ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ – ตอนที่ 913 ให้หรงซิวของนางได้รู้

ยอดหญิงลิขิตสวรรค์

ตอนที่ 913 ให้หรงซิวของนางได้รู้

จู่ๆ เด็กชายสิบสามก็เงียบเสียงลงอย่างกระทันหัน พลันชะงักฝีเท้าของตนเช่นกัน ก่อนจะมองดูภาพตรงหน้าด้วยความตกตะลึง

มีคนกางร่มให้ฝ่าบาทแล้ว!

และประเด็นก็คือ เขายังกอดฝ่าบาทด้วย!

อีกทั้งท่าทางใกล้ชิดสนิทสนมเช่นนี้ ทำให้คนที่มองอยู่รู้ได้ทันทีว่า สองคนนั้นต้องมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดาแน่นอน!

“จะจะจะ…เจ้าเป็นใคร!?”

สิบสามอุตส่าห์ตั้งใจมารับฉู่หลิวเยว่กลับวังด้วยความปิติยินดี แต่พอเห็นเหตุการณ์ดังกล่าว ก็พลอยทำให้เขาอารมณ์ไม่ดีขึ้นมา

ทว่าก่อนที่ฉู่หลิวเยว่จะได้เอ่ยตอบ หรงซิวก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยและพูดเสียงต่ำว่า

“ข้าเป็นคู่หมั้นของเยว่เอ๋อ”

สิบสามเบิกตากว้างด้วยความตกใจพร้อมอ้าปากค้าง

“จะจะจะ… เจ้าเป็นคู่หมั้นของฝ่าบาท!?”

ไม่ใช่ว่าฝ่าบาทเพิ่งจัดการกับเจียงอวี่เฉิงและซั่งกวนหว่านหรอกหรือ เหตุใดจู่ๆ ถึงมีคู่หมั้นมาปรากฏตัวอีกครากัน!?

เนื่องจากสิบสามยังเด็ก จึงไม่มีใครเล่าเรื่องนี้ให้เขาฟัง ดังนั้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายแวบแรก เขาจึงรู้สึกตกใจเป็นพิเศษ

แต่ฉู่หลิวเยว่กลับครุ่นคิดว่าเมื่อครู่นี้ สิบสามกำลังจะพูดอันใดต่อ?

เหมือนว่าเขาจะพูดถึง… พระเจ้าหลวง?

แต่ด้วยสติปัญญาระดับคนอย่างหรงซิวแล้ว เพียงแค่หลุดมาประโยคเดียว ก็เกรงว่าคงจับทางและเดาเรื่องตัวตนของนางได้แล้ว!

“เมื่อครู่เจ้าพูดว่า ใครใช้ให้เจ้ามาตามเยว่เอ๋อกลับไปนะ?”

สุดท้ายหรงซิวก็พูดออกมาตรงๆ

ฉู่หลิวเยว่คิ้วกระตุกเป็นพักๆ

สิบสามเตรียมอ้าปากตอบกลับ แต่พอเห็นสัญญาณแปลกๆ จากนัยน์ตาขององค์หญิงใหญ่ของตน เขาจึงปิดปากเงียบ

“คือว่า…หรงซิว ข้ามีเรื่องอยากจะบอกเจ้า…”

เดิมทีฉู่หลิวเยว่ต้องการรอเวลาที่เหมาะสม เพื่อเล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟัง แต่ก็ดันคิดไม่ถึงว่าคนสองคนที่เพิ่งจะได้มาเจอกันนั้น จะ…

แต่ในเมื่อถึงขนาดนี้แล้ว หากไม่บอกความจริงคงไม่ดีแน่ๆ!

หรงซิวหลุบตามองนาง สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความลำบากใจ พร้อมรอยยิ้มบางที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลา

นี่เป็นเพราะนางไม่เคยนึกถึงจิตใจของเขาและไม่ยอมบอกความจริงทั้งหมดให้เขารู้สินะ?

“หือ?”

หรงซิวพึมพำออกมาเบาๆ เสียงทุ้มต่ำเชิงย้อนถามเป็นนัยนี้ ราวกับเป็นเสียงที่เปล่งออกมาจากส่วนลึกของจิตใจ มันสื่อถึงหัวใจของนางจนใจเต้นระรัว ก่อนจะทะลุผ่านแก้วหูออกไป

ทั้งชัดเจนและน่าลุ่มหลง

ฉู่หลิวเยว่หน้าแดงเล็กน้อย แต่ก็เอื้อมมือไปจับมือเขาไว้อย่างนุ่มนวลและมั่นคง พร้อมสอดประสานนิ้วของตนลงไป

“เจ้ามากับข้าหน่อย”

ณ ถนนลิ่วอวิ๋น

ภายในจวนฉู่

สายฝนเริ่มซาลงแล้ว และมีแอ่งน้ำน้อยใหญ่เจิงนองอยู่บนพื้นในลานบ้านที่เงียบสงบ

หยดน้ำที่หยดลงมาจากชายคาอย่างต่อเนื่อง ร่วงหล่นลงไปในแอ่งน้ำจนเกิดเป็นระลอกคลื่นเล็กๆ

อากาศหลังฝนตกนั้นชุ่มฉ่ำชวนให้รู้สึกสดชื่น

สิบสามยืนรออยู่นอกประตูอย่างกระวนกระวาย พลางมองไปยังประตูที่ปิดอยู่เป็นครั้งคราวอย่างไม่ละสายตา

ฝ่าบาทกับชายผู้นั้นเข้าไปตั้งนานแล้ว ทว่าจนป่านนี้ก็ยังไม่ออกมา

หากฟังจากที่ฝ่าบาทพูดแล้ว ดูเหมือนว่าฝ่าบาทอยากจะอธิบายอันใดบางอย่างให้กับอีกฝ่ายหรือ?

หากแต่สถานะของฝ่าบาทนั้นสูงส่งและเด็ดขาดยิ่งนัก เมื่อใดกันที่ฝ่าบาทจักต้องเป็นฝ่ายอธิบายให้คนอื่นฟังมากมายเช่นนี้?

อีกทั้ง… ที่สำคัญก็คือ บุรุษผู้นั้นเป็นคู่หมั้นของฝ่าบาท!

สิบสามเกาหัวแกรกๆ ด้วยความงุนงง

ก่อนหน้านี้พวกพี่เจ็ดเองก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน…

ตัวเขาเติบโตขึ้นในเมืองซีหลิง และเขาแน่ใจว่าชายคนนั้นไม่ใช่คนจากซีหลิงแน่นอน

อย่างใดเสีย เมื่อพิจารณาจากลมปราณรอบๆ ตัวอีกฝ่ายแล้ว เขาเองก็ไม่ควรประมาท…

สิบสามมองเข้าไปข้างในอีกครั้ง แล้วเกาหัวอย่างจนปัญญา

“… และนี่คือสิ่งที่ข้าอยากบอกกับเจ้า”

ภายในห้องโถง ฉู่หลิวเยว่และหรงซิวนั่งหันหน้าเข้าหากัน

ฉู่หลิวเยว่บรรยายเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของตน ตั้งแต่ครั้งในอดีตจนถึงปัจจุบัน

“ข้าคือฉู่หลิวเยว่ที่เติบโตมาในแคว้นเย่าเฉิน และก็เป็นซั่งกวนเยว่แห่งราชวงศ์เทียนลิ่งเช่นกัน”

นางมองไปที่หรงซิวและพูดอย่างจริงจัง

“ก่อนหน้านี้ ข้าบอกเจ้าแค่ว่าศัตรูของข้าอยู่ที่ซีหลิง แต่ไม่ได้อธิบายเรื่องทั้งหมดให้เจ้าฟัง นั่นเพราะ… ในตอนนั้น ยังไม่แน่ใจว่าตัวเองจะทำสำเร็จหรือไม่”

“แต่ตอนนี้ทุกอย่างลงตัวแล้ว ข้าเลยอยากหาโอกาสคุยกับเจ้า แต่ไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นวันนี้”

ฉู่หลิวเยว่สูดหายใจเข้าลึก

“หรงซิว นี่คือ… ตัวจริงของข้า”

พอพูดจบนางก็เงียบเสียงลง และรอการตอบกลับจากหรงซิวเงียบๆ

แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงก็คือ ใบหน้าของหรงซิวกลับนิ่งเฉยไม่แม้แต่จะตกใจกับสิ่งที่นางพูดไปเลยสักนิด และมีเพียงความรู้สึกเห็นอกเห็นใจปรากฏขึ้นระหว่างคิ้วและดวงตาของเขา

เขาเอื้อมมือไปบีบมือนางแน่น พลางใช้ปลายนิ้วถูหลังมือบางเบาๆ สองสามครั้ง

“เจ็บหรือเปล่า?”

ฉู่หลิวเยว่ชะงัก

“กระไรหรือ?”

“ไม่ว่าจะเป็นการเผาตัวเองในวันนั้น หรือทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตามมา… เยว่เอ๋อของข้า คงต้องทนทุกข์ทรมานมากเลยใช่หรือไม่?”

หรงซิวมองนางด้วยดวงตาที่ลึกล้ำ

เขาเฝ้ารอให้นางเล่าทุกอย่างด้วยตัวเอง แต่สำหรับนางแล้ว มันคงไม่ต่างจากการสะกิดบาดแผลที่ยังไม่ปิดสนิทดีจนบาดแผลมันเปิดอีกครั้งเลย

เมื่อได้รู้ว่านางผ่านความเจ็บปวดทรมานมานักต่อนัก สำหรับเขาแล้ว มันแทบไม่ใช่ความทรมานที่คนธรรมดาจะทนได้เลย

ฉู่หลิวเยว่ตกตะลึง พลันร้อนผ่าวในตา

“หรงซิว เจ้า… เจ้าไม่โกรธที่ข้าโกหกเจ้าหรือ?”

แม้ว่านางจะไม่ได้ตั้งใจหลอกลวง แต่สุดท้ายนางก็ซ่อนความลับไว้มากมาย

แต่หรงซิวเขา… ไม่ถือโทษโกรธนางสักนิดเลยหรือ?

เมื่อได้ยินเช่นนี้ หรงซิวก็ส่ายหัวเบาๆ พลางแย้มยิ้มบาง และถอนหายใจ

“มันสายเกินไปที่จะเสียใจแล้ว และเจ้าเจ็บปวดเพียงนี้ จะให้ข้าโกรธเจ้าลงได้เยี่ยงไร?”

ฉู่หลิวเยว่ไม่คิดว่าหรงซิวจะมีปฏิกิริยาเช่นนี้

ผ่านไปครู่หนึ่ง หรงซิวก็ขยับเข้ามาใกล้และเช็ดหยดน้ำตาออกจากหางตาของนาง

“สัญญากับข้า ถ้าในอนาคตเกิดอันใดขึ้น ก็อย่าแบกไว้คนเดียว ข้าอยู่นี้ตรงเสมอ”

พลันความวิตกกังวลและความรู้สึกผิดก่อนหน้านี้ทั้งหมด ก็พลันมลายหายไปทันที และกลายเป็นความคับแค้นใจที่พรั่งพรูออกมาแทน

ราวกับชุดเกราะหนักถูกถอดออกไปจากร่าง เพียงพริบตาร่างกายของนางก็ผ่อนคลายขึ้นกว่าเก่า

ความทุกข์ทรมานและความเจ็บปวดที่นางเคยประสบในอดีตนั้น ดูเหมือนจะกลายเป็นสิ่งที่มีค่าแก่การกล่าวถึงแล้ว

สวรรค์ประทานความเจ็บปวดและหายนะแก่นาง แต่ก็ประทานความอดทนให้นางด้วยเช่นกัน

ฉู่หลิวเยว่หลับตาลงและฝังใบหน้าไว้บนไหล่ของเขา พร้อมเอ่ยเสียงอู้อี้

“ข้าสัญญา”

จากนั้นก็มีเสียงเคาะประตูจากข้างนอก

ตามมาด้วยเสียงที่ฟังดูประหม่าของสิบสาม

“องค์หญิงขอรับ? ฝนหยุดตกนานแล้ว พวกเรากลับวังก่อนดีกว่านะขอรับ?”

ความจริงแล้วเขาไม่อยากขัดหรอก แต่ที่วังเองก็ยังมีคนรอนางอยู่!

ฉู่หลิวเยว่ค่อยๆ สงบสติอารมณ์ และผละตัวเองออกมาจากอ้อมแขนของหรงซิว

เกือบลืมไปเลยว่าสิบสามยังรออยู่ข้างนอก

“มีบางสิ่งที่ข้าอยากจะบอกเจ้า แต่ดูเหมือนว่าวันนี้คงจะไม่ได้”

หรงซิวปัดไรผมที่ค่อนข้างยุ่งเหยิงของนางไปด้านหลัง และลูบใบหน้าของนางเบาๆ

ฉู่หลิวเยว่ช้อนสายตามองเขา พลันมีแสงสีขาวสว่างวาบขึ้นในหัวของนาง

นางแอบสัมผัสได้ว่าเหมือนหรงซิวอย่างจะบอกบางอย่างที่สำคัญมากให้นางรู้

และ… เป็นไปได้ว่ามันอาจจะเป็นเรื่องที่เขาคือ “บุตรแห่งสวรรค์” เมื่อคราก่อน!

แต่เพราะสิบสามกำลังกดดันนางอยู่ การอยู่ที่นี่นานเกินไปอาจไม่สะดวกนัก

ฉู่หลิวเยว่จึงทำได้เพียงพยักหน้าตอบกลับ

“เช่นนั้นคืนนี้เจ้าก็พักอยู่ที่นี่เถอะ พรุ่งนี้ค่อย…”

นางหยุดชะงักไปนิด พลันตวัดสายตาขึ้นมองไปยังหรงซิวอีกครั้ง

“ที่จริง ก่อนหน้านี้ท่านพ่อเคยบอกข้าว่า… ท่านอยากเจอเจ้า”

หรงซิวเข้าใจและกดจูบเบาๆ ตรงหว่างคิ้วของนาง

“เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าจะเข้าไปสวัสดีพ่อตาเอง”

ฉู่หลิวเยว่หน้าแดงเรื่อ ก่อนจะถามด้วยความกังวลเล็กน้อย

“พรุ่งนี้จะดูเร็วไปหรือเปล่า?”

เรื่องแบบนี้มันควรต้องใช้เวลาเตรียมตัวก่อนมิใช่หรือ…

หรงซิวหรี่ตาคมประดุจหงส์ฟ้าลงเล็กน้อย แววตาของเขาแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มเอ็นดู

ดูเหมือนว่าฮูหยินของเขาจะไม่ค่อยเชื่อในตัวบุรุษของนางเลยนะ

“เช่นนั้นก็…หลังจากนี้สามวัน”

————————————————————–

ส่วนตัว: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์

ส่วนตัว: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์

Status: Ongoing
กล่าวได้ว่าชีวิตของ ฉู่หลิวเยว่ นั้นช่างแสนอาภัพ แม้เป็นบุตรสาวคนโตของตระกูลฉู่แต่กลับเป็นผู้ที่มีชีพจรไร้สามารถ ไม่อาจฝึกพลังใดได้จึงทำให้ถูกคนรังแกมาตั้งแต่เล็ก แม้แต่องค์รัชายาทที่เป็นคู่หมั้นก็ยังไม่เคยมาดูแลและคิดแต่จะถอนหมั้นกับนาง ชีวิตของฉู่หลิวเยว่คงดำเนินต่อไปเช่นนั้น หากน้องสาวคนดีของนางไม่ส่งนักฆ่ามาเพื่อสังหารนางทำให้ดวงวิญญาณแค้นของ ซั่งกวนเยว่ ได้เข้ามาครอบครองร่างนี้แทน คนไร้ค่าอย่างนั้นรึ นางที่เป็นอดีตองค์หญิงลิขิตสวรรค์ผู้แตกฉานด้านการแพทย์และเป็นผู้มากพรสวรรค์แห่งแคว้นย่อมไม่อาจยอมรับคำสบประมาทนี้ได้จริงๆ! ในเมื่อพวกเขาล้วนดูถูกผู้อ่อนแอ นางก็จะแสดงให้เห็นว่าคนอ่อนแอผู้นี้แหละจะเหยียบพวกเขาให้จมดินได้อย่างไร! ควบคุมสัตว์เทพอสูร หลอมรวมพลัง เชี่ยวชาญด้านการแพทย์และยาพิษ เพื่อยื้อชีวิตเหล่ามนุษย์และทวยเทพ! นางขอสาบาน นางจะทำให้คนที่เคยทรยศเหยียดหยามนางพวกนั้นได้รับกรรมอย่างสาสมเป็นร้อยเท่าพันทวี! ตอนแรกทุกคนเตือนเขาว่า “ท่านหลีอ๋อง บุตรสาวที่ตระกูลฉู่ทอดทิ้งผู้นั้นไม่คู่ควรกับพระองค์!” ต่อมาทุกคนกลับเย้ยหยัน “องค์ชายผู้อ่อนแอ ไม่คู่ควรกับองค์หญิงลิขิตสวรรค์ผู้สูงส่ง!”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท