เมื่อเห็นฉากนี้ จอมยุทธ์ค่ายมืดหลายคนที่อยู่เบื้องหลังหลัวซิวก็อดไม่ได้ที่จะสูดหายใจลึก หนังศีรษะของพวกเขารู้สึกเสียวซ่า
“นั่นคือเปลวไฟที่ผู้แข็งแกร่งระดับเทพมารทิ้งไว้ เกรงว่าแม้แต่ผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ก็ไม่กล้าแตะต้อง”
บาเค่อพูดอย่างเคร่งขรึมพร้อมมองดูหลัวซิว “เจ้าเองก็อย่าลองใช้อัคคีเทพนี้ในการกลั่นร่าง”
หลัวซิวพยักหน้า เขารู้อยู่แล้วว่าพลังที่อยู่ในอัคคีเทพและสารจิงอัคคีเทพนี้ไม่เหมือนกัน เต็มไปด้วยการทำลายล้าง ไม่เหมาะสำหรับการกลั่นร่าง และหากสัมผัสโดนเล็กน้อยก็จะถูกเผาให้ตาย
กลุ่มคนเริ่มเดินหน้าต่อไป และเมื่อพวกเขาเดินไปใกล้ๆ พวกเขาสามารถเห็นได้ชัดเจนว่าตำหนักบางตำหนักในวังที่ถูกอัคคีเทพปกคลุมนั้นถูกจารึกด้วยตัวอักษรมากมาย แต่ตัวละครประเภทนี้เก่าเกินไปและน้อยคนนักที่จะรู้จัก
อัคคีเทพบดบังท้องฟ้าอยู่เหนือกลุ่มตำหนัก และมองเห็นได้เลือนลางว่ามีคนอยู่ในอาคารวัง
“นั่นมันพวกที่มาจากค่ายสว่าง!”
เมื่อเห็นว่ามีคนอยู่ข้างใน จอมยุทธ์จำนวนมากจากค่ายมืดก็นิ่งต่อไปไม่ได้อีกต่อไป ต่างรีบเข้าไปในกลุ่มวังเพื่อค้นหาสมบัติ
บาเค่อกลับไม่รีบพุ่งเข้าไป แต่เลือกที่จะเดินไปพร้อมหลัวซิว
เขาชัดเจนมากว่าความแข็งแกร่งของตนแข็งแกร่งไม่เพียงพอ และเขาสามารถพึ่งพากระบี่เทวมืดได้เท่านั้น แต่เอริค เทพบุตรสุริยาเอริคที่ครอบครองนักยุทธ์เทพมารเหมือนกัน เขาจะไม่เป็นคู่ต่อสู้กับเขา
แต่ซิวหลัวคนนี้แตกต่างออกไป เขาแข็งแกร่งอย่างยิ่ง เมื่อถึงวินาทีสำคัญ ให้เขาครอบครองกระบี่เทวมืด จะสามารถต่อสู้กับเอริคได้อย่างแน่นอน
หลังจากที่จอมยุทธ์แห่งค่ายมืดเข้าไปแล้ว ไม่นานก็มีเสียงดังเกิดขึ้น
“เป็นไปได้ไหมที่ใครบางคนพบสมบัติในเมืองแล้วต่อสู้กันขึ้นมา?” ดวงตาของบาเค่อเป็นประกายเล็กน้อย
ตามฐานะของเขา เขาไม่ขาดแคลน ทรัพยากรและสมบัติ แต่นั่นเป็นเพียงเพราะท่านพ่อของเขาคือเจ้าแห่งตำหนักเทวมืด แต่ทรัพยากรสมบัติที่เขาพบนั้นแตกต่างจากที่เขาได้มาโดยไม่ต้องใช้แรงงานใดๆ
หลัวซิวก็อดสนใจเล็กน้อยในใจไม่ได้ นี่คือที่พำนักของเหล่าทวยเทพในสมัยโบราณ หากมีสมบัติ มันจะพิเศษมาก
สมบัติมากมายของเขาถูกแย่งไปโดยเก๋อฟูและลีน่ามหาจักรพรรดิยุทธ์สองคน ในขณะนี้เขายังยากจนอยู่ และหากพบสมบัติ เขาจะต้องไม่ปล่อยพวกมันไปแน่
หลัวซิวและบาเค่อสบตากัน ทั้งสองพยักหน้าพร้อมกัน แล้วเดินไปทางต้นเสียง
คนรับใช้ติดตัวของบาเค่อเดินตามอย่างเงียบๆอยู่ด้านหลัง
ครั้งนี้ทั้งค่ายสว่างและค่ายมืดต่างก็ใช้นักยุทธ์เทพมารชิ้นหนึ่ง ภายใต้การคุ้มครองของนักยุทธ์เทพมาร จำนวนคนทั้งสองฝ่ายที่เข้ามาในพื้นที่นี้เกือบถึง สองพันคนแล้ว
ไม่นานนัก หลัวซิวทั้งสามคนก็เห็นเห็นศพหลายศพ บางคนมาจากค่ายแสง และบางคนมาจากค่ายมืด
จะเห็นได้ว่าทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอย่างแท้จริง
“ช่างเป็นออร่าเปลวเพลิงอันแรงกล้าเสียนี่กระไร!”
สายตาของหลัวซิวมองไปทางทิศหนึ่ง เขาสัมผัสได้ถึงออร่าเปลวเพลิงที่รุนแรง ซึ่งค่อนข้างคล้ายกับสารจิงอัคคีเทพที่เขาได้รับมาก่อนหน้านี้
ในสารจิงอัคคีเทพมีร่องรอยของพลังดั้งเดิมเปลวไฟ หากสามารถเอามาเป็นของตนเองได้ ก็จะเป็นสมบัติล้ำค่าสำหรับจอมยุทธ์ทุกคนที่ฝึกฝนวรยุทธ์ธาตุไฟ และจอมยุทธ์กลั่นร่างสามารถใช้ในการฝึกตนร่างยุทธ์ร่างเนื้อ
แดนร่างเนื้อของหลัวซิวสามารถอัพเกรดถึงเจ้ายุทธจักรขั้นปลายได้อย่างรวดเร็วแดน และผลส่วนใหญ่เกิดจากสารจิงอัคคีเทพ
เขาเร่งความเร็วและบินไปในทิศทางของออร่าทันที ตามด้วยบาเค่อและคนรับใช้ชราของเขา
หลังจากผ่านตำหนักที่ทรุดโทรมไปมากกว่าสิบกว่าตำหนักแล้ว ออร่าแห่งความตายอันไร้ขอบเขตและน่าสะพรึงกลัวก็เพิ่มขึ้นในทันใด
ในเวลาเดียวกัน ตัวสำนึกของหลัวซิวสัมผัสได้ถึงภาพหลอนที่พุ่งเข้ามาหาเขาด้วยความเร็วที่เร็วมาก
“ปัง!”
เขายกมือขึ้นพร้อมปล่อยหมัดออกไป และร่างหนึ่งก็ถูกเขาต่อยออกไปโดยตรง แต่การสัมผัสจากหมัดของเขาดูเหมือนจะต่อยลงบนชิ้นส่วนเหล็กซึ่งแข็งมาก
เขาใช้วิชาวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ เนื้อและเลือดที่ปลิวไปเพราะถูกสายฟ้าผ่าก็เกิดใหม่อย่างรวดเร็ว หลังจากการเกิดใหม่แล้วก็ถูกผ่าอีกครั้ง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
บาเค่อและผู้แข็งแกร่งหลายคนจากค่ายมืด ตามหลังหลัวซิวและได้เห็นฉากนี้ด้วยตาของพวกเขาเอง พวกเขาต่างก็ตกใจและพูดไม่ออก
“เขากำลังหาความตายหรือ?”
ไม่เคยสัมผัสด้วยตัวเอง แต่การได้เห็นกับตาทำให้ผู้แข็งแกร่งจากค่ายมืดตัวสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว
เช่นเดียวกับวาโยสะท้านกระดูก ยิ่งพื้นที่ของฟ้าร้องและฟ้าผ่าอยู่ลึกเท่าใด พลังของสายฟ้าก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น และแสงสลัวที่ปล่อยออกมาจากนักยุทธ์เทพมารก็สั่นสะเทือนจากการโจมตี
เห็นเนื้อและเลือดของหลัวซิวถูกผ่าคล้ายระเบิดครั้งแล้วครั้งเล่าและเกิดใหม่ เขาหยิบเม็ดยาออกมาทานเป็นครั้งคราว แต่การก้าวไปข้างหน้าไม่ได้ช้าลงเลยแม้แต่น้อย โดยยังคงรักษาความเร็วเท่าเดิมตั้งแต่ต้นจนจบ
“ร่างยุทธ์ร่างเนื้อของเขากำลังแข็งแรงขึ้น!”
“ใช่ ยิ่งเข้าไปลึกเท่าไหร่ พลังของสายฟ้าก็ยิ่งยิ่งแข็งแกร่ง และเขาสามารถต้านทานมันได้เสมอ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าร่างกายของเขาแข็งแกร่งกว่าตอนที่เขาเริ่มเล่นครั้งแรก”
“ช่างน่ากลัวนัก วิธีกลั่นร่างแบบนี้เขายังสามารถคิดได้”
“สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือเขาไม่เพียงแต่คิดออกมาได้เท่านั้น แต่ยังสามารถทำมันได้สำเร็จ”
ในค่ายมืดยังมีเจ้ายุทธจักรมากมายที่ฝึกฝนกลั่นร่าง แต่ไม่มีใครกล้าลอง แม้แต่ผู้แข็งแกร่งกลั่นร่างระดับเจ้ายุทธจักรที่ไม่มีใครเทียบได้มาที่นี่ พวกเขาอาจจะสามารถทนต่อการระเบิดของสายฟ้าได้หนึ่งหรือสองครั้ง แต่ถ้าเป็นสิบกว่าครั้งที่ผ่าลงมาพร้อมกัน แม้ว่าจะเป็นเจ้ายุทธจักรที่ไม่มีใครเทียบได้ ก็ต้องตายและกลายเป็นเถ้าถ่าน
“ทำลายมันเพื่อข้า!”
หลัวซิวเดินไปตลอดทาง และหลังจากที่ถูกวาโยสะท้านกระดูกและสายฟ้าผ่าไม่รู้จบ เขารู้สึกว่าแดนร่างเนื้อของเขาใกล้จะบรรลุแล้ว
เขานำชิ้นส่วนของสารจิงอัคคีเทพที่ได้รับมา ดูดซับแก่นธาตุอัคคีเทพที่บรรจุอยู่ในนั้น และทำให้ร่างกายของเขาแข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง
บูม!
ทันใดนั้น รัศมีอันทรงพลังก็แผ่ออกจากร่างกายของเขา ร่างยุทธ์ร่างเนื้อก็ทะลุผ่านโซ่ตรวนและไปถึงแดนเจ้ายุทธจักรขั้นปลายโดยตรง!
แม้ว่าเขาจะยังไม่ถึงแดนเจ้ายุทธจักรขั้นสูงสุด แต่ร่างกายของเขากลั่นร่างด้วยพลังแห่งกฎความตายนั้นแข็งแกร่งกว่าแดนเจ้ายุทธจักรขั้นสูงสุด รองจากร่างยุทธ์แดนมหาจักรพรรดิยุทธ์เท่านั้น!
สายฟ้าที่ไม่รู้จบสิ้นผ่าลงมาบนร่างกายของเขาไม่หยุด แต่มันไม่สามารถทำร้ายเขาได้แม้แต่น้อย
ในเวลาเพียงไม่กี่วัน ไม่เพียงแต่แดนร่างเนื้อของเขาจะแข็งแกร่งขึ้นอย่างก้าวกระโดดเท่านั้น แต่จิตใจของเขาได้รับการฝึกฝนให้มีความมุ่งมั่นอย่างหาที่เปรียบมิได้
ในที่สุดก็มีแสงส่องเข้ามาที่ตรงหน้าพื้นที่มืด ร่างหลัวซิวรางกับสายฟ้า เขาผ่านไปอย่างรวดเร็ว บาเค่อ และผู้แข็งแกร่งอื่น ๆ จากค่ายมืดติดตามอย่างใกล้ชิดภายใต้การคุ้มครองของนักยุทธ์เทพมาร
หลังจากหนีจากอวกาศอันมืดมิดแล้ว ออร่าพลานุภาพก็พุ่งเข้ามา กดดันจนทำให้ผู้คนรู้สึกหายใจไม่ออก
เมื่อมองขึ้นไป นี่คือดินแดนกว้างใหญ่ที่มีซากตำหนักกระจายอยู่ทุกหนทุกแห่ง ออร่าที่แข็งแกร่งลึกลับแทรกซึมอยู่อย่างไม่รู้จบ มันคือออร่าของเทพมารยังคงหลงเหลืออยู่ที่นี่
เห็นได้ชัดว่าพื้นที่ที่ทุกคนยืนอยู่นั้นไม่ได้อยู่ในโลกเชิ่งถิงอีกต่อไป แต่เป็นโลกของอาณาจักรลับที่สร้างขึ้นโดยผู้แข็งแกร่งระดับเทพมาร
เพียงแต่ว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่บนแดนโลกลึกลับนี้ และมันก็รกร้างยิ่งกว่าแดนดารานอกซะอีก
เมื่อมองดูจะมีกลุ่มของตำหนักตั้งตระหง่านอยู่ข้างหน้าพวกเขา ตำหนักและวังต่างๆ เรียงกันเป็นแถว ตั้งตระหง่านและกว้างใหญ่เต็มหมด
แต่ตำหนักเหล่านี้ได้รับความเสียหาย ปกคลุมด้วยเปลวไฟขนาดใหญ่ ในรัศมีหลายพันไมล์
ทันใดนั้น เปลวเพลิงกองหนึ่งก็พุ่งออกจากทะเลเพลิง และเผายอดเนินเขาจนไม่เหลือและระเหยกลายเป็นไอโดยตรง
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 897
บาเค่อและคนอื่นๆ ได้ยินเสียงกระดูกแตกเลยคิดว่านี่เป็นผลมาจากการที่หลัวซิวไม่สามารถทนต่อไปในวาโยสะท้านกระดูกได้
แต่ในความเป็นจริง หลัวซิวกำลังใช้วาโยสะท้านกระดูกเพื่อกลั่นกระดูกของตนเอง
เป้าหมายของวาโยสะท้านกระดูกคือกระดูก ทะลุเกราะป้องกันเนื้อและเลือด และตกลงบนกระดูกของสิ่งมีชีวิตโดยตรง พลังแห่งความตายที่ซ่อนเร้นจะกัดกร่อนกระดูกให้กลายเป็นสิ่งตกค้าง
และหลัวซิวเองก็ฝึกฝนกฎความตาย ปกป้องกระดูกและกล้ามเนื้อด้วยพลังแห่งกฎความตาย แบบนี้แล้วก็จะต้านทานวาโยสะท้านกระดูกได้อย่างมีประสิทธิภาพ และใช้วาโยสะท้านกระดูกเพื่อบรรเทาสิ่งสกปรกในกระดูก ทำให้กระดูกและกล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น
เพียงแต่ว่ากระบวนการนี้เจ็บปวดทรมานยิ่งนัก ประกอบกับความแค้นในตัวหยั่งรู้ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ฉากสยองต่างๆ ที่ส่งผลต่อจิตใจของเขา หากไม่ใช่เพราะจิตใจของเขาแข็งแกร่งมากพอ เกรงว่าตัวหยั่งรู้ได้ล่มสลายไปแล้ว
“เจ้าไม่ต้องกังวลข้า” หลัวซิวกล่าว
“ซิวหลัว…” บาเค่อยังต้องพูดอะไรบางอย่าง แต่เห็นว่าหลัวซิวไม่สนใจเขา และเดินตรงเข้าใกล้วาโยสะท้านกระดูก ไปในส่วนลึกของพื้นที่สีดำนี้
ไม่รู้ว่าพื้นที่สีดำนี้ยาวแค่ไหน เมื่อเห็นว่าหลัวซิวได้ก้าวไปข้างหน้าแล้ว บาเค่อจึงรีบเร่งกระบี่เทวมืดเพื่อปกป้องทุกคนพร้อมเดินไปข้างหน้าต่อไป
“คนจากค่ายสว่างเข้าไปก่อนแล้ว เราต้องเร่งความเร็ว ไม่เช่นนั้นหากมีโอกาสหรือสมบัติในเมืองเทพโบราณ จะถูกคนของค่ายสว่างได้ไป”
ผู้แข็งแกร่งหลายคนแห่งค่ายมืดหลายคนกระตุ้นให้บาเค่อเร่งความเร็ว
บาเค่อเข้าใจเหตุผลนี้อยู่แล้ว ความเร็วของทุกคนเริ่มเร็วขึ้นเรื่อยๆ แต่พวกเขาพบว่าหลัวซิวที่อยู่ข้างหน้านั้นเร็วกว่าความเร็วของพวกเขามากนัก
“พระเจ้าของข้า ผู้ชายคนนี้เป็นผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์หรือ? ถึงสามารถเดินได้อย่างอิสระได้ในวาโยสะท้านกระดูก”
“วาโยสะท้านกระดูกยิ่งลึกเข้าไป ยิ่งน่ากลัวมากขึ้นเท่านั้น แต่เขาไม่เป็นอะไรเลย ท่านชายบาเค่อท่านไปหาองครักษ์คนนี้มาจากที่ไหนกัน?”
ผู้แข็งแกร่งหลายคนจากค่ายมืดมองดูแผ่นหลังของหลัวซิว และพวกเขาต่างก็ตกตะลึง ในสายตามีความเคารพเกรงใจ
ร่างของหลัวซิวเดินอยู่ในแนวหน้าเสมอ หลังจากผ่านช่วงระยะเวลาของการปรับตัว เขาสามารถมองข้ามอิทธิพลความแค้นในตัวหยั่งรู้ได้
ยิ่งเคลื่อนไปข้างหน้า พลังของวาโยสะท้านกระดูกก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น แต่ภายใต้การกดดันนี้ กระดูกของเขาถูกกลั่นแปรอย่างต่อเนื่อง อยู่ระหว่างการเปลี่ยนแปลงและดีขึ้น
บูม!
ทันใดนั้น แสงฟ้าร้องปรากฏขึ้นด้านหน้า เมฆสีดำขนาดใหญ่กลิ้งลงมา ฟ้าร้องและฟ้าผ่าผสมผสานกัน
หลัวซิวเดินออกจากพื้นที่ที่มีวาโยสะท้านกระดูก ฟ้าร้องและฟ้าผ่าที่ผสมผสานกันเหมือนมังกรที่ผ่าลงมา ฉีกผิวหนังของเขาออกเป็นชิ้น ๆ ซึ่งไม่น่ามองมาก
เลือดผสมกับเศษเนื้อที่ไหม้เกรียมกระเด็นไปทั่ว และหลังจากที่ร่างยุทธ์ร่างเนื้อของหลัวซิวถูกสายฟ้าฟาดหลายครั้ง เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสในทันที เผยจนกระดูกของเขาออกมา
“ช่างเป็นเสียงฟ้าร้องและฟ้าผ่าที่รุนแรงจริงๆ พลังที่บรรจุอยู่ในแสงฟ้าร้องแต่ละดวงสามารถเทียบได้กับการโจมตีสุดกำลังของเจ้ายุทธจักรที่ไม่มีใครเทียบได้”
เสื้อผ้าของหลัวซิวขาดรุ่ย ผมยุ่งเหยิง ร่างกายของเขากลายเป็นสีดำไหม้เกรียม และเลือดไหลออกมาทั่วตัว แต่ดวงตาของเขาสงบมาก เขาไม่ได้ดูตื่นตระหนก
บูม! บูม! บูม! …
สายฟ้าฟาดลงมาอีกหลายครั้งติดต่อกัน เขายกมือขึ้นต่อต้าน เนื้อและเลือดบนมือของเขากระเซ็นออกไป แต่กระดูกของเขาไม่ได้รับอันตราย ไม่ว่าสายฟ้าจะฟาดลงมาอย่างไรก็ไม่ได้รับความเสียหายใดๆ
นี่คือผลของการกลั่นร่างในวาโยสะท้านกระดูก แม้ว่าขอบเขตแดนร่างเนื้อของเขาจะไม่ได้รับการปรับปรุงในทุกทิศทาง แต่ความแข็งของกระดูกนั้นแข็งแกร่งกว่าอาวุธขลังชั้นดีอย่างแน่นอน!
จอมยุทธ์ที่กลั่นชุบร่างกายได้จนถึงขีดสุด ร่างยุทธ์ร่างเนื้อก็คืออาวุธ หลังจากประสบกับการเปลี่ยนแปลงและแข็งแกร่งขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า สามารถต่อต้านกับสมบัติวิเศษระดับมหาจักรพรรดิได้ เทียบได้กับนักยุทธ์เทพมาร!
“ฮึ่ม นี่คือจุดจบที่ท้าทายข้า ถ้ายังกล้าพูดจาไร้สาระอีก ข้าจะฆ่าพวกเจ้า!”
บาเค่อตะคอกอย่างเย็นชาราวกับว่าเขาเป็นเทพบุตรมืดแล้วและควบคุมทุกอย่างอยู่ในมือ
อย่างไรก็ตาม ในใจของเขาก็ตกตะลึงอย่างมาก เขาคาดไม่ถึงว่าซิวหลัวคนนี้จะแข็งแกร่งถึงขนาดที่ใช้แค่กระบวนท่าเดียวก็สามารถสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงให้กับเจ้ายุทธจักรขั้น 9 ทั้งสองได้
“โชคดีที่เป็นคนที่ป้าลีน่าเอามาช่วยเหลือข้า ไม่อย่างนั้นถ้าคนๆ นี้แย่งตำแหน่งเทพบุตรด้วย ใครจะไปแย่งกับเขาได้?” บาเค่อคิดในใจ
การลงมือของหลัวซิวได้ขัดขวางเจ้ายุทธจักรหลายคนที่ต้องการแย่งชิงเทพบุตร ผู้แข็งแกร่งหลายคนของค่ายมืดไม่กล้าส่งเสียงคัดค้านอีกต่อไปและพวกเขาทั้งหมดรวมตัวกันรอบบาเค่อ
ฮึ่ม!
ร่างของบาเค่อแผ่แสงมืดออกมา แสงมืดปกป้องทุกคนแล้วเข้าไปในหลุมดำ
ทันทีที่พวกเขาเข้าไปในหลุมดำ เสียงหวีดหวิวของลมก็แผ่ไปทั่วหู วาโยสะท้านกระดูกนั้นไม่มีที่สิ้นสุด มันเป็นความแค้นและกลิ่นอายของซากศพสมัยโบราณของผู้แข็งแกร่งจำนวนนับไม่ถ้วนที่เสียชีวิตตอนที่เมืองเทพถูกทำลาย
หากไม่มีการปกป้องจากนักยุทธ์เทพมาร เว้นแต่เจ้าจะมีพลังการต่อสู้ที่แข็งแกร่งมาก หากถูกวาโยสะท้านกระดูกพัด ความแค้นในสายลมจะกระทบตัวหยั่งรู้ของจอมยุทธ์และการกัดกร่อนร่างเนื้อของจอมยุทธ์
“ช่างเป็นพลังแห่งความตายที่แข็งแกร่งจริงๆ”
หลัวซิวอยู่ในแสงสลัวที่ปล่อยออกมาจากนักยุทธ์เทพมาร แต่ตัวสำนึกของเขาสามารถสัมผัสได้ถึงแหล่งที่มาของพลังที่มีอยู่ในวาโยสะท้านกระดูก
“ซิวหลัว เจ้าจะไปทำอะไร?” บาเค่อตะโกนถามเมื่อเห็นหลัวซิวเดินไปข้างหน้าอย่างกะทันหัน
“ข้าไปลองพลังของวาโยสะท้านกระดูกนี้” หลัวซิวกล่าว
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ไม่เพียงแต่บาเค่อเท่านั้น สีหน้าของคนอื่นๆ รอบตัวาก็เปลี่ยนไปอย่างมาก เพราะวาโยสะท้านกระดูกนี้มีพลังมหาศาล เจ้ายุทธจักรที่ไม่มีใครเทียบได้ก็จะกลายเป็นผงเมื่อเข้าไปแล้ว
บาเค่อกำลังจะเกลี้ยกล่อม แต่หลัวซิวเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและเดินออกจากแสงสลัวที่ปล่อยออกมาจากนักยุทธ์เทพมารโดยตรง
ทันทีที่เขาออกจากที่กำบังปกป้องของนักยุทธ์เทพมาร ความแค้นก็ท่วมท้นสู่ตัวหยั่งรู้ของหลัวซิว ความแค้นเหล่านี้เป็นของจอมยุทธ์นับไม่ถ้วนหลังจากเสียชีวิตแล้วเหลือออกมา หลังจากความแค้นพุ่งเข้าสู่ตัวหยั่งรู้ ภาพสยองต่างๆ ที่น่าหวามกลัวก็เกิดขึ้นมามากมาย
“ความแค้นระดับนี้ อย่าคิดจะสั่นคลอนจิตใจของข้า!”
หลัวซิวตั้งใจปกป้องจิตใจของตน และต่อต้านผลกระทบของความแค้นที่มีอยู่ในวาโยสะท้านกระดูก แม้ว่าผลกระทบของความแค้นจะรุนแรง แต่ถ้าเขาสามารถต้านทานได้ มันก็จะเป็นโอกาสสำหรับสภาพจิตใจของเขาที่จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี และสามารถขัดเกลาจิตใจได้ ความแน่วแน่ของเขาจะหาที่เปรียบมิได้ แม้จะเผชิญกับภาพอันน่าสะพรึงกลัวและแข็งแกร่งเพียงใด เขาก็ยังคงสงบนิ่งและจิตใจของเขาจะไม่หวั่นไหว
แต่หากตัวจอมยุทธ์ไม่สามารถต้านทานผลกระทบของความแค้นได้ ตัวหยั่งรู้จะถูกทำลายด้วยความแค้น วิญญาณจะสลาย ร่างกายและวิญญาณจะถูกทำลาย
และนอกจากผลกระทบของความแค้น พลังที่มีอยู่ในวาโยสะท้านกระดูกเองก็น่ากลัวมากเช่นกัน ลมนั้นเปรียบเสมือนกระบี่ที่แทงทะลุเนื้อและเลือดของเขาโดยตรงพร้อมกัดกร่อนกระดูกของเขา
“อ๊าก!…”
ความเจ็บปวดของกระดูกที่สึกกร่อนทำให้สีหน้าของหลัวซิวบิดเบี้ยว ความเจ็บปวดของร่างกายส่งผลต่อจิตใจได้ง่าย ประกอบกับการโจมตีจาดความแค้น เป็นการยากที่จะรักษาจิตใจเดิมของเขาไว้ได้
“แค่ก!”
ภายใต้เครื่องแต่งกายของวาโยสะท้านกระดูก กระดูกของหลัวซิวกลายเป็นเปราะบาง และกระดูกหลายชิ้นก็หักในทันที
“ซิวหลัว เจ้ารีบกลับมาเร็ว!” บาเค่อตะโกนเสียงดัง เพราะเพิ่งเข้ามาและไม่รู้ว่าจะต้องเดินทางไกลแค่ไหนกว่าจะผ่านวาโยสะท้านกระดูก ถ้าเรื่องยังเป็นแบบนี้ กลัวว่าซิวหลัวจะทนได้ไม่นานก็จะถูกวาโยสะท้านกระดูกกัดเซาะกระดูกกลายเป็นผง
อันที่จริงเหตุผลที่หลัวซิวออกมาช่วย ไม่ใช่เพราะเขาถูกลีน่าและเก๋อฟูแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ทั้งสองบีบบังคับ แต่เพราะเขารู้สึกว่าบาเค่อเป็นคนที่ไม่เลว ก่อนหน้านี้เขาเคยช่วยเขาฆ่าพระสมณปฐพีโดยไม่ลังเลที่จะใช้นักยุทธ์เทพมาร
ไม่ว่าบาเค่อจะตั้งใจผูกมิตรกับตัวเองหรือมีเป้าหมายอย่างอื่น หลัวซิวเป็นคนที่แบ่งแยกความแค้นและบุญคุณชัดเจนอยู่เสมอ
คราวนี้มาสำรวจเมืองเทพโบราณ จะปลอดภัยที่สุดที่จะมีนักยุทธ์เทพมารไว้ในมือของฝ่ายตน เขาจะต้องช่วยบาเค่อรักษาการครอบครองนักยุทธ์เทพมารไว้อยู่แล้ว
“แค่องครักษ์กลับกล้าอวดดีนัก ให้ข้าดูว่าเจ้ามีความสามารถอะไร!”
เจ้ายุทธจักรขั้น 8คนหนึ่งเป็นคนแรกที่โจมตีก่อน เขารู้ดีว่าเขาไม่อาจจะเอาชนะบาเค่อได้ แต่ต่อสู้องครักษ์คนหนึ่ง ก็ง่ายดายมาก และหากชนะก็สามารถกดดันออร่าของบาเค่อได้เช่นกัน
ร่างของหลัวซิวนั้นไม่ได้ขยับ ก่อนหน้านี้เขาได้ฆ่าเจ้ายุทธจักรสองคนด้วยฝ่ามือเดียว ซึ่งทำให้ค่ายมืดรู้สึกว่าความแข็งแกร่งของเขานั้นไม่ธรรมดา แต่ไม่คิดว่าเขาจะสามารถต่อต้านเจ้ายุทธจักรขั้น 8 ได้ เพราะเจ้ายุทธจักรสองคนที่ถูกตบตาย เป็นเพียงเจ้ายุทธจักรขั้นปฐมภูมิธรรมดาเท่านั้น
บูม!
ฝ่ายตรงข้ามกดฝ่ามือมา ฝ่ามือสีดำปกคลุมไปทั่ว ซึ่งมีพลังแห่งกฎมืดอยู่ เกิดหลุมดำขึ้นในฝ่ามือพร้อมกลืนกินทำลายทุกอย่าง
หลัวซิวหรี่ตาลงเล็กน้อย จนกระทั่งฝ่ามือเข้ามาใกล้ ทันใดนั้นก็ยกมือขึ้นและชกออกไป
หมัดของเขาดูเหมือนธรรมดา แต่มีสาระสำคัญของหมื่นจักรวาลไร้รูปอยู่ หมัดเหมือนค้อนเทพ ทุบลงไปแล้วโลกสั่นสะท้าน อวกาศความว่างเปล่าแหลกสลาย
รอยฝ่ามือสีดำถูกต่อยทะลุทันที สีหน้าเจ้ายุทธจักรขั้น 8 ที่โจมตีเปลี่ยนไป เขาถอยกลับด้วยความสยดสยอง เหงื่อไหลออกมาบนหน้าผากของเขา
“ไม่เจียมเนื้อเจียมตัว ความแข็งแกร่งแค่นี้ก็เอาชนะข้าไม่ได้ก็ยังกล้าท้าทายท่านชายบาเค่อ?” หลัวซิวเย้ยหยันอย่างดูถูก
ก่อนหน้านี้เขาออมมือแล้ว ไม่เช่นนั้นทักษะการต่อสู้หมื่นจักรวาลไร้รูปสามารถฆ่าเจ้ายุทธจักรขั้น 8 ได้
เอาชนะเจ้ายุทธจักรขั้น 8 ได้ด้วยกระบวนท่าเดียว?
วินาทีนี้ สายตาของผู้แข็งแกร่งหลายคนจากค่ายมืดที่มองหลัวซิวก็เปลี่ยนไปทันที
ค่ายมืดสนับสนุนความแข็งแกร่ง ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ในสถานะใด ตราบใดที่เจ้ามีความแข็งแกร่งเพียงพอ เจ้าก็จะได้รับความเคารพและความยำเกรงจากผู้อื่น
ต้องรู้ว่าผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเพื่อชิงตำแหน่งเทพบุตรมืดจะไม่เป็นเจ้ายุทธจักรขั้น 8 ธรรมดา แม้แต่ผู้แข็งแกร่งระดับเจ้ายุทธจักรที่ไม่มีใครเทียบได้ก็ไม่กล้าพูดว่าแค่กระบวนท่าเดียวก็สามารถทำได้ถึงระดับนี้ได้
“บาเค่อ หรือเจ้าไม่กล้าสู้กับข้าเองเหรอ?”
เจ้ายุทธจักรขั้น 9 สองคนมองบาเค่อด้วยสายตาเย็นชา “แม้ว่าองครักษ์ของเจ้าจะแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าความแข็งแกร่งของเจ้าจะแข็งแกร่งพอ หากเจ้าต้องการครอบครองกระบี่เทว เจ้ายังต้องพิสูจน์ความแข็งแกร่งของเจ้าเอง”
บาเค่อไม่ใช่คนโง่ เขารู้ว่าทั้งสองใช้กลยุทธ์ยั่วยุ่ เขาจึงเยาะเย้ยกลับในทันที “แม้แต่องครักษ์ของข้าก็ไม่สามารถเอาชนะได้ พวกเจ้าไม่มีคุณสมบัติให้ข้าลงมือเองได้”
หลัวซิวอดหัวเราะในใจไม่ได้เมื่อได้ยินเช่นนี้ บาเค่อคนนี้อยู่ในบทจริงๆ
เมื่อเห็นท่าทางที่เย่อหยิ่งและดูถูกของบาเค่อ สีหน้าของเจ้ายุทธจักรขั้น 9 ทั้งสอง ก็แดงระเรื่อ เมื่อพวกเขากำลังจะพูดอีกครั้ง กลับเห็นบาเค่อแสดงท่าทีไม่พอใจ “เสียงดัง! ซิวหลัวสอนบทเรียนให้พวกเขา!”
“ขอรับ!”
หลัวซิวเริ่มลงมือทันที เพื่อให้เกิดผลที่น่าหวาดกลัว เขาบีบผนึกด้วยมือซ้ายและขวาพร้อมกัน และตราทวยมรณะก็พุ่งออกไปทันที!
เป็นทักษะที่มีศักยภาพในการพัฒนาเป็นพลังอมตะเช่นกัน พลังของตราทวยมรณะสูงกว่าหมื่นจักรวาลไร้รูปที่หลัวซิวสร้าง!
สีหน้าของเจ้ายุทธจักรขั้น 9 ทั้งสองเปลี่ยนไปอย่างมาก พวกเขาพยายามที่จะต่อต้านอย่างสุดกำลังทันที แต่พวกเขาไม่สามารถต้านทานพลังของ ตราทวยมรณะได้ พวกเขาถูกกระแทกออกไปและกระอักเลือดออกมาทันที
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 894
เลิร์น เป็นหนึ่งในเจ้ายุทธจักรที่มีศักยภาพสูงมากที่สุดในตำหนักเทวมืด เป็นผู้แข่งขันแย่งตำแหน่งเทพบุตรมืด
กระบี่เทวมืดมีความสำคัญเป็นพิเศษในตำหนักเทวมืด ใครก็ตามที่ควบคุมมัน ถือเป็นสัญลักษณ์ของฐานะและความแข็งแกร่ง
ให้บาเค่อครอบครองกระบี่เทวมืด สำหรับเลิร์นก็หมายความว่าเป็นเขาที่ได้รับสถานะเป็นเทพบุตรมืดอย่างไม่ต้องสงสัย
สำหรับบาเค่อแล้ว นี่คือบททดสอบอย่างหนึ่งว่าเขาจะครอบครองกระบี่เทวมืดได้หรือไม่ จะเป็นตัวตัดสินว่าเขาจะได้เป็นเทพบุตรมืดในรุ่นนี้หรือไม่
ในการกลายเป็นเทพบุตรมืด จะได้รับการสืบทอดหลักและการฝึกฝนจากตำหนักเทว และมีความเป็นไปได้สูงที่จะกลายเป็นเทพมารในอนาคต หรืออย่างน้อยก็จะกลายเป็นผู้แข็งแกร่งระดับสูงสุดในหมู่มหาจักรพรรดิยุทธ์
เช่นเดียวกับเอริค เหตุผลที่เขาสามารถแข็งแกร่งได้มากเช่นนี้ ก็เพราะความสามารถและพอสวรรค์ที่ไม่มีผู้ใดเทียบได้ ในทางกลับกัน เพราะเขาคือเทพบุตรแห่งวิมานเทวสว่าง ทรัพยากรสมบัติทุกอย่างจะถูกนำไปให้เขา
“เหอะ เหอะ ข้าคิดว่าสิ่งที่เลิร์นพูดนั้นสมเหตุสมผล ใครที่แข็งแกร่งกว่าก็มีคุณสมบัติที่จะครอบครองกระบี่เทว”
“ถูกต้อง แม้ว่าคนบางคนจะมีสถานะพิเศษ แต่เนื่องจากสถานะก็สามารถครอบครองกระบี่เทวได้ ข้า แซคเป็นคนแรกที่ไม่ยอม!”
เจ้ายุทธจักรหลายคนจากตำหนักเทวมืดก้าวออกมาทีละคน ทุกคนจ้องมองบาเค่อด้วยสายตารุ่มร้อน พูดให้ถูกก็คือจ้องไปที่กระบี่เทวมืดที่เขาครอบครองอยู่
เจ้ายุทธจักรคนหนึ่ง ถ้ามีนักยุทธ์เทพมารอยู่ในมือ แม้ว่าเขาจะใช้พลังออกมาเพียงเล็กน้อย ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้แดนมหาจักรพรรดิยุทธ์หวาดหวั่น!
พลังอันทรงพลังเป็นนิรันดร์ นี่คือลัทธิสูงสุดของค่ายมืด ดังนั้น แต่ละคนจึงต้องการเป็นผู้ครอบครองกระบี่เทวมืด เพราะการครอบครองกระบี่เทวมืดนั้น พวกเขาก็สามารถมีพลังที่แข็งแกร่งได้
วินาทีนี้ บาเค่อรู้สึกกดดันอย่างมาก แม้ว่าเขาจะมีผลการฝึกตนเป็นเจ้ายุทธจักรขั้น 8 แต่เจ้ายุทธจักรทุกคนที่ก้าวออกมาท้าท้าย ก็ไม่อ่อนแอไปกว่าเขา
หลัวซิวมองไปที่คนไม่กี่คนที่ก้าวออกมาที่ต้องการแย่งชิงการครอบครองกระบี่เทวมืด นับบาเค่อด้วย มีเจ้ายุทธจักรทั้งหมดหกคน ซึ่งแต่ละคนมี เจ้ายุทธจักรขั้นปลาย และอีกสองคนมีผลการฝึกตนถึงเจ้ายุทธจักรขั้น 9 แข็งแกร่งกว่าบาเค่อ
ความแข็งแกร่งของบาเค่อ อยู่ในตำแหน่งได้แค่ระดับกลางขั้นไปของคนเหล่านี้เท่านั้น
“ไม่น่าแปลกใจที่ลีน่าและเก๋อฟู จัดให้ข้ามาช่วยเหลือบาเค่อในการแย่งชิงตำแหน่งเทพบุตรมืด หากไม่มีเหตุบังเอิญ ด้วยความแข็งแกร่งของบาเค่อเอง จะเป็นการยากมากที่จะกลายเป็นเทพบุตรมืด” หลัวซิวครุ่นคิดอยู่ในใจ
เขาไม่เคยคิดที่จะไปแข่งขันเพื่อชิงตำแหน่งเทพบุตรมืด เพราะทั้งลีน่าและเก๋อฟูรู้ว่าเขาไม่ใช่คนของโลกนี้ และตำหนักเทวมืดก็จะไม่ให้คนนอกอย่างเขากลายเป็นเทพบุตรมืด
“บาเค่อ กล้าออกมาสู้กับข้าอย่างลูกผู้ชายหรือไม่ แค่เจ้าสามารถเอาชนะข้าได้ ข้าจะไม่สงสัยถึงสิทธิ์ในการครอบครองกระบี่เทวมืดของเจ้าอีกต่อไป!”
“หากเจ้าแพ้หรือไม่กล้าต่อสู้ จงรีบมอบกระบี่เทวมืดออกมา!”
ชายสองคนที่มีผลการฝึกตนเจ้ายุทธจักรขั้น 9 เริ่มส่งเสียงโห่ร้องเพื่อยั่วยุ ในบรรดาคนเหล่านี้ มีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้นที่มีความมั่นใจในระดับหนึ่งว่าจะเอาชนะบาเค่อได้
“เพียงขยะอย่างพวกเจ้า ก็มีคุณสมบัติที่จะท้าทายท่านชายบาเค่อหรือ?”
เมื่อบาเค่อกำลังครุ่นคิดว่าจะจัดการกับปัญหานี้อย่างไรด้วยสีหน้าเคร่งขรึม จู่ๆ หลัวซิวก็ก้าวออกมาพร้อมกวาดสายตาที่ดูถูกเหยียดหยามไปยังเจ้ายุทธจักรแห่งตำหนักเทวมืด
“เจ้าเป็นใคร ที่กล้าพูดเช่นนี้?” เจ้ายุทธจักรหลายคนโกรธจัด และเจตนาฆ่าของพวกเขาพุ่งเข้าหาหลัวซิว
“ข้าเป็นองครักษ์ของท่านชายบาเค่อ พวกเจ้าอยากท้าทายท่านชายบาเค่อก็ได้ แต่พวกเจ้าต้องผ่านด่านข้าไปให้ได้ก่อน!”
หลัวซิวกล่าวอย่างผยองและเย็นชาว่า “ถ้าพวกเจ้ายังเอาชนะข้าไม่ได้ แล้วจะมีสิทธิ์อะไรมาท้าทายท่านชายบาเค่อ?”
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 893
“ไอ้เวร!”
เจ้ายุทธจักรสองคนจากค่ายสว่างถูกสังหาร ซึ่งทำให้ผู้แข็งแกร่งหลายคนในค่ายสว่างโกรธทันที
“บัดซบ กล้าดียังไงมาลอบโจมตีข้า?” บาเค่อตอบโต้และคำรามเมื่อเจ้าใจสถานการณ์ “พวกเจ้ากำลังหาตาย!”
ทันทีที่บาเค่อพูด เหล่าผู้แข็งแกร่งจำนวนมากที่อยู่ด้านค่ายสว่างก็เงียบไปในทันที ก่อนหน้านี้ เขาได้แสดงนักยุทธ์เทพมารทำลายล้างเจ้ายุทธจักรที่ไม่มีใครเทียบได้ในทันที หลายคนยังจำได้อย่างชัดเจน
“อย่าคิดว่ามีเพียงเจ้าคนเดียวที่มีนักยุทธ์เทพมาร”
ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น ทุกคนต่างมองตามเสียงนั้น เห็นเพียงร่างที่ปกคลุมไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์สีทองปรากฏขึ้น แสงศักดิ์สิทธิ์บนร่างกายของเขาราวกับดวงอาทิตย์ที่แผดเผา ส่องแสงสว่างโลก ศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่ง
“เทพบุตรสุริยา!”
“เทพบุตรมาแล้ว ได้ยินมาว่าเขามีนักยุทธ์เทพมารของเชิ่งถิงด้วย!”
ด้านค่ายสว่างเริ่มปิติยินดีขึ้นมา ความกลัวในใจที่เกี่ยวกับกระบี่เทวมืดก็หายไปในทันที
ร่างของเทพบุตรสุริยาถูกปกคลุมไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์และมองใบหน้าของเขาได้ไม่ชัดเชน เขาถือไฟเทวสีทองไว้ในมือซึ่งเต็มไปด้วยรัศมีของกฎดั้งเดิม
“วูม”
เมื่อได้รับผลกระทบจากออร่าของไฟเทว กระบี่เทวมืดในมือบาเค่อก็บินออกไปอย่างควบคุมไม่ได้ เต็มไปด้วยออร่ากฎมืดดั้งเดิม ซึ่งต่อสู้กับไฟเทวที่สว่างไสว
“บาเค่อ แม้ว่าเจ้าจะเชี่ยวชาญกระบี่เทวมืด แต่เป็นเพียงเพราะท่านพ่อของเจ้าเป็นเจ้าแห่งตำหนักเทวมืด พูดถึงด้านของความสามารถและความแข็งแกร่ง ในตำหนักเทวมืดมีคนมากมายที่แข็งแกร่งกว่าเจ้า” เทพบุตรสุริยากล่าวอย่างเย็นชา
แม้ว่าจะมีนักยุทธ์เทพมารเหมือนกัน แต่ถ้าต่อสู้กันขึ้นมาจริงๆ บาเค่อไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเทพบุตรสุริยาแน่นอน
แม้ว่าผลการฝึกตนของบาเค่อจะอยู่ที่เจ้ายุทธจักรขั้น 8 เทพบุตรสุริยาเพิ่งอยู่ที่เจ้ายุทธจักรขั้น 7 เท่านั้น แต่ออร่าของเขากลับแข็งแกร่งกว่า บาเค่อหลายเท่า จะเห็นได้ถึงความแข็งแกร่งของเทพบุตรสุริยาคนนี้ สมกับเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของโลกเชิ่งถิง
จะเห็นได้ว่า เทพบุตรสุริยาเป็นผู้แข็งแกร่งที่กดขี่ผู้อื่นอย่างรุนแรงและสมควรได้รับชื่อเสียงของอัจฉริยะอันดับหนึ่งในโลกเชิ่งถิง
สายตาของเทพบุตรสุริยามองไปที่หลัวซิว “เจ้าคือคนที่ฆ่าคู่หมั้นของข้าเหรอ?”
“แล้วไง?” หลัวซิวพูดอย่างราบเรียบ
“ไม่แล้วไง หวังว่าเจ้าจะมีชีวิตรอดไปได้” เทพบุตรสุริยายิ้มเล็กน้อยโดยไม่โกรธแม้แต่น้อย
เขาโบกมือ เรียกผู้แข็งแกร่งจำนวนมากจากค่ายสว่างมารวมตัวกันรอบๆ ตัวเขา ปกป้องทุกคนด้วยพลังของไฟเทวสว่างแล้วเข้าไปในหลุมดำ
ไม่มีใครคิดว่าเทพบุตรสุริยาจะประพฤติเฉยเมยต่อหน้าฆาตกรที่ฆ่าคู่หมั้นของเขา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าจิตใจของเขาไม่ธรรมดามาก
แสงศักดิ์สิทธิ์ปกคลุมร่างกายของเขา เทพบุตรสุริยาเป็นเหมือนที่พำนักของเทพที่ปรากฏมาสู่โลก ผู้แข็งแกร่งหลายคนจากค่ายสว่างรวมตัวกันรอบตัวเขา ภายใต้การคุ้มครองของไฟเทวสว่าง พวกเขาเข้าไปในหลุมดำเพื่อสำรวจซากปรักหักพังโบราณเมืองเทพ
วาโยสะท้านกระดูกเป็นสิ่งที่น่ากลัวอย่างยิ่ง แม้แต่เจ้ายุทธจักรที่ไม่มีใครเทียบได้ก็ไม่กล้าที่จะทะลุผ่านได้ง่ายๆ และผู้แข็งแกร่งหลายคนในด้านค่ายมืดก็มองไปยังบาเค่อ
เพราะในค่ายมืดมีเพียงบาเค่อเท่านั้นที่มีนักยุทธ์เทพมาร-กระบี่เทวมืดอยู่ในมือ
“บาเค่อ ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้า เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเอริค ดังนั้นข้าคิดว่าเจ้าควรปล่อยสิทธิ์การครอบครองกระบี่เทวมืดออกมาพลังของกระบี่เทวมืด”
ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น ผู้พูดเป็นชายในชุดรัดรูปสีดำที่มีสร้อยคอโครงกระดูกสีขาวห้อยอยู่ที่คอของเขา
“เลิร์น เจ้าหมายความว่ายังไง?” สีหน้าบาเค่อขรึมลง
“ความหมายของข้าชัดเจนมาก ในสานการณ์ที่มีนักยุทธ์เทพมารอยู่ในมือเหมือนกันเจ้าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเอริค ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของทุกคนในค่ายมืดของเรา เจ้าต้องปล่อยสิทธิ์ในการใช้กระบี่เทวมืดออกมา” ชายที่ชื่อเลิร์น กล่าวอย่างเย็นชา
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 892
แต่ต่อมาด้วยเหตุผลที่ไม่ทราบสาเหตุ เหล่าทวยเทพที่สร้างเมืองเทพได้ทำให้เหล่าเทพฟ้าโลกาชั้นฟ้าโกรธแค้น และเหล่าเทพฟ้าจากโลกาชั้นฟ้าได้ส่งเทพมารหลายสิบองค์มาทำลายเมืองเทพนี้ให้หมดสิ้น
หลังจากการล่มสลายของเมืองเทพ หอคอยแห่งเทพศักดิ์สิทธิ์ทั้งแปดก็ลงมา เมืองทวยเทพก็ลุกขึ้น และโลกเชิ่งถิงก็เข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์ใหม่
นั่นคืออดีตอันมืดมิด คนส่วนใหญ่ไม่กล้าพูดถึงเรื่องนี้ แต่สำหรับผู้แข็งแกร่งระดับเจ้ายุทธจักรที่มีการฝึกตนค่อนข้างสูง พวกเขาไม่สนใจข้อห้ามพวกนี้
ว่ากันว่าในสมัยโบราณ โลกเชิ่งถิงยังไม่ได้ปกครองโดยเหล่าเทพฟ้าของโลกาชั้นฟ้า ในขณะนั้น เทพมารหลายองค์ในโลกนี้ปกครองโลกอันกว้างใหญ่นี้ ได้สร้างเมืองเทพ และสถาปนาอำนาจสูงสุดของเทพ
เมืองเทพโบราณถูกทำลายนั้น เกิดจากการที่เหล่าทวยเทพในเวลานั้นไม่ยอมที่จะเชื่อฟังกฎของเหล่าทวยเทพฟ้าจากโลกาชั้นฟ้า ดังนั้นจึงทำให้เกิดหายนะร้ายแรง
การล่มสลายของเมืองเทพ ได้เปลี่ยนรูปแบบของโลกนี้ และสิ่งนี้ได้นำไปสู่การเกิดขึ้นของเชิ่งถิงสว่างและตำหนักเทวมืด รวมถึงการอยู่ฝ่ายตรงข้ามระหว่างสองค่ายแสงสว่างและค่ายมืด
“ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตาม พลังที่แข็งแกร่งนั้นจึงจะคงอยู่ชั่วนิรันดร์” บาเค่อพูดพร้อมกับถอนหายใจ สิ่งที่เขาพูดก็คือลัทธิสูงสุดของตำหนักเทวมืด
เพราะถึงแม้เจ้าได้ฝึกตนมาสู่แดนเทพมารแล้ว ก็ยังมีเทพฟ้าที่ทรงอานุภาพมากกว่าที่โลกาชั้นฟ้า พลังอันทรงพลังไม่เพียงแต่ทำให้เจ้ามีสิทธิ์ที่จะพูดเท่านั้น ยังมีสิทธิที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปหรือไม่และสิทธิที่จะตัดสินความอยู่รอดและความตายของผู้อ่อนแอได้
“เมืองเทพเป็นที่พำนักของเหล่าทวยเทพในสมัยโบราณ…”
เมื่อหวนคิดถึงประวัติศาสตร์โบราณในอดีต สายตาของผู้คนก็ร้อนรุ่มอีกครั้ง
ที่พำนักของเหล่าทวยเทพ แม้ว่าจะเป็นเพียงสมบัติที่ถูกทิ้งไว้โดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ก็เป็นสมบัติล้ำค่าที่หาที่เปรียบมิได้สำหรับเจ้ายุทธจักรที่อยู่ที่นี่ ต่างเป็นสมบัติไร้เทียมทาน
ในช่วงเวลานั้น มีหลายคนไม่สามารถต้านทานความต้องการที่จะบินไปยังหลุมดำ แต่คนเหล่านี้ต่างไม่ได้โง่เขลาทั้งหมด ไม่มีใครรีบร้อนเข้าไป แต่ยืนดูอยู่ที่หน้าหลุม
“ฮือ ฮือ ฮือ…”
เมื่อมาถึงปากถ้ำสีดำจะได้ยินเสียงลมหวีดหวิวจากความมืดภายในถ้ำ ราวกับเสียงผีร้องซึ่งน่ากลัวมากนัก
“เป็นวาโยสะท้านกระดูก” ชายชราคนหนึ่งจากเชิ่งถิงสว่างกล่าวด้วยเสียงทุ้มลึก “ลมแบบนี้เกิดจากการสะสมของปราณศพ แม้แต่แข็งแกร่งระดับเจ้ายุทธจักรที่เก่งกาจก็จะถูกกัดกร่อนเป็นขยะถ้าไม่ระวัง หลังตาย ศพจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของวาโยสะท้านกระดูก”
“แม้แต่ผู้แข็งแกร่งเจ้ายุทธจักรก็ทนไม่ได้ งั้นก็มีเพียงผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ขึ้นไปเท่านั้นที่จะเข้าไปได้?” หลายคนแสดงความเสียดายเมื่อได้ยินเช่นนี้
หลัวซิวยังรู้สึกถึงรัศมีการทำลายล้างที่มีอยู่ในเสียงลมในความมืด วาโยสะท้านกระดูกเปลี่ยนมาจากปราณศพ ในระดับหนึ่ง ปราณศพยังถูกมองว่าเป็นพลังแห่งความตาย ซึ่งเป็นการแยกมากจากกฎความตายส่วนหนึ่ง
“แม้ว่าวาโยสะท้านกระดูกนี้จะทรงพลัง ตราบใดที่มันอยู่ในขอบเขตของกฎความตาย ข้าน่าจะไม่ควรกลัว” หลัวซิวครุ่นคิดในใจ
“บูม!”
ในขณะนี้ ออร่าอันทรงพลังสองอย่างก็โจมตีทันที แต่เป้าหมายไม่ใช่หลัวซิว แต่เป็นบาเค่อที่อยู่ข้างเขา
ความสนใจของทุกคนถูกวาโยสะท้านกระดูกในหลุมดำดึงดูด บาเค่อและคนรับใช้ชราในชุดดำก็ไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน ถูกจู่โจมอย่างกะทันหัน ทำให้ทำอะไรไม่ถูกชั่วขณะหนึ่ง
“ไสหัวไปซะ!”
หลัวซิวหันกลับมาทันที กฎความตายกลายเป็นเปลวไฟสีดำ กลายเป็นป้อมฝ่ามือ
ผู้ที่โจมตีเป็นเป็นเจ้ายุทธจักรสองคน แต่ฐานการฝึกตนไม่แข็งแรงมากนัก มิฉะนั้นก็จะไม่ทำการลอบโจมตีที่ไร้ยางอายเช่นนี้
ฝ่ามือของหลัวซิวที่พุ่งออกไปด้วยความโกรธ เต็มไปด้วยความลึกลับของทักษะการต่อสู้หมื่นจักรวาลไร้รูป ป้อมฝ่ามือใหญ่เท่ากับภูเขา ทำลายเจ้ายุทธจักรทั้งสองอยู่ในอากาศโดยตรงเหมือนแมลงวันและระเบิดเป็นละอองเลือด
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 891
“นี่คือสารจิงอัคคีเทพ?” บาเค่ออุทาน
หลัวซิวหรี่ตาลงเล็กน้อย เขาเคยเห็นเจ้ายุทธจักรอัคคี หวูชิว ในสำนักหลัวเทียน นำยาอัคคีเสวียนออกมา ซึ่งมีอัคคีจักรพรรดิอยู่ในนั้น ซึ่งไม่ธรรมดา
และสารจิงอัคคีเทพก็เห็นได้ชัดว่าเป็นสิ่งที่มีค่ามากกว่ายาอัคคีเสวียน
จากสารจิงอัคคีเทพชิ้นนี้ เขาได้สัมผัสถึงลมปราณอัคคีกฎดั้งเดิม ซึ่งประเมินค่าไม่ได้สำหรับจอมยุทธ์ทุกคนที่ฝึกฝนวิชาอัคคี
“เจ้าสิ่งนี้ไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยมือเปล่า เว้นแต่ผู้ที่มีภูตอัคคีหรือผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ขึ้นไปถึงจะสามารถต้านทานการเผาไหม้ของพลังแห่งกฎได้” บาเค่อกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
แม้ว่าสารจิงอัคคีเทพจะเป็นสมบัติล้ำค่า สำหรับผู้ที่ฝึกฝนกฎมืด มันไม่อร่อยเลย และเป็นสิ่งไร้ค่าที่น่าเสียดายเมื่อจะละทิ้งมันไป
เมื่อหลัวซิวได้ยิน เปลวเพลิงสีทองก็อยู่ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือ เอื้อมมือไปคว้าสารจิงอัคคีเทพในกล่องเหล็ก
ถูกห่อหุ้มด้วยภูตอัคคี หลัวซิวไม่รู้สึกถึงออร่าที่ลุกไหม้ ต่างจากคนรับใช้ชราในชุดดำที่เกือบจะเผาฝ่ามือของเขาทิ้ง
หลัวซิวสามารถสัมผัสได้ถึงภูตอัคคีร้อยแปรที่ทำงานด้วยตัวมันเอง พยายามดูดซับพลังที่มีอยู่ในสารจิงอัคคีเทพ
และหลังจากที่พลังนี้ได้รับการกลั่นแปรแล้ว จะกระจายออกมาส่วนหนึ่งกลั่นแปรเข้าสู่ร่างกายของเขา ทำให้เขารู้สึกว่าแดนร่างเนื้อกำลังจะบรรลุ
“สมบัติล้ำค่า!” ดวงตาของหลัวซิวเป็นประกาย ไม่น่าแปลกใจที่เจ้ายุทธจักรพลานุภาพ ต้วนฉือเทียนต้องการยาอัคคีเสวียนจากมือของเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิว พลังที่มีอยู่ในสมบัตินี้ ประโยชน์กับการกลั่นร่างกายอย่างแท้จริง
“ข้าคาดไม่ถึงว่าเจ้าจะมีภูตอัคคีฟ้าดิน สารจิงอัคคีเทพนี้เป็นของเจ้าแล้ว” บาเค่อพูดด้วยรอยยิ้ม
ไม่ว่าจะเป็นภูตอัคคีหรือสารจิงอัคคีเทพ เขาจะไม่สนใจว่าใครจะได้ไป
“ขอบใจ” หลัวซิวไม่เกรงใจ เก็บสารจิงอัคคีเทพโดยตรง ผู้ชายคนนี้แม้แต่อาวุธแข็งแกร่งอย่างนักยุทธ์เทพมารก็มีแล้ว ถ้าเขาเกรงใจก็จะดูเหมือนเว่อร์เกินไป
อย่างไรก็ตาม เขาจะจำน้ำใจนี้ไว้ในใจ แม้ว่าเขาจะมีความแค้นต่อลีน่า และบาเค่อเรียกลีน่าว่าป้า แต่หลัวซิวแย่งความแค้นและบุญคุญออกอย่างชัดเจน
“มีออร่าที่มีการเหนี่ยวนำกับสารจิงอัคคีเทพอย่างคลุมเครือ” หลัวซิวยื่นชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง
“ดูเหมือนว่านี่คือเงื่อนงำที่จะพบซากปรักหักพังโบราณแล้ว” ดวงตาของบาเค่อเป็นประกาย พวกเขาก็ตามการชักนำของออร่านี้ไปทันที
สารจิงอัคคีเทพไม่เพียงแต่ปรากฏอยู่ในภูเขาไฟลาวาแห่งนี้ชิ้นเดียวเท่านั้น แต่ยังพบชิ้นส่วนหนึ่งในตำหนักเทวโชติด้วย และผู้แข็งแกร่งจำนวนมากจากค่ายสว่างก็ค้นหาตามหาเช่นกัน
“บูม!”
ทันใดนั้น ภูเขาไฟที่อยู่ด้านบนก็ถล่มลงอย่างกะทันหัน มีแมกมาจำนวนมากพุ่งออกมา ควันดำพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า บดบังท้องฟ้า
ทุกคนมองดูพร้อมกัน หลุมดำขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นเหนือภูเขาไฟที่กำลังพังทลาย บางครั้งอาจเห็นภาพหลอนของเมืองที่แตกสลายในหลุมดำ และสามารถเห็นตำหนักที่เสียหายและพระราชวังที่พังทลายได้ ดูแล้วรกร้างว่างเปล่าอย่างยิ่ง
ภาพหลอนของเมืองนี้แวบออกมาชั่วขณะ แต่หลัวซิวมองเห็นได้อย่างชัดเจน สิ่งที่ทำให้เขาตกใจมากที่สุดคือขนาดของเมืองนี้ ซึ่งแน่นอนว่าใหญ่กว่าเมืองใด ๆ ที่เขาเคยเห็นมานับไม่ถ้วน กว้างใหญ่หลายพันไมล์ งดงามตระการตาและน่าเหลือเชื่อนัก
“ปาฏิหาริย์แห่งเทพ!”
“นี่เป็นปาฏิหาริย์แห่งเทพอย่างแน่นอน มีเพียงที่พำนักของเทพเท่านั้นที่สามารถทิ้งปาฏิหาริย์แห่งเทพอันงดงามนี้ไว้ได้!”
“มีเมืองเทพแห่งหนึ่งในตำนานโบราณเก่าแก่ กลับประสบหายนะการทำลายล้าง ตั้งแต่นั้นมา เมืองนี้ก็ได้หายไปไร้ร่องลอย เป็นไปได้ไหมว่าภาพหลอนเมื่อครู่นี้เป็นเมืองเทพในตำนาน?”
เหล่าผู้แข็งแกร่งแห่งตำหนักเทวต่างพูดคุยกัน ในประวัติศาสตร์อันเก่าแก่ของโลกเชิ่งถิง เคยมีอดีตอันรุ่งโรจน์ เหล่าทวยเทพได้สร้างเมืองเทพหนึ่งเมือง
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 890
“สิ่งนี้เป็นของข้า” เท้ายักษ์ขนาดประมาณสามร้อยสามสิบเมตรเหยียบลาวา คือเผ่ายักษ์ที่เคยไล่ฆ่าหลัวซิวมาก่อน ตัวตนของเขาคือพระสมณจากตำหนักเทวปฐพี พระสมณปฐพี!
“เป็นเจ้านั้นเอง!”
ดวงตาของพระสมณปฐพีนั้นใหญ่เท่ากับแผ่นเจียร ทันทีที่ปรากฏตัวก็สังเกตเห็นหลัวซิวทันที
“ซิวหลัว เจ้ามีความแค้นกับพระสมณปฐพีผู้นี้?” บาเค่อมองดูหลัวซิวอย่างสงสัย
“ข้าได้สังหารจอมยุทธ์จากตำหนักเทวปฐพีไปหลายคน” หลัวซิวกล่าวเสียงเรียบ
ในเวลาเดียวกัน ผู้คนจำนวนมากหันมาสนใจ โดยเฉพาะนักยุทธ์ของตำหนักเทวปฐพี มีเจตนาฆ่าในสายตาของพวกเขา
“เจ้ายังกล้าปรากฏตัวที่นี่ คราวนี้มาดูว่าเจ้าจะหนีไปได้อย่างไร”
ร่างสามร้อยสามสิบเมตรของพระสมณปฐพีเคลื่อนไหว ฟ้าดินสะเทือน ตรงไปยังหลัวซิว
หลัวซิวกำลังจะลงมือ บาเค่อได้ยกมือขึ้นแล้วโบกมือ และกระบี่รบสีดำก็บินออกไป พลังของเทพมารล้นหลามกระจายไปทั่ว
“กระบี่เทวมืด?”
พระสมณปฐพีสีหน้าหวาดกลัว แม้ว่าจะเป็นเพียงออร่าเทพมารอาวุธเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่สามารถทนได้ ร่างสูงสามร้อยกว่าเมตรของเขาเริ่มแตก
หลัวซิวที่ยืนอยู่ข้างบาเค่อก็แปลกใจเช่นกัน โดยทั่วไปแล้วเจ้ายุทธจักรที่สามารถมีสมบัติวิเศษแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ได้ก็สามารถไปไหนมาไหนได้โดยไม่ต้องกลัวผู้ใด ผู้ชายคนนี้โหดเหี้ยมยิ่งกว่าเดิม ในมือกลับมีอาวุธเทพมาร!
กระบี่สีดำสนิทเล่มนี้ โดยมีกลิ่นอายของกฎดั้งเดิมแห่งความมืดล้อมรอบ มีเพียงผู้แข็งแกร่งระดับเทพมารเท่านั้นเท่านั้นที่สามารถหลอมอาวุธได้
ผลการฝึกตนของบาเค่ออยู่ที่เจ้ายุทธจักรขั้น 7 ซึ่งสามารถกระตุ้นพลังที่อ่อนแอมากของเทพมารอาวุธได้เล็กน้อยเท่านั้น ถึงกระนั้นก็ทำให้ผู้แข่งแกร่งระดับเจ้ายุทธจักรที่ไม่มีใครเทียบได้ร้องโอดโอยอย่างทรมาน ร่างกายของเขาแตกร้าว
“อ๊าก!…”
พระสมณปฐพีร้องครวญและถอยออกไป แมกมาที่อยู่รายรอบก็สั่นสะท้านปั่นป่วนด้วยแรงกระตุ้นจากเขา
“ช่างเป็นออร่าที่น่าหวาดกลัวจริงๆ!” คนอื่นๆ รอบตัวทั้งหวาดกลัวทั้งตกใจเช่นกัน
นั่นเป็นยักษ์ที่ร่างเนื้อแข็งแกร่งมากที่สุดในโลกนี้ และเป็นผลการฝึกตนระดับเจ้ายุทธจักรที่ไม่มีใครเทียบได้ แต่กลับถูกระงับด้วยออร่าของกระบี่เล่มหนึ่ง และไม่มีทางที่จะต่อต้านกลับไปได้
“พระเจ้า คือกระบี่ฉกรรจ์ของตำหนักเทวมืด!”
มีคนอุทายออกมาด้วยความตะลึงและหวาดกลัว เพราะพลังเทพมารนี้ แข็งแกร่งกว่าออร่าของผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์มากนัก และแม้แต่เป็นเพียงออร่าก็ทำให้ทุกคนมีความต้องการที่อยากจะบูชา
พระสมณปฐพีต้องการล่าถอย แต่ล๊อกอยู่ในออร่าของกระบี่เทวมืด แม้แต่ก้าวถอยหลังหนึ่งก้าวก็ยากลำบากมาก
เขาร้องครวญอย่างน่าสังเวช ภายใต้อิทธิพลของพลังมืดของกฎดั้งเดิม ร่างกายของเขาเริ่มที่จะทำลายล้างทีละนิ้ว
เพียงครู่เดียว ครึ่งหนึ่งของร่างของพระสมณปฐพีถูกทำลาย แต่เขายังไม่ตาย แสดงให้เห็นว่าพลังชีวิตของเขาแข็งแกร่งเพียงใด
“พัฟ!”
ในสายตาที่น่าสะพรึงกลัวของทุกคน พระสมณปฐพีซึ่งมีผลการฝึกตนระดับเจ้ายุทธจักรขั้น 9 แตกเป็นผงในทันทีและสลายหายไป
กระบี่เทวมืดกลายเป็นแสงสีดำและบินกลับเข้าไปในร่างของบาเค่อ ใบหน้าของเขาซีดเล็กน้อย แค่เพียงแค่กระตุ้นใช้งานออร่าอาวุธเทพมารเล็กน้อยก็ทำให้เขาสูญเสียไปมาก
ที่นี่ มีผู้แข็งแกร่งมากมาย วินาทีที่เขาส่งอาวุธเทพมารออกมา มีผลกระทบที่ข่มขู่ทุกคนทันที ทุกคนถอยห่างออกไปอย่างบ้าคลั่ง
เวลาสั้นๆ ทุกคนที่คิดจะต่อสู้เพื่อแย่งกล่องเหล็กสีดำในซากปรักหักพังต่างหนีไปหมด
อาวุธเทพมารอยู่ที่นี่ แม้แต่เจ้ายุทธจักรที่ไม่มีใครเทียบได้ทำได้เพียงอดกลั้นความเกลียดชัง ใครกล้าที่จะต่อต้าน?
คนรับใช้ที่อยู่ข้างหลังบาเค่อบินลงไป โบกมือแยกแมกมาออก หยิบกล่องเหล็กสีดำออกมา
“พรึบ!”
กล่องเหล็กถูกเปิดออกอย่างง่ายดาย มีหินสีแดงเข้มวางอยู่ข้างใน
คนรับใช้ชราในชุดดำเอื้อมมือไปหยิบหินสีแดงเข้ม แต่แล้วสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ฝ่ามือของเขาไหม้ขึ้นมา เขารีบปล่อยมืออย่างรวดเร็ว และหินก็ตกลงไปในกล่องเหล็ก
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 889
“ภูเขาไฟลาวาทางตอนใต้ ได้ยินมาว่ามีซากปรักหักพังโบราณ เจ้าสนใจไหม?” บาเค่อกล่าว
“ข้าได้ยินมาว่าเทพบุตรสว่างก็จะไปตามหาซากปรักหักพังโบราณด้วย หากเจ้าสามารถช่วยข้าฆ่าผู้ชายคนนั้นได้ ข้าคิดว่าผลงานนี้เพียงพอที่จะทำให้ข้าเป็นเทพบุตรมือได้แล้ว”
ภูเขาไฟลาวาเป็นกลุ่มภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นอยู่ ไม่นานมานี้ ภูเขาไฟหลายสิบลูกปะทุพร้อมๆ กัน เผยให้เห็นวัตถุโบราณที่ไม่สมบูรณ์บางส่วน บางคนได้เบาะแสสมบัติล้ำค่าจากพวกมัน
“ถ้ามีซากปรักหักพังโบราณจริงๆ ผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ก็จะไปด้วยใช่ไหม?” หลัวซิวกล่าวพร้อมขมวดคิ้ว แม้ว่าความแข็งแกร่งของเขาจะแข็งแกร่งมากแล้ว แต่เขาสามารถเก่งกาจได้เพียงภายใต้แดนมหาจักรพรรดิยุทธ์เท่านั้น
“เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ เทพเจ้าแห่งทั้งสองค่ายแสงสว่างและความมืดมีข้อตกลงโบราณมานานแล้ว แดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ขึ้นไปไม่สามารถลงมือได้ตามใจชอบ เว้นแต่คนที่อยู่ใต้แดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ไม่มีความสามารถในการสำรวจซากปรักหักพัง แดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ถึงจะลงมือได้” บาเค่อกล่าว
เหตุผลที่เหล่าทวยเทพแห่งโลกเชิ่งถิงกำหนดกฎนี้ขึ้นมาก็เพราะพลังการทำลายล้างของการต่อสู้และการสังหารของผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์นั้นทรงพลังเกินไป สามารถทำลายทุกสิ่งได้อย่างง่ายดายภายในพื้นที่หลายหมื่นไมล์
เท่าที่หลัวซิวรู้สาเหตุหลักของการล่มสลายของโลกแสงดาวคือสงครามสามเผ่าหายนะในสมัยโบราณ ไม่เพียงแต่ผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์เท่านั้น แต่แม้แต่เทพมารก็ต่อสู้กันเอง ทำให้โลกแสงดาวได้รับผลกระทบหายนะอย่างมาก ดังนั้นนับหมื่นปีมาแล้วก็ไม่สามารถกำเนิดเทพมารคนหนึ่งได้
ในพิภพต่ำปกติ เทพมารจะปรากฏได้ภายในหนึ่งหมื่นปี แต่โลกแสงดาวไม่ปรากฏมาเป็นเวลาหลายหมื่นปี จะเห็นได้ว่าผลกระทบของภัยพิบัติในสมัยโบราณนั้นยิ่งใหญ่เพียงใด
เมื่อได้ยินว่าผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์จะลงมืออย่างง่ายดาย หลัวซิวก็โล่งใจ ซากปรักหักพังโบราณมักมีสิ่งที่คาดไม่ถึงและความลับที่น่าเหลือเชื่อเขาเองก็ต้องการเห็น
…
กลุ่มภูเขาไฟลาวา หลังจากการปะทุของภูเขาไฟหลายสิบลูก ทำให้สถานที่แห่งนี้กลายเป็นสีแดงเพลิง
หินหนืดที่ลุกไหม้นั้นร่วงหล่น กว้างใหญ่ไพศาล ระยะประมาณหลายหมื่นไมล์ ราวกับทะเลลาวา
หลัวซิวและบาเค่อก็มาที่นี่แล้ว มีชายชราในชุดดำซึ่งเป็นคนรับใช้ที่รับใช้มานานของบาเค่อ ก็มีผลการฝึกตนที่ดี
ตอนนี้ แดนกฎของ หลัวซิวได้มาถึงแดนสำเร็จน้อย และด้วยวิธีการมากมายของเขา เขาสามารถต่อสู้กับเจ้ายุทธจักรที่ไม่มีใครเทียบได้
แต่พลังการต่อสู้ระดับนี้ไม่สามารถอยู่ยงคงกระพันภายใต้แดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ เพราะผู้แข็งแกร่งทุกคนที่สามารถฝึกฝนจนถึงแดนเจ้ายุทธจักรที่ไม่มีใครเทียบได้นั้นเป็นคนที่มีความสามารถเมื่อตอนที่เขายังเยาว์วัย และเดิมทีผลการฝึกตนของพวกเขานั้นสูงกว่าหลัวซิวมากอยู่แล้ว สำหรับ หลัวซิวถ้ามีสมบัติวิเศษอาวุธ ก็สามารถเป็นภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ต่อหลัวซิวได้
เหล่าตำหนักเทวเห็นพ้องต้องกันว่าผู้ที่อยู่เหนือแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ไม่ควรช่วยเหลือ แต่พวกเขาไม่ได้กำหนดว่าผู้ที่ต่ำว่าแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ ไม่มีกฎอนุญาตให้มีสมบัติวิเศษระดับมหาจักรพรรดิ
ในบรรดาสมบัติวิเศษมีคำว่า ‘วิญญาณ’ คำหนึ่งซึ่งหมายความว่าจิตวิญญาณได้กำเนิดวิญญาณ เป็นศูนย์รวมของแดนกฎไปสู่ระดับที่สูงมาก
อย่างน้อยจำเป็นต้องมีแดนกฎแดนสำเร็จน้อย เพื่อกำเนิด ‘วิญญาณ’ แม้ว่าหลัวซิวจะมีวิธีการนี้ แต่หอกรบมังกรดำยังไม่ได้กำเนิด ‘วิญญาณ’ แม้ว่ามันจะทรงพลัง แต่ก็ไม่ใช่สมบัติวิเศษที่แท้จริง
บนท้องฟ้าเหนือหินหนืดที่ร้อนระอุ มักมีการต่อสู้กันกันอย่างชุลมุน แสงแห่งแสงศักดิ์สิทธิ์เป็นแนวตั้งและแนวนอน และกฎมืดเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน ทุกคนต่างมองหาซากปรักหักพังโบราณ มองหาเบาะแสของสมบัติที่น่าตกตะลึง
บูม!
แมกมาถูกระเบิดออกไป เผยให้เห็นซากปรักหักพังที่แตกหักอยู่ด้านล่าง มีกล่องเหล็กสีดำอยู่ข้างใน และแมกมาก็ส่องแสงสีดำออกมา
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 888
จากนั้นไม่นาน หลัวซิวเดินตามชายชราชุดดำไปยังห้องโถงที่ตกแต่งอย่างหรูหรา ชายหนุ่มที่มีใบหน้าหล่อเหลานั่งอยู่บนม้านั่ง ศีรษะของเขาวางไว้บนต้นขาของสาวสวย และยังมีอีกสามคน หญิงสาวคุกเข่าหรือไขว้ขาหรือนวด
“คุณชาย คนที่ท่านตามหามาถึงแล้ว” ชายชราชุดดำก้าวไปข้างหน้าและกล่าวด้วยความเคารพ
ชายหนุ่มที่กำลังหลับตาและเพลิดเพลินค่อยๆลืมตาขึ้น โบกมือให้หญิงสาวที่อยู่ข้างๆออกไป แล้วมองไปที่หลัวซิว
“เจ้าเป็นอัจฉริยะที่น่าทึ่งที่ป้าลีน่าพูดเหรอ?”
ชายหนุ่มมีรอยยิ้มไม่เกรงกลัวใดๆ ผมยาวสีเทาเล็กน้อยของเขาถูกปล่อยออกอย่างสบายๆ ทำให้เขารู้สึกเหมือนไม่ถูกยับยั้ง
“ข้าชื่อบาเค่อ ป้าลีน่าบอกว่า เจ้าตามข้า จะทำให้ข้าเป็นเทพบุตรในรุ่นนี้ได้” หนุ่มงามเดินขึ้นไปตรงหน้าหลัวซิว
ลีน่า เป็นหนึ่งในผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ซึ่งนั่งอยู่บนหอคอยเทวมืดชั้นสาม บุคคลนี้เรียกนางว่าป้า ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความสัมพันธ์ค่อนข้างใกล้ชิด ฐานะจริงของชายหนุ่มบาเค่อ น่าจะไม่ธรรมดาในตำหนักเทวมืด
หลัวซิวได้รู้มาว่า ตำหนักเทวมืดเทพบุตรรุ่นก่อนได้กลายเป็นผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ไปแล้ว เทพบุตรรุ่นนี้ยังไม่ปรากฎ มีเจ้ายุทธจักรที่มีความสามารถหลายคนที่ต้องการแข่งขันเพื่อชิงตำแหน่งนี้
เพราะฐานะของเทพบุตร ไม่ได้เป็นเพียงสัญลักษณ์ของฐานะเท่านั้น แต่ยังแสดงถึงความแข็งแกร่งและโอกาสของคนๆนั้นด้วย
บาเค่อที่อยู่ข้างหน้าเขาคือหนึ่งในรุ่นเยาว์หนึ่งในเจ้ายุทธจักรของตำหนักเทวมืด ซึ่งฝึกตนมาเป็นเวลาหนึ่งร้อยสามสิบแปดปี
หลัวซิวขมวดคิ้ว เขาคาดไม่ถึงว่างานที่เก๋อฟูวางให้เขา คือให้เขาอยู่กับคนนี้จริง ๆ การแข่งขันชิงเทพบุตรของตำหนักเทวมืดเกี่ยวอะไรกับเขา?
อย่างไรก็ตาม พลังแข็งแกร่งกว่าเขา ตอนนี้ค่ายสว่างกำลังตามฆ่าเขา ถ้าค่ายมืดยกเลิก โลกนี้จะไม่มีที่สำหรับเขา
จากแดนดารานอกมาถึงโลกเชิ่งถิงนั่นง่าย แต่มันยากมากที่จะจากโลกเชิ่งถิงกลับไปยังแดนดารานอก เพราะค่ายวาร์ปสองที่ที่ไปยังแดนดารามีเพียงสว่างเชิ่งถิงและตำหนักเทวมืดเท่านั้น
ก่อนที่เขาจะมีความสามารถที่จะแย่งสมบัติกลับคืนมาและออกจากโลกนี้ไป หลัวซิวรู้ว่าตอนนี้เขาทำได้เพียงอดกลั้นเท่านั้น
“ข้าชื่อซิวหลัว” หลัวซิวกล่าว
“ฮ่าฮ่า ต้อนรับเจ้า เพื่อนของข้า” บาเค่อยิ้มพร้อมโบกมือ
เสียงฝีเท้าดังขึ้น หญิงสาวสวยนับสิบคนออกมาจากห้องโถงด้านข้างทั้งสองข้าง แต่ละคนสวมชุดน้อยๆ มีส่วนเว้าส่วนโค้งที่งดงาม
“เพื่อแสดงการต้อนรับเจ้า เจ้าสามารถเลือกผู้หญิงที่นี่คนใดก็ได้ ข้า บาเค่อรับประกันโดยนิสัยของข้า แต่ละคนสมบูรณ์แบบและได้รับผลการฝึกฝนอย่างมืออาชีพ ซึ่งจะทำให้เจ้าพึงพอใจอย่างแน่นอน”
พูดจบ บาเค่อก็เดินไป ยื่นนิ้วมือจิ้มริมฝีปากหญิงสาว นัยน์ตาของหญิงสาวพราวระยับยั่วยวน นางเลียนิ้วของเขา ปลุกเร้าแรงกระตุ้นในข้างในจิตใจที่ลึกของผู้ชาย
บาเค่อมองไปที่หลัวซิว แต่เห็นว่าสีหน้าของเขาไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย ราวกับหินที่ดื้อรั้น
“ลงไปเถอะ”
บาเค่อปรบมือ หญิงสาวสิบกว่าคนก็จากไปอย่างเชื่อฟัง
“ซิวหลัว เพื่อนเอ๋ย เจ้าไม่สนใจผู้หญิง ข้าไม่รู้ว่าเจ้าสนใจอะไร?” บาเค่อถามด้วยรอยยิ้ม
“สมบัติ ทรัพยากร” หลัวซิวหรี่ตาลง
เขามองออกได้ว่าบาเค่อกำลังทดสอบเขาอยู่ หรือบางทีเขาอาจต้องการติดสินบนเขาในทางใดทางหนึ่ง
บาเค่อยิ้ม “เมื่อเทียบกับหญิงงาม ทรัพยากร สมบัติสำคัญกว่า แต่ไม่ใช่เจ้าคนเดียวที่สนใจ นักยุทธ์ทุกคนในโลก ใครไม่สนใจทรัพยากรสมบัติล่ะ?”
“บูม!”
ภายใต้ความสะเทือนของเจดีย์สีทองได้ทำลายอวกาศกลายเป็นหลุมดำ และพลังของระดับมหาจักรพรรดิสมบัติวิเศษก็เกือบจะทำลายท้องฟ้าโลก
ราชวังสีทองคำดำอยู่ตรงกลางสุญญากาศที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ ภายใต้การสะเทือนของเจดีย์ก็ยังไม่เป็นอะไรใดๆ
“เจ้าสามารถต้านทานโจมตีครั้งหนึ่งของหอคอยเทวสว่างได้?”
สีหน้าของผู้แข็งแกร่งจากตำหนักเทวต่างๆ ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ดวงตาของพวกเขาจ้องมองไปที่วังสีดำทองที่ลอยด้วยความไม่แน่นอน
“วันนี้ไม่เล่นกับพวกเจ้าแล้ว เจอกันคราวหน้า!”
เสียงเยาะเย้ยของหลัวซิวดังออกมาจากวัง เขาก็ขับตำหนักเสวียนดำกลายเป็นกระแสแสงทันที ทะลุผ่านอวกาศและหายตัวไป
“ไล่ล่า!”
ผู้แข็งแกร่งหอคอยเทวสว่างตะโกนเสียงดังและขี่หอคอยเทวสว่างไล่ตามไป
ผู้แข็งแกร่งของตำหนักเทวอื่น ๆ ฉีกอวกาศภายใต้การปกคลุมของฝาเปลวเพลิงและไล่ตามพวกเขาไปด้วยกัน
ในอวกาศที่แปลกประหลาด ระดับมหาจักรพรรดิสมบัติวิเศษทรงพลังสามชิ้นผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เหตุผลที่หลัวซิวสามารถควบคุมตำหนักเสวียนดำสมบัติวิเศษชั้นสูงได้ก็เพราะแดนกฎของเขาเอง
แต่ผลการฝึกตนของเขาเองเป็นเพียงมหายุทธ์ขั้น 6 เท่านั้น และเป็นการยากที่จะสนับสนุนการบริโภคจำนวนมากนอกเหนือจากสมบัติวิเศษ
ในเวลาครึ่งชั่วโมง เขารู้สึกว่าพลังจิตแท้ในร่างกายของเขาไม่ยั่งยืน
อย่างไรก็ตาม สมบัติวิเศษทั้งสองที่ค่ายสว่างไล่สังหาร ต่างก็ได้รับแรงบันดาลใจจากผู้แข่งแกร่งระดับเจ้ายุทธจักรจำนวนหนึ่ง หากการแข่งขันหมดไป เขาจะเป็นคนแรกที่ไม่สามารถสนับสนุนได้อย่างแน่นอน
เมื่อเขาไม่สามารถทนได้อีกต่อไป หากปราศจากการปกป้องจากตำหนักเสวียนดำ เขาจะไม่สามารถหยุดการปราบปรามขอ
สมบัติวิเศษทั้งสองได้อย่างแน่นอน
เมื่อหลัวซิวกำลังแผนจะออกไปอย่างไร เสียงเยาะเย้ยก็ดังก้องอยู่ในอวกาศ
“มีคนจำนวนมากไล่ฆ่าคนในตำหนักเทวมืดของข้า ไม่วางตำหนักเทวมืดของข้าไว้ในสายตาหรือ?”
มือใหญ่ที่ไร้ขอบเขตยื่นออกมาจากอวกาศ และออร่าอันน่าสะพรึงกลัวอันไร้ขอบเขตก็ลงมา ทำให้สีหน้าของผู้คนในค่ายสว่างเปลี่ยนไปอย่างมาก
“ผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์!”
ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามือใหญ่นี่คือผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์จากตำหนักเทวมืด
เมื่อเผชิญหน้ากับมือสีดำขนาดใหญ่ของผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ สมบัติวิเศษทั้งสองของค่ายสว่างหยุดลงทันที ไม่กล้าที่จะไล่ตามต่อไป ปล่อยให้หลัวซิวขับตำหนักเสวียนดำบินหนีไป
มือสีดำขนาดใหญ่ไม่ได้โจมตีคนจากค่ายสว่างเหล่านี้ เพราะสว่างและความมืดทั้งสองค่ายมีข้อตกลงกันว่า ผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ไม่สามารถโจมตีได้ตามความประสงค์ มิฉะนั้นผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ต่อสู้กันขึ้นมา จะนำมาซึ่งการทำลายล้างสู่หายนะของโลกนี้
ตัวสำนึกส่งเสียงดังเข้ามาในหูของหลัวซิว ให้เขาไปที่เมืองที่ควบคุมโดยค่ายมืด
ทันทีที่มือสีดำขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น หลัวซิวสัมผัสได้ถึงลมปราณที่คุ้นเคย เจ้าของลมปราณนี้คือหอคอยเทวมืดชื่อเก๋อฟู บนหอคอยเทวมืดชั้นสาม
สิ่งนี้ทำให้ใจของหลัวซิวตเล็กนึ้งเครียดเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่า หลังจากที่เขาออกจากหอคอยเทวมืดแล้ว ผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ทั้งสองจากหอคอยเทวมืดชั้นสาม ไม่ได้เชื่อใจเขาจริงๆ แต่แอบจับจ้องทุกการเคลื่อนไหวของเขา
ไม่กี่วันต่อมา หลัวซิวทำตามคำแนะนำของเก๋อฟู มาถึงเมืองที่อยู่ภายใต้ค่ายมืด อาณาจักรมืด
เมืองใหญ่ที่คลานไปมาราวกับสัตว์ร้ายสีดำขนาดใหญ่นี้ เป็นเมืองหลักของค่ายมืด ยกเว้นมนุษย์ธรรมดาส่วนใหญ่ ผู้อยู่อาศัยในเมืองล้วนเป็นนักยุทธ์ของค่ายมืด
หลัวซิวมีตราประทับเมืองทวยเทพของตำหนักเทวมืดบนร่างกายของเขา ดังนั้นเขาจึงไม่ถูกขัดขวางในการเข้าไปในเมือง
“ซิวหลัว!”
หลังจากเข้าไปในเมืองแล้ว ชายชราสวมชุดคลุมสีดำก็ปรากฏตัวต่อหน้าเขา
“เจ้าเป็นใคร?” หลัวซิวถาม
“ท่านเก๋อฟูให้ข้าไปรับเจ้าเพื่อไปพบคนคนหนึ่ง” เสียงของชายชราชุดดำแหบแห้ง เดินนำโดยไม่ได้อธิบายอะไรมาก
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 886
บูม!
หอกรบมังกรดำพุ่งออก หอกทำลายสุญญากาศ เทียบได้กับการโจมตีของผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ทั่วไป
ห่วงโซ่เปลวเพลิงถูกทำลายด้วยหอกมังกรดำ ปีกทิพย์ไร้มลทินที่อยู่ด้านหลังหลัวซิวสั่น ร่างของเขาก็ถอยกลับอย่างรวดเร็ว
“บัซ!”
ในขณะนี้ อวกาศเหนือศีรษะของหลัวซิวแตกเป็นเสี่ยง มีมือสายฟ้าขนาดใหญ่ที่ควบแน่นปกคลุมท้องฟ้าดวงอาทิตย์และปกคลุมเขา
พลังของมือสายฟ้านี้ ภายใต้โทสะ ทิศทางทั้งสิบถูกทำลายทุกสิ่ง
“ผู้แข็งแกร่งตำหนักเทวอัสนี?”
สีหน้าของหลัวซิวเปลี่ยนไปเล็กน้อย เพียงแค่มองไปที่พลังการโจมตีนี้ เจ้าของมือที่ดังสนั่นจะต้องเป็นผู้แข็งแกร่งเจ้ายุทธจักรขั้น 9
“ทำลายมันเพื่อข้า!”
หลัวซิวตะโกนเสียงดัง คนกับหอกรวมกันเป็นมังกรดำ ทำลายการปิดล้อมของมือสายห้าขนาดใหญ่ และบินออกไปกว่าสิบไมล์
ในอวกาศที่แตกสลาย ร่างที่ล้อมรอบด้วยสายฟ้าเดินออกมา ผมยาวปลิวไสวหน้าตาที่ไม่ธรรมดา
เทพธิดาเพลิงสถิตย์มาพร้อมกับนักยุทธ์แข็งแกร่งสิบแปดคน และในขณะนี้มีนักยุทธ์เจ้ายุทธจักรที่ไม่มีใครเทียบได้จากตำหนักเทวอัสนีก็มาถึง การรวมพลังอันทรงพลังนี้เพียงพอที่จะทำให้ผู้แข็งแกร่งที่อยู่ใต้แดนมหาจักรพรรดิยุทธ์เกลียดชังได้แล้ว
“คนกล้าฆ่าคนของตำหนักเทวปฐพีของข้า มาที่นี่ซะ!”
แผ่นดินคำราม ยักษ์คนหนึ่งก้าวไปข้างหน้า สูงเกือบร้อยฟุต ฝ่ามือข้างหนึ่งกางออก ทำลายอวกาศทุกตารางนิ้ว ซึ่งน่ากลัวอย่างยิ่ง
นี่คือเจ้ายุทธจักรของเผ่ายักษ์ที่ไม่มีใครเทียบได้ ในโลกนี้ พลังนี้เรียกได้ว่าเป็นตัวตนที่อยู่ยงคงกระพันภายใต้แดนมหาจักรพรรดิยุทธ์
“ให้เกียรติข้านี่ มีผู้แข็งแกร่งมามากมาย” หลัวซิวจับหอกรบมังกรดำ เปลวไฟสีดำล้อมรอบตัวเขาราวกับเทพมารที่หันหน้าไปต่อต้านผู้แข็งแกร่งจากค่ายสว่าง
ขณะที่พูด หอกมังกรดำในมือสั่น หอกเรืองแสงเหมือนมังกร กระแทกเข้าที่มือใหญ่ของยักษ์
มีเสียงดังเกิดขึ้น เลือดสาดกระเซ็นออกมา เจ้ายุทธจักรที่ไม่มีใครเทียบได้ของตระกูลเผ่ายักษ์ครางออกมา ร่างใหญ่ถอยกลับไปสองก้าว
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเร็วมาก ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นตกตะลึง การป้องกันทางกายภาพหาตัวจับยาก และพลังแข็งแกร่งของยักษ์นั้นเต็มไปด้วยเลือดและเกือบจะแตกเป็นเสี่ยง
ทุกสายตาจับจ้องไปที่หอกรบมังกรดำในมือของหลัวซิว พวกเขาไม่คิดว่าความแข็งแกร่งของบุคคลนี้จะต้องเป็นเพราะหอกรบนี้ไม่ธรรมดา
“ฆ่าเขา!”
เจ้ายุทธจักรเทพธิดาเพลิงสถิตย์ ตำหนักเทวปฐพีและตำหนักเทวอัสนีต่างพากันโห่ร้อง และความแข็งแกร่งของพวกเขาแต่ละตนนั้นเรียกได้ว่าเก่งกาจกว่าใต้แดนมหาจักรพรรดิยุทธ์
ด้วยความแข็งแกร่งของผลการฝึกตนของคนสามคนนี้ ประกอบกับฝาสมบัติวิเศษของเทพธิดาเพลิงสถิต แม้แต่ซึ่งมีพลังการต่อสู้เทียบได้กับแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ ก็สามารถแข่งขันเพื่อแย่งตำแหน่งสูงสุดได้
“แค่พวกเจ้ายังฆ่าข้าไม่ได้”
หลัวซิวเงยหน้าขึ้นหัวเราะ แต่เขาไม่ได้แข่งขันกับคนเขา ปีกทิพย์ไร้มลทินสั่นสะเทือนและบินไปที่ปลายฟ้าอย่างรวดเร็ว
เขารู้สึกว่ามีอวกาศที่ซ่อนอยู่ เห็นได้ชัดว่าตำหนักเทวของค่ายสว่างไม่ใช่คนเดียวที่อยู่ที่นี่
“จะหนีไปไหน!”
แสงศักดิ์สิทธิ์สีทองพุ่งออกมาจากอากาศ คือเจดีย์สีทอง เห็นเพียงอวกาศที่ถูกเจดีย์สีทองฉีกขาดโดยตรง และปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของหลัวซิวทันทีพร้อมกดทับลงมาอย่างรุนแรง
ทำลายอวกาษเป็นวิธีของผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ แต่เจดีย์ทองนี้สามารถทำได้ จะเห็นได้ว่าเป็นสมบัติวิเศษระดับมหาจักรพรรดิ
ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการโจมตีของระดับมหาจักรพรรดิสมบัติวิเศษได้ สมบัติวิเศษ แม้แต่ความเร็วปีกทิพย์ไร้มลทินก็หยุดไม่ได้
“บัซ!”
ในช่วงเวลาวิกฤตินี้ จุดตันเถียนของหลัวซิวสั่นไหว ตำหนักเสวียนดำบินออกมา เขากระโดดและซ่อนตัวอยู่ในวัง
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 885
ปัง!
ปีกทิพย์ไร้มลทินกางออกอยู่ด้านหลังเขา ร่างของหลัวซิวหายไปจากที่ในทันที พุ่งไปที่เทพธิดาเพลิงสถิตย์ใต้เปลวเพลิง
เขายกมือขึ้นคว้า หอกรบมังกรดำก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา ออร่าดุร้ายและน่าสะพรึงกลัวแผ่กระจายไปทั่วร่างกายของเขา
“บูม!”
หลัวซิวโจมตีไปที่หลังคา หอกรบมังกรดำที่ทำลายไม่ได้ แค่ทิ้งรอยเพียงสีขาวไว้บนฝาและไม่สามารถทำลายมันได้
“ระดับสมบัติวิเศษอาวุธ!”
ปัง
หลัวซิวตะลึง เขาคาดไม่ถึงว่าเทพธิดาเพลิงสถิตย์จะมีสมบัติเช่นนี้ปกป้องร่างกาย
เขาไม่รู้ว่าเทพบุตรอัคคีแห่งตำหนักเทวโชติเป็นผู้นำรุ่นเยาว์ แต่เทพธิดาเพลิงสถิตย์ไม่ใช่รุ่นเยาว์ แต่ฝึกฝนมาหลายร้อยปีแล้วและผลการฝึกตนก็ถึงเจ้ายุทธจักรขั้นปลาย
อัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบได้ เช่น เทพธิดาเพลิงสถิตย์ ด้วยผลการฝึกตนเจ้ายุทธจักรขั้นปลาย มีไม่กี่คนที่อยู่ภายใต้แดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ที่สามารถต่อต้านได้
ฝาเปลวไฟบินออกไป เทพธิดาเพลิงสถิตย์ก็นั่งสงบอยู่ใต้ร่มเงาตั้งแต่ต้นจนจบ ดูเหมือนไม่มีเจตนาที่จะโจมตีด้วยตนเอง
เจ้ายุทธจักรสิบแปดคนมารวมตัวกันเพื่อล้อมฆ่าอีกครั้ง แม้ว่าเจ้ายุทธจักรเหล่านี้ เพียงลำพังจะไม่ได้ทรงพลังมากนัก แต่ผู้คนทั้งสิบแปดคนก็เข้าร่วมกองกำลังและใช้ค่ายกลโจมตีร่วมกัน พลังจึงแข็งแกร่งอย่างเหลือเชื่อ
หลัวซิวใช้ความเร็วของปีกทิพย์ไร้มลทินเพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตีต่างๆ และความเร็วของเขาสามารถกำจัดห่วงอวกาศออกไปได้ เหมือนกับรังสีของสายฟ้า ซึ่งไม่สามารถจับได้เลย
“อ๊าก!…”
เสียงกรีดร้องดังขึ้น เจ้ายุทธจักรคนหนึ่งที่เข้าร่วมในการล้อมโจมตีได้รับบาดเจ็บสาหัสจากหอกรบมังกรดำ ร่างกายครึ่งร่างเลือดและเนื้อปนเปื้อนแยกไม่ออก
พลังของหอกรบมังกรดำช่างน่าอัศจรรย์และพลังโจมตีของมันเทียบได้กับการโจมตีมหาจักรพรรดิยุทธ์ทั่วไป ด้วยผลการฝึกตนของร่างกายของเจ้ายุทธจักร จึงยากที่จะหยุดยั้งได้
หนึ่งในนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัส สถานการณ์ที่เจ้ายุทธจักรสิบแปดคนร่วมมือกันก็เผยให้เห็นข้อบกพร่องทันที
ทันทีหลังจากนั้น เสียงกรีดร้องครั้งที่สองก็ดังขึ้น และ เจ้ายุทธจักรถูกหอกรบของมังกรดำเจาะเข้าที่ศีรษะ และท้องฟ้ายามค่ำคืนก็เปื้อนเลือด
ด้วยพลังการต่อสู้ในปัจจุบันของ หลัวซิวการถือหอกรบมังกรดำสามารถเทียบได้กับ เจ้ายุทธจักรระดับแรก และ เจ้ายุทธจักรธรรมดาไม่อยู่ในสายตาของเขาอีกต่อไป
“เกมควรจบลงแล้ว!”
หลัวซิวก้าวไปข้างหน้า มกุฎอัคคีนภาเหลืองพุ่งออกมา หลายร้อยฟุตกลายเป็นทะเลเพลิงโดยที่เขาเป็นจุดศูนย์กลาง
ในเวลาเดียวกัน เขาได้ปล่อยอาณาจักรพลังแห่งกฎ เพื่อให้เจ้ายุทธจักรสิบกว่าคนที่ล้อมรอบโจมตีเขาถูกระงับ
อยู่ท่ามกลางเปลวไฟที่เกิดจากมกุฎอัคคีนภาเหลือง ความแข็งแกร่งของพวกเขาถูกระงับอีกครั้ง และเหล่าผู้แข่งแกร่งระดับเจ้ายุทธจักรหลายสิบคนก็แสดงออกถึงความตื่นตระหนก
“ไม่!…”
พวกเขากรีดร้องด้วยความหวาดกลัว แต่ไม่ว่าพวกเขาจะใช้วิธีการต่างๆ พวกเขาแทบจะไม่สามารถต่อต้านไฟของมกุฎอัคคีนภาเหลืองเพียงชั่วครู่
“เทพธิดา! ช่วยข้า…”
ดวงตาของเจ้ายุทธจักรทั้งหมดมองไปที่เทพธิดาที่อยู่ภายใต้ฝาเปลวเพลิงที่อยู่ห่างไกลออกไป ตอนนี้ พวกเขาได้แต่หวังว่าเทพธิดาคนนี้สามารถช่วยชีวิตตนเองและผู้อื่นได้
“เจ้ามีภูตอัคคี!”
เทพธิดาที่อยู่ใต้ฝ่าขยับตัว แต่นางสงบลงอย่างรวดเร็ว “เจ้ามั่นใจมากในการเล่นไฟต่อหน้าที่ตำหนักเทวโชติของข้า”
นางลุกขึ้นอย่างช้าๆ รูปลักษณ์ไม่ธรรมดา บีบผนึกเปลวเพลิงที่อยู่เหนือศีรษะของนางกลายเป็นหลุมดำหมุนวน
“เก็บ”
นางตะคอกเสียงเบา เปลวไฟสีทองรอบๆ หลัวซิวถูกม้วนขึ้นไปในลมปราณหลายร้อยเมตรและถูกดูดเข้าไปในหลุมดำวังวน
ฝาเปลวไฟเป็นสมบัติวิเศษที่กลั่นโดยผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิ และหลัวซิวได้ฝึกฝนจนถึงภูตอัคคีการเปลี่ยนแปลงครั้งที่สองของไฟมกุฎอัคคีนภาเหลือง ซึ่งถูกยับยั้งโดยฝาเปลวไฟนี้
ทะเลเพลิงระยะร้อยฟุตหายไป ถึงกระนั้นผู้แข็งแกร่งเจ้ายุทธจักรมากกว่าสิบกว่าคนก็ถูกเผา ใบหน้าเต็มไปด้วยขี้เถ้าและออร่าของแต่ละคนต่างอ่อนแอ
เทพธิดาเพลิงสถิตย์บินอยู่เหนือฝาเปลวไฟ เปลวไฟพุ่งออกมาจากฝา เปลี่ยนเป็นโซ่ และพันรอบหลัวซิวไว้
นี่คือสมบัติวิเศษระดับมหาจักรพรรดิ ทันทีที่ถูกพัน จะยากที่จะหลุดพ้นด้วยผลการฝึกตนในปัจจุบันของหลัวซิว
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 884
การป้องกันอันทรงพลังของเหล่าเผ่ายักษ์อยู่ตรงหน้าหอกรบมังกรดำเปรียบเสมือนกระดาษขาวที่เปราะบาง
หลังจากที่หอกในมือของหลัวซิวปัดออกไป ผู้แข็งแกร่งที่เจ้ายุทธจักรขั้นกลางคนนั้นก็ส่งเสียงโอดควรญออกมา ร่างกายของเขาถูกตัดออกจากกันตรงเอว
“หอกดี!”
หลัวซิวมองไปที่หอกรบมังกรดำในมือด้วยความพึงพอใจ หลังจากแก้วิชาต้องห้ามขั้นสี่แล้ว พลังก็เทียบได้กับอาวุธสมบัติวิเศษ และเกือบจะเทียบเท่ากับแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ทั่วไปได้แล้ว นี่คือ เป็นสมบัติที่ท้าทายท้องฟ้าอย่างแน่นอน
และด้วยกาแดนกฎที่เพิ่มขึ้นของเขา แม้ว่าผลการฝึกตนของเขาจะไม่ถึงระดับ เขาก็สามารถใช้พลังสมบัตินี้ได้มากขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆ วิชาห้ามเก้าขั้นทั้งหมดก็ถูกแก้ออกหมด พลังอันทรงพลังจะน่าสะพรึงกลัวเพียงใด ไม่กล้าจินตนาการเลย
“เจ้ายุทธจักรจากตำหนักเทวปฐพีถูกสังหารแล้ว!”
นักยุทธ์หลายคนในเมืองที่เห็นฉากนี้ต่างก็จ้องมองด้วยความอึ้ง ตะลึงงัน
เหล่าตำหนักเทวมีตำแหน่งที่สูงส่งมากในโลกนี้ พวกเขาคือเทพมารที่อาศัยอยู่ในโลก แสดงถึงอำนาจสูงสุดของพระเจ้า
เป็นเวลาที่นับไม่ถ้วน มีเพียงไม่กี่คนที่กล้ายั่วยุอำนาจของตำหนักเทว และถึงแม้มีใครกล้าทำเช่นนั้น ผลสุดท้ายก็น่าโศกเศร้าอย่างยิ่ง
หลัวซิวไม่สนใจเรื่องนี้สักนิด อำนาจสูงสุดของพลังศักดิ์สิทธิ์นั้นเกี่ยวกับนักยุทธ์ทั่วไป
“ชายคนนี้ฆ่าผู้ส่งสารของตำหนักเทวปฐพีและยังกล้าที่อยู่ที่นี่อีก?”
ผู้คนต่างตกตะลึงมากขึ้นเมื่อพบว่าฆาตกรไม่ได้ออกไปทันที แต่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเนินเขาที่แห้งแล้งนอกเมืองอย่างไม่เกรงกลัว
“หลังจากที่ตำหนักเทวปฐพีได้รับข่าว จะส่งผู้แข็งแกร่งมาอย่างแน่นอน บางทีอาจจะเป็นเจ้ายุทธจักรที่ไม่มีใครเทียบได้ กระทั่งการมีอยู่ของแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์!”
ผู้คนมากมายในเมืองคำรามหมาป่าฟ้า เฝ้ามองอยู่ไกลๆ อยากรู้มากเกี่ยวกับจุดจบของฆาตกรรายนี้
ดวงตะวันยามเย็นที่ราวกับโลหิตดับลง ค่ำคืนที่แสงจันทร์สาดส่องลงมา และดวงจันทร์อันเจิดจ้าแขวนอยู่บนที่สูงสุด
เปลวเพลิงรุ้งราวกับอุกกาบาตที่บินผ่านท้องฟ้า เปลวเพลิงนี้ถูกแปลงเป็นทรงพุ่ม มีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ใต้ร่มเงา
นางมีผมสีทองปกคลุมไหล่ นัยน์ตาสีฟ้าดุจดวงดาวที่เจิดจ้าที่สุดในท้องฟ้ายามราตรี ร่างกายของนางขาวราวกับหยก และรูปลักษณ์ของนางก็น่าตะลึง มากพอที่จะทำให้ความงามส่วนใหญ่ในโลกนี้รู้สึกละอายใจต่อหน้านาง
ด้านหลังนางมีสาวสวยหลายคนยืนอยู่ ซึ่งแต่ละนางก็งดงามตระการตาเช่นกัน
หลังคาเหมือนไฟที่ลุกโชนอยู่ในอากาศ
“เจ้าเป็นฆาตกรที่ฆ่าเจ้ายุทธจักรทั้งสองของตำหนักเทวปฐพี?” หญิงผมทองถามหลัวซิว สายตาจับจ้องมาที่เขา
“เจ้าเป็นใครอีก?” หลัวซิวเงยหน้าขึ้นและตอบอย่างเฉยเมย
“คุณหนูของข้าเป็นเทพธิดาแห่งตำหนักเทวโชติ” สาวใช้ที่อยู่ด้านหลังหญิงผมทองพูดอย่างชัดเจน
“เทพธิดาเพลิงสถิต?” ฝูงชนเมืองคำรามหมาป่าฟ้าที่ล้อมรอบที่อยู่ห่างไกลต่างตกตะลึง เหล่าเทพบุตรและเทพธิดาของแต่ละตำหนักเทวจะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังที่สุดที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลกนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“สว่างและความมืดทั้งสองค่ายเป็นศัตรูกัน ในฐานะที่เป็นสมาชิกของค่ายสว่าง ในเมื่อข้าได้พบเจ้า ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ต่อสู้” เทพธิดาเพลิงสถิตย์กล่าวอย่างจริงจัง
หลัวซิวยิ้มเบา ๆ “ข้าคิดว่าเจ้าควรจากไปโดยเร็วที่สุดเพราะเจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า”
“ฮึ่ม ไม่แน่!”
ทันใดนั้น เสียงตะโกนโกรธก็ดังขึ้นจากความมืดมิดของราตรี และร่างสิบแปดร่างก็ปรากฏขึ้นในอากาศ ซึ่งแต่ละคนล้วนเป็นผู้แข่งแกร่งระดับเจ้ายุทธจักรและล้อมรอบภูเขาจากทุกทิศทุกทางที่หลัวซิวอยู่
“เจ้ายุทธจักรสิบแปดคน นี่คือสิ่งที่เจ้าสามารถพึ่งพาได้เพื่อจัดการข้าหริอ?” หลัวซิวหรี่ตา
“เล่ห์ลวง ที่นี่คือที่ฝังศพของเจ้า!”
เจ้ายุทธจักรสิบแปดคนโจมตีพร้อมกัน การโจมตีแต่ละคนแข็งแกร่ง พลังกดดันน่าตกใจ และได้วิวัฒนาการเป็นดิน ลม น้ำ ไฟ
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 883
หลัวซิวไม่ได้สนใจเจ้าตัวเล็กเหล่านี้มากนัก ดังนั้นเขาจึงไม่โหดเหี้ยมเกินไป
นักยุทธ์ที่เหลืออยู่ของตำหนักเทวปฐพีไม่กล้าเคลื่อนไหวใดๆ พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะแสดงอารมณ์โกรธ เกรงว่าพวกเขาจะถูกทำร้ายโดยบุคคลนี้อีก
หลัวซิวไม่แยแส แค่ยืนเงียบ ๆ บนถนนในเมืองนี้เพื่อรอการมาถึงของผู้แข็งแกร่งจากตำหนักเทวปฐพี
“ฆาตกรอยู่ที่ไหน?”
หลังจากนั้นไม่นาน เสียงที่เกร่งขามเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นเหนือเมืองคำรามหมาป่าฟ้า
ทันใดนั้น ร่างสองร่างก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ ทั้งสองร่างกำยำรอบกายเต็มไปด้วยออร่ากดดัน
สองเจ้ายุทธจักร เจ้ายุทธจักรขั้นกลางคนหนึ่ง และเจ้ายุทธจักรขั้นปลายคนหนึ่ง!
“เหอะเหอะ ตัวตนที่แท้จริงมาแล้ว” หลัวซิวมองคนสองคนในอากาศอย่างเย็นชา
“เจ้าเป็นฆาตกรคู่ที่ฆ่าหมั้นของเทพบุตรสุริยา เทพบุตรสุริยา?” ชายเจ้ายุทธจักรขั้นกลางมองลงมาที่หลัวซิว ซึ่งยืนโดดเด่นจากฝูงชนด้านล่าง
“ใช่หรือไม่ใช่ก็ไม่เกี่ยวข้องกับตำหนักเทวปฐพี สว่างไม่ปรากฏตัวด้วยซ้ำ ตำหนักเทวปฐพีของพวกเจ้าว่างมาหาที่ตายหรือ?” หลัวซิวเยาะเย้ย
“จองหองยโส เพียงเพราะเจ้ามีคุณสมบัติที่จะให้เทพบุตรสุริยามาฆ่าเจ้า?”
ชายเจ้ายุทธจักรขั้นกลางหัวเราะเยาะด้วยความโกรธ ร่างของเขาหายไปในอากาศทันที แล้วปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วต่อหน้าหลัวซิวพร้อมตบหน้าเขา
นักยุทธ์จากตำหนักเทวปฐพีฝึกฝนพลังธาตุดินและกฎ หลายคนฝึกฝนการชุบร่างเนื้อ มีแข็งแกร่งในการต่อสู้และต่อสู้ระยะประชิดได้อย่างเชี่ยวชาญ
ชายวัยกลางคนผู้นี้อยู่ในเจ้ายุทธจักรขั้นกลาง มีร่างเนื้อร่างยุทธ์แดนเจ้ายุทธจักร แต่แดนกนั้นด้อยกว่าหลัวซิวมาก
พรึบ!
หลัวซิวชี้ออกมา และในทันทีนั้นมีเลือดกระเซ็นไปทั่ว รูเลือดก็ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของชายวัยกลางคน
สีหน้าของเจ้ายุทธจักรจากตำหนักเทวปฐพีเปลี่ยนไปด้วยความตกใจพร้อมรีบถอยกลับ
“ในเมื่อมาแล้ว จะจากไปอีกทำไม?” หลัวซิวเยาะเย้ยและไล่ตามเขา
“รังแกเกินไปแล้ว!” เจ้ายุทธจักรจากตำหนักเทวปฐพีตะโกนอย่างโกรธจัด พลังของกฎธาตุดินกลายเป็นแม่น้ำที่ไหลเชี่ยว ราวกับแม่น้ำสีเหลืองที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าด้วยความกดดันมหาศาลที่จะจมหลัวซิวอยู่ในนั้น
เจ้ายุทธจักรตำหนักเทวปฐพีประสบความพ่ายแพ้ในการต่อสู้ระยะประชิด ดังนั้นเขาจึงวางแผนที่จะชนะด้วยพลังแห่งกฎ
แต่เมื่อพูดถึงแดนกฎ หลัวซิวสูงกว่าเขา กฎความตายกลายเป็นเปลวไฟแห่งความตายที่น่ากลัวและในไม่ช้าก็เผาผลาญแม่น้ำเหลืองซึ่งถูกเปลี่ยนจากกฎธาตุดิน
“บูม!”
ในขณะนี้ เจ้ายุทธจักรขั้นปลายผู้แข็งแกร่งจากตำหนักเทวปฐพี ก็เคลื่อนไหวร่างเช่นกัน ร่างกายของเขาก็ใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นเผ่ายักษ์ขนาดสิบฟุต และมือขนาดใหญ่ของเขาเคลื่อนมาทางหลัวซิว
“เผ่ายักษ์?”
เผ่ายักษ์ก็อยู่ในค่ายสว่างเช่นกัน โดยปกติแล้ว พวกเขาจะกลายเป็นเหมือนคนธรรมดาและอาศัยอยู่ในสังคมมนุษย์ เมื่อเข้าสู่สภาวะการต่อสู้ พวกมันจะกลายเป็นร่างจริง พวกเขาเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีอำนาจมากที่สุดในโลกเชิ่งถิง
จุดตันเถียนของหลัวซิวกะพริบแสงสลัวและหอกรบมังกรดำก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา หอกและคนรวมกันเป็นหนึ่งเดียว กลายเป็นมังกรดำซึ่งเจาะทะลุฝ่ามือขนาดใหญ่โดยตรง
เลือดจำนวนมากพุ่งออกมา ยักษ์คำรามกรีดร้อง ฝ่ามือคือรูเลือดที่ถูกเจาะทะลุ
“ไม่ดี ถอยกลับ!”
ยักษ์เผยสีหน้าหวาดกลัวออกมา คว้าเพื่อนแล้ววางไว้บนไหล่ของเขาพร้อมก้าวออกไปและหนีไปไกลในทันที
จากข้อมูลดังกล่าว เจ้าเมืองทองคำซึ่งมีผลการฝึกตนระดับเจ้ายุทธจักรขั้น 9 ได้เสียชีวิตด้วยน้ำมือของฆาตกรคนนี้ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาสองคนร่วมมือกันก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา
เผ่ายักษ์เป็นที่รักของปฐพี วิ่งอยู่บนปฐพีอย่างรวดเร็ว เร็วกว่าความเร็วของนักยุทธ์ในแดนเดียวกัน
แต่ความเร็วแบบนี้ไม่มีผลกับปีกทิพย์ไร้มลทินของหลัวซิว ในเวลาน้อยกว่าสองลมหายใจ หลัวซิวตามทันและหอกรบมังกรดำก็พุ่งออกมาเจาะทะลุหัวของยักษ์โดยตรง
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 882
หลัวซิวระงับด้วยความโกรธในใจ ผู้คนค่ายสว่างตามล่าเขา ตกอยู่ในแผนการของเขา เพียงแค่ใช้โอกาสนี้เพื่อระบายอารมณ์ได้พอดี
ยิ่งกว่านั้น ด้วยความแข็งแกร่งในผลการฝึกตนปัจจุบันของเขา นอกจากผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ที่สามารถปราบปรามเขาได้ ไม่จำเป็นต้องก้มศีรษะลงต่อหน้าบุคคลหรือกองกำลังใดๆ
หลัวซิวไม่ได้จงใจเปลี่ยนรูปลักษณ์ของเขา เขามาถึงเมืองอันงดงามที่เรียกว่า เมืองคำรามหมาป่าฟ้า
ในเมือง ผู้คนจำนวนมากที่สวมชุดของตำหนักเทวปฐพี กำลังค้นหาฆาตกร
ชาวตำหนักเทว มีฐานะสูงส่งในโลกนี้ นักยุทธ์ของตำหนักเทวปฐพี จะขวางคนที่เดินอยู่บนถนนในเมืองทุกเมื่อและสอบถามเบาะแส
เจ้า หยุดเดี๋ยวนี้!”
ในขณะนี้ นักยุทธ์จากตำหนักเทวปฐพีขวางทางหลัวซิวที่กำลังเดินอยู่บนถนน
แต่หลัวซิวเมินเฉยและเดินหน้าต่อไป
“ข้าบอกให้เจ้าหยุดไง ไม่ได้ยินเหรอ?” นักยุทธ์คนอื่นๆ ของตำหนักเทวปฐพีขมวดคิ้วเมื่อสังเกตเห็นสถานการณ์ที่นี่
“พวกเจ้าเป็นอะไรกัน กล้าพูดกับข้าแบบนี้เหรอ?” หลัวซิวเหลือบมองคนเหล่านี้อย่างเย็นชา
“ช่างเป็นผู้ชายที่หยิ่งผยองยิ่ง!” สีหน้านักยุทธ์ของตำหนักเทวปฐพีหลายคนต่างโกรธแค้น ฐานะนักยุทธ์ของตำหนักเทวนั้นฐานะช่างไม่ธรรมดา จะมีใครกล้าพูดกับพวกเขาเช่นนี้เมื่อไหร่กัน?
“เจ้ามากับพวกเรารอบหนึ่ง ข้าสงสัยว่าเจ้าเกี่ยวข้องกับฆาตกรที่ฆ่าคู่หมั้นของเทพบุตรสุริยา” นักยุทธ์จากตำหนักเทวปฐพีชี้ไปที่หลัวซิวด้วยรอยยิ้มเย็นชา
ไม่ว่าคนนี้จะเกี่ยวข้องกับฆาตกรหรือไม่ก็ตาม ตราบใดที่ถูกพาตัวไป ดูว่าเขาจะหยิ่งแค่ไหน
“เจ้าใครมาจากไหน?”
เนื่องจากเรื่องขอหอคอยเทวมืด ทำให้หลัวซิวอารมณ์ไม่ดี เขายกมือขึ้นและตบนักยุทธ์ตำหนักเทวปฐพีที่ชี้นิ้วมาที่เขา
นักยุทธ์คนนั้นบินออกไปแบบแนวนอน เลือดพุ่งออกมาจากจมูกและปากของเขา ใบหน้าครึ่งหนึ่งบิดเบี้ยวและผิดรูป จากนั้นก็สลบไปทันที
“เจ้า!…”
นักยุทธ์อื่นๆ อีกหลายคนของตำหนักเทวปฐพีตกตะลึง และคนที่ถูกตบแล้วสลบไปนั้นไม่ว่ายังไงผลการฝึกตนก็อยู่ในระดับมกุฎยุทธ์
“เจ้าเป็นใคร?” มหายุทธ์สองคนที่เป็นหัวหน้ารู้สึกไม่ดีเล็กน้อยและแอบถือลูกแก้วสื่อสารพร้อมที่บีบแตกทุกเมื่อ
“ข้าเป็นใครเกี่ยวอะไรกับพวกเจ้า? ข้าเดินอยู่ดีๆ พวกเจ้าจะห้ามก็ห้ามได้หรือ?” หลัวซิวเยาะเย้ยด้วยท่าทีจองหอง
ฝูงชนบนถนนได้แยกย้ายกันไปและถอยห่างออกไป หลายคนกระซิบพูดคุย เดาที่มาของชายชุดดำที่กล้ายั่วยุคนจากตำหนักเทวปฐพี
หลัวซิวสวมเสื้อคลุมสีดำบริสุทธิ์เช่นเคย แต่เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่ไม่จำเป็น เขาเปลี่ยนผมเป็นสีทอง
“เจ้ามาจากค่ายมืดเหรอ?” นักยุทธ์จากตำหนักเทวปฐพีสังเกตเห็นตราสีดำบนหน้าอกของหลัวซิว
ตราสัญลักษณ์เป็นสัญลักษณ์ของค่าย และมีเพียงผู้ที่เคยไปเมืองทวยเทพเท่านั้นที่มีตราสัญลักษณ์นี้
“พวกข้ากำลังอยู่ในภารกิจ แม้ว่าค่ายสว่างและค่ายมืดจะอยู่กันคนละค่าย แต่พวกข้าไม่มีเจตนาที่จะขัดแย้งกับเจ้า” มหายุทธ์คนหนึ่งกล่าว
“เจ้าบอกว่าเจ้าไม่อยากขัดแย้งกับข้า แต่กลับแอบส่งข้อความออกไป คิดว่าข้ารู้สึกไม่ได้เหรอ?”
รอยยิ้มเยาะเย้ยเยาะเย้ยปรากฏบนใบหน้าของหลัวซิว เมื่อครู่นี้มหายุทธ์คนนี้จากตำหนักเทวปฐพี ได้ส่งข้อความออกไปด้วยลูกแก้วสื่อสาร
ขณะที่พูด หลัวซิวก็ไร้มารยาทเช่นกัน เขาคาดเดาว่า คนเหล่านี้น่าจะสงสัยในตัวเขา ดังนั้นจึงแจ้งผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ ให้มาที่นี่
ปัง!
เขายกมือขึ้นและตบไปยังมหายุทธ์ที่เพิ่งส่งการเรียกข่าวออกไป บินออกไป กระอักเลือดออกมา ยังมีชิ้นส่วนของอวัยวะภายในเลือด
บทที่ 881
บทที่ 883
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 881
สว่างเชิ่งถิงเป็นราชวังอันงดงามที่ลอยอยู่กลางเมฆ
ราชวังแห่งนี้ใหญ่เท่ากับเกาะบนท้องฟ้า มีแสงสว่างบานสะพรั่งอย่างไม่สิ้นสุดตลอดทั้งปี ส่องสว่างโลกด้วยแสง เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่บริสุทธิ์ที่สุด
เทพบุตรสุริยาเป็นที่รู้จักในฐานะอัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดในเวลาหลายหมื่นปีมานี้ ว่ากันว่า เขาเป็นร่างจุติของเทพสุริยาและมีสายเลือดที่สูงส่งที่สุดในโลก
เพื่อสืบสานสายเลือดอันสูงส่งของเขา เชิ่งถิงได้เลือกคู่หมั้นหนึ่งร้อยแปดคู่ให้เขา เมื่อผลการฝึกตนของเขาประสบความสำเร็จแล้ว ในบรรดาคู่หมั้นจำนวนหนึ่งร้อยแปดคู่นี้ จะมีหนึ่งคนที่โดดเด่นที่สุดที่จะมาเป็นภรรยาของเขา เหลือสายเลือดของเขาไว้ในโลกนี้
ฐานะของเขาสูงส่งอย่างหาที่เปรียบมิได้ เทียบเท่ากับเจ้าแห่งเซิ่งถิง
ตอนนี้ คู่หมั้นหนึ่งในหนึ่งร้อยแปดคนถูกสังหาร ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นการท้าทายอำนาจสูงส่งของเขา
เขาอยู่หวางอากาศ มีวงแหวนศักดิ์สิทธิ์ทับซ้อนกันอยู่ด้านหลังศีรษะของเขา และทั้งตัวของเขาถูกปกคลุมไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ที่ส่องประกายระยิบระยับที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้
ราวกับสายตาจ้องมองทะลุเข้าไปในอวกาศ ยิงแสงศักดิ์สิทธิ์ที่น่าสะพรึงกลัวออกมาสองดวง
“ไม่ว่าคนผู้นั้นเป็นผู้ใด กล้าฆ่าคนของข้าก็จะต้องชดใช้ออกมาเป็นเลือด!”
พรสวรรค์อันศักดิ์สิทธิ์ของเขาไม่มีผู้ใดหยุดยั้งได้ เขาจะถูกลิขิตจะกลายเป็นพระเจ้า ไม่เพียงแต่ชาวเชิ่งถิงเท่านั้นที่ค้นหาทุกมุมโลก แม้แต่ด้านค่ายสว่างก็ได้ส่งผู้แข็งแกร่งจำนวนมากออกตามหาฆาตกร
…
หลังจากที่หลัวซิวออกจากหอคอยเทวมืดชั้นสาม เขาไม่ได้ออกห่างจากเมืองทวยเทพและหอคอยแห่งเทพศักดิ์สิทธิ์ทั้งแปดในทันที
เขามาที่ห้องฝึกลับหอคอยเทวมืดชั้นสองเพื่อปิดกั้นฝึกตน ใช้เวลาเกือบสามเดือนในการทำลายวิชาต้องห้ามสองวิชาที่ผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ทั้งสองได้ลงวางไว้ในตัวหยั่งรู้
เก๋อฟูและลีน่าไม่รู้สึกอะไรเลย ซึ่งทำให้หลัวซิวโล่งใจไปโดยสิ้นเชิง
เมื่อเขาออกจากเมืองทวยเทพอีกครั้ง ผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ทั้งสองไม่ได้ห้ามเขา เพราะเขากล่าวว่าผลการฝึกตนของเขาประสบปัญหาที่ไม่เพอิ่มขึ้นเสียที และเขาจำเป็นต้องหาโอกาสเพื่อที่จะบรรลุให้เร็วขึ้น และมันไม่มีความหมายที่จะอยู่ในหอคอยเทวมืดต่อไป
ประสบการณ์ในหอคอยเทวมืดครั้งนี้ ทำให้ในใจของหลัวซิวระงับความโกรธไว้ หลังจากออกจากเมืองทวยเทพ เขาก็ได้รู้ว่าผู้คนจำนวนมากจากค่ายสว่างยังคงค้นหาเขาอยู่
“เทพบุตรสุริยาสุนัข ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะเป็นร่างทรงเทพมารแบบไหน ถ้าเจ้ากล้ายั่วยุข้า ข้าจะฆ่าเจ้า!”
หลัวซิวอยู่ในอารมณ์ที่แย่มาก อยู่ในสถานะอันตรายหากถูกจุดก็จะติด
อย่างไรก็ตามเทพบุตรสุริยาไม่ปรากฏตัว เหล่าตำหนักเทวของค่ายสว่างได้ส่งผู้แข็งแกร่งออกมาจำนวนมาก
“ว่ากันว่าเทพบุตรปฐพี บาร์โลว์ มาที่เขตพื้นที่นี้และกำลังตามล่าฆาตกรอยู่”
“เทพบุตรสุริยาไม่ปรากฏตัว ข้าได้ยินมาว่าเขากำลังทำความเข้าใจชิ้นส่วนโบราณ ต้องการฝึกฝนพลังอมตะสูงสุด”
ไม่นานหลังจากที่หลัวซิวออกมาจากเมืองทวยเทพ เขาได้ยินชื่อผู้แข็งแกร่งจากค่ายสว่างมากมาย
ในโลกเชิ่งถิง มีตำหนักเทวแปดแห่ง มีตำหนักเทวแปดแห่ง ค่ายสว่างมีตำหนักเทวสี่แห่ง และค่ายมืดมีตำหนักเทวสี่แห่ง
ตำหนักเทวสว่างคือเชิ่งถิง ตามด้วยตำหนักเทวปฐพี ตำหนักเทวโชติ และตำหนักเทวอัสนี ตำหนักเทวทั้งสี่นี้เป็นค่ายสว่าง
ตำหนักเทวมืด ตำหนักเทววาโยเสวียน ตำหนักเทวเยือก ตำหนักเทวกาลคือค่ายมืด
นอกจากนี้ยังมีผู้ฝึกตนแบบหลวม ๆ บางส่วนที่ไม่ได้เป็นของตำหนักเทวใด ๆ ตัวอย่างเช่นมีคนในค่ายมืดที่ฝึกวรยุทธ์ธาตุไฟ และเป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าร่วมตำหนักเทวโชติของค่ายสว่าง และด้านค่ายมืดไม่มีตำหนักเทวที่คล้ายคลึงกัน ดังนั้นจึงต้องการเป็นผู้ที่ไม่เข้าร่วมค่ายใดๆ
โดยทั่วไปแล้วคล้ายกับนักยุทธ์ประเภทนี้ พวกเขาถูกบังคับ จึงเข้าร่วมค่ายตรงข้ามของตำหนักเทวที่พวกเขาอยู่
“ตราบใดที่ไม่มีผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ ไม่สำคัญว่าเจ้าจะเป็นใครที่มา มาหนึ่งคนฆ่าคนหนึ่ง มาสองคนฆ่าหนึ่งคู่”
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 880
ความแตกต่างต่างกันเกินไป ไม่สามารถพูดได้อย่างสมเหตุสมผล
“ไอ้หนุ่มหลัว เกิดอะไรขึ้น?” นกหุ่นเชิดที่วิญญาณของมหาจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำบินมาอาศัยอยู่บนไหล่ของหลัวซิว
เขารู้ว่าหลัวซิวมีร่างแยกสองตัว และระหว่างร่างแยกก็รับรู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันและกันได้
ในแดนตำหนักจื่อทุกอย่างสงบสุข แต่สามารถทำให้ร่างแยกชุดขาวรู้สึกอารมณ์ไม่ดีได้ เห็นได้ว่าร่างแยกชุดดำต้องพบกับสิ่งเลวร้าย
“ข้าถูกปล้นแล้ว” หลัวซิวพูดด้วยรอยยิ้มที่บิดเบี้ยว
เส้นทางการเติบโตของเขาคือการฆ่าคู่ต่อสู้และแย่งชิงทรัพยากรมาโดยตลอด แต่ครั้งนี้ ไม่เพียงแต่เขาถูกขโมยสมบัติเท่านั้น ร่างแยกชุดดำยังถูกลงวิชาต้องห้ามด้วย ต้องการได้รับผลประโยชน์ แต่กลับประสบความสูญเสียสองเท่า เขาจะไม่โมโหได้อย่างไร?
เขาเล่าเรื่องทั้งหมดให้มหาจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำฟังคร่าวๆ ยกเว้นความลับที่เกี่ยวกับลูกแก้วความเป็นตาย มหาจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำรู้เกือบทุกอย่างเกี่ยวกับเขา
“อะไรนะ? สมบัติวิเศษทั้งสามอย่างของข้าถูกขโขยไปแล้ว?” มหาจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำโกรธทันทีเมื่อได้ยินเรื่องนี้ เขาอยากจะขยับปีกเล็กๆ บินไปต่อสู้กับผู้อื่นที่โลกเชิ่งถิง
สามสมบัติวิเศษเสวียนดำเป็นชีวิตของเขา เมื่อนึกย้อนกลับไปในสมัยโบราณ เขาเสียชีวิตไปแล้วแต่สมบัติวิเศษทั้งสามชิ้นนี้ก็ไม่ได้สูญหายไป
“ข้า หลัวซิว เป็นคนที่แย่งของของคนอื่นมาโดยตลอด ไม่มีเหตุผลที่คนอื่นจะมาแย่งของของข้า คนสองคนนี้กล้าที่จะแย่งของของข้า ไม่ช้าก็เร็ว พวกเขาจะเสียใจภายหลัง!”
ความหนาวเย็นเยือกแวบผ่านดวงตาของหลัวซิวชุดขาว จากนั้นเขาก็หลับตาลงทันที เพราะเรื่องสำคัญสูงสุดในตอนนี้คือการแก้วิชาต้องห้ามทั้งสองในวิญญาณหยั่งรู้ของร่างแยกชุดดำก่อน
วิชาต้องห้ามทั้งสองนี้มาจากเก๋อฟูและลีน่า สองผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ วิชาต้องห้ามยังเป็นวิชาหนึ่งที่แยกมาจากค่ายกล และวิชาต้องห้ามแต่ละวิชามีกฎมืด
ทันทีที่สัมผัสวิชาต้องห้ามทั้งสองวิชานี้ เก๋อฟูและลีน่าจะสัมผัสได้ถึงความรู้สึกนั้นทันที แค่เพียงคิดเท่านั้นก็สามารถจุดชนวนวิชาต้องห้ามทั้งสองนี้ให้ระเบิดได้ ทำให้ตัวหยั่งรู้ของเขาพังทลายและระเบิด แล้ววิญญาณของเขาก็จะสลายไป
ร่างแยกชุดดำฝึกฝนกฎความตายและการต่อสู้สังหาร
ร่างแยกชุดขาวฝึกฝนกฎชีวิต ทำความเข้าใจค่ายกล แรกลั่นยาและการกลั่นสมบัติ ส่วนใหญ่จะมีบทบาทด้านการสนับสนุน
แม้ว่าผลการฝึกตนจะยังคงอยู่ที่ระดับมหายุทธ์ แต่การบรรลุของร่างแยกชุดขาวก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงเวลานี้ และอยู่ห่างจากปรมาจารย์ระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 9 เพียงก้าวเดียวเท่านั้น
แม้ว่าเก๋อฟูและลีน่าจะเป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์ผลการฝึกตน แต่ระดับค่ายกลไม่สูง ความยากในการทำลายวิชาต้องห้ามทั้งสองนี้กลับเป็นพลังแห่งกฎมืดที่ประกอบเป็นวิชาต้องห้าม
พลังแห่งกฎมืดในนี้ ถึงระดับแดนสำเร็จน้อยแดนกฎ
กฎมืดเป็นวิชาหนึ่งที่แยกออกมาจากกฎความตาย เป็นแดนสำเร็จน้อยแดนกฎด้วยเช่นกัน พลังของกฎความตายย่อมเหนือกว่ากฎมืด
ดังนั้นหากหลัวซิวต้องการทำลายวิชาต้องห้ามทั้งสองนี้ เขาต้องใช้วิธีการสองอย่างพร้อมกัน ใช้ค่ายกลเพื่อทำลายวิชาต้องห้ามของลายค่าย ด้วยกฎความตายทำลายพลังแห่งกฎมืด
มีวิชาต้องห้ามสองวิชาอยู่บนร่าง เก๋อฟูและลีน่าไม่มีข้อสงสัยแม้แต่น้อย และพวกเขาก็ไม่รู้สึกว่าหลัวซิวจะมีความสามารถในการทำลายวิชาต้องห้ามที่ผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ทั้งสองได้ลงไว้
หน้าที่ที่พวกเขามอบให้หลัวซิวนั้นง่ายมาก นั่นคือฝึกตนอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของตน และเมื่อผลการฝึกตนของเขาถึงแดนเจ้ายุทธจักร ก็สามารถแนะนำให้เทวทูตจากโลกาชั้นฟ้า ถ้าเขาผ่านการประเมิน เขาจะมีโอกาสถูกพาไปสู่โลกที่กว้างขวางกว่าในโลกาชั้นฟ้าเพื่อการฝึกตน
และเมื่อหลัวซิวได้รับเลือกจากโลกาชั้นฟ้าแล้ว เก๋อฟูและลีน่า ซึ่งเป็นผู้แนะนำก็สามารถได้รางวัลมากมายและได้รับโอกาสที่จะกลายเป็นเทพมาร
ความปรารถนาของเก๋อฟูและลีน่านั้นคิดได้ดีมาก แต่หลัวซิวก็มีแผนการของตัวเองเช่นกัน สุดท้ายแล้วไม่รู้ว่าใครจะเป็นคนที่หลอกอีกฝ่าย!
เมื่อเก๋อฟูและลีน่ารวบรวมสมบัติมากมายที่เขาได้รวบรวมมา สีหน้าของหลัวซิวบึงและแทบจะแข็งทื่อ
“มีเปลวไฟที่ทรงพลังในร่างกายของเขา ดูเหมือนว่าจะเป็นภูตอัคคีชนิดหนึ่ง” ทั้งสองเกือบจะสแกนร่างกายของหลัวซิวด้วยตัวสำนึกของพวกเขา
ในท้ายที่สุดเก๋อฟูและลีน่าไม่ได้นำสมบัติทั้งหมดในแหวนเก็บของหลัวซิวออกไป แต่เหลือเม็ดยาและวัสดุบางอย่างสำหรับการฝึกตนไว้ให้เขา
เขาเปลี่ยนจากคนร่ำรวยกลายเป็นคนยากจนในทันที
ไม่เพียงเท่านั้น หลังจากที่สองคนนี้กวาดล้างสมบัติทั้งหมดในร่างกายของเขาแล้ว พวกเขายังได้ลงวิชาต้องห้ามในวิญญาณหยั่งรู้ของเขาและวิชาต้องห้ามไม่ใช่หนึ่งอย่าง แต่เป็นสองอย่าง เก๋อฟูและลีน่าลงไว้คนละอย่าง!
“พรสวรรค์ของเขาดีมาก น่าเสียดายถ้าเขาตายโดยอบัติเหตุ เจ้าเหลือสมบัติให้เขาไว้ป้องกันตัวดีไหม?”
หลังจากลงวิชาต้องห้าม ท่าทีที่เก๋อฟูและลีน่าที่มีต่อหลัวซิวก็ผ่อนคลายลงอย่างมาก เนื่องจากความเป็นตายของอีกฝ่ายอยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเขาอย่างสมบูรณ์
“ก็ดี”
ลีน่าลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นนำตำหนักเสวียนดำออกมาแล้วยื่นให้หลัวซิว
สำหรับลีน่าแล้ว ตำหนักเสวียนดำเป็นเพียงสมบัติสำหรับการป้องกันเท่านั้น แต่ลูกแก้วเสวียนดำสามารถช่วยให้นางมีผลการฝึกตนเพิ่มขึ้นจนถึงมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นกลาง ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามีประโยชน์มากกว่าตำหนักเสวียนดำ
“สามารถให้ทรัพยากรเพิ่มเติมสำหรับผลการฝึกตนแก่ข้าได้ไหม?” หลัวซิวกล่าว แม้ว่าทรัพยากรที่สองคนนี้ทิ้งไว้ในวงแหวนเก็บของนั้นเพียงพอสำหรับ มหายุทธ์ทั่วไปในการฝึกฝน แต่ก็ไม่มีนัยสำคัญสำหรับเขา
เก๋อฟูขมวดคิ้ว แต่ดูเหมือนลีน่าจะพูดง่ายมาก นางหยิบแหวนเก็บของออกมา “ข้างในมียาเม็ดอยู่บ้าง ซึ่งน่าจะเพียงพอสำหรับเจ้าที่จะฝึกฝนถึงเจ้ายุทธจักร”
หลัวซิวเอื้อมมือออกไปหยิบมันออกมาอย่างไม่เกรงใจ เพราะสิ่งเหล่านี้เดิมทีเป็นของเขา
มีเม็ดยาเจ้ายุทธจักรระดับเก้ามากกว่าสามสิบเม็ดในวงแหวน ปากของหลัวซิวกระตุกสองครั้ง เพราะสิ่งเล็กน้อยนี้อย่างมากจะช่วยเพิ่มผลการฝึกตนของเขาถึงแดนเล็กเท่านั้น
หลัวซิวรู้ด้วยว่าถ้าเขายังคงขอของต่างๆ สองคนนี้อาจจะไม่เต็มใจที่จะให้พวกเขาอีก
…
ในส่วนลึกของความว่างเปล่าที่ไม่มีที่สิ้นสุด พื้นที่ลับของอวกาศลอยอยู่รอบ ๆ
หลังจากความล้มเหลวในการไล่ล่าจากแดนดารานอก กองกำลังของโลกแสงดาวยังคงไม่ละทิ้งการค้นหาหลัวซิว และใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ทั้งหมดเพื่อแทรกซึมไปยังแดนดารานอกหลายแห่งรอบพิภพเพื่อตามหาหลัวซิว
ในเวลาเดียวกัน สำหรับแดนตำหนักจื่อที่หายไป กองกำลังมากมายก็ยังได้ส่งผู้แข็งแกร่งที่เชี่ยวชาญที่ฝึกฝนกฎปริภูมิจำนวนมากเพื่อค้นหาในความว่างเปล่า
เนื่องจากกองกำลังทั้งหมดต่างก็รู้ว่าเมื่อค้นพบแดนตำหนักจื่อ ก็เท่ากับว่าได้จับจุดสำคัญอย่างหนึ่งหลัวซิวไว้ และเขาจะไปหาพวกเขาไม่ช้าก็เร็ว
อย่างไรก็ตาม ทางเข้าสู่ดินแดนลับถูกทำลายโดยหลัวซิว และแดนตำหนักจื่อได้หลบหนีเข้าไปในอวกาศที่ไม่มีที่สิ้นสุดและลอยไปเรื่อย ๆ ไม่เคยหยุดอยู่ที่จุดพิกัดที่แน่นอน อยากตามหาแดนตำหนักจื่อที่อยู่ในอวกาศ เป็นเหมือนการมองหาเข็มในกองหญ้า
วันนี้ ร่าแยกชุดขาวของหลัวซิวที่อยู่ในหอฝึกหัดในใจกลางแดนตำหนักจื่อ ดวงตาคู่หนึ่งที่ปิดสนิทก็ลืมขึ้น ลมปราณที่เหมือนมหาสมุทรอันกว้างใหญ่แผ่กระจายไปทั่วตัวเขา
ในช่วงเวลานั้น ศิษย์ของสำนักไท่เสวียนทั้งหมดในแดนลับต่างตื่นตระหนก ทุกคนมองไปที่หอฝึกที่อยู่ตรงกลางของแดนลับด้วยความประหลาดใจ
“ช่างเป็นออร่าที่แข็งแกร่งจริงๆ ความแข็งแกร่งของเจ้าสำนักแข็งแกร่งขนาดนี้แล้วหรือ?”
ภายใต้สภาพแวดล้อมผลการฝึกตนที่ดี ผลการฝึกตนของเกาเหลียนหงได้ถึงแดนมหายุทธ์ แต่ภายใต้แรงกดดันของออร่าในตอนนี้ เขารู้สึกเหมือนมดที่เผชิญหน้ากับโลกที่กว้างใหญ่และไร้ขอบเขต
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 878
“เป็นระดับสูง และยังเป็นสมบัติวิเศษอาวุธประเภทโจมตี!” เก๋อฟูถือภูเขาทองคำขนาดเท่าฝ่ามือเล่น ดวงตาของเขาฉายประกายด้วยความตื่นเต้น
เห็นได้ชัดว่าสมบัติวิเศษนี้ตกไปอยู่ในมือของเขาและจะไม่ถูกส่งคืนอย่างแน่นอน
ทันทีหลังจากนั้น หลัวซิวรู้สึกว่าจุดตันเถียนของเขาว่างเปล่าอีกครั้ง ตำหนักเสวียนดำและลูกแก้วเสวียนดำถูกลีน่าจับออกไปพร้อมกัน
“สองชิ้นก็เป็นชั้นสูงสมบัติวิเศษเช่นกัน ชิ้นหนึ่งสำหรับป้องกันและอีกชิ้นนึ่งสำหรับป้องกัน” ลีน่ามองดูสมบัติวิเศษทั้งสองชิ้น “โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูแก้วนี้บรรจุพลังบริสุทธิ์ ได้ครอบครองสิ่งนี้จะทำให้ข้าก้าวไปสู่มหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นกลางได้”
ดวงตาของแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ทั้งสองต่างจ้องมองไปที่หลัวซิวอย่างรุ่มร้อน ชายหนุ่มที่มาจากอีกโลกหนึ่ง รามกับคลังสมบัติที่มีสิ่งที่ดีมากมาย
แปรง!
จุดตันเถียนของหลัวซิวว่างเปล่าอีกครั้ง ศิลามรณะถูกจับออกไป
ศิลามรณะเป็นค่ายกลศูนย์กลางหลักของแดนนานาอสูร แม้ว่าเก๋อฟูและลีน่าจะเป็นผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ แต่ดูสมบัตินี้ไม่ออก
“สิ่งนี้ดูเหมือนจะเป็นสมบัติวิเศษ แต่พิเศษมากและดูเหมือนว่าจะเกี่ยวข้องกับค่ายกล”
“นอกจากระดับสมบัติวิเศษอาวุธแล้ว เขายังมีหอกชิ้นหนึ่งอยู่ในจุดตันเถียน ซึ่งเป็นของขลังพรสวรรค์”
เก๋อฟูถือหอกรบมังกรดำของหลัวซิวอยู่ในมือ แต่เขาเห็นเพียงว่ามันเป็นของขลังพรสวรรค์ แต่เขามองวิชาห้ามเก้าขั้นที่ซ่อนอยู่ในหอกไม่ออก
“เขายังได้กลั่นแปรปีกทิพย์ไร้มลทิน ของขลังพรสวรรค์นี้เร็วมาก แต่น่าเสียดายที่มันไม่มีประโยชน์สำหรับเจ้าและข้า”
“ผลการฝึกตนของเจ้าเพิ่งถึงแดนมหายุทธ์ เจ้าไม่สามารถใช้สิ่งเหล่านี้ได้ ดังนั้นข้าและลีน่าช่วยเจ้าเก็บไว้ชั่วคราว”
เก๋อฟูประกาศความเป็นเจ้าของสมบัติเหล่านี้ด้วยประโยคง่ายๆ
สิ่งเดียวที่ทำให้หลัวซิวรู้สึกโชคดีมากขึ้นก็คือหอกรบมังกรดำ อาจเป็นเพียงระดับของขลังพรสวรรค์ ดังนั้นเก๋อฟูจึงใส่กลับไปยังจุดตันเถียนของหลัวซิว
ความเร็วของปีกทิพย์ไร้มลทินใช้ได้ผลกับมหาจักรพรรดิยุทธ์เท่านั้น ดังนั้นจึงไม่ถูกขโมยโดยโจรแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์สองคนนี้
หากต้องการพูดเรื่องนี้จริงๆ มูลค่าของหอกรบมังกรดำนั้นสูงกว่าสมบัติวิเศษอาวุธทั้งสี่ชิ้น
โจรแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ทั้งสองไม่ให้โอกาสหลัวซิวพูดอะไร และแหวนเก็บของในมือพวกเขาก็ถูกนำไป
“เจ้าหนุ่ม ทรัพย์สมบัติของเจ้าช่างน่าอัศจรรย์!”
เก๋อฟูประหลาดใจอีกครั้งเพราะแหวนเก็บของหลัวซิวมีวัสดุขั้นสูงมากมายและมียาเจ้ายุทธจักรระดับเก้ามากกว่าหนึ่งร้อยเม็ด อย่าพูดถึงมหายุทธ์ แม้แต่ผู้แข่งแกร่งระดับเจ้ายุทธจักรที่เก่งกาจก็ไม่มีการสะสมความมั่งคั่งที่น่าทึ่งเช่นนี้
เพราะยิ่งระดับผลการฝึกตนสูงขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งต้องใช้ทรัพยากรมากขึ้นเท่านั้น และสมบัติส่วนใหญ่ที่ได้รับมาจะถูกนำไปใช้เพื่อแลกเปลี่ยนทรัพยากรที่จำเป็นสำหรับผลการฝึกตนของตนเอง และความมั่งคั่งที่สะสมไว้จะมีน้อยมาก
และแม้ว่าหลัวซิวจะมีทรัพยากรเพียงพอ แต่เขาไม่กล้าที่จะให้ระดับผลการฝึกตนของเขาเร็วเกินไป ดังนั้นทรัพยากรในการฝึกตนเหล่านี้จึงถูกสะสมและใส่ไว้ในวงแหวนเก็บของ
นอกจากนี้ยังมีอาวุธสมบัติขั้นสูงสูงจำนวนมากในวงแหวนเก็บของเขา สำหรับผู้แข่งแกร่งระดับเจ้ายุทธจักรซึ่งเป็นสมบัติล้ำค่า
“ดอกยวิ่นหลิง นี่เป็นสมบัติที่หายาก!” ลีน่าค้นพบดอกยวิ่นหลิงที่หลัวซิวเด็ดมาจากป่าหินแดงนอง นี่เป็นสมบัติหายากที่ใช้ในการช่วยชีวิต แม้ว่าจะเหลือเพียงวิญญาณเล็กน้อย ก็สามารถใช้ผลของดอกยวิ่นหลิงในการฟื้นฟู
“หยดเลือดของเทพมาร!” จากนั้นพวกเขาก็ค้นพบเลือดของเทพมารที่หลัวซิวได้กลั่นแปรมารโลหิตแล้วได้มา
เลือดหยดนี้เจิดจ้าราวกับทับทิม ปล่อยพลังที่บริสุทธิ์พลานุภาพออกมาอย่างแผ่วเบาและออร่าของกฎดั้งเดิม
“ภูตอัคคีฟ้าดินดอกหนึ่ง!” ภูตอัคคีเสือพิฆาตจิ่วหยินก็ถูกค้นพบเช่นกัน
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 877
เมื่อวิญญาณถูกลงวิชาต้องห้าม ความเป็นตายของเขาจะอยู่ภายใต้การควบคุมในความคิดของนาง
เดิมทีคิดว่าจะมีการพลิกกลับ แต่หลัวซิวคาดไม่ถึงว่าในท้ายที่สุดเขาจะถูกบังคับให้ไปยังทางตัน
เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวผู้มีเสน่ห์ตรงหน้าต้องการจะควบคุมเขา และตัวเขาเองไม่มีทางเลือก เพราะถึงแม้เขาจะยอมตายดีกว่ายอมจำนน ตามความสามารถของผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ก็สามารถลงวิชาต้องห้ามในตัวหยั่งรู้ได้
หลัวซิวมองผู้หญิงที่ชื่อลีน่า ความโกรธในใจทำให้เขาอยากรฉีกเสื้อผ้าของนางออกและเหยียบย่ำทำลายผู้หญิงเลวคนนี้อย่างรุนแรง
ความเป็นตายถูกควบคุมโดยผู้อื่น ซึ่งเป็นความอัปยศสำหรับนักยุทธ์
“ถึงเวลาที่เจ้าต้องแสดงความภักดีแล้ว” ลีน่าพูดด้วยรอยยิ้ม ชี้นิ้วขาวซีดไปที่คิ้วของหลัวซิว
หลัวซิวหลับตาลงอย่างยอมรับชะตากรรม เมื่อถึงจุดนี้ เขาก็ทำได้เพียงฟังชะตากรรมเท่านั้น
โชคดีที่ลูกแก้วความเป็นตายที่สำคัญที่สุดยังคงอยู่ในตัวหยั่งรู้ของร่างแยกชุดขาว และแม้ว่าร่างแยกชุดดำจะตาย เมื่อถึงเวลานั้นก็สามารถฟื้นคืนชีพได้ผ่านร่างแยกชุดขาว แต่ความพยายามทั้งหมดของเขาในช่วงเวลานี้ก็จะไร้ผล
นิ้วของลีน่าแตะที่กึ่งกลางคิ้วของเขาโดยไม่มีสิ่งกีดขวาง รอยแตกเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นที่คิ้วของหลัวซิวอย่างช้าๆเผยให้เห็นวิญญาณหยั่งรู้ที่ซ่อนอยู่ลึกลงไปในคิ้ว
“ช่างเป็นออร่าวิญญาณที่ทรงพลังอะไรเช่นนี้!”
การรับรู้แทรกซึมเข้าไปในตัวหยั่งรู้ของหลัวซิว ลีน่าก็รู้สึกถึงพลังวิญญาณที่บริสุทธิ์และพลานุภาพ
“ผลฝึกตนมีเพียงมหายุทธ์ขั้น 6 แต่วิญญาณหยั่งรู้ได้มาถึงเจ้ายุทธจักรขั้น 5 แต่พลังวิญญาณที่พลานุภาพมากกว่าคืออะไร?”
ตัวสำนึกของลีน่าสังเกตเห็นช่องจิตปลอมอย่างรวดเร็วในตัวหยั่งรู้ของ หลัวซิวพลังวิญญาณที่มีอยู่ในช่องจิตปลอมนี้เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนยกระดับวิญญาณหยั่งรู้ไปสู่แดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 9 หากมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นปลายกลั่นแปรช่องจิตปลอมดวงนี้ สามารถเข้าถึงระดับเทพมารได้
แม้ว่าหลัวซิวได้กลั่นแปรพลังวิญญาณจำนวนมากในช่องจิตปลอม แต่ก็ไม่มีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับจำนวนพลังวิญญาณทั้งหมดที่มีอยู่ในช่องจิต
“โอ้ พระเจ้า เป็นจิตปลอมดวงหนึ่งจริงๆ!” ลีน่าตกใจและอุทานออกมา
“น่าเสียดายที่ไม่มีลมปราณของกฎดั้งเดิมแม้แต่น้อย เป็นเพียงช่องจิตปลอมที่มีพลานุภาพวิญญาณ” จากนั้นลีน่าก็รู้สึกเสียดายขึ้นมา หากเป็นช่องจิตจริงดวงหนึ่ง เพียงแค่กลั่นแปร จะมีแปดเก้าส่วนที่จะกลายเป็นเทพมารอย่างมั่นคง
ถึงกระนั้น ช่องจิตปลอมดวงหนึ่งก็เป็นสมบัติล้ำค่าที่หายากและประเมินค่าไม่ได้สำหรับนักยุทธ์ที่ต่ำกว่าเทพมาร
เพราะวิญญาณหยั่งรู้นั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง ยิ่งแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งได้รับประโยชน์มากขึ้นเท่านั้น
ตัวสำนึกของลีน่ากลายเป็นมือสีดำขนาดใหญ่จับช่องจิตปลอมในตัวหยั่งรู้ของหลัวซิวโดยไม่ลังเล
“นี่คือ …” สีหน้าของเก๋อฟูตกตะลึงอย่างมากเมื่อเขาเห็นช่องจิตที่บินออกจากตัวหยั่งรู้ของหลัวซิว
“ไม่น่าแปลกใจเลยที่คนๆนี้อยู่ในแดนมหายุทธ์ก็สามารถฆ่าข้ามแดนเจ้ายุทธจักรได้ โอกาสของเขานั้นเหลือเชื่อมาก” ดวงตาของเก๋อฟูเป็นประกาย ดวงตาของเขามองไปที่ตำแหน่งจุดตันเถียนของหลัวซิวและแหวนเก็บของในมือของเขา
“บัดซบ โจรแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์สองคน ข้าไม่ยอมจบกับพวกเจ้า!”
สีหน้าของหลัวซิวดูไม่ดี เขารู้ดีว่าเมื่อสมบัติบนร่างกายของเขาตกเป็นเป้าหมายของสองคนนี้ พวกเขาจะฆ่าเขาแล้วเอาไปเป็นของตนอย่างแน่นอน
“โอ้ พระเจ้า ระดับสมบัติวิเศษอาวุธ!” ตัวสำนึกของสองแข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ได้แทรกซึมเข้าไปในจุดตันเถียนของหลัวซิวอย่างรวดเร็ว
“เขามีระดับสมบัติวิเศษอาวุธมากกว่าหนึ่งชิ้น!”
เก๋อฟูดูตื่นเต้นมาก เขาเอื้อมมือออกไปแล้วคว้าเขาทองดำไท่เสวียนออกมาจากจุดตันเถียนของหลัวซิวทันที
เพราะเหตุการณ์นี้กลายเรื่องใหญ่ในโลกเชิ่งถิงเมื่อไม่นานมานี้ และทุกคนรู้ดี ในฐานะที่เป็นศัตรูเก่าของค่ายสว่าง ค่ายมืดย่อมรู้ความลับมากมายอยู่แล้ว
“เจ้าไม่ได้มาจากโลกของเรา เจ้ามาจากแดนดารานอก?” ลีน่าถามคำถามที่สำคัญที่สุด
วินาทีนี้ หลัวซิวรู้สึกว่าเขาถูกออร่าที่น่าสะพรึงกลัวสองอย่างล๊อกตัวไว้ ดูเหมือนว่าสองผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ที่อยู่ข้างหน้าเขาจะโจมตีเขาได้ทุกเมื่อ
สิ่งนี้ทำให้หลัวซิวรู้สึกว่าเขาอยู่ในวิกฤตครั้งใหญ่เป็นครั้งแรก แม้แต่ในอดีต เขาเคยประสบกับสถานการณ์ที่อันตรายมากมาย แต่ไม่เคยมีเมื่อใดเหมือนวันนี้ที่เขาถูกเจตนาฆ่าล๊อกตัวโดยผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์สองคนที่อยู่ข้างหน้า
ความคิดมากมายแวบเข้ามาในหัวของหลัวซิวราวกับสายฟ้า เขาปรากฏตัวผ่านค่ายวาร์ปที่เชื่อมโยงระหว่างแดนดารานอกกับโลก ไม่ว่าจะเป็นเชิ่งถิงหรือค่ายมืดก็สามารถตรวจสอบได้ง่าย สรุปง่าย ๆว่าเขามาจากแดนดารานอก
และไม่เคยมีผู้แข็งแกร่งอย่างเขาปรากฏตัวในโลกเชิ่งถิง และตัวตนของเขาที่มาจากโลกอื่นก็ชัดเจนขึ้นมา
“ใช่ เพราะว่าข้าถูกตามฆ่า ข้าจึงหลบหนีมาถึงที่นี่” หลัวซิวพูดอย่างช่วยไม่ได้
ตั้งแต่วินาทีที่เขาเห็นผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ทั้งสองนี้ ตั้งแต่ต้นจนจบ บทสนทนาของเขาก็อยู่ในสถานะที่ด้อยกว่า
เขารู้ดีว่าผู้เข้มแข็งที่มาถึงระดับนี้ จะเฉียบแหลมมากในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ใด ๆ ถ้าเขาโกหกก็จะกระตุ้นความสงสัยของอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย และถ้าพูดความจริงอย่างตรงไปตรงมา อาจมีการพลิกกลับก็ได้
รู้สึกถึงการหายไปของออร่าทั้งสอง หลัวซิวถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“เจ้าเป็นคนซื่อตรงมาก” ลีน่ายิ้มเล็กน้อย “สำหรับพวกเราแล้ว ไม่สำคัญหรอกว่าเจ้าจะมาจากโลกอื่นหรือไม่ สิ่งที่สำคัญคือเจ้าเต็มใจที่จะเป็นสมาชิกของตำหนักเทวมืดของเราหรือไม่”
ขณะพูด ลีน่าค่อย ๆ ลุกขึ้นและเดินไปที่ตรงหน้าหลัวซิว กลิ่นหอมหลอกล่อได้ดมเข้าไปในจมูก เสียงนุ่มนวลดังก้องอยู่ในหูของเขา
“พรสวรรค์ของเจ้าดีมาก หากเจ้าเป็นสมาชิกของตำหนักเทวมืด ไม่ว่าศัตรูของเจ้าจะแข็งแกร่งแค่ไหนในโลกแสงดาวหรือแดนดารานอก ตำหนักเทวมืดก็สามารถเป็นกองกำลังแข็งแกร่งของเจ้าได้”
“และถ้าเจ้าทำได้ดีพอ เจ้าอาจถูกแนะนำไปยังโลกาชั้นฟ้าก้าวเข้าสู่โลกที่กว้างกว่า”
เสียงของลีน่าอ่อนโยนมาก แต่ซ่อนเจตนาฆ่าไว้อย่างลับๆ ดูเหมือนนางจะชักชวน แต่จริงๆ แล้วนางกำลังข่มขู่ ถ้าหลัวซิวไม่ตกลงที่จะเข้าร่วมตำหนักเทวมืด นางก็จะเปลี่ยนโฉมหน้าของนางทันที
“ข้าไม่มีที่ไปแล้ว ข้ารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของตำหนักเทวมืด” หลัวซิวกล่าวทันทีว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดในสถานการณ์ปัจจุบันคือเอาช่วยชีวิตของตนเองอย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อได้ยินคำตอบของหลัวซิว รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของลีน่า ใบหน้าที่สวยงามของนางเข้าใกล้หลัวซิว ริมฝีปากแดงแยกจากกันเบา ๆ “เจ้าเลือกถูกแล้ว แต่เจ้าต้องพิสูจน์ความภักดีของเจ้าต่อตำหนักเทวมืด”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ใจของหลัวซิวกระตุก เห็นได้ชัดว่าคนสองคนที่อยู่ข้างหน้าเขาไม่เชื่อเขาง่ายๆ
“ข้าจะพิสูจน์ความภักดีของข้าได้อย่างไร?” หลัวซิวถาม
“เปิดตัวหยั่งรู้ของเจ้าและให้ข้าสร้างวิชาต้องห้ามลงไป ตราบใดที่เจ้าสามารถพิสูจน์ความภักดีของเจ้าได้ ข้าก็แก้จะวิชาต้องห้ามให้เจ้า” ลีน่ากล่าวด้วยรอยยิ้ม
คำขอของลีน่าทำให้สีหน้าหลัวซิวเปลี่ยนไปทันที วิญญาณหยั่งรู้เป็นที่ลี้ลับที่สุดสำหรับนักยุทธ์ เปิดตัวหยั่งรู้และปล่อยให้อีกฝ่ายสำรวจ มันเป็นคำขอที่หยาบคายมาก ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงถูกคนอื่นลงวิชาต้องห้ามในวิญญาณหยั่งรู้
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 875
“ผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์!”
แม้ว่าเขาจะเตรียมพร้อมแล้ว แต่เขาก็จะคงประหม่าเล็กน้อยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เมื่อเขาตกเป็นเป้าหมายของผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์
หลัวซิวรู้ดีว่าในเวลานี้เขาไม่สามารถออกจากเมืองทวยเทพได้อีกต่อไป แม้ว่าเขาจะขีดจำกัดความเร็วของปีกทิพย์ไร้มลทิน แต่สำหรับแข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ก็ไม่เพียงพอที่จะหลบหนี
และเขาไม่รู้ว่าทำไมผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งหอคอยเทวมืดถึงจ้องเขา เป็นเพราะพรสวรรค์ของเขาหรือมองตัวตนของเขาออก หรืออย่างอื่น?
หลัวซิวสงบสติอารมณ์ลง ในเวลานี้ เขาต้องไม่หุนหันพลันแล่น มิฉะนั้นมันจะง่ายต่อการที่จะถูกเปิดโป่งมากขึ้น
มาที่หอคอยเทวมืดอีกครั้ง ไม่มีใครเฝ้าทางเข้าของบันไดจากชั้นสองถึงชั้นสาม สำหรับผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ นอกจากผู้แข็งแกร่งระดับเดียวกัน ไม่มีใครกล้าขึ้นไปเสี่ยงบนชั้นสามเพื่อยั่วยวนความยิ่งใหญ่ของพวกเขา
ในหอคอยแห่งเทพศักดิ์สิทธิ์ทั้งแปดที่ไม่อนุญาตให้เทพมารเข้ามา การดำรงอยู่ของแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ มีสถานะและอำนาจสูงสุดอย่างแท้จริง
หลายคนบนชั้นสองต่างสังเกตเห็นว่าหลัวซิวขึ้นไปที่ชั้นสามและไม่มีใครแปลกใจ เพราะพวกเขารู้ว่าด้วยความแข็งแกร่งของอัจฉริยะคนนี้ที่แสดงออกมา เขาถูกผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์บนชั้นสามเรียกพบเป็นเรื่องช้าหรือเร็วเท่านั้น
หอคอยเทวมืดชั้นสาม เป็นพื้นที่กว้างใหญ่และมืดสลัว บรรยากาศที่ปกคลุมที่นี่มีความละเอียดอ่อนเข้าใจยากเกี่ยวกับกฎแห่งความมืด
แสงสลัวชี้ทางไปข้างหน้า หลัวซิวก้าวไปข้างหน้า มาถึงประตูห้องลับบานหนึ่ง
แดนมหาจักรพรรดิยุทธ์สองคน!
“เข้ามา” เสียงทุ้มดังเข้ามาในหูของเขา
ทันทีที่หลัวซิวได้ยิน เขาก็จำได้ว่าเป็นผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ที่ส่งเสียงให้เขามาหอคอยเทวมืดชั้นสาม
เขาผลักประตูหินอย่างเงียบ ๆ แล้วเดินเข้ามา ในห้องมืดสลัว เขาเห็นร่างสองร่าง ชายวัยกลางคนที่เคร่งขรึมคนหนึ่ง และหญิงสาวสวยในชุดกระโปรงผ้ากอซสีดำ
แดนมหาจักรพรรดิยุทธ์สองคน!
“เจ้าคือยอร์ค?” ชายวัยกลางคนพูดช้าๆ
“นี่ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเจ้าใช่หรือไม่?” ชายวัยกลางคนขมวดคิ้ว “การปลอมตัวของเจ้าไม่มีผลอะไรต่อหน้าพวกข้าเลย”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลัวซิวก็รู้ว่าวิชาลับของเขาในการเปลี่ยนเป็นยอร์คล้มเหลวแล้ว วิชาลับนี้มีโอกาสส่วนหนึ่งที่จะไม่ถูกที่ผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์มองออกได้ แต่คนทั้งสองข้างหน้าเขาดูเหมือนจะไม่ใช่แดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ธรรมดา ดังนั้นจึงมองเห็นการปลอมตัวของเขาในทันที
ร่างกายของหลัวซิวตึงเล็กน้อย ในใจระมัดระวังขึ้น จากนั้นร่างกายของเขาก็เปลี่ยนไป เปลี่ยนกลับไปเป็นรูปลักษณ์เดิม
ผมสีดำยาวกระจัดกระจายลงมา เขาสวมชุดคลุมสีดำบริสุทธิ์ ใบหน้าที่อ่อนเยาว์และแน่วแน่ ดวงตาที่ลึกล้ำทำให้เขาดูโดดเดี่ยวอย่างยิ่ง ราวกับว่าเขาแข็งแกร่งและกลมกลืนกับพื้นที่ที่มืดมิดรอบตัวเขา
“เจ้าเป็นใครกันแน่?” ทั้งเก๋อฟูและลีน่าขมวดคิ้ว
พวกเขาเห็นเขาครั้งแรกถึงพบว่าคนตรงหน้าได้ปลอมตัว
“ข้าไม่ใช่ยอร์ค ข้าคือซิวหลัว” หลัวซิวพูดด้วยเสียงต่ำๆ “เพราะถูกคนในเชิ่งถิงตามฆ่า จึงต้องปลอมทำเป็นยอร์คเป็นทางเลือกสุดท้าย หวังว่าผู้อาวุโสทั้งสองจะยกโทษให้ข้า”
คำพูดของหลัวซิวไม่มีคำพูดผิดปกติ เป็นเรื่องปกติมากที่ผู้คนในฝั่งมืดจะถูกตามฆ่าโดยเชิ่งถิง ทำให้เก๋อฟูและลีน่าผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ทั้งสอง ไม่สามารถแยกแยะความผิดปกติได้
“เพราะเหตุใดเจ้าถึงถูกเชิ่งถิงตามฆ่า?” ลีน่าถามเสียงเบา
“เพราะข้าฆ่าคู่หมั้นของเทพบุตรสุริยา” หลัวซิวกล่าวอย่างจนปัญญา
“เป็นเจ้าเองที่ฆ่าหรือ?” เก๋อฟูและลีน่าดูประหลาดใจเมื่อได้ยินเช่นนี้
นอกจากนี้ เมื่อทำความเข้าใจถึงพลังกฎความตายดั้งเดิม เพื่อยืนยันความเข้าใจของตนเอง ตอนที่อยู่ในโลกกฎดั้งเดิมหลัวซิวหยิบหอกรบมังกรดำออกมาลองกระบวนท่าทักษะการต่อสู้
และในทันใดนั้น ภายใต้อิทธิพลของกฎความตายดั้งเดิม เขาได้ค้นพบความลับที่ซ่อนอยู่ของหอกรบมังกรดำ
ในหอกรบมังกรดำ เขาสัมผัสได้ถึงวิชาต้องห้ามเก้าขั้น ซึ่งแต่ละต้องห้ามสอดคล้องกับแดนของกฎความตายถึงจะทำลาย
การควบคุมพื้นฐาน ขั้นปฐมภูมิ ขั้นกลาง ขั้นปลาย แดนสำเร็จน้อยขั้นปฐมภูมิ ขั้นกลาง ขั้นปลาย แดนบรรลุผล ขั้นปฐมภูมิ ขั้นกลาง ขั้นปลาย
แดนกฎปัจจุบันของหลัวซิวอยู่ที่แดนสำเร็จน้อยขั้นปฐมภูมิ ดังนั้นเขาจึงสามารถทำลายวิชาต้องห้ามสี่ขั้นนี้ได้
หลังจากทำลายวิชาต้องห้ามสี่ขั้นแล้ว หลัวซิวก็รู้สึกได้ชัดเจนว่าพลังของหอกมังกรดำแข็งแกร่งขึ้น เกือบจะถึงพลังของระดับสมบัติวิเศษ!
พลังของสมบัติวิเศษ โดยทั่วไปมีเพียงผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์เท่านั้นที่ผลการฝึกตนเพียงพอที่จะใช้ได้
แต่หอกรบมังกรดำเป็นของขลังพรสวรรค์ที่ฟ้าดินสร้างขึ้นมา ดังนั้นจึงมีความเฉพาะเจาะจงของมันอยู่แล้ว ข้อกำหนดในการควบคุมผลการฝึกตนไม่สูง แค่มีข้อกำหนดเฉพาะแดนกฎเท่านั้น
นี่ก็หมายความว่าตราบใดที่แดนกฎของเจ้าสูงพอ เจ้าสามารถทำให้พลังของอาวุธนี้ให้แข็งแกร่งขึ้นได้ แต่ไม่เกี่ยวอะไรกับผลการฝึกตนของเจ้า
การค้นพบนี้ทำให้หลัวซิวตื่นเต้นอย่างมาก เพราะหลังจากที่แดนกฎของเขาไปแดนสำเร็จน้อย เขาสามารถใช้พลังของหอกมังกรดำในระดับที่เทียบเท่ากับผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ทั่วไปได้
โดยรวมแล้ว หลัวซิวได้ประโยชน์มากมายจากปิดกั้นฝึกตนในโลกกฎดั้งเดิมนี้มาก หากไม่ใช่เพราะอิทธิพลของลมปราณกฎดั้งเดิมความเป็นตาย เขาต้องการค้นพบความลับของหอกรบมังกรดำก็ไม่รู้ว่าตอนไหน
หอกรบมังกรดำนี้แลกเปลี่ยนกับคนในแดนดารานอกของแดนศักดิ์สิทธิ์จากตระกูลหวู หากอีกฝ่ายรู้ความลับที่ซ่อนอยู่ในหอกรบมังกรดำนี้ เกรงว่าจะเสียใจมาก
“ถ้าข้าสามารถไปฝึกตนที่โลกกฎดั้งเดิมอีกหนึ่งปี แดนกฎของข้าน่าจะสามารถบรรลุต่อไปได้ บรรลุถึงแดนสำเร็จน้อยขั้นกลางไม่เป็นปัญหา” หลัวซิวแอบพูดในใจ
แต่เขาก็เข้าใจด้วยว่าหากเขาต้องการไปที่โลกกฎดั้งเดิมเพื่อฝึกฝนอีกครั้ง เขาต้องรวบรวมคะแนนการสังหารหกพัน
เจ้ายุทธจักรคนหนึ่ง อาจมีคะแนนการสังหารหลายร้อยถึงหลายพัน ดูเหมือนว่าแค่ฆ่าและเอาชนะเจ้ายุทธจักรหลายคน ก็จะได้รับคะแนนการสังหารนี้ แต่ถ้าทำจริง มันไม่ง่ายอย่างที่คิด
เนื่องจากหอคอยแห่งเทพศักดิ์สิทธิ์ทั้งแปดแห่งนี้ไม่ใช่ไร้กฎเกณฑ์ ทั้งสองกองกำลังนำสว่างเชิ่งถิงและตำหนักเทวมืด ล้วนมีผู้แข็งแกร่งอยู่ จะไม่อนุญาตให้ผู้คนปล้นคะแนนการสังหารจากเจ้ายุทธจักรอื่นได้
โดยทั่วไปหลังจากผลการฝึกตนถึงเจ้ายุทธจักรแล้ว มีโอกาสเดียวเท่านั้นที่จะเข้าสู่โลกกฎดั้งเดิมฝึกตน หลังจากนั้น หลังจากนั้นบางคนจะเลือกฝึกตนหอคอยแห่งเทพศักดิ์สิทธิ์ระยะเวลาหนึ่ง ในขณะที่คนอื่นๆ จะเลือกจากไป เพราะในหอคอยแห่งเทพศักดิ์สิทธิ์ทั้งแปดแห่งนี้ สถานที่ที่มีค่าที่สุดในการฝึกตนคือโลกกฎดั้งเดิม จุดประสงค์ของผู้แข็งแกร่งมากมายที่มาที่นี่ก็เพื่อโลกกฎดั้งเดิม
หลังจากครุ่นคิดถึงจุดนี้อยู่พักหนึ่งแล้ว หลัวซิวก็วางแผนที่จะออกไปจากที่นี่ เพราะเขารู้ดีว่าหลังจากการต่อสู้กับ แลร์รี่ เทพบุตรอัคคี เขาต้องได้รับการสังเกตจากแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์แล้ว
แม้ว่าเขาจะไม่กลัวการเปิดเผยตัวตนของยอร์ค แต่ปัญหายิ่งน้อยยิ่งดี
ขณะที่หลัวซิวเดินออกจากตำหนักเทวมืดกำลังจะออกจากเมืองทวยเทพ เสียงหนึ่งก็ดังเข้ามาในหูของเขา
“ยอร์ค มาที่หอคอยเทวมืดชั้นสาม”
เสียงนี้สงบมาก แต่มีพระบารมีสูงสุดที่ไม่อาจต้านทานได้
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 873
ฮึ่ม!
แสงสีดำขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น ร่างของหลัวซิวก็จมลงอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้น พื้นที่ก็บิดเบี้ยวและสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงแล้วร่างของเขาก็หายไปทันที
เมื่อหลัวซิวลืมตาขึ้น เขาพบว่าตัวเองอยู่ในพื้นที่มืดสนิท
เขาปล่อยตัวสำนึกของตนออกไป และเขาไม่ได้รู้สึกถึงลมปราณของพลังแห่งกฎใดๆ เลย ซึ่งทำให้เขางงงวย
ใต้เท้ามีความรู้สึกว่าเหยียบอยู่บนความว่างเปล่า “เหตุใดจึงไม่มีลมปราณของพลังแห่งกฎในโลกกฎดั้งเดิม?”
หลัวซิวเต็มไปด้วยความสงสัย เขาใช้วิชาปล่อยลมปราณแห่งกฎความตายของเขาออกมา
ทันใดนั้น เขาสัมผัสได้ถึงลมปราณลึกลับในความมืดที่ไร้ที่สิ้นสุด ซึ่งสะท้อนกับลมปราณกฎความตายบนร่างของเขา
ลมปราณลึกลับนี้ ลึกลับและกว้างใหญ่ ดูเหมือนจะสามารถโอบกอดทุกอย่างไว้ได้
“ลมปราณกฎความตายดั้งเดิม!”
หลัวซิวแสดงความปิติยินดีออกมา เห็นได้ชัดว่าพื้นที่มืดมิดนี้พิเศษมาก จำเป็นต้องปล่อยลมปราณกฎของตนออกมา ถึงจะทำให้ลมปราณกฎดั้งเดิมที่ซ่อนเร้นอยู่สามารถสะท้อนกับตนเองได้
แม้ว่าลูกแก้วความเป็นตายก็มีละเอียดอ่อนเข้าใจยากของกฎดั้งเดิม แต่กฎดั้งเดิมที่มีอยู่ในนั้นเข้าใจยากเกินไป และหลัวซิวไม่มีทางที่จะเข้าใจได้
และกฎความตายดั้งเดิมที่ปรากฏขึ้นในความมืดที่ไร้ที่สิ้นสุดนั้นยิ่งชัดเจนกว่า ตั้งแต่ระดับตื้นไปจนถึงระดับลึก ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงความลึกลับของกฎดั้งเดิมได้
เวลาผ่านไปอย่างเงียบ ๆ โดยไม่รู้ตัว หลัวซิวหมกมุ่นอยู่กับการรับรู้ถึงกฎความตายดั้งเดิม
…
บนชั้นสามของหอคอยเทวมืด เก๋อฟูพูดด้วยความประหลาดใจหลังจากได้ยินข่าวนี้
“ข้าคาดไม่ถึงว่าความแข็งแกร่งของเขาจะแข็งแกร่งขนาดนี้ ฐานการฝึกตนของเขาได้เพิ่มขึ้นแค่แดนเล็กเดียวเท่านั้น ตามหลักแล้วพลังการต่อสู้จะไม่มากเกินไป ซึ่งหมายความว่าก่อนหน้านี้เขาไม่เคยแสดงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขาออกมา” ลีน่าผู้มีร่างกายงดงามกล่าว
“มหายุทธ์ขั้น 6 มีความแข็งแกร่งเอาชนะเจ้ายุทธจักรขั้นปลาย ถ้าเขาไปถึงเจ้ายุทธจักรขั้นปลาย ต่ำว่าแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์เรียกว่าไร้คู่ต่อสู้ก็ไม่ถือว่าเกินจริง”
“แม้ว่าผลการฝึกตนของเขาไปถึงเจ้ายุทธจักรขั้นปลาย เขาอาจจะก้าวกระโดดต่อสู้มหาจักรพรรดิยุทธ์ได้”
เก๋อฟูและลีน่าเป็นผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ซึ่งดูแลหอคอยเทวมืด ในด้านหนึ่งพวกเขาร่วมมือกับเหล่าตำหนักเทวอื่น ๆ เพื่อรักษาระเบียบและกฎบางอย่างของ หอคอยแห่งเทพศักดิ์สิทธิ์ อีกด้านหนึ่งก็คือคัดเลือกอัจฉริยะที่โดดเด่นที่นี่ และปกป้องคุ้มครองภายในขอบเขตที่กำหนด
เช่นเดียวกับตอนที่แลร์รี่กำลังจะถูกหลัวซิวฆ่าตาย ผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ก็ช่วยเขาทันที
“อัจฉริยะเช่นนี้จะต้องเจอเขา!” ”เก๋อฟูกล่าว
“เขาไม่ได้อยู่ในหอคอยเทวมืด เขาไปที่ตำหนักเทวมืดแล้ว” ลีน่ากล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว
“เขาไปตำหนักเทวมืด หรือว่า…”
“ใช่ คะแนนการสังหารของเขาถึงสามพันแล้ว และเขาน่าจะไปที่โลกกฎดั้งเดิม” ลีน่ากล่าว
“ชายหนุ่มคนนี้…” สีหน้าของเก๋อฟูพูดไม่ออก “ผลการฝึกตนของเขาเพียงแค่มหายุทธ์ เข้าไปฝึกตนโลกกฎดั้งเดิมในเวลานี้ เสียไปเปล่าๆแล้ว!”
…
สำหรับอายุขัยนับพันปีของผู้แข่งแกร่งระดับเจ้ายุทธจักร เวลาหนึ่งปีนั้นไม่นาน
เมื่อหลัวซิวถูกส่งออกมาจากโลกกฎดั้งเดิม ลักษณะบุคลิกภาพของเขากลายเป็นความรู้สึกที่ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
ออร่าของเขาลึกลับราวกับขุมนรก ทุกการเคลื่อนไหวของเขาดูเหมือนจะเข้ากับละเอียดอ่อนเข้าใจยากของกฎ
แดนกฎคือแดนสำเร็จน้อย!
ทุกการเคลื่อนไหวสอดคล้องกับพลังแห่งกฎ ซึ่งเป็นการแสดงออกของแดนกฎที่บรรลุถึงแดนสำเร็จน้อย
นอกเหนือจากแดนกฎที่เพิ่มขึ้นแล้ว ตัวสำนึกของเขายังได้บรรลุถึงเจ้ายุทธจักรขั้น 5
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 872
กระบี่ในมือของเขาแตกหัก หลัวซิวถอยห่างออกไปสิบเมตร เลือดอของเดตรงหน้าอกเล็กน้อย แต่ไม่ได้รับบาดเจ็บ
และผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิที่จู่ ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นนั้นไม่ได้จะฆ่าเขา เปลวไฟป้อมแสงขึ้นมาม้วนตัวแลร์รี่แล้วหายตัวไป
“นั่นคือแข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์จากหอคอยเทวโชติดิ!”
“แลร์รี่เป็นเทพบุตรอัคคี และมีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะถูกยกย่องจากพิภพชั้นสูง หอคอยเทวโชติดิจะไม่ปล่อยให้เขาตายที่นี่อยู่แล้ว”
“ผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์น่ากลัวมากนัก แค่การใช้มืออย่างลวกๆก็ทำให้ข้ารู้สึกว่าจิตวิญญาณกำลังสั่นสะท้าน”
เมื่อครู่นี้ผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ก็ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน ไม่มีใครมองเห็นได้ชัดเจน แต่คนรอบข้างอดไม่ได้ที่จะพูดถึงเรื่องนี้
นอกเหนือจากการดำรงอยู่ของเทพมารที่ไม่สามารถเข้าใกล้ได้ ผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ถือได้ว่าเป็นจุดสูงสุดของการฝึกตนในพิภพต่ำ ยืนอยู่ในป่าจุดสูงสุดของผู้แข็งแกร่ง
บนแท่นแข่งขัน หลัวซิวตะลึงเล็กน้อย เขาคิดว่าหลังจากที่ความแข็งแกร่งขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง ช่องว่างระหว่างเขากับผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ก็ลดลงเรื่อย ๆ เช่นกัน
ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขาเทียบได้กับเจ้ายุทธจักรขั้น 9 คาดว่าแม้ว่าเขาจะต่อสู้กับผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ แม้ว่าเขาจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ก็สามารถปกป้องตนเองได้
แต่เมื่อครู่นี้ผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์แค่ชี้เบาๆก็ได้หักกระบี่แตก ทำให้เขาตระหนักอย่างลึกซึ้งว่าเขาดูถูกผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์เกินไป
อย่างที่ทุกคนทราบกันดีว่ายิ่งแดนการฝึกตนมากเท่าใด ช่องว่างระหว่างแต่ละแดนก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
ตัวอย่างเช่น ช่องว่างระหว่างมกุฎยุทธ์ขั้น 9 และมหายุทธ์ขั้น 1 ดูเหมือนจะเป็นเพียงแดนเล็กหนึ่ง แต่ระยะห่างจะไกลกว่าราชายุทธ์ขั้น 9 ถึงมกุฎยุทธ์ขั้น 9
เช่นเดียวกับเจ้ายุทธจักรขั้น 9และมหาจักรพรรดิยุทธ์ ดูเหมือนว่าจะอยู่ห่างออกไปเพียงก้าวเดียว แต่ในเวลาที่นานไม่รู้จบผู้แข็งแกร่งนับไม่ถ้วนหยุดตรงนี้
“ความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทำให้ข้าหยิ่งผยองเล็กน้อยแล้ว”
สีหน้าของหลัวซิวมีรอยยิ้มที่ดูถูกตัวเอง จากนั้นไม่ว่าจะมีคนอื่นมาท้าทายเขาหรือไม่ เขาก็กลายเป็นรังสีแสงและหายตัวไปในแท่นแข่งขันทันที
เขาไม่ได้ไปที่ห้องลับฝึกตน เขาออกจากหอคอยเทวมืดและมาที่เมืองทวยเทพ
“ข้าจะไปที่โลกกฎดั้งเดิม”
หลัวซิวเข้าไปในตำหนักเทวมืด สายตาของเขาจับจ้องไปที่ชายชราชุดดำ แม้แต่ผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ที่ต้องการเข้าสู่โลกกฎดั้งเดิมเพื่อฝึกตนก็ต้องมาที่นี่
ดวงตาของชายชราชุดดำไม่ได้แสดงอารมณ์แปรปรวนใด ๆ เขาชำเลืองมองหลัวซิว “คะแนนการสังหารสามพัน สามารถเข้าสู่โลกกฎดั้งเดิมเพื่อฝึกตนเป็นเวลาหนึ่งปี”
“หนึ่งปี?” เมื่อได้ยิน ดวงตาของหลัวซิวเป็นประกายเล็กน้อย หากโอกาสเพียงพอ เขาเชื่อว่าเวลาหนึ่งปีจะเพียงพอสำหรับเขาในการบรรลุแดนกฎไปสู่แดนสำเร็จน้อย
“การเข้าสู่โลกกฎดั้งเดิมครั้งแรกของทุกคนคือคะแนนการสังหารสามพันในหนึ่งปี ครั้งที่สองคือคะแนนการสังหารหกพันในหนึ่งปี ครั้งที่สามคะแนนการสังหารหนึ่งหมื่นสามพันในหนึ่งปี … เป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ”
ชายชราชุดดำกล่าวอย่างเฉยเมย “เมื่อเจ้าเลือกที่จะเข้าสู่โลกกฎดั้งเดิมเพื่อฝึกฝน เจ้าต้องตัดสินใจด้วยตัวเอง”
“ไม่ต้องคิดมาก ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” หลัวซิวพูดโดยไม่ลังเล
เขาต้องการยกระดับแดนกฎไปสู่แดนสำเร็จน้อยโดยเร็วที่สุด ด้วยวิธีนี้เขาจะมีความสามารถในการปกป้องตนเองได้บ้างเมื่อเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์
“ตามที่เจ้าต้องการ” ชายชราชุดดำเหยียดนิ้วไปที่ด้านหน้าของรูปปั้นเทวเทพมืดมิด ซึ่งมีร่องรอยของค่ายกลที่แกะสลักอยู่บนพื้นดิน
หลัวซิวเดินตามคำพูดของเขาและค่ายกลบนพื้นนั้นลึกซึ้งมากเกินความเข้าใจของเขา แต่เขาอาจสรุปได้ว่าควรจะเป็นประเภทค่ายวาร์ป
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 871
หมื่นจักรวาลไร้รูปเป็นทักษะการต่อสู้ที่ได้มาจากการเปลี่ยนแปลงของทักษะการชกมวยและการต่อสู้ด้วยกระบี่ เทวทูตจื่อเยียนเคยแสดงความคิดเห็นว่าทักษะการชกมวยและกระบี่ของหลัวซิวมีต้นแบบของจุลอมตะเล็กน้อย
และตอนนี้เขาได้พัฒนาทักษะการชกมวยและการต่อสู้ด้วยกระบี่ของเขาให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น ได้นำเปลี่ยนแปลงเป็นหมื่นจักรวาลไร้รูปอย่างไร้ขอบเขต ซึ่งเป็นทักษะการต่อสู้ระดับพลังอมตะอยู่แล้ว
พลังอมตะ เป็นเอกสิทธิ์ของเทพฟ้า แม้ว่าบางครั้งพลังอมตะจะปรากฏในพิภพต่ำ แต่ก็น้อยมากจนน่าสงสาร
“ร่างเทวเพลิงสถิตย์!”
แลร์รี่เงยหน้าขึ้นตะโกนอย่างโกรธจัด ข้าสีแดงยาวของเขาพลิ้วไหวอย่างบ้าคลั่ง
บูม!
“ร่างเทวเพลิงสถิตย์!”
ลมปราณบนร่างกายของเขาพุ่งออกมาราวกับภูเขาไฟระเบิด พื้นที่โดยรอบบิดเบี้ยวและพังทลายลงภายใต้การเผาไหม้ของเปลวเพลิงที่ร้อนระอุ
ดวงตาของแลร์รี่กลายเป็นสีแดง เครื่องหมายกฎเพลิงอัคคีปรากฏขึ้นระหว่างคิ้วของเขา ร่างของเขาสูงขึ้นเล็กน้อยด้วย ทุกตารางนิ้วของผิวหนังรอบๆ ตัวเขากระตุกไปด้วยเปลวไฟที่ร้อนแรง
ในโลกเชิ่งถิง ร่างกายของ แลร์รี่ถูกเรียกว่า ร่างเทวเพลิงสถิต เพราะร่างกายใกล้เคียงกับกฎเพลิงอัคคีมากที่สุด และผลการฝึกตนประเภทไฟนั้นจะได้ผลเป็นสองเท่าโดยใช้ความพยายามเพียงครึ่งเดียว มีความหวังอย่างยิ่งที่จะได้เป็นเทพมารบนถนนกฎเพลิงอัคคี
และด้วยร่างกายที่พิเศษนี้เองที่ความแข็งแกร่งของการฝึกตนของแลร์รี่ถึงสามารถเพิ่มได้อย่างรวดเร็ว และเขาได้รับการยกย่องให้เป็นเทพบุตรโดยตำหนักเทวเพลิงสถิตย์
อันที่จริง ร่างเทวเพลิงสถิตย์ของแลร์รี่นั้นเป็นร่างกายพรสวรรค์ แต่เป็นเพราะพิภพต่างกันจึงมีชื่อที่ต่างกันเท่านั้น
หลังจากแสดงร่างเทวเพลิงสถิต ลมปราณของแลร์รี่ก็แข็งแกร่งขึ้น ดูเหมือนว่าร่างของเขาจะถูกรวมเข้ากับกฎเพลิงอัคคี ราวกับว่าได้จุติเป็นเทพมารเพลิงอัคคี
“สามารถทำให้ข้าใช้พลังต่อสู้อย่างเต็มที่ เจ้าตายโดยไม่เสียใจได้แล้ว” แลร์รี่มองดูหลัวซิวอย่างเฉยเมยและพูดด้วยน้ำเสียงผยอง
“เจ้าหรือ?” หลัวซิวยิ้มอย่างดูถูก
“หาที่ตาย!” ดวงตาของแลร์รี่แสดงเจตนาฆ่าอย่างไม่รู้จบ เขาคำรามราวกับเทพเพลิงที่ดุร้ายล้วนพุ่งเข้าหาหลัวซิวอย่างดุเดือด
หอกรบในมือของเขากวาดไปทั่ว พื้นที่ที่ผ่านไปก็พังทลายลงถูกกลบด้วยเปลวไฟสีแดงเข้ม
“หมื่นจักรวาลไร้รูป!”
หลัวซิวถือกระบี่ไว้ในมือ เปลวไฟสีดำควบแน่นกลายเป็นมังกรอสูร คำรามแล้วพุ่งไปทางแลร์รี่
กระบวนท่าของหมื่นจักรวาลไร้รูปไม่ได้จำกัดอยู่เพียงรูปแบบแต่จะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
บูม!
เกิดเสียงระเบิดที่น่าสะพรึงกลัวและทั่วแท่นแข่งขันจมอยู่ในเปลวไฟสีดำและเปลวไฟสีแดง ไม่มีใครเห็นว่าเกิดการต่อสู้ที่รุนแรงภายในอย่างไร
ตัวสำนึกได้เคลื่อนไปมาในเปลวเพลิง จับภาพกระบวนการของการต่อสู้ของทั้งสองแบบไม่ค่อยชัดเจนนัก
ด้วยทักษะการต่อสู้ระดับพลังอมตะของหมื่นจักรวาลไร้รูป ไม่มีใครหยุดยั้งหลัวซิวได้และเอาชนะลมปราณที่ควบแน่นของ แลร์รี่ได้อย่างง่ายดาย เขาปรากฏตัวต่อหน้า แลร์รี่อย่างกะทันหัน กระบี่แทงไปยังคอของเขา
“อะไรนะ?”
แลร์รี่ตื่นตระหนกตกใจ ไม่คิดว่าเขาได้แสดงร่างเทวเพลิงสถิตย์ที่แข็งแกร่งที่สุดแล้ว ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของชายผู้นี้?
ความมั่นใจในตนเองของ แลร์รี่นั้นมาจากความแข็งแกร่งของตนเองโดยตลอด ด้วยผลการฝึกตนเจ้ายุทธจักรขั้น 4 เขาได้แสดงสถานะที่แข็งแกร่งที่สุดของร่างเทวเพลิงสถิต ซึ่งสามารถต่อต้านเจ้ายุทธจักรขั้นปลายได้อย่างสมบูรณ์
ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้ายุทธจักรขั้นปลาย ก็ยังแพ้ให้กับยอร์คคนนี้ ผู้ชายคนนี้น่ากลัวเกินไปไหม? ต้องรู้ว่ายอร์คคนนี้ ผลการฝึกเพียงมหายุทธ์ขั้น 6 เท่านั้น
“หยุด!”
ทันใดนั้น ร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในแท่นแข่งขัน นิ้วหนึ่งจิ้มไปในอากาศ ก็ทำลายกระบี่ในมือของหลัวซิวแตกละเอียด
“ผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิ!”
สีหน้าของหลัวซิวเปลี่ยนไปทันที เขาคาดไม่ถึงว่าจะมีผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิเข้ามาแทรกแซงขณะที่เขาต่อสู้กับ แลร์รี่อยู่
เขารู้ดีว่าด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขา หากเขาตกเป็นเป้าหมายของผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิ เขาจะมีส่วนตายเป็นแปดเก้าส่วน
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 870
พลังของดาบนี้ไม่อาจคาดเดาได้ แต่หลัวซิวกลับไม่ได้หวั่นเกรง ฝ่ามือกางออก ร่างยุทธ์ร่างเนื้อหลอมรวมด้วยพลังแห่งกฎความตาย ฝ่ามือกับกระบี่ยุทธ์ปะทะเข่าด้วยกัน
“ปุบ!”
ร่างของริชชี่สั่นไหว เลือดสดกระอักออกจากปาก ร่างทั้งร่างร่วงหล่นลงมาจากบนแท่นประลอง หน้าคว่ำลงกับพื้น
ถึงแม่ว่าจะไม่ได้ฆ่าคู่ต่อสู่ แต่ตามข้อบังคับของแท่นประลอง เมื่อตกจากแท่นประลองก็นับว่าแพ้แล้ว ดังนั้นตราประทับสีดำของหลัวซิวจึงได้แต้มห้วงกระบี่เพิ่มขึ้นอีกหลายร้อย
“ร่างยุทธ์ร่างเนื้อแข็งแกร่งมาก!”
“ร่างยุทธ์ร่างเนื้อของยอร์คไม่ถือว่าแกร่งมาก อย่างมากก็คือแดนเจ้ายุทธจักรช่วงกลาง แต่เขาเชี่ยวชาญสัมผัสรู้กฎความตายระดับสูง ด้วยการสนับสนุนของพลังของกฎความตาย จึงได้มีอำนาจที่มหาศาลเช่นนี้”
“เจ้ายอร์คคนนี้ต้องเป็นอัจฉริยะที่โดดเด่นมากเป็นแน่ เพิ่งจะถึงแดนมหายุทธ์ แดนกฎก็เทียบเท่ากับ เจ้ายุทธจักรช่วงปลายแล้ว ที่น่ากลัวที่สุดคือ เขาฝึกตนด้วยกฎความตายระดับสูง”
“เฮอะ ยอร์คถึงแม้จะเก่งกาจ แต่ก็ไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของเทพบุตรเพลิงอัคคีได้”
ทุก ๆ คนต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ ถูกผู้คนล้อมรอบเอาไว้ตรงกลางอย่างเทพบุตรแลร์รี่ยืนขึ้นมา
สายตาของเขาจ้องเขม็งไปยังหลัวซิวที่ยืนอยู่กลางแท่น พูดขึ้นเบา ๆ “เจ้าใช้ได้เลย มีคุณสมบัติเพียงพอให้ข้าออกมือ”
เทพบุตรเพลิงอัคคีแลร์รี่ ประสบการณ์ในการเติบโตของเขาต่างก็ราบรื่นสมใจปรารถนาทุกอย่าง เป็นพระจันทร์ที่ถูกโอบล้อมไปด้วยดวงดาว เวลาที่พูดสิ่งใดย่อมต้องมีน้ำเสียงและคำพูดที่เต็มไปด้วยความทะนงตัว
“หยุดพูดไร้สาระ จะประลองก็ขึ้นมา” หลัวซิวพูดเสียงเย็น
“เจ้าหนูช่างยโสนัก!” แลร์รี่เผยสีหน้าโมโห “ทำให้ข้าโมโห ไม่ได้มีผลดีต่อเจ้าเลย”
“ไม่รู้จริง ๆ ว่าเจ้าไปเอาความทะนงตัวเช่นนี้มากจากที่ใด” หลัวซิวเกลียดที่สุดคือพวกที่ชอบทำตัวเหนือคนอื่น ในขณะที่แลร์รี่เดินขึ้นมาบนแท่นประลอง เขาขี้เกียจแม้แต่จะพูดต่ออีกสักประโยค จึงได้ลงมือโดยทันที
เพลิงมรณะพันรอบตัว หลัวซิวสาวเท้าเดินเข้าไป ก้าวเดินช้า ๆ ทว่ามั่นคง รอบตัวปะทุไปด้วยพลังอำนาจที่แข็งแกร่งราวกับภูผา
“อาณาจักรแห่งกฎ!” แลร์รี่ตะโกนเสียงดัง เพลิงอัคคีบนร่างลุกโชนปะทุขึ้นมาอย่างรุนแรง ลุกท่วมไปทั่วทั้งแท่นประลอง
“ซึซึซึ……”
เพลิงอัคคีสีดำและสีแดงเข้มพันเข้าด้วยกันอยู่บนแท่นประลอง ทั้งสองคนยังไม่ได้เผชิญหน้ากันโดยตรง แต่อาณาจักรแห่งกฎของทั้งสองก็พุ่งชนเข้าหากันแล้ว
หลัวซิวยังไม่ได้เปิดเผยพลังการต่อสู้ทั้งหมดของเขา เขาไม่ได้ต้องการจะเป็นที่ดึงดูดสายตาผู้คนมากเกินไป ถึงอย่างไรหอคอยแห่งเทพศักดิ์สิทธิ์ทั้งแปดนั้น ก็ยังคงมีผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์อยู่อีกไม่น้อย
เขาจงใจควบคุมแดนกฎของตนเอง สำแดงออกมาแค่เพียงพลังที่เท่าเทียมกับแลร์รี่เท่านั้น
“หืม? สามารถมีอาณาจักรแห่งกฎที่เท่ากับข้าได้ ดูแล้วเจ้าไม่ธรรมดาจริง ๆ ไม่รู้ว่าเจ้าจะสามารถทำให้ข้าต้องใช้พลังสักมากน้อยเพียงใด?”
เส้นผมสีแดงเพลิงของแลร์รี่ปลิวไสว ราวกับสิงโตเพลิง ในมือกำหอกรบ เพลิงอัคคีที่ขยายเต็มท้องฟ้าราวกับตาข่ายขนาดใหญ่ ครอบลงมาทางหลัวซิว
หลัวซิวเอื้อมมืออกไป กระบี่ยุทธ์เล่มหนึ่งก็พลันปรากฏขึ้นในมือ ยังคงไม่ได้เรียกใช้อาวุธสังหารชั้นยอดอย่างหอกรบมังกรนิลเช่นเดิม
หมื่นจักรวาลไร้รูป!
กระบี่ถูกฟาดฟันออกไป แฝงไปด้วยออร่าลึกลับของหมื่นจักรวาลไร้รูปที่เขาสำแดงออกมา พลังกระบี่อัคคีดำทรงพลังไม่อาจต้านทานได้ ฉีกทำลายเพลิงอัคคีที่ถูกสานขึ้นมาเป็นตาข่ายในทันที อีกทั้งพลังกระบี่ยังคงรุนแรงไม่ลดละ พุ่งตรงไปยังแลร์รี่
“ปัง!”
แลร์รี่ยิงปืนออกมาหนึ่งนัด พลังกระบี่อัคคีดำถูกเขาทำลายจนแตกสลาย เกิดเป็นเสียงดังสนั่นบาดแก้วหู
“ตึงตึงตึง……”
ร่างของแลร์รี่ก้าวถอยหลังติดต่อกันหลายก้าว สีหน้าเผยถึงความตกใจและประหลาดใจ เพราะพลังกระบี่เมื่อครู่ที่ดูเหมือนธรรมดา แต่พลังอำนาจนั้นแข็งแกร่งถึงขีดสุด ทำให้สองมือของเขาที่กำปืนเอาไว้นั้นชาไปหมด เลือดปราณภายในร่างกายปั่นป่วน
แน่นอนว่าเขาไม่มีทางที่จะคาดเดาได้ การโจมตีแบบส่ง ๆ ที่หลัวซิวสำแดงออกมาแม้จะดูธรรมดา แต่กลับแฝงไปด้วยความลึกลับของหมื่นจักรวาลไร้รูป
“ยอร์คมาจริง ๆ ด้วย?”
“แลร์รี่ต้องไม่มีทางปราณีต่อเขาแน่นอน”
เมื่อหลัวซิวปรากฏตัวขึ้นใกล้ ๆ แท่นประลอง ผู้คนรอบข้างต่างพากันฮือฮาขึ้นมา
เพราะได้ยินมาว่าแลร์รี่ต้องการมาที่นี่เพื่อจัดการยอร์คอัจฉริยะแห่งตำหนักเทวมืด ดังนั้นหอคอยแห่งเทพศักดิ์สิทธิ์ทั้งแปด ไม่ว่าจะค่ายสว่างหรือค่ายมืดต่างก็พากันมาดูการประลองนี้
“เพียงแค่ผลการฝึกตนมหายุทธ์ขั้นหก พลังเช่นนี้คู่ควรแก่การลงมือของเทพบุตรเพลิงอัคคีหรือ?”
มีคนกระโดดขึ้นมาเป็นคนแรก ผลการฝึกตนคือเจ้ายุทธจักรขั้นสาม เทพบุตรเพลิงอัคคีมี่เขาพูดถึงนั้น ก็คือแลร์รี่
ตำหนักทวยเทพในโลกเชิ่งถิง เทียบได้กับ แดนศักดิ์สิทธิ์ของโลกแสงดาว ทุก ๆ ตำหนักเทวจะมีการเลือกเทพบุตร ก็เหมือนกับระดับเทพบุตรของแดนศักดิ์สิทธิ์
อย่างเช่นเทพบุตรสุริยาคนนั้นแห่งเชิ่งถิง อำนาจที่มีอยู่ในโลกใบนี้ เหมือนว่าจะไม่เป็นรองผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์
การท้าประลองครั้งนี้ หลัวซิวก็ยังคงพิจารณาในหลาย ๆ ด้าน
เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อรากฐานการฝึกยุทธ์ของตนเอง เขาจงใจที่จะควบคุมการเข้าแดนของผลการฝึกตน ตลอดจนถึงตอนนี้ ก็ทำให้พลังของเขาเข้าสู้ช่วงการเติบโตอย่างช้า ๆ
เมื่อตัวสำนึกบรรลุถึงระดับเจ้ายุทธจักร ถึงแม้จะดูดซับพลังวิญญาณที่แฝงอยู่ในช่องจิตปลอมอย่างต่อเนื่อง การเพิ่มระดับก็ยังกลับกลายเป็นช้าลงอย่างมาก ในตอนนี้เทียบเท่ากับระดับเจ้ายุทธจักรขั้นสี่
ต้องการจะยกระดับร่างยุทธ์แดนเจ้ายุทธจักร ต่อให้มีทรัพยากรเพียงพอ ก็จำเป็นต้องมีเวลาที่เพียงพอด้วย
อีกทั้งพลังอมตะอย่างภูตอัคคีร้อยแปร ถึงแม้จะได้รับไฟทิพย์ชนิดที่สามมาแล้ว แต่ด้วยพลังของเขาในตอนนี้ จึงยังไม่อาจครอบครองอัคคีจักรพรรดิระดับที่สูงขึ้นได้ ดังนั้นจึงไม่กล้าหลอมรวมมันสุ่มสี่สุ่มห้า
ว่ากันตามจริง เขาฝึกตนโดยใช้เวลาที่สั้นเกินไป คนอื่นใช้เวลาเป็นร้อยหรือกระทั่งเป็นพันปีจึงสามารถครอบครองพลังเช่นนี้ แต่เขาใช้เวลาสั้น ๆ เพียงสิบกว่าปีก็สามารถบรรลุถึงแล้ว
แต่ว่าการเติบโตของพลังไม่สามารถเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วได้อย่างต่อเนื่อง ยิ่งนานวันการเติบโตขึ้นของพลังนั้นก็จะยิ่งช้าลงเรื่อย ๆ แม้ว่าพรสวรรค์ของตนจะสูงมากสักเพียงใด ทรัพยากรจะมีมากจนล้นเหลือ ก็จำเป็นต้องใช้เวลาในการหล่อหลอม
อย่างเช่นหลัวซิวต้องการยกระดับตัวสำนึกให้ถึงเจ้ายุทธจักรขั้นห้า เขาใช้พลังทั้งหมดเพื่อดูดซับพลังวิญญาณจากช่องจิตปลอม ก็ยังต้องใช้เวลาร่วมหนึ่งปีจึงจะสามารถยกระดับได้ถึงเจ้ายุทธจักรขั้นห้า หากว่าต้องการยกระดับให้สูงขึ้นกว่าเดิม ก็จำเป็นที่จะต้องใช้เวลาที่นานยิ่งขึ้น
ถ้าหากเขาดูดซับพลังทั้งหมดจากช่องจิตปลอม ด้วยความสามารถของเขาในตอนนี้ เกรงว่าแม้จะใช้เวลาอีกร้อยปีก็ไม่อาจจะทำได้สำเร็จ
ในด้านอื่น ๆ ไม่สามารถยกระดับได้ สำหรับหลัวซิวให้ตอนนี้แล้ว ต้องการยกระดับพลังการต่อสู้โดยรวม ก็ทำได้แค่เพียงเริ่มจากแดนกฎเท่านั้น
เพียงแค่แดนกฎสามารถข้ามสู่แดนสำเร็จน้อย เช่นนั้นทางด้านแดนกฎของเขา ก็สามารถเทียบชั้นได้กับผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ทั่วไปได้ ถึงแม้พลังรบทั้งหมดจะยังไม่สามารถเทียบเคียงกับมหาจักรพรรดิยุทธ์ได้อย่างแท้จริง แต่สามารถป้องกันตัวเองได้ นั่นก็มากเพียงพอแล้ว
ดังนั้นหลัวซิวจึงวางเป้าหมายเอาไว้ที่แดนกฎดั้งเดิมของหอคอยแห่งเทพศักดิ์สิทธิ์ เขาจำเป็นต้องค้นหาโอกาสเพื่อบรรลุแดนกฎ
แต่หากจะไปฝึกตนแดนกฎดั้งเดิม จำเป็นต้องใช้แต้มห้วงกระบี่ วิธีการรวบรวมแต้มห้วงกระบี่ นั่นก็คือการเข่นฆ่าที่แท่นประลอง
“ไม่ว่าการท้าประลองใด ๆ ข้าก็จะรับให้หมด!”
หลัวซิวเดินขึ้นไปบนแท่นประลอง สายตาเย็นชาจ้องมองไปยังคู่ต่อสู้ของตน คนผู้นี้มีผลการฝึกตนเจ้ายุทธจักรขั้นสาม เป็นคนของค่ายสว่าง ที่ตัวน่าจะมีแต้มคุณความดีอยู่ไม่น้อย
แต้มคุณความดีกับแต้มห้วงกระบี่ทั้งสองอย่างนี้ ยิ่งได้รับเท่าไร ประโยชน์ก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ไม่เพียงแค่สามารถนำมาแลกเวลาฝึกตนในแดนกฎดั้งเดิม ยังสามารถแลกสมบัติวิเศษที่มีมูลค่ามากมายหลายชนิดจากสองตำหนักเทวใหญ่กลางเมืองทวยเทพได้อีกด้วย
“ไม่จำเป็นต้องให้เทพบุตรเพลิงอัคคีลงมือ ข้าริชชี่จะฆ่าเจ้าเอง!”
ในมือของริชชี่ปรากฏกระบี่ยุทธ์ขึ้นหนึ่งเล่ม กระบี่ของเขาราวกับเขามังกร แฝงไปด้วยออร่าของกฎเพลิงอัคคีพุ่งตรงเข้าสู่กลางอกของหลัวซิว
หลังจากใช้เวลาภายในห้องฝึกตนชั้นสูงไปราว ๆ หนึ่งร้อยกว่าวัน หลัวซิวก็เลือกที่จะออกมา
การปิดขังครั้งนี้ ผลการฝึกตนของเขาบรรลุถึงมหายุทธ์ขั้นหกแล้ว การเติบโตของพลัง ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก
สิ่งเดียวที่ควรค่าแก่การกล่าวถึงมากที่สุดคือ แดนกฎของเขาได้บรรลุถึงความชำนาญขั้นสูงเบื้องต้นแล้ว ขาดอีกเพียงแค่เล็กน้อย ก็จะบรรลุถึงแดนสำเร็จน้อยแล้ว
หากเมื่อเทียบกับจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ในวัยเดียวกัน ข้อดีที่สุดของหลัวซิวนั่นคือการสัมผัสรู้ของแดนกฎ
โดยปกติผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ทั่วไป แดนกฎจึงจะบรรลุถึงแดนสำเร็จน้อย แต่วันนี้เขามีแค่เพียงมหายุทธ์ขั้นหก กลับเข้าใกล้จุดนั้นแล้ว
แดนกฎของเขาที่สามารถเพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ นั่นก็เกี่ยวข้องกับโอกาสมากมาย ลำดับแรกคือวรยุทธ์วงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ รวมถึงผังกฎดั้งเดิมที่สลักลึกอยู่ในส่วนลึกในสมองของเขา เรียบรู้ความลึกลับที่อยู่ภายใน สามารถทำให้เขายกระดับแดนกฎได้อย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ก็คือตอนที่อยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์เรียนรู้ร่องรอยกฎ รวมถึงม้วนหยกแห่งประสบการณ์ที่เทวทูตจื่อเยียนมอบให้
โอกาสที่หลากหลายเช่นนี้รวมอยู่ในร่างเดียว ทำให้แดนกฎของหลัวซิวไปได้ไกลกว่ารุ่นเดียวกัน
เมื่อหลัวซิวเดินออกมาจากห้องฝึกตนชั้นสูง ไม่นานข้อมูลนี้ก็แพร่สะพัดออกไปอย่างรวดเร็ว
“ยอร์ค กล้าประลองกับข้าหรือไม่!”
เสียงดังกังวาลสะท้อนอยู่ในชั้นที่สองของตำหนักเทวมืด
ได้รู้ข่าวว่ายอร์คออกจากฝึกตนปิดขังแล้ว แลร์รี่ก็รีบตรงเข้ามาในทันที หมายจะประลองฝีมือกับอัจฉริยะผู้เก่งกล้าสามารถข้ามแดนเข่นฆ่าเจ้ายุทธจักรได้
แลร์รี่กล้าทำเช่นนี้ แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะเป็นผู้มีฝีมือเก่งกาจแตกต่างจากใคร เมื่อหลายปีก่อน เป็นอัจฉริยะหาตัวจับยากที่เปล่งประกายที่สุดแห่งหอคอยเทวโชติ
ภายในโลกเชิ่งถิง ลำดับความสูงต่ำของอัจฉริยะ มีมาตรฐานจากเวลาที่ใช้ในการฝึกตนถึงแดนเจ้ายุทธจักร
สามารถฝึกตนถึงแดนเจ้ายุทธจักรได้ภายในเวลาร้อยปี ถือเป็นอัจฉริยะหาตัวจับยาก เพียงแค่ไม่ตายไปเสียก่อนก็มีความเป็นไปได้อย่างมากสำหรับความหวังว่าจะก้าวเข้าสู่แดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ หรือกระทั่งการคว้าโอกาสเพื่อกลายเป็นเทพมาร
แต่แลร์รี่ เมื่ออายุได้ 63 ปีก็ฝึกตนถึงแดนเจ้ายุทธจักร อายุเช่นนี้ท่ามกลางผู้แข็งแกร่งเจ้ายุทธจักรเรียกได้ว่าเยาว์วัยที่สุดแล้ว
ร่างกายของเขาสูงใหญ่กำยำ สีผมนั้นแดงดั่งเปลวเพลิง บนร่างสวมชุดเกราะที่สลักลายเส้นเพลิงอัคคี ด้านหลังมีหอกรบสะพานเฉียง
“เจ้าแลร์รี่ผู้นี้ก็มาด้วย!”
การปรากฏตัวของแลร์รี่ ทำให้ผู้แข็งแกร่งเจ้ายุทธจักรจำนวนมากที่ชั้นสองแห่งตำหนักเทวมืดมีสีหน้าเหยเก เผยสีหน้าแห่งความกังวลใจขึ้นมา
ที่พวกเขากังวลใจนั้นไม่ใช่พรสวรรค์ของแลร์รี่ เพราะไม่ว่าพรสวรรค์ของตนจะดีมากสักเพียงใด เพียงแค่ไม่ได้มีการเติมโตขึ้นมา ก็ไม่ได้ควรค่าที่จะทำให้ผู้คนรู้สึกกังวลใจ
สิ่งที่แลร์รี่สามารถทำให้ผู้คนกังวลใจจริง ๆ นั่นคือพลังที่แข็งแกร่งของเขา!
เมื่อสามปีก่อน ผลการฝึกตนของแลร์รี่บรรลุถึงเจ้ายุทธจักรขั้นสี่ ก้าวขึ้นมาสู่เจ้ายุทธจักรช่วงกลางอย่างเป็นทางการ แต่อายุของเขานั้น เพียงแค่ 83 ปีเท่านั้น
เทียบกับผู้แข็งแกร่งเจ้ายุทธจักรที่มีอายุยืนยาวกว่า ห้าพันปีแล้วนั้น อายุ 83 ไม่ได้ถือเป็นเรื่องน่ากังวลใจแต่อย่างใด
“ว่ากันว่าหลังการต่อสู้ของแลร์รี่ได้เทียบเท่ากับเจ้ายุทธจักรช่วงปลายแล้ว!”
“ถ้าหากเขาต้องการท้าประลองยุทธ์กับยอร์คจริง ยอร์คต้องไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาแน่”
ไม่มีใครคิดว่าระหว่างยอร์คและแลร์รี่จะมีปาฏิหาริย์ใด ๆ เกิดขึ้น ต่อให้ยอร์คเอาชนะเจ้ายุทธจักรคนหนึ่งได้ แต่โอรินั้นคือหนึ่งในบรรดาเจ้ายุทธจักรช่วงต้นที่ถือว่าอ่อนแอที่สุด แต่แลร์รี่นั้นไม่เหมือนกัน
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ประสบการณ์ของแลร์รี่ก็เหมือนกับตำนาน ตลอดมานั้นเขาต่างก็ข้ามแทนเพื่อท้าประลองกับคนอื่น ๆ จะสามารถมีคนข้ามแดนมาเพื่อท้าประลองกับเขาได้อย่างไร?
ในขณะที่ทุกคนคิดว่าการเผชิญหน้ากับการท้าประลองของแลร์รี่ ยอร์คต้องเลือกที่จะปฏิเสธหรือไม่ก็ต้องหนีหายไปอย่างแน่นอน
แต่สิ่งที่ทำให้ผู้คนคาดไม่ถึงนั่นคือ ยอร์คได้ปรากฏตัวขึ้นบริเวณใกล้ ๆ กับแท่นประลอง
แต่เหตุผลที่หลัวซิวปรากฏตัวที่นี่นั้นมันง่ายมาก เพราะว่าเขาได้ยินมาว่าบนตัวของแลร์รี่มีแต้มคุณความดีอยู่เกือบ ๆ สองพันแต้ม
“ไม่เห็นหัวพวกเราค่ายมืดหรืออย่างไร?”
ผู้แข็งแกร่งเจ้ายุทธจักรที่อยู่ท่ามกลางชั้นสองของหอคอยเทวของค่ายมืดพากันขุ่นเคืองขึ้นมา คนจากค่ายสว่างกล้าลงมือโดยไม่คิดหน้าคิดหลังที่นี่ ถือเป็นการท้าทายค่ายมืดอย่างไม่ต้องสงสัย
ไม่จำเป็นต้องให้หลัวซิวลงมือเอง ก็มีผู้แข็งแกร่งของค่ายมืดลงมือแทน คลายการโจมตีของเอริค
ในเวลาเดียวกันนี้ เจ้ายุทธจักรหลายคนของค่ายมืดปรากฏตัวอยู่บริเวณใกล้ ๆ ตัวหลัวซิว ถ้าหากปล่อยให้คนจากค่ายสว่างฆ่ายอร์คที่นี่ได้ตามใจชอบ นั่นก็เท่ากับการตบหน้าผู้แข็งแกร่งเจ้ายุทธจักรแห่งตำหนักเทวมืดทุกคน
ชั้นที่สองของตำหนักเทวมืด ผู้แข็งแกร่งระดับเจ้ายุทธจักรจำนวนมากกว่าร้อยคน แต่หลังจากโอริจากค่ายสว่างตายไป ก็เหลือแค่เพียงเก้าคนเท่านั้น
ต่อให้พวกคนจากค่ายสว่างพวกนี้จะบ้าคลั่งและหยิ่งยโสอวดดีอีกสักเพียงใด เมื่อใดก็ตามที่ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายถูกฉีกออกจริง ๆ เกรงว่าพวกเขาเหล่านี้จะต้องอยู่ที่ชั้นที่สองของตำหนักเทวมืดไปตลอดกาล
ท้ายที่สุดคนจากค่ายสว่างเลือกที่จะล่าถอยไป เช่นเดียวกันกับก่อนหน้านี้ที่หอคอยเทวชั้นหนึ่ง มาอย่างเสือกลับไปอย่างหมา
การประลองครั้งนี้หลัวซิวฆ่าโอริที่มีผลการฝึกตนระดับเจ้ายุทธจักร แสดงให้เห็นถึงพรสวรรค์ที่แกร่งกล้าถึงขีดสุด
สายตาของผู้แข็งแกร่งเจ้ายุทธจักรหลายคนที่ชั้นสองของตำหนักเทวมืด มองมาที่เขาอย่างแตกต่างไปจากเดิม เพราะหากไม่มีสิ่งใดผิดพลาด ด้วยพรสวรรค์ที่เขาแสดงออกมานั้น ต้องถูกคัดเลือกจากผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์จากชั้นสามของตำหนักเทวมืดอย่างแน่นอน
หลังจากเข่นฆ่าโอริแล้ว หลัวซิวก็ได้รับแต้มห้วงกระบี่อีก 1,800 แต้ม ในตอนนี้แต้มห้วงกระบี่ที่เขาสะสมได้นั้น มีถึง 2,800 กว่าแต้มแล้ว ขาดอีกแค่เพียงสองร้อยแต้ม ก็จะสามารถเข้าไปฝึกตนที่แดนกฎดั้งเดิมหนึกครั้งแล้ว
การประลองกับโอริ เขาแสร้งทำเป็นได้รับบาดเจ็บ ในเวลาเช่นนี้ไม่สามารถท้าประลองกับคนอื่น ๆ อีกได้ ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะตรงไปยังห้องลับฝึกตนปิดขังสักช่วงเวลาหนึ่ง
ห้องลับฝึกตนในชั้นสองของหอคอยเทวแบ่งออกเป็นสองระดับ แบบที่หนึ่งคือห้องฝึกตนทั่วไป ไม่จำเป็นต้องแลกด้วยสิ่งใดก็ตาม ไม่ว่าใจก็สามารถเข้าไปฝึกตนในนั้นได้
แบบที่สองจะเป็นห้องฝึกตนชั้นสูง เข้าไปฝึกตนด้านในหนึ่งวันจำเป็นต้องแลกด้วยแต้มห้วงกระบี่จำนวนเล็กน้อย
สำหรับผู้แข็งแกร่งระดับเจ้ายุทธจักรแล้วนั้น ปิดขังครั้งหนึ่งใช้เวลาสองถึงสามปีถือเป็นเรื่องปกติ แต่ห้องฝึกตนชั้นสูงก็ยังคงเป็นตัวเลือกแรก ๆ ของผู้แข็งแกร่งเจ้ายุทธจักรจำนวนมาก
เพราะว่าในห้องฝึกตนชั้นสูงเต็มไปด้วยกฎออร่า การฝึกตนภายใต้สภาพแววล้อมเช่นนั้น จะช่วยยกระดับการสัมผัสรู้ของแดนกฎของตน ทำให้เกิดผลที่อย่างมหาศาล
ประเภทที่หลัวซิวเลือกก็คือห้องฝึกตนชั้นสูง สำหรับเจ้ายุทธจักรจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นแต้มห้วงกระบี่หรือแม้แต่แต้มคุณความดีต่างก็เป็นสิ่งที่ได้มายาก แต่สำหรับหลัวซิวนั้น กลับไม่ใช่เรื่องยากอะไร
การปิดขังครั้งนี้ หลัวซิววางแผนไว้ว่าจะสงบจิตใจฝึกตนสักช่วงเวลาหนึ่ง ด้านหนึ่งเพื่อตระหนักรู้ถึงความลึกลับของแดนในตอนนี้ ด้วยหมายจะทำให้พื้นฐานมีความมั่นคง พยายามทำให้ผลการฝึกตนของตนเองก้าวเข้าสู่แดนถัดไปได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น
เพราะสำหรับหลัวซิวแล้วนั้น ไม่ว่าจะเป็นวรยุทธ์ พลังอมตะ หรืออาวุธขลัง เขาต่างก็มีครบ สิ่งที่เขาขาดนั้นก็คือผลการฝึกตนและเวลา อีกทั้งผลการฝึกตนยังเป็นสิ่งที่ขัดขวางขีดจำกัดความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้อีกด้วย
เวลาไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงแค่ชั่วพริบตาเวลาสามเดือนก็ได้ผ่านพ้นไป
ในเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นค่ายสว่างหรือค่ายมืด ท่ามกลางหอคอยแห่งเทพศักดิ์สิทธิ์ทั้งแปดแห่งต่างก็มีชื่อยอร์คแพร่สะพัดไปทั่ว
ในตอนนี้ทุกคนต่างก็รู้ว่า ตำหนักเทวมืดได้มีอัจฉริยะชั้นเลิศคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมา แดนมหายุทธ์ขั้นห้าก็สามารถข้ามแดนฆ่าเจ้ายุทธจักรได้ เรียกได้ว่าเป็นที่เลื่องลือไปทั่วทุกคนแห่ง
เกี่ยวกับเรื่องของยอร์คนั้น มีบางคนชื่นชมด้วยความประหลาดใจ แต่ก็มีบางคนที่รู้สึกไม่พอใจ ถึงแม้จะเป็นภายในค่ายมืด ก็ยังมีอัจฉริยะบางคนที่อยากท้าประลองกับเขา เพื่อหมายจะยืนยันให้เห็นว่าพรสวรรค์ของตนเองแข็งแกร่งยิ่งกว่า
แต่ทางฝั่งค่ายสว่างถูกยอร์คฆ่าตายไปสองครั้งติดกัน ก็ได้ประการออกมาโดยตรงว่า ใครก็ตามหากสามารถฆ่ายอร์คได้ เชิ่งถิงจะตกรางวัลมหาศาลให้
ค่ายสว่างมีเชิ่งถิงเป็นผู้นำ สำหรับค่ายมืดที่มีอัจฉริยะปรากฏตัวขึ้น ผู้ที่หวังว่าอีกฝ่ายจะไม่เติบโตมากที่สุด ย่อมเป็นเชิ่งถิง
……
“อาณาจักรสว่าง!”
โอริคำรามอีกครั้ง ใช้วิชาลับฝืนยกระดับจนถึงเจ้ายุทธจักรช่วงกลาง สำแดงกลยุทธ์อาณาที่มีเฉพาะผู้แข็งแกร่งเจ้ายุทธจักรเท่านั้น สามารถทำให้คู่ต่อสู้ที่มีแดนต่ำกว่าตนเกิดแรงกดดันมหาศาล
ทั่วทั้งแท่นประลอง มีกฎสว่างที่เปล่งประกายระยิบระยับเต็มไปทั่วทุกที่ แต่โอริที่ยืนอยู่ใจกลาง เพลิงอัคคีแผดเผาสีทองที่อยู่รอบตัว ราวกับพระอาทิตย์ที่ไม่มีวันอับแสง
“ปังโครม……”
แสงเทวไร้ที่สิ้นสุดภายในอาณา โอริราวกับทวยเทพที่สามารถควบคุมได้ทุกสิ่งอย่าง
ไม่นานร่างของหลัวซิวก็จมอยู่ภายใน แสงเทวสีทิง ทำให้คนจากฝั่งค่ายมืดต่างอดไม่ได้ที่จะกังวลใจอแทนเขา
“ไปตายเสีย!”
โอริพุ่งเข้ามาด้วยความรวดเร็ว เขาสำแดงวิชาลับโดยไม่สนผลที่ตามตา จำเป็นต้องฆ่าไอ้เด็กเวรนี่ให้ได้ จึงจะสามารถคลายความคับแค้นในใจของเขาลงไปได้
จากนั้นในเวลานี้เอง ม่านเพลิงอัคคีสีดำสนิทก็แหวกทะลุแสงเทวออกมา ครอบคลุมไปทั่วแท่นประลอง
“อาณาจักรแห่งกฎ!”
มีบางคนตกใจจนเผลอส่งเสียงออกมา ผู้แข็งแกร่งระดับเจ้ายุทธจักรครอบครองอาณาจักรแห่งกฎนั้นเป็นเรื่องปกติมาก แต่มหายุทธ์คนหนึ่งกลับครอบครองวิธีการเช่นนี้ ถึงขั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่าเจ้ายุทธจักรเสียอีก นี่มันน่ากลัวเกินไปแล้ว
เพลิงอัคคีสีดำลุกท่วมแสงเทวสีทองจนสิ้น อาณาจักรแห่งกฎของหลัวซิวเห็นได้ชัดเจนว่าสามารถควบคุมอาณาจักรสว่างของโอริได้อย่างราบเรียบ
ภายใต้กฎอาณาจักรมรณะ โอริที่เมื่อครู่เพิ่งจะใช้วิชาลับยกระดับพลังจนถึงเจ้ายุทธจักรขั้นสี่ พลังดังกล่าวถูกพลังอาณากดลงไปครึ่งหนึ่งในชั่วพริบตา
“นี่……”
ดวงตาที่เบิกกว้างของโอริสั่นไหว เพราะในสถานการณ์ที่พลังถูกกดลงไปครึ่งหนึ่งนั้น พลังของเขากับการสำแดงวิชาลับก่อนหน้านี้เท่ากับว่าไม่ได้มีความแตกต่างกันแต่อย่างใดเลย
กระบี่ยุทธ์ในมือของหลัวซิวราวกับว่าแทงทะลุโซนโดยตรง ทันใดนั้นก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าของโอริ เสียงดังฉึก เสียบทะลุเข้ากลางหว่างคิ้วของเขา
“ปัง!”
บนกระบี่ยุทธ์ เพลิงมรณะปะทุออกมา ตัวหยั่งรู้ที่ซ่อนอยู่บริเวณหว่างคิ้วนั้นถูกแผดเผาจนไม่เหลือร่องรอยในชั่วพริบตา
โอริที่มีผลการฝึกตนระดับเจ้ายุทธจักร ตาย!
“โอริตายแล้ว!”
“เขาลงมือฆ่าโอริตายได้จริง ๆ!”
“……”
กลุ่มคนจากฝั่งค่ายสว่างต่างพากันขุ่นเคือง เพราะว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาอย่างยาวนาน ทั้งสองค่ายประลองและฆ่าฟันกันและกัน น้อยครั้งนักที่จะพบว่ามีผู้แข็งแกร่งระดับเจ้ายุทธจักรขึ้นไปผลการฝึกตนตกต่ำหรือเสียชีวิต ส่วนมากจะผู้ที่มีระดับต่ำกว่าเจ้ายุทธจักรที่เข่นฆ่ากันอย่างรุนแรงมากกว่า
ไม่ว่ากองกำลังจะเป็นกองกำลังจากฝั่งใดก็ตาม ผู้แข็งแกร่งระดับเจ้ายุทธจักรต่างก็มีพลังการต่อสู้ระดับสูง ดังนั้นระหว่างกองกำลังต่าง ๆ กจะมีพันธสัญญาที่ไม่ได้เป็นลายลักษณ์อักษร เพียงแค่ไม่ได้มีความแค้นฝังลึกเป็นพิเศษ โดยพื้นฐานแล้วผู้แข็งแกร่งระดับเจ้ายุทธจักรขึ้นไปจะไม่ค่อยพบการฆ่ากันในระหว่างประลอง
“เจ้าพวกคนหน้าซื่อใจคด เห็นได้ชัดว่าโอริหมายจะฆ่ายอร์ค ตอนนี้ถูกยอร์คฆ่าตายมันก็สมควรแล้ว!”
“ฮ่า ๆ ยอร์คฆ่าได้ดี!”
ทางฝั่งค่ายมืดมีผู้แข็งแกร่งเจ้ายุทธจักรจำนวนไม่น้อยที่ลุกขึ้นมาสนับสนุน
ในเวลานี้เอง หลัวซิวก็เตรียมที่จะลงมาจากบนแท่นประลองด้วยใบหน้าที่ขาวซีด
ที่ใบหน้าของเขาขาวซีดนั้น ย่อมไม่ใช่เพราะว่าได้รับบาดเจ็บระหว่างการต่อสู้กับโอริ แต่เป็นเพียงการจงใจแกล้งทำท่าทางเช่นนั้น เพื่อไม่ให้คนอื่น ๆ ประเมินความสามารถของเขาจนสูงเกินไป
“ยอร์ค ข้าเอริคจะล้าประลองกับเจ้า!”
เจ้ายุทธจักรช่วงกลางจากคนหนึ่งกระโดดขึ้นมาบนแท่นประลอง ชี้นิ้วไปทางหลัวซิวพร้อมทั้งตระโกนเสียงดัง
“ข้าได้รับบาดเจ็บแล้ว หากเจ้าอยากจะท้าประลองกับข้า รอให้ข้ารักษาบาดแผลให้หายดีก่อนค่อยว่ากัน” หลัวซิวไม่ได้มีทีท่าว่าจะสนใจการท้าทายของคนผู้นี้ และเดินลงไปจากบนแท่นประลอง
ทางฝั่งค่ายสว่างเห็นการกระทำเช่นนี้ของเขา ทันใดนั้นสายตาต่างก็เต็มไปด้วยไฟที่ลุกโหม อัจฉริยะมหายุทธ์ขั้นห้าคนหนึ่งที่สามารถข้ามแดนฆ่าเจ้ายุทธจักร เมื่อใดที่เติบโตขึ้นมา คาดว่าจะต้องส่งผลกระทบต่อโครงสร้างของค่ายมืดและค่ายสว่างทั้งสองค่ายใหญ่เป็นแน่
“นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะเลือกได้!”
เอริคลงมือในทันที เพลิงอัคคีหลวมรวมกันเป็นหอกยาว พุ่งตรงไปทางหลัวซิว
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 865
“เจ้ามีแต้มคุณความดีเท่าไร?” หลัวซิวมองขึ้นไปยังเจ้ายุทธจักรโอริที่อยู่บนแท่น
หลังจากประโยคนี้ ผู้คนต่างพากันประหลาดใจ เจ้าหนุ่มนี่ถามว่าโอริมีแต้มคุณความดีเท่าไร หรือว่าวางแผนจะกำจัดเขาแล้วรับแต้มห้วงกระบี่งั้นรึ?
“1,800 แต้มคุณความดี! กล้ามาเอาหรือไม่?” โอริโกรธถึงขีดสุดแต่ก็ปั้นหน้ายิ้มออกมา พูดด้วยท่าทางกระฉับกระเฉง
“ผลการฝึกตนเจ้ายุทธจักรแต่กลับมีเพียง1,800 แต้มคุณความดี เจ้านี่ยากจนดีจริง ๆ ยังกล้ามาที่นี่ให้อายสายตาชาวบ้านอีก?”
อีกฝ่ายมาท้าทายถึงที่ หลัวซิวย่อมไม่มีทางที่จะแสดงความเป็นมิตร
โอริบนแท่นประลองโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินเข้ามาทางแท่นประลอง นัยน์ตาก็ฉายแววสังหารออกมา “บังอาจดูหมิ่นข้า ข้าจะทำให้เจ้าตายทั้งเป็น!”
คนจากค่ายมืดก็ชะงักไป พวกเขาไม่คาดคิดว่าเจ้าหนุ่มคนนี้ที่มีผลการฝึกตนมหายุทธ์ขั้นห้า จะกล้าเดินขึ้นไป
“เจ้าหนูนี่รนหาที่ตายแล้ว ต่อให้มีพลังอยู่บ้าง แต่มหายุทธ์ขั้นห้ากับเจ้ายุทธจักรมันห่างชั้นกันเกินไป!”
“ฮ่า ๆ คนจากค่ายมืดนี่มันโง่เง่าเกินไปแล้ว โอริฆ่ามันเลย!” ใบหน้าของคนจากค่ายสว่างเผยรอยยิ้มยินดีออกมา
ในวินาทีที่สองเท้าของหลัวซิวเหยียบลงบนแท่นประลอง โอริที่อดรนทนไม่ไหวมานานก็ลงมือโจมตีในทันที กวัดแกว่งดาบรบในมือเกือบร้อยฟุตออกไป พลังมหาศาลราวกับว่าสามารถแยกฟ้าผ่าแผ่นดินได้
หลัวซิวไม่ได้เรียกใช้หอกรบมังกรนิล แต่กลับหยิบเอากระบี่ยุทธ์ระดับอาวุธขลังชั้นดีออกมาแบบส่ง ๆ ยกมือขึ้นฟันออกไป พลังแห่งกฎความตายหลวมรวมเป็นพลังกระบี่อัคคีดำ
ปัง!
พลังดาบและพลังกระบี่ชนเข้าหากัน ที่ทำให้ผู้คนคาดไม่ถึงก็คือ พลังดาบกลับถูกพลังกระบี่โจมตีจนแตกสลาย ในชั่วพริบตาโอริถูกพลังกระบี่ฟาดลงไป ร่างนั้นลอยกระเด็นออกไป เลือดสดพุ่งออกมาทางปาก
“เจ้ายุทธจักรขั้นสอง แดนกฎกลับมีแค่ระดับกฎอาณา อ่อนแอเกินไป!” คู่ต่อสู้ระดับนี้ หลัวซิวไม่เคยมองอยู่ในสายตา
ถึงแม้จะไม่ได้เรียกใช้ไม้ตาย แค่เพียงอาศัยการครอบครองแดนกฎช่วงปลาย พลังของเขาก็แกร่งยิ่งกว่าเจ้ายุทธจักรช่วงปลายเสียอีก
หากว่าเรียกใช้ไพ่ไม้ตาย การฆ่าเจ้ายุทธจักรช่วงปลายก็ไม่ได้ยาก แม้กระทั่งว่าสามารถฆ่าเจ้ายุทธจักรขั้นเก้าได้ด้วย
ภาพที่โอริถูกฟันลอยกระเด็นออกไปนั้น ทำให้ผู้แข็งแกร่งจากทั้งสองค่ายใหญ่ต่างพากกันเบิกตาโตอ้าปากค้าง บางคนถึงกับเหม่อลอยไปเลย
โอริถึงแม้จะมีผลการฝึกตนเพียงเจ้ายุทธจักรขั้นสอง แดนกฎก็ไม่ถือว่าสูง แต่เจ้ายุทธจักรก็คือเจ้ายุทธจักร ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ใช่ระดับที่มหายุทธ์ทั่วไปสามารถข้ามแดนประลองได้ ต่อให้เป็นอัจฉริยะหาตัวจับยาก อย่างน้อย ๆ ก็ต้องมีผลการฝึกตนระดับมหายุทธ์ขั้นแปดขึ้นไป จึงจะสามารถเอาชนะเจ้ายุทธจักรช่วงต้นได้
แต่ยอร์คผู้นี้ เป็นเพียงมหายุทธ์ขั้นห้า พลังพรสวรรค์นั้นน่ากลัวขนาดไหนกัน?
โอริก็ชะงักไปเล็กน้อย เขาก็คาดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กมหายุทธ์ขั้นห้าคนหนึ่ง จะมีพลังข้ามแดนเอาชนะเจ้ายุทธจักรได้
แต่ในฐานะผู้แข็งแกร่งเจ้ายุทธจักร กลับถูกเจ้าเด็กมหายุทธ์ช่วงกลางคนหนึ่งเอาชนะได้ โอริสามารถคาดการณ์ได้ว่าต่อไปเขาคงไม่มีหน้าไปพบใครได้อีกแล้ว
“เจ้าหนู เจ้าบังคับข้าเอง!” สีหน้าของโอริเผยความโหดร้ายออกมา
“พรแห่งเทวสว่าง!”
โอริตระโกนดังลั่น พลังแห่งแสงศักดิ์สิทธิ์บนร่างกายนั้นราวกับเพลิงอัคคีที่กำลังลุกโชนโหมกระหน่ำ
นี่คือวิชาลับชนิดหนึ่งของเชิ่งถิง แผดเผาพลังแห่งแสงศักดิ์สิทธิ์รับพรแห่งทวยเทพ สามารถทำให้พลังการต่อสู้ของตนระเบิดออกมาในช่วงเวลาอันสั้น
แต่ว่าวิชาลับชนิดนี้กลับมีผลข้างเคียงระยะยาวเช่นกัน เช่นนั้นก็เพราะว่าเมื่อสำแดงมันแล้ว ผลการฝึกตนจะลดลงไปหนึ่งแดนเล็ก อีกทั้งยังเข้าสู่สภาวะอ่อนกำลังระยะยาว อย่างน้อยภายในหนึ่งถึงสองปีก็ไม่ต้องคิดเรื่องต่อสู้กับคนอื่นเลย
และที่สำคัญที่สุดคือ แดนที่ตกไปนั้น เป็นเรื่องยากมากที่จะฝึกตนกลับมาอีกครั้ง
“โอริสู้สุดชีวิต ยอมที่จะสำแดงวิชาต้องห้ามโดยไม่สนใจอะไรแล้ว”
ทางฝั่งค่ายมืดมีหลายคนที่มีสีหน้าเปลี่ยนไป หลังจากโอริสำแดงวิชาต้องห้าม ออร่านั้นก็เริ่มพุ่งประทุขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็ข้ามแดนขึ้นมาถึงเจ้ายุทธจักรขั้นสาม บรรลุถึงระดับเจ้ายุทธจักรช่วงกลางแล้ว
ผลการฝึกตนบรรลุถึงแดนเจ้ายุทธจักร ตั้งแต่ขั้นสามถึงขั้นสี่ คือการข้ามแดนช่วงต้นถึงช่วงกลาง พลังนั้นจะมีการเปลี่ยนแปลงด้านคุณภาพ
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 864
เวลานี้ ที่บนแท่นประลองชั้นที่สองของตำหนักเทวมืด ผู้แข็งแกร่งระดับเจ้ายุทธจักรสองคนกลายร่างเป็นเงาลวง ปะทะกันอย่างดุเดือดบนแท่นประลอง
การต่อสู้ของผู้แข็งแกร่งระดับเจ้ายุทธจักรโดยทั่วไปแล้วเป็นเพียงการสำแดงฤทธิ์เดชเท่านั้น น้อยครั้งมากที่จะมีการต่อสู้กันอย่างดุเดือด
แต่ในครั้งนี้ เจ้ายุทธจักรทั้งสองที่อยู่บนแท่นประลอง กลับดูเหมือนว่าจะเป็นการปลดปลายไฟแค้นในใจ ไม่ว่ากลยุทธ์ใดที่งัดออกมานั้นต่างก็ไร้ซึ่งความปราณี อีกทั้งยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงแม้แต่น้อย
“เฮอะ เจ้าพวกโอหังค่ายสว่าง จะสั่งสอนมันให้สาสม!”
ผู้แข็งแกร่งเจ้ายุทธจักรโดยทั่วไปแล้วต่างก็หยิ่งในสถานะของตนอย่างมาก แต่เมื่อเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับศักดิ์ศรี ไม่มีใครที่สามารถทนนิ่งเฉยอยู่ได้
“พวกเจ้าค่ายมืดไม่โอหังหรือ? ฆ่าดาซีกับลูนอีกด้วย? เขาขึ้นมาชั้นที่สองแล้วไม่ใช่หรือ?”
“กล้าฆ่าคน แต่ไม่มีความกล้าเผยตัวออกมาหรือ? เห็นได้ชัดว่ามีพลังระดับเจ้ายุทธจักรแต่กลับไปรังแกผู้น้อย ในค่ายมืดมีแต่คนพรรค์นี้หรือ”
ต่อให้จะมีคนจำนวนไม่มาก แต่ท่าทีของคนจากค่ายสว่างต่างก็รุนแรงและผยองมาก
ในโลกเชิ่งถิง สว่างและมืดทั้งสองเป็นปฏิปักษ์และต่อสู้กัน ทางฝั่งค่ายสว่าง ต่างก็ได้เปรียบอยู่ตลอดเวลา
“สารเลวชั้นต่ำ ยอร์คใช้ผลการฝึกตนมหายุทธ์ขั้นห้าข้ามแดนท้าประลองและฆ่าขยะไร้ประโยชน์ไปสองคน พวกเจ้ากลับใช้ผลการฝึกตนเจ้ายุทธจักรมาท้าทายเขา ยังจะกล้าบอกอีกหรือว่าคนอื่นรังแกผู้น้อย?” มีผู้แข็งแกร่งเจ้ายุทธจักรจากเผ่ามนุษย์อสูรตะโกนคำรามด้วยความโกรธ น้ำเสียงนั้นราวกับเสียงฟ้าคำราม
“เลิกพูดไร้สาระ ไปเรียกไอ้เดียรัจฉานที่ชื่อยอร์คออกมา!” ถึงแม้สติและปัญญาจะด้อยไป แต่คนจากค่ายสว่างก็ยังคงมีทีท่าแข็งกระด้างเช่นเดิม
“แม่งเอ้ย พวกค่ายสว่างจอมเสแสร้ง ไม่ต้องรักษาหน้าตาไว้แล้วหรือ?” ทางฝั่งค่ายมืดหัวเราะเย้ยหยัน
“พวกเจ้าค่ายมืดถือคติบูชาความแข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะเป็นนิรันดร์ไม่ใช่รึ? พวกเจ้ายังจะเอาเกียรติ?” คนจากค่ายสว่างปากดี
ในขณะที่ทั้งสองค่ายกำลังทะเลาะเสียงดังกันอยู่นั้น การต่อสู้บนแท่นประลองกำลังเข้าใกล้ช่วงสุดท้าย เจ้ายุทธจักรทั้งสองต่างก็ได้รับบาดเจ็บไม่น้อย ผลการฝึกตนตกต่ำลงไปอย่างน่าเป็นกังวล
ในท้ายที่สุด การต่อสู้นี้ก็ไม่ได้ถูกตัดสินแพ้ชนะ เพราะหากฝืนต่อสู้กันต่อไป มีความเป็นไปได้อย่างมากว่าจะบาดเจ็บสาหัสทั้งคู่
เพราะว่าเมื่อก้าวมาถึงแดนแห่งนี้แล้ว นอกจากว่าความสามารถจะเก่งกาจเกินคู่ต่อสู้อย่างมาก ไม่เช่นนั้นต่อให้สามารถเข่นฆ่าอีกฝ่ายได้ แต่ตนก็ยังจะได้รับบาดเจ็บสาหัส อาจจะบาดเจ็บถึงรากฐาน ไม่สามารถก้าวหน้าได้อีกต่อไป
ดังนั้นจอมยุทธ์ที่มีผลการฝึกตนยิ่งสูง ก็ยิ่งจะไม่ยอมลงมือต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายง่าย ๆ
“นั่นยอร์ค! ไอ้หนูนั่นมาแล้ว!”
ทันใดนั้น ผู้คนรอบ ๆ แท่นประลองต่างก็ปะทุความโกรธขึ้นมา สายตาหลายคู่ต้องก็จ้องมองมาทางชายหนุ่มผมทองคนนี้
“ยอร์ค เจ้าเป็นนักยุทธ์ของเชิ่งถิง แต่กลับเข้าร่วมค่ายมืด อีกทั้งยังฆ่าฟันอัจฉริยะสองคนของค่ายสว่างอีก วันนี้ข้าจะเป็นตัวแทนแห่งเทวสว่างตัดสินเจ้าเอง!”
วินาทีที่หลัวซิวปรากฏตัว เจ้ายุทธจักรคนหนึ่งจากค่ายสว่างก็กระโดดขึ้นไปบนแท่นประลอง บนร่างสวมชุดนักรบสีขาวหิมะ
“ตัดสินบ้านพ่อแกสิ!” หลัวซิวรับไม่ได้ที่สุดก็คือคำนี้
“ฮะ ฮ่า พูดได้ดี พวกสวะค่ายสว่าง เอะอะก็ตัดสินนั่นตัดสินนี่ พวกเขาคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน? ก็เป็นแค่เพียงสวะเท่านั้น!” ทางฝั่งค่ายมืดหัวเราะร่า
“ขึ้นมารับความตายซะ!” ชายวัยกลางคนบนแทนประลองมีสีหน้าเกรี้ยวกราด พลิกมือหยิบดาบรบเล่มหนึ่งออกมา
“โอริ ตามผลการฝึกตนแล้ว การรังแกเด็กไม่ถือเป็นความสามารถ มาเล่นกับข้านี่!” เผ่าพันธุ์มนุษย์เจ้ายุทธจักรคนหนึ่งจากค่ายมืดลุกขึ้นมา
“เหลยหนิงเจ้ารีบร้อนอันใด? หากเจ้าจะสู้ อีกเดี๋ยวข้าจะเล่นเป็นเพื่อนเจ้าเอง!” ชายชราผมขาวคนหนึ่งจากค่ายสว่างพูดพร้อมเสียงหัวเราะ
ทั้งสองคนนี้ต่างก็เป็นผู้แข็งแกร่งระดับเจ้ายุทธจักรช่วงปลาย
“อัจฉริยะสองคนผู้มากไปด้วยศักยภาพถูกฆ่าทิ้ง คนจากค่ายสว่างโมโหเสียจนนั่งไม่ติด แน่นอนว่าต้องมาแก้แค้นแน่นอน”
ชั้นที่สองของตำหนักเทวมืด หลายคนต่างพากันพูดคุยถึงเรื่องดังกล่าว เพราะคนจากค่ายสว่างมาท้าประลองที่ชั้นสองของหอคอยเทว ทั้งหมดต่างก็พุ่งเป้าหมายมาที่หลัวซิว
“ยอร์ค!”
เสียงหนึ่งดังเข้ามาในหูของหลัวซิว จากนั้นหลัวซิวก็เห็นคนสามคนเดินตรงมาหาตน
ทั้งสามคนนั้น หนึ่งในนั้นคือเผ่าพันธุ์มนุษย์ อีกหนึ่งคือเผ่าปีศาจร้าย และยังมีอีกหนึ่งคนที่เป็นเผ่ามนุษย์อสูร
“มีเรื่องอันใด?” หลัวซิวเอ่ยถามเสียงเรียบ เขาได้รู้มาแล้วว่าคนจากค่ายสว่างมาหาเรื่องให้ตนถึงที่แห่งนี้ หรือว่าเจ้าสามคนนี้จะฉวยวิกฤตนี้เพื่อท้าประลองกันตนด้วย?
“ข้านามว่าเนลสัน” ชายเผ่าพันธุ์มนุษย์คนนั้นเอ่ยปากพูด ในเวลาเดียวกันก็แนะนำอีกสองคน “คนนี้คือเจ้าคนจากเผ่าปีศาจร้ายนามว่า อีฟส์ ส่วนนี่มาจากเผ่ามนุษย์อสูรนามว่า เทเบอร์”
“พวกเราเพิ่งขึ้นมาจากชั้นที่หนึ่ง ได้ยินมาว่าเจ้าจัดการเด็ดหัวไอ้พวกสารเลวไร้ยางอายอย่างดาซีกับลูนไปแล้ว” เนลสันพูดพร้อมรอยยิ้ม
หลัวซิวเคยได้ยินชื่อของทั้งสามคนนี้ เหมือนว่าคนจากค่ายสว่างมาท้าประลองที่ชั้นที่หนึ่งของตำหนักเทวมืด ก็เพราะว่าพวกเขาทั้งสามคนได้ออกจากชั้นที่หนึ่ง และขึ้นมาชั้นที่สองแล้ว
เห็นได้ชัดว่า ทั้งสามคนนี้พลังแข็งแกร่งมาก ทำให้คนจากค่ายสว่างเกิดความเกรงกลัวได้ รอจนพวกเขาออกไปแล้ว ถึงได้กล้าเข้ามาท้าประลองอย่างไร้ความกังวล
เพียงแต่คนจากค่ายสว่างคาดไม่ถึงว่าอยู่ดี ๆ จะมียอร์คปรากฏตัวขึ้นมา ไม่เพียงเท่านั้นยังทำให้พวกเขาขายหน้าอีกทั้งยังกำจัดอัจฉริยะแนวหน้าทั้งสองคนในตอนนั้น ทำให้เกิดการสูญเสียอย่างมาก
“เพราะว่าเจ้าฆ่าดาซีกับลูน ครั้งนี้คนจากค่ายสว่างมาที่ชั้นสองของหอคอยเทว นั้นก็เพื่อมาจัดการกับเจ้าโดยเฉพาะ ทางที่ดีตอนนี้เจ้าไปหาห้องลับสักห้องเพื่อฝึกตนปิดขัง อย่าได้เผยตัวออกมาเด็ดขาด” เนลสันเอ่ย
“ใช่แล้ว ถึงแม้ว่าพลังของเจ้าจะดีมากก็ตาม แต่ว่าผู้แข็งแกร่งระดับเจ้ายุทธจักรของค่ายสว่างมีจำนวนมาก อีกทั้งยังไม่ได้ขาดความเก่งกาจแม้แต่น้อย หากด้วยพลังของเจ้าในตอนนี้ไปต่อกร เรื่องราวนั้นจะแย่มากกว่าดี” เผ่าปีศาจร้าย อีฟส์ ก็พูดเช่นเดียวกัน
“เพียงแค่เจ้าหลบซ่อนให้ดี ไม่เผยตัว พวกค่ายสว่างที่โอหังไร้ยางอายก็ไม่สามารถทำอย่างไรกับเจ้าได้” เทเบอร์ด้านบนมีหัวสิงโตอยู่ พูดด้วยน้ำเสียงเข้ม
“ตอนนี้เจ้าน่าจะมีแต้มห้วงกระบี่ราวพันกว่าแล้วใช่หรือไม่ ชั้นสองของหอคอยเทวมีห้องลับฝึกตนพิเศษอยู่ เจ้าสามารถเลือกเอาแต้มห้วงกระบี่ไปแลกเวลาฝึกตน แต่ก็สามารถไปที่ห้องลับฝึกตนธรรมดาได้ เพียงแค่เจ้าหลบวิกฤตครั้งนี้ได้ก็พอแล้ว” เนลสันพูดต่อ
เห็นได้ชัดว่า ทั้งสามคนที่เพิ่งจะขึ้นมาถึงชั้นสองของหอคอยเทวได้ไม่นาน มาเพื่อเตือนหลัวซิวด้วยความหวังดี
คนเช่นนี้ที่ค่ายมืดมีไม่มากนัก ส่วนมากมักจะเฉยชากับเรื่องเช่นนี้ หรือถึงขั้นว่ามีจิตใจที่กำลังมองเรื่องสนุกอยู่
“ค่ายสว่างครั้งนี้ คนที่มามีพลังใดบ้าง?” หลัวซิวเอ่ยปากถาม
“เจ้าคงไม่ได้คิดที่จะไปประลองกับพวกเขาหรอกใช่หรือไม่?” เนลสันเลิกคิ้ว รู้สึกว่าเจ้าหนุ่มที่ชื่อยอร์คนี้ ราวกับจะบ้างคลั่งยิ่งกว่าตน อีฟส์ และ เทเบอร์เสียอีก
“พวกเรามาที่นี่ก็เพื่อโน้มน้าวไม่ให้เจ้าไปเผชิญหน้ากับคนจากค่ายสว่าง” เนลสันได้พูดสถานการณ์ที่ค่ายสว่างมาหาถึงที่นี่เพื่อถ้าท้าทายเขาออกมาคร่าว ๆ แล้ว
ครั้งนี้ค่ายสว่างมากันสิบคน มีหกคนเป็นเจ้ายุทธจักรช่วงต้น สามคนคือเจ้ายุทธจักรช่วงกลาง และอีกคนคือเจ้ายุทธจักรช่วงปลาย
พวกเนลสันทั้งสามคนเดินจากไปอย่างรวดเร็ว พวกเขามาที่นี่แค่เพียงเพื่อต้องการเตือนหลัวซิว แต่ถ้าหากเขายังตั้งมั่นไม่ฟังคำโน้มน้าว เช่นนั้นหากตายขึ้นมาก็อย่าโทษอื่นแล้วกัน
……
ชั้นที่สองของตำหนักเทวมืด มีแท่นประลองอยู่ท่านหนึ่ง รอบ ๆ แท่นประลองมีร่องรอยพื้นผิวของค่ายกล ไม่ว่าผู้แข็งแกร่งจะสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายเพียงใด สำแดงวิชายิ่งเลิศมากมายเพียงใด ผลพวงของการต่อสู้ก็จะถูกควบคุมให้อยู่ภายในขอบเขตของแท่นประลองเท่านั้น
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 862
“ดาซีกับลูนถือเป็นอัจฉริยะของค่ายสว่างที่มีความสามารถไม่เลวเลย” เก๋อฟูพยักหน้า ทันใดนั้นสายตาก็พลันเป็นประกาย “ลีน่า ไม่ใช่ว่าเจ้าคิดจะ?”
ลีน่ายิ้มบาง ๆ “หรือว่าเจ้าไม่คิด? ถ้าหากตำหนักเทวสามารถแนะนำอัจฉริยะคนหนึ่งที่มีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไขให้ เมื่อใดที่แดนเบื้องบนรับเข้าไปแล้ว ข้าและเจ้าต่างก็จะได้รับรางวัลที่ที่มีมูลค่ามหาศาล บางทีนี่อาจจะเป็นโอกาสที่เราจะได้ฝึกตนเป็นเทพก็เป็นได้”
“แต่ว่าเจ้าหนุ่มคนนี้พลังอ่อนแอเกินไป มีศักยภาพมีพรสวรรค์ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีโอกาสประสบผลสำเร็จสูง มีอัจฉริยะไม่น้อยที่โดดเด่นอย่างมากในตอนแรก แต่ยิ่งนานวันไปก็ยิ่งไม่มีพลังแล้ว” เก๋อฟูเอ่ย
“ไม่รีบ ดูไปอีกสักระยะค่อยว่ากัน” ลีน่ายกแก้วเหล้าขึ้นมาใกล้ริมฝีปากแดงสด แล้วจิบเหล้าชั้นยอดที่ถูกสกัดมาเป็นอย่างดี
……
ชั้นที่สองของตำหนักเทวมืด มีผู้คนอยู่ราว ๆ ร้อยกว่าคน โดยเฉลี่ย ที่นี่มีทั้งหมดแปดหอคอยเทว จำนวนของผู้แข็งแกร่งระดับเจ้ายุทธจักร เมื่อรวมกันแล้วก็จะมีประมาณแปดร้อยถึงหนึ่งพันคน
อีกทั้ง จำนวนที่ว่านี้ยังไม่ใช่จำนวนโดยรวมทั้งหมดของผู้แข็งแกร่งเจ้ายุทธจักรแห่งโลกเชิ่งถิง ในกองกำลังต่าง ๆ ย่อมต้องมีเจ้ายุทธจักรอยู่อีกไม่น้อย ในการประเมินเบื้องต้น จำนวนของผู้แข็งแกร่งระดับเจ้ายุทธจักรแห่งโลกเชิ่งถิง จะต้องมีเกินกว่าสองพันคนเป็นแน่
เมื่อเทียบกันแล้ว จำนวนของเจ้ายุทธจักรแห่งโลกแสงดาว มีไม่มากเท่ากับที่โลกเชิ่งถิงอย่างแน่นอน
จำนวนคร่าง ๆ ของผู้แข็งแกร่งเจ้ายุทธจักร เทียบกับจำนวนของผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ มีสถานที่ฝึกตนที่เอื้ออำนวยอย่างหอคอยแห่งเทพศักดิ์สิทธิ์ จำนวนของผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งโลกเชิ่งถิงจะต้องมีไม่ตำกว่าสองร้อยขึ้นไป กลับกันจำนวนของมหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งโลกแสงดาว ก็มีอยู่ราว ๆ หนึ่งร้อนคนเท่านั้น
หากเปรียบเทียบกับหอคอยแห่งเทพศักดิ์สิทธิ์ การเข้าร่วมแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งโลกแสงดาวนั้นมีเงื่อนไขที่สูงกว่า สามารถเข้าไปได้เพียงแค่ครั้งละ 20 คน อีกทั้งยังต้องเป็นรอทุก ๆ สิบปีจึงจะเปิดครั้งหนึ่ง ไม่เหมือนกับหอคอยแห่งเทพศักดิ์สิทธิ์ที่เปิดอยู่ตลอดเวลา
เรื่องนี้ไม่ได้สร้างความปะหลาดใจใด ๆ ให้กับหลัวซิว เพราะว่าโลกแสงดาวเคยผ่านพ้นพิบัติโบราณมาครั้งหนึ่ง เวลาที่ล่วงเลยไปนับหมื่นปียังไม่สามารถที่จะฟื้นฟูให้รุ่งเรืองดั่งเช่นวันเก่าได้เลย
จากคำบอกเล่าของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำ หลัวซิวได้รับรู้เรื่องราวบางอย่างเกี่ยวกับยุคสมัยโบราณ โลกแสงดาวในสมัยโบราณ จำนวนผู้แข็งแกร่งนั้นมีมากกว่าโลกเชิ่งถิงในปัจจุบันนี้อย่างมาก
อีกทั้งโลกเชิ่งถิง ถึงแม้ค่ายสว่างและค่ายมืดทั้งสองค่ายใหญ่จะเป็นศัตรูกันมาตลอด แต่ก็มีน้อยครั้งมากที่จะเกิดการปะทะกันใหญ่โตขึ้น พลังการต่อสู้ระดับสูงของเหล่าเจ้ายุทธจักรขึ้นไป ยังพบได้น้อยมากที่จะตกอยู่ในสถานการณ์ตกต่ำ การมีอยู่ของระดับเทพมารนิรันกาลยิ่งเป็นสิ่งที่ทำให้การต่อสู้นั้นเกิดได้ยากมาก
เช่นเดียวกับพิภพต่ำ พลังนั้นก็มีทั้งแข็งแกร่งทั้งอ่อนแอ
“ผลการฝึกตนระดับมหายุทธ์ขั้นห้าก็ขึ้นมาที่ชั้นสองเสียแล้ว ถึงแม้ข้าจะกดพลังของตนเอาไว้แล้ว แต่มองยังไงก็ยังคงเป็นจุดดึงดูดสายตาอยู่ดี น่าจะถูกเหล่าผู้แข็งแกร่งสังเกตุเห็นได้โดยง่าย”
เมื่อมาถึงกลางชั้นสอง หลัวซิวพบว่ามีผู้แข็งแกร่งระดับเจ้ายุทธจักรจำนวนไม่น้อยมองมาที่ตนด้วยสายตาแปลกประหลาด อีกทั้งยังมีไม่น้อยที่พูดคุยกันถึงเรื่องของเขาที่เกิดขึ้น ณ ชั้นที่หนึ่งของหอคอยเทว
“จะยกระดับผลการฝึกตนขึ้นอีกสักหน่อยดีหรือไม่ เช่นนี้ข้าก็จะสามารถสำแดงพลังที่แข็งแกร่งขึ้นมาได้อีกเล็กน้อย อีกทั้งจะไม่เป็นการดึงดูดความสงสัยของผู้คนอีกด้วย?”
หลัวซิวขมวดคิ้วพร้อมพึมพำ แต่ความคิดเช่นนี้ไม่นานก็ดูเขาล้มเลิกไปเสียก่อน เข้าเพิ่งจะบรรลุถึงมหายุทธ์ขั้นห้าได้ไม่นาน ครั้งนี้หากเสียงยกระดับผลการฝึกตนขึ้น อาจจะเกิดสถานการณ์ที่รากฐานไม่มั่นคง และส่งผลกระทบต่อการเข้าแดนในภายหลังได้
หลัวซิวไม่คาดคิดว่าตนเพิ่งจะขึ้นมาถึงชั้นที่สอง ยังไม่ทันได้เข้าไปท้าประลองกับคนอื่น ความวุ่นวายก็มาหาเข้าถึงหน้าบ้านด้วยตนเองเสียแล้ว
“เจ้าคนจากค่ายสว่างมันยโสเกินไปแล้ว ก่อนหน้านี้ก็ท้าประลองที่ชั้นหนึ่งหอคอยเทว ตอนนี้ยังจะมาถ้าประลองพวกเราชั้นที่สองตำหนักเทวมืดอีก?”
“ตำหนักทวยเทพมีพันธสัญญามานานแล้ว ระดับเจ้ายุทธจักรมีการท้าประลองเป็นตายน้อยมาก ต่อให้สู้ โดยทั่วไปต่างก็เป็นการมาโอ้อวดความเก่งกล้าของตนแล้วก็กลับไปเท่านั้น แต่ครั้งนี้คนของค่ายสว่างมาด้วยความยโอโอหังยิ่งนัก”
แต่เดิมแล้วที่หอคอยแห่งเทพศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่ได้มีข้อกำหนดเหล่านี้ เทพฟ้าแห่งแดนเบื้องบนได้สร้างปาฏิหาริย์เอาไว้ที่นี่ เป้าหมายเพียงเพื่อคัดเลือกอัจฉริยะที่โดดเด่น จากนั้นจึงนำขึ้นไปที่แดนเบื้องบนและอบรมสั่งสอน
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเนิ่นนานไม่รู้จบ อัจฉริยะที่ได้รับการคัดเลือกจากแดนเบื้องบนนั้น ทั้งหมดต่างก็ต้องเป็นบุคคลสำคัญหาตัวจับยาก หลายหมื่นปีมานี้ยังไม่เห็นว่ามีปรากฎขึ้นสักคน
ข้อจำกัดเหล่านี้คือสิ่งที่เหล่าผู้แข็งแกร่งจากกองกำลังต่าง ๆ แห่งโลกเชิ่งถิงกำหนดขึ้นในภายหลัง อีกทั้งยังมีการแบ่งผลประโยชน์มากมายที่แฝงรวมอยู่ในเรื่องนี้ด้วย
แต่แดนเบื้องบนกลับไม่ได้ใส่ใจในเรื่องนี้แม้แต่น้อย เพียงแค่แดนเบื้องล่างสามารถส่งมอบอัจฉริยะที่โดดเด่นได้ ถ้าหากทำได้ตามนั้น พวกเขาก็คร้านที่จะไปสนใจสิ่งเหล่านี้
“ขอบคุณทั้งสองท่านที่เตือน แต่ข้าก็ยังต้องการขึ้นไปที่ชั้นสองอยู่ดี” หลัวซิวพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าก็สามารถขึ้นไปได้แล้ว” ชายชราชุดคลุมสีดำทั้งสองคนไม่ได้พูดสิ่งใดต่อ แล้วจึงได้เปิดทางหนึ่งออกมา
ไม่ว่าจะเป็นที่โลกแห่งใดก็ตาม เหล่าอัจฉริยะต่างก็มีความมั่นใจภาคภูมิใจในตนเองเป็นอย่างมาก ชื่นชอบการท้าทายเป็นที่สุด ชื่นชอบที่จะทำเรื่องใดก็ตามที่คนอื่นไม่สามารถทำได้
แต่ด้วยนิสัยประเภทนี้ กลับเป็นตัวกำหนดให้การมีอยู่ของอัจฉริยะนั้นมีน้อยมาก ไม่รู้ว่ามีอัจฉริยะหาตัวจับยากมากมายเพียงใดที่ต้องตายไปในระหว่างที่กำลังเติบโต
“เจ้าเดาซิว่า เขาจะสามารถมีชีวิตรอดอยู่ที่ชั้นสองได้หรือไม่?” เมื่อหลัวซิวก้าวขึ้นไปบนบันไดแล้ว ชายชราชุดคลุมสีดำคนหนึ่งก็เอ่ยปากพูดกับเพื่อนข้าง ๆ
“ถึงแม้จะมีโอกาสน้อยมาก แต่สุดท้ายจะเป็นเช่นไร ใครรึที่จะสามารถพูดได้อย่างชัดเจน?”
เหมือนกับที่หลัวซิวได้คาดการณ์ไว้ คนที่อยู่ในชั้นสองนั้นมีจำนวนน้อยกว่าที่ชั้นหนึ่งเกินกว่าครึ่ง
ผลการฝึกตนระดับเจ้ายุทธจักร ที่พิภพต่ำนั้นนับว่าเป็นลำดับที่อยู่ในชั้นสูงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสถานที่แบบใด พลังระดับสูงต่างก็เป็นทรัพยากรที่หาได้ยาก
……
ที่ชั้นสามของตำหนักเทวมืด มีคุณสมบัติที่จะสามารถฝึกตนที่นี่ได้ ทุกคนต่างก็ต้องเป็นผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์
เมื่อพลังผลการฝึกตนมาถึงระดับนี้แล้ว ระหว่างระดับเดียวกันมีน้อยมากที่จะเกิดการปะทะฆ่าฟันกันเอง เพราะต่อให้จะมีพลังมากกว่าอีกฝ่ายอยู่บ้าง ในขณะเดียวกันผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ ถ้าหากจะสู้จนสุดชีวิตขึ้นมา ตนเองก็จะได้รับบาดเจ็บได้อย่างง่ายดาย จนกระทั่งอาจเป็นสาเหตุให้ผลการฝึกตนตกต่ำลงไปได้
“เก๋อฟู ที่ชั้นหนึ่งมีเด็กหนุ่มน่าสนใจคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น”
ที่กลางห้องลับฝึกตนห้องหนึ่ง ผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์สองคนหนี่งหันหน้าเข้าหากัน คนที่เอ่ยปากพูดเป็นแม่นางคนหนึ่ง น้ำเสียงสดใส
แม่นางผู้นี้สวมชุดกระโปรงผ้าโปร่งสีดำ เผยให้เห็นทรวดทรงที่งดงามของนาง ริมฝีปากแดงเร่าร้อนดุจเปลวเพลิง คิ้วดวงตาเรียวงามมีเสน่ห์ สามารถเรียกได้ว่าเป็นแม่หญิงที่งดงามจนต้องทำให้ทุกคนต้องหลงไหล
“หืม? ลีน่า เจ้าหนุ่มคนนั้นที่สามารถทำให้เจ้ารู้สึกสนใจได้ ดูแล้วคงไม่ธรรมดาเป็นแน่?” ชายคนที่ถูกเรียกว่าเก๋อฟูพูดพร้อมรอยยิ้ม
“เจ้าดูเองเถิด” ลีน่าหัวเราะ ยกมือขึ้นโบก ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ณ แท่นประลองของชั้นหนึ่งหอคอยเทวปรากฎขึ้น
“อืม? ผลการฝึกตนมหายุทธ์ขั้นห้า ฆ่ามหายุทธ์ขั้นเก้าได้อย่าง่ายดายเช่นนี้?”
ด้วยสายตาระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ เก๋อฟูย่อมมองเห็นสัจธรรมที่เกิดขึ้นในนั้นอยู่แล้ว
“ตราประทับที่ตำหนักเทวมอบให้ไม่เคยตัดสินผลการฝึกตนผิดพลาด เจ้าหนุ่มคนนี้นามว่ายอร์ค เป็นมหายุทธ์ขั้นห้าจริง อีกทั้งข้ายังได้ยินมาว่า เจ้าหนุ่มคนนี้เหมือนจะเป็นคนของเชิ่งถิงอีกด้วย” ลีน่าพูดพร้อมรอยยิ้ม
“คนจากเชิ่งถิงเข้าร่วมค่ายมืด?” สีหน้าของเก๋อฟูเปลี่ยนเป็นประหลาดใจขึ้นมาทันที
“ยอร์คน่าจะไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเขา อีกทั้งข้อมูลของยอร์คที่เชิ่งถิงยังเป็นเพียงแค่นักยุทธ์ทองเแดง เดิมทีไม่ได้มีผลการฝึกตนระดับมหายุทธ์”
ในมือของลีน่ากำลังม้วนแก้วเหล้ารูปทรงปรานีตในมือไปมา ริมฝีปากแดงเหยียดออกเป็นรอยยิ้มที่งดงาม “เจ้าก็น่าจะมองออก เจ้าหนุ่มคนนี้ในความเป็นจริงแล้วมีพลังมากพอที่จะฆ่าอีกฝ่ายทั้งสองคนในชั่วพริบตาเดียว ไม่ว่าจะเป็นดาซีในตอนแรก หรือลูนในตอนหลัง”
ปัง!
กระบี่คู่ของลูนฟาดฟันลงไปอย่างรุนแรง แต่ที่แตกสลายนั้นเป็นเพียงแค่ภาพลวงเท่านั้น
“ลูน ระวัง มันอยู่ด้านหลังเจ้า!” เสียงของผู้คนจากด้านล่างตระโกนเตือน
สีหน้าของลูนเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน แต่กลับไม่ทันได้ตอบโต้ใด ๆ มืดหนึ่งก็จับอยู่บนศีรษะของเขา ถึงแม้ร่างเนื้อของเขาจะบรรลุถึงระดับแดนเจ้ายุทธจักร แต่ศีรษะของเขาก็ยังถูกตบจนแตกละเอียด กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่ว
ว่ากันตามร่างยุทธ์แล้วนั้น ทั้งสองคนต่างก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน ต่างเป็นแดนเจ้ายุทธจักรช่วงต้น แต่แดนกฎของหลัวซิวมีระดับที่สูงมาก อีกทั้งเดิมทีกฎความตายก็เชี่ยวชาญด้านการโจมตี ย่อมสามารถโจมตีการป้องกันของเขาจนสลายไปได้
เสียงดังปังสนั่น ร่างกำยำทว่าไร้วิญญาณของลูนกระแทกลงกับพื้นทันที หลัวซิวก็ยังคงเก็บของที่ได้จากการต่อสู้อย่างสบายใจอยู่เช่นเดิม
ที่โลกเชิ่งถิงนั้นมีวิธีการกลั่นแปรอาวุธขลังแตกต่างจากโลกแสงดาวอยู่บ้าง ให้ความสำคัญกับความแข็งแกร่งและวัสดุของอาวุธขลังเป็นอย่างมาก แต่อาวุธขลังที่กลั่นแปรในโลกแสงดาว กลับให้ความสำคัญกับก็เพิ่มพลังมากกว่า แต่ละที่ต่างมีความโดดเด่นต่างกัน
ทางด้านค่ายสว่าง มีหลายคนที่มีทีท่ากล้า ๆ กลัว ๆ เดินขึ้นมาบนแท่นประลอง แต่กลับไม่ได้มาท้าประลองกับหลัวซิว แต่มาเพื่อเก็บศพของดาซีและลูน
“ไม่มีใครขึ้นมาแล้วใช่หรือไม่?” หลัวซิวกวาดตามองไปทางฝั่งค่ายสว่าง เดิมทีกำจัดดาซีเรียบร้อยแล้วเขาก็ตั้งใจจะลงมา แต่เจ้ายักษ์โง่นั้นกลับดื้อดึงจะขึ้นมามอบแต้มห้วงกระบี่ให้เขา แน่นอนว่าเขาก็ต้องยินดีรับไว้อยู่แล้ว
“ไอ้สารเลวนี่จองหองยิ่งนัก!”
คนจากทางด้านค่ายสว่างราวกับจะพ่นไฟออกมาทางดวงตา แต่ผ฿คนส่วนมากต่างก็ไม่กล้าที่จะขึ้นมาบนแท่นประลอง เพราะว่าแม้แต่ดาซีกับลูนต่างก็ตายกันหมดแล้ว หากพวกเขาขึ้นไปนั่นก็เท่ากับขึ้นไปตายเปล่า ๆ
“ฮ่า ๆ ไอ้พวกขี้ขลาดค่ายสว่าง เมื่อครู่พวกเจ้ายังอวดดีนักหนาอยู่เลยมิใช่หรือ?”
ทางด้านค่ายมืด ครั้งนี้ถือว่าสามารถคลี่คลายสถานการณ์ไปได้ ก็เริ่มหันกลับมาเยาะเย้ยคนจากทางด้านค่ายสว่าง
“พวกเรากลับ!”
คนจากค่ายสว่างต่างก็รู้สึกอับอายจนหน้าร้อนขึ้นมา ไม่สามารถทนรับสายตาเย้ยหยันที่ถูกส่งมาจากทั่วทุกสารทิศได้ ภายใต้การนำทัพของคนจำนวนหนึ่ง พวกเขาได้ออกจากตำหนักเทวมืดไปอย่างรวดเร็ว
“จะไปแล้วหรือ?”
หลัวซิวมุ่ยปาก เดินลงจากแท่นประลอง แค่จัดศัตรูทิ้งไปสองคนก็สามารถได้รับแต้มห้วงกระบี่ได้ถึงพันแต้ม การซื้อขายแลกเปลี่ยนนี้ช่างคุ้มค่าเสียจริง
แต่น่าเสียดายที่คนจากค่ายสว่างไม่ได้โง่ไปเสียทุกคน ยอดฝีมือตายสองคน ก็สามารถรับรู้ได้ถึงความเก่งกาจของเขา ไม่มีใครกล้าหาญขึ้นมาบนแท่นประลองอีก
สายตาของคนจากค่ายมืดที่มองมายังหลัวซิว ต่างก็แฝงไปด้วยความนับถือและความยำเกรง เพราะไม่ว่าจะเดินไปที่ใด ผู้แข็งแกร่งต่างก็ได้รับความเคารพ ไม่ว่าจะมีต้นกำเนิดมาจากที่ใด พลังที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่เป็นนิรันดร์ นี่คือคติความเชื่อของค่ายมืด
หลัวซิวมาที่ทางขึ้นชั้นที่สองอีกทั้ง
“เจ้าหนุ่ม พลังที่แข็งแกร่งของเจ้าช่างเกินความคาดหมายจริง ๆ”
ชายชราชุดคลุมสีดำสองคนที่เฝ้าอยู่ที่ปากทางเข้า มีท่าทีที่แตกต่างไปจากตอนแรกอย่างมาก เพราะภาพที่เกิดขึ้นบนแท่นประลองเมื่อครู่นี้ พวกเขาก็ได้เห็นด้วยเช่นกัน
ชายชราชุดคลุมสีดำทั้งสองคนต่างก็มีผลการฝึกตนระดับเจ้ายุทธจักร ภายใต้ข้อจำกัดบางประการของกองกำลัง คือไม่อนุญาติให้ลงมือต่อสู้ที่ชั้นหนึ่ง
การกระทำของหลัวซิว สามารถเรียกได้ว่าเป็นการรักษาศักดิ์ศรีของค่ายมืดแล้ว พวกเขาทั้งสองคนต่างก็ให้ความสำคัญกับเขา
หลัวซิวไม่ได้สนใจสิ่งใดแม้แต่น้อย เอ่ยปากถามไปตรง ๆ ว่า “ข้าขึ้นไปที่ชั้นสองได้แล้วใช่หรือไม่?”
“ย่อมได้ แต้มห้วงกระบี่ของเจ้าเพียงพอสำหรับเงื่อนไขแล้ว แต่ผลการฝึกตนของเจ้ายังคงต่ำไปเล็กน้อย ทางที่ดีฝึกตนอยู่ที่ชั้นหนึ่งอีกสักช่วงเวลาหนึ่ง ค่อยขึ้นไปที่ชั้นสองจะเป็นผลดีกับเจ้ามากกว่า”
“ใช่แล้ว ถ้าเจ้าขึ้นไปที่ชั้นสอง ก็จะไม่ได้รับอนุญาตให้มาเข่นฆ่าที่ชั้นหนึ่งอีก ทำได้แค่เพียงท้าประลองอยู่ที่ชั้นสองเท่านั้น ที่ชั้นสองส่วนมากต่างก็เป็นเจ้ายุทธจักร มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่เป็นอัจฉริยะมีผลการฝึกตนระดับมหายุทธ์แต่มีพลังรบระดับเจ้ายุทธจักรได้”
ชายชราชุดคลุมสีดำทั้งสองพูดเกลี้ยกล่อม นั่นก็เพราะเขาเห็นแก่เจ้าหนูคนนี้ที่ปกป้องศักดิ์ศรีของค่ายเอาไว้ ดังนั้นจึงได้เอ่ยปากเตือน
ทางฝั่งค่ายสว่าง เสียงตระโกนด้วยความโกรธดังขึ้นมา ชายร่างกำยำสวมเกราะสีทองและเสื้อคลุมสีเขียวเดินเข้ามา
มีกระบี่อยู่สองฝักที่ด้านหลังเกราะสีทองของเขา กระบี่ยุทธ์ทั้งสองเล่มไขว้ทับกัน ช่างยิ่งใหญ่น่าเกรงขาม
มองไปเห็นเขากระโดดลอยขึ้นมา ขาทั้งสองข้างเหยียบลงบนพื้นของแท่นประลอง ทำให้เกิดเสียงดังสนั่นเหมือนระเบิดที่ที่ตกลงบนพื้น พื้นทั่วบริเวณนั้นสั่นไหวตามเสียงขึ้นมาในทันที
“นั่นมันลูน!” ทางฝั่งค่ายมืด มีบางคนตกใจเสียจนเผลอส่งเสียงออกมา น้ำเสียงแฝงไปด้วยความหวาดกลัว
“ลูน เจ้าคนนี้มีพลังเก่งกล้ามากกว่าดาซีเสียอีก เป็นยอดฝีมือที่มีชื่อเสียงเลื่องลือแห่งชั้นหนึ่งของตำหนักเทวปฐพี”
“ร่างเนื้อของลูนนั้นแข็งแกร่งมาก มีสายเลือดผสมระหว่างเผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าพันธุ์ยักษ์ ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีหรือการป้องกันต่างก็แข็งแกร่งมาก ต้องสามารถฆ่าเจ้าหนุ่มบนแท่นประลองนั้นได้เป็นแน่”
“ลูน ฆ่าเจ้าไอ้เจ้าตัวชั่วร้ายแห่งค่ายมืดคนนี้เสีย!”
คนจากค่ายสว่างพากันกู่ร้องขึ้นมา ครั้งนี้มาเยือนที่ตำหนักเทวมืด ไม่ได้มีแค่เพียงผู้คนจากหอคอยเทวสว่าง ทั้งยังเชื้อเชิญตำหนักเทวอื่น ๆ ที่อยู่ในเครือเดียวกับค่ายสว่างอย่างตำหนักเทวปฐพีมาด้วย
“ความมืดมิดที่ชั่วร้าย แน่นอนว่าจะต้องถูกชำระล้าง เจ้าฆ่าดาซี ข้าจะตัดสินเจ้าเอง” คนที่มีนามว่าลูนนี้ มีร่างกายที่สูงใหญ่อย่างมาก ราวกับเป็นยักษ์ตนเล็ก ๆ ตนหนึ่ง มีความสูงราว ๆ สามเมตรกว่า
“ตัดสินบ้านพ่อแกสิ!” หลัวซิวยิ้มเยาะ สำหรับค่ายสว่างพวกนี้ หายใจเข้าหายใจออกต่างก็คิดแต่จะไปตัดสินคนอื่น หลัวซิวรู้สึกรังเกียจเป็นที่สุด
“ฝ่าแสงแยกข่มปฐพี!”
ลูนตะโกนเสียงดังสนั่น สาวเท้ายาวก้าวเข้ามา สองมือของเขากำดาบเล่มหนึ่งที่มีขนาดกว้างและใหญ่เอาไว้ พลังงานที่เข้มข้นของธาตุดินหลวมรวมกัน ยังประกอบไปด้วยออร่าแห่งกฎธาตุดินบาง ๆ
เห็นได้ชัดว่า เจ้าลูนคนนี้ยังไม่ได้บรรลุถึงแดนเจ้ายุทธจักร แต่กลับสัมผัสรู้พลังแห่งกฎบาง ๆ ได้แล้ว ถือว่าเป็นอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์แนวหน้าเลยก็ว่าได้
แดนกฎระดับนี้นั้น หลัวซิวไม่ได้ให้ความสำคัญ แต่ว่าร่างยุทธ์ร่างเนื้อของเขานั้น กลับบรรลุถึงแดนเจ้ายุทธจักรแล้ว!
ลูนครอบครองสายเลือดผสมระหว่างเผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าพันธุ์ยักษ์ เผ่าพันธุ์ยักษ์คือลุกรักของเทพแห่งปฐพี เกิดมาพร้อมกับร่างเนื้อที่แข็งแกร่งถึงขั้นสุด อีกทั้งยังอยู่ในกระบวนการฝึกตนชุบร่างร่างยุทธ์ร่างเนื้อ โดยใช้ความพยายามเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น
ร่างยุทธ์ของแดนเจ้ายุทธจักร จับคู่กับกระบี่ยุทธ์ระดับอาวุธขลังชั้นดี นี่คือสิ่งที่ลูนครอบครอง ไม่เพียงแต่สามารถข้ามแดนต้านทานเจ้ายุทธจักรได้ อีกทั้งยังมีความสามารถในการฆ่าเจ้ายุทธจักรอีกด้วย
นอกจากนี้ คนผู้นี้ก็ยังเป็นอัจฉริยะคนแรกที่นับว่ามีความสามารถไม่เลวเลย นับตั้งแต่ที่หลัวซิวมาถึงยังโลกเชิ่งถิง
“ถึงแม้จะไม่เลว แต่เทียบกับข้าแล้ว ยังห่างชั้นอยู่มากนัก”
หลัวซิวยกมือขึ้นสะบัดนิ้ว ราวกับมีสายฟ้าผ่าลงมาสองครั้ง เสียงชิ้ง ๆ ดังขึ้น กระบี่ยุทธ์สองด้ามในมือของลูนก็ถูกดีดกระเด็นลอยขึ้นไปกลางอากาศ ใบมีดสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
“อย่างใดกัน? ร่างเนื้อของเจ้าหนุ่มคนนี้ สามารถด้านลูนเอาไว้ได้อย่างนั้นหรือ?”
“ไม่เพียงแค่สามารถด้านไว้ได้ แต่ดูเหมือนกับว่าจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าลูนเสียอีก ไม่เห็นกระบี่คู่ของลูนที่สั่นเทือนอย่างรุนแรงนั่นหรือ? นั่นมันเป็นถึงกระบี่ยุทธ์ชั้นยอด!”
“ถึงว่าเจ้าหนุ่มคนนี้สามารถฆ่าดาซีได้อย่างง่ายดาย ค่ายมืดมีเด็กหนุ่มที่เก่งกาจมากถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน?”
หลัวซิวสำแดงพลังออกมาทำให้ทุกคนต่างกันพากันตกตะลึงอย่างมาก ถึงแม้ว่าเขาจะยังไม่ได้สำแดงกลวิธีอื่น ๆ ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้เขายังใช้เพียงแค่นิ้วมือเดียวเท่านั้น
“กายามัดปฐพี!”
ลูนกระทืบเท้าลงไปบนพื้นดิน พลังงานของกฎธาตุดินค่อย ๆ ปรากฏขึ้นมา ราวกับโซ่กักขัง โพล่ออกมาจากทุกทิศทางพุ่งตรงเข้าไปพันรอบตัวหลัวซิว
หลัวซิวไม่ได้สะทกสะเทือน ปล่อยให้โซ่เหล่านี้พันรอบตัวเขาอย่างแน่นหนาโดยไม่ได้ต้านทานใด ๆ
“ครั้งนี้เจ้าตายแน่!” ลูนมองภาพตรงหน้า และหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น กระบี่คู่ในมือพุ่งเข้ามาหมายจะสังหาร
ในช่วงเวลาที่ลูนพุ่งตรงเข้ามาด้านหน้านั้น สีหน้าของหลัวซิวยังคงสงบนิ่งไม่ได้มีความกังวลใด ๆ กฎความตายกลั่นแปรเป็นอัคคีดำปะทุขึ้น ทันใดนั้นก็แผดเผาโซ่ที่พันแน่นรอบตัวเขาจนสลายไปไม่เหลือแม่แต่ผุยผง
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 858
ได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าของดาซีก็เคร่งขรึมขึ้นมาทันที “เดิมทีหมายจะให้เจ้าได้มีชีวิตยืนยาวอีกสักสองสามวินาที ดูท่าเจ้าน่าจะรีบตาย งั้นข้าก็จะช่วยเจ้าเอง เจ้าจะได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ด้วยพลังแห่งแสงศักดิ์สิทธิ์!”
ดาซีหยิ่งผยองอย่างมาก แม้แต่กระบี่ยุทธ์ก็ยังไม่ได้หยิบออกมาใช้ สองแขนกางออก แสงศักดิ์สิทธิ์สีทองส่องประกายวาววับไปทั่วทั้งร่าง ส่งเสียงสูงยาวออกมาและพุ่งไปทางหลัวซิว
เขาปล่อยหมัดหนึ่งออกไป พลังแห่งแสงศักดิ์สิทธิ์ส่องประกายอยู่ระหว่างนิ้วมือ โซนภายใต้หมัดโจมตีของเขา สะเทือนเป็นระลอกคลื่น บิดตัวและเปลี่ยนรูปอย่างต่อเนื่อง
หลัวซิวไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องใหญ่แต่อย่างใด เดินก้าวขึ้นไปด้านหน้าหนึ่งก้าว ยกนิ้วขึ้นมาแตะออกไป ท่าทางนั้นง่ายดายอย่างมาก
แกรก!
วินาทีที่หมัดนั้นปะทะเข้ากับนิ้วมือ เสียงของกระดูกที่หักดังลั่นออกมา
“ฮ่า ๆ เจ้าหนุ่มบนแท่นประลองล้อข้าเล่นหรือ? ผลการฝึกตนด้อยกว่าดาซีมากนัก แต่กลับใช้นิ้วมือมาปะทะกับหมัด นิ้วมือของเจ้าขาดไปแล้วล่ะสิ?”
“เจ้าหนุ่มนี่มันหาเรื่องตายชัด ๆ โง่เง่าถึงเพียงนี้ยังสามารถเข้ามาฝึกตนที่หอคอยแห่งเทพศักดิ์สิทธิ์ได้อีกหรือ?”
ทางฝั่งค่ายสว่างหัวเราะออกมาด้วยความโอหัง แต่ทางฝั่งค่ายมืดกลับมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก แม้กระทั่งมีบางคนที่ก่นด่าเจ้าหนุ่มคนนั้นที่ท้าสู้กับดาซีบนแท่นประลอง เพราะว่าหากไม่ใช่ว่าเจ้าบ้านี่ไปท้าประลองโดยไม่รู้จักพลังของตนเอง พวกเขาก็คงจะไม่ต้องถูกคนจากค่ายสว่างหัวเราะเยาะอยู่แบบนี้
“อ้าก!”
และในเวลานี้เอง เสียงกรีดร้องด้วยความทรมานก็ดังมาจากบนแท่น แต่เจ้าของเสียงกรีดร้องที่ว่านี้ กลับเป็นดาซี!
เห็นเพียงแค่วินาทีที่ดาซีกรีดร้อง ร่างกายก็เซถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว กำปั้นถูกนิ้วหนึ่งแทงทะลุเข้าไปเป็นรูกลวง เจ็บปวดทรมานเสียจนเหงื่อผุดขึ้นมาเต็มหน้าผากเขา
ทันใดนั้น คนจากทางฝั่งค่ายสว่างก็พลันเงียบกริบ ในใจเต็มไปด้วยความตกใจถึงขีดสุด
เทวสว่างอันทรงพลัง นี่มันเรื่องล้อเล่นหรืออย่างไร เจ้าหนุ่มมหายุทธ์ช่วงกลางคนนี้จะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ได้อย่างไร?
ในขณะที่ดาซีกำลังก้าวถอยหลัง ฝีเท้าของหลัวซิวก็ก้าวตามขึ้นไปข้างหน้า ดูเหมือนจะเป็นเพียงแค่ก้าวเล็ก ๆ แต่กลับปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าของดาซีในชั่วพริบตา จากนั้นก็ชี้นิ้วออกไปอีกครั้ง
“ไปตายเสีย!”
ดาซีกรีดร้องโหยหวนเสียงดัง หยิบกระบี่ยุทธ์ออกมา หลวมรวมพลังแห่งแสงศักดิ์สิทธิ์ และฟาดออกไปออกแรง
ชิ้ง!
บนนิ้วมือของหลัวซิวหลอมรวมอัคคีดำที่กลั่นแปรจากกฎความตาย ให้กระบี่ยุทธ์ของคู่ต่อสู้โจมตีเข้ามาได้ตามอำเภอใจ ในเวลาเดียวกันกับที่อัคคีดำสาดกระเซ็น กระบี่ยุทธ์ก็ถูกพลังต้านที่ทรงพลังกระแทกจนกระเด็นขึ้นไปสูงลิบ
สีหน้าของดาซีเผยความตื่นตระหนกออกมา สองมือที่จับกระบี่เริ่มชาไร้ความรู้สึก
ช่วงเวลาเพียงแค่พริบตาเดียว นิ้วมือของหลัวซิวก็ปรากฏขึ้นที่หัวคิ้วของดาซี สำแสงอัคคีดำพุ่งออกมาจากปลายนิ้ว เสียงดังปุบดังขึ้น จากหว่างคิ้วทะลุศีรษะของคนผู้นี้จนเป็นรูกลวง
นิ้วเดียวถึงความตาย ไม่มียืดเยื้อ วิธีการของหลัวซิว เรียกได้ว่าฆ่าอย่างมีประสิทธิภาพ ไร้ความปราณี
ผลการฝึกตนบรรลุถึงแดนระดับนี้ ทุกท่วงท่าต่างก็รวดเร็วถึงขีดสุด ดังนั้นตลอดทั้งกระบวนการอาจจะดูเหมือนยาวนาน แต่ในความเป็นจริงนั้นใช้เวลาเพียงแค่สามชั่วอึดใจเท่านั้น
แต่ก็เพราะภายในระยะเวลาที่สั้นมากเช่นนี้ ดาซีที่ก่อนหน้านี้ยโสโอหังยิ่งกว่าสิ่งใด ตายแล้ว!
ดาซีที่สามารถบรรลุถึงแดนเจ้ายุทธจักรได้ทุกเวลา อีกทั้งยังเตรียมเข้าทัพชั้นที่สองของหอคอยเทวแลว แต่กลับถูกฆ่าตายเช่นนี้?
หากว่าเป็นผู้แข็งแกร่งเจ้ายุทธจักรที่ชั้นสองฆ่าตาย ผู้คนเหล่านี้ต่างก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด ตาคนที่ฆ่าดาซีนั้น กลับเป็นคนที่ตราประทับมืดบันทึกเอาไว้เขามีเพียงผลการฝึกตนระดับมหายุทธ์ขั้นห้า
มหายุทธ์ขั้นห้าฆ่าขั้นเก้า เดิมทีก็เป็นการต่อสู้ข้ามแดน แต่ยังสามารถทำได้อย่างสบาย ๆ เช่นนี้ หรือว่าเจ้าหนุ่มคนนี้เจะครอบครองพลังรบเทียบเท่ากับผู้แข็งแกร่งระดับเจ้ายุทธจักร?
“ไปชั้นสองได้แล้ว”
หลัวซิวโบกมือเก็บของรางวัลจากการต่อสู้ ในเวลาเดียวกันก็รับรู้ได้ถึงตราประทับดำที่บริเวณหน้าอกของตน ได้เพิ่มแต้มห้วงกระบี่ขึ้นมาราว ๆ 500 กว่าแต้มแล้ว
สามารถรับเอา 500 กว่าแต้มห้วงกระบี่ได้อย่าง่ายดายเช่นนี้ หลัวซิวรู้สึกว่าการรวบรวม 3,000 แต้มห้วงกระบี่เพื่อไปยังแดนกฎดั้งเดิม เป้าหมายของการฝึกตนนั้นอยู่ไม่ไกลแล้ว
ได้บรรลุเป้าหมายแล้ว หลัวซิวจึงกำลังจะลงจากแท่นประลองไปในทันที
“ช้าก่อน!”
หลัวซิวได้ยินเสียงพึมพำจากทางฝั่งค่ายมืด เจ้าดาซีคนนี้คือยอดฝีมือที่มีชื่อเสียงค่อนข้างมากจากหอคอยเทวสว่าง ว่ากันว่าอีกไม่นานก็จะสามารถบรรลุถึงแดนเจ้ายุทธจักร เตียมที่จะเข้าทัพชั้นที่สองของหอคอยเทวสว่าง
ครั้งนี้เขามาท้าประลองที่ตำหนักเทวมืด นั่นก็เพราะเขาวางแผนว่าก่อนจะเข้าทัพไปยังชั้นที่สองของหอคอยเทวสว่าง จะโจมตีขวัญกำลังใจของค่ายมืดเสียก่อน
“สิ่งมีชีวิตดำมืดที่ทั้งชั่วร้ายทั้งยังโสโครก ดูแล้วพวกเจ้าคงไม่มีใครกล้าหาญขึ้นมาแล้วหรือ?” ดาซีพูดขึ้นอย่างเหยียดหยามและหยิ่งผยอง
“กำจัดไอ้เจ้านี่จะได้รับแต้มห้วงกระบี่เท่าใดหรือ?” หลัวซิวหันไปถามเผ่ามนุษย์อสูรด้านข้างคนหนึ่ง
“เขามีผลการฝึกตนมหายุทธ์ขั้นเก้า สามารถได้รับ 32 แต้มห้วงกระบี่” เผ่ามนุษย์อสูรตอบด้วยน้ำเสียงแค้นเคือง
“เพียงแค่ 32 แต้ม?” หลัวซิวขมวดคิ้ว รู้สึกว่ามันน้อยไปหน่อย
“แน่นอนว่าไม่ใช่เพียงแค่ 32 แต้ม ที่ตัวเขายังมีแต้มคุณความดีอย่างน้อย ๆ ไม่ต่ำกว่าห้าร้อยแต้ม หลังจากกำจัดเขาได้แล้วจะสามารถได้รับแต้มห้วงกระบี่ในจำนวนที่เท่ากันอีกด้วย” เผ่ามนุษย์อสูรพูดเสริมอีกเล็กน้อย
“ค่อยเข้าท่าหน่อย” หลัวซิวหัวเราะออกมา จากนั้นก็เดินตรงขึ้นไปด้านหน้าทันที
“ไอ้พวกตาขาว ไม่มีใครขึ้นมาแล้วหรือ?” ดาซียืนบนแท่นประลองด้วยความผยองและอวดดี รู้สึกว่าเท่านี้ก็น่าจะพอได้แล้ว
ในตอนที่เขากำลังเตรียมจะเดินลงมาจากแท่นประลอง ดื่มด่ำการต้อนรับจากชาวค่ายสว่างนั้นเอง เสียงหนึ่งก็พลันดังขึ้น “อย่าเพิ่งรีบ ข้าท้าประลองกับเจ้า”
ชั้นที่หนึ่งของหอคอยเทวไม่มีความน่าตื่นเต้นใด ๆ หลัวซิวไม่ได้วางแผนว่าจะหยุดอยู่ที่นี่ ดังนั้นจึงวางแวนว่ากำจัดเจ้าดาซีนี่ทิ้งเสีย เมื่อได้รับแต้มห้วงกระบี่หลักร้อยแต้ม ก็จะสามารถขึ้นไปที่ชั้นสองได้โดยตรง
สายตาของทุกคนต่างก็หันมามอง ตัวสำนึกมากมายกวาดผ่านตราประทับสีดำบนหน้าอกของหลัวซิว
เหล่าบรรดาค่ายมือที่มีความหวังอยู่เล็กน้อย ในชั่วพริบตากลับหดหายไปกว่าครึ่ง
“แดนมหายุทธ์ขั้นห้า?”
บนแท่นประลอง ดาซีเป็นถึงมหายุทธ์ขั้นเก้า อีกทั้งยังเป็นอัจฉริยะที่สามารถต่อสู้ข้ามแดนได้ เจ้าหนุ่มนี่คิดจะขึ้นไปตายหรืออย่างไร?
ค่ายสว่างเมื่อเห็นหลัวซิวเดินขึ้นไปบนแท่นประลอง ตอนแรกก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นทุกคนต่างกันพากันหัวเราะขึ้นมา
“ค่ายมืดดูท่าน่าจะไม่มีใครแล้ว จึงได้ให้มหายุทธ์ช่วงกลางคนหนึ่งออกมาสู้?”
“พวกเจ้าตำหนักเทวมืด ผู้แข็งแกร่งชั้นหนึ่งมีกี่คนหรือที่มีคุณสมบัติขึ้นไปที่ชั้นสอง? เวลาเช่นนี้เหตุใดจึงหดหัวอยู่ได้เล่า?”
เผชิญหน้ากับการเยาะเย้ยที่ไร้ซึ่งความเกรงกลัวใด ๆ ของค่ายสว่าง ทางฝั่งค่ายมืดต่างก็พากันอดกลั้นความโมโหเอาไว้
เดิมทีชั้นหนึ่งตำหนักเทวมืดมียอดฝีมืออยู่หลายคน พลังนั้นหากเทียบกันกับดาซีแล้ว บางทีอาจจะมากกว่าเสียด้วยซ้ำ
แต่ว่าก่อนหน้านี้ไม่นาน เหล่ายอดฝีมือพวกนั้นต่างพากันบรรลุขึ้นไปถึงแดนเจ้ายุทธจักรและขึ้นไปที่ชั้นสองแล้ว เพราะสำหรับพวกเขา ชั้นที่หนึ่งนั้นไม่ได้มีความท้าทายใด ๆ อีกต่อไป ขืนอยู่ที่นี่ต่อไปก็ไม่ได้ยกระดับพลังของตนเอง
แต่พอบรรดายอดฝีมือค่ายมืดเพิ่งจะไปได้ไม่นาน ดาซีก็เข้ามาท้าปะลอง แต่ชั้นหนึ่งของหอคอยเทว ในชั่วขณะหนึ่งไม่มียอดฝีมือที่สามารถต่อกรกับดาซีได้เลย
“สารเลวไร้ยางอาย!”
คนเก่าคนแก่ของชั้นหนึ่งหอคอยเทวหลายคน ต่างก็พากันจ้องไปที่ค่ายสว่างด้วยความโมโห
ค่ายสว่างและค่ายมืด การวางแผนและความเกลียดชังของทั้งสองค่ายใหญ่ที่มีต่อกัน หลัวซิวกล้าที่จะให้ความสนใจแม้แต่น้อย เพราะว่าโลกเชิ่งถิงนั้น เขาไม่ได้รู้สึกถึงความผูกพันใด ๆ โลกใบนี้สำหรับเขาแล้ว เขาเป็นเพียงแค่คนที่ผ่านมาและผ่านไปเท่านั้น
ดาซียืนอยู่บนแท่นประลอง แขนทั้งสองข้างกอดอกไว้ จ้องมองไปทางหลัวซิวด้วยความสนใจ “ช่างไม่คุ้นหน้าเสียเลย ดูแล้วน่าจะเป็นพวกที่เข้ามาใหม่ของตำหนักเทวมืดใช่หรือไม่? พวกหน้าใหม่อย่างเจ้าข้าเห็นมานักต่อนักแล้ว ติดว่าตัวเองมีพลังเข้าหน่อย ก็มองไม่เห็นคนอื่นในสายตา แต่โดยปกติคนพวกนี้จะตายเร็วกว่าพวก”
“ใช่แล้ว คนแบบเจ้าน่ะมักจะตายเร็ว ข้าล่ะชื่นชมจากใจจริงเลย” หลัวซิวพูดพลางยิ้มบาง ๆ
“ไอ้ห่าเอ้ย ไอ้เวรนี่มันโอหังเกินไปแล้ว!” มีจอมยุทธ์คนหนึ่งจากเผ่าปีศาจร้ายอยากก้าวไปข้างหน้า แต่กลับถูกคนที่ยืนอยู่ด้านหลังดึงไหล่เอาไว้ “เจ้าดาซีมันมีพลังเท่ากับมหายุทธ์ขั้นสุดยอดแล้ว นอกเสียจากว่าจะเป็นผู้แข็งแกร่งระดับเจ้ายุทธจักรที่ชั้นสองของหอคอยเทวแล้ว เจ้าเข้าไปก็ทำได้แค่เพียงมอบแต้มคุณความดีให้มันเท่านั้น”
หลัวซิวได้ยินบทสนทนานี้ ในใจก็รู้สึกสั่นระรัวขึ้นมา ดูแล้วทั้งสามชั้นของทุก ๆ หอคอยเทว คือแบ่งตามผลการฝึกตน
ชั้นที่หนึ่งต่างเป็นแดนมหายุทธ์ ชั้นที่สองคือเจ้ายุทธจักร เช่นนั้นชั้นสูงสุดชั้นที่สาม ก็น่าจะต้องเป็นเขตแดนของผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์แล้ว
ผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ในโลกเชิ่งถิงนั้นมีจำนวนเพียงน้อยนิดเท่านั้น หลัวซิวคาดการณ์ว่าที่ชั้นสามต้องไม่มีความคึกคักเท่ากับอีกสองชั้นด้านล่างอย่างแน่นอน
สำหรับคู่ต่อสู้ของแดนมหายุทธ์ หลัวซิวไม่ได้มีความสนใจใด ๆ แม้แต่น้อย เช่นนั้นจึงได้วางแผนว่าจะหาทางขึ้นไปที่ชั้นสองแทน
ที่ตำหนักเทวมืด ไม่นานนักหลัวซิวก็หาบันไดทางขึ้นไปชั้นที่สองเจอแล้ว
แต่ด้านหน้าของทางขึ้นบันได กลับมีจอมยุทธ์สองคนที่สวมชุดสีดำยาว รอบตัวแผ่กระจายไปด้วยออร่าแห่งกฎเทวมืดคอยเฝ้ารักษาอยู่
“เจ้าหนุ่ม แต้มห้วงกระบี่ของเจ้าไม่เพียงพอที่จะขึ้นไปชั้นสองได้”
เมื่อเห็นว่าหลัวซิวเดินเข้ามา ชายชราชุดดำคนหนึ่งก็เอ่ยปากพูดด้วยเสียงแหบพร่า
หลัวซิวรับรู้ได้ถึงตัวสำนึกที่กวาดมายังตราประทับบริเวณหน้าอกของเขา เห็นได้ชัดว่าอยู่ที่นี่ก็สามารถตรวจสอบข้อมูลในตราประทับของผู้อื่นได้
“ไม่ทราบว่า จำต้องมีแต้มห้วงกระบี่เท่าใดจึงจะสามารถขึ้นไปที่ชั้นสองได้หรือ?” หลัวซิวเอ่ยปากถาม
“สามร้อยแต้มห้วงกระบี่” ชายชราชุดคลุมสีดำเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงรำคาญใจ
“เจ้าหนุ่มคนนี้ดูแล้วน่าจะเพิ่งเข้ามาใหม่ มีเพียงแค่ผลการฝึกตนระดับมหายุทธ์ช่วงกลางแต่กลับอยากขึ้นไปที่ชั้นสอง?”
มองตามแผ่นหลังของหลัวซิวที่หมุนตัวเดินออกไป ชายชราชุดคลุมสีดำคนหนึ่งที่เฝ้าอยู่หน้าบันใดก็เอ่ยปากขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความเย้ยหยัน
“ตราประทับของเขามีแต้มห้วงกระบี่เพียงแค่ไม่กี่สิบ แต่พลังนั้นอ่อนแอไปเสียเล็กหน่อย ต่อให้รวบรวมได้ครบสามร้อยแต้มห้วงกระบี่ เมื่อขึ้นไปที่ชั้นสองได้ แต่ก็มีเพียงแค่เส้นทางแห่งความตายเท่านั้น”
หลัวซิวได้ยินบทสนทนาของชายชราชุดคลุมสีดำทั้งสองคนอย่างแผ่วเบา
เห็นได้ชัดว่าชั้นที่หนึ่งนี้ มีคนมากมายที่มีแต้มห้วงกระบี่บรรลุถึงเงื่อนไขในการขึ้นไปชั้นที่สองแล้ว แต่พวกเขาคิดเองว่าตนนั้นมีพลังไม่เพียงพอ ดังนั้นจึงเลือกที่จะยื้อเวลาอยู่ที่ชั้นที่หนึ่ง
เพราะต่อให้เป็นจอมยุทธ์จากค่ายเดียวกัน ก็สามารถท้าประลองกันเองได้ ที่เมืองทวยเทพ จอมยุทธ์จากค่ายเดียวกันท้าประลองกันเองจำเป็นต้องมีตำหนักเทวมาเป็นพยาน แต่ว่าที่หอคอยเทว กลับไม่ได้มีข้อจำกัดใด ๆ ทั้งสิ้น เพียงแค่สามารถฆ่าอีกฝ่ายบนแท่นประลองได้ ก็จะสามารถได้รับ แต้มห้วงกระบี่และสมบัติจากการรบทั้งหมดของอีกฝ่ายได้
จอมยุทธ์จากค่ายมืด ส่วนใหญ่จะชั่วร้าย แค่เพียงพูดจาขัดหูก็สามารถเข่นฆ่ากันได้เป็นเรื่องปกติ ไม่เหมือนกับทางฝั่งค่ายสว่าง ถึงแม้จะมีการต่อสู้ แต่ก็ไม่ได้รุนแรงเท่ากับค่ายมืดเช่นนี้
“ฆ่า! ฆ่ามัน!”
การต่อสู้บนแท่นประลองบรรยากาศมาคุอย่างมาก ค่ายมือและค่ายสว่างเผชิญหน้ากัน ที่โลกเชิ่งถิงนี้มันยาวนานนับหมื่นปี ก็เหมือนกับที่โลกแสงดาว เผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าพันธุ์มารสู้รบกันอย่างไม่มีวันสิ้นสุด
ในค่ายมืดนี้ กลุ่มที่แข็งแกร่งที่สุดคือเผ่าปีศาจร้าย ก็มีผู้แข็งแกร่งจากเผ่าพันธุ์มนุษย์บ้างประปราย เพราะฝึกตนวรยุทธ์สายดำ ต่อให้ก่อนหน้านี้มีผมสีทอง ก็จะกลายเป็นผมสีดำในที่สุด
สิ่งนี้ทำให้หลัวซิวรู้สึกว่า บางทีอาจจะสามารถใช้จุดนี้ ปลอมเป็นคนของค่ายมืด ไม่จำเป็นต้องใช้ตัวตนของยอร์คเพื่อหลบซ่อน
“ฮ่า ๆ พวกขยะค่ายมืดช่างอ่อนแอเสียจริง!”
การต่อสู้แห่งชีวิตและความตายบนแท่นประลองได้รับชัยชนะอย่างต่อเนื่อง ทำให้ค่ายสว่างมีขวัญกำลังใจเพิ่มขึ้นอย่างมาก ใบหน้าของแต่ละคนเต็มไปด้วยความท้าทายและความโอหัง
ดาซีชนะรวดมาถึงสิบสามครั้งแล้ว คนคนเดียวราวกับว่ามาท้าประลองกับทุกคนในชั้นที่หนึ่งของตำหนักเทวมืด
ต่อให้ไม่มีพลังแห่งกฎความตายดั้งเดิมให้ได้เรียนรู้ ถ้ามีพลังดั้งเดิมกฎเทวมืดก็สามารถได้รับการสัมผัสรู้ได้ สามารถช่วยในการยกระดับแดนกฎความตายได้
เข้าไปฝึกตนในแดนกฎดั้งเดิมหนึ่งครั้ง จำเป็นต้องใช้ถึง 1,000 แต้มห้วงกระบี่
ว่ากันตามข้อบังคับของที่นี่ มกุฎยุทธ์ช่วงต้นมีค่าเท่ากับหนึ่งแต้มห้วงกระบี่ มกุฎยุทธ์ช่วงกลางเท่ากับสองแต้มห้วงกระบี่ มกุฎยุทธ์ช่วงปลายเท่ากับสี่แต้มห้วงกระบี่ หากว่ากันตามกฎเกณฑ์นี้ ผลการฝึกตนยิ่งสูง เมื่อฆ่าได้ก็จะได้รับแต้มห้วงกระบี่ที่มากยิ่งขึ้น
หากว่ากันตามผลการฝึกตนของหลัวซิวในตอนนี้คือมหายุทธ์ขั้นห้า เทียเท่ากับมหายุทธ์ช่วงต้น คุณค่าเท่ากับ 16 แต้มห้วงกระบี่
หากต้องการจะรวมให้ครบหนึ่งพันแต้มห้วงกระบี่ ก็จำเป็นต้องฆ่าราว ๆ 500 กว่าคนจึงจะครบ
เพราะฉะนั้น สำหรับจอมยุทธ์ที่มาฝึกตนที่หอคอยแห่งเทพศักดิ์สิทธิ์ หากคิดจะรวบรวมแต้มห้วงกระบี่หรือแต้มคุณความดีเพื่อเข้าฝึกตนในแดนกฎดั้งเดิม จำเป็นต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขเดียวคือมีชีวิตให้รอด ซึ่งเป็นเงื่อนไขหนึ่งที่ถือได้ว่าลำบากมากทีเดียว
ต่อให้จะจงใจเลือกคู่ต่อสู้ที่มีผลการฝึกตนด้อยกว่าตนเอง แต่ก็ยังมีโอกาสที่จะได้พบกับคนที่มีความสามารถในการต่อสู้สูง สามารถที่จะตายคามือคู่ต่อสู้ได้ตลอดเวลา
อีกทั้งผู้ที่มีพลังผลการฝึกตนอ่อนกว่าตนเอง ต่างก็มักจะเลือกจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งเพื่อเป็นที่กำบัง ถึงอย่างไรคนที่เลือกมาฝึกตนในที่แห่งนี้ ก็ไม่มีใครที่เป็นคนโง่
ในเมืองทวยเทพ จอมยุทธ์เหล่านี้ส่วนมากจะเป็นจอมยุทธ์ชั้นล่าง ที่ไม่มีพลังมากพอจะร้องขอชีวิตในหอคอยแห่งเทพศักดิ์สิทธิ์
ที่นอกแดน มกุฎยุทธ์ มหายุทธ์ สามารถเรียกได้ว่าเป็นวีรบุรุษ แต่ในหอคอยแห่งเทพศักดิ์สิทธิ์นั้น กลับเป็นได้เพียงแค่กลุ่มคนชั้นล่างเท่านั้น
เมื่อได้รู้เกี่ยวกับข้อมูลพื้นฐานของเมืองทวยเทพแห่งนี้แล้ว เป้าหมายของหลัวซิวก็ถูกกำหนดไว้ที่ตำหนักเทวมืด
ทุก ๆ หอคอยเทวต่างก็มีด้วยกันสามชั้น เมื่อหลัวซิวเข้าไปในชั้นที่หนึ่งของตำหนักเทวมืด ก็สามารถรับรู้ได้ถึงออร่าของกฎเทวมืด
โซนภายในหอคอยนั้นกว้างขวางอย่างมาก สูงราวสิบฟุต พื้นที่กว้างนับร้อยฟุต มีห้องลับสำหรับฝึกตนปิดขัง และก็มีจอมยุทธ์ที่ตั้งแผงขายของหลากหลายชนิด
ที่คึกคักมากที่สุด ก็คือแท่นประลองหนึ่งที่อยู่ใจกลางโถง
บริเวณโดยรอบของแท่นประลองเต็มไปด้วยผู้คนจำนวนมาก และบนแท่นประลอง ผมทองเผ่าพันธุ์มนุษย์คนหนึ่ง กำลังต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายกับหัวเสือจากเผ่ามนุษย์อสูร
ผมทองเผ่าพันธุ์มนุษย์อยู่ในสังกัดค่ายสว่าง ส่วนหัวเสือเผ่ามนุษย์อสูรอยู่ในสังกัดค่ายมืด
พลังของหัวเสือเผ่ามนุษย์อสูรนั้นแข็งแกร่งหาตัวจับยาก แต่ในแง่ของความคล่องตัวกลับด้อยกว่าผมทองเผ่าพันธุ์มนุษย์อยู่มาก ในตอนนี้เขาได้ตกเป็นรองแล้ว ภายใต้การโจมตีอย่างต่อเนื่องของผมทองเผ่าพันธุ์มนุษย์ ทำให้เขาต้องก้าวถอยหลังอย่างเสียมิได้
“ปุบ!”
ร่างของผมทองเผ่าพันธุ์มนุษย์กระพริบหายไป และปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังของหัวเสือเผ่ามนุษย์อสูร กระบี่เล่มใหญ่ถูกแทงมาจากด้านหลัง ทะลุขั้วหัวใจของหัวเสือเผ่ามนุษย์อสูร
“ฮ่า ๆ ฆ่าได้ดี!”
“ดาซีสุดยอดไปเลย!”
ทางฝั่งค่ายสว่างมีจอมยุทธ์มากมายรวมตัวกันพากันกู่ร้องชื่นชม ส่วนดาซีนั้น แน่นอนว่าต้องเป็นชื่อของผมทองเผ่าพันธุ์มนุษย์
เขายืนอยู่ด้านบนแท่นประลอง ตาคู่นั้นปิดสนิท ราวกับกำลังรับรู้ถึงข้อมูลของกฎที่ได้รับหลังจากการฆ่าอีกฝ่าย
“ฮ่า ๆ พวกเจ้าค่ายมืดไม่มีใครแล้วหรือ? มีแต่พวกขยะอ่อนแอพวกนี้หรือ?”
จากนั้นไม่นาน ดาซีก็ลืมตาขึ้น หันไปพูดกับทางคนของค่ายมืดด้วยความโอหัง
ไม่ต้องสงสัย นี่คือกลุ่มจอมยุทธ์แห่งค่ายสว่างที่จงใจมาท้าทายถึงตำหนักเทวมืด
เผ่ามนุษย์อสูรคนหนึ่งที่มีหัวเป็นเสือเช่นกันคนหนึ่งก็พลันรู้สึกเหมือนถูกกระตุ้น แววตาราวกับสามารถฉีกทึ้งได้ทุกสิ่ง คาดว่าเขาน่าจะเป็นเพื่อนกับเผ่ามนุษย์อสูรที่ถูกฆ่าตายบนแท่นประลอง เขาอยากที่แก้แค้น แต่ก็รู้ดีว่าพลังของตนเองนั้นยังไม่เพียงพอที่จะต่อกรกับดาซี ดังนั้นร่างกายของเขาจึงได้สั่นไหวอย่างรุนแรง แต่ก็ไม่กล้าที่จะเดินขึ้นไป
“พวกขยะค่ายมืด ขึ้นมาให้ข้าตัดสินจิตวิญญาณที่สกปรกของพวกเจ้าเสีย!”
รอบกายของดาซีห่อหุ้มไปด้วยลำแสงเจิดจรัสของพลังเทวะสว่าง ราวกับเป็นผู้มีจิตศรัทธาสูงสุดของเทวสว่าง แต่ท่าทางของเขายโสโอหังถึงขีดสุด
“เห็นแล้วหรือไม่? คนผู้นี้เพิ่งจะเข้าร่วมค่ายมืด สามารถลงมือฆ่ายอดฝีมือระดับมกุฎยุทธ์ได้อย่างง่ายดาย”
“เจ้าหนุ่มคนนี้มีผลการฝึกตนระดับใดกัน? เหตุใดจึงไม่สามารถมองออกได้”
“ได้ยินมาว่า ตอนที่เขาเพิ่งมาถึงเมืองทวยเทพ ก็ได้ฆ่าดีแลนจากเผ่าปีศาจร้ายทีค่อนข้างมีชื่อเสียง ดีแลนผู้นั้นมีผลการฝึกตนระดับมหายุทธ์ช่วงต้น แต่พลังนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่ามหายุทธ์ช่วงกลาง แต่กลับถูกเขาใช้ไฟแผดเผาตายในทันที”
“ดูแล้วเจ้าหนุ่มที่ชื่อยอร์คคนนี้อย่างน้อย ๆ ก็คงจะต้องเป็นยอดฝีมือระดับมหายุทธ์ช่วงกลาง อีกทั้งยังมีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นมหายุทธ์ช่วงปลาย”
ฉากตรงหน้าประตูใหญ่ตำหนักเทวมืด ดึงดูดความสนใจจากคนไม่น้อยกลางเมือง แต่เรื่องราวประเภทนี้ อยู่ที่เมืองทวยเทพถือเป็นเรื่องที่เห็นได้บ่อย ๆ
ค่ายสว่างจะคอยเฝ้าสังเหตุอยู่หน้าตำหนักเทวมืด แต่จอมยุทธ์ของค่ายมืดจะคอยเฝ้าสังเกตการณ์จากบริเวณใกล้ ๆ ค่ายสว่าง
ด้วยแดนกฎในปัจจุบันของหลัวซิว เพียงแค่เขาไม่เปิดเผย ออร่าพลังจิตแท้ของตนด้วยตัวเอง คนปกติทั่วไปก็จะไม่สามารถมองเห็นระดับผลการฝึกตนของเขาได้เลย
หลัวซิวไม่ได้รีบร้อนไปที่หอคอยแห่งเทพศักดิ์สิทธิ์ เขาหยุดอยู่ที่ตรงนี้เป็นเวลาค่อนข้างนาน เรื่องที่ต้องทำเป็นอย่างแรก แน่นอนว่าต้องเป็นการเข้าใจข้อมูลต่าง ๆ ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
จากนั้นหลัวซิวก็สอบถาม วิธีที่จะได้รับแต้มห้วงกระบี่และแต้มคุณความดี นอกจากตามล่าจอมยุทธ์ที่อยู่ค่ายฝั่งตรงข้ามแล้ว ยังสามารถได้รับจากมือของจอมยุทธ์จากค่ายเดียวกันได้อีกด้วย
จอมยุทธ์จากค่ายเดียวกันก็สามารถฆ่ากันเองได้ หากเป็นการต่อสู้แบบส่วนตัว ถึงแม้จะฆ่าอีกฝ่ายตายแล้ว ก็สามารถได้รับเพียงสิ่งของบนตัวของอีกฝ่าย แต่กลับไม่สามารถได้รับแต้มห้วงกระบี่หรือแต้มคุณความดี
แต่หากว่าไปที่ตำหนักเทวของแต่ละค่ายดำเนินการโดยได้รับการรับรอง จากนั้นต่อสู้กันที่หน้าตำหนักเทว ฝั่งที่ได้รับชัยชนะ ก็จะสามารถรับเอาแต้มห้วงกระบี่หรือแต้มคุณความดีทั้งหมดของอีกฝ่ายได้
กลางเมืองทวยเทพ บางครั้งอาจจะเกิดการขัดแย้งและการเข่นฆ่ากัน แต่โดยทั่วไปต่างเป็นการทะเลาะวิวาทเล็ก ๆ น้อย ๆ ระดับมกุฎยุทธ์กับมหายุทธ์ทั่วไป
การต่อสู้และการเข่นฆ่าที่โหดร้ายจริง ๆ นั้น ส่วนมากจะเกิดที่กลางหอคอยแห่งเทพศักดิ์สิทธิ์ทั้งแปด
หอคอยเทวสว่าง ตำหนักเทวมืด หอคอยเทวปฐพี หอคอยเทววาโยเสวียน หอคอยเทวเยือก หอคอยเทวโชติ หอคอยเทวอัสนี หอคอยเทวกาล
ว่ากันว่า หอคอยเทวทั้งแปดแห่งนี้ ขึ้นตรงกับเทวะทั้งแปดแห่งอาณาจักรเบื้องบน หลัวซิวเดาว่ามีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นระดับเทพฟ้า
สำหรับหอคอยเทวมรณะ หอคอยเทวชีวี และหอคอยเทวเวลาเหตุใจจึงไม่มี หลัวซิวคาดการณ์ว่าน่าจะเป็นเพราะว่าความยากของการฝึกตนของสุดยอดกฎทั้งสามชนิดนั้นยากเกินไป ต่อให้ควบคุมโลกเชิ่งถิงอยู่ที่พิภพกลาง ก็ไม่มีผู้แข็งแกร่งที่จะฝึกตนสุดยอดกฎทั้งสามชนิดเพื่อบรรลุถึงแดนเทพฟ้า
หอคอยเทวทั้งแปดแห่งนี้ จากชื่อที่เรียกสามารถตัดสินได้ถึงกฎที่เป็นของหอคอยต่าง ๆ เข้าไปภายในหอคอยเทวตอบรับAttr สามารถฝึกตนอยู่ด้านใน ผลลัพธ์และความรวดเร็วนั้นใช้เพียงแค่ครึ่งหนึ่งของความพยายามทั้งหมดเท่านั้น
แต่ว่าแต่ละหอคอยเทว จำนวนที่ว่าสำหรับฝึกตนต่างก็มีจำนวนจำกัด อีกทั้งการเป็นปรปักษ์ของสองค่ายใหญ่ การต้องสู้และเข่นฆ่านั้นเป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกนาทีทุกวินาที
“สัมผัสรู้ทั้งหมดที่ได้รับจากการฆ่านั้น ประสิทธิภาพแย่เกินไป”
ภายใต้ผลกระทบของพลังกฎพิเศษ การฆ่าอีกฝ่ายสามารถได้รับสัมผัสรู้ของกฎAttrที่ตนได้ฝึกบางอย่าง
หลัวซิวก็ได้ฆ่าไปราวสิบกว่าคนแล้ว แต่สัมผัสรู้ที่เขาได้รับมานั้น กลับไม่ได้มีผลในการช่วยยกระดับแดนกฎของเขาเลย
บางทีคนที่ฆ่ายิ่งแข็งแกร่งมากเพียงใด ยิ่งจำนวนเยอะมากเพียงใด การได้รับการสัมผัสรู้ก็ยิ่งสามารถสั่งสมได้เยอะมากเท่านั้น รอให้การสั่งสมของการสัมผัสรู้ถึงระดับที่มั่นคง บางทีอาจจะมีประโยชน์ต่อแดนกฎก็ได้ แต่กระบวนการกว่าจะเห็นผลนั้น มันช้าเกินไป
เป้าหมายของหลัวซิว คือแดนกฎดั้งเดิม!
แค่ได้ยินชื่อ ก็สามารถเดาออกได้ว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับโซนปริศนาของกฎดั้งเดิม
เหยียบเข้าไปถึงกฎดั้งเดิม ก็จะอยู่เหนือขีดจำกัดของจอมยุทธ์ทั่วไป บรรลุถึงระดับเทพมาร
ก่อนอื่น หลัวซิวได้เข้ามาที่ตำหนักเทวสว่าง ภายในตำหนักมีเทวเทพองหนึ่ง ด้านหลังศีรษะมีแสงสว่างของวงแหวนแห่งทวยเทพเก้าวง
ทั่วทั้งภายในตำหนักเทวสว่างเต็มไปด้วยออร่ากฎสว่าง ทำให้หลัวซิวรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง
“เจ้าหนุ่ม เจ้าหมายจะเข้าร่วมค่ายสว่าง ด้วยความรับผิดชอบว่าจะกำจัดความดำมืดและความชั่วร้ายทั้งหมดบนโลกใบนี้ได้หรือไม่?” เสียงของชายชราคนหนึ่งค่อย ๆ ดังขึ้น
หลัวซิวหันไปมองด้วยแววตาสงสัย กลางตำหนักมีชายชราท่านหนึ่งสวมชุดคลุมยาวสีขาว อีกทั้งหนวดเครายังเป็นสีขาว รอบกายของเขาพันล้อมรอบไปด้วยแสงสว่างสีทอง ให้ความรู้สึกถึงเทพศักดิ์สิทธิ์
“ข้าอยากรู้ว่า หากข้าเข้าร่วมค่ายสว่าง จะมีประโยชน์ใดต่อข้า” หลัวซิวเอ่ยถามอย่างไม่อ้อมค้อม
“เข้าร่วมค่ายสว่าง เป็นนักยุทธ์ใต้บัญชาของเทวสว่าง เพียงแค่เจ้าสั่งสมแต้มคุณความดีมากพอ ก็จะได้รับโอกาสในการเข้าไปในแดนกฎดั้งเดิม”
“จะได้รับแต้มคุณความดีได้อย่างไร?” หลัวซิวถามต่อ
“เข่นฆ่าศัตรูจากค่ายมืด ตามผลการฝึกตนที่แตกต่าง จะได้รับแต้มคุณความดี” ชีปะขาวพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
จากนั้นหลัวซิวก็เดินหน้าเข้าไปที่ตำหนักเทวมืด ภายในตำหนักก็มีเทวเทพองค์หนึ่งเช่นกัน อีกทั้งชายชราในชุดคลุมยาวสีดำ หากเข้าร่วมค่ายมืด โจมตีคู่ต่อสู้จากค่ายสว่างจะได้รับแต้มห้วงกระบี่ แต้มห้วงกระบี่ที่มากเพียงพอสามารถแลกโอกาสเพื่อเข้าไปในแดนกฎดั้งเดิมได้
เช่นนั้นหากคำนวณออกมาแล้ว ไม่ว่าจะเข้าร่วมค่ายสว่างหรือค่ายมืดก็ไม่ได้มีข้อแตกต่างแต่อย่างใด หากจะมี ก็น่าจะอยู่ที่ความแตกต่างของแดนกฎดั้งเดิม
“ร่างแยกนี้ของข้าบำเพ็ญหลักกฎความตาย อีกทั้งกฎเทวมืดถือเป็นหนึ่งในสาขาแยกของกฎความตาย แดนกฎดั้งเดิมของค่ายมืด บางทีอาจจะมีประโยชน์ต่อข้าในการสัมผัสรู้แดนกฎของข้า”
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หลัวซิวก็เลือกที่จะเข้าร่วมค่ายมืด
“เจ้าหนุ่ม ยินดีด้วยเจ้าได้เป็นหนึ่งในสมาชิกของค่ายมืด พวกเราค่ายมืดมีความเชื่ออยู่เพียงข้อเดียว พลังที่แกร่งกล้าเท่านั้นจึงจะเป็นนิรันดร์!”
ชายชราสวมชุดคลุมดำยาวยื่นนิ้วออกมาจิ้มไปที่กลางอากาศ สำแสงสีดำช่อหนึ่งตกลงบนหน้าอกของหลัวซิว รวมกันเป็นตราประทับสีดำชิ้นหนึ่ง
ที่บริเวณใกล้ ๆ ตำหนักเทวมืด มักจะมีกลุ่มจอมยุทธ์ของค่ายสว่างเดินสำรวจไปมา เมื่อใดก็ตามที่มีคนเลือกเข้าร่วมค่ายมืด เพียงแค่อีกฝ่ายเดินออกมาจากตำหนักเทวมืด ก็จะลงมือล้อมโจมตีทันที
ดังนั้นเมื่อหลัวซิวเพิ่งเดินออกจากตำหนักเทวมืด จอมยุทธ์หลายคนจากค่ายสว่าง ก็สังเกตุเห็นตราประทับค่ายมืดที่อยู่ตรงหน้าอกของเขา
“ลงมือ ฆ่ามัน!”
จอมยุทธ์หลายคนจากค่ายสว่างเข้าปิดล้อมในทันที ไม่ใช่จอมยุทธ์แห่งค่ายสว่างทุกคนที่จะฝึกตนพลังแห่งเทวสว่าง มีจอมยุทธ์บางคนที่ฝึกตนAttrอื่น ๆ เช่นธาตุไฟ ธาตุลม ธาตุอัสนีเป็นต้น
และถึงแม้จะเป็นAttrเดียวกัน ก็ยังมีส่วนที่แตกต่างอยู่ดี เช่นจอมยุทธ์ธาตุไฟ มีจอมยุทธ์ที่ฝึกตนเพลิงอัคคีค่อนไปทางสายมืด และก็มีจอมยุทธ์บางคนที่ฝึกตนเพลิงอัคคีค่อนไปทางสว่าง
สำหรับหลัวซิวได้ครอบครองมกุฎอัคคีนภาเหลือง นั่นคือระบบหนึ่งของวิชาพลังอมตะภูตอัคคีร้อยแปร
จอมยุทธ์หลายคนจากค่ายสว่างลงมือพร้อมกัน พายุลมโหมกระหน่ำในทันที เพลิงอัคคี พลังแห่งเทวสว่างหลากหลายสีสัน ถาโถมเข้ามาจากเหนือศีรษะของเขา
หลัวซิวหัวเราะเสียงเย็น มือหนึ่งเอื้อมออกไปกลางอากาศ ทันทีที่เขาพลิกมือ อัคคีดำก็หลวมรวมเป็นฝ่ามือตบลงไป
ฝ่ามืออัคคีดำบดขยี้ทำลายโซน จอมยุทธ์ค่ายสว่างเจ็ดแปดคนที่กรู่กันเข้ามา ทันใดนั้นก็ถูกตบจนแตกละเอียดกลายเป็นละอองเลือด
จอมยุทธ์เหล่านี้ผลการฝึกตนนั้นมากสุดไม่เกินมหายุทธ์ช่วงกลาง หลังจากหลัวซิวฆ่าทุกคนทิ้งหมดแล้ว ก็ได้รับสี่สิบกว่าแต้มห้วงกระบี่
แต้มห้วงกระบี่จะถูกบันทึกลงในตราประทับค่ายกลโดยอัตโนมัติ ส่วนผลการฝึกตนของหลัวซิว ที่ค่ายมืดถูกกำหนดว่าอยู่ในแดนมหายุทธ์ขั้นห้า
เช่นนั้นก็หมายความว่า ผลการฝึกตนตั้งแต่มกุฎยุทธ์ขั้นห้าขึ้นไป ต่างก็อยู่ในขอบเขตที่เขาสามารถลงมือฆ่าได้
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 852
ถ้าหากพลังของตนไม่แข็งแกร่งมากพอที่จะสามารถข้ามหนึ่งแดนใหญ่เพื่อโจมตีกับคู่ต่อสู้ได้ เช่นนั้นตนก็ทำได้เพียงแค่เก็บหางของตนเองให้ดี ไม่เช่นนั้นหากไปขัดหูขัดตาคนอื่นขึ้นมา อีกฝ่ายก็สามารถฆ่าตนได้ทุกเมื่อ
หลัวซิวคาดการณ์ว่า ทั่วทั้งเขตนี้ที่ปกคลุมหอคอยแห่งเทพศักดิ์สิทธิ์ น่าจะเป็นค่ายกลเหนือกว่าระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น9 กระทั่งมีความเป็นไปได้ว่าอาจจะเหนือกว่าระดับเทพมาร บรรลุถึงระดับเทพฟ้าอีกด้วย
เพราะที่แห่งนี้มีข้อบังคับที่ซับซ้อนและชั้นสูงยิ่งกว่าแดนอนาคินแห่งโลกแสงดาว
ในบรรดาผู้คนทั้งหมด คนที่สะเทือนใจมากที่สุดก็หนีไม่พ้นเซวรี่และเนิร์ด เพราะว่าพวกเขาเติบโตมากับยอร์คตั้งแต่สมัยเด็ก ๆ เดิมทียอร์คนั้นไม่มีทางมีที่จะมีพลังที่แข็งแกร่งมากถึงเพียงนี้
“ยอร์ค เจ้า……” เซวรี่มองไปทางหลัวซิวด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
“ที่นี่ไม่เหมาะสมกับเจ้า เจ้ารับไปเสียเถิด” หลัวซิวมองนางปราดหนึ่ง จึงได้เอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบและไม่แยแส
สำหรับเนิร์ดนั้น หลัวซิวไม่แม้แต่จะมองสักแวบหนึ่ง การกระทำของคนผู้นี้เมื่อครู่ ต่อให้ไม่ได้ผิดแต่อย่างใด แต่กลับทำให้รู้สึกว่ามันคือความขี้ขลาด
ยังไม่ทันได้สิ้นเสียง หลัวซิวก็หันหลังจากไปทันที จบการเดินทางพร้อมกับทั้งสองคนนี้ไว้เพียงตรงนี้ อย่างไรมันก็ได้เวลาแยกจากกันแล้ว
“เขาต้องไม่ใช่ยอร์คเป็นแน่” เนิร์ดพูดขึ้นโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย
“ไม่ว่าเขาจะใช่ยอร์คหรือไม่ แต่เขาก็ช่วยข้าไว้” เซวรี่มองเนิร์ดด้วยสายตาเย็นชา จากนั้นก็หมุนตัวจากไป
นางและยอร์คกับเนิร์ดนั้นโตมาด้วยกัน ตลอดมานั้นเนิร์ดต่างก็แสดงออกมาว่าตนเก่งกาจเพียงใด แต่ยอร์คกลับเป็นคนนิ่งเงียบไม่ค่อยพูด นางก็ชื่นชมเนิร์ดอย่างมาก หากไม่มีสิ่งใดผิดพลาด ในวันข้างหน้าทั้งสองคนคงจะได้ใช้ชีวิตร่วมกัน
แต่เมื่อผ่านเรื่องนี้ นางได้เห็นมองเห็นตัวตนของเนิร์ดได้อย่างชัดเจน กลับกลายเป็นว่ายอร์คที่มักจะถูกนางมองข้ามอยู่ตลอดนั้นช่วยนางไว้ในช่วงเวลาที่อันตราย
นางไม่ได้เลือกที่จะออกจากเมืองทวยเทพ เพราะว่าได้ผ่านพ้นเรื่องราวเมื่อครู่ นางเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ว่านี่คือโลกที่โหดร้ายเกินคำบรรยาย เชิ่งถิงก็ไม่ได้เปิดเผยตรงไปตรงมาอย่างที่นางเคยคิดเอาไว้ เทวสว่างที่ตนเคารพบูชานั้น ก็ไม่ได้คุ้มครองปกป้องนางในวินาทีที่นางเจออันตราย
นางต้องการที่จะแข็งแกร่งให้มากขึ้นกว่าเดิม ถึงแม้ว่าจะต้องดำดิ่งลงไปในเมืองทวยเทพแห่งนี้ก็ตาม……
“เจ้าคนขี้ขลาด!”
เนิร์ดคิดจะออกจากเมืองทวยเทพ เขาคิดว่าที่แห่งนี้มันน่ากลัวเกินไป ไม่ใช่แดนศักดิ์สิทธิ์ฝึกตนที่เขาเคยจินตนาการไว้
แต่ว่าการกระทำเมื่อครู่นี้ของเขา มันดันไปขัดหูขัดตายอดฝีมือเผ่ามนุษย์อสูรคนหนึ่งเข้า ถูกฝ่ามือหนึ่งตบลงที่ศีรษะของเขา
วินาทีนั้น เลือดสดพร้อมกับน้ำสมองที่ผสมปนเปกันก็พุ่งกระฉูด เขายังไม่ทันได้หนีออกไปจากที่แห่งนี้ ก็ต้องมาตายเสียก่อน
นี่ เพียงแค่จุดเล็ก ๆ ของโลกที่โหดร้ายนี้เท่านั้น
……
เพราะว่า ข้อบังคับที่เหล่าทวยเทพกำหนดไว้นั้น ผู้แข็งแกร่งระดับเทพมารนั้นไม่สามารถก้าวเข้ามาในเขตที่ปกคลุมไปด้วยหอคอยแห่งเทพศักดิ์สิทธิ์ ไม่เช่นนั้นจะเป็นการไม่เคารพต่อทวยเทพ และจะเป็นการนำไปสู่การถูกลงโทษที่น่าหวาดกลัว
ผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์จะไม่ถูกควบคุม แต่ว่าอย่างมากที่สุดก็สามารถลงมือเช่นฆ่าจอมยุทธ์ที่มีผลการฝึกตนด้อยกว่าตนเองหนึ่งแดนใหญ่เท่านั้น
นี่ก็ถือว่าเป็นเงื่อนไขอย่างหนึ่ง แต่ก็มากพอที่จะทำให้ผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ทุกคน อยู่ที่นี่ได้อย่างชนชั้นสูง
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นเชิ่งถิง หรือกองกำลังต่าง ๆ ส่วนใหญ่ ต่างก็ส่งผู้แข็งแกร่งจำนวนไม่น้อยมาที่แห่งนี้ เพื่อใช้ทรัพยากรของที่นี่
หลัวซิวเลือกที่จะมาที่นี่ ด้านหนึ่งก็เพื่อซ่อนตัวจากการไล่ฆ่าของผู้แข็งแกร่งแดนเชิ่งถิง อีกด้านหนึ่งก็เพื่อค้นหาโอกาสในการยกระดับผลการฝึกตนของตนเอง
สิ่งที่เขาต้องทำเป็นสิ่งแรก ย่อมเป็นการทำความเข้าใจก่อนว่าหอคอยแห่งเทพศักดิ์สิทธิ์นั้นมีทรัพยากรอย่างใดอยู่บ้าง
จนถึงปัจจุบัน เขาก็เข้าใจเพียงแค่เมื่อฆ่าคนที่นี่ สามารถรับรู้ได้ถึงการสัมผัสรู้ของข้อมูลกฎบางอย่าง
การสัมผัสรู้ข้อมูลเหล่านี้เจือจางอย่างมาก หลัวซิวคิดว่าคุณสมบัติการสัมผัสรู้ของตนนั้นถือว่าอยู่ในระดับที่ดีมากแล้ว แต่กลับไม่สามารถได้รับสิ่งใดจากการสัมผัสรู้นี้เลย
นอกจากนี้ เขายังต้องเลือกค่าย ที่กลางเมืองทวยเทพมีสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดสองหลังตั้งตระหง่าน แบ่งออกเป็นตำหนักเทวสว่างและตำหนักเทวมืด
แต่ว่าเวลานี้ดีแลนกลับมีความรู้สึกราวกับขี่หลังเสือยากที่จะลงได้ ถ้าหากเวลานี้เขาเลือกที่จะถอนกลับไป เช่นนั้นจากนี้ไปที่กลางเมืองทวยเทพแห่งนี้ เขาคงไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว อีกทั้งคนอื่น ๆ ที่เผ่าก็คงจะต้องหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาเยาะเย้ยเขาอย่างแน่นอน
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็เอ่ยปากขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “เพียงแค่นักยุทธ์ทองเแดงระดับมกุฎยุทธ์ช่วงต้นกลับกล้ามาฆ่าคนของข้า?”
สีหน้าและน้ำเสียงของดีแลนเต็มไปด้วยความกริ้วโกรธ แต่หลัวซิวกลับไม่ได้มีทีท่าว่าจะสนใจเขาแม้แต่น้อย เพราะเมื่อครู่ที่เพิ่งใช้มกุฎอัคคีนภาเหลืองแผดเผาเผ่าปีศาจร้ายทั้งห้าคน จากนั้นข้อมูลที่เต็มไปไปด้วยความลึกลับกฎเพลิงอัคคี ก็พลันปะทุขึ้นในสมองของเขา
ข้อมูลดังกล่าวไม่ได้มาในรูปแบบภาษา แต่มาในรูปแบบความรู้สึกที่พิเศษเป็นการยากที่จะอธิบายออกมา ทำให้เขาสามารถรู้สึกได้ถึงความลึกลับของกฎเพลิงอัคคี
“นี่คือจุดที่พิเศษของหอคอยแห่งเทพศักดิ์สิทธิ์งั้นหรือ?” ในใจหลัวซิวทั้งตกใจและประหลาดใจ
ทั้งสี่ทิศรอบคูเมืองแห่งนี้ล้อมรอบไปด้วยสิ่งปลูกสร้างรูปทรงหอคอยสูงตระหง่าน หอคอยเทวโชติสีแดง หอคอยเทวปฐพีสีเหลือง หอคอยเทววาโยเสวียนสีเขียว หอคอยเทวนาวาสีฟ้า หอคอยเทวมืดสีดำ และหอคอยเทวสว่างสีขาวเป็นต้น
หอคอยเทวสูงตระหง่านอยู่ในที่แห่งนี้ พลังงานที่น่าอัศจรรย์ ปกคลุมไปทั่วทั้งเขตนี้ รวมถึงเมืองทวยเทพแห่งนี้ด้วย
ที่แห่งนี้ คู่ต่อสู่ที่ฆ่าอีกฝ่ายได้ พลังงานน่าอัศจรรย์ที่ปกคลุมไปทั่วเขตนี้ ก็จะให้กฎสัมผัสรู้ที่สอดคล้องกันตามวิธีการที่ตนสำแดงออกไป
“ข้าพูดกับเจ้าอยู่ ไม่ได้ยินหรือ?”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่มีทีท่าว่าจะสนใจตนแม้แต่น้อย ดีแลนก็รู้สึกว่าตนถูกดูหมิ่นเกียรติและศักดิ์ศรีอย่างมาก สีหน้าก็พลันเผยความโกรฑขึ้นมาทันที
“เจ้ามันตัวอะไร?” หลัวซิวพูดเสียงเย็น
“เจ้าช่างอวดดียิ่งนัก!”
ดีแลนโมโหอย่างมาก กลายร่างเป็นปีศาจร้ายในทันใด พุ่งเข้ามาด้วยความเร็วที่เร็วที่สุด กรงเล็บสีแดงเลือดราวกับกระบี่ที่แหลมคม กางออกไปยังลำคอของเขา
หลัวซิวไม่ได้ขยับเขยื้อนตัวแต่อย่างใด ราวกับว่ากำลังทำการยืนยันความคิดของตนอยู่ เขาใช้นิ้วมือขีดไปบนอากาศ และสำแดงวิชาล่องหนไท่เสวียน
เมื่อก่อนนี้ เขาทำได้เพียงใช้วิชาล่องหนไท่เสวียนสำแดงการเทเลพอร์ตระยะสั้นเท่านั้น แต่ตามการเพิ่มระดับขึ้นของแดนกฎของตน ต่อให้ไม่เคยได้สัมผัสรู้กฎปริภูมิโดยเฉพาะ ก็สามารถสำแดงกลยุทธ์ ๆ อื่นของวิชายิ่งเลิศนี้ได้
โซนที่อยู่ภายใต้นิ้วมือเขาก็ถูกขีดทำลายในพริบตา รอยร้าวนั้นค่อย ๆ ขยายตัวออกไป
การกระทำของดีแลนหยุดลงอย่างกะทันหัน ร่างที่ถูกโซนฉีกกระชากนั้นถูกตัดออกเป็นสองท่อน เลือดสดสาดกระจายไปทั่วทั้งพื้น กลิ่นคาวเลือดฟรุ้งกระจาย
ดีแลนก็เป็นเพียงแค่มหายุทธ์ช่วงต้นคนหนึ่งเท่านั้น การที่หลัวซิวฆ่าเขานั้นจึงไม่ได้รับผลใดแม้แต่น้อย
ได้มาถึงภายในเขตของหอคอยแห่งเทพศักดิ์สิทธิ์ ว่ากันตามข้อกำหนดที่พิเศษแล้ว ผลการฝึกตนเกินกว่าคู่ต่อสู้หนึ่งแดนใหญ่ จะไม่ได้รับอนุญาติให้ลงมือ นอกเสียจากอีกฝ่ายจะเป็นคนเอ่ยปากท้าทาย ดังนั้นที่แห่งนี้ หลัวซิวไม่จำเป็นต้องกังวลใจต่อผู้ใดเลย
“เป็นเช่นนี้นี่เอง”
เมื่อฆ่าดีแลนตายแล้ว หลัวซิวก็รับรู้ได้ถึงข้อมูลที่เต็มไปด้วยกฎปริภูมิปรากฏขึ้นในหัวของเขา
“น่ากลัวเกินไปแล้ว เจ้าหนุ่มคนนี้เป็นใครกันแน่ ถึงขนาดสามารถฆ่าดีแลนได้อย่างง่ายดายเช่นนี้”
“หรือว่าเขาจะมีผลการฝึกตนระดับมกุฎยุทธ์ช่วงต้นจริงหรือ? หากเป็นเช่นนั้นจริง ภายในขอบเขตหนึ่งแดนใหญ่ ก็ถือว่าไม่มีใครสามารถเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้แล้ว?”
ข้อกำหนดของหอคอยแห่งเทพศักดิ์สิทธิ์ครอบคลุมภายในเขต อนุญาตให้เพียงภายในหนึ่งแดนใหญ่เท่านั้นที่สามารถต่อสู้กันได้ อย่างเช่นมหายุทธ์ช่วงต้นสามารถลงมือฆ่ามกุฎยุทธ์ช่วงต้นได้ นั่นก็คือเหตุผลที่ดีแลนกล้าลงมืออย่างไร้ความกังวล
แต่ว่าถ้าหากผลการฝึกตนเกินกว่าคู่ต่อสู้หนึ่งแดนใหญ่ อีกทั้งยังเป็นคนเริ่มลงมือฆ่าคน เช่นนั้นก็จะต้องถูกลงโทษโดยทวยเทพ ให้กลายเป็นเถ้าธุลี!
ทวยเทพได้ทิ้งหอคอยเทวเหล่านี้ไว้ ก็เพื่อคัดเลือกอัจฉริยะที่มีความสามารถโดดเด่น ข้อกำหนดนี้ ก็เป็นการปกป้องขั้นพื้นฐานชนิดหนึ่งต่อเหล่าอัจฉริยะ
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 850
ดีแลนได้ทำการฆ่าคาทูไปแล้ว โดยที่มีผู้คนหลานคนเป็นพยาน แต่ทว่าทุกคนกลับนิ่งเงียบ ราวกับว่ามันเป็นเรื่องปกติ
การต่อสู้แข่งขันที่โหดร้าย โดยที่ความหมายของหอคอยทวยเทพและหอคอยแห่งเทพศักดิ์สิทธิ์ ก็เพื่อที่จะหาคนที่เก่งฝีมือดีและฉลาดที่สุดในพิภพ
โดยที่ความหมายของโลกพิภพระดับกลางนั้น ไม่ใช่ว่าคนเก่งของโลกพิภพที่ต่ำกว่าก็จะสามารถมีได้
แต่ว่าพลังที่แข็งแกร่งและอัจฉริยะนั้นไม่ได้ถูกจำกัดมาตั้งแต่แรก แต่เป็นเพราะการต่อสู้แย่งชิง เพราะบางคนนั้นพลังศักยภาพของพวกเขาจะถูกกระตุ้นออกมา และเปลี่ยนเป็นพลังที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
และการคัดเลือกอัจฉริยะก็เช่นกัน แต่หอคอยแห่งเทพศักดิ์สิทธิ์จะเลือกวิธีดั้งเดิมในการคัดเลือก ที่ทั้งเยือกเย็นและโหดร้าย
หลัวซิวเคยได้ยินความลับในการเลี้ยงหนอน โดยที่พวกเขานั้นจะใช้หนอนพิษชนิดที่แข็งแกร่งพิเศษมาปล่อยรวมกัน โดยให้พวกมันนั้นกัดกินและต่อสู้กันเอง โดยหนอนตัวสุดท้ายที่เหลือรอดมานั้น ก็จะใช้วิธีกลืนหนอนตัวอื่นๆแทน และเปลี่ยนเป็นหนอนตัวที่แข็งแกร่งที่สุด
ในหอคอยแห่งเทพศักดิ์สิทธิ์ก็เหมือนกับห้องที่ถูกปิดไว้ และผู้คนที่มาฝึกฝนอยู่ที่นี่ ก็คือหนอนพิษ
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว แดนของโลกแสงดาว ระดับจะค่อนข้างอ่อนน้อมกว่า อย่างน้อยก็ไม่มีการฆ่ากันตาย
ทวยเทพช่างโหดร้ายเยือกเย็นอะไรเช่นนี้ อีกทั้งสี่งมีชีวิตต่างๆในเชิ่งถิงต่างก็เชื่อในพระเจ้า ทำให้หลัวซิวรู้ถึงได้ว่าสถานที่นี้นั้นช่างน่ากลัวโหดร้ายอีกทั้งยังน่าขำอีกด้วย
คาทูตายแล้ว ดีแลนกแเปลงร่างกลับไปเป็นมนุษย์แบบเดิม ก่อนจะมองเล่นมาที่เซวรี่
เขาชอบที่จะเล่นหยอกล้อกับผู้หญิงเผ่ามนุษย์ คนที่รู้จักดีแลนจะรู้ดี ว่าหญิงสาวเผ่าพันธุ์มนุษย์นั้นถูกเขาเล่นจนถึงตายมาแล้วกี่คน
หลายคนมองมาที่เซวรี่ด้วยสายตาอย่างน่าสงสาร เพราะเธอนั้นคือนักยุทธ์ทองเแดงของเชิ่งถิง โดยตัวตนแบบนี้ถ้าอยู่ข้างนอกจะมีประโยชน์บ้าง แต่หากเป็นที่เมืองแห่งเทพศักดิ์สิทธิ์ ระดับนักยุทธ์ทองเแดงของเชิ่งถิงนั้นยังคงไม่พอ
เนิร์ดยืนข้างๆเซวรี่ ร่างกายสั่นไปทั้งตัว เขารู้สึกดีกับเซวรี่ แต่ว่าตอนนี้เขาไม่กล้าที่จะออกมาปกป้อง
“พาเธอไปที่พักของข้าที” ดีแลนไม่ได้ลงมือเอง และพรรคพวกของเขาก็เดินจากไปพร้อมกับรอยยิ้ม
โดยคนติดตามเหล่านี้นั้นเป็นคนฝีมือระดับสูงของเผ่าปีศาจร้าย โดยทุกคนนั้นจะมีระดับการฝึกยุทธ์มกุฎยุทธ์ขั้นปลายทั้งหมด
“เนิร์ด ช่วยข้าด้วย” เซวรี่รู้สึกตกตะลึงและเป็นกังวล ไม่กล้าแม้แต่จะขยับ
ใบหน้าของเนิร์ดเปลี่ยนเป็นมืดมนทันที สุดท้ายก็ทำได้แต่กัดฟันไปมา ก่อนจะถอยหลังมาหนึ่งก้าว
เมื่อมองเห็นเนิร์ดถอยหลังออก เซวรี่รู้สึกสิ้นหวังเป็นอย่างมาก เธอเข้าใจดีว่าหากเธอถูกจับไปแล้วจะต้องขายหน้าแน่ๆ แต่เธอไม่กล้าแม้แต่จะคิดฆ่าตัวตาย
“กลับไปสะ”
ในตอนที่เธอสิ้นหวังนั้น คนที่ยืนอยู่ข้างหลังเธอคือยอร์คที่ไม่ได้ถอยหนี แต่ทว่ากลับออกมาปกป้อง
ก่อนที่เขาจะชูกำปั้นขึ้นมา ที่มีแสงสีทองเปล่งประกายของเปลวไฟลอยออกมาก ก่อนที่เขาจะปล่อยเปลวไฟเข้าไปต่อยกับพวกห้าเหล่ามารอย่างทันที และพวกมันก็กรีดร้องอย่างโหยหวน และในทันใดก็ได้เปลี่ยนเป็นฝุ่นปลิวไป
“อะไร?”
“นั่นคือเปลวไฟอะไร ทำไมถึงได้มีพลังที่น่ากลัวขนาดนี้!”
“นักยุทธ์ทองเแดงของเชิ่งถิงไปเก่งกันมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ผู้คนรอบๆต่างก็ตกตะลึงเป็นอย่างมาก เพราะว่าการพัฒนานั้น มันเกินกว่าที่ทุกคนคิดไว้มาก
“อือ?”
ใบหน้าของดีแลนนิ่งไปครู่หนึ่ง เขาคิดได้ว่าเจ้าเด็กผมทองคนนี้มันก็แค่มกุฎยุทธ์ขั้นต้น แต่ทว่ากับเรียนรู้พลังเปลวไฟ อีกทั้งยังสามารถกำจัดมกุฎยุทธ์ขั้นปลายได้อย่างง่ายดาย แน่นอนว่าต้องไม่ธรรมดาแน่นอน
อีกทั้งตอนที่เขาแสดงพลังแห่งเพลิงทอง ที่ทำให้เขารู้สึกถึงพลังแห่งความน่ากลัว
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 844
เพราะว่าพลังอำนาจของเชิ่งถิงนั้น ค่ายสว่างจะมีอำนาจที่แข็งแกร่งกว่า และนักสู้ฝีมือดีจะเยอะกว่า
โดนทั้งสองค่ายนั้นจะกำหนดวันเวลาในการต่อสู้ แน่นอนว่าแต่ละคนจะได้รับข้อประโยชน์ดีๆ และก็จะมีการต่อสู้แข่งขันกันในค่ายตัวเองด้วย
“ผู้สาวใหม่หรอ? มองดูแล้วแลไม่เลวเลยนะ” ก่อนที่จะมีเสียงหัวเราะเล็กๆออกมา และชายที่สวมชุดเกราะสีแดงก็เดินมาทางที่หลัวซิว พร้อมกับพรรคพวกของเขา
บนใบหน้าของเจ้าชายคนนี้มองแล้วขาวซีดจริงๆ ราวกับว่าไม่มีเลือด ดวงตาที่มีสีแดงก่ำ ที่ทำให้ผู้คนรู้สึกความชั่วร้ายและร้ายกาจ
ในเมืองแห่งเทพศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่มีกฎอะไรทั้งนั้น พละกำลังเท่านั้น ที่คือทุกอย่าง
“ดีแลน เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้นะ!”ก่อนจะที่เงาโผล่มาจากทางด้านหลัง และหยุดชายชุดเกราะสีแดงเลือดเอาไว้
ก่อนที่จะมีชายหนุ่มที่มีใบหน้าหล่อเหลาโผล่เข้ามา และบนหน้าอกของเขานั้นได้มีตราทองทำ ที่แสดงถึงสัญญาลักษณ์ของค่ายสว่าง
แต่ทว่าตอนนี้ที่ต้องเผชิญกับชายหน้าตาน่ากลัว ที่บนหน้าอกแขวนตราสัญญาลักษณ์สีดำไว้ แสดงถึงค่ายมืด
“คาทู เจ้ากล้ามาหยุดข้าหรอ?” ชายหนุ่มที่มีใบหน้าชั่วร้าย นามว่า ดีแลน ยิ้มอย่างเยือกเย็น “เจ้าส่งผู้สาวใหม่ นั่นออกมาสะ ข้าถึงจะไว้ชีวิตเจ้าในรอบนี้”
ดวงตาของดีแลนนั้นแสดงถึงความขี้เล่น ก่อนจะจ้องมองไปที่รูปร่างของเซวรี่อย่างไม่เกรงกลัว
เซวรี่ถึงแม้จะมีรูปร่างสวย และก็ไม่นับว่าสวยมาก แต่ทว่าเธอมีรูปร่างที่ดี ถึงแม้จะใส่กระโปรงยาว แต่ก็ยากที่จะซ่อนถึงความโค้งเว้าของรูปร่างเธอ
ตอนนี้ใบหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นสีซีด ไม่คิดว่าเพิ่งจะมาถึงที่เมืองแห่งเทพศักดิ์สิทธิ์ ก็จะมาพบกับถึงความอยากได้คนของค่ายดำ
หลัวซิวแสดงใบหน้าอย่างไร้อารมณ์ เพราะสำหรับเขานั้นนี่ก็เป็นแค่วีรบุรุษรูปหล่องามทั่วไป เขาไม่คิดว่าเจ้าคาทูจะมีจุดจบที่ดีในรอบต่อไป
“บู๊ม!”
มีปีกสีดำค่อยๆกางออกจากข้างหลังของดีแลน ดวงตาของเขานั้นมีแสงที่ส่องประกายออกมา ทั้งสองข้างของมุมปากนั้นมีเขี้ยวฟันออกมา ราวกับว่าเขาทั้งคนนั้นเป็นบุคคลที่ดุร้ายมาก
“เผ่าปีศาจร้าย!”
ดวงตาของหลัวซิวหรี่ลง เขาเคยได้ยินเกี่ยวกับชนเผ่านี้ในโลกเชิ่งถิง มองดูแล้วจะไม่ค่อยต่างจากเผ่าพันธุ์มนุษย์เท่าไหร่ แต่ว่าหลังจากที่เข้าไปต่อสู้แล้ว สภาพของเผ่าปีศาจร้ายถึงจะเปลี่ยนและแสดงออกมา
“เจ้าพวกเครื่องในเผ่าปีศาจร้ายไปตายสะ”
ในมือของคาทูมีดาบแหลมคมสองเล่ม เขาจะโกนคำราม ก่อนจะวิ่งไปข้างหน้า ดาบสองเล่มที่เปล่งประกายสีทองออกมา ก่อนที่จะฟาดฟันออกไปอย่างดุเดือด
โดยปากของดีแลนได้ยิ้มอย่างเยือกเย็น ก่อนที่เขาและเงาจะรวมตัวกัน และหายวับไปจากพื้นที่ที่เขายืนอยู่ทีเดิม
“ฟู่ว!”
โดยที่เงาของมารนั้นไปปรากฏที่หลังของคาทู เลือดสีแดงไหลออกมากับดาบ ก่อนที่จะค่อยๆเชือดที่ที่คอหอยของคาทู ก่อนที่เลือกสดจะพุ่งออกมาราวกับน้ำพุ
“เลือดสดอันแสนอร่อย”
ดีแลนยิ้มอย่างร้ายกาจ ก่อนที่เขี้ยวอันแหลมคมจะกัดไปที่คอของคาทู ก่อนที่จะมีเสียงกลืนเลือดสดอึกอึกของเขา
โดยที่ร่างกายคาทูนั้นดิ้นไปหลายครั้ง ไม่มีแรงที่จะต่อสู้ขัดขืน ก่อนที่นัยน์ตาจะเริ่มเลือนรางปิดลง และกลายเป็นร่างศพ
รวมกับที่ดีแลนไม่หยุดที่จะดูดดื่มเลือดของเขา ในช่วงระยะเวลาที่รวดเร็วร่างกายของศพ ก็กลายเป็นศพแห้งทันที
“นี่หรือเมืองแห่งเทพศักดิ์สิทธิ์?”
หลัวซิวมองเรื่องที่เกิดขึ้น ใบหน้าที่ปรากฏถึงความสับสน และทำให้เขารู้สึกว่า“เทพศักดิ์สิทธิ์” สองคำนี้ ช่างเป็นคำพูดที่แสลงตาและหูยิ่งนัก
ในที่นี้ ไม่มีกฎอะไรทั้งนั้น พละกำลังเท่านั้นที่คือทุกอย่าง เมื่อค่ายมืดและค่ายสว่างมาเจอกัน มันจะต้องเป็นการต่อสู้ที่ไร้ความปรานีเป็นแน่
นี่ไม่ใช่ความคิดที่ดีของเซวรี่และเนิร์ดที่คิดว่าจะสามารถข้ามขั้นอย่างรวดเร็วไปเป็นสุขาวดีอันวิเศษล้ำ เพราะว่าหากเจ้ามีกำลังไม่มากพอหละก็ แน่นอนว่าพวกเขาจะไม่สามารถที่จะควบคุมชีวิตและโชคชะตาของตัวเองได้เลย
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 848
“นึกไม่ถึงว่าเชิ่งถิงจะไม่ได้สนใจความเป็นตายของพวกเราเลย แล้วทำไมพวกเรายังจะต้องเข้าร่วมกับเชิ่งถิงล่ะ แล้วทำไมพวกเรายังจะต้องเลื่อมใสในเทวสว่างด้วย?”หลัวซิวถามอย่างแปลกใจ
“นี่เจ้าไม่อยากมีชีวิตแล้วหรอ?”เนิร์ดสีหน้าเปลี่ยนไปทันที เขารีบมองไปที่รอบๆอย่างประหม่า“ถ้าหากคนของเชิ่งถิงได้ยินล่ะก็ พวกเราจะต้องตายแน่ๆ!”
“นั่นนะสิ เจ้ายอร์คจะใจกล้าไปแล้ว ดีที่เป็นข้าและเนิร์ดได้ยิน หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นล่ะก็ พวกเขาคงจะคิดว่าพวกเรานั้นดูหมิ่นเทพเจ้าสว่างนะ” เซวรี่พูดและขมวดคิ้ว
ไม่ต้องสงสัยในอำนาจของเชิ่งถิงเลย หลัวซิวได้ยินดังนั้นจึงเข้าใจ ว่าทุกคนนั้นยินยอมสมัครใจที่จะเลื่อมใสในเทวสว่าง และแน่นอนว่ามีหลายคนที่ถูกบังคับ
เพราะว่าเมื่อเข้าร่วมในเชิ่งถิง ในโลกนี้ถึงจะนับว่ามีตัวตนและตำแหน่ง เพียงแค่เชื่อในเทวสว่าง ก็จะทำให้ได้รับความยอมรับจากเชิ่งถิง
นี่เป็นการแลกเปลี่ยนชนิดหนึ่ง จอมยุทธ์เข้าร่วมเชิ่งถิง และทำงานให้กับเชิ่งถิง แสดงออกถึงความเชื่อของตนเอง ดังนั้นจอมยุทธ์เองก็จะได้รับประโยชน์จากเชิ่งถิงเหมือนกัน
เพราะว่าตอนนี้หลัวซิวนั้น ที่แสดงออกมากนั้นเป็นแค่เจ้าฝึกยุทธ์มกุฎยุทธ์ขั้นต้นเท่านั้น ดังนั้นทั้งสามคนเดินมาด้วยกันในเส้นทางนี้ความเร็วจึงไม่มากนัก
เมื่อใช้เวลาไปหลายวัน ตอนนี้ก็สามารถที่จะเห็นยอดเขาอยู่ร่ำไร ในที่สุดก็สามารถที่จะมองเห็นแล้ว
ในที่นี้ เขาได้มองเห็นหลายคนมาก อีกทั้งยังทำให้เขาตกใจนั้นก็คือ ในโลกเชิ่งถิงนั้นไม่เพียงมีแต่เผ่าพันธุ์มนุษย์ อีกทั้งยังมีเผ่ายักษ์ เผ่ามาร และรวมถึงเผ่าเทวทูต
โดยที่เบื้องหลังของเผ่าเทวทูตนั้นยังมีปีกใส อีกทั้งสีของปีกนั้นยังมีคุณสมบัติที่ไม่เหมือนกัน เมื่ออิงจากกฎฟ้าดินของของรัก และการรับรู้ถึงเกี่ยวกับกฎแห่งการตระหนักรู้ นั้นดีกว่าชนเผ่าอื่นๆอยู่มาก
อีกทั้งยังมีเผ่ายักษ์ เผ่ายักษ์หนุ่ม ที่มีความสูงสามฟุต ราวกับภูเขาเล็กๆ เมื่อตอนเดินทีไร แผ่นดินก็จะเกิดการสั่นสะเทือนไปหมด
เผ่ายักษ์นั้นนับเป็นเผ่าสุดที่รักของที่นี่ เกิดมาพร้อมกับการสอดคล้องของกฎธาตุดิน ที่มีแรงมหาศาล
และเผ่ามารนั้น สำหรับในเชิ่งถิงนั้นนับว่าเป็นเผ่าที่โหดร้ายที่สุดของอสูรจิต พวกเขาชอบเลือดสด ชอบการฆ่า บ้าบิ่นและน่ากลัวที่สุด
“การให้กำเนิดสายพันธุ์ที่ต่างกันและต่างอสูรจิต มันช่างมีสีสันจริงๆ
เส้นทางของโลกเชิ่งถิง นั้นเบิกตาให้หลัวซิวได้รู้ถึงสิ่งใหม่ๆเป็นอย่างมาก อีกทั้งภายในใจของเขาตอนนี้ เต็มไปด้วยความตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
“ไอ่หนุ่มทองแดงของเชิ่งถิง ถ้าเจ้ามองอีกฆ่าจะตีเต้าให้ตายเลย!
มีร่างกำยำหนึ่ง โดยที่ทั้งตัวนั้นมีแต่ขนขึ้นเต็มไปหมด มองจ้องเขม็งมาที่หลัวซิว ก่อนที่จะเต็มไปด้วยความดุร้าย
เขามองไปแล้วเหมือนกับคน แต่ทว่าหัวของเขานั้นเป็นหมี แสดงถึงความดุร้ายและน่ากลัว
“นี่เจ้าเป็นสัตว์เดรัจฉาน หรือว่าปีศาจกัน?” หลัวซิวนี่คือครั้งแรกที่เขาเจอสิ่งมีชีวิตเช่นนี้
“ยอร์ค เจ้าระวังหน่อย นี่คือเผ่ามนุษย์อสูรของทางฝั่งเหนือ” เนิร์ดพูดเสียงเบาๆไปที่ข้างหลัวซิว
หลัวซิวเลิกจ้องมอง เพราะยังไงสะเขานั้นก็ไม่ได้หวาดกลัวเลยถึงความดุร้ายที่เจ้าหัวหมีสัตว์เดรัจฉานนั้นที่แสดงการคุกคามออกมา
เมื่อมองขึ้นไป ภายหน้าก็จะมีคูเมืองขนาดใหญ่ที่สูงตระหง่าน ชื่อว่าเมืองทวยเทพโดยที่ทางเข้านั้นเต็มไปด้วยผู้คนที่ผ่านเข้ามามากมายไม่ขนาดสาย
เพราะว่าใจกลางโลกของเชิ่งถึงนั้นจอมยุทธ์ที่มาฝึกวิชากันมากมาย ดังนั้นที่นี่จึงมีอุตสาหกรรมมากมายที่เมืองทวยเทพและมีความเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก
“หากอิงตามกฎแล้ว หลังจากที่พวกเราเข้าไปที่เมืองทวยเทพก็จำเป็นที่จะต้องเลือกค่ายในการเข้าร่วม”
หลังจากเข้าร่วมแล้ว เซวรี่และเนิร์ดต่างก็ได้หยิบการ์ดคำสั่งเหรียญสีแดงออกมา
โดยที่บัญชาทองแดงของเชิ่งถิงนั้น นับว่าเป็นสัญญาลักษณ์แสดงถึงตัวตนของนักยุทธ์ทองเแดง
โดยก่อนที่จอมยุทธ์ทุกคนจะมาถึงหอคอยทวยเทพ ต่างก็ต้องเลือกค่ายสว่างหรือค่ายมืดไม่ค่ายใดก็ค่ายหนึ่ง
ทั้งสามคนนั้นเติบโตและเล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก และนัดกันไว้ว่าจะมาที่เมืองทองคำเพื่อที่จะไปหอคอยแห่งเทพศักดิ์สิทธิ์และฝึกยุทธ์
อย่างงี้นี่เอง ทั้งสามคนเดินทางและฝ่าฟันมาอย่างไกล พร้อมทั้งกับการแบกความหวังแห่งอนาคตไว้
หลังจากสิบวัน หลิวซิวกับเซวรี่และเนิร์ดทั้งสองคนก็เดินทางไปที่ทุ่งหญ้าที่กว้างใหญ่มหึมา
โดยที่ทุ่งหญ้านี้ใหญ่จนสุดสายตา และโดยที่สุดปลายทุ่งหญ้านั้น ก็จะพบกับภูเขาสูงตระหง่าน
โดยแท้จริงๆแล้วภูเขาหลายลูกที่อยู่ไกล นั้นไม่ใช่ลูกที่สูงที่สุด ที่เหมือนมีเมฆอยู่นั้นนั่นก็คือหอคอยแห่งเทพศักดิ์สิทธิ์
โห้ง!
บนท้องฟ้า ก็ได้มีแสงไฟบินมาขนาดใหญ่ มองไกลๆแล้ว ราวกับแสงดาวตกที่พุ่งลงมา
เสียงคำรามที่เข้ามาใกล้ๆ ต้องมองใกล้ๆถึงจะเห็นได้ชัดเจน โดยที่แสงไฟนี้นั้นจริงๆแล้วคือไฟที่มาจากตัวของสิงโต และอีกทั้งยังมีพลังถึงระดับเจ็ด
ข้างหลังของสิงโตไฟพลังระดับเจ็ด มีชายผู้หนึ่งที่ยืนใส่เสื้อชุดสีแดงยาว ที่มีรูปร่างสูงยาว มีรูปร่างที่สง่างามและทรงพลัง
ข้างๆกายของเขายังมีหญิงชุดแดงที่ใสชุดสีแดงกระโปรงยาว รูปร่างสวยงามสง่า ก่อนที่ใบหน้าจะเต็มไปด้วยความสวยงามและเผยถึงความทะนงตัว อีกทั้งยังแสดงถึงความเย็นชาออกมา
“ซือซือ การฝึกตนในหอคอยแห่งเทพศักดิ์สิทธิ์นั้นทรหดมาก เจ้าไม่อยากจะคิดทบทวนอีกรอบหรือ?” ชายชุดแดงเอ่ยถามขึ้น
“ข้าคิดดีแล้ว และแน่นอนว่าข้าจะไม่เสียใจ” หญิงชุดแดงตอบด้วยความแน่วแน่
“เจ้าคิดดีหรือยังว่าอยากจะเข้าร่วมกับค่ายไหน?”
“ค่ายมืด” หญิงสาวชุดกระโปรงแดงตอบอย่างไม่ลังเล
“นึกไม่ถึงว่าเจ้าอยากจะเข้าร่วมค่ายมืด?” ชายชุดแดงถามด้วยสีหน้าเปลี่ยนไป “ตั้งแต่มีหอคอยแห่งเทพศักดิ์สิทธิ์ มีคนน้อยมากที่อยากจะเข้าร่วมกับค่ายมืด เจ้ารู้ใช่ไหมว่าหมายถึงอะไร?”
“ข้ารู้ดี แต่ว่าข้าอยากจะหาอะไรที่ท้าทาย เพียงแค่สามารถที่จะรอดมาจากค่ายมืดได้ แน่นอนว่าการพัฒนาของข้ามันจะดีกว่าการที่ข้าจะไปเข้าร่วมกับค่ายสว่าง”
เมื่อเห็นดวงตาที่แน่วแน่ของหญิงสาว ชายชุดแดงยิ้มฝืนๆ อีกทั้งไม่มีอะไรที่จะต้องพูดอีก เพราะว่าเขาเข้าใจเธอดีว่า เมื่อไหร่ที่ตัดสินใจออกมา แม้แต่เขาจะพูดจนปากฉีกก็ไม่มีประโยชน์
ในเวลานี้ เขาได้ใจสั่น เมื่อมองเห็นเงาสามคนมาจากตรงไหน
“อือ? ใช่นักยุทธ์ทองเแดง ของเชิ่งถิงหรือเปล่า?”
“เป็นคนของสำนักเทวอัคคี”
ก่อนที่เซวรี่และเนิร์ดจะมองไปเห็นสิงโตไฟที่บินอยู่บนท้องฟ้า
ในโลกเชิ่งถิง ถึงแม้จะบูชาเทวสว่างของเชิ่งถิงว่าให้เป็นเทพที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุด แต่ทว่าการนับถือของพลังเทพอื่นๆก็ไม่ควรที่จะมองข้ามไป
“ซือซือ เจ้าอยากจะฆ่าเจ้าสามคนนี้ทิ้งไหม คนของเชิ่งถิงนั้นกำลังเดินทางไปที่หอคอยแห่งเทพศักดิ์สิทธิ์ แน่นอนว่าจะต้องไปเข้าร่วมกับค่ายสว่าง” ชายชุดแดงยืนอยู่บนหลังของสิงโตไฟ ก่อนจะเอ่ยพร้อมหัวเราะ
“ก็แค่มกุฎยุทธ์ระดับนักยุทธ์ทองเแดงเท่านั้น ถึงแม้จะเข้าร่วมกับค่ายสว่าง แต่ก็ไม่สามารถที่จะมาทำอะไรข้าได้ ฆ่าไปแล้วจะมีประโยชน์อะไร?” หญิงชุดแดงเอ่ยอย่างเรียบๆ
“หึหึ เจ้าพูดเช่นนี้ ถ้าอย่างงั้นก็คิดจะว่าเจ้าสามคนนั้นโชคดีไปก็แล้วกัน” ชายชุดแดงหัวเราะ ก่อนที่สิงโตไฟนั้น จะบินผ่านหลัวซิว ทั้งสามคน และบินขึ้นไปบนฟ้า
“น่ากลัว สิงโตไฟระดับเจ็ดแบกคนไปตั้งสองคน แน่นอนว่าต้องเป็นคนยศสูงของสำนักเทวอัคคีแห่งแดนมหายุทธ์”
ดวงตาพวกเขาจ้องมองสิงโตไฟหายไปบนท้องฟ้า เซวรี่และเนิร์ดนั้นภายในใจก็เกิดความกลัวเล็กน้อย เพราะว่าเมื่อสักครู่ ได้มีพลังอันแข็งแกร่งได้วนล้อมรอบพวกเขา และได้แอบซ่อนพลังแห่งการเอาฆ่าไว้
“คนของสำนักเทวอัคคีจะกล้าฆ่าพวกเราเพื่อทำให้เชิ่งถึงไม่พอใจ?”หลัวซิวเอ่ยขึ้น
เพราะเขาคิดว่าเชิ่งถิงนั้นได้มีอำนาจและตำแหน่งที่สูงกว่าสถานที่นี้
เซวรี่และเนิร์ดมองแปลกๆไปที่เขาและเอ่ย“สมองของเจ้าบ้าไปแล้วหรือเปล่า? ในเชิ่งถิงนั้นก็เพราะพวกเรานั้นระดับนักยุทธ์ทองเแดงมีตั้งเยอะแยะ พวกเขาสำนักเทวอัคคีไม่ได้ขัดแย้งกับเรา ดังนั้นถึงไม่ได้จำเป็นต้องมายุ่งอะไรกับชีวิตน้อยๆของพวกเราไง”
“เนิร์ด เจ้าหายอร์คเจอแล้วหรอ?”
ในตอนนี้ ก็ได้มีเสียงไพเราะของหญิงสาวดังมาจากข้างหลัง ก่อนที่จะมีสาวน้อยรูปร่างดีผู้หนึ่ง ใส่กระโปรงยาวสลวยเดินเข้ามา
“ใช่แล้ว เซวรี่ ข้าหาเจ้านั่นเจอแล้ว เขายังเหมือนเมื่อก่อนอยู่เลย ที่เหมือนราวกับขอนไม้ ”เด็กหนุ่มพูดแล้วแบะปาก
“ขอบคุณฟ้า ขอบคุณดิน ที่เจ้ายอร์คไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว” เซวรี่เดินเข้ามา ก่อนจะเอ่ยพร้อมทั้งมองไปที่หลัวซิว
“ขอบคุณที่เจ้าเป็นห่วงนะ แต่ว่าข้าไม่เป็นอะไร”หลัวซิวเอ่ยขึ้น ตอนแรกเขานั้นจะใช้ตัวตนของยอร์คและเดินทางออกไปกับคนกลุ่มนี้ เพราะเขาไม่คิดว่าจะมีใครมารู้ก่อน ว่าเขานั้นซ่อนตัวตนที่แท้จริงของเขาอยู่
“เมื่อได้ยินกันมาว่าที่เมืองทองคำเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น มีคนที่น่ากลัวและโหดร้าย ได้ฆ่าเจ้าเมืองทองคำ อีกทั้งเขายังเป็นคู่หมั้นของฆาตกรเทพบุตร”
“ ยอร์ค เจ้าเข้ามาถึงเมืองทองทำก่อนข้า เจ้าเห็นหน้าตาของไอ้ฆาตกรนั่นหรือเปล่า? ใช่ที่ว่าหน้าตาน่าเกลียดใช่มั้ย?”
ทั้งสามคนนั้นได้เดินไปตรงทางเดินของเมือง หลัวซิวพูดน้อยมาก แต่ก็เข้าใจสถานการณ์ของทั้งสามคนเป็นอย่างดี
ตัวตนของเขาตอนนี้คือยอร์ค เป็นนักยุทธ์ทองแดงของเมืองเชิ่งถิง อยู่ในขั้นระดับทองแดงกลาง
เชิ่งถิง ในพิภพนี้นับว่าเป็นสถานที่ที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด โดยสามารถนับได้ว่าเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ระดับนิรันดร์
ถึงแม้ในเมืองเชิ่งถิงจะเป็นนักยุทธ์ทองเแดงที่ระดับต่ำสุด แต่ว่าเกณฑ์ขั้นต่ำ แต่ก็ต้องเป็นถึงจอมยุทธ์ฝึกตนที่มาจากแดนแดนมกุฎยุทธ์
ในระดับนักยุทธ์ทองเแดง ก็คือนักยุทธ์เงินขาว ก็เหมือนกับการฝึกตนของมหายุทธ์ โดยที่ระดับเงินขาวขึ้นไป ก็คือนักยุทธ์ทองคำ เปรียบเสมือนการฝึกตนของเจ้ายุทธจักร
อีกทั้งระดับบนของทองคำ นั้นก็คือ มหาจักรพรรดิยุทธ์
ที่แข็งแกร่ง ที่นับว่าเป็นขั้นสูงสุดของเชิ่งถิง!
โลกเชิ่งถิง เป็นโลกที่เต็มไปด้วยความเลื่อมใส และนอกเหนือจากเมืองเชิ่งถิง ยังมีกองกำลังอื่นๆอีก ที่มีความเลื่อมใสในเทพเจ้าอื่นๆอีกด้วย
อีกทั้งเทพเจ้านั้น จริงๆแล้วก็คือเป็นมารนักรบที่แข็งแกร่งของแดนนิรันกาล
โดยความเชื่อเรื่องเทพของเชิ่งถิงนั้นคือเทวสว่าง อีกทั้งยังมีการเรื่องรู้ถึงพลังอำนาจกฎสว่างของแดนเทพมาร
อีกทั้งพลังอำนาจและความเลื่อมใสของเทพเจ้าต่างๆ บางอย่างก็มีอยู่จริง และบางอย่างก็ไม่มีอยู่
หลัวซิวตอนนี้มีเพื่อนอยู่สองคน นั่นก็คือเนิร์ดและเซวรี่ ทุกคนล้วนแต่เป็นนักยุทธ์ทองเแดง พวกเขามาที่เมืองทองคำครั้งนี้ ก็มาที่หอคอยแห่งเทพศักดิ์สิทธิ์ขอให้เทพช่วยดูแลคุ้มครองและเพื่อที่จะมาทำการฝึกฝนต่อไป
หอคอยแห่งเทพศักดิ์สิทธิ์ ในโลกเชิ่งถิงมีความไม่ธรรมดาอยู่มาก อีกทั้งหอคอยแห่งเทพศักดิ์สิทธิ์ยังไม่มีแค่หนึ่งหอคอย อีกทั้งยังมีอีกหลายหอคอย ที่คอยมีให้กับเหล่าเทพ
อิงจากที่เซวรี่และเนิร์ดคุยกัน หลัวซิวสามารถรู้ได้ว่า หอคอยแห่งเทพศักดิ์สิทธิ์ในเชิ่งถิงนั้น เปรียบเสมือนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของโลกแสงดาว
ในเชิ่งถิง จอมยุทธ์ทุกคนจะได้ยศนักยุทธ์ทองเแดง ที่มีคุณสมบัติที่จะเข้าไปฝึกจอมยุทธ์ในหอคอยแห่งเทพศักดิ์สิทธิ์
อีกทั้งหอคอยแห่งเทพศักดิ์สิทธิ์ยังเป็นสถานที่ง่ายต่อการรับกฎสัมผัสรู้ เพราะว่าเซวรี่และเนิร์ดนั้นนี่เป็นครั้งแรกที่มีคุณสมบัติเข้ามาที่หอคอยแห่งเทพศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นจึงรู้อะไรไม่ค่อยมาก
“ถ้าหากสามารถรับพลังของกฎตระหนักรู้ในแดนมกุฎยุทธ์ ก็จะมาสามารถได้รับความคุ้มครองและได้รับการอวยพร”และนี่คือสิ่งที่เซวรี่และเนิร์ดคาดหวังไว้
“ยอร์ค เจ้าล่ะ? ที่ไปที่หอคอยแห่งเทพศักดิ์สิทธิ์รอบนี้ เจ้ามีจุดประสงค์อะไร?”เซวรี่มองไปที่หลัวซิวและเอ่ย
“แค่ข้าได้เลื่อนขั้นการฝึกฝนขึ้นไปอีก ข้าก็พอใจแล้วล่ะ”หลัวซิวเอ่ยเรียบๆ
“เจ้านี่มันช่างไร้ความสนใจจริงๆ”เนิร์ดพูดอย่างแบะปาก แม้แต่เซวรี่ก็ยังรู้สึกว่ายอร์คเจ้านี่ไม่มีอะไรเป็นแรงจูงใจเลย
ระหว่างสามคนนี้ เนิร์ดคือคนที่มีวิชาขั้นที่สูงที่สุด เพราะมีขั้นฝึกของมกุฎยุทธ์ขั้นปลาย ส่วนเซวรี่นั้นมีมกุฎยุทธ์ขั้นกลาง ส่วนยอร์คนั้นมีขั้นฝึกที่ต่ำสุดคือมกุฎยุทธ์ขั้นต้น
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 845
ไม่นานมานี้ในแดนดารานอก ร่างยุทธ์ร่างเนื้อของเขาเพิ่งจะเข้าสู่แดนเจ้ายุทธจักรขั้น 1 บัดนี้หลังจากได้สูดเอาพละกำลังชีวิตของเจ้าเมืองทองคำไป ทำให้เพิ่มขึ้นเป็นแดนเจ้ายุทธจักรขั้น 3 ก้าวเข้าสู่สภาพที่สูงสุดในแดนเจ้ายุทธจักรขั้นปฐมภูมิแล้ว
หลัวซิวออกจากที่นี่อย่างรวดเร็ว เขาเพิ่งจะจากไปไม่นานเท่าไหร่ ผู้แข็งแกร่งของเผ่าเทพเพิ่งจะมาถึงที่นี่ แต่กลับเห็นเพียงสนามรบที่วุ่นวายไปหมด พอผ่านการรบครั้งนี้ไป เจ้าเมืองทองคำก็สิ้นชีพ และยอดฝีมือหลายร้อยคนที่รวมตัวกันไล่ฆ่าสัตว์ดุร้ายในเมืองนั้นก็สิ้นชีพเช่นกัน!
คราวนี้ไม่ต้องกล่าวถึงเทพสุริยะ แม้แต่ผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ของเผ่าเทพก็ถูกทำให้ตกใจเช่นกัน
เนื่องจากเจ้าเมืองทองคำไม่เหมือนกับคนปกติ ยังไงก็ขึ้นชื่อว่าสามารถเอาร่างเนื้อฝึกตนไปจนถึงมหาเจ้ายุทธจักรที่แดนเจ้ายุทธจักรขั้น 9!
แม้แต่ผู้แข็งแกร่งเช่นนี้ก็ยังถูกสังหาร ไม่ต้องคิดเลยว่าความสามารถของผู้ลงมือจะแข็งแกร่งมากระดับไหน
“ข้าต้องการเคล็ดวิชาออร่าแปลงโฉมแขนงหนึ่ง”
หลัวซิวใช้ห้วงความคิดติดต่อกับเทพแห่งวัฏจักรชีวิต ต้องการจะใช้ข้อจำกัดของผู้สืบทอดกฎดั้งเดิมผ่านวัฏจักรชีวิตเพื่อให้ได้มาซึ่งเคล็ดวิชาอาถรรพณ์
ในบันทึกของวัฏจักรชีวิตมีชีวประวัติของผู้แข็งแกร่งอย่างนับหน้าไม่ถ้วน รวมทั้งประสบการณ์ที่ผ่านมาของพวกเขาและวรยุทธ์ที่พวกเขาฝึกตน
แต่ทว่าข้อจำกัดที่ได้รับจากผลการฝึกตนของตัวเขาเอง หลัวซิวจึงได้รับเพียงแค่วิชาอาถรรพณ์ระดับมหายุทธ์เท่านั้น เทียบเท่ากับวิชายุทธ์ระดับ 9
ตามคำอธิบายของเทพแห่งวัฏจักรชีวิต หากหลังจากที่ผลการฝึกตนของเขาไปถึงแดนเจ้ายุทธจักรก็สามารถผ่านวัฏจักรชีวิตได้ และจะได้รับวิชายิ่งเลิศ
วิชายิ่งเลิศ หลัวซิวไม่ได้ขาดแคลน แต่วิชาอาถรรพณ์ที่มีความสามารถพิเศษบางอย่างจะแฝงไว้ด้วยความเป็นเลิศอยู่ในนั้น
ตัวอย่างเช่นบัดนี้ร่างของเขาอยู่ในโลกเชิ่งถิง จำเป็นจะต้องปิดบังฐานะของตนเอง จึงต้องการเคล็ดวิชาหนึ่งที่สามารถซ่อนเร้นอำพรางออร่าได้ และวิชาที่สามารถแปลงโฉมได้
วิชาอาถรรพณ์แบบนี้โดยทั่วไปจะมีข้อจำกัดมากมาย โดยตัวของหลัวซิวเองก็สามารถดัดแปลงเคลื่อนย้ายกระดูกเพื่อแปลงโฉมได้ แต่หากว่ามีผู้แข็งแกร่งที่แดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ที่ใช้กระแสสัมผัสตัวสำนึกก็สามารถมองทะลุการปิดบังของเขาได้โดยง่ายดาย
หลังจากนั้นไม่นาน หลัวซิวหาเจอวิชาอาถรรพณ์อย่างหนึ่ง เมื่อแสดงวิชาอาถรรพณ์นี้ออกมาก็จะสามารถเปลี่ยนเป็นรูปลักษณ์ของบุคคลอื่นได้ แม้ว่าจะเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นมหาจักรพรรดิยุทธ์ก็ยากที่จะมองออกได้
“มันของดีเลยนี่!”
สีหน้าของหลัวซิวแฝงไว้ด้วยความยินดี และในตอนนั้นเองก็หาสถานที่ที่ปลอดภัยที่จะศึกษาวิชาอาถรรพณ์นี้ได้แล้ว
หลายวันถัดมา เขาได้แปลงร่างเป็นชายหนุ่มเผ่าเทพที่มีผมสีทองตาสีฟ้า คลื่นของออร่าอยู่แค่ระดับมกุฎยุทธ์
เนื่องจากข้อจำกัดของวิชาอาถรรพณ์ รูปลักษณ์ที่เขาสามารถแปลงร่างได้นั้นจำเป็นจะต้องเป็นคนที่ตนเองเคยพบเจอเท่านั้น และลักษณะท่าทางชายหนุ่มมกุฎยุทธ์เผ่าเทพที่เขาแปลงร่างอยู่ตอนนี้ก็คือหนึ่งในคนที่ไม่เข้าตาท่ามกลางกลุ่มผู้ไล่สังหารกลุ่มใหญ่ในเมืองทองคำ
“ยอร์ค หลายวันนี้เจ้าไปไหนมาน่ะ? ”
เมื่อตอนที่หลัวซิวมาถึงเมืองทองคำอีกครั้งก็พบว่าทั้งเมืองอยู่ภายใต้กฎอัยการศึกแล้ว ทุกคนที่เข้าไปในเมืองจะถูกตรวจสอบอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะจอมยุทธ์จากเผ่าพันธุ์มนุษย์
เขาแปลงร่างไปเป็นรูปลักษณ์ชายหนุ่มเผ่าเทพแล้ว ตอนที่เข้าเมืองมีตัวสำนึกหลายดวงกวาดสายตาผ่าน แต่กลับมองร่างจริงของเขาไม่ออก
พอเพิ่งเข้ามาสู่ในเมืองก็มีเสียงเสียงหนึ่งดังขึ้นมา หลังจากนั้นหลัวซิวก็รู้สึกเหมือนมีฝ่ามือหนึ่งมาตบที่ไหล่ของตน
เขาหันหน้ามองกลับไป มองเห็นชายหนุ่มผมสั้นสีทองคนหนึ่งยืนอยู่ด้านหลังของตน ฝ่ามือใกล้กับไหล่ของตนมาก ห่างเพียงไม่กี่นิ้วเท่านั้น
“ยอร์คเจ้าเพื่อนคนนี้ เมื่อกี้ข้าเรียกเจ้า เจ้าไม่ได้ยินหรือ? ” ชายหนุ่มผมสั้นใช้กำปั้นทุบไปที่หน้าอกของหลัวซิวเบาๆ ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของเขาทั้งสองคนจะไม่เลวเลยทีเดียว
หลัวซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาไม่รู้ว่าฐานะที่แท้จริงของเขาถูกเปิดเผยแล้วหรือไม่ และก็ไม่รู้ว่ายอร์คที่ชายหนุ่มผมสั้นผู้นี้พูดถึงนั้นใช่หรือไม่ใช่ฐานะของชายหนุ่มเผ่าเทพคนนี้ที่ตนเองแปลงร่างอยู่ในขณะนี้
เขาพยายามหาความผิดปกติบางอย่างจากสีหน้าท่าทางของชายหนุ่มผมสั้น แต่กลับพบว่าท่าทางการแสดงออกของฝ่ายตรงข้ามจริงใจมาก ปราศจากซึ่งความเท็จและการล่อลวงเป็นอย่างมาก
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 844
เพราะว่าพลังอำนาจของเชิ่งถิงนั้น ค่ายสว่างจะมีอำนาจที่แข็งแกร่งกว่า และนักสู้ฝีมือดีจะเยอะกว่า
โดนทั้งสองค่ายนั้นจะกำหนดวันเวลาในการต่อสู้ แน่นอนว่าแต่ละคนจะได้รับข้อประโยชน์ดีๆ และก็จะมีการต่อสู้แข่งขันกันในค่ายตัวเองด้วย
“ผู้สาวใหม่หรอ? มองดูแล้วแลไม่เลวเลยนะ” ก่อนที่จะมีเสียงหัวเราะเล็กๆออกมา และชายที่สวมชุดเกราะสีแดงก็เดินมาทางที่หลัวซิว พร้อมกับพรรคพวกของเขา
บนใบหน้าของเจ้าชายคนนี้มองแล้วขาวซีดจริงๆ ราวกับว่าไม่มีเลือด ดวงตาที่มีสีแดงก่ำ ที่ทำให้ผู้คนรู้สึกความชั่วร้ายและร้ายกาจ
ในเมืองแห่งเทพศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่มีกฎอะไรทั้งนั้น พละกำลังเท่านั้น ที่คือทุกอย่าง
“ดีแลน เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้นะ!”ก่อนจะที่เงาโผล่มาจากทางด้านหลัง และหยุดชายชุดเกราะสีแดงเลือดเอาไว้
ก่อนที่จะมีชายหนุ่มที่มีใบหน้าหล่อเหลาโผล่เข้ามา และบนหน้าอกของเขานั้นได้มีตราทองทำ ที่แสดงถึงสัญญาลักษณ์ของค่ายสว่าง
แต่ทว่าตอนนี้ที่ต้องเผชิญกับชายหน้าตาน่ากลัว ที่บนหน้าอกแขวนตราสัญญาลักษณ์สีดำไว้ แสดงถึงค่ายมืด
“คาทู เจ้ากล้ามาหยุดข้าหรอ?” ชายหนุ่มที่มีใบหน้าชั่วร้าย นามว่า ดีแลน ยิ้มอย่างเยือกเย็น “เจ้าส่งผู้สาวใหม่ นั่นออกมาสะ ข้าถึงจะไว้ชีวิตเจ้าในรอบนี้”
ดวงตาของดีแลนนั้นแสดงถึงความขี้เล่น ก่อนจะจ้องมองไปที่รูปร่างของเซวรี่อย่างไม่เกรงกลัว
เซวรี่ถึงแม้จะมีรูปร่างสวย และก็ไม่นับว่าสวยมาก แต่ทว่าเธอมีรูปร่างที่ดี ถึงแม้จะใส่กระโปรงยาว แต่ก็ยากที่จะซ่อนถึงความโค้งเว้าของรูปร่างเธอ
ตอนนี้ใบหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นสีซีด ไม่คิดว่าเพิ่งจะมาถึงที่เมืองแห่งเทพศักดิ์สิทธิ์ ก็จะมาพบกับถึงความอยากได้คนของค่ายดำ
หลัวซิวแสดงใบหน้าอย่างไร้อารมณ์ เพราะสำหรับเขานั้นนี่ก็เป็นแค่วีรบุรุษรูปหล่องามทั่วไป เขาไม่คิดว่าเจ้าคาทูจะมีจุดจบที่ดีในรอบต่อไป
“บู๊ม!”
มีปีกสีดำค่อยๆกางออกจากข้างหลังของดีแลน ดวงตาของเขานั้นมีแสงที่ส่องประกายออกมา ทั้งสองข้างของมุมปากนั้นมีเขี้ยวฟันออกมา ราวกับว่าเขาทั้งคนนั้นเป็นบุคคลที่ดุร้ายมาก
“เผ่าปีศาจร้าย!”
ดวงตาของหลัวซิวหรี่ลง เขาเคยได้ยินเกี่ยวกับชนเผ่านี้ในโลกเชิ่งถิง มองดูแล้วจะไม่ค่อยต่างจากเผ่าพันธุ์มนุษย์เท่าไหร่ แต่ว่าหลังจากที่เข้าไปต่อสู้แล้ว สภาพของเผ่าปีศาจร้ายถึงจะเปลี่ยนและแสดงออกมา
“เจ้าพวกเครื่องในเผ่าปีศาจร้ายไปตายสะ”
ในมือของคาทูมีดาบแหลมคมสองเล่ม เขาจะโกนคำราม ก่อนจะวิ่งไปข้างหน้า ดาบสองเล่มที่เปล่งประกายสีทองออกมา ก่อนที่จะฟาดฟันออกไปอย่างดุเดือด
โดยปากของดีแลนได้ยิ้มอย่างเยือกเย็น ก่อนที่เขาและเงาจะรวมตัวกัน และหายวับไปจากพื้นที่ที่เขายืนอยู่ทีเดิม
“ฟู่ว!”
โดยที่เงาของมารนั้นไปปรากฏที่หลังของคาทู เลือดสีแดงไหลออกมากับดาบ ก่อนที่จะค่อยๆเชือดที่ที่คอหอยของคาทู ก่อนที่เลือกสดจะพุ่งออกมาราวกับน้ำพุ
“เลือดสดอันแสนอร่อย”
ดีแลนยิ้มอย่างร้ายกาจ ก่อนที่เขี้ยวอันแหลมคมจะกัดไปที่คอของคาทู ก่อนที่จะมีเสียงกลืนเลือดสดอึกอึกของเขา
โดยที่ร่างกายคาทูนั้นดิ้นไปหลายครั้ง ไม่มีแรงที่จะต่อสู้ขัดขืน ก่อนที่นัยน์ตาจะเริ่มเลือนรางปิดลง และกลายเป็นร่างศพ
รวมกับที่ดีแลนไม่หยุดที่จะดูดดื่มเลือดของเขา ในช่วงระยะเวลาที่รวดเร็วร่างกายของศพ ก็กลายเป็นศพแห้งทันที
“นี่หรือเมืองแห่งเทพศักดิ์สิทธิ์?”
หลัวซิวมองเรื่องที่เกิดขึ้น ใบหน้าที่ปรากฏถึงความสับสน และทำให้เขารู้สึกว่า“เทพศักดิ์สิทธิ์” สองคำนี้ ช่างเป็นคำพูดที่แสลงตาและหูยิ่งนัก
ในที่นี้ ไม่มีกฎอะไรทั้งนั้น พละกำลังเท่านั้นที่คือทุกอย่าง เมื่อค่ายมืดและค่ายสว่างมาเจอกัน มันจะต้องเป็นการต่อสู้ที่ไร้ความปรานีเป็นแน่
นี่ไม่ใช่ความคิดที่ดีของเซวรี่และเนิร์ดที่คิดว่าจะสามารถข้ามขั้นอย่างรวดเร็วไปเป็นสุขาวดีอันวิเศษล้ำ เพราะว่าหากเจ้ามีกำลังไม่มากพอหละก็ แน่นอนว่าพวกเขาจะไม่สามารถที่จะควบคุมชีวิตและโชคชะตาของตัวเองได้เลย
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 843
“ตุ้ม!”
พลังฝ่ามือกระทบเข้ากับหอกรบ เกิดเป็นเสียงดังสนั่นไปทั่วปฐพี ร่างเนื้อของเจ้าเมืองทองคำแข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบมิได้ ถูกหอกรบมังกรดำแทงถูกแต่กลับมีเพียงรอยแผลเป็นสีขาวเท่านั้น
“แข็งแกร่งมาก!” หลัวซิวนิ่งไปชั่วครู่ ในบรรดายอดฝีมือระดับเจ้ายุทธจักร นี่นับเป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นร่างเนื้อที่แข็งแกร่งเช่นนี้ โดยทั่วไปมันต้องถึงขีดจำกัดของร่างยุทธ์แดนเจ้ายุทธจักร
“อาวุธระดับของขลังพรสวรรค์งั้นหรือ? ทว่าร่างเนื้อของข้านั้นฝึกถึงขั้นสูงสุดนานแล้ว เจ้าทำร้ายข้าไม่ได้หรอก”
เจ้าเมืองทองคำเคลื่อนตัวล่องหนเข้ามา รอบกายเต็มไปด้วยแสงสีทอง และก็ไม่ได้ใช้อาวุธแต่อย่างใด เพียงแค่อาศัยร่างยุทธ์ที่เป็นร่างเนื้อเท่านั้น ก็บดขยี้ท้องฟ้าให้สั่นสะเทือนได้
พลังการรบของหลัวซิวก็ปะทุขึ้นอย่างเต็มรูปแบบเช่นกัน รอบกายมีเปลวเพลิงสีดำพุ่งไปทั่ว หอกรบมังกรดำพุ่งทะลุยาวไปยังท้องฟ้า
พลังแปรเสวียนเทียน 24 เท่า!
ปะทุเข้าหากันอีกครั้ง หลัวซิวใช้วิชาอาถรรพณ์ทำให้พลังแห่งกฎเพิ่มอานุภาพขึ้น 24 เท่า เสียงงึมงำดังขึ้นชั่วครู่แล้วก็ทะลวงฝ่ามือของเจ้าเมืองทองคำ
“เจ้า……”
สีหน้าของเจ้าเมืองทองคำที่ก่อนหน้านี้ยังเต็มไปด้วยความมั่นใจก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด กรีดร้องออกมาและถอยกลับอย่างรวดเร็ว
เขาเหลือบมองฝ่ามือที่ถูกเจาะทะลุ สีหน้าเปลี่ยนเป็นไม่น่าดูขึ้นมาทันที “วันนี้ข้าต้องสังหารเจ้าให้จงได้!”
สายตาของเจ้าเมืองทองคำนั้นเย็นชา หลังจากที่ร่างยุทธ์แดนเจ้ายุทธจักรของเขาฝึกตนจนถึงขั้นสุดแล้ว แดนเจ้ายุทธจักรขั้นนี้ก็ไม่ค่อยไม่พบคู่ต่อสู้เป็นเวลาหลายร้อยปีแล้ว
บัดนี้ผลการฝึกตนและร่างเนื้อของเขาก็มาถึงเจ้ายุทธจักรขั้น 9 แล้ว แค่ขาดการตระหนักรู้ที่ไม่เพียงพอในแดนแห่งกฎ มิเช่นนั้นก็จะเต็มไปด้วยคุณสมบัติในการโจมตีมหาจักรพรรดิยุทธ์
อย่างไรก็ตามก็เป็นเพราะแดนแห่งกฎไม่พอ ทำให้ความสามารถของเขาแข็งแกร่งอยู่เพียงแค่เจ้ายุทธจักร และไม่สามารถไปถึงระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ได้
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พลังการต่อสู้ของเจ้าเมืองทองคำที่อยู่ในแดนใหญ่อย่างเจ้ายุทธจักรเช่นนี้ก็เลยมีเพียงไม่กี่คนที่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ด้วยได้
เขายื่นนิ้วออกไป 2 นิ้ว ขยับกลางอากาศเล็กน้อย แสงสีทองระยิบระยับพุ่งออกมา ส่องประกายราวกับเสาไฟและทำลายสุญญากาศ
ร่างของหลัวซิวกะพริบชั่วครู่ จากนั้นก็หลบหลีกแสงสีทองนั้นไป มีเสียงดังโครมครามมาจากด้านหลัง ยอดเขาลูกหนึ่งถูกแสงสีทองกระทบถูก เกิดการทรุดตัวลงและมลายไปในทันที ราบเรียบกองไปกับพื้นดิน
นิ้วของเจ้าเมืองทองคำค่อยๆ ขยับอย่างต่อเนื่อง ทันใดนั้นแสงสีทองหลายสิบดวงก็พุ่งทะยานออกมาปกคลุมท้องฟ้าและผืนดินไว้ ปิดกั้นการล่าถอยของหลัวซิว
พลังการโจมตีของเจ้าเมืองทองคำนั้นโหดร้ายมาก แสงสีทองทุกดวงล้วนสว่างไสวราวกับเสาไฟ พละกำลังทรงพลังมาก
หอกรบมังกรดำที่อยู่ในมือของหลัวซิว เดินลมปราณวิชาโคจรพลังแปรเสวียนเทียน การโจมตีจู่ๆ ก็พุ่งขึ้นเป็น 24 เท่าในบัดดล
เขาก้าวยาวๆ ไปข้างหน้า แทงหอกออกไปทำลายแสงสีทองขนาดมหึมาแตกกระจาย
ในขณะเดียวกันมือซ้ายหยิบตราขลัง ตราทวยมรณะประทับลงไป
เสียงดังที่อึดอัดดังขึ้นชั่วครู่ ตราทวยมรณะปะทุออกมาตามพลังการรบของเขาในตอนนี้ พลังแข็งแกร่งอย่างที่ไม่สามารถประเมินได้ แตกเป็นจุณอยู่ในความว่างเปล่า พลังกฎความตายที่หนาราวกับมังกรดำค่อยๆ แผ่กระจายในความว่างเปล่า
ตราทวยมรณะถูกขนานนามว่าเป็นกระบวนท่าที่มีพละกำลังแข็งแกร่งที่สุดสำหรับหลัวซิวในตอนนี้ และมันอยู่ยงคงกระพันมาตลอด
เจ้าเมืองทองคำถูกโจมตีจนกระเด็นออกไป ชนเข้ากับยอดเขาลูกหนึ่ง ฝุ่นควันตลบไปหมด
เขาเป็นถึงผู้แข็งแกร่งที่ฝึกร่างเนื้อของตนไปจนถึงเจ้ายุทธจักรขั้นเก้า อาวุธระดับของขลังพรสวรรค์แทบไม่สามารถทำร้ายถูกร่างกายได้เลย แต่แดนแห่งกฎของเขาไม่สูงนัก และภายในแดนของหลัวซิวนั้นความสามารถก็ยิ่งถูกกดเอาไว้ประมาณ 5 ส่วน ร่างเนื้ออสุราที่แข็งแกร่งไม่มีทางที่จะปลดปล่อยออกมาได้อย่างเต็มกำลัง
หลัวซิวไม่ได้วางมือแม้แต่นิดเลย พลังการต่อสู้ปลดปล่อยออกมาอย่างเต็มที่ ปีกทิพย์ไร้มลทินโบกสะบัดอยู่ด้านหลัง และตามติดไปในทันที จากนั้นพุ่งเข้าไปในฝุ่นควัน แทงหอกเข้าไปที่หว่างคิ้วของเจ้าเมืองทองคำ
เจ้าเมืองทองคำหน้าซีดด้วยความตกใจ หลบหลีกจุดสำคัญที่หว่างคิ้ว จึงถูกหอกของหลัวซิวแทงทะลุไหล่ซ้ายและเลือดก็ไหลออกมาอย่างท่วมท้น
เจ้าเมืองทองคำโกรธมาก ตั้งแต่ร่างยุทธ์แดนเจ้ายุทธจักรฝึกสำเร็จมาเขายังไม่เคยเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำได้มากเท่านี้เลย และก็ไม่เคยถูกใครกดเอาไว้เช่นนี้
“พลังแห่งแสงศักดิ์สิทธิ์จะชำระทุกสิ่งให้บริสุทธิ์!”
เป็นพิภพต่ำเช่นเดียวกัน ความสามารถโดยรวมของโลกเชิ่งถิงยังห่างชั้นจากโลกแสงดาวอยู่ ผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ไม่ได้จะเจอได้ง่ายๆ
อีกทั้งตามความสามารถและฐานะของผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์แล้วก็จะไปลงมืออย่างง่ายดาย
“เจ้าเด็กบ้า ความตายรออยู่ตรงหน้าแล้วยังจะกล้าพูดอย่างเต็มปากเต็มคำอีก!” มีคนตะโกนเยาะเย้ย
ร่างของหลัวซิวแค่ขยับเล็กน้อย วินาทีถัดมาก็ปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าของคนผู้นั้น นิ้วมือเคลื่อนขึ้นเหนืออากาศเพียงนิดเดียว เสียงงึมงำดังขึ้นเจาะทะลวงไปยังหว่างคิ้ว แล้วร่างก็ล่วงลงมาจากท้องฟ้า
“ฆ่าเขาซะ!”
ศึกครั้งใหญ่ก็ถูกจุดประกายขึ้นในบัดดล ยอดฝีมือเผ่าเทพหลายท่านต่างพากันลงมือ อาวุธขลังทุกรูปแบบ วิชายิ่งเลิศทักษะยุทธ์พุ่งอย่างมืดฟ้ามัวดินไปทางหลัวซิว
ความสามารถของคนเหล่านี้ไม่สามารถคุกคามหลัวซิวได้เลย เขาปกป้องร่างกายของเขาด้วยพลังแห่งกฎ การโจมตีของคนเหล่านี้ไม่สามารถทำลายเกาะป้องกันของเขาได้เลย
แต่เมื่อทุกครั้งที่เขาลงมือโจมตีกลับไม่มีใครรับมือได้เลย คนที่แส่หาเรื่องก็ต้องตาย
“ตายซะให้หมด!”
หลัวซิวเฉยเมยและไร้ความปรานี ดีที่เลือกเดินบนเส้นทางการฝึกยุทธ์สายนี้มานานแล้ว ไม่เช่นนั้นเขาก็ถูกสังหารไปนานแล้ว
อาณาจักรแห่งกฎได้ถูกปลดปล่อยอีกครั้ง นำยอดฝีมือเผ่าเทพหลายร้อยคนที่ไล่สังหารมาจากเมืองทองคำทั้งหมดถูกปกคลุมอยู่ภายในขอบเขตของอาณาจักร
ปัง! ปัง! ปัง!……
ร่างทีละร่างแตกออกเป็นหมอกเลือด จากนั้นกลายเป็นพละกำลังสีขาวลอยเข้าสู่ร่างของหลัวซิว
ยอดฝีมือระดับเจ้ายุทธจักรสิบกว่าคนไม่ได้ถูกสังหารจากพลังของอาณาจักร แต่ก็หนีไม่ทันแล้ว จึงถูกหอกรบมังกรดำที่มือของหลัวซิวจัดการกันคนละหอก ถูกทิ่มแทงจนตาย
พละกำลังนับร้อยเข้าสู่ร่างกาย โดยเฉพาะยิ่งเป็นคนของเผ่าเทพพวกนี้ด้วย ในนั้นมีคนไม่น้อยที่มีพลังฝึกตนชีวิต พละกำลังชีวิตแข็งแกร่งยิ่งกว่าคนธรรมดาสามัญมาก
มีตัวช่วยจากพละกำลังชีวิตพวกนี้แล้ว วรยุทธ์วงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพในร่างกายของหลัวซิวกำลังทำงานด้วยตัวมันเอง ผลการฝึกปราณแท้ก็เริ่มไต่ระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ
“แดนมหายุทธ์ขั้น 5!”
หลัวซิวนึกไม่ถึงว่าการฝึกตนที่ตนเองไม่ได้ตั้งใจนั้นคิดไม่ถึงว่าจะเพียงแค่อาศัยการสังหารคน ผลการฝึกตนก็พัฒนาขึ้นไปได้บ้างเล็กน้อย
“เจ้าไม่ใช่คนแห่งโลกเชิ่งถิง!”
มีชายหนุ่มวัยกลางคนสีหน้าจริงจังเคร่งขรึมผู้หนึ่งเคลื่อนตัวมาจากที่ไกลโพ้นแล้วก้าวมาตรงหน้า ท่าทางนิ่งสงบ สวมชุดคลุมยาวสีทอง เกศาสีบลอนด์พลิ้วไหวไปกับลม
คนผู้นี้ล่องหนอยู่ในความว่างเปล่า มือไขว้หลัง มีกลิ่นอายของพลังที่น่าเกรงขามปกคลุมอยู่รอบตัว
“เผ่าพันธุ์มนุษย์ผมดำแห่งโลกเชิ่งถิงไม่มียอดฝีมือแบบเจ้าเช่นนี้ ก็มีผู้ฝึกตนถึงแดนเจ้ายุทธจักรบ้างในบางครั้ง แต่เยอะสุดก็คงไม่เกินเจ้ายุทธจักรช่วงกลาง”
ชายวัยกลางคนผู้นี้จ้องไปยังหลัวซิวด้วยดวงตาที่แหลมคม “มีเพียงเผ่าพันธุ์มนุษย์ผมดำของโลกอื่นถึงจะมีความสามารถอย่างเจ้าเช่นนี้ ที่แท้แล้วเจ้าเป็นใครกัน? เหตุใดจึงบุกเข้ามาในโลกเชิ่งถิงของพวกเรา มีแผนชั่วอะไรกันแน่? ”
“เจ้าเป็นใครอีกล่ะ? แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าไม่ใช้จอมยุทธ์แห่งโลกเชิ่งถิง? หรือว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ผมดำจะปรากฏผู้แข็งแกร่งไม่ได้งั้นหรือ?” สีหน้าของหลัวซิวไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไร
“ข้าเป็นถึงเจ้าเมืองทองคำ สำหรับเจ้าแล้วจะเป็นหรือไม่เป็นจอมยุทธ์ของโลกอื่นนั้นไม่สำคัญเลย เพราะว่าเจ้าสังหารคู่หมั้นเทพ ยังไงเสียวันนี้ก็ต้องตาย!”
ท่าทีของเจ้าเมืองทองคำนั้นเย็นชามาก ฝ่ามือข้างหนึ่งยื่นออกไปก็ปกคลุมโลกด้านหนึ่งไว้ในบัดดล
ท่าทีของหลัวซิวนั้นดูเคร่งขรึม ความสามารถของเจ้าเมืองทองคำผู้นี้แข็งแกร่งอย่างยิ่ง อีกทั้งดูเหมือนว่าจะเป็นจอมยุทธ์ที่เชี่ยวชาญร่างยุทธ์ร่างเนื้อ แสงสีทองส่องอยู่ที่หว่างนิ้ว พละกำลังอย่างหาที่สุดมิได้สามารถบดขยี้ความว่างเปล่าได้
แค่พละกำลังตอนเริ่มลงมือ หลัวซิวก็สามารถมองออกคร่าวๆ แล้วว่านี่คือผู้แข็งแกร่งเจ้ายุทธจักรขั้น 9 แม้ว่าความสามารถจะยังห่างชั้นจากเจ้ายุทธจักรอนาคินขั้น 1 แต่ก็ไม่มากนัก
ก็คงมีเพียงยอดฝีมือที่มีความสามารถระดับนี้ถึงจะมีคุณสมบัติปกครองเมืองได้ ปกป้องเมืองทองคำได้
หอกรบมังกรดำในมือหลัวซิว มังกรดำพุ่งทะยานสู่ท้องฟ้า แทงไปยังพลังฝ่ามือขนาดมหึมาที่ปกคลุมท้องฟ้าและผืนดิน
นี่ก็คืออาณาจักรแห่งกฎที่เขาฝึกตนผ่านสิ่งที่ได้รับมอบจากกฎดั้งเดิมหลังจากที่เขาบรรลุแดนมหายุทธ์
ในอาณาจักรกฎแห่งความตาย หลังจากเขาถูกคู่ต่อสู้ที่สามารถเปลี่ยนพละกำลังได้ซึ่งต้องการจะสังหารเขาได้ถูกตัวเขาเองดูดรับ และกลั่นแปรเป็นพละกำลังชีวิตจนสามารถพัฒนาเป็นผลการฝึกตนและร่างเนื้อ
จวบจนบัดนี้ อาณาจักรแห่งกฎประกอบด้วยสมรรถภาพสองชนิดคือ สมรรถภาพอย่างแรกคือการปราบปราม คนที่มีแดนแห่งกฎไม่เกินหลัวซิว ก็ล้วนถูกระงับพลังไว้ประมาณ 5 ส่วน แม้แต่ผู้ที่มีแดนแห่งกฎที่สูงกว่าเขาก็ถูกระงับพลังส่วนหนึ่งเอาไว้เช่นกัน มีเพียงผู้ที่มีแดนแห่งกฎเกินกว่าหลัวซิวอย่างมากเท่านั้นจึงจะเพิกเฉยต่อการปราบปรามอาณาจักรแห่งกฎได้
สมรรถภาพแบบที่สองก็คือยึดครองพละกำลังชีวิต
“มีผู้แข็งแกร่งในเมืองทองคำนับไม่ถ้วน เหตุใดจึงมีเพียงผู้บุ่มบ่าม 4 คนนี้เท่านั้นที่ไล่ตามออกมา? ” หลัวซิวยังคงงงงวยกับปัญหานี้อยู่
ในระหว่างที่หลัวซิวกำลังสงสัยอยู่ ทางด้านเมืองทองคำจู่ๆ ก็เต็มไปด้วยแสงสีทองปรากฏขึ้น แสงสีทองที่เต็มท้องฟ้าราวกับกลุ่มเมฆมหึมาก็ไม่ปาน กำลังเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ที่นี่อย่างรวดเร็ว
“เขายังไม่ได้หนีไปไหน!”
“พวกที่สังหารคู่หมั้นเทพยังอยู่ จับเขาไว้!”
“ทุกท่านระวังตัว คนผู้นี้สามารถสังหารคู่หมั้นเทพได้ ความสามารถต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่”
“……”
เห็นฉากตรงนี้ หลัวซิวรู้สึกตกตะลึง และในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดจึงมีเพียงผู้บุ่มบ่าม 4 คนที่ไล่ตามออกมา
โดยพื้นเพของผู้บุ่มบ่ามทั้ง 4 คนนี้แน่นอนว่าเป็นพวกที่ไม่มีสมอง แต่คนอื่นในเมืองทองคำกลับทราบดีว่าเขาสามารถสังหารกองกำลังเจ้ายุทธจักรทุกท่านที่คอยปกป้องคุ้มครองขบวนได้ ความสามารถนั้นไม่ธรรมดา ดังนั้นจึงเรียกรวมพลกองกำลังจำนวนมากถึงจะไล่สังหารตามไปได้
ตูม! ตูม! ตูม!……
ในกลุ่มเมฆสีทองขนาดมหึมานั้นรวบรวมยอดฝีมือเผ่าเทพไว้ไม่รู้เท่าไหร่ และการโจมตีอย่างนับไม่ถ้วนจู่ๆ ก็เริ่มขึ้น ทำให้ร่างของเขาจมกองลงไป
ยอดฝีมือเผ่าเทพหลายท่านพอเริ่มการโจมตีขึ้นพละกำลังก็น่าเกรงขามอย่างหาที่สุดมิได้ แผ่นดินแตกร้าว มีร่องหุบเหวไปทั่ว ดินก็ถูกทำให้ระเหยขึ้นในบัดดล
ฝุ่นควันมลายหายไป ร่างของหลัวซิวลอยออกไป ยอดฝีมือเผ่าเทพหลายท่านพอเห็นว่าเขายังไม่ตาย สีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไป
“มิน่าถึงกล้าสังหารคู่หมั้นเทพ คนผู้นี้สามารถรับมือกับการร่วมมือกันโจมตีของพวกเราและไม่ตาย ความสามารถก็คงจะแข็งแกร่งมากจริงๆ”
“จะเก่งขนาดไหน พวกเรายอดฝีมือมากมายเช่นนี้ เขาก็ควรตายอย่างไม่น่าสงสัยเลย!”
“ฮ่าๆ ทุกท่านต้องระวังอย่างจัดการเขาจนตายล่ะ มิเช่นนั้นจะไปรับรางวัลจากเทพได้อย่างไร”
ความเร็วยิ่งยวดของยอดฝีมือเผ่าเทพที่มีแสงสีเขียวระยิบระยับรอบตัวผู้หนึ่ง เพียงชั่วพริบตาก็เหาะไปปรากฏกายอยู่เบื้องหลังหลัวซิว
การฝึกตนของคนผู้นี้คือกฎธาตุลม เพียงแค่เขายังไม่ทันได้โชว์ฝีมือ เปลวเพลิงสีดำขนาดใหญ่พวยพุ่งออกมาจากร่างของหลัวซิว และปกคลุมคนผู้นี้ในบัดดล
“โอ๊ย!……”
เสียงกรีดร้องโหยหวนดังออกมา ยอดฝีมือเผ่าเทพผู้นี้ดิ้นรนไม่ถึงสองเฮือกลมหายใจก็ถูกเปลวเพลิงสีดำเผาเป็นเถ้าถ่าน
“แค่พวกสุนัขรับใช้อย่างพวกเจ้าอยากจะจับข้าไปรับรางวัลกับเทพสุริยะงั้นหรือ?” ร่างของหลัวซิวปรากฏอยู่บนยอดเขาไกลโพ้นลูกหนึ่ง และเผชิญหน้ากับยอดฝีมือเผ่าเทพหลายท่านบนท้องนภาอย่างไม่เกรงกลัว
ตัวสำนึกของเขาได้ประเมินอย่างคร่าวๆ ไปหนึ่งรอบแล้วตั้งแต่เริ่มแรก พบว่าผู้คนพวกนี้ที่ไล่สังหารมาจากเมืองทองคำแม้ว่าจำนวนจะเยอะ แต่ฝีมือกลับไม่สูง ผลการฝึกตนสูงสุดก็เพียงแค่เจ้ายุทธจักรขั้น 7 เท่านั้น
จากความสามารถของหลัวซิวในตอนนี้ มีเพียงผู้แข็งแกร่งระดับเจ้ายุทธจักรอนาคินขึ้นไปเท่านั้นจึงจะยับยั้งเขาไป แต่ในโลกเชิ่งถิงผู้แข็งแกร่งที่มีความสามารถระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์แน่นอนว่าก็มีน้อยเต็มที แม้ว่าจะเป็นเทพสุริยะที่อยู่เบื้องบนบัญชาตามความประสงค์ผู้นั้น คาดว่าความสามารถอย่างมากก็แค่ระดับเจ้ายุทธจักร
ตามที่หลัวซิวรู้มานั้นในโลกแสงดาวมี 10 เจ้ายุทธจักรอนาคินหลักๆ หากนับรวมกับผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ทุกท่านแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์แล้วน่าจะมีประมาณ 50-60 ท่าน แล้วนับรวมกับมหาจักรพรรดิยุทธ์ลึกลับอีกรวมๆ แล้วก็ไม่น่าเกินร้อยท่าน
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 840
หลัวซิวยังไม่ทันได้ร่ายวิชาย้ายร่างเปลี่ยนกระดูก เพื่อแปลงโฉมเลย ก็ถูกคนอื่นจับได้เสียแล้ว
“ดูไอ้คนผมดำนั่นสิ เหมือนกับคนในรูปที่ปิดประกาศจับเลย”
“ไม่หรอกมั้ง ฆ่าว่าที่เจ้าสาวของเทพบุตรสุริยา ยังจะกล้าปรากฏตัวที่นี่อีกหรือไงกัน?”
“เมื่อครู่ข้าก็เห็นแล้วเหมือนกัน เหมือนว่าจะเป็นคนที่ประกาศจับไว้จริงๆ นะ!”
ไม่นาน เมืองทองคำก็ลุกฮือกันขึ้นมา เมืองทองคำห่างจากค่ายวาร์ปที่ว่าที่เจ้าสาวของเทพบุตรสุริยาถูกฆ่าตายไม่ไกลนัก มือสังหารกล้ามาปรากฏตัวที่นี่งั้นหรือ
“แย่แล้ว ถูกจับได้แล้ว”
หลัวซิวรู้สึกว่ามีตัวสำนึกกำลังจับจ้องเขาอยู่ ก็เลยรีบระวังตัว กระโดดขึ้นไปทันที แล้วจะหนีไปจากเมืองนี้เสีย
เขารู้ดีว่าตนเองถูกตัวสำนึกจับตามองดูไว้แล้ว ต่อให้ตอนนี้แปลงโฉมไป ก็ไม่มีประโยชน์แล้ว
“จะหนีไปไหน!”
แสงสีทองหลายสายพุ่งออกมาจากเมืองทองคำ ล้วนเป็นคนของเผ่าเทพผมทองตาสีฟ้า
หลัวซิวสัมผัสได้ว่าคนที่ตามมาไม่ได้เป็นผู้แข็งแกร่งอะไร ดังนั้นก็เลยไม่ได้ใช้ปีกทิพย์ไร้มลทิน เหาะหนีไปธรรมดาๆ
“ไอ้คนต่ำต้อย ฆ่าว่าที่เจ้าสาวของเทพบุตรตายไปแล้วยังจะกล่ามาปรากฏตัวที่นี่อีก ไม่รู้จักที่ตายเลยหรือไง!”
“จับตัวมันไปให้เทพบุตร จะต้องได้รางวัลจากเทพบุตรอย่างแน่นอน!”
ยอดฝีมือของเผ่าเทพก็ตาเป็นประกาย จากนั้นก็เร่งความเร็วขึ้น รีบตามไป
หลัวซิวบินหนีออกไปจากเมืองทองคำหลายหมื่นลี้แล้ว ตัวสำนึกก็สัมผัสได้ว่ามีคน4คนตามมาตลอดทาง ก็เลยเผยสีหน้าแปลกใจ
ตามหลักแล้ว ประกาศที่เผ่าเทพประกาศให้จับเขา ไม่น่าจะมีแค่ไม่กี่คนที่ตามมานะ
พอคิดถึงจุดนี้ ถึงแม้หลัวซิวจะไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก
“ในเมื่อมีไม่กี่คนตามา อย่างนั้นก็จัดการให้หมดเลยแล้วกัน!”
หลัวซิวหยุดลงทันที แล้วหันไปมองคนพวกนั้นที่ตามมา
“ไอ้คนผมดำ ทำไมไม่หนีแล้วล่ะ?”
ยอดฝีมือเผ่าเทพเห็นเขาหยุดลง ก็รีบแยกกันออกไป ล้อมหลัวซิวไว้ตรงกลาง
“ทำไมข้าต้องหนีด้วยเล่า?” หลัวซิวหลุดหัวเราะออกมา “ระดับมหายุทธ์ขั้นปลาย3คน เจ้ายุทธจักรขั้นปฐมภูมิ1คน อาศัยอย่างพวกเจ้าน่ะหรือ คิดจะจับตัวข้าไปขึ้นรางวัลกับเทพบุตรสุริยา?”
โลกเชิ่งถิงก็ถือว่าเป็นพิภพต่ำ มีผู้แข็งแกร่งเจ้ายุทธจักรไม่มาก ด้วยพลังของ4คนนี้ ไม่ต้องพูดถึงหลัวซิวในตอนนี้หรอก ต่อให้เป็นเขาในตอนที่ยังไม่ได้บรรลุมหายุทธ์ ก็ไม่อาจทำอะไรหลัวซิวได้หรอก
“โอหังดีนักนะ!เจ้าไม่ใช่เผ่าเทพเสียหน่อย ต่อให้มีพลังอยู่บ้าง แต่จะเทียบกับเผ่าเทพอย่างพวกเราได้อย่างไร?”
คนที่มีพลังระดับเจ้ายุทธจักรแดนปฐมภูมิเผยใบหน้าโมโห ตะโกนเสียงดังออกมา แสงทองรอบตัวถูกปล่อยออกมา มือก็ถือนักยุทธ์รูปกระบี่ขนาดใหญ่ แล้วก็ฟันมาทางหลัวซิว
“ไปตายซะ!”
เขาฟันเข้ามา ท้องฟ้าก็ถูกแยกออก พลังแสงสว่างแฝงไปด้วยพลังกฎเกณฑ์อันความล้ำลึก
“ชีปะเขย่าไม้”
หลัวซิวไม่ได้กลัว ชี้นิ้วไปบนท้องฟ้า นักยุทธ์รูปกระบี่ของฝั่งตรงข้ามก็เกิดเสียงดังเพล๊ง แตกออกเป็นสองท่อน
จากนั้น หลัวซิวก็คิดในใจ กฎความตายดั้งเดิมถูกปลดปล่อยออกมา จอมยุทธ์ระดับมหายุทธ์3คนนั้นยังไม่ทันตอบสนองได้ทัน พลังชีวิตในตัวก็ไหลออกไปจนหมด กลายเป็นพลังให้หลัวซิวได้ดูดซึมเข้าร่างกาย
ส่วนเจ้ายุทธจักรแดนปฐมภูมิของเทพคนนั้น ถึงแม้จะไม่ถูกขอบเขตของพลังกฎเกณฑ์เข่นฆ่าไป แต่พลังในตัวทั้งหมดก็ถูกจำกัดให้เหลือแค่ครึ่งเดียว ที่หน้าผากก็เหงื่อไหลไม่หยุด
หลัวซิวชี้นิ้วออกไป คนคนนั้นไม่แรงแม้แต่จะตอบโต้ สุดท้ายก็สลายกลายเป็นกลุ่มพลัง ให้หลัวซิวได้ดูดซึมเข้าไป
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 839
พอเห็นการตอบสนองของคนเผ่าเทพหลายคน หลัวซิวก็รู้ได้ว่าเรื่องในวันนี้ไม่จบง่ายๆ แน่
เขายื่นมือออกไป หอกรบมังกรดำก็ปรากฏขึ้นมาในมือ เป็นนักยุทธ์ของขลังพรสวรรค์ที่ได้มาจากการแลกเปลี่ยนของล้ำค่าที่งานประลองยุทธ์แดนดารา เขาจะใช้มันครั้งแรกเหมือนกัน
“โครม!”
พอเขาแทงหอกออกไป หอกรบก็กลายเป็นมังกรที่คำรามน่ากลัวตัวหนึ่ง ชายผมทองเผ่าเทพคนหนึ่งเข้ามารับไว้ ร่างกายก็แหลกสลายกลายเป็นผุยผงทันที
“อานุภาพรุนแรงมาก!”
สายตาของหลัวซิวก็เผยความตกใจออกมา อานุภาพของหอกรบมังกรดำด้ามนี้ มันรุนแรงกกว่าจี่รบจื่อโม่ที่เจียงหวูจี้ใช้ในตอนนั้นหลายสิบเท่า
พลังการต่อสู้เผยออกมาจนหมด ใช้ไปแค่ไม่ถึงช่วง20หายใจ เผ่าเทพผมทองระดับเจ้ายุทธจักร4คนก็ล้วนถูกหลัวซิวจัดการด้วยหอกรบด้ามนี้
“นี่เจ้า……”
หญิงผมทองที่เหลืออยู่คนเดียวก็สีหน้าเปลี่ยน ทันใดนั้นก็ร่ายแสงทองออกมา อยากจะหนีไปจากที่นี่ ในขณะเดียวกันก็ขยี้ยันต์หยกใบหนึ่ง เพื่อส่งข่าวจากที่นี่ออกไป
เพลิงดำรวมตัวกันเป็นปีกทิพย์ไร้มลทินสยายปีกออกที่ด้านหลัง หลัวซิวก็รีบตามไป ดวงตาเย็นชาไร้น้ำใจ ไม่มีความสงสารในตัวสาวงามเลยแม้แต่น้อย หอกรบแทงออกไป เสียงดัง สึบ แทงเข้าตัวหญิงคนนั้น
“เดิมทีไม่อยากจะมีเรื่อง แต่พวกเจ้ากลับมาบีบบังคับให้ข้าต้องฆ่าคน!”
หอกรบในมือของหลัวซิวสั่น ร่างของสาวผมทองก็สลายกลายเป็นละอองเลือด
ถูกผู้แข็งแกร่งจากหลายอิทธิพลของโลกแสงดาวตามฆ่า หมดหนทางจนต้องใช้ค่ายวาร์ปหลบหนีมายังโลกเชิ่งถิง แต่คิดไม่ถึงว่า เพิ่งมาถึงก็ต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้ หลัวซิวรู้สึกว่าตนเองอดทนได้ครู่หนึ่งก็ถือว่าไม่เลวแล้ว
“ที่แห่งนี้จะอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว”
หลัวซิวรู้ว่าก่อนที่สาวผมทองจะถูกฆ่าตาย ได้ขยี้ยันต์หยกไปแล้ว อีกไม่นานน่าจะมีผู้แข็งแกร่งของเผ่าเทพมาถึงที่นี่
พอคิดถึงจุดนี้ หลัวซิวก็เร่งปีกทิพย์ไร้มลทิน ไม่นานก็หายไปจากที่แห่งนี้
หลังจากนั้นหลายวัน บนเส้นขอบฟ้าตรงหน้าก็ปรากฏเค้าโครงของเมืองขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง
นี่เป็นเมืองที่มีสีทอง สร้างขึ้นจากหินสีทองชนิดหนึ่งทั้งหลัง ต่อให้อยู่ในความมืด ก็ยังสามารถส่องแสงสีทองออกมาได้ ดูเหมือนเมืองเทพมาก
“เมืองทองคำ สมกับชื่อจริงๆ” หลัวซิวเดินเข้าเมืองไป เห็นจอมยุทธ์เผ่าเทพผมทองตาสีฟ้ามากมาย แต่จอมยุทธ์ที่ผมดำเหมือนเขาก็มีไม่น้อยเหมือนกัน แต่ฐานะดูจะต่ำกว่าหน่อย
“ค่ายวาร์ปที่ทิศตะวันตกเฉียงใต้เกิดปัญหาขึ้น ว่าที่เจ้าสาวของเทพบุตรสุริยาถูกฆ่าตายแล้ว”
“พระเจ้าช่วย ว่าที่เจ้าสาวของเทพบุตรสุริยาก็ยังกล้าฆ่างั้นหรือ? ใครเป็นคนทำ? หรือว่าจะเป็นของเผ่าพันธุ์ปีศาจ?”
“ไม่ใช่เผ่าพันธุ์ปีศาจ เหมือนจะเป็นเผ่ามนุษย์ผมดำคนหนึ่ง”
“คนผมดำผู้ต่ำต้อยกล้ามาฆ่าว่าที่เจ้าสาวของเทพบุตรสุริยาอย่างนั้นหรือ?”
ในเมืองทองคำ หลัวซิวได้ยินข่าวแบบนี้ ก็เลยรู้ว่าหญิงผมทองที่ตนเองแทงตายนั้น เป็นว่าที่เจ้าสาวของเทพบุตรสุริยา
ส่วนเทพบุตรสุริยานั้น ก็คือคนยุคใหม่ที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุดของเผ่าเทพในโลกเชิ่งถิง เทียบได้กับระดับเทพบุตรในแดนศักดิ์สิทธิ์เผ่ามนุษย์ในโลกแสงดาว
แต่เนื่องจากเผ่าเทพมีอำนาจสูงสุดในการครอบครองโลกเชิ่งถิง ดังนั้นตำแหน่งของเทพบุตรสุริยาจะสูงส่งยิ่งกว่าระดับเทพบุตรของแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ในโลกแสงดาวเสียอีก
ตามหลักแล้ว ในเมื่อเป็นว่าที่เจ้าสาวของเทพบุตรสุริยา ทำไมถึงได้ถูกส่งตัวไปเฝ้าค่ายวาร์ปในสถานที่แบบนั้นได้
เรื่องมันเป็นอย่างไร หลัวซิวไม่รู้ เขารู้เพียงว่า ตนเองเพิ่งมาถึงโลกเชิ่งถิง ก็สร้างเรื่องใหญ่เสียแล้ว
หญิงผมทองคนนั้น ก่อนตายได้ขยี้ยันต์หยกไปแล้วหนึ่งใบ เหมือนจะส่งข่าวเรื่องรูปลักษณ์ของเขาไปแล้ว อีกไม่นานในเมืองทองคำก็จะปิดประกาศจบไปทั่วเมือง
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 838
ในตอนนี้ลูกหลานเทพผมทองตาสีฟ้าพวกนี้ กำลังมองหลัวซิวด้วยใบหน้าที่ไม่แยแส เพราะว่าในโลกเชิ่งถิงนั้น คนที่มีผมดำ จะเป็นกลุ่มคนต่ำต้อย
“ให้ตายเถอะ มองดูถูกกันงั้นหรือ” หลัวซิวก็หมดคำจะพูด
“เดินทางข้ามเขตพื้นที่ก็ยังหมดสภาพแบบนี้ คนผมดำผู้ต่ำต้อยมันไม่มีพรสวรรค์เสียจริงๆ เลย”
“ตอนนี้ข้ากำลังขาดคนรับใช้พอดี อย่างน้อยเจ้านี่ก็ยังมีผลการฝึกตนระดับเจ้ายุทธจักร ถือว่าพอเป็นคนรับใช้ได้อยู่บ้าง”
หญิงสาวผมยาวสีทองแกมปลิวไสวเหมือนเปลวไฟพูดขึ้นมา
“คนรับใช้งั้นหรือ?”
หลัวซิวหยีตาลง ค่อนข้างจ้องเขม็ง เจ้านี่ปากบอกแต่ว่าคนผมดำนั้นต่ำต้อย แค่นี้ก็ทำให้เขาหัวเสียได้แล้ว ตอนนี้ยังจะให้เขาไปเป็นคนรับใช้อีกงั้นหรือ?
พลิกฝ่ามือ แล้วหลัวซิวก็กินยารักษาอาการบาดเจ็บลงไป พร้อมพูดเสียงเย็นว่า “พวกเจ้ามองข้ามคนอื่นมากเกินไปหรือเปล่า”
พอพูดออกมาดังนี้ ลูกหลานเทพผมสีทองตาสีฟ้าก็อึ้งไป จากนั้นก็หัวเราะลั่นออกมา
“เจ้ามันก็แค่คนผมดำผู้ต่ำต้อยเท่านั้นเอง มาเป็นคนรับใช้ลูกหลายเทพอย่างพวกข้า ถือว่าเป็นเกียรติมากแล้ว” ชายผมทองคนหนึ่งพูดเสียงเย็นชาออกมาอย่างไร้น้ำใจ
ในโลกเชิ่งถิง คนผมดำจะเป็นคนที่มีฐานะต่ำต้อยที่สุดในเผ่าพันธุ์มนุษย์แถมยังมีจำนวนผู้แข็งแกร่งน้อยมากอีกด้วย ถูกลูกหลานเทพผมสีทองตาสีฟ้าที่เรียกตนเองว่าเป็นลูกหลานเอาตัวไปเป็นคนรับใช้
“เปิดตัวหยั่งรู้ของเจ้า ให้ข้าได้ประทับตราทาส” หญิงผมทองตาสีฟ้าพูดเย็นชาอีกครั้ง
คนพวกนี้แข็งแกร่งมาก มีท่าทางวางมาดอยู่เหนือคนอื่น ทำให้หลัวซิวเผยสายตาที่อาฆาตออกมา
“หืม? แค่คนผมดำต่ำต้อยก็กล้าคิดจะฆ่าพวกข้างั้นหรือ? ต่อให้เจ้าฝึกจนถึงระดับเจ้ายุทธจักร แล้วเป็นผู้แข็งแกร่งในหมู่คำผมดำที่ต่ำต้อย แต่ในสายตาของเผ่าเทพอย่างพวกข้า ก็เป็นแค่มดตัวน้อยที่จะบี้ให้ตายเมื่อไหร่ก็ได้”
ชายผมทองคนหนึ่งก็มีน้ำเสียงโอหัง เหมือนว่าจะประจบหญิงคนที่จะเอาหลัวซิวไปเป็นทาส พูดไปว่า “ในเมื่อเจ้าไม่อยากเป็นทาส ก็จะกระทืบจนเจ้าจะยอม”
ชายผมทองปล่อยพลังออกมารอบกาย แล้วก็ต่อยกำปั้นสีทองขนาดใหญ่ออกมา พุ่งมาทางฝั่งของหลัวซิว
คนของเผ่าเทพหลายคนที่คอยปกป้องค่ายวาร์ปที่นี่นั้น แต่ละคนล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งเจ้ายุทธจักรที่เคยไปหาประสบการณ์ที่แดนดารานอกทั้งนั้น
“ข้าไม่อยากมีเรื่อง แต่เจ้าบีบบังคับกันขนาดนี้ แถมยั้งลงมือกับข้าอีก รนหาที่ตายจริงๆ” หลัวซิวส่งเสียงไม่พอใจ ยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ แล้วก็ซัดกำปั้นออกไป
ด้วยพลังการโจมตีของหลัวซิวในตอนนี้ เทียบกับเจ้ายุทธจักรขั้น9ได้เลย เป็นรองแค่เจ้ายุทธจักรแต่งตั้ง ชายผมทองที่ลงมือมา มีความอวดดีมาก แต่ผลการฝึกตนมีแค่ระดับเจ้ายุทธจักรขั้น4เท่านั้น
“ตุบ!”
ตอนที่ฝ่ามือกับกำปั้นกระทบกันนั้น เพลิงดำที่เกิดจากพลังกฎความตายดั้งเดิมทำลายแสงสีทองจนสลายไป กำปั้นของชายผมทองแตกหักไป
“นี่เจ้า……”
ชายผมทองร้องเสียงโอดโอยออกมา แล้วก็ถอยหลังไปด้วยความกลัว
“พลังของกฎความตายดั้งเดิม!”
“มันคือคนนอกรีต!”
“คนผมดำผู้ต่ำต้อยกล้าฝึกพลังแห่งความตายอันชั่วร้ายงั้นรึ”
คนเผ่าเทพหลายคนก็มีพลังอาฆาตพลุ่งพล่าน สายตาที่อาฆาตจับจ้องไปยังตัวหลัวซิวที่ปกคลุมไปด้วยเพลิงดำ
ในโลกเชิ่งถิง เผ่าเทพเป็นใหญ่ เน้นการฝึกวิชาจากพลังแห่งแสงสว่าง หรือพลังแห่งชีวิต เรียกพลังแห่งความตายว่านอกรีต ห้ามไม่ให้ใครฝึกเด็ดขาด
จากมุมมองบางด้านนั้น เผ่าเทพถือได้ว่ามีอำนาจครอบครองโลกเชิ่งถิงไว้หมดแล้ว ไม่เหมือนกับโลกแสงดาว ที่มีแดนศักดิ์สิทธิ์ผุดขึ้นมากมาย และคานอำนาจกัน
“ฆ่ามันซะ!”
หญิงผมทองที่ต้องการเอาหลัวซิวไปเป็นทาสก่อนหน้านี้ เหมือนจะมีตำแหน่งสูงที่สุดในเผ่าเทพ มือสวยๆ สะบัดออกไป สั่งการคนที่อยู่รอบๆ
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 837
“ผู้เพื่อนยุทธ์โปรดหยุดมือก่อน คนในค่ายกลเป็นผู้ต้องหาของโลกแสงดาวเรา”
เสียงของผู้แข็งแกร่งตระกูลยุทธ์ดังเข้ามา ร่างแยกของงูจิ่วหยินถูกโจมตีจนสลายไปแล้ว เขาแหวกฟากฟ้ารีบตามมาทันที
แต่ในตอนนี้เอง ตรงหน้าของหลัวซิวก็มีแผนที่ดวงดาวปรากฏขึ้นมา ด้านในมีชื่อของโลกพิภพอื่นใกล้ๆ แดนดารานอก
พอเห็นมหาจักรพรรดิยุทธ์ตระกูลยุทธ์ปรากฏตัวขึ้น หลัวซิวก็พูดในใจว่าแย่แล้ว จากนั้นก็เลยกดไปบางตำแหน่งบนแผนที่ ส่วนค่ายวาร์ปจะส่งตัวไปที่ไหนนั้น เขาไม่มีเวลาไปสนใจมันแล้ว
ตอนที่ร่างของหลัวซิวหายไปจากค่ายวาร์ปนั้น เขายังพอเห็นรางๆ ว่ามีผู้แข็งแกร่งทั้งหลายของโลกแสงดาวตามมาฆ่า ล้วนมีสีหน้าโกรธแค้นกันทุกคน
ใกล้ๆ กับแดนดารานอก มีพิภพต่ำ30กว่าแห่ง เขาเอานิ้วจิ้มมั่วๆ ลงไปที่แผนที่ โอกาสที่จะกลับไปยังโลกแสงดาวมีน้อยมาก และที่พวกกองกำลังอิทธิพลทั้งหลายในโลกแสงดาวอยากจะส่งคนไปตามหาเขาใน12พิภพ มันก็ไม่ต่างอะไรกับงมเข็มในมหาสมุทร
และถ้าผู้แข็งแกร่งจำนวนมากของโลกแสงดาวเข้าไปในพิภพอื่นล่ะก็ ก็จะทำให้ผู้แข็งแกร่งจากพิภพนั้นมาขวางไว้
“โครม!”
ห้วงเวลาไร้สิ้นสุดถูกบังคับเปิดออกเป็นช่องขึ้นมา หลัวซิวรู้สึกว่าควบคุมร่างกายตนเองเคลื่อนผ่านทางเชื่อมที่เต็มไปสวยแสงสีมากมายอย่างควบคุมตนเองไม่ได้
รอบๆ ตัวของเขามีเศษของห้วงเวลาช่องว่างลอยไปมา ช่องวางอันแข็งแกร่งหลายอันบีบอัดเข้ามาจากทั้ง8ทิศ
ค่ายวาร์ปพิภพไม่เหมือนกับค่ายวาร์ปทั่วไป จะต้องมีระดับเจ้ายุทธจักรขึ้นไปถึงจะพอใช้งานได้ ช่องว่างทั้งหลายที่ลอยผ่านไปดูเหมือนจะธรรมดา แต่ถ้าถูกตัวเราล่ะก็ ต่อให้มีระดับเจ้ายุทธจักรก็จะถูกห้วงเวลาฉีกร่างได้
หลัวซิวใช้กฎความตายดั้งเดิมออกมาป้องกันกาย พอวาร์ปได้ไปไกลขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ความถี่ของเศษช่องว่างที่ปรากฏ ก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ แถมยังอยู่ชิดกันมากด้วย
“โครม!”
ร่างกายของเขาสะเทือน ถูกเศษช่องว่างกระแทกใส่นับไม่ถ้วน เพลิงมรณะบนตัวสลายไปทันที บนร่างกายเกิดเป็นเสียง สึบๆๆ เลือดกระเซ็น
หลัวซิวสีหน้าเปลี่ยน สะบัดมือเอาเตาทยานนภามังกรคู่ออกมา เตาโบราณนี้ออกมาได้ถึงชั่วธูปครึ่งดอก ก็ระเบิดออก ถูกพลังของช่องว่างที่ฉีกขาดทำลายจนเป็นผุยผง
เขาไม่รู้ว่าตนเองจะถูกส่งไปที่ไหน จนกระทั่งผ่านไป3วัน ช่องว่างทางด้านหน้าถูกเปิดออก ในที่สุดก็ได้รับรู้ความรู้สึกของเท้าสัมผัสพื้นดิน
“ที่นี่คือที่ไหน?”
หลัวซิวมองไปรอบๆ เสื้อผ้าบนตัวขาดวิ่นหมด ดูหมดสภาพเลย
จริงๆ แล้วไม่ใช่เจ้ายุทธจักรทุกคนที่ใช้ค่ายวาร์ปแล้วจะหมดสภาพแบบนี้ แต่มันก็มีโอกาสที่เป็นไปได้ เจ้ายุทธจักรขั้นปฐมภูมิบางคนก็ถูกส่งตัวมาอย่างปลอดภัย จ้ายุทธจักรขั้นปลายบางคนก็เจออันตรายด้านในทางเชื่อม บ้างก็สลายเป็นผุยผงขณะอยู่ในค่ายวาร์ป
สิ่งที่หลัวซิวพบเจอตอนที่ส่งตัวมานั้น ถือได้ว่าเป็นกรณีที่ค่อนข้างอันตรายเลย
นี่คือแท่นหินอันกว้างใหญ่ มีเส้นผ่านศูนย์กลางหลายร้อยเมตร เล็กกว่าเท่นบูชาค่ายวาร์ปของแดนดารานอกมาก
“คนผมดำผู้ต่ำต้อยงั้นหรือ?”
มีคนผมทองตาสีฟ้าหลายคนปรากฏขึ้นตรงหน้าของหลัวซิว แต่ละคนล้วนมีสายตาเยือกเย็นจ้องมองเขา
“โลกเชิ่งถิงงั้นหรือ?”
หลัวซิวเห็นคนพวกนั้น ก็รู้ได้ว่าตนเองไม่ได้ถูกส่งตัวไปยังโลกแสงดาว แต่มายังโลกเชิ่งถิง
ลักษณะของคนผมทองตาสีฟ้านี้ ก็ไม่ค่อยแปลกตาเท่าไร ตอนนั้นที่เขาเพิ่งมาถึงแดนดารานอก เคยฆ่าคนแบบนี้ไปสองคน อีกอย่างคนผมทองตาสีฟ้าพวกนี้ เรียกตนเองว่า เผ่าเทพในโลกเชิ่งถิง เป็นลูกหลานของเทพ
บทที่ 836
บทที่ 838
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 836
ต่อให้เผ่าพันธุ์มนุษย์กับเผ่าพันธุ์ปีศาจมีแค้นที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ แต่เพื่อผลประโยชน์ ทุกอย่างก็สามารถทิ้งมันไปก่อนได้
นี่ทำให้หลัวซิวหมดความศรัทธาอย่างที่สุด คนเราล้วนทำเพื่อนตนเองกันทั้งนั้น
“เจ้าหนู เดี๋ยวข้าขวางสองคนนี้ไว้ เจ้ารีบหนีไป” ทันใดนั้นเอง ตัวหยั่งรู้ของหลัวซิวก็ส่งเสียงเข้ามา
หลัวซิวอึ้งเล็กน้อย จากนั้นก็เข้าใจได้ทันที ถึงอย่างไรร่างแยกของงูจิ่วหยินก็เกิดจากแค่น้ำมรณาจิ่วหยินหยดหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้มีพลังรุนแรงจนถึงขั้นสามารถฆ่าสองมหาจักรพรรดิยุทธ์ได้อย่างที่พูด
พอเข้าใจในจุดนี้แล้ว หลัวซิวก็ไม่รอช้า รีบสะบัดปีกปีกทิพย์ไร้มลทินบินไปยังที่ตั้งของค่ายวาร์ปทันที
“ตามไป!”
เจ้ายุทธจักรดาราและผู้แข็งแกร่งจากแดนศักดิ์สิทธิ์ก็บังคับดาราจักรพรรดิทองตามไป
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
งูจิ่วหยินคำรามออกมา อ้าปากพ่นสายน้ำสีดำออกไปใส่ดาราจักรพรรดิทอง
ในขณะเดียวกันนั้นเอง หางของมันก็ฟาดไปทางแนวนอน โจมตีไปยังฝั่งหุ่นเชิดอสูรยักษ์ของเผ่าพันธุ์ปีศาจ เพื่อยื้อเวลาให้หลัวซิวหนีไปให้ได้มากที่สุด
ส่วนร่างแยกของมัน ต่อให้ถูกทำลายจนสลายไป ร่างจริงของมันก็ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรแม้แต่น้อย
“งูจิ่วหยิน ฆ่าร่างจริงของเจ้าไม่ได้ แต่วันนี้จะกำจัดร่างแยกของเจ้าเสีย!”
มหาจักรพรรดิยุทธ์เผ่าพันธุ์มารปีศาจและมหาจักรพรรดิยุทธ์ตระกูลยุทธ์บุกฆ่าเข้ามาพร้อมกัน งูจิ่วหยินรับมืออย่างเหน็ดเหนื่อย ก็เลยไม่อาจจะขวางการติดตามของดาราจักรพรรดิทองและหุ่นเชิดอสูรยักษ์ได้อีกต่อไป
แต่อย่างน้อยมันก็ได้ยื้อเวลาให้กับหลัวซิวบ้าง ในสายตาของหลัวซิว ก็ได้เห็นที่ตั้งแท่นบูชาของค่ายวาร์ปแล้วรางๆ
แท่นบูชานี้กว้างใหญ่ประมาณ10กว่าลี้ ด้านบนสลักไปด้วยลายค่ายมากมาย ดูล้ำลึกมากเลยทีเดียว
นี่คือค่ายวาร์ปส่งตัวไปพิภพอื่น เกิดจากการร่วมมือของเทพมารของพิภพระดับล่างรอบนอกของแดนดารานอกจัดสร้างขึ้นมา ใช้วัตถุดิบที่มีค่ามากมายนับไม่ถ้วนเพื่อสร้างขึ้น
ที่ตั้งของค่ายวาร์ปพิภพ มีมหาจักรพรรดิยุทธ์3คนคอยดูแล เพื่อป้องกันคนมาทำลายค่ายกลที่สำคัญนี้
ตอนที่หลัวซิวปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าของค่ายวาร์ปแห่งนี้นั้น ตัวสำนึกอันแข็งแกร่งทั้ง3ก็ได้จับจ้องมาที่ตัวของหลัวซิว ทำให้หลัวซิวระวังตัว
ถ้าตอนนี้ถูกผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์3คนขวางไว้ล่ะก็ เขาก็หมดทางไปแล้วจริงๆ
โชคดีที่มหาจักรพรรดิยุทธ์3คนนี้มาจากโลกแสงดาว เพียงแค่ใช้ตัวสำนึกมาจับตาดูหลัวซิวเท่านั้น ไม่ได้ขัดขวางแต่อย่างใด
การที่จะเดินเครื่องค่ายวาร์ปนั้นจะต้องใช้หินพลังจิตจำนวนมาก หลัวซิวมีของล้ำค่าในมือนับไม่ถ้วน เรียกได้ว่ารวยมากเลยทีเดียว มีทรัพยากรนี้แน่นอน
ตรงกลางของค่ายกล มีหลุมขนาดใหญ่ หลังจากหลัวซิวบินเข้าไป ก็เอาหินพลังจิตขั้นสูงออกมาจากแหวนเก็บของ แล้วใส่เติมเข้าไปกว่าล้านก้อน
“เดินเครื่อง!”
หลัวซิวตะโกน หินพลังจิตขั้นสูงนับล้านก้อนเปล่งแสงออกมา พลังจิตอันเข้มข้นถูกปล่อยออกมา ลายค่ายบนแท่นบูชาส่งตัวขนาดใหญ่เกิดเป็นแสงสว่างขึ้นมา
“ไอ้เดรัจฉาน อย่าคิดหนี!”
ผู้แข็งแกร่งเผ่าพันธุ์มนุษย์จากแดนศักดิ์สิทธิ์ก็ขี่ดาราจักรพรรดิทองตามมา เจ้ายุทธจักรดาราเห็นว่าหลัวซิวได้เดินเครื่องค่ายกลวาร์ปแล้ว สีหน้าก็เลี่ยนไป เลยซัดดาราจักรพรรดิออกไปทุบอย่างแรง
“ใครกล้ามาบังอาจที่นี่?”
ตอนที่เจ้ายุทธจักรดาราลงมือไปนั้น ในอากาศก็มีเสียงดังเข้ามา ผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ผมทองประบ่าปรากฏตัวออกมา แล้วก็ใช้หมัดต่อยดาราจักรพรรดิทองกระเด็นออกไป
“แย่แล้ว!”
เจ้ายุทธจักรดาราตอบสนองกลับมาได้ เมื่อครู่นี้เขาคิดแต่อยากจะลงมือกับหลัวซิว ลืมไปเลยว่าที่นี่มีมหาจักรพรรดิยุทธ์คอยเฝ้าอยู่
พลังการฆ่าปกคลุมไปทั่วทั้งเจ้ายุทธจักรดาราและผู้แข็งแกร่งจากแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ โลกแสงดาวมีข้อตกลงกับโลกพิภพอื่นไว้แล้ว ใครที่กล้าลงมือทำลายค่ายวาร์ปล่ะก็ ล้วนมีโทษตาย สมควรประหาร!
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 835
ทั้งแดนดารานอกมีค่ายวาร์ปแค่อันเดียว สามารถส่งไปยังโลกพิภพเล็กๆ รอบๆ แดนดารานอกได้
โฮก!
หุ่นเชิดอสูรคำรามดัง เคลื่อนไหวอยู่บนท้องฟ้า มันรวดเร็วมาก บนท้องฟ้ามีสายฟ้าผ่าลงมาตลอดเวลา แต่ก็ทำอะไรมันไม่ได้เลย
ทางฝั่งเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็ใช้พลังของดาราจักรพรรดิทองเต็มที่ รีบตามไป เหมือนฝนดาวตกพาดผ่านท้องฟ้า
“ให้จับเสียเถอะ”
เสียงเย็นชาดังผ่านท้องฟ้าเข้ามา ฝ่ามือสีทองปรากฏขึ้น แฝงไปด้วยพลังอันเกรียงไกร จะมาจับตัวของหลัวซิว
ในขณะเดียวกันนั้นเอง ท้องฟ้าอีกฝั่งก็เปิดออก ฝ่ามือขนาดใหญ่ที่มีกลิ่นอายปีศาจรุนแรงก็จะเข้ามาจับตัวหลัวซิวเหมือนกัน
ภายใต้พลังที่รุนแรงและน่ากลัวกดดันเข้ามา ร่างของหลัวซิวก็เหมือนถูกจับมัดไว้ ปีกทิพย์ไร้มลทินจะขยับอย่างไร ก็ไม่มีทางขยับตัวได้เลย
“มหาจักรพรรดิยุทธ์ของจริง!”
หลัวซิวสีหน้าเปลี่ยน ไม่ว่าจะเป็นเจ้ายุทธจักรแต่งตั้งหรือว่าเป็นหุ่นเชิดอสูร ล้วนไม่ถือว่าเป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์ของจริง เป็นแค่เจ้ายุทธจักรที่มีพลังเทียบกันได้เท่านั้นเอง
แต่เจ้าของฝ่ามือยักษ์ทั้งสองนี้ เป็นจอมยุทธ์แดนมหาจักรพรรดิยุทธ์แน่นอน แถมยังไม่ใช่มหาจักรพรรดิยุทธ์ธรรมดาอีกด้วย!
พลังที่ไหลอยู่ในฝ่ามือยักษ์สีทองนั้น หลัวซิวมั่นใจได้ว่าจะต้องเป็นผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ของแดนศักดิ์สิทธิ์ตระกูลยุทธ์แน่นอน
ส่วนฝ่ามือที่มีพลังปีศาจนั้น จะต้องเป็นของจักรพรรดิยุทธ์คนหนึ่งของเผ่าพันธุ์ปีศาจแน่นอน
ด้วยอันตรายที่ไม่เคยมีมาก่อน สีหน้าของหลัวซิวก็เคร่งขรึมขึ้นมา
“คิดว่าเขาจะยอมให้พวกเจ้าบีบเคล้นได้ง่ายๆ อย่างนั้นหรือ?”
เขาตะโกนเสียงดัง แต่ภายใต้แรงกดดันของผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ทั้งหลาย เขาก็เหมือนคนบ้าที่ตะโกนก่อนตายเท่านั้น
ทันใดนั้นเอง ลูกแก้วก็ลอยออกมาจากตัวของหลัวซิว ความกดดันที่น่ากลัวของผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ ไม่นานก็ทำให้ลูกแก้วแตกสลายเป็นผุยผง
ในขณะเดียวกัน ในลูกแก้วน้ำมรณาจิ่วหยินหยดนั้นก็ตกลงมา
“โครม!……”
พลังอันล้ำลึกยากจะหยั่งรู้ได้แพร่กระจายออกมาจากน้ำมรณาจิ่วหยิน ดูไปแล้วเหมือนจะเป็นน้ำที่ไม่มีอะไรพิเศษ ล่องลอยอยู่ในอากาศไปมา
“เจ้าหนู เรียกข้ามาเร็วแบบนี้เลยหรือ?”
เสียงเย็นชาดังเข้ามา งูยักษ์สีดำทั้งตัวก็ปรากฏตัวขึ้นมาในท้องฟ้า พันตัวอยู่ด้านบนของหลัวซิว
“พระเจ้าช่วย พลังของเทพมารงั้นหรือ?”
ผู้แข็งแกร่งของ เผ่าพันธุ์มนุษย์ มาร และปีศาจล้วนมีสีหน้าเปลี่ยนไปมาก
“คือเทพมารที่เข่นฆ่าผู้แข็งแกร่งทั้งหลานในเหวปีศาจมรณา!” มีคนรู้จักที่มาของงูยักษ์ตัวนี้
“นี่ไม่ใช่ร่างจริง แต่เป็นร่างแยกของงูยักษ์เทพมารตัวนั้นเท่านั้น!”
ดวงตาแดงฉานมองไปรอบๆ งูมรณาจิ่วหยินอ้าปากพูดอย่างเย็นชา “พวกมดตัวน้อยสมควรตายอย่างพวกเจ้าอีกแล้ว ครั้งก่อนฆ่าไปไม่น้อย ดูเหมือนว่าพวกเจ้าจะไม่เข็ดเอาเสียเลยนะ”
“ถึงแม้เจ้าเป็นเทพมาร แต่โลกแสงดาวของข้าก็มีผู้แข็งแกร่งเทพมารเหมือนกัน” ในอากาศ ร่างกายที่ปกคลุมไปด้วยแสงทองก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นมา ก็คือมหาจักรพรรดิยุทธ์ของตระกูลยุทธ์ที่ลงมือเมื่อครู่นี้
“งูจิ่วหยิน นี่ก็เป็นแค่ร่างแยกของเจ้าเท่านั้น ถ้าไม่มีเจ้านายเจ้าคอยปกป้อง เจ้าคิดว่าจะรอดมาถึงทุกวันนี้งั้นหรือ?” มหาจักรพรรดิยุทธ์ที่มีเขาเหมือนวัวของเผ่าพันธุ์ปีศาจปรากฏตัวออกมา
“เหอะ พวกเผ่าพันธุ์ปีศาจอย่างพวกเจ้าก็เป็นแค่หมาที่ถูกส่งตัวมาเท่านั้น” งูจิ่วหยินไม่อยากจะสนใจ เลยพูดหัวเราะเย็นตอบกลับไป “ต่อให้เป็นแค่ร่างแยกของข้าแล้วอย่างไรเล่า? ฆ่ามหาจักรพรรดิยุทธ์อย่างพวกเจ้าได้อย่างสบายๆ !”
“อย่างนั้นเจ้าก็ลองดู!”
ผู้แข็งแกร่งเผ่าพันธุ์ปีศาจเดินขึ้นหน้าไป มือกำตราประทับสีดำขนาดใหญ่
ตอนนี้ มหาจักรพรรดิยุทธ์ของตระกูลยุทธ์กลับไปยืนฝั่งเดียวกับมหาจักรพรรดิยุทธ์ของเผ่าพันธุ์ปีศาจ จะร่วมมือกันจัดการกับร่างแยกของงูจิ่วหยิน
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 834
คนที่นำเผ่าพันธุ์ปีศาจมา สวมชุดเกราะสีแดง มือถือง้าว ไม่มองผู้แข็งแกร่งของเผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าพันธุ์มารอยู่ในสายตา สายตาจ้องมองไปยังหลัวซิว “ไอ้น้องชาย ขอเพียงเจ้ายอมมอบม้วนหยกมาให้เผ่าพันธุ์ปีศาจเรา ข้ารับรองว่าจะไม่ทำอะไรเจ้า”
“หลัวซิว เจ้าเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ ทั้งยังเป็นสมาชิกขององค์กรนักล่ายุทธ์ภายใต้เมืองศักดิ์สิทธิ์ ถ้าเจ้ากล้าทรยศ ก็จะเป็นคนบาปของเผ่าพันธุ์มนุษย์!” เจ้ายุทธจักรดาราตะโกนเสียงเย็นชา
“เจ้าพูดพล่ามอะไร!”
หลัวซิวด่าออกมา แล้วชี้นิ้วไปยังผู้แข็งแกร่งของแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย “พวกเจ้าหมายความว่า ถ้าพวกเจ้าต้องการฆ่าข้า ข้าก็จะต้องยืนนิ่งๆ ให้พวกเจ้ามาเอาชีวิตได้ตามสบายเลยหรือไง?”
“บังอาจ!เห็นอยู่ว่าเจ้าไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี ถ้าเอาของออกมาให้เสียดีๆ เรื่องมันจะลุกลามมาจนถึงวันนี้หรือ?”
“สิ่งของที่ข้าได้มา ทำไมจะต้องเอาไปให้พวกเจ้าด้วย? การกระทำของพวกเจ้ามันต่างอะไรกับโจรเล่า?” หลัวซิวมีสีหน้าประชดประชัน “แดนศักดิ์สิทธิ์เผ่าพันธุ์มนุษย์งั้นหรือ? ถุย!”
จิตใจคนเป็นอย่างไร โลกนี้เป็นอย่างไร ตอนนี้หลัวซิวรับรู้ได้อย่างแท้จริงแล้ว
“ความตายอยู่ตรงหน้าแล้วยังจะกล้าโอหังอีก!”
เจ้ายุทธจักรดาราตวาด ผู้แข็งแกร่งจากแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายก็เริ่มเคลื่อนกฎพลังจิตแท้ดาราจักรพรรดิสีทองก็ตัดผ่านอากาศเสียงดังโครม พุ่งไปยังตัวหลัวซิว
“ฮ่าๆ มีข้าอยู่ มีหรือจะให้พวกเจ้ามาโอหังที่นี่ได้?” คนที่นำเผ่าพันธุ์ปีศาจเข้ามาก็หัวเราะลั่น หุ่นเชิดอสูรที่ด้านล่างของเท้าก็คำราม กรงเล็บขนาดใหญ่ ตะครุบไปยังด้านบนของดาราจักรพรรดิทองอย่างแรง
ภายใต้กรงเล็บของอสูรยักษ์ตัวนั้น ดาราจักรพรรดิทองก็เป็นเหมือนกับลูกโป่งที่แตกออกมา แล้วกระเด็นออกไปหลายร้อยลี้
สงครามใหญ่ได้เกิดขึ้นแล้ว ผู้แข็งแกร่งแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายของเผ่าพันธุ์มนุษย์บังคับดาราจักรพรรดิทองต่อสู้กับหุ่นเชิดอสูรยักษ์
แม้แต่เจ้ายุทธจักรทั้งหลายที่เข้ามาฝึกหาประสบการณ์ในแดนดารานอกก็เข้ามาเกี่ยวข้องกับสงครามนี้ด้วย เผ่าพันธุ์มนุษย์ เผ่าพันธุ์มาร เผ่าพันธุ์ปีศาจเข่นฆ่ากันไป เสียงตะโกนให้บุกฆ่าดังสนั่นฟ้าดิน เลือดนองเป็นสายน้ำ
ส่วนจอมยุทธ์จากโลกพิภพอื่นก็ล้วนรีบหนีกันออกไป เพราะกลัวจะต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการตะลุมบอนภายในโลกแสงดาวครั้งนี้
เจ้ายุทธจักรหลายพันตะลุมบอนสู้กัน เรียกได้ว่าดุเดือดรุนแรงมาก ในตอนที่เผ่าพันธุ์มนุษย์ เผ่าพันธุ์มาร เผ่าพันธุ์ปีศาจสู้กันอยู่นั้น ก็มีคนไม่น้อยพุ่งมายังตัวหลัวซิว คิดจะฆ่าหลัวซิว เพื่อนแย่งชิงม้วนหยกไป
หลัวซิวก็ใช้พลังการต่อสู้ทั้งหมด เพลิงดำก็ไหลออกมาทั่วกาย พลังกฎเกณฑ์ถูกปล่อยออกมา!
ไม่นาน เจ้ายุทธจักรทั้งหลายที่เข้าใกล้หลัวซิวภายใน600เมตร ก็ล้วนสัมผัสได้ว่าผลการฝึกตนของตนเองถูกกดไว้ พลังทั้งหมดในตัวเหมือนถูกกดให้เหลือแค่ครึ่งเดียว
ไม่เพียงเท่านั้น พวกเขายังสัมผัสได้ว่าพลังชีวิตของตนเองไหลออกไปไม่หยุด กำลังถูกพลังของความตายแย่งชิงไป
“ไปตายเสียเถอะ!”
หลัวซิวเย็นชาไร้น้ำใจ มกุฎอัคคีนภาเหลืองถูกเรียกออกมา พริบตาก็เผาทำลายผู้แข็งแกร่งแดนเจ้ายุทธจักรทั้งหลายจนไม่เหลือซาก
ด้วยระดับพลังกฎเกณฑ์ของหลัวซิวในตอนนี้ เว้นเสียแต่จะเป็นจอมยุทธ์เจ้ายุทธจักรแต่งตั้งขั้น1 ไม่อย่างนั้นต่อให้เป็นจอมยุทธ์ขั้น9ที่เข้ามาในเขตพลังของเขา ก็ล้วนจะถูกกดพลังให้เหลือเพียง5ส่วนเท่านั้น
เช่นนี้มันก็แสดงว่า ภายในขอบเขตพลังกฎเกณฑ์ของเขา ต่ำกว่าเจ้ายุทธจักรแต่งตั้ง เขาก็ถือว่าไร้คู่ต่อสู้
ไม่นาน ก็มีเจ้ายุทธจักรหลายคนตายอย่างอนาถ แหวนเก็บของก็ตกเป็นของเขาหมด
หลัวซิวไม่ได้สู้ยืดเยื้อ ก็เลยบุกฝ่าออกไปจากวงล้อมของเจ้ายุทธจักรทั้งหลาย จากนั้นปีกทิพย์ไร้มลทินก็สะบัดออกมา รีบบินไปยังตำแหน่งของค่ายวาร์ปทันที
“เจ้านั่นมันจะใช้ค่ายวาร์ปหนีออกไป!”
ผู้แข็งแกร่งของเผ่าพันธุ์มนุษย์ มาร ปีศาจล้วนสังเกตเห็นดารเคลื่อนไหวของหลัวซิว พอเห็นดังนั้น ก็รู้ความต้องการขอกลัวซิวออกทันที
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 833
“ของวิเศษระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์งั้นหรือ?”
ผู้แข็งแกร่งจากหลายอิทธิพลก็สีหน้าเปลี่ยน เห็นได้ชัดว่าคิดไม่ถึงว่าบนตัวหลัวซิวจะมีของวิเศษระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์อยู่ด้วย
และสิ่งที่ทำให้ผู้แข็งแกร่งทั้งหลายตกใจมากกว่านั้นก็คือ ผลการฝึกตนของเขายังไม่ถึงแดนเจ้ายุทธจักรเสียด้วยซ้ำ แต่สามารถใช้งานของวิเศษได้เสียอย่างนั้น?
“ผลการฝึกตนของเจ้านี่ อย่างมากก็อยู่ที่แดนมหายุทธ์ ด้วยผลการฝึกตนของเจ้านี่ ก็สามารถใช้งานพลังจากของวิเศษระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ได้เล็กน้อย ถ้าเจ้านี่ถึงแดนเจ้ายุทธจักรล่ะก็ เกรงว่าจะสามารถใช้งานพลังของวิเศษได้หมดเลย พลังการต่อสู้ก็จะเทียบเท่าระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์เลย”
“คนแบบนี้ปล่อยไว้ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นถ้าให้มันได้เติบโตมากยิ่งขึ้นล่ะก็ จะต้องมีใจเคียดแค้นต่อเผ่าพันธุ์มนุษย์เราอย่างแน่นอน”
ผู้แข็งแกร่งจากแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ก็บังเกิดใจคิดอาฆาตกันขึ้นมา เจ้ายุทธจักรดาราตะโกนขึ้นว่า “ทุกท่านมาช่วยข้ากระตุ้นของดาราจักรพรรดิที”
“ได้!”
ผู้แข็งแกร่งจากแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ก็ตอบรับ พลังจิตแท้ทั้งหลายก็ถ่ายทอดออกไป พลังดาราก็ขยายมากขึ้น และเคลื่อนไหวเร็วขึ้นมาก ใหญ่เต็มท้องฟ้า เข้าใกล้หลัวซิวมากขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่ความเร็วของปีกทิพย์ไร้มลทินก็ยังหนีไม่พ้น
โครม!
ระเบิดกระจาย ดาราจักรพรรดิสีทองตกลงใส่ตัวหลัวซิว เหมือนดาวอุกกาบาตตก
หลัวซิวก็ใช้ตำหนักเสวียนดำออกมาตั้งรับอีกครั้ง ถึงแม้ตำหนักเสวียนดำจะเป็นของวิเศษขั้นสูง แต่เนื่องจากผลการฝึกตนของหลัวซิวมีจำกัด ก็เลยแสดงพลังได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่มีทางเทียบกับพลังของดาราจักรพรรดิสีทองได้
ดังนั้น มันก็เลยถูกโจมตีกระเด็นออกไปอีกครั้ง กระแทกที่สะท้อนกลับมา ทำให้เขาเลือดออกทั้งปากและจมูก เลือดลมได้รับแรงกระทบกระเทือน
“เจ้าเด็กน้อย เจ้าเป็นปฏิปักษ์กับแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ก็เหมือนรนหาที่ตาย ฝืนอาณัติสวรรค์”
ผู้แข็งแกร่งจากแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลานไร้ปรานี เงาร่างหนึ่งก็ยืนอยู่บนดาราจักรพรรดิสีทอง รังสีการฆ่าพลุ่งพล่าน
“ได้จบชีวิตภายในดาราจักรพรรดิ ถือว่าชาตินี้เจ้าเกิดมาไม่เสียดายแล้ว” เจ้ายุทธจักรดารามีแสงเปล่งออกมาทั่วกาย ราวกับเทพเจ้ากำลัง พิพากษามนุษย์ที่กระทำผิด
“พวกคนแก่ที่มีชีวิตอยู่มาแล้วหลายพันปีร่วมมือกันตามฆ่าผู้อายุน้อยกว่า บัญชีนี้ ข้าหลัวซิวจดจำมันไว้แล้ว!”
สีหน้าของหลัวซิวก็เย็นชาสุดขีด เรื่องที่เขามายังแดนดารานอก นอกจากเขาแล้ว ก็มีแต่เจ้าแดนหลิวหงเทียนที่รู้ และแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ รู้เรื่องได้อย่างไรกัน?
ตัวเขาเองไม่มีทางขายตนเองเป็นแน่ แล้วปัญหาจะต้องอยู่ที่ตัวของหลิวหงเทียนแน่นอน
“ไอ้เดรัจฉาน จะตายอยู่รอมร่อยังจะปากดีอีก เจ้าคิดว่าวันนี้จะรอดไปได้อีกอย่างนั้นรึ?”
“เอาของออกมาเสียดีๆ จะไว้ชีวิตเจ้า” ผู้แข็งแกร่งเจ้ายุทธจักรนับร้อยยืนอยู่บนดาราจักรพรรดิ ล้วนมีสีหน้าเอาจริงเอาจัง
“ฮ่าๆ เผ่าพันธุ์มนุษย์ชอบการต่อสู้ ไอ้น้อง แดนศักดิ์สิทธิ์เผ่าพันธุ์มนุษย์พวกนี้อยากจะฆ่าเจ้า เจ้ามาเข้าร่วมกับเผ่าพันธุ์ปีศาจกับพวกเราดีกว่า”
ทันใดนั้นอากาศถูกเผาไหม้ อสูรตัวใหญ่ก็ปรากฏขึ้นมาในอากาศ ตัวยาว300กว่าเมตร บนหลังมีผู้แข็งแกร่งเผ่าพันธุ์ปีศาจหลายคนแพร่กลิ่นอายมารออก
อสูรที่น่ากลัวนี้ คือหุ่นเชิด เผ่าพันธุ์ปีศาจถ่ายทอดและฝึกวิชาค่ายกลจำพวกหุ่นเชิด
การปรากฏตัวขึ้นของคนของเผ่าพันธุ์ปีศาจ ทำให้ผู้แข็งแกร่งจากแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ถึงกับสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
การปรากฏตัวขึ้นของเผ่าพันธุ์ปีศาจ เห็นได้ชัดว่าจะแข็งแกร่งกว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์จากแดนศักดิ์สิทธิ์ หุ่นเชิดอสูรที่สูงใหญ่300กว่าเมตรนั้น มีพลังเทียบกับระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ได้เลย
หุ่นเชิดระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น9!
“เผ่าพันธุ์ปีศาจสมควรตายจริงๆ !”
ท้องฟ้าก็ถูกฉีกออกอีกครั้ง ผู้แข็งแกร่งเผ่าพันธุ์มารหายตัวเข้ามา จ้องมองคนของเผ่าพันธุ์ปีศาจด้วยความโมโห พลังอาฆาตพุ่งพล่าน
เพราะว่าหุ่นเชิดอสูรที่เผ่าพันธุ์ปีศาจบังคับอยู่นี้ คือหุ่นที่สร้างขึ้นมาจากจักรพรรดิอสูรตนหนึ่งของเผ่าพันธุ์มารในอดีต
สงครามพ้นพิบัติในอดีต ผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ของเผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าพันธุ์มารตายไปไม่น้อย ศพก็ถูกเผ่าพันธุ์ปีศาจแย่งชิงไปสร้างเป็นหุ่นเชิด
คนที่นำมา มาดนิ่งดูสูงศักดิ์ เป็นหญิงคลุมผ้าคลุมสีแดง หว่างคิ้วแต้มจุดสีชาด รอบตัวเปล่งพลังล้ำลึกแข็งแกร่งออกมา
“หลัวซิว ครั้งนี้ข้าจะดูซิว่าเจ้าจะหนีไปไหนได้!”
“เจ้ายุทธจักรหงส์งั้นหรือ?!”
หลัวซิวสีหน้าเปลี่ยน เพราะคิดไม่ถึงเลยว่าเจ้ายุทธจักรหงส์จะมาปรากฏตัวที่นี่
“เจ้ายุทธจักรหงส์ของโลกแสงดาวงั้นหรือ?”
เจ้ายุทธจักรขั้น9ทั้งหลายบนเขามังกรขาวล้วนตกใจออกมาตามกัน คิดถึงปีนั้น เจ้ายุทธจักรหงส์ก็เคยมาท่องเที่ยวหาประสบการณ์และฝึกวิชาที่แดนดารานอกเหมือนกัน ทิ้งชื่อเสียงไว้อย่างโด่งดัง
“หลัวซิว? หลัวซิว?” หวูเย๋ก็จ้องมองหลัวซิวด้วยความตกใจและสงสัย
ก่อนหน้านี้ไม่นานได้รับสาส์นจากตระกูลยุทธ์ บอกให้เขาช่วยตามหาคนรุ่นหลังที่ชื่อว่าหลัวซิว
ผู้แข็งแกร่งที่มีพลังเทียบเท่าจักรยุทธจักรขั้น9 จะเป็นวัยรุ่นคนรุ่นหลังได้อย่างไรกัน?
เจ้ายุทธจักรหงส์ยืนกลางอากาศ มองต่ำลงมาด้านล่าง สองตาจับจ้องหลัวซิว “เจ้าคิดว่าหนีมาที่แดนดารานอก แล้วข้าจะทำอะไรเจ้าไม่ได้งั้นหรือ? วันนี้จะเป็นวันตายของเจ้า!”
โครม!
ขณะที่พูด เจ้ายุทธจักรหงส์ก็ยกมือตบด้วยกรงเล็บกลางอากาศ เพลิงไฟรวมตัวกันเป็นฝ่ามือขนาดใหญ่ ตะครุบลงที่หลัวซิวที่อยู่บนยอดเขามังกรขาวด้านล่าง
หลัวซิวก็ไม่กลัว ยิ้มเย็นพูดว่า “เจ้ายุทธจักรหงส์ เจ้าเคยได้ยินหรือเปล่า ว่าไม่ได้เจอกัน3วันจะต้องมองกันใหม่?”
“ถ้าเป็นสองปีก่อน ข้าอยู่ต่อหน้าเจ้าก็เป็นแค่มดตัวหนึ่ง แต่ตอนนี้ อย่างเจ้าน่ะหรือจะมาขวางข้าได้”
รอบตัวหลัวซิวก็มีเพลิงสีดำกระจายออกมา ปีกทิพย์ไร้มลทินก็สยายออกมาจากด้านหลัง แล้วก็หายไปจากยอดเขามังกรขาวในพริบตา
การตอบสนองของเขาเร็วมาก บวกกับความเร็วของปีกทิพย์ไร้มลทิน ตอนที่ฝ่ามือเพลิงของเจ้ายุทธจักรหงส์จะฟาดลงมานั้น เขาก็ได้หนีออกไปจากวงการโจมตีของฝั่งตรงข้ามแล้ว
“คิดหนีงั้นหรือ? ต่อให้เจ้ามีปีกทิพย์ไร้มลทิน ก็ย่าคิดว่าจะหนีไปจากเงื้อมมือของข้าได้!”
เจ้ายุทธจักรหงส์เผยใบหน้าหัวเราะเยาะ ที่ส่วนเท้าก็เกิดเป็นเพลิงไหลซ้อนกันไปมา แล้วกลายเป็นรูปหงส์ พริบตาก็เผาผลาญอากาศจนสิ้น และพุ่งออกไปด้วยความเร็วที่ไม่ช้ากว่าหลัวซิวเลย
ความเร็วของปีกทิพย์ไร้มลทินสามารถหนีจากคนระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ได้สบายๆ แต่เจ้ายุทธจักรหงส์มีฉายาว่าผู้แข็งแกร่งเจ้ายุทธจักร พลังเทียบเท่ามหาจักรพรรดิยุทธ์ ด้วยวิชาเหาะเหินของเผ่าหงส์ ไม่นานก็ตามหลัวซิวได้ทัน
“หลัวซิว เจ้าหมดทางหนีแล้ว!”
เสียงตะโกนดังเข้ามาอีกครั้ง เรือรบสีทองตัดผ่านอากาศเข้ามา ปรากฏขึ้นตรงหน้า ด้านบนมีธงรบของแดนศักดิ์สิทธิ์ตระกูลยุทธ์ปลิวไสวอยู่
จากนั้น จากนั้นก็มีแสงดาวสว่างไปทั่วฟ้า ผู้แข็งแกร่งตำหนักดารานภาที่มีเจ้ายุทธจักรดาราเป็นผู้นำ ก็มาถึงเหมือนกัน
ผู้แข็งแกร่งที่ปรากฏตัวออกมา มีมากขึ้นเรื่อยๆ แค่ผู้แข็งแกร่งที่มีพลังเทียบได้กับเจ้ายุทธจักรก็มี3คนแล้ว ทำให้กลัวซิวทั้งตกใจทั้งโมโห “ดูเหมือนว่าเจ้าพวกนี้จะเอาม้วนหยกของข้าเสียให้ได้”
“ปีกทิพย์ไร้มลทินเอ๋ย บินไปสุดพลังเลย!”
หลัวซิวตะโกน แล้วก็ใช้ปีกทิพย์ไร้มลทินบินไปด้วยความเร็วสูงสุด มุ่งหน้าไปยังตำแหน่งค่ายวาร์ป ตามตำแหน่งบนแผนที่ในม้วนหยก
“กองกำลังของพวกเข้าส่งผู้แข็งแกร่งมามากมายขนาดนี้เพื่อจับตัวเจ้า ถ้ายังให้เจ้าหนีไปได้อีกล่ะก็ แดนศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราทั้งหลายจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?”
เจ้ายุทธจักรดาราของตำหนักดารานภาก็เผยรอยยิ้มเย็นชาออกมา ชี้นิ้วไปในอากาศ แสงดาวลอยไป กลายร่างเป็นดวงดาวสีทอง พุ่งผ่านอากาศไปยังตัวหลัวซิว
ดาวดวงนี้แฝงไปด้วยอานุภาพอันรุนแรง เป็นสมบัติวิเศษที่ผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์สร้างขึ้นมา
ภายใต้แรงกดดันบีบเค้นของดาวสมบัติวิเศษดวง ความเร็วของปีกทิพย์ไร้มลทินได้รับผลกระทบอย่างมาก
“ตำหนักเสวียนดำ!”
ที่จุดตันเถียนของหลังซิวมีแสงเปล่งออกมา ตำหนักเล็กๆ ขนาดเท่าฝ่ามือลอยออกมา แล้วใหญ่ขึ้นตามลม
โครม!
สมบัติวิเศษดวงดาวกระแทกเข้ากับตำหนักเสวียนดำอย่างแรง แล้วตามมาด้วยเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ตำหนักเสวียนดำถูกโจมตีจนกระเด็นลอยออกไป แต่ไม่ได้พังเสียหาย
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 831
หลัวซิวก็เข้าใจความหมายของหวูเย๋ แต่ยาแบบนี้ผลทิพย์แท้มันหายาก เขาไม่อยากจะเอาออกมาเสียด้วยซ้ำ
พอได้ยินเงื่อนไขของหวูเย๋ เจ้ายุทธจักรขั้น9ทั้งหลายในงาน ก็เงียบกันไปทันที
สำหรับผู้แข็งแกร่งที่มาถึงระดับนี้ได้อย่างพวกเขานั้น สิ่งที่หวังมากที่สุด ก็คือบรรลุขั้นต่อไป เพื่อก้าวเข้าสู่แดนมหาจักรพรรดิยุทธ์
ดังนั้น ยาที่สามารถเพิ่มผลการฝึกตน ร่างยุทธ์ร่างเนื้อ หรือตัวสำนึกได้ ก็จะไม่เอาออกมาแลกง่ายๆ
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงของล้ำค่าที่สามารถเอามาเพิ่มร่างยุทธ์ร่างเนื้อได้ ถ้าใครมีอยู่ในมือ ก็จะต้องเก็บเอาไว้ใช้เองทั้งนั้น
อีกอย่างนักยุทธ์ที่มีระดับของขลังพรสวรรค์มีราคาไม่ธรรมดา ไม่รู้ว่าต้องใช้ของล้ำค่ามากเท่าไรถึงจะได้มาครอบครอง
“ผมมียามังกรฟ้าขั้น9 ไม่ทราบว่าผู้เพื่อนยุทธ์ท่านนี้พอใจหรือไม่?” ทันใดนั้นเอง หลัวซิวก็ค่อยๆ เอ่ยแกออกมา
ยามังกรฟ้า เป็นยากลั่นร่างขั้น9 แต่ประสิทธิภาพก็ยังสู้ผลทิพย์แท้ไม่ได้
“เจ้ามีเท่าไร?” หวูเย๋ถาม ถึงแม้จะไม่มีผลทิพย์แท้ แต่ถ้ายามังกรฟ้ามีจำนวนมากพอ ก็สามารถทำให้เขาบรรลุจุดนี้ไปได้เหมือนกัน แล้วกลายเป็นร่างยุทธ์แดนเจ้ายุทธจักรขั้นปลาย
“20เม็ด” หลัวซิวกล่าว
“ไม่พอ!” หวูเย๋ส่ายหัวทันที “หอกรบมังกรดำด้ามนี้ อย่างน้อยต้องแลกกับยามังกรฟ้า30เม็ด!”
“ข้าเพิ่มยาศักดิ์สิทธิ์ฟ้าให้เจ้าอีก10เม็ด” หลัวซิวพูดอย่างสบายๆ “ราคาของยาศักดิ์สิทธิ์ฟ้านั้น สูงกว่ายามังกรฟ้าเสียอีก”
“หือ!……”
เจ้ายุทธจักรขั้น9ทั้งหลายในงานต่างพากันหายใจเข้าอย่างลึก
“ครั้งแรกก็เปิดด้วยยาเม็ดขั้น9ตั้ง30เม็ดเลยหรือนี่ หมอนี่เป็นปรมาจารย์กลั่นยาหรือไงกัน?”
“ข้าว่าไม่เหมือนหรอก ถ้าเป็นปรมาจารย์กลั่นยาขั้น9ล่ะก็ จะต้องมาฝึกที่แดนดารานอกอีกทำไมกัน?”
“นั่นน่ะสิ ถ้าข้ามีระดับวิชาที่กลั่นยาได้ล่ะก็ ไม่ต้องเครียดกับการรวบรวมทรัพยากรแล้วล่ะ”
หวูเย๋จ้องมองหลัวซิว เขาเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าคนคนนี้จะเสนอยาขั้น9มาเลยทีเดียว30เม็ด
“ได้ ข้าแลกกับเจ้าแล้วกัน!” หวูเย๋พยักหน้า
ใบหน้าของหลัวซิวเผยรอยยิ้มออกมา แล้วยกมือโยนขวดหยก3ขวดให้กับหวูเย๋ ด้านในมียามังกรฟ้า30เม็ด และยาศักดิ์สิทธิ์ฟ้า10เม็ด
พอหวูเย๋ตรวจสอบของที่ได้มาแล้ว สีหน้าก็ผงะตกใจขึ้นมา ในใจก็ตื่นตระหนกอย่างมาก “ยาบริสุทธิ์ไม่มีเจือปนเลยหรือนี่?”
“ยาของข้ามีปัญหาอะไรหรือเปล่า?” หลัวซิวถาม
หวูเย๋ก็ตั้งสติกลับมาจากการตกใจ แล้วยิ้มพูดว่า “ไฉนเล่าผู้เพื่อนยุทธ์หลัวซิว ยาไม่มีปัญหาอะไรเลย เพียงแต่ระดับของยามันสูงมาก เลยทำให้ข้าตกใจ”
ตอนนี้ท่าทางที่หวูเย๋มีต่อหลัวซิวได้เปลี่ยนไปแล้ว เพราะว่าเขาพบว่า ยา30เม็ดที่ฝั่งตรงข้ามให้ตนเองมานั้น พลังของยารวมตัวกันดีไม่สลายออก น่าจะกลั่นออกมาได้ไม่เกิน1ปี
เช่นนี้ก็แสดงว่า ยาพวกนี้เป็นไปได้อย่างสูงว่าถูกกลั่นขึ้นมาด้วยมือหลัวซิวเอง
ปรมาจารย์กลั่นยาระดับ9คนหนึ่ง กลั่นยาที่บริสุทธิ์ไม่มีอะไรเจือปนเลยได้สำเร็จ ยอดฝีมือแบบนี้จะต้องคบค้าสมาคมไว้เท่านั้น จะไปหาเรื่องด้วยไม่ได้
“ในโลกแสงดาวมีคนเก่งแบบนี้ตอนไหนกัน?” ในใจของหวูเย๋ก็ยังสงสัย เขาเข้ามาในแดนดารานอก200กว่าปีแล้ว ก่อนหน้านี้ไม่เคยได้ยินคนชื่อหลัวซิวในโลกแสงดาวมาก่อนเลย
“ในเมื่อยาไม่มีปัญหา อย่างนั้นหอกรบมังกรดำด้ามนี้ก็เป็นของข้าแล้วนะ” หลัวซิวยิ้มพูด
ตอนที่หลัวซิวกำลังจะเก็บหอกรบมังกรดำนั้นเอง ยังไม่ทันได้ตรวจสอบดู ด้านบนของเขามังกรขาว ก็มีแสงพุ่งออกมา แล้วแยกเป็นเงา3คน
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 830
ไม่ใช่แค่โลกแสงดาวเท่านั้นที่จะมีเผ่าพันธุ์ปีศาจกับปีศาจ โลกพิภพอื่นก็มีผู้แข็งแกร่งของสองเผ่าพันธุ์นี้อยู่เหมือนกัน
หลัวซิวหาที่ว่างแล้วนั่งขัดสมาธิลง มองไปรอบๆ สามารถเห็นพื้นที่ต่างๆ ของรอบๆ เขามังกรขาว จ้องมองไปยังพื้นดินอันกว้างใหญ่ด้านล่าง ยิ่งเป็นการเน้นย้ำฐานะตัวตนของผู้แข็งแกร่งระดับเจ้ายุทธจักรขั้นสูงทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่
ในที่แห่งนี้ ถึงแม้เผ่าพันธุ์มนุษย์ เผ่าพันธุ์ปีศาจ เผ่าพันธุ์ปีศาจจะแบ่งค่ายไว้ไม่เหมือนกัน แต่สิ่งมีชีวิตในโลกนี้นั้น ล้วนทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ ที่มารวมตัวกันครั้งนี้ ก็ไม่ได้จะมาหาเรื่องกันแต่อย่างใด มาครั้งนี้เพื่อและเปลี่ยนของล้ำค่าเท่านั้น
พองานประลองยุทธ์แดนดาราจบลงแล้วเข้าไปยังเขตแดนของฝั่งตรงข้าม ก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงสงครามได้
“ข้าว่าก็มากันพอสมควรแล้ว ข้ามีธงค่ายของค่ายอัสนีนภาระดับเจ้ายุทธจักรขั้น9หนึ่งชุด ไม่ทราบว่ามีท่านไหนสนใจหรือไม่?” ชายแก่เผ่าพันธุ์มนุษย์คนหนึ่งลุกขึ้นพูดอย่างเสียงดังฟังชัด
ประโยชน์การใช้งานของค่ายกลนั้น ค่ายอัสนีนภาระดับเจ้ายุทธจักรขั้น9นี้ ไม่เพียงสามารถเอามาใช้เข่นฆ่าศัตรูได้ ยังสามารถติดตั้ง แล้วใช้พลังของสายฟ้าส่งเข้ามาในกายได้
ขณะพูด ชายแก่เผ่าพันธุ์มนุษย์คนนี้ก็หยิบธงค่ายชุดหนึ่งออกมา ธงค่ายแต่ละใบล้วนสลักลายค่ายเอาไว้อย่างซับซ้อน เปล่งประกายเป็นแสงสายฟ้า
“จะแลกอย่างไรได้?” ไม่นานก็มีคนเอ่ยปากถาม
“ข้าต้องการวัตถุดิบขั้น9ของAttrสายฟ้า” ชายแก่เผ่าพันธุ์มนุษย์กล่าว
ไม่นาน มารระดับแดนเจ้ายุทธจักรตนหนึ่งของเผ่าพันธุ์ปีศาจก็แลกของได้ค่ายอัสนีนภาขั้น9ชุดนี้ไปครอง
จากนั้น ก็มีผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ หยิบของมีค่าของตนเองออกมาเหมือนกัน ล้วนเป็นของขั้น9ทั้งนั้น ทุกคนก็แลกของตามที่ตนต้องการ ไม่มีเรื่องอะไรที่ไม่สบายใจเกิดขึ้น
หลัวซิวก็ไม่ได้เจอกับสิ่งของที่ตนเองต้องการ หางตาก็เหลือบไปมองที่หวูเย๋ สิ่งเดียวที่เขาสนใจ บางทีอาจจะเป็นหอกรบมังกรดำด้ามนั้นก็ได้
รอไปพักใหญ่ หวูเย๋ก็ลุกขึ้น แล้วเอ่ยพูดออกมาว่า “ก่อนหน้านี้ข้าได้ของขลังพรสวรรค์มาอย่างหนึ่ง”
“ของขลังพรสวรรค์งั้นหรือ?”
ผู้แข็งแกร่งแดนเจ้ายุทธจักรขั้น9ทุกคนที่นั่งอยู่ ล้วนมีสีหน้าอึ้งไป
เพื่อคำว่าของขลัง เพิ่มคำว่า พรสวรรค์เข้าไป ก็จะเป็นของล้ำค่าที่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว โดยเฉพาะสำหรับผู้แข็งแกร่งแดนเจ้ายุทธจักร พลังของของขลังพรสวรรค์นั้น มันสูงกว่าของขลังชั้นดีเสียอีก
ระดับเหนือกว่าของขลังขึ้นไป ก็คือสมบัติวิเศษ สมบัติวิเศษและนักยุทธ์ล้วนเป็นของล้ำค่าที่ผู้แข้งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์เท่านั้นถึงจะสามารถควบคุมใช้งานได้ เรียกได้ว่าเป็นที่สุดในหมู่ของขลังทั้งหลาย
และที่สำคัญที่สุดคือ ของขลังที่กฎฟ้าดินให้กำเนิดขึ้นมานั้น ในตัวก็มีจะมีความล้ำลึกของกฎฟ้าดินแฝงอยู่ มีผลดีต่อการที่จะทำความเข้าใจกับระบบกฎเกณฑ์
ทันใดนั้นสายตาของทุกคนก็จับจ้องไปยังตัวของหวูเย๋ ล้วนอยากรู้ว่าของขลังพรสวรรค์ที่เขาได้มา มันจะเป็นอะไร
“โฮก!”
เสียงมังกรคำรามดังขึ้น สะท้อนไปทั่วท้องฟ้าและหมู่เมฆบนยอดเขามังกรขาว
มังกรดำตัวหนึ่งส่ายหัวส่ายหาง ปรากฏขึ้นอย่างเหมือนจริงมาก
ใช้ตัวสำนึกกวาดไปมองดู ก็จะสัมผัสได้ว่า มังกรดำตัวนี้ก็คือร่างที่กลายร่างมาจากหอกรบระดับของขลังพรสวรรค์
ในขณะเดียวกันนั้นเอง พลังของกฎความตายดั้งเดิมที่ทำให้คนใจสั่นก็แพร่กระจายออกมา
“ของขลังพรสวรรค์ที่แฝงไปด้วยกฎความตายดั้งเดิม!”
ในหมู่เจ้ายุทธจักรขั้น9ทั้งหลาย คนทางฝั่งเผ่าพันธุ์ปีศาจตอบสนองมากที่สุด เพราะว่าจอมยุทธ์ของเผ่าพันธุ์ปีศาจล้วนฝึกวิชาการเข่นฆ่าและกฎความตายดั้งเดิม
“หอกรบมังกรดำด้ามนี้ของข้า จะแลกกับของล้ำค่าที่สามารถเพิ่มแดนร่างได้หรือไม่ก็แลกกับยา”
หวูเย๋เอ่ยขึ้นช้าๆ สายตาก็เหลือบๆ มองหลัวซิว ถึงแม้คนคนนี้จะบอกว่าไม่มีผลทิพย์แท้แล้ว แต่เขารู้สึกว่าคนนี้คงจะไม่ใช่หมดได้ในเวลาสั้นๆ แบบนี้
“ด้วยพลังของสหายหลัวซิวจะต้องได้รับสิทธิ์เข้าร่วมสหการค้ามหาสุดนี้แน่นอน ข้านั้นคงไม่ไหว” ถังอันยิ้มพูดพร้อมแฝงความชื่นชม
“ขึ้นไปบนยอดเขาได้เลยใช่ไหม?” หลัวซิวถาม จริงๆ แล้วเขารู้ตัวเป็นอย่างดี ผลการฝึกตนของเขานั้นยังไม่ถึงเจ้ายุทธจักรขั้น9
ที่เขาถามละเอียดแบบนี้ ก็เพราะอยากจะหลอกถามข้อมูล ดูว่าจะมีทางอื่นให้ได้ผ่านด่านเข้าร่วมหรือไม่
ถังอันก็ไม่ลังเล พยักหน้าตอบว่า “บนยอดเขามีผู้แข็งแกร่งระดับเจ้ายุทธจักรขั้นสูงร่วมมือกันสร้างค่ายกลกำหนดพื้นที่เอาไว้ ขอเพียงมีพลังที่ตรงตามเงื่อนไข ก็จะสามารถทำลายค่ายกลเข้าไปร่วมสหการค้ามหาสุดได้”
“อย่างนี้นี่เอง” หลัวซิวได้ยินดังนั้น ในใจก็โล่งอกขึ้นมาหน่อย
ถ้าแค่ใช้การผ่านค่ายกลกำหนดเขตหวงห้ามเข้าไปเป็นตัวกำหนดล่ะก็ เขาก็ยังมีวิธี เพราะว่าผลการฝึกตนของเขายังไม่ถึงเจ้ายุทธจักรขั้น9 แต่พลังที่แท้จริงและระดับกฎของเขา ได้สูงถึงเงื่อนไขที่กำหนดไว้อย่างแน่นอน
“ถ้าผู้เพื่อนยุทธ์หลัวจะไปร่วมสหการค้ามหาสุดด้วยล่ะก็ ไปด้วยกันเลยดีไหม?” หวูเย๋พูดขึ้นมาทันที
“ได้” หลัวซิวพยักหน้า
ถังอัน เหมียวยี่หรงและหวูเจิ้ง ทั้งสามคนก็อยู่เฝ้าแผงต่อไป หวูเย๋ก็พยักหน้าให้สัญญาณแก่หลัวซิว จากนั้นก็เหาะไป มุ่งหน้าไปยังยอดเขา
“เป็นยอดฝีของแดนศักดิ์สิทธิ์ตระกูลยุทธ์ในโลกแสงดาว!”
พอเห็นว่ามีคนเหาะไปบนยอดเขา เจ้ายุทธจักรทั้งหลายที่มารวมตัวกันที่เขามังกรขาวต่างก็พากันเผยสีหน้าอิจฉากันออกมา เพราะว่าพวกเขารู้ดี ว่ามีเพียงผู้แข็งแกร่งระดับเจ้ายุทธจักรขั้น9เท่านั้น ถึงจะมีสิทธิ์เข้าร่วมสหการค้ามหาสุดนี้ได้ มันเป็นเหมือนเครื่องหมายแสดงฐานะ
ตอนที่เข้าใกล้ยอดเขานั้น หลัวซิวมองเห็นว่าบนยอดเขามีพื้นที่โล่งกว้าง มีเงาคนนั่งขัดสมาธิอยู่บนนั้น30กว่าคน
ในขณะเดียวกัน เขาก็พบว่าทั้งยอดเขาถูกปกคลุมไปด้วยวิชาห้ามค่ายกล หวูเย๋ก็ก้าวเข้าไปก่อน ตอนที่ลำตัวพาดผ่านค่ายกลเข้าไปนั้น ก็มีรอยคลื่นเคลื่อนไหวจนเห็นได้ด้วยตาเปล่า และวิชาห้ามค่ายกลก็ไม่ได้ขัดขวางตัวของหวูเย๋เลยแม้แต่น้อย ลงไปยังยอดเขาได้อย่างสบายๆ
พอหวูเย๋เข้าไปแล้ว หลัวซิวก็เห็นว่าคนในยอดเขาก็ยกมือทำความเคารพเขา เห็นได้ชัดว่ายอมรับให้เขาเข้าร่วมสหการค้ามหาสุดครั้งนี้
“น่าสนใจดี”
หลัวซิวยิ้มเบาๆ พอเห็นว่าทุกคนบนยอดเขาได้มองมาทางเขา ก็เลยก้าวไปในอากาศ มุ่งหน้าไปยังวิชาห้ามค่ายกล
ตอนที่ลำตัวกับค่ายกลได้สัมผัสกันนั้น แรงกดมหาศาลก็ได้ปกคลุมไปรอบตัว แรงกดดันนี้มันสูงถึงระดับเจ้ายุทธจักรขั้น9 มีเพียงผู้แข็งแกร่งระดับเดียวกันถึงจะสามารถรับมือได้ และถ้าเป็นคนที่มีผลการฝึกตนไม่พอล่ะก็ ก็จะได้รับผลกระทบจากแรงกดดันนี้ แล้วก็เผยธาตุแท้ตนเองออกมา
หลัวซิวไม่ได้กังวลกับเรื่องนี้ พลังของกฎความตายดั้งเดิมเคลื่อนไปทั้งตัว แล้วก็ได้กำจัดแรงกดดันนี้ออกไปได้อย่างง่ายดาย จากนั้นก็เดินเข้าไปยังยอดเขาได้อย่างสบายๆ
“ฮ่าๆ ผู้เพื่อนยุทธ์ท่านนี้ ไม่คุ้นหน้าคุ้นตาเลยนะ” มีคนยกมือคำนับมาทางหลัวซิว
เจ้ายุทธจักรที่เข้ามาหาประสบการณ์ในโลกแสงดาว ปกติจะอยู่หาประสบการณ์ที่นี่เป็นเวลาร้อยปี โดยเฉพาะพวกเจ้ายุทธจักรขั้น9ที่มาร่วมสหการค้ามหาสุด ปกติจะรู้จักกันดีอยู่แล้ว พอเจอคนแปลกหน้า ก็เลยให้ความสนใจกันขึ้นมา
“ข้าชื่อว่า หลัวซิว เข้ามาแดนดารานอกได้ไม่นาน” หลัวซิวยกมือคำนับพูดกับทุกคน
“ฮ่าๆ ที่แท้ก็คือผู้เพื่อนยุทธ์หลัวนี่เอง เชิญนั่ง!” มีคนพูดขึ้นมาอย่างให้เกียรติ
คนที่มาทักทายหลัวซิวนี้ ล้วนเป็นเจ้ายุทธจักรของเผ่าพันธุ์มนุษย์ นอกจากนี้หลัวซิวยังสังเกตเห็นว่ามีผู้แข็งแกร่งของเผ่าพันธุ์ปีศาจและเผ่าพันธุ์มารอีกด้วย
ผู้แข็งแกร่งระดับเจ้ายุทธจักรรวบรวมกันมาเป็นร้อยปีจะต้องไม่ธรรมดา เขารู้สึกว่างานประลองยุทธ์แดนดาราจะต้องครึกครื้นแน่นอน
หลังจากนั้นหลายวัน ตอนที่หลัวซิวมาถึงยังเขามังกรขาวนั้น ภาพของผู้แข็งแกร่งระดับเจ้ายุทธจักรที่มารวมตัวกันนับหมื่นคน ทำให้เขาตื่นตาตื่นใจอย่างมาก
ต้องรู้ว่า คนพวกนี้ไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดา แต่เป็นเจ้ายุทธจักร ในโลกพิภพต่ำก็ยังพอก้าวเข้าสู่ระดับผู้แข็งแกร่งได้
ในโลกแสงดาว ผู้แข็งแกร่งระดับเจ้ายุทธจักรหลายอิทธิพลรวมกัน ก็มีไม่เกินหนึ่งพันคน แต่ที่งานในแดนดารานอกครั้งนี้ กลับมีเจ้ายุทธจักรปีศาจวมตัวกันนับหมื่นคน!
แต่พอคิดดู เจ้ายุทธจักรที่มาฝึกหาประสบการณ์ที่แดนดารานอกล้วนมาจากคนละโลกพิภพกัน ถ้าแบ่งแต่ละพิภพล่ะก็ เจ้ายุทธจักรนับหมื่นคนก็ไม่ถือว่าเยอะเท่าไรนัก
เขามังกรขาวอยู่ในพื้นที่แปลกพิสดารของแดนดารานอก กินหินบนภูเขาล้วนเป็นสีขาว ลักษณะภูเขาเป็นเหมือนมังกร ก็เลยมีชื่อว่า มังกรขาว
จากตีนเขาจนถึงยอดบนสุด เจ้ายุทธจักรทั้งหลายก็วางแผงขายของจำนวนนับไม่ถ้วน ส่วนใหญ่แบ่งเป็น3-5คน แล้วแลกเปลี่ยนของล้ำค่าของแต่ละคน
“ศิษย์พี่หลัว?”
ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงหนึ่งดังเข้ามาในหูของหลัวซิว เขาหันไปตามเสียง แล้วก็พบกับใบหน้าที่คุ้นเคย นั่นก็คือถังอัน เหมียวยี่หรง หวูเย๋ และหวูเจิ้งทั้งหมดสี่คน
“คิดไม่ถึงว่าจะมาเจอศิษย์พี่หลัวอีกครั้งที่นี่” ถังอันยกมือเคารพหลัวซิว
หลัวซิวก็ยิ้มก้มหน้าทักทาย ในขณะเดียวกันก็สังเกตเห็นว่าด้านหน้าของทั้งสี่คน มีแผงตั้งอยู่ ด้านบนเต็มไปด้วยวัตถุดิบละลานตา มีทั้งของล้ำค่า และยาวิเศษ
เจ้ายุทธจักรทุกคนแทบจะมาที่งานประลองยุทธ์แดนดารากันหมด ล้วนเอาทรัพยากรที่เหมาะกับทีตนเองจะฝึกมาแลกเปลี่ยนเอาของที่ตนเองต้องการ
ความสนใจของหลัวซิวก็มองไปยังแผงของถังอัน ก็เห็นว่าล้วนเป็นพวกวัตถุดิบล้ำค่าทั่วไป
“ไม่ทราบว่าผลทิพย์แท้ของผู้เพื่อยุทธ์หลัวยังเหลืออีกหรือไม่?” พอหวูเย๋เห็นหลัวซิว ดวงตาที่พร่ามัวก็สว่างขึ้นมาทันที
ได้ยินดังนั้น หลัวซิวก็รู้เลยว่าตาแก่คนนี้ยังจับจ้องผลทิพย์แท้ไม่ลืม
“น่าเสียดายจริงๆ ผลทิพย์แท้ถูกผมใช้ไปหมดแล้ว” หลัวซิวยิ้มพูดนิ่งๆ
หวูเย๋ได้ยินดังนั้น ใบหน้าก็เผยความเสียดายออกมาทันที เพราะว่าเขาต้องการใช้ผลทิพย์แท้เพื่อจะบรรลุขั้นร่างยุทธ์แดนเจ้ายุทธจักรช่วงปลาย
“ไม่ทราบว่าหอกรบมังกรดำของผู้เพื่อนยุทธ์ยังอยู่หรือไม่ ถ้ายังอยู่ล่ะก็ ข้าน้อยก็สามารถเอาของบางอย่างแลกด้วยได้” หลัวซิวยิ้มพูด
หวูเย๋อยากได้ผลทิพย์แท้ หลัวซิวก็ยังอยากได้หอกรบมังกรดำด้ามนั้นของเขาเหมือนกัน
“หอกรบมังกรดำนั้น ข้าเตรียมจะไว้ขายในสหการค้ามหาสุด” หวูเย๋ส่ายหัวพูด “นอกเสียจากเจ้าจะมีผลทิพย์แท้ ไม่อย่างนั้นข้าไม่อยากแลกอย่างอื่น”
“อย่างนั้นก็น่าเสียดายมาก” หลัวซิวถอนหายใจด้วยความเสียดาย จากนั้นก็รีบถามว่า “สหการค้ามหาสุด มันเป็นอย่างไรหรือ?”
พอเห็นว่าหลัววิวไม่รู้จักสหการค้ามหาสุด หวูเย๋กับหวูเจิ้งก็เผยสีหน้าแปลกๆ ออกมา แต่ถังอันรู้ว่าหลัวซิวเพิ่งได้เข้ามาในแดนดารานอกไม่นาน ก็เลยอธิบายไปว่า “สหการค้ามหาสุดอยู่บนยอดเขา”
เขายกมือชี้ไปยังจุดสูงสุดของเขามังกรขาว “ทุกหนึ่งร้อยปี งานประลองยุทธ์แดนดาราจะมีสหการค้ามหาสุดอยู่ด้วย เงื่อนไขพื้นฐานที่จะเข้าร่วมสหการค้ามหาสุดได้ ก็คือจะต้องมีผลการฝึกตนระดับเจ้ายุทธจักรขั้น9”
“อย่างนี้นี่เอง” หลัวซิวพยักหน้า
เจ้ายุทธจักรขั้น9 มันเป็นขั้นสูงสุดของแดนเจ้ายุทธจักรแล้ว สหการค้ามหาสุดนี้ สมดั่งชื่อจริงๆ
และผู้แข็งแกร่งระดับเจ้ายุทธจักรขั้น9ที่เข้าร่วมทั้งหมดนั้น วัตถุดิบล้ำค่าของตระกูลที่เอามาแลกเปลี่ยน ก็จะต้องไม่ธรรมดาแน่นอน
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 827
หลัวซิวก็ไม่ได้อยู่ในป่าหินแดงนองนาน ที่นี่เป็นที่ตายของผู้แข็งแกร่งเทพมาร เต็มไปด้วยอันตรายที่ไม่อาจรู้ได้
ครั้งนี้ได้ยาวิเศษมาจำนวนมาก หลัวซิวใช้ไปหลายวัน เพื่อเอายาวิเศษทั้งหมดกลั่นเป็นยาเม็ด ตอนนี้กลั่นเป็นยาเม็ดระดับ9ได้แล้ว
แต่ยาพวกนี้เขาไม่ได้เอามากินเพื่อมผลการฝึกตนแต่อย่างใด แต่เก็บรวบรวมไว้ ในอนาคตตอนที่จะเพิ่มผลการฝึกตน ค่อยเอาออกมาใช้
และในช่วงเวลาหลายวันที่หลัวซิวกลั่นยาอยู่นี้ ผู้แข็งแกร่งระดับเจ้ายุทธจักรที่มาจากโลกแสงดาวกลุ่มหนึ่ง ก็ปรากฏตัวขึ้นที่แดนดารานอก
“เหอะ คิดว่าซ่อนตัวอยู่ที่แดนดารานอก แล้วข้าจะทำอะไรพวกเจ้าไม่ได้งั้นหรือ?”
เจ้ายุทธจักรหงส์ในชุดสีแดงดั่งไฟดูหรูหรามาถึงยังโลกแสงดาว ด้านหลังของเธอ ยังมีผู้อาวุโสเผ่าหงส์อีก3คน แต่ละคนล้วนเป็นผู้อาวุโสที่มีพลังระดับเจ้ายุทธจักรช่วงปลาย
“เจ้ายุทธจักรหงส์ เจ้าคนนี้ได้รับการปกป้องจากเจ้าแดน พยายามจัดการให้เรียบร้อยหน่อย อย่าเปิดเผยตัวตนของพวกเรา”
ชายที่ทั้งตัวปกคลุมไปด้วยแสงดาวก้าวเดินมาบนอากาศอย่างช้าๆ รอบตัวมีพลังที่ไม่ด้อยไปกว่าเจ้ายุทธจักรหงส์แพร่ออกมา
คนคนนี้ก็คือเจ้ายุทธจักรดาราหนึ่งในสิบเจ้ายุทธจักรที่ถูกขนานนาม!
“แค่เด็กที่อายุ20กว่าๆ ถึงกลับต้องให้เจ้ายุทธจักรอย่างพวกเราหลายคนร่วมมือกันตามฆ่า ถือว่ามันจะได้ตายอย่างคุ้มค่าแล้ว”
ร่างที่ปกคลุมไปด้วยพลังมารเย็นยะเยือกหัวเราะพูดออกมา
เป็นผู้แข็งแกร่งระดับเจ้ายุทธจักรอีกคน เจ้ายุทธจักรปีศาจของนิกายมารศักดิ์สิทธิ์!
“ข่าวที่หลัวซิวแดนดารานอกหลุดออกไป เผ่าพันธุ์มารกับเผ่าพันธุ์ปีศาจได้ข่าวแล้วเหมือนกัน ได้ยินว่าส่งผู้แข็งแกร่งมาที่นี่แล้วเหมือนกัน พวกเราจะให้เผ่าพันธุ์มารกับเผ่าพันธุ์ปีศาจได้ม้วนหยกสีทองนั้นไปไม่ได้เด็ดขาด”
“พอได้ม้วนหยกมาแล้ว เนื้อหาด้านในแดนศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราก็จะได้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน”
“ฮ่าๆ จะว่าไปแล้วหลัวซิวคนนี้ก็มีเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับตระกูลยุทธ์ของพวกเจ้าเหมือนกัน….”
“เหอะ ถ้าไม่ใช่เพราะตอนนั้นหวูชิวสนับสนุน เจ้าเด็กนั่นมีหรือจะมีผลการฝึกตนจนถึงระดับนี้ได้? แต่มันกลับไม่คิดจะตอบแทนบุญคุณ สมควรฆ่าทิ้ง!”
ผู้แข็งแกร่งของแดนศักดิ์สิทธิ์ตระกูลยุทธ์เย็นชาไร้น้ำใจ พวกเขาคิดว่า หลัวซิวได้ม้วนหยกสีทองมา ก็สมควรจะมอบให้กับตระกูลยุทธ์ถึงจะถูก
ครั้งนี้แดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายของเผ่ามนุษย์ก็ได้ส่งผู้แข็งแกร่งระดับเจ้ายุทธจักรมายังแดนดารานอกด้วยเหมือนกัน จำนวนเกือบร้อยคน
ในหมู่ผู้แข็งแกร่งแดนเจ้ายุทธจักรกว่าร้อยคนนี้ มีหลายคนที่มีตำแหน่งเจ้ายุทธจักร และมีคนที่มีพลังไม่ด้อยไปว่าตำแหน่งเจ้ายุทธจักรเลย แต่ละคนล้วนเป็นคนที่มีชื่อเสียงในโลกแสงดาวมาหลายปีแล้วทั้งนั้น
ผู้แข็งแกร่งมารวมตัวกันครั้งนี้ ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ก็ต้องหลีกทางให้!
ระยะเวลาหลายเดือนผ่านไปเร็วมาก ผลการฝึกตนของหลัวซิวเพิ่มขึ้นจากมหายุทธ์ขั้น4เป็นขั้น5
“งานประลองยุทธ์แดนดาราที่มีขึ้นปีละครั้งกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว”
“ร้อยปีมานี้ ข้ารวบรวมวัตถุดิบไว้ไม่น้อย จะได้เอาไปแลกของที่ต้องการในงานประลองยุทธ์แดนดาราพอดี”
“ได้ยินว่างานประลองยุทธ์แดนดาราครั้งนี้จัดขึ้นที่เขามังกรขาว”
“……”
เจ้ายุทธจักรที่มาฝึกประสบการณ์ในแดนดารานอกมีไม่น้อย ภายในไม่กี่เดือนหลัวซิวก็ได้เจอหลายคนแล้ว เลยได้ข่าวงานประลองยุทธ์แดนดารานี้ด้วย
โลกที่เป็นเสี่ยงๆ นี้กว้างใหญ่ไพศาลมาก ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งเจ้ายุทธจักรก็ไม่มีทางเดินทางได้จนทั่ว ถ้าจะตามหาแหล่งทรัพยากรของล้ำค่าล่ะก็ อาจจะไม่เหมาะสมกับตนเองเสียทั้งหมด
ดังนั้นเจ้ายุทธจักรที่มาจากพิภพต่างๆ ก็เลยจัดงานประลองยุทธ์แดนดารากันร้อยปีหนึ่งครั้ง
ม้วนหยกที่ได้จากมือของถังอันตอนนั้น มีตำแหน่งของเขามังกรขาวอยู่ หลัวซิวก็เลยรีบไปยังเขามังกรขาว อยากจะไปดูงานประลองยุทธ์แดนดาราเสียหน่อย
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 826
“ผู้เพื่อนยุทธ์จู่ก็กล่าวชมเกินไป ที่ข้าสามารถกำจัดปีศาจโลหิตนี้ได้ ก็เป็นเพราะว่ามันถูกไฟของข้าจัดการ” หลัวซิวพูดถ่อมตัว
จากนั้นก็ไม่รอให้จู่ฉิวเอ่ยปาก ก็ยื่นผลหวูเชิ่งในมือให้เขาไปเลย “สำเร็จดั่งใจหมาย ได้ผลหวูเชิ่งมาอยู่ในมือ”
พอเห็นว่าหลัวซิวยื่นผลหวูเชิ่งมาให้ตนเอง สีหน้าของจู่ฉิวก็ดูตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด ระดับพลังกฎเกณฑ์และผลการฝึกตนของเขามันพร้อมที่จะบรรลุไปถึงมหาจักรพรรดิยุทธ์แล้ว แต่เนื่องจากอายุขัยเหลือไม่มาก พลังชีวิตไม่แข็งแกร่งพอ ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ถ้าดันทุรังจะบรรลุขั้นต่อไปล่ะก็ โอกาสสำเร็จมันก็จะยิ่งน้อยลงมาก
แต่ถ้ามีผลหวูเชิ่งผลนี้ล่ะก็ มันก็จะไม่เหมือนกัน อายุไขเพิ่มขึ้นหนึ่งพันปี พลังชีวิตของเขาก็จะถูกเพิ่มขึ้นอย่างที่สุด บรรลุขั้นมหาจักรพรรดิยุทธ์ได้แน่นอน
ถ้าก้าวเข้าสู่มหาจักรพรรดิยุทธ์ อายุขัยของเขาก็จะเพิ่มขึ้นอีกหมื่นปี!
จริงๆ แล้วในใจของจู่ฉิวก็รู้ดี ด้วยพลังที่หลัวซิวใช้กำจัดปีศาจโลหิตเมื่อครู่นี้ ต่อให้เอาผลหวูเชิ่งมาให้ตนเอง เขาก็ไม่แน่ว่าจะทำอะไรคนคนนี้ได้
แต่คนคนนี้เอาผลหวูเชิ่งมาให้ตนเองอย่างไม่ลังเล จิตใจและความโอบอ้อมอารีแบบนี้ มันคุ้มค่าที่จะให้เขาชื่นชม
“บุญคุณยิ่งใหญ่ พูดขอบคุณไปก็ไม่พอ อย่างนั้นข้าก็ไม่ปฏิเสธแล้วนะ!” จู่ฉิวยื่นมือไปรับ แล้วก็โค้งคำนับให้กับหลัวซิว
หลัวซิวก็รับความเคารพนั้นไว้อย่างเห็นสมควร เพราะว่าเขารู้ดี ว่าผลหวูเชิ่งอันนี้มันเป็นเหมือนทำให้จู่ฉิวได้เกิดใหม่ และถ้าไม่มีตนเองล่ะก็ ถ้าเขาอยากจะได้ผลหวูเชิ่ง มันมีโอกาสน้อยมาก
จริงๆ แล้วครั้งนี้ก็ถือว่าโชคดีมาก ถ้าไม่ใช่เพราะว่าพลังของไฟทิพย์มีผลต่อปีศาจโลหิตอย่างมากล่ะก็ ตอนที่ปีศาจโลหิตราวกับทะเลสาบเลือดมาท่วมตัวตนเองนั้น หลัวซิวคงจะต้องร้ายมากกว่าดีแน่นอน
ปีศาจโลหิตที่มีพลังเทียบได้กับผู้แข็งแกร่งระดับเจ้ายุทธจักร ก็ไม่ใช่ปีศาจที่เจ้ายุทธจักรทั่วไปจะรับมือได้
หลัวซิวไม่ได้รู้สึกดีใจที่ตนเองกำจัดปีศาจโลหิตได้ เขารู้ดีว่าตนเองยังห่างกับฉายาแข็งแกร่งระดับเจ้ายุทธจักรอีกไกลมาก
และผลหวูเชิ่งก็ไม่ได้มีประโยชน์ต่อตนเองมากนัก เอาไปให้จู่ฉิว ยังทำให้เขาติดหนี้น้ำใจตนเองได้อีกด้วย ถ้าหากว่าเขาสามารถบรรลุระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ หนี้น้ำใจของผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์มันไม่ธรรมดานะ
เขตพื้นที่ที่สองคนเคยไปสำรวจ มีเพียงบริเวณป่าหินแดงนองเท่านั้น
จู่ฉิวได้ผลหวูเชิ่งมาแล้ว ก็อดในรอไม่ได้ อยากจะรีบไปเก็บตัวฝึกวิชาเพื่อบรรลุแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์
“ข้าจะไปบรรลุแดนในโลกแสงดาวเกณฑ์กฎ อย่างน้อยก็หลายปี อย่างมากก็หลายสิบปี ไม่ทราบว่าผู้เพื่อนยุทธ์หลัวซิวมีแผนจะทำอะไรหรือไม่?”
“ช่วงนี้ข้าจะไปหาประสบการณ์ที่แดนดารานอก อาจจะอยู่สักระยะ แล้วก็จะกลับไปยังโลกแสงดาว” หลัวซิวกล่าว
จู่ฉิวพยักหน้า “ถ้าข้าบรรลุขั้นสำเร็จแล้ว ก็จะมาแดนดารานอก ถ้าผู้เพื่อนยุทธ์หลัวซิวกลับไปแล้วล่ะก็ ข้าก็จะไปตามหาเจ้าที่โลกแสงดาว”
ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งเทพมารก็จะไม่ไปยังพิภพอื่น จู่ฉิวพูดอย่างจริงจัง เห็นได้ชัดว่าจะตอบแทนบุญคุณ
“ในเมื่อผู้เพื่อนยุทธ์มั่นใจเต็มเปี่ยมแบบนี้ ข้าก็ขอให้ผู้เพื่อนยุทธ์บรรลุขั้นได้สำเร็จ มีวาสนาไว้พบกัน!” หลัวซิวยิ้มพูด
จู่ฉิวไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบยกมือคำนับหลัวซิว แล้วหันตัวจากไป ในแดนดารานอกมีค่ายวาร์ปหนึ่งแห่ง สามารถส่งตัวไปยังพิภพอื่นๆ ได้
มีเพียงผู้แข็งแกร่งเทพมารเท่านั้นถึงจะมีพลังที่ลัดเลาะไปยังพิภพอื่นๆ ได้ แต่เนื่องจากสถานที่พิเศษแบบแดนดารานอกนี้ ที่นี่ก็เลยกลายเป็นเหมือนจุดเปลี่ยนเส้นทาง สามารถทำให้เจ้ายุทธจักรและมหาจักรพรรดิยุทธ์ได้มีพลังที่จะเข้าไปยังพิภพอื่นๆ ได้
หนึ่งในนี้ยังก็ยังมีกรณีที่ไปมีเรื่องกับศัตรูในพิภพเดิมของตนเอง จนต้องหนีเข้าแดนดารานอก จากนั้นก็ใช้ค่ายวาร์ปที่นี่เพื่อส่งตัวไปยังโลกอื่นๆ เพื่อซ่อนตัว
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 825
ทุกชิ้นส่วนของมารโลหิตกลายเป็นมารโลหิตขนาดเล็ก และมารโลหิตแต่ละตัวก็ส่งเสียงกรีดร้องออกมา มันกลับหลุดออกจากการกักขังในโซนทันที และควบแน่นร่างของมันอย่างรวดเร็ว
สีหน้าของ จู่ฉิวเคร่งขรึม มุมตามองเห็นการเคลื่อนไหวด้านล่าง พบว่าคนที่มาพร้อมกับเขาไม่ได้ใช้โอกาสนี้ในการเก็บผลหวูเชิ่ง
ในเวลานี้ ผลหวูเชิ่งยังคงเติบโตอยู่กลางทะเลสาบที่แห้งแล้ง
“ผู้เพื่อนยุทธ์ซิวหลัว ข้าต่อสู้กับมารโลหิต เจ้าช่วยข้าไปเอาผลหวูเชิ่งได้หรือไม่?”
จู่ฉิวกัดฟันแน่น ตัดสินใจเดิมพันครั้งหนึ่ง และพูดกับหลัวซิวผ่านการสำนึกส่งเสียง
ในความเป็นจริง หลัวซิวก็มีความคิดนี้เช่นกัน แต่เนื่องจากประสบการณ์ก่อนหน้านี้ในถ้ำอัสนีเพลิง เขาไม่ต้องการให้คนอื่นเกิดความสงสัยด้วยเหตุผลเช่นนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่พูดอะไร
เมื่อ จู่ฉิวพูดแล้ว เขาพยักหน้าทันที กลายเป็นเงาและคว้าผลหวูเชิ่งในทะเลสาบ
“อ๊าก!”
การกระทำเช่นนี้ของหลัวซิว ดึงดูดความสนใจของมารโลหิต มันกรีดร้องและหยุดต่อสู้กับ จู่ฉิวทันที กลายเป็นสายฟ้าสีเลือดแล้วพุ่งไปที่หลัวซิว
“ระวัง!”
จู่ฉิวตะโกนและพลังของกฎปริภูมิสกัดกั้น แต่ก็ถูกมารโลหิตหลีกเลี่ยงอย่างชาญฉลาด
ในวินาทีที่มือของหลัวซิวคว้าผลหวูเชิ่ง ไว้ได้ มารโลหิตก็พุ่งลงมา ร่างกายกระจายออกและกลายเป็นบึงเลือดขนาดใหญ่ ทำให้หลัวซิวและผลหวูเชิ่งจมอยู่ในนั้นพร้อมกัน
“ผู้เพื่อนยุทธ์ซิวหลัว!”
จู่ฉิวหน้าซีดด้วยความตกใจ มารโลหิตเชี่ยวชาญในการกลืนกินโลหิตของสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ในการดำรงชีวิต หากจมอยู่ในบึงโลหิตที่เกิดจากร่างของมารโลหิตที่กลายร่าง แม้แต่เขาก็เป็นเรื่องยากที่จะหลบหนี
“อ๊าก!”
เสียงกรีดร้องดังออกมาจากทะเลสาบโลหิต ในเสียงมีความหวาดกลัวลึกๆ
น้ำในทะเลสาบสีแดงเข้มเดือดอย่างรุนแรง มารโลหิตกรีดร้องด้วยความทรมานอย่างต่อเนื่อง ออร่าที่ร้อนมากได้แผ่ออกมาจากน้ำในทะเลสาบ
“ทำลายมันลงซะ!”
ทันใดนั้น เสียงของหลัวซิวก็ดังขึ้นมาจากทะเลสาบโลหิต แสงสีทองก็เบ่งบานในทะเลสาบโลหิต เขาถูกห่อหุ้มด้วยเปลวเพลิงสีทอง บุกทะลุด่านต่างๆที่หนักหน่วงของทะเลสาบโลหิตและเดินออกมา
ทันทีที่น้ำในทะเลสาบในทะเลสาบโลหิตสัมผัสกับเปลวไฟสีทอง ก็จะถูกเผาและกลายเป็นไอพร้อมสลายไปอย่างไร้ร่องรอย
น้ำในทะเลสาบสีแดงเข้มหดตัวอย่างรวดเร็ว แสดงให้เห็นมารโลหิตร่างมนุษย์ มันกรีดร้องและหนีไปอย่างรวดเร็ว
“จะไปที่ไหน?”
หลัวซิวตะคอกอย่างเย็นชา เปลวไฟสีทองรอบกายของเขาก็เปลี่ยนไปทันที โดยมีเขาเป็นศูนย์กลางได้ก่อตัวเป็นอาณาจักรที่ปกคลุมไปด้วยเปลวไฟสีดำ
อาณาจักรกฎความตาย!
เดิมทีมารโลหิตที่กำลังจะหลบหนีไปนั้นก็ถูกปกคลุมอยู่ในอาณาจักรกฎความตาย การเคลื่อนไหวก็หยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง และแม้แต่ออร่าของมารโลหิตก็ลดลงเกือบครึ่งหนึ่ง
หลังจากหลัวซิวยื่นมือออกไปจับ มกุฎอัคคีนภาเหลืองสีทองก็พันกันกลายเป็นมือขนาดใหญ่ แล้วเขาก็จับมารโลหิตไว้ในฝ่ามือของเขา ภายใต้การแผดเผาของ มกุฎอัคคีนภาเหลือง มารโลหิตก็กรีดร้องไม่หยุด ราวกับว่าหนูที่ถูกแมวจับอยู่ในอุ้งเท้า
“เจ้ากลัวภูตอัคคีนี่เอง” หลัวซิวพบจุดอ่อนของมารโลหิต และดูเหมือนถูกกดทับโดยภูตอัคคีและกลัวมาก
หลังจากนั้นไม่นาน มารโลหิตก็หายไปอย่างสมบูรณ์ ตัวสำนึกและความฉลาดของมันก็ถูกทำลายโดยมกุฎอัคคีนภาเหลืองไปด้วย เหลือเพียงหยดเลือดที่ใสราวกับอำพันและเพชร
เลือดหยดนี้มีขนาดเท่ากับอินทผลัมสีแดง ถูกหลัวซิวถือมันไว้ในฝ่ามือ ยังสามารถเปลี่ยนรูปร่างได้ด้วยแต่ข้นมาก และไม่มีร่องรอยว่าจะสลายไป
“เลือดของเทพมาร!” หลังจากที่จิตวิญญาณของมารโลหิตได้ถูกเผาผลาญหายไป เลือดเทพมารได้กลับคืนสู่รูปแบบเดิมและมีพลังที่แข็งแกร่งซ่อนอยู่
“ผู้เพื่อนยุทธ์ซิวหลัวสามารถฆ่ามารโลหิตได้อย่างง่ายดาย ข้านับถือจริงๆ” จู่ฉิวเดินมาและรู้สึกทึ่งมากเมื่อเห็นภาพที่หลัวซิวเผาผลาญมารโลหิต
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 824
ทั้งสองคนกลายเป็นแสงสว่าง กฎปริภูมิของ จู่ฉิวได้ฝึกตนถึงแดนบรรลุผล และเขาก็ปรากฏตัวขึ้นที่ทะเลสาบในทันทีแล้วเอื้อมมือไปหาผลหวูเชิ่ง
และหลัวซิวก็ปรากฏตัวขึ้นที่ริมทะเลสาบ แล้วโบกมือ ได้เก็บยาวิเศษเข้าไปในแหวนเก็บของเป็นต้นๆ โดยเฉพาะดอกยวิ่นหลิงสี่ดอก
ทันใดนั้น ออร่าอันน่าสะพรึงกลัวไร้ขอบเขตก็ถูกส่งออกมาจากทะเลสาบ
“ไม่ดี!” สีหน้าของ จู่ฉิวเปลี่ยนไปอย่างกะทันหันในขณะที่เขากำลังจะไปเด็ดผลหวูเชิ่ง
“ระวัง!” หลัวซิวเตือน แต่ก็สายเกินไป
“บูม!…”
เสาน้ำหนากระแทก จู่ฉิวให้บินออกไป นิ้วของเขาอยู่ห่างจากผลหวูเชิ่งเพียงไม่กี่นิ้วเท่านั้น
ในเวลาเดียวกัน น้ำในทะเลสาบที่ส่องประกายระยิบระยับในตอนแรกก็กลายเป็นเลือดสีแดงสดในทันที
เลือดสีแดงเข้มในทะเลสาบยังคงควบแน่น กลายเป็นร่างมนุษย์สีเลือด สีหน้าชั่วร้ายดุดัน
“มารโลหิต?”สีหน้าจู่ฉิวเปลี่ยนไปทันที “เลือดของผู้แข็งแกร่งเทพมารได้กลายเป็นจิตวิญญาณที่มีความฉลาดหลังจากที่ผ่านมาเป็นเวลานาน และกลายเป็นมารโลหิตหรือ?”
“โฮ…”
มารโลหิตร่างมนุษย์ที่ชั่วร้ายดุดัน ส่งเสียงที่น่าขนลุกออกมา และความเร็วก็เร็วราวกับสายฟ้าสีเลือด พุ่งเข้าหาจู่ฉิว
ออร่าของมารโลหิตร่างมนุษย์แข็งแกร่งมาก แม้ว่าจะไม่ถึงระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ แต่อย่างน้อยก็เป็นฉายาเจ้ายุทธจักรขั้นหนึ่ง
บูม!
จู่ฉิวราวเจอศัตรูตัวฉกาจ เขาก็ปล่อยออร่าของตนออกมา และโยนเตาสีดำออกมา ลอยอยู่เหนือหัวของเขา
นี่คือการต่อสู้ระดับเจ้ายุทธจักร นึกถึงในตอนนั้น หลัวซิวไม่กล้าแม้แต่จะดูในระยะประชิด เพราะกลัวจะถูกทำร้ายด้วยผลที่ตามมา
ตอนนี้ แม้ว่าพลังการต่อสู้ของเขาจะยังไม่ถึงระดับนี้ แต่อย่างน้อยเขาก็มีความสามารถในการป้องกันตัวเองได้
มารโลหิตเกิดมาจากเลือดของผู้แข็งแกร่งเทพมาร จะกลืนกินเลือดของสิ่งมีชีวิตอื่นโดยสัญชาตญาณเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของตนเอง ดังนั้นเมื่อ จู่ฉิวกำลังจะเก็บผลหวูเชิ่ง มันจึงลอบโจมตี เพื่อจะกลืนกินเลือดในร่างกายของเขา
ยิ่งกลืนกินเลือดจากผู้แข็งแกร่งมากเท่าไร ความแข็งแกร่งของมารโลหิตก็ยิ่งน่ากลัวมากขึ้นเท่านั้น
ในขณะที่มารโลหิตและ จู่ฉิวกำลังต่อสู้กัน หลัวซิวได้กวาดล้างยาวิเศษที่อยู่ริมทะเลสาบทั้งหมด
นี่คือสถานที่เสียชีวิตของผู้แข็งแกร่งเทพมาร หลังจากที่ดินแดนที่นี่ก็เปียกโชกไปด้วยเลือดของผู้แข็งแกร่งเทพมาร ดังนั้นจึงมียาวิเศษขั้นสูงเติบโตขึ้นเป็นจำนวนมาก เพราะในเลือดของผู้แข็งแกร่งเทพมาร ประกอบด้วยพลังบริสุทธิ์และพลังจิตพลานุภาพ
หลัวซิวเงยหน้าขึ้นมอง มารโลหิตและ จู่ฉิวกำลังต่อสู้อยู่บนอากาศ และรอบกายเต็มไปด้วยความผันผวนของพลังแห่งกฎรุนแรง
มารโลหิตเป็นสิ่งมีชีวิตพิเศษ ดังนั้นจึงมีความสามารถโดยธรรมชาติบางอย่างตั้งแต่เกิด เหมือนกับอาณาจักรที่มันแสดงอยู่ในขณะนี้ ตราบใดที่มันอยู่ในนั้น ก็จะรู้สึกได้ถึงกระแสเลือดในร่างกายที่ควบคุมไม่ได้ราวกับว่าเลือดจะลอยออกไปจากร่างกาย ถูกมารโลหิตกลืนกิน
เผชิญกับอาณาจักรความสามารถนี้ จู่ฉิวทำได้เพียงใช้พลังจิตแท้แห่งกฎเพื่อปราบปราม ดังนั้นจึงไม่สามารถออกแรงได้เต็มที่ ระหว่างการต่อสู้จึงไม่ค่อยสู้อีกฝ่ายได้
จู่ฉิวก็แสดงอาณาจักรกฎปริภูมิของเขาเองด้วย ภายในอาณาจักร เขาสามารถฉีกช่องว่างหรือทำลายสูญญากาศได้ทุกเมื่อ และจากไปมาในอากาศได้ หายไปมาราวกับผี
พลังแห่งกฎปริภูมิสามารถฉีกทุกอย่างได้ แต่ร่างของมารโลหิตเกิดจากเลือด ต่อให้ถูกฉีกเป็นชิ้นๆ ก็จะกลับมารวมกันอย่างรวดเร็ว
คนหนึ่งและหนึ่งมารต่อสู้กันอยู่บนท้องฟ้าสูงไม่สามารถแยกออกจากกันได้ ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถทำอะไรอีกฝ่ายได้
“อัก!”
จู่ฉิวฉีกอากาศออกและร่างมารโลหิตถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ ด้วยพลังแห่งอากาศในทันที
“โซนคุมขัง!” จู่ฉิวใช้พลังของกฎปริภูมิ ผนึกและกักขังชิ้นส่วนร่างกายของมารโลหิต ในพื้นที่เล็กๆ ที่แยกออกจากกัน
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 823
“เจ้าฝึกตนมามากกว่าสี่พันปีแล้วเหรอ?”หลัวซิวตกตะลึงเมื่อได้รู้เอายุของ จู่ฉิวไม่น่าแปลกใจเลยที่เขารู้สึกว่าออร่าของบุคคลนี้เย็นเยือกเช่นนี้ ไม่สามารถมองผลการฝึกตนของเขาออก แต่ออร่าชีวิตของเขามีไม่มาก
ผู้แข็งแกร่งแดนเจ้ายุทธจักร สามารถมีอายุได้ประมาณห้าพันปี จู่ฉิวฝึกตนมานานกว่าสี่พันปี ชีวิตของเขากำลังจะถึงจุดจบ
อย่างไรก็ตาม เขาเป็นผู้แข็งแกร่งเจ้ายุทธจักรในแดนนี้อย่างแน่นอน เขาฝึกกฎกฎปริภูมิถึงแดนบรรลุผล ในโลกแสงดาวเทียบเท่ากับฉายาเจ้ายุทธจักร
“ข้ามาที่ป่าหินแดงนองเพื่อตามหาผลหวูเชิ่ง ซึ่งเป็นยาวิเศษชนิดหนึ่งที่ถูกสาดด้วยเลือดของผู้แข็งแกร่งเหล่าเทพเจ้าและมาร ซึ่งสามารถเพิ่มอายุขัยพันปีให้กับผู้แข็งแกร่งที่แดนต่ำกว่าแดนเทพมารได้”
ตามที่ จู่ฉิวกล่าวมา เขาได้เรียนรู้ว่าป่าหินแดงนองในแดนดารานอก เป็นสถานที่เสียชีวิตของเหล่าทวยเทพมาร รู้สึกว่ามีความเป็นไปได้ว่าที่นี่จะมีผลหวูเชิ่ง ดังนั้นเขาจึงรีบมาที่นี่
เพียงแต่ว่าเขาเข้าออกที่นี่มาสองครั้ง แต่ไม่เคยพบร่องรอยของผลหวูเชิ่งเลย
“เจ้าเป็นผู้แข็งแกร่งในพิภพไหน? หากข้าเดาถูกต้อง ปีแห่งการฝึกตนของเจ้าไม่น่ายาวนาน” จู่ฉิวถามหลัวซิว
“ข้ามาจากโลกแสงดาว ฝึกตนมานานกว่าพันปีแล้ว” หลัวซิวกล่าวมั่วๆ
“สามารถทำให้ข้ามองผลการฝึกตนของเจ้าไม่ออก ซึ่งหมายความว่าผลการฝึกตนของเจ้าอย่างน้อยก็คือเจ้ายุทธจักรขั้น 9 พันกว่าปีสามารถมีผลการฝึกตนเช่นนี้ได้ เจ้าจะมีโอกาสก้าวเข้าสู่แดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ในช่วงชีวิตของเจ้าได้” จู่ฉิวกล่าวพร้อมกับถอนหายใจ
เจ้ายุทธจักรและมหาจักรพรรดิยุทธ์ต่างก็อยู่ในขั้น 9 แต่เจ้ายุทธจักรและมหาจักรพรรดิยุทธ์ต่างกันมากจริงๆ จริง ๆ แล้วเจ้ายุทธจักรอย่างจู่ฉิวที่เก่งกาจเช่นนี้อยู่ในขั้นตอนสุดท้ายไม่สามารถข้ามไปได้นั้นมีจำนวนมาก
“นี่คือ…”
ขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกัน ทั้งสองได้เข้าไปในพื้นที่ลึกที่ไม่รู้จักของป่าหินแดงนอง แม้ว่า จู่ฉิวจะเคยมาที่นี่สองครั้ง แต่ก็ไม่เคยสำรวจสถานที่นี้ เพราะพื้นที่ของป่าหินแดงนองนั้นกว้างใหญ่เกินไป
หมอกตรงหน้าจางลงเล็กน้อย สามารถมองเห็นทะเลสาบเป็นประกายได้ไม่ชัดเจนมากนัก ริมทะเลสาบเงียบสงบมาก มียาวิเศษงอกออกมามากมาย มีกลิ่นหอม
“ยาวิเศษเยอะขนาดนี้เลยหรือ?” หลัวซิวแปลกใจเล็กน้อย เพราะเมื่อระยะทางใกล้เข้าไป เขาพบว่ายาวิเศษที่เติบโตริมทะเลสาบ ต่ำสุดคือยาวิเศษขั้น 7 ขั้น 8 เยอะมากที่สุด และขั้น 9 ก็มีไม่น้อย
ปฏิกิริยาแรกของหลัวซิวคือค้นหาดอกยวิ่นหลิง ตัวสำนึกสำรวจไปรอบ ๆ และพบว่าที่นี่ไม่เพียงมีดอกยวิ่นหลิงแต่ยังมีสี่ดอกด้วย!
“ผลหวูเชิ่ง!”สีหน้าของ จู่ฉิวก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที
ในใจกลางของทะเลสาบมีพืชที่ไม่เด่นมากนักเติบโตอยู่ เหง้าอยู่ในน้ำในทะเลสาบ ส่วนที่โผล่ออกมานั้นสูงเพียงครึ่งเมตรเท่านั้น กิ่งและใบเป็นประกายด้วยสีแดงสด
ผลไม้ผลหนึ่งที่ดูเหมือนหยกเลือดแขวนอยู่บนกิ่งไม้ เป็นผลหวูเชิ่งในตำนานที่สามารถเพิ่มอายุขัยได้นับพันปีจริงๆ!
สมบัติเช่นผลหวูเชิ่ง นี้หาได้ แต่ได้หรือไม่ได้มานั้นก็ดูโอกาส ต้องการเลือดของผู้แข็งแกร่งจากเหล่าเทพมารเพื่อเติบโต แม้แต่หลัวซิวจะหลอมรวมความทรงจำของปรมาจารย์กลั่นยา มหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 9 ก็แค่เคยได้ยินแต่ไม่เคยเห็นมาก่อน
จู่ฉิวเหลือบมองหลัวซิว สมบัติหายากเช่นผลหวูเชิ่งนี้เป็นสมบัติล้ำค่า แม้ว่าตนเองจะไม่ได้ใช้ ถ้าเอาออกไปขาย ก็จะมีผู้แข็งแกร่งจำนวนนับไม่ถ้วนที่อายุขัยกำลังจะหมดไปมาซื้อ
“ข้าไม่แย่งผลหวูเชิ่งกับเจ้า ข้าแค่ต้องการยาวิเศษอื่น เราเอาตามที่เราต้องการ” หลัวซิวรู้ว่า จู่ฉิวกังวลเขาจะแย่ง ดังนั้นเขาพูดตรงๆ
“อือ!” จู่ฉิวแสดงสีหน้าขอบใจออกมา แม้ว่าด้วยความแข็งแกร่งของเขา เขาก็เชื่อว่าเขาไม่กลัวที่จะถูกคนผู้นี้แย่ง แต่เขาก็กังวลว่าเมื่อการต่อสู้เกิดขึ้น ผลหวูเชิ่งต้นนี้จะถูกทำลาย
บทที่ 822
บทที่ 824
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 822
“แม้แต่ของขลังชั้นสูงก็ไม่สามารถต้านทานได้หรือ?” หลัวซิวตกใจ เตาทยานนภามังกรคู่นี้เป็นของขลังขั้นสูงที่รู้จักกันดีในสมัยโบราณ แต่ก็ทนเจตนาฆ่าที่นี่ของที่นี่ไม่ได้?
เจตนาฆ่าที่นี่น่ากลัวขนาดไหนกัน?
แต่หลัวซิวไม่ได้กังวลอะไรเป็นพิเศษ เขาได้ฆ่าเจ้ายุทธจักรมาไม่น้อย มีของขลังป้องกันขั้นสูงอีกหลายชิ้น อย่างมากก็แค่เสียไปชิ้นหนึ่งเปลี่ยนอีกชิ้นหนึ่ง
ยิ่งไปกว่านั้นร่างเนื้อร่างยุทธ์ของเขาถึงแดนเจ้ายุทธจักร และเขาได้แตะถึงประตูของพรีเมี่ยมยุทธ์แล้ว และเขาแข็งแกร่งพอที่จะสามารถใช้เขาทองดำไท่เสวียนและตำหนักเสวียนดำได้
สองชิ้นนี้เป็นสมบัติวิเศษที่ผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ใช้ ชิ้นหนึ่งโจมตีชิ้นหนึ่งป้องกัน พลังน่าทึ่ง มหาจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำมีชื่อเสียงในสมัยโบราณด้วยสิ่งนี้
หลังจากที่มฤตยูโลหิตเกิดขึ้นเป็นเวลาประมาณครึ่งชั่วโมง ละอองเลือดที่หมุนวนก็ค่อยๆ กลับมาสงบลง
ด้านบนของเตาทยานนภามังกรคู่เป็นหลุมมากมาย เสียหายไม่เบา ของขลังชิ้นนี้อยู่กับหลัวซิวมาเป็นเวลานานที่สุด แต่ด้วยความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นของเขา บทบาทของเตานี้จึงจำกัดอยู่ที่กี่นำมากลั่นยา
“ไปเร็ว!”
จู่ฉิวกระโดดออกมาจากเตาสีดำ เตาสีดำหดตัว กลายเป็นขนาดเท่าฝ่ามือตกลงไปในมือของเขา และจากไปก็จากไปทันทีราวกับลมกระโชก
หลัวซิวเองก็ไม่รอช้า เก็บเตาทยานนภามังกรคู่แล้วตามไปอย่างรวดเร็ว เขาพบว่าเตาสีดำของ จู่ฉิวนั้นไม่ธรรมดา ถูกฟันด้วยเจตนาฆ่าที่น่าสะพรึงกลัวเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง ก็ไม่ทิ้งร่องรอยใดๆไว้
สิ่งนี้ทำให้เขามั่นใจมากขึ้นว่าชายชราร่างผอมคนนี้ไม่ธรรมดา
หลังจากนั้นไม่นาน ความเร็วของ จู่ฉิวก็ช้าลง หลัวซิวจึงถามขึ้น “เมื่อครู่นี้เป็นเกิดอะไรขึ้น?”
ไม่มีคำเตือนใดสำหรับการปรากฏตัวของมฤตยูโลหิต และเจตนาฆ่าที่น่าตกใจก็โผล่ออกมาจากอากาศ ซึ่งน่าหวาดกลัวมากนัก
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดแดนดารานอกนี้ถึงเสียหาย?”จู่ฉิวกลับกล่าวประโยคที่ไม่เกี่ยวข้องออกมา
“ข้าไม่รู้” หลัวซิวส่ายหัว
“แดนดารานอก ซึ่งเดิมเรียกว่าโลกดั้งเดิม ถูกรุกรานโดยกองกำลังแข็งแกร่งกองกำลังหนึ่ง และเกิดสงครามที่น่าหวาดกลัว ผู้แข็งแกร่งเทพมารจำนวนมากต่อสู้กัน ทำให้พิภพนี้ถูกทำลายลงและสิ่งชีวิตได้เสียชีวิตไป”
“อะไรนะ?” หลัวซิวตกตะลึง กองกำลังแบบไหนที่สามารถบุกรุกพิภพได้?
แต่หลังจากที่สีหน้าของหลัวซิวเปลี่ยนไป เขาก็เข้าใจทันที “หรือว่ามาจากข้างบน?”
“ถูกต้อง” จู่ฉิวพยักหน้าและกล่าวว่า “พิภพกลางนั้นกว้างใหญ่และไม่มีที่สิ้นสุด และทรัพยากรสมบัตินั้นมีมากมายกว่าพิภพล่างของเรานับไม่ถ้วน แต่ก็มีผู้แข็งแกร่งมากมายเช่นเดียวกัน และทรัพยากรก็ไม่พอใช้”
“ดังนั้นก็จะมีกองกำลังแข็งแกร่งส่งคนไปบุกพิภพอื่น และไล่ล่าทรัพยากรและสมบัติมากมายเพื่อฝึกฝนกองกำลังรุ่นเยาว์”
“และป่าหินแดงนองแห่งนี้เป็นสถานที่ที่นี่เป็นสถานที่การนองเลือดของผู้แข็งแกร่งเทพมาร เลือดของเหล่าเทพมารได้ซึมซับสถานที่แห่งนี้ และวิญญาณถูกทำลาย แต่เจตนาฆ่าจะคงอยู่ตลอดไป”
จู่ฉิวอธิบายเหตุผลที่มฤตยูโลหิตและเจตนาฆ่าปรากฏขึ้นมา
เพราะหลังจากผ่านมาหลายปีที่ไม่รู้จบ เจตนาฆ่าของเหล่าทวยเทพมารก็ไม่แข็งแกร่งอย่างที่เคยเป็นมา และไม่มีกฎเกณฑ์ว่าเมื่อใดที่มันจะปรากฏขึ้นมา
“เป็นสถานที่ที่เสียชีวิตของเหล่าเทพมารนี่เอง” หลัวซิวสูดหายใจเข้าลึก ๆ แม้ว่าความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขาจะสามารถก้าวเข้าสู่อันดับของผู้แข็งแกร่งในพิภพล่าง แต่สำหรับเขาแล้วทวยเทพมารก็ยังห่างไกลจากเขาและแข็งแกร่งมาก
เทพมารตายไปนานแล้ว และเจตนาฆ่าที่เหลือไว้ก็ยังคงน่าสะพรึงกลัว ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเทพมารมีพลังที่แข็งแกร่งและพิเศษเพียงใด
ทั้งสองเดินทางต่อไป ตามการสนทนา ทั้งสองก็สื่อสารกันมากขึ้น ชายชราคนนี้ที่ชื่อ จู่ฉิวไม่ค่อยพูด แต่ถ้าหลัวซิวถามคำถามก่อน เขาก็จะตอบทุกคำถาม
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 821
ผู้โดดเดี่ยวทุกคนเป็นผู้ที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง ในตอนนั้นถังอันจึงคิดว่าเขาเป็นคนโดดเดี่ยว ดังนั้นเขาจึงสุภาพและให้เกียรติเขามาก
แต่เมื่อเขากำลังจะปฏิเสธ จู่ ๆ เขาก็คิดได้เขาไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับป่าหินแดงนองแม้แต่น้อย ถ้าเขาสามารถมีคน ๆ หนึ่งที่จะไปกับเขาได้ อาจจะลดเรื่องยุ่งยากได้มากมาย
เมื่อเห็นว่าหลัวซิวไม่พูดอะไร ชายชราร่างผอมอ่อนแอก็ดูเหมือนจะสามารถเห็นสิ่งที่เขาคิดในใจได้ เขาพูดช้าๆ ว่า “เมื่อก่อนข้านี้เคยมาที่นี่สองครั้งแล้ว ข้าดูแล้วว่าผลการฝึกตนของเจ้าก็ไม่เลว พวกข้ามาเข้าร่วมกัน โอกาสจะได้สมบัติก็มีมากขึ้น”
เหตุผลที่เขากล่าวว่าผลการฝึกตนของหลัวซิวไม่เลว เพราะเขาไม่สามารถมองผลการฝึกตนของหลัวซิวได้ จากมุมมองของชายชราร่างผอม ผู้คนในแดนดารานอกที่ทำให้เขาไม่สามารถมองเห็นความแข็งแกร่งได้ ย่อมมีคุณสมบัติที่จะร่วมมือกับเขาได้อย่างแน่นอน
“ข้าชื่อซิวหลัว” หลัวซิวพยักหน้า ตัดสินใจร่วมมือกับชายชราคนนี้ชั่วคราว
“ข้าชื่อ จู่ฉิว”ชายชราร่างผอมก็บอกชื่อของเขาเช่นกัน
“ไปกันเถอะ”
จู่ฉิวเหลือบมองหลัวซิวแล้วเดินไปที่ป่าหินแดงนองทันที ร่างกายอ่อนแอ แต่ทุกย่างก้าวที่เขาเดิน พื้นดินดูเหมือนจะหดเข้าใกล้กัน ในไม่ช้าก็หายไปในป่าหินที่เต็มไปด้วยหมอกสีแดง
หลัวซิวก้าวตามไป ดวงตาเป็นประกายเล็กน้อย เมื่อครู่นี้ ฝีเท้าที่ จู่ฉิวแสดงให้เห็นมีความลึกลับของกฎปริภูมิ
เห็นได้ว่าชายชราร่างผอมคนนี้เป็นปรมาจารย์ผู้แข็งแกร่งในการฝึกฝนกฎปริภูมิที่
ป่าหินแดงนองนั้นเต็มไปด้วยสีเลือด ไม่ว่าจะเป็นหิน หมอก หรือแม้แต่พื้นดินก็เป็นสีแดง
ในหมอกสีเลือดที่ปกคลุมอยู่ในอากาศ พื้นดินเป็นสีแดงเหมือนเลือด ดินตาย
หลัวซิวมาสถานที่แย่ๆแห่งนี้เป็นครั้งแรก เขาไม่รู้ว่าที่นี่มีอันตรายอะไร เขาแค่เดินตาม จู่ฉิวซึ่งเป็นผู้นำทาง
“เจ้ามาที่นี่ครั้งแรกหรือ?” จู่ฉิวหยุดกะทันหันและหันกลับไปมองหลัวซิว
ร่างกายของเขาปกคลุมไปด้วยแสงสีเงิน-ขาว ปิดกั้นหมอกสีเลือดที่มีฤทธิ์กัดกร่อนเป็นอย่างมากให้ห่างจากร่าง
“ใช่” หลัวซิวไม่ปิดบัง เพราะเขาไม่คุ้นเคยกับพื้นที่ที่นี่ และก็ง่ายที่มองออกว่าเป็นครั้งแรกที่เขามาที่นี่
“ที่นี่แปลกประหลาดมาก ถ้าเจ้าไม่เคยมาที่นี่ ระวังตัวด้วย” จู่ฉิวกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ขรึมและไม่พูดอะไรอีก
“แปลกประหลาด?”หลัวซิวงงเล็กน้อย ไม่รู้ว่า จู่ฉิวหมายถึงอะไร ม้วนหยกที่ ถังอันมอบให้เขาไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้
“ฮือ ฮือ ฮือ…”
ทันใดนั้น หมอกเหลือดที่อยู่รอบๆ ก็เคลื่อนไหว เกิดเหมือนผีกำลังร้องไห้
“มฤตยูโลหิต?”สีหน้าของ จู่ฉิวเปลี่ยนไปกะทันหัน และนี่เป็นครั้งแรกที่หลัวซิวเห็นการเปลี่ยนแปลงบนใบหน้าบนของชายชราคนนี้
หลัวซิวไม่มีเวลาแม้แต่จะถามว่ามฤตยูโลหิตคืออะไร เขาก็รู้สึกถึงเจตนาฆ่าราวกับมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ไพศาลแผ่ขยายไปทั่ว และหมอกเลือดที่อยู่รอบๆ ก็หมุนตัวอย่างรวดเร็ว ก่อตัวเป็นวังวนสีแดงเลือด
“ปกป้องด้วยสุดกำลัง!”
จู่ฉิวมีเวลาพูดได้ทันแค่นี้ จากนั้นก็โยนเตากลั่นสีดำออกไปพร้อมกระโดดเข้าไป
บูม! บูม! บูม! …
เจตนาฆ่าที่น่าสะพรึงกลัวในมฤตยูโลหิต ดูเหมือนจะกลายเป็นร่างที่มีตัวตน คล้ายใบมีดแหลมคมกระแทกลงบนเตากลั่นสีดำ ทำให้เกิดเสียงดัง
เจตนาฆ่าไร้ที่สิ้นสุด ทำให้หลัวซิวเกรงขามขึ้นทันที และโยนเตาทยานนภามังกรคู่ออกมา
“แคร่ง! แคร่ง! แคร่ง!…”
เจตนาฆ่าราวกับกระบี่และดาบ ฟันลงบนเตาทยานนภามังกรคู่จนเกิดประกายไฟ ทำให้เกิดเสียงดังกึกก้อง
มังกรเขียวสองตัวบนกำแพงเตาบินออกมา แต่ก็ถูกเจตนาฆ่าที่มองไม่เห็นฟันจนแหลกไปในทันที เตากลั่นได้รับความเสียหาย สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง และแสงก็สลัวลง
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 820
เพียงแต่ว่าหินชนิดนี้ไม่สามารถใช้มาสร้างอาวุธของขลังได้ และแม้ว่าจะสามารถกลั่นแปรได้ แต่ก็ไม่สามารถสลักลายค่ายบนนั้นได้
ยิ่งกว่านั้น หินสีเลือดเหล่านี้จะปล่อยหมอกสีแดงปกคลุมป่าหินเหล่านี้ หมอกมีความสามารถกัดกร่อนที่รุนแรง ผู้แข็งแกร่งเจ้ายุทธจักรขั้นปลายก็ยากที่จะอยู่ในนั้นเป็นเวลานาน
ตามกฎในโลกแห่งยุทธ์ ยิ่งเป็นงสถานที่อันตรายมากเท่าไร โอกาสก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
มีสมบัติล้ำค่ามากมายในป่าหินแดงนองนี้ และสมบัติบางส่วนสามารถพบได้ในป่าหินแดงนองนี้เท่านั้น
หลัวซิวมาที่นี่เพราะในม้วนหยกของ ถังอันกล่าวถึงว่า ในป่าหินแดงนองมียาวิเศษชนิดหนึ่ง ชื่อว่าดอกยวิ่นหลิง
พลังยาของดอกยวิ่นหลิงค่อนข้างพิเศษ สามารถทำให้วิญญาณวิวัฒนาการ ฟื้นฟูร่องรอยของต้นกำเนิด เปลี่ยนเป็นร่างวิญญาณ
ผลแบบนี้ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีประโยชน์มากนัก แต่สำหรับผู้แข็งแกร่งที่ร่างกายถูกทำลายและเทพจิตได้รับบาดเจ็บสาหัส เทพจิตเหลือเพียงเศษเสี้ยวเท่านั้น กลับเป็นสมบัติล้ำค่าที่หายากในโลกนี้!
วิญญาณอ่อนแออย่างยิ่ง หากได้รับความเสียหายเล็กน้อย เป็นไปได้ว่าร่างกายและวิญญาณจะถูกทำลายอย่างสมบูรณ์ และจะไม่ดำรงอยู่อีกต่อไป
หากสามารถใช้ผลของดอกยวิ่นหลิงฟื้นฟูวิญญาณให้กลับสู่สภาพของร่างวิญญาณได้ ก็สามารถค่อยๆ ดูดซับพลังของวิญญาณและฟื้นฟูเป็นสภาพร่างเทพจิต ก็มีหวังว่าจะฟื้นฟูถึงความแข็งแกร่งสูงสุดในอดีต
แม้ว่าหลัวซิวจะไม่ได้ใช้ดอกยวิ่นหลิงเอง แต่มหาจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำต้องการมันมาก ในประสบการณ์การเติบโตของวิถียุทธ์ของเขามหาจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำได้สั่งสอนแนะนำให้เขามากมาย สามารถพูดได้ว่าเป็นทั้งครูและเพื่อนได้ ดังนั้นหลัวซิวหวังที่จะช่วยให้เขาฟื้นความแข็งแกร่งของเขากลับมา
ในอดีต เขามีความระมัดระวังต่อมหาจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำ แต่เมื่อรู้จักกัน เขาพบว่ามหาจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำเป็นผู้แข็งแกร่งที่สะอาดและตรงไปตรงมา และเขาก็มีความสามารถในการปกป้องตัวเอง ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่จะช่วยคนผู้นี้ ในอดีตที่ได้ช่วยเหลือเขามาก่อน
แม้ว่าแดนดารานอกใกล้จะสลายหายไป แต่ก็ยังกว้างใหญ่ ตามเครื่องหมายบนม้วนหยก หลัวซิวต้องระวังสายฟ้าและไฟที่ออกมาเป็นครั้งคราว พายุลมและความปั่นป่วนของอากาศ ดังนั้นเขาใช้เวลาเกือบครึ่งเดือนกว่าจะมาถึงบริเวณป่าหินแดงนอง
เมื่อผลการฝึกตนถึงมหายุทธ์ และได้รับของขวัญจากกฎดั้งเดิม หลัวซิวได้เข้าใจความลึกลับของพลังแห่งกฎ ตราบใดที่เขาไม่ปล่อยออร่าของตนออกมาเอง แม้จะเป็นผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ ก็ไม่สามารถมองผลการฝึกตนของเขาออกได้
เมื่อหลัวซิวมาถึงบริเวณป่าหินแดงนอง ยังมีคนๆหนึ่งที่มาที่นี่พอดี
นี่คือชายชราที่ผอมแห้งหนังหุ้มกระดูก แค่มองผ่าน ๆ ก็ทำให้รู้สึกเย็นยะเยือก
ดูเหมือนว่าเขาจะอ่อนแอ ราวกับลมกระโชกก็สามารถพัดเขาให้ล้มลงได้ แต่หลัวซิวไม่กล้าที่จะดูถูกคนคนนี้เลยแม้แต่น้อย กระทั่งยังรู้สึกถึงกลิ่นอายอันตรายจากร่างกายของอีกฝ่าย
ผลการฝึกตนมาถึงแดนนี้อย่างเขา สัญชาตญาณของเขามักจะแม่นยำมาก
“หือ? เจ้าก็จะเข้าไปในป่าหินแดงนองด้วยหรือ?” ชายชราร่างผอมอ่อนแอก็สังเกตเห็นหลัวซิว เลยเงยหน้ามองดูเขา ดวงตาชราที่ขุ่นมัวไม่มีความผันผวน
“อย่างนี้แล้ว เพื่อน เจ้าจะเข้าไปในป่าหินแดงนองหรือ?” หลัวซิวถามกลับ
“ฮิฮิ ข้าจะเข้าไป เราร่วมมือกัน เป็นอย่างไร?” จู่ ๆ ชายชราร่างผอมบางอ่อนแอก็พูดด้วยรอยยิ้ม แต่ท่าทางที่เขาหัวเราะนั้นทำให้รู้สึกว่าเขายิ่งเย็นยัเยือกขึ้นไปอีก
ปฏิกิริยาแรกของหลัวซิวคือปฏิเสธ เขามาถึงแดนดารานอกระยะหนึ่งแล้ว และเขาก็ชัดเจนมากว่าชายชราที่อยู่ตรงหน้าเขา เป็นแค่คนเดียวและน่าเป็นคนโดดเดี่ยวอย่างแท้จริง
บทที่ 819
บทที่ 821
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 818
จากบนหอกรบนี้ หลัวซิวสามารถสัมผัสได้ถึงออร่าพรสวรรค์ ไม่มีร่องรอยที่สร้างมาจากมนุษย์สักนิด
และวินาทีที่ตัวสำนึกสัมผัสกับหอกรบ หยั่งรู้ของหลัวซิวก็ได้รับข้อความว่า “ของขลังพรสวรรค์ หอกรบมังกรดำ!”
“ของดี!” เมื่อหลัวซิวเห็นหอกนี้ เขาอดไม่ได้ที่รู้สึกอยากจะแลกเล็กน้อย
แม้ว่าอาวุธที่เขาใช้มาโดยตลอดคือกระบี่ เป็นเพราะห้วงยุทธ์ที่เขาฝึกฝนมาตลอดเป็นห้วงยุทธ์กระบี่สังหาร และเขาคุ้นเคยกับการใช้กระบี่
มาต่อสู้
แต่ผลการฝึกตนมาถึงแดนอย่างเขาแล้ว ก็ไม่ถูกบังคับจากรูปแบบของอาวุธอีกต่อไป โดยเฉพาะเขาเพิ่งได้เรียนรู้ทักษะการต่อสู้หมื่นจักรวาลไร้รูปไม่นานมา ไม่ว่าอาวุธใดก็เขาสามารถใช้ออกมาอย่างแข็งแกร่งที่สุดได้
หากได้มังกรดำหอกรบนี้มา หลัวซิวเชื่อว่าความแข็งแกร่งของเขาจะก้าวไปสู่ระดับใหม่อย่างแน่นอน
เมื่อเห็นว่าหลัวซิวค่อนข้างชอบมังกรดำหอกรบนี้ ใบหน้าชราของ หวูเย๋ก็แสดงรอยยิ้มออกมา
“ข้าคิดว่าผู้เพื่อนยุทธ์ซิวหลัวก็น่าจะรู้เจ้าค่าของของขลังพรสวรรค์เช่นกัน นี่เป็นอาวุธที่ทรงพลังรองจากอัญมณีแห่งเทพมารเท่านั้น ข้าใช้มังกรดำหอกรบนี้แลกเปลี่ยนผลทิพย์แท้ห้าผลกับเจ้า เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
“ห้าผล? เมื่อครู่นี้ผู้เพื่อนยุทธ์บอกว่าสามผลไม่ใช่หรือ?” หลัวซิวขมวดคิ้ว
“สามผลใช้อย่างอื่นมาแลก แต่ถ้าจะใช้ของขลังพรสวรรค์นี้แลก สามชิ้นก็น้อยเกินไป” หวูเย๋ส่ายหัวแล้วพูด
“งั้นก็ช่างเถอะ” หลัวซิวละสายตาจากหอกรบมังกรดำ
หอกรบนี้ไม่เลวจริงๆ แต่อาวุธของขลังก็เป็นสิ่งภายนอกอยู่ดี ไม่เหมือนผลทิพย์แท้ที่สามารถเพิ่มผลการฝึกตนของตนเองได้
สำหรับหลัวซิว แค่แดนผลการฝึกตนเพิ่มขึ้นไป ก็สำคัญมากกว่าอาวุธของขลัง
“งั้นก็น่าเสียดายจริงๆ” หวูเย๋ถอนหายใจ ไม่ยืนกราน เขารู้ดีว่าหากเขาลดความต้องการของเขาลงในตอนนี้ เขาจะสูญเสียมากกว่าอย่างแน่นอน
ทุกคนเดินออกจากถ้ำอัสนีเพลิง หลัวซิวก็กล่าวว่า “ข้ายังมีสิ่งที่ต้องทำ ดังนั้นข้าขอลาไปก่อน”
ว่าแล้วหลัวซิวคำนับให้กับพวกถังอัน แล้วบินขึ้นไปบนท้องฟ้าทันที กลายเป็นรังสีแสง แล้วหายตัวไปในท้องฟ้าอันไกลโพ้น
ถังอันเหลือบมอง หวูเจิ้งและ หวูเย๋อย่างช่วยไม่ได้ ในระหว่างการเดินทางครั้งนี้ เขาและศิษย์น้องก็ได้รับผลทิพย์แท้คนละผล แต่ทั้งสองมือเปล่าไม่ได้อะไรเลย
เขารู้จักสองคนนี้เป็นอย่างดี ดูเหมือนจะไม่พูดอะไร แต่ในใจยังคงอยากได้ผลทิพย์แท้อย่างแน่นอน
…
ได้รับผลทิพย์แท้จำนวนสิบผล สำหรับหลัวซิวแล้วใช้ผลทิพย์แท้เพื่อเพิ่มผลการฝึกตนความแข็งแกร่งของเขาเองถึงจะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
หาถ้ำก่อนหน้านี้ที่เขาปิดกั้นฝึกตนพบแล้ว หลัวซิวได้สร้างค่ายกลใหม่รอบ 1ๆ จากนั้นเมื่ออยู่ในถ้ำก็นำผลทิพย์แท้ออกมา
ผลทิพย์แท้นั้นดูเหมือนลูกพีช ฉายแสงประกายสวย มีกลิ่นหอม
“กรอบ!”
หลัวซิวกัดคำหนึ่ง ในปากเต็มไปด้วยกลิ่นหอมอันเข้มข้นทันที พลังบริสุทธิ์ไหลเข้าสู่ช่องท้องของเขา ร่างกายของเขารู้สึกอบอุ่น
“ของดี!” ดวงตาของหลัวซิวเป็นประกายและกลืนกิน ผลทิพย์แท้ลงไปอย่างรวดเร็ว
พลังยาของ ผลทิพย์แท้ค่อนข้างรุนแรง โดยทั่วไปแล้วมีเพียงผู้แข็งแกร่งที่ผลการฝึกตนไปถึงแดนเจ้ายุทธจักรเท่านั้นที่สามารถต้านทานได้ แม้ว่าผลการฝึกตนของหลัวซิวจะไม่เป็นไปตามข้อกำหนด แต่ความแข็งแกร่งของเขานั้นแข็งแกร่งกว่า เจ้ายุทธจักรธรรมดา สามารถกดพลังยาของผลทิพย์แท้ได้เขาเลยผ่อนคลายและสบาย
หลังจากนั้นไม่นาน พลังยาของผลทิพย์แท้ก็ถูกเขากลั่นแปรหมด และผลการฝึกตนของหลัวซิวก็ไปถึงมหายุทธ์ขั้น 4 ตั้งแต่มหายุทธ์ขั้นปฐมภูมิบรรลุ ไปจนถึงมหายุทธ์ขั้นปฐมภูมิขั้นกลาง
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 817
แต่เมื่อเห็นว่าเขาเอาผลทิพย์แท้ทั้งหมดใส่ไปในกระเป๋าของเขา ในใจรู้สึกไม่ดีทันที
ไม่สำคัญหรอกหากว่ามันเป็นสิ่งของธรรมดา แม้ว่าจะเป็นวัสดุมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 9 พวกเขาก็สามารถทนได้
แต่ผลทิพย์แท้นั้นแตกต่างออกไป นี่เกี่ยวพันกับผลการฝึกตนของตนเอง ที่อาจจะเป็นโอกาสที่บรรลุต่อไปได้หรือไม่!
ทันใดนั้น บรรยากาศก็กดดันลงทันที หวูเจิ้งและหวูเย๋ต่างก็ต้องการผลทิพย์แท้ แต่ก่อนหน้านี้ ได้พูดไปแล้ว ตอนนี้จะหน้าด้านขอได้อย่างไร?
“ผลทิพย์แท้มีทั้งหมดสิบสองผล นี่คือมอบให้เจ้าตามข้อตกลง”
หลัวซิวหันมือและหยิบผลทิพย์แท้ออกมาสองผลแล้วมอบให้ ถังอันและ เหมียวยี่หรงตามลำดับ
แม้ว่าตามข้อตกลง เขาแค่เอาออกมาเพียงผลเดียว แต่เขาคิดว่าเขาสามารถได้ผลทิพย์แท้มา ส่วนใหญ่อาศัยข้อมูลที่สองคนนี้ให้ ดังนั้นเขาเอาอีกผลหนึ่งออกมาก็ไม่เป็นไร
สำหรับ หวูเจิ้งและ หวูเย๋นั้น หลัวซิวไม่ใช่คนใจบุญ ผลทิพย์แท้สมบัติเช่นนี้ ไม่สามารถมอบให้กับคนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตัวเอง
และในตอนเริ่มต้น เขาได้ให้โอกาสกับอีกฝ่ายแล้ว แต่พวกเขากลับสงสัยในตัวเขา ในที่สุดก็พลาดโอกาสไป ซึ่งก็เป็นทางที่พวกเขาเลือกเองเช่นกัน
ดังนั้นสำหรับผลทิพย์แท้ที่เหลืออีกสิบผล หลัวซิวเอามาเป็นของตนได้อย่างสบายใจ
“ขอบใจศิษย์พี่ซิวหลัว” ถังอันและ เหมียวยี่หรงขอบใจ ต่างได้รับผลทิพย์แท้คนละหนึ่งผล
ทั้งคู่คือเจ้ายุทธจักรขั้นปฐมภูมิ ผลทิพย์แท้ผลหนึ่ง สามารถบรรลุแดนเล็กหนึ่งแดนได้
“ศิษย์พี่ซิวหลัว สามารถให้ผลทิพย์แท้สามผลได้หรือไม่?” หวูเย๋อดไม่ได้ที่จะพูด
ผลการฝึกตนของเขาถึงเจ้ายุทธจักรขั้น 9 แล้ว เขาไม่ต้องการผลทิพย์แท้เพื่อมาบรรลุ แต่เขาเป็นจอมยุทธ์กลั่นร่าง และร่างเนื้อของเขาอยู่ในแดนเจ้ายุทธจักรขั้น6 ขั้นกลาง แค่มีผลทิพย์แท้ สามผล ก็มีความมั่นใจอย่างยิ่งที่จะบรรลุถึงแดนเจ้ายุทธจักรขั้น 7 ขั้นปลาย
ในความเป็นจริง ถ้าเขาได้รับผลทิพย์แท้ทั้งสิบในมือของหลัวซิวมา เขามั่นใจว่าแดนร่างเนื้อของเขาจะบรรลุถึงแดนเจ้ายุทธจักรขั้น 9 ขั้นปลาย
ด้วยวิธีนี้ ทั้งร่างเนื้อและผลการฝึกตนก็จะถึงเจ้ายุทธจักรขั้น 9 ก็สามารถออกจากแดนดารานอก แล้วไปที่โลกแสงดาวเกณฑ์กฎเพื่อแสวงหาโอกาสที่จะบรรลุแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์
แต่หวูเย๋ก็รู้ดีเช่นกันว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะให้หลัวซิวมอบผลทิพย์แท้ทั้งสิบผลให้กับเขา
“ขอโทษด้วย ผลทิพย์แท้เหล่านี้มีประโยชน์สำหรับข้า ไม่สามารถมอบให้เจ้าได้” หลัวซิวปฏิเสธโดยไม่ลังเล
สำหรับเขาในตอนนี้ ไม่มีอะไรเร่งด่วนมากไปกว่าการบรรลุผลการฝึกตนแล้ว ดังนั้นทรัพยากรการฝึกตน ไม่ว่าอย่างไรหลัวซิวจะไม่ให้ผู้อื่นเด็ดขาด
“ศิษย์พี่ซิวหลัว อย่ารีบปฏิเสธ ข้าได้ของขลังพรสวรรค์ในแดนดารานอก แล้วยังเป็นกฎความตายด้วย ข้าคิดว่าเจ้าคงสนใจ”
“ของขลังพรสวรรค์?” หลัวซิวตกใจ นึกไม่ถึงว่าในมือของหวูเย๋ จะมีสิ่งที่ดีเช่นนี้อยู่
ปีกทิพย์ไร้มลทินของเขาก็เป็นของขลังพรสวรรค์ จะเห็นได้ว่าของขลังพรสวรรค์นั้นทรงพลังแบบไหน สิ่งสำคัญที่สุดคือของขลังที่ฟ้าดินเพาะพันธุ์นั้นหายากมาก และหลายๆ ชิ้นมีเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น เมื่อปรากฏขึ้นมาหนึ่งชิ้นก็จะไม่มีชิ้นที่สอง
เช่นเดียวกับปีกทิพย์ไร้มลทินของหลัวซิว เมื่อเจ้าของเสียชีวิต ของขลังพรสวรรค์ชิ้นนี้ก็จะสลายตายไปด้วย จากนั้นที่ไหนสักแห่งในจักรวาลที่ไม่มีที่สิ้นสุด ก็จะสร้างชิ้นที่สองขึ้นมา
วิธีเดียวที่จะแย่งปีกทิพย์ไร้มลทินมาได้คือ แย่งของขลังพรสวรรค์ไปก่อนที่เจ้าของจะเสียชีวิต จากนั้นลบเครื่องหมายบนนั้นออกแล้วสลักเครื่องหมายของตนลงไป
ขณะพูด หวูเย๋พลิกมือแล้วหยิบหอกรบสีดำออกมา หอกรบราวกับมังกร หัวหอกรบมีรูปร่างเหมือนหัวมังกร คมหอกยื่นออกมาจากปากของมังกร เย็นเยือกเฉียบคม
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 816
“หลังจากที่ทำให้ลายค่ายของค่ายกลพรสวรรค์หยุดนิ่งเป็นเวลาสองลมหายใจ ลายค่ายของค่ายกลพรสวรรค์ก็จะเปลี่ยนวิธีทำงานไป เป็นไปไม่ได้ที่จะให้ข้าหาลายค่ายพบเป็นครั้งที่สอง มิฉะนั้นหากลายค่ายพรสวรรค์จัดการได้ง่าย ก็จะไม่ปล่อยให้นักค่ายกลจำนวนนับไม่ถ้วนทำอะไรไม่ได้”
หลัวซิวมองพวกเขาอย่างไม่แยแส “ดังนั้นหลังจากที่ข้าไปถึงที่นั่น ข้าจะเก็บผลผลทิพย์แท้ทั้งหมด ตามข้อตกลงก่อนหน้านี้ของพวกเรา ข้าจะเอาออกมาเพียงหนึ่งส่วนให้ ถังอันเท่านั้น”
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ออกมา สีหน้าของ หวูเจิ้งและ หวูเย๋ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เพราะถ้ามันเป็นความจริงอย่างที่หลัวซิวพูด พวกเขาศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสองก็มาที่นี่โดยเปล่าประโยชน์
“ถ้าศิษย์พี่หลัวสามารถเก็บผลผลทิพย์แท้ทั้งหมดไปได้จริง ๆ ก็เป็นความสามารถของศิษย์พี่หลัว ข้อตกลงก่อนหน้านี้จะไม่เป็นโมฆะ” หวูเย๋กล่าวอย่างใจเย็น
หวูเจิ้งต้องการจะพูดอะไรบางอย่างต่อ แต่ หวูเย๋ยกมือห้าม
“อือ!”
หลัวซิวยิ้มบางๆ จากนั้นนำวัสดุจำนวนมากออกจากวงแหวนจัดเก็บในทันที
เขาได้ฆ่าเจ้ายุทธจักรจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตอนที่เพิ่งเข้าสู่แดนดารานอกแล้วได้ฆ่าเจ้ายุทธจักรที่มีผมสีทองสองคน ซึ่งได้วัสดุมากมายมา ซึ่งสามารถนำมาทำธงค่ายได้
ด้วยระดับค่ายกลในปัจจุบันของหลัวซิว ไม่ใช่ธงค่ายก็สามารถสร้างค่ายกลได้ แต่หากใช้ธงค่ายสามารถเพิ่มพลังของค่ายกลได้ เพราะมันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำให้ค่ายสังหารพรสวรรค์นี้หยุดทำงานได้สองลมหายใจ
ร่างแยกชุดขาวกำลังศึกษาค่ายกล กลั่นยา กลั่นสมบัติยุทธ์อยู่ในแดนตำหนักจื่อ จิตใจและวิญญาณของร่างแยกทั้งสองนั้นเชื่อมโยงกัน ยกเว้นพลังแห่งกฎ ทุกสิ่งทุกอย่างสามารถใช้ร่วมกันได้
ซึ่งหมายความว่าหลัวซิวเชี่ยวชาญสามอย่าง และเชี่ยวชาญวิธีการสร้างธงค่ายมาก
สิ่งนี้ทำให้ดวงตาของ หวูเจิ้งและ หวูเย๋สั่นไหวไม่หยุด พวกเขาคาดไม่ถึงว่าคนๆ นี้จะไม่เพียงแต่เชี่ยวชาญค่ายกลเท่านั้น แต่ยังรู้กลั่นสมบัติอีกด้วย
ใช้เวลาไปเพียงหนึ่งชั่วโมง หลัวซิวก็ทำธงค่ายออกมาชุดหนึ่งแล้ว
หลัวซิวไม่ได้ทักทาย ถังอันและคนอื่นๆ เขาเคลื่อนไหวทันทีแล้วเดินไปยังตำแหน่งค่ายสังหารพรสวรรค์
ทุกครั้งที่เขาก้าวไปหนึ่งหรือสองก้าว เขาจะโยนธงค่ายหนึ่งธงให้ลอยอยู่อากาศ และวิธีเดินและเคลื่อนไหวของเขานั้นซับซ้อนมาก ราวกับว่ามีความจริงที่ลึกซึ้งอยู่
“หรือว่าเขาไม่ได้โกหกพวกเราจริงๆ” หวูเจิ้งและหวูเย๋ขมวดคิ้ว รู้สึกเสียใจกับการกระทำของพวกเขาก่อนหน้านี้
เพราะถ้าหลัวซิวได้เอาผลทิพย์แท้ไปทั้งหมด ตามข้อตกลง พวกเขาศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสอง แค่ผลเดียวก็จะไม่ได้รับ
เมื่อหลัวซิวจัดธงค่ายทั้งหมดในมือเสร็จแล้ว เขาก็ยืนอยู่ที่เดิม หายใจออกพร้อมกล่าว “จักรวาลย้อนกลับ นิ่ง!”
ฮึ่ม! …
ธงค่ายที่ลอยิยู่ทั้งหมดสั่นสะท้านพร้อมๆ กัน จากนั้นพวกมันทั้งหมดก็ระเบิดพร้อมกัน เกิดคลื่นอันทรงพลังขึ้นมา
ในเวลาเดียวกัน ค่ายสังหารอัสนีเพลิงพรสวรรค์ก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงด้วยสายฟ้าและเปลวไฟที่พัวพันกัน
ทันใดนั้น สายฟ้าและเปลวไฟได้หายไปพร้อม ๆ กัน ทุกอย่างกลับสู่ความสงบ
ร่างของหลัวซิวเคลื่อนไหวในทันที เร็วราวกับฟ้าแลบ และใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งลมหายใจ เขาก็ไปถึงบนแท่นหินที่อยู่ห่างจากต้นทิพย์แท้เพียงสองเมตร
เขายื่นมือออกไปแล้วโบกมือ ต้นทิพย์แท้สองต้นที่อยู่ใกล้ๆ สั่นเล็กน้อย ผลไม้ที่มีแสงหลากสีบนต้นไม้ก็ลอยขึ้นมา ถูกหลัวซิวเก็บไปหมด
ยังมีเวลาเหลืออีกหนึ่งลมหายใจสุดท้าย หลัวซิวเคลื่อนไหวอีกครั้ง และหนีออกจากขอบเขตค่ายสังหารพรสวรรค์ทันที
บูม!
หลังจากผ่านไปสองลมหายใจ ค่ายสังหารอัสนีเพลิงพรสวรรค์ก็ปั่นป่วนขึ้นมา สายฟ้าและเปลวไฟโหมกระหน่ำ เป็นเวลานานยังคงไม่อาจสงบลงได้
แม้ว่าเมื่อหลัวซิวก้าวเข้าสู่ค่ายสังหารพรสวรรค์อีกครั้ง ถังอันและคนอื่น ๆ รู้สึกว่าหลัวซิวคนนี้อาจจะไม่โกหกพวกเขา และวิธีที่เขาพูดเป็นวิธีเดียวที่จะสามารถเก็บผลทิพย์แท้ได้
หวูเย๋และ หวูเจิ้งต่างมองไปที่หลัวซิวด้วยสายตาที่สงสัย ต้องการฟังคำอธิบายของเขา
“ค่ายกลพรสวรรค์กล่าวกันว่าไม่มีวิธีแก้ได้ ข้าคิดว่าพวกเจ้าคงเคยได้ยินเรื่องนี้มาแล้ว” หลัวซิวก็รู้เช่นกันว่าหากเขาไม่อธิบาย ก็คงเป็นเรื่องยากที่คนเหล่านี้จะเชื่อเขา
“ถูกต้อง ในเมื่อกล่าวกันว่าไม่มีวิธีแก้ได้ เจ้าจะยืนยันได้อย่างไรว่าตำแหน่งที่เจ้าชี้ในั้นปลอดภัย?” หวูเจิ้งถาม
“เมื่อก่อนตอนที่ข้าเห็นค่ายกลพรสวรรค์ครั้งแรก ข้าก็เห็นด้วยว่าค่ายกลที่เกิดขึ้นตามธรรมชาตินั้นไม่สามารถแก้ได้”
หลัวซิวพูดอย่างช้าๆ “จนกระทั่ง ต่อมา ความรู้ของข้าในด้านค่ายกลค่อยๆ ลึกซึ้งขึ้น และข้าก็ค้นพบว่าไม่ว่าจะเป็นค่ายกลชนิดไหน ต้องใช้ลายค่ายในการทำงาน แค่สามารถสำรวจการทำงานของลายค่ายได้ ก็สามารถทำให้ค่ายกลหยุดทำงานได้”
“วิธีนี้ใช้ได้ผลกับค่ายกลส่วนใหญ่ แต่ลายค่ายของค่ายกลพรสวรรค์ สามารถเปลี่ยนแปลงได้เอง ดังนั้นแม้ว่าข้าจะสามารถหาวิธีการทำงานของลายค่ายได้ ข้าก็สามารถทำให้หยุดนิ่งได้ไม่เกินสองลมหายใจเท่านั้น เพราะหลังจากสองลมหายใจ ลายค่ายของค่ายกลพรสวรรค์จะเปลี่ยนไป ทำให้เกิดวิธีการทำงานอีกแบบหนึ่ง”
ถังอันทั้งสีคนต่างไม่ใช่นักค่ายกล แต่ผลการฝึกตนของพวกเขามาถึงแดนนี้แล้ว ไม่ว่าน้อยหรือมากก็ค่อนข้างคุ้นเคยกับทฤษฎีธรรมดาของค่ายกลอยู่บ้าง และยังสามารถสร้างค่ายกลแบบง่ายๆ บางอย่างได้
พวกเขารู้สึกว่าสิ่งที่หลัวซิวพูดนั้นสมเหตุสมผลมาก แต่พวกเขาทั้งหมดฟังแล้วงุงงงไม่ค่อยเข้าใจเพราะข้าในนี้เกี่ยวข้องกับความเชี่ยวชาญบางอย่าง
“นี่เป็นทางเดียวที่จะเข้าไปได้ ไม่ว่าจะอยากเชื่อข้าหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับพวกเจ้า” หลัวซิวพูดเรียบ ๆ
ทันทีที่คำกล่าวนี้ออกมา สีหน้าของ ถังอันและคนอื่นๆ ก็เปลี่ยนไป เพราะหลัวซิวพูดอย่างตรงไปตรงมาแล้ว
แต่ก็ไม่มีใครรู้สึกเขินอายเพราะว่ามันเป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตของพวกเขาเอง
“ศิษย์พี่ทั้งสอง ควรทำอย่างไรดี? จะเชื่อเขาหรือไม่?” ถังอันสำนึกส่งเสียงไปยังหวูเจิ้งและหวูเย๋
“ข้ารู้สึกว่าคนผู้นี้ไม่น่าเชื่อถือ เมื่อครู่นี้เขาเดินไปยังพื้นที่ที่ห่างจากต้นทิพย์แท้ห้าสิบเมตร การโจมตีของค่ายสังหารอัสนีเพลิงเทียบได้เจ้ายุทธจักรขั้นปลายแล้ว เหตุผลที่เขาถอยกลับมา อาจเป็นเพราะว่าหากเขาเดินไปข้างหน้าต่อจะไม่สามารถต้านทานได้”
“และระดับค่ายกลที่คนผู้นี้แสดงให้เห็นก่อนหน้านี้เป็นเพียงขั้น 8 เท่านั้น จะสามารถทำให้ค่ายกลพรสวรรค์ขั้น 8 หยุดทำงานได้อย่างไร? อย่างน้อยปรมาจารย์ค่ายกลระดับเจ้ายุทธจักรขั้น 9 ถึงจะสามารถทำได้”
การวิเคราะห์ของ หวูเจิ้งทำให้ ถังอันตัดสินใจได้ยากขึ้น
“ให้คนผู้นี้ลองไปดูก่อนดีกว่า ถ้าเขาไม่กล้า แสดงว่าเขาโกหกพวกเรา” เสียงของ หวูเย๋เย็นชา เห็นได้ชัดว่าเขาก็ไม่เชื่อหลัวซิว และถึงขั้นที่จะฆ่าเขาด้วยซ้ำ
“ศิษย์พี่พูดถูก ให้เขาลองดู ถ้าเขาสามารถเดินไปถึงระยะห่างจากต้นทิพย์แท้ได้สองเมตร แสดงว่าวิธีการของเขาเป็นไปได้ ถ้าไม่ ก็หมายความว่าเขาต้องการทำร้ายพวกเรา และพวกเราจะไม่เกรงใจกับเขาต่อไป”หวูเจิ้งเห็นด้วย
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ ถังอันก็ได้ตัดสินใจในใจ
“พวกเจ้าต้องการให้ข้าลองเดินไปครั้งหนึ่ง?” หลัวซิวหรี่ตาลง สายตามองไปยัง ถังอันและคนอื่นๆ
แม้ว่าเขาจะรู้แล้วว่าคนพวกนี้จะไม่เชื่อเขาง่ายๆ แต่เขาก็อารมณ์เสียมากเมื่อถูกสงสัย
“เพราะนี่สำคัญถึงชีวิตของพวกข้า หวังว่าศิษย์พี่หลัวจะเข้าใจ” ถังอันก้าวไปข้างหน้าและกล่าว
หลัวซิวโบกมืออย่างไม่แยแส “เจ้าพูดสิ่งเหล่านี้กับข้าไม่มีความหมายอะไร ข้าเดินไปเองก็ได้ แต่เรื่องบางอย่าง ข้าต้องพูดให้ชัดเจนก่อนล่วงหน้า”
“ศิษย์พี่หลัว กรุณาพูด”
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 814
หลัวซิวและหวูเย๋ นั้น พวกเขาเดินเข้าไปโดยไม่ลังเล ราวกับว่าพวกเขากำลังเดินอยู่ในสวนหลังบ้านของพวกเขาเอง
ทุกคนเริ่มเดินลึกเข้าไป ยิ่งลึกเข้าไปข้างใน อุณหภูมิก็จะยิ่งร้อนขึ้น และแมกมารอบๆ ตัวก็ยิ่งน่ากลัวขึ้น แม้แต่พื้นที่ก็ยังสามารถเผาเป็นรูได้อย่างง่ายดาย
พลังของฮู้ถูกใช้ไปอย่างรวดเร็ว ถังอันและ เหมียวยี่หรงเห็นได้ชัดว่าทั้งสองได้เตรียมการไว้ล่วงหน้า ระหว่างทาง ได้เปลี่ยนเห็นได้ชัด 2 ครั้ง แต่สีหน้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย
สองชั่วโมงกว่าต่อมา หลัวซิวซึ่งเดินอยู่ข้างหน้าสุด ได้เห็นไม้ผลสองต้นแล้ว ซึ่งแต่ละต้นก็ผลิบานด้วยแสงเรืองรอง สูงประมาณหนึ่งเมตร มีผลไม้สี่หรือห้าลูกอยู่บนนั้น
“ต้นทิพย์แท้!” สีหน้าทุกคนแสดงความยินดีออกมา ที่นี่มีต้นทิพย์แท้เกือบสิบต้น ไม่ต้องพูดถึงแดนเล็กแดนหนึ่ง แดนเล็กสองหรือสามแดน ก็เพียงพอที่จะบรรลุแล้ว
แต่พวกเขาก็เป็นคนที่ผ่านอะไรมามากแล้ว พวกเขาสงบลงอย่างรวดเร็วและมองไปที่หลัวซิว
เพราะก่อนหน้านี้ถังอันเคยกล่าวไว้ว่ารอบด้านของต้นทิพย์แท้มีค่ายกลพรสวรรค์ปกป้องอยู่ ในกลุ่มนี้มีเพียงหลัวซิวเท่านั้นที่เป็นนักค่าย
“ข้าไปลองดู”
หลัวซิวพยักหน้าและเดินไปในทิศทางที่มีต้นทิพย์แท้อยู่
เขาเพิ่งเดินไปถึงระยะห่างจากต้นทิพย์แท้ร้อยเมตร เจตนาฆ่าที่น่าสะพรึงกลัวก็ปรากฏขึ้นมา สายฟ้าและเปลวไฟก็ปรากฏขึ้นพร้อม ๆ กันสลับไปมาพพร้อมพุ่งไปโจมตีหลัวซิว
“ค่ายสังหารอัสนีเพลิงพรสวรรค์?”
สีหน้าของหลัวซิวสงบ มือทั้งสองข้างใช้ทักษะการต่อสู้หมัดกระบี่ออกไปพร้อมกัน ทำลายสายฟ้าและเปลวไฟในเวลาเดียวกัน
หลังจากนั้น เขาเดินไปข้างหน้าอีกครั้ง ความถี่ของสายฟ้าและเปลวไฟก็สูงขึ้นเรื่อย ๆ แม้ว่าเขาจะอยู่ห่างจากต้นทิพย์แท้ประมาณห้าสิบเมตร ร่างของเขาก็จมอยู่ในถูกสายฟ้าและเปลวไฟ
ถังอันและคนอื่นๆ มองดูภาพนี้อย่างประหม่า แม้ว่าค่ายกลพรสวรรค์นี้เป็นเพียงขั้น 8 แม้ว่าจะเข้าไปด้วยความแข็งแกร่งของ หวูเย๋ เกรงว่าจะไม่สามารถเข้าใกล้ต้นทิพย์แท้ได้
ทุกคนจะได้ต้นทิพย์แท้มาหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับว่าหลัวซิวคนนี้สามารถแก้ค่ายกลพรสวรรค์นี้ได้หรือไม่
“ค่ายกลพรสวรรค์ถูกกล่าวว่าไม่มีวิธีแก้ได้ เขาสามารถทำได้หรือไม่?” หวูเจิ้งสงสัยในความสามารถของหลัวซิว
“คนนี้ไม่ธรรมดา มีคนแปลก ๆ มากมายในโลกนี้ อย่าดูถูกคนอื่น” หวูเย๋กล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว
ในขณะนี้ ในทะเลสายฟ้าที่เกิดจากสายฟ้าและเปลวไฟ ร่างของหลัวซิวก็ค่อยๆ โผล่ออกมา เขาเริ่มถอยกลับไปตามทางเดิมที่เขามา
ถังอันและคนอื่นๆ เห็นว่าเขาสามารถเดินกลับได้โดยไม่เป็นอันตรายภายใต้การโจมตีของค่ายกลพรสวรรค์ ทุกคนดูประหลาดใจ และพวกเขารู้สึกว่าคนผู้นี้ไม่สามารถหยั่งรู้ได้
มีเพียงหวูเย๋เท่านั้นที่ดูราบเรียบ เพราะเขาก็ทำได้เหมือนกัน
“ข้าได้ดูค่ายกลพรสวรรค์นี้แล้ว ข้าสามารถบังคับหยุดการทำงานของค่ายกลนี้ได้สองลมหายใจ ในระหว่างสองลมหายใจนี้ พวกเจ้าต้องเดินไปถึงที่ตำแหน่งนี้”
หลังจากกลับมา หลัวซิวชี้ไปยังค่ายกลพรสวรรค์ที่ตำแหน่งหนึ่งและกล่าว
ตำแหน่งที่หลัวซิวชี้ให้เห็นคือแท่นหินภายในระยะสองเมตรที่ห่างจากต้นทิพย์แท้
แท่นหินนี้ไม่เด่น ล้อมรอบด้วยเปลวไฟลาวาที่กระเซ็น แต่ไม่สามารถเผาแท่นหินเหล่านี้ได้
“เอ่อ…”
ถังอันลังเลที่จะพูด ไม่ว่าผู้ใดก็สามารถมองเห็นได้ว่าค่ายสังหารอัสนีเพลิงพรสวรรค์ นี้ ยิ่งใกล้กับพื้นที่ตรงกลางซึ่งเป็นที่ตั้งของต้นทิพย์แท้มากเท่าไหร่ การโจมตีก็จะยิ่งแข็งแกร่งและรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น
และตำแหน่งที่หลัวซิวชี้ให้เห็นก็ถือว่าเป็นสถานที่ที่อันตรายที่สุดด้วย หากเขาจงใจหลอกทุกคน พวกเขาสี่คน ยกเว้นหวูเย๋ อีกสามคน ถ้าไม่ตายก็ต้องถูกลอกหนังออกชั้นหนึ่งแน่
คนที่ไม่ลำบากอะไรเลยที่สุดคือหลัวซิวและ หวูเย๋ปล่อยให้ไฟเผาอยู่รอบด้านร่างกาย ก็เหมือนกับการเดินเล่นอยู่ในสนามอย่างสบายๆ ไม่ได้รับผลกระทบแม้แต่น้อย
นี่ทำให้ หวูเย๋หวาดกลัวหลัวซิวมากขึ้น เขาสามารถต้านทานการโจมตีของไฟได้ เพราะแดนร่างเนื้อของเขามาถึงแดนเจ้ายุทธจักรขั้นกลางแล้ว หรือว่าคนผู้นี้ไม่เพียงแต่จะหยั่งรู้พลังแห่งกฎที่สูง แดนร่างเนื้อยังแข็งแกร่งด้วย?
ในความเป็นจริง หลัวซิวสามารถเพิกเฉยต่อการโจมตีด้วยไฟได้ เพราะเขาได้ฝึกฝนภูตอัคคีร้อยแปร ไฟเหล่านี้ยังไม่สัมผัสร่างกายของเขา ก็ถูกมกุฎอัคคีนภาเหลืองที่เขาฝึกฝนออกมากลืนกินเข้าไปโดยตรง
และอีกสามคนไม่ใช่จอมยุทธ์ที่ฝึกร่าง จึงต้องใช้พลังจิตแท้แห่งกฎเพื่อปกป้องร่างกายของพวกเขาอย่างระมัดระวัง
“โฮก!”
ทันใดนั้น ก็มีเสียงคำรามดังก้องขึ้นมา ไม่ไกลข้างหน้าคือรังที่ซ่อนของมังกรเจียวสะท้านเพลิง
นี่ก็หมายความว่าทุกคนอยู่ไม่ไกลจากพื้นที่ที่มีผลทิพย์แท้เติบโตอยู่ไม่ไกลแล้ว
“โครม!”
ภูเขารกร้างที่อยู่ไม่ไกลพังทลายลง เผยให้เห็นถ้ำลึกที่เต็มไปด้วยแสงไฟ
มังกรเจียวที่ดุร้ายคำรามพร้อมพุ่งออกมา ร่างกายของมันล้อมรอบด้วยสายฟ้าและเปลวไฟ ปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีแดงเพลิง และมีเขาสีฟ้ารูปเกลียว
หัวมังกรเจียวสะท้านเพลิงนี้มีขนาดเท่าบ้านเรือน หน้าตาน่ากลัว
“ไอ้สัตว์!”
หวูเย๋เหยียดมือออก แสงสีทองก็แผ่กระจายทั่วร่างกายของเขา กลายเป็นมือสีทองใบใหญ่ ตบไปยังมังกรเจียวสะท้านเพลิง
ในเวลาเดียวกัน หวูเจิ้ง ถังอันและ เหมียวยี่หรงทั้งสามคนต่างก็นำอาวุธ สมบัติของตนออกมาโจมตีมังกรเจียวสะท้านเพลิงอย่างสุดความสามารถ
มีเพียงหลัวซิวเท่านั้นที่หยิบธงขลังสรรพสิ่งออกมาอย่างไม่เร่งรีบ ยกมือขึ้นแล้วเหวี่ยงออกไป และลำแสงก็พุ่งออกมาแล้วตกลงไปรอบๆ กลายเป็นค่ายกลขั้น 8 หลายค่ายกล
แม้ว่าพลังของค่ายกลขั้น 8 จะยากต่อการคุกคามถึงมังกรเจียวสะท้านเพลิงแดนเจ้ายุทธจักรขั้นปลายขั้น 9 แต่ก็สามารถทำให้เกิดอิทธิพลบางอย่างได้เช่นกัน
พลังต่อสู้ของ หวูเย๋แข็งแกร่งมาก แม้ว่าเคราและผมของเขาจะขาวโพลน ดูแล้วแก่ชราร่างกายอวบอ้วน แต่เขาก็เป็นผู้แข็งแกร่งกลั่นร่าง โจมตีมังกรเจียวสะท้านเพลิงตัวนี้จนถอยหลังพร้อมร้องโอดโอยไม่หยุด
เมื่อมังกรเจียวสะท้านเพลิงเห็นว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ มันจึงหันศีรษะกลับไปอยากจะหนีไปยังถ้ำที่มันอาศัยอยู่
“นิ่ง!”
ในขณะนี้ หลัวซิวตะโกนเสียงดัง ค่ายกลขั้น 8มากกว่าสิบค่ายกลก็บานสะพรั่งเต็มที่ ทำให้การล่าถอยของมังกรเจียวสะท้านเพลิงหยุดไปครู่หนึ่ง
เป็นเพียงครู่เดียวเท่านั้น แต่ก็เพียงพอแล้วสำหรับผู้แข็งแกร่งอย่าง หวูเย๋ เขาก้าวไปข้างหน้าและคว้าเขาเดียวที่อยู่บนหัวของมังกรเจียวสะท้านเพลิง จากนั้นเขาก็ระเบิดพลังออกมาอย่างรุนแรง พร้อมบิดมืออย่างแรง และเสียงหักที่คมชัดก็ดังขึ้น คอของมังกรเจียวสะท้านเพลิงถูกหักไปทั้งอย่างนี้
“ร่างยุทธ์ของแดนเจ้ายุทธจักรนั้นช่างโรคจิตจริงๆ” หลัวซิวถามตัวเองว่าด้วยแดนร่างเนื้อในปัจจุบันของเขา เขาไม่สามารถต่อสู้กับมังกรเจียวสะท้านเพลิงโดยร่างกายได้
การแบ่งแยกของที่ได้มานั้น พิจารณาจากการออกแรงของตน การฆ่ามังกรเจียวสะท้านเพลิงตัวนี้ เป็นหวูเย๋ที่เป็นผู้ฆ่าคนเดียว ดังนั้นเขาที่ล้ำค่าที่สุดบนร่างของมังกรเจียว จึงถูกเขาเอาไป มันเป็นวัสดุชั้นยอดในการสร้างอาวุธของขลังธาตุสายฟ้า
หลัวซิวได้ออกแรงเล็กน้อย เอาเกล็ดและฟันของมังกรเจียวส่วนหนึ่ง
“นี่ก็คือถ้ำอัสนีเพลิง” ถังอันชี้ไปที่ถ้ำลึกที่มังกรเจียวออกมา
ทุกคนก้าวเดินเข้าไป และรู้สึกได้ทันทีถึงคลื่นความร้อนที่ซัดผ่านมา หินหนืดในถ้ำพลุ่งพล่านและกระเด็นไปทุกที่
ถังอันและ เหมียวยี่หรงต่างเอื้อมมือออกหยิบฮู้ออกมาและติดไว้ระหว่างคิ้ว ออร่าอันเยือกเย็นแผ่กระจายไปทั่วรอบร่างกาย
ทั้งสองคนไม่ใช่นักยุทธ์กลั่นร่าง ดังนั้นจึงไม่กล้าใช้ร่างกายของพวกตนต้านทานไฟและแมกมาในสถานที่นี้
หวูเจิ้งเอาหอคอยสีเขียวขนาดเล็กออกมาลอยอยู่เหนือศีรษะของเขา ม่านแสงสาดลงมาปกป้องทุกส่วนของร่างกาย
ถังอันยิ้มอย่างสุภาพ โค้งคำนับให้หลัวซิวและ หวูเย๋พร้อมกล่าวว่า “ศิษย์พี่ทั้งสอง มีระดับผลการฝึกตนสูงสุด ดังนั้นให้ศิษย์พี่ทั้งสองตัดสินใจก็แล้วกัน”
หวูเย๋พยักหน้าไม่ได้ปฏิเสธและพูดช้าๆ “ในเมื่อทุกคนร่วมมือกัน สมบัติทั้งหมดที่ค้นพบ จะขึ้นอยู่กับผู้ใดออกแรงเท่าไหร่ แต่สถานที่นี้ถูกค้นพบโดย ถังอันดังนั้นหลังจากที่ทุกคนแบ่งมาได้ตามที่ออกแรงแล้ว แล้วสมบัติที่ตนเองได้มาเอาออกมาหนึ่งส่วนให้กับ ถังอันและศิษย์น้องเหมียวทั้งสอง”
คำแนะนำนี้ของ หวูเย๋ยุติธรรมมาก และได้คำนึงถึงผลการฝึกตนที่ไม่สูงของ ถังอันและเหมียวยี่หรง
“ข้อเสนอนี้ของศิษย์พี่หวูไม่เลวเลย ข้าเห็นด้วย” หลัวซิวหาเหตุผลที่จะหักล้างไม่ได้
“ข้าก็เห็นด้วย” หวูเจิ้งก็แสดงท่าทีของเขาทันที
แม้ว่าจะไม่ชัดเจนว่าความสัมพันธ์ระหว่าง ถังอันและศิษย์พี่ศิษย์น้องสองคนจากตระกูลหวูเป็นอย่างไร แต่ตามข้อสังเกตบางประการ หลัวซิวก็พบว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาน่าจะดี เมื่อคิดตามนี้แล้ว ในห้าคนนี้ เขาเป็นคนเดียวที่เป็นคนนอก
“แม้ว่าข้าจะไม่มีเจตนาทำร้ายผู้อื่น แต่อย่าประมาทไว้ใจคนจนเกินไป” หลัวซิวแอบเตือนตัวเองให้ระมัดระวัง
ในเมื่อตัดสินใจวิธีแบ่งของแล้วถังอันก็เดินไปที่พื้นที่อวกาศวุ่นวายก่อนแล้วหันกลับมากล่าวว่า “ทุกคนได้โปรดตามข้ามา”
“บูม!”
ทันทีที่ที่คนเข้ามาในพื้นที่นี้ พายุฝนฟ้าคะนองก็พุ่งผ่านท้องฟ้าที่แตกร้าว กระแทกลงมายังตำแหน่งที่ทุกคนอยู่ ราวกับมังกรที่โกรธ
พลังของฟ้าร้องและฟ้าผ่านี้เปรียบได้กับเจ้ายุทธจักรขั้นปลายที่ออกกำลังสุดกำลัง แต่เห็นเพียง หวูเย๋ยกมือและสะบัดมือ เตาสีแดงขนาดเล็กก็บินออกไป ลอยขึ้นไปในสายลม กลายเป็นขนาดเท่าเนินเขา ลอยอยู่เหนือหัวของทุกคน
โครม เกิดเสียงดัง เสียงฟ้าร้องและสายฟ้าฟาดลงมาบนเตาสีแดง แสงฟ้าแลบสว่างไปทั่ว แต่เตายังคงนิ่ง
“มหาเตาอัสนีหวูจี๋”ดวงตาของหลัวซิวเป็นประกาย
“ศิษย์พี่หลัว สายตาดี!” หวูเย๋กล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ
เหตุผลที่หลัวซิวรู้จักมหาเตาอัสนีหวูจี๋ เป็นเพราะเขามีความทรงจำของปรมาจารย์นักกลั่นยามหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 9 และผ่านการสื่อสารกับมหาจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำ เลยรู้เรื่อง สิ่งของที่เกี่ยวกับสมัยโบราณไม่น้อย
ในสมัยโบราณ มหาเตาอัสนีหวูจี๋ เป็นของขลังเตากลั่นยาที่มีชื่อเสียง แต่เตากลั่นยานี้ไม่ได้ใช้ในการกลั่นยา แต่ใช้สำหรับการกลั่นอาวุธ
เตากลั่นยานี้ทำจากวัสดุที่เรียกว่าเหล็กไส้แดงหวูจี๋ เหล็กชนิดนี้สามารถพบได้ในดินแดนที่สายฟ้าอลหม่าน และหายากมาก สิ่งของที่สร้างมาจากเหล็กชนิดนี้ ไม่กลัวการโจมตีจากสายฟ้า
ดังนั้นในสมัยโบราณ เลยมีคนรวบรวมวัสดุชนิดนี้ สลักอักษรค่ายกลและสร้างเตากลั่นยาขึ้นมา ซึ่งสามารถเก็บสายฟ้าฟ้าดินได้ สร้างลูกแก้วสายฟ้าในเตา และยังสามารถยืมสายฟ้าในเตาเพื่อกลั่นอาวุธได้ด้วย เพิ่มพลังธาตุสายฟ้าลงบนอาวุธหรือสมบัติ
พูดได้โดยไม่ลังเลได้เลยว่ามีมหาเตาอัสนีหวูจี๋ เตานี้แล้ว สามารถเพิกเฉยต่อการโจมตีของสายฟ้าได้ และยับยั้งจอมยุทธ์ที่ฝึกฝนวิชาธาตุสายฟ้าได้ที่อีกฝ่ายไม่สามารถทำอะไรได้
โชคดีที่เหล็กไส้แดงหวูจี๋หายากมาก ไม่เช่นนั้นจอมยุทธ์ที่ฝึกฝนวิชาธาตุสายฟ้าคงจะร้องไห้แล้วชนเข้ากับกำแพงแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นเหล็กไส้แดงหวูจี๋ยังมีขีดจำกัดอีกด้วย หากถูกโจมตีด้วยสายฟ้าที่มีพลังแห่งกฎ ก็จะไม่สามารถมีบทบาทต่อการป้องกันได้แม้แต่น้อย
ดังนั้นก็หมายความว่าหากเข้าใจพลังธาตุแห่งกฎสายฟ้าดั้งเดิม การยับยั้งนี้ก็สามารถแก้ไขได้อย่างง่ายดาย
มีมหาเตาอัสนีหวูจี๋ทุกคนก็ไม่กลัวการโจมตีจากสายฟ้าเหนือศีรษะ เพียงแค่ต้องเตรียมพร้อมรับมือกับการโจมตีจากไฟที่อาจพ่นออกมาจากพื้นดินได้ตลอดเวลา
“ความแข็งแกร่งของมังกรเจียวสะท้านเพลิงน่าจะอยู่ที่แดนเจ้ายุทธจักรขั้นปลายขั้น 9 และค่ายกลพรสวรรค์อย่างน้อยก็ขั้น 8” ถังอันกล่าว
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลัวซิวก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมอง ถังอันด้วยความประหลาดใจ คนผู้นี้ผลการฝึกตนแค่เจ้ายุทธจักรขั้นปฐมภูมิ แต่สามารถหลบหนีจากการไล่สังหารของมังกรเจียวสะท้านเพลิงแดนเจ้ายุทธจักรขั้นปลายขั้น 9 ได้ เห็นได้ว่าความแข็งแกร่งไม่ธรรมดา
“มังกรเจียวสะท้านเพลิงแดนเจ้ายุทธจักรขั้นปลายขั้น 9 นั้นไม่ยากเลยที่จะรับมือ แต่ค่ายกลพรสวรรค์ขั้น 8 นั้นค่อนข้างจะรับมือได้ยาก…” หวูเย๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย
ระดับผลการฝึกตนของเขาคือเจ้ายุทธจักรขั้น 9 ซึ่งสามารถกล่าวได้ว่าเป็นเจ้ายุทธจักรขั้นสูง และเขามาจากแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ พลังทักษะยุทธ์ที่ฝึกฝนนั้นต่างเป็นระดับวิชายิ่งเลิศ จะไม่วางอสูรร้ายที่อยู่ในระดับแดนเดียวกันไว้ในสายตา
แต่ดังที่ทุกคนทราบ ค่ายกลพรสวรรค์นั้นต้องการนักค่ายกลระดับที่สูงกว่าจึงจะสามารถถอดค่ายกลได้ ค่ายกลพรสวรรค์ขั้น 8 โดยทั่วไปต้องการปรมาจารย์ค่ายกลขั้น 9 ลงมือถึงจะแน่ใจว่าจะสำเร็จ
“ค่ายกลพรสวรรค์ขั้น 8 บางทีข้าอาจจะถอดค่ายกลนี้ได้” หลัวซิวกล่าวขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“เจ้าเป็นปรมาจารย์ค่ายกลระดับเจ้ายุทธจักรขั้น 9?” คนอื่นๆ อีกหลายคนมองดูหลัวซิวด้วยความประหลาดใจ
ไม่ว่าจะเป็นนักค่ายกล นักกลั่นยาหรือนักกลั่นสมบัติ มีคนเพียงไม่กี่คนที่สามารถไปถึงขั้น 9 ได้ เหตุผลหลักก็คือการเลื่อนขั้นนั้นยากกว่าการเลื่อนระดับผลการฝึกตนมากนัก
ในโลกแสงดาว มีผู้แข็งแกร่งแดนเจ้ายุทธจักรในแดนศักดิ์สิทธิ์ไม่น้อย แต่ปรมาจารย์เจ้ายุทธจักรขั้น 9 มีน้อยมากจนน่าสงสาร โดยเฉลี่ยแล้วแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งมีหนึ่งหรือสองคนไม่เลวแล้ว
สำหรับปรมาจารย์มหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 9 นั้น ยิ่งน้อยมาก มีเพียงแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ทั้งสี่แห่งเท่านั้นที่แต่ละแห่งมีคนหนึ่ง
หลังจากประสบกับความหายนะในสมัยโบราณ ไม่เพียงแต่วิถียุทธ์การฝึกตนจะยากต่อการสืบสานความรุ่งเรืองในอดีต แต่ยังรวมถึงการสืบทอดของค่ายกล กลั่นยาและกลั่นสมบัติที่ขาดหายไปมากมาย
“ข้าสามารถลองได้ แต่ข้าไม่รับประกันว่าจะสำเร็จ ข้าต้องดูค่ายกลพรสวรรค์ก่อน”
ค่ายกลแห่งยุทธ์ของหลัวซิว ได้รับการสืบทอดมาจากมหาจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำ ปรมาจารย์มหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 9 ในสมัยโบราณ การสืบทอดของระบบค่ายกลทั้งหมดนั้นสมบูรณ์มาก และระดับค่ายกลในปัจจุบันของเขาก็ถึงขั้น 8 แล้วเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงพูดอย่างนั้น
ถังอันศิษย์พี่ศิษย์น้อง ยังมี หวูเจิ้งและ หวูเย๋ศิษย์พี่ศิษย์น้อง ต่างก็มองหลัวซิวด้วยความประหลาดใจ
ก่อนหน้านี้ที่พบกัน หวูเย๋ได้ทดสอบคนผู้นี้แล้ว เขาได้ฝึกฝนกฎความตายขั้นสูงถึงแดนที่สูงมาก ความแข็งแกร่งไม่อาจหยั่งรู้ได้
แต่พวกเขาคาดไม่ถึงว่าคนผู้นี้ยังเป็นปรมาจารย์ค่ายกล?
“ขอถามว่าเพื่อนผู้นี้ฝึกตนมากี่ปีแล้ว?” หวูเย๋มองดูหลัวซิวพร้อมถาม
“มากกว่าสองพันปี” หลัวซิวพูดมั่ว แสร้งทำเป็นเก่งกาจ
แม้ว่าเขาจะดูเด็กมาก แต่ในโลกฝึกยุทธ์ ไม่ขาดวิชาที่รักษาความงามที่สามารถคงความเยาว์วัยได้ตลอด
ได้ยินเขาพูดว่าเขาฝึกฝนมามากกว่าสองพันปีแล้ว ถังอันและคนอื่นๆ ก็มีความสมดุลในใจ เพราะในหมู่พวกเขา นอกจาก หวูเย๋ที่ฝึกฝนมามากกว่าสามพันกว่าปีแล้ว ถังอันศิษย์พี่ศิษย์น้องและ หวูเจิ้งทั้งสามคน ได้ฝึกฝนมาหลายร้อยปี
แต่ในโลกฝึกยุทธ์ ไม่ใช้อายุมาแบ่งแยกรุ่น แต่ตามผลการฝึกตน ผลการฝึกตนนั้นอยู่ในแดนใหญ่เหมือนกัน โดยทั่วไปจะเรียกกันอย่างคนรุ่นเดียวกัน
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของคนเหล่านี้ หลัวซิวรู้สึกขบขันในใจ คนอื่น ๆจะแสร้งทำเป็นคนอ่อนแอหลอกลวงเพื่อให้ศัตรูตายใจ แต่เขาอยู่ที่นี่กลับแสร้งทำตัวเป็นผู้เก่งกาจ
“ทุกคน ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว พวกข้ามาคุยกันว่าจะแบ่งของที่ได้มายังไงดีไหมเล่า?” หลัวซิวพูดช้าๆ
“สถานที่นี้ถูกค้นพบโดย ถังอันจะแบ่งกันอย่างไร ลองฟังความคิดเห็นของ ถังอันก่อนไหม?” หวูเจิ้งกล่าว
“ถูกต้อง เป็นผลทิพย์แท้จริง ๆ เพียงแต่ว่าฝีมือของข้าและศิษย์น้องค่อนข้างอ่อนด้อย แม้ว่าจะหาเจอ แต่กลับเข้าไปไม่ได้” ถังอันยิ้มกล่าว
สำหรับหวูเย๋และหวูเจิ้ง พวกเขาวางในเป็นอย่างยิ่ง เพราะบิดาของเขากับอาจารย์ของทั้งสองคนนั้นเป็นสหายร่วมเป็นร่วมตาย
นอกจากนี้แล้วมีทั้งสองคนอยู่ พวกเขาก็ไม่ต้องกังวลว่าในขณะที่ตามหาผลทิพย์แท้นั้นจะเกิดเรื่องบาดหมางกับซิวหลัว
“หากเป็นผลทิพย์แท้จริง เช่นนั้นต้องลองไปดูหน่อย ถ้าเอามันมาได้ ข้าก็จะสามารถบรรลุเจ้ายุทธจักรขั้นแปดได้ภายในเวลาอันสั้น” หวูเจิ้งกล่าวอย่างไม่ลังเล ผลการฝึกตนของเขาติดอยู่ที่เจ้ายุทธจักรขั้นเจ็ดมานานแล้ว
“ข้าเองก็ต้องการผลทิพย์แท้เพื่อใช้บรรลุร่างยุทธ์แดนเจ้ายุทธจักรช่วงปลาย” หวูเย๋เองก็ได้หวั่นไหวอย่างเห็นได้ชัด
“ฮ่า ๆ ในเมื่อทุกคนยินดีไปด้วยกัน เช่นนั้นข้าเชื่อว่าอาศัยความสามารถของพวกเรา น่าจะสำเร็จได้” ถังอันกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เวลาไม่เคยคอยท่า พวกเรารีบออกเดินทางกันเถอะ” หวูเจิ้งมีท่าทางแทบจะทนรอไม่ไหวอยู่แล้ว
สำหรับคนที่มีผลการฝึกตนบรรลุถึงแดนเจ้ายุทธจักรอย่างพวกเขา โอกาสที่จะทำให้บรรลุในหนึ่งแดนเล็กได้ ก็ล้ำค่ายิ่งนัก เพราะแม้ว่าเจ้ายุทธจักรจะมีอายุขัยประมาณห้าพันปี แต่ถ้าหากไม่สามารถก้าวสู่แดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ในขณะที่มีชีวิตอยู่ได้ พอถึงตอนนั้นเกิดแก่ล้มตาย มาจากที่ไหนก็กลับไปที่นั่น
มีเพียงกลายเป็นผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ ถึงจะมีอายุขัยเพิ่มขึ้นหนึ่งเท่าตัว อายุขัยเพิ่มขึ้นมาอีกห้าพันปี ใครไม่ยากมีชีวิตที่ยาวนานยิ่งกว่ากันเล่า?
“ถูกต้อง หากพวกเราช้าไป มีคนพบสถานที่แห่งนั้นเข้าก็คงไม่ดีแน่” หวูเย๋กล่าว
“ได้ ข้าจะนำทางเอง”
……
สองวันต่อมา ภายใต้การชี้นำของถังอันและเหมียวยี่หรง ทั้งห้าคนก็ได้มาถึงสถานที่รกร้างห่างไกลแห่งหนึ่ง
พื้นที่แห่งนี้ไม่เพียงรกร้าง นอกจากที่แล้วรัศมีของช่องอากาศก็อลหม่านเป็นที่สุด บางครั้งมีฟ้าผ่าลงมา และยังมีเพลิงพิภพพุ่งกระฉูด ช่องอากาศที่สับสนอลหม่าน ยังส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อการมองเห็นและตัวสำนึกอีกด้วย
ในแดนดารานอก สถานที่เช่นนี้มีอยู่มากมาย ปกติแล้วเจ้ายุทธจักรโดยทั่วไปจะไม่ก้าวเข้ามาโดยง่าย
“พี่ถัง ในแดนดารานอกมีสถานที่เช่นนี้อยู่เต็มไปหมด เจ้าแน่ใจหรือว่ามีผลทิพย์แท้อยู่ที่นี่จริง?” หวูเจิ้งขมวดคิ้ว
“ด้วยความสัมพันธ์ของเรา ข้าจะโกหกศิษย์พี่ทั้งสองท่านได้อย่างไร?” ถังอันยิ้มกล่าว: “ก่อนหน้านี้ไม่นานข้าได้พบเข้ากับมังกรเจียวสะท้านเพลิงแดนเจ้ายุทธจักรขั้นเก้า เดรัจฉานนั่นแข็งแกร่งยิ่งนัก ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน ถูกล่าสังหารมาตลอดทาง……”
พูดมาถึงตรงนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าของถังอันก็ได้หายไป ท่าทางเคร่งเครียดขึ้นมา “ตอนนั้นข้าไม่มีทางหนีได้อีก จึงได้หลบหนีเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ คิดไม่ถึงว่าที่นี่จะเป็นรังของมังกรเจียวสะท้านเพลิงนั่น!”
“รังของมังกรเจียวสะท้านเพลิงอย่างนั้นหรือ?” สีหน้าท่าทางของหวูเจิ้งเคลื่อนไหวเล็กน้อย ในแดนดารานอก มังกรเจียวสะท้านเพลิงนับเป็นอสุรกายขั้นแปดที่ร้ายกาจมากจริง ๆ
“ถูกต้อง เนื่องจากข้าได้พบเข้ากับถ้าที่ลึกลับแห่งหนึ่ง ในนั้นเต็มไปด้วยสายฟ้าละเพลิงพิภพ มีกลิ่นอายของมังกรเจียวสะท้านเพลิงอยู่เล็กน้อย ข้าเองก็หลบอยู่ในสวนลึกของถ้ำ และพบเข้ากับต้นผลทิพย์แท้”
“เพียงแต่ว่าบริเวณใกล้กับผลทิพย์แท้ ถูกครอบคลุมไว้ด้วยค่ายกลพรสวรรค์ในตอนนั้นข้ายังได้ถูกล่าสังหารตั้งนั้นจึงได้แต่อาศัยยันต์ธรรมสุทธิ์หลบหนี”
หลังจากได้ฟังเรื่องราวจากถังอัน แววตาของหวูเจิ้งกับหวูเย๋ก็เปลี่ยนเป็นเร่าร้อนขึ้นมาในทันที เห็นได้ชัดว่าที่มังกรเจียวสะท้านเพลิงนั่นอาศัยอยู่ตรงนี้ เป็นเพราะต้นไม้นั่นอย่างแน่นอน
โชคดีที่มีค่ายกลพรสวรรค์คุ้มครองต้นผลทิพย์แท้เอาไว้ ดังนั้นมังกรเจียวสะท้านเพลิงนั่นจึงเอามันมาไม่ได้เช่นนั้น
“ฝีมือของเดรัจฉานนั่นเป็นอย่างไรบ้าง? และค่ายกลพรสวรรค์นั่นอยู่ในระดับใด?” หวูเจิ้งซักถาม
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 809
บริเวณใกล้เคียงหุบเขาหินดำสั่นสะท้านเล็กน้อย บุรุษในชุดคลุมยาวสีเทาขาวผู้หนึ่งก้าวเท้าเดินออกมา
“พี่ถัง ศิษย์น้องเหมียว ไม่เจอกันเสียนาน” ชายผู้นี้ยิ้มอ่อน ๆ ประสานมือทักทาย ท่าทางมีมารยาทยิ่งนัก ไม่ได้แสดงความโอหังของแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ออกมา
หลัวซิวสังเกตถึงผลการฝึกตนของอีกฝ่าย การเคลื่อนไหวอันเรือนร่างของพลังจิตแท้ บ่งบอกถึงผลการฝึกตนแดนเจ้ายุทธจักรช่วงปลายของอีกฝ่าย
“ศิษย์ที่หวู ข้าจะแนะนำให้ท่านรู้จัก ท่านนี้คือซิวหลัว เป็นยอดฝีมือที่กล้ามาแดนดารานอกเพียงลำพัง”
ถังอันหัวเราะชอบใจ กล่าวแนะนำ: “พี่ซิวหลัว ท่านนี้ก็คือศิษย์พี่หวูที่ข้าเอ่ยถึง หวูเจิ้ง”
เมื่อได้ยินว่าหลัวซิวมาที่ แดนดารานอกเพียงลำพัง ดวงตาของหวูเจิ้งก็เป็นประกายขึ้นมา จากผลการฝึกตนแดนเจ้ายุทธจักรช่วงปลายของเขา แม้จะนับว่าร้ายกาจมากแล้วในแดนดารานอก แต่ก็ไม่กล้าเดินทางเพียงลำพัง
“พี่ซิวหลัว” หวูเจิ้งประสานมือทักทาย
“พี่หวู” หลัวซิวประสานมือทักทายกลับ
หลังจากที่พูดคุยตามมารยาทอยู่สักพัก หวูเจิ้งก็ได้เข้าสู่ประเด็นสำคัญทันที หันไปกล่าวกับถังอัน: “ในเมื่อพี่ถังได้เชิญข้ามา และยังได้เชิญพี่ซิวหลัว บ่งบอกได้ว่าสถานที่ที่ท่านพบเข้านั้นไม่ธรรมดา ยอดฝีมือยิ่งมากยิ่งดี”
“พอดีข้ายังมีสหายอยู่ในที่นี้อีกคน หากพี่ถังไม่รังเกียจ เดินทางร่วมกันเป็นอย่างไร?”
กล่าวไป ภายในการชี้นำของหวูเจิ้ง ทุกคนก็ได้เข้าสู่ค่ายกลแห่งหนึ่ง มาถึงด้านในของหุบเขาหินดำ
ที่นี่คือสถานที่ฝึกตนของหวูเจิ้งสร้างเป็นถ้ำขึ้นด้วยหินประหลาดสีดำ หลังจากที่ทุกคนได้เข้ามาในถ้ำ ก็พบว่ายังมีอีกคนอยู่ด้านใน
ชายผู้นี้มีหนวดขาวผมขาว ดูท่าจะมีอายุไม่น้อย รัศมีของผลการฝึกตนสูงกว่าหวูเจิ้งอีกในระดับหนึ่ง
“ศิษย์พี่หวูเย๋?” เมื่อเห็นคนผู้นี้ ถังอันและเหมียวยี่หรงก็ได้เข้ามาทักทาย เห็นได้ชัดว่ารู้จักกันมาก่อน
เมื่อหวูเย๋ผู้นี้ได้ยินว่าหลัวซิวเป็นผู้แข็งแกร่งที่เดินทางเพียงลำพัง แสงแพรวพราวได้แวบเข้ามาในดวงตาขุ่นมัวของเขา “ไม่ทราบสหายเป็นศิษย์สำนักใดหรือ?”
ระหว่างที่กล่าว คนผู้นี้ก็ได้แผ่ซ่านรัศมีของตนเองออกมา กลายเป็นแรงกดดันมหาศาล เหมือนว่ามีความคิดที่จะประลองกับหลัวซิวสักหน่อย
เมื่อเห็นว่าหวูเย๋ใช้กระแสพลังทดสอบหลัวซิวอย่างไม่เกรงกลัวใด ๆ และถังอันยังเป็นคนที่พาหลัวซิวมาเอง นี่ทำให้ถังอันมีสีหน้าประหม่าเล็กน้อย
เพียงแต่หวูเย๋และหวูเจิ้งต่างเป็นผู้แข็งแกร่งของแดนศักดิ์สิทธิ์ตระกูลยุทธ์ เขาก็ไม่อาจพูดอะไรที่ล่วงเกินได้
นอกจากนี้แล้วเขาก็มองไม่ออกว่าผลการฝึกตนของหลัวซิวอยู่ในระดับใดกันแน่ ให้หวูเย๋ทดสอบดูสักหน่อย ก็พอที่จะรู้ความตื้นลึกหนาบางของคนผู้นี้ได้บ้าง
“นี่สหายหมายความเช่นไรหรือ?” หลัวซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้แผ่ซ่านพลังจิตแท้ของตนเองออกมา แต่ได้สร้างแรงกดดันขึ้นด้วยกระแสพลังแห่งกฎ
รัศมีพลังของทั้งสองฝ่ายพึ่งจะกระทบกัน รัศมีพลังของหวูเย๋ก็สลายไปทันที ถูกกระแสพลังแห่งกฎจู่โจมจนแตกสลายไป
“กฎความตาย?”
สีหน้าของหวูเย๋เปลี่ยนไปเล็กน้อย “สหายยุทธ์ซิวหลัวเป็นผู้สืบทอดของนิกายมารศักดิ์สิทธิ์”
เป็นที่ทราบโดยทั่วกันว่า นิกายมารศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้ที่มีความสำเร็จสูงสุดในกฎความตาย และมีเพียงผู้แข็งแกร่งของนิกายมารศักดิ์สิทธิ์ ที่สามารถฝึกฝนกฎความตายให้บรรลุในแดนที่สูงเช่นนี้ได้
หลัวซิวสีหน้าไร้ความรู้สึก ไม่ได้ตอบกลับใด ๆ เลย ความให้สถานการณ์ของทั้งสองฝ่ายประหม่าเล็กน้อย
ถังอันรีบประนีประนอมทันที ยิ้มกกล่าว: “ทั้งสองท่านอย่างได้ผิดใจกันเลย ครั้งนี้ทุกคนจะเอาผลทิพย์แท้มาได้หรือไม่ จะต้องร่วมมือกันอย่างเต็มที่ถถึงจะได้”
“ว่าอย่างไรนะ? ผลทิพย์แท้?” เมื่อได้ยินเช่นนี้ หวูเจิ้งและหวูเย๋ศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสองคน ต่างก็สีหน้าเปลี่ยนไปทันที
ที่พวกเขาตกตะลึง เพราะเมื่อก่อนหน้านี้ถังอันได้บอกเพียงว่าค้นพบสถานที่ที่มีสมบัติวิเศษแห่งหนึ่ง แต่ไม่ได้พวกว่าในนั้นมีผลทิพย์แท้
สำหรับคนที่อยู่ในแดนเจ้ายุทธจักร ผลทิพย์แท้ของล้ำค่าอย่างแน่นอน สาเหตุที่ถังอันไม่กล่าวตั้งแต่แรก เพราะกลัวว่าข้ามูลจะกระจายไปเข้าหูคนอื่น
หากเป็นเมื่อก่อน เพราะเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิว ทำให้หลัวซิวรู้สึกดีต่อตระกูลยุทธ์อยู่บ้าง
แต่หลัวจากเรื่องม้วนหยกสีทอง ความรู้สึกที่เขามีต่อแดนศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ พูดได้ว่าไม่มีความรู้สึกดีใด ๆ เลย
ผู้ที่ค้นพบผลทิพย์แท้นั้นคือถังอันสองพี่น้อง พวกเขาจะเชื้อเชิญใคร หลัวซิวไม่มีความเห็นใด ๆ เลยสักนิด
ระหว่างทาง เนื่องจากทั้งสองพี่น้องได้คิดไปเองก่อนว่าผลการฝึกตนของหลัวซิวนั้นร้ายกาจมาก ดังนั้นจึงได้เรียกพี่หลัวซิวอยู่ตลอดเวลา ทำให้หลัวซิวอดไม่ได้ที่จะหัวเราะอยู่ในใจ เรื่องผลการฝึกตนไม่ต้องพูดถึง แค่จากอายุแล้ว อายุของทั้งสองคนนี้ ล้วนสูงกว่าหลัวซิวอีกมากนัก
สุดยอดอัจฉริยะสามารถฝึกตนบรรลุถึงแดนเจ้ายุทธจักรได้ภายในเวลานับสิบปี แต่เริ่มจากเจ้ายุทธจักร นับร้อยปีหรือแม้กระทั่งพันปีก็ยากที่จะฝึกตนบรรลุถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ได้ ดังนั้นผู้แข็งแกร่งเจ้ายุทธจักรจำนวนมากจึงได้ใช้เวลาฝึกตนอยู่หลายร้อยปี
โดยปกติแล้วผลการฝึกตนยิ่งสูง อายุก็จะยิ่งยืนยาว พรสวรรค์ของถังอันกับเหมียวยี่หรงไม่นับว่าดดีสักเท่าไร ฝึกตนมาสองร้อยกว่าปี ยังไม่บรรลุถึงแดนเจ้ายุทธจักรช่วงกลาง
จากที่ถังอันได้กล่าวมา ยอดฝีมือจากตระกูลยุทธ์ที่พวกเขาได้เชิญมานั้นฝึกตนอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งบนแดนดารานอก
สำหรับคนที่ได้ฝึกประสบการณ์อยู่ในแดนดารานอกเป็นเวลาหลายร้อยปีอย่างพวกเขา ล้วนมีความเข้าใจสภาพแวดล้อมในโลกล่มสลายแห่งนี้เป็นอย่างดี รู้ว่าสถานที่ปลอดภัยอยู่ที่ใด
“พี่ถัง สถานการณ์ของสถานที่ที่มีผลทิพย์แท้อยู่นั้น บอกให้ข้าฟังหน่อยได้หรือไม่?” ในระหว่างทาง หลัวซิวไปเอ่ยถามขึ้น
จากความสามารถของหลัวซิวในตอนนี้ เป็นธรรมดาที่ไม่ต้องเป็นกังวลว่าเจ้ายุทธจักรขั้นปฐมภูมิจะหลอกตนเอง แต่อีกฝ่ายังได้เชื้อเชิญยอดฝีมือจากตระกูลยุทธ์ท่านหนึ่ง ด้วยจิตใจที่ระมัดระวังรอบคอบ หลัวซิวจึงต้องลองซักถามดูก่อน เพื่อจะได้เตรียมแผนการไว้ในใจ
ถังอันไม่ได้คิดอะไรมาก และกล่าวออกมาโดยตรง: “สถานที่แห่งนั้นเต็มไปด้วยสายฟ้าและเพลิงพิภพ ข้าเรียกมันว่าถ้ำอัสนีเพลิง อยู่ในสถานที่ที่ค่อนข้างซับซ้อนหากไม่ใช่เพราะข้าพบเข้าโดยบังเอิญ คิดจะหามันเจอไม่ใช่เรื่องง่ายนัก”
ได้ยินดังนั้น หลัวซิวก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ถังอันอันผู้นี้ได้พูดเลี่ยงจุดสำคัญ เห็นได้ชัดว่าไม่ต้องการที่จะบอกความจริงกับเขา ไม่ได้ปฏิบัติต่อเขาด้วยความจริงใจ
หลัวซิวไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนักสำหรับเรื่องนี้ สองฝ่ายพึ่งจะพบกันเป็นครั้งแรก หากปฏิบัติอย่างจริงใจตั้งแต่แรกพบ นั่นถึงเป็นเรื่องแปลก
ดังนั้นหลัวซิวจึงไม่ได้ซักถามเรื่องถ้ำอัสนีเพลิงอีกต่อไป และเปลี่ยนการสนทนา: “ไม่ทราบทั้งสองท่านมีแผนที่ของแดนดารานอกหรือไม่? ข้ามาอย่างรีบร้อน ดังนั้นจึงไม่ได้นำมาด้วย”
แผนที่ของแดนดารานอก ไม่ใช่ความลับอันใด โดยทั่วไปแล้วเจ้ายุทธจักรที่มาฝึกประสบการณ์ในแดนดารานอก ต่างก็มีความสามารถที่จะหามันมาได้
จากอำนาจที่หลัวซิวมีในองค์กรนักล่ายุทธ์ ก็สามารถเอาแผนที่มาได้ผ่านทางเมืองศักดิ์สิทธิ์ เพียงแต่เขายังไม่ทันได้จัดเตรียม ก็ได้ถูกหลิวหงเทียนส่งมาที่นี่เสียแล้ว
มาวันนี้ได้อยู่ในโลกล่มสลายแห่งหนึ่ง เป็นธรรมดาที่เขาจะเอาแผนที่มาจากส่วนในของแก๊งไม่ได้
“พี่ซิวหลัวสามารถเคลื่อนไหวในแดนดารานอกนี้ได้เพียงลำพังโดยที่ไม่มีแผนที่ ช่างทำให้คนเลื่อมใสยิ่งนัก”
ถังอันยิ้ม จากนั้นก็พลิกมือเอาม้วนหยกชิ้นหนึ่งออกมา “พวกเราตำหนักอัคคีนภาเองก็ไม่มีแผนที่ที่ละเอียดนัก หวังว่ามันจะสามารถช่วยได้”
หลัวซิวกล่าวขอบคุณ และยื่นมือออกไปรับเอาม้วนหยกมา สำรวจด้วยตัวสำนึก พบว่าแผนที่ที่อยู่ด้านในนั้นไม่สมบูรณ์แบบ มีเพียงบางพื้นที่ของแดนดารานอก อย่างไรก็ตามพื้นที่ส่วนนี้ก็มีการระบุเอาไว้อย่างละเอียด แถมยังได้ระบุจุดกำเนิดของวัสดุและสมบัติวิเศษต่าง ๆ เอาไว้ด้วย
“ถึงแล้ว”
ในตอนนี้เอง จู่ ๆ ถังอันก็ได้กล่าวขึ้นมา และชี้ไปยังหุบเขาที่เกิดจากการสะสมของหินดำแห่งหนึ่ง
“บริเวณนี้มีค่ายกลอยู่ ข้าจะส่งข่าวให้กับพี่หวู” กล่าวไป ถังอันก็ได้หยิบเอาป้ายหยกชิ้นหนึ่งออกมา ใส่พลังจิตแท้เข้าไปด้านใน ป้ายหยกส่องแสงสีทองอ่อน ๆ ออกมา
“พรึบ!”
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 807
การปฏิเสธของหลัวซิวไม่ได้ทำให้ถังอันโมโหเลย แม้กระทั่งว่าในสายตาของเขา ผู้แข็งแกร่งที่กล้าฝึกประสบการณ์ในแดนดารานอกเพียงลำพัง มีความทะนงตนบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดา
เขาอธิบายอย่างใจเย็น: “ข้าต้องการเชิญท่านไปตามหาสมบัติวิเศษในสถานที่แห่งหนึ่ง หากสามารถเข้าไปที่นั่นได้ จะได้รับผลประโยชน์มากมายเลยทีเดียว ถึงขั้นที่สามารถให้ผู้แข็งแกร่งร่างยุทธ์แดนเจ้ายุทธจักร เพิ่มระดับแดนร่างเนื้อในหนึ่งแดนเล็กได้อย่างง่ายดาย”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าท่าทางของหลัวซิวก็เคลื่อนไหวเล็กน้อย ร่างยุทธ์ร่างเนื้อของเขาได้มาถึงมหายุทธ์ระดับขีดจำกัดแล้ว ห่างจากแดนเจ้ายุทธจักรอีกเพียงก้าวเดียว
หากสถานที่ที่อีกฝ่ายเอ่ยถึงร้ายกาจเช่นนั้นจริง ไม่แน่อาจเป็นโอกาสที่เขาจะบรรลุถึงร่างยุทธ์แดนเจ้ายุทธจักรก็เป็นได้
“ข้าจะเชื่อเจ้าได้อย่างไร?” หลัวซิวถามเสียงเข้ม
ถังอันกล่าวอย่างไม่รีบร้อน: “สหายเคยได้ยินชื่อผลทิพย์แท้หรือไม่?”
“ผลทิพย์แท้?” หลัวซิวหรี่ตาเล็กน้อย เขามีความทรงจำของปรมาจารย์กลั่นยาระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นเก้า เป็นธรรมดาที่จะรู้จักของเช่นนี้
ผลทิพย์แท้คือยาวิเศษระดับเก้าชนิดหนึ่ง แต่ยาวิเศษชนิดนี้ไม่ได้นำมาเพื่อกลั่นยา แต่สามารถทานได้โดยตรง
ในผลไม้ทิพย์ชนิดนี้พลังอันบริสุทธิ์ สามารถนำมาเพิ่มระดับผลการฝึกตน และนำมาใช้เพื่อฝึกกลั่นร่างยุทธ์ได้
แน่นอน ประสิทธิภาพของผลทิพย์แท้มีผลต่อเจ้ายุทธจักรเท่านั้น สำหรับผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ไม่จำเป็นต้องใช้ของชนิดนี้
นอกจากนี้แล้วประสิทธิภาพทางยาของผลทิพย์แท้ค่อนข้างสูง แดนเจ้ายุทธจักรลงไปยากที่จะทนรับฤทธิ์ยาที่ดุเดือดเช่นนี้ได้ อาจต้องตายเพราะร่างกายระเบิดได้โดยง่าย
แต่หลัวซิวเชื่อว่าจากความแข็งแกร่งของตนเองสามารถควบคุมฤทธิ์ยาของผลทิพย์แท้ได้ หากเอามันมาได้ละก็ เพิ่มระดับแดนร่างเนื้อให้บรรลุถึงแดนเจ้ายุทธจักร มันต้องเป็นได้อย่างแน่นอน
“หากมีผลทิพย์แท้อยู่จริง เหตุใดเจ้าถึงไม่ไปเก็มันเองเล่า?” หลัวซิวเอ่ยถาม
“สหายล้อเล่นแล้ว ที่ที่มีผลทิพย์แท้ จะสามารถเข้าไปโดยง่ายได้อย่างไร?” ถังอันยิ้มกล่าว
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลัวซิวก็สบายใจขึ้นมาเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าถังอันและศิษย์น้องของเขาได้ค้นพบสถานที่ที่มีผลทิพย์แท้อยู่ ตามความสามารถของเขาไม่เพียงพอ ไม่สามารถเอเห็นได้ชัดที่อยู่ด้านในมาได้
สถานที่ที่มีสมบัติวิเศษ มักจะมีอันตรายอยู่ด้วย นี่เป็นสิ่งที่ต่างรู้กันโดยทั่วไปในโลกการฝึกยุทธ์
สมบัติวิเศษยิ่งล้ำค่า อันตรายที่มีอยู่ก็จะยิ่งมากตาม นี่เป็นสิ่งที่ไม่ต้องสงสัยเลย
“ได้ ข้าจะไปกับพวกเจ้าด้วยก็ได้ ข้าชื่อซิวหลัว” หลัวซิวพยักหน้ากล่าว
เมื่อได้ยินหลัวซิวรับปาก ถังอันก็มีสีหน้าปีติยินดีขึ้นมา สำหรับเขาแล้ว ความร่วมมือจากผู้แข็งแกร่งที่กล้าเคลื่อนไหวในแดนดารานอกเพียงลำพัง ทำให้โอกาสที่จะได้รับผลทิพย์แท้สูงขึ้นมาอย่างไม่ต้องสงสัย
“พี่ซิวหลัวรออีกหน่อย ข้ายังได้หาสหายคนอื่นมาช่วยด้วย” ถังอันเอ่ยขึ้นมา
“ยังไม่ทราบเลยว่าพี่ซิวหลัวมาจากโลกพิภพใด?” เหมียวยี่หรงศิษย์น้องของถังอันเอ่ยถามขึ้นมา
เทียบกับถังอันแล้ว นางคิดรอบคอบมากกว่านัก รู้จักถามที่มาที่ไปของอีกฝ่ายก่อน
“โลกแสงดาว”
“พี่ซิวหลัวเองก็มาจากโลกแสงดาวรึ? ไม่ทราบมาจากแดนศักดิ์สิทธิ์ใดหรือ?” เหมียวยี่หรงถามขึ้นมาอีกครั้ง
นี่ทำให้หลัวซิวแปลกใจเล็กน้อย เจ้ายุทธจักรส่วนมากที่เข้ามาฝึกประสบการณ์ในโลกแสงดาว ต่างก็จะอยู่ที่นี่เป็นเวลาร้อยปีหรือแม้กระทั่งพันปี สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นในโลกแสงดาวในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยทั่วไปแล้วจึงไม่รู้เลย
“ข้าไม่ได้มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์ ข้ามาจากเมืองศักดิ์สิทธิ์” หลัวซิวยิ้มกล่าว “ไม่ทราบทั้งสองท่านมาจากแดนศักดิ์สิทธิ์ใดหรือ?”
“พวกเรามาจากแดนศักดิ์สิทธิ์ตำหนักอัคคีนภาในอาณาจักรใต้” ถังอันเอ่ยตอบ “สถานที่ที่จะไปในครั้งนี้อันตรายเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นข้าและศิษย์น้องจึงได้เชิญให้ยอดฝีมือจากตระกูลยุทธ์ท่านหนึ่งมาช่วยอีกแรง”
แต่ข้อมูลเกี่ยวกับอาณาจักรที่ได้บันทึกเอาไว้ในของกำนัลที่กฎดั้งเดิมมอบให้นั้น แน่นอนว่าจะไม่ใช่อาณาจักรที่ธรรมดา
อาณาจักรเป็นตาย!
ทันทีที่อาณาจักรได้เปิดออก ผู้ที่มีแดนของกฎในระดับที่ต่ำกว่า จะถูกควบคุมความเป็นตายไปโดยสิ้นเชิง
นอกจากนี้แล้วในขั้นตอนของการฝึกฝนแสดงอาณาจักรออกมา ยังสามารถดูดซับพลังแห่งชีวิตและความตายในฟ้าดินได้อีกด้วย สามารถเพิ่มความเร็วในการเพิ่มระดับผลการฝึกตนของตนเองได้
“ที่สุดของชีวิตก็คือความตาย ที่สุดของความตายก็คือชีวิต?”
หลัวซิวทำความเข้าใจถึงความลี้ลับมหัศจรรย์ที่ได้บันทึกเอาไว้ โดยเฉพาะคำอธิบายเกี่ยวกับกฎ ทำให้หลัวซิวจมปลักอยู่กับมัน ยากที่จะถอนตัว
สามเดือนต่อมา หลัวซิวได้ออกจากการปิดขังตนเอง บุคลิกดูสุขุมลึกล้ำยิ่งขึ้น แทบจะไม่สามารถสัมผัสถึงรัศมีของพลังจิตแท้และพลังแห่งกฎได้เลย
“คิดไม่ถึงว่าในอาณาจักรแห่งกฎจะได้ซ่อนความลึกลับมหัศจรรย์เอาไว้มากมายเช่นนี้”
การปิดขังตนเองในครั้งนี้ หลัวซิวได้รับประโยชน์มากมาย โดยเฉพาะการตระหนักรู้ในแดนของกฎ แม้จะยังไม่ได้บรรลุถึงแดนสำเร็จน้อย ยังคงอยู่ในแดนความเข้าใจเบื้องต้น แต่ความเข้าใจที่เขามีต่อกฎความตายนั้นได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
“อานุภาพหมัดกระบี่ของข้านั้นร้ายกาจยิ่งนัก แต่กลับไม่ต้องยึดติดในรูปร่าง”
หลัวซิวชี้นิ้วออกไปในอากาศ ปราณกระบี่เพลิงดำได้แทงไปในอากาศ ทะลุผ่านภูเขาลูกเล็กที่อยู่ห่างออกไป
จากนั้นเขาก็ได้ซัดออกมาอีกหนึ่งฝ่ามือ พลังฝ่ามือได้ถูกซัดออกไป ปรากฏรอยฝ่ามือที่ชัดเจนขึ้นมาบนพื้น
การปิดขังตนเองเพื่อตระหนักรู้ในครั้งนี้ หลัวซิวได้เพิ่มระดับการตระหนักรู้ทักษะการต่อสู้ร่างเนื้อของตนเองจนถึงแดนใหม่ทั้งหมด
มาวันนี้เพียงแค่ใช้หมัดกระบี่ ไม่สามารถที่จะใช้อธิบายทักษะการต่อสู้ร่างเนื้อชนิดนี้ได้อีกแล้ว หลัวซิวตั้งชื่อให้กับมันว่าหมื่นจักรวาลไร้รูป
หมื่นจักรวาล มีความหมายว่ากว้างใหญ่ไพศาลไม่อาจคาดเดา
ไร้รูป หมายถึงการแปรเปลี่ยนที่คาดเดาไม่ได้
ในตอนนี้เอง หลัวซิวสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของผู้อื่นกำลังใกล้เข้ามาทางด้านนี้
เพ่งตามองไป เขาได้พบเข้ากับเงาร่างสองสาย โดยส่วนมากผู้แข็งแกร่งที่เข้ามาฝึกประสบการณ์ในแดนดารานอกนั้น จะรวมตัวกันมา เช่นนี้เมื่อเผชิญหน้ากับอันตราย สามารถช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้
ทั้งสองคนนี้ล้วนมีผลการฝึกตนในแดนเจ้ายุทธจักร และต่างก็เป็นเจ้ายุทธจักรขั้นปฐมภูมิ คนหนึ่งคือเจ้ายุทธจักรขั้นสอง ส่วนอีกคนเป็นเจ้ายุทธจักรขั้นสาม
จากที่หลิวหงเทียนได้กล่าวมา สามารถมาฝึกประสบการณ์ที่แดนดารานอกได้ โดยทั่วไปแล้วล้วนเป็นเจ้ายุทธจักร สำหรับผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ ส่วนมากต่างเลือกไปที่โลกแสงดาวเกณฑ์กฎ
ผู้คนทั้งสองที่เหาะเหินเข้ามา เป็นบุรุษและสตรีคู่หนึ่ง เจ้ายุทธจักรขั้นสองเป็นสตรีนางหนึ่ง หน้าตางดงาม โสมสะคราญเป็นอย่างยิ่ง ส่วนเจ้ายุทธจักรขั้นสามนั้นคือบุรุษผู้หนึ่ง รูปร่างหน้าตาแสนธรรมดา ผิวออกเหลืองคล้ำ
ในตอนที่หลัวซิวพบเห็นอีกฝ่าย ทั้งสองคนก็ได้มองเห็นหลัวซิวเช่นเดียวกัน ความประหลาดใจแวบเข้ามาในดวงตา
เพราะแดนดารานอกนั้นอันตรายเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงมีน้อยคนที่จะปฏิบัติการเพียงลำพัง ส่วนมากล้วนจับคู่รวมกลุ่ม โดยปกติแล้วผู้ที่กล้าเคลื่อนไหวเพียงลำพัง ล้วนมีผลการฝึกตนและพลังการต่อสู้ที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง
“สหายท่านนี้เสียมารยาทแล้ว” ทั้งสองคนได้หยุดลง และเหาะลงมาสู่พื้น บุรุษผู้นั้นประสานมือทักทายหลัวซิว
“มีเรื่องอันใดหรือ?” หลัวซิวเอ่ยถามอย่างเรียบ ๆ
เนื่องด้วยแดนการฝึกตนของหลัวซิวได้เพิ่มระดับขึ้น รัศมีพลังของเขาแทบจะไม่ปรากฏออกมาเลย ดังนั้นบุรุษผู้ฝึกตนคนนี้จึงไม่สามารถมองผลการฝึกตอนของเขาออกได้ บวกกับที่อีกฝ่ายเคลื่อนไหวเพียงลำพัง ดังนั้นจึงได้คิดเองก่อนว่าคนผู้นี้อาจเป็นผู้แข็งแกร่งที่ร้ายกาจคนหนึ่ง
คิดมาถึงตรงนี้ เขาก็มีมารยาทเป็นอย่างมาก ประสานมือกล่าว: “ข้านามถังอัน นี่คือศิษย์น้องของข้านามเหมียวยี่หรง”
“ข้าเห็นว่าท่านได้ฝึกหาประสบการณ์อยู่ในแดนดารานอกเพียงลำพัง คิดว่าคงมีฝีมือแข็งแกร่ง ดังนั้นจึงมีความคิดอย่างหนึ่ง ต้องการร่วมมือกับสหาย” ถังอันกล่าวอย่างมีมารยาท
“ขออภัยด้วย ข้าไม่สนใจเลยสักนิด” หลัวซิวกล่าวอย่างเย็นชา
ทั้งสองคนนี้ไม่รู้จักกับตนมาก่อน ต้องการร่วมมือทันทีที่พบหน้า หากบอกว่าไม่มีแผนการบางอย่าง หลัวซิวไม่มีทางเชื่อแน่
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 805
หลังจากที่หลัวซิวได้เข้ามาในถ้าแห่งนี้ ก็ได้สร้างค่ายกลระดับ 8 ขึ้นบริเวณใกล้เคียงปากถ้ำจำนวนไม่น้อยทันที
จากนั้นเขาก็ได้เปิดแหวนเก็บของของชายผมทองทั้งสองคนออกอยู่ภายในถ้ำ ในนั้นเต็มไปด้วยวัสดุหลากหลายระดับ รวมทั้งยาวิเศษระดับสูงจำนวนมาก
นอกจากนี้แล้วยังมีอาวุธขลังชั้นสูงอยู่อีกหลายชิ้น ในนั้นยังมีกระสวยบินรูปมังกรอยู่ชิ้นหนึ่ง เป็นของขลังนภาเวหาชั้นยอดอย่างหนึ่ง
ความเร็วในการเคลื่อนไหวของของขลังกระสวยเมื่อขับเคลื่อนจนถึงขีดสุด ความเร็วสามารถทัดเทียมได้กับปีกทิพย์ไร้มลทินของเขา เพียงแต่ว่าของสมบัติวิเศษชิ้นกลับไม่ได้อยู่ในมือของชายผมทองเจ้ายุทธจักรช่วงปลาย แต่ได้อยู่ในแหวนเก็บของของเจ้ายุทธจักรช่วงกลางที่ชื่อกว่างช่าวผู้นั้น
เขาลงมืออย่างรวดเร็วเกินไป กว่างช่าวผู้นั้นไม่มีโอกาสที่จะเอาของขลังกระสวยนี้ออกมาได้เลยสักนิด
“สองคนนี้มั่งมีเสียจริงเลย”
หลัวซิวตรวจนับสมบัติวิเศษที่อยู่ในแหวนเก็บของทั้งสองวง ที่ส่วนมากที่อยู่ด้านในล้วนไม่มีความจำเป็นสำหรับเขา แต่ของที่มีประโยชน์สำหรับเขาก็มีไม่น้อยเช่นกัน มียาวิเศษและวัสดุระดับแปดขึ้นไปอยู่ด้วยจำนวนมากอยู่ด้วย
ล้างเอายาวิเศษระดับแปดที่มีอยู่ในมือออกมาจนหมด หลัวซิวก็ได้เริ่มกลั่นยาขึ้นมาในทันที
หลายวันต่อมา เขาได้กลั่นยาระดับแปดออกมาจำนวนมาก เมื่อมียาพวกนี้ เขาสามารถเพิ่มระดับผลการฝึกตนของตนเองขึ้นมาเล็กน้อย
สองเดือนต่อมา ผลการฝึกตนของหลัวซิวได้บรรลุถึงแดนมหายุทธ์ขั้นสาม และเผชิญเข้ากับจุดคอขวด
ขั้นสามและขั้นสี่ เป็นเขตแดนระหว่างมหายุทธ์ขั้นปฐมภูมิและขั้นกลาง หลังจากที่ผลการฝึกตนได้บรรลุถึงแดนมหายุทธ์ขั้นสาม เขาก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าความเร็วในการฝึกตนนั้นได้ค่อย ๆ ช้าลง
หลัวซิวได้สิ้นสุดการฝึกตน จากนั้นก็ได้นำห้วงความคิดจมลงสู่ตัวหยั่งรู้ เชื่อมต่อกับร่างแยกอีกร่างหนึ่งที่สู่ห่างกันไกลแสนไกล
เวลานี้ร่างแยกชุดดำได้อยู่ในโลกล่มสลาย ไม่ได้อยู่ในโลกแสงดาวแล้ว ส่วนร่างแยกชุดขาวนั้นได้อยู่ในปริภูมิซ่อนเร้นในแดนตำหนักจื่อ พูดได้ว่าได้ถูกกั้นไว้ด้วยช่องอากาศซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แม้จะเป็นเช่นนี้ ร่างแยกทั้งสองก็ยังสามารถติดต่อกันได้ เห็นได้ว่าพลังอมตะวิชาแบ่งร่างดับเบิ้ลนั้นแข็งแกร่งถึงเพียงใด
เดิมทีร่างแยกทั้งสองรวมอยู่ในร่างเดียวกัน ผลการฝึกตนของร่างแยกชุดดำบรรลุถึงแดนมหายุทธ์ ร่างยุทธ์ร่างเนื้อบรรลุถึงขีดจำกัดแดนมหายุทธ์ ตัวสำนึกบรรลุถึงเจ้ายุทธจักรขั้นปฐมภูมิ ร่างแยกชุดขาวก็จะได้รับการเพิ่มระดับ บรรลุถึงระดับเดียวกัน
ลูกแก้วความเป็นตายอยู่ในร่างของร่างแยกชุดขาว คราวนี้ผลการฝึกตนได้บรรลุถึงแดนมหายุทธ์ หลัวซิวได้สร้างให้ร่างทั้งสองเกิดการเชื่อมต่อกัน ก็เพื่อเข้าสู่ลูกแก้วความเป็นตาย เพื่อรับของกำนัลจากกฎดั้งเดิมอีกครั้ง
โซนสงสารวัฏที่ลึกลับ หลัวซิวได้เงยหน้ามองวัฏจักรขนาดใหญ่มหึมานั่นอีกครั้ง
“ผู้สืบทอดที่อ่อนแอ คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะบรรลุถึงแดนมหายุทธ์ได้เร็วเช่นนี้ ดูท่าอีกไม่นานนัก เจ้าก็จะกลายเป็นเทพมารแล้ว” เทพแห่งวัฏจักรชีวิตกล่าวกลับหลัวซิวหลายประโยคอย่างหาได้ยาก
“กลายเป็นเทพมาร ก็จะไม่อ่อนแอแล้วหรือ?” หลัวซิวยิ้มพลางเอ่ยถาม
“ต่อให้เป็นเทพมาร บนเส้นทางแห่งการฝึกตนอันไร้ที่สิ้นสุดก็นับเป็นเพียงพึ่งจะเข้าสู่ขั้นปรมาจารย์เท่านั้นเอง ยังห่างจากการก้าวเข้าสู่ขอบเขตผู้แข็งแกร่ง อีกยาวไกลยิ่งนัก” เทพแห่งวัฏจักรชีวิตกล่าวบั่นทอนจิตใจอย่างเย็นชา
หลัวซิวเบ้ปาก เขาเองก็ทราบดีว่าสายตาของเทพแห่งวัฏจักรชีวิตนั้นสูงนักแล ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะสามารถหลุดพ้นจากฉายาผู้สืบทอดที่อ่อนแอได้
“ข้ามาเพื่อรับของกำนัลจากกฎดั้งเดิม” หลัวซิวพูดอย่างตรงไปตรงมา
“ดั่งความปรารถนาของเจ้า” เทพแห่งวัฏจักรชีวิตไม่พูดอะไรมาก ลำแสงสายหนึ่งได้ร่วงหล่นลงมา ปกคลุมร่างกายของหลัวซิวเอาไว้
“อาณาจักร……”
ของกำนัลจากกฎดั้งเดิมในครั้งนี้ เป็นข้อมูลเกี่ยวกับอาณาจักร
หลัวซิวฝึกตนถึงแดนมหายุทธ์ แม้จะไม่ได้ตระหนักรู้ถึงพลังแห่งกฎ ก็สามารถสร้างอาณาจักรที่พิเศษขึ้นมาได้ พูดได้ว่าพลังแห่งอาณาจักร เป็นความสามารถเฉพาะของผู้แข็งแกร่งแดนมหายุทธ์
หลัวซิวเองก็ได้เคยเห็นมหายุทธ์คนอื่นแสดงพลังเช่นนี้ออกมา เพียงแต่ว่าพลังการต่อสู้ของเขานั้นค่อนข้างจะแข็งแกร่ง จึงไม่ได้รับผลกระทบจากอาณาจักรธรรมดาเหล่านั้น
หากไม่ใช่เพราะหลัวซิวมีกระบี่เสวียนยวนที่ใช้ถนัดมือยิ่งกว่า เขาก็ทำใจไม่ได้ที่จะให้อาวุธขลังชั้นดีระเบิดตัวเอง
ตูม!
พลังการระเบิดตนเองของอาวุธขลัง กลบทับพื้นที่ไปเป็นบริเวณนับพันเมตร การป้องกันของชายผมทองพังทลายลงทันที บาดแผลเต็มไปทั้งตัว เลือดไหลอาบร่างร่วงล่นลงมาจากกลางอากาศ แทบจะสูญเสียพลังตอบโต้กลับไปในทันที
“ผลัวะ!”
ปราณกระบี่สีดำแวบผ่านไป กระบี่เสวียนยวนในมือของหลัวซิวกรีดลอยไปกลางอากาศ แทงทะลุตรงกลางระหว่างคิ้วของอีกฝ่ายไปในทันที วิญญาณหยั่งรู้แตกสลายในชั่วพริบตา
“เจ้ายุทธจักรช่วงปลายนี่ต่อกรได้ยากจริง ๆ”
หลัวซิวเก็บเอาแหวนเก็บของของทั้งสองคนมา ภาพการต่อสู้ทั้งหมดได้ปรากฏขึ้นในสมอง
หลังจากที่หลัวซิวได้บรรลุถึงแดนมหายุทธ์ เขานึกว่าตนจะสามารถสังหารเจ้ายุทธจักรช่วงปลายได้อย่างสบาย นอกจากนี้แล้วเขายังได้สังหารเจ้ายุทธจักรช่วงปลายของเผ่าหงส์ผู้หนึ่งกับมือ นับเป็นการพิสูจน์จุดนี้ได้
แต่หลังจากที่เขาได้มาถึงแดนดารานอก ถึงพบว่าตนเองนั้นคิดแคบจนเกินไป เพราะต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งในระดับเดียวกัน ก็มีความเป็นไปได้ที่ความแข็งแกร่งจะแตกต่างกันมาก
ก็เหมือนกับตัวของเขาเอง มีผลการฝึกตนอยู่ในแดนมหายุทธ์ขั้นหนึ่งเช่นเดียวกัน ต่อให้มหายุทธ์ร้อยคนหรือแม้กระทั่งพันคนรวมกัน ก็เทียบกับความแข็งแกร่งของเขาเพียงคนเดียวไม่ได้ ชายผมทองแดนเจ้ายุทธจักรช่วงปลายผู้นี้ เมื่อเทียบกับเจ้ายุทธจักรช่วงปลายของเผ่าหงส์ที่เขาได้สังหารเหล่านั้น อย่างน้อยแข็งแกร่งกว่าไม่ต่ำกว่าสิบเท่า!
“ดูแล้วแดนดารานอกแห่งนี้เป็นสถานที่ที่ไม่เลวเลยจริง ๆ ผู้ที่มาฝึกประสบการณ์ในที่นี้ได้ ก็น่าจะล้วนเป็นสุดยอดของสุดยอดในแดนเดียวกัน” จากการต่อสู้ในครั้งนี้ไม่ได้ทำให้หลัวซิวคิดว่าตนเองไม่มีสิ่งใดต้องกลัวอีก เพราะยังมีผู้แข็งแกร่งที่ร้ายกาจยิ่งกว่าอยู่ในแดนดารานอกแห่งนี้ หากต้องเผชิญหน้าละก็เขาไม่มีทางใช่คู่ต่อสู้อย่างแน่นอน
หลังจากที่ได้เก็บของลง หลัวซิวก็ได้จากไปอย่างรวดเร็ว สำหรับร่องรอยการต่อสู้นั้นไม่จำเป็นต้องให้ความสนใจเลยสักนิด เพราะที่นี่คือแดนดารานอก ทุกเวลาทุกพื้นที่ ล้วนอาจเกิดการต่อสู้ที่ดุเดือดขึ้นได้
จากนั้นไม่นานนัก หลัวซิวก็ได้มาถึงพื้นที่ที่มีสายฟ้าแลบแปลบปลาบแห่ง มีสายฟ้าฟาดฟันลงมาจากนภาแตกร้าวในบางครั้งคราว ทำให้เกิดเป็นหลุมขาดใหญ่ขึ้นบนพื้นดิน
ที่น่าหวาดกลัวก็คือสายฟ้าที่ผ่าลงมาในที่แห่งนี้ ไม่มีกฎเกณฑ์ใด ๆ เลยแม้แต่น้อย
“ไม่รู้เหมือนกันว่าข้าจะทนรับสายฟ้าที่ผ่าลงมาได้หรือไม่?”
หลัวซิวหรี่ตาลงเล็กน้อย แม้ว่าพื้นที่ที่เต็มไปด้วยสายฟ้าแห่งนี้จะอันตรายยิ่งนัก แต่กลับเป็นสถานที่กลั่นร่างที่ไม่เลวเลยทีเดียว
เขาได้รับวิชากลั่นร่างมาจากวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพที่เขาฝึกฝน สามารถอาศัยพลังจากภายนอกมากระตุ้นพลังที่แฝงมีอยู่ เพื่อเพิ่มระดับแดนร่างยุทธ์ร่างเนื้อได้
แต่ไม่นานหลัวซิวก็ได้ละทิ้งความคิดนี้ไป เพราะในแดนดารานอกแห่งนี้เต็มไปด้วยอันตราย เขายังไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ของที่นี่เลยสักนิด ต่อให้ต้องการฝึกฝนวิชากลั่นร่าง ก็จะต้องหาสถานที่ที่ปลอดภัยกว่านี้
อาศัยพลังจากภายนอกมากระตุ้นพลังที่แฝงมีอยู่เพื่อเพิ่มระดับแดนร่างยุทธ์ร่างเนื้อ จะทำให้ตัวเองตกอยู่ท่ามกลางความเจ็บปวดทรมานอย่างสุดขีด หากถูกรบกวนในสถานการณ์เช่นนี้ จะทำให้จิตใจฟุ้งซ่านได้โดยง่าย หากไม่ระวังอาจธาตุไฟเข้าแทรก อย่างน้อยทำให้ได้รับบาดเจ็บหนัก หนักหน่อยอาจถึงตายได้
หลัวซิวรีบออกมาจากสถานที่ที่เต็มไปด้วยสายฟ้าอย่างรวดเร็ว และเดินไปยังทิศทางต่าง ๆ อยู่ครึ่งค่อนวัน จากการสำรวจอยู่ระยะหนึ่ง ก็ได้พบเข้ากับถ้ำที่ค่อนข้างปลอดภัยขึ้นมาบ้างแห่งหนึ่ง
โลกที่ล่มสลายแห่งนี้ อาจมีฟ้าผ่าลงมา ลาวาพุ่งกระฉูดได้ในทุกหนทุกแห่ง มีอยู่บางครั้งยังได้เกิดน้ำท่วม พายุหมุนขนาดใหญ่ พูดได้ว่าอันตรายรอบด้าน
นอกจากนี้แล้วปริภูมิที่ไม่มั่นคงเป็นอย่างมาก ยังสามารถเกิดเหตุการณ์ช่องอากาศฉีกขาด ปริภูมิปั่นป่วน
ภายใต้ความอันตรายเช่นนี้ ก็มีบางพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อย แต่ก็ใช่ว่าจะปลอดภัยแน่นอน เพียงแค่เมื่อเทียบกับที่อื่น ๆ แล้ว สามารถอยู่ได้นานหน่อยเท่านั้นเอง
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 803
นี่ก็คืออานุภาพของเจ้ายุทธจักรขั้นปลาย ยิ่งไปกว่านั้นแล้วชายผมทองผู้นี้ยังได้ผ่านการต่อสู้มามากมาย ร้ายกาจยิ่งกว่าเจ้ายุทธจักรขั้นปลายโดยทั่วไปมากนัก
หลัวซิวเองก็ไม่ได้หวังว่าอานุภาพของเตาทยานนภามังกรคู่จะสามารถทำอันตรายอะไรอีกฝ่ายได้ เขาใส่พลังจิตแท้เข้าไป ขนาดของเตาได้ขยายใหญ่ขึ้น ลอยกระแทกเข้าใส่อีกฝ่ายเหมือนดั่งภูเขา
“ลูกไม้อ่อน ๆ”
ชายผมทองไม่ได้เห็นอยู่ในสายตา เขาพลิกมือและซัดออกมาหนึ่งฝ่ามือ กระแทกเตาทยานนภามังกรลอยตลบไกลออกไปหลายร้อยเมตร
“คิดจะลอบทำร้ายข้าอย่างนั้นหรือ? กักขังแดนบริเวณ !”
ชายผมทองตวาดออกมา พื้นที่สีทองแห่งหนึ่งได้กระจายออกไปโดยมีเขาเป็นจุดศูนย์กลาง หลัวซิวสัมผัสได้ถึงพลังแห่งกฎอันแข็งแกร่งกดทับเข้ามา ต้องการกักขังเขาเอาไว้ตรงนี้
แต่ไหนแต่ไรมา ที่หลัวซิวสามารถสังหารคู่ต่อสู้ข้ามระดับได้ ล้วนเป็นเพราะอาศัยแดนของกฎที่เหนือล้ำกว่าผู้อื่น แต่ชายผมทองที่เป็นผู้แข็งแกร่งเจ้ายุทธจักรผู้นี้ มีแดนของกฎที่ไม่ด้อยไปกว่าเขาเลย
ดังนั้นแม้ว่าเขาจะอาศัยความเร็วของปีกทิพย์ไร้มลทินหลบการโจมตีได้ แต่ถ้าหากคิดประชิดตัวลอบทำร้าย กลับเป็นการเข้าติดกับ จะถูกอีกฝ่ายฉวยโอกาสตอบโต้กลับอย่างเหนือกว่าได้โดยง่าย
อย่างไรก็ตามในเมื่อหลัวซิวได้ทำเช่นนี้แล้ว ก็จะต้องมีเหตุผลของเขาเป็นแน่
พรึบ!
จู่ ๆ เปลวเพลิงสีดำที่อยู่รอยการของเขาก็เกิดการเปลี่ยนแปลง เปลวเพลิงสีทองได้ลุกโชนขึ้นมาแทน เผาผลาญพื้นที่โดยรอบจนเหลือแต่ความว่างเปล่า พังทลายลงไปในทันที
“แย่แล้ว นี่มันเพลิงอะไรกันแน่?”
ชายผมทองสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที ภายในเปลวเพลิงสีทองที่ลุกโชนขึ้นมา เขาสัมผัสได้ถึงความอันตรายมหาศาล
เนื่องจากทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างกันไม่มากนัก เขาคิดจะหลบก็ไม่ทันเอาเสียแล้ว ได้แต่ขับเคลื่อนวรยุทธ์ออกมาอย่างเต็มกำลัง ใช้พลังแห่งกฎคุ้มครองกาย
“พรึบ! พรึบ!……”
เปลวเพลิงที่ลุกโชนเป็นเหมือนดั่งกระแสน้ำไหลบ่า พื้นที่ที่เคลื่อนผ่านต่างถูกเผาผลาญเหลือเพียงความว่างเปล่า พังทลายลงเป็นวงกว้าง
ซู่ ๆ ๆ ……
วินาทีที่พลังแห่งกฎของชายผมทองและเปลวเพลิงสีทองผสานเข้าด้วยกัน ก็ได้เริ่มหลอมละลายอีกฝ่าย สิ่งที่ทำให้ชายผมทองต้องตะลึงก็คือ ในเปลวเพลิงสีทองนั้น ได้ผสานไว้ด้วยกระแสพลังกฎเพลิงอัคคีอันแรงกล้า
“เปลวเพลิงที่ผสานไปด้วยพลังแห่งกฎ หรือว่าจะเป็นภูตอัคคี?” ชายผมทองท่าทางเคร่งเครียด
จากที่หลัวซิวได้แข็งแกร่งขึ้น อานุภาพของมกุฎอัคคีนภาเหลืองก็จะแข็งแกร่งขึ้นเช่นเดียวกัน ภายใต้การแผดเผาของมกุฎอัคคีนภาเหลือง ชายผมทองไม่กล้าที่จะว่อกแว่กเลยแม้แต่น้อย และก็ไม่ได้หลบหลีก พลังแห่งกฎคุ้มครองกายถูกบั่นทอนไปอย่างรวดเร็ว
“ทำลายให้ข้า!”
ชายผมทองตวาดออกมา เขาได้ฝืนขับเคลื่อนกฎพลังจิตแท้ และหลุดพ้นจากการกักขังของมกุฎอัคคีนภาเหลืองไปได้ในชั่วพริบตา
เพียงแต่ว่าเขาในเวลานี้นั้นทุลักทุเลเป็นอย่างมาก ผมสีทองได้ถูกแผดเผาจนกลายเป็นสีดำ ร่างของเขาเหมือนกับได้ถูกดึงออกมาจากบ่อถ่านอย่างไรอย่างนั้น
เห็นได้อย่างชัดเจน อีกฝ่ายได้ทะลวงออกมาจากการกลั่นแปรของมกุฎอัคคีนภาเหลือง ได้เกิดความสูญเสียมหาศาลกับตัวเขาเองเช่นเดียวกัน หลัวซิวได้ฟันกระบี่เสวียนยวนและดาบโลหิตชั้นสูงเข่นฆ่าเข้าไปโดยไม่ลังเล
หลัวซิวลงมืออย่างเต็มกำลัง ช่องอากาศฉีกแตกออกภายในชั่วพริบตา ชายผมทองได้กระอักเลือดออกมาคำโตอย่างอนาถ ในเวลานี้จะมีกะจิตกะใจไปอยากได้สมบัติวิเศษของอีกฝ่ายเสียที่ไหนกัน เพียงต้องการหนีไปจากที่นี่โดยเร็ว
เขาเชื่อว่าขอเพียงตนรักษาอาการบาดเจ็บให้หายดี คอยระวังเปลวเพลิงสีทองของอีกฝ่ายให้มากในครั้งต่อไป จะต้องสามารถเอาชีวิตของชายหนุ่มที่สมควรตายผู้นี้ได้อย่างแน่นอน
ที่น่าเสียดายก็คือ เขาคิดจะลอยหลบหนีไป หลัวซิวกลับไม่คิดที่จะให้โอกาสเช่นนี้กับเขาเลย
ความรวดเร็วของปีกทิพย์ไร้มลทินไม่เป็นสองรองใคร ไม่นานหลัวซิวก็ได้ตามมาทัน เขาได้ชักนำตราประทับที่อยู่ในดาบโลหิตให้ระเบิดออกมาทันที
ดาบโลหิตเล่มนี้เป็นอาวุธขลังชั้นดีที่ได้แย่งชิงมาจากมือของเซี๋ยลี่เฟิงผู้สืบทอดของแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด การระเบิดตนเองของอาวุธขลังเช่นนี้ อานุภาพของมัน ไม่อาจจินตนาการได้
“นี่มันเป็นไปไม่ได้!”
ชายผมทองแดนเจ้ายุทธจักรขั้นปลายสีหน้าตะลึงงัน แม้ว่าเมื่อสักครู่เขาจะดูถูกคู่ต่อสู้ไปบ้าง แต่อีกฝ่ายก็เป็นเพียงมหายุทธ์เล็ก ๆ คนหนึ่งเท่านั้น ฝีมือไม่ได้ด้อยไปกว่าตนเองเลยอย่างนั้นหรือ?
จะต้องรู้ว่าเขาได้อยู่ฝึกประสบการณ์ในโลกลุ่มสลายที่มีอันตรายอยู่ทุกรอบด้านแห่งนี้มาเป็นเวลานับร้อยปี ได้หาสมบัติวิเศษเจอจำนวนไม่น้อย รวมทั้งสิ่งสืบทอดโบราณบางอย่างที่อยู่ในสถานที่แห่งนี้ ไม่กล้าพูดว่าไร้คู่ต่อสู้ในแดนเดียวกัน แต่คนที่อยู่ในแดนเจ้ายุทธจักรที่ร้ายกาจกว่าเขานั้น มีอยู่ไม่มากแน่
ทว่าเจ้าหนุ่มที่มาจากโลกแสงดาวผู้นี้ อาศัยผลการฝึกตนในแดนมหายุทธ์ก็สามารถต่อต้านตนเองได้ ช่างเป็นที่น่าหวาดเกรงยิ่งนัก
แต่ไม่นานเขาก็นึกถึงความเป็นไปได้หนึ่งขึ้นมา อีกฝ่ายสามารถต่อสู้ข้ามขั้น สามารถอธิบายได้ว่าวรยุทธ์และทักษะยุทธ์ที่อีกฝ่ายฝึกฝนนั้นล้วนแข็งแกร่ง มีการสืบทอดในระดับที่สูงมาก
“ตายเสียเถอะ!”
ชายผมทองที่ชื่อกว่างช่าวผู้นั้นใบหน้าบิดเบี้ยว ถูกเจ้าหนุ่มแดนมหายุทธ์ตบเข้า มันเป็นความอัปยศอย่างไม่ต้องสงสัย
ไอสังหารอันแรงกล้าระเบิดออกมาจากร่างของเขา กระบี่ที่แต่ละเล่มที่เกิดจากการรวมตัวกกันของลำแสงสีทอง กลายเป็นกงจักรสีทองขนาดใหญ่ หมุนอย่างรวดเร็วเหมือนดั่งล้อเฟือง ตัดอากาศเข้ามา
หลัวซิวขับเคลื่อนพลังของลูกแก้วเสวียนดำ กระแสพลังจิตแท้ขับเคลื่อนถึงเจ้ายุทธจักรขั้นหนึ่งทันที
ในขณะเดียวกัน เขาก็ได้ขับเคลื่อนพลังแปรเสวียนเทียนยี่สิบสี่เท่า พวกกับการหนุนเพิ่มของพลังแห่งกฎความตาย พลังการต่อสู้ได้ทะยานถึงจุดสูงสุด
เคร้ง!
เขาฟาดฟันกระบี่เสวียนยวน ใช้ออกมาด้วยหมัดกระบี่ ต่อต้านการจู่โจมจากกงจักรสีทองเอาไว้ได้
จากนั้น เขาก็ได้ขับเคลื่อนเคล็ดวิชาตัวสำนึกกลายรูป ตัวสำนึกกลายร่างเป็นปราณกระบี่เพลิงดำ แทงเข้าไปยังตัวหยั่งรู้ของอีกฝ่าย
แม้ว่าในตอนนี้ตัวสำนึกของหลัวซิวพึ่งจะบรรลุถึงเจ้ายุทธจักรขั้นปฐมภูมิ แต่ภายใต้การผลักดันจากพลังแห่งกฎความตาย กลับสามารถทัดเทียมได้กับเจ้ายุทธจักรช่วงปลาย
นอกจากนี้ตัวสำนึกกลายรูป ก็เป็นการโจมตีด้านตัวสำนึกวิญญาณที่ค่อนข้างชาญฉลาดอย่างหนึ่ง
“อ้าก!……”
กว่างช่าวผู้นั้นคิดไม่ถึงว่าหลัวซิวจะสามารถโจมตีทางตัวสำนึกได้ ในขณะที่ไม่ทันระวัง ได้ถูกปราณกระบี่เพลิงดำแทงเข้าที่ตัวหยั่งรู้ และร้องโหยหวนออกมาด้วยคงามเจ็บปวด สติแตกซ่าน
ปีกทิพย์ไร้มลทินสั่นสะเทือน หลัวซิวขับเคลื่อนความเร็วจนถึงขีดสุดหลบพ้นจากการโจมตีของกงจักรทอง และมาถึงที่ด้านหน้ากว่างช่าวภายในชั่วพริบตา
ตราทวยมรณะ!
หลัวซิวสร้างตราประทับขึ้นมาด้วยมือข้างหนึ่ง รัศมีพลังมหาศาลเหมือนดั่งจักรพรรดิที่เฝ้ามองปฐพีแผ่ซ่านออกมารอบกาย ราวกับเทพเจ้าที่กำลังตัดสินโทษคนบาป
“ตูม!”
หมอกโลหิตพุงกระฉูด ร่างท่อนบนของกว่างช่าวถูกตราทวยมรณะของหลัวซิวซัดแตกกระจาย
ชายผมทองแดนเจ้ายุทธจักรขั้นปลายคิดไม่ถึงว่ากว่างช่าวจะถูกหลัวซิวสังหารได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ ในตอนนี้หลัวซิวได้แสดงตราทวยมรณะออกมา เขาคิดจะลงมือช่วยเหลือ แต่ก็สายเกินไปเสียแล้ว
“คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะสามารถสังหารกว่างช่าวได้ ดูท่าเจ้าจะมีการถ่ายทอดระดับสูงอยู่ในมือ”
ระหว่างที่กล่าว ธงขนาดใหญ่สีทองฝืนหนึ่งก็ได้ปรากฏขึ้นในมือของชายผมทองแดนเจ้ายุทธจักรขั้นปลาย ลำแสงสีทองสาดส่องออกมา กลายรูปเป็นมังกรสีทองตัวหนึ่ง อ้าปากกว้างกลืนกินเข้ามาทางหลัวซิว
จากกระแสพลังที่ผันผวนอยู่บนธงสีทองนั้น เห็นได้ชัดว่าเป็นของขลังชั้นสูงที่อานุภาพไม่ธรรมดา หลัวซิวไม่กล้าที่จะดูถูกเลยแม้แต่น้อย พลังการต่อสู้ขับเคลื่อนออกมาจนหมด มือหนึ่งถือกระบี่เสวียนยวน อีกมือถือดาบโลหิตชั้นสูง ตั้งรับมังกรสีทอง
ครืน! ครืน! ครืน!……
มังกรสีทองส่ายหัวส่ายหาง ร่างกายแข็งแรงไร้ที่เปรียบ ภายใต้การโจมตีจากอาวุธขลังชั้นดีที่มีอานุภาพมหาศาลสองชิ้น กลับไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด
อย่างไรก็ตามการโจมตีของอีกฝ่ายก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำร้ายถึงหลัวซิว เพราะการเคลื่อนไหวของปีกทิพย์ไร้มลทินนั้นรวดเร็วจนเกินไป ตราบใดที่หลัวซิวคิดจะหลบ โดยทั่วไปแล้วไม่มีการโจมตีใด ๆ ที่ไม่สามารถหลบได้
“เตาปรากฏ!”
เตาใบหนึ่งได้ลอยออกมาจากจุดตันเถียนของหลัวซิว มังกรเขียวทั้งสองตัวที่อยู่บนเตาได้ลอยออกมา เป็นเหมือนดั่งโซ่ตรวนขนาดใหญ่สองเส้น รายล้อมเข้าไปหาอีกฝ่าย
ชายผมทองยิ้มเยอะ แสงสีทองสาดส่องออกมาทั่วร่าง กระแทกมังกรเขียวทั้งสองแตกสลายไปโดยง่าย
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 801
“เจ้าหนุ่ม เจ้ามาจากโลกพิภพใดหรือ? มหายุทธ์ยังกล้ามาฝึกประสบการณ์ที่แหลกรานแดนดาราอีก ชักจะกล้าเกินไปแล้ว” ชายผมทองแดนเจ้ายุทธจักรขั้นกลางกล่าวขึ้น
“ข้ามาจากโลกแสงดาว ไม่ทราบทั้งสองท่านมีเรื่องอันใดหรือ?” หลัวซิวกล่าวอย่างเรียบ ๆ
“หือ? อยู่ต่อหน้าพวกเรายังแน่นิ่งเช่นนี้ได้ เจ้ามีความกล้าไม่น้อย น่าเสียดายที่ผลการฝึกตนต่ำเกินไป”
ชายผมทองแดนเจ้ายุทธจักรขั้นกลางเบ้ปาก “โลกแสงดาวข้าเคยได้ยินมาก่อน เจ้ามาฝึกประสบการณ์ที่นี่ได้โดยอาศัยผลการฝึกตนแดนมหายุทธ์ เห็นได้ชัดว่าเจ้าเป็นอัจฉริยะที่ไม่เลยในโลกแสงดาว มอบแหวนเก็บของและอาวุธยุทธ์ของเจ้าออกมา ก็ไปได้แล้ว”
“ทั้งสองท่านคิดจะปล้นข้าอย่างนั้นรึ?” หลัวซิวรู้สึกขบขันยิ่งนัก คิดไม่ถึงว่าการพบกับนักยุทธ์จากโลกอื่นในแดนดารานอกครั้งแรกของตนเอง จะเป็นสถานการณ์เช่นนี้
“กว่างช่าว เจ้าพูดมากเกินไปแล้ว พวกเราจะมาเสียเวลาอยู่ที่นี่ไม่ได้” ชายผมทองแดนเจ้ายุทธจักรขั้นปลายกล่าวอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย
“ได้ยินหรือยัง รีบมอบของออกมาเร็วเข้า” ชายผมทองแดนเจ้ายุทธจักรขั้นกลางพลันจับเข้าที่มือซ้ายของหลัวซิว เพราะที่มือซ้ายของเขาได้สวมเอาไว้ด้วยแหวนเก็บของวงหนึ่ง
พฤติกรรมของอีกฝ่ายนั้นป่าเถื่อนยิ่งนัก แต่ในโลกของการฝึกยุทธ์ เรื่องเช่นนี้กลับพบเห็นได้บ่อยยิ่งนัก เพราะแม้ว่าจะเป็นผู้แข็งแกร่งที่บรรลุถึงแดนเจ้ายุทธจักร คิดจะฝึกตนให้บรรลุระดับที่สูงขึ้นไป ต้องการทรัพยากรอีกมากนัก และต้องตามหามาด้วยตนเอง เป็นไปไม่ได้ที่จะฝากความหวังทั้งหมดไว้กับกองกำลังที่อยู่ด้านหลัง
ร่องรอยความเยือกเย็นแวบขึ้นมาในดวงตาของหลัวซิว เหมือนว่าชายผมทองแดนเจ้ายุทธจักรขั้นปลายจะคิดว่าเขาไม่เป็นที่ต้องกังวล ดังนั้นเพื่อรักษาหน้าของตนเอง จึงไม่ได้ลงมือ
ผลัวะ!
มือของชายผมทองไม่ได้สัมผัสถึงแหวนเก็บของของหลัวซิว ทว่าใบหน้าของเขา กลัวถูกหลัวซิวฟาดเข้าให้หนึ่งครั้ง ร่างกำยำได้หมุนตัวลอยออกไป
ในเมื่อได้ลงมือแล้ว หลัวซิวก็ไม่มีทางที่จะกักเก็บฝีมือเอาไว้อีก ปีกทิพย์ไร้มลทินได้กางออกมาที่ด้านหลัง ปีกเพลิงดำทมิฬขนาดใหญ่ แผ่ซ่านกระแสพลังอันน่าตกตะลึงออกมา
แทบจะชั่วพริบตา หลัวซิวก็ตามชายผมทองแดนเจ้ายุทธจักรขั้นกลางที่ถูกตบจนปลิวออกไปมาทัน
“หาที่ตายนัก!”
ชายผมทองตวาดขึ้นมา ประกายแสงสีสองสาดส่องออกมาทั่วร่าง ลำแสงสีทองทุกสายต่างกลายร่างเป็นดาบกระบี่ ฟาดฟันเข้าหาหลัวซิวเหมือนดั่งฝูงผึ้ง
หลัวซิวขับเคลื่อนวรยุทธ์ พลังแห่งกฎความตายกลายเป็นกลายเป็นเปลวเพลิงสีดำปกคลุมร่างกายเอาไว้ ราวกับเทพแห่งปีศาจเพลิงดำตนหนึ่ง
ปราณดาบกระบี่สีทองจำนวนมากถาโถมเข้ามาอย่างมืดฟ้ามัวดิน แต่กลับถูกเปลวเพลิงสีกำเผาผลาญจนหายไปอย่างไร้ร่องรอย เหมือนดั่งไม่มีสิ่งใดสามารถกล้ำกรายได้
ในตอนนี้เอง หลัวซิวก็สัมผัสได้ถึงอันตรายที่มาจากด้านหลัง วินาทีที่เขาตบจนชายผมทองแดนเจ้ายุทธจักรขั้นกลางลอยออกไปนั่นเอง ชายผมทองแดนเจ้ายุทธจักรขั้นปลายผู้นั้น ก็อดไม่ได้ที่จะลงมือ
แม้ว่าจะเป็นหนึ่งต่อสอง จากที่ตอนนี้ผลการฝึกตนของเขาได้บรรลุถึงแดนมหายุทธ์ หลัวซิวก็ไม่ได้หวาดเกรงเลยแม้แต่น้อย
ในช่วงที่ยกมือขึ้น ที่นิ้วมือก็ได้รวบรวมปราณกระบี่เพลิงดำออกมา ทักษะยุทธ์หมัดกระบี่ซัดออก ตรงเข้ารับกับฝ่ามือของนั่นเอง ชายผมทองแดนเจ้ายุทธจักรขั้นปลาย
ทว่าคนผู้นั้นกลับไม่ได้เห็นหลัวซิวอยู่ในสายตาเลยสักนิด ในสายตาของเขามหายุทธ์ผู้หนึ่งต่อให้ร้ายกาจถึงเพียงใด ก็ไม่อาจต้านทานการโจมตีของตนได้ เพราะเขาได้ผ่านการต่อสู้ในโลกที่ล่มสลายแห่งนี้มานับครั้งไม่ถ้วน ความสามารถนั้นแข็งแกร่งกว่าเจ้ายุทธจักรขั้นปลายในระดับเดียวกันมากนัก
ตูม!
เสียงทุ้มหนักดังขึ้นมาหนึ่งครั้ง ปราณกระบี่เพลิงดำแตกกระจาย สีหน้าของชายผมทองแดนเจ้ายุทธจักรขั้นปลายพลันเปลี่ยนไป เงาร่างถอยหลังไปหลายสิบเมตรอย่างรวดเร็ว
เขามองฝ่ามือของตัวเองอย่างตกตะลึง เลือดสด ๆ ไหลอาบอยู่ในเวลานี้ แทบจะปรากฏให้เห็นกระดูกสีขาวที่อยู่ด้านใน
หลัวซิวเองก็ได้ถูกพลังอันแข็งแกร่งของอีกฝ่ายกระแทกลอยกลับออกไป แต่กลับไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 800
สวบ!
ตัวสำนึกของเขาได้จับเห็นเงาร่างสีแดงโลหิตกำลังพุ่งกระโจนเข้าหาตนเอง เขาไม่แม้แต่จะคิด และได้ใช้ทักษะยุทธ์หมัดกระบี่ออกมาทันที
ปัง!
หลัวซิวรู้สึกเหมือนว่าหมัดของตนเองได้ต่อยลงไปบนของขลังที่แข็งแรงชิ้นหนึ่ง แรงสะท้อนกลับอันทรงพลัง ทำให้กระดูกนิ้วมือของเขาเจ็บปวดขึ้นมาเป็นระยะ
เขาลืมตาขึ้นมาในทันที ภายในใจรู้สึกหวาดระแวงเล็กน้อย ร่างเนื้อของเขาได้บรรลุถึงขีดจำกัดของร่างยุทธ์แดนมหายุทธ์เป็นที่เรียบร้อย แม้ว่าการจู่โจมอย่างกะทันหันในเมื่อสักครู่จะไม่ได้รวบรวมพลังกฎความตายเข้าไปด้วย แต่อานุภาพก็สามารถทัดเทียมได้กับพลังการจู่โจมของเจ้ายุทธจักรโดยทั่วไปแล้ว
ยื่นมือออกไปจับ หลัวซิวได้ล้วงเอากระบี่เสวียนยวนออกมา สังเกตเห็นว่าโลหิตนั้นได้ถูกเขาต่อยลอยออกไป นอนหมอบอยู่บนพื้นที่ห่างออกไปสิบกว่าเมตร
นี่คือสัตว์ร้ายที่มีเกล็ดสีแดงสดห่อหุ้มอยู่ทั่วร่างตัวหนึ่ง มีรูปร่างคล้ายแมว แต่มีขนาดใหญ่กว่า ยาวประมาณสามเมตร
สัตว์ร้ายตนนี้คำรามเบา ๆ และกระโจนเข้ามาอีกครั้ง ครั้งนี้หลัวซิวได้มีการตั้งรับอย่างเต็มที่ ยกมือขึ้นจากนั้นปราณกระบี่อัคคีดำก็ได้ลอยออกมา เสียงผลัวะดังขึ้นหนึ่งครั้ง ทิ้งรอยแผลเอาไว้บนร่างของสัตว์ร้ายตนนี้หนึ่งแผล
สัตว์ร้ายส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดออกมา เลือดสด ๆ จำนวนมากได้พุ่งออกมาจากปากแผล เหมือนว่ามันได้รู้ถึงความร้ายกาจของหลัวซิว และบินจากไปในทันที ความเร็วนั้นรวดเร็วอย่างที่สุด พูดได้ว่าไปมาอย่างไร้ร่องรอย
หลัวซิวไม่ได้ตามไป แต่ได้พิจารณาดูโลกที่ล่มสลายแห่งนี้ สถานที่ที่ดวงตาสามารถมองเห็น คือดินแดนที่รกร้างและทรุดโทรม ท้องฟ้าที่มืดสลัวยังเต็มไปด้วยรอยร้าว ราวกับกระจกที่ถูกคนทุบ
มีสายฟ้าและเพลิงพิภพลอยพาดผ่านไปบนขอบฟ้าที่อยู่ห่างไกลออกไปเป็นครั้งคราว ทำลายผืนแผ่นดิน ส่งเสียงดังกระหึ่ม
ครืน!
เกิดเสียงดังกึกก้องไปทั่วท้องฟ้า จากนั้นสายฟ้าสีน้ำเงินที่หนาราวกับถังน้ำได้ร่วงหล่นลงมาจากฟ้า เป้าหมายก็คือจุดที่หลัวซิวยืนอยู่นั่นเอง
แสงสว่างแห่งโทษะของสวรรค์ยิ่งใหญ่เกรียงไกรไร้ขอบเขต ทำให้หลัวซิวสัมผัสได้ถึงอันตรายใหญ่หลวง ขนลุกซู่ไปทั้งตัว
เขากางปีกทิพย์ไร้มลทินออกมาโดยไม่ลังเล และหายไปกับที่ในทันที
หลังจากเสียงดังกระหึ่มได้ผ่านไป ตำแหน่งที่หลัวซิวเคยยืนอยู่นั้นได้ถูกฟ้าผ่าจนเกิดเป็นหลุมลึกมองไม่เห็นก้น แสงแห่งสายฟ้ากระโดดโลดเต้นอยู่ทั่วทุกสารทิศ บดขยี้สุญญากาศ
หลัวซิวสูดลมหายใจเข้าอย่างขนลุก อานุภาพของสายฟ้าในเมื่อสักครู่นั้นยิ่งใหญ่เป็นพิเศษ ต่อให้เป็นร่างยุทธ์แดนมหายุทธ์ช่วงปลาย หากถูกฟ้าผ่าเข้าจริง ๆ หากไม่ตายก็คงพิการ
เขาในตอนนี้นั้นไม่ได้มีผู้เป็นอมตะ หากได้รับบาดเจ็บเจียนตาย ในสถานที่ที่เต็มไปด้วยอันตรายอย่างโลกที่พังทลายแห่งนี้ จะต้องอันตรายอย่างหาที่สุดไม่ได้แน่
“มิน่าเล่าเจ้าแดนหลิวถึงได้บอกว่าฝึกประสบการณ์ในสถานที่แห่งนี้อันตรายยิ่งยอด ดูท่าไม่เพียงอันตรายที่มาจากสัตว์ร้ายและจอมยุทธ์คนอื่น ๆ พลังแห่งฟ้าดินที่ไม่มั่นคงของโลกที่ล่มสลายแห่งนี้ ก็เป็นที่น่ากลัวยิ่งนัก”
พึ่งจะมาถึงแดนดารานอก ก็ได้ถูกสัตว์ร้ายแดงโลหิตโจมตี จากนั้นก็เป็นสายฟ้าที่ผ่าลงมา ทำให้เส้นประสาทของหลัวซิวตึงเครียดขึ้นมา
เขาไม่ได้หยุดอยู่กับที่ เริ่มเดินไปรอบ ๆ ตัวสำนึกได้รักษาสภาพที่ถูกส่งออกไปสำรวจภายนอกเอาไว้ คอยสังเกตอันตรายที่จะเกิดขึ้น
ทันใดนั้นเอง หลัวซิวก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของจอมยุทธ์คนอื่นสองคน และในตอนที่เขาสัมผัสได้นั่นเอง เงาร่างมนุษย์สองคนก็ได้ปรากฏขึ้นในสายตาของเขา
นั่นเป็นบุรุษหนุ่มสองคน กระแสพลังจิตแท้รอบกายแผ่ซ่านออกมา ไม่มีการปกปิดเลยสักนิด จากความผันผวนของพลังจิตแท้ หลัวซิวสามารถวินิจฉัยออกมาได้ว่า ทั้งสองคนนี้คนหนึ่งมีผลการฝึกตนที่เจ้ายุทธจักรขั้นกลาง ส่วนอีกคนมีผลการฝึกตนที่เจ้ายุทธจักรขั้นปลาย
และรูปร่างหน้าตาของทั้งสองคนนี้ค่อนข้างจะพิเศษ จมูกแหลม มีนัยน์ตาสีฟ้า และมีผมยาวสีทอง ร่างกายล่ำสันแข็งแรง
“เอะ? เป็นเจ้าหนุ่มที่มีผลการฝึกตนในระดับมหายุทธ์อย่างนั้นหรือ?” ทั้งสองคนเองต่างก็สัมผัสได้ถึงผลการฝึกตนของหลัวซิว ความสงสัยปรากฏขึ้นมาในแววตาทันที
บทที่ 89 ค่ายวาร์ป
สมบัติค่ายกล หลักๆ แล้วสามารถแบ่งออกเป็นสามประเภท ประเภทแรกคือการโจมตี ตัวอย่างเช่นลูกกลมทอง ที่หลินจิงหยุนใช้
อีกประเภทหนึ่งคือการป้องกัน ตัวอย่างเช่นกำไลอัญมณีฟ้า ที่เจ้าสำนักชิงหยุนมอบให้เขา ต่อมาเขาส่งต่อให้ลู่เมิ่งเหยา
ประเภทที่สามคือการช่วยเหลือ ตัวอย่างเช่นค่ายกลผนึกปราณ โดยทั่วไปแล้วสมบัติค่ายกล ประเภทที่ช่วยเหลือ ถูกเรียกว่าอุปกรณ์ค่ายกล
ในเกราะแขนของหลินจิงหยุน มีหินพลังจิตชั้นล่างประมาณร้อยกว่าชิ้น อีกทั้งยังมียาฝึกปราณหนึ่งเม็ด รวมไปถึงวิชาดาบระดับ 5 อยู่ด้วย ติดตั้งค่ายผนึกปราณ 1 ค่ายกล 2 ระดับ
ของพวกนี้ไม่ได้มีค่าอะไรกับหลัวซิว
ทว่าหลัวซิวพบหยกแขวนในนั้นหนึ่งชิ้น เป็นสมบัติค่ายกลระดับ3 ที่มีพลังป้องกัน ใช้ปราณแท้เคลื่อนและขยับ สามารถปล่อยการปกคลุมธาตุไม้ สามารถป้องกันการโจมตี อีกทั้งยังมีประสิทธิภาพในการรักษาบาดแผล
ในบรรดาศิษย์นอกสำนักเซียวเหยาจำนวนมาก ฐานะของหลินจิงหยุน นับว่าไม่สูง พละกำลังก็ไม่ได้แข็งแกร่งมาก ว่ากันตามเหตุผลแล้ว ไม่ควรมีสมบัติค่ายกลขนาดนี้
เมื่อคิดว่าจางหลู่เหลียง เป็นผู้ดูแลเอกสารรับรอง ในการดวลความเป็นตายครั้งนี้ หลัวซิวไม่ต้องใช้สมองคิด ก็รู้ได้ว่า ตาเฒ่านั่นต้องใช้อุบายอยู่เบื้องหลังแน่นอน
“ตอนแรกเจ้าสำนักจางก็หาเรื่องฉัน ตาเฒ่าที่อยู่มาร้อยกว่าปี ไม่เพียงแต่จะจัดการฉันโดยไม่แยกถูกแยกผิดบุ่มบ่ามวู่วามเท่านั้น ยังเอาแต่ต้องการให้ฉันตาย รอให้ฉันมีพละกำลัง ต้องหาโอกาสฆ่าตาเฒ่าอย่างนายแน่นอน!”
เมื่อคิดว่าจางหลู่เหลียงเอาแต่เล่นงานตัวเอง ความอาฆาตปรากฏในแววตาของหลัวซิว
เขาไม่ใช่คนมีจิตใจเมตตาอ่อนโยน เพราะเขารู้ดี บนโลกใบนี้ จิตใจดีจะทำให้คนคิดว่าอ่อนแอและกดขี่ได้ง่าย
ไม่ว่าจะเป็นการจัดการจางเจี๋ยอย่างบ้าคลั่ง กำจัดจางห่าย กดให้จ้าวเหลี้ยงยอมก้มหัวให้ ที่สำนักหวูแห่งเมืองชิงหยุน ต่อมาฆ่าคนในเขาปาฉีกับเขาสุ่ยวู่ด้วยมือตัวเอง นิสัยบ้าคลั่งและโหดเหี้ยมของหลัวซิว อันที่จริงก็เปิดเผยออกมาอย่างชัดเจน
หลัวซิวยืนอยู่ริมหน้าต่าง มองพระจันทร์บนฟ้าสูง คิ้วขมวดขึ้น ความหงุดหงิดและไม่เป็นสุขในใจ ทำให้เขาไม่สามารถใจเย็นได้
ความเงียบเหงาตลอดคืน หลัวซิวผ่านไปด้วยความหงุดเหงิดและไม่เป็นสุข
เช้าตรู่ เสียงเคาะประตูดังมาจากข้างนอก
“ท่านชายหลัวซิว มีคนส่งของสิ่งนี้มาให้คุณครับ”
หลังเปิดประตู มีคนงานนอกสำนักคนหนึ่ง ยืนอยู่ข้างนอก ฐานะประเภทเดียวกับคนใช้ ศิษย์นอกสำนักอย่างหลัวซิว จึงเป็นบุคคลฐานะสูงส่งสำหรับพวกเขา และทำให้มีท่าทีเกรงอกเกรงใจเป็นธรรมดา
สิ่งที่คนงานยื่นให้หลัวซิวคือ ของที่ห่อด้วยผ้า ขนาดไม่เกินฝ่ามือ
หลัวซิวไม่แน่ใจว่าใครจะส่งของมาให้ตัวเอง แต่ก็ยื่นมือไปรับ เมื่อเปิดผ้าที่พันอยู่ออก เขาหรี่ตาลงทันที
ของในมือคือ ปิ่นปักผมหงส์หยก หลัวซิวมองแวบเดียวก็รู้ทันที นี่คือของขวัญที่เขาซื้อให้หลัวซิ่วเอ๋อร์พี่สาวตัวเอง ก่อนจากเมืองชิงหยุนในตอนนั้น
ปิ่นปักผมหงส์หยกชิ้นนี้ ราคาหลักหมื่นสองตำลึงเงิน แต่กำลังทรัพย์ของหลัวซิวในตอนนั้น ไม่สนใจอะไรที่เรียกว่าเงินทองบนโลกนี้
หลัวซิ่วเอ๋อร์ผู้เป็นพี่สาว ชอบปิ่นปักผมชิ้นนี้มาก บอกว่าจะพกไว้ตลอด
แต่ตอนนี้ ปิ่นปักผมหงส์หยกชิ้นนี้ กลับถูกส่งมาที่นอกสำนักเซียวเหยา เขตการปกครองหยุนหลง
คนงานคนนั้นกำลังจะไป แต่หลัวซิวเรียกเขาไว้ก่อน และถามว่า “ใครเป็นคนส่งของสิ่งนี้มา”
คนงานส่ายหน้า “ขอตอบคำถามของท่านชาย ข้าน้อยก็ไม่รู้จักคนนั้นครับ จำได้แค่ว่าเป็นชายไว้กลางคน อายุประมาณสี่สิบปี รูปร่างท้วมเล็กน้อย บนหน้าผากซ้ายมีปานดำ”
ฟังจากที่คนงานอธิบายลักษณะ หลัวซิวขมวดคิ้วขึ้น เขาจำไม่ได้ว่าตัวเองเคยรู้จักคนลักษณะเช่นนี้
“หรือว่าเกิดเรื่องกับพี่สาว”
ทันใดนั้น หลัวซิวคิดถึงความเป็นไปได้แบบนี้ ความหงุดหงิดและไม่เป็นสุขในใจ ยิ่งรุนแรงขึ้นอีก
เขาเก็บปิ่นปักผมหงส์หยกเอาไว้ หันหลังเดินออกจากห้อง หยิบกระบี่เงามืดขึ้นมา เพื่อจะไปดูที่เมืองชิงหยุน
“ระยะห่างระหว่างเมืองชิงหยุนกับเขตการปกครองหยุนหลง ไกลกันมาก ตอนนั้นมีวิหควายุนิลของเจ้าสำนัก ก็ยังต้องใช้เวลาถึงสามวัน”
ไม่นาน หลัวซิวเดินออกจากนอกสำนักเซียวเหยา เห็นสถาปัตยกรรมอันยิ่งใหญ่ตรงข้ามพอดี องค์กรนักล่ายุทธ์!
“ไม่รู้ว่าจะได้อะไรที่รวดเร็วในการไปเมืองชิงหยุน จากองค์กรนักล่ายุทธ์บ้าง” ระหว่างคิดในใจ หลัวซิวก้าวเข้าไปข้างใน
เหมือนองค์กรนักล่ายุทธ์ของเมืองชิงหยุน ในห้องโถงเต็มไปด้วยความคึกคัก พวกนักล่าอสูรที่เพิ่งกลับจากการเสี่ยงอันตราย ดื่มเหล้ากันอึกใหญ่ คุยเป็นคุ้งเป็นแคว บนตัวของทุกคนมีความอาฆาตแผ่ออกมาไม่มากก็น้อย
องค์กรนักล่ายุทธ์ของเขตการปกครองหยุนหลง ใหญ่กว่าเมืองชิงหยุน นักล่าอสูรก็เยอะกว่าด้วย ถึงขนาดที่หลัวซิวเห็นบนอกของบางคน มีตราสี่ดาว!
ตรานักล่าอสูร ถ้าเปลี่ยนเป็นพละกำลัง หนึ่งดาวเหมือนกับจอมยุทธ์กลั่นร่าง สองดาวเท่ากับจอมยุทธ์ชี่ไห่ สามดาวเท่ากับจอมยุทธ์พรสวรรค์ สี่ดาวเท่ากับปรมาจารย์ฝึกจิตแห่งโลกยุทธ์!
เมื่อเข้ามาในองค์กรนักล่ายุทธ์ หลัวซิวพกตรานักล่าอสูรหนึ่งดาวของตัวเองมาด้วย นอกสำนักเซียวเหยา ก็มีศิษย์จำนวนมากที่เป็นนักล่าอสูร ดังนั้นจึงไม่มีใครสังเกตเขา
“คุณชายท่านนี้ ไม่ทราบว่ามีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าคะ” ส่วนต้อนรับตรงเคาน์เตอร์ไม้หน้าองค์กร เป็นสาวสวยหน้าตาเหมือนตุ๊กตา เสียงหวานไพเราะอย่างชัดเจน
“ผมอยากรู้ว่าต้องทำยังไง ถึงจะสามารถใช้เวลาน้อยที่สุด จากเขตการปกครองหยุนหลง ไปยังเมืองชิงหยุน” หลัวซิวพูดออกมาตรงๆ
“ถ้าคุณชายต้องการไปเมืองชิงหยุน องค์กรเสนอสามวิธี วิธีแรกคือ นั่งวิหคขนเขียวอสูรระดับ2 ใช้เวลาประมาณห้าวัน สามารถถึงจุดหมายปลายทาง วิธีที่สองคือนั่งวิหคนิล ใช้เวลาสามวัน”
“อสูรบินสองประเภทที่กล่าวมา ผ่านการฝึกให้เชื่องมาแล้ว มีการรับประกันความปลอดภัย ราคาของวิหคขนเขียว คือหินพลังจิตชั้นล่างสิบชิ้น ส่วนวิหคนิลแพงขึ้นมาหน่อย ต้องใช้หินพลังจิตชั้นล่างยี่สิบชิ้น”
“วิธีที่สามล่ะ” หลัวซิวขมวดคิ้วถาม เวลาสามวันสำหรับเขา มันช้าเกินไป
“วิธีที่สามคือการใช้ค่ายวาร์ป เมืองชิงหยุนมีสาขาองค์กรนักล่ายุทธ์ แค่ไม่นาน ก็สามารถข้ามผ่านระยะห่าง จาก เขตการปกครองหยุนหลง ไปยังเมืองชิงหยุนได้”
สาวสวยแผนกต้อนรับยิ้มและพูดว่า “แต่ถ้าจะใช้ค่ายวาร์ป อย่างน้อยต้องเป็นนักล่าอสูรสองดาว และต้องใช้หินพลังจิตชั้นล่างสองร้อยชิ้น”
“ค่ายวาร์ป ถึงในพริบตาเหรอ”
หลัวซิวไม่ลังเลแม้แต่น้อย พูดตรงๆ ว่า “ผมต้องการใช้ค่ายวาร์ปไปเมืองชิงหยุน”
“คุณชายเป็นนักล่าอสูรหนึ่งดาว จากกฎแล้ว อย่างน้อยต้องเป็นนักล่าอสูรสองดาว ถึงจะใช้ค่ายวาร์ปได้”
“ผมเป็นศิษย์นอกสำนักเซียวเหยา ยืดหยุ่นหน่อยไม่ได้เหรอ” หลัวซิวเอาป้ายบัญชาการออกมา
“ขอโทษด้วยค่ะ ถ้าคุณต้องการใช้ค่ายวาร์ป ต้องเป็นนักล่าอสูรสองดาวขึ้นไป”
เห็นได้ชัดว่า ฐานะของศิษย์นอกสำนักเซียวเหยา ไม่สามารถใช้ได้ในองค์กรนักล่ายุทธ์
“งั้นตอนนี้ผมขอยื่นทดสอบนักล่าอสูรสองดาว!” หลัวซิวเอ่ยขึ้น
คล้ายกับการทดสอบนักล่าอสูรหนึ่งดาว การทดสอบนักล่าอสูรสองดาว ต้องฆ่าอสูรระดับ2 ในค่ายกล จำนวน 3 ตัว พละกำลังของอสูรแต่ละตัว พอๆ กับชี่ไห่ขั้นห้า
การทดสอบประเภทนี้ ไม่มีปัญหาอะไรสำหรับหลัวซิว ผ่านได้อย่างสบายๆ
ต่อจากนั้นหลัวซิวให้หินพลังจิตชั้นล่าง 200 ชิ้น และถูกพาไปที่ห้องลับห้องหนึ่ง
สถาปัตยกรรมประเภทเดียวกับแท่นบูชา ตั้งอยู่กลางห้องลับ มีลวดลายซับซ้อนและสัญลักษณ์สลักอยู่ด้านบน มีแสงสีฟ้ากะพริบอยู่
หลัวซิวเคยได้ยินเรื่องค่ายวาร์ปมาก่อน ว่ากันว่ามีเพียงปรมาจารย์ค่ายกลขั้น4 ถึงจะสามารถติดตั้งค่ายวาร์ประดับต่ำ ที่ธรรมดาที่สุด แท่นค่ายกลเช่นนี้ ต้องใช้มูลค่าสูงมาก
########################
บทที่ 88 เจ้าสำนักบาดเจ็บ
“เจ้าสำนักบาดเจ็บ เหลือเวลาอีกไม่มากงั้นเหรอ” ลู่เมิ่งเหยามีสีหน้าตกใจ “เจ้าสำนักเป็นผู้แข็งแกร่งที่เหยียบอยู่แดนราชันแห่งโลกยุทธ์ ทำไมถึงบาดเจ็บได้ล่ะ”
สำหรับเทือกเขาจิ่วเฟิ่งที่พ่อพูดถึง ลู่เมิ่งเหยากลับไม่เคยได้ยินมาก่อน
“สำนักเซียวเหยาครองเขตการปกครองหยุนหลง คงหนีไม่พ้นผลการฝึกตนในโลกยุทธ์ อันแข็งแกร่งของเจ้าสำนัก ดังนั้นข่าวนี้โดนปิดเอาไว้ มีพวกคนในสำนักจำนวนน้อยเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้”
แววตาของลู่เฟยเฉินฉายแววตักเตือน “ถ้าข่าวแพร่ออกไป ไม่เพียงแต่อำนาจในเขตการปกครองหยุนหลง จะเกิดการสั่นคลอน อำนาจในเขตต่างๆ ของประเทศเทียนหวู อาจทำเรื่องไม่ดีกับสำนักเซียวเหยาด้วย”
เมื่อได้ยินดังนั้น ลู่เมิ่งเหยาพยักหน้าอย่างจริงจัง เป็นการบอกว่าตัวเองไม่เอาข่าวนี้ไปบอกใครแน่นอน
ลู่เฟยเฉินเงียบอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพูดต่อ “อาการบาดเจ็บของเจ้าสำนัก ไม่สามารถฟื้นคืนกลับมาได้อีก เมื่อร่วงลงมา สำนักเซียวเหยาไร้ผู้นำ เจ้าสำนักคนต่อไป ต้องเลือกจากผู้อาวุโสพวกนั้น บรรดาผู้อาวุโสในสำนัก โดยดูจากผลการฝึกตนและอำนาจสูงสุดของผู้อาวุโสสองท่าน”
“ผู้อาวุโสสองท่านนี้ แบ่งเป็นตี๋ซือกู่กับขงชิงหยู ผลการฝึกตนของผู้อาวุโสสองท่านนี้ ไม่ต่างกันเท่าไร มีลูกศิษย์และผู้คุ้มครอง ทั้งในและนอกสำนัก สำหรับการมอบตำแหน่งเจ้าสำนัก ต้องมีการแย่งชิงอยู่แล้ว”
“เหมือนตอนนี้ ทั้งในและนอกสำนัก ไม่ว่าจะเป็นการดูแล ฝ่ายบู๊ ล้วนมีผู้อาวุโสเป็นผู้ดูแล เลือกผู้อาวุโสที่เกื้อหนุนกัน ส่วนคนที่พ่อแกสนับสนุน คือผู้อาวุโสขงชิงหยู”
เมื่อได้ฟังจบ ในที่สุดลู่เมิ่งเหยาก็เข้าใจ
พ่อเป็นผู้สนับสนุนฝ่ายขงชิงหยู ส่วนผู้ดูแลนอกสำนัก อย่างจางหลู่เหลียง เห็นได้อย่างชัดเจนว่าน่าจะเป็นผู้สนับสนุนฝ่ายผู้อาวุโสตี๋ซือกู่
ถึงฐานะของจางหลู่เหลียงจะต่ำต้อย แต่ในสถานการณ์สำคัญเช่นนี้ ผู้อาวุโสตี๋ซือกู่ต้องปกป้องฝ่ายตัวเองอยู่แล้ว เพื่อที่จะได้รับการสนับสนุนด้วยความภักดียิ่งขึ้น ทำให้พวกคนที่สนับสนุนเขารู้ว่า เลือกสนับสนุนตี๋ซือกู่ เป็นการเลือกที่ถูกต้องแน่นอน
ลู่เมิ่งเหยาก็คิดไม่ถึงเช่นกัน นี่ยังสร้างความวุ่นวาย เรื่องช่วงชิงอำนาจระหว่างฝ่ายในสำนัก
ผู้อาวุโสขงชิงหยูมีคุณธรรมและบารมีสูงส่ง ยังเป็นอาจารย์ผู้มีพระคุณกับลู่เฟยเฉิน พ่อของเธอ ในฐานะที่เป็นศิษย์ สถานการณ์สำคัญเช่นนี้ ต้องยืนข้างอาจารย์อยู่แล้ว
ถึงฐานะนอกสำนัก เทียบไม่ได้กับในสำนัก แต่ก็ยังเป็นตัวแปรสำคัญ ดังนั้นการสนับสนุนของลู่เฟยเฉิน เป็นปัจจัยใหญ่ ที่จะทำให้ขงชิงหยูได้ตำแหน่งเจ้าสำนักหรือไม่
“ถึงอาจารย์มีฉันสนับสนุน แต่เก้าผู้อาวุโสในสำนัก คนที่สนับสนุนเขา มีเพียงแค่สองท่านเท่านั้น”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ลู่เฟยเฉินถอนหายใจ แล้วพูดว่า “อาจารย์มีพระคุณกับฉันอย่างใหญ่หลวง แต่ก่อนถ้าไม่ได้รับคำแนะนำ ช่วยเหลือจากอาจารย์ จะมีลู่เฟยเฉินในวันนี้หรือ”
“แต่ฐานะของผู้อาวุโสในสำนักช่างสูงส่ง อาจารย์มีผู้สนับสนุนเพียงสองคน แต่ตี๋ซือกู่มีผู้สนับสนุนตั้งห้าคน ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด การช่วงชิงตำแหน่งเจ้าสำนัก อาจารย์ต้องพ่ายแพ้แน่นอน”
“และถ้าพ่ายแพ้ ตี๋ซือกู่ได้ครองตำแหน่ง ต้องกดขี่ฝ่ายอาจารย์แน่นอน รวมถึงฉันก็ต้องโดนร่างแหไปด้วย มีภัยได้ทุกเมื่อ!”
เมื่อได้ยินที่พ่อพูด ลูเมิ่งเหยาสัมผัสได้ถึงความเกี่ยวข้องอย่างรุนแรงในเรื่องนี้
อำนาจใหญ่อย่างสำนักเซียวเหยา เป็นเรื่องปกติที่มีการช่วงชิงอำนาจ ผู้ชนะกดขี่ฝ่ายของผู้แพ้ เพื่อทำให้ฐานะตัวเองมั่นคง เป็นเรื่องที่ปกติมาก
แต่เรื่องทั้งหมด เกี่ยวข้องอะไรกับฉันและหลัวซิวล่ะ
ตอนลู่เมิ่งเหยากำลังครุ่นคิดปัญหานี้ ลู่เฟยเฉินเอ่ยขึ้นช้าๆ “เก้าผู้อาวุโสในสำนัก มีสามผู้อาวุโส ที่มีความสัมพันธ์ดีมาก สาบานเป็นพี่น้องระหว่างกันและกัน สมัยหนุ่มๆ ฝ่าอันตรายกันมาหลายต่อหลายครั้ง”
“หนึ่งในผู้อาวุโส มีหลานชายอยู่คนหนึ่ง ชื่อโกวจินชวน ได้รับการเอ็นดูจากสามผู้อาวุโสเป็นอย่างมาก ตอนนี้เป็นศิษย์ในสำนัก”
“สองสามวันก่อนหน้านี้ ผู้อาวุโสโกวมาหาฉัน บอกว่าหลานชายชอบแกมานานแล้ว ถ้าสานสัมพันธ์กันได้ ผู้อาวุโสโกวจะไปพูดเกลี้ยกล่อมพี่น้องร่วมสาบานอีกสองคน ให้มาอยู่ฝ่ายอาจารย์”
พูดมาถึงขนาดนี้ สมมติลู่เมิ่งเหยาจะโง่แค่ไหน ก็เข้าใจความหมายที่พ่อพูด ยิ่งไปกว่านั้น เธอฉลาดเป็นกรด
“พ่อ พ่อจะเอาหนูเป็นเครื่องมือในการแลกเปลี่ยนอำนาจเหรอ”
ลู่เมิ่งเหยากระวนกระวาย ลุกขึ้นยืนทันที เธอมองพ่อตัวเองด้วยสีหน้าโมโห
ลู่เฟยเฉินส่ายหน้ายิ้มอย่างขมขื่น ไม่มีใครรู้จักลูกสาวดีไปกว่าตัวเอง เขารู้ตั้งนานแล้ว ถ้าตัวเองพูดเรื่องนี้ออกมา เธอต้องมีท่าทีแบบตอนนี้แน่นอน
“เมิ่งเหยา แม่แกตายไปนานแล้ว ตั้งแต่เล็กจนโต พ่อไม่เคยคัดค้านความคิดของแกเลย ตอนโรคชีพจรขาดธาตุไฟของแก ไม่มีทางรักษา ต้องฝึกวิชาใจเยือกของหุบเขาหิมะเทียนซาน ถึงจะสามารถยับยั้งได้ แต่แกจำเป็นต้องลดฐานะไปแต่งงานที่หุบเขาหิมะเทียนซานให้ตายยังไงแกก็ไม่ยอม หนีไปที่เมืองชิงหยุน พ่อก็ไม่ได้ฝืนใจแก”
“แต่ครั้งนี้ ถ้าปรมาจารย์ของแก พ่ายแพ้ต่อการช่วงชิงตำแหน่งเจ้าสำนัก ไม่แน่พ่อของแกอาจมีอันตรายถึงชีวิตก็ได้!” ลู่เฟยเฉินพูดอย่างหดหู่
“พ่อ หนู……” จู่ๆ ลู่เมิ่งเหยาไม่รู้จะพูดอะไร เธอไม่สนใจความเป็นความตายของพ่อไม่ได้ แต่ต้องแลกด้วยการไปแต่งงานกับโกวจินชวนอะไรนั่น นี่ก็ทำให้เธอไม่สามารถยอมรับได้เช่นกัน
เดิมทีเธอคิดว่าตัวเองคงไม่สามารถมีอนาคตได้อีก โรคชีพจรขาดธาตุไฟ ทำให้เธอมีชีวิตอยู่ไม่เกิน 25 ปี แต่หลัวซิวกลับรักษาโรคชีพจรขาดธาตุไฟของเธอจนหายดี ไม่เพียงแต่มอบอนาคตให้เธอ ยังมอบความรู้สึกที่มิอาจลบเลือนได้ทั้งชีวิตอีกด้วย
สำหรับลู่เมิ่งเหยา เธอยอมตาย และไม่มีทางทรยศความรู้สึกระหว่างหลัวซิว
แต่ว่า……ถ้าเพราะความยืนหยัดของเธอ ทำให้พ่อต้องติดร่างแห และอันตรายถึงชีวิต เธอก็เป็นคนอกตัญญูไม่ใช่หรือ
ฝั่งหนึ่งคือพ่อผู้ที่รักเธอมาตั้งแต่เล็กจนโต ส่วนอีกฝั่งคือความสุขที่ตัวเองแสวงหา
ฉันควรเลือกอย่างไร
จู่ๆ ลู่เมิ่งเหยาทำอะไรไม่ถูก สมองขาวโพลนไปหมด
ลู่เฟยเฉินก็ลุกขึ้นเช่นกัน เขากุมหน้าเธอเบาๆ “พ่อรักแกที่สุด ไม่มีทางบังคับให้แกแต่งงานกับคนที่ตัวเองไม่ได้ชอบ ถ้าแกอยากอยู่กับหลัวซิวจริง พ่อจะจัดการให้แกกับหลัวซิว ไปจากเขตการปกครองหยุนหลง ไม่ให้พวกแกพลอยติดร่างแหไปด้วย”
ลู่เมิ่งเหยาตัวสั่นเทา ตอนนี้พ่อยังคิดถึงตัวเธอมากกว่า นี่ทำให้ใจเธอ มีทั้งความซาบซึ้งและรู้สึกผิด
“พ่อ หนู……หนูอยากคิดให้ดีก่อน” ลู่เมิ่งเหยาจิตใจสับสนไปหมดแล้ว
“ได้ พ่อให้เวลาแกคิด แต่เวลาบีบบังคับ ให้เวลาแกได้แค่สามวัน” ลู่เฟยเฉินเอ่ยขึ้น
……
หลังจากลู่เฟยเฉินกับลู่เมิ่งเหยาออกมา หลัวซิวรู้สึกหงุดหงิดใจและไม่เป็นสุขอย่างแปลกประหลาด
จนกระทั่งกลางดึก เขาลืมตาขึ้นช้าๆ อาการบาดเจ็บที่ได้รับจากการดวลความเป็นตายกับหลินจิงหยุน ได้รับการฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์แล้ว
ฟื้นฟูความสามารถลายเส้นชีวิต แค่ไม่ใช่อาการบาดเจ็บรุนแรง เขาก็สามารถฟื้นฟูให้เป็นเหมือนเดิม โดยใช้ระยะเวลาเพียงสั้นๆ
แต่ความกดดันที่วนเวียนอยู่ในใจ หงุดหงิด ไม่เป็นสุข ยังคงอยู่ไม่หายไป
ได้ต่อสู้กับหลินจิงหยุน ทำให้หลัวซิวเข้าใจข้อคิดอย่างหนึ่ง
ช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย ผลการฝึกตนระดับที่บรรลุถึง ไม่สามารถตัดสินความสามารถ ด้านการต่อสู้ของคนๆ หนึ่งได้อย่างสิ้นเชิง สมบัติค่ายกลที่รุนแรง ตอนช่วงสำคัญ ถึงจะสามารถใช้ตัดสินได้
อย่างเช่นสมบัติค่ายกลสามระดับที่หลินจิงหยุนใช้ มีปราณกระบี่สีทอง ที่ทัดเทียมกับการโจมตีของจอมยุทธ์พรสวรรค์ ถ้าเป็นคนที่มีวิชาชี่ไห่ขั้น7 คนอื่น ถึงกระทั่งวิชาชี่ไห่ขั้น8 ก็แทบจะไม่สามารถต้านทานได้
แน่นอนว่าความสูงส่งของสมบัติค่ายกล ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถมีสมบัติค่ายกลอันรุนแรงได้
แต่สิ่งที่ไม่ต้องสงสัยเลย นั่นก็คือสมบัติค่ายกล อาจโจมตีกลับ ในช่วงเวลาสำคัญ หรือไม่ก็ช่วงที่แผนการกำลังจะล่ม
########################
บทที่ 87 ไม่หวังสิ่งตอบแทน
ถึงพูดว่าลู่เฟยเฉินไม่ได้ยื่นมือเข้ามาช่วย เพราะมีอุปสรรคเป็นกฎของนอกสำนักเซียวเหยา พูดกันตามเหตุผล จึงไม่ได้ทำผิดอะไร
แต่หลัวซิวเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับน้ำใจ เขาคิดว่ากฎที่ว่า ไม่ใช่ว่าจะทำลายไม่ได้ แต่ลู่เฟยเฉินไม่ยอมทำลายต่างหาก หรือไม่ก็เข้าใจว่าคนอย่างหลัวซิว ไม่คุ้มค่ากับการทำลายกฎ
มองศพหลินจิงหยุน นอนท่ามกลางกองเลือด หลัวซิวเก็บเกราะแขนและกระบี่ยุทธ์ของอีกฝ่ายขึ้นมา
บนเวทีดวลความเป็นตาย เมื่อฆ่าอีกฝ่ายตาย สามารถเอาทุกอย่างของอีกฝ่ายได้ นี่ก็เป็นกฎเช่นกัน
ลู่เมิ่งเหยาช่วยประคองหลัวซิว ลงจากเวทีดวลความเป็นตาย กลุ่มคนแหวกทางเดินให้โดยอัตโนมัติ
หลัวซิวเพิ่งกลับมาถึงที่พักของตัวเอง ลู่เฟยเฉิน นายท่านของนอกสำนักก็มาถึงที่นี่
“เมิ่งเหยา ออกไปก่อน ฉันมีเรื่องอยากคุยกับหลัวซิวเป็นการส่วนตัว” หลังเข้ามา ลู่เฟยเฉินจึงเอ่ยขึ้น
ลู่เมิ่งเหยาไม่ได้พูดอะไร มองหลัวซิว แล้วมองพ่อของตัวเอง จากนั้นจึงพยักหน้า เดินออกจากห้อง และปิดประตูลง
ภายในห้องสะอาดธรรมดาๆ ลู่เฟยเฉินมองหลัวซิว แล้วพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “นายอันตรายเกือบโดนฆ่าบนเวทีดวลความเป็นตาย แต่ฉันไม่ได้ยื่นมือเข้าไปช่วย นายรู้สึกไม่พอใจหรือเปล่า”
หลัวซิวคิดไม่ถึงว่าลู่เฟยเฉิน จะพูดออกมาอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้
แต่สิ่งที่ทำให้ลู่เฟยเฉินคิดไม่ถึงคือ หลัวซิวส่ายหน้า “เจ้าสำนักทำไปตามกฎ ไม่ได้ยื่นมือเข้ามาช่วยผม เป็นสิ่งที่ถูกแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ผมเป็นลูกศิษย์ที่เพิ่งเข้าสำนัก ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าสำนัก จะช่วยผมทำไมล่ะ”
สำหรับการนิ่งดูดายเรื่องความตาย ของลู่เฟยเฉิน แน่นอนว่าหลัวซิวไม่พอใจ แต่เขาพูดออกมาเช่นนี้ ก็เป็นคำพูดในใจเขาเหมือนกัน
ลู่เฟยเฉินขมวดคิ้ว “นายไม่รู้สึกเลยเหรอ นายเป็นผู้มีพระคุณ ที่ช่วยชีวิตลูกสาวฉัน ฉันควรยื่นมือไปช่วยนาย ถึงจะถูกไม่ใช่หรือไง”
หลัวซิวยังคงส่ายหน้า “เจ้าสำนักเข้าใจผิดแล้ว ผมไม่เคยคิดว่าการรักษาโรคชีพจรขาดธาตุไฟ ให้ลู่เมิ่งเหยาจนหายดี เพราะหวังสิ่งตอบแทน”
“ไม่หวังสิ่งตอบแทนงั้นเหรอ” เมื่อลู่เฟยเฉินได้ยินประโยคนี้ เขากลับส่งเสียงหึอย่างเย็นชา “คนอย่างลู่เฟยเฉินรู้จักคนมานับไม่ถ้วน นายบอกว่าไม่หวังสิ่งตอบแทน แสดงว่านายยิ่งคิดร้าย!”
“ฉันดูออกว่าลู่เมิ่งเหยาชอบพอนาย แต่ถ้านายคิดว่าการทำแบบนี้ จะสามารถใช้ฉันเป็นที่พึ่งนอกสำนักเซียวเหยา ทำตัวสูงส่งโดยไม่หวาดกลัวอะไร งั้นนายคิดผิดแล้ว!”
คำพูดของลู่เฟยเฉินรุนแรงมาก ไม่มีโอกาสให้หลัวซิวได้มีโอกาสโต้เถียงสักนิด
“ไม่ว่าจะพูดยังไง นายรักษาโรคชีพจรขาดธาตุไฟ ให้เมิ่งเหยาจนหายดี ฉันสามารถให้สิ่งที่นายต้องการ ตั้งแต่นี้ต่อไป ระหว่างนายกับเมิ่งเหยา ต้องสลัดทิ้งให้หมด ไม่ติดหนี้อะไรต่อกัน!”
ขณะพูด ในมือของลู่เฟยเฉินมีแหวนเก็บของ เขาเอาแหวนวางบนโต๊ะข้างๆ แล้วพูดว่า “ยาและหินพลังจิตในแหวนเก็บของ เพียงพอที่จะทำให้นายฝึกตนถึงแดนพรสวรรค์”
ลู่เฟยเฉินรู้ดี สมบัติชิ้นนี้ สามารถทำให้จอมยุทธ์พรสวรรค์ใจเต้น ในโลกนี้จอมยุทธ์ระดับชี่ไห่ ไม่มีทางปฏิเสธแน่นอน
แต่เมื่อเขาเห็นท่าทางของหลัวซิว กลับพบว่าตั้งแต่ต้นจนจบ สีหน้าของหลัวซิวราบเรียบ ถึงเขาจะพูดมูลค่าของในแหวนเก็บของ แต่อีกฝ่ายยังคงนิ่ง
“ทำไม อย่าบอกนะว่านายยังคิดว่าไม่พอ” ลู่เฟยเฉินขมวดคิ้วอีกครั้ง เขารู้สึกว่าเจ้าเด็กหลัวซิว โลภมากเกินไปแล้ว
หลัวซิวมองลู่เฟยเฉิน เขารู้ว่าถึงตัวเองพูดอีกว่าไม่หวังสิ่งตอบแทนจริงๆ ลู่เฟยเฉินคงไม่เชื่อตัวเอง หรือบางทีสำหรับคนอย่างลู่เฟยเฉิน คนบนโลกนี้ ล้วนเห็นผลประโยชน์เป็นเรื่องสำคัญ
ยิ่งเขาไม่หวังสิ่งตอบแทน ลู่เฟยเฉินก็จะยิ่งหวาดระแวงเขาขึ้นอีก
“เจ้าสำนัก ผู้อาวุโสจ้าวฉีหยวนบอกผมว่า คุณบอกว่าแค่ผมสามารถเป็นอันดับหนึ่งนอกสำนัก ก่อนอายุ 18 ปี คุณจะไม่ขัดขวางเรื่องระหว่างผมกับเมิ่งเหยา ใช่หรือเปล่าครับ” หลัวซิวถามขึ้น
“ใช่ ฉันเคยพูดประโยคนี้จริง” ลู่เฟยเฉินไม่ได้ปฏิเสธ แต่กลับรีบพูดเปลี่ยนเรื่อง “แต่ตอนนี้สถานการณ์พิเศษ ระหว่างนายกับเมิ่งเหยา ไม่มีโอกาสเป็นไปได้สักนิด ฉันขอเตือนให้นายยอมแพ้เถอะ”
เมื่อพูดจบ เหมือนลู่เฟยเฉินไม่อยากพูดอะไรเยอะ รีบหันหลังเดินออกไป
“สถานการณ์พิเศษงั้นเหรอ นี่หมายความว่าอะไร” หลัวซิวขมวดคิ้วแน่น สำหรับแหวนเก็บของที่ลู่เฟยเฉินวางไว้บนโต๊ะ เขากลับไม่มองแม้แต่น้อย
หลัวซิวคิดว่า จากฐานะของลู่เฟยเฉิน ไม่น่าจะกลับกลอก แต่จู่ๆ เขากลับมีท่าทีต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง อาจจะเป็นเพราะสถานการณ์พิเศษที่เขาพูดถึง
เขาชอบลู่เมิ่งเหยาจริงๆ ไม่ใช่การแอบรักที่ยังไม่มีความเป็นผู้ใหญ่กับหลิวหยู่ซิน ที่สำนักหวูแห่งเมืองชิงหยุนในตอนนั้น
“พ่อ……”
ลู่เมิ่งเหยาอยู่นอกสำนัก ได้ยินบนสนทนาระหว่างพ่อกับหลัวซิว ดังนั้นเมื่อลู่เฟยเฉินเดินออกมา เธอจึงอดเดินเข้าไปไม่ได้
เธอไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อถึงดึงดันเช่นนี้ การแสดงออกของหลัวซิว โดดเด่นอย่างเห็นได้ชัด ถึงพวกลูกศิษย์ที่เป็นหัวใจสำคัญในสำนัก ก็ยังได้แค่นั้น ทำไมเขาถึงไม่ให้โอกาสหลัวซิวกับตัวเองล่ะ
“ตามพ่อมา พ่อจะอธิบายให้แกฟัง” ลู่เฟยเฉินถอนหายใจและพูดออกมา
ลู่เมิ่งเหยามองห้องของหลัวซิว เธอก็อยากรู้มาก ว่าสถานการณ์พิเศษที่พ่อพูดถึง คืออะไรกันแน่
ตำหนักนอกสำนักเซียวเหยา สองพ่อลูกลู่เฟยเฉินกับลู่เมิ่งเหยา นั่งตรงข้ามกัน
ไม่รอให้ลู่เมิ่งเหยาเอ่ยปากถาม ลู่เฟยเฉินเป็นฝ่ายพูดว่า “เมิ่งเหยา แกรู้ไหม ทำไมคนดูแลนอกสำนักธรรมดาๆอย่างจางหลู่เหลียง ถึงทำให้ผู้อาวุโสในสำนักเข้ามาก้าวก่ายได้ และฉันไม่สามารถจัดการเขาได้หรือเปล่า”
เมื่อได้ยินพ่อพูดเรื่องนี้ขึ้นมา ลู่เมิ่งเหยาอึ้งเล็กน้อย เธอจำได้ว่าเพราะจางหลู่เหลียงแอบทำร้ายหลัวซิว ตอนที่กำลังทดสอบ การกระทำแบบนี้นับว่าผิดกฎ พ่อใช้ฐานะของนายท่านนอกสำนัก ออกคำสั่งด้วยตัวเอง ให้ขังเขาเอาไว้ในคุกน้ำใต้ดิน ทำลายผลการฝึกตน ถูกทรมานโดยการแทงไปที่กระดูกไหปลาร้า
แต่จางหลู่เหลียงเพิ่งถูกขังเข้าไปในคุกน้ำใต้ดิน ก็มีคนถือศาสน์ของผู้อาวุโสในสำนักมาช่วย ขอให้ปล่อยตัวคน ฐานะของผู้อาวุโสในสำนักสูงกว่านายท่านของนอกสำนัก ดังนั้นลู่เฟยเฉินจึงทำได้เพียงปล่อยตัวคน
“ลูกไม่ทราบ” ลู่เมิ่งเหยาส่ายหน้าอย่างงุนงง
ฐานะของผู้อาวุโสในสำนักสูงกว่านายท่านของนอกสำนัก แต่จางหลู่เหลียงเป็นแค่ผู้ดูแลนอกสำนักธรรมดาๆ ความแตกต่างของฐานะ ไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้ ทำไมผู้โอวุโสในสำนัก ถึงต้องช่วยเขาด้วยตัวเองล่ะ
ในเมื่อจางหลู่เหลียงมีผู้อาวุโสในสำนักอยู่เบื้องหลังจริง ทำไมเขายังเป็นแค่ผู้ดูแลนอกสำนักธรรมดาๆ ล่ะ
ลู่เมิ่งเหยาความคิดฉลาดหลักแหลม ถึงเธอยังคิดไม่ออก แต่พอเดาได้ หรือบางทีอาจจะเกี่ยวข้องกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของพ่อ และสถานการณ์พิเศษที่พ่อพูดถึงด้วย
ลู่เฟยเฉินสูดหายใจ สีหน้าแลดูเคร่งขรึม การที่เป็นผู้กุมอำนาจนอกสำนัก อยู่ในตำแหน่งสูง ลู่เมิ่งเหยาไม่เห็นพ่อมีสีหน้าแบบนี้มานานแล้ว
“เมื่อไม่นานมานี้ เจ้าสำนักกลับมาจากเทือกเขาจิ่วเฟิ่ง แต่กลับบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้เหลือเวลาอีกไม่มาก” ลู่เฟยเฉินเพียงเอ่ยปาก ก็มีข่าวอันน่าตกใจออกจากปากเขา
เจ้าสำนักที่เขาพูดถึง แน่นอนว่าเป็นนายท่านของสำนักเซียวเหยา การที่สามารถเป็นเจ้าสำนักได้ แน่นอนว่าต้องเป็นผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งในสำนักเซียวเหยา!
########################
บทที่ 86 แพ้แล้ว
ปราณกระบี่สีทองที่ทัดเทียมกับการโจมตีด้วยมือจอมยุทธ์พรสวรรค์ ไม่ใช่เพียงแค่พูดเท่านั้น ในนั้นมีพลังอันแข็งแกร่งแฝงอยู่ ห่างชั้นระดับที่บรรลุถึงชี่ไห่ หลัวซิวโดนพลังโจมตีเข้าไปในร่างกาย เส้นเลือดและภายในร่างกาย ได้รับบาดเจ็บภายในไม่น้อย
เวทีดวลความเป็นตาย เละเทะไปหมด หลุมสามหลุมสะดุดตาจนน่าตกใจ เห็นได้เลยว่าพลานุภาพของปราณกระบี่สามปราณ แข็งแกร่งขนาดไหน
เมื่ออยู่ตรงข้ามหลัวซิว ถึงสีหน้าของหลินจิงหยุนจะซีดเผือด แต่อาการดีกว่าหลัวซิวเยอะมาก
โดยทั่วไปแล้วสมบัติค่ายกลสามระดับ ต้องใช้ผลการฝึกตน ระดับจอมยุทธ์พรสวรรค์ ถึงจะกระตุ้นหรือขยับได้ หลินจิงหยุนใช้ผลการฝึกตนวิชาชี่ไห่ขั้น7 ในการกระตุ้นหรือขยับของล้ำค่าเช่นนี้ ปราณแท้ทั้งตัว ก็สูญเสียไปจนใกล้จะหมด
เห็นสภาพจนตรอกของหลัวซิว หลินจิงหยุนถึงกับโล่งอก ขณะเดียวกันก็รู้สึกหวาดกลัว ปราณกระบี่สามปราณนั้น ทัดเทียมกับการโจมตีของจอมยุทธ์พรสวรรค์ หลัวซิวไม่ตายอย่างนั้นเหรอ
“แต่ไม่ตายก็ไม่เป็นไร ตอนนี้กำลังของนายหมดแล้ว ต้องตายคามือฉันแน่นอน!”
หลินจิงหยุนรู้ดีว่าตัวเองต้องฆ่าหลัวซิว ขืนปล่อยให้เขาเติบโตตามใจชอบ คนที่ตายจะเป็นตัวเขาเอง
ในมือของเขาถือกระบี่ ก้าวเข้าไปหาหลัวซิวที่เลือดเต็มตัว
“หยุดนะ!”
เห็นชีวิตของหลัวซิวกำลังอันตราย ลู่เมิ่งเหยาที่อยู่ล่างเวที ถึงกับหน้าเปลี่ยนสี เธอรีบตะโกนออกมา
“หลินจิงหยุน ถ้านายฆ่าหลัวซิว ฉันจะฆ่านาย!”
ถึงเป็นแค่ผู้หญิงอ่อนแอ แต่ตอนที่ลู่เมิ่งเหยาพูดประโยคนี้ออกมา ความอาฆาตอันเย็นยะเยือก แผ่ซ่านออกมาจากตัวเธอ
ฐานะของลู่เมิ่งเหยาพิเศษ ทำให้หลินจิงหยุนรู้สึกหวาดกลัว เท้าที่กำลังก้าวเข้าไปหาหลัวซิว ถึงกับชะงักลง
เขามองไปยังจางหลู่เหลียง ผู้รับผิดชอบเอกสารรับรอง ที่อยู่บนห้องใต้หลังคาไม่ไกล เสียงของผู้ดูแลนอกสำนัก ดังเข้ามาในหู “นายวางใจเรื่องฆ่าหลัวซิวได้เลย มีข้าคอยคุ้มครองอยู่ ยัยเด็กแซ่ลู่ ฆ่านายไม่ได้หรอก แต่ถ้านายไม่ฆ่าหลัวซิว ข้าจะฆ่านายเอง!”
เมื่อได้ยินดังนั้น หลินจิงหยุนอดตัวสั่นไม่ได้ ความร้ายกาจของจางหลู่เหลียง เป็นที่เลื่องลือนอกสำนักเซียวเหยา ตอนนี้เขาจะฆ่าหรือไม่ฆ่าหลัวซิว ก็ยากที่จะลงจากหลังเสือ
“ฉันเป็นคนพูดเรื่องดวลความเป็นตาย ถ้าฉันไม่ฆ่าหลัวซิว ไม่เพียงแต่จะโดนหัวหน้าจางฆ่าเพื่อระบายความโกรธ หลัวซิวก็ไม่ปล่อยฉันไว้เหมือนกัน”
เมื่อคิดได้เช่นนี้ หลินจิงหยุนตัดสินใจได้ทันที เขาหยิบกระบี่เดินเข้าไปหาหลัวซิว
“หลินจิงหยุน!”
ลู่เมิ่งเหยาร้อนใจขึ้นทันที เธอรีบใช้วิชาท่าร่างเด้งตัวขึ้น กำลังจะพุ่งขึ้นไปบนเวทีดวลความเป็นตาย
แต่แน่นอนว่าจางหลู่เหลียง ไม่มีทางยอมให้เธอทำเช่นนี้ เขาหายตัวไปขวางเธอไว้
“คุณลู่ ดวลความเป็นตาย ผมเป็นคนรับผิดชอบเอกสารรับรอง ใครก็ห้ามเข้ามาก้าวก่าย” จางหลู่เหลียงพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“จางหลู่เหลียง! อย่าคิดว่าฉันไม่รู้กลอุบายของนาย ถอยไปซะ!” ใบหน้าของลู่เมิ่งเหยาเย็นชา กระบี่บางปรากฏขึ้นในมือ
จางหลู่เหลียงไม่กลัวคำขู่ของลู่เมิ่งเหยา เขาพูดเนิบๆ “การเป็นผู้ดูแลนอกสำนัก การรักษากฎ คือหน้าที่ของผม หวังว่าคุณลู่อย่าทำผิดพลาด!”
“นาย!……”
ลู่เมิ่งเหยาส่งเสียงหึอย่างโมโห เธอสะบัดกระบี่ พุ่งเข้าไปแทงจางหลู่เหลียงข้างหน้า
“คุณลู่ คุณจะเอาแต่ใจเกินไปแล้ว”
สีหน้าของจางหลู่เหลียงแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา เขายกนิ้วขึ้นมาช้าๆ รวบรวมปราณแท้พรสวรรค์
ได้ยินเสียงชิ้ง เล็บของเขาปะทะกับกระบี่ในมือลู่เมิ่งเหยา จางหลู่เหลียงแทบจะไม่ขยับแต่ลู่เมิ่งเหยากลับโดนสะท้อนกลับ จนร่างลอยกระเด็นไปในอากาศ
ขณะนั้น แขนอันทรงพลังรับลู่เมิ่งเหยาเอาไว้กลางอากาศ
“พ่อ” ลู่เมิ่งเหยาหันไปมอง แล้วพูดอย่างร้อนใจ “พ่อรีบไปช่วยหลัวซิว!”
คนที่รับลู่เมิ่งเหยาเอาไว้ คือนายท่านของนอกสำนัก ลู่เฟยเฉิน
เห็นลู่เฟยฉินขมวดคิ้ว แล้วพูดว่า “แกลืมกฎบนเวทีดวลความเป็นตายไปแล้วเหรอ พ่อเป็นนายท่านของนอกสำนัก ต้องทำตัวแบบอย่าง จะทำลายกฎที่บรรพบุรุษตั้งไว้ ตามอำเภอใจได้อย่างไร”
“พ่อ……” ลู่เมิ่งเหยาอึ้งไป เธอคิดไม่ถึงว่าพ่อของตัวเอง จะนิ่งดูดายกับความตาย
“หลัวซิว ตายซะเถอะ!”
บนเวทีดวลความเป็นตาย หลินจิงหยุนเดินมาใกล้หลัวซิว สะบัดกระบี่ยุทธ์ในมือ และฟันไปที่คอของหลัวซิว เพื่อตัดหัวของเขา
ลู่เมิ่งเหยาเห็นภาพนั้นพอดี ใจดุจเถ้าที่ดับมอดไป เธอหลับตาลง ไม่กล้ามอง
ขณะที่ทุกคนคิดว่าหลัวซิว ไม่มีกำลังตอบโต้กลับ และต้องตายสถานเดียว หลัวซิวที่กำลังก้มหน้า มีความอาฆาตฉายแวบเข้ามาในตา
ช่วงเวลาเสียวไส้ เห็นหลัวซิวยังคงก้มหน้า เหมือนสายฟ้าสีดำโผล่มาจากอากาศ แค่กะพริบ จากนั้นก็หายไป
เสียงตุ้บดังขึ้น ร่างของหลินจิงหยุนล้มลงกับพื้นทันที ดวงตายังคงเบิกกว้าง ก่อนสิ้นใจ เขาเห็นแสงกระบี่ที่รวดเร็วสุดขีดเป็นสิ่งสุดท้าย!
“คนที่ตาย คือนาย!”
หลัวซิวพูดประโยคนี้ออกมาช้าๆ กระบี่สุดท้าย เขาต้องใช้พลังทั้งหมด จนส่งผลกระทบต่ออาการบาดเจ็บภายใน เขากระอักเลือดออกมาอีกสองครั้ง
ทุกคนพากันตกตะลึง ไม่มีใครคาดคิด วินาทีสุดท้าย หลัวซิวยังเหลือแรงสู้ ตวัดกระบี่ออกไป หลินจิงหยุนแม้แต่ตั้งตัวยังทำไม่ทัน เขาถูกฆ่าที่นี่!
หลังความเงียบผ่านไป ตามมาด้วยเสียงโหวกเหวกของทุกคน พากันถกเถียงขึ้นมา ตอนที่ดาบเร็วสุดขีดที่หลัวซิวใช้ตอนสุดท้าย!
กระบี่ของหลัวซิว เดิมก็เร็วมากอยู่แล้ว แต่จอมยุทธ์วิชาชี่ไห่ขั้น7 ขึ้นไปบางส่วน ยังพอจับร่องรอยการออกกระบี่ของเขาได้
แต่ขีดสุดของกระบี่เมื่อครู่ เห็นได้เพียงสายฟ้าสีดำเท่านั้น เพราะท่าทางการใช้กระบี่ของหลัวซิวรวดเร็วเกินไป จึงทำให้คนส่วนใหญ่ดูไม่ออกว่านั่นคืออะไร
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าศึกครั้งนี้ ชื่อของหลัวซิว สามารถทำให้นอกสำนักเซียวเหยาสั่นคลอน!
เขาเพิ่งมีวิชาชี่ไห่ขั้น3 รอให้เขาพัฒนาไปถึงวิชาชี่ไห่ขั้น4 หรือจนถึงวิชาชี่ไห่ขั้น7 ล่างพรสวรรค์ลงไป คงไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้เลยไม่ใช่หรือ
ไม่เพียงแค่กลุ่มคนที่มาดูการต่อสู้ หลัวซิวก็กำลังนึกย้อนถึงกระบี่สุดท้าย ที่ใช้พละกำลังจนหมด
เพราะต้านทานกับสามปราณกระบี่สีทอง เขาเกือบจะหมดพลัง พลังที่เหลือ อย่างมากก็แค่กระบี่เดียว ถ้าไม่สามารถฆ่าหลินจิงหยุน คนที่ตาย ต้องเป็นเขาอย่างแน่นอน
ดังนั้น ตอนที่ตกอยู่ในสถานการณ์บีบบังคับ ระหว่างเป็นกับตาย ระดับของกระบี่นั้น เกินกว่าขอบเขตของวิชาดาบเร็วขั้นต้น และถึงระดับที่พอๆ กับดาบเร็วขั้นสูง!
เป็นไปตามคาด ฝึกฝนแทบเป็นแทบตาย เป็นหนทางที่ยอดเยี่ยม นำไปสู่การยกระดับพละกำลัง
ภาพบนเวทีดวลความเป็นตาย ทำให้ใบหน้าชราของจางหลู่เหลียง แปรเปลี่ยนเป็นไม่สู้ดีเป็นอย่างมาก เดิมทีเข้าใจว่าครั้งนี้จะไร้ข้อผิดพลาด แต่ผลที่ได้กลับ……
ลู่เมิ่งเหยาได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายของผู้คน เธอค่อยๆ ลืมตา เห็นคนที่ล้มลงบนเวทีดวลความเป็นตาย ไม่ใช่หลัวซิว แต่เป็นหลินจิงหยุน
ทันใดนั้น อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ทำให้เธอร้องไห้ออกมาอย่างสะเทือนใจ และสะบัดมือของผู้เป็นพ่ออย่างลู่เฟยเฉิน เธอเด้งตัวขึ้นไปบนเวทีดวลความเป็นตาย
เมื่อเดินเข้ามาใกล้หลัวซิว เธอเอายารักษาบาดแผลออกมาหนึ่งเม็ด และป้อนให้หลัวซิว
หลัวซิวอ้าปากอย่างไม่รีรอ เขาเชื่อว่าลู่เมิ่งเหยาไม่มีทางทำร้ายตัวเอง ตอนนี้เขาไม่มีเรี่ยวแรงสักนิด หลังได้รับยา เขาปิดตาลงทันที เคลื่อนไหวพลังหยางบริสุทธิ์และวงล้อแห่งชีวิตและความตาย เริ่มฟื้นฟูอาการบาดเจ็บในร่างกาย
หลังผ่านไปครู่หนึ่ง ถึงบาดแผลของหลัวซิว ยังฟื้นฟูไม่สมบูรณ์ แต่ใช้วิธีพิเศษในการฟื้นฟูลายเส้นชีวิต นอกจากร่างกายอ่อนแอ ความสามารถในการเคลื่อนไหว ได้รับการฟื้นฟูแล้ว
“ขอบใจนะเมิ่งเหยา”
ช่วงระหว่างความเป็นความตาย สิ่งที่ลู่เมิ่งเหยาทำ อยู่ในสายตาของหลัวซิวทั้งหมด เขารู้สึกซาบซึ้งใจมาก
แต่เมื่อเทียบขึ้นมา ลู่เฟยเฉินพ่อของเธอ ดูเลือดเย็นกว่า
########################
บทที่ 85 ทางตัน
หลินจิงหยุนสามารถฝึกตนได้ถึงวิชาชี่ไห่ขั้น7 ต้องผ่านกันฝึกฝนแทบเป็นแทบตาย มาหลายต่อหลายครั้ง เขาสัมผัสได้ถึงแสงสีดำบนหมัดของหลัวซิว มันเต็มไปด้วยอันตราย
วิชาท่าร่างธารเมฆีของแดนบรรลุผล ถูกเขาใช้ออกมาจนถึงขีดสุด ร่างกายถอยหลังอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็เอียงศีรษะ หลบหมัดสุดแสนอันตรายของหลัวซิว
เทคนิคการปล่อยพลังของการฝึกวิชาดาบเร็ว ความเร็วของหมัดหลัวซิว เร็วระดับไหนกันนะ
ถึงหลินจิงหยุนใช้ปฏิกิริยาตามสัญชาตญาณของร่างกาย หลบหมัดได้ แต่หมัดนี้มาพร้อมกับลมแรง จนเกิดเสียง และพาดผ่านใส่หน้าเขานับไม่ถ้วน
“อ๊าก!”
ทุกคนด้านล่างเวที ได้ยินเสียงร้องโอดครวญของหลินจิงหยุน เห็นซีกหน้าด้านซ้ายของเขา มีเลือดเนื้อปะปนกัน เลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว
“นี่……” ความเจ็บบนใบหน้า ทำให้หลินจิงหยุนทรมานไม่สิ้นสุด แต่เขาคิดไม่ออก หมัดของหลัวซิวมาพร้อมลมแรง ทำไมถึงทำร้ายเขาได้
จอมยุทธ์แดนฝึกชี่ไห่ ใช้ปราณแท้คุ้มครองร่างกาย ระดับที่บรรลุถึงของเขาคือ วิชาชี่ไห่ขั้น7 อยากใช้ปราณแท้พร้อมลมแรง มาทำร้ายตัวเอง อย่างน้อยก็ต้องเป็นคนที่มีแดนขั้นสูงชี่ไห่ขั้น9 ถึงจะทำได้
ถึงเป็นยอดฝีมือแดนขั้นสูงชี่ไห่ขั้น9 ปราณแท้มาพร้อมลมแรง ต้องฝ่าปราณแท้คุ้มครองร่างกาย ถึงทำร้ายเขาได้ แต่ลมจากหมัดของหลัวซิวเมื่อครู่ ปราณแท้คุ้มครองร่างกายของเขา ไม่สามารถรับรู้อะไรได้เลย จึงสามารถทำร้ายเขาได้ทันที
การต่อสู้ระหว่างทั้งสองคน เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทุกคนด้านล่างเวที ตั้งอกตั้งใจดูมาก
เศษเงาที่หลัวซิวเหลือเอาไว้ตอนแรก ปรากฏด้านหลังหลินจิงหยุนเหมือนผี หมัดหนึ่งเหวี่ยงออกมา พร้อมกับลมแรง ซัดใส่หน้าหลินจิงหยุนจนเนื้อกับเลือดผสมกันเละเทะ!
ในกลุ่มคนที่มาดูล่างเวที มียอดฝีมือศิษย์นอกสำนัก อยู่ในรายชื่อประมาณ 100 อันดับ จำนวนไม่น้อย แม้แต่พวกเขา ก็คิดไม่ออกว่าหลัวซิวทำได้อย่างไร ถึงกับต้องขยี้ตา เพราะคิดว่าตัวเองตาฝาด
“เมื่อกี้หลัวซิวใช้วิชาท่าร่างอะไรกัน เหลือเศษเงาเอาไว้ จู่ๆ ก็ไปปรากฏตัวด้านหลังหลินจิงหยุน”
“หลินจิงหยุนหลบหมัดนั่นได้แล้วแท้ๆ แต่ยังโดนปราณแท้ลมรุนแรงทำร้าย หรือปราณแท้ของหลัวซิว พอๆ กับแดนขั้นสูงชี่ไห่ขั้น9”
“เขาเพิ่งมีวิชาชี่ไห่ขั้น3 เองนะ……”
ทุกคนรู้สึกหนาวเหน็บขั้วหัวใจ มีวิชาชี่ไห่ขั้น3 แต่มีพละกำลังน่ากลัวขนาดนี้ แปลกประหลาดมาก!
“แสงดำจากปราณแท้ที่ไอ้เด็กเวรนี่รวบรวม มีอะไรผิดปกติ!”
จางหลู่เหลียงที่อยู่บนห้องใต้หลังคาขมวดคิ้ว สีหน้าของเขาฉายแววเคร่งขรึม
ถึงดูไม่ออกว่าความสามารถพิเศษ ที่หลัวซิวใช้ทำลายเส้นชีวิตคืออะไร แต่เขาเป็นจอมยุทธ์พรสวรรค์ระดับที่บรรลุถึงขั้น 9 สามารถรับรู้ได้ว่า พละกำลังทำลายล้างที่หลัวซิวรวบรวมเมื่อครู่ ไม่ธรรมดามาก
ผลการฝึกตนไม่ถึงแดนฝึกจิต ไม่มีทางเอาการรับรู้ทางจิตวิญญาณเปลี่ยนเป็นการเคลื่อนวัตถุด้วยพลังจิตอย่างลึกซึ้ง ดังนั้นจางหลู่เหลียงจึงเห็นความผิดปกติ แต่ไม่รู้ว่ามีอะไรพิเศษตรงไหน
ตอนนี้ หลินจิงหยุนยืนเลือดเต็มหน้า อยู่บนเวทีการดวลความเป็นตาย ในแววตาที่จ้องหลัวซิวเขม็ง เต็มไปด้วยความอาฆาต และแฝงด้วยความ……ตกใจและหวาดกลัว!
หมัดของหลัวซิวเมื่อครู่ ทำให้เขารับรู้ถึงอำนาจความตายอย่างแท้จริง ถ้าสิ่งที่ทำร้ายตัวเอง ไม่ใช่ปราณแท้ลมรุนแรง แต่เป็นหมัดของเขา หรือกระบี่ยุทธ์ของเขา การโจมตีเพียงครั้งเดียว ตัวเองต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย
หลัวซิวในตอนนี้ ทำให้เขารู้สึกลึกลับจนไม่สามารถคาดเดาได้ และมนุษย์เต็มไปด้วยความเคารพหวาดกลัวและหวาดผวากับสิ่งที่ไม่รู้ ความมั่นใจลดฮวบลง จนทำให้สติของหลินจิงหยุนกระเจิดกระเจิง
หลินจิงหยุนกัดฟันกรอด ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ “ดูเหมือนคงต้องใช้สมบัติค่ายกล ที่หัวหน้าจางให้ฉันแล้วล่ะ”
เขาพลิกมือ มีลูกกลมทองปรากฏขึ้นบนมือ บนนั้นมีลวดลายและสัญลักษณ์เต็มไปหมด
“ตายซะเถอะ หลัวซิว!”
หลินจิงหยุนแผดเสียงออกมา หน้าตาโหดเหี้ยม ส่งปราณแท้เข้าไปที่ลูกกลมทองบนฝ่ามือ ด้วยความบ้าคลั่ง แสงสีทองสะดุดตา แผ่ออกมาจากลูกกลมทอง แสงสีทองแต่ละแสงราวกับปราณกระบี่ ฟันไปบนอากาศจนเกิดเสียงดังขึ้น
“สมบัติค่ายกล!”
“แฝงไปด้วยพลังAttrทอง สมบัติค่ายกลสามระดับ!”
คนด้านล่างเวทีเบิกตาโต เพราะคุณสมบัตินั้น คือพลังที่จอมยุทธ์พรสวรรค์สามารถทำได้
ใช้สมบัติค่ายกลสามระดับ แสดงว่าหลินจิงหยุนสามารถปลดปล่อยพลังออกมา ได้พอๆ กับการโจมตีของจอมยุทธ์พรสวรรค์
ในสายตาของทุกคน ถึงพละกำลังของหลัวซิวจะแข็งแกร่ง แต่ความแตกต่างระหว่างพรสวรรค์กับชี่ไห่ เป็นอะไรที่ไม่สามารถก้าวข้ามไปได้
“สวบ! สวบ! สวบ!……”
มีเสียงทำลายดังขึ้นในอากาศอย่างต่อเนื่อง ปราณกระบี่สีทองสามปราณ พุ่งเข้ามาหาหลัวซิว ปราณกระบี่แต่ละปราณ ยาวประมาณ 3 เมตรกว่า
ปฏิกิริยาแรกของหลัวซิวคือหลบ แต่ปราณกระบี่ทั้งสามปราณ ปิดล้อมพื้นที่รอบๆ เอาไว้หมด นอกจากเขาจะกระโดดลงจากเวทีดวลความเป็นตาย ไม่งั้นก็ไม่มีทางหลบได้
แต่ตามกฎของการดวลความเป็นตาย ฝ่ายที่ลงจากเวทีต่อสู้ คือผู้แพ้ ความเป็นตายจะตัดสินโดยผู้ชนะ
“วิชาเงาเศษสิบช่อง!”
ตัวของหลัวซิวโงนเงน จู่ๆ ก็มีเงาเศษ 7 สายปรากฏออกมา
“เงาเศษเยอะมาก นี่มันวิชาท่าร่างอะไรกัน”
“ไม่เคยได้ยินวิชาท่าร่างแบบนี้ ในหอเซียวเหยาชั้นแรก เขาน่าจะมีโอกาสเรียนมาจากสำนักอื่น”
วิชาท่าร่างเงาเศษ 7 สายที่หลัวซิวใช้ออกมา ทำให้คนตกใจจนถึงขีดสุด แต่ปราณกระบี่สีทองสามปราณนั่น กลับทัดเทียมกับการโจมตีของจอมยุทธ์พรสวรรค์ หลัวซิวจะหลบได้จริงไหม
ปราณกระบี่สีทองรวดเร็วมาก เห็นข้างบนเวทีดวลความเป็นตาย มีหลัวซิวทั้งหมด 8 คน ในนั้นมีเงาเศษ 7 สาย และเป็นร่างจริง 1 ร่าง
“ตู้ม!”
ปราณกระบี่สีทองปราณหนึ่งพุ่งลงมา ทำให้เวทีดวลความเป็นตายระเบิด จนเกิดรูขนาดใหญ่ ไอร้อน ฝุ่นควันลอยคละคลุ้งไปทั่ว
เห็นบนเวทีดวลความเป็นตาย เงาเศษ 6 เงาของหลัวซิวโดนผลกระทบ และสลายไปจนหมด
“ฆ่า!”
หลินจิงหยุนตวาดเสียงดัง ปราณกระบี่อีกสองปราณ แยกออกไปฆ่าหลัวซิว ที่ยังเหลืออยู่สองคน ในนั้นต้องมีร่างจริงอยู่หนึ่งร่างแน่นอน
“ตู้ม!”
เกิดเสียงดังสนั่นอีกครั้ง สุดท้ายเงาเศษเงาหนึ่งสลายหายไป ในสายตาของหลัวซิว มีปราณกระบี่ปราณที่สาม พุ่งเข้ามาฆ่าอย่างรวดเร็ว เขาไม่มีโอกาสได้ใช้วิชาท่าร่างเพื่อหลบอีกแล้ว
ตอนนี้ทุกคนถึงกับหยุดหายใจ เพราะกลัวจะพลาดช่วงสำคัญเล็กๆ น้อยๆ ไป ปราณกระบี่สีทอง ทัดเทียมกับการโจมตีของจอมยุทธ์พรสวรรค์ หลัวซิววจะรับมือไหวไหม
“วิชากระบี่สะท้อนแสง!”
กระบี่เงามืดออกจากฝัก จุดตันเถียนในวงล้อแห่งชีวิตและความตาย หมุนอย่างรวดเร็ว ความเป็นและความตายถาโถมเข้ามา ส่งผ่านเข้ามาในกระบี่
“ตู้ม!”
ระหว่างที่หลบจนไม่สามารถหลบได้ กระบี่ในมือหลัวซิว ปะทะกับปราณกระบี่สีทอง
เพียงพริบตา หลัวซิวเหมือนโดนสายฟ้าโจมตี กระเด็นออกไปพร้อมกระบี่ ปราณกระบี่แฝงไปด้วยพละกำลังอันน่ากลัว ทำให้ผิวหนังของเขาสะเทือนจนแตกออก เหมือนทั้งตัวกำลังจะแตกกระจาย
เมื่อโจมตีหลัวซิวจนกระเด็นออกไปอย่างรุนแรง แสงของปราณกระบี่สีทอง หม่นหมองลงเล็กน้อย แต่พลังยังไม่เสียหาย พุ่งไปโจมตีหลัวซิวต่อ
“วิชากระบี่พรากชีวี!”
กระบี่เงามืดในมือถูกส่งออกไปอีกครั้ง พลังแห่งความตายสีดำ แผ่ซ่านออกมา
การปะทะครั้งนี้ แข็งแกร่งมาก ปราณกระบี่สีทอง ที่มีพลานุภาพไร้เทียมทาน ในที่สุดก็ถูกทำลาย ส่วนเสื้อผ้าบนตัวหลัวซิวขาดลุ่ย เนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือด บนผิวหนังไม่มีส่วนไหนสมบูรณ์เลย
ชิ้ง!
เขาคุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้น ใช้กระบี่เงามืดยันตัวเอาไว้ ด้านหลังเขา คือขอบเวทีดวลความเป็นตาย อีกแค่นิดเดียว เขาจะหล่นลงไปแล้ว
พลังรุนแรงภายในร่างกาย พลุ่งพล่านไปทั่วร่างกาย จนทำให้หลัวซิวกระอักเลือดออกมา
########################
บทที่ 84 ดวลความเป็นตายอย่างกะทันหัน
หลัวซิวเดินเข้ามา ระยะห่างยิ่งใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ทุกคนเห็นรอยเลือดบนตัวเขา เสื้อก็มีรอยขาดมากมาย เหมือนผ่านสงครามอันดุเดือดมาอย่างไรอย่างนั้น
ทันใดนั้น ที่นี่เงียบลงทันที คนที่ล้อมอยู่รอบๆ เวทีดวลความเป็นตาย ต่างพากันหลีกทางให้
หลัวซิวเดินเข้าไปข้างหน้า ด้วยสีหน้าสุขุมแน่วแน่
บนเวทีดวลความเป็นตาย หลินจิงหยุนยืนถือกระบี่อยู่ สีหน้ายโสโอหัง
ขณะที่ทุกคนคิดว่าดวลความเป็นตาย กำลังจะเริ่มต้นขึ้น กลับเห็นหลัวซิวเดินขึ้นเวที และนั่งขัดสมาธิ จากนั้นหยิบยาใส่เข้าไปในปากหนึ่งเม็ด
นี่มันกระบวนท่าอะไรกัน
ทุกคนมีสีหน้าตกตะลึง มองหน้ากันไปมา
แต่หลัวซิวกลับไม่สนใจ เริ่มทำการกลั่นแปรฤทธิ์ยาในยา ปราณแท้ที่ถูกใช้ในหอคอยมังกรบินไปจนหมด ฟื้นฟูกลับมาอย่างรวดเร็ว
หลินจิงหยุนขมวดคิ้ว เขารับรู้ได้ว่าหลัวซิวกำลังฟื้นฟูปราณแท้ที่สูญเสียไป ในระหว่างที่ดวลความเป็นตายกับเขา นี่เขาทำอะไรกันแน่ ถึงทำให้สูญเสียปราณแท้ไปจนหมด
เงยหน้ามองดวงอาทิตย์บนฟ้า ยังไม่ถึงเวลาเที่ยง
บนห้องใต้หลังคา ที่อยู่ไม่ไกล จางหลู่เหลียงวางจอกชา มองหลัวซิวที่อยู่ตรงนั้น ด้วยแววตาร้อนแรง ไม่ปิดบังความอาฆาตสักนิด
ทันใดนั้น กลุ่มคนด้านล่างส่งเสียงโหวกเหวก เหมือนเทน้ำลงไปในกระทะน้ำมัน
“อะไรนะ ก่อนมาดวลความเป็นตาย หลัวซิวไปหอคอยมังกรบิน รายชื่ออยู่ในอันดับที่ 130 อย่างนั้นเหรอ”
“โอ้พระเจ้า เขาเพิ่งอายุ 15 ปี เพิ่งวิชาชี่ไห่ขั้น3 นายแน่ใจเหรอว่านี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น”
เสียงสงสัยต่างๆ นานาดังขึ้น เรื่องที่เกิดขึ้นที่หอคอยมังกรบิน ถูกพูดมาถึงที่นี่ ทุกคนที่ได้ยิน ต่างพากันไม่เชื่อเรื่องทั้งหมด
“จริงแท้แน่นอน! ถ้าไม่เห็นด้วยตาตัวเอง ฉันก็ไม่เชื่อเหมือนกัน แต่นี่คือเรื่องจริง ถ้าไม่เชื่อ ก็ไปดูบนศิลาอันดับรายชื่อของหอคอยมังกรบินได้เลย!”
“หลินจิงหยุนอยู่ในอันดับที่ 137 หลัวซิวอันดับสูงกว่าเขา!”
“นี่มันแปลกประหลาดมาก ครั้งนี้หลินจิงหยุนท่าจะลำบากแล้ว……”
หลินจิงหยุนที่ยืนอยู่บนเวทีดวลความเป็นตาย ได้ยินทุกคนถกเถียงกันเช่นนี้ เขากลอกตาไปมา เหมือนกับทุกคน ที่ไม่เชื่อเรื่องที่ได้ยินทั้งหมด
เขาสูญเสียปราณแท้ไปจนหมด เพราะไปหอคอยมังกรบินอย่างนั้นเหรอ
รายชื่ออันดับที่ 130 สูงกว่าฉันอย่างนั้นเหรอ
ฉันมีวิชาชี่ไห่ขั้น7 เชียวนะ ส่วนเขามีวิชาชี่ไห่ขั้น3 เองนะ
ถึงจะเชื่อได้ยาก แต่หลินจิงหยุนรู้ดี เรื่องนี้ไม่สามารถปล่อยปละละเลยได้
เพราะคนที่เข้ามานอกสำนักเซียวเหยา ล้วนเป็นคนมีความสามารถ แถมความสามารถยังสูงจนไม่เห็นหัวใคร ไม่มีทางจงใจไปพูดยกยอคนอื่น ศิลาอันดับรายชื่อของหอคอยมังกรบิน ก็ไม่มีทางปลอม
นอกสำนักเซียวเหยา อันดับรายชื่อของหอคอยมังกรบิน คือหลักฐานยืนยันพละกำลัง!
ถึงในการดวลความเป็นตาย จะมีปัจจัยต่างๆ นานา อันดับรายชื่อสูงอาจจะไม่สามารถเอาชนะอันดับรายชื่อต่ำได้ แต่ความต่างระหว่างระดับชั้น ก็ไม่น่าจะเยอะมาก
หลินจิงหยุนสูดหายใจลึก ลูบเกราะบนแขนซ้าย มองหลัวซิวที่กำลังฟื้นฟูปราณแท้ ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความอาฆาต
ไม่ต้องสงสัยเลย นี่คือคนมีความสามารถ ที่มีศักยภาพสูงมาก ในเมื่อต้องเผชิญหน้ากัน ก็ต้องใช้กำลังทั้งหมด ฆ่าอีกฝ่ายให้ตาย โดยไม่สนว่าต้องใช้วิธีอะไร อย่าให้เขาเติบโตขึ้นมาได้
“เมื่อวานตอนค่ำ หัวหน้าจางมอบสิ่งล้ำค่าให้ฉันสองชิ้น ฉันต้องฆ่าหลัวซิวให้ตาย ถึงเขาอยู่อันดับที่ 130 ฉันก็ไม่แพ้อย่างแน่นอน!”
หลังชั่งน้ำหนักดูแล้ว หลินจิงหยุนสงบสติอารมณ์ของตัวเอง ผลฝึกตนของวิชาชี่ไห่ขั้น7 บวกกับสมบัติค่ายกลที่จางหลู่เหลียงมอบให้ ทำให้ความมั่นใจเขากลับคืนมา
“ถึงเวลาแล้ว!”
ทันใดนั้น จางหลู่เหลียงที่อยู่บนห้องใต้หลังคา ลุกขึ้นยืนช้าๆ ใช้ปราณแท้ปลุกเสกให้เสียงขยายออกไปไกล เสียงดังก้องกังวาน “ศิษย์นอกสำนัก ดวลความเป็นตายระหว่างหลินจิงหยุนกับหลัวซิว เริ่มต้น ณ บัดนี้!”
เพียงพริบตา สายตาของทุกคนพุ่งไปยังเวทีดวลความเป็นตาย รับรู้ความเคลื่อนไหวของปราณแท้ ทุกคนพบว่า หลัวซิวยังฟื้นฟูปราณแท้ไม่สมบูรณ์
แต่ถึงเวลาดวลแล้ว……
“คุณลู่ก็มาแล้ว!”
ลู่เมิ่งเหยาสวมกระโปรงสีฟ้า เธอปรากฏตัวบริเวณเวทีดวลความเป็นตาย ทำให้คนส่งเสียงอุทานด้วยความตกใจทันที
ครึ่งเดือนกว่าๆ มานี้ คุณลู่กับหลัวซิว สนิทชิดเชื้อกันมาก เรียกได้ว่าคนนอกสำนัก รู้กันทุกคน
เธอเคยเป็นธิดาสวรรค์ที่เปล่งประกายที่สุด ของนอกสำนักเซียวเหยา อายุสิบปีมีแดนฝึกชี่ไห่ อายุสิบแปดมีวิชาชี่ไห่ขั้น9 ความสูงส่งของพรแสวงฝึกตน ไม่มีใครเทียบได้!
ตอนที่ทุกคนคิดว่าอีกไม่นาน เธอจะทะลุพรสวรรค์ กลายเป็นศิษย์ในสำนัก เธอกลับหายตัวไปเป็นปีๆ
กลับมาหลังจากสี่ปี ผลการฝึกตนไม่เพิ่มขึ้น แต่กลับลดลง ตอนนี้มีเพียงชี่ไห่ขั้นห้า
แต่ฐานะสุดพิเศษของลู่เมิ่งเหยานอกสำนัก ไม่ได้รับผลกระทบจากผลการฝึกตน ความน่าเกรงขามของเธอนอกสำนักสูงส่งมาก ยังคงเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่ง และไม่มีใครทัดเทียมได้
คิ้วสวยของเธอขมวดขึ้น มองผู้ดูแลเอกสารรับรอง อย่างจางหลู่เหลียงที่อยู่บนห้องใต้หลังคา สัญชาตญาณที่เฉียบแหลมของผู้หญิง ทำให้เธอเดาว่าดวลความเป็นตาย ระหว่างหลินจิงหยุนกับหลัวซิว ต้องมีตาเฒ่านี่คอยยุยงอยู่เบื้องหลังแน่นอน
และมีผู้อาวุโสในสำนัก คอยหนุนหลังจางหลู่เหลียง ถึงเป็นลู่เฟยเฉิน ผู้เป็นพ่อของเธอ ก็ต้องหวาดกลัวอำนาจของผู้อาวุโสในสำนักคนนั้น
ขณะเดียวกัน เธอสังเกตหลัวซิวบนเวที ปราณแท้ฟื้นฟูได้ประมาณครึ่งหนึ่ง นี่ส่งผลต่อการใช้พละกำลังของเขา อย่างไม่ต้องสงสัย
ถึงหลัวซิวเคยพูดว่าตัวเองสามารถฆ่าผู้มีวิชาชี่ไห่ขั้น7 แต่สถานการณ์ตอนนี้ มองยังไงก็ไม่ดีกับหลัวซิว
เมื่อจางหลู่เหลียงประกาศเริ่มดวลความเป็นตาย ร่างกายของหลินจิงหยุนเคลื่อนไหวทันที
ในเมื่อเป็นการดวลความเป็นตาย จึงไม่มีความยุติธรรม หรือมารยาทอะไรทั้งนั้น
ตอนนี้หลัวซิวนั่งขัดสมาธิ กำลังกลั่นแปรฤทธิ์ยา ฟื้นฟูผลการฝึกตน เป็นโอกาสดีที่สุด ในการฆ่าเขา
“ตายซะเถอะ!”
ตัวของหลินจิงหยุนพุ่งขึ้น ชุดขาวบนเวทีดวลความเป็นตาย กลายเป็นเงาลวงตาสีขาว ราวกับก้อนเมฆ ลอยเคลื่อนไหวไปมา
วิชายุทธ์ระดับ5 วิชาท่าร่างธารเมฆี!
ชิ้ง!
วินาทีที่ร่างกายเคลื่อนไหว กระบี่ยุทธ์ก็ออกจากฝักทันที ความสั่นสะเทือนของเสียงกระบี่ดังกระหึ่ม ออร่าปราณแท้แผ่ซ่าน กระบี่เคลื่อนไหวดั่งสายน้ำ พุ่งเข้าไปตัดหัวหลัวซิว
หลินจิงหยุนลงมือเร็วมาก ใช้โอกาสได้ดีมาก ตอนนี้หลัวซิวกำลังนั่งขัดสมาธิ ทำให้หลบได้ยากมาก
คนด้านล่างเวทีจำนวนไม่น้อยหรี่ตาลง หลัวซิวเพิ่งได้อันดับที่ 130 จากหอคอยมังกรบิน จะโดนฆ่าในวิเดียวเหรอ
ทว่า คนที่นั่งบนเวทีดวลความเป็นตายอย่างหลัวซิว กลับไม่ขยับสักนิด เหมือนไม่เห็นแสงกระบี่ ที่สามารถปลิดชีพ พุ่งเข้ามาหาตัวเอง
“หลัวซิว!” ลู่เมิ่งเหยากำมือสวยแน่น เธอตึงเครียดกว่าทุกคนในที่นี้
หลินจิงหยุนยกยิ้มร้ายกาจ เขาหัวเราะพรืด แสงแหลมคมของกระบี่ยุทธ์พาดผ่าน ทำให้ตัวของหลัวซิวแยกเป็นสองส่วน
เกิดเสียงฮือฮาดังขึ้น!
“เป็นไปไม่ได้! ไม่มีเลือดไหลออกมา นั่นเป็นเศษเงา!” ทันใดนั้น คนล่างเวทีพูดอย่างตกใจ
รอยยิ้มร้ายกาจของหลินจิงหยุน ชะงักไปทันที ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าเขา กระบี่ยุทธ์ของเขารู้สึกไม่ได้ใช้แรงสักนิด เขาฟันไม่โดนหลัวซิว
“นี่มันวิชาท่าร่างอะไรกัน เขาไม่ได้ขยับไปไหนเลย ทำไมถึงทิ้งเศษเงาเอาไว้ได้ ตัวจริงของเขาไปไหนล่ะ”
สีหน้าของหลินจิงหยุนเปลี่ยนไปจนคาดเดาไม่ได้ ทันใดนั้น สัมผัสได้ถึงลมแรงจู่โจมจากหลังศีรษะ
เขาหันขวับอย่างรวดเร็ว เห็นหมัดของหลัวซิว พุ่งเข้ามาโจมตีหลังศีรษะของตัวเองพอดี
หมัดของหลัวซิว รวบรวมแสงดำของปราณแท้ อำนาจความอึมครึมและเยือกเย็นแผ่ซ่านออกมา
หมัดนี้ หลัวซิวไม่ออมมือ มีพลังของความเป็นความตายอยู่ในนั้น สามารถทำลายลายเส้นชีวิตของอีกฝ่ายทันที ถ้าโดนหมัดนี้ หลินจิงหยุนต้องเกือบตายแน่นอน[1][1]
########################
บทที่ 83 ประจันหน้า
แสงกระบี่สีดำพาดผ่าน ร่างของหลัวซิวลงสู่พื้น เขาคุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้น หน้าอกกระเพื่อม หอบหายใจอย่างรุนแรง
ศพของปีศาจหมาป่าหิมะหล่นลงบนพื้น หัวกลิ้งลงมา เลือดสาดกระเซ็น
“ยังเหลือ 7 ตัว!”
กระบี่ยาวขยับ ตวัดคราบเลือดบนนั้นออก หลัวซิวหรี่ตาลง วิชาท่าร่างเคลื่อนไหว พุ่งเข้าไปฆ่า
ปีศาจหมาป่าหิมะ 7 ตัว ก็ส่งเสียงคำรามออกมาพร้อมกัน
…….
“หลัวซิวเข้าไปนานขนาดนี้ ทำไมยังไม่ออกมา”
“ไอ้หมอนั่นคงไม่ได้แอบอยู่ข้างใน เพราะไม่อยากออกมาใช่ไหม นี่ก็ใกล้จะเที่ยงแล้ว ได้ยินว่าหลินจิงหยุน รออยู่ที่เวทีดวลความเป็นตายแล้ว”
“พวกนายว่า เขาจะตายอยู่ข้างในหรือเปล่า”
“ไม่มีทาง! ข้อบังคับของค่ายกลในหอคอยมังกรบิน คือเมื่อจอมยุทธ์บาดเจ็บอันตรายถึงชีวิต ต้องถูกส่งออกมาทันที เป็นพันปีมานี้ ไม่มีใครเคยตายมาก่อน!”
ขณะพวกศิษย์นอกสำนักจำนวนมาก กำลังถกเถียงอยู่ข้างนอกหอคอยมังกรบิน แสงสีขาวสว่างวาบขึ้นมาจากหอคอยมังกรบิน
“ออกมาแล้ว ออกมาแล้ว!”
ฉากข้างหน้ากลายเป็นภาพลวงตา หลัวซิวปรากฏตัวข้างนอกหอคอยมังกรบิน ข้างหน้าไม่มีปีศาจหมาป่าหิมะแล้ว
สีหน้าของเขาซีดเล็กน้อย เสื้อผ้าบนตัวมีรอยขาดหลายแห่ง แต่แววตากลับเป็นประกายระยิบระยับ เพราะการฆ่าในหอคอยมังกรบิน รอบๆ ตัวเขา ยังมีความอาฆาตแผ่ออกมาอย่างรุนแรง
ปีศาจหมาป่าหิมะ 15 ตัว ที่ชั้นสามของหอคอยมังกรบิน ท้ายที่สุดเขาก็ไม่ผ่าน หลังฆ่าได้ 13 ตัว เขาใช้ปราณแท้จนหมด ไม่สามารถใช้วิชาท่าร่างออกมาได้ ตอนที่กำลังจะโดนปีศาจหมาป่าหิมะ 2 ตัวสุดท้าย ฉีกเป็นชิ้นๆ ก็ถูกส่งออกมา
การทดสอบฆ่าครั้งนี้ ทำให้หลัวซิวเข้าใจพละกำลังของตัวเอง เพิ่มเข้าไปอีกขั้น
“ดูสิว่าหลัวซิวจะอยู่อันดับที่เท่าไร!”
“ดูท่าทางที่เขาสูญเสียปราณแท้ น่าจะอยู่ใน 500 อันดับหรือเปล่า”
ทุกคนในที่นี้ ต่างมองไปยังศิลาอันดับรายชื่อข้างหอคอยมังกรบิน เหมือนสายตาของทุกคน มองไปยังอันดับรายชื่อที่อัดแน่นอยู่ด้านล่าง เพื่อหารายชื่อของหลัวซิว
แต่ทุกคนหาอยู่นาน ก็ยังหาชื่อของหลัวซิวไม่เจอ
“นี่……นี่เป็นไปได้ยังไง”
ขณะนั้น มีคนยื่นมือชี้ไปใน 200 รายชื่อที่อยู่สูงและสะดุดตาที่สุด
เมื่อเห็นท่าทางของคนนั้น ทุกคนอดใจสั่นไม่ได้ อย่าบอกนะว่า……
เห็นรายชื่อลำดับที่ 130 บนอันดับรายชื่อ ชื่อของหลัวซิวอยู่ตรงนั้น!
ส่วนลำดับที่ 200 แต่เดิม ถูกดันไปอยู่ในรายชื่อที่อัดแน่นอยู่ด้านล่างพวกนั้น
หลัวซิว! อันดับที่ 130 !
“พระเจ้าช่วย เป็นไปได้ยังไง เขาเพิ่งวิชาชี่ไห่ขั้น3เองนะ!”
ทุกคนอดหายใจเฮือกไม่ได้ เพราะเรื่องแบบนี้ ไม่เคยเกิดขึ้นที่นอกสำนักเซียวเหยามาก่อน
โดยทั่วไปคนที่สามารถอยู่ใน 150 อันดับแรก อย่างน้อยล้วนมีวิชาชี่ไห่ขั้น7 สถิติสูงสุดเท่าที่เคยมีมา มีคนมีความสามารถ ใช้ผลการฝึกตนวิชาชี่ไห่ขั้นห้า อยู่ในอันดับพวกนั้น!
แต่ทว่าตอนนี้ หลัวซิวทำลายสถิติใหม่อีกครั้ง เขาใช้ผลการฝึกตนวิชาชี่ไห่ขั้น3 ทัดเทียมกับทุกคนที่มีวิชาชี่ไห่ขั้น7!
ไม่เพียงแค่นั้น การที่สามารถอยู่ในอันดับที่ 130 ในบรรดาวิชาชี่ไห่ขั้น7 ก็อยู่ในอันดับผู้มีฝีมือสูงแล้ว!
“ผลการฝึกตนของเขาคือวิชาชี่ไห่ขั้น3 เรื่องนี้ไม่มีทางผิดแน่นอน”
“แต่ผลการฝึกตนไม่สามารถอธิบายพละกำลังของจอมยุทธ์ได้ทั้งหมด”
“การบรรลุถึงวิทยายุทธ์ของหลัวซิว ต้องสูงส่งอย่างแน่นอน ได้ยินว่าวิชาท่าร่างของเขาวิจิตรมาก โดยเฉพาะกระบี่ของเขา รวดเร็วดั่งสายฟ้า!”
“แต่เขาน่าจะไปไม่ถึงชั้นสาม ไม่งั้นลำดับรายชื่อคงสูงกว่านี้”
แววตาที่ทุกคนมองหลัวซิว เต็มไปด้วยความตกตะลึง คนที่เพิ่งเข้านอกสำนักเซียวเหยา ผลการฝึกตนเพิ่งอยู่ในวิชาชี่ไห่ขั้น3 เข้าไปในหอคอยมังกรบินครั้งแรก ก็ได้รับคะแนนขนาดนี้
นี่ มันน่ากลัวเกินไปแล้ว
เทียบกับฝั่งหอคอยมังกรบิน ตอนนี้สถานที่ที่คึกคักที่สุดในสำนักเซียวเหยา คือเวทีดวลความเป็นตาย
เมื่อวาน เรื่องดวลความเป็นตาย ของหลัวซิวกับหลินจิงหยุน ดังไปถึงหูศิษย์นอกสำนักตั้งนานแล้ว
สำหรับศิษย์ขั้นปฐมภูมิที่เข้ามาใหม่คนหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าจะท้าประลองคนเก่าๆ ที่มีชื่อเสียงเล็กน้อย นี่เป็นเรื่องที่เห็นได้ไม่มาก ตั้งแต่ก่อตั้งนอกสำนักเซียวเหยามาพันปี
เวทีดวลความเป็นตาย ตั้งอยู่กลางลานฝึกยุทธ์
เวทีประลองยุทธ์ทั่วไปสูง 2 เมตร กว้างและยาว 10 เมตร
ส่วนเวทีดวลความเป็นตายสูง 5 เมตร กว้างและยาว 5 เมตร
ตั้งตระหง่านอยู่กลางลานฝึกยุทธ์ ราวกับกระเรียนยืนอยู่ในฝูงไก่ โดดเด่นเหนือใคร แสดงฐานะพิเศษออกมาอย่างชัดเจน
พื้นที่กว้างและยาว 5 เมตร นับว่าไม่ใหญ่ แค่ขึ้นไปประจัญบาน เป็นตายทุกย่างก้าว!
เมื่อเวลาเดินไปเรื่อยๆ ดวงอาทิตย์อยู่กลางฟ้า ใกล้ถึงช่วงเวลาเที่ยง
“ทำไมหลัวซิวยังไม่มา หรือว่ากลัวตาย จนไม่กล้ามา”
“ดวลความเป็นตาย แค่ยื่นเอกสารรับรอง ต้องประจันหน้า ถ้ากลัวจนไม่กล้ามา ต้องโดนยกเลิกผลการฝึกตน ถูกไล่ออกนอกสำนัก”
“มาก็ตาย ไม่มาก็ตาย เหอะๆ”
“หลัวซิวก็สมองมีปัญหา วิชาชี่ไห่ขั้น3 ท้าประลองวิชาชี่ไห่ขั้น7 เขาคิดว่าตัวเองเก่งขนาดนั้นเลยเหรอ”
ถึงฝั่งเวทีดวลความเป็นตาย มีคนรวมตัวกันอยู่ไม่น้อย แต่กลับไม่มีใครมองหลัวซิวดีเลยสักคน เพราะนี่คือการต่อสู้ตัดสิน ที่พละกำลังเหนือชั้นกันอย่างสิ้นเชิง
พูดถึงการที่คนมาดูการต่อสู้เยอะขนาดนี้ เพราะศิษย์ขั้นปฐมภูมิ ที่เพิ่งเข้ามาใหม่อย่างหลัวซิว มีชื่อเสียงไม่น้อย
อันดับหนึ่งของการทดสอบขั้นปฐมภูมิ ไม่นับว่าเก่งอะไร แต่นอกสำนักมีข่าวลือนานแล้ว เขากับลู่เมิ่งเหยา ลูกสาวของเจ้าสำนักสนิทชิดเชื้อกัน ตอนทดสอบ ถูกผู้ดูแลที่ชื่อจางหลู่เหลียงทำให้ลำบากใจ ทำให้เจ้าสำนักลู่เฟยเฉิน ออกหน้าเอง ไม่เพียงปกป้องเขา หนำซ้ำยังให้จางหลู่เหลียงเข้าคุกน้ำใต้ดิน ถ้าไม่มีสัมพันธ์ในสำนัก จางหลู่เหลียงคงตายอย่างไม่ต้องสงสัย
ไม่ไกลจากเวทีดวลความเป็นตาย ผู้อาวุโสเคราขาวคนหนึ่ง ยืนอยู่ห้องใต้หลังคาชั้นบนสุด ใบหน้าชรามีรอยยิ้มเย็นชา
“คนหนุ่มนิสัยฉุนเฉียว อ่อนหัดสิ้นดี” ผู้อาวุโสเคราขาวยกจอกชาขึ้นดื่ม รอยยิ้มบนใบหน้า เย็นชาลงเรื่อยๆ
ผู้อาวุโสเคราขาวทำหน้าที่ดำเนินเรื่องนอกสำนัก ของเอกสารรับรองการดวลความเป็นตาย และเขาคือจางหลู่เหลียง!
ในความเป็นจริง ครั้งนี้หลินจิงหยุนกับเจียงตงชิงไปหาเรื่องหลัวซิว โดยมีจางหลู่เหลียงคอยช่วยเหลืออยู่เงียบๆ
แต่เพราะบทเรียนครั้งที่แล้ว จางหลู่เหลียงไม่กล้าออกมาตรงๆ ดังนั้นจึงให้พวกหลินจิงหยุน ใช้ลู่เมิ่งเหยา เป็นข้ออ้างในการลงมือกับหลัวซิว
เรื่องราวกลายมาเป็นดวลความเป็นตาย เหตุการณ์เช่นนี้ คือผลลัพธ์ที่จางหลู่เหลียงต้องการ
“คิดว่ามีเจ้าสำนักคอยปกป้องนาย ก็เลยชะล่าใจไม่หวาดระแวงงั้นเหรอ นอกสำนัก วิธีที่ข้าจะฆ่านาย มีอย่างมากมาย!”
จางหลู่เหลียงดื่มชา ในใจหวังว่าหลัวซิวจะไม่กล้ามา ถ้าเป็นเช่นนั้น เขาจะได้มีข้ออ้างลงมือเอง ทำลายผลการฝึกตนของไอ้เด็กเวรนั่น ถึงตอนนั้นจะให้เขาตายยังไง เขาก็จะได้ตายอย่างนั้น
“มาแล้ว!”
ภายใต้ดวงอาทิตย์อันร้อนแรง หนุ่มชุดดำคนหนึ่ง สะพายกระบี่เข้ามา ดึงดูดสายตาของทุกคนที่นี่
“เขากล้ามาจริงๆ งั้นเหรอ” คนส่วนใหญ่มีสีหน้าประหลาดใจ
“หลัวซิวกล้าประจันหน้า ไม่แน่อาจมีวิธีพิเศษอะไรก็ได้” มีคนส่วนน้อยที่คิดว่าหลัวซิวไม่ได้ธรรมดาขนาดนั้น รู้ว่าต้องตาย แต่ยังกล้าประจันหน้า ต้องมีอะไรแปลกประหลาดอย่างแน่นอน
“พูดก็ถูก ดวลความเป็นตาย สามารถใช้วิธีอะไรก็ได้ ถ้าหลัวซิวมีของมีค่าคุ้มครองชีวิต หรือสมบัติค่ายกลที่โจมตีเพียงครั้งเดียว ไม่แน่อาจกำจัดหลินจิงหยุนได้” มีคนเข้าใจอย่างรวดเร็ว และทำการคาดเดาออกมาเช่นนี้
########################
บทที่ 82 ปีศาจหมาป่าหิมะ
กระบี่ของเขาออกจากฝักทันที กระบี่เงามืดเหมือนแสงสีดำ แสดงให้เห็นวิชากระบี่แสงเหนือรูปแบบแรก วิชากระบี่สะท้อนแสง!
แสงกระบี่พาดผ่าน เลือดสาดกระจาย อสูรกายสองตัวโดนฟันหัวทันที ตัวของมันสลายไปในพริบตา
มองด้วยตาเปล่า ไม่สามารถเห็นท่วงท่ากระบี่ของหลัวซิว เห็นเพียงแค่แสงสีดำกะพริบไปมาเท่านั้น ราวกับแสงไฟ หรือสายฟ้าแลบ
หลังภายไปเพียงครู่เดียว อสูรระดับ 2 จำนวน 15 ตัว ถูกหลัวซิวฆ่าจนหมด
ฉากรอบๆ แปรเปลี่ยนเหมือนภาพลวงตาทันที ทุ่งหญ้าหายไป หลัวซิวยืนอยู่ในหอคอยมังกรบินชั้นหนึ่ง ที่รอบๆ เต็มไปด้วยกำแพงหิน
เก็บกระบี่เข้าฝัก เขาเดินไปตรงบันได ขึ้นไปยังชั้นสอง
ชั้นสองของหอคอยมังกรบิน ฉากไม่ได้เปลี่ยนแปลง แต่มีเงาคน 15 คน ปรากฏตัวขึ้น ทุกคนสวมเสื้อสีขาว เห็นหน้าตาไม่ชัดเจน ถ้าไม่ถืออาวุธในมือ ก็สองมือว่างเปล่า
คู่ต่อสู้ยังมีจำนวน 15 แต่ลักษณะของคนพวกนี้ กลับแข็งแกร่งมากทุกคน ทัดเทียมกับชี่ไห่ขั้นห้า!
“ชิ้ง!”
เงาจอมยุทธ์คนหนึ่ง ถือกระบี่เข้ามาฆ่า คมกระบี่ยังไม่ทันสัมผัสหลัวซิว แสงสีดำพาดผ่าน ฟันหัวเขาลงมาทันที
ขณะนั้น แสงกระบี่โจมตีเข้ามา หลัวซิวหลงเหลือเศษเงาเอาไว้ และหลบการโจมตี
จากนั้น เงาเศษสาย1 เงาเศษสาย3 เงาเศษสาย4……
ภายในระยะเวลาสั้นๆ หลัวซิวอยู่ในการล้อมโจมตีของจอมยุทธ์ชี่ไห่ขั้นห้า กลายเป็นภาพลวงตาเงาเศษ7สาย ใช้วิชาท่าร่าง วิชาเงาเศษสิบช่องออกมาถึงขีดสุด
“สวบ!”
แสงกระบี่เงามืดพาดผ่านมา การโจมตีของจอมยุทธ์คนอื่น โจมตีไปบนภาพลวงตาเงาเศษ7สายของเขา ส่วนกระบี่ของเขา กลับฆ่าจอมยุทธ์ชี่ไห่ขั้นห้าได้อีกคนหนึ่งทันที
ใช้วิชาท่าร่าง วิชาเงาเศษสิบช่องเหมือนผี ถึงจะโดนล้อมโจมตี หลัวซิวก็ยังสามารถหลบการโจมตีมากมาย ได้อย่างสบายๆ อันไหนที่ไม่สามารถหลบได้ ก็สามารถใช้การออกดาบอย่างรวดเร็ว ป้องกันเอาไว้ได้
อีกทั้งถ้าเขาต้องการฆ่าคน ก็ทำได้อย่างรวดเร็ว โจมตีครั้งเดียวถึงชีวิต!
……
“นี่ก็ครึ่งชั่วยามแล้ว ทำไมหลัวซิวยังไม่ออกมาอีก”
“เหอะๆ ไม่แน่อาจกำลังเอาตัวรอดจากการตามฆ่าของอสูรกาย 15 ตัว ที่ชั้นหนึ่งอยู่ก็ได้”
“ถ้าแค่ชั้นหนึ่งยังไม่ผ่าน อย่างมากก็อันดับไม่ต่างจากหวางช่านเท่าไร ทุกคนลองเดาดู หลัวซิวสามารถผ่านไปได้สักกี่คน เป็นไง”
บริเวณหอคอยมังกรบิน ศิษย์นอกสำนักจำนวนไม่น้อย ต่างพากกันถกเถียงกันขึ้นมา
ตอนนี้ ภายในชั้นสองของหอคอยมังกรบิน กระบี่เงามืดในมือหลัวซิวลอยไปมา เร็วเหมือนสายฟ้า เรียกได้ว่าเทคนิคดาบเร็ว แสดงออกมาได้อย่างสุดยอด
หัวแต่ละหัวลอยขึ้นมา เลือดสาดกระเซ็นเหมือนน้ำพุ หลัวซิวในชุดดำ สีหน้าไร้อารมณ์ทุกครั้งที่ออกกระบี่ สามารถฆ่าได้หนึ่งคน
ในที่สุด ชี่ไห่ขั้นห้าทั้ง 15 คน ในชั้นสอง โดนเขาฆ่าจนหมด!
แต่หลัวซิวยังไม่สบายใจ ถึงวิชาท่าร่าง วิชาเงาเศษสิบช่องจะสำเร็จ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับการล้อมโจมตี ของชี่ไห่ขั้นห้าทั้ง 15 คน มีการโจมตีบางครั้ง ที่ไม่สามารถหลบได้
ชุดดำบนตัวเขาเต็มไปด้วยรอยขาด ปราณแท้ก็สูญไปเกือบครึ่ง แต่กลับปลอดภัยหายห่วง
อ้างอิงจากกฎของหอคอยมังกรบิน ศิษย์ที่เข้ามาทดสอบ เมื่อจะเกิดอันตรายถึงชีวิต ก็จะถูกส่งออกไปทันที
จากการประเมินของหลัวซิว ไม่มีพละกำลังวิชาชี่ไห่ขั้น7 ขึ้นไป ไม่มีทางผ่านด่าน 2 ได้
“ไม่รู้ว่าด่าน 3 จะเจอกับคู่ต่อสู้แบบไหน”
แววตาของหลัวซิวเต็มไปด้วยความฮึกเหิม จึงก้าวไปยังบันไดชั้นสาม
เพิ่งก้าวมาถึงชั้นสาม ฉากที่ต้องเจอรอบๆ เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว น้ำแข็งและหิมะโปรยปรายไม่หยุด ภูเขายืดยาว
เมื่อเดินผ่านพื้นหิมะ เกิดเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดขึ้น ลมหนาวโอบล้อมเข้ามา ทำให้หลัวซิวอดตัวสั่นไม่ได้
“สิ่งแวดล้อมที่ปรากฏในค่ายกล ในหอคอยมังกรบิน เรียกได้ว่าเหมือนจริงมาก”
หลัวซิวเคลื่อนไหวปราณแท้ เอาความเย็นในร่างกายออกไป
ขณะนั้น คู่ต่อสู้ในชั้นสามของเขา ปรากฏตัวออกมา แต่ละตัวสูงเกือบสองเมตร ความกว้างของลำตัว 5-6 เมตร ปีศาจหมาป่า ที่มีผิวและขนสีขาวราวหิมะ!
“ปีศาจหมาป่าหิมะ!”
หลัวซิวหรี่ตาจ้อง สีหน้าเคร่งขรึม
นี่คืออสูรระดับ 2 ประเภทหนึ่ง แต่กลับเป็นอสูรระดับ 2 ที่โดดเด่น ถึงเป็นยอดฝีมือ ชี่ไห่ช่วงปลาย สู้ในสถานการณ์หนึ่งต่อหนึ่ง ก็อาจจะไม่สามารถเอาชนะได้
แต่ตรงหน้าเขา กลับมีปีศาจหมาป่าหิมะอยู่ 15 ตัวเต็มๆ!
ปีศาจหมาป่าหิมะแต่ละตัว มีร่างกายกำยำ ดวงตาสีเลือด เหมือนหิวโหยเป็นอย่างมาก น่ากลัวและสามารโจมตีได้อย่างรุนแรง
ปีศาจหมาป่าหิมะ 15 ตัว เท่ากับว่าหลัวซิว ต้องเผชิญกับจอมยุทธ์วิชาชี่ไห่ขั้น7 15 คน
“ฆ่า!”
หลัวซิวตะโกนออกมา ยกกระบี่พุ่งไป
หิมะปกคลุมจนขาวโพลน มีเพียงแสงกระบี่สีดำทะลุออกมา ระยะเวลาสั้นๆ บนตัวของหลัวซิว เต็มไปด้วยเลือดสด
คราบเลือดนี้ มีทั้งเลือดของปีศาจหมาป่าหิมะ และเลือดของเขา
ศพของปีศาจหมาป่าหิมะแต่ละตัว ล้มลงบนพื้น จากนั้นก็กลายเป็นแสง สลายหายไป แต่ภาพเสมือนจริงในช่วงแห่งสงครามและเลือดสาดกระเซ็น กลับเป็นความจริง
“พรวด!”
กรงเล็บแหลมคมข้างหนึ่ง เข้ามาโจมตี หลัวซิวไม่มีทางหลบได้ พยายามหลบหลีกอันตราย จนทำให้ผิวหนังไหล่ขวาของเขาฉีกออก เลือดกระเซ็นออกมา
ขณะเดียวกัน พละกำลังอันน่ากลัวของปีศาจหมาป่าหิมะ กระแทกเขาจนกระเด็นออกไป กลิ้งลงไปบนพื้นหิมะ
“ดูเหมือนว่าพละกำลังของฉัน ยังไม่ถึงขั้นกวาดล้างชี่ไห่ระดับที่บรรลุถึง”
หลัวซิวใช้วรยุทธ์ พลังชีวิตอันเต็มเปี่ยม ถูกปล่อยออกมาจากวงล้อแห่งชีวิตและความตายของจุดตันเถียน ซ่อมแซมลายเส้นชีวิตของส่วนที่บาดเจ็บบนร่างกายอย่างต่อเนื่อง
ถึงไม่กลัวการบาดเจ็บ แต่ปราณแท้ของหลัวซิว เกือบจะใช้ไปหมดแล้ว
เพราะผลการฝึกตนของเขา ยังต่ำอยู่ แค่วิชาชี่ไห่ขั้น3 เท่านั้น แค่ปราณแท้มีพลังและบริสุทธิ์กว่าเล็กน้อย เมื่อเทียบกับคนอื่นที่อยู่ในระดับที่บรรลุถึงเดียวกัน
สิ่งที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริงของเขาคือ วิชาดาบและวิชาท่าร่าง แต่ขณะเดียวกัน เมื่อใช้กระบวนท่าที่ใช้พลังยิ่งเยอะ ก็ต้องสูญเสียปราณแท้เยอะเช่นกัน
“ถึงปราณแท้ใกล้จะหมดแล้ว แต่เมื่อผ่านชั้นสาม ก็ไม่น่าจะมีปัญหาแล้ว”
หลัวซิวกำกระบี่เงามืดที่เลอะเลือดเอาไว้แน่น ความอาฆาตในแววตาแผ่ซ่านไปทั่ว
ปีศาจหมาป่าหิมะ 15 ตัว โดนหลัวซิวฆ่าไป 7 ตัว
สำหรับปีศาจหมาป่าหิมะที่เหลือ 8 ตัว ถ้าใช้ปราณแท้ที่อยู่ในสภาพใกล้จะสิ้นสุด หลัวซิวก็ไม่ค่อยมั่นใจสักเท่าไร ว่าจะผ่านชั้นสามของหอคอยมังกรบินไปได้
“ชิ้ง!”
กระบี่เงามืดสั่น ส่งเสียงกระบี่ออกมาอย่างชัดเจน
“วิชากระบี่พรากชีวี!”
กระบวนท่ากระบี่นี้ เป็นกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุด ที่หลัวซิวสามารถใช้ได้ในตอนนี้ เพื่อกระบวนท่าที่สองในวิชากระบี่แสงเหนือ
ปีศาจหมาป่าหิมะตัวหนึ่ง ง้างกรงเล็บเข้ามา กระอักเลือดกระเซ็นออกมา ปีศาจหมาป่าหิมะส่งเสียงร้องโอดครวญอย่างเจ็บปวด กรงเล็บข้างหนึ่ง ถูกฟันจนขาด เลือดสดไหลออกมา
“ฆ่า!”
หลัวซิวแผดเสียงออกมา พละกำลังบนร่างกาย ระเบิดออกมาอย่างรวดเร็ว ความอาฆาตอย่างรุนแรง ถาโถมออกมา ปีศาจหมาป่าหิมะทั้งแปดตัวที่อยู่ตรงข้าม ตกใจกลัวความน่ากลัวบนตัวของเขา จู่ๆ ก็ไม่กล้าเข้ามา
“พรึ่บ!”
ใช้วิชาท่าร่าง พื้นหิมะไร้ร่องรอย เงาเศษ7สาย ปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตัวของหลัวซิวเหมือนแสง ปรากฏตัวข้างปีศาจหมาป่าหิมะตัวที่โดนตัดกรงเล็บจนบาดเจ็บ
“โฮก!”
ปีศาจหมาป่าหิมะคำรามอย่างโมโห มันกระโจนเข้ามาอย่างน่ากลัว กรงเล็บของพวกมัน เทียบได้กับความคมของอาวุธนักยุทธ์ของชั้นล่าง ฟันที่แข็งแกร่งมาก แค่โดนกัด ก็ไม่มีทางปล่อย
พรวด! พรวด! พรวด!……
เงาเศษ7สายที่เหลือจากวิชาท่าร่าง ถูกปีศาจหมาป่าหิมะที่เหลือ 7 ตัว ฉีกเป็นชิ้นๆ
########################
บทที่ 81 อันดับหอคอยมังกรบิน
มีคนรวมตัวถกเถียงกันบริเวณหอคอยมังกรบิน ตอนนี้หลัวซิวก็สังเกตได้ คนที่ถูกส่งออกมาจากหอคอยมังกร คือหวางช่าน
ข้างหอคอยมังกรบิน คือศิลาขนาดใหญ่ สูงสิบกว่าเมตร มีชื่อต่างๆ สลักอยู่ด้านบน โดยอิงจากผลคะแนนของทุกคน ที่ได้รับจากหอคอยมังกรบิน เป็นการประเมินอันดับอัตโนมัติ
ตัวอักษรบนศิลาที่ใหญ่และเห็นชัดเจนที่สุด คือรายชื่อ 200 อันดับแรก รายชื่ออันดับท้ายๆ อัดแน่นกันมาก อยากหาชื่อตัวเองเจอ เป็นอะไรที่ยากมาก
หวางช่านไม่สนใจรอยเลือดเต็มหน้า วิ่งไปดูอันดับรายชื่อของตัวเอง
หลังผ่านไปไม่นาน ไม่รู้ใครหาชื่อของหวางช่านเจอ จึงตะโกนเสียงดังว่า “ฉันหาเจอแล้ว! หวางช่าน รายชื่ออันดับที่ 936!”
“รายชื่ออันดับที่ 936 เหรอ”
เมื่อหวางช่านเห็นอันดับของตัวเอง จู่ๆ สีหน้าของเขาไม่สู้ดีเป็นอย่างมาก
ตอนอยู่เมืองหยูซาน อายุเพียง 15 ปี ได้เลื่อนขั้นถึงวิชาชี่ไห่ขั้น3 ถึงพวกมีความสามารถโดดเด่น ในสำนักยุทธ์ ก็ยังห่างชั้นกับตัวเองเยอะ
บวกกับต่อมาที่ได้โอกาสพิเศษ ทำให้เขาได้รับการถ่ายทอดวิชาดาบระดับ 5 ดังนั้นจึงทำให้เขาหลงตัวเอง ว่าเป็นอัจฉริยะไร้เทียมทาน ไม่เห็นคนวัยเดียวกัน อยู่ในสายตา
แต่เมื่อมาเข้าร่วมการทดสอบนอกสำนักเซียวเหยา กลับเจอหลัวซิว พละกำลังที่เขาภาคภูมิใจ ถูกกดขี่ยับ พ่ายแพ้อย่างราบคาบ!
ความพ่ายแพ้อันน่าเวทนาครั้งนั้น ทำให้เขาคิดทบทวนอย่างลึกซึ้ง คิดว่าตัวเองไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น แต่หลัวซิวแข็งแกร่งเกินไป วิปริตเกินไป
ทว่าตอนนี้ เขามาที่หอคอยมังกรบิน ด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม แต่กลับอยู่แค่อันดับที่ 936 อย่างนั้นเหรอ
ศิษย์นอกสำนักเซียวเหยามีเป็นพัน อันดับแบบนี้ เรียกได้ว่าอยู่ในอันดับท้ายๆ
รอยยิ้มขมขื่นปรากฏขึ้นบนใบหน้า ที่เต็มไปด้วยรอยเลือดของหวางช่าน ที่แท้ตลอดมา ฉันคิดไปเองทั้งหมด ฉันคิดไปเองว่าเป็นอย่างนี้อย่างนั้น
หลงตัวเองว่าเป็นอัจฉริยะงั้นเหรอ แค่คิดไปเองเท่านั้น……
“อย่างเศร้าขนาดนั้นเลย” ทันใดนั้น เสียงหนึ่งดังเข้ามาในหูหวางช่าน เขาหันไปมอง เห็นหลัวซิวยืนอยู่ด้านหลัง
“ทุกปีนอกสำนักเซียวเหยา รับศิษย์แค่สามคน พละกำลังตอนขั้นปฐมภูมิ อย่างน้อยก็ต้องมีพละกำลังวิชาชี่ไห่ขั้น2 และขั้น 3 ขนาดศิษย์ที่เพิ่งรับไปเมื่อปีที่แล้ว ยังมีเวลาการฝึกตนมากกว่านายกับฉันตั้งหนึ่งปี เริ่มแรกอันดับรายชื่ออยู่ท้ายๆ เป็นเรื่องปกติ”
หลัวซิวยิ้มแล้วพูดว่า “ฉันได้ยินว่าหลายคนตอนขั้นปฐมภูมิ แค่รายชื่อพันอันดับแรก ยังไม่สามารถทำได้”
ถึงตอนแรก เพราะการช่วงชิงอันดับหนึ่งของการทดสอบ นับว่าหวางช่านเคยเป็นคู่ต่อสู้ของตัวเอง แต่เพราะเข้านอกสำนักเซียวเหยามาด้วยกัน เห็นท่าทางเศร้าสลดของเขาเมื่อครู่ หลัวซิวจึงทนไม่ได้ จึงพูดให้กำลังอีกฝ่าย
“ขอบใจนะหลัวซิว”
หวางช่านสูดหายใจลึก ได้ยินหลัวซิวพูดเช่นนี้ เขาพอทำใจขึ้นมาได้บ้าง
เขาฝึกยุทธ์ตั้งแต่เด็ก ราบรื่นไม่เคยมีอุปสรรคมาตลอด โดนโจมตีอย่างต่อเนื่อง แทบจะทำให้เขาสูญเสียศรัทธาค้ำจุนในการฝึกยุทธ์ของตัวเอง
แต่หลัวซิวมาพูดเช่นนี้ ในช่วงเวลาสำคัญ ราวกับฉุดเขาขึ้นมาจากความเศร้า ความคิดที่เรื่องที่แล้วก็แล้วกันไป พึงชนะความโกรธด้วยความไม่โกรธ ทำให้หวางช่านซาบซึ้งและเคารพเลื่อมใสมาก
“นายมาเข้าร่วมการทดสอบที่หอคอยมังกรบินเหมือนกันเหรอ”
หวางช่านสงบสติอารมณ์ จากนั้นจึงถามหลัวซิว
“ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่าอะไรคือเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมียอดคน ตอนอยู่เมืองหยูซาน คนวัยเดียวกัน ไม่มีใครเทียบฉันได้ แต่เมื่อมานอกสำนักเซียวเหยา คนเก่งกว่าฉันกลับมีมากมาย”
เมืองหยูซานเป็นสถานที่เล็กๆ บนแผนที่เขตการปกครองหยุนหลง เป็นเพียงจุดเล็กๆ เหมือนเม็ดงาเท่านั้น แต่นอกสำนักเซียวเหยา รวบรวมคนมีความสามารถ แทบจะทั้งหมดในเขตการปกครองหยุนหลง!
เขาเห็นสีหน้าหลัวซิวแน่วแน่ สุขุม จึงอดถามอย่างแปลกใจไม่ได้ “นายคิดว่าตัวเองจะอยู่ในอันดับที่เท่าไร”
“ไม่เคยลอง ใครจะไปรู้ล่ะ” หลัวซิวยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น
เพราะหลัวซิวมาช้าไปหน่อย ดังนั้นข้างหน้าหลัวซิว จึงมีคนอื่นเข้าไปทดสอบในหอคอยมังกรบินก่อน
ผ่านไปนาน มีคนถูกส่งออกมาจากหอคอยมังกรบินอย่างต่อเนื่อง อันดับรายชื่ออยู่ประมาณ 7-8 ร้อย
หวางช่านยืนข้างหลัวซิว สีหน้าดูไม่สู้ดีขึ้นมาอีก แต่เขารู้ดี เขายังเป็นเด็กใหม่ เทียบกับคนเก่าๆ พวกนั้น ยังห่างชั้นกันไม่น้อย
แต่เขาก็มั่นใจ ใช้พรสวรรค์ของตัวเอง หลังจากนี้ไม่กี่ปี ใน 200 อันดับรายชื่อที่สะดุดตาที่สุดในหอคอยมังกรบิน ต้องมีที่ให้ตัวเองแน่นอน!
หวางช่านกำหมัดแน่น กัดฟัน จากนั้นจึงพูดว่า “ฉันจะกลับไปฝึกตนอย่างเต็มที่ ฉันหวังว่านายจะได้ผลคะแนนดี ในหอคอยมังกรบินนะ”
เมื่อพูดจบ หวางช่านหันหลังเดินออกไป นับได้ว่าเขารู้ความอับอาย และเข้าใกล้ความกล้ามากขึ้น
หวางช่านไปได้ไม่นาน ในที่สุดก็ถึงตาของหลัวซิว เข้าไปในหอคอยมังกรบิน
“ไอ้นั่นชื่อหลัวซิวนี่นา!”
“ได้ยินว่าเที่ยงวันนั้น ไอ้หมอนี่จะดวลความเป็นตายบนเวทีกับหลินจิงหยุน วิชาชี่ไห่ขั้น3 ท้าประลองกับวิชาชี่ไห่ขั้น 7 เหมือนลูกวัวเพิ่งลืมตาดูโลก ไม่รู้ความน่ากลัวของเสือ!”
“หลินจิงหยุนอยู่ในรายชื่ออันดับที่ 137 เชียวนะ ถ้าเขาไม่สามารถอยู่ใน 150 อันดับแรกได้ เขาต้องตายคามือหลินจิงหยุนอย่างสบายๆ”
“วิชาชี่ไห้ขั้น 3 อยู่ใน 150 อันดับแรกเหรอ นายพูดตลกหรือเปล่า สามารถอยู่ใน 150 อันแรกได้ อย่างน้อยก็ต้องวิชาชี่ไห่ขั้น 7 วิชาชี่ไห้ขั้น 3 อยู่ใน 700 อันดับได้ ก็ถือว่ามีความสามารถแล้ว!”
ทุกคนพากันพูดขึ้นมา ไม่มีใครมองหลัวซิวดีเลยสักคน สำหรับศิษย์นอกสำนักจำนวนมาก ใครบ้างที่ก่อนจะมานอกสำนักเซียวเหยา ไม่ใช่คนมีความสามารถของสำนักยุทธ์ ในแต่ละเมืองของเขตการปกครองหยุนหลง
ถึงเป็นอันดับหนึ่งในการทดสอบขั้นปฐมภูมิ ทุกปีปรากฏเพียงคนเดียว ที่นอกสำนักเซียวเหยาก็หาได้ถมเถไป
ท่ามกลางเสียงถกเถียง หลัวซิวเดินมาในชั้นแรกของหอคอยมังกรบิน
จู่ๆ ค่ายกลชั้นแรกเปิดออก ราวกับตัวของหลัวซิว อยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่
“โฮก!”
เสียงสัตว์คำรามดังต่อเนื่องกันไปเป็นระลอก ไม่ไกลจากหลัวซิว มีอสูรกายอยู่ 15 ตัว!
กรงเล็บอันแหลมคม ดวงตาสีเลือด เขี้ยวอันเย็นยะเยือก นี่คืออสูรระดับ 2 จำนวน 15 ตัว ท่าทางของอสูรกายทุกตัว ทัดเทียมกับจอมยุทธ์วิชาชี่ไห่ขั้น3!
“ชั้นแรกของหอคอยมังกรบิน ต้องเผชิญกับอสูรระดับ 2 15 ตัวเหรอ”
แววตาหลัวซิวเคร่งขรึมทันที ถึงพวกนี้เป็นอสูรระดับ 2 ธรรมดาๆ แต่จำนวนเยอะขนาดนี้ ถ้าไม่มีพละกำลังชี่ไห่ขั้นสี่ขึ้นไป กลัวว่าจะผ่านไปได้ยาก
จากที่เขารู้มา คนที่สามารถผ่านชั้นหนึ่งไปได้ น่าจะอยู่ราวๆ 700 อันดับในรายชื่อ
แน่นอนว่า อ้างอิงของอันดับรายชื่อ ต้องอ้างอิงจากความเร็วในการฆ่าอสูรกาย รวมถึงใช้ระดับการบาดเจ็บของตัวเองมาตัดสิน
“โฮก!”
อสูรกายไม่สามารถต่อสู้กับคนแบบหนึ่งต่อหนึ่งได้ ตอนค่ายกลเปิดออก อสูรระดับ 2 จำนวน 15 ตัว กระโจนเข้ามาหาหลัวซิว จากทุกทิศทุกทาง
ตัวแรกที่กระโจนเข้ามาหาหลัวซิว คืออสูรเสือ หนังหนาจนมีดดาบทำอันตรายได้ยาก
“หมัดเสือมังกร!”
หลัวซิวไม่ชักกระบี่ออกมา แต่กำหมัดรวบรวมปราณแท้ หมัดราวกับสายฟ้าโจมตีออกไป จนทำให้อสูรเสือกระเด็นออกไป ร่างกายของมันระเบิดกลางอากาศ จนกลายเป็นแสงสลายหายไป
ผลลัพธ์แบบนี้ปรากฏออกมา แสดงว่าหมัดเมื่อครู่ของหลัวซิว เพียงพอที่จะโจมตีอสูรเสือระดับ 2 หนึ่งตัว ได้ถึงขั้นรุนแรง
อสูรเสือตัวนี้ เป็นแค่หนึ่งใน 15 อสูรกาย การเคลื่อนไหวของหลัวซิว แทบจะไม่หยุดอยู่กับที่ ตอนอสูรกายตัวอื่นกระโจนเข้ามา แววตาของเขามีประกายเย็นชาสว่างวาบ
“ชิ้ง!”
########################
บทที่ 80 ถูกลวนลาม
ลิ้มรสริมฝีปากแดงตามอำเภอใจ กระดาษหน้าต่างที่ไม่เคยถูกเปิดมาก่อน ตอนนี้ถูกหลัวซิวทำลายลงทันที ปล่อยตัวปล่อยใจ มือของเขาเลื่อนลอยไปบนร่างของลู่เมิ่งเหยา
สำหรับลู่เมื่อเหยาที่ไม่เคยมีความสัมพันธ์แนบชิดติดเนื้อแบบนี้มาก่อน การสัมผัสที่ใกล้ชิดเช่นนี้ เมื่อเทียบกับตอนที่ประกบร่างเปลือยเปล่าเพื่อรักษาโรคชีพจรขาดธาตุไฟนั้น แตกต่างกันมาก
ในตอนที่ไฟในร่างกายกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ มือของหลัวซิวได้ล้วงเข้าไปในกระโปรงสีฟ้า และค่อย ๆ เลื่อนตามผิวเนียนขาวขึ้นไปข้างบน ในตอนที่กำลังจะสัมผัสก้อนนิ่ม ๆ ทั้งสองนั่นเอง ลู่เมิ่งเหยาก็พลันตื่นตัวขึ้นมา
“ไม่……อย่านะ!”
เสียงหอบหายในสั่นระริกอันอ่อนโยนดังลอยออกมาจากปากของนาง นางพลันออกแรง ผลักร่างของหลัวซิวออกไป
ฉับพลันทันใด บรรยากาศได้เงียบลง สงบนิ่ง
ในดวงตาของหลัวซิวปรากฏแววผิดหวังขึ้นมาแวบหนึ่ง ราวกับยังคิดถึงความรู้สึกอันยอดเยี่ยมในเมื่อสักครู่ เหมือนกับยังไม่สิ้นสุดลง
ส่วนลู่เมิ่งเหยานั้นก้มศีรษะ เสื้อผ้าเผ้าผมไม่เป็นระเบียบ ไหล่ด้านซ้ายเผยออกมาครึ่งหนึ่ง บนลำคอที่เนียนขาว ยังมีรอยจุมพิตที่หลัวซิวทิ้งเอาไว้เมื่อสักครู่
“เมิ่งเหยา ข้ารักเจ้า”
แสนนาน ยังคงเป็นหลัวซิวที่เอ่ยขึ้นมา ทำลายความเงียบสงบนี้
ในตอนที่กล่าวคำนี้ออกมา หลัวซิวเดินเข้าไปหาเมิ่งเหยา อ้าแขนทั้งสองข้างออก จากจะกอดนางเข้ามาในอ้อมแขน
ลู่เมิ่งเหยากลับถอยหลังติดต่อกันสองก้าว หลบออกไป มีความสลับซับซ้อนในดวงตาดุจดั่งสายน้ำในสารทฤดู “หลัวซิว เจ้าอย่าทำแบบนี้ ข้ายังไม่พร้อม”
ได้ยินคำพูดนี้ หลัวซิวชะงักไป นางบอกว่ายังไม่พร้อม หมายความว่าเยี่ยงไร? ปฏิเสธข้างั้นหรือ?
อาจเพราะคิดว่าบรรยากาศค่อนข้างอึดอัด ลู่เมิ่งเหยาเงยหน้าขึ้นมา ยิ้มอย่างหยอกเย้า “เจ้าอย่าเข้าใจความหมายของข้าผิดไป เจ้าอายุยังน้อย ร่างกายยังเติบโตไม่เต็มที่ ยังไม่สามารถทำเรื่องแบบนั้นได้”
ในตอนที่เอ่ยคำพูดเหล่านี้ สายตาของลู่เมิ่งเหยา ยังมองลงไปที่ส่วนล่างของหลัวซิวอย่างตั้งใจแลมิตั้งใจแล
เห็นหลัวซิวชะงักอยู่กับที่ มีท่าทางพูดไม่ออกและเขินอาย ลู่เมิ่งเหยาหลุดหัวเราะออกมา เดินไปที่ด้านหน้าของเขา เขย่งปลายเท้าขึ้น และสัมผัสลงไปบนริมฝีปากของเขาเบา ๆ
ในตอนที่หลัวซิวได้สติกลับคืนมา ลู่เมิ่งเหยาได้จัดเสื้อผ้าเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว และเปิดประตูออกไป
คลำริมฝีปากของตนเองเบา ๆ และมองที่มือทั้งสองข้างของตนเอง หลัวซิวชะงักไปแสนนาน ถึงได้กล่าวออกมา “นี่ข้าถูกลวนลามงั้นรึ?”
เขาจำได้ชัดเจนว่าคนที่ทำเรื่องไม่สำรวมแบบนั้นคือตนเอง หากไม่ใช่เพราะลู่เมิ่งเหยาพลักตนเองออก ป่านนี้คงเริงรมย์อยู่บนเตียงไปแล้ว
“อายุที่สมควรตาย!” หลัวซิวกัดฟันกรอด แต่เมื่อกลับไปนึกถึงความรู้สึกอันยอดเยี่ยมเมื่อสักครู่ ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเสียงดังขึ้นมา
นี่ก็คือหลัวซิวในอายุสิบสี่ปี เด็กหนุ่มที่กระทำตามความคิดของตนเอง
……
แม้ว่าความคิดที่จะผลักลู่เมิ่งเหยาลงจะไม่สำเร็จ แต่อารมณ์ของหหลัวซิวนั้นช่างหอมหวาน
ช่วงระยะเวลาที่ผ่านมานี้ สำหรับกฎมากมายของนอกสำนักเซียวเหยา ซิวหลัวก็พอมีความเข้าใจพอประมาณ
ในศิษย์นับพันคนของนอกสำนักเซียวเหยา จะมีการจัดอันดับ มีเพียงผู้ที่มีอันดับอยู่ใน200 อันดับแรก ถึงจะสามารถเสพสุขจากสิทธิพิเศษในการฝึกตน
นอกจากศิษย์นอกสำนักที่อยู่ใน200 อันดับแรกนี้แล้ว 800กว่าคนที่เหลืออยู่ จะไม่ได้รับการสนับสนุนทางทรัพยากรต่าง ๆ จากนอกสำนักเซียวเหยา มีเพียงสถานะเป็นลูกศิษย์ของนอกสำนักเซียวเหยาเพียงเท่านั้น
เที่ยงวันพรุ่งนี้ ก็ต้องประลองเป็นตายกับหลินจิงหยุนที่ แท่นประลองเป็นตายแล้ว สำหรับการประลองในครั้งนี้ หากยังไม่ได้ใช้พลังทั้งหมดออกมา หลัวซิวไม่กล้าพูดว่ามีความมั่นใจเต็มสิบส่วน แต่อย่างน้อยก็มีแปดส่วน
ในศิษย์นอกสำนักหลินจิงหยุนอยู่ในอันดับที่137 ผลการฝึกตนอยู่ที่ระดับชี่ไห่ขั้นแปด ว่ากันว่าได้ฝึกฝนวิชายุทธ์ระดับ6 เรียกว่าพลังเสวียนเฟิง
ก่อนหน้านั้นเขาได้ประมือกับหลินจิงหยุนเพียงแค่เวลาสั่น ๆ เท่านั้น อีกฝ่ายไม่ได้แสดงความสามารถที่แท้จริงออกมา
เวลาเพียงหนึ่งวัน ก็ไม่สามารถเพิ่มพลังได้มากสักเท่าไหร่นัก วิชายุทธ์ที่ฝึกฝนก็ได้มาถึงจุดอุดตันไปชั่วขณะ ยากที่จะทะลวงถึงขั้นที่สูงกว่า
ดังนั้นหลัวจึงได้สงบจิตลง รักษาเสถียรภาพผลการฝึกฝนชี่ไห่ระดับ3 ของตน
เพียงแค่รักษาเสถียรภาพผลการฝึกฝนของตัวเองได้โดยสมบูรณ์ เขาก็จะสามารถใช้ยาฝึกปราณเม็ดที่สองได้ ทำให้ผลการฝึกตนก้าวเข้าสู่ชี่ไห่ระดับ4 เข้าสู่แดนชี่ไห่ตอนกลาง
ภายในห้อง หลัวซิวใช้หินพลังจิตขั้นกลางเปิดค่ายผนึกปราณระดับห้าที่ได้มาจากคลังสมบัติราชายุทธ์ มีประสิทธิภาพกลืนพลังฟ้าดินจิต ยกระดับขั้นห้าขั้นเต็ม ๆ
บวกกับวัฏจักรการเวียนว่ายตายเกิดที่มีผลยกระดับผลการฝึกตน ความเร็วในการฝึกตนที่แท้จริงของหลัวซิว มากกว่าโดยปกติสิบเท่า!
ในสถานการณ์เช่นนี้ ความเร็วในการฝึกการรวมตัวปราณแท้ของหลัวซิวนั้นเร็วมาก ประกอบกับการเคลื่อนไหวโคจรมหาจักรวาลของปราณแท้ในร่างกาย ปราณแท้ที่อยู่ในชี่ไห่นั้นเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ หมอกควันก็ควบแน่น เข้มข้นขึ้น
ในขณะที่เสถียรผลการฝึกตนอยู่นั้น สมองของหลัวซิวก็นึกภาพผังลายเส้นชีวิตไป ทำความเข้าใจภาพกฎข้อที่หนึ่งของวัฏจักรการเวียนว่ายตายเกิดไป
ตามหลักการของเทพแห่งวัฏจักรชีวิต ภาพกฎทั้งเก้าข้อของวัฏจักรการเวียนว่ายตายเกิด ในนั้นมีความลึกซึ้งของกฎดั้งเดิมการเวียนว่ายตายเกิดรวมอยู่ด้วย จากตื้นไปลึก หากสามารถเข้าใจได้ ก็จะสามารถเข้าถึงบรรดาวิชายุทธ์ต่าง ๆ จากในนั้นได้
ภาพกฎภาพแรกนั้น ตอนนี้หลัวซิวเข้าได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไตร่ตรองวิชายุทธ์ได้หนึ่งเคล็ดวิชา ชื่อว่าตราแห่งความเป็นตาย
อย่างไรก็ตามวิสัยทัศน์และความรู้ของหลัววิวนั้นมีขีดจำกัด ตราแห่งความเป็นตายยังมีช่องว่างในการเติบโตอีกมาก ต้องปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
เช้าวันถัดมา หลัวซิวเดินออกมาจากห้อง จากนั้นก็ตรงไปที่หอคอยมังกรบินทันที
ที่นอกสำนักเซียวเหยา มีสถานที่พิเศษหกแห่ง
หอเซียวเหยา เป็นสถานที่เก็บวิชายุทธ์ที่สำคัญ
หอเชียนจี เป็นสถานที่ในการฝึกฝนวิชาท่าร่าง
ค่ายจิ่วเสวียน เป็นสถานที่ฝึกฝนพลังจิต
และยังมีหอคอยปราณแท้ หุบเขาชุบร่าง……
สุดท้ายนั้นคือหอคอยมังกรบินเป็นสถานที่สำคัญในต่อสู้จริงของการประเมินอันดับ!
ห้าสถานที่แรก ล้วนเป็นสถานที่ที่ศิษย์นอกสำนักใช้เพื่อเพิ่มระดับความสามารถ ส่วนการประเมินความแข็งแกร่งขั้นสุดท้าย ล้วนดำเนินการที่หอคอยมังกรบิน
หอคอยมังกรบิน เป็นตึกที่มีความสูงเก้าชั้น มีความหมายแฝงว่ามังกรบินอยู่บนฟ้า ว่ากันว่าหากขึ้นไปจนถึงชั้นเก้าได้ นับเป็นมังกรในหมู่มนุษย์ เป็นยอดอัจฉริยะ!
ตามที่หลัวซิวทราบมา ในหอคอยมังกรบินจะมีค่ายกลอยู่ทุกชั้น คล้ายกับการประเมินขององค์กรนักล่ายุทธ์ มีคู่ต่อสู้อยู่ทุกประเภท
ศิษย์นอกสำนักทุกคน ในหนึ่งเดือนมีโอกาสเข้าหอคอยมังกรบินหนึ่งครั้ง
อันดับในหอคอยมังกรบินยิ่งสูง ยิ่งจะได้รับการปฏิบัติด้วยในการฝึกตนที่ดีกว่า
หลัวซิวเข้ามาที่นอกสำนักเซียวเหยาเป็นเวลาครึ่งเดือนกว่าแล้ว พอดีกับที่มีโอกาสเข้าสู่หอคอยมังกรบินหนึ่งครั้ง
เมื่อหลัววิวมาถึงหอคอยมังกรบิน ได้มีผู้คนรวมตัวกันอยู่ตรงนี้เป็นจำนวนมากแล้ว
หอคอยเก้าชั้นแห่งนี้เป็นเหมือนดั่งมังกรล้อมเสา บนชั้นเก้าที่เป็นชั้นสูงสุด มีลักษณะเป็นหัวมังกร เมื่อขึ้นไปด้านบน เหมือนดั่งยืนอยู่บนหัวมังกร
“สวบ!”
แสงสายหนึ่งเปล่งประกายเจิดจ้า เงาร่างสายหนึ่งใบหน้าซีดเซียว เลือดไหลเต็มใบหน้าถูกส่งออกมาจากหอคอยมังกรบิน
“มีคนออกมาแล้ว เหมือนจะเป็นลูกศิษย์ที่เพิ่งเข้ามาในนอกสำนักเซียวเหยาในปีนี้”
“ข้ารู้จักเจ้าหนุ่มนั่น เป็นอัจฉริยะจากตระกูลหวางแห่งเมืองหยูซาน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเข้าหอคอยมังกรบิน รีบดูเร็วว่าเขาจะสามารถอยู่ในอันดับเท่าใด”
########################
บทที่ 8 เข้าหอเก็บหนังสือ
หวางฮุยและหลูเฟิงไม่กล้าขัดขวางอีก พวกเขารีบหลบทางให้อย่างรวดเร็ว ส่วนหลัวซิวเองก็เดินไปถึงด้านหน้าหอเก็บหนังสือเรียบร้อยแล้ว
ด้านหน้าของประตูหอเก็บหนังสือ หลัวซิวเห็นชายชราผมขาวไว้หนวดไว้เครากำลังนั่งไขว่ห้างอยู่ การต่อสู้กันระหว่างเขากับหวางฮุยและหลู่เฟิงก่อนหน้านี้ ชายชรากลับปิดตาตั้งแต่ต้นจนจบไม่ได้สนใจ
ความขัดแย้งและการต่อสู้กันระหว่างลูกศิษย์ภายในสำนักยุทธ์ ถือเป็นกฎของการคัดเลือกผู้อยู่รอดที่แข็งแกร่งและเหมาะสมวิธีหนึ่งของสำนักยุทธ์ ขอเพียงไม่ถึงแก่ชีวิต สำนักยุทธ์ก็จะไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่ง
ชายชราผู้นี้ เป็นผู้อาวุโสของสำนักยุทธ์ที่มีหน้าที่เฝ้าดูแลหอเก็บหนังสือ ในสายตาของหลัวซิว ลายเส้นชีวิตบนร่างกายของผู้อาวุโสท่านนี้ปรากฏเป็นสีเขียวที่ชัดเจนมาก
“ยอดฝีมือระดับปรมาจารย์แดนพรสวรรค์ !” หลัวซิวหรี่ตาลง จากลายเส้นชีวิตที่เห็น เขาสามารถรู้ได้ทันทีว่าในร่างกายของผู้อาวุโสท่านนี้ มีพลังอันแข็งแกร่งซ่อนอยู่ ซึ่งเหนือกว่าอาจารย์ลู่ที่เป็นนักยุทธ์ในระดับแดนฝึกชี่ไห่หลายเท่าตัวนัก
“ลูกศิษย์ชั้นต้นหลัวซิวขอคารวะผู้อาวุโส” หลัวซิวทำความเคารพแล้วพูดว่า “ผลการฝึกตนของข้าผ่านการกลั่นร่างขั้น4แล้ว จึงอยากจะเข้าไปในหอเก็บหนังสือเพื่อเลือกรับวิชายุทธ์ระดับสองครับ”
ผู้อาวุโสของสำนักยุทธ์ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น เข้าจ้องมองไปที่หลัวซิวแล้วพยักหน้าพลางพูดว่า : “เข้าไปสิ”
“ขอบคุณครับผู้อาวุโส” หลัวซิวรับคำ จากนั้นจึงหันหลังเดินเข้าห้องสมุดไป
การต่อสู้กันระหว่างหลัวซิวกับหลูเฟิงและหวางฮุย ผู้อาวุโสของสำนักยุทธ์ท่านนี้คอยจับตาดูอยู่ตลอดเวลา การกลั่นร่างขั้น4สามารถเอาชนะการกลั่นร่างขั้น5ได้ ใช่ว่าจะไม่เคยเกิดขึ้น ดังนั้นเขาจึงไม่ได้สนใจนัก สำหรับคนที่มีผลการฝึกตนอยู่ในแดนพรสวรรค์เช่นเขา การกลั่นร่างถือเป็นการฝึกตนที่ยังอยู่ในระดับต่ำ ไม่สามารถดึงดูดความสนใจของเขาได้มากพอ
หอเก็บหนังสือของสำนักยุทธ์มีการรวบรวมตำราวิชายุทธ์เอาไว้มากมาย ได้ยินมาว่าวิชายุทธ์ระดับที่สูงที่สุดอยู่ในระดับ4 มีเพียงลูกศิษย์ที่ฝีมือยอดเยี่ยมที่สุดของสำนักยุทธ์เท่านั้น ที่จะมีสิทธิ์ฝึกฝน
ราคาของวิชายุทธ์ระดับ4ก็แตกต่างจากระดับอื่น หากต้องการซื้อวิชาในสำนักยุทธ์ อย่างมากก็ซื้อได้ถึงเพียงแค่วิชายุทธ์ระดับ3เท่านั้น ส่วนวิชายุทธ์ระดับ4ไม่สามารถประเมินค่าได้ด้วยเงิน
สำหรับหลัวซิวแล้ว วิชายุทธ์ระดับ4ถือเป็นเรื่องที่ห่างไกลนัก หากเป็นเมื่อก่อน วิชายุทธ์ระดับ2ก็ถือเป็นความฝันอันสูงสุดของเขาแล้ว
หอเก็บหนังสือมีด้วยกันทั้งหมด3ชั้น ชั้นแรกเก็บวิชายุทธ์ระดับ1และ2 ส่วนชั้น2เก็บวิชายุทธ์ระดับ3 และชั้นที่สูงที่สุดเก็บวิชายุทธ์ระดับ4
หากอิงตามผลการฝึกตนของหลัวซิวซึ่งอยู่ในระดับการกลั่นร่างขั้น4 เขาสามารถเข้าไปเลือกรับวิชายุทธ์ในชั้นที่1ได้ ไม่ว่าจะเป็นกำลังภายใน ทักษะยุทธ์ วิชาท่าร่าง สามารถเลือกออกมาได้ประเภทละหนึ่งอย่าง
ในชั้นที่1 หลัวซิวเห็นลูกศิษย์ของสำนักยุทธ์ยืนอยู่จำนวนไม่น้อย ล้วนแล้วแต่เข้ามาในหอเก็บหนังสือเพื่อเลือกรับวิชายุทธ์
“ฝ่ามือผ่าลม หมัดเสือพิฆาต ท่าร่างปุยหลิว ท่าก้าวรับลม……”
มีเคล็ดวิชายุทธ์ให้เลือกมากมายหลากหลายประเภท เมื่อมองแล้วก็ชวนให้รู้สึกตาลาย
เคล็ดวิชายุทธ์ทั้งหมดถูกจัดแบ่งออกไปตามเขต โดยแบ่งออกเป็นเขตวรยุทธ์ เขตทักษะยุทธ์ และเขตวิชาท่าร่าง
หลังซิวไปที่เขตวรยุทธ์เป็นที่แรก ส่วนมากล้วนแล้วแต่เป็นวรยุทธ์ระดับ1 มีเพียงส่วนน้อยที่เป็นวรยุทธ์ระดับ2
วรยุทธ์ในระดับล่างส่วนใหญ่จะไม่แตกต่างกันมากนัก หลัวซิวเลือกกำลังภายในระดับ2ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ซึ่งเป็นการฝึกเส้นเอ็นและกระดูก
วรยุทธ์นี้เหมาะสำหรับผู้ฝึกยุทธ์ที่กำลังอยู่ในขั้นพัฒนาการฝึกเส้นเอ็นและกระดูก สามารถฝึกตนจนถึงการกลั่นร่างระดับ6ได้
ในนั้นจะมีการฝึกเชื่อมโยงไปถึงเส้นลมปราณและจุดฝังเข็มบางส่วน ซึ่งมีพื้นฐานของกำลังภายในที่แข็งแกร่งและพัฒนาไปได้ก้าวไกลมากกว่าการฝึกตนระดับหนึ่งของหลัวซิวก่อนหน้านี้
จากนั้นหลัวซิวจึงเดินมาที่เขตทักษะยุทธ์ ในทักษะยุทธ์ระดับที่1และ2 ส่วนมากจะเป็นวิชายุทธ์ที่เกี่ยวกับการใช้หมัด เท้า และฝ่ามือ ส่วนทักษะยุทธ์ที่ต่อสู้โดยใช้อาวุธ โดยปกติแล้วจะอยู่ในระดับ3ขึ้นไป
การฝึกวิชายุทธ์ควรค่อย ๆ ฝึกไปตามขั้นตอน เพราะก่อนหน้านี้เขามีพื้นฐานในการฝึกหมัดกระทิงบิ่น ดังนั้นทักษะยุทธ์ระดับ2ที่หลัวซิวเลือกจึงเป็นวิชาหมัดประเภทหนึ่งเช่นเดียวกัน มีชื่อว่าหมัดเสือมังกร
วิชาหมัดนี้ถือเป็นวิชาหมัดที่ทรงพลังแข็งแกร่ง และมีพลานุภาพที่น่าทึ่ง ถือว่าเป็นวิชาที่อยู่ในอันดับต้น ๆ ของทักษะยุทธ์ระดับ2 มีลูกศิษย์จำนวนไม่น้อยในสำนักยุทธ์ที่ฝึกตนด้วยวิชานี้ แต่คนที่จะสามารถฝึกวิชาหมัดนี้จนถึงแก่นแท้ได้นั้น มีเพียงแค่ไม่กี่คน
การฝึกยุทธ์แบ่งออกเป็นสองประเภท ประเภทที่1คือผลการฝึกตน ส่วนประเภทที่2คือระดับที่บรรลุถึง
ผลการฝึกตนคงไม่ต้องอธิบายอะไรมากนัก เป็นการฝึกตั้งแต่ระดับการกลั่นร่างจนกระทั่งถึงระดับแดนฝึกชี่ไห่ และเลื่อนขั้นสู่แดนพรสวรรค์
ส่วนระดับที่บรรลุถึงถือเป็นคำกล่าวที่ลึกลับซับซ้อน หรือเรียกอีกอย่างว่าเป็นแนวความคิดในการฝึกยุทธ์ จะต้องเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์อย่างสูงเท่านั้นจึงจะสามารถเข้าใจได้อย่างถ่องแท้
ส่วนวิชาท่าร่าง หลัวซิวเลือก《ก้าวสั้น》เป็นวิชาที่สอนการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วในช่วงสั้น ๆ เป็นการฝึกตนที่ดูเหมือนง่าย แต่ถ้าอยากฝึกจนถึงแก่นแท้นั้น กลับเป็นเรื่องที่ยากมาก
หลังจากเลือกวิชายุทธ์ระดับ2ทั้งสามเขตเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลัวซิวก็รู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก
“หลัวซิว ?”
ตอนนี้เอง มีน้ำเสียงที่เบาและนุ่มนวลดังขึ้นมา หลัวซิวหันกลับไปมอง พบหญิงสาวในชุดสีฟ้ากำลังมองมาที่เขา
“ผู้สาวหลิว” หลัวซิวยิ้มและพยักหน้าเป็นการทักทาย
หญิงสาวในชุดสีฟ้าคือหลิวหยู่ซิน เป็นคนที่หลัวซิวแอบหลงรัก แต่ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาอยู่ในชั้นต้นและยังไม่สามารถไต่เต้าไปถึงระดับการกลั่นร่างขั้นที่2ได้ แต่นางกลับอยู่ฝนชั้นกลางไต่เต้าถึงระดับการกลั่นร้างขั้น6เรียบร้อยแล้ว
ก่อนหน้านี้ก็เป็นเพราะนาง เขาจึงได้ล่วงเกินจางเจี๋ย และนำไปสู่การต่อสู้ที่เกิดขึ้นตามมาหลังจากนั้น
หากเป็นเมื่อก่อน เมื่อหลัวซิวเห็นนางก็คงรู้สึกประหม่าและแสดงท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตน แต่หลังจากที่เขาหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับลูกแก้วอัญมณีแห่งความเป็นความตายแล้ว ก็ทำให้เขามีความมั่นใจขึ้นอย่างมาก ตอนนี้ท่าทีเมื่อเขาต้องเผชิญหน้ากับหลิวหยู่ซิง จึงไม่เหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป
หลิวหยู่ซินเองก็มองดูหลัวซิวด้วยความประหลาดใจ “คิดมุถึงเลยว่าเจ้าจะอยู่ในระดับการกลั่นร่างขั้น4แล้ว ข้าจำได้ว่าเมื่อสองสามวันก่อนเจ้ายังอยู่เพียงระดับการกลั่นร่างขั้น2อยู่เลยนี้”
“เหอะ ๆ ผ่านมาได้เพราะโชคช่วยก็เท่านั้น” หลัวซิวพูดด้วยรอยยิ้ม
“แต่สามเดือนให้หลังจะมีการทดสอบเกิดขึ้นแล้ว หากไม่สามารถผ่านการกลั่นร่างขั้นที่5ได้ จำคิดจำทำเช่นไรต่อไป ?” หลิวหยู่ซินหัวเราะเล็กน้อย “หากเจ้าไม่มีที่ไปแล้วล่ะก็ จะไปที่ตระกูลหลิวของข้าก็ได้นะ ข้าจะให้เจ้าทำหน้าที่เป็นผู้คุ้มกันดีไหมล่ะ ?”
“ผู้คุ้มกันของตระกูลหลิว ?”
หลัวซิวแสดงทีท่าประหลาดใจ เขาจ้องมองหลิวหยู่ซิน และพอจะเข้าใจความหมายของอีกฝ่ายในทันที
คงเป็นเพราะครั้งก่อนที่จางเจี๋ยลวนลามนาง และเขาเข้าไปออกรับแทนจนกระทั่งถูกทำร้าย หลิวหยู่ซินจึงคิดว่าเขาไม่น่าจะผ่านการทดสอบในอีกสามเดือนให้หลังนี้ไปได้ ดังนั้นจึงวางแผนหาทางออกให้กับเขา
หากเป็นเมื่อก่อน หลัวซิวคงจะพิจารณาข้อเสนอของอีกฝ่าย แต่ตอนนี้ หลัวซิวกลับไม่ได้เห็นการทดสอบที่จะเกิดขึ้นในอีกสามเดือนให้หลังนี้อยู่ในสายตาอีกต่อไป
“ขอบคุณน้ำใจของผู้สาวหลิวมาก การทดสอบอีกสามเดือนหลังจากนี้ ข้าจะต้องผ่านไปได้อย่างแน่นอน” หลัวซิวพูดด้วยรอยยิ้ม
ความมั่นใจของเขาแสดงออกมาอย่างชัดเจนจนยากจะพรรณนา สิ่งนี้ทำให้หลิวหยู่ซินรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก
“คนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง เจ้าคิดว่าระยะเวลาเพียงแค่สามเดือนจะทำให้เจ้าผ่านการกลั่นร่างขั้น5ไปได้อย่างนั้นหรือ ?”
มีน้ำเสียงดูถูกดังขึ้นมา เป็นเสียงของชายหนุ่มที่สวมใส่เสื้อเชิ้ตสีขาว กำลังเดินเข้ามายืนเคียงข้างหลิวหยู่ซิน
หลัวซิวเห็นความชั่วร้ายในสายตาของชายหนุ่มที่สวมใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวผู้นี้ที่กำลังจ้องมองมาที่เขา
########################