ตอนที่ 305 ครั้งนี้ตัวเป้งมาเยอะจริงๆ (2)
ในเวลาเดียวกัน
ฟางผิงและฉินเฟิ่งชิงวิ่งจนแทบจะลิ้นห้อยอยู่แล้ว!
“แม่งเหอะ หมาป่าพวกนี้เป็นหมาบ้าหรือเปล่า!”
ฉินเฟิ่งชิงหลุดด่าออกมา ก่อนจะเคลื่อนไหวอย่างว่องไว หลบปีศาจหมาป่าโบราณที่พุ่งมาตะครุบด้านหลัง หอบหายใจว่า “ฟางผิง รอฉันด้วย!”
ฟางผิงที่อยู่ข้างหน้ากว่าสิบเมตรก็หอบหายใจเช่นกัน ตะโกนทั้งที่ไม่เหลียวหน้ากลับมาด้วยซ้ำ “ฉินเฟิ่งชิง นายยอมลำบากหน่อยเถอะ ให้เนื้อพวกเขากินนิดหน่อย กลับไปฉันจะตั้งป้ายหลุมศพให้นาย!”
“นายยังมีความเป็นคนอยู่รึเปล่า?”
“ไม่มี!” ฟางผิงหอบหายใจอย่างหนัก “เคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนี้ พวกเรากลับไปเมืองความหวังไม่ได้ คงต้องรอตายอย่างเดียว!”
ตอนนี้ทั้งสองคนไม่เพียงป้องกันตัวจากฝูงปีศาจหมาป่าโบราณด้านหลัง
ด้านหน้าทุกทิศทางยังมีสัตว์ประหลาดเข้ามาร่วมวงบางครั้งบางคราวเช่นกัน
สมุนไพรจำนวนมาก โลหะผสม หินพลังงานที่เก็บรวบรวม ทั้งสองคนไม่มีวิธีปิดบังอะไรเลย คลื่นพลังงานจึงเข้มข้นอย่างมาก
ผู้ฝึกยุทธ์ถ้ำอาจจะไม่รับรู้ได้เสมอไป แต่สัตว์ประหลาดพวกนี้ค่อนข้างประสาทสัมผัสไว
ก่อนหน้านี้อยู่ในเขาเทียนหลาง สัตว์ประหลาดพวกนี้ไม่กล้าเข้ามา อาณาเขตของผู้แข็งแกร่งไม่อาจรุกล้ำได้ จุดนี้สัตว์ประหลาดเข้าใจดียิ่งกว่ามนุษย์
แต่ตอนนี้มีไก่อ่อนสองคนพกของพวกนี้วิ่งอยู่ ไม่ไล่ฆ่าถึงจะแปลก
“ยังอีกไกลหรือเปล่า?”
ฉินเฟิ่งชิงเริ่มวิ่งไม่ไหวอยู่บ้างแล้ว สัมภาระบนหลังราวกับหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ กดจนเขาหายใจไม่ทัน
ฟางผิงคำนวณพักหนึ่ง ตอบว่า “อีกไกล วิ่งมานอกทางอยู่บ้าง อย่างน้อยน่าจะอีกกว่าสองร้อยลี้!”
“ไกลขนาดนี้เลย?”
ฉินเฟิ่งชิงเพ่งสมาธิกับการวิ่งตามฟางผิงเท่านั้น แทบไม่มีความคิดอย่างอื่นเลย
ฟังจบก็แผดร้องว่า “นายแบกฉันพักหนึ่งสิ ฉันฟื้นฟูพลังแล้วจะแบกนายต่อ!”
“นายแผดร้องดังขนาดนี้ได้ ฉันไม่เชื่อนายหรอก!”
ฟางผิงไม่เชื่อหมอนี้ หากเขาวิ่งไม่ไหวจริงๆ คงทิ้งสัมภาระใหญ่ข้างหลังไปตั้งนานแล้ว มีเวลาว่างมาคุยไร้สาระกับเขาที่ไหน
ระหว่างที่วิ่ง จู่ๆ ก็มีคลื่นพลังงานรุนแรงกระจายมาจากบนเขาหัวหมาป่าที่ถูกทิ้งห่างข้างหลังมานานแล้ว
ตอนนี้ทั้งสองคนห่างจากเขาหัวหมาป่ามาประมาณร้อยลี้
ตอนที่รับรู้ถึงคลื่นพลังงานแผ่วเบานั้น ฟางผิงแปลกใจอย่างเห็นได้ชัด คลื่นพลังงานมาจากไหนกัน?
เพราะความรู้สึกเบาบางนั่น ฟางผิงเลยไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่ วิ่งก่อนค่อยว่ากัน
ส่วนฉินเฟิ่งชิง ตายไม่ได้หรอก อย่างน้อยมองจากตอนนี้ หมอนี่ยังทนได้อีกพักใหญ่
วิ่งต่อไปอีกสี่สิบห้าสิบลี้ ฉินเฟิ่งชิงน่าจะไม่ไหวแล้วจริงๆ ตะโกนอย่างแหบแห้งว่า “แบกฉันแป๊บหนึ่ง…”
ฟางผิงหันไปมองแวบหนึ่ง ตอนนี้ไม่ได้มีแค่หมาป่าโบราณที่ตามอยู่ข้างหลังพวกเขา แต่เป็นสัตว์ประหลาดนานาชนิดนับร้อยตัว
มีปีศาจม้าที่รูปร่างเหมือนม้า มีกอริลลาที่ใช้สองขาวิ่ง บนอากาศถึงกระทั่งมีปีศาจที่ลอยได้เช่นกัน แต่ไม่ได้ตัวใหญ่มาก คลื่นพลังงานก็ไม่ได้แข็งแรง ฟางผิงไม่สนใจนัก
“อดทนอีกหน่อย ห่างจากเมืองความหวังแค่ร้อยห้าสิบลี้เท่านั้น!”
“ไม่…ไม่ไหวแล้ว…”
ฟางผิงเห็นเขาเหมือนจะไม่ไหวจริงๆ จึงเอ่ยว่า “ของที่นายได้มาแบ่งให้ฉันครึ่งหนึ่ง!”
ฉินเฟิ่งชิงไม่พูดอะไร ก้มหน้าตะบี้ตะบันวิ่งต่อทันที!
ต่อให้ฉันวิ่งจนตายก็ไม่ให้เงินซื้อชีวิตกับนายหรอก
ฟางผิงเห็นเขายังกระปรี้กระเปร่า วิ่งแล่นฉิวก็ลอบด่า นายแม่งยังคิดหลอกฉัน!
วิ่งไปวิ่งมา ฟางผิงคล้ายจะเจอสิ่งผิดปกติอยู่บ้าง
“เฮ้ย!”
ฉินเฟิ่งชิงไม่สนใจเขา
“ฉินเฟิ่งชิง!”
ฟางผิงสีหน้าเปลี่ยนอยู่บ้าง ตะโกนว่า “นายดูข้างหน้า!”
ฉินเฟิ่งชิงใบหน้าซีดเผือด เงยหน้ามองแวบหนึ่ง เอ่ยอย่างอ่อนแรง “อะไร!”
“ปะ…ป่านี้รู้สึกคุ้นตาบ้างไหม?”
“ประสาทหรือไง!”
ฉินเฟิ่งชิงด่าออกไป ป่าก็เป็นแบบนี้ทั้งหมดนั่นแหละ ยังจะมาคุ้นตา นายเคยมาหรือไง?
แต่ไม่นาน จู่ๆ ฉินเฟิ่งชิงก็เอ่ยว่า “พวกเราวิ่งมาทางทิศไหน?”
“ตะวันออกเฉียงใต้ แต่เบี่ยงไปทางตะวันออกหน่อย…”
“ตะวันออกเฉียงใต้? ตะวันออก…”
“งั้นหมายความว่าเป็นทิศจากเมืองความหวังไปยังเมืองเทียนเหมินที่เบี่ยงไปเล็กน้อย…ทางนี้ห่างจากเมืองความหวังหนึ่งร้อยห้าสิบลี้ มีป่างั้นเหรอ?”
ฉินเฟิ่งชิงค่อนข้างคุ้นเคยกับแถบนี้
ไม่นานฉินเฟิ่งชิงก็เอ่ยอย่างดีใจ “ป่าราชันเจี่ยว! พูดแบบนี้ก็ไม่ถึงร้อยห้าสิบลี้แล้ว อย่างมากร้อยสามสิบลี้เท่านั้น…”
ฟางผิงสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย ป่าราชันเจี่ยว!
ป่าราชันเจี่ยวอยู่ตรงนี้?
ล้อกันเล่นแล้ว!
ครั้งก่อนเขาวิ่งวุ่นไปทั่ว นอกจากวิ่งไปทั่วป่าราชันเจี่ยวก็น่าจะมาโผล่แถวนี้เหมือนกัน
ทางนี้…ฟางผิงหันหน้าไปดู ท่ามกลางความมืดยังเห็นร่องรอยของเขาหัวหมาป่าได้รางๆ
ครั้งก่อนเขาอยู่ป่าราชันเจี่ยว เหมือนจะมองไม่เห็นเขา?
หรือจะบอกว่าครั้งก่อนฝีมืออ่อนด้อยไปบ้างเลยมองไม่ชัด
“นายมั่นใจนะว่าร้อยสามสิบลี้?”
“อย่างมากสุด!”
ฉินเฟิ่งชิงให้คำตอบที่แน่นอนแล้ว ฟางผิงก็สะบัดหัว นั่นเป็นทางที่เขาจำผิด จากที่เขาคาดการณ์อย่างน้อยยังเหลืออีกประมาณร้อยห้าสิบลี้
แน่นอนว่าความแตกต่างไม่มาก อย่างน้อยก็สำหรับพวกเขา
แต่ตอนนี้เข้าใกล้เมืองความหวังมากเท่าไหร่ก็ดีขึ้นเท่านั้น ฟางผิงครุ่นคิดเล็กน้อย เอ่ยไปว่า “อย่าเข้าป่า วิ่งอ้อมไปแทน!”
“เหลวไหล ป่าราชันเจี่ยวมีเจี่ยวอยู่ ฉันไม่เข้าไปอยู่แล้ว!”
ฉินเฟิ่งชิงแทบไม่คิดเลยด้วยซ้ำ เห็นฉันเป็นคนโง่หรือไงถึงจะวิ่งไปที่นั่น
ฟางผิงถอนหายใจอย่างโล่งอก เจี่ยวตัวนั้นเจ้าเล่ห์เพทุบาย ครั้งก่อนตัวเองหนีออกมา หากครั้งนี้ไปเจออีกครั้ง…
ระหว่างที่ครุ่นคิด จู่ๆ ฟางผิงก็มองฉินเฟิ่งชิง
หากเจอจริงๆ ตัวเองบอกว่าฉินเฟิ่งชิงเป็นอาหารเช้าที่เตรียมไว้ให้ เจี่ยวตัวนั้นจะเชื่อฉันหรือเปล่านะ?
“น่าจะเชื่อ? ฉินเฟิ่งชิงมีคุณสมบัติดีไม่น้อย พลังปราณบริสุทธิ์…”
ฟางผิงคิดฟุ้งซ่านในใจ ครุ่นคิดว่าถ้าเจอเจี่ยวจริงๆ จะทำแบบนี้ดีหรือเปล่า?
แต่ไม่นานก็สะบัดหัวอย่างบ้าคลั่ง ไม่ใช่ทำไม่ได้ แต่อย่าเจอจะดีกว่า!
กลับไปเป็นสัตว์เลี้ยงให้มัน นั่นยังไม่สู้ถูกกลืนในคำเดียว
—
ระหว่างที่พวกฟางผิงวิ่งอ้อมป่าอยู่นั้น
ในป่าราชันเจี่ยว
สัตว์ประหลาดเขาทองตัวใหญ่ที่นอนอยู่ตลอด ตอนนี้กลับออกจากที่เดิมแล้ว กำลังเดินเตร่ทั่วป่าราชันเจี่ยว บนเขาสีทองนั้นมีพลังงานพรั่งพรูออกมาเป็นครั้งคราว ไหลเข้าไปสู่ต้นไม้ต่ำเตี้ยบางส่วนข้างนอกป่า
ทั้งต้นไม้พวกนั้นก็เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วทันตาเห็น
ป่าราชันเจี่ยวขยับขยายแล้ว!
ราวกับสิ้นเปลืองพลังงาน เจี่ยวหิวขึ้นมาอยู่บ้าง หันหัวไปดูดกลืนพลังงานและปราณของสิ่งมีชีวิตที่รูปร่างคล้ายเสื้อซึ่งนอนตัวสั่นเทาอยู่ข้างหลัง ไม่รู้ว่าตกใจกลัวหรือถูกกดดันกันแน่
ไม่นานปีศาจร่างเสือตัวนั้นก็กลายเป็นเนื้อแห้ง
เจี่ยวเลียปากไม่หยุดหย่อน เห็นได้ชัดว่ายังไม่หน่ำใจ
สัตว์ประหลาดระดับล่างที่โง่เขลาพวกนี้แทบไม่อาจเป็นฝ่ายถวายพลังงานและปราณให้เขาดูดกลืน ฝืนดูดซับนอกจากสิ้นเปลืองแล้ว รสชาติยังไม่อร่อยอีกด้วย
แต่สัตว์ประหลาดในป่าราชันเจี่ยว มันแทบจะกินหมดแล้ว นี่เป็นอาหารมื้อสุดท้ายในช่วงนี้
ตอนนี้เจี่ยวเริ่มคิดถึงมนุษย์ที่เจอในตอนนั้นขึ้นมาบ้างแล้ว
มนุษย์ยังคงมีสติปัญญามากพอ
นอกจากเป็นฝ่ายมอบปราณให้ตัวเองแล้ว ยังช่วยตัวเองจัดเตรียมอาหารอีก มันแทบไม่ต้องออกล่าไปทั่ว
น่าเสียดายที่มนุษย์คนนั้นหายไปแล้ว
แววตาเจี่ยวปรากฏความเสียดายขึ้นมา ก่อนจะเกิดความงุนงงเล็กน้อย หันหัวที่ใหญ่เท่าเครื่องโม่หินไปยังที่ไกลๆ
ที่นั่น…เหมือนจะรู้สึกได้ถึงลมหายใจที่คุ้นเคย
———————-
——————————————–
ตอนที่ 302 หลอกยากกันทั้งนั้น (1)
เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว ฟางผิงและฉินเฟิ่งชิงก็มองหน้ากัน
ทั้งสองคนใช้ผ้าโพกหัวเอาไว้ ดูแล้วน่าขบขันอยู่บ้าง
“ทำไมไม่ใส่หมวกคลุมหัวเลยล่ะ?” ฟางผิงถามออกไป
“โง่น่ะสิ หากอยู่ระยะใกล้ อีกฝ่ายจะสัมผัสได้ถึงความแตกต่างของพลังงานพวกเราอยู่ดี เอาง่ายๆ แบบนี้ก็ใช้ได้แล้ว แถมผู้ฝึกยุทธ์บางคนอาจจะเป็นพวกโง่ก็ได้ อย่างหมอนั่นที่ไล่ฆ่าฉันครั้งก่อนยังสัมผัสไม่ได้ว่าฉันใช้พลังปราณเลย”
ฉินเฟิ่งชิงเหน็บแนมออกมา เก็บเสื้อผ้าของตัวเองก่อนจะยัดเข้าไปในกระเป๋าผ้า
ครุ่นคิดเล็กน้อย มองไปทางฟางผิงก็ขมวดคิ้วว่า “นายพกเป้ทหาร คนโง่ยังรู้ว่านายปลอมตัวมา เปลี่ยนใบใหม่…”
“ไม่มีให้เปลี่ยน นายไม่บอกให้เร็วกว่านี้ล่ะ”
“ลืม”
ฉินเฟิ่งชิงไม่คิดว่าการที่ตัวเองลืมเป็นความผิดของเขา ครุ่นคิดเล็กน้อย เอ่ยไปว่า “ทิ้งกระเป๋าไปซะ”
ฟางผิงไม่สนใจเขา เอาสัมภาระยัดใส่เสื้อแล้วดึงมาไว้ข้างหน้า
“ทิ้งไป หน้าอกพองอย่างนั้น นายจะแต่งเป็นผู้หญิงหรือไง?”
“ไม่ทิ้ง”
ฟางผิงส่ายหัว นายคิดว่าฉันโง่จริงๆ หรือไง?
ให้ทิ้งกระเป๋า ฉันไม่ได้มีแหวนมิติเก็บของสักหน่อย ถึงเวลานั้นชิงสมุนไพรและหินพลังงานมาได้ จะให้ฉันใช้มือถือหรือไง นั่นจะได้แค่เท่าไหร่กัน
ในกระเป๋าเขายังมีกระสอบอีกใบ แค่ไม่ได้บอกฉินเฟิ่งชิงเท่านั้น
หากสถานการณ์คับขันก็จะแบกกระสอบวิ่ง สะดวกกว่าใช้มือถือเป็นไหนๆ
ฉินเฟิ่งชิงขมวดคิ้วว่า “ไม่ทิ้ง ทำเรื่องอะไรก็เกะกะ”
“นายทิ้งของนายก่อนสิ”
“นายคิดว่าฉันเป็นคนโง่?”
ฉินเฟิ่งชิงกลอกตา ฟางผิงราวกับเพิ่งค้นพบว่าตัวเองและเขามีอะไรแตกต่างออกไป จู่ๆ ก็ลูบบนตัวเขายกใหญ่
ฉินเฟิ่งชิงรีบเอี้ยวตัวหลบ ฟางผิงกลับคว้าหมับที่เอวกางเกงเขา ยิ้มเย็นว่า “แม่งเหอะ สั่งทำพิเศษ? นี่มันของอะไรกัน?”
เขายอมฉินเฟิ่งชิงจริงๆ!
นึกไม่ถึงว่าชุดของหมอนี้จะมีสองชั้น ส่วนตรงเอวกางเกงมีอีกช่องอยู่ ใส่ของหยิบใช้ได้สะดวกมือ
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือชุดของเขามีกระเป๋าช่องใหญ่อยู่
ฉินเฟิ่งชิงเห็นว่าปิดไม่ได้แล้ว ก็เอ่ยอย่างกระอักกระอ่วน “เพื่อความสะดวกเท่านั้น ทำไม นายไม่ยอม?”
“ทำไมของฉันไม่เป็นแบบนั้นบ้าง?”
“ฉันจะรู้ได้ไง”
“นายเป็นคนเอาเสื้อผ้าให้ฉัน!”
“ใครใช้ให้นายไม่เตรียมตัวล่ะ!”
“งั้นที่นายบอกให้ฉันทิ้งกระเป๋า?”
“รวมทั้งปิดบังเรื่องนี้”
“…”
ทั้งสองคนเถียงอย่างไม่มีใครยอมใคร ผ่านไปพักหนึ่ง ฉินเฟิ่งชิงจึงถอนหายใจ “เอาเถอะ ถ้านายจะกลอกกลิ้งเก่งขนาดนี้ พวกเราอย่าแบ่งห้าสิบห้าสิบอีกเลย ใช้ความสามารถตัวเองละกัน ใครกอบโกยได้เยอะเท่าไหร่ก็เท่านั้น”
ฟางผิงยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ฉันก็อยากจะพูดแบบนี้อยู่เหมือนกัน”
ทั้งสองคนประสานสายตากัน ไม่พูดพล่ามอีก มุ่งไปข้างหน้าต่อ
—
เดินมาถึงครึ่งทางท้องฟ้าก็มืดแล้ว
กลางคืนของถ้ำใต้ดินย่างกรายมาถึงในเวลาชั่วพริบตาเท่านั้น
แต่ทั้งสองคนทะลวงขั้นสี่แล้ว ประสาทสัมผัสเฉียบคม เดินตอนกลางคืนไม่เป็นอุปสรรคนัก
“น่าจะอยู่ข้างหน้าประมาณสามสิบลี้”
ฉินเฟิ่งชิงเผยสีหน้าจริงจังขึ้นมา เอ่ยเตือนว่า “ถ้าฉันจำไม่ผิด ใกล้ๆ นี้มีหมู่บ้านแห่งหนึ่ง กลางดึกอาจจะมีคนออกมาเพ่นพ่าน ออกมาจากรอบนอกเมืองความหวังแล้ว จำไว้ให้ดี พวกเราสามารถเจอมนุษย์ถ้ำได้ตลอดเวลา”
“เข้าใจแล้ว”
“เจอผู้ฝึกยุทธ์ถ้ำใต้ดินที่อ่อนแอก็ฆ่าทิ้ง เจอพวกที่แข็งแกร่ง ไม่ต้องพล่ามมาก หนีเท่านั้น!”
“ได้”
ท่ามกลางความมืด ทั้งสองคนเดินตรงไปข้างหน้า
กลางคืนของถ้ำใต้ดินไม่ได้เงียบสงบ
เสียงคำรามที่มีพลังทะลวงสูงแผ่กระจายให้ได้ยินเป็นครั้งคราว
ยามราตรีเป็นเวลาของอสูรร้าย
ทั้งสองคนมุ่งไปข้างหน้าไม่ได้เจอกับสัตว์ประหลาด แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มี ทำได้แค่พูดว่าพวกเขายังเคลื่อนไหวอยู่รอบนอก ไม่ได้เข้าไปส่วนลึกของถ้ำใต้ดินอย่างแท้จริง
ฟางผิงกำลังเดินตามฉินเฟิ่งชิงอย่างระมัดระวัง จู่ๆ ฉินเฟิ่งชิงก็ถลาตัวอย่างรวดเร็ว ในตอนที่ฟางผิงไม่ทันตั้งตัว กลับพุ่งตัวมาข้างหน้าดึงต้นไม้อะไรสักอย่างที่คล้ายวัชพืชขึ้นมาจากพื้นแล้ว ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ยัดเข้าไปในเสื้อของตัวเอง
ฟางผิงตกตะลึงไปเล็กน้อย
เห็นฉินเฟิ่งชิงไม่คิดจะอธิบายจึงกดเสียงว่า “อะไร?”
“ไม่รู้”
“ฉัน…”
“ไม่รู้จริงๆ เห็นไม่ชัด พลังงานเยอะ น่าจะเป็นของดี”
ฉินเฟิ่งชิงอธิบายอย่างง่ายๆ ฉันไม่รู้ แค่สัมผัสได้ว่าพลังงานไม่ธรรมดา ดังนั้นเลยฉวยโอกาสตอนที่นายไม่ทันตั้งตัวดึงออกมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน
ฟางผิงหงุดหงิดแทบบ้า!
แต่เร็วมากจริงๆ ฟางผิงสมองแล่นอย่างว่องไว แผ่กระจายพลังจิตใจ เริ่มสัมผัสคลื่นพลังงานจากรอบทิศทาง
ในถ้ำใต้ดินพลังจิตใจเขาจะโลดแล่นมากกว่า
ก่อนหน้านี้ไม่ได้คิดอะไร ตอนนี้ฉินเฟิ่งชิงเริ่มก่อนเอง อย่ามาโทษเขาแล้วกัน ความสามารถในการหาสมบัติ ตัวเองไม่ด้อยไปกว่าเขาเช่นกัน
—
เดินไปข้างหน้าตลอดทาง ตอนนี้ทั้งสองคนค่อยๆ เข้ามาสู่กลางเขาแล้ว
ฟางผิงเคยเห็นแผนที่ถ้ำใต้ดินเช่นกัน ครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนเอ่ยว่า “นี่คือ…เขาหัวหมาป่า?”
“อืม”
“นายไม่บอกให้เร็วกว่านี้ล่ะ!” ฟางผิงก่นด่า “เขาหัวหมาป่ามีฝูงหมาป่าโบราณอยู่ บางทีมีเป็นร้อยตัว แม่งเหอะ อันตรายจะตายไป”
“ไร้สาระ ไม่อันตรายฉันจะเรียกนายมาทำไม? อีกอย่าง ถ้าบอกนายก่อน นายคลำผิดคลำถูกมาเองจะทำยังไง?”
ฉินเฟิ่งชิงไม่ยอมอ่อนแม้แต่น้อย คิดว่าฉันโง่หรือไง? บอกนายล่วงหน้าเนี่ยนะ?
ฟางผิงถอนหายใจ เอ่ยอีกครั้ง “ที่นี่ยอดฝีมือของพวกเราเคยผ่านมาแล้ว หากมีสิ่งก่อสร้างจริงๆ พวกเขาจะไม่เห็นได้ยังไง?”
“นายอย่าพูดเรื่องไร้สาระพวกนี้ได้หรือเปล่า? ภูเขาใหญ่ขนาดนี้ ยอดฝีมือของพวกเราแค่โฉบผ่านมาเท่านั้นจะรู้อะไร อีกอย่างคนของพวกเราก็ไม่ได้มาบ่อยๆ”
“เจอฝูงหมาป่าโบราณจะทำยังไง?”
“ปากเสีย ภูเขาใหญ่ขนาดนี้ จะเจอง่ายๆ ได้ยังไง!”
ฟางผิงพึมพำว่า “ไม่ได้ปากเสีย เจอจริงๆ”
“หา?”
ครู่ต่อมาฉินเฟิ่งชิงไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไร หมุนตัววิ่งด้วยความเร็วที่น่าตกใจ ยิ่งกว่าห้าสิบเมตรต่อวินาทีที่เขาพูดไว้ซะอีก
ฟางผิงกลับยังวิ่งเร็วยิ่งกว่าเขา ทะยานขึ้นไปในอากาศ คนก็ไม่เห็นแม้แต่เงาแล้ว
สามสี่วินาทีหลังจากทั้งสองคนหายไป ท่ามกลางความมืดสิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างคล้ายหมาป่าขนาดเท่าม้าหลายตัวก็ปราฏอยู่ตรงที่ทั้งสองคนเพิ่งยืนอยู่เมื่อสักครู่
สิ่งมีชีวิตที่คล้ายหมาป่ามองไปรอบๆ พักหนึ่ง เมื่อไม่เห็นสิ่งผิดปกติ ไม่นานก็อันตรธานหายไปในความมืด
—
ห่างออกไปหลายกิโลเมตร
ฉินเฟิ่งชิงและฟางผิงสบสายตากัน ไม่มีใครพูดอะไรออกมา
ทุกคนต่างไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรก็วิ่งหนีออกมาด้วยความเร็วสุดชีวิต
ฉินเฟิ่งชิงราวกับครุ่นคิดอะไรสักอย่าง เอ่ยเบาๆ ว่า “แค่หมาป่าโบราณเท่านั้น มีจำนวนไม่เยอะ พวกเราขั้นสี่ทั้งคู่ ฆ่าได้อยู่แล้ว”
“ฉันรู้ เห็นนายหนีมา ฉันจะกล้าแหวกหญ้าให้งูตื่นได้ยังไง”
“มีเหตุผล แต่ฉันเห็นนายหนีมาก่อน ฉันถึงได้หนีตาม”
ฉินเฟิ่งชิงพยักหน้า ฟางผิงกลอกตา เหนื่อยใจอยู่บ้าง “เอาเถอะ พวกเราเปิดเผยตรงไปตรงมาดีกว่า เป็นแบบนี้ต่อไป ฉันต้องตายเพราะนายแน่”
ฉินเฟิ่งชิงบ่นว่า “นายแม่งสร้างความลำบากให้ฉันเก่งยิ่งกว่าหวังจินหยางซะอีก ไอ้เวรหวังจินหยางถึงจะสร้างความลำบากยังไง แต่ถ้าหลอกให้ฆ่าปีศาจ เขาเต็มใจทุ่มสุดตัวอยู่แล้ว นายวิ่งเร็วกว่าฉันซะอีก จะต้องการนายมาทำไมกัน!”
ฟางผิงอยากถีบเขาอยู่บ้าง ลังเลไปเล็กน้อย ก่อนจะทิ้งความคิดนี้ไป เอ่ยอย่างหงุดหงิดว่า “หยุดพล่ามได้แล้ว ฉันมาคนเดียวต้องลงมืออยู่แล้ว นายอยู่ด้วยฉันฆ่าไม่สะดวก เอาแบบนี้ ถ้าเจอสิ่งมีชีวิตขั้นสี่ให้ฆ่าไปเลย ขั้นห้าตัวเดียวก็ฆ่า แต่ถ้าเยอะค่อยหนี ถ้านายวิ่งหนีอีก คงไปกันไม่ถึงไหนแล้ว!”
ในหมู่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ ทั้งสองคนไม่นับว่าอ่อนแอ
เจอปีศาจขั้นสี่ แม้จะไม่อาจสับเป็นชิ้นๆ ได้ แต่ฟันทิ้งไม่ใช่เรื่องยากอยู่แล้ว
ปรากฏว่าทั้งสองคนต่างเกี่ยงให้อีกฝ่ายลงมือ เจอกับปีศาจหมาป่าโบราณไม่กี่ตัวก็เผ่นแน่บซะแล้ว
ปีศาจหมาป่าโบราณไม่ได้ฝีมือแข็งแกร่งมาก เว้นเสียแต่จะเจอเป็นฝูงใหญ่ ไม่งั้นอันตรายคงไม่เยอะมาก
ฉินเฟิ่งชิงรู้ดีเช่นกัน ครั้งนี้เจอกับคู่แข่งสมน้ำสมเนื้อแล้ว หลอกให้ฟางผิงทำงานหนัก เกรงว่าไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว
เขาถอนหายใจ พยักหน้าว่า “ได้ นายอย่าหนีล่ะ”
“คำไหนคำนั้น!”
“คำไหนคำนั้น!”
ทั้งสองคนทำข้อตกลงร่วมกันแล้วก็มุ่งหน้าเดินทางกันต่อ
—
“ข่ากู่!”
ฟางผิงคำราม ฟันปีศาจหมาป่าโบราณตัวหนึ่งออกเป็นสองท่อน ฉินเฟิ่งชิงที่อยู่อีกฝั่งก็เหวี่ยงดาบราวสายฟ้าฟาด บั่นคอปีศาจหมาป่ารอบๆ หลายตัวเช่นกัน
หอบหายใจเล็กน้อย ฉินเฟิ่งชิงเอ่ยว่า “กู่หย่าลาตู้…แปลว่าอะไรนะ?”
“กู่หย่าลาตู้ข่ากู่เตา (นายฆ่าไปเท่าไหร่แล้ว)…”
ฟางผิงคว้านหัวใจปีศาจหมาป่าออกมาก็พึมพำไปด้วย “นายไม่ไหวเลยจริงๆ ช่ำชองไม่พอ จะหลอกคนอื่นได้ยังไง?”
———————-