ตอนที่ 285 ตกลงไปยืมเงินตั้งแต่ตอนไหน (2)
“เฮ้อ!”
ในหมู่อาจารย์มีคนถอนหายใจเบาๆ
จางอวี่แพ้แล้ว
แทบจะถูกฟางผิงอัดฝ่ายเดียว ไม่มีแรงโต้ตอบเลยสักนิด
ขึ้นชื่อว่าเป็นประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ จางอวี่ไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น เขาเข้าสู่ขั้นสี่ตอนกลาง ระยะห่างจากตอนปลายอยู่อีกไม่ไกลเช่นกัน
แต่พลังจิตใจเขาไม่แข็งแกร่งพอ แม้ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่จะสัมผัสถึงพลังจิตใจไม่ได้ แต่ยังคงมีการคงอยู่ของพลังจิตใจ
ทว่าพลังจิตใจของจางอวี่กลับไม่ได้เพิ่มขึ้นเท่าไหร่ แม้จะสังหารคนในถ้ำไปไม่น้อย ไอสังหารเข้มข้น แต่ตอนนี้ยังคงถูกฟางผิงควบคุมอย่างสิ้นเชิง
ตอบสนองไม่ทัน ทำได้แค่เป็นฝ่ายถูกซ้อมเท่านั้น
ตอนนี้ฟางผิงไม่ได้ใช้กระบวนท่าสังหาร แต่เจ็ดดาบรวมเป็นหนึ่ง แม้จะไม่ได้ระเบิดปราณมากมาย จางอวี่ก็ต้านได้ไม่นานอยู่ดี
—
“รุ่นพี่จาง แลกเปลี่ยนความรู้เท่านั้น ไม่มีความจำเป็นต้องทำถึงขั้นนี้!”
ฟางผิงเห็นจางอวี่ถูกตัวเองฟันไปหลายสิบดาบ กลับไม่เผยท่าทีจะถอนตัวออกจากสนามแม้แต่น้อย จึงรู้ว่าเขาคงไม่เป็นฝ่ายยอมแพ้ก่อน
ครู่ต่อมาฟางผิงไม่คิดชักช้าอีก
ทั้งสองมือปรากฏแสงสีแดง ระเบิดเสียงคำราม ก่อนจะซัดฝ่ามือออกไปอย่างรวดเร็ว!
‘ปัง!’
จางอวี่ทิ้งน้ำหนักเท้าลงกับพื้น สนามหญ้าถูกเหยียบจนเกิดหลุมลึก ถอยหลังไปไม่หยุดหย่อนติดต่อกันกว่าสิบก้าว มุมปากของจางอวี่มีเลือดไหลออกมาทันที ย้อมสนามหญ้าใต้ฝ่าเท้าจนกลายเป็นสีแดง
หลุดออกมาจากการควบคุมพลังจิตใจของฟางผิงได้ ตอนนี้จางอวี่มีสติเต็มเปี่ยม แววตากลับซับซ้อนอย่างเห็นได้ชัด
พลังจิตใจของฟางผิงแข็งแกร่งถึงขนาดนี้เลย เจอกับระดับเดียวกันแทบจะถูกควบคุมอย่างสิ้นเชิง ไม่อาจโต้ตอบได้
ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ตอนปลาย เกรงว่าอาจจะถูกควบคุมเช่นกัน
ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่สูงสุดหลอมอวัยวะภายในแล้ว ร่างกายควบคุมด้วยตัวเอง บางทีคงไม่ถึงกับถูกควบคุมเช่นนี้ แต่ก็อาจได้รับผลกระทบด้วย
เจอกับผู้ฝึกยุทธ์ที่มีพลังจิตใจแข็งแกร่งแบบนี้…ยากจะต้านทานจริงๆ
แน่นอนว่าหากเป็นคนอย่างหลี่หานซงคงทำได้ นอกจากเขาจะหลอมอวัยวะภายในสำเร็จ ยังหลอมกะโหลกแล้ว พลังจิตใจเล็กน้อยนี้ของฟางผิงแทบไม่อาจส่งผลกระทบต่อความสามารถของเขาได้ ทั้งควบคุมเขาไม่ได้เช่นกัน
“ฉันแพ้แล้ว”
จางอวี่ไม่ได้ขุ่นเคืองอะไร แค่เสียดายอยู่บ้างเท่านั้น
เดิมทีเขาก็ไม่ได้แสดงฝีมืออย่างเต็มที่กลับถูกฟางผิงเอาชนะซะแล้ว ตั้งแต่ต้นจนจบแทบจะถูกอัดอยู่ฝ่ายเดียวจึงเสียดายอยู่เล็กน้อย
พลังต่อสู้ของฟางผิง เขาแทบไม่เคยเห็นมาก่อน
น่าเสียดาย ฟางผิงไม่ยินดีที่จะใช้พลังต่อสู้กับเขาเพียงอย่างเดียว อันที่จริงพลังจิตใจก็ถือว่าเป็นการแสดงพลังต่อสู้เช่นกัน ตอนนี้คร่ำครวญอะไรก็เป็นเพียงเรื่องน่าขำขันเท่านั้น
“ขอบคุณที่ออมมือ!”
ฟางผิงประสานมือคารวะ ก่อนจะหันไปมองทุกคน เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ใครอยากประลองกับฉัน เข้ามาตอนนี้ได้เลย”
ฉินเฟิ่งชิงอยากลองอยู่บ้าง เฉินเหวินหลงกลับลังเลอย่างเห็นได้ชัด
ผ่านไปพักหนึ่ง ฉินเฟิ่งชิงก็ตะโกนว่า “รออีกไม่กี่วันฉันจะมาประลองนาย!”
สาเหตุที่ต้องรออีกไม่กี่วันเพราะเขายังฝึกเคล็ดวิชาระดับสูงไม่สำเร็จ
นี่หมายความว่าถ้าเขาประลองกับฟางผิง ทำได้เพียงต่อสู้ประชิดตัวเท่านั้น
หากต่อสู้ประชิดตัว เขาก็ต้องถูกผลกระทบจากการสั่นสะเทือนจิตใจ
แต่หากสำเร็จเคล็ดวิชาระดับสูง เขาจะสามารถต่อสู้กับฟางผิงระยะไกลได้ ไอดาบที่พุ่งพวยนั้นวัดกันที่การควบคุมเคล็ดวิชาต่อสู้อย่างแท้จริง ความแข็งแกร่งของปราณ ความเร็วต่ำและสูง
เรื่องพวกนี้ฉินเฟิ่งชิงไม่แพ้ฟางผิง
แต่ตอนนี้ฉินเฟิ่งชิงไม่มั่นใจอยู่บ้าง ตัวเองจะได้รับผลกระทบหรือเปล่า หากเป็นเหมือนกับจางอวี่แทบจะยืนให้อีกฝ่ายอัด นี่ไม่ใช่สไตล์ของเขา
ผู้ที่ยากจะต่อกรสองคนจากสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ เซี่ยเหล่ยพ่ายแพ้ในชั่วพริบตา ฉินเฟิ่งชิงเป็นฝ่ายปฏิเสธก่อน
ตอนนี้คนของสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ต่างก็ตกอยู่ในความเงียบเช่นกัน
เฉินเหวินหลงมองจางอวี่แวบหนึ่ง ลังเลอยู่พักใหญ่ ก่อนจะชักเท้ากลับที่เดิม
เขาไม่อาจอยู่ในมหาวิทยาลัยได้ตลอด ตอนนี้แม้จะต่อสู้กับฟางผิง เอาชนะอีกฝ่ายได้ นั่นแล้วยังไง?
สมาคมผู้ฝึกยุทธ์มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้อยากได้ผู้แข็งแกร่งมาควบคุมดูแล เขาไม่ยินดีที่จะรั้งตัวอยู่ งั้นก็อย่าประลองกับฟางผิงเลยดีกว่า
—
ไม่มีคนท้าประลอง
เซี่ยเหล่ยพ่ายแพ้ จางอวี่แทบจะถูกอัดอยู่ฝ่ายเดียว ฉินเฟิ่งชิงยอมแพ้ เฉินเหวินหลงไม่ลงสนาม
ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่คนอื่นๆ อย่างเช่นพวกเหลียงเฟิงหวา ด้านหนึ่งเป็นเพราะเพิ่งจะเข้าสู่ขั้นสี่ อีกด้านพวกเขาไม่คิดว่าตัวเองสามารถเอาชนะจางอวี่ได้อย่างง่ายดายจึงไม่เอ่ยอะไรออกไป
อู๋ขุยซานไม่ได้มองฟางผิง เอ่ยว่า “มีใครจะท้าประลองหรือเปล่า?”
ผ่านไปไม่กี่วินาที เห็นด้านล่างเวทียังคงเงียบ อู๋ขุยซานก็มองไปทางจางอวี่อีกครั้ง “จางอวี่ เธอมีอะไรอยากพูดหรือเปล่า?”
จางอวี่เช็ดคราบเลือดที่มุมปาก ส่ายหน้าเบาๆ
“ฟางผิงอยากเป็นประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ นักศึกษาทุกคนมีความเห็นยังไงบ้าง?” อู๋ขุยซานกวาดสายตามองนักศึกษาทั้งหมด
ในฝูงชนนั้น ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งขั้นสองบางส่วนแทบไม่มีอำนาจในการพูด
รุ่นของฟางผิง ฟู่ชางติ่งเอ่ยด้วยเสียงดังว่า “พวกเราไม่คัดค้าน!”
ฟู่ชางติ่งเป็นตัวแทนเอ่ยปากให้ปีสอง คนอื่นๆ ไม่โต้แย้งอะไรเช่นกัน
“ไม่คัดค้าน!”
เหลียงหวาเป่าที่เพิ่งทะลวงขั้นสามตอนปลายก็เอ่ยด้วยเสียงดังเช่นกัน
ทะลวงขั้นสามตอนปลายตอนปีสามถือว่าเป็นหนึ่งในคนที่แข็งแกร่งแล้ว
“ไม่คัดค้าน!”
เย่ฉิงเอ่ยสมทบ
“ไม่มีใครคัดค้านเลยใช่หรือเปล่า?”
อู๋ขุยซานถามออกมาอีกครั้ง
ในฝูงชนมีการเคลื่อนไหวเล็กน้อย ไม่รู้ว่าใครเอ่ยเสียงเบาว่า “ฟางผิงลงมือโหดเหี้ยมกับเพื่อนนักศึกษาเกินไป ปีหนึ่งเคยสังหารนักศึกษามหาวิทยาลัยเดียวกันมาแล้ว!”
อู๋ขุยซานเบนสายตาไปทางฟางผิง
ฟางผิงเอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “การแลกเปลี่ยนความรู้ของผู้ฝึกยุทธ์ หมัดเท้าไม่มีตา ตอนนั้นฉันเพิ่งจะเข้ามหาวิทยาลัย เป็นผู้ฝึกยุทธ์ได้ไม่นาน ฉันไม่มีผู้ฝึกยุทธ์ในครอบครัว ไม่เคยเข้าร่วมการต่อสู้จริงๆ มาก่อน รุ่นพี่ที่ประลองด้วยแข็งแกร่งกว่าฉัน ฉันทำได้แค่ทุ่มเทสุดกำลัง บาดเจ็บหรือตายเป็นเรื่องที่ยากจะหลีกเลี่ยง”
“นั่นก็โหดเหี้ยมเกินไปอยู่ดี!”
ฟางผิงไม่หันหน้าไปด้วยซ้ำ เชิดหน้ามองไปบนเวที “ขึ้นสังเวียนแล้ว จะเป็นหรือตายต้องรับผิดชอบเอาเอง หรือจะให้ผู้อ่อนแอเป็นคนออมมือ? วันนี้อธิการท้าประลองผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหก หรือจะให้ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหกคนนั้นออมมือระหว่างการประลอง? ผู้แข็งแกร่งเป็นฝ่ายท้าประลองผู้อ่อนแอ บาดเจ็บหรือตาย…ไม่อาจซักไซ้เอาความได้!”
อู๋ขุยซานได้ฟังก็เงียบไปพักหนึ่ง “นี่เป็นกฎ ขึ้นสังเวียนแล้ว เป็นหรือตายรับผิดชอบเอาเอง”
เวลานี้ด้านล่างเวทีไม่มีเสียงอะไรอีกแล้ว
อู๋ขุยซานเห็นแบบนั้นจึงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “งั้นจางอวี่และฟางผิง ช่วงนี้ส่งมอบงานกันให้เรียบร้อย”
พูดจบ อู๋ขุยซานก็มองฟางผิงด้วยแววตาลึกล้ำ “หวังว่าเธอจะนำพานักศึกษามหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ไปให้ได้ไกลกว่าเดิม แข็งแกร่งกว่าเดิม อาจารย์และนักศึกษาดูแลมหาวิทยาลัยร่วมกัน พวกเราพยายามไปด้วยกัน!”
“ขอบคุณอธิการ ผมจะไม่ทำให้เซี่ยงไฮ้เสียชื่ออย่างแน่นอน!”
“แยกย้ายได้!”
อู๋ขุยซานตะโกนเสียงดัง สาวเท้าเดินจากไป
ผู้มีตำแหน่งสูงคนอื่นๆ ทยอยเดินออกไปเช่นกัน
หลู่เฟิ่งโหรวไม่ได้พูดอะไรกับฟางผิง แต่ยังมองเขาไปแวบหนึ่ง เผยรอยยิ้มบางๆ
พวกนักศึกษาไม่มีใครแสดงความยินดี
จางอวี่ยังอยู่ที่นี่ อดีตประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ถูกเอาชนะจนเสียตำแหน่งไป นี่ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะแสดงความยินดี
หลายคนเผยแววตาซับซ้อนอย่างยิ่ง
ในฝูงชนมีเพียงฉินเฟิ่งชิงที่ไม่สนใจเรื่องพวกนี้ เอ่ยเสียงดังว่า “ฟางผิง ตำแหน่งนี้ฉันจะเอาให้นายก่อน อีกไม่กี่วันฉันจะมาเอาคืนอีกที!”
พูดจบฉินเฟิ่งชิงก็สาวเท้าออกไป
ฟางผิงกลับเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ครั้งหน้าจะประลองฉัน ต้องคืนเงินยี่สิบล้านมาก่อน ไม่งั้นฉันจะไม่รับการท้าประลองของนาย!”
ฉินเฟิ่งชิงชะงักฝีเท้า
อาจารย์และนักศึกษาทั้งมหาวิทยาลัยอยู่ที่นี่กันหมด ไอ้เวรฟางผิงเอ่ยถึงเรื่องที่เขาติดหนี้เพื่ออะไร?
ทั้ง…เงินยี่สิบล้านมาจากไหนกัน?
ฉินเฟิ่งชิงสังหรณ์ใจไม่ดีอยู่บ้าง เอ่ยเบาๆ ว่า “ครั้งก่อนแค่สิบล้าน…”
“งั้นฉันน่าจะจำผิด สิบล้าน ครั้งหน้าอย่าลืมคืนฉันล่ะ ทุกคนช่วยเป็นพยานด้วย!”
ฟางผิงพูดจบแล้วก็ตะโกนเสียงดังต่อ “เอาล่ะ แยกย้ายกันได้แล้ว สมาชิกสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ ตอนเย็นประชุมกัน!”
“ฉัน…”
ฉินเฟิ่งชิงอยากพูดอะไรสักหน่อย ฟางผิงกลับสาวเท้าเดินออกไปแล้ว
“ฉัน…”
ฉินเฟิ่งชิงก่นด่าอยู่พักหนึ่ง กวาดสายตามองคนรอบๆ เอ่ยอย่างโมโห “มองอะไร ฉันไม่ได้ติดเงินเขา!”
จางอวี่ที่บนร่างยังเปื้อนเลือดเดินผ่านเขาจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “นายคิดจะเบี้ยวหนี้ฉันก็แล้วไป แต่เบี้ยวหนี้เขา…ยากแล้ว!”
ฟางผิงคนนี้ไม่ใช่คนที่พูดง่ายขนาดนั้น
ฉินเฟิ่งชิงมีโทสะขึ้นมา กัดฟันว่า “ฉันไม่เห็นจำได้ว่าเคยยืมเงินเขา!”
“ตอนที่นายติดเงินฉันก็พูดแบบนี้”
จางอวี่ส่ายหัวเบาๆ ไม่พูดอะไรอีก คนขี้โกงอย่างฉินเฟิ่งชิง เจอกับตัวเองก็แล้วไป แต่คิดจะเบี้ยวหนี้ฟางผิง นั่นยุ่งยากอยู่บ้าง
ทุกคนฟังเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ใครจะเชื่อกัน!
ทั้งสองคนไม่ใช่คนดีอะไร ฟางผิงจงใจเพิ่มเงินขึ้นมาสิบล้าน ฉินเฟิ่งชิงเองตอนนี้ก็ยังไม่อยากคืนเงิน เรื่องนี้ทุกคนล้วนได้ยินเต็มสองหู
“ฉันไม่ได้ติดหนี้ใครจริงๆ…”
ฉินเฟิ่งชิงทำหน้าขุ่นเคือง ครั้งนี้ไม่ได้เบี้ยวหนี้จริงๆ
เขาไม่รู้ว่าจะเถียงข้างๆ คูๆ เปลี่ยนหนี้ฟางผิงเป็นสิบล้านทำไมเหมือนกัน
ทั้งทำถึงขั้นที่ตอนนี้รู้กันทั้งมหาวิทยาลัยแล้ว
“ไม่ได้ติดจริงๆ นะ!” ฉินเฟิ่งชิวพึมพำอีกครั้ง ก่อนจะบ่นกับตัวเองเล็กน้อย “ยังไงก็ไม่ถึงสิบล้าน อาจจะเคยยืมแค่ล้านสองล้าน ฉันลืมไปแล้ว…”
สิบล้านไม่ใช่อยู่แล้ว แค่ล้านสองล้าน…ไม่แน่ใจว่าตัวเองอาจจะลืมไปจริงๆ หรือเปล่า
“ตกลงไปยืมตั้งแต่ตอนไหนนะ?”
ฉินเฟิ่งชิงสะบัดหัว ถอนหายใจเบาๆ สาวเท้าจากไป ไว้ค่อยคิดอีกทีละกัน
——————-
ตอนที่ 282 เด็กที่ร้องไห้เป็นถึงจะมีนมกิน (1)
ฟางผิงออกมาจากสระปราณพร้อมชุดคล่องตัวสีดำที่เพิ่มขึ้นมา
อาจารย์ที่ดูแลสระปราณนั้นดีกว่าซ่งอิ๋งจี๋ที่เฝ้าห้องแหล่งพลังงานเยอะเลย คืนให้ฟรีๆ ไม่เก็บค่าใช้จ่ายเพิ่ม อาจเพราะกลัวว่าวันหนึ่งวันใดที่ฟางผิงล้ำหน้าเขาจะกลับมาคิดบัญชี
ด้านนอกสระปราณ
หลู่เฟิ่งโหรวยืนรออยู่หน้าประตู ตาเฒ่าหลี่หายวับไปแล้ว
ฟางผิงสาวเท้าเดินออกมา ละล่ำละลักว่า “อาจารย์กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ?”
“เมื่อกี้”
“ตอนนี้ถ้ำใต้ดินเป็นยังไงบ้าง? ทางเมืองตงขุย…”
ครั้งนี้หลู่เฟิ่งโหรวไม่ปิดบังอีก เอ่ยไปตรงๆ “เทียนเหมินบุกจู่โจมหลายครั้ง ถูกตีล่าถอยไปแล้ว ทหารนับสองแสนถูกพวกเราสังหารไปเกือบห้าหมื่นนาย! ส่วนผู้ฝึกยุทธ์ ระดับสูงตายในสงครามไปเจ็ดคน สูญเสียไปกว่าครึ่ง นอกจากนี้ยังมีระดับสูงหลายคนที่บาดเจ็บสาหัส รวมถึงเดรัจฉานผู้นั้นด้วย ถูกผู้บังคับการอู๋จัดการจนบาดเจ็บ ส่วนเมืองตงขุยนับตั้งแต่ถอนทัพออกไปครั้งก่อนก็ไม่ส่งทหารมาอีกเลย หากคาดการณ์ไม่ผิด…เมืองเทียนเหมินอาจจะอพยพด้วยเช่นกัน”
“อพยพ?”
“ยอดฝีมือระดับสูงสูญเสียไปกว่าครึ่ง แทบจะบาดเจ็บกันทุกคน อยู่ใกล้กับเมืองความหวังขนาดนี้ พวกเขาก็กลัวว่าพวกเราจะฆ่าระดับสูงของพวกเขาอีกน่ะสิ”
หลู่เฟิ่งโหรวเอ่ยด้วยรอยยิ้มเยียบเย็น “ประเทศจีนไม่ได้ไร้กำลังกำจัดเขา แค่ไม่อยากทำเท่านั้น กลัวว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น แต่ตอนนี้เมืองตงขุยเคลื่อนไหวทัพ ถ้ำใต้ดินเซี่ยงไฮ้ของพวกเรามีคู่ต่อสู้ใหม่ ความสำคัญของเมืองเทียนเหมินจึงถูกลดลง…”
“งั้นสิบเอ็ดเมืองอื่นๆ ล่ะครับ? มีความเคลื่อนไหวหรือเปล่า?”
“ตอนนี้ยังไม่มี”
หลู่เฟิ่งโหรวส่ายหัว ฟางผิงถามอย่างลังเลเล็กน้อย “ทางพวกเรา…”
“มีคนบาดเจ็บล้มตายเหมือนกัน ทางหน่วยทหารสูญเสียยอดฝีมือไปกลุ่มใหญ่…”
หลู่เฟิ่งโหรวเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ ชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยต่อ “มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้สูญเสียอาจารย์ไปจำนวนมากเหมือนกัน ตอนนี้อาจารย์ระดับกลางในเซี่ยงไฮ้ไม่ได้มีสี่ร้อยคนอีกแล้ว ความจริงมีแค่สามร้อยแปดสิบคนเท่านั้น ทางถ้ำใต้ดิน ตอนนี้ยังมีอาจารย์เฝ้าระวังอยู่กว่าห้าสิบคน กิจการแต่ละแห่งของมหาวิทยาลัยก็มีคนเฝ้ากระจัดกระจายกว่าสามสิบคน อาจารย์ส่วนหนึ่งกำลังทำภารกิจอีก…หลังจากเปิดเทอม อาจารย์ระดับกลางที่อยู่ในมหาวิทยลัยน่าจะไม่ถึงสามร้อยคน แต่จำนวนนักศึกษามีเกือบเจ็ดพันคน”
หลายปีที่ผ่านมาเกรงว่าตอนนี้จะเป็นช่วงเวลาที่เหลืออาจารย์น้อยที่สุดแล้ว
หลู่เฟิ่งโหรวไม่พูดถึงเรื่องนี้ต่อ เดินไปก็เอ่ยไปพลาง “อีกสองวันพวกอู๋ขุยซานจะกลับมหาวิทยาลัย อู๋ขุยซานรับตำแหน่งอธิการบดี ส่วนหวงจิ่งรับหน้าที่รองอธิการ มหาวิทยาลัยน่าจะเรียกตัวนักศึกษากลับมาล่วงหน้า เธอมีความคิดเห็นยังไง?”
ฟางผิงเอ่ยด้วยรอยยิ้มแห้งๆ “อาจารย์ นี่เป็นเรื่องของปรมาจารย์ ผมจะมีความคิดเห็นอะไรได้ ผมกลับอยากให้ตัวเองกลายเป็นอธิการ แต่ไม่มีหวังนี่ครับ”
หลู่เฟิ่งโหรวชะงักฝีเท้าเล็กน้อยราวกับกำลังลังเลว่าจะเตะเขาให้ตายดีหรือไม่
“ฉันหมายถึงช่วงที่สลับอำนาจเก่าใหม่นี้ ควรคิดที่จะหาผลประโยชน์ให้ตัวเองบ้าง เธอจะท้าประลองกับจางอวี่ไม่ใช่หรือไง? ตอนนี้จางอวี่ตั้งใจถอยจากตำแหน่งประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ แต่ได้ยินมาว่าคนที่เขาอยากให้มารับช่วงต่อคือเฉินเหวินหลง ทว่าเฉินเหวินหลงนั้นเหมือนกับเขา กำลังจะเป็นนักศึกษาปีสี่ ทั้งมักไม่อยู่ที่มหาวิทยาลัย เรื่องที่เฉินเหวินหลงจะรับตำแหน่งประธาน อาจารย์บางส่วนน่าจะไม่เห็นด้วย ที่ฉันจะสื่อคือเธอสามารถแย่งชิงได้ หากกลายเป็นเป็นประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ ในมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้เธอก็จะมีอำนาจในการพูดมากขึ้น”
“คุณหมายความว่าให้ผมไปแก่งแย่งอำนาจ?”
“ผิดแล้ว ฉันให้เธอไปช่วงชิงทรัพยากรต่างหาก!”
หลู่เฟิ่งโหรวเอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “ไม่ใช่แค่ทรัพยากร แต่สมาคมผู้ฝึกยุทธ์เป็นที่รู้กันดีว่ามีส่วนร่วมกับผู้มีอำนาจในการปกครองมหาวิทยาลัย เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของมหาวิทยาลัย จางอวี่ผู้นี้มีนิสัยโอนอ่อน ดังนั้นสมาคมผู้ฝึกยุทธ์อยู่ภายใต้การควบคุมของเขาจึงไม่แข็งแกร่งเท่าไหร่ ความเป็นจริงอำนาจของสมาคมมีมากกว่าที่เธอจินตนาการไว้ซะอีก ถึงกระทั่งสามารถกล่าวโทษร้องเรียนผู้มีอำนาจในมหาวิทยาลัย ดำเนินการกับกระทรวงการศึกษาได้โดยตรง หวังจินหยางที่เธอรู้จัก เขาอยู่ที่หนานเจียงเป็นยังไงล่ะ? เธอคิดว่าเขาอาศัยแค่ฝีมือของขั้นสี่อย่างนั้นเหรอ? ผิดแล้ว เพราะเขาเป็นประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ ดังนั้นตอนนี้จึงดำเนินการปฏิรูปกับมหาวิทยาลัยได้โดยที่มีผู้สนับสนุนมากมาย”
ฟางผิงเอ่ยอย่างแปลกใจ “พวกอธิการเขาเป็นปรมาจารย์ สมาคมผู้ฝึกยุทธ์มีแค่นักศึกษาขั้นสามขั้นสี่…”
“แต่รากฐานของมหาวิทยาลัยก็คือนักศึกษาขั้นสามขั้นสี่พวกนี้ ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้นำของนักศึกษา เธอไม่ได้เป็นแค่ตัวแทนของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นตัวแทนของนักศึกษาทั้งมหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ่ยังไม่ตกสู่ช่วงเวลาที่ตกต่ำ ปรมาจารย์แล้วยังไง? ประเทศจีนมีปรมาจารย์หลายร้อย ปรมาจารย์ที่ว่างก็มีอยู่ อู๋ขุยซานไม่อยากเป็นอธิการ มีปรมาจารย์คนอื่นยินดีเป็นอยู่แล้ว! แน่นอนว่าพวกเราไม่ยินยอมเท่านั้น ให้เธอไปช่วงชิงตำแหน่งประธานสมาคม ไม่ใช่ให้เธอไปร้องเรียนกล่าวโทษพวกอู๋ขุยซาน แต่อยากให้มีส่วนร่วมกับการปฏิรูปมหาวิทยาลัย อู๋ขุยซาน หวงจิ่งคนพวกนี้ล้วนไม่เหมือนกับอธิการเฒ่า เธอไว้ใจอธิการเฒ่าได้ แต่คนพวกนี้อย่าได้ไว้ใจ”
ฟางผิงขำแห้งๆ “อันที่จริงผมอยากแย่งชิงตำแหน่งประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์เหมือนกัน แต่ก่อนหน้านี้อาจารย์หลี่เคยบอกผมว่ามหาวิทยาลัยอาจไม่ยอมให้ผมรับตำแหน่งเสมอไป ทั้งหากผมจะรับช่วงต่อประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ อาจจะต้องทิ้งสมาคมผิงหยวน รวมถึงแพลตฟอร์ม…”
“นั่นมันก่อนหน้านี้”
หลู่เฟิ่งโหรวไม่ได้คิดแบบนั้น “ตอนนี้เธอเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ตอนกลาง ไม่เหมือนกันแล้ว อีกอย่างฉันสนับสนุนเธอ หลี่ฉางเซิงสนับสนุนเธอ ให้ราชสีห์ถังสนับสนุนเธออีก เรื่องพวกนี้ล้วนไม่ใช่ปัญหา ตอนนี้เซี่ยงไฮ้มีปรมาจารย์ใหญ่สามคน ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหกสูงสุดมีทั้งหมดแปดคนเท่านั้น นอกจากพวกเราสามคนแล้ว ยังมีคณบดีสาขาอื่นอีกสามคนที่อยู่ขั้นหกสูงสุด อีกสองคน คนหนึ่งเฝ้าระวังที่ถ้ำใต้ดิน คนสุดท้ายคือหลัวอี้ชวน หลัวอี้ชวนค่อนข้างเห็นดีเห็นงามกับเธอ เกลี้ยกล่อมเขาสักหน่อยก็มีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหกสูงสุดสี่คนสนับสนุนเธอแล้ว ตำแหน่งประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ย่อมไม่ใช่ปัญหาใหญ่”
ฟางผิงพึมพำว่า “หัวสิงโตอาจไม่ยินยอมเสมอไป”
“งั้นเธอก็ไปซ้อมจ้าวเหล่ยกับหยางเสี่ยวม่านทุกวัน!”
ฟางผิงกระอักกระอ่วนขึ้นมาทันที ทำแบบนี้ค่อยไม่เหมาะสมมั้งครับ?
ยังไงหลู่เฟิ่งโหรวก็เป็นอาจารย์ ทำไมถึงยั่วยุลูกศิษย์ไปทำเรื่องแบบนี้ซะได้ ไม่สมเหตุสมผลซะเลย
หลู่เฟิ่งโหรวเอ่ยต่อว่า “อันที่จริงนอกจากเรื่องพวกนี้แล้ว ที่ให้เธอช่วงชิงตำแหน่งประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ยังมีอีกหนึ่งสาเหตุ”
“คุณว่ามาเลย”
“ในเซี่ยงไฮ้ นอกจากมีสระปราณ ห้องแหล่งพลังงานที่ให้พวกนักศึกษาฝึกวิชา ยังมีอีกหนึ่งสถานที่ ปกติแล้วเป็นสถานที่ฝึกวิชาของอาจารย์ เรียกว่าห้องคุมอานุภาพ หรือจะเรียกอีกอย่างว่าห้องฝึกพลังจิตใจ แน่นอน อันตรายอย่างมาก ห้องคุมอานุภาพมีส่วนประกอบของแกนหัวใจและแกนสมองของยอดฝีมือระดับสูง จำลองการถูกพลังจิตใจของยอดฝีมือระดับสูงโจมตี ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ขั้นห้าไม่ค่อยมีโอกาสเข้าไปนัก ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหกเพื่อสัมผัสถึงพลังจิตใจ ปกติจะเข้าไปฝึกฝน แต่ยกเว้นฉันไว้คนหนึ่ง!”
หลู่เฟิ่งโหรวแค่นเสียงว่า “ฉันไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปห้องคุมอานุภาพ นี่เป็นการตัดสินใจร่วมกันของปรมาจารย์หลายคน แต่ขอแค่เธอกลายเป็นประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ ก็สามารถเสนอความเห็นโหวตตัดสินใหม่อีกครั้งได้ ในมหาวิททยาลัยผู้ที่มีอำนาจในการเสนอความเห็น นอกจากปรมาจารย์แล้ว มีเพียงคณบดีทั้งสี่สาขาและประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์เท่านั้น พวกคณบดีแทบจะเป็นลูกศิษย์ของอธิการเฒ่าทั้งหมด ดังนั้นหลายปีมานี้ ฉันไปหาพวกเขาล้วนเปล่าประโยชน์ แต่ว่าตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว อธิการเฒ่าตายในสนามรบ เกรงว่าความคิดของคนอื่นๆ คงจะเปลี่ยนเช่นกัน มีปรมาจารย์เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน บางคนอาจจะยินดีมากกว่า แต่อู๋ขุยซานปกครองมหาวิทยาลัย แม้พวกเขาจะมีความคิดนี้ ก็ไม่อาจเสนอออกมา แต่เธอไม่เหมือนกัน เธอเป็นลูกศิษย์ฉัน เสนอออกไปเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล ถึงเวลานั้นมหาวิทยาลัยจะเรียกประชุม โหวตตัดสินโดยไม่ระบุชื่อ หากเป็นไปตามที่คาด ฉันน่าจะได้งดเว้นจากข้อห้ามนี้แล้ว”
ฟางผิงตื่นตัวขึ้นมา “อาจารย์ คุณจะไปชิงแกนหัวใจกับแกนสมองถึงได้ถูกห้ามใช่หรือเปล่า?”
“เหลวไหล!”
หลู่เฟิ่งโหรวหลุดด่าออกมา เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “พวกเขากลัวว่าฉันจะกลายเป็นปรมาจารย์ คนพวกนี้โง่งมอย่างถึงที่สุด!”
“เข้าห้องคุมอานุภาพก็กลายเป็นปรมาจารย์ได้แล้ว?”
“แน่นอนว่าไม่ใช่ แต่พอได้รับแรงกดดันจากพลังจิตใจของยอดฝีมือพวกนี้เป็นเวลานานก็จะมีประโยชน์ในการทะลวงพลังจิตใจ”
ฟางผิงพยักหน้าเล็กน้อย “นั่นไม่ยุติธรรมเลย นึกไม่ถึงว่าจะห้ามคุณ รังแกคนเกินไปแล้ว ใช่สิ อาจารย์ หัวใจยอดฝีมือระดับสูงแพงหรือเปล่า?”
จู่ๆ หลู่เฟิ่งโหรวก็หันมามองเขาแวบหนึ่ง ผ่านไปพักใหญ่จึงเอ่ยว่า “ฉันยังไม่กล้าคิดเรื่องพวกนี้ด้วยซ้ำ เธออยากรนหาที่ตาย?”
——————
