ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน – บทที่ 121 สวรรค์คงเมตตาพวกเขาเป็นแน่!

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

บทที่ 121 สวรรค์คงเมตตาพวกเขาเป็นแน่!

บทที่ 121 สวรรค์คงเมตตาพวกเขาเป็นแน่!

ที่ไข่ใบนั้นเข้าไปในเขตแดนลับสัตว์อสูร ความจริงแล้วถือเป็นเรื่องดีสำหรับหลิงเยว่

นั่นหมายความว่า มีโอกาสที่คู่แข่งของนางจะเปลี่ยนจากผู้ที่มีการบำเพ็ญสูงกลายเป็นผู้บำเพ็ญระดับจินตานหรือต่ำกว่านั้น โอกาสชนะจึงเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย ทว่าถึงอย่างไรก็ยังไม่สามารถกระตุ้นความมุ่งมั่นของหลิงเยว่ได้

ผู้ที่เข้าไปในเขตแดนลับสัตว์อสูร เมื่อกลับออกมาแล้วจะรู้สึกได้ถึงความก้าวหน้า แต่นับว่ามีความเสี่ยงที่สูงมากเช่นกัน นางรู้สึกว่าตนเองไม่มีโชคและความสามารถถึงเพียงนั้น หากเข้าไปแล้ว คงได้ฝังร่างไว้ที่นั่นอย่างแน่นอน

“ระบบ ลดโทษของภารกิจนี้ให้เบาลงหน่อยได้หรือไม่? อย่างเช่น ลดอายุขัยลงสักแปดพันปี ส่วนค่าพลังวิญญาณก็ไม่ต้องหัก หรือจะหักไปสองล้านเลยก็ได้…”

ถึงอย่างไร ตอนนี้หลิงเยว่ก็มีค่าพลังวิญญาณเพียงแค่สามแสน เท่ากับนางจะเป็นหนี้เพียงหนึ่งล้านเจ็ดแสนแต้มเท่านั้น และเชื่อว่าเมืองฮั่วหยางจะเติมเต็มให้นางในไม่ช้า หลิงเยว่มั่นใจในเมืองนี้เป็นอย่างมาก!

ระบบส่งเสียงหัวเราะเยาะ และไม่สนใจคำพูดของหลิงเยว่แม้แต่คำเดียว

หลิงเยว่คาดการณ์ไว้แล้ว จึงไม่มีอะไรต้องผิดหวัง ดูเหมือนว่าการเดินทางครั้งนี้จะหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว ก่อนไปจึงต้องเตรียมสิ่งของที่จำเป็นไว้ให้เพียงพอ

เมื่อตัดสินใจได้ดังนั้น หลิงเยว่จึงไปที่ร้านขายของขนาดใหญ่ในเมืองฮั่วหยางและกวาดทุกอย่างลงแหวนมิติราวกับโจรปล้นบ้าน “ตอนนี้ข้าไม่มีหินวิญญาณ ขอติดเจ้าไว้ก่อน ไว้ข้ากลับเมื่อใดจะต้องใช้คืนให้เจ้าอย่างแน่นอน”

เรื่องหินวิญญาณไม่ถือว่าเป็นอะไรหรอก แต่พวกเขากลัวว่านางจะกลับมาไม่ได้เสียมากกว่า…

“ท่านรองเจ้าเมือง ตอนนี้ท่านเพิ่งจะอยู่ขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นสิบเท่านั้น อย่าเพิ่งไปเขตแดนลับเลยจะดีกว่า?”

“เห็นด้วยเจ้าค่ะ เพียงหาหินวิญญาณอยู่ในเมืองไม่ดีกว่าหรือ?”

ผู้คนต่างพากันเกลี้ยกล่อมหลิงเยว่ให้ละทิ้งความคิดบุ่มบ่ามที่จะเข้าไปยังเขตแดนลับ พวกเขาพูดคุยกันอยู่นาน จนเกือบลงมือมัดตัวหลิงเยว่ไว้แล้ว หากแต่เกรงกลัวตำแหน่งรองเจ้าเมืองและอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงคนนั้น จึงทำได้เพียงยั้งมือไว้

หลิงเยว่แสร้งกินอาหารวิญญาณพิเศษจนหมดไปหนึ่งในสามส่วนก่อนจะออกเดินทางไปที่ประตูมิติ ด้วยสีหน้าสงบราวกับพร้อมสละชีพแล้ว

เดิมทีหลิงเยว่ตั้งใจจะรอพวกพ้องเข้าไปพร้อมกัน แต่เกรงว่าประตูทางเข้าเขตแดนลับจะปิดลงเสียก่อน นางจึงไม่อาจรอช้า จำต้องกัดฟันฝืนใจก้าวเข้าไปเพียงผู้เดียว

การตามหาไข่ใบนั้น เป็นหนทางที่พอจะมีความหวังรอดชีวิต หากอยู่เฉย เพียงรอภารกิจล้มเหลวในเมืองฮั่วหยางโดยไม่ได้ลงมือทำสิ่งใด แม้แต่การดิ้นรนต่อสู้ก็ไม่อาจทำได้แล้ว

ยามหลิงเยว่เหยียบย่างสู่ประตูมิติ ความคิดบางอย่างก็แล่นขึ้นมาทันใด “ระบบ ในเมื่อค่าพลังวิญญาณยังสามารถยืมล่วงหน้าได้ เช่นนั้นแล้ว อายุขัยก็สามารถยืมได้… ใช่หรือไม่?”

หลิงเยว่ที่จมดิ่งอยู่ในประตูมิติ ยังไม่ทันได้ยินคำตอบจากระบบ ร่างกายก็ถูกหมุนจนสูญเสียการรับรู้ไปหมดสิ้น

หลิงเยว่เพิ่งก้าวเข้าไป ส่วนพวกพ้องที่เฝ้ารออยู่ก็ตามมาทีหลัง ทว่าน่าเสียดาย… พวกเขามาช้าเกินไป

“ท่านรองเจ้าเมืองน้อยของพวกเจ้าอยู่ที่ใด?” โม่จวินเจ๋อคว้าตัวทหารชุดแดงที่เดินผ่านมาถาม

“ท่านรองเจ้าเมืองหรือ? เข้าไปแล้วขอรับ”

“เข้าไปเองอย่างนั้นรึ?”

ติงหลิวหลิ่วมองไปที่ท้องฟ้าสีแดงและทางเข้าประตูมิติ ไม่คิดว่าศิษย์น้องห้าผู้ขี้ขลาดจะเป็นฝ่ายเข้าไปโดยไม่รอพวกเขา!

“ใช่แล้วขอรับ”

ทหารชุดแดงมองไปยังหนุ่มสาวที่มีบุคคลิกไม่ธรรมดา แล้วก็ตีหน้าผากตัวเองหนึ่งที “พวกท่านมีผู้ใดชื่อโม่จวินเจ๋อ หรือว่าติงหลิวหลิ่วหรือไม่?”

คนที่ถูกเอ่ยถึงทั้งสองคนต่างก็มองไปที่ทหารชุดแดงผู้นั้นพร้อมกัน

“ก่อนที่ท่านรองเจ้าเมืองจะเข้าไป นางได้ให้ถุงเก็บของแก่ข้าหลายใบ พร้อมบอกว่า หากเราบังเอิญเจอยานบินของสำนักหลานเทียน ให้ข้ามอบถุงเก็บของเหล่านี้แก่ทั้งสองท่าน”

ภายในถุงเก็บของล้วนเป็นอาหารวิญญาณพิเศษที่หลิงเยว่ได้ทำขึ้นใหม่ในรอบสามปี มีทั้งใบชาล้ำค่าที่ต้องลำบากยากเย็นกว่าจะทำสำเร็จ ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยให้กลายเป็นหญ้าได้ ถือเป็นอาวุธต่อสู้เพื่อเอาตัวรอดอย่างหนึ่ง

“ศิษย์น้องห้านี่ช่างแสนดียิ่งนัก”

ติงหลิวหลิ่วรับถุงเก็บของมา อีกทั้งบนถุงเก็บของนั้นยังมีชื่อของตนเขียนอยู่ด้วย นางรู้สึกซาบซึ้งใจจนอดเอามาถูไถไปมาไม่ได้ วันคืนที่นางต้องทำงานล้างถูในโรงเตี๊ยมสามวันเพื่อทดแทนค่าห้องของหลิงเยว่นับว่าไม่ไร้ประโยชน์แล้ว

“นางเข้าไปในประตูมิติแห่งใดกัน?”

ว่านอวี้เฟิงนึกถึงศิษย์น้องร่วมสำนัก ผู้ที่ยังมีพลังไม่ถึงขอบเขตสร้างรากฐานก็รู้สึกกังวลใจ บางทีหากตามเข้าไปตอนนี้ อาจจะมีโอกาสได้พบกันก็ได้

ด้วยเหตุนี้ เมื่อซักถามจนกระจ่างแล้ว พวกเขาทั้งหมดก็พุ่งตัวไปยังประตูมิติที่สองทันที

ถึงกระนั้น พวกเขารู้ดีว่าโอกาสที่จะได้พบกันในเขตแดนลับสัตว์อสูรอันกว้างใหญ่นั้นช่างยากยิ่ง ทว่าแม้โอกาสจะมีเพียงน้อยนิด ก็ยังนับว่าดีกว่าไม่มีเลย

เหล่าศิษย์สำนักหลานเทียนกว่ายี่สิบคนมุ่งหน้าสู่ประตูมิติแห่งที่สอง ในขณะที่เหล่าผู้บำเพ็ญหนุ่มสาวจากสำนักต่าง ๆ ทั่วหล้าก็ทยอยเข้าสู่ประตูมิติตามมา

บรรดาผู้บำเพ็ญระดับปฐมวิญญาณขึ้นไปที่ถูกจำกัดด้วยเงื่อนไขของเขตแดนลับ จึงทำได้เพียงถอนหายใจ โอกาสเช่นนี้มิอาจเป็นของพวกเขา จึงทำได้เพียงเฝ้ามองผู้บำเพ็ญที่มีระดับการบำเพ็ญต่ำกว่าตนเองก้าวเข้าไปเท่านั้น

“ข้าจำข้อความเหล่านั้นได้ ในตำราโบราณเขียนไว้ว่าครั้งสุดท้ายที่เขตแดนลับสัตว์อสูรปรากฏ ผู้บำเพ็ญระดับทะยานเซียนยังสามารถเข้าไปได้เลย”

“ใช่ และก่อนหน้านั้น การบำเพ็ญยังไม่ได้มีข้อจำกัดด้วย แม้แต่ผู้ที่เข้าใกล้ระดับฝ่าทัณฑ์สวรรค์ขั้นหนึ่งก็ยังสามารถเข้าไปได้”

การปรากฏของเขตแดนลับในครานี้ช่างแปลกประหลาดนัก โดยเฉพาะข้อจำกัดในการก้าวข้ามระดับการบำเพ็ญที่อาจนำมาซึ่งความตายอย่างอนาถ ถือว่าโหดเหี้ยมมาก เพราะคนเหล่านั้นอยู่ในระดับปฐมวิญญาณ ซึ่งไม่แม้แต่จะได้รับโอกาสให้ต่อสู้ดิ้นรนเสียด้วยซ้ำ…

เหล่าผู้บำเพ็ญที่ได้รับข่าว ต่างหลั่งไหลมาจากทั่วทุกหนแห่งของโลกผู้บำเพ็ญเซียน แผ่นดินทางเหนืออันเงียบสงบมานานหลายพันปี กลับคลาคล่ำไปด้วยผู้คนอีกครั้ง

เมื่อเผชิญหน้ากับฝูงชนมากมาย ความเย็นยะเยือกบนร่างกายของซูซวงก็มลายสิ้น ไม่ต้องทนเสแสร้งอีกต่อไป ทั้งยังไม่ต้องกังวลว่าจะถูกเปิดเผยและต้องหนีหัวซุกหัวซุนอีกต่อไปแล้ว!

แสดงว่าสวรรค์คงเริ่มเมตตาดินแดนทางเหนือที่เงียบสงัดมานานแล้วเป็นแน่!

สองวันต่อมา ทางเข้าเขตแดนลับสัตว์อสูรก็ปิดลงโดยไม่มีสัญญาณเตือนใด ๆ ท้องฟ้าสีแดงเลือดและภาพเงาของวังรูปสัตว์ร้ายก็มลายหายไปด้วยเช่นกัน ทะเลทรายทั้งผืนกลับมาเงียบสงบราวกับว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น หากไม่ใช่เพราะฝูงชนที่มุงดูอยู่ คงคิดว่าทั้งหมดเป็นเพียงแค่ฝันไปเสียแล้ว

“ให้ตายเถอะ! เกือบไปแล้ว!”

ใครบางคนร้องไห้คร่ำครวญกลางทะเลทรายที่ว่างเปล่า จะไม่ให้ร้องได้อย่างไร ขาของเขาแทบจะก้าวเข้าไปอยู่แล้ว แต่ทางเข้าประตูมิติกลับหายไปต่อหน้าต่อตา

ยังมีคนที่ประสบชะตากรรมเดียวกับเขาจำนวนมาก หลายคนทนรับแรงกระแทกนี้ไม่ไหว ถึงกับเป็นลมล้มไปเสียตรงนั้น

“แปลกจริง ตำราโบราณบันทึกไว้ว่าเขตแดนลับสัตว์อสูรจะเปิดประตูทางเข้าเป็นเวลาสิบกว่าวัน แต่นี่เปิดเพียงสามวันเท่านั้น” ผู้บำเพ็ญท่านหนึ่งอดสงสัยไม่ได้

มีบางคนหยิบตำราโบราณเกี่ยวกับเขตแดนลับออกมา แล้วเปิดค้นหาบทความที่เกี่ยวข้องกับเขตแดนลับสัตว์อสูรทันที

ตำราโบราณเกี่ยวกับเขตแดนลับเหล่านี้ โลกของผู้บำเพ็ญเซียนแทบทุกคนจะมีติดตัวไว้คนละเล่ม ในนั้นจะบันทึกว่าเขตแดนลับปรากฏอยู่ที่ใด และเป็นเขตแดนลับแบบใด แต่แน่นอนว่า เขตแดนลับที่บันทึกไว้ต้องมีความละเอียดมาก ส่วนใหญ่จึงเป็นเพียงเขตแดนลับระดับต่ำ

ส่วนเขตแดนลับระดับสูงหรือเขตแดนลับโบราณนั้น ข้อความที่บันทึกไว้ก็คลุมเครือมาก คำอธิบายก็มีหลากหลายไปหมด

ผู้บำเพ็ญที่ยังอยู่ระหว่างการเดินทาง เมื่อได้ยินข่าวว่าประตูทางเข้าเขตแดนลับสัตว์อสูรได้ปิดลงแล้ว ต่างรู้สึกราวกับฟ้าถล่ม เหตุใดจึงไม่ให้เวลาพวกเขามากกว่านี้อีกสักหน่อย เขตแดนลับสัตว์อสูรนั้นเป็นเขตแดนต้องห้ามโบราณ ผ่านเวลามานานเพียงนี้คงกลายเป็นอสูรแดงตัวจริงไปแล้ว มันจะไม่เข้าใจความลำบากของพวกเขาเลยหรืออย่างไร

บัดนี้ กลายเป็นไม่รู้จะก้าวไปข้างหน้าหรือจะถอยหลังกลับดี

เช่นนั้น… ลองไปดูสักครั้ง บางทีอาจได้ประโยชน์อะไรจากคนที่ออกมาบ้าง?

ผู้คนมากมายที่รออยู่หน้าเขตแดนลับนั้นต่างมีความคิดเช่นนี้ แม้แต่ผู้บำเพ็ญระดับสูงก็ยังคิดเช่นกัน

และเมืองฮั่วหยางซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับเขตแดนลับที่สุด จึงกลายเป็นจุดหมายปลายทางที่พวกเขาเลือก

เมืองฮั่วหยางซึ่งเคยมีผู้คนอยู่น้อย บัดนี้ได้ต้อนรับผู้คนมากกว่าฝูงสัตว์อสูรเสียอีก ชาวเมืองต่างมีรายได้จากการขายหินวิญญาณจนมือไม้อ่อนไปหมด

เช่นเดียวกับที่หลิงเยว่คาดการณ์ อาหารวิญญาณพิเศษของนางได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี มิเช่นนั้นก็ไม่อาจได้รับการตอบรับได้ ในดินแดนอันแห้งแล้ง นอกเหนือจากผู้คนที่มาบำเพ็ญตนในเขตแดนลับแล้ว ในช่วงเวลาอื่น ๆ ไหนเลยจะอดใจไม่ลิ้มรสอาหารอันแปลกใหม่เหล่านี้ได้

ที่สำคัญคือ อาหารเหล่านี้มีกลิ่นหอมยวนใจ และราคาไม่แพง ราคาตั้งแต่หลักสิบจนถึงหลักพัน ถือว่ามีราคาถูกสำหรับผู้บำเพ็ญระดับสูง

ผู้บำเพ็ญที่อยู่ในระดับต่ำก็ถูกล่อลวงให้มาทำงานในเมืองฮั่วหยางเพื่อแลกกับหินวิญญาณ สรุปแล้ว ที่นี่จึงรุ่งเรืองอย่างมาก!

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

Status: Ongoing
‘หลิงเยว่’ ผู้ฝึกตนสำนักฝ่ายนอกแสนอ่อนหัด ทั้งยังถูกกลั่นแกล้งจากศิษย์ร่วมสำนัก ทว่ายังโชคดีได้ระบบนี้มาช่วยชีวิต มอบหมายภารกิจให้นางสามารถแข็งแกร่งขึ้นโดยใช้ทักษะการทำอาหารให้เกิดประโยชน์ แม้เส้นทางการเป็นยอดเซียนจะหริบหรี่ ทว่าโชคชะตาของยอดแม่ครัวได้เปิดทางให้ ‘หลิงเยว่’ ได้พบหนทางที่จะช่วยให้ตนรอดจากวิกฤติในครั้งนี้ไปได้ ‘ลิขิตฟ้าหรือจะสู้ตะหลิว เอ้ย! มานะตน หากนางไม่ยอมแพ้ ย่อมต้องมีหนทางสดใสรออยู่ข้างหน้าแน่’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท