ตอนที่ 820 จะเหมือนกับองค์หญิงใหญ่หรือเปล่า
ค่ำคืนแห่งความวุ่นวายและสับสนได้ผ่านพ้นไป เช้าวันรุ่งขึ้น ซย่าโหวถิงอันแต่งตัวออกไปข้างนอก เพื่อสอบถามสถานการณ์
ในจวนซย่าโหวไม่มีข่าวคราวอันใดรอดออกมา ทุกอย่างเงียบสงบเหมือนปกติ
แต่สิ่งนี้ไม่ได้สร้างความมั่นใจให้กับซย่าโหวถิงอันเลย
ในสถานการณ์แบบนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะซย่าโหวหรงไม่เจออันใดผิดปกติ ก็จะเป็นเจอความผิดปกติแล้วแต่ต้องปิดปากเอาไว้ก่อน
นอกเสียจากซย่าโหวหรงจะเป็นคนบ้าแล้วป่าวประกาศออกไปว่าโอสถเก้าสวรรค์ฟื้นคืนอยู่ที่ตนเอง และบัดนี้มันได้หายไปแล้ว!
หลังจากเดินวนรอบจวนซย่าโหวสองรอบ ซย่าโหวถิงอันก็ไม่พบว่ามีสิ่งใดผิดปกติ เขาจึงต้องเดินออกไปด้วยหัวใจที่หวาดหวั่น
สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือตอนนี้ในใจของซย่าโหวหรงเต็มไปด้วยความกังวลใจ แต่ไม่ได้กังวลเรื่องโอสถเก้าสวรรค์ฟื้นคืน แต่กังวลเรื่องชายลึกลับที่หนีออกไปในคืนก่อน
ซย่าโหวหรงกลัวว่าอีกฝ่ายจะได้ยินที่เขาพูด ในใจของเขารู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก
แต่จะให้เสียใจตอนนี้มันก็ไม่มีประโยชน์แล้ว
ฝีมือของอีกฝ่ายนั้นไม่ได้อ่อนด้อย เขาติดตามอยู่นาน แต่สุดท้ายก็ถูกอีกฝ่ายสลัดหนีไปเสียได้
ในตอนนี้เขาก็ไม่กล้าส่งเสียงอันใดมาก แม้ว่าเขาจะกล้าทำตัวกำเริบเสิบสานตามหาตัวคนทั่วทั้งแผ่นดินซีหลิง แต่เขาก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายนั้นหน้าตาเป็นอย่างใด!
และซย่าโหวหรงก็ไม่กล้าบอกเรื่องนี้กับใคร
หลังจากติดตามไปไม่ได้ ในใจของเขาจึงเต็มไปด้วยความกังวล ดังนั้นจึงไม่ได้สังเกตเลยว่าห้องหนังสือของตัวเองถูกคนมารื้อค้นแล้ว
อีกทั้งโอสถเก้าสวรรค์ฟื้นคืนที่ตนเองคอยทะนุถนอมก็ได้หายออกไปจากจวนหลังนี้แล้ว!
…
ในเมืองซีหลิงสงบสุขอย่างมาก ทั้งนี้เพราะว่างานมหามงคลสมรสขององค์หญิงสามและคุณชายใหญ่ตระกูลเจียง กำลังจะเริ่มจัดขึ้นในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้าแล้ว ดังนั้นหน่วยงานทุกหน่วยจึงงานยุ่งขึ้นมาบ้างแล้ว
แน่นอนว่างานมงคลสมรสของราชสำนักล้วนมีกฎและข้อปฏิบัติที่แตกต่างออกไป
โดยเฉพาะวันมงคลสมรสขององค์หญิงสาม ก็เป็นวันราชาภิเษก และแน่นอนว่าจะยิ่งใหญ่อย่างมาก
วังหลวง ตำหนักฮวาหยาง
หลังจากที่ฟื้นฟูไประยะหนึ่ง ร่างกายของซั่งกวนหว่านจึงฟื้นตัวขึ้นมาได้ส่วนหนึ่งแล้ว
แต่บาดแผลบนใบหน้าของนางยังไม่ดีขึ้นแม้แต่น้อย
ไม่จำเป็นต้องส่องกระจก แค่นางสัมผัสหน้ากับตัวเอง นางก็รู้แล้วว่าใบหน้าของตัวเองเป็นอย่างใด!
และด้วยเหตุนี้เอง แม้ว่าวันมงคลสมรสจะใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แล้ว แต่อารมณ์ของนางกลับย่ำแย่มากขึ้นเรื่อยๆ
ตอนที่ซั่งกวนหว่านกำลังคิดเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้อยู่ นางก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้นมา
ก๊อกๆ!
“ฝ่าบาท ใต้เท้าจั่วมาขอพบแล้วขอรับ”
นั่นเป็นเสียงของฉานอี้นั่นเอง
ซั่งกวนหว่านกัดฟันกรอด จากนั้นก็ใช้ผ้าปิดบังหน้าตาของตัวเอง
“เข้ามาได้”
เสียงเอี๊ยดอ๊าดดังขึ้น จากนั้นประตูบานใหญ่ก็ถูกเปิดออกมา
จั่วหมิงซีก็เดินเข้ามา
เขาเดินขึ้นมาด้านหน้าก่อนจะโค้งคำนับอีกฝ่าย
“ข้าน้อยคารวะองค์หญิงสาม”
ฉานอี้ปิดประตูเสียงเบา จากนั้นก็ยืนรออยู่ที่ด้านนอก
ซั่งกวนหว่านพูดขึ้นว่า
“ใต้เท้าจั่วลุกขึ้นยืนเถิด”
จั่วหมิงซีจึงยืนขึ้น แต่สายตายังหลุบลงต่ำเล็กน้อย แสดงถึงความเคารพอย่างที่สุด
ซั่งกวนหว่านกัดฟันกรอดแล้วพูดว่า
“เวลาอีกหนึ่งเดือนกว่าจะถึงเวลามงคลสมรสแล้ว ใต้เท้าจั่วยังไม่มีวิธีที่จะช่วยข้ารักษาบาดแผลบนใบหน้าเลยหรือ?”
จั่วหมิงซีรีบกล่าวขึ้นว่า
“ฝ่าบาท ที่ข้ามาในวันนี้ก็เพราะเรื่องนี้แหละพ่ะย่ะค่ะ เมื่อวานข้าได้พบวิธีรักษาจากคัมภีร์โบราณ บางทีมันอาจจะช่วยท่านได้ก็ได้”
“จริงหรือ? รีบพูดมาสิ”
แววตาของซั่งกวนหว่านเป็นประกาย พร้อมพูดเร่งเร้าเขาทันที
“ตามที่คัมภีร์ได้กล่าวเอาไว้ บาดแผลบนใบหน้าของท่าน เกิดจากฝีมือของอสูรศักดิ์สิทธิ์ เพราะว่ายังมีเสี้ยวพลังของอสูรศักดิ์สิทธิ์ ที่หลงเหลืออยู่ ดังนั้นบาดแผลเหล่านี้จึงไม่สามารถสมานกันเป็นปกติได้ แต่หากนำเลือดของอสูรศักดิ์สิทธิ์มาแล้วผสมกับโอสถแล้วทาลงไปที่บาดแผล จะเป็นวิธีพิษต้านพิษ จากนั้นก็ทำความสะอาดให้หมดจด บาดแผลเหล่านั้นจะสามารถหายได้โดยเร็ว!”
สีหน้าของซั่งกวนหว่านค่อยๆ มืดครึ้มมากยิ่งขึ้น หลังจากที่ฟังจนจบนางก็ขมวดคิ้วมุ่น
“ต้องใช้เลือดของอสูรศักดิ์สิทธิ์หรือ?”
ในตอนนี้นางจะไปหาเลือดอสูรศักดิ์สิทธิ์มาจากที่ใด?
มีเพียงกษายะหางวายุตัวเดียวเท่านั้นที่นางเคยเห็น แต่ตัวนั้นมันก็ตกตายไปพร้อมกับฉู่หลิวเยว่ที่ป่าหมอกมายาแล้ว!
ถ้าตอนนี้นางอยากจะเจออีกตัวก็เป็นเรื่องที่ยากลำบากแล้ว!
จั่วหมิงซีแสดงสีหน้าลำบากใจเช่นกัน
“เรื่องนี้…ข้าขออภัยในความไร้ความสามารถของข้าด้วย ตอนนี้มีเพียงวิธีนี้วิธีเดียวเท่านั้นที่ข้าจะคิดออก…”
ความจริงแล้วสามารถสืบค้นหนทางนี้ได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว
ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ไม่เคยเห็นอสูรศักดิ์สิทธิ์มาก่อน ยิ่งไม่มีทางรู้ว่าบาดแผลนี้ของซั่งกวนหว่านได้มาได้อย่างใด หลายวันมานี้เขาทั้งคร่ำครวญทั้งครุ่นคิด พลิกสืบเสาะในตำรา คัมภีร์ก็ไม่น้อย ถึงจะสามารถหาวิธีนี้เจอ!
นอกจากวิธีนี้เขาก็ไม่มีวิธีอื่นจริงๆ
ซั่งกวนหว่านก็รู้เรื่องราวเหล่านี้ ไม่ว่าใครก็รู้สึกลำบากใจทั้งนั้น
แต่นางไม่สามารถให้ประชาชนทั่วไปเห็นใบหน้าเช่นนี้ของนางได้!
ในตอนนั้นเองเสียงของฉานอี้ก็ดังขึ้นมาจากด้านนอก
“ฝ่าบาท ใต้เท้าอวี่เหวิน เสนาบดีกรมพิธีการมาถึงแล้วเพคะ”
ซั่งกวนหว่านขมวดคิ้วแน่นมากกว่าเดิม
อวี่เหวินเว่ย?
เขาเป็นเสนาบดีกรมพิธีการ ที่เขามาที่นี่ต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับงานมงคลสมรสอย่างแน่นอน
นางโบกมือไล่จั่วหมิงซี
“เจ้าออกไปก่อนเถอะ ทางด้านเสด็จพ่อ เจ้ากับอีกสองคนที่เหลือคอยดูแลท่านอย่างใกล้ชิดด้วย อย่าได้พูดเรื่องของข้าในวันนี้ออกไป”
จั่วหมิงซีรีบพูดขึ้น “พ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยขอทูลลา”
เมื่อพูดจบเขาก็โค้งตัวคำนับแล้วถอยหลังไปสองสามก้าว จากนั้นก็เปิดประตูออกไป
ตอนนั้นเองก็ได้เจอกับอวี่เหวินเว่ยที่ยืนรออยู่ที่หน้าประตูพอดี
ทั้งสองคนทักทายกันเล็กน้อย
ซั่งกวนหว่านหยิบหน้ากากมนุษย์ออกมาสวมใส่อย่างรวดเร็ว
หน้ากากชั้นบางราวกับปีกจักจั่น แต่หลังจากที่ติดแนบไปกับใบหน้าแล้ว มันก็สามารถปกปิดรอยแผลเป็นทั้งหมดของนางได้ทันที
แค่มองเพียงครู่แรกจะไม่รู้เลยว่าก่อนหน้านี้นั้นนางได้รับบาดเจ็บมา
ความจริงแล้วหน้ากากหนังมนุษย์นี้นางเพิ่งสั่งให้คนทำขึ้นมาอย่างยากลำบาก
ช่วงก่อนหน้านี้นางจะเก็บตัวอยู่แต่ในตำหนักตลอดเวลา ไม่ออกไปพบเจอใคร ดังนั้นจึงเกิดเหตุให้ถกเถียงกันอย่างมากมาย
นางไม่กล้าให้มันเป็นเช่นนี้ตลอดไป ดังนั้นนางจึงจำเป็นต้องใช้วิธีนี้จัดการกับข่าวลือเหล่านั้น
ความจริงแล้วในช่วงเวลานี้นางก็เริ่มออกไปพบเจอผู้คนบ้างแล้วแต่ล้วนใส่หน้ากากนี้อยู่ตลอดเวลา
อวี่เหวินเว่ยเดินเข้ามา
ชายผู้นี้เป็นหนุ่มวัยกลางคนอายุประมาณสี่สิบ
รูปร่างสูงใหญ่ หนวดเคราครึ้ม ดูไปแล้วท่วงท่าสง่างามอย่างมาก ทำให้เห็นถึงความหล่อเหลาในสมัยหนุ่มๆ ของเขา
ตระกูลอวี่เหวินถือเป็นหนึ่งในตระกูลสูงศักดิ์ลำดับต้นๆ ของซีหลิง แต่โดยปกติแล้วเขามักจะทำตัวไม่เป็นที่สนใจอยู่เสมอ
หากพูดตามตรงแล้ว ภูมิหลังของพวกเขานั้นยาวนานกว่าตระกูลเจียงและตระกูลอื่นๆ เสียอีก
เพราะในตอนนั้นบรรพบุรุษของตระกูลอวี่เหวิน ได้ต่อสู้ร่วมกับองค์ปฐมกษัตริย์ด้วย
ในตอนนั้นคนที่ติดตามองค์ปฐมกษัตริย์มีเป็นล้านคน สุดท้ายแล้วเขาก็ได้รางวัลตอบแทน ปิดตำนานกษัตริย์ อำมาตย์ ขุนพลจำนวนไม่น้อย
จากนั้นหนึ่งพันปีต่อมา ตระกูลเขาเป็นตระกูลเดียวที่ยังเหลือรอดปลอดภัย
กฎประจำตระกูลอวี่เหวินคือ หนึ่ง จงรักภักดีต่อราชวงศ์เทียนลิ่ง สอง อ่อนน้อมถ่อมตน
ดังนั้นแม้ว่าตอนนี้เขาจะไม่ใช่ตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในซีหลิงก็ตาม และไม่ใช่ตระกูลที่มีอำนาจมากที่สุด แต่เป็นตระกูลที่สงบสุขและอยู่มาอย่างยาวนานที่สุด
อีกทั้งอวี่เหวินเว่ยก็เป็นคนที่ไม่แยแสต่อชื่อเสียง ลาภยศ เขาใช้เฉพาะฐานะเสนาบดีกรมพิธีการเท่านั้น ไม่เข้าร่วมการแก่งแย่งชิงดีในวังหลวงเลย
และด้วยเหตุนี้ซั่งกวนหว่านและเจียงอวี่เฉิงจึงไม่ได้มีความคิดที่จะกำจัดตระกูลอวี่เหวินออกไป
อวี่เหวินเว่ยคำนับเขาหนึ่งครั้ง จากนั้นก็พูดอย่างเข้าประเด็นและตรงไปตรงมาว่า
“ฝ่าบาท ที่ข้าน้อยมาที่นี่ในวันนี้ก็เพราะเรื่องบางอย่างของงานมหามงคลสมรส จึงอยากได้คำชี้แนะจากท่านพ่ะย่ะค่ะ”
ซั่งกวนหว่านหัวเราะ
“เชิญใต้เท้าอวี่เหวินพูดมาได้”
อวี่เหวินเว่ยชะงักไป สีหน้าดูกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
“ฝ่าบาท เป็นเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ พิธีการของงานมงคลสมรส ท่านจะปฏิบัติตามกฎเดียวกับองค์หญิงใหญ่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
