บทที่ 544 ชายชรา
บทที่ 544 ชายชรา
กู้ชิงหรันอยากก้าวไปข้างหน้าเพื่อตามไปด้วย แต่สัตว์ร้ายขนาดใหญ่ก็ก้าวเข้ามาเพื่อขวางทางนางเอาไว้
“ชายชราบอกแค่ว่าให้เขาผ่านไปคนเดียว”
กู้ชิงหรันคิ้วขมวดขณะกุมกระบี่หักในมือไว้มั่น แม้กระทั่งที่นี่ก็ไม่สามารถระดมปราณวิญญาณได้ ถึงกระนั้นก็ยังพอมีพลังมหาศาลบางอย่างปะทุอยู่ในร่างของนาง
พลังอันหนักหน่วงเคลื่อนลงมาราวกับฟ้าดินหลอมรวมเข้าด้วยกัน ถึงกับกดดันให้สัตว์ร้ายถอยไปครึ่งก้าว ใบหน้าของมันเผยความอึดอัดใจออกมา
“เจ้า…”
สัตว์ร้ายกำลังจะตะโกน แต่เสียงของชายชราก็ดังขึ้น “สาวน้อย เหตุใดเจ้าต้องทำเช่นนี้? ข้าเพียงอยากพบลู่หยวนเท่านั้น ไม่ได้คิดจะเอาชีวิตเสียหน่อย เจ้ารออยู่ตรงนี้ก็พอแล้ว!”
สิ้นคำ นางก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแห่งความยำเกรงและหยิ่งทะนงเคลื่อนลงมาจากท้องนภา ทำให้สัตว์ร้ายทั้งหลายซึ่งอยู่ทั่วขุนเขาลำเนาไพรต่างคุกเข่าลงกับพื้น
จากนั้นซวี่รั่วหลิงผู้ลากเฉินจงก็ถูกกดดันจนต้องคุกเข่ากับพื้นเช่นกัน!
แต่ลู่หยวนกับกู้ชิงหรันยังคงยืนตัวตรง
ทว่ากระบี่หักในมือของกู้ชิงหรันยังคงส่งเสียงร้องแผ่วเบา ขณะพลังโชคชะตามหาศาลปะทุออกจากร่างของนางอย่างต่อเนื่อง
เจตจำนงกระบี่สั่นสะท้านพลางกวาดไปทั่วทุกทิศทางราวกับเสียการควบคุมบางส่วน
กลิ่นอายหายไปในพริบตา พลังที่ปกคลุมท้องนภาเมื่อครู่ก็คล้ายกับไม่เคยมีตัวตน
ลู่หยวนเหลือบมองด้านข้างก่อนจะเห็นว่าสีหน้าของกู้ชิงหรันในตอนนี้ไม่สู้ดีนัก แล้วสายตาของเขาที่มองบ้านร้างก็ยิ่งลึกล้ำ
ลู่หยวนสัมผัสได้ชัดเจนว่าพลังโชคชะตาที่ปลดปล่อยออกมาจากร่างของกู้ชิงหรันเมื่อครู่คล้ายกับมีรากเหง้า
ราวกับเขาได้สัมผัสภูมิหลังของกู้ชิงหรันก็ไม่ปาน
กู้ชิงหรันมองไปทางบ้านร้างอย่างเย็นชา พลางครุ่นคิดบางอย่างในใจ
เสียงหัวเราะของชายชราดังมาจากกลางบ้านร้าง “เจ้าหนูลู่หยวน มานี่สิ”
ลู่หยวนมองกู้ชิงหรันด้วยท่าทีมั่นใจก่อนจะจากไปเพียงลำพัง
เขาอยากรู้ว่าชายชราคนนี้เป็นใคร แล้วเหตุใดซ่งชิงถึงยังมาอยู่ที่นี่
หลังจากลู่หยวนเข้าไปในบ้านร้างแล้ว สัตว์ร้ายทั้งหลายก็เริ่มทยอยจากไป
กู้ชิงหรันครุ่นคิดสักพัก แต่ทันใดนั้นก็หัวเราะอย่างเย็นชา นางตวัดกระบี่หักออกไปพร้อมกับก้าวเท้าออกจากขอบเขตหินสีเขียว!
วิ้ง!
พลังแปลกประหลาดจากที่ใดไม่ทราบเคลื่อนเข้าหากู้ชิงหรันในพริบตา
พลังโชคชะตาในร่างของกู้ชิงหรันพุ่งออกมาเป็นจำนวนมาก
ลำแสงสายหนึ่งทะยานจากยอดเขาแห่งนี้แล้วมุ่งสู่ท้องนภา!
ทุกย่างก้าวของกู้ชิงหรัน ทำให้การเสริมพลังโชคชะตายิ่งแข็งแกร่ง
เมื่อกู้ชิงหรันเดินเข้าไปในบ้านร้าง พลังโชคชะตาของนางก็เปรียบได้กับเสาหลักแข็งแกร่งที่กำลังขัดขืนระหว่างท้องนภากับขุนเขา!
กู้ชิงหรันหยุดนิ่ง ทันทีที่กระบี่หักสัมผัสกับพื้น นางก็หันหน้าไปทางประตูไม้ของบ้านร้างโดยไม่มีความตั้งใจที่จะเข้าไปอีก
ในตอนนี้ ภายในบ้านร้างหลังนั้นมีเพียงโต๊ะไม้ผุพังหนึ่งตัวกับเก้าอี้ไม้เตี้ยฝั่งละตัว ซึ่งซ่งชิงนั่งอยู่บนเก้าอี้ก่อนแล้ว
ส่วนที่นั่งหลักมีชายชราในชุดธรรมดาค่อนข้างเก่านั่งอยู่ เขาถือขวดน้ำเต้าเอาไว้ราวกับพึงพอใจกับมันเป็นอย่างมาก
เมื่อเห็นลู่หยวนเข้ามา ชายชราก็ชี้ไปยังพื้นที่ว่างเปล่าด้วยมือขวา จากนั้นเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าหนูลู่หยวน ในที่สุดข้าก็ได้พบเจ้า”
สีหน้าของซ่งชิงผู้อยู่ด้านข้างไม่แปรเปลี่ยนแต่อย่างใดหลังจากเห็นลู่หยวน แต่ดวงตาของเขาหรี่เล็กน้อยราวกับกำลังครุ่นคิดบางอย่าง
ลู่หยวนมองชายชราตั้งแต่หัวจรดเท้า จากนั้นก็ยิ้มหยันแล้วเอ่ย
“ผนึกพันดาราเก้าเตาหลอมอยู่กับเจ้างั้นรึ?”
ทั้งชายชราและซ่งชิงต่างตกตะลึง
ฝ่ายหลังยังหัวเราะอยู่ในใจ ลู่หยวนผู้นี้ไม่รู้จักฟ้าสูงดินต่ำ เขารู้หรือไม่ว่าชายชราผู้นี้เป็นใคร?!
วันนี้ซ่งชิงกับลู่หยวนอยู่ที่นี่ เมื่อพวกเขาได้พบกับชายชราก็ย่อมหมายความว่าต้องได้รับการสอนสั่งและชี้แนะบางอย่าง
แต่ลู่หยวนผู้นี้กลับเปิดปากพูดถึงผนึกพันดาราเก้าเตาหลอม วัตถุภายนอกเช่นนั้นไม่อาจเทียบได้กับการสอนสั่งและชี้แนะของชายชรา!
สายตาของชายชรานิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็แย้มยิ้ม “ผนึกพันดาราเก้าเตาหลอมนี้อยู่กับข้าจริง เจ้าต้องการงั้นหรือ?”
มุมปากของลู่หยวนยกยิ้ม ก่อนจะก้าวไปข้างหน้า แล้วเท้าของเขาก็เหยียบลงบนโต๊ะไม้ผุพัง ทำให้เงาของร่างกายปกคลุมไปทางชายชรา
“ตาเฒ่า ข้าหมายตาผนึกพันดาราเก้าเตาหลอมอยู่ รีบเอามันออกมาเดี๋ยวนี้!”
“ฮ่า ๆๆ”
ชายชราหัวเราะเสียงดังขณะลูบเคราสีเทาด้วยมือข้างหนึ่ง หลังจากผ่านไปหลายอึดใจ เขาก็หยุดมือก่อนจะมองลู่หยวน
“เจ้าหนู ไม่อยากรู้หรือว่าข้าคือใคร? รู้หรือไม่ว่าคำพูดของข้าคำเดียวมีค่ายิ่งกว่าผนึกพันดาราเก้าเตาหลอม! เจ้าไม่อยากฟังงั้นหรือ?”
ลู่หยวนคิ้วขมวดพลางหรี่ตาเล็กน้อย “เจ้าอยากพูดอะไรกันแน่?”
ชายชราจิบสุราแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “การที่พวกเจ้าสองคนมารวมตัวกันที่นี่ล้วนถูกกำหนดโดยสวรรค์”
ซ่งชิงผู้อยู่ด้านข้างรีบฟังอย่างตั้งใจ เขาทราบทั้งตัวตนและอุบายของชายชรา
ไม่มีคำพูดใดของชายชราผู้นี้ที่ไร้เหตุผล!
สิ่งที่ชายชราพูดเกี่ยวกับซ่งชิงและลู่หยวนในวันนี้ จะกลายเป็นจริงในอนาคตเช่นกัน!
หากทราบว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคตก็ควรเตรียมตัวเอาไว้!
ชายชราเอ่ยต่อ “นับตั้งแต่จุดเริ่มต้นของฟ้าดิน มนุษย์ห้ำหั่นกับมนุษย์ สัตว์ร้ายห้ำหั่นกับสัตว์ร้าย เจ้าต้องทราบไว้ด้วยว่าวันนี้สวรรค์ก็ห้ำหั่นกับสวรรค์!”
ชายชราเหลือบมองคนทั้งสอง “ข้าไม่ทราบหรอกว่าการห้ำหั่นระหว่างสวรรค์นั้นเป็นเช่นไร แต่การห้ำหั่นระหว่างมนุษย์เกิดขึ้นระหว่างพวกเจ้าทั้งสอง!”
“ข้าขอบอกตามตรง เส้นทางระหว่างแดนเซียนกับแผ่นดินหยวนหงถูกปิดกั้นมานานแล้ว แต่มันกำลังจะเปิดออกในไม่ช้า ซึ่งโอกาสในการเปิดมันนั้นขึ้นอยู่กับพวกเจ้าสองคน!”
ชายชราวางขวดน้ำเต้าสุราในมือบนโต๊ะแล้วเอ่ย “หากหนึ่งในพวกเจ้าตาย เส้นทางสู่แดนเซียนก็จะเปิดออก!”
“นี่คือโชคชะตาของพวกเจ้าและเป็นโชคชะตาของฟ้าดิน ไม่มีใครสามารถซ่อนเร้นหรือหลบหนีได้…”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซ่งชิงเหลือบมองลู่หยวน หัวใจเต้นรัว
นับตั้งแต่ที่ได้พบกับลู่หยวน เขาก็รู้สึกได้ถึงโชคชะตาบางอย่าง!
คาดไม่ถึงว่าจะมีความสัมพันธ์เช่นนั้นระหว่างลู่หยวนกับเขา เมื่อใครคนหนึ่งตายก็จะสามารถเปิดแดนเซียนได้!
เหอะ… มันต้องหมายถึงลู่หยวนตายอย่างแน่นอน!
อย่างไรลู่หยวนก็ต้องถูกฆ่า! มีเพียงการฆ่าลู่หยวนที่จะทำให้โชคชะตากับค่าโชคชะตาของเขาเพิ่มขึ้นมหาศาลอีกครั้ง!
เขามีทักษะหลายอย่างที่กำลังรอการพัฒนาโดยใช้ค่าโชคชะตาจำนวนมาก
ทันทีที่ลู่หยวนตายแล้วเส้นทางเปิดออก ทักษะเทวะจำนวนมากจะได้รับการพัฒนาอย่างสมบูรณ์ ถึงตอนนั้นเขาจะมีรากฐานในการเข้าสู่แดนเซียน!
แต่สีหน้าของลู่หยวนกลับไม่แปรเปลี่ยนราวกับสิ่งที่ชายชราพูดเป็นเรื่องเหลวไหล
ชายชราจับจ้องไปทางลู่หยวนเช่นกัน “เจ้าหนู อัตราการชนะของเจ้าในรอบนี้ลดลงนิดหน่อยนะ”
ชายชรามองไปทางประตูไม้ “สาวน้อยผู้อยู่ข้างกายเจ้าไม่ธรรมดา นางเป็นห่วงเจ้าจนถึงขั้นยอมเสี่ยงที่พลังแห่งโชคชะตาจะหายไป เพียงเพื่อคุ้มกันเจ้าและคุกคามข้าด้วยปราณกระบี่”
“เหอะ… แต่นางหารู้ไม่ว่าการรั่วไหลของพลังแห่งโชคชะตาจะทำให้เกิดปัญหาอื่นเร็วขึ้น! เจ้าหนู จงถนอมสาวงามผู้นี้เอาไว้ ไม่ช้านางจะเป็นผู้ทำลายโลก!”
บทที่ 536 วิถีโบราณปรากฏ รูปลักษณ์เซียนถูกทำลาย
บทที่ 536 วิถีโบราณปรากฏ รูปลักษณ์เซียนถูกทำลาย
ลู่หยวนฟาดฟันดาบสามคมฉิวหลงในมือ แล้วเสียง ‘ฟู่’ ก็ดังขึ้น ไม่ว่าคมดาบกวาดไปที่ใด พื้นที่ก็ฉีกขาดออกจากกัน
กลิ่นอายไร้เทียมทานอันน่าเกรงขามแผ่ออกมาจากร่างของลู่หยวน พลังประเภทนี้ไม่เหมือนกับอำนาจมังกรหรืออำนาจจักรพรรดิ มันเหมือนกับสิ่งที่อยู่เหนือทุกสรรพสิ่ง เป็นสถานที่ว่างเปล่าที่แม้แต่วิถีสวรรค์ก็ไม่สามารถสัมผัสได้!
ลู่หยวนยื่นมือซ้ายออกไปขณะสอดนิ้วทั้งสองเข้าหากัน เขาหลับตาเล็กน้อยแล้วพึมพำตัวอักษรที่ไม่รู้จักในอากาศธาตุ
สิ่งที่รูปลักษณ์เซียนพึ่งพาคือจิตเทวะของแดนเซียน แม้มันจะไม่ทราบว่าพลังที่ลู่หยวนมีนั้นคืออะไร แต่มันก็แน่ชัดแล้วว่าพลังดังกล่าวไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถขัดขืนได้ในตอนนี้!
อำนาจทั้งหมดของรูปลักษณ์เซียนระเบิดออกมา แต่กลิ่นอายที่สั่นสะเทือนทั่วหล้าหายไปทันทีที่ปะทุขึ้นราวกับถูกดูดกลืนโดยบางสิ่ง!
วิ้ง!
อักขระหมองหม่นซึ่งลอยอยู่ในอากาศธาตุรอบข้างรูปลักษณ์เซียนพลันส่งเสียง แล้วกลิ่นอายแสงสีทองอันน้อยนิดก็เริ่มเข้าสู่ร่างของอักขระเหล่านี้!
แต่ภายในเวลาอันสั้น อักขระเหล่านี้พลันมีชีวิตขณะสั่นสะท้านไปมา!
แสงสีทองจำนวนมากยื่นออกมาจากอักขระทั้งหลายขณะเชื่อมโยงเข้าหากัน
รูปลักษณ์เซียนตกอยู่ภายใต้แสงสว่างของอักขระเหล่านี้!
“นี่มันอะไร?”
รูปลักษณ์เซียนตกตะลึงชั่วขณะ เศษชิ้นส่วนที่ถูกฝังเอาไว้ในความทรงจำมาเนิ่นนานก็ถูกปั่นป่วน!
เมื่อเห็นกลิ่นอายสีดำเริ่มปรากฏขึ้นจากแสงสีทอง ใบหน้าของรูปลักษณ์เซียนก็มืดมนทันที
“ข้าเบื่อที่จะเล่นแล้ว! คนหนุ่มเช่นเจ้าช่างไร้คุณธรรมการต่อสู้!”
รูปลักษณ์เซียนคำรามเสียงดัง จากนั้นตะโกนไปทางห้วงอากาศไร้ที่สิ้นสุด “เจ้าเด็กคนนี้ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของวิถีสวรรค์ด้วยซ้ำ เขายังสามารถใช้อุบายของวิถีโบราณได้! เจ้ากำลังล้อเล่นกับข้าหรืออย่างไร!”
แต่ในห้วงอากาศอันไร้สิ้นสุด กลับไม่มีเสียงใดตอบกลับมา
รูปลักษณ์เซียนจะไม่ทราบได้อย่างไรว่าวิถีสวรรค์กำลังทำอะไรในตอนนี้ แม้วิถีสวรรค์จะเป็นกฎเกณฑ์ของโลกใบนี้ แต่ก็หาได้มีความเย็นชาไม่ ในโลกใบนี้ยังมีคนที่ถูกเลือกโดยวิถีสวรรค์อยู่
ดังนั้น พวกเขาจึงนับว่าเป็นราชาที่ได้รับเลือกจากวิถีสวรรค์เพื่อให้ดูแลที่นี่!
แต่หากมีใครบางคนบังคับให้ฆ่าคนเหล่านี้ มันก็เป็นการละเมิดต่อวิถีสวรรค์ แน่นอนว่ามันผู้นั้นจะต้องถูกลงทัณฑ์!
ตอนรูปลักษณ์เซียนมาที่นี่ก็พอจะทราบว่าเด็กคนนี้สังหารคนที่ไม่ควรถูกฆ่า แล้วตอนนี้วิถีสวรรค์ก็เข้ามาพัวพันกับสิ่งอื่น ดังนั้นมันจึงฝืนเศษเสี้ยวจิตเทวะของมหาจักรพรรดิทั้งหลายในแดนเซียนเข้าสู่รูปลักษณ์เซียน จากนั้นจึงบังคับให้ทำการสังหารอีกฝ่าย!
แต่คาดไม่ถึงว่าเด็กคนนี้จะไม่อยู่ภายใต้พันธนาการของวิถีสวรรค์ ถ้าเป็นเช่นนั้นก็คงไม่เป็นไร
ถึงอย่างไร ใครก็ตามในแดนเซียนที่ได้รับฉายาจักรพรรดิก็จะแยกตัวออกจากวิถีสวรรค์และไม่อยู่ภายใต้พันธการของอีกฝ่ายอีกต่อไป
วิถีสวรรค์จะไม่ผูกมัดมหาจักรพรรดิเหล่านี้ หากจิตเทวะของพวกเขาบางส่วนถูกดึงออกมาก็จะบังเกิดผลประโยชน์มากมายหลังจากเรื่องราวเสร็จสิ้น
ความสัมพันธ์ระหว่างวิถีสวรรค์กับมหาจักรพรรดิเหล่านี้เปรียบได้กับการว่าจ้าง
หากลู่หยวนไม่อยู่ภายใต้วิถีสวรรค์ รูปลักษณ์เซียนก็ต้องสู้จนถึงที่สุด แม้จะสามารถสังหารอีกฝ่าย แต่มันก็จะไม่ได้อะไร
ทว่าเด็กคนนี้กลับครอบครองค่ายกลต้องห้ามของวิถีโบราณ! เขาจะต้องเป็นคนที่มาจากที่นั่นไม่ผิดแน่!
การต่อสู้ระหว่างวิถีโบราณกับวิถีสวรรค์ดำเนินมานานแสนนาน การต่อสู้ระหว่างทั้งสองวิถียังดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง สิ่งมีชีวิตและโลกนับไม่ถ้วนคงอยู่และหายไปในการต่อสู้ดังกล่าว
รูปลักษณ์เซียนของมหาจักรพรรดิจิ่วเทียนคิดว่าตนเองกลายเป็นมหาจักรพรรดิ จนหลบหนีจากการต่อสู้ระหว่างทั้งสองและไม่เข้าไปพัวพันได้ในที่สุด
แต่ตอนนี้เรื่องราวมันต่างออกไป
วิถีโบราณแตกต่างจากวิถีสวรรค์ ซึ่งอย่างแรกอธิบายได้ยากและมีสิ่งมีชีวิตไม่มากที่อาศัยอยู่ภายในนั้น ดังนั้นมันจึงปกป้องข้อบกพร่องได้อย่างแน่นหนา!
แม้จะไม่มีผู้เสียชีวิตในการต่อสู้กับลู่หยวน แต่วิถีโบราณสามารถใช้สิ่งนี้เป็นข้ออ้างในการต่อสู้กับมหาจักรพรรดิจิ่วเทียนได้!
มหาจักรพรรดิจิ่วเทียนกลืนน้ำลาย เรื่องนี้ใช่ว่าจะรับมือได้ง่าย
วิถีสวรรค์ติดกับดับเข้าอย่างจัง!
หากติดกับวิถีโบราณขึ้นมา เจ้าก็ต้องสู้จนตัวตาย!
ต่อให้มีห้าพันดินแดนที่อยู่ภายใต้วิถีสวรรค์ก็ไม่เพียงพอจะให้เขาซ่อนตัว!
ลู่หยวนไม่ทราบว่ามหาจักรพรรดิจิ่วเทียนกำลังคิดอะไรอยู่ แต่เขาลืมตาขณะจับจ้องไปที่มือซ้าย โดยแสงสว่างไร้ที่สิ้นสุดห่อหุ้มร่างกายเอาไว้ ค่ายกลแสงสว่างดังกล่าวกระจายไปมาทั้งซ้ายขวา กลิ่นอายสีดำปกคลุมอากาศธาตุก่อนจะปกคลุมฟ้าดินจนสิ้น
ค่ายกลถูกกักขังและจองจำ หากเศษเสี้ยวจิตเทวะของมหาจักรพรรดิจิ่วเทียนติดอยู่ข้างใน ย่อมไม่มีทางเป็นอิสระได้!
ลู่หยวนถือดาบด้วยสองมือ แล้วเพลิงขุนพลสวรรค์ที่โชติช่วงก็ปกคลุมท้องนภาไปกว่าครึ่ง!
ในตอนนี้ ลู่หยวนเหมือนกับบุตรแห่งเทพอัคคีผู้ยืนอย่างภาคภูมิระหว่างฟ้าดิน!
เสียงคำรามมังกรดังมาจากเหนือดาบสามคมฉิวหลง แล้วมังกรมีเขาก็เคลื่อนตัวออกมาเกาะติดกับลู่หยวน
มหาจักรพรรดิจิ่วเทียนกัดฟันขณะยืนอยู่กับที่โดยไม่มีทีท่าจะขัดขืนแม้แต่น้อย
เนื่องจากมีเศษเสี้ยวจิตเทวะบางส่วนอยู่ที่นี่ อีกฝ่ายจึงสามารถนำจิตเทวะทั้งหมดของร่างจำแลงมาสู่โลกใบนี้เพื่อเพิ่มพลังให้กับรูปลักษณ์เซียนได้อย่างเต็มที่
แต่มันทำไม่ได้!
มันไม่สามารถมีส่วนร่วมระหว่างวิถีสวรรค์กับวิถีโบราณได้!
มันเป็นเพียงเศษเสี้ยวจิตเทวะที่ทำได้เพียงฝึกฝนเท่านั้น!
“เทพดาบ! อำนาจสวรรค์!”
ลู่หยวนตะโกน แล้วดาบสามคมฉิวหลงในมือก็ตัดผ่านท้องนภาก่อนจะฟาดลงไป!
เมื่อเกิดแสงวาบ ประกายดาบจากสวรรค์ชั้นเก้าที่ตัดผ่านฟ้าดินก็วูบไหวลงมาประหนึ่งคมดาบที่เคลื่อนลงมาจากกิโยตินอย่างรวดเร็ว!
ตูม! ตูม! ตูม!
ห้วงอากาศถูกปราณดาบบดขยี้ขณะเคลื่อนลงมาด้วยความเร็วสูง!
เคร้ง!
ตูม!
ประกายดาบเคลื่อนผ่านรูปลักษณ์เซียนอย่างรวดเร็ว ร่างของอีกฝ่ายก็ถูกแยกออกเป็นสองส่วน ก่อนประกายดาบที่เหลือจะตกกระทบลงกับพื้น
ชั้นเจตจำนงดาบนับไม่ถ้วนฉีกกระชากพื้นดินขณะโจมตีเป็นระลอกคลื่นไปทุกทิศทาง
ผู้ที่กำลังมองดูความตื่นเต้นรอบข้างยังคงไม่พูดอะไรจนกระทั่งรูปลักษณ์เซียนลมลงกับพื้นโดยไร้ทางขัดขืน พริบตาต่อมา ชั้นปราณดาบพลุ่งพล่านขณะกวาดผ่านไปทุกทิศทาง
“วิ่ง!”
ไม่ทราบได้ว่าผู้ใดในหมู่ฝูงชนเป็นคนตะโกนประโยคดังกล่าว
แต่ดาบเล่มนี้ทรงพลังจนสามารถสะบั้นรูปลักษณ์เซียนได้ด้วยการโจมตีครั้งเดียว ต่อให้พลังจะลดลงไปแล้ว แต่พวกเขาจะหลบเลี่ยงได้อย่างไร?!
ฟู่!
อำนาจดาบปกคลุมที่นี่ในพริบตาด้วยแสงสว่างขณะยังคงพุ่งเข้ามาจากระยะไกล
อำนาจดาบกระจายออกไปสามหมื่นลี้เป็นเวลากว่าสองถ้วยชาก่อนจะหยุดนิ่ง
ภายในระยะสามหมื่นลี้ที่มีลู่หยวนเป็นศูนย์กลาง ไม่หลงเหลือสรรพสิ่งแม้แต่น้อย
ปฐพีพังทลาย ซากปรักหักพังแตกสลายเป็นผุยผง ปราณดาบผันผวนอยู่เนิ่นนาน
อู๋เต้า เจิ้งชิงเทียน และสือจิ่วล้วนซ่อนอยู่ในจิตเทวะของลู่หยวนทันทีที่ปราณดาบเคลื่อนลงมา
ส่วนตี้อู่เหอซั่นใช้อุบายที่เหลืออยู่ในตอนแรกเพื่อหลบหนีจากภัยพิบัติระยะสามหมื่นลี้นี้จนกระทั่งสามารถหลบเลี่ยงได้เป็นผลสำเร็จ
ตี้อู่เหอซั่นยืนห่างออกไปสามหมื่นลี้ขณะเงยหน้ามองห้วงอากาศ
เกิดความเงียบระหว่างฟ้าดินชั่วขณะ มีเพียงลู่หยวนที่ยังคงยืนหยัด
ความรู้สึกโดดเดี่ยวนิจนิรันดร์ก็ปรากฏ
———————————
