ตอนที่ 296 สิบปรมาจารย์ใหญ่รวมตัวที่ปักกิ่ง (2)
ฟางผิงส่ายหัวว่า “คณบดี ไม่ได้คำนวณกันแบบนี้ พวกเราขยายขนาดการผลิต พวกนักศึกษาจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น ได้รับรางวัลมากขึ้น รวมถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายในปัจจุบัน หลังจากนี้ไม่แน่ว่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองอาจต้องเข้าถ้ำใต้ดินทั้งหมด ในเมื่อเป็นแบบนี้พวกเราจะยิ่งได้รับของรางวัลมากขึ้น หากเพิ่มความสามารถขึ้นถึงหนึ่งเท่า งั้นก็นับว่าพวกเราพึ่งพาตัวเองได้แล้ว ทั้งยังสามารถจัดสรรวัตถุดิบแบบเดียวกันให้พวกบริษัทใหญ่ได้ อันที่จริงจุดนี้ไม่ได้ขัดแย้งกัน”
อู๋ขุยซานเอ่ยทุ้มลึกว่า “ดังนั้นเธอเลยตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าจะขยายสายการผลิตภายในมหาวิทยาลัย?”
“ไม่ใช่ มหาวิทยาลัยต่างหากที่ตัดสินใจแบบนี้” ฟางผิงเอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “ผมทำทั้งหมดเพื่อมหาวิทยาลัย ผมไม่ได้ขาดแคลนเรื่องพวกนี้ ไม่ได้ขาดแคลนเงินหรือยาบำรุงในการฝึกวิชา ทั้งยังก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว ผมเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่คนหนึ่งไม่ใช่อธิการของมหาวิทยลัยเซี่ยงไฮ้ สิ่งที่ผมทำทุกอย่างในตอนนี้ล้วนเพื่อมหาวิทยาลัย เพื่อนักศึกษาและอาจารย์ ผมแค่ไม่อยากเห็นทุกคนไปตายเสียเปล่าในถ้ำใต้ดินเพราะความสามารถไม่พออีกแล้ว อธิการทั้งสองเพิ่งจะรับตำแหน่ง อธิการเฒ่าสละชีวิตในถ้ำใต้ดิน มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้กำลังอยู่ในช่วงที่ต้องฟื้นฟู ไม่ช่วงชิงเวลานี้ ต้องช่วงชิงเมื่อไหร่อีก? หรือต้องรอให้ถึงวันที่อธิการและคณบดีทำสงครามในถ้ำตายนอกบ้านเกิดก่อนถึงค่อยเปลี่ยนแปลง?”
อู๋ขุยซานเคาะโต๊ะเบาๆ ผ่านไปพักหนึ่งค่อยเอ่ยว่า “รัฐบาลอาจจะไม่อนุมัติเสมอไป…”
หวงจิ่งรับบทสนทนา “พวกบริษัทใหญ่อาจจะลอบสร้างปัญหาเหมือนกัน”
ฟางผิงเอ่ยด้วยสีหน้าโมโห “งั้นก็ให้พวกเขาไปทำสงครามในถ้ำใต้ดิน ตายในนั้นให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย! ปรัชญาที่พวกคุณประกาศให้พวกนักศึกษาอย่างพวกเราฟังคือผู้ฝึกยุทธ์ต้องกล้าต่อสู้ ต้องต่อสู้เท่านั้น!”
“แต่ตอนนี้พวกเรามีปัญหากับการฝึกวิชา มีสิทธิ์อะไรไปรบกัน!”
“บอกว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ เป็นชนชั้นอภิสิทธิ์ อันที่จริงก็เป็นแค่กลุ่มคนน่าสงสารที่เดินอยู่บนรอยต่อของความเป็นความตาย!”
“ไม่กลัวกระทั่งความตาย ยังต้องกลัวอะไรอีก!”
“พวกบริษัทใหญ่เห็นพวกเราเป็นอะไร? ทำงานให้ฟรีๆ? ใช้ชีวิตและเลือดเนื้อไปแลกเปลี่ยนทรัพยากรที่แทบไม่เพียงพอต่อการฝึกวิชา?”
“นี่เป็นสาเหตุที่พวกเราตายในสงครามไม่ใช่หรือไง?”
“อย่าพูดถึงปกป้องมนุษยชาติเลย กระทั่งตัวพวกเราเองยังปกป้องไม่ได้ ใครมาปกป้องพวกเราได้บ้าง?”
“พวกเราไม่มีครอบครัวและญาติพี่น้องเลยหรือไง?”
“วันนี้มองพวกเราเป็นแมงเม่า งั้นพวกเราก็จะมองพวกเขาเป็นศัตรู! พวกเราไม่ได้ร้องขออะไรเกินตัว พวกเรามอบรางวัลของตัวเองให้กับมหาวิทยาลัยเป็นความผิดหรือไง?”
“ศัตรูอยู่ตรงหน้า คนที่ตายก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับล่างอย่างพวกเรา แม้จะมีปรมาจารย์ตายในสนามรบก็ตายจากพลังรอบนอก!”
“วันนี้ไม่เปลี่ยนแปลง วันหน้าก็อย่ามาโทษพวกเราว่าไม่สู้เพื่อมวลมนุษย์ชาติ!”
ประโยคสุดท้ายที่ฟางผิงพูดออกมา ปรมาจารย์ใหญ่ทั้งสองตะคอกออกมาพร้อมกันทันที “ไร้สาระสิ้นดี!”
ฟางผิงเอ่ยอย่างคับแค้นใจ “ใช่ ไร้สาระ แต่ก็เป็นความในใจของผมเหมือนกัน ผู้ฝึกยุทธ์ไม่คำนึงถึงชีวิต ไม่มีกระทั่งทรัพยากรที่เพียงพอต่อการฝึกวิชา นี่นับเป็นเรื่องอะไรกัน? บริษัทยาบำรุงและผลิตอาวุธหาเงินได้ตั้งมากมาย แล้วเงินล่ะ? หรือยังไม่พูดถึงเงิน พวกเราจัดสรรทรัพยากรให้มากขนาดนั้น ยาบำรุงและอาวุธที่พวกเขาผลิตออกมา อย่างน้อยน่าจะมีจำนวนมากกว่าสามเท่าที่มอบให้พวกเรา ส่วนที่เหลืออีกหกสิบเปอร์เซ็นต์ไปไหนแล้วล่ะ?”
“ส่วนหนึ่งไหลเข้าสู่สังคม…”
“ไม่ได้เยอะขนาดนั้น” ฟางผิงพูดตัดบทหวงจิ่ง
หวงจิ่งมองเขาแวบหนึ่ง ผ่านไปสักพักจึงเอ่ยว่า “ไอ้หนู ตัวเลขพวกนี้เธอคำนวณเองหรือพูดทึกทักขึ้นมา?”
“แค่ผลสรุปง่ายๆ ผมถามพวกรุ่นพี่ที่ฝึกงานอยู่ที่บริษัทยาบำรุงและอาวุธ รวมถึงพวกคนที่ทำงานในหน่วยทหารด้วย รางวัลจากถ้ำใต้ดินมีมากกว่าที่จัดสรรให้พวกเราสองเท่าในตอนนี้!”
“หน่วยทหารสิ้นเปลืองไปส่วนหนึ่งเช่นกัน หน่วยทหารไม่ได้มีรางวัลจากการทำสงครามทุกวัน จะเฝ้าเมืองเสียส่วนใหญ่”
“นั่นก็ต้องมีเหลืออยู่ดี!”
หวงจิ่งและอู๋ขุยซานสบสายตากัน ผ่านไปพักหนึ่ง หวงจิ่งจึงเอ่ยอย่างลำบากใจว่า “เธอค่อนข้างละเอียดกับตัวเลขจริงๆ อันที่จริงไม่ถือว่าเป็นความลับใหญ่อะไร รัฐบาลกลางยังบ่มเพาะทีมทหารผู้ฝึกยุทธ์จำนวนหนึ่งไว้ นับได้ว่าเป็นทหารกองหนุน เธอคิดว่าทุกครั้งที่ทางเข้าถ้ำใหม่ปรากฏ ทีมผู้ฝึกยุทธ์ทหารพวกนั้นโยกย้ายมาจากที่อื่นจริงๆ หรือไง? เรื่องนี้เธอน่าจะกระจ่างใจดี ในเมื่อเธอคำนวณเงินเหลือจากยาบำรุงและอาวุธได้ ก็น่าจะคำนวณได้ว่าหลายปีนี้เกิดทางเข้าใหม่หลายแห่ง ต้องตั้งฐานทัพของผู้ฝึกยุทธ์ขึ้นมาอีกเท่าไหร่?”
อู๋ขุยซานพูดเสริมว่า “ภารกิจของกองตั้งมั่นเฝ้าระวังทั้งสี่ ด้านหนึ่งเพื่อเฝ้าระวังพื้นที่แห่งใดแห่งหนึ่ง อีกด้านก็เพื่อบ่มเพาะทหารกองหนุน แน่นอนว่าอยากรู้ลลงลึกกว่านี้ จะเข้าใจว่าเป็นการถ่วงดุลก็ได้ เธอน่าจะเข้าใจดี จิตใจมนุษย์ยากจะคาดเดา หน่วยทหารมีอำนาจมาก รัฐบาลกลางจึงแบ่งอำนาจออกเป็นหลายระบบ นี่ก็สมเหตุสมผลเช่นกัน”
ฟางผิงถอนหายใจว่า “ตอนนี้ผมเข้าใจแล้ว ผมก็ว่าสิ่งที่พวกเราเห็นอาจจะไม่ใช่ทั้งหมด ไม่ว่าจะยังไง ขยายสายการผลิตในมหาวิทยาลัยน่าจะไม่มีปัญหา อธิการทั้งสองคนเห็นว่ายังไง? ผมเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่คนหนึ่ง ไม่มีคุณสมบัติไปเจรจาต่อรอง ถ้าอธิการทั้งสองไม่เห็นด้วย งั้นก็ทำเป็นว่าผมไม่ได้พูด ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ตัวเล็กๆ นับเป็นอะไรกัน จะมีหรือไม่มีผมก็ได้ อย่างมากเขตทางใต้ก็มีหลุมศพเพิ่มขึ้นมาอีกเท่านั้น เถ้ากระดูกของนักศึกษาส่งกลับไปที่บ้านบ้างก็เพียงพอแล้ว ผมคิดว่าโอกาสที่ตัวเองจะกลายเป็นเถ้ากระดูกมีน้อยมาก ต่อให้บาดเจ็บล้มตายมากกว่านี้ก็ไม่เกี่ยวกับผม!”
หวงจิ่งปวดหัวอย่างเห็นได้ชัด ถอนหายใจว่า “อย่าพูดด้วยอารมณ์ดีกว่า พวกฉันเข้าใจความหมายของเธอ ประเด็นอยู่ที่…ขั้นเจ็ดขั้นแปด…อาจไม่ได้มีอำนาจในการพูดเสมอไป”
ประเทศจีนมียอดฝีมือขั้นเก้ากว่าสามสิบคน แม้มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้จะไม่อ่อนด้อย แต่ยังขาดแคลนอำนาจด้านกลยุทธ์แบบนี้อยู่บ้าง
“ผู้บังคับการอู๋จากกองตั้งมั่นเฝ้าระวังทางใต้จบจากมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ อยู่ขั้นเก้า”
“เขาเป็นผู้บังคับการกองตั้งมั่นเฝ้าระวัง”
“ทั้งยังเป็นคนของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้เช่นกัน อธิการเฒ่าเลี้ยงดูเขาเหมือนลูกชายคนหนึ่ง เขากลายเป็นปรมาจารย์ใหญ่ อธิการเฒ่าตายในสนามรบ หากเขาไม่ยอมรับผิด งั้นก็ขับไล่เขาออกจากเซี่ยงไฮ้ ไม่ต้องยอมรับว่าเขาเป็นศิษย์เก่าจากเซี่ยงไฮ้!”
อู๋ขุยซานแทบจะยิ้มด้วยความโมโห ด่าว่า “ฉันรู้สึกว่านายที่อยู่ขั้นสี่ปากเก่งยิ่งกว่าคนที่อยู่ขั้นเก้าซะอีก!”
ไอ้หนูนี่เพิ่งจะขั้นสี่ ตอนนี้กล้าพูดออกมาว่าจะขับไล่ขั้นเก้า รอเขาขั้นเก้าแล้วจะไม่ทำตัวเป็นฮ่องเต้เลยหรือไง?
ฟางผิงไม่สนใจเช่นกัน ยังคงเป็นประโยคนั้น “ผมทำทั้งหมดนี้เพื่อมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ เพื่อเซี่ยงไฮ้แล้ว ล่วงเกินรุ่นพี่กลุ่มหนึ่ง ล่วงเกินยอดฝีมือระดับกลางระดับสูงกลุ่มหนึ่ง ผมได้ประโยชน์อะไร? มีแค่ตำแหน่งประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์? พูดเรื่องน่าขำให้อธิการทั้งสองฟังสักหน่อย ผมคิดว่าตัวเองน่าจะกลายเป็นปรมาจารย์เร็วๆ นี้ ทำไมต้องสนใจความเป็นความตายของผู้ฝึกยุทธ์ระดับล่างกลุ่มหนึ่งด้วย? บางทีอธิการทั้งสองคนอาจจะคิดแบบนี้เหมือนกัน”
“เธอไม่จำเป็นต้องยั่วยุพวกเรา”
อู๋ขุยซานโบกมือ ถอนหายใจว่า “เรื่องนี้ฉันจะช่วงชิงเอง”
“ไม่ใช่ช่วงชิง ต้องสู้อย่างไม่มีอะไรต้องเสียต่างหาก ไม่เห็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับล่างเป็นคน งั้นก็อย่าเป็นมนุษย์เลย ไปใช้ชีวิตในถ้ำใต้ดินให้รู้แล้วรู้รอดเลยดีกว่า!”
“เธอกำลังชี้ต้นหม่อนด่าต้นไหว?”
อู๋ขุยซานโมโหขึ้นมาจริงๆ อยู่บ้าง ไอ้หนูนี่ใช้คำพูดเหมารวมผู้ฝึกยุทธ์ระดับสูงไปทั้งหมด?
เขารู้หรือเปล่าว่าหากเรื่องแพร่งพรายออกไปจะทำให้เกิดผลที่ตามมายังไง!
หวงจิ่งเอ่ยอย่างเคร่งขรึมเช่นกัน “ระวังคำพูดด้วย!”
ฟางผิงเงียบไป ผ่านไปสักพักจึงเอ่ยว่า “งั้นผมขอตัวก่อน มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ที่เป็นแบบนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากเห็นเท่าไหร่ ผู้ฝึกยุทธ์แบบนี้ก็ไม่ใช่แบบที่ผมต้องการ บางทีอาจจะเพราะอยู่คนละตำแหน่ง ความคิดจึงไม่เหมือนกัน ผมไม่ได้เหมือนปรมาจารย์อย่างพวกคุณที่คิดกว้างไกลขนาดนั้น ผมรู้แค่ว่าความจริงแล้วเพื่อนนักศึกษาและอาจารย์หลายคนอาจจะมีโอกาสรอดมากกว่านี้ แต่ตอนนี้กลับตายอยู่นอกบ้านเกิด หากมีวันหนึ่งผมกลายเป็นปรมาจารย์ ผมไม่รู้ว่าผมจะคิดยังไง รู้แค่ว่าผมไม่อยากจะยอมรับสภาพที่เป็นอยู่ในตอนนี้ ไม่ใช่ทุกคนจะเป็นฟางผิง ไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นเหมือนผมได้ พลิกจากเรื่องร้ายเป็นเรื่องดี ผมแค่อยากช่วงชิงสิ่งที่พวกเราควรจะได้ ไม่ได้ฉวยผลประโยชน์จากคนอื่น ทำไมมันยากขนาดนี้ล่ะ? อธิการ คณบดี วันนี้ผมเหิมเกริมเกินไปหน่อย ขอบคุณทั้งสองคนที่ช่วยรับฟัง”
ฟางผิงพูดจบก็หมุนตัวเดินออกไปโดยไม่คิดจะมอง
—
ในห้องทำงาน ปรมาจารย์ทั้งสองคนต่างจมดิ่งในความเงียบ
ผ่านไปพักหนึ่ง อู๋ขุยซานค่อยถอนหายใจว่า “ลองดูสักหน่อยแล้วกัน”
หวงจิ่งเอ่ยเคร่งขรึมว่า “ลองนั้นได้อยู่แล้ว แต่ไม่ใช่เรื่องง่าย หากมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้คิดจะเปลี่ยน มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้แห่งอื่น…”
“นั่นเป็นเรื่องของพวกเขา กวาดแค่หิมะหน้าบ้านตัวเองเถอะ พวกเราสนใจแค่เซี่ยงไฮ้ก็พอแล้ว”
“ได้ งั้นพวกเราจะไปปักกิ่งวันนี้เลยหรือเปล่า?”
“เรียกผู้เฒ่าหลิวด้วย หาปรมาจารย์ที่จบจากเซี่ยงไฮ้ไปอีกสักหน่อย สิบปรมาจารย์ใหญ่ไปรวมตัวกันที่ปักกิ่ง…”
จู่ๆ อู๋ขุยซานก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อายุปูนนี้แล้ว ความบ้าระห่ำหายไปเยอะจริงๆ เห็นความเป็นความตายจนชินตาเลยมองข้ามเรื่องพวกนี้ไปนานแล้วสินะ?”
หวงจิ่งหัวเราะขึ้นมา พยักหน้าว่า “งั้นสิบปรมาจารย์ก็ไปรวมตัวที่ปักกิ่ง จะให้นักศึกษาออกโรงอย่างเดียวไม่ได้!”
“ฮ่าๆๆ…”
ในห้องทำงานนั้นมีเสียงหัวเราะแผ่กระจายไปทั่ว
———————–
ตอนที่ 293 บรรยากาศของเซี่ยงไฮ้ไม่ดีเท่าไหร่ (1)
ในเวลาเดียวกัน
เมืองหยางเฉิง
โรงเรียนมัธยมหยางเฉิงอันดับหนึ่ง โรงยิมชั้นสอง
ฟางหยวนรู้สึกว่าร่างกายคันยุบยิบ กล้ามเนื้อบิดอย่างไม่สบายตัวอยู่พักใหญ่
พวกเด็กนักเรียนที่กำลังมองลูกพี่ใหญ่ฝึกวิชาด้วยท่วงท่าองอาจ จู่ๆ ก็หวีดร้องขึ้นมา
“พี่หยวนหยวน พี่เลือดออก!”
“ใบหน้ามีเลือดเต็มไปหมด!”
“ตรงเสื้อผ้าก็มี”
“ฮือๆ พี่หยวนหยวนเป็นอะไรไป?”
“…”
พวกนักเรียนหญิงรีบเข้ามาตรวจสอบสถานการณ์อย่างตื่นตกใจ ผลปรากฏว่าเพิ่งจะเข้าไปใกล้ ฟางหยวนก็เผลอผลักอย่างไม่ได้ตั้งใจ นักเรียนหญิงที่อยู่ใกล้คนหนึ่งถูกผลักจนถอยออกไปหลายเมตร
ฟางหยวนสีหน้าตะลึงงัน ฉันไม่ได้ใช้แรงสักหน่อย ถอยไปไกลอะไรขนาดนั้น นี่ไม่ใช่พวกนักต้มตุ๋นหลอกเอาเงินที่พี่ชายบอกหรือไง?
ไม่มีเวลาให้สนใจมาก เห็นเพื่อนที่ถูกผลักไม่เป็นอะไร ได้ยินทุกคนหวีดร้อง ฟางผิงจึงอดยกมือลูบแก้มของตัวเองไม่ได้ เมื่อยื่นมือออกมาดูกลับพบว่าเต็มไปด้วยเลือดเสีย
ฟางหยวนฝึกศิลปะการต่อสู้มาหนึ่งปีแล้ว ปกติก็พบเจอเรื่องแบบนี้มาไม่น้อย เลือดเสียถูกขับออกมานอกร่างกายไม่ใช่ครั้งแรกแล้วเช่นกัน
แต่เลือดเต็มหน้าแบบนี้ยังคงเป็นครั้งแรกจริงๆ!
ครู่ต่อมาฟางหยวนคล้ายจะนึกอะไรได้ ทั้งรู้สึกถึงอาการชาหนึบแผ่ออกมาจากร่างกาย
“ฉัน…กำลังหลอมกระดูก?”
มีพี่ชายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ แม้ว่าฟางผิงจะกลับบ้านนับครั้งได้ แต่การฝึกวิชาในเส้นทางผู้ฝึกยุทธ์ เรื่องที่ควรจะเตือนก็เตือนไปหมดแล้ว
สถานการณ์ของคนธรรมดาที่หลอมกระดูกครั้งแรก ฟางหยวนได้ยินฟางผิงพูดมาไม่น้อยเช่นกัน
“ฉันหลอมกระดูกครั้งแรกแล้ว!”
ฟางหยวนดีใจจนน้ำตาแทบไหล!
เธอเกือบจะถูกพี่ชายโจมตีจนเสียความมั่นใจแล้ว ตั้งแต่เดือนมิถุนายนปีก่อนฟางผิงก็เริ่มสอนจวงกงให้กับเธอ
เวลานั้นฟางผิงยังไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์
แต่ตอนนี้ฟางผิงเข้าสู่ขั้นสี่แล้ว เธอกลับยังหลอมกระดูกครั้งแรกไม่ได้ ช่วงนี้อารมณ์จึงดิ่งลงไม่น้อย กระทั่งไม่มีใจจะนับเงินในคลังเก็บเล็กๆ นั่นด้วยซ้ำ
นึกไม่ถึงว่าวันนี้แค่ออกมาฝึกวิชาพื้นฐานเล่นๆ เธอกลับหลอมกระดูกซะได้!
“พี่หยวนหยวน!”
“ประธาน ไม่เป็นไรใช่หรือเปล่า?”
“…”
พวกเด็กนักเรียนหญิงเห็นฟางหยวนยิ้มอย่างน่ากลัวทั้งที่เลือดเต็มหน้า รู้สึกขวัญหนีดีฝ่ออยู่บ้าง คนที่ตาขาวที่สุดนั้นแทบเตรียมจะหันหลังวิ่งแล้ว
นี่ประธานฝึกวิชาจนธาตุไฟเข้าแทรกเข้าสู่สายมารแล้วหรือไง?
ในละครโทรทัศน์ก็เคยฉาย คนที่ธาตุไฟเข้าแทรกเป็นมาร เห็นใครก็ฆ่าหมดทั้งนั้น
“ฉันไม่เป็นไร!”
ฟางหยวนเผยสีหน้าเบิกบานใจ ยังคงรู้สึกถึงอาการชาที่เกิดจากการหลอมกระดูกภายในร่างกาย ความรู้สึกนั้นช่างยอดเยี่ยมจริงๆ!
“เสี่ยวหลิง อาอวี้ ฉันทะลวงแล้ว!”
ฟางหยวนดีอกดีใจ มองข้ามสายตาพวกนักเรียนหญิงที่ชำเลืองมองหน้าเธอ เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ฉันจะกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์แล้ว ไม่สิ ถ้าฉันอยากก็สามารถเป็นได้ตอนนี้เลย!”
ฟางหยวนอารมณ์ดีอย่างยิ่ง หลอมกระดูกครั้งแรก คนธรรมดาก็สามารถเลือกทะลวงด่านได้แล้ว
แน่นอนว่าเธอไม่ได้ลืมเรื่องที่พี่ชายกำชับไว้ พยายามหลอมกระดูกสองครั้งหรือกระทั่งสามครั้งก่อน
แต่เรื่องพวกนี้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่แล้ว
โรงเรียนมัธยมหยางเฉิงอันดับหนึ่ง เกาเข่าปีนี้นักเรียนที่เก่งที่สุด ปราณหนึ่งร้อยสามสิบห้าแคล เข้าโรงเรียนวันแรกพวกฟางหยวนก็เห็นป้ายประกาศผลสอบเกาเข่าขนาดใหญ่ของโรงเรียนแล้ว
ส่วนฟางหยวนเพิ่งจะขึ้นมอปลายปีหนึ่ง ปราณแตะถึงหนึ่งร้อยห้าสิบแคล
“ฉันเป็นอัจฉริยะ ติดแค่อายุยังน้อยเท่านั้น”
เวลานี้ฟางหยวนไม่เสียใจอีกแล้ว ส่วนเรื่องที่ฟางผิงก้าวหน้าไว นั่นเป็นเพราะเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ หากตัวเองเข้าเรียนบ้าง ไม่แน่ว่าปีเดียวอาจจะทะลวงขั้นห้าขั้นหกแล้ว บางทีจะเก่งกว่าฟางผิงซะอีก
“ใช่สิ ต้องแจ้งข่าวดีให้ฟางผิงสักหน่อย!”
ฟางหยวนแทบไม่สนใจจะเช็ดเลือดบนใบหน้า ยกโทรศัพท์ขึ้นมาพลางตะโกนบอกคนอื่นว่า “ใช่สิ สมาคมรับคนเข้ามาอีกได้…รับ…รับสักสองพัน!”
ฟางหยวนคำนวณเล็กน้อย ฟางผิงบอกว่าตอนนี้เขาควบคุมคนในมหาวิทยาลัยกว่าเจ็ดพันคน ตัวเองจะน้อยไปกว่าเขาไม่ได้
เธอเพิ่งจะพูดจบ เสี่ยวหลิงที่ยังตกตะลึงอยู่ด้านข้างรีบเอ่ยว่า “นักเรียนหญิงของหยางเฉิงเข้าร่วมกันเกือบหมดแล้ว…”
“งั้นก็ขยายสาขาไปเมืองอื่น!”
ทว่าจู่ๆ ฟางหยวนก็หัวเราะอย่างกระอักกระอ่วนว่า “ช่างเถอะ ถ่อมตัว ต้องถ่อมตัวหน่อย รับไม่ได้อีกแล้ว”
หากรับคนอีก พี่ชายรู้เข้าต้องโกรธหนักแน่ๆ
—
บ้านพักหมายเลขแปด
ระหว่างที่ฟางผิงกำลังวางแผนกับ ‘เครื่องตรวจพลังจิตใจ’ มือถือก็ดังขึ้นมา
รอเห็นว่าเป็นหมายเลขของฟางหยวน ฟางผิงเพิ่งจะรับสาย เสียงที่ดีใจราวกับทะลวงขั้นปรมาจารย์ได้ของฟางหยวนก็แผ่กระจายออกมาทันที
“ฟางผิง ฉันหลอมกระดูกครั้งแรกแล้ว!”
“ฟางผิง ฉันเร็วกว่านายซะอีก เก่งหรือเปล่าล่ะ!”
“ฮ่าๆๆ ฉันหลอมกระดูกครั้งแรกแล้ว…”
ฟางผิงขยี้หูตัวเอง เอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “เธอจบเห่แล้ว”
“หา?”
“ตอนนี้เธอเพิ่งจะสูงเท่านี้ ฉันลืมบอกเธอไปว่าหลังจากหลอมกระดูกครั้งแรก ร่างกายจะไม่เติบโตแล้ว จะสูงแค่นี้ไม่โตอีกแล้ว”
ระหว่างที่ฟางผิงพูดก็หัวเราะออกมา “แต่แบบนี้ก็ดี หลังจากนี้เธอจะตัวแค่นี้ ความสูงไม่เปลี่ยนแล้ว น่ารักดีออก ไม่งั้นปล่อยให้สูงต่อไปก็จะน่าเกลียด แบบนี้ดีแล้ว ฉันชอบ!”
“…”
ปลายสายราวกับจมดิ่งในความเงียบ
“ฉัน…จะไม่สูงแล้ว?”
ฟางหยวนพึมพำ อดวัดความสูงกับหัวตัวเองไม่ได้ จู่ๆ ก็ร้องขึ้นมา
“ฉันจะไม่สูงอีกแล้วจริงๆ เหรอ?”
“ฟางผิง ฉันเกลียดนาย!”
“ฮือๆๆ…ฉันจะฟ้องพ่อกับแม่ว่านายรังแกฉัน…”
ฟางหยวนโมโหอย่างมาก ทั้งตะโกนและร้องไห้ใส่โทรศัพท์
ในห้องพักทุกคนต่างมองไปยังฟางผิง
“เจ้าหมอนี่…ขนาดน้องสาวตัวเองยังแกล้งขนาดนี้ ดีที่อัดผู้หญิงพวกนั้นไม่ถึงตาย นับว่าพวกเธอโชคดีแล้ว”
เหลียงหวาเป่าถอนหายใจ ดูสิ น้องสาวตัวเองแท้ๆ รังแกคนเขาจนเสียงร้องไห้ดังออกมาถึงข้างนอก
พวกผู้หญิงข้างนอกนั่นถูกฟางผิงอัดจนเละ นี่แทบไม่มีความหมายอะไร?
สีหน้าของเฉินอวิ๋นซีแปลกไปอยู่บ้างเช่นกัน ผู้หญิงพวกนั้นไม่ได้ถูกฟางผิงซ้อมตาย ถือว่าโชคดีแล้วใช่หรือเปล่า?
หลู่เฟิ่งโหรวหมดคำจะพูดเช่นกัน เห็นฟางผิงยังหยอกล้อน้องสาวตัวเองจึงตะคอกว่า “พอได้แล้ว ดูทำตัวเข้า ไม่น่าเชื่อถือแม้แต่น้อย!”
ฟางผิงเผยสีหน้ากระอักกระอ่วน หัวเราะแห้งๆ ก่อนจะพูดผ่านโทรศัพท์ “ล้อเล่นเฉยๆ จะไม่สูงอีกได้ยังไง แค่หยอกเธอเล่น ร้องไห้จริงๆ ซะได้”
“ฟางผิง นายจะเกินไปแล้ว!”
ฟางหยวนยังคงสะอึกสะอื้น ไม่เชื่อฟางผิงอีกแล้ว เอ่ยราวกับทุกอย่างพังทลาย “ฉันรู้ว่าจะไม่สูงอีกแล้ว นายเอาแต่บอกให้ฉันอย่าโต คงจะจงใจไม่บอกฉันล่ะสิ ครั้งก่อนฉันเห็นแล้ว หลิงอีอีจากปักกิ่งที่นายต่อสู้ด้วยคนนั้น เธอน่าจะหลอมกระดูกครั้งแรกตั้งแต่อายุน้อยๆ เหมือนกันเลยไม่โต ตัวแค่นิดเดียว ฉันไม่อยากเป็นแบบนั้น! ฟางผิง นายรังแกฉัน คนขี้โกหก…”
ฟางผิงหัวโตขึ้นมาทันที นี่มันหาเรื่องใส่ตัวเองชัดๆ ฟังจบแล้วก็รีบกระแอมไอว่า “หลิงอีอีนั้นเป็นกรณีพิเศษ ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นแบบนั้น สูงขึ้นอีกแน่ พวกเพื่อนผู้หญิงของฉันทั้งสูงทั้งล่ำบึ้ก…”
ชั่วพริบตานั้นพวกเฉินอวิ๋นซี จ้าวเสวี่ยเหมยและหลิวเมิ่งเหยาก็พากันก้มมองตัวเอง ก่อนจะประสานสายตากัน
ผ่านไปพักหนึ่ง พวกเธอยังจมดิ่งกับความเงียบ
น่าจะ…ไม่ได้หมายถึงพวกเธอสินะ?
พวกเหลียงเฟิงหวาแทบจะกลั้นหัวเราะไม่อยู่ คำพูดนี้พูดตรงนี้ก็แล้วไป แต่ถ้าเผยแพร่ออกไปข้างนอก ฟางผิงคงต้องอยู่เป็นโสดไปตลอดชีวิตแล้ว?
ผ่านไปพักใหญ่ ฟางผิงจึงค่อยปลอบใจฟางหยวนได้
วางสายแล้ว เห็นทุกคนมองตัวเองกันหมดจึงขำแห้งว่า “ไม่มีอะไรๆ เรื่องดีน่ะ น้องสาวฉันหลอมกระดูกครั้งแรกแล้ว เป็นอัจฉริยะเหมือนฉันจริงๆ ด้วย เฮ้อ ส่งต่อผ่านกรรมพันธุ์…”
หลู่เฟิ่งโหรวกลอกตาใส่เขา เจ้าเด็กไม่รู้ความ เห็นชัดๆ ว่าเป็นเรื่องดี แทบจะทำน้องสาวตกใจตายอยู่แล้ว มีพี่ชายแบบนี้ด้วยหรือไง?
“น้องสาวอายุเท่าไหร่แล้ว?”
“สิบห้าปี”
ฟางผิงพูดด้วยความภาคภูมิใจอยู่บ้าง แม้ว่ายัยหน้ากลมจะเทียบกับตัวเองไม่ได้ แต่หลอมกระดูกครั้งแรกตอนอายุสิบห้า นับว่าใช้ได้เลย อายุสิบหกอาจจะหลอมครั้งที่สองสำเร็จก็ได้
อายุสิบเจ็ดกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ อายุสิบแปดสอบเกาเข่า เข้ามหาวิทยาลัยบางทีอาจจะขั้นหนึ่งตอนปลายหรือสูงสุดแล้ว
ลองคิดดูแล้วเหมือนจะมีพรสวรรค์เช่นกัน!
ตระหนักได้แบบนี้ที่เขาวิจารณ์ไปตอนแรกก็ไม่เป็นธรรมกับฟางหยวนอยู่บ้างเหมือนกัน
———————