ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ – ตอนที่ 934 ในที่สุดก็มาเสียที

ยอดหญิงลิขิตสวรรค์

ตอนที่ 934 ในที่สุดก็มาเสียที

ถึงมุมปากของนางจะแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม ทว่าดวงตาดำขลับเสมือนหยกเนื้อดีกลับทอประกายเย็นชา! จนคนมองรู้สึกเย็นยะเยือกไปทั้งใจ!

ถานไถรั่วหลีเพียงแค่สบตากับฉู่หลิวเยว่ พลันรู้สึกเย็นวาบไปทั้งกาย!

ราวกลับร่างทั้งร่างถูกดวงตาคู่นั้นมองจนทะลุปรุโปร่ง!

รัศมีความสูงส่งที่แผ่ออกมาจางๆ บนร่างของอีกฝ่าย ทำให้นางรู้สึกหวาดกลัว!

…นี่คือรัศมีความกดดันของจักรพรรดิที่แท้จริง!

แม้ว่าในปัจจุบันราชวงศ์เทียนลิ่งนั้นจะเทียบราชวงศ์ไท่อวี่ไม่ได้ แต่ฉู่หลิวเยว่นั้นเป็นถึงจักรพรรดิ ทว่าถานไถรั่วหลีนั้นเป็นเพียงองค์หญิง!

เห็นได้ชัดว่าตัวตนของทั้งสองคนนั้น แตกต่างกันขนาดไหน!

“ตามกฎแล้ว สถานะของข้าเท่าเทียมกับจักรพรรดิไหวเหริน ฉะนั้นยามเจ้าเห็นข้า ก็ควรจะทำความเคารพแก่ข้า แต่เห็นแก่ความสัมพันธ์ของเทียนลิ่งและไท่อวี่ อีกทั้งคราวนี้เราทั้งคู่ก็ได้มาราชวงศ์เป่ยหมิงด้วยกัน ฉะนั้นข้าจะไม่เอาความ”

ฉู่หลิวเยว่พูดอย่างใจเย็น

ทุกๆ คำที่กลั่นกรองออกมานั้น ก็ใช้เพื่อปราบถานไถรั่วหลีให้สำเหนียกถึงสถานะของตนล้วนๆ

“แต่เมื่อเข้าสู่ราชวงศ์เป่ยหมิงและพบคนอื่นๆ แล้ว องค์หญิงใหญ่ถานไถรั่วหลีจักต้องจำตัวตนของตัวเองให้ชัดเจน มิฉะนั้น หากเล่นตลกเช่นนี้อีกครั้ง อาจเกิดปัญหาใหญ่ตามมาอีกมากมาย”

ถานไถรั่วหลีอ้าปากอยากจะปฏิเสธ แต่กลับรู้สึกแน่นคอมากจนพูดอันใดไม่ออกสักคำ นางอึดอัดในทรวงอกราวถูกกดขี่ข่มเหง!

เมื่อเทียบกับอีกฝ่ายแล้ว สถานะของนางด้อยกว่าจริงๆ!

“ท่านพ่อ!”

นางกระทืบเท้าและมองถานไถเฉินเพื่อขอความช่วยเหลือ ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความคับแค้นใจ

ถานไถเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อยและชำเลืองมองนาง

“พอแล้ว รั่วหลี”

ปกติแล้วไม่ว่านางจะเอาแต่ใจแค่ไหนก็ไม่มีใครว่า แต่เมื่ออยู่ในอาณาเขตของคนอื่นเช่นนี้ นางจะอวดดีเช่นนั้นไม่ได้

แม้สิ่งที่ฉู่หลิวเยว่กล่าวนั้นจักไม่น่าฟัง แต่มันก็คือความจริงที่เถียงไม่ได้

เมื่อเห็นว่าบิดาผู้เอ็นดูตนมาตลอดไม่แก้ต่างแทนกัน ถานไถรั่วหลีจึงทำได้เพียงปิดปากอย่างเชื่อฟัง ทว่าในใจนั้นไม่พอใจฉู่หลิวเยว่อยู่หน่อยๆ

นี่หรือจักรพรรดิแห่งอาณัติสวรรค์? น่าภูมิใจตรงไหนกัน!?

เทียนลิ่งในปัจจุบันจะเทียบกับพวกเขาได้อย่างใด?

ไว้รอถึงหลินโจวก่อนเถอะ นางจะเอาคืนให้สาสม!

ฉู่หลิวเยว่หันกลับมามองคนของตน

“ไปกันเถอะ”

ดวงตาของผู้อาวุโสซูจิ่นเป็นประกายทันที

การที่นางพูดเช่นนี้ แสดงว่าเมื่อครู่นางทอดอักขระค่ายกลนั่นทั้งหมดได้แล้วสินะ!

แม้ว่ากายหยาบของนางจะเปลี่ยนไป ทว่าความสามารถกลับไม่ได้ด้อยลงเลย และดูเหมือนว่าจะแข็งแกร่งขึ้นเสียด้วยซ้ำ?

“เอาล่ะ! ไปกันได้แล้ว! อย่ามัวแต่เสียเวลากับคนและเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องเลย!”

สีหน้าของถานไถเฉินและคนอื่นๆ ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นบึ้งตึงไม่พอใจเล็กน้อย

เห็นได้ชัดว่านางกำลังพูดถึงพวกเขา

แต่พวกของฉู่หลิวเยว่กลับไม่สนใจปฏิกิริยาของพวกเขา และไม่แม้แต่จะปรายตามองเลยสักนิด

คนทั้งหมดก้าวเดินไปข้างหน้า

จากนั้นทหารรักษาการณ์ที่เฝ้าอยู่ในค่ายกลก็กล่าวเสียงเข้ม

“โปรดแสดงบัตรเชิญ!”

ฉู่หลิวเยว่หยิบจดหมายที่เป็นดั่งบัตรเชิญออกมา ก่อนจะขยับปลายนิ้วเล็กน้อย แล้วบัตรนั่นก็บินออกไปและตกลงบนค่ายกลนั่น!

หึ่ง!

พลันมีคลื่นพลังพุ่งใส่บัตรเชิญแล้วกระจายออกไปยังบริเวณโดยรอบ!

เพียงพริบตา ค่ายกลเปิดขึ้นจากตรงกลาง!

ค่ายกลเคลื่อนย้ายที่อยู่ภายในนั้น เริ่มหมุนอย่างช้าๆ!

“ไปกัน!”

ฉู่หลิวเยว่ตะโกนเสียงดังฟังชัด และร่างเงาของคนทั้งหมดก็หายวับไปทันที!

“ซั่งกวนเยว่นั่นอวดดียิ่งนัก!”

เมื่อเห็นว่าพวกเขาจากไป ในที่สุดถานไถรั่วหลีก็เปิดปากของนางและกล่าวเย้ยหยันอย่างทนไมไหว

“เมื่อก่อนข่าวคราวของนางนั้นคลุมเคลือยิ่ง ถ้านางแข็งแกร่งจริงจักถูกใครทำร้ายได้เช่นไร? ข้าไม่รู้ว่านางใช้วิธีใดถึงกลับมาได้ แต่พอนางขึ้นครองบัลลังก์กลับทำตัวเย่อหยิ่งจองหองเกินใคร! นางคิดว่านางจักอยู่ยงคงกระพันได้นานเช่นนั้นเลยหรือ?”

“ใช่แล้ว! และที่บอกว่าจะจำรูปแบบของค่ายกลระดับเก้า ภายในหนึ่งเค่อนั้นก็น่าขันสิ้นดี! แค่มองเฉยๆ ประเดี๋ยวก็ลืมแล้ว ค่ายกลนี้เป็นค่ายกลระดับสูงและมีโครงสร้างอักขระที่ซับซ้อน แล้วนางจะจำทั้งหมดนั่นได้อย่างใด?”

ชายหนุ่มที่อยู่ถัดจากเขาเองก็โพล่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

“รั่วหลี คนเช่นนั้นไม่มีค่าพอให้โกรธเคืองหรอก! ไว้รอถึงหลินโจวแล้วค่อยเปิดโปงนางต่อหน้าสาธารณชนดีกว่า ดูสิว่านางจะยังอวดดีได้สักแค่ไหนเชียว!”

ถานไถรั่วหลีกะพริบตาพลันหัวเราะชอบใจ

“เป็นแผนที่ดีเลย! ผู้ที่มาหลินโจวในครั้งนี้ล้วนเป็นบุคคลที่มีอำนาจมากที่สุดในแต่ละราชวงศ์! พอถึงเวลานั้น นางจักต้องละอายใจอย่างแน่นอน!”

ถานไถเฉินไม่ได้ห้ามอันใด

ความจริงแล้วเขาก็ไม่ค่อยชอบใจในการกระทำและคำพูดของซั่งกวนเยว่เช่นกัน

อีกทั้งก่อนหน้านี้เขาเองก็มีความหลังที่ไม่ดีกับราชวงศ์เทียนลิ่ง จึงทำให้เขายิ่งไม่ต้องการผูกมิตรกับอีกฝ่ายมากกว่าเดิม

เขาหันกลับไปมองคนของตัวเอง พลางเอ่ยเสียงเรียบ

“เรื่องพวกนี้มิใช่เรื่องร้ายแรง พวกเจ้าจงพึ่งระวังเรื่องกิริยาไว้บ้าง อย่าลืมว่าสิ่งสำคัญที่สุดในการมาเยือนครานี้ก็คือ เรื่องการเปิดหุบเขาบรรพกาลเฟิ่งหวง! โดยเฉพาะเจ้า รั่วหลี ตอนนี้เจ้าห่างจากการขึ้นสู่ระดับแปดเพียงก้าวเดียว ฉะนั้นจงใช้โอกาสนี้ทะลวงให้ผ่านในคราเดียวเสียเลย! เมื่อมีโอกาสก็รีบคว้ามันไว้แล้วไต่เต้าขึ้นเสีย… และในอนาคตต่อจากนี้ ก็จะไม่มีผู้ใดหยุดยั้งเจ้าได้อีก!”

ถานไถรั่วหลีตบหน้าอกของนางตุบๆ ด้วยความมั่นใจ

“ท่านพ่อวางใจได้ ครั้งนี้ลูกจักนำพาชื่อเสียงเกียรติยศมาให้ท่านได้แน่นอน! ให้พวกเขารู้ว่ากันไปเลยว่าใครกันคือสุดยอดอัจฉริยะตัวจริง!”

ถานไถเฉินพยักหน้าอย่างพอใจ

“พวกเราเองก็ไปกันเถอะ!”

หลังจากเข้ามาในค่ายกลแล้ว ครานี้ก็เป็นการเคลื่อนย้ายผ่านค่ายกลรอบสุดท้ายแล้ว

จากที่นี่ พวกเขาสามารถไปโผล่ที่หลินโจวได้โดยตรง

หลังจากรออยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็มีจุดแสงก็ปรากฏขึ้นในความมืด!

ผู้อาวุโสเฉินเค่อกล่าวด้วยเสียงทุ้ม

“ใกล้จะถึงแล้ว!”

ทันทีที่เอ่ยนี้ บรรยากาศรอบด้านก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

พวกเขาทั้งตึงเครียด แต่ก็คาดหวัง!

นั่นเพราะก่อนหน้านี้ไม่เคยมีใครเดินทางมายังราชวงศ์เป่ยหมิงมาก่อน และยิ่งไม่ต้องพูดถึงหลินโจวเลย

เมื่อนึกถึงการแข่งขันกับคนจากราชวงศ์อื่นๆ ในภายภาคหน้า ก็ยิ่งทำให้เลือดในกายของพวกเขาเดือดพล่าน!

แสงสว่างข้างหน้าค่อยๆ ขยายออกกว้างขึ้น กระทั่งมีแรงบีบอันทรงพลังพุ่งเข้ามารอบด้าน!

พลันกลุ่มคนที่อยู่ข้างในค่ายกลเคลื่อนย้ายก็พุ่งออกมาทีละคน!

มีแสงสว่างพร่างพราวไปทั่วครรลองสายตา ก่อนจะสัมผัสได้ถึงความมั่นคงใต้ฝ่าเท้า!

ฉู่หลิวเยว่ยืนนิ่งและมองไปข้างหน้า

ก่อนจะเห็นเมืองที่ดูอลังการและสูงส่งดั่งราชนิกุลอยู่ตรงหน้า!

ทีด้านหลังมีทิวเขาเรียงตัวกันเป็นทอดๆ เสมือนสัตว์ยักษ์ที่นอนคว่ำอยู่บนพื้น ที่ทำเอาคนมองถึงกับหวาดกลัวและทึ่งในความขลังของมัน!

แม้จะยืนอยู่ไกล แต่ก็ยังสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวได้อย่างชัดเจน!

ฉู่หลิวเยว่สูดหายใจเข้าลึกๆ

“นั่นคือ… หุบเขาบรรพกาลเฟิ่งหวง!”

ขณะเดียวกัน ณ พระราชวังเป่ยหมิง

บริเวณใจกลางทะเลสาบสีเขียวมรกต มีเรือน้อยลำหนึ่งกำลังลอยอยู่เหนือน้ำอย่างสงบ

และมีคนผู้หนึ่งนอนเอกเขนกไร้กังวลอยู่บนเรือ

ครั้นลมสายหนึ่งพัดผ่านหน้าไป

เขาก็พลันหัวเราะเบาๆ ราวมึนเมาในรสสุรา น้ำเสียงของเขาแหบพร่าทว่าพราวเสน่ห์ เสมือนตะขอที่สะกิดชวนให้ใจคนฟังคันยุบยิบ

“…มาแล้วสินะ…”

ส่วนตัว: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์

ส่วนตัว: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์

Status: Ongoing
กล่าวได้ว่าชีวิตของ ฉู่หลิวเยว่ นั้นช่างแสนอาภัพ แม้เป็นบุตรสาวคนโตของตระกูลฉู่แต่กลับเป็นผู้ที่มีชีพจรไร้สามารถ ไม่อาจฝึกพลังใดได้จึงทำให้ถูกคนรังแกมาตั้งแต่เล็ก แม้แต่องค์รัชายาทที่เป็นคู่หมั้นก็ยังไม่เคยมาดูแลและคิดแต่จะถอนหมั้นกับนาง ชีวิตของฉู่หลิวเยว่คงดำเนินต่อไปเช่นนั้น หากน้องสาวคนดีของนางไม่ส่งนักฆ่ามาเพื่อสังหารนางทำให้ดวงวิญญาณแค้นของ ซั่งกวนเยว่ ได้เข้ามาครอบครองร่างนี้แทน คนไร้ค่าอย่างนั้นรึ นางที่เป็นอดีตองค์หญิงลิขิตสวรรค์ผู้แตกฉานด้านการแพทย์และเป็นผู้มากพรสวรรค์แห่งแคว้นย่อมไม่อาจยอมรับคำสบประมาทนี้ได้จริงๆ! ในเมื่อพวกเขาล้วนดูถูกผู้อ่อนแอ นางก็จะแสดงให้เห็นว่าคนอ่อนแอผู้นี้แหละจะเหยียบพวกเขาให้จมดินได้อย่างไร! ควบคุมสัตว์เทพอสูร หลอมรวมพลัง เชี่ยวชาญด้านการแพทย์และยาพิษ เพื่อยื้อชีวิตเหล่ามนุษย์และทวยเทพ! นางขอสาบาน นางจะทำให้คนที่เคยทรยศเหยียดหยามนางพวกนั้นได้รับกรรมอย่างสาสมเป็นร้อยเท่าพันทวี! ตอนแรกทุกคนเตือนเขาว่า “ท่านหลีอ๋อง บุตรสาวที่ตระกูลฉู่ทอดทิ้งผู้นั้นไม่คู่ควรกับพระองค์!” ต่อมาทุกคนกลับเย้ยหยัน “องค์ชายผู้อ่อนแอ ไม่คู่ควรกับองค์หญิงลิขิตสวรรค์ผู้สูงส่ง!”

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท