ตอนที่ 348 เปิดโลกทัศน์ [รีไรท์]
ฉู่หลิวเยว่เข้าไปได้เพียงชั่วโมงเศษ แต่กลับอ่านตำราได้ร้อยกว่าเล่มแล้ว!
แถมตำราที่ว่านั้นยังเป็นระดับซวนทั้งหมดด้วย!
“เจ้า เจ้าอยู่ที่นี่คอยดูนางไว้นะ ข้าจะไปตามผู้อาวุโสมั่วชัง!”
หนึ่งในนั้นพูดด้วยสีหน้าแตกตื่น พลันรีบวิ่งออกไป
ส่วนชายที่อยู่เฝ้าก็ตะโกนถามอย่างอดไม่ได้
“แล้วข้าต้องจดบันทึกต่อหรือไม่?”
รายชื่อตำราที่เขาจดไว้ตลอดหนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมานั้น แทบจะเท่ากับยอดรวมการยืมของสองวันที่ผ่านมาอยู่แล้ว!
ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่า แม้วันปกติทางหอสมุดจะเปิดให้ศิษย์ในสำนักเข้าไปค้นคว้าหาความรู้ แต่จำนวนคนที่เข้าไปต่อวันนั้นมีไม่มากนัก ยิ่งคนที่สนใจอ่านตำราศิลปะการต่อสู้ระดับซวนขั้นกลาง และระดับซวนขั้นสูงยิ่งมีน้อย
ทว่าตอนนี้ฉู่หลิวเยว่คนเดียว กลับอ่านตำราไปมากมายจนแทบหมดชั้นแล้ว!
ที่สำคัญกว่านั้นคือ หากผู้อาวุโสเห็นรายชื่อตำราเหล่านี้ เกรงว่าอีกฝ่ายคงโกรธเป็นฟื้นเป็นไฟยิ่งกว่าเดิม!
ชายที่วิ่งออกไปชะงักเท้าพลันตอบกลับอย่างหงุดหงิด
“ก็ต้องจดต่อไปสิ!”
หากฉู่หลิวเยว่ยังเปิดผนึกตำราต่อไป เกรงว่าไม่นานนางคงอ่านตำราไปแล้วกว่าครึ่งหอ
เรื่องแบบนี้ ไม่เพียงแต่จะต้องแจ้งผู้อาวุโสมั่วชังเท่านั้น แต่ต้องแจ้งเจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ให้ทราบโดยเร็วที่สุด!
พวกเขานั้นทำได้เพียงจดจำว่าฉู่หลิวเยว่อ่านตำราไปแล้วกี่เล่ม!
เขาจินตนาการได้เลยว่า เจ้าสำนักและคนอื่นๆ จะโกรธเพียงใด เมื่อพวกเขาได้ยินข่าวนี้!
สิ่งที่พวกเขาทำได้ในตอนนี้คือ ทำในสิ่งที่ผู้อาวุโสมั่วชังสั่งให้พวกเขาทำ และพยายามหลีกเลี่ยง ไม่ให้ตัวเองถูกลงโทษให้มากที่สุด!
แต่…ไม่ว่าอย่างไร สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้นั้น ดูเหมือนจะไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาหลีกเลี่ยงได้ง่ายๆ
เขาเหลือบมองหอสมุดที่ดูเงียบสงบอย่างสิ้นหวัง
ทว่าภายใต้ความสงบนั่น เกรงว่ากำลังจะเกิดพายุลูกใหญ่ขึ้นน่ะสิ!
เมื่อชายอีกคนวิ่งก้าวยาวๆ ออกไปแล้ว ชายที่ยืนเฝ้าอยู่ก็พึมพำกับตัวเองอีกสองสามประโยค พลันดึงสายตากลับมา ก่อนจะเห็นตัวอักษรปรากฏขึ้นบนแผ่นศิลาอีกครั้ง!
เขาไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องบันทึกลงในสมุดเล่มเล็กต่อไป และแอบบ่นในใจเงียบๆ คนเดียว
ตกลงฉู่หลิวเยว่เป็นมนุษย์ปกติเสมือนพวกเขาใช่หรือไม่
…
ผู้อาวุโสมั่วชังเพิ่งเสร็จงาน และกำลังจะนอนพักผ่อน แต่กลับได้ยินเสียงฝีเท้าข้างนอกพุ่งมาหาเขาอย่างรวดเร็ว
“ผู้อาวุโสมั่วชัง! ผู้อาวุโสมั่วชัง! ท่าไม่ดีแล้วขอรับ!”
เมื่อเขาได้ยินเสียงโหวกเหวก ก็พลันขมวดคิ้วแล้วสาวเท้าออกไปด้านนอกทันที
“เกิดเรื่องอันใด?”
คนที่เพิ่งมาถึงหอบหายใจแฮก
“ผู้อาวุโสมั่วชัง ฉู่ ฉู่หลิวเยว่ นาง…”
สีหน้าของเขาดูเป็นกังวล และไม่รู้จะอธิบายออกไปเช่นไร
ผู้อาวุโสมั่วชังหัวเราะเสียงเย็น
“ข้าว่าแล้ว! นางก่อเรื่องในหอสมุดใช่ไหม?”
ชายหนุ่มคนนั้นส่ายศีรษะเป็นพัลวัน
“ไม่ ไม่ใช่ขอรับ! คือว่า…คือว่า…”
“พูดออกมาเสียที! ตกลงแล้วเกิดเหตุใดขึ้น?”
ผู้อาวุโสมั่วชังใจร้อนเมื่อเห็นอีกฝ่ายเอาแต่อ้ำๆ อึ้งๆ ไม่ยอมบอก
“คือ…ข้าว่าท่านไปดูเอาเองเถิด!” ชายคนนั้นลังเลอยู่นาน แต่สุดท้ายก็ไม่กล้าพูดออกไปตรงๆ
พอเห็นท่าทีเช่นนั้นผู้อาวุโสมั่วชังก็เริ่มไม่สบายใจ ความรู้สึกกังวลแปลกๆ ปรากฏขึ้นในใจอีกครา
ตอนนี้ในหอสมุดมีเพียงนางคนเดียว หากเกิดเรื่องอันใด ย่อมต้องโทษว่าเป็นความผิดของนาง
ทว่า…สาเหตุที่นางมาที่นี่ หากไม่เพื่อศึกษาตำราแล้ว นางยังจะคิดจะทำอะไรอีก?
แต่เขาก็ตัดสินใจไปดูด้วยตัวเอง เขายกเท้าขึ้นแล้วก้าวออกไปอย่างรวดเร็ว
…
ทั้งสองเดินทางกลับมายังหอสมุดเร็วมาก
เมื่อผู้อาวุโสเงยหน้าขึ้นมองและเห็นว่าหอสมุดยังคงสงบดี จึงค่อยโล่งออกขึ้นมาบ้าง
“ตกลงเกิดเรื่องอันใดหรือ?”
ทุกอย่างยังสงบดีมิใช่รึ
จากนั้นชายที่ยืนอยู่ข้างหลังเขา ก็เอ่ยบอกว่า
“ผู้อาวุโสมั่วชัง ท่านดูตรงนั้นสิขอรับ…”
ผู้อาวุโสมั่วชังหันไปมอง พลันชะงักหน้าถอดสีในพริบตา!
บนแผ่นศิลาซึ่งเดิมทีเป็นแผ่นหินเรียบๆ ตอนนี้กลับมีดวงดาวนับไม่ถ้วนส่องสว่างทอเต็มไปหมด
ศิลาแผ่นนี้และหอสมุดมีการเชื่อมต่อกันของพลังปราณ
และสถานะของหนังสือทุกเล่มในหอสมุดจะเชื่อมต่อกับแผ่นศิลา
เมื่อใดที่มีการเปิดผนึกหนังสือ ระบบเตือนความจำจะปรากฏขึ้นบนแผ่นศิลา ดั่งจุดดาวที่เห็นอยู่ตอนนี้
และด้วยวิธีนี้ เขาจึงรู้แล้วแน่ชัดว่าเกิดะไรขึ้นด้านในนั้น
แต่ผู้อาวุโสมั่วชังไม่เคยเห็นกลุ่มดาวที่เรียงรายกันมหาศาลบนแผ่นศิลาภายในเวลาอันสั้นเช่นนี้! แทบจะกลายเป็นระบบสุริยะได้แล้วกระมั้ง!
“แผ่นศิลานี่พังหรือเปล่า?”
เขารีบระงับการคาดเดาที่ไร้สาระ และถามอย่างกังวล
แต่คำตอบที่ได้รับจากสองคนนี้ ทำเอาหัวใจเขาหล่อนไปอยู่ตาตุ่มเลยทีเดียว
“ผู้อาวุโสมั่วชัง นี่คือบันทึกการเปิดผนึกตำรา หลังจากที่ฉู่หลิวเยว่เข้าไปขอรับ…”
คนที่จดบันทึกอยู่ตลอดพูดอย่างขมขื่น และยื่นสมุดเล่มเล็กให้
ผู้อาวุโสมั่วชังมองดู ก่อนจะพบว่าสมุดเล่มเล็กถูกเขียนไปแล้วกว่าครึ่งเล่ม
เปลือกตาเขากระตุกถี่ยิบ! พลันคว้าสมุดเล่มเล็กนั่นมาเปิดอ่านซ้ำหลายครั้งอย่างเหลืออด
เขากวาดตาอ่านทีละหน้า ทีละบรรทัด อย่างละเอียดครบถ้วน!
จนถึงหน้าสุดท้ายที่หมึกสีดำยังไม่แห้งดีด้วยซ้ำ!
เขาขมุบขมิบริมฝีปากไม่หยุด ทว่าไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาก แต่มือที่ถือสมุดไว้กลับสั่นระรัว
“ผู้อาวุโสมั่วชัง ตั้งแต่ท่านกลับไป ฉู่หลิวเยว่ก็ได้เปิดผนึกตำราอ่านอย่างรวดเร็ว ข้าไม่รู้ว่านางทำอย่างไร แต่ชื่อตำราเหล่านั้นปรากฏขึ้นบนแผ่นศิลาไม่หยุดไม่หย่อน นี่ นี่มันนานกว่าหนึ่งชั่วโมงแล้วนะท่าน…เดี๋ยว เดี๋ยวก่อน! ผู้อาวุโสมั่วชัง นางเปิดตำราเล่มอื่นอีกแล้ว!”
ชายคนนั้นพยายามอธิบายอย่างระมัดระวัง ทว่าพอเห็นตัวอักษรปรากฏบนแผ่นศิลาอีกครั้ง ก็โพล่งออกมาอย่างร้อนรน
ผู้อาวุโสมั่วชังกัดฟังแล้วหันไปมองอย่างจำยอม พลันรู้สึกว่าแสงบนแผ่นศิลานั้นเจิดจ้ากว่าปกติ!
ไอ้หยา!
ทันใดนั้น เขาก็โยนสมุดเล่มเล็กคืนให้ชายคนนั้นอย่างแรง จนกระแทกแผ่นอกอีกฝ่ายเต็มๆ พลางตวาดลั่นด้วยความโมโห
“จดต่อไป! ข้าจะคอยดูว่าแม่นางฉู่หลิวเยว่นี่ จะอ่านได้สูงสุดกี่เล่มกันเชียว!”
ชายคนนั้นรีบเปิดสมุดอีกครั้งและจดบันทึกด้วยมือที่สั่นเทา
ผู้อาวุโสมั่วชังจ้องมองหอสมุดด้วยสายตาอาฆาต ราวกับว่าสายตาของเขาสามารถทะลุผ่านกำแพงเข้าไปหั่นฉู่หลิวเยว่ออกเป็นชิ้นๆ ได้อย่างนั้นแหละ!
ไม่ถูกต้อง!
นี่มันไม่ถูกต้องอย่างแรง!
นอกจากชั้นหนึ่งแล้ว หนังสือที่อยู่ชั้นอื่นล้วนมีผนึกเวทย์
เพียงเล่มสองเล่มนางอาจจะเปิดผนึกได้ แต่จะเปิดอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ได้อย่างไร
นางจะไม่หมดแรงเลยรึ
นอกจากนี้ แม้นางจะเปิดมันได้อย่างง่ายดาย แต่นางจะอ่านหนังสือมากมายภายในเวลาสั้นๆ เช่นนี้ได้อย่างไร
“ผู้อาวุโสมั่วชัง ท่านอย่างเพิ่งกังวลไปเลย ที่นางอ่านได้เร็ว นั่นเพราะนางเลือกแต่สิ่งที่นางชอบ ส่วนเล่มก่อนหน้านั้นก็แค่เปิดผ่านๆ แล้วโยนทิ้ง ดูๆ แล้วอาจดูจองหอง แต่จริงๆ แล้วนางอาจไม่ได้ความรู้อะไรเลยก็ได้นะขอรับ”
เมื่อผู้อาวุโสมั่วชังได้ยินเช่นนั้น ก็พลันอารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อย
อันที่จริงเขาเองก็คิดเช่นนั้น
เพราะนี่คือคำอธิบายที่สมเหตุสมผลที่สุดแล้วในตอนนี้
“เหอะ! โลภมากลาภหายแน่”
เขาพูดด้วยความเกลียดชัง
“ท่านพูดถูก ฉู่หลิวเยว่ยังเป็นเพียงเด็กเท่านั้น นางเพิ่งได้รับรางวัลที่หนึ่งในงานสมาคมเยาวชนมา จึงหยิ่งผยองในตนเองอย่างมาก การที่นางทำเช่นนี้ย่อมไม่เกิดผลดีต่อตัวเอง เพราะสุดท้ายแล้ว นางจะไม่ได้อะไรเลยสักอย่าง!”
ทว่าสิ้นเสียง จู่ๆ ก็มีดาวทอประกายเจิดจ้าจนแสบตา โผล่ขึ้นมาบนแผ่นศิลา!
ผู้อาวุโสมั่วชังหันขวับมองด้วยความตกใจ พลันระเบิดเสียงดังลั่น
“นี่นางเจอตำราระดับใดกัน”
