ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน – ตอนที่ 296 สิบปรมาจารย์ใหญ่รวมตัวที่ปักกิ่ง (1)

ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน

ตอนที่ 296 สิบปรมาจารย์ใหญ่รวมตัวที่ปักกิ่ง (1)

เรื่องที่มหาวิทยาลัยขอระดมทุนกับศิษย์เก่าสร้างความเคลื่อนไหวไม่ใช่น้อย

ข่าวที่ว่าประธานจางจากอวี้กงกรุ๊ป ตอนแรกบริจาคสิบสองล้าน ภายหลังบริจาคเพิ่มอีกหนึ่งร้อยล้านแพร่กระจายไปทั่ว

ความจริงแล้วประธานจางจากอวี้กงกรุ๊ปบอกจะบริจาคเพิ่มห้าสิบล้านเท่านั้น

แต่รอข่าวแพร่กระจายออกมา ไม่นานเงินห้าสิบล้านจึงกลายเป็นหนึ่งร้อยล้านจริงๆ อีกฝ่ายแทบไม่มีความลังเล ทั้งไม่คิดจะถามว่าเป็นฝีมือของมหาวิทยาลัยที่เผยแพร่ข่าวผิดหรือเปล่า

เป็นคนฉลาดกันทั้งนั้น อย่าเห็นใครเป็นคนโง่จะดีกว่า

ในสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองขั้นสามหลายสิบคนได้รับแจ้งให้ไม่ต้องเข้าร่วมการแข่งขันแลกเปลี่ยน คลาสฝึกศิลปะการต่อสู้ก็ไม่ต้องเปิดแล้ว ช่วงนี้ให้เตรียมตัวไปถ้ำใต้ดิน ทำภารกิจตามลำพังโดยไม่มีอาจารย์คอยคุ้มครอง บังคับให้ต้องไปเท่านั้น!

คนหัวไวต่างแยกออกว่านี่ความคิดของมหาวิทยาลัยหรือเป็นความคิดของฟางผิงกันแน่

ห้องทำงานอธิการบดี

อู๋ขุยซานและหวงจิ่ง ปรมาจารย์ทั้งสองคนแม้จะยุ่งตัวเป็นเกลียว ตอนนี้กลับหาเวลามารวมตัวกันได้

ฝั่งตรงข้ามมีฟางผิงยืนหลังตรงอยู่

“อธิการ คณบดี ครั้งนี้การบริจาคลุล่วงไปด้วยดี รวมแล้วมีศิษย์เก่าหนึ่งพันหกร้อยหกสิบแปดคนจากทุกแวดวงอาชีพให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ คำนวณแล้วตอนนี้มีเงินบริจาคทั้งหมด สามพันหกร้อยแปดสิบล้าน…”

หวงจิ่งถอนหายใจเบาๆ เอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้เธอให้คนไประดมทุน ฉันสนับสนุน แต่ตอนหลังเธอ…มีศิษย์เก่าจำนวนไม่น้อยวิพากษ์วิจารณ์มหาวิทยาลัย ฟางผิง บังคับให้คนบางส่วนลงถ้ำใต้ดิน นี่ไม่สอดคล้องกับกฎของมหาวิทยาลัย…”

“กฏ?”

ฟางผิงแค่นยิ้ม “ในมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ มหาวิทยาลัยถึงจะเป็นกฏ! เอาแต่พูดว่าสถานการณ์ถ้ำใต้ดินเลวร้าย คนอื่นไปได้ ทำไมพวกเขาไปไม่ได้?”

หวงจิ่งส่ายหัวอีกครั้ง กลับไม่พูดอะไรอีก

อู๋ขุยซานไม่พูดประเด็นนี้ต่อเช่นกัน เอ่ยอย่างเรียบนิ่งว่า “เธออยากขยายขนาดการผลิตยาบำรุงและอาวุธของมหาวิทยาลัย?”

“ครับ ตอนนี้มหาวิทยาลัยมีนักศึกษาทั้งหมดหกพันห้าร้อยแปดสิบคน ในนั้นมีคนธรรมดาเกือบสองพันคน ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งเกือบสี่พันคน ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองมากกว่าห้าร้อยคน คำนวณจากเกณฑ์ต่ำสุด ทุกเดือนคนธรรมดาต้องสิ้นเปลืองยาบำรุงเลือดและปราณธรรมดาหนึ่งเม็ด นี่เป็นความต้องการที่ต่ำที่สุดซึ่งเพียงพอต่อการฝึกวิชา ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งใช้ยาบำรุงเลือดและปราณขั้นหนึ่งหนึ่งเม็ดต่อเดือนก็เพียงพอแล้วเช่นกัน กล่าวอีกนัยหนึ่ง ทุกเดือนมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ต้องผลิตยาบำรุงเลือดและปราณธรรมดาสองพันเม็ด ขั้นหนึ่งสี่พันเม็ด ขั้นสองมากกว่าห้าร้อยเม็ดถึงจะเพียงพอต่อความต้องการของมหาวิทยาลัยได้ ในความเป็นจริงกลับห่างไกลอยู่มาก!”

ฟางผิงส่ายหัวว่า “ทำไมนักศึกษามหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ถึงก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว การฝึกวิชาในสามระดับล่างยาบำรุงเป็นวิธีเดียวที่จะเพิ่มความเร็วได้ พวกเขาไม่อาจเป็นฝ่ายดูดซับพลังงาน ไม่สามารถดำเนินการแลกเปลี่ยน ดังนั้นยาบำรุงจึงกลายเป็นของจำเป็น ในความคิดของผม ทุกคนควรจะได้รับยาบำรุงตามระดับขั้นสิบวันต่อหนึ่งเม็ด นี่ถึงจะไม่เป็นการสิ้นเปลือง ทั้งดูดซับเสร็จแล้ว จะแสดงประสิทธิภาพได้มากที่สุด นี่หมายความว่าทุกเดือนมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ต้องจัดสรรยาบำรุงเลือดและปราณธรรมดาให้นักศึกษาหกพันเม็ด ขั้นหนึ่งหนึ่งหมื่นสองพันเม็ด ขั้นสองสองพันเม็ดถึงจะเพียงพอ”

อธิการบดีทั้งสองคนปวดหัวขึ้นมา

นี่หมายความว่าอะไร?

ราคาขายในโลกข้างนอก ยาบำรุงเลือดและปราณธรรมดาหนึ่งเม็ดราคาหนึ่งแสน ขั้นหนึ่งสามแสน ขั้นสองเจ็ดแสน

แน่นอนว่านี่เป็นการกำหนดราคาของโลกข้างนอก

ถ้าคำนวณตามมูลค่านี้ ทุกเดือนมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ต้องเสียค่ายาบำรุงห้าพันหกร้อยล้าน อันที่จริงยังไม่เพียงพอด้วยซ้ำ มหาวิทยาลัยยังมีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามขั้นสี่ รวมถึงอาจารย์ก็ต้องฝึกวิชาด้วย

ความจริงนั้นระดับกลางไม่ได้ใช้ยาบำรุงเลือดและปราณมากมาย ช่วงเวลานี้ยาบำรุงเลือดและปราณไม่ใช่ความต้องการหลักของผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลางอีกแล้ว

ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ขีดจำกัดปราณแตะถึงสองพันแคล

ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นห้าขีดจำกัดปราณอยู่ที่สี่พันแคลเป็นอย่างต่ำ

พอถึงขั้นหกขีดจำกัดปราณจะสูงมากกว่านี้ กระทั่งถึงหนึ่งหมื่นแคลได้ด้วยซ้ำ

เมื่อถึงเวลานี้สิ่งที่คุณต้องให้ความสำคัญไม่ใช่เรื่องปราณไม่พอใช้อีกแล้ว ประมือกับยอดฝีมือ ต้องใช้ความเร็วอย่างมาก เดิมทีปราณก็ใช้ไม่หมดอยู่แล้ว อาจจะถูกคนฆ่าหรือฆ่าคนอื่นตายก่อน

ไม่มีใครจะผลาญปราณกับคุณในเวลานี้ เว้นเสียแต่ว่าพลังจะพอๆ กับศัตรู ต่อสู้กันอย่างสูสี

นอกจากยาบำรุงกำลัง ยังมียาป้องกันอวัยวะภายในและยาหลอมกระดูกเป็นต้น

จากความต้องการของฟางผิง ในหนึ่งเดือนอย่างน้อยที่สุดมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ต้องจัดสรรยาบำรุงเป็นมูลค่ากว่าแปดพันล้าน แต่ละปีสูงถึงหลักแสนล้าน

ปรมาจารย์ทั้งสองคนมีพลังจิตใจกล้าแกร่ง ความคิดฉับไว ไม่นานอู๋ขุยซานก็เอ่ยว่า “จากความคิดของเธอ ทุกปีมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ต้องผลิตยาบำรุงมูลค่าในตลาดสูงถึงแสนล้าน แต่ราคาต้นทุนก็สูงกว่าสามหมื่นล้านเช่นกัน เธออย่าลืมว่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งขั้นสองต้องทำภารกิจ หรืออาจจะได้รับรางวัลอย่างอื่นอีกเช่นกัน อันที่จริงนั่นเป็นการชดเชยจากมหาวิทยาลัยแล้ว พวกเขาเสร็จสิ้นภารกิจ อันที่จริงไม่ได้สร้างผลงานอะไรให้มหาวิทยาลัย”

ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งขั้นสองทำภารกิจบนพื้นโลก นอกจากไล่จับผู้ฝึกยุทธ์ที่ทำความผิดก็มีแต่สังหารผู้ฝึกยุทธ์นอกรีต

เรื่องพวกนี้แทบไม่เกิดผลประโยชน์อะไร

รางวัลภารกิจของพวกเขา รวมทั้งรางวัลของมหาวิทยาลัย อันที่จริงมหาวิทยาลัยเพิ่มเติมให้ส่วนหนึ่งแล้ว ทางหน่วยทหารไม่ได้ให้รางวัลมากมายอะไร และรางวัลก็เป็นนักศึกษาที่ได้เอง

แม้จะคำนวณตามราคาต้นทุน ทุกปีมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ก็ต้องสมทบเงินให้ผู้ฝึกยุทธ์พวกนี้อีกกว่าสามหมื่นล้าน

ทั้งก่อนเริ่มเรื่องพวกนี้ มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ต้องได้รับการอนุญาตให้ขยายขนาดการผลิตภายในเสียก่อน

อู๋ขุยซานเอ่ยต่อ “ยังมีอาวุธอีก รวมกันแล้ว ทุกปีอย่างน้อยต้องจัดสรรเงินสี่หมื่นล้านถึงจะเพียงพอ ทั้งผลประโยชน์ที่พวกนักศึกษามอบให้มหาวิทยาลัย…ยังน้อยมาก ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามขั้นสี่ไม่ได้มีเยอะ นอกจากนี้ทุกปีมหาวิทยาลัยมีค่าใช้จ่ายจำนวนมากเช่นกัน รวมถึงการให้บริการของมหาวิทยาลัย เงินเดือนอาจารย์ เงินช่วยเหลือผู้วายชนม์ เงินค่าเลี้ยงดูครอบครัวของอาจารย์และนักศึกษาที่เสียชีวิตบางส่วน รวมแล้วทุกปีมีค่าใช้จ่ายสูงถึงหนึ่งหมื่นล้าน! นี่ยังไม่รวมกับค่าใช้จ่ายของสระปราณ ห้องแหล่งพลังงานพวกนี้ ไหนจะค่าดูแลรักษาห้องคุมอานุภาพที่สูงลิ่วอีก ผู้ฝึกยุทธ์ระดับสูงอย่างพวกเรา อันที่จริงเงินเดือนไม่ได้มาจากมหาวิทยาลัย แต่เป็นรัฐบาล ทว่าพวกอาจารย์ระดับกลางขั้นห้าขั้นหกบางคนก็มีเงินเดือนสูงเช่นกัน”

อู๋ขุยซานพูดมาถึงท้ายสุดก็ส่ายหัวว่า “จากความต้องการของเธอ ทุกปีมหาวิทยาลัยต้องจ่ายอย่างต่ำหกหมื่นล้าน เป็นแบบนี้ต่อไปเกรงว่ามหาวิทยาลัยคงต้องปิดตัวลงเร็วๆ นี้แล้ว”

“ทุกปีรัฐบาลจัดสรรเงินให้มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้สูงถึงสามแสนล้าน”

ตัวเลขที่อู๋ขุยซานพูดออกมาสร้างความตกตะลึงอย่างมาก!

นึกไม่ถึงว่าแต่ละปีรัฐบาลจะจัดสรรเงินให้มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้สูงนับแสนล้าน

อย่าลืมว่ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้มีนักศึกษาแค่ไม่กี่คน ทั่วประเทศมีเพียงเก้าสิบเก้าแห่ง สองปีนี้เพราะทยอยขยายการรับสมัคร คนถึงเพิ่มขึ้นมาไม่น้อย ตอนนี้นักศึกษาสี่รุ่นในมหาวิทยาลัยมีประมาณหนึ่งแสนสองหมื่นคน หรืออาจจะมากกว่านั้นเล็กน้อย

แน่นอนว่านี่ยังไม่ได้รวมอาจารย์ หากนับรวมน่าจะเกินหนึ่งแสนห้าหมื่นคน

เฉลี่ยแล้วจะได้สองล้านต่อคน เหมือนว่าจะไม่ได้เยอะเท่าไหร่เช่นกัน ยังไงผู้ฝึกยุทธ์ก็สิ้นเปลืองอยู่แล้ว

อู๋ขุยซานเอ่ยต่อว่า “เพราะมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้มีนักศึกษามาก ฝีมือแข็งแกร่ง ค่าใช้จ่ายจึงเยอะ เงินจัดสรรได้รองลงมาจากมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ปักกิ่ง ทุกปีจะอยู่ระหว่างสองหมื่นห้าพันล้านถึงสองหมื่นแปดพันล้าน แต่มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ยังมีหุ้นของบริษัทยาบำรุงและบริษัทผลิตอาวุธ…อันที่จริงก่อนหน้านี้ก็นำมาแลกเปลี่ยนเป็นยาบำรุงและอาวุธทั้งหมด พวกเราเองมีขนาดการผลิตไม่ใหญ่นัก ด้านบริษัทยาบำรุงและบริษัทผลิตอาวุธจึงแทบไม่มีรายได้ กิจการอื่นๆ อย่างเช่นคลาสฝึกศิลปะการต่อสู้ก็แทบไม่มีเหลือ เวลาหนึ่งปีหารายได้เข้ากระเป๋าให้เซี่ยงไฮ้ประมาณสามหมื่นล้าน แต่ค่าใช้จ่ายที่ผ่านมา อันที่จริงก็พอๆ กัน นี่ถึงพอจะฝืนประคองการให้บริการของมหาวิทยาลัยได้ หากทำตามความคิดของเธอจะขาดทุนมากกว่านี้!”

ฟางผิงขมวดคิ้วว่า “หุ้นของพวกเราที่อยู่ในบริษัทยาบำรุงและบริษัทผลิตอาวุธแลกเปลี่ยนเป็นยาบำรุงและอาวุธได้เล็กน้อยแค่นี้?”

หวงจิ่งอธิบายว่า “พูดแบบนี้เถอะ ปัจจุบันนี้แต่ละปีพวกเราให้เงินช่วยเหลือค่ายาบำรุงและอาวุธของมหาวิทยาลัยกว่าสี่หมื่นล้านตามราคาตลาด มหาวิทยาลัยจัดสรรให้ครึ่งหนึ่ง ทั้งสองบริษัทอีกครึ่งหนึ่ง…”

“คุณบอกว่าราคาตลาด งั้นก็หมายความว่าพวกเขาให้เงินจัดสรรยาบำรุงและอาวุธตามราคาตลาดสองหมื่นล้าน ราคาต้นทุนจะอยู่ที่ประมาณห้าสิบหกสิบล้าน นี่ก็คือกำไรจากหุ้นที่ได้จากสองบริษัทในแต่ละปี?”

หวงจิ่งพยักหน้าเบาๆ เห็นฟางผิงเหมือนไม่พอใจเท่าไหร่ จึงอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ไอ้หนู เธอคิดว่าพวกเราเป็นคนเปิดสองบริษัทจริงๆ หรือไง? ให้ได้มากขนาดนี้ ความจริงถือว่าไม่เลวแล้ว ตอนนี้ความคิดของเธอคือสร้างสายการผลิตของมหาวิทยาลัยให้มียอดขายเกินแสนล้านต่อปี นั่นหมายความว่าต้องขยายขนาดการผลิตถึงห้าเท่า! อยากจะสำเร็จเงื่อนไขนี้ หมายความว่าหลังจากนี้ผลผลิตทุกอย่างของเซี่ยงไฮ้ รวมถึงอาจารย์ต้องจัดสรรให้มหาวิทยาลัยทั้งหมด ขนาดการขายมูลค่าแสนล้าน หมายความว่าอย่างน้อยต้องจัดหาวัตถุดิบถึงสองหมื่นล้าน อันที่จริงปัจจุบันนี้แต่ละปีมหาวิทยาลัยมีรายได้ไม่เยอะถึงขั้นนั้น เธอทำแบบนี้ บริษัทยาบำรุงและผลิตอาวุธคงไม่รับปากเช่นกัน ทั้งจะไม่ให้หุ้นพวกเราอีก เธอเข้าใจความหมายของฉันหรือเปล่า?”

หลายบริษัทใหญ่ให้หุ้นและเงินปันผลกับมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้เป็นเพราะนักศึกษาและอาจารย์ พอได้รางวัลจากถ้ำใต้ดินก็แทบจะมอบให้พวกเขาทั้งหมด

ตอนนี้ไม่จัดสรรให้อีก แล้วทำไมพวกเขายังต้องให้หุ้นกับมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้อีก?

———————–

ตอนที่ 292 ตรวจพลังจิตใจ (2)

ฉันรู้ตั้งนานแล้วว่าพลังจิตใจของตัวเองแข็งแกร่งขนาดไหน หลู่เฟิ่งโหรวบอกว่ามีของดี ตอนแรกเขายังตื่นเต้นอยู่บ้าง คิดว่าคงจะได้ผลประโยชน์กลับไปบ้าง ตอนนี้มาเสียเที่ยวซะแล้ว

ฟางผิงไม่สนใจ คนอื่นๆ กลับกระตือรือร้นกันไม่น้อย

หลิวเมิ่งเหยารีบเอ่ยว่า “อาจารย์ พวกเราใช้ได้หรือเปล่า?”

“แน่นอน เรียกพวกเธอมาก็เพราะจะให้พวกเธอใช้ยังไงล่ะ”

ระหว่างที่หลู่เฟิ่งโหรวพูดยังเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แต่ต้องระมัดระวังหน่อย จะทำพังไม่ได้ ตอนนี้ทั่วทั้งมหาวิทยาลัยมีแค่ที่ฉันเครื่องเดียว อู๋ขุยซานยื่นเรื่องขอกับสถาบันวิจัย ผลปรากฏว่าขอไปหลายเดือนยังไม่มีการเลย เขายังคิดจะเอาของฉันไปใช้ ฝันไปเถอะ!”

พูดถึงอู๋ขุยซาน หลู่เฟิ่งโหรวเผยความเคียดแค้นอย่างเต็มเปี่ยม สรุปแล้วอู๋ขุยซานไม่มีความสุข เธอถึงจะดีใจไม่น้อย

เธอได้สิ่งนี้มา ยังคงเกี่ยวข้องกับเรื่องพ่อของเธออยู่บ้าง ไม่งั้นคงไม่ได้มาหรอก

ฟางผิงไม่สนใจสิ่งนี้ แต่ยังอยากรู้ว่าพลังจิตใจของหลู่เฟิ่งโหรวมากน้อยเท่าไหร่

“อาจารย์ พลังจิตใจของคุณเท่าไหร่เหรอครับ?”

“แปดร้อยยี่สิบห้าเฮิรตซ์”

วันนี้หลู่เฟิ่งโหรวยิ้มไม่หยุด เอ่ยต่อว่า “ถ้าช่วงนี้ฉันไปห้องคุมอานุภาพตลอด บางทีใช้เวลาไม่นานอาจจะแตะถึงเก้าร้อยเฮิรตซ์ได้แล้ว!”

“เมื่อพลังจิตใจถึงหนึ่งพันเฮิรตซ์ก็จะเปลี่ยนเป็นจับต้องได้ เวลานั้นจากไร้รูปร่างจะเปลี่ยนเป็นมีรูปร่างจริงๆ แล้ว”

หลู่เฟิ่งโหรวอธิบายเพิ่ม

ฟางผิงแววตาวูบไหวเล็กน้อย “หนึ่งพันเฮิรตซ์ พลังจิตใจจะจับต้องได้?”

“ใช่”

หลู่เฟิ่งโหรวรู้ว่าพลังจิตใจเขาไม่อ่อนด้อย อธิบายด้วยรอยยิ้มว่า “พลังจิตใจจับต้องได้เป็นเกณฑ์อย่างหนึ่งในการเข้าสู่ขั้นปรมาจารย์ อยากกลายเป็นปรมาจารย์ต้องทำเงื่อนไขพวกนี้ให้สำเร็จ ข้อแรกต้องปิดผนึกประตูซานเจียว พูดให้เข้าใจง่ายๆ หน่อย จะเป็นร่างกายที่ไร้รอยรั่ว จิงชี่เฉินไม่กระจัดกระจายอีก ข้อสองพลังจิตใจเปลี่ยนเป็นจับต้องได้ ข้อสามจิงชี่เฉินรวมเป็นหนึ่ง อันที่จริงก็คือพลังจิตใจและปราณรวมเป็นหนึ่ง หรือพูดอีกอย่างว่าหลอมรวมกัน แลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันได้แล้ว”

“สรุปแล้วพอถึงขั้นนั้นเธอก็จะรู้เอง เวลานั้นปราณเธอจะเพิ่มพลังจิตใจให้แข็งแกร่งได้ พลังจิตใจก็จะสามารถเพิ่มอานุภาพของปราณได้เช่นกัน ทักษะต่อสู้ของปรมาจารย์ยอดฝีมือล้วนเป็นทักษะที่จิงเฉินชี่รวมเป็นหนึ่ง ไม่เหมือนพวกเรา พลังจิตใจคือพลังจิตใจ ปราณคือปราณ แยกกันอยู่เดี่ยวๆ ตอนนี้ฉันปิดผนึกประตูซานเจียวแล้ว พลังจิตใจเป็นรูปธรรมยังขาดอยู่เล็กน้อย รอพลังจิตใจจับต้องได้ ฉันจะลองฝืนรวมจิงชี่เฉินเป็นหนึ่ง…”

“ฝืน?”

ฟางผิงจับจุดสำคัญ รอยยิ้มของหลู่เฟิ่งโหรวหายไปเล็กน้อย เอ่ยเรียบนิ่งว่า “อันที่จริงผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหกสูงสุดต่างกำลังลองรวมจิงชี่เฉินเป็นหนึ่งในระหว่างที่พลังจิตใจยังจับต้องไม่ได้ แต่ฉันทำไม่สำเร็จมาตลอด ดังนั้นจึงทำได้แค่ฝืนให้สำเร็จขั้นตอนนี้ การเพิ่มพลังจิตใจยากกว่าการเพิ่มปราณ อันดับแรกต้องทำให้ถึงขั้นรวมจิงชี่เฉินเป็นหนึ่ง นั่นจะทำให้ปราณตอบสนองกับพลังจิตใจ ความเร็วจะมากกว่าฉันในตอนนี้”

หลู่เฟิ่งโหรวนั้นฝึกวิชาเพิ่มพลังจิตใจเพียงอย่างเดียว

แต่คนอื่นปราณและพลังจิตใจรวมเป็นหนึ่ง สามารถใช้ปราณที่แข็งแกร่งตอบสนองกับพลังจิตใจ ทำให้พลังจิตใจเพิ่มขึ้นมาได้

นี่ก็เป็นสาเหตุที่ตอนแรกเธอและอู๋ขุยซานไม่ได้ห่างชั้นกันมาก แต่ภายหลังอู๋ขุยซานเข้าสู่ขั้นแปด เธอยังคงรั้งอยู่ขั้นหก

ฟางผิงฟังจบก็ละล่ำละลักว่า “งั้นทำไมผมไม่เห็นสัมผัสได้?”

เขาจำได้ว่าก่อนหน้านี้จางติ้งหนานบอกว่าจิงชี่เฉินของเขาเยี่ยมยอด

หลู่เฟิ่งโหรวเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เธอ? เธอยังเร็วไป ประตูซานเจียวยังไม่ได้ปิดผนึก ทำไม่ถึงขั้นรวมเป็นหนึ่ง ตอนนี้เป็นแค่ความหมายตามตัวหนังสือ บอกว่าจิงชี่เฉินของเธอแตะถึงจุดสูงสุดระดับหนึ่งแล้ว แต่ถ้าเธอทำแบบนี้ได้ตลอด รอถึงขั้นหกสูงสุดจะผสานรวมกันได้อย่างราบรื่นเอง อย่างน้อยก็ราบรื่นกว่าฉันเยอะ แน่นอนว่าอยากจะไร้คู่ต่อสู้ไปตลอด ความเชื่อมั่นตัวเองต้องสูงอย่างมาก ไม่ได้ง่ายๆ ขนาดนั้น”

ฟางผิงยิ้มออกมาทันที “งั้นผมไม่มีปัญหาแน่”

หลู่เฟิ่งโหรวหัวเราะ ไม่พูดมากอีก ยังไงคนอื่นๆ ก็ยังห่างไกลจากขั้นปรมาจารย์อยู่มาก

“ยืนบื้ออะไรกัน มาลองสิ ใครจะลองเป็นคนแรก?”

“ผม!”

เหลียงหวาเป่าตะโกนออกมาเป็นคนแรก หลู่เฟิ่งโหรวไม่ลังเลเช่นกัน สวมหมวกกันน็อกไว้บนหัวเขาทันที “รวบรวมสมาธิ ในสมองให้จำลองทักษะต่อสู้ที่เธอชำนาญที่สุด นึกถึงอานุภาพชั่ววินาทีที่เธอปล่อยกระบวนท่าชั้นยอดออกมา!”

เหลียงหวาเป่าใบหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทันที เริ่มหลับตานึกถึงอานุภาพของการระเบิดกระบวนท่า

ฟางผิงเห็นเขาทำราวกับตัวเองท้องผูก ตะบี้ตะบันนึกก็อยากขำอยู่บ้าง

จอภาพที่แสดงบนหมวกกันน็อกกำลังเคลื่อนไหวไม่หยุดหย่อน แถวตัวเลขด้านบนไม่คงที่ ตอนนี้กำลังเปลี่ยนไปมา

หลู่เฟิ่งโหรวมองพักหนึ่งก่อนจะส่ายหัวเล็กน้อย

ไม่นานเหลียงหวาเป่าก็ลืมตา ถอนหายใจว่า “อาจารย์ ได้แล้วใช่ไหมครับ?”

“อืม”

หลู่เฟิ่งโหรวมองหมวกกันน็อกแวบหนึ่ง เอ่ยว่า “สองร้อยแปดสิบห้าเฮิรตซ์”

เหลียงหวาเป่าเอ่ยอย่างสงสัย “สูงหรือต่ำ? เกณฑ์ของปรมาจารย์คือหนึ่งพันเฮิรตซ์ ผมเพิ่งจะขั้นสาม น่าจะสูงแล้วสินะครับ?”

จู่ๆ หลู่เฟิ่งโหรวก็เข้าใจขึ้นมาบ้างว่าทำไมสถาบันวิจัยถึงไม่อยากผลักดันเรื่องนี้เท่าไหร่

ข้อแรกมูลค่าสูงเกินไป แต่นี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ตอนที่เครื่องวัดปราณเพิ่งทำออกมา มูลค่าก็สูงเช่นกัน ภายหลังเทคโนโลยีเจริญแล้วราคาจึงค่อยๆ ลดลง

ข้อสองกลัวว่าจะทำให้คนสิ้นหวัง

ตอนนี้ยังไม่มีวิธีที่ฝึกพลังจิตใจแบบเดี่ยวๆ รวมถึงปรมาจารย์ด้วย อันที่จริงสิ่งที่ฝึกก็คือปราณ จากนั้นจึงใช้ปราณตอบสนองกับพลังจิตใจ

แต่ผู้ฝึกยุทธ์ที่ปราณและพลังจิตใจไม่ผสมผสานกันจะทำถึงจุดนี้ไม่ได้

นี่ก็หมายความว่าผู้ฝึกยุทธ์ที่ยังไม่เข้าสู่ขั้นหกสูงสุด ทำได้เพียงอาศัยการทะลวงขั้นสร้างความแข็งแกร่งให้ร่างกายและเพิ่มพูนพลังจิตใจเท่านั้น

หรือสะสมความเกรงขามก็สามารถเพิ่มพลังจิตใจได้เช่นกัน

รวมถึงอานุภาพของการไร้คู่ต่อสู้ อานุภาพของการสังหาร

บางทีอาจรวมถึงอำนาจของตำแหน่งด้วยเช่นกัน ก่อนหน้านี้ฟางผิงเคยถกประเด็นกับพวกหวงจิ่งเช่นกัน ผู้ฝึกยุทธ์นักธุรกิจและแวดวงการเมืองบางทีอาจจะเพิ่มโอกาสทะลวงเป็นปรมาจารย์ได้มากกว่า

และนี่อาจจะเป็นการสะสมอานุภาพอย่างหนึ่งด้วยเช่นกัน

ในใจครุ่นคิดเรื่องพวกนี้ หลู่เฟิ่งโหรวก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “พอใช้ได้ ไม่ถือว่าสูงเกินไป แต่ก็ไม่ต่ำเกินไปเหมือนกัน หวาเป่า หลังจากนี้ให้ความสำคัญกับความเกรงขามให้มาก บุกต่อสู้อย่างห้าวหาญ ทำอะไรอย่างเด็ดขาด ผู้ฝึกยุทธ์แบบนี้พลังจิตใจจะแข็งแกร่งกว่าคนอื่นหน่อย”

เมื่อคำพูดนี้ออกมาทุกคนก็มองไปทางฟางผิง

ฟางผิงใบหน้าดำคล้ำ “มองฉันทำไมกัน ฉันทำเรื่องเฉียบขาด กล้าหาญไร้คู่ต่อสู้ พลังจิตใจถึงได้สูงแบบนี้ ปกติแค่ไม่อยากแสดงออกมาเท่านั้น หากไม่ใช่เพราะแบบนี้ ฉันจะฆ่ายอดฝีมือขั้นห้าในถ้ำใต้ดินได้ยังไง? เผชิญหน้ากับขั้นหก ฉันยังนิ่งสงบไม่หวั่นเกรง ทุกคนควรจะเรียนรู้จากฉัน…”

หลู่เฟิ่งโหรวหัวเราะ ไม่ว่าอะไรเขา ปล่อยให้คนอื่นๆ ได้ตรวจพลังจิตใจต่อ

ตอนแรกเหลียงหวาเป่ายังคิดว่าพลังจิตใจตัวเองนั้นสูงแล้ว

แต่ไม่นานเขาก็รู้ว่าหลู่เฟิ่งโหรวแค่ปลอบใจเขา

เขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามตอนปลาย คนที่แข็งแกร่งกว่าเขาอย่างเหลียงหวาเฟิง เข้าสู่ขั้นสี่แล้ว ตรวจได้สามร้อยแปดสิบเฮิรตซ์ เรื่องนี้เขาไม่แปลกใจ

แต่เย่ฉิงที่อยู่ขั้นสามสูงสุดนึกไม่ถึงว่าจะสามร้อยห้าสิบเฮิรตซ์ อย่าลืมว่าทั้งสองคนไม่ได้ห่างชั้นมาก

หลิวเมิ่งเหยาที่เพิ่งทะลวงขั้นสามตอนปลายก็ตรวจได้สามร้อยเฮิรตซ์!

เวลานี้เหลียงหวาเป่าสิ้นหวังแล้ว

จ้าวเสวี่ยเหมยสองร้อยเก้าสิบห้าเฮิรตซ์!

เฉินอวิ๋นซียังสามร้อยเฮิรตซ์อีก!

สองคนนี้เพิ่งจะขั้นสามตอนต้นเท่านั้น

เวลานี้เหลียงหวาเป่าได้รับความกระทบกระเทือนจิตใจอย่างถึงที่สุด เอ่ยอย่างขุ่นเคืองว่า “ฉันสู้ไม่ได้แม้แต่ผู้หญิง?”

พวกผู้หญิงต่างเผยสีหน้าบูดบึ้งให้เขา

หลู่เฟิ่งโหรวชำเลืองตามองเขาเช่นกัน ตอนนี้คนที่รนหาที่ตายในเซี่ยงไฮ้ทำไมมีเยอะขึ้นเรื่อยๆ กันนะ?

เจ้าหมอนี่ลืมแล้วเหรอว่าอาจารย์ของตัวเองเป็นผู้หญิง?

ไม่สนใจเขาอีก หลู่เฟิ่งโหรวเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “ฉันเดาว่าการหลอมกระดูกหลายครั้งในช่วงคนธรรมดาอาจจะเกี่ยวข้องกับความแข็งแกร่งอ่อนแอของพลังงานจิตใจ…กลับไปฉันจะสรุปผลสักหน่อย ดูว่าปรมาจารย์พวกนั้นหลอมกระดูกสองครั้งไปกี่คน”

ตัวเลขนี้สรุปผลได้ไม่ยาก หากได้รับการพิสูจน์ หลังจากนี้ทุกคนอาจจะพยายามหลอมกระดูกหลายครั้งในช่วงที่ยังไม่เป็นผู้ฝึกยุทธ์

เฉินอวิ๋นซีที่หลอมกระดูกสองครั้งจนเกือบจะครบสามครั้ง ในสายตาของหลู่เฟิ่งโหรว ความมุ่งมั่นนั้นสู้จ้าวเสวี่ยเหมยไม่ได้

แต่พลังจิตใจของเฉินอวิ๋นซีกลับแข็งแกร่งกว่าจ้าวเสวี่ยเหมย นี่ไม่สอดคล้องกันแล้ว

“ฟางผิง เธอมาลองดู”

ฟางหัวเราะ เอ่ยถ่อมตัวว่า “อาจารย์ ผมไม่ต้องก็ได้ ทุกคนอยู่ที่นี่กันหมดเลยนะครับ”

“อย่าพล่ามให้มาก บอกให้เธอลองก็ลอง!”

ฟางผิงถอนหายใจ มองไปยังทุกคน “ทุกคนอย่ามองฉัน จะสิ้นหวังเปล่าๆ”

พวกเขาต่างไม่ส่งเสียง ปล่อยให้เขาโอ้อวดไป!

ไม่นานผลลัพธ์ก็ปรากฏออกมา

ฟางผิงที่ปลดปล่อยพลังจิตใจออกมาข้างนอกได้แล้ว แทบไม่ต้องไปนึกถึงอะไร แค่ปล่อยออกมาก็เพียงพอแล้ว

“หกร้อยเก้าสิบเก้าเฮิรตซ์!”

ตอนนี้หลู่เฟิ่งโหรวพลอยเงียบไปด้วย

มองฟางผิงด้วยแววตาแรงกล้า จ้องสมองของเขาอย่างไม่วางตา ฟางผิงสีหน้าเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก ฉันไม่ควรแสดงให้เห็นเลย!

เหล่าหลู่ นี่จะวางแผนกับสมองของเขาอีกแล้วสินะ?

“เยี่ยมมาก บางที…เธออาจจะเข้าสู่ขั้นปรมาจารย์ในอีกไม่นานนี้จริงๆ ก็ได้!”

หลู่เฟิ่งโหรวเอ่ยชม ยิ้มตาหยีว่า “ฟางผิง ตั้งใจฝึกวิชาดีๆ ถ้าฉันกลายเป็นปรมาจารย์ก็แล้วไป แต่หากไม่สำเร็จ…”

ฟางผิงหน้าซีดเผือด ความหมายของคำพูดนี้…แปลได้หลากหลายจริงๆ!

ไม่มองหลู่เฟิ่งโหรวอีก ฟางผิงจ้องที่หมวกกันน็อกพักใหญ่ ของสิ่งนี้น่าจะเอากลับไปให้ฟางหยวนตรวจสอบได้

เด็กคนนั้นพลังจิตใจอาจจะหนึ่งร้อยเฮิรตซ์แล้ว มักจะรู้สึกว่าฟางหยวนคุณสมบัติแย่ไปบ้าง ขี้ขลาดตาขาว รักตัวกลัวตาย ชอบเงินเป็นชีวิตจริงใจ…

“ความมุ่งมั่นน้อยเกินไป พลังจิตใจก็อ่อนไปอยู่บ้าง เส้นทางผู้ฝึกยุทธ์ไม่ง่ายแล้ว!”

ในใจบ่นพึมพำถึงน้องสาว ช่างเถอะ พี่ชายจะแข็งแกร่งเอง เธอจะอ่อนแอไปบ้างก็ไม่เป็นไรหรอก

————————

———————————————-

ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน

ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน

Status: Ongoing
ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน ฟางผิงกลับมาเกิดใหม่ในวัย 18 ปีในโลกที่ไม่เหมือนเดิมพร้อมระบบประหลาด และที่นี่เองที่เขาได้ก้าวเข้าสู่โลกของการฝึกยุทธ์ รายละเอียด อีกหนึ่งผลงานแฟนตาซี-กำลังภายในที่มาพร้อมระบบสุดโกง จากนักเขียนเดียวกับ STARGATE ปริศนาประตูแห่งดารา ฟางผิงย้อนเวลามาอยู่ในร่างของตัวเองในวัย 18 ปี ผู้คนรอบข้างยังคงเป็นเหมือนเดิม แต่ที่โลกนี้กลับยังมีการฝึกยุทธ์ และให้ความสำคัญกับผู้ฝึกยุทธ์ ช่วงเวลาสั้นๆ ฟางผิงก็สัมผัสได้ถึงสิ่งหนึ่ง นั่นก็คือสังคมนี้โหดร้ายกับเขาเป็นอย่างยิ่ง! หากไม่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ ไม่เป็นผู้ที่แข็งแกร่ง แม้ว่าตัวเองจะกลับมาเกิดใหม่ เกรงว่าคงทำได้เพียงก้มหน้าก้มตาเป็นคนชนชั้นล่างเท่านั้น ด้วยเหตุนั้นเขาจึงสอบเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ และกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ เพื่อให้ตนและครอบครัวสามารถใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในสังคมแห่งนี้ แต่แน่นอนว่าเส้นทางของการเป็นผู้แข็งแกร่งย่อมไม่ง่ายดายขนาดนั้น แม้เขาจะมีระบบประหลาดคอยช่วยเหลืออยู่ก็ตาม เรื่อง : ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน ผู้เขียน : เหล่าอิงชือเสี่ยวจี (老鹰吃小鸡)

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท