางท่าปีติยินดี

ผ่านทางปากของลู่เมิ่งเหยา หลัวซิวได้รู้ว่าตัวเองนั้นสิ้นสติไปหนึ่งวัน

การทดสอบเลือกศิษย์เข้าสำนักนั้นได้สิ้นสุดลงแล้ว ผลลัพธ์เป็นไปอย่างที่คาดหมาย เขาหวางช่าน และสวีผิงได้กลายเป็นศิษย์นอกสำนักเซียวเหยาโดยสมบูรณ์

“หลัวซิวพื้นแล้วรึ?”

มีเสียงเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากทางประตูอีกครั้ง ลู่เฟยเฉินผู้นำนอกสำนักท่าทางทระนงองอาจ เดินเข้ามา

“ท่านพ่อ”

“ท่านเจ้าสำนัก”

หลัวซิวและลู่เมิ่งเหยาเอ่ยพร้อมกัน

ลู่เฟยเฉินพยักหน้า พลิกมือล้วงเอาขวดหยกสีเขียวออกมายื่นให้กับหลัวซิว

“ในขวดหยกสีเขียวนี่ คือยาผนึกเสือหนึ่งเม็ด เป็นยาระดับ4 เพียงแค่ทานเข้าไป ทำให้เส้นชีพจรที่ขาดของเจ้าต่อกันได้อย่างรวดเร็ว”

“สำหรับกระแสพลังที่นับหนาวในร่างกายของเจ้า มีสาเหตุมาจากวิชาหมัดครึ้มเยือกที่จางหลู่เหลียงฝึกฝน รอหลังจากที่เส้นชีพจรของเจ้าฟื้นคืน ข้าจะให้คนมาช่วยเจ้าขับมันออกไป”

เป็นที่ประจักษ์ ลู่เฟยเฉินได้ตรวจดูอาการบาดเจ็บของหลัวซิวตั้งแต่แรกแล้ว และได้จัดเตรียมวิธีฟื้นฟูให้กับเขา

“ขอบคุณท่านเจ้าสำนัก”

หลัวซิวกล่าวขอบคุณ ยื่นมือออกไปรับเอาขวดหยกสีเขียวมา

แท้ที่จริงแล้วสำหรับหลัวซิว ชีพจรขาดสะบั้นมิได้เป็นปัญหาใหญ่อะไร อาศัยฝีมือที่สามารถฟื้นฟูเส้นเลือดใหญ่ของชีวิตได้ ต่อให้ได้รับบาดเจ็บหนักกว่านี้ เขาก็สามารถฟื้นฟูได้

ปัญหาเพียงอย่างเดียวก็คือกระแสพลังเย็นที่วิชาหมัดครึ้มเยือกได้ทิ้งเอาไว้ อาศัยผลการฝึกตนของเขายากนักที่จะขับไล่มันไป

“เจ้าไม่ต้องขอบคุณข้า เป็นเจ้าที่รักษาโรคชีพจรขาดธาตุไฟของเมิ่งเหยาให้หายดี นับเป็นผู้มีประคุณของนาง ข้าในฐานะบิดา ช่วยเจ้าเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ถือว่าสมควร”

ลู่เฟยเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม และไม่ได้กล่าวอะไรอีก กล่าวเพียงว่าให้หลัวซิวพักผ่อนฟื้นฟูร่างกาย จากนั้นก็กลับไป

หลู่เมิ่งเหยาได้กลับไปพร้อมกับลู่เฟยเฉิน ในวันนี้นางไม่ใช่อาจารย์สอนหนังสือของสำนักชิงหยุนอีกต่อไป แต่เป็นบุตรสาวของเจ้าสำนักนอกสำนักเซียวเหยา อยู่ที่นี่พูดได้ว่าใต้คนหนึ่งคน เหนือคนนับหมื่น

หลัวซิวสามารถดูออก ลู่เฟยเฉิงเหมือนดั่งจงใจไม่อยากให้ลู่เมิ่งเหยาอยู่กับตนเองเพียงลำพัง ก็คงเป็นเพราะความแตกต่างระหว่างฐานะเช่นนี้

ยิ่งไปกว่านั้นสำหรับลู่เฟยเฉินแล้ว มูลค่าของยาระดับ4 ที่สามารถต่อชีพจรได้นั้นไม่อาจประเมินราคาได้ เพียงพอที่จะทดแทนบุญคุณที่หลัวซิวช่วยรักษาโรคชีพจรขาดธาตุไฟ

สำหรับจุดนี้ หลัวซิวไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจ รักษาโรคชีพจรขาดธาตุไฟให้ลู่เมิ่งเหยา เขาก็ไม่เคยคิดต้องการผลตอบแทนใด ๆ

เหตุที่เขามานอกสำนักเซียวเหยา ด้านหนึ่งคือเพื่อแสวงหาวิถีแห่งยุทธ์ของตน อีกด้านก็คือสัญญาระหว่างเขากับลูเมิ่งเหยา

ภายในห้องที่เงียบสงัด หลัวซิวหยิบเอายาผนึกเสือยาระดับ4 นั่นออกมา ยาเม็ดนี้สกัดมาจากไขกระดูกของปีศาจเสือชั้น4 จิตวิญญาณที่แฝงอยู่นั้นทรงพลังและอ่อนโยน ไม่เพียงนำมาให้จอมยุทธ์แดนเทพยุทธ์ลงไปใช้เพื่อต่อชีพจร ยังสามารถทำให้ยอดฝีมือแดนเทพยุทธ์ฟื้นฟูอาการบาดเจ็บได้มากเลยทีเดียว

ยาระดับ4 ชนิดนี้สำหรับจอมยุทธ์ชี่ไห่หรือจอมยุทธ์พรสวรรค์ เป็นของล้ำค่าที่สามารถคุ้มครองชีวิตอย่างไม่ต้องสงสัย ทว่าในมือของหลัวซิว ยาที่ดีกว่ายาผนึกเสือยารักษาแผลระดับ5 ใช่ว่าเขาจะไม่มี

ด้วยเหตุนี้ สำหรับหลัวซิวแล้ว ยาผนึกเสือเม็ดนี้ไม่นับว่าล้ำค่าด้วยซ้ำ และหลัวซิวฟื้นฟูชีพจรที่ขาดสะบั้น ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ยารักษาอาการบาดเจ็บใด ๆ

สามวันหลังจากนั้น หลัวซิวออกมาจากที่พักเป็นครั้งแรก ชีพจรทั้งยี่สิบเอ็ดแห่งที่ขาดสะบั้น ได้ฟื้นฟูจนหมดแล้ว

ในสามวันมานี้ ลู่เมิ่งเหยาได้มาเยี่ยมเขาวันละครั้ง แต่ละครั้งอยู่ได้ไม่นานสักเท่าไหร่ ก็จะถูกเจ้าสำนักลู่ผู้เป็นบิดาส่งคนมาเรียก สารพัดเหตุผลช่างพิลึกกึกกือ

เมื่อได้รับข่าวว่าหลัวซิวได้ฟื้นฟูแล้ว ลู่เมิ่งเหยาก็รีบมาอย่างฉับพลันทันที ที่มากับนางด้วยนั้น ยังมีผู้อาวุโสนอกสำนักท่านหนึ่ง เป็นปรมาจารย์โลกยุทธ์แดนเทพยุทธ์

ผู้อาวุโสท่านนี้มีนามว่าจ้าวฉีหยวน เป็นคนที่เจ้าสำนักลู่ส่งมาเพื่อช่วยเขาขับไล่กระแสพลังไอเย็นสายนั้น อาศัยการฝึกตนของปรมาจารย์โลกยุทธ์แดนเทพยุทธ์ ขับไล่วิชาหมัดครึ้มเยือกนั้นก็ง่ายเป็นธรรมดา

“พ่อหนุ่มน้อย แม้ว่าพรสวรรค์ของเจ้าจะไม่เลว แต่ช่วงเวลาในการฝึกตนนั้นสั้นนัก ข้าขอแนะนำเจ้าสักคำ อย่าได้ใกล้ชิดกับเมิ่งเหยามากเกินไปจะดีกว่า” ก่อนจากไป ผู้อาวุโสจ้าวฉีหยวนกล่าวเป็นนัย ๆ

เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกรบกวนในขณะที่รักษาอาการบาดเจ็บ ดังนั้นตอนนี้ลู่เมิ่งเหยาได้รออยู่นอกประตู ดังนั้นจึงไม่ได้ยินสิ่งที่ทั้งสองสนทนากัน

“ความหมายของท่านผู้อาวุโสก็คือฝีมือของข้ายังด้อยเกินไป ถูกต้องหรือไม่?” หลัวซิวยิ้มกล่าว

จ้าวฉีหยวนชะงักงัน ขมวดคิ้วเล็กน้อย “เจ้าพูดถูก หากเจ้ามีฝีมือที่แข็งแกร่ง เจ้าคิดจะทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น บางทีเจ้าอาจจะคิดว่าอาศัยพรสวรรค์ที่เจ้ามีอยู่จะสามารถเป็นยอดฝีมือในอนาคตได้ แต่ยังไงนั่นมันก็เป็นอนาคต มิใช่ตอนนี้”

จากประสบการณ์ของเขามีหรือจะคาดเดาความคิดของหลัวซิวไม่ออก เพียงแต่ว่าจ้าวฉีหยวนไม่ได้พูดอย่างตรงไปตรงมาสักเท่าไหร่ เขาหวังให้หลัวซิวถอนตัวไปเอง

“เจ้าสำหนักลู่ฝากข้าให้มาบอกเจ้า”

“ผู้อาวุโสเชิญกล่าว”

“หากเจ้าสามารถขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของนอกสำนักได้ก่อนอายุสิบแปด นับว่าพอจะมีคุณสมบัติทัดเทียมบุตรสาวของข้าอยู่บ้าง”

จ้าวฉีหยวนเอ่ยคำพูดของลู่เฟยเฉินออกมา จากนั้นก็ลุกขึ้น เปิดประตูเดินจากไป

“ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของนอกสำนักก่อนอายุสิบแปด?” หลัวซิวไตร่ตรองความตั้งใจที่ปรากฏออกมาจากประโยคนี้

เท่าที่เขาทราบมา ภายในนอกสำนักเซียวเหยานั้นมีผู้คนไม่น้อยที่ได้ข้าสู่แดนวิชาชี่ไห่ขั้น9 ขั้นสูง นั่นหมายความว่าข้อเรียกร้องของลู่เฟยเฉินที่มีต่อเขา คือภายในเวลาสี่ปี จะต้องสำเร็จวิชาชี่ไห่ขั้น9

ภายในสำนักทั้งสิบแปดเมืองในเขตการปกครองหยุนหลง สามารถทะลวงถึงขึ้นแดนชี่ไห่ได้ก่อนอายุสิบแปดปี นับว่าเป็นอัจฉริยะแล้ว ทว่าลู่เฟยเฉินเรียกร้องให้เขาทะลวงถึงแดนวิชาชี่ไห่ขั้น9 ให้ได้ก่อนอายุสิบแปดปี?

“หลัวซิว!”

เสียงที่อ่อนโยนลอยมากกระทบหูหลัวซิว ลู่เมิ่งเหยาเดินเข้ามา ยิ้มกล่าว: “ผู้อาวุโสจ้าวช่ายเจ้าขับไอเย็นนั่นออกมาแล้วหรือ? เจ้าใจลอยอะไรอยู่?”

หลัวซิวได้สติกลับคืนมา เขายิ้มเล็กน้อย สายตาจับจ้องไปที่ดวงตาปานสายน้ำในสารทฤดูของลู่เมิ่งเหยา ยิ้มกล่าว: “ข้ากำลังคิดอยู่ว่า ข้าต้องทำเยี่ยงไรถึงจะคู่ควรกับบุตรสาวเจ้าสำนักนอกสำนักอย่างเจ้า”

แม้ว่าการทะลวงถึงแดนวิชาชี่ไห่ขั้น9 ให้ได้ก่อนอายุสิบแปดปีนั้นจะเป็นเรื่องเหลือเชื่อ ทว่าหลัวซิวมีความมั่นใจมากพอว่าตนสามารถทำได้

ได้ฟังคำกล่าวที่เป็นเหมือนดั่งคำสารภาพรักของหลัวซิว ลู่เมิ่งเหยาชะงักไปฉับพลันทันที รู้สึกหัวใจเต้นตึกตักขั้นมา แก้มโฉมสะคราญแดงปลั่งขึ้นมา

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 74 ร้องหาความอัปยศใส่ตนเอง

 

วิชาชี่ไห่ขั้น3 หวางช่านที่ฝึกฝนวิชายุทธ์ระดับ5 กล่าวว่าจะเอาชนะหลัวซิวภายในสามกระบวนท่า ทว่าหลัวซิวกลับตอบกลับอย่างเสียดสี กล่าวว่าแค่กระบวนท่าเดียวก็สามารถเอาชนะหวางช่านได้?

ในเวลานี้ หลัวซิวได้แสดงให้เห็นด้านที่แข็งแกร่งของเขาอย่างไม่คาดคิด

โดยปกติแล้วนิสัยของหลัวซิวค่อนข้างจะถ่อมตน เหตุที่จิตใจที่กระฉับกระเฉงมีชีวิตชีวา แสดงความสามารถออกมาในตอนนี้ กลับเป็นเพราะลู่เมิ่งเหยากำลังมองตัวเองอยู่

ต่อหน้าดรุณีที่รักใคร่ จะให้ผู้อื่นอวดดีต่อหน้าข้าได้เยี่ยงไร?

เมื่อได้ยินหลัวซิวกล่าวว่าเอาชนะตนได้ภายในกระบวนท่าเดียว สีหน้าของหวางช่านเปลี่ยนเป็นซีดเผือด ในใจเต็มไปด้วยไฟโทษะ

“เจ้าร้องหาความอัปยศใส่ตนเอง!”

ฉับ!

หวางช่านชักดาบออกมาทันที ลำแสงอันเยือกเย็นจับตัวอยู่บนคมดาบ ฟันเข้าหาหลัวซิวอย่างดุเดือด

ทั่วทั้งเวทีประลองถูกครอบคลุมไปด้วยกระแสพลังอันเหน็บหนาวราวน้ำแข็ง บนพื้นถึงขั้นจับตัวเป็นน้ำค้างแข็งขึ้นมา ทำให้ผู้คนที่อยู่ด้านล่างจำนวนไม่น้อยได้สัมผัสถึงความหนาวเหน็บ ตัวสั่นขึ้นมา

อาศัยกำลังภายในปราณแท้ของวิชาชี่ไห่ขั้น3 บวกกับดาบยุทธ์ชั้นสูง วิชาดาบระดับห้า ดาบนี้ของหวางช่าน กล่าวได้ว่าทรงพลังอย่างยิ่ง

คมดาบโจมตีเข้ามาราวกับภูเขาน้ำแข็งลูกหนึ่ง วิชาชี่ไห่ขั้น4 ยังต้องหวาดหวั่นพรั่นพรึง หลบหลีกคมดาบ

เผชิญหน้ากับหวางช่านที่แข็งแกร่งเช่นนี้ หลัวซิวจะเอาชนะในกระบวนท่าเดียวได้เยี่ยงไร?

ในสายตาของทุกคน หลัวซิวกล่าวคำพูดอย่างว่าจะเอวชนะในกระบวนท่าเดียว เป็นแค่คำพูดล้อเล่นที่พูดในขณะที่โมโหเท่านั้นเอง

มองดูดาบที่ดุเดือดรุนแรง กระแสพลังอันเหน็บหนาวแผ่ซ่าน หลัวซิวยังคง สงบนิ่งไม่แยแส!

“วิชาดาบระดับ5? ……แค่นี้เองหรอกหรือ!”

น้ำเสียงของเขานิ่งสงบ ทว่าเสมือนได้แฝงมนตราที่อัศจรรย์บางอย่างเอาไว้ ค่อย ๆ เอื้อมฝ่ามือออกมา จับด้ามกระบี่ที่อยู่บนหลัง

“ชักกระบี่!”

ฉับพลันทันที ทุกคนเห็นลำแสงสีดำลอยผ่านไปอย่างรวดเร็ว

“ฉับ!” “ฉับ!”

ชักกระบี่ เก็บกระบี่เข้าฝัก การเคลื่อนไหวทั้งหมดสิ้นสุดในชั่วอึดใจ ไม่ได้มีการหยุดชะงักเลยสักนิด!

“พรึ่บ!”

เงาร่างของหวางช่านลอยกระเด็นออกไป เลือดไหลอาบบริเวณหน้าอก ร่วงหล่นห่างออกไปหลายเมตร

“เป็นไปไม่ได้! ข้าจะพ่ายแพ้ได้เยี่ยงไร?”

วิชาดาบระดับ5 ที่ภาคภูมิใจกลับพ่ายแพ้ในกระบวนท่าเดียว มันทำให้หวางช่านไม่อยากจะเชื่อ คนทั้งคนราวกับได้รับการกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างรุนแรง แววตาเลื่อนลอย

ฉับพันทันใด ดวงตาทั้งสองข้างของหวางช่านแดงก่ำ โผกระโจนเข้าหาหลัวซิวอย่างคนเสียสติ ตวาดกล่าว: “อันดับหนึ่งเป็นของข้า ผู้ใดก็แย่งไปไม่ได้ ข้าจะฆ่าเจ้า!”

“ปัง!”

หวางช่านพึ่งจะกระโจนเข้ามา หลัวซิวก็เตะเท้าออกไปอย่างไร้ความปรานี เตะเข้าที่หน้าอกของหวังเต็ม ๆ

เห็นเพียงหวางช่านกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง ซี่โครงแตกหักไปหลายซี่ ร่างลอยออกไปดุจดั่งว่าวที่สายขาด

ทว่าเวลานี้หวางช่านได้สูญเสียสติสัมปชัญญะบ้าคลั่งไปแล้ว คล้ายกับอยู่ในสภาวะธาตุไฟเข้าแทรก ร่างกายไม่รู้จักเจ็บปวด พุ่งโจมตีเข้าไปอีกครั้งด้วยดวงตาแดงก่ำ

หลัวซิวขมวดคิ้ว ฝ่ามือวาดเป็นแนวนอน คิดโจมตีให้หวางช่านสิ้นสติไป เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายไม่จบไม่สิ้น

“ยั้งมือ!”

ในเวลานี้เอง จางหลู่เหลียงที่เป็นผู้นำผู้คุมสอบตาเปล่งประกายหนึ่ง ตวาดหนึ่งครั้งและพุ่งกระโจนเข้าไป

เห็นเพียงเขาปรากฏตัวขึ้นที่ตรงกลางระหว่างหลัวซิวและหวางช่าน มือทั้งสองข้างซัดฝ่ามือออกมาพร้อมกัน

“พรึ่บ!”

หวางช่านถูกกระแสพลังฝ่ามือที่แข็งแกร่งซัดลอยออกไป ลอยตกลงไปที่ด้านล่างเวทีประลอง สิ้นสติไปในทันที

และในเวลานี้ ก็มีกระแสพลังฝ่ามือสายหนึ่งจู่โจมเข้าหาหลัวซิว

ทว่าไม่เหมือนกับกระแสพลังฝ่ามือที่โจมตีหวางช่าน หลัวซิวสัมผัสได้ถึงไอสังหารอันรุนแรงที่ถาโถมเข้ามาพร้อมกับกระแสพลังฝ่ามือ

“เชียง!”

ในวินาทีที่กระแสพลังฝ่ามือที่จางหลู่เหลียงซัดออกมาถาโถมเข้ามานั่นเอง กระบี่เงามืดที่อยู่บนหลังของหลัวซิวได้ออกจากฝักอีกครั้ง

แสงกระบี่สีดำดุจดั่งสายฟ้า ตัดกระแสพลังฝ่ามือออก แต่กระแสพลังอันแข็งแกร่งที่จอมยุทธ์พรสวรรค์ซัดออกมาสายนั้น ยังคงยิ่งใหญ่มหาศาลดั่งท้องทะเล

และหลัวซิว เปรียบเสมือนดั่งเรือลำเดียวท่ามกลางพายุฝน……พลิกคว่ำในฉับพลันทันที

“อั่ก!”

เลือดสด ๆ พุ่งกระฉูดออกมา หลัวซิวรู้สึกเหมือนกับว่ากระดูกทั้วทั้งร่างได้แตกหัก กระแสพลังอันเหน็บหนาวสายหนึ่งผ่านเข้าสู่กระดูก จู่โจมสู่ชีพจร

“จางหลู่เหลียง ท่านช่างบังอาจนัก!”

เจ้าสำนักชิงหยุนปรากฏตัวขึ้นบนเวทีประลอง รับร่างหลัวซิวเอาไว้ กลับพบว่าหลัวซิวได้สิ้นสติไปแล้ว เส้นชีพจรหลายสายถูกตัดขาด

“เจ้าสำนักชิงหยุนท่านพูดแบบนี้หมายความเยี่ยงไร? ข้าทำเพื่อป้องกันมิให้เกิดการบาดเจ็บตกตายในขณะที่ทั้งสองต่อสู้กัน ทั้งได้ลงมือแยกทั้งสองออกจากกัน” จางหลู่เหลียงทำเสียงฮึดฮัดอย่างเย็นชา มิได้สนใจคำข่มขู่ของเจ้าสำนักชิงหยุนเลยสักนิด “เจ้าสำนักอยู่ตรงนี้ จะให้ท่านมาสร้างความวุ่นวายให้กับการคัดเลือกศิษย์เข้าสำนักอยู่ที่นี่ได้เยี่ยงไร?”

มิเพียงไม่เกรงกลัวเพราะมีที่พึ่งพิง จางหลู่เหลียงซ้ำยังขบกัดเจ้าสำนักชิงหยุนกลับ

เห็นเพียงเจ้าสำนักชิงหยุนสีหน้าซีดเผือด พลันคุกเข่าลงข้างหนึ่งหันไปทางลู่เฟยเฉินผู้นำนอกสำนัก กล่าวเสียงสูง: “เส้นชีพจรบนร่างของหลัวซิวถูกตัดขาดไปหลายสาย จางหลู่เหลียงในฐานะผู้นำผู้คุมสอบอาศัยอำนาจส่วนรวมแก้แค้นส่วนตัว หวังท่านเจ้าสำนักให้ความเป็นธรรม!”

“เส้นชีพจรบนร่างถูกตัดขาดไปหลายสายรึ?”

ได้ยินเช่นนั้น ลู่เมิ่งเหยาเป็นคนแรกที่นั่งไม่ติดพื้น นางดีดตัวลุกขึ้นมาทันที

“รายงานเจ้าสำนัก อาการบาดเจ็บของหลัวซิวมิได้เกิดจากฝีมือของข้า แต่เขาได้รับบาดเจ็บจากการสู้กับหวางช่าน” จางหลู่เหลียงกล่าวแก้ตัวทันที

“จางหลู่เหลียง ท่านพูดเหลวไหล!” เจ้าสำนักชิงหยุนตวาดอย่างมีน้ำโห

เผชิญหน้ากับเจ้าสำนักชิงหยุนที่กำลังโมโห จางหลู่เหลียงยิ้มเยาะออกมา “ลองคิดดู เขาแค่วิชาชี่ไห่ขั้น2 กลับเอาชนะหวางช่านที่ฝึกฝนวิชายุทธ์ระดับ5 มีวิชาชี่ไห่ขั้น3 ได้ในกระบวนท่าเดียว จักต้องให้วิชาต้องห้ามบางอย่างที่ทำร้ายคู่ต่อสู้ได้แต่ตัวเองก็ได้รับบาดเจ็บไม่น้อยแน่!”

“คนหนุ่มสาวคิดอยากเอาชนะก็พอเข้าใจได้ แต่ใช้วิชาต้องห้ามทำร้ายผู้อื่นทำร้ายตนเอง นับว่าหาเรื่องใส่ตัว ทำไมข้าต้องมารับผิดนี้ด้วยเล่า?”

จางหลู่เหลียงท่าทางถูกเข้าใจผิดไม่ได้รับความเป็นธรรม เขากล้าลงมือกับหลัวซิวอย่างโหดเหี้ยม จักต้องมีการเตรียมคำกล่าวมาเป็นอย่างดีแล้ว

ลู่เฟยเฉินท่าทางไร้ความรู้สึก สายตาตกอยู่ที่ร่างของจางหลู่เหลียง ทำให้เขาสั่นไปทั้งตัว และก้มหน้าลง ไม่กล้าเผชิญหน้ากับเจ้าสำนัก

“ใครก็ได้มานี่เร็ว!” ลู่เฟยเฉินเอ่ยปากเบา ๆ

จากนั้น เงาร่างสองสายก็ได้ปรากฏขึ้นดุจดั่งภูตผี สวมชุดดำ ลมหายใจขมุกขมัว

“ผู้คุมกฎชุดดำจับตัวจางหลู่เหลียงเอาไว้!”

“ขอรับ!”

คุมกฎชุดดำทั้งสองไม่รีรอ กระโดดลอยตัวขึ้นไปบนเวที ควบคุมตัวจางหลู่เหลียงเอาไว้เอาไว้ทั้งซ้ายขวา

เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ท่าทางของจางหลู่เหลียงเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก “ท่านเจ้าสำนัก ข้าถูกปรักปรำ!”

ลู่เฟยเฉินสีหน้าเยือกเย็น “เจ้าคิดว่าข้าตาบอดหรือยังไง? ข้าประจำการอยู่ที่นี่ด้วยตนเอง เจ้ายังกล้าแอบลงมือคิดร้าย ยังกล้าบอกว่าตอนเองถูกปรักปรำอีกงั้นเหรอ?”

“เอาตัวไปขังที่คุกน้ำ กำจัดผลการฝึกตนเสีย ล่ามกระดูกสะบักด้วยโซ่!” ลู่เฟยเฉินกกล่าวอย่างเย็นชา

ไม่ว่าจางหลู่เหลียงจะตะโกนร้องขอความเป็นธรรมเยี่ยงไร คุมกฎชุดดำทั้งสองก็ยังคงควบคุมตัวเขาลงไปทันที จนถึงเวลานี้ จางหลู่เหลียงถึงพลันเข้าใจขึ้นมา ตัวเองนั้นฉลาดเกินไปจนเสียรู้

หากไม่มีลู่เฟยเฉินผู้นำนอกสำนักผู้นี่อยู่ที่นี่ด้วย เขาแอบลงมืออย่างลับ ๆ ก็ไม่มีใครสามารถมองออกได้

ทว่าลู่เฟยเฉินนั้นเป็นยอดฝีมือแดนเทพยุทธ์ระดับเก้า จิตวิญญาณหยั่งรู้ชัดแจ้งเห็นจริง ได้มองอย่างทะลุปรุโปร่งตั้งแต่ที่เขาแอบลงมือแล้ว

ไม่ว่าจะอย่างไร หลัวซิวก็เป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตบุตรสาวของตน และยังได้แสดงพรสวรรค์ที่ไม่เลวออกมา ไม่ว่าจะเป็นส่วนรวมหรือส่วนตัว เขาล้วนต้องลงโทษจางหลู่เหลียงอย่างเด็ดขาด

……

ในตอนที่หลัวหลิวได้สติกลับคืนมา พบว่าตนได้นอนอยู่ในห้องที่เรียบง่ายและสะอาด

เมื่อนึกถึงว่าตนเองถูกกระแสพลังฝ่ามือของจางหลู่เหลียงทำร้ายจนบาดเจ็บหนัก ปฏิกิริยาแรกของเขาคือขับเคลื่อนพลังหยางบริสุทธิ์ ปราณแท้ขับเคลื่อนไปทั่วร่างกาย ตรวจสอบร่างกายของตนเอง

“เป็นตาเฒ่าที่โหดเหี้ยมยิ่งนัก!”

หลังจากที่ได้ตรวจสอบอาการภายในของตนเอง ในดวงตาของหลัวซิวได้ปรากฏไอสังหารที่น่าเกรงขามขึ้นมา

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 73 วิชาท่าร่างรำบำผีเสื้อ

 

“วิชาท่าร่างรำบำผีเสื้อ!”

แม้ว่าภายในใจเนี่ยเสี่ยวเตี๋ยจะรู้สึกตกใจ แต่ก็มิได้หวั่นเกรง ปลายเท้าสัมผัสพื้นเบา ๆ รางบอบบางหมุนตัวกลางอากาศ ลอยตัวลงห่างออกไป

“ครืน!”

เสียงอากาศระเบิดแตกดังลอยออกไปจากเวทีประลองยุทธ์ หมัดนี้ของหลัวซิวมิได้โจมตีโดนเนี่ยเสี่ยวเตี๋ย แต่ลมพลังภายในที่เหลืออยู่นั้น ยังคงพัดพานางลอยออกไป แทบจะตกลงไปจากเวทีประลอง

“เป็นท่าร่างที่งดงามละเอียดอ่อนเสียจริง”

หลัวซิวกล่าวชื่นชม เมื่อตอนทั้งสองได้ประมือกันที่สำนักชิงหยุน ท่าร่างของเนี่ยเสี่ยวเตี๋ยยังไม่งดงามละเอียดอ่อนเช่นนี้ ประจักษ์ชัดว่าได้ฝึกฝนอย่างหนักหลังจากที่พ่ายแพ้ให้กับตน ไม่เพียงอานุภาพของวิชาหอก แข็งแกร่งขึ้น และยังฝึกฝนจนบรรลุผลวิชาท่าร่างระดับ4

วิชาหอกระดับสี่และวิชาท่าร่างบรรลุผล หากอยู่ในการประเมินคัดเลือกศิษย์เข้าสำนักเมื่อครั้งก่อน ๆ จักต้องอยู่ในสามอันดับต้น ๆ อย่างแน่นอน

หากเนี่ยเสี่ยวเตี๋ยท้าประลองสวีผิงหรือหวางช่านหนึ่งในสองคนนั้น ล้วนมีโอกาสที่จะเอาชนะได้

ทว่าคนที่นางเลือกท้าประลอง กลับเป็นคนที่แสดงความสามารถออกมาเพียงน้อยนิดอย่างหลัวซิว!

ดังนั้น เพียงเจ็ดกระบวนท่า เนี่ยเสี่ยวเตี๋ยก็ได้หอบหายใจติดต่อกัน ได้ถูกหลัวซิวใช้วิชาท่ากลไกวิเศษร่วมกับหมัดเสือมังกรบีบจนถึงขอบเวทีประลอง

“เปรี๊ยะ!”

หลัวซิวต่อยหมัดออกไป กำลังภายในปราณแท้ไหลทะลัก สะเทือนหอก (ปืน) ยาว ทำให้ร่างของเนี่ยเสี่ยวเตี๋ยทรงตัวไม่นิ่งทันที แล้วตกลงไปจากเวทีประลอง

หมัดนี้ หลัวซิวไม่ได้ใช้พลังทั้งหมด ดังนั้นเนี่ยเสี่ยวเตี๋ยถึงได้ลงสู่พื้นอย่างมั่นคง มิได้บาดเจ็บใด ๆ

ทว่า ไม่ว่าจะเป็นเจิงคุน หรือผู้ที่มีฝีมือสูงกว่าอย่างเนี่ยเสี่ยวเตี๋ย ล้วนมิอาจทำให้หลัวซิวชักกระบี่ออกจากฝักได้

“วิชากระบี่ของเขา ร้ายกาจเพียงใดกันแน่?”

ผู้คนที่อยู่ด้านล่างเวทีประลองต่างกลั้นลมหายใจจดจ่อ สำหรับกระบี่เล่มที่หลัวซิวสะพายอยู่นั้น พวกไปด้วยความสงสัย

แน่นอน มีบางคนคิดว่าที่หลัวซิวไม่ชักกระบี่ เพียงเพราะต้องการเหยียดหยามคนอื่นเท่านั้น อาศัยสิ่งนี้เพื่อแสดงความแข็งแกร่งของตน

ทว่ามีเพียงตัวหลัวซิวเองเท่านั้นที่ทราบ นับจากที่วิชาดาบเร็วถึงขั้นสำเร็จน้อย วิชากระบี่ของเขาได้ก้าวสู่ระดับใหม่ทั้งหมด เหนือกว่าขั้นบริบูรณ์ระดับ4 อีกมาก

กระบี่ เป็นอาวุธสังหาร เมื่อกระบี่ออกจากฝักจักต้องเห็นเลือด!

และนี่ ถึงเป็นสาเหตุที่หลัวซิวไม่ชักกระบี่ออกมา เพราะยังไงนี่ก็เป็นเพียงการทดสอบการประลองยุทธ์เท่านั้น หากมิใช่เหตุสุดวิสัยจริง ๆ ก็ไม่จำเป็นต้องทำร้ายผู้ใด

มิเช่นนั้น ต่อให้เป็นเนี่ยเสี่ยวเตี๋ย ก็มิอาจต้านทานกระบี่เดียวของเขาได้อย่างแน่นอน ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงรับมือแปดกระบวนท่าถึงพ่ายแพ้

โดยไม่รู้ตัว การท้าประลองของผู้ที่อยู่หลังอันดับที่สามลงไปก็ได้สิ้นสุดลง

ต่อไป ก็จะเป็นการประลองระหว่างสามอันดับแรก

“ข้าถถอนตัวจากการประลอง!”

สวีผิงลุกขึ้น และเอ่ยขึ้นมาทันที

สำหรับการเลือกของสวีผิง ผู้คนที่อยู่ตรงนั้นต่างไม่แปลกใจ เขาชำนาญวิชาท่าร่าง ไม่มีความมั่นใจที่จะเอาชนะหวางช่านที่ชำนาญวิชาดาบได้ นอกจากนี้ตนได้อยู่ในสามอันดับแรกแล้ว สามารถเข้าสู่นอกสำนักเซียวเหยาได้เรียบร้อย ไม่จำเป็นต้องสู้สุดชีวิต

ในเวลานี้เอง เงาร่างสายหนึ่งก็ได้พุ่งกระโดดขึ้นมา และลอยตัวลงบนเวทีประลองยุทธ์

คนผู้นี้ ก็คือผู้ที่อยู่ในอันดับที่สอง หวางช่านนั่นเอง!

การเคลื่อนไหวเช่นนี้ของหวางช่าน คือต้องการท้าประลองหลัวซิวอย่างไม่ต้องสงสัย ทำให้บรรยากาศในลานประลองดุเดือดถุงขีดสุดขึ้นมาฉับพลันทันที

“หวางช่านนั้นบรรลุผลวิชาดาบระดับ4 ว่ากันว่าที่เขาฝึกนั้นคือ《วิชาฝึกปราณแข็งสะท้าน》กำลังภายในระดับ4แห่งตระกูลหวาง!”

“อาศัยความสามารถของหวางช่าน คงจะสามารถบีบให้หลิวซิวชักกระบี่ออกมาได้แล้วสินะ?”

ภายใต้การรอคอยของเหล่าผู้คน หลัวซิวขึ้นสู่เวทีประลอง

ผู้หนึ่งคือชี่ไห่ขั้น2 อายุสิบสี่ปี ฝึกพลังหยางบริสุทธิ์ บริบูรณ์วิชากระบี่ระดับ4!

ผู้หนึ่งคือชี่ไห่ขั้น3 อายุสิบห้าปี ฝึกกำลังภายในระดับ4 บรรลุผลวิชาดาบระดับ4!

ด้านทักษะยุทธ์ หลัวซิวเหนือกว่า ทว่าผลการฝึกตนของหวางช่านกลับสูงกว่าหลัวซิว ผู้ใดแกร่งผู้ใดด้อย มิอาจทราบได้!

บนเวทีประลองยุทธ์ หวางช่านจ้องมองหลัวซิวตาเขม็ง รัศมีอันเย็นยะเยือกกระจายไปทั่วร่าง ทำให้พื้นที่ที่มีเขาเป็นจุดศูนย์กลางในระยะไม่กี่จั้ง อุณหภูมิลดลงฉับพลันทันที

แน่นอน กระแสพลังที่เย็นยะเยือกนี้มิใช่กระแสพลังที่มีคุณสมบัติเป็นน้ำแข็ง แต่เนื่องด้วยวรยุทธ์ที่หวางช่านฝึกฝนนั้นค่อนข้างพิเศษ จึงทำให้เกิดผลลัพธ์ที่พิเศษขึ้นมา

ทว่าหากสามารถอาศัยเคล็ดวิชานี้ฝึกฝนจนถึงขั้นแดนพรสวรรค์ได้ ก็จะสามารถฝึกฝนปราณแท้แข็งสะท้านที่แฝงคุณสมบัติน้ำแข็งอย่างแท้จริงได้

“ดูจากกระแสพลัง หวางช่านผู้นี้เกือบจะเทียบได้กับวิชาชี่ไห่ขั้น4 แล้ว”

จางหลู่เหลียงจ้องเขม็งไปที่คนทั้งสองที่อยู่บนเวทีประลอง เขาหวังอย่างยิ่งว่าหวางช่านจะเอาชนะหลัวซิวได้ ทำให้หลัวซิวพิการใช้งานไม่ได้ หรือทำให้ปางสิ้นใจเป็นดีที่สุด

“หลัวซิว ข้าเคยกล่าวแล้วว่า อันดับหนึ่งจักต้องเป็นของข้าอย่างแน่นอน!” ใบหน้าของหวางช่านเต็มไปด้วยความมั่นใจอย่างหาที่เปรียบมิได้ กล่าวอย่างดูถูกเหยียดหยาม:“หากเจ้าคิดว่าข้าเพียงแค่บรรลุผลวิชาดาบระดับ4 เท่านั้น เช่นนั้นเกรงว่าเจ้าจักต้องผิดหวังแล้ว!”

หวางช่านยกดาบยาวที่อยู่ในมือขึ้น “เมื่อหลายเดือนก่อน ข้าได้ต่อสู้ฝึกฝนกับอสูรกายในป่าลึก ได้พบเข้ากับดินแดนปรักหักพังโดยบังเอิญ และได้ดาบตัดเขาทะยานแสงมาหนึ่งเล่ม เป็นดาบยุทธ์ชั้นสูง!”

“มิเพียงเท่านี้ ข้ายังได้รับวิชาดาบตัดเขาระดับ5และวิชาท่าร่างทะยานแสง! วิชายุทธ์สองวิชา ข้าล้วนฝึกฝนจนถึงแดนสำเร็จน้อย เมื่อเทียบกับบริบูรณ์วชากระบี่ระดับ4 ของเจ้าแล้ว จักต้องแกร่งกว่ามิด้อยกว่าแน่!”

จากที่หวางช่านได้เอ่ยคำเหล่านี้ออกมา เจ้าสำนักยุทธ์ทั้งสิบแปดเมืองที่จับตามองมาทางด้านนี้ต่างก็อดไม่ได้ที่จะไหวหวั่น

ทว่าสำหรับลู่เฟยเฉินผู้นำนอกสำนักแล้ววิชายุทธ์ระดับ5 ไม่นับอะไรด้วยซ้ำ แต่บุรุษหนุ่มวัยสิบห้าปีคนหนึ่งอย่างหวางช่านได้พบกับโอกาสเช่นนี้ มันเพียงพอที่จะทำให้ผู้คนมองเขาใหม่อีกครั้งอย่างน่าทึ่ง

โอกาส ขึ้นอยู่กับโชคชะตา

โลกกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต กว้างไกลไม่มีที่สิ้นสุด สืบต่อกันมาเป็นเวลานับพันนับหมื่นปี มีโบราณสถานเก่าแก่ลึกลับมากมาย มีผู้โชคดีที่ได้รับผลประโยชน์จากมันไม่ขาดสาย ประสบความสำเร็จ มีเชื่อเสียงไปทั่วหล้า

แม้จะมีโอกาสได้รับสืบทอดวิชายุทธ์ระดับ5 นับได้เพียงว่าธรรมดาอย่างยิ่ง แต่การพบพานเช่นนี้ มิใช่ว่าใคร ๆ ก็มีโอกาส

โดยปกติแล้ว เกณฑ์ต่ำสุดของการฝึกฝนวิชายุทธ์ระดับ5 คือวิชาชี่ไห่ขั้น3 หวางช่านเข้าเกณฑ์พอดี ฝึกฝนวิชายุทธ์ระดับ5 ถึงแดนสำเร็จน้อยได้ในระยะเวลาไม่กี่เดือน พรสวรรค์ในการฝึกยุทธ์ของเขา เห็นได้ว่าสูงไม่น้อย!

ก็เพราะได้รับโอกาสเช่นนี้ หวางช่านถึงได้มั่นอกมั่นใจ สำหรับรางวัลในการสอบคัดเลือกเข้าสำนักสำหรับผู้ที่ได้อันดับหนึ่งนั้น เขาจักต้องได้มันมาครอบครอง

“ดาบกระบี่ไร้ดวงตา ข้าแนะนำให้เจ้ายอมแพ้เสีย มิเช่นนั้นหากทำให้เจ้าบาดเจ็บ จักต้องไม่ดีแน่” หวางช่านกล่าวเสียงเย็นชา

นับจากที่ได้รับการสืบทอดวิชายุทธ์ระดับ5 มา เขาถือเป็นความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เกรงว่าจะนำมาซึ่งภัยพิบัติแก่ครอบครัว

ทว่าวันนี้เขากำลังจะกลายเป็นศิษย์นอกสำนักเซียวเหยา ก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังอีกต่อไป กลายเป็นเย่อหยิ่งอวดดี ยโสโอหังอย่างยิ่ง

หลัวซิวสุดที่จะทนรับได้เมื่อมีคนทำตัวสูงส่งมองผู้อื่นต่ำต้อยอยู่ต่อหน้าตนเองเป็นที่สุด จึงหัวเราะเหยาะออกมาหนึ่งครั้ง มิได้เห็นอยู่ในสายตา กล่าว: “วิชายุทธ์ระดับ5 น่าชื่นชมมากนักหรือไงเล่า?”

“ปากดียิ่งนัก!” แววตาของหวังช่านยิ่งเย็นยะเยือก “เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะเอาชนะเจ้าให้ได้ภายในสามกระบวนท่า?”

ตอนที่เอ่ยประโยคนี้ กระแสพลังอันแข็งแกร่งปรากฏขึ้นมาบนร่างของหวางช่าน ร่างทั้งร่างดุจดั่งได้กลายเป็นดาบเล่มหนึ่ง ทำให้ผู้คนรู้สึกขนลุกขนพอง

ไม่มีใครคิดว่าที่เขากล่าวว่าจะเอาชนะหลัวซิวให้ได้ภายในสามกระบวนท่านั้นเป็นคำคุยโวโอ้อวด แต่กลับคิดว่าจักต้องเป็นเช่นนั้น เนื่องด้วยที่เขาฝึกนั้นเป็นวิชายุทธ์ระดับ5 มิใช่วิชายุทธ์ระดับ4 จะสามารถเทียบเคียงได้!

“เอาชนะข้าในสามกระบวนท่า?”

ที่คิดไม่ถึงก็คือ หลัวซิวกลับหัวเราะสียงดัง มองหวางช่านอย่างเย้ยหยัน: “ข้าไม่ต้องใช้ถึงสามกระบวนท่า ข้าสามารถเอาชนะเจ้าได้ภายในกระบวนท่าเดียว เจ้าเชื่อหรือไม่?”

หนึ่งกระบวนท่า!

ผู้คนด้านล่างจำนวนไม่น้อยต่างตะลึงอ้าปากค้าง สายตาดุจดั่งกำลังมองตัวประหลาด จับจ้องไปที่หลัวซิวที่อยู่บนเวที

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 72 ศิษย์เหนืออาจารย์

 

“พลังกระดูกเหล็กหัวแข็งที่เจิงคุนฝึกนั้นมีแรงป้องกันสูงมาก ทว่ากลับไม่สามารถต่อต้านหนึ่งหมัดของหลัวซิวได้เช่นนั้นรือ?”

“ไม่ใช่ว่าเจิงคุนนั้นอ่อนแอ แต่เป็นหลัวซิวที่แข็งแกร่งเกินไป ปราณแท้ของเขาบริสุทธิ์และทรงพลัง พลังกระดูกเหล็กหัวแข็งของเจิงคุนมิอาจต้านทานได้”

“หลัวซิวเคลื่อนไหวรวดเร็วมากจริง ๆ ถอยเพื่อตั้งรับ เอาชนะในกระบวนท่าเดียว?”

คิดมาถึงตรงนี้ ผู้คนไม่น้อยได้แข็งทื่อไปอีกครั้ง ต่างประหลาดใจขึ้นมา

ตามหลักแล้ว หลัวซิวฝึกวิชากระบี่ระดับ4 จนถึงขั้นบริบูรณ์ จักต้องชำนาญวิชาดาบอย่างไม่ต้องสงสัย และเขายังแสดงวิชาหมัดระดับ2 ออกมาได้อย่างร้ายกาจเช่นนี้ เยี่ยงนั้นวิชากระบี่ของจะร้ายกาจ และเร็วเพียงใด?

“ถ้าใช้กระบี่ เกรงว่าเขาคงสามารถปลิดชีวิตเจิงคุนได้ในกระบี่เดียว!”

“มิน่าเขาถึงไม่ใช้กระบี่ เพราะไม่อยากทำร้ายคนงั้นลือ?”

เจ้าสำหนักลู่ผู้สูงส่ง มาถึงวันนี้ยังอดไม่ได้ที่จะประเมินหลัวซิวคนนี้ใหม่อีกครั้ง

“ลู่เมิ่งเหยา สายตาของเจ้าไม่เลวเลย” จ้องมองไปยังบุตรสาวที่อยู่ด้านข้าง เขาก็พูดประโยคนี้ขึ้นมาอย่างฉับพลันทันที

ลู่เมิ่งเหยาชะงัก “ท่านพ่อ ท่าน……”

“ไม่มีใครรู้จักบุตรสาวดีไปกว่าพ่อ พ่อจะมองความคิดของเจ้าไม่ออกได้เยี่ยงไรเล่า? เพียงแต่คิดจะเทียบเคียงบุตรสาวของข้า เว้นแต่ว่าก่อนอายุสิบแปดปีเขาจะสามารถขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของศิษย์นอกสำนัก และเข้าเป็นศิษย์ภายในของสำนักได้ถึงจะได้!” ลู่เฟยเฉินยิ้มกล่าว

“ท่านพ่อ……” ครั้งนี้ลู่เมิ่งเหยาฟังเข้าใจความหมายของบิดาของตนเองแล้ว ใบหน้าโฉมสะคราญแดงปลั่งขันมาทันที

หลัวซิวเดินลงมาจากเวทีประลองยุทธ์ สำหรับสายตาอิจฉาหรือริษยา เคารพยำเกรงเหล่านั้น เขาล้วนทำเป็นมองไม่เห็น ทว่าได้เลื่อนสายตาไปที่ลู่เมิ่งเหยาที่นั่งอยู่ข้างกายผู้นำนอกสำนักแทน

เขามั่นใจในฝีมือของตนเองเป็นอย่างมาก ปราศจากการขัดขวางของจางหลู่เหลียง เขามั่นใจเป็นอย่างมากที่จะคว้าอันดับหนึ่งในการทดสอบมาครอง

“เจ้าบอกกับข้าว่า จะรอข้าที่สำนักเซียวเหยา วันนี้ข้ามาแล้ว……” นี่คือเสียงในใจของหลัวซิวในเวลานี้!

ลู่เมิ่งเหยาเองก็พบเห็นสายตาที่หลัวซิวมองมา แก้มที่แดงปลั่งร้อนผ่าวขึ้นมาทันที ดูเหมือนไม่กล้าจะประสานสายตากับเขาสักเท่าไรนัก

เดิมทีนางคิดว่าคงอีกสักปีสองปีหลัวซิวถึงจะสามารถเข้าสำนักเซียวเหยาได้ คิดไม่ถึงว่าวันนี้ จะมาถึงเร็วเช่นนี้ กะทันหันเยี่ยงนี้

“นี่ใช่ความรู้สึกของการชอบใครสักคนหรือเปล่า?”

ความคิดเช่นนี้ปรากฏขึ้นมาในใจของลู่เมิ่งเหยา ถึงแม้นางจะอายุมากกว่าหลัวซิวถึงเก้าปีก็ตาม ทว่าสำหรับคนที่ฝึกวรยุทธ์แล้ว ตราบใดที่ทะลวงถึงแดนพรสวรรค์ ก็จะมีอายุขัยสามร้อยถึงห้าร้อยปี ระยะห่างเพียงแค่เก้าปีไม่นับอะไร

โรคชีพจรขาดธาตุไฟไม่มีอยู่อีกต่อไป ลู่เมิ่งเหยามีความมั่นใจที่จะก้าวไปถึงขั้นแดนพรสวรรค์ หรือแม้แต่ขั้นแดนเทพยุทธ์

และหลัวซิวนั้นมีพรสวรรค์ยิ่งกว่าเธอด้วยซ้ำ เพียงแค่บิดาเห็นด้วย เช่นนั้นโอกาสที่ทั้งสองคนจะได้อยู่ด้วยกันนับว่ามีมากเลยทีเดียว

ในตอนที่ลู่เมิ่งเหยากำลังคิดเรื่องเหล่านี้อยู่ภายในใจนั่นเอง การทดสอบบนเวทีประลองยุทธ์ยังคงดำเนินต่อไป

ผู้ใดที่พ่ายจะตกรอบทันที ผู้ชนะจะได้รับคะแนนเพิ่มขั้นขึ้น

ไม่นาน การประลองยุทธ์รอบที่หนึ่งก็ได้จบลง

จางหลู่เหลียงลุกยืนขึ้น ประกาศกติกาการแข่งขันในรอบที่สอง “ทั้งยี่สิบห้าคนที่เหลืออยู่ ผู้ใดที่มีคะแนนต่ำ สามารถท้าประลองคนที่มีคะแนนสูง ถ้าหากสามารถเอาชนะได้ ก็จะได้อันดับของอีกฝ่ายไปครอง สุดท้ายผู้ที่อยู่ในสามอันดับแรก ก็จะกลายเป็นศิษย์นอกสำนักเซียวเหยาอย่างเป็นทางการ!”

ณ เวลานี้ หลัวซิวอยู่ที่อันดับหนึ่ง อันดับสองคือหวางช่าน และตามด้วยสวีผิง

มิต้องสงสัย ผู้ที่มีอันดับต่ำลงมาหากต้องการช่วงชิงสิทธิ์ในการเข้าเป็นศิษย์นอกสำนัก พวกเขาทั้งสามคนจักต้องรับการท้ามากมาย

อันดับแรก ดรุณีที่อยู่ในอันดับที่ยี่สิบห้านางหนึ่งได้เดินขึ้นไปบนเวทีประลองยุทธ์ ผู้ที่นางจะท้าประลองด้วย คือสวีผิงที่อยู่ในอันดับสาม

ช่วงเวลาเพียงแค่สั้น ๆ การท้าประลองล้มเหลว!

จากนั้น ผู้ที่อยู่ในอันดับที่ยี่สิบสี่ ยี่สิบสาม ยี่สิบสอง……ขึ้นเวทีประลองไปทีละคน บางคนท้าประลองสวีผิง บางคนท้าประลองหวางช่าน

ทว่าอย่างไรก็ตามผลลัพธ์สุดท้าย กลับไม่มีข้อยกเว้น ต่างท้าประลองล้มเหลวทั้งหมด!

สวีผิงและหวางช่านต่างอยู่ในขั้นแดนวิชาชี่ไห่ขั้น3 แดนบรรลุผลวิชายุทธ์ระดับ4 ฝีมืออยู่ในอันดับต้น ๆ

แต่ในหมู่คนที่อยู่ในอันดับต่ำลงไป ก็มียอดฝีมือแดนวิชาชี่ไห่ขั้น3 ทว่าเมื่อเทียบกันแล้วอายุมากกว่าเล็กน้อย ล้วนอายุสิบเจ็ดสิบแปดปี

ในเวลานี้เอง มีดรุณีอีกนางเดินขึ้นไปบนเวทีประลองยุทธ์ นางเป็นอัจฉริยะที่มาจากสำนักซินฉือ เนี่ยเสี่ยวเตี๋ย!

คะแนนของนาง อยู่ในอันดับที่สิบสาม!

นางถือหอกยาวไว้ในมือ เนี่ยเสี่ยวเตี๋ยสวมชุดสีแดง ท่าทางองอาจห้าวหาญ กล่าวได้ว่าดึงดูดสายตาของผู้คนทั้งหมดที่อยู่ตรงนั้น

สตรีนางหนึ่ง พรสวรรค์สูง ความสามารถสูง และยังมีหน้าตางดงาม เป็นจุดสนใจที่ดึงดูดสายตายิ่งกว่าหลัวซิวเสียอีก

ในขณะที่ทุกคนกำลังคาดเดาว่าเนี่ยเสี่ยวเตี๋ยจะท้าประลองผู้ใดอยู่นั่นเอง เห็นเพียงนางยกมือขาประดุจหยกขึ้นมา ชี้ไปยังหลัวซิว “ข้าขอท้าประลองกับเจ้า!”

“นางท้าประลองหลัวซิวงั้นรึ?”

ผู้คนต่างส่งเสียงฮือฮา ก่อนหน้าได้มีการท้าประลองไปหลายครั้ง แต่ก็ไม่มีผู้ใดเลือกที่จะท้าประลองหลัวซิว เพราะถึงยังไงการประลองระหว่างหลัวซิวและเจิงคุน ก็ได้แสดงพลังทรงพลานุภาพออกมาแล้ว

สำหรับเรื่องที่เนี่ยเสี่ยวเตี๋ยถ้าประลองตนเองนั้น หลัวซิวไม่ได้รู้สึกประหลาดใจใด ๆ เลยแม้แต่น้อย เนื่องด้วยหลังจากที่เนี่ยเสี่ยวเตี๋ยได้พ่ายแพ้ให้กับตนเองในตอนที่อยู่สำหนักชิงหยุน ก็ได้ประกาศมาตลอดว่าจักต้องเอาชนะตนเองให้ได้

ศึกครั้งนี้ มิอาจหลีกเลี่ยง

หลัวซิวก้าวเท้าเดินขึ้นไปบนเวทีประลองยุทธ์ เอ่ยเรียบ ๆ : “ลงมือเถอะ”

ในตอนนั้นเขาไม่ได้ชักกระบี่ออกมา อาศัยเพียงกำลังภายในพลังหยางบริสุทธิ์กำสามารถเอาชนะนางได้ ในวันนี้ ความสามารถของเขายิ่งมีการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง ยิ่งไม่มีทางที่เนี่ยเสี่ยวเตี๋ยจะเป็นคู่แข่งของเขาได้

แต่คำกล่าวเช่นนี้ เป็นธรรมดาที่หลัวซิวจะไม่เอ่ยออกมา มิเช่นนั้นจะกลับกลายเป็นการดูหมิ่นสร้างความอัปยศให้กับเนี่ยเสี่ยวเตี๋ย

“ท่าเชื่อมนภาเมฆาเขียว!”

ร่างบอบบางงดงามของเนี่ยเสี่ยวเตี๋ยกระโดดลอยตัวขึ้น ชุดแดงปลิวไสว หอกยาวเปล่งแสงสีฟ้าเขียว แทงหอกออกมา ดุจดั่งลำแสงสีฟ้า ตัดผ่านอากาศ หวีดหวิวดุจสายลมพัด

นางฝึกฝนวิชาหอกระดับสี่ของสำนักซินฉือ ถึงแดนบรรลุผล ยกเว้นว่าผลการฝึกตนด้อยกว่าสวีผิงและหวางช่าน ด้านอื่น ๆ ล้วนสามารถทัดเทียมได้

เท้าของหลัวซิวเคลื่อนไหวเป็นแนวนอน เราร่างพลันหายไปตรงที่ตรงนั้น ทำให้หอกที่ดุเดือดรุนแรงของเนี่ยเสี่ยวเตี๋ย แทงโดนอากาศ

“เร็วมาก!”

เนี่ยเสี่ยวเตี๋ยพึมพำในใจว่าแย่แล้ว นับจากที่พ่ายแพ้ให้กับหลัวซิว เธอก็ฝึกฝนอย่างหนัก คิดว่าความสามารถของตัวเองได้พัฒนาขึ้นมาไม่น้อย กลับไม่คาดฝันว่า การเคลื่อนไหวของหลัวซิวรวดเร็วขึ้นยิ่งกว่าในตอนนั้น!

“วิชาท่าร่างระดับ4 ขั้นบริบูรณ์!?” มีเสียงอุทานดังขึ้นอีกครั้ง

บุคคลผู้หนึ่ง มีวิชายุทธ์ระดับ4 ขั้นบริบูรณ์สองชนิดอยู่ในตัว นี่มันเป็นพรสวรรค์เช่นใดกันแน่!

“ท่าเสือพิฆาต!”

เงาร่างของหลัวซิวปรากฏขึ้นที่ด้านขวาของเนี่ยเสี่ยวเตี๋ย หนึ่งหมัดซัดผ่านอากาศออกไป

หมัดนี้ของหลัวซิวดูแสนธรรมดา แต่กลับตามมาด้วยเสียงก้องกังวานดั่งเสือคำราม

ลำแสงของปราณแท้พรั่งพรูออกมา ดั่งได้กลายเป็นเสือร้ายสีขาว กระโจนเข้าหาเนี่ยเสี่ยวเตี๋ย

หมัดแฝงไปด้วยเสียงคำรามดั่งเสือ ราวกับมีคลื่นเสียงที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตากระจายเป็นระลอกคลื่นลอยอยู่ในอากาศ ทำให้ผู้คนไม่น้อยที่อยู่ด้านล่างรู้สึกแก้วหูสั่น เลือดลมปั่นป่วน

“เป็นวิชาหมัดที่ร้ายกาจจริง เข้าถึงแก่นแท้ของหมัดเสือมังกร และยังคงอยู่เหนือขอบเขตระดับสอง ก้าวสู่ระดับใหม่ทั้งหมด!”

ภายในผู้คนเหล่านั้น หากเอ่ยถึงวิสัยทัศน์ จักต้องเป็นลู่เฟยเฉินผู้นำนอกสำนักอย่างไม่ต้องสงสัย เขาสามารถมองออกได้ในพริบตา หมัดเสือมังกรวิชายุทธ์ระดับ2 เมื่อถูกใช้ออกมาโดยหลัวซิว ได้กระโดดออกจากตัววิชาหมัดเองโดยสมบูรณ์แบบ เหนือกว่าขั้นบริบูรณ์

ดังคำกล่าวที่ว่าศิษย์เหนืออาจารย์ เหนือกว่าขั้นบริบูรณ์ นั้นก็คือขึ้นที่สุดของที่สุด สามารถใช้ทักษะยุทธ์ที่แสนธรรมดา แสดงอานุภาพออกมาเหนือกว่าที่ควรจะเป็น!

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 71 เอาชนะได้ในกระบวนท่าเดียว

 

ในตอนนี้เอง ผู้ที่อยู่ภายในค่ายกลทั้งหมดต่างก็สิ้นสติไป รวมทั้งสวีผิงและหวางช่านอัจฉริยะทั้งสองคน เนื่องด้วยการโจมตีพลังห้วงความคิดนี้ จอมยุทธ์พรสวรรค์ผู้แข็งแกร่งหลายคนยังมิอาจต้านทานได้

ทว่าผู้คนที่อยู่ตรงนั้น กลับมีเพียงหลัวซิวที่ยังคงนั่งขัดสมาธิ ร่างสั่นโคลงเคลงเล็กน้อย แต่ก็มิได้ล้มลง

ภาพเช่นนี้ แม้แต่เจ้าสำนักลู่เจ้าสำนักลู่ผู้สูงส่งที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล ยังอดไม่ได้ที่จะประทับใจเล็กน้อย “เจ้านั่นพึ่งอายุเพียงสิบสี่ปี จิตมั่นคงถึงเพียงนี้เลยหรือ? ชี่ไห่ขั้น2 ทัดเทียมเสมอเหมือนสภาพจิตใจระดับจอมยุทธ์พรสวรรค์ หากได้เติบโตขึ้นมาในอนาคต จักต้องประสบผลสำเร็จอย่างแน่แท้”

“แม้แต่ตัวข้าเอง ในตอนที่ฝึกถึงชี่ไห่ขั้น6 ก็มิอาจต้านทานด่านโจมตีพลังห้วงความคิดนี้ได้” เจ้าสำนักลู่เจ้าสำนักลู่หรี่ตาลงเล็กน้อย “มิน่าเมิ่งเหยาถึงได้ใส่ใจเขาเช่นนี้ ทว่าคิดจะคู่ควรกับบุตรสาวของข้าลู่เฟยเฉิน จักต้องโดดเด่นกว่านี้ถึงจะได้”

ในด่านที่สอง การโจมตีพลังห้วงความคิดจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างไม่ขาดสาย รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ นอกเสียจากจะเป็นผู้แข็งแกร่งที่ฝึกถึงแดนเทพยุทธ์ชั้น9 ขั้นสูงแดนขั้นสูงฝึกจิตขั้น9 ถึงจะสามารถต้านทานได้ทั้งหมด

หลังจากที่ต้านรับการโจมตีพลังห้วงความคิดระลอกแรกผ่านพ้นไป จากนั้นพลังห้วงความคิดระลอกที่รุนแรงกว่าเดิมก็ใจมตีเข้ามา

หลัวซิวอยู่ภายในค่ายกล ร่างสั่นโคลงเคลง กัดฟันฝืนทน

“ครืนนนน!”

ดุจดั่งกระบี่เล่มหนึ่งแทงทะลุจิตวิญญาณของหลัวซิว แทบจะทันทีทันใด จิตของหลัวซิวก็พังทลายลงทันที สองตามืดสนิท แล้วสิ้นสติไป

“พรึบ!”

ค่ายกลได้หยุดลง เงาร่างมนุษย์กระโดดออกมาตาม ๆ กัน พาร่างสลบไสลของพวกหลัวซิวที่หมดสติไปในค่ายกลออกมา

เวลาผ่านไปครึ่งก้านธูป ทุกคนต่างค่อย ๆ ฟื้นขึ้นมา ไม่น้อยคนยังคงตกใจหวาดผวาอยู่ ใบหน้าซีดเซียว

สภาพจิตใจของหลัวซิวเองก็ไม่ค่อยจะดีนัก วินาทีที่จิตถูกทำลาย ความเจ็บปวดดุจดั่งถูกฉีกเป็นเสี่ยง ๆ เช่นนั้น ผู้ใดที่เคยสัมผัส จักต้องไม่อยากพบเจออีกครั้งอย่างแน่นอน

จางหลู่เหลียงก้าวออกมาเพื่อประกาศผลการทดสอบในครั้งนี้ของทุกคน แดนมิติชั้น9 หนึ่งขั้นนับเป็นหนึ่งคะแนน ผู้ที่สามารถต้านรับการโจมตีพลังห้วงความคิดระลอกแรกได้ จะได้รับสิบคะแนนในทันที!

ใบหน้าชราของจางหลู่เหลียงดูไม่ค่อยดีนัก เนื่องด้วยการแสดงออกของหลัวซิวอยู่เหนือความคาดหมายอีกครั้ง แม้แต่เจ้าสำนักจากนอกสำนักยังรู้สึกประทับใจ มันทำให้เขารู้สึกถึงอันตรายใหญ่หลวง

การทดสอบในครั้งนี้ มีเพียงหลัวซิวที่ได้รับเต็มสิบคะแนน แซงสวีผิงและหวางช่านในคราเดียว ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งทันที!

เช่นนี้ ก็เหลือเพียงการทดสอบด่านสุดท้าย ประลองยุทธ์!

เมื่อครั้นที่ประกาศว่าหลัวซิวได้รับคะแนนเต็มอีกครั้ง สายตาของผู้คนทั้งหมดต่างจับจ้องไปที่หลัวซิว

โดยเฉพาะสวีผิงและหวางช่าน ที่มีสีหน้าเคร่งขรึมลงมา ในฐานะที่เป็นอัจฉริยะประจำตระกูล พวกเขาโอหังเพียงใด เวลานี้กลับถูกคนที่การฝึกฝนน้อยกว่าตนเองเหยียบศีรษะทำให้รู้สึกถึงอันตรายอยู่ลึก ๆ

“ตอนประลองยุทธ์ ข้าจักต้องเอาชนะเจ้าให้ได้ อันดับหนึ่งจักต้องตกเป็นของข้าอย่างแน่นอน!”

หวางช่านเดินมาหยุดอยู่ด้านหน้าหลัวซิว ท่าทางโอหัง ในแววตาแฝงไปด้วยความเยือกเย็น

หลัวซิวสัมผัสได้ถึงความเกลียดชังที่หวางช่านมีต่อตนเอง แต่เขาเองก็พอเข้าใจ เพราะรางวัลจากการทดสอบรับศิษย์เข้าสำนัก มีเพียงอันดับหนึ่งเท่านั้นถึงจะได้รับ โดยเฉพาะวิชายุทธ์ระดับ5 นั่น เว้นเพียงหลัวซิว สำหรับเหล่าจอมยุทธ์ที่มาเข้าร่วมการทดสอบในครั้งนี้แล้ว มันมีค่ายิ่งกว่ายาฝึกปราณสามเม็ดเสียอีก

ทว่าจะเข้าใจหรือไม่นั้นมันก็เป็นอีกเรื่อง หลัวซิวเกลียดคนที่มักมองคนอื่นต่ำต้อย ยโสโอหังเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไร

เช่นนั้น สำหรับคำกล่าวท้าของหวางช่าน หลัวซิวจึงทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ หลับตาลง คร้านแม้แต่จะสนใจเขา

เนื่องด้วยการทดสอบพลังจิตเมื่อก่อนหน้า ทำให้สภาพกายของทุกคนในตอนนี้ไม่ค่อยจะดีนัก เช่นนั้นการทดสอบประลองยุทธ์ จึงจัดขึ้นในเวลาบ่าย

หลังจากที่ได้พักผ่อนเป็นเวลาสามชั่วชาม จอมยุทธ์ชี่ไห่ทั้งห้าสิบคนก็ได้มารวมตัวกันที่ลานฝึกยุทธ์

กฎในการทดสอบประลองยุทธ์ ก็คือผู้ใดชนะจะได้รับคะแนนของผู้ที่พ่ายแพ้ไปครอง ยกตัวอย่างเช่นถ้าหากผู้ใดสามารถเอาชนะหลัวซิวได้ ก็จะได้รับคะแนนทั้งหมดที่เขามีอยู่ ทั้ง 28 คะแนนไปทันที!

การประลองยุทธ์นั้นยังคงใช้วิธีจับฉลาก คู่ต่อสู้คนแรกที่หลัวซิวจับได้ คือบุรุษหนุ่มอายุสิบหกปี ร่างกายกำยำ ผิวกายสีน้ำตาลเข้มเปล่งแสงแวววาวราวกับโลหะ มีผลการฝึกตนอยู่ในระดับแดนวิชาชี่ไห่ขั้น2 ขั้นสูง นามว่าเจิงคุน

“ฮ่า ๆ นึกไม่ถึงว่าตัวข้าจะโชคดีเช่นนี้ ที่ได้ประจันหน้ากับเจ้า!”

เจิงคุนเดินขึ้นไปบนเวทีประลองยุทธ์ ท่าทางกระฉับกระเฉง ใบหน้ามีรอยยิ้ม ผลการฝึกตนอยู่ในระดับแดนวิชาชี่ไห่ขั้น2 เช่นเดียวกัน เขามั่นใจว่าจะเอาชนะหลัวซิวได้!

ส่วนสิ่งที่ทำให้เขาดีใจจริง ๆ คือ เพียงแค่เขาสามารถเอาชนะเจ้าหนุ่มผู้นี้ได้ ก็จะได้รับคะแนนสูงสุดทั้ง 28 คะแนน จากหลัวซิวทันที!

“เป็นเจิงคุนจากตระกูลเจิงแห่งเมืองเกายี่!”

“หึ ๆ ได้ยินว่าตระกูลเจิงมีวิชากลั่นร่างระดับ4 มีนามว่าพลังกระดูกเหล็กหัวแข็ง เคยเอาชนะแดนวิชาชี่ไห่ขั้น3 ผู้หนึ่งมาก่อน เป็นตัวละครที่ร้ายกาจผู้หนึ่งที่สามารถประลองข้ามขั้นได้!”

“การทดสอบทั้งสามด่านที่ผ่านมาของหลัวซิวต่างโดดเด่น แต่ครั้งนี้เผชิญหน้ากับเจิงคุน อีกทั้งฝ่ายตรงข้ามยังอายุมากกว่าเขาตั้งสองปี ไม่แน่ว่าอาจต้องแพ้ก็เป็นได้”

เหล่าผู้ชมที่อยู่ด้านล่างเวทีประลองยุทธ์ต่างจับจ้องไปที่เวทีอย่างตั้งอกตั้งใจ เฝ้ารอคอยการต่อสู้ในครั้งนี้

แน่นอน จากการแสดงออกก่อนหน้านี้ของหลัวซิว พลังหยางบริสุทธิ์บวกกับวิชายุทธ์ระดับ4 บริบูรณ์ ผู้คนส่วนมากยังคงคิดว่าหลัวซิวมีสิทธิ์ที่จะชนะมากกว่า

แต่แท้จริงแล้วความสามารถเป็นยังไงนั้น ยังต้องดูจากการประลอง มีบางคุณที่พรสวรรค์สูงส่ง แต่ความสามารถในการต่อสู้กลับด้อยยิ่งนัก

“ฝ่ามือวัชรยักษ์!”

เจิงคุนสาวเท้าก้าวเดินโผทะยานเข้าหาหลัวซิว ทรงพลังดุจดั่งเสือร้าย แสงทองรายล้อมระหว่างนิ้ว แสดงวิชายุทธ์ระดับ3 ออกมา ทว่าพลังกลับเทียบเท่าวิชายุทธ์ระดับ4!

เป็นที่ประจักษ์ เจิงคุนได้ใช้วิชายุทธ์ระดับ3 ฝ่ามือวัชรยักษ์ ฝึกตนจนถึงขั้นบริบูรณ์ ในการทดสอบด่านที่สอง ได้รับคะแนนการประเมิน 9 คะแนน!

ทว่าที่ทำให้ผู้คนนึกไม่ถึงก็คือ หลัวซิวกลับไม่ได้ชักกระบี่ออกมา เขาเคลื่อนร่างอย่างรวดเร็ว โจมตีออกไปหนึ่งหมัด

วิชายุทธ์ระดับ2 หมัดเสือมังกร?

มีวิชากระบี่บริบูรณ์ระดับ4 อยู่แท้ ๆ กลับไม่ใช้ แต่กลับแสดงวิชาหมัดระดับ2 ออกมา?

“เจ้าหนุ่มคนนี้ ประมาทเช่นนี้เชียวรึ?” ผู้คนไม่น้อยมีสีหน้าเปลี่ยนไป คิดว่าหลัวซิวได้กระทำการที่ไม่ฉลาดเช่นนี้ ช่างโง่เขลาสิ้นดี

บนเวทีประลองยุทธ์ ที่มุมปากของเจิงคุนแฝงไปด้วยรอยยิ้ม เดิมทีเขาคิดว่าโอกาสที่ตนเองจะชนะนั้นไม่มากนัก เพราะไม่ว่าจะอย่างไรอีกฝ่ายก็ได้ฝึกวิชากระบี่ระดับ4 จนถึงขั้นบริบูรณ์แล้ว

แต่เจ้านั่นกลับใช้วิชายุทธ์ระดับ2 มาประมือกับตนเอง?

“หลัวซิว เจ้าแพ้แน่แล้ว!” เจิงคุนหัวเราะเสียงดัง ขับดันพลานุภาพของฝ่ามือวัชรยักษ์จนถึงขีดสุด

ทว่าการจู่โจมของเขายังไม่ทันได้สัมผัสร่างของหลัวซิว แก้มด้านซ้ายของตนเอง ก็ได้ถูกหลัวซิวโจมตีอย่างแรงดั่งเสือโคร่งที่ดุร้ายเป็นที่เรียบร้อย

ท่าทางบนใบหน้าของเจิงคุน แข็งทื่อไปอย่างฉับพลัน

“ปัง!”

เขารู้สึกเหมือนดั่งว่าใบหน้าของตนเองได้ถูกค้อนทุบอย่างแรง ร่างกายกำยำลอยปลิวออกไป ฟันเปื้อนเลือดเล่มหนึ่งลอยกระเด็นออกมา

ไม่เพียงเท่านั้น หมัดนี้ของหลัวซิวแฝงไปด้วยปราณแท้ที่บริสุทธิ์และทรงพลัง เจิงคุนล้มตกลงไปบนพื้น ตาลายมองเห็นดาว คิดอยากจะลุกขึ้นมา ลองครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่าไม่อาจลุกขึ้นมาได้

ด้านล่างเงียบเป็นเป่าสาก ได้ยินแม้เสียงใบไม่ที่ร่วงหล่น! (ได้ยินแม้เสียงใบเข็มที่ร่วงหล่น)

กระบวนท่าเดียว! เพียงแค่กระบวนท่าเดียว หลัวซิวก็สามารถเอาชนะเจิงคุนได้?

 

บทที่ 70 กระทบห้วงความคิด

 

ในลานบ้าน ผู้คนไม่น้อยก็หมดอาลัยตายอยาก

“สวี่ชิวเซิงก็ทะลุผ่านแดนฝึกชี่ไห่แล้ว น่าเสียดายที่เขาพลาดการประเมินขั้นปฐมภูมิในครั้งนี้ไป”เจ้าสำนักชิงหยุนส่ายหน้าแล้วถอนหายใจ

ความเข้าใจทักษะยุทธ์ของสวี่ชิวเซิงนั้นสูงมาก การกลั่นร่างขั้น9ขั้นสูง ก็ฝึกตนบริบูรณ์วิชาหอก น่าเสียดายพรสวรรค์ที่เขาฝึกตนก็ค่อนข้างพอไปวัดไปวาได้ อายุสิบแปดถึงสามารถทะลุผ่านแดนฝึกชี่ไห่ได้

สำหรับเรื่องนี้ หลัวซิวก็ค่อนข้างแสดงความเสียใจด้วย ไม่สามารถที่จะเข้าสู่นอกสำนักเซียวเหยาก่อนอายุสิบแปดปี เป็นโอกาสเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของจอมยุทธ์ ถ้าเกิดพลาดไป ปราศจากเงื่อนไขของทรัพยากรและมรดกที่เพียงพอ ยากมากที่จะประสบความสำเร็จ

ไม่สามารถเข้าสู่นอกสำนักเซียวเหยาได้ สวี่ชิวเซิงถูกกำหนดให้เป็นสมาชิกคนหนึ่งขององครักษ์เกราะเขียว อย่างน้อยอยู่ในเมืองชิงหยุน ซึ่งสามารถครอบครองตำแหน่งได้

ค่ำคืนนั้นเย็นราวกับน้ำ หลัวซิวนั่งขัดสมาชิกอยู่ในห้อง หยิบหนังสือกลยุทธ์วิชายุทธ์ออกมาทีละเล่ม จากในแหวนจัดเก็บสิ่งของ

หนังสือกลยุทธ์วิชายุทธ์เหล่านี้ก็ได้มาจากคลังสมบัติที่ราชายุทธ์ปู้เฉินทิ้งไว้ ก่อนหน้านี้ หลัวซิวไม่สามารถสละเวลาเรียนได้เสมอ

วิชายุทธ์ระดับ7เพียงวิชาเดียวถูกหลัวซิวเอาไปก่อน

“วิชาวัชรยักษ์ครองร่าง วิชากลั่นร่างระดับ4 ผนึกรวมปราณแท้ชุบร่างเนื้อราวกับนักยุทธ์ อย่างมากที่สุดสามารถนำชุบร่างเนื้อเปรียบเทียบได้กับนักยุทธ์ระดับชั้นล่าง!”

หลัวซิวอ่านวิชายุทธ์สำนักนี้คร่าวๆ คาดไม่ถึงว่าเป็นวิชากลั่นร่างของสำนักหนึ่งที่หาได้ยาก

ในอดีต หลัวซิวเคยได้ยินวิชากลั่นร่าง กลับไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ก็รู้ว่าวิชากลั่นร่างมีค่ามากกว่าวิชายุทธ์ในระดับเดียวกันอื่นมาก

“ถ้าสามารถที่จะฝึกฝนวิชาวัชรยักษ์ครองร่างนี้ได้ ร่างเนื้อทัดเทียมเสมอเหมือนกับนักยุทธ์ระดับชั้นล่าง ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีหรือว่าการป้องกันก็สามารถครอบครองความได้เปรียบอย่างมาก”

หลัวซิวส่ายหน้า“น่าเสียดายที่เกณฑ์ขั้นต่ำที่สุดสำหรับการฝึกวิชายุทธ์สำนักนี้ จำเป็นต้องมีระดับผลการฝึกตนที่สูงกว่าแดนพรสวรรค์ขั้น3”

เก็บวิชายุทธ์สำนักนี้ไว้ ตามด้วยหลัวซิวก็เปิดอ่านวิชายุทธ์ระดับ6อื่นอีก

“หมัดเงาเศษบุปผาลอย วิชาหมักราวกับเงาเศษ โบยบินได้ดั่งความปรารถนา มีพลังแห่งความมืดสามระดับ ทำลายอวัยวะภายในเส้นลมปราณของคู่ต่อสู้ได้ในทันที ชั่วร้ายและเผด็จการ!”

นี่เป็นวิชายุทธ์ที่ค่อนข้างร้ายกาจ ตอนที่ปลดปล่อยออกมาดูแล้วก็เหมือนเป็นหมัดเงาเศษวิชายุทธ์ระดับ3 แต่ถ้าหากมีใครกล้าดูถูก เกิดโดนเข้า ก็จะตายในทันที

แต่ว่าหลัวซิวยังค้นพบว่า วิชายุทธ์สำนักนี้ก็มีความต้องการขั้นต่ำสำหรับการฝึกตน จะต้องเป็นแดนวิชาชี่ไห่ขั้น9

วิชายุทธ์มีเก้าขั้น ขั้นที่หนึ่งถึงขั้นสาม เหมือนสำหรับจอมยุทธ์กลั่นร่าง ขั้นที่สี่ถึงขั้นที่หกเหมือนสำหรับจอมยุทธ์ชี่ไห่ ขั้นที่เจ็ดถึงขั้นเก้า ต้องการให้จอมยุทธ์พรสวรรค์ถึงจะฝึกฝนได้

ยิ่งระดับวิชายุทธ์สูงเท่าไหร่ พลังก็ยิ่งมากเท่านั้น และข้อกำหนดสำหรับตัวของจอมยุทธ์เองก็สูงขึ้นเหมือนกัน

ตัวอย่างเช่นวิชาวัชรยักษ์ครองร่างวิชายุทธ์ระดับเจ็ด วิชายุทธ์ระดับเจ็ดของปกติ ต้องการแค่แดนพรสวรรค์ขั้น1ก็สามารถที่จะฝึกฝนได้ แต่วิชายุทธ์สำนักนี้ กลับต้องการเป็นแดนพรสวรรค์ขั้น3ขึ้นไป

หลัวซิวที่อยู่ในแดนวิชาชี่ไห่ขั้น2ตอนนี้ สามารถที่จะฝึกฝนวิชายุทธ์ระดับ4 ถ้าจะฝึกฝนวิชายุทธ์ระดับ5ที่ทรงพลังกว่า ต้องหลังจากที่ผลการฝึกตนบรรลุถึงวิชาชี่ไห่ขั้น3

หลัวซิวหยิบหนังสือวิชายุทธ์ระดับ5มาหนึ่งเล่ม ตามที่เขาคาดไว้ มีความต้องการของผลการฝึกตนวิชาชี่ไห่ขั้น3ขึ้นไป

“วิชายุทธ์ขั้นสูงขนาดนี้ กลับทำได้เพียงอ่านแต่ไม่สามารถฝึกได้”

หลัวซิวก็หัวเราะออกมา ทำได้เพียงเก็บกลยุทธ์วิชายุทธ์ทั้งหมดเหล่านี้ไว้อย่างช่วยไม่ได้

เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น มาถึงที่ตั้งของนอกสำนักอีกครั้ง

ยังคงมีผู้คนมากมาย แม้แต่พวกจอมยุทธ์ที่ถูกคัดออกเหล่านั้น ก็มาที่นี่เพื่อชมการต่อสู้แต่เนิ่นๆ

ในการจัดอันดับปัจจุบัน คือหลัวซิว สวีผิง หวางช่านทั้งสามคนที่เสมอที่หนึ่ง

การประเมินรายการที่สาม คือประเมินพลังความมุ่งมั่น ทฤษฎีความมุ่งมั่นไม่มีอยู่ให้เห็น ว่ากันว่ามีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับจิตวิญญาณและสภาพจิตใจของจอมยุทธ์

ว่ากันว่า หลังจากที่จอมยุทธ์ฝึกตนพรสวรรค์แต่กำเนิด ก็เริ่มฝึกตนพลังห้วงความคิดจิตวิญญาณ และสภาพจิตใจก็เกี่ยวข้องกับความก้าวหน้าในอนาคตของจอมยุทธ์สามารถที่จะทะลุผ่านกิเลสในใจของจอมยุทธ์ได้หรือเปล่า!

นี่เป็นสนามที่เปิดกว้างมากแห่งหนึ่ง ซึ่งสามารถให้คนห้าสิบคนทำการประเมินพร้อมกันได้ มีตราประทับที่ซับซ้อนนับไม่ถ้วนบนพื้นดิน คือค่ายกลที่ขนาดใหญ่มาก ว่ากันว่าเป็นปรมาจารย์ค่ายกลสามท่านระดับสี่ที่เชิญมาจากแก๊งนักค่ายกลจารึกไว้ และมูลค่านั้นแพงมาก

“หึ่ง!”

ตามด้วยแสงสว่างที่รุ่งโรจน์ขึ้นมา ค่ายกลถูกเปิดออกในทันที จอมยุทธ์ห้าสิบคนที่อยู่ในค่ายกล ก็รู้สึกถึงผลกระทบที่เกิดจากจิตใจจิตวิญญาณ

เกี่ยวกับสภาพจิตใจ หลัวซิวเข้าใจไม่มากนัก แต่ตั้งแต่ที่ได้อัญมณีแห่งความเป็นความตาย ประสบการณ์มากมาย ทำให้สภาพจิตใจของเขาก็ประสบกับการเปลี่ยนแปลงที่ละเอียดอ่อน

ประการแรกคือทำให้เป้าหมายการฝึกตนของตัวเองชัดเจนคือก้าวไปขั้นสูงของวิชายุทธ์ และประการที่สองคือขัดเกลาระหว่างความเป็นความตาย เพื่อไม่ให้เขาหวั่นไหว ถูกวัตถุแปลกปลอมชวนให้หลงอย่างง่ายดาย และจิตใจมั่นคง

ในกระบวนการที่จิตใจถูกกระทบ ยังจะตามด้วยภาพลวงตามากมาย หลัวซิวรู้สึกเพียงว่าภาพตรงหน้าเปลี่ยนไปอย่างไม่หยุดหย่อน อยู่ในท่ามกลางดาบภูเขาไฟและทะเลแห่งหนึ่ง

“มันเป็นภาพลวงตาที่สมจริงๆ”แม้ว่าดาบเพิ่มเข้ามา เปลวไฟก็ลุกลามออกมา แต่สภาพจิตใจของหลิวซิวก็สงบ และไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรทั้งนั้น

แต่ว่าอยู่ข้างกายของเขา กลับมีหลายคนที่ล้มลงอยู่บนพื้น กรีดร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่า และเหงื่อแตกทั่วร่างกาย

คนเหล่านี้กลับเป็นคิดว่าดาบภูเขาไฟและทะเลนั้นเป็นจริง รู้สึกว่าตัวเองถูกดาบฟันเป็นชิ้นๆ ต่อจากนั้นก็ถูกเผาเป็นเถ้าถ่านด้วยเปลวไฟ สภาพจิตใจก็ทรุดลงในทันที

ในความเป็นจริงคนเหล่านี้สามารถที่จะอยู่ในห้าสิบอันดับแรกจากหลายร้อย พรสวรรค์ยังถือได้ไม่เลว แต่อยู่ในด้านสภาพจิตใจและความตั้งใจกลับแย่มาก ขาดการขัดเกลาความเป็นความตาย

ในช่วงเวลาสั้นๆ ภาพลวงตาของดาบภูเขาไฟและทะเลก็หายไป กลิ่นควันน้ำมันที่แรงโชยเข้ามาในจมูก สถานการณ์บริเวณโดยรอบก็กลายเป็นหม้อขนาดใหญ่ในทันใด น้ำมันร้อนกำลังเดือด ร่างหนึ่งที่อยู่ข้างในก็ระเบิดดังตูมตาม

ฉากที่ทำให้คนน่าสยดสยองขนาดนี้ ก็ทำให้จอมยุทธ์ไม่น้อยที่ประคับประคองผ่านภาพลวงตาดาบภูเขาไฟและทะเลมาก็พังทลายลงในทันที กลอกตาทั้งสอง และหมดสติอยู่บนพื้น

แต่ฉากของภาพลวงตายังคงปรากฏขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว จอมยุทธ์ห้าสิบคนที่เข้าร่วมการประเมิน ก็ประสบกับภาพลวงตาที่แตกต่างกันถึงเก้าชั้น!

“เมิ่งเหยา หลัวซิวคนนี้เก่งจริงๆ ไม่นึกเลยว่าจะสามารถแบกรับแดนมิติชั้น9”ในกลุ่มผู้ชม เจ้าสำนักลู่ใช้มือลูบเครา และชื่นชมด้วยรอยยิ้ม

ในฐานะเจ้าสำนักนอกสำนัก ปรมาจารย์จอมยุทธ์ของแดนฝึกจิตขั้น9 วิสัยทัศน์ของเจ้าสำนักลู่ไม่สามารถเรียกได้ว่าไม่สูง

เหตุผลที่เขามองหลัวซิวแตกต่างจากเดิม ในความเป็นจริงส่วนใหญ่ก็เห็นแก่ที่เขาเป็นผู้มีพระคุณของลูกสาวตัวเอง

แดนมิติชั้น9 มีเพียงด่านที่หนึ่งของค่ายกลขั้นสุดยอดระดับสี่นี้เท่านั้น คนที่สามารถแบกรับไปได้ของในนอกสำนัก ก็มีไม่น้อย

อย่างไรก็ตามในบรรดาห้าสิบคนนี้ การแสดงของหลัวซิวถือได้ว่าดีมากแล้ว มีคนครึ่งหนึ่งล้มลงแล้ว คนเหล่านั้นที่เหลืออยู่ ก็กัดฟันแน่น สั่นเทาทั้งร่างกาย หรือว่าหน้าตาดูโหดร้าย และประคับประคองอย่างขมขื่น

“ไม่รู้ว่าเด็กคนนี้จะสามารถต้านทานผลกระทบทางห้วงความคิดหลังจากอยู่ในแดนมิติชั้น9ได้หรือเปล่า?” เจ้าสำนักลู่พูดด้วยรอยยิ้ม

“ท่านพ่อสามารถรอดูได้”ลู่เมิ่งเหยาก็พูดด้วยรอยยิ้ม เธอเต็มไปด้วยความมั่นใจต่อหลัวซิว

เจ้าสำนักลู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ตระหนักดีว่าลูกสาวคนนี้ของตัวเองปฏิบัติต่อหลัวซิวคนนี้ ดูเหมือนจะไม่ใช่เพื่อนธรรมดาแบบนั้น

ในขณะนี้เอง หลัวซิวที่ผ่านแดนมิติชั้น9 อยู่ในทะเลทรายแห่งหนึ่ง

“ตูม!”

หลัวซิวรู้สึกได้ในทันทีว่าห้วงความคิดพุ่งเข้าหาตัวเอง หัวเหมือนกับถูกค้อนทุบตี ทำให้เขาเวียนหัว วิงเวียน และการรับรู้เบลอ

“ปัง! ปัง! ปัง!…..”

 

########################
 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 7 วิวาทกับหวางฮุย

เมื่อถูกเหยียดหยามครั้งแล้วครั้งเล่า หลัวซิวเองก็รู้สึกโมโหไม่น้อย เขาจึงพูดออกมาอย่างเย็นชาว่า : “พวกเจ้าจงตั้งตาดูให้ดี ๆ !”
ขณะที่พูดเขาก็สำแดงวรยุทธ์ ร่างกายของเขาแสดงให้เห็นถึงการเคลื่อนไหวปราณในของผู้ฝึกยุทธ์ในระดับการกลั่นร่างขั้น4 เส้นเอ็นและกระดูกของเขาส่งเสียงดังออกมา แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เข้าได้ก้าวเข้าสู่ระดับของการฝึกฝนเส้นเอ็นและกระดูก”
เสียงหัวเราะของหวางฮุยหยุดลงทันที
“เป็นไปไม่ได้ ทำไมผลการฝึกตนของเจ้าถึงยกระดับได้รวดเร็วเพียงนี้ ?” หวางฮุยอุทานออกมาอย่างประหลาดใจ จากนั้นสีหน้าของเขาก็เย็นชาลง “ต่อให้เจ้าอยู่ในระดับการกลั่นร่างขั้น4แล้วยังไง ข้าบอกว่าไม่ให้เจ้าเข้าไป ก็คือไม่ให้เจ้าเข้าไป !”
หลัวซิวคิดไม่ถึงว่าหวางฮุยจะทำเกินกว่าเหตุเช่นนี้ แววตาของเขาดุดันขึ้น “เจ้ากล้าทำลายกฎระเบียบของสำนักยุทธ์อย่างนั้นหรือ ?”
“กฎระเบียบ ?” หวางฮุยหัวเราะเยาะ “กฎระเบียบก็ต้องดูว่าใช้กับใคร ข้าจะพูดกับเจ้าตามตรงก็ได้ หากเป็นเมื่อก่อน ข้าคงเห็นแก่ความเป็นเพื่อนบ้านของเราและปล่อยให้เจ้าเข้าไป แต่ในเมื่อเจ้ากล้ามีเรื่องกับคุณชายตระกูลจาง ประตูใหญ่ของหอเก็บหนังสือนี้ เจ้าก็อย่าฝันว่าจะได้ก้าวเข้าไปอีกเลย !”
“ก็ดีเหมือนกัน ได้ยินว่าเจ้าทำร้ายน้องชายของคุณชายจางจนได้รับบาดเจ็บ พวกเราจะได้ถือโอกาสพาตัวเจ้าไปรับโทษกับคุณชายจางเสียเลย !” ลูกศิษย์ชั้นกลางอีกคนที่ทำหน้าที่ดูและหอเก็บหนังสือคู่กับหวางฮุยเอ่ยขึ้นพลางยิ้มเยาะ
ยังไม่ทันจะพูดจบ เขาก็ยื่นมือไปคว้าคอเสื้อของหลัวซิวเอาไว้ อีกทั้งเขายังมั่นใจในความสามารถของตนเองอีกด้วยว่า ในฐานะที่เขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับการกลั่นร่างขั้น5 การที่จะเอาชนะลูกศิษย์ชั้นต้นสักคนคงไม่ใช่เรื่องยาก
การดูถูกเยาะเย้ยของอีกฝ่ายทำให้หลัวซิวรู้สึกโมโหขึ้นมาจริง ๆ เขาตะโกนเสียงดังออกมา พร้อมทั้งปล่อยหมัดกระทิงบิ่น ซึ่งเป็นหมัดที่รวดเร็วและดุดัน ราวกับมีเสียงของวัวกระทิงดังขึ้น พร้อมด้วยพลังอันดุร้ายที่พลุ่งพล่านออกมา
“ฮ่าฮ่า ใจกล้าไม่น้อยเลยนี้ กล้าคิดตอบโต้อย่างนั้นหรือ ข้า หลูเฟิง จะแสดงให้เจ้าเห็นเองว่า การกลั่นร่างขั้น5และการกลั่นร่างขั้น4 มีความแตกต่างกันมากแค่ไหน !”
หลูเฟิงผู้นี้เหมือนกับหวางฮุย เขาคอยติดตามจางห่าย เป็นลูกศิษย์ชั้นกลางที่หวังจะพึ่งใบบุญของตระกูลจางในอนาคตเช่นเดียวกัน
คนเช่นพวกเขามีอยู่จำนวนมาก รู้ดีว่าผลการฝึกตนของตนเองนั้นไม่โดดเด่นนัก จึงมาได้ไกลเพียงแค่ชั้นกลาง ส่วนเรื่องที่จะไต่เต้าขึ้นสู่ชั้นสูงนั้นถือว่าไม่มีหวัง ถึงเวลานั้นหากจบการศึกษาชั้นกลางจากสำนักยุทธ์ด้วยระดับการกลั่นร่างขั้น5และ6 สามารถเข้าทำงานกับตระกูลจางในตำแหน่งที่ดี ๆ ได้
ดังนั้นทั้งสองคนจึงลงทุนลงแรงขัดขวางหลัวซิวทุกวิถีทางที่หน้าหอเก็บหนังสือ
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นที่นี่ดึงดูดความสนใจของบรรดาลูกศิษย์ที่จะเข้าไปในหอสมุดไม่น้อย มีหลายคนรู้สึกอดเป็นห่วงแทนหลัวซิวไม่ได้ คนที่ลงมือคือหลูเฟิงซึ่งเป็นถึงลูกศิษย์ชั้นกลางที่อยู่ในระดับการกลั่นร่างขั้น5 แล้วลูกศิษย์ชั้นต้นจะเอาอะไรไปสู้ได้ ?
“ตุบ !”
หมัดและฝ่ามือปะทะกันเกิดเสียงดังสนั่น ร่างกายของหลูเฟิงแข็งทื่อไปในทันที จากนั้นริมฝีปากของเขาก็สั่นเทาและมีใบหน้าที่ซีดเผือด
“โอ๊ย !……”
เสียงร้องคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวดดังออกมาจากปากของหลูเฟิง เป็นเสียงที่ดังก้องจนแสบแก้วหู เขาเดินถอยร่นไปด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด แขนขวาของเขาห้อยไปมา โดยเฉพาะกระดูกมือขวาของเขาแตกละเอียด
“หลูเฟิง !” หวางฮุยหน้าถอดสีทันที เขาคิดไม่ถึงเลยว่าเพื่อนร่วมชั้นที่อยู่ในระดับการกลั่นร่างขั้น5 จะถูกหลัวซิวทำร้ายให้บาดเจ็บได้ในกระบวนท่าเดียว
หลูเฟิงร้องโหยหวนเสียงดังด้วยความเจ็บปวด ความเจ็บปวดจากกระดูกที่หักทำให้ตัวของเขาสั่นเทาไม่หยุด
สีหน้าของหลัวซิวรึความรู้สึก “ทำลายกฎระเบียบของสำนักยุทธ์ ขัดขวางไม่ให้ข้าเข้าไปในหอเก็บหนังสือ รนหาที่ชัด ๆ !”
ขณะที่พูด หลัวซิวก็หันมองหวางฮุยด้วยแววตาที่เย็นชา “ตอนนี้เจ้ายังคิดจะขวางข้าอีกไหม ?”
ถึงแม้ผลการฝึกตนของทั้งสองคนจะอยู่ในระดับที่สูงกว่าตนเอง แต่เป็นเพราะการฝึกปราณเป็นตายสองระดัย ประกอบกับสามารถใช้วิธีทำลายเส้นชีวิตได้โดยตรง ทำให้หลัวซิวไม่ได้เห็นลูกศิษย์ชั้นกลางที่ผ่านการกลั่นร่างขั้น5ทั้งสองคนนี้อยู่ในสายตา
เมื่อถูกหลัวซิวจับจ้อง หวางฮุยก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่น รู้สึกว่าหลัวซิวในตอนนี้ดูราวกับคนแปลกหน้า เหมือนกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
แต่เมื่อคิดถึงว่าตนเองนั้นมีตระกูลจางคอบหนุนหลังอยู่ หวางฮุยจึงแสดงท่าทีแน่วแน่ออกมาในทันที พร้อมทั้งตะโกนด้วยความโมโหว่า : “หลัวซิว เจ้าช่างกล้านัก ไม่เพียงคิดจะบุกรุงเข้าหอเก็บหนังสือ แต่ยังทำร้ายผู้ที่เฝ้ายามอีกด้วย ข้าจะขอทำลายผลการฝึกตนของเจ้าซะ !”
คำพูดเหล่านี้ หวางฮุยกล่าวออกมาด้วยความโมโห ปราณในทั่วทั้งร่างของเขาเริ่มเคลื่อนไหว
“ข้าเองก็เคยเห็นคนไร้ยางอาย แต่ไม่เคยเห็นคนที่ไร้ยางอายอย่างเช่นเจ้ามาก่อน ทุกคนในที่นี้เป็นพยานได้ เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าพวกเจ้าเป็นคนฝ่าฝืนกฎระเบียบก่อน แล้วจู่ ๆ คิดจะใส่ร้ายข้าอย่างนั้นหรือ ?” หลัวซิวหัวเราะเยาะออกมา
“เจ้าหลัวซิว !” หวางฮุยรู้สึกโมโหแต่ไม่รู้จะโต้แย้งเช่นไร หางตาของเขาเหลือบไปเห็นบรรดาลูกศิษย์ของสำนักยุทธ์ที่ยืนห้อมล้อมกันอยู่
“จริงด้วย คิดว่าอยู่ชั้นกลางแล้วเก่งนักหรืออย่างไร เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าหลัวซิวฝึกตนถึงระดับการกลั่นร่างขั้น4แล้ว หากว่ากันตามกฎระเบียบสามารถเข้าไปเลือกรับวิชายุทธ์ในหอเก็บหนังสือได้ แต่พวกเขากลับไม่ยอมให้หลัวซิงเข้าไป”
“แต่หลัวซิวเองก็เก่งกาจไม่เบา ผู้ฝึกยุทธ์ชั้นกลางระดับการกลั่นร่างขั้น5 ยังไม่อาจต้านทานหมัดของเขาได้”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ดังขึ้นโดยรอบทำให้หวางฮุยหน้าถอดสี เขารู้ดีว่าตนเองนั้นไร้เหตุผล แต่ถ้าหากเขาจัดการกับคนอย่างหลัวซิวให้พิการได้ สำนักยุทธ์คงไม่ลงโทษเขาเพียงเพื่อคนพิการคนเดียวอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นตัวเขาเองก็ยังมีตระกูลจางเป็นที่พึ่งอยู่
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เขาก็หันมองคนที่ยืนอยู่โดยรอบอย่างดุร้าย แล้วพูดขึ้นด้วยความโมโห : “หลัวซิว ในเมื่อเจ้ายังกล้าต่อปากต่อคำอีก วันนี้ข้าจะทำให้เจ้าพิการให้ได้ !”
เขาพุ่งตรงเข้าใส่หลัวซิวทันที แล้วพุ่งหมัดทะลุอากาศไปอย่างรวดเร็ว หลูเฟิงถูกทำร้ายจนบาดเจ็บ ทำให้หวางฮุยรู้สึกกลัวเล็กน้อย ดังนั้นจึงเลือกใช้ทักษะยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดของตนเอง
“ทักษะยุทธ์ระดับ2 ? ครั้งนี้หลัวซิวควรรับมืออย่างไรดี ?”
“เมื่อครู่หลูเฟิงคนนั้นประมาทเกินไปจึงพ่ายแพ้ให้แก่ศัตรู แต่หวางฮุยคงไม่มีทางทำผิดพลาดซ้ำสองอย่างเด็ดขาด”
“ผู้ฝึกยุทธ์ที่ผ่านการฝึกระดับเส้นเอ็นและกระดูกใรการกลั่นร่างขั้น5 มักมีพลังที่แข็งแกร่งเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อประกอบกับทักษะยุทธ์ระดับ2 หากการกลั่นร่างระดับ4ถูกทำร้ายเข้าอย่างจัง ต่อให้ไม่ถึงตายก็คงต้องพิการอย่างแน่นอน !”
“หลีกไปให้พ้น !”
หลัวซิวตะโกนด้วยความโมโห เขายังคงให้หมัดกระทิงบิ่นประมือกับอีกฝ่าย
ในสายตาของทุกคน พลังของหลัวซิวด้อยกว่าหวางฮุยหลายเท่าตัวนัก
“ตุบ !”
ขณะที่หมัดทั้งสองปะทะกัน จู่ ๆ หวางฮุยก็ร้องโอดครวญออกมาด้วยความเจ็บปวด
“โอ๊ย มือข้า !”
เขาเดินโซเซถอยหลังไป เสียงกระดูกหักดังขึ้น ความเจ็บปวดราวกับถูกแทงทะลุหัวใจ ทำให้หวางฮุยไม่อาจทานทนได้
“นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ?”
ทุกคนต่างตกตะลึงไปอีกครั้ง หลูเฟิงและหวางฮุยล้วนอยู่ในระดับการกลั่นร่างขั้น5 แน่นอนว่าจะต้องมีพลังที่แข่งกว่าขั้น4หลายเท่าตัวนัก แต่เพียงแค่กระบวนท่าเดียว กลัวพ่ายแพ้ให้กับหลัวซิวเสียแล้ว
“หมัดของหลัวซิวยากที่จะเอาชนะได้ มันต้องมีอะไรที่ไม่ธรรมดาแน่ ๆ”
“วิชาหมัดกระทิงบิ่นเป็นเพียงทักษะยุทธ์ระดับ1 ทำไมถึงได้มีพลังที่ร้ายกาจเช่นนี้ได้ ?”
ทุกคนต่างตกตะลึง ในสายตาของลูกศิษย์สำนักยุทธ์เหล่านี้ ไม่อาจมองเห็นความลับที่ซ่อนอยู่ภายใต้เรื่องนี้ได้เลย
“ตอนนี้ข้าจะเข้าไปในหอเก็บหนังสือ พวกเจ้ายังคิดจะขวางอยู่อีกไหม ?”
หลัวซิวเย้ยหยันแล้วเดินตรงไปด้านหน้า หลูเฟิงและหวางฮุยต่างกุมมือขวาของตนเองเอาไว้ แล้วถอยร่นไปด้วยความหวาดกลัว
“หลัวซิว เจ้าอย่าทระนงตนให้มากนักนะ เจ้ากล้าล่วงเกินตระกูลจางเช่นนี้ ไม่มีทางได้ตายดีแน่ !” หวางฮุยกัดฟัน แล้วตะโกนด้วยน้ำเสียงดุดัน
ข้าทระนงตน ? ดูเหมือนคนที่ทระนงตนมาโดยตลอดคือพวกเจ้ามากกว่านะ ?
หลัวซิวหันมองทั้งสองอย่างดูถูก เขาไม่อยากพูดกับคนเหล่านี้ให้มากความ “หลีกไป มิเช่นนั้นข้าจะช่วยสงเคราะห์ให้มือของพวกเจ้าพิการอีกข้างหนึ่ง !”
“เจ้า……หลัวซิว เจ้าอย่าทำตัวไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงไปหน่อยเลย !”
“หนวกหู !”
ใบหน้าของหลัวซิวเย็นชา เขาใช้เท้าเตะไปที่ทั้งสองคนที่ขวางทางเขาอยู่ในทันที

########################

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

None

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท