บทที่ 534 รูปลักษณ์เซียน
บทที่ 534 รูปลักษณ์เซียน
ลู่หยวนพึมพำขณะมองร่างของมหาจักรพรรดิในท้องนภา จากนั้นเผยรอยยิ้มบาง “มันก็เป็นร่างจำแลงเท่านั้น ข้าสามารถบดขยี้ให้มันตายได้ด้วยการฟันเพียงครั้งเดียว!”
ตี้อู่เหอซั่นส่ายหน้าแล้วไม่เก็บคำพูดของลู่หยวนมาคิดจริงจัง
เพราะนางมาจากแดนเซียน ทำให้ทราบดีว่าผู้มีนามว่ามหาจักรพรรดิในแดนเซียนทรงพลังมากแค่ไหน!
ต่อให้เป็นจิตเทวะที่ถูกดึงออกมาโดยร่างจำแลงหรือแม้จะถูกอัญเชิญออกมาโดยวิถีสวรรค์ มันก็ต้องถูกจองจำอยู่ภายในโลกใบนี้อย่างเลี่ยงไม่ได้
แต่ก็ยังเป็นไปได้ที่จะสังหารเพียงลู่หยวนคนเดียว!
ในตอนนี้ ผู้ที่เข้ามาในซากปรักหักพังต่างกระจัดกระจายอยู่ไม่ไกล ผู้ที่คิดว่ามีพละกำลังอยู่บ้างต่างวิ่งเข้ามา
แม้แต่ละคนจะไม่กล้าเข้าใกล้เกินไป แต่พวกเขาล้วนยืนอยู่ในจุดที่สามารถเฝ้ามองสถานการณ์ได้
ถึงพวกเขาจะมาที่นี่ ต่อให้จะมีวาสนาแบบใด แต่ทุกคนก็ไม่สามารถเอาไปได้ แม้กระทั่งเพียงมองดูสถานการณ์ปัจจุบันก็ยังมีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบ
แต่การต่อสู้ของลู่หยวนกับรูปลักษณ์เซียนคือเหตุการณ์ที่หาได้ยากในรอบร้อยปี!
พวกเขาไม่ต้องทำอะไรนอกจากรับชมจากด้านข้างเท่านั้น!
เมื่อฝูงชนได้ยินคำพูดอันอวดดีของลู่หยวน ทุกคนก็เริ่มพากันสนทนา ผ่านไปสักพัก ความหลายหลากก็ปั่นป่วนไปทั่ว
“บุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่ควรค่าแก่การเป็นสมาชิกแห่งแดนเหนือ เขาถึงขั้นกล้าต่อสู้กับรูปลักษณ์เซียนเพียงลำพัง! หลังจากวันนี้ไป เกรงว่าตำนานของเขาจะยิ่งถูกจารึกเอาไว้!”
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว ความสำเร็จแต่ละอย่างที่บุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่ทำ เกรงว่าคงไม่มีใครในแผ่นดินหยวนหงสามารถเทียบเคียงเขาได้! หากสวรรค์ไม่ให้กำเนิดเขาขึ้นมา มหาวิถีก็คงเป็นได้เพียงค่ำคืนอันยาวนานเท่านั้น!”
“อา~ ข้านับถือบุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่~ ข้าได้ยินมาว่ามีสาวใช้มากมายอยู่รายล้อม~ ไม่รู้เลยว่าความมั่งคั่งของข้ามากพอจะพิชิตความโปรดปรานของเขาได้หรือไม่~”
“เพ้อเจ้อ เจ้าเป็นผู้ชาย คิดหรือว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่จะยอมรับเจ้า? หากเจ้ากล้าก้าวออกไปละก็ เขาต้องฆ่าทิ้งอย่างแน่นอน!”
หลังจากฝูงชนทั้งหลายรู้สึกหนาวเหน็บ พวกเขาก็เริ่มสรรเสริญอีกฝ่าย ดูท่าว่าลู่หยวนจะเป็นคนแรกในใต้หล้าที่เป็นแบบอย่างให้กับผู้คนทั้งหลาย!
แน่นอนว่ามีบางคนแสดงความเหยียดหยันหลังจากได้ฟังคำชื่นชมดังกล่าว
ผู้ชายในชุดสีขาวเย้ยหยัน “เหอะ… มหาวิถีเป็นเพียงค่ำคืนอันยาวนานงั้นหรือ? ขอบังอาจถามเสียหน่อย เจ้าคิดว่าพวกข้าตำหนักประตูสวรรค์ไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้วหรือไง?!”
ใครบางคนที่อยู่ข้างกายยังคงเอ่ยต่อ “พวกที่อยู่ในแดนเหนือต่างเป็นคนป่าเถื่อน ข้าได้ยินมาว่าหลังจากจบสงครามครั้งใหญ่เมื่อสามแสนปีก่อน ยอดฝีมือบางส่วนที่มีพลังต่อสู้ยอดเยี่ยมได้เดินทางไปที่นั่นเพื่อสืบพันธุ์ลูกหลานและสร้างกลุ่มชาติพันธุ์ พวกเขาตั้งรกรากอยู่ที่มุมหนึ่ง และทำแค่เพียงเฝ้ามองบางสิ่งเกี่ยวกับพลังต่อสู้เท่านั้น ช่างหน้ามืดตามัวเหลือเกิน”
“มันก็จริง เหอะ คุณชายดีกว่าลู่หยวนในทุกด้าน! แม้กระทั่งตอนนี้คุณชายก็ยังเติบโต ไม่มีใครสามารถทำให้เขาตามหลังได้แม้แต่คนเดียว! ไม่ว่าจะพลังต่อสู้หรือกลยุทธ์ เขาก็เหนือกว่าทั้งสิ้น! ตอนนี้ทั่วทั้งห้าดินแดนล้วนแล้วแต่…”
ผู้ชายในชุดขาวหยุดคำพูดของอีกฝ่ายทันเวลา ”เหอะ อีกไม่นาน พวกเจ้าจะรู้เองว่าใครกันแน่ที่แข็งแกร่งที่สุด! ยอดฝีมือที่รู้เพียงวิธีต่อสู้จะไปทำอะไรได้? ลู่หยวนจะสามารถต้านทานพลังที่ยิ่งใหญ่กว่านับพันเท่าหรือต่อสู้กับแนวคิดทั่วหล้าเพียงลำพังได้งั้นหรือ?!”
คำพูดของชายผู้นี้ย่อมลอยเข้าหูของผู้คนทั้งหลายในแดนเหนือ พวกเขามาจากสถานที่เดียวกับลู่หยวนก็เลยนับว่าอยู่ฝั่งเดียวกับอีกฝ่ายมานานแล้ว การที่คนเหล่านี้ดูถูกลู่หยวนก็ไม่ต่างอะไรกับการตบหน้าพวกตนเอง!
คนเหล่านี้ที่ถูกเรียกว่า ‘ยอดฝีมือ’ ในแดนเหนือต่างมองหน้ากัน จากนั้นก็จับอาวุธเพื่อเริ่มเข่นฆ่าผู้คนเมื่อครู่อย่างดุเดือด!
ฝูงชนเริ่มทำการต่อสู้อย่างรวดเร็ว ไม่ทราบว่ามีผู้คนข้องเกี่ยวกับความโกลาหลครั้งนี้มากแค่ไหน
ลู่หยวนเหลือบมองที่นี่ก่อนจะได้ยินเสียงลุ่มลึกดังมาจากท้องนภา
“เจ้าหนู เจ้าทำตัวอวดดีหยิ่งผยองเกินไปแล้ว…”
รูปลักษณ์เซียนเอ่ย “แม้สิ่งที่กำลังเผชิญหน้ากับเจ้าเป็นเพียงจิตเทวะจากร่างจำแลงของข้า ประกอบกับแดนเซียนก็แยกออกจากแผ่นดินขนาดเล็กจนทำให้พลังของข้าอ่อนแอครั้งแล้วครั้งเล่า แต่แค่นั้นก็มากพอที่จะกำราบเจ้าได้”
“หากเจ้าโกหกว่าสามารถต่อสู้หรือถึงขั้นเอาชนะจนปลิดชีพข้าได้ด้วยการฟันเพียงครั้งเดียว… เหอะ… มันก็ดูออกจะมากเกินไปหน่อย!”
ลู่หยวนยิ้มหยันขณะยกง้าวในมือ จากนั้นก็ทำการเสียบลงกับพื้นอย่างรุนแรง!
อำนาจจักรพรรดิมหาศาลเริ่มพลุ่งพล่านออกมาจากเขา แล้วอำนาจมังกรก็ถูกเปิดเผยออกมาเช่นกัน
กลิ่นอายของราชาเผ่าพันธุ์มนุษย์กับเผ่ามังกรปกคลุมทั่วฟ้าดินในทันที!
คนเหล่านั้นที่กำลังต่อสู้กันอุตลุดก็ถูกกำราบในทันที!
พวกเขาทุกคนต่างย่อกายราวกับโลหิตถูกควบคุมด้วยพลังที่ไม่สามารถเพิกเฉยได้!
ลู่หยวนหันมามองตี้อู่เหอซั่น ดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยกลิ่นอายของราชาผู้ดูแคลนทั่วหล้า
แม้ตอนนี้ตี้อู่เหอซั่นจะยืนอยู่ในระนาบเดียวกับลู่หยวน นางก็ยังรู้สึกเหมือนโดนอีกฝ่ายดูถูก
ตี้อู่เหอซั่นตกอยู่ในภวังค์ชั่วขณะราวกับสิ่งมีชีวิตที่คืบคลานอยู่ใต้เท้าของลู่หยวน!
เมื่อลู่หยวนฟาดฟันดาบออกไป เพลิงขุนพลสวรรค์ยังคงลุกไหม้ขณะกลืนกินสรรพสิ่งรอบข้างอย่างรวดเร็ว “ข้าจะให้โอกาสเจ้าเพียงครั้งเดียว ยอมจำนนหรือตาย!”
หัวใจของตี้อู่เหอซั่นเต้นรัว ตอนนี้เองที่เสียงฟ้าร้องยังคงดังกึกก้องทั่วท้องนภา
“เหอะ เจ้าหนู เจ้าคิดหรือว่าข้าคนนี้จะตาย!”
ทันทีที่สิ้นคำ ร่างสีทองบนท้องนภาพลันคว้าลู่หยวนด้วยมือขนาดใหญ่!
มือดังกล่าวกดทับห้วงอากาศจนพังทลายไปตลอดทาง แล้วมันก็บดขยี้มาทางลู่หยวน!
กลิ่นอายซึ่งเป็นของมหาจักรพรรดิแห่งแดนเซียนอยู่ข้างลู่หยวนประหนึ่งตาข่ายสวรรค์ที่กักขังเขาเอาไว้อย่างแน่นหนาอยู่นานแล้ว!
ลู่หยวนละสายตาจากตี้อู่เหอซั่นก่อนมือขนาดใหญ่จะเคลื่อนถึงตัวอย่างรวดเร็ว เมื่อหันสายตามามอง มันก็บดบังท้องนภาก่อนนิ้วทั้งห้าจะกางออกเพื่อคว้าร่างของเขาเอาไว้!
นิ้วทั้งห้าพลันโอบรัด แล้วแรงกดดันมหาศาลไร้ใครเทียบก็เริ่มกระจายออกมาจากมือดังกล่าว
แรงกดดันระลอกแล้วระลอกเล่าประหนึ่งกระบี่สังหารเทพที่ตรงเข้าหาลู่หยวนเพื่อหมายจะปลิดชีพ!
เมื่อแรงกดดันเหล่านี้บดขยี้ห้วงอากาศจนพังทลายและแตกสลาย แม้กระทั่งหลุมดำที่พยายามจะปกคลุมห้วงอากาศก็แตกสลายเพราะแรงกดดันดังกล่าว!
ตูม!
นิ้วทั้งห้าโอบรัดลู่หยวนเอาไว้อย่างแน่นหนา
รูปลักษณ์เซียนซึ่งอยู่เหนือห้วงอากาศยิ้มหยัน “เจ้าพูดจาเสียใหญ่โต แต่กลับไม่สำแดงอุบายเลยสักครั้งงั้นหรือ?”
“ข้ายังไม่ได้ใช้ความสามารถเลยสักครั้ง! ชิ นึกแล้วเชียวว่าโลกใบนี้มันมีแต่ขยะ!”
รูปลักษณ์เซียนกำมืออีกครั้ง แล้วกลิ่นอายซึ่งเป็นของมันก็กระจายออกไปเพื่อหมายจะสังหารอีกครั้ง
หลังจากมั่นใจแล้วว่าลู่หยวนไม่มีโอกาสรอด มันก็เอ่ยกับห้วงอากาศไร้พรมแดน “ชายหนุ่มผู้นี้คุ้มค่ากับที่วิถีสวรรค์จะอัญเชิญข้ามาที่นี่เชียวหรือ?”
ไม่มีคำตอบจากห้วงอากาศดังกล่าว หมู่เมฆยังคงก่อตัวหนาดังเดิม
ตี้อู่เหอซั่น อู๋เต้า และเจิ้งชิงเทียนล้วนจับจ้องท้องนภา ทว่าอู๋เต้ากับเจิ้งชิงเทียนทราบว่าลู่หยวนยังไม่ตาย
เนื่องจากสายสัมพันธ์พิเศษระหว่างพวกเขา หากลู่หยวนตาย สายสัมพันธ์นี้ก็จะพังทลายลง
แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาประหลาดใจยิ่งกว่าก็คือลู่หยวนยังไม่ตายงั้นหรือ?!
บทที่ 532 เหตุต้นผลกรรม
บทที่ 532 เหตุต้นผลกรรม
ทันทีที่สิ้นเสียง คำพูดของอู๋เต้าก็ถูกปิดกั้นโดยสมบูรณ์
ยามทักทาย สิ่งแรกที่ตอบกลับคือทุกคนช่างตายไวกันเหลือเกินหรือ?!
เมื่ออู๋เต้ากำลังคิดว่าจะพูดอย่างไร ลู่หยวนก็เป็นฝ่ายเอ่ย “นางเป็นใคร?”
อู๋เต้าเอ่ยทันทีว่า “คนที่ข้ากล่าวถึงก่อนหน้านี้ คนที่สามารถแยกแผ่นดินนับหมื่นลี้ได้ด้วยหมัดเดียว”
ลู่หยวนพยักหน้า
รอยยิ้มของตี้อู่เหอซั่นจางหายขณะคลายง้าวมังกรครามแปดแดนร้างของลู่หยวนออกจากมือ จากนั้นนางมองอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้าพลางคิ้วขมวดราวกับกำลังครุ่นคิดบางอย่าง
อู๋เต้ามองสายตาของตี้อู่เหอซั่นก่อนจะเอ่ย “ตี้อู่เหอซั่น หากครั้งนี้พวกข้าออกโรงด้วย เจ้าคงไม่มีทางชนะได้ ถ้าอย่างนั้นมาอยู่ฝั่งนี้ดีกว่า”
“ไม่อย่างนั้น เศษเสี้ยววิญญาณของเจ้าอาจจะถูกทำลายก็ได้”
สิ่งที่อู๋เต้าพูดมาเป็นความจริง
ต่อให้ตี้อู่เหอซั่นจะสามารถกำราบลู่หยวนได้ชั่วคราว แต่นั่นมันก็แค่ชั่วคราวเท่านั้น
อู๋เต้ากับเจิ้งชิงเทียนสามารถรวมพลังกันเพื่อทำให้ลู่หยวนเป็นอิสระจากการกำราบดังกล่าวได้
ถึงตอนนั้น ด้วยอุบายของเขา ต่อให้ไม่สามารถทำการสังหารได้ในครั้งเดียว แต่ก็ยังสามารถสังหารตี้อู่เหอซั่นตอนที่ยังมีชีวิตได้!
แต่เมื่อคำพูดเหล่านี้ลอยเข้าหูของตี้อู่เหอซั่น พวกมันกลับดังสนั่นหวั่นไหว ทำให้นางมีสภาพเหมือนกับแมวที่ถูกแหย่ตรงจุดที่ไม่ชอบใจจนเส้นขนชูชัน
จากนั้นก็มองอู๋เต้าอย่างมุ่งร้าย ”เจ้าหมายความว่าอย่างไร? คิดจะขู่ข้าอย่างนั้นหรือ? เจ้ากำลังจะบอกว่าข้าไม่มีปัญญาเอาชนะได้งั้นหรือ?!”
ตี้อู่เหอซั่นสะบัดแขนเสื้อที่เกิดจากการเปลี่ยนรูปลักษณ์ของเขา ราวกับเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้
“มา ๆๆ วันนี้ข้าจะสู้กับพวกเจ้า อยากรู้นักว่าใครจะเป็นลูกชายแล้วใครจะเป็นบิดา!”
อู๋เต้าหลั่งเหงื่อออกมา
หลังจากนั้นเจิ้งชิงเทียนก็เดินออกมาคว้าตี้อู่เหอซั่น
ลู่หยวนถือง้าวมังกรครามแปดแดนร้างขณะมองจากด้านข้าง ตี้อู่เหอซั่นผู้นี้คล้ายกับมีภูมิหลังบางอย่าง หากเป็นไปได้ เขาก็อยากให้อีกฝ่ายมาเป็นผู้ติดตามเช่นกัน
คราวนี้ลู่หยวนไม่รีบสังหารฟั่นโจวขณะทำการกักขังอีกฝ่าย ขอเพียงต้องการ อู๋เต้ากับเจิ้งชิงเทียนสามารถต้านตี้อู่เหอซั่นก่อนจะลงมือสังหารฟั่นโจวได้ในทันที
เขาในตอนนี้อยากทราบว่าอู๋เต้ากับเจิ้งชิงเทียนต้องการอะไรจากตี้อู่เหอซั่น
เจิ้งชิงเทียนเอ่ยอย่างถูกเวลา “เอาละ พวกเราก็ถือว่ามีชื่อเสียงกันมาช้านาน เหตุใดวันนี้ต้องมาลงมือกันเองเล่า?”
ตี้อู่เหอซั่นพ่นลมออกจมูกอย่างเย็นชาก่อนจะล้มเลิกความคิดที่จะโจมตี ทว่านางหันมามองลู่หยวนแทน “เด็กคนนี้จะฆ่าฟั่นโจว ข้าไม่ยอม!”
เจิ้งชิงเทียนเม้มริมฝีปากพลางเอ่ย “เจ้าเป็นเพียงเศษเสี้ยววิญญาณ ต่อให้วันนี้ช่วยฟั่นโจวได้ แต่ถ้าภายภาคหน้าเศษเสี้ยววิญญาณของเจ้าอ่อนแอขึ้นมาจะทำอย่างไร หรือถ้าฟั่นโจวเผชิญหน้ากับยอดฝีมือที่เอาชนะไม่ได้ เจ้าจะทำอย่างไร?”
ตี้อู่เหอซั่นชี้ไปที่ท้องนภาด้วยความมั่นใจ “วิถีสวรรค์ทำข้อตกลงกับข้าแล้ว ต่อให้เศษเสี้ยววิญญาณของข้าต้องแตกสลาย วิถีสวรรค์ก็จะยังปกป้องข้า!”
ตอนนี้เองลู่หยวนก็หัวเราะออกมา
ตี้อู่เหอซั่นมองด้วยสายตาเย็นชา “เจ้าหัวเราะอะไร?”
ลู่หยวนถือง้าวพลางเอ่ยอย่างไม่เกียจคร้าน “เจ้าโง่หรือเปล่า? เมื่อเศษเสี้ยววิญญาณถูกทำลาย แล้วใครจะมาล่วงรู้กับข้อตกลงของเจ้า?”
ตี้อู่เหอซั่นตกตะลึงชั่วขณะก่อนจะโต้แย้งทันที
“นี่คือวิถีสวรรค์! มันจะเป็นเช่นนั้นไปได้อย่างไร?!”
“จริงหรือ?”
ลู่หยวนยิ่งยิ้มกว้างขณะยืดตัวตรงเล็กน้อย ง้าวของเขาสั่นไหวก่อนพลังจะพลุ่งพล่านออกมาประหนึ่งคลื่น “เจ้าอยากลองดูหรือไม่?”
อู๋เต้ากับเจิ้งชิงเทียนร่วมแรงกันทันที กลิ่นอายของพวกเขาเริ่มสั่นไหวโดยมีเป้าหมายที่จะกำราบตี้อู่เหอซั่น
ตี้อู่เหอซั่นอาจจะทราบอยู่แล้วว่าหากมีลู่หยวนเพียงคนเดียว นางยังพอกำราบเพื่อช่วยชีวิตของฟั่นโจวได้ แต่ตอนนี้กลับมีตัวตนของเจิ้งชิงเทียนและอู๋เต้าเพิ่มขึ้นมา
ต่อให้อู๋เต้ากับเจิ้งชิงเทียนจะไม่สามารถสังหารตี้อู่เหอซั่นได้ แต่พวกเขายังคงสามารถกำราบนางได้สักพัก แต่ให้เป็นเพียงการกำราบก็มากพอที่จะให้ลู่หยวนมีโอกาสสังหารฟั่นโจว!
นอกจากนี้ ยังมีสาวน้อยถือกระบี่ยืนอยู่ไกลออกไป ซึ่งคนผู้นั้นแผ่กลิ่นอายของเผ่ามารอันสูงศักดิ์ออกมา
หากนางลงมือขึ้นมา เกรงว่าคงเป็นการโจมตีถึงตายที่หมายจะเล่นงานตอนตี้อู่เหอซั่นไม่ทันระวัง!
ภายใต้การชี้นำของลู่หยวน ตี้อู่เหอซั่นยิ่งมั่นใจว่านางไม่สามารถปกป้องฟั่นโจวได้แล้ว!
ตี้อู่เหอซั่นหรี่ตาเล็กน้อยขณะเม้มริมฝีปากอย่างเงียบงัน
คราวนี้เจิ้งชิงเทียนเปิดปากเช่นกัน “ตี้อู่เหอซั่น แม้เจ้าจะไม่ได้เข้าร่วมสงครามในตอนนั้น แต่การกระทำทั้งหลายของเจ้าก็แสดงให้เห็นถึงความสามารถอันเหลือล้นแล้ว หากเจ้าถึงขั้นสามารถทำสัญญากับวิถีสวรรค์จริง เช่นนั้นเหตุใดถึงไม่ปล่อยให้ทายาททำอะไรเพื่อเจ้าบ้างเล่า?”
เจิ้งชิงเทียนเพียงทราบข่าวลือเกี่ยวกับตี้อู่เหอซั่นเล็กน้อย ซึ่งบางส่วนบอกว่าอีกฝ่ายมาจากแดนเซียน นางในตอนนั้นก็หัวเราะด้วยความขบขันออกมา
แต่ถ้าที่ตี้อู่เหอซั่นบอกในวันนี้เป็นความจริง หากนางทำข้อตกลงกับวิถีสวรรค์ เช่นนั้นอีกฝ่ายจะทรงพลังขนาดไหนกัน?!
ตี้อู่เหอซั่นผู้นี้คือคนจากแดนเซียนเหมือนดังข่าวลือไร้ที่มา!
หากเป็นเช่นนั้น เห็นได้ชัดว่าเศษเสี้ยววิญญาณของตี้อู่เหอซั่นเป็นผู้ช่วยอันล้ำค่า ถ้าสามารถดึงมาอยู่กับลู่หยวนได้ นางก็จะกลายเป็นแม่ทัพทรงพลังเช่นกัน!
ยิ่งไปกว่านั้น เจิ้งชิงเทียนในตอนนี้ยังพอที่จะควบคุมได้
เจิ้งชิงเทียนมาจากแดนเซียน แต่นางทำสัญญากับวิถีสวรรค์เพื่อทำให้ทายาทก้าวออกจากดินแดนนี้ได้ ทำให้ร่องรอยของเศษเสี้ยววิญญาณนี้ยังคงอยู่กับฟั่นโจวมาโดยตลอด แล้วเจตจำนงอันลึกล้ำก็ได้เกิดขึ้น
หากการคาดเดาของเจิ้งชิงเทียนไม่ผิด ตี้อู่เหอซั่นย่อมไม่สามารถออกไปได้ด้วยตัวเอง แต่เพราะมีบางสิ่งที่ต้องจัดการ ดังนั้นนางจึงปล่อยให้หนึ่งในทายาทก้าวออกจากดินแดนนี้!
สิ่งเหล่านี้จะต้องมีความสำคัญมากกับตี้อู่เหอซั่น
คนไร้ค่าอย่างฟั่นโจวจะทำสิ่งสำคัญเช่นนั้นให้สำเร็จได้อย่างไร?!
หากยกผลประโยชน์ให้ลู่หยวนเป็นคนทำย่อมเป็นผลดีกว่า!
เจิ้งชิงเทียนยิ้มเล็กน้อยอยู่ภายใน หากมีตี้อู่เหอซั่นก็เหมือนกับมีคนนำทางพิเศษตอนเข้าแดนเซียน!
ยิ่งไปกว่านั้น เคล็ดกายาก็ยังมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว!
ตี้อู่เหอซั่นไม่ใช่คนโง่ ด้วยการทดสอบเพียงเล็กน้อยจากเจิ้งชิงเทียน นางก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร
ตี้อู่เหอซั่นชำเลืองมองลู่หยวน “ข้าเข้าใจความหมายของเจ้าแล้ว เจ้าอยากให้เจ้าหนูคนนี้แทนที่ฟั่นโจวใช่หรือไม่!”
เจิ้งชิงเทียนพยักหน้าขณะดูว่าตี้อู่เหอซั่นต้องการอะไร หากไม่มากเกินไป ข้อตกลงนี้ก็นับว่าไม่ขาดทุน
“หากเป็นคนอื่น ข้าอาจเต็มใจ”
ตี้อู่เหอซั่นเดาะลิ้น “แต่ไม่ใช่กับเจ้าหนูคนนี้!”
อู๋เต้ากับเจิ้งชิงเทียนคิ้วขมวดพร้อมกัน “ทำไมล่ะ?”
“มีเหตุต้นผลกรรมมากเกินไปอยู่ในเจ้าหนูคนนี้ ดูท่าว่าจะข้องเกี่ยวกับบางอย่างที่อยู่นอกเหนือวิถีสวรรค์!”
“หากปล่อยให้เจ้าหนูคนนี้เป็นคนจัดการ ข้าอาจจะต้องเข้าไปพัวพันด้วยก็ได้!”
ตี้อู่เหอซั่นคล้ายกับรังเกียจเป็นอย่างยิ่ง “หากถึงตอนนั้น ข้าไม่รู้เลยว่าสถานการณ์จะเป็นไปในทิศทางใด ทำนบนับหมื่นลี้อาจจะพังทลายลงมาก็เป็นได้!”
หลังจากลู่หยวนฟังอยู่พักใหญ่ เขาก็ได้ยินตี้อู่เหอซั่นพูดจาคลุมเครืออยู่หลายอย่าง หาได้มีประโยชน์อันใดไม่
เป็นยายเฒ่าลึกลับหรืออย่างไร!
“ชิ”
ลู่หยวนยกง้าวในมือขึ้นด้วยความหงุดหงิด
“ถ้าอย่างนั้น ฆ่าฟั่นโจวก่อนแล้วค่อยคุยดีกว่า!”
สิ้นคำ ลู่หยวนทะยานผ่านห้วงอากาศก่อนจะมาถึงตรงหน้าฟั่นโจวในหนึ่งอึดใจ
ฟั่นโจวในตอนนี้แน่นิ่งอยู่บนพื้นในสภาพปางตาย โดยโลหิตยังคงไหลออกมาจากหน้าอก
