ตอนที่ 295 ไม่ช้าก็เร็วมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ต้องเปลี่ยนเป็นแซ่ฟาง (1)
ระหว่างทางฟางผิงสลัดคำพูดพวกนั้นของศาสตราจารย์เฒ่าทิ้งไปทันที
รอตัวเองกลายเป็นปรมาจารย์ มีโอกาสเข้าใจลึกซึ้งกว่านี้ค่อยว่ากัน ตอนนี้รู้เรื่องพวกนี้แทบไม่มีประโยชน์อะไร
ฟ้าถล่มลงมาก็ให้ปรมาจารย์พวกนั้นแบกไว้ละกัน
—
สมาคมผู้ฝึกยุทธ์
ฉินเฟิ่งชิงนั่งไขว่ห้างเอนหลังพิงเก้าอี้ ก่อนจะเรียกใช้เฉินอวิ๋นซี
“เปลี่ยนน้ำชาให้ฉันหน่อย ชาเย็นหมดแล้ว!”
“ฉันว่านะ ฟางผิงทำไมถึงให้พวกดอกไม้ประดับแจกันมาเป็นหัวหน้าฝ่ายสำนักงานซะได้ ฉันจำได้ว่าโจวเยียนคล่องแคล่วฉับไวมากกว่านี้…”
วันนี้เฉินอวิ๋นซีไม่ได้เข้าคลาสเรียน
ตอนนี้ได้ยินฉินเฟิ่งชิงดูแคลนตัวเอง เฉินอวิ๋นซีจึงใบหน้าขึ้นสี ช่วยจัดการถ้วยชาอย่างลนลาน ไม่อาจโต้แย้งอะไรได้
ฟางผิงเข้ามาได้ยินคำพูดนี้จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อวิ๋นซี ปู่ของเธอมาหาอยู่ด้านนอก ได้ยินว่าปรมาจารย์ได้ยินกระทั่งเสียงมดเดินไกลกว่าร้อยลี้…”
ฉินเฟิ่งชิงหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย ฝืนเอ่ยว่า “ขู่ฉัน?”
ฟางผิงทำราวกับเพิ่งเห็นเขา เอ่ยอย่างแปลกใจว่า “อะไร?”
“นาย…นายบอกว่าอธิการเฉินมา จงใจขู่ฉัน?”
“ปัญญาอ่อน!”
ฟางผิงเอ่ยอย่างหงุดหงิด “ฉันขู่นายมีประโยชน์อะไร? อวิ๋นซี เธอไปเถอะ ต้อนรับปู่ดีๆ ล่ะ”
เฉินอวิ๋นซีเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง ละล่ำละลักว่า “งั้นฉันขอตัวก่อน จริงๆ เลยปู่จะมาหาทำไมไม่บอกกันล่วงหน้าหน่อย”
พูดจบเฉินอวิ๋นซีก็รีบออกไปข้างนอก
ฟางผิงครุ่นคิดเล็กน้อย จู่ๆ ก็เอ่ยว่า “อย่าพูดเรื่องที่ฉินเฟิ่งชิงเรียกใช้เธอล่ะ บอกว่าเป็นดอกไม้ประดับแจกัน เธอก็อย่าคิดเป็นจริงเป็นจัง ดอกไม้ประดับแจกันมีความสามารถของขั้นสามหรือไง? ยังไงเขาก็เป็นรองประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ ปู่เธอเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยจิงหนาน หากบานปลายขึ้นมาคงไม่ใช่เรื่องดีแล้ว”
เฉินอวิ๋นซีพยักหน้าระรัว “ฉันไม่พูดอยู่แล้ว”
“ถ้าอธิการเฉินได้ยิน เธอก็เกลี้ยกล่อมเขาหน่อย ขอให้เขาอย่าใส่ใจ ฉินเฟิ่งชิงเป็นคนปากเสียแบบนี้แหละ ปรมาจารย์ต้องรักษาความเกรงขาม ถ้าไม่ไหวจริงๆ ออกจากมหาวิทยาลัยก่อนค่อยลงมือ ในมหาวิทยาลัยนั้นไม่ได้”
เฉินอวิ๋นซีทำหน้าร้อนใจ พยักหน้าว่า “งั้นฉันขอตัวก่อน จะไม่ให้ปู่ฉันเข้ามาในสมาคมแน่นอน!”
พูดจบ เฉินอวิ๋นซีก็รีบวิ่งออกไป
ฉินเฟิ่งชิงอยากพูดอะไรสักอย่างแต่ก็หยุดไป ก่อนจะเอ่ยว่า “รุ่นน้องอวิ๋นซี เมื่อกี้แค่พูดเล่น รุ่นพี่อยากจะสร้างแรงกระตุ้นให้เธอเท่านั้น เธอทำได้ดีแล้ว…”
เฉินอวิ๋นซีไม่ได้ คนออกไปนานแล้ว
ฉินเฟิ่งชิงนั่งไม่ติดที่อยู่บ้าง กระแอมเบาๆ “ฟางผิง นายก็รู้ว่าฉันคนนี้ปากร้ายแต่ใจดี ฉันแค่หวังดีต่อเฉินอวิ๋นซี…”
ฟางผิงพูดเหมือนเป็นเรื่องจริง เฉินอวิ๋นซีวิ่งออกไปแล้วเขาก็ยังไม่ขัดขวาง นี่ทำให้ฉินเฟิ่งชิงเชื่ออยู่บ้างว่าปรมาจารย์เฉินมาจริงๆ!
พอนึกถึงตัวเองที่ด่าคนอื่นไปว่าดอกไม้ประดับแจกัน…
นึกไปถึงอีกว่าสกุลเฉินมีทายาทรุ่นสามเป็นผู้หญิงคนเดียว!
ฉินเฟิ่งชิงก็ใบหน้าซีดเผือดอยู่บ้าง รังแกหลานสาวของสกุลเฉินไม่เป็นไรอยู่แล้ว แต่รังแกหลานสาวของท่านผู้เฒ่าเฉิน นั่นถึงจะเป็นเรื่องใหญ่!
ไม่แน่ว่าพอเขาเดินออกจากมหาวิทยาลัยไปจะถูกปรมาจารย์ซ้อมจริงๆ ก็ได้!
โดนซ้อมเขาไม่กลัว
กลัวก็แต่ว่าจะโดนซ้อมไม่หยุดหย่อนน่ะสิ!
“ฉันนี่มันปากเสียจริงๆ!”
ฉินเฟิ่งชิงสบถในใจ ว่างจนไม่มีอะไรทำแล้วหรือไง ด่าใครไม่ด่า อยู่ดีๆ ไปหาเรื่องเฉินอวิ๋นซี
ฟางผิงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “รุ่นพี่ฉินพูดอะไรกัน ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก อธิการเฉินเป็นคนดี ไม่ใส่ใจเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว เอาล่ะ เข้าประเด็นกัน ครั้งนี้ขอแรงสนับสนุนเป็นยังไงบ้าง?”
ฉินเฟิ่งชิงจะมีใจพูดเรื่องนี้ได้ยังไง เซี่ยเหล่ยที่นั่งนิ่งอยู่ด้านข้างมาโดยตลอด แค่นเสียงว่า “ปัญญาอ่อน!”
เมื่อคำพูดนี้ออกมา ฉินเฟิ่งชิงและฟางผิงก็จ้องเขาด้วยแววตาอันตรายทันที
ไอหมอนี่ด่าใครกัน?
เซี่ยเหล่ยสีหน้าดูไม่ได้อยู่บ้าง ต่อจากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีก ฉันไม่บอกหรอกว่าด่าใคร!
เวลานี้ฉินเฟิ่งชิงค่อยสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย ไม่ต้องรอนาน ด้านนอกเฉินอวิ๋นซีก็ตะโกนว่า “ฟางผิง ปู่ฉันไม่เห็นมาเลย!”
“ฉันจะฆ่านายซะ!”
ฉินเฟิ่งชิงระเบิดโมโห!
ลุกขึ้นเตรียมจะชักดาบใส่ฟางผิง ฟางผิงตะคอกใส่ทันที “ฉินเฟิ่งชิง นายมีเงินชดใช้หรือไง? ทำลายข้าวของต้องชดใช้หลายสิบล้าน นายมั่นใจนะว่าจะลงมือ นายเป็นฝ่ายหาเรื่องก่อน นายต้องชดใช้ทั้งหมด!”
เมื่อคำพูดนี้ออกมา ฉินเฟิ่งชิงก็ห่อเหี่ยวทันที
“ฟางผิง นายนี่มันแน่จริงๆ!”
ฉินเฟิ่งชิงแค่นเสียง เอ่ยด้วยแววตาไม่พอใจ “รอก่อนเถอะ พวกเรายังไม่จบ!”
“ไร้สาระ ไม่จบง่ายๆ อยู่แล้ว นายติดเงินฉันเป็นสิบล้าน รีบคืนเร็วๆ ละกัน ไม่งั้นชีวิตปีสี่ตลอดทั้งปีนี้ก็รอฉันจัดการนายได้เลย!”
“รังแกคนเกินไปแล้ว”
ฉินเฟิ่งชิงโมโหขึ้นมา ในมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้แต่ไหนแต่ไรก็มีแค่ฉันที่ไปรังแกคนอื่น ผลปรากฏว่าตอนนี้มาถูกคนรังแก โหดเหี้ยมเกินไปแล้ว!
นึกถึงตอนแรกที่จางอวี่ถูกเขาบดขยี้แล้วบดขยี้อีก เจ้าฟางผิงกลับใช้อำนาจกลั่นแกล้งตัวเองอย่างโจ่งแจ้ง
ทั้งสองคนถลึงตาใส่กันอย่างดุดัน เซี่ยเหล่ยลอบด่าในใจอีกครั้ง ไอ้พวกปัญญาอ่อน!
คร้านจะเสียเวลากับพวกเขาแล้ว เซี่ยเหล่ยเอ่ยออกไปตรงๆ “ครั้งนี้ฉันไปยี่สิบเจ็ดหลัง รวบรวมได้ทั้งหมดสี่ร้อยหกสิบล้าน…”
ฟางผิงไม่รอให้เขาพูดจบก็เอ็ดว่า “นายปัญญาอ่อนหรือไง?”
“บริษัทใหญ่ของปรมาจารย์สี่แห่ง กับบริษัทของผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลางยี่สิบสามแห่ง นายบอกฉันว่ารวบรวมได้สี่ร้อยหกสิบล้าน?”
เซี่ยเหล่ยแทบจะกัดฟันพูดอย่างโมโหว่า “นายบอกว่าปรมาจารย์ไม่ต่ำกว่าห้าสิบล้าน ระดับกลางสิบล้าน ฉันทำถึงเกณฑ์แล้ว ฟางผิง อย่าได้รังแกคนเกินไป!”
“ฉันบอกว่าเกณฑ์ต่ำสุด นายยังจะยึดตามเกณฑ์ต่ำสุดจริงๆ? บริษัทที่ฉันเลือกให้พวกนายมีแต่บริษัทรวยๆ ศิษย์เก่าของเซี่ยงไฮ้เยอะขนาดนี้ คนที่ฉันเลือกมาเป็นพวกที่ซื้อรถให้ลูกหลานตัวเองคันละเป็นสิบๆ ล้าน พวกนายปัญญาอ่อนรึไง? เว้นเสียแต่ว่าลูกหลานของคนพวกนี้จะไม่เรียนในเซี่ยงไฮ้ ไม่งั้นเงินเล็กน้อยแค่นี้ไม่พอจะอุดซอกฟันได้ด้วยซ้ำ? ใช่สิ ในนี้ยังมีบางคนที่ลูกหลานเรียนในมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ เดี๋ยวนายไปเอารายชื่อและจำนวนเงินบริจาคมาให้ฉัน ใครให้เงินน้อย ขั้นสามส่งไปถ้ำใต้ดินให้หมด!”
เซี่ยเหล่ยมุมปากกระตุก เอ่ยอย่างกลัดกลุ้ม “นายทำแบบนี้จะเป็นการล่วงเกินในที่แจ้งแล้ว!”
“กลัวไปทำไม!”
ฟางผิงเอ่ยอย่างไม่สนใจ “ฉันไม่ใช่หาผลประโยชน์ให้ตัวเองสักหน่อย ปีนี้มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้เสียอาจารย์และนักศึกษาไปจำนวนมากในสงคราม ลูกหลานรุ่นหลังของพวกเขายังมีชีวิต ตัวเองจะคิดไม่ได้เลยหรือไง? ภารกิจอันตรายต้องสนใจหน้าตาของพวกเขา ไม่ให้คนพวกนี้ทำภารกิจงั้นเหรอ? หากภักดีต่อมหาวิทยาลัย ภักดีต่อมนุษยชาติ ยังไงก็ควรมีน้ำใจลงแรงในเรื่องนี้สักหน่อย ถ้าน้องสาวของฉันอยู่ในมหาวิทยาลัย พูดให้ระคายหูหน่อย ต่อให้ฉันขี้เหนียวแค่ไหน คนของเซี่ยงไฮ้มาหาถึงหน้าประตู ฉันทุ่มเทได้อยู่แล้ว ไม่กี่สิบล้านไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร? มีความสามารถก็ให้ลูกหลานของพวกเขากลับบ้านไป อย่ามาที่เซี่ยงไฮ้ ไม่งั้นการจัดสรรภารกิจหลังจากนี้คนพวกนี้ต้องอยู่แนวหน้าสุด! ถือสิทธิ์อะไรพวกเขาถึงมีอภิสิทธิ์! รวมถึงเฉินอวิ๋นซี ฉันกลับไปจะติดต่อกับอธิการเฉิน บริจาคไม่ถึงร้อยสองร้อยล้าน ฉ้นจะส่งเฉินอวิ๋นซีไปถึงสนามบดเนื้อ! สนามบดเนื้อส่งคนอื่นไปได้ก็ส่งหลานสาวพวกเขาไปได้เช่นกัน!”
ฟางผิงด่ากราดออกมา ทุกคนต่างตกอยู่ในความเงียบ
เฉินอวิ๋นซีที่ยืนอยู่หน้าประตูกัดริมฝีปาก ไม่แทรกบทสนทนา
ฟางผิงไม่สนใจเรื่องนี้เช่นกัน แค่นเสียงในลำคอ ก่อนจะมองไปทางฉินเฟิ่งชิง “ทางนายได้เท่าไหร่?”
“ห้าร้อยล้าน!”
“ไร้ประโยชน์!”
ฉินเฟิ่งชิงเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “นายพูดง่ายๆ คนเขาไม่ให้ นายจะบังคับยังไงได้?”
“ใช้สมองไม่เป็นสักนิดเลยหรือไง คนที่ไปกับพวกนายก็ปัญญาอ่อนกันหมด นักศึกษาสายสังคมที่โดดเด่นด้านบริหาร แค่พวกปัญญาอ่อนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น!”
ฟางผิงโวยวายเสียงดัง รวมทั้งสองฝั่งแล้วไม่ถึงหนึ่งพันล้าน
ทั้งนี่เป็นเงินที่รวบรวมจากปรมาจารย์หลายคนและผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลางนับร้อย
ครั้งนี้เขาไม่สนกระทั่งเรื่องหน้าตา แทบจะเป็นการบังคับบริจาค ผลปรากฏว่ากลับได้มาแค่เล็กน้อย คิดว่ามหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ขาดแคลนเงินไม่กี่พันล้านนี้จริงๆ หรือไง
ฟางผิงถอนหายใจ เอ่ยว่า “เอารายชื่อมาให้ฉัน!”
ฉินเฟิ่งชิงและเซี่ยเหล่ยต่างเอารายชื่อของตัวเองส่งให้ ฟางผิงกวาดตามองแวบหนึ่ง ก่อนจะยกโทรศัพท์ต่อสายหาใครบางคน
“สวัสดีครับรุ่นพี่จาง!”
“…”
“ผมฟางผิงจากมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ ขอโทษที่รบกวนด้วยครับ วันนี้ประธานเซี่ยกลับมาแล้ว บอกว่าคุณบริจาคอย่างใจกว้าง ช่วยเหลือมหาวิทยาลัยสิบสองล้าน ขอบคุณมากจริงๆ ครับ! ผมขอแสดงความขอบคุณแทนนักศึกษาและอาจารย์ทั้งมหาวิทยาลัยด้วยครับ”
“…”
“จริงสิ เพื่อเป็นการขอบคุณ มหาวิทยาลัยตัดสินใจว่าหลังจากนี้วัสดุตกแต่งของโรงงานผลิตอาวุธจะไม่นำเข้าจากบริษัทคุณอีกแล้ว ยังไงการค้าของคุณก็ขาดทุนมาตลอดอยู่แล้ว มหาวิทยาลัยรู้สึกเกรงใจ…”
“…”
ระหว่างที่ทุกคนอ้าปากค้าง ฟางผิงก็ยิ้มปฏิเสธว่า “ห้าสิบล้านเยอะเกินไป ไม่ต้องหรอกครับ รุ่นพี่ไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนี้”
“งั้นก็ได้ครับ ผมขอบคุณในความสนับสนุนของรุ่นพี่แทนทุกคนในมหาวิทยาลัยด้วยครับ”
“…”
วางสายแล้ว ฟางผิงก็ชำเลืองมองเซี่ยเหล่ย เซี่ยเหล่ยพึมพำว่า “ห้าสิบล้าน?”
“ใช่ ได้เพิ่มมาอีกห้าสิบล้าน!”
“รุ่นพี่จางเขา…เขาไม่มีลูกที่กำลังเรียนในมหาวิทยาลัย”
“โรงงานผลิตอาวุธของมหาวิทยาลัยส่วนมากนำเข้าวัสดุจากบริษัทเขา”
“แต่ฉันตรวจสอบแล้ว เขาไม่ได้กำไรจริงๆ ทุกปีจะจัดหาให้มหาวิทยาลัยด้วยราคาต้นทุน ไม่งั้นมหาวิทยาลัยคงไม่ซื้อจากทางเขาหรอก…”
ฟางผิงเอ่ยอย่างหงุดหงิด “ใครบอกนายว่าเขาได้กำไรจากมหาวิทยาลัย? ประเด็นสำคัญอยู่ที่เขาใช้ชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ ใช้ฐานะที่จบจากเซี่ยงไฮ้รวมถึงการจัดหาวัสดุให้มหาวิทยาลัยถึงได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับบริษัทผลิตอาวุธเช่นกัน กำไรแต่ละปีอย่างต่ำก็หลายร้อยล้าน ผ่านมาหลายปี เขาจะได้กำไรเท่าไหร่ล่ะ? มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้มอบให้เขาทั้งนั้น! นายคิดว่าฉันให้ข้อมูลลวกๆ กับพวกนายเพื่อให้พวกนายไปขอเงินถึงหน้าประตูหรือไง? รุ่นพี่จากหน่วยทหารที่ไม่ได้ร่ำรวยจากมหาวิทยาลัย ฉันให้พวกนายไปหรือไง? คนที่ให้ไปหาตอนนี้ล้วนมีผลประโยชน์เอื้อแก่กัน! รวมถึงปรมาจารย์พวกนั้นด้วย นายคิดว่าพวกเขากลายเป็นปรมาจารย์ได้ยังไง?”
———————–
———————————————-
ตอนที่ 291 ยุ่งตัวเป็นเกลียว (2)
ฝ่ายบริการ
การรบครั้งสุดท้ายของถ้ำใต้ดินมีผลสรุปคะแนนออกมาแล้ว ฟางผิงสังหารผู้ฝึกยุทธ์ไปหลายคน มีขั้นสี่จำนวนไม่น้อย
ในเมืองความหวังมียอดฝีมือรับหน้าที่สรุปผลคะแนนการรบเช่นกัน
สงครามครั้งนี้ฟางผิงสะสมได้แปดร้อยคะแนน
ช่วงนี้ตาเฒ่าหลี่กลับมาที่ฝ่ายบริการอีกครั้ง ไม่ค่อยได้ดูแลกิจธุระสาขายุทโธปรณ์เท่าไหร่แล้ว
ฟางผิงไม่รู้เหมือนกันว่าเขาคิดยังไง บางทีอาจจะอยากหนีจากความเงียบสงบ อย่างน้อยตอนนี้ฝ่ายบริการก็เงียบสงบจริงๆ
ตอนที่ฟางผิงไปรับแปดร้อยคะแนน ตาเฒ่าหลี่เป็นคนช่วยจัดการให้
แบ่งคะแนนให้แล้ว ตาเฒ่าหลี่ครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะอธิบายว่า “อันที่จริงคะแนนผลการรบของเธอเยอะกว่านี้ แต่ครั้งนี้ทางหน่วยทหารสูญเสียไปมาก จำเป็นต้องให้เงินช่วยเหลือ ดังนั้นตอนที่แบ่งคะแนน พวกเราจึงได้น้อยอยู่บ้าง”
ฟางผิงพยักหน้าว่า “เข้าใจได้ ไม่เป็นไรครับ มีรางวัลให้ก็ไม่เลวแล้ว”
ตาเฒ่าหลี่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจ้าเด็กนี้นับว่ายังมีคุณธรรมอยู่บ้าง ตอนนี้สะสมคะแนนได้ไม่น้อยแล้ว วางแผนจะแลกเป็นอะไรล่ะ?”
ได้รับแปดร้อยคะแนนนี้ คะแนนทั้งหมดของฟางผิงจึงรวมเป็นสามพันแปดร้อยคะแนน
ฟางผิงกลับไม่รีบร้อน ยิ้มว่า “ตอนนี้ไม่รีบ ผมยังมีหลายคะแนนที่ไม่ได้ไปเก็บ ทางสมาคมผู้ฝึกยุทธ์มีอีกห้าร้อยคะแนน นอกจากนี้แพลตฟอร์มหยวนฟางเปิดระบบกู้ยืมมากว่าสามเดือนแล้ว ตัดสมาชิกที่สูญเสียในสงครามบางส่วนออกไปแล้ว สามเดือนนี้น่าจะมีกำไรทั้งหมดประมาณสามพันคะแนน ผมจะได้ส่วนแบ่งสามร้อยคะแนน หนึ่งไตรมาสผ่านไป ผมก็จะได้รับคะแนนพวกนี้พร้อมกัน คำนวณออกมา ผมจะได้ถึงแปดร้อยคะแนน”
ตาเฒ่าหลี่ชำเลืองตามองเขาแวบหนึ่ง นี่มันเศรษฐีชัดๆ!
สี่พันหกร้อยคะแนน!
ในมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ นอกจากอาจารย์บางคนแล้ว เป็นเรื่องยากที่พวกนักศึกษาจะได้คะแนนเยอะถึงขนาดนี้จริงๆ
แต่ฟางผิงทะลวงขั้นสี่ได้รางวัลหนึ่งพันคะแนน รายงานเรื่องเมืองตงขุยได้อีกสองพันคะแนน รวมถึงสวัสดิการของประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์…
เด็กคนนี้ หากพูดถึงฝีมือในการหาเงิน ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะสามารถเทียบได้จริงๆ
ในความเป็นจริงฟางผิงลงถ้ำไปแค่ครั้งเดียว อาศัยอยู่ไม่กี่วันเท่านั้น
ผู้ฝึกยุทธ์ที่ลงถ้ำใต้ดินบ่อยๆ พวกนั้นยังหาไม่ได้เท่าเขาเลย
คะแนนของสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ เรื่องนี้มหาวิทยาลัยไม่ได้คัดค้านสวัสดิการของฟางผิง คะแนนของสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ อันที่จริงเก็บสะสมไว้ที่ฝ่ายบริการเช่นกัน
ไม่นานห้าร้อยคะแนนก็ถูกแบ่งให้ฟางผิง
ส่วนแพลตฟอร์มหยวนฟาง ตาเฒ่าหลี่รู้เรื่องเช่นกัน ครุ่นคิดแล้วจึงเอ่ยว่า “ดอกเบี้ยที่แพลตฟอร์มเก็บมาเป็นของนักศึกษา ทั้งจะใช้กับนักศึกษา ฟางผิง เคยคิดที่จะยกเลิกดอกเบี้ยพวกนี้หรือเปล่า?”
ฟางผิงเอ่ยอย่างกระอักกระอ่วน “อาจารย์ แพลตฟอร์มให้บริการก็ต้องใช้ต้นทุนเหมือนกัน…”
ตาเฒ่าหลี่แค่นเสียงขึ้นจมูก กลับไม่ได้เกลี้ยกล่อมอะไรอีก เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับตัวบุคคล ฟางผิงต้องการส่วนแบ่ง มหาวิทยาลัยรับปาก ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้แล้ว
แบ่งคะแนนออกมาให้ฟางผิงสามร้อยคะแนนอีกครั้ง นับว่าจ่ายเงินปันผลค่าบริการในไตรมาสแรกเรียบร้อยแล้ว
ตอนนี้ฟางผิงได้คะแนนไปทั้งหมดหนึ่งพันหกร้อยคะแนน ค่าทรัพย์สินเพิ่มขึ้นสามสิบสองล้าน
ฟางผิงเหลือบมองการเปลี่ยนแปลงของตัวเลขแวบหนึ่ง หลายวันมานี้เขากำลังปรับตัวให้คุ้นชิน ไม่ได้ฝึกวิชาอะไรจึงแทบไม่ได้สิ้นเปลืองค่าทรัพย์สิน
ตอนนี้ค่าทรัพย์สินพุ่งขึ้นไปอย่างรวดเร็ว
ทรัพย์สิน : 58,000,000
ปราณ : 2000 แคล (2000 แคล)
จิตใจ : 699 เฮิตรซ์ (699 เฮิรตซ์)
หลอมกระดูก : 177 ชิ้น (100%) , 29 ชิ้น (30%+)
“ยังมีอีกสี่พันหกร้อยคะแนน เป็นคะแนนที่สูงที่สุดในประวัติการณ์”
“น่าจะต้องใช้ค่าทรัพย์สินแลกอะไรสักอย่างแล้ว กะโหลกยังไม่ได้หลอม หลังจากนี้ก็ควรเริ่มหลอมหัวใจแล้วเช่นกัน”
ฟางผิงพึมพำในใจ แต่สี่พันหกร้อยคะแนนแลกเปลี่ยนเป็นยาบำรุงมาขาย เกรงว่าตาเฒ่าหลี่คงจะทุบเขาตาย
ครุ่นคิดแล้ว ฟางผิงจึงเอ่ยเบาๆ ว่า “อาจารย์ ตอนนี้นักศึกษาใหม่เข้าเรียน บางคนคะแนนไม่พออยู่บ้าง ในมหาวิทยาลัยเงินสามหมื่นถึงแลกเป็นหนึ่งคะแนนได้ ผมขึ้นชื่อว่าเป็นรุ่นพี่ ดูแลรุ่นน้อง มอบสิทธิ์ประโยชน์ให้พวกเขานิดหน่อย ให้พวกเขาแลกคะแนนด้วยเงินสองหมื่นเก้า คุณคิดว่าเรื่องนี้ทำได้หรือเปล่า?”
ตาเฒ่าหลี่ขมวดคิ้วว่า “เธอไม่ใช้เหรอ?”
“ตอนนี้ยังไม่ใช้ รอจำเป็นผมค่อยใช้เงินสดซื้อ อาจารย์ นี่เท่ากับว่าผมให้สิทธิประโยชน์กับรุ่นน้อง ทั้งไม่ได้ทำลายกลไกตลาดด้วย คงไม่มีปัญหาสินะครับ? มหาวิทยาลัยให้นักศึกษาแลกเปลี่ยนคะแนนไม่ใช่เพราะอยากหาเงินเข้ากระเป๋า? ผมให้ผลประโยชน์พวกเขาเล็กน้อย คะแนนพวกนี้ผมหามาอย่างไม่คำนึงถึงชีวิตเช่นกัน ไม่กล้าใช้เอง…”
“ไม่คำนึงถึงชีวิต?”
ตาเฒ่าหลี่เหลือบมองเขา จะว่าไปแล้วก็เหมือนจะอย่างนั้น ฟางผิงถูกผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหกไล่ฆ่า เรื่องนี้เขารู้เช่นกัน
แต่ฟางผิงมักให้ความรู้สึกเหมือนว่าเขาเป็นคนที่รักตัวกลัวตาย
แน่นอนว่าที่มองแบบนี้เพราะสนิทกัน
ในสายตาของนักศึกษาใหม่ ฟางผิงยังคงน่าเกรงขามอย่างยิ่ง
เงียบไปพักหนึ่ง ตาเฒ่าหลี่จึงพูดว่า “ได้น่ะได้ อันที่จริงมหาวิทยาลัยไม่ส่งเสริมให้นักศึกษาใช้เงินแลกเปลี่ยนเป็นคะแนน แต่อยากให้ไปทำภารกิจหาคะแนนด้วยตัวเองมากกว่า แต่นักศึกษาใหม่ก็ไม่ได้บังคับให้ต้องหาคะแนนเองขนาดนั้น ในเมื่อเธออยากดูแลรุ่นน้อง งั้นก็ลดไปอีกนิดเถอะ สองหมื่นสี่สองหมื่นห้าก็พอแล้ว…”
ฟางผิงใบหน้าดำคล้ำ คุณเห็นผมเป็นพ่อพระหรือไง
ผมซื้อของก็ใช้สามหมื่นแลกเป็นหนึ่งคะแนนเหมือนกัน
หากไม่ใช่เพื่อค่าทรัพย์สิน คนโง่น่ะสิถึงจะยอมลดเงินเพื่อซื้อคะแนน
หนึ่งคะแนน ยึดตามการคำนวณ จะเพิ่มค่าทรัพย์สินให้ฟางผิงสองหมื่นเท่านั้น
สี่พันหกร้อยคะแนน คำนวณออกมาจะเพิ่มให้เขาแค่เก้าสิบสองล้าน
ตอนนี้ขายคะแนนยังไงก็ได้เงินก้อนโต
“อาจารย์ ตอนนี้ผมขาดแคลนเงิน ต้องใช้เงินขยายบริษัทและให้บริการแพลตฟอร์ม แถมฝึกวิชาก็ต้องใช้เงิน ไหนจะเปลี่ยนอาวุธอุปกรณ์ต่างๆ อีก ทั้งไม่กี่วันผมเตรียมจะลงถ้ำใต้ดินสักครั้ง ถึงเวลานั้นต้องใช้เงินเหมือนกัน นอกจากนี้ผมมีน้องสาวที่ต้องเลี้ยงดูอีกหนึ่งคน เธอเริ่มจะฝึกวิชา…”
ตาเฒ่าหลี่แค่นหัวเราะ โบกไม้โบกมือว่า “แล้วแต่เธอ เธอจะขายก็ขายไป อีกอย่าง จะลงถ้ำอย่างนั้นเหรอ? กระตือรือร้นขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“มีความกดดันน่ะครับ ไม่มีทางเลือก”
ฟางผิงถอนหายใจ “พวกหวังจินหยางทะลวงขั้นสี่สูงสุดแล้ว ผมเพิ่งจะขั้นสี่ตอนกลาง ผมเป็นประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์เซี่ยงไฮ้ จะให้ขายหน้าคนอื่นได้ยังไง? อีกอย่างก่อนหน้านี้ฉินเฟิ่งชิงโทรหาผม บอกว่าเขาเจอเขตดีๆ เข้า พอจะหาเงินก้อนใหญ่ได้ ไว้ค่อยดูแล้วกัน รอเขากลับมาผมจะถามอย่างละเอียด ถ้ามีผลประโยชน์เยอะจริงๆ ผมจะไปสักหน่อย”
“ฉินเฟิ่งชิงบอกเธอ?”
“อืม”
“เขาได้ผลประโยชน์กลับไม่เอา แต่มาบอกเธอ?”
“เขาบอกว่าเขากินคนเดียวไม่ไหว…” ฟางผิงพูดเสียงเบา “ฉินเฟิ่งชิงหนีได้ ผมหนีเร็วยิ่งกว่าเขาซะอีก อาจารย์วางใจเถอะครับ ถึงเขาตาย ผมก็ไม่ตายหรอก”
ตาเฒ่าหลี่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ฉันพูดแบบนั้นหรือไงกัน?
ครุ่นคิดแล้วตาเฒ่าหลี่จึงถามว่า “ถ้ำใต้ดินของหนานเจียงจะเปิดออกไม่กี่เดือนนี้ ถึงเวลานั้นเธอจะไปรึเปล่า?”
“ครับ อยู่แค่หน้าบ้านผม ไม่ไปดูคงไม่วางใจ”
“งั้นลงถ้ำใต้ดินไปเพิ่มประสบการณ์ให้มากหน่อยก็ดี ครั้งนี้อย่าหลงล่ะ”
“จะเป็นไปได้ยังไงล่ะครับ!”
ฟางผิงทำหน้าอวดดีขึ้นมา ตอนนี้พลังจิตใจของเขาสำเร็จขั้นสูงแล้ว รับรู้การกระจัดกระจายของพลังงานได้อย่างชัดเจน ไม่อาจหลงได้อยู่แล้ว
“ไปถ้ำใต้ดินเซี่ยงไฮ้ อย่าเข้าไปลึกเกินไป เจ้าฉินเฟิ่งชิงเป็นคนใจกล้า อย่าไปเลียนแบบเขา ใช่สิ…”
ตาเฒ่าหลี่ครุ่นคิดเล็กน้อย “สองวันนี้กระทรวงการศึกษาส่งคนมา บอกว่าผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาจะสอนภาษาถ้ำง่ายๆ ให้พวกเธอ ไปเรียนรู้สักหน่อยก็ดี”
ตาเฒ่าหลี่ไม่พูดถึงยังพอว่า พูดแล้วฟางผิงก็โมโหขึ้นมา
“น่าย่ากู่ข่าหลี่!” ฟางผิงกัดฟันเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อาจารย์ ประโยคนี้น่าสนใจจริงๆ นะครับ!”
ตาเฒ่าหลี่ไม่สนใจเขา หาวขึ้นมาเอ่ยไล่คนว่า “เอาล่ะ ไม่มีธุระก็อย่ามาที่นี่ ฉันยุ่ง ไปทำเรื่องของเธอเถอะ อย่าเอาแต่มารบกวนตาแก่ตรงนี้”
“คุณช่างงานยุ่งเหลือเกิน!”
ฟางผิงทำปากขมุบขมิบ ไม่รั้งตัวอยู่อีก ต้องเอาคะแนนไปขายก่อน ขายแล้วก็ไปฝึกเคล็ดวิชา เรียนภาษาถ้ำ มีเรื่องให้ต้องทำอีกเยอะ
————————–
ตอนที่ 288 เหิมเกริมทำให้คนตายได้ (2)
“พลังจิตใจเพิ่มยากกว่าปราณ ความเสี่ยงก็เยอะเหมือนกัน หนึ่งหมื่นเพิ่มหนึ่งเฮิรตซ์อาจไม่ได้เสมอไป”
ความเจ้าเล่ห์ของระบบ ฟางผิงกระจ่างใจดี
จ่ายออกไปเท่าไหร่ก็จะได้รับเท่านั้น
หากค่าทรัพย์สินสามล้านเจ็ดแสนหนึ่งหมื่นสามารถทำให้พลังจิตใจตัวเองแตะถึงหนึ่งพันเฮิรตซ์ได้ ฟางผิงไม่เชื่ออยู่แล้ว
ถึงกระทั่งจะเพิ่มถึงหนึ่งพันเฮิรตซ์ได้หรือไม่ ยังเป็นปัญหาด้วยซ้ำ
“ต้องมีข้อจำกัดอย่างแน่นอน”
ฟางผิงคาดเดาออกมา ทั้งเชื่อการคาดเดานี้เช่นกัน
“ลองดูละกัน ตอนนี้ยังมีค่าทรัพย์สินอยู่ อีกอย่างหลังจากนี้จะได้สวัสดิการเงินเดือนจากสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ทุกเดือน รวมถึงผลการรบของหน่วยทหารก่อนหน้านี้ด้วย สรุปออกมาแล้วตัวเองน่าจะได้ส่วนแบ่งเช่นกัน ค่าทรัพย์สินภายหลังมีอยู่แล้ว”
ในเมื่อตอนนี้มีรายได้ที่มั่นคง ฟางผิงจึงไม่จำเป็นต้องตระหนี่ขี้เหนียว กลัวว่าจะใช้ค่าทรัพย์สินหมดจนมีไม่พอฟื้นฟูปราณอีกแล้ว
—
ครึ่งชั่วโมงต่อมา
ฟางผิงรู้สึกว่าความสามารถของตัวเองแข็งแกร่งขึ้นมาอีกครั้ง!
ทรัพย์สิน : 26,200,000
ปราณ : 1500 แคล (2000 แคล)
จิตใจ : 400 เฮิรตซ์ (699 เฮิรตซ์)
หลอมกระดูก : 177 ชิ้น (100%) , 29 ชิ้น (30%+)
ฟางผิงส่ายหัว เพิ่มพลังจิตใจขึ้นมาเจ็ดสิบเฮิรตซ์ สิ้นเปลืองค่าทรัพย์สินไปเจ็ดล้าน
ทั้งไม่มีเครื่องหมายบวกแล้ว!
“นี่หมายความว่าไม่สามารถเพิ่มขึ้นได้อีกแล้ว หรือว่าในขั้นนี้ถึงขีดจำกัดแล้ว ต้องทะลวงด่านใหม่เท่านั้น?”
ฟางผิงเชื่อว่าเป็นอย่างหลังมากกว่า ขั้นสี่ตอนกลาง พื้นฐานร่างกายของเขามีอย่างจำกัด ปราณจำกัด รวมถึงพลังจิตใจต่างแตะถึงจุดสูงสุดหนึ่งแล้ว ไม่สามารถเพิ่มได้อีก
“ทะลวงขั้นสี่ตอนปลาย บางทีอาจจะเพิ่มขึ้นอีกได้”
ฟางผิงไม่คิดมากอีก เพิ่งจะหยัดกายขึ้น จู่ๆ ร่างกายกลับโคลงเคลง เผลอเหยียบพื้นจนเป็นหลุมออกมา
นี่ยังไม่เท่าไหร่ ฟางผิงรู้สึกว่าสมองของตัวเองเหมือนจะรวบรวมสติไม่ได้ มึนเบลออยากจะเคลิ้มหลับ
“อะไรกัน…”
“นี่เกิดอะไรขึ้น?”
“เร่งเพิ่มพื้นฐานร่างกายเร็วเกินไป ร่างกายปรับตัวไมทัน?”
“พลังจิตใจสูงขึ้น ไม่ใช่ว่าสมองจะยิ่งฉับไวขึ้นเรื่อยๆ หรือไง ทำไมถึงมึนหัวอยากนอนได้…”
จู่ๆ ฟางผิงก็หวาดกลัวขึ้นมา วิ่งตุปัดตุเป๋ออกไปข้างนอก!
ด้านนอกเฉินอวิ๋นซีเห็นเขาวิ่งโซซัดโซเซก็รีบตะโกนว่า “ฟางผิง นายไม่เป็นไรใช่หรือเปล่า?”
“ไม่เป็นไร ฉันจะไปหาอาจารย์!”
ฟางผิงแทบไม่หันหน้ามาด้วยซ้ำ ตลอดทางไม่รู้ว่าเหยียบพื้นเป็นหลุมจำนวนเท่าไหร่ รีบเร่งวิ่งไปยังโซนหอพัก
สมาชิกของสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ที่รับหน้าที่ลาดตระเวนเห็นพื้นเป็นหลุมก็ถอนหายใจ เดินตามนับทีละก้าว แม้ว่าฟางผิงจะเป็นประธาน แต่การรักษาทรัพย์สินสาธารณะของมหาวิทยาลัยเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องปฏิบัติตาม
สองวันก่อนฟางผิงเพิ่งจะเพิ่มค่าปรับขึ้น เมื่อก่อนจ่ายค่าปรับสามแสนก็ตีกันได้แล้ว ตอนนี้มีไม่ถึงห้าแสนอย่าหวังเลย
ส่วนฟางผิง เหยียบพื้นจนเป็นหลุม สมาชิกของสมาคมที่รับหน้าที่ลาดตระเวนเห็นใจอยู่บ้าง
“งานนี้ไม่จ่ายห้าล้านหกล้าน ประธานอย่าคิดจะหนีไปได้ง่ายๆ เลย”
เห็นว่าจำนวนยังเพิ่มมากขึ้น ผู้ลาดตระเวนคนนั้นยิ่งเห็นใจขึ้นไปอีก “ตีไว้ที่แปดล้าน!”
“จบแล้ว ปาไปกว่าสิบล้านนู่น!”
“ประธานคงไม่เบี้ยวหนี้หรอกนะ?”
“จบจริงๆ แล้ว ประตูของอาจารย์หลู่ยังถูกกระชากออกไปด้วย นี่ไม่ใช่แค่เรื่องเงินแล้ว!”
ผู้ที่ลาดตระเวนเห็นฟางผิงกระชากประตูบ้านพักของหลู่เฟิ่งโหรวจนหลุดออกมา ดึงสติกลับมาได้ในชั่วพริบตา ไม่คำนวณเรื่องเงินอีกแล้ว ชักขาโกยแน่บทันที!
นี่ไม่ใช่เรื่องเงินแล้ว แต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับชีวิต!
‘ปัง’
ครู่ต่อมาฟางผิงก็กระเด็นลอยออกไปไกลจากประตูบ้านพักของหลู่เฟิ่งโหรวกว่าสิบเมตร พื้นนั้นพังจนเป็นรูปร่างของคน!
“ไอ้เวร!”
เสียงโมโหของหลู่เฟิ่งโหรวลอยออกมา เด็กนี่จะเหิมเกริมไปแล้ว!
เมื่อก่อนยังเคาะประตู ตอนนี้กลับกระชากออกไปตรงๆ!
คราวหน้าจะไม่รื้อบ้านพักเธอเลยเหรอ?
—
“อาจารย์ช่วยผมด้วย!”
เสียงร้องคร่ำครวญของฟางผิงลอยมาแต่ไกล!
ผมไม่อยากทำแบบนั้นสักหน่อย แต่ตอนนี้ฟางผิงรู้สึกว่าควบคุมตัวเองไม่ได้อยู่บ้าง
—
เสี้ยวนาทีที่ฟางผิงถูกหลู่เฟิ่งโหรวหิ้วคอก่อนจะลากเข้าไปในบ้านพักที่ประตูเสียหาย
ผู้ลาดตระเวนของสมาคมผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นก็วิ่งเร็วยิ่งกว่าเดิม!
จบแล้ว นี่จบจริงๆ แล้ว
“หรือสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ต้องเปลี่ยนประธานใหม่อีกแล้ว?”
สมาชิกที่หนีตายคนนั้นอดผุดความคิดนี้ขึ้นมาในหัวไม่ได้
—
ภายในบ้านพัก
หลู่เฟิ่งโหรวสีหน้าเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก ผ่านไปสักพักค่อยเอ่ยว่า “ฉันอยากจะชำแหละเธอวิจัยสักหน่อย!”
ฟางผิงเผยสีหน้าขมขื่น เอ่ยอย่างกระอักกระอ่วนว่า “อาจารย์ อย่าล้อเล่นสิครับ”
“ไม่ได้ล้อเล่น”
หลู่เฟิ่งโหรวแววตาคมปราดขึ้นมา ใบหน้ายังเต็มไปด้วยความสนอกสนใจ
“เธอทำได้ยังไง?”
“นึกไม่ถึงว่าพลังจิตใจจะแข็งแกร่งขึ้น นี่เพิ่งจะกี่วันเอง ทั้งยังแข็งแกร่งอย่างผิดปกติอยู่บ้าง ถึงขั้นที่เธอไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ พื้นฐานร่างกายก็เหมือนกัน แทบเทียบได้กับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่สูงสุด! ปราณแข็งแกร่ง ไม่ถึงสองพันแคล แต่ก็คงไม่น้อยไปกว่านั้นเท่าไหร่ ฟางผิง เธอลองพูดมา ฉันควรจะชำแหละเธอวิจัยสักหน่อยหรือเปล่า? ยังมีเรื่องของไขกระดูกอีก ตกลงกลายสภาพเป็นหยกได้ยังไง ฉันยังทำถึงขั้นนั้นไม่ได้เลย! ฟางผิง เด็กดี ให้ความร่วมมือกับอาจารย์หน่อย ฉันรับประกันว่าหลังชำแหละเธอแล้ว เธอจะยังมีชีวิตอยู่แน่นอน…”
“ช่วยด้วย! อาจารย์หลี่! คณบดีหวง ช่วยผมด้วย!”
“ช่วยด้วยครับ!”
ฟางผิงแหกปากตะโกน โรคของหลู่เฟิ่งโหรวกำเริบแล้ว น่ากลัวจริงๆ นี่จะชำแหละเขาจริงๆ แล้ว!
หากไม่มีคนมาช่วย เขาต้องถูกชำแหละแน่
“เด็กดี ให้ความร่วมมือสักหน่อย ไม่ตายหรอก…”
“ช่วยด้วย!”
ฟางผิงตะเบ็งสุดเสียง พยุงร่างกายขึ้นสับขาวิ่งไปข้างนอกทันที
ฉันโง่ไปแล้วหรือไง ทำไมถึงคิดมาขอความช่วยเหลือจากหลู่เฟิ่งโหรวได้ หลู่เฟิ่งโหรวอยากทะลวงเป็นปรมาจารย์จะบ้าอยู่แล้ว นี่ไม่ใช่มาส่งอาหารให้ถึงหน้าประตูหรือไง?
ในขณะที่ฟางผิงแผดเสียงร้องได้ไม่นาน เงาร่างหนึ่งก็กระโดดลงมาจากบนฟ้า
ฟางผิงจับอู๋ขุยซานที่ผมขาวไว้ทันที กอดขาเขาแน่นเอ่ยอย่างหวาดกลัวว่า “อธิการ อาจารย์จะชำแหละผม ช่วยผมด้วย!”
อู๋ขุยซานถอนหายใจเบาๆ ชำเลืองมองหลู่เฟิ่งโหรวแวบหนึ่ง
ตอนนี้หลู่เฟิ่งโหรวกลับนั่งไขว้ห้างอยู่บนโซฟา เอ่ยด้วยแววตาไม่สบอารมณ์ “ออกไป!”
“เฟิ่งโหรว…”
“ออกไป!”
“อธิการ อย่าไป ไปก็เอาผมไปด้วย!” ฟางผิงจับขากางเกงอู๋ขุยซานไว้ ให้ตายยังไงก็ไม่ยอมปล่อย
หลู่เฟิ่งโหรวเผยสีหน้าไม่พอใจ สบถด่า “โง่เง่า!”
ฟางผิงคล้ายกับคิดอะไรได้ ปล่อยมือทันที ขำแห้งๆ ว่า “อธิการ รีบไปทำธุระของคุณเถอะครับ ผมแค่หยอกเล่นกับอาจารย์”
อู๋ขุยซานมองเขาอย่างลึกล้ำ ก่อนจะมองหลู่เฟิ่งโหรวอีกที ไม่ได้พูดอะไรอีก ทะยานขึ้นอากาศไป
เขาไปแล้ว หลู่เฟิ่งโหรวก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ทำไมไม่ตะโกนแล้วล่ะ?”
ฟางผิงยิ้มเฝื่อนๆ “ผมกลัวอธิการอยากจะชำแหละผมเหมือนกัน”
หลู่เฟิ่งโหรวแค่นเสียงในลำคอ เวลานี้จึงเอ่ยว่า “พูดมา ตกลงเรื่องเป็นมายังไงกันแน่? สถานการณ์นี้ของเธอ เป็นเพราะความสามารถเพิ่มขึ้นเร็วเกินไป ฉันเคยเห็นตัวอย่างเหมือนเธอ คนโชคดีคนหนึ่ง ไม่รู้ว่าฝ่าเข้าไปถึงหินพลังงานของถ้ำใต้ดินได้ยังไง ภายในเวลาหนึ่งวันทะลวงจากขั้นสามสูงสุดกลายเป็นขั้นสี่สูงสุด จากนั้นสถานการณ์ก็เป็นเหมือนเธอ คนเขาเจอกับหินพลังงาน ทั้งยังโชคดีมีชีวิตกลับมาได้ เธอล่ะ? เจอหินพลังงานเหมือนกันหรือไง?”
ฟางผิงกลัดกลุ้มอย่างยิ่ง ผ่านไปสักพักจึงเอ่ยว่า “อาจารย์ ถ้าผมบอกว่าผมหลับแล้วก็ตื่นขึ้นมาเป็นแบบนี้ คุณจะเชื่อหรือเปล่า?”
“เธอลองทายดูสิ?”
“ผมก็ไม่เชื่อเหมือนกัน แต่เรื่องเป็นแบบนี้จริงๆ ผมมักจะนอนหลับตื่นขึ้นมา ความสามารถก็แข็งแกร่งขึ้น…”
“เธอคิดว่าฉันเป็นคนโง่?”
“เปล่านะครับ เป็นเรื่องจริง!”
ฟางผิงเอ่ยด้วยยิ้มฝืดเฝื่อน “ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ผมมักรู้สึกว่าในสมองของผมมีพลังงานที่ไม่รู้จักผุดขึ้นมา พรั่งพรูออกไปข้างนอกเอง จากนั้นความสามารถก็แข็งแกร่งขึ้น อาจารย์คงไม่ผ่าสมองของผมจริงๆ หรอกนะครับ? นั่นตายได้เลย! ผมตายแล้ว ใครจะล้างแค้นให้คุณ!”
หลู่เฟิ่งโหรวแค่นเสียง เงียบไปพักหนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “เธอมั่นใจนะว่าภายในสมองมีพลังงานเคลื่อนย้ายเข้ามา?”
“มั่นใจ!”
ฟางผิงพยักหน้างึกงัก ฉันไม่ได้หลอกใคร เป็นเรื่องจริง…แน่นอนว่าเป็นเพราะสมองหรือเปล่า เขาไม่แน่ใจเหมือนกัน ยังไงระบบก็เป็นตัวเคลื่อนย้ายพลังงานที่ฉันไม่รู้ว่ามาจากไหนเข้ามา
“สมองกลายพันธุ์งั้นเหรอ?”
หลู่เฟิ่งโหรวพึมพำ เรื่องนี้ไม่อาจตรวจสอบได้จริงๆ ทั้งไม่รู้ว่าจะดีหรือแย่ หากกลายพันธุ์ร้ายแรงจริงๆ ไม่อาจควบคุมพลังงานออกมาได้ ฟางผิงอาจจะถูกบีบจนตาย
ครั้งนี้ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้ว
“ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี…”
หลู่เฟิ่งโหรวส่ายหัวเบาๆ สถานการณ์นี้ของฟางผิง ไม่รู้จริงๆ ว่าเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี
“เธอปรับตัวให้คุ้นชินสักหน่อย ตอนนี้ไม่มีวิธีที่ดีไปกว่านี้แล้ว ครั้งหน้าหากเกิดเรื่องแบบนี้อีก…ฉันจะหาปรมาจารย์มาช่วยดู ลองว่าจะสามารถปิดผนึกสมองเธอได้หรือเปล่า…”
“หมายความว่าตอนนี้ไม่เป็นไร?”
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ต้องใช้เวลาปรับตัวสักหน่อย”
ฟางผิงถอนหายใจอย่างโล่งอก ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว รู้แบบนี้คงไม่มาหรอก เกือบจะตกใจตายแล้ว
ไม่เสียเวลาอีก ที่นี่อันตรายเกินไป ฟางผิงละล่ำละลักว่า “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว อาจารย์ ผมขอตัวก่อนละกัน”
หลู่เฟิ่งโหรวชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง “อย่าลืมเรื่องก่อนหน้านี้ด้วย ยื่นคำร้องยกเลิกคำสั่งห้าม!”
“ไม่ลืมๆ หลังจากเปิดเทอมรับนักศึกษาใหม่แล้ว ผมจะยื่นเรื่องทันที ช่วงนี้ทุกคนต่างงานยุ่ง พวกอธิการผมก็ไม่ได้เจอเหมือนกัน”
“ไปเถอะ”
ฟางผิงกำลังจะออกไป หลู่เฟิ่งโหรวกลับเอ่ยอย่างเรียบนิ่งว่า “หาคนมาซ่อมประตูให้ฉันด้วย ไม่งั้นเธอก็รอโดนฉันชำแหละได้เลย!”
ฟางผิงทำสีหน้ากระอักกระอ่วน เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ จำเป็นต้องขู่คนอื่นด้วยหรือไง
“แน่นอนครับ จะทำเดี๋ยวนี้แหละ!”
ฟางผิงตอบรับอย่างว่องไว ในใจกลับลอบคร่ำครวญ ครั้งหน้าจะบุ่มบ่ามไม่ได้อีก นึกไม่ถึงว่าจะเสียการควบคุมได้ นี่ถ้าเสียการควบคุมระหว่างต่อสู้ คงจะมีคนตายแน่ๆ
——————
———————————————-