ตอนที่ 633 ของขวัญชิ้นใหญ่ของท่านสี่
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ การตอบสนองแรกของโจวเจ๋อไม่ใช่ ‘โอ้วพระเจ้ามีคนอยากฆ่าฉัน’ แต่เป็น ‘จริงๆ เลย โชคดีที่ไม่ได้สั่งให้อิงอิงของฉันลงไป’
ต่อให้เป็นค่ายกลพิฆาตที่ดีแค่ไหน ถ้าหากโจวเจ๋อเข้าไปด้วยตัวเองละก็ จะสามารถฆ่าเขาได้หรือไม่นั้นพูดยากจริงๆ เพราะไม่ว่าอย่างไรเขากับผีดิบในความหมายดั้งเดิมนั้นมีความแตกต่างกัน
ผีดิบดั้งเดิมมีจิตวิญญาณเสียที่ไหน อย่างอิงอิงกับเด็กผู้ชายก็ไม่มี บวกกับความมั่นใจตัวเองเป็นพิเศษ ต่อให้อันตรายที่ยิ่งใหญ่อยู่ต่อหน้าตัวเอง มักจะเชื่อว่ามีโอกาสและความน่าจะเป็นที่จะถูกตัวเองทำลายได้
แต่ถ้าหากอิงอิงลงไป อาจจะเกิดเรื่องใหญ่ ในเมื่ออีกฝ่ายจงใจล่อเขาและคนอื่นมาที่นี่ จะต้องมีความมั่นใจต่อการจัดวางค่ายกลที่อยู่ข้างล่างอย่างแน่นอน ถึงแม้จะฆ่าเขาไม่ได้ แต่ความน่าจะเป็นที่จะฆ่าอิงอิงได้นั้นมีสูงมาก
เพียงแต่โจวเจ๋อไม่เข้าใจจริงๆ ว่าที่ยูนนาน มีใครอยากฆ่าเขากันแน่ นับตั้งแต่ที่เข้าทำงานเป็นเวลาเกือบสองปี เรื่องรบราฆ่าฟันไปทั่วนรกกับเจ้าโง่นั้นยังไม่พูดถึง อย่างไรเสียนอกจากยายเมิ่งที่สะพานไน่เหอแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ฐานะของเขาในโลกมนุษย์
ตอนที่อิ๋งโกวอยู่ที่นรก ได้จงใจทำให้ฐานะและหน้าตาของโจวเจ๋อพร่าเลือน จึงไม่ถูกจับได้ และนับตั้งแต่ที่ตัวเขาเป็นยมทูตเป็นต้นมาก็ช่วยเหลือคนมาตลอด คอยสะสมกรรมดี แม้จะไม่ถึงขั้นใครเห็นก็รัก ดอกไม้เห็นก็เบ่งบาน แต่ก็มีศัตรูเหลืออยู่ไม่กี่คนเท่านั้นถึงจะถูก อืม ศัตรูส่วนใหญ่โดนถอนรากถอนโคนไปแล้ว
เรื่องของแม่นางไป๋กับเรื่องของพระขี้เรื้อนยังจัดการไม่เรียบร้อยดี แต่พวกเขากับยูนนานก็ไม่มีความเกี่ยวข้องกันเท่าไร การวางแผนในครั้งนี้ น่าจะเป็นเจ้าถิ่นของยูนนานมากกว่า
เฝิงซื่อก็ไม่ได้ถามคำถามปัญญาอ่อนว่าโจวเจ๋อมีศัตรูพวกไหนบ้าง เมื่ออยู่ในฐานะและตำแหน่งอย่างเขาแล้ว ย่อมเข้าใจเป็นธรรมดาว่ามีหลายครั้ง คุณถูกคนอื่นวางแผนเล่นงาน ไม่ใช่เพราะคุณผิดใจกับเขา ถึงแม้ยากที่จะทำให้คนเข้าใจ แต่โลกนี้จริงๆ แล้วไม่ขาดคนจำพวกที่ทำร้ายผู้อื่นทั้งๆ ที่ตัวเองทำไปก็ไม่ได้ผลประโยชน์อะไร โดยเฉพาะพวกคนอิจฉาตาร้อน
ก่อนหน้านั้นโจวเจ๋อพาวิญญาณทหารหลายหมื่นนายเดินทางออกมาจากป่าฝนเป็นเวลาสองวัน คนจมูกดีที่อยู่ในละแวกนี้ น่าจะสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหว ถ้าหากมีคนเกิดความคิดไม่ดีเพราะเหตุนี้ ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
เพียงแต่ คนนี้กระเพาะใหญ่เกินไป และยังมีรากฐานที่มั่นคง คิดจะใช้ประโยชน์จากยมทูตก็ใช้ หลังจากหมดประโยชน์ก็ฆ่าทิ้ง นึกจะฆ่าคนทั่วไปก็ฆ่า ไม่กลัวทำผิดกฎบ้างเลย
ควรทราบว่า เราทำอะไรสิ่งศักดิ์สิทธิ์รู้เห็นทุกอย่าง ต่อให้ไม่มีการตรวจสอบและถามเอาความผิดจากยมโลก แต่ตั้งใจกระทำความชั่วโดยไม่ละอายต่อบาปเลยสักนิดอย่างนี้ ไม่กลัวถูกสวรรค์ประณามหรือ การกระทำของคนผู้นี้ แสดงความบ้าคลั่งออกมาอย่างชัดเจน
“ผลการตรวจสอบ ต้องใช้เวลานานเท่าไร” ทนายอันมองไปทางเฝิงซื่อเอ๋อร์
เรื่องดำเนินมาถึงขั้นนี้ ใช่ว่าจะพูดว่าไม่สนใจแล้วเดินทางออกจากยูนนาน ก็สามารถหลุดพ้นจากเรื่องราวเหล่านี้ได้ อีกทั้งคนอื่นวางแผนทำร้ายเขาถึงที่แล้ว อยากให้เขาต้องตายตก มีเหตุผลอันใดที่เขาจะต้องทำตัวเป็นเต่าหดหัว
ไม่ว่าอย่างไรตอนนั้นก็เคยเป็นผู้ตรวจสอบชั้นยอด ทนายอันจึงรู้ดีว่า ขอเพียงอีกฝ่ายเป็นคนของยมโลก ใช้อำนาจของยมโลก ก็สามารถตรวจสอบเบาะแสของเรื่องนี้ได้ไม่ยาก
เฝิงซื่อหัวเราะ “ใกล้แล้ว อันที่จริงเริ่มมีเค้าโครงบ้างแล้ว แต่ต้องรอข้อมูลที่แม่นยำมากกว่านี้ จะได้ประหยัดเวลาทุกคนไม่ต้องวิ่งอย่างไม่รู้ทิศทางเป็นเพื่อนข้าใช่ไหมล่ะ”
ในเมื่อออกมาแล้ว ในเมื่อรับปากแล้ว ก็ต้องตั้งใจทำให้ดี เฝิงซื่อทำไม่ได้เหมือนทนายอันที่ถึงขั้นยอมคุกเข่าเป็นสุนัขรับใช้ของโจวเจ๋อโดยตรง และถึงแม้เขาจะยอม แต่มีทนายอันเป็นแบบอย่างอยู่ก่อนหน้า ด้านหน้าของโจวเจ๋อจึงไม่ขาดอันปู้ฉี่คนที่สอง
ดังนั้นต้องตั้งใจทำงานให้ดี หมัดเดียวเอาอยู่ ถือเสียว่าทิ้งความประทับใจที่ดีให้กับอีกฝ่าย สร้างวาสนาที่ดี เมื่อนึกถึงวาสนา เรื่องของหยกผีครั้งที่แล้ว นอกจากชุ่ยฮวาเอ๋อร์กับอีกฝ่ายมีเรื่องขัดแย้งกันนิดหน่อย ตัวเขาก็ไม่ได้เอาเรื่องเอาความต่อ ถือว่าแสดงความมีน้ำใจต่ออีกฝ่าย
ส่วนชุ่ยฮวาเอ๋อร์ เฝิงซื่อรู้จักสาวใช้ของตัวเองดี ใครจะโกรธแค้นข้ามคืนกับเธอกัน
“อ้อใช่ คุณโจว หยกผีอันนั้น” เฝิงซื่อเอ่ยถามโจวเจ๋อ เพิ่งจะนึกถึงเรื่องนี้ แต่กลับไม่ได้กลิ่นอายของหยกผีบนตัวของโจวเจ๋อ
“อ้อ ผมปล่อยไปแล้วครับ”
“…” เฝิงซื่อ
โจวเจ๋อจะไม่บอกเฝิงซื่อแน่นอนว่า หยกผีได้สละชีพของตัวเองไปแล้ว ตอนที่เขาต้องเผชิญหน้ากับขันทีคนนั้นในพระราชวัง หยกผีถูกเขาบังคับให้พุ่งเข้าใส่ จากนั้นจึงถูกขันทีคนนั้นทำลายดับสูญ อย่างไรก็ตาม ระดับของหยกผีกับระดับของขันทีคนนั้น เหมือนกับปลาหนีชิวกับมังกรน้ำในแอ่งน้ำเหม็น มีความแตกต่างกันมากเกินไป
แน่นอนว่าเฝิงซื่อไม่เชื่อ โจวเจ๋อก็รู้ว่าเขาไม่เชื่อ แต่โจวเจ๋อรู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้ที่เฝิงซื่อจะไปถามสิบขันที การมีตัวตนอยู่ของสิบขันทีอยู่ในขั้นสูงเกินไป เป็นการวางแผนของพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ที่จะให้แทนที่พญายมทั้งสิบ ถึงแม้ว่าหลังจากที่กองทัพใหญ่ของยมโลกเคลื่อนไหว พญายมมากมายปรากฏตัว แต่สิบขันทีก็ไม่โผล่ออกมา จึงสามารถแสดงให้เห็นว่าฐานะของพวกเขาไม่สามารถเปิดเผยได้
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ ข้ายังมีของเล่นเล็กๆ น้อยๆ อีกอย่างหนึ่ง ออกมาจากนรกครั้งนี้ ข้าพกติดตัวมาด้วย” ขณะที่พูด เฝิงซื่อยื่นมือล้วงเข้าไปในกระเป๋าของตัวเอง หยิบกำไลสีเลือดชิ้นหนึ่งออกมา สวยงามเป็นอย่างมาก
อันปู้ฉี่หรี่ตามองอยู่ข้างๆ ความรู้สึกอันตรายเหมือนชักศึกเข้าบ้านจู่โจมเข้ามา ออกมาทำงานนอกนรก แต่ไม่ลืมที่จะพกของขวัญติดมือติดมือมาด้วย ถ้าจะบอกว่าพกมาแบบไม่ตั้งใจ ใครจะเชื่อ คิดอยากจะแย่งความเป็นที่โปรดปรานแน่นอน!
โจวเจ๋อยื่นมือรับมา กำไลชิ้นนี้ดูเหมือนจะธรรมดา ความรู้สึกขณะที่สัมผัสก็ธรรมดา แต่เขารู้ดีว่า เฝิงซื่อไม่มีทางมอบของเล่นที่ธรรมดา ให้เขาเอาไปขายเป็นเงินหยวนเพื่อใช้ชีวิตงั้นเหรอ
เมื่อลองหมุนดูอย่างละเอียด โจวเจ๋อพบว่าด้านในของกำไลดูเหมือนจะมีตะขาบถูกผนึกอยู่ในนั้นตัวหนึ่ง โจวเจ๋อพยายามส่งพลังปราณพิฆาตเข้าไปเล็กน้อย ชั่วเวลาเพียงครู่เดียว ตะขาบที่อยู่ในหยกสีเลือดนี้เหมือนมีชีวิตอีกครั้ง ทะยานออกมาจากด้านในหยกสีเลือด คลานวนเวียนอยู่รอบหลังมือของโจวเจ๋อ
ทว่าตะขาบตัวนี้ตัวเล็กกว่าตะขาบทั่วไปอยู่บ้าง มีขนาดใหญ่เท่าเล็บเท่านั้น ถ้าจะสั่งให้มันไปกัดคน แค่ไม่โดนลมพัดปลิวก็ถือว่าโชคดีแล้ว
มันในเวลานี้ ดูแล้วน่ารักมากจริงๆ ดูเนือยๆ เหมือนลูกหมาลูกแมวแสนน่ารัก หน้าตาก็ไม่ขี้เหร่ ตามสุนทรียภาพของคนทั่วไป ตะขาบมีหลายขา แค่มองก็ทำให้คนรู้สึกขยะแขยง แต่เจ้าตัวน้อยนี้กลับให้ความรู้สึกน่ารักมีเสน่ห์บางอย่าง
ในเมื่อเอาของมาให้ ก็ต้องพูดถึงคุณค่าของมันให้ชัดเจน มิฉะนั้นของที่มอบไม่สามารถเอาใจได้คงขาดทุนแย่ เฝิงซื่อจึงพูดทันทีว่า “ข้าได้มันมาโดยบังเอิญตอนที่อยู่ในนรก ถือว่าเป็นครรภ์เลือด เป็นจิตสำนึกที่เกิดจากการเกาะตัวของไอวิญญาณ ไม่มีรูปร่าง คุณชายโจวอย่ามองว่ามันเล็กมาก เนื่องจากของสิ่งนี้จำเป็นต้องเลี้ยงดูตั้งแต่แรก ถึงจะมีความซื่อสัตย์และจริงใจ ดังนั้นข้าจึงเก็บไว้กับตัวตลอดเวลา ไม่ได้แตะต้องมัน”
หมายความว่า นี่คือสิ่งที่ต้องให้อาหารเลี้ยงดู และยังมีฟังก์ชันจำเจ้านายของตัวเองอยู่ในตัว คาดว่าจะเป็นสิ่งที่ล้ำค่าเป็นอย่างมาก ดังนั้นตัวเองจึงไม่แตะต้องมัน เก็บหยกสีเลือดนี้เอาไว้ตลอด
“เทียบกับหยกผีแล้วเป็นยังไง” โจวเจ๋อถาม
“มีพลังพิฆาตที่รุนแรงกว่าหยกผี คล้ายกับสุนัขพันธุ์ทิเบตันในโลกมนุษย์ ปกติจะดูไม่ออก แต่หลังจากที่ออกคำสั่งจริงๆ มันสามารถงับกัดเป้าหมายไม่ปล่อยโดยไม่สนใจตัวเองแม้แต่นิดเดียว แต่อาหารที่ใช้เลี้ยงดูมีความยากพอสมควร มันไม่ชอบกินเลือดเป็นอาหารเหมือนหยกผี แต่ชอบกินพลังปราณพิฆาตหรือไอวิญญาณ คุณชายโจวสามารถพกมันติดตัวได้ ถือเสียว่าพกไว้เล่นๆ เป็นหยกโบราณ ปล่อยให้มันดูดซับอยู่ข้างตัวของเจ้าอย่างช้าๆ”
โจวเจ๋อพยักหน้า เก็บหยกสีเลือดขึ้นมา หลังจากหยกผีสูญสิ้น เขาเหมือนขาดอะไรไปจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นตอนต่อสู้หรือว่าสืบความ สามารถพกพาผู้ช่วยที่ไร้ตัวตนไปได้ ถือว่าเป็นการช่วยเหลืออย่างมากจริงๆ ส่วนปัญหาของอาหารเลี้ยงดู ถ้าหากเหมือนกับหยกผี ใช้เลือดเลี้ยงเป็นอาหาร เถ้าแก่โจวทำเรื่องแบบนั้นไม่ลงจริงๆ แต่ในเมื่อต้องบำรุงด้วยพลังปราณพิฆาต ถือเสียว่ามีอิงอิงอีกคนอยู่กับตัวก็แล้วกัน
นี่คือความแตกต่างของโจวเจ๋อกับคนอื่น สำหรับคนอื่นแล้ว การกินเลือดเป็นอาหารไม่มีอะไรมากไปกว่าการคร่าชีวิตคนอย่างง่ายดาย แต่พลังปราณพิฆาตหรือไอวิญญาณเป็นแหล่งกำเนิดสุดล้ำค่าของพวกเขา แล้วจะนำมาเป็นอาหารบำรุงได้อย่างไร
แต่โจวเจ๋อไม่มีปัญหานี้ เขามีพลังที่เปี่ยมล้นเสมอ ไม่อย่างนั้นอิงอิงคงไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสายเลือดเมื่อนอนกับเขา
ทนายอันหัวเราะพูดอย่างข้างๆ “ของสิ่งนี้ราคาแพงไม่ธรรมดา ครั้งนี้ถือว่าลงทุนเยอะมาก”
ถึงแม้จะเป็นการแย่งความโปรดปราน แต่ด้วยน้ำใจของทนายอัน เขายินดีที่จะช่วยเฝิงซื่ออีกแรง มีเขาคอยพูดถึงมูลค่าของสิ่งนี้อยู่ข้างๆ สามารถทำให้โจวเจ๋อยอมรับน้ำใจของเฝิงซื่อได้แน่นอน
บางครั้งโจวเจ๋อรู้สึกงงกับความสัมพันธ์ระหว่างเฝิงซื่อกับทนายอัน ว่าเป็นความสัมพันธ์แบบใดกันแน่
เฝิงซื่อยิ้มอย่างสงวนท่าที ไม่ได้รู้สึกหยิ่งผยองที่มอบของสิ่งนี้ให้คนอื่น แต่กลับหยิบภาพวาดที่ชุ่ยฮวาเพิ่งวาดเสร็จขึ้นมา ชี้ไปที่ด้านบนแล้วเอ่ยว่า “พอจะมองออกว่า ตอนนั้นท่านอ๋องมู่เชิญซินแสหยินหยางระดับปรมาจารย์มาจริงๆ เพื่อสร้างค่ายกลที่แยบยลเช่นนี้
นอกจากนี้ที่นี่ยังมีเต่าแก่ตัวนั้นเป็นดวงตาค่ายกลปิดผนึกนานเกินหนึ่งร้อยปี ดังนั้นฮวงจุ้ยพิฆาตที่สะสมอยู่ ณ ที่แห่งนี้จึงอยู่ในระดับที่เข้มข้น แขนขาที่ถูกตัดขาดก่อนหน้านั้นถูกโยนออกมาแต่กลับรวมตัวกันไม่กระจายออกไป ไม่ไหลไปตามกระแสน้ำแต่รวมตัวกันอยู่ตรงนี้ คงเป็นเพราะสาเหตุนี้เช่นกัน
คุณชายโจว สวรรค์มอบโอกาสแล้วห้ามพลาด ในเมื่อผนึกนี้ถูกเปิดออก เช่นนั้นภายในสองสามวันต่อจากนี้ ฮวงจุ้ยพิฆาตที่อัดแน่นเกินหนึ่งร้อยปีจะระเหยออกไป ซึ่งเป็นการสิ้นเปลืองอย่างมาก เจ้าทำค่ายกลเป็นใช่ไหม” เฝิงซื่อมองไปทางสวี่ชิงหล่าง
“เป็นนิดหน่อยครับ” สวี่ชิงหล่างตอบ
เฝิงซื่อมองหน้าอกของสวี่ชิงหล่างหนึ่งที เห็นได้ชัดว่าเขารู้ว่าสวี่ชิงหล่างพูดด้วยความถ่อมตัว
“เปลี่ยนค่ายกลเล็กน้อย จากทำลายพลังพิฆาตให้กลายเป็นพลังพิฆาตรวมตัว” ขณะที่พูดเฝิงซื่อมองไปที่โจวเจ๋อ “คุณชายโจว กล้าไปนั่งบนแท่นทรมานนั่นไหม” นี่คือของขวัญชิ้นที่สองที่เฝิงซื่ออยากจะมอบให้ ใช้พลังปราณพิฆาตหล่อเลี้ยงกายเนื้อ จึงมากพอที่จะแสดงให้เห็นว่า เขาทำการบ้านสืบเรื่องของโจวเจ๋อมาในระดับที่ลึกซึ้งพอสมควร
แต่เดิมทีคิดว่าความจริงใจของตัวเองมีเยอะพอแล้ว ต่อมาคำตอบของโจวเจ๋อกลับทำให้เฝิงซื่อเอ๋อร์คาดคิดไม่ถึง
“ไม่กล้าครับ”
“…” เฝิงซื่อ
“ฮ่าๆ!” ทนายอัน
……………………………………………………………………….
ตอนที่ 630 เชอะ คนเลว
“สั่งให้ยมโลกนรกส่งคนมาเหรอ” โจวเจ๋อขมวดคิ้ว เพราะความสัมพันธ์ของไท่ซานฝู่จวิน ทำให้โจวเจ๋อนับตั้งแต่เป็นยมทูตเป็นต้นมา ยมโลกมีระเบียบข้อผูกมัดข้อจำกัดต่อของเขาต่อนรกน้อยมาก ตัวเขาเองก็ไม่อยากไปมาหาสู่กับยมโลกนรกมากเกินไป
และถ้าหากยมโลกนรกส่างคนมาจริงๆ อย่างนั้นเรื่องนี้กับเขาที่เป็นยมทูตต่างเมืองก็ไม่เกี่ยวข้องกัน และที่สำคัญที่สุดคือ ฐานะของตัวโจวเจ๋อเองไม่สามารถเปิดเผยได้ หลังจากผ่านประสบการณ์ที่เจ้าโง่ฆ่าคนไปทั่วนรกครั้งที่แล้ว เขาแทบไม่อยากจะติดต่อกับยมโลกอีกเลย แล้วมีเหตุผลใดที่จะเป็นฝ่ายรายงานข่าวต่อหน้าพวกเขาก่อน
ถึงแม้จะมีคำกล่าวที่ว่าสถานที่ที่อันตรายที่สุดคือสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด แต่โจวเจ๋อไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นอวี๋เจ๋อเฉิงในรกได้
“สามารถส่งคนคุ้นเคยมาเป็นผู้ตรวจสอบจริงๆ จังๆ ได้ ไอ้หมอนั่นน่าจะซ่อนตัวไม่อยู่”
โจวเจ๋อเม้มปาก เอ่ยว่า “คุณกับเฝิงซื่อเอ๋อร์ มาอยู่รวมกันได้ยังไง”
หมอกหนาที่ภูเขาคะฉิ่นก่อนหน้านี้ แม้แต่สวี่ชิงหล่างยังมองออก จึงไม่ต้องพูดถึงโจวเจ๋อ เมื่อมีประสบการณ์ลงไปนรกจากหมอกหนาครั้งที่แล้ว หมอกหนา ‘ที่บังเอิญ’ แบบนี้ถ้าหากไม่มีการควบคุมของทนายอันอยู่เบื้องหลัง โจวเจ๋อคือคนแรกที่ไม่เชื่อ และทนายอันไม่ว่าอย่างไรก็เป็นคนตัวเปล่า กระทั่งมีความผิดติดตัว จึงต้องมีคนให้ความร่วมมือกับเขาแน่นอน พอคิดไปคิดมา ก็มีแต่คนที่ชอบกินผักดองคนนั้น
“ทะเลาะกันที่หัวเตียงคืนดีกันที่ปลายเตียง” ทนายอันพูดความในใจออกมาโดยตรง และไม่รู้สึกอายอะไร จึงได้เพียงแต่พูดอย่างจริงจังว่า “เลื่อนขั้นมีลาภยศ เป็นปัจจัยอย่างแรก เพราะเกี่ยวกับพวกเราว่าจะมีอำนาจปกป้องตัวเองได้มากพอขณะที่่มีเกิดความโกลาหลในนรกได้ไหมหลังจากนี้ แต่ในเมื่อเจอก้อนหินนี้แล้ว ถึงแม้จะมีความเป็นไปได้เพียงหนึ่งในหนึ่งพัน พวกเราก็ต้องแย่งชิงมาให้ได้ ไม่ว่าอย่างไร พวกเรารู้ว่าคนผู้นั้นที่อยู่ในร่างของเถ้าแก่จะตื่นขึ้นมาไหมสำหรับพวกเราแล้ว มีความหมายอย่างไรกันแน่”
โจวเจ๋อเล่นไฟแช็กอยู่ในมือ เขากำลังลังเลและกำลังครุ่นคิด ทนายอันจึงนั่งลงยองๆ เป็นเพื่อนเขา รอการตัดสินใจของเถ้าแก่
ตอนนี้ ไม่ว่าอย่างไรแตกต่างจากตอนที่เป็นยมทูตเจ้าหน้าที่ระดับล่างสุดในอดีตแล้ว ถ้าอยากจะปีนขึ้นไปข้างบนอยากจะทำอะไรได้มากกว่านี้ หากไม่มีความสัมพันธ์กับเบื้องบน ไม่ได้รับการอุ้มชูจากเบื้องบน ก็จะยากลำบากเป็นอย่างมาก
ในราชสำนักหากมีคนเป็นที่พึ่งจะเติบโตได้ดีข้าราชการดี นี่คือหลักการที่ไม่แปรเปลี่ยน ก่อนหน้านี้ทนายอันพยายามครุ่นคิดหาวิธีการอย่างกหนักอยากให้โจวเจ๋อกลายเป็นผู้จับกุมที่มีคุณค่าอย่างแท้จริงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่เขาคงไม่พึงพอใจเพียงเท่านี้ ผู้จับกุมคนหนึ่ง ถึงแม้จะมีคุณค่าสูง แต่ก็เป็นแค่ผู้จับกุม
อย่างน้อยต้องเป็นผู้ตรวจสอบ กระทั่งได้เป็นถึงผู้พิพากษา ถึงจะมีสิทธิ์ปกป้องตัวเองได้ ตอนที่บนกำแพงเมืองถูกสลับสับเปลี่ยนธงสีต่างๆ คุณถึงจะมีสิทธิ์เปลี่ยนประตูและลานบ้านไม่ถูกโยนทิ้งตามอำเภอใจ
“เฝิงซื่อเอ๋อร์ ไม่มีปัญหาใช่ไหม” โจวเจ๋อมองไปที่ทนายอัน หากจะว่ากันถึงแก่นแท้แล้ว นี่คือคำถามที่สำคัญที่สุด
“เขาฉลาดมาก เป็นคนฉลาดคนหนึ่ง” ทนายอันตอบแบบนี้
โจวเจ๋อเงียบไปอีกครั้ง
ทนายอันจึงกล่าวต่อว่า “อย่างแรก เถ้าแก่ ผมอยู่กับคุณแล้ว เป็นลูกน้องของคุณ เฝิงซื่อเอ๋อร์ตอนแรกเป็นลูกน้องของผม หากนับอายุหลังจากตายแล้ว เขารู้จักผมดีกว่าแม่ของผมเสียอีก เขาจะไม่เชื่อว่าผมจะอยู่กับเถ้าแก่ที่ขี้เกียจ เห็นแก่ตัว โลภมาก ขี้งก แถมยังไม่แข็งอ้อไม่…เอ่อ อย่างที่สอง เรื่องของหยกผีครั้งที่แล้ว ถือว่าเถ้าแก่ชิงตัดหน้าเขาไปก่อน เขาจึงจำคุณได้แน่นอน ไม่แน่ยังตามสืบเรื่องของคุณเป็นพิเศษ อย่างที่สาม ได้ยินว่า ครั้งที่แล้วที่หน้าประตูวังนั่น ชุ่ยฮวาเอ๋อร์ยังเห็นเถ้าแก่ยืนต่อแถวอยู่ตรงนั้น และความปั่นป่วนของนรกก่อนหน้านี้ช่วงหนึ่ง จุดเริ่มต้นก็คือพระราชวังแห่งนั้น!”
“คุณหมายความว่า เขาเดาตัวตนของผมออกเหรอ”
ทนายอันส่ายหน้า “คนฉลาดจะชอบคิดมาก ผมแค่สัมผัสได้ถึงความสนใจของเขาที่มีต่อคุณ ถึงแม้ก่อนหน้านั้นผมจะไหว้วานเขาให้สร้างหมอกนั่นก็ตาม แต่ก็ไม่ได้สัญญาอะไรกระทั่งไม่เผลอพูดอะไรให้เขาฟังแม้แต่นิดเดียว ปล่อยให้เขาคาดเดา คือตัวเลือกที่ดีที่สุด ไม่ต้องรู้ไม่ต้องเข้าใจ ถึงจะได้ผลที่สุดและปลอดภัยที่สุด”
โจวเจ๋อลุกขึ้น ยื่นมือบิดเอว แล้วค่อยๆ พูดว่า “เหล่าอัน ถ้าหากเล่นมากเกินไป คุณรู้ไหมว่าผลเสียจะเป็นยังไง”ถ้าหากปล่อยให้ระดับสูงของนรกรู้ว่าตัวการที่ทำลายร่างธรรมของพญายมทั้งแปดยังเอ้อระเหยลอยชายได้เป็นผู้จับกุมอยู่ในโลกมนุษย์ เช่นนั้นการแก้แค้นที่ต้องเผชิญหน้าทั้งหมด แค่คิดก็รู้สึกชาหนังศีรษะแล้ว
“ไม่ว่ายังไงก็ไม่ได้เล่นเกินเหตุเป็นครั้งแรก” ทนายอันตอบไปเช่นนั้น
โจวเจ๋อพยักหน้า ถามว่า “ส่งข่าวยังไง”
ทนายอันหากระดาษและปากกา แล้วเขียนเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่นี่ลงไป แต่ซ่อนสิ่งที่เป็นประเด็นสำคัญ อย่างเช่น ก้อนหินสีเขียวคือจุดประสงค์ที่ทุกคนมาที่ยูนนาน จำนวนตัวหนังสือไม่เยอะ แต่กลับเล่าเรื่องออกมาได้ทั้งหมด ประเด็นสำคัญยังอยู่ที่มีคนถูกฆ่าในโฮมสเตย์รวมไปถึงยมทูตคนนี้ถูกฆ่าปิดปาก
หลังจากเขียนเสร็จ ทนายอันจึงนำกระดาษแผ่นนั้นวางบนป้ายผู้จับกุมของโจวเจ๋อ รอยสีดำจางๆ ที่อยู่บนกระดาษเหมือนตราประทับก็ไม่ปาน จากนั้นโจวเจ๋อจึงหยิบไฟแช็กออกมา เตรียมเผากระดาษใบนี้ ผลปรากฏว่าทนายอันได้ส่งเงินกระดาษมาให้อีกสองใบ
“เผาเพิ่มไปด้วยกัน เถ้าแก่”
“ต้องมีทิปด้วยเหรอ” โจวเจ๋อพูดด้วยความสงสัยอยู่บ้าง
“ผีตัวเล็กตัวน้อยน่ารำคาญ ขี้งกขี้เหนียว…” ขณะที่พูดไปเรื่อยๆ ทนายอันรู้สึกว่าตัวเองเหมือนจะด่าเถ้าแก่เข้าไปด้วย จึงหัวเราะทันทีแล้วเอ่ยว่า “หลายปีที่ผ่านมายมโลกมักจะไม่ให้ความสำคัญกับระดับชั้นรากหญ้าอยู่แล้ว และเรื่องของพวกเราจะว่าเล็กก็ไม่เล็ก แต่จะว่าใหญ่ ก็ไม่ถือว่าใหญ่มาก ถ้าหากไอ้หมอนั่นไม่มีการเคลื่อนไหวต่อจากนี้ ไม่ฆ่าคนและยมทูตติดต่อกันอีก ด้วยทัศนคติของข้าราชการในนรกแล้ว เพิ่มหนึ่งเรื่องไม่สู้ลดหนึ่งเรื่อง
แต่นี่ไม่มีผลกระทบอะไรกับพวกเราเลย พวกเราแค่มั่นใจว่าจดหมาย ‘รายงาน’ ฉบับนี้จะเดินตามขั้นตอนจริง จากนั้นก็รอเฝิงซื่อเอ๋อร์เป็นฝ่ายไปขอเป็นคนนำทัพออกรบ มาจัดการปัญหานี้ก็พอ เงินกระดาษสองใบนี้แค่ไม่อยากถูกระบบไปรษณีย์ของยมโลกนรกกลบหายไปก็เท่านั้น”
“อย่างนั้นถ้าเผาเพิ่มอีกสองสามใบก็จะส่งถึงยมโลกนรกได้อย่างราบรื่นใช่ไหม”
“แบบนั้นมันเด่นเกินไป ถ้าหากถูกไอ้งั่งคนไหนพบว่ารายได้ของยมทูตข้างนอกสูงขนาดนี้ จึงตั้งใจเก็บจดหมายฉบับนี้ไว้ แล้วเรียกค่าน้ำชาอะไรจากคุณอีก จะไม่เพิ่มความยุ่งยากเหรอ”
“เห็นแก่ได้กินกันน่าเกลียดขนาดนี้เชียว”
“คนเป็นมักมากในทรัพย์และยังต้องพะวงถึงหน้าตา แต่ที่นรกมีแต่คนไร้ยางอายทั้งนั้น”
หลังจากเผากระดาษใบนี้รวมทั้งเงินกระดาษสองใบจนเป็นผุยผงแล้ว โจวเจ๋อจึงตบมือ “เขาอีกนานไหมกว่าเขาจะถึงมาถึง”
“ต้องเดินตามขั้นตอน เร็วสุดก็ต้องหนึ่งวัน”
“อย่างนั้นผมไปพักผ่อนแล้ว”
“ได้เลย เถ้าแก่ ผมจะช่วยดูให้”
อิงอิงกับสวี่ชิงหล่างตั้งเต็้นท์เสร็จแล้ว คนที่มาตั้งแคมป์ที่นี่เดิมทีมีไม่น้อยอยู่แล้ว แต่ฤดูหนาวเดือนสิบสองนี้คนที่มาตั้งแคมป์กลับมีน้อยจริงๆ เมื่อเข้าไปนอนในเต็นท์ อิงอิงก็ตามเข้ามาโดยเร็ว วางศีรษะของโจวเจ๋อไว้บนตักของตัวเอง จากนั้นเธอจึงนวดให้โจวเจ๋อเบาๆ
“ลำบากหน่อยนะ” โจวเจ๋อเอ่ย
“ไม่ลำบากเจ้าค่ะเถ้าแก่ ช่วงนี้เถ้าแก่ต่างหากที่ลำบากมากกว่า”
โจวเจ๋อหลับตา เขาเหนื่อยมากจริงๆ
…
‘ติ๋งๆ…ติ๋งๆ…’ เสียงหยดน้ำ โจวเจ๋อพบว่าตัวเองกำลังนั่งอยู่ในริมแม่น้ำ เงยหน้าขึ้น ทั้งๆ ที่มีดวงอาทิตย์อยู่บนท้องฟ้า แต่กลับให้ความรู้สึกขมุกขมัวเหมือนเดิม พอก้มหน้า โจวเจ๋อมองไปที่ผิวน้ำ เห็นเงาของตัวเองสะท้อนอยู่บนผิวน้ำ แต่เงาอันนี้กลับไม่ชัดเจน นี่คือความฝัน
‘ปุดๆ…ปุดๆ…ปุดๆ…’ ใต้น้ำเกิดฟองอากาศออกมาอย่างต่อเนื่อง แม่น้ำทั้งสายเริ่มมีกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้ง แขนแต่ละข้างอัน ขาแต่ละข้างอัน พลิกลอยออกมาจากใต้น้ำ ทั่วทั้งแม่น้ำเต็มไปด้วยแขนขาที่ถูกตัดเป็นชิ้น
‘ซ่า!’ ตรงกลางของแม่น้ำ เหมือนมีเงาสีดำเงาหนึ่งลอยขึ้นมาเหนือผิวน้ำ เนื่องจากมีชิ้นส่วนแขนขาเบียดแน่นกันไปหมด จึงมองเห็นไม่ถนัด ทว่ารู้สึกเหมือนมีดวงตาคู่หนึ่งกำลังจ้องมองตัวเองอยู่
ถ้าหากคนทั่วไปฝันแบบนี้น่าจะตกใจกลัวไปนานแล้ว หากไม่มึนงงอยู่ในฝันร้ายต่อไป เช่นนั้นก็คงสะดุ้งตื่นเหงื่อเย็นท่วมตัว
โจวเจ๋อกลับยืนอยู่ที่เดิม สบตากับดวงตาของเงาดำนั่น เงาดำสงบนิ่งเป็นอย่างมาก โจวเจ๋อก็เช่นกัน ทุกคนต่างสงบและใจเย็น รอบๆ มีเพียงเสียงน้ำไหลรวมถึงแขนขาที่ถูกตัดลอยกระทบและเสียดสีกันเบาๆ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร โจวเจ๋อรู้สึกเบื่อแล้ว เขาจึงหาวหวอด โบกมือลาเงาดำนั่นแล้วหลับตา ตอนที่ลืมตาอีกครั้ง โจวเจ๋อได้ตื่นแล้ว เวลานี้เขากำลังนอนอยู่บนเตียงในเต็นท์ อิงอิงกำลังนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ข้างๆ เขา
เธอช่วงนี้เธอไม่ค่อยชอบเล่นเกมเท่าไร แต่กลับชอบอ่านนิยายมากกว่า ก่อนหน้านั้นในร้านหนังสือโจวเจ๋อมีครั้งหนึ่งโจวเจ๋อเป็นห่วงแนวคิดในการใช้ชีวิตของอิงอิง และด้วยความบังเอิญแบบไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ไม่ระวังไปหยิบโทรศัพท์ของอิงอิงที่อยู่บนหัวเตียง พบว่าในบรรดานิยายที่อิงอิงอ่านนั้น เน้นอ่านนิยายวายเป็นหลัก
“เถ้าแก่ ตื่นแล้วเหรอเจ้าคะ” อิงอิงวางโทรศัพท์แล้วขยับเข้ามาใกล้ “เถ้าแก่ ครั้งนี้ท่านนอนหลับนานมาก น่าจะเหนื่อยจัดนะเจ้าคะ”
“ผมหลับไปนานแค่ไหน”
“หนึ่งวันหนึ่งคืน ประมาณสามสิบชั่วโมงได้เจ้าค่ะ”
โจวเจ๋อพยักหน้า ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร และไม่ต้องพูดถึงการจ้องหน้ากันในความฝันอันยาวนานที่น่าเบื่อนั่น แต่ช่วงนี้ตัวเขาเองยุ่งมาก สูญเสียพลังกายและจิตใจค่อนข้างเยอะจริงๆ
หลังนอนหลับหนึ่งตื่นรู้สึกมีพลังสดชื่นขึ้น พอลุกนั่ง โจวเจ๋อที่กำลังจะเพิ่งสั่งให้อิงอิงเตรียมหาของกินให้ตัวเอง ปลายจมูกกลับได้กลิ่นฉุนของผักดอง
“พวกเขามาแล้วเหรอ” โจวเจ๋อถาม
“เจ้าค่ะ พวกเขามาแล้ว”
โจวเจ๋อลุกขึ้น โน้มตัวเดินออกมาจากเต็้นท์
“ฮ่าๆๆๆๆ! มาๆ ชนแก้ว!” เสียงของทนายอันดังเข้ามา แสดงให้เห็นถึงความดีใจเป็นอย่างยิ่ง
โจวเจ๋อมองไปทางนั้น แล้วจึงเห็นทนายอันกับผู้หญิงอายุราวสี่สิบปีนั่งอยู่บนพื้นข้างๆ ทนายอันพยายามดึงเธอให้คล้องแขนกันดื่มแลกแก้วสุราัน แต่ข้างๆ นั้่นยังมีหญิงชราคนหนึ่งกำลังนั่งยองๆ คอยเฝ้ากำลังไฟที่อยู่ตรงหน้าเตาเล็ก ซึ่งกำลังต้มผักดองอยู่ในหม้อต้มขนาดเล็ก
เมื่อเห็นโจวเจ๋อเดินเข้ามา ทนายอันลุกขึ้นทันที ผู้หญิงก็ลุกขึ้นเช่นกัน แต่มีความเรียบร้อยอย่างเห็นได้ชัด ให้ความรู้สึกเหมือนเศรษฐีแม่ม่าย
“เถ้าแก่ ฮ่าๆๆๆๆ!!!!!” ทนายอันหัวเราะจนหายใจแทบไม่ทัน พลางชี้ไปที่ผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ และเอ่ยว่า “เถ้าแก่ เฝิงซื่อเอ๋อร์มาแล้ว”
เอ่อ นี่…
ผู้หญิงเดินมาข้างหน้าสองสามก้าว พยักหน้าให้โจวเจ๋อเบาๆ ไม่มีการประจบแสดงท่าทีเย้ายวน และไม่มีการวางมาด นอกจากพูดด้วยความสงบว่า “รีบมาไปหน่อย ในหอฌาปนกิจที่ลี่เจียงก็ไม่มีศพผู้ชายที่เหมาะสม จึงเลือกมาพอถูๆ ไถๆ ไปก่อน”
หญิงชราที่คอยเฝ้ากำลังไฟอยู่ข้างๆ เงยหน้าถลึงตาใส่โจวเจ๋อหนึ่งที แล้วใช้น้ำเสียงที่แหบพร่าของคนชราเอ่ยเหมือนคุณพ่อว่า “เชอะ คนเลว!”
……………………………………………………………………….