ยอดหมอหญิงมหัศจรรย์ บทที่ 474
กุ้ยไท่เฟยถอนหายใจออกมาเบา ๆ “ซือจูนั้นเป็นคนที่ฉลาดหลักแหลม แต่กลับไม่ได้มีใจคิดเห็นเหมือนกันกับข้า นางติดตามข้ามาก็หลายปี ก็พอจะรู้ความคิดของข้า กลับเลือกที่จะหักหลังข้าในตอนสุดท้าย ฉลาดหลักแหลมแล้วมีประโยชน์อันใดกัน? ข้ารอบกายนั้นมีผู้ที่หลักแหลมอยู่มากพอแล้ว ที่ข้าต้องการคือเจ้าต้องจงรักภักดี”
“ข้าจะจงรักภักดีต่อไท่เฟยไม่เป็นสองแน่นอนขอรับ” อาฝูเอ่ยสาบาน
กุ้ยไท่เฟยค่อย ๆ ดื่มชาลงไป แววตาเผยเจตนาออกมา “ข้างกายข้า ขอเพียงผู้ที่จงรักภักดี หากว่าเมื่อใดพบว่าเริ่มเปลี่ยนใจขึ้นมา จุดจบก็จะเป็นเหมือนกับซือจู”
อาฝูนึกถึงซือจูที่ตายอย่างน่าเวทนา ในใจหนาวเหน็บขึ้นมา แต่ก็รู้สึกยินดียิ่งนักที่เห็นความย่อยยับของนาง นางสมควรที่ะได้รับมันแล้ว นางไม่รู้สถานะของตน คิดว่าหากแอบหลบไปพึ่งพาท่านอ๋องแล้วคงดีกว่า อีกทั้งยังคงคิดว่าไท่เฟยจะทำใจฆ่านางไม่ได้
“เจ้ายิ้มอะไรกัน?” กุ้ยไท่เฟยอยู่ ๆ ก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
อาฝูตกตะลึงไป เร่งรีบเก็บคืนสีหน้า “บ่าวเมื่อครู่กำลังคิดถึงเรื่องราวที่ป้าซือจูทำในตอนที่นางยังมีชีวิตอยู่ จึงได้ยิ้มออกมา ขอกุ้ยไท่เฟยทรงประทานอภัยด้วยขอรับ”
เขารู้ว่ากุ้ยไท่เฟยถึงแม้จะจัดการซือจูด้วยการฆ่าทิ้งเสีย แต่ว่ากลับไม่ยอมให้ผู้ใดพูดถึงนางในทางที่ไม่ดีแม้แต่ครึ่งคำ และก็จะไม่ยอมให้ผู้ใดรู้สึกยินดีที่เห็นความย่อยยับของนาง ดังนั้นเขาจึงจำต้องรีบเอ่ยอธิบายออกมา
กุ้ยไท่เฟยเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “อาฝู เจ้าทำในเรื่องที่ตนควรจะทำให้ดีเป็นพอ เมื่อไม่มีประโยชน์ คิดอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์”
อาฝูในใจสั่นกลัว “ขอรับ!”
ภายในใจเขานั้นไม่ยินยอม ประโยคนี้ของกุ้ยไท่เฟยเขารู้ความหมายดี เขาเองก็อยากที่จะสูงส่งเหมือนเช่นดั่งซือจู แต่ก็เป็นไปไม่ได้
แต่ว่าถือสิทธิ์อะไรกัน? ซือจูนั้นได้หักหลังนางไปแล้ว นางทำไมถึงได้แต่จดจำแต่ความดีของนาง?
หากว่าจดจำถึงความดีของนาง แล้วทำไมถึงต้องฆ่านางกัน?
และหลังจากที่ฮูหยินผู้เฒ่าได้กลับไปแล้วนั้น ก็ได้ปรึกษาหารือกับมหาเสนาบดีเซี่ยอย่างละเอียด
“ทางด้านของกุ้ยไท่เฟย ก็เป็นทางออกที่ดีเช่นกัน แต่ว่าพวกเรานั้นได้ลงแรงไปมากแล้วกับองค์รัชทายาท หากว่าในตอนนี้มากลับลำไปพึ่งพิงกุ้ยไท่เฟย มันไม่คุ้มค่า” มหาเสนาบดีเซี่ยแสดงออกมาว่าไม่เห็นด้วย
ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ย “ไม่ใช่ว่าให้เจ้าแอบไปพึ่งพิงในตอนนี้ แต่ว่าให้เจ้าลองมองว่าผู้ใดดีกว่ากัน ทั้งสองฝ่ายในชั่วขณะนี้มิอาจจะล่วงเกินได้ ถึงแม้ว่าตอนนี้จุดมุ่งหมายของทั้งสองฝ่ายจะไม่เหมือนกัน แต่ว่าผลลัพท์นั้นกลับเหมือนกัน ราชครูนั้นต้องการที่จะทำให้ราษฎรมีใจหวาดหวั่น กุ้ยไท่เฟยนั้นต้องการที่จะฆ่าเซี่ยจื่ออัน นี่ก็เป็นจุดมุ่งหมายของพวกเราเช่นกัน อย่างน้อยพวกเราที่กระทำเรื่องกันอยู่ในตอนนี้ ทั้งสองต่างล้วนแต่มิอาจล่วงเกินได้”
มหาเสนาบดีเซี่ยส่งเสียงอืมออกมา “ถ้าอย่างนั้นก็ดูกันไปก่อน อย่างน้อย หากว่าเซี่ยหว่านเอ๋อสามารถที่จะแต่งให้แก่องค์รัชทายาทได้ ถ้าอย่างนั้นข้าก็ได้เป็นกั๋วจิ้วแล้ว รวมกับตำแหน่งมหาเสนาบดี ก็เหนือไปกว่าราชครูแล้ว”
“ไม่อาจที่จะคิดเยี่ยงนี้ได้ ตำแหน่งกั๋วจิ้วนี้สุดท้ายแล้วก็เป็นเพียงแค่จินตนาการเท่านั้น พวกเราได้ต้องการเพียงแค่ชื่อเสียงในจินตนาการ ไม่มีอำนาจ ทุกอย่างล้วนแต่เป็นของปลอม ตำแหน่งมหาเสนาบดีของเจ้าในตอนนี้ใกล้ที่จะโดนผู้สำเร็จราชการแทนองค์จักรพรรดิกำจัดอยู่แล้ว ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว ก็คงจะไม่ถึงกับต้องเดินมาถึงจุดนี้กัน ลูกชายข้า เจ้าจำเอาไว้ ตระกูลเซี่ยของพวกเรานั้นอ่อนแอยิ่งนัก ไม่มีอำนาจเพียงพอ ต้องการที่พึ่งพิงที่ยิ่งใหญ่ฝังรากลึกถึงจะยืนได้อย่างมั่นคง ผู้สำเร็จราชการแทนองค์จักรพรรดิและกุ้ยไท่เฟยอย่างไรเสียก็เป็นแม่ลูกกัน เขาจะต้องหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญหน้ากับกุ้ยไท่เฟยอยู่บ้าง ทุกอย่างก็จะคล่องตัวขึ้น เพราะฉะนั้น หากว่าติดตามกุ้ยไท่เฟยแล้ว สถานการณ์ของพวกเราจะต้องดีกว่าติดตามราชครูเป็นแน่”
มหาเสนาบดีเซี่ยเมื่อพบวาสมารดาของตนเปลี่ยนความคิดแล้ว จึงได้เอ่ย “ได้ขอรับ ลูกจะลองคิดไตร่ตรองดู”
“ที่สำคัญที่สุดคือ” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยออกมาเรียบเฉยว่า “พวกเราก็ไม่ต้องมาคอยพึ่งพาคนนอกอย่างเซี่ยหว่านเอ๋ออีก ความอัปยศนี้ที่เจ้าอดทนอยู่ ในขณะเดียวกันก็สร้างความอัปยศให้แก่ข้าเช่นกัน”
มหาเสนาบดีเซี่ยเมื่อได้ฟังมาจนถึงจุดนี้ ก็กำหมัดแน่น ไม่ผิด เรื่องนี้สำหรับเขาแล้ว เป็นความอัปยศอย่างหนึ่ง
ยอดหมอหญิงมหัศจรรย์ บทที่ 470
หลังจากที่จื่ออันกลับมาถึงจวนมหาเสนาบดีแล้ว ก็ค้นดูทักษะการฝังเข็มทอง คาดไม่ถึงว่าจะเข้าใจถึงอันดับเริ่มต้นของจุดฝังเข็มทยานว่าจริง ๆ แล้วควรเริ่มต้นจากจุดไหนกันแน่
เมื่อนึกไปถึงการระบาดที่หมู่บ้านศิลาแล้วนั้น ก็เกิดความรู้สึกกลัวที่จะเป็นแบบเดียวกัน ดังนั้นนางจึงไม่มีใจที่จะคิดต่ออีก
เขาในตอนนี้คงจะรู้สึกเบื่อขึ้นมาแล้ว? ก่อนหน้านี้เขายังเอ่ยออกมาว่า โรคผีดิบนี้ได้รับการควบคุมเอาไว้แล้ว นอกจากหวางหยูแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดติดโรคอีกแล้ว
ตอนนี้เพียงแค่ชั่วระยะเวลาหนึ่งก็ปะทุอยู่ในหมู่บ้าน อีกทั้งอยู่ห่างจากเมืองหลวงเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น เรื่องนี้หากว่าจัดการไม่เรียบร้อยแล้วนั้น ก็จะทำให้เกิดความตื่นตระหนกขึ้นมาได้
มู่หรงเจี๋ยจริง ๆ แล้วนั้นกังวลเป็นอย่างมาก วันนี้ว่าราชการในตอนเช้านั้น มหาเสนาบดีเซี่ยนั้นลาไม่ได้เข้าร่วมด้วย แต่หลังจากที่ราชการในตอนเช้านี้หารือกันสำเร็จแล้ว กลับได้รับการรายงานว่าในหมู่บ้านศิลานั้นเกิดการระบาดของโรคผีดิบนี้ขึ้น มีประชากรเป็นจำนวนมากที่ติดโรคระบาดนี้ เกิดเหตุการณ์ที่มีผู้คนกัดผู้อื่นขึ้นมา
หมู่บ้านศิลานี้เดิมก็เป็นจุดเริ่มต้นที่มีการค้นพบโรคผีดิบขึ้นมา ก่อนหน้านี้ก็มีการส่งกองทหารรักษาการณ์เข้าไปยังที่นั่น แต่ว่าหลังจากที่ได้รับการควบคุมแล้วนั้น คนก็ได้แยกย้ายกันออกไป ไม่คิดว่าแยกย้ายกันไปเพียงแค่ไม่กี่วันเท่านั้น ก็กลายเป็นภัยพิบัติครั้งใหญ่เสียแล้ว
อีกทั้งเรื่องนี้ก็มิอาจจะจัดการเป็นการส่วนตัวได้ เพราะว่ามหาเสนาดีเซี่ยได่เอ่ยออกมาต่อหน้าเหล่าข้าราชบริพานนับร้อยคนในตอนที่เข้าร่วมว่าราชการในตอนเช้าแล้ว เขาจึงจำเป็นต้องจัดส่งคนเข้าไปปิดล้อมหมู่บ้านศิลาในทันที
และในขณะเดียวกันนั้น มู่หรงเจี๋ยก็ได้จัดส่งเหล่าแพทย์ประจำสำนักฮุ้ยหมินและหมอหลวงเข้าไปยังหมู่บ้านพร้อมกัน และส่งผู้ดูแลความปลอดภัยของเหล่าแพทย์ประจำสำนักฮุ้ยหมิน และหมอหลวงไปอีกสามร้อยนาย
จริง ๆ แล้วมู่หรงเจี๋ยนั้นรู้ดีว่าส่งหมอหลวงและเหล่าแพทย์ประจำสำนักหมอหลวงไปนั้นก็ไม่มีประโยชน์อันใด หมอในกองทัพเคยจัดการกับโรคผีดิบเหล่านี้แล้ว กล่าวได้ว่าแทบจะหมดหนทางแล้ว
แต่ว่าก็ต้องทำอะไรลงไปสักอย่าง เขารู้สึกว่าจะต้องมีผู้ที่สมคบคิดกันอยู่ ก่อนหน้านี้นั้นโรคภัยประเภทนี้เกิดขึ้นค่ายทหาร เขาคาดเดาเอาว่าต้องการจะให้แพร่กระจายไปในกองทัพ แต่ว่าเมื่อมาคิดในวันนี้นั้น รู้สึกว่าอาจจะมีความเป็นไปได้อื่นแอบแฝงอยู่
อาศัยช่วงที่มีโรคผีดิบนี้เกิดขึ้นในกองทัพดึงดูดความสนใจของเขาเอาไว้ จากนั้นปล่อยพิษประเภทนี้ไว้ในเมืองหลวงอย่างเงียบ ๆ ราษฎรเมื่อแตกกระจายกันไปแล้ว หากว่าราชสำนักไม่มีทางออกให้แล้ว ก็จะทำให้จิตใจของผู้คนพากันเปลี่ยนตามไปด้วย
ดังนั้นเขาไม่อาจที่จะปลีกตัวออกมาจากหมู่บ้านศิลาได้ เพื่อไม่ให้โรคระบาดนี้แพร่กระจายต่อไปอีก
ในขณะเดียวกันนั้น ก็ให้แม่ทัพฉีตรวจค้นทั่วทั้งเมือง เมื่อพบเจอกับผู้ที่ต้องสงสัยว่าจะมีอาการป่วยไข้ ก็ให้รีบกลับมารายงาน และยังให้ส่งหนังสือแจ้งไปยังหัวเมืองต่าง ๆ เพื่อที่ให้ทุกท้องที่ระมัดระวังโรคผีดิบนี้ปรากฏขึ้นมา
มู่หรงเจี๋ยปวดหัวเป็นอย่างมาก เห็นได้ชัดว่านี้เป็นวางแผนสมคบคิดกันมานานแล้ว แต่ว่าเขามิอาจหาหลักฐานออกมาได้
เพื่อที่จะตรวจสอบถึงที่มาของโรคผีดิบนี้ เขาได้ส่งคนไปยังเกาะวิปลาสมารอบนึง
ก่อนหน้านั้นก็ได้เข้ามารายงานว่ามหาเสนาบดีเซี่ยได้ส่งคนให้ไปนำตัวคนไข้กลับมา หากว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงแล้วล่ะก็ ถ้าอย่างนั้นก็สามารถมั่นใจได้ว่าเกาะวิปลาสนี้ก็คือที่มาของโรคผีดิบนี้
มหาเสนาบดีก่อนหน้านี้ก็ให้ท่านหมอผู้หนึ่งของสำนักฮุ้ยหมินไปยังเกาะวิปลาสเพื่อรับคนกลับมา จากนั้นท่านหมอผู้นี้ก่อนหน้านี้เพียงแค่ไม่กี่วันก็มาป่วยตายไปเสีย จนถึงตอนนี้เริ่มที่จะมีเบาะแสขึ้นมาแล้ว แต่ทุกอย่างกลับไม่มีทางที่จะชี้ชัดว่าเป็นเซี่ยหวายจุนที่เป็นผู้กระทำ
มู่หรงเจี๋ยภายในใจนั้นรู้สึกอึดอัดรำคาญ เรื่องนี้ได้ยืดเยื้อมาเป็นเวลานานเกินไปแล้ว ยังมิอาจที่จะแก้ไขได้มาโดยตลอด วันนี้ก็เกิดการแพร่ระบาดในหมู่ราษฎรอีก ผลลัพธ์ที่ตามมาจะร้ายแรงสักเพียงใด ใครก็ต่างก็รู้กัน
หมอหลวงและท่านหมอของสำนักฮุ้ยหมินปรึกษาหารือร่วมกัน เพียงแค่วันเดียวก็กลับกันมาแล้ว
ไม่มีวิธีใด
จนถึงกับไม่รู้ว่ามันคืออาการป่วยไข้ของโรคอันใด และไม่รู้ว่าโรคนี้นั้นมาจากที่ใด อีกทั้งยังไม่รู้ว่าการแพร่กระจายนั้นนอกจากจะผ่านการกัดแล้วยังจะมีทางใดอีกบ้าง
เรื่องราวในครั้งนี้ หวงไท่โฮ่วเองก็ทรงทราบแล้ว
เป็นกุ้ยไท่เฟยที่เข้าวังมาในตอนที่ถวายพระพรนั้นเอ่ยออกมา หวงไท่โฮ่วเมื่อได้ฟังว่ามีการแพร่ระบาดที่หนักหนาเป็นอย่างมากในครั้งนี้ ก็ทรงตกใจเป็นอย่างมาก
“ตกลงแล้วมันคือโรคอะไรกันแน่ ผู้ที่โดนแพร่เชื้อเองก็สามารถที่จะไปกัดผู้อื่นต่อได้”
กุ้ยไท่เฟยเอ่ย “ไม่ทราบเหมือนกันเพคะ ท่านหมอของสำนักฮุ้ยหมินและหมอหลวงต่างล้วนก็ไปยังที่นั่นมาแล้ว ล้วนแต่เอ่ยว่าไม่มีวิธีการใดเลย เหมือนกันกับผีดิบอย่างไรอย่างนั้น ผู้ที่มีอาการป่วยไข้แล้วก็จะไปกัดผู้อื่น ผู้ที่โดนกัดก็จะไปกัดผู้อื่นต่อ”
“หมู่บ้านศิลามีราษฎรอยู่เท่าใดกัน?” หวงไท่โฮ่วเอ่ยถามซุนกงกง
ซุนกงกงเอ่ยตอบกลับ “ทูลหวงไท่โฮ่ว หมู่บ้านศิลานั้นมีราษฎรอยู่เจ็ดร้อยสามสิบห้าคนพ่ะย่ะคะ นับว่าเป็นหมู่บ้านที่มีความใหญ่อยู่พอประมาณ”
“ทั้งเจ็ดร้อยกว่าคนนี้ต่างก็ได้รับเชื้อกันแล้วหรือ?” หวงไท่โฮ่วตกใจ