ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ – ตอนที่ 278 ดวงตา [รีไรท์]

ยอดหญิงลิขิตสวรรค์

ตอนที่ 278 ดวงตา [รีไรท์]

คำพูดนี้ตกถึงหูของฉู่หลิวเยว่อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง

นางแทบจะกลั้นขำเอาไว้ไม่อยู่

นางไม่คู่ควร?

นี่ก็เป็นชื่อของนางอยู่แล้ว นางจะไม่คู่ควรได้อย่างใด?

มู่ชิงเห่อพูดแบบนี้ เพื่อจะให้นางคิดว่าเขากำลังพูดปกป้องนางอยู่

แต่ว่าเป็นไปได้รึ?

ถ้ามู่ชิงเห่อจงรักภักดี และไม่เคยหักหลังนางมาโดยตลอด ฉะนั้นเมื่อหนึ่งปีก่อนนางจะตายไปอย่างอนาถาได้อย่างใด?

ส่วนเขาเหตุใดหลังจากที่นางตายแล้วเขาก็ยังไม่ได้รับผลกระทบใดๆ

รองแม่ทัพทหารม้าดำ ฐานะตำแหน่งนี้สำคัญมาก เจียงอวี่เฉินทะเยอทะยานถึงเพียงนั้น จะยอมให้องครักษ์ของนางยังสามารถดำรงตำแหน่งพวกนี้ต่อได้อย่างใด?

เหมือนว่านางจะมั่นใจแล้วว่ามู่ชิงเห่อได้ย้ายมาอยู่ฝั่งเจียงอวี่เฉินภายใต้ความไม่รู้อันใดของนางตั้งแต่แรกแล้ว!

ไม่อย่างงั้นก็ไม่มีวิธีที่จะอธิบายเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในภายหลังได้แล้วจริงๆ

เมื่อเห็นปฏิกิริยาของเขาในตอนน้ นอกจากฉู่หลิวเยว่รู้สึกประหลาดใจ และรู้สึกเพียงแค่ว่ามันเป็นเรื่องที่น่าตลก

แล้วตอนที่นางร้องขอให้ช่วยชีวิต เขาไปอยู่ที่ไหน?

ขณะที่นางถูกกดขี่ และกำลังจะตายนั้น เขาทำอันใดอยู่?

หลังจากที่นางตายแล้วเขาก็ฆ่ากวางหิมะตัวนั้นมาทำเป็นรองเท้าบูท และเหยียบย่ำใต้เท้าของเขาทุกวันอีกด้วย!

ตอนนี้ยังจะมาพูดแบบนี้อีก ไม่รู้สึกละอายใจบ้างเลยรึ?

ฉู่หลิวเยว่มีเรื่องสงสัยมากมาย มีความโกรธแค้นมากมายที่กกดทับอยู่ในหัวใจ จนทำให้รู้สึกนางหายใจไม่ทั่วท้อง

แต่สุดท้ายแล้ว นางก็สูดหายใจเข้าแล้วก้มหน้าลง

“ชื่อนี้เป็นชื่อที่พ่อแม่ของข้าเป็นคนตั้ง แม้ว่าท่านจะรู้สึกว่าไม่คู่ควรก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้”

“หลิวเยว่! เจ้าพูดอันใดของเจ้าน่ะ!”

จักรพรรดิจยาเหวินตกใจไปที ก่อนจะรีบเอ่ยปากเตือน

“ยังไม่รีบขอความอภัยจากท่านรองแม่ทัพมู่อีก!”

พูดแล้ว เขาก็มองมู่ชิงเห่อด้วยความตื่นเต้นอีกครั้ง

“รองแม่ทัพมู่ แม่นางคนนี้ยังเด็ก และพูดจาเหลวไหล โปรดท่านจงอย่านำมาใส่ใจ ถ้าอย่างงั้น…ให้ฉู่เยว่เปลี่ยนไปใช้อีกตัวดีหรือไม่?”

แค่ชื่อเพียงชื่อเดียวสามารถก่อความวุ่นวายได้ถึงเพียงนี้เชียว?

อย่าว่าแต่ฉู่หลิวเยว่เลย แม้ตาเขาก็ยังไม่กล้าบังอาจกับมู่ชิงเห่อเช่นกัน!

ปกติฉู่หลิวเยว่ก็เป็นคนฉลาด แต่วันนี้นางกลับเป็นอันใดไป

มู่ชิงเห่อจ้องฉู่หลิวเยว่ตาเขม็ง

“ไม่จำเป็น”

พูดจบก็หันหลังเดินจากไป

ฝีเท้าของเขาดูเหมือนจะเนิบๆ แต่กลับเป็นความเร็วที่เร็วมาก

จักรพรรดิจยาเหวินมองฉู่หลิวเยว่หนึ่งที

“เจ้าเด็กคนนี้! วันนี้ถือว่าเจ้ายังโชคดีอย่าให้เกิดขึ้นเป็นครั้งที่สองอีกล่ะ”

ฉู่หลิวเยว่ถึงกับโล่งใจไปที

ถึงแม้จะรู้ว่าจักรพรรดิจยาเหวินกังวลเพราะกลัวว่านางจะซวยไปด้วย แต่นางก็จดจำในสิ่งที่เขาช่วยเอาไว้อยู่เหมือนกัน

นางยิ้มหน้าบานทันที

“ขอบพระทัยฝ่าบาท”

จักรพรรดิจยาเหวินกระแอม ก่อนจะรีบตามมู่ชิงเห่อไป

แล้วเงาของคนทั้งขบวนที่อยู่ตรงหน้าก็หายไปอย่างรวดเร็ว

ผ่านไปสักพัก สนามแข่งขันที่เงียบสงัดถึงจะคึกคักขึ้นอีกครั้ง

ฉู่หลิวเยว่ได้ยินคำวิพากษ์วิจารย์นางไม่น้อย

“รองแม่ทัพมู่คนนั้น ไม่รู้ว่าเป็นคนเยี้ยงไรกันแน่…เมื่อครู่เขาว่าฉู่หลิวเยว่ขนาดนั้น หมายความว่าอย่างใดกันแน่?”

“ข้านึกว่านางจะชอบฉู่หลิวเยว่เสียอีก แต่ใบหน้านั้น…ดูจากตอนนี้แล้ว ฉู่หลิวเยว่ไปขัดใจท่านผู้นี้เข้าแล้ว!”

“ที่นี่คนเยอะขนาดนี้ เขากลับคุยกับฉู่หลิวเยว่แค่คนเดียว ข้าว่าไม่ธรรมดาแน่นอน…ดูแล้วชายคนนั้นท่าทางเหมือนนักฆ่าขนาดนั้น จะหวั่นไหวกับผู้หญิงได้อย่างใด? ข้าว่าต่อไปฉู่หลิวเยว่คง…แย่แน่นอน!”

เห็นได้ชัดว่าผู้คนส่วนมากไม่ได้คิดดีกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้สักเท่าไร

มู่หงอวี่วิ่งมาก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

“ฉู่เยว่! เมื่อครู่นี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

ฉู่หลิวเยว่พูดอย่างใจเย็น

“จะมีอันใดอีกล่ะ ก็แค่ถามชื่อของข้า มิหนำซ้ำยังดูเหมือนว่าจะไม่พอใจกับชื่อของข้าด้วย”

“เหตุใดเจ้าถึงได้ใจเย็นถึงเพียงนี้ นั่นคือ…”

มู่หงอวี่หรี่เสียงให้เบาลง

“นั่นเป็นคนของราชวงศ์เทียนลิ่งเลยนะ!”

ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าอย่างไม่สนใจ

“ข้ารู้”

เมื่อก่อนนางก็เคยเป็นคนของราชวงศ์เทียนลิ่ง และยังเป็นนายของชายผู้นี้อีกด้วย!

“เจ้า…เห้อ!”

มู่หงอวี่เห็นท่าทางที่ใจเย็นไม่รู้สึกรู้สาอะไรตั้งแต่ต้นจนจบของฉู่หลิวเยว่แล้ว ก็รู้สึกว่าตัวเองพูดไปก็คงไม่ได้อันใด

นางรู้หรือไม่ว่าถ้าทำให้คนคนนั้นไม่พอใจเข้า ชีวิตน้อยๆ ของนางก็สามารถตกอยู่ในอันตรายได้!

ไม่เห็นเลยรึไงว่าแม้แต่ฝ่าบาทก็ยังเคารพเขา!

นี่เป็นการเดือดร้อนแทนคนอื่นชัดๆ

“การแข่งขันจบลงแล้ว ถึงเวลาต้องกลับแล้วไปกัน”

ฉู่หลิวเยว่พูดพลางเดินไปข้างหน้าด้วยสีหน้าเฉยชา

มู่หงอวี่รีบเดินตามไป กำลังจะตั้งใจพูดขอร้องสักหน่อย แต่เห็นว่าท่าทางที่อ่อนล้าของฉู่หลิวเยว่ก็เอ็นดูนางและเก็บคำพูดกลืนลงคอไป

หลายวันที่ผ่านมาฉู่หลิวเยว่ทำการแข่งขันมาโดยตลอด และไม่ได้พักผ่อนดีๆ เลยสักนิด

ในเมื่อเรื่องราวก็เกิดขึ้นไปแล้ว ก็ปล่อยให้เป็นไปตามนั้นก็แล้วกัน!

เมื่อคิดแบบนี้แล้ว มู่หงอวี่ก็โล่งใจขึ้นมาก และเดินจากไปก่อนจะตามฉู่หลิวเยว่กลับไปพร้อมกัน

“นี่ หลิวเยว่ ข้าดูแล้วการแข่งขันที่ผ่านมาของเจ้า…”

กู้หมิงเฟิงและเฉินหู่ก็ตามมาด้วย

คนอื่นๆ กลับทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนทำให้คนอื่นๆ ไม่อยากจะพูดอะไรมาก

เมื่อคนเหล่านี้กลับไปแล้ว คนอื่นๆ ก็รู้สึกไม่สนุกแล้วจึงพากันแยกย้ายกลับไป

คนในสำนักไท่เหยี่ยนและสำนักหนานเฟิงก็เตรียมตัวกลับไปเช่นกัน

“ซิงเฉิน!”

มั่วชังเห็นซือถูซิงเฉินจ้องมองไปทางหนึ่งจึงพูดเสียงดังขึ้น ซือถูซิงเฉินถึงจะรู้สึกตัว

“เราต้องกลับกันแล้ว!”

มั่วชังเดินไปอยู่ข้างๆ นางก่อนจะมองตามสายตาของนางไป

“เจ้ากำลังมอง…รองแม่ทัพมู่คนนั้น?”

ซือถูซิงเฉินพยักหน้าและรู้สึกเสียดายเล็กน้อย

“ไม่คิดเลยว่าจะเจอคนแบบนี้ที่นี่…”

เมื่อเทียบแคว้นซิงหลัวกับแคว้นเย่าเฉินก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกันมาก แต่ทำไมถึงไม่มีโอกาสแบบนี้?

“ความแข็งแกร่งนั้น เป็นความแข็งแกร่งที่เราไม่อาจหยั่งรู้ได้…”

มั่วชังบ่นพึมพำ และเมื่อนึกย้อนถึงท่าทางของเฉิงหันเมื่อครู่นี้ก็รู้สึกกลัวเล็กน้อย

แน่นอนว่าความสามารถของคนคนนั้น…เป็นสิ่งที่ไม่สามารถคาดเดาได้จริงๆ

ซือถูซิงเฉินไม่พูดอะไร

ที่จริงแล้ว นอกจากการปรากฏตัวอย่างน่าเกรงขามของรองแม่ทัพมู่แล้ว สิ่งที่นางสนใจยิ่งกว่าก็คือ…

เหตุใดเขาจึงสบตากันกับฉู่หลิวเยว่?

ผู้คนในที่นี้มากมายถึงเพียงนี้ อีกอย่างฉู่หลิวเยว่ก็อยู่ไกลว่าด้วย แต่เหตุใดชายผู้นั้นถึงยืนยันจะเลือกฉู่หลิวเยว่?

ถ้าจะพูดถึงหน้าตา นางก็ไม่เห็นจะแย่กว่าฉู่หลิวเยว่ตรงไหน

อีกอย่างคำพูดที่เขาพูดนั้นหมายความว่าอย่างไรกันแน่?

ในสายตาของคนที่อยู่รอบๆ ก็รู้สึกว่า บางทีฉู่หลิวเยว่อาจจะถูกกล่าวหา และถูกลงโทษเพราะเหตุผลนั้นก็เป็นได้

แต่…นางก็ไม่ได้สัมผัสถึงความอยากฆ่าฉู่หลิวเยว่จากตัวเขาเลยสักนิด

นางรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ

มู่ชิงเห่อรู้สึกค้างคาใจมาตลอดทั้งทาง

ในความเป็นจริงแล้ว เขาก็ไม่ได้นึกถึงคนคนนั้นมานานมากแล้ว

ไม่รู้เหมือนกันว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น เมื่อเห็นแม่นางคนนั้นแล้วก็นึกย้อนถึงเรื่องราวต่างๆ มากมายขึ้นมา

เขาอยากจะโยนสมองของเขาทิ้งไป แต่กลับรู้สึกว่ายิ่งเป็นแบบนั้น ความทรงจำของเขาก็ยิ่งชัดเจนขึ้น และภาพเหตการณ์ต่างๆ ก็ผุดขึ้นมาในความทรงจำทันที

นางยิ้ม นางเศร้า นางประหม่า น่างเจ้าเล่ห์ นางช่างสง่างาม…

และยังมี…สีหน้าที่นางหมดหวังด้วย

สุดท้ายก็ไม่รู้อย่างใด ภาพในหัวก็วุ่นวายปะปนกันแล้วค่อยๆ หายไป และสุดท้ายก็เหลือเพียงดวงตาเปล่าคู่หนึ่งเท่านั้น

เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่ภาพกลับชัดเจนแจ่มแจ้งเหลือเกิน

เขานิ่งอึ้งไปทันที!

ใช่แล้ว!

ฉู่หลิวเยว่คนนั้น มีแววตาที่เหมือนนาง!

ส่วนตัว: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์

ส่วนตัว: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์

Status: Ongoing
กล่าวได้ว่าชีวิตของ ฉู่หลิวเยว่ นั้นช่างแสนอาภัพ แม้เป็นบุตรสาวคนโตของตระกูลฉู่แต่กลับเป็นผู้ที่มีชีพจรไร้สามารถ ไม่อาจฝึกพลังใดได้จึงทำให้ถูกคนรังแกมาตั้งแต่เล็ก แม้แต่องค์รัชายาทที่เป็นคู่หมั้นก็ยังไม่เคยมาดูแลและคิดแต่จะถอนหมั้นกับนาง ชีวิตของฉู่หลิวเยว่คงดำเนินต่อไปเช่นนั้น หากน้องสาวคนดีของนางไม่ส่งนักฆ่ามาเพื่อสังหารนางทำให้ดวงวิญญาณแค้นของ ซั่งกวนเยว่ ได้เข้ามาครอบครองร่างนี้แทน คนไร้ค่าอย่างนั้นรึ นางที่เป็นอดีตองค์หญิงลิขิตสวรรค์ผู้แตกฉานด้านการแพทย์และเป็นผู้มากพรสวรรค์แห่งแคว้นย่อมไม่อาจยอมรับคำสบประมาทนี้ได้จริงๆ! ในเมื่อพวกเขาล้วนดูถูกผู้อ่อนแอ นางก็จะแสดงให้เห็นว่าคนอ่อนแอผู้นี้แหละจะเหยียบพวกเขาให้จมดินได้อย่างไร! ควบคุมสัตว์เทพอสูร หลอมรวมพลัง เชี่ยวชาญด้านการแพทย์และยาพิษ เพื่อยื้อชีวิตเหล่ามนุษย์และทวยเทพ! นางขอสาบาน นางจะทำให้คนที่เคยทรยศเหยียดหยามนางพวกนั้นได้รับกรรมอย่างสาสมเป็นร้อยเท่าพันทวี! ตอนแรกทุกคนเตือนเขาว่า “ท่านหลีอ๋อง บุตรสาวที่ตระกูลฉู่ทอดทิ้งผู้นั้นไม่คู่ควรกับพระองค์!” ต่อมาทุกคนกลับเย้ยหยัน “องค์ชายผู้อ่อนแอ ไม่คู่ควรกับองค์หญิงลิขิตสวรรค์ผู้สูงส่ง!”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท