ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ – ตอนที่ 684 ออกเดินทาง

ยอดหญิงลิขิตสวรรค์

ตอนที่ 684 ออกเดินทาง

หลังจากครุ่นคิดนาน ฉู่หลิวเยว่ก็ยังไม่สามารถหาคำตอบได้ สุดท้ายจึงต้องหยุดคิดเรื่องนี้เอาไว้ก่อนชั่วคราว

จากนั้นก็เก็บใบโพธิ์สีทองม่วงอย่างระมัดระวังแล้ว นางก็เข้าสู่การบำเพ็ญเพียรอีกครั้ง

เวลาสองวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว

เช้ารุ่งขึ้นวันที่สาม ฉู่หลิวเยว่เพิ่งโคจรพลังเสร็จ ก็ได้ยินเสียงเย่หรานหร่านดังขึ้นจากด้านนอก

“หลิวเยว่ ได้เวลาออกเดินทางแล้ว!”

ฉู่หลิวเยว่ลืมตาขึ้น แววตากระจ่างใส เหมือนมีประกายแสงพาดผ่านดวงตาของนาง

หลังจากที่นางทะลวงอวัยวะทั้งห้าได้แล้ว ความเร็วในการบำเพ็ญเพียรของนางก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้กระทั่งพลังดั้งเดิมที่อยู่ในร่างกายก็ยังบริสุทธิ์กว่าเดิมมาก

นางกำหมัดกรอด เพื่อขยับกล้ามเนื้อและกระดูก จากนั้นนางก็ยังได้ยินเสียงกระดูกลั่นเบาๆ

ความรู้สึกพลังเต็มเปี่ยมที่หายไปนาน ทำให้ตอนนี้ฉู่หลิวเยว่รู้สึกสดชื่นอย่างมาก

นางเดินออกไปเปิดประตู

เย่หรานหร่านกับเชียงหว่านโจวกำลังรอนางอยู่แล้ว

“ไปกันเถิด!”

หลังจากพวกเขาลงจากเขามาแล้ว ก็รีบเดินทางไปที่จัตุรัสผิงเหลียง

พวกเขาต้องเริ่มเดินทางจากที่นั่นเพื่อไปแดนภังคะ

ซีหลิงเป็นเมืองที่คึกคักอยู่เสมอ แต่วันนี้บรรยากาศกลับดูเคร่งเครียดมากขึ้น บนถนนหนทางมีผู้คนเดินน้อยลง

จนกระทั่งพวกเขาไปถึงที่จัตุรัสผิงเหลียง ถึงได้รู้ว่าที่นี่มีคนน้อยกว่าอีก

เพราะว่าทหารม้าทมิฬได้ประกาศกฎอัยการศึกไว้ก่อนแล้ว

ดังนั้นค่ายกลเคลื่อนย้ายจำนวนมากจึงถูกปิดการใช้งานชั่วคราว มีเพียงค่ายกลตรงกลางเท่านั้นที่เปิดใช้งานอยู่

ด้านข้างค่ายกลเคลื่อนย้ายคือทหารม้าทมิฬจำนวนหนึ่งพันนายที่พร้อมออกเดินทาง

ด้านหน้าของกองทัพทหารม้าทมิฬ มีชายคนหนึ่งสวมชุดเกราะสีดำ แผ่นหลังเหยียดตรง ปราณกระหายเลือดแผ่กระจายออกจากมาทั่วทั้งร่างกายของเขา!

คนผู้นั้นคือมู่ชิงเห่อ!

แม้ว่าเขาจะเป็นนายพล แต่ส่วนใหญ่ที่เขาอยู่ในเมืองซีหลิง ดังนั้นแล้วเขามักจะสวมชุดลำลอง

แต่ตอนนี้เขาสวมชุดเกราะสีทะมึน รัศมีโหดเหี้ยมที่เคยอยู่ในสมรภูมิรบพร้อมฆ่าคนตายเรือนแสนคนก็ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง!

จึงทำให้คนที่มองรู้สึกหวาดกลัวอย่างมาก!

เย่หรานหร่านพูดด้วยเสียงเบาว่า

“วันนี้รองแม่ทัพมู่ดูไม่ค่อยเหมือนเดิมเลยนะ…สมแล้วที่เป็นรองแม่ทัพทหารม้าทมิฬ!”

ภายในระยะเวลาสั้นๆ ประมาณสิบปี เขาสามารถไต่เต้าจนขึ้นมาสู่ตำแหน่งนี้ได้นั้น นับว่ามีฝีมือจริงๆ

ฉู่หลิวเยว่หันไปมองทางนั้น จากนั้นก็เบนสายตากลับมา สายตาของนางดูสงบราบเรียบอย่างมาก

ตอนนี้มู่ชิงเห่อเป็นอย่างใดล้วนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนางทั้งนั้น

เย่หรานหร่านเหลือบสายตามองหน้านางเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นท่าทีที่สงบนิ่งของนางจึงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

“หลิวเยว่ เจ้ากับรองแม่ทัพมู่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันไม่ใช่หรือ? พวกเราควรเข้าไปทักทายเขาหรือไม่?”

ฉู่หลิวเยว่ส่งยิ้มเล็กน้อย

“อีกเดี๋ยวองค์หญิงสามก็จะมาแล้ว ในเวลาเช่นนี้คงไม่ค่อยเหมาะสมละมั้ง?”

เย่หรานหร่านเห็นด้วย

แล้วด้านหลังของเขายังมีทหารกว่าอีกพันนาย!

“เช่นนั้นพวกเราไปรอที่ด้านข้างดีหรือไม่? ข้าเห็นว่าสำนักอื่นก็มาถึงกันแล้ว!”

ฉู่หลิวเยว่พยักหน้า

ทั้งสามคนจึงเดินไปด้านข้าง

มู่ชิงเห่อลืมตาขึ้นมาเล็กน้อย บังเอิญเห็นว่าฉู่หลิวเยว่และพวกไม่กี่คนกำลังเดินเข้ามาพอดี

คนรอบข้างจำนวนไม่น้อยล้วนมองไปที่นาง

สงสัย เลื่อมใส ชื่นชม ริษยา อิจฉา…

ทุกสายตาจับจ้องอยู่ที่ตัวของนาง

เมื่อเทียบกับครั้งสุดท้ายที่ได้เจอกัน เหมือนว่าฉู่หลิวเยว่จะมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย

เหมือนว่า…จะน่าดึงดูดมากกว่าครั้งที่แล้ว

เป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย

สรุปง่ายๆ ว่า นางเหมือนหินหยาบๆ ที่ค่อยๆ ผ่านการเจียระไน และค่อยๆ ส่องประกายแสงจากตนเอง

หรือบางทีนางอาจจะเป็นไข่มุกที่เปื้อนฝุ่นเม็ดหนึ่ง ในที่สุดตอนนี้ก็สามารถขจัดฝุ่นเหล่านั้นออกได้แล้ว พร้อมเปล่งประกายความงดงามออกมา

ช่างต่างจากหญิงสาวท่าทางขัดเขินและรอบคอบที่เขาพบที่เมืองเย่าเฉินเมื่อหลายเดือนก่อนมาก มันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ในช่วงเวลาสั้นๆ แค่นี้ แต่ฉู่หลิวเยว่กลับกลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงที่สุดของเมืองซีหลิงไปแล้ว

แม้ว่าเขาจะเป็นคนหานางมา แต่ความจริงแล้วเรื่องราวหลังจากที่นางมาซีหลิงนั้นล้วนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาเลย

โดยเฉพาะหลังจากที่นางย้ายออกจากจวนตระกูลมู่ ทั้งสองฝ่ายก็ไม่ค่อยได้ติดต่อกันเลย

เมื่อมาเจอกันอีกครั้งในที่นี่ เขากลับมีความรู้สึกทอดถอนหายใจอย่างไม่สามารถอธิบายได้

แต่เขาเพียงแค่เหลือบสายตามอง จากนั้นก็รีบถอนสายตากลับมาอย่างรวดเร็ว

มีหลายสำนักมาถึงก่อนหน้าพวกเขาแล้ว

ฉู่หลิวเยว่เหลือบสายตาไปมอง ก็เห็นว่ามีคนคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่หลายคน

เมื่อเห็นพวกเขาทั้งสามคน เสียงทักทายที่เคยพูดคุยกันเมื่อครู่นี้ก็เงียบลงทันที

พวกเขารู้เรื่องที่สำนักชงซูเก๋อจะส่งคนมาแค่สามคนตั้งนานแล้ว

ดังนั้นสำนักอื่นๆ จึงมีรายชื่อพิเศษเพิ่มขึ้นมาอีกสำนักละคน

และพวกเขากำลังคาดเดาว่าสำนักชงซูเก๋อจะส่งใครออกมาบ้าง

แต่เมื่อเห็นพวกเขาทั้งสามคน พวกเขาจึงรู้สึกตกใจอยู่ไม่น้อยเลย

ทั้งสามคนนี้…ล้วนเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดีที่สุดของสำนักชงซูเก๋อในตอนนี้!

ไม่ต้องพูดถึงฉู่หลิวเยว่และเชียงหว่านโจว แต่ในงานประชุมสำนักเย่หรานหร่านก็ได้แสดงพรสวรรค์เหนือธรรมดาออกมาด้วย

ไม่ว่าอย่างใดแดนภังคะก็ถือเป็นสถานที่ที่อันตราย คาดไม่ถึงว่าสำนักชงซูเก๋อจะปล่อยศิษย์ดีเด่นทั้งสามคนออกมาในคราวเดียวเช่นนี้?

พวกเขาเองไม่กลัวว่าจะเป็นอันใดไปเลยหรือ?

มีสายตาหลากหลายความหมายจ้องมองมายังพวกเขา ฉู่หลิวเยว่ทำเป็นไม่สนใจ เชียงหว่านโจวนั้นไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย

ส่วนเย่หรานหร่าน…ไม่ว่าอย่างใดนางก็ต้องติดตามฉู่หลิวเยว่และเชียงหว่านโจวอยู่แล้ว มีอันใดให้น่ากลัวกัน?

ดังนั้นพวกเขาทั้งสามจึงหาที่ยืนด้านข้างอย่างสงบ

หลังจากนั้นก็มีคนเข้ามาทักทายพวกเขาเล็กน้อย ฉู่หลิวเยว่และคนอื่นๆ จึงตอบกลับอย่างเหมาะสม

“ดูเหมือนว่าครั้งนี้สำนักชงซูเก๋อจะเชื่อมั่นในตัวของพวกเจ้าจริงๆ เลยนะ คาดไม่ถึงว่าจะให้พวกเจ้ามาพร้อมกัน?”

เสียงที่ค่อนข้างแหลมดังขึ้น

ฉู่หลิวเยว่เงยหน้าขึ้นมองอย่างเกียจคร้าน

หนิงเจียวเจียว

ฉู่หลิวเยว่ยิ้มขึ้น จากนั้นก็พูดอย่างช้าๆ

“หรือว่าคุณหนูใหญ่จะเป็นห่วงว่าพวกข้าจะได้รับอันตราย? มีคนมากมายขนาดนี้ ข้าว่าคงไม่เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรอก เจ้าคิดเช่นนั้นหรือไม่?”

หนิงเจียวเจียวแค่นหัวเราะเบาๆ

“ไม่กลัวหนึ่งหมื่น กลัวหนึ่งในหมื่น! ข้าเองก็พูดไปเรื่อย ไม่ได้มีความหมายอื่น!”

เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ ท่าทางที่นางปฏิบัติต่อฉู่หลิวเยว่ก็เปลี่ยนไปไม่น้อยเลยทีเดียว

ท้ายที่สุดแล้วโลกนี้ผู้ที่แข็งแกร่งเป็นใหญ่

ก่อนหน้านี้ฉู่หลิวเยว่เป็นที่หนึ่งในงานหมื่นทูร ส่วนในงานประชุมสำนักนางก็ชนะรวด

ตอนนั้นหนิงเจียวเจียวก็ยังอยู่ในงานแข่งขันด้วย

ต่อให้ในใจของนางเต็มไปด้วยความไม่ยินยอม แต่ก็ต้องยอมรับว่านางไม่สามารถดูเบาความสามารถของฉู่หลิวเยว่ได้เลย

ก่อนออกเดินทางครั้งนี้ ท่านพ่อของนาง หนิงปิงไห่ ได้กำชับกับนางว่า ห้ามก่อเรื่องเด็ดขาด

ก่อนหน้านี้หนิงเจียวเจียวเคยเสียเปรียบมาก่อน ตอนนี้นางจึงไม่กล้าทะนงตนมากเกินไป

และแน่นอน ไม่มีใครรู้ว่านางกำลังคิดอันใดอยู่ในใจ

ฉู่หลิวเยว่รู้ว่านางถอนตัวออกยากจึงไม่ได้ใส่ใจอันใดมาก มุมปากกระตุกขึ้นแต่ก็ไม่ได้พูดอันใด

หนิงเจียวเจียวจึงลอบถอนหายใจออกมา

ทันใดนั้นแววตาของนางก็มีความสงสัย แล้วถามขึ้นอย่างยากจะควบคุม

“เจ้าเลื่อนขั้นเป็นจอมยุทธระดับห้าแล้วหรือ?”

ฉู่หลิวเยว่เหลือบสายตามองนางเล็กน้อย

เรื่องนี้มันก็เห็นๆ กันอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?

หนิงเจียวเจียวก็รู้สึกตัวแล้วว่าตนเองเสียกริยาแล้ว นางกัดริมฝีปากแล้วเบนสายตาออกมา

แต่ในใจของนางกลับรู้สึกตกใจอย่างมาก

ฉู่หลิวเยว่เพิ่งมาถึงที่ซีหลิงได้ไม่นาน คาดไม่ถึงว่าจะเลื่อนขั้นจากจอมยุทธระดับสามเป็นระดับห้าแล้ว?

เช่นนั้นฝีมือของนางก็จะแข็งแกร่งขึ้นใช่หรือไม่?

ไม่เพียงแต่หนิงเจียวเจียวที่ตกใจ ทุกคนที่ยืนอยู่ด้านข้างล้วนตกใจกันทั้งนั้น

“จอมยุทธระดับห้า มีอันใดให้น่าภูมิใจกัน?”

น้ำเสียงเย็นชาแฝงด้วยความประชดประชันดังขึ้นจากด้านหลังของเขา

ส่วนตัว: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์

ส่วนตัว: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์

Status: Ongoing
กล่าวได้ว่าชีวิตของ ฉู่หลิวเยว่ นั้นช่างแสนอาภัพ แม้เป็นบุตรสาวคนโตของตระกูลฉู่แต่กลับเป็นผู้ที่มีชีพจรไร้สามารถ ไม่อาจฝึกพลังใดได้จึงทำให้ถูกคนรังแกมาตั้งแต่เล็ก แม้แต่องค์รัชายาทที่เป็นคู่หมั้นก็ยังไม่เคยมาดูแลและคิดแต่จะถอนหมั้นกับนาง ชีวิตของฉู่หลิวเยว่คงดำเนินต่อไปเช่นนั้น หากน้องสาวคนดีของนางไม่ส่งนักฆ่ามาเพื่อสังหารนางทำให้ดวงวิญญาณแค้นของ ซั่งกวนเยว่ ได้เข้ามาครอบครองร่างนี้แทน คนไร้ค่าอย่างนั้นรึ นางที่เป็นอดีตองค์หญิงลิขิตสวรรค์ผู้แตกฉานด้านการแพทย์และเป็นผู้มากพรสวรรค์แห่งแคว้นย่อมไม่อาจยอมรับคำสบประมาทนี้ได้จริงๆ! ในเมื่อพวกเขาล้วนดูถูกผู้อ่อนแอ นางก็จะแสดงให้เห็นว่าคนอ่อนแอผู้นี้แหละจะเหยียบพวกเขาให้จมดินได้อย่างไร! ควบคุมสัตว์เทพอสูร หลอมรวมพลัง เชี่ยวชาญด้านการแพทย์และยาพิษ เพื่อยื้อชีวิตเหล่ามนุษย์และทวยเทพ! นางขอสาบาน นางจะทำให้คนที่เคยทรยศเหยียดหยามนางพวกนั้นได้รับกรรมอย่างสาสมเป็นร้อยเท่าพันทวี! ตอนแรกทุกคนเตือนเขาว่า “ท่านหลีอ๋อง บุตรสาวที่ตระกูลฉู่ทอดทิ้งผู้นั้นไม่คู่ควรกับพระองค์!” ต่อมาทุกคนกลับเย้ยหยัน “องค์ชายผู้อ่อนแอ ไม่คู่ควรกับองค์หญิงลิขิตสวรรค์ผู้สูงส่ง!”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท