ตอนที่ 301 เข้าถ้ำใต้ดินอีกครั้ง (2)
ฉินเฟิ่งชิงหัวเราะ “บอกแล้วอย่ามาคิดเล่นแง่กับฉัน ฉันเดาว่าสถานที่ที่ฉันเจอ น่าจะไม่ใช่ที่เดียวกับมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ คนอื่นก็เหมือนกัน เพราะมันไม่ได้ใหญ่มาก พลังงานกระจัดกระจายไม่สูงเท่าไหร่ อาจจะมีแค่สิ่งมีชีวิตขั้นเจ็ดครองอาณาเขตอยู่เท่านั้น รอฉันขั้นเจ็ดแล้วค่อยไปขุดแร่ ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็เอาไปประมูลขายให้คนอื่น ใครให้เยอะสุดก็เอาไป ฉันต้องการแค่เงินอยู่แล้ว”
ฟางผิงไม่ได้ถามอีก เอ่ยว่า “ตอนนี้ล่ะ?”
“ตอนนี้?”
ฉินเฟิ่งชิงไร้คำจะพูด “ตอนนี้ต้องออกเมืองไปหลายร้อยลี้ ใช้เวลาไม่น้อยเหมือนกัน เข้ามาในถ้ำใต้ดินจะชักช้าไม่ได้ หรือนายคิดจะจีบสาวที่เมืองความหวังสักคนล่ะ? ฉันบอกก่อนนะ ผู้ฝึกยุทธ์หญิงบางคนที่นี่น่ากลัวไม่ใช่เล่น ถ้านายชอบอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ จะลองปลูกต้นรักกับพวกเธอก็ได้”
“หุบปากไปซะ”
ฟางผิงตัดบทเขา ทั้งสองคนไม่พูดพล่ามอีก เดินมุ่งไปทางประตูเหนือ
—
ด้านนอกประตูเหนือ
หันกลับไปมอง กำแพงเมืองความหวังมีหลุมบางส่วนเพิ่มขึ้นมาไม่น้อย บนพื้นดินด้านนอกเมืองก็มีคราบสีแดงเต็มไปหมด
ตอนที่ทำสงคราม พวกฟางผิงถอนตัวออกไปแล้ว
ตกลงมีคนตายเท่าไหร่ ฟางผิงไม่ชัดเจนนักเช่นกัน
ฉินเฟิ่งชิงเริ่มเดินไปตามทางอย่างเงียบๆ รอบเมืองความหวังไม่กี่สิบลี้มีอันตรายไม่มาก
ทั้งสองคนไม่ได้สิ้นเปลืองปราณเท่าไหร่ รักษาความเร็วคงที่ เดินไปกว่าหนึ่งชั่วโมง จู่ๆ ฉินเฟิ่งชิงก็หยุดฝีเท้าลง
ด้านหน้าเป็นทะเลสาบมีทั้งใหญ่และเล็กกระจายเป็นวงกว้าง
ฉินเฟิ่งชิงยืนอยู่ที่เดิมมองอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้น “อันไหนคืออธิการ?”
อันที่จริงฟางผิงตระหนักได้เช่นกันว่าทะเลสาบพวกนี้เกิดขึ้นได้ยังไง
วันนั้นยอดฝีมือทำสงครามพังพินาศไปด้วยกัน คลื่นพลังงานแผ่กระจายไปหลายสิบลี้ แทบไม่ต้องคิดก็รู้ว่าการต่อสู้ในขณะนั้นดุเดือดขนาดไหน
ฟางผิงไม่คุ้นเคยที่นี่เท่าไหร่ แต่ไม่ใช่กับฉินเฟิ่งชิง
เมื่อก่อนที่นี่ไม่มีทะเลสาบ
ฟางผิงเงียบไม่ปริปาก ฉินเฟิ่งชิงไม่สนใจเช่นกัน มองทะเลสาบแวบหนึ่ง ก่อนจะเดินอ้อมทะเลสาบ “นายว่าต้องแข็งแกร่งแค่ไหนกันถึงจะสามารถกำราบถ้ำใต้ดินได้?”
“ไม่รู้”
“ขั้นเก้ายังทำไม่ได้เลย” ฉินเฟิ่งชิงหัวเราะเย้ยหยันตัวเอง “เส้นทางผู้ฝึกยุทธ์จะไปไกลเท่าไหร่? ไม่มีใครรู้ พวกผู้บัญชาการหลี่ต่างเป็นยอดฝีมือขั้นเก้าทั้งหมดก็ยังทำไม่ได้ หรือเหนือจากขั้นเก้ายังมีขั้นสิบงั้นเหรอ?”
“ไม่รู้”
“รู้แล้วว่านายไม่รู้ แค่ถามไปเท่านั้น”
“งั้นนายจะถามเพื่อ?”
“ไร้สาระ ที่นี่มีคนอื่นหรือไง มีแค่เราสองคน ฉันไม่พูด นายอยากให้ฉันอกแตกตายหรือไง?”
“นายพูดให้มันน้อยๆ หน่อย!”
“ทำไมต้องพูดน้อย ใครจะรู้ว่าฉันจะมีชีวิตยืนยาวไปถึงเมื่อไหร่ ถือโอกาสที่ยังพูดได้ พูดให้มากๆ ดีกว่า พูดเผื่อวันข้างหน้าไว้”
“…”
ฉินเฟิ่งชิงเป็นคนปากมาก อันที่จริงฟางผิงรู้นานแล้ว
ครั้งก่อนทำภารกิจด้วยกัน เจ้าหมอนี้พูดตั้งแต่ต้นจนจบไม่หยุดหย่อน
ก่อนหน้านี้ยังมีคนอื่นอยู่ ตอนนี้ไม่มีใครแล้ว ฟางผิงทำได้แค่ทนฟังคำพูดไร้สาระพวกนี้
ระหว่างที่เดินไป พื้นดินก็ไม่ใช่ที่รกร้างว่างเปล่าอีกแล้ว
รอบเมืองความหวัง หลังจากสงครามครั้งก่อนแทบไม่มีใบหญ้าพืชพรรณ ตอนนี้เป็นพื้นที่โล่งกว้าง ไม่มีกระทั่งต้นไม้ใหญ่สักต้น
แต่เมื่อเดินไปทางตะวันตกเฉียงเหนือต่อ ต้นไม้ใบหญ้าก็จะปรากฏขึ้นอีกครั้ง พื้นดินไม่ราบเรียบอีกต่อไป เนินเขามีให้เห็นอยู่ทุกหนทุกแห่ง
“ห่างจากเมืองความหวังไปทางตะวันตกเฉียงเหนือห้าร้อยลี้เป็นเมืองซีเฟิ่ง ครั้งนี้พวกเราจะไม่ไปเมืองซีเฟิ่ง แต่เบี่ยงไปทางตะวันออกเฉียงเหนือนิดหน่อย…”
“พวกนายหนีมาถึงตรงนั้นได้ยังไง ไม่ใช่ว่าไปปล้นเมืองเทียนเหมินหรอกเหรอ?”
“ปล้นอะไรกัน?” ฉินเฟิ่งชิงโต้แย้ง “ไปเบิกเงินต่างหาก ทำความเข้าใจใหม่ซะด้วย?”
ระหว่างที่พูดยังอธิบายว่า “พวกเราไม่ได้ไปเมืองเทียนเหมิน แต่เป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ ในถ้ำใต้ดิน นอกจากเมืองสิบสามแห่ง ยังมีหมู่บ้านและชุมชนอีกบางส่วน ครั้งก่อนไปหมู่บ้านหนึ่งเท่านั้น ไม่รู้ว่าอยู่ภายใต้การควบคุมของเมืองเทียนเหมินหรือเมืองซีเฟิ่ง แต่ไม่เป็นไร เหมือนกันทั้งนั้น หมู่บ้านนั่นแข็งแกร่งไม่น้อย มีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นห้า ขั้นสี่ก็มีหลายคน ฉันและหวังจินหยางฆ่าไปไม่น้อยเลยไม่กล้าวิ่งไปทางเมืองเทียนเหมิน วิ่งมาทางนี้แทน แล้วก็เห็นที่ที่ฉันบอกนาย…”
“ในถ้ำใต้ดินเมืองใหญ่นั้นต้องมีผู้ฝึกยุทธ์ระดับสูง นี่เป็นกฎ ชุมชนที่มีประชากรเกินหนึ่งหมื่นก็อาจจะมีผู้ฝึกยุทธ์ระดับสูงนั่งรักษาการณ์เช่นกัน ส่วนหมู่บ้าน ปกติจะไม่ค่อยเห็นระดับสูง มีระดับกลางนั่งรักษาการณ์ถือว่าแข็งแกร่งแล้ว หมู่บ้านบางแห่ง อันที่จริงเป็นคนธรรมดาด้วยซ้ำ”
“ปล้น…เอ่อ เบิกเงิน ต้องเลือกสถานที่ให้ดี ไปหมู่บ้านคนธรรมดาไม่มีความหมาย นอกจากฆ่าคนแล้วจะทำอะไรได้อีก? แม้พวกเราและพวกถ้ำจะทำสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์ แต่ฉันไม่มีความคิดจะเข่นฆ่าสตรีและเด็กพวกนั้นจริงๆ ย่านชุมชนเอย่าไปจะดีที่สุด หากจะไป ไปพวกหมู่บ้านที่ขนาดใหญ่หน่อยดีกว่า หมู่บ้านพวกนี้มีผู้ฝึกยุทธ์ งั้นก็หมายความว่าต้องฝึกวิชา มีหินพลังงาน แม้ว่าจะไม่มีหินพลังงานก็มักจะเจอสมุนไพรบางอย่างที่มีพลังงานเข้มข้นสูง ทั้งยังมีมูลค่ามาก”
ฉินเฟิ่งชิงเริ่มชี้แนะแนวทางการปล้นให้กับฟางผิง
รอเดินออกมาไกลจากเมืองความหวังเกือบสองร้อยลี้ จู่ๆ ฉินเฟิ่งชิงก็หยุดฝีเท้า มองไปทางฟางผิง “ถอดเสื้อผ้า!”
“หืม?”
ฟางผิงเผยแววตาอันตรายขึ้นมา รอบทิศทางไร้ผู้คน ป่ากว้างรกร้าง เจ้าหมอนี่ให้เขาถอดเสื้อผ้าทำไม?
ฟางผิงยังไม่ทันถาม เจ้าหมอนี่ก็เริ่มถอดเสื้อผ้าตัวเองแล้ว รอจนถอดเหลือแต่บ๊อกเซอร์ค่อยเปิดกระเป๋าควักเครื่องแต่งกายของมนุษย์ถ้ำขึ้นมาสวม
“หากอยู่ใกล้เมืองความหวังอย่าแต่งแบบนี้ ผู้ฝึกยุทธ์ของพวกเราบางคนสมองไม่ค่อยดี เจอหน้าก็ฆ่าเท่านั้น หากทุบนายไม่ตายในกระบวนท่าเดียวยังพอว่า แต่ถ้าจัดการนายได้ในครั้งเดียว นายก็หาข้ออ้างมาพูดไม่ได้แล้ว”
ฉินเฟิ่งชิงเล่าประสบการณ์ยากที่จะลืมของตัวเองขึ้นมาด้วยแววตาซับซ้อน “ตอนนั้นฉันไม่ได้คิดอะไรมาก เปลี่ยนเสื้อผ้าใกล้ๆ กับเมืองความหวัง เจอกับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ที่เพิ่งกลับมาจากนอกเมืองพอดี ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ไล่ฆ่าฉันทันที แม่งเหอะ ฉันบอกว่าฉันเป็นมนุษย์ เขาก็ยังจะฆ่าฉัน บอกว่าฉันเป็นมนุษย์ถ้ำที่เรียนรู้ภาษามนุษย์โลก แม่แกสิ แทบจะถูกซ้อมตาย ผู้ฝึกยุทธ์ถ้ำจะพูดภาษาจีนคล่องขนาดนี้ได้ยังไง? บัญชีแค้นนี้ฉันจดจำไว้แล้ว รอมีโอกาสจะบั่นคอเขาแน่”
ฟางผิงกลั้นขำแทบไม่อยู่ ก่อนจะได้ยินฉินเฟิ่งชิงเอ่ยว่า “อันที่จริงเปลี่ยนชุดก็ไม่ใช่จะแฝงตัวได้ แค่ไม่สะดุดตามากเท่านั้น หากมองเห็นพวกเราจากที่ไกลๆ ผู้ฝึกยุทธ์ถ้ำจะไม่ไล่ฆ่าเข้ามา เวลานี้พวกเราควรจะป้องกันตัวจากผู้ฝึกยุทธ์มนุษย์มากกว่า แต่ออกจากเมืองมาไกลขนาดนี้ ทางนี้ก็ไม่ใช่เป้าหมายหลักในการโจมตีของพวกเรา โอกาสที่จะพบมนุษย์มีน้อยมาก”
ระหว่างที่พูด ฉินเฟิ่งชิงก็เปลี่ยนชุดเสร็จแล้ว ทั้งยังคลุมผ้าบนหัวตัวเองด้วย ฟางผิงที่มองอยู่นั้นพูดไม่ออกอยู่บ้าง
ฉินเฟิ่งชิงกลอกตา เอ่ยอย่างหงุดหงิด “รีบหน่อย โอ้เอ้อะไรอยู่!”
ฟางผิงได้ยินก็ไม่ชักช้าอีก เริ่มเลียนแบบผู้มีประสบการณ์อย่างฉินเฟิ่งชิง ในเมื่อเขาทำถึงขนาดนี้ นั่นหมายความว่ายังคงมีประสิทธิภาพอยู่
ถอดเสื้อตัวนอกออก ฟางผิงกำลังจะเปลี่ยนเสื้อ จู่ๆ แววตาของฉินเฟิ่งชิงก็เปลี่ยนไป
เจ้าหมอนี่ยื่นมือมาลูกช่วงบนร่างกายของเขา ฟางผิงทำสีหน้าระมัดระวังทันที ตะโกนว่า “ไสหัวไป ไม่งั้นฉันจะอัดนายให้ตาย!”
เจ้าหมอนี้ทำหน้าราวกับยังไม่เสร็จสมใจ จะรนหาที่ตาย?
“เสื้อเกราะที่ทำจากหนังอสูรหูขาวขั้นห้า…”
ฉินเฟิ่งชิงแทบไม่สนใจเขา กลืนน้ำลายอึกใหญ่ ไม่สนใจแววตาแฝงด้วยไอสังหารของฟางผิง ยังคงลูบเกราะหนังต่อ เอ่ยอย่างอิจฉา “แม่งเหอะ ทำภารกิจอะไรกัน ที่นี่ไม่คนอื่น ฉันอยากทำการใหญ่ชะมัด…”
เจ้าบ้าฟางผิงมีเงินจริงๆ รวยกว่าไอ้หวังจินหยางยาจกนั่นซะอีก!
ดาบโลหะผสมระดับ B เสื้อเกราะหนังอสูรขั้นห้า
แค่สองอย่างนี้ก็มูลค่ามหาศาลแล้ว
“ฟางผิง ฉันไม่เคยใส่ของพวกนี้มาก่อน ขอยืมสักสองสามวันได้หรือเปล่า?”
ฉินเฟิ่งชิงทำสีหน้าคาดหวัง ฟางผิงปัดมือเขาออกทันที เอ่ยด้วยใบหน้าดำคล้ำ “ฝันไปเถอะ!”
“อย่าแล้งน้ำใจแบบนี้สิ ให้ฉันยืมใส่หน่อย รับรองว่าคืนอยู่แล้ว”
“นายจะไสหัวไปดีๆ หรือเปล่า?”
ฟางผิงรู้สึกเสียใจอยู่บ้าง ทำไมมาทำภารกิจกับคนติ๊งต๊องซะได้
เจ้าหมอนี่คงไม่ได้คิดจะปล้นเขาอยู่จริงๆ หรอกนะ?
ฉินเฟิ่งชิงทำหน้าเสียดาย ถอนหายใจว่า “ไม่เป็นไร ไม่ให้ยืมก็ไม่ให้ยืม”
ในใจกลับครุ่นคิด หากเดี๋ยวฟางผิงถูกคนไล่ฆ่า เขาจะเอ่ยปากขอดาบและเกราะหนัง ช่วยชีวิตที่ไร้ค่าของหมอนั่น คงไม่ปฏิเสธล่ะมั้ง?
กลับไม่รู้ว่าฟางผิงกำลังครุ่นคิดเช่นกัน ดาบที่ฉินเฟิ่งชิงพกติดตัวก็ระดับ B เหมือนกัน
เจ้ายาจกนี้ นอกจากดาบเล่มนี้ก็ไม่มีอย่างอื่นแล้ว หากตัวเองต้องการ เขาจะให้ได้หรือเปล่า?
——————
ตอนที่ 298 ฉินเฟิ่งชิง นายวิ่งเร็วแค่ไหนกัน (1)
เจ็บปวดอยู่พักหนึ่ง ฟางผิงก็พยายามฟื้นฟูสภาพจิตใจขึ้นเป็นปกติ ช่างเถอะ จดไว้ในบัญชีก่อน สบโอกาสค่อยอุบเงินจากสมาคมมาชดใช้แทน
เงินก้อนเงินไม่อาจวางแผนเอาจากคนอื่นได้ ครั้งนี้ก็ปล่อยพวกเขาไปละกัน
ดูเวลาแล้ว ฟางผิงจึงฟื้นคืนท่าที ถามออกไป “ฉินเฟิ่งชิงไปตายที่ไหนกัน?”
“อยู่ที่ฝ่ายการเงิน…บอกว่าต้องการส่วนแบ่ง”
“แบ่งกับผีน่ะสิ!”
ฟางผิงด่าออกมา “เขาไปตั้งหลายวัน ระดมทุนได้ห้าร้อยล้าน ฉันโทรไปแป๊บเดียวได้เพิ่มกว่าสองพันล้าน ฉันไม่กล้าเอาส่วนแบ่งด้วยซ้ำ เขายังมีหน้ามาเอา?”
“โทรหาเขา บอกให้รีบเข้ามา ถ้าวุ่นวายจะเอาส่วนแบ่ง ตำแหน่งรองประธานก็ไม่ต้องเอาแล้ว!”
ตอนนี้ตำแหน่งของฟางผิงค่อยๆ มั่นคงขึ้นมาแล้ว
พวกฉินเฟิ่งชิงและจ้าวเหล่ย ที่จริงตอนนี้ก็ไม่ได้ต่อต้านอะไรขนาดนั้นแล้ว
ฟางผิงบอกให้ทำอะไรก็ทำเสร็จอย่างรวดเร็ว
รวมถึงการขยายสายพานการผลิตและระดมเงินทุน แค่พูดสั่งการไม่กี่ประโยคเท่านั้น ฟางผิงดำรงตำแหน่งประธาน ทั่วทั้งมหาวิทยาลัยต่างได้รับผลประโยชน์
คนนอกไม่รู้ แต่พวกเขากระจ่างใจดี
รวมถึงพวกอาจารย์ในมหาวิทยาลัยต่างรู้ทั่วกัน
เวลานี้คิดจะสั่นคลอนตำแหน่งของฟางผิง แม้ว่าพลังต่อสู้จะแข็งแกร่งแค่ไหน ก็ไม่อาจได้รับการยอมรับจากมหาวิทยาลัยเสมอไป
ดำรงตำแหน่งประธานไม่ถึงหนึ่งเดือน ฟางผิงก็ซื้อใจคนไปเกือบครึ่งมหาวิทยาลัยแล้ว
เฉินอวิ๋นซีไม่พูดมากเช่นกัน ต่อสายหาฉินเฟิ่งชิงทันที
—
ไม่นานนัก ฉินเฟิ่งชิงก็เดินเข้ามาในสำนักงาน เอ่ยอย่างไม่พอใจ “ฟางผิง รางวัลที่บอกจะให้ล่ะ? ทำไมไม่มี? ไม่ได้หมายความว่าฉันเทียวไปเทียวมาฟรีๆ หลายวันหรือยังไง?”
“รอสมาคมมีเงินก่อนค่อยว่ากัน ตอนนี้เพิ่งจะมีเท่าไหร่เอง?”
“นี่ยังไม่มีอีก?”
ฉินเฟิ่งชิงแทบจะด่าคนออกมาแล้ว เจ้าฟางผิงเอาเงินหนึ่งพันสองร้อยล้านที่จัดสรรให้สมาคมผู้ฝึกยุทธ์ปีนี้เข้าบัญชีไปแล้ว ไม่คิดแม้แต่จะเอาคะแนนสักนิด หลักๆ เพราะกลัวว่าคะแนนจะเสื่อมค่าลง
รวมถึงเงินที่ระดมทุนมากับเงินค่าเช่าหอพักก่อนหน้านี้
สมาคมผู้ฝึกยุทธ์ก็ร่ำรวยอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนแล้ว!
มีเงินคงคลังห้าพันล้าน!
ตอนที่จางอวี่ดำรงตำแหน่ง ประหยัดอดออมทั้งปี สมาคมผู้ฝึกยุทธ์ยังมีเงินเก็บไม่ถึงสามร้อยล้านเท่านั้น
ตอนนี้สมาคมผู้ฝึกยุทธ์กำลังมีเงินล้นเหลือ เงินบริจาค มหาวิทยาลัยก็ไม่ได้เก็บคืนไป แม้การขยายสายพานการผลิตจะต้องใช้เงิน แต่มหาวิทยาลัยก็ไม่ให้สมาคมผู้ฝึกยุทธ์ควักจ่าย มหาวิทยาลัยมีเงินช่วยเหลือเช่นกัน
ห้าพันล้านตอนนี้พูดได้ว่าขึ้นอยู่กับฟางผิงเท่านั้น อธิการทั้งสองคนทำเพียงมองอย่างเงียบๆ นอกเสียจากว่าฟางผิงจะเอาเข้ากระเป๋าตัวเอง ไม่งั้นเขาจะใช้ยังไงล้วนได้ทั้งนั้น
แต่นึกไม่ถึงว่าฟางผิงจะยังบอกว่าไม่มีเงินอีก
ฟางผิงคร้านจะสนใจเขา โบกมือว่า “ไม่ต้องพล่ามแล้ว นั่งลงก่อนสิ ช่วงนี้ยุ่งเกินไป ไม่ทันได้ถามเรื่องที่บอกครั้งก่อนอย่างละเอียด ตกลงเรื่องถ้ำใต้ดินมันยังไงกันแน่?”
“งั้นส่วนแบ่งของฉันล่ะ…”
“ถ้านายยังพล่ามอีก สองร้อยคะแนนทุกเดือนก็ไม่ต้องเอาแล้ว!”
ฉินเฟิงชิงหน้าดำหน้าแดง กัดฟันว่า “นายเหี้ยมได้ใจจริงๆ อย่าให้ถึงทีฉันละกัน…”
“พูดเกทับคนอื่นมีประโยชน์หรือไง? ถ้ามีประโยชน์ฉันคงได้เป็นอธิการบดีไปนานแล้ว”
ฟางผิงเอ่ยอย่างดูแคลน เจ้าฉินเฟิ่งชิงอยู่ขั้นสี่ตอนต้น ยังกล้ายั่วยุเขาที่อยู่ขั้นสูงกว่าหนึ่งช่วง ใจกล้าจริงๆ
“ฉันเชื่อมสะพานฟ้าดินสี่สายแล้ว”
ฉินเฟิ่งชิงพูดพึมพำแฝงด้วยการข่มขู่
“มีประโยชน์หรือไง?”
ฟางผิงไม่ได้ใส่ใจ ช่วงนี้เขาก้าวหน้าเร็วเกินไปจึงจงใจประวิงเวลา ไม่งั้นคงหลอมหัวใจไปแล้ว
หายใจฟึดฟัดอยู่พักหนึ่ง ฉินเฟิ่งชิงก็ละทิ้งประเด็นนี้ไป ฟางผิงไม่ใช่จางอวี่ ไม่ใช่เด็กธรรมดาที่ยืนอยู่หน้าประตูมหาวิทยาลัยในวันนั้นอีกแล้ว ตอนนี้ลำดับขั้นยังสูงกว่าตัวเองด้วยซ้ำ สร้างปัญหาอาจไม่มีประโยชน์เสมอไป
“งั้นพักเรื่องนี้ไว้ก่อน”
ฉินเฟิ่งชิงวนกลับมาที่เรื่องถ้ำใต้ดิน กดเสียงว่า “อันที่จริงฉันค้นพบครั้งก่อนเมื่อที่ไปถ้ำกับหวังจินหยาง แต่เจ้าหวังจินหยางขี้เหนียวเกินไป เอาส่วนแบ่งให้ตัวเองเยอะกว่า ไม่อยากจะร่วมมือกับเขาแล้ว ตอนนั้นฉันเพิ่งจะขั้นสาม…”
ฟางผิงตัดบทว่า “ข้ามเรื่องพวกนี้เข้าประเด็นไปเลย”
ฉินเฟิ่งชิงหมดคำจะพูด เอ่ยต่อว่า “ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองความหวังประมาณสามร้อยลี้ ที่นั่นมีภูเขา…”
“ในภูเขามีวัดอยู่?”
“เอ๋ นายรู้เรื่องนี้ด้วย?”
ฉินเฟิ่งชิงอึ้งไป
ฟางผิงก็อึ้งไปเช่นกัน
แม่งเหอะ ฉันแค่พูดมั่วๆ ออกไป นายล้อฉันเล่นสินะ!
ฉินเฟิ่งชิงมองเขาอย่างสงสัยอยู่บ้าง “ไม่ถือว่าเป็นวัดทีเดียว ไม่เคยเห็นนักบวชในถ้ำใต้ดินสักหน่อย ยังไงก็เป็นสิ่งก่อสร้างที่ดูยิ่งใหญ่ ตอนนั้นฉันมองแค่แวบเดียว นายทายสิว่าฉันเห็นอะไร?”
“แร่พลังงาน?”
“ปัญญาอ่อน แร่พลังงานฉันจะกล้าไปเอารึไง? ต้องมีสิ่งมีชีวิตระดับสูงวนเวียนอยู่แล้ว ใครจะไปรนหาที่ตาย”
ฉินเฟิ่งชิงด่าออกมา ไม่เปิดโอกาสให้ฟางผิงด่ากลับเช่นกัน เอ่ยอย่างรวดเร็ว “เหมือนจะเป็นสวนสมุนไพร”
“เหมือนจะหมายความว่าอะไร?”
“ก็เหมือนจะไง ฉันเห็นไม่ค่อยชัด ตอนนั้นข้างหลังมีคนตามฆ่าอยู่…”
“อาจจะถูกคนอื่นกวาดเรียบไปแล้วหรือเปล่า นายเห็น คนอื่นก็ต้องเห็นเหมือนกัน”
“ไร้สาระ คนที่ไล่ฆ่าตอนหลังก็ถูกพวกเราฆ่าไปแล้ว”
“งั้นหลังจากนั้นนายไม่ได้ไปดู?”
ฉินเฟิ่งชิงส่ายหัวว่า “ไม่ได้ไป หลังจากนั้นสถานการณ์ไม่ค่อยดี ทหารของเมืองเทียนเหมินออกลาดตระเวนพอดี พวกเราเลยไม่สามารถเข้าไปลึกได้ ทั้งต่อจากนั้นก็เกิดสงครามใหญ่ของถ้ำใต้ดิน ไม่มีโอกาสเข้าไปอีกเลย”
ฟางผิงขมวดคิ้วว่า “อาศัยแค่แวบเดียวของนาย จะให้ฉันไปเสี่ยงอันตรายด้วยเนี่ยนะ? ถ้านั่นไม่ใช่สวนสมุนไพร แต่เป็นสวนผักจะทำยังไง? อีกอย่างในป่าลึกของถ้ำใต้ดินมีสิ่งก่อสร้างโอ่อ่าใหญ่โต ในนั้นจะไม่มียอดฝีมืออาศัยอยู่หรือไง? ป่าลึกในถ้ำใต้ดินไม่ใช่สถานที่ดีๆ อยู่แล้ว”
“ข้อแรก ตอนนั้นพวกเราผ่านทางไป หากมียอดฝีมืออยู่ ทำไมไม่ออกมาไล่ฆ่าพวกเราล่ะ?”
ฉินเฟิ่งชิงเอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “ข้อสอง สวนผักหรือสวนสมุนไพร นายคิดว่าฉันเป็นคนโง่แยกไม่ออกหรือไง?”
“ข้อสาม ในถ้ำใต้ดินมีที่ไหนไม่อันตรายบ้าง เทียบกับค้นหาอย่างไร้จุดหมายแล้ว การค้นหาโดยมีเป้าหมายแบบนี้จะปลอดภัยและสะดวกกว่า”
“ข้อสี่ ฉันฉินเฟิ่งชิงไม่มีความสามารถอย่างอื่น ฝีมือหาของนั้นเป็นอันดับหนึ่ง หินพลังงานที่คนเขาซ่อนไว้ในหมู่บ้านยังถูกฉันค้นพบเลย เจ้าหวังจินหยางนั่นไม่ให้แม้แต่ค่าข้อมูลฉัน!”
“…”
จำเป็นต้องพูดว่า ความจริงฟางผิงนับถือฉินเฟิ่งชิงไม่น้อย!
ผู้ฝึกยุทธ์สามระดับล่างแทบไม่เดินออกนอกเมืองความหวังไปไกลห้าสิบลี้
เจ้าหมอนี้วิ่งเตร็ดเตร่ไปทั่วถ้ำใต้ดิน เข้าไปลึกหลายร้อยลี้ ไปไกลกว่าพวกระดับกลางทั่วไปซะอีก
ประเด็นอยู่ที่…เขายังมีชีวิตรอด!
นี่ไม่ปกติแล้ว!
ก่อนหน้านี้ฉินเฟิ่งชิงไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ นึกไม่ถึงว่าเขาจะอ้อมไปถึงข้างหลังเมืองเทียนเหมินได้ ฟางผิงนับถือจริงๆ ความสามารถในการเอาตัวรอดไม่ธรรมดาเลย ตัวเองจะหนีสู้เขาได้จริงๆ น่ะเหรอ?
ฉินเฟิ่งชิงไม่สนใจว่าเขาจะคิดอะไร เอ่ยอย่างเกียจคร้านว่า “สรุปแล้วคุ้มที่จะเสี่ยงอันตราย ถ้าเจออันตรายจริงๆ ก็หนีเท่านั้น นายอย่าลืมว่า หากเจอสวนสมุนไพรจริงๆ นั่นก็รวยเละแล้ว ทั้งฉันจะบอกนายว่า อันที่จริงยอดฝีมือระดับสูงไม่สนใจยาบำรุงและไม่ค่อยปลูกสมุนไพรต่างๆ ด้วย…”
“เดี๋ยวก่อน ผู้ฝึกยุทธ์ถ้ำปลูกสมุนไพรด้วย?”
จู่ๆ ฟางผิงก็ค้นพบปัญหาที่สำคัญอย่างหนึ่ง “เส้นทางการฝึกวิชาของผู้ฝึกยุทธ์ถ้ำไม่เหมือนพวกเรา พวกเขาไม่พึ่งยาบำรุงในการฝึกวิชา จะปลูกสมุนไพรไปเพื่ออะไร?”
มนุษย์เจอสมุนไพรในถ้ำใต้ดิน อันที่จริงค้นเจอจากข้างนอกเมือง
ผู้ฝึกยุทธ์ถ้ำไม่ใช้ยาบำรุง
ฉินเฟิ่งชิงเบะปากว่า “รู้น้อยเห็นน้อยจึงมองเรื่องธรรมดาเป็นเรื่องประหลาด ผู้ฝึกยุทธ์ไม่ใช้ยาบำรุงฝึกวิชา ไม่ได้หมายความว่าไม่กินสมุนไพรสักหน่อย สมุนไพรเต็มไปด้วยอนุภาคพลังงานเช่นกัน นายคิดว่าพวกเขาต้องฝึกวิชากับหินพลังงานอย่างเดียวหรือไง? โง่จริงๆ สมุนไพรบางอย่าง หากดูแลดีๆ ในนั้นจะแฝงด้วยพลังงานหรือกระทั่งไม่ต่ำกว่าหินพลังงานด้วยซ้ำ ผู้ฝึกยุทธ์ถ้ำกิน สัตว์ประหลาดก็กิน นายไม่เห็นเพราะว่าตอนที่ทำสงครามไม่มีผู้ฝึกยุทธ์ถ้ำคนไหนพกสมุนไพรมาด้วยเลยไม่รู้สินะ อันที่จริงสังหารผู้ฝึกยุทธ์ถ้ำบางครั้งก็อาจมีโอกาสเจอสมบัติล้ำค่าพวกนี้เช่นกัน นายคิดไปผิดทางแล้ว ความหมายของฉันคือผู้ฝึกยุทธ์ถ้ำระดับสูงไม่ต้องการของพวกนี้ มีแต่ผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลางและระดับล่าง เข้าใจความหมายฉันหรือยัง?”
“นายหมายความว่าแม้จะมีเจ้าของสวนสมุนไพร อย่างมากก็เป็นแค่ระดับกลางเท่านั้น?”
“ใช่ ยังไม่นับว่าโง่เกินไป”
ฉินเฟิ่งชิงภาคภูมิใจตัวเองไม่น้อย ตรรกะความคิดของฉันไม่ธรรมดา ทั้งยังมีความสามารถหาผลประโยชน์และหลีกเลี่ยงอันตราย ไม่งั้นคงตายไปนานแล้ว
หากมียอดฝีมือระดับสูงอยู่จริงๆ เขาคงไม่ไปหรอก ระดับสูงฆ่าระดับกลางง่ายราวกับปลอกกล้วยเข้าปาก
แต่ขอแค่ไม่ใช่ยอดฝีมือระดับสูง เขาและฟางผิงยังมีหวังที่จะหนีรอด ต่อให้เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหกก็ตาม
———————–
——————————————–