ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน – บทที่ 312 เกิดความวุ่นวายขึ้นกะทันหัน

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

บทที่ 312 เกิดความวุ่นวายขึ้นกะทันหัน

ความวุ่นวายภายนอกมิอาจรบกวนหลิงเยว่ที่กำลังครอบครองเปลวเพลิงพิสดาร นางอยู่ในช่วงเวลาสำคัญ เพียงแค่ครอบครองแก่นแท้ของเปลวเพลิงพิสดารอีกเพียงน้อยนิด นางก็จะออกจากการบำเพ็ญเพียรได้สำเร็จ!

“ข้าต้องไปแล้ว ที่เหลือเจ้าต้องดูแลตัวเอง”

จิตแห่งดอกบัวเพลิงทองคำ ส่งผ่านความนึกคิดไปยังหลิงเยว่ โดยไม่รอให้นางตอบสนอง แสงสีทองพลันหายวับไปบนท้องฟ้า มุ่งหน้าสู่ ดินแดนตะวันตก

สหายของนางต่างพากันออกไปพร้อมกับอีกาสุริยันตัวน้อย เหลือเพียงหัวหน้าตะขาบมรกตที่ถูกทิ้งไว้ให้คอยปกป้องหลิงเยว่ เมืองฮั่วหยางที่เคยคึกคักพลันเงียบเหงาลง

ปีศาจในครั้งนี้มิได้รุกรานแค่เพียงสนามรบโบราณเฉียนซีเท่านั้น นอกจากดินแดนตะวันตกที่มีม่านพลังคอยปกป้องตามธรรมชาติแล้ว ดินแดนตะวันตกทั้งหมดล้วนตกอยู่ในความมืดมิด!

ผู้บำเพ็ญแห่งดินแดนตะวันตกจำนวนไม่น้อย ต่างเลือกที่จะติดอยู่ในหุบเขา ระหว่างปีศาจและความตาย พวกเขามุ่งหน้าสู่หุบเขาอย่างไม่ลังเล อย่างน้อยภายในนั้น นอกจากสัตว์อสูรแล้ว ก็ไม่มีปีศาจร้ายที่จู่ ๆโผล่ออกมา หรือมารร้ายที่คอยแต่จะรุกล้ำเข้าสู่ร่างกายของพวกเขาแล้วทำให้พวกเขากลายเป็นมาร!

ในเมื่อต้องตาย พวกเขาขอเลือกวิธีตายอย่างมีเกียรติดีกว่า

บางคนหนีออกจากดินแดนตะวันตก แต่ส่วนใหญ่เป็นผู้ฝึกวิถีพุทธที่คอยอยู่ช่วยเหลือ!

เพราะพวกเขารู้ดีว่า หากปล่อยให้พลังปีศาจแพร่ขยายขอบเขตออกไป โลกมนุษย์จะกลายเป็นเขตแดนปีศาจแห่งที่สองแน่นอน!

อาจจะยิ่งกว่านั้น บางทีพวกมันหวังจะจับมนุษย์ไปเป็นทาสและอาหารเสียด้วยซ้ำ

เสียงคำรามกึกก้องของอิงหลงดังสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วทั้งผืนแผ่นดิน

เสียงร้องก้องกังวานของอีกาสุริยันขานรับเสียงคำรามของอิงหลง ก่อนจะปรากฏลำแสงสีแดงเพลิงพาดผ่านท้องนภาลับหายไปในพริบตา

เสียงคำรามของสัตว์อสูรนานาชนิดดังกึกก้องมาจากทั่วทุกสารทิศ ปลุกเหล่าอสูรยักษ์ที่หลับใหลให้ตื่นขึ้น…

โม่จวินเจ๋อและคนอื่น ๆ ใช้รอยแยกมิติของลู่เว่ย อดีตอาจารย์ใหญ่สำนักกลั่นโอสถเหอตง และต้องใช้เวลาสามวันจึงเดินทางมาถึงดินแดนตะวันตก

ทว่าดินแดนตะวันตกในยามนี้กลับเต็มไปด้วยพลังปีศาจ หาได้มีภาพแห่งความสงบสุขดั่งเช่นที่พวกเขาจากมา

“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?” อวี้เจินรู้สึกตกตะลึงอย่างยิ่ง เห็นได้ชัดว่าก่อนจากไปทุกสิ่งล้วนมุ่งหน้าไปในทิศทางที่ดี ด้วยเวลาเพียงห้าปีเท่านั้น!

ทุกคนหยุดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินไปยังค่ายพักของสำนักหลานเทียน

ภายในค่าย นอกจากผู้ได้รับบาดเจ็บและหมอที่เข้าสู่สนามรบแล้ว ยังมีบุคคลหนึ่งยืนอยู่ด้านนอกกระโจม เขาเดินไปมาด้วยความกังวล

“ท่านอาจารย์!” ลู่เป่ยเหยียนรีบวิ่งไปหาบุคคลผู้นั้นทันที

อวี้เจินไม่เห็นร่างของสยงฉีเลวี่ย เขารู้สึกใจหาย เป็นกังวลขึ้นมาทันที แม้แต่ผู้อาวุโสมู่ยังได้รับบาดเจ็บสาหัส เช่นนั้นท่านอาจารย์…

“เขาอยู่ในม่านพลังสังหารที่กำลังพังทลาย ตามหาผู้บำเพ็ญที่เป็นศูนย์กลางของม่านพลัง” ผู้นำตระกูลต้วนรู้ว่าอวี้เจินกำลังกังวลเรื่องใด จึงกล่าวพร้อมกับชี้นิ้วไปยังกระโจมที่เงียบสงบ “ชิงยวนอยู่ในนั้น กำลังรักษาอาการบาดเจ็บของผู้อาวุโสมู่”

“หากไม่ได้มีระดับการบำเพ็ญถึงขอบเขตทะยานเซียนอย่าได้เข้าไปในสนามรบเชียว พวกเจ้าจงออกล่าสัตว์อสูรอยู่รอบนอกนี่เถิด”

หลังจากมอบหมายภาระเสร็จสิ้น สายตาของท่านผู้นำต้วนก็ยิ่งดูหม่นหมองลง มองดูกระโจมด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความกังวล

จนถึงตอนนี้ เขายังไม่อยากจะเชื่อว่าปรมาจารย์เซียงเวยจะเป็นถึงนางสนมคนที่สามของราชาปีศาจที่กลับชาติมาเกิด!

เขาปล่อยให้สนมคนที่สามของตนเองกลับชาติมาเกิดพร้อมกับความทรงจำ ทั้งยังมีราชินีปีศาจ แล้วสนมอีกสิบคนที่เหลือจะปรากฏตัวในรูปแบบใด?

ในเขตแดนปีศาจหาใช่มีเพียงสิบสองชายา ยังมีองครักษ์ซ้ายขวา แม่ทัพปีศาจ สิบสองนายพลปีศาจ เผ่าพันธุ์ปีศาจที่แข็งแกร่งอีกมากมาย พวกปีศาจนั้นมีนับไม่ถ้วน…

ท่านผู้นำต้วนถอนหายใจ คิดมากไปก็ไร้ประโยชน์ ตอนนี้ควรแก้ไขวิกฤตที่ดินแดนตะวันตกก่อน

หากมีปรมาจารย์การวางแผนผังมาช่วยปรมาจารย์เฮ่าซือวางม่านพลังทั่วดินแดนตะวันตก ป้องกันไม่ให้พลังปีศาจไหลออกจากดินแดนตะวันตกได้ก็คงดีไม่น้อย

“เพียงอาศัยปรมาจารย์การวางแผนผังเพียงผู้เดียว แม้มีบัณฑิตมากมายช่วยเหลือ ความรุดหน้าก็เชื่องช้า ผลลัพธ์คงน่าผิดหวังยิ่งนัก…”

“พี่ชายของข้าช่วยเหลือได้!” วิญญาณผู้พิทักษ์ตัวน้อยที่ถูกปลดปล่อยออกมา โบกปีกน้อย ๆ ของตนเอ่ยคำว่าพี่ชาย ด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ

มนุษย์นั้นช่างไร้พรสวรรค์ในการวางม่านพลังเสียจริง ผู้คนมากมายถึงเพียงนั้น กลับมีปรมาจารย์ด้านการวางแผนผังเพียงสามคน มิเหมือนเผ่าพันธุ์วิญญาณผู้พิทักษ์ของพวกนาง ที่มีเพียงสามสิบแปดตน ก็มีปรมาจารย์ด้านการวางแผนผังถึงสี่ตนแล้ว!

โม่จวินเจ๋อนึกถึงพี่ชายของเฝิ่นอีเช่นกัน เพียงแต่เวลานี้ถ้าเขาเข้าไปในที่นั่นเพื่อขอความช่วยเหลือ คงจะถูกไล่ออกมาเป็นแน่

ถูกไล่ออกมาก็ยังดี กลัวแต่ว่าจะติดอยู่ที่นั่นออกมิได้…

ครานี้ ข้างกายเขาไม่มีหลิงเยว่ผู้มีกายาต้านหายนะอยู่ด้วยแล้ว

“ข้าจะไปเชิญเขามาเอง”

โม่จวินเจ๋อหันหลังกลับทันที เฝิ่นอีโบกมือลาติงหลิวหลิ่วและคนอื่น ๆ อย่างร่าเริง

“ข้าไปกับเจ้าด้วย” ผู่ตานรีบตามไปหุบเขาโบราณตะวันตก เขาคุ้นเคยดี!

ส่วนคนที่เหลือ หลังจากส่งทั้งสองไปแล้วต่างมองหน้ากัน หลงหว่านโหรว ว่านอวี้เฟิงและติงหลิวหลิ่วไปรักษาผู้บาดเจ็บ อวี้เจิน ลู่เป่ยเหยียน สือเชี่ยนและฉีซิวซี เลือกที่จะไปสู้กับสัตว์อสูรจนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะตายกันไปข้าง!

“ฆ่ามันให้ได้แม้แต่ตัวเดียวก็ยังดี!”

หลังจากผ่านช่วงเวลาผ่อนคลายมาห้าปี เหล่านักเรียนห้องเรียนพิเศษของสำนักกลั่นโอสถเหอตงกลับยิ่งทุ่มเททำงานหนักขึ้น พวกเขารังสรรค์อาหารปราบมารทั้งวันทั้งคืน โดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ทุกคนต่างทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อปกป้องบ้านเกิดของตน…

ดอกบัวเพลิงทองคำลอยไปกลางอากาศจนกระทั่งพบกับเหล่าพระภิกษุหรือผู้ฝึกวิถีพุทธจากพุทธวิหาร

เหล่าภิกษุดูแลดอกบัวเพลิงทองคำเป็นอย่างดีด้วยความตื่นเต้น พวกเขานำพาดอกบัวเพลิงทองคำพร้อมด้วยศิษย์ร่วมเดินทางไปยังดินแดนตะวันตกอย่างเร่งด่วนเพื่อสนับสนุน

ด้วยความช่วยเหลือจากดอกบัวเพลิงทองคำ พวกเขาเชื่อว่าอาจช่วยเหลือเหล่าปรมาจารย์ที่ติดอยู่ในม่านพลัง รวมถึงท่านเจ้าอาวาสเฉิงหวังได้!

ในครั้งนี้ เหล่าผู้บำเพ็ญที่เดินทางไปยังดินแดนตะวันตกมีจำนวนมากกว่าครั้งก่อน บนท้องฟ้ามีผู้บำเพ็ญจำนวนมากเหาะผ่านไปมา

บรรพจารย์เล่อเหอนั่งอยู่ด้านนอกเขตต้องห้ามของสำนักหลานเทียน เมื่อได้เห็นภาพดังกล่าวก็รู้สึกโล่งใจ แม้ว่าตอนนี้ท่านจะไม่สามารถออกจากสำนักได้

“หึ! เจ้าขังข้าไว้ไม่ได้หรอก”

เปลวเพลิงสีแดงสดขนาดเล็กที่ดูราวกับหยดเลือดลอยอยู่ตรงหน้าของบรรพจารย์เล่อเหอ นี่เป็นครั้งแรกที่มันปรากฏตัวต่อหน้าผู้อื่นนอกเหนือจากหลิงเยว่

“แต่ตอนนี้ เจ้าก็ถูกขังอยู่”

มือของเล่อเหอที่จับจอกสุราอยู่กระชับแน่นขึ้น เลือกที่จะตอบกลับอย่างไม่ยี่หระ

“เพียงชั่วคราวเท่านั้น อีกไม่นานหรอก อีกไม่นานข้า… ก็จะเป็นอิสระแล้ว!” เสียงหัวเราะอันบ้าคลั่งของเปลวเพลิงดังขึ้น

“ไม่นานอะไร? เจ้าเป็นไฟปีศาจเหรอ?”

เล่อเหอซักไซ้ ทว่าเปลวเพลิงสีแดงมิได้โง่งม ย่อมไม่ยอมปริปากเอ่ยแม้แต่คำเรียกขานตนเอง

“คิดจะล้วงข้อมูลจากข้าหรือ? ฝันไปเถอะ สิ่งที่เจ้าต้องรู้ก็คือ รอจนข้าออกไปจากสำนักหลานเทียนแห่งนี้ ไม่ว่าชีวิตใดล้วนต้องถูกข้าดูดกลืนพลังชีวิตไปจนหมดสิ้น แม้แต่เจ้า… รวมถึงนางเด็กโง่งมที่หลอกลวงข้า ไอ้… ข้าหมายถึงนางเด็กนั่นด้วย!”

เปลวเพลิงพูดด้วยความเจ็บแค้น เมื่อนึกถึงครั้งที่ถูกหลิงเยว่หลอกลวง กล้านักที่หลอกลวงข้า!

ดี ดีมาก!

เรื่องนี้ยิ่งทำให้เล่อเหอไม่อาจจากสำนักหลานเทียนไปได้ ความร้ายกาจของเปลวเพลิง แม้เขาจะไม่เคยประสบพบเจอมาก่อน แต่เพียงแค่ฟังหลิงเยว่บรรยาย ก็รับรู้ถึงความน่าสะพรึงกลัวของมันแล้ว!

ทำไมเพลิงทั้งสองถึงได้ร้ายกาจเช่นนี้!

ไม่มีเปลวเพลิงพิสดารที่จิตใจดีงามบ้างเลยหรือไร?

เล่อเหอดื่มชาเห็ดหลินจือจนหมดในอึกเดียว ท้องมองไปทางดินแดนตะวันตกด้วยสีหน้าครุ่นคิด

“เขตแดนปีศาจยังไม่เปิด ประตูมนุษย์ก็วุ่นวายกับพวกสัตว์อสูรและปีศาจทั้งสองตนเสียแล้ว เพียงแค่สองตน…”

หากมีมากกว่านี้ พวกเขาจะรับมือไหวหรือ?

เล่อเหอถอนหายใจ เติมชาให้ตัวเองอีกครั้ง เขาไม่คิดจะจากเขตต้องห้ามไปไหน ขออยู่เฝ้าเปลวเพลิงนี้ดีกว่า หากมันต้องการอิสรภาพ เขาจะไม่ยอมปล่อยมันไปเด็ดขาด!

ทำให้มันกลายเป็นบ้าไปเลย!

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

Status: Ongoing
‘หลิงเยว่’ ผู้ฝึกตนสำนักฝ่ายนอกแสนอ่อนหัด ทั้งยังถูกกลั่นแกล้งจากศิษย์ร่วมสำนัก ทว่ายังโชคดีได้ระบบนี้มาช่วยชีวิต มอบหมายภารกิจให้นางสามารถแข็งแกร่งขึ้นโดยใช้ทักษะการทำอาหารให้เกิดประโยชน์ แม้เส้นทางการเป็นยอดเซียนจะหริบหรี่ ทว่าโชคชะตาของยอดแม่ครัวได้เปิดทางให้ ‘หลิงเยว่’ ได้พบหนทางที่จะช่วยให้ตนรอดจากวิกฤติในครั้งนี้ไปได้ ‘ลิขิตฟ้าหรือจะสู้ตะหลิว เอ้ย! มานะตน หากนางไม่ยอมแพ้ ย่อมต้องมีหนทางสดใสรออยู่ข้างหน้าแน่’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท