ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน – ตอนที่ 289-2 เปิดเทอมใหม่ บรรยากาศใหม่ (2)

ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน

ตอนที่ 289 เปิดเทอมใหม่ บรรยากาศใหม่ (2)

อู๋ขุยซานเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “สถานการณ์ไม่เหมือนเดิมแล้ว ตอนนั้นไม่ได้ตึงเครียดขนาดนี้ ดังนั้นพวกเราจึงมีเวลาให้พวกนักศึกษาค่อยๆ เดินไปทีละก้าว เติบโตอย่างช้าๆ แต่สถานการณ์ในปัจจุบัน นายก็รู้ดี ในถ้ำใต้ดินเซี่ยงไฮ้ทัพทหารของเมืองตงขุย นั่นคือจุดพลิกเปลี่ยนครั้งใหญ่! ถ้ำใต้ดินอื่นๆ ปัจจุบันก็มีแนวโน้มเป็นแบบนี้ คณบดีหวง นายคิดว่าถ้ำใต้ดินยังมีเวลาให้พวกเราเยอะขนาดนั้นเหรอ? หนึ่งร้อยปี? แปดสิบปี? ไม่สิ ในความคิดฉันบางทีอาจจะไม่กี่ปีนี้!”

อู๋ขุยซานถอนหายใจเบาๆ “ในสภาพแวดล้อมที่สงบสุข นายว่าพวกนักศึกษาต้องใช้เวลาเติบโตเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลางนานเท่าไหร่? ยังไม่พูดถึงระดับกลางก็ได้ ขั้นหนึ่งถึงขั้นสามต้องใช้เวลาเท่าไหร่ล่ะ? พวกเรา…ไม่มีเวลาแล้ว!”

“งั้นก็ต้องช่วงชิงเวลาเพื่อพวกเขา!” หวงจิ่งโต้แย้งออกมาอีกครั้ง

“ช่วงชิงเวลา…” อู๋ขุยซานเอ่ยประชดกับตัวเอง “จะช่วงชิงได้นานเท่าไหร่? นักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ไม่ว่าจะด้านสติปัญญาหรือพรสวรรค์ล้วนอยู่ในจุดที่สุดยอด ตอนนี้พัฒนาไปอย่างช้าๆ เพราะพวกเขาไม่มีแรงกดดัน นายเห็นหรือเปล่าว่านักศึกษาที่เข้าถ้ำใต้ดินไปแล้วจะก้าวหน้าอย่างว่องไว ไวกว่าผู้ฝึกยุทธ์จากหน่วยทหารซะอีก แต่นักศึกษาที่ไม่ได้เข้าถ้ำกลับหยุดอยู่ในสามระดับล่างเป็นเวลานาน! พวกเราสามารถต้านไว้ช่วงหนึ่งได้ หรือจะต้านได้ตลอดไป? อย่างน้อยก็ควรให้พวกเขารับรู้ถึงแรงกดดัน รับรู้ถึงความผิดหวัง ไม่อย่างนั้นฉันกังวลว่าจะรอไม่ถึงวันที่พวกเขาเติบโตแล้ว”

หวงจิ่งขมวดคิ้ว ผ่านไปพักหนึ่งจึงเอ่ยว่า “ถ้านายยืนหยัดอย่างนั้น เทอมนี้จะประกาศเรื่องถ้ำใต้ดินให้ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองทั้งหมดรับรู้ก็ได้ แต่ว่าจะเข้าไปหรือไม่ ให้พวกเขาเลือกเอง แม้ว่าจะเข้าไป ฉันคิดว่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองไม่มีความจำเป็นต้องออกนอกเมือง สัมผัสกับสภาพแวดล้อมในเมืองความหวังเสียหน่อยก็น่าจะพอแล้ว ก่อนหน้านี้ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองจากคลาสฝึกพิเศษเข้าไปในถ้ำ มีแค่พาความกดดันและความกังวลมาให้พวกเราเท่านั้น ไม่ได้เกิดผลลัพธ์ที่ควรจะเกิด ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสอง นอกจากเฝ้าเมืองช่วงที่ทำสงครามแล้ว ก็แทบจะเป็นการออกนอกเมืองไปตายทั้งสิ้น”

หวงจิ่งนับว่าถอยให้ก้าวหนึ่ง อู๋ขุยซานฟังจบก็ไม่พูดอะไรอีก พยักหน้าเล็กน้อย “งั้นก็เอาตามความคิดของนายเถอะ”

อู๋ขุยซานเอ่ยออกมาอีกครั้ง “ถ้ำใต้ดินของเซี่ยงไฮ้เปิดแล้ว ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามขั้นสี่ของเซี่ยงไฮ้พวกนี้ควรจะเริ่มภารกิจในถ้ำใต้ดินได้แล้วเช่นกัน คนที่ควรไปถ้ำใต้ดินก็ควรไปได้แล้ว”

หวงจิ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ประสงค์ของสมาคมผู้ฝึกยุทธ์นั้น ผู้ฝึกยุทธ์ต่ำกว่าขั้นสามตอนปลายไม่ให้เข้าถ้ำ ช่วงนี้ฟางผิงกำลังเตรียมพร้อมกับการแข่งขันศิลปะการต่อสู้ เวลานี้อาจจะไม่มีคนลงถ้ำใต้ดินเสมอไป”

อู๋ขุยซานขมวดคิ้วเล็กน้อย เงียบไปพักใหญ่ก่อนเอ่ยว่า “งั้นรอดูอีกสักหน่อย เจ้าเด็กคนนี้…ก่อเรื่องอยู่บ้าง ฉันได้ยินว่าเขาให้ฉินเฟิ่งชิงและเซี่ยเหล่ยไประดมเงินลงทุนข้างนอก เด็กสองคนนั้นก็หัวรั้นไม่น้อย ไปแล้วไม่คิดจะกลับมาง่ายๆ เงินน้อยก็ไม่ยอมมา นี่นับว่าเป็นการบังคับแล้ว หากเป็นแบบนี้ต่อไป เกรงว่าชื่อเสียงของเซี่ยงไฮ้คงจะเสื่อมเสีย…”

หวงจิ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง “เสื่อมเสียก็เสื่อมเสียสิ พูดตามตรง บางคนก็ควรต้องเสียเงินบ้าง ผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลางหลายคนที่มาจากคลาสฝึกศิลปะการต่อสู้ ฉันไม่สนใจ จากมุมพวกเขา ถ้ำใต้ดินนั้นเป็นเรื่องเสี่ยงชีวิต ไม่ยินดีเผชิญกับอันตรายเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่นักศึกษาที่จบจากเซี่ยงไฮ้ เข้าสู่ระดับกลางกลับรักตัวกลัวตาย เอาแต่หาเงินหาทอง ความมั่นคั่งกลายเป็นเรื่องของตัวเลข กระทั่งการฝึกวิชาของตัวเองยังทำใจจ่ายไม่ได้ คนประเภทนี้เก็บเงินนิดหน่อยจะเป็นไรไป?”

“คนมีหลากหลายประเภท นายไม่อาจหวังให้ทุกคนทุ่มเทจิตวิญญาณได้ทั้งหมดหรอก”

อู๋ขุยซานกลับคิดว่าเป็นเรื่องปกติ นักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้แล้วยังไง คนพวกนั้นก็มีทั้งกลัวตายและไม่กลัวตายเหมือนกัน

“ดังนั้นฉันเลยไม่คาดหวังพวกเขา แต่ว่าพวกเขาจบจากมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ เวลานั้นเพื่อบ่มเพาะพวกเขา มหาวิทยาลัยให้เงินสนับสนุนไปไม่น้อยเช่นกัน ในเมื่อพวกเขาไม่ยินดีลงแรงกับถ้ำใต้ดิน ตอนนี้มีกำลังเหลือพอ ออกเงินนิดหน่อย หรือไม่สมควรกัน? พวกเขาเปิดกิจการ ได้ลดหย่อนภาษี ถึงกระทั่งอาศัยชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้เปล่งประกายในพื้นที่นั้นๆ คนพวกนี้จ่ายเงินออกมาบ้าง ไม่เหมาะสมอย่างนั้นเหรอ?”

อู๋ขุยซานไม่เอ่ยแย้งอีก พูดแค่ว่า “คอยดูไปละกัน เซี่ยงไฮ้หลังจากนี้จะสามารถเปลี่ยนแปลงได้หรือเปล่า”

“ฉันคิดว่าได้”

หวงจิ่งหัวเราะ ก่อนสุดท้ายจะเอ่ยว่า “ฟางผิงยื่นคำร้องขอยกเลิกคำสั่งห้ามของหลู่เฟิ่งโหรวมาที่สำนักงาน”

“เดาไว้แล้ว”

อู๋ขุยซานไม่แปลกใจเช่นกัน เอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “นายคิดว่าควรยกเลิกหรือเปล่า?”

“ยกเลิกเถอะ ยังไงเรื่องนี้ก็ไม่สอดคล้องกับกฏอยู่แล้ว”

อู๋ขุยซานจมดิ่งในความเงียบ

หวงจิ่งเอ่ยต่อว่า “หลู่เฟิ่งโหรวกลายเป็นปรมาจารย์ยังต้องใช้เวลาสักพัก แม้ว่าจะไปห้องคุมอานุภาพ ไม่ใช่ว่าจะทะลวงได้ในปีสองปีนี้ เหมือนกับที่นายพูดนั่นแหละ ตอนนี้สถานการณ์เลวร้ายลงแล้ว ศัตรูของพวกเราไม่ใช่แค่เมืองเทียนเหมินเพียงแห่งเดียวอีกต่อไป มีปรมาจารย์เพิ่มขึ้นมาอีกคน สามารถคลายความกดดันให้พวกเราได้เยอะ”

“อันที่จริงห้องคุมอานุภาพเป็นแค่เรื่องรอง…”

อู๋ขุยซานเอ่ยเสียงเบา “เธอให้ฟางผิงชิงตำแหน่งประธานผู้ฝึกยุทธ์ เกรงว่าเป้าหมายจะไม่ได้อยู่ที่ห้องคุมอานุภาพ แต่เป็น…แผนที่กระจายแหล่งแร่ของถ้ำใต้ดิน”

หวงจิ่งขมวดคิ้วขึ้นทันที

“ตอนนี้ฟางผิงยังจัดการสมาคมไม่เข้าที่เข้าทาง ไม่ก็เขาอาจจะไม่สนใจ แต่ไม่ใช่กับหลู่เฟิ่งโหรวแน่นอน เธอเข้าห้องคุมอานุภาพนั่นเป็นแค่ก้าวแรก ฉันสงสัยว่าเธออยากจะเข้าไปในถ้ำ หาแร่พลังงานเพื่อทะลวงขั้นเจ็ด”

เวลานี้หวงจิ่งขมวดคิ้วแน่น ผ่านไปสักพักจึงเอ่ยว่า “อันตรายเกินไปแล้ว…”

“ใช่แล้ว อันตรายเกินไป ให้เธอฝึกวิชาค่อยเป็นค่อยไป เธอยินยอมหรือไง?”

อู๋ขุยซานยิ้มเฝื่อนๆ “เธออยากได้แผนที่แหล่งแร่ของเซี่ยงไฮ้มาโดยตลอด ถึงกระทั่งแทรกซึมเข้าไปในเขตทางใต้หลายครั้งเพื่อจะขโมยแผนที่ ทางหน่วยทหารเธอไม่กล้าไป หน่วยทหารไม่ใช่ของเล่น แต่ทางเซี่ยงไฮ้มีข้อมูลการกระจายตัวของแหล่งแร่อยู่ไม่น้อยเช่นกัน…ฟางผิง มีคุณสมบัติเข้าไปได้”

“งั้นก็ไม่ให้ฟางผิงเข้าไป!”

หวงจิ่งขมวดคิ้ว เขาหวังให้หลู่เฟิ่งโหรวทะลวงด่านได้ แต่ไม่อยากให้เธอทะลวงในถ้ำ ไปหาแร่พลังงานนั่นเป็นทางลัดในการทะลวงขั้น

ท่ามกลางแร่พลังงาน อนุภาคพลังงานจะเข้มข้นจนน่าตกใจ

แต่นี่ก็หมายถึงอันตรายอย่างถึงที่สุดเช่นกัน

แร่พลังงาน หากไม่เหนือความคาดหมาย จะมีสิ่งมีชีวิตระดับสูงครองอาณาเขตอยู่ ทั้งความสามารถยังไม่แน่นอน ขั้นเจ็ดขั้นแปดขั้นเก้าเป็นไปได้ทั้งนั้น บางครั้งยังไม่ได้มีแค่ตัวเดียว

ทุกปีจะมียอดฝีมือขั้นหกสูงสุดช่วงชิงโอกาสอันริบหรี่ไปค้นหาแร่พลังงาน เข้าไปฝึกวิชาใกล้กับแร่พลังงาน

แต่อัตราการเสียชีวิตก็สูงจนน่าตกใจเช่นกัน

แน่นอนว่าค้นหาเอง ย่อมเป็นไปอย่างช้าๆ จุดหมายค่อนข้างเลื่อนลอย ไม่อาจหาเจอเสมอไป

แต่หน่วยทหารและมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ลงลึกไปในถ้ำใต้ดินหลายปีจึงเจอการกระจัดการจายของแหล่งแร่อยู่บางส่วน เพียงแค่ไม่อาจครอบครองได้ ตอนนี้ทำได้แค่ทิ้งไป รอมีโอกาสแล้วค่อยไปช่วงชิงใหม่

หากหลู่เฟิ่งโหรวได้แผนที่แหล่งแร่ไป นั่นมีโอกาสเสี่ยงสูงที่จะลงลึกไปในถ้ำ ค้นหาแร่พลังงาน

อันตรายอย่างมาก!

แม้จะเป็นอู๋ขุยซานก็ไม่กล้าพูดเช่นกันว่าเขาสามารถปกป้องได้ หากง่ายขนาดนั้นจริงๆ แร่พลังงานพวกนั้นคงถูกปรมาจารย์ขั้นเก้าในประเทศกวาดเรียบไปแล้ว

“ไม่ให้ฟางผิงเข้าไป…”

อู๋ขุยซานส่ายหัวเบาๆ พูดเหมือนง่าย สมาคมผู้ฝึกยุทธ์เดิมทีก็มีอำนาจอยู่แล้ว

ไม่ให้ฟางผิงเข้าไป เจ้าเด็กนี่สมองเลอะเลือนขึ้นมา เรียกตัวสมาชิกเก่าพวกนั้นกลับมาจะทำยังไง?

หากไม่ใช่เพราะวันนั้นรู้สึกว่าเฉินเหวินหลงอาจกำราบฟางผิงไม่ได้เสมอไป อู๋ขุยซานคงไม่ให้ฟางผิงเป็นประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์หรอก ไม่ได้ขึ้นอยู่กับฟางผิง แต่เป็นหลู่เฟิ่งโหรว

ถึงกระทั่งไม่ใช่แค่หลู่เฟิ่งโหรว ยังรวมถึงหลี่ฉางเซิง

แน่นอน หลี่ฉางเซิงจะเป็นอันตรายหรือเปล่า…อันที่จริงอู๋ขุยซานไม่สนใจเท่าไหร่ หลี่ฉางเซิงตัดสินใจจะไปถ้ำใต้ดินตั้งนานแล้ว เขาไม่เป็นฝ่ายร้องขอแผนที่แหล่งแร่ มหาวิทยาลัยก็จะเอาให้เขาอยู่ดี

บางทีหลี่ฉางเซิงอาจจะมีโอกาสริบหรี่ หาของดีบางอย่างที่ฟื้นฟูพลังจิตใจขึ้นมาได้?

คนที่อู๋ขุยซานกำลังป้องกันอย่างแท้จริงคือหลู่เฟิ่งโหรว ผู้หญิงคนนี้เขาเข้าใจดี

หากได้รับแผนที่ ไม่นานเธอต้องไปถ้ำใต้ดินเพื่อหาโอกาสทะลวงด่านแน่

แต่ในความคิดของอู๋ขุยซาน หลู่เฟิ่งโหรวไม่มีความจำเป็นต้องส่งตัวเองไปตาย เป็นปรมาจารย์ไม่ได้จะสักเท่าไหร่กันเชียว?

ช่วงเวลาสั้นๆ นั้นทั้งสองคนต่างตกอยู่ในความเงียบ เซี่ยงไฮ้ในตอนนี้ พอไม่มีอธิการเฒ่าก็วุ่นวายไปอยู่บ้าง

———————-

ตอนที่ 286 สถานการณ์ของสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ (2)

ฉบับแรกเป็นรายชื่อสมาชิกของสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ ตอนนี้สมาคมผู้ฝึกยุทธ์มีสมาชิกทั้งหมดสองร้อยสิบห้าคน รวมฟางผิงและจางอวี่แล้วเช่นกัน ขั้นสี่มีเก้าคน ขั้นสามตอนนี้มีห้าสิบเอ็ดคน ที่เหลือเป็นขั้นสองทั้งหมด

ช่วงเวลาที่รุ่งเรืองสุด สมาคมผู้ฝึกยุทธ์มีสมาชิกขั้นสามกว่าหนึ่งร้อยคน

ฉบับที่สองเป็นรายงานการเงินของสมาคมผู้ฝึกยุทธ์

เงินสดคงเหลือห้าสิบล้าน ยาบำรุงและอาวุธจำนวนหนึ่ง รวมถึงคะแนนอีกห้าพันคะแนน

ฉบับที่สามเป็นรายชื่อสมาชิกเก่า

สมาคมผู้ฝึกยุทธ์แทบจะเติบโตขึ้นพร้อมกับมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหกสิบปี สมาชิกมีจำนวนนับไม่ถ้วน ล้วนแต่เป็นนักศึกษาแนวหน้าที่จบไปแล้วของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้

รายชื่อฉบับนี้มีความสำคัญอย่างมากเช่นกัน

จางอวี่เอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ขึ้นชื่อว่าเป็นสมาชิกของสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ แม้ว่าจะจบการศึกษาไปแล้ว ก็ยังคงเป็นหนึ่งในสมาชิกของสมาคม! สมาคมผู้ฝึกยุทธ์และผู้มีอำนาจปกครองดูแลมหาวิทยาลัยร่วมกันไม่ใช่คำพูดเลื่อนลอย หากสมาคมผู้ฝึกยุทธ์พบเจอกับเรื่องบางอย่าง เช่นว่า ผู้มีอำนาจของมหาวิทยาลัยกระทำการทุจริต อมเงินสวัสดิการของสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ ลดทอนอำนาจของสมาคมลง การร้องเรียนผู้มีอำนาจ…เวลานี้พวกเราจะเรียกสมาชิกเก่ากลับมา ตัดสินถูกผิดร่วมกัน สร้างความกดดันให้มหาวิทยาลัยและกระทรวงการศึกษา! นี่ก็เป็นไพ่ตายที่พวกเราใช้ตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจกับผู้มีอำนาจในมหาวิทยาลัยเช่นกัน ไม่อย่างนั้นนักศึกษาขั้นสามขั้นสี่อย่างพวกเราจะถือสิทธิ์อะไรไปถ่วงดุลอำนาจกับปรมาจารย์ยอดฝีมือพวกนั้น?”

“แน่นอนว่าเป้าหมายไม่ใช่เพื่อการแบ่งอำนาจ เป็นเพราะหวังให้มหาวิทยาลัยทำได้ดีกว่าเดิม ช่วงชิงสิทธิพิเศษให้นักศึกษาได้มากขึ้นกว่าเดิม สมาคมผู้ฝึกยุทธ์มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ก่อตั้งมาหลายปีขนาดนี้ สมาชิกก็เป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัย พวกเขาภักดีต่อมหาวิทยาลัย ทั้งภักดีต่อสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ด้วยเช่นกัน ขอแค่สมเหตุสมผล มีหลักฐานที่ชัดเจน พวกเราถึงกระทั่งสามารถ…เลือกผู้มีอำนาจของมหาวิทยาลัยใหม่ได้!”

ฟางผิงฟังจบก็หยิบรายชื่อมาดู ก่อนจะม่านตาหดเกร็ง!

“ปรมาจารย์สิบสองคน!”

จางอวี่เอ่ยด้วยเสียงเคร่งขรึม “หากไม่ถึงสถานการณ์จำเป็นจริงๆ อย่าได้เรียกสมาชิกเก่าพวกนี้กลับมา นายน่าจะรู้ดี ยังไงก็เป็นคนที่จบไปแล้ว บางคนเข้าสู่หน่วยทหาร บางคนทำงานให้กับรัฐบาล ทั้งยังมีคนทำธุรกิจของตัวเอง…พวกเราเรียกพวกเขากลับมา คนพวกนี้จะกลับมาแน่นอน แต่ว่าพอกลับมาแล้วอาจจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันบางอย่างขึ้น เช่นว่า ช่วงชิงอำนาจ!”

จางอวี่กดเสียงลงอีกครั้ง “มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ไม่ใช่มหาวิทยาลัยทั่วไป เซี่ยงไฮ้มีหุ้นส่วนในบริษัทผลิตยาบำรุงและบริษัทผลิตอาวุธ รวมถึงสถาบันวิจัยชั้นนำบางแห่งด้วย พวกเรายังมีช่องทางผลิตยาบำรุงและอาวุธของตัวเอง นอกจากนี้ยังมีโรงฝึก สระปราณ ห้องแหล่งพลังงาน รวมถึงห้องฝึกวิชาต่อสู้ที่เปิดกว้างและไม่เปิดกว้างต่อภายนอก…ยังมีข่าวสารบางอย่าง ข้อมูลจากถ้ำใต้ดิน ถ้ำใต้ดินเป็นศัตรูของพวกเรา แต่บางครั้งทุกคนต่างก็เก็บงำข้อมูลบางส่วนไว้กับตัวเองเช่นกัน อย่างเช่นตำแหน่งของแร่พลังงาน ตำแหน่งที่ยอดฝีมือมนุษย์ฝึกวิชาในถ้ำใต้ดิน…”

ฟางผิงพยักหน้าเบาๆ นับว่าเข้าใจสถานการณ์คร่าวๆ แล้ว

ครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะถามว่า “งั้นขึ้นชื่อว่าเป็นประธาน มีสิทธิพิเศษอะไรบ้าง?”

จางอวี่หมดคำจะพูด โจวเหยียนขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ยังคงเอ่ยออกไป “ขึ้นชื่อว่าเป็นประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ ทุกเดือนนายจะได้สวัสดิการหนึ่งร้อยคะแนนจากสมาคมผู้ฝึกยุทธ์”

“น้อยขนาดนี้เลย?”

โจวเหยียนเอ่ยอย่างไม่พอใจ “ไม่น้อยแล้ว! แต่ละเดือนทางมหาวิทยาลัยจะจัดสรรเงินสดให้สมาคมผู้ฝึกยุทธ์ยี่สิบล้านและคะแนนอีกสองพันคะแนน รวมทั้งหมดเป็นแปดสิบล้าน สิ้นปีจะเป็นเงินเกือบพันล้าน แต่สมาคมผู้ฝึกยุทธ์ต้องประคองค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน รวมถึงการจัดการแข่งขันแลกเปลี่ยน กิจกรรมแข่งขันบางอย่างรวมถึงต้องมอบสวัสดิการให้กับสมาชิกสมาคมด้วยเช่นกัน นอกจากนี้หากสมาชิกตายในสนามรบ…พวกเราก็ต้องรับผิดชอบจ่ายเงินค่าทำขวัญ มหาวิทยาลัยจะออกอีกส่วนหนึ่ง แต่สมาคมผู้ฝึกยุทธ์ต้องเพิ่มเข้าไปอีกส่วนหนึ่งเช่นกัน ตอนนี้สมาคมผู้ฝึกยุทธ์มีเงินสดเหลือห้าสิบล้าน ยาบำรุงส่วนหนึ่ง รวมถึงห้าพันคะแนน นั่นล้วนเป็นเงินที่เหลือจากประธาน เขาเองแทบไม่ได้…”

“แค่ก ฟางผิง ถ้านายอยากได้เยอะหน่อย ไปหารือกับทางมหาวิทยาลัยได้ เรื่องนี้อยู่ที่ตัวนายเท่านั้น”

จางอวี่ตัดบทโจวเหยียน ฟางผิงไม่สนใจท่าทีของเธอเช่นกัน เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พูดแบบนี้ เงินทุนที่เหลือในบัญชีของสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ล้วนมาจากการเก็บออม? รุ่นพี่จาง ไม่ใช่ว่าผมจงใจยั่วยุ ผมคิดว่าแทนที่จะประหยัด ยังไม่สู้หาทรัพยากรให้มากกว่าเดิม หากผมเดาไม่ผิด ตอนที่นายรับตำแหน่ง ประธานรุ่นก่อนคงจะไม่เหลือทรัพย์สินให้เลยสินะ?”

จางอวี่ไม่ได้พูดอะไร โจวเหยียนบ่นว่า “ตอนที่ประธานรับตำแหน่ง สมาคมผู้ฝึกยุทธ์ขาดแคลนเงิน ไม่มีอะไรให้ทั้งนั้น!”

ฟางผิงหัวเราะ พยักหน้าว่า “น่าจะแบบนั้น”

จางอวี่ไม่ยุ่งกับเรื่องพวกนี้อีก ถามขึ้นว่า “นายรับตำแหน่งประธาน ต่อไปมีความคิดจะทำอะไร?”

“ข้อแรก หาเงิน

ข้อสอง เพิ่มสวัสดิการ

ข้อสาม พัฒนาฝีมือสมาชิกให้แข็งแกร่งขึ้น

ข้อสี่ ไม่จำกัดแค่คนในสมาคมหรือคนที่ไม่ใช่สมาชิกสมาคม นักศึกษาของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ต้องแข็งแกร่งขึ้นทั้งหมด”

โจวเหยียนแค่นหัวเราะ ไม่พูดมากอีก

พูดเหมือนจะง่าย แต่ทำนั้นยาก

ตอนนี้ฟางผิงพูดออกมาอย่างไม่คิดมาก ถึงเวลานั้นจะรู้เอง เรื่องไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น

จางอวี่กลับไม่พูดอะไร เอ่ยว่า “หวังว่านายจะทำสำเร็จ ช่วงเวลาที่ฉันรับตำแหน่ง ไม่ได้เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับมหาวิทยาลัยจริงๆ กระทั่งลำดับขั้นของตัวเองยังช้ากว่าคนอื่นไปหนึ่งก้าว ครั้งนี้ส่งมอบเสร็จสิ้นแล้ว ฉันจะไปฝึกฝนในถ้ำใต้ดินแห่งอื่น หวังว่าตอนที่ฉันกลับมา จะได้เห็นสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ที่ไม่เหมือนเดิม”

จางอวี่เข้าสู่ขั้นสี่ตั้งแต่ต้นปีสาม เหมือนกับเซี่ยเหล่ยในตอนนี้

แต่ใช้เวลาไปหนึ่งปียังคงอยู่ขั้นสี่ตอนกลาง จำต้องพูดว่าฝึกช้าไปอยู่บ้างจริงๆ

พวกหวังจินหยาง อันที่จริงต่างเป็นผู้ที่ตามขึ้นมาทีหลัง

ตอนที่จางอวี่อยู่ขั้นสี่ พวกเขาอยู่ขั้นสามสูงสุดกันทั้งนั้น รวมถึงเฉินเหวินหลงด้วย

หนึ่งปีหลังจากนั้นจางอวี่กลับพัฒนาช้าที่สุด

เห็นได้ชัดว่าตำแหน่งประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ไม่ได้เป็นง่ายๆ ขนาดนั้น

ไม่ใช่แค่จางอวี่ ประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์มหาวิทยาลัยอื่น อันที่จริงก็ฝึกวิชาช้าลงเช่นกัน ทุกคนต้องจัดการหลายเรื่อง เวลาฝึกวิชาจึงมีน้อยลง ช่วงที่ลงถ้ำใต้ดินก็น้อยลงเช่นกัน

เทียบกับคนทั่วไปแล้ว ผู้นำที่ต้องพัฒนาทีมให้แข็งแกร่งนั้นเป็นเรื่องที่ยากมากกว่า

ฟางผิงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “แน่นอน งั้นผมอวยพรล่วงหน้าให้รุ่นพี่ราบรื่นละกัน กลับมาอีกครั้งคงจะขั้นห้าแล้ว”

“หวังว่าจะเป็นไปตามนั้น”

จางอวี่เผยรอยยิ้ม ไม่พูดมากอะไรอีก แต่เอ่ยถึงการประชุมตอนเย็นแทน

เย็นวันนี้ทั้งสองคนจะดำเนินการส่งมอบอย่างเป็นทางการ

ผู้ฝึกยุทธ์ไม่ทำอะไรชักช้าอยู่แล้ว

เรื่องมาถึงตอนนี้ ฟางผิงครอบครองสมาคมผู้ฝึกยุทธ์นั้นเป็นเรื่องจริงที่ปฏิเสธไม่ได้แล้ว จางอวี่ก็อยากออกไปฝึกวิชาข้างนอกเหมือนกัน ยิ่งส่งมอบเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น

ฟางผิงไม่อ้อมค้อมเช่นกัน เรื่องการประชุม เขาเป็นคนเอ่ยขึ้นก่อน

ผู้ฝึกยุทธ์ตอนที่ควรออกหน้าก็ไม่ควรจะลังเล

อู๋ขุยซานรับตำแหน่งอธิการยังไม่เกี่ยงงอนเหมือนกัน

ไม่นานฟางผิงก็ถือเอกสารหลายฉบับเดินออกจากสมาคมไป

เขาไปแล้ว โจวเหยียนจึงขบริมฝีปาก มองจางอวี่ทีเผยแววตามืดสลัวอยู่บ้าง “หากสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ไม่เป็นตัวถ่วงของนาย นายคงไม่อ่อนด้อยไปกว่าใครหรอก!”

จางอวี่ส่ายหัวเบาๆ “ฉันเป็นตัวถ่วงของมหาวิทยาลัยต่างหาก หนึ่งปีมานี้มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้อ่อนแอลงเรื่อยๆ”

นักศึกษารุ่นก่อนและรุ่นหลังแข็งแกร่ง มีเพียงรุ่นของเขาที่ไม่ได้แข็งแกร่ง จำต้องพูดว่านี่เป็นเรื่องที่จางอวี่รู้สึกผิดที่สุด

“นั่นไม่ใช่ความรับผิดชอบของนาย…” โจวเหยียนเอ่ยปลอบใจ

จางอวี่ไม่พูดอีก ยืนอยู่ข้างราวบันได มองฟางผิงที่สาวเท้าลงจากตึกไป

ไม่ใช่แค่ฟางผิง จากที่ไกลๆ อธิการได้จากไปแล้ว อธิการอู๋เข้ารับตำแหน่งแทน

ยุคสมัยใหม่เริ่มขึ้นแล้ว

หวังว่าในตอนที่เขากลับมาอีกครั้งจะสามารถเห็นเซี่ยงไฮ้ที่ไม่เหมือนเดิมได้

——————

ตอนที่ 283 ไม่กลัวฟางผิง (1)

ฟางผิงเดินออกมาจากฝ่ายบริการพร้อมกับคะแนนที่เพิ่มขึ้นมาหนึ่งพันคะแนน

รางวัลของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ไม่ใช่น้อยๆ มหาวิทยาลัยใจกว้างพอเช่นกัน

แต่ตอนนี้ตาเฒ่าหลี่ไม่อยู่ที่ฝ่ายบริการ ฟางผิงจึงไม่ได้ไปแลกเปลี่ยนยาบำรุง เก็บหนึ่งพันคะแนนไว้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน

รับหนึ่งพันคะแนนมา ค่าทรัพย์สินเพิ่มขึ้นอีกยี่สิบล้าน

ตอนนี้จึงแตะถึงสี่สิบสองล้าน ชดเชยการสิ้นเปลืองก่อนหน้านี้กลับมาได้พอดี

ส่วนคะแนนก็รวมได้สามพันคะแนนแล้ว ก่อนหน้านี้ที่ถ้ำใต้ดิน เพราะข้อมูลเรื่องเมืองตงขุยจึงได้รางวัลมาสองพันคะแนน ฟางผิงยังไม่ได้ใช้เหมือนกัน

นึกมาถึงตรงนี้ ฟางผิงอดคิดขึ้นมาไม่ได้ สงครามทางถ้ำใต้ดินสิ้นสุดแล้ว ผ่านไปอีกไม่กี่วันหน่วยทหารจะสรุปผลการรบออกมา เขาที่อยู่เฝ้าเมืองวันนั้นก็ฆ่าผู้ฝึกยุทธ์ไปไม่น้อยเช่นกัน คงจะมีเงินอีกก้อนเข้ากระเป๋าสินะ?

แต่เรื่องนี้ยังไม่รีบ ครั้งนี้หน่วยทหารเกิดความสูญเสียอย่างหนัก รอพวกเขาจัดการเรื่องราวทุกอย่างแล้วค่อยว่ากันอีกที

ส่วนการทะลวงด่านครั้งนี้ ทางสระปราณเขาจ่ายไปห้าล้าน ซื้อยาป้องกันอวัยวะภายในอีกหลายเม็ด เสียไปกว่าหกล้าน

ตอนนี้ในมือฟางผิงยังมีเงินสดหกสิบห้าล้าน

เงินสดหกสิบห้าล้าน คะแนนสามพันคะแนน ยาฟื้นคืนชีวิตหนึ่งเม็ด ยาระเบิดปราณสามเม็ด ดาบกวนอูหนึ่งเล่ม เกราะหนังหนึ่งตัว รองเท้าบูททหารหนึ่งคู่ นี่เป็นทรัพย์สินทั้งหมดที่ฟางผิงมีอยู่ตอนนี้ หากไม่นับรวมกับบริษัท

หากรวมบริษัทกับทรัพย์สินทั้งหมดแปลงเป็นมูลค่าเงิน ตอนนี้เกรงว่าฟางผิงจะมีทรัพย์สินกว่าสามสี่ร้อยล้านแล้ว

“เวลาหนึ่งปีเท่านั้น”

อันที่จริงฟางผิงภาคภูมิใจไม่น้อย ตั้งแต่เดือนสิงหาคมปีก่อน เขาแทบจะมาเซี่ยงไฮ้ด้วยมือเปล่า มีทรัพย์สินทั้งหมดไม่กี่ล้าน

ปัจจุบันเวลาผ่านไปหนึ่งปี

ทั้งหนึ่งปีนี้เขาฝึกวิชาจนถึงขั้นสี่ตอนกลาง สะสมทรัพย์สินได้กว่าสี่ร้อยล้าน ในหมู่นักศึกษานอกจากตัวเองจะหาเงินได้มากที่สุดแล้ว ยังก้าวหน้าไวที่สุดด้วย

“ถามหน่อยว่าใต้หล้านี้ ใครยังจะเป็นคู่แข่งฉันได้อีก!”

ฟางผิงทิ้งคำพูดที่อาจหาญไว้ประโยคหนึ่ง อาจารย์ที่บังเอิญผ่านทางมาถึงกับตกตะลึงอ้าปากค้าง

ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่มั่นใจถึงขนาดนี้?

ฟางผิงทะลวงด่านสำเร็จในวันที่ 18 สิงหาคม

วันที่ 20 สิงหาคม พวกนักศึกษาเริ่มทยอยกลับมหาวิทยาลัยแล้ว

คนที่ยังไม่กลับก็ได้รับประกาศจากมหาวิทยาลัยแล้วเช่นกัน ก่อนวันที่ยี่สิบสามสิงหาคม หากไม่มีเหตุสุดวิสัยให้กลับมหาวิทยาลัยทั้งหมด รวมถึงนักศึกษาบางส่วนที่กำลังฝึกฝนประสบการณ์ในพื้นที่อื่นๆ ด้วยเช่นกัน

อธิการบดีเฒ่าตายในสงครามถ้ำใต้ดิน ตอนนี้อาจารย์ของเซี่ยงไฮ้ออกมาจากถ้ำใต้ดินแล้ว มหาวิทยาลัยต้องเผชิญหน้ากับการผลัดเปลี่ยนครั้งใหญ่

มหาวิทยาลัยที่แตกต่างจากทั่วไปมีการเปลี่ยนแปลงผู้นำ ไม่จำเป็นต้องให้นักศึกษาเป็นพยาน

แต่มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้เป็นมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ นักศึกษาและอาจารย์ไม่ได้มีความสัมพันธ์แค่อาจารย์กับลูกศิษย์ แต่ยังเป็นเพื่อนร่วมรบ ทั้งอาจจะเป็นเพื่อนตายที่มอบความไว้วางใจในอนาคต

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ นักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้จึงต้องเข้ามามีส่วนร่วมกับการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งบางอย่างเช่นกัน

คล้อยหลังจากที่นักศึกษาทยอยกลับมา ในที่สุดมหาวิทยาลัยก็คึกคักขึ้น ไม่มีความเงียบเหงาเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว

หลายวันมานี้ ฟางผิงไม่ได้ว่างเช่นกัน

ไปหาหลู่เฟิ่งโหรวแล้ว ฟางผิงก็เริ่มฝึกวิชาเคลื่อนที่ในอากาศ ส่วนเคล็ดวิชาระดับสูง ตอนนี้ฟางผิงยังไม่ได้เรียน

ข้าวต้องค่อยๆ กินทีละคำ แม้ว่าจะมีเคล็ดวิชาระดับสูง แต่ไม่ได้หมายความว่าระดับกลางจะกลายเป็นสิ่งไร้ประโยชน์แล้ว

ดาบคลั่งโลหิตรวมเจ็ดดาบเป็นหนึ่งของเขายังไม่ชำนาญพอ หากชำนาญแล้ว รวมทั้งควบคุมพลังระเบิดของขั้นสี่ได้ คนที่ฝึกเคล็ดวิชาระดับสูงเบื้องต้นพวกนั้นก็ไม่อาจเทียบได้เช่นกัน

เคล็ดวิชาระดับสูงปล่อยปราณออกมาข้างนอกแล้วยังไง?

แค่ปล่อยปราณออกมาข้างนอกไม่มีประโยชน์อะไร ในถ้ำใต้ดินมือธนูระยะไกลคนนั้นปล่อยปราณออกมาข้างนอกได้เหมือนกัน แต่ก็ยังถูกฟางผิงฆ่าไม่ใช่หรือไง ควบคุมได้อย่างลึกล้ำต่างหากถึงจะเป็นความหมายที่แท้จริงของเคล็ดวิชาต่อสู้

สำหรับวิชาเคลื่อนที่ในอากาศ ฟางผิงก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว

เขาสำเร็จวิชาเคลื่อนเมฆแล้ว จวงกงก็เข้าสู่สภาวะว่างเปล่านานแล้ว ภายใต้การฝึกสองอย่าง การฝึกวิชาเคลื่อนที่ในอากาศจึงพัฒนาไปไกลเช่นกัน

กระทั่งหลู่เฟิ่งโหรวยังลอบถอนหายใจ ทำไมฟางผิงถึงฝึกวิชาพวกนี้ได้เร็วขนาดนี้ แต่เคล็ดวิชาที่ใช้ต่อสู้อย่างแท้จริงกลับไม่ได้เร็วแบบนี้?

เคล็ดวิชาหลอมพลัง…บทอวัยวะภายในและวิชาเคลื่อนที่ในอากาศ เคล็ดวิชาสองอย่างนี้เป็นวิชาหลักที่ฟางผิงฝึกฝนอยู่ตอนนี้

ขณะที่ฝึกวิชา พลังจิตใจและพลังปราณของฟางผิงต่างเพิ่มขึ้นมา

ลองฝึกฝนอวัยวะภายในก่อนหน้านี้ ฟางผิงพบว่าก้าวหน้ารวดเร็วอย่างยิ่ง

แต่ตอนนี้ฟางผิงยังต้องปรับตัวให้เข้ากับขั้นสี่ตอนกลางเป็นหลัก เรื่องหลอมหัวใจไม่จำเป็นต้องรีบ อวัยวะตันทั้งห้าอวัยวะกลวงทั้งหก หากพูดให้ชัดเจนหน่อย การหลอมหัวใจนั้นยากที่สุด ทั้งยังอันตรายที่สุดด้วย

ดังนั้นจากขั้นสี่ตอนกลางถึงตอนปลายจึงเป็นขั้นตอนที่ค่อนข้างสิ้นเปลืองของทุกคนเช่นกัน ยังไงตอนปลายถึงขั้นสูงสุด อันที่จริงการหลอมอวัยวะอื่นๆ จะเร็วกว่าหัวใจเพียงอย่างเดียวอยู่แล้ว

หลี่หานซงจากปักกิ่ง จากขั้นสี่ตอนปลายถึงขั้นสูงสุด รวมๆ แล้วใช้เวลาสองเดือนกว่าเท่านั้น จะเห็นได้ชัดว่าเร็วขนาดไหน

หวังจินหยางจากตอนกลางถึงตอนปลาย อันที่จริงใช้เวลาไปไม่น้อย แต่ตอนปลายถึงขั้นสูงสุด นั่นเร็วขึ้นแล้ว

วันที่ 1 กรกฏาคม การจัดอันดับประกาศออกมาว่าฟางผิงอยู่ขั้นสามสูงสุด

หวังจินหยางคาดเดาว่าตอนที่ฟางผิงเข้าสู่ขั้นสี่ เขาน่าจะทะลวงขั้นสี่สูงสุดได้เช่นกัน เห็นได้ชัดว่าหวังจินหยางมั่นใจว่าตัวเองจะเข้าสู่ขั้นสี่สูงสุดได้อย่างรวดเร็วเหมือนกัน

วันที่ 22 สิงหาคม พวกฟู่ชางติ่งกลับมหาวิทยาลัย

พอพวกเขากลับมา ฟางผิงก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากเลี้ยงข้าว ล้มล้างภาพในหัวของทุกคนอย่างสิ้นเชิง!

โรงอาหารชั้นหนึ่ง

ฟางผิงชักชวนทุกคนอย่างกระตือรือร้น เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ทุกคนกินกันตามสบาย ไม่พอสั่งอีกได้!”

ฟู่ชางติ่งถอนหายใจเบาๆ ฉันว่าแล้วคาดหวังว่าฟางผิงจะใจป้ำนั้นเชื่อไม่ได้

โรงอาหารชั้นหนึ่ง อาหารทั่วไปกินฟรีอยู่แล้ว!

ชวนทุกคนกินข้าวแล้ว ฟางผิงก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มไปพลาง “จ้าวเหล่ย นายขั้นสามแล้ว ยินดีด้วย!”

จ้าวเหล่ยพยักหน้าเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไร

“เป็นอัจฉริยะกันทั้งนั้น!”

ฟางผิงถอนหายใจว่า “จ้าวเหล่ยเข้าสู่ขั้นสาม อวิ๋นซีขั้นสาม ฟู่ชางติ่งก็ขั้นสามแล้วเหมือนกัน หยางเสี่ยวม่านขายหน้าไปอยู่บ้าง ขั้นสองสูงสุด เสวี่ยเหมยแทบจะไล่ตามทันแล้ว”

หยางเสี่ยวม่านก้มกัดน่องไก่อย่างเคียดแค้น ไม่ได้เข้าขั้นสามแล้วมันยังไง ขัดหูขัดตานายหรือไง ถึงกับต้องพูดออกมาให้ได้!

“ถังซงถิงขั้นสองตอนปลายแล้ว ขั้นสูงสุดยังขาดอีกนิด แต่เร็วมากแล้วเหมือนกัน”

“พวกจินเหล่ยก็ใกล้ขั้นสองตอนปลายแล้ว พยายามหน่อย ทะลวงขั้นสามไวๆ รุ่นของพวกเรานี้แข็งแกร่งกว่ารุ่นของพวกเซี่ยเหล่ยเยอะเลย ตอนที่พวกเราเข้ามหาวิทยาลัย รุ่นของพวกเขามีขั้นสามหรือเปล่าล่ะ? รุ่นพวกเราตอนนี้มีตั้งสามคน กว่านักศึกษาใหม่จะเข้ามายังเหลืออีกหลายวัน บางทีจ้าวเสวี่ยเหมยอาจทะลวงได้เหมือนกัน”

ฟางผิงเผยใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “รุ่นของจางอวี่ก็ไม่ไหวเหมือนกัน เข้าเรียนปีก่อน รุ่นพี่ปีสี่ยังมีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นห้า นั่นถึงจะเรียกว่าแข็งแกร่ง แต่ปีสี่รุ่นนี้ไม่มีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่สูงสุดเลยสักคน เฉินเหวินหลงไม่รู้ว่าทะลวงได้แล้วหรือยัง”

“จะว่าไปแล้ว ยังคงเป็นรุ่นพวกเราที่แข็งแกร่งที่สุด ถึงเวลาเปลี่ยนภาพลักษณ์ของมหาวิทยาลัยแล้ว”

ฟู่ชางติ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นายพูดมาตรงๆ ตกลงอยากจะทำอะไรกันแน่ อีกอย่างนายเปิดเผยมาเลยดีกว่าว่านายทะลวงขั้นสี่แล้ว จำเป็นต้องนับขั้นสามออกมาทีละคนด้วยหรือไง กลัวจะไม่มีใครถามว่าทำไมถึงไม่นับนายรวมไปด้วยล่ะสิ”

ฟางผิงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “อย่าพล่ามให้มาก ฉันเป็นคนตื้นเขินแบบนั้นที่ไหน? แม้ฉันจะกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ตอนกลาง แต่ฉันเคยพูดเรื่องนี้กับข้างนอกหรือเปล่าล่ะ?”

คนทั้งโต๊ะเงียบกริบทันที!

เคยเห็นคนเสแสร้งมาแล้ว แต่ไม่เคยเห็นใครเสแสร้งเท่าฟางผิงมาก่อน เป็นฝ่ายเรียกทุกคนมารวมตัวกัน จากนั้นก็ทำเป็นคุยโว!

“ตอนกลาง?”

คนอื่นๆ ไม่ให้ความร่วมมือ เฉินอวิ๋นซีกลับอดเอ่ยออกมาไม่ได้ เอ่ยเสียงเบา “นายบอกว่านายทะลวงขั้นสี่ตอนกลางแล้ว?”

——————–

ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน

ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน

Status: Ongoing
ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน ฟางผิงกลับมาเกิดใหม่ในวัย 18 ปีในโลกที่ไม่เหมือนเดิมพร้อมระบบประหลาด และที่นี่เองที่เขาได้ก้าวเข้าสู่โลกของการฝึกยุทธ์ รายละเอียด อีกหนึ่งผลงานแฟนตาซี-กำลังภายในที่มาพร้อมระบบสุดโกง จากนักเขียนเดียวกับ STARGATE ปริศนาประตูแห่งดารา ฟางผิงย้อนเวลามาอยู่ในร่างของตัวเองในวัย 18 ปี ผู้คนรอบข้างยังคงเป็นเหมือนเดิม แต่ที่โลกนี้กลับยังมีการฝึกยุทธ์ และให้ความสำคัญกับผู้ฝึกยุทธ์ ช่วงเวลาสั้นๆ ฟางผิงก็สัมผัสได้ถึงสิ่งหนึ่ง นั่นก็คือสังคมนี้โหดร้ายกับเขาเป็นอย่างยิ่ง! หากไม่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ ไม่เป็นผู้ที่แข็งแกร่ง แม้ว่าตัวเองจะกลับมาเกิดใหม่ เกรงว่าคงทำได้เพียงก้มหน้าก้มตาเป็นคนชนชั้นล่างเท่านั้น ด้วยเหตุนั้นเขาจึงสอบเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ และกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ เพื่อให้ตนและครอบครัวสามารถใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในสังคมแห่งนี้ แต่แน่นอนว่าเส้นทางของการเป็นผู้แข็งแกร่งย่อมไม่ง่ายดายขนาดนั้น แม้เขาจะมีระบบประหลาดคอยช่วยเหลืออยู่ก็ตาม เรื่อง : ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน ผู้เขียน : เหล่าอิงชือเสี่ยวจี (老鹰吃小鸡)

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท