ตอนที่ 309 ครั้งหน้าพวกเราไปขุดแร่ด้วยกัน (1)
หน่วยทหาร
ฝ่ายบัญชาการศึกสงคราม
ยอดฝีมือระดับปรมาจารย์หลายคนที่นั่งรักษาการณ์ในถ้ำใต้ดินเซี่ยงไฮ้ต่างมารวมตัวกันที่นี่แล้ว
ฟางผิงและฉินเฟิ่งชิงเพิ่งจะเข้าประตู ชายร่างกำยำคนหนึ่งก็หัวเราะว่า “ฟางผิง ฉินเฟิ่งชิง สร้างชื่อเสียงให้เซี่ยงไฮ้ของเราจริงๆ ทำดีมาก!”
ฟางผิงรีบเงยหน้ามอง ก่อนจะคาดเดาอยู่สักพัก เอ่ยอย่างไม่มั่นใจว่า “ปรมาจารย์เถียน?”
“ฮ่าๆ ตาแหลมไม่เบา!”
เถียนมู่หัวเราะเสียงดัง
ฟางผิงแววตาเป็นประกาย เอ่ยทันที “รุ่นพี่เถียน คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”
ปรมาจารย์ที่อยู่ด้านข้างต่างหมดคำจะพูด
ตีสนิทซะไวเชียว!
เมื่อกี้เพิ่งจะเรียกปรมาจารย์เถียน ชั่วพริบตากลายเป็นรุ่นพี่ซะแล้ว
เถียนมู่จบจากมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้เกือบห้าสิบปีแล้ว แทบจะเป็นปู่ของฟางผิงได้ด้วยซ้ำ
เถียนมู่ที่ดูเหมือนอายุสี่สิบห้าสิบ ในความเป็นจริงอายุอานามกลับไม่น้อย ปาเข้าไปเจ็ดสิบแล้ว เรียกว่ารุ่นพี่ ฟางผิงช่างกล้าเรียกออกมาจริงๆ?
ทุกคนยังไม่ทันถอนหายใจ ฉินเฟิ่งชิงก็เผยแววตาวิบวับอีกคน รีบเอ่ยว่า “พี่เถียน…”
‘ผัวะ!’
ฉินเฟิ่งชิงตัวลอยออกไปห้อยอยู่บนกำแพง เถียนมู่ด่าว่า “ตอนที่พ่อเธออยู่มหาวิทยาลัย เห็นฉันก็เอาแต่เรียกว่าลุง เธอเรียกฉันแบบนี้หมายความว่ายังไงกัน?”
เถียนมู่ด่ากราดออกมา คำเรียกแบบนี้ใครเป็นคนสอนออกมา?
ฉินเฟิ่งชิงน้อยใจอย่างยิ่ง มองไปทางฟางผิง ฟางผิงยักไหล่ ฉันเรียกรุ่นพี่ไม่เห็นมีปัญหา ผู้อาวุโสที่เรียนจบไปก่อนก็เป็นรุ่นพี่กันทั้งนั้น
เถียนมู่ไม่สนใจฉินเฟิ่งชิง หัวเราะว่า “ฉันถูกย้ายกลับมาจากทางเหนือ พวกตาแก่ของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ตายไปหลายคน ตอนนี้ขาดแคลนคน หลังจากนี้ฉันจะมาประจำการที่ถ้ำใต้ดินเซี่ยงไฮ้…”
ฟางผิงดีใจออกมาทันที เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “รุ่นพี่เถียนอยู่ที่นี่ งั้นพวกเราก็มีความมั่นใจแล้ว…”
เดิมทีเถียนมู่นั่งรักษาการณ์อยู่ที่ถ้ำใต้ดินแห่งหนึ่งทางเหนือ มียศเป็นแม่ทัพใหญ่หน่วยทหาร แน่นอนว่าไม่สามารถสั่งการทหารได้จริง
หน่วยทหารมียศทหารอย่างผู้บังคับการ ผู้บัญชาการกอง แม่ทัพ แม่ทัพใหญ่อะไรพวกนี้
ส่วนคำเรียกนั้นมีมากมาย เจอผู้บัญชาการกองจะเรียกว่าแม่ทัพก็ได้ เจอแม่ทัพจะเรียกนายพล หรือเรียกหัวหน้าไปตรงๆ เลยก็ไม่มีปัญหา
แต่ยศทหารก็ยังเป็นยศทหาร สองเรื่องนี้ไม่อาจขัดแย้งกันได้
ฟางผิงเคยเห็นรูปของเถียนมู่มาก่อน ข้อมูลปรมาจารย์ที่จบการศึกษาพวกนี้ สมาคมผู้ฝึกยุทธ์มีอย่างครบครัน
ทั้งครั้งก่อนที่พวกอธิการบดีกลับมาก็เล่าสถานการณ์คร่าวๆ ให้ฟังแล้ว เถียนมู่เป็นหนึ่งในปรมาจารย์ที่ไปปักกิ่งในเวลานั้น ทั้งยังเป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่งมากคนหนึ่ง
ยอดฝีมือร่างทองขั้นแปดอย่างแท้จริง!
สาเหตุที่เน้นหนักขนาดนี้ เพราะไม่เหมือนกับอธิการเฒ่าพวกนั้น คนพวกนี้ร่างกายบาดเจ็บเรื้อรัง ร่างทองทรุดโทรมไปบ้าง อันที่จริงเทียบกับยอดฝีมือร่างทองที่อยู่ในช่วงรุ่งโรจน์ พลังการต่อสู้ยังอ่อนด้อยไปอยู่บ้าง ดังนั้นจึงทำได้แค่สู้ชีวิตแลกชีวิต
หากเป็นเถียนมู่อาจไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป
แม้ว่าจะเป็นอู๋ขุยซาน อันที่จริงก็สู้เถียนมู่ไม่ได้เหมือนกัน เพราะอู๋ขุยซานไม่ได้ทะลวงด่านนานเท่าเถียนมู่
“มีความมั่นใจ?” ปรมาจารย์แซ่โค่วเอ่ยขำๆ “เธอยังต้องการความมั่นใจอะไรอีก? ความมั่นใจในการรีดไถปรมาจารย์ขั้นเก้า?”
ฟางผิงขำแห้งออกมาทันที
ปรมาจารย์แซ่โค่วไม่แหย่เขาต่อ รอยยิ้มหายไปจากใบหน้า เอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “ครั้งนี้พวกเธอไปที่ไหนกันมา?”
“เขาหัวหมาป่า”
“เขาหัวหมาป่า?” ชายชราแซ่โค่วมองไปทางพวกเถียนมู่ “เขาหัวหมาป่ามีพวกระดับสูง?”
“ไม่รู้”
“ฉันไม่เคยไป”
“ฉันเคยไปครั้งหนึ่ง แต่ไม่เจอ”
เถียนมู่ไม่คุ้นเคยเท่าไหร่ ครุ่นคิดก่อนเอ่ยว่า “สามสิบปีก่อนฉันเคยไปเขาหัวหมาป่า แต่แค่เดินผ่านทางเท่านั้น ไม่ได้เข้าไปลึก”
ในเวลานี้ชายวัยกลางคนรูปร่างสูงคนหนึ่งก็เดินเข้ามา เอ่ยว่า “เขาหัวหมาป่ามีระดับสูง แต่เก็บตัวเงียบอยู่ตลอดเวลา สงครามหลายครั้งแทบไม่โผล่หน้าออกมา แต่ฉันเคยเจอครั้งหนึ่ง เหมือนจะมีความเกี่ยวข้องกับแม่ทัพหลางของเมืองเทียนเหมิน”
“ผู้บังคับการอู๋”
“ผู้บังคับการอู๋ คุณเคยเจออีกฝ่าย?”
“…”
คนที่เข้ามาไม่ใช่ใครอื่น อู๋ชวน ผู้บังคับการกองตั้งมั่นเฝ้าระวังทางใต้
ระหว่างที่อู๋ชวนเอ่ยก็ชำเลืองมองฟางผิงแวบหนึ่ง ยิ้มคล้ายไม่ยิ้มว่า “เมื่อกี้เพิ่งจะเรียกรุ่นพี่อย่างสนิทสนมไม่ใช่หรือไง? พอเห็นฉัน ทำไมไม่ทักทายอย่างนั้นบ้างล่ะ?”
ฟางผิงทำหน้าเหลอหลา ก่อนคล้ายจะนึกอะไรได้ รีบเอ่ยว่า “ที่แท้ก็รุ่นพี่อู๋ ผมตาไม่มีแววจริงๆ รุ่นพี่เปล่งประกายน่าเกรงขาม…”
“ไม่หรอก บางคนยังอยากปฏิรูปฉันอยู่เลย”
ฟางผิงตกสู่ความงุนงงอีกครั้ง ในใจกลับลอบด่าอย่างบ้าคลั่ง
ฉันพูดเรื่องนี้กับหวงจิ่งและอู๋ขุยซาน ทำไมอู๋ชวนถึงรู้ล่ะ?
อธิการบดีทั้งสองไว้ใจไม่ได้ นึกไม่ถึงว่าจะขายฉัน!
นี่เป็นปรมาจารย์ยอดฝีมือขั้นเก้า ทั้งยังเป็นผู้แข็งแกร่งในหมู่ของขั้นเก้า ถูกจัดอยู่ในอันดับเก้า รองจากจ้าวซิงอู่ ผู้นำสำนักพันธมิตร
อู๋ชวนไม่ข่มขวัญเขาต่อ ถามว่า “เล่าให้ละเอียดอีกครั้งสิ…”
ฟางผิงรีบเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟังอีกครั้ง
อู๋ชวนเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “เจี่ยวทะลวงขั้นแปดแล้ว? ไม่น่าล่ะช่วงนี้ป่าราชันเจี่ยวถึงขยับขยาย ยังดีที่ไม่ขยายไปทางใต้”
ทางใต้เป็นที่ตั้งของเมืองความหวัง
“รุ่นพี่อู๋ วันนี้คนๆ นั้นตายหรือเปล่าครับ?”
“ไม่” อู๋ชวนส่ายหัว “เจ้าเมืองเทียนเหมินออกโรง แต่คนผู้นั้นได้รับบาดเจ็บไม่น้อย ฉันสัมผัสได้ว่าพลังแห้งเหือดลง คงได้รับบาดเจ็บหนัก มีความสามารถขั้นเจ็ดเท่านั้น หากเจ้าเมืองเทียนเหมินให้ความช่วยเหลือไม่ทัน น่าจะถูกฆ่าตายไปแล้ว ฉันเตรียมตัวจะสกัด…แต่ทางเมืองตงขุยมีความเคลื่อนไหวเล็กน้อย เจ้าเมืองตงขุยใช้พลังจิตใจสร้างความกดดัน น่าเสียดายที่ผู้เฒ่าฟ่านเพิ่งจะออกไป ไม่งั้นสกัดสองคนนี้ไว้ เจี่ยวน่าจะสังหารอีกฝ่ายได้”
ถ้ำใต้ดินของประเทศจีนมีเยอะเกินไป ยอดฝีมือขั้นเก้าต่างงานล้นมือ
ถ้ำใต้ดินแห่งหนึ่งมีขั้นเก้าประจำอยู่หนึ่งคนก็ถึงขีดจำกัดแล้ว
อู๋ชวนที่อยู่ในตำแหน่งผู้บังคับกองตั้งมั่นเฝ้าระวังทางใต้ ครั้งนี้มาปักหลักอยู่ในถ้ำใต้ดินถาวร ก่อนหน้านี้ยอดฝีมือขั้นเก้าประจำการณ์อยู่ ช่วงนี้มีธุระอย่างอื่น เพิ่งออกไปพอดี
ไม่งั้นมีขั้นเก้าสองคนอยู่ สกัดสองคนนั้นไว้ เจี่ยวอาจจะสามารถฆ่าอีกฝ่ายได้ ลดพลังต่อสู้ของผู้ฝึกยุทธ์ถ้ำระดับสูงไปหนึ่งคน
อู๋ชวนไม่ได้เสียดายเท่าไหร่ เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “แบบนี้ก็ดี ครั้งนี้เจ้าเมืองเทียนเหมินล่วงเกินเจี่ยวอย่างถึงที่สุดแล้ว ราชาปีศาจเช่นนี้แค้นฝังใจอย่างมาก…”
“ราชาปีศาจ?”
ฟางผิงสงสัยอยู่บ้าง
“ปีศาจระดับสูงเรียกว่าราชาได้ทั้งนั้น แน่นอนว่าเป็นความเคยชินของพวกเราเท่านั้น”
อู๋ชวนเอ่ยต่อ “ช่วงนี้งานวิจัยเกี่ยวกับถ้ำใต้ดินของพวกเรามีความก้าวหน้า ถอดรหัสข้อมูลออกมาได้บางส่วนแล้ว ในถ้ำใต้ดินขั้นเจ็ดเรียกได้ว่าเป็นยอดฝีมือขั้นบัญชาการ ขั้นแปดยอดฝีมือขั้นอารยะ ขั้นเก้าถึงจะเป็นขั้นราชา ดังนั้นคำว่าราชาปีศาจ ตอนนี้ไม่ค่อยได้ใช้นัก แน่นอนว่าไม่แตกต่างเท่าไหร่ แค่คำเรียกไม่เหมือนกันเท่านั้น”
ฟางผิงได้ฟังก็พึมพำว่า “ไม่น่าล่ะตอนที่เจี่ยวได้ยินผมเรียกมันว่าราชาดูเหมือนจะอารมณ์ดีไม่น้อย…”
ฝ่ายบัญชาการเงียบกริบลงในชั่วพริบตา
ทุกคนพากันมองไปทางฟางผิง อู๋ชวนขมวดคิ้วว่า “เธอเคยติดต่อกับเจี่ยวมาก่อน?”
“มันไม่ได้เรียกว่าเจี่ยว อันที่จริงเรียกว่าราชาปีศาจเขาทอง…ยังไงยอดฝีมือถ้ำใต้ดินคนนั้นก็น่าจะเรียกแบบนี้ หรืออีกฝ่ายก็กำลังประจบเจี่ยวเหมือนกัน?”
“หยุดพูดเรื่องไร้สาระพวกนี้ก่อน” อู๋ชวนตัดบทเขา อธิบายต่อ “ขั้นราชาเป็นแค่ระดับขั้นเท่านั้น เรียกเจี่ยวว่าราชาปีศาจ แสดงให้เห็นว่าเจี่ยวเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่ปีศาจเขาทองแถบนี้แล้ว เจี่ยวไม่ได้มีแค่ตัวเดียว การดำรงเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของกลุ่มจึงถูกเรียกว่าราชาปีศาจ แม้ว่าจะเป็นราชาปีศาจขั้นสี่ขั้นห้า นั่นก็ยังมีการดำรงอยู่เช่นกัน”
“อย่างนี้นี่เอง…”
อู๋ชวนปวดหัวอยู่บ้าง “กลับมาที่ประเด็นหลัก พูดถึงเรื่องเจี่ยว”
“อ้อ ผมรู้จักกับเจี่ยวมานานแล้ว…”
———————
ตอนที่ 306 ฉันเคยวิ่งชนะขั้นแปด (1)
ด้านนอกป่าราชันเจี่ยว
ฉินเฟิ่งชิงทนไม่ไหวอยู่บ้างแล้ว วิ่งตะบี้ตะบันกว่าร้อยลี้ ถูกปีศาจระดับกลางนับไม่ถ้วนตามฆ่า ชีวิตเช่นนี้น่าอนาถเกินไปแล้ว
“ฟาง…ฟางผิง ทำภารกิจกับนาย…ไม่ใช่เรื่องดีจริงๆ”
ตอนนี้ฟางผิงใบหน้าซีดเผือดเช่นกัน ทั้งยังซีดขึ้นเรื่อยๆ!
“เดี๋ยวถ้านายรู้ จะน่าอนาถกว่านี้อีก”
ฟางผิงทำหน้าราวกับจะร้องไห้ เอ่ยด้วยน้ำเสียงท้อแท้และสิ้นหวัง “นายสัมผัสไม่ได้หรือไง?”
“อะไร?”
“ปีศาจไม่ได้ตามมาแล้ว!”
ฟางผิงตะโกน แม่งเหอะ นายมันสมองกลวงจริงๆ!
ไม่รู้เลยหรือไง?
พวกเราตายแน่ๆ!
ไม่สิ นายตายแน่ๆ!
ฟางผิงวางแผนไว้แล้ว ฉินเฟิ่งชิงก็คืออาหารเช้าที่ตัวเองเตรียมไว้ให้เจี่ยว…ไม่สิ ด้านหลังยังมีปีศาจอีกหลายตัว ครั้งนี้พาอาหารเช้ามาให้เจี่ยวซะเยอะแยะ
ถ้าฉินเฟิ่งชิงดวงแข็ง บางทีอาจจะเหมือนตัวเอง เป็นพ่อครัวให้กับเจี่ยวได้
ฉินเฟิ่งชิงวิ่งจนสมองตื้อไปหมด ดึงสติกลับมาไม่ทันอยู่พักใหญ่ หันกลับไปมองก็เอ่ยดีใจเป็นบ้าเป็นหลัง “ไม่ตามมาแล้ว!”
สีหน้าฟางผิงกลับซีดขาวจนดูแทบไม่ได้ วิ่งหนีตายอย่างบ้าคลั่ง ตะโกนว่า “ไอ้โง่ เจี่ยวจะออกมาแล้ว!”
“ชิบหาย!”
ฉินเฟิ่งชิงมีสติขึ้นมาทันที!
สิ่งมีชีวิตระดับสูง!
ก็ถูก ไม่งั้นสิ่งมีชีวิตระดับกลางพวกนี้คงไม่หยุดตามมาหรอก
‘โฮก!’
เสียงคำรามดังขึ้นสะท้านฟ้า ฟางผิงหน้าถอดสี ฉินเฟิ่งชิงก็ใบหน้าแข็งทื่อเช่นกัน
“ฉันเจอกับดาวหายนะเข้าให้แล้ว!”
ฟางผิงนี่แหละคือดาวหายนะที่ใหญ่ที่สุด!
เขาเข้าถ้ำใต้ดินราวกับเข้าสวนหลังบ้านของตัวเอง ครั้งก่อนมากับหวังจินหยาง คนที่บาดเจ็บหนักก็เป็นหวังจินหยาง เขาแทบไม่มีปัญหาอะไร
แต่ตอนนี้ล่ะ?
เขาจบเห่จริงๆ แล้ว!
“ฟาง…ฟางผิง…ยังต้องวิ่งอีกหรือเปล่า?”
ทั้งสองคนรับรู้ถึงกลิ่นอายที่แข็งแกร่งแผ่กระจายออกมา ปีศาจด้านหลังนั้นถูกกดดันจนหมอบราบกันไปหมด
ปีศาจระดับกลางบางส่วนเตรียมจะวิ่งหนี กลับถูกบีบจนกลายเป็นเนื้อบด
ฟางผิงและฉินเฟิ่งชิงไม่ได้ถูกพลังจิตใจควบคุม แต่ก็รับรู้ได้ถึงพลังกดดันที่ไร้รูปร่างเช่นกัน
วิ่งงั้นเหรอ?
วิ่งตอนนี้จะเป็นการยั่วโทสะเจี่ยวหรือเปล่า?
ในราตรีเจี่ยวเดินนวยนาดมาทางนี้อย่างช้าๆ ผิวหนังสีทองส่องแสงเหลืองอร่ามท่ามกลางความมืด
ฉินเฟิ่งชิงแข้งขาอ่อนแรงอยู่บ้าง ค่อยๆ หยุดฝีเท้าลง เขารับรู้ได้ถึงการจับจ้องและแรงกดดันในอากาศ
ฟางผิงที่วิ่งกระหืดกระหอบก็หยุดฝีเท้าลงอย่างช้าๆ เช่นกัน
“เจี่ยว…”
ฉินเฟิ่งชิงเหลียวคอที่แข็งทื่อไปมอง เอ่ยอึกอักว่า “พวกเรา…ต้องถูกฝังกันแบบนี้แล้ว?”
เจอกับสิ่งมีชีวิตระดับสูง ไม่ถูกฝังถึงจะแปลก
วิ่ง นั่นคงวิ่งไม่ชนะอยู่แล้ว
ฟางผิงเผยสีหน้าหนักอึ้ง กระซิบว่า “ไม่ต้องพูด อีกอย่าง ครั้งนี้ถ้านายรอด ของรางวัลทั้งหมดต้องเป็นของฉัน!”
“ฉันจะตายอยู่แล้ว นายยังจะพะวงเรื่องพวกนี้อีก…”
ฉินเฟิ่งชิงแทบจะร้องไห้ออกมารอมร่อ มาถึงขั้นนี้แล้ว นายยังจะคิดเรื่องพวกนี้อีก?
เจี่ยวตัวนี้เหมือนจะสูงกว่าขั้นเจ็ดซะอีก!
ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่เคยเจอกับยอดฝีมือขั้นเจ็ดมาก่อน แต่แรงกดดันนั้นแตกต่างออกไปจริงๆ
ฟางผิงรับรู้ได้เช่นกัน ทั้งยังสำราจความเปลี่ยนแปลงของเจี่ยว แข็งแกร่งขึ้นมาก ผิวหนังด้านนอกส่องสว่างไสวยิ่งกว่าเดิม!
“อย่างต่ำคือขั้นแปด!”
ฟางผิงคาดคะเนออกมา ครั้งก่อนเจี่ยวตัวนี้กำลังเลื่อนขั้นจริงๆ ด้วย
ไม่คุยไร้สาระกับฉินเฟิ่งชิงต่อ ฟางผิงเห็นว่าเจี่ยวมาแล้ว ก็ตะโกนเสียงดังทันที “ราชาเจี่ยวผู้ยิ่งใหญ่ ครั้งนี้ผมวิ่งไปไกลอยู่บ้าง นำอาหารนับไม่ถ้วนมาให้ท่านแล้ว เชิญรับประทานได้เต็มที่!”
ระหว่างที่ฟางผิงพูดก็ชี้ไปที่ปีศาจระดับกลางนับร้อยตัวด้านข้าง
เยอะขนาดนี้ นายกินอิ่มแล้ว คงไม่สนใจฉันแล้วมั้ง?
ดวงตาขนาดใหญ่ของเจี่ยวเผยความสงสัยขึ้นมา ฟางผิงกลับรีบตะโกนว่า “มีเยอะแยะ อีกอย่าง ครั้งหน้าผมจะนำมาให้ท่านอีก จะได้อิ่มไปหลายวัน…”
ฉินเฟิ่งชิงที่อยู่ด้านข้างเผยท่าทีมึนงง
นี่มันเรื่องอะไรกัน?
ฟางผิงกลับไม่สนใจเขา ครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะหันไปหาฉินเฟิ่งชิง “หินพลังงานล่ะ?”
“หา?”
“รีบเอาออกมา ถ้านายอยากมีชีวิตอยู่ก็อย่าชักช้า!”
แม้ฉินเฟิ่งชิงจะไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ตอนนี้ทำได้เพียงฟังฟางผิง เขาก็กลัวตายเหมือนกัน
ควักหินพลังงานบางส่วนออกมาจากกระเป๋าตรงเอวตัวเองอย่างอาลัยอาวรณ์…
ฟางผิงคว้ามา ก่อนจะโยนไปทางเจี่ยวด้วยรอยยิ้มทันที
เจี่ยวกลืนไปรวดเดียว ฟางผิงเห็นแบบนั้นจึงหันหน้าไปว่า “เอาสมุนไพรมาอีกหน่อย!”
“อ่อ…นายเอง…”
“เร็วๆ!”
ฉินเฟิ่งชิงอับจนหนทาง นายแม่งก็มีเหอะ ทำไมต้องมาเอาจากฉันตลอด
แต่ยังคงเป็นประโยคนั้น อยู่ใต้ชายคาบ้านคนอื่น จำเป็นต้องก้มหัว[1]
ควักสมุนไพรบางส่วนออกมาอีกครั้ง ฟางผิงรับมา ก่อนจะถือไว้ในมือ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ราชาเจี่ยวผู้ยิ่งใหญ่ กินอันนี้หรือเปล่า?”
เจี่ยวพูดไม่ได้อยู่แล้ว มองสมุนไพรแวบหนึ่ง กลับไม่สนใจเท่าไหร่ มองไปทางฟางผิงอย่างสนใจแทน
ฟางผิงลอบด่าในใจ แม่งเหอะ ด้านข้างมีปีศาจเป็นร้อยตัว นายมาจ้องฉันทำไมกัน!
แต่เวลานี้ฟางผิงรู้เช่นกันว่าเจี่ยวต้องการอะไร รวบรวมปราณไว้ในมือ ครั้งนี้ไม่จำเป็นต้องให้เจี่ยวออกแรง ฟางผิงเป็นฝ่ายโยนไปให้เอง
เจี่ยวดูดกลืนแล้ว แววตาก็เผยความพอใจ มองฟางผิงต่อ
ฟางผิงจนใจ รวบรวมพลังปราณอีกครั้ง ก่อนจะส่งเข้าไป
เจี่ยวดูดกลืนไปอีกครั้ง
ฉินเฟิ่งชิงมองอย่างสับสนงุนงง!
นี่มันอะไรกัน?
แบบนี้ก็ได้!
อย่างนั้น…ครั้งหน้าเจอกับสิ่งมีชีวิตระดับสูง ตัวเองก็สามารถเอาตัวรอดด้วยวิธีนี้แล้ว?
ฉินเฟิ่งชิงสมองแล่นอย่างว่องไว เขาไม่เห็นหน้าฟางผิงที่ยืนหันหลังให้
ไม่งั้นคงได้เห็นฟางผิงส่งคำพูดที่ว่า…ไปสู่สุคติให้เขาแล้ว!
หากฟางผิงไม่สามารถเพิ่มปราณได้อย่างไร้ขีดจำกัด ครั้งก่อนคงถูกเจี่ยวกินไปแล้ว ยังจะรอดจนถึงตอนนี้หรือไง?
ป้อนให้เจ็ดแปดครั้งติดต่อกัน ฟางผิงก็ร้อนใจอยู่บ้าง
แม่งเหอะ นายจะกินเท่าไหร่กัน
เจี่ยวหิวจริงๆ
หลายวันนี้มันขยายอาณาเขตไม่หยุดหย่อน สิ้นเปลืองพลังงงานเยอะเกินไป
ส่วนทำไมถึงไม่กินปีศาจ…ไร้สาระ มีพ่อครัวอยู่ ใครจะไปลงมือทำอาหารเองกัน
ฟางผิงส่งพลังงานปราณที่บริสุทธิ์มาถึงปาก เทียบกับให้มันเป็นฝ่ายกินเองนั้นรู้สึกฟินกว่า
ก่อนเข้ามาในถ้ำ ค่าทรัพย์สินของฟางผิงอยู่ที่แปดสิบห้าล้าน
แต่เข้าถ้ำมาแล้ว ไม่ถึงหนึ่งวัน ตอนนี้ค่าทรัพย์สินของฟางผิงลดฮวบฮาบจนน่าตกใจ
ก่อนหน้านี้ประมือกับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นห้า เสียไปเกือบล้าน จากนั้นก็วิ่งบ้าคลั่งมาตลอดทาง สิ้นเปลืองไปกว่าสองล้าน
ตอนนี้ป้อนอาหารเจี่ยว แวบเดียวสิ้นเปลืองไปประมาณหนึ่งล้านแล้ว ทั้งยังกำลังลดหลั่นไปอย่างต่อเนื่องอีก
แปดสิบล้าน เจ็ดสิบเก้าล้าน…
จวบจนถึงประมาณเจ็ดสิบห้าล้าน เจี่ยวเหมือนจะกินอิ่มแล้ว หุบปากลงอย่างพอใจ
สบายจริงๆ
เจี่ยวไม่ได้พูด แต่ฟางผิงมองจากแววตาและภาษากายของมันออก
ตอนนี้ฉินเฟิ่งชิงวางใจลงไม่น้อย เอ่ยเบาๆ ว่า “พวกเราไปได้หรือยัง?”
ฟางผิงกลอกตาใส่เขา เตรียมฝังน่ะสิ ยังจะไปอีก ไปที่ไหนล่ะ!
แม่งเหอะ ครั้งนี้ตัวเองตั้งใจอ้อมป่าราชันเจี่ยว เจ้าหมอนี้ยังพามาทางนี้อีก…ฟางผิงลืมไปแล้วว่าอันที่จริงตัวเองเป็นคนวิ่งมาทางนี้
การเดินทางครั้งนี้ฉินเฟิ่งชิงอัดยาบำรุงไปไม่น้อยเช่นกัน ตอนนี้ปราณค่อยๆ ฟื้นฟูขึ้นมาแล้ว
ฟางผิงเห็นแบบนั้นก็มองเจี่ยว ก่อนจะกระซิบว่า “มันอาจจะให้ฉันไป แต่นายต้องอยู่ ฉินเฟิ่งชิง หรือนายจะลองอยู่นิ่งๆ ให้ฉันไปน่าจะไม่มีปัญหา…”
ฉินเฟิ่งชิงใบหน้าเขียวคล้ำ
“ฉันจะไปหลอกคนที่เมืองความหวังมา นายป้อนปราณให้มันเล็กน้อยก็พอแล้ว ราชาเจี่ยวนั้นว่าง่าย…”
ฉินเฟิ่งชิงกัดฟันว่า “ฉันจะไปก่อน”
“นายลองไปดูสิ?”
ฟางผิงแค่นหัวเราะ เอ่ยอย่างดูแคลน “ฉันป้อนอาหารให้ราชาเจี่ยว มันถึงไม่กินนาย ตอนนี้นายไป มันจะกินนายทันที!”
“งั้น…งั้นพวกเราทำได้แค่ถ่วงเวลา?”
“ใช่ รอมันหิวแล้ว ฉันป้อนมันอีก…ป้อนจนเราไม่มีปราณแล้วก็จะถูกกินอีกที”
————————
[1]อยู่ใต้ชายคาบ้านคนอื่น จำเป็นต้องก้มหัว หมายความว่า ตอนที่สถานการณ์ตกเป็นรองคนอื่นต้องยอมถอยเพื่อปกป้องตัวเองไว้ก่อน
——————————————–
ตอนที่ 302 หลอกยากกันทั้งนั้น (2)
“ยุ่งยาก พวกเราคุยกันแบบนี้มีประโยชน์จริงๆ หรือไง?”
“ถ้าหากในสิ่งก่อสร้างมีผู้ฝึกยุทธ์ถ้ำก็เนียนๆ เป็นพวกเดียวกันไปก่อน ตอนที่ยังไม่เกิดการต่อสู้ อันที่จริงอีกฝ่ายไม่ใช่ระดับสูง ยากที่เจอความผิดปกติของพวกเรา สู้โดยที่พวกเขาไม่ทันตั้งตัว ไม่แน่ว่าจะฆ่าได้ง่ายกว่า”
ฉินเฟิ่งชิงได้ฟังก็คิดแบบนั้นเช่นกัน เป็นครั้งแรกที่ไม่โต้แย้งฟางผิง
มีเหตุผล!
ไม่แน่ว่าอาจจะหลอกพวกเขาได้เหมือนกัน?
ทั้งสองคนคว้านหัวใจอย่างรวดเร็ว อันที่จริงหนังและเลือดเนื้อ รวมถึงกระดูกของปีศาจหมาป่าโบราณต่างมีราคาทั้งนั้น
หนังของสิ่งมีชีวิตขั้นสี่ไม่ใช่ถูกๆ อยู่แล้ว
แต่ตอนนี้พวกเขาเพิ่งจะเข้ามาในภูเขา แบกของหนักเกินไปไม่ได้ ทำได้เพียงทิ้งไปอย่างปวดใจ คว้านแต่หัวใจที่มีมูลค่าที่สุดแทน
—
ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง
ฉินเฟิ่งชิงเผยสีหน้าหนักแน่นขึ้นมา กระซิบว่า “ข้ามเนินเขานี้ไปก็ถึงแล้ว นั่นเป็นหุบเขาแห่งหนึ่ง นายว่าเคลื่อนไหวตอนกลางคืนหรือกลางวันดี? ถ้ากลางคืนไม่จำเป็นต้องปลอมตัว คนโง่ก็ยังรู้ว่าเข้ามาตอนกลางคืนคงไม่ใช่คนดี กลางวันจะมีโอกาสมากกว่าหน่อย”
“ดูสถานการณ์ก่อนค่อยว่ากัน”
ฟางผิงหันกลับไปมองแวบหนึ่ง ปวดหัวอยู่บ้าง เขาและฉินเฟิ่งชิงขึ้นเขาลงห้วยอย่างยากลำบาก อย่างน้อยน่าจะข้ามมาเกือบสิบกว่ายอดเขาค่อยมาถึงที่นี่ได้
ครั้งนี้เขาอย่าได้จำทางผิดจะดีกว่า ไม่งั้นคงจะยุ่งแล้ว
—
ส่วนลึกของเขาหัวหมาป่า
สถานที่แห่งหนึ่งกลางหุบเขา มีสิ่งก่อสร้างที่ก่อขึ้นจากหินขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่
ท่ามกลางความมืด ภายในสิ่งก่อสร้างมีแสงไฟส่องออกมาอย่างเลือนราง
หุบเขาสามด้านล้อมรอบด้วยภูเขา มีเพียงทางตะวันออกที่มีช่องว่าง จากที่ฉินเฟิ่งชิงพูด ทางตะวันออกเป็นทิศที่เขาและหวังจินหยางบุกเข้าไป ทั้งสองคนถูกไล่ฆ่า หนีตายมาตลอดทาง รอจนเห็นว่ามีสิ่งก่อสร้างที่นี่ก็ไม่กล้าเข้าไปลึก วิ่งอ้อมภูเขาหนีไป
แต่ตอนนี้ทั้งสองคนมาถึงยอดเขาทางใต้ของหุบเขาแล้ว
“มีคนอยู่”
ฟางผิงเผยสีหน้าหนักแน่น ฉินเฟิ่งชิงส่ายหัวว่า “ไม่เสมอไป โคมไฟพลังงานของถ้ำใต้ดิน ขอแค่หินพลังงานยังใช้ไม่หมดก็จะไม่ดับ อาจจะไม่มีคน แต่พลังงานแค่ยังไม่หมดเท่านั้น แต่ว่า…ใช้โคมไฟพลังงานได้ก็นับว่าเป็นเศรษฐีของถ้ำใต้ดินแล้ว ครั้งนี้พวกเราอาจจะกอบโกยได้มหาศาลจริงๆ!”
พูดจบ ฉินเฟิ่งชิงค่อยเอ่ยต่อว่า “จะหยั่งเชิงก่อนหรือเข้าไปเลย? สวนสมุนไพรอยู่ในลานหินนั่น นายเห็นหรือเปล่า?”
“อืม”
อันที่จริงฟางผิงเห็นไม่ค่อยชัด แต่เขาสัมผัสได้อย่างเลือนรางว่าพลังงานที่นั่นค่อนข้างอุดมสมบูรณ์
“หรือจะเข้าไปตรงๆ เลย ปล้นสวนสมุนไพรก่อน ถ้าไม่มีคนไล่ฆ่า พวกเราค่อยกลับมากวาดเรียบอีกที?”
ฟางผิงอดถามไม่ได้ “นายมั่นใจนะว่าไม่ใช่ที่อยู่ของยอดฝีมือระดับสูง? คนที่อาศัยในป่าลึกแบบนี้ ฉันคิดว่าเป็นยอดฝีมือทั้งนั้น”
“นายใจกล้าหน่อยไม่ได้หรือไง คนกล้ามีแต่จะอิ่ม คนขลาดมีแต่จะอด!”
ฉินเฟิ่งชิงด่าออกมา เป็นครั้งแรกที่ฉันเจอคนกลัวตายยิ่งกว่าตัวเองซะอีก
ฟางผิงสูดลมหายใจ นายคิดว่าฉันกลัวตายจริงๆ หรือไง?
ประเด็นอยู่ที่ไม่อยากตายฟรี!
ครั้งก่อนเข้าไปในป่าราชันเจี่ยวไม่ทันไรก็เจอสิ่งมีชีวิตระดับสูงตัวเป้ง ไม่ให้ระวังได้หรือไง?
อิงจากแผนที่เขาหัวหมาป่า ไม่ได้หมายเหตุว่าเจอสิ่งมีชีวิตระดับสูง ที่นี่อย่างมากสุดก็เป็นฝูงปีศาจหมาป่าโบราณซึ่งมีจำนวนไม่น้อย ยอดฝีมือมนุษย์ไม่ได้สำรวจมากมายเพราะที่นี่อยู่ห่างจากเมืองซีเฟิ่งไม่ไกลมาก
“ช่างเถอะ”
ฟางผิงกัดฟัน กดเสียงว่า “งั้นเข้าไปตรงๆ เลย ขุดให้เร็วที่สุด…อีกอย่าง จำไว้ว่าถ้าฉันวิ่งหนี นายต้องเผ่นให้ไวเหมือนกัน!”
ไม่ใช่อะไร แค่พลังจิตใจเขาแข็งแกร่งกว่า
หากมียอดฝีมือปรากฏตัวจริงๆ ฟางผิงคิดว่าตัวเองจะรับรู้ได้ก่อน
“จำเป็นต้องให้นายบอกหรือไง”
ฉินเฟิ่งชิงไม่ใส่ใจ นายวิ่งหนี จะให้ฉันยืนอยู่กับที่หรือไง?
ทั้งสองคนไม่คุยไร้สาระอีก เริ่มเดินลงเขาไปอย่างระมัดระวัง
หน้าเขาสูงชันอยู่บ้าง แต่สำหรับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ ขอแค่มีที่ให้ยืมแรง แนวตั้งยังเดินให้เหมือนแนวราบได้
หลังจากนั้นไม่กี่นาที ทั้งสองคนก็ลงมาถึงล่างเขา อยู่ห่างจากสิ่งก่อสร้างด้านหน้าไม่ไกล
ฟางผิงใช้พลังจิตใจสำรวจอีกครั้ง แต่ภายในหุบเขามีอนุภาคพลังงานเข้มข้นไม่น้อย รวมถึงสิ่งก่อสร้างหินขนาดใหญ่นั้นปิดกั้นไว้ จึงไม่อาจสำรวจถึงภายในได้ ครั้งนี้ทั้งสองคนไม่ลังเลอีก ค่อยๆ ย่องไปที่สิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ด้านหน้าทันที
ไม่ได้ใช้พลังปราณ ผู้ฝึกยุทธ์ถ้ำค่อนข้างสัมผัสไวกับเรื่องพวกนี้ แค่ขยับปราณนิดเดียว หากในสิ่งปลูกสร้างมียอดฝีมืออยู่ก็จะรับรู้ได้อย่างรวดเร็ว
—
“รวยเละแล้ว!”
ตอนที่ทั้งสองคนค่อยๆ ปีนกำแพงอย่างระมัดระวัง ฉินเฟิ่งชิงก็กลืนน้ำลายเสียงดังจนฟางผิงได้ยิน ฟางผิงแทบอยากบีบคอเขาให้ตาย มีความรับผิดชอบหน่อยได้หรือเปล่า!
แต่ว่า…ฟางผิงก็อยากกลืนน้ำลายเช่นกัน
กลางกำแพงหินนั้นมีสวนสมุนไพรอยู่จริงๆ
“ผลหลัวเซิง ผลหลันเย่ หญ้าเลือดมรกต…”
ฟางผิงพึมพำในใจ สมุนไพรพวกนี้เป็นวัตถุดิบในการทำยาบำรุง ทั้งส่วนมากยังเป็นวัตถุดิบของยาบำรุงระดับกลาง
กวาดสายตาอย่างลวกๆ แล้ว อย่างน้อยมีสมุนไพรประมาณยี่สิบชนิด แต่ไม่ได้มีจำนวนมากมาย บางอย่างก็ปลูกแค่ต้นเดียว บางอย่างก็มีหลายต้น สรุปแล้วมีทั้งหมดกว่าร้อยต้น
นึกเชื่อมโยงไปถึงระหว่างทางที่ทั้งสองคนเดินมากลับไม่เจอสมุนไพรป่าเท่าไหร่
ฟางผิงคาดคะเนในใจว่าบางทีสมุนไพรพวกนี้ เจ้าของที่นี่อาจจะรวบรวบจากเขาหัวหมาป่ามาปลูกไว้ที่นี่
ผลหลัวเซิงหนึ่งอัน เมื่อก่อนมีมูลค่าหนึ่งร้อยคะแนน ทั้งวัดตามความเข้มข้นของพลังงาน ยังราคาสูงได้กว่านี้อีก
ตอนนี้มหาวิทยาลัยรับซื้อสมุนไพรด้วยราคาอีกเท่าตัว หมายความว่าอย่างต่ำก็สองร้อยคะแนน
สมุนไพรอื่นๆ ราคาไม่ต่างกันมาก
ฟางผิงคำนวณเล็กน้อย หากมีมูลค่าทั้งหมด นั่นไม่ใช่ว่าจะเกือบสองหมื่นคะแนนหรอกเหรอ?
ไม่น่าล่ะฉินเฟิ่งชิงถึงบอกว่ากอบโกยได้ก้อนโต!
ฟางผิงเข้ามหาวิทยาลัยจนถึงวันนี้ รวมรางวัลทั้งหมดเข้าด้วยกันยังไม่เยอะขนาดนี้เลย
แม้จะไม่คำนวณมูลค่าหนึ่งเท่าตัว หมื่นกว่าคะแนนก็สูงอยู่ดี สำหรับผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลางแล้ว น่าดึงดูดใจอย่างยิ่ง
ฉินเฟิ่งชิงผลักฟางผิงเบาๆ บอกกล่าวเป็นนัย
ฟางผิงเข้าใจความหมายของเขา ฟางผิงขุดทางซ้าย เขาขุดทางขวา
ฟางผิงกวาดสายตามองแวบหนึ่ง สมุนไพรด้านซ้ายเหมือนจะมีน้อยกว่าหน่อย…แต่ไม่เป็นไร ประเด็นอยู่ที่มือต้องไว
ยังไงฉินเฟิ่งชิงก็เป็นคนพาเขามา ฟางผิงจะมีน้ำใจสักครั้ง พยักหน้าสื่อว่าตกลง
แน่นอนว่ายังมีอีกเรื่องหนึ่ง ด้านขวาอยู่ใกล้กับประตูใหญ่ของตำหนักหินนั้นอยู่บ้าง ฟางผิงคิดว่าด้านซ้ายค่อนข้างดีกว่า
ทั้งสองคนหารือกันดีแล้ว เสี้ยวนาทีต่อมาก็ร่วงสู่พื้นเบาๆ
แม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช้พลังปราณ แต่ก็ยังเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ถลาไปใกล้กับสวนสมุนไพร
ผลปรากฏว่าเพิ่งเข้าไปใกล้ จู่ๆ ก็มีเสียงระเบิดดังขึ้น
ฉินเฟิ่งชิงหน้าเปลี่ยนสี เอ่ยทันที “อุปกรณ์เตือนภัย!”
“แม่ง ยังมีอันนี้ด้วย!”
“ฉันเป็นขโมยมือฉมัง…ยังไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อนเลย!”
ตอนนี้ทั้งสองคนสื่อสารกันอย่างรวดเร็ว ทั้งไม่คิดชักช้า ฟางผิงควักกระสอบออกมานานแล้ว ใช้มือดึงอย่างว่องไว รวบหลายต้นขึ้นมาพร้อมกันยัดเข้าไปในกระสอบ
อีกด้านหนึ่งฉินเฟิ่งชิงก็เคลื่อนไหวทั้งสองมือ ดึงสมุนไพรยัดเข้าไปในเสื้อตัวเองอย่างรวดเร็วเช่นกัน
ในเวลานี้ด้านหลังของประตูใหญ่ก็เกิดเสียงดังและเสียงตะโกนแผ่กระจายออกมา
มีคนอย่างแน่นอน ทั้งไม่ใช่แค่คนเดียวด้วย
พอคนเคลื่อนไหว ฟางผิงก็ใช้พลังจิตใจสัมผัสอนุภาคพลังงานทันที ระยะเริ่มเข้ามาใกล้พวกเขาเรื่อยๆ
“คนจะมาแล้ว นายเร่งมือหน่อย!”
“ขั้นอะไร?”
“ไม่อ่อนแอ!”
ฟางผิงทำได้เพียงให้คำตอบแบบนี้ มีแค่ต้องตรวจสอบอย่างละเอียด ไม่งั้นช่วงเวลาสั้นๆ ยากที่จะแยกออกว่าแข็งแกร่งหรืออ่อนแอ นอกจากว่าอีกฝ่ายจะระเบิดพลังเต็มที่
ครู่ต่อมาฟางผิงก็สีหน้าเปลี่ยน ตะโกนว่า “ย่าลี่ (ไป!)”
สิ้นเสียง ฟางผิงและฉินเฟิ่งชิงก็ทะยานตัวขึ้น หนีไปในอากาศ
ชั่วพริบตาที่พวกเขากระโดดขึ้นไป พื้นดินก็แตกกระจุยเป็นเสี่ยงๆ มียอดฝีมือลงมือแล้ว!
“%#¥% (จับพวกเขาไว้!)”
ในลานกว้าง ยอดฝีมือผมยาววัยกลางคนผู้หนึ่งตะโกนเสียงดัง ทะยานตัวขึ้นเช่นกัน ไล่ตามไปยังทิศทางที่ทั้งสองคนหนีไป!
ในเวลาเดียวกันด้านหลังก็มียอดฝีมือหลายคนพุ่งตัวออกจากประตูหิน ไล่ตามไปในอากาศ
ฟางผิงที่กำลังหนีหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย คนที่อยู่ด้านหน้าคือขั้นห้า ด้านหลังอีกหลายคนนั้นคือขั้นสี่ นึกไม่ถึงว่าสถานที่แบบนี้จะมีผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลางมากขนาดนี้
หากมีแค่พวกนี้ยังพอว่า กลัวก็แต่ว่าในนั้นยังมีคนอีก
ฟางผิงไม่ได้แยกหนีกับฉินเฟิ่งชิง ทั้งสองคนสบสายตากัน ฉินเฟิ่งชิงชี้ไปข้างหน้า ทำมือฟันฉับลงไป!
ฟางผิงพยักหน้า
หนีก่อน หนีไปไกลแล้วค่อยย้อนมาฆ่าผู้ฝึกยุทธ์ที่ไล่ตามมาพวกนี้
—————–