ตอนที่ 295 ไม่ช้าก็เร็วมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ต้องเปลี่ยนเป็นแซ่ฟาง (2)
“ตอนที่อธิการเฒ่าอยู่ จับมือสอนสั่งราวกับเป็นลูกตัวเอง ตอนนี้กลับมาเล่นลูกไม้! ไม่ต้องไปหาทีละคนแล้ว แพร่งพรายเรื่องของคนสกุลจางออกไปว่าบริจาคเพิ่มให้อีกหนึ่งร้อยล้าน ประกาศให้ชัดเจนไปเลย ดูสิว่าคนพวกนั้นจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน! ไล่ขอเพิ่มคงไม่ต้องแล้ว คนที่ไม่ให้ จดรายชื่อเอาไว้ คิดว่าจบไปก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยแล้วสินะ! หลายปีมานี้อาจารย์ของเซี่ยงไฮ้ไม่สนใจ อธิการเฒ่าเป็นคนที่ใส่ใจในความสัมพันธ์ที่สุด ไม่ว่าเรื่องอะไรก็จะหลับหูหลับตาครึ่งหนึ่ง คนพวกนี้อาศัยชื่อเสียงของเซี่ยงไฮ้ถึงหาเงินได้ก้อนโต ครอบครัวรุ่งเรืองเฟื่องฟู ผลปรากฏว่าปีนี้อาจารย์และนักศึกษาของเซี่ยงไฮ้ตายในสงครามจำนวนมากกลับมีแค่ไม่กี่คนที่คิดตอบแทนมหาวิทยาลัย!”
ฟางผิงด่าออกมา ท้ายที่สุดยังเอ่ยว่า “อีกอย่างบอกคนที่ข้องเกี่ยวกับผลประโยชน์พวกนั้นด้วย มหาวิทยาลัยวางแผนจะเรียกสินทรัพย์ทั้งหมดของมหาวิทยาลัยคืน!”
สินทรัพย์ของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้มีเยอะมาก
ถือหุ้นทั้งบริษัทยาบำรุงและบริษัทผลิตอาวุธ อันที่จริงเป็นแหล่งเงินทุนมหาศาลเช่นกัน
แต่มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้มีส่วนร่วมในการแบ่งเงินปันผล กลับไม่มีส่วนร่วมในการบริหารจริง นักศึกษาเซี่ยงไฮ้บางส่วนจึงได้ผลประโยชน์จากช่องว่างนี้
อย่างเช่นตัวแทนนายหน้าของบริษัทยาบำรุง
บริษัทยาบำรุงและบริษัทผลิตอาวุธ นอกจากตั้งร้านค้าโดยตรงจากบริษัทใหญ่ในพื้นที่ตลาดหลักแล้ว ที่เหลือล้วนเป็นร้านตัวแทนทั้งหมด ประเทศจีนใหญ่ขนาดนี้ ตอนนี้ประชาชนทุกคนต่างมุ่งสู่เส้นทางผู้ฝึกยุทธ์ โดยเฉพาะยาบำรุงที่มีความต้องการขึ้นเรื่อยๆ
ผู้ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจประเภทนี้ต่างได้กำไรอย่างมหาศาล
นอกจากนี้คลาสฝึกศิลปะการต่อสู้ที่แขวนชื่อมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ อันที่จริงไม่มีสิทธิ์ใช้ป้ายของเซี่ยงไฮ้มาดึงดูดคน แต่เห็นแก่ที่จบจากมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ มหาวิทยาลัยจึงไม่ซักไซ้เอาความเท่านั้น
“ป้ายของมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ถือเป็นป้ายชื่อที่มีค่าในประเทศจีน จะให้คนอื่นมาใช้ป้ายนี้ง่ายๆ ได้ยังไง ฉันเปิดบริษัทยังไม่กล้าใช้เลย พวกเขาใช้ก็แล้วไป ไม่คิดจะจดจำน้ำใจ งั้นก็อย่าโทษฉันว่าไม่เกรงใจละกัน!”
จากแผนของฟางผิง การระดมเงินครั้งนี้ไม่สนใจกระทั่งเรื่องหน้าตา ไม่ถึงสามพันล้านไม่รู้จะให้คำตอบยังไงจริงๆ
ปรากฏว่ากลับแตกต่างจากที่คิดไปมาก ทำให้เขาโทสะสุมหัว
ผู้ฝึกยุทธ์เปิดบริษัท โดยเฉพาะผู้ฝึกยุทธ์จากมหาวิทยาลัยชื่อดัง คนที่ขาดทุนหาได้ยากจริงๆ
หกสิบปีมานี้มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ก็อยู่ในบรรยากาศของธุรกิจอย่างเข้มข้น ศิษย์เก่าของเซี่ยงไฮ้ทำธุรกิจกันมากที่สุด
คนพวกนี้จะมากจะน้อยก็เคยหาประโยชน์กับเซี่ยงไฮ้มาก่อนทั้งนั้น
ฉินเฟิ่งชิงและเซี่ยเหล่ยสบสายตากัน ฉินเฟิ่งชิงขมวดคิ้วเล็กน้อย “ไอ้หนู…”
“เรียกประธาน!”
ฉินเฟิ่งชิงกลอกตา เอ่ยอย่างไร้คำพูด “พักเรื่องนี้ไว้ก่อน นายแน่ใจเหรอว่าจะเรียกสินทรัพย์ของมหาวิทยาลัยกลับคืน? เรื่องนี้เกี่ยวพันเป็นวงกว้าง แม้ฉันจะไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้ แต่ก็รู้ว่าตอนนี้ได้กลายเป็นห่วงโซ่ผลประโยชน์ขนาดใหญ่แล้ว นายทำแบบนี้ นอกจากศิษย์เก่าที่จบไป ยังมีคนในมหาวิทยาลัยบางส่วนอาจจะไม่ให้การสนับสนุนนายเสมอไป!”
“กลัวอะไร? มหาวิทยาลัยขาดแคลนเงินหรือไง? ไม่ได้ขาดแคลนจริงๆ สักหน่อย!”
ฟางผิงส่ายหัวว่า “อันที่จริงมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้มีเงินจะตายไป อย่ามองว่าทุกปีพวกเราสิ้นเปลืองไปมาก แต่พวกเราก็สร้างผลประโยชน์เช่นกัน รัฐบาลให้เงินช่วยเหลืออยู่ตลอด บริษัทยาบำรุงและบริษัทอาวุธก็ได้เงินปันส่วน บริษัทพวกนี้มีกำไรสูงเท่าไหร่ พวกนายรู้รึเปล่า? สองบริษัทใหญ่นี้ โดยเฉพาะบริษัทยาบำรุง วัตถุดิบของพวกเขานั้นมาจากผู้ฝึกยุทธ์ ผู้ฝึกยุทธ์ลงไปในถ้ำหาวัตถุดิบได้ สุดท้ายจึงกลายเป็นของพวกเขา พวกเขารับซื้อในราคาที่ไม่ถึงยี่สิบเปอร์เซ็นต์ของราคาขายด้วยซ้ำ อย่างอื่น หักค่าภาษีออกไปก็เป็นกำไรทั้งนั้น! ผู้ฝึกยุทธ์ทำไมยากจนขนาดนี้? เงินไปอยู่ที่ไหนหมด?”
“ผู้ฝึกยุทธ์หาเงินได้เยอะขนาดนี้ แปปเดียวก็หลายร้อยล้านแล้ว ทำไมสังคมถึงไม่เกิดวิกฤตทางการเงินหรือภาวะเงินเฟ้อล่ะ? นั่นเป็นเพราะสุดท้ายเงินยังต้องไปสู่บริษัทยาบำรุงและบริษัทผลิตอาวุธ ผู้ฝึกยุทธ์เอง มีแต่ทำกิจการเท่านั้นถึงจะได้เงินมาก ฉินเฟิ่งชิงนายมีเงินหรือเปล่า? เซี่ยเหล่ย นายล่ะ? เงินไปไหน? นายบอกว่านายใช้เงินฝึกวิชา ซื้อยาบำรุงและอาวุธ แต่ยาบำรุงและอาวุธ อันที่จริงแล้วนายเป็นคนจัดหาวัตถุดิบให้ ทั้งยังต้องใช้หลายเท่าถึงจะเปลี่ยนเป็นทรัพยากรฝึกวิชาของนายอีก”
ระหว่างที่ฟางผิงพูดก็กระแอมไอว่า “ออกนอกเรื่องไปไกลอยู่บ้าง สรุปแล้วผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งขั้นสองอาจจำเป็นต้องให้มหาวิทยาลัยช่วยเหลืออยู่บ้าง ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามขั้นสี่ อันที่จริงต่างพึ่งตัวเองในการช่วงชิงทรัพยากร เงินช่วยเหลือของมหาวิทยาลัยก็เป็นเพราะความคิดของมหาวิทยาลัย ความจริงแล้วแม้จะเป็นเงินช่วยเหลือ พวกเราก็ขาดทุนอยู่ดี พวกเรามีหุ้นส่วนในสองบริษัทใหญ่นี้ นึกไม่ถึงว่ายังต้องกังวลเรื่องเงินอีก เพราะอะไรล่ะ? เพราะพวกเราไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างสมเหตุสมผล ทั้งไม่รู้จักช่วงชิงผลประโยชน์ให้ตัวเอง แน่นอนว่ามหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้มีอัจฉริยะมากมายขนาดนี้ ไม่มีคนคิดได้อย่างนั้นเหรอ? มีอยู่แล้ว! แต่คนพวกนี้อาศัยช่องโหว่ของมหาวิทยาลัยเอาเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง ตอนนี้สิ่งที่ฉันจะทำก็คือเอาสิ่งที่เป็นของมหาวิทยาลัยกลับมา ปรมาจารย์ไม่สนใจพวกเขาก็ให้ผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลางระดับล่างตั้งคำถามดู! คิดว่าไม่มีใครควบคุมพวกเขาได้จริงๆ งั้นเหรอ? มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ยังมีปรมาจารย์ใหญ่ตั้งสามคน!”
ฉินเฟิ่งชิงเอ่ยเสียงแผ่วว่า “ปรมาจารย์ใหญ่สามคน หากมีคนเกี่ยวข้องในนั้นล่ะ?”
ฟางผิงเอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “เกี่ยวข้องแล้วยังไง เรียกคืนให้มหาวิทยาลัย พวกเขาจะได้รับประโยชน์มากกว่า ไม่ยินยอม งั้นก็ต้องหาความร่วมมือ ใครไม่ยินยอม ฉันจะเรียกศิษย์เก่ากลับมา ปรมาจารย์สิบกว่าคนข้างนอกนั่นควบคุมเซี่ยงไฮ้ ทั้งยังได้สิทธิ์เรียกคืนอำนาจทั้งหมดของเซี่ยงไฮ้ นายว่าจะมีคนยอมไหมล่ะ? ต้องมีอยู่แล้ว ยอดฝีมือร่างทองขั้นแปดอาจจะมีเหมือนกัน”
ฉินเฟิ่งชิงแววตาดำดิ่งอย่างลึกล้ำ เอ่ยว่า “ปรมาจารย์จัดการขั้นสี่คนหนึ่งไม่ใช่เรื่องยากจริงๆ”
“ตอนนี้เป็นแค่การคาดเดาของนาย ยังไม่พูดเรื่องจะมีหรือไม่มี แม้จะมี ฉันก็ไม่เชื่อว่าทั้งสามคนจะเข้าร่วมทั้งหมด”
ระหว่างที่พูด จู่ๆ ฟางผิงก็เปลี่ยนประเด็น กระแอมไอว่า “แน่นอน เรื่องนี้ไม่รีบ รออีกสักหน่อย ฉันขั้นหกสูงสุดหรือเป็นปรมาจารย์แล้ว ฉันจะทำแน่นอน! อำนาจทั้งหมดต้องริบคืนมา! ส่วนเรื่องที่พูดเมื่อกี้ ฉันออกจากห้องนี้ไป ฉันไม่รับปากอะไรทั้งนั้น พวกนายใครจะบอกความลับก็ทำได้ ฉันจะบอกอาจารย์ฉันไว้ล่วงหน้า หากเกิดเรื่องอะไรกับฉัน ย่อมเป็นฝีมือของพวกนาย ฉันเกิดเรื่อง พวกนายก็ต้องฝังไปด้วยเช่นกัน”
เซี่ยเหล่ยแค่นเสียงในลำคอ ฉินเฟิ่งชิงเอ่ยอย่างไร้คำจะพูด “นี่เกี่ยวอะไรกับฉันกัน? อีกอย่างอาจารย์นายเองก็เป็นผู้ได้ประโยชน์ อย่าลืมว่าเธอมีหุ้นแยกในบริษัทยาบำรุงเหมือนกัน”
“ปัญญาอ่อน เพราะมีหุ้นแยกถึงจะไม่เกิดเรื่องแบบนั้นไง ฉันตรวจสอบแล้ว หุ้นของอาจารย์มาจากพ่อของเธอ ตอนแรกพ่อของเธอเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกการผูกขาดบริษัทยาบำรุงและผลิตอาวุธพวกนี้ ทั้งยังสนับสนุนให้ริบคืนเป็นของรัฐ เป็นหนึ่งในปรมาจารย์ที่มีท่าทีเด็ดขาดที่สุด ดังนั้นจึงมีหุ้นพวกนี้ ทั้งเป็นแค่หุ้นปันผลเท่านั้น หากท่านผู้เฒ่าจากไป…ก็จะไม่ใช่ของเขาอีกแล้ว นี่ไม่เหมือนกับหุ้นของมหาวิทยาลัย”
ระหว่างที่ฟางผิงพูดก็โบกไม้โบกมือ “เอาล่ะ ไม่พูดเรื่องพวกนี้แล้ว ตอนนี้ยังเร็วเกินไป แต่พวกนายคอยดูเถอะ จากนี้ไม่นาน มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้จะเป็นมหาวิทยาลัยที่ร่ำรวยที่สุด ฝีมือแข็งแกร่งที่สุด ปักกิ่งยังเทียบไม่ได้ สถานการณ์ของปักกิ่งซับซ้อนกว่าพวกเราอีก ไม่มีคนที่แข็งแกร่งออกมายืนกรานเปลี่ยนแปลง ปักกิ่งยังเดินถอยหลังลงคลองเหมือนเดิม นอกจากนี้ฉันครุ่นคิดแล้ว ถ้าสถานการณ์เอื้ออำนวย มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้เปิดจุดรับคืนแห่งหนึ่งในเมืองความหวัง หลังจากนี้รางวัลที่อาจารย์และนักศึกษาของเซี่ยงไฮ้ได้รับในถ้ำใต้ดินก็จะเป็นของมหาวิทยาลัยทั้งหมด…”
“นายกำลังรนหาที่ตาย!”
ฉินเฟิ่งชิงอดแหน็บแนมไม่ได้ “รนหาที่ตายอย่างแท้จริง นายทำแบบนี้ บริษัทยาบำรุงและบริษัทผลิตอาวุธ รวมถึงบริษัทพลังงาน บริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งสามจะหั่นนายเป็นชิ้นๆ!”
มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้เอาหุ้นบริษัทพวกนี้มาจากไหน?
เพราะฝีมือที่แข็งแกร่งของอาจารย์และนักศึกษา จัดสรรวัตถุดิบให้พวกเขาอย่างไม่ขาดสาย
ฟางผิงทำแบบนี้ ถือเป็นการล้ำเส้นพวกเขา!
คิดว่ายอดฝีมือไม่ฆ่ามนุษย์หรือยังไง?
ฟางผิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นั่นไม่ใช่ทั้งหมด ฉันยังต้องการขยายสายพานผลิตยาบำรุงภายในมหาวิทยาลัย อย่างน้อยต้องทำถึงขั้นพึ่งพาตัวเองได้”
ตอนนี้มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ยังทำไม่ถึงจุดนี้
ยาบำรุงและอาวุธส่วนหนึ่งมาจากสองบริษัทใหญ่
“อาจจะทำไม่ได้เสมอไป”
“ต้องลองเจรจาต่อรองดู ยังไงฉันก็ไม่ออกหน้าอยู่แล้ว กลับไปจะให้อธิการเป็นคนลงมือ ยังไงก็เป็นร่างทองขั้นแปด ยอดฝีมือเรื่องยากแค่นี้ยังทำไม่ได้ งั้นจะควบคุมเซี่ยงไฮ้ไปทำไมกัน เดี๋ยวค่อยเผยแพร่เรื่องนี้ บีบบังคับให้อธิการลงมือ”
“นายจะถูกอธิการอู๋ฟันตาย!”
“ไม่กลัว” ฟางผิงไม่ใส่ใจ หันไปหาเฉินอวิ๋นซีว่า “อวิ๋นซี กลับไปปรึกษากับปู่เธอสักหน่อย ถ้าอยู่เซี่ยงไฮ้ต่อไม่ได้แล้ว ให้ฉันไปเป็นประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์จิงหนานแทนได้หรือเปล่า? ฉันไปแล้ว มหาวิทยาลัยจิงหนานจะตามเซี่ยงไฮ้ทันภายในเวลาสามปี ห้าปีต้องล้ำหน้าปักกิ่งอย่างแน่นอน…”
เฉินอวิ๋นซีใบหน้าแดงก่ำ คำพูดนี้…นายกล้าพูดออกมาได้ยังไงกัน?
ฟางผิงพูดเหมือนล้อเล่นขำๆ ตอนที่กำลังจะไปยังพึมพำว่า “เซี่ยงไฮ้มีข้อบกพร่องเยอะไปหมด ไม่เปลี่ยนแปลงได้ที่ไหน! เห็นอยู่ตำตากลับไม่มีคนจัดการ ฉันจะบุกเบิกเป็นคนแรกเอง!”
ยังไงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียก็ไม่ใช่เขา!
ปีนี้อยากจะใช้ชีวิตอย่างดีๆ ก็ต้องถีบผู้มีส่วนได้ส่วนเสียออกไปซะก่อน ไม่งั้นคนหนุ่มสาวจะมีโอกาสได้ยังไง
วันนี้พูดไปมากมายก็เพื่อล่อความสนใจพวกฉินเฟิ่งชิง
ผ่านไปอีกไม่กี่ปี ทุกคนกลายเป็นปรมาจารย์ โลกจะเป็นของพวกเขา
ส่วนวิกฤตของถ้ำใต้ดิน แข็งแกร่งแล้วถึงจะมีสิทธิ์แก้ไขปัญหาได้ ผู้อ่อนแอมีสิทธิ์อะไรให้กังวลเรื่องพวกนี้
—
ฟางผิงไปแล้ว ภายในห้องทำงานที่มีฉินเฟิ่งชิงและเซี่ยเหล่ยก็ตกอยู่ในความเงียบ
ฟางผิงเจ้าหมอนี้เป็นประธานที่ไม่เหมือนกับจางอวี่เลยจริงๆ
ไม่ว่าเรื่องอะไรก็เข้าไปมีส่วนร่วม ทำแบบนี้ หากชนะจะได้ผลประโยชน์เป็นกอบเป็นกำ แต่ถ้าแพ้ก็จะน่าอนาถเอามากๆ
ทั้งสองคนประสานสายตากัน ไม่พูดอะไร แยกย้ายกันไปอย่างเงียบเชียบ
——————–
———————————————-
ตอนที่ 292 ตรวจพลังจิตใจ (1)
วันเสาร์ที่ 5 กันยายน
อากาศในมหาวิทยาลัยแปรปรวนไม่น้อย เมื่อวานแสงอาทิตย์ยังสว่างสดใส ตอนนี้นอกหน้าต่างกลับมีฝนเม็ดเล็กๆ ตกพร่ำลงมาแล้ว
ใต้ตึกสมาคมผู้ฝึกยุทธ์มีนักศึกษาใหม่กลุ่มหนึ่งกำลังทำความสะอาดอยู่ ระหว่างกวาดพื้นก็บ่นพึมพำ!
“ฟางผิงไม่ใช่คนแล้ว!”
“เมื่อก่อนไม่ได้มีเรื่องแบบนี้ รุ่นของพวกเราโชคร้ายจริงๆ มาเจอตอนที่เขาเป็นประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ซะได้”
“นั่นน่ะสิ ก่อนหน้านี้พี่ชายฉันเรียนที่เซี่ยงไฮ้เหมือนกัน ตอนที่เขาอยู่ สบายจะตายไป ตอนนี้กลับแล้วใหญ่ ถึงรุ่นของพวกเรา แค่หอพักยังต้องท้าประลองกัน มหาวิทยาลัยพวกเราก็ต้องทำความสะอาดเอง แค่ถ่มนำลายถูกจับได้ต้องโดยปรับหลายหมื่นอีก ปล้นกันชัดๆ! ที่น่าอนาถกว่านั้นไม่ถึงขั้นหนึ่งยังไม่มีสิทธิ์เลือกอาจารย์”
“หุบปากให้หมด อยากโดนปรับอีกรึไง? อยู่ใกล้หูใกล้ตาขนาดนี้”
ทุกคนทยอยเงียบปากทันที มองไปข้างบนตึกอย่างระมัดระวัง
หลังจากอยู่มหาวิทยาลัยมาหลายวัน พวกเขาต่างยอมรับในชะตากรรม
รุ่นของพวกเขาลำบากจริงๆ ต้องมาเจอกับประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ที่ไม่น่าเชื่อถือ พวกอาจารย์ตอนนี้แทบไม่ยุ่งย่าม เรื่องเล็กเรื่องใหญ่ล้วนให้อยู่ในความรับผิดชอบของสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ทั้งหมด
—
เสียงนินทาข้างล่างตึก ฟางผิงได้ยินเต็มรูหู แค่นยิ้มว่า “คนพวกนี้จดชื่อไว้ หลังจากนี้สมาคมผู้ฝึกยุทธ์ก็ให้พวกเขามาทำความสะอาด อย่างต่ำสักหนึ่งเดือน ระหว่างที่ยังหาพวกรนหาที่ตายกลุ่มใหม่ไม่ได้ก็ให้เป็นหน้าที่ของพวกเขาต่อไป”
เฉินอวิ๋นซีเห็นใจคนพวกนั้นอยู่บ้าง นี่ไม่ใช่รนหาที่ตายเองหรือไง?
ตึกสูงไม่กี่ชั้นเงียบสงบขนาดนี้ ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่คนไหนจะไม่ได้ยินบ้าง
ฟางผิงไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก ถามว่า “ขายคะแนนออกไปหรือยัง?”
ขึ้นชื่อว่าเป็นประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ ตอนนี้ฟางผิงไม่ทำเรื่องน่าอายอย่างเร่ขายด้วยตัวเองอีกแล้ว
แค่มอบให้คนอื่นไปทำก็เพียงพอแล้ว
สำนักงานของสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ก็มีไว้ให้บริการประธานอย่างเขา เรื่องนี้เฉินอวิ๋นซีจะทำยังไง เขาไม่สนใจ แค่ขายได้ก็พอแล้ว
“ขายออกไปแล้ว”
ระหว่างที่เฉินอวิ๋นซีพูดก็ลำบากใจอยู่บ้าง นั่นไม่ใช่การขาย ฟางผิงไม่อยากใช้คำว่า ‘ขาย’ เหมือนกัน
จากคำพูดของฟางผิง นี่เรียกว่าการสนับสนุนด้วยมิตรภาพของ ‘สภากองทุนช่วยเหลือนักศึกษาใหม่เซี่ยงไฮ้’
ลดราคาให้นักศึกษาใหม่ที่มีเงินได้แลกเปลี่ยนด้วยอัตราที่ต่ำกว่ามหาวิทยาลัย
ไม่มีเงินคงไม่แลกอยู่แล้ว
สี่พันหกร้อยคะแนน จะว่าเยอะก็เยอะ จะว่าน้อยก็น้อย
นักศึกษาเกือบสองพันคน คนที่ยินดีใช้เงินแลกคะแนนยังคงมีไม่น้อย ไม่กี่สิบคนก็แลกจนหมดเกลี้ยงแล้ว
เฉินอวิ๋นซีเอ่ยต่อว่า “ขายทั้งหมดได้เงินหนึ่งร้อยยี่สิบห้าล้าน”
ฟางผิงถอนหายใจ พึมพำว่า “ช่วงนี้เสียหายเยอะเกินไปแล้ว ขาดทุนคะแนนไปสิบสามล้าน โดนค่าปรับอีกสิบห้าล้าน ต้องหาวิธีชดเชยสักหน่อย”
ตั้งยี่สิบแปดล้าน!
แต่หลังจากหักเงินค่าปรับออกไปแล้ว เงินเขาก็เหลือห้าสิบล้าน รวมกับเงินที่ขายคะแนนได้อีกหนึ่งร้อยยี่สิบห้าล้าน
ตอนนี้ฟางผิงถือเป็นเศรษฐีคนหนึ่งเช่นกัน
หนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้าล้าน!
นอกจากนี้ยังเหลือค่าทรัพย์สินอีกเก้าสิบล้าน
ขายคะแนนออกไปสี่พันหกร้อยคะแนน เพิ่มค่าทรัพย์สินให้ฟางผิงอีกสามสิบสามล้าน หลายวันนี้เขาใช้ค่าทรัพย์สินแค่เล็กน้อยเพื่อบ่มเพาะอวัยวะภายในเหมือนกัน
“เงินเยอะขนาดนี้ควรจะเอาไปทำอะไรดี?”
ฟางผิงพึมพำ อันที่จริงเขาไม่ได้มีโอกาสใช้เงินสดนัก
แต่ค่าทรัพย์สินเก้าสิบล้านเพียงพอทำให้หลอมกะโหลกสำเร็จหรือยัง?
สิ่งที่หลอมยากที่สุดในร่างกายมนุษย์คือกะโหลก
ถึงกระทั่งยากกว่าควบคุมพลังจิตใจซะอีก!
หลอมกะโหลกเป็นเรื่องของขั้นเจ็ด
ปู่ของฟู่ชางติ่ง ตอนแรกบอกว่าฟางผิงเป็นยอดฝีมือกึ่งร่างทอง ในความเป็นจริงคือหลี่หานซงต่างหาก
แน่นอนว่าแม้กะโหลกของหลี่หานซงจะหลอมตั้งแต่เกิด แต่ก็ยังไม่ถูกหลอมถึงไขกระดูก
แต่หลังจากก้าวสู่ขั้นเจ็ดแล้ว สิ่งที่หลี่หานซงจำเป็นต้องทำมีแค่บ่มเพาะพลังจิตใจให้แข็งแกร่งแตะถึงมาตรฐานขั้นแปดเท่านั้น ไขกระดูกทั่วร่างของเขาก็จะเปลี่ยนแปลงโดยธรรมชาติ เข้าสู่ขั้นแปดโดยตรง
ส่วนหวังจินหยางไขกระดูกแปรสภาพเป็นหยก กะโหลกกลับไม่ได้หลอม ดังนั้นแตะถึงขั้นเจ็ด ยังต้องหยุดพักช่วงหนึ่งเพื่อหลอมกะโหลกก่อน
แต่มีโอกาสที่หลอมกะโหลกเสร็จแล้วไขกระดูกจะแข็งแกร่งขึ้นไปอีก ร่างทองมั่นคงกว่าเดิม
จุดนี้ไม่ใช่สิ่งที่ฟางผิงจะเข้าใจได้อีกแล้ว
ถึงกระทั่งปรมาจารย์บางคนยังอาจไม่รู้ว่าหลังจากที่พวกเขาเข้าสู่ขั้นปรมาจารย์แล้วจะมีการเปลี่ยนแปลงยังไง
การกลายพันธุ์…เป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่กี่ปีนี้เช่นกัน
ตอนนี้ยอดฝีมือที่กลายพันธุ์ยังไม่มีใครก้าวสู่ขั้นปรมาจารย์
“สมองเป็นจุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของผู้ฝึกยุทธ์ต่ำกว่าระดับกลางทุกคน!”
“ถ้าหลอมกะโหลกหรือหลอมจนถึงไขกระดูกแล้ว คนอื่นมองกะโหลกฉันเป็นจุดอ่อน นั่นตายยังไม่รู้จะตายยังไง หลี่หานซงเจ้าหมอนั่นหลอกคนตายไปเท่าไหร่แล้ว?”
หลี่หานซงหลอมกะโหลกโดยกำเนิด ฟางผิงเพิ่งจะรู้ได้ไม่นานเช่นกัน
เพื่อไม่ให้เขาเหลิงเกินไป เมื่อวานหลู่เฟิ่งโหรวเพิ่งจะเตือนเขามาหนึ่งประโยค อย่าได้ประเมินพวกนักศึกษาที่อยู่ในการจัดอันดับขั้นสี่ต่ำเกินไป
เทียบกับพวกเขาแล้ว ฟางผิงมีทั้งข้อดีและข้อเสีย
แม้ว่าจะอยู่ระดับเดียวกัน ฟางผิงก็อาจไม่ได้แข็งแกร่งกว่าพวกเขาเสมอไป
“ไว้ค่อยไปลองสักหน่อย ใช้ระบบหลอมกะโหลกต้องใช้เงินเท่าไหร่กันนะ…แต่ตอนนี้เอาไว้ก่อนละกัน”
ตอนนี้ฟางผิงยังไม่กล้าทำต่อ
สองวันนี้สภาพร่างกายเพิ่งจะดีขึ้นมาเล็กน้อย
หากหลอมกะโหลกทำให้เขาเสียการควบคุมอีกครั้ง หลู่เฟิ่งโหรวไม่ชำแหละเขา คนอื่นก็ต้องชำแหละอยู่ดี
ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่คนหนึ่งสามารถปลดปล่อยพลังจิตใจได้ ไขกระดูกแปรสภาพเป็นหยก ทั้งยังหลอมกะโหลกกระดูกเสร็จสิ้น
งั้นฟางผิงก็ถือเป็นร่างทองขั้นแปดในเวอร์ชั่นอ่อนแอแล้ว
คนแบบนี้ไม่อาจใช้การกลายพันธุ์มาอธิบายได้แล้ว อย่างน้อยตอนนี้ยังมีพวกหวังจินหยางและหลี่หานซงล้ำหน้าเขาอยู่ แต่ทุกคนต่างมีการเปลี่ยนแปลงแค่บางส่วน หากฟางผิงเกิดการเปลี่ยนแปลงทุกด้านจะดึงดูดความสนใจจากคนอื่นเกินไป
ระหว่างที่คิดฟุ้งซ่านในใจ ฟางผิงก็หันไปเอ่ยว่า “อวิ๋นซี เธอจะทะลวงขั้นสามตอนกลางได้เมื่อไหร่?”
เฉินอวิ๋นซีน้อยเนื้อต่ำใจอยู่บ้าง กระซิบว่า “อย่างน้อยต้องใช้เวลาอีกเดือนสองเดือน”
“งั้นก็หมายความว่าจบเทอมถึงจะมีหวังแตะถึงขั้นสามตอนปลายหรือสูงสุด”
“ไม่รู้ อาจจะทำได้ล่ะมั้ง”
เฉินอวิ๋นซีเอ่ยอย่างหนักแน่นอีกครั้ง “ต้องได้แน่นอน!”
“ถือว่าใช้ได้ บางทีปีสองเทอมหน้าอาจจะสามารถเข้าสู่ขั้นสี่ เทียบกับพวกเซี่ยเหล่ยแล้วแข็งแกร่งกว่าเยอะ รุ่นของพวกเรานี้มีอัจฉริยะกำเนิดขึ้นอย่างไม่ขาดสายจริงๆ!”
ฟางผิงชมตัวเองออกมา เพราะเขาก็คืออัจฉริยะที่เก่งที่สุดในรุ่นนี้
“ไปเถอะ ไปหาอาจารย์กัน ได้ยินว่าอาจารย์เอาของดีกลับมา ไปเปิดหูเปิดตาสักหน่อย”
ฟางผิงไม่พรรณนาให้มากความอีก คนน้อยชมไปก็ไม่มีประโยชน์
คนเยอะหน่อย ทุกคนสรรเสริญเยินยอถึงจะมีความหมาย
เฉินอวิ๋นซีนั้นซื่อบื้อ ไม่รู้จักคำยกยออะไรเลยหรือไง
อย่าง ‘ฟางผิง นายเก่งจริงๆ’ ‘ประธาน นายสุดยอดไปเลย’ ‘สหาย เจ๋งโคตรๆ’ คำพวกนี้จะพูดออกมาสักหน่อยก็ไม่ได้
ตอนนี้เอาแต่ยืนเซ่ออยู่กับที่ หากถูกคนจับไปเรียกค่าไถ่คาดว่าคงจะช่วยคนอื่นนับเงินแน่ๆ
—
บ้านพักหมายเลขแปด
ประตูใหญ่เปลี่ยนเป็นบานใหม่แล้ว
ตอนนี้ลูกศิษย์ของหลู่เฟิ่งโหรวมาถึงกันหมดแล้ว
จ้าวเสวี่ยเหมยเพิ่งจะเข้าสู่ขั้นสาม สำหรับผู้ฝึกยุทธ์ที่หลอมกระดูกหนึ่งครั้งอย่างเธอ ใช้เวลาประมาณหนึ่งปีไต่จากขั้นหนึ่งตอนกลางมาถึงขั้นสาม ถือว่าลำบากกว่าฟางผิงมาก
เงินที่ได้จากการขายบริษัทใช้ไปเกือบหมดแล้ว รวมถึงหลู่เฟิ่งโหรวที่ช่วยสนับสนุนไปไม่น้อยเช่นกัน
เพื่อให้ตามทันทุกคน จ้าวเสวี่ยเหมยนั้นกินยาบำรุงราวกับกินลูกอม กินจนบางครั้งฟางผิงยังปวดใจแทนเธอ
เห็นฟางผิงและเฉินอวิ๋นซีเข้าประตูมาพร้อมกัน แววตาของจ้าวเสวี่ยเหมยมืดสลัวอยู่บ้าง ไม่นานก็ฟื้นฟูรอยยิ้มขึ้นมา “ฟางผิง อวิ๋นซี เรื่องของสมาคมจัดการเสร็จแล้วเหรอ?”
ฟางผิงตอบไปทันที “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ถ้าไม่ใช่ว่าอยากจะทำให้ทุกคนรู้สึกว่าฉันสมควรได้ห้าร้อยคะแนนนั่น ฉันคิดว่าฉันไม่ไปยังได้เลย”
ทุกคนพากันหัวเราะขึ้นมา
ตอนนี้มีนักศึกษาอยู่ทั้งหมดเจ็ดคน ท่ามกลางนักศึกษาคนอื่นๆ ต่างถือว่ามีฐานะโดดเด่น
เปิดเทอมไม่กี่วันนี้มีหลายคนทะลวงถึงขั้นสามแล้ว
ตอนนี้นักศึกษาขั้นสี่ของเซี่ยงไฮ้มีเก้าคน ขั้นสามห้าสิบหกคน
แต่ลูกศิษย์ของหลู่เฟิ่งโหรวมีขั้นสี่สองคน ขั้นสามห้าคน เป็นกลุ่มที่แข็งแกร่งที่สุดเมื่อเทียบกับลูกศิษย์ของอาจารย์คนอื่น
สิ่งที่น่าตกใจที่สุดคือปีก่อนเธอรับลูกศิษย์สามคน ฟางผิงเข้าสู่ขั้นสี่แล้ว จ้าวเสวี่ยเหมยและเฉินอวิ๋นซีต่างทะลวงขั้นสามเป็นที่เรียบร้อยเช่นกัน
ทุกคนหยอกล้อกันไม่กี่ประโยค หลู่เฟิ่งโหรวก็เดินลงมาจากชั้นบน
ในมือยังถือบางอย่างที่คล้ายหมวกกันน็อก
หลู่เฟิ่งโหรวอารมณ์ดีไม่น้อย ยก ‘หมวกกันน็อก’ ในมือ เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “สถาบันวิจัยประเทศจีนเพิ่งจะทำผลิตภัณฑ์ออกมา เมื่อก่อนถ้าปล่อยพลังจิตใจออกมาไม่ได้ก็ไม่สามารถตรวจสอบ แต่หลายปีมานี้สถาบันวิจัยพัฒนาการตรวจสอบพลังจิตใจมาโดยตลอด ของสิ่งนี้เรียกว่า ‘เครื่องตรวจพลังจิตใจ’ พูดได้ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่บุกเบิกยุคสมัย! แม้ว่าจะไม่สามารถปล่อยพลังจิตใจ แต่ก็สามารถตรวจสอบพลังจิตใจที่ไม่ได้ออกมาจากคลื่นสมองและความผันผวนอารมณ์ของเธอได้ ฉันใช้ความพยายามอย่างมากกว่าจะขอจากคนของสถาบันวิจัยมาได้ มูลค่าไม่ใช่น้อยๆ…”
หลู่เฟิ่งโหรวภาคภูมิใจอย่างเห็นได้ชัด นี่ไม่ได้เห็นกันง่ายๆ
รวมทั้งที่เธอพูดว่ามูลค่าไม่ใช่น้อยๆ นั่นเพราะราคาของมันสูงลิ่วจริงๆ!
แต่สำหรับ ‘เครื่องตรวจพลังจิตใจ’ หลู่เฟิ่งโหรวชมออกมาอย่างไม่เสียดาย ของสิ่งนี้หากผลักดันใช้ได้จริงๆ หลังจากนี้การบ่มเพาะผู้ฝึกยุทธ์ก็จะมีการกำหนดเป้าหมายแล้ว
ถ้าใช้กันเป็นวงกว้างได้ หากไม่เหนือความคาดหมาย หลังจากนี้การสอบเกาเข่าคงจะมีเกณฑ์ประเมินสองอย่าง ปราณและพลังจิตใจ
ทั้งอาจจะให้ความสำคัญกับพลังจิตใจมากกว่า
เกิดผลิตภัณฑ์แบบนี้ขึ้นมา พูดได้ว่าจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของใครหลายคน รวมถึงทั้งสังคมและโลกใบนี้จะเกิดผลกระทบอันใหญ่หลวงเช่นเดียวกัน
คนที่มีพลังจิตใจแข็งแกร่งโดยกำเนิดอาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กับชีวิตตัวเองเพราะสาเหตุนี้
ส่วนพวกผู้ฝึกยุทธ์ พอรู้ถึงความแข็งแกร่งอ่อนแอของพลังจิตใจตัวเองก็จะสามารถเลือกเดินเส้นทางได้ตรงกว่าเดิมเช่นกัน
คนอื่นๆ ต่างเผยสีหน้าแปลกใจและคาดหวัง ฟางผิงที่ได้ฟังกลับไม่สนใจมากนัก
———————
