ยอดหมอหญิงมหัศจรรย์ บทที่ 471
กุ้ยไท่เฟยเอ่ยออกมา “ได้ยินมาว่ามีมากกว่าร้อยคนที่มีอาการป่วยแล้ว ส่วนคนที่เหลือนั้นก็เคยสัมผัสกับผู้ที่ป่วยมาแล้ว เลยไม่รู้ว่าจะติดโรคมาด้วยหรือไม่ จึงจำต้องปิดล้อมเมืองเอาไว้เพคะ”
หวงไท่โฮ่วเอ่ยออกมาด้วยความกังวล “แต่ว่าคนของหมู่บ้านศิลานี้ก็ไปมาหาสู่กับคนท้องที่อื่นอยู่บ่อย ๆ มีหรือไม่มีผู้ที่เข้ามาทำหาเลี้ยงชีพอยู่ในเมืองหลวง? หากว่ามีแล้วนั้น ในขณะที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวแพร่ออกไปให้ผู้อื่น แต่ไม่ได้แสดงอาการออกมา หากเป็นเช่นนี้แล้วโรคระบาดนี้ก็จะแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว”
กุ้ยไท่เฟยเองใบหน้าก็แสดงความกังวลออกมา “หมู่บ้านศิลานั้นมีราษฎรบางส่วนที่ทำไร่ทำนา แต่ว่าก็ยังมีอีกบางส่วนของราษฎรนั้นออกมาทำมาหาเลี้ยงชีพนอกเมือง แน่นอนว่าจะต้องเคยสัมผัสกันกับผู้อื่น ได้ข่าวมาว่าในจำนวนของผู้ที่มีอาการป่วยไข้นั้น ก็มีอยู่สิบกว่าคนที่ตั้งร้านทำการค้าขายเล็ก ๆ อยู่ในเมืองหลวง”
หวงไท่โฮ่วใบหน้าดูตกใจ “ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว อาการป่วยไข้นี้ก็อาจจะแพร่มายังเมืองหลวงได้? เมืองหลวงนั้นมีประชากรอยู่อย่างหนาแน่น หากว่ามีการแพร่กระจายออกไป นี่ไม่ได้การแล้ว”
กุ้ยไท่เฟยถอนหายใจออกมาเบา ๆ “หม่อมฉันเองก็เป็นกังวลในจุดนี้เช่นกัน มิเช่นนั้นก็คงจะไม่รีบร้อนเข้าวังมาคุยกับท่านพี่ เรื่องนี้ชั่งหนักหนาเอาการ ตอนนี้ผู้คนในเมืองหลวงจิตใจต่างก็พากันตื่นตระหนก ใคร ๆ ต่างก็พากันสงสัยว่าฝ่ายตรงข้ามจะเป็นผีดิบ
“ผีดิบนี้นั้น?” หวงไท่โฮ่วป็นผู้ที่เสื่อมใสในพระพุทธศาสนา สำหรับเรื่องราวที่เหนือธรรมชาตินั้นมักจะปักใจเชื่อโดยที่ไม่มีข้อสงสัย “จะมีเรื่องอื่นแอบแฝงอยู่หรือไม่?”
กุ้ยไท่เฟยโบกมือ “ไม่ใช่ผีดิบอะไรกัน เป็นเพียงแค่โรคชนิดหนึ่งเท่านั้นเพคะ”
“หมอหลวงเองก็ไม่มีวิธีการแล้วไม่ใช่หรือ?”
กุ้ยไท่เฟยเอ่ยออกมา “บอกมาว่าไม่มีวิธีการแล้ว ไม่อย่างนั้น ท่านลองเรียกตัวหมอหลวงเข้ามาสอบถามดูเสียหน่อย?”
หวงไท่โฮ่วเอ่ยสั่งซุนกงกงลงไปในทันที “เรียกตัวใต้เท้าหยวนพ่านเข้ามา”
ซุนกงกงเอ่ยตอบกลับ “พ่ะย่ะค่ะ บ่าวจะไปสั่งคนให้ไปเรียกตัวมา”
หยวนพ่านวันนี้ไม่ได้ไปยังหมู่บ้านศิลา แต่ก็ได้จัดส่งหมอหลวงไปสองคน หนึ่งในนั้นยังเป็นผู้ที่เคยรักษาให้แก่อ๋องเหลียงมาก่อนในวันนั้นอย่างหมอหลวงหลิว เริ่มแรกถูกพระสนมเหมยปกป้องไว้ จากนั้นก็ได้รับคำชมจากพระสนมอี๋ ดังนั้นจึงได้รับอนุญาติให้นำความผิดนั้นเอามาลบล้างกับความดีได้ มาตอนนี้เกิดโรคระบาดเข้าต้องการหมอหลวงเข้าไปตรวจสอบ เขาผู้นั้นจึงเป็นคนแรกที่จำต้องไป
ดังนั้นในตอนที่หยวนพ่านเขามานั้น จึงได้นำหมอหลวงหลิวเข้ามาด้วย
หมอหลวงหลิวคุกเข่าลงต่อหน้าหวงไท่โฮ่ว เอ่ยออกมาราวกับว่าภายในใจนั้นมีความตื่นกลัวซ่อนอยู่ “ทูลหวงไท่โฮ่วพ่ะย่ะค่ะ ช่างน่าหวาดกลัวโดยแท้ ผู้ที่ได้รับอาการป่วยไข้นี้ เหมือบกับว่าจะวิปลาสไปแล้วเสียอย่างนั้น แต่ละคนล้วนแต่ต้องการจะกัดผู้อื่น หากว่ากระหม่อมไม่ได้รับการคุ้มครองจากเหล่าทหารแล้ว เกรงว่าก็อาจจะโดนพวกเขากัดเข้าเสียแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นได้ตรวจสอบออกมาได้หรือไม่ว่าคือโรคอะไรกันแน่?” หวงไท่โฮ่วเอ่ยถามต่อ
หมอหลวงหลิวส่ายศีรษะ “หวงไท่โฮ่วได้ทรงโปรดระงับโทสะด้วย กระหม่อมนั้นไม่มีความสามารถพ่ะย่ะคะ ไม่ทราบว่าตกลงแล้วมันคือโรคอะไรกัน จากที่มองเห็นภายนอกนั้น เหมือนกับโรคพิษสุนัขบ้า แต่ว่าโรคพิษสุนัขบ้านี้ไม่ได้มีเพียงแต่การกัดผู้คนเท่านั้น ผู้ที่ได้รับการติดเชื้อเหล่านี้ เพียงแค่ได้กลิ่นก็ต้องการที่จะกัดคนเสียแล้ว ดวงตาของพวกเขาเหมือนกันกับดวงตาขอกระต่าย มีสีแดงก่ำ ช่างน่าหวาดกลัวเสียจริงพ่ะย่ะคะ หากว่าไปในตอนค่ำมืดแล้วนั้น ยังจะนึกว่าพบกับผีเข้าก็เป็นได้”
หยวนพ่านเอ่ยออกมา “ต่อหน้าหวงไท่โฮ่ว มิอาจพูดจาเหลวไหลได้”
หมอหลวงหลิวกลับเอ่ยขึ้นมาว่า “หามิได้ ท่านหมอ หากว่าท่านไปเห็นเหตุการณ์ดังกล่าวด้วยตนเองแล้ว ก็จะรู้ได้ว่าข้าน้อยไม่ได้พูดเกินจริงแม้แต่ส่วนหนึ่ง”
หวงไท่โฮ่วเมื่อได้ฟังคำของหมอหลิวแล้ว ในใจก็อดไม่ได้ที่จะเกิดความหวาดกลัว คิดไปต่าง ๆ นา ๆ ถึงหลายเรื่องราวที่เกิดขึ้นมากมาย ลูกหลานของตระกูลมู่หรงเองก็ไม่เป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกัน หรือว่าจะเป็นเพราะว่าสวรรค์กำลังจะลงโทษ ใช้โรคระบาดผีดิบออกมาตักเตือนราชวงศ์?
กุ้ยไท่เฟยราวกับรู้ว่าหวงไท่โฮ่วนั้นภายในใจกำลังคิดอะไรอยู่ ถึงได้ถอนหายใจออกมาแล้วเอ่ย “มาตอนนี้ประเทศเกิดเรื่องขึ้นมากมาย หรือจะเป็นเพราะว่ามู่หรงเจี๋ยของพวกเรานั้นไม่สามัคคีกัน คิดไปแล้วที่หม่อมฉันก่อเรื่องมากมายมานั้น จริง ๆ แล้วก็เหมือนจะเกินไป โดยเฉพาะหลังจากที่ซือจูจากไปแล้ว หม่อมฉันทุก ๆ คืนก็คิดทบทวนตนเอง มักจะคิดว่าตนนั้นเป็นคนที่ผิดบาปยิ่งนัก ดังนั้นวันนี้ที่หม่อมฉันเข้าวังมานอกจากจะมาพูดคุยกับท่านพี่แล้วนั้น ยังอยากจะเอ่ยขอโทษต่อท่านพี่สักคำ หม่อมฉันนั้นทำผิดมามากมายหลายเรื่อง หวังว่าท่านพี่จะให้อภัยแก่หม่อมฉันด้วยนะเพคะ”
ยอดหมอหญิงมหัศจรรย์ บทที่ 467
ใช่ ช่วงระหว่างเวลาที่พูดคุยกันนั้น ก็พบว่ามีองครักษ์เดินเข้ามาจากลานด้านนอกเอ่ยรายงาน “ท่านแม่ทัพ ข้าน้อยเมื่อครู่พบเห็นทหารกลุ่มใหญ่เคลื่อนทัพไปยังหมู่บ้านศิลา”
“กลุ่มใหญ่?” ซูชิงขมวดคิ้วขึ้นมา “ไปหมู่บ้านศิลาทำอะไรกัน?”
หมู่บ้านศิลาอยู่ห่างจากที่นี่เพียงเดินทางสามลี้เท่านั้น ข้ามยอดเขาไปก็ถึงแล้ว
“ไม่ทราบเช่นกันขอรับ มีประมาณสองสามร้อยนาย เดินทางไปอย่างรีบร้อนมากขอรับ
“ผู้ที่นำทัพนั้นเป็นท่านแม่ทัพฉีขอรับ”
“สองสามร้อยนายมากถึงเพียงนี้เชียวหรือ?” ซูชิงและเซียวท่ามองสบตากัน แล้วแต่รู้สึกประหวั่นพรันพรึง อีกทั้งแม่ทัพฉีนั้นเป็นผู้ดูแลรักความสงบเรียบร้อยของเมืองหลวง ทั้งยังเป็นสำนักงานความมั่นคงของเมืองหลวงที่ท่านอ๋องเพิ่งจะจัดตั้งขึ้นมาใหม่อีกด้วย เขานำคนไปที่หมู่บ้านศิลานี้ หรือว่าที่หมู่บ้านศิลาจะเกิดเรื่องขึ้นเสียแล้ว?
เซียวท่าเอ่ยสั่งลงไป “ไปตรวจสอบมาเดี่ยวนี้ ดูว่าหมู่บ้านศิลาตกลงแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
“ขอรับ!” องครักษ์โค้งคำนับแล้วหมุนกายออกไป
หวางหยูเริ่มที่จะมีอาการกระตุกขึ้นมา เริ่มจากใบหน้าที่เป็นตะคริว แล้วจากนั้นแขนขาก็เริ่มที่จะกระตุก แต่ว่าอาการกระตุกนั้นไม่หนักหนามากนัก
“เมื่อใดกันที่เขาเริ่มที่จะมีอาการแบบนี้?” จื่ออันเอ่ยถามซูชิงออกมา
ซูชิงเอ่ยตอบกลับ “เริ่มตั้งแต่วันก่อน ก็ปรากฏอาการกระตุกเกร็ง แต่อาการนั้นเป็นเพียงแค่บางเบา เพิ่งจะมามีสองวันนี้ที่อาการเริ่มจะบ่อยครั้งขึ้น อีกทั้งก็เริ่มที่จะหนักขึ้น”
จื่ออันในใจนั้นสั่นไหว “ซูชิง เจ้าวางยาสลบให้เขาหน่อย ข้าจะลองฝังเข็มให้เขาเสียหน่อย”
บางที่อาจจะลองใช้วิธีเข็มพุ่งทะยานเพื่อที่จะกระตุ้นเส้นประสาท หากว่าอาการป่วยเยี่ยงนี้สามารถเข้าควบคุมผ่านทางเส้นประสาทได้แล้ว ถ้าอย่างนั้นการใช้วิธีเข็มพุ่งทะยานบางทีอาจจะมีผลต่อการรักษาก็เป็นได้
“ช่วยได้หรือไม่ขอรับ?” ซูชิงชั่วขณะนั้นในแววตาเริ่มจะมีความหวังขึ้นมา
“ยังไม่รู้แน่ชัดได้ ม้าตาย…ลองดูเถอะ” นางเดิมนั้นอยากจะเอ่ยว่าถึงจะเป็นม้าที่ตายแล้วก็จะรักษาให้เหมือนกับม้าที่มีชีวิต แต่ว่าพี่สะใภ้ใหญ่ยังคงอยู่ที่นี่ คำพูดนี้หากนางได้ฟังแล้วคงจะโศกเศร้าเป็นอย่างมาก
ซูชิงรีบร้อนสั่งให้คนจัดเตรียมยาสลบ ยิงออกไปจากกล่องไปยังกายของหวางหยู
เพียงแค่ครู่เดียวหลังจากนั้น หวางหยูก็ตกอยู่ในอาการสลบไสล
ซูชิงเปิดกรงเหล็กออกมา ให้องครักษ์นำตัวหวางหยูย้ายออกมา
พี่สะใภ้ใหญ่หวางคอยมองดูอยู่ด้านข้าง มองแล้วมองอีกมายังจื่ออัน แววตาเคลือบแคลงสงสัยนั้นค่อย ๆ ที่จะจางหายไป
ซูชิงได้สั่งให้คนนำตัวหวางหยูย้ายไปยังบนเตียงในห้อง และเพื่อความรอบคอบ เขายังใช้เชือกมัดเขาไว้อีกรอบนึง
จื่ออันนำเข็มออกมา นี่เป็นครั้งแรงที่ใช้วิธีการของเข็มทะยาน ก่อนหน้านี้นางเองก็ไม่ได้ฝึกซ้อมบนกายเทียม ดังนั้นนางเองก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา
เมื่อหยิบเข็มขึ้นมา นางภายในใจนั้นก็ฝึกซ้อมจุดที่ต้องฝังเข็มเข้าไป จัดเรียงลำดับเอาไว้
เข็มทะยานนั้นค่อนข้างที่จะมีกรรมวิธี ดังนั้น เริ่มต้นตั้งแต่ขั้นตอนแรกที่ฝังเข็ม
แถวที่ต้องฝังเข็มนั้นมีตำแหน่งมากกว่าสิบจุด และจะต้องทำให้สำเร็จภายในครั้งเดียว
นี่เป็นทักษะการฝังเข็มที่ต้องมีความปราณีตเป็นอย่างมาก เพราะว่าจะต้องเลือกจุดที่จะฝังเข็มนั้นภายในเวลาอันสั้น หากเริ่มทำการฝังเข็มทะยานแล้วนั้นเมื่อยกเข็มขึ้น ก็จะต้องทำเข็มทะยานครั้งต่อไปอย่างรวดเร็ว ไม่อาจมีช่วงที่หยุดพักได้
นอกจากทักษะการฝังเข็มอันประณีตแล้ว นอกจากนี้จะต้องเลือกจุดฝังเข็มด้วยความเข้มงวด เพราะหากว่าจุดฝังเข็มไม่ถูกต้องแล้ว การฝังเข็มในครั้งนี้ก็จะไม่มีผลประโยชน์อันใด ที่ทำมาก่อนหน้านี้ก็จะไม่มีค่าอันใดเลย จะต้องทำการเริ่มต้นใหม่ตั้งแต่ต้นอีกครั้ง
อาจจะพูดได้ว่า จุดฝังเข็มทั้งสิบกว่าจุดนี้ เพียงแค่จุดเดียวก็ไม่อาจผิดพลาดได้
หลังจากที่นางทดลองแล้วนั้น นางจึงได้เอ่ยกับซูชิง “เจ้าช่วยข้าประคองศีรษะเขาเอาไว้ให้มั่น ค่อย ๆ หันด้านข้างมา”
“ตกลง!” ซูชิงเมื่อพบว่านางนั้นตื่นเต้น เขาเองก็พลอยตื่นเต้นตามไปด้วย ก่อนหน้านั้นจื่ออันทำการรักษา นางราวกับว่าลงมืออย่างง่ายดายนัก ไม่เคยพบว่านางจะตื่นเต้นเยี่ยงนี้
จื่ออันข่มลมหายใจเอาไว้ เลือกจุดที่จะฝังเข็มก่อนเป็นอันดับแรก ปากก็เอ่ยออกมา “จุดเสินถิ้ง จุดป๋ายฮุ่ย จุดโฮ่วดิง จุดเฉียงเจียน จุดหน่าวฮู้ จุดเจิ้งอิง จุดเฉิงหลิง จุดเจียงเซี่ยว จุดเฟิงซือ จุดหยางป๋าย จุดหยู่ยาว…”
จุดฝังเข็มเหล่านี้ที่กระจายออกไปนั้น เริ่มตั้งแต่ศีรษะไปจนด้านหลังใบหูก็มี หน้าผากเองก็มี รวมทั้งจุดที่มีเส้นผมเองก็ด้วย การเลือกจุดฝังเข็มเหล่านี้ หากว่ามีข้อผิดพลาดแล้วนั้นก็ต้องเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง และโอกาสในการเริ่มต้นใหม่นั้นมีเพียงแค่สามครั้งเท่านั้น เพราะว่ามีจุดฝังเข็มบางจุดนั้น ไม่สามารที่จะกระตุ้นมันมากเกินไป ไม่เช่นนั้นอาจจะส่งผลกระทบที่ร้ายแรงมากยิ่งขึ้นได้
