ตำหนักวัฏสงสาร คือตำหนักเจ้าสำนักที่สร้างขึ้นในตอนแรกที่หลัวซิวก่อตั้งสำนักเขาไท่เสวียน
แต่วันนี้ศิษย์ไท่เสวียนเข้าร่วม ช่วงเวลานี้เหยียนเยว่เอ๋อร์และเหยียนซีโรว่ต่างก็ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ภายในตำหนักวัฏสงสาร
ในวันนี้ เหยียนเยว่เอ๋อร์มาหาเหยียนซีโรว่ นัยน์ตาใสนั้นเผยให้เห็นถึงความกังวลใจ
“น้องหญิงซีโรว่ หลัวซิวแยกออกไปเกือบจะห้าปีแล้ว”
เหยียนซีโรว่กำลังตระหนักรู้วรยุทธ์ที่บันทึกอยู่ในม้วนหยกม้วนหนึ่ง เมื่อได้ยินน้ำเสียงของเหยียนเยว่เอ๋อร์ ก็เงยหน้าขึ้นมา พูดพร้อมรอยยิ้ม “ท่านพี่หญิงเยว่เอ๋อร์อย่าได้กังวลใจ ก่อนที่เขาจะออกเดินทางข้าได้ทำนายเอาไว้แล้ว ครั้งนี้มีเพียงโชคดีไร้ซึ่งอันตราย”
“เจ้าสำแดงวิชาแห่งชะตาอีกแล้วหรือ?” เหยียนเยว่เอ๋อร์ขมวดคิ้วเรียวงาม “หลัวซิวไม่ได้พูดกับแล้วแล้วหรือว่า ต่อไปไม่ให้เจ้าสำแดงวิชาอาถรรพณ์ประเภทนี้อีก?”
จุดจบของธิดาเทพหยุนไห่ทุกรุ่นต่างมีให้เห็นกันเต็มสองตา ตามที่นางได้รู้มานั้น นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางทำนายด้วย อีกทั้งตลอดชีวิตของนางยังสามารถทำนายได้เพียงเก้าครั้ง และในทุกครั้งที่ทำนายต่างก็ต้องเสียสละอายุขัยของตนเพื่อเป็นข้อแลกเปลี่ยน
การสอดแนมความลึกลับของเวลาอนาคตและวัฏจักรนั้น ถือเป็นสิ่งต้องห้ามของกฎธรรมฟ้าดิน!
ในขณะที่เหยียนเยว่เอ๋อร์และเหยียนซีโรว่ทั้งสองคนกำลังสนทนากันอยู่นั้น เกาเหลียนหงก็พุ่งเข้ามาภายในตำหนักวัฏสงสารอยู่กะทันหัน พร้อมเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรน “ท่านหญิงทั้งสอง เกรงว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นแล้ว อาจจะเกิดเรื่องกับเจ้าสำนักแล้ว!”
“หมายความว่าอย่างไร?”
เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว เหยียนเยว่เอ๋อร์และเหยียนซีโรว่ต่างก็ลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ต่อให้เหยียนซีโรว่จะมั่นใจในผลการทำนายของตนมากเพียงใด แต่เมื่อเรื่องเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของหลัวซิว นางก็อดไม่ได้ที่จะเป็นกังวลขึ้นมา
“เมื่อครู่มีท่านผู้อาวุโสหนึ่งเรียกตนเองว่าเจ้าแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ปรากฏตัวขึ้น บอกว่าท่านเจ้าสำนักหายตัวไประหว่างเดินสำรวจแดนปริศนาแห่งหนึ่ง”
“หายตัวไป?” สีหน้าของเหยียนเยว่เอ๋อร์พลันเปลี่ยนเป็นซีดเผือดขึ้นมาทันที ร่างบางซวนเซไปมาจนเกือบจะล้มลงกับพื้น
“ว่าตามที่เจ้าแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้เอ่ยไว้ ครั้งนี้เจ้าสำนักเข้าไปร่วมสำรวจแดนปริศนาแห่งนั้นกับเทพมารทั้งหลาย ในวันนี้เทพมารหลายท่านต่างกลับมากันแล้ว ได้ยินมาว่าได้รับบาดเจ็บสาหัส” เกาเหลียนหงก็กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
เทพมารเป็นสิ่งมีชีวิตระดับสูงเพียงใด? แม้แต่ผู้แข็งแกร่ระดับเทพมารก็ยังบาดเจ็บล้มตาย ที่พูดว่าเจ้าสำนักไท่เสวียนหายตัวไป โดยทั่วไปมันจะถือได้ว่าเป็นการประกาศการตายของเขาแล้ว
……
ที่ทางเข้าประตูตำหนักตำหนักเหลืองทองแห่งนั้น ในความเป็นจริงหลัวซิวกลับไม่ได้รออยู่นานเท่าใดนัก
เขาได้ใช้ความสำเร็จด้านค่ายกลของตน ลดทอนพลังของวิชาห้ามค่ายกลที่คุมขังช่าจื่อเยียนเอาไว้ วิชาห้ามค่ายกลเหล่านี้ไร้ผู้ควบคุม พลังอำนาจนั้นเคลื่อนไหวด้วยตัวมันเอง ในความเป็นจริงกลับไม่ใช่พลังที่แข็งแกร่งที่สุด
แต่เมื่อมีตัวแปรอย่างหลัวซิวเข้ามาข้องเกี่ยวจึงได้แตกต่างอย่างสิ้นเชิง สำหรับเทวมังกรเขาทองและเทพปีศาจสยบนภาทั้งสองคนนี้ หลัวซิวไม่ได้มีความปราณีแม้สักเสี้ยวเล็บ ในตอนนั้นก่อนที่ทั้งสองคนนี้จะขึ้นมาที่ยอดเขาพร้อมกับช่าจื่อเยียน ได้ออกคำสั่งให้เทพมารใต้บัญชาทุกคนไล่ฆ่าเขา
หลังจากเฝ้าสังเกตการณ์เคลื่อนไหวแปรเปลี่ยนของค่ายกลแล้ว หลัวซิวก็สลักลายค่าย ทำให้วิชาห้ามค่ายกลที่คุมขังทั้งสองอยู่นั้นได้ระเบิดพลังออกมาอย่างสมบูรณ์
เมื่อเป็นเช่นนั้น เทพปีศาจสยบนภาและเทวมังกรเขาทองก็จะไม่สามารถยืนหยัดได้เกิดครึ่งปี จากนั้นก็จะตายลงภายในค่ายกลแห่งนี้
เพียงแค่หลัวซิวคิดอยากฝ่าค่ายเทพระดับสี่ทั้งสองเข้าไปภายในตำหนัก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน
ครั้งนี้ เขาใช้เวลาเกือบหนึ่งปี ทั้งยังต้องแลกกับการบาดเจ็บไม่น้อย จึงจะสามารถฝ่าด่านวิชาห้ามค่ายเทพ เข้ามาถึงภายในตำหนักแห่งนี้ได้
ทั่วทั้งภายในตำหนักอบอวลไปด้วยแสงทองส่องประกายระยิบระยับ ที่บริเวณใจกลางตำหนักใหญ่ มีรูปปั้นแกะสลักรูปคนที่สูงตระหง่านตั้งอยู่ บนตัวสวมเกราะเทพ ในมือถือหอกเทวะ ยืนเหยียบอยู่บนเทวมังกร เคร่งขรึมน่าเกรงขาม ราวกับกำลังต่อกรกับฟ้าดินบริเวณด้านล่างของรูปปั้นสูงตระหง่านนี้ หลัวซิวรี่ตามองไปด้วยความสงสัย พบว่ามีโครงกระดูกโบราณนั่งอยู่ในท่าขัดสมาธิ
หลัวซิวรู้ดีว่า หากเขาคิดจะวางแผนแย่งชิงสมบัติชิ้นนั้นของเทพสงครามเอกภพ ก็จำเป็นที่จะต้องไม่ให้ใครสามารถล่วงรู้เรื่องราวนี้ ไม่เช่นนั้นสิ่งที่รอคอยเขาอยู่เบื้องหน้าก็จะเป็นการตามไล่ล่าอย่างไร้ที่สิ้นสุดของผู้ยิ่งใหญ่โลกาชั้นฟ้า
แม้ว่าตัวเขาเองจะไม่กลัวการถูกตามล่า แต่เขายังมีญาติและเพื่อนที่สามารถถูกลากเข้ามาเกี่ยวพันได้อย่างง่ายดาย
“มีแค่ต้องรอเท่านั้น!”
ในท้ายที่สุด หลัวซิวก็ได้ตัดสินใจออกมา เขาทำได้เพียงเลือกที่จะรอให้เทพมารขั้นสูงทั้งสามถูกพลังของค่ายเทพทรมานจนตาย เช่นนี้ เขาก็สามารถเข้าไปในตำหนักได้ อีกทั้งยังไม่ถูกเปิดเผยตัวตนอีกด้วย
ความเป็นตายของเทวมังกรเขาทองและเทพปีศาจสยบนภา หลัวซิวสามารถไม่ใยดีได้ แต่กับช่าจื่อเยียนคือผู้ที่มีบุญคุณต่อเขา แน่นอนว่าเขาไม่สามารถมองนางตายไปต่อหน้าต่อตาได้
เมื่อคิดได้ดังนี้ หลังจากตัดสินใจได้แล้ว หลัวซิวก็เดินไปที่บริเวณใกล้ ๆ ที่วิชาห้ามค่ายกลค่ายนั้นได้คุมขังช่าจื่อเยียนเอาไว้ อันดับแรก เขาเฝ้าสังเกตการณ์เคลื่อนไหวและการเปลี่ยนแปลงของค่ายกลแห่งนี้ จากนั้นไว้สลักลายค่ายโดยรอบ จัดวางธงค่าย ลดทอนพลังอำนาจของค่ายเทพระดับสี่แห่งนี้
ดังนั้น ช่าจื่อเยียนก็สามารถยืนหยัดอยู่ในนั้นได้เป็นเวลานานขึ้น รวมกับพลังที่แข็งแกร่งมากพอของตัวนางเอง แบกรับความกดดันไว้มากกว่าสามปีก็ยังไม่เป็นปัญหา
……
“ตอนนี้ก็ผ่านพ้นไปสองปีกว่าแล้ว เหตุใดเทวทูตยังไม่กลับมาอีก?”
บริเวณครึ่งทางของภูเขา เทพมารทุกท่านจากสามเผ่าพันธุ์หยุดการต่อสู้ลงแล้ว เพราะว่าหลัวซิวได้หนีหายไปอย่างไร้ร่องรอย ผู้แข็งแกร่งเผ่าปีศาจมารแทบจะพลิกทั้งห้วงกาลแดนค้นหาอยู่แล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถตามหาเขาได้
ใบหน้าชราของหลิวหงเทียนเคร่งเครียดอย่างมาก เทวทูตจื่อเยียนแยกออกไปสองปีกว่ายังไม่กลับมา ก่อนที่จะแยกออกไปเทวทูตบอกให้เขาดูแลหลัวซิวให้ดี แต่เขากลับทำไม่สำเร็จ และก็ไม่รู้ด้วยว่าในเวลานี้ไอ้หนุ่มหลัวซิวคนนั้นจะเป็นหรือจะตาย
แต่ที่โชคดีก็คือ เทวมังกรเขาทองจากเผ่าพันธุ์มารและเทพปีศาจสยบนภาจากเผ่าปีศาจก็ยังไม่กลับมาเช่นกัน นั่นหมายความว่าเทพมารขั้นสูงทั้งสามอาจจะถูกคุมขังอยู่ที่แห่งใดสักที่ หรือบางทีอาจจะตายไปแล้ว……
จอมยุทธ์ทั่วไปต่างก็เข้าใจไปว่ากลายเป็นเทพมารแล้วก็จะเป็นนิรันกาล มีเพียงผู้แข็งแกร่งที่ได้เยียบเข้าสู่แดนนี้เท่านั้นจึงจะเข้าใจว่า การตายของเทพมารนั้นก็เป็นเรื่องที่พบได้ทั่วไปเช่นกัน แม้กระทั่งท่ามกลางสามพันโลกเบื้องบน การตายของเทพฟ้าก็ยังเป็นเรื่องที่กล้าหาญเช่นกัน
พิภพและฐานะที่แตกต่างกันนั้น ก็ทำให้การมองโลกนั้นแตกต่างกันไปเช่นกัน
อย่างในตอนนี้ เทพมารทุกท่านหายตัวไป ภายในโลกแสงดาวก็มีสิบอนาคินมหาจักรพรรดิยุทธ์ถือตนเป็นผู้ยิ่งใหญ่
ก่อนที่หลัวซิวจะแยกออกมา เขาสั่งให้ผู้คนในสำนักไท่เสวียนอย่าได้ออกจากแดนตำหนักจื่อโดยไม่จำเป็น แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีคนบางกลุ่มที่อดทนต่อความโดดเดี่ยวไว้ไม่ไหว ออกไปเที่ยวเล่นนอกแดนปริศนา ทำให้เกิดปัญหาอยู่บ้าง
หลายปีที่ผ่านมานี้ คนจากสำนักไท่เสวียนต่างก็ฝึกตนอยู่ภายในแดนปริศนา ไม่รู้ว่าเกิดข้างนอกอะไรขึ้นบ้าง ในวันนี้จึงได้รู้ว่า เจ้าสำนักไท่เสวียนหลายปีมานี้ ได้ดึงดูดกระแสมากมายให้เกิดขึ้นที่โลกภายนอก
พูดถึงหลัวซิว ใต้หล้าไม่มีใครไม่รู้จักเขา แต่ในขณะเดียวกันก็มีศัตรูจำนวนนับไม่ถ้วน ราวกับว่าทั่วทั้ง แดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ต่าง ๆ เผ่าพันธุ์มนุษย์แห่งโลกแสงดาว ต่างก็มีความแค้นต่อเขา
แดนศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ไม่สามารถทำอะไรหลัวซิวได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะทำอะไรศิษย์ภายใต้สำนักไท่เสวียนไม่ได้ ดังนั้นเมื่อได้พบเจอกัน จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องมีปากเสียงกัน จนถึงขั้นใช้อาวุธเพื่อต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย
การปิดขังระยะยาวผ่านไปหลายปี ศิษย์จำนวนมากภายในสำนักไท่เสวียนต่างก็มีผลการฝึกตนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดการบรรลุถึงราชายุทธ์จำนวนไม่น้อย หรือหากเป็นศิษย์แนวหน้าก็ก้าวเขาสู้แดนมกุฎยุทธ์แล้ว
นอกจากหลัวซิวแล้ว ผู้คุมกฎเกาเหลียนหงแห่งสำนักไท่เสวียนในวันนี้ ก็บรรลุถึงมหายุทธ์ช่วงปลายแล้ว หลินจื่อเฟิงตามมาติด ๆ ผลการฝึกตนก็บรรลุถึงมหายุทธ์ช่วงต้นแล้ว
ผลการฝึกตนของเหยียนเยว่เอ๋อร์และเหยียนซีโรว่สูงยิ่งกว่า ทั้งคู่ต่างบรรลุถึงแดนเจ้ายุทธจักรแล้ว เหยียนเยว่เอ๋อร์คือเจ้ายุทธจักรขั้นสี่ ส่วนเหยียนซีโรว่คือเจ้ายุทธจักรขั้นสาม
และในวันนี้ที่หลัวซิวไม่อยู่ เรื่องเล็กใหญ่ภายในสำนักไท่เสวียน ต่างก็มีเกาเหลียนหงและเหยียนซีโรว่คอยช่วยเหยียนเยว่เอ๋อร์จัดการ
ด้วยนิสับของเหยียนเยว่เอ๋อร์ที่ค่อนข้างเข้มแข็ง สำหรับการท้าทายของกองกำลังจากสำนักอื่น ๆ แน่นอนว่าไม่มีทางที่จะปล่อยผ่านไปเฉย ๆ ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมามีการกระทบกระทั่งกันอย่างต่อเนื่อง
ค่ายกลยิ่งมีระดับสูงมากเท่าไร ก็จะยิ่งละเอียดอ่อนและลึกลับ หากไม่ได้เข้าใจลำดับของหลักการและลายค่ายในการกลั่นแปร หากคิดจะใช้พละกำลังเพื่อทำลายค่ายกล เห็นที่จะเป็นเรื่องที่ยากมาก ๆ
หลังจากนั้นหลัวซิวก็มองเห็นเทพปีศาจสยบนภา เทพปีศาจตนนี้ถูกขังเอาไว้ในค่ายเทพระดับสี่ ภายในค่ายกลปริภูมิเต็มไปด้วยเปลวเพลิงที่ไม่มีที่สิ้นสุดทั่วทุกหนแห่ง
เวลาผ่านไปหนึ่งปี หลัวซิวสามารถสังเกตเห็นว่า ผลการฝึกตนของผู้แข็งแกร่งระดับเทพมารขั้นสูงทั้งสามคนได้สูญเสียไปอย่างมหาศาล หากในอีกหนึ่งปีหรือเพียงครึ่งปียังไม่สามารถหลุดพ้นออกมาได้ ก็มีความเป็นไปได้อย่างมากที่จะต้องตายอยู่ที่นี่
เพื่อที่จะปกป้องสมบัติชิ้นนั้นไม่ให้ถูกคนแย่งชิงไปได้ เทพสงครามเอกภพได้จัดวางวิชาห้ามสามขั้นเอาไว้หน้าประตูตำหนักของตำหนักเหลืองทอง
วิชาห้ามขั้นที่หนึ่งมีจำนวนหลักร้อย ต่างเป็นค่ายเทพระดับสาม วิชาห้ามขั้นที่สองมีทั้งหมด 32 ค่าย ส่วนมากเป็นค่ายเทพระดับสาม มีส่วนน้อยที่มีพลังเทียบเท่าค่ายเทพระดับสี่ผสมปนอยู่ด้วย
ณ สถานที่ที่ใกล้กับประตูตำหนักที่สุด คือค่ายเทพระดับสี่จำนวน 3 ค่าย อีกทั้งยังเป็นสามในค่ายเทพระดับสี่ที่ทรงพลานุภาพอย่างมากอีกด้วย
เทพมารขั้นสูงทั้งสามอย่างช่าจื่อเยียนและคนอื่น ๆ ต่างก็พุ่งเข้าไปในวิชาห้ามขั้นที่สาม เดิมคิดว่าสามารถเข้าไปภายในตำหนักได้ แต่กลับคาดไม่ถึงว่าจะถูกคุมขังเอาไว้ภายในวิชาห้ามค่ายกลที่แตกต่างกันออกไปเช่นนี้
พลานุภาพของค่ายเทพระดับสี่ รวมเข้ากับพลังกดขี่หาที่เปรียบไม่ได้ของเทพสงครามเอกภพที่บริเวณด้านหน้าประตูตำหนักมันคือความรุนแรงถึงขีดสุดแล้ว ภายใต้การควบคุมของทั้งสองอย่างนี้ ดูเหมือนจะทำให้เทพมารขั้นสูงทั้งสามถูกทรมานจนตายอยู่ในปริภูมิวิชาห้ามแห่งนี้
หลัวซิวแววตาสั่นไหวเล็กน้อย ผู้แข็งแกร่งเทพฟ้าไม่สามารถลงมายังพิภพต่ำได้ สิ่งเหล่านี้ที่เทพสงครามเอกภพได้จัดวางเอาไว้ มันมากเพียงพอที่จะทำให้ไม่ว่าผู้แข็งแกร่งระดับเทพมารขั้นสูงผู้ใดก็ได้แต่หวังแต่ไม่อาจเอื้อมถึง นอกเสียจากโลกาชั้นฟ้าจะส่งเทพมารเชี่ยวชาญค่ายกลลงมาเอง
ถึงแม้ที่พิภพกลาง ปรมาจารย์ค่ายกลระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นเก้าจะหาได้ไม่ยากนัก แต่สามารถข้ามแดนเป็นระดับนักค่ายเทพได้ กลับมีน้อยเหลือเกิน
“เทพมารขั้นสูงทั้งสามถูกคุมขัง……”
หลัวซิวเงยหน้ามองขึ้นไป สายตาเป็นประกายระยิบระยับ เขาไม่ได้คาดหวังว่ามันจะสถานการณ์มันกลับกลายเป็นดอกหลิวที่ผลิบานในฤดูหนาวเช่นนี้ ถึงแม้สมบัติชิ้นนั้นของเทพสงครามเอกภพยังไม่ได้ถูกคนชิงไป เช่นนั้นมันก็หมายถึงว่าเขายังมีโอกาสมิใช่หรือ?
แต่ว่าแม้แต่ผู้แข็งแกร่งระดับเทพมารขั้นสูงต่างก็ยังยากที่จะผ่านเข้าไปในประตูตำหนัก ต่อให้เขาสามารถเข้าไปได้ ก็ยังไม่รู้ว่าด้านในนั้นยังจะต้องพบเจอกับอันตรายอย่างไรอีก
โอกาสและอันตรายเป็นของคู่กัน โอกาสอันยิ่งใหญ่ ก็มีความเป็นไปได้ว่าจะมีความอันตรายอันใหญ่หลวงรออยู่ด้วยก็เป็นได้
ดั่งเช่นเทพสงครามเอกภพผู้แข็งแกร่ง เขาได้รับโอกาสล้ำค่าที่ฟ้าประทานให้ชิ้นหนึ่ง ก็ยังต้องมาตายเพราะโอกาสนี้ด้วยเช่นกัน
จากนั้นไม่นาน ในใจของหลัวซิวก็มีได้ลงมติแล้วว่า ตอนนี้จะเดินหน้าต่อ เริ่มผ่านเข้าไปในวิชาห้ามขั้นที่หนึ่ง
วิชาห้ามค่ายกลเหล่านี้ต่างก็เป็นค่ายเทพระดับสาม ด้วยระดับของเขาในตอนนี้ไม่สามารถทำลายได้ แต่สามารถอาศัยการกลั่นแปรเพื่อแปรสภาพและผ่านไปได้
พวกช่าจื่อเยียน เทพมารขั้นสูงทั้งสามต่างก็อาศัยพลังที่ทรงอานุภาพบุกรุกเข้าไป แต่หลัวซิวสามารถทำได้แค่เพียงปฏิบัติตามขั้นตอนเพื่อหาวิธีการในการผ่านเข้าไปเท่านั้น วิชาห้ามค่ายกลขั้นที่หนึ่ง เขาใช้เวลาราว ๆ ครึ่งปีถึงจะสามารถออกมาได้อย่างปลอดภัย
จากนั้นก็ต่อด้วยวิชาห้ามค่ายกลขั้นที่สอง หลัวซิวจงใจหลำกเลี่ยงบรรดาวิชาห้ามที่บรรลุถึงค่ายเทพระดับสี่ ใช้เวลาราวไปประมาณแปดเดือนในการผ่านเข้าไป
เพียงชั่วพริบตาเวลาสองปีก็ผ่านพ้นไป เทพมารคนอื่น ๆ ต่างก็ไร้ซึ่งหนทางที่จะขึ้นมายังยอดเขา ต่างก็ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่
หลัวซิวผ่านวิชาห้ามค่ายกลสองขั้น ในที่สุดก็มาถึงที่หน้าประตูตำหนัก นอกจากนี้ยังมีค่ายเทพระดับสี่อีกสามค่ายและมีพลังที่แข็งแกร่งมากที่สุด เขาจำเป็นต้องผ่านหนึ่งในค่ายเทพนั้น จึงจะสามารถเข้าไปในตำหนักได้
แต่ในเวลานี้ภายในค่ายเทพสามค่ายต่างก็มีผู้คนถูกคุมขังไว้ หากว่าเขาลงมือทำลายค่าย พลังนั้นก็จะถูกคนจากด้านในสังเกตุเห็นได้
แบกรับพลังกดขี่หาที่เปรียบไม่ได้ของเทพสงครามเอกภพอีกครั้ง ในใจของหลัวซิวยังคงตื่นเต้น พลังกดขี่ของเทพสงครามสามารถทำให้เทพมารหยุดลงได้ หากว่าเทพสงครามเอกภพยังมีชีวิตอยู่ หากเขาปลดปล่อยออร่าพลังกดขี่ของตนเองออกมา อย่าว่าแต่ผู้แข็งแกร่งระดับเทพมาร แม้แต่เทพฟ้าที่พลังค่อยข้างด้อยลงมา เกรงว่าก็คงจะไม่มีคุณสมบัติที่จะเดินยืนหน้าเขาด้วยซ้ำ
ผลการฝึกตนหาที่เปรียบไม่ได้ สะเทือนแผ่นดิน แข็งแกร่งเหนือศัตรูทั้ง 800 โลก แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ในท้ายที่สุดก็ยังตายอยู่ดี!
ใช้ตัวสำนึกสื่อสารผ่านลูกแก้วความเป็นตาย อาศัยลูกแก้วความเป็นตายปลอดปล่อยออร่าดั้งเดิม ทันใดนั้นหลัวซิวก็พลันรู้สึกว่า พลังกดขี่อันน่าเกรงขามบนร่างนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย ทั่วร่างรู้สึกสึกผ่อนคลายขึ้นมา
เขาก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว หากถูกใครเห็นเข้าคงจะต้องตกใจมากเป็นแน่ เพราะต่อให้เป็นเทพมารขั้นสูงผู้แข็งแกร่งอย่างช่าจื่อเยียน ก็ยังไม่สามารถทำได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ ราวกับชัยชนะของการต่อสู้โดยปราศจากการต่อต้านใด ๆ
ใช้เวลาไม่นาน หลัวซิวก็มาถึงที่ยอดเขา ตำหนักสูงตระหง่านที่ถูกสร้างขึ้น ณ ที่แห่งนี้ใหญ่โตมโหฬาร สีทองเจิดจรัส ทั้งหลังราวกับ สีเหลืองทองที่เทลงบนแม่พิมพ์
นี่คือตำหนักที่เทพสงครามเอกภพสร้างเอาไว้ก่อนตาย เป็นที่ฝังกระดูกของเขาเอาไว้หลังจากที่เสียชีวิต
เพียงแค่ตำหนักแห่งหนึ่งสำหรับรำลึกของภูตมรณะ ก็ทำให้หลัวซิวรู้สึกได้ถึงพลังกดขี่ของออร่าเทพมาร จะเห็นได้ว่าวัสดุที่ใช้สร้างตำหนักแห่งนี้ อย่างน้อยต้องมีสมบัตินักยุทธ์ที่กลั่นเทพมาร ความร่ำรวยของผู้แข็งแกร่งเทพฟ้าเป็นสิ่งที่เห็นได้ทั่วไป
ทันใดนั้น นัยน์ตาของหลัวซิวก็พลันรี่ลง เขาพบว่าที่หน้าประตูตำหนักของตำหนักเหลืองทองแห่งนี้มีวิชาห้ามอยู่มากมาย อีกทั้งเขายังเป็นว่า ในวิชาห้ามนั้นมีบุคคลที่เขาคุ้นเคยอยู่
วิชาห้ามค่ายกลทุกค่ายต่างก็แยกเป็นเอกเทศ เมื่อใดที่มีคนเข้าใกล้ ก็จะถูกอีกฝ่ายขังเอาไว้ในปริภูมิวิชาห้าม นอกเสียจากว่าจะสามารถทำลายปริภูมิวิชาห้าม ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีทางที่จะหลุดพ้นออกมาได้
วิชาห้ามค่ายกลที่มีอยู่ในบริเวณนี้ต่างก็มีระดับที่ค่อนข้างสูง อย่างน้อยก็คือค่ายเทพระดับสาม และมีบางค่ายที่เป็นค่ายเทพระดับสี่
ด้วยระดับของหลัวซิวในตอนนี้ที่เทียบเท่ากับนักค่ายเทพระดับหนึ่ง หากต้องการทำลายวิชาห้ามค่ายกลเหล่านี้เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ต่อให้ฝืนฝ่าเข้าไปก็ยังเป็นเรื่องที่ค่อยข้างยาก
หลัวซิวเหลือบตามองไป เห็นช่าจื่อเยียนเป็นคนแรก แม่นางผู้แข็งแกร่งถูกคุมขังอยู่ภายในปริภูมิวิชาห้าม ทั่วทั้งปริภูมิแผ่กระจายไปด้วยประกายแสงทอง ราวกับเป็นผืนมหาสมุทรสีเหลืองทอง
แสงเทวะสีเหลืองทองเหล่านี้เปี่ยมด้วยอานุภาพอันทรงพลัง พลังที่แฝงอยู่ในภายในนั้นก็ทรงพลังมากเช่นกัน ทำให้เป็นการยากสำหรับช่าจื่อเยียนในการรับมือ กระทั่งแทบจะไม่มีโอกาสทำลายมันได้เลย
สิ่งที่คุมขังช่าจื่อเยียนอยู่นั้นคือค่ายเทพระดับสี่ ค่ายเทพระดับนี้สามารถคุมขังเทพฟ้าได้เลย การขังเทพมารขั้นสูงเอาไว้ ย่อมเป็นสิ่งที่เรียกได้ว่ามากเกินพอ
หลังจากนั้น หลัวซิวก็มองเห็นเทวมังกรเขาทองผู้นั้น ก็ถูกคุมขังอยู่ภายในปริภูมิวิชาห้ามด้วยเช่นกัน กระทั่งกลายร่างเป็นมังกรทองห้าเท้า ฟาดหัวฟาดหางอย่างผิดปกติอยู่ภายในปริภูมิวิชาห้าม
สิ่งที่เทวมังกรเขาทองใช้โจมตีวิชาห้ามค่ายกลคือพลังโจมตีธาตุน้ำ ทั่วทั้งปริภูมิวิชาห้ามแผ่ซ่านไปด้วยพลังแห่งพื้นผิวด้วยเกล็ดน้ำแข็ง เพียงพริบตาเดียวก็สามารถขังร่างของเขาเอาไว้ได้ ต่อให้จะดิ้นรนฝ่าฝืนสักเพียงใด แต่จากนั้นก็จะถูกขังเอาไว้อีก เป็นเช่นนี้อย่างต่อเนื่อง เป็นการยากที่จะหลุดพ้น
หลัวซิวไม่อาจกลั้นหัวเราะเอาไว้ได้ สีหน้าค่อนข้างแปลกประหลาด เดิมที่เขาคิดว่าตนมาช้าแล้ว สมบัติชิ้นนั้นที่เทพสงครามเอกภพทิ้งเอาไว้คงจะมีเจ้าของไปเสียแล้ว แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงคือ เทพมารขั้นสูงทั้งสองคนแม้แต่ประตูใหญ่ของตำหนักยังไม่สามารถเข้าไปได้เลย ถูกคุมขังอยู่ในวิชาห้ามค่ายกลเป็นเวลาราว ๆ หนึ่งปีแล้ว!
ใช่ว่าผู้แข็งแกร่งโลกยุทธ์ทุกคนจะเชี่ยวชาญทางด้านค่ายกล จอมยุทธ์ส่วนมากต่างทุ่มเทให้กับการยกระดับแดนผลการฝึกตน มีเพียงจอมยุทธ์ที่มีพรสวรรค์ทางด้านค่ายกลสูงจำนวนน้อยเท่านั้น จึงจะเลือกเดินในเส้นทางค่ายกล
ในเมื่อมีลูกแก้วความเป็นตาย สามารถรอดจากผลกระทบพลังกดขี่ของเทพสงครามได้ ดังนั้นหลัวซิวจึงได้ผุดความคิดที่จะขึ้นไปยังยอดเขาเพื่อสำรวจดูตำหนัก สำหรับสมบัติชิ้นนั้นที่เทพสงครามเอกภพนำลงมาจากโลกเบื้องบน เขาอยากรู้เป็นอย่างมากว่ามันคือสิ่งใดกันแน่
แตกต่างกับเส้นทางนั้นที่เทพมารทั้งสามเผ่าพันธุ์ใช้เดินทาง หลัวซิวเลือกที่จะไปอีกเส้นทางหนึ่ง ระหว่างทางเต็มไปด้วยวิชาห้ามมากมาย มันสามารถถูกทำลายได้ด้วยความสามารถของเขาเองเท่านั้น
เขาไม่เคยได้รับการสืบทอดวิชาค่ายกลระดับเทพ แต่วิชาห้ามค่ายกลจำนวนนับไม่ถ้วนที่ดำรงอยู่ในตอนนี้ กลับมอบความรู้ให้เขาได้อย่างมากมาย
เวลาค่อย ๆ ผันผ่านไป หลัวซิวไม่รู้ว่าสงครามชุลมุนของบรรดาเทพมารทุกท่านในท้ายที่สุดแล้วเป็นอย่างไร และก็ไม่แน่ใจว่าผู้แข็งแกร่งเทพมารขั้นสูงทั้งสามได้เข้าไปที่ตำหนักแห่งนั้นแล้วหรือไม่ พบเจอสิ่งใดในนั้นบ้าง สมบัติชิ้นนั้นของเทพสงครามเอกภพ ได้ถูกชิงไปแล้วหรือไม่?
ทั้งหมดนี้ หลัวซิวไม่รู้สิ่งใดเลย เขาด่ำดิ่งลงไปท่ามกลางความลึกลับของวิชาห้ามค่ายกลระดับเทพเหล่านี้
ในตอนที่เขาได้พบกับวิชาห้ามค่ายกลครั้งแรก ใช้เวลาเกือบครึ่งเดือนกว่าจะสามารถทำลายได้
ตามจำนวนวิชาห้ามค่ายกลที่เขาแก้ได้ยิ่งมากเท่าใด การสัมผัสรู้ค่ายกลระดับเทพของเขาก็ยิ่งลึกซึ้งมากเท่านั้น เมื่อถึงช่วงหลัง ๆ ความเร็วในการแก้วิชาห้ามค่ายกลก็ยิ่งเร็วขึ้นกว่าเดิม
ต้องบอกว่า คุณสมบัติพรสวรรค์ของหลัวซิวนั้น ในความเป็นจริงไม่ได้ถือว่าดีมาก เหตุที่เขาสามารถประสบความสำเร็จได้อย่างทุกวันนี้ โดยพื้นฐานแล้วต่างเป็นการอาศัยลูกแก้วความเป็นตายเพื่อเติมเต็ม รวมถึงโชคบางอย่างที่เขาได้รับมา
แต่สิ่งที่เขามั่นใจในตนเองมากที่สุดคือการตระหนักรู้ของเขา มิเช่นนั้นภายในระยะเวลาสามสิบปีนี้ ไม่มีทางสามารถบรรลุถึงพลังผลการฝึกตนที่เทียบเท่าระดับเทพมาร อีกทั้งวิชาค่ายกลและกลั่นยาก็ยังบรรลุถึงแดนปรมาจารย์ระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นเก้าอีกด้วย
เมื่อเขาแก้วิชาห้ามค่ายกลมาตลอดทางและได้สัมผัสกับพลังกดขี่อันน่าหวาดกลัวของของเทพสงครามอีกครั้ง เขาจึงได้ตื่นขึ้นมาจากความลึกลับของการสัมผัสรู้ค่ายกลระดับเทพ
“เวลาผ่านไปเกือบปีแล้วหรือนี่?”
เมื่อหลัวซิวตื่นขึ้นมา ก็อดที่จะงุนงงไม่ได้ เขาคาดไม่ถึงว่า ตนจะจมอยู่ในกระบวนการที่คล้ายการตื่นรู้เป็นเวลาเกือบหนึ่งปี
เรื่องราวมากมายสามารถเกิดขึ้นได้ในหนึ่งปี ที่ตำหนักแห่งนั้น หากมีสมบัติอยู่ เกรงว่าคงจะถูกชิงไปเนิ่นนานแล้ว
อย่างไรก็ตาม ในหนึ่งปีนี้ สิ่งที่เขาได้รับก็ใหญ่มากเช่นกัน เข้าใจแก่นแท้ของค่ายกลระดับเทพ ด้วยสองระดับความเป็นตายผสานเกิดเป็นพลังเทพดั้งเดิม สามารถจัดวางค่ายกลระดับเทพทั่วไปได้แล้ว
นักค่ายเทพมีเก้าระดับ หลัวซิวในตอนนี้เทียบเท่ากับนักค่ายเทพระดับหนึ่งท่านหนึ่งแล้ว
แม้จะผ่านมานานขนาดนี้ สมบัติที่กลางตำหนักแห่งนั้นคงจะถูกชิงไปแล้วเป็นแน่ แต่หลัวซิวก็ยังวางแผนที่จะขึ้นไปสำรวจดูอยู่ดี
ภูเขาลูกนี้ที่ใจกลางห้วงกาลแดน ยอดบนสุดคือตำหนักที่สูงตระหง่าน มีทางเดินขึ้นเขาหลายทาง
บรรดาผู้แข็งแกร่งเทพมารทั้งสามเผ่าพันธุ์ นำโดยช่าจื่อเยียน เทพปีศาจสยบนภา และเทวมังกรเขาทอง เลือกที่จะใช้เส้นทางที่มีวิชาห้ามค่ายกลค่อนข้างน้อย
เส้นทางนี้ ถึงแม้จะมีวิชาห้ามน้อย แต่เมื่อเทียบกันแล้วระดับของวิชาห้ามจะสูงกว่ามาก
แต่ทางขึ้นเขาที่หลัวซิวในตอนหลังนั้น กลับมีวิชาห้ามค่อนข้างมาก แต่เทียบกันแล้วระดับของวิชาห้ามค่ายกลค่อนข้างต่ำ สำหรับความแข็งแกร่งของเขาแล้ว มันกลับพอเหมาะพอดีเสียเหลือเกิน
ต่อให้เป็นวิชาห้ามค่ายกลระดับที่ค่อนข้างต่ำ แต่ด้วยความสามารถของเขาเอง ต้องใช้เวลาเกือบปีกว่าจะผ่านไป เมื่อเทียบกับผู้แข็งแกร่งแดนเทพมารขั้นสูงแล้ว เขายังแตกต่างอยู่มาก
ตอนนี้ผ่านไปราว ๆ หนึ่งปีแล้ว สำหรับสมบัติชิ้นนั้นที่เทพสงครามเอกภพทิ้งเอาไว้ หลัวซิวไม่ได้มีการเพ้อฝันถึงอีกต่อไป แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังอยากที่จะขึ้นไปดูที่ยอดเขานั้นสักครั้ง
หลัวซิวสามารถสัมผัสได้ถึง กระดูกขาทั้งสองข้างของเขาได้เริ่มมีเค้าลางของร่องรอยการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นแล้ว กำลังจะก้าวจากขีดจำกัดของเจ้ายุทธจักร ไปยังมหาจักรพรรดิยุทธ์!
ผลลัพธ์ประเภทนี้ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากพลังกดขี่หาที่เปรียบไม่ได้ของเทพสงครามเอกภพ
ทั่วทั้งร่างของเขาแบกรับพลังกดขี่อันน่าหวาดกลัว เมื่อกระดูกขาของเขาเกิดการเปลี่ยนแปลงแล้ว จากนั้นแต่ละส่วนของร่างกายเขาก็จะเข้าสู่กระบวนการเปลี่ยนแปลงจนเสร็จสมบูรณ์ เมื่อถึงตอนนั้นก็จะทำให้ขีดจำกัดของจักรร่างยุทธ์เจ้ายุทธ ชุบร่างเป็นร่างยุทธ์มหาจักรพรรดิยุทธ์!
แต่ถึงอย่างนั้นหลัวซิวก็รู้ดีว่า ไม่ต้องพูดถึงการฝึกตนร่างยุทธ์ถึงมหาจักรพรรดิยุทธ์ ต่อให้ชุบร่างเป็นร่างยุทธ์เทพมาร ไม่มีแดนผลการฝึกตนระดับเดียวกันกับช่าจื่อเยียน ก็ไม่ต้องคิดถึงการเดินขึ้นไปบนยอดสูงสุดของเขาลูกนี้เลย
เพราะว่าผู้แข็งแกร่งเทพมารของทั้งสามเผ่าพันธุ์ ทุก ๆ คนต่างก็มีร่างยุทธ์ร่างเนื้อระดับเทพมาร แต่กลับยังไม่สามารถเดินขึ้นไปได้ ทำได้แค่เพียงหยุดอยู่ที่บริเวณใกล้ ๆ เท่านั้น
“หืม?”
ในเวลานี้เอง หลัวซิวสังเกตถึงเทพมารทุกคนของเผ่าพันธุ์มารและเผ่าปีศาจ ต่างก็ฝืนฝ่าพลังกดขี่มหาศาลนี้ เดินตรงมาทางเขา
เทพมารเหล่านี้หยุดอยู่ที่นี่ ไม่ไปท้าทายขีดจำกัดของตนเองเพื่อฝึกฝนร่างกาย แต่กลับหันหลังกลับมาแทน ต่อให้หลัวซิวใช้หัวแม้เท้าคิดก็ก็ยังสามารถเดาออก เจ้าพวกนี้ต้องมาเพราะตนเป็นแน่
“ทุกท่าน นี่หมายความว่าอย่างไร?”
หลิวหงเทียนเอ่ยปากขึ้นทันที พาเทพมารทั้งเจ็ดคนมาหยุดเทพมารเผ่าพันธุ์มารและเผ่าปีศาจทั้ง 11 คนเอาไว้
ภายในบรรดาเจ้าศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ทั้งสี่ของโลกแสงดาวนั้น สีหน้าของเจ้าศักดิ์สิทธิ์นิกายมารศักดิ์สิทธิ์ เจ้าศักดิ์สิทธิ์ตระกูลยุทธ์ และเจ้าศักดิ์สิทธิ์ดารานภาสามท่านนี้เผยความไม่เต็มใจออกมา
ศิษย์อัจฉริยะและยอดฝีมือของพวกเขาทั้งสามแดนศักดิ์สิทธิ์ เคยถูกหลัวซิวเข่นฆ่าจำนวนนับไม่ถ้วน แต่พวกเขาไม่สามารถฆ่าไอ้หนุ่มคนนี้เพื่อระบายความโกรธได้ ในตอนนี้เขายังต้องมาปกป้องเขาอีก บนโลกนี้มีเรื่องแบบนี้ที่ไหนกัน?
เทียบกันแล้ว สีหน้าของเจ้าศักดิ์สิทธิ์เสวียนหวงสงบนิ่งมาก เพราะว่าสำนักดำเหลือง มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่เข้าร่วมในการไล่ล่าหลัวซิว อีกทั้งยังเป็นการกระทำส่วนตัว ไม่ใช่ความคิดของเจ้าศักดิ์สิทธิ์เสวียนหวง
อีกทั้งยังไม่มีใครล่วงรู้ว่า เมื่อก่อนนี้เจ้าศักดิ์สิทธิ์เสวียนหวงเคยให้ธิดาเทพรุ่นใดรุ่นหนึ่งแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่ทำทายดวงชะตา ให้ วิชาแห่งชะตาทำทายไว้ว่า สำนักดำเหลืองของเขาจะถึงวาระ ตราบใดที่ไม่ไปรังแกผู้อื่น ไม่ข่มเหงรังแกคนที่อ่อนแอกว่า ความหายนะที่ว่านี้ก็จะถูกคลี่คลายไปได้
ด้วยเหตุนี้ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เจ้าศักดิ์สิทธิ์เสวียนหวงจึงได้กำชับศิษย์ภายในสำนักให้ระวังพฤติกรรมของตนเอง อย่าทำให้สำนักเขาต้องเผชิญกับความหายนะ
เวลานี้เจ้าศักดิ์สิทธิ์เสวียนหวงก็พอจะเข้าใจแล้วว่า ที่ธิดาเทพหยุนไห่ได้ทำนายไว้ในปีนั้น มีความเป็นไปได้อย่างมากที่จะหมายถึงหลัวซิว
แต่ว่าเจ้าศักดิ์สิทธิ์เสวียนหวงก็ไม่ได้แน่ใจเท่าใดนัก เพียงแค่คาดเดาคร่าว ๆ เท่านั้น
“ลงมือ!”
เทพปีศาจผู้หนึ่งตะโกนเสียงดัง ทันใดนั้นเทพปีศาจทุกคนก็พากันลงมือ พุ่งตรงไปไล่ฆ่าหลิวหงเทียนและคนอื่น ๆ
“กำจัดเผ่าพันธุ์มนุษย์กลุ่มนี้เสีย โดยเฉพาะไอ้หนุ่มคนนั้น เทวมังกรมีคำสั่ง สังหารมันให้สิ้น!”
เทพมารอสูรทุกท่านจากเผ่าพันธุ์มารก็พากันคำรราด้วยความโกรธ มีบางคนที่กลายร่างเป็นร่างเดิม ร่างกายมโหฬาร พลังแข็งแกร่งน่าหวาดกลัว ดุร้ายไม่มีใดเทียบ
สงครามชุลมุนปะทุขึ้นในทันที แต่กลับไม่มีใครสนใจหลัวซิวเลย
“ไอ้หนุ่มเผ่าพันธุ์มนุษย์จะหนีไปแล้ว!”
ทันใดนั้น เทพมารอสูรตนหนึ่งก็คำรามเสียงดังลั่น ร่างเดิมคืองูยักษ์สีดำตัวหนึ่ง ร่างกายขนาดมหึมาเลื้อยตามออกไปทันที
ในเวลาเดียวกัน เทพมารคนอื่น ๆ ก็ต่างสังเกตว่าร่างของหลัวซิวค่อย ๆ ก้าวถอยหลังไป หมายจะหนีออกไปจากที่นี่
พลังกดขี่หาที่เปรียบไม่ได้ของเทพสงครามเอกภพ สำหรับเทพมารเหล่านี้ต่างก็เป็นการควบคุมที่แข็งแกร่งมาก ทำให้พวกเขาไม่สามารถสำแดงพลังทั้งหมดออกมาได้
แต่หลัวซิวหลับสามารถอาศัยลูกแก้วความเป็นตายได้โดยไม่ได้รับผลกระทบแม่แต่น้อย ดังนั้นความรวดเร็วจึงได้เร็วกว่าเทพมารเหล่านี้อย่างมาก
ชั่วพริบตา หลัวซิวก็ถอยลงมาถึงตีนเขา จากนั้นก็เลือกเส้นทางอีกเส้นในทันที มุ่งตรงขึ้นไปยังยอดเขา
เทพปีศาจสยบนภาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ ต่อให้จะค้นหาไม่พบสมบัติชิ้นนั้นของเทพสงครามเอกภพ แต่หากเผ่าปีศาจสามารถมีอัจฉริยะเช่นนี้สักคน ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ที่จะได้รับประโยชน์มากขึ้นสักครั้ง
เพียงแต่มันค่อนข้างน่าเสียดาย เพราะเขาพบว่า ช่าจื่อเยียนก็ให้ความสำคัญกับหลัวซิวผู้นี้เป็นอย่างมาก หากเขาจะถูกดึงตัว ก็ต้องถูกดึงตัวไปยังโลกเสวียนเทียนอย่างแน่นอน
“สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อข้า ก็ทำได้แค่ทำลายทิ้งเสีย……” วินาทีที่สายตาเป็นประกาย ถึงแม้ว่าเทพปีศาจสยบนภาจะชื่นชมหลัวซิวอย่างมาก แต่กลับมีสายตาแห่งการสังหารออกมา
“หากอดทนไว้ไม่ไหวแล้ว หากต้องการความช่วยเหลือ ถึงเวลาข้าจะพาเจ้าออกไปเอง” ช่าจื่อเยียนถามหลัวซิวจากที่ไกล ๆ
นางเองก็รู้สึกว่าตนคาดหวังต่อหลัวซิวไว้สูงเกินไป ถึงอย่างไรเขาก็ฝึกตนมาเพียงแค่สามสิบปี
แต่ว่าช่าจื่อเยียนก็สามารถมองออก หลัวซิวกำลังอาศัยพลังกดขี่หาที่เปรียบไม่ได้ของเทพสงครามเอกภพเพื่อทดสอบตนเอง หากสามารถฟื้นทนต่อไปได้ มันต้องเป็นโอกาสที่ดีอีกหนึ่งครั้งสำหรับการเปลี่ยนแปลง จะแข็งแกร่งขึ้นอย่างแน่นอน
“ยอดเขาไม่ใช่ที่ที่พวกเจ้าจะขึ้นไปได้ พวกเจ้าทั้งหลายระวังเอาไว้ด้วย อย่าให้พวกเผ่าพันธุ์มารกับเผ่าปีศาจทำร้ายหลัวซิวได้” ช่าจื่อเยียนส่งเสียงไปทางเหล่าเทพมารหลิวหงเทียน
“เทวทูตโปรดวางใจ ข้าจะจับตาดูเอง” หลิวหงเทียนตกปากรับคำในทันที เขารู้ดีว่าช่าจื่อเยียนให้ความสำคัญกับหลัวซิวมากเพียงใด
ช่าจื่อเยียนพยักหน้า จากนั้นก็เร่งฝีเท้าขึ้น ไม่นานก็หายตัวไปตรงสุดเส้นทางด้านหน้า
เป็นดั่งที่นางได้พูดไว้ นี่เพิ่งจะถึงแค่ครึ่งเขา พลังกดขี่หาที่เปรียบไม่ได้ของเทพสงครามเอกภพก็ทำให้เทพมารจำนวนมากก้าวฝีเท้าได้อย่างอยากลำบาก หากไปถึงยอดเขา พลังกดขี่ของเทพสงครามก็จะยิ่งทวีคูณความน่าหวาดกลัว แม้แต่ผลการฝึกตนเทพมารช่วงปลายก็ยังไม่สามารถขึ้นไปได้
มีแค่เพียงนางเท่านั้นที่เป็นถึงผู้แข็งแกร่งเทพมารขั้นสูงจึงจะสามารถทำได้ เพราะว่าแดนที่บรรลุถึงระดับนี้อย่างพวกเขา มีระยะห่างกับแดนเทพฟ้าแค่เพียงหนึ่งก้าวเท้านั้น
เทพปีศาจสยบนภาและเทวมังกรเขาทองต่างก็เตรียมการไว้ด้วยเช่นกัน ทันใดนั้นก็เพิ่มความเร็ว และหายไปจากตรงหน้า
ทันใดนั้น เทพมารทุกท่านต่างได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้น พากันเงยหน้าขึ้นไปมอง
เห็นเพียงหลัวซิวที่เมื่อครู่ต้องหยุดเดินเพราะกระดูกแตกร้าว ในเวลานี้กลับเข้าใกล้ขึ้นมาอย่างมาก ราว ๆ สิบกว่าก้าวจากที่เดิม
หลังจากนั้นถึงแม้ว่าเขาจะก้าวเดินต่อได้สิบกว่าก้าว แต่พลังกดขี่หาที่เปรียบไม่ได้ของเทพสงครามเอกภพก็ได้เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ได้หักกระดูกขาของเขาอีกครั้ง
เทพมารสิบหว่าคนจากเผ่าพันธุ์มารและเผ่าปีศาจมีแววตาอาฆาตขึ้นมา ก่อนที่เทพปีศาจสยบนภาและเทวมังกรเขาทองจะแยกออกไป ได้ทิ้งคำสั่งไว้ว่าให้พวกเขาฆ่าชายผู้นี้ทิ้งเสีย
เห็นได้ชัดว่าเทพปีศาจสยบนภาและเทวมังกรเขาทองต่างก็พบแล้วว่าศักยภาพในการเติบโตของหลัวซิวนั้นมีมากเพียงใด อัจฉริยะเช่นนี้ ในเมื่อไม่สามารถเป็นประโยชน์แก่ตนได้ ก็จำเป็นต้องหาโอกาสกำจัดทิ้งเสีย
ในเวลานี้ช่าจื่อเยียนไม่อยู่ ถึงแม้จะมีเทพมารเผ่าพันธุ์มนุษย์อยู่ที่นี่ถึงแปดคน แต่เทพมารเผ่าพันธุ์มารและเผ่าปีศาจเมื่อรวมเข้าด้วยกันแล้ว กลับมีถึง 11 คนพอดี!
ไม่เพียงเท่านั้น เผ่าพันธุ์มารและเผ่าปีศาจยังมีหนึ่งคนที่เป็นถึงผู้แข็งแกร่งเทพมารขั้นเจ็ดช่วงปลาย!
“พลังกดขี่หาที่เปรียบไม่ได้ของเทพสงครามเอกภพยิ่งแข็งแกร่งมากเพียงใด การทดสอบของข้าก็จะยิ่งได้ผลลัพธ์ที่ดีมากขึ้นเท่านั้น!”
หลัวซิวกลั่นแปรกฎชีวิตเพื่อฟื้นฟูกระดูกขาที่หัก พื้นฐานยังไม่ทันได้ฟื้นฟูได้อย่างสมบูรณ์ แต่กระดูกกลับหักไปอีกครั้ง
เป็นไปเช่นนี้อย่างต่อเนื่อง เขาหยุดอยู่ตรงที่เดิม ไม่สามารถก้าวเท้าขึ้นไปได้อีกแม้เพียงเล็กน้อย
แต่ท่าทางของเขาไม่ได้มีความหดหู่แม้แต่น้อย กลับกันแววตาคู่นั้นกลับเปล่งประกาย เต็มไปด้วยความกระฉับกระเฉง
ดังคำกล่าวที่ว่า ยิ่งกดดันมากเท่าไหร่ แรงผลักดันก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น เขาแบกรับพลังกดขี่อันน่าหวาดเกรงด้วยจุดวิกฤตของตน เช่นนั้นในเวลานี้แรงพลักดันที่เกิดขึ้นของเขาก็ถึงขีดจำกัดของตนด้วยเช่นกัน
กระดูกของเขาถูกบดขยี้ครั้งแล้วครั้งเล่า ซ่อมแซม แล้วก็ถูกบดขยี้อีกครั้ง ในกระบวนการนี้ กระดูกจะยิ่งแข็งแรงขึ้น มั่นคงขึ้น จนกระทั่งสามารถแบกรับพลังกดขี่ทั้งหมดเอาไว้ได้
ทันใดนั้น เทพมารทุกท่านตรงหน้าก็รู้สึกถึงบางอย่าง พากันหันหลังมา พบว่าเป็นหลัวซิว
“ไอ้หนุ่มยังมีชีวิตอยู่อีก อีกทั้งยังหาที่แห่งนี้เจออีก?” เทพปีศาจสยบนภารี่ตามทอง
“แม้แต่เทพมารต่างก็ตายกันไปหลายคน แต่ไอ้หนุ่มคนนี้กลับยังรอดชีวิตมาได้ตลอด โชคดีเสียเหลือเกิน” เผ่าพันธุ์มารเทวมังกรพูดเสียงเย็น
ช่าจื่อเยียนไม่ได้พูดอะไร แต่ริมฝีปากงดงามนั้นกลับมีรอยยิ้มบาง ๆ ระบายออกมา ก่อนหน้านี้นางก็กังวลว่าหลัวซิวจะตายอยู่ที่แห่งนี้ ถึงอย่างไรแต่ละคนก็ถูกวาร์ปไปยังสถานที่ที่แตกต่างกัน อันตรายก็อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
อันตรายเหล่านี้แม้กระทั่งเทพมารต่างก็เอาชีวิตไม่รอด นับประสาอะไรกับหลัวซิวที่เป็นเพียงแดนเจ้ายุทธจักร?
แต่หลัวซิวไม่เพียงแต่ยังไม่ตาย เขายังใช้ชีวิตได้อย่างสบายดี กระทั่งสามารถค้นหาที่นี่จนเจอ ไม่ได้ล่าช้าไปกว่าเทพมารอย่างพวกเขาเลย
“ผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงพวกเขาต่างเติบโตได้ขึ้นมาท่ามกลางการทดสอบชีวิตและความตาย มีอัจฉริยะบางคนที่ตายท่ามกลางการทดสอบ แต่อัจฉริยะที่ไม่ตายได้ผ่านความยากลำบากมากมาย ต่างประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในแดนที่เกินกว่าคนทั่วไปจะเอื้อมถึง”
ดวงตาคู่สวยของช่าจื่อเยียนเป็นประกายระยิบระยับ “หลัวซิว เจ้าใช่คนแบบนั้นหรือไม่?”
“หลัวซิว เจ้ามาตรงนี้”
ช่าจื่อเยียนกวักมือเรียกหลัวซิวที่อยู่ห่างไปไกลนับร้อยเมตร นำเสียงของนางแผ่วเบา ทว่ากลับลอยดังเข้ามาในหูของหลัวซิวอย่างชัดเจน
“ฮ่า ๆ ช่าจื่อเยียน เขาก็แค่เจ้าหนูแดนเจ้ายุทธจักรสามารถมีชีวิตอยู่ได้ถึงที่นี่ก็นับว่าไม่เลวแล้ว เจ้าให้เขาเดินเข้ามา ไม่ตลกไปหน่อยหรือ?” เทพมารอสูรเผ่ามังกรพูดพร้อมเสียงหัวเราะเย้ยหยัน
ภายใต้พลังกดขี่หาที่เปรียบไม่ได้ของเทพสงครามเอกภพ ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งเทพมารเดนมาถึงที่นี่ก็ยังลำบากอย่างมาก เขาย่อมไม่คิดว่าหลัวซิวที่เป็นเพียงเจ้ายุทธจักรจะสามารถเดินขึ้นมาได้
แต่ช่าจื่อเยียนกลับไม่ได้ใส่ใจ พูดน้ำเสียงนิ่งเรียบ “อย่าใช้ปัญญาอันต่ำต้อยของเจ้ามาดูถูกผู้อื่น บนโลกใบนี้มีคนบางประเภทที่ไม่สามารถใช้หลักการทั่วไปมาประเมินได้”
ความจริงแล้วนั้น หลัวซิวจะสามารถเดินขึ้นมาได้หรือไม่ ช่าจื่อเยียนก็ไม่ได้คาดหวังแต่อย่างใด นางเพียงแค่มีลางสังหรณ์บางอย่าง คิดว่าหลัวซิวจะมีความสามารถพิเศษที่เหนือหลักการทั่วไป
นางยืนอยู่บนจุดสูงสุดของผลการฝึกตนแดนเทพมารขั้นสูง แต่กลับยังไม่สามารถมองหลัวซิวผู้นี้ออกได้
หลัวซิวได้ยินคำพูดของช่าจื่อเยียน ก็ชะงักไปเล็กน้อย เขาย่อมมองออกอยู่แล้ว เทวทูตท่านนี้ที่มาจากโลกาชั้นฟ้า กำลังคิดจะทดสอบเขาอยู่
ลูกแก้วความเป็นตายสามารถคลายพลังกดขี่หาที่เปรียบไม่ได้ของเทพสงครามเอกภพ แต่หากถูกปผู้คนค้นพบว่าเขาไม่ได้รับผลกระทบจากพลังกดขี่ ย่อมก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ตัวเป็นแน่
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หลัวซิวจึงได้ผนึกออร่าลูกแก้วความเป็นตายเอาไว้ ทนรับพลังกดขี่ของเทพสงครามด้วยตนเอง ถึงแม้ว่ามันจะก้าวเดินได้อย่างยากลำบาก แต่เขาก็อยากที่จะยืมพลังกดขี่หาที่เปรียบไม่ได้ของเทพสงครามเอกภพมาเพื่อทดสอบตนเอง
เขาก้าวไปข้างหน้า ทุกย่างก้าว พลังกดขี่ก็จะยิ่งหนักขึ้นเรื่อย ๆ แม้แต่กระดูกบนร่างกายของเขาภายใต้แรงกดดันก็ยังส่งเสียงเปราะ ๆ มีสัญญาณว่าสามารถแตกหักได้ทุกเมื่อ
ถึงแม้ว่ากล้ามเนื้อร่างเนื้อของเขา ในตอนนั้นได้ชุบร่างออกมาจากวาโยสะท้านกระดูกและอนัตตาสายฟ้า ถึงอย่างนั้นก็ยังเป็นการยากที่จะรับพลังกดขี่จากที่แห่งนี้
เมื่อหลัวซิวเดินขึ้นมาได้ร้อยเก้า พลังกดขี่อันยิ่งใหญ่ที่ตระหง่านอยู่นั้น ก็ราวกับบรรลุถึงจุดวิกฤติที่เขาสามารถแบกรับได้ กระดูกขาของเขารองรับน้ำหนักทั้งตัว เป็นอย่างแรกที่อดทนไว้ไม่ไหว เสียงกระดูกัดดังสนั่น
“ข้าก็บอกแล้วว่าเขามาไม่ได้ แต่ด้วยผลการฝึกตนเจ้ายุทธจักรสามารถทำได้ถึงเพียงนี้ ก็อัศจรรย์มากแล้ว” เทพมารอสูรเผ่ามังกรพูดน้ำเสียงเยือกเย็น
“เขาดูเหมือนจะสามารถเทียบเท่าเทพมารทั่วไปได้แล้ว” เทพปีศาจสยบนภาพูดพร้อมกับหรี่ตาลง ในเวลาเดียวกัน เขาก็เหลือบตามองเทพปีศาจจากเผ่าปีศาจไม่กี่คนรอบตัวเขา
เทพปีศาจเหล่านี้ต่างก็ฝึกตนนับหมื่นปีแล้ว แต่หลัวซิวเพิ่งจะฝึกตนได้เพียงสามสิบปี ความแตกต่างนั้นสามารถจินตนาการได้
“ปัง!”
ทันใดนั้น เสียงดังสนั่นสั่นไหวดังมาจากบริเวณช่วงกลางเขา หลังจากได้ยินเสียงนั้นหลัวซิวก็เงยหน้าขึ้นไปตามทิศทางของเสียง แต่สายตากลับถูกบดบังด้วยม่านแสงวิชาห้ามค่ายกลจำนวนมาก ไม่สามารถมองแห็นได้อย่างชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น
“ท่านนาย ต้องมีใครบางคนกำลังบังคับโจมตีม่านป้องกันค่ายกล ข้าสัมผัสได้ถึงออร่าของเทวมังกร” เทพมารอสูรเหยี่ยวทองพูดเสียงเรียบ เขารู้ดีว่าหากถูกเทวมังกรรู้เข้าว่าเขายอมจำนนต่อหลัวซิว ด้วยอารมณ์ร้ายของเทวมังกรจำต้องทำลายเขาเป็นจุลอย่างแน่นอน
เทวมังกรผู้นี้คือผู้แข็งแกร่งแดนเทพมารขั้นสูงแห่งโลกมาร เขาแข็งแกร่งมากเสียจน แม้ว่าหลัวซิวจะแกร่งกว่านี้อีกสิบเท่าก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา
หลัวซิวไม่ได้เลือกที่จะทำลายค่ายด้วยตนเอง แต่เดินไปตามช่องทางที่คนก่อนหน้านี้ได้เปิดไว้แล้ว ผ่านทะลุม่านป้องกันค่ายกลวิชาห้ามที่เข้มข้นเข้าไป
จากนั้นไม่นาน หลัวซิวก็ได้มาถึงบริเวณกลางภูเขา แต่ในเวลานี้เอง จู่ ๆ ก็มีพลังกดขี่ที่น่าสะพรึงกลัวที่อย่างหาที่เปรียบไม่ได้ลอยลงมา
พลังกดขี่นี้หนักอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ มันทำให้เขารู้สึกราวกับว่ามีภูเขาหลายร้อยลูกอยู่บนหลังของเขา เป็นการยากที่จะขยับตัวแม้แต่ก้าวเดียว
กระทั่งพลังกดขี่นี้ไม่ใช่เพียงแต่เล่นงานมาที่ตัวของเขา ยังเล่นงานไปที่จิตใจของเขาด้วย ราวกับว่ายืนอยู่ต่อหน้าเทพเจ้าผู้เป็นอมตะ ในเวลานี้ได้สำแดงความยิ่งใหญ่ของตนออกมา ทำให้ผู้คนยอมจำนนและก้มคำนับต่อเขา
จิตใจของหลัวซิวประสบความทุกข์ยากมามากมาย จึงได้มั่นคงอย่างมากแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้รับผลกระทบจากออร่านี้
แต่ถึงแม้เขาจะทนได้ แต่ออร่านี้พุ่งทะลุตัวหยั่งรู้ ผลลัพธ์แบบเดียวกันเดขึ้นกับเทพมารอสูรเหยี่ยวทอง เทพมารอสูรผู้นี้ผลการฝึกตนสูงกว่าเขา แต่จิตใจกลับด้อยกว่ามาก ในเวลานี้เหงื่อท่วมทั่วตัว ราวกับกำลังจะคุกเข่าลงไปแล้ว
“นี่คือบรรยากาศของเทพสงครามเอกภพงั้นหรือ?”
หลัวซิวยืนอยู่ที่เดิม ในใจเต็มไปด้วยความชื่นชม
ถึงแม้เทพสงครามเอกภพจะตายไปแล้ว แต่ออร่าที่หลงเหลือเอาไว้ ก็ยังคงทรงพลังอย่างน่าหวาดเกรงได้ถึงเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าหากเขายังมีชีวิตอยู่ พลังต่อสู้ของเขาไม่รู้ว่าจะน่าหวั่นเกรงจนถึงแดนใด
เขาเป็นที่รู้จักในฐานะผู้แข็งแกร่งเหนือศัตรูทั้ง 800 โลก ออร่าเก่าแก่และแปรปรวน เต็มสัญญาณของความไม่เต็มใจต่อโชคชะตา
หลัวซิวก้าวไปข้างหน้า รู้สึกแค่ทุกย่างก้าวของตน พลังกดขี่ที่ต้องอดทนรับไว้นั้นก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น เรียกได้ว่าทุกย่างก้าวนั้นยากมาก
คิดจะเดินขึ้นไปถึงยอดเขาทีละก้าวเช่นนี้ ไม่รู้ว่าจะต้องไปอีกไกลแค่ไหน และไม่รู้ว่าต่อไปพลังกดขี่ที่จะต้องรับไว้นั้นจะน่ากลัวมากขึ้นอีกสักเพียงใด
ทันใดนั้น ลูกแก้วความเป็นตายที่ผสานรวมเข้าเป็นร่างเดียวกับวิญญาณดั้งเดิมก็ปลดปล่อยออร่าออกมา พลังกดขี่ก็คลี่คลายได้ในพริบตา ทำให้เขารู้สึกถึงความผ่อนคลาย
นี่ทำให้หลัวซิวรู้สึกดีใจมาก ด้วยวิธีนี้เขาสามารถขึ้นไปบนยอดเขาได้โดยปราศจากสิ่งกีดขวาง
ในเวลานี้ ดวงตาของเขาสังเกตเห็นร่างเงาหลายร่างปรากฏอยู่ข้างหน้า ห่างไปประมาณสองสามร้อยเมตร
ผู้นำคนแรก นั่นคือวีรสตรีหญิงช่าจื่อเยียน ที่ด้านหลังของเขาไม่ไกลนักมีเทพปีศาจสยบนภาและเทวมังกรเขาทอง ส่วนเทพมารคนอื่น ๆ ที่เดินตามมานั้น ก็เดินตามหลังขึ้นมาอย่างยากลำบาก
เดิมแล้วเผ่าพันธุ์มนุษย์มีเทพมารสิบคน เผ่าพันธุ์มารและเผ่าปีศาจมีเผ่าละเก้าคน หลังจากประสบเหตุการณ์ต่าง ๆ จนมาถึงเวลานี้ หลัวซิวเห็นว่าเทพมารเผ่าพันธุ์มนุษย์หายไปสองคน เผ่าพันธุ์มารหายไปสามคน เผ่าปีศาจนั้นหายไปสี่คน
ถึงแม้จะยังไม่นับเทพมารอสูรเหยี่ยวทองที่อยู่ในตัวหยั่งรู้ของเขา เทพมารที่ตายไปในครั้งนี้ ก็มีถึงแปดคน!
โลกยุทธ์ของพิภพต่ำแห่งหนึ่ง ฝึกตนด้วยอารยธรรมจนถึงที่จุดที่รุ่งเรืองสูงสุด อย่างมากที่สุดในเวลาเดียวกันก็สามารถมีเทพมารได้ประมาณสิบคน แปดคนได้ตายลงที่นี่พร้อมกัน แสดงให้เห็นว่ามันที่แห่งนี้อันตรายและโหดร้ายเพียงใด
โลกแสงดาวในทุกวันนี้ หากไม่มีสมบัติชิ้นนั้นของเทพสงครามเอกภพเป็นตัวดึงดูด ก็มีเพียงเจ้าศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ทั้งสี่และหลิวหงเทียน รวมเป็นเทพมารห้าคนเท่านั้น
นั่นก็หมายความว่า ผลการฝึกตนของเขาถึงแม้จะบรรลุถึงเจ้ายุทธจักรขั้นเก้าแล้ว แต่แดนสัมผัสรู้ยังคงอยู่ที่เจ้ายุทธจักรขั้นสาม ในช่วงเวลาที่ผลการฝึกตนและแดนสัมผัสรู้ยังไม่เทียบเท่ากันนั้น เขาไม่มีทางเลือกที่จะทำลายคอขวดของผลการฝึกตนสุ่มสี่สุ่มห้าแน่นอน
จากนั้น ก็หยิบเอาสมบัติเทพอันล้ำค่าบางอย่างที่เทพมารอสูรวานรฟ้าและเทพปีศาจนู่เจียงได้เห็บสะสมเอาไว้ออกมา ใช้ทรัพยากรขั้นสูงเหล่านี้ สังเวยแก่วงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพอีกครั้ง
อีกหนึ่งเดือนต่อมา จากการสังเวยวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพสลักร่องรอยกฎอีกครั้ง ทำให้การสัมผัสรู้กฎสองระดับความเป็นตายสำหรับหลัวซิวนั้นเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งระดับ บรรลุถึงแดนบริบูรณ์สำเร็จน้อยแล้ว ระยะห่างจากแดนบรรลุผล อยู่เพียงแค่เอื้อมเท่านั้น
โดยทั่วไปมีเพียงผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ช่วงกลางเท่านั้นจึงจะสามารถฝึกตนแดนกฎมาถึงจุด ๆ นี้ได้ ผู้แข็งแกร่งอนาคินระดับเจ้ายุทธจักรส่วนน้อยก็สามารถทำได้
เพราะฉะนั้น ถ้าไม่พึ่งการผสานของพลังสองระดับความเป็นตาย ความแข็งแกร่งของเขายังคงด้อยกว่าผู้แข็งแกร่งอนาคินระดับเจ้ายุทธจักรอยู่บ้าง
“เวลาก็ผ่านไปพอสมควรแล้ว”
หลังจากปิดขังไปสองเดือน หลัวซิวก็ออกมา แม้ว่าการพัฒนาความแข็งแกร่งในช่วงเวลาสั้น ๆ ดังกล่าวจะมีขีดจำกัดอย่างมาก แต่ภายในใจก็ยังคงคิดถึงสมบัติชิ้นนั้นที่เทพสงครามเอกภพนำมาที่โลกนี้อยู่ไม่น้อย
เทพสงครามเอกภพเรียกมันว่าเป็นโอกาสที่สามารถทำให้บรรลุถึงแดนราชาเทพหรือกระทั่งแดนที่สูงกว่านั้นได้ หลัวซิวอยากรู้เป็นอย่างมากว่า ความจริงแล้วมันคือสมบัติสิ่งใดกันแน่ ที่สามารถทำให้เทพสงครามเอกภพ ผู้แข็งแกร่งระดับนั้นให้ความสำคัญกับมันมากเช่นนี้
แต่หลัวซิวกลับไม่คิดว่าตนจะสามารถได้รับสมบัติชิ้นนั้น อีกทั้งต่อให้ได้รับมันมาจริง ๆ จะต้องตกเป็นเป้าหมายของผู้แข็งแกร่งท่านนั้นจากโลกใหญ่เป็นแน่ ต่อไปในวันข้างหน้าก็สามารถจะจินตนาการได้
“เป็นมนุษย์จะโลภมากไม่ได้ ข้ามีลูกแก้วความเป็นตายอยู่แล้ว ต่อให้ไม่ได้รับสมบัติชิ้นนั้นก็ไม่เป็นไร”
แม้จะปลอบใจตัวเองเช่นนี้ แต่ในใจจริง ๆ ของหลัวซิวก็ยังคงรู้สึกคัน ๆ ในใจอยู่ดี
“แต่ถ้าหากได้สมบัติชิ้นนั้นมาครอบครองโดยที่ไม่มีใครล่วงรู้ เช่นนี้ก็จะปล่อยไปเฉย ๆ ไม่ได้!”
หลังจากมีการคำนวณและวางแผนไว้ในใจแล้ว หลัวซิวก็ออกจากการปิดขังทันที เดินหน้าต่อไปยังส่วนลึกของห้วงกาลแดนแห่งนี้
ครั้งนี้ ตลอดทั้งทางเขาไม่ได้พบเจอกับเทพมารคนอื่น ๆ อีก และไม่รู้ว่าหากเผ่าพันธุ์มารและเผ่าปีศาจพบว่าเทพมารหายไปสามคน ในใจของเทพปีศาจสยบนภาและเผ่าพันธุ์มารเทวมังกรจะรู้สึกอย่างไร?
หลายวันต่อมา หลัวซิวก็มาถึงใจกลางห้วงกาลแดน ที่เชิงเขาของภูเขาสูงใหญ่ลูกนั้น เงยหน้ามองขึ้นไป สามารถมองเห็นตำหนักสีทองที่ยิ่งใหญ่อลังการ ตั้งอยู่ที่ยอดบนสุดของภูเขาลูกนี้
ภายในห้วงกาลแดนแห่งนี้ไม่สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ ดังนั้นจึงทำได้แค่เพียงเดินขึ้นไปจากตีนเขาเท่านั้น เขายืนอยู่ที่นี่และเงยหน้าขึ้นมอง พบว่ามีวิชาห้ามค่ายกลจำนวนมากที่ถูกทำลาย
เทพสงครามเอกภพตายตาไม่หลับ ก่อนตายยังสร้างค่ายกลเอาไว้มากมาย เพื่อไม่ให้สมบัติล้ำค่าที่เขาต้องแลกมาด้วยชีวิต ถูกผู้อื่นชิงไปได้อย่างง่ายดาย
จากเชิงเขาสู่ยอดเขา มีวิชาห้ามค่ายกลนับไม่ถ้วน
“ท่านนาย วิชาห้ามค่ายกลพวกนี้ต่างก็ถูกบังคับทำลาย” เทพมารอสูรเหยี่ยวทองโพล่หน้าออกมาจากตัวหยั่งรู้ของหลัวซิว มองไปทางวิชาห้ามค่ายกลตรงหน้าและเอ่ยปากบอก
“เทพปีศาจสยบนภาลงมือแล้ว”
หลัวซิวก็เหลือบตาขึ้นไปมอง เห็นเพียงวิชาห้ามค่ายกลในที่แห่งนี้ที่ยังคงฟื้นฟูตัวเอง มีร่องรอยของฝ่ามือปรากฏขึ้นเหนือม่านป้องกันจากแสงค่าย มีปราณปีศาจม่วงดำอันน่าหวาดกลัวไหลเวียนอยู่
วิชาห้ามที่ถูกทำลายอยู่ในตอนนี้ยังไม่ฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์ เห็นได้ชัดว่าเทพปีศาจสยบนภาเพิ่งจะเข้าไปได้ไม่นานเท่าไรนัก
ระดับของวิชาห้ามค่ายกลที่นี่สูงมาก ถึงแม้ว่าหลัวซิวก็มีกำลังที่จะทำลายได้ แต่ก็ยังต้องใช้วิธีการบางอย่าง ในเมื่อมีคนเปิดช่องทางไว้ก่อนแล้ว เขาย่อมสามารถประหยัดทั้งเวลาและพลังไปโดยปริยาย ทันใดนั้นก็พุ่งทะลุผ่านเข้าไปตรงจุดที่ม่านป้องกันวิชาห้ามค่ายกลถูกทำลาย
“หืม? เผ่าพันธุ์มารเทวมังกรก็มาแล้วหรือ?”
จากนั้นหลัวซิวก็สังเกตุเห็นม่านป้องกันค่ายกลจุดหนึ่งที่ด้านบนมีร่องรอยของกระบี่สองรอย มีออร่าของเผ่าพันธุ์มารเทวมังกรหลงเหลืออยู่
เทียบกับวิกฤติอันใหญ่หลวง ตั้งแต่เข้ามาห้วงกาลแดน นอกจากจะพบเจอผู้แข็งแกร่งเทพมารสามคน หลัวซิวไม่พบอันตรายอื่นใดที่นี่อีก
สิ่งนี้ทำให้เขาสงสัยอย่างมาก ว่ากันตามหลักด้วยวิธีการต่าง ๆ ของเทพสงครามเอกภพ เหตุใดจึงจะไม่มีการสร้างสิ่งอื่น ๆ ไว้ที่นี่?
หลัวซิวค้นหาสถานที่ที่ค่อนข้างห่างไกลและเงียบสงบ จากนั้นก็ได้สร้างค่ายกลมากมายเอาไว้ในบริเวณรอบ ๆ ที่แห่งนี้ปิดซ่อนสถานที่แห่งนี้ และเก็บซ่อนออร่า
นอกจากช่องจิตสองลูกและแก้วเทวหลายชิ้นแล้ว หลัวซิวยังได้รับแหวนเก็บของติดตัวของเทพปีศาจนู่เจียงและเทพมารอสูรวานรฟ้าอีกด้วย สมบัติมากมายด้านในนั้นมันช่างละลานตาไปหมด
ผู้แข็งแกร่งเทพมารแต่ละคนอย่างน้อยก็ต้องมีชีวิตมามากกว่าหมื่นปี การสะสมและทับถมกันเป็นเวลานับหมื่นปี ทำให้การสะสมและความมั่งคั่งของผู้แข็งแกร่งเทพมารเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์
แน่นอนว่า สิ่งที่เรียกว่าอัศจรรย์นี้ เป็นเพียงแค่คำพูดของจอมยุทธ์ระดับต่ำกว่าเทพมารลงไปเท่านั้น หากเทียบกันภายในบรรดาผู้แข็งแกร่งเทพมาร สมบัติของเทพปีศาจนู่เจียงและเทพมารอสูรวานรฟ้ามันช่างดูไม่สมเกียรติเอาเสียเลย
ในอดีตที่ผ่านมา ตัวของเขาแยกออกกลายเป็นสองร่าง ทุกร่างต่างก็มีผลการฝึกตนเป็นแดนเจ้ายุทธจักรขั้นหนึ่ง
แต่เมื่อสองร่างรวมเป็นหนึ่ง ร่างแยกทั้งสองผสานเข้ากันกลายเป็นร่างหลัก ก็ทำให้ผลการฝึกตนของร่างหลักยกระดับขึ้นไปถึงเจ้ายุทธจักรขั้นเก้าในทันที
ดูเหมือนว่าจะได้ประโยชน์มากมาย แต่ในความเป็นจริงนั้นกลับทำให้หลัวซิวไม่มีประสบการณ์ของเจ้ายุทธจักรขั้นสองถึงขั้นแปด ขาดการสัมผัสรู้ของแดนเล็กเหล่านั้น
ในระยะสั้นอาจไม่มีอะไรให้ดูมากนัก แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผลการฝึกตนยิ่งเพิ่มสูงมากขึ้น จะปรากฎปรากฎการณ์ฐานรากไม่มั่นคง กระทบต่อการเข้าแดนในอนาคต
ดังคำกล่าวที่ว่า เขื่อนยาวสามารถถูกทำลายได้ด้วยรูมดขนาดเล็ก ที่โลกยุทธ์บนเส้นทางการฝึกตนแห่งนี้ รากฐานนั้นสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด
ในการปิดขังครั้งนี้ หลัวซิวไม่ได้วางแผนว่าจะยกระดับผลการฝึกตน แต่เป็นการเติมเต็มการสัมผัสรู้ของแดนที่ขาดหายไป หากได้เติมเต็มการสัมผัสรู้ของแดนเหล่านี้ พลังของเขาก็จะสามารถเติบโตขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
ตามการแบ่งลำดับแดนโลกยุทธ์ที่สืบทอดกันมา แดนเจ้ายุทธจักรนี้จะเริ่มตระหนักรู้กฎ สัมผัสถึงความลึกลับและความแข็งแกร่งของพลังแห่งกฎ
ผู้แข็งแกร่งเจ้ายุทธจักรส่วนใหญ่ต่างก็ตระหนักรู้ระดับของกฎ เจ้ายุทธจักรกลุ่มน้อยที่มีพลังแข็งแกร่งมากสามารถบรรลุถึงระดับของกฎครอบครองช่วงต้น สำหรับเหล่าบรรดาผู้ที่สามารถยกระดับกฎสัมผัสรู้ให้ถึงแดนสำเร็จน้อยในขณะที่อยู่ในแดนเจ้ายุทธจักรได้นั้น ก็คือเหล่าอัจฉริยะไร้เทียมทานที่ล้ำค่าและหายาก
หลัวซิวก็ถือว่าเป็นอย่างหลัง ที่โลกแสงดาวเรียกได้ว่าเป็นมีเอกลักษณ์ที่หนึ่ง แต่หากอยู่ที่โลกพิภพที่สูงกว่านี้ ก็ไม่ได้ดูโดดเด่นมากถึงเพียงนั้นแล้ว
เหตุที่พลังต่อสู้ของเขาเทียบเท่าเทพมาร ได้อาศัยการผสานรวมของสองระดับความเป็นตายเกิดเป็นพลังเทพดั้งเดิม สมมุติว่าไม่พูดถึงเรื่องนี้ พลังของเขาอย่างมากที่สุดก็สามารถเทียบได้กับมหาจักรพรรดิยุทธ์ช่วงต้นเท่านั้น
“อาศัยเพียงสมบัติทรัพยากร หมายจะเพิ่มระดับผลการฝึกตนของข้านั้นยากมาก”
ทุกวันนี้ ในมือของหลัวซิวมีทรัพยากรมากมายที่สามารถยกระดับผลการฝึกตนได้ ด้วยระดับปรมาจารย์กลั่นยาระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 9 ของเขาในตอนนี้ เป็นเรื่องที่ง่ายดายมากในการกลั่นยาระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 9 จำนวนมหาศาล
แต่ยาเพิ่มระดับผลการฝึกตน เป็นกระบวนการที่ค่อยเป็นค่อยไป อีกทั้งยาชนิดเดียวกัน เมื่อปริมาณถึงระดับหนึ่งผลลัพธ์ที่ได้ก็จะลดลง
สำหรับจอมยุทธ์แล้วนั้น บางทียังไม่ถึงจุดหนึ่ง กินยาเข้าไปจำนวนมหาศาลก็ยังไม่สามารถยกระดับผลการฝึกตนได้ แต่หลัวซิวนั้นกลับไม่ใช่
เขาต้องการบรรลุจากเจ้ายุทธจักรขั้นเก้าถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ ไม่แตกต่างกับระดับความยากของการที่ผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์บรรลุถึงแดนเทพมาร
เพียงพริบตาเดียว เวลาหนึ่งเดือนก็ผ่านพ้นไป ในช่วงเวลานี้ การเพิ่มพลังของหลัวซิวมีขีดจำกีด แดนสัมผัสรู้ก็เติมเต็มถึงเพียงเจ้ายุทธจักรขั้นสามเท่านั้น
“ฝันไปเถอะ ต่อให้ตัวข้าต้องตาย ก็จะไม่มีวันยอมก้มหัวรับใช้เผ่าพันธุ์มนุษย์อย่างเจ้า!” เทพปีศาจนู่เจียงพูดเสียงเย็น
หลัวซิวไม่ได้สนใจอะไร พูดพร้อมรอยยิ้ม “เจ้ารู้หรือไม่ว่าสิ่งใดที่เรียกว่าผู้ที่เข้าใจสถานการณ์จึงจะเป็นวีรบุรุษ? เจ้าดูเทพมารอสูรเหยี่ยวทองก็เลือกยอมจำนนต่อข้าแล้ว เจ้าใช้เวลานับหมื่นปีเพื่อบรรลุเป็นเทพมารใช่เรื่องง่าย วันนี้หากต้องตายไป ทุกอย่างก็จะสูญเปล่า”
ระหว่างที่พูด เทพมารอสูรเหยี่ยวทองก็ได้ไปเก็บแก้วเทวเหล่านั้นมาแล้ว จากนั้นก็ยื่นมันให้กับหลัวซิวด้วยความเคารพ
เทพปีศาจนู่เจียงเมื่อเห็นฉากตรงหน้า สีหน้าก็พลันชะงักไปในทันที “เหยี่ยวทอง เจ้าเป็นถึงผู้แข็งแกร่งเทพมารอสูรผู้ยิ่งใหญ่ แต่กลับมารับใช้ไอ้หนุ่มจากเผ่าพันธุ์มนุษย์ตัวเล็ก ๆ เช่นนี้?”
เทพมารอสูรเหยี่ยวทองยิ้มเยือกเย็น “เทพปีศาจนู่เจียง จำนอนต่อท่านนายจึงเป็นการกระทำที่ชาญฉลาด หรือว่าเจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ? ผลการฝึกตนของท่านนายแค่เพียงแดนเจ้ายุทธจักรก็สามารถกดทับเจ้าเอาไว้ได้ หากวันใดที่นายท่านฝึกตนถึงระดับเทพมารหรือเทพฟ้า เจ้าจะรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้จำนนต่อท่านนาย”
ถึงแม้ปากจะพูดเช่นนั้น แต่ในใจของเทพมารอสูรเหยี่ยวทองกลับรู้สึกขมขื่นอย่างมาก หากมีทางให้เลือก ใครกันที่จะยินยอมกลายเป็นผู้รับใช้ของคนอื่น?
“ถุย! เหยี่ยวทองเจ้ายอมเป็นหมารับใช้ให้กับคนอื่น แต่ข้าต่อให้ตายก็ไม่มีวันยอม!” เทพปีศาจนู่เจียงคำรามดังลั่น ขับเคลื่อนพลังเทพอย่างบ้าคลั่ง หมายจะหลุดพ้นออกจากการกดทับของวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ
“ข้าไม่มีทางเชื่อว่าเจ้ายุทธจักรผู้ต้อยต่ำอย่างเจ้าจะสามารถกดข้าไว้ได้!”
ภายใต้การดิ้นรนสุดชีวิตของเทพปีศาจนู่เจียง ก็สามารถทำให้วงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพสั่นไหวได้ ราวกับกำลังจะทำให้สมบัติชิ้นนี้กระเด็นออกไป
หลัวซิวใบหน้านิ่งเรียบ “เทพปีศาจนู่เจียง ในเมื่อเจ้าไม่ยอมรับความจริง เช่นนั้นก็ถือว่าเจ้ารนหาที่ตายเองแล้วกัน!”
“ปัง!”
พลังของวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพถูกเขากระตุ้นทุกด้าน รูเล็ตขนาดมหึมาบดขยี้ลงมา เหมือนแผ่นหินเจียระไน เห็นเพียงเลือดของ เขาสาดกระเซ็นไปทั่วทั้งสี่ทิศอย่างต่อเนื่อง ราวกับกำลังจะบดขยี้ร่างของเทพปีศาจนู่เจียงให้กลายเป็นโคลน
เทพมารอสูรเหยี่ยวทองอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขนลุก หากว่าในตอนนั้นตนยังขืนแข็งข้อไม่ยอมจำนน เกรงว่าจุดจบก็คงจะไม่ต่างกับเทพปีศาจนู่เจียงในตอนนี้?
หลังจากนั้นไม่นาน ออร่าของเทพปีศาจนู่เจียงก็ยิ่งอ่อนแอลงไป สุดท้ายเหลือเพียงแค่ส่วนศีรษะเท่านั้น แต่ก็ยังคงถูกวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพบดขยี้ลงมาอย่างต่อเนื่อง
“ไม่!…… อย่าฆ่าข้า ข้ายอมจำนน!”
เมื่อเผชิญหน้ากับความตาย เทพปีศาจนู่เจียงที่ยืนอยู่บนความสิ้นหวังในที่สุดก็ยอมจำนน เขาใช้เวลาเนิ่นนานนับหมื่นปีเพื่อฝึกตนเป็นเทพมาร หากจะต้องตายไปเช่นนี้ หมื่นปีแห่งการฝึกฝนจะไปมีความหมายอะไร?
“ตอนนี้คิดจะมาจำนน? สายไป!”
หลัวซิวสีหน้าเย็นชา วงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพบดขยี้ต่อไป เกิดเสียงดังเปราะ ศีรษะของเทพปีศาจนู่เจียงก็ระเบิดออก ช่องจิตสีม่วงดำลูกหนึ่งลอยออกมา
“วืด!”
ไฟเทวสว่างในมือของหลัวซิวยิงแสงเทวออกไป ม้วนเอาช่องจิตลูกนั้นเข้ามา กดทับเอาไว้ภายในไส้ตะเกียงอัคคีเทพของไฟเทว
หลังจากการต่อสู้ครั้งนี้ ถึงแม้เขาจะไม่สามารถเก็บเทพมารอีกคนเพื่อให้เป็นผู้รับใช้ของเขาได้ แต่ก็สามารถได้รับแก้วเทวหลายชิ้น รวมถึงช่องจิตอีกสองลูก
นี่เป็นถึงช่องจิตที่แท้จริงสองลูก ไม่ใช่สิ่งที่ช่องจิตปลอมที่ได้รับมาในตอนแรกสามารถเทียบได้
“พวกเราไปต่อ”
หลัวซิวเปิดตัวหยั่งรู้ออกเก็บเทพมารอสูรเหยี่ยวทองเข้าไป ทันใดนั้นร่างก็สั่นไหว เรียกใช้กฎปริภูมิออกไปจากที่แห่งนี้อย่างรวดเร็ว
ด้วยพลังของเขาในตอนนี้ ถึงแม้จะสามารถควบคุมเทพมารช่วงต้นทั่วไปได้ แต่หากเป็นเทพมารช่วงกลางขึ้นไป นั่นก็เป็นเรื่องที่แตกต่างอย่างมาก
“สมบัติชิ้นนั้นของเทพสงครามเอกภพคงจะชิงมาไม่ได้อย่างง่ายดายเป็นแน่ ที่ว่ากันว่าการลับมีดต้องใช้เวลา แต่ก็ไม่ทำให้การตัดไม้ล่าช้า เช่นนั้นข้าเอาเวลาไปใช้ประโยชน์เพื่อยกระดับพลังผลการฝึกตนของตนก่อนยังดีเสียกว่า แล้วค่อยวางแผน”
ถึงแม้จะมีช่าจื่อเยียนคอยคุ้มครอง แต่เทพปีศาจสยบนภาและเผ่าพันธุ์มารเทวมังกรต่างก็ไม่ได้ด้อยไปกว่านางเท่าใดนัก เมื่อใดที่สมบัติชิ้นนั้นปรากฏขึ้น เกิดมหาสงครามสะเทือนฟ้าดิน ต่อให้เป็นช่าจื่อเยียนก็เกรงว่าคงจะใช้วิชาแบ่งร่างมาเพื่อป้องกันตนเอง
แทนที่จะปล่อยให้โชคชะตาของตนอยู่ในมือผู้อื่น หลัวซิวเชื่อในพลังของตนเองมากกว่า
เทพมารอสูรวานรฟ้ากลายร่างเป็นพญาวานร สูงราวสิบฟุต สวมเกราะนักยุทธ์ ในมือถือทวนวงเดือน เมื่อเห็นหลัวซิวออกโรงช่วยตนโจมตีเทพปีศาจนู่เจียง ก็อดไม่ได้ที่จะชะงักไป
ในฐานะสมาชิกเทพมารอสูร เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าพันธุ์มารมีแนวโน้มจะรวมกองกำลังกัน
“ฮ่า ๆ ท่านพี่เหยี่ยวทอง ไอ้หนุ่มเผ่าพันธุ์มนุษย์ผู้นี้รู้ความลับในม้วนหยก เจ้าฆ่านู่เจียงไปก่อน ข้าจะไปจัดการมัน!”
ระหว่างที่พูด พญาวานรก็เหาะข้ามอากาศพุ่งมาทางหลัวซิว
รอยยิ้มบนใบหน้าของหลัวซิวหายไปในทันที “เทพมารอสูรวานรฟ้า ข้ากำลังช่วยท่านอยู่ เหตุใดจึงได้คิดจะทำร้ายฆ่าเช่นนี้?”
“ตลกแล้ว! ข้ามีเทพมารอสูรเหยี่ยวทองคอยช่วย เหตุใดจึงยังต้องการให้เจ้าช่วย? อีกอย่างข้าสนใจในความลับที่เจ้ารู้เป็นอย่างมาก!”
เทพมารอสูรวานรฟ้าหัวเราะเสียงดังลั่น เขามีความมั่นใจในพลังผลการฝึกตนของตนเองอย่างมาก กางมือขนาดใหญ่ที่คลุมด้วยขนสีขาว พุ่งตรงเขามาทางหลัวซิว
ทันใดนั้นเอง เทพมารอสูรวานรฟ้าก็รู้สึกหนักที่ด้านหลังศีรษะ ร่างกายขนาดใหญ่ซวนเซ เกือบจะล้มลงกับพื้น
เขาทั้งตกใจทั้งโกรธ หันหน้ากลับไปมอง กลับเห็นเทพมารอสูรเหยี่ยวทองกลายร่างเป็นร่างเดิม อีกทั้งเมื่อครู่ยังเป็นเขาที่ลอบโจมตีตนด้วย
“ท่านพี่เหยี่ยวทอง เจ้ากำลังจะทำสิ่งใด?” เทพมารอสูรวานรฟ้าเผยสีหน้างุนงง
“น้องชายวานรฟ้า ขอโทษด้วย ข้าเองก็ไม่มีทางเลือก” เทพมารอสูรเหยี่ยวทองตาเป็นประกาย จะงอยปากเหยี่ยวแหลมคมรวดเร็วราวสายฟ้า เสียงฟุบดังขึ้นจิกลงไปบนศีรษะของเทพมารอสูรวานรฟ้า
ภาพตรงหน้าเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องพูดถึงตัวของเทพมารอสูรวานรฟ้าเองเลย แม้แต่เทพปีศาจนู่เจียงก็ยังไม่สามารถเข้าใจได้ว่ามันคือสถานการณ์ใดกันแน่
เมื่อครู่นี้ เทพมารอสูรเหยี่ยวทองยังรวมมือกันกับเทพมารอสูรวานรฟ้าเพื่อต่อกรกับตน ผ่านไปเพียงพริบตา เหตุใดเทพมารอสูรเหยี่ยวทองจึงได้ลงมือฆ่าเทพมารอสูรวานรฟ้าเสียแล้ว?
เห็นเพียงเทพมารอสูรเหยี่ยวทองจิกช่องจิตที่เปล่งประกายแวววาวขึ้นมาจากร่างศพไร้หัวของเทพมารอสูรวานรฟ้า ที่กลางช่องจิตใสสว่างราวกับลูกแก้วสามารถมองเห็นวานรเผือกตัวเล็กจิ๋วกำลังคำรามอยู่ด้วยความหงุดหงิด
หลัวซิวพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ โบกมือขึ้นเก็บศพของเทพมารอสูรวานรฟ้า นี่เป็นถึงร่างศพของเทพมารอสูร สามารถนำมากลั่นเป็นนักยุทเทพมาร แม้กระทั่งหากตกไปอยู่ในมือผู้แข็งแกร่งที่เชี่ยวชาญวิชาสมบัติค่ายกล ก็สามารถกลั่นออกมาเป็นหุ่นเชิดระดับเทพมารได้
สำหรับการอัญเชิญให้เป็นภูตมรณะ หลัวซิวกลับไม่เคยคิดมาก่อน เพราะหากกลายเป็นภูตมรณะ ผลการฝึกตนก็จะลกลงไปหนึ่งระดับ เหลือเพียงแค่พลังของระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ ไม่สามารถเอามาใช้ประโยชน์ใด ๆ ได้
“รีบสู้รีบจบ”
ช่วงเวลาเพียงพริบตาเดียวก็สามารถจัดการกับเทพมารอสูรวานรฟ้าได้ หลัวซิวและเทพมารอสูรเหยี่ยวทองก็ได้ลงมือพุ่งไปทางเทพปีศาจนู่เจียงในเวลาเดียวกัน
พลังของเทพมารอสูรเหยี่ยวทองเดิมแล้วนั้นพอ ๆ กับเทพปีศาจนู่เจียง ถึงแม้อีกฝ่ายจะอยากหนีก็ตาม แต่ด้วยความเชี่ยวชาญด้านความรวดเร็วของเทพมารอสูรเหยี่ยวทอง ก็ยังสามารถตามจับได้ทัน ไม่มีทางหลบหนีได้
แต่ถึงแม้ผลการฝึกตนของหลัวซิวจะต่ำมาก แต่พลังของวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพนั้นไม่อาจมองข้ามได้ รัศมีที่เปล่งประกายออกมาจากไฟเทวสว่าง ก็ยังสามารถทำให้เทพปีศาจนู่เจียงได้รับบาดเจ็บได้
เทพปีศาจนู่เจียงคำรามอย่างบ้าคลั่ง แต่กลับไม่สามารถหลุดพ้นได้ ทันใดนั้น เงามหึมาปรากฏขึ้นศีรษะของเขา หลัวซิวกระตุ้นพลังของวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพให้แข็งแกร่งถึงขีดสุด เกิดเสียงอึกทึก เทพปีศาจผู้นี้ถูกกดเอาไว้ด้านล่าง
เหมือนกับตอนแรกที่กดเทพมารอสูรเหยี่ยวทองเอาไว้ เทพปีศาจดิ้นรนอย่างสุดชีวิต แต่กลับถูกทับเอาไว้อย่างแน่นหนา วงล้อชีวิตราวกับภูเขา 100,000 ลูก กดทับจนแทบหายใจไม่ออก
“ให้โอกาสเจ้าหนึ่งครั้ง ยอมจำนนต่อข้า ไม่เช่นนั้นก็ตาย!” หลัวซิวยืนตรงอยู่ด้านบนวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ ก้มมองเทพปีศาจนู่เจียงจากด้านบน
เทพมารอสูรเหยี่ยวทองเห็นภาพตรงหน้า ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกความเห็นอกเห็นใจเทพปีศาจนู่เจียงในตอนนั้นที่เขาถูกกดทับ ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมจำนน
ทันใดนั้น เขารับรู้ได้ถึงการกระเพื่อมของออร่าที่พุ่งพล่าน ราวกับพายุที่รุนแรงในท้องทะเลอย่างไรอย่างนั้น
“มีผู้แข็งแกร่ระดับเทพมารกำลังต่อสู้กันอยู่”
หลัวซิวสัมผัสได้ในใจ เหลือบตาขึ้นไปมองยังทิศทางที่ออร่าถูกส่งออกมา เขาสัมผัสได้ถึงสองออร่าที่แตกต่างกัน ออร่าหนึ่งคือปราณปีศาจอันน่าขนลุก อีกหนึ่งคือปราณมารที่ทะยานขึ้นฟ้า
เขาได้หลบซ่อนออร่าในทันที จากนั้นจึงเดินเข้าไป พบว่าที่ปะมือกันอยู่นั้นก็คือเทพมารอสูรและเทพปีศาจ
ณ สถานที่ใกล้เคียงกับสนามการต่อสู้กันของผู้แข็งแกร่งเทพมารทั้งสองท่าน มีเนินเขาที่พังทลาย มีหินขนาดเท่าศีรษะคน แพรวพราวเปล่งประกายนับไม่ถ้วน ราวกับลูกแก้วใส ปลดปล่อยคลื่นความผันผวนของพลังงานที่เข้มข้นออกมา
“แก้วเทว?”
หลัวซิวถ่ายทอดสิ่งที่เขาเห็นไปยังเทพมารอสูรเหยี่ยวทองที่หลบซ่อนอยู่ในตัวหยั่งรู้ เมื่อเทพมารอสูรผู้นี้สังเกตุเห็นหินคริสตัลที่พร่างพรายเหล่านั้นอุทานออกมาด้วยความตกใจทันที
“แก้วเทวคือสิ่งใดกัน?” หลัวซิวเอ่ยถาม
“เต็มไปด้วยพลังที่บริสุทธิ์ที่สุดของฟ้าดินดั้งเดิม สามารถทำให้ผู้แข็งแกร่งระดับแดนเทพมารขึ้นไปใช้เพื่อยกระดับการฟื้นฟูพลังเทพ”
เทพมารอสูรเหยี่ยวทองอธิบาย “สิ่งแวดล้อมฟ้าดินของพิภพต่ำนั้นไม่สามารถให้กำเนิดสมบัติวิเศษประเภทนี้ได้ ที่พิภพกลางที่ข้าอาศัยอยู่เมื่อวันเก่าสมบัติประเภทนี้ก็ยังเป็นสิ่งที่พบเจอได้ยาก”
ได้ยินเช่นนั้น หลัวซิวก็รี่ตาลง ในตอนนี้ผลการฝึกตนของเขาถูกขัดขวางอยู่ที่แดนเจ้ายุทธจักร เนื่องจากการฝึกตนสองระดับความเป็นตายของเขา ทำให้การยกระดับของผลการฝึกตนนั้นยากเข็ญเป็นอย่างยิ่ง หากสามารถได้รับแก้วเทวเหล่านั้นมา ก็จะสามารถทำให้ผลการฝึกตนของเขายกระดับก้าวไปสู่ระดับใหม่ทั้งหมดได้
“เทพมารช่วงต้นสองคน แย่งเลย!”
หลังจากพึมพำอยู่สักพัก หลัวซิวก็ลงมืออย่างไม่ลังเล ปลดปล่อยเทพมารอสูรเหยี่ยวทองที่ตัวหยั่งรู้ออกมา จากนั้นก็ออกคำสั่ง “เจ้าไปลอบโจมตีเทพปีศาจตนนั้น”
“วี้!”
เทพมารอสูรเหยี่ยวทองกรีกร้องเสียงแหลม ไม้กล้าขัดขืนคำสั่งของหลัวซิว จากนั้นจึงกลายเป็นลำแสงสีทองในทันที กรงเล็บแหลมคมจู่โจมเข้าไปที่ศีรษะของเทพปีศาจ
เทพปีศาจกำลังต่อสู้อย่างดุเดือดกับฝ่ายตรงข้าม ทันใดนั้นก็สัมผัสได้ถึงลมแรงที่พัดเข้ามา อุ้งเท้าสีทองข้างหนึ่งจู่โจมไปที่กะโหลกศีรษะ ทันใดนั้นก็รู้สึกได้ว่าเวียนหัวตาลาย ตัวหยั่งรู้สั่นสะเทือน
“ใครกันกล้าลอบโจมตีข้าเทพปีศาจ?”
เขาทั้งโกรธทั้งตกใจ หมุนตัวกลับมาในทันที มีดทองเล่มหนึ่งพุ่งมาตรงหน้า เกิดเสียงดังพัฟ บนร่างกายของเขาเกิดรูกลวงที่มีเลือดไหลออกมา
“เทพมารอสูรเหยี่ยวทอง?”
เทพปีศาจคำรามด้วยความโกรธ คาดไม่ถึงว่าจะมีเทพมารอสูรโผล่ออกมาอีกคน หากต้องต่อสู้แบบหนึ่งต่อสอง แน่นอนว่าเขาย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้
ก่อนนี้เทพมารอสูรเหยี่ยวทองได้แนะนำสถานของเทพมารให้หลัวซิวฟังแล้ว แบ่งเป็นเทพปีศาจนู่เจียงจากเผ่าปีศาจและเทพมารอสูรวานรฟ้าจากเผ่าพันธุ์มาร
“ฮ่า ๆ ท่านพี่เหยี่ยวทองมาได้จังหวะพอดี พวกเราร่วมมือกัน ฆ่ามันทิ้งเสีย!” เทพมารอสูรวานรฟ้าเห็นว่ามีเทพมารอสูรเผ่าพันธุ์เดียวกันเข้ามาช่วย ก็พลันเงยหน้าขึ้นหัวเราะด้วยความได้ใจ
ภายใต้การร่วมมือจู่โจมของเทพมารอสูรทั้งสอง ทันใดนั้นก็ทำให้ เทพปีศาจนู่เจียงถูกโจมตีจนก้าวถอยหลังไปเรื่อย ๆ สิ่งนี้ทำให้เทพปีศาจโกรธจนแทบเสียสติ โบกมืออัญเชิญธงดวงวิญญาณปีศาจออกมา รับการโจมตีของเทพมารอสูร
“อย่าคิดว่ามีแค่พวกเจ้าเผ่าพันธุ์มารที่มีตัวช่วย รอให้คนจากเผ่าปีศาจมาก่อน ไอ้สัตว์เดรัจฉานอย่างพวกแกสองตัวไม่ตายดีแน่!” เทพปีศาจนู่เจียงคำรามเสียงก้อง
“ดูเหมือนเจ้าจะไม่มีโอกาสนั้นเสียแล้ว”
ในนาทีนี้เอง หลัวซิวก็ได้ปรากฏตัวขึ้นมากะทันหัน ไฟเทวสว่างยิงลำแสงเทวออกมา โจมตีเข้าไปยังบริเวณอกของเทพปีศาจนู่เจียง
เทพปีศาจนู่เจียงกระอักเลือดสดออกมา สีหน้าทั้งโกรธทั้งตกใจ คาดไม่ถึงว่าอีกผ่ายจะยังมีตัวช่วยที่สองโผล่ออกมาอีก
เขาจ้องเขม็งออกไป เมื่อสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ใช่เทพมารอสูร แต่เป็นไอ้หนุ่มคนนั้นจากเผ่าพันธุ์มนุษย์ สีหน้าก็เคร่งขรึมขึ้นมาทันที “เผ่าพันธุ์มนุษย์ ร่วมมือกับเผ่าพันธุ์มารแล้วงั้นรึ?”
สามเผ่าพันธุ์รักษาสมดุลมาเป็นเวลาหลายหมื่นปี แม้จะร่วมมือกันบ้างเป็นบางครั้ง แต่ก็ไม่มีการเป็นพันธมิตรระยะยาว สำหรับเผ่าปีศาจแล้ว หากเผ่าพันธุ์มนุษย์กับเผ่าพันธุ์มารร่วมมือกันขึ้นมา สถานการณ์จะเลวร้ายลงอย่างมาก
เทพมารอสูรเหยี่ยวทองคือแดนเทพมาร วิชาคุมมารที่เจ้ามรณะถ่ายทอดเอาไว้ เกรงว่าจะไม่สามารถควบคุมเขาได้โดยสมบูรณ์
หลัวซิวค้นหาความทรงจำของหลี่ยู่ภายในตัวหยั่งรู้ ไม่นานก็ค้นพบวิชาอาถรรพณ์ควบคุมทาสชนิดหนึ่ง วิชาอาถรรพณ์ชนิดนี้เป็นวิชาที่สืบทอดกันต่อมาในโลกมหาจักรภพ ถึงแม้จะเป็นผู้แข็งแกร่งแดนราชาเทพ หากถูกปลูกฝังวิชานี้ ต่างก็จะถูกควบคุมให้เป็นตายอยู่ในแนวคิดเดียว
วิชาอาถรรพณ์ชนิดนี้มีความซับซ้อนอย่างมาก โดยทั่วไปมีเพียงผลการฝึกตนแดนเทพมารเท่านั้นจึงจะสำแดงได้ แต่ด้วยการตระหนักรู้ของหลัวซิวใช้เวลาเพียงไม่นานก็สามารถครอบครองวิชาเบื้องต้นได้
จากนั้นเขาก็ผนึกวิชาอาถรรพณ์นี้ลงในช่องจิตของเทพมารอสูรเหยี่ยวทอง เพียงแค่เขาใช้ความคิด วิชาอาถรรพณ์นี้ก็จะทำงาน ช่องจิตของเทพมารอสูรเหยี่ยวทองก็จะแตกสลายเป็นผุยผง วิญญาณดับสูญไปในทันที
“นายท่าน!”
รับรู้ได้ว่าความเป็นความตายของตนนั้นถูกหลัวซิวควบคุมไว้ เทพมารอสูรเหยี่ยวทองเปลี่ยนร่างกลับเป็นมนุษย์ จากนั้นก็หันไปคุกเข่าคำนับต่อหลัวซิว
ด้วยสถานะของเทพมาร ในเวลานี้กลับคุกเข่าคำนับอย่างยิ่งใหญ่ ในใจของเทพมารอสูรเหยี่ยวทองก็ยังคงรู้สึกไม่ดีอย่างมาก
“ลุกขึ้นเถอะ” หลัวซิวโบกมือไปมา เขาจะเคยคิดมาก่อนได้อย่างไรว่า วันหนึ่งตนจะทำให้ผู้แข็งแกร่งระดับเทพมารคุกเข่าคำนับได้?
บาดแผลบนร่างของเทพมารอสูรเหยี่ยวทองได้รับผลกระทบจากกฎการเวียนว่ายตายเกิดดั้งเดิมจึงฟื้นฟูได้อย่างยากเย็น แต่สำหรับหลัวซิวแล้วนั้นกลับเป็นเรื่องที่จัดการได้อย่างง่ายได้
ไม่นาน บาดแผลของเทพมารอสูรเหยี่ยวทองก็ฟื้นฟูขึ้นอย่างรวดเร็ว ปีกที่ถูกวิชาห้ามค่ายกลตัดขาด หลัวซิวก็คืนให้กับเขา ต่อเข้าไปใหม่
“เจ้าเข้าไปซ่อนกายอยู่ในตัวหยั่งรู้ของข้าก่อน คอยฟังคำสั่งจากข้า” หลัวซิวเปิดตัวหยั่งรู้ที่บริเวณหว่างคิ้วออก ให้เทพมารอสูรเหยี่ยวทองเข้าไปด้านใน
แน่นอนว่าเขาไม่สามารถพาเทพมารอสูรเหยี่ยวทองเดินโอ้อวดไปทั่วได้ หากบังเอิญถูกเทวมังกรกับเทพมารอสูรคนอื่น ๆ เห็นเข้า คงจะต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่นอน
หลัวซิวมุ่งหน้าต่อไปยังตำหนักแห่งนั้นที่ปรากฏอยู่ ในเวลาเดียวกันก็สื่อสารกับเทพมารอสูรเหยี่ยวทองภายในตัวหยั่งรู้ ได้รับรู้เรื่องบางเรื่องที่ตนเคยไม่รู้
เทพมารอสูรเหยี่ยวทองกับเทวมังกร รวมถึงเทพมารอสูรคนอื่น ๆ อีกหลายคน ต่างก็มาจากพิภพกลางนภาสงัดโลกมาร
โลกพิภพที่อยู่ท่ามกลางจักรวาลที่ไม่มีที่สิ้นสุดนั้น มีโลกพิภพบางแห่งที่เผ่าพันธุ์มนุษย์ เผ่าพันธุ์มาร หรือเผ่าปีศาจมากมายหลายเผ่าพันธุ์อาศัยอยู่ร่วมกัน
แต่ก็มีบางโลกพิภพได้ประสบกับสงครามการชำระล้างและการเข่นฆ่า เหลือเพียงเผ่าพันธุ์เดียวเท่านั้นที่จะได้มีชีวิตอย่างรุ่งเรือง และเติบโตอย่างแข็งแกร่งมากขึ้น ดังเช่นการมีอยู่ของโลกโลกาอสูรฟ้าและนภาสงัดโลกมารเป็นต้น
ครั้งนี้ พิภพกลางใหญ่ทั้งสามต่างก็ส่งเทพมารลงมาเยือนที่โลกแสงดาว ในความเป็นจริงนั้นคือเพื่อบริการบุคคลผู้ยิ่งใหญ่คนเดียวกัน
นั่นคือผู้แข็งแกร่งท่านหนึ่งจากพิภพใหญ่ระดับสูง เกินกว่าเทพฟ้า มีความเป็นไปได้อย่างมากที่จะเป็นราชาเทพ
เพียงแค่คำพูดของเขาถูกส่งมายังโลกเบื้องล่าง ก็มีผู้แข็งแกร่งนับไม่ถ้วนรับใช้เขา มาหาเบาะแสของสมบัติชิ้นนั้น
แต่เทพมารอสูรเหยี่ยวทอง พวกเขาเหล่าเทพมารค้นหาสมบัติชิ้นนั้นอย่างสุดชีวิต ไม่เพียงเพื่อมอบให้เทพฟ้าด้านบน ยังทำเพื่อให้ผู้ยิ่งใหญ่ในโลกใหญ่พึงพอใจด้วย
ไม่ว่าจะเป็นเทพมารขั้นสูงที่ยืนอยู่บนยอดพีรามิดของพิภพต่ำ หรือว่าจะเป็นเทพฟ้าผู้ไร้ซึ่งคู่ต่อสู้ในพิภพกลาง ต่อหน้าผู้ที่มีอำนาจมากกว่าพวกเขา มันช่างดูน่าขำและน่าเศร้าในเวลาเดียวกัน
การแบ่งแยกระดับที่บรรลุถึงของโลกยุทธ์ การแบ่งแยกแดนกฎ หรือระดับความสูงต่ำของโลกพิภพ ทั่วทั้งจักรวาลนั้นก็เป็นเหมือนกับพีรามิดหลังหนึ่ง ทำได้แค่เพียงสู้สุดชีวิตเพื่อปีนป่ายขึ้นไปให้สูงยิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากไม่เยียบไปถึงขั้นสูงสุดเพื่อก้มมองลงมายังสิ่งมีชีวิตนับพันล้าน เช่นนั้นก็จะต้องถูกคนจากข้างบนคอยกุมชะตาชีวิตเอาไว้
ปริภูมิแห่งนี้ที่เทพสงครามเอกภพเปิดขึ้นนั้นกว้างใหญ่มาก หลัวซิวเดินหน้ามาเป็นเวลาเนินนานแล้ว ตำหนักบนภูเขาแห่งนั้นก็ยังคงเป็นเพียงแค่ภาพลาง ๆ ระยะทางยังห่างไกลอยู่มาก
“ข้าไม่ยอม! มีความสามารถก็อย่าได้เอาสมบัติชิ้นนี้มาใช้ ข้ารับรองว่าแค่เพียงอุ้งเท้าเดียวก็สามารถบีบเจ้าให้เละได้!” เทพมารอสูรเหยี่ยวทองคำราม
“อาศัยความเก่งกาจของสมบัติเอาชนะข้า ทั้งยังจะให้ข้ายอมจำนนต่อเจ้า ไร้สาระ!”
“เจ้าบอกว่าข้าใช้สมบัติมากดเจ้า เจ้าก็ใช้ผลการฝึกตนระดับเทพมารอสูรมากดข้าเช่นกันไม่ใช่หรือ?” หลัวซิวไม่ได้ใส่ใจ “ไม่ว่าจะอาศัยสมบัติก็ดี ผลการฝึกตนก็ช่าง แต่ในโลกนี้ความแข็งแกร่งเป็นที่เคารพเสมอ พลังอันแข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะเป็นนิรันดร์ ผู้ชนะเท่านั้นที่มีสิทธิ์มีเสียง”
“ก็เหมือนกับตอนนี้ หากข้าต้องการให้เจ้าตาย เจ้าก็ต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อข้ารับเอาช่องจิตของเจ้ามา หลังจากกลั่นแปรแล้วสามารถทำให้ผลการฝึกตนของข้าบรรลุแดนได้อย่างรวดเร็ว”
“มีปัญญาก็ฆ่าข้าทิ้งเสีย ต้องการให้ข้ายอมจำนน? ไม่มีทาง!” เทพมารอสูรเหยี่ยวทองยอมตายไม่ยอมสยบ
เขาเป็นถึงผู้แข็งแกร่งเทพมารอสูร ย่อมต้องมีศักดิ์และศรีเป็นของตนเอง
“เจ้าอยากตายนั้นง่ายมาก” หลัวซิวพูดพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ “แต่เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ วันนี้ข้าก็เป็นเพียงแค่ผลการฝึกตนเจ้ายุทธจักร กลับสามารถกดเทพมารอสูรอย่างเจ้าเอาไว้ได้ ในวันข้างหน้าหากข้าฝึกตนถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ หรือกระทั่งเป็นเทพมารล่ะ?”
“เจ้ามีศักดิ์ศรีในฐานะเทพมารอสูร แม้เจ้าจะตายไปก็ไม่มีทางยอมจำนนต่อข้า แต่หากเจ้าเลือกที่จะยอมรับข้าเป็นนาย วันข้างหน้าเข้าได้กลายเป็นเทพมาร หรือไปถึงแดนที่สูงยิ่งกว่านี้ แน่นอนว่าเจ้าก็จะได้รับประโยชน์อย่างไร้ที่สิ้นสุด” หลัวซิวอธิบายอย่างชัดถ้อยชัดคำ
พลังของเขาในวันนี้มากพอที่จะป้องกันตัวได้ แต่ที่โลกแสงดาวยังคงมีสิ่งที่คอยขัดแข้งขัดขาอยู่อีกมาก ยังขาดผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งมาเป็นผู้บัญชาการ ดังนั้นเขาจึงได้ว่านล้อมเทพมารอสูรผู้นี้เพื่อหมายจะให้มาเป็นผู้ช่วยอีกแรง
อย่างน้อยหากมีเทพมารอสูรผู้นี้อยู่ ต่อไปเมื่อเวลาที่เขาไม่อยู่ ก็ยังสามารถรักษาความปลอดภัยของสำนักไท่เสวียนได้
แน่นอนว่าเทพมารอสูรเหยี่ยวทองก็ไม่ได้อยากตาย เพียงแต่ว่าไม่สามารถปล่อยวางเกียรติและศักดิ์ศรีของเทพมารอสูร แต่ในเวลานี้กลับรู้สึกว่าที่หลัวซิวพูดมาก็มีเหตุผล อดไม่ได้ที่จะโอนอ่อนตามไปเล็กน้อย
“จริงด้วย เจ้าหนุ่มเจ้ายุทธจักรผลการฝึกตนสามารถเทียบเท่าเทพมาร อีกทั้งว่ากันว่าเขาฝึกตนเพียงระยะเวลาแค่สามสิบปีเท่านั้นก็สามารถมีพลังระดับนี้ได้ พรสวรรค์เช่นนี้หากอยู่ที่พิภพสูงก็นับว่าเป็นอัจฉริยะแนวหน้าแล้ว”
ลูกตาของเทพมารอสูรเหยี่ยวทองขยับไปมา แอบคิดว่า “หากเขาฝึกตนเป็นเทพมาร ก็ต้องเป็นผู้แข็งแกร่งะดับแนวหน้าท่ามกลางเทพมาร แม้กระทั่งว่าเจ้าหญิงน่ารำคาญอย่างช่าจื่อเยียนก็ยังไม่สามารถสู้ได้ ไม่แน่อาจจะมีโอกาสได้สำเร็จเป็นเทพฟ้า!”
ผู้แข็งแกร่งเทพฟ้าที่พิภพกลางเป็นสิ่งมีชีวิตที่สูงที่สุด เมื่อคิดว่าในวันข้างหน้าตนก็มีความเป็นไปได้ที่จะมีเทพฟ้าคอยเป็นกองหนุนให้ ในใจของเทพมารอสูรเหยี่ยวทองก็พลันสั่นไหวมากขึ้นกว่าเดิม
เขาก็รู้ดีกว่า มีความศักยภาพที่จะกลายเป็นเทพฟ้า ไม่ได้หมายความว่าต่อไปจะได้เป็นเทพฟ้าอย่างแน่นอน มีอัจฉริยะผู้เปล่งประกายมากมายที่ต้องตายไประหว่างเส้นทางของการเติบโต
แต่หากเลือกที่จะปฏิเสธ เทพมารอสูรเหยี่ยวทองก็สามารถแน่ใจได้เลยว่าจะต้องตายด้วยน้ำมือของหลัวซิว ไม่มีทางไว้ชีวิตตนเป็นแน่
“ได้ ข้ายินยอมที่จะรับเจ้าเป็นนาย!”
หลังจากดื้อดึงดิ้นรนอยู่ภายในใจได้ไม่นาน ศีรษะเทพมารอสูรเหยี่ยวทองก็น้อมลงมา เลือกที่จะมีชีวิตต่อไป
มุมปากของหลัวซิวเผยรอบยิ้มบาง ๆ ออกมา พร้อมกับหยักหน้า “เจ้าจะโชคดีกับการเลือกของเจ้าในวันนี้”
“อันเชิญช่องจิตของเจ้าออกมา ให้ข้าได้ปลูกวิชาห้าม” หลัวซิวเอ่ย
เทพมารอสูรเหยี่ยวทองไม่ได้ต่อต้าน ช่องจิตบินออกจากภายในร่างกายของเขา เปล่งประกายดั่งดวงอาทิตย์สีทองดวงหนึ่ง
เขาเป็นเหยี่ยวทองที่ฝึกตนสำเร็จ ฝึกตนในกฎธาตุทองหนึ่งในเบญจธาตุ
หลัวซิวมีวิชาคุมมารชนิดหนึ่ง เป็นมรดกที่เจ้ามรณะถ่ายทอดไว้ให้ แต่ตัวเจ้ามรณะเองเดิมก็เป็นเพียงแค่แดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ เพราะฉะนั้นสามวิชาใหญ่อย่างสยบมาร คุมมาร และกลั่นมารที่เขาคิดค้นขึ้นนั้น ก็สามารถตั้งเป้าหมายได้เพียงแค่กับเผ่าพันธุ์มารตั้งแต่ระดับเทพมารอสูรลงไปเท่านั้น
ประโยชน์ของตราผนึกเทพนี้ คือสามารถผนึกช่องจิตของอีกฝ่าย เมื่อผนึกพลังวิญญาณของอีกฝ่าย พลังเทพก็จะไม่สามารถใช้การได้ อีกทั้งยังไม่สามารถเรียกใช้พลังแห่งกฎอีกด้วย
เทพมารอสูรเหยี่ยวทองแบกรับการโจมตีของแสงค่ายจำนวนมหาศาล เขาไม่สามารถที่จะยกมือขึ้นมาเพื่อป้องกันการโจมตีนี้ได้เลย ถูกนิ้วของหลัวซิวที่สลักสัญลักษณ์ ผนึกลงไปบริเวณหว่างคิ้ว
“ฮึ เจ้าคิดจะโจมตีช่องจิตของข้า? บอกเจ้าตามจริง ข้าไม่เกรงกลัววิชานี้ของเจ้า เพราะช่องจิตของข้ามันไม่ได้อยู่ที่ตัวหยั่งรู้บริเวณหว่างคิ้วอยู่แล้ว” เทพมารอสูรเหยี่ยวทองหัวเราะเสียงเย็น จากนั้นร่างกายของเขาก็ร่วงลงมาบนพื้นดิน คลายการโจมตีจากวิชาห้ามค่ายกลที่ตรงอากาศนั้นได้
“งั้นหรือ?” หลัวซิวยิ้มบาง ๆ “เป็นเรื่องจริงที่ช่องจิตของเจ้าไม่ได้อยู่บริเวณหว่างคิ้ว แต่อยู่ที่จุดชีพจรของเจ้า”
ตราผนึกเทพ หากสามารถคลายได้โดยง่ายเช่นนั้น ก็คงจะไม่มีทางถูกเก็บบันทึกเอาไว้ในพลังอมตะ 36 ชนิดของตระกูลหลี่แห่งโลกมหาจักรภพ เพียงแค่ถูกพลังอมตะนี้โจมตี ออร่าวิชาตราประทับก็จะตรงเข้าไปค้นหาตำแหน่งช่องจิตของอีกฝ่ายด้วยตัวเอง จากนั้นก็ทำการผนึก
สีหน้าของเทพมารอสูรเหยี่ยวทองเหยเกขึ้นอีกครั้ง ในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ที่พูดคุยกับหลัวซิว เขาก็สัมผัสได้ว่าช่องจิตที่ถูกซ่อนเอาไว้ที่จุดชีพจร ถูกสัญลักษณ์หนึ่งห่อหุ้มไว้ พลังของวิญญาณตัวสำนึกได้รับผลกระทบอย่างใหญ่หลวงในทันที และอ่อนแอลงราว ๆ ห้าในสิบ
ที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นก็เป็นเพราะแดนผลการฝึกตนของหลัวซิวยังไม่สามารถใช้ตราผนึกเทพ ผนึกช่องจิตของเทพมารได้อย่างสมบูรณ์
แต่นี่ก็มากเพียงที่จะทำให้เทพมารอสูรเหยี่ยวทองเกรงกลัวแล้ว เขาส่งเสียงเหยี่ยวร้องออกมาครั้งหนึ่ง ไม่กล้าจะบินขึ้นไปกลางอากาศ ทำได้เพียงสาวท้าวออกวิ่ง
“คิดจะหนีหรือ?”
หลัวซิวหัวเราะเสียงเย็น ใช้หมื่นจักรวาลไร้รูปแปรเป็นพลังอมตะอีกวิชาหนึ่ง ความเร็วนั้นรวดเร็วราวกับสายฟ้า ไม่ทันไรก็ตามมาได้ทัน
เขาเอื้อมมือขนาดใหญ่ออกไป วงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพที่อยู่กลางฝ่ามือก็หมุนขึ้น พุ่งเข้าไปบดขยี้เทพมารอสูรเหยี่ยวทอง
“ปัง!”
เทพมารอสูรเหยี่ยวทองไม่ทันได้ระวังตัว ถูกวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพโจมตีเข้ากลางหลัง ครึ่งท่อนบนราวกับถูกโจมตีจนเกือบแตกสลาย ลำแสงสว่างไสวของพลังเทพยังคงเปล่งประกายอย่างต่อเนื่อง บาดแผลนั้นกลับฟื้นฟูได้ช้าเหลือเกิน。
“เห็นแก่เจ้ากว่าจะฝึกตนเป็นเทพมารอสูรได้ไม่ง่าย หากเจ้ายินยอมให้ข้าเป็นเจ้านาย วันนี้ข้าจะไว้ชีวิตเจ้าสักครั้ง” หลัวซิวคำราม วงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพลอยยู่เหนือศีรษะ ราวกับราชาเทพที่ลงมาเยือนบนโลก
เทพมารอสูรเหยี่ยวทองกระอักเลือดออกมาอึกใหญ่ สีหน้าดุร้ายน่ากลัว แสยะยิ้มพร้อมเอ่ยปาก “ข้าเป็นถึงเทพมารอสูรผู้ยิ่งใหญ่ เจ้ากลับกล้าให้ข้ายิมรับเจ้าเป็นนายงั้นรึ?”
เขาเงยหน้าคำราม รอบกลายแผ่กระจายไปด้วยออร่าอันน่าหวาดกลัว ในมือของเขามีมีดสีทองเล่มหนึ่งปรากฏขึ้น ซึ่งเป็นสมบัติที่ถูกกลั่นออกมาโดยใช้ขนนกเส้นที่แข็งแกร่งที่สุดบนร่างของเขา
“เจ้าเลือกที่จะต่อต้านข้างั้นหรือ? ผลลัพธ์ของการต่อต้านข้านั้น มีความเป็นไปได้อย่างมากว่าเจ้าอาจจะต้องถึงแก่ชีวิต”
หลัวซิวก้าวเท้าไปด้านหน้า วงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพระเบิดออกมา
“ชิ้ง!”
มีดทองฟาดลงบนวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ สะเก็ดดาวสาดกระเซ็นออกมา เทพมารอสูรเหยี่ยวทองถูกแรงกระแทกจนซวนเซถอยหลังไป แต่กลับยังคงเต็มไปด้วยความดุร้าย เดินหน้าต่อไปหมายจะสังหารอีกฝ่าย
เขาเป็นเทพมารอสูร ความเร็วนั้นรวดเร็วมาก การโจมตีราวกับลมพายุที่โหมกระหน่ำ แต่ไม่ว่าจะอาศัยความบ้าคลั่งของเขาในการจู่โจมมากสักเพียงใด ก็ยังไม่มีหนทางที่จะป้องกันการโจมตีของวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพและไฟเทวสว่างได้เลย
“ปัง!”
วงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ ภายใต้การบังคับของหลัวซิว ทันใดนั้นก็ขยายใหญ่จนมีขนาดราว ๆ ภูเขาหนึ่งลูก เสียงปังดังขึ้นหลังจากที่มันร่วงลงมาทับร่างของเทพมารอสูรเหยี่ยวทอง ทำให้ร่างกายของเขาถูกกดอยู่ด้านล่าง
“โฮก!”
เทพมารอสูรเหยี่ยวทองกรีดร้องอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งกลับกลายมาเป็นร่างดั้งเดิม นั่นคือพญาเหยี่ยวสีทองตัวหนึ่งที่มีขนาดมหึมา แต่ไม่ว่าเขาจะดิ้นรนมากเพียงใด วงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพก็ไม่ได้ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย ไม่สามารถหลุดพ้นได้
“ตอนนี้เจ้ายอมหรือยัง?” หลัวซิวเอาสองมือไขว้ไว้ด้านหลัง ยืนตรงอยู่บนวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ เหลือบตามองเทพมารอสูรเหยี่ยวทองที่ถูกกดเอาไว้ด้านล่าง
นี่คือสิ่งที่หลัวซิวใช้เทพทองเทพเหล็กและเวลาอีกกว่าสามเดือนกลั่นออกมาเป็นวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ
ร่องรอยกฎที่สลักอยู่ด้านบนนั้น แฝงไปด้วยการสัมผัสรู้ของเขาทั้งหมดต่อกฎการเวียนว่ายตายเกิดและเทพแห่งวัฏจักรชีวิต เป็นผลลัพธ์ทั้งหมดในเส้นทางการฝึกยุทธ์ที่เป็นรูปธรรม
“อืม? แค่ของขลังชิ้นหนึ่ง คิดจะต้านข้าหรือ?” เทพมารอสูรเหยี่ยวทองหัวเราะเย้ยหยัน รูเล็ตที่อยู่เหนือศีรษะหลัวซิว ถึงแม้จะดูแปลกประหลาด แต่คลื่นออร่าที่แพร่กระจายออกมานั้น กลับเป็นเพียงแค่ระดับของขลังเท่านั้น
นาทีต่อมา สีหน้าของเทพมารอสูรก็พลันเปลี่ยนเป็นตื่นกลัวขึ้นมา อุ้งเท้าของเขาฉีกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ภายใต้การบดขยี้ของวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ ไม่สามารถต้านทานได้แม้แต่น้อย
“เป็นไปได้อย่างไร?” สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป เห็นได้ชัดว่าเป็นเพียงของขลังชิ้นหนึ่ง แต่กลับสามารถทำร้ายร่างกายของเทพมารอสูรที่เทียบเท่าสมบัติเทพมารได้?
“ไม่ใช่ เมื่อครู่ข้าสัมผัสได้ถึงพลังบาง ๆ ของกฎดั้งเดิม หรือว่านี่จะไม่ใช่แค่เพียงของขลัง แต่เป็นสมบัติเทพมาร?”
ด้านหลังของเขามีปีกสีทองคู่หนึ่งงอกออกมา ภายใต้การขยับนั้นสามารถล่าถอยออกไปได้อย่างรวดเร็ว สีหน้านั้นแปรเปลี่ยนไปอย่างมาก
ในฐานะผู้แข็งแกร่งเทพมารอสูร ร่างเนื้อได้รับบาดเจ็บ ก็จะสามารถฟื้นฟูกลับมาได้ในทันที แต่อุ้งเท้าที่ถูกวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพบดขยี้นั้น กลับมีออร่าพิเศษพันล้อมอยู่ ไม่สามารถฟื้นฟูกลับมาเป็นดังเดิมได้
“เจ้าเป็นแค่เพียงแดนเจ้ายุทธจักร แต่กลับครอบครองพลังแห่งกฎดั้งเดิม? อีกทั้งยังฝึกตนสองระดับความเป็นตาย?” เทพมารอสูรคำรามเหมือนคนเสียสติ
ฝึกตนสองระดับความเป็นตาย ที่โลกแสงดาวนับตั้งแต่สมัยโบราณจนกระทั่งปัจจุบันยังไม่มีใครสามารถทำได้
แต่ที่พิภพกลาง กลับมีคนเคยทำได้ ซึ่งหลัก ๆ คือเกี่ยวข้องกับวรยุทธ์พิเศษ เป็นความลับที่ไม่ส่งต่อของกองกำลังใหญ่ขั้นสูง
การสืบทอดชั้นสูงประเภทนี้คนทั่วไปแทบจะไม่มีทางได้รับ เทพมารอสูรผู้นี้ก็เพียงแค่ได้ยินมา ไม่เคยได้เห็นกับตา
“เทพมารก็แค่เท่านี้”
หลัวซิวเดินก้าวเท้ามาด้านหน้าก้าวใหญ่ วงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพอยู่ดี ๆ ก็มีขนาดใหญ่ขึ้น ปริภูมิโดยรอบปรากฏภาพการพังทลายอันน่าหวาดกลัว
เทพมารอสูรผู้นี้ไม่กล้าต่อกรกับวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ จึงได้กระพือปีกสีทองด้านหลังเหาะหนีขึ้นไปด้านอากาศ
จากนั้น เขาสนใจเพียงแค่การหนีไป แต่กลับละเลยการมีอยู่ของวิชาห้ามค่ายกลระดับเทพที่อยู่กลางท้องฟ้า
“อ้าก!”
แสงค่ายอันน่าหวาดเกรงนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น ทำให้ปีกสีทองที่ด้านหลังของเทพมารอสูรผู้นี้ขาดสะบั้น เลือดของเทพมารอสูรสาดกระจายออกมา
หลัวซิวเห็นภาพตรงหน้า สีหน้าก็พลันขรึมลงเล็กน้อย โชคยังดีที่เขาไม่ได้ลองเหาะขึ้นไปบนอากาศ ไม่เช่นนั้นเกรงว่าจุดจบจะอนาถยิ่งกว่านี้เสียอีก
“เทพมารอสูรผู้นี้เป็นเหยี่ยวทองที่ฝึกตนสำเร็จ ปีกคู่นี้เป็นสมบัติชั้นยอดเลยทีเดียว”
หลัวซิวแววตาเป็นประกาย เอื้อมมือออกไปคว้าเอาปีกคู่นั้นที่ถูกตัดขาดทั้งยังมีเลือดหยดอยู่เก็บเข้ามา
“สารเลว!”
เทพมารอสูรเหยี่ยวทองเห็นว่าปีกของตนถูกหลัวซิวเก็บไป ก็ตระโกนคำรามด้วยความโมโห อ้าปากปล่อยลำแสงสีทองออกมา
หลัวซิวไม่ได้สนใจ โบกมือยกไฟเทวสว่างขึ้นมา บังการโจมตีของลำแสงสีทองนี้เอาไว้
บนท้องฟ้าเต็มไปด้วยวิชาห้าม เทพมารอสูรเหยี่ยวทองไม่กล้าที่จะเดินไปบนอากาศอีก รอบกายถูกแสงค่ายกรีดจนเลือดหยดเป็นทาง รีบลงมาด้านล่างอย่างรวดเร็ว
“ตราผนึกเทพ!”
หลัวซิวขับเคลื่อนหมื่นจักรวาลไร้รูป แปรพลังอมตะชนิดหนึ่ง นิ้วชี้ไปกลางอากาศสลักออกมาเป็นสัญลักษณ์ ผนึกเข้าที่หว่างคิ้วของเทพมารอสูรเหยี่ยวทอง
หมื่นจักรวาลไร้รูปที่เขาสร้างขึ้นนั้น คือการแปรเปลี่ยนไร้รูปให้เป็นหมื่นจักรวาลสรรพสิ่ง ไม่ว่าทักษะยุทธ์ระดับอมตะชนิดใด เพียงแค่ถูกเขาตระหนักรู้ ก็สามารถใช้หมื่นจักรวาลไร้รูปกลั่นแปรออกมาได้
พลังอมตะตราผนึกเทพนี้ ได้รับมาจากความทรงจำของหลี่ยู่ ผู้แข็งแกร่งเทพฟ้าท่านหนึ่งแห่งตระกูลหลี่โลกมหาจักรภพสร้างขึ้น
ถึงแม้ความทรงจำของหลี่ยู่ยังมีพลังอมตะระดับราชาเทพที่แข็งแกร่งกว่าอยู่อีก แต่ด้วยแดนผลการฝึกตนของหลัวซิวในปัจจุบัน หากะไปตระหนักรู้พลังอมตะระดับราชาเทพ ยังถือเป็นการฝืนเกินไปหน่อย
หลัวซิวไม่เข้าใจความคิดของเทพสงครามเอกภพ ม้วนหยกที่เขาได้รับมานั้นไม่ได้บ่งบอกสิ่งใดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เทียบกับเทพมารคนอื่น ๆ ที่มาถึงสถานที่แห่งนี้ เขาไม่ได้มีข้อได้เปรียบใด ๆ
ตัวสำนึกกระจายออกไป หลัวซิวสัมผัสถึงสถานการณ์ของบริเวณโดยรอบ พบว่าที่บนท้องฟ้านั้นมีวิชาห้ามบางอย่างอยู่ เมื่อใดที่เหาะขึ้นไปในอากาศ ก็จะสัมผัสเข้ากับวิชาห้ามค่ายกลเหล่านี้ พร้อมทั้งยังถูกโจมตีที่น่าหวาดกลัวอีกด้วย
ค่ายกลที่เทพสงครามเอกภพได้สร้างเอาไว้ทั้งหมด อย่างน้อย ๆ ก็ต้องเป็นค่ายเทพ ทรงพลัง เทพมารยากที่จะต้านทาน
หลัวซิวสามารถมองเห็นเงาลาง ๆ ของตำหนักได้จากที่ไกล ๆ จึงได้ตั้งเป้าหมายเอาไว้ที่แห่งนั้น และสาวเท้าเดินตรงไป
“ไอ้หนุ่มเผ่าพันธุ์มนุษย์คนนั้นหรือ?”
ไม่นานนัก หลัวซิวก็บังเอิญเจอเข้ากับคนผู้หนึ่ง ให้พูดอย่างชัดเจนคืออีกฝ่ายไม่ใช่คน แต่เป็นเทพมารอสูรผู้หนึ่งของเผ่าพันธุ์มาร
หลัวซิวมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ในเวลานี้ข้างกายของเขาไม่มีเทวทูตจื่อเยียนคอยคุ้มกัน บังเอิญพบเจอกับเทพมารคนอื่น ๆ ที่ถูกส่งมายังสถานที่ต่าง ๆ แบบสุ่ม เกรงว่าอีกฝ่ายคงจะไม่สามารถจัดการได้ง่าย ๆ
“ฮ่า ๆ คาดไม่ถึงจริง ๆ ว่าข้าจะได้มาพบกับเจ้าตามลำพังเช่นนี้ ความลับของเทพสงครามเอกภพมีเพียงเข้าคนเดียวที่ล่วงรู้ ข้าเพียงแค่ต้องจับเจ้ามาค้นจิตวิญญาณ ก็จะสามารถรับรู้ได้ทุกสิ่งอย่าง ไม่มีช่าจื่อเยียนหญิงน่ารำคาญคอยขัดแข้งขัดขา ข้าคิดจะกระทำกับเจ้าอย่างไรก็ทำได้ตามต้องการมิใช่หรือ?”
เทพมารอสูรผู้นี้ผิวปาก ทันใดนั้นที่ด้านหลังของเขาก็พลันปรากฏปีกทองขนาดมหึมา เขนนกสีทองทุกเส้นแหลมคมราวกับกระบี่ เกิดเสียงหวือพุ่งตรงเข้ามาทางหลัวซิว
เมื่ออีกฝ่ายลงมือ หลัวซิวก็สามารถสัมผัสได้ถึงออร่าของผลการฝึกตนที่เคลื่อนไหว คือแดนเทพมารขั้นสอง
“ต่อให้ไม่มีการคุ้มกันของเทวทูตจื่อเยียน เจ้าก็ทำอะไรข้าไม่ได้” หลัวซิวเผยรอยยิ้มเย้ยหยัน ฝ่ามือพลิกขึ้น หยิบเอาไฟเทวสว่างออกมา
เขาเคยต่อสู่กับจักรพรรดิหงส์ อีกฝ่ายเป็นถึงอนาคินมหาจักรพรรดิยุทธ์ พลังต่อสู้เทียบเท่าเทพมารช่วงต้น เทียบกับเทพมารอสูรผู้นี้ไม่ได้แตกต่างกันเท่าใดนัก
ในตอนนั้นสามารถสยบจักรพรรดิหงส์เอาไว้ได้ ย่อมไม่ได้เกรงกลัวเทพมารอสูรผู้นี้
ภายใต้การขับเคลื่อนของกฎชีวิต ไฟเทวแผ่กระจายแสงเทว ปกป้องรอบกาย ทำให้ขนนกสีทองทั้งหมดที่กลั่นแปรเป็นปราณกระบี่ถูกกันไว้ด้านนอก
หลังจากนั้น ฝ่ามือของหลัวซิวลูบไล้เบา ๆ ไปบนโป๊ะตะเกียงของไฟเทว เปลวไฟเทวที่บริเวณไส้ตะเกียงสั่นไหว เพลิงทองไฟเทวที่หลอมรวมเป็นเปลวเพลิงร้อนระอุถูกปล่อยออกมา
“ข้าคือเทพมารอสูร พวกเราเผ่าพันธุ์มารร่างกายแข็งแกร่ง ร่างเนื้อไม่ด้อยไปกว่าสมบัติเทพมาร เจ้าอาศัยสมบัติเทพมารชิ้นหนึ่ง จะทำอะไรข้าได้?”
เทพมารอสูรตรงหน้าตะโกนเสียงดัง ฝ่ามือกลายเป็นอุ้งเท้าสีทอง พุ่งเข้าไปจับเปลวเพลิงร้อนระอุที่ปล่อยออกมา
“พุ!”
เห็นเพียงแค่อุ้งเท้าของเทพมารอสูรผู้นี้ออกแรงจับเอาไว้ ก็ทำให้เปลวเพลิงที่ไฟเทวปล่อยออกมานั้นก็พลันดับลงอย่างสมบูรณ์
แดนเทพมารเหมือนกัน แต่เผ่าพันธุ์มารมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในด้านนี้ เพราะพวกมันมีร่างกายที่แข็งแกร่งมาแต่กำเนิด ไม่เหมือนกับเทพมารเผ่าพันธุ์มนุษย์ หากต้องการให้ร่างเนื้อสามารถเทียบเท่ากับสมบัติเทพมาร จำเป็นต้องใช้วรยุทธ์ขั้นสูงอีกทั้งยังต้องใช้ทรัพยากรมหาศาลเพื่อชุบร่าง
แต่เผ่าพันธุ์มารกลับไม่เหมือนกัน เพียงแค่ผลการฝึกตนบรรลุถึงแดนเทพมาร ร่างเนื้อก็จะกลายเป็นร่างยุทธ์เทพมาร ไม่ต้องใช้สมบัตินักยุทธ์ ร่างของตนก็คืออาวุธที่แข็งแกร่งที่สุด
“ฮ่า ๆ อยู่ต่อหน้าข้า เจ้าหนูแดนเจ้ายุทธจักรแห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์ แม้แต่คุณสมบัติที่จะให้ข้าใช้พลังยังไม่คู่ควรด้วยซ้ำ!”
เทพมารอสูรหัวเราะเสียงดัง อุ้งเท้าสีทองไม่ได้ลดการโจมตีลง ราวกับก้อนเมฆสีทอง ปกคลุมเต็มท้องฟ้า ครอบปริภูมิบริเวณรอบตัวของหลัวซิวเอาไว้
“ไฟเทวไม่ได้ผล เช่นนั้นเจ้าก็ลองสมบัติชิ้นใหม่ที่ข้าเพิ่งกลั่นเสียหน่อยเป็นไร?”
หลัวซิวไม่ได้มีสีหน้าหวาดกลัว ทันใดนั้นก็ชี้นิ้วออกไป เหนือศีรษะปรากฏเป็นรูเล็ตวงหนึ่งที่ครึ่งหนึ่งเป็นสีดำอีกครึ่งหนึ่งเป็นสีขาว
รูเล็ตชิ้นนี้แบ่งเป็นสองระดับ ครึ่งดำครึ่งขาว มีร่องรอยกฎจำนวนมหาศาลสลักอยู่ อธิบายถึงสัจธรรมไร้ที่สิ้นสุดของเส้นทางยิ่งใหญ่ กฎการเวียนว่ายตายเกิด
เทพมารถึงแม้จะแข็งแกร่ง แต่อสูรโบราณที่มีชีวิตอยู่ในอนัตตาคือศัตรูโดยธรรมชาติ กินพวกเขาเป็นอาหาร
เหล่าผู้แข็งแกร่งเทพมารที่เคยสูงส่งในวันก่อน ในใจแต่ละคนต่างเต็มไปด้วยความวิตกกังวล กลัวเพียงแค่อนัตตาเหนือศีรษะจะถูกแยกออก และกรงเล็บสีดำเงานั้นจะกำหนดจุดหมายมาที่ตน
เพียงไม่นานเวลาราวหนึ่งก้านธูปก็ผ่านไป ช่องทางอนัตตาสีดำเส้นนี้ในที่สุดก็มาถึงปลายทาง เทพมารทุกท่านที่ยังมีโชคอยู่ก็พากันเผยสีหน้าดีใจออกมา
ภายในเวลาหนึ่งก้านธูปที่ผ่านไปนั้น เทพมารทุกท่านต่างก็ได้รับการทรมานจากความกลัว ถึงแม้จะเป็นช่าจื่อเยียนและเทพปีศาจสยบนภา ผู้แข็งแกร่งระดับนี้ก็ไม่ได้แตกต่างกันที่ โชคดีก็คือ เจ้าอสูรโบราณที่หลบซ่อนอยู่ภายในอนัตตานั้นไม่ได้พุ่งโจมตีมาทางพวกเขา แต่ระหว่างทางมานี้ก็ได้กินเทพปีศาจของเผ่าปีศาจไปอีกหนึ่งคน
แต่ว่าในเวลาที่ทุกคนต่างคิดกันว่าปลอดภัย ค่ายกลขนาดมหึมาค่ายหนึ่งก็พันปรากฏขึ้นที่ที่สุดปลายทางของช่องทางอนัตตา
“แย่แล้ว!”
เมื่อค่ายกลปรากฏขึ้น แสงสว่างเป็นประกายระยิบระยับก็แผ่กระจายออกไป เทพมารทุกท่านต่างรู้สึกราวกับพบกับศัตรูตัวฉกาจ
ท่ามกลางเหล่าผู้คน มีเพียงหลัวซิวเท่านั้นที่ถือได้ว่าค่อนข้างสงบ เพราะเขาสังเกตเห็นว่าค่ายกลนี้ไม่ใช่ค่ายสังหาร แต่เป็นค่ายวาร์ป
“ซวบ! ซวบ! ซวบ!……”
ร่างเงาของผู้คนค่อย ๆ หายไปทีละคน โดยไม่รู้ว่าจะถูกส่งไปยังที่ใด
อยู่ดีดีก็ออร่าอันน่าหวาดกลัวที่ทำให้ผู้คนตื่นตระหนกมาเยือน หลัวซิวเงยหน้าขึ้นมอง ทันใดนั้นก็ขนลุกซู่ เพราะกรงเล็บของเจ้าอสูรโบราณกลืนกินเทพ ปรากฏขึ้นอยู่เหนือศีรษะของเขา
วินาทีที่กรงเล็บนี้ปรากฏขึ้น หลัวซิวก็สัมผัสได้ว่าตนนั้นถูกตรึงไว้ด้วยพลังออร่า ผลการฝึกตนถูกกดเอาไว้ มีสามารถขยับตัวได้แม้แต่น้อย
อสูรโบราณกลืนกินเทพครอบครองพลังพิเศษที่สามารถควบคุมเทพมาร แม้แต่เทพมารที่ถูกออร่าของมันตริงเอาไว้ยังไม่สามารถขยับได้แม้แต่ปลายนิ้ว ยิ่งไปกว่านั้นคือ หลัวซิวเป็นเพียงแค่เจ้ายุทธจักรตัวเล็ก ๆ เท่านั้น?
นาทีนี้เอง แสงสว่างของค่ายวาร์ปก็สว่างขึ้นที่บริเวณใต้เท้าของหลัวซิว ช่วงเวลาที่กรงเล็บดำเงาค่อย ๆ เงื้อเข้ามา ร่างของเขาก็พลัยหายไปในเสี้ยววินาที ไม่สามารถรู้ได้ว่าถูกส่งไปที่ใด
“โฮก!”
เสียงคำรามด้วยความโมโหดังออกมาจากอนัตตาไม่สิ้น กึกก้องไปทั่ว อสูรโบราณกลืนกินเทพค่อนข้างหงุดหงิดเนื่องจากอาหารของเขาหนีไปได้
……
“ฮู่……”
ริมฝั่งลำธารแห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยหินกรวด หลัวซิวหายใจหอบเฮือกใหญ่ มีความรู้สึกราวกับเพิ่งรอดชีวิตมาจากสงคราม
หากไม่ใช่ว่าค่ายกลได้ส่งเขาออกมาในเวลาแห่งความเป็นตายเช่นนั้น เขาสามารถแน่ใจได้ว่าตนจำต้องถูกอสูรโบราณกลืนกินเทพกินเข้าไปเป็นแน่ สิ่งมีชีวิตอันน่าสยอดสยองที่อาศัยอยู่ในอนัตตาและกินเทพมารเป็นอาหาร ไม่มีทางที่จะปราณีเขาเพียงแค่เพราะเขาเป็นเจ้ายุทธจักรคนหนึ่ง
เขาที่มายังที่แห่งนี้ในวันนี้ไม่ใช่ร่างแยก แต่เป็นร่างหลักที่รวมทั้งสองร่างไว้ เมื่อใดที่ตาย นั่นก็หมายถึงการตายจริง ๆ จบสิ้นทุกสิ่งอย่าง
เพราะความกดดันจากความเป็นความตาย อารมณ์แปรปรวนก็ค่อย ๆ สงบลง หลัวซิวจึงเพิ่งจะได้สังเกตุสิ่งแวดล้อมโดยรอบ
ด้านข้างคือแม่น้ำอันเชี่ยวกราก ริมฝั่งทั้งสองด้านคือภูเขาป่าไม้ที่หนาทึบ ตรงสถานที่อันไกลโพ้นสามารถเห็นเงาร่าง ๆ ของภูเขาสูงใหญ่และตำหนัก
“ห้วงกาลแดน?”
หลัวซิวหรี่ตาลง ตามบันทึกในม้วนหยก เมื่อตอนที่เทพสงครามเอกภพข้ามพิภพลงมาเยือนโลกแสงดาว ถึงแม้ร่างกายจะได้รับพิษ แต่ก็ไม่ได้เสียชีวิตทันที ด้วยผลการฝึกตนมหาศาลของเจ้าตัว ในช่วงเวลาที่ต้องเผชิญความตายได้เปิดห้วงกาลแดนแห่งหนึ่งขึ้น แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องที่สามารถกระทำได้โดยง่าย
ไม่เพียงเท่านั้น ก่อนต้องเผชิญความตาย ยังได้สร้างสิ่งต่าง ๆ เอาไว้มากมาย ทำให้สถานที่ฝังกระดูกของเขานั้นเต็มไปด้วยความอันตราย เพียงแค่เส้นทางในการเข้ามาก็สามารถฆ่าเทพมารตายไปแล้วสามคน
“ค่ายกลที่ปลายทางช่องทางอนัตตา น่าจะเป็นค่ายวาร์ปแบบสุ่ม” เมื่อมองไปรอบ ๆ ทั้งสี่ทิศพบว่ามีเพียงเขาคนเดียว หลัวซิวจึงได้คาดการณ์ออกมาเช่นนี้
เพียงแต่สิ่งที่เขารู้สึกสงสัยนั่นคือ ด้วยความสามารถของเทพสงครามเอกภพ สามารถสร้างค่ายสังหารค่ายหนึ่งเอาไว้ที่ปลายทางของช่องทางอนัตตาได้อย่างสมบูรณ์ เช่นนี้สามารถทำให้เทพมารที่บุรุกเข้ามาในที่แห่งนี้ไม่ทันได้ตั้งตัว และอาจจะบาดเจ็บหรือถึงแก่ชีวิต
แต่เขากลับทำเรื่องที่เหนือความคาดหมาย สร้างค่ายวาร์ปแบบสุ่มขึ้นมา ไม่รู้ว่าคิดสิ่งใดอยู่กันแน่?
เวลานี้เทพมารทุกท่านต่างก็ต่างรู้สึกกังวลใจเป็นอย่างมาก นี่ยังไม่สามารถค้นหาสถานที่ฝังกระดูกของเทพสงครามเอกภพได้เจอ เหล่าผู้คนต่างก็ต้องพบกับภยันอันตรายมากมายไม่หยุดหย่อน เห็นได้ชัดว่าหากต้องการที่จะหาสมบัติชั้นนั้น ก็จำเป็นที่จะต้องผ่านกระบวนการที่โหดร้ายแหละอันตรายนี้ไปเสียก่อน!
“อ้าก! อ้าก! ……”
เสียงกรีดร้องโหยหวนดังกึกก้องไปทั่วทั้งบริเวณโดยรอบช่องทางปริภูมิของอนัตตาไม่สิ้น ทำให้ไม่สามารถกำหนดได้ว่าตำแหน่งของเสียงนั้นดังขึ้นมาจากทางตำแหน่งใดกันแน่
เสียงบดเคี้ยวของกระดูกที่ถูกกัดจนแหลกดังก้องในหู ทำให้เทพมารทุกท่านต่างก็รู้สึกขนลุกขนพอง ผ่านไปชั่วครู่ เสียงหนึ่งที่ค่อนข้างแจ่มชัดเป็นพิเศษลอยเข้ามา ผู้แข็งแกร่งเทพมารจำนวนไม่น้อยต่างก็พากันตัวสั่นงันงก เพราะเสียงที่ว่านี้คือเสียงแตกร้าวของพลังเทพ!
ตายแล้ว……
ผู้แข็งแกร่งะดับเทพปีศาจผู้หนึ่งถูกกับตัวไป เพียงชั่วพริบตาก็ถูกกิน
กินผู้แข็งแกร่งเทพมารเป็นอาหาร อสูรประหลาดที่หลบซ่อนอยู่ภายในอนัตตาไม่สิ้นนั้นคืออะไรกันแน่?
เทพมารทุกท่านมีสีหน้าเคร่งขรึม แม้ว่าจะเป็นช่าจื่อเยียน เทพปีศาจสยบนภา ผู้แข็งแกร่งะดับเทพมารขั้นสูงแห่งเผ่าพันธุ์มารเทวมังกรนั้น ก็ยังขมวดคิ้วขึ้นมา
เมื่อเผชิญหน้ากับการเอ่ยถามของช่าจื่อเยียน สีหน้าของเผ่าพันธุ์มารเทวมังกรก็พลันมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปในทันที “หรือว่าจะเป็น……”
“เป็นสิ่งใด?” ทุกคนต่างก็รู้สึกสงสัย
“ข้าเคยได้อ่านบันทึกโบราณอยู่เล่มหนึ่ง ในนั้นบันทึกว่ามีอสูรโบราณอยู่ประเภทหนึ่ง อาศัยอยู่ที่อนัตตาไม่สิ้น กินเทพมารเป็นอาหาร นามว่าอสูรโบราณกลืนกินเทพ”
สีหน้าของเผ่าพันธุ์มารเทวมังกรต่างก็เผยความตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด “รีบหนี ไม่เช่นนั้นหากใครถูกจับได้ ก็มีแต่จะตายอย่างเดียวเท่านั้น!”
สามารทำให้เผ่าพันธุ์มารเทวมังกรที่มีผลการฝึกตนระดับเทพมารขั้นสูงตื่นตระหนกได้ถึงเพียงนี้ เห็นได้ชัดว่าเจ้าอสูรโบราณกลืนกินเทพที่ถูกบันทึกเอาไว้ในบันทึกโบราณนั้นเป็นสิ่งที่หน้าหวาดกลัวถึงเพียงใด
อสูรโบราณประเภทนี้เป็นอุปสรรคสำคัญของเทพมาร ครอบครองความสามารถพิเศษในการยับยั้งพลังศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่าเทพมารผู้ใดที่ถูกมันจับได้ต่างก็หมดหนทางที่หลบหนี ต้องชะตาให้ถูกจับกินเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ผู้แข็งแกร่งเทพมารทั้งหมดต่างก็เร่งความเร็วขึ้น คิดเพียงแค่จะไปที่สุดทางของช่องทางอนัตตาแห่งนี้ให้เร็วที่สุด เพื่อออกไปจากสถานที่น่าสยดสยองเช่นนี้
“ปัง!”
กรงเล็บของอสูรโบราณกลืนกินเทพฉีกอนัตตาออกเงื้อมอุ้มเท้าออกมาอีกครั้ง กรงเล็บอันแหลมคมเป็นสีสีดำเงา ครั้งนี้ได้กำหนดเป้าหมายเป็นเทพมารอสูรผู้หนึ่งจากเผ่าพันธุ์มาร
“เดรัจฉานสามหาว!”
เทวมังกรที่เป็นผู้นำของเผ่าพันธุ์มารจับความเคลื่อนไหวรอบด้านเอาไว้อยู่ตลอดเวลา เมื่อสังเกตเห็นภาพนี้ ก็ทั้งโมโหและตื่นตระหนกในทันใด
เห็นเพียงเขาตระโกรออกมาด้วยความโกรธ เขาสีทองคู่หนึ่งเหนือศีรษะลอยขึ้น กลายเป็นกระบี่คู่สีทอง ราวกับมังกรทองสองตัวพันเข้าด้วยกัน พุ่งตรงออกไปทางกรงเก็บสีสีดำเงานั้น
กระบี่เทวมังกรทองคู่นี้เป็นสิ่งที่เทพมารอสูรเผ่ามังกรเป็นผู้กลั่นขึ้นมาเองโดยใช้เขาคู่นั้นของตน พลังนั้นไร้เทียมทาน
“ชิ้ง! ชิ้ง!……”
กระบี่คู่มังกรทองฟาดฟันลงไปบนกรงเล็บสีดำเงานั้น ประกายแสงดาวไฟพุ่งกระจายไปทั่วทุกทิศทาง ปริภูมิโดยรอบแหลกสลายอย่างต่อเนื่อง แต่กรงเล็บของเจ้าอสูรโบราณกลับไม่ได้รับความบาดเจ็บแม้แต่น้อย พุ่งตรงไปทางผู้แข็งแกร่งเทพมารแห่งเผ่าพันธุ์มารผู้นั้นโดยไม่ได้รับผลกระทบแม้แต่น้อย
แต่เทพมารอสูรผู้นั้นที่ถูกเจ้าอสูรโบราณหมายตาไว้แล้วนั้น กลับดูเหมือนว่าถูกตรึงเอาไว้ที่เดิม สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว แต่กลับไม่ได้มีทีท่าว่าจะหลบไปแต่อย่างใด
“อ้าก! ……”
กรงเล็บของอสูรโบราณเงื้อกรงเล็บและยุดเขาขึ้นไป จากนั้นก็หมุนตัวกลับเข้าไปในอนัตตา
หลัวซิวมองด้วยความรู้สึกขนลุกขนพอง เหงื่อออกเต็มไปทั่วทุกอณูบนร่าง อย่างที่เทวมังกรได้พูดเอาไว้ เจ้าอสูรโบราณชนิดนี้ที่ใช้ชีวิตอยู่ในอนัตตา มีพลังพิเศษที่สามารถควบคุมเทพมารได้โดยเฉพาะ เทพมารอสูรผู้นั้นไม่สามารถหลบหนีได้ ก็เป็นเพราะถูกออร่าของอสูรโบราณนั้นตรึงขังเอาไว้ ราวกับเผชิญหน้ากับศัตรูโดยธรรมดา พลังที่ไม่มีทางต่อต้านได้ เหมือนเนื้อปลาที่ถูกสางไว้บนเขียง
“รีบหนี!”
ได้ยินเสียงขบเคี้ยวดังลอยมาจากทางอนัตตา ความหวาดกลัวนั้นยิ่งกัดกินใจของทุกคน รีบสาวเท้าวิ่งไปยังสุดทางของช่องทางอนัตตาด้วยความรวดเร็ว
ที่พิภพต่ำ เทพมารเป็นสิ่งมีชีวิตอันทรงพลังที่อยู่สูงสุดบนยอดพีรามิดทองคำ แต่ที่ช่องทางอนัตตานี้ แค่เพียงเวลาสั้นไม่กี่นาทีเทพมารกลับถูกฆ่าตายไปแล้วสองคน
“ช่าจื่อเยียน เจ้าทำเกินเหตุไปแล้ว!”
เทพปีศาจสยบนภาตะโกนออกมาอย่างโกรธจัดจากนั้นต่อยหมัดออกไปปราณปีศาจสีม่วงดำดูทรงพลังราวกับมังกร
เทพมารทุกคนที่อยู่ ณ ที่นี้ล้วนพากันเกรงกลัวเนื่องด้วยทั้งสองนี้เทพมารที่แข็งแกร่งที่สุด การต่อสู้กัน ณเวลานี้ เพื่อจะสู้ว่าใครแข็งแกร่งหรืออ่อนแอกว่ากัน?
ต่อมาพบว่าช่าจื่อเยียนนยกมืออีกข้างของนางขึ้น แล้วกดลงกลางอากาศ ปราณปีศาจสีม่วงสีดำอันยิ่งใหญ่ก็พังทลายลงทีละน้อย
“อ๊าก!……”
ในขณะนี้เทพปีศาจสยบนภาไม่มีเวลาที่จะรับมือขึ้นอีกครั้งเทพปีศาจที่ถูกจับโดยมือสีดำขนาดใหญ่ก็ได้ถูกโยนเข้าไปในปากทางเข้าของห้วงเวลานั้น
เสียงกรีดร้องโหยหวนดังออกมาจากปากทางเข้าต่อจากนั้นเทพปีศาจผู้นั้นก็พุ่งกายออกมาอีกครั้งร่างของเขาเต็มไปด้วยเลือด
“ช่าจื่อเยียนน เจ้ารังแกกันมากเกินไปแล้ว!” ใบหน้าของเทพปีศาจสยบนภาดูมืดมนอย่างยิ่ง ลูกน้องของเขาถูกโยนเข้าไปต่อหน้าต่อตาแต่เขาไม่สามารถหยุดนางได้แน่นอนว่าเขาต้องเสียหน้าอย่างไม่ต้องสงสัย
“เหล่าปีศาจของพวกเจ้าหาใช่มนุษย์รังแกเจ้าแล้วอย่างไร?”ช่าจื่อเยียนนไม่สนใจเขา รังสีเยือกเย็นบนร่างกายของนางจางหายไปเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม “ผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้าพุ่งกายออกมาจากข้างในแต่ก็ได้รับบาดเจ็บที่ผิวหนังเท่านั้นเห็นได้ว่าทางเข้าสู่ห้วงเวลานี้ถึงมีอันตรายแต่ก็ไม่ฆ่าชีวิตผู้ใด”
“เจ้า……”จมูกของเทพปีศาจสยบนภาพ่นไฟออกมาแต่เขาไม่กล้าทำอะไรกับนางโดยพลการ
เป็นเวลาหลายหมื่นปีมาแล้ว ที่เขากับเทพมารอสูรเผ่ามังกรและช่าจื่อเยียนนได้ต่อสู้กัน ทว่าไม่มีใครสามารถรับมือกับสตรีนางนี้ได้เพียงลำพัง ต่อให้ร่วมมือกันโจมตี พวกเขาก็สามารถทำได้เพียงไม่ให้ตนพ่ายแพ้อย่างราบคาบเท่านั้น
บัดนี้อาวุธของเทพสงครามเอกภพยังหาไม่พบเทพปีศาจสยบนภาพยายามอดทนต่อความโกรธของเขาเนื่องจากนี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาหักหน้ากัน
เทพมารทุกตนใช้ความสามารถต่างๆ ของตนในการป้องกันความปลอดภัย จากนั้นเดินเข้าไปในห้วงกาลเวลาทีละคนหลังจากการทดลองของเทพมารก่อนหน้า จึงรู้ว่าไม่มีอันตรายมากนัก
“พวกเจ้าตามข้ามา”
ช่าจื่อเยียนนหันมาพูดกับหลัวซิวและเดินไปที่ตรงปากทางเข้า
วินาทีที่ร่างกายสัมผัสกับทางเข้าของห้วงเวลาระลอกคลื่นถาโถมเข้ามาหลัวซิวก็ได้พบว่าเขาได้เข้ามาอยู่ท่ามกลางห้วงอวกาศ
เฉกเช่นอนัตตาไม่สิ้นที่เขาประสบมานานนับปีไม่ถ้วน ทางเหนือนภาทั้งสี่ทิศช่างแปลกประหลาดราวกับโลก 3 มิติ
ท่ามกลางพื้นที่หลากสีสันมีทางเดินสีดำมุ่งตรงไปยังด้านหน้าไม่อาจรู้ได้ว่าจุดสิ้นสุดอยู่แห่งหนใด
เมื่อเทพปิศาจตนนั้นเข้ามาในที่นี้ก็มีพลังหนึ่งอันทรงพลังถาโถมลงมาทันใด ทว่าเขาไม่ได้เตรียมตัวเอาไว้ล่วงหน้า จึงทำให้ร่างกายถูกฉีกเนื้อหนังเพราะไม่ทันป้องกันตัว
แต่เหล่าเทพมารทั้งหลายได้เตรียมการป้องกันไว้ล่วงหน้าแล้วพลังฉีกของอากาศระดับนี้จึงสามารถป้องกันได้โดยง่าย
อย่างไรก็ตามการเดินทางครั้งนี้หาได้ราบรื่น มักเกิดความปั่นป่วนในห้วงอากาศและพายุพัดกระหน่ำเป็นครั้งคราวการโจมตีนี้สามารถทำร้ายเทพมารได้ แต่ห่างไกลจากอันตรายที่หลัวซิวเคยประสบมามากนัก
“ตูม!”
ทันใดนั้นพื้นที่ซึ่งเต็มไปด้วยสีสันโดยรอบก็ค่อยๆ ถูกเปิดออกกรงเล็บสีดำสนิทยื่นออกมาคว้าเทพมารตนหนึ่งของเผ่าปีศาจไว้แล้วหดกลับเข้าไปในอนัตตาไม่สิ้น
การโจมตีอย่างกะทันหันนี้ แม้แต่เทพปีศาจสยบนภาก็ไม่มีเวลาตอบสนองแต่สิ่งที่น่าเศร้ายิ่งกว่าก็คือเทพปิศาจที่ถูกจับไปยังคงเป็นผู้โชคร้ายที่ถูกแสงสีทองโจมตีจนศีรษะแตกผู้นั้น
“นั่นมันอะไร?”
เทพปีศาจสยบนภาโกรธจัดสายเลือดอันน่าสะพรึงกลัวพุ่งออกมาจากดวงตากลมโตแต่กรงเล็บนั้นหายไปหดกลับเข้าไปในอนัตตาไม่สิ้น ไม่ทิ้งร่องรอยใดไว้เลย
“เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นกันแน่?” ช่าจื่อเยียนเองก็สังเกตเห็นฉากนั้นด้วยเช่นกันท่ามกลางสายตาอันเต็มไปด้วยความสงสัยของนาง นางมองไปทางเทพมารอสูรเผ่ามังกร
กรงเล็บที่จับเทพปิศาจนั้นเข้าไปดูเหมือนกรงเล็บของสัตว์ร้ายคาดว่าเผ่าพันธุ์มารคงจะมีความเข้าใจได้ดีกว่า
สำหรับการกลับชาติมาเกิดของเทพมาร จะมีเทพมารที่แข็งแกร่งบางตนสัมผัสได้ว่าการฝึกฝนของพวกเขามาถึงจุดสิ้นสุดแล้วและเพื่อที่จะพัฒนาให้ไปได้ไกลกว่านี้พวกเขาจึงกลับชาติมาเกิดและฝึกตนใหม่ โดยหวังว่าจะฝ่าขีดจำกัดและไปถึงแดนที่สูงขึ้นได้
หากเป็นตามปกติเทพมารจะมีอายุขัยยืนยาวตราบเท่าที่พวกเขาไม่ตาย
ฉากที่เทพมารถูกแสงสีทองโจมตีตอนนี้ทำให้เทพมารทั้งหมดดูเคร่งขรึมลงทันทีเห็นได้ว่าเทพสงครามเอกภพตายอย่างค้างคาใจ เขาไม่ต้องการให้สมบัติที่เขายอมสละชีวิตเพื่อให้ได้มา กลับพรากจากไปได้อย่างง่ายดาย
ยังไม่ทันได้เข้าไปในทางเข้าห้วงกาลเวลาก็ได้พบกับเหตุการณ์อันตรายเช่นนี้ไม่รู้ว่าสถานที่ซึ่งฝังร่างเทพสงครามเอกภพสงครามนั้นจะน่ากลัวขนาดไหน
“เถอะ!”
เทพมารอสูรเผ่ามังกรนำกระจกทองเหลืองแขวนไว้บนศีรษะของเขาแสงจากกระจกส่องไปรอบๆเพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
กระจกสีบรอนซ์นี้เป็นสมบัติของเทพมารซึ่งสามารถมองทะลุผ่านสิ่งลวงตาและเจาะทะลุสิ่งที่ซ่อนอยู่ได้ทั้งหมด
เทพมารทั้งหมดของเผ่าอสูรรวมตัวกันอยู่ด้านหลังเทวมังกรและเดินอย่างระมัดระวังไปที่ปากทางเข้าห้วงกาลเวลา
ทางเข้าห้วงกาลเวลานั้นเป็นพื้นที่ซึ่งดูไม่มั่นคงพื้นที่แห่งนี้บอบบางมากเช่นม่านน้ำแม้แต่จอมยุทธ์ธรรมดาก็สามารถข้ามผ่านเข้าไปได้
แต่หลังจากการจู่โจมของแสงสีทองเมื่อครู่ เทพมารทั้งหมดจึงได้ระมัดระวังมากขึ้นไม่มีใครกล้าที่จะดำเนินการใดๆ โดยประมาท
“เจ้าหนู เจ้าจงเข้าไปก่อน”
เทพมารที่ถูกแสงสีทองจากกระจกโจมตีเมื่อครู่ส่งสายตามามองทางหลัวซิวด้วยใบหน้าอันเคร่งขรึม “มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่รู้เนื้อหาภายในของม้วนหยกที่นี่อันตรายยิ่งนัก เหตุใดเจ้าจึงไม่บอกเราก่อนหน้านี้?”
เทพมารผู้นั้นกล่าวเช่นนี้จึงทำให้เทพมารอื่นๆมองดูหลัวซิวด้วยความสงสัย
หลัวซิวแบมือออก “ม้วนหยกนั้นบันทึกไว้เพียงที่ตั้งของสถานที่แห่งนี้ หาได้มีการกล่าวถึงอันตรายใดๆ”
“ไร้สาระ! เจ้าบอกว่าไม่มีก็ไม่มีงั้นหรือ?เหตุใดข้าต้องเชื่อเจ้าด้วย!”เทพมารตะโกนออกมาอย่างโกรธเคือง “ข้าว่าควรจะรื้อฟื้นจัดการวิญญาณของเจ้าเสียใหม่ บางทีอาจจะจำขึ้นมาได้บ้าง”
เทพมารผู้นี้มีใบหน้าที่ดุร้ายและคำพูดอันโหดเหี้ยมแต่เขากลับไม่เคยลงมือจริงจัง เพราะคนที่ยืนอยู่ข้างหลัวซิวคือเทวทูตจื่อเยียน
“ไม่มีบันทึกของสถานที่นี้ในม้วนหยกจริงหรือ?” เทวทูตจื่อเยียนเอ่ยถามหลัวซิว
หลัวซิวส่ายหน้าและยิ้มอย่างขมขื่น: “ไม่มีจริงๆม้วนหยกนั้นไม่ได้กล่าวไว้ว่าสมบัติคืออะไร”
เทวทูตจื่อเยียนพยักหน้าเมื่อได้ยินคำพูดที่ว่านั้น “หากเจ้ากล่าวว่าไม่มี นั่นก็คือไม่มี ข้าเชื่อเจ้า”
“ช่าจื่อเยียนเทพมารมากมายรวมตัวกันอยู่ที่นี่คำพูดของเจ้าหาใช่สิ่งเด็ดขาด ข้าสงสัยว่าเจ้าเด็กคนนี้ไม่ได้เอ่ยความจริง”เผ่าพันธุ์มารมังกรตะโกนขึ้นอย่างเย็นชา
นี่เป็นครั้งแรกที่หลัวซิวได้ยินชื่อจริงของเทวทูตจื่อเยียนช่าจื่อเยียนชื่อของเธออาจมาจากสิ่งนี้นี่เองมันเป็นดอกไม้ที่งดงามที่สุดในโลก
เพียงแต่ว่าดอกไม้นี้มีหนามดวงตาแวววาวงดงามแหลมคมคู่นั้นเยาะเย้ยขึ้นว่า “ข้ากล่าวเช่นไรก็เป็นเช่นนั้นหากเจ้าไม่เชื่อข้า ข้าก็ยินดีจะใช้ทุกกลยุทธ์”
แม้ว่านางจะเป็นสตรี แต่ในบัดนี้กลับเต็มไปด้วยท่าทางของผู้แข็งแกร่งซึ่งไม่มีใครเทียบได้
เทพปีศาจสยบนภาขมวดคิ้วขึ้น “ช่าจื่อเยียน เจ้าเป็นเพียงสตรีนางหนึ่ง เหตุใดจึงดุดันเช่นนี้?”
“ข้าดุดันแล้วเป็นเช่นไร? มีเพียงบุรุษเยี่ยงพวกเจ้าเท่านั้นหรือที่จะทำได้?” ช่าจื่อเยียนเอามือไขว้หลังแล้วตะโกนออกมา
“ส่วนเรื่องข้างหลังทางเข้าพื้นที่แห่งนี้มีอันตรายซ่อนอยู่หรือไม่ เจ้าเพียงส่งคนไปลองดูก็รู้ได้มิใช่หรือ?”
ดวงตาของช่าจื่อเยียนเยือกเย็นลงทันทีจากนั้นก็เห็นนางยื่นมือขาวผ่องราวหยกออกมา พลังแห่งกฎความตายสีดำก็พุ่งออกมาระหว่างฝ่ามือและนิ้วมือของนางกลายเป็นมือสีดำขนาดใหญ่แล้วยกเทพมารที่ถูกแสงสีทองเมื่อครู่โจมตีเสียจนศีรษะแตกร้าวขึ้นมาราวกับลูกเจี๊ยบ
ตอนที่เทพสงครามเอกภพยังมีชีวิตอยู่เขาสู้ชนะศัตรูแปดร้อยพิภพไปทั่วทุกสารทิศโดดเดี่ยวอยู่ยงคงกระพัน หลังจากที่ฝึกตนจนกำลังรบถึงระดับที่สูงที่สุด ทำให้ระดับค่ายกลก็สูงมากขึ้นไปด้วย
ระดับที่สูงกว่าระดับปรมาจารย์มหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น9 ก็คืออาจารย์ค่ายเทพนอกจากค่ายกลระดับเทพจะพอสามารถสร้างภูตแห่งค่ายได้แล้ว ค่ายกลปกติทั่วไป จะไม่สามารถสร้างภูตแห่งค่ายได้
พื้นที่ทางเข้าที่ซ่อนอยู่ถูกค่ายกลปิดบังอำพรางไว้ ค่ายกลนี้อยู่ระดับชั้นที่สูงมาก ถึงระดับเทพ
“เทพสงครามเอกภพตายไปเป็นหมื่นปีแล้ว ค่ายกลที่อำพรางไว้ ทำลายได้ไม่ยาก”
เทพมารอสูรเผ่ามังกรส่องกระจกทองเหลืองไปตำแหน่งที่ค่ายกลอำพรางอยู่ บวกกับการช่วยกันลงมือของบรรดาเทพมารที่อยู่ในที่นี้ ไม่นานค่ายกลที่อำพรางอยู่ก็สั่นสะเทือน ส่องแสงระยิบระยับ
ค่ายกลนี้เป็นสิ่งที่ผู้แข็งแกร่งระดับเทพฟ้าสร้างขึ้นไว้ก่อนตาย การที่เหล่าบรรดาเทพมารพยายามที่จะทำลายมันในทันทีเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย
“ปัง !”
หลังจากผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วยาม มีเสียงคำรามดังขึ้น มีการปะทุขึ้นของแสง ค่ายกลอำพรางถูกทำลายลงแล้ว
บรรดาเทพมารต่างมีสีหน้าดีใจ แต่ในตอนนี้เอง กลับมีลำแสงสีทองโผล่ออกมาจากเศษค่ายกลที่แตก ส่งเสียงดังเปาะ แล้วเจาะทะลุกลางหน้าผากของเทพมารตนหนึ่ง
ผู้แข็งแกร่งระดับเทพมารจะมีปฏิกิริยาโต้ตอบรวดเร็วได้อย่างไร ? ทำให้เทพมารตนนั้นไม่ทันได้รับมือ ทำให้ได้เห็นว่าระดับความเร็วการจู่โจมของแสงสีทองน่ากลัวเพียงใด อย่างน้อยหลัวซิวถามตัวเองว่าหากตนถูกแสงสีทองจู่โจม เขาไม่มีทางหลบหลีกไปได้อย่างแน่นอน
เทพมารที่แสงสีทองทะลุเข้าไปกลางหน้าผากมีสายตาเฉื่อยชา ต่อมากะโหลกศรีษะแตกเป็นผุยผง หมอกเลือดปลิวกระจาย
“ซวยแล้ว !”
ร่างกายที่ไร้หัวมีหัวที่เติบโตขึ้นมาใหม่อย่างรวดเร็ว เทพมารตนนี้โกรธจัดมาก ด่าออกไปไม่หยุด “โชคดีที่ช่องจิตของข้าไม่ได้ซ่อนอยู่ในตัวหยั่งรู้ เช่นนั้นเมื่อครู่คงต้องตายไปแล้ว”
ช่องจิต คือผลผลิตผลของวิญญาณดั้งเดิมที่รวมตัวกันและเปลี่ยนสภาพ มีเพียงผู้ที่อยู่ในระดับแดนเทพมารตัวสำนึกวิญญาณหลอมรวมพลังแห่งผังกฎดั้งเดิม ถึงจะสามารถกลายเป็นช่องจิต
เช่นหลัวซิวได้รับช่องจิตปลอม ที่มีคำว่า”ปลอม” ก็เนื่องจากไม่มีพลังแห่งผังกฎดั้งเดิม
นอกจากนี้แล้ว การที่ฝึกตนถึงระดับแดนเทพมาร พลังจิตแท้ก็จะหลอมรวมและเปลี่ยนสภาพกับพลังแห่งผังกฎดั้งเดิมกลายเป็นพลังเทพ
ไม่ว่าจะเป็นร่างกายหรือจิตวิญญาณขอแค่ไปถึงระดับแดนเทพมารก็จะเป็นขั้นตอนในการยกระดับชีวิต
“ผู้อาวุโส ช่องจิตไม่ต้องอยู่ในตัวหยั่งรู้ได้ด้วยหรือ ?” หลัวซิวค่อนข้างสงสัย ก็เลยเอ่ยถามเทวทูตจื่อเยียน
ช่องจิตก็คือการรวมตัวกันของวิญญาณและตัวสำนึกตัวหยั่งรู้ก็คือที่อยู่ของวิญญาณ ตามหลักแล้วช่องจิตควรจะอยู่ในตัวหยั่งรู้ถึงจะถูก
“เจ้ายังไม่ถึงระดับเขตแดนนี้แน่นอนว่าเจ้าจึงยังไม่รู้ หลังจากที่วิญญาณรวมตัวกันจนเป็นช่องจิตแล้ว ก็จะไม่อยู่ในขอบเขตวงจำกัดของตัวหยั่งรู้อีกแล้ว และช่องจิตก็คือวิญญาณดั้งเดิมของเทพมาร ขอแค่ช่องจิตไม่โดนทำลาย ก็จะสามารถสร้างร่างกายขึ้นได้ใหม่ ดังนั้นการที่จะจู่โจมฆ่าผู้แข็งแกร่งระดับเทพมาร จำเป็นต้องทำลายช่องจิตให้ได้”
ถ้าเป็นคนอื่นทั่วไป เทวทูตจื่อเยียนขี้เกียจจะมาอธิบายอะไรเยอะแยะแน่นอน แต่นางรู้สึกว่าหลัวซิวคือคนที่ถูกกำหนดให้กลายเป็นเทพมาร การที่เขาได้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับเทพมารก่อนล่วงหน้า มันเป็นประโยชน์ต่อตัวเขา
เมื่อได้ยินคำอธิบายของเทวทูตจื่อเยียนแล้ว หลัวซิวพยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ถึงตอนนี้เพิ่งจะเข้าใจว่า ตนเองค่อนข้างดูถูกผู้แข็งแกร่งเทพมารเหล่านั้นเกินไป ถ้าช่องจิตไม่โดนทำลาย ก็จะไม่มีวันตาย นี่คือเหตุผลที่ระดับเทพมารได้ชื่อว่าชั่วนิรันดร์
หลัวซิวยิ้มเบาๆ เขารู้ดีอยู่แก่ใจว่าการเดินทางครั้งนี้เป็นการเดินทางที่น่ากลัว แต่กลับไม่มีทางเลือกอื่น ทั้งหมดเป็นเพราะกำลังที่มีอยู่สู้พวกเขาไม่ได้
จะว่าไปแล้ว บนโลกนี้ เป็นโลกที่เคารพในความแข็งแกร่ง
ไม่มีพละกำลังต่อให้คุณจะเก่งกาจแค่ไหน มีศักยภาพมากเท่าไหร่ มันก็เป็นเรื่องไร้สาระเท่านั้นเอง
ก่อนที่เทพสงครามเอกภพจะตายได้ทิ้งม้วนหยกไว้ และซ่อนสมบัติชิ้นนั้นไว้ที่ไหนซักแห่งบนโลกแสงดาว โดยไม่เต็มใจ
เขาได้กล่าวไว้ในม้วนหยก หวังว่าในอนาคตจะมีคนได้สมบัติชิ้นนั้นไปฝึกตนจนได้แดนสูงๆในสักวัน และแก้แค้นให้กับเขา ฆ่าศัตรูที่แข็งแกร่งของเขา
ที่พิภพกลางเทพสงครามเอกภพเป็นผู้แข็งแกร่งในตำนาน ต่อสู้กับศัตรูอยู่ยงคงกระพันทั่วโลกมีฉายาว่าอมตะไร้ศัตรู เผ่าเทพสงครามได้ชื่อว่าเป็นเผ่าที่แข็งแกร่งที่สุดในพิภพกลาง
และคนที่แข็งแกร่งอย่างเขา ในสายตาของผู้มีพลังที่ยิ่งใหญ่ในพิภพสูง ยังคงเป็นคนที่ไม่สำคัญไม่จำเป็นต้องพูดถึง
ท่ามกลางพิภพที่มีนับไม่ถ้วนในจักรวาลมีผู้แข็งแกร่งที่อยู่ในน้ำมือของผู้แข็งแกร่งมากกว่า มีภูเขาที่สูงกว่าภูเขาสูง คุณไม่มีทางรู้เลยว่าจุดสิ้นสุดของโลกยุทธ์อยู่ที่ไหน
บางทีตอนที่คุณได้รับแดนบางขั้นตอนที่รู้สึกว่าไม่มีศัตรูคนไหนที่สู้คุณได้แล้วในโลก อาจจะมีผู้ที่แข็งแกร่งมากกว่ามีตัวตนอยู่ และสามารถทำลายคุณด้วยฝ่ามือได้ทุกเมื่อก็เป็นได้
ตำแหน่งที่ระบุไว้ในม้วนหยกอยู่ที่ใดที่หนึ่งในอาณาจักรเหนือของโลกแสงดาว
หลายหมื่นปีที่ผ่านมา ผู้แข็งแกร่งของเผ่าพันธุ์มนุษย์เผ่าปีศาจและเผ่าพันธุ์มารต่างค้นหาทุกซอกมุมของโลกแสงดาว แม้แต่อนัตตาไม่สิ้นและพิภพทั้งหลายที่อยู่รอบๆโลกแสงดาวต่างก็เคยค้นหาหมดแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถค้นพบเบาะแสอะไรเลย
มันเป็นทะเลทรายที่แห้งแล้งนับหมื่นไมล์มีสภาพการณ์เดียวกันดูเหมือนจะไม่มีความแตกต่างใดใด
แต่หลัวซิวกลับหยุดอยู่ที่นี่ มันบอกว่าที่นี่คือตำแหน่งที่มีสมบัติอยู่
“พ่อหนุ่ม เจ้าล้อพวกเราเล่นหรือไง?” เทพมารตนหนึ่งพูดด้วยความโกรธ
“ข้าว่าไอหนุ่มนี่ไม่ได้พูดความจริงเลย รีบจับตัวเขามาค้นหาจิตวิญญาณ จะได้รู้ทุกอย่าง”
“หุบปากเดี๋ยวนี้ !” เทพปีศาจสยบนภาส่งเสียงคำราม เขาเบิกตาโตราวกับระฆังทองใบใหญ่จ้องมาที่หลัวซิว “พ่อหนุ่ม เจ้าว่าอย่างไร?”
สามารถฝึกตนได้ถึงระดับเขตแดนอย่างเขา แน่นอนว่าต้องไม่ธรรมดา อีกอย่างเทพปีศาจสยบนภาต้องการจะดึงหลัวซิวเข้ามาเป็นพวกฝ่ายเผ่าปีศาจจริงๆ ในเมื่อดึงมาเป็นพวกไม่ได้ ก็พยายามที่จะไม่เป็นศัตรูด้วย เพราะความสามารถและศักยภาพของเขาเป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้งแก่สายตาอยู่แล้ว นอกจากว่าจะสามารถฆ่าเขาทิ้งไปได้มิฉะนั้นการเติบโตของเขาจะทำให้ศัตรูใดๆรู้สึกกลัว
สำหรับพิภพต่ำ โลกาอสูรฟ้าเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย แต่ท่ามกลางอณาจักรเป็นเป็นหมื่นเป็นพันในพิภพกลาง โลกาอสูรฟ้าถือว่าเป็นอาณาจักรธรรมดาๆเท่านั้นเอง
ความสงบเยือกเย็นของเทพปีศาจสยบนภา ทำให้หลัวซิวเปลี่ยนแปลงมุมมองใหม่ เทพมารผู้แข็งแกร่งตนนี้ นอกจากข้อบกพร่องของนิสัยโดยกำเนิดที่มีอยู่ส่วนน้อยแล้วเขามีจิตใจที่ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
“เทพสงครามเอกภพสูญเสียชีวิตก็เพื่อสมบัติชิ้นนี้ ด้วยความไม่เต็มใจ เขาไม่มีทางทำให้สมบัติชิ้นนี้ถูกค้นหาเจอได้ง่ายๆอย่างแน่นอน”
หลัวซิวยิ้มแล้วพูดอธิบาย พร้อมชี้นิ้วลงไปด้านล่าง “ตรงนี้มีวิชาห้ามค่ายกลที่ซ่อนอยู่”
สิ้นสุดเสียงพูด บรรดาเทพมารที่อยู่ที่นี่ต่างรวบรวมพลังเทพผังกฎดั้งเดิมกลายเป็นเส้นแสงสาดส่องออกไป แต่กลับไม่พบเจอสิ่งใด
เทพมารอสูรเผ่ามังกรตนนั้นขมวดคิ้ว กระจกทองเหลืองลอยออกมาส่องแสงศักดิ์สิทธิ์ระยิบระยับไปยังตำแหน่งที่หลัวซิวชี้ ทันใดนั้นลายค่ายที่อำพรางอยู่ก็ปรากฏขึ้นมีพื้นที่ทางเข้าที่รางเลือนซ่อนอยู่ในนั้น
“ที่แท้ก็อยู่ที่นี่นี่เอง !”
เหล่าเทพมารต่างส่งเสียงอุทานด้วยความตกตะลึง ตัวสำนึกของพวกเขากวาดไปหลายพันครั้งก็ไม่มีการค้นพบใดใด เห็นได้ว่าวิชาห้ามค่ายกลนี้ซ่อนเร้นไว้ลึกมาก
แม้ว่าเทพมารอสูรเผ่ามังกรจะมีกระจกเทพ แต่ก็ไม่มีทางที่จะค้นพบความ แปลกประหลาดได้ในทุกๆที่ และไม่ได้ฝึกตนมามากพอที่จะใช้กระจกเทพส่องไปในทุกที่ทั่วทั้งโลกแสงดาว
สามารถพูดได้โดยไม่ลังเลว่า ถ้าไม่มีคำแนะนำจากม้วนหยก ต่อให้ผ่านไปอีกหมื่นปีก็ไม่สามารถค้นหาที่นี่เจอ
เพราะศิษย์สำนักไท่เสวียนก็ไม่ได้มีมากมายผลการฝึกตนสูงที่สุดอย่างเหยียนเยว่เอ๋อร์และเหยียนซีโรว่ ก็อยู่เพียงแค่แดนเจ้ายุทธจักรเท่านั้นเอง แต่สมบัติที่เหล่านี้ที่เขาทิ้งเอาไว้ มันมีมากพอให้ชายหญิงสองคนนี้ได้ฝึกตนถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์
วงศ์ตระกูลของหลัวซิวในตอนนี้อุดมสมบูรณ์อย่างที่สุด แต่เขารู้ดีว่า พิภพต่ำมีทรัพยากรอย่างจำกัด มักยากมากที่จะทำให้ผลการฝึกตนของเขาเลื่อนขั้นได้อย่างรวดเร็ว มีเพียงโอกาสอันน้อยนิด ที่จะทำให้เขาเลื่อนขั้นและเข้าแดนได้อย่างรวดเร็ว
เขาหกระเหินเดินฟ้าเดินออกจากแดนตำหนักจื่อที่นอกอนัตตาบรรดาเทพมารทั้งหลายต่างมาถึงกันแล้ว นอกจากสิบสี่ตนก่อนหน้านี้ เทพมารของทั้งสามเผ่าก็มาถึงกันบ้างแล้ว
เผ่าพันธุ์มนุษย์ฝั่งนี้มีเทพมารเพิ่มขึ้นสี่ตน กลับไม่ใช่เทพมารที่อยู่ที่โลกแสงดาว แต่เป็นเทพมารที่ตามเทวทูตจื่อเยียนลงมาจากโลกเสวียนเทียน
นอกจากนี้เผ่าพันธุ์มารและเผ่าปีศาจเองก็มีเทพมารมาอีกห้าตน หนึ่งในนั้นมีออร่าของความเป็นผู้นำแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ราวกับสามารถทัดเทียมกับเทวทูตจื่อเยียนได้
เทพมารแดนขั้นสูงฝึกจิตขั้น9!
หลัวซิวหดรูม่านตาลง ผู้แข็งแกร่งระดับนี้ เป็นภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่สำหรับเขา เขาจำเป็นต้องระวังตัวให้มากๆ
เขาไม่ได้พูดเกี่ยวกับการให้เทพมารสิบสี่ตนที่เพิ่งมาใหม่มอบสมบัติเป็นค่าตอบแทน ของที่เขาได้มาก่อนหน้านี้มีมากพออยู่แล้ว มากเกินไปก็ไม่ดี เขาเข้าใจตรรกะนี้เป็นอย่างดี
“ท่ามกลางโลกแสงดาวเล็กๆนี้ กลับปรากฏคนที่อัจฉริยะอย่างเจ้า พ่อหนุ่มไม่คิดเข้าร่วมเผ่าปีศาจของเราหรอกหรือ ?”
หนึ่งในเทพมารของเผ่าปีศาจ ผู้ชายในชุดเกราะสีม่วงและสีดำ ทั่วทั้งร่างกายเต็มไปด้วยกลิ่นอายปีศาจร่องรอยของความชั่วร้ายโงนเงนอยู่ข้างหลังเขากลายเป็นมังกรอสูรโหดร้ายและน่ากลัวมีกลิ่นอายหยาบคาย
“ข้าคือเทพปีศาจสยบนภา มาจากโลกาอสูรฟ้า ขอแค่เจ้าพยักหน้า ข้าก็จะแนะนำให้เจ้าไปที่โลกาอสูรฟ้าจะได้รับการฝึกอบรมที่สำคัญ จนกลายเป็นเทพมาร และอาจจะได้เป็นถึงเทพฟ้าก็เป็นได้” เทพปีศาจสยบนภากล่าว
ถึงแม้หลังซิวจะเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์แต่เผ่าปีศาจมีวิธีการลับที่สามารถเปลี่ยนเลือดของมนุษย์เป็นเลือดของปีศาจได้
เนื่องจากเรื่องของแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่ ทำให้หลัวซิวไม่ได้รู้สึกดีกับเผ่าปีศาจเลยแม้แต่น้อย ด้วยเหตุนี้เขาจึงปฏิเสธโดยไม่ลังเล : “ข้ารู้สึกว่าเป็นคนก็ดีอยู่แล้ว”
“หืม ? เจ้ากล้าปฏิเสธข้า แถมยังกล้าพูดอ้อมค้อมด่าว่าข้าไม่ใช่คน ?”เทพปีศาจสยบนภาโกรธมังกรอสูรนับสิบที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาต่างพากันส่งเสียงคำรามด้วยความโกรธ สะเทือนไปทั้งท้องฟ้า
“ฮ่าๆๆ เทพปีศาจสยบนภาเผ่าปีศาจของท่านเดิมทีก็ไม่ใช่คนอยู่แล้ว พ่อหนุ่มคนนี้พูดไม่ผิด”
หนึ่งในเผ่าพันธุ์มารเทพมารอสูรที่มีเขามังกรสูงตระหง่านอยู่บนหัวส่ายหน้าแล้วหัวเราะเสียงดัง “เผ่าพันธุ์มารของข้าเองก็ไม่ใช่คน มีความจำเป็นอะไรที่จะไม่ยอมรับ ?”
ในระหว่างที่พูด ดวงตาสีทองคู่นั้นของเทพมารอสูรเผ่ามังกรก็จ้องมาที่หลัวซิว “พ่อหนุ่มเข้าร่วมเผ่าพันธุ์มารของข้าดีกว่า ข้าจะให้เลือดของเทพมังกรแก่เจ้า ผนึกเลือดของมนุษย์และมังกรเข้าด้วยกัน ความสามารถของเจ้าจะแข็งแกร่งขึ้น”
“ขอบคุณในความหวังดี ข้าคิดว่าเป็นคนก็ดีอยู่แล้ว”หลัวซิวยังคงพูดคำเดิม
“เจ้ากล้าไม่ไว้หน้าเทพมังกร ?” เทพมารอสูรเผ่ามังกรมีสีหน้าโกรธ “เชื่อหรือไม่ว่าเทพมังกรอย่างข้าสามารถบดขยี้เจ้าให้ตายได้เป็นหมื่นครั้ง ?”
“โอ้อวดกำลังต่อหน้าข้า เห็นว่าข้าไม่มีตัวตนหรือไง ?” เทวทูตจื่อเยียนยิ้มเย็นชาแล้วพูดขึ้น
“แม่หนูจื่อเยียน ถึงแม้เจ้าจะเก่งกาจ แต่ยังไงก็สู้การร่วมมือของข้าและเทพปีศาจสยบนภาไม่ได้ !” เทพมารอสูรเผ่ามังกรพูดขึ้น
“พวกเจ้าจะลองดูก็ได้นะ”เทวทูตจื่อเยียนไม่มีท่าทีเกรงกลัว “สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือไปหาสถานที่ตั้งสมบัติชิ้นนั้นของเทพสงครามเอกภพให้เจอ ถึงตอนนั้นสมบัติจะตกเป็นของใคร ก็จะมีโอกาสให้พวกเจ้าและข้าได้ประลองฝีมือกัน”
พูดจบ สายตาของนางก็ตกมาอยู่ที่หลัวซิว สายตาเทพมารตนอื่นๆยี่สิบกว่าตนต่างก็จับจ้องมา แฝงด้วยกลิ่นอายความกดดันของเทพมาร
“ทุกท่านตามข้ามาเถอะ”
การมอบของขวัญในโลกกฎดั้งเดิมแต่ละครั้ง สำหรับหลัวซิวแล้วช่างมีความหมายพิเศษยิ่งนัก
หลังผ่านการกลับชาติมาเกิดในคราวนี้ แม้ว่าเมื่อชาติที่แล้วจะเป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆ เพียง 20 กว่าปี สู้ไม่ได้กับชีวิตนี้ของเขาที่ยาวนานสี่สิบกว่าปี แต่กลับเก็บเกี่ยวผลประโยชน์มหาศาล
พลังอมตะและวรยุทธ์ต่างในโลกมหาจักรภพ เคล็ดวิชาต่างๆ เข้าล้วนได้รับมาเพราะความทรงจำเดิมของหลี่ยู่
หลี่ยู่เป็นบุตรชายคนเดียวของหัวหน้าตระกูลหลี่ และเป็นทายาทเพียงคนเดียวของผู้สืบทอดสายตรงตระกูลหลี่ ทักษะต่างๆ ที่เขาฝึกฝนนั้นเป็นทักษะระดับสูงสุดในตระกูลหลี่ ซึ่งแน่นอนว่ามีเพียงเชื้อสายตรงของตระกูลเท่านั้นที่มีคุณสมบัติจะฝึกฝนขั้นราชาเทพนี้
การที่หลัวซิวมีวิชาวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ เขาได้มาจากกฎความเป็นตายดั้งเดิม ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนไปฝึกวิชาอื่นๆ
ส่วนพลังอมตะและวิชาโลกมหาจักรภพของตระกูลหลี่ สำหรับหลัวซิวแล้วนั้นกลับกลายมาเป็นประโยชน์ยิ่ง
ปัจจุบันพลังอมตะของเขา ผู้เป็นอมตะและวิชาแบ่งร่างดับเบิ้ลล้วนเป็นวิชาที่เข้ามาช่วยเสริม มีเพียงหมื่นจักรวาลไร้รูปและภูตอัคคีร้อยแปร ตราธรรมจุติมรณะเป็นจ้าวอิทธิฤทธิ์สะท้านแดน
หนึ่งในนั้น หมื่นจักรวาลไร้รูปเป็นพลังอมตะที่เขาคิดค้นมันขึ้นมาเอง ซึ่งยังนับว่ามีข้อบกพร่องอีกมาก จำเป็นต้องอ้างอิงจากวิชาพลังอมตะอื่นๆ เข้ามาชดเชย
โลกมหาจักรภพของตระกูลหลี่นั้นเป็นตระกูลราชาเทพ มีประวัติยาวนานกว่า 1 ล้านปี เทพฟ้านั้นคือพลังอมตะที่ราชาเทพผู้แข็งแกร่งถ่ายทอดทิ้งเอาไว้ มีผู้รู้เพียงไม่กี่คน
หลี่ยู่ในฐานะบุตรชายคนโตของผู้สืบทอด แน่นอนว่าเขาจึงมีคุณสมบัติพอที่จะเรียนรู้วิชาพลังอมตะต่างๆ แม้เป็นไปไม่ได้ว่าเขาจะสามารถฝึกฝนพลังอมตะทั้งหมด แต่เขาก็ได้จดจำพลังอมตะทั้ง 36 อย่างของตระกูลได้
เช่นนี้หลัวซิวจึงได้ประโยชน์มาก พลังอมตะทั้ง 36 เหล่านี้สูงส่งจนไม่สามารถหยั่งรู้ได้ พลังเหล่านั้นมีพลังเหนือธรรมชาติมากมายที่สร้างขึ้นโดยเทพราชาผู้ทรงพลัง เพียงทำความเข้าใจเล็กน้อยก็สามารถปรับปรุงความสมบูรณ์หมื่นจักรวาลไร้รูปได้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
นอกเหนือจากการทำให้พลังอมตะสมบูรณ์แบบแล้ว สิ่งหนึ่งที่หลัวซิวต้องทำในเวลาสามเดือนนี้คือฝึกวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ
เมื่อเขารวมลูกแก้วความเป็นตายได้ในตอนแรก วงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพเคยปรากฏขึ้นในร่างกายของเขา ต่อมา ด้วยการเลื่อนขั้นแดนจากการฝึกฝน วงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพจึงพัฒนากลายเป็นพลังวิชาตราประทับหนึ่ง นั่นคือตราธรรมจุติมรณะ
วงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพคือต้นแบบของการกลับชาติมาเกิดใหม่ วิญญาณแห่งความเป็นตายดั้งเดิมและพลังของวัฏจักรมีความลึกลับมากมาย หากมันถูกขัดเกลาอาจเกิดเป็นขุมทรัพย์ได้ พลังนั้นจะทรงพลังเกินจินตนาการ
ด้วยจักรพรรดิอัคคีนภาแดงในปัจจุบันของหลัวซิว เขาสามารถได้กลิ่นวัสดุระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น9ได้เท่านั้น เขายังไม่สามารถหลอมทองและเหล็กศักดิ์สิทธิ์ได้ ถึงกระนั้นในฐานะปรมาจารย์ค่ายกลของเขาก็ไม่ได้เป็นเพียงคำเรียกขาน ด้วยการกระตุ้นของพลังค่ายกล สามารถปรากฏพลังไฟศักดิ์สิทธิ์ได้
แม้ว่าแสงไฟศักดิ์สิทธิ์เล็กน้อยเหล่านั้นจะยังไม่สามารถคุกคามเทพมารผู้แข็งแกร่งได้ แต่หากใช้มันเพียงการหลอมทองศักดิ์สิทธิ์และเหล็กศักดิ์สิทธิ์ ก็นับว่าเพียงพอแล้ว
เวลาสามเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็วชั่วพริบตา สำหรับเทพมารแล้วนั้น เวลาเพียงเท่านี้หาได้เพียงพอแต่อย่างใด ทว่าสำหรับการฝึกตนของหลัวซิว กลับทำให้พลังของเขาพัฒนาอย่างก้าวกระโดดขึ้นอีกครั้ง
ผลการฝึกตนของเขายังคงหยุดอยู่ที่เจ้ายุทธจักรขั้นเก้า แต่ไม่ว่าจะเป็นสภาวะจิตใจ แดนกฎหรือแม้แต่วิธีการใช้พลังอมตะ ล้วนมีการก้าวหน้าพัฒนาอย่างมาก
หลัวซิวเพิ่งจะได้ลืมตาขึ้น เขายังไม่ทันได้ออกจากการฝึกตน อนัตตาของแดนปริศนาตำหนักจื่อก็ถูกมือใหญ่ข้างหนึ่งฉีกออก ปราณปีศาจสีม่วงดำได้เคลื่อนตัวเข้ามาแล้วแผ่ออก กลายเป็นใบหน้าขนาดมหึมาที่มีรัศมีหลายสิบเมตร กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “เจ้าหนู เวลาที่กำหนดไว้ 3 เดือนสิ้นสุดลงแล้ว”
หลัวซิวไม่สนใจ เขาลุกขึ้นแล้วเดินออกไปจากห้องฝึกฝน
“พวกเจ้าทั้งสองจงอยู่ที่นี่”
เขาได้หยิบเม็ดยาและทรัพยากรที่จำเป็นสำหรับการฝึกฝนออกมาจำนวนมาก สิ่งเหล่านี้เขาได้มันมาจากเทพมารผู้แข็งแกร่งและจากผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์ที่เขาได้สังหาร เพียงพอที่จะทำให้ผู้ที่อยู่ในสำนักไท่เสวียนฝึกฝนได้เป็นเวลาหลายร้อยปีโดยไม่ต้องกังวลเรื่องทรัพยากรการฝึกตน
ต่อจากนั้น เทพมารต่างๆ ก็ได้พากันทยอยเดินทางจากไป แต่หลัวซิวกลับรู้ดีว่าส่วนมากของพวกเขาเหล่านั้นไม่ได้เดินทางจากไปจริงๆ พวกเขาหยุดอยู่ที่อนัตตานอกแดนปริศนาตำหนักจื่อเพื่อรอให้เวลาสามเดือนผ่านพ้นไป
……
ในระยะเวลาอันสั้น เมื่อทุกคนจากไป ที่นั่นก็เงียบสงบลง ทว่าแต่ละขั้นตอนนั้นช่างเหมือนการเดินไต่ไปบนเชือกที่หน้าผาความประมาทเพียงเล็กน้อยอาจทำให้พบจุดจบกับกระดูกต้องหักแตกร้าว
หลัวซิวรู้สึกขอบคุณเทวทูตจื่อเยียนมาก หากไม่ใช่เพราะนาง เทพมารทั้งหมดมารวมตัวกัน แม้ว่าเขาจะทำลายม้วนหยก ก็ยังเกรงว่ายากที่จะจบลงด้วยดี
เดิมทีเขาได้วางแผนไว้แล้วสำหรับผลลัพธ์อันแย่ที่สุด แต่การปรากฏตัวและการกระทำของเทวทูตจื่อ ทำให้สถานการณ์พลิกผันอย่างไม่คาดคิด
“ไม่ว่าจุดประสงค์ของเจ้าที่ทำดีต่อข้าคือสิ่งใด หากในอนาคตข้าแข็งแกร่งขึ้นมา แน่นอนว่าข้าจะตอบแทนบุญคุณของท่านอย่างแน่นอน” หลัวซิวจำบุญคุณนี้ไว้ในใจนาง
“บูม!”
ประตูหินของห้องลับสั่นคลอนและเคลื่อนตัวเปิดออก เหยียนซีโรว่ซึ่งสวมชุดยาวสีขาวราวกับนางฟ้าเดินตรงเข้ามา
“ข้าสัมผัสได้ว่าเจ้ากำลังตกอยู่ในอันตราย แม้ว่าเจ้าจะสามารถช่วยตนเองให้รอดพ้นจากอันตรายได้ แต่ข้าก็ยังกังวลอยู่เล็กน้อย ดังนั้นจึงเดินทางมาดูด้วยตนเอง” นางอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นว่าหลัวซิวที่อยู่ในห้องลับนั้นสบายดี
บัดนี้หลัวซิวได้รู้แล้วว่าวิธีการล่วงรู้โชคชะตาล่วงหน้า แท้จริงเป็นทักษะในการขโมยความลับของวัฏจักร
ซึ่งทักษะนี้ขัดกับสรวงสวรรค์ ดังนั้นธิดาเทพหยุนไห่แต่ละรุ่นจึงสามารถทำนายได้เพียงเก้าครั้งเท่านั้น มิเช่นนั้นจะพบกับความพินาศจนสิ้นใจ
ด้วยประสบการณ์การกลับชาติมาเกิดอีกครั้งของนาง หลัวซิวแน่ใจได้ว่าเหยียนซีโรว่คือหยุนซีในชาติที่แล้ว แม้ว่ารูปลักษณ์ภายนอกของทั้งสองจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง แต่อารมณ์และความรู้สึกที่มีให้เขามันช่างเหมือนกันเสียเหลือเกิน
“ซีโร่ว จงอย่าได้ใช้ทักษะทำนายดวงชะตาอีกในอนาคต” เขากล่าวช้าๆ ชาติที่แล้ว หยุนซีตายเพราะช่วยหลี่ยู่ เขาไม่ต้องการให้เรื่องราวน่าเศร้าเกิดขึ้นซ้ำอีกในชาตินี้ และเขาไม่อยากให้นางต้องมาพบจุดจบเพียงเพื่อดูดวงชะตาของเขา
สีหน้าที่แสดงออกมาของเขาทำให้ร่างกายบอบบางของเหยียนซีโร่วสั่นคลอน “พี่ยู่?……”
หลัวซิวไม่รู้ไม่รู้ว่านางสามารถมองเห็นชาติที่แล้วในอดีตของตนได้ เป็นไปตามที่หลัวซิวคาดคิดเอาไว้ เมื่อชาติที่แล้วนางคือหยุนซี แต่เนื่องจากข้อจำกัดในการฝึกตนของนาง นางจึงไม่อาจฟื้นความทรงจำทั้งหมดของหยุนซีได้ บัดนี้ความทรงจำนางยังคงอยู่ในช่วงเวลาที่ได้พบกับหลัวซิวเป็นครั้งแรก
สีหน้าท่าทางของหลัวซิวในบัดนี้ และหลี่ยู่ในความทรงจำของนางในชาติก่อน เหตุใดจึงช่างเหมือนกันเหลือเกิน?
ทฤษฎีการกลับชาติมาเกิดนั้นเป็นดั่งภาพลวงตา พรหมลิขิตเชื่อมโยงกันไปมา มีการเวียนว่ายตายเกิด ในโลกนี้มักมีดอกไม้สองดอกที่คล้ายคลึงกันเพราะชะตาที่ถูกลิขิต ชวนให้ผู้คนสับสนว่าคือชาติก่อนหรือชาตินี้?
หลัวซิวตัดสินใจอย่างแน่วแน่ แม้ว่าเขาจะรวมชีวิตของหลี่ยู่ไว้ในร่างนี้ แต่บัดนี้เขาก็ยังเชื่อว่าเขาคือหลัวซิวเท่านั้น หลี่ยู่เป็นเพียงอดีตที่ผ่านพ้นไปแล้ว ไม่อาจมีตัวตนอยู่บนโลกนี้ได้อีก
แต่เหยียนซีโร่วไม่มีความมุ่งมั่นเท่าเขา บางครั้งนางยังคงสับสนว่าตนคือเหยียนซีโร่วหรือหยุนซี?
เหยียนซีโร่วชื่นชอบหลัวซิว ส่วนหยุนซีชื่อชอบหลี่ยู่ หากว่าหลี่ยู่และหลัวซิวคือคนคนเดียวกันจะดีเพียงไร?
นางสัมผัสได้ว่าจิตใจยุ่งเหยิง จึงไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมาอีก นางได้แต่หันหลังเดินจากไป
นางเดินทางจากไปได้ไม่นาน เหยียนเยว่เอ๋อร์ก็ได้เดินทางมาที่นี่อีกครั้ง เพราะทุกคนรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของเทพมารที่น่าสะพรึงกลัว
“ซีโร่วดูแปลกไปเล็กน้อย ดูเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน……”
หลายวันมานี้ เหยียนเยว่เอ๋อร์ได้ติดต่อพบปะกับเหยียนซีโร่วบ่อยครั้ง นางจึงสังเกตได้ถึงความผิดปกติ เนื่องจากเป็นสตรีด้วยกัน นางจึงสัมผัสได้ว่าเหยียนซีโร่วชื่นชอบหลัวซิว ส่วนหลัวซิวนั้นก็ดูจะมีความรู้สึกอันพิเศษต่อเหยียนซีโร่วเล็กน้อย
เรื่องของความรู้สึกนั้นนางไม่ได้กล่าวให้มากความก็จริง แต่กระนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าจะคัดค้านหากหลัวซิวจะมีความสัมพันธ์กับเหยียนซีโร่ว สิ่งที่นางต้องการนั้นเพียงเพียงแค่ได้อยู่ข้างกายชายผู้นี้ก็พอแล้ว
แต่สิ่งที่ทำให้ผู้ยิ่งใหญ่เจ้าแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์คิดไม่ถึงก็คือ หลังจากที่หลัวซิวรับแหวนไปแล้ว เขากลับพูดขึ้นมาว่า “ของแค่นี้ไม่พอ !”
“พ่อหนุ่ม ความอยากของเจ้ามีเยอะไปหน่อย” เจ้านิกายมารศักดิ์สิทธิ์มีสีหน้าเคร่งขรึม
“ศิษย์ของพวกท่านทั้งหลายตามฆ่าข้าตั้งนาน ไม่คิดจะชดใช้อะไรบ้างเหรอ ?” หลัวซิวไม่เห็นด้วย เขาพูดขึ้นมานิ่งๆ
ในความเป็นจริงสิ่งของที่สี่ผู้ยิ่งใหญ่เจ้าแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์เอาออกมาถือว่าไม่น้อย มีทั้งยาวิเศษมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับ9 รวมถึงวัตถุดิบในการหลอมอาวุธเทพวิเศษและของมหัศจรรย์หลากหลายชนิด
แต่หลัวซิวไม่อยากปล่อยโอกาสในการรีดไถไปง่ายๆ ก่อนหน้านี้เขาถูกตามฆ่าจนต้องหนีไปทั่วทุกสารทิศ ยังไงก็ต้องกรีดเลือดขูดเนื้อทั้งสี่ท่านนี้ให้ได้
“ข้าได้ยินมาว่าท่านมีของขลังพรสวรรค์สร้างปีกทิพย์ไร้มลทิน ว่ากันว่ามันรวดเร็วที่สุดภายใต้แดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ ไม่มีใครสามารถเข้าถึงได้ อย่างไรมันก็เป็นเพียงแค่ของขลัง ด้วยศักยภาพที่ท่านมีอยู่ เห็นได้ชัดว่าปีกทิพย์ไร้มลทินแทบจะไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว”
เจ้าสำนักดำเหลืองพรวดพราดพูดขึ้นมาว่า : “ข้าบังเอิญได้รับม้วนหยก หนึ่งในนั้นบันทึกวิธีทำให้ปีกทิพย์เลื่อนขั้น ถ้าบวกกับม้วนหยกชิ้นนี้ พอไหม?”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้แล้ว สายตาของหลัวซิวก็เปล่งประกาย แน่นอนว่าเขาเองก็เคยได้ยินเรื่องการเลื่อนขั้นของของขลังพรสวรรค์ เพียงแค่เป็นของขลังพรสวรรค์ที่แตกต่างกัน ก็จะมีวิธีการเลื่อนขั้นที่แตกต่างกัน ถึงแม้เขาจะรู้ว่าปีกทิพย์ไร้มลทินมีวิธีในการเลื่อนขั้น แต่เขากลับไม่รู้วิธีในการเลื่อนขั้นนั้น
เช่น ของขลังพรสวรรค์อย่างหอกยุทธ์มังกรดำ การเลื่อนขั้นเป็นการยกเลิกข้อห้ามในแดนกฎ ตอนนี้จากของขลัง ได้เลื่อนขั้นเป็นของขลังพรสวรรค์แล้ว
“ถือว่าได้แล้วกัน” หลัวซิวคว้าม้วนหยกชิ้นนั้นมา ดูเหมือนเขาจะไม่สนใจ ในใจจริงๆดีใจอย่างมาก
ความรวดเร็วของปีกทิพย์ไร้มลทินไม่มีอะไรเทียบได้ ถ้าสามารถเลื่อนขั้นเป็นระดับอาวุธเทพได้ ความเร็วจะถึงจุดที่คาด
ไม่ถึง
หลังจากนั้น เจ้าแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์อีกสามท่านต่างก็เอาสมบัติออกมา เจ้านิกายมารศักดิ์สิทธิ์หยิบยาวิเศษมหาจักรพรรดิยุทธ์ออกมาอีกยี่สิบเม็ด เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ตระกูลยุทธ์หยิบวัตถุดิบศิลาแร่ที่ใช้กลั่นนักยุทธ์เทพมารออกมาส่วนหนึ่ง
ต่อมา เทพมารทั้งแปดของเผ่าพันธุ์มารและเผ่าปีศาจต่างก็หยิบสมบัติไม่น้อยออกมา โดยเฉพาะเผ่าปีศาจ ยิ่งถูกหลัวซิวฉวยโอกาสรีดไถ โดยมีทูตจื่อเยียนอยู่ เทพมารทั้งสี่ทำได้แค่อดกลั้นความโกรธเอาไว้ และพยายามที่จะตอบสนองความอยากของหลัวซิว
หลัวซิวสัมผัสได้ถึงแรงอาฆาตของเทพมารผู้แข็งแกร่งทั้งสี่ได้ย่างชัดเจน โดยเฉพาะเทพมารที่ถูกทูตจื่อเยียนโจมตีจนลอยออกไปตนนั้น ประกายเลือดในดวงตา โกรธมากจนอยากจะกลืนกินเขาเข้าไป
แต่หลัวซิวไม่ได้เกรงกลัวการคุมคามของพวกเขาแม้แต่น้อย การล่มสลายของแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่ เป็นสิ่งที่เผ่าปีศาจทำ ตอนนี้เป็นเพียงการจ่ายดอกเบี้ยเล็กๆน้อยๆสำหรับคนเหล่านี้ก็เท่านั้นเอง
“ถ้าข้ามีความสามารถกวาดล้างเทพมารได้ ข้าจะดึงเผ่าปีศาจออกจากโลกแสงดาว !” ความอาฆาตของหลัวซิวเองก็ไม่มีการปกปิดใดใด
“พ่อหนุ่ม เจ้าก็ได้สมบัติไปแล้ว มันถึงเวลาแล้วที่จะต้องบอกเนื้อหาในม้วนหยก ?” มีคนอดรนทนไม่ไหวถามออกมา
“ความลับแบบนี้จะพูดออกมาพล่อยๆได้อย่างไร ?” หลัวซิวส่ายหน้า “สามเดือนหลังจากนี้ ทุกท่านมาพร้อมกันที่นี่ ข้าจะพาทุกท่านไปด้วยตัวเอง”
“สามเดือน ?”
บรรดาเทพมารต่างขมวดคิ้ว ระยะเวลาสามเดือนสำหรับเทพมารแล้วเป็นระยะเวลาเพียงสั้นๆ แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนต่างสงสัยก็คือ ทำไมเขาต้องเลือกเวลาในอีกสามเดือนหลังจากนี้ ?
“หึ่ย อยากเห็นจริงๆว่าเจ้าจะเล่นอะไรอีก !”
รู้สึกไม่พอใจอยู่ภายในใจ แต่บรรดาเทพมารกลับไม่สามารถโต้แย้งใดใดได้ อย่างมากภายในสามเดือนนี้จับตาจ้องมองเขาทุกการเคลื่อนไหว
“สามเดือนหลังจากนี้ ข้าจะมาใหม่” ทูตจื่อเยียนค่อยๆลุกขึ้น และหันไปมองหลัวซิวอย่างลึกซึ้ง
“ผู้อาวุโสเดินทางดีดี” หลัวซิวยืนขึ้นแล้วทำความเคารพ
เทวทูตจื่อเยียนคาดการณ์เรื่องเหล่านี้ไว้แล้ว แต่ไม่ได้เปิดโปงขึ้นมา นางเองก็ไม่ใส่ใจถ้าหลัวซิวจะได้ประโยชน์ เพราะความสามารถและศักยภาพของชายหนุ่มคนนี้มันคุ้มค่าที่นางจะให้
“ข้าต้องการยาวิเศษ วัตถุดิบ และสมุนไพรเพิ่มพลังชนิดต่างๆ !”
หลัวซิวรับรู้ได้ถึงการยินยอมโดยไม่ห้ามปรามของเทวทูตจื่อเยียน ก็เลยรีบตัดสินใจเสนอเงื่อนไขไปทันที
มีทูตจื่อเยียนที่แค่ยกมือก็ทำให้เทพมารผู้แข็งแกร่งลอยออกไปได้คอยสนับสนุน ถึงแม้จะมีเทพมารสิบกว่าตนอยู่ในที่นี้ด้วย เขาก็ไม่กลัว
“เนื้อหาในม้วนหยกก็คือสถานที่ตั้งสมบัติชิ้นนั้นของเทพสงครามเอกภพ ใครอยากไป ก็ต้องเอาสมบัติที่ทำให้ข้าใจสั่นมากพอออกมาให้ได้” หลัวซิวมองไปรอบๆแล้วพูดขึ้นมา
เมื่อคำพูดนี้ดังออกไป บรรดาเทพมารที่อยู่ในที่นี้ต่างมีสีหน้าเคร่งขรึม รู้สึกโกรธจนอยากจะบีบไอ้หนุ่มที่ฉวยโอกาสรีดไถผลประโยชน์นี่ให้ตาย
หลัวซิวยิ้มเล็กน้อย สายตาของเขาจับจ้องไปที่ทูตจื่อเยียนก่อน เขาพูดยิ้มๆว่า : “ผู้อาวุโสมีบุญคุณต่อข้า สถานที่ตั้งของสมบัติชิ้นนั้น แน่นอนว่าผู้น้อยจะบอกท่านฟรีๆ”
เมื่อทูตจื่อเยียนได้ยินคำพูดนี้แล้ว นางก็ยิ้มออกมาอย่างอดไม่ไหว “ข้าไม่มีทางเอาเปรียบเจ้า ของเล็กน้อยชิ้นนี้มอบให้เจ้า”
ในระหว่างที่พูด ทูตจื่อเยียนยกนิ้วขึ้นมา เส้นแส้งสีดำลอยไปหาหลัวซิว
หลัวซิวคว้ามันไว้ พบว่าท่ามกลางเส้นแสงสีดำนี้คือเตากลั่นยา เตากลั่นยาดูแล้วมีขนาดใหญ่ประมาณศีรษะเด็กทารก ระยิบระยับสดใส ราวกับใช้หินหยกสีเลือดหลอมขึ้น
“เตาเทพ !”
สายตาของหลัวซิวเปล่งประกาย นี่มันคือเตาเทพ สามารถเอามาใช้กลั่นยาลูกกลอนที่จำเป็นต่อการฝึกตนของเทพมารผู้แข็งแกร่ง แถมยังป้องกันการโจมตีได้อีกด้วย ยังคงเป็นอาวุธเทพชั้นล่างชิ้นหนึ่ง ในแง่ของมูลค่าโดยรวมแล้ว ยังเอาชนะไฟเทวสว่างได้
ความมั่งคั่งของทูตจื่อเยียนทำให้คนตกใจ ทิ้งสมบัติออกมาชิ้นหนึ่งได้อย่างง่ายดาย ในพิภพต่ำเรียกว่าสมบัติล้ำค่าที่ไม่สามารถประเมินราคาได้
หลัวซิวรีบกล่าวขอบคุณ แล้วละสายตาไปมองหลิวหงเทียนเจ้าแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ทันที
“ผู้อาวุโสหลิว ตอนนั้นที่ท่านส่งข้าไปแดนดารานอก ตามหลักแล้วมีเพียงแค่ท่านและข้าที่รู้เรื่องนี้ แต่ผ่านไปไม่นานก็มีบรรดาผู้แข็งแกร่งของแดนศักดิ์สิทธิ์ไปตามฆ่าข้าที่แดนดารานอก เรื่องนี้ควรคิดเห็นอย่างไร ?”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ใบหน้าของหลิวหงเทียนก็เผยสีหน้าเก้อเขินออกมา เรื่องนี้มันเป็นความผิดพลาดชั่วคราวของเขาจริงๆ เขาและเจ้าศักดิ์สิทธิ์ตำหนักดารานภาเป็นเพื่อนเก่าที่สนิทสนมกัน เขาพลั้งปากไปโดยไม่ทันระวัง ก็เลยทำให้เกิดเรื่องราวภายหลังขึ้น
“เรื่องนี้เป็นความผิดของข้าจริงๆ” หลิวหงเทียนส่ายหน้ายิ้มเจื่อน เขาคว่ำมือแล้วดึงแหวนเก็บของออกมา “สิ่งนี้ถือว่าเป็นสิ่งชดเชยที่ข้ามอบให้กับเจ้าแล้วกัน”
มีทูตจื่อเยียนคอยหนุนหลังอยู่ เขารู้ดีว่าถ้าตนไม่ควักเลือดออกมาบ้าง ไอหนุ่มหลัวซิวต้องไม่ยอมง่ายๆแน่นอน
หลัวซิวหยิบแหวนวงนั้นมาโดยไม่เกรงใจ ใช้ตัวสำนึกค้นหา ข้างในมียาวิเศษมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับ9หลายสิบเม็ด และยังมียาเทพชั้นล่างอีกสองสามเม็ด รวมถึงวัตถุดิบศิลาแร่ที่ใช้กลั่นยาวิเศษมหาจักรพรรดิยุทธ์และนักยุทธ์เทพมาร
นอกจากนี้แล้ว ยังมีภูตสายฟ้าที่ถูกผนึกไว้ในหินคริสตัลด้วย
เหมือนกันคือภูตแห่งกฎของการกำเนิดฟ้าดิน ภูตสายฟ้าจะพบเจอได้มากกว่าภูตอัคคี
“งั้นก็ต้องขอบคุณท่านผู้อาวุโสแล้ว” หลัวซิวยิ้มด้วยความพึงพอใจ
หลังจากนั้นหลัวซิวก็ละสายตาจับจ้องไปที่สี่ผู้ยิ่งใหญ่เจ้าแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ สีหน้าเทพมารทั้งสี่เปลี่ยนเป็นน่าเกลียดขึ้นมาทันที พวกเขานั่งและครอบครองแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ ถึงแม้มันจะแฝงไปด้วยความเพียบพร้อม แต่สมบัติล้ำค่าล้วนเป็นของสะสมที่มีค่าของแดนศักดิ์สิทธิ์ แน่นอนว่าพวกเขาไม่ยินยอมเอาออกมาง่ายๆ
ถึงแม้จะไม่ยินยอม ทว่าแม้แต่หลิวหงเทียนและทูตจื่อเยียนยังเอาของออกมา พวกเขาเองก็จำเป็นต้องบากหน้ายื่นแหวนเก็บของให้หลัวซิว
แม้ว่าการต่อสู้ของเขาในวันนี้เกือบจะทัดเทียมเสมอเหมือนกับเทพมารธรรมดา แต่ภายใต้แรงอาฆาตที่แน่นหนาของเทพมารผู้แข็งแกร่งมากมายขนาดนี้ ก็ทำให้รู้สึกเหมือนแบกภูเขาใหญ่เป็นแสนลูกอยู่ หายใจลำบากยิ่งนัก
เทวทูตจื่อเยียนสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย “เจ้าแน่ใจนะว่าทำลายมันแล้วจริงๆ ?”
หลัวซิวพยักหน้าด้วยสีหน้าเซ็ง และพูดอธิบายว่า :“กองกำลังทั้งหมดตามฆ่าข้า มีเพียงการทำลายม้วนหยกถึงจะรักษาชีวิตไว้ได้ เนื่องจากเนื้อหาในม้วนหยก มีเพียงข้าคนเดียวที่รู้”
นี่เป็นทางหนีทีไล่เดียวที่หลัวซิวเหลือไว้ให้ตัวเอง ถ้าหากเขาไม่สามารถหนีการไล่ฆ่าของกองกำลังทั้งหมดไปได้ ดังนั้นการที่กองกำลังทั้งหมดต้องการรู้ว่าสมบัติชิ้นนั้นของเทพสงครามเอกภพอยู่ที่ไหน พวกเขาก็ไม่สามารถฆ่าเขาได้
เขารู้ดีว่า ถ้ากองกำลังใดกองกำลังหนึ่งได้ม้วนหยกไปครอง และรู้สถานที่ตั้งของสมบัติ เขาก็จะสูญเสียคุณค่าการใช้ประโยชน์ทันที ถึงขนาดที่เพื่อรักษาความลับเอาไว้ อาจจะฆ่าปิดปากเขาก็ได้
ในโลกปัจจุบัน ใจคนยากแท้หยั่งถึง หลัวซิวเองก็จำเป็นต้องหาวิธีปกป้องเอาไว้
เมื่อได้ยินว่า ถึงแม้หลัวซิวจะทำลายม้วนหยกไปแล้วแต่เขารู้เนื้อหาในม้วนหยก บรรดาเทพมารที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างผ่อนคลายจิตใจลง
“พ่อหนุ่มเจ้าเล่ห์ รีบพูดเนื้อหาในม้วนหยกออกมา ไม่งั้นจะค้นหาจิตวิญญาณของเจ้า !” ผู้แข็งแกร่งของเผ่าปีศาจพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา ด้วยสีหน้าท่าทางที่แข็งแกร่ง
“ท่านกำลังขู่ข้าเหรอ ?”
หลัวซิวยิ้มเย็นชา “คนอยู่ในเหตุการณ์มากมายขนาดนี้ ข้าจะไม่บอกเจ้า แล้วเจ้าจะทำอะไรข้าได้?”
“เจ้ามันกล้าหาญมาก กล้าพูดแบบนี้กับเทพอย่างข้า?” ผู้แข็งแกร่งของเผ่าปีศาจโกรธจัด เส้นแสงสีดำส่องออกมาจากดวงตา ราวกับอาวุธที่มีประสิทธิภาพ ส่องสังหารหลัวซิว
ใบหน้าของหลัวซิวยิ้มเย็นชา ไม่รู้จริงๆว่าเผ่าปีศาจตนนี้ฝึกตนมาเป็นเทพได้อย่างไร เป็นคนที่สมองเรียบง่าย มือไม้โง่เขลาจริงๆ
เขาไม่จำเป็นต้องลงมือ หลิวหงเทียนเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ยกมือฝ่ามือม่านแสงขึ้น เพื่อมาบดบังเส้นแสงสองเส้นของแข็งแกร่งของเผ่าปีศาจเอาไว้
ตอนนี้เนื้อหาในม้วนหยกมีเพียงหลัวซิวคนเดียวเท่านั้นที่รู้ ก่อนที่จะได้รู้เนื้อหาในม้วนหยก ตนไม่มีทางยอมให้ใครมาทำร้ายเขาเด็ดขาด
แม้แต่หลัวซิวจะยินยอมบอกเนื้อหาในม้วนหยกให้ฝ่ายใดทราบ ทั้งหมดต้องมาจากการตัดสินของตน
“เจ้าโง่ !” หลัวซิวไม่ยอมถอย เขาเสียดสีอย่างไม่หยุดยั้งโจมตีผู้แข็งแกร่งของเผ่าปีศาจที่ลงมือผู้นั้น
“เจ้ารนหาที่ตาย !”
ผู้แข็งแกร่งของเผ่าปีศาจโกรธจัด ในฐานะที่ตนเป็นผู้แข็งแกร่งของเผ่าปีศาจ เคยได้รับความอัปยศนี้เมื่อไหร่กัน ?
“ส่งเสียงเอะอะโวยวาย !”
เทวทูตจื่อเยียนขมวดคิ้ว ยกมือหยกขึ้นมาโบก เส้นแสงสีดำโจมตีไปยังผู้แข็งแกร่งของเผ่าปีศาจตนนั้น ไปกระแทกผนังของหอคอยฝึกตนจงยางจนพัง ร่างกายของเขาลอยออกไปไม่รู้ไกลเท่าไหร่
ผู้แข็งแกร่งระดับเทพมารตนหนึ่งถูกโจมตีจนลอยออกไป เหตุการณ์นี้อยู่ในสายตาของบรรดาเทพมากมายที่นั่งอยู่ ทำให้ห้องลับเงียบสงัดขึ้นมาทันที
สำหรับเทวทูตจื่อเยียนแล้ว กลับดูเหมือนว่าได้ทำเรื่องเล็กน้อยลงไป ดวงตาคู่นั้นของนางจับจ้องมาที่หลัวซิว
“เจ้าทำลายม้วนหยกไปแล้ว ตอนนี้มีเพียงเจ้าคนเดียวเท่านั้นที่รู้เนื้อหาในม้วนหยก พูดออกมาสิ เจ้ามีเงื่อนไขอะไร?”
ตอนที่พูดถึงตรงนี้ มีรอยยิ้มเล็กๆบนริมฝีปากของนาง นางจะเดาไม่ออกที่ไหนกัน ว่าหลัวซิวต้องการฉวยโอกาสนี้ในการใช้ประโยชน์จากมัน
ไม่ว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ เผ่าพันธุ์ปีศาจ หรือเผ่าพันธุ์มาร การที่ต้องการจะได้รู้เนื้อหาในม้วนหยก ต่างก็จำเป็นต้องจ่ายค่าตอบแทนกันทั้งนั้น
และทั้งหมด ก็เป็นสิ่งที่หลัวซิววางแผนไว้ก่อนแล้ว
มันจะดีกว่าถ้าเขาสามารถค้นหาสมบัติที่เทพสงครามเอกภพทิ้งไว้ได้ด้วยตนเอง แต่ถ้าไม่ได้ แน่นอนว่าจะต้องเอาเบาะแสเกี่ยวกับสมบัติชิ้นนั้นมาขายในราคาที่ดี !
หลัวซิวรู้ดีว่าหากเทวทูตจื่อเยียนต้องการจะฆ่าเขา เขาจะไม่สามารถต้านทานได้อย่างแน่นอน
เขาไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร เขาเพียงแต่รู้ว่าจากม้วนหยกว่าสิ่งนั้นมีค่ามาก แข็งแกร่งอย่างเทพสงครามเอกภพก็ตายเพราะสิ่งนี้
ในขณะนี้ ดวงตาของหลัวซิวหรี่ลง เทวทูตจื่อเยียนและคนอื่น ๆ ก็ขมวดคิ้ว เพราะมีผู้แข็งแกร่งได้ฉีกความว่างเปล่าของแดนตำหนักจื่อออก
“บูม!”
ลมปราณอันทรงพลังที่กว้างใหญ่ลึกลับได้มาถึงแดนตำหนักจื่อ ค่ายกลต่าง ๆ ที่หลัวซิวจัดเตรียมไว้ ไม่มีผลอีกต่อไปและไม่สามารถหยุดผู้มาได้เลย
พลังของเทพมารได้กดดันทุกคน ทำให้ศิษย์จำนวนมากของสำนักไท่เสวียนในแดนตำหนักจื่อ รู้สึกกดดันอย่างมาก บางคนที่กำลังปิดกั้นฝึกตน เพราะถูกขัดจังหวะในการฝึกฝน มีเลือดไหลออกมาจากมุมปาก สีหน้าหวาดกลัวตกตะลึง
ปราณปีศาจอันมหึมาแพร่กระจายไปทั่วแดนตำหนักจื่อ และเทพมารที่ทรงพลังทั้งสี่ได้แสดงร่างที่แท้จริงของพวกเขาออกมา และพวกเขาก็เผ่าปีศาจนั่นเอง
ผู้แข็งแกร่งเผ่าปีศาจทั้งสี่นี้รอบกายล้อมรอบด้วยปราณปีศาจสีม่วงดำ และออร่าที่ส่องออกมาจากดวงตา สว่างไสว ซ่อนเจตนาฆ่าอยู่ในสายตา
หนึ่งในนั้นคือเทพมารที่ฝึกฝนกฎความตาย อีกคนหนึ่งเป็นเทพมารที่ฝึกฝนกฎไท่หยิน และอีกสองคนเป็นเทพมารที่ฝึกฝนกฎพิฆาต
“ฮึ่ม!
นอกจากเทวทูตจื่อเยียนแล้ว หลิวหงเทียนและจ้าวศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ทั้งสี่ก็ปล่อยออร่าเทพมารของตนเองออกมา เพื่อต่อต้านกับออร่าจากเผ่าปีศาจเทพมารทั้งสี่ที่มาที่นี่
“หือ? เผ่าพันธุ์มนุษย์มาถึงก่อนแล้วหรือ?”
เทพมารเผ่าปีศาจทั้งสี่ขมวดคิ้ว พวกเขามาที่นี่เพื่อสังหารคนที่นี่และจับตัวหลัวซิวออกไป แต่พวกเขาคาดไม่ถึงว่าเทพมารของเผ่าพันธุ์มนุษย์จะมาถึงก่อนกำหนด
ทันใดนั้น ออร่าของเทพมารแข็งแกร่งทั้งสี่ก็มาถึง ความว่างเปล่าถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ อีกครั้ง มีเทพมารสี่ตนจากเผ่าพันธุ์มารมาถึง
เช่นนี้ก็เป็นผลให้ในแดนตำหนักจื่อเล็กๆ มีเทพมารมารวมตัวกันสิบสี่คนในคราวเดียว
เทพมารเหล่านี้ไม่ใช่เทพมารจากโลกแสงดาว บางคนมาจากกองกำลังใหญ่บางกองกำลังจากโลกาชั้นฟ้า และพวกเขามาเพื่อขุมทรัพย์ที่เทพสงครามเอกภพทิ้งไว้
ภายใต้กฎจำกัดของพิภพ ผู้แข็งแกร่งเหนือเทพมารไม่สามารถมายังพิภพล่างได้ ดังนั้นกองกำลังใหญ่จากโลกาชั้นฟ้า จึงส่งเทพมาให้มาที่นี่ได้เท่านั้น เผ่าพันธุ์มนุษย์ เผ่าปีศาจ เผ่าพันธุ์มาร เป็นตัวแทนของกองกำลังเจตจำนงที่แตกต่างกัน
เทพมารทั้งแปดของเผ่าปีศาจและเผ่ามารมาที่หอฝึกกลาง เมื่อพวกเขาเห็นเทวทูตจื่อเยียน ต่างมีความหวาดกลัวแสดงออกมาบนสีหน้า
ผู้แข็งแกร่งเหนือเทพมารขึ้นไป ไม่สามารถมาสู่พิภพล่างได้ เทวทูตจื่อเยียนนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่าอยู่ในแดนเทพมาร แต่เป็นเทพมารเช่นกัน กลับสามารถทำให้เทพมารอื่น ๆ หวาดกลัวเช่นนี้ ความแข็งแกร่งของเทวทูตจื่อเยียนผู้นี้ไม่ต้องพูดก็รู้ดี
ห้องลับชั้นสูงสุดของหอฝึกกลางนั้นไม่ใหญ่มากนัก แต่มีเทพมารสิบสี่ตนมารวมกัน ซึ่งทั้งหมดนี้มาเพื่อหลัวซิวเท่านั้น
“เอาม้วนหยกออกมา!” หลังจากที่ชายผู้แข็งแกร่งจากเผ่าปีศาจเข้ามา เขาก็ตะคอกด้วยเสียงดังทุ้มลึกด้วยท่าทางแข็งกร้าว พลังปีศาจพลุ่งพล่าน
แม้ว่าเขาจะค่อนข้างหวาดหวั่นความแข็งแกร่งของเทวทูตจื่อเยียน แต่เบื้องหลังของเผ่าปีศาจมีกองกำลังใหญ่จากโลกาชั้น
“ฮึ่ม”
เทวทูตจื่อเยียนส่งเสียงเย็นออกมา และออร่าที่แผ่ซ่านไปทั่วของผู้แข็งแกร่งจากเผ่าปีศาจ ก็ได้สลายไปหมดในทันที
นางมองไปที่หลัวซิว “มอบม้วนหยกให้ข้าเถอะ มันอยู่ในมือเจ้า จะเป็นหายนะมากกว่าที่จะเป็นพร”
หลัวซิวยิ้มอย่างขมขื่น “ผู้อาวุโส ถ้าข้าบอกว่าม้วนหยกนั่นข้าได้ทำลายไปแล้ว เจ้าเชื่อไหม?”
“อะไรนะ! ทำลายแล้ว!?”
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ออกมา สีหน้าเทพมารทั้งหมดก็เปลี่ยนไปทันที และหลัวซิวก็ล็อคตัวด้วยเจตนาฆ่าที่แข็งแกร่ง
ด้านหลังเทวทูตจื่อเยียนคือหลิวหงเทียน จ้าวแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ หลัวซิวรู้สึกว่าการฝึกตนของเขาน่าจะเป็นเทพมารขั้นกลาง แล้วมีเทพมารอีกสี่คน ซึ่งทั้งหมดอยู่ในที่แดนเทพมารขั้นปฐมภูมิ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเทพมารทั้งสี่นี้น่าจะเป็นผู้แข็งแกร่งที่ประทับอยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ทั้งสี่
ทั้งหกท่านนี้ยังเป็นเทพมารเพียงหกท่านที่เหลืออยู่ของเผ่าพันธุ์มนุษย์แล้ว
ยกเว้นเทวทูตจื่อเยียน หลัวซิวสามารถมองเห็นความแข็งแกร่งของอีกห้าคนได้
ในขณะที่หลัวซิวสัมผัสได้ถึงคนทั้งหกนี้ เทวทูตจื่อเยียนก็สัมผัสได้ถึงลมปราณของหลัวซิวจ้อง มองไปที่เขาแล้วมองข้ามไปในความว่างเปล่า สบตากับหลัวซิวที่ฝึกตนอยู่ในหอฝึกกลางในแดนปริศนา
หลัวซิวไม่แปลกใจกับการมาถึงของเทวทูตจื่อเยียน เขาแค่นึก แดนตำหนักจื่อในความว่างเปล่าก็เปิดออกเป็นช่องว่างหนึ่ง
“ช่างเป็นปราณทิพย์ที่มากมายอะไรเช่นนี้!”
เมื่อเทพมารทั้งหกเข้าสู่แดนตำหนักจื่อ พวกเขารู้สึกถึงปราณทิพย์ที่อุดมสมบูรณ์ในพื้นที่นี้ในทันที แม้แต่ในแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ทั้งสี่ ก็มีแดนปริศนาในการฝึกตนเช่นนี้น้อยมาก
“ค่ายผนึกปราณระดับมหาจักรพรรดิขั้นเก้าแปดสิบเอ็ดแห่ง ไม่ธรรมดาอยู่แล้ว” หลิวหงเทียนกล่าวด้วยรอยยิ้มจางๆ
เทวทูตจื่อเยียนก็พยักหน้าเช่นกัน แดนปริศนาฝึกตนเช่นนี้เป็นสถานที่ที่หายากและดีในพิภพต่ำ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับจอมยุทธ์ระดับต่ำ การฝึกฝนในสภาพแวดล้อมนี้ การบรรลุแดนจะสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และแม้แต่ความสามารถที่ไม่ค่อยดีนักในตอนแรก ผลการฝึกตนก็จะสูงขึ้นโดยอิทธิพลของสิ่งแวดล้อม
ที่ชั้นบนสุดของหอฝึกกลาง หลัวซิวได้ต้อนรับเทพมารทั้งหกนี้
หลังจากต่อสู้มาสองครั้ง ความแข็งแกร่งของหลัวซิวไม่ด้อยไปกว่ามหาจักรพรรดิยุทธ์แต่งตั้ง และเขามีคุณสมบัติในการพูดคุยกับเทพมาร
เมื่อได้พบหลัวซิวอีกครั้ง แม้แต่เทวทูตจื่อเยียนซึ่งเป็นผู้แข็งแกร่งเทพมารขั้นสูง ในใจก็รู้สึกไม่สงบมาก
แม้ว่านางจะประเมินหลัวซิวสูง แต่นางก็ไม่เคยคิดว่าเขาจะมีพลังที่แข็งแกร่งเช่นนี้ในช่วงเวลาสั้น ๆ
หลังจากฝึกฝนมานานกว่า 30 ปี พลังการต่อสู้สามารถเทียบได้กับเทพมาร แม้ในพิภพกลาง จะทำได้ถึงจุดนนี้ หนึ่งแสนปีก็ยากที่จะมีคนหนึ่ง
ยิ่งไปกว่านั้น ทรัพยากรและเงื่อนไขผลการฝึกตนของพิภพกลางนั้นไม่ใช่พิภพล่างจะเทียบได้ ดังนั้น หลัวซิวสามารถบรรลุถึงระดับนี้ได้ในพิภพล่าง ซึ่งหายากและเหลือเชื่อยิ่งกว่า
ความสามารถแบบนี้ ไม่ได้เป็นเพียงคำประเมินที่ว่าจะมีโอกาสเป็นเทพมารในอนาคต หากไม่มีเหตุบังเอิญ และไม่ตายไป ถือว่าเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะกลายเป็นเทพฟ้า
หยกที่มีความสามารถเช่นนี้ ตามเหตุผลทั่วไปแล้วไม่สมควรปรากฏตัวในพิภพล่าง และแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างๆเหล่านี้ในพิภพล่าง ผลักอัจฉริยะดังกล่าวไปเป็นฝ่ายตรงข้ามเพื่อความเห็นแก่ตัว ซึ่งเป็นเรื่องน่าเศร้าจริงๆ
“หลัวซิว เจ้าคงเข้าใจจุดประสงค์ของข้าที่มา” หลังจากนั่งลง เทวทูตจื่อเยียนก็กล่าวโดยตรง
หลัวซิวพยักหน้า “ท่านมาที่นี่ก็เพื่อม้วนหยกนั่น”
“ถูกต้อง” สีหน้าของเทวทูตจื่อเยียนจริงจังขึ้นมา พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ในเมื่อเจ้าได้รับม้วนหยกเจ้าแล้ว เจ้าคงรู้เรื่องอะไรบางอย่างแล้ว พูดตรงๆ สิ่งของชิ้นนั้นของเทพสงครามเอกภพ ไม่ใช่คนธรรมดาที่จะสามารถจับต้องได้”
“อย่าว่าแม้แต่เจ้าเลย แม้แต่ข้า หรือแม้แต่เทพเจ้าฟ้าโลกาชั้นฟ้า ก็ไม่มีคุณสมบัติและความสามารถนี้เช่นกัน”
“แม้ข้าจะพูดตรงไปหน่อย เจ้าแต่อย่าคิดว่าว่าขู่เจ้า อันที่จริงข้าลงมาในความหมายอื่นก็เพื่อของสิ่งนั้นเช่นกัน”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ หลัวซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาไม่คิดว่าเทวทูตจื่อเยียนกำลังโกหกเขา เพราะด้วยฐานะและความแข็งแกร่งของนาง ไม่จำเป็นต้องบอกเขามากเช่นนี้
วินาทีที่หลี่ยู่เสียชีวิต ชาตินี้ได้จบลงแล้ว แม้จะสั้นแต่น่าตื่นเต้นมาก
ภาพตรงหน้าเขาเริ่มพร่ามัว และอารมณ์ที่ซับซ้อนถูกส่งผ่านเข้ามาในจิตใจของหลัวซิว เป็นความรู้สึกในชาตินี้ของหลี่ยู่
“แม้ว่าหลี่ยู่จะเป็นชาติที่แล้วของข้า แต่ชาตินี้ข้าเป็นเพียงหลัวซิว”
จิตใจที่แข็งแกร่งทำให้หลัวซิวไม่ได้รับผลกระทบจากอารมณ์ที่ซับซ้อนเหล่านี้ ดวงตาของเขามั่นคงและไม่มีคลื่นอารมณ์ใดๆ
นอกเหนือจากอารมณ์ภายในแล้ว ความทรงจำทั้งหมดของหลี่ยู่ ยังได้เข้าสู่ตัวหยั่งรู้ของหลัวซิว
ดูราวกับว่าเขาจะกลายเป็นคนสองคนที่มีประสบการณ์ชีวิตที่แตกต่างกันและแยกไม่ออกจากกัน
“บึง!…”
ลำแสงพุ่งออกมาจากวัฏจักรชีวิต เผยให้เห็นร่างของหลัวซิว เขาหลับตาอยู่ คิ้วของเขาคลายและย่นเป็นครั้งคราว ถูกส่งออกจากโซนสงสารวัฏ และไม่มีวี่แววว่าจะตื่นขึ้น
แม้ว่าชีวิตของหลี่ยู่ในชาติก่อนจะสั้นนัก มีเพียงอายุขัยเพียง 20 กว่าปีเท่านั้น เขาเป็นผู้เข้มแข็งที่ฝึกตนถึงเทพมาร พลังอมตะและวิชาที่ฝึกฝนมาต่างเป็นวิชายิ่งเลิศของโลกมหาจักรภพ
ตอนนี้ทั้งหมดนี้ได้รวมมาอยู่ในความทรงจำของหลัวซิว เขาสืบทอดทุกอย่างเกี่ยวกับหลี่ยู่ และเขาเห็นอกเห็นใจกับทุกสิ่งที่เขาประสบมา
หลัวซิวต้องการเวลาเพื่อทำความเข้าใจเรื่องทั้งหมดนี้ และเขาไม่ต้องการให้ชีวิตของหลี่ยู่ส่งผลต่อชีวิตปัจจุบันของเขา
อดีตผ่านไปแล้ว เขามีชีวิตอยู่ในตอนนี้เท่านั้น และต่อสู้เพื่อชาตินี้เท่านั้น!
ในวันนี้ หลัวซิวลืมตาขึ้นอย่างกะทันหัน และในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกถึงบางอย่าง ดวงตาของเขาทะลุผ่านความว่างเปล่าของแดนตำหนักจื่อ และได้เห็นโลกภายนอก
พื้นที่ถูกฉีกออกเป็นชิ้น ๆ และร่างหลายคนได้ปรากฏขึ้นใกล้กับแดนตำหนักจื่อ บนร่างของทุกคนเต็มไปด้วยลมปราณอันกว้างใหญ่ราวกับขุมนรก
เทพมาร!
และไม่ใช่แค่เทพมารคนเดียว แต่มีหกคน!
ผู้นำหน้าซึ่งสวมผ้าคลุมหน้าสีดำมีใบหน้าที่สวยงามและริมฝีปากสีแดงมีเสน่ห์ เป็นเทวทูตจื่อเยียนแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง
ในอดีต หลัวซิวรู้สึกเพียงว่าเทวทูตจื่อเยียนผู้นี้เก่งกาจจนคาดเดาไม่ได้ แต่ตอนนี้พลังการต่อสู้ของเขาเทียบได้กับเทพมารและเขาก็ยังไม่สามารถมองทะลุความแข็งแกร่งของนางได้
หลี่ยู่และหยุนซีไม่เห็นด้วยอยู่แล้ว และเกิดการต่อสู้ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
แม้ว่าหลี่ยู่จะเกิดจากมหาจักรภพสูง แต่เขาเพิ่งฝึกตนถึงแดนเทพมารเป็นเวลาเพียงสิบปี และเป็นไปไม่ได้ที่จะชนะเทพฟ้าที่อยู่ในแดนนี้มานาน
เมื่อวินาทีที่ตกอยู่ในอันตราย หยุนซีก้าวออกมาขวางการโจมตีที่ร้ายแรงสำหรับเขาไว้
นางกระอักเลือดออกมามากมาย สีหน้าซีดเซียว รอยยิ้มที่น่าเศร้าประทับอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของจิตวิญญาณของหลี่ยู่
“พวกเจ้าทุกคนจะต้องตาย!” หลี่ยู่เงยหน้าคำรามออกมา
แต่ในเวลานี้ หยุนซีคว้าชายเสื้อของเขาไว่ “พี่ยู่ หยุนซีไม่ต้องการให้บิดาทำร้ายพี่ แต่ได้โปรดอย่าทำร้ายบิดาของข้า ได้ไหม?”
หลี่ยู่อยู่ในอารมณ์ที่ซับซ้อนและไม่รู้จะตอบอย่างไร แต่ในเวลานี้ ร่างกายของหยุนซีก็สลายไป และในที่สุดนางก็เสียชีวิตไปโดยสิ้นเชิง
นั่นเป็นการโจมตีครั้งหนึ่งที่สามารถฆ่าเขา ด้วยผลการฝึกตนมหาจักรพรรดิยุทธ์ของหยุนซี จะสามารถขวางและไม่ตายได้อย่างไร?
การตายของหยุนซี เหมือนกับค้อนหนักที่ทุบลงในใจของหลี่ยู่ เขาได้เสียสติและตกอยู่ในความโกรธแค้นอย่างบ้าคลั่ง
เขาใช้วิชาต้องห้ามด้วยการบูชาชีวิต สังหารทุกคน รวมทั้งบิดาของหยุนซีด้วย
แต่ชีวิตของหลี่ยู่ก็มาถึงจุดจบเช่นกัน อัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบได้ผู้นี้ซึ่งมีอายุเพียง 22 ปี จ้องมองไปที่สถานที่ที่หยุนซี ได้เสียชีวิตไปก่อนที่เขาจะตาย มุมปากของเขายังมีรอยยิ้มที่เศร้าโศกเช่นโดยกัน ร่างกายของเขาได้ตายไป
“หยุนซี แต่เรื่องสุดท้ายที่เจ้าขอข้า ข้าก็ไม่สามารถทำได้ ข้าทำให้เจ้าเสียใจ…”
นี่เป็นเสียงสุดท้ายของหลี่ยู่ก่อนที่เขาจะตาย
ตามการฝึกฝนของกองกำลังต่างๆ ในมหาจักรภพสูง หลังจากที่ผลการฝึกตนไปถึงเทพมาร ก็จะถูกส่งไปฝึกฝนยังโลกข้างล่าง
แม้แต่หลี่ยู่ ลูกชายของหัวหน้าตระกูลก็ไม่มีข้อยกเว้น รวมถึงรุ่นเยาว์คนอื่นๆ ของตระกูลหลี่ ที่ถูกส่งไปฝึกฝนยังโลกที่แตกต่างกัน
ผู้แข็งแกร่งของตระกูลหลี่ได้เปิดช่องว่างผ่านอากาศเพื่อไปมาของทั้งสองโลก และส่งหลี่ยู่ไปยังพิภพกลาง โลกาภูเพลิงเสวียน
พิภพทุกแห่งล้วนมีประวัติศาสตร์อันเก่าแก่ ในตอนต้นของจักรวาล มหาจักรภพทั้งแปดได้ถือกำเนิดขึ้นมา
แม้ว่าโลกทั้งแปดนี้จะกว้างขวางและกว้างใหญ่ แต่หลังจากเวลาผ่านมาเนิ่นนาน ผู้แข็งแกร่งจำนวนมากได้ถือกำเนิดขึ้นมารอบแล้วรอบเล่า และพื้นที่อยู่อาศัยและทรัพยากรผลการฝึกตนค่อนข้างไม่เพียงพอ
เป็นผลให้ผู้แข็งแกร่งบางคนมายังนอกโลกมหาจักรภพแปดแห่งเพื่อสร้างโลกอื่น
พิภพสูง มีเพียงผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิเทพเท่านั้นที่สามารถสร้างโลกได้ จักรพรรดิเทพเป็นผู้ดำรงอยู่ที่ทรงพลังที่สุดในทุกยุคทุกสมัย เขาปกครองโลกมหาจักรภพแปดแห่งและไม่มีผู้ใดสู้ได้
สามพันโลก เป็นตัวแทนของยุคของจักรพรรดิเทพสามพันองค์ที่มีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาที่เนิ่นนานของจักรวาล
รองลงมาคือพิภพกลาง ซึ่งสร้างขึ้นโดยผู้และโลกระนาบผู้แข็งแกร่งมกุฎเทพ พิภพล่างถูกสร้างขึ้นโดยผู้แข็งแกร่งราชาเทพ
แม้ว่าเทพฟ้าและเทพมารเองก็สามารถสร้างแดนปริศนาได้ แต่พวกเขาไม่สามารถสร้างห้วงยุทธ์แห่งกฎที่สมบูรณ์ได้ ไม่นับว่าเป็นโลกหนึ่ง
หลังจากเวลาเนิ่นนานผ่านมา พิภพไม่ถ้วนของจักรวาลได้ก่อตัวขึ้นในรูปแบบปัจจุบัน ผู้แข็งแกร่งของพิภพต่างๆ ก็ถูกจำกัดด้วยกฎของจักรวาล พิภพล่าง พิภพกลาง พิภพชั้นสูง มหาจักรภพแปดแห่ง ได้แบ่งออกและมีความโดดเด่นอย่างชัดเจน
โลกาภูเพลิงเสวียน ถูกสร้างขึ้นโดยผู้แข็งแกร่งมกุฎเทพเก่าแก่โบราณ ที่นี่ หลี่ยู่ได้พบกับผู้หญิงที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา หยุนซี
หยุนซี เป็นลูกสาวของผู้แข็งแกร่งเทพฟ้าคนหนึ่งในโลกาภูเพลิงเสวียน มีพรสวรรค์ที่ดีมาก นางได้การฝึกตนถึงเจ้ายุทธจักรก่อนอายุยี่สิบปี มีความหวังที่จะกลายเป็นเทพมารในอนาคต หรือฝึกตนจนถึงเทพฟ้า
ในขณะนั้น หยุนซีเองก็กำลังฝึกตนอยู่ข้างนอก นางได้พบกับจักรพรรดิอสูร แม้ว่านางจะมีสมบัติวิเศษที่บิดาของนางมอบให้ แต่นางก็ตกอยู่ในอันตรายเช่นกัน
ในขณะนี้ หลี่ยู่ก็ปรากฏตัวขึ้น ฆ่าจักรพรรดิอสูรเพียงแค่ดีดนิ้วเท่านั้น ได้ช่วยชีวิตนางไว้ ภาพความแข็งแกร่งที่ยิ่งใหญ่ได้ประทับอยู่ในใจของนาง
เนื่องจากเป็นการลงมาฝึกตน หลี่ยู่จึงไม่สามารถเปิดเผยตัวตนของเขาต่อโลกภายนอกได้ เขาบอกว่าเขาเป็นผู้ฝึกตนที่ไม่เข้าร่วมกองกำลังใดๆ
วนาทีที่เขาเห็นหยุนซี แม้ว่าหลัวซิวไม่เคยเห็นใบหน้าที่สวยงามนั้นมาก่อน แต่เขาก็รู้สึกถึงออร่าที่คุ้นเคยจากนาง
“เหยียนซีโรว่!”
หลัวซิวตกใจ “หรือว่าทั้งสองมีความเกี่ยวข้องกัน?”
เขามีลางสังหรณ์ว่าการมองเห็นทั้งหมดนี้ผ่านวัฏจักรชีวิตในครั้งนี้ อาจทำให้เขาเข้าใจถึงสงสัยบางอย่าง
หลี่ยู่และหยุนซี มีช่วงเวลาที่มีความสุขมากเวลาที่อยู่ด้วยกัน หลี่ยู่มีพลังอมตะและวิชาที่ทรงพลังที่สุด เขาเองก็อยู่ในแดนเทพมารอยู่แล้ว สอนหยุนซี ในการฝึกฝนนับได้ว่าเร็วขึ้นมา
ผลการฝึกตนของหยุนซีก้าวหน้าขึ้นทุกวันและใช้เวลาไม่ถึงสิบปีในการก้าวจากเจ้ายุทธจักรขั้น 4 เป็นเจ้ายุทธจักรขั้น 7
เรื่องนี้ดึงดูดความสนใจของบิดาของหยุนซี ผู้แข็งแกร่งระดับเทพฟ้า
ในพิภพกลาง เทพฟ้าเป็นสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งมากที่สุดแล้ว เขาพบว่าความเร็วในการฝึกตนของหยุนซี เกี่ยวข้องกับหลี่ยู่ ดังนั้นเขาจึงคาดเดาว่าบนร่างของเขาน่าจะมีความลับใหญ่หลวง และได้รู้จากหยุนซีว่าเขาได้ฝึกฝนพลังอมตะที่เหลือเชื่อบางอย่าง
สิ่งนี้ทำให้บิดาของหยุนซีเกิดความโลภ และใช้ข้ออ้างที่หยุนซีและพรสวรรค์รุ่นเยาว์ได้หมั้นหมายกันเพื่อบังคับให้ทั้งสองเลิกกัน
ประตูตำหนักถูกผลักเปิดออก ชายวัยกลางคนแข็งแรงก้าวเข้ามา เขาดูประหม่าและตื่นเต้น
สาวใช้หลายร้อยคนในห้องโถงเห็นเขา ทุกคนต่างโค้งคำนับต่อเขาด้วยความเคารพ
“วัฏจักรชีวิต?…นี่เป็นหนึ่งในชาติก่อนของข้าหรือ?”
หลัวซิวจ้องไปที่ทารกเพศชายที่อุ้มโดยสาวใช้ เฝ้าดูเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ในฐานะผู้ยืนดู
“ใคร?”
ทันใดนั้น ชายวัยกลางคนที่แข็งแรงมองไปที่ที่หลัวซิวอยู่ ดวงตาคู่นั้นฉายแสงศักดิ์สิทธิ์อันดุเดือด ราวกับว่าเขาสามารถมองเห็นอดีตและปัจจุบันได้
ร่างกายของหลัวซิวสั่นสะท้าน นี่เป็นผู้แข็งแกร่งที่น่าสะพรึงกลัว เขาเข้าไปในวัฏจักรชีวิต เท่ากับว่าไปยังอดีต แล้วถูกผู้ชายคนนี้รู้สึก
ชายร่างกำยำตะคอกเสียงเบา ความกดดันแผ่ไปทั่วร่างกาย สาวใช้หลายร้อยคนในห้องโถงต่างตัวสั่นแล้วคุกเข่าลง
“สามี…”
หญิงงามหลังคลอดที่นอนอยู่บนเตียงส่งเสียงร้องแผ่วเบา
ดวงตาของชายร่างกำยำกลอกไปมา แต่เขาไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ เขาอดขมวดคิ้วไม่ได้ และเมื่อเขาได้ยินเสียงเรียกจากภรรยา เขาก็คลายความสงสัยลงทันทีแล้วเดินไปหาอย่างรวดเร็ว
ต่อให้เจ้าแข็งแกร่งแค่ไหน เมื่อตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตร ย่อมมีช่วงที่อ่อนแอ
ชายร่างกำยำกุมมือภรรยา ความห่วงใยแสดงออกมาบนใบหน้า เขาเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับมิตรภาพความรักมาก เขาไม่ได้มองลูกชายของเขาเป็นอันดับแรก แต่ให้ความสำคัญกับภรรยาก่อน
หลัวซิวเฝ้าดูเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ด้วยความอึ้ง จากสิ่งที่เขาเห็น ก็ไม่ยากที่จะเดาได้ว่าท่านบิดาและท่านมารดาของเขาในชาตินี้ต่างไม่ใช่คนธรรมดา
ปีแล้วปีเล่าได้ผ่านไปอย่างเงียบ ๆ
ภาพที่หลัวซิวมองเห็นทั้งหมดหมุนรอบการกำเนิดของเด็กทารก
เขาค่อยๆ เข้าใจว่าโลกนี้ไม่ใช่โลกแสงดาวแต่เป็นโลกมหาจักรภพ ซึ่งเป็นหนึ่งในแปดมหาจักรภพ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาพิภพจำนวนนับไม่ถ้วนในจักรวาล
จักรวาลทั้งจักรวาลกว้างใหญ่และไร้ที่สิ้นสุด มีพิภพนับไม่ถ้วน และมีพิภพต่ำจำนวนมาก ราวกับดวงดาวนับไม่ถ้วนบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว
พิภพกลางก็เช่นเดียวกัน อย่างน้อยก็มีหลายร้อยล้าน แล้วยังมีสามพันโลกใหญ่ ซึ่งทั้งหมดเป็นพิภพสูง
และโลกมหาจักรภพ มีเพียงแปดพิภพเท่านั้น เป็นสถานที่รวมของผู้แข็งแกร่งจำนวนนับไม่ถ้วนในจักรวาล
บิดาของเด็กทารกชื่อหลี่ฉิงเทียนและมารดาของเขาคือหวางโร่จวน ตระกูลหลี่และตระกูลหวาง ถือเป็นตระกูลที่มีอำนาจค่อนข้างมากโลกมหาจักรภพ
หลี่ฉิงเทียนเป็นหัวหน้าของตระกูลหลี่ ซึ่งมีผลการฝึกตนราชาเทพขั้นสูงสุด และมีตำแหน่งสูง
ทารกชายชื่อหลี่ยู่ เขาสืบทอดสายเลือดที่ยอดเยี่ยมมาจากบิดามารดา เขาเริ่มฝึกยุทธ์เมื่ออายุได้ 3 ขวบ โดยใช้น้ำอมฤตอันล้ำค่าต่างๆ เพื่อชำระร่างกาย ในการชุบกล้ามเนื้อและกระดูก
หลัวซิวได้เห็นการฝึกตนของสาวกของกองใหญ่ในโลกมหาจักรภพด้วยสายตาของเขาเอง การได้เกิดในสภาพแวดล้อมเช่นนี้สามารถกล่าวได้ว่าโชคดีและมีความสุขมากนัก
เมื่อเขาอายุเพียงหกขวบ หลี่ยู่ ได้รับการฝึกฝนถึงแดนเจ้ายุทธจักร สิบขวบถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ สิบสองขวบก็กลายเป็นเทพมาร
เทพมารอายุสิบสองปี หากไม่เห็นด้วยตาของเขาเอง หลัวซิวก็คงไม่เชื่อเลย สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นคือเทพมารอายุสิบสองปีผู้นี้ ฝึกฝนพลังอมตะและวิชาที่แข็งแกร่งมากที่สุดในพิภพนี้ หากเป็นโลกแสงดาวก็สามารถกวาดล้างฝ่ายตรงข้ามทั้งหมดได้และอยู่ยงคงกระพันในโลก
แต่แม้จะอยู่ที่โลกมหาจักรภพ ก็มีคนจำนวนไม่มากที่สามารถฝึกฝนถึงเทพมารได้เมื่ออายุสิบสองปี และมีเพียงอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์หายากในโลกเท่านั้นที่ทำได้
ดาราอัจฉริยะที่พร่างพรายกำลังผงาดขึ้น ชายหนุ่มชื่อหลี่ยู่ถูกลิขิตให้ไม่สงบสุขในชีวิตนี้
แม้ว่าหลัวซิวจะสร้างความโกลหลในโลกแสงดาวสองครั้งติดต่อกัน แต่ไม่มีผู้แข็งแกร่งระดับเทพมารออกมายุ่งตั้งแต่ต้นจนจบ
แม้ว่าพลังการต่อสู้ของจักรพรรดิหงส์จะเทียบเท่ากับเทพมาร แต่เขาก็ยังคงเป็นแค่แดนมหาจักรพรรดิยุทธ์แต่งตั้ง ไม่นับว่าเป็นผู้แข็งแกร่งเทพมาร
หลังจากทำลายป่าอู๋ถงของเผ่าหงส์ หลัวซิวกลับไปที่แดนตำหนักจื่อ แม้ว่าผู้แข็งแกร่งจากกองกำลังต่าง ๆ จะค้นพบที่นี่ เขาก็ไม่กลัว แค่ปล่อยให้แดนปริศนาหลบหนีเข้าไปในความว่างเปล่าที่ไม่มีที่สิ้นสุดอีกครั้งก็พอ แม้ว่าจะเป็นผู้แข็งแกร่งเทพมาร ก็อาจจะไม่สามารถค้นพบแดนปริศนา
นอกจากนี้ หลัวซิวได้สร้างค่ายกลต้องห้ามซ่อนอยู่ใกล้กับแดนปริศนา ด้วยวิธีนี้ หากแดนปริศนาหลบหนีไปสู่ความว่างเปล่าที่ไม่มีที่สิ้นสุดอีกครั้ง เขาสามารถติดตามการชักนำจากค่ายกลต้องห้ามหาทางกลับมาได้
ผู้คนในแดนตำหนักจื่อแยกออกมาจากโลก และพวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในโลกภายนอก หลัวซิวไม่มีแผนที่จะให้ผู้คนสำนักไท่เสวียนเข้าร่วมโลกในขณะนี้ เพราะกองกำลังทั้งหมดในโลกสามารถพูดได้ว่าเป็นศัตรูของเขา
“การรวมกันสองขั้วและความเป็นตาย สามารถได้รับพลังการต่อสู้ของเทพมาร แต่ก็มีเทพมารอยู่มากมายในโลกแสงดาวนี้ อย่างมากที่สุดข้าแค่สามารถปกป้องตัวเองได้ แต่ก็ห่างไกลจากการอยู่ยงคงกระพัน”
หลังจากการต่อสู้กับจักรพรรดิหงส์ หลัวซิวรู้ดีว่าแม้เขาจะใช้ไพ่ตายทั้งหมดของเขา อย่างมากที่สุดเขาแค่สามารถอยู่ยงคงกระพันได้ภายใต้มือของเทพมารธรรมดาเท่านั้น และเขาไม่มีกำลังในการฆ่าเทพมาร หากเป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทพมาร ถ้าเจอแล้วอาจจะเสียชีวิตไปก็ได้
ตอนนี้ร่างแยกทั้งสองรวมกันเป็นหนึ่ง ทันทีที่ถูกฆ่าตายก็จะหายไปอย่างสมบูรณ์
หลังจากกลับไปยังดินแดนลับ เหยียนเยว่เอ๋อร์และเหยียนซีโรว่ตามเขาไปที่หอฝึกกลาง
เหยียนเยว่เอ๋อร์ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเหยียนซีโรว่ แต่กังวลมากเกี่ยวกับประสบการณ์ของหลัวซิวในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้
เกี่ยวกับเรื่องของเขาเอง หลัวซิวเล่าแค่คร่าวๆเท่านั้น ตัวสำนึกของเขาปกคลุมทั่วแดนลับ เขาพบว่าการเปลี่ยนแปลงของจิตวิญญาณของมหาจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำกำลังอยู่ในช่วงสำคัญ เมื่อผ่านไปได้ ฟื้นคืนแค่วิญญาณดั้งเดิมเล็กน้อยก็มีหวังที่จะฟื้นคืนชีพ
คราวนี้ การรวมกันของสองขั้วควบคุมพลังแหล่งดั้งเดิม รู้สึกถึงความลึกลับในนี้ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อหลัวซิวมาก และสร้างความก้าวหน้าใหม่ในการรับรู้ทำความเข้าใจของผังกฎและการเวียนว่ายตายเกิดดั้งเดิม
เขาใช้วิชาแบ่งร่างดับเบิ้ลอีกครั้ง โดยแยกร่างทั้งสองออกเป็นขาวดำ แล้วปิดกั้นฝึกตนทันที และร่างแยกทั้งสองทำความเข้าใจผังกฎดั้งเดิมด้วยกัน
ในเวลาเดียวกัน เขาได้แยกจิตใจเพื่อสื่อสารกับโซนสงสารวัฏที่อยู่ในลูกแก้วความเป็นความตาย หลังจากที่ผลการฝึกตนมาถึงเจ้ายุทธจักร เขาสามารถได้รับของขวัญหนึ่งครั้งจากกฎดั้งเดิม
ยังคงอยู่ในโซนสงสารวัฏอันกว้างใหญ่นั้น วัฏจักรชีวิตขนาดใหญ่ได้ส่องแสงศักดิ์สิทธิ์ลงมาที่ด้านหน้าของหลัวซิว
“ก้าวสู่แสงแห่งการต้อนรับ แล้วเจ้าจะเข้าสู่วัฏจักรชีวิตได้” เสียงของเทพแห่งวัฏจักรชีวิตดังขึ้นในทันใด
“เข้าสู่วัฏจักรชีวิต?” หลัวซิวรู้สึกประหลาดใจ
“ถูกต้อง ของขวัญจากกฎดั้งเดิมครั้งนี้คือการให้เจ้าเข้าไปยังวัฏจักรชีวิต สามารถสัมผัสถึงชีวิตที่เจ้าเคยประสบมาก่อนในชาติบางชาติ”
ในวัฏจักรชีวิต สะท้อนชีวิตชาติก่อนและชีวิตชาตินี้ ประสบกับชาติก่อน เข้าใจชาตินี้ แดนจิตใจจะได้รับการเติบโตและโอกาสที่จะสัมผัสห้วงยุทธ์ดั้งเดิม
“อืม! ข้าจะดูว่าชาติที่ผ่านมาของข้าเป็นอย่างไร”
หลัวซิวก้าวเข้าสู่แสงแห่งการต้อนรับอย่างเด็ดเดี่ยว และในทันใดนั้นร่างกายของเขาก็เหมือนกับดวงดาวเล็กๆ ที่โยนตัวเขาเองเข้าสู่วัฏจักรชีวิตที่กว้างใหญ่ไพศาลราวกับท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาว
…
ในตำหนักที่ตกแต่งอย่างหรูหราด้วยม่านผ้าโปร่งบาง ๆ สาวใช้หลายร้อยคนกำลังยุ่งวุ่นวายอยู่ ผู้หญิงสง่างามและหรูหรานอนอยู่บนเตียง กำลังคลอดลูก
ร่างของนางส่องแสงเจิดจ้าไปทั่ว ท้องที่ปูดขึ้นเพราะมีทารกอยู่ในท้องของนางก็ขึ้นๆ ลง ระบายลมปราณอันแรงกล้าแห่งชีวิตออกมา
“อุแว้!”
ด้วยเสียงร้องของทารก ทารกที่ร่างกายถูกปกคลุมไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นมา
หลังจากแบ่งร่างดับเบิ้ลรวมกัน ความคืบหน้าใหม่ในการทำความเข้าใจความเป็นตายผังกฎดั้งเดิมก็เพิ่มขึ้น เขาใช้ตราธรรมจุติมรณะเป็นฐาน ได้ทำความเข้าใจวิชาพลังอมตะใหม่ ตราวัฏสงสาร!
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาใช้ตราวัฏสงสาร ซึ่งใช้ความเข้าใจและการเกิดใหม่ของกฎและการเวียนว่ายตายเกิดเกือบหมด
“บูม!”
หลังจากการโจมตีหนึ่งครั้ง เขากระเด็นออกไปอีกครั้ง กระอักเลือดออกมา ร่างกายของเขาเกือบจะแตกเป็นเสี่ยง
แต่ฝ่ายจักรพรรดิหงส์ก็รู้สึกไม่สบายเช่นกัน ครึ่งหนึ่งของร่างกายของเขาถูกโจมตีจนเป็นผงและเหลือเพียงครึ่งหนึ่งของร่างกายเท่านั้นทีสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้
ผลการฝึกฝนไปถึงแดนอย่างจักรพรรดิหงส์ แค่ร่างกายยังไม่ถูกทำลายอย่างสมบูรณ์ เขาก็ยังสามารถฟื้นตัวและเกิดใหม่ได้อย่างรวดเร็ว
แต่หลัวซิวจะไม่ให้โอกาสเขาเช่นนี้ เขาบังคับร่างกายที่บาดเจ็บ มือจับหอกยุทธ์มังกรดำพุ่งออกไปอีกครั้ง
แม้ว่าจะไม่สามารถทำลายล้างเทพจิตของจักรพรรดิหงส์ได้ แต่ก็จะทำลายล้างร่างกายของเขา
“หยุดนะ!”
ในเวลานี้ แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์จากตำหนักดารานภาที่คอยเฝ้าดูการต่อสู้ตลอด มีดาวเก้าดวงปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของเขา ดาวทุกดวงเป็นสมบัติวิเศษ สมบัติวิเศษทั้งเก้ารวมเป็นหนึ่ง กลายเป็นสมบัติแห่งดารา
ดาวทุกดวงเป็นสมบัติวิเศษชั้นกลาง แต่สมบัติวิเศษชั้นกลางทั้งเก้ารวมกัน ก็เป็นสมบัติวิเศษชั้นสูง แม้กระทั่งพลังก็จะเท่ากับสมบัติวิเศษชั้นยอด
ความน่าจะเป็นที่จะเกิดสมบัติวิเศษชั้นยอดนั้นต่ำมาก ต้องใช้สมบัติล้ำค่าอย่างยิ่งในการสร้าง ทั่วทั้งโลกแสงดาวก็สามารถนับได้นิ้วมือ หายากยิ่งกว่านักยุทธ์เทพมารเสียอีก
เมื่อเห็นชายคนนี้เคลื่อนไหว หลัวซิวรู้ว่าเขาไม่สามารถทำร้ายจักรพรรดิหงส์ได้อีก เพราะผลการฝึกตนของเขาได้ลดลงอย่างมากในขณะนี้ และเขาต้องมีกำลังสำรองเพื่ออำนวยความสะดวกในการหลบหนี
เขาเปลี่ยนเป้าหมายไปที่เลือดเทพหงส์เก้าหยดและกระบี่ขนนกจักรพรรดิหงส์
ในขณะนี้จักรพรรดิหงส์ได้รับบาดเจ็บสาหัส ร่างกายครึ่งหนึ่งที่เสียหาย เกิดใหม่ในเปลวไฟ เขาไม่สามารถหยุดการกระทำของหลัวซิวได้เลย เลือดเทพหงส์เก้าหยดและกระบี่ขนนกจักรพรรดิหงส์ถูกหลัวซิวเอาไปหมด
“ข้าเคยบอกว่าข้าจะทำลายป่าอู๋ถงพื้นที่นี้”
หลัวซิวยังไม่จากไป แต่จู่ ๆ ก็โยนเขาทองดำไท่เสวียนออกมากระแทกเข้ากับใจกลางของป่าอู๋ถงจนเกิดเสียงดังปัง
พลังสมบัติวิเศษชั้นสูงโพล่งออกมาอย่างรอบด้าน ผลที่ตามมาก็กวาดไปทุกทิศทุกทางราวกับคลื่นที่ปั่นป่วน พลังแข็งแกร่งเต็มท้องฟ้าไปหมดราวกับควันเป็นลูกคลื่น
แผ่นดินแตกร้าว หินถล่ม และทุกสิ่งในป่าอู๋ถงถูกทำลาย
ผู้คนหลายคนจากสำนักใหญ่ของเผ่าหงส์ตายตาไม่หลับโดยผลกระทบของผลที่ตามมา ทุกคนที่รอดชีวิตมาได้โกรธถึงสุดขีด จักรพรรดิหงส์ซึ่งยังคงฟื้นฟูร่างกายที่เหลือก็สั่นเทาด้วยความโกรธ
“ข้าจะมาอีก!”
หลังจากสร้างความวุ่นวายแล้ว แย่งเทพธิดาไป ทำลายสำนักใหญ่ของเผ่าหงส์ให้กลายเป็นพื้นราบ หลัวซิวจากไปโดยไม่ลืมที่จะทิ้งคำพูดที่โหดร้ายไว้
แดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นปลายจากตำหนักดารานภาคนนั้นไม่ได้ไล่ตาม เพราะเขาไม่แน่ใจว่าจะขวางหลัวซิวไว้ได้
หลังจากนั้นไม่นาน ร่างของจักรพรรดิหงส์ก็เกิดใหม่ ดวงตาของเขากวาดไปทั่วซากปรักหักพัง เขาโกรธเกรี้ยวจนมีเลือดไหลออกมา ดวงตาของเขาแดงก่ำ
“เดรัจฉานตัวน้อย ข้าและเจ้าจะต้องตายไปกันข้างหนึ่ง!” ผมเผ้าจักรพรรดิหงส์รุงรังยุ่งเหยิง จะบ้าคลั่ง
การต่อสู้สองครั้งติดต่อกัน ทำให้ทั้งโลกตกตะลึง การต่อสู้หนึ่งเพื่อทำลายล้างตำหนักอัคคีนภา การต่อสู้สองทำให้ป่าอู๋ถงกลายเป็นพื้นราบ กลายเป็นศักดิ์ศรีสูงสุดของหลัวซิว แต่เขาก็ยังนำประวัติศาสตร์อันมืดมนของโลกแสงดาวแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างๆมาพร้อมกันด้วย
ตอนนี้ คนทั่วโลกกำลังพูดถึงเขาอยู่กันทั้งโลก และความแข็งแกร่งที่เขาแสดงออกมานั้นช่างน่าตกใจและเหลือเชื่อเกินไป
ในการฝึกตนกว่า 30 ปี เขาสามารถมีพลังต่อสู้เทียบเท่าเทพมาร ในการต่อสู้กับจักรพรรดิหงส์ เขาได้เปรียบกว่า หลังจากต่อสู้เสร็จแล้วจากไปก็ไม่มีผู้ใดขวางทาง ช่างเป็นศักยภาพที่น่าสะพรึงกลัว
“ไม่มีเทพมาร ไม่มีใครในโลกสามารถปราบปรามเขาได้!”
“ว่ากันว่าผลการฝึกฝนของเขาคือแดนเจ้ายุทธจักร ถ้าเขาก้าวเข้าสู่แดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ หรือกลายเป็นเทพมาร ก็หมายความจะไม่มีผู้ใดเป็นคู่ต่อสู้ของเขาหรอกหรือ?”
“ไอ้เด็กเวร มารดางเอ้ย!”
เสียงด่าของหงเทียนดังออกมาจากหอกรบ ตอนนี้เขาเป็นจิตภัณฑ์ ถ้าหอกรบเสียหาย เท่ากับเขาได้รับบาดเจ็บ
หอกรบมังกรดำแต่เดิมเป็นของขลังพรสวรรค์ หลังจากแก้วิชาต้องห้ามขั้น 6 แล้ว ตอนนี้มันได้กลายเป็นสมบัติวิเศษระดับกลางแล้ว เมื่อเทียบกับ กระบี่เทพหงส์ยังมีช่องว่างไม่น้อย
เมื่อครู่นี้ทันทีที่ปะทะกัน หอกรบสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง พลังที่น่าสะพรึงกลัวถูกส่งเข้ามาผ่านตัวหอก ทำให้หลัวซิวบินออกไปราวกับถูกฟ้าผ่า ร่างกายของเขาแตกร้าวและเลือดไหลออกมา
“มารดาเอ้ย กูเจ็บจะตายแล้ว! ใช้ตำหนักจื่อเซียวทับเขาจนตาย มารดาง!” หงเทียนร้องโอดโอยพร้อมตะคอก
ตำหนักจื่อเซียวเป็นศัสตราวุธวิถีราชา แม้ว่าจะไม่สมบูรณ์ แต่พลังของมันจะต้องเหนือกว่าอาวุธเทพฟ้า หากสามารถกระตุ้นใช้ได้ แม้แต่เป็นพลังเพียงเล็กน้อยก็สามารถบดขยี้เทพมารให้ตายได้
แต่ด้วยฐานผลการฝึกตนและแดนกฎในปัจจุบันของหลัวซิว อาวุธตัวฉกาจนี้ไม่สามารถกระตุ้นและควบคุมได้เลย ทำได้เพียงวางไว้ในตัวหยั่งรู้สำหรับการป้องกันเท่านั้น
“บูม!”
จักรพรรดิหงส์พุ่งมาโจมตีอีกครั้ง หลัวซิวเสียเปรียบมาครั้งหนึ่ง คราวนี้ เขาไม่ได้เผชิญหน้ากับเขาแบบตรงๆ อีกต่อไป หลีกเลี่ยงอย่างรวดเร็ว มองหาจุดบกพร่อง
“เจ้าเดรัจฉานน้อย เมื่อครู่นี้เจ้าจองหองนักไม่ใช่หรือ ข่มขู่ว่าจะทำลายป่าอู๋ถงของเผ่าหงส์ไม่ใช่หรือไง? เหตุใดเจ้ายังหลบอยู่ตลอด ไม่กล้าสู้กับข้าตรงๆ?”
จักรพรรดิหงส์เยาะเย้ยพร้อมยิ้มเย็น ดูเหมือนเหยียดหยาม แต่ในความเป็นจริง ในใจของเขาหลัวหลัวซิวเป็นอย่างยิ่ง ต้องการทำให้เขาโกรธด้วยคำพูดและทำให้เขาทำอะไรไม่ถูก ก็จะสามารถใช้โอกาสนี้เพื่อฆ่าเขาได้
เขาชัดเจนมากว่าอีกฝ่ายสามารถต่อสู้กับตัวเองได้หลังจากฝึกตนมาเป็นเวลาเพียง 30 ปี หากอัจฉริยะคนนี้เติบโตขึ้นจะต้องเป็นหายนะครั้งใหญ่ของ เผ่าหงส์ จะต้องตัดปีกเขาทิ้งก่อนที่เขาจะโตขึ้น
แม้ว่าเวลาในการฝึกตนของหลัวซิวจะค่อนข้างสั้น แต่ไม่จิตใจของเขาสงบมาก เพราะเผชิญความทุกข์ยากลำบากมานับไม่ถ้วน ไม่ได้รับอิทธิพลจากคำพูดของเขาเลย
“เจ้าคิดว่าถ้าเจ้าหลบเลี่ยงไม่หยุด ข้าจะไม่สามารถสังหารเจ้าได้หรือ?”
ทันใดนั้น จักรพรรดิหงส์ตะคอกเสียงเย็นชา เครื่องหมายกฎเพลิงอัคคีปรากฏขึ้นระหว่างคิ้วของเขา และเปลวเพลิงที่ควบแน่นในเครื่องหมาย สว่างขึ้นเรื่อย ๆ
นี่คือชิ้นส่วนของกฎดั้งเดิมเปลวไฟที่เขาได้รับจากแดนอนาคิน ซึ่งสามารถกระตุ้นพลังเทพดั้งเดิมได้ น่ากลัวอย่างยิ่งและสามารถเป็นอันตรายต่อเทพมารธรรมดาได้
“โครม!”
เมื่อพลังศักดิ์สิทธิ์ถูกควบแน่นจนสุดขั้ว และเปล่งประกายสุดขีด แสงศักดิ์สิทธิ์พุ่งออกมาจากกึ่งกลางคิ้วของจักรพรรดิหงส์ แสงศักดิ์สิทธิ์ราวกับไฟที่มีความยาวถึงหมื่นเมตร ทะลุทะลวงท้องฟ้า
นี่คือการกระบวนท่าสุดยอดของจักรพรรดิหงส์ และเป็นไพ่ตายที่สามารถก้าวข้ามแดนฆ่าเทพมารธรรมดาได้
ในเวลาเดียวกัน จักรพรรดิหงส์ก็รู้สึกว่าผลการฝึกตนของเขาถูกระบายออกไปอย่างมาก เพราะเขาไม่ใช่เทพมารที่แท้จริง ควบคุมพลังเทพดั้งเดิมใช้ผลการฝึกตนของเขามาก
เช่นเดียวกับหลัวซิว แม้ว่ากฎและการเวียนว่ายตายเกิดรวมกันจะวิวัฒนาการเป็นพลังแหล่งดั้งเดิมไม่ได้สร้างความเสียหายให้กับผลผลการฝึกตนมากนัก แต่เพราะเขาเมีเพียงผลการฝึกตนระดับเจ้ายุทธจักรเท่านั้น แม้จะมีลูกแก้วเสวียนดำเป็นลำธารพลังก็ใช้ไปมากแล้ว
“ตราธรรมจุติมรณะ!”
“ตราธรรมจุติมรณะ!”
มือของเขากลายเป็นภาพติดตา กฎและการเวียนว่ายตายเกิดรวมกันเป็นหนึ่งเดียว กลายเป็นวัฏจักรชีวิต
แสงศักดิ์สิทธิ์ที่โจมตีมาจากพลังเปลวไฟดั้งเดิมโดยจักรพรรดิหงส์ ตกลงไปในวัฏจักรชีวิตก็ไม่มีชีวิตอีกต่อไป
“อะไรนะ?” จักรพรรดิหงส์ตกตะลึงหวาดกลัวเมื่อเห็นฉากนี้ นั่นคือการโจมตีครั้งหนึ่งที่อันตรายต่อเทพมารได้ ก็หายไปแบบนี้แล้วหรือ?
วัฏจักรชีวิต ในแง่หนึ่งเป็นพลังชนิดหนึ่งที่อยู่เหนือกฎดั้งเดิม แม้ว่าหลัวซิวจะยังไม่ถึงระดับนั้น แต่การรวมกันแล้วเกิดเป็นกฎและการเวียนว่ายตายเกิด แต่ก็สามารถทำให้มีพลังวัฏจักรชีวิตได้เล็กน้อย
วินาทีนี้ แม้แต่เวลาก็ถูกแช่แข็ง คราวนี้ หลัวซิวได้ใช้กำลังอย่างเต็มที่ ใช้ผลการฝึกตนทั้งหมดของเขากระตุ้นวิธีการผนึกนี้ ซึ่งสามารถกล่าวได้ว่ายอดเยี่ยมมากนัก
ภูตอัคคีพรสวรรค์ที่เกิดมาจากฟ้าดิน โดยทั่วไปมีระดับคงที่ เฉพาะภูตอัคคีกลืนกินประเภทนี้เท่านั้นที่ไม่รวมอยู่ในประเภทนี้ มันสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ของการวิวัฒนาการได้โดยการกลืนกินเปลวไฟอื่น ๆ และสามารถเปลี่ยนจากภูตอัคคีไปเป็นอัคคีเทพ
ตามบันทึกในภูตอัคคีร้อยแปร หากสามารถฝึกฝนจนถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งที่หกของภูตอัคคี พลังของภูตอัคคีกลืนกินสามารถพัฒนาเป็นอัคคีเทพเบื้องต้น ซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้แข็งแกร่งระดับเทพมาร
“วันนี้ข้าจะฆ่าเจ้า!”
รัศมีความเจิดจรัสทั้งเก้าพุ่งออกมาจากกึ่งกลางคิ้วของจักรพรรดิหงส์ และทุกแสงใสราวกับหยกจากแก่นโลหิต
แก่นโลหิตเก้าหยดนี้ไม่ใช่แก่นแท้ของโลหิตของจักรพรรดิหงส์ แต่มีลมปราณของเทพมารอยู่ในนั้น เป็นแก่นแท้ของเลือดที่หลงเหลือจากบรรพบุรุษของเผ่าหงส์ หลังจากที่กลายเป็นเทพมารในสมัยโบราณ
และนี่ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวที่สุด กระบี่สีแดงดั่งเลือด ราวกับดาบหรือกระบี่ได้ปรากฏขึ้น
บรรพบุรุษของเผ่าหงส์ที่เป็นเทพมารโบราณ หลังจากเสียชีวิต ได้เหลือเลือดเก้าหยดและปีกหนึ่งข้าง อาวุธนี้สร้างมาจากปีกของบรรพบุรุษของเผ่าหงส์
ตั้งแต่บรรพบุรุษคนแรก เผ่าหงส์ไม่เคยมีเทพมารเกิดขึ้นมาก่อน ดังนั้นอาวุธนี้จึงไม่ได้ถูกเปลี่ยนเป็นอาวุธเทพมาร แต่ก็ด้อยกว่าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
อาวุธระดับเทพมารยังเป็นที่รู้จักกันในนามศัสตราวุธ อาวุธของเผ่าหงส์นี้ยังไม่ได้เปลี่ยนเป็นศัสตราวุธ แต่ออร่าและพลังไม่ได้ด้อยไปกว่าไฟเทวสว่างที่อยู่ในมือของหลัวซิว
หลัวซิวแสดงสีหน้าเคร่งขรึมออกมา พลังต่อสู้ของจักรพรรดิหงส์นี้เทียบได้กับเทพมาร ตอนนี้ เขาได้เอาไพ่ตายออกมา ซึ่งทำให้เขารู้สึกถึงอันตราย
“บูม!”
กระบี่ขนนกบรรพบุรุษในมือของจักรพรรดิหงส์บินขึ้นไปและกลายเป็นร่างหงส์ ปีกคู่นั้นกางออกและได้ปกคลุมฟ้าดิน ทำให้เกิดเปลวไฟไร้ที่สิ้นสุด
หลัวซิวตะคอกเสียงเบา แสงสีดำที่ส่องประกายในจุดตันเถียน เขาทองดำไท่เสวียนบินออกมา ภูตอัคคีกลืนกินแปลงร่างเป็นเด็กนั่งขัดสมาธิอยู่บนภูเขาทองคำดำ กลั่นพลังเปลวไฟทุกอย่าง
อาวุธทั้งสองเป็นสมบัติวิเศษชั้นสูง ปะทะกันก็ไม่สามารถแยกได้ว่าอาวุธใดแข็งแกร่งกว่า
ในขณะนี้ โลหิตเก้าหยดของบรรพบุรุษเผ่าหงส์กลายเป็นหงส์เทพเก้าตัว ลมปราณพลังเปลวไฟกฎดั้งเดิมเต็มไปหมด
หลัวซิวใช้ไฟเทวสว่าง โดยใช้พลังแห่งกฎสว่างสร้างแสงเทพ ขวางหงส์เทพเก้าตัวที่แปลงร่างมาจากโลหิตบรรพบุรุษ
ในเวลาเดียวกัน จักรพรรดิหงส์ก้าวไปข้างหน้า คว้าอาวุธที่กลั่นโดยปีกของบรรพบุรุษพร้อมพุ่งไปฆ่าเขา
นี่ไม่ใช่อาวุธระดับสมบัติวิเศษธรรมดา แต่สร้างมาจากปีกของบรรพบุรุษของเผ่าหงส์ที่กลายเป็นเทพมาร อาวุธนี้สีแดงราวกับเลือดและน่ากลัวอย่างยิ่ง
แม้ว่ามันยังไม่ได้วิวัฒนาการเป็นศัสตราวุธแต่พลังของมันแข็งแกร่งกว่าอาวุธทั่วไปเพราะวัสดุพิเศษในการกลั่นอาวุธนี้
ต้องรู้ว่าบรรพบุรุษของเผ่าหงส์นั้นเป็นเทพหงส์ที่แท้จริง และยังเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังในหมู่เทพมาร ร่างเนื้อของมันนั้นแข็งแกร่งมากนัก ปีกข้างหนึ่งก็สามารถฉีกฟ้าดินออกจากกันได้ และใช้ในการกลั่นเป็นอาวุธจึงมีพลังไร้ขอบเขต
ไฟเทวสว่างถูกใช้เพื่อต่อต้านเทพหงส์ที่แปลงร่างด้วยแก่นโลหิตเก้าหยด ในขณะนี้ หลัวซิวไม่มีอาวุธอื่นใดในมือของเขาที่สามารถต้านทานกับกระบี่หงส์ศักดิ์สิทธิ์นี้ได้
“ปัง!”
ปีกทิพย์ไร้มลทินกางออกจากด้านหลังหลัวซิว และเขาใช้ความเร็วจนถึงขีดสุด หายไปจากที่ตรงนั้น
เกิดเสียงดังปัง อากาศตรงที่เขาอยู่ถูกฉีกออกเป็นชิ้น ๆ ด้วยกระบี่เพลิงวาววับ อากาศแตกสลาย ราวกับโซ่สีดำ แผ่ขยายไปยังความว่างเปล่าที่อยู่ห่างออกไปหลายพันไมล์
แต่พื้นที่ส่วนนี้ได้รับผลกระทบจากกระบี่เทพหงส์ ไม่ว่าจะเป็นความเร็วของปีกทิพย์ไร้มลทินหรือการใช้กฎปริภูมิต่างก็ถูกจำกัดเป็นอย่างมาก
จักรพรรดิหงส์ฟันออกไปด้วยกระบี่อีกครั้ง หลัวซิวไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงใช้หอกยุทธ์มังกรดำต่อต้านเท่านั้น
“หมื่นจักรวาลไร้รูป!”
ทักษะพลังอมตะพุ่งออกไป หอกร่างมังกร ปะทะกับกระบี่เทพหงส์
“อยู่ต่อหน้าข้ายังคงสงบนิ่ง รุ่นเยาว์ช่างน่ากลัวยิ่งนัก”
ร่างหนึ่งออกมาจากกระบี่รบรูปหงส์ ใบหน้าเกรงขาม สวมมงกุฎจักรพรรดิ และมองดูหลัวซิวด้วยท่าทีที่สูงส่ง
“คนรุ่นใหม่จะเก่งกว่ารุ่นเก่า เจ้าเป็นแค่คนที่เกิดเร็วกว่าข้าหลายพันปีเท่านั้น อย่ามาทำตัวเป็นผู้ใหญ่ต่อหน้าข้า” หลัวซิวเยาะเย้ยอย่างเหยียดหยาม
“เป็นเรื่องปกติที่คนหนุ่มกล้าพูดใหญ่โตเมื่อพวกเขาเก่งกาจบางอย่าง แต่ถ้ามากเกินไป ส่วนใหญ่จะจบไม่สวย”
ตามด้วยการพูดของจักรพรรดิหงส์ เจตนาฆ่าที่เยือกเย็นที่กัดกินกระดูกก็แผ่ขยายไปทั่วในทันที ทำให้ความว่างเปล่านับพันไมล์กลายเป็นน้ำแข็ง
จอมยุทธ์ของกองกำลังต่าง ๆ ในป่าอู๋ถงที่อยู่ด้านล่าง ต่างตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ เพราะไม่สามารถทนต่อเจตนาฆ่าของจักรพรรดิหงส์ได้
เห็นเพียงว่าจักรพรรดิหงส์ไม่ได้เคลื่อนไหวเลยก็มีเปลวไฟโผล่ออกมาจากอากาศ ควบแน่นเป็นหอกเปลวไฟ ทะลุผ่านอากาศแล้วแทงไปที่หน้าอกของหลัวซิว
พลังแห่งกฎเคลื่อนไหวตามการนึกคิด นี่คือความสามารถของผู้แข็งแกร่งที่สามารถครอบครองพลังแห่งกฎดั้งเดิมได้
แม้หลัวซิวจะสามารถกระตุ้นแหล่งดั้งเดิมความเป็นตายรวมกันเป็นหนึ่งออกมาได้ แต่ระดับแดนนั้นยังไม่ถึงขั้นที่พลังแห่งกฎเคลื่อนไหวตามการนึกคิด
เขาก้าวขึ้นไปในอากาศ ปกป้องร่างกายของเขาด้วยไฟเทว แทงออกไปด้วยหอกรบในมือ แทงหอกเพลิงที่พุ่งมาให้สลาย
แม้ว่าหอกรบจะแตกเป็นเสี่ยง แต่ก็ยังมีออร่าไฟที่แผดเผาบินมาหาเขา อากาศที่ลุกโชติช่วงก็ค่อยๆ พังทลายลง
“บึง!”
ท้องฟ้าสั่นสะเทือน หอกเปลวไฟจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นรอบๆ หลัวซิว ราวกับฝนลูกธนูนับพันลูก
หลัวซิวกระตุ้นกฎชีวิตและไฟเทวสว่าง แสงศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีที่สิ้นสุดเบ่งบาน เปลี่ยนเป็นการป้องกัน ต่อต้านการบุกรุกของพลังเปลวไฟ
“บูม! บูม! บูม!…”
ร่างของหลัวซิวจมอยู่ใต้หอกเปลวไฟจำนวนนับไม่ถ้วนทันที พลังแสงสว่างดั้งเดิมและพลังเปลวไฟดั้งเดิมปะทะกัน ทำลายพื้นที่รอบด้านเป็นบริเวณกว้าง ก่อให้เกิดฉากการทำลายล้างครั้งใหญ่ที่ทรุดโทรม
“สามารถกระตุ้นพลังของนักยุทธ์เทพมารได้ในระดับนี้ ข้าประเมินเจ้าต่ำไป”
จักรพรรดิหงส์ไม่ได้จริงจังกับเขานัก เขาเอื้อมมือออกไปจับ กระบี่ขนนกบรรพบุรุษคนแรกปรากฏขึ้นมาอยู่ในมือของเขา
กระบี่รบระดับมหาจักรพรรดิเล่มนี้ ถูกเปลี่ยนโดยขนนกของบรรพบุรุษคนแรก และเป็นสัญลักษณ์ของผู้นำเผ่าหงส์ของแต่ละรุ่น แล้วยังเป็นอาวุธของหัวหน้าเผ่าด้วย
ในกระบี่ขนนก ได้บรรจุเจตจำนงของเทพหงส์โบราณ ท่ามกลางสมบัติวิเศษชั้นสูง ก็เป็นอาวุธชั้นยอดอีกด้วย
ทุกการเคลื่อนไหวของจักรพรรดิหงส์ จะมีแสงกระบี่อันน่าสะพรึงกลัวของเปลวไฟที่ลุกโชติช่วง แสงกระบี่แต่ละดวงมีขนาดใหญ่มาก กลายเป็นรูปหงส์มีพลังอันน่าสะพรึงกลัวที่จะฉีกฟ้าดินออกจากกัน
“บูม! บูม! บูม!”
หลัวซิวใช้ไฟเทวปกป้องร่างกาย ถือหอกมังกรดำพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ต่อสู้กับกระบี่รูปหงส์เรืองแสงด้วยหอกมังกรดำ ออร่าน่าน่าหวาดหวั่น
“เพลิงจักรพรรดิหงสาทะลวง”
จักรพรรดิหงส์ตะคอกเสียงดังอย่างกะทันหัน เปลวไฟไร้ที่สิ้นสุดโผล่ออกมา เปลวไฟเหล่านี้มีกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวของการเผาไหม้ ทำให้ฟ้าดินเดือดพล่าน ร่างของหลัวซิวจมหายเข้าไปในเปลวไฟ
เมื่อเห็นฉากนี้ ทุกคนแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา ผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งตำหนักดารานภาสีหน้าจริงจังเช่นกัน พลังของจักรพรรดิหงส์แข็งแกร่งจริง ๆ สมกับแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์แต่งตั้ง
“เปลวไฟของเจ้าไม่มีผลกับข้า”
ทันใดนั้น เสียงของหลัวซิวก็ดังออกมาจากใจกลางของเปลวไฟ เห็นเพียงภาพเด็กที่ปรากฏขึ้นข้างๆ เขา เด็กคนนั้นอ้าปากเล็กๆ สูบเปลวไฟที่อยู่รอบๆ ไปแล้วกลืนเข้าไปในท้องทั้งหมด
“ภูตอัคคีกลืนกิน สามารถวิวัฒนาการได้โดยการกลืนกินภูตอัคคี!” ม่านตาของจักรพรรดิหงส์หดตัว
ปัจจุบัน ภูตอัคคีกลืนกินได้พัฒนาจนเกือบจะมีตัวตน จากสภาวะที่งงงวยไม่เข้าใจก่อนหน้านี้ ตอนนี้ได้ค่อยๆ มีปัญญา เพราะเคยกลืนกินภูตอัคคีสามชนิดมาแล้วและได้พัฒนาภูตอัคคีแดนที่สาม
นอกจากนี้ การรวมกันของกฎและการเวียนว่ายตายเกิด สามารถทำให้เกิดพลังเทพดั้งเดิม ราวกับการโจมตีของเทพมาร
“พรึบ!”
ทะเลเพลิงที่อยู่เห็นด้านหลังเฟิ่งหยางพังทลายลงในทันที และเทพหงส์ที่เกิดใหม่จากไฟก็สลายหายไปอย่างสมบูรณ์
เป็นถึงผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นปลาย ก็ไม่สามารถต้านทานการโจมตีครั้งหนึ่งได้ เขากระเด็นออกไป ร่างกายเต็มไปด้วยเลือดและเนื้อที่ผสมกัน
“ไปตายซะ!”
หลัวซิวตะโกน ไฟเทวในมือยิงแสงศักดิ์สิทธิ์ออกมา
ทุกคนตกใจ นึกว่าเขาจะฆ่าเฟิ่งหยางคนที่แข็งแกร่งเป็นอันดับสองจากเผ่าหงส์ แต่เป้าหมายของแสงศักดิ์สิทธิ์ที่ปล่อยออกมาจากไฟเทวไม่ใช่เฟิ่งหยาง แต่บินลงไปด้านล่าง
“เร็ว ขวางเขาไว้!” เฟิ่งหยางตะโกนเสียงดังเมื่อเห็นฉากนี้ เห็นได้ชัดว่าเป้าหมายที่แท้จริงของหลัวซิวคือแย่งเทพธิดา
ผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์อีกสองคนของเผ่าหงส์เพิ่งมีปฏิกิริยา และในขณะที่พวกเขากำลังจะขวางแสงศักดิ์สิทธิ์ที่ส่องมา พวกเขาเห็นเงาแส้รูปมังกรสีทองตกลงมาจากท้องฟ้าแล้วเฆี่ยนลงบนร่างของพวกเขา
“อ๊าก! อ๊าก!”
เผ่าหงส์มหาจักรพรรดิยุทธ์สองคนของเผ่าหงส์กรีดร้อง เทพจิตตัวหยั่งรู้ราวกับถูกทำร้ายอย่างแรง อาการปวดหัวที่เหมือนจะแตกออก ใบหน้าซีดขาว
ในขณะนี้ แสงศักดิ์สิทธิ์ของไฟเทวก็บินผ่าน ราวกับเชือกพันเหยียนเยว่เอ๋อร์ไว้
ในเวลาเดียวกัน หลัวซิวไร้ความปราณี เหวี่ยงแส้มังกรฟ้าสยบเทพ เฆี่ยนไปยังเจ้ายุทธจักรหงส์และเทพบุตรเผ่าหงส์
“พรึบ!”
เปลวไฟสีทองจากกระบี่ปรากฏขึ้นในชั่วพริบตา ต่อต้านแส้มังกรฟ้าสยบเทพ ทำลายการสังหารของเจ้ายุทธจักรหงส์และเทพบุตรเผ่าหงส์
นี่คือกระบี่รบรูปทรงหงส์ มีรูปร่างเหมือนขนหงส์ มีข่าวลือว่าเป็นกระบรารบที่สร้างโดยบรรพบุรุษของเผ่าหงส์ก่อนที่จะกลายเป็นเทพมาร ใช้ขนชีวีหลอมออกมาเป็นกระบี่รบ เป็นกระบี่รบสมบัติวิเศษชั้นสูง
“หลัวซิว เจ้ากล้ามาเผ่าหงส์ของข้า ความกล้าหาญของเจ้าน่ายกย่องมากนัก!”
เสียงที่ไม่แยแสดังออกมาจากกระบี่รบรูปหงส์ เผยให้เห็นถึงความแข็งแกร่งลึกลับ ทำให้ทุกคนที่อยู่ที่นี่อดไม่ได้ที่จะก้มกราบ
“หัวหน้าเผ่าออกจากการปิดกั้นฝึกตนแล้ว!”
“คือจักรพรรดิหงส์!”
มีเพียงผู้แข็งแกร่งไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถมีพลังดังกล่าวได้ในปัจจุบัน และมีเพียงคนเดียวในเผ่าหงส์ นั่นก็คือหัวหน้าเผ่าหงส์ จักรพรรดิหงส์!
เขาเป็นผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์แต่งตั้ง พลังการต่อสู้ของเขาเทียบได้กับเทพมาร และเขาเกือบจะเทียบได้กับจ้าวแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์สี่แห่ง
แต่หลัวซิวเพิกเฉยจักรพรรดิหงส์ แสงศักดิ์สิทธิ์จากไฟเทวพันเหยียนเยว่เอ๋อร์แล้วกลับมาที่ด้านข้างของเขา
“หลัวซิว…”
พลิกผ้าคลุมหัวสีแดงขึ้น เหยียนเยว่เอ๋อร์ร้องไห้ออกมา ในใจทั้งยินดีและกังวล
เผ่าหงส์ที่มีจักรพรรดิหงส์ปกป้องนั้น แน่นอนว่าเป็นถ้ำที่มีพยัคฆ์ ทะเลสาบที่มีมังกร หลัวซิวมาที่นี่ เป็นเรื่องที่อันตรายและคาดเดาไม่ได้ และหากไม่ใช่เพราะหลัวซิวมาที่นี่ หากนางถูกบังคับให้แต่งงานกับเทพบุตรเผ่าหงส์จริง ๆ ผลที่ตามมาย่อมเกินความสามารถที่นางจะแบกรับได้อย่างแน่นอน
วินาทีนี้ อารมณ์ของนางซับซ้อนมาก ตอนแรก นางคิดว่าการมาที่เผ่าหงส์ จะทำให้ความแข็งแกร่งของนางเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วนางก็จะสามารถช่วยหลัวซิวได้ แต่นางคาดไม่ถึงว่านางจะโชคร้ายเช่นนี้ กลายเป็นสิ่งที่พันธนาการเขา
“อย่าร้องไห้อีกเลย แย่งเจ้ากลับมาไม่ใช่แล้วหรือ?” หลัวซิวปลอบโยนนางด้วยรอยยิ้ม
เมื่อจักรพรรดิหงส์ปรากฏตัว เขายังสงบนิ่ง พูดคุยด้วยรอยยิ้ม แม้แต่คนที่เป็นศัตรูกับเขา ก็อดชื่นชมเขาในใจไม่ได้
“นกน้อยของเผ่าหงส์ที่ขนยังงอกไม่หมด ยังกล้าที่จะจับผู้หญิงของข้า เดี๋ยวข้าย่างเขานะ” หลัวซิวยิ้มเบา ๆ ราวกับเล่าเรื่องธรรมดา แต่สีหน้าของเขานั้นจริงจังนัก
เหยียนเยว่เอ๋อร์ไม่ใช่ผู้หญิงที่มีอารมณ์อ่อนไหวง่ายๆอยู่แล้ว เมื่อเขาพูดอย่างนี้ ในที่สุดนางก็รู้สึกขบขัน
เทพมารอัสนีและเห้อหมิง พาเหยียนซีโรว่มาอยู่ด้านข้างเขา เห็นเพียงหลัวซิวโยนตำหนักเสวียนดำออกมา พาพวกเขาทั้งหมดเข้าไปข้างใน
จักรพรรดิหงส์ปรากฏตัวขึ้นมาแล้ว พลังการต่อสู้ของเขาเทียบได้กับเทพมาร เขาเป็นศัตรูที่ไร้เทียมทาน จะมีการต่อสู้ที่ดุเดือด เขากังวลว่าจะมีคนฉวยโอกาสโจมตีพวกนาง
ร่างมหึมาถูกแทงทะลุ รูเลือดปรากฏขึ้น เลือดสดสาดออกมาเหมือนเสาและร้อนราวกับไฟ
ร่างของมังกรเขียวขนาดมหึมาหดตัวอย่างรวดเร็ว และก่อตัวใหม่เป็นชายชรารูปร่างมนุษย์ ลำคอที่เป็นส่วนสำคัญถูกแทงทะลุและใบหน้าของเขาซีดมาก
ต่อสู้จนถึงตอนนี้ เขาตกใจกลัวมาก กลายเป็นลำแสง ฉีกอากาศออกจากกัน และบินหนีไปอย่างรวดเร็ว
หลัวซิวไม่ได้ไล่ตามเขา แม้ว่าเขาจะสามารถใช้กฎปริภูมิเพื่อให้จักรพรรดิอสูรเผ่ามังกรหนีไปไม่ได้ แต่ด้วยการฝึกตนแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นปลาย ชนะเขายังพอได้ แต่ยากที่จะฆ่าเขา
แม้ว่าจะล้มเหลวในการสังหารแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นปลายจากจักรพรรดิอสูรเผ่ามังกร แต่ผลในการข่มขู่หวาดกลัวก็เกิดตามที่ต้องการแล้ว
เขาเป็นเหมือนเทพมารที่ลงมา มองดูโลกจากข้างบน กวาดสายตามองทุกคนในป่าอู๋ถงอัคคีอร่าม และพูดอย่างเย็นชา “วันนี้ใครกล้าขวางข้า ข้าก็จะฆ่าผู้นั้น!”
ในเผ่าหงส์ ยังมีผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ ยกเว้นจักรพรรดิหงส์ หัวหน้าเผ่าที่ไม่อยู่ที่นี่ ยังมีแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์สามคน และหนึ่งในนั้นคือแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นปลาย
นอกจากนี้ ตำหนักดารานภาของเผ่าพันธุ์มนุษย์มีแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นปลายอยู่ที่นี่คนหนึ่ง ทั่วร่างซึ่งเต็มไปด้วยแสงดาวและออร่าที่ลึกล้ำแข็งแกร่ง
เขาถือหอกยุทธ์มังกรดำอยู่ในมือ เขากวาดมองไปยังทั้งสองอย่างเฉยเมย “พวกเจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า ให้จักรพรรดิหงส์ออกมา”
ในป่าอู๋ถงเงียบสงัด ทุกคนต่างเฝ้ามองฉากนี้อย่างเงียบๆ ชายหนุ่มผู้ถูกแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างๆไล่ล่าสังหารในอดีต ผู้ที่เกือบจะไม่มีที่ไป ตอนนี้ได้เติบโตขึ้นถึงขั้นที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้แล้ว
พลังการต่อสู้ของเขาเหนือจินตนาการ และแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นปลายจากจักรพรรดิอสูรเผ่ามังกรก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ได้แต่หลบหนีได้เท่านั้นซึ่งเห็นได้ชัดเจนมาก
ผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ต่างเป็นอัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบได้ ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถฝึกตนมาถึงแดนนี้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเขาที่อยู่ในแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นปลาย ต่างเป็นผู้แข็งแกร่งชั้นนำ พวกเขาจะทนต่อการดูหมิ่นดูถูกจากผู้น้อยได้อย่างไร?
แดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นปลายจากตำหนักดารานภาไม่ได้พูดอะไร ภายใต้แสงดาวไม่มีใครสามารถเห็นสีหน้าของเขาได้ชัดเจน
แดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นปลายผู้นั้นของเผ่าหงส์ลุกขึ้นยืน คนนี้ชื่อเฟิ่งหยาง เขาเป็นผู้อาวุโสสูงสุดของเผ่าหงส์ ผลการฝึกตนของเขาได้ถึงมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น7
แม้ว่าเขาจะไม่มีสายเลือดบริสุทธิ์ของเทพหงส์ แต่ผลการฝึกตนได้มาถึงแดนนี้แล้ว พลังของสายเลือดก็มีแข็งแกร่งมากเช่นกัน
ความแค้นระหว่างเผ่าหงส์และหลัวซิวแทบจะไม่สามารถหายไปได้ เผ่าหงส์ไล่ฆ่าเขาไม่หยุด และมีผู้แข็งแกร่งจำนวนนับไม่ถ้วนที่เสียชีวิตด้วยน้ำมือของหลัวซิวเช่นกัน
วันนี้จักรพรรดิหงส์ไม่ออกมา ในฐานะผู้แข็งแกร่งรองอันดับสองของเผ่าหงส์ ตอนนี้เขาต้องออกมา ไม่เช่นนั้นทั้งเผ่าหงส์จะขายหน้าไปหมด
“บูม!”
ทะเลเพลิงที่แผดเผาปรากฏขึ้นด้านหลังเฟิ่งหยาง เปลวไฟทุกดวงมีพลังอันยิ่งใหญ่ หงส์ศักดิ์สิทธิ์ตัวหนึ่งได้เกิดใหม่จากไฟพร้อมคำรามอยู่ในทะเลเพลิง
“ตั้งแต่สมัยโบราณ มีการกล่าวกันว่าผู้มีมหาอิทธิฤทธิ์สามารถปราบมังกรปราบขี่เสือได้ วันนี้ข้าจะปราบมังกรและขี่หงส์!” หลัวซิวสูดหายใจอย่างเย็นชา เจตนาต่อสู้ของเขาพุ่งขึ้นไปบนฟ้า
“พูดเช่นนี้ช่างไร้ยางอายจริงๆ เจ้าเพิ่งผ่านการต่อสู้มา ข้าไม่เชื่อว่าเจ้ายังมีผลการฝึกตนมากแค่ไหนที่สามารถนำมาใช้ได้” เฟิ่งหยางพูดพร้อมกับเยาะเย้ย
หลัวซิวเงยหน้าหัวเราะเสียงดัง ท่าทางสง่า
ลูกแก้วเสวียนดำเป็นสมบัติวิเศษเสริม บรรจุพลังอันน่าเกรงขามและเป็นแหล่งพลังที่สามารถนำออกมาใช้ได้ นอกจากนี้พลังการต่อสู้ของเขาอาศัยพลังแห่งกฎ ไม่สร้างความเสียหายมากนักต่อผลการฝึกฝนของเขา
“รับหนึ่งกระบวนท่าของข้า!”
ร่างของหลัวซิวโฉบลงมาจากฟากฟ้า ความเป็นตายและกฎปริภูมิใช้พร้อม ๆ กัน หอกรบได้ยิงแสงหอกรูปมังกรดำออกไปแทงทะลุท้องฟ้า ยาวหลายร้อยไมล์ งดงามราวกับภูเขาสีดำ
ในสายตาของคนรอบข้าง แสงหอกนี้เกือบจะจมท้องฟ้าเหนือหัวของเขา สิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นคือแสงหอกรูปมังกรไม่สนใจอุปสรรคจากอากาศและปรากฏตรงหน้าเฟิ่งหยางโดยตรง
แสงหอกนี้มีแก่นแท้ของหมื่นจักรวาลไร้รูป ทักษะการต่อสู้นี้หลัวซิวได้ฝึกฝนจนกลายเป็นพลังระดับอมตะ หากผลผลการฝึกตนไปถึงแดนเทพฟ้า ก็สามารถเปลี่ยนเป็นพลังอมตะที่แท้จริงได้
สำหรับจอมยุทธ์คนอื่นๆ ลูกแก้วเสวียนดำสามารถเพิ่มผลการฝึกตนได้ถึงมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นกลาง แต่สำหรับหลัวซิว การบรรลุถึงเจ้ายุทธจักรขั้น 9 ก็สูญเสียผลการเพิ่มไปแล้ว สามารถเห็นได้ว่าผลการฝึกตนของเขาลึกและบริสุทธิ์เพียงใดในขณะนี้
บูม!
แม้ว่าหลัวซิวจะยังอายุมาก แต่เขาก็มีพลังการต่อสู้มหาศาล ทุก ๆ การโจมตีจะทำให้มังกรแท้แตกเป็นเสี่ยง ๆ ราวกับว่าไม่มีผู้ใดสู้เขาได้
จักรพรรดิอสูรเผ่ามังกรบีบผนึก ควบคุมพลังของมังกรนับหมื่นตัว ปกคลุมหลัวซิว พยายามจะฆ่าเขาให้ตาย
การต่อสู้นี้ดำเนินไปเป็นเวลานาน จนกระทั่งเวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมง หลัวซิวก็พุ่งออกมาพร้อมหอกรบในมือ และมังกรนับหมื่นตัวได้ตายไปหมด!
“ไม่ฉลาด!”
ถือไฟเทวอยู่ในมือพร้อมตะโกนเสียงดัง ไฟเทวก็ยิงลำแสงที่ส่องประกายราวกับเสาออกมาไปล็อคตัวจักรพรรดิอสูรเผ่ามังกร
เมื่อเห็นหลัวซิวเอาชนะพลังมังกรนับหมื่นของตนได้ จักรพรรดิอสูรเผ่ามังกรก็ตกตะลึงอยู่แล้ว ตอนนี้ เมื่อเห็นว่าเขาได้ใช้อาวุธนักยุทธ์เทพมารเพื่อโจมตีและฆ่าเขา เขาก็จะบินหนีไปทันที
“ตอนนี้เพิ่งอยากจะถอยออกไป? สายเกินไปแล้ว!”
หลัวซิวใช้กฎปริภูมิและไล่ตามเขาผ่านความว่างเปล่า มือบีบผนึกตราธรรมจุติมรณะพร้อมโจมตีออกไป
ตราธรรมจุติมรณะเกิดเป็นเงาลวงวัฏจักร ออร่าอันแข็งแกร่งโบราณผันผวนก็ปรากฏขึ้น
“บูม!”
จักรพรรดิอสูรเผ่ามังกรร้องออกมาเสียงดัง ร่างของเขาถูกโจมตีจนลอยออกไป เลือดไหลออกมาจากร่างกายของเขา
สีหน้าของหลัวซิวขรึมลงเมื่อเห็นฉากนี้ จักรพรรดิอสูรเผ่ามังกรผู้นี้สมกับที่เป็นแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นปลาย ต้านทานการโจมตีครั้งหนึ่งของตราธรรมจุติมรณะ แค่ได้รับบาดเจ็บเท่านั้น แต่ไม่ได้เสียชีวิต
เผ่ามังกร เป็นราชาของเผ่าพันธุ์มาร เกิดมาพร้อมกับมหาอิทธิฤทธิ์ร่างเนื้อแข็งแกร่งมากนัก
ผู้เฒ่าเผ่ามังกรผู้นี้คือแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นปลาย แม้ว่าเขาจะไม่ได้อยู่ยงคงกระพันในแดนเดียวกัน แต่เขาสามารถเรียกได้ว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่หายาก เทพมารลงไป เขาไม่กลัวผู้ใดได้
แต่หลัวซิวทำให้เขาบาดเจ็บด้วยพลังของผนึกได้ ซึ่งทำให้ทุกคนตกใจทันที
“โฮก!”
ชายชราจากเผ่ามังกรโกรธแล้ว เห็นเขาเงยหน้าขึ้นและส่งเสียงคำราม กลายร่างเป็นมังกรแท้
บนท้องฟ้าสูง มังกรสีเขียวขนาดมหึมาที่ ได้ลอยอยู่บนท้องฟ้า ราวกับภูเขา บังท้องฟ้าและดวงอาทิตย์
“กลายร่างเป็นร่างจริงแล้วไง? ร่างใหญ่ก็แข็งแกร่งแล้วหรือ?”
หลัวซิวหัวเราะเยาะ เสียงของเขาดังก้องในอากาศราวกับฟ้าร้อง เหมือนเทพมารที่ลงมา ทรงพลังและไม่ธรรมดา
“ไปตายซะ!”
มังกรเขียวยักษ์พ่นคำพูดของมนุษย์ออกมา กรงเล็บขนาดใหญ่เหมือนกับเมฆ ทำลายความว่างเปล่าไปหลายสิบไมล์ แล้วตบไปยังหลัวซิว
หลัวซิวก้าวไปข้างหน้า หอกยุทธ์มังกรดำพุ่งออกไปราวกับเสาเทพ
เกิดเสียงดังกึกก้อง หอกรบปะทะกับกรงเล็บของมังกรเขียวเกิดเป็นประกายไฟ ประกายไฟแต่ละอันมีพลังที่น่าเหลือเชื่อเจาะทะลุความว่างเปล่าและเผาไหม้ทุกอย่าง
เผ่ามังกรมีร่างเนื้อที่แข็งแกร่งมาก ได้แปลงร่างเป็นร่างแท้ด้วยผลการฝึกตนของแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นปลาย ซึ่งใช้คุณลักษณะนี้ถึงขีดสุด ต้านทานหอกรบมังกรดำก็ไม่มีความเสียหายใดๆ
ภายใต้กรงเล็บของมังกรเขียวขนาดใหญ่ ร่างของหลัวซิวดูเล็กมาก แต่เขามีพลังออร่าที่ไม่สามารถมองข้ามไปได้
มีรอยยิ้มเยาะเย้ยที่มุมปากของเขา วิชาลับพลังแปรเสวียนเทียนกำลังดำเนินอยู่ และพลังการต่อสู้ก็เพิ่มขึ้นยี่สิบสี่ครั้งในทันที
“โครม!”
หอกยุทธ์มังกรดำสั่นอย่างรุนแรง กฎแห่งความเป็นตายและกฎปริภูมิโคจรอย่างรวดเร็ว พลังที่น่าสะพรึงกลัวก็พุ่งออกมา
ในวินาทีนี้ หอกรบมังกรดำกลายเป็นแสงสีดำชั่วนิรันดร์ ซึ่งเจาะทะลุกรงเล็บของมังกรเขียวโดยตรง
“โฮก!”
จักรพรรดิอสูรมังกรเขียวส่งเสียงคำรามอย่างเจ็บปวด เห็นเพียงหอกและหลัวซิวรวมกันเป็นหนึ่ง กลายเป็นแสงสีดำที่อยู่ยงคงกระพัน ทำลายอุปสรรคทั้งหมด
“พรึบ!”
หลังจากเจาะกรงเล็บของมังกรเขียวแล้ว แสงสีดำที่หลัวซิวกลายมานั้น เข้าใกล้จักรพรรดิอสูรมังกรเขียวทันที เขาหลบไม่ทันก็รู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมาก เกล็ดมังกรที่สำคัญที่สุดถูกแทงทะลุ เลือดของมังกรกระเซ็นออกมา
“ฮึ่ม ไม่กล้าหรือ? ดูเหมือนว่าเจ้าที่เป็นเจ้ายุทธจักรหงส์ก็แค่งั้นๆ ทำได้เพียงรังแกผู้อ่อนแอโดยอาศัยการฝึกตนของเจ้าเท่านั้น” หลัวซิวเยาะเย้ยและตบหน้าของนางด้วยทุกประโยค ทำให้เจ้ายุทธจักรหงส์ร่างกายสั่นเทาด้วยความโกรธ
เมื่อเหยียนเยว่เอ๋อร์ได้ยินเสียงของหลัวซิว ร่างกายที่บอบบางของนางสั่นเล็กน้อย แต่นางถูกควบคุมตัวไว้ นางไม่สามารถพูดหรือเคลื่อนไหวได้
“ตำหนักอัคคีนภาถูกทำลายแล้ว วันนี้ข้ามาที่นี่เพื่อมาทำลายป่าอู๋ถงอัคคีอร่ามเผ่าหงส์ของพวกเจ้า ใครจะขึ้นมาตายก่อน?”
สีหน้าของหลัวซิวแข็งกระด้าง เมื่อก่อนเขาไม่มีความสามารถ แต่ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องปิดบัง มีความแค้นก็แก้แค้น มีความคับข้องใจก็แก้ไขความคับข้องใจ
“รุ่นเยาว์ที่ไม่เจียมเนื้อเจียมตัว ข้าจะมาต่อสู้กับเจ้าก่อน!”
เสียงแหบแห้งดังขึ้น ผู้คนจากเผ่าหงส์ไม่ได้ดำเนินการใดๆ แต่ชายชราจากเผ่าพันธุ์มารก็บินขึ้นไปบนท้องฟ้า
เทพบุตรเผ่าหงส์แต่งงาน ผู้แข็งแกร่งจากทั้งเผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าพันธุ์มารมาร่วมแสดงความยินดีด้วย ต่างต้องการชักชวนเผ่าหงส์มาเป็นส่วนหนึ่งของฝ่ายพวกเขาเอง
ในเวลาที่ศัตรูตัวฉกาจของเผ่าหงส์ออกมา ผู้แข็งแกร่งของเผ่าพันธุ์มารเป็นคนแรกๆ ที่ออกมาโจมตี ถ้าเขาสามารถกำจัดเขาได้ เขาจะไม่เพียงแต่ได้รับความโปรดปรานจากเผ่าหงส์ แต่ยังได้ม้วนหยกสีทองจากชายหนุ่มเผ่าพันธุ์มนุษย์อีกด้วย
ชายชราผู้นี้ออร่ามาร พลังของเขาแข็งแกร่งกว้างใหญ่ราวกับก้นบึ้งทะเล ข้างหลังเขา มีร่างของมังกรแท้สีเขียวปรากฏขึ้น แสดงถึงตัวตนของเขาในฐานะผู้แข็งแกร่งเผ่ามังกร
นี่คือจักรพรรดิอสูรแห่งเผ่ามังกร และไม่ใช่แดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ธรรมดา แต่เป็นแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นปลาย
“ในเมื่อเจ้าต้องการยืนหยัดเพื่อเผ่าหงส์ งั้นข้าก็จะฆ่าเจ้าก่อน”
หลัวซิวโจมตีโดยไม่ลังเล ใช้วิชาสยบมารโดยตรงที่สืบทอดมาจากปราณหยิน
กฎและการเวียนว่ายตายเกิดได้เกิดออกมาเป็นภูเขาเทพ และภูเขาเทพที่สง่างามตกลงมาจากฟากฟ้า ยับยั้งออร่าของเผ่าพันธุ์มารพร้อมกับปราบปราม
จักรพรรดิอสูรเผ่ามังกรรู้สึกถึงออร่าที่ผิดปกติ ขมวดคิ้วเล็กน้อย อ้าปากเปล่งเสียงคำรามมังกรออกมา เงาร่างมังกรเขียวด้านหลังลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า
“บูม!”
ภูเขาเทพลอยขึ้นสูงและด้วยพลังผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิอสูรขั้นปลาย ก็ไม่สามารถทุบมันให้สลายได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว
“โฮก!”
มังกรแท้สีเขียวคำราม ร่างกายดูเหมือนจะทำจากทองคำศักดิ์สิทธิ์สีเขียว ดุร้ายไร้ขอบเขตพร้อมพุ่งเข้าหาหลัวซิว
หลัวซิวยืนนิ่ง ปล่อยให้เทพมารอัสนีและเห้อหมิงพาเหยียนซีโรว่ถอยหลัง ขณะที่เขาก้าวออกไป ยื่นมือใหญ่ออกมาคว้าภูเขาเทพชนเข้ากับมังกรแท้สีเขียว
“บูม! บูม! บูม!”
ภูเขาเทพถืออยู่ในมือของเขาราวกับแผ่นหินขนาดใหญ่ เนื่องจากใช้วิชาสยบมาร จึงควบคุมเผ่าพันธุ์มารได้ มังกรแท้สีเขียวจึงถูกปราบถอยหลังไปเรื่อย ๆ
“มังกรแท้คำราม!”
ร่างของชายชราเผ่าพันธุ์มารบินขึ้นไปรวมร่างกับมังกรแท้สีเขียว มังกรแท้เงยหน้าส่งเสียงคำรามที่สั่นสะเทือนท้องฟ้าและทำลายความว่างเปล่า
เสียงคำรามของมังกรแท้ สามารถโจมตีร่างกายและวิญญาณได้ หลัวซิวนำไฟเทวออกมา ทุกอย่างทำอะไรเขาไม่ได้ ตัวหยั่งรู้ได้รับการปกป้องจากตำหนักจื่อเซียว เขาไม่กลัวการโจมตีใดๆ
ผู้เฒ่าแห่งเผ่าพันธุ์มารเยาะเย้ย “แค่อาศัยพลังของนักยุทธ์เทพมารเท่านั้น แค่เพียงความแข็งแกร่งเพียงเล็กน้อยเท่านี้ เจ้ากล้าดียังไงถึงกล้าอวดดี ?”
“ท่านชายอย่างข้ามีวิธีการมากมาย เจ้ามังกรแก่อย่างเจ้าโจมตีตามที่เจ้าต้องการได้เลย” สีหน้าหลัวซิวดูสงบ ถือไฟเทวอยู่ในมือ ร่างกายปกคลุมไปด้วยแสงสีทองศักดิ์สิทธิ์ราวกับเทพฟ้าองค์หนึ่ง
“มังกรสยบฟ้าดิน!”
ชายชราแห่งเผ่าพันธุ์มารเยาะเย้ยแล้วก้าวออกไปหนึ่งก้าว ทุกย่างก้าวที่เดิน ร่างกายของเขาก็เปล่งแสงออกมาอย่างไร้ขอบเขต ก่อให้เกิดมังกรแท้สีเขียว
ในพริบตา มังกรนับหมื่นตัวเต็มไปหมด สยบสวรรค์
“วันนี้ข้าจะฆ่ามังกรหมื่นตัวทั้งหมดนี้!”
หลัวซิวตะโกน ทะยานขึ้นไปบนฟ้า ถือหอกรบมังกรดำ ใช้พลังแปรเสวียนเทียนและวิชาสยบมารสองวิชาใหญ่นี้
ตอนนี้ ลูกแก้วเสวียนดำสมบัติวิเศษชิ้นนี้ไม่สามารถเพิ่มการฝึกตนของเขาได้อีกต่อไป
แต่เขาในขณะนี้ ไม่มีความมั่นใจบนใบหน้าของเขาสักนิด เพราะเขาได้รู้ว่าหลัวซิวซึ่งถูกไล่สังหารโดยกองกำลังต่างๆ ได้กลับมาแล้ว และในการต่อสู้ที่ตกตะลึงโลก เขาได้สังหารแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ไปมากกว่าสิบคน
เทพบุตรเผ่าหงส์อ้างว่าตนคือผู้มีพรสวรรค์ที่หาที่เปรียบมิได้ และแม้แต่ซิงหลิง ซึ่งเป็นที่รู้จักว่าเป็นอัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบในหนึ่งหมื่น เขาก็ไม่แยแส ตอนนี้มีคนรุ่นเยาว์ที่แข็งแกร่งกว่าเขามากนัก ทำให้เขาอิจฉา
รอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา “แม้ว่าพรสวรรค์ของเจ้าแข็งแกร่งกว่าข้าแล้วยังไง? แต่ผู้หญิงของเจ้าจะกลายเป็นของต้องห้ามของข้า!”
เทพบุตรเผ่าหงส์ไม่คิดว่าหลัวซิวจะกล้ามาสร้างปัญหา ที่เผ่าหงส์ เพราะตำหนักอัคคีนภาเทียบไม่ได้กับเผ่าหงส์ที่สืบทอดมาแต่โบราณนั้น หัวหน้าเผ่าคือจักรพรรดิหงส์ เป็นผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์แต่งตั้ง การต่อสู้เทียบได้กับเทพมาร
ในวันนี้ ที่เผ่าหงส์เต็มไปด้วยโคมไฟสวยงาม มีชีวิตชีวาและสนุกสนาน
เนื่องจากเทพบุตรของเผ่าหงส์ได้บรรลุสู่แดนเจ้ายุทธจักร เลือดหงส์โบราณได้ตื่นขึ้นอย่างเต็มที่และมีพลังเลือดเทียบเท่ากับบรรพบุรุษ มีความหวังว่าจะเป็นเทพมารได้ในอนาคต
เพื่อที่จะสืบสานสายเลือดโบราณ เขาจะแต่งงานกับเทพธิดาที่มีสายเลือดหงส์โบราณเช่นกัน
ผู้แข็งแกร่งจากกองกำลังต่างๆล้วนมาแสดงความยินดี แต่ในภาพที่สนุกสนาน มีกระแสน้ำวนที่ซ่อนอยู่และกำลังพลุ่งพล่าน
เพราะทุกคนรู้ว่าเทพธิดา เหยียนเยว่เอ๋อร์ ของเผ่าหงส์ในปัจจุบัน มีภรรยายุทธ์ของหลัวซิว และเขาจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องนี้ขึ้นอย่างแน่นอน
“ให้ความกล้าหาญแก่เขาสักร้อยรอบ เขาก็ไม่กล้ามาแย่งเจ้าสาว”
“จักรพรรดิหงส์มาเฝ้าเอง หากเขากล้ามา เขาจะต้องตายอย่างแน่นอน!”
“ไม่เพียงแต่จักรพรรดิหงส์เท่านั้น ผู้แข็งแกร่งเผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าพันธุ์มารก็มาด้วยเช่นกัน และอาจมีมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นปลายด้วย”
ในป่าอู๋ถงซึ่งมีเปลวเพลิงรุนแรง ผู้คนจากแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ต่างพูดคุยกัน
งานแต่งจัดขึ้นตามกำหนด เทพบุตรเผ่าหงส์สวมเสื้อคลุมยาวสีแดงทอง หล่อเหลาดูดี เขากลายเป็นจุดสนใจทันทีที่ปรากฏตัว
อีกด้านหนึ่ง เหยียนเยว่เอ๋อร์ซึ่งมีผ้าสีแดงคลุมศีรษะอยู่ได้ปรากฏขึ้นพร้อมกับการพยุงของหญิงชราสองคน ดูเหมือนว่าเป็นการพยุง แต่จริงๆ แล้วนางถูกจับไว้
เจ้ายุทธจักรหงส์เป็นประธานในงานแต่ง นางดูสง่างามและหรูหรา พูดเสียงดัง “ก่อนอื่น ขอบเจ้าทุกท่านที่มาเป็นพยานในพิธี!”
“บูชาบรรพบุรุษ!”
แท่นสูงยกสูงขึ้น มีป้ายชื่อหนึ่งป้ายตั้งอยู่ ซึ่งเป็นป้ายชื่อของบรรพบุรุษของเผ่าหงส์ ซึ่งเป็นเทพมารที่ทรงพลังในสมัยโบราณ
“ข้าว่าบรรพบุรุษนี้ก็ไม่ต้องบูชาอีกต่อไปแล้ว!”
ทันใดนั้น เสียงที่ไม่ลงรอยกันก็ดังขึ้น ทุกคนมองตามเสียงนั้นไป เห็นเงาสองเงาปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าในระยะไกล
คนนำคือชายที่สวมชุดคลุมสีดำ มือไขว้หลัง นัยน์ตาคมดุจมีดจับใจผู้คน
ข้างหลังเขามีผู้หญิงคนหนึ่งสวมผ้าคลุมหน้า ท่าทางของนางราวกับเทพธิดา
นอกจากนี้ ด้านข้างของทั้งสองคน ยังมีคนสองคน ใบหน้าดูหมองคล้ำกลิ่นอายแห่งความตายกระจายออกมา พวกเขาเป็นคนรับใช้ภูตมรณะของหลัวซิว เทพมารอัสนีและ เห้อหมิง
“วันนี้ของปีหน้าจะเป็นวันจัดพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปของเผ่าหงส์ของเจ้า เหตุใดยังต้องบูชาบรรพบุรุษอีกเล่า?”
เสียงของหลัวซิวเย็นชา เจตนาอาฆาตจนทำให้เมฆบนท้องฟ้าสั่นสะเทือนแตกออกสลาย
“ช่างเย่อหยิ่งจริงๆ เจ้าคิดว่าไม่มีใครในโลกนี้จัดการเจ้าได้จริงๆ หรือ?” สีหน้าของเจ้ายุทธจักรหงส์เย็นชา แม้เขาจะรู้อยู่แล้วว่าหลัวซิวจะมา แต่คำพูดที่หยาบคายของเขาทำให้คนของเผ่าหงส์โกรธมาก
“ต่อให้มีคนจัดการข้าได้ ก็จะไม่มีวันเป็นเจ้า ในอดีต เจ้ารังแกข้าเพราะการฝึกตนของเจ้า แต่วันนี้เจ้ากล้าที่จะต่อสู้กับข้าหรือไม่?”
หลัวซิวจ้องไปที่เจ้ายุทธจักรหงส์ด้วยการเยาะเย้ยและพูดอย่างดูถูก “ถ้าเจ้ากล้าขึ้นมา ข้าจะยอมใช้มือเดียวกับหญิงชราอย่างเจ้า”
“จองหอง!” เจ้ายุทธจักรหงส์โกรธจัด ท่าทีที่สง่างามและหรูหราได้หายไป
แต่นางไม่ได้หุนหันพลันแล่น หลัวซิวสามารถฆ่าแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์มากกว่าสิบคนได้ แม้ว่านางจะเป็นเจ้ายุทธจักรแต่งตั้ง แต่นางก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาอย่างแน่นอน
ขายหน้าและชีวิตของตน อย่างไหนสำคัญกว่า นางแยกออก
ชื่อหลัวซิวได้ลิขิตให้กระจายไปทั่วทุกมุมโลก ถึงแม้ว่าเขาจะฝึกฝนมาเพียง 30 ปี แต่ประสบการณ์การเติบโตของเขาก็เหมือนกับตำนาน
“สามารถสังหารมหาจักรพรรดิยุทธ์ได้หลังจากฝึกตนมานานกว่า 30 ปี เขาทำได้อย่างไร?”
“คนเดียวที่สังหารแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ไปมากกว่าสิบคน และทำลายการสืบทอดของแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งตำหนักอัคคีนภา แดนผลการฝึกตนของเขาช่างน่ากลัวขนาดไหนกัน?”
ทุกที่ที่มีจอมยุทธ์ต่างก็พูดคุยกัน แม้ว่าแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างๆจะปิดกั้นข่าว แต่ข่าวไม่สามารถปกปิดได้ ยิ่งซ่อนมันไว้ ก็ยิ่งทำให้ผู้อื่นอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น และในที่สุดทุกคนก็จะรู้
“เผ่าพันธุ์มนุษย์ของข้าต่อต้านกับเผ่าพันธุ์มารและเผ่าปีศาจ ล้วนพึ่งพาผู้แข็งแกร่งจากแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ตอนนี้ผู้แข็งแกร่งมากมายต่างเสียชีวิตเพราะเขา ช่างเป็นบาปมหันต์จริงๆ การกระทำเช่นนี้ต่างจากปีศาจมารอย่างไร?”
นอกจากจะตกตะลึงแล้ว บางคนยังวิพากษ์วิจารณ์พฤติกรรมของหลัวซิว โดยกล่าวว่าเขาได้ลี้ภัยเผ่าพันธุ์มารและเผ่าปีศาจแล้ว ดังนั้นเขาจึงฆ่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่แข็งแกร่งอย่างไร้ความกลัว
คำกล่าวนี้ได้รับการเห็นด้วยจากผู้คนจำนวนมาก แต่คนส่วนใหญ่ก็เข้าใจดีว่าแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างๆไม่ได้ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น ถึงแม้จะเป็นกองกำลังหลักในการต่อต้านเผ่าปีศาจมารทั้งสอง แต่ก็ยังครอบครองพื้นที่ที่กว้างขวางและทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดของเผ่าพันธุ์มนุษย์
ตั้งแต่การล่มสลายของแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่ เผ่าพันธุ์มนุษย์เหลือแดนศักดิ์สิทธิ์เพียงสิบเก้าแห่ง และตอนนี้ตำหนักอัคคีนภาได้กลายเป็นประวัติศาสตร์อีกครั้งโดยเหลือเพียงสิบแปดเท่านั้น
ในบรรดาแดนศักดิ์สิทธิ์สิบแปดแห่ง มีผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ที่ถูกหลัวซิวสังหาร แดนศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ต่างโมโหพร้อมกัน ไม่ได้หวาดหวั่นเพราะเขาได้ฆ่าแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ไปกว่าสิบคน
เนื่องจากตำหนักอัคคีนภาที่หลัวซิวได้ทำลายนั้นเป็นเพียงแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ค่อนข้างอ่อนแอ และการฝึกตนของเจ้าศักดิ์สิทธิ์อัคคีนภานั้นอยู่ที่มหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นกลางเท่านั้น ในบรรดาสิบแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ที่ถูกสังหารโดยเขา ส่วนใหญ่อยู่ในแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นปฐมภูมิ มีเพียงหนึ่งหรือสองคนเท่านั้นที่เป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นกลาง
ในบรรดาแดนศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่ง ยังมีผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นปลายจำนวนมาก และแม้แต่มหาจักรพรรดิยุทธ์แต่งตั้งซึ่งพลังการต่อสู้เกือบจะเทียบเท่ากับเทพเทพมาร!
หวูชิวประหลาดใจมากเมื่อได้ยินข่าวนี้ เขาคาดไม่ถึงว่าความแข็งแกร่งของหลัวซิวจะเกินจินตนาการของเขาเช่นนี้ เขาฆ่าเจ้ายุทธจักรดาราตอนอยู่ที่แดนดารานอก ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามันไม่ใช่ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขา
หลายสิ่งหลายอย่างที่เกี่ยวกับประสบการณ์ที่ผ่านมาของหลัวซิวได้ถูกค้นออกมา แม้กระทั่งการมีส่วนร่วมของเขาในการต่อสู้ตอนอยู่ที่อาณาจักรเหนือในแดนแต่งตั้งราชา
ตอนนี้ ไม่มีใครสามารถจินตนาการได้ว่าคิงซิวหลัว แต่งตั้งราชาอันดับแรกที่ลึกลับและไม่เคยปรากฏมาก่อนก็คือหลัวซิว
ชื่อของเขาคือหลัวซิว แต่เขามักจะไปที่ต่างๆโดยใต้นามแฝง ซิวหลัว ฆ่าคนนับไม่ถ้วน ราวกับเทพสังหารที่ออกมาจากนรก
หลังจากสังหารมหาจักรพรรดิยุทธ์มากกว่าสิบคนในการต่อสู้ครั้งเดียว ชื่อ หลัวซิว ได้กลายเป็นการรับรองของดาวสังหารโดยสมบูรณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้แข็งแกร่งหลายแห่งในแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างๆนั้น ต่างระมัดระวังเป็นอย่างมาก เกรงว่าพวกเขาจะพบกับไอ้ตัวพิฆาตน่าสะพรึงกลัวนี้
ผู้แข็งแกร่งจากแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างๆนั้นรู้ดีว่า ระหว่างพวกและหลัวซิวแทบจะไม่มีที่ว่างสำหรับการเจรจาสันติภาพ
ไม่กี่วันต่อมา หลัวซิวมาถึงทางแยกของอาณาจักรใต้และอาณาจักรตะวันออก เนื่องจากสำนักงานใหญ่ของเผ่าหงส์อยู่ที่นี่
อารมณ์ของเหยียนซีโรว่ก็ผ่อนคลายลงเช่นกัน นางเดินตามหลังเขาอย่างเงียบ ๆ สวมผ้าคลุมหน้าและชุดสีขาว ราวกับเทพธิดาที่ลงมาจากข้างบน
คนสำนักไป๋ซิงกู่เหล่านั้นถูกหลัวซิวทิ้งไว้ในดินแดนทางใต้ และเป็นไปไม่ได้ที่จะนำคนเหล่านั้นไปด้วย
ที่อยู่อาศัยของเผ่าหงส์คือป่าอู๋ถงอัคคีอร่าม บนต้นอู๋ถงโบราณที่หนาทึบ มีตำหนักหลายแห่งที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยของเผ่าหงส์ที่แข็งแกร่งที่สุด
เผ่าหงส์โบราณมีหลายตระกูล และมีเพียงผู้ที่แข็งแกร่งในสายเลือดของเผ่าหงส์เท่านั้นที่มีคุณสมบัติที่จะเข้าสู่สำนักงานใหญ่ได้และได้รับเงื่อนไขและทรัพยากรการฝึกตนที่เหนือกว่าที่สุด
เทพบุตรเผ่าหงส์ก็เป็นหนึ่งในผู้แข็งแกร่ง ในฐานะที่เป็นผู้สืบทอดสายเลือดหงส์โบราณ เขาได้กดดันทุกคนในรุ่นเยาว์และกลายเป็นเทพบุตรอย่างไม่ต้องสงสัย และมีโอกาสเป็นเทพมาร อัจฉริยภาพผู้สืบสานความรุ่งโรจน์ของบรรพบุรุษ
“เจ้าเป็นอะไรเจ้า? ข้าพูดอะไรเมื่อพวกเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างๆตามล่าข้า?” น้ำเสียงของหลัวซิวเย็นชามาก ดังสะท้อนอยู่ในอากาศ ทำให้อากาศกลั่นน้ำค้างแข็งออกมา
เขาแขวนไฟเทวไว้เหนือหัว ซึ่งอยู่ยงคงกระพันไม่มีอะไรเข้าใกล้ได้ เขาโอบเหยียนซีโรว่ด้วยมือข้างหนึ่งแล้วหยิบหอกรบมังกรดำออกมาพร้อมด้วยมือข้างหนึ่ง เจตนาฆ่าเต็มไปหมด
“บูม!”
กฎและการเวียนว่ายตายเกิดและกฎปริภูมิถูกส่งไปในหอกรบ เขาแทงหอกออกไปด้วยหนึ่งครั้ง และหอกอันน่าสะพรึงกลัวก็ฉีกกระชากฟ้าดินออก
“พรึบ!”
การแทงหอกรบครั้งเดียวเป็นเสียชีวิตของผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์สี่คน เสียงกรีดร้องโหยหวนดังก้องอยู่บนท้องฟ้าสูง หมอกเลือดกระจัดกระจายไปในอากาศและแม้แต่วงแหวนเก็บของก็ระเบิดโดยตรง สิ่งของต่างๆที่เสียหายก็ตกลงมา
“ทุกคนร่วมมือกันฆ่าไอ้เดรัจฉานคนนี้ด้วยกัน!”
ผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ที่เหลือล้วนโกรธแค้น รู้ว่าวันนี้จะไม่ได้จากไปอย่างง่ายดาย แทนที่จะถูกฆ่า สู้จนตายดีกว่า
แต่ก็มีบางคนที่ไม่ได้มีส่วนร่วมในการปิดล้อมโจมตีเพื่อเอาตัวรอด การป้องกันของอัญมณีแห่งเทพมารไม่ใช่แดนมหาจักรพรรดิยุทธ์อย่างพวกเขาเหล่านี้จะสามารถทำลายได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นคนเหล่านี้จึงเลือกที่จะรีบพุ่งไปทุกทิศทุกทาง
แต่อากาศรอบด้านทั้งหมดถูกปิดกั้นโดยลายค่ายของหลัวซิว ค่ายสังหารมากกว่าสิบแห่งและแต่ละค่ายสังหารก็เทียบได้กับการโจมตีของแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ แม้อยากจะหนีไป อยากจะทำลายการปิดกั้นของค่ายกลระดับมหาจักรพรรดิค่ายสังหารสิบกว่าแห่งก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
“ข้าแผดเผาปราณแท้ก็จะไม่ให้เจ้าอยู่ดี!”
เมื่อแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์แต่ละคนถูกสังหาร คนที่เหลือดวงตาก็แดงก่ำ เปลวเพลิงลุกไหม้ไปทั่วทั้งร่างกาย แผดเผาปราณแท้แหล่งกำเนิดชีวิตของตนเองเพื่อแลกกับพลังอันทรงพลัง
“อยากสู้กับข้าจนตาย?”
หลัวซิวเยาะเย้ยอย่างเหยียดหยาม ด้วยพลังต่อสู้ปัจจุบันของเขา ไม่มีใครสามารถปราบปรามเขาได้เว้นแต่จะมีเทพมาร
หลัวซิวไม่พูดอะไรมากนัก ไฟเทวที่อยู่เหนือหัว หอกพุ่งขึ้นไปบนฟ้า หอกทุกลำได้รวมกฎและการเวียนว่ายตายเกิดและกฎปริภูมิ สะท้อนห้วงยุทธ์การต่อสู้ที่เขาฝึกฝนมา
“บูม!”
ผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์จากตระกูลหวูถูกเขาโจมตีออกไป แม้ว่าเขาจะไม่ตาย แต่เขาก็จมอยู่ในพลังของค่ายสังหารหลายสิบแห่ง เสียงกรีดร้องดังไม่สิ้นสุด
“วันนี้ข้าทำลายตำหนักอัคคีนภา ใช้โลหิตของแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์สิบคนเพื่อสักการะคนจากแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่ที่เสียชีวิตไป”
สองชั่วโมงต่อมา แดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดของตำหนักอัคคีนภาก็เงียบสงัด มีหมอกโลหิตลอยอยู่บนท้องฟ้า ย้อมตำหนักที่เป็นซากปรักหักพังด้านล่างให้กลายเป็นสีแดง
“ตั้งแต่นี้ไปตำหนักอัคคีนภาได้กลายเป็นประวัติศาสตร์แล้ว”
สีหน้าของหลัวซิวนั้นเฉยเมยมาก เขาโบกมือเพื่อโยนจักรพรรดิอัคคีนภาแดงออกไป เผาตำหนักอัคคีนภาลงในกองไฟที่โหมกระหน่ำ
ในการต่อสู้ครั้งนี้ แดนมหาจักรพรรดิยุทธ์หลายสิบคนจากตำหนักอัคคีนภาและแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างๆถูกเขาฆ่าตายทั้งหมด!
การต่อสู้ครั้งนี้ทำให้คนทั้งโลกตกตะลึง เพราะเวลาผ่านไปหลายหมื่นปี ยกเว้นภัยพิบัติในสมัยโบราณที่น่าสะพรึงกลัวนั้น ไม่เคยมีภัยพิบัติเช่นนี้ที่ผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์จำนวนมากได้เสียชีวิตไปพร้อม ๆ กัน
ตำหนักอัคคีนภาเป็นหนึ่งในแดนศักดิ์สิทธิ์ของอาณาจักรใต้ ไฟไหม้เป็นเวลาหลายวัน และทุกอย่างได้กลายเป็นเถ้าถ่าน
ธิดาเทพหยุนไห่ได้หายตัวไป เจ้าศักดิ์สิทธิ์อัคคีนภาได้เสียชีวิตในการต่อสู้ และไม่มีมหาจักรพรรดิยุทธ์สิบกว่าคนที่รวมตัวกันในแดนศักดิ์สิทธิ์รอดชีวิตมาได้
เมื่อข่าวแพร่กระจายออกไป ทั่วโลกต่างตกตะลึง ไม่เพียงแต่เผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่แม้แต่เผ่าปีศาจและเผ่าพันธุ์มารต่างตกใจเมื่อได้ยินข่าวนี้
แต่นั้นคือมีแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์สิบกว่าคน แต่ละผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ในโลกแสงดาวนี้ ล้วนเป็นวีรบุรุษที่ไม่มีใครเทียบได้ที่สามารถปกครองอยู่ในพื้นที่หนึ่งได้!
แต่ในการต่อสู้เพียงครั้งเดียว ผู้แข็งแกร่งทั้งหมดเหล่านี้ก็ได้ตายไป และที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่านั้นก็คือสาเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องทั้งหมดนี้คืออัจฉริยะที่น่าสะพรึงกลัวซึ่งเพิ่งฝึกฝนมาเพียง 30 ปีเท่านั้น!
วินานั้น กองกำลังทั้งหมดต่างเงียบสงัด เพียงสามสิบกว่าปีก็มีความแข็งแกร่งที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ ศักยภาพของคนผู้นี้ช่างน่ากลัวจริงๆ ถ้าให้เวลาอีกอีกสองสามทศวรรษ ในโลกนี้ เกรงว่าจะไม่มีใครสามารถปราบปรามเขาได้
แดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่ถูกทำลายลง นางถูกกักบริเวณโดยแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ และอดีตสำนักไป๋ซิงกู่ที่นางอยู่ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน นางไม่รู้ว่าจะอยู่อย่างไร
ถ้าไม่ใช่เพราะการปรากฏตัวของหลัวซิว นางก็เตรียมพร้อมที่จะตอบรับทำนายที่อยู่ของเขา ไม่ใช่เพื่อปกป้องตัวเอง แต่ไม่ต้องการให้ผู้คนในสำนักไป๋ซิงกู่ได้รับผลกระทบ
“ข้าขอโทษ ข้ากลับมาช้าไปหน่อย” หลัวซิวปลอบใจนาง แดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่ถูกทำลายมีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา
ในเวลาเดียวกัน เขาก็โกรธมาก เพื่อความเห็นแก่ตัว แดนศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ เฝ้าดูแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่ถูกเผ่าปีศาจทำลาย กลับเมินเฉย ไม่สมกับที่เป็นมนุษย์!
เขาไม่รู้ความคิดในใจของเหยียนซีโรว่ นางสืบทอดวิชาแห่งชะตาจากเชื้อสายธิดาเทพหยุนไห่ ตามผลการฝึกตนที่สูงขึ้น จะปลุกความทรงจำของชาติก่อนของนางให้ตื่นขึ้น
ตอนนี้นางได้ฝึกฝนจนถึงเจ้ายุทธจักรขั้นปลาย และผลการฝึกตนจะรวดเร็ว กระทั่งเร็วกว่าหลัวซิวด้วยซ้ำ เพราะนางได้รับความทรงจำเกี่ยวกับชีวิตก่อน
และความทรงจำในชาติก่อนของนาง นางได้พบกับชายคนหนึ่งเมื่อตอนนางถึงเจ้ายุทธจักรขั้นปลาย
วินาทีที่นางได้พบกับชายคนนั้นในชาติก่อน ทำให้นางรู้สึกว่าคนนั้นและหลัวซิวดูเหมือนจะเป็นคนเดียวกัน
ประสบการณ์ต่างๆ ในอดีต เช่นเดียวกับความทรงจำจากชาติก่อนที่ผุดขึ้น ชื่อหลัวซิวคนนี้ ได้ถูกจารึกไว้อย่างไม่รู้ตัวในส่วนลึกของหัวใจของนาง
ดังนั้นวินาทีที่หลัวซิวเดินมาอยู่ข้างหน้านาง นางก็กลั้นความรู้สึกในใจไม่ได้
หลัวซิวไม่รู้เรื่องทั้งหมดนี้ แต่เขาเข้าใจว่าเหยียนซีโรว่ถูกรังแกเพราะตัวเขาเองและเขารู้สึกผิด
เขาเหลือบมองผู้คนจากสำนักไป๋ซิงกู่อย่างเย็นชาและพูดอย่างเฉยเมย “ตำหนักอัคคีนภาจะถูกทำลาย หากพวกเจ้าต้องการที่จะอยู่รอดต่อไป ก็เข้ามา”
เขาโบกมือนำตำหนักเสวียนดำออกมา และพูดกับพวกสำนักไป๋ซิงกู่
ด้วยนิสัยเก่าของเขา เขาจะไม่สนใจความเป็นตายของคนเหล่านี้ แต่เนื่องจากเหยียนซีโรว่ เขาไม่สามารถนิ่งเฉยและเพิกเฉยคนเหล่านี้ได้
“เจ้าหมายความว่ายังไง?” ไป๋หุ้ยเหลียนและคนอื่นๆ มองดูหลัวซิวด้วยสายตาสงสัยและระมัดระวัง
“ให้ทางรอดแก่พวกเจ้า” หลัวซิวขี้เกียจเกินกว่าจะพูดเรื่องไร้สาระ เขากระตุ้นตำหนักเสวียนดำบังคับให้พวกคนจากสำนักไป๋ซิงกู่เข้ามา
เหยียนซีโรว่กำลังหมอบอยู่ในอ้อมแขนของเขา เขาโอบนางด้วยมือหนึ่ง ยกมือขึ้นทุบตำหนักนี้ให้ล้มลง แล้วออกไป
“วันนี้ข้าจะทำลายตำหนักอัคคีนภา”
ทันทีที่เขาปรากฏตัว เขาก็พูดอย่างเย็นชา โดยไม่สนใจผู้แข็งแกร่งจากแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ
ขณะที่เขาพูด เขาก็ก้าวออกไป และตำหนักหลายสิบแห่งในตำหนักอัคคีนภาด้านล่างก็กลายเป็นเถ้าถ่านและหายไป
เขาพูดแล้วทำได้ ทำลายตำหนักอัคคีนภา ระบายความโกรธในใจของเขา
“หยุดนะ เจ้าะมากเกินไปแล้ว!”
ผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์คนหนึ่งแห่งตำหนักอัคคีนภาตะโกนเสียงดัง หากตำหนักอัคคีนภาถูกทำลาย ก็จะกลายเป็นเรื่องตลกไปตลอดกาล
“ข้ามากเกินไป? เมื่อพวกเจ้าทำมากเกินไป เคยคิดเกี่ยวกับความรู้สึกของฝ่ายที่เกี่ยวข้องหรือไม่?”
เสียงของหลัวซิวเย็นชา ดวงตาของเขาจ้องมองไปที่ผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ที่พูด “เจ้าลองรู้สึกสิ้นหวังเหมือนแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่ถูกทำลายไหม?”
ขณะพูด เขาใช้กฎชีวิตเพื่อกระตุ้นไฟเทว แสงศักดิ์สิทธิ์แสงหนึ่งพุ่งออกมาจากไส้ตะเกียง ส่องออกไปเป็นระยะทางหลายร้อยไมล์ ทะลุผ่านอากาศ
“พรึบ!”
ผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นปฐมภูมิผู้นี้ถูกแทงทะลุทันที ร่างกายของเขาก็กลายเป็นไออยู่ในแสงศักดิ์สิทธิ์ โดยไม่ทิ้งกระดูกให้หลงเหลือด้วยซ้ำ
แดนมหาจักรพรรดิยุทธ์เสียชีวิตไปอีกคน ถูกฆ่าตายอย่างง่ายดายแบบสะอาดและเรียบร้อยมาก ทำให้ทุกคนรู้สึกหนาวสั่น
“แดนศักดิ์สิทธิ์ต่างๆของพวกเจ้ามีบาปมาก และทุกคนต้องตาย!” หลัวซิวมองลงไป น้ำเสียงของเขาแข็งแกร่งมาก เจตนาฆ่าของเขาไร้ที่สิ้นสุด
“เจ้า…เจ้าผยองเกินไปแล้ว!”
มหาจักรพรรดิยุทธ์จากแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างๆได้ยินเช่นนี้ต่างแสดงสีหน้าโกรธเคืองออกมา เหตุผลที่พวกเขาอดทนไม่โจมตีก็เพราะพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ยอมปล่อยให้พวกเขาจากไป
“วางค่าย!”
เมื่อเห็นว่าแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์อีกคนถูกสังหาร ผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์อื่น ๆ ต่างก็ตกตะลึง เลยรีบเรียกทุกคนให้วางค่ายเพื่อจัดการกับหลัวซิวทันที
นอกจากแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์มากกว่าสิบกว่าคนนี้แล้ว ตำหนักอัคคีนภายังมีเจ้ายุทธจักรจำนวนมาก คนเหล่านี้สามารถเป็นส่วนหนึ่งของการวางค่ายและสร้างค่ายกลที่ทรงพลังได้
“วางค่ายที่ดูงุ่มง่ามต่อหน้าข้าหรือ?”
หลัวซิวเยาะเย้ยดูถูก เขายืนอยู่กวางอากาศ เขายื่นนิ้วออกมาพร้อมวาดลวดลายกวางอากาศ
ค่ายกลของแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างๆยังไม่ได้สร้างงออกมา แต่หลัวซิวกลับได้ใช้พลังแห่งกฎและการเวียนว่ายตายเกิดวาดลายค่ายออกมาเสร็จสิ้น และค่ายมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นเก้าสามค่ายกล
“วาดลายค่ายกลางอากาศ ค่ายมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นเก้า?”
“คุณพระ เขาฝึกตนมาเพียง 30 ปีเท่านั้นเอง พลังการต่อสู้ของเขานั้นยอดเยี่ยมมากยังไม่พอ แต่เขายังเป็นปรมาจารย์ค่ายกลระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 9!”
ในเวลานี้ ทุกคนตื่นตระหนกกันหมด แม้แต่ผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ซึ่งดำรงอยู่เป็นเวลาหลายพันปีก็หวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง
พรสวรรค์ของหลัวซิวคนนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว หลังจากฝึกฝนมาเพียง 30 ปี พลังการต่อสู้ของเขาเทียบได้กับแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ และเขายังฆ่ามหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นกลางอีกด้วย!
สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นคือเขาได้ฝึกฝนห้วงยุทธ์ค่ายกลถึงแดนปรมาจารย์ ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นสมัยโบราณหรือตอนนี้!
“ยังมีใครที่กล้าขวางข้า?”
ค่ายมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นเก้าสามค่ายกล สองค่ายสังหาร และหนึ่งค่ายคุ้มกัน หลัวซิวเหมือนเข้าไปในที่ที่ไร้ผู้คน เขาบินไปยังตำหนักอัคคีนภา ผู้แข็งแกร่งแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ยังคงล่าถอยเพราะกลัวเขาเพียงคนเดียว!
เมื่อกฎและการเวียนว่ายตายเกิดรวมกันเป็นหนึ่งแล้วเกิดเป็นพลังแห่งกฎดั้งเดิมที่เทียบได้กับการต่อสู้ของเทพมาร หากต่อสู้ขึ้นมา ผู้ที่สามารถหนีรอดไปได้จะไม่มากไปกว่าจำนวนนิ้วมือข้างหนึ่ง
เขายังคงวาดลายค่ายไม่หยุด ในเวลาเพียงชั่วครู่ เขาก็ได้วาดค่ายสังหารมากกว่าสิบกว่าค่ายกล ครอบคลุมอากาศหลายพันไมล์ซึ่งเป็นที่ตั้งของตำหนักอัคคีนภา
เจ้าศักดิ์สิทธิ์อัคคีนภาถูกฆ่าตาย มหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นปฐมภูมิสองคนที่เหลืออยู่ในตำหนักอัคคีนภาต่างไม่กล้าพูดอะไร และจัแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์อื่น ๆ จาก แดนศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ สีหน้าบูดบึ้ง แต่พวกเขากลัวความแข็งแกร่งของหลัวซิวและไม่กล้าที่จะกระทำโดยประมาท
เขาเดินอยู่ในตำหนักอัคคีนภาและมาถึงตำหนักที่เหยียนซีโรว่ถูกคุมขัง
ในตำหนัก เหยียนซีโรว่ถูกปิดผนึกโดยค่ายยากเย็นค่ายหนึ่ง และยังมีผู้คนในสำนักไป๋ซิงกู่ก็ถูกผนึกพร้อมกับนาง
เมื่อหลัวซิวปรากฏตัว เขาบังเอิญได้ยินคนในสำนักไป๋ซิงกู่เกลี้ยกล่อมเหยียนซีโรว่ให้ช่วยแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างๆในการทำนายที่อยู่ของเขา
“หลัวซิว?”
เหยียนซีโรว่รู้สึกถึงบางอย่าง เมื่อมองไปที่ประตูตำหนัก ดวงตาที่สลัวคู่หนึ่งก็ส่องประกายเป็นประกาย
ผู้คนจากสำนักไป๋ซิงกู่ ก็มองไปเช่นกัน และเมื่อพวกเขาพบหลัวซิว พวกเขาทั้งหมดมีสีหน้าที่แตกต่างกันออกไป
“เจ้ากล้ามาที่นี่ได้ยังไง ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้า ซีโรว่จะตกเป็นเช่นนี้ได้อย่างร?”
ไป๋หุ้ยเหลียน อดีตอาจารย์ของเหยียนซีโรว่ กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เข้มงวดและเยาะเย้ย “ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะไม่เจียมเนื้อเจียมตัวเช่นนี้ ในเมื่อเจ้าได้โยนตัวเองลงมาในตาข่าย ผู้คนจากแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างๆก็จะจับเจ้าเอง!”
หลัวซิวไม่สนใจที่หญิงชราคนนี้เลย เขายกมือขึ้นและทำลายค่ายยากเย็น แล้วเดินไปหาเหยียนซีโรว่
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” ไป๋หุ้ยเหลียนตะคอกเสียงเย็น ในความคิดเห็นของนาง หลัวซิวมาที่นี่ เป็นการมาติดกับดักเอง เขาจะต้องไม่ทำให้พวกเขาประสบกับปัญหาด้วย
นางไปขวางทางตรงหน้าหลัวซิว แต่แล้วนางก็ปลิวไปตามออร่าที่กดขี่ข่มเหง หลัวซิวไม่ได้ทำร้ายนาง เพราะนึกถึงความเมตตาในการเลี้ยงดูที่ต่อเหยียนซีโรว่
เขาเดินไปตรงหน้าเหยียนซีโรว่ เห็นว่าใบหน้าของนางซีดเซียว สายตาเหนื่อยล้า แต่โชคดีที่นางไม่ได้รับบาดเจ็บ
“ข้ามาช่วยเจ้าออกไป” หลัวซิวกล่าว
เขารู้ว่าเหยียนซีโรว่คือความยึดเหนี่ยวของตน แต่เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในชาติก่อน เมื่อเผชิญหน้ากับนาง เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร
แต่เหยียนซีโรว่กลับพุ่งเข้าหาอ้อมแขนของเขาพร้อมเริ่มร้องไห้ออกมา ในช่วงนี้ นางเผชิญกับเรื่องต่างๆมากมาย นางเหนื่อยล้าทั้งร่างกายและจิตใจ
“อ๊าก!”
เจ้าศักดิ์สิทธิ์อัคคีนภาร้องออกมา แขนข้างหนึ่งถูกตีโดยเขาทองดำ ระเบิดเป็นหมอกเลือด
เมื่อเห็นฉากนี้ ทุกคนต่างตกตะลึง เจ้าศักดิ์สิทธิ์อัคคีนภาเป็นจ้าวแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ และผลการฝึกตนแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นกลาง ยังมีสมบัติวิเศษระดับมหาจักรพรรดิ ตอนนี้กลับถูกรุ่นเยาว์ที่ฝึกตนแค่สามสิบปีปราบปราม?
วินาทีนี้ ผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ที่เหลืออยู่ทั้งหมด เข้าใจแล้วว่าชายหนุ่มผู้นี้ชื่อหลัวซิว ไม่สามารถพูดได้ด้วยเหตุผลทั่วไป พลังต่อสู้ของเขาเหนือกว่าแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ธรรมดา และพวกเขาต้องร่วมมือกันเพื่อสังหารเขา
สีหน้าของหลัวซิวไม่แสดงอารมณ์ใดๆ การโจมตีของเขาโหดเหี้ยมและเด็ดขาด เขาทองดำไท่เสวียนโจมตีอีกครั้ง ในชั่วพริบตาก็ไปถึงเหนือศีรษะของเจ้าศักดิ์สิทธิ์อัคคีนภา ความกดดันแข็งแกร่งที่ไม่อาจคาดเดาได้เต็มท้องฟ้าไปหมด
เจ้าศักดิ์สิทธิ์อัคคีนภาตะโกนด้วยความโกรธ ใช้พลังจิตแท้และพลังแห่งกฎ กระตุ้นกระบี่สมบัติวิเศษในมือของเขาให้สุดขั้ว เปลวไฟสีแดงปั่นป่วนเหมือนมารดาน้ำราวกับคลื่นที่ซัดขึ้นไปบนท้องฟ้า
แต่วิธีการทั้งหมดของเขาไม่มีผลหลัวซิว เห็นเพียงเขาอ้าปากแล้วสูบ ก็ได้กลืนเปลวเพลิงสีแดงทั้งหมดเข้าไป เขาทองดำไท่เสวียนทุบทลายลงมา กระบี่สมบัติวิเศษในมือถูกกระแทกจนหลุดออกไปจากมือ
“พรึบ!”
ร่างของเจ้าศักดิ์สิทธิ์อัคคีนภาถูกทับอยู่ใต้เขาทองดำ เขาไม่ใช่กลั่นร่างมหาจักรพรรดิยุทธ์ กระดูกและเส้นเอ็นของเขาถูกทับจนหัก ร่างกายของเขาเกือบจะกลายเป็นโคลนดิน
แสงแห่งเทพจิตที่กลายมาจากเปลวเพลิงสีแดงพุ่งออกมาจากร่างที่แหลกสลาย แต่ถูกมือใหญ่สีดำขาวที่แปลงมาจากกฎและการเวียนว่ายตายเกิดของหลัวซิวจับไว้ และบดเป็นเถ้าถ่านโดยตรง
เจ้าศักดิ์สิทธิ์ได้เสียชีวิตไปทันที!
“โอ้ พระเจ้า เจ้าศักดิ์สิทธิ์อัคคีนภาตายแล้ว!”
“ชายคนนี้ได้ฆ่าเจ้าศักดิ์สิทธิ์อัคคีนภา ทุกคนฆ่าเขาพร้อมเขา!”
เจ้าศักดิ์สิทธิ์อัคคีนภาถูกหลัวซิวฆ่าตาย ซึ่งทำให้ผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งตกใจและโมโห พวกเขาโจมตีพร้อมกันทันที สมบัติวิเศษและอาวุธต่างๆโยนออกไป ความกดดันเต็มไปทั่ว
หลัวซิวเก็บเขาทองดำไท่เสวียน พลิกมือหยิบไฟเทวสว่างออกมา และกระตุ้นใช้งานด้วยพลังแห่งกฎแห่งชีวิต พลังของไฟเทวถูกกระตุ้น แสงสีทองสว่างวาบอย่างกะทันหัน แสงศักดิ์สิทธิ์ส่องสว่างไปทั่ว
“เฉียง! เฉียง! เฉียง!…”
การโจมตีของผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ถูกปิดกั้นอยู่ด้านนอกโดยแสงศักดิ์สิทธิ์ ไม่สามารถทำร้ายร่างกายของหลัวซิวได้แม้แต่น้อย
ก่อนหน้านี้เขาเป็นเหมือนเทพมารที่เชี่ยวชาญกฎแห่งความตาย แต่ตอนนี้เขาถือไฟเทว ราวกับเทพแห่งแสงสว่างที่ลงมายังโลก
ไฟเทวสว่างเป็นอัญมณีแห่งเทพมาร มีสมบัตินี้อยู่ในมือ เว้นแต่จะโจมตีด้วยนักยุทธ์เทพมาร ไม่อย่างนั้นหลัวซิวเกือบจะอยู่ยงคงกระพันได้
เขาต่อต้านการโจมตีทั้งหมดด้วยไฟเทว ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่แดนมหาจักรพรรดิยุทธ์จากตำหนักดารานภา ใช้กฎปริภูมิ ปรากฏตัวต่อหน้าเขาโดยตรง
“ตราธรรมจุติมรณะ!”
แดนพลังแห่งกฎของเขาเองนั้นไม่สูงนัก มีเพียงแดนสำเร็จน้อย แต่หลังจากผ่านไปสิบปีของการฝึกฝนแบ่งแยกสองระดับความเป็นตาย แบ่งร่างดับเบิ้ลรวมเข้าด้วยกันอีกครั้ง ทำให้เขาเข้าใจโอกาสและความลึกลับของการหลอมรวมของกฎและการเวียนว่ายตายเกิด
การผสมผสานของกฎและการเวียนว่ายตายเกิดจากแดนสำเร็จน้อย สามารถพัฒนาพลังแห่งกฎดั้งเดิม ซึ่งเกือบจะเทียบได้กับเทพมาร!
เมื่อผู้แข็งแกร่งระดับเทพมารได้รับการยอมรับโดยกฎดั้งเดิม ก็คือการเข้าใจถึงพลังแห่งกฎดั้งเดิม
กฎดั้งเดิมและพลังแห่งกฎมีการแบ่งแดนเช่นเดียวกัน นั่นคือ ความเข้าใจ ความเชี่ยวชาญ สำเร็จน้อย บรรลุผล และบริบูรณ์
ดังนั้นตราธรรมจุติมรณะการโจมตีรอบนี้ของหลัวซิวจึงเกือบจะเทียบได้กับการโจมตีของเทพมาร
ตอนนี้ หลัวซิวมีความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับกฎและการเวียนว่ายตายเกิด ไม่จำเป็นต้องใช้ผลการฝึกตนทั้งร่างกายเพื่อใช้วิชานี้อีกต่อไปเหมือนในอดีต
“พรึบ!”
แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์จากตำหนักดารานภาถูกบดขยี้แหลกละเอียดทันที มีเสียงกรีดร้องออกมาจากปาก และกลายเป็นผงภายใต้การบดขยี้ของตราธรรมจุติมรณะ
เจ้าศักดิ์สิทธิ์อัคคีนภาเป็นชายวัยกลางคนที่น่าเกรงขาม แต่งกายด้วยเสื้อคลุมสีแดงทอง ถือกระบี่สมบัติเล่มหนึ่งอยู่ในมือ เขาเป็นผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 4
“รังแกข้าที่ฝึกตนมาเป็นเวลาสั้นหรือ? พวกเจ้าที่เรียกว่าแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างๆเป็นเพียงขยะที่รวมตัวกันเพื่อกลั่นแกล้งคนเท่านั้น วันนี้ข้าจะเหยียบตำหนักอัคคีนภา ของเจ้าให้ราบ!” หลัวซิวตะโกนอย่างเย็นชา
“ช่างตลกจริง! เพียงเพราะเดรัจฉานตัวน้อยอย่างเจ้าที่กล้าพูดจาบ้าๆ บอๆ เจ้าศักดิ์สิทธิ์อย่างข้าจะดูว่าเจ้ามีความสามารถเพียงใดในการเหยียบตำหนักอัคคีนภาของข้าให้ราบ”
เจ้าศักดิ์สิทธิ์อัคคีนภาก้าวขึ้นไปบนท้องฟ้าโดยถือกระบี่สมบัติวิเศษอยู่ในมือ ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยออร่าที่ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีแดงเปลวไฟไปทั่วอากาศ
หลัวซิวไม่หวดกลัว เขาเผชิญหน้าพร้อมพูดเยาะเย้ยว่า “ข้าได้ยินมาว่าตำหนักอัคคีนภาของเจ้ามุ่งเน้นไปที่การปลูกฝังกฎเพลิงอัคคี และวันนี้ข้าจะใช้ไฟเพื่อทำลายเจ้า!”
เปลวไฟสีแดงลุกออกจากร่างกายของเขา มันคือจักรพรรดิอัคคีนภาแดง ที่ภูตอัคคีเปลี่ยนแปลงครั้งที่สามมาจากการฝึกฝน
“เคร่ง!”
เจ้าศักดิ์สิทธิ์อัคคีนภาฟันออกไปด้วยกระบี่ เปลวเพลิงที่ไม่มีที่สิ้นสุดระหว่างฟ้าดินมารวมตัวเป็นพลังกระบี่ที่หนาราวกับภูเขา กวาดล้างลงมา พลังหนักหนา แผดเผาท้องฟ้า ทำให้โลกเดือด
หลัวซิวยื่นมือออกไปจับ เอากระบี่สมบัติวิเศษที่เขาได้แย่งมาจากมือของแดนศักดิ์สิทธิ์ในแดนดารานอก เขาฟันออกไปต่อต้านเจ้าศักดิ์สิทธิ์อัคคีนภา
“โครม!”
ปราณกระบี่แข็งแกร่งราวกับภูเขาถูกเขาฟันออก แต่ปราณกระบี่ที่พังทลายไม่ได้สลายไป ได้กลายเป็นเปลวไฟสีแดง จมดิ่งไปทางหลัวซิว
นี่คืออัคคีจักรพรรดิที่ควบแน่นโดยเจ้าศักดิ์สิทธิ์อัคคีนภา หลังจากการฝึกตนนับพันปี ไฟทุกดวงสามารถเผาผลาญทุกอย่างได้ แม้กระทั่งผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ในระดับแดนเดียวกันก็ไม่กล้าแตะโดน
แต่หลัวซิวไม่ได้สนใจมัน เขาอ้าปากและคายจักรพรรดิอัคคีนภาแดงออกมา เปลวไฟที่เขาฝึกฝนนั้นมีฐานเป็นภูตอัคคีกลืนกิน ภูตอัคคีแบบนี้เชี่ยวชาญด้านการกลืนกินกลั่นแปรพลังธาตุไฟต่างๆเพื่อเอามาใช้เอง
จักรพรรดิอัคคีนภาแดงกลายเป็นกระแสน้ำวน และเปลวไฟสีแดงที่ไม่มีที่สิ้นสุดถูกกลืนหายไปอย่างรวดเร็ว
“ภูตอัคคีกลืนกิน?”
“เปลวไฟที่เขาใช้มีความสามารถในการกลืนกินภูตอัคคี”
ตำหนักอัคคีนภาและผู้แข็งแกร่งมากมายที่ฝึกฝนวรยุทธ์ธาตุไฟต่างพากันอุทานออกมาด้วยความตกใจ ภูตอัคคีทุกชนิดมีค่ามากสำหรับผู้ที่ฝึกฝนกฎเพลิงอัคคี น่าเสียดายที่ภูตอัคคีนั้นหายากอย่างยิ่ง แม้แต่เจ้าศักดิ์สิทธิ์อัคคีนภาที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง ก็ไม่เคยได้รับมาก่อน
“เปลวเพลิงทำอะไรเจ้าไม่ได้ ข้าจะใช้ผลการฝึกตนมาปราบปรามเจ้า!”
เจ้าศักดิ์สิทธิ์อัคคีนภาตะโกนอย่างโกรธจัด ควบแน่นด้วยพลังจิตแท้เป็นภูเขาที่ลุกโชนด้วยผลการฝึกตนของเขา ทุบลงมาพร้อมเสียงดังกึกก้อง
“เจ้าไม่สามารถรั้งข้าไว้ได้”
หลัวซิวยกมือขึ้นพร้อมชี้ เขาทองดำไท่เสวียนบินออกไป มันคือสมบัติวิเศษระดับชั้นสูง ซึ่งมีความลึกลับของวิชาสังหารไท่เสวียนซ้อนเร้นอยู่
ภูเขาเพลิงถูกกระแทกด้วยเขาทองดำ ลำแสงของภูเขาทองดำพุ่งทะยาน ยิงแสงสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนออกมา ซึ่งแต่ละดวงสามารถทะลุผ่านอากาศได้อย่างง่ายดาย
“เจ้าเองก็ลองมารับกระบวนท่าหนึ่งของข้าดูบ้าง”
หลัวซิวเหยียดฝ่ามือออก แสงสีดำที่สอดประสานกันซึ่งเกิดจากกฎและการเวียนว่ายตายเกิดรวมตัวเป็นมือสีขาวดำขนาดใหญ่อยู่กลางอากาศ มือใหญ่จับภูเขาทองคำดำ ถือไว้ราวกับอิฐยักษ์ แล้วทุบไปยังเจ้าศักดิ์สิทธิ์อัคคีนภาอย่างดุเดือด
สีหน้าของเจ้าศักดิ์สิทธิ์อัคคีนภาเปลี่ยนไปอย่างมาก แม้ว่าเขาจะเป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 4 แต่เขาทองคำดำนี้เป็นสมบัติวิเศษชั้นสูง และพลังของมันเปรียบได้กับมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นปลาย หากเขาจะต่อต้านจะเป็นเรื่องยากมากนัก
เมื่อคิดอย่างนี้ เขาไม่สนใจว่าเขาจะเสียหน้าต่อผู้คนจำนวนมากหากหนีไปต่อหน้าต่อตา เขากลายเป็นเปลวไฟพร้อมฉีกอากาศออกก็จะหนีไป
“ปิดผนึก!”
หลัวซิวตะคอกเสียงเบา ใช้กฎปริภูมิ อากาศที่ถูกฉีกออกจากกันโดยเจ้าศักดิ์สิทธิ์อัคคีนภาก็ได้ปิดลงอย่างรวดเร็ว ปิดกั้นการหลบหนีของเขา
“เขานั่นเอง! ชายหนุ่มที่ชื่อหลัวซิว!”
“เขาฝึกตนมาเพียงสามสิบปีเท่านั้น ทำไมเขาถึงแข็งแกร่งได้ขนาดนี้?”
“ฮึ่ม พวกข้าแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ที่นี่อยู่ เขาเป็นแค่รุ่นเยาว์เล็กๆคนหนึ่งจะรอดไปได้อย่างไร?”
ผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์หลายคนที่อยู่ในตำหนักอัคคีนภาจากนแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างๆปรากฏตัวทีละคน ได้ปล่อยรัศมีอันทรงพลังออกจากร่างกายของพวกเขาที่ทะลุผ่านท้องฟ้า และพื้นที่ที่ภายในรัศมีหลายพันกิโลเมตรถูกบดขยี้บิดเบี้ยว
แม้ว่าผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์จะปรากฏตัว สีหน้าของหลัวซิวก็ยังไม่ผันผวนเลยแม้แต่น้อย เขาไขว้มือไว้ข้างหลัง เสื้อคลุมสีดำของเขาขยับไปตามลมราวกับเทพมารมากำเนิด พลังที่น่าเกรงขามและดวงตาเป็นเหมือนขุมนรกที่กลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างที่ลึกล้ำและน่าสะพรึงกลัว
“ทำทุกอย่างเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย พวกเจ้าคู่ควรที่จะถูกเรียกว่าเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าพันธุ์มนุษย์?”
หลัวซิวเหลือบมองทุกคนอย่างเย็นชาและเย้ยหยัน “แดนศักดิ์สิทธิ์ใดที่ไม่ได้เป็นหนี้แดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่? แดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่ถูกโจมตี พวกเจ้านิ่งดูดาย ถือว่าเนรคุณ ไร้มนุษยธรรมและความอยุติธรรม!”
“เผ่าพันธุ์มนุษย์มีแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างพวกเจ้า ทำให้ข้าที่เป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์คนหนึ่งรู้สึกละอายใจ! เดรัจฉานอย่างพวกเจ้าถูกเรียกว่ามนุษย์ด้วยหรือ?” คำพูดของหลัวซิวดูน่าเกลียดและเขาไม่ได้ให้เกียรติแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างๆสักนิด
“ไอ้สารเลว เจ้ากล้าเกินไปแล้ว ไม่มีที่สำหรับเจ้าในโลกนี้!” ผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์คนหนึ่งแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือดตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว ถือดาบมารสีเลือด พุ่งไปยังหลัวซิวโดยเจตนาฆ่า
หลัวซิวไม่ขยับเขยื้อน อาณาจักรกฎความตายกระจายออกไป ก่อนที่เจตนาฆ่าจะพุ่งมาถึงตรงหน้าก็ได้ทำลายลงไปในทันที
“ฆ่าเขาซะ!”
สีหน้าเจ้าศักดิ์สิทธิ์ตำหนักอัคคีนภาขรึมลง ค่ายพิทักษ์เขาถูกทำลาย จะต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมากในการซ่อมแซม
มีแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์สิบกว่าคน ยกเว้นเพียงไม่กี่คนที่ถืออัตลักษณ์ของตนและไม่ได้กระทำการใด ๆ มีหลายคนติดตามเจ้าศักดิ์สิทธิ์อัคคีนภา โจมตีหลัวซิวพร้อมกันหลัวซิว
“บูม!”
ทันใดนั้น พื้นที่ที่มีหลัวซิวเป็นศูนย์กลางก็พังทลายและแตกเป็นเสี่ยงๆ และเศษอวกาศจำนวนนับไม่ถ้วนก็กลายเป็นพายุสีดำทำลายทุกอย่าง
นี่เป็นวิธีการฆ่าที่เกิดขึ้นจากอาณาจักรแห่งกฎความตายและอวกาศสองอย่าง
สีหน้าของมหาจักรพรรดิยุทธ์หลายคนที่จมอยู่ใต้พายุมรณะทั้งหมดเปลี่ยนไปเล็กน้อย พวกเขาแต่ละคนใช้วิธีการของตนเองเพื่อต่อต้าน
หลัวซิวปลดปล่อยตัวสำนึกของตน แม้ว่าเขาจะยังไม่ถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ เพียงแค่เจ้ายุทธจักรขั้น 9 แต่ปราศจากอุปสรรคจากค่ายพิทักษ์เขา เขาก็สามารถค้นหาที่อยู่ของเหยียนซีโรว่ในตำหนักอัคคีนภาได้
“บังอาจ! นึกว่าไม่มีใครปราบเจ้าได้หรือ?”
ผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์คนหนึ่งจากเขาชะตาเทพ ตะโกนอย่างโกรธจัด ใช้การโจมตีวิญญาณ ตัวสำนึกกลายเป็นกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ เจาะเข้าไปในตัวหยั่งรู้ของหลัวซิว
แต่ร่างของหลัวซิวยังคงยืนนิ่ง ไม่ว่าการโจมตีตัวสำนึกอีกฝ่ายจะแข็งแกร่งเพียงใด ด้วยตำหนักจื่อเซียวที่ปกป้องวิญญาณดั้งเดิม แม้แต่การโจมตีด้วยวิญญาณของเทพมาร ก็ไม่อาจทำร้ายเขาได้แม้แต่น้อย
“อยู่ที่นี่!”
ตัวสำนึกของหลัวซิวสัมผัสได้ถึงออร่าของเหยียนซีโรว่ที่อยู่ในตำหนักหนึ่งอย่างรวดเร็ว และใช้กฎปริภูมิทันทีพร้อมลงไปสู่ข้างล่างทันที
“นี่เจ้ากล้าดียังไงมาอวดดี!”
ผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์มากกว่าสิบคนรวมตัวกันที่นี่ เมื่อพวกเขาเห็นการกระทำของหลัวซิว พวกเขารู้ว่าเขากำลังจะช่วยธิดาเทพหยุนไห่ ก็โมโหทันทีพร้อมโจมตีกะทันหัน
หลัวซิวเพียงคนเดียวเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์สิบกว่าคนขึ้นไปจากตำหนักอัคคีนภา เจตนาฆ่าพุ่งขึ้นฟ้าและพูดอย่างเย็นชา “แค่พวกเจ้ายังขวางข้าไม่ได้!”
“ฮึ่ม เจ้าเป็นแค่รุ่นเยาว์และฝึกตนมาประมาณ 30 ปีเท่านั้น ยังกล้าพูดจาบ้าๆ บอๆ อีกหรือ?” เจ้าศักดิ์สิทธิ์อัคคีนภาสีหน้านิ่ง
ในฐานะผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ พวกเขาต่างหยิ่งทะนง มีแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์สิบกว่าคนรวมตัวอยู่ที่นี้ แต่พวกเขากลับมีอัตลักษณ์ของตนเองและไม่อยากไปล้อมโจมตีรุ่นเยาว์คนหนึ่ง
ในฐานะที่เป็นหนึ่งในเจ้ายุทธจักรแต่งตั้ง หยวนจุนถือได้ว่าแข็งแกร่งที่สุดในโลก
เดิมทีเขาไปตำหนักอัคคีนภาในนามของสำนักฟ้าดิน เขาจะคาดหมายได้อย่างไรว่าจะได้พบกับหลัวซิว ไอ้ตัวพิฆาต
หลังจากสังหารหยวนจวินแล้ว หลัวซิวยังคงบินไปที่ตำหนักอัคคีนภา
ในฐานะที่เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งในอาณาจักรใต้ ตำหนักอัคคีนภาตั้งตระหง่านเหนือปล่องภูเขาไฟ ไม่ใช่แค่ตำหนักเดียว แต่เป็นกลุ่มตำหนักที่ต่อเนื่องกัน
ในบริเวณใกล้เคียงของตำหนักกลุ่มนี้มีเมฆพลังเปลวไฟขนาดใหญ่ล้อมรอบมัน ราวกับเมฆไฟ
ในตำหนักแห่งหนึ่ง ผู้คนในสำนักไป๋ซิงกู่ได้รับเชิญจากแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ คุกคามชีวิตและความตายของพวกเขา ขอให้พวกเขาเกลี้ยกล่อมเหยียนซีโรว่
เมื่อเหยียนซีโรว่ยังเด็ก บิดามารดาของนางเสียชีวิตก่อนกำหนด เป็นไป๋หุ้ยเหลียนผู้อาวุโสของสำนักไป๋ซิงกู่ได้เลี้ยงดูนาง ดังนั้นสำนักไป๋ซิงกู่จึงมีสถานที่พิเศษในใจของ เหยียนซีโรว่
“ซีโรว่ เจ้าจะไม่ให้ความสำคัญต่อชีวิตของอาจารย์ทุกท่านเพื่อผู้ชายคนหนึ่งหรือ?”
“ยี่สิบปีแห่งการเลี้ยงดู เจ้าอยากเห็นสำนักไป๋ซิงกู่ถูกทำลายเพราะความดื้อรั้นของเจ้าหรือ?”
“หลัวซิวคนนั้นไม่รู้จักเจียมเนื้อเจียมตัวทำให้แดนศักดิ์สิทธิ์ต่างๆขุ่นเคือง เหตุใดเจ้าถึงต่อสู้กับแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างๆเพื่อเขา?”
“เด็กโง่ เราจะรอดได้ก็ต่อเมื่อเจ้าเต็มใจทำนายที่อยู่ของหลัวซิว”
คำพูดของทุกคนในสำนักไป๋ซิงกู่เป็นเหมือนเข็มเหล็กที่เจาะเข้าไปในหัวใจของเหยียนซีโรว่ ด้านหนึ่งคือสำนักไป๋ซิงกู่ผู้ให้กำเนิดตนเองและอีกด้านหนึ่งคือชายที่ตนเองชื่นชมอยู่ในใจ ไม่ว่าจะเลือกด้านไหนก็ตาม ในใจขอนางจะไม่สบายมาก
“อาจารย์ อาจารย์อา เหตุใดพวกท่านจึงบังคับข้า…”
เหยียนซีโรว่ร้องไห้ออกมา นางไม่สามารถละเลยชีวิตและความตายของคนในสำนักไป๋ซิงกู่ได้ ถ้าต้องการเลือกจริงๆ นางทำได้เพียงหักหลังหลัวซิวเท่านั้น
“เฮียกหลัว ข้าขอโทษ…” น้ำตาของนางร่วงหล่นลงบนพื้นและแตกออกเป็นแปดกลีบ ราวกับว่าหัวใจของนางถูกบดขยี้
…
นอกตำหนักอัคคีนภา ร่างของหลัวซิวยืนอยู่บนท้องฟ้า
เห็นเพียงเขายกมือขึ้น เขาทองดำไท่เสวียนก็ค่อยๆ โผล่ออกมา จากนั้นจึงลุกขึ้นต้านลม กลายเป็นภูเขาขนาดใหญ่สง่างาม กระแทกความว่างเปล่าด้วยเสียงดังปัง พร้อมกระแทกไปยังที่ตั้งของตำหนักอัคคีนภา
“บูม!”
ค่ายพิทักษ์เขาของตำหนักอัคคีนภาปรากฏออกมาเป็นม่านแสงสีแดง ภานใต้การกระแทกของเขาทองดำไท่เสวียน ม่านค่ายกลสั่นไหวอย่างรุนแรง ค่ายมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นเก้าก็แตกออกมีรอยเกิดขึ้น
“ทำลายมันเพื่อข้า!”
หลัวซิวตะคอกเสียงดัง ยกมือขึ้นชี้ เขาทองดำไท่เสวียนกระแทกลงมาอีกครั้ง พร้อมกับเสียงคำรามที่น่าสยดสยอง ค่ายพิทักษ์เขาของตำหนักอัคคีนภาถูกทุบเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยพร้อมแตกออกทันที
ภูเขาสีดำนั้นราวกับสร้างด้วยทองคำสีดำ หลัวซิวยืนอยู่ในอากาศด้วยมือไขว้หลัง ราวกับเทพมารที่บังเกิดขึ้นมาในโลก เขาทำลายค่ายพิทักษ์เขาของแดนศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้อย่างง่ายดาย
“ใครที่กล้ามาอวดดีที่หน้าประตูตำหนักอัคคีนภาของข้า?”
เสียงตะคอกดังมาจากกลุ่มตำหนัก ไฟพร่างพรายพุ่งขึ้นไปบนฟ้า กลายเป็นมังกรไฟที่มีกรงเล็บพร้อมพุ่งเข้าหาหลัวซิวที่อยู่กลางอากาศ
หลัวซิวพ่นลมอย่างเย็นชา ดวงตาที่ลึกล้ำของเขายิงแสงศักดิ์สิทธิ์ออกมาราวกับกระบี่เทพสองเล่ม ทำลายมังกรไฟที่กำลังพุ่งพรวดให้เป็นชิ้นๆ
“อ๊าก!
เสียงกรีดร้องมาจากตำหนักอัคคีนภาที่อยู่ด้านล่าง และหัวของผู้แข็งแกร่งจากตำหนักอัคคีนภาถูกแสงศักดิ์สิทธิ์แทงและเสียชีวิตในที่เกิดเหตุกะทันหัน
ผู้แข็งแกร่งจำนวนมากในตำหนักอัคคีนภาตื่นตระหนกกันหมด แต่เมื่อพวกเขาตอบสนองขึ้นมาก็พบว่าค่ายพิทักษ์เขาถูกทำลาย และแม้แต่พระสมณผู้หนึ่งของตำหนักอัคคีนภาก็ถูกฆ่าตายทันที
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเร็วเกินไป แม้ว่าตำหนักอัคคีนภาจะไม่ใช่แดนศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งมากนัก แต่ไม่ว่าอย่างไรค่ายพิทักษ์ก็เป็นระดับค่ายมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นเก้า แม้จะเป็นผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ก็ยากที่จะทำลายลงไปได้
จากแดนตำหนักจื่อมาถึงภายนอก หลัวซิวอยู่ในอาณาจักรใต้และได้ยินข่าวที่เกี่ยวกับตัวเอง
ข่าวที่เขาฆ่าเจ้ายุทธจักรดาราตอนอยู่ที่แดนดารานอก เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วในแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ และกองกำลังทั้งหมดก็รู้ว่าเขาได้กลับไปยังโลกแสงดาวผ่านค่ายวาร์ป
เป็นผลให้ทั่วทั้งอาณาจักรใต้ไม่สงบ มีผู้แข็งแกร่งหลายคนปรากฏตัวค้นหาที่อยู่ของเขา
“ตำหนักอัคคีนภา!”
บนท้องฟ้าเหนือป่าบนภูเขา ดวงตาของหลัวซิวเปล่งประกายความหนาวเย็น ล็อคจอมยุทธ์หลายสิบคนที่สวมชุดตำหนักอัคคีนภา
เขาเดินไปกลางอากาศและพูดอย่างเย็นชาว่า “พวกเจ้ากำลังตามหาข้าอยู่หรือ?”
เสียงที่ดังกึกก้องทำให้เหล่าจอมยุทธ์ของตำหนักอัคคีนภาขมวดคิ้ว ขณะที่เป็นสาวกของแดนศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาไปไหนมาไหนในโลก ใครกล้าตะโกนใส่พวกเขาแบบนี้?
แต่เมื่อพวกเขาสังเกตเห็นการปรากฏตัวของหลัวซิว พวกเขาอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง
“ทำไมคนนี้ถึงดูคุ้นๆ?”
“เขา… เขาคือหลัวซิวที่กองกำลังกำลังต่างๆตามหาอยู่! เขาปรากฏตัวที่อาณาจักรใต้จริงๆ!”
“เร็ว รีบกระจายข่าวและบอกว่าหลัวซิวอยู่ที่นี่”
เป็นที่ทราบกันดีว่าเจ้ายุทธจักรดาราถูกตัดศีรษะอยู่ที่แดนดารานอก จอมยุทธ์ของตำหนักอัคคีนภาเหล่านี้มีความชัดเจนมากว่าพวกเขาและคนอื่น ๆ ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลัวซิว ดังนั้นทางเลือกแรกคือการหลบหนีและในเวลาเดียวกันพวกเขาต้องส่งเรื่องจากทางนี้ออกไป
หลัวซิวยืนอยู่ในอากาศ มือไขว้หลัง เสื้อคลุมของเขาสั่นไหวอยู่ในสายลม
“บูม!”
โดยมีเขาเป็นศูนย์กลาง ท้องฟ้าในรัศมีหลายร้อยไมล์แตกสลายในทันที และพลังของกฎแห่งความตายและอวกาศทั้งสองได้ก่อตัวเป็นพายุร้ายแรง ทำลายทุกสิ่งในบริเวณนี้
โครม! โครม! โครม! …
จอมยุทธ์มากกว่าสิบคนของตำหนักอัคคีนภาสลายไปในทันที ร่างกายของพวกเขากลายเป็นความว่างเปล่า ร่างกายและวิญญาณได้หายไป
มีเพียงคนเดียวที่ยังไม่ตาย หลัวซิวบีบคอคนนั้นด้วยมือเดียว ตัวสำนึกเจาะเข้าไปในตัวหยั่งรู้ของเขาราวกับมีด ค้นหาความทรงจำ
จากความทรงจำของบุคคลนี้ หลัวซิวได้รู้ว่าเหยียนซีโรว่ถูกกักบริเวณอยู่ในตำหนักอัคคีนภา มีผู้แข็งแกร่งจากแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างๆอยู่ที่นั่น พวกเขาพยายามทุกวิถีทางเพื่อบังคับให้นางทำนายวิชาแห่งชะตา
ความอดทนของแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างๆกำลังจะหมดไป บางคนถึงกับเสนอให้ลงวิชาทาสลงในตัวหยั่งรู้ของนาง และควบคุมนางให้ทำการทำนายและเปลี่ยนแปลงชะตา
โชคดีที่แดนศักดิ์สิทธิ์ต่างๆที่ยังจำความเชื่อเหลือของแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่ได้ และไม่เห็นด้วยกับวิธีนี้ และแดนศักดิ์สิทธิ์ไหนที่จะมาควบคุมธิดาเทพหยุนไห่ก็เป็นปัญหาด้วย
เพราะวิชาแห่งชะตาของธิดาเทพหยุนไห่ก็มีบทบาทสำคัญ ทุกคนก็อยากได้มัน
หลัวซิวโกรธแค้นอยู่ในใจ จะเห็นได้ว่า แดนศักดิ์สิทธิ์ต่างๆไม่เพียงแต่ต้องการใช้เหยียนซีโรว่ในการคำนวณที่อยู่ของเขาเท่านั้น แต่ยังต้องการควบคุมนางและใช้นางเป็นเครื่องมือ
“นี่คือแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างๆของพวกเจ้าที่บังคับให้ข้าเริ่มการสังหาร!”
สองวันต่อมา หลัวซิวมาถึงพื้นที่ที่ตั้งของตำหนักอัคคีนภา ได้พบกับผู้แข็งแกร่งเก้าคนจากสำนักฟ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ของอาณาจักรใต้
ในบรรดาผู้แข็งแกร่งสำนักฟ้าดินทั้งเก้า คนที่เป็นหัวหน้าคือ เจ้ายุทธจักรแต่งตั้ง ชื่อว่าหยวนจวิน
“หลัวซิว!”
คนเหล่านี้รู้จักตัวตนของ หลัวซิว และหยวนจวินคนนั้นเริ่มโจมตีโดยไม่พูดอะไรเลย โบกกระจกสีเก่าเรียบง่ายออกไปพร้อมยิงแสงศักดิ์สิทธิ์ออกมา
แสงศักดิ์สิทธิ์นี้สว่างราวกับเสา และมีพลังที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง
“คนในแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างๆสมควรตาย!” หลัวซิวก้าวขึ้นไปบนท้องฟ้าและพุ่งออกไปด้วยหอกมังกรดำ แสงหอกมังกรควบแน่นด้วยกฎปริภูมิแห่งความตายและอวกาศได้ทำลายแสงศักดิ์สิทธิ์ที่โจมตีมาโดยตรง
เขาเคลื่อนไหวด้วยกฎปริภูมิ ปรากฏตัวที่ด้านหลังหยวนจวิน สามชีวิต ความตาย และอวกาศ สามอาณาจักรแห่งกฎถูกปลดปล่อยออกมาพร้อมๆ กัน ทำให้พลังของผู้แข็งแกร่งระดับเจ้ายุทธจักรแต่งตั้งลดลงห้าส่วน!
“พรึบ!”
หัวของหยวนจวินถูกหลัวซิวแทงด้วยหอก ตามด้วยเสียงร้องของเจ้ายุทธจักรแต่งตั้งที่ตายอยู่ในมือเขา
ร่างแยกทั้งสองรวมเป็นหนึ่งเดียว หลัวซิวในวันนี้ฆ่าเจ้ายุทธจักรแต่งตั้งโดยไม่ต้องใช้ความพยายามเลย
“เหวิง!”
ร่างแยกชุดขาวรอบกายล้อมไปด้วยแสงสว่างสีขาวเป็นประกาย สว่างไสวและศักดิ์สิทธิ์
ร่างแยกชุดดำนั่นรอบกายเปล่งไปด้วยออร่ามรณะ ดุร้ายและแข็งแกร่ง
ร่างแยกทั้งสองเดินตรงเข้ามาเผชิญหน้ากัน วินาทีที่ร่างทั้งสองปะทะกันนั้น ก็ผสานรวมเข้าด้วยกันในทันที กลายเป็นคนคนเดียว
วินาทีที่แบ่งร่างดับเบิ้ลหลอมรวมเป็นหนึ่ง หลัวซิวสามารถรับรู้ได้ถึงพลังของตนเองที่เพิ่มขึ้นในทุก ๆ ด้านอย่างชัดเจน ไม่ง่ายดายเหมือนการบวกเลขหนึ่งบวกหนึ่งเช่นนั้นแน่นอน
ผลการฝึกตนของร่างแยกชุดขาวกับร่างแยกชุดดำแบ่งออกเป็นเจ้ายุทธจักรขั้นหนึ่ง แต่เมื่อร่วมเข้าด้วยกันแล้ว ผลการฝึกตนของเขานั้นกลับบรรลุถึงเจ้ายุทธจักรขั้นเก้าแล้ว!
แดนสำเร็จน้อยของแดนกฎสองประเภทชีวิตและมรณะ เมื่อรวมเข้าเป็นร่างเดียวกันแล้ว เกิดความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความลึกลับ มีออร่าของกฎการเวียนว่ายตายเกิดดั้งเดิมบาง ๆ กระจายออกมา
มีสิ่งเดียวที่ไม่ได้รับการยกระดับ นั่นคือร่างยุทธ์ร่างเนื้อของเขา ยังคงอยู่ในแดนเจ้ายุทธจักรขีดสุด
“นี่คือความลึกลับของวิชาแบ่งร่างดับเบิ้ลหรือ?”
ในใจของหลัวซิวรู้สึกประหลาดใจอยู่ไม่น้อย วิชาพลังอมตะนี้ทำให้เขาสามารถแยกร่างได้สองร่าง แต่ละร่างฝึกตนในกฎที่แตกต่างกัน เมื่อรวมเข้าด้วยกัน พลังก็จะได้รับการเพิ่มระดับและเปลี่ยนร่างอย่างยอดเยี่ยม
รับรู้ได้ถึงพลังที่เปลี่ยนไปของตน หลัวซิวก็มีความมั่นใจมากขึ้นว่าจะสามารถต้านทานผู้แข็งแกร่งจากแดนศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ได้
“เจ้าหนู หลายปีมานี้เจ้าไปประสบเหตุอันใดที่ภายนอกกันแน่? พลังถึงได้เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลเช่นนี้?”
“อีกอย่าง ข้าได้ยินมาว่าเจ้าทำสมบัติวิเศษของข้าหายไป จริงหรือ?”
จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำหลายปีมานี้ใช้ความอดทนอย่างมาก เมื่อได้เจอหลัวซิว ก็มีคำถามที่ถามได้ไม่หมดไม่สิ้นผุดขึ้นมาเต็มไปหมด
“เรื่องของข้ารอให้ผ่านช่วงเวลานี้ไปเสียก่อนแล้วจะเล่าให้ท่านฟัง ตอนนี้ข้ามีเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่าต้องไปทำ”
หลัวซิวยิ้มพลางส่ายศีรษะไปมา จากนั้นก็หยิบดอกยวิ่นหลิงออกมา ส่งไปให้อีกฝ่าย
“ดอกยวิ่นหลิง? นี่เจ้าไปหาสิ่งล้ำค่าเช่นนี้มาได้งั้นหรือ?”
จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำตกใจอย่างมาก หุ่นเชิดนกน้อยที่ถูกประทับวิญญาณนั้นตื่นเต้นจนกระโดดไปมา
เพราะว่าเมื่อมีดอกยวิ่นหลิง นั่นหมายความว่าเขาสามารถถอดร่างออกจากสถานะวิญญาณ กลับกลายเป็นเศษวิญญาณดั้งเดิม เพียงแค่วิญญาณดั้งเดิมสามารถฟื้นฟูได้อีกเล็กน้อย เพียงแค่สามารถได้รับพลังวิญญาณที่มากพอ เขาก็สามารถฟื้นฟูกลับสู่สภาวะขั้นสูงอย่างในอดีตได้อย่างรวดเร็ว
จากนั้นก็สามารถเลือกก่อร่างเนื้อใหม่ หรืออาจจะตามหาร่างเนื้อโบราณเมื่อในอดีต ก็จะสามารถเกิดใหม่ได้อีกครั้ง
จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำตื่นเต้นดีใจอย่างมาก ทันใดนั้นก็เลือกที่จะฝึกตนปิดขังทันที เขาต้องใช้ดอกยวิ่นหลิงเพื่อฟื้นฟูวิญญาณดั้งเดิม
หลัวซิวออกจากใจกลางหอคอยฝึกตน ได้พบที่อยู่อาศัยของท่านพ่อท่านแม่และคนสนิทของตนภายในแดนตำหนักจื่อ
เวลาผ่านไปนับสิบปี ท่านพ่อหลัวซงหลินและท่านแม่หลิวชูหยุนต่างก็มีผมหงอกกันแล้ว ดูท่าทางแก่ชราไม่น้อย
ถึงแม้ว่าจะไม่มีเขาอยู่ข้าง ๆ แต่ท่านพ่อกับท่านแม่ก็ไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างโดดเดียว อีกทั้งยังมีความสุขดีอีกด้วย
ลูกของท่านพี่หญิงหลัวซิ่วเอ๋อร์ต่างก็เติบโตแล้ว คุณสมบัติฝึกยุทธ์ถึงแม่ว่าจะไม่เลวแต่ก็ยังไม่ถือว่าเป็นแนวหน้า ทุกวันต่างก็พากันมาเล่นอยู่ข้างกายท่านตากับท่านยาย
ไม่เพียงเท่านั้น หลัวซิ่วเอ๋อร์ยังมีลูกอีกสามคน ใต้ปีกพ่อแม่ ลูกหลานเต็มบ้าน
แต่ดูเหมือน หลัวซิวจะได้ยินคำพูดทำนองว่า ท่านแม่หลิวชูหยุนพูดกับท่านพี่หญิงหลัวซิ่วเอ๋อร์ “ซิวไม่ได้กลับมาหลายปีแล้ว ไม่รู้เลยว่าเขาใช้ชีวิตอย่างสุขสบายหรือไม่……”
หลัวซิวรู้สึกแสบจมูกขึ้นมาเล็กน้อย สิ่งที่เรียกว่าสายใยรักของแม่ ที่คอยพยุงลูกน้อยอยู่ตลอด เขารู้ดีว่าท่านแม่กำลังคิดถึงเขาอยู่
เพียงแต่ในตอนนี้เขาไม่มีเวลาที่จะคอยดูแลใกล้ชิดท่านพ่อกับท่านแม่ ในใจรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย
แต่ว่าในใจของหลัวซิวนั้นรู้ดีว่า ท่านพ่อ ท่านแม่รวมทั้งท่านพี่หญิงต่างก็เป็นเพียงคนธรรมดา ไม่ว่าอย่างไนก็ไม่สามารถหลีกหนีอายุไขไปได้ ต่อให้เขาจะครอบครองกฎเป็นตายสองประเภท ก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงเรื่องที่ฟ้าดินกำหนดเอาไว้แล้วเช่นนี้ได้
ท้ายที่สุด เขาถอนหายใจออกมา จากนั้นก็หมุนตัวออกไป เขาต้องไปที่ตำหนักอัคคีนภาแห่งอาณาจักรใต้สักครั้ง
ในวันนี้ระดับค่ายกลของร่างแยกชุดขาวได้บรรลุถึงระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นเก้าแล้ว แม้กระทั่งสีครามสกัดออกมาจากหญ้าสีฟ้า แต่กลับมีสีเข้มกว่าสีฟ้า หากเทียบกับจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำท่านนี้ที่เป็นปรมาจารย์ค่ายกลในสมัยโบราณแล้ว เขากลับเก่งกว่าเสียยิ่งกว่า
พรสวรรค์ในการตระหนักรู้ของเขานั้นหาตัวจับยาก ระยะเวลาสั้น ๆ ราวยี่สิบปีเท่านั้น ก็สามารถตระหนักรู้วิชาค่ายกลได้ถึงแดนนี้ ทำให้จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำอดไม่ได้ที่จะชื่นชมด้วยความตกใจ
ร่างแยกชุดขาวเดินออกมาจากใจกลางหอคอยฝึกตน ยกมือขึ้นโบกสะบัด ธงค่ายแต่ละชิ้นกลายเป็นลำแสงพุ่งออกไปรอบด้าน จากนั้นธงค่ายกลายเป็นลายค่าย ประทับลงที่อนัตตา
“เริ่ม!”
ทันใดนั้น มือของเขาก็จีบวิชาค่ายกล ทั่วทั้งแดนปริภูมิสั่นไหวอย่างรุนแรง ค่อย ๆ เคลื่อนย้ายออกจากใจกลางอนัตตาไม่สิ้น
หลายปีมานี้แดนตำหนักจื่อกับโลกภายนอกตัดขาดจากกัน ศิษย์จำนวนมากของสำนักไท่เสวียนต่างก็มีผลการฝึกตนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ผลการฝึกตนของผู้คุมกฎเกาเหลียนหงก็ได้บรรลุถึงแดนมหายุทธ์ช่วงปลายแล้ว ศิษย์วัยเยาว์ในสำนักก็มีหลายคนที่มีพรสวรรค์สูงส่ง ก็ได้บรรลุถึงแดนจักรพรรดิยุทธ์และแดนราชายุทธ์แล้ว เป็นการวางรากฐานที่มั่นคงให้กับอนาคตของสำนักไท่เสวียน
การพัฒนาของสำนักแห่งหนึ่ง ไม่สามารถจะดูแต่ระดับพลังต่อสู้ที่มากล้นได้ ยังจำเป็นต้องดูว่าในภายภาคหน้ายังมีคนสืบทอดหรือไม่ การสืบทอดของสำนักจะได้ไปต่อหรือไม่นั้น จำเป็นต้องเติมเต็มด้วยเลือดสด ๆ อย่างต่อเนื่อง จึงจะเพียงพอที่จะสามารถยืดเวลาชีวิตออกไปได้
ในบรรดาศิษย์ใจกลาง ผลการฝึกตนของปี้เซียนเสว่สูงที่สุด ตอนนี้ได้บรรลุถึงแดนมกุฎยุทธ์ขั้นเจ็ดแล้ว นางยังเป็นร่างแห่งเสวียนหยินแต่กำเนิด ภายใต้สถานการณ์ที่ยังไม่มีใครชี้นำ ยังสามารถฝึกตนได้ถึงแดนระดับนี้ คุณสมบัติพรสวรรค์ของเขานั้นสามารถเรียกได้ว่าอยู่ในขอบเขตของอัจฉริยะระดับแนวหน้าแล้ว
แต่ว่า ผู้ที่มีความก้าวหน้ารวดเร็วที่สุดกลับไม่ใช่ปี้เซียนเสว่ แต่เป็นหลินจื่อเฟิง
ในตอนนั้นที่หลินจื่อเฟิงติดตามเขามาที่สำนักไท่เสวียน ผลการฝึกตนเพิ่งจะถึงแดนราชายุทธ์ แต่ในวันนี้กลับบรรลุถึงมกุฎยุทธ์ขั้นเก้าแล้ว ยังมีความเป็นไปได้ที่จะสามารถบรรลุถึงแดนมหายุทธ์ได้ทุกเมื่อ
ผลการฝึกตนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ต่อให้เป็นหลัวซิวก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชม ถึงจะบอกว่าความเร็วในการฝึกตนของเขานั้นเร็วกว่า แต่เขาได้รับโชคที่ดีมากมายร่วมด้วยจึงสามารถมาถึงขั้นนี้ได้ แต่หลินจื่อเฟิงกลับปิดขังอยู่ภายในแดนตำหนักจื่ออยู่ตลอด
ในตอนแรกที่ได้พบกับหลินจื่อเฟิง หลัวซิวก็สามารถรับรู้ได้ว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดา กระทั่งสามารถทำให้เขารู้สึกถึงความผูกพันบางอย่าง แต่ความรู้สึกเช่นนี้ เขาสามารถรู้สึกได้จากตัวของคนผู้เดียวเท่านั้น นั่นคือเหยียนซีโรว่
เทพแห่งวัฏจักรชีวิตเคยบอกเอาไว้ เหยียนซีโรว่คือความมุ่งมั่นที่เขาหลงเหลือเอาไว้ในชาติใดชาติหนึ่ง เมื่อผ่านการเวียนว่ายตายเกิดครั้งแล้วครั้งเล่า ความมุ่งมั่นนี้ก็จะหลบซ่อนอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของวิญญาณ เมื่อใดที่ได้พบเจอ เมื่อนั้นก็จะรู้สึก
ในเมื่อทั้งสองต่างก็มีความรู้สึกประเภทนี้เหมือนกัน หลัวซิวก็สามารถคาดเดาได้คร่าว ๆ ว่า บางทีหลินจื่อเฟิงคนนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับเขาในชาติใดชาติหนึ่งก็เป็นได้
พูดถึงวัฏจักรชีวิต เมื่อผลการฝึกตนของหลัวซิวบรรลุถึงแดนเจ้ายุทธจักร ตามหลักการแล้วควรจะได้รับการมอบของขวัญครั้งหนึ่งจากกฎดั้งเดิม
เพียงแต่เขาไม่ได้รีบร้อยไปทำมันแต่อย่างใด เพราะว่าเขายังมีเรื่องที่สำคัญกว่านั้นให้ต้องทำ
“โครมคราม……”
หลายวันต่อมา แดนตำหนักจื่อเข้าใกล้อนัตตาโดยรอบของโลกแสงดาวแล้ว หลัวซิวชุดดำที่ยืนอยู่บนยอดเขาสายตานั้นราวกับสายฟ้า มองทะลุไปบนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่
“กำหนดตำแหน่ง!”
เขาตระโกนออกไปเสียงดัง มือจับเป็นตราประทับ ด้วยพลังแห่งกฎปริภูมิดั้งเดิม ตรึงแดนตำหนักจื่อเอาไว้
ทันใดนั้นเขาก็เหาะขึ้นไปบนท้องฟ้า ยกมือขึ้นโบกสะบัด ฉีกอนัตตา ก้าวเข้าไปภายในแดนตำหนักจื่อ
แดนตำหนักจื่อในทุกวันนี้สามารถเรียกได้ว่าเป็นสถานที่ฝึกตนที่ดีมากที่หนึ่ง เต็มเปี่ยมไปด้วยออร่าปราณทิพย์อันแรงกล้า
หลังจากระดับค่ายกลของร่างแยกชุดขาวระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นเก้า สิ่งที่ลงมือทำเป็นอย่างแรก ย่อมเป็นการสร้างค่ายผนึกปราณอย่างยากลำบากภายในแดน ซึ่งจำเป็นต้องมีระดับถึงมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นเก้า
ยิ่งไปกว่านั้นคือค่ายผนึกปราณเหล่านี้ต่างก็ถูกเขาปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น สามารถดูดซับพลังจิตจากโลกภายนอกได้ในขณะที่ยังอยู่ในอนัตตา โดยผ่านการกลั่นแปรของค่ายผนึกปราณ แปรเปลี่ยนเป็นปราณทิพย์ เอาไว้ให้ศิษย์ของสำนักไท่เสวียนที่อยู่ในแดนได้ใช้ฝึกตน
มาถึงใจกลางหอคอยฝึกตน ร่างแยกชุดดำชุดขาวทั้งสองได้พบกันเป็นครั้งแรกหลังจากผ่านไปเป็นเวลาสิบปี
พูดไปแล้วการล่มสลายของแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่ ก็เป็นเหตุมาจากเรื่องของหลัวซิว
แดนศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็ไม่ได้จะลงมือทำลายแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่ แต่เผ่าพันธุ์ปีศาจกลับไร้ซึ่งความปราณีใด ๆ สิ่งที่ทำให้หลัวซิวแค้นเคืองมากที่สุดก็คือ เผ่าพันธุ์ปีศาจโจมตีแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่ แดนศักดิ์สิทธิ์อื่น ๆ ของเผ่าพันธุ์มนุษย์กลับทำเหมือนเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตนเอง ไม่มีการออกโรงห้ามปรามแต่อย่างใด
“ธิดาเทพหยุนไห่ทุกรุ่นสามารถทำนายดวงชะตาได้เพียงเก้าครั้งเท่านั้น หลายหมื่นปีมานี้ แดนศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ก็มีผู้แข็งแกร่งจำนวนไม่น้อยมาที่หยุนไห่เพื่อขอคำทำนาย ติดหนี้น้ำใจของแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่ แต่ในเวลาที่แดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่ตกอยู่ในความอันตรายกลับพากันไม่สนใจ”
“แดนศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ก็ใช่ว่าจะไม่สนใจเลย ว่ากันว่าได้ออกโรงช่วยธิดาเทพหยุนไห่หนีไปในช่วงเวลาที่อันตรายที่สุด”
“เฮอะ แดนศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ที่ไหนจะมีเจตนาเช่นนั้น? พวกเขาช่วยธิดาเทพหยุนไห่หนีไป นั่นก็หนีไม่พ้นที่จะให้นางทำนายเบาะแสของคนผู้นั้นก็เท่านั้น”
หลัวซิวยิ่งได้ฟัง ในใจก็ยิ่งโมโห แดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่ถูกทำลาย เหยียนซีโรว่ยังถูกแดนศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ จับไป ทำให้เจตนาฆ่าในใจของเขาพุ่งสูงเสียดฟ้าขึ้นมาทันที
เขาพยายามกดรังสีสังหารเอาไว้ เดินขึ้นไปข้างหน้า เดินตรงเข้าไปถามกลุ่มคนที่กำลังพูดคุยกันอยู่ “ทุกท่านรู้หรือไม่ว่าธิดาเทพหยุนไห่ถูกแดนศักดิ์สิทธิ์ใดพาตัวไป?”
“คาดว่าน่าจะเป็นผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ของแดนศักดิ์สิทธิ์ตระกูลยุทธ์พาไป”
“พาไปที่ตระกูลยุทธ์แล้วหรือ?” หลัวซิวถามซ้ำ หากถูกพาไปที่ตระกูลยุทธ์จริง ๆ ด้วยพลังของเขาในตอนนี้ยังไม่สามารถที่จะบุกเข้าไปในตระกูลยุทธที่มีเทพมารผู้แข็งแกร่งคุมบังเหียนอยู่ไม่ได้
“ว่ากันว่าอยู่ที่ตำหนักอัคคีนภา แดนศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ต่างก็มีผู้แข็งแกร่งอยู่ที่นั่น หมายจะให้ธิดาเทพทำนายเบาะแสของคนผู้นั้น”
หลัวซิวได้ยินคำพูดเช่นนี้ ในใจก็รู้สึกหนักอึ้งขึ้นมา หลังจากถามรายละเอียดเรียบร้อยแล้วก็ออกจากภัตตาคารแห่งนี้ไป
ตำหนักอัคคีนภาคือหนึ่งในแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งอาณาจักรใต้ มีผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์สามท่านคุมบังเหียน หนึ่งในนั้นมีแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ช่วงกลางหนึ่งท่าน อีกสองท่านคือแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ช่วงต้น
แดนศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ รวมตัวกัน อย่างน้อย ๆ ต้องมีแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์เกินว่าสิบคนอยู่ที่ตำหนักอัคคีนภา เป็นสถานที่ที่อันตรายสุดชีวิตอย่างไม่ต้องสงสัย
หลัวซิวรู้ดีว่าในตอนที่แดนศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ยังไม่ได้เบาะแสของเขา จะไม่มีทางทำอะไรกับเหยียนซีโรว่ แต่ความอดทนของแดนศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ก็มีขีดจำกัด เขาจำเป็นต้องช่วยนางออกมาให้ได้ก่อนที่นางจะเป็นอันตราย
เขาไม่ได้ตรงไปยังตำหนักอัคคีนภา ด้วยพลังที่มีของเขาในวันนี้ หากให้ต้านแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์หนึ่งถึงสองคนก็ยังสามารถทำได้ แต่หากเป็นแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์สิบคน แน่นอนว่าเขายังไม่ใช่คู่ต่อสู้ แม้กระทั่งตัวเขาเองก็อาจจะเอาชีวิตรอดได้ยาก
หลายวันถัดมา เขาปรากฏตัวขึ้นภายในเขตประเทศเทียนหวู แต่ก็ไม่ได้หยุดอยู่ที่นี่ ไม่นานก็มาถึงเทือกเขาแห่งนั้นที่แดนตำหนักจื่อเคยตั้งอยู่เมื่อคราก่อน
ในตอนนั้นทางเขาของแดนตำหนักจื่อถูกเขาทำลายด้วยมือของเขาเอง นั่นก็คือหายเข้าไปในอนัตตาไม่สิ้นจากที่นี่
ในวันนี้เขามาที่นี่ ก็เพื่อจะอาศัยการเชื่อมต่อกันของร่างแยกทั้งสอง เพื่อเอาแดนตำหนักจื่อกลับออกมาจากอนัตตาไม่สิ้น
บนยอดเขาแห่งหนึ่ง หลัวซิวยืนเอามือไขว้หลังไว้
ยืนอยู่ตรงนั้นและกวาดตามองไปรอบ ๆ ก็สามารถมองเห็นซากปรักหักพังบางส่วนของสำนักเขาไท่เสวียนในวันเก่า
เวลาสิบปีผ่านไป เขากลับมานี่แห่งนี้อีกครั้ง อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอัดอั้นในใจเล็กน้อย
ในเวลาเดียวกัน แดนตำหนักจื่อที่ลอยคว้างอยู่ภายในอนัตตาไม่สิ้น หลัวซิวชุดขาวลืมตาขึ้น วาวตาเป็นประกาย “จะกลับไปแล้วหรือ?”
ถึงแม้จะเป็นผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ต่างก็มีโอกาสที่จะสูญหายไปในอนัตตาไม่สิ้น แต่ร่างแยกทั้งสองของหลัวซิวกลับสามารถใช้การเชื่อมถึงกันเพื่อตามหาตำแหน่งขแงอีกฝ่ายได้
ในตอนนี้ร่างแยกชุดดำอยู่ที่โลกแสงดาว เช่นนั้นร่างแยกชุดขาวก็สามารถสัมผัสได้ ค่อย ๆ ขยับแดนตำหนักจื่อให้เขาใกล้โลกแสงดาวขึ้นเรื่อย ๆ
แดนปริภูมิแห่งหนึ่ง เป็นสถานที่ที่ผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์เปิดขึ้น หากต้องการกำหนดตำแหน่งหรือขยับมัน มีเพียงแค่ผู้แข็งแกร่งโลกยุทธ์ขั้นสูงเท่านั้นจึงจะสามารถทำได้
ร่างแยกชุดขาวของหลัวซิวได้วางแผนสำหรับสิ่งนี้ไว้แล้ว ในระหว่างที่ปิดขัง ได้กลั่นธงค่ายเอาไว้แล้วนับพันชิ้น
และชายคนนี้ได้ฆ่าเจ้ายุทธจักรอสูรมารช่วงปลายด้วยนิ้วมือเดียว หรือว่าเขาจะเป็นผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ของเผ่าพันธุ์มนุษย์งั้นหรือ?
หลัวซิวไม่ได้สนใจสิ่งใด สีหน้านิ่งเรียบ ก่อนหน้านี้เขาฆ่าผู้เฒ่าเผ่าพันธุ์มารคนหนึ่งดูเหมือนไม่ได้ตั้งใจ แต่ความจริงเขาได้ใช้วิชาสยบมารที่เจ้ามรณะได้ทิ้งเอาไว้ให้
สมัยที่ไกลกว่าสมัยก่อนโบราณ เผ่าพันธุ์มนุษย์มีผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งนามว่าเจ้ามรณะ สร้างสามเคล็ดวิชาลับเพื่อจัดการกับเผ่าพันธุ์มารโดยเฉพาะ นั่นคือวิชาสยบมาร วิชาคุมมาร และวิชากลั่นมาร
ในนั้นวิชาสยบมารมีไว้เพื่อควบคุมเผ่าพันธุ์มารโดยเฉพาะ เคล็ดวิชาคุมมารจะประทับเข้าไปยังตัวหยั่งรู้ของเผ่าพันธุ์มาร กลายเปลี่ยนเป็นการควบคุมทาส แต่เคล็ดวิชากลั่นมารจะสามารถทำให้เผ่าพันธุ์มารถูกกลั่นเป็นยาโลหิต ใช้เพื่อยกระดับผลการฝึกตนและร่างเนื้อ
หลัวซิวปะมือกับผู้แข็งแกร่งเผ่าพันธุ์มารน้อยมาก ดังนั้นเคล็ดวิชาทั้งสามนี้จึงไม่ค่อยได้ใช้
เมื่อเข่นฆ่ายอดฝีมือเผ่าพันธุ์มารไปหนึ่งคน หลัวซิวก็ราวเหมือนกับเป็นทำเรื่องที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไร สายตากวาดมองไปทางหลงหมิง พร้อมเอ่ย “ม้วนหยกข้าจะไม่มอบให้เจ้า และเจ้าก็หยุดข้าไม่ได้”
หลงหมิงขมวดคิ้ว “เจ้ากล้าฆ่าลูกน้องของข้าต่อหน้าข้า ไม่ให้ไว้หน้าข้าเลยงั้นหรือ”
“ลูกน้องที่ไม่เชื่อฟังเช่นนี้จะเก็บไว้ทำไมกัน? ข้าช่วยเจ้ากำจัดทิ้ง เจ้าควรจะขอบใจข้าด้วยซ้ำ” หลัวซิวพูดพร้อมรอยยิ้ม
“เจ้าหนูนี่ช่างหน้าด้านหน้าทนดีจริง ๆ” หลงหมิงมุ่ยปาก ในเวลาเดียวกันก็ใช้ตัวสำนึกส่งเสียง “ไอ้หนุ่มหลัวรีบออกไปเถอะ ข่าวว่าเจ้าปรากฏตัวขึ้นที่นี่กระจายออกไป ไม่นานก็จะดึงดูดผู้แข็งแกร่งของพวกเราเผ่าพันธุ์มารมาที่นี่ได้”
ได้ยินเสียงของหลงหมิงที่ส่งมา หลัวซิวก็ได้ว่าเขาไม่ได้อยากจะฟาดหั่นกับเขา อีกทั้งยังไม่ได้ทิ้งสายใยในวันก่อนระหว่างพวกเขาไปด้วย
“หยุดอยู่ที่นี่เสียเถอะ!”
หลงหมิงแผ่ขยายออร่าอันทรงพลังของผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ ปริภูมิที่อยู่รอบข้างก็ถูกตรึงขึ้นมา มีแนวโน้มอย่างมากที่จะออกโรงต่อสู้
“รีบไปเถิด ข้าเพียงแค่เสแสร้งไปอย่างนั้น ไม่รั้งเจ้าไว้” ตัวสำนึกของเขาส่งเสียงออกมา
หลัวซิวมองเขาแวบหนึ่ง จากนั้นก็กลายร่างเป็นลำแสงบินออกไปทันที
“จะไปไหน!” หลงหมิงตะโกนเสียงดัง และกลายร่างเป็นลำแสงเหาะตามไปทันที
ลำแสงที่ทั้งสองคนกลายร่างนั้นได้พุ่งทะลุอนัตตาออกไปทันที แดนกฎปริภูมิดั้งเดิมของหลงหมิงนั้นสูงกว่าหลัวซิว แต่กลับไม่ได้ไล่ตามเขาไปจริง ๆ
“ไปเถอะ วันนี้เจ้าถูกกองกำลังต่าง ๆ ไล่ฆ่า ข้าท่านชายหลงก็ช่วยอะไรเจ้าไม่ได้มาก เจ้าเพิ่งพาตนเองจะดีกว่า”
เมื่อเหาะมาได้หลายหมื่นลี้ หลงหมิงก็หยุดลง ตัวสำนึกส่งเสียงเอ่ยพูด
หวังหว่าจะเจอกันอีก!”
หลัวซิวก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เพราะเขารับรู้ได้ถึงออร่าความแข็งแกร่งจากส่วนที่ลึกที่สุดของทะเลบูรพากำลังพุ่งตรงเข้ามาทางนี้
เขาพลิกมือขึ้นนำหอกยุทธ์มังกรดำออกมา จากนั้นก็ยิงออกไปปังหนึ่งทำให้อนัตตาเกิดรอยแยก วินาทีต่อมาก็หายวับไปในพื้นฟ้าเหนือทะเลบูรพา
……
ที่บริเวณใกล้เคียงเทือกเขาเหิงตวนของอาณาจักรใต้มีเมืองอยู่เมืองหนึ่ง ชื่อว่าเมืองหยุนไห่
เหตุที่เรียกว่าเมืองหยุนไห่นั้นก็เพราะว่าเมืองแห่งนี้อยู่ใกล้กับแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่มาก
หลัวซิวออกจากทะเลบูรพาก็ตรงมาถึงที่แห่งนี้ สืบข่าวเรื่องการล้มสลายของแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่
ภัตตาคารนั้นต่างเป็นสถานที่ชุมนุมพูดคุยกันของจอมยุทธ์ นำเอาบางเรื่องที่เกิดขึ้นและผู้คนให้ความสนใจในโลกยุทธ์ พูดคุยกันอย่างไม่มีการจำกัดความเห็น
“ได้ยินมาว่าการล้มสลายของแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่ นั่นเป็นเพราะคนคนเดียว”
“ใช่แล้ว ในปัจจุบันนี้ต่างก็รู้กันว่าธิดาเทพหยุนไห่ครอบครองพลังอมตะวิชาแห่งชะตาตรวจดวงชะตา ได้ยินมาว่าแม้แต่แดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ใหญ่ทั้งสี่ต่างก็ออกหน้าเอง แต่ธิดาเทพหยุนไห่กลับพูดว่าไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่ยอมช่วยพวกเขาตรวจดูที่เบาะแสของคนผู้นั้น”
“แดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่ถูกเผ่าพันธุ์ปีศาจโจมตี แดนศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ เผ่าพันธุ์มนุษย์กลับเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ไม่มีใครสักคนที่จะเข้ามาช่วยคลี่คลายสถานการณ์ ช่างโหดร้ายเหลือเกิน!”
หลัวซิวได้ยินคำพูดประมาณนี้มามากมาย เขาได้รู้แล้วว่าธิดาเทพหยุนไห่ก็คือเหยียนซีโรว่ นางรู้ว่าแดนศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ต้องการให้นางทำนายเบาะแสของเขา แต่แน่นอนว่าไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ไม่ยอม แต่ด้วยเพราะเหตุนี้จึงได้นำให้แดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่ไปสู่หายนะ
“คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าจะได้เจอเจ้าที่นี่” หลงหมิงก็รู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อย
ในตอนนั้นที่เขาเลือกแยกทางกับหลัวซิว นั่นก็เพราะว่าเขารู้ดีว่าหากต้องการฟื้นฟูผลการฝึกตนของตนให้กลับสู่ขั้นสูงอย่างรวดเร็ว มีเพียงแค่ทางเดียวคืออาศัยมรดกและทรัพยากรต่าง ๆ ของเผ่าพันธุ์มาร
ความจริงก็เป็นไปตามที่เขาคิด หลังจากกลับมาที่เผ่าพันธุ์มาร ด้วยสถานะผู้แข็งแกร่งโบราณกาลย่อมได้รับความสนใจอย่างล้นเหลือ ใช้เวลาแค่เพียงสิบกว่าปีเท่านั้น ก็สามารถฟื้นฟูกลับไปมีผลการฝึกตนของแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ได้
สมัยโบราณ ผลการฝึกตนของเขาคือมหาจักรพรรดิยุทธ์ชั้นสาม ในวันนี้ฟื้นฟูกลับมาถึงมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นสอง ใช้เวลาอีกเพียงไม่นานก็จะสามารถฟื้นฟูได้อย่างสมบูรณ์ อีกทั้งยังมีความหวังที่จะได้ก้าวขึ้นไปอีกขั้น บรรลุถึงมหาจักรพรรดิยุทธ์ช่วงกลาง
แต่ที่ทำให้เขาประหลาดใจยิ่งกว่านั้นก็คือ หลัวซิวยังมีชื่อเสียงมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ไม่เพียงแค่กลายเป็นอัจฉริยะไร้เทียมทานที่เผ่าพันธุ์มนุษย์ต่างพากันจับตามอง ต่อมายังได้ดึงดูดให้ทั้งสามเผ่าพันธุ์มารวมตัวกัน ส่งผู้แข็งแกร่งนับไม่ถ้วนตามล่าเขา
สำหรับหลัวซิว จิตใจของหลงหมิงค่อนข้างซับซ้อน จากระแวดระวังกันในตอนแรก ก็ค่อย ๆ วางใจกันในภายหลัง
เพียงแค่เวลาที่ทั้งสองเกิดความไว้เนื้อเชื่อใจกันยังไม่บังเกิดเต็มที่ หลงหมิงก็เลือกที่จะจากไปเสียก่อน
เป็นเวลาสิบปีแล้วที่เขาจากไป ไม่มีการติดต่อใด ๆ ต่อกัน เพราะเผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าพันธุ์มารถือเป็นสองค่ายใหญ่ที่แตกต่างกัน
“หลัวซิว เห็นแก่ความสัมพันธุ์อันดีของเราในคราก่อน มอบม้วนหยกนั้นที่เจ้าได้รับมาให้ข้า ข้าจะปล่อยให้เจ้าจากไป” หลงหมิงนิ่งไปชั่วครู่จากนั้นก็พูดเสียงขรึม
“เฮอะ ๆ เจ้าก็อยากได้ม้วนหยกนั่น ต้องการเป็นศัตรูกับข้าเพราะเหตุนี้?” หลัวซิวรี่ตาลง
“ม้วนหยกนั่นสำคัญมาก” หลงหมิงพูดเสียงเรียบ “ถึงแม้ระหว่างพวกเราจะมีสายสัมพันธ์กันอยู่บ้าง แต่เมื่อคิดถึงภาพใหญ่ของเผ่าพันธุ์มาร ในเมื่อข้าได้พบกับเจ้าแล้ว ก็จำเป็นที่จะต้องให้เจ้าเอาม้วนหยกนั้นทิ้งไว้ที่นี่ให้ได้”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าในม้วนหยกนั้นบันทึกสิ่งใดไว้?” หลัวซิวไม่ได้สนใจ พร้อมเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าจะบอกความจริงให้เจ้าฟัง ถ้าหากข้ามอบม้วนหยกให้กับเจ้า ด้วยเหตุนี้พวกเจ้าเผ่าพันธุ์มารก็จะต้องตายไปในไม่ช้า เจ้าเชื่อหรือไม่?”
“หึ อย่ามาสร้างเรื่อง! ในเมื่อเจ้าไม่ยินยอมมอบของมาดี ๆ เช่นนั้นก็คงต้องลงมือเท่านั้นแล้ว!”
เสียงตะโกนเยือกเย็นดังขึ้น คนพูดนั้นไม่ใช่หลงหมิง แต่เป็นผู้เฒ่าเผ่าพันธุ์มารคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างกายเขา
ผู้เฒ่าเผ่าพันธุ์มารผู้นี้หัวล้านไม่มีผมสักเส้น แต่เคราขาวนั้นกลับยาวมาก เกือบลงไปถึงเข่าอยู่แล้ว
หลงหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ก็รู้สึกว่าหลัวซิวกำลังขู่ให้กลัวเท่านั้น เผ่าพันธุ์มารสามารถดำรงอยู่มาถึงทุกวันนี้นับหมื่นนับพันปี เหตุใดจึงจะล่มสลายไปได้เพียงเพราะม้วนหยกหนึ่งม้วนเท่านั้น?
เขานิ่งเงียบไม่พูดอะไร เพราะกำลังครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรจึงจะไม่ต้องต่อสู้กับหลัวซิว อีกทั้งยังให้เขาส่งมอบม้วนหยกออกมา
ในเวลานี้ ผู้เฒ่าเผ่าพันธุ์มารที่ตะโกนออกมาก่อนหน้านี้กลับลงมือโดยทันที เห็นเพียงแค่เขาก้าวเท้าก้าวใหญ่ข้ามไป จากนั้นก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าหลัวซิว มีดโค้งปรากฏขึ้นในมือของเขา พุ่งตรงมายังลำคอของหลัวซิว
สายตาของหลัวซิวฉายแววเย็นชา แม้แต่นักยุทธ์เขาก็ยังไม่จำเป็นต้องใช้ ยกมือขึ้นชี้ออกไป พลังกระบี่อัคคีดำก็พุ่งออกไปทันที
“ชิ้ง!”
มีดโค้งในมือผู้เฒ่าเผ่าพันธุ์มารถูกพลังกระบี่กระแทกจนลอยกระเด็นออกไป จากนั้นพลังกระบี่ก็เจาะการป้องกันทั้งหมดของคู่ต่อสู้ได้อย่างง่ายดาย เสียงดังปุ แทงทะลุร่างของผู้เฒ่าเผ่าพันธุ์มารผู้นี้จนเป็นรูกว้าง
พลังกระบี่นี้ดูเหมือนธรรมดา เพียงแค่โจมตีร่างเนื้อของผู้เฒ่าเผ่าพันธุ์มารให้ได้รับบาดเจ็บ แต่ในความเป็นจริงแล้วในวินาทีที่แทงทะลุผ่านไปนั้น ได้แผดเผาเทพจิตตัวหยั่งรู้ของผู้เฒ่าเผ่าพันธุ์มารผู้นี้จนมอดไปแล้ว
ร่างของผู้เฒ่าเผ่าพันธุ์มารตกลงมาจากกลางอากาศ ฉากนี้ทำให้ยอดฝีมือเผ่าพันธุ์มารคนอื่น ๆ จำนวนมากต่างก็อ้าปากตาค้าง
ที่ต้องรู้คือผู้เฒ่าเผ่าพันธุ์มารผู้นี้ที่ลงมือต่อสู้คือผู้แข็งแกร่งระดับเจ้ายุทธจักรอสูรมาร อีกทั้งยังไม่ใช่เจ้ายุทธจักรอสูรมารทั่วไป แต่เป็นเจ้ายุทธจักรอสูรมารช่วงปลาย
หลัวซิวรู้ว่าคำพูดเช่นนี้ของหวูชิวไม่ใช่เพื่อที่จะแช่งชิงม้วนหยก แต่เพื่อชี้ช่องทางเอาชีวิตรอดให้กับเขา
กองกำลังอื่น ๆ ก็เคยพูดทำนองนี้ แต่หลัวซิวกลับรู้ดีว่า หากเขาเอาม้วนหยกมอบให้ไปจริง ๆ กองกำลังพวกนั้นก็ไม่มีวันเลิกตามฆ่าเขาอย่างแน่นอน เพราะเนื้อหาในม้วนหยกนั้นเขาได้รับรู้มันแล้ว กองกำลังที่ได้รับม้วนหยกไม่มีทางปล่อยให้เขารอดไปได้แน่นอน
แต่กับหวูชิวนั้นไม่เหมือนกัน เขาพูดว่าจะปกป้องตนก็จะต้องปกป้อง แต่ถึงอย่างไรหวูชิวก็เป็นเพียงแค่แดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ จะสามารถปกป้องเขาได้จริง ๆ งั้นหรือ?
“ความหวังดีของท่านผู้อาวุโสข้าน้อยขอรับไว้ด้วยใจ”
หลัวซิวยกมือขึ้นคารวะ จากนั้นก็เหาะไปในทิศทางที่ตั้งของค่ายวาร์ป
เมื่อเห็นว่าหลัวซิวปฏิเสธข้อเสนอของเขา หวูชิวก็ไม่ได้พูดอะไรต่อให้มากความ หากจะพูดว่าเขามีพลังที่จะหยุดหลัวซิวไว้ได้หรือไม่ ต่อให้มีพลังนั้น เขาก็จะไม่บีบบังคับใจใครอยู่ดี
ในโลกยุทธ์แห่งนี้มีผู้แข็งแกร่งอยู่มากมาย แต่ก็มีคนบางกลุ่มที่มีขีดจำกัดและแนวทางเป็นของตนเอง
ก่อนหน้านี้ที่หลัวซิวฆ่าเจ้ายุทธจักรดารา ผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์หลายคนที่เฝ้าอยู่รอบ ๆ ค่ายวาร์ปต่างก็เห็นกันอย่างชัดเจน
ผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์เหล่านี้ต่างไม่มีใครออกมาต้านไว้ ปล่อยให้หลัวซิวเปิดใช้งานค่ายวาร์ป และร่างนั้นก็หายไป
……
สุดฝั่งตะวันออกของโลกแสงดาวคือมหาสมุทรกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด กลางมหาสมุทรมีอสูรกายจำนวนมหาศาลอยู่ อีกทั้งยังเป็นขอบเขตอำนาจของเผ่าพันธุ์มารอีกด้วย
เผ่าพันธุ์มนุษย์ครอบครองดินแดนอันกว้างใหญ่ เผ่าพันธุ์มารก็ครอบครองมหาสมุทรกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด กองกำลังของเผ่าพันธุ์ปีศาจก็ครอบครองห้วงลึกมหันต์ภัยที่สุดฝั่งใต้
ในวันนี้ ท้องฟ้าเหนือทะเลบูรพามีเมฆฝนฟ้าคะนอง พลังปริภูมิที่คุ้มคลั่งม้วนกวาดล้างทุกสรรพสิ่ง คลื่นลูกใหญ่เสียดฟ้า ราวกับเป็นทิวทัศน์ของวันสิ้นโลก
เผ่าพันธุ์มารผู้แข็งแกร่งที่ครอบครองพื้นที่แห่งนี้ต่างตื่นตกใจ ค่อย ๆ พากันเข้ามาตรวจดู
“ท่านหลงหมิง!”
ชายสวมเสื้อคลุมสีเงินที่มีใบหน้าขี้โกงบินมาทางอากาศ เผ่าพันธุ์มารทุกคนที่เห็นเขาต่างพากันทำความเคารพ
เผ่าพันธุ์มารบางกลุ่มที่ค่อนข้างมีสถานะต่างก็รู้ดีว่าท่านหลงหมิงที่อยู่ตรงหน้านั้น คือผู้แข็งแกร่งตระกูลมังกรในสมัยโบราณ อีกทั้งยังเป็นเผ่าพันธุ์มังกรไร้ร่างที่ครอบครองพลังแห่งปริภูมิต้องแต่กำเนิด
นับตั้งแต่สงครามพ้นพิบัติ เผ่าพันธุ์มังกรไร้ร่างก็มีอยู่น้อยมากจนแทบจะสูญพันธุ์ไปแล้ว ท่านผู้นี้ที่อยู่ตรงหน้า เรียกได้ว่าเป็นผู้แข็งแกร่งตระกูลมังกรเพียงคนเดียวที่มีสายเลือดของมังกรไร้ร่างในปัจจุบัน
อาณาจักรสมุทรแห่งนี้ คืออาณาเขตของหลงหมิง
“ช่างเป็นคลื่นกฎปริภูมิดั้งเดิมที่แข็งแกร่ง”
หลงหมิงมาถึงที่นี่ เงยหน้าขึ้นมอง สายตานั้นราวกับสามารถมองทะลุผ่านอนัตตาได้ มองได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
“แกรก!”
ปริภูมิที่เกิดปรากฏการณ์เมฆฝนฟ้าคะนองเกิดรอยร้าวขนาดใหญ่ จากนั้น ร่างหนึ่งก็เดินออกมาจากรอยแยกของปริภูมินั้น รอบกายแผ่ขยายไปด้วยออร่าแข็งแกร่งมหาศาลไม่อาจประมาณได้
ท้องฟ้าเหนือทะเลบูรพาอาณาจักรสมุทร ร่างหนึ่งเดินออกมาจากรอยแยกของปริภูมิ สวมชุดคลุมสีดำยาว รอบกายปะทุไปด้วยออร่ามหาศาลไม่อาจประมาณได้ นัยน์ตาคู่นั้นลึกราวกับขุมนรก ราวกับมองทะลุทุกสิ่งได้
คนที่ปรากฏตัวขึ้นมานี้ แน่นอนว่าต้องเป็นหลัวซิว
เขาใช้ค่ายวาร์ปที่แดนดารานอก รู้ดีว่ามันจะต้องส่งยังสถานที่ที่กำหนดเอาไว้ กระทั่งมีโอกาสที่จะส่งไปยังกลางรังของแดนศักดิ์สิทธิ์สักแห่งโดยตรง
ดังนั้นในระหว่างการวาร์ปนั้น เขาบังคับให้เปิดช่องปริภูมิระหว่างทาง ดังนั้น กองกำลังต่าง ๆ ของโลกแสงดาวต่อให้รู้ว่าเขากลับมาแล้ว แต่ก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าเขาอยู่ที่ใดกันแน่
“ทะเลบูรพา ……เผ่าพันธุ์มาร?”
หลัวซิวกวาดสายตามองไปทั่วทั้งสี่ทิศ สังเกตเห็นอาณาเขตของอสูรยักษ์จำนวนมากที่กลางมหาสมุทร กลางอากาศที่ไกล ๆ ยังมีเผ่าพันธุ์มารบางกลุ่มที่แปลงเป็นมนุษย์ได้อยู่
เมื่อเขาสังเกตเห็นผู้นำของเหล่าเผ่าพันธุ์มาร ก็ชะงักไปเล็กน้อย
“หลงหมิง?” แค่มองเขาก็สามารถจำได้ ชายผู้นั้นที่สวมชุดคลุมยาวสีเงิน ก็คือมังกรไร้ร่างหลงหมิงที่แปลงร่างเป็นมนุษย์
ถึงแม้ในตอนแรกเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวให้เขาเข้าร่วมการต่อสู้แย่งชิงโควตาด้วยเหตุผลส่วนตัว แต่ด้วยนิสัยที่มักจะแบ่งแยกบุญคุณความแค้นอย่างชัดเจนของหลัวซิว ความเมตตานี้ของเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวเขายังคงจำได้ไม่ลืม อีกทั้งเรื่องบางเรื่องหลังจากนั้น เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวก็ถือว่าได้มีส่วนช่วยดูแลเขาด้วย
“ไม่ใช่ว่าผู้อาวุโสเป็นตัวแทนตระกูลยุทธ์แห่งอาณาจักรใต้มาตามจับข้าหรือ?” หลัวซิวเอ่ยถาม
หวูชิวส่ายหน้าไปมา พูดพร้อมเสียงหัวเราะ “หากว่าข้ามาจะมาจับเจ้า เหตุใดจึงมองดูเจ้ายุทธจักรดาราถูกเจ้าฆ่าเสียล่ะ?”
สายตาของเขาตกลงบนร่างของหลัวซิว พลางเอ่ยด้วยความชื่นชม “คาดไม่ถึงจริง ๆ เพียงเวลาสั้น ๆ ไม่กี่ปี เจ้ากลับเติบโตมาจนถึงแดนเช่นนี้ได้แล้ว”
“ต้องยินดีกับผู้อาวุโสบรรลุความลำบาก ก้าวถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์” หลัวซิวกำมือคารวะ เขาได้ฟังอย่างเข้าใจแล้วว่า หวูชิวไม่ได้มาจับตัวเขา
“เฮอะ ๆ แค่โชคดีเท่านั้น” เมื่อพูดถึงการบรรลุผลการฝึกตนของตน หวูชิวก็ดูมีความสุขขึ้นมาไม่น้อย
ในวันนี้เขาไม่ได้เป็นหนึ่งในสิบอนาคินเจ้ายุทธจักรอย่างเจ้ายุทธจักรอัคคีอีกต่อไปแล้ว แต่เพราะผลการฝึกตนก้าวเข้าสู้ผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์แล้วนั่นเอง
พลังต่อสู้ของอนาคินเจ้ายุทธจักรแต่เดิมก็เทียบเท่ากับแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ หลังจากหวูชิวบรรลุถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ ด้วยผลการฝึกตนของมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นหนึ่ง ก็สามารถข้ามแดนต้านทานมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นสี่ได้
จากเจ้ายุทธจักรถึงมหาจักรพรรดิยุทธ์ เป็นการเปลี่ยนร่างครั้งหนี่งที่สำคัญและมีความหมายอย่างมาก เพราะว่าเจ้ายุทธจักรสามารถมีชีวิตยืนยาวได้ 5,000 ปี แต่ผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้มากกว่าหมื่นปีขึ้นไป มีเวลามากเพียงพอที่จะไปตามหาโอกาสเพื่อบรรลุแดนเทพมาร
“กองกำลังต่าง ๆ รู้ดีว่าไม่ช้าก็เร็วเจ้าต้องกลับมา ดังนั้นหลายปีมานี้เจ้ายุทธจักรดาราต่างก็วนเวียนอยู่ที่แดนดารานอกรอให้เจ้ามาติดกับ ก่อนนี้ไม่นานข้ากลับมาจากโลกแสงดาวเกณฑ์กฎก็ตรงมาที่นี่เช่นกัน แต่เดิมคิดว่าจะมาช่วยเจ้าอีกแรง แต่คาดไม่ถึงว่าจะไม่ต้องให้ข้าออกโรง พลังของเจ้าก็มากพอที่จะสามารถฆ่าเจ้ายุทธจักรดาราได้”
พรสวรรค์ของหลัวซิวทำให้หวูชิวรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก เขาเป็นถึงตระกูลยุทธ์ที่เกิดในแดนศักดิ์สิทธิ์ อีกทั้งยังเป็นศิษย์ใจกลาง อีกทั้งยังมีประสบการณ์เกือบสามพันปี จึงได้ฝึกตนบรรลุถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์อย่างยากลำบาก
แต่หลัวซิวเพิ่งจะอายุเท่าไร? หากนับเป็นตัวเลขกลม ๆ ก็ฝึกตนมาไม่ถึงสามสิบปี พลังต่อสู้ในวันนี้กลับสามารถเทียบเท่าแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ได้แล้ว แม้กระทั่งสามารถฆ่าอนาคินเจ้ายุทธจักรได้อีกด้วย
แม้แต่หวูชิวก็มีความรู้สึกบางอย่าง ถึงแม้ผลการฝึกตนของตนจะบรรลุถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์แล้ว บางทีอาจจะสามารถควบคุมหลัวซิวได้ แต่กลับไม่อาจเก็บเขาไว้ได้
คนแบบนี้ครอบครองศักยภาพไร้ขีดจำกัด แดนศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่ดูแลเขาให้ดีแต่กลับไล่ตามฆ่าเขา นั้นเป็นการตัดสินใจที่โง่เง่าที่สุดแล้ว
แต่หวูชิวก็รู้ดีว่าสิ่งที่แดนศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ให้ความสำคัญที่สุดนั่นคือผลประโยชน์ของตนเอง หลัวซิวได้รับม้วนหยกนั้นเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มาก ไม่ว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจ เผ่าพันธุ์มาร หรือแม้แต่แดนศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ต่างก็ต้องการได้มาครอบครอง แย่งชิงมันมาเป็นของตนเอง
“เจ้ามีแผนการอย่างไร?” หวูชิวเอ่ยปากถาม “ถึงแม้ว่าในวันนี้พลังของเจ้าจะไม่ธรรมดา แต่ที่โลกแสงดาวแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ทั้งสี่ต่างก็มีเทพมารผู้แข็งแกร่งเป็นผู้บังคับบัญชา เมื่อใดที่เทพมารนิรันกาลออกโรงด้วยตนเอง เจ้าก็ยังไม่สามารถต้านเอาไว้ได้อยู่ดี”
“แม้ว่าไม่ใช่แค่เพียงแดนศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ เผ่าพันธุ์มนุษย์ เผ่าพันธุ์มารและเผ่าพันธุ์ปีศาจต่างก็มีผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์รวมถึงเทพมารอยู่ด้วย หากเจ้ากลับไป คงไม่อาจหลีกเลี่ยงได้”
ที่หวูชิวพูดมาทั้งหมด หลัวซิวย่อมรู้ดีอยู่แล้ว แต่เขากลับมีเหตุผลที่จำเป็นต้องกลับไป
เพื่อที่จะค้นหาเบาะแสของเขา กองกำลังต่าง ๆ ได้ทำลายแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่ เหยียนซีโรว่กำลังตกอยู่ในอันตราย
เหยียนเยว่เอ๋อร์เป็นผู้หญิงของเขา แต่เวลานี้กลับถูกเทพบุตรบีบบังคับให้แต่งงานกับเทพบุตรเผ่าหงส์ นี่เป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถอดรนทนไว้ได้
“ขอบคุณท่านผู้อาวุโสที่หวังดี แต่ข้าน้อยจำเป็นต้องกลับไปจริง ๆ” น้ำเสียงของหลัวซิวมั่นคงอย่างมาก
หวูชิวได้ยินเช่นนั้นก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้ “หากเจ้ายินยอมที่จะมอบม้วนหยกที่ได้รับมาให้กับข้า ข้าสามารถรับประกันความปลอดภัยให้เจ้าได้”
ท้ายที่สุด ต้นเหตุของความโกลาหลทั้งหมดนี้ ต่างก็เป็นเพราะม้วนหยกที่เกราะเทพเวหากาลทุกเอาไว้ทั้งนั้น
“ปัง!”
เจ้ายุทธจักรดาราที่กำลังหลบหนีนั้นสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก เพราะอนัตตาด้านหน้านี้ถูกฉีกออกเป็นช่องว่าง ร่างของหลัวซิวปรากฏขึ้นมา กั้นขวางเส้นทางนี้ของเขาไว้
“หลัวซิว ข้า……” เจ้ายุทธจักรดารากำลังจะเอ่ยปากพูดบางอย่าง แต่หลัวซิวนั้นคร้านที่จะฟัง จึงไปยิงออกไปดังปังในทันที ในเวลาเดียวก็ปล่อยตราทวยมรณะออกไปด้วย
เจ้ายุทธจักรดารารีบขับเคลื่อนพลังของดาราจักรพรรดิเพื่อต้านทานเอาไว้ เสียงดังปังสนั่นบาดแก้วหูสะเทือนไปทั่วท้องฟ้า พลังอันแข็งแกร่งม้วนเป็นคลื่นกระจายออกไป สำหรับหลัวซิวแล้วนั้นไม่สามารถสร้างผลกระทบใด ๆ ให้กับเขาได้แม้แต่เล็กน้อย
แต่เจ้ายุทธจักรดาราอาศัยพลังของดาราจักรพรรดิ สามารถต้านทานการโจมตีของหอกยุทธ์มังกรดำเอาไว้ได้ แต่ว่าตราทวยมรณะกลับกดลงมาอย่างกะทันหัน เพียงชั่วพริบตาก็ระเบิดลงบนตัวของเขา
“ปัง!”
ร่างของเจ้ายุทธจักรดารานั้นราวกับถูกสายฟ้าฟาด บินกระเด็นกระดอนออกไปจากจุดนั้นในทันที
ถึงแม้ว่าผลการฝึกตนของเจ้ายุทธจักรดาราจะสูงกว่าหลัวซิวอยู่มาก แต่การทำสงครามกับเขาสำหรับหลัวซิวแล้วไม่ได้รู้สึกถึงความกดดันใด ๆ แม้สักน้อย แม้กระทั่งจักรพรรดิอัคคีนภาแดงยังไม่ได้เอาออกมาใช้
อีกครั้งที่ได้รับบาดเจ็บ สีหน้าของเจ้ายุทธจักรดาราก็หม่นหมองลงอย่างเห็นได้ชัด รู้ตัวเองดีว่าตนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลัวซิว ดังนั้นจึงเลือกที่จะหลบหนีไปอีกครั้งโดยไม่ลังเล
หลัวซิวตามหลังไปอย่างไม่รีบไม่ร้อน ดูเหมือนว่าเขาจะก้าวเดินไปอย่างง่ายดาย แต่มันกลับเต็มไปด้วยความลึกลับของกฎปริภูมิดั้งเดิม ไม่ว่าเจ้ายุทธจักรดาราจะบินหนีไปอย่างรวดเร็วกว่านี้อีกสักเพียงใด ระยะห่างระหว่างคนทั้งสองก็ยังคงไม่ใกล้ไม่ไกลอยู่เช่นนี้ไม่เปลี่ยนแปลง
“ปัง!”
อนัตตาแตกสลาย หลัวซิวระเบิดออกไปอีกครั้ง หอกรบมังกรเปล่งรัศมีสีดำหนิทยาวนับร้อยเมตร แค่เพียงพริบตาเดียวก็สามารถตามอีกฝ่ายทันและปรากฏตัวตรงหน้าเจ้ายุทธจักรดาราอีกครั้ง
เจ้ายุทธจักรดารารับรู้ได้ถึงการโจมตีจากทางด้านหลัง เมื่อพบว่าหลัวซิวไม่ได้สำแดงวรยุทธ์ตราประทับที่ร้ายกาจนั้น จึงได้ขับเคลื่อนดาราจักรพรรดิในทันทีโดยไม่ลังเล ปล่อยพลังไปทางหอกรบมังกรเปล่งรัศมี
มุมปากของหลัวซิวเผยรอยยิ้มเย็นชาบาง ๆ ออกมา เห็นเพียงหอกรบมังกรเปล่งรัศมีสีดำนั้นกับดาราจักรพรรดิสมบัติวิเศษชนเข้าด้วยกัน วินาทีต่อมาหอกมังกรก็พลันหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย และปรากฏขึ้นอีกครั้งตรงหน้าเจ้ายุทธจักรดารา
“อะไรกัน? นี่คือกฎปริภูมิดั้งเดิม?!”
เจ้ายุทธจักรดาราตกใจจนหน้าถอดสี วินาทีนี้กลับไม่สามารถเรียกเก็บดาราจักรพรรดิได้ทันแล้ว
“ปุบ!”
พลังจิตแท้คุ้มกันร่างของเขาภายใต้หอกรบมังกรเปล่งรัศมีราวกับเป็นของปลอม ครึ่งตัวบนระเบิดออกเป็นละอองเลือดในทันที
เทพจิตที่หลอมรวมเป็นแสงดวงดาวบินออกมาจากร่างเนื้อที่แตกสลาย ผสานรวมเป็นร่างเดียวกับสมบัติวิเศษดาราจักรพรรดิ จากนั้นก็เริ่มหลบหนีอีกครั้ง
“ยังคิดจะหนีไปที่ใดอีก?”
หลัวซิวยกมือขึ้นโบก แส้มังกรฟ้าสยบเทพบินออกมา ฟาดลงบนตัวของสมบัติวิเศษดาราจักรพรรดิเกิดเสียงดังสนั่น
“อ้าก!”
เทพจิตของเจ้ายุทธจักรดารากรีดร้องออกมาเสียงโหยหวน แส้มังกรฟ้าสยบเทพสมบัติวิเศษชิ้นนี้มีไว้เพื่อเทพจิตโดยเฉพาะ ดูเหมือนจะตีลงไปบนสมบัติวิเศษดาราจักรพรรดิ แต่ความจริงแล้วนั้นโจมตีเข้าไปที่เทพจิตด้านในโดยตรง ทำให้เจ้ายุทธจักรดาราได้รรับบาดเจ็บสาหัส
“หลัวซิว หากเจ้าฆ่าข้านั่นถือว่าเป็นศัตรูต่อตำหนักดารานภา โลกแสงดาวจะกว้างใหญ่สักเพียงใด ก็ไม่มีที่ว่างสำหรับเจ้าอีก!” เทพจิตของเจ้ายุทธจักรดาราตระโกนด้วยความโกรธ
“ไร้สาระ! พวกเจ้าเป็นศัตรูกับข้า ตั้งแต่ที่พวกเจ้าตำหนักดารานภาและแดนศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ร่วมมือกันไล่ฆ่าข้าแล้ว”
หลัวซิวหัวเราะเย้ยหยัน “ครั้งก่อนเจ้าตามฆ่าข้า ครั้งนี้ตายด้วยน้ำมือของข้า ต่อให้ตายไปก็ยังชดใช้สิ่งชั่วร้ายที่ทำไว้ไม่ได้”
แส้มังกรฟ้าสยบเทพฟาดลงไปอีกครั้ง เสียงป้าบดังสนั่น เทพจิตของเจ้ายุทธจักรดาราสลายไปอย่างสมบูรณ์ ล่องลอยหายไปราวกับหมอกควัน
หลัวซิวเอื้อมมือออกไป แหวนเก็บของและสมบัติวิเศษดาราจักรพรรดิ ก็ตกลงในมือของหลัวซิว
“นี่เจ้าฆ่าเจ้ายุทธจักรดาราหรือ?”
กลางอนัตตา เสียงหนึ่งที่แฝงไปด้วยความตกตะลึงดังขึ้น หลัวซิวเงยหน้าไปมอง เห็นร่างหนึ่งค่อย ๆ ปรากฏขึ้น
“ผู้อาวุโสเจ้ายุทธจักรอัคคี?” หลัวซิวรี่ตามอง คนที่ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า ที่แท้ก็คือเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิว
ในทางใดทางหนึ่ง เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวถือว่ามีบุญคุณต่อเขา ไม่เช่นนั้นเขาก็ไม่สามารถได้รับโอกาสเข้าฝึกตนในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ พลังผลการฝึกตนรวมถึงแดนกฎก็ไม่สามารถที่จะเพิ่มระดับขึ้นได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้
เห็นเพียงแค่เจ้ายุทธจักรดาราเอื้อมมือออกมา นิ้วหนึ่งชี้ขึ้นดวงดาราลูกใหญ่ก็พลันปรากฏขึ้นมา นั่นก็คือสมบัติวิเศษระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ชิ้นนั้นที่แดนดารานอกใช้ตอนที่ไล่ฆ่าหลัวซิว
ด้วยพลังต่อสู้ของอนาคินเจ้ายุทธจักร รวมกับดาราจักรพรรดิในมือ พลังของเขาเรียกได้ว่าแข็งแกร่งกว่าแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์หลายเท่า
“ปัง!”
หอกรบมังกรเปล่งรัศมีปะทะเข้ากับดาราจักรพรรดิ เสียงสะเทือนฟ้าดินดังสั่นไปทั่วทั้งอนัตตา บดขยี้ทุกสรรพสิ่งบริเวณโดยรอบจนกลายเป็นผุยผง
ร่างของหลัวซิวซวนเซถอยหลังไปราวครึ่งเก้า ดวงตารี่ลงเล็กน้อย แอบคิดใจใจว่าอนาคินเจ้ายุทธจักรสมกับที่สามารถข้ามแดนเข่นฆ่าแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ได้ พลังช่างแข็งแกร่งจริง ๆ
และในเวลานี้เอง ตราทวยมรณะที่เขาปล่อยออกไปก็กดลงมา วงล้อลี่ดำใหญ่มหึมาราวภูผา แฝงไปด้วยบารมีตระหง่านและพลังแห่งกฎความตาย
“นิ้วดารา!”
เจ้ายุทธจักรดารายกมือข้างหนึ่งขึ้น สองนิ้วแนบสนิท ยิงแสงดาวอันสว่างไสวพร่างพรายออกไป ทะลุอนัตตา
นี่คือวิชายิ่งเลิศขั้นสูงของดารานภา เป็นวรยุทธ์ที่เทพมารผู้แข็งแกร่งได้สร้างขึ้น
“ปัง!”
แสงดวงดาวเปล่งประกายระยิบระยับ พุ่งขึ้นไปหมายจะแทงทะลุตราทวยมรณะ แต่ตรามรณะที่กลายเป็นวงล้อสีดำนั้นไม่ได้ลดประสิทธิภาพลงแม้แต่น้อย ยังคงบดขยี้ลงมาอย่างต่อเนื่อง
สีหน้าของเจ้ายุทธจักรดาราเปลี่ยนไปเล็กน้อย หมายจะหลบเลี่ยงการโจมตีของผนึกนี้ในทันที
แต่ในเวลานี้เขากลับรู้สึกถึงปริภูมิรอบด้านแข็งตัวและหนักขึ้นมา การเคลื่อนไหวของร่างกายถึงแม้จะรวดเร็วเพียงใด แต่กลับไม่สามารถหลบหลีกการโจมตีของตราทวยมรณะได้
“อาณาจักรกฎปริภูมิดั้งเดิม?”
เจ้ายุทธจักรดาราตระโกนด้วยความตกใจ ตามที่เขาได้รับข้อมูลมา เดิมทีแล้วหลัวซิวไม่ได้ครอบครองพลังแห่งกฎปริภูมิดั้งเดิม
โดยที่เขายังไม่ทันได้ตั้งตัว จากนั้นก็รู้สึกถึงออร่ามรณะขนาดมหึมากำลังร่วงลงมา ทำให้พลังของเขาถูกกดเอาไว้กว่าสามในสิบส่วน
“อาณาจักรมรณะ?”
เจ้ายุทธจักรดาราตะโกนด้วยความตกใจอีกครั้ง “นี่เจ้าฝึกตนมรณะและปริภูมิสองกฎใหญ่พร้อมกันหรือ?”
เขารีบเรียกดาราจักรพรรดิออกมา หมายจะใช้พลังของสมบัติวิเศษชิ้นนี้มาเพื่อต้านการโจมตีของตราทวยมรณะ
ดาราจักรพรรดิแผ่กระจายออร่าความแข็งแกร่งออกมา ต้านทานการกดดันของอาณาจักรแห่งกฎปริภูมิและมรณะสองชั้นไว้ได้ ทำให้เจ้ายุทธจักรดารารู้สึกราวกับยกภูเขาออกจากอก ความหนักอึ้งบนตัวพลันผ่อนคลายลงทันใด
“ปัง!”
ตราทวยมรณะปังโจมตีลงบนดาราจักรพรรดิ ผลพวงอันน่าสยดสยองม้วนเป็นเหมือนคลื่นทะเลกระจายออกไป ปริภูมิแหลกสลายอย่างต่อเนื่อง เผยให้เห็นทิวทัศน์อันน่าเกรงกลัวของการทำลายล้างครั้งใหญ่
“ซวบ!”
ดาวดวงหนึ่งพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ผู้แข็งแกร่งดั่งเจ้ายุทธจักรดารา ในเวลาเช่นนี้ได้ขึ้นขี่ดาราจักรพรรดิบินหนีไปแล้ว
เจ้ายุทธจักรดาราแห่งตำหนักดารานภา เป็นถึงหนึ่งในสิบอนาคินเจ้ายุทธจักรแห่งโลกแสงดาว พลังนั้นสามารถเทียบเท่ากับแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ทั่วไป
เขาอาศัยดาราจักรพรรดิในการบินหนีออกไป ความรวดเร็วนั้น รวดเร็วยิ่งกว่าปีกทิพย์ไร้มลทินเสียอีก
เพียงพริบตา ร่างของเจ้ายุทธจักรดาราก็หายเข้าไปบนท้องฟ้าเสียแล้ว
หลายปีก่อน เขาพาคนไล่ตามฆ่าหลัวซิว ราวกับจะไล่ตามฆ่าเขาให้จนมุมไม่มีหนทางให้หนีได้อีก หากไม่มีผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ออกโรงเฝ้าค่ายวาร์ปเอาไว้ หลัวซิวนั้นแม้แต่โอกาสที่จะหนีไปยังโลกเชิ่งถิงก็ยังไม่มี
แต่หลายปีถัดมาเขากลับต้องประหลาดใจเมื่อพบว่า พลังต่อสู้ของหลัวซิวสามารถกดตนเอาไว้ได้ แม้กระทั่งหากยังคงดึงดันต่อสู้ต่อไป ก็มีโอกาสเป็นไปได้อย่างมากที่จะต้องตายด้วยน้ำมือของอีกฝ่าย
ด้วยเหตุนี้ เจ้ายุทธจักรดาราจึงเลือกที่จะบินหนีออกไปโดยไม่ลังเล เขาเชื่อว่าด้วยความเร็วของสมบัติวิเศษชั้นล่างอย่างดาราจักรพรรดิชิ้นนี้ ต่อให้หลัวซิวจะมีปีกทิพย์ไร้มลทินก็ย่อมไม่มีทางตามทันแน่นอน
แต่ว่าหลัวซิวนั้นกลับไม่ได้คิดว่าจะใช้ปีกทิพย์ไร้มลทินแม้แต่น้อย เห็นเพียงแค่เขายิงออกมาปังหนึ่ง ก็สามารถฉีกปริภูมิ เปิดช่องทางอนัตตาได้
ผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์สามารถฉีกปริภูมิด้วยมือเปล่า แต่หลัวซิวอาศัยหอกยุทธ์มังกรดำก็สามารถทำในสิ่งนี้ได้เช่นเดียวกัน
เขาสาวเท้าก้าวเข้าไปในช่องทางอนัตตา วินาทีต่อมาก็ปรากฏตัวขึ้นในสถานที่ห่างไกลหลายพันลี้
นอกจากเผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าพันธุ์ปีศาจแล้ว เผ่าพันธุ์มารก็ยังสามารถมีชีวิตรอดต่อมาได้ เบื้องหลังเป็นไปได้อย่างมากว่ามีกองกำลังที่แข็งแกร่งอย่างมากเป็นกองหนุนอยู่
หลัวซิวไม่รู้ว่าสมบัติที่เกราะเทพเวหากาลได้มานั้นมันคืออะไรกันแน่ มีเพียงในม้วนหยกสีทองที่บันทึกไว้ถึงเบาะแสของสมบัติ
ม้วนหยกสีทองถูกเขาดูไปหนึ่งครั้งก็ถูกทำลายไปแล้ว ในวันนี้ผู้ที่รู้ถึงที่ตั้งของสมบัตินั้น จึงมีเพียงแค่เขาคนเดียว
นอกจากนี้ หลายปีมานี้ที่โลกแสงดาวยังเกิดเรื่องบางเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหลัวซิว
หนึ่งในเรื่องพวกนั้นเกิดขึ้นที่เผ่าหงส์ เทพบุตรเผ่าหงส์ได้ปิดขัง ไม่นานนักก็จะบรรลุถึงแดนเจ้ายุทธจักร และเมื่อบรรลุเป็นเจ้ายุทธจักร ก็ต้องแต่งงานกับเทพธิดา สืบทอดสายเลือดเผ่าหงส์โบราณต่อไป
กองกำลังต่าง ๆ เพื่อที่จะตามหาเบาะแสของเขา ต่างพากันไปบีบคั้นแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่ หมายจะให้ธิดาเทพหยุนไห่ทำนายอนาคต บอกที่อยู่ของเขาออกมา
ฉะนั้นแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่ถูกทำลายล้าง แต่สิ่งที่ทำให้หลัวซิวตกใจยิ่งกว่าคือ ธิดาเทพหยุนไห่ในวันนี้ ก็คือเหยียนซีโรว่!
ธิดาเทพหยุนไห่ทุกรุ่นจะทำนายทำนายอนาคตได้เพียง 9 ครั้งเท่านั้น หลังจากเก้าครั้งก็จะต้องพบกับหายนะครั้งใหญ่ ร่างตายวิญญาณสูญสลาย
เหยียนซีโรว่คือศิษย์รุ่นก่อนของธิดาเทพหยุนไห่ ได้รับการสืบทอดวิชาแห่งชะตาของแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่
“ให้ตาย!”
เมื่อหลัวซิวได้ยินข่าวนี้ ก็กลายร่างเป็นลำแสงบินลอยไปทางที่ตั้งของค่ายวาร์ปด้วยความรวดเร็วสูงสุด
ที่บริเวณใกล้เคียงของค่ายวาร์ป มีผู้แข็งแกร่งจากกองกำลังต่าง ๆ ของโลกแสงดาวคอยเฝ้ายามอยู่ เพราะที่นี่คือเส้นทางที่จำเป็นต้องผ่านจากแดนดารานอกไปยังโลกแสงดาว
ตลอดทางที่หลัวซิวผ่านมานั้นได้เข่นฆ่าแดนเจ้ายุทธจักรไปราว ๆ สิบกว่าคน จนกระทั่งมีผู้แข็งแกร่งระดับอนาคินเจ้ายุทธจักรผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นด้านหน้า บังเส้นทางที่เขาต้องการจะมุ่งไป
“หลัวซิว เห็นแก่เจ้าที่ยังเยาว์วัยฝึกตนอย่างยากลำบาก เพียงแค่เจ้ามอบม้วนหยกออกมา จากนั้นกลายมาเป็นศิษย์ของตำหนักดารานภาของข้า ข้าก็จะไม่ถือโทษในความผิดพลาดที่ผ่านมา”
เจ้ายุทธจักรดาราทั้งร่างครอบคลุมไปด้วยแสงดาราระยิบระยับไม่มีที่สิ้นสุด ราวกับร่างประทับของทวยเทพ เอ่ยปากพูดออกมาด้วยน้ำเสียงท่าทางอย่างผู้สูงส่ง
เรื่องของหลัวซิวนั้นสำหรับโลกแสงดาวนั้นไม่ใช่ความลับแต่อย่างใด กองกำลังใหญ่เพียงแค่ทำการตรวจสอบก็สามารถรู้ได้ เขาฝึกตนจนถึงวันนี้ราว ๆ 20 ปีเท่านั้น แต่กลับบรรลุถึงแดนเจ้ายุทธจักร การฝึกตนที่รวดเร็วระดับนี้ ราวกับเป็นเรื่องที่ต้องแต่สมับโบราณจนถึงปัจจุบันยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
หากไม่มีสิ่งใดผิดพลาด อัจฉริยะเช่นนี้เมื่อเติบโตขึ้นมา อย่างน้อยก็ต้องเป็นถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ผู้หนึ่ง หรือกระทั่งสามารถคาดหวังว่าจะบรรลุถึงเทพมารระดับนิรันกาลได้เลย
ตำหนักดารานภาได้มีซิงหลิงอยู่แล้ว เรียกได้ว่าเป็นหมื่นปีอัจฉริยะยากจะพบสักคน ถูกกำหนดเอาไว้ให้เป็นคนที่จะฝึกตนเป็นเทพมาร
ถ้าหากว่ามีหลัวซิวอีกสักคนมาเข้าร่วม เช่นนั้นตำหนักดารานภาภายในร้อยปีข้างหน้าก็มีความเป็นไปได้ที่จะมีเทพมารสองคน เรียกได้ว่าเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกแสงดาว
ความคิดที่ไม่มองความเป็นจริงของเจ้ายุทธจักรดารานั้นช่างสว่างไสว แต่หลัวซิวกลับไม่ได้หวั่นไหวตามไปเลยแม้แต่น้อย
“พวกเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ เพื่อที่จะแย่งชิงม้วนหยก แม้กระทั่งไม่ลังเลที่จะร่วมมือกับเผ่าพันธุ์ปีศาจไล่ตามล่าข้า ตำหนักดารานภาได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในแดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ใหญ่ทั้งสี่ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ จากที่มุมมองของข้า ก็เป็นเพียงเท่านั้นไม่ได้พิเศษแต่อย่างใด”
สำหรับแดนศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ หลัวซิวมองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง ก็เป็นแค่เพียงผู้คนที่ใช้หาประโยชน์ต่อกันเท่านั้น
เขาพลิกมือเรียกหอกยุทธ์มังกรดำออกมา ทันใดนั้นก็ระเบิดออกไป หอกรบมังกรเปล่งรัศมีนับร้อยลี้ บดขยี้สูญญากาศ
เจ้ายุทธจักรดาราเป็นถึงอนาคินผู้แข็งแกร่งระดับเจ้ายุทธจักร พลังต่อสู้เทียบเท่ากับแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ทั่วไป ดังนั้นในวินาทีที่หลัวซิวลงมือนั้นก็ได้ลงมืออย่างเต็มกำลัง ไม่เพียงแต่ระเบิดหอกรบมังกรเปล่งรัศมีออกไป แต่ยังใช้ตราทวยมรณะไปด้วย
“หืม?” เมื่อหลัวซิวขับเคลื่อนหอกยุทธ์มังกรดำ เจ้ายุทธจักรดาราก็สัมผัสได้ถึงออร่าที่ตระหง่านนั้น สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย “นักยุทธ์ระดับสมบัติวิเศษพรสวรรค์งั้นรึ?”
เขาในฐานะอนาคินเจ้ายุทธจักร กลับไม่มีสมบัติระดับนักยุทธ์สมบัติวิเศษพรสวรรค์สักชิ้น เห็นได้ชัดว่าเจ้าหลัวซิวผู้นี้ประสบโอกาสที่ดีอย่างมาก โชคลาภมหาศาล
“ปัง!”
เงาแส้สีทองฟาดลงบนตำหนักจื่อเซียว ตำหนักจื่อเซียวตั้งตะหง่านไม่สั่นไหว ส่วนเงาแส้สีทองนั้นกลับแตกสลายไปอย่างไร้ร่องรอย
“ต้านไว้ได้หรือ?”
บรรดาเจ้ายุทธจักรเขาชะตาเทพตกใจหน้าถอดสี แส้มังกรฟ้าสยบเทพมีไว้เพื่อโจมตีวิญญาณตัวสำนึกโดยเฉพาะ นอกเสียจากผู้แข็งแกร่งที่มีผลการฝึกตนของแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ ไม่เช่นนั้นต่อให้ไม่ตายก็ต้องบาดเจ็บสาหัส
“ในตัวหยั่งรู้ของเขามีสมบัติป้องกันโจมตีวิญญาณ!” เจ้ายุทธจักรแห่งเขาชะตาเทพคนหนึ่งตระโกนด้วยความตกใจ
เห็นเพียงร่างของหลัวซิวหายไปอีกครั้ง เจ้ายุทธจักรหลายคนจากเขาชะตาเทพราวกับเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ รีบขับเคลื่อนพลังอำนาจของแส้มังกรฟ้าสยบเทพให้ขึ้นสู่จุดสูงสุด
“ปัง!”
หอกยุทธ์มังกรดำระเบิดออกมา หอกรบเปลี่ยนร่างเป็นมังกรนิล อ้าปากกัดแส้มังกรฟ้าสยบเทพ ที่เปลี่ยนร่างเป็นมังกรทอง ไม่ว่าอีกฝ่ายจะดิ้นรนขัดขืนสักเพียงใด ก็ถูกกดเอาไว้อย่างแน่หนา
ชั่วขณะหนึ่ง บรรดาเจ้ายุทธจักรจากเขาชะตาเทพและแดนศักดิ์สิทธิ์กระบี้ล้ำต่างพากันหน้าซีดเผือด
“เฮอะ เป็นเพียงแค่สมบัติวิเศษชั้นล่างยังกล้ามาต่อต้านข้ารึ?”
หงเทียนหัวเราะเย้ยหยัน ไม่นานก็สามารถควบคุมจิตภัณฑ์ของแส้มังกรฟ้าสยบเทพเอาไว้ได้ มังกรทองตัวหนึ่งก็ถูกเขากักขังเอาไว้
“ทุกท่าน ขอบใจมากที่มอบสมบัติวิเศษทั้งสองนี้ให้ข้า”
หลัวซิวยิ้มบาง ๆ สายตานั้นกวาดมองไปยังเจ้ายุทธจักรอีกเก้าคนที่เหลือ
ในชั่วพริบตา เจ้ายุทธจักรแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ทั้งสองที่แต่เดิมยังมีความมั่นใจเต็มเปี่ยมต่างก็พากันนิ่งเงียบไป พวกเขาคิดว่าอาศัยสมบัติวิเศษที่ได้รับมาจากผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ ต่อให้ผลการฝึกตนของหลัวซิวจะเพิ่มขึ้นถึงแดนเจ้ายุทธจักรก็ยังสามารถเอาชนะเขาได้
แต่พวกเขาไม่คิดไม่ฝันว่า พลังของหลัวซิวจะเพิ่มพูนขึ้นมาอย่างรวดเร็วเช่นนี้ กระทั่งสามารถยึดสมบัติวิเศษทั้งสองชิ้นไปได้ต่อหน้าต่อตา เป็นข้อได้เปรียบอย่างสมบูรณ์ในการบดขยี้ทุกสรรพสิ่ง ลังนั้นน่ากลัวอย่างยิ่ง
“ตอนนี้พวกท่านก็พูดให้ข้าฟังเสียหน่อย ช่วงหลายปีมานี้ที่ข้าไม่อยู่ โลกแสงดาวเกิดเรื่องใดขึ้นบ้าง” หลัวซิวยิ้มออกมาบาง ๆ เก็บสมบัติวิเศษทั้งสองชิ้นไปโดยไม่เกรงใจแม้แต่น้อย จากนั้นจึงได้เอ่ยปากถาม
“ขอเตือนทุกท่านว่าทางที่ดีอย่าได้คิดแผนการว่าจะหนีไป ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าฆ่าคนอย่างไรความปราณี”
เมื่อรับรู้ได้ถึงจิตสังหารที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงของหลัวซิว เจ้ายุทธจักรเก้าคนจากแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ทั้งสองต่างเผยสีหน้าตื่นตะหนก พวกเขารู้ดีว่า แดนศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ร่วมมือกันตามฆ่าหลัวซิว ทั้งสองฝ่ายราวกับว่าต้องตายกันไปข้างหนึ่ง
“หากว่าพวกเราบอกเจ้า เจ้าจะไว้ชีวิตพวกเราสักครั้งอย่างนั้นหรือ?” เจ้ายุทธจักรแห่งเขาชะตาเทพคนหนึ่งเอ่ยถาม
เจ้ายุทธจักรอย่างพวกเขานั้น ต่างก็ฝึกตนนับร้อยนับพันปีจึงจะได้ผลลัพธ์ดั่งเช่นทุกวันนี้ ไม่ว่าใครก็ย่อมไม่อยากตายไปอย่างสูญเปล่า
“พวกเจ้าไม่มีสิทธิ์มาต่อรองเงื่อนไขกับข้า!”
หลัวซิวลงมืออย่างเยือกเย็น จักรพรรดิอัคคีนภาแดงถูกปล่อยออกไป ตกลงบนตัวของเจ้ายุทธจักรคนนั้นที่เอ่ยปากพูด อีกฝ่ายทำได้เพียงกรีดร้องโหยหวนออกมา จากนั้นก็เปลวเพลิงแผดเผาจนไร้ร่องรอย
ฉากนี้ทำให้เจ้ายุทธจักรคนอื่น ๆ อีกแปดคนถึงกับไม่อยากจะเชื่อสายตา ในใจต่างก็หวาดกลัวถึงขีดสุด พลังของหลัวซิวมันได้แข็งแกร่งถึงแดนที่เขาไม่สามารถจะคาดเดาได้ ฆ่าผู้แข็งแกร่งระดับเจ้ายุทธจักรโดยไม่แม้แต่จะต้องออกแรงเลยแม้แต่น้อย
เจ้ายุทธจักรอีกแปดคนที่เหลือล้วนแต่ไม่กล้าที่จะต่อความยาวสาวความยืดอีก ต่างพูดเรื่องที่ตนรู้ทั้งหมดออกมาทีละคน
เวลาราว ๆ เก้าปีนั้นไม่ถือว่านาน แต่กลับมากพอที่จะทำให้เกิดเรื่องราวต่าง ๆ มากมายขึ้นได้
ตั้งแต่เกราะเทพเวหากาลปรากฏขึ้น หลังจากม้วนหยกสีทองถูกเขาแย่งไป ระหว่างเผ่าพันธุ์มนุษย์ เผ่าพันธุ์มารและเผ่าพันธุ์ปีศาจก็เริ่มขัดแย้งต่อกันอย่างต่อเนื่อง
เกราะเทพเวหากาลเป็นสมบัติชิ้นหนึ่งที่ได้รับมาจากมหาโลกาพันสามด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องตายไป แต่กองกำลังใหญ่ที่เขาเคยขัดแข้งขัดขาเอาไว้นั้นกลับกัดไม่ปล่อย สั่งการให้เผ่าพันธุ์ปีศาจลงมาเยือนโลกแสงดาว ค้นหาเบาะแสของสมบัติชิ้นนั้น
ด้วยเหตุนี้เรื่องสงครามพ้นพิบัติในอดีตกาลจึงได้เกิดขึ้นมา เผ่าพันธุ์ปีศาจต้องการที่จะทำลายเผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าพันธุ์มาร เพื่อที่จะครอบครองโลกนี้ จะได้สะดวกต่อการค้นหาเบาะแสของสมบัติ
นอกจากกองกำลังใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังเผ่าพันธุ์ปีศาจ ดูเหมือนว่าจะมีกองกำลังใหญ่อีกกองหนึ่งเข้าร่วมอยู่ในนี้ด้วย ตั้งแต่พิภพกลางโลกเสวียนเทียนส่งผู้แข็งแกร่งลงมา สร้างดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เพื่อช่วยเผ่าพันธุ์มนุษย์ต้านการรุกรานของเผ่าพันธุ์ปีศาจ
“หลัวซิว คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าเจ้าจะกล้ากลับมา ในเมื่อวันนี้ถูกพวกข้าหาตัวเจอ วันนี้เจ้าก็ไม่มีหนทางให้ได้หนีอีกต่อไปแล้ว!”
“รีบส่งมอบม้วนหยกสีทองที่เจ้าได้รับออกมา ไม่เช่นนั้นเจ้าต้องตายอย่างน่าเวทนาแน่นอน!”
เจ้ายุทธจักรสิบชีวิตรวมกลุ่มกัน แต่ละคนต่างก็เดินหน้าเข้ามาเพื่อบีบบังคับ ความยิ่งใหญ่พุ่งทะลุฟ้า
หลัวซิวไม่ได้ใส่ใจ พูดเสียงเรียบ “ทุกท่าน ไม่เจอกันนานหลายปี อย่าบอกว่าพวกเจ้าจำความใดไม่ได้เลยงั้นหรือ?”
เขาก้าวเท้าข้ามอากาศเข้ามา เดินตรงมายังเจ้ายุทธจักรทั้งหลายด้วยความยินดี สายฟ้าที่ตัดผ่านท้องฟ้านั้นไม่สามารถทำร้ายเขาได้เลยแม้แต่น้อย
“หลายปีก่อน ด้วยแดนมหายุทธ์ของข้าก็สามารถฆ่าเจ้ายุทธจักรขั้นเก้าได้ วันนี้ผลการฝึกตนของข้าได้บรรลุถึงแดนเจ้ายุทธจักรแล้ว พวกเจ้าทั้งสิบรวมเข้าด้วยกัน ยังไม่สามารถสู้มือข้างเดียวของข้าได้เลย”
ระหว่างที่พูด หลัวซิวปล่อยออร่าของตนออกมา ทำให้เจ้ายุทธจักรทั้งสิบคนที่เผชิญหน้าอยู่นั้นมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป
เป็นดั่งที่หลัวซิวได้เอ่ยไป หลายปีก่อนเขาเคยฆ่าแดนเจ้ายุทธจักรจากแดนศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ไปไม่น้อย ท่ามกลางคนเหล่านั้นก็มีเจ้ายุทธจักรขั้นเก้าด้วย ในเวลานั้นพลังต่อสู้ของเขามีเพียงแค่ผู้แข็งแกร่งระดับอนาคินเจ้ายุทธจักรเท่านั้นจึงจะสามารถกดให้เขายอมแพ้ได้
ในวันนี้เขาได้บรรลุถึงแดนเจ้ายุทธจักรแล้ว พลังต่อสู้ย่อมแข็งแกร่งกว่าเดิมอย่างมาก นอกเลยจากแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์จะออกโรงเอง ในปัจจุบันเกรงว่าจะไม่มีใครที่สามารถควบคุมเขาได้อีกแล้ว
“เฮอะ ต่อให้พลังต่อสู้ของเจ้าจะมหัศจรรย์มากแล้วอย่างไร? คิกว่าพวกเราไม่มีการเตรียมตัวมางั้นหรือ?” ผู้นำคนหนึ่งจากเขาชะตาเทพคือเจ้ายุทธจักรช่วงปลายเผยรอยยิ้มเย้ยหยัน บริเวณหว่างคิ้วมีแสงส่องประกาย มังกรสีทองตัวหนึ่งบินออกมา หมุนตัวอยู่เหนือศีรษะของเขา ส่ายหัวส่ายหางไปมา
นี่คือสมบัติวิเศษที่น่าประทับใจชิ้นหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นนักยุทธ์ที่กลั่นโดยผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ท่านหนึ่งแห่งเขาชะตาเทพ เรียกว่าแส้มังกรฟ้าสยบเทพ
เขาชะตาเทพเดิมที่นั้นคือแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เชี่ยวชาญการโจมตีวิญญาณ สมบัติวิเศษที่กลั่นโดยผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ ย่อมเชี่ยวชาญการโจมตีวิญญาณด้วย
“ใช่แล้ว อย่าคิดว่าเจ้าบรรลุถึงแดนเจ้ายุทธจักรก็จะสามารถแผลงฤทธิ์ไปทั่วได้ ต่อให้พลังของพวกเราจะไม่เท่าเจ้า แต่สายสนกลในของพวกเราแดนศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ โดยเฉพาะเจ้านั้นเป็นสิ่งที่สามารถคาดเดาได้หรือ?”
คนจากแดนศักดิ์สิทธิ์กระบี้ล้ำก็หยิ่งผยองขึ้นมาบ้าง ผู้แข็งแกร่งเจ้ายุทธจักรที่เป็นผู้นำยกมือขึ้นโบก ใบมือก็พลันปรากฏกระบี่ยุทธ์เล่มหนึ่งที่มีออร่าแข็งแกร่งแพ่กระจายออกมา และก็คือนักยุทธ์ระดับสมบัติวิเศษชิ้นหนึ่ง
เห็นได้ชัดว่า ผู้แข็งแกร่งจากแดนศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ค่อนข้างวิตกกังวลต่อหลัวซิวอย่างมาก ค้นหาเบาะแสของเขาที่แดนดารานอกแห่งนี้ ต่างก็ยังคงพกสมบัติวิเศษแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ติดตัวมาด้วย นั่นก็เพื่อเมื่อตามหาเขาจนพบ ก็จะอาศัยพลังของสมบัติวิเศษระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์มาจัดการกับเขา
เมื่อเห็นเขาชะตาเทพและแดนศักดิ์สิทธิ์กระบี้ล้ำต่างก็พกพาสมบัติวิเศษติดตัวมาด้วย สีหน้าของหลัวซิวก็ชะงักไปเล็กน้อย แต่จากนั้นก็ฉีกยิ้มขึ้นมาทันที “ทุกท่าน พวกเจ้าพกสมบัติวิเศษแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ติดตัวมาเพื่อรับมือกับข้า นี่คือหมายจะเอาสมบัติวิเศษมามอบให้ข้าหรือ?”
“โอหัง! ความตายอยู่ตรงหน้ายังกล้าปากดีอีกหรือ!”
คนจากแดนศักดิ์สิทธิ์กระบี้ล้ำคำรามด้วยความโกรธ เจ้ายุทธจักรหลายคนช่วยกันขับเคลื่อนกระบี่ยุทธ์แดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ สกัดแสงกระบี่ที่ยาวหลายสิบลี้ออกมา
“ไม่รู้จักเจียมตัว!”
หลัวซิวหัวเราะเสียงเย็น หอกยุทธ์มังกรดำในมือระเบิดออกทันที พลังสองสุดยอดกฎใหญ่ความตายและปริภูมิระเบิดออกมา บดขยี้แสงกระบี่นับสิบลี้จนสลายหายไปจนไร้ร่องรอย
จากนั้นเขาก็ก้าวเท้าออกมาหนึ่งก้าว ร่างนั้นหายไปในทันที จากนั้นก็ปรากฏตัวตรงหน้าเหล่าเจ้ายุทธจักรแดนศักดิ์สิทธิ์กระบี้ล้ำ
“พุ!”
ผู้แข็งแกร่งเจ้ายุทธจักรที่ถือกระบี่ยุทธ์แดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ไว้ในมือนั้นยังไม่ทันได้รู้สึกตัว หว่างคิ้วก็พลันถูกหอกยุทธ์มังกรดำแทงทะลุ ศีรษะแตกกระจายเป็นผุยผง
หลัวซิวเอื้อมมือออกไปเก็บ จึงได้ฉกฉวยเอากระบี่ยุทธ์เก็บเข้ามา ทำให้เจ้ายุทธจักรหลายคนที่เหลืออยู่ของแดนศักดิ์สิทธิ์กระบี้ล้ำต่างก็พากันหน้าถอดสี ตกใจและหวาดผวา ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาคิดไม่ถึง เวลาเพิ่งผ่านพ้นไปเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ หลัวซิวคนนี้กลับมีพลังที่สามารถต้านทาน สมบัติวิเศษแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ได้
“ตายเสีย!”
ในเวลานี้เอง จอมยุทธ์หลายคนจากเขาชะตาเทพก็ขับเคลื่อนแส้มังกรฟ้าสยบเทพ มังกรสีทองปรากฏตัวขึ้นที่ตัวหยั่งรู้ของหลัวซิว กลายร่างเป็นเงาแส้ ฟาดลงไปที่วิญญาณดั้งเดิมของเขาอย่างรุนแรง
“การรู้แจ้งของข้าไม่ได้สูงเท่าใดนัก สิ่งสำคัญนั่นก็เพราะว่าตัวข้าเองสัมผัสรู้กฎความตายค่อนข้างลึกซึ้ง ดังนั้นการสัมผัสรู้ของกฎอื่น ๆ ก็จะเป็นการง่ายขึ้นอยู่ไม่น้อย” หลัวซิวเอ่ยตอบ
“หึ การถ่อมตัวของเจ้าทำให้ข้ารู้สึกถึงว่าถึงความไม่จริงใจอย่างมาก ความตายและปริภูมิทั้งสองกฎนั้นแตกต่างกันคนละโลก ต่อให้บอกว่าเจ้ามีพื้นฐานอยู่ก่อนแล้ว แต่สามารถใช้เวลาเพียงหนึ่งปีสัมผัสรู้กฎปริภูมิดั้งเดิมถึงแดนเช่นนี้ได้ นั่นก็ถือว่าการรู้แจ้งของเจ้ามันมหัศจรรย์เพียงใด”
ลดตัวลงมาเป็นจิตภัณฑ์ หงเทียนราวกับรู้สึกหงุดหงิดใจต่อหลัวซิวอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าเรื่องใดก็สามารถเอามาหาเรื่องเขาได้ทั้งนั้น
ก่อนนี้ยังเป็นศัตรูคู่แค้นวางแผนยึดร่างกันอยู่ เพียงพริบตาก็กลายเป็นคู่หูเป็นก็เป็นด้วยกัน ตายก็ตายด้วยกันไปเสียแล้ว สิ่งนี้ทำให้หลัวซิวอดเวทนาไม่ได้ โอกาสในชีวิตของคน ช่างน่าอัศจรรย์ใจเสียจริง
จากโลกเชิ่งถิงถึงอนัตตาไม่สิ้น ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้จิตวิญญาณของหลัวซิวได้รับการขัดเกลา โดยไม่ทันได้ตั้งตัว เขาก็ได้ครอบครองสภาวะจิตใจที่ยอดเยี่ยม มีความรู้สึกราวกับว่าจิตวิญญาณได้ยกระดับขึ้นไปอยู่อีกโลกหนึ่งแล้วอย่างไรอย่างนั้น
หนึ่งปีแห่งการรู้แจ้ง ท้ายที่สุดก็ถึงเวลาเก็บเกี่ยวผลสำเร็จ โซ่ที่บีบรัดมาโดยตลอด อยู่ดี ๆ ก็ราวกับว่าทำน้ำไหลหลากพัดพาให้หลุดออก
“ปัง!”
ออร่าอันแข็งแกร่งบนตัวของหลัวซิวอยู่ ๆ ก็ระเบิดออกมาอย่างกะทันหัน โซ่ตรวนที่บีบรัดผลการฝึกตนได้ถูกทำลาย ผลการฝึกตนก้าวเข้าสู่แดนเจ้ายุทธจักร!
“ทำลายมัน!”
เขาใช้พลังของหอกยุทธ์มังกรดำที่ปะทุออกมา เขาบังคับเปิดเส้นทางสีดำยาวในสถานที่แปลกประหลาดอย่างอนัตตาไม่สิ้น
……
สำหรับผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์ ระยะเวลากว่าเจ็ดปีนั้นไม่นับว่ายาวนานแต่อย่างใด ถึงแม้จะนับรวมเวลาที่หลัวซิวอยู่ในโลกเชิ่งถิงทั้งหมด ก็เพียงราว ๆ เก้าปีเท่านั้น ไม่ถึงสิบปี
ตั้งแต่เขาได้ใช้เดินทางไปยังโลกอื่น ๆ นั้น กองกำลังต่าง ๆ ของโลกแสงดาวก็ได้ส่งคนออกค้นหารอบ ๆ โลกพิภพหลายแห่งรอบแดนดารานอก
เพียงแค่โลกอื่น ๆ ส่วนมากนั้นมักจะปฏิเสธการมาของจอมยุทธ์จากแดนอื่น เพราะเหตุนี้การค้นหาหลัวซิวของแดนศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ จึงเป็นไปอย่างไม่ราบรื่นนั้น
แต่ว่ากองกำลังต่าง ๆ ก็ไม่ได้ล้มเลิกแต่อย่างใด พวกเขาแน่ใจว่าหลัวซิวอย่างไรก็จะต้องกลับมา แต่หากเขาต้องการที่จะกลับมานั้น ก็ต้องผ่านทางจากโลกอื่นมาที่แดนดารานอก จากนั้นจึงอาศัยค่ายวาร์ปจากแดนดารานอกกลับมาที่โลกแสงดาว
เพราะฉะนั้น กองกำลังต่าง ๆ ได้เพิ่มกำลังคน ในขณะที่สั่งสมประสบการณ์ที่แดนดารานอก ก็สังเกตข่าวคราวของหลัวซิวอย่างใกล้ชิดว่ามีข่าวการปรากฏตัวของเขาหรือไม่
ในวันนี้ สถานที่แห่งหนึ่งของแดนดารานอก สายฟ้าฟาดผ่านไปทั่วท้องฟ้าที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ
ทันใดนั้น เกิดเสียงดังกึกก้องสะเทือนทั้งฟ้าดิน หอกรูปมังกรดำแทงทะลุท้องฟ้า พื้นฟ้าเกิดรอยร้าวและแตกเป็นผุยผงในที่สุด
“ซวบ!”
ร่างหนึ่งเดินออกมาจากรอยแยกบนท้องฟ้านั้น สวมชุดสีดำ มือถือหอกรบ ออร่าล้ำลึกและทรงพลัง
“คิดไม่ถึงว่าเส้นทางผ่านจากอนัตตา จะมาโผล่ที่แดนดารานอกโดยตรง”
หลัวซิวมองไปรอบ ๆ มองแค่แวบเดียวก็สามารถรู้ได้ทันทีว่าที่ภาพแวดล้อมแห่งนี้คือแดนดารานอกอย่างไม่ต้องสงสัย
เดิมทีเขานั่งค่ายวาร์ปจากตำหนักเทวมืด ก็เพื่อจะย้ายมายังแดนดารานอก จากนั้นถูกเจ้าสำนักมืดออกโรงหยุดยั้งการวาร์ป ดังนั้นจึงได้หลงเข้าไปในอนัตตาไม่สิ้น
ท้ายที่สุดเขาก็ยังสามารถบรรลุเป้าหมาย มาถึงแดนดารานอกได้
เพียงแค่สิ่งที่ทำให้อารมณ์เสียนั้นก็คือ แต่เดิมนี่เป็นสถานที่ที่สามารถใช้เวลามาถึงได้อย่างรวดเร็ว แต่ทำให้เขาต้องใช้เวลานานถึงเจ็ดปีกว่าจะมาถึง
“นั่นหลัวซิว!”
ทันใดนั้นเสียงตะโกนก็ดังขึ้น หลัวซิวหรี่ตามองไปทางต้นตอของเสียง เห็นว่าพื้นที่ด้านล่างห่างไปไม่ไกลนักมีจอมยุทธ์หลายคนจากโลกแสงดาวอยู่
เครื่องแบบบนร่างของพวกเขา เห็นได้อย่างชัดเจนว่ามาจาก แดนศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ แห่งโลกแสงดาว มีเขาชะตาเทพและแดนศักดิ์สิทธิ์กระบี่ล้ำ ต่างเป็นกองกำลังใหญ่แห่งอาณาจักรเหนือ
พวกเขาทั้งหมดสิบคน ต่างมีผลการฝึกตนระดับเจ้ายุทธจักร
ตามข้อมูลทั้งหมดที่หงเทียนได้ส่งต่อมาให้ ตำหนักจื่อเซียวแห่งนี้ ไม่ใช่ตำหนักจื่อเซียวที่แท้จริง แต่เป็นนักยุทธ์เทพมกุฎชิ้นหนึ่งที่ถูกสร้างเลียนแบบขึ้นมา
ถึงแม้ว่าจะเป็นของเลียนแบบ แต่ก็เป็นนักยุทธ์เทพราชาชิ้นหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะได้รับความเสียหาย แต่พลังก็ยังแข็งแกร่งยิ่งกว่าอัญมณีแห่งเทพฟ้าอยู่ดี
มือของหลัวซิวบีบตราประทับ รู้สึกได้ชัดเจนว่าผลการฝึกตนของของตนนั้นลดลงอย่างรวดเร็ว แค่เพียงการเก็บเจ้าตำหนักจื่อเซียวแห่งนี้ ก็สามารถทำให้เขาสูญเสียผลการฝึกตนจนเกือบสิ้น
เขานำเอาตำหนักจื่อเซียวเก็บเข้าไปในตัวหยั่งรู้ วิญญาณดั้งเดิมเข้าอาศัยอยู่ภายใน ไม่ติดต่อกับความดีชั่วของโลกภายนอก
ที่ทำให้เขารู้สึกเสียอายอย่างมากนั้นคือ ตอนที่ร่างเนื้อของหงเทียนแหลกสลายไป แหวนเก็บของของเขารวมถึงสมบัติอื่น ๆ ที่ติดตัวเขาก็แหลกสลายตามไปด้วย เขาผู้ครอบครองพลังอันแข็งแกร่งเช่นนี้ก็เหลือแค่เพียงเศษจิตสำนึกยาง ๆ เท่านั้น ได้รับการคุ้มกันจากตำหนักจื่อเซียวที่พังทลาย หนีเข้าสู่อนัตตาไม่สิ้นแห่งนี้และเร่ร่อนมาจนถึงปัจจุบัน
“จะออกไปจากอนัตตาไม่สิ้นอย่างไร?” หลัวซิวเงยหน้ามองไปรอบ ๆ ทิวทัศรอบข้างนั้นไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมแม้แต่น้อย ราวกับโลกที่อยู่ภายในฟองอากาศ มีสีสันแปลกประหลาด
“หากเป็นเพียงอนัตตาไม่สิ้นของโลกพิภพชั้นล่าง เพียงแค่จำเป็นต้องให้ข้ากลายเป็นจิตภัณฑ์อย่างสมบูรณ์ เจ้าก็สามารถใช้หอกรบฝืนบังคับเปิดทางออกอนัตตา ก็จะสามารถออกไปได้อย่างง่ายดาย” หงเทียนพูดตอบ
ได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของหลัวซิวก็เผยความยินดีออกมา หงเทียนผู้นี้เป็นถึงราชาเทพผู้แข็งแกร่งในสมัยโบราณ ความรอบรู้มากมาย สามารถช่วยเหลือเขาได้มาก ราวกับเสือที่ติดปีก
ในเมื่อรู้วิธีการที่จะออกไปจากที่แห่งนี้ได้แล้ว จิตใจของหลัวซิวก็พลันสงบลง เขาร่อนเร่อยู่ในอนัตตาไม่สิ้นเป็นระยะเวลาหกปี ก็ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน ยังมีโอกาสอีกมากที่จะออกไป
หงเทียนสัมผัสรู้กฎปริภูมิดั้งเดิมแต่ละประเภทหลอมรวมเข้าไปในหอกรบ ผสานรวมเข้ากับกฎความตาย ตัวของหลัวซิวเองก็สามารถรับรู้ได้ถึงความลึกลับไม่มีที่สิ้นสุดของกฎปริภูมิดั้งเดิม กระทั่งสามารถจับสิ่งสำคัญบางอย่างจากในนั้นได้
โดยไม่รู้ตัว เขาก็เข้าสู่สภาวะรู้แจ้ง ไม่รู้ว่าวันเวลานั้นผ่านไปเนิ่นนานเท่าใดแล้ว
“สามารถเข้าสู่สภาวะรู้แจ้งได้รวดเร็วถึงเพียงนี้?”
หงเทียนก็รู้สึกประหลาดใจอยู่ไม่น้อย สภาวะรู้แจ้งสำหรับจอมยุทธ์นั้นเป็นโชคดีที่ได้มาอย่างยากลำบากที่สุด การรู้แจ้งหนึ่งครั้งมีประโยชน์มากกว่าการบำเพ็ญตบะนับหมื่นนับพันปี นี่ไม่ใช่คำพูดหลอกลวงแต่อย่างใด
ในสมองของหลัวซิว อรรถาธิบายความลึกลับของปริภูมิวิชาล่องหนไท่เสวียนและการสัมผัสรู้ทั้งหมดเกี่ยวกับกฎปริภูมิดั้งเดิมของเขายืนยันเข้าด้วยกัน เขาจมดิ่งลงท่ามกลางการสัมผัสรู้ของกฎปริภูมิดั้งเดิม
ก่อนหน้านี้ได้ใช้การตรวจสอบของภูตมรณะมารเทพ ทำให้เขาสามารถครอบครองการผสานความลึกลับระหว่างกฎ เช่นเดียวกับเทพมารอัสนีที่อยู่ข้างกายเขา หลังจากกลายเป็นภูตมรณะแล้ว กฎสายฟ้าและกฎความตายผสานเข้าด้วยกัน ทำให้เกิดพลังอันยิ่งใหญ่ไม่อาจประเมินได้ มันแข็งแกร่งยิ่งกว่ากฎสายฟ้าทั่วไป
เส้นทางของกฎ แฝงไปด้วยสัจธรรมไร้ที่สิ้นสุด ยิ่งได้รู้มากเท่าไร ก็ยิ่งค้นพบว่าสิ่งที่ตนนั้นไม่รู้ก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไรแล้ว เมื่อหลัวซิวลืมตาขึ้น เขาก็พบว่าการสัมผัสรู้กฎปริภูมิดั้งเดิมของตนนั้น มันได้บรรลุถึงระดับควบคุมกฎขั้นต้น!
ในเวลาเดียวกัน เขาก็สังเกตเห็นว่า เศษจิตสำนึกของหงเทียนได้ผสานรวมเข้ากับหอกยุทธ์มังกรดำ กลายเป็นจิตภัณฑ์อย่างสมบูรณ์แล้ว
ทั้งร่างของหอกยุทธ์มังกรดำยังคงมีประกายแสงสีดำระยิบระยับอยู่ รูปทรงราวกับมังกร แต่ให้ความรู้สึกเลือนราง สอดคล้องกับกฎปริภูมิดั้งเดิมโดยรอบ
ไม่เพียงแค่เขา หอกรบของเขาก็ได้รับการเปลี่ยนร่างหนึ่งครั้งแล้ว กลายเป็นอาวุธทรงพลังที่แฝงไปด้วยกฎระดับสุดยอดทั้งสองชนิดอย่างความตายและปริภูมิ
“จะบ้าตาย การรู้แจ้งของเจ้าหนูนี่ทำให้แม้แต่ข้ายังต้องอิจฉา” เสียงของหงเทียนดังออกมาจากกลางหอกรบ เพราะนี่เพิ่งจะผ่านไปเพียงหนึ่งปีเท่านั้น เจ้าหนุ่มคนนี้ที่ยังไม่เคยฝึกตนกฎปริภูมิดั้งเดิมมาก่อน กลับสามารถบรรลุถึงแดนควบคุมขั้นต้นได้แล้ว
ถึงแม้ที่โลกโลกพิภพชั้นสูงจะพบเห็นอัจฉริยะมากมายนับไม่ถ้วน แต่ก็ยังคงสามารถทำให้หงเทียนอิจฉาตาร้อนได้อยู่ดี
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 926
“เจ้าบอกว่าหอกรบของเจ้ามีผนึกพรสวรรค์?” เศษจิตสำนึกของหงเทียนได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
สิ่งที่เรียกว่าผนึกพรสวรรค์ ก็คือผนึกธรรมชาติที่แผงอยู่ภายในสมบัติวิเศษพรสวรรค์
ตามคำพูดของหงเทียน สมบัติที่ครอบครองผนึกพรสวรรค์ มีศักยภาพในการเติบโตอย่างมาก
อย่างเช่นของขลังพรสวรรค์ชิ้นหนึ่งที่มีผนึกธรรมชาติ ตามการคลายของผนึกแต่ละขั้น สามารถกลั่นแปรให้เป็นสมบัติวิเศษพรสวรรค์ได้ จากนั้นบางทีอาจจะยังสามารถกลั่นต่อไปเพื่อเป็นอาวุธเทพพรสวรรค์ภายใต้การควบคุมของเทพมาร ยังสามารถเติมโตไปได้ถึงสิ่งล้ำค่าพรสวรรค์ ต่างก็มีขีดของความเป็นไปได้อยู่
หลัวซิวเปิดเผยหอกรบในมือ แพร่ขยายออร่าอันแข็งแกร่งที่เทียบเท่าสมบัติวิเศษ
“หืม? เป็นสมบัติวิเศษพรสวรรค์ชั้นล่างจริง ๆ ถึงได้มีออร่า……” เศษจิตสำนึกของหงเทียนเกิดความลังเลขึ้น กลายเป็นจิตภัณฑ์ถึงอย่างไรก็ยังสามารถมีชีวิตอยู่ หากว่าหอกรบเล่มนี้มีพลังงานมหาศาลเช่นนั้นจริง ๆ มันจะต้องมีวันหนึ่งบางทีอาจจะมีโอกาสได้ฟื้นฟูพลังต่อสู้ขั้นสูงอย่างเมื่อวันก่อน
ต่อให้ความเป็นไปได้จะมีต่ำมาก แต่มันก็ย่อมดีว่าสลายกลายเป็นหมอกควันไปอย่างนี้
ถ้าเป็นตอนที่เขาเพิ่งจะกลายเป็นเศษจิตสำนึกอันบอบบางนั้น เขายินยอมให้วิญญาณสลายไปเสียยังดีกว่ายอมไปเป็นจิตภัณฑ์ของผู้อื่น
แต่ว่าเวลานับหมื่นนับพันปีที่ผ่านมานั้น เขาต่างรอคอยแค่เพียงอากาศที่จะได้เกิดใหม่ เวลายิ่งยาวนานเท่าใด เขาก็ยิ่งกลัวความตายมากขึ้นเท่านั้น ไม่อยากให้การรอคอยนับหมื่นนับพันปีสูญเปล่าไปแบบนี้
“ได้ ข้ารับปากเจ้า”
ท่ามกลางตัวเลือกแห่งความเป็นความตาย ราชาเทพหงเทียนท้ายที่สุดก็เลือกที่จะปล่อยวางความหยิ่งในศักดิ์ศรีของราชาเทพผู้แข็งแกร่ง เลือกที่จะกลายเป็นจิตภัณฑ์เพื่อจะได้มีชีวิตอยู่ต่อไป
หลัวซิวเห็นว่าเขารับปากแล้ว แต่กลับไม่ได้คลายการป้องกันลง หอกยุทธ์มังกรดำถูกเขายกขึ้นมา กลายเป็นรูปร่างมังกรนิล อ้าปากกว้างพุ่งเข้าไปกลืนกินเศษจิตสำนึกของหงเทียน
หากอีกฝ่ายยินยอมพร้อมใจที่จะกลายเป็นจิตภัณฑ์จริง ๆ ก็จะยินยอมให้มังกรนิลกลืนกินแต่โดยดี จากนั้นจะผสานรวมเข้ากับหอกยุทธ์มังกรดำ เศษจิตสำนึกเกิดใหม่ในฐานะจิตภัณฑ์ ตลอดทั้งชาติภพไม่สามารถหลุดพ้นจากสถานะจิตภัณฑ์ของหอกรบได้
“ฮ่า ๆ คาดไม่ถึงจริง ๆ ข้าหงเทียนเป็นถึงราชาเทพผู้สูงส่ง แต่กลับต้องมามีจุดจบที่ต่ำต้อยเช่นนี้”
หงเทียนหัวเราะออกมาเสียงดัง หัวเราะให้กับความเศร้าโศกและเปล่าเปลี่ยว หากมีโอกาสเลือก เขามีหรือที่จะยินยอมกลายเป็นจิตภัณฑ์ของมหายุทธ์ตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง?
เขาไม่ได้ขัดขืน ปล่อยให้หอกยุทธ์มังกรดำกลืนกินเขา เศษจิตสำนึกกลายเป็นลำแสงสีม่วง ผนึกเข้ากลางหอกรบ ค่อย ๆ เริ่มผสานเข้ากับกฎความตายที่แฝงอยู่ในหอกรบ
“เจ้าหนู เจ้านามว่าอย่างไร?” เสียงของหงเทียนดังออกมาจากกลางหอกรบ
หลัวซิวยกมือขึ้นเรียก มังกรนิลแปรเปลี่ยนเป็นหอกรบและทิ้งตัวลงในมือเขา คิ้วของเขาเลิกขึ้นเล็กน้อย “ในเมื่อเจ้าเลือกที่จะเป็นจิตภัณฑ์ ความจริงควรเรียกข้าว่านายท่านมิใช่หรือ?”
“ต้องการให้ข้าเรียกเจ้าว่านายท่าน? นอกเสียจากในวันข้างหน้าเจ้าจะสามารถฝึกตนถึงแดนราชาเทพได้ถึงจะมีคุณสมบัติเพียงพอ!” หงเทียนพูดเสียงเย็นชา
เศษจิตสำนึกของหงเทียนหลอมรวมเข้ากับกฎที่อยู่ในหอกรบอย่างต่อเนื่อง หลัวซิวค้นพบด้วยความประหลาดใจว่า ท่ามกลางกฎความตายที่แฝงอยู่ภายในหอกรบ กลับมีออร่าความลึกลับของกฎปริภูมิดั้งเดิมปรากฏขึ้นมาอย่างเลือนราง
“ในช่วงเวลาที่ข้ายังอยู่ในจุดสูงสุดนั้นเคยฝึกตนกฎปริภูมิดั้งเดิมถึงแดนสำเร็จน้อยแดน ถึงแม้จะเหลือเพียงแค่เศษจิตสำนึกบาง ๆ เมื่อกลายเป็นจิตภัณฑ์ของหอกรบเล่มนี้ของเจ้า ก็ถือว่าครั้งนี้ยกผลประโยชน์ให้กับเจ้า”
เศษจิตสำนึกของหงเทียนหากว่ากลายเป็นจิตภัณฑ์อย่างสมบูรณ์ หอกยุทธ์มังกรดำก็เหมือนกับการลอกคราบครั้งหนึ่ง แฝงไปด้วยพลังแห่งกฎชั้นสองทั้งสองชนิดคือความตายและปริภูมิ
ห้วงความคิดของหลัวซิวกลับเข้าสู่ร่างต้น เงยหน้าขึ้นมองไปยังสี่ทิศ ภายในตำหนักจื่อเซียวมีปราณม่วงที่เข้มข้นแผ่กระจายไปทั่ว เทพมารอัสนีและเห้อหมิงภูตมรณะทั้งสอง ทำหน้าที่เป็นบ่าวผู้จงรักษ์ภักดีคอยคุ้มกันอยู่ข้างกายเขา
“ตำหนักจื่อเซียวแห่งนี้จะเก็บไปอย่างไร?” หลัวซิวเอ่ยถามหงเทียน
“ข้ากลายเป็นจิตภัณฑ์ของเจ้า นักยุทธ์เทพที่เป็นรูปธรรมของข้าก็เป็นของเจ้าด้วย” น้ำเสียงของหงเทียนมีความไม่พอใจเล็กน้อย แต่ก็ยังเอาวิชาชุดหนึ่งส่งต่อไปยังตัวหยั่งรู้ของเขา
“ปุก!”
หลัวซิวเหาะไปด้านหน้า หอกยุทธ์มังกรดำแทงออกไป ปลายหอกรูปมังกรแทงเข้าไปที่ศีรษะของมัน
เศษจิตสำนึกของหงเทียนหนีออกไปไกล ศีรษะที่แตกกระจายนั้นรวมตัวขึ้นใหม่อย่างรวดเร็ว ตะโกนขู่ด้วยความโกรธ “เจ้าอย่าบังคับข้า!”
“เจ้าเร่รอนอยู่นับหมื่นนับพันปี กลัวตายเสียยิ่งกว่าข้า เจ้าคิดหรือว่าจะสามารถขู่ข้าได้?” หลัวซิวไม่ได้สนใจแต่อย่างใด ครอบครองความได้เปรียบในเวลานี้
แม้แต่การทำลายตนเองยังไม่สามารถข่มขู่อีกฝ่ายได้ สิ่งนี้ทำให้เศษจิตสำนึกของหงเทียนรู้สึกกังวลใจและตื่นตระหนกขึ้นแล้วมาจริง ๆ แล้ว
“เพียงแค่เจ้ายอมหยุดมือ พวกเราก็สามารถคุยกันดี ๆ ได้ ข้ายอมที่จะชดเชยบางอย่างให้” เป็นถึงผู้แข็งแกร่งราชาเทพผู้สูงส่งในสมัยโบราณ ในเวลานี้กลับต้องเอ่ยปากทำข้อตกลง เห็นได้ชัดว่าหงเทียนไม่อยากที่จะสลายกลายเป็นฝุ่นควันจริง ๆ
หลัวซิวไม่ได้ตามโจมตีต่อ เขาก็มีความกังวลเรื่องที่อีกฝ่ายจะทำลายตนเองอยู่บาง ถึงแม้ว่าร่างแยกนี้จะไม่กลัวตาย แต่หากสมบัติทั้งหมดต้องถูกทิ้งเอาไว้ที่นี่ วันหลังหากคิดจะมาที่อนัตตาไม่สิ้นเพื่อตามหามันอีก ดูเหมือนว่าจะเป็นไปไม่ได้
“หอกรบของข้ายังไม่ได้มีจิตภัณฑ์ หากเจ้ายินยอมที่จะถูกข้าผนึกให้เป็นจิตภัณฑ์ เรื่องที่เจ้าจงใจยึดร่างข้าจะถือว่าสิ้นสุดเท่านี้” หลัวซิวเอ่ยปากพูดเงื่อนไขของตนเอง
“ให้ข้าเป็นจิตภัณฑ์? เจ้าเลิกคิดไปได้เลย!” เศษจิตสำนึกของหงเทียนคำราม
เมื่อใดที่กลายเป็นจิตภัณฑ์ ตลอดชีวิตก็จะต้องถูกคนบังคับ เงื่อนไขเช่นนี้กับความหยิ่งผยองของราชาเทพจะตอบรับได้อย่างไร?
ในความเป็นจริงแล้ว ด้วยสถานะของจิตภัณฑ์ถือเป็นการเกิดใหม่ เศษจิตสำนึกของหงเทียนก็ใช่ว่าจะไม่เคยคิดเกี่ยวกับมันมาก่อน เขาเคยทดลองใช้ร่างของเศษจิตสำนึกเจ้าเป็นเจ้าตำหนักจื่อเซียว แต่ตำหนักจื่อเซียวแต่เดิมได้มีจิตภัณฑ์แล้ว เพราะได้รับบาดเจ็บและเข้าสู่การหลับใหล ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถกลายเป็นจิตภัณฑ์ของตำหนักจื่อเซียวได้
อีกทั้งต่อให้เขาสามารถสืบทอดกลายเป็นจิตภัณฑ์ แต่ก็จะไม่ยอมกลายเป็นจิตภัณฑ์ของอาวุธใดสุ่มสี่สุ่มห้าเป็นแน่ เพราะว่าการเติบโตของจิตภัณฑ์นั้น จะถูกจำกัดด้วยอาวุธ
“เช่นนั้นก็ไม่มีสิ่งใดต้องพูดอีก” หลัวซิวก้าวเข้ามาด้านหน้าก้าวใหญ่ เตรียมที่จะโจมตีต่อ
“เจ้าอย่าให้มันเกินไป ให้ข้ากลายเป็นจิตภัณฑ์ของเจ้านั่นเป็นไปไม่ได้ แต่ข้าสามารถมอบตำหนักจื่อเซียวให้เจ้าได้”
“เป็นเพียงแค่สมบัติไม่สมประกอบของราชาเทพชิ้นหนึ่งเท่านั้น ด้วยผลการฝึกตนของข้าก็ยังยากที่จะบังคับได้ จะเอาไปทำสิ่งใด?”
เพลิงอัคคีสีแดงเข้มพันรอบตัวหลัวซิว ราวกับเทพมารเพลิงอัคคี ก้มมองเศษจิตสำนึกของหงเทียน พูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “จะกลายเป็นจิตภัณฑ์ของข้า หรือไม่ก็ตายไปพร้อมกับข้า เจ้าไม่มีตัวเลือกที่สาม”
“เจ้า……”
เศษจิตสำนึกของหงเทียนสีหน้าหม่นลงถึงขีดสุด เขาคาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะโหดร้ายได้ถึงเพียงนี้ ไม่ได้มีทางเลือกที่สามให้เขาเลยด้วยซ้ำ
กลายเป็นจิตภัณฑ์ ไม่ใช่สิ่งที่เขาปรารถนา แต่ให้ตายไปพร้อมกับอีกฝ่าย เช่นนั้นที่เขาเร่ร่อนอยู่ที่นี่นานนับหมื่นนับพันปีจะไปมีความหมายอะไร?
หลัวซิวมองออกถึงความลังเลของเศษจิตสำนึกของหงเทียน นัยน์ตาก็พลันเป็นประกายขึ้นมา “หากเจ้ากลายเป็นจิตภัณฑ์ของข้า เมื่อข้าฝึกตนถึงแดนหนึ่งแล้ว เจ้าจะได้เติบโตไปพร้อมกับข้า ชนะก็ชนะด้วยกัน แพ้ก็แพ้ด้วยกัน”
“เฮอะ เจ้าจะไปรู้อะไร? หอกรบในมือเจ้าก็เป็นเพียงแค่ของขลังพรสวรรค์เท่านั้น รอจนเจ้าฝึกตนถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ก็จะทิ้งมันไม่ได้ใช้อีก หากข้ากลายเป็นจิตภัณฑ์ของมัน จะเอาอนาคตจากที่ใดมาพูด? ทั้งชีวิตถูกควบคุมด้วยของขลังพรสวรรค์ชิ้นหนึ่งและรับใช้เจ้ายุทธจักรผู้อ่อนแออย่างนั้นหรือ?” เศษจิตสำนึกของหงเทียนพูดเสียงเย็น
เป็นถึงผู้แข็งแกร่งระดับราชาเทพ ของทุกอย่างที่เขารู้ อีกทั้งวิสัยทัศน์และการหยั่งรู้นั้นมีมากเกินกว่าจะเทียบกับหลัวซิวได้
“ใครบอกว่าหอกรบของข้าเป็นเพียงของขลังพรสวรรค์? ภายในหอกยุทธ์มังกรดำมีผนึกเก้าชั้น ในวันนี้ยังไม่ได้คลายผนึกอย่างสมบูรณ์ ก็ยังมีพลังอำนาจที่แข็งแกร่งไม่เป็นรองสมบัติวิเศษ” หลัวซิวเอ่ย หากสามารถเอาเศษจิตสำนึกของราชาเทพผู้นี้ผนึกเป็นจิตภัณฑ์ได้ ย่อมต้องเป็นจบสุดที่ดีที่สุด สามารถทำให้พลังของเขาเพิ่มขึ้นมหาศาล
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 924
การกระทำเช่นนี้ของเศษจิตสำนึกของหงเทียน แน่นอนว่าก็เพื่อที่จะไม่ต้องเผชิญหน้าโดนตรงกับตราทวยมรณะ แต่หลัวซิวก็ชอบใจที่เป็นเช่นนี้ เพราะเขาต้องการเวลาเพื่อกลั่นแปรภูตอัคคีขั้นที่สาม
เวลาได้ผ่านไปอีกครึ่งเดือนแล้ว เทพจิตของหลัวซิวได้ถูกเศษจิตสำนึกของหงเทียนบีบบังคับจนมาถึงมุมหนึ่ง ราวกับเป็นเรื่องยากที่จะหลอมรวมพลังกฎให้มากขึ้นเพื่อใช้ตราทวยมรณะ
“เจ้าหนู เจ้าไม่มีพลังเหลืออีกแล้ว ตายไปอย่างสงบเสียเถอะ!”
เศษจิตสำนึกของหงเทียนอ้าปากปล่อยกระบี่เต๋าปราณม่วงออกมา ผ่าอากาศพุ่งมาทางหลัวซิว เขาสามารถรับรู้ได้ เจ้าหนูที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ไม่มีพลังมาต่อต้านตนแล้ว
“งั้นหรือ?”
จากนั้นในเวลานี้เอง หลัวซิวกลับยิ้มเยือกเย็นออกมา อยู่ดี ๆ นัยน์ตาคู่นั้นก็กลายเป็นสีแดงเข้ม เหมือนกับว่ามีอัคคีเทพลุกโชนอยู่ภายในดวงตาคู่นั้น
“ปัง!”
เปลวเพลิงสีแดงเข้มลุกโซนระเบิดออกมาจากบนร่างของเขา หลังจากกลั่นแปรและดูดซับภูตอัคคีเสือพิฆาตจิ่วหยินแล้ว ไม่เพียงแต่กลั่นแปรภูตอัคคีขั้นที่สามได้สำเร็จ พลังทั้งหมดที่อยู่ภายในภูตอัคคี ก็ได้เติมเต็มพลังทั้งหมดที่เขาได้สูญเสียไปก่อนหน้านี้ด้วย
เพลิงสีแดงเข้มพุ่งปะทุ หลัวซิวในเวลานี้ราวกับเป็นเทพมารเพลิงอัคคีผู้หนึ่ง ก้าวเท้าก้าวหนึ่งกระโจนขึ้นไปด้านบน หอกยุทธ์มังกรดำในมือปรากฏขึ้น ปลายหอกรูปมังกรบดขยี้ทุกสรรพสิ่ง
“ปัง!”
ไส้เดือนม่วงถูกโจมตีจนกระเด็นลอยออกไป เอ่ยปากร้องด้วยความตกใจ “พลังของเจ้าเหตุใดจึงแข็งแกร่งขึ้นมาเช่นนี้? เป็นไปได้อย่างไร?”
สายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยเพ่งมองมายังเพลิงอัคคีแดงเข้มบนร่างของหลัวซิว “ร่างที่สามของภูตอัคคีร้อยแปร นี่เจ้าใช้เวลาระหว่างการต่อสู้ที่ยืดเยื้อกับข้าแอบกลั่นขั้นที่สามจนสำเร็จหรือ?”
นาทีนี้ จิตสำนึกของหงเทียนก็พลันมีสีหน้าที่ไม่สู้ดีขึ้นมา อีกทั้งยังรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยด้วย เพราะภูตอัคคีร้อยแปรขั้นที่สามกลั่นแปรเป็นจักรพรรดิอัคคีนภาแดง มันได้มีอำนาจเหนือพลังของเศษจิตสำนึกอย่างเขาแล้ว
“ตราทวยมรณะ!”
หลัวซิวใช้ฝ่ามือเดียวฟาดลงไป เปลวเพลิงพันอยู่ระหว่างนิ้วมือ แปรเปลี่ยนเป็นวงล้อสีดำ บดขยี้ทุกสรรพสิ่ง
“สลายไปเสีย!”
เศษจิตสำนึกของหงเทียนคำรามด้วยความโกรธ รอบกายปราณม่วงแผ่ขยายออกมาเป็นสายฟ้า โจมตีตราทวยมรณะจนสลายไป
หลังจากการโจมตีนี้ ปราณม่วงที่ล้อมรอบอยู่บนกายของเขานั้นก็พลันจืดจางลงไปอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งทำให้รู้ว่าการต้านทานที่แข็งแกร่งครั้งนี้ กลับทำให้เขาสูญเสียพลังไปอย่างมาก
“ปัง!”
ถึงแม้เขาจะต้านตราทวยมรณะไว้ได้ แต่กลับถูกหอกยุทธ์มังกรดำของหลัวซิวแทง ร่างนั้นม้วนกระเด็นออกไป
ที่แห่งนี้ถึงอย่างไรก็เป็นปริภูมิตัวหยั่งรู้ของหลัวซิว เป็นที่ของเขา พลังต่อสู้สามารถสำแดงได้จนถึงขั้นสุด
แต่เศษจิตสำนึกของหงเทียนเดิมก็เป็นเพียงแค่จิตสำนึกบาง ๆ ที่หลงเหลืออยู่ อีกทั้งยังอยู่ภายในตัวหยั่งรู้ของอีกฝ่าย พลังนั้นถูกควบคุมให้อยู่ในระดับหนึ่ง ไม่สามารถสำแดงออกมาทั้งหมดได้
โดยเฉพาะหลัวซิวในเวลานี้กลั่นแปรภูตอัคคีขั้นที่สามสำเร็จแล้ว ยิ่งมีข้อได้เปรียบอย่างแน่นอน
“หยุด!”
การโจมตีของหลัวซิวโหดร้ายทั้งยังไร้ความปราณี เศษจิตสำนึกของหงเทียนรับรู้ได้ถึงอันตราย ก็อดไม่ได้ที่จะคำรามออกมาเสียงดัง
เศษจิตสำนึกอย่างเขาอาศัยอยู่ที่ตำหนักจื่อเซียวนานนับหมื่นนับพันปี ไม่อยากที่จะสลายหายไปอย่างว่างเปล่าเช่นนี้
แต่หลัวซิวนั้นกลับไม่ได้สนใจเขาแม้แต่น้อย หอกยุทธ์มังกรดำและตราทวยมรณะยังคงกระหน่ำโจมตีอย่างต่อเนื่อง
“ไอ้เวร เจ้าอย่าบังคับข้า หากเศษจิตสำนึกของข้านี้ตายด้วยตนเอง สามารถทำให้ตัวหยั่งรู้ของเจ้ากลายเป็นความว่างเปล่าได้ ทั้งร่างและวิญญาณสูญสลาย!” เศษจิตสำนึกของหงเทียนคำรามเสียงเย็น
“ตั้งแต่ต้นเจ้าทำทุกวิถีทางเพื่อให้ข้าผ่อนคลายการป้องกัน วางแผนหลอกล่อข้าเพื่อจะยึดร่าง ในเวลาเช่นนี้กลับบอกให้ข้าหยุด มีสิทธิอะไร?”
หลัวซิวหัวเราะเย้ยหยัน “อย่าได้คิดว่าการทำลายตนเองจะสามารถจู่ข้าได้ เพราะอย่างไรนี่ก็เป็นเพียงร่างแยกหนึ่งของข้า ต่อให้ตายไป ร่างที่แท้จริงของข้าก็จะไม่ได้รับผลกระทบใดแม้แต่น้อย”
“ปัง!”
ตราทวยมรณะร่วงลงมา เศษจิตสำนึกของหงเทียนถูกโจมตีสลายเป็นผุยผง จากนั้นก็รวมตัวกันขึ้นมาใหม่ในทันที ออร่าก็อ่อนแอลงไปอีก
“นี่มัน……” เศษจิตสำนึกของหงเทียนที่แปรเปลี่ยนเป็นไส้เดือนม่วงเผยสีหน้าแห่งความตื่นตกใจออกมาเป็นครั้งแรก
ในเวลานี้เอง สองมือของหลัวซิวก็ผลักออกไป นำเอาตราทวยมรณะที่แปรเปลี่ยนเป็นวงล้อสีดำอัดเข้าไปในปากของมัน
“โครม!”
เกิดเสียงดังสนั่นรอบตัวเศษจิตสำนึกของหงเทียน ร่างกายระเบิดออกในทันที แตกสลายกลายเป็นปราณม่วงปกคลุมท้องฟ้า แพร่กระจายไปทั่วปริภูมิกลางตัวหยั่งรู้ของหลัวซิว
ซัว! ซัว! ซัว!……
ปราณม่วงแต่ละสายเหมือนดั่งลูกธนู ไม่นานก็หลอมรวมเข้าหากันอีกครั้ง กลายเป็นรูปลักษณ์ของไส้เดือนม่วงอีกครั้ง
“วิชาเมื่อครู่เจ้าเรียนมาจากที่ใด? แล้วเจ้าเกี่ยวข้องอย่างไรกับตระกูลโบราณแห่งโลกายุทธ์ร้าง?” เศษจิตสำนึกของหงเทียนเอ่ยถาม
“เหตุใดข้าจึงต้องบอกเจ้า?” หลัวซิวเผยสีหน้าไร้ความรู้สึก แต่ในความเป็นจริงแล้ว โลกายุทธ์ร้างตระกูลโบราณที่เศษจิตสำนึกของหงเทียนเอ่ยถึงนั้น เขาไม่ได้รู้สิ่งใดเกี่ยวกับมันสักนิด
แต่ว่าเขากลับมองออก เหตุที่เศษจิตสำนึกของหงเทียนตกใจมากเช่นนี้ นั่นเป็นเพราะตราทวยมรณะที่เขาสำแดงออกมานั้น มันสามารถอธิบายได้ว่าโลกายุทธ์ร้างตระกูลโบราณที่เขาเอ่ยปากพูดถึง คงจะครอบครองวรยุทธ์พลังอมตะอย่างเช่นตราทวยมรณะด้วยเช่นกัน
“เฮอะ เจ้าไม่พูดก็ไม่เป็นไร กลืนกินยึดครองร่างและความทรงจำของเจ้า ข้าก็จะได้รู้ทุกสิ่งอย่าง” ไส้เดือนม่วงส่งเสียงประหลาดออกมา จากนั้นก็พุ่งกระโจนเข้าหาหลัวซิวอีกครั้ง
ในฐานะเศษจิตสำนึกของราชาเทพผู้แข็งแกร่ง ถึงแม้พลังจะแข็งแกร่งมาก แต่ก็ใช่ว่าจะมีพลังที่มากมายเสียจนไม่สามารถใช้ได้จนหมด
โดยเฉพาะเมื่อถูกหลัวซิวสำแดงตราทวยมรณะ เป็นที่น่าเกรงกลัวอย่างมาก เมื่อร่างกายถูกทำลายไปแล้วหนึ่งครั้ง ออร่าก็อ่อนแอลงไปมาก
ทันใดนั้นการต่อสู้ของทั้งสองคนท่ามกลางตัวหยั่งรู้เข้าสู่สภาวะการเผชิญหน้าอันยาวนาน ร่างของหลัวซิวราวกับขอนไม้อย่างไรอย่างนั้น ยืนตรงอยู่กลางตำหนักจื่อเซียว เวลาผ่านพ้นไปก็เข้าใกล้สองเดือนแล้ว
ตามเวลาที่เคลื่อนไหวไปเรื่อย ๆ สถานการณ์สำหรับหลัวซิวนานวันก็ยิ่งไม่สู้ดีนัก เพราะว่าการสูญเสียของเศษจิตสำนึกของหงเทียนน้อยกว่าเขามากอย่างเห็นได้ชัด หากเป็นเช่นนี้ต่อไป จุดจบสุดท้ายของเขาจะต้องเป็นการถูกเศษจิตสำนึกของหงเทียนกลืนกินจนหมดเป็นแน่
แต่ว่าหลัวซิวนั้นไม่มีทางยินยอมให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นเป็นอันขาด หากไม่สามารถต้านทานเอาไว้ได้จริง ๆ เขายินยอมที่จะทำลายร่างแยกร่างนี้ทิ้งเสีย ดีกว่ายอมให้เศษจิตสำนึกของหงเทียนได้สำเร็จดั่งใจคิด
ดูเหมือนว่าไพ่ไม้ตายทั้งหมดของเขาจะถูกนำออกมาใช้จนหมดแล้ว ความคิดทุกรูปแบบแวบวาบผ่านเข้ามาในสมอง ครุ่นคิดถึงมาตรการรับมือ
ท้ายที่สุดเขากัดฟันแน่น จากนั้นเริ่มแปรภูตอัคคีร้อยแปร เริ่มการกลั่นแปรภูตอัคคีชนิดที่สาม ภูตอัคคีเสือพิฆาตจิ่วหยิน!
ภูตอัคคีชนิดนี้ได้รับมาจากเหวปีศาจมรณะแห่งโลกแสงดาว ถึงแม้จะได้รับมานานแล้ว แต่ตลอดมานั้นเขาไม่มีพลังมากเพียงพอที่จะกลั่นแปรมัน
ในตอนแรกตามแผนการของหลัวซิว อย่างน้อย ๆ ต้องรอให้ตนมีผลการฝึกตนบรรลุถึงแดนเจ้ายุทธจักร หรือไม่ก็แดนร่างเนื้อบรรลุถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์เสียก่อน จึงจะฝึกตนภูตอัคคีร้อยแปรถึงขั้นที่สาม เพราะเมื่อใดที่กลั่นแปรขั้นที่สามได้สำเร็จ ภูตอัคคีก็จะแปรเปลี่ยนเป็นจักรพรรดิอัคคีนภาแดง ร่างนี้ไม่ได้มีพลังแข็งแกร่งมากเพียงพอ เป็นการยากที่จะควบคุมได้
แต่ว่าในเวลานี้ เขากลับไม่สามารถกังวลสิ่งใดได้มากขนาดนั้น เพราะนี่คือวิธีการเดียวที่จะสามารถต่อกรกับเศษจิตสำนึกของหงเทียนได้
จากการปะมือกันเป็นเวลานาน เขาก็สามารถจะคาดเดาออกมาคร่าว ๆ ได้ เศษจิตสำนึกของหงเทียนนี้พลังที่เหลืออยู่ทั้งหมด น่าจะเทียบเท่าได้กับแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ทั่วไป หากสามารถกลั่นจักรพรรดิอัคคีนภาแดงได้สำเร็จ ก็จะสามารถแก้ไขสถานการณ์ที่เป็นอันตรายเช่นนี้ได้
“ฮ่า ฮ่า เจ้าหนู หมดแรงแล้วหรือ?”
เศษจิตสำนึกของหงเทียนหัวเราะเย้ยหยัน เพราะเขาพบว่าเจ้าหนุ่มแดนมหายุทธ์คนนี้ไม่ได้เอาเปลวเพลิงสีทองนั้นออกมาสู้กับเขาเป็นเวลานานแล้ว
“ข้าจะหมดแรงหรือไม่ หากเจ้ามีความสามารถก็เข้ามาลองดูเอง” หลัวซิวจงใจพูดยั่วยุ มือก็เคลื่อนไหวภูตอัคคีร้อยแปรเพื่อกลั่นภูตอัคคีเสือพิฆาตจิ่วหยินอย่างลับ ๆ
นิ้วมือของเขาบีบตราประทับ ด้วยการอำนาจของตราทวยมรณะ ทำให้เศษจิตสำนึกของหงเทียนรู้สึกเกรงกลัวอย่างมาก ไม่กล้าที่จะเผชิญหน้าเข้าโจมตีโดยตรง แต่ทำได้แค่เดินไปรอบและต่อสู้กับเขา
กระบวนการเช่นนี้ เป็นเหมือนการรบในรูปแบบชักเย่อ ด้วยวิญญาณตัวสำนึกของหลัวซิวบรรลุถึงแดนขั้นกลาง ก็ได้สูญเสียพลังงานไปมากกว่าครึ่ง สีหน้าซีดเผือด
ครึ่งเดือนต่อมา เสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้นมาจากตัวหยั่งรู้ของหลัวซิว เศษจิตสำนึกของหงเทียนถูกเขาทำลายจนสิ้นไม่เหลือแม้เพียงเงา
หลัวซิวก็ไม่ได้คลายการป้องกันลงทั้งหมด แต่กลับตรวจสอบตัวหยั่งรู้ของตนเองอย่างละเอียดทุกซอกทุกมุม เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เศษจิตสำนึกของผู้แข็งแกร่งราชาเทพท่านนี้ได้เกิดใหม่อีกครั้ง
จนกระทั่งแน่ใจแล้วว่าเศษจิตสำนึกของอีกฝ่ายไม่ได้มีสิ่งใดหลงเหลืออยู่อีก หลัวซิวจึงได้ผ่อนคลายความกังวลลง จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิที่กลางตำหนักจื่อเซียวแห่งนี้เพื่อฟื้นฟูผลการฝึกตนและตัวสำนึกที่สูญเสียไปของเขา
ในขณะที่เขาอยู่ในสภาวะฝึกตนอยู่นั้น ไส้เดือนม่วงตัวหนึ่งก็พลันปรากฏขึ้นกลางตัวหยั่งรู้ของหลัวซิว พุ่งตรงเข้าไปทางวิญญาณดั้งเดิมของเขา
“เจ้ายังไม่ตายจริง ๆ เสียด้วย!”
หลัวซิวคำรามเสียงต่ำ เขาสงสัยอยู่ตั้งแต่แรกแล้วว่าผู้แข็งแกร่งจากแดนอย่างระดับราชาเทพ ต่อให้เป็นเพียงแค่เศษจิตสำนึกอันบอบบาง จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะถูกเขาเผาทำลายได้โดยง่าย?
ในเวลานี้ไส้เดือนม่วงตัวนี้ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน หลัวซิวก็รู้ว่านี่ถึงจะเป็นเศษจิตสำนึกที่แท้จริงของราชาเทพหงเทียน ก่อนหน้านี้ที่แปรเปลี่ยนรูปร่างเป็นผู้เฒ่า นั่นก็เพื่อทำให้เขาสับสน และคลายการป้องกันลง
เศษจิตสำนึกของหงเทียนที่กลายเป็นไส้เดือนม่วงน่ากลัวอย่างมาก ตั้งแต่เริ่มมันก็คิดวางแผนเป็นร้อยเป็นพันเพื่อที่จะทำให้หลัวซิวสับสน และคลายการป้องกันลง
แต่หลัวซิวนั้น ตั้งแต่เยียบเข้าสู่เส้นทางการฝึกยุทธ์ ก็คลุกคลีอยู่กับความเป็นความตายมาตลอดชีวิต ดังนั้นจึงไม่มีทางให้เขาสามารถลอบโจมตีได้สำเร็จ
“มกุฎอัคคีนภาเหลือง!”
เปลวเพลิงสีทองพุ่งขึ้นปกคลุมไปทั่วทั้งฟ้าดิน หลัวซิวลงมืออย่างเต็มกำลังไม่มีความปราณีเลยแม้แต่น้อย
ท่ามกลางตัวหยั่งรู้ เทพจิตที่แปรมาจากวิญญาณดั้งเดิมของเขานั้น มือหนึ่งถือตะเกียงเทพส่องสว่าง อีกมือหนึ่งถือหอกยุทธ์มังกรดำ พลังต่อสู้เปิดออกทั้งหมด พุ่งตรงไปฆ่าไส้เดือนม่วงตัวนั้น
“เฮอะ เจ้ามันแค่มดมหายุทธ์ตัวน้อย ๆ ยังคิดจะต่อต้านราชาเทพอย่างข้าหรือ?”
ไส้เดือนม่วงพ่นภาษามนุษย์ออกมา คำเยาะเย้ยและเสียงหัวเราะติดต่อกันไม่หยุด มันอ้าปากกว้าง เผยให้เห็นฟันแหลมคมในช่องปาก ออกแรงสูบเต็มที่ กลืนกินมกุฎอัคคีนภาเหลืองอย่างต่อเนื่อง
หลังจากกลืนกินมกุฎอัคคีนภาเหลืองแล้ว รอบตัวของไส้เดือนม่วงก็เปล่งประกายออร่าที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าออกมา
“อะไรกัน?!” หลัวซิวรู้สึกประหลาดใจ มกุฎอัคคีนภาเหลืองเป็นการกลั่นแปรของภูตอัคคีฟ้าดินทั้งสองชนิดโดยมีภูตอัคคีกลืนกินเป็นพื้นฐาน สามารถแผดเผาทุกสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ได้ โดยเฉพาะการยับยั้งจิตวิญญาณ แต่กลับถูกเศษจิตสำนึกราชาเทพผู้นี้กลืนกินเข้าไปอย่างง่ายดาย
เห็นได้อย่างชัดเจนว่าผู้แข็งแกร่งระดับราชาเทพเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าเกรงกลัวถึงเพียงใด เพียงแค่เศษจิตสำนึกอันบอบบางก็สามารถทำให้เจ้ายุทธจักรจำนวนมหาศาลที่มีแดนต่ำกว่าแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์อับจนหนทางได้
“หมื่นจักรวาลไร้รูป!”
หลัวซิวก้าวเท้าไปด้านหน้า หอกยุทธ์มังกรดำปรากฏขึ้น หอกสีดำกลายเป็นมังกร พุ่งโจมตีไปยังร่างของไส้เดือนม่วง ประกายไฟปะทุออกมารอบทั้งสี่ทิศ
“ทักษะการต่อสู้ระดับพลังอมตะ?”
ไส้เดือนม่วงไม่ได้ใส่ใจ “กระบี่เต๋าปราณม่วง!”
มันอ้าปากและปล่อยปราณม่วงออกมา ในปราณม่วงราวกับมีหลายสิ่งปะปนกันอยู่ ทิวทัศน์ของการแปรเปลี่ยนฟ้าดิน หลวมรวมเป็นกระบี่แสง ความเร็วนั้นเร็วถึงขีดสุด
หลัวซิวตกตะลึง รีบยกตะเกียงเทพส่องสว่างในมือขึ้นมา กระบี่เต๋าปราณม่วงโจมตีลงบนตะเกียงเทพ ตามมาด้วยแรงมหาศาล ทำให้ร่างของเขาโอนเอนและก้าวถอยหลังไปอย่างต่อเนื่อง ร่างของเทพจิตเกิดรอยคลื่นหลายเส้น ราวกับกำลังจำแตกสลาย
“ให้ข้ากลืนกินเสียดี ๆ” ไส้เดือนม่วงหัวเราะอย่างร้ายกาจ ทันใดนั้นร่างนั้นก็กระโดดขึ้น หมุนร่างเป็นวงกลม ปากใหญ่เปิดกว้าง พุ่งตรงมาหมายจะกลืนกินหลัวซิว
ปราณม่วงหลายสายขยายออกมา ตรึงทางหนีรอบทิศของหลัวซิวไว้ ทำให้เขาไม่มีหนทางที่จะล่าถอยได้เลย
“ตราทวยมรณะ!”
หลัวซิวทุ่มกำลังทั้งหมดเพื่อเสี่ยงในยามวิกฤต นิ้วมือบดตราประทับ ในเวลาเดียวกันก็ขับเคลื่อนพลังแปรเสวียนเทียนยี่สิบสี่เท่า
“ปัง!”
ออร่าอันน่าหวาดกลัวแผ่กระจายไปรอบ ๆ ตัวเขา วงล้อสีดำที่หลอมรวมกฎอนัตตาลึกลับหมุนเวียนอยู่ปรากฏขึ้น
“ฮ่า ๆ เจ้ามาเข้าใจเอาป่านนี้มันสายเกินไปแล้ว!” สำแสงแปรเปลี่ยนเป็นรูปร่างของผู้เฒ่า สายตาลุกเป็นไฟนั้นจ้องเขม็งไปยังช่องจิตปลอมใจกลางตัวหยั่งรู้ของหลัวซิว “พลังวิญญาณบริสุทธิ์เหลือเกิน หลังจากกลั่นแปรสามารถทำให้ข้าฟื้นฟูกลับสู่แดนเทพมารได้ในเวลาอันสั้น”
“ฮึ เจ้าดีใจเร็วเกินไปแล้ว” หลัวซิวหัวเราะเสียงเย็น มกุฎอัคคีนภาเหลืองสีทองปรากฏอยู่กลางตัวหยั่งรู้ พุ่งเข้าไปอีกฝ่ายทันที
อีกฝ่ายไม่ได้ลงมือโจมตีเขาในตอนที่เขาเข้ามาในตำหนักแห่งนี้ เห็นได้ชัดว่าเศษจิตสำนึกที่หลงเหลืออยู่ของราชาเทพหงเทียนนั้นอ่อนแอมากเพียงใด ดังนั้นจึงทำได้เพียงอาศัยวินาทีที่เขาไม่ทันได้ระวังตัวลอบโจมตี ด้วยเหตุนี้ถึงแม้หลัวซิวจะตกใจมากเพียงใด แต่ก็ไม่ได้กังวลใจจนทำให้เกิดเรื่องผิดพลาด
“ภูตอัคคีร้อยแปร? เจ้าก็ฝึกตนวรยุทย์พลังอมตะด้วย?”
เศษจิตสำนึกของหงเทียนมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เหมือนกับที่หลัวซิวคาดการณ์เอาไว้ทุกอย่าง เขาถูกผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส เพียงฝ่ามือเดียวก็สามารถทำลายร่างเนื้อของเขา เทพจิตก็เหลือเพียงเศษจิตสำนึกบาง ๆ ดีกว่าสภาพวิญญาณแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“ดารานภาปราณม่วง!”
เศษจิตสำนึกของหงเทียนชี้นิ้วขึ้น ปราณม่วงพุ่งปะทุออกมา ดับเปลวเพลิงสีทองอย่างรวดเร็ว
ในเวลาเดียวกัน เขาได้กลายร่างเป็นลำแสงสีม่วงพุ่งตรงไปที่วิญญาณดั่งเดิมของหลัวซิว
“เหวิง!”
ทันใดนั้นตะเกียงเทพก็ปรากฏขึ้น แสงสีทองศักดิ์สิทธิ์เบ่งบานไม่รู้จบ กั้นขวางเศษจิตสำนึกของหงเทียนที่แปรเปลี่ยนเป็นลำแสงสีม่วงเอาไว้
จากนั้นหลัวซิวก็รวบรวมพลังแห่งกฎความตายอีกครั้ง แปรเปลี่ยนเป็นหอกยุทธ์มังกรดำ ด้วยการพยุงของเทพจิต ก้าวเข้าไปด้านหน้าเพื่อเข่นฆ่าทันที
หงเทียนถึงแม้ในตอนที่ยังมีชีวิตนั้นถือเป็นผู้แข็งแกร่งระดับราชาเทพ แต่ถึงอย่างไรเหลือเพียงแค่เศษจิตสำนึกบาง ๆ เท่านั้น หลัวซิวไม่ได้เกรงกลัวแม้แต่น้อย
“เจ้า ……”
เศษจิตสำนึกของหงเทียนก็คาดไม่ถึงว่ามดตัวหนึ่งที่มีผลการฝึกตนมหายุทธ์กลับมีวิชาระดับนี้ ไม่นับว่าฝึกตนวิชาเพลิงพลังอมตะ แต่กลางตัวหยั่งรู้ยังมีนักยุทธ์เทพมารชิ้นหนึ่งคอยคุ้มกันอยู่
นาทีนี้เขาอยู่ในตัวหยั่งรู้ของหลัวซิว จึงไม่สามารถเรียกใช้พลังงานของตำหนักจื่อเซียวได้เลย
“เจ้าหนู ข้ารอมาเป็นเวลาเนิ่นนานเพียงใด ในเมื่อเจ้าไม่ยอมให้ข้าใช้ร่าง เช่นนั้นข้าก็จะทำลายเจ้าให้สิ้น!”
เศษจิตสำนึกของหงเทียนรู้สึกถึงความสิ้นหวังในการยึดร่าง เศษจิตสำนึกอันแสนบอบบางที่เขาเหลืออยู่ทั้งหมด หากต้องสูญสิ้นไปเช่นนี้เรื่อย ๆ เกรงว่าอาจจะแตกสลายไปได้ทุกเวลา
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ความโกรธของเขาก็พุ่งขึ้นสูงเสียดฟ้า ทันใดนั้นก็หมายจะถอยออกมาจากตัวหยั่งรู้ของหลัวซิว
หลัวซิวรู้ดีว่า เมื่อใดก็ตามที่เขาออกมาจากตัวหยั่งรู้ได้ เมื่อนั้นก็จะสามารถใช้พลังของตำหนักจื่อเซียวได้ สามารถฆ่าเขาให้ตายคาที่อยู่ในตำหนักแห่งนี้ได้อย่างง่ายดาย
ดังนั้นเขายังไม่ลังเลที่จะผลักดันภูตอัคคีร้อยแปรอย่างเต็มกำลัง ปิดตายทางอออกเอาไว้
“สารเลว!”
เศษจิตสำนึกของหงเทียนกราดเกรี้ยว เศษจิตสำนึกอันบอบบางอ้างว้างโดดเดี่ยวอยู่ภายในอนัตตาไม่สิ้นไม่รู้วันรู้คืน เดิมคิดว่าสามารถรอจนที่จะได้มีโอกาสเห็นเดือนเห็นตะวันอีกครั้ง แต่คาดไม่ถึงว่ากลับจะต้องมาพบเจอกับอันตรายที่นี่ จึงได้ไม่สามารถควบคุมความรู้สึกกลายเป็นความบ้าคลั่งขึ้นมาในทันที
ว่ากันตามหลักการ เขาคือราชาเทพผู้แข็งแกร่งคนหนึ่ง ถึงแม้จะเหลือเพียงแค่เศษจิตสำนึกอันบอบบาง ต้องการจะยึดร่างของมหายุทธ์ตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งย่อมเป็นเรื่องที่ง่ายดายราวกับเป่าฝุ่น แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึง เจ้าหนูมหายุทธ์ตัวเล็ก ๆ กลับรับมือได้ยากมากเช่นนี้ ความยากให้การยึดร่างของเขานั้น ดูเหมือนจะยากไม่น้อยกว่ายึดร่างของแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ท่านหนึ่งเลย
“ข้าไม่สนใจว่าในอดีตเจ้าจะแข็งแกร่งมากเพียงใด แต่ในเมื่อเจ้าหมายจะยึดร่างข้า ก็อย่าได้หาว่าข้าโหดเหี้ยมไร้ความปราณี”
หลัวซิวสีหน้าเย็นยะเยือก มกุฎอัคคีนภาเหลืองแปรเปลี่ยนเป็นกรงเพลิงสีทอง ขังเศษจิตสำนึกของหงเทียนเอาไว้
ทันใดนั้นเขาก็เอาตะเกียงเทพที่ส่องสว่างวางเอาไว้ด้านบนกรงอีกครั้ง กดเศษจิตสำนึกอันบอบบางนี้ด้วยกฎสว่างที่ตะเกียงเทพแพร่ขยายออกมา
เศษจิตสำนึกของหงเทียนคำรามอย่างฉุนเฉียว ไม่เสียดายที่จะใช้พลังงานวิญญาณที่เหลืออยู่ไม่มากทำลายกรงเพลิงให้แหลกสลาย หมายจะหนีออกมา
แต่หลัวซิวกลับไม่ได้ให้โอกาสเช่นนี้กับเขา เมื่อกรงเพลิงถูกทำลาย จากนั้นมันก็หลอมรวมขึ้นมาใหม่อีกครั้งในทันที
เดิมทีเศษจิตสำนึกของหงเทียนนั้นพลังงานวิญญาณที่ไม่ได้เหลืออยู่มากนัก ตามการโจมตีอย่างต่อเนื่องของเขา พลังงานวิญญาณก็ค่อย ๆ อ่อนแอลงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งในท้ายที่สุด ก็ไม่สามารถทำลายการกักขังของกรงเพลิงได้อีกต่อไป
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 920
“เฮอ เฮอ อย่าเพิ่งรีบไปเลย”
ผู้เฒ่ายิ้มบาง ๆ “ในเมื่อเจ้าสามารถมาถึงที่แห่งนี้ได้ถือว่ามีลิขิตเกี่ยวพันกับตำหนักจื่อเซียว ข้ารอมาเนิ่นนานไม่จบสิ้นก็เพื่อที่จะได้พบเจ้าเท่านั้น”
“ข้าไม่อาจเข้าใจถึงความหมายของท่าน”
“เจ้าของตำหนักจื่อเซียวตายไปกลางมหาสงครามตั้งแต่สมัยโบราณ ตำหนักจื่อเซียวก็ได้รับความเสียหายด้วย ดังนั้นที่เจ้าเห็นว่าข้ามีแขนเพียงข้างเดียวนั้น ก็เพราะว่าข้าคือจิตภัณฑ์ ตำหนักจื่อเซียวเสียหาย ข้าจึงได้รับความเสียหายตามไปด้วย”
ผู้เฒ่าไม่รีบร้อน และเอ่ยต่อไปช้า ๆ “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ตำหนักจื่อเซียวก็คือนักยุทธ์ราชาเทพชิ้นหนึ่งที่ไม่สมบูรณ์ พลังอำนาจนั้นแข็งแกร่งมากเสียจนไม่สามารถคาดเดาได้”
ระหว่างที่พูด ผู้เฒ่าก็ยกมือขึ้นโบก ปราณม่วงด้านหน้าสลายหายไป ปรากฏเป็นโต๊ะตัวหนึ่ง ด้านบนมีป้ายสลักตัวอักษรเป็นคำว่า ‘ดวงวิญญาณแห่งราชาเทพหงเฟย’
ราชาเทพหงเฟยมีความเป็นไปได้อย่างมากว่าจะเป็นเจ้าของตำหนักจื่อเซียวแห่งนี้ในสมัยก่อน
“เพียงแค่เจ้ายินยอมที่จะเป็นผู้สืบทอดของนายท่าน เจ้าไม่เพียงแต่จะได้รับตำหนักจื่อเซียวแห่งนี้ ยังสามารถได้รับการถ่ายทอดจากราชาเทพผู้แข็งแกร่ง อีกทั้งยังมีข้าเป็นผู้ช่วย เส้นทางการฝึกตนของเจ้าในภายภาคหน้านั้นจะยิ่งราบรื่นยิ่งกว่าสิ่งใด” ผู้เฒ่าพูดด้วยน้ำเสียงราวกับกำลังโยนเหยื่อล่อ
แต่สิ่งที่ทำให้เขาคาดไม่ถึงก็คือ หลัวซิวเพียงแค่คล้อยตามไปเพียงเล็กน้อย จากนั้นก็กลับมาสงบนิ่งเช่นเดิม
มรดกจากราชาเทพย่อมเรียกได้ว่าเป็นทำให้โลกตะลึง แต่สำหรับผู้ที่ครอบครองวรยุทธ์วงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพรวมถึงผังกฎดั้งเดิมอย่างหลัวซิวแล้ว กลับไม่ได้มีค่ามากมายขนาดนั้น
สิ่งเดียวที่สามารถทำให้เขาหวั่นไหวได้ก็มีเพียงแค่ตำหนักจื่อเซียวเท่านั้น ถึงอย่างไรเขาก็ได้เห็นพลังอำนาจที่แข็งแกร่งของตำหนักจื่อเซียวแห่งนี้จากการฉายภาพของปราณม่วงด้วยตาตนเองแล้ว
“ข้าไม่คิดว่าบนโลกใบนี้จะมีสิ่งดี ๆ ที่ได้มาโดยไม่ต้องเสียอะไร หากข้าได้รับตำหนักจื่อเซียว จำเป็นต้องเสียสละสิ่งใด?” หลัวซิวถามเสียงขรึม
เขาไม่ได้ผ่อนคลายการป้องกันตัวจากภาพลวงผู้เฒ่าคนนี้ที่อยู่ตรงหน้า แต่ในเวลานี้ตนอยู่ภายในตำหนักจื่อเซียว เขาก็ทำได้เพียงคล้อยตามอีกฝ่ายไปเท่านั้น
“เฮอ เฮอ เจ้าไม่จำเป็นต้องเสียสละสิ่งใด เพียงแค่จำเป็นต้องรอให้เจ้าถึงวันที่ฝึกตนบรรลุแดนเทพฟ้า เมื่อถึงเวลานั้นก็เดินทางไปยังโลกาโกลาหล นำเอาป้ายวิญญาณมอบให้กับวิชาโกลาหลก็เพียงพอแล้ว”
ผู้เฒ่าพูดเสียงเบาด้วยความใจเย็น ทันใดนั้นก็ยกมือขึ้น ม้วนหยกม้วนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา
เขานำม้วนหยกยื่นให้กับหลัวซิว “ด้านในม้วนหยกนี้ก็คือวรยุทธ์การฝึกตนของนายท่านเมื่อครั้งยังมีชีวิต ยังเป็นวรยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกาโกลาหล วิชาโกลาหลปราณม่วง อีกทั้งด้านในยังมีเคล็ดวิชาฝึกตนพลังอมตะอีกด้วย!”
“พลังอมตะ?” สำหรับสิ่งที่เรียกว่าวิชาโกลาหลปราณม่วง หลัวซิวไม่ได้สนใจแต่อย่างใด แต่สำหรับคำว่าพลังอมตะแล้วนั้นกลับดึงดูดความสนใจของเขาได้อย่างน่าอัศจรรย์
เขาได้ฝึกตนพลังอมตะสามวิชาแล้ว ได้แก่ผู้เป็นอมตะ วิชาแบ่งร่างดับเบิ้ล และภูตอัคคีร้อยแปร
พลังอมตะทั้งสามวิชานี้ ทุกชนิดต่างก็มีพลังที่แกร่งกล้าจนไม่อาจคาดเดาได้ ทำให้หลัวซิวรับรู้ได้อย่างลึกซึ้งถึงความแข็งแกร่งของวรยุทย์ระดับพลังอมตะ
แต่ในวินาทีที่หลัวซิวถูกคำว่าพลังอมตะดึงดูดนั้น ใบหน้านิ่งเรียบใจเย็นของผู้เฒ่าก็มีรอยยิ้มบาง ๆ ปรากฏขึ้น ร่างเงานั้นกลายเป็นลำแสงสีม่วง พุ่งตรงเข้ามาที่หว่างคิ้วของหลัวซิว
ในนาทีนั้นเองหลัวซิวก็รับรู้ได้ถึงอันตราย แต่เจ้าลำแสงสีม่วงนั้นรวดเร็วมาก เขาไม่มีทางตอบโต้ได้ทันเลย ทันใดนั้นหว่างคิ้วก็ถูกแยกออก ลำแสงสีม่วงพุ่งตรงเข้าไปที่กลางตัวหยั่งรู้ของเขา
“เจ้าหนู เจ้าพูดถูกแล้ว บนโลกใบนี้ล้วนไม่มีสิ่งใดที่ได้มาโดยไม่ต้องตอบแทน ร่างของเจ้าข้าขอรับไว้ด้วยความยินดี!”
พลังแห่งวิญญาณที่แข็งแกร่งระเบิดออกมาจากลำแสงสีม่วง ราวกับว่ากำลังทำลาย ตัวหยั่งรู้ของหลัวซิว
“เดิมแล้วเจ้าไม่ใช่จิตภัณฑ์ของตำหนักจื่อเซียว แต่เจ้าเป็นราชาเทพหงเทียน!?” หลัวซิวตกใจหน้าซีด คาดไม่ถึงว่าตนระมัดระวังมากถึงเพียงนี้แล้ว แต่อีกฝ่ายก็ยังพบจุดบกพร่องทั้งยังจงใจยึดร่างได้อีกด้วย
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 919
หลัวซิวเหลือบไปตาขึ้นไปมองรอยฝ่ามือบนกำแพงตำหนักม่วง ใจในก็พลันรู้สึกตื่นตะหนกอย่างไม่มีสาเหตุ เห็นได้ชัดว่ารอยฝ่ามือนี้เป็นสิ่งที่หลงเหลือไว้จากมหาสงครามที่น่าเกรงกลัวนั้น
มหาสงครามสะเทือนขวัญนี้เกิดขึ้นที่กลางอวกาศ บางสิ่งที่มีความแข็งแกร่งมากเพียงแค่โบกมือก็สามารถทำให้ดวงดาวแตกสลายเป็นผุยผง แข็งแกร่งเกินคาดเดา
ก่อนที่ฝ่ามืออันน่าหวาดเกรงนั้นจะปรากฏขึ้น หลัวซิวก็เป็นว่าตำหนักม่วงลอยเข้ามา ปราณม่วงอันทรงพลังที่แผ่กระจายออกมานั้นเข้าโจมตี บดขยี้ดวงดาวนับร้อยดวงให้แหลกสลาย เข่นฆ่าผู้แข็งแกร่งนับพันคน
ในวินาทีที่ตำหนักม่วงถูกฝ่ามือปะทะเข้ามานั้น ภาพทั้งหมดที่ปรากฏขึ้นในปราณม่วงทั้งหมดก็ได้จบลง จากนั้นปราณม่วงที่ปั่นป่วนก็กลับมาสงบเช่นเดิม
หลัวซิวยืนอยู่ท่ามกลางหมอกม่วง รู้สึกขนลุกขนพอง เขาสามารถเห็นตำหนักม่วงที่อยู่ท่ามกลางมหาสงครามด้วยตาตนเอง เพียงแค่ปราณม่วงก็สามารถบดขยี้ดวงดาวให้แหลกสลายได้ ถ้าหากปราณม่วงยังคงมีพลังอันน่าหวาดเกรงเช่นนั้นอยู่ ไม่ต้องพูดถึงเขาเลย แม้แต่ร่างเนื้อของภูตมรณะมารเทพก็ต้องแหลกสลายเป็นผุยผงในชั่วพริบตาอย่างแน่นอน
ที่โชคดีก็คือ ตำหนักม่วงแห่งนี้สงบเงียบมาเนิ่นนานเป็นจนไม่สามารถประเมินระยะเวลาได้ อีกทั้งยังถูกผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานทำลายด้วยฝ่ามือเดียว บางทีอาจจะไม่สามารถฟื้นฟูพลังอำนาจได้เหมือนอย่างเมื่อก่อนอีก
ภูตมรณะมารเทพกับเห้อหมิงกำลังเข้าไปสำรวจเส้นทางด้านหน้า หลัวซิวตามหลังไปติด ๆ เหาะตรงไปยังตำหนักม่วงที่ลอยอยู่กลางอากาศ
ตามระยะทางที่ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ หลัวซิวพบว่าตำหนักแห่งนี้เหมือนกับหมู่เกาะ ที่ด้านบนของตำหนักมีตัวอักษรสลักเอาไว้ ตำหนักจื่อเซียว!
หลัวซิวเดินขึ้นไปข้างหน้า และไม่ได้รับรู้ถึงออร่าของความอันตราย เอื้อมมืออกไปดันประตูตำหนัก ด้วยความแข็งแกร่งของร่างเนื้อร่างยุทธ์แดนเจ้ายุทธจักรขั้นสุด กลับไม่สามารถทำให้ประตูนั้นเปิดออกได้
หลัวซิวจึงได้ให้ภูตมรณะทั้งสองเข้ามาช่วยกันในทันที ภายใต้การออกแรงสุดกำลัง ได้ยินเสียงดังสนั่นขึ้น ประตูตำหนักถูกดันเปิดออกเป็นช่องว่างเล็ก ๆ
ออร่าที่กว้างใหญ่มหาศาลไม่สามารถคาดเดาได้นั้นพุ่งทะลุออกมา ทำให้หลัวซิวรู้สึกเหมือนว่ากาลเวลากำลังผันเปลี่ยน ราวกับออร่านี้มีความลึกลับของเวลาและปริภูมิทั้งสองกฎระดับสูงแฝงอยู่
ในเวลานี้เอง ออร่าแรงดึงดูดก็ลอยออกมาอย่างกะทันหัน หลัวซิวยังไม่ทันได้รู้สึกตัว ร่างกายก็พลันถูกดูดเข้าไปในภายในตำหนักโดยไม่สามารถควบคุมได้
วินาทีที่ถูกออร่าปริศนาดึงดูดเข้าไปภายในตำหนักนั้น หลัวซิวไม่ลังเลที่จะเรียกตำหนักเสวียนดำออกมา อีกทั้งยังเรียกหอกยุทธ์มังกรดำออกมาด้วย พลังทั้งหมดถูกปล่อยออกมา พร้อมตั้งรับเต็มรูปแบบ
แต่ว่าเขากลับไม่ได้รู้สึกถึงอันตรายใดที่ปรากฏออกมาแม้แต่น้อย ทั่วทั้งตำหนักแพร่กระจายเต็มไปด้วยปราณม่วงเข้มข้น ทุกสายในปราณม่วงต่างก็มีภาพนิมิตปรากฏอยู่ หลัวซิวรู้สึกราวกับกำลังดูวิวัฒนาการแห่งฟ้าดิน ภาพของสรรพสิ่งที่ต่างกลับคืนสู่เถ้าธุลี
เขามองไปรอบ ๆ ทั้งสี่ทิศ ภายในตำหนักมีเสาหิน 108 ต้น บนเสาหินทุกต้นต่างก็มีร่องรอยกฎสลักไว้นับไม่ถ้วน มากจนไม่สามารถคาดการณ์ได้
เงยหน้าขึ้นไปมอง เขามองเห็นท้องฟ้าที่เปล่งประกายระยิบระยับไปด้วยดวงดารา ซึ่งเป็นผลจากการแปรเปลี่ยนของปราณม่วง
“กาลเวลาผ่านไปเนิ่นนานเพียงใดไม่อาจล่วงรู้ แต่กลับรอคอยการมาถึงของชีวิตหนึ่งที่แม้แต่แดนเทพมารก็ยังไม่สามารถบรรลุถึง”
ทันใดนั้น เสียงน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเสียดายก็ดังขึ้นมา ทำให้สติของหลัวซิวถูกรวบรวม ความเคร่งขรึมระแวดระวังเกิดขึ้นในใจ
“ใครกัน?” เขาหันไปมองทั่วทั้งสี่ด้าน แต่เสียงนั้นกลับไม่มีรูปร่างใด ๆ ไม่สามารถระบุได้ว่าดังมาจากที่ใด
“ถึงแม้จะมีแค่เพียงแดนมหายุทธ์ แต่แดนกฎกลับบรรลุถึงแดนสำเร็จน้อยช่วงปลายแล้ว นับว่ามีพรสวรรค์ที่ดีทีเดียว” น้ำเสียงของอีกฝ่ายแสดงให้เห็นถึงความแก่ชรา ประเมินคุณสมบัติของหลัวซิว
ทันใดนั้น ปราณม่วงลำแสงหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าหลัวซิว แปรสภาพกายเป็นรูปร่างของผู้เฒ่าท่านหนึ่ง มองมาทางเขาด้วยท่าทีสงบ
หลัวซิวรี่ตา สังเกตเห็นว่าร่างของผู้เฒ่าที่ปรากฏขึ้นมานั้นไม่ใช่ร่างจริง แต่เป็นภาพลวง อีกทั้งยังสูญเสียแขนไปอีกอีกหนึ่งข้าง
“เจ้าหนุ่มน้อย ข้าคือจิตภัณฑ์ของตำหนักจื่อเซียวแห่งนี้ เจ้ามิต้องเป็นกังวลใจ ข้ามิได้หมายจะทำอันตรายต่อเจ้า” ผู้เฒ่าค่อย ๆ พูดออกมาช้า ๆ
“ข้าน้อยเพียงแค่บุ่มบ่ามเข้ามาในที่แห่งนี้ด้วยความไม่ระวัง หากทำสิ่งใดให้เกิดเป็นการรบกวน ข้าจะออกไปเดี๋ยวนี้”
หลัวซิวไม่ได้ลดการป้องกันลงแต่อย่างใด ตำหนักจื่อเซียวแห่งนี้มีบางอย่างแปลกประหลาด เขารู้สึกเพียงแค่อยากจะออกไปให้เร็วที่สุด
เพียงชั่วพริบตา เวลาหนึ่งปีก็ผ่านพ้นไป หลัวซิวหลงทางอยูในอนัตตาไม่สิ้นเป็นเวลาหกปีแล้ว
ในวันนี้อยู่ดี ๆ เขาก็พลันลืมตาขึ้นมาและเหลือบตามองขึ้นไปด้านบน ใบหน้าเผยความตื่นตกใจออกมา
ที่ปลายทางของอนัตตาไม่สิ้น กลับปรากฏตำหนักแห่งหนึ่งลอยอยู่กลางอากาศ
“ตำหนักโบราณลอยฟ้า? หรือว่าที่แห่งนี้ยังมีคนอาศัยอยู่ด้วย?”
เมื่อหลัวซิวมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่านั่นคือตำหนักจริง ๆ ในใจก็พลันรู้สึกตื่นตะลึงขึ้นมาอีกครั้ง
ที่กลางอนัตตาไม่สิ้นบังเอิญพบกับร่างของผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ เดิมทีก็เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจมากอยู่แล้ว ในเวลานี้ยังเจอตำหนักอีก มันช่างเป็นเรื่องน่าประหลาดใจจริง ๆ
นี่คือตำหนักที่มีสีม่วง รอบตำหนักนั้นมีรัศมีสีม่วงแผ่กระจายออกมา ยึดปริภูมิเอาไว้ ถึงแม้ว่าปริภูมินั้นจะเกิดความปั่นป่วนหรือเกิดพายุพัดพาเข้ามา ที่ตำหนักแห่งนี้ก็ยังคงตั้งมั่นอยู่ไม่สั่นไหว ลอยอยู่ ณ สถานที่อันห่างไกล
ถึงแม้ว่าระยะห่างจากไกลอยู่มาก หลัวซิวก็ยังรู้สึกได้ถึงความเก่าแก่และผันผวนของออร่า ราวกับว่าตำหนักแห่งนี้ตั้งอยู่ที่นี่มานานนับแสนปี หรือบางทีอาจจะเป็นล้านปีแล้วก็เป็นได้
“เห้อหมิง เจ้าไป”
หลัวซิวชี้นิ้วออกไป ร่างหนึ่งที่สวมชุดสีดำทั้งตัวก็พุ่งตัวออกไปยังตำแหน่งที่ตั้งของตำหนักสีม่วงทันที
ร่างนี้ไม่ใช่ภูตมรณะมารเทพ แต่เป็นผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ที่ชื่อว่าเห้อหมิงคนนั้น เขาถูกหลัวซิวกลั่นแปรให้เป็นภูตมรณะ
ส่วนชุดเก้ามังกรถูกหลัวซิวสวมใส่เอาไว้บนร่างของตนเอง ดังนั้นจึงได้หาเสื้อผ้าอื่นมาให้เขาสวมเอาไว้แทน
ถึงแม้เพราะถูกกลั่นให้เป็นภูตมรณะ ดังนั้นพลังจึงได้ลดลงอยู่ในระดับเจ้ายุทธจักร แต่เพราะร่างเนื้อคือร่างยุทธ์แดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ ที่สามารถอยู่ในสถานที่ส่วนใหญ่ของอนัตตาไม่สิ้นแห่งนี้ได้ ไม่เช่นนั้นผ่านไม่รู้กี่ปีต่อกี่ปีแล้ว แต่ร่างเนื้อก็ยังคงถูกเก็บเอาไว้อย่างสมบูรณ์
หลังจากนั้น เห้อหมิงก็เหาะมาถึงบริเวณใกล้เคียงของตำหนักสีม่วงแล้ว ม่านปราณม่วงตรึงรอบทั้งเขตตำหนักในรัศมีสิบกว่าเมตร ดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีอันตรายใด ๆ แฝงอยู่ในนั้น
หลัวซิวก็พาภูตมรณะมารเทพบินตรงเข้ามาด้วย ที่นอกเขตม่านปราณม่วงตรึงที่รอบตำหนัก เงยหน้าขึ้นไปมองตำหนักแห่งนั้นที่ลอยอยู่กลางอากาศ
รัศมีสีม่วงเต็มไปด้วยออร่าปริศนา ในขณะที่ยังไม่สามารถแน่ใจในสถานการณ์ได้นั้น หลัวซิวก็ไม่กล้าที่จะบุ่มบ่ามทำสิ่งใด
ทันใดนั้น นัยน์ตาของเขาก็รี่ลง เห็นรอยฝ่ามือที่ชัดเจนบนกำแพงตำหนักสีม่วงที่ลอยเขว้งอยู่กลางอากาศ
รอยฝ่ามือนั้นเห็นรอยนิ้วทั้งห้าได้อย่างชัดเจน เจาะกำแพงตำหนักม่วงด้านหนึ่ง ทิ้งรอยนิ้วมือที่ชัดเจนเอาไว้
เห็นได้ชัดว่า นี่น่าจะเป็นซากปรักหักพังที่เก่าแก่โบราณมากแห่งหนึ่ง บางทีด้านในนั้นอาจมีโชคลึกลับซ่อนอยู่ก็เป็นได้
แต่อย่างไร หลัวซิวก็รู้ดีเช่นกันว่า มีโอกาสที่จะเป็นสถานที่ซ่อนของโชคดี แต่ก็อาจจะเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยอันตรายก็ได้เช่นกัน
“ถึงอย่างไร ที่อนัตตาไม่สิ้นแห่งนี้ บางทีข้าอาจจะออกไปไม่ได้อีกเลยตลอดชีวิต เทียบกับต้องตายไปเมื่อพลังชีวิตที่ค่อย ๆ หมดลง สู้ลองเดิมพันดูสักครั้งยังดีเสียกว่า”
หลัวซิวนิ่งอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็กัดฟันแน่น ก้าวเท้าเดินเข้าไปในเขตม่านปราณม่วง
“ปัง!”
วินาทีที่เขาเดินเข้ามาในม่านปราณม่วง บางทีเพราะถูกดึงดูดด้วยออร่าบนร่างของเขา ปราณม่วงทั้งหมดต่างก็พากันเคลื่อนไหวขึ้นมา
ปราณม่วงแปรเปลี่ยนเป็นภาพต่าง ๆ แสดงภาพการต่อสู้อันยิ่งใหญ่ที่สะเทือนไปทั้งฟ้าดิน
ร่างของหลัวซิวอยู่ท่ามกลางปราณม่วง เหมือนกับเป็นผู้ชม ดื่มด่ำและร่วมเป็นสักขีพยานในการต่อสู้อันน่าสะพรึงนี้ด้วยตาตนเอง
สงครามช่างโหดร้าย จำนวนผู้มีเข้าร่วมในสงครามนี้อย่างน้อยต้องมีหลายล้านคน แต่ภาพที่ปรากฏในปราณม่วงนั้นค่อนข้างคลุมเครือ ไม่สามารถเห็นได้อย่างชัดเจน
สิ่งเดียวที่สามารถแน่ใจได้คือ เจ้าของตำหนักม่วงแห่งนี้ก็เข้าร่วมสงครามใหญ่นั้นด้วย เพราะภาพที่หลัวซิวได้เห็นทั้งหมดนั้น ตำหนักสีม่วงแห่งนี้เคยปรากฏขึ้น
“นั่นอะไร?”
ทันใดนั้น สีหน้าของหลัวซิวก็ชะงักไป เขามองดูภาพหนึ่งที่ปรากฏขึ้นท่ามกลางหมองสีม่วง ฝ่ามือหนึ่งฟาดลงมา เพียงฝ่ามือเดียวทำให้ตำหนักม่วงระเบิดออก ร่างเงาลาง ๆ ของผู้บัญชาแห่งสลายไปในทันที นั่นก็คือตายในสนามรบ
เมื่อเข้ามาใกล้ หลัวซิวจึงได้ฝากตัวสำนึกเข้าไปในร่างของภูตมรณะมารเทพ รับรู้ได้ถึงออร่าของผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์จากร่างไร้วิญญาณของชายชุดคลุมสีทอง
แน่ใจได้ว่าคนผู้นี้คือมหาจักรพรรดิยุทธ์คนหนึ่ง แต่รัศมีแห่งชีวิตนั้นไม่มีอยู่เลย เขาตายอยู่ที่ปริภูมิอันไร้ที่สิ้นสุดแห่งนี้
ภูตมรณะมารเทพพาร่างของผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ออกมาจากกลางปริภูมิที่บิดเบี้ยว หลัวซิวเห็นว่าในมือขวาของเขากำแน่น สิ่งที่อยู่ในกำมือคือม้วนหยกโบราณม้วนหนึ่ง
หลัวซิวไม่พบแหวนเก็บของบนร่างของชายชุดทอง นี่ทำให้เขารู้สึกผิดหวังอยู่ไม่น้อย หากสามารถครอบครองสมบัติมหาศาลที่ผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์คนหนึ่งทิ้งเอาไว้ได้ บางทีอาจจะสามารถทำให้ผลการฝึกตนของเขาพุ่งทะยาน ข้ามเข้าสู่แดนเจ้ายุทธจักรได้
ผลการฝึกตนของเขานั้นได้สะสมจนเพียงพอ อีกทั้งแดนกฎก็ได้ข้ามเงื่อนไขของการบรรลุเข้าแดนเจ้ายุทธจักรไปตั้งนานแล้ว ทั้งหมดนั้นมันขาดอยู่เพียงแค่ก้าวเดียว นั่นคือโชคดีอีกเพียงเล็กน้อย
ชุดคลุมสีทองบนตัวของชายคนนี้ ทำมาจากวัสดุที่ไม่รู้จักชื่อ หลัวซิวสัมผัสได้ถึงออร่ากฎบาง ๆ ของแดนบรรลุผล
ผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์เหมือนกัน แต่ความสูงต่ำของพลังนั้นถูกกำหนดตามแดนกฎ แดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ทั่วไปโดยทั่วไปจะอยู่ที่แดนกฎแดนสำเร็จน้อย มีเพียงผู้แข็งแกร่งจำนวนหนึ่งที่แข็งแกร่งมากกว่า จึงจะสามารถครอบครองพลังแห่งกฎของแดนบรรลุผลได้
หากสามารถฝึกตนแดนกฎให้ถึงแดนบริบูรณ์ได้ นั่นก็คือแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นสูง
อนาคินมหาจักรพรรดิยุทธ์ของโลกแสงดาวคือการมีอยู่อย่างพิเศษ ผลการฝึกตนยังไม่บรรลุถึงระดับเทพมาร แต่สามารถได้รับพลังแห่งกฎดั้งเดิมจากแดนอนาคิน ครอบครองพลังต่อสู้ข้ามแดนต้านทานเทพมารได้
ผลการฝึกตนของชายชุดทองเมื่อตอนที่ยังมีชีวิตนั้น หลัวซิวคาดเดาว่ามีความเป็นไปได้ว่าเป็นระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ช่วงกลาง
“ชุดคลุมสีทองยาวนี้เป็นสมบัติลับชิ้นหนึ่ง สามารถคงอยู่ได้ท่ามกลางเวลาที่เนิ่นนาน บางทีอาจจะเป็นระดับสมบัติวิเศษ”
หลัวซิวไม่ได้มีท่าทางเกรงใจหรือกังวลใจเลยแม้แต่น้อย เอื้อมออกไปถอดชุดคลุมสีทองของผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ท่านนี้ออกทันที จากนั้นก็สวมลงบนร่างของตนเอง
จิตใจของเขาสั่นไหวเล็กน้อย ชุดคลุมสีทองกลายเป็นชุดคลุมสีดำ มีลวดลายมังกรสีทองเก้าตัวปรากฏขึ้นราวกับมีชีวิต ทำให้เกิดความลึกลับถึงที่สุด
จากการกลั่นแปร หลัวซิวได้รู้ว่าสมบัติลับชิ้นนี้นามว่าชุดเก้ามังกร เป็นสมบัติวิเศษระดับล่างชิ้นหนึ่ง มักกรทองทั้งเก้าตัวบนชุดคลุมสามารถรวมตัวกันเป็นเกราะป้องกันได้
หลัวซิวพอใจอย่างยิ่ง ทันใดนั้นสายตาก็พลันมองไปที่ม้วนหยกโบราณในมือที่กำแน่นของร่างนั้น
คนผู้นี้เมื่อตอนที่เผชิญหน้ากับความตายนั้นยังคงกำม้วนหยกนี้เอาไว้แน่น เห็นได้ชัดว่าม้วนหยกนี้น่าจะเป็นของที่มีความสำคัญมากที่สุดชิ้นหนึ่ง
หลัวซิวให้ภูตมรณะมารเทพจับมือของเขาแบออก จากนั้นก็เอาม้วนหยกออกมา ส่งตัวสำนึกเข้าไปสำรวจ
บันทึกในม้วนหยกนี้ไม่ได้บันทึกวรยุทธ์วิชายิ่งเลิศใด ๆ แต่เป็นคำสั่งเสียของผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์บันทึกเอาไว้ก่อนตาย
ชายผู้นี้นามว่าเห้อหมิง เป็นผู้แข็งแกร่งที่มาจากโลกเทียนหยวน ตกลงที่อนัตตาโดยไม่ได้ตั้งใจ หลงทางสองพันปี!
“สองพันปี?”
หลัวซิวอ่านถึงตรงนี้ ในใจก็เก็บซ่อนความตื่นตกใจเอาไว้ไม่ได้ มหาจักรพรรดิยุทธ์ช่วงกลางคนหนึ่งแข็งแกร่งกว่าเขาไม่รู้กี่เท่า แต่ก็ยังหลงทางอยู่ในอนัตตาไม่สิ้นถึงสองพันปี หรือว่าที่นี่จะไม่มีทางออกใดจริง ๆ หรือ?
ทันใดนั้น หลัวซิวรู้สึกว่าตนนั้นตัวเล็กลงมาก ท่ามกลางอนัตตากว้างใหญ่ไพศาลไร้ขอบเขตไร้ที่สิ้นสุดนี้ เขาเป็นไม่ได้แม้เพียงเศษฝุ่น
แม้แต่ผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ ยังหลงทางกว่าสองพันปีอีกทั้งยังต้องมาตายอยู่ที่นี่ เขาเป็นเพียงมหายุทธ์ขั้นเก้าตัวเล็ก ๆ ยังมีช่องทางให้เอาชีวิตรวดได้อีกหรือ?
ตั้งแต่โบราณกาล อนัตตาไม่สิ้นเป็นหลุมฝังศพของผู้แข็งแกร่งที่หลงเข้ามาในที่แห่งนี้ไม่รู้กี่คนต่อกี่คน นอกเสียจากเทพมารนิรันกาลที่สามารถทำลายอนัตตาผ่านทะลุระหว่างโลกพิภพได้ ก็มีคนจำนวนเพียงหยิบมือเท่านั้นที่โชคดีสามารถหนีออกไปจากที่แห่งนี้ได้
เขาอยู่ที่อนัตตาไม่สิ้นใช้เวลาห้าปีเพื่อค้นหาทางออก ก็ยังรู้สึกได้ถึงความโดดเดี่ยวเกินทน แต่เมื่อเทียบกับเวลาสองพันปีแล้ว ห้าปีไม่ได้ถือเป็นเรื่องยิ่งใหญ่แต่อย่างใดเลย
“ข้าจะยอมแพ้ไม่ได้ เรื่องที่ผู้อื่นทำไม่สำเร็จ ใช่ว่าจะหมายความว่าข้าจะทำไม่สำเร็จ”
หลังจากครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ หลัวซิวก็ก่อร่างสร้างกำลังใจขึ้นมาใหม่ ในดวงตาของเขามีแววตาสดใสขึ้นมา
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 916
สถานการณ์เช่นนี้ช่างทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความสิ้นหวัง แต่หลัวซิวกลับไม่ได้ล้มเลิก โดยปกติอนัตตาไม่สิ้นมักจะปรากฏความอันตรายขึ้นมาบ้าง แบบเดียวกันกับรูปร่างของกฎปริภูมิดั้งเดิมที่เกิดความปั่นป่วน เกิดลมพายุ หรือแม้กระทั่งการบิดเบี้ยวของปริภูมิที่ไม่แน่นอน เมื่อใดที่เผชิญกับมัน ร่างกายก็จะถูกปริภูมิที่บิดเบี้ยวนั้นฉีกขาดในทันทีราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
เวลาครึ่งปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว ต่อให้เป็นการปิดขังหนึ่งครั้งตามปกติ ต่างก็มีน้อยครั้งนักที่จะใช้เวลายาวนานเช่นนี้
วิวรอบ ๆ นั้นยังคงไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง หลัวซิวก็ซูบโทรมลงไปมากอย่างเห็นได้ชัด ชุดเสื้อผ้าขาดวิ่น มีครั้งหนึ่งที่บุ่มบ่ามเข้าไปในปริภูมิที่บิดเบี้ยว จนเกือบเอาชีวิตไม่รอด
ถึงแม้เวลาครึ่งปีที่ผ่านไปนี้ไม่ได้ค้นพบว่าทางออกอยู่ที่ใด ผลการฝึกตนของหลัวซิวก็ไม่ได้หยุดโดยไม่มีความคืบหน้า อาศัยทรัพยากรมหาศาลที่เก็บออมเอาไว้ในแหวนเก็บของ จึงได้ฝึกตนบรรลุถึงแดนมหายุทธ์ขั้นเก้าแล้ว
ก่อนนี้เขาจงใจที่จะควบคุมการเข้าแดนของผลการฝึกตน เพื่อป้องกันการเกิดความไม่มั่นคงของรากฐาน แต่ตนอยู่ในอนัตตาไม่สิ้นแห่งนี้ที่สามารถเกิดสถานการณ์แห่งความเป็นความตายได้ทุกเวลา เดิมที่ก็เป็นเรื่องที่ไม่สามารคาดการณ์สิ่งใดได้อยู่แล้ว การฝึกฝนที่อาจถึงแก่ชีวิตได้ตลอดเวลา หลังจากที่ผลการฝึกตนของเขาได้รับการฝึกฝนมากเพียงพอ ย่อมสามารถยกระดับขึ้นได้อย่างมั่นคง
หลังจากประสบอันตรายจนเกือบตายอีกครั้ง หลัวซิวก็ปล่อยภูตมรณะมารเทพออกมา เพื่อให้สำรวจทางด้านหน้า
เขาแอบคำนวณเวลาอยู่ในใจ สัมผัสได้ว่าเวลานั้นไหลไปอย่างรวดเร็วราวกับสายน้ำ มันได้ผ่านล่วงเลยไปแล้วประมาณเกือบ ๆ สามปี
ภายในระยะเวลาสามปีนี้ เขาได้ชุบร่างเนื้อของตนเองจนถึงขีดสุดของร่างยุทธ์แดนเจ้ายุทธจักร แดนกฎก็ยกระดับถึงแดนสำเร็จน้อยช่วงปลาย เก้าขั้นต้องห้ามของหอกยุทธ์มังกรดำ ก็ได้เปิดถึงขั้นที่หกแล้ว!
เพียงแต่ผลการฝึกตนของกลับไม่สามารถบรรลุถึงแดนเจ้ายุทธจักร อีกทั้งภายในเวลาสามปีที่ผ่านมานี้ เขาแทบจะใช้ทรัพยากรฝึกตนมหาศาลที่อยู่ในแหวนเก็บของจนเกือบหมด
พลังของเขาแข็งแกร่งมากเกินไป สะสมไว้อย่างหนาแน่นเกินไป การบรรลุหนึ่งแดนใหญ่จากมหายุทธ์ขั้นเก้าถึงเจ้ายุทธจักร จำเป็นต้องอาศัยโชคที่ดีสักอย่างหนึ่งจึงจะสำเร็จ อย่างน้อย ๆ ก็ต้องมีโชคดีที่สามารถทำให้เจ้ายุทธจักรทั่วไปบรรลุถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์!
โชคดีที่ว่านั้นไม่จำเป็นต้องเป็นทรัพยากรสมบัติ หากเป็นการสัมผัสรู้สูงขึ้นในชั่วพริบตา ก็สามารถมีผลทำให้สามารถผ่านช่วงคอขวดและบรรลุแดนใหญ่ได้
ตลอดเวลามานี้ นับตั้งแต่เหยียบเข้าสู่เส้นทางการฝึกยุทธ์นี้ การเข้าแดนของหลัวซิวนั้นราบรื่นไร้สิ่งกีดขว้าง นี่ถือเป็นครั้งแรกที่ใช้เวลาเกือบสามปีแต่ยังไม่สามารถบรรลุได้
เวลายังคงผ่านล่วงเลยไป เวลาห้าปีผ่านไปแล้ว เขายังคงไม่ประสบโชคที่สามารถช่วยในเรื่องของการบรรลุได้
ภูตมรณะมารเทพกำลังสำรวจทางด้านหน้าต่อไป โดยไม่รู้จักความเหน็ดเหนื่อย เขาหลับตาเดินตามไปด้านหลัง ทบทวนประสบการณ์โลกยุทธ์ของตน
ในเวลานี้เอง ดวงตาทั้งสองข้างของเขาก็ลืมขึ้นมากะทันหัน เพราะว่าเขาใช้ดวงตาของภูตมรณะมารเทพ มองเห็นว่าที่ด้านหน้ามีร่างไร้วิญญาณลอยอยู่ที่กลางอนัตตาไม่สิ้นอันแปลกประหลาดนี้
“ศพ? เหตุใดที่นี่จึงมีศพอยู่ด้วย?” หลัวซิวเงยหน้ามองด้วยความรู้สึกประหลาดใจ
ศพร่างนี้เป็นเพศชาย ดวงตาคู่นั้นปิดสนิท ไม่มีพลังแห่งชีวิตแม้แต่น้อย บนร่างสวมด้วยชุดคลุมยาวสีทอง ผ่านไปไม่รู้กี่ปีแล้วก็ยังคงไม่สามารถทำลายให้สิ้นได้ เห็นได้ชัดว่าต้องไม่ใช่สมบัติธรรมดาที่หาได้โดยทั่วไปแน่นอน
หลัวซิวเดินเข้าไปด้านหน้า แต่ก็รู้สึกได้ถึงอันตรายขึ้นมากะทันหัน จึงได้ก้าวถอยหลังออกมาในทันที
เขาสงบจิตใจลงและเหลือบตาขึ้นมอง พบว่าเขตที่ร่างนี้ลอยอยู่นั้น เป็นปริภูมิที่มีความบิดเบี้ยวอยู่
ปริภูมิที่บิดเบี้ยวนั้นน่าเกรงกลัวจนถึงที่สุด ด้วยร่างยุทธ์แดนเจ้ายุทธจักรแดนสูงสุดของเขาในตอนนี้ยังไม่สามารถต้านทานได้ ร่างอาจถูกฉีกออกได้ในชั่วพริบตา
มีเพียงร่างยุทธ์ร่างเนื้อระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์เท่านั้นที่จะสามารถต้านทานการฉีกทึ้งของปริภูมิที่บิดเบี้ยวได้ สิ่งนี้ทำให้หลัวซิวยิ่งรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาอีกเท่าหนึ่ง
หรือว่าเจ้าของร่างนั้นคือผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ หรือบางทีอาจจะเป็นถึงเทพมารก็เป็นได้?
หลัวซิวควบคุมภูตมรณะมารเทพให้เดินเข้าไปในปริภูมิที่บิดเบี้ยวนั้น ร่างของภูตมรณะตนนี้คือเทพมาร ย่อมไม่เกรงกลัวต่อการฉีกทึ้งของปริภูมิที่บิดเบี้ยวอยู่แล้ว
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 915
“ลูกชายของข้า ข้าคาดไม่ถึงว่าเจ้าจะหลอกพ่อของเจ้า”
สีหน้าของเจ้าสำนักมืดขรึมลง ฝ่ามือของเขาก็ค่อยๆ เหยียดออก
“บูม!”
ทันทีที่ค่ายวาร์ปถูกเปิดใช้ ค่ายอักษรจำนวนนับไม่ถ้วนที่ปรากฎบนนั้นก็ผลิบานพร้อมกัน ความผันผวนของพลังจิตและพื้นที่ก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
ในขณะนี้ ความว่างเปล่าเหนือแท่นค่ายวาร์ปก็ฉีกออก มือใหญ่ที่ควบแน่นไปด้วยพลังกฎแห่งความมืดก็ปรากฏขึ้นจากกลางอากาศ แล้วจับไปยังหลัวซิวที่อยู่ใจกลางแท่นบูชา
ในชั่วพริบตา พลังของแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ไม่มีที่สิ้นสุด ออร่ากดดันมากกว่าเก๋อฟูและลีน่าไม่รู้ว่ากี่เท่า
“ท่านพ่อ?” บาเค่อสีหน้าเปลี่ยนไปเมื่อเห็นภาพนี้ เขาคาดไม่ถึงว่าเมื่อเปิดใช้งานค่ายวาร์ปจะรบกวนท่านพ่อของเขา
“ฮึ่ม ข้าจะจัดการเรื่องนี้กับเจ้าในภายหลัง!” เสียงของเจ้าสำนักมืดดังก้อง มือใหญ่พลังแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ และออร่าที่แผ่กระจายไประงับพื้นที่ เขาต้องบังคับบล็อกการส่งค่ายวาร์ปนี้
สีหน้าของหลัวซิวเปลี่ยนไปทันที เขาหยิบธงขลังสรรพสิ่งออกมาทันที กลุ่มแสงพุ่งออกมาจากค่ายธง เร่งการเปิดของค่ายวาร์ป
ตอนนี้ความเก่งกาจด้านค่ายกลถึงระดับเจ้ายุทธจักรขั้น 9 แล้ว ห่างจากการเป็นปรมาจารย์ระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์เพียงก้าวเดียวเท่านั้น
“บูม!”
เขาขับเคลื่อนด้วยพลังค่ายกล เวลาสำหรับเปิดค่ายวาร์ปใช้นั้นสั้นลงถึงครึ่งหนึ่งทันที
แสงสีเงินสว่างปะทุขึ้นมา ความผันผวนของพื้นที่นั้นรุนแรงมาก และร่างของหลัวซิวหายไปบนแท่นบูชาโบราณ
“อยากจากไป? ไม่ง่ายขนาดนั้น!”
เจ้าสำนักมืดส่งเสียงเย็นออกมา ตบฝ่ามือขึ้นไปในอากาศ ทำลายสุญญากาศ และตัดทางอากาศที่เปิดออกโดยค่ายวาร์ป
ผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ธรรมดาก็สามารถฉีกอากาศออกได้แล้ว นับประสาอะไรกับเจ้าสำนักมืดแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ที่ไม่มีใครเทียบได้?
ทางอากาศถูกทุบสลายด้วยฝ่ามือของเขา พลังอันน่าสะพรึงกลัวของอวกาศก็ปะทุขึ้นมา กลายเป็นหลุมดำ กลืนทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวมัน
ในขณะนี้ ฝ่ามือของเจ้าสำนักมืดฝ่าผ่านพลังอันรุนแรงของอวกาศ ออร่าที่กดดันก็ล็อคตัวหลัวซิวไว้อย่างแน่นหนา
หลัวซิวรู้ดีว่าถึงแม้จะเป็นฝ่ามือข้างเดียวของเจ้าสำนักมืด ก็ไม่สามารถต้านทานมันด้วยไพ่ตายทั้งหมดของเขา เขากัดฟันแน่น และพุ่งไปที่หลุมดำที่กลืนกินทุกอย่างอย่างกะทันหัน
ร่างของเขาถูกเข้าไปในนั้น ราวกับปลาที่ตกลงไปในทะเลที่ไม่มีคลื่นแม้แต่น้อย
สิ่งที่น่าสะพรึงกลัวก็คือพลังอวกาศตกกระทบลงบนร่างเขา ทำให้หลัวซิวรู้สึกเหมือนกำลังจะถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ และสติของเขาก็จมดิ่งลงในความมืด
…
เมื่อหลัวซิวฟื้นคืนสติ เขาก็พบว่าตัวเองอยู่ในพื้นที่แปลกประหลาด
ที่นี่มีกลิ่นอายของกฎปริภูมิ หากผู้แข็งแกร่งซึ่งฝึกฝนกฎปริภูมิทำความเข้าใจที่นี่ แดนกฎจะสูงขึ้นอย่างมากอย่างแน่นอน
แต่หลัวซิวรู้ว่าแม้แต่ผู้แข็งแกร่งที่เชี่ยวชาญกฎปริภูมิ ก็ยังยากที่จะหาทางกลับไปเมื่อหลงทางอยู่ในความว่างเปล่านี้
เพื่อหลีกเลี่ยงการไล่ล่าของเจ้าสำนักมืด เขาได้กระโจนเข้าไปในหลุมดำแห่งความว่างเปล่าแล้วหลงทางอยู่ในความว่างเปล่าที่ไร้สิ้นสุด
แม้ว่าหลัวซิวจะเตรียมใจไว้แล้ว แต่เมื่อเขายืนยันเรื่องนี้จริงๆแล้ว เขาก็รู้สึกจนปัญญาเล็กน้อย
ทุกสิ่งรอบตัวนี้เหมือนกันหมด และไม่มีทิศทาง เป็นไปได้ว่าทั้งชีวิตนี้ของเขาก็ไม่สามารถหาทางออกได้
หลัวซิวล็อคทิศทางหนึ่งแล้วเริ่มก้าวไปข้างหน้า เวลาผ่านไปอย่างเงียบ ๆ เขาไม่รู้ว่าเขาเดินแบบนี้มานานแค่ไหน แต่เขาพบว่าภาพโดยรอบไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง ราวกับว่าเขาเดินอยู่ในสถานที่เดิมอยู่ตลอด
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 914
“ท่านชายบาเค่อจะไปฝึกฝนที่แดนดารานอกหรือ?” หัวหน้าเยลพูดขึ้นอย่างคาดไม่ถึง เพราะถึงแม้แดนดารานอกจะมีสมบัติล้ำค่าอยู่บ้าง แต่ก็อันตรายมาก ในฐานะของบาเค่อ ไม่จำเป็นต้องไปเสี่ยงที่นั่น
“ข้ามาส่งเพื่อนของข้า” บาเค่ออธิบาย
คนที่ชื่อเยลเจ้ายุทธจักรขั้น 9 ขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนี้
“หัวหน้าเยล มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?” บาเค่อขมวดคิ้ว ดูไม่พอใจเล็กน้อย
“ท่านชายบาเค่อ เป็นอย่างนี้ ไม่นานมานี้ผู้อาวุโสเก๋อฟูและลีน่า รับสั่งกับข้าว่าถ้าใครต้องการใช้ค่ายวาร์ปเพื่อไปยังแดนดารานอก ต้องสืบตัวตนและแจ้งให้ผู้อาวุโสสองคนทราบก่อนจึงจะได้รับการปล่อยตัว” เยลกล่าวอย่างลำบากใจ
ผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ในเชิ่งถิงสว่างคือจ้าวลัทธิ ในตำหนักเทวมืดจะเป็นสภาผู้อาวุโส มีสถานะและฐานะที่สูงส่งอย่างยิ่ง
เมื่อหลัวซิวได้ยินเช่นนี้เขาก็รู้สึกเข้มงวดเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเก๋อฟูและลีน่า ได้เตรียมการทั้งหมดไว้ล่วงหน้าเพื่อป้องกันไม่ให้เขาหลบหนี
ถ้าเขาไม่ได้ไปที่ตำหนักเทวมืดเพื่อกำจัดคนทั้งสอง แต่ตามบาเค่อมาที่นี่ คาดว่าเขาคงไม่มีโอกาสจากไป
“ข้าจะอธิบายให้กับผู้อาวุโสทั้งสองเอง” บาเค่อพูดอย่างเคร่งขรึม
“เอ่อ…” เยลลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายเขาก็พยักหน้าและพาคนหลีกทาง
การเดินทางครั้งนี้เป็นการเดินทางที่อันตรายแต่ผ่านไปได้ หลัวซิวและบาเค่อเดินผ่านมาแล้วเดินไปที่แท่นบูชาค่ายวาร์ปกว้างใหญ่
แม้ว่าเยลจะปล่อยทาง แต่เมื่อบาเค่อและหลัวซิวผ่านไป พวกเขาหยิบลูกแก้วสื่อสารออกมาและบันทึกสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่
“บาเค่อ ความสัมพันธ์ของเจ้ากับผู้อาวุโสลีน่าคืออะไร?” หลัวซิวถามอย่างเป็นกันเองขณะยืนอยู่บนแท่นบูชาโบราณ
“นางเป็นน้องสาวของแม่ข้า” บาเค่อยิ้ม “แม้พวกเขาจะรู้ว่าข้าปล่อยเจ้าไป พวกเขาก็ไม่น่าทำอะไรกับข้า”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลัวซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย คาดได้ว่าถ้าบาเค่อปล่อยเขาไป เขาจะถูกเจ้าสำนักตำหนิอย่างแน่นอน และเขาอาจเสียโอกาสที่จะได้เป็นเทพบุตรมืดไป
“บาเค่อ ข้าจะไม่พูดคำพูดขอบคุณ ครั้งนี้ที่จากไป ในอนาคต เจ้าและข้าอาจจะยากที่จะได้พบกันอีก สมบัตินี้เก็บไว้กับเจ้าชั่วคราว”
หลัวซิวเดินไปที่ศูนย์กลางของแท่นบูชาค่ายวาร์ป ยกมือขึ้น ตำหนักเสวียนดำกลายเป็นแสงสีดำและบินไปทางบาเค่อ
ไม่ว่าอย่างไร ตำหนักเสวียนดำนี้ไม่ใช่สมบัติวิเศษของเขาเอง ดังนั้นเขาไม่ได้บอกว่ามอบให้บาเค่อ และเหตุผลที่ตอนนี้เขาจะเก็บไว้กับบาเค่อ เพราะลีน่าถูกเขากักขังปราบปรามอยู่ข้างใน
เขารู้สึกถูกที่เขาไม่ได้ฆ่าลีน่า ไม่เช่นนั้นเขาจะรู้สึกผิดต่อบาเค่อมากขึ้น
หลังจากนั้นหลัวซิวยกมือพร้อมโบกมือ เขาหยิบหินพลังจิตออกมาจำนวนมากแล้วกองรวมกันเป็นภูเขา คล้ายกับค่ายวาร์ปที่ข้ามพิภพหนึ่งต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมากในการเปิดใช้งาน
ทรัพยากรทั่วไปเช่นหินพลังจิตไม่มีผลอะไรกับหลัวซิว มีการสะสมจำนวนมากในวงแหวนจัดเก็บและโดยทั่วไปจะใช้เฉพาะในช่วงเวลาที่กำหนดเช่นนี้เท่านั้น
“บูม!”
ลำแสงอันเจิดจ้าผลิบานขึ้นบนแท่นบูชาค่ายวาร์ป ลำแสงหนายิงตรงขึ้นไปบนท้องฟ้า ทำลายออร่าความมืดที่ลอยอยู่ด้านบนไป
พลังจิตที่รุนแรงและความผันผวนของพื้นที่ปรากฏขึ้น ซึ่งรบกวนผู้แข็งแกร่งจำนวนมากในตำหนักเทวมืดในทันที
“มีคนกำลังใช้ค่ายวาร์ปไปยังแดนดารานอก!”
ตัวสำนึกของเจ้าสำนักมืดเหลือบมองไปก็พบว่าเกิดอะไรขึ้นที่ด้านแท่นบูชาค่ายวาร์ป
“หืม? บาเค่อเหรอ? คนที่อยู่บนแท่นค่ายวาร์ป…”
ทันใดนั้น สีหน้าของเจ้าสำนักมืดก็ขรึมนิ่ง และเขาก็นึกถึงการสนทนาระหว่างเขากับบาเค่อเมื่อสองสามวันก่อนในทันที
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 913
สำหรับหลัวซิวนี่เป็นการพลิกกลับครั้งใหญ่ ผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ทั้งสองที่อยู่บนจุดสูง คนหนึ่งถูกสังหารคนหนึ่งได้รับบาดเจ็บภายใต้การสมคบคิดของเขา
นอกจากพลังต่อสู้อันเผด็จการของภูตมรณะเทพมารแล้ว ความแข็งแกร่งของเขาเองก็มีบทบาทที่ชี้ขาดเช่นกัน อย่างไรก็ตามภูตมรณะเทพมารมีเพียงองค์เดียวเท่านั้น หากไม่ใช่เพราะเขายับยั้งลีน่า เมื่อผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์สองคนหลบหนีไปได้หนึ่งคน เขาจะอยู่ในภาวะอันตรายครั้งใหญ่
หลัวซิวเก็บสมบัติลับมากมายแล้วออกจากหอคอยเทวมืดด้วยความเร็วที่เร็วที่สุด
จากนั้นเขาก็ติดต่อบาเค่อด้วยลูกแก้วสื่อสารและรู้ว่าอีกฝ่ายได้กลับไปที่ตำหนักเทวมืดแล้ว
“จะไปจริงๆ เหรอ?”
หลัวซิวพึมพำ สำนักงานใหญ่ของตำหนักเทวมืดจะเป็นสถานที่อันตรายที่แท้จริงสำหรับเขา เมื่อเขาไปที่นั่นและตกเป็นเป้าหมาย กลัวว่าเขาจะออกจากที่นี่ได้ยาก
และเก๋อฟูถูกฆ่า ลีน่าถูกกักขังปราบปราม เขาอาจถูกสังหารในที่เกิดเหตุโดยผู้แข็งแกร่งของตำหนักเทวมืดทันที
แม้ว่าร่างแยกชุดดำจะไม่กลัวความตาย แต่ก็มีสมบัติลับมากมาย ถ้าจะตายจริง ๆ ก็จะประสบความสูญเสียอย่างหนัก
นี่คือการเดิมพันครั้งใหญ่ ถ้าสามารถผ่านมันได้อย่างปลอดภัย ก็จะเป็นอิสระ ไปที่ไหนก็ได้
สำนักงานใหญ่ของตำหนักเทวมืดตั้งอยู่ทางเหนือ และหลัวซิวใช้เวลาสองวันในการมาที่นี่
ระหว่างทาง เขาได้ยินข่าวบางอย่างและได้รู้ว่าแข็งแกร่งเทพมารของเชิ่งถิงสว่างค้นหาอยู่ในความว่างเปล่า จนถึงตอนนี้ยังไม่พบพื้นที่ลับที่เมืองเทพโบราณตั้งอยู่
“เจ้ามาแล้ว เพื่อนของข้า”
หลัวซิวได้พบกับบาเค่อที่นี่ และคนรับใช้ชราซึ่งตามติดเขาตลอดเวลา
“ตามข้ามา”
สิ่งที่ทำให้หลัวซิวประหลาดใจก็คือ สีหน้าของบาเค่อดูเหมือนจะกังวลเล็กน้อย และเขาก็พาเขาไปที่ป่ามืดที่ปกคลุมไปด้วยความมืดด้านหลังตำหนักเทวมืด
“มีอะไรเหรอ?” หลัวซิวถามอย่างสงสัย
“ตัวตนของเจ้าถูกเปิดเผยแล้ว ถ้าท่านพ่อรู้เข้า เจ้าจะไม่สามารถออกไปได้อีก” บาเค่อพูดอย่างเคร่งขรึม
เมื่อได้ยินเช่นนี้ นัยน์ตาของหลัวซิวก็ขรึมลง เขารู้ดีว่าท่านพ่อของบาเค่อเป็นจ้าวแห่งตำหนักเทวมืด แม้ว่าจะไม่ใช่สิ่งมีชีวิตระดับเทพมารนิรันดร์ อย่างน้อยเขาก็เป็นผู้แข็งแกร่งที่มีชื่อว่ามหาจักรพรรดิยุทธ์คนหนึ่ง
เมื่อตกเป็นเป้าหมายของผู้แข็งแกร่งระดับนี้ หลัวซิวรู้ดีว่าเขาจะไม่มีโอกาสหลบหนีแม้แต่น้อย
สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจยิ่งกว่านั้นก็คือในเมื่อบาเค่อรู้จักตัวตนของเขา ทำไมเขายังช่วยเขาด้วย?
“เจ้าเป็นเพื่อนคนเดียวของข้า ข้าไม่สามารถทรยศเจ้าได้” บาเค่อพูดด้วยรอยยิ้ม
เขายิ้มอย่างตรงๆ ซึ่งทำให้หลัวซิวมีความเคารพและความขอบใจในใจ คิดว่าเขาได้ปราบปรามลีน่าเพื่อป้องกันไม่ให้เขาทรยศต่อเขา หลัวซิวกลับรู้สึกละอายใจเล็กน้อย
“ขอบใจเจ้านะบาเค่อ” หลัวซิวกล่าวอย่างจริงใจ
บาเค่อไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ตบไหล่ของหลัวซิวด้วยรอยยิ้ม ทุกอย่างไม่จำเป็นต้องพูด
มีพื้นที่เปิดโล่งในส่วนลึกของป่ามืดแห่งนี้ ซึ่งสร้างแท่นบูชาค่ายวาร์ปสูงตระหง่านอยู่ที่นี่
แท่นบูชาค่ายวาร์ปนี้มีความสูง 5 หรือ 6 เมตร และมีความกว้างร้อยฟุต แกะสลักด้วยลวดลายอวกาศมากมายและกะพริบด้วยแสงสีเงินจางๆ
นี่คือค่ายวาร์ปที่แข็งแกร่งระดับเทพมารถึงรสามารถสร้างได้เท่านั้น สามารถข้ามไปยังพิภพอื่น ส่งผู้คนไปยังแดนดารานอกได้
ใกล้แท่นค่ายวาร์ป มีทีมงานสิบสามคนประจำการอยู่ในตำหนักเทวมืด และผู้นำคือเจ้ายุทธจักรขั้น 9 คนหนึ่ง
“ท่านชายบาเค่อ”
เมื่อเห็นบาเค่อมาที่นี่ สิบสามคนที่ดูแลแท่นค่ายวาร์ปก็ออกมาทำความเคารพกัน
“หัวหน้าเยล ข้าต้องการใช้ค่ายวาร์ปนี้” บาเค่อพยักหน้าแล้วพูด
บทที่ 912
บทที่ 914
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 912
“เจ้ากล้าคิดร้ายต่อพวกข้า เจ้าหาที่ตาย!” นางตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว นางก็จะกระตุ้นวิชาห้ามที่ลงเข้าไปในตัวหยั่งรู้ของหลัวซิวเมื่อก่อน
“บูม!”
หอกยุทธ์กลายเป็นมังกรดำ และระเบิดลีน่าออกไป นางได้กระตุ้นวิชาห้าม แต่หลัวซิวยังคงยืนอยู่ที่นั่นอย่างปลอดภัย
“เจ้า…” ในตอนนี้ ลีน่าเข้าใจแล้วว่านางและเก๋อฟูถูกหลอก วิชาห้ามที่พวกเขาลงในตอนแรกได้รับการแก้ไขแล้วโดยผู้ชายคนนี้
“วันนี้ข้ามาเพื่อเรียกเก็บบัญชี ในขณะเดียวกันข้าก็จะคิดดอกเบี้ยด้วย”
หลัวซิวยิ้มอย่างเย็นชาและโจมตีอย่างไร้ความปราณี หอกยุทธ์มังกรดำเคลื่อนไหวต่างๆด้วยทักษะการต่อสู้ที่สร้างมาจากหมื่นจักรวาลไร้รูป และในขณะเดียวกันก็บีบผนึกเพื่อส่งตราทวยมรณะออกมา
หอกยุทธ์มังกรดำได้ปลดบล็อกขั้นสี่และพลังโจมตีเทียบได้กับพลังโจมตีของแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ธรรมดา และลีน่าเองที่เป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นปฐมภูมิ พลังของหอกยุทธ์ก็เพียงพอที่จะก่อให้เกิดภัยคุกคามต่อนางอย่างแน่นอน
และพลังตราทวยมรณะนั้นแข็งแกร่งมากกว่า ประกอบกับพลังแปรเสวียนเทียนที่เพิ่มขึ้นถึงยี่สิบสี่เท่า นางที่เป็นถึงผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ถูกโจมตีจนถอยหลังไปเรื่อย ๆ และไม่ว่างที่จะโจมตีกลับไป
หากเป็นการเผชิญหน้าแบบตัวต่อตัว หลัวซิวย่อมไม่สามารถปราบปรามผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์คนหนึ่งได้ แม้แต่มหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 1 ธรรมดาก็ไม่ได้ แต่ลีน่าได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการลอบโจมตีจากภูตมรณะเทพมาร อย่างนี้แล้วหลัวซิวจึงมีโอกาสใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้
ถึงกระนั้น เขาทำได้เพียงกดทับลีน่า แต่ไม่สามารถฆ่านางหรือสร้างความเสียหายอย่างหนักให้นางต่อไปได้
“อ๊าก!…”
เสียงร้องโหยหวนดังก้อง หลัวซิวไม่ผิดหวังกับพลังการต่อสู้ที่แข็งแกร่งของภูตมรณะเทพมาร ในเวลาเพียงไม่กี่สิบกระบวนท่า ร่างกายของเก๋อฟูผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ผู้นี้ถูกฉีกออกกลายเป็นเลือดฝนตก
“โฮก!”
ภูตมรณะเทพมารเงยหน้าขึ้นคำราม อ้าปากพร้อมดูดกลืนเนื้อและเลือดของเก๋อฟูทั้งหมดจนสะอาด
แสงสีดำพุ่งออกมาด้วยความเร็วที่รวดเร็วมาก คือเทพจิตของเก๋อฟู
หลังจากที่ผลการฝึกตนไปถึงแดนมกุฎยุทธ์ เทพจิตจะกลายเป็นหนึ่งเดียวกับร่างกาย แต่หลังจากที่ผลการฝึกตนไปถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ แม้ว่าร่างกายจะถูกทำลาย เทพจิตกลับสามารถแยกออกจากร่างกายได้ ยังสามารถหนีเอาชีวิตรอดได้
เพียงแต่แสงสีดำนี้เพิ่งจะบินขึ้นไป ก็ถูกจับโดยมือใหญ่ของภูตมรณะเทพมารแล้วยัดมันเข้าไปในปาก
ภูตมรณะเป็นสิ่งมีชีวิตพิเศษที่ได้มาจากกฎความตาย มันไม่มีลมหายใจ แต่กลับมีชีวิตอยู่จริงๆ
ภูตมรณะสามารถวิวัฒนาการให้แข็งแกร่งขึ้นได้ด้วยการกินเนื้อและวิญญาณของผู้แข็งแกร่ง หลังจากกลืนกินผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์อย่าง เก๋อฟูแล้ว หลัวซิวรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าออร่าของภูตมรณะเทพมารองค์นี้แข็งแกร่งขึ้นเล็กน้อย
“ไม่!”
เก๋อฟูถูกฆ่า และลีน่ารู้ดีว่านางจะไม่รอดเช่นกัน
และผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่ลีน่าคาดไว้ นางไม่มีโอกาสที่จะใช้วิชาห้ามที่แข็งแกร่งได้เลย ภูตมรณะเทพมารก็พุ่งเข้ามา ฉีกแขนทั้งสองของนางลงมา
“เพื่อเห็นแก่บาเค่อ ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า”
ในท้ายที่สุด หลัวซิวไม่ได้ฆ่าลีน่าให้ตายเหมือนที่ฆ่าเก๋อฟู แต่ให้ภูตมรณะเทพมารโจมตีนางจนเกือบตาย จากนั้นจึงปราบปรามและผนึกนางไว้ด้วยตำหนักเสวียนดำ
นี่คือไพ่ตายอย่างหนึ่งในมือของหลัวซิว เผื่อว่าบาเค่อจะทรยศตัวเองและวางกับดักไว้ในตำหนักเทวมืด
เท่าที่เขารู้ บาเค่อเป็นลูกชายของเจ้าสำนักมืดและเขาเรียกลีน่าว่าป้า เห็นได้ชัดว่าฐานะของผู้หญิงคนนี้ที่ชื่อลีน่าไม่ธรรมดา
“ของของข้าก็ยังคงเป็นของข้า และตอนนี้ ของของพวกเจ้าก็กลายเป็นของข้าแล้ว”
ดังที่หลัวซิวกล่าว เขากลับมาในครั้งนี้เพื่อคิดบัญชี เพื่อเอาของเดิมที่เป็นของเขากลับคืนมา ในเวลาเดียวกันก็เรียกเก็บดอกเบี้ย
เขาทองดำไท่เสวียน ลูกแก้วเสวียนดำ พลังและเลือดเทพมารและอื่นๆทั้งหมด นอกจากนี้ความมั่งคั่งของเก๋อฟูและลีน่า ผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ทั้งสอง ก็น่าทึ่งเช่นกัน
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 911
“สารจิงอัคคีเทพที่มีพลังดั้งเดิมแห่งอัคคี?” ดวงตาของเก๋อฟูและลีน่าเป็นประกาย สำหรับผู้แข็งแกร่งระดับเทพมาร สารจิงอัคคีเทพนี้มีผลเพียงเล็กน้อย
“เจ้าไม่ได้สิ่งอื่นอีกแล้วหรือ? ได้ยินมาว่ามีคนได้รับหินปีศาจมืดจากเมืองเทพ” ลีน่าพูดพร้อมขมวดคิ้ว
แต่สำหรับนางและเก๋อฟูผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ที่ฝึกฝนวรยุทธ์ธาตุไฟทั้งสอง หินปีศาจที่มีกฎมืดดั้งเดิมจะเป็นสมบัติล้ำค่ากว่าโดยธรรมชาติ
“ในนั้นมีภูตมรณะมากเกินไป ข้าค้นหาเฉพาะในช่วงที่กำหนด และพบเพียงสารจิงอัคคีเทพเท่านั้น” หลัวซิวกางมือออกและถอดแหวนเก็บของของตนออกมา “ถ้าเจ้าไม่เชื่อ เจ้าดูเองได้”
“ข้าจะดูเอง”
ดวงตาของเก๋อฟูฉายแสงสีดำออกมาซึ่งตกลงบนจุดตันเถียนของหลัวซิว เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกว่าหลัวซิวได้ซ่อนสมบัติไว้ในจุดตันเถียนของเขา
ลีน่าก็ไม่ได้ว่างเช่นกัน ตัวสำนึกแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ตัวสำนึกได้บังคับเข้าสู้หน้าผากของหลัวซิวเพื่อตัวหยั่งรู้ของเขา
สิ่งนี้ทำให้หลัวซิวโกรธมาก เห็นได้ชัดว่าสองคนนี้ถือว่าเขาเป็นปลาบนเขียงและต้องการทำซ้ำ และแย่งสมบัติของเขาเหมือนครั้งที่แล้ว
และพฤติกรรมแบบนี้ก็หยาบคายอย่างยิ่ง ซึ่งเทียบเท่ากับการเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของเขา ไม่เกรงใจสักนิด
“พวกเจ้าสองคน พวกเจ้าทำตัวเอง!” ดวงตาของหลัวซิวเย็นชาราวกับน้ำแข็ง
“บูม!
ทันใดนั้น แสงศักดิ์สิทธิ์สีทองส่องประกายจากจุดตันเถียนของหลัวซิว และในหอคอยศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเต็มไปด้วยกฎมืด ออร่าของกฎสว่างที่ปรากฏขึ้นในทันใดส่องประกาย เด่นชัดและสะดุดตามาก
“โอ้ พระเจ้า นี่คือ… ไฟเทวสว่างนี่ไม่ใช่เทพบุตรสุริยาเอริคที่เอริค เทพบุตรสุริยาครอบครองอยู่ไม่ใช่หรือ?” เก๋อฟูอุทาน แต่เขาลืมเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งอย่างหนึ่งไป
ครั้งนี้ไม่ใช่ว่าเขาและลีน่าเรียกพบหลัวซิว แต่เขาปรากฏตัวออกมาเอง แต่เก๋อฟูและลีน่าที่จมอยู่ในความตะลึงกับนักยุทธ์เทพมาร ต่างเพิกเฉยต่อประเด็นนี้ไปชั่วคราว
ความสนใจส่วนหนึ่งของลีน่า ก็ถูกไฟเทวสว่างดึงดูดเช่นกัน
แต่ในขณะนี้ ออร่าแห่งความตายน่าสะพรึงกลัวก็ระเบิดออกมาจากตัวหยั่งรู้ของหลัวซิว
“บูม!”
เทพมารแข็งแกร่งที่มีตราเครื่องหมายสายฟ้าสีดำระหว่างคิ้วของเขาได้รับการปลดปล่อยออกมาจากตัวหยั่งรู้โดยหลัวซิว ทำให้หอคอยเทวสั่นสะเทือนหลายครั้ง
ภูตมรณะเทพมารปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันเกินไป และระยะห่างระหว่างทั้งสองฝ่ายใกล้เกินไป ดังนั้นเก๋อฟูและลีน่าผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ ทั้งสองไม่ทันได้ตอบสนองอะไร
“บูม!”
พลังของแดนร่างยุทธ์ระดับเทพมารระเบิดออกมา หมัดเดียวก็ชกหัวของเก๋อฟูระเบิดไป และอีกมือข้างหนึ่งก็ข่วนกรงเล็บ ฉีกร่างของลีน่าออกครึ่งหนึ่ง เลือดพุ่งออกมาราวกับเทออกมา
“อ๊าก! อ๊าก!…”
เสียงร้องโหยหวนสองครั้งดังขึ้นติดต่อกัน ภายใต้การลอบโจมตีของภูตมรณะเทพมาร แค่เพียงการเผชิญหน้ากันเพียงครั้งเดียว ก็ทำให้ผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ทั้งสองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส
เก๋อฟูและลีน่าถอยหลังอย่างรวดเร็ว ใช้พลังแห่งกฎมืด และร่างกายที่เสียหายก็เริ่มฟื้นตัวด้วยความเร็วที่รวดเร็วมาก
พลังชีวิตของผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์มหาศาล และโดยธรรมชาติแล้วไม่ง่ายเลยที่จะฆ่าตาย
ภายใต้คำสั่งของหลัวซิว ภูตมรณะเทพมารพุ่งเข้าหาเก๋อฟูอย่างดุเดือด ในขณะนี้ ครึ่งหนึ่งของศีรษะของเขาที่เพิ่งเกิดออกมาได้ครึ่งหนึ่ง
ผลการฝึกตนของเก๋อฟูอยู่ในมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นปฐมภูมิ แต่ออร่าของภูตมรณะเทพมารนั้นแข็งแกร่งกว่าเขามาก ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่จะต้องแข็งแกร่งกว่าเทพมารขั้นปฐมภูมิขึ้นไป และเทพมารร่างยุทธ์แข็งแกร่ง ภายใต้การต่อสู้ระยะประชิด เก๋อฟูต่อต้านไม่ไหวเลย
ในเวลาเดียวกัน หลัวซิวเอื้อมออกไปคว้า หอกยุทธ์มังกรดำก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา ฆ่าไปยังลีน่า
ร่างครึ่งหนึ่งของลีน่า ถูกกรงเล็บของภูตมรณะเทพมารฉีกออก แต่ในฐานะผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ นางไม่ได้วางหลัวซิวไว้ในสายตา
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 910
แค่เอริคตาย เชิ่งถิงสว่างจะสืบสาเหตุการเสียชีวิตของเขา และการตายของเอริคจะดึงดูดความสนใจของกองกำลังหลายกองกำลังทั้งหมด
หากไม่สามารถควบคุมภูตมรณะเทพมาร ความคิดของหลัวซิวคือกานขอความช่วยเหลือจากบาเค่อใช้ค่ายวาร์ปของตำหนักเทวมืด แล้วกลับไปยังโลกแสงดาวผ่านค่ายวาร์ปของแดนดารานอก
และถ้าเขาสามารถควบคุมภูตมรณะเทพมารได้ ก่อนที่เขาจะเตรียมตัวออกจากโลกเชิ่งถิง เขาจะต้องไปที่หอคอยเทวมืดครั้งหนึ่ง เพื่อเอาของที่เป็นของเขากลับคืนมา
ในแผนการทั้งหมด ส่วนที่สำคัญที่สุดคือบาเค่อ ถ้าบาเค่อไม่อยากให้เขาจากไป เขาก็แค่พาเขาไปที่ตำหนักเทวมืด และเขาก็เทียบเท่ากับว่าเข้าไปในสถานที่อันตราย
“เก๋อฟูและลีน่า พบว่าวิชาห้ามในตัวหยั่งรู้เป็นเรื่องช้าหรือเร็วเท่านั้น และการกระทำในเวลานี้ของข้าจะต้องดึงดูดความสนใจของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของตำหนักเทวมืดแน่นอน อยู่ที่โลกเชิ่งถิงต่อไป จะทำให้สถาการณ์ในตอนนี้ของข้ากดดันและอันตรายกว่า”
มาที่เมืองทวยเทพอีกครั้ง อยู่ทุกหนทุกแห่งเต็มไปด้วยบรรยากาศที่เยือกเย็น
เขาชำเลืองมองไปยังตำหนักเทวมืดในเมืองทวยเทพ โลกกฎดั้งเดิมเป็นสถานที่ฝึกตนที่ยอดเยี่ยมอย่างแน่นอน ช่วยในการทำความเข้าใจความลึกลับของกฎดั้งเดิม หากสามารถฝึกฝนได้เป็นเวลานาน ไม่ช้าก็เร็วก็จะเข้าใจความลึกลับของกฎดั้งเดิม
น่าเสียดายที่เขาฝึกฝนภายในได้แค่ปีเดียว ถ้าเข้าไปฝึกฝนข้างในอีกครั้ง อย่างน้อยเขาจะต้องฆ่าเจ้ายุทธจักร 6 คน นี่ไม่ใช่สิ่งที่ทั้งสองค่ายยอมให้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน
เขาเดินเข้าไปในหอคอยเทวมืด ในไม่ช้าก็มาถึงทางเข้าชั้นสามของหอคอย เจ้ายุทธจักรหลายคนบนชั้นสองมองมาที่เขาและบางคนก็จำตัวตนของเขาได้
“ผู้ชายชื่อยอร์ค เคยถูกเรียกพบโดยผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ชั้นสาม”
“เขาออกไปจากเมืองแห่งทวยเทพแล้วไม่ใช่หรือ ทำไมถึงกลับมาอีก?”
หลัวซิวเพิกเฉยต่อความคิดเห็นเหล่านั้นแล้วเดินขึ้นบันไดไปที่ชั้นสาม
“ยอร์ค!”
ทันทีที่เขามาถึงชั้นสาม เสียงของเก๋อฟูก็ถูกส่งตรงไปยังตัวหยั่งรู้ของเขา
“ข้าควรเรียกเจ้าว่ายอร์คหรือซิวหลัวดี?”
ในห้องฝึกลับ หลัวซิวได้เจอเก๋อฟูและลีน่าซึ่งเป็นผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์อีกครั้ง
เห็นได้ชัดว่า แม้ว่าจะอยู่ที่หอคอยแห่งเทพศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาก็ได้ยินเรื่องเกี่ยวกับการตายของเอริค และได้รู้เกี่ยวกับการสำรวจเมืองเทพ
นอกจากการเสียชีวิตเทพบุตรสุริยาเอริคแล้ว การสำรวจเมืองเทพนี้ยังทำให้ผู้แข็งแกร่างที่ชื่อซิวหลัวจากค่ายมืดโด่งดังไปทั่ว
เพราะผู้ชายคนนี้เคยต่อสู้กับเทพบุตรสุริยา เอริค และเทพบุตรสุริยาได้เสียชีวิต แต่เขากลับรอดชีวิตมาได้
“เอริคถูกเจ้าฆ่าเหรอ?” เก๋อฟูถามพร้อมจ้องไปที่หลัวซิว
“ข้าไม่ได้ฆ่า เขาถูกภูตมรณะเทพมารทั้งเก้าฉีกเป็นชิ้น ๆ” หลัวซิวกล่าวและสิ่งที่เขาพูดคือความจริง แม้จะครอบครองกระบี่เทวมืดก็ยังเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะฆ่าเอริคเพียงลำพัง
“สำรวจเมืองเทพ เจ้าน่าจะได้รับสิ่งดีๆ มากมายใช่ไหม?” ลีน่าพูดด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย
แม้ว่าพวกเขาจะเป็นผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ แต่สมบัติมากมายที่พวกเขาแย่งมาจากหลัวซิวก่อนหน้านี้ก็ทำให้พวกเขาประหลาดใจเช่นกัน
นางและเก๋อฟูต่างก็รู้สึกว่าจอมยุทธ์ผู้มาจากอีกโลกหนึ่งต้องเป็นคนที่มีโอกาสสูง ไม่เช่นนั้นผู้ชายที่มีเพียงผลการฝึกตนมหายุทธ์ผลการฝึกตนเท่านั้น จะมีสมบัติมากมายขนาดนี้ได้อย่างไร?
หลัวซิวจะไม่เข้าใจความคิดของทั้งสองคนได้อย่างไร สีหน้าลังเลเล็กน้อย เขาพลิกมือและหยิบสารจิงอัคคีเทพสองชิ้นออกมา
“ข้าเจอแต่สิ่งแบบนี้” เขาแสร้งทำเป็นจนปัญญา
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 909
“ใช่ เขาแข็งแกร่งมาก เขาสามารถเอาชนะ เลิร์น และคนอื่นๆ ได้อย่างง่ายดาย ทำให้ผู้ที่ต้องการตำแหน่งเทพบุตร ไม่กล้าทำอะไรอีกต่อไป” บาเค่อกล่าวความเป็นจริงออกมาทั้งหมด
“และในเมืองเทพ เมื่อภูตมรณะเทพมารปรากฏตัว ข้าและคนอื่นๆ ทั้งหมดก็หนีไปทันที มีเพียงเขาเท่านั้นที่ยืมกระบี่เทวมืดเพื่อต่อสู้กับเอริค ในที่สุด เอริคได้ตายไป และเขาก็มีชีวิตรอดออกมา”
บาเค่อในขณะนี้ ไม่มีท่าทีขี้เล่นและพูดอย่างเคร่งขรึม “ท่านพ่อ แม้ว่าเขาจะบอกว่าเอริคถูกภูตมรณะเทพมารเก้าองค์ฆ่าตาย แต่ข้ากลับรู้สึกว่าการตายของเอริคน่าจะเกิดจากเขา”
“เขาเป็นคนลึกลับมาก ทำให้ข้ารู้สึกว่าเอริคอาจจะไม่ใช่คู่ของเขา”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้เขาไปไหนแล้ว?” เจ้าสำนักมืดกล่าว “ตามข้อมูลที่ข้ามี มีมีความเป็นไปได้ว่าซิวหลัวคนนี้มายังโลกของเราจากโลกอื่นผ่านทางแดนดารานอก”
บาเค่อส่ายหัว “ข้าไม่รู้ว่าเขาไปไหน แต่เนื่องจากป้าลีน่าแนะนำเขาให้ข้า ป้าลีน่าน่าจะมีวิธีติดต่อเขา”
เดินออกมาจากเจ้าสำนักมืด สีหน้าของบาเค่อที่จริงจัง ก็กลับไปขี้เล่นอย่างเมื่อก่อนอีกครั้ง
“เฟรนซ์ เจ้าคิดซิวหลัวคนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?” บาเค่อพูดกับคนรับใช้ชราที่ซื่อสัตย์ติดตามเขา
ชื่อของคนรับใช้ชราชุดดำคนนี้คือเฟรนซ์ กล่าวได้ว่าเป็นคนที่เฝ้าดูแลเขาเติบโตขึ้นมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก สนิทสนมกว่าบิดาของเขาซึ่งเป็นเจ้าสำนักมืดเสียอีก
“ลึกลับมาก แต่ดูเหมือนว่าจะดีกับท่านชายมาก และเขาก็เป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของท่านชายด้วย” คนใช้ชราเฟรนซ์กล่าวเสียงแหบ
“ใช่ เพื่อนเพียงคนเดียว…” บาเค่อสูดหายใจเข้าลึกๆ ด้วยสีหน้าที่ค่อนข้างซับซ้อน
เขารู้ว่าซิวหลัวต้องการให้ตัวเขาเองช่วยเขาไปสู่แดนดารานอก น่าจะอยากจะไปจากที่นี่ และดูเหมือนท่านพ่อจะสนใจเขามาก ถ้ารู้เรื่องนี้อาจจะห้ามเขาให้อยู่ที่นี่
“ด้วยอุปนิสัยของท่านพ่อ จะบังคับให้ซิวหลัวยอมจำนนต่อเขาอย่างแน่นอน และหากซิวหลัวไม่ยอมจำนน ก็อาจจะเป็นทางตันสู่ความตาย”
ในฐานะที่เป็นลูกชายของเจ้าสำนักมืด ฐานะของเขานั้นไม่ธรรมดา แต่ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่มีเพื่อน และมีคนจำนวนมากที่ต้องการตำแหน่งเจ้าสำนักต่างอยากจะสั่นคลอนสถานะของท่านพ่อผ่านตัวเขา
บาเค่อรู้สึกว่าซิวหลัวคนนี้ลึกลับและแข็งแกร่งมาก ถ้าเขาอยู่ต่อได้ เขาก็จะเป็นผู้ช่วยที่ดีสำหรับเขาอย่างแน่นอน
แต่เขารู้สึกว่านี่คือเพื่อนคนเดียวของเขา ซึ่งทำให้บาเค่อลังเลเล็กน้อย
“หวังว่าบาเค่อจะไม่ทรยศข้า”
สำหรับหลัวซิว เป็นการพนันที่จะบอกบาเค่อว่าเขาต้องการไปยังแดนดารานอกเช่นกัน
แม้ว่าเขาจะไม่ได้ติดต่อกับบาเค่อเป็นเวลานาน แต่ก็มีบางครั้งที่การตัดสินความน่าเชื่อถือของคนๆนั้นไม่ได้ให้เจ้ามีเวลามากพอที่จะไปสังเกต
สัญชาตญาณบอกเขาว่าบาเค่อเป็นคนที่น่าเชื่อถือ แต่อีกฝ่ายจะไว้ใจได้จริงๆหรือไม่นั้น สัญชาตญาณของเขาอาจไม่ถูกต้องเสมอไป
แต่ในความเป็นจริง หลัวซิวไม่มีทางอื่น ค่ายวาร์ปที่ส่งไปสู่แดนดารานอก มีเพียงในเชิ่งถิงสว่างและตำหนักเทวมืดเท่านั้นถึงจะมี และไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถใช้ค่ายวาร์ปได้ ดังนั้นหลัวซิวจึงขอความช่วยเหลือจากบาเค่อ
เมื่อภูตมรณะเทพมารปรากฏตัวในเมืองเทพ ความคิดที่กล้าหาญและหุนหันพลันแล่นก็ผุดขึ้นในใจของหลัวซิว
เขายืมกระบี่เทวมืดจากบาเค่อ จุดประสงค์หลักคือเพื่อฆ่าเอริค ส่วนว่าเขาจะสามารถพิชิตและควบคุมภูตมรณะเทพมารได้หรือไม่นั้น เขาก็ไม่แน่ใจ
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 908
คนบางคนในค่ายสว่างสงสัยว่าการตายของเอริคเกี่ยวข้องกับหลัวซิว ไม่เช่นนั้นทำไมเขาถึงหนีออกมาได้ แต่เทพบุตรสุริยากลับเสียชีวิตไปล่ะ?
“ก่อนที่ข้าจะออกมา ข้าเห็นเทพบุตรสุริยาถือไฟเทวต่อสู้กับชายผู้นี้” จอมยุทธ์ที่มีค่ายสว่างกล่าว
แม้ว่าจะสงสัย แต่ค่ายสว่างก็ไม่มีหลักฐาน และไม่มีใครคิดว่า หลัวซิวมีความสามารถในการฆ่าเทพบุตรสุริยา และในขณะนี้ค่ายมืดมีกระบี่เทวข่มขู่อยู่ ทำให้ค่ายสว่างไม่กล้าทำอะไร
การสำรวจเมืองเทพ การเสียชีวิตของเอริค เทพบุตรสุริยา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะเป็นข่าวที่น่าตกใจที่สุด แต่บางคนก็ได้รับสมบัติจากมันเช่นกัน เช่น สารจิงอัคคีเทพ แก่นแท้ปฐพีและหินเทวอัสนี
“เจ้าหนุ่ม เอริคคนๆนั้นก็ยังตายอยู่ข้างในแล้ว เจ้าโชคดีที่หนีรอดมาได้”
บาเค่อพูดอย่างปลงใจ แต่ก็รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยเช่นเดียวกัน เพราะการสำรวจเมืองเทพคราวนี้ มีความช่วยเหลือจากซิวหลัว ช่วยให้เขาสร้างความเกรงขามและวางรากฐานสำหรับการเป็นเทพบุตรมืดให้เขา
“บาเค่อ เจ้าช่วยอะไรข้าหน่อยได้?” หลัวซิวถาม
“แค่ข้าทำได้ ข้าจะไม่ปฏิเสธแน่นอน” บาเค่อกล่าวโดยไม่ลังเล
“ข้าอยากไปฝึกฝนที่แดนดารานอก เจ้ามีวิธีไหม?” หลัวซิวกล่าว
“ง่ายนิดเดียว ในตำหนักเทวมีค่ายวาร์ปที่ส่งไปสู่แดนดารานอก ข้าสามารถพาเจ้าไปที่นั่นได้โดยตรง”
บาเค่อพยักหน้า เขาเป็นบุตรชายของจ้าวแห่งตำหนักเทวมืด อำนาจแค่นี้ก็ยังคงมีอยู่
“อือ ข้าจะไปที่หอคอยเทวมืดก่อน จากนั้นเจ้าค่อยพาข้าไปที่ค่ายวาร์ปที่อยู่ในตำหนักเทว” หลัวซิวคำนวณแผนทั้งหมดในใจ
บาเค่อหยิบลูกแก้วสื่อสารออกมา ลูกแก้วลูกนี้มีเครื่องหมายประทับของเขาอยู่ สามารถใช้สื่อสารกันได้
…
เมื่อหลัวซิวออกเดินทางไปยังหอคอยแห่งเทพศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง ทั่วทั่งโลกเชิ่งถิง เกิดความโกลาหลเพราะการตายของเอริคเทพบุตรสุริยา
มีข่าวลือว่าผู้แข็งแกร่งเทพมารแห่งเชิ่งถิงสว่างได้ถูกส่งไปค้นหาช่องว่างพื้นที่ใกล้ภูเขาไฟลาวา เพื่อค้นหาที่ตั้งอยู่ของแดนปริศนาเมืองเทพ ส่วนหนึ่งคือตามหาไฟเทวสว่างที่หายไป อีกส่วนหนึ่งคือสืบหาสาเหตุการตายของเอริค
หลัวซิวยังได้ยินคำพูดบางอย่างเกี่ยวกับตัวเขาเช่นกัน เพราะในตอนนั้น มีคนเห็นเขาถือกระบี่เทวมืดต่อสู้กับเอริคด้วย ในท้ายที่สุดเอริคเสียชีวิต และเขายังมีชีวิตกลับมา ดังนั้นบางคนจึงสงสัยว่าการตายของเอริคมีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา
ในตอนแรกเพราะความแข็งแกร่งของกระบี่เทวมืด ฝ่ายค่ายสว่างไม่กล้าทำอะไรง่ายๆ ในขณะนี้ ผู้แข็งแกร่งของเชิ่งถิงสว่างได้ถูกส่งออกมาและเริ่มค้นหาที่อยู่ของเขา ในหมู่พวกเขามีแม้กระทั่งผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์
ตามข้อตกลงระหว่างตำหนักเทว ผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ขึ้นไปไม่สามารถออกมาได้อย่างง่ายดาย การกระทำนี้ของเชิ่งถิงสว่างได้ละเมิดกฎไปแล้ว แต่เหล่าตำหนักเทวก็รู้ว่าการตายของเทพบุตรเอริค ได้ทำให้ผู้แข็งแกร่งหลายคนของเชิ่งถิงสว่างกลายเป็นระเบิดที่จะระเบิดได้ทุกเมื่อ และแน่นอนว่าจึงไม่มีใครยืนขึ้นมาพูดอะไรในเวลานี้
เชิ่งถิงสว่างให้ความหวังสูงสำหรับเอริค การตายของเขาไม่ใช่แค่การสูญเสียของเชิ่งถิงสว่าง แต่ยังสูญเสียครั้งใหญ่สำหรับค่ายสว่างด้วย
แต่การตายของเอริคทำให้ฝ่ายค่ายมืดปรบมือยินดี บางคนคิดว่า ชายที่ชื่อซิวหลัวอาจกลายเป็นคนดังในอนาคต
ไม่เพียงแต่ผู้คนในค่ายแสงเท่านั้นที่ตามหาหลัวซิว ผู้แข็งแกร่งแห่งค่ายมืดก็กำลังตามหาเขาเช่นกัน
“เจ้าบอกว่าคนที่ชื่อซิวหลัว เป็นลีน่าที่แนะนำให้เจ้า?”
หลังจากที่บาเค่อกลับไปที่ตำหนักเทวมืด ท่านพ่อของเขาได้เรียกเขาไปและถามเกี่ยวกับการสำรวจเมืองเทพ
บทที่ 907
บทที่ 909
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 907
“เทพบุตรสุริยายังไม่ออกมา หากพื้นที่ภายในพังลงมา เขาจะถูกขังอยู่ข้างในนะสิ?”
“ในเมืองเทพมีภูตมรณะเทพมารที่น่าสะพรึงกลัว แม้ว่าจะมีไฟเทวสว่างอยู่ในมือ เทพบุตรก็กลัวว่าโชคร้ายมากกว่าโชคดี”
ในขณะนี้ บาเค่อก็มองไปที่ทางเข้าของหลุมดำที่กำลังหดตัวอย่างรู้สึกประหม่าเล็กน้อย เพราะไม่เพียงแต่มีเทพบุตรสว่างเท่านั้น ซิวหลัวคนนั้นยังไม่ปรากฏตัว และกระบี่เทวมืดก็อยู่ในมือของเขาด้วย
หากกระบี่เทวมืดหายไปจากมือของเขา ถ้าเขาต้องการที่จะเป็นเทพบุตรมืด เขาจะถูกกล่าวโทษโดยเหล่าผู้อาวุโสของตำหนักเทวมืดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ซิวหลัว เจ้ารีบออกมาเร็ว ๆ!” บาเค่อเริ่มวิตกกังวล
“ออกมาแล้ว!”
มีคนอุทานออกมาอีกครั้ง เห็นเพียงร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากหลุมดำที่กำลังหดตัว ความกดดันจากเทพมารที่กดดันลึกลับแผ่กระจาย ทำให้ทุกคนอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน
“ไม่ใช่เทพบุตร!”
“เป็นคนๆนั้นจากค่ายมืด”
ผู้แข็งแกร่งหลายคนจากค่ายสว่างมองอย่างจดจ้องและพบว่าคนที่ปรากฏตัวไม่ใช่เอริค แต่เป็นหลัวซิว
ในมือของเขาถือกระบี่เทวมืด ความกดดันของเทพมารแผ่ออกมา ทำให้ใจของผู้คนสะท้าน
ในวินาทีที่เขาปรากฏตัวขึ้น ทางเข้าสู่หลุมดำก็หดเล็กลงจนมองไม่เห็น ทันใดนั้นก็หายไปอย่างสมบูรณ์ ทุกอย่างก็กลับสู่ความสงบ
“ทางเข้าหายไปแล้ว!”
“เทพบุตรยังไม่ปรากฏตัว หรือเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า?”
ทุกคนจากค่ายสว่างทุกคนต่างมองไปที่หลัวซิวที่เพิ่งออกมา ชายชราคนหนึ่งจากเชิ่งถิงสว่างก้าวออกมา “ท่านผู้นี้ ขอถามหน่อยว่าเทพบุตรของพวกข้าล่ะ”
“ถูกภูตมรณะเทพมารฉีกเป็นชิ้น ๆแล้ว” หลัวซิวพูดอย่างเย็นชา จากนั้นเขาก็ไม่สนใจต่อกลุ่มเชิ่งถิงสว่างคนที่ตะลึง
“เอริค ผู้ชายคนนั้นตายแล้วจริง ๆ เหรอ?” บาเค่อถามโดยการส่งสัญญาณเสียง
เทพบุตรสุริยา เอริค มีความสามารถและทรงพลังมากจนเกือบจะกดดันจนเหล่าเทพบุตรและเทพธิดาอื่น ๆของตำหนักเทวเกือบจะหายใจไม่ออก ถ้าเขาตาย มันจะเป็นข่าวที่น่าตกใจมาก และจ้าวแห่งเชิ่งถิงก็จะถูกรบกวนด้วย
“ตายแล้วจริงๆ ข้าเห็นกับตา” หลัวซิวพยักหน้าพร้อมพูด แล้วคืนกระบี่เทวมืดให้บาเค่อ
แม้ว่ากระบี่เทวชิ้นนี้จะเป็นอาวุธสังหารตัวยง แต่หลัวซิวก็ชัดเจนเช่นกันว่าถ้าเขาไม่คืนกระบี่เทวกลับไป เขาจะถูกไล่ล่าและสังหารโดยผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งตำหนักเทวมืดอย่างแน่นอน และแม้แต่เทพมารก็จะเข้าร่วมด้วยแน่นอน
สำหรับไฟเทวสว่าง ตอนนี้ถูกเขากดทับออร่าอยู่ในจุดตันเถียน ช่วงเวลาสั้นๆนี้ ค่ายสว่างยังเดาไม่ออกว่านักยุทธ์เทพมารตกอยู่ในมือของเขาแล้ว
ข่าวการเสียชีวิตของเทพบุตรสุริยา ทำให้ทุกคนตกใจมาก ไม่เพียงแต่ผู้คนจากค่ายแสง แต่แม้แต่ฝ่ายค่ายมืดเองก็ยังตกใจกับข่าวใหญ่นี้
เทพบุตรผู้นี้ ได้ชื่อว่าเป็นอัจฉริยะที่เก่งกาจที่สุดในรอบหมื่นปี ถูกกำหนดให้เป็นผู้แข็งแกร่งเทพมารในอนาคต แต่เขากลับเสียชีวิตตอนแดนเจ้ายุทธจักรขั้น 7 ซึ่งทำให้ผู้คนเสียดายและปลงใจ
ในเวลาที่นานที่ไม่รู้จบ มีอัจฉริยะมากมายนับไม่ถ้วน แต่มีสักกี่คนที่สามารถเติบโตได้อย่างแท้จริง?
ชายชราหลายคนจากตำหนักเทวสว่างออกมาตามหาหลัวซิวและถามถึงรายละเอียดของการเสียชีวิตของเทพบุตรสุริยา
หลัวซิวไม่ได้ปิดบังอะไร และเล่าเรื่องที่เอริคถูกภูตมรณะเทพมารทั้งเก้าองค์ฉีกเป็นชิ้นๆออกมา
แต่เขาไม่ได้พูดถึงเรื่องที่ไฟเทวสว่างตกอยู่ในมือของเขา ผู้คนจากเชิ่งถิงสว่างคงจะคิดว่าไฟเทวถูกทิ้งไว้ในพื้นที่ลับซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองเทพ
แต่หลัวซิวสามารถหนีรอดออกมาได้ ซึ่งทำให้คนมองมาที่เขาอย่างสนใจเช่นกัน นี่คือคนที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง เพราะแม้แต่เทพบุตรสุริยาก็ตายแล้ว แต่เขากลับรอดชีวิตมาได้
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 906
ภูตมรณะเทพมารเก้าองค์ ที่มีเปลวเพลิงอันรุนแรง หนึ่งในภูตมรณะเทพมารรอบกายรายล้อมไปด้วยลมสีดำ ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ เขาเป็นเทพมารที่ฝึกฝนกฎธาตุลม
ความเร็วของมันเร็วมากและยากที่จะตามทันด้วยตัวสำนึก มันตามเอริคที่ต้องการจะหนีอย่างรวดเร็ว และฉีกแขนข้างหนึ่งของเขาออกมาพร้อมเสียงฉีก
“อ๊าก!”
เอริคร้องออกมาอย่างเจ็บปวด เลือดที่ไหลออกมาฉายแสงสีทองจาง ๆ ออร่ากฎสว่างและกลิ่นเลือดได้ดึงดูดความสนใจของภูตมรณะเทพมารอีกแปดองค์ในทันที
หลัวซิวถอนตัวและถอยกลับทันที ปีกทิพย์ไร้มลทินกระพือหลายครั้งพร้อมบินไปที่ทางเข้าของพื้นที่ลับนี้
เขามองไป ใบหน้าของเขาไร้ความรู้สึก และเสียงร้องโหยหวนของเอริคดังก้องอยู่ในอากาศ อัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบได้ผู้นี้ ไปถึงไหนก็ถูกผู้คนรายล้อมรามกับดวงดาว ถูกภูตมรณะเทพมารเก้าองค์ที่น่าสะพรึงกลัวฉีกออกเป็นชิ้นๆ
ในวินาทีที่ที่เอริคได้เสียชีวิตไป จู่ๆ ภูตมรณะเทพมารองค์หนึ่งที่เข้าร่วมการโจมตีก็คว้าไฟเทวสว่างและวงแหวนเก็บของของเอริคพร้อมบินไปอย่างรวดเร็ว
ภูตมรณะเทพมารอีกเก้าองค์ไม่สนใจสักนิด แย่งชิงกินเนื้อและเลือด ภูตมรณะเทพมารองค์นั้นที่จับไฟเทวสว่างก็บินไปข้างหลัวซิว
“น่าเสียดาย ภูตมรณะเทพมารทั้งเก้ามารวมกัน ข้ายากที่จะควบคุมได้อีก” ใบหน้าของหลัวซิวแสดงความเสียดาย
ในเวลานี้ ภูตมรณะเทพมารทั้งเก้าได้กลืนกินเนื้อและเลือดของเอริคไปทั้งหมด ดวงตาสีแดงเพลิงทั้งสิบแปดดวงมองไปทางหลัวซิว
ภูตมรณะเทพมารทั้งเก้านั้นโหกเหี้ยมมาก แม้ว่าหลัวซิวจะสามารถควบคุมหนึ่งในภูตมรณะเทพมารได้ หากเทพมารทั้งแปดร่วมมือโจมตีพร้อมกันเขาก็จะไม่สามารถต้านทานได้
ไม่ต้องพูดถึงเขา แม้ว่าจะเป็นแข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ เผชิญหน้ากับภูตมรณะเทพมารที่ชั่วร้ายทั้งเก้า ก็ต้องหลบเลี่ยงและไม่กล้าต่อต้าน
เมื่อเห็นภูตมรณะเทพมารทั้งเก้า พุ่งเข้าหาเขา หลัวซิวหันหนีไปทันทีโดยไม่ลังเลใดๆ
ภูตมรณะเทพมารที่เขาถูกตราเครื่องหมาย ได้กลายเป็นแสงสายฟ้าสีดำและหายวับไประหว่างคิ้วของเขา หลังจากเก็บภูตมรณะเทพมารองค์ไว้ในตัวหยั่งรู้ เขาถือกระบี่เทวมืด เข้าไปในพื้นที่มืดที่สายฟ้าผ่าไม่หยุด
เขาหันกลับไปมอง แต่เห็นว่าภูตมรณะเทพมารทั้งเก้าไม่ได้ไล่ตามเขา
“บูม!”
ทันใดนั้น พื้นที่มืดที่เชื่อมระหว่างเมืองเทพและโลกเชิ่งถิง ก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ออร่าแห่งการทำลายล้างก็ปรากฏขึ้น ราวกับว่าพื้นที่นี้กำลังจะพังทลาย
“ไป!”
แม้ว่าหลัวซิวจะได้ภูตมรณะเทพมารมาเพียงองค์เดียว ซึ่งทำให้หลัวซิวรู้สึกเสียดายมาก แต่ในขณะนี้ เขาลังเลไม่ได้ ความเร็วของปีกทิพย์ไร้มลทินถูกกระตุ้นทันที บินอยู่ในบริเวณที่มีสายฟ้าและฟ้าผ่า
พลังของสายฟ้าที่นี่แข็งแกร่ง ผ่าอยู่บนร่างของเขาพร้อมกระเซ็นไปทั่ว แต่ยากที่จะทำร้ายเขา
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็ผ่านเขตสายฟ้ามาถึงบริเวณวาโยสะท้านกระดูกอีกครั้ง ป้อมลมที่น่าสะพรึงกลัวนี้ได้แทรกซึมเข้าไปในเนื้อและเลือด ตกลงบนกระดูกของเขา ทำให้เกิดเสียงกึกก้องราวกับตีเหล็ก
แต่กระดูกของเขาเป็นเหมือนเหล็กเทพ ไม่ว่าวาโยสะท้านกระดูกจะกระทบกระเทือนอย่างไร ก็ไม่แข็งแกร่งอยุ่อย่างนั้น
บนท้องฟ้าเหนือภูเขาไฟลาวา จอมยุทธ์จำนวนมากจากทั้งสองค่ายสว่างและความมืดได้ถอยกลับพร้อมจ้องมองไปที่หลุมดำ
ยกเว้นคนที่ตายไปแล้ว คนอื่นได้ออกมาหมดแล้ว มีเพียงเทพบุตรสุริยาเอริคและหลัวซิวเท่านั้นที่ยังไม่กลับมา
“ทางเข้าหลุมดำกำลังจะหายไป!”
จู่ ๆก็มีคนอุทานออกมา ทุกคนมองตามเสียงนั้นไปก็เห็นว่าทางเข้าหลุมดำเริ่มหดตัวลง และพื้นที่ภายในก็เริ่มยุบตัวลงอย่างรวดเร็ว
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 905
“ไปตายซะ!”
ไกลออกไป เอริค เทพบุตรสุริยันแสดงสีหน้าดุร้าย และแสงศักดิ์สิทธิ์ของไฟเทวในมือก็พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า กลายเป็นออร่ากระบี่สีทองที่ยาวหลายร้อยไมล์ พร้อมพุ่งเข้าหาหลัวซิว
ภายใต้การโจมตีของภูตมรณะเทพมารและการโจมตีสองด้านของเขา เอริคสามารถมั่นใจได้ว่าผู้ชายคนนี้จะต้องตายแน่นอน!
แต่ในขณะนี้ ภูตมรณะเทพมารที่พุ่งเข้าหาหลัวซิวก็หยุดนิ่งกะทันหันครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็ตบไปยังออร่ากระบี่สีทองด้วยฝ่ามืออย่างรุนแรง
บูม!
เสียงดังกึกก้องกังวานในอากาศ ร่างของภูตมรณะเทพมารแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แค่ฝ่ามือเดียวก็คบออร่ากระบี่สีทองให้สลายไปด้วยฝ่ามือเดียว
“เกิดอะไรขึ้น?” สีหน้าเอริค เทพบุตรสุริยาเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน
“โฮก!” ภูตมรณะเทพมารเงยหน้าขึ้นคำราม ดวงตาสีแดงก่ำคู่นั้นที่กระหายเลือดจับจ้องไปที่เอริค และร่างกายที่แข็งแกร่งได้บดขยี้ความว่างเปล่าและพุ่งเข้าหาเขา
ปฏิกิริยาแรกของเอริคคือหลบหนี แต่เขาจะเร็วกว่าปีกทิพย์ไร้มลทินของหลัวซิวได้อย่างไร?
“เทพบุตรสุริยา ข้าเคยบอกแล้วว่าวันนี้เจ้าจะตายที่นี่” ปีกเปลวไฟสีดำคู่หนึ่งกระพืออยู่ข้างหลังเขา หลัวซิวก็ตามทันแล้วขวางทางของเอริคได้ด้วยไม่กี่วินาที
ก่อนหน้านี้เขายังคงโจมตีหลัวซิวพร้อมภูตมรณะ แต่ตอนนี้ หลัวซิวได้เข้าร่วมมือกับภูตมรณะเทพมารเพื่อโจมตีตัวเขาเอง
“เจ้าสามารถควบคุมภูตมรณะเทพมารได้?” เอริคเข้าใจในที่สุด สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป
“ยินดีด้วย เจ้าตอบถูกต้อง แต่น่าเสียดายที่ไม่มีรางวัล”
หลัวซิวยิ้มเล็กน้อย จากนั้นในดวงตาของเขามีเจตนาฆ่าที่รุนแรงผ่านออกมา กระบี่เทวมืดในมือฟันออก
“แสงเหนือไร้เทียมทาน!”
เอริคคำราม แสงสีทองส่องไปทั่วร่างกายของเขา และไฟเทวในมือของเขาส่องประกายระยิบระยับไม่หยุด
หลัวซิวฟันทุกอย่างด้วยกระบี่เทวมืด ทำลายการปิดล้อมของแสงศักดิ์สิทธิ์มากมาย ในไม่ช้าก็ไปถึงตรงหน้าเอริค
กระบี่เทวพุ่งออกไปพร้อมเจตนาฆ่ามากมาย เอริคตกตะลึงรีบยกไฟเทวในมือขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อต่อต้าน
แคร่ง!
กระบี่เทวมืดฟันลงไปบนไฟเทว เปลวไฟที่ลุกโชนอยู่ที่ไส้ตะเกียงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง กระเซ็นไฟออกมา
การโจมตีรุนแรง แรงโจมตีทำให้แขนของเอริคที่ถือไฟเทวระเบิดเนื้อหนังและเลือดออกมา ร่างของเขาถอยหลังครั้งแล้วครั้งเล่า
“เจ้าไม่สามารถฆ่าข้าได้!”
เอริคใช้พลังแห่งแสงศักดิ์สิทธิ์ และแขนที่บาดเจ็บก็ฟื้นฟูด้วยความเร็วที่เร็วมาก
กฎสว่างเป็นส่วนหนึ่งที่แยกออกมาจากกฎชีวิต ยังมีความสามารถในการรักษาที่ทรงพลังอีกด้วย
ทั้งสองมีนักยุทธ์เทพมาร แม้ว่าพลังการต่อสู้ของหลัวซิวจะสามารถกดขี่เอริคได้ แต่ก็เป็นเรื่องยากมากนักที่จะฆ่าเขา
แต่ในขณะนี้ หลัวซิวไม่ใช่คนเดียว
“บูม!”
เอริคต่อต้านการโจมตีของหลัวซิว เขากำลังจะถอนหายใจด้วยความโล่งอก ภูตมรณะเทพมารที่อยู่ข้างหลังเขาโจมตีเขา
เขารีบใช้ไฟเทวต่อต้านอีกครั้ง พลังของภูตมรณะเทพมารน่ากลัวยิ่งกว่ากระบี่ของหลัวซิวเมื่อครู่นี้ เขาถูกโจมตีและกระเด็นออกไป หมอกโลหิตก็พุ่งออกมาจากร่างกายของเขา เลือดท่วมตัว
“โฮก! โฮก!…”
ทันใดนั้น เสียงคำรามอย่างต่อเนื่องก็ดังขึ้นในเมืองเทพ และเทพมารที่แข็งแกร่งมากมายก็บินออกมา ออร่ากดดันท่วมท้นไปทั่วทั้งพื้นที่
หลัวซิวเงยหน้าขึ้นมอง รอบกายภูตมรณะเทพมารเหล่านี้เต็มไปด้วยพลังแห่งความตาย กลายเป็นเมฆสีดำที่ปกคลุมท้องฟ้าและดวงอาทิตย์ และเมฆปีศาจก็กลิ้งไปมา ซึ่งน่ากลัวมาก
“มีเทพมารเก้าองค์!”
หลัวซิวตกตะลึง เมื่อนับเทพมารที่ถูกเขาตราเครื่องหมาย มีเทพมารที่แข็งแกร่งอย่างน้อยสิบองค์ที่อาศัยอยู่ในเมืองเทพโบราณ!
จะเห็นได้ว่าในยุคโบราณอันห่างไกลนั้น การฝึกตนในโลกเชิ่งถิงก็เจริญรุ่งเรืองอย่างมากเช่นกัน
และโลกแสงดาวในตอนนี้ รวมถึงหลิวหงเทียนจ้าวแห่งดินแดนศักดิสิทธิ์ มีเพียงห้าเทพมารเท่านั้นเอง
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 904
เห็นเพียงเตาสีดำสั่นสะเทือนเล็กน้อย มีรอยร้าวที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าปรากฏออกมาในความว่างเปล่า และแสงศักดิ์สิทธิ์สีทองที่พุ่งพล่านก็แตกสลายไปหมดเพราะถูกกระแทก
แต่แสงสีทองศักดิ์สิทธิ์ดูเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด ส่งเสียงก้องกังวานแล้วยังคงพุ่งออกมากระทบเตาสีดำ
“โฮก!”
ในขณะนี้ เสียงคำรามอันโหดเหี้ยมก็ดังมา ภูตมรณะเทพมารที่มีเครื่องหมายฟ้าร้องสีดำบนคิ้วก็พุ่งไปที่สนามรบที่หลัวซิวและเอริคต่อสู้กัน
เอริค เทพบุตรสุริยาขมวดคิ้วเล็กน้อย เลิกใช้วิชาแสงศักดิ์สิทธิ์ยิ่งเลิศทันที ถือไฟเทวแล้วกลายเป็นแสงพร้อมจากไปอย่างรวดเร็ว
เขาเคยต่อสู้กับภูตมรณะเทพมารนี้มาก่อน และรู้ถึงพลังอันน่าสะพรึงกลัวของภูตมรณะเทพมารนี้
แต่หลัวซิวไม่ได้มีการเคลื่อนไหวที่จะหลบหนีแม้แต่น้อย แต่เขากลับถือกระบี่เทวมืดและยืนอยู่กลางอากาศ จ้องมองไปที่ผู้เทพมารซึ่งเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ
เมื่อเอริคเห็นฉากนี้ ความเยาะเย้ยปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา และนึกในใจ “ผู้ชายคนนี้ไม่รู้ความน่ากลัวของภูตมรณะเทพมาร รอเขาได้รับบาดเจ็บ ข้าจะใช้โอกาสนี้ลอบโจมตี ไม่เพียงแต่จะฆ่าเขาได้ในคราวเดียว ยังสามารถแย่งกระบี่เทวมืดมาได้ เท่ากับได้โจมตีความเย่อหยิ่งของค่ายมืดอย่างรุนแรง”
เมื่อนึกถึงจุดนี้แล้ว เขาไม่รีบหนีไป แต่อยู่ห่างออกไปหลายสิบไมล์และมองดูหลัวซิวจากระยะไกล
เห็นเพียงสีหน้าที่สงบของหลัวซิว ถือกระบี่อยู่ในมือขวา บีบผนึกจากมือซ้าย และยกมือขึ้นโจมตีแสงสีดำ
แสงสีดำนี้ดูธรรมดา มองอยู่ในสายตาของเอริคที่อยู่ในระยะไกล เขาแสดงสีหน้าไม่แยแสออกมาทันที การโจมตีในระดับนี้จะคุกคามภูตมรณะเทพมารได้อย่างไร?
แม้ว่าพลังโจมตีของกระบี่เทวมืดจะไม่มีใครเทียบได้ แต่ก็ยากที่จะทำร้ายร่างเนื้อของภูตมรณะเทพมารได้
ภูตมรณะที่กลายมาจากเทพมาร ได้สูญเสียความทรงจำในอดีตไปแล้ว เหลือไว้เพียงสัญชาตญาณกระหายเลือดของภูตมรณะ
ดูเหมือนว่ามันเองก็รู้สึกว่าได้แสงสีดำนี้ไม่สามารถคุกคามตัวมันเองได้ ดังนั้นจึงไม่สนใจเลย แล้วยกมือตบอย่างลวกๆ ต้องการตบแสงสีดำนี้ให้สลายไป
แต่ทันทีที่แสงสีดำของหลัวซิวที่โจมตีออกไปแตะโดนฝ่ามือของภูตมรณะ ทันใดนั้นก็มุดเข้าไปในร่างกายของมัน
แสงสีดำบรรจุตัวสำนึกของหลัวซิว และเมื่อเข้าไปในร่างของภูตมรณะ ก็รู้สึกถึงพลังแห่งความตายที่แข็งแกร่งโดยไม่มีพลังความเป็นแม้แต่น้อย
ทันใดนั้นแสงสีดำก็ปรากฏอยู่ที่ตัวหยั่งรู้ระหว่างคิ้วของภูตมรณะเทพมาร ทั่วทั้งตัวหยั่งรู้ว่างเปล่า และมีหมอกสีเทา
ภูตมรณะไม่มีความทรงจำและไม่มีวิญญาณ
“ตามที่คิด!”ตัวสำนึกของหลัวซิวสัมผัสได้ถึงสถานการณ์ในตัวหยั่งรู้ของภูตมรณะเทพมาร มีแสงวาบขึ้นในดวงตาของเขาในทันใด
สงครามครั้งนั้นที่ทำลายเมืองเทพในสมัยโบราณ แม้ว่าเทพมารที่ตายไปแล้วจะกลายเป็นภูตมรณะ แต่พวกมันไม่ได้ถูกควบคุมโดยผู้แข็งแกร่งที่ฝึกฝนกฎความตาย แค่เปลี่ยนพวกมันให้กลายเป็นภูตมรณะเท่านั้น
เพราะหลังจากกลายเป็นภูตมรณะแล้ว ความแข็งแกร่งจะลดลงหนึ่งแดนใหญ่ สำหรับผู้แข็งแกร่งเทพมารที่ฝึกฝนกฎความตาย ภูตมรณะระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ไม่มีผลใดๆ เลย
นี่ยังหมายความว่าภูตมรณะเหล่านี้ล้วนเป็นภูตมรณะโดยไม่มีเจ้าของ แค่มีผู้แข็งแกร่งที่ฝึกฝนกฎความตาย สร้างตราเครื่องหมายของตนไว้ที่ตัวหยั่งรู้ของภูตมรณะ สามารถใช้พลังแห่งกฎความตายเพื่อเป็นเจ้าของภูตมรณะได้!
แสงสีดำที่บรรจุตัวสำนึกของหลัวซิวอยู่ในตัวหยั่งรู้ของภูตมรณะเทพมาร ทันใดนั้น แสงสีดำก็เปลี่ยนไป กลายเป็นตราเครื่องหมายพร้อมฉายแสงสีดำออกมา
ในเวลานี้ ภูตมรณะเทพมารพุ่งเข้ามาถึงตรงหน้าหลัวซิว ดวงตาสีแดงเพลิงเปล่งประกายด้วยแสงที่กระหายเลือด และกรงเล็บที่แหลมคมโหดเหี้ยม ข่วนไปที่คอของ หลัวซิว
บทที่ 903
บทที่ 905
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 903
“นี่คือสมบัติวิเศษระดับมหาจักรพรรดิ เจ้านำพาคนอื่นๆ ออกไปจากที่นี่ก่อน” หลัวซิวกล่าว
หากต้องการออกจากที่นี่ ต้องผ่านสายฟ้าไม่มีที่สิ้นสุดและวาโยสะท้านกระดูก สองพื้นที่หลัก ๆ หลัวซิวจับกระบี่เทวมืด เขาจึงมอบตำหนักเสวียนดำให้กับบาเค่อ เพื่อที่เขาจะได้กลับไปอย่างปลอดภัย
“แล้วเจ้าจะทำอย่างไร?” บาเค่อถาม ตาเบิกกว้าง “อย่าบอกนะว่าเจ้าจะไปสู้กับภูตมรณะเทพมาร? เจ้าบ้าไปแล้ว! … ”
บาเค่อมองหลัวซิวอย่างไม่อยากเชื่อ แม้ว่าผู้ชายคนนี้จะแข็งแกร่งจริง แต่ความคิดที่จะต่อสู้กับภูตมรณะเทพมารนั้นบ้าเกินไป เท่ากับการฆ่าตัวตายเลย
เทพมารเป็นสิ่งมีชีวิตสูงสุดในพิภพต่ำ แม้ว่าหลังจากที่ตายไปตะกลายเป็นภูตมรณะ ความแข็งแกร่งจะลดลงถึงระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ แต่ก็ไม่ใช่ผู้ที่ต่ำกว่าแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์จะสามารถต่อสู้ได้อย่างแน่นอน
พวกมันยังคงมีร่างเนื้อหนังระดับเทพมาร สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นก็คือความเชี่ยวชาญด้านพลังแห่งกฎและกฎความตายที่หลอมรวมกันในช่วงที่พวกมันมีชีวิตอยู่ สร้างพลังแห่งกฎที่ทรงพลังยิ่งขึ้น
เมืองเทพโบราณมีภูตมรณะอยู่ทุกหนทุกแห่ง แม้แต่ผู้แข็งแกร่งระดับเทพมารก็จะกลายร่างเป็นภูตมรณะหลังจากที่ตายไป แน่นอนว่า ในยุคโบราณอันไกลโพ้น ในการต่อสู้ของเมืองเทพอันงดงามแห่งนี้ จะต้องมีผู้แข็งแกร่งเทพมารจากโลกาชั้นฟ้าที่ฝึกฝนกฎความตายที่เข้าร่วมรบด้วย
การปรากฏตัวของภูตมรณะเทพมาร ทำให้ผู้แข็งแกร่งจำนวนมากจากทั้งสองค่ายต่างหนีกันหมด ที่ด้านค่ายสว่าง ผู้แข็งแกร่งจากตำหนักเทวได้นำสมบัติวิเศษระดับมหาจักรพรรดิออกมาปกป้องผู้คนรอบตัวพวกเขา และเข้าสู่ห้วงพื้นที่มืดมิด ต้านทานการโจมตีของสายฟ้าที่ไม่มีที่สิ้นสุดอย่างรวดเร็ว
“บูม!”
ทันใดนั้น ออร่าอันน่าสะพรึงกลัวก็โจมตีมา ทำให้ร่างกายของหลัวซิวตึงเครียดโดยอัตโนมัติ
บนกลางอากาศไกล เอริค เทพบุตรสุริยาถือไฟเทว อยู่ในมือ พลังสว่างแห่งกฎดั้งเดิมกลายเป็นแสงศักดิ์สิทธิ์ พุ่งเข้าหาด้านหลัวซิวและบาเค่อ
“เจ้าไปก่อน!”
หลัวซิวสะบัดชายเสื้อ พลังกดดันพุ่งออกมา ส่งบาเค่อและคนรับใช้ชราที่อยู่ข้างๆบาเค่อออกไปไกลๆ
“เทพบุตรสุริยา? วันนี้ข้าจะตัดหัวเจ้า!”
หลัวซิวถือกระบี่เทวมืดไว้ในมือ ตะโกนพร้อมพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ป้อมกระบี่สีดำที่ยาวหลายร้อยไมล์ก็ฟันออกไป
บูม!
ป้อมกระบี่ชนกับแสงศักดิ์สิทธิ์ แสงศักดิ์สิทธิ์หนาถูกกระแทกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย และป้อมกระบี่ที่ยาวหลายร้อยไมล์ก็หดตัวลงหลายเท่า แต่ก็ยังคงฟันไปยังเทพบุตรสุริยาต่อ
เมื่อเห็นฉากนี้ สีหน้าของเอริคก็ชะงักไปทันใด มีนักยุทธ์เทพมารอยู่ในมือเหมือนกัน แต่ดูเหมือนว่าพลังของอีกฝ่ายจะแข็งแกร่งกว่าตัวเขาเอง
“หรือว่าแดนกฎของเขาจะสูงกว่าของข้าได้หรือ?”
สีหน้าของเอริคเคร่งขรึม เขาเป็นที่รู้จักในฐานะอัจฉริยะอันดับหนึ่งที่ไม่มีใครเทียบได้ในปัจจุบัน ด้วยการฝึกตนเจ้ายุทธจักรขั้น 7 เขาก็ได้ฝึกฝนกฎสว่างถึงแดนสำเร็จน้อย และพลังการต่อสู้ของเขายังสามารถแข่งขันกับแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ธรรมดาได้
“วิชามหาสว่าง!”
เอริคยังคงโจมตีต่อไปโดยไม่ลังเล แสงศักดิ์สิทธิ์สีทองพุ่งออกมาราวกับกระแสน้ำ ไม่ว่าจะผ่านไปที่ใดความว่างเปล่าก็แตกสลาย
นี่เป็นวิชายิ่งเลิศเฉพาะของเชิ่งถิงสว่าง ภายใต้พรของไฟเทวพลังความแข็งแกร่งนั้นเหนือการคาดเดา
“เจอกับข้า วันนี้เจ้าถูกลิขิตให้ตายอยู่ที่นี่”
หลัวซิวยิ้มเย็น ยกกระบี่ขึ้นพร้อมก้าวไปข้างหน้า ส่งพลังแห่งกฎลงในกระบี่เทวมืด กระตุ้นพลังของกระบี่เทวออกมา
หมื่นจักรวาลไร้รูป เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เขาฟันออกมา ป้อมกระบี่ก็บินออกไป ทันใดนั้นกลายเป็นเตาสีดำขนาดใหญ่ปกคลุมไปทั่ว บดบังดวงอาทิตย์บนท้องฟ้า
เตาสีดำนี้ซึ่งวิวัฒนาการมาจากหมื่นจักรวาลไร้รูป มีการรวมความเลิศของวิชาสังหารไท่เสวียนอยู่เล็กน้อย
พลังของมกุฎอัคคีนภาเหลืองได้ถึงบรรลุผลบริบูรณ์แล้ว และเจ้ายุทธจักรที่ไม่มีใครเทียบ สามารถถูกเผาจนตายได้ง่าย ๆ เมื่อถูกภูตมรณะที่นี่แตะโดนร่าง ก็จะสลายกลายเป็นความว่างเปล่าอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นไม่นาน หลัวซิวก็พบสารจิงอัคคีเทพอีกสองสามชิ้น และปล่อยตัวสำนึกออกไปค้นหารอบ ๆ แต่เขาก็ไม่รู้สึกถึงออร่าสารจิงอัคคีเทพอีกต่อไป
“บูม!”
ในขณะนี้ ออร่าไร้ขอบเขตและน่าสะพรึงกลัวออกมาจากเมืองเทพในท้องฟ้าอันไกลโพ้น และหลัวซิวได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนทันที
“หนีไป! เทพที่เสียชีวิตได้กลายเป็นภูตมรณะแล้ว!”
ผู้แข็งแกร่งมากมายในสองค่ายแห่งแสงสว่างและความมืดร้องด้วยความสยดสยอง ทุกคนเร่งความเร็วให้ถึงขีดจำกัดและหนีไปอย่างดุเดือด
มือใหญ่พัวพันกับสายฟ้าสีดำยื่นออกมาจากเมืองเทพ มือใหญ่ปิดบังดวงอาทิตย์และกระตุกเบาๆ จอมยุทธ์หลายร้อยคนจากทั้งสองค่ายกลายเป็นผง
แม้ว่าภูตมรณะที่เปลี่ยนจากซากศพของผู้แข็งแกร่งระดับเทพมารจะลดลงหนึ่งแดนใหญ่ ความน่าสะพรึงกลัวเทียบได้กับผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ และพลังที่เชี่ยวชาญก็คือพลังกฎและพลังแห่งความตาย
ร่างสูงปรากฏขึ้นกลางอากาศ มีเครื่องหมายสีดำสายฟ้าอยู่ระหว่างคิ้ว กฎสายฟ้าที่เขาเชี่ยวชาญนั้นมีพลังแห่งความตายรวมอยู่ด้วยเช่นกัน
“กฎความตายก็สามารถนำมารวมกับกฎอื่นได้ด้วยหรือ?” การค้นพบนี้ทำให้ดวงตาของหลัวซิวสว่างขึ้นในทันใด
ในเมื่อกฎความตายสามารถรวมเข้ากับกฎสายฟ้าได้ งั้นกฎอื่นก็สามารถรวมเข้าด้วยกันได้หรือไม่?
วินาทีนั้น จู่ๆ แรงบันดาลใจบางอย่างก็แวบเข้ามาในจิตใจของหลัวซิว บางทีอาจนำกฎการเวียนว่ายตายเกิดเป็นฐาน นำพลังแห่งกฎอื่นๆรวมเข้าไป กฎการเวียนว่ายตายเกิดสามารถครอบคลุมได้ทุกอย่าง
“บูม!”
ไฟเทวบานสะพรั่งด้วยออร่าอันศักดิ์สิทธิ์ไม่รู้จบ จมดิ่งร่างใหญ่ที่ควบคุมฝ่ามือสายฟ้าสีดำเข้าไปในทันที
“เทพที่ตายไปแล้ว มีอะไรน่ากลัวกัน?”
ทุกคนต่างวิ่งหนี แต่เทพบุตรสุริยากลับหยิ่งผยองจองหองและยังกล้าโจมตีเทพมารในอดีต
แม้ความกล้าหาญของเขาช่างน่ายกย่อง แต่ความจริงนั้นโหดร้ายมากนัก แสงสีทองอันศักดิ์สิทธิ์ที่ส่องประกายถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ ด้วยมือใหญ่ และร่างสูงใหญ่ก็ก้าวออกมา ต่อยลงไปยังไฟเทว
บูม!
เสียงดังกึกก้องสะท้อนอยู่ในความว่างเปล่า เทพบุตรสุริยาตัวสั่นอย่างรุนแรง ไฟเทวในมือของเขาเกือบจะทุบโจมตีแล้วบินออกไป
แม้ทพมารนี้จะเสียชีวิตไปแล้วและได้กลายเป็นภูตมรณะ และความแข็งแกร่งได้ลดลงหนึ่งแดนใหญ่ สามารถเทียบได้กับแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์เท่านั้น
แต่ร่างกายของเขายังคงเป็นแดนร่างของเทพมารในอดีต ด้วยผลการฝึกตนของเทพบุตรสุริยา ยังไม่สามารถใช้พลังของไฟเทวได้เต็มที่และเป็นไปไม่ได้ที่จะต่อต้านภูตมรณะเทพมารตนนี้
เมื่อเห็นว่าเทพบุตรสุริยาผู้ครอบครองไฟเทว ไม่ใช่ศัตรูของภูตมรณะเทพมาร คนอื่นๆ จึงหนีเร็วขึ้นกว่าเดิม
และสิ่งที่สิ้นหวังยิ่งกว่านั้นก็คือมีออร่าอันทรงพลังมากมาย ได้ปรากฏขึ้นในเมืองเทพ ดูเหมือนว่าไม่ได้มีเพียงภูตมรณะเทพมารตนเดียว
“บาเค่อ ให้ข้ายืมกระบี่เทวมืด”
หลัวซิวเห็นบาเค่อที่หนีออกมาจากเมืองเทพ เขาไม่ได้มีความเย่อหยิ่งแบบทพบุตรสุริยา และเขาไม่เคยคิดที่จะต่อสู้กับภูตมรณะเทพมาร ด้วยความกล้าหาญนี้เพียงอย่างเดียว เขาก็ด้อยกว่าเทพบุตรสุริยา เอริค
กระบี่เทวมืดเป็นสมบัติสำคัญของตำหนักเทวมืด แต่บาเค่อไม่มีความลังเลเลย มีแสงสีดำลอยออกจากร่างของเขาและบินไปทางหลัวซิว
หลัวซิวยื่นมือออกไปคว้ามันไว้ ในวินาทีที่เขาจับกระบี่เทวมืด เขารู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ที่ไม่มีที่สิ้นสุดของเทพมารที่อยู่ภายใน
เมื่อถือกระบี่เทวนี้ หลัวซิวรู้สึกว่าเขาสามารถต่อสู้กับผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ได้
“รับไว้!”
หลัวซิวยกมือขึ้นชี้ ตำหนักสีดำขนาดเท่าฝ่ามือก็บินออกจากจุดตันเถียนของเขา
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 901
“บูม!
ทันใดนั้น แสงศักดิ์สิทธิ์อันเจิดจรัสไร้ที่สิ้นสุดก็แผ่ออกมาจากระยะไกล เทพบุตรสุริยาถูกภูตมรณะมากกว่าสิบกว่าภูตปิดล้อม เขาใช้นักยุทธ์เทพมาร- ไฟเทวสว่าง!
พลังศักดิ์สิทธิ์แห่งแสงสว่าง แยกมาจากพลังแห่งชีวิต ต่อต้านมรณะและความมืด สามารถยับยั้งภูตมรณะที่ควบแน่นด้วยออร่าแห่งความตายในร่างกาย
แสงศักดิ์สิทธิ์ส่องไปทั่ว และภูตมรณะทั้งหมดที่เข้ามาใกล้จะจมอยู่ในเปลวเพลิงแสงศักดิ์สิทธิ์
เสียงพลุบ พลุบ พลุบดังไม่หยุดหย่อน และภูตมรณะมากกว่าสิบภูตที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่าเจ้ายุทธจักร กลายเป็นขี้เถ้าอยู่ภายใต้แสงศักดิ์สิทธิ์
เมื่อบาเค่อเห็นฉากนี้ เขาก็อยากจะสังเวยกระบี่เทวมืดออกไปทันที แต่ถูกหลัวซิวห้าม
“แม้ว่านักยุทธ์เทพมารจะแข็งแกร่ง แต่ก็ใช้ผลการฝึกตนเป็นจำนวนมาก อย่าใช้มันอย่างง่ายดาย” หลัวซิวกล่าว
“แล้วพวกภูตมรณะนี้…”
“ข้ามาจัดการก็พอ” เสียงของหลัวซิวสงบ เขาพลิกฝ่ามือ แสงสีทองของมกุฎอัคคีนภาเหลืองก็พุ่งออกมา
บูม!
ภูตมรณะหลายตัวที่พุ่งมาจมหายไปด้วยเปลวเพลิงสีทอง และไม่มีแม้แต่ร่องรอยของเถ้าถ่านเหลืออยู่
ภูตมรณะที่เหลือรู้สึกถึงออร่าอันตรายจากมกุฎอัคคีนภาเหลือง ต่างถอยกลับไม่กล้าที่จะก้าวออกมาข้างหน้า
หลัวซิวเพิกเฉยภูตมรณะเหล่านี้ ตัวสำนึกของเขาได้ล็อคออร่าเปลวไฟที่เขาสัมผัสได้ในเมื่อครู่นี้ พลิกมือทุบตำหนักให้ถล่ม และคว้าหินสีแดงเข้มจากฝุ่นที่พลิ้วไหวออกมา
สารจิงอัคคีเทพ!
สารจิงอัคคีเทพก้อนนี้มีขนาดใหญ่กว่าก้อนที่เขาได้รับจากภายนอก และออร่ดั้งเดิมอัคคีที่บรรจุอยู่ภายในนั้นแข็งแกร่งกว่า
“แค่สามารถหาสารจิงอัคคีเทพได้เพียงพอ ไม่ต้องพูดถึงแดนเจ้ายุทธจักรสุดขีด แม้แต่ว่าร่างเนื้อฝึกฝนจนถึงร่างยุทธ์แดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ก็ไม่มีปัญหา!”
หลัวซิวคาดเดาได้อย่างคลุมเครือว่าตำหนักเหล่านี้ น่าเป็นสถานที่ที่พักอาศัยของผู้เชื่อและคนรับใช้ของเทพมารอัคคี
ผู้เชื่อและผู้รับใช้เหล่านี้รับใช้เทพมารอัคคี พวกเขาจะสามารถได้รับสารจิงอัคคีเทพจากเทพมาร เพื่อเพิ่มแดนผลการฝึกตนของตน
เป็นเพราะมีขุมทรัพย์และทรัพยากรที่เทพมารมอบให้ ในหมู่ผู้เชื่อและผู้รับใช้เหล่านี้จึงบังเกิดผู้แข็งแกร่งจำนวนมาก
ในขณะนี้ แสงสีทองศักดิ์สิทธิ์พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า และเอริค เทพบุตรสุริยาถือไฟเทวบังคับแสงกำบัง บินไปในส่วนลึกของพื้นที่นี้
เห็นเมืองใหญ่ที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าอันไกลโพ้นจนเกือบจะมองไม่เห็น
“เมืองเทพโบราณ!”
เห็นได้ชัดว่าเทพบุตรสุริยามีความต้องการและความโลภใหญ่หลวง ต้องการใช้พลังของไฟเทวเพื่อสำรวจเมืองเทพโบราณแห่งนี้ เพื่อค้นหาสมบัติล้ำค่าและโอกาส
“ปล่อยให้เขาประสบความสำเร็จไม่ได้!”
บาเค่อตะโกนเสียงดังและไล่ตามเขาทันทีด้วยกระบี่เทวมืด
ในเวลาเดียวกัน ผู้แข็งแกร่งหลายคนจากทั้งสองค่ายก็บินขึ้นไปในอากาศ แล้วมุ่งหน้าไปยังเมืองเทพพร้อมกัน
บางคนรู้ว่าด้วยกำลังของพวกเขาเองไม่เพียงพอสำหรับการย่งชิงสมบัติในเมืองเทพ ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะอยู่ในกลุ่มตำหนักที่นี่ เพื่อแสวงหาสมบัติระดับต่ำกว่า
ในสมัยโบราณ ไม่ใช่มีเพียงเทพมารองค์เดียวที่อาศัยอยู่ในเมืองเทพนี้ ในเมื่อมีสารจิงอัคคีเทพอยู่ที่นี่ จึงต้องมีเทพมารอื่น ๆ ที่มอบสมบัติให้กับผู้เชื่อและผู้รับใช้ของเทพมารเอง
“บาเค่อคนนี้หุนหันพลันแล่นเกินไปหน่อย” หลัวซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย ด้วยความแข็งแกร่งของบาเค่อ แม้เขาจะครอบครองนักยุทธ์เทพมารเช่นกัน
เขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเทพบุตรสุริยาอย่างแน่นอน
“ข้าต้องหาสมบัติที่สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งในการฝึกตนให้แก่ข้า แม้ว่าบาเค่อจะไม่สามารถเอาชนะเทพบุตรสุริยาได้ แต่เขาน่าจะสามารถปกป้องตัวเองด้วยกระบี่เทวมืดได้”
เมื่อคิดถึงจุดนี้ หลัวซิวก็เพิกเฉยต่อเรื่องของบาเค่อในตอนนี้ แล้วเริ่มค้นหาสมบัติทุกที่
มีภูตมรณะจำนวนมากในตำหนักเหล่านี้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ส่วนใหญ่คือระดับมหายุทธ์ จำนวนระดับระดับเจ้ายุทธจักรนั้นไม่มากเกินไป แม้ว่าจะมีสมบัติและโอกาสที่เทพมารมอบให้ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ออกมาอย่างไร้จำกัด
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 900
“บูม!”
วังที่ทรุดโทรมห่างออกไปสองสามร้อยเมตรถล่มลง ส่งผลให้ฝุ่นผงปลิวอยู่อากาศ
“มีอะไรหรือ?” บาเค่อและคนรับใช้ชราชุดดำก็เดินตามไปด้วย
ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าดังขึ้น และในตำหนักโดยรอบ ร่างต่างๆ ก็เดินออกมา
คนเหล่านี้สวมเสื้อผ้าโบราณ เต็มไปด้วยกลิ่นเน่าเสียเก่าแก่ แต่พวกเขาไม่มีชีวิตสักนิดเลย
บนใบหน้าของพวกเขาไร้สีหน้าใดๆทั้งสิ้น แสงกระหายเลือดส่องประกายในรูม่านตาของพวกเขา
“พวกนี้เป็นข้ารับใช้ของเหล่าทวยเทพในสมัยโบราณ!” บาเค่ออุทาน
“พูดให้ถูกก็คือ พวกเขาไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป แต่เป็นภูตมรณะ” หลัวซิวกล่าวด้วยดวงตาที่หรี่ลง
เมืองเทพโบราณเป็นที่พำนักของเหล่าทวยเทพ แต่ก็มีผู้เชื่อในเทพมารมากมายอาศัยอยู่ที่นี่ เพื่อรับใช้เทพเจ้าที่พวกเขาเชื่อในฐานะผู้รับใช้เทพ
เทพฟ้าแห่งโลกาชั้นฟ้าได้ส่งผู้แข็งแกร่งของพวกเขาไปสังหารสู้รบกับเหล่าทวยเทพในเมืองเทพ ในที่สุด เหล่าทวยเทพในเมืองเทพก็พ่ายแพ้ รวมทั้งบรรดาผู้เชื่อและผู้รับใช้ที่เชื่อในพวกเขาก็ประสบภัยพิบัติเช่นกัน
แต่พลังแห่งความตายได้ปกคลุมโลกของพื้นที่นี้ ทำให้ผู้ที่เสียชีวิตไปนับไม่ถ้วนกลายเป็นภูตมรณะที่กระหายเลือด
การฟื้นคืนชีพของภูตมรณะ เป็นวิธีการใช้กฎความตายอย่างหนึ่ง สามารถชุบชีวิตผู้แข็งแกร่งที่ตายไปแล้วให้กลายเป็นภูตมรณะ โดยคงความแข็งแกร่งและพลังไว้บางส่วนตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่จะไม่มีความทรงจำอีกต่อไป และจะเชื่อฟังเพียงเจ้าท่าน ผั้เรียกมันออกมา หรือทำตามสัญชาตญาณของภูตมรณะที่กระหายเลือด
แดนกฎความตายของหลัวซิวนับได้ว่าไม่ต่ำ ที่จริง เขาก็เป็นวิชาลับแบบนี้เพื่อชุบชีวิตภูตมรณะได้เช่นกัน ม้วนหยกที่เทวทูตจื่อเยียนเคยให้เขา ได้บันทึกวิธีการของวิชาลับนี้ไว้ด้วย
โดยทั่วไปแล้ว ความแข็งแกร่งของภูตมรณะที่ฟื้นคืนชีพนั้น แดนจะต่ำกว่าตอนที่มีชีวิตอยู่แดนหนึ่ง ซึ่งหมายความว่าหากศพของผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ฟื้นคืนชีพ ความแข็งแกร่งจะลดลงสู่เจ้ายุทธจักร
ในขณะนี้ ภูตมรณะโบราณมากกว่าสิบกว่าร่างได้ปรากฏตัวขึ้นรอบๆ หลัวซิวทั้งสาม และออร่าของแต่ละคนก็อยู่ในระดับเจ้ายุทธจักร!
นี่ก็หมายความว่า ตอนที่คนเหล่านี้ยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์
“โฮก!”
ภูตมรณะสิบกว่าคนคำรามอย่างน่ากลัว ดวงตาสีแดงฉายแสงอันน่าสะพรึงกลัว กลายเป็นเงาพร้อมพุ่งมาหา
แม้ว่าภูตมรณะเหล่านี้ได้สูญเสียความทรงจำเกี่ยวกับตอนที่ยังมีชีวิตไปแล้ว แต่ก็ยังมีสัญชาตญาณการต่อสู้และการเคลื่อนไหวอยู่บ้าง พลังของการโจมตีนั้นทรงพลังอย่างยิ่ง การโจมตีเพียงครั้งเดียวก็มีพลังกฎความตายซ่อนอยู่ ซึ่งแข็งแกร่งมากกว่าเจ้ายุทธจักรระดับเดียวกัน
“อ๊าก! อ๊าก!…”
มีเสียงร้องโหยหวนจากทางอื่นจากระยะไกลดังมา ไม่จำเป็นต้องคิดก็รู้ว่าจะต้องมีคนอื่นที่เจอภูตมรณะคล้ายคลึงกัน
ตอนนี้หลัวซิวแข็งแกร่งที่สุดก็คือร่างยุทธ์ร่างเนื้อ เขาพลิกมือหยิบหอกยุทธ์มังกรดำออกมา หอกพุ่งออกไปราวกับมังกรดำ เกิดเสียงดังกึกก้อง ร่างของภูตมรณะโบราณแตกสลาย
แต่แม้ว่าร่างกายจะแตกสลายกลายเป็นเป็นผง ภูตมรณะเหล่านี้ก็ยังพุ่งไปข้างหน้าโดยไม่เกรงกลัวความตาย
พวกมันที่กลายเป็นภูตมรณะ ได้สูญเสียสติสัมปชัญญะและความเจ็บปวดไปนานแล้ว ดุร้ายและบ้าคลั่ง
สิ่งที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดคือแม้ว่าร่างของเหล่าภูตมรณะจะแตกสลาย พวกมันจะหลอมรวมใหม่อย่างรวดเร็วราวกับว่าพวกมันเป็นอมตะ
“ความตายถึงขีดสุดคือความเป็น!”
เมื่อเห็นฉากนี้ หลัวซิวก็นึกถึงประโยคหนึ่งในของขวัญที่กฎดั้งเดิมมอบให้ ได้อธิบายความลึกลับของอาณษจักรกฎ
ประโยคนี้หมายความว่าหลังจากพลังแห่งความตายถึงขีดสุด ก็สามารถมีผลคล้ายกับพลังแห่งชีวิตได้
และหากพลังแห่งชีวิตถึงขีดจำกัด มันก็มากเกินไป และจะนำมาซึ่งความตายและความหายนะ
และเนื่องจากพวกมันเป็นภูตมรณะที่ฟื้นคืนชีพ ไม่มีวิญญาณ และไม่กลัวการโจมตีวิญญาณ ประกอบกับความเป็นอมตะของพวกมัน ทำให้ใครๆ ก็ปวดหัวได้มากนัก
บทที่ 899
บทที่ 901
บทที่ 99 ท่านหัวหน้าแก๊งเหวินเซวียนหง
เย่เซี่ยงโต่วอธิบายด้วยรอยยิ้ม “สมาชิกในแก๊งนักล่าอสูรแบ่งเป็นสองประเภท ประเภทแรกคือผู้มีพรสวรรค์ และอีกประเภทคือสรรหาจากภายนอก”
“อย่างเช่นเราจัดเป็นพวกสรรหาจากภายนอก ในปีนั้นที่เราเข้าสู่แดนฝึกจิตแล้วจึงถูกเชิญเข้าสู่แก๊งนักล่าอสูร เมื่อผ่านการยืนยันจากแก๊งแล้วว่าเราไม่ได้เป็นพวกสอดแนมจากสำนักอื่น เราถึงจะกลายเป็นหนึ่งในสมาชิกของแก๊งนักล่าอสูร”
“ส่วนผู้มีพรสวรรค์ก็คือคนประเภทเดียวกับเจ้า ความสามารถสูง มีศักยภาพเพียงพอที่จะฝึกฝน ชาติกำเนิดเบื้องหลังก็ไม่ได้มีอะไรน่าสงสัย ขอเพียงเติบใหญ่ขึ้นมา อนาคตก็จะได้ขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงกว่า สถานะในแก๊งจะใหญ่โตมากกว่าผู้ที่สรรหามาจากภายนอกอย่างพวกเรามาก”
“ได้เป็นสมาชิกภายในแก๊งนักล่าอสูร มีข้อดีอย่างไร” หลัวซิวกล่าวถามตามตรง
เย่เซี่ยงโต่วไม่ได้ถือสาการถามอย่างตรงไปตรงมาของหลัวซิว เพียงอธิบายต่อไปว่า “จากการประเมินของท่านหัวหน้าแก๊งกลุ่มย่อยแล้ว ระดับพรสวรรค์ของเจ้าอยู่ในขั้นเหลืองระดับล่าง ขอเพียงเจ้ายอมเป็นสมาชิกแก๊ง ข้อดีแรกคือ แก๊งจะคุ้มครองครอบครัวของเจ้าให้ปลอดภัย”
“เพราะการเติบโตของผู้มีพรสวรรค์จะต้องผ่านการสั่งสมประสบการณ์การต่อสู้ แน่นอนย่อมเกิดคู่อริอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นแก๊งจะมีหน้าที่ความรับผิดชอบให้เจ้าพัฒนาฝึกฝนได้อย่างไร้ความกังวล”
“แน่นอนว่านอกจากเรื่องนี้ ยังขึ้นอยู่กับระดับของผู้มีพรสวรรค์ที่แตกต่างกัน การดูแลก็ย่อมแตกต่างกันด้วย”
“ผู้มีพรสวรรค์ระดับขั้นเหลืองระดับล่าง สามารถได้รับการฝึกวิชายุทธ์ที่เหมาะสมสามวิชา นั่นคือ กำลังภายใน ทักษะยุทธ์ วิชาท่าร่าง ตอนนี้เจ้าเป็นชี่ไห่ขั้น 3 จะได้ฝึกฝนวิชายุทธ์ระดับ 5 สามวิชา”
“หากเจ้ามีวิชายุทธ์ที่เหมาะสมกับตนเองแล้ว สามารถเลือกที่จะรักษาโอกาสคราวนี้เอาไว้ได้ จนกระทั่งเจ้าฝึกตนถึงพรสวรรค์ขั้น 1 และต้องเลือกวิชายุทธ์ระดับ 6 หรือไปถึงพรสวรรค์ขั้น 7 และต้องเลือกวิชายุทธ์ระดับ 7”
ได้ยินเช่นนี้หลัวซิวพลันชะงัก “พรสวรรค์ขั้น 7 สามารถเลือกวิชายุทธ์ระดับ 7 ได้หรือ”
เพราะจากที่เขาเคยรู้ ผู้สืบทอดวิชายุทธ์ระดับ 6 ในสำนักเซียวเหยาจะต้องอยู่ในแดนฝึกจิตหรือเป็นลูกศิษย์หลัก ส่วนวิชายุทธ์ระดับ 7 ยิ่งจะต้องเป็นสายเลือดของเจ้าสำนักเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์ได้รับการฝึกตน”
เย่เซี่ยงโต่วพยักหน้า “นี่คือความแตกต่างระหว่างสมาชิกผู้มีพรสวรรค์กับสมาชิกสรรหาจากภายนอก สมาชิกผู้มีพรสวรรค์จะได้รับการยกย่องมากกว่าผู้สรรหาภายนอก”
“แต่ว่าในทุกๆ ปี แก๊งจะต้องทำการตัดสินขั้นของผู้มีพรสวรรค์ใหม่ หากเจ้าไม่สามารถทำให้พวกเขาพอใจได้ เขาก็จะไม่ฝึกฝนเจ้าต่อ” เย่เซี่ยงโต่วอธิบายเพิ่มเติม
“ขั้นของผู้มีพรสวรรค์และวิธีการตัดสินมีมาตรฐานอย่างไร” หลัวซิวอดที่จะถามไม่ได้
“ขั้นของผู้มีพรสวรรค์ในแก๊งแบ่งออกเป็นฟ้า ดิน ดำ เหลือง ทั้งหมด 4 ขั้น ในแต่ละขั้นจะแบ่งออกเป็นระดับย่อยๆ อีกคือระดับล่าง ระดับกลางและระดับสูง”
“สำหรับเด็กหนุ่มอายุ 14 ปีอย่างเจ้า ถือว่าเป็นชี่ไห่ระดับ 7 และบรรลุวิชายุทธ์ระดับ 5 แล้วถึงถูกประเมินให้อยู่ในขั้นเหลืองระดับล่าง ส่วนการที่ชี่ไห่ระดับ 3 อย่างเจ้าได้รับการประเมินเช่นนี้เป็นเพราะผลงานการต่อสู้ของเจ้าที่เท่ากับวิชาชี่ไห่ระดับ 7 และมีพลังวิชายุทธ์ระดับ 5 ดังนั้นจึงพอที่จะได้รับการประเมินในขั้นขั้นเหลืองระดับล่าง”
ได้ยินดังนั้นหลัวซิวสูดหายใจเข้าลึกอย่างไม่รู้ตัว มาตรฐานในการคัดเลือกสมาชิกเข้าแก๊งนักล่าอสูรนั้นสูงมากทีเดียว
ตามที่เขารู้ เด็กอายุสิบสี่ปีที่สำเร็จวิชาชี่ไห่ขั้น 7 แม้แต่ลูกศิษย์หลักภายในสำนักเซียวเหยาเองยังไม่เคยปรากฏ ยิ่งไปกว่านั้นยังต้องบรรลุวิชายุทธ์ระดับ 5 ไม่เพียงมีมาตรฐานในการฝึกตนสูงเท่านั้น ความสามารถพิเศษในการฝึกยุทธ์ยังต้องสูงด้วยเช่นกัน
“อีกหนึ่งปีต่อจากนี้ เจ้าก็จะมีอายุครบสิบห้าปี เจ้าต้องสำเร็จแดนพรสวรรค์และบรรลุวิชายุทธ์ระดับ 6 หากเจ้าไม่อาจฝึกตนได้ตามความต้องการ แต่มีพลังถึงตามความต้องการก็ถือว่าได้เช่นกัน”
“และนี่เป็นเพียงความต้องการในขั้นขั้นเหลืองระดับล่าง ยิ่งระดับของผู้มีพรสวรรค์ที่สูงขึ้น ผลประโยชน์ที่จะได้รับก็จะยิ่งมากยิ่งขึ้น”
“เช่นเดียวกันมาตรฐานของเด็กอายุสิบสี่ที่จะเลื่อนสู่ขั้นเหลืองระดับกลาง คือสำเร็จชี่ไห่ขั้น 9 บรรลุวิชายุทธ์ระดับ 5 อย่างสมบูรณ์ ส่วนความต้องการของการเป็นขั้นเหลืองระดับสูงคือพรสวรรค์ระยะเริ่มต้น และบรรลุวิชายุทธ์ระดับ 6 ส่วนขั้นที่สูงขึ้นอีกอย่างขั้นดำ ขั้นดินและขั้นฟ้านั้น แม้แต่ตัวเราเองก็ยังไม่รู้เช่นกัน”
ระหว่างที่อธิบาย เย่เซี่ยงโต่วก็หยิบกระบี่ยุทธ์ระดับชั้นล่างเล่มนั้นออกมาแล้วเอ่ยอีกว่า “หากเจ้ายินดีเป็นสมาชิกของแก๊งนักล่าอสูรแล้ว ตามกฎแล้วแก๊งจะดูแลความปลอดภัยของครอบครัวเจ้า ดังนั้นของตอบแทนของเจ้าจึงไม่จำเป็นอีก ดังนั้นเราขอคืนกระบี่ยุทธ์เล่มนี้ให้กับเจ้า”
แต่ผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์จำนวนมากไม่จำเป็นต้องมีกระบี่ยุทธ์ระดับชั้นล่าง โดยเฉพาะในเขตการปกครองหยุนหลงนี้ที่มีกระบี่ยุทธ์น้อยมาก เพราะนักยุทธ์หลอมอาวุธไม่เพียงต้องใช้ศิลาแร่ราคาแพง และวัสดุหลากชนิดเท่านั้น แต่ยังต้องการปรมาจารย์หลอมอาวุธขั้น5อีกด้วย
มีเพียงกลุ่มย่อยของแก๊งนักหลอมอาวุธในเขตการปกครองหยุนหลงเท่านั้นถึงจะมีปรมาจารย์หลอมอาวุธขั้น 5 ปกครองอยู่ ซึ่งมีฐานะสูงส่งมาก ราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่งหลายคนอยากจะเชิญเขามาหลอมกระบี่ยุทธ์สักเล่มยังเป็นเรื่องยาก
หลัวซิวสังเกตเห็นว่าสายตาของปรมาจารย์โลกยุทธ์เย่เซี่ยงโต่วผิดแปลกไป เลยยิ้มแล้วกล่าวว่า “ในเมื่อยกกระบี่ยุทธ์เล่มนี้ให้ผู้อาวุโสแล้ว ทำไมต้องคืนด้วยเล่า”
“ครั้งนี้หากไม่ได้ผู้อาวุโสช่วยเหลือเอาไว้ ผู้น้อยคงไร้ปัญญาจะช่วยครอบครัวออกมาจากสำนักยุทธ์ได้ บุญคุณครั้งนี้ กระบี่ยุทธ์เล่มเดียวตอบแทนได้หรือ”
“ยิ่งกว่านั้น การฝึกตนของผู้น้อยยังต่ำต้อย หากพกกระบี่ยุทธ์เล่มนี้ไปล่อตาล่อใจ ความบริสุทธิ์ของมันจะยั่วยวนสายตาของผู้อื่นให้เกิดความโลภ ไม่ต่างอะไรกับหาเรื่องใส่ตัว ผู้น้อยเก็บเอาไว้ก็ไร้ประโยชน์ ไม่สู้มอบให้ผู้อาวุโสจะดีกว่า วันข้างหน้าที่ครอบครัวของข้าต้องอยู่ที่เมืองชิงหยุน คงต้องพึ่งพาผู้อาวุโสอยู่บ้าง”
หลัวซิวกล่าวคำพูดนี้ออกมาอย่างสมเหตุสมผล ด้วยสัญชาตญาณของผู้อาวุโสอย่างเย่เซี่ยงโต่วมีหรือจะฟังความหมายของหลัวซิวไม่ออก
“ตกลง ขอแค่ครอบครัวของเจ้าอยู่ในเมืองชิงหยุน ข้าไม่มีทางปล่อยให้ผู้ใดทำร้ายพวกเขาได้แม้เพียงปลายเล็บ” เย่เซี่ยงโต่วตอบรับปากออกมาทันที เพราะการครอบครองกระบี่ยุทธ์ระดับชั้นล่างจะทำให้พลังของเขาเพิ่มขึ้นไม่น้อย
รวมทั้งพลังชิงหยวนระดับ 6 ที่เขาได้รับจากหลัวซิว เขามีความหวังว่าในอีกสิบปีข้างหน้าการฝึกตนของเขาจะเลื่อนระดับขึ้นไปได้อีกขั้น
หลัวซิวเองก็รู้ดีว่าตัวเขาไม่อาจอยู่ปกป้องครอบครัวของตัวเองได้ตลอดไป การเข้าเป็นสมาชิกของแก๊งนักล่าอสูรจะคลายความกังวลในข้อนี้ของเขาไปได้ นี่จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
เย่เซี่ยงโต่วมอบหนังสือเล่มหนึ่งให้หลัวซิวที่มีเพียงสามหน้าเท่านั้น หน้าแรกเขียนเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของสมาชิกผู้มีพรสวรรค์
จากการบันทึกในหนังสือเล่มนี้ นอกจากครอบครัวของสมาชิกผู้มีพรสวรรค์แล้ว คนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องจะไม่ได้รับการคุ้มครองจากแก๊งนักล่าอสูร
เพราะการเติบโตของผู้มีพรสวรรค์ต้องผ่านการทรมานอย่างหนักและฝึกฝนอย่างเอาเป็นเอาตาย ดังนั้นแก๊งนักล่าอสูรจึงจะไม่ยื่นมือเข้าไปเกี่ยวข้องกับความแค้นส่วนตัวของหลัวซิวเอง
แต่เขาสามารถอาศัยขอบเขตอำนาจของตัวเองให้สามารถได้รับข่าวสารหลากหลายที่แก๊งนักล่าอสูรรวบรวมมา ผู้มีพรสวรรค์ในขั้นเหลืองระดับล่าง มีขอบเขตอำนาจเทียบเท่ากับปรมาจารย์โลกยุทธ์ในแดนฝึกจิตที่ถูกสรรหาจากภายนอก
เช่นนี้แล้วจึงหมายความว่า ในแก๊งนักล่าอสูรหลัวซิวมีอำนาจและฐานะเทียบเท่ากับผู้แข็งแกร่งอย่างเย่เซี่ยงโต่ว
และนี่เองคือสาเหตุที่เย่เซี่ยงโต่วปฏิบัติตัวกับเขาผิดแปลกไปจากก่อนหน้า
หลัวซิวตั้งสติและมองไปยังเย่เซี่ยงโต่วที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามตัวเอง ก่อนจะเอ่ยว่า “ผู้น้อยอยากขอให้ผู้อาวุโสช่วยเหลือสักเรื่อง”
“ว่ามาสิ” เย่เซี่ยงโต่วพยักหน้า เขาเก็บกระบี่ยุทธ์ของหลัวซิว เท่ากับติดหนี้อยู่เรื่องหนึ่ง ขอเพียงเรื่องที่ขออยู่ภายในอำนาจที่เขาจะสามารถทำได้ เขาก็ยินดีที่จะช่วย
……
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น หลัวซิวใช้ค่ายวาร์ปออกจากเมืองชิงหยุนไปยังเมืองหยุนหลง
ในแก๊งนักล่าอสูรกลุ่มย่อยที่เมืองหยุนหลงแห่งนี้ หลัวซิวได้พบกับท่านหัวหน้าแก๊งกลุ่มย่อยผู้นั้นที่ถูกขนานนามถึง
“ข้าขอแนะนำตนก่อน ข้าคือเหวินเซวียนหง หัวหน้าแก๊งของกลุ่มย่อยในเขตการปกครองหยุนหลง ประเทศเทียนหวู”
ท่านหัวหน้าแก๊งผู้นี้สวมใส่ชุดปราชญ์ยาวสีขาว รอยยิ้มของเขาสูงส่งสง่างาม รอบกายเขาไม่ราศีของการเป็นจอมยุทธ์เปล่งประกายออกมา
ทว่าคนเช่นนี้กลับมีฐานะที่สำคัญในเขตการปกครองหยุนหลงอันกว้างใหญ่แห่งนี้
########################
บทที่ 98 เชิญเข้าแก๊ง
“ไม่แปลกที่หลัวซิวจะสามารถผงาดขึ้นได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ เวลาเพียงครึ่งปีสามารถเลื่อนจากการกลั่นร่างขั้น 2 ขึ้นมาถึงชี่ไห่ขั้น 3 ได้ แสดงว่าเขาจะต้องมีโชคไม่เลว ไม่อย่างนั้นแล้วคงจะไร้คำอธิบายว่าทำไมเขาถึงเลื่อนขั้นการฝึกได้รวดเร็วขนาดนั้น”
“อีกอย่างเขายังใช้พลังชี่ไห่ขั้น 3 เอาชนะชี่ไห่ขั้น 7 ได้อย่างสบายๆ ความโชคดีที่เขาได้รับอาจเป็นมรดกและทรัพย์สมบัติที่มาจากราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่ง”
สีหน้าของลู่เฟยเฉินหมองคล้ำอย่างน่ากลัว เขาเสียดายที่ไม่ได้จัดการหลัวซิวตั้งแต่ที่เมืองหยุนหลง
แต่ไม่นานนักลู่เฟยเฉินก็เริ่มสงบลงแล้วเอ่ยด้วยเสียงทุ้มลึก “แก๊งนักล่าอสูรไม่มีทางคุ้มครองหลัวซิวตลอดไปได้ ภารกิจรางวัลนำจับก็มีวันสิ้นสุดลง ถึงตอนนั้นขอแค่เขาอยู่ในเขตการปกครองหยุนหลงแห่งนี้ อย่างไรเขาก็ต้องตาย”
“หากเขาใช้ค่ายวาร์ปหนีออกจากเขตการปกครองหยุนหลง นั่นก็เท่ากับว่าเขาจะไม่มีผลอะไรต่อแผนการของเขาอีก ขอแค่ได้รับการสนับสนุนจากผู้อาวุโสโกว ทั้งสาม และท่านอาจารย์สามารถครองตำแหน่งเจ้าสำนักได้ ข้าก็จะมีโอกาสที่จะเข้าสู่แดนราชายุทธ์”
นี่คือแผนการในใจของลู่เฟยเฉิน ส่วนเรื่องที่ลูกสาวของเขาลู่เมิ่งเหยาจะรู้ความจริงทั้งหมดเข้าสักวันหรือไม่นั้น นั่นเป็นสิ่งที่เขาไม่อาจจะควบคุมได้
การที่เขาได้เข้าสู่แดนราชายุทธ์ นั่นเท่ากับความปรารถนาและแผนการชั่วร้ายของเขาประสบความสำเร็จ
……
เมืองชิงหยุน
เมื่อกลับถึงแก๊งนักล่าอสูร เย่เซี่ยงโต่วใช้ค่ายวาร์ปเดินทางมาที่สาขาของแก๊งนักล่าอสูรในเมืองหยุนหลง
ในห้องลับ ปรมาจารย์โลกยุทธ์อย่างเย่เซี่ยงโต่วได้เข้ามาพบกับท่านหัวหน้าแก๊งนักล่าอสูรสาขาเขตการปกครองหยุนหลง
สาขากลุ่มย่อยของแก๊งนักล่าอสูรเองก็มีการแบ่งระดับเอาไว้อย่างละเอียดเช่นกัน โดยจะแบ่งคร่าวๆ เอาไว้ 9 ขั้น ขั้น 1 คือระดับต่ำสุด ส่วนขั้น 9 คือระดับสูงสุด ส่วนสาขาที่อยู่ในขั้น 9 ขึ้นไปจะเป็นศูนย์ใหญ่
ประเทศเทียนหวูมีทั้งหมด 8 เมือง13 เขต ใน13 เขตนี้ แต่ละเขตจะมีสาขาขั้น 1 ที่คอยปกครองกลุ่มย่อยมากมาย และส่วนมากจะเป็นกลุ่มย่อยขั้น 1 ทั่วๆ ไป
ส่วนใน 8 เมืองนั้น แต่ละเมืองจะมีสาขาขั้น 2 มีเพียงประเทศเทียนหวูที่มีฮ่องเต้เท่านั้นถึงจะมีสาขาขั้น 3
เนื่องด้วยระดับขั้นของสาขากลุ่มย่อยแตกต่างกัน ผู้ที่จะครองตำแหน่งหัวหน้าแก๊งย่อมมีความสามารถที่แตกต่างกันค่อนข้างมากด้วย
กลุ่มย่อยในเมืองชิงหยุนมีเพียงกลุ่มย่อยระดับต่ำที่สุดนั่นคือขั้น 1 โดยมีเย่เซี่ยงโต่วปรมาจารย์โลกยุทธ์ของแดนฝึกจิตขั้น 3 เป็นผู้ปกครอง จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าแก๊งนักล่าอสูรในภาพรวมทั้งหมดนั้นมีอำนาจที่ยิ่งใหญ่มากเพียงใด
สาขาที่เขตการปกครองหยุนหลง ผู้เป็นหัวหน้ามาจากแดนราชายุทธ์ขั้น 3 ภายในเขตการปกครองหยุนหลงทั้งหมด มีเพียงเจ้าสำนักเซียวเหยาเท่านั้นที่ฝึกตนได้ในระดับเท่ากัน แต่เนื่องด้วยฐานะพิเศษของแก๊งนักล่าอสูร เมื่อเจ้าสำนักเซียวเหยาพบหน้ากับท่านหัวหน้าแก๊งคราวใดมักจะวางตัวต่ำต้อยกว่าทุกครั้ง
“เด็กน้อยที่ฝึกชี่ไห่ขั้น 3 ที่ท่านว่าสามารถใช้ดาบเร็วและฆ่าชี่ไห่ขั้น 7 ตายได้ภายในเสี้ยววินาทีงั้นหรือ”
เมื่อหัวหน้าแก๊งของสาขาเขตการปกครองหยุนหลงฟังเย่เซี่ยงโต่วเล่าจบ ดวงตาของเขาพลันหรี่เล็กลงด้วยความรู้สึกสนอกสนใจ
ท่าทางของหัวหน้าแก๊งผู้นี้ดูราวกับชายวัยกลางคนอายุ 40กว่าปี ร่างของเขาใส่ชุดยาวแบบนักปราชญ์ ดูแล้วสง่านุ่มลึกสูงส่งเหนือธรรมดา
“เป็นจริงเช่นนั้น” เย่เซี่ยงโต่วกล่าวอย่างนอบน้อม จากนั้นจึงหยิบหนังสือออกมาหนึ่งเล่มแล้วเอ่ยว่า “นี่คือรายงานที่กระผมรวบรวมเอาไว้เกี่ยวกับหลัวซิว”
นักปราชญ์ชายวัยกลางคนยกมือ ลมเย็นก่อตัวไร้รูปร่างหอบเอาหนังสือเล่มนั้นมาวางไว้บนฝ่ามือ
เขาใช้มือพลิกเปิดไปมา จากนั้นจึงเริ่มขมวดคิ้ว “อายุสิบสี่ฝึกชี่ไห่ขั้น 3? ความสามารถของเขาก็ทั่วๆ ไป”
ใครก็ตามที่ได้ยินประโยคนี้ก็คงจะอึ้งจนพูดไม่ออก เพราะเด็กอายุสิบสี่ที่ฝึกถึงชี่ไห่ขั้น 3 นั้นต่อให้อยู่ในสำนักเซียวเหยาก็นับว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่ไม่เลวแล้ว
แต่สำหรับนักปราชญ์ชายวัยกลางคนผู้นี้กลับบอกว่าทั่วไป
แต่เมื่อเขาอ่านต่อไป สีหน้าของเขาก็เริ่มมีหลากหลายอารมณ์ “น่าสนใจ น่าสนใจ……”
“อายุสิบขวบถึงสิบสามขวบฝึกได้แค่การกลั่นร่างขั้น 2 แต่ภายในเวลาสั้นๆ เพียงครึ่งปีกลับก้าวกระโดด เด็กคนนี้ต่อให้มีของสะสมเอาไว้แล้วค่อยๆ ปล่อย พรสวรรค์ในการฝึกยุทธ์ถูกค้นพบค่อนข้างช้า แสดงว่าจะต้องได้รับโอกาสที่ไม่เลว”
นักปราชญ์ชายกลางคนยิ้มพลางเอ่ยชม จากนั้นจึงมองไปที่เย่เซี่ยงโต่ว “เจ้าบอกว่าเขามีวิชายุทธ์ระดับ 6 และกระบี่ยุทธ์ชั้นล่างงั้นรึ”
“ใช่ครับ” เย่เซี่ยงโต่วกล่าวอย่างนอบน้อม
“นักยุทธ์ระดับชั้นล่าง โดยส่วนมากแล้วมักจะอยู่ในการครอบครองของแดนผู้ชนะ แต่ก็มีปรมาจารย์โลกยุทธ์บางรายและผู้มีพรสวรรค์โดดเด่นจำนวนหนึ่งเท่านั้นที่จะมี การได้รับโอกาสเช่นนี้ในเขตการปกครองหยุนหลงเล็กๆ นี่ ถือว่าเด็กคนนี้ดวงชะตาไม่เลว”
นักปราชญ์ชายยังคงยิ้มแล้วกล่าวต่อไปว่า “แต่โอกาสก็คือโอกาส หากไม่มีความสามารถเพียงพอ ต่อให้มีโอกาสใหญ่จากฟ้ามาวางอยู่ตรงหน้าก็คงไม่มีวาสนาได้ใช้”
“ใช่ครับ กระผมเองก็คิดว่าหลัวซิวผู้นี้ความสามารถไม่เลว ควรค่าแก่การปลูกฝัง จึงนำมาแนะนำกับท่านหัวหน้าแก๊ง” เย่เซี่ยงโต่วกล่าว
อำนาจของแก๊งนักล่าอสูรยิ่งใหญ่กว้างไกล แน่นอนว่าต้องมีผู้แข็งแกร่งสนับสนุน ดังนั้นจึงต้องเปิดรับผู้มีพรสวรรค์เข้ามาปลูกฝัง เพื่อก่อร่างฐานะของแก๊งนักล่าอสูรขึ้นมา
ทว่าแก๊งนักล่าอสูรกำหนดคุณสมบัติของผู้มีพรสวรรค์เอาไว้สูงมาก ผู้มีพรสวรรค์ที่ถูกยกย่องให้เป็นคนสำคัญของสำนักเซียวเหยายังไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่แก๊งนักล่าอสูรจะยอมรับ
นักปราชญ์ชายพยักหน้า “หากดูจากตอนนี้ หลัวซิวผู้นี้ก็พอจะมีคุณสมบัติให้ได้รับเลือกเป็นสมาชิกอยู่ หากนับจากการแบ่งระดับขั้นพรสวรรค์แล้วจึงจัดให้อยู่ในขั้นเหลืองระดับล่าง ชั่วคราว”
เขามองไปทางเย่เซี่ยงโต่ว “เรื่องนี้ขอไหว้วานเจ้าช่วยไปบอกเขาด้วย”
“ครับ” เย่เซี่ยงโต่วเอ่ยตอบอย่างเคารพ
หลังจากเย่เซี่ยงโต่วออกไปแล้ว นักปราชญ์ชายจึงวางหนังสือที่เกี่ยวกับหลัวซิวลงแล้วยิ้ม “เรามาปกครองที่กลุ่มย่อยในเขตการปกครองหยุนหลงมาเจ็ดสิบกว่าปีแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เจอผู้มีพรสวรรค์ที่ควรค่าแก่การสั่งสอน หวังว่าเด็กหนุ่มผู้นี้คงจะไม่ทำให้ข้าต้องผิดหวัง”
ในเวลาเดียวกัน ที่แก๊งนักล่าอสูรสาขาเมืองชิงหยุน หลัวซิวกำลังปลอบโยนพ่อแม่และพี่สาวของตนเองอยู่
พวกเขาเป็นคนธรรมดาที่ไม่พร้อมสำหรับการฝึกยุทธ์ เรื่องน่าตกใจเช่นนี้ ต่อให้พวกเขาถูกช่วยออกมาแล้วก็ยังมีอาการขวัญเสียอยู่บ้าง
“ก๊อกๆๆ”
ตอนนั้นเอง เสียงเคาะประตูดังขึ้น หลัวซิวเปิดประตูห้องออกจึงเห็นผู้แข็งแกร่งปรมาจารย์โลกยุทธ์เย่เซี่ยงโต่ว
“หลัวซิว เจ้าตามเรามา” เย่เซี่ยงโต่วเอ่ยปาก
หลัวซิวเดินตามเย่เซี่ยงโต่วไปด้วยความสงสัยจนมาถึงห้องสงบเงียบห้องหนึ่ง
“นั่งสิ” เมื่อเย่เซี่ยงโต่วนั่งลงจึงชี้ไปยังเก้าอี้ตรงข้ามตัวเอง
หลัวซิวไม่ได้ปฏิเสธเพียงกล่าวขอบคุณแล้วนั่งลงตรงข้ามเย่เซี่ยงโต่ว
“หลัวซิวเมื่อครู่นี้ข้าไปที่กลุ่มย่อยที่เขตการปกครองหยุนหลงมา ข้าได้เล่าเรื่องของเจ้าให้ท่านหัวหน้าแก๊งของกลุ่มย่อยฟัง”
เย่เซี่ยงโต่วเอ่ยปาก “ข้าคิดว่าความสามารถของเจ้าไม่เลว เลยแนะนำเจ้ากับท่านหัวหน้าแก๊งกลุ่มย่อย ท่านหัวหน้าแก๊งได้ตอบตกลงรับเจ้าเข้าเป็นสมาชิกของแก๊งนักล่าอสูร”
“ข้าจะบอกไว้เจ้ารู้อย่างหนึ่ง มีเพียงท่านหัวหน้าแก๊งของกลุ่มย่อยเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์รับผู้มีพรสวรรค์เข้าเป็นสมาชิก เมืองหยุนหลงร้อยกว่าปีที่ผ่านมา ยังไม่มีผู้ใดมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้รับคัดเลือก”
หลัวซิวได้ยินดังนั้นก็ตกใจ “รับผมเป็นสมาชิกภายในของแก๊งนักล่าอสูรรึ”
“ถูกต้อง แก๊งนักล่าอสูรของพวกเรายืนหยัดอยู่บนโลกใบนี้ได้ จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากผู้แข็งแกร่ง และผู้แข็งแกร่งก็มาจากผู้มีพรสวรรค์ที่ค่อยๆ เติบโตขึ้นมา”[1][1]
########################
บทที่ 97 ช่วยครอบครัวของผม
เกราะนักยุทธ์ชั้นเดียวกันมีมูลค่ามากกว่านักยุทธ์ แน่นอนว่าเหล่าองครักษ์เกราะเขียวเหล่านี้ไม่มีทางครอบครอง เกราะเขียวที่สวมอยู่เป็นเพียงเกราะธรรมดาเท่านั้น
หลัวซิวยังคงมุ่งหน้าต่อไป ทุกอณูของชุดดำที่สวมใส่เต็มไปด้วยเลือดสด พื้นด้านหลังที่เขาเดินจากมาเต็มไปด้วยร่างไร้วิญญาณแขนขาขาด
ในบรรดาองครักษ์เกราะเขียวทัพนี้เหลือเพียงผู้เดียวที่รอดชีวิต นั่นคือสวี่ชิวเซิง เนื่องจากเขาไม่โจมตีหลัวซิว เพียงยืนเหม่อลอยอยู่ท่ามกลางสายธารเลือดและร่างไร้วิญญาณราวกับจิตวิญญาณหลุดลอยไปไกล
องครักษ์เกราะเขียวทั้งสองทัพรวมทั้งสิ้น 60 กว่านายถูกฆ่าตายทั้งหมด เหตุการณ์เช่นนี้เมื่อเกิดในเมืองชิงหยุนถือเป็นความโกลาหลอย่างมาก
องครักษ์เกราะเขียวในเมืองชิงหยุนมีทั้งหมดสามทัพ รวมจำนวนกว่าร้อยนาย
เมื่อหลัวซิวมาถึงหน้าประตูใหญ่ของสำนักยุทธ์ องครักษ์เกราะเขียวทัพที่สามจึงปรากฏออกมา
คนที่อยู่หน้าสุดคือ กวนหยุนเจิ้น ผู้นำทัพขององครักษ์เกราะเขียว นับเป็นยอดฝีมือที่อยู่ในแดนชี่ไห่ขั้น 9
องครักษ์เกราะเขียวที่อยู่ภายใต้การนำทัพของเขามานี้ ถือเป็นทัพที่แข็งแกร่งที่สุดทัพหนึ่ง อย่างน้อยๆ ต้องเป็นถึงชี่ไห่ขั้น 4 และมีชี่ไห่ขั้น 7 อยู่ถึงสามคน
ทัพองครักษ์เกราะเขียวทั้งสองกองทัพที่หลัวซิวปลิดชีวิตไปเรียบก่อนหน้านั้นรวมกัน มีความแข็งแกร่งเทียบไม่ได้กับทัพของผู้นำทัพกวนหยุนเจิ้น ผู้นี้
ประตูใหญ่ของสำนักยุทธ์ถูกเปิดออก หลัวซิวจึงมองเห็นพ่อแม่และพี่สาวของตน มีองครักษ์เกราะเขียวสามนายยืนถือมีดจ่อคอพวกเขาอยู่
“เปรี้ยง!”
ปราณแท้สีดำสนิทหมุนวนอยู่รอบตัวของหลัวซิวราวเปลวเพลิง ความอาฆาตเย็นเยียบน่าหวาดหวั่นแผ่ปกคลุมไปทั่ว ตอนนี้เขาไม่ต่างอะไรกับปีศาจที่ขึ้นมาจากขุมนรก
เย่เซี่ยงโต่วเหลือบมองหลัวซิวคราหนึ่ง จากนั้นจึงเลิกคิ้วขึ้น ตามที่เขารู้มาสิ่งที่หลัวซิวเคยฝึกคือพลังหยางบริสุทธิ์อันแข็งแกร่ง ทำไมปราณแท้ของเขาถึงให้ความรู้สึกมืดหม่นเช่นนี้ได้?
ไม่เพียงเท่านั้น พลังของเปลวไฟสีดำรอบตัวเขา ยังมีพลังคล้ายกับธาตุไฟอยู่ด้วย
ในระหว่างที่เย่เซี่ยวโต่วกำลังเกิดความสงสัยอยู่นั้น หลัวซิวจึงหันกลับไปมองเขาแล้วค้อมตัวลง “ผู้อาวุโสได้โปรดช่วยครอบครัวของข้าด้วยเถิด”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เย่เซี่ยงโต่วจึงได้สติและกล่าวออกมาเพียงคำเดียวว่า “ได้!”
สิ้นเสียง ร่างของเขาพลันหายวับไปกับตาแล้วไปโผล่อีกทีอยู่ข้างๆ ครอบครัวของหลัวซิวแล้ว ส่วนองครักษ์เกราะเขียวทั้งสามคนนั้นพลันล้มลงบนพื้นและขาดใจตายในทันที
“ใครน่ะ”
สีหน้าของกวนหยุนเจิ้นเปลี่ยนไป ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้นต่างไม่มีใครสังเกตเห็นผู้อาวุโสเคราขาวคนนี้ว่าลงมืออย่างไร น่ากลัวว่าเขาจะต้องเป็นผู้ที่อยู่บนแดนพรสวรรค์อย่างไม่ต้องสงสัย
ผู้แข็งแกร่งเช่นนี้ หลัวซิวเชิญเขามาช่วยได้อย่างไร
และในตอนนี้หลัวซิวยังคงชูกระบี่แล้วมุ่งหน้าเข้ามาเรื่อยๆ
เย่เซี่ยงโต่วเพียงช่วยครอบครัวของเขาเท่านั้น ดังนั้นจึงจะไม่ออกแรงโจมตีคนอื่น เว้นเสียแต่จะมีคนคุกคามเอาชีวิตของหลัวซิวเท่านั้น
คนพวกนี้จับครอบครัวของเขาไป แถมยังเอาชีวิตพวกเขาเป็นตัวประกันเพื่อข่มขู่ตนอีก หากฆ่ากวาดล้างคนพวกนี้ไม่ได้ หลัวซิวคงอกแตกตายเพราะความแค้นที่อัดอั้นในใจอย่างแน่นอน
รวมถึงยังมีเปลวเพลิงดำทะมึนแห่งความอาฆาตที่โอบล้อมอยู่รอบกระบี่เงามืด หลัวซิวจึงก้าวเข้ามาพร้อมที่จะลงมืออย่างไม่ออมแรงและไร้ความปรานี
ในจุดตันเถียนแดนฝึกชี่ไห่ การเวียนว่ายตายเกิดของเทพผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนรวดเร็ว ปราณแท้เป็นตาย 2 ระดับแปรเปลี่ยนกลายเป็นปราณแท้เปลวเพลิงดำทะมึน
ทว่าองครักษ์เกราะเขียวชุดนี้ไม่สามารถเอาไปเปรียบกับสองชุดแรกได้ รวมทั้งระหว่างทางหลัวซิวได้ฆ่าคนไปมากจึงสูญเสียปราณแท้ไปมาก การต่อสู้ที่เกิดขึ้นจึงไม่ง่ายอย่างที่ผ่านมา
พลังงานของมนุษย์ย่อมมีขีดจำกัด หลัวซิวก็ไม่ได้รับการยกเว้นในเรื่องนี้
ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปหาเรื่องผู้แข็งแกร่งปริศนาอย่างเย่เซี่ยวโต่ว ทุกคนล้วนพุ่งเข้าใส่หลัวซิวเพียงเป้าหมายเดียว
ฉึก!
ปืนยาวด้ามหนึ่งได้ยินกระสุนเข้าใส่ที่หัวไหล่ของหลัวซิว นี่นับเป็นแผลแรกของหลัวซิว
ถัดจากนั้น แสงสว่างจากปราณแท้ก่อตัวหมุนวน นักรบชี่ไห่ขั้น 7 สามคนปรากฏตัวขึ้นพร้อมกัน บวกเข้ากับผู้นำทัพองครักษ์เกราะเขียวที่มีพลังแกร่งกล้าอย่างกวนหยุนเจิ้น แม้ว่าหลัวซิวจะท็อปฟอร์มเพียงใดก็ไม่อาจรับมือได้โดยง่าย
“เปรี้ยง!”
ทันใดนั้น ปรากฏลมปราณที่แข็งแกร่งขึ้น ความน่าพรั่นพรึงได้แผ่กระจายปกคลุมไปทั่วบริเวณ องครักษ์เกราะเขียวทั้งหมดต่างพากันถอยหนี เนื่องด้วยรู้สึกราวกับมีภูเขาใหญ่กดทับจนแทบจะหายใจไม่ออก
เย่เซี่ยงโต่วปรากฏตัวขึ้นด้านข้างหลัวซิว เขาเพียงยืนอยู่ตรงนี้นิ่งๆ ยังไม่ได้ลงมืออะไรและไม่มีใครกล้าเข้ามาเสี่ยงกับเขา
“ซิว!”
เมื่อเห็นทั่วร่างของหลัวซิวมีแต่รอยเลือด สีหน้าของพ่อแม่และพี่สาวของเขาจึงปรากฏความกังวล
หลัวซิ่วเอ๋อร์ พี่สาวของเขาได้เข้ามาประคองเขาเอาไว้ หลัวซิวหันไปยิ้มและเอ่ยว่า “พี่ผมไม่เป็นไร”
“ไปกันเถอะ”
เย่เซี่ยงโต่วเอ่ยขึ้น สำหรับเขาแล้ว องครักษ์เกราะเขียวของสำนักยุทธ์เป็นเพียงคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้อยู่ในสายตาของเขาเลย
ในตอนนั้นเองพลันเกิดความวุ่นวายดังขึ้นมาจากประตูใหญ่ของสำนักยุทธ์ เซินกาวเจี้ยน และผู้อาวุโสสองคนของสำนักยุทธ์เดินออกมาโดยมีผู้คนล้อมหน้าล้อมหลัง
เมื่อเขาเห็นเย่เซี่ยงโต่วที่ยืนอยู่ด้านข้างหลัวซิว สีหน้าเซินกาวเจี้ยนก็เริ่มหดเล็กลง
ในเขตการปกครองหยุนหลงมีทั้งหมดสิบแปดเมือง แต่ละเมืองจะมีสำนักยุทธ์ และมีสาขาย่อยของสี่ยอดแก๊งทั้งสี่อยู่ด้วย
สำหรับหัวหน้าแก๊งของแก๊งนักล่าอสูรย่อยในเมืองชิงหยุน แม้ว่าเซินกาวเจี้ยนจะไม่เคยพบเห็นมาก่อน แต่เขาก็สามารถเดาที่มาของอีกฝ่ายได้อย่างไม่ยากนัก เพราะที่หน้าอกของเย่เซี่ยงโต่วมีตรา 4 ดาวของแก๊งนักล่าอสูรปรากฏอยู่
“ท่านผู้อาวุโสคือหัวหน้าแก๊งเย่ใช่หรือไม่” เซินกาวเจี้ยนประสานมือคารวะ
“ถูกต้อง” เย่เซี่ยงโต่วไม่ปฏิเสธ
เซินกาวเจี้ยนสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะเอ่ยว่า “หัวหน้าแก๊งเย่คือปรมาจารย์โลกยุทธ์ผู้แข็งแกร่ง ผู้น้อยไม่กล้าก้าวล่วง แต่ขอบังอาจถามสักข้อ ผู้ใหญ่ระดับสูงของสำนักเซียวเหยาได้มอบหมายให้ผู้น้อยมาจับตัวหลัวซิว หัวหน้าแก๊งเย่ได้โปรดส่งตัวเขาให้แก่ผู้น้อยได้หรือไม่”
สีหน้าของเย่เซี่ยงโต่วไร้อารมณ์ เพียงเอ่ยเรียบๆ ว่า “เจ้าคงเคยได้ยินภารกิจรางวัลนำจับของแก๊งนักล่าอสูรมาบ้างล่ะมั้ง”
เซินกาวเจี้ยนพยักหน้าอย่างเคลือบแคลง
“ในเมื่อเจ้ารู้ว่านี่คือภารกิจรางวัลนำจับ ข้าคือคนที่รับภารกิจรางวัลนำจับที่หลัวซิวประกาศ เจ้ากลับไปบอกลู่เฟยเฉินเถอะว่า หากเขาต้องการจับให้ไปจับที่แก๊งนักล่าอสูรที่เมืองหยุนหลงแล้วกัน” เย่เซี่ยงโต่วกล่าว
“อะไรนะ” ร่างของเซินกาวเจี้ยนชะงักค้างไป
ภารกิจที่หลัวซิวประกาศ? เขามีสิ่งใดตอบแทนปรมาจารย์โลกยุทธ์ผู้แข็งแกร่งให้ยอมยื่นมือมาช่วยเหลือด้วยเหรอ
ไม่เพียงแค่เขา ต่อให้เป็นลู่เฟยเฉินเองก็คงคิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องหักมุมเช่นนี้ได้
ทุกคนล้วนดูถูกหลัวซิวว่าเขาเป็นเพียงจอมยุทธ์ของแดนชี่ไห่คนหนึ่งที่มีความสามารถมากก็เท่านั้น
เขาเกิดมายากจนไม่มีคนใหญ่โตหนุนหลัง แล้วจะประกาศหาผู้รับภารกิจรางวัลนำจับ เชิญปรมาจารย์โลกยุทธ์อย่างหัวหน้าแก๊งนักล่าอสูรมาช่วยเหลือได้อย่างไร
เมื่อมีภารกิจรางวัลนำจับมีคนรับแล้ว นั่นหมายความว่าหลัวซิวจะได้รับการคุ้มครองจากแก๊งนักล่าอสูร
ในเขตการปกครองหยุนหลง และสาขาของแก๊งนักล่าอสูรทั้งสิบแปดแห่ง ล้วนอยู่ภายใต้การปกครองของแก๊งนักล่าอสูรของเมืองหยุนหลงทั้งสิ้น
และท่านหัวหน้าแก๊งในเมืองหยุนหลงผู้นั้น แม้แต่ผู้อาวุโสในสำนักยังต้องอยู่อย่างนอบน้อม เวลาที่เจ้าสำนักเจอเขายังต้องทำความเคารพเขาอย่างผู้อาวุโสกว่า
แม้ว่าแก๊งนักล่าอสูรในเมืองหยุนหลง จะเป็นเพียงส่วนหนึ่งของแก๊งนักล่าอสูรในเขตการปกครองหยุนหลงเท่านั้น
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับแก๊งนักล่าอสูรทั้งหมด แม้แต่เจ้าเมืองเขตการปกครองหยุนหลงของสำนักเซียวเหยายังต้องก้มหัวให้
และในขณะที่เซินกาวเจี้ยนยังคงตกใจไม่ได้สติอยู่นั้น เย่เซี่ยงโต่วและพวกหลัวซิวก็ได้หายตัวไปจากที่นั่นแล้ว
ตั้งแต่เริ่มจนจบ เขาไม่กล้าออกคำสั่งให้คนของตนลงมือ เพราะสำหรับแก๊งนักล่าอสูร อย่าว่าแต่ตัวเขาเองเลย ต่อให้เป็นลู่เฟยเฉินก็ยังไม่กล้าข้องเกี่ยว
ผ่านไปเนิ่นนานหลังจากนั้น เซินกาวเจี้ยนจึงหยิบกล่องส่งเสียง ที่กำลังสั่นอยู่ในมือแล้วส่งข่าวนี้ไปยังลู่เฟยเฉิน
……
“กริ๊ง!”
หลังจากลู่เฟยเฉินที่อยู่นอกเมืองหยุนหลงได้รับข่าวแล้ว กล่องส่งเสียงที่อยู่ในมือของเขาพลันถูกบีบจนแตกละเอียด
เขาคิดไม่ถึงเลยว่า ต่อให้ตัวเองรอบคอบมากแค่ไหนก็ยังจะมีข้อผิดพลาดได้อีก หลัวซิวถึงขั้นใช้วิธีเชิญผู้แข็งแกร่งอย่างปรมาจารย์โลกยุทธ์มาช่วยและได้รับการคุ้มครองจากแก๊งนักล่าอสูร
เรื่องนี้จะต้องก่อความเสียหายให้กับแผนการของเขาในอนาคตอย่างไม่ต้องสงสัย หากลูกสาวของเขารู้ว่าหลัวซิวยังมีชีวิตอยู่ จะต้องส่งผลกระทบกับการที่เขาจะได้รับการสนับสนุนจากผู้อาวุโสโกวทั้งสามท่านหรือไม่
########################
บทที่ 96 เสมอกับเย่เซี่ยงโต่ว
กระบี่เงามืดสับอากาศแหวกให้เกิดเกลียวคลื่นระลอกหนึ่ง ทำให้องครักษ์เกราะเขียวที่เหลืออยู่สองคนสุดท้ายล้มลงบนพื้นสิ้นชีวิตไปทันที
ส่วนหลัวซิวนั้นได้ทิ้งเศษเงาเอาไว้ที่เดิม แล้วมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าจางช่าวไห่ทันที ใบหน้าที่เคลือบรอยยิ้มเย็นยะเยือกของเขาจ้องเขม็งไปที่หัวหน้าตระกูลจาง
จางช่าวไห่คิดจะร้องขอชีวิต ทว่าแสงกระบี่ได้ฝ่าพุ่งตรงเข้ามาถึงด้านหน้าของเขาเสียแล้ว
การลงมือของหลัวซิวประณีตไร้ที่ติ เด็ดขาดรุนแรงไร้ความลังเลใดๆ
“ไม่!……”
จางช่าวไห่ตะโกนสุดแรง แสงสว่างของปราณแท้ได้หมุนวนอยู่รอบตัวเขา ภายใต้สถานการณ์ที่เป็นตายเท่ากัน เขาได้ปล่อยศักยภาพทั้งหมดออกมาเพื่อปกป้องตัวเองเอาไว้
ทว่านาทีถัดมา จางช่าวไห่กุมลำคอของตัวเองแล้วทรุดลงบนพื้น เลือดทะลักออกมาจากปากของเขา ดวงตาของเขาเบิกกว้าง แต่กลับไม่สามารถกล่าวคำพูดใดออกมาได้
สีหน้าของหลัวซิวไร้อารมณ์ เขาเดินตรงไปยังทิศทางของสำนักยุทธ์ทันที ปล่อยร่างไร้วิญญาณขององครักษ์เกราะเขียว 30 นายและจางช่าวไห่เอาไว้ โดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง
จวงหนานเทียนและเจ้าสำนักชิงหยุนเดินออกมาจากแก๊งนักล่าอสูร เมื่อเห็นฉากเบื้องหน้าที่เต็มไปด้วยศพกราดเกลื่อนน่าหวาดผวา เขาจึงรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก
“นี่คือ……ฝีมือของหลัวซิวรึ” จวงหนานเทียนพูดราวกลับไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เห็นทั้งหมดนี้
“ฝึกถึงวิชาชี่ไห่ขั้น 3 แต่กลับมีพลังทำได้เช่นนี้ ความสามารถของเขาน่ากลัวยิ่ง วันข้างหน้าหากเขาเติบโตขึ้นจะต้องกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง”
แม้แต่เจ้าสำนักชิงหยุนยังอดไม่ได้ที่จะกล่าวยกย่องหลัวซิว ทว่าเขาข้องใจว่า ผู้ที่มีพรสวรรค์เช่นนี้นับเป็นผู้ที่มีคุณค่าหาได้ยากยิ่งสำหรับทุกสำนัก แล้วทำไมเจ้านอกสำนักอย่างลู่เฟยเฉินถึงต้องการกำจัดเขาทิ้ง?
……
เย่เซี่ยงโต่วเดินตามอยู่ด้านหลังหลัวซิว จากประสบการณ์ของเขาพอเดาได้ว่าทำไมลู่เฟยเฉินถึงต้องการฆ่าหลัวซิวทิ้งให้ได้
การเป็นศัตรูกับผู้ที่มีพรสวรรค์เช่นนี้ หากไม่อาจกำจัดให้ถึงรากถึงโคลนได้ หากวันหนึ่งเติบใหญ่จะต้องนำภัยพิบัติมาอย่างไม่จบไม่สิ้น
ในผืนแผ่นดินที่ยิ่งใหญ่อย่างเขตการปกครองหยุนหลงนี้ เคยปรากฏบุคคลผู้มีพรสวรรค์มาแล้วหลายต่อหลายคน แต่เย่เซี่ยงโต่วรู้สึกว่าทุกคนที่ฝึกวิชาชี่ไห่ขั้น 3 กลับไม่มีพลังอย่างเช่นหลัวซิว
และเขายังสังเกตเห็นอีกว่า ตอนที่หลัวซิวต่อสู้กับพวกองครักษ์ชุดเกราะ เขามีท่าทีสบายๆ ราวกับว่าเขายังไม่ได้ใช้แรงที่มีทั้งหมดของตนออกมา
นี่มีความหมายว่าอย่างไร
ปลิดชีวิตองครักษ์เกราะเขียวไป 30 ราย ฝีมือเทียบเท่ากับจอมยุทธ์วิชาชี่ไห่ขั้น 7 ที่มีฝีมือโดดเด่น หากหลัวซิวแสดงพลังทั้งหมดของตัวเองออกมา เขาคงจะมีฝีมือทัดเทียมกับวิชาชี่ไห่ขั้น 8 หรืออาจถึงขั้น 9 เลยด้วยซ้ำ
แต่ตอนนี้เขากลับฝึกถึงวิชาชี่ไห่ขั้น 3 เท่านั้น!
ผู้ที่มีพรสวรรค์ด้านการต่อสู้ขั้นสุดยอดนั้นหาได้ไม่ยาก แต่ผู้ที่มีพรสวรรค์ถึงขั้นสามารถกำจัดผู้ที่มีขั้นสูงกว่าหลายขั้นเช่นนี้ได้ หากเติบใหญ่ขึ้นจะต้องเปล่งประกายจนทุกคนไม่อาจละสายตาได้อย่างแน่นอน
แน่นอนว่าระดับความยากของเรื่องที่ท้าทายนั้นจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไปตามกาลเวลาที่ฝึกฝน แต่หากหลัวซิวสามารถรักษามาตรฐานเช่นนี้ต่อไปได้ วันที่เขาเข้าถึงแดนฝึกจิตและเข้าสู่แดนราชายุทธ์ วันนั้นเขาจะอันตรายอย่างยากจะหาผู้ใดเปรียบ
“ตึกๆๆๆ……”
เสียงฝีเท้าและเสียงเกือกม้าดังกระหึ่มขึ้น ระหว่างทางที่หลัวซิวมุ่งหน้าไปยังสำนักยุทธ์ได้มีองครักษ์เกราะเขียวอีดชุดหนึ่งบุกเข้ามาโจมตีเข้าอีกครั้ง
ผู้ที่นำองครักษ์เกราะเขียวชุดนี้มาสองคนขี่ม้าศึก ผู้หนึ่งถือปืน ผู้หนึ่งถือดาบจันทราครึ่งเสี้ยว
“หลัวซิวบังอาจ ยังไม่ยอมมอบตัวแต่โดยดีอีก”
องครักษ์เกราะเขียวผู้ถือดาบจันทราครึ่งเสี้ยวแผดเสียงกร้าว ดวงตาของเขากลมโต คิ้วเข้ม ร่างกายกำยำบึกบึน ดูมีอำนาจน่าเกรงขามแผ่ซ่านออกมาอย่างไม่อาจจับต้อง
แต่หลัวซิวกลับทำเหมือนไม่ได้ยินในสิ่งที่เขาพูด
“ฆ่ามัน!”
องครักษ์เกราะเขียวชายแผดเสียงตะโกน ขาทั้งสองเตะกระตุ้นม้า มือข้างหนึ่งกุมบังเหียนเอาไว้ ม้าสีดำส่งเสียงคำรามก่อนจะวิ่งทะยานเข้าใส่หลัวซิว
หลัวซิวจ้องมองม้าศึกตัวนั้นที่กำลังวิ่งเข้ามาหาตนโดยไม่มีทีท่าว่าจะหลบ ก่อนจะกระโดดทะยานขึ้นด้านบน
“ตายซะ!”
องครักษ์เกราะเขียวผู้นั้นแกว่งไกวดาบจันทราครึ่งเสี้ยว ดาบส่องประกายแสงดาบทิ่มแทงลูกตา เขาเป็นหัวหน้าใหญ่คนหนึ่งขององครักษ์เกราะเขียวที่มีวิชาชี่ไห่ขั้น 7
ม้าศึกวิ่งพุ่งทะยาน เงาร่างของหลัวซิวที่อยู่กลางอากาศถูกแสงดาบฟันขาดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ตึก!
หลังจากม้าสีดำวิ่งออกจากหอมาได้สิบเมตร ร่างขององครักษ์ชายผู้นั้นกลับตกลงกระแทกพื้นสิ้นชีพ
เงาร่างของหลัวซิวยังคงก้าวออกมาด้านหน้า มือของเขากุมกระบี่เงามืดอาบเลือดเอาไว้ ส่วนเงาร่างของเขาที่ถูกฟันเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยนั้น เป็นเพียงแค่เศษเงาเท่านั้น
วิชาเงาเศษสิบช่องที่เขาฝึกฝนมานั้นเป็นวิชายุทธ์ขั้นสุดยอดในระดับ 5 และเขายังฝึกตนจนถึงแดนบรรลุผลแล้วด้วย
จอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่ในแดนสวรรค์หลายๆ คน ยังชำนาญในวิชาท่าร่างน้อยกว่าหลัวซิวอยู่หลายระดับ
วิชายุทธ์ระดับ 6 ที่แข็งแกร่ง แม้ว่าเกณฑ์ต่ำสุดที่จะฝึกฝนได้คือวิชาชี่ไห่ระดับ 7 ขึ้นไป แต่ผู้มีคุณสมบัติที่จะสามารถฝึกฝนได้โดยแท้จริงมักจะเป็นปรมาจารย์โลกยุทธ์ของแดนฝึกจิตทั้งสิ้น
องครักษ์เกราะเขียวตกตะลึงและพากันสบตามองหน้ากันอย่างไร้คำพูดด้วยความหวาดผวา นั่นคือหัวหน้าใหญ่ที่อยู่แดนวิชาชี่ไห่ระดับ 7 เชียวนะ เข้าไปเผชิญหน้าเพียงชั่วครู่กลับโดนสังหารภายในพริบตาเดียว
แถมวิชาท่าร่างของหลัวซิวที่แสดงออกมาให้เห็นคือสามารถทิ้งเศษเงาเอาไว้ที่เดิม และจะเอาร่างไปโผล่ตรงไหนก็ได้ นับเป็นวิชาที่หวาดหวั่นอย่างยิ่ง……
“ดีมากเด็กน้อย แม้แต่วิชาชี่ไห่ระดับ 7 ยังปลิดชีพได้เพียงดาบเดียว”
เปลือกตาของเย่เซี่ยงโต่วกระตุก ในใจของเขาเต็มไปด้วยคำชื่นชมในความสามารถของหลัวซิว
แม้ว่าจะอยู่ในขั้นวิชาชี่ไห่ระดับ 7 องครักษ์เกราะเขียวที่ถูกหลัวซิวฆ่าตายก็เป็นถึงผู้ที่เกิดมามีอำนาจและพรสวรรค์ แต่แม้ว่าจอมยุทธ์จะรวมปราณแท้ได้แต่เมื่อเทียบกับหลัวซิวแล้วยังนับว่าห่างกันอยู่ถึงสามระดับ
เมื่อเห็นหัวหน้าใหญ่ถูกฆ่าตายเพียงในชั่วพริบตา องครักษ์เกราะเขียวที่เหลือจึงพากันถอยกรูดไปข้างหลัง
เพราะไม่มีใครอยากตาย คำสั่งของสำนักยุทธ์กับชีวิตของตัวเอง อะไรเป็นสิ่งที่สำคัญกว่ากัน
กลุ่มองครักษ์เกราะเขียวที่อยู่ตรงหน้าหลัวซิว เขาเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยของคนคนหนึ่ง นั่นคือสวี่ชิวเซิง
สวี่ชิวเซิงเองก็สามารถบรรลุเข้ามาสู่แดนชี่ไห่ได้เช่นกัน แต่เนื่องจากความสามารถในการฝึกฝนไม่โดดเด่นจึงไม่มีวาสนาที่จะเข้าสู่นอกสำนักเซียวเหยาได้ ดังนั้นหลังจากที่ได้เป็นจอมยุทธ์ชี่ไห่แล้วก็ได้เข้ามาเป็นองครักษ์เกราะเขียว
“ฉันไม่อยากฆ่าพวกแก หลบทางให้ฉันแต่โดยดีซะ” หลัวซิวกล่าวเสียงแข็ง
ตอนนี้ในใจของเขาเต็มไปด้วยความแค้น ดังนั้นหากลงมือจะไม่มีทางออมมือ ปราณแท้ที่รวมความอาฆาตเข้าไปสามารถทำให้ชีวิตคนดับสลายได้หากสัมผัสคมกระบี่ของเขาไปแล้วไม่ตายก็เจ็บสาหัส
อีกอย่างกระบี่ของเขารวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาด จอมยุทธ์ชี่ไห่ธรรมดาไม่มีทางหลบพ้น หากได้รับบาดเจ็บอาจถึงตายกลางสนามรบทันที
“อย่าบังอาจนะ”
องครักษ์เกราะเขียวอีกคนที่ขี่ม้าอยู่ส่งเสียงตวาด “พวกเรามีกันตั้งหลายคนขนาดนี้ เขาตัวคนเดียว พวกเราช่วยกันบุกเข้าไปสิ สำนักยุทธ์มีคำสั่งมาแล้ว ผู้ใดฆ่าหลัวซิวจะตบรางวัลให้อย่างาม”
คำพูดนี้ถือเป็นการเรียกขวัญกำลังใจให้องครักษ์เกราะเขียวได้ ใช่แล้ว พวกเรามีคนมากกว่า เขาตัวคนเดียว ทำไมพวกเราต้องกลัวเขาด้วย
ทว่าคนกลุ่มนี้ไม่รู้เลยว่า ก่อนหน้านี้มีองครักษ์เกราะเขียวกองทัพหนึ่งต้องสังเวยชีวิตให้ดาบของหลัวซิวมาแล้ว
“ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า! ……”
องครักษ์เกราะเขียว 20 กว่านายเบียดเสียดตะโกนโห่ร้อง จากนั้นจึงพุ่งเข้าใส่หลัวซิวราวฝูงผึ้ง
องครักษ์เกราะเขียวที่ขี่ม้าผู้นั้นไม่ได้นำหน้ามา แต่ในมือของเขาถือปืนยาวเอาไว้แล้วเดินวนเวียนอยู่รอบๆ เพื่อหาจังหวะลงมือที่เหมาะสม
เห็นได้อย่างชัดเจนว่าฝีมือการปลิดชีพหัวหน้าใหญ่ได้อย่างรวดเร็วของหลัวซิวนั้น ทำให้เขารู้สึกหวั่นเกรง
“ฟับ!”
เพียงแสงกระบี่สะท้อน องครักษ์เกราะเขียวนายหนึ่งถูกฟันเข้าที่คอ
ต่อเนื่องจากนั้นในทันที แสงกระบี่ยังคงไม่หยุดเปล่งประกาย ราวกับง้าวของยมราชที่กำลังจะมาพรากเอาชีวิตไป จากนั้นองครักษ์เกราะเขียวตายจึงถูกฟันตายคาที่ไปอีกสามนาย
การมีอาคมปราณแท้เป็นตาย 2 ระดับเช่นนี้ หากอีกฝ่ายไม่สวมเกราะนักยุทธ์ชั้นกลางขึ้นไปไม่มีทางรับมือคมกระบี่เงามืดได้อย่างแน่นอน
########################
บทที่ 95 หนีไม่พ้น
“หลัวซิว!”
ในตอนนั้นเอง มีชายวัยกลางคนใส่ชุดผ้าฝ้ายเดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่ของแก๊งนักล่าอสูร สายตาของเขามองกวาดไปยังผู้คนที่ห้อมล้อมราวกับมีเปลวเพลิงในดวงตาก่อนจะมาหยุดอยู่ที่หลัวซิว
หลัวซิวมองตามต้นเสียง คิ้วขมวดแน่น เขาไม่รู้จักชายวัยกลางคนชุดผ้าฝ้ายผู้นี้ แต่คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นจางช่าวฉง หัวหน้าตระกูลจางคนก่อนเพราะมีบางส่วนที่ดูใกล้เคียงกัน
“เจ้าคือคนของตระกูลจางใช่หรือไม่” หลัวซิวถามขึ้น
ชายวัยกลางคนชุดผ้าฝ้ายอมยิ้มพลางเดินเข้ามา “ไม่เลว ฉันคือจางช่าวไห่ หัวหน้าตระกูลจางคนปัจจุบัน”
“จะว่าไปแล้ว พี่ชายของฉันตายเพราะแกก็ดีเหมือนกัน เพราะถ้าไม่ใช่เพราะแก ฉันคงไม่มีทางได้ตำแหน่งหัวหน้าตระกูลนี้มาได้”
จางช่าวไห่เดินไปหยุดอยู่ต่อหน้าหลัวซิวแล้วลดเสียงลงกล่าวว่า “ฉันจะบอกอะไรแกให้อย่างหนึ่ง ตอนนั้นคนที่สั่งให้จับตัวพ่อแม่และพี่สาวของแกเอาไว้ไม่ใช่ฝีมือพี่ฉัน แต่เป็นฉันเองต่างหาก”
“แก?” หลัวซิวได้ยินเช่นนั้น แววตาก็เริ่มปรากฏความอาฆาต
เห็นได้ชัดเจนว่า จางช่าวไห่ผู้นี้ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ยอมทำได้ทุกอย่างเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายของตัวเอง เพื่อให้ได้ตำแหน่งหัวหน้าตระกูล ถึงขั้นทำร้ายพี่ชายของตัวเองถึงแก่ความตายอย่างไร้ปรานี
ตอนแรกหลัวซิวไม่ได้มีความคิดจะฆ่าจางช่าวฉง แต่เมื่อได้ยินว่าตระกูลจางออกคำสั่งให้จับตัวพ่อแม่และพี่สาวของตัวเองไป เขาก็เข้าใจไปโดยอัตโนมัติว่าจางช่าวฉงเป็นคนสั่งการ ด้วยโทสะตนจึงขอให้เจ้าสำนักยุทธ์ปลิดชีวิตของเขา
หากเหตุการณ์ไม่ได้เป็นเช่นนี้ เขาคงไม่ต้องระแวงนายท่านตระกูลจางผู้นั้น และต้องเผชิญอันตรายรอบด้านมานับครั้งไม่ถ้วนแบบนี้
“ในเมื่อฉันฆ่าจางช่าวฉงตายได้ แกมาบอกฉันเรื่องนี้ แกไม่กลัวหรือว่าฉันจะฆ่าแกตายไปอีกคน” หลัวซิวเอ่ยอย่างเย็นชา
จางช่าวไห่หัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ และกล่าวหยาม “ความตายมารอแกอยู่ตรงหน้าแล้ว ยังจะกล้าพูดจาโอหังแบบนี้อีกรึ”
เขากล้าพูดคำพูดเช่นนี้ต่อหน้าหลัวซิว แน่นอนว่าเขามีคนหนุนหลังอยู่
“อย่าคิดนะว่าการซ่อนตัวอยู่ที่แก๊งนักล่าอสูรจะทำให้แกใช้ชีวิตได้อย่างสงบสุข ถ้าแกยังไม่ยอมโผล่หัวออกมา ฉันจะส่งคนไปฆ่าพ่อแม่และพี่สาวของแกซะ ดูซิว่าแกจะยอมออกมาไหม” จางช่าวไห่กล่าวอย่างอำมหิต
หลัวซิวได้ยินดังนั้นจึงหรี่ตาลง ในอกของเขาโมโหจนอารมณ์เดือดปุดๆ
เขากัดฟันยิ้มออกมาอย่างเลือดเย็น “แกอยากให้ฉันออกไปรึ ได้ ฉันจะออกไป”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง หลัวซิวพลันก้าวอาดๆ เดินออกมาจากประตูใหญ่ของแก๊งนักล่าอสูร ปรมาจารย์โลกยุทธ์อย่างเย่เซี่ยงโต่วเดินตามหลังเขาออกไปเป็นเงาตามตัวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ใด
การตัดสินใจของหลัวซิวทำให้จางช่าวไห่ตกใจ แต่เพียงชั่วครู่สีหน้าของเขาก็ปรากฏรอยยิ้มออกมา “วัยรุ่นก็ใจร้อนแบบนี้ แค่พูดยุแหย่นิดหน่อยก็โมโหจนวิ่งออกมาหาที่ตายซะแล้ว”
ด้านนอกห้องโถงของแก๊งนักล่าอสูร มีองครักษ์เกราะเขียวกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ด้วยท่าทางน่าหวาดกลัว มือของพวกเขากุมดาบ รังสีที่ออกมาจากตัวพวกเขาเต็มไปด้วยความอาฆาตหมายเอาชีวิต
บริเวณนั้นมีกลุ่มคนยืนออกันอยู่เป็นจำนวนมาก ผู้คนต่างพากันถกเถียงว่าเพราะเหตุใดองครักษ์เกราะเขียวถึงมาปรากฏตัวอยู่ตรงนี้ และเป็นเพราะใครที่ทำให้องครักษ์เกราะเขียวสามสิบกว่านายมายืนรออย่างแน่นขนัดอยู่เช่นนี้
ทันใดนั้นเองหลัวซิวจึงเดินออกมาจากแก๊งนักล่าอสูร
“องครักษ์เกราะเขียวรับคำสั่งการ เอาตัวหลัวซิวมาให้ได้ หากแข็งขืนฆ่าทิ้งทันที!” น้ำเสียงของจางช่าวไห่ที่แฝงความเคียดแค้นดังก้องไปทั่วบริเวณ
“ฟึบ! ฟึบ! ฟึบ!”
เสียงดึงกระบี่ออกจากฝักดังสะท้อน องครักษ์เกราะเขียวทั้งสามสิบนายส่งเสียงอื้ออึงขึ้นมาพร้อมกันแล้วเข้าไปล้อมหลัวซิวเอาไว้จากทุกทิศทุกทาง
ส่วนจางช่าวไห่ยืนเฝ้าอยู่ตรงด้านหน้าประตูใหญ่ด้วยตัวเอง เพื่อปิดหนทางหนีของหลัวซิวไม่ให้เขาหนีกลับเข้าไปที่แก๊งนักล่าอสูรอีก
หลัวซิวไม่ได้ใส่ใจ ด้านหลังของเขามีปรมาจารย์โลกยุทธ์อย่างเย่เซี่ยงโต่วอยู่ หากจางช่าวไห่บุกโจมตีเขาจากทางด้านหลัง นั่นก็เท่ากับว่าเขารนหาที่ตายเอง
บรรยากาศแห่งความอาฆาตพยาบาทแผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณหน้าประตูใหญ่ของแก๊งนักล่าอสูร
องครักษ์เกราะเขียวทุกนายฝึกตนที่แดนฝึกชี่ไห่ ทว่าล้วนฝึกตนต่ำกว่าชี่ไห่ขั้นห้า มีเพียงผู้เป็นหัวหน้าคนเดียวเท่านั้นที่ฝึกได้ชี่ไห่ขั้นหกแล้ว
องครักษ์เกราะเขียวนายหนึ่งถือกระบี่ยาวพลางวิ่งเข้าใส่หลัวซิวด้วยสีหน้าเย็นชากระหายเลือด
ทว่าในขณะที่เขาวิ่งเข้ามาใกล้หลัวซิวกลับมีแสงกระบี่สีดำสว่างวาบขึ้นตรงหน้า เขายังไม่ทันจะรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น หัวของเขาก็หลุดกระเด็นและกลิ้งตกลงไปบนพื้นเสียแล้ว
เลือดสดพุ่งกระฉูดราวน้ำพุ ในมือของหลัวซิวปรากฏกระบี่ยุทธ์สีดำเปื้อนเลือดเล่มหนึ่ง
ดวงตาของเย่เซี่ยงโต่วที่ยืนอยู่ด้านหลังหลัวซิวหรี่เล็กลง ในฐานะของปรมาจารย์โลกยุทธ์ ดวงตาของเขาหลักแหลมมากจึงมองออกว่าวิชาดาบของหลัวซิวใกล้ถึงขั้นสุดยอดแล้วความแม่นยำสูงแถมเวลาลงมือยังเด็ดขาดและไม่ปรานี เวลาเสี้ยวเดียวกลับตัดคอจอมยุทธ์ชี่ไห่เช่นเดียวกับตนไปได้หนึ่งราย
แม้ว่าสำหรับปรมาจารย์โลกยุทธ์ วิธีการลงมือเช่นนี้จะไม่ได้วิเศษอะไรมาก แต่สำหรับจอมยุทธ์แดนวิชาชี่ไห่ขั้น 3 ที่มีอายุเพียง 14 ปีผู้นี้กลับทำได้ นับได้ว่าเขาไม่ใช่คนที่มีเพียงพรสวรรค์ธรรมดาๆ แล้ว
หลังจากใช้กระบี่ตัดคอองครักษ์เกราะเขียวไปคนหนึ่งแล้ว หลัวซิวยังคงไม่หยุด ในอกของเขาคุกรุ่นไปด้วยโทสะแล่นพล่าน เวลานี้จึงอัดอั้นจนต้องรีบระบายออกมา
ทุกครั้งที่เขากวัดแกว่งกระบี่จะต้องมีเลือดพวยพุ่ง ต่อจากนั้นร่างไร้วิญญาณก็จะล้มลงไปนอนในกองเลือด
องครักษ์พวกนี้ฝึกตนอย่างมากไม่เกินแดนวิชาชี่ไห่ขั้น 7 แต่กลับไม่มีใครสักคนที่สามารถต้านทานเขาได้
กระบี่ของเขาว่องไวมากราวกับสายฟ้าฟาด ถ้าไม่ใช่ยอดฝีมือที่ว่องไวในการต่อสู้ แต่เป็นเพียงจอมยุทธ์ทั่วๆ ไปคงไม่มีทางหนีเขาพ้น
“ฟับ ฟับ ฟับ……”
องครักษ์เกราะเขียวสามนายถอยออกห่างแล้วง้างคันธนูขึ้น ลูกธนูพุ่งทะยานออกมา โดยมีเป้าหมายอยู่ที่ศีรษะของหลัวซิว
“ไปตายซะ”
องครักษ์เกราะเขียวคนอื่นลงมือเช่นเดียวกัน เวลานี้หลัวซิวจึงไม่มีทางหลบพ้น
“วิชากระบี่สะท้อนแสง”
หลัวซิวกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา จากนั้นใช้กระบวนท่ากระบี่แสงเหนือ ลำแสงกระบี่สีดำแผ่ออกไปกลางอากาศตัดลูกธนูทั้งสามดอกที่พุ่งทะยานเข้ามา
จากนั้น ร่างของเขาก็เริ่มบิดเบี้ยวปัดป้องการโจมตีขององครักษ์เกราะเขียวที่มาจากทุกทางให้เหลือเพียงเศษเงา
“วิชากระบี่พรากชีวี”
น้ำเสียงเย็นยะเยือกดังขึ้นราวกับยมราชตะโกนอยู่ข้างใบหู ปราณกระบี่สีดำพุ่งทะยานออกจากกระบี่เงามืดที่อยู่ในมือของหลัวซิว
เสียงฉึกๆ สะท้อนดังเข้าหูติดต่อกันครั้งแล้วครั้งเล่า ชั่วพริบตาองครักษ์เกราะเขียวโดนกำจัดไปทั้งหมด 4 นาย เลือดสีแดงสดพวยพุ่ง
การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือดไร้ความเมตตาปรานี
วิชาท่าร่างทั้งหมดถูกนำมาใช้เต็มที่ เงาเศษ 7 สายแผ่ซ่าน หลัวซิวตกอยู่ในห้วงของความอาฆาตแค้น ความพยาบาทในอกระเบิดทะลักล้นออกมา
หนึ่งก้าวปลิดหนึ่งชีวี กระบี่กวัดแกว่งโชคไปด้วยเลือด ชั่วเวลาพริบตา ด้านหน้าประตูใหญ่ของแก๊งนักล่าอสูรแดงฉานไปด้วยเลือดสด ศพร่างขาดครึ่งกลาดเกลื่อนไปทั่วราวแดนชำระอสุรา
ฝูงชนที่ยืนห้อมล้อมเพื่อต้องการจะดูความคึกคักบัดนี้ต่างพากันถอยกรูดไปลิบ สีหน้าของฝูงชนปรากฏความสยดสยอง
องครักษ์เกราะเขียว 30 นาย ไม่มีสักคนที่ต้านทานเขาได้
ส่วนหลัวซิวผู้ที่ลงมือทั้งหมดนี้เอง มีอายุได้เพียงสิบสี่ปี
จางช่าวไห่เห็นองครักษ์เกราะเขียวถูกตัดคอไปทีละคนสองคน ร่างของเขาพลันสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างยากควบคุม
แม้ว่านายท่านตระกูลจางอย่างจางหลู่เหลียงจะเป็นยอดฝีมือที่มีพรสวรรค์ถึงแดนขั้น 9 แต่ตระกูลจางในเมืองชิงหยุนกลับไม่มีผู้ใดสืบทอด แม้แต่จางช่าวฉงที่รับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลจาง ตอนที่เขาอายุได้ 40 กว่าปีก็ฝึกตนได้เพียงชี่ไห่ขั้น 6 เท่านั้น
ทว่าชี่ไห่ขั้น 6 กลับถูกหลัวซิวกำจัดราวผักหญ้าด้วยกระบี่เพียงเล่มเดียว นี่ทำให้จางช่าวไห่ที่คิดเอาไว้ว่าหลัวซิวต้องตายแน่ๆ เริ่มหวาดผวาขึ้นมา
“หนี!”
เมื่อเห็นองครักษ์เกราะเขียวตายไปเกือบหมดเหลือเพียง 3 นาย เมื่อจางช่าวไห่ได้สติกลับมาจากความตกใจสุดขีด ในหัวของเขาก็เหลือเพียงทางเลือกเดียวเท่านั้น นั่นก็คือหนีไปให้เร็วที่สุด มิเช่นนั้นหลัวซิวคงฆ่าเขาตายไปอีกคน
จางช่าวไห่มั่นใจว่า ขอเพียงเขาหนีไปให้พ้นจากสำนักยุทธ์แห่งนี้ ผู้ที่ฝึกตนนอกสำนักอย่างเซินกาวเจี้ยน จะต้องปลิดชีพหลัวซิวได้อย่างง่ายดายแน่นอน
“จางช่าวไห่ แกไม่มีทางหนีพ้น!”
########################
บทที่ 94 เวลาสิบปี
จวงหนานเทียนกับเจ้าสำนักชิงหยุนรีบทำความเคารพ จากนั้นจึงถอยออกจากห้องไป
หลัวซิวเองก็ลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยพร้อมทำความเคารพ “ผู้น้อยหลัวซิว คารวะท่านหัวหน้าแก๊ง”
“ข้าคือเย่เซี่ยงโต่ว”
น้ำเสียงของหัวหน้าแก๊งผู้นี้ไม่แหบแห้งอย่างคนชรา แต่กลับลึกซึ้งและมีพลัง
สายตาของเขาจ้องไปที่หลัวซิวก่อนจะเอ่ยเรียบๆ ว่า “ข้ารู้เรื่องของเจ้าแล้ว”
“ข้าสามารถช่วยครอบครัวของเจ้าออกมาจากสำนักยุทธ์ได้ แต่เรื่องนี้เกี่ยวพันกับหลายอย่าง ดังนั้นของที่ข้าต้องการ เจ้าเตรียมเอาไว้แล้วหรือไม่” เย่เซี่ยงโต่วกล่าวออกมาอย่างตรงไปตรงมา
หลัวซิวก็ไม่พูดอะไรมากความ แล้วหยิบคัมภีร์วิชายุทธ์ออกมาไว้บนโต๊ะ
“นี่คือพลังชิงหยวน กำลังภายในวิชายุทธ์ระดับ 6”
อันที่จริงในใจของหลัวซิวเองก็อดที่จะกังวลไม่ได้ หากท่านหัวหน้าแก๊งคนนี้เอาวรยุทธ์ไปโดยไม่ช่วยเขา เขาจะทำอย่างไร”
อันที่จริงแล้วก็เป็นเพราะว่าตัวเขามีพลังไม่แข็งแกร่งมากพอ ไม่อย่างนั้นแล้วเขาจะเอาชะตาชีวิตของตัวเองไปฝากไว้ที่คนอื่นทำไม
ตอนนั้นเองหลัวซิวจึงเกิดความรู้สึกปรารถนาในพลังที่แข็งแกร่งขึ้นมา
สายตาของเย่เซี่ยงโต่วสามารถมองทะลุถึงจิตใจคน เขาหยิบพลังชิงหยวนที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาพลิกดูแล้วเอ่ยว่า “เจ้าไม่ต้องกังวลไป แก๊งนักล่าอสูรอย่างพวกเราเมื่อรับภารกิจมาแล้ว ชื่อเสียงคือสิ่งที่สำคัญมากที่สุด ข้ารับของของเจ้ามาแล้ว แน่นอนว่าต้องจัดการเรื่องของเจ้าจนสำเร็จ”
“ผู้น้อยเชื่อมั่นในตัวผู้อาวุโส” หลัวซิวกล่าวตอบ
เย่เซี่ยงโต่วพยักหน้า จากนั้นจึงวางพลังชิงหยวนลงแล้วเอ่ยว่า “นี่คือวรยุทธ์ระดับ 6 อย่างแท้จริง นอกจากจะให้เราช่วยครอบครัวของเจ้าออกมาแล้ว เจ้ายังต้องการให้เราช่วยอะไรอีกหรือไม่”
กล่าวถึงตรงนี้ เย่เซี่ยงโต่วจึงจ้องไปที่หลัวซิว “หากเป็นเรื่องราวอื่นๆ ที่นอกเหนือจากภารกิจ เราไม่อาจยื่นมือช่วยเจ้าได้”
แก๊งนักล่าอสูรมีศักดิ์ศรีและยังมีกฎกติกาที่ชัดเจน การรับภารกิจต่างๆ ต้องทำผิดต่อผู้แข็งแกร่งและขัดกลุ่มอำนาจมากมาย ดังนั้นในเรื่องนี้ เมื่อผู้แข็งแกร่งของแก๊งนักล่าอสูรรับภารกิจมาแล้วจึงต้องขีดเส้นจำกัดขอบเขตให้ชัดเจน
อย่างเช่นหากหลัวซิวบอกภารกิจที่ต้องการให้ไปกำจัดปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ แก๊งนักล่าอสูรจะไม่ยอมรับภารกิจนี้ ไม่เช่นนั้นแล้วไม่ว่าแก๊งนักล่าอสูรจะยิ่งใหญ่มากเพียงใดก็ไม่อาจดำรงอยู่บนโลกใบนี้ต่อไปได้
“หากมีคนต้องการปลิดชีพผม ผมหวังว่าผู้อาวุโสจะช่วยปกป้องผมและคนในครอบครัวได้” หลัวซิวบอกความต้องการข้อแรกของตัวเองออกไป
“เรื่องนี้เราทำได้” เย่เซี่ยงโต่วพยักหน้ารับปาก
“หลังจากช่วยครอบครัวของผมออกมาแล้ว ผมอยากให้ผู้อาวุโสช่วยคุ้มครองครอบครัวของผมออกจากเขตการปกครองหยุนหลง” หลัวซิวกล่าวอีกครั้ง
เย่เซี่ยงโต่วขมวดคิ้ว “ข้อนี้เราไม่อาจรับปากเจ้าได้ หากเป็นตัวเจ้า เราสามารถใช้ค่ายวาร์ปส่งตัวเจ้าออกไปอยู่ที่แก๊งนักล่าอสูรเขตอื่นได้ แต่การจะใช้ค่ายวาร์ปได้อย่างน้อยๆ จะต้องเป็นผู้ที่ฝึกฝนแดนชี่ไห่”
ได้ยินดังนี้ สีหน้าของหลัวซิวจึงเปลี่ยนไป
เขารู้ดีว่าต่อให้ช่วยพ่อแม่และพี่สาวของเขาออกไปได้ แต่ออกไปจากเขตปกครองหยุนหลงไม่ได้ ก็ถือว่ายังอยู่ภายใต้ขอบเขตอำนาจของสำนักเซียวเหยา ไม่ว่าจะเป็นลู่เฟยเฉินหรือจางลู่เหลียงต่างสามารถกำจัดเขาให้ถึงแก่ความตายได้ง่ายๆ
“แต่เราสามารถรับปากเจ้าได้อย่างหนึ่ง ในเขตเมืองชิงหยุนนี้ เราจะใช้ชื่อแก๊งนักล่าอสูรคุ้มครองความปลอดภัยของพวกเขา แต่เงื่อนไขนี้ไม่อยู่ในภารกิจ เจ้าต้องตอบแทนเราด้วยอย่างอื่น”
เย่เซี่ยงโต่วเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “คุ้มครองครอบครัวของเจ้าหนึ่งปี เจ้าต้องจ่ายหินพลังจิตชั้นล่างหนึ่งพันก้อน”
หลัวซิวชะงัก เพราะหินพลังจิตชั้นล่างหนึ่งพันก้อนเท่ากับนักยุทธ์ชั้นกลางหนึ่งชิ้น
แต่สำหรับหลัวซิวแล้ว ความปลอดภัยของพ่อแม่และพี่สาวนั้นหาค่าไม่ได้ ดังนั้นต่อให้แพงแค่ไหน เขาก็ต้องยอมรับ
“ผมต้องการให้ผู้อาวุโสคุ้มครองครอบครัวของผมสิบปี” หลัวซิวกล่าว
เวลาสิบปีเท่ากับต้องใช้หินพลังจิตชั้นล่างหนึ่งหมื่นก้อน ตอนที่หลัวซิวกล่าวคำพูดนี้ออกมา อาการของปรมาจารย์โลกยุทธ์อย่างเย่เซี่ยงโต่วเริ่มเปลี่ยนไป เพราะขนาดตัวเขาเองยังมีหินพลังจิตชั้นล่างสะสมไว้เพียงสามพันก้อนเท่านั้น
เขาไม่ได้เป็นคนโลภในสมบัติ คนฝึกยุทธ์บนโลกใบนี้มีมากมาย บางคนโลภจนไม่เลือกวิธีให้ได้ซึ่งสิ่งที่ตนเองต้องการ และมีบางคนที่ชอบของล้ำค่าที่ได้มาอย่างชอบธรรม
ลู่เฟยเฉินเป็นประเภทแรก ส่วนเย่เซี่ยงโต่วเป็นประเภทที่สองอย่างไม่ต้องสงสัย
การได้พบคนอย่างเจ้าสำนักชิงหยุน จวงหนานเทียนและเย่เซี่ยงโต่ว หลัวซิวคิดว่าถือเป็นโชคดีของเขา ไม่เช่นนั้นจอมยุทธ์ชี่ไห่ตัวเล็กๆ อย่างเขาที่ครอบครองของล้ำค่ามากมายหากพบเจอกับคนแบบแรก เขาจะต้องถูกกลืนกินเข้าไปทั้งกระดูกจนไม่เหลือแม้แต่เศษซากอย่างแน่นอน
“ผู้อาวุโส ที่จริงผมไม่มีหินพลังจิตมากขนาดนั้น ผมสามารถใช้ของวิเศษอย่างอื่นที่มีค่าเท่ากันมาชดเชยได้หรือไม่” หลัวซิวกล่าวต่อเนื่องออกมา
หินพลังจิตชั้นล่างหนึ่งหมื่นก้อน มีค่าเท่ากับหินพลังจิตชั้นกลางหนึ่งร้อยก้อน แม้ว่าหลัวซิวจะมี แต่เขายังต้องใช้หินพลังจิตช่วยในการฝึกตน ดังนั้นเขาจึงต้องเก็บเอาไว้สำหรับใช้ในการฝึกวันหลังด้วย
“ตกลง” เย่เซี่ยงโต่วตอบตกลงทันที ขอแค่เป็นของที่มีคุณค่าเท่ากัน ไม่ว่าจะเป็นหินพลังจิตหรือของวิเศษอย่างอื่นก็ทดแทนกันได้ทั้งนั้น
หลัวซิวหยิบกระบี่ยุทธ์เล่มหนึ่งออกมาจากกล่องเครื่องประดับและวางลงบนโต๊ะก่อนเอ่ยว่า “นี่คือกระบี่ยุทธ์ระดับชั้นล่าง มีคุณค่ามากกว่าหินพลังจิตหนึ่งหมื่นก้อนอย่างแน่นอน”
เย่เซี่ยงโต่วพยักหน้า เมื่อดูจากของที่หลัวซิวหยิบออกมา เขาก็พอเดาได้ว่าหนุ่มน้อยอายุสิบสี่ผู้นี้โชคดีนักที่ได้รับสมบัติมาจากปรมาจารย์โลกยุทธ์ผู้ใดสักท่านหนึ่ง อีกอย่างปรมาจารย์โลกยุทธ์ที่ครอบครองกระบี่ยุทธ์ระดับชั้นล่างจะต้องไม่ใช่ปรมาจารย์โลกยุทธ์ธรรมดาๆ อย่างแน่นอน
เนื่องจากตัวเย่เซี่ยงโต่วเองก็เป็นปรมาจารย์โลกยุทธ์เช่นกัน แต่เขาเพียงใช้นักยุทธ์ชั้นยอดเท่านั้น แต่สำหรับเขาแล้วกระบี่ยุทธ์ชั้นล่างถือว่ามีคุณค่าสูงมากเกินเอื้อมสำหรับเขาแล้ว
ส่วนความเป็นไปได้ที่จะเป็นคลังสมบัติที่ราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่งทิ้งเอาไว้ เย่เซี่ยวโต่วกลับไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะในเขตการปกครองหยุนหลงนี้ หาราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่งได้น้อยมาก
เมื่อทำข้อตกลงร่วมกับเย่เซี่ยงโต่วลงตัวแล้ว ผู้อาวุโสคนหนึ่งกับผู้น้อยคนหนึ่งก็เดินออกมาจากกลางห้อง
จวงหนานเทียนกับเจ้าสำนักชิงหยุนเฝ้าอยู่ด้านนอก เมื่อเห็นหัวหน้าแก๊งเย่เซี่ยงโต่วเดินตามหลังหลัวซิวออกมาราวกับเป็นองครักษ์ คนทั้งสองจึงหันไปสบตากันและรู้ในทันทีว่าท่านหัวหน้าแก๊งยอมตกลงช่วยเหลือหลัวซิว
เมื่อกลับไปถึงห้องโถงใหญ่ของแก๊งนักล่าอสูร ตอนนี้หลัวซิวจึงกลับมาใส่หมวกสานเอาไว้อีกครั้ง
สาวงามที่คอยต้อนรับอยู่ที่เคาน์เตอร์อย่างเจียงชานชานคล้ายนึกเรื่องราวบางอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อหลายเดือนก่อนได้ ใบหน้าของเธอจึงปรากฏความเขินอายออกมา
แต่เมื่อเธอสังเกตเห็นผู้อาวุโสเคราขาวที่เดินตามหลังหลัวซิวออกมา ดวงตาของเธอก็เบิกกว้างก่อนจะยกมือขึ้นมาปิดปากตัวเอง”
“คุณพระ นั่นไม่ใช่ท่านหัวหน้าแก๊งหรอกหรือ” แววตาของเจียงชานชานเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
เธอโชคดีเคยเจอหัวหน้าแก๊งมาแล้ว คราวนี้เธอจึงจำได้ ส่วนนักล่าอสูรในห้องโถงหลายคนนี้กลับยังไม่เคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของท่านหัวหน้าแก๊งมาก่อน จึงไม่รู้ฐานะของผู้อาวุโสเคราขาวท่านนี้ว่าสูงส่งเพียงใด
“ท่านหัวหน้าแก๊งถึงกับเดินตามหลังหลัวซิว เจ้าเด็กคนนี้เป็นใครกันแน่นะ”
เจียงชานชานรู้สึกว่าฐานะของหนุ่มชุดดำคนนี้เต็มไปด้วยความลึกลับ
########################
บทที่ 93 แผนการในใจของลู่เฟยเฉิน
“หลัวซิว ดูท่าแล้วเจ้ายังพอมีโอกาส” จวงหนานเทียนเหลือบมองหลัวซิวแล้วเอ่ยอย่างยกย่อง
เมื่อเจ้าสำนักชิงหยุนกลับมาตั้งสติได้สีหน้าของเขาก็กระดากกระเดื่อง เพราะเมื่อครู่นี้เขาเกิดความคิดอยากจะกำจัดหลัวซิวเพื่อแย่งวิชายุทธ์ระดับ 6
เขารู้สึกละอายที่ตัวเองมีความคิดแบบนั้น และที่เขามีความคิดแบบนั้นก็เป็นเพราะว่าเขามีความต้องการหลุดพ้นจากแดนฝึกจิตรุนแรงมากเกินไป ด้วยปณิธานทางโลกยุทธ์ของตนเกือบทำให้เขาไม่สามารถรักษาตัวตนเดิมของตัวเองเอาไว้ได้
เมื่อสัมผัสได้ว่าความกดดันราวเข็มทิ่มแทงได้สลายไปแล้ว ความรู้สึกในใจของหลัวซิวก็เริ่มปลอดโปร่ง
หลัวซิวพลิกฝ่ามือก่อนจะหยิบคัมภีร์วิชายุทธ์ออกมาจากกล่องเครื่องประดับ สายตาของจวงหนานเทียนและเจ้าสำนักชิงหยุนจึงเบนไปรวมอยู่ที่เดียวกันอย่างไม่อาจละสายตาได้
หลัวซิวก้าวไปข้างหน้าแล้ววางคัมภีร์วิชายุทธ์ลงตรงหน้าคนทั้งสอง จากนั้นจึงก้มตัวคำนับอย่างนอบน้อม “น้ำใจของผู้อาวุโสทั้งสองที่มีต่อผม ผู้น้อยไม่มีอะไรจะตอบแทน จึงขอมอบวรยุทธ์นี้ให้ผู้อาวุโสทั้งสอง”
ด้านบนซองหนังของคัมภีร์วิชายุทธ์ มีตัวอักษรใหญ่สี่ตัวเขียนเอาไว้ว่า พลังแท้แสงส่อง
นี่คือกำลังภายในสาขาหนึ่ง แม้จะนับว่าเป็นของขั้นทั่วไปในระดับ 6 แต่สำหรับคนที่ยังฝึกไม่ถึงขั้นแดนฝึกจิตแล้ว นี่ถือเป็นของที่มีคุณค่าสูงมาก
เพราะความลึกลับของการบรรลุการฝึกจิต มีเพียงวิชายุทธ์ระดับ 6 เท่านั้นถึงจะจดบันทึกเอาไว้อย่างละเอียด แต่หากไม่มีวิชายุทธ์ระดับ 6 ก็ใช่ว่าจะไม่มีทางบรรลุแดนฝึกจิตได้ แต่คนที่ทำได้มีน้อยมากจนแทบหาไม่ได้
การมอบวิชายุทธ์ระดับ 6 ให้เช่นนี้ หลัวซิวได้คิดทบทวนมาอย่างดีแล้ว
ข้อแรกก็เพราะต้องการปลอบใจผู้อาวุโสทั้งสอง ส่วนอีกข้อหนึ่งเป็นเพราะว่าทั้งสองคนนี้ปฏิบัติต่อเขาไม่เลวนัก นอกจากจะไม่จับตัวเขาไปขอความดีความชอบแล้วยังช่วยเขาคิดหาทางออกเพื่อแก้วิกฤติที่เขากำลังเผชิญ สำหรับหลัวซิวแล้ว นี่ถือเป็นบุญคุณครั้งยิ่งใหญ่
“หลัวซิว คือ……” ชั่วขณะนั้นจวงหนานเทียนและเจ้าสำนักชิงหยุนไร้วาจาจะกล่าว
พวกเขาต้องการวิชายุทธ์ระดับ 6 มาก แต่ด้วยเมื่อครู่ได้กล่าวออกไปเพื่อปกป้องตัวเองและไม่ยอมยื่นมือช่วยหลัวซิว ตอนนี้จึงรู้สึกละอายใจขึ้นมา
“ผู้อาวุโสทั้งสองอย่าปฏิเสธเลย นี่คือน้ำใจของผู้น้อย สามารถเชิญท่านหัวหน้าแก๊งยื่นมือมาช่วยเหลือได้ ข้าจะขอสำนึกในบุญคุณนี้ไม่มีที่สิ้นสุด” หลัวซิวกล่าวอย่างจริงใจ
คำพูดนี้ของหลัวซิวกระตุกความจำของจวงหนานเทียนขึ้นมา เขาจึงรีบเอ่ยว่า “ข้าจะรีบตอบกลับหัวหน้าแก๊งเดี๋ยวนี้เลย”
ในมือของจวงหนานเทียนมีกล่องสีเขียวใบหนึ่งที่ติดตั้งค่ายกลเอาไว้ สามารถบันทึกข่าวสารลงไปแล้วส่งออกได้
ไม่นานนัก กล่องค่ายกลก็ส่องแสงสว่างวาบออกมา จวงหนานเทียนมองไปทางหลัวซิวแล้วกล่าวว่า “ท่านหัวหน้าแก๊งกำลังจะมา”
……
เมืองหยุนหลง นอกสำนักเซียวเหยา
ลู่เฟยเฉินยืนไพล่มือทั้งสองไว้ด้านหลังอยู่บนหอแห่งหนึ่ง โดยมองข้ามกลุ่มลูกศิษย์นอกสำนักที่กำลังฝึกฝนวิชายุทธ์กันอยู่
ในตอนนั้นเอง สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป เขาหยิบกล่องสีเขียวขนาดเท่าฝ่ามือออกมาจากกล่องเครื่องประดับที่กำลังเปล่งแสงอ่อนๆ ออกมา
กล่องเล็กกล่องนี้ดูไม่เตะตาสักเท่าไหร่ แต่อันที่จริงเป็นค่ายกลขั้น 3 ล้ำค่า สามารถส่งข่าวสารระยะทางไกลได้ โดยมีชื่อว่ากล่องส่งเสียง
“หลัวซิวปรากฏตัวแล้ว ตอนนี้ซ่อนตัวอยู่ที่แก๊งนักล่าอสูร”
เสียงนี้ดังผ่านกล่องค่ายกลล้ำค่าออกมาเข้าสู่หูของลู่เฟยเฉิน
ลู่เฟยเฉินขมวดคิ้วและรีบส่งข่าวสารตอบกลับไป ก่อนจะปิดกล่องส่งเสียงลง
“หลัวซิว พรสวรรค์ที่ติดตัวมาของเจ้า หากไม่ใช่เพราะการแย่งชิงตำแหน่งเจ้าสำนัก ในอนาคตเจ้าจะต้องกลายเป็นมือขวาของข้าได้อย่างไม่ต้องสงสัย น่าเสียดายที่ข้าไม่สามารถอดทนรอได้นานเช่นนั้น ข้าจำเป็นต้องสังเวยชีวิตของเจ้า”
ลู่เฟยเฉินกล่าวเบาๆ กับตัวเอง ลมเบาๆ พัดโชยมาทำให้ชุดขาวของเขาสะบัดพลิ้วไหวขึ้น
ในขณะนั้น ลูกศิษย์นอกสำนักผู้หนึ่งเดินมาหยุดอยู่ด้านหลังเขาแล้วกล่าวอย่างนอบน้อมว่า “ท่านเจ้าสำนัก ข้าพบกล่องเครื่องประดับนี้ในห้องของหลัวซิว”
ลู่เฟยเฉินหันกลับไปมอง เมื่อเห็นกล่องเครื่องประดับนั้นจึงนึกออกว่านั่นคือของที่เขาให้หลัวซิวเอาไว้เอง
เขารับกล่องเครื่องประดับนั้นแล้วกล่าวเรียบๆ ว่า “หากตอนนั้นเจ้าเอาของที่อยู่ในกล่องนี้ติดตัวออกนอกสำนักเซียวเหยาไปซะ มีหรือที่เจ้าจะมีสภาพอย่างเช่นทุกวันนี้”
“คนหนุ่มสาวไม่ควรโลภมากเกินไป เจ้าว่าใช่หรือไม่” ลู่เฟยเฉินเอ่ยพลางหันไปมองลูกศิษย์นอกสำนักผู้นี้
“เจ้าสำนัก กล่าวถูกแล้ว” ลูกศิษย์นอกสำนักผู้นี้กล่าวอย่างนอบน้อม
ลู่เฟยเฉินยิ้ม จากนั้นจึงเดินลงจากหอและไปถึงห้องของลู่เมิ่งเหยาภายในเวลาไม่นานนัก
เคาะประตูไปได้สองสามทีก่อนประตูจะเปิดออกอย่างรวดเร็ว สีหน้าของลู่เมิ่งเหยาซีดเซียว เห็นได้ชัดว่าเรื่องที่พ่อพูดกับเธอทำให้เธอต้องทุกข์ใจเช่นนี้
เธอไม่สามารถทิ้งพ่อได้ แต่ก็ไม่อาจทิ้งหลัวซิวได้เช่นกัน เธอไม่รู้ว่าตัวเองควรเลือกหนทางไหน
ลู่เมิ่งเหยาอยากถามพ่อของตัวเองว่า ไม่มีหนทางที่ได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่ายเชียวหรือ
แต่เธอยังไม่ทันจะได้ถาม ลู่เฟยเฉินกลับเอ่ยปากออกมาก่อน “หลัวซิวไปแล้ว”
“อะไรนะคะ” ลู่เมิ่งเหยาชะงัก ก่อนที่จะหันไปจ้องพ่อของตัวเองในทันที “พ่อคะ พ่อพูดอะไรกับเขาไปรึเปล่า”
“พ่อไม่ได้พูดอะไร พ่อก็แค่ให้เขาตัดสินใจเลือก” ลู่เฟยเฉินตอบ
“เลือก? เลือกอะไรคะ” ลู่เมิ่งเหยาเค้นถามต่อ
“ทางเลือกแรกคือให้เขานำของล้ำค่าอย่างหนึ่งที่สามารถช่วยให้เขาฝึกตนบรรลุเข้าสู่แดนพรสวรรค์ได้ กับอีกทางเลือกคือให้เขาอยู่ที่นี่กับเจ้า”
ลู่เฟยเฉินเอ่ยช้าๆ “หากเขาเลือกอยู่กับเจ้า แสดงว่าเขามีความจริงใจต่อเจ้าจริงๆ หากเขาเลือกเช่นนั้น พ่อไม่มีทางขัดขวางลูกกับเขา”
“น่าเสียดาย การตัดสินใจของเขาทำให้พ่อต้องผิดหวัง แต่พ่อก็จำเป็นต้องบอกลูกว่าแม้ว่าหลัวซิวจะเป็นคนที่รักษาโรคชีพจรขาดธาตุไฟของลูกจนหาย หรือแสดงตัวว่าชอบลูกก็ตาม แต่ในความเป็นจริงแล้วเขาก็แค่ทำเพื่อเป้าหมายของตัวเองเท่านั้น”
“ไม่ เป็นไปไม่ได้……” ลู่เมิ่งเหยาได้ยินเช่นนี้ เธอก็รู้สึกราวกับจิตวิญญาณของเธอหลุดออกจากร่างและทรุดลงไปนั่งบนพื้น
“เมิ่งเหยา ตื่นได้แล้ว สุดท้ายแล้วเขาก็ทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง สิ่งที่เขาให้ความสำคัญไม่ใช่ความรู้สึกที่มีต่อลูก แต่เป็นเพราะลูกสาวของพ่อสามารถนำพาผลประโยชน์ให้เขาได้มากมาย”
“เขาหลอกลูก หลอกความรู้สึกที่เขามีต่อลูก” ลู่เฟยเฉินกล่าวช้าๆ ออกมาทีละคำ
“ไม่! หนูไม่เชื่อ หนูจะต้องไปหาเขา” ลู่เมิ่งเหยายากจะเชื่อเรื่องราวทั้งหมดนี้
“ตั้งแต่เล็กยันโต พ่อรักลูกที่สุด พ่อจะหลอกลูกได้อย่างไร เขาเอาของล้ำค่าที่สามารถทำให้เขาบรรลุขึ้นสู่แดนพรสวรรค์ได้ไปแล้ว”
ลู่เมิ่งเหยาได้ยินแบบนี้ก็ร้องไห้ น้ำตาไหลทะลักล้นออกมาไม่หยุด ตั้งแต่เล็กจนโต พ่อคือคนที่รักเธอมากที่สุด เธอเชื่อว่าพ่อไม่มีทางหลอกเธอได้
แต่หลัวซิวเข้ามาใกล้ชิดเธอเพียงเพื่อผลประโยชน์เท่านั้นหรือ
เมื่อเห็นท่าทางเศร้าโศกเสียใจของลูกสาว ลู่เฟยเฉินก็รู้สึกลำบากใจเช่นกัน แต่เขาไร้หนทางอื่น เพราะศึกแย่งชิงตำแหน่งเจ้าสำนักครั้งนี้ เกี่ยวพันไปถึงว่าเขาจะสามารถเป็นราชันย์ยุทธ์ได้หรือไม่
ผู้อาวุโสขงชิงหยู ผู้เป็นอาจารย์ของเขาได้ให้คำมั่นเอาไว้แล้วว่า หากเขาได้ตำแหน่งเจ้าสำนักเมื่อไหร่ ในฐานะของลูกศิษย์เจ้าสำนัก เขาจะมีคุณสมบัติเพียงพอในการฝึกฝนจนบรรลุวิชายุทธ์ระดับ 7 และดำเนินชีวิตได้อย่างอิสระจร
แดนแห่งราชายุทธ์ คือสิ่งที่ลู่เฟยเฉินถวิลหามาตลอด แม้ว่าเขาต้องหลอกใช้ลูกสาวของตัวเอง สังเวยชีวิตผู้ไม่รู้เรื่องราวอะไรเลยอย่างหลัวซิว เขาก็ไม่รู้สึกผิด
“ขอแค่หลัวซิวตายไปอย่างไร้หลักฐาน ถึงตอนนั้นผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องทั้งหมดนี้ก็จะถูกปิดปาก ขอเพียงเมิ่งเหยาเชื่อว่าหลัวซิวบรรลุไปแล้ว ลูกสาวของเขาจะไม่มีทางเกลียดเขา”
ท่านหัวหน้าแก๊งนักล่าอสูรเมืองชิงหยุน เป็นผู้อาวุโสไว้เคราขาว และสวมใส่ชุดสียาวดำหลวมสบาย
แม้จะดูว่าเขาอายุมากแล้วแต่นัยน์ตาส่องประกายสดใสดูมีบารมีน่าเกรงขามอย่างหนึ่ง
########################
บทที่ 92 คนต้องมีขอบเขต
ภายในห้อง
หลัวซิวถอดหมวกสานออกแล้วทำความเคารพ “คารวะท่านเจ้าสำนัก ผู้อาวุโสจวง”
เจ้าสำนักชิงหยุนมองไปทางหลัวซิวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “เจ้าเด็กน้อย เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”
“เมื่อสามวันก่อนเซินกาวเจี้ยนมาที่เมืองชิงหยุน เขานำสาส์นจากนอกสำนักมาด้วย แล้วยึดอำนาจเจ้าสำนักยุทธ์ไปจากเรา จากนั้นจึงออกคำสั่งให้จับตัวพ่อแม่และพี่สาวของเจ้าเอาไว้……”
“สาส์นจากเจ้านอกสำนักลู่เฟยเฉินหรือ” หลัวซิวได้ยินถึงตรงนี้ในหัวของเขาพลันเหลือแต่ความว่างเปล่า
“จะว่าไปแล้วก็แปลกนัก ลำพังแค่อำนาจของเจ้าสำนักลู่ก็สามารถจัดการเจ้าได้ตั้งแต่อยู่นอกสำนักเซียวเหยาแล้ว ใยต้องก่อเรื่องยุ่งยากแบบนี้ขึ้นด้วย” เจ้าสำนักชิงหยุนขมวดคิ้วพลางเอ่ย
หลัวซิวไม่ได้ตอบอะไร ในหัวของเขาตอนนี้เหลือเพียงความว่างเปล่า
เขาสงสัยมาตลอดว่าคนที่อยากจะจัดการเขาคือจางหลู่เหลียง แต่ไม่เคยคิดเลยว่าคนที่ต้องการจัดการเขาจริงๆ กลับเป็นลู่เฟยเฉิน
เมื่อนึกถึงตอนที่ลู่เฟยเฉินมอบหีบสมบัติให้ตน แต่ให้เขาห่างจากลู่เมิ่งเหยา ตอนนั้นเขาปฏิเสธอย่างไม่ลังเล
วันถัดมา เขาจึงได้รับปิ่นหยกหงสาของหลัวซิ่วเอ๋อร์พี่สาวของเขา
เมื่อเห็นหลัวซิวเงียบ เจ้าสำนักชิงหยุนและผู้อาวุโสจวงจึงสบตากันและเห็นความสงสัยออกมาจากดวงตาของอีกฝ่าย
มีเรื่องราวบางอย่างที่พวกเขายังไม่รู้เรื่องอีกแน่นอน
หลัวซิวกำลังครุ่นคิดถึงที่มาที่ไปของเรื่องราวที่เกิดขึ้น มีเรื่องหนึ่งที่สามารถยืนยันได้คือ การที่เซินกาวเจี้ยนถือสาส์นของลู่เฟยเฉินมา คนที่ต้องการจัดการเขาคือลู่เฟยเฉินอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่สิ่งหนึ่งที่หลัวซิวยังไม่เข้าใจก็คือ ทำไมลู่เฟยเฉินต้องทำกับเขาแบบนี้ หรือว่าแค่ต้องการไม่ให้เขาไปตอแยลู่เมิ่งเหยา
ส่วนสาเหตุใดที่ลู่เฟยเฉินไม่ยอมลงมือที่นอกสำนักเซียวเหยา นั่นเป็นเพราะว่าเขาไม่ต้องการให้ลู่เมิ่งเหยารู้อย่างแน่นอน
ปฏิบัติคล้ายเป็นผู้มีคุณธรรมสูง แต่หลัวซิวไม่คิดเลยว่าเจ้าสำนักลู่จะเป็นคนที่ร้ายกาจมากเช่นนี้
ในสถานการณ์เร่งด่วนเช่นนี้ เขาจะต้องช่วยพ่อกับแม่ออกมาให้ได้ก่อน
หลัวซิวจึงเงยหน้าขึ้น แล้วมองไปทางเจ้าสำนักชิงหยุนและผู้อาวุโสจวง “ผู้อาวุโสทั้งสองได้โปรดช่วยครอบครัวของผมด้วย”
เมื่อได้ยินดังนั้น เจ้าสำนักชิงหยุนจึงมีสีหน้าลำบากใจ เขาถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “หลัวซิว เจ้าคือผู้มีพรสวรรค์ติดตัวมาของสำนักชิงหยุน เราเองก็อยากช่วยเจ้า แต่ในฐานะที่เราเป็นส่วนหนึ่งของสำนักเซียวเหยาด้วย หากเราช่วยเจ้า เราคงไม่เหลือที่คุ้มกะลาหัวในเขตปกครองหยุนหลงแห่งนี้อีก”
“หากเราตัวคนเดียวก็ว่าไปอย่าง แต่นี่เรายังมีเมียมีลูกที่อาศัยอยู่ในเขตปกครองหยุนหลง เราหวังว่าเจ้าจะเข้าใจ”
หลัวซิวไม่แปลกใจกับคำตอบของเจ้าสำนักชิงหยุน เพราะความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเจ้าสำนักชิงหยุนไม่ได้สนิทสนมมากเท่าไหร่ อีกทั้งยังเป็นเพราะตัวเขาเองที่ทำให้เขาถูกชิงอำนาจไป
อันที่จริงแล้วแค่เจ้าสำนักชิงหยุนไม่จับตัวเขาไปเพื่อขอความดีความชอบ ก็ถือว่ามีบุญคุณกับเขามากมายแล้ว
แต่ก่อนจะตระหนักถึงความจริงข้อนี้ได้ หลัวซิวกลับรู้สึกหนาวสันหลังขึ้นมา หากเจ้าสำนักชิงหยุนต้องการจะจับตัวเขาไปเพื่อขอความดีความชอบจริง การฝึกตนที่แข็งแกร่งของเขาด้วยการฝึกจิตเพียงครึ่งก้าว และมาที่นี่ไม่ต่างอะไรกับกระโดดเข้ามาติดกับดัก
เมื่อคิดได้ถึงตรงนี้ หลัวซิวจึงหันไปทำความเคารพเจ้าสำนักชิงหยุนอย่างนอบน้อม
เจ้าสำนักชิงหยุนถอนหายใจและไม่ได้กล่าวอะไรต่อ
จวงหนานเทียนเอ่ยปากขึ้นว่า “แม้ว่าเราจะไม่ใช่คนของสำนักเซียวเหยา เพียงขึ้นชื่อว่าเป็นผู้อาวุโสของสำนักชิงหยุน แต่พลังของเราคงจะช่วยอะไรเจ้าไม่ได้”
จวงหนานเทียนส่ายหน้า “แต่แม้ว่าเรากับเจ้าสำนักจะช่วยเจ้าไม่ได้ แต่มีคนที่สามารถช่วยเจ้าได้”
“ใครหรือ” หลัวซิวถามออกมา
“ผู้แข็งแกร่งของแก็งนักล่าอสูรไงล่ะ” จวงหนานเทียนตอบ “ผู้แข็งแกร่งของนักล่าอสูรนั้นมีมากมาย นักล่าอสูรอย่างเจ้าแม้ว่าจะไม่ใช่สมาชิกโดยตรงของแก๊งนักล่าอสูร แต่ขอเพียงเจ้าสามารถตอบแทนให้เขาได้อย่างคุ้มค่า เจ้าจะต้องได้รับการช่วยเหลือจากผู้แข็งแกร่งของแก๊งนักล่าอสูรได้แน่”
“เรื่องราวที่เจ้าประสบอยู่ในตอนนี้ ขอเพียงเชิญปรมาจารย์โลกยุทธ์สักท่านออกแรงช่วยได้ จะต้องช่วยครอบครัวของเจ้าออกมาได้อย่างแน่นอน แต่แน่นอนล่ะว่าเจ้าก็ต้องตอบแทนให้ได้อย่างสมน้ำสมเนื้อด้วย”
อันที่จริงแล้วจวงหนานเทียนก็รู้อยู่แก่ใจว่าวิธีที่เขาเสนอออกไปนั้น แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับหลัวซิว
เพราะเขาเป็นแค่จอมยุทธ์ของแดนฝึกซี่ไห่คนหนึ่ง จะมีอะไรไปตอบแทนปรมาจารย์ให้สนใจยื่นมือมาช่วยได้
“ผู้อาวุโสจวงโปรดชี้แนะ ข้าควรทำอย่างไรให้ผู้แข็งแกร่งของแก๊งนักล่าอสูรยอมช่วยเหลือข้า”
สิ่งที่เหนือความคาดหมายของจวงหนานเทียนคือ หลัวซิวไม่ได้ถามถึงเรื่องการตอบแทน แต่เอ่ยปากถามคำถามนี้ออกมาโดยตรง
จวงหนานเทียนอดไม่ได้ที่จะแปลกใจกับหลัวซิว เพราะเขารู้ว่าหลัวซิวเดินมาถึงทางตันแล้ว ส่วนคำพูดของเขากับเจ้าสำนักชิงหยุนไร้น้ำหนักจึงไม่สามารถออกหน้าช่วยเหลือเขาได้
“เราจะนำเรื่องของเจ้ารายงานต่อเบื้องบน หากมีปรมาจารย์โลกยุทธ์ท่านใดยอมรับภารกิจนี้ก็คงจะยื่นข้อเสนอมา จากนั้นขอเพียงเจ้าทำตามข้อเสนอของเขาได้ เจ้าก็จะได้รับการช่วยเหลือจากอีกฝ่าย” จวงหนานเทียนกล่าว
“เช่นนั้นต้องรบกวนท่านผู้อาวุโสจวงด้วย” หลัวซิวกล่าวตอบ
“เจ้าไม่ต้องขอบคุณเรา นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”
ไม่นานนัก จวงหนานเทียนก็นำข่าวสารนี้ส่งออกไปผ่านทางช่องทางค่ายกลพิเศษ
และอีกไม่นานนักก็ได้รับการตอบรับกลับมา
เมื่อจวงหนานเทียนเห็นข่าวที่ตอบกลับมาสีหน้าของเขาก็แปลกประหลาดไป
เขาเหลือบมองหลัวซิวก่อนจะเอ่ยว่า “ท่านหัวหน้าแก๊งได้รับทราบเรื่องนี้แล้ว และบอกว่าหากเจ้าสามารถหาวิชายุทธ์ระดับ 6 มาได้ ท่านหัวหน้าแก๊งจะยินดีช่วยเจ้า โดยมีข้อแม้ว่าวิชายุทธ์ระดับ 6 นี้ ต้องเป็นกำลังภายในระดับกลางหรือมีทักษะยุทธ์วิชาท่าร่างระดับสูงเท่านั้น”
เมื่อได้ยินดังนี้สีหน้าของหลัวซิวจึงปรากฏความยินดี แน่นอนว่าเขารู้จักหัวหน้าแก็งที่จวงหนานเทียนกำลังพูดถึง หัวหน้าแก๊งสาขาที่เมืองชิงหยุนของแก๊งนักล่าอสูร ได้ยินมาว่าเป็นปรมาจารย์โลกยุทธ์ผู้แข็งแกร่งท่านหนึ่ง
หลัวซิวจึงตอบออกไปอย่างไร้ความกังวล “ผมยอมรับข้อเสนอของหัวหน้าแก๊งครับ”
ได้ยินคำตอบดังนั้น ไม่ใช่แค่จวงหนานเทียนเท่านั้น แม้แต่เจ้าสำนักชิงหยุนเองก็เบิกตากว้างมองไปทางหลัวซิว
“ท่านหัวหน้าแก๊งเป็นถึงปรมาจารย์โลกยุทธ์ผู้แข็งแกร่ง หากเจ้าไม่สามารถทำตามข้อเสนอของเขาได้ ไม่ว่าผู้ใดก็คงช่วยเจ้าไม่ไหว”
แน่นอนว่าพวกเขาทั้งสองคนไม่คิดว่าหลัวซิวจะสามารถหาของระดับนั้นมาตอบแทนได้
เพราะวิชายุทธ์ระดับ 6 ถือเป็นของถ่ายทอดสำคัญ แม้แต่เจ้าสำนักชิงหยุนเองยังเป็นยอดฝีมือที่อยู่ในระดับฝึกจิตครึ่ง ดังนั้นจึงฝึกวิชายุทธ์ได้เพียงระดับ 5 ขั้นสูงเท่านั้น
ในหอเซียวเหยาที่นอกสำนักเซียวเหยา แม้ว่าจะมีวิชายุทธ์มากมาย แต่ส่วนมากเป็นวิชายุทธ์ระดับ 5 ขั้นต่ำเท่านั้น น้อยนักที่จะมีระดับ 5 ขั้นกลาง ส่วนวิชายุทธ์ระดับ 6 แม้ว่าจะมี แต่ก็มีเพียงศิษย์ที่อยู่ในสำนักเท่านั้น หรือไม่ก็เป็นผู้แข็งแกร่งของแดนฝึกจิตแล้วเท่านั้นถึงจะมีคุณสมบัติเพียงพอต่อการฝึกฝน
ข้อเสนอที่ยากเช่นนี้ แม้ว่าจะระบุเอาไว้ชัดเจน แต่ศิษย์นอกสำนักหลายคนก็ทำได้แต่หวังอยู่ในใจเท่านั้น
ส่วนวิชายุทธ์ระดับ 7 นั้นจะสืบทอดจากศูนย์กลาง มีเพียงสายเลือดของเจ้าสำนักเท่านั้นที่จะมีคุณสมบัติในการฝึกฝน
ผู้แข็งแกร่งที่ฝึกจิตจะต้องใช้วิชายุทธ์ระดับ 6 ในการสร้างผู้สืบทอดในโลกยุทธ์จากรุ่นสู่รุ่น
หลัวซิวเข้าใจหลักการที่จะต้องสืบทอดกันแต่ภายใน แต่ตอนนี้เขาไม่มีทางให้ถอยอีกแล้วจึงได้แต่พยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ผมมี รบกวนท่านผู้อาวุโสจวงช่วยตอบกลับท่านหัวหน้าแก๊งด้วยครับ”
เมื่อคำพูดเช่นนี้หลุดออกไป แววตาของเจ้าสำนักชิงหยุนก็เป็นประกาย เขาติดอยู่ในระดับฝึกจิตครึ่งมาเป็นเวลานานแล้ว หากได้วิชายุทธ์ระดับ 6 มาช่วยมีความเป็นไปได้ที่เขาจะมีโอกาสหลุดจากระดับฝึกจิตครึ่ง และสามารถเลื่อนขั้นเป็นปรมาจารย์ฝึกจิตแห่งโลกยุทธ์ได้
แม้ว่าหลัวซิวจะไม่ได้สังเกต แต่เขาก็รับรู้ได้ถึงสายตาที่มีพลังร้อนแรงของผู้อาวุโสจวงและเจ้าสำนักชิงหยุน
ตอนนี้เขาได้แต่พนันอยู่ในใจว่าผู้อาวุโสทั้งสองคนนี้จะไม่ทรยศเขา
ในเมื่อพวกเขายังไม่ได้จับตนเอาไปขอความดีความชอบ ก็พอจะเห็นได้ว่าพวกเขายังพอมีน้ำใจกับตนอยู่บ้าง
########################
บทที่ 91 กับดัก
“สิ่งที่ฉันรู้ ฉันก็บอกไปหมดแล้ว ได้โปรดอย่าฆ่าฉัน……” ฮั่วหลินอ้อนวอน
หลัวซิวเก็บกระบี่เงามืดเข้าฝัก แล้วเอ่ยอย่างไร้อารมณ์ “ฉันบอกไปแล้วว่าจะไม่ฆ่าแก ฉันก็จะไม่ทำ”
จบประโยคฮั่วหลินจึงถอนใจ ทว่าในตอนนั้นหลัวซิวกลับยกฝ่ามือฟาดลงที่จุดตันเถียนของเขา เพื่อขจัดผลการฝึกตนของเขาทิ้ง
ฮั่วหลินเบิกตาโพลง ดวงตาของดำมืดก่อนที่จะหมดสติไป
ปลิดชีวิตไปสอง กำจัดไปอีกหนึ่ง ในแววตาของหลัวซิวไม่ปรากฏวี่แววความสงสาร ในเมื่อคนพวกนี้แข็งข้อกับเขาก็ต้องได้รับผลของการกระทำตัวเอง
“คนนอกสำนักควบคุมเซินกาวเจี้ยนอยู่?”
หลัวซิวเลิกคิ้ว จากรายงานที่เขาได้ยินจากปากของฮั่วหลิน ความสัมพันธ์ระหว่างเซินกาวเจี้ยนกับจางหลู่เหลียงนั้นไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ ตามหลักแล้วนี่ไม่น่าจะเป็นฝีมือของจางหลู่เหลียงไหว้วานมา
ไม่เพียงเท่านั้น หลัวซิวยังได้ข่าวมาอีกด้วยว่าพ่อแม่และพี่สาวของตนถูกควบคุมเอาไว้แล้ว ตอนนี้ถูกขังอยู่ในสำนักยุทธ์ ส่วนเจ้าสำนักหวูแห่งเมืองชิงหยุนตอนนี้ถูกปลดจากตำแหน่ง เซินกาวเจี้ยนจึงเป็นผู้ขึ้นมารับตำแหน่งเจ้าสำนักชั่วคราว
นี่คือแผนจัดการหลัวซิวอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่เพียงแค่พ่อแม่และพี่สาวของเขาเท่านั้น แม้แต่เจ้าสำนักชิงหยุนยังถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้อง
“เซินกาวเจี้ยนถูกคนนอกสำนักบงการ อย่างน้อยๆ คนผู้นั้นจะต้องเป็นผู้แข็งแกร่งจากสวรรค์ชั้นเจ็ดมาโดยกำเนิด หากใช้เพียงพลังของฉันบุกเข้าไปช่วยที่สำนักยุทธ์ คงไม่ต่างอะไรกับแกะวิ่งเข้าไปในปากเสือ”
หลัวซิวพยายามบังคับให้ตัวเองสงบลง เพื่อไม่ให้ก่อเรื่องบุ่มบ่ามที่ส่งผลร้ายจนเกินเยียวยา
เขามั่นใจว่าตอนนี้ทั่วเมืองชิงหยุนคงจะมีหูตากระจายอยู่ทั่วแล้ว ในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ศัตรูยังไม่รู้ว่าเขาใช้ค่ายวาร์ปบุกมาถึงเมืองชิงหยุน แต่การที่ฮั่วหลินและพรรคพวกหายตัวกันไปตั้งสามคน พวกศัตรูก็คงพอเดาได้แล้วว่าตอนนี้เขาได้บุกมาถึงเมืองชิงหยุนแล้ว
หลัวซิวแน่ใจว่าต่อให้ตนฆ่าฮั่วหลินตายแล้วทำลายศพจนไม่เหลือซาก เขาก็คงจะเหลือเวลาไม่มากอยู่ดี
ตั้งแต่ตอนที่เขาได้หมวกสานมาจากกล่องสมบัติตอนที่ฝึกฝนอยู่ที่เขาปาฉี หลัวซิวก็ไม่ได้กลับไปยังสำนักยุทธ์ชิงหยุนอีก แต่กลับไปยังแก๊งนักล่าอสูรที่อยู่ในเมือง
บารมีของแก๊งนักล่าอสูร แก๊งนักค่ายกล แก๊งนักหลอมอาวุธและแก๊งนักกลั่นยารวมทั้งสี่แก๊ง ไม่ว่าจะในเขตการปกครองหยุนหลงหรือว่าในประเทศเทียนหวู ต่างมีฐานะที่สูงส่งทั้งสองที่
แม้จะดูคล้ายว่าฐานะของสำนักเซียวเหยาเหนือกว่าแก๊ง แต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นเพียงเพราะระหว่างทั้งสองกลุ่มยังไม่ได้มีผลประโยชน์หรือความขัดแย้งใดๆ ต่อกันเท่านั้น
นอกสำนักเซียวเหยา หลัวซิวเคยได้ยินมาว่า สาขาของสุดยอดแก๊งทั้งสี่แผ่ขยายไปทั่วทั้งแผ่นดินและประเทศเทียนหวู และเมืองที่มีขนาดทั่วๆ ไปที่ไม่ได้อยู่ภายใต้อำนาจของประเทศเทียนหวู ต่างมีฐานอำนาจของสุดยอดแก๊งทั้งสี่อยู่ทั้งสิ้น
ในเขตการปกครองหยุนหลง แม้แต่เจ้าสำนักเซียวเหยาเองเวลาที่ต้องพบหน้ากับหัวหน้าสุดยอดสี่แก๊งยังต้องปฏิบัติตัวอย่างนอบน้อม
ภายในแก๊งนักล่าอสูรเป็นเขตปลอดการทะเลาะเข่นฆ่า ดังนั้นเมื่อหลัวซิวมาถึงที่นี่ ขอแค่เขาไม่ก้าวออกจากที่นี่ไป ในห้องโถงใหญ่ของแก๊งแห่งนี้ก็ไม่มีใครกล้าลงมือกับเขา
……
สำนักชิงหยุน
หนึ่งในสถานที่ดำเนินงานนอกสำนักเซียวเหยา เซินกาวเจี้ยนมีร่างกายแข็งแกร่ง ฝ่ามือหนากว้าง ใบหน้าด้านซ้ายของเขามีรอยแผลเป็นรูปตะขาบอันน่าสยดสยอง
ผู้ที่นั่งอยู่บนตำแหน่งเจ้าสำนักมองไปที่ร่างไร้วิญญาณทั้งสองร่างและฮั่วหลินที่ถูกถอดการฝึกตนในสภาพไร้สติด้วยสีหน้าหมองคล้ำ
“ท่านเจ้าสำนัก เราพบคนทั้งสามคนนี้หมดสติอยู่บนถนนในซอยเล็กๆ แห่งหนึ่ง หลัวซิวคงจะกลับมาถึงเมืองชิงหยุนแล้ว”
ชายวัยกลางคนสวมชุดผ้าฝ้ายคนหนึ่งเป็นคนกล่าวขึ้น และคนผู้นี้คือจางช่าวไห่ ผู้ที่รับผิดชอบตำแหน่งเจ้าตระกูลจางอยู่
“เขาคงจะใช้ค่ายวาร์ปของแก๊งนักล่าอสูรมาที่นี่” เซินกาวเจี้ยนมองจางช่าวไห่พลางพยักหน้า “เจ้าพาองครักษ์เกราะเขียวจำนวนหนึ่งมุ่งหน้าไปเฝ้าใกล้ๆ พวกแก๊งนักล่าอสูรเอาไว้ หากเห็นหลัวซิวโผล่หัวออกมาก็ฆ่ามันอย่าให้เหลือซาก!”
“ครับ” จางช่าวไห่รับคำก่อนจะออกไปจัดการ
เซินกาวเจี้ยนยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบคำหนึ่งแล้วเอ่ยต่ออีกว่า “องครักษ์ มาเอาศพทั้งสามนี้ออกไปฝัง”
องครักษ์เกราะเขียวสองสามนายวิ่งเข้ามาด้านในสำนัก จึงพบว่ามีหนึ่งร่างไม่ใช่ศพ แต่เพียงแค่หมดสติไปเท่านั้น
ทว่าองครักษ์เกราะเขียวเหล่านี้ไม่กล้าเอ่ยถามอะไรมากนัก จึงทำตามคำสั่งของเซินกาวเจี้ยนอย่างระมัดระวัง
ริมฝีปากของเซินกาวเจี้ยนปรากฏรอยยิ้มขึ้น เขาชอบความรู้สึกที่มีคนเคารพเกรงกลัวเขาแบบนี้ ครั้งนี้เขาได้ถือคำสั่งระดับสูงมาที่เมืองชิงหยุนด้วย แม้ว่าผู้ที่ฝึกตนมาสูงกว่าเขาอย่างเจ้าสำนักชิงหยุนยังต้องยอมสละอำนาจเจ้าสำนักยุทธ์แต่โดยดี
……
แก๊งนักล่าอสูร
หลัวซิวที่สวมหมวกสานอยู่ได้มาหยุดอยู่ตรงหน้าเคาน์เตอร์
ผู้ต้อนรับหน้าเคาน์เตอร์ยังคงเป็นสาวงามอันดับหนึ่งของแก๊งนักล่าอสูรในสาขาเมืองชิงหยุน เธอมีนามว่าเจียงชานชาน
“น้องสาว ผมมาพบผู้อาวุโสจวงหนานเทียนครับ” หลัวซิวกล่าวเสียงทุ้ม
เขารู้จักใครไม่มากนักในเมืองชิงหยุน เจ้าสำนักชิงหยุนถูกแย่งอำนาจไปโดยไม่รู้ว่าเป็นตายอย่างไรบ้าง เขารู้เพียงอย่างเดียวว่าจวงหนานเทียนนอกจากจะเป็นผู้อาวุโสของสำนักยุทธ์แล้ว ยังเป็นผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งของแก๊งนักล่าอสูรด้วย
เจียงชานชานหยุดชะงักไปก่อนจะรีบยิ้มออกมา “คุณผู้ชายคะ คุณเป็นอะไรกับผู้อาวุโสจวงคะ ฉันจะได้รายงานท่านได้ถูกค่ะ”
“ผมเป็นรุ่นน้องของผู้อาวุโสจวง คุณแค่บอกเขาว่าหลัวซิวมาขอพบ”
“ได้ค่ะ รอสักครู่นะคะ” เจียงชานชานอมยิ้มพลางกล่าว
เดี๋ยวนะ……หลัวซิว? เคยได้ยินชื่อนี้ที่ไหนกันนะ
เจียงชานชานมองผู้ที่ใส่หมวกสานอีกครั้งด้วยความสงสัย แต่เธอก็นึกไม่ออก
“น้องสาวมีเรื่องอะไรหรือเปล่า” หลัวซิวถามขึ้น เขาใส่หมวกสานอยู่ ทำให้เจียงชานชานจำเขาไม่ได้
“เอ่อ……ขอโทษที่เสียมารยาทค่ะ”
เจียงชานชานหลุดจากภวังค์แล้วรีบเรียกคนอีกคนที่มีหน้าที่ต้อนรับเช่นกันมา จากนั้นจึงเข้าไปรายงานกับผู้อาวุโสจวง
“มีองครักษ์เกราะเขียวอยู่ด้านนอก ไม่รู้ว่าคนพวกนี้มาที่แก๊งนักล่าอสูรทำไม”
“ได้ยินมาว่าช่วงนี้ที่สำนักชิงหยุนเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น ใครจะรู้ล่ะว่าเกิดเรื่องอะไร”
“ในแก๊งนักล่าอสูรไม่อนุญาตให้มีการต่อสู้กัน อย่าว่าแต่องครักษ์เกราะเขียวกลุ่มนี้เลย แม้แต่เจ้าสำนักยุทธ์เองยังไม่กล้ามาบุ่มบ่ามที่นี่”
“เหอะๆ อย่าคิดว่าพวกเราเป็นแค่ส่วนเล็กๆ ของแก๊งนักล่าอสูร ได้ยินมาว่าผู้เป็นหัวหน้าแก๊งเป็นถึงปรมาจารย์ผู้แข็งแกร่งท่านหนึ่ง”
หลัวซิวได้ยินนักล่าอสูรสองสามคนกำลังสนทนากัน ใบหน้าภายใต้หมวกสานปรากฏความสงสัยขึ้นมา เขาแน่ใจได้ทันทีเลยว่าเซินกาวเจี้ยนจะต้องรู้แล้วอย่างแน่นอนว่าเขามาถึงเมืองชิงหยุนแล้ว
แต่เรื่องที่แก๊งนักล่าอสูรมีปรมาจารย์ผู้แข็งแกร่งอยู่ด้วยต่างหากที่ทำให้เขาเหนือความคาดหมาย ในเวลาเดียวกันยังทำให้รู้ด้วยว่าอำนาจของแก๊งนักล่าอสูรนั้นแข็งแกร่งมากเพียงใด
หลังจากนั้นไม่นาน เจียงชานชานก็กลับมา “ผู้อาวุโสจวงให้ดิฉันมาเชิญคุณเข้าไปด้านใน ตามฉันมาทางนี้ค่ะ” หลัวซิวพยักหน้าแล้วเดินตามเจียงชานชานไปถึงหน้าประตูห้องของแก็งนักล่าอสูรห้องหนึ่ง
เขาผลักประตูเข้าไปด้านใน หลัวซิวจึงเห็นว่าด้านในมีคนนั่งอยู่สองคน หนึ่งในนั้นคือจวงหนานเทียน ส่วนอีกคนหนึ่งทำให้หลัวซิวประหลาดใจมาก นั่นก็คือเจ้าสำนักชิงหยุน
ภารกิจของเจียงชานชานเสร็จสิ้น เธอจึงเดินออกไป แต่ยังคงคิดไปตลอดว่าทำไมเธอถึงคุ้นหน้าหลัวซิวผู้นี้นัก
ผ่านไปพักหนึ่ง เธอจึงนึกออก……ใช่เขาเหรอ? ไอ้หนุ่มขนดกที่เธอเคยบอกเอาไว้ตอนนั้นว่าจะตามจีบ?
########################
บทที่ 90 พบคนลอบติดตาม
หลังเข้ามาในค่ายวาร์ป มาพร้อมกับการเปิดค่ายกล แสงสีฟ้าสว่างขึ้นมา เห็นเงาของหลัวซิวเลือนรางลงเรื่อยๆ เพียงแวบเดียวก็หายไป
นี่เป็นครั้งแรกที่หลัวซิวใช้ค่ายวาร์ป หมุนเคว้งทะลุมิติอะไรทำนองนั้น ทำให้เขารู้สึกวิงเวียนจนอยากอ้วก
เพียงชั่วอึดใจ สำหรับเขาเหมือนช้าเป็นปี
ในที่สุด หลังภาพตรงหน้ากลับมาปกติ การวาร์ปเสร็จสิ้นลง
“ยินดีต้อนรับสู่เมืองชิงหยุน”
เสียงอันไพเราะดังเข้ามาในหู หลัวซิวพบว่าตัวเองอยู่ในโถงสำนัก ผู้หญิงหน้าตาน่ามอง ยิ้มบางๆ แล้วพูดกับเขา
“นี่ถึงเมืองชิงหยุนแล้วเหรอ”
หลัวซิวมีสีหน้าประหลาดใจ ค่ายวาร์ปสมคำร่ำลือตามคาด นั่งวิหคนิลต้องใช้เวลาสามวันกว่าจะถึง แต่ใช้ค่ายวาร์ป ใช้เวลาเพียงอึดใจก็ถึงแล้ว
“เชิญคุณชายตามฉันมา”
จากการนำทางของพนักงานต้อนรับ หลัวซิวเดินออกจากโถงสำนัก วินาทีที่ผลักประตู มีเสียงโกลาหลดังเข้ามาในหู
โถงองค์กรนักล่ายุทธ์!
เมื่อเห็นภาพอันคุ้นเคยตรงหน้า หลัวซิวอึ้งเล็กน้อย เขายังจำได้ดี ตอนแรกที่มาที่นี่ ยังเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์ แดนการกลั่นร่างขั้น5
นักล่าอสูรในโถงจำนวนไม่น้อย พากันมองมายังเขา แววตาแฝงไปด้วยความอิจฉา อีกทั้งยังมีความเคารพยำเกรงด้วย
เพราะพวกเขารู้ คนที่ออกมาจากโถงสำนักแห่งนี้ ต้องใช้ค่ายวาร์ปมาจากเมืองอื่นอย่างแน่นอน อย่างน้อยๆ ก็ต้องเป็นนักล่าอสูรสองดาวของชี่ไห่ระดับที่บรรลุถึง
ในเมืองชิงหยุน จอมยุทธ์ชี่ไห่ระดับที่บรรลุถึงจำนวนมาก ไม่สามารถผ่านการทดสอบนักล่าอสูรสองดาว เพราะในการทดสอบ ต้องเผชิญกับอสูรสามตัว ล้วนมีพละกำลังทัดเทียมกับชี่ไห่ขั้นห้า
ดังนั้นที่นี่ นักล่าอสูรสองดาว คือยอดฝีมือที่สุดยอดแล้ว
เจียงชานชานก็หันไปมองอย่างสงสัย ตอนเธอเห็นหลัวซิว คิ้วสวยขมวดขึ้น รู้สึกว่าชายหนุ่มคนนี้คุ้นตามาก
แน่นอนว่าเธอคงคิดไม่ถึง ไม่กี่เดือนที่แล้ว ยังเพิ่งเป็นเด็กน้อยการกลั่นร่างขั้น3 เท่านั้นตอนนี้เป็นจอมยุทธ์ชี่ไห่ระดับที่บรรลุถึงไปแล้ว
หลัวซิวไม่ได้อยู่ที่องค์กรนักล่ายุทธ์ต่อ หลังเดินออกมา ก็มุ่งหน้าไปที่บ้าน
สีหน้าของเขาเคร่งขรึมเล็กน้อย การรับรู้ถึงชีวิตแผ่ซ่านออกมา ระมัดระวังความเคลื่อนไหวบริเวณรอบๆ พบว่าตั้งแต่เขาออกมาจากองค์กรนักล่ายุทธ์ มีคนแอบตามเขามาสามคน
จากการเคลื่อนไหวของพลังชีวิตที่แผ่ออกมา หลัวซิวพอยืนยันได้ว่า พละกำลังของสามคนนี้ ไม่เกินวิชาชี่ไห่ขั้น7
เมื่อเจออย่างนี้ ทำให้หลัวซิวหนักใจขึ้นอีก นี่แสดงว่ามีคนจ้องเล่นงานตัวเอง และจงใจส่งปิ่นปักผมหงส์หยกของหลัวซิ่วเอ๋อร์ผู้เป็นพี่สาว ไปที่นอกสำนักเซียวเหยา เพื่อเรียกความสนใจให้เขามาที่นี่
“ใช่ตาเฒ่าจางหลู่เหลียงอีกแล้วหรือเปล่า”
จากความคิดของหลัวซิว จางหลู่เหลียงน่าสงสัยมากที่สุด เหมือนเงาตามตัว พยายามทุกวิถีทาง เพื่อจะเล่นงานเขา
ระหว่างกำลังคิด จู่ๆ หลัวซิวหมุนตัว เดินเข้าไปในซอยที่ไร้ผู้คน
จอมยุทธ์ชี่ไห่ทั้งสามคนที่สะกดรอยตามเขา ก็ตามเข้าไปอย่างเงียบๆ เช่นกัน ทว่าตัวของหลัวซิวหายไปจากการมองเห็น
“ไม่ได้การแล้ว!”
จอมยุทธ์ทั้งสามรับรู้ได้อย่างรวดเร็ว รู้ว่าตัวเองโดนจับได้ และรีบถอยออกจากซอยทันที
แต่ขณะนั้น กระบี่ยุทธ์ถูกดึงออกจากฝัก เกิดเสียงดังชิ้ง แสงกระบี่สีดำเหมือนสายฟ้า ทำลายความเงียบในซอย!
“พรวด!”
เลือดสาดกระเซ็น จอมยุทธ์คนหน้าสุด ชะงักการกระทำ ดวงตาเบิกโพลง
ต่อจากนั้น หัวของเขาหล่นลงบนพื้น กลิ้งออกไปสองเมตร เลือดพุ่งออกมาเหมือนน้ำพุ
เงาของใครบางคนปรากฏตรงปากซอย พร้อมด้วยกระบี่ยุทธ์สีดำในมือ มีเลือดสดหยดลงมาจากคมกระบี่ ทำให้สองจอมยุทธ์ที่เหลือ หน้าเปลี่ยนสี
เมื่อมองไปด้วยสายตาเย็นชา หลัวซิวพบว่าคนที่สะกดรอยตามตัวเองมาทั้งสามคนยังเด็กมาก น่าจะอายุประมาณยี่สิบกว่าปี สองคนมีชี่ไห่ขั้นหก ส่วนอีกคนมีชี่ไห่ขั้นเจ็ด
คนที่โดนกระบี่ของเขาตัดหัว เป็นหนึ่งในจอมยุทธ์ที่มีชี่ไห่ขั้นหก
“พวกนายเป็นใคร ทำไมต้องสะกดรอยตามฉัน”
หลัวซิวก้าวเข้าไป ถามด้วยน้ำเสียงเฉยชา
จอมยุทธ์ทั้งสองคน เดินถอยหลังไม่หยุด แววตาปะปนไปด้วยความหวาดกลัวและตกใจ เห็นได้ชัดว่าตะลึงกับการฆ่าคนด้วยวิธีโหดเหี้ยมของหลัวซิว
เมื่อเดินมาข้างศพไร้หัว หลัวซิวเห็นป้ายบัญชาการ แขวนอยู่ตรงเอวของศพ เขาใช้กระบี่เงามืดเกี่ยวขึ้นมา เมื่อตั้งใจดู เป็นป้ายแขวนเอวของศิษย์นอกสำนักเซียวเหยา!
“หนี!”
จอมยุทธ์สองคนตรงข้าม หันหลังวิ่งหนี พวกเขาได้รับคำสั่งให้เฝ้าบริเวณองค์กรนักล่ายุทธ์ เมื่อหลัวซิวปรากฏตัว ให้สะกดรอยตามไปเงียบๆ
เพื่อนที่มีชี่ไห่ขั้นหกเหมือนกัน โดนฆ่าตายด้วยกระบี่เดียว พวกเขารู้ดี ถึงร่วมมือกันสองคน ก็อาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลัวซิว ดังนั้นจึงเลือกที่จะหนี
ขึ้นชื่อว่าเป็นศิษย์นอกสำนักเซียวเหยา แต่ละคนล้วนเป็นผู้มีความสามารถ ที่ถูกเลือกมาจากแต่ละเมืองใหญ่ ในเขตการปกครองหยุนหลง วิชาท่าร่างระดับห้าถูกใช้อย่างรวดเร็ว
แต่ถ้าพูดด้านความเร็ว วิชาท่าร่างของพวกเขา จะเทียบกับวิชาเงาเศษสิบช่องแดนบรรลุผลของหลัวซิวได้อย่างไร
ทักษะการปล่อยพลังพิเศษของวิชาดาบเร็ว ทำให้ความเร็วของหลัวซิว ไม่ว่าจะเป็นด้านการลงมือหรือวิชาท่าร่าง ล้วนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเพียงพริบตา
ระยะเวลาเพียงชั่วครู่ เขาตามจอมยุทธ์หนุ่ม ที่มีผลการฝึกตนชี่ไห่ขั้นเจ็ดจนทัน
“อ๊าก”
เมื่อสัมผัสได้ถึงความอาฆาตอันเย็นยะเยือก เข้ามาใกล้ด้านหลังเรื่อยๆ จอมยุทธ์คนนี้รู้ว่าคงไม่มีทางหนี ชักดาบยาวตรงเอว ออกจากฝักดาบทันที รวบรวมปราณแท้ หันไปฆ่าหลัวซิว
“พรวด!”
แสงดาบระยิบระยับพาดผ่าน ฟันตัวของหลัวซิวแยกเป็นสองอย่างง่ายดาย
“สำเร็จแล้วเหรอ” ดวงตาจอมยุทธ์หนุ่มฉายแววดีใจ แต่ก็ตกตะลึงอย่างรวดเร็ว “เป็นเศษเงา……”
เสียงตุ้บดังขึ้น เขาล้มลงกับพื้น บาดแผลตรงคอกว้างขึ้นเรื่อยๆ เลือดทะลักออกมาไม่หยุด
เขาเอามือจับคอ แต่กลับไม่มีเสียงอะไรออกมา พลังชีวิตทรุดลงเรื่อยๆ และตายไปอย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกัน จอมยุทธ์ที่สะกดรอยตามหลัวซิวคนสุดท้าย หนีไปได้สองร้อยกว่าเมตรแล้ว
ท่ามกลางความสามารถด้านต่างๆ หลัวซิวเชี่ยวชาญเรื่องความเร็วที่สุด
นอกจากยอดฝีมือระดับจอมยุทธ์พรสวรรค์ขึ้นไป ด้านความเร็ว หลัวซิวมั่นใจว่าไม่ด้อยไปกว่าจอมยุทธ์ชี่ไห่ระดับที่บรรลุถึง
ดังนั้นจอมยุทธ์หนุ่มที่สะกดรอยตามเขาคนสุดท้าย ในที่สุดก็ไม่สามารถหนีออกจากซอยมืดไร้ผู้คนแห่งนี้
ตัวแนบติดกับกำแพงอันเยือกเย็น แผ่นหลังของจอมยุทธ์หนุ่มคนนี้ ชื้นไปด้วยเหงื่อ แววตาของเขาเต็มไปด้วยความหวาดผวา เพราะกระบี่ยุทธ์สีดำเล่มนี้ ความแหลมคมของปลายกระบี่นั่น อยู่ห่างจากหว่างคิ้วเขาไม่ถึงครึ่งนิ้ว
“เพื่อนสองคนของนาย โดนฉันฆ่าตายไปแล้ว ถ้านายอยากรอด ก็ตอบคำถามฉัน!” เสียงเฉยชาไร้เยื่อใยของหลัวซิวดังขึ้น
จอมยุทธ์หนุ่มพยักหน้าอย่างแรง เพราะความกลัวสุดขีด ทำให้ไม่กล้าพูดอะไร กลัวว่าตัวเองตอบสนองช้าเพียงครึ่งจังหวะ ก็จะโดนคนโหดเหี้ยมคนนี้ฆ่าตาย
“นายชื่ออะไร ใครสั่งให้นายสะกดรอยตามฉัน ตอนนี้สถานการณ์ของคนในครอบครัวฉันเป็นยังไง หัวหน้าที่คอยสั่งการอยู่เบื้องหลังคือใคร……”
หลัวซิวถามสิ่งที่ตัวเองอยากรู้ออกมาอย่างต่อเนื่อง
“ผมเป็นศิษย์นอกสำนักเซียวเหยา ชื่อฮั่วหลิน คนที่ตายไปสองคนนั่น เป็นศิษย์พี่ของผม เป็นศิษย์ของเซินกาวเจี้ยนผู้ดูแลนอกสำนัก……”
ฮั่วหลินไม่กล้าลังเลใดๆ พูดเรื่องที่ตัวเองรู้ออกมาทั้งหมด
########################
บทที่ 9 ฝึกตนอย่างหนัก
“ข้ารู้จักเจ้าหรือ ?” หลัวซิวขมวดคิ้ว
ชายหนุ่มสวมใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวแสยะยิ้มออกมา ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง “เจ้าคงไม่รู้จักข้าแน่นอน เพราะเจ้าไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้จักข้าเสียด้วยซ้ำ !”
“ในเมื่อข้าไม่รู้จักเจ้า แล้วจู่ ๆ เจ้าพูดว่าข้าไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเช่นนี้ เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน ?” หลัวซิวพูดเยาะเย้ย
“อะไรนะ ?” แววตาของชายหนุ่มที่สวมใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวปรากฏความเย็นชาและดูดุดันขึ้นมา แต่หลังจากนั้นเขากลับแสยะยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่แปลกใจเลยที่คนชั้นต่ำอย่างเจ้า จะกล้าต่อกรกับสองพี่น้องตระกูลจาง เจ้าช่างใจกล้ามากจริง ๆ”
“แต่ข้าอยากแนะนำให้เจ้าจดจำฐานะของตัวเองให้ดี หยู่ซินไม่มีทางลดตัวลงไปข้องแวะกับคนชั้นต่ำอย่างเจ้าเป็นอันขาด” ชายหนุ่มสวมใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวพูดเสียงแข็ง และจ้องมองมาด้วยแววตาที่ดุดัน แฝงไปด้วยการขู่บังคับ
หลัวซิวหันมองหลิวหยู่ซิน ผู้หญิงคนนี้ช่างงดงามจริง ๆ หากจะว่ากันตามตรงแล้ว ความรู้สึกที่เขาแอบหลงรักหลิวหยู่ซินนั้น เป็นความรู้สึกชื่นชมในสิ่งที่สวยงาม
เมื่อได้ครอบครองอัญมณีแห่งความเป็นความตาย หลัวซิวก็เชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า ความสำเร็จในอนาคตของเขา คงไม่ถูกจำกัดอยู่เพียงแค่ในเมืองชิงหยุนเล็ก ๆ แห่งนี้แน่นอน อีกทั้งหลังจากที่ผ่านเรื่องราวมามากมาย เขาก็พบว่าในโลกใบนี้ ไม่มีพลังที่แข็งแกร่ง ทุกสิ่งเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา
ดังนั้น ในใจของหลัวซิวตอนนี้ สิ่งที่เขาต้องการไขว่คว้ามีเพียงแค่ยุทธ์ที่ไม่อาจหาใครเทียบได้บนโลกนี้ ขอเพียงแค่เขามีพลังที่แข็งแกร่งมากพอ มีผู้หญิงแบบไหนบ้างที่เขาจะไม่สามารถครอบครองได้ ?
ส่วนคำพูดจาดูถูกเย้ยหยัยที่ชายหนุ่มสวมใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวพูดกับตนนั้น หลิวหยู่ซินเองกลับเพิกเฉย หรือนี่แสดงให้เห็นว่า อันที่จริงแล้วในใจของนางก็มีความคิดเช่นนี้อยู่เช่นเดียวกัน ?
“สวีเฟย เลิกพูดได้แล้ว” หลิวหยู่ซินขมวดคิ้ว แล้วพูดว่า : “หลัวซิวเคยช่วยข้าไว้ ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าว่าร้ายเขา”
จากนั้นนางจึงหันมองหลัวซิวว “ถ้าหากเจ้าไม่สามารถผ่านการทดสอบในอีกสามเดือนให้หลังนี้ไปได้ ถ้าจะเขียนจดหมายแนะนำตนเองให้เจ้าหนึ่งฉบับ เจ้าจงนำมันไปที่ตระกูลหลิว จะมีคนคอยจัดการทุกอย่างให้เจ้าเอง”
ขณะที่พูด นางก็หยิบจดหมายที่ดูประณีตออกมาจากแขนเสื้อหนึ่งฉบับ แล้วยื่นให้หลัวซิว
หลัวซิวยิ้มอย่างเบิกบาน นางเป็นคุณหนูหัวแก้วหัวแหวนของตระกูลหลิว ถ้าหากเขาเข้าไปเป็นผู้พิทักษ์ในตระกูลของนางจริง ก็คงถือเป็นการปฏิเสธอย่างเป็นนัยวิธีหนึ่ง เป็นการทำให้เขารู้ว่าฐานะของเขาและนางแตกต่างกันมากแค่ไหนใช่หรือไม่ ?
จากสายตาที่หลิวหยู่ซินจ้องมองตนเอง หลัวซิวก็พอจะเข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ภายใน
“ไม่ต้องหรอก ขอบคุณน้ำใจของเจ้ามาก” หลัวซิวปฏิเสธอย่างไม่ลังเล จากนั้นจึงชี้ไปที่เคล็ดวิชายุทธ์ทั้งสามเล่มที่อยู่ในมือของตนเอง แล้วพูดว่า : “ข้าจะต้องรีบกลับไปฝึกตนอีก ขอตัวก่อนนะ”
ทันทีที่พูดจบ เขาก็มุ่งหน้าเดินออกจากประตูใหญ่ของหอเก็บหนังสือโดยทันที
หลัวหยู่ซินผงะไปเล็กน้อย แววตาอันงดงามของนางสั่นคลอน ราวกับมีความคิดอะไรบางอย่าง
ส่วนสวีเฟย ชายหนุ่มที่สวมใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวก็ส่งเสียงเย้ยหยันออกมา “หยู่ซิน คนชั้นต่ำเช่นนี้เจ้าจะไปสนใจมัยทำไม”
หลิวหยู่ซิยส่ายหัว “หรือที่ข้าทำเช่นนี้ เป็นการทำลายความภาคภูมิใจในตัวเองของเขา ?”
หลังจากลงทะเบียนกับผู้อาวุโสที่เฝ้าหอเก็บหนังสือเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลัวซิวก็เดินถือเคล็ดวิชายุทธ์ทั้งสามเล่มเดินออกมาจากสถานที่ที่เก็บรวบรวมตำราวิชายุทธ์เอาไว้มากมายแห่งนี้
ไม่รู้ว่าเขาใช้เวลาไปนานเท่าไหร่ในการเลือกรับวิชายุทธ์ในหอเก็บหนังสือ เมื่อเขาออกมาจากหอเก็บหนังสือก็ไม่เห็นหวางฮุยและหลูเฟิงแล้ว คิดว่าทั้งสองคงไปที่ห้องพยาบาลเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บแล้ว
……
“สามเดือนให้หลังจะเป็นการทดสอบประจำปี ลูกศิษย์ที่มีอายุครบสิบสี่ปีและสิบเจ็ดปีบริบูรณ์จะต้องเข้าร่วม คนที่ไม่ผ่านการทดสอบก็จะถูกขับไล่ออกจากสำนักยุทธ์”
สำนักยุทธ์มีกฎระเบียบเช่นนี้ก็เพราะว่า การฝึกยุทธ์นั้นเป็นสิ่งที่ยากลำบาก ยิ่งอยู่ในระดับที่สูงขึ้น ความยากลำบากก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นสำหรับสำนักยุทธ์แล้ว ลูกศิษย์ที่ไม่สามารถผ่านเกณฑ์การประเมินไปได้ จึงไม่ใช่คนที่คู่ควรแก่การบ่มเพาะ จึงสมควรถูกไล่ออกไป
แน่นอนว่า ถ้าหากลูกศิษย์ชั้นต้น ถึงแม้จะยังมีอายุไม่ครบ14ปีบริบูรณ์ ถ้าหากมีผลการฝึกฝนที่ไต่เต้าขึ้นไปถึงระดับการกลั่นร่างขั้น5เรียบร้อยแล้ว ก็สามารถเข้าร่วมการทดสอบได้เช่นเดียวกัน และสามารถก้าวขึ้นสู่ชั้นกลางได้ ลูกศิษย์ในชั้นกลางเองก็สามารถขึ้นสู่ชั้นสูงได้ด้วยวิธีการเดียวกัน
ภายในห้องพักส่วนตัว หลัวซิวกำลังตั้งสมาธิ แล้วคิดผังลายเส้นชีวิตในสมองของตนเอง แล้วพัฒนา《วิชาสลับเอ็นหลอมกระดูก》
สิ่งแรกที่เขาต้องทำก็คือ ยกระดับวรยุทธ์ระดับ2นี้ให้ได้
ใช้เวลาสองวัน ในที่สุดหลัวซิวก็ยกระดับ《วิชาสลับเอ็นหลอมกระดูก》ได้สำเร็จ อีกทั้งเป็นการยกระดับจนถึงขั้นสูงสุดที่ไม่อาจพัฒนาเพิ่มขึ้นได้อีกต่อไป
จากนั้นหลัวซิวจึงเริ่มใช้วรยุทธ์ที่ผ่านการยกระดับเรียบร้อยแล้วมาใช้ในการฝึกตน พลังจิตของปฐพีเข้ามารวมกันอยู่บนร่างกายของเขา และก่อตัวเป็นหมอกสีขาวจาง ๆ หลังจากพลังจิตเข้าไปในร่างกายของเขาเรียบร้อยแล้ว หลัวซิวก็รู้สึกได้ถึงการสั่นสะเทือนของจิตวิญญาณภายในร่างกาย ด้วยอิทธิพลของลูกแก้วอัญมณีแห่งความเป็นความตาย ทำให้พลังจิตที่เข้าสู่ร่างกาย ถูกหลอมรวมกลายเป็นปราณเป็นตาย2ระดับ
กลั่นกลั่นร่างให้ขั้น4ถึง6 ถือเป็นขั้นตอนของการฝึกฝนเส้นเอ็ดและกระดูก ในขณะที่ฝึกปราณเป็นตาย2ระดับเข้าสู่เส้นเอ็นและกระดูก เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับเส้นเอ็นและกระดูกแล้วนั้น ในขณะเดียวกัน ปราณในเองก็ถูกรวบรวมสะสมเอาไว้ในเส้นเอ็นและกระดูกเช่นเดียวกัน และสามารถดึงออกมาใช้ได้อย่างอิสระในระหว่างการต่อสู้
ดังนั้นผู้ฝึกยุทธ์ในระดับการกลั่นร่าง ยิ่งมีผลการฝึกตนที่สูง ปราณในก็จะยิ่งชัดเจนและมีพลังที่แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
ในระหว่างการฝึกตนไม่ออกไปเห็นเดือนเห็นตะวัน การเก็บตัวในครั้งนี้ยาวนานยิ่งกว่าครั้งก่อน ไม่ช้าเวลาก็ผ่านไปกว่าหนึ่งเดือนแล้ว
ครั้งก่อนใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน ก็สามารถก้าวข้ามจากการกลั่นร่างขั้น2ขึ้นไปสู่การกลั่นร่างขั้น4ได้ แต่ความเร็วในการฝึกตนกลับถดถอยลงมา
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผลการฝึกตนยิ่งสูง ความยากในการยกระดับก็จะยิ่งสูงไปด้วยเช่นกัน และเหตุผลอีกประการหนึ่งก็คือ หลัวซิวไม่ได้เป็นเหมือนคุณชายจากตระกูลสูงศักดิ์เหล่านี้ ที่จะได้รับสิทธิพิเศษในการฝึกตน
เมื่อค่อย ๆ ลืมตาขึ้น หลัวซิวก็รับรู้ได้ถึงผลการฝึกตนภายในร่างกาย เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม : “ระยะเวลากว่าหนึ่งเดือน ในที่สุดก็ฝึกตนถึงการกลั่นร่างขั้น5จนได้ ถ้าหากข้าเป็นเหมือนกับคุณชายสูงศักดิ์พวกนั้น อาศัยยา และอาศัยค่ายกล ระยะเวลาหนึ่งเดือน อย่างน้อยข้าคงจะผ่านไปถึงการกลั่นร่างขั้น6 !”
สิ่งนี้ หลัวซิวเองก็รู้สึกจนใจ ไม่ว่าจะเป็นยา ค่ายกล หรือแม้กระทั่งหินพลังจิตที่ใช้เปิดค่ายกล ล้วนแล้วแต่มีราคาแพงทั้งสิ้น จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมากในการแลกเปลี่ยน
“ผลการฝึกตนยกระดับขึ้นแล้ว ต่อไปก็คือวิชายุทธ์และวิชาท่าร่าง !”
หลัวซิวลุกขึ้นมาจากเตียง และเริ่มฝึกหมัดเสือมังกรซึ่งเป็นวิชายุทธ์ระดับสองอยู่ภายในห้อง การออกหมัดรวดเร็วและรุนแรง จนเกิดเป็นเสียงของมังกรและเสือดังขึ้น มีพละกำลังที่แข็งแกร่งกว่าหมัดกระทิงบิ่นหลายเท่าตัว
แต่หลัวซิวยังไม่รู้สึกพอใจนัก เขาคิดผังลายเส้นชีวิตขึ้นในสมอง แล้วยกระดับทักษะยุทธ์นี้ขึ้นไปอีกหนึ่งระดับ
ปราณเป็นตาย2ระดับกำลังไหลเวียนอยู่ภายในชั้นผิวหนังและเส้นเอ็นของเขา ความลึกลับของการมีชีวิต ความน่ากลัวของการตาย มีเหตุผลที่ลึกซึ้งบางอย่างถูกตราตรึงอยู่ในร่างกายและจิตวิญญาณของเขา ความรู้สึกนี้ช่างวิเศษจริง ๆ
“โฮก !”
หลัวซิวออกวิ่งอย่างรวดเร็ว ราวกับเสือที่กำลังวิ่งเขาตะครุบเหยื่อ ประกายสีดำพร่ามัวส่องสว่างออกมาจากร่างกายของเขา ปราณแห่งความตายกำลังค่อย ๆ ซึมซาบ ราวกับว่าเขากำลังกลายเป็นเสือที่ดุร้าย และกำลังจะฉีกเหยื่อออกเป็นชิ้น ๆ
“ตุบ !”
โต๊ะไม่ในห้องไม่อาจต้านทานพลังได้ไหว จึงพังทลายลงมาทันที และเศษไม้ก็กระเด็นกระจัดกระจายไปทั่ว
หลัวซิวหยุดการเคลื่อนไหวลง เขาเห็นรอยยุบบนผนังซึ่งเกิดจากหมัดของเขา และมีรอยแตกเล็ก ๆ อยู่โดยรอบ
เป็นที่รู้กันดีว่า สิ่งก่อสร้างในสำนักยุทธ์ล้วนแล้วแต่สร้างขึ้นจากหินเนื้อแข็ง หากไม่มีพลังถึงระดับการกลั่นร่างขั้น7 ไม่มีทางทำลายให้เสียหายได้เด็ดขาด
“พลังช่างแข็งแกร่งจริง ๆ !”
หลัวซิวมองดูรอยหมัดและรอยแตกบนผนัง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ผลลัพธ์นี้สามารถเทียบเท่าได้กับพลังของทักษะยุทธ์ระดับ3ได้เลย
“หมัดเสือมังกรแบ่งออกเป็นท่าเสือพิฆาตและท่ามังกรทะยาน โดยพลังของท่ามังกรทะยานนั้นเหนือกว่าพลังของท่าเสือพิฆาต ซึ่งไม่รู้ว่าจะก่อให้เกิดผลลัพธ์เช่นไร ?”
หลัวซิวรู้สึกกระตือรือร้นที่จะลอง แต่เขาก็ไม่กล้าฝึกทักษะยุทธ์ภายในห้องอีกต่อไป เพราะถ้าหากทำให้ห้องได้รับความเสียหายอย่างหนัก เขาคงไม่มีเงินมากพอที่จะชดใช้
เมื่อคิดได้เช่นนี้ หลัวซิวจึงเปิดประตูห้องออก แล้วมุ่งหน้าไปยังลานฝึกยุทธ์ นอกจากทักษะยุทธ์แล้ว เขายังต้องฝึกท่าร่างก้าวสั้นอีกด้วย ซึ่งภายในห้องพักมีที่ว่างอยู่อย่างจำกัด
########################