บทที่ 545 ทัณฑ์ใจ
บทที่ 545 ทัณฑ์ใจ
ทุกคำพูดของชายชราประหนึ่งผู้เผยพระวจนะที่คอยชี้แนะให้กับดินแดน
เขาหรี่ตาเล็กน้อยจนดูเหมือนกับผู้ควบคุมสรรพสิ่งใต้หล้าที่อยู่ในกำมือ
ซึ่งผู้ที่สามารถฟังคำพูดของเขาได้ควรซาบซึ้งที่ได้เติมเต็มโชคชะตาที่อีกฝ่ายกล่าวถึง!
“เหอะ…”
ลู่หยวนพลันยิ้มหยันขณะง้าวมังกรครามแปดแดนร้างถูกเหยียดออกไปจนจ่อที่คอของชายชรา
“เจ้าไม่ได้ยินที่ข้าพูดงั้นหรือ? ข้าบอกว่าต้องการผนึกพันดาราเก้าเตาหลอม!”
ชายชราเงยหน้า “เจ้าหนู เจ้าสนใจสิ่งเล็กน้อยที่อยู่ตรงหน้างั้นหรือ? พื้นที่นี้เป็นของข้า ดังนั้นหากเจ้านำมันออกไปจะเกิดอะไรขึ้น?”
“เจ้าทำร้ายข้าได้หรือ? เจ้าหนู ข้าแนะนำให้เจ้าเก็บสิ่งนี้กลับไปเสีย ข้าจะแสร้งทำเป็นว่าไม่เคยเห็นมันมาก่อนและจะไม่สนพฤติกรรมต่ำทรามในวันนี้”
“ส่วนผนึกพันดาราเก้าเตาหลอม เดิมทีข้าจะให้พวกเจ้าทั้งสองแข่งขันกัน ใครฝีมือดีกว่าก็เอาไป แต่เห็นการกระทำในวันนี้ของเจ้าแล้ว ข้าจึงตัดสินใจที่จะมอบมันให้กับซ่งชิง”
เมื่อซ่งชิงได้ยินเช่นนี้ เขาก็กระหยิ่มยิ้มย่องในใจ “ขอบคุณผู้อาวุโส”
ชายชรายิ้มแล้วเอ่ย “ไม่จำเป็น”
จากนั้น ปลายนิ้วของเขาสัมผัสง้าวมังกรครามแปดแดนร้าง แล้วมันก็กระเด็นออกไปอย่างรุนแรงก่อนจะตกลงบนพื้น
“ลู่หยวน โปรดถอยออกไปด้วย”
ชายชราเอ่ยอย่างแผ่วเบา จากนั้นจึงหยิบขวดน้ำเต้าสุราบนโต๊ะ
แต่ลู่หยวนกลับหรี่ตาเล็กน้อยขณะจับจ้องไปทางชายชรา เขาก้าวเท้าเล็กน้อยเพื่อเหยียบไปบนขวดน้ำเต้า
ชายชราคิ้วขมวดด้วยสีหน้าไม่ยินดียิ่ง จากนั้นจิตสังหารก็ระเบิดออกมา “ลู่หยวน เจ้าคิดหรือว่าข้าไม่กล้าฆ่าเจ้า?”
“เหอะ…”
แม้ลู่หยวนจะยิ้มหยัน แต่น้ำเสียงของเขากลับเย็นชา “ถ้ากล้าฆ่าข้า เหตุใดจึงไม่เข้ามาเล่า?”
ฝ่ามือข้างหนึ่งฟาดมาทางศีรษะของลู่หยวน แต่เขากลับไม่หลบแต่อย่างใด จนกระทั่งฝ่ามืออยู่ห่างจากตรงหน้าเพียงสามเฟิน มันก็หยุดนิ่งจนไม่อาจขยับต่อได้อีก
ชายชรามองลู่หยวนด้วยสีหน้าเฉยชาราวกับพลังทั้งหมดทั่วหล้าอยู่ในกำมือของเขา
ผ่านไปสักพัก ชายชราก็ประหลาดใจเช่นกัน
หมายความว่าลู่หยวนรู้เรื่องทั้งหมดนี้แล้วหรือ?!
เป็นไปไม่ได้!
หากเป็นซ่งชิงก็ยังพอมีความเป็นไปได้อยู่บ้าง ถึงอย่างไรประสบการณ์กับตัวตนของเขาก็อาจจะข้องเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้
แต่ลู่หยวนอยู่ภายใต้ข้อจำกัดมากมาย เว้นแต่ว่า…
ชายชราคิ้วขมวดขณะจ้องมองไปที่กู้ชิงหรันผู้ปรากฏตัวด้านหลังลู่หยวนหลังจากที่บ้านร้างหายไป
หรือกู้ชิงหรันจะเป็นคนเล่าทุกอย่างให้ลู่หยวนฟัง?!
นี่…
ชายชราไม่ทราบว่าควรทำอย่างไร หากลู่หยวนทราบทุกอย่างอยู่แล้ว เช่นนั้นการตระเตรียมทั้งหมดก็อาจมีการเปลี่ยนแปลงครั้งแล้วครั้งเล่า!
ถ้าอย่างนั้น การนำลู่หยวนกับซ่งชิงมาอยู่ด้วยกันในวันนื้ถือเป็นการรบกวนหมากรุกทั้งกระดานหรือไม่?!
ถึงตอนนั้น…
เมื่อกระดานหมากรุกเกิดการเปลี่ยนแปลง เขาจะไม่ทำให้ผู้เล่นทั้งสองขุ่นเคืองใช่หรือไม่?!
“เหอะ…”
ขณะชายชรากำลังครุ่นคิด เสียงพ่นลมออกจมูกก็ดังขึ้น
ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากลู่หยวนที่ยืนอยู่ตรงหน้าชายชรา!
“กลัวหรือ?”
ลู่หยวนยังคงเย้ยหยันขณะสายตาเต็มไปด้วยความดูแคลน
ทันทีที่เข้ามาในบ้านร้างและเห็นชายชรา ลู่หยวนก็คล้ายกับทราบบางอย่าง
เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังและเคารพของซ่งชิง ลู่หยวนก็เข้าใจว่าชายชราผู้นี้ไม่ได้มาจากแผ่นดินหยวนหงแต่อย่างใด
แต่พวกเขาไม่ใช่คนจากแดนเซียนอีกแล้ว
พูดตามตรง มันก็คล้ายกับตี้อู่เหอซั่นผู้เคยมาจากแดนเซียนและถูกทิ้งไว้ที่นี่ในภายหลัง
เมื่อมองท่าทางของชายชรา เหตุผลที่ร่างกายของเขาไม่ตายก็คงไม่ต่างจากตี้อู่เหอซั่น
แต่เนื่องจากใช้อุบายบางอย่าง จึงทำให้เส้นชีพจรมัดกล้ามบนร่างของเขาเด่นชัดยิ่ง
เส้นชีพจรมัดกล้ามเคลื่อนผ่านทั่วแขนของชายชรา แล้วลู่หยวนก็มองเห็นข้อมือที่อยู่ในเสื้อคลุมเพียงเล็กน้อย
แต่แค่นั้นก็ทำให้ลู่หยวนทราบว่าเหตุใดชายชราจึงอยู่รอดในกายหยาบนี้มาได้
ของจริงเป็นเคล็ดวิชาต้องห้ามซึ่งถูกบันทึกไว้ในตระกูลลู่แห่งแดนเหนือ ว่ากันว่าผู้อาวุโสแข็งแกร่งในตระกูลจะคัดเลือกทายาทหนึ่งคนเพื่อคอยเลี้ยงดูตั้งแต่เกิด จากนั้นก็กินอาหารที่ปนเปื้อนโลหิตของทายาทผู้นั้นทุกวัน
ยามทายาทเติบใหญ่ พวกเขาสามารถลอกเปลือกจักจั่นสีทองออกมาได้ ก่อนจะเปลี่ยนจากกายหยาบเดิมไปสู่ร่างกายของทายาท
เคล็ดวิชาต้องห้ามนี้เป็นอันตรายต่อธรรมชาติ ทุกคนบนแผ่นดินหลักต่างพากันประณาม ดังนั้นมันจึงถูกผนึกเอาไว้อย่างเป็นเอกฉันท์
ส่วนสาเหตุที่ตระกูลลู่บันทึกเอาไว้ แน่นอนว่ามีใครบางคนเกิดความคิดที่จะใช้เคล็ดวิชาชั่วร้ายดังกล่าว แต่หลังจากถูกสมาชิกรุ่นเยาว์ของตระกูลพบเข้า พวกเขาก็ต่อสู้กันจนทำให้ผู้อาวุโสถึงแก่ความตาย
ถึงอย่างไร ตัวตนของเคล็ดวิชาชั่วร้ายดังกล่าวก็เป็นผลดีต่อผู้อาวุโส แต่สำหรับทายาทที่ถูกเลือกย่อมไม่ต่างจากหายนะ!
อีกอย่าง หากมีคนหนึ่งที่สามารถถ่ายทอดมรดกเช่นนี้ได้ ทั่วทั้งตระกูลก็จะมีผู้กุมอำนาจเพียงหนึ่งเดียวไม่ใช่หรือ?
ไม่ใช่ว่าพวกเขาพยายามอย่างหนักเพียงเพื่อได้อำนาจ ชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีและรับรู้ได้ถึงโชคชะตาของตัวเองหรอกหรือ?!
แต่หลังจากเรื่องนี้จบลง เคล็ดวิชาชั่วร้ายก็ถูกเก็บไว้ไม่มีใครแตะต้องอีก
ลู่หยวนเคยเห็นเคล็ดวิชาชั่วร้ายนี้ตอนทำการฝึกฝนในตระกูลลู่ เขาเพียงเหลือบมองสักพักก็สามารถจดจำมันได้
คาดไม่ถึงว่าวันนี้จะถึงกับได้เห็นของจริง!
เคล็ดวิชาชั่วร้ายนั่นช่างน่าสนใจ…
มุมปากของลู่หยวนยกยิ้ม หากเคล็ดวิชาชั่วร้ายนี้วิวัฒนาการ ไม่ว่าตระกูลจะทรงพลังแค่ไหน พวกเขาก็จะถูกคนผู้นี้กินทั้งเป็น!
ตอนนี้ชายชราแทบจะเข้าตาจน แต่แค่นั้นมันยังไม่พอ เขาจึงเลือกผลักไสตัวเองมาอยู่ตรงหน้าพายุอย่างลู่หยวนและซ่งชิง
เขาอาจจะคิดว่าเทือกเขาแห่งนี้เป็นอาณาเขตของตนเอง ดังนั้นทั้งลู่หยวนกับซ่งชิงจะต้องถูกกำราบและทำได้เพียงเชื่อฟังอย่างไร้ทางขัดขืน!
ลู่หยวนมองชายชราขณะร่างเหยียดตรง แล้วง้าวมังกรครามแปดแดนร้างในมือถูกกุมไว้มั่น
จากนั้นเขาก็หัวเราะแล้วเอ่ย “อาณาเขตของเทือกเขาแห่งนี้ ข้าทราบตั้งแต่เข้ามาที่นี่แล้ว ข้ายอมรับว่าเจ้ามีความสามารถหากอยู่ในพื้นที่นี้ หากอยู่ในอาณาเขตดังกล่าว ข้าคงถูกจำกัดจนไม่สามารถขัดขืนได้”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ชายชราก็ยิ้มหยัน “ก็ดีแล้วที่รู้ ข้าเกียจคร้านเกินกว่าจะโต้เถียงกับเจ้า ไม่อย่างนั้น วันนี้เจ้าคงถูกฆ่าไปแล้ว!”
“เหอะ… เจ้ากล้าหรือ?”
ลู่หยวนมองตรงไปที่ชายชรา “ถ้าเจ้ากล้าจริงก็คงลงมือไปนานแล้ว มีหรือจะมาเล่นละครตบตาอยู่ตรงนี้? ข้าขอเดาว่า…”
“สิ่งที่เจ้าพูดพอมีมูลอยู่บ้าง แต่สาเหตุที่เจ้ามาอยู่ที่นี่นั้น…”
“ข้าเชื่อว่าหากเจ้าไม่ทำเพื่อตัวเองก็คงถูกฟ้าดินลงทัณฑ์ เจ้ามาที่นี่ในวันนี้เพื่อพาข้ากับขยะนั่นมาอยู่ด้วยกัน สาเหตุก็มีแค่อยากรู้ว่าควรยืนอยู่ข้างใคร และใครจะสามารถพาเจ้าไปแดนเซียนได้ ใช่หรือไม่?”
ซ่งชิงผู้อยู่ข้างกายกัดฟันเมื่อได้ยินลู่หยวนพูดคำว่า ‘ขยะ’
แต่เมื่อหันสายตาไปมอง เขาก็เห็นสีหน้าประหลาดใจของชายชราจนตัวเองก็แข็งทื่อเช่นกัน
ลู่หยวน นี่เจ้าเดาแน่รึ?!
บทที่ 537 หมากรุก
บทที่ 537 หมากรุก
ภายในวังเซียนแห่งหนึ่งเหนือแดนเซียน กลิ่นอายเซียนปกคลุมอย่างอุดมสมบูรณ์ สัตว์ร้ายแปลกประหลาดทั้งหลายที่ไม่เคยปรากฏในแผ่นดินหยวนหงมาก่อนล้วนหมอบคลานอยู่บนพื้น
ผู้คนทั้งหลายกำลังถืออาวุธรายล้อมพวกมัน พวกเขาสวมชุดเกราะสีดำและมีกลิ่นอายมุ่งร้าย แต่ละคนกระชับอาวุธขณะคุ้มกันอาณาเขตอย่างแข็งขันและไม่กล้าละสายตาแม้แต่น้อย
บางครั้งก็มีสตรีสองคนถือของในสภาพสวมชุดกระโปรงสีแดงเข้มเคลื่อนผ่านมาอย่างสง่าผ่าเผย พวกนางย่างก้าวแผ่วเบา ทำให้ทุกคนที่กำลังสนทนาอย่างแผ่วเบาเมื่อครู่พากันปิดปากขณะก้มศีรษะเล็กน้อยแล้วปล่อยให้เดินผ่านไปอย่างเงียบงัน
สาเหตุที่คนเหล่านี้ให้ความเคารพก็เพราะในดินแดนขนาดใหญ่เช่นนี้ ห้องโถงเซียนดังกล่าวคือสถานที่ที่มหาจักรพรรดิจิ่วเทียนทำการฝึกฝน!
บนบัลลังก์ซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในห้องโถงเซียน ชายผู้หนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิโดยมีกลิ่นอายหนักอึ้งอยู่รอบข้าง
เขาสวมเกราะสมบัติโอ่อ่า ยามสูดลมหายใจ ชุดเกราะก็กระเพื่อมขึ้นลง แล้วอักขระโบราณสีแดงซึ่งอยู่บนนั้นก็เคลื่อนไหวเล็กน้อยเพื่อช่วยในการฝึกฝน!
คนผู้นี้คือร่างหลักของมหาจักรพรรดิจิ่วเทียน!
ทันใดนั้น! เขาค่อยลืมตาขึ้นขณะแสงสีทองกระจายออกมา แล้วกลิ่นอายไร้เทียมทานก็กวาดไปทั่วทั้งดินแดน!
ในตอนนี้ ทุกคนที่คุกเข่าไปทางห้องโถงเซียนพลางตะโกนเสียงดัง “ยินดีด้วยที่มหาจักรพรรดิออกจากการเก็บตัว!”
กลิ่นอายแข็งแกร่งยิ่งพุ่งมาแต่ไกล ทุกคนซึ่งอยู่ในดินแดนต่างตื่นตัวก่อนจะสะกดมันเอาไว้
กลิ่นอายนี้ทรงอำนาจยิ่ง มันไม่ด้อยไปกว่ามหาจักรพรรดิจิ่วเทียนแม้แต่น้อย!
กลิ่นอายดังกล่าวพาบุคคลผู้หนึ่งออกมานอกห้องโถงเซียน เสื้อผ้าของเขาล้ำค่าโอ่อ่า รูปลักษณ์เหมือนชายบ้างหญิงบ้าง แม้ใบหน้านุ่มนวล แต่ก็มีรอยแผลตรงหว่างคิ้วโดยจงใจ ยิ่งทำให้กลิ่นอายเย็นยะเยือก
“จิ่วเทียน ตอนนี้เจ้าออกจากการเก็บตัวแล้ว รีบมาประลองกับข้าโดยไว ข้าอยากรู้นักว่าเจ้าแข็งแกร่งขึ้นแค่ไหนหลังจากเก็บตัวมาได้หนึ่งหมื่นปี?!”
เสียงหัวเราะร่าเริงของชายคนนั้นยังคงดังต่อไป ขณะจิตวิญญาณก่อปรากฏในดวงตา
ทุกคนในดินแดนคำนับไปทางชายคนนั้นทันทีพร้อมกับตะโกนด้วยความเคารพ “ยินดีต้อนรับมหาจักรพรรดิเหลยอวี้!”
มหาจักรพรรดิเหลยอวี้ไม่ให้ความสนใจคนเหล่านี้ที่กำลังคุกเข่า ตอนนี้เขาเพียงอยากต่อสู้กับมหาจักรพรรดิจิ่วเทียน
ในตอนนี้ มหาจักรพรรดิจิ่วเทียนผู้กำลังนั่งอยู่ในส่วนลึกของห้องโถงเซียนมีสีหน้าชั่วร้ายอันน่าพรั่นพรึง!
เขาค่อยเงยหน้าขณะครุ่นคิดสิ่งที่เกิดขึ้นในแผ่นดินหยวนหงเมื่อครู่ มันคือสถานที่ที่เขาถูกกำราบและสังหารโดยอุบายวิถีโบราณ!
“แผนการของเจ้าเมื่อครู่ล้วนเพ่งเล็งมาที่ตัวข้าใช่หรือไม่!”
ไม่กี่อึดใจต่อมา เสียงตะโกนอีกเสียงก็มาจากโลกภายนอก
“จิ่วเทียน หรือว่าการบ่มเพาะของเจ้าไม่ก้าวหน้าแต่เป็นถดถอยจนไม่กล้าออกมา? ฮ่า ๆๆ หากเจ้าไม่กล้ารับคำท้า ข้าก็จะยึดครองแดนเก้าสวรรค์เพื่อเจ้าก็แล้วกัน!”
มหาจักรพรรดิจิ่วเทียนหันไปทางนอกห้องโถง เขาคล้ายกับนึกถึงบางอย่างก่อนความหดหู่เมื่อครู่จะหายไปในพริบตา
“เหอะ… เหลยอวี้หรือ?”
มหาจักรพรรดิจิ่วเทียนค่อยยืนขึ้นด้วยสายตาสงบ “ในเมื่อข้าถูกเจ้าลากลงไปในน้ำแล้ว เช่นนั้นก็ไม่มีใครในแดนเซียนที่จะทนอยู่เฉยได้อีกแล้ว!”
“แม้แต่ห้าพันดินแดนที่อยู่ใต้บัญชาของเจ้า ก็ไม่มีใครสามารถหลีกหนีความข้องเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ได้หรอก!”
“เจ้าไม่อยากต่อสู้กับวิถีโบราณงั้นหรือ? เดี๋ยวข้าจะให้พวกเจ้าทั้งสองต่อสู้กันเอง!”
จิตสังหารพลุ่งพล่านในดวงตาของมหาจักรพรรดิจิ่วเทียน แล้วมุมปากของเขาก็ยกยิ้มอย่างชั่วร้าย
“หากข้าไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้ พวกเจ้าทั้งหมดก็อย่าหวังเลย ฮ่า ๆๆ”
ไม่ทราบว่าที่นี่คือที่ใด มันไม่มีท้องนภา ไม่มีปฐพี ไม่มีชีวิต ไม่มีความตาย
ดินแดนกว้างใหญ่มีเพียงกลิ่นอายเบาบางจากที่ใดไม่ทราบ พวกมันฉีกกระชากพื้นที่นี้ก่อนจะกลายเป็นสิบเก้าเส้นแล้วประกอบเป็นกระดานหมากรุกขนาดใหญ่
กลิ่นอายกลุ่มหนึ่งกลายเป็นหมากรุกสีดำและขาวกระจายไปทุกหนแห่ง
ตึง!
สิ้นเสียงอันแผ่วเบา เบี้ยสีขาวก็ตกลงมาขณะทำการเคลื่อนไหวอย่างยอดเยี่ยมเพื่อตัดมังกรสีดำตัวใหญ่ที่เพิ่งถูกวางบนกระดาน
“เหอะ… ทักษะการเล่นหมากรุกของข้าพัฒนาขึ้นไม่น้อย”
เสียงที่แยกไม่ออกว่าเป็นชายหรือหญิงดังมาจากที่ใดไม่ทราบ จากนั้นเบี้ยสีดำก็ขยับอีกครั้ง การเคลื่อนไหวของมันไม่มีความพิเศษ ให้ความรู้สึกสบายเล็กน้อย
เสียงมั่นคงและเนิบช้าซึ่งอยู่ข้างเบี้ยสีขาวดังขึ้น “มิกล้า มิกล้า หากเป็นเรื่องทักษะการเล่นหมากรุก ท่านยังเหนือกว่าหลายขุมนัก ท่านสามารถพลิกสถานการณ์ทั้งหมดได้เพียงใช้หมากตัวเดียว นับว่าไม่ธรรมดา”
เสียงที่แยกไม่ออกว่าเป็นชายหรือหญิงบริเวณเบี้ยสีดำหัวเราะอย่างแผ่วเบาด้วยความยินดีเล็กน้อย “เมื่อทำหมากตัวนี้ล้มลง ข้าก็หมดความสนใจในตัวมันเพราะวาสนาของมันได้นำพามาถึงจุดนี้แล้ว แต่หมากตัวนี้ได้สร้างแรงผลักดันจนกลายเป็นจุดวิกฤติที่สุดของสถานการณ์ทั้งหมด”
“กระดานหมากรุกประกอบด้วยสิบเก้าเส้นและสามร้อยหกสิบเอ็ดจุด ในหมู่พวกมันมีดาวแปดดวงกับหนึ่งองค์ประกอบ เมื่อตัวหมากเคลื่อนลงไป มันจะไม่ใช่แค่ตัวหมากขนาดเล็ก แต่ยังส่งผลต่อสถานการณ์โดยรวม หากทุกสิ่งประกอบเข้าด้วยกันจนกลายเป็นตัวหมากขึ้นมา ต่อให้มันจะพ่ายแพ้ ทั้งกระดานก็จะไม่พ่ายตาม แต่ทันทีที่ข้าพ่ายแพ้ ทุกสรรพสิ่งจะแพ้พ่าย!”
เสียงของเบี้ยสีขาวดังขึ้นอย่างสงบขณะเอ่ยอย่างเนิบช้า “ซ่างเฉิน เวลาก็ล่วงเลยมาหลายปีแล้ว การต่อสู้ระหว่างเจ้ากับข้าผ่านมานานเท่าใดก็ไม่ทราบ หรือว่าเจ้าเพียงจะใช้ตัวหมากเพื่อตัดสินผลลัพธ์กับข้า?”
เบี้ยสีดำซึ่งอยู่อีกด้านหัวเราะอย่างแผ่วเบา “ไม่มีใครหยุดยั้งข้าได้แล้ว ไม่อย่างนั้นเจ้าคงไม่สามารถลากเจ้าเด็กสารเลวจากเก้าสวรรค์เข้ามาสู่สถานการณ์นี้ได้ อย่างที่เจ้าคาดเอาไว้ เจ้าเด็กสารเลวทั้งหลายจากแดนเซียนอาจจะเข้ามาพัวพันกับเรื่องนี้”
“แต่ว่า…”
เสียงของเบี้ยสีดำดูจริงจังขึ้นมาเล็กน้อย “ตามคำบอกเล่าของปรมาจารย์ เวลาน่าจะใกล้เข้ามาแล้ว เจ้ากับข้าสามารถปิดตาข่ายตามแผนที่วางเอาไว้ได้ ไม่ต้องห่วงเรื่องผลแพ้ชนะมากจนเกินไป มันเป็นเพียงคุณธรรมที่จะทำให้โลกทั้งเก้าตกอยู่ในความปั่นป่วน ”
อีกด้าน เบี้ยสีขาวย่อมเห็นพ้อง “ไม่ต้องห่วง แม้ข้าจะขัดแย้งกับเจ้ามาเนิ่นนาน แต่หากเป็นเรื่องใหญ่ พวกเราก็จะจับมือร่วมกัน ทันทีที่เจ้าเด็กสารเลวจากเก้าสวรรค์ออกมา สถานการณ์ก็จะคลี่คลายได้โดยง่าย แต่ว่า เจ้ายังต้องก้าวนำไปอีกขั้นจึงจะทำให้เรื่องราวเป็นไปด้วยดี แล้วเจ้าเด็กสารเลวพวกนั้นก็จะเต็มใจพัวพันกับเรื่องนี้”
“ดี” เสียงของเบี้ยสีดำเงียบไป จากนั้นกลิ่นอายอันเกรี้ยวกราดก็ตรงเข้ามา แล้วกระดานหมากรุกก็ถูกกวาดล้างจนเหลือเพียงความว่างเปล่า
บนโลกใบนี้ไม่หลงเหลือสิ่งใดราวกับเป็นสถานที่แห่งความตาย
แผ่นดินหยวนหง
ท่ามกลางซากปรักหักพังขนาดใหญ่ หมู่เมฆแยกออก ราตรีอันมืดมิดมาเยือนขณะปกคลุมท้องนภาด้วยแรงกดดันสีดำ มีเพียงคนเดียวที่ยืนอยู่ในห้วงอากาศ
ตี้อู่เหอซั่นมองลู่หยวนผู้อยู่บนท้องนภาขณะกลืนน้ำลาย หัวใจของนางผันผวนไปมา
แม้เป็นเพียงเศษเสี้ยวจิตเทวะของร่างจำแลงมหาจักรพรรดิจิ่วเทียน แต่มันก็ถูกเด็กคนนี้สังหาร!
ยิ่งไปกว่านั้น กลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากดาบเมื่อครู่เต็มไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์จนเทียบได้กับมหาจักรพรรดิ!
หากเด็กคนนี้สามารถก้าวเข้าสู่แดนเซียนและฝึกฝนอย่างเหมาะสม เขาอาจจะสามารถสังหารมหาจักรพรรดิเพื่อกลายเป็นมหาจักรพรรดิเสียเองได้!
หากนางสามารถติดตามลู่หยวนได้ สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้น…
ในความคิดของตี้อู่เหอซั่น ความทรงจำในอดีตทั้งหลายยังคงปรากฏขึ้นมา
หลังจากครุ่นคิดแล้ว นางก็เห็นลู่หยวนเคลื่อนลงมา
ตี้อู่เหอซั่นกัดฟันขณะกลับมาหาลู่หยวน นางพลันคุกเข่าให้อีกฝ่ายแล้วทำการคารวะ
“ตี้อู่เหอซั่นเต็มใจที่จะจงรักภักดีต่อท่าน โปรดพาข้าไปกับท่านด้วย!”
———————————
