ตอนที่ 290 ชีวิตมีขึ้นมีลง (1)
สนามฝึกหมายเลขหนึ่ง
ฟางผิงยืนอยู่ที่แท่นประธานบนเวที คร่ำครวญว่า “ฉันรับรู้ความรู้สึกของคณบดีและอธิการในตอนแรกแล้ว”
ก่อนหน้านี้เขายืนอยู่บนสนาม มีโอกาสมายืนอยู่บนเวทีที่ไหน
ตอนนี้พลิกชีวิตจากทาสมาเป็นนักร้อง ชีวิตมีขึ้นมีลง ในที่สุดก็ถึงคราวของเขาแล้ว
คนอื่นๆ ต่างจนใจอยู่บ้าง รีบเข้าประเด็นหลักเลยได้หรือเปล่า ทุกคนไม่ได้อยากมาดูนายโอ้อวดสักหน่อย
—
ด้านล่างเวที
พวกนักศึกษาพากันซุบซิบเบาๆ
“นั่นคือฟางผิงงั้นเหรอ?”
“เป็นเขานั่นแหละ ผู้ฝึกยุทธ์อันดับหนึ่งของขั้นสาม…”
“ใช่ที่ไหนกัน การจัดอันดับพลังต่อสู้ที่ปล่อยใหม่เมื่อเช้าไม่มีฟางผิงอยู่ในอันดับแล้ว อีกอย่างวันนี้มีการจัดอันดับขั้นสี่ใหม่ พวกนายเห็นหรือยัง?”
“เปลี่ยนล่าสุดตอนกี่โมง?”
“แปดโมง”
“ฟางผิงไม่ใช่อันดับหนึ่งของขั้นสามแล้ว? แล้วใครเบียดเขาลงไป?”
“ไม่ใช่สักหน่อย การจัดอันดับขั้นสามไม่มีฟางผิง น่าจะเพราะเขาเข้าสู่ขั้นสี่แล้ว แต่การจัดอันดับขั้นสี่ยังไม่มีเขา…”
พูดถึงการจัดอันดับขั้นสี่ นักศึกษาใหม่ที่ดูการจัดอันดับก่อนหน้านี้มาส่ายหัวว่า “การจัดอันดับขั้นสี่ออกมาแล้ว แทบไม่รู้จักใครเลย มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ติดในการจัดอันดับอยู่สามคน ปรากฏว่ามีแต่อาจารย์ ไม่มีนักศึกษา มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้อื่นๆ ก็ไม่ต่างกัน บางมหาวิทยาลัยยังไม่มีอาจารย์ในการจัดอันดับด้วยซ้ำ ทางปักกิ่ง ยังมีนักศึกษาในการจัดอันดับอยู่คนหนึ่ง…”
การจัดอันดับขั้นสี่ถูกปล่อยออกมา ไม่ได้มีพวกนักศึกษาเป็นหลักแล้ว
ผู้ว่ามณฑลแต่ละแห่ง ผู้บัญชาการกองหน่วยทหาร อาจารย์ในมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ คนพวกนี้ถึงจะเป็นส่วนหลักในการจัดอันดับ รวมถึงแวดวงสำนักด้วย มีในการจัดอันดับไม่กี่คน
นักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ทั่วประเทศอยู่ในการจัดอันดับแค่สองคน
คนหนึ่งคือหลี่หานซงจากปักกิ่ง อีกคนคือหวังจินหยางจากหนานเจียง
หลี่หานซงหลอมกะโหลกโดยกำเนิด กะโหลกแข็งแกร่งอย่างยิ่ง นั่นหมายความแทบไม่มีจุดด้อย พื้นฐานร่างกายแข็งแกร่ง ปราณก็ยิ่งแข็งแกร่ง ดังขั้นหลี่หานซงที่อยู่ขั้นสี่สูงสุดจึงอยู่ในการจัดอันดับ
หวังจินหยาง นั่นเพราะว่าไขกระดูกแปรสภาพเป็นหยก เป็นฝ่ายแสดงความสามารถขั้นสี่สูงสุดของตัวเองสู่ภายนอกจึงเข้าไปอยู่ในการจัดอันดับ
โรงเรียมเตรียมทหารสามแห่งกลับมีเหยาเฉิงจวินเข้าสู่การจัดอันดับเพียงคนเดียว
โรงเรียนเตรียมทหารกับมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้รวมกันเป็นหนึ่งร้อยสองแห่ง ผลปรากฏว่ามีแค่นักศึกษาสามคนที่อยู่ในการจัดอันดับ ความแตกต่างนั้นเห็นได้อย่างชัดเจน
มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ไม่มีนักศึกษาในการจัดอันดับ ครั้งนี้ขายหน้าจริงๆ แต่ดีที่มีอาจารย์สามคนอยู่ในการจัดอันดับ ทั้งยังไม่ใช่จำนวนน้อย นับว่าพอจะประคองศักดิ์ศรีของมหาวิทยาลัยชื่อดังไว้ได้
ฟางผิงได้ยินเสียงซุบซิบด้านล่างเหมือนกัน
อันที่จริงตอนเช้าเขาก็เห็นการจัดอันดับแล้ว
แต่ตอนนี้การจัดอันดับขั้นสี่ เขายังไม่มีหวัง ฟางผิงจึงไม่ได้ใส่ใจอะไร
แม้ว่าพลังจิตใจเขาจะไม่อ่อนด้อย แต่ปะทะกับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่สูงสุดที่หลอมอวัยวะภายในแล้ว กลับไม่ได้ครองความได้เปรียบมากนัก
เจ้าหน้าที่ทหารระดับผู้บัญชากองบางคนฆ่าคนราวกับมด ไอสังหารนั้นสามารถสั่นสะเทือนพลังจิตใจของฟางผิงได้เช่นกัน
แน่นอนว่านั่นคือเมื่อก่อน ตอนนี้อาจจะไม่ได้เสมอไปแล้ว
ตอนนี้ฝีมือของฟางผิงก้าวหน้าขึ้นอีกครั้ง พื้นฐานร่างกายและปราณต่างเทียบเท่ากับขั้นสี่สูงสุด ยอดฝีมือที่หยุดพักไปนาน ฝึกเคล็ดวิชาถึงจุดสูงสุดหนึ่ง ฟางผิงอาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาด้วยซ้ำ
—
“เงียบ!”
ฟางผิงตะโกนเบาๆ ตัดบทสนทนาของพวกนักศึกษา
เขาไม่อยู่ในการจัดอันดับขั้นสี่ พูดถึงให้มันได้อะไรกัน!
หากเขาเป็นอันดับหนึ่งของขั้นสี่ ให้ทุกคนคุยกันนานหน่อยไม่เป็นไรอยู่แล้ว
“จ้าวเหล่ย ขานชื่อ!”
จ้าวเหล่ยที่อยู่ด้านข้างใบหน้าดำคล้ำขึ้นมา นักศึกษาใหม่กว่าหนึ่งพันเก้าร้อยแปดสิบคน แทบจะพูดได้ว่าสองพันคน งานหนักแบบนี้ นายกลับนึกถึงฉันเนี่ยนะ?
แม้จะไม่พอใจยังไง แต่จ้าวเหล่ยยังคงหยิบใบรายชื่อขึ้นมา อ่านเสียงดังว่า “ถังเหวิน”
“มาค่ะ!”
แถวหน้านักศึกษาหญิงที่รูปร่างเพรียวบางคนหนึ่งขานรับ
เฉินอวิ๋นซีที่อยู่ด้านข้างฟางผิงกระซิบว่า “นักศึกษาใหม่ที่เป็นอันดับหนึ่งของรุ่นนี้ หลอมกระดูกสองครั้ง อยู่ขั้นหนึ่งตอนปลาย”
“อืม”
ฟางผิงพยักหน้าเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไร
จ้าวเหล่ยขานชื่อต่อ “กู้หลงเฟย!”
เด็กหนุ่มที่ดูไม่ได้ต่อกรยากคนหนึ่งขานรับด้วยน้ำเสียงเกียจคร้าน ที่รู้สึกแบบนั้นเพราะฟางผิงคิดว่าคนที่หน้าตาหล่อเหลาแทบไม่มีคนที่ต่อกรยากเลย ส่วนมากถ้าไม่ใช่พวกหน้าเนื้อใจเสือก็เป็นลูกหลานของผู้ลากมากดี
“หลัวเซิง”
“มาครับ!”
นักศึกษาใหม่คนที่สามดูพอใช้ได้อยู่บ้าง ฟางผิงมีความรู้สึกดีไม่น้อย หน้าตาธรรมดา มีความใสซื่อ เป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดี
“…”
คล้อยหลังที่จ้าวเหล่ยขานชื่อไปทีละคน แค่ชื่อก็เสียเวลาไปเกือบสองชั่วโมงแล้ว!
จ้าวเหล่ยลำคอแห้งผาก ตะโกนมาถึงช่วงหลังแทบจะหอบหายใจอยู่บ้าง
กระทั่งโทรโข่งยังไม่มีให้ ใช้เสียงในลำคอตะเบ็งเท่านั้น หากบอกว่าฟางผิงไม่ได้จงใจทรมาณเขา ให้ตายเขาคงไม่เชื่อ!
นักศึกษาใหม่ที่อยู่ด้านล่างเวทีโกลาหลวุ่นวายอยู่บ้าง
เพิ่งจะเปิดเทอมวันแรก ต้องมายืนตั้งสองชั่วโมงเพื่อเช็คชื่อ ทั้งยังไม่ใช่ผู้มีอำนาจของมหาวิทยาลัย เป็นแค่นักศึกษากลุ่มหนึ่ง หลายคนถึงกับเผยสีหน้าไม่สบอารมณ์
ฟางผิงไม่สนใจเช่นกัน กลับให้พวกคนที่อยู่ด้านข้างจดชื่อเอาไว้อย่างรวดเร็ว
ผู้ฝึกยุทธ์หูไวตาไว ชื่อที่ถูกขานพวกนี้ทุกคนต่างจำได้ ไม่มีผิดพลาด
เสียงโหวกเหวกดังขึ้นเรื่อยๆ
จนใกล้ถึงเวลาเที่ยงวัน การเช็คชื่อจึงสิ้นสุดลง
ด้านล่างเวทีมีคนทนไม่ไหว โวยวายว่า “พวกอาจารย์ไม่มาเหรอไง?”
“ใช่แล้ว เพิ่งเปิดเทอม ฉันยังไม่ทันเก็บเตียง กลับต้องมาเช็คชื่ออยู่ที่นี่เกือบสองชั่วโมง ประสาทหรือไง!”
“…”
ฟางผิงเผยรอยยิ้ม เอ่ยว่า “สวัสดีนักศึกษาทุกคน เงียบกันก่อน!”
สนามด้านล่างยังคงโหวกเหวกกันเสียงดัง
“หุบปากให้หมด! ฝ่ายตรวจสอบรักษาระเบียบด้วย ใครยังพูดพล่ามอีก ไล่ออกไป!”
ฟางผิงตะคอกเสียงดัง ด้านนอกมีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองขั้นสามนับสิบคนพุ่งเข้ามาทันที ใบหน้าเต็มไปด้วยไอสังหาร อาวุธโลหะผสมนั้นประกายรังสีเย็นยะเยือก
เวลานี้ทุกคนจึงเงียบปากลง
ฟางผิงเบะปาก ฟินจริงๆ!
ไม่แปลกใจที่ทุกคนอยากเป็นลูกพี่ใหญ่กัน เป็นลูกพี่ใหญ่อยากทำอะไรก็ทำได้ทั้งนั้น
“ต้องพูดก่อนว่าในมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ นักศึกษาใหม่ล้วนมีสวัสดิการให้ เข้าเรียนวันแรกได้ห้าสิบคะแนน นี่ก็เพื่อให้พวกนายสามารถทะลวงถึงขั้นหนึ่งได้ หนึ่งคะแนนเท่ากับเงินประมาณสามหมื่น ต่อไปหัวหน้าฝ่ายเย่จะประกาศชื่อ ชื่อที่ถูกประกาศจะโดนหักสิบคะแนน!”
เย่ฉิงหยิบใบรายชื่อที่เพิ่งจดไว้ขึ้นมา ประกาศชื่อหนึ่งร้อยกว่าคนออกมาอย่างรวดเร็ว
ด้านล่างเวทีเกิดความโกลาหลขึ้นอีกครั้ง
“ต่อเลย พวกนายเสียงดังต่อเลย เสียงดังกันพอแล้วค่อยหยุด ฉันไม่รีบ จะได้หักคะแนนต่อ หักให้หมดห้าสิบคะแนนเลย พวกนายติดคะแนนของมหาวิทยาลัย หลังจากนี้รางวัลที่ได้จากการทะลวงด่านก็จะหักตรงนั้นต่อ หักจนกว่าจะหมด!”
“มีสิทธิ์อะไร!”
มีคนไม่พอใจ ตะโกนขึ้นมา “นายมีสิทธิ์อะไรมาหักคะแนนพวกเรา!”
ฟางผิงเอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “มีสิทธิ์อะไร? สิทธิ์ที่ฉันเป็นประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้น่ะสิ! ลืมบอกพวกนายไป ในมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ พวกอาจารย์นั้นไม่ยุ่งย่าม ภาระทั้งหมดของมหาวิทยาลัยล้วนอยู่ในการดูแลของสมาคมผู้ฝึกยุทธ์! ไม่อยากยอมรับ ไม่ยินยอมนายก็ทำต่อไป หักนายอีกสิบคะแนน! พวกก่อเรื่อง ฉันชอบที่สุด! ตอนแรกฉันก็เป็นตัวก่อเรื่องเหมือนกัน แต่ฉันมีความสามารถ ตอนนี้ทะลวงขั้นสี่ตอนกลางแล้ว นายคิดว่านายเอาชนะฉันได้ งั้นนายย่อมมีอำนาจเช่นกัน ในมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ให้ความสำคัญกับผู้แข็งแกร่งเป็นหลัก! นี่เป็นเรื่องแรกที่ฉันจะสอนพวกนาย! จำไว้ให้ดี ตอนที่ไม่มีความสามารถก็อยู่อย่างสงบเสงี่ยมหน่อย! ผู้ที่แข็งแกร่งถึงจะทำตามใจตัวเองได้!”
ฟางผิงพูดจบก็ไม่สนใจเขาอีก เอ่ยต่อว่า “เข้ามาในมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ ฉันคิดว่าหลายคนที่อยู่ตรงนี้ พ่อแม่ ผู้ปกครองของพวกนายอาจจะเล่าเรื่องบางอย่างของเซี่ยงไฮ้ให้พวกนายฟังแล้ว แต่นั่นมันเมื่อก่อน! ตั้งแต่รุ่นนี้เป็นต้นไป เซี่ยงไฮ้จะไม่เป็นเซี่ยงไฮ้เหมือนเมื่อก่อนแล้ว! นักศึกษาใหม่ทั้งหมด ก่อนจบปีหนึ่งหากไม่สามารถทะลวงขั้นหนึ่งได้ต้องถูกไล่ออก! ดังนั้นในอนาคตหนึ่งปีข้างหน้า…ไม่สิ อย่างมากก็สิบเดือน หากพวกนายกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ไม่ได้ ขอโทษด้วย คงต้องกลับบ้าน มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้คงไม่เอาไว้ นี่เป็นเรื่องแรกที่อยากจะแจ้งให้ทุกคนทราบ”
———————
ตอนที่ 287 เป็นประธานเหนื่อยจริงๆ (1)
ตอนเย็นหนึ่งทุ่ม
ห้องประชุมใหญ่สมาคมผู้ฝึกยุทธ์
สมาชิกทั้งหมดสองร้อยสิบห้าคน นอกจากคนที่มีธุระข้างนอกยังไม่มาถึง รวมเฉินเหวินหลงในนั้น คนที่เหลือล้วนมารวมตัวกันที่สมาคมผู้ฝึกยุทธ์ พวกเขายังไม่ได้ออกไปไหน
ตอนที่เห็นฟางผิงนั่งตำแหน่งตรงกลาง จางอวี่นั่งอยู่ด้านข้าง หลายคนก็เผยสีหน้าดูไม่ได้อยู่บ้าง
—
ด้านล่าง
ฟู่ชางติ่งกระซิบว่า “เจ้าฟางผิงไม่มีความเกรงอกเกรงใจแม้แต่น้อย นี่ไม่ใช่จะสร้างปัญหาหรือไง?”
จ้าวเหล่ยไม่คิดอย่างนั้น “ผู้ฝึกยุทธ์จะใส่ใจเรื่องพวกนี้ไปทำไม?”
“นายช่างคิดบวกจริงๆ…”
ฟู่ชางติ่งหมดคำจะพูด จ้าวเหล่ยที่สอบได้เป็นอันดับหนึ่ง สติปัญญาสูงส่งคนนั้นไม่มีอีกแล้ว
ถูกฟางผิงซ้อมจนตายไปแล้ว!
เปลี่ยนเด็กหนุ่มที่โดดเด่นทั้งบุ๋นและบู๊กลายเป็นคนที่รู้จักแต่ใช้หมัดพูดคุย
ฟู่ชางติ่งทำหน้าเสียดาย ไม่มองเขาอีก กลัวว่าตัวเองจะถูกแพร่เชื้อไปด้วย
—
“เรื่องไร้สาระคงไม่พูดมากอีก พวกเราเข้าประเด็นเลยแล้วกัน!”
ฟางผิงไม่พิธีรีตองกับทุกคนมาก เอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฉันจะรับตำแหน่งประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ ประธานจางจะได้มีเวลาฝึกวิชา ไม่ถูกภาระงานของสมาคมถ่วงรั้งอีก”
“อีกอย่างหัวหน้าโจวบอกว่าจะจบการศึกษาแล้ว ต้องการหาประสบการณ์ จะลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายกิจการภายนอกและหัวหน้าสำนักงาน ประธานเซี่ยต้องรับตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายรับนักศึกษา ฉันคิดว่าคงเป็นภาระเหมือนกัน ตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายรับนักศึกษา ประธานเซี่ยไม่ต้องรับผิดชอบแล้ว”
เซี่ยเหล่ยก้มหน้า ไม่พูดอะไร
จางจื่อเวยโมโหอยู่บ้าง เงยหน้าว่า “รุ่นของนักศึกษาใหม่นี้ เซี่ยเหล่ยเป็นคนรับผิดชอบเหมือนกัน ตอนนี้นักศึกษาใหม่กำลังจะเข้ามาแล้ว สุดท้ายยังต้องจัดการธุระอย่างอื่นอีก เวลาแบบนี้นายจะให้เซี่ยเหล่ยออกจากตำแหน่ง?”
ฟางผิงเอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “ยังไม่ถึงเวลาที่เธอต้องพูด จางจื่อเวย การประชุมครั้งหน้าถ้าแทรกบทสนทนาอีก งั้นก็ออกไปซะ! สมาคมผู้ฝึกยุทธ์นั้นมีกฏเกณฑ์อยู่!”
“นาย!”
เซี่ยเหล่ยที่อยู่ด้านข้างดึงเธอไว้เบาๆ ส่ายหัวไม่ให้เธอพูดต่อ
แพ้แล้วก็ต้องยอมรับ
“หัวหน้าฝ่ายกิจการภายใน ก่อนหน้านี้เป็นหน้าที่ของประธานจาง ตั้งแต่วันนี้ไปฉันจะควบตำแหน่งนี้ ส่วนฝ่ายการเงิน…หัวหน้าหู ช่วงนี้เธอก็ยุ่งเหมือนกัน ส่งมอบเรื่องให้กับรุ่นพี่เมิ่งเหยาสักหน่อย หลิวเมิ่งเหยา เธอรับตำแหน่งนี้ไป”
ทั่วทั้งห้องประชุมเงียบเป็นเป่าสาก
จางอวี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ฟางผิงเพิ่งเข้ามาก็เปลี่ยนตำแหน่งเลยตรงๆ ไม่มีการแจ้งก่อนแม้แต่น้อย เหมาะสมหรือไง?
“ฝ่ายการเงิน หลิวเมิ่งเหยารับตำแหน่งหัวหน้า”
“ฝ่ายตรวจสอบ เย่ฉิงรับตำแหน่งหัวหน้า”
“ฝ่ายกิจการภายนอก ฟู่ชางติ่งรับตำแหน่งหัวหน้า”
“ฝ่ายสำนักงาน เฉินอวิ๋นซีรับตำแหน่งหัวหน้า”
“ฝ่ายรับนักศึกษาและกิจการภายใน ฉันจะเป็นคนรับผิดชอบ”
ฟางผิงเอ่ยง่ายๆ ไม่กี่ประโยค “ทุกคนมีใครคัดค้านหรือเปล่า?”
เงียบสนิท!
ฟางผิงไม่คิดปิดบัง ไม่ร่ำรี้ร่ำไรแม้แต่น้อย บอกทุกคนไปตรงๆ สมาคมผู้ฝึกยุทธ์ตั้งแต่บนถึงล่าง ตอนนี้ต้องเปิดทางให้คนของเขาทั้งหมด
เพื่อนพ้องหลายคน ศิษย์อาจารย์เดียวกัน รวมถึงเขาเอง แบ่งอำนาจแต่ละฝ่ายให้ทั้งหมดอย่างชัดเจน
“เปลี่ยนคนนั้นเป็นเรื่องแรก”
แม้ฟางผิงจะถามความเห็นทุกคน แต่เดิมทีก็แทบไม่ให้โอกาสในการโต้แย้ง เอ่ยต่อว่า “เรื่องที่สอง เพิ่มสวัสดิการ หลังจากนี้สมาชิกทั่วไปของสมาคมจะได้รับยี่สิบคะแนนต่อเดือน สมาชิกอาวุโสหรือก็คือสมาชิกขั้นสามขั้นสี่ห้าสิบคะแนน ระดับหัวหน้าหนึ่งร้อยคะแนน รองประธานสองร้อยคะแนน ประธานสามร้อยคะแนน”
“ฟางผิง!”
ท่ามกลางนักศึกษาในที่สุดก็มีคนไม่พอใจ โจวเหยียนเอ่ยอย่างโมโห “นายรู้หรือเปล่า ถ้าทำแบบนี้ต้องเสียค่าใช้จ่ายต่อเดือนเท่าไหร่? เกินกว่าเจ็ดพันคะแนน! แต่ละเดือนกองทุนที่มหาวิทยาลัยจัดสรรให้พวกเรามีแค่แปดสิบล้าน คะแนนไม่ถึงสามพันคะแนน นายบ้าไปแล้วหรือไง?”
ฟางผิงเอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “ผมเพิ่มสวัสดิการให้ทุกคน เธอไม่เห็นด้วยงั้นเหรอ?”
“นาย!”
โจวเหยียนเผยสีหน้าเต็มไปด้วยโทสะ กัดฟันว่า “งั้นนายควบสามตำแหน่ง ทุกเดือนต้องได้ห้าร้อยคะแนน?”
“แน่นอนอยู่แล้ว”
“ฟางผิง นายจะเกินไปแล้ว!” โจวเหยียนเอ่ยอย่างโมโห “ฉันว่าแล้ว นายต้องการตำแหน่งประธานก็เพราะประโยชน์ส่วนตัว!”
ฟางผิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ประโยชน์ส่วนตัว? ไม่มั้ง ฉันเพิ่มสวัสดิการให้ทุกคน ไม่ใช่แค่ฉันคนเดียว หรือจะให้เหมือนก่อนหน้านี้ หนึ่งเดือนได้ยาบำรุงเลือดและปราณธรรมดาหนึ่งเม็ดกับสามคะแนนก็ปล่อยผ่านไปได้แล้ว? งั้นการมีอยู่ของสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ มีไว้เพื่ออะไร? หรือจะให้เสียสละเพื่อส่วนรวมอย่างประธานจาง ตัวเองไม่เอาคะแนนจากสมาคมสักคะแนน กระทั่งรองประธานยังต้องทำเหมือนเขา เสียสละเพื่อรับใช้มหาวิทยาลัยอย่างนั้นเหรอ?”
“โจวเหยียน แบบนี้เหมาะสมจริงๆ หรือไง? เธอลองถามทุกคน พวกเขาพอใจหรือเปล่า? สมาคมผู้ฝึกยุทธ์มีภาระงานมากมาย ไม่มีอะไรให้สักอย่าง แทนที่จะเสียเวลาอยู่ในสมาคม เอาเวลาไปทำภารกิจข้างนอกไม่ดีกว่าเหรอ หาเงินได้มากกว่าซะอีก สถานการณ์แบบนี้ เธอหวังให้ทุกคนพยายามสุดกำลังเพื่อสมาคมผู้ฝึกยุทธ์งั้นเหรอ?”
จางอวี่ยกมือห้ามโจวเหยียน แต่ตัวเองกลับถามไปว่า “งั้นเงินที่ขาดไปจะเอามาจากไหน?”
ทุกเดือนต้องให้สวัสดิการกว่าสองร้อยล้าน น่าตกใจเกินไปแล้ว!
สมาคมผู้ฝึกยุทธ์ได้เงินจัดสรรจากมหาวิทยาลัยเดือนละแปดสิบล้าน ความแตกต่างมีมากเกินไป!
“ข้อแรกยื่นคำร้องต่อมหาวิทยาลัยว่าแปดสิบล้านไม่พอ เติมให้สักหน่อย หนึ่งร้อยล้าน ตอนนี้ข้าวของแพงขึ้น มหาวิทยาลัยก็ควรเพิ่มผลประโยชน์ให้พวกเราเล็กน้อย ไม่ใช่ปัญหาใหญ่”
“ข้อสอง ตอนนี้ประชาชนต่างให้ความสนใจกับผู้ฝึกยุทธ์ การรับสมัครนักศึกษาศิลปะการต่อสู้มีอย่างจำกัด มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้เปิดคลาสสอนศิลปะการต่อสู้สามแห่งในเซี่ยงไฮ้เท่านั้น จำนวนน้อยเกินไป ไม่เพียงพอ สมาคมผู้ฝึกยุทธ์จะเปิดคลาสฝึกศิลปะการต่อสู้อีกสองแห่ง สมาชิกขั้นสองแบ่งกันไปนั่งรักษาการณ์ เทียบกับคลาสฝึกศิลปะการต่อสู้ที่หลอกคนพวกนั้น พวกเรายังจะแข็งแกร่งมากกว่า เปิดคลาสสองแห่งรับนักเรียนสองร้อยคน ทุกปีสร้างรายได้ให้พวกเรากว่าหนึ่งร้อยล้านแล้ว”
“ข้อสามนักศึกษาใหม่ที่เข้ามา มีหลายคนเป็นลูกเศรษฐี ตามธรรมเนียมที่ผ่านมา การแบ่งหอพักสามารถใช้เงินของตัวเองเปลี่ยนห้องได้ เมื่อก่อนครึ่งหนึ่งมอบให้นักศึกษาดีเด่น อีกครึ่งหนึ่งเป็นพวกที่ใช้เงินแลกมา เริ่มตั้งแต่ปีนี้เข้ามาในมหาวิทยาลัยต้องปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน หอพักส่วนตัวต้องใช้เงินเท่านั้น…”
“ประธานฟาง!” จางอวี่โมโหอย่างเห็นได้ชัด “นี่จะเกินไปแล้ว!”
ฟางผิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อย่าเพิ่งใจร้อนสิ ฉันยังพูดไม่จบ ไม่ใช่แค่เด็กใหม่ แต่ยังรวมถึงนักศึกษาปีสูง นักศึกษาปีสูงบางส่วนไม่คิดจะพัฒนาตัวเอง ทำตัวเป็นหมาหวงก้าง ฉันจะเปิดโอกาสให้นักศึกษาใหม่และคนที่มีความสามารถแทน ปีสูงบางส่วนยังได้อยู่หอพักส่วนตัว ถ้าไม่อยากจ่ายเงิน แต่อยากอยู่ที่ดีๆ งั้นก็ไปท้าประลองสิ! เอาชนะปีสูงได้ งั้นปีสูงก็ต้องย้ายไปอยู่หอพักรวม ผู้ชนะจะได้ไปอยู่หอพักส่วนตัว อย่ามองฉันแบบนั้น อย่างอื่นยังไม่พูดถึง พวกนายปีสี่ก็เหมือนกัน นักศึกษาปีสูงบางส่วนจนถึงตอนนี้ยังอยู่ที่ขั้นหนึ่งขั้นสอง ตอนที่เข้าเรียนก็เป็นนักศึกษาดีเด่นร้อยอันดับแรกเหมือนกัน มีที่พักอาศัยอาหารให้ฟรี ผ่านไปหลายปีก็ยังคงอยู่แค่ขั้นหนึ่งชั้นสอง ประธานจาง นี่คงไม่เหมาะสมอีกแล้ว!”
“ตอนนี้นักศึกษาทั้งสามรุ่น มีการจัดสรรหอพักส่วนตัวให้นักศึกษาดีเด่นสามร้อยห้อง อีกสามร้อยห้องแบ่งให้นักศึกษาที่จ่ายเงินเอง สามร้อยห้องของนักศึกษาดีเด่นนี้สามารถท้าประลองได้เช่นกัน ส่วนสามรุ่นก่อนที่ใช้เงินแลกมาอยู่หอพักส่วนตัว ฉันจะยังไม่ใช่มาตราการใหม่ เริ่มตั้งแต่รุ่นหน้าเป็นต้นไป จ่ายเงินจะอยู่ได้แค่หนึ่งปี! หลังจากหนึ่งปี หอพักส่วนตัวพวกนี้จะเป็นที่อยู่ของผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้น”
จางอวี่เงียบลงทันที ไม่พูดอะไรอีก
ฟางผิงเอ่ยต่อ “นักศึกษาใหม่ปีนี้มีหอพักส่วนตัวสองร้อยห้อง นักศึกษาของเซี่ยงไฮ้ที่ฐานะทางบ้านดีไม่ใช่จำนวนน้อยๆ ห้าแสนแลกกับที่พักส่วนตัวหนึ่งปี หากเต็มใจก็จ่าย ไม่เต็มใจก็อยู่หอพักรวม ไม่งั้นก็ต้องอาศัยความสามารถไปช่วงชิง หากสองร้อยห้องมีคนเช่า ก็เป็นเงินหนึ่งร้อยล้านแล้ว”
ฟางผิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นี่รวมเป็นสองร้อยล้านแล้ว รวมกับกองทุนที่มหาวิทยาลัยมอบให้พวกเราหนึ่งพันสองร้อยล้านต่อปี นั่นก็เป็นหนึ่งพันสี่ร้อยล้าน”
จางอวี่ถอนหายใจเบาๆ “แม้จะเป็นแบบนั้น ยังคงขาดเงินเยอะอยู่ดี!”
จากความคิดของฟางผิง ในหนึ่งปีรวมกับค่าใช้จ่ายต่างๆ ของสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ อย่างน้อยต้องใช้กว่าสองพันห้าร้อยล้าน ถึงกระทั่งมากกว่านั้น มีส่วนที่ขาดเยอะเกินไป
“ง่ายๆ จัดการแข่งขันขึ้นมาหลายรอบหน่อย!”
ฟางผิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้ประชาชนต่างให้ความสนใจกับผู้ฝึกยุทธ์ นับตั้งแต่การแข่งขันแลกเปลี่ยน การแข่งขันของผู้ฝึกยุทธ์ก็กลายเป็นการแข่งขันธรรมดาทั่วไป แต่การแข่งขันในสังคม ระดับไม่เท่าเทียมกัน ความน่าเชื่อถือก็ต่ำ เริ่มตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไปมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้จะเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันบางอย่างขึ้นมาทุกปี อย่างเช่น การแข่งขันแลกเปลี่ยนของนักศึกษาใหม่ทั่วประเทศ การแข่งขันแลกเปลี่ยนผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองหรือขั้นสาม การจัดการแข่งขันไม่มีเรื่องขาดทุน ไม่มีเรื่องที่ตัวเองต้องเสียเงิน แต่หาผู้สนับสนุนเพื่อให้เงินเท่านั้น รวมถึงการจ่ายรางวัลบางอย่างก็เป็นเรื่องของผู้สนับสนุนเช่นกัน จะเป็นการแข่งที่เสียเงินได้ยังไง อีกอย่าง การถ่ายทอดสดการแข่งขันต้องเก็บค่าใช้จ่าย ร่วมมือกับแพลตฟอร์มหลากหลาย คนโง่เท่านั้นถึงจะให้คนเผยแพร่ฟรีๆ!”
“ในความเป็นจริง ตอนนี้บางบริษัทมีความคิดแบบนี้เช่นกัน รวมถึงทางรัฐบาลด้วย แต่พวกเขามีความน่าเชื่อถือเท่าเซี่ยงไฮ้ของพวกเรางั้นเหรอ? ไม่อยู่แล้ว! มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้คือสถานที่แบบไหน เป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในประเทศและโลกแห่งนี้!ไม่ใช่แค่การแข่งขันภายในประเทศ พวกเราสามารถเชิญมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ชื่อดังของโลกบางแห่งมาร่วมจัดการแข่งขันกับพวกเรา การแข่งขันผู้ฝึกยุทธ์หลากหลายประเทศ สำหรับผู้ฝึกยุทธ์ต่างประเทศ พวกเราเข้าใจมากน้อยแค่ไหนกัน? พูดตามตรง รู้แค่นิดเดียวเท่านั้น เป็นแบบนี้นอกจากจะสามารถขยายการแข่งขันผู้ฝึกยุทธ์ในและนอกประเทศให้ใหญ่ขึ้น ยังผลักดันการพัฒนาของเส้นทางผู้ฝึกยุทธ์ด้วย”
“เรื่องนี้เดิมทีควรเป็นหน้าที่ของรัฐบาล แต่ตอนนี้การแข่งขันพิ่งจะได้รับความนิยม รัฐบาลยังวุ่นอยู่กับภาระงานภายในประเทศ ไม่สามารถรับผิดชอบเรื่องพวกนี้ได้ มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ควรจะเดินออกมาแบกรับภาระช่วยรัฐบาล! หนึ่งฤดูจัดการแข่งขันหนึ่งครั้ง หนึ่งปีสี่ครั้ง เงินจากผู้สนับสนุน เงินค่าโฆษณา เงินค่าเผยแพร่ เงินค่าเข้าชม…ทุกคน หากเป็นไปตามที่คาด น่าจะได้หลายร้อยล้าน ผู้ฝึกยุทธ์ไม่อยากถูกคนอื่นเห็นเป็นตัวตลก งั้นไม่เข้าร่วมก็ได้ แต่มักจะมีผู้ฝึกยุทธ์บางคนอยากโดดเด่นเช่นกัน อยากที่จะได้รับความสนใจจากผู้คน รวมถึงผู้ฝึกยุทธ์ในสังคมบางส่วนด้วย การจัดการแข่งขันจะมีผู้ฝึกยุทธ์เข้าร่วมอย่างแน่นอน ทั้งหลักๆ จะเป็นการแข่งขันของผู้ฝึกยุทธ์สามระดับล่าง คนพวกนี้ว่างไปก็เท่านั้น ประลองแลกเปลี่ยนความรู้สักหน่อยดีกว่าอยู่บ้านอย่างไร้ประโยชน์เป็นไหนๆ!”
——————–
ตอนที่ 283 ไม่กลัวฟางผิง (2)
ฟางผิงเอ่ยด้วยรอยยิ้มภาคภูมิใจ “ไม่ใช่เรื่องน่าตกใจอะไรหรอก แค่ตอนที่ทะลวงด่าน เชื่อมต่อสะพานฟ้าดินทั้งห้าในครั้งเดียวเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”
“แค่กๆ!”
จ้าวเหล่ยกระแอมไอออกมา เอ่ยอย่างเหนื่อยใจว่า “ได้ พวกเรารู้แล้ว ยังไงต่อ?”
ฟางผิงชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง เอ่ยด้วยแววตาไม่พอใจว่า “ขั้นสี่ตอนกลางนับว่าเป็นเรื่องธรรมดาๆ สินะ?”
ปู่แกเถอะ นายไม่คิดจะพูดชื่นชมบ้างหรือไง?
จ้าวเหล่ยสีหน้าดำคล้ำอีกครั้ง ผ่านไปพักหนึ่งค่อยเอ่ยว่า “เก่งมาก เก่งสุดๆ ไปเลย นายกล้าต่อยฉัน ฉันรับรองว่าพ่อฉันต้องมามหาลัยแน่ นายระดับกลางแล้ว ฉันยังระดับล่างอยู่เลย!”
ไอ้เวรตะไล คิดว่าฉันจัดการนายไม่ได้จริงๆ หรือไง!
นายระดับล่าง ฉันระดับล่าง ถูกนายต่อยก็แล้วไป
นายระดับกลางแล้ว ฉันยังระดับล่าง นายกล้าต่อยฉันอีก คิดว่าฉันไร้ความสามารถหรือไง?
ฟางผิงตกตะลึงไปเล็กน้อย ไอแห้งๆ ว่า “พูดอะไรกัน การแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างนักศึกษา เรียกว่าต่อยคนได้ที่ไหน? ใช่สิ พ่อนายอยู่ขั้นห้าตอนต้นหรือตอนปลายนะ ฉันลืมถามไป”
“ขั้นห้าสูงสุด!”
จ้าวเหล่ยเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ แข่งกับนายไม่ได้ งั้นก็แข่งพ่อฉันแทนละกัน ขั้นห้าสูงสุด สู้นายเรื่องนี้น่าจะเพียงพอแล้ว!
“ขั้นห้าสูงสุด…” ฟางผิงเงียบไปพักหนึ่งก่อนเอ่ยว่า “งั้นรออีกไม่กี่เดือน ฉันเข้าสู่ขั้นห้าแล้วค่อยว่ากัน”
จ้าวเหล่ยเหนื่อยใจอย่างถึงที่สุด ก้มหน้าดื่มน้ำซุป ฉันไม่อยากคุยกับนายแล้ว
ฟางผิงหัวเราะยกใหญ่ เอ่ยต่อว่า “เอาล่ะ เรื่องพวกนี้ออกนอกประเด็นไปแล้ว ระหว่างนักศึกษาต้องรักและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เรื่องต่อยตีนั้นมีที่ไหน ยังต้องทำถึงขั้นเชิญผู้ปกครองมา ไม่น่าอายหรือยังไง?”
“ครั้งนี้เลี้ยงข้าวทุกคนเพราะอยากจะพูดเรื่องสำคัญ…”
หยางเสี่ยวม่านเงยหน้าขึ้นว่า “นายมั่นใจนะว่านายเลี้ยงข้าว?”
“เหลวไหล ข้าวก็อยู่ที่นี่ไม่ใช่หรือไง? ผู้ฝึกยุทธ์ต้องประหยัดเหมือนกัน จะสิ้นเปลืองไม่ได้”
ฟางผิงวกเข้าประเด็นหลัก เอ่ยทันที “เรื่องของอธิการ ทุกคนน่าจะรู้แล้ว ตอนนี้อธิการบดีมหาวิทยาลัยจะเปลี่ยนเป็นอธิการอู๋ ส่วนสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ฉันคิดว่าถึงเวลาต้องเปลี่ยนแล้วเหมือนกัน นักศึกษาปีสี่ไม่อาจทำหน้าที่ประธานสมาคม อันที่จริงเป็นความเห็นร่วมกันของแต่ละมหาวิทยาลัย จางอวี่ควรเป็นฝ่ายถอนตัวจากตำแหน่ง ตอนนี้นึกไม่ถึงว่าเขายังจะวางแผนให้เฉินเหวินหลงมารับช่วงต่อ นี่เป็นการพลิกประวัติศาสตร์อย่างสิ้นเชิง! นักศึกษาปีสี่ใกล้จะเรียนจบ แยกย้ายกันในอนาคตข้างหน้าแล้ว เฉินเหวินหลงกำลังฝึกฝนในหน่วยทหาร เห็นได้ชัดว่าวางแผนเพื่ออนาคต จะมีเวลามาพัฒนาสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ให้ดีกว่าเดิมได้หรือไง?”
“แต่อีกไม่กี่วันฉันก็ปีสองแล้ว เวลาที่อยู่ในมหาวิทยาลัยยังมีเยอะ ให้ฉันรับตำแหน่งประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์แทนจางอวี่ ฉันคิดว่าเหมาะสมเหมือนกัน ส่วนพวกนาย ถือเป็นตัวแทนนักศึกษาปีสองรุ่นนี้ การเลือกประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ พวกนายก็มีอำนาจในการพูดเช่นกัน พวกนายเป็นตัวแทนปีสอง มีคุณสมบัตินี้ ส่วนรุ่นพี่พวกนั้นของฉันก็เพียงพอเป็นตัวแทนพูดให้ปีสามปีสี่ได้เหมือนกัน หากพูดให้เห็นภาพชัดเจนอีกหน่อย บางทีฉันอาจจะขั้นห้าเร็วๆ นี้ มหาวิทยาลัยไม่ให้ฉันเป็นประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ได้จริงๆ งั้นเหรอ? ฉันไม่ใช่คนที่กำลังจะจบออกไปสักหน่อย ตอนนี้ส่วนมากก็อยู่ในมหาวิทยาลัย คนที่ฝีมืออ่อนด้อยกว่าฉัน ชี้มือชี้นิ้วสั่งการฉัน คิดว่าฉันทนได้หรือไง? ดังนั้นเพื่อความสงบสุขของมหาวิทยาลัย เพื่อให้นักศึกษามีแบบอย่างที่ดีกว่า…”
ฟู่ชางติ่งยกมือตัดบทว่า “ได้ พวกเราเข้าใจความหมายของนายแล้ว อย่าเยินยอตัวเองอีกเลย สนับสนุนให้นายเป็นประธานสินะ ไม่มีปัญหา ประเด็นอยู่ที่ว่าพวกฉันไม่ใช่คนที่ตัดสินใจได้”
“กระแสส่วนใหญ่!”
ฟางผิงเอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง “พวกนายเป็นตัวแทนของปีสองหนึ่งพันกว่าคนนี้ การสนับสนุนของพวกนายย่อมมีความหมายอยู่แล้ว”
ฟางผิงมองไปยังจ้าวเหล่ย “นายคิดว่ายังไง?”
“ยังไงก็ได้”
“หยางเสี่ยวม่าน เธอล่ะ?”
“ฉัน…”
หยางเสี่ยวม่านยังพูดไม่ทันจบ ฟางผิงก็เอ่ยด้วยแววตาอันตราย “เธอทำลายชื่อเสียงของฉัน ฉันยังไม่ได้คิดบัญชีกับเธอ ถ้าเธอคัดค้านเรื่องนี้อีก พวกเราถือว่าเป็นศัตรูกัน!”
หยางเสี่ยวม่านเผยสีหน้าขุ่นเคือง ผ่านไปพักใหญ่ค่อยเอ่ยอย่างข่มกลั้นว่า “ไม่คัดค้าน!”
“อวิ๋นซี เธอก็ไม่คัดค้านใช่หรือเปล่า?”
เฉินอวิ๋นซีส่ายหัว ครุ่นคิดก่อนเอ่ยว่า “ทำไมช่วงนี้ไม่เห็นนายขายยาบำรุง?”
ฟางผิงนิ่งอึ้งไป เธอเบี่ยงประเด็นไปที่ไหนกัน!
“เรื่องนี้เอาไว้ก่อน มาพูดถึงเรื่องสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ต่อ…”
จ้าวเสวี่ยเหมยเอ่ยตัดบทตรงๆ “พูดอะไรอีก นายเป็นประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ พวกเราต่างไม่คัดค้าน กินข้าวเถอะ พูดมากอะไรขนาดนั้น”
ฟางผิงตะลึงไปอีกครั้ง “พวกเธอไม่คิดจะตื่นเต้น ฮึกเหิมบ้างหรือไง? ฉันต้องเป็นผู้นำนักศึกษาทั้งหมดของมหาวิทยาลัย…”
“งั้นนายก็ต้องมีบุคลิกของผู้นำนักศึกษาหน่อย พอใจหรือยัง?”
ฟู่ชางติ่งเอ่ยอย่างไร้คำพูดว่า “ชวนพวกเรามากินข้าวแค่นี้ก็ยังจะหลอกล่อพวกเรา?”
“อีกอย่าง ถ้านายเป็นประธานสมาคมแล้วยังไปเร่ขายยาบำรุงอีก นายเชื่อหรือเปล่าว่าพวกปรมาจารย์ทั่วโลกจะไล่ฆ่านายได้ด้วยซ้ำ?”
“คนไม่รู้ยังจะคิดว่านายทุจริตเงินจากสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ไป”
“อีกอย่าง…”
ฟู่ชางติ่งชะงักไปเล็กน้อย เอ่ยกระอักกระอ่วน “ฉันว่าโฆษณาเล็กๆ อย่าไปถ่ายเลย อายคนเขา เพื่อนสมัยมอปลายบางคนมาถามฉันว่ารู้จักฟางผิงหรือเปล่า? ฉันบอกว่ารู้จัก…ปรากฏว่าคนอื่นแทบไม่ถามอย่างอื่น กลับมาถามว่าฉันสวมรองเท้าตี๋เค่อจะเดินบนอากาศได้จริงๆ หรือเปล่า ฉันแทบจะบ้าตายอยู่แล้ว! นายลองคิดเองเถอะ นายมียุคมืดแบบนี้จะส่งผลกระทบเท่าไหร่กัน? เป็นคนที่ไร้คู่ต่อสู้ในขั้นสามดีๆ กลับมามัวหมองซะได้…”
ฟางผิงเอ่ยอย่างหงุดหงิดว่า “ฉันไม่ได้ไปลักเล็กขโมยน้อยสักหน่อย ถ่ายโฆษณานิดหน่อยจะเป็นไรไป? เด็กบ้านจนอย่างฉันจะเหมือนพวกนายได้งั้นเหรอ? ถ้าไม่หาเงินสักหน่อย จะให้ฝึกวิชายังไง? ฝึกวิชาขั้นสี่ ไม่ทันไรก็ใช้ยาเม็ดเป็นล้านแล้ว ฉันจะไปหาเงินจากที่ไหน? ใครเอาเรื่องนี้มาพูดอีก ฉันจะสั่งสอนให้จดจำสักหน่อย!”
เฉินอวิ๋นซีที่อยู่ด้านข้างเอ่ยอย่างเห็นใจว่า “ไม่ง่ายจริงๆ นั่นแหละ อันที่จริงฉันคิดว่าแบบนี้ดีแล้ว บนอินเทอร์เน็ตยังมีคนว่าร้ายนายด้วย ใช่สิ นักข่าวคนนั้นไม่รู้ว่ารู้ QQ ของฉันได้ยังไง ยังส่งข้อความส่วนตัวมา บอกว่าก่อนหน้านี้นายเป็นคนสั่งให้เขาปล่อยข่าวลือ คนแบบนี้น่าไม่อายจริงๆ ไม่มีความรับผิดชอบเลยสักนิด”
พวกฟู่ชางติ่งกลับมองฟางผิงด้วยแววตาแปลกๆ อยู่บ้าง ฉินอวิ๋นซีไม่เชื่อ…แต่พวกเขาเชื่ออยู่บ้าง!
—
ในเวลาเดียวกัน
หลิวต้าลี่ที่อยู่ไกลออกไปพันลี้จามออกมาอย่างแรง พึมพำว่า “เซี่ยงไฮ้มีข่าวใหญ่ จะเปลี่ยนอธิการบดีคนใหม่แล้ว น่าเสียดาย เจ้านั่นอยู่เซี่ยงไฮ้เหมือนกัน…ฉันขั้นสามตอนปลายแล้ว ไม่รู้ว่าจะเป็นคู่มือเขาได้หรือเปล่า?”
ตอนนี้หลิวต้าลี่ยังเชื่ออยู่บ้าง
เขาทะลวงถึงขั้นสามตอนปลาย รับรู้ได้ว่าร่างกายเปลี่ยนแปลงแข็งแกร่งขึ้นมากจริงๆ!
ก่อนหน้านี้พวกฟางผิงเดินเหินบนอากาศ ฟันแยกภูเขาด้วยดาบเดียว เวลานั้นรู้สึกว่าความแตกต่างมีมากเกินไป
ตอนนี้…หลิวต้าลี่คิดว่าตัวเองทำได้เหมือนกัน
“จะไปดีหรือเปล่า?”
“ถ้าไปต้องเข้าไปในมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้สินะ?”
“หนึ่งในมหาวิทยาลัยชื่อดังเปลี่ยนอธิการคนใหม่ ตอนนี้ก็ถึงฤดูเปิดเทอมแล้ว ต้องดึงดูดความสนใจจากผู้คนแน่”
หลิวต้าลี่สองจิตสองใจอยู่บ้าง เซี่ยงไฮ้เป็นสถานที่ที่ดี ข้อมูลใหม่เยอะ ข่าวสารกว้างขวาง คงไม่อาจให้เขาละทิ้งสมบัติล้ำค่าอย่างเซี่ยงไฮ้เพราะฟางผิงได้หรอกมั้ง?
“ความจริงฉันไม่ได้กลัวเขา แต่หมอนั่นมีคนสนับสนุนอยู่เบื้องหลังต่างหาก!”
หลิวต้าลี่ถอนหายใจ คนกับคนเทียบกันแล้วช่างน่าโมโหจริงๆ
ฟางผิงที่เป็นวัยรุ่นคนหนึ่ง มีความฉลาดและกล้าหาญ เขายังไม่เท่าไหร่ แต่หมอนั่นมีอาจารย์ที่เก่งกาจ เซี่ยงไฮ้มีอาจารย์เยอะขนาดนั้น ฟางผิงเรียกคนมาอัดเขาจะทำยังไง?
———————-