ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ – ตอนที่ 777 รอยแผลเป็น

ยอดหญิงลิขิตสวรรค์

ตอนที่ 777 รอยแผลเป็น

เมื่อจู้หงเห็นว่าเขารีบร้อนเช่นนี้ จึงรีบพูดว่า

“นายน้อย เจ้าอย่าได้เป็นกังวลไปเลย เรื่องของคนในสำนักชงซูเก๋อยิ่งพูดยิ่งยาว”

เมื่อเห็นปฏิกิริยาของจู้หงเช่นนี้แล้ว เจี่ยนเฟิงฉือก็ใจเย็นลงเล็กน้อย

เรื่องราวต่างๆ มันอาจไม่เหมือนที่ผู้คนเหล่านั้นเล่าลือกันก็ได้

จู้หงหายใจเข้าลึกๆ

“นายน้อย พวกเรากลับกันก่อนเถอะ แล้วค่อยว่ากันใหม่ ข้าไม่ค่อยสะดวกพูดที่นี่สักเท่าไร”

ระหว่างทางบนถนน อันใดที่พูดกล่าวออกไปอาจถูกผู้คนที่ได้ยินนำไปวิพากษ์วิจารณ์ตีไข่ใส่ความจนเป็นเรื่องราวใหญ่โตได้

แม้ว่าภายในใจของเจี่ยนเฟิงฉือจะร้อนรนเพียงใด แต่เขาก็ทำได้เพียงต้องอดทนระงับอารมณ์เหล่านี้ไว้ให้ได้

หลังจากนั้น สายตาของเขาก็กวาดมองไปที่ผู้คนมากมาย และคิ้วของเขาก็ขมวดกันเล็กน้อย

“มู่หงอวี่ล่ะ?”

จู้หงเม้มปากของเขากลั้นใจพูดออกมาว่า

“นางอยู่กับกลุ่มคนของสำนักชงซูเก๋อ”

หัวใจของเจี่ยนเฟิงฉือจมดิ่งลงในทันใด!

“นายน้อยอย่าได้กังวลไปเลย ตอนนี้พวกเขายังสบายดี”

เมื่อจู้หงเห็นว่าสีหน้าท่าทางของเขาดูแปลกๆ ไป จึงรีบอธิบายเพิ่มเติม

เจี่ยนเฟิงฉือกลับยิ่งสงสัยและตงิดใจมากขึ้น

ฉู่หลิวเยว่และมู่หงอวี่ไม่ได้ตามกลับมาพร้อมกับกองทัพหลัก แต่จู้หงกลับบอกว่าพวกเขายังสบายดี

มันเกิดอันใดขึ้นในนั้นกันแน่?

เกิดคำถามมากมายในใจ แต่เจี่ยนเฟิงฉือเก็บมันไว้และกวาดตามองเพื่อสังเกตไปที่พวกเขาอีกรอบ

ผู้คนเหล่านี้ต่างได้รับบาดเจ็บในระดับที่แตกต่างกันออกไป จู้หงยังไม่เป็นอันใด ส่วนคนอื่นๆ แทบจะยืนไม่ไหว

“กลับไปภูเขาเขี้ยวมังกรก่อน”

ณ ภูเขาเขี้ยวมังกร

ผู้คนที่บาดเจ็บสาหัสเมื่อเดินทางกลับมา ก็ถูกส่งตัวไปรักษาพักฟื้นร่างกายทันที

เหลือเพียงแค่จู้หง ที่ร่างกายไม่ได้เป็นอันใดมาก อีกทั้งเขายังเป็นหัวหน้าหน่วยด้วย แน่นอนว่าเขาต้องรอดชีวิตมาได้อยู่แล้ว

หลังจากที่พวกเขากลับมาถึงภูเขา เมื่อเจี่ยนชูเย่ได้ยินข่าวคราวก็รีบมาหาทันที

จู้หงอธิบายต้นตอปัญหาของเรื่องนี้ให้กับสองพ่อลูกเจี่ยนชูเย่และเจี่ยนเฟิงฉือฟังอย่างละเอียด

“…โชคดีที่คราวนี้มีพวกคุณหนูฉู่คอยช่วยเหลือ พวกเราถึงกลับมาได้อย่างปลอดภัย มิฉะนั้น…ข้าไม่อยากจะคิดเลยว่าผลมันจะเป็นเช่นไร!”

หลังจากพูดจบ ทั่วทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบสงัด

ท่าทางของสองพ่อลูกนั้นช่างเคร่งขรึมและจริงจังยิ่งนัก

จากนั้นไม่นาน เจี่ยนชูเย่ก็ได้กล่าวว่า

“เช่นนั้นตอนนี้ ฉู่หลิวเยว่ได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย อีกทั้งผู้คนที่หลงเหลือนั้น ยังคงอยู่ในป่าหมอกมายาเพื่อตามหานางสินะ?”

จู้หงพยักหน้าเบาๆ

“เดิมทีพวกข้าก็อยากจะอยู่ช่วย หากแต่เมื่อพิจารณาแล้วว่าคนของพวกเราต่างได้รับบาดเจ็บกันหมด ต่อให้อยู่ต่อ ก็อาจช่วยอันใดได้ไม่มากนัก อีกทั้งอาจจะฉุดลากทุกคนให้ต้องเดือดร้อน เช่นนั้นพวกข้าก็เลือกที่จะกลับมาพร้อมกับกองทัพใหญ่”

เจี่ยนชูเย่ถอนหายใจยาว

“ไม่เลว! ที่พวกเจ้าทำเช่นนี้ มันเป็นสิ่งที่ควรทำแล้ว ”

ในสถานที่เช่นแดนภังคะนั้น เว้นเสียแต่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งระดับสูงสุด ถึงจะอยู่รอดได้ มิฉะนั้นผู้ที่อ่อนแออาจกลายเป็นการสร้างปัญหาให้กับผู้อื่นได้เช่นกัน

นับประสาอันใดกับบาดแผลเหล่านี้ล่ะ?

และจู่ๆ เจี่ยนเฟิงฉือก็โพล่งขึ้นมา

“เจ้าหมายความว่า มู่หงอวี่ได้ต่อสู้ไปกับพวกฉู่หลิวเยว่และคนอื่นๆ ตั้งแต่เริ่มแรกเลยหรือ?”

“ขอรับ ในตอนนั้นคนของพวกเขาจำนวนหนึ่งเดินทางไปยังส่วนลึกของป่าก่อน ดังนั้นพวกเขาจึงเลี่ยงเหตุที่เกิดขึ้นในครั้งนั้นได้พอดี ด้วยเหตุนี้ เมื่อพวกเราได้พบกันอีกครั้ง พวกเขาจึงไม่ได้รับบาดเจ็บเลยสักคน”

เจี่ยนเฟิงฉือรู้สึกสับสนในใจ

มู่หงอวี่และฉู่หลิวเยว่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน และเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะต่อสู้ร่วมกัน

เพียงแต่ไม่รู้ว่าสถานการณ์ในตอนนี้นั้นจะเป็นเช่นไร…

“ท่านเจ้าสำนัก นายน้อย โปรดวางใจเถิด ยังมีฉินอีและพี่เหลยสี่อยู่ข้างๆ พวกมู่หงอวี่อยู่ ฉะนั้นพวกเขาน่าจะไม่เป็นอันใดแล้วล่ะ”

จริงๆ แล้ว ในใจของจู้หงยังคงกังวล แต่ตอนนี้เขาทำได้แต่ฝากความหวังไว้กับพวกฉินอี

แต่สำหรับฉู่หลิวเยว่…เขากลับไม่กล้าจะพูดถึงมันอีก

นางอาจจะมีโอกาสรอด แต่มันช่างริบหรี่เหลือเกิน

เจี่ยนชูเย่ถามในทันใด

“ฉินอีและพี่เหลยสี่ที่เจ้าพูดถึง…พวกเขาเป็นใครกันแน่? พวกเขาอยู่ในป่าหมอกมายามาตลอด เพื่อปกปักษ์รักษาพิทักษ์อสูรศักดิ์สิทธิ์ตัวนั้นหรือ?”

จู้หงจึงอธิบาย

“พวกเขาสองคนทรงพลังยิ่งนัก หากเทียบกับคนในราชวงศ์เทียนลิ่งทั้งหมด แน่นอนว่าพวกเขาถือว่าเป็นอันดับต้นๆ ในการจัดลำดับผู้ที่แข็งแกร่ง ทว่าข้าเองก็ไม่รู้จักสองคนนี้ แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะอยู่ในป่าหมอกมายามาเป็นเวลานานแล้ว สำหรับอสูรศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเขาปกป้อง พูดให้ถูกก็คือ…ไก่ฟ้าเก้าสี ต่อมามันก็ทะลวงได้สำเร็จ และในที่สุดก็กลายเป็นกษายะหางวายุ”

“ไก่ฟ้าเก้าสี?”

สองพ่อลูกต่างเปล่งเสียงออกมาด้วยความตกใจ

นั่นไม่ใช่สัตว์อสูรที่เคยทำพันธสัญญากับองค์หญิงใหญ่หรอกหรือ?

หากเป็นสัตว์อสูรระดับเก้าตัวอื่นๆ พวกเขาคงไม่มีปฏิกิริยาเช่นนี้แน่นอน

แต่อย่างใดก็ตาม มันคือไก่ฟ้าเก้าสี!

ไม่มีใครเปิดปากพูดอันใดออกมาชั่วขณะหนึ่ง

จากนั้นไม่นาน เจี่ยนเฟิงฉือก็พูดพึมพำว่า

“ช่างบังเอิญยิ่งนัก…ที่แท้ก็เป็นหลิวเยว่ที่ทำพันธสัญญากับไก่ฟ้าเก้าสีตัวนั้น…ไม่สิ มันคือกษายะหางวายุ”

ความจริงแล้ว เดิมทีฉู่หลิวเยว่เติบโตมาค่อนข้างคล้ายกับองค์หญิงใหญ่ กระทั่งตอนนี้ ก็ยังได้ทำพันธสัญญากับสัตว์อสูรตนนี้ ซึ่งนั่นยิ่งทำให้ผู้คนต่างจินตนาการไปต่างๆ นาๆ

น่าเสียดายที่ตอนนี้นางหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย และก็ไม่รู้ว่ายังจะหานางเจอหรือไม่

หากว่าท้ายที่สุดแล้วนางสามารถกลับมาได้ นางจะต้องประสบพบเจอกับการกลั่นแกล้งของซั่งกวนหว่านอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่นอน

เมื่อนึกถึงซั่งกวนหว่าน เจี่ยนเฟิงฉือก็รู้สึกตื่นตัวขึ้นมา

“จริงสิ ซั่ง…องค์หญิงสามเป็นเช่นไรบ้าง?”

จู้หงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ราวกับว่าเขาไม่เข้าใจในสิ่งที่เจี่ยนเฟิงฉือถาม

เจี่ยนเฟิงฉือเปลี่ยนวิธีการพูด

“บนร่างกายหรือใบหน้าของนาง…มีอันใดที่ผิดปกติหรือเปล่า”

จู้หงส่ายหัว

“เรื่องนี่…ข้าไม่รู้แล้ว”

คนที่ยืนอยู่ใกล้ซั่งกวนหว่านในเวลานั้น น่าจะเป็นเจียงอวี่เฉิงและมู่ชิงเห่อ

อีกทั้ง ตอนนั้นนางรีบอำพรางตัวเองอย่างแน่นหนา จึงมีน้อยคนนักที่ได้เห็นนางบาดเจ็บ

ส่วนพวกจู้หงก็พุ่งเอาแต่ความสนใจไปที่ฉู่หลิวเยว่และมู่หงอวี่ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่รู้อันใดเลย

“ก๊อกๆ”

เสียงเคาะประตูดังขึ้นมา

“ท่านเจ้าสำนัก องค์หญิงสามเรียกผู้คนจากเหล่าบรรดาเจ้าสำนักใหญ่และผู้นำตระกูลต่างๆ มารวมกันที่วังเพื่อหารือเรื่องสำคัญ คนในวังรออยู่ข้างนอกแล้ว”

เจี่ยนชูเย่ลุกขึ้น

“จู้หง เจ้าควรกลับไปพักฟื้นตัวเจ้าเองก่อน เรื่องพวกหงอวี่เจ้าอย่าได้เป็นกังวลไป นางเป็นศิษย์ของข้า ถ้ามีอันใดเกิดขึ้นกับนาง ยังมีข้าที่เป็นอาจารย์อยู่ตรงนี้!”

เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนั้น จู้หงก็ถอนหายใจด้วยความโล่งใจ

ดูเหมือนว่าท่านเจ้าสำนักจะเตรียมพร้อมแล้ว

“ข้าจะไปดูในวังก่อน! เฟิงฉือ เจ้ากลับไปที่สำนักชงซูเก๋อและบอกกล่าวให้พวกเขารู้สึกวางใจซะ ไม่รู้ว่าข่าวลือที่แพร่ออกไปข้างนอกในตอนนี้ จะกลายเป็นเช่นไรแล้วบ้าง”

จริงๆ แล้วเจี่ยนเฟิงฉืออยากจะเข้าไปในวัง แต่เมื่อเขาได้ยินเช่นนี้ เขาก็เปลี่ยนใจ

“ลูกเข้าใจแล้ว ท่านวางใจได้”

เจี่ยนชูเย่หันหลังและจากไปทันที

หลังจากนั้นไม่นาน เจี่ยนเฟิงฉือก็เริ่มออกเดินทางไปยังสำนักชงซูเก๋อ

ดังที่เจี่ยนชูเย่ได้กล่าวไว้ ในช่วงเวลาสั้นๆ ข่าวทุกประเภทต่างได้แพร่กระจายไปทั่วเมืองซีหลิง

การกลับมาอย่างกะทันหันของซั่งกวนหว่านและคนอื่นๆ ทำให้ผู้คนต่างตกตะลึง

อีกทั้ง ด้วยปฏิกิริยาหลังจากการกลับมาของพวกเขาค่อนข้างแปลกมาก ยิ่งทำให้เกิดการคาดเดาต่างๆ นาๆ ขึ้นมามากมาย

และข่าวที่ว่าศิษย์สำนักชงซูเก๋อไม่มีคนใดได้กลับออกมาแม้แต่คนเดียว ก็ได้แพร่กระจายราวกับติดปีกบินไปยังหูของผู้คนนับไม่ถ้วน

ทุกคนต่างมีปฏิกิริยาทั้งต่อหน้าและลับหลังแตกต่างกันออกไป

แต่เมื่อเจี่ยนเฟิงฉือรีบมาถึงสำนักชงซูเก๋อ อวี้ฉือซงกลับออกไปที่วังพร้อมกับคนในวังแล้ว

พระราชวังเทียนลิ่ง

ซั่งกวนหว่านกลับไปที่ตำหนักฮวาหยางและไล่ทุกคนให้ออกไป

นางถอดเสื้อคลุมออก นั่งหน้ากระจกทองสัมฤทธิ์แล้วถอดผ้าคลุมใบหน้าออกอย่างระมัดระวัง

พลันใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยแผลเป็นและบาดแผลฉกรรจ์ ก็ปรากฏขึ้นในกระจกทองสัมฤทธิ์

ซั่งกวนหว่านจ้องไปที่ใบหน้าในกระจก ก่อนขบฟันกัดปากตัวเองจนเลือดไหลซิบ

แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเดี๋ยวยังต้องไปหาคนเหล่านั้น นางจึงพยายามระงับไฟที่สุมอยู่ในใจ หยิบกล่องครีมบัวหิมะจากในตู้ข้างๆ ออกมา แล้วค่อยๆ จุ่มครีมมาทาบนใบหน้าของตัวเองอย่างระมัดระวัง

ทันทีที่ครีมสัมผัสไปที่ใบหน้า นางก็รู้สึกปวดแสบปวดร้อนขึ้นมาทันที!

ในที่สุด นางก็อดไม่ได้ที่จะร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด

“โอ้ย…”

ส่วนตัว: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์

ส่วนตัว: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์

Status: Ongoing
กล่าวได้ว่าชีวิตของ ฉู่หลิวเยว่ นั้นช่างแสนอาภัพ แม้เป็นบุตรสาวคนโตของตระกูลฉู่แต่กลับเป็นผู้ที่มีชีพจรไร้สามารถ ไม่อาจฝึกพลังใดได้จึงทำให้ถูกคนรังแกมาตั้งแต่เล็ก แม้แต่องค์รัชายาทที่เป็นคู่หมั้นก็ยังไม่เคยมาดูแลและคิดแต่จะถอนหมั้นกับนาง ชีวิตของฉู่หลิวเยว่คงดำเนินต่อไปเช่นนั้น หากน้องสาวคนดีของนางไม่ส่งนักฆ่ามาเพื่อสังหารนางทำให้ดวงวิญญาณแค้นของ ซั่งกวนเยว่ ได้เข้ามาครอบครองร่างนี้แทน คนไร้ค่าอย่างนั้นรึ นางที่เป็นอดีตองค์หญิงลิขิตสวรรค์ผู้แตกฉานด้านการแพทย์และเป็นผู้มากพรสวรรค์แห่งแคว้นย่อมไม่อาจยอมรับคำสบประมาทนี้ได้จริงๆ! ในเมื่อพวกเขาล้วนดูถูกผู้อ่อนแอ นางก็จะแสดงให้เห็นว่าคนอ่อนแอผู้นี้แหละจะเหยียบพวกเขาให้จมดินได้อย่างไร! ควบคุมสัตว์เทพอสูร หลอมรวมพลัง เชี่ยวชาญด้านการแพทย์และยาพิษ เพื่อยื้อชีวิตเหล่ามนุษย์และทวยเทพ! นางขอสาบาน นางจะทำให้คนที่เคยทรยศเหยียดหยามนางพวกนั้นได้รับกรรมอย่างสาสมเป็นร้อยเท่าพันทวี! ตอนแรกทุกคนเตือนเขาว่า “ท่านหลีอ๋อง บุตรสาวที่ตระกูลฉู่ทอดทิ้งผู้นั้นไม่คู่ควรกับพระองค์!” ต่อมาทุกคนกลับเย้ยหยัน “องค์ชายผู้อ่อนแอ ไม่คู่ควรกับองค์หญิงลิขิตสวรรค์ผู้สูงส่ง!”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท