บทที่ 561 ข่าวดีของฮ่วนซิงไป๋
บทที่ 561 ข่าวดีของฮ่วนซิงไป๋
เสวียนเทียนชวนรายงานรายละเอียดบางส่วนจบ แล้วลู่หยวนจึงตัดสินใจ
หลังจากผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง ทุกอย่างเป็นอันลงตัว!
สีหน้าของเสวียนเทียนชวนยิ่งผิดธรรมชาติหลังจากได้ฟังคำสั่งสุดท้ายของลู่หยวน
คำสั่งของลู่หยวนคือการกวาดล้างกองกำลังบนแผ่นดินหยวนหงเกือบครึ่งหนึ่ง
ไม่ต้องพูดถึงสิ่งอื่นใด กองกำลังเหล่านี้ที่มีเครื่องหมายอยู่บนแผนที่จะถูกกำราบทั้งหมดภายในเช้าวันพรุ่งนี้!
คำสั่งนี้ถูกส่งต่อไปยังเทียนเม่ยเอ๋อร์กับฉินอี่หานแห่งเขาบูรพา ตระกูลลู่กับสำนักอักขระสวรรค์แห่งแดนเหนือ รวมถึงตระกูลกับราชวงศ์จำนวนมากแห่งแดนมัชฌิม
เสวียนเทียนชวนสามารถจินตนาการได้ว่าหลังจากวันนี้ไป ทั่วทั้งแผ่นดินหยวนหงจะถูกปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายโลหิต
หลังจากผ่านไปหลายอึดใจ สีหน้าของเขาเริ่มหมองหม่นผิดธรรมชาติก่อนจะกลายเป็นสีหน้าคลุ้มคลั่งยิ่ง
วิธีการชี้นำขุนเขาธาราของลู่หยวนคือสิ่งที่เสวียนเทียนชวนปรารถนามาตลอดชั่วชีวิต!
ฟ้าดินกำลังปั่นป่วนระหว่างสนทนาและหัวเราะ! โลกตกอยู่ในความโกลาหล!
ซึ่งในตอนนี้ ลู่หยวนเปรียบเสมือนผู้ปกครองโลกา!
เสวียนเทียนชวนคำนับให้ลู่หยวนอีกครั้ง “นายท่านไม่ต้องห่วง ข้าจะต้องรวมกับคนที่เหลือให้ได้อย่างแน่นอน หลังจากคืนนี้ไป ข้าจะกำราบพวกที่เหลือให้สิ้นซาก!”
ลู่หยวนพยักหน้าและกำลังจะเอ่ยบางอย่าง
จากนั้นเขาได้ยินเสียงแห่งความยินดีดังก้องมาจากนอกวัง!
“บุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่ เหตุใดท่านไม่บอกข้าว่ากลับมาแล้ว! ข้าเพิ่งทราบเรื่องนี้จากอีเจี้ยนเอง!”
เสียงดังกล่าวช่างคุ้นเคยนัก เขาไม่ใช่ใครอื่นนอกจากฮ่วนซิงไป๋!
ลู่หยวนโบกมือเพื่อขอให้เสวียนเทียนชวนออกไป
เสวียนเทียนชวนตอบรับแล้วจากไป ทันทีที่ประตูห้องโถงเปิดออก เขาจึงเห็นฮ่วนซิงไป๋เดินเข้ามาด้วยท่าทางมีชีวิตชีวา!
ฮ่วนซิงไป๋ประสานมือเล็กน้อยเพื่อทำการทักทาย
ลู่หยวนมองฮ่วนซิงไป๋ตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วมุมปากจึงยกยิ้มอย่างมีนัย “จุ๊จุ๊จุ๊ ดูเหมือนจะมีเรื่องดีเกิดขึ้นกับเจ้าในช่วงที่ข้าไม่อยู่สินะ”
ฮ่วนซิงไป๋แย้มยิ้มขณะเกาศีรษะ “ท่านมองออกขนาดนั้นเลยหรือ?”
ลู่หยวนเอื้อมมือออกไปโอบคอของฮ่วนซิงไป๋ จากนั้นดึงเข้าหาตัวพลางคิ้วขมวด “พูดมา เจ้าได้มาตั้งแต่เมื่อไหร่!”
นับตั้งแต่ฮ่วนซิงไป๋เดินเข้ามากลางห้องโถงใหญ่ ลู่หยวนสังเกตเห็นพลังที่ไม่ได้เป็นของอีกฝ่ายปกคลุมอยู่ทั่วร่างเพื่อทำหน้าที่ปกป้องอย่างสุดความสามารถ
พลังดังกล่าวใกล้เคียงกับเจตจำนงกระบี่แห่งวิถีสวรรค์!
เจตจำนงดังกล่าวเป็นของกู่อี้เจี้ยน!
เจตจำนงกระบี่นี้ไม่ธรรมดา มันคือเจตจำนงดั้งเดิมของกู่อี้เจี้ยน
เจตจำนงกระบี่ดั้งเดิมนับว่ามีค่ามาก!
การที่ฮ่วนซิงไป๋ครอบครองเจตจำนงกระบี่นี้ย่อมไม่ต่างกับมีกู่อี้เจี้ยนอยู่ข้างกาย เขาสามารถฟาดฟันเจตจำนงกระบี่สูงสุดกับตัดผ่านฟ้าดินได้!
ยิ่งไปกว่านั้น ขอเพียงมีใครเข้าใกล้ฮ่วนซิงไป๋ กู่อี้เจี้ยนจะสามารถสัมผัสได้ทันทีไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม!
การนำเจตจำนงกระบี่ดั้งเดิมออกมาแล้วถ่ายทอดไปให้ผู้อื่นย่อมข้องเกี่ยวกับอายุขัยกับการบ่มเพาะ ซึ่งตามที่ลู่หยวนสัมผัสได้ กู่อี้เจี้ยนถ่ายทอดเข้าไปมากเช่นกัน!
จุ๊จุ๊จุ๊ สองคนนี้ไปญาติดีกันตั้งแต่เมื่อไหร่?!
ลู่หยวนจำได้ว่าตอนที่แยกจากกัน ทั้งสองไม่ได้มีความคืบหน้าแต่อย่างใด
หรือว่า… เขาจะพลาดของดีไปเสียแล้ว?
ฮ่วนซิงไป๋หัวเราะคิกคักทันทีที่ได้ยินคำถามของลู่หยวน เขายื่นมือไปคล้องคอของอีกฝ่ายแล้วเอ่ยอย่างหยอกล้อ “บุตรศักดิ์สิทธิ์ แม้ข้าจะเทียบเรื่องการบ่มเพาะกับท่านไม่ได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องการตกสตรี! จุ๊จุ๊จุ๊ ท่านไม่ได้ดีไปกว่าข้าหรอก!”
“ข้าไม่ได้จะโอ้อวดหรอกนะ แต่ด้วยพรสวรรค์ที่มีมาแต่เกิด ยังมีสาวน้อยคนไหนบ้างที่ไม่รู้สึกใจเต้นแรงเมื่อได้เห็นข้า?!”
“กู่อี้เจี้ยนตัวติดกับข้ามานานแล้ว! เมื่อเห็นความหลงใหลในตัวนาง ข้าก็เกิดเมตตาจนตอบตกลง จุ๊จุ๊จุ๊ เสน่ห์ของข้าช่างเกินต้านเหลือเกิน!”
“บุตรศักดิ์สิทธิ์ ท่านคิดว่าข้าควรสวมหมวกไผ่ยามออกไปข้างนอกหลังจากนี้หรือไม่ ไม่อย่างนั้น ยามสตรีทั้งหลายในโลกเห็นหน้าขึ้นมา ถ้าพวกนางไม่อยากแต่งกับข้าก็เป็นข้าที่อยากแต่งกับพวกนาง แต่ข้าไม่สามารถทำแบบนั้นได้ มันยุ่งวุ่นวายเกินไป”
ฮ่วนซิงไป๋เอ่ยคำอย่างจริงจัง เขาหรี่ตาเล็กน้อยราวกับตั้งใจใคร่ครวญเรื่องดังกล่าว!
ลู่หยวนยิ้มหยันขณะผละตัวออกจากฮ่วนซิงไป๋ “แค่เจ้าหรือ? เกิดเมตตางั้นหรือ? ข้ากลับคิดว่าว่ากู่อี้เจี้ยนจ่อกระบี่ที่คอของเจ้าเพื่อบังคับให้เห็นด้วยเสียมากกว่า”
ลู่หยวนมองออกนานแล้วว่ากู่อี้เจี้ยนแอบมีใจให้ฮ่วนซิงไป๋ แต่เป็นเพราะคิดถึงการพัฒนาเจตจำนงกระบี่ นางจึงเก็บงำเรื่องดังกล่าวจากฮ่วนซิงไป๋ไว้ชั่วคราว
ในระหว่างการต่อสู้ที่แดนมัชฌิม กู่อี้เจี้ยนคล้ายกับไม่ใส่ใจผู้อื่น แต่ยามอยู่กับฮ่วนซิงไป๋กลับต่างออกไป
แต่ฮ่วนซิงไป๋ผู้นี้กลับมองไม่เห็น!
ตอนนี้สำหรับกู่อี้เจี้ยน เรื่องวิถีกระบี่เป็นอันเสร็จสิ้นแล้ว คาดว่านางอยากจัดการเรื่องฮ่วนซิงไป๋เป็นอย่างต่อไป!
แม้ลู่หยวนเพียงเอ่ยคำอย่างไม่ใส่ใจ แต่ฮ่วนซิงไป๋กลับแสดงสีหน้าตกตะลึงก่อนจะถามด้วยความประหลาดใจ “บุตรศักดิ์สิทธิ์ ท่านรู้ได้อย่างไร? ข้าไม่เคยบอกเรื่องนี้กับข้าเลยสักคน! แม้แต่ท่านจักรพรรดินีก็ไม่ทราบ!”
ใบหน้าของฮ่วนซิงไป๋ดูย่ำแย่ขณะเอ่ย ”บุตรศักดิ์สิทธิ์ ท่านคงไม่รู้หรอก แม้ผู้หญิงคนนั้นจะดูเย็นชาและพูดน้อย แต่หลังจากเมามายขึ้นมากลับมีนิสัยก้าวร้าว! พอข้ารู้สึกตัวอีกทีก็มาอยู่ในห้องของนางแล้ว! ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนั้นแล้ว ข้าก็มีแต่ต้องไหลไปตามน้ำ!”
“หลังจากนั้น… แค่กแค่กแค่ก… ก็เป็นอย่างที่เห็น”
ใบหน้าของฮ่วนซิงไป๋ซีดเผือด “บุตรศักดิ์สิทธิ์ ท่านคิดว่าข้าเป็นคนที่จะปฏิเสธยอมรับความผิดงั้นหรือ? อีกอย่างอี้เจี้ยนได้หมั้นหมายกับข้าแล้ว เพราะงั้นจึงปล่อยเลยตามเลยไป! ยิ่งกว่านั้น พอถึงวันรุ่งขึ้น นางกลับไม่โกรธแถมยังมีท่าทีอ่อนโยนด้วย เหอะเหอะ”
เมื่อเอ่ยคำถึงตรงนี้ ใบหน้าของฮ่วนซิงไป๋ยังคงประดับด้วยรอยยิ้มราวกับตนเองเป็นฝ่ายกุมความได้เปรียบมหาศาลเอาไว้
ลู่หยวนกลอกตา “กู่อี้เจี้ยนมีการบ่มเพาะขั้นไหนถึงได้เมามายหลังจากดื่มสุราเข้าไป?”
ฮ่วนซิงไป๋พลันตกตะลึง ทันใดนั้นเขาตระหนักได้ก่อนจะยกมือขึ้น “จริงด้วย หากเป็นระดับการบ่มเพาะในตอนนี้ พวกเราจะเมามายได้อย่างไร?”
สิ้นคำ เขาก็นึกบางอย่างขึ้นได้ก่อนจะเอ่ยคำอย่างมั่นใจ “ไม่ใช่สิ แต่ตอนนั้นนางดูเมามาก! แค่พูดจาก็ยังเวียนหัวเลย!”
ลู่หยวนส่ายหน้าขณะตบบ่าของฮ่วนซิงไป๋ “น้องชายเอ๋ย นักล่าระดับสูงมักทำตัวเหมือนเหยื่อเสมอ เจ้ายังเด็กเกินไป”
ฮ่วนซิงไป๋ไม่เข้าใจว่าลู่หยวนหมายถึงอะไรขณะแสดงสีหน้าสับสนออกมา
ลู่หยวนมองเจตจำนงกระบี่ที่รายล้อมฮ่วนซิงไป๋ เจตจำนงเหล่านี้ทำให้กู่อี้เจี้ยนสัมผัสได้ว่ามีใครบ้างที่แตะเนื้อต้องตัวผู้ชายของนาง
สีหน้าของลู่หยวนยิ่งเต็มไปด้วยความเพลิดเพลินขณะกลั้นหัวเราะ “ข้าขอเตือนเจ้าหน่อยแล้วกัน อย่าหาเรื่องผู้หญิงเป็นอันขาด ไม่อย่างนั้น บางอย่างจะเกิดขึ้นในไม่ช้า!”
ฮ่วนซิงไป๋ยิ่งสับสนขณะเอ่ยถามต่อ ”หืม? บุตรศักดิ์สิทธิ์หมายความว่าอย่างไรหรือ? ท่านช่วยพูดให้มันชัดเจนหน่อย!”
ลู่หยวนหุบยิ้มขณะสีหน้าแปรเปลี่ยน “เลิกคุยได้แล้ว เหตุใดเจ้าถึงมาหาข้าในวันนี้? มีเรื่องสำคัญอะไรงั้นหรือ?”
ฮ่วนซิงไป๋พลันนึกขึ้นได้ จากนั้นจึงปกปิดสีหน้าอื่นเอาไว้แล้วเอ่ย “บุตรศักดิ์สิทธิ์ มีข่าวเกี่ยวกับเกาะสังหารเซียน!”
“หลังจากคนของแดนมัชฌิมจำนวนมากทำการสำรวจ พวกเขาก็พบว่ามีซากศพของทวยเทพอยู่บนเกาะสังหารเซียน!”
—————————————————-
บทที่ 553 ลู่ปู้ฝาน
บทที่ 553 ลู่ปู้ฝาน
แผ่นดินหยวนหง
เดิมทีมันเป็นวันที่มีลมแรงและแดดจัด ซึ่งทุกคนกำลังทำกิจธุระตามสถานที่ทั้งหลายบนแผ่นดินหลัก
แต่ทันใดนั้น ฟ้าดินสั่นสะเทือนราวกับมีหลุมดำปรากฏในท้องนภา!
กลิ่นอายนับไม่ถ้วนหมุนวนอยู่ภายใน โดยหมู่เมฆสีทองบดบังทั่วผืนฟ้า ทอดยาวไปเกือบทั่วทั้งแผ่นดิน!
ทุกคนบนแผ่นดินหลักเงยหน้ามองขณะคาดเดาในใจ
บ้างก็บอกว่าเป็นรูปลักษณ์ของสมบัติลับ บ้างก็บอกว่าเป็นการทำลายล้างของโลก
ทุกคนต่างพากันแสดงความคิดเห็น
มีเพียงผู้อยู่จุดสูงสุดของแผ่นดินเท่านั้นที่ทราบความหมายของเมฆสีทองที่กำลังแผ่กระจายในครั้งนี้!
“หลังจากผ่านมาหลายแสนปี ในที่สุดเส้นทางสู่แดนเซียนก็กำลังจะเปิดออกแล้วหรือ?”
ท่ามกลางตระกูลลู่แห่งแดนเหนือ บรรพชนผู้ไม่เคยปรากฏตัวมานับหมื่นปีก็ถอนหายใจออกมา
เมื่อทุกคนในตระกูลลู่ได้ยินประโยคนี้ พวกเขาต่างหันไปสักการะด้วยความเคารพยำเกรง
“ประมุขอยู่ที่ไหน!”
ทันทีที่สิ้นเสียง ร่างของลู่เทียนเหอก็ปรากฏบนเกาะภูเขางดงามในท้องนภา!
ด้านนอกเกาะดังกล่าวมีหมอกปกคลุมในอากาศธาตุ ซึ่งแต่ละกลิ่นอายเต็มเปี่ยมไปด้วยปราณวิญญาณ!
“ท่านบรรพชน!”
ลู่เทียนเหอคำนับพลางตะโกน
ชายผู้หนึ่งก้าวออกจากเกาะภูเขาก่อนจะมาอยู่ตรงหน้า
คนผู้นี้แต่งกายด้วยผ้าเนื้อหยาบ แม้เส้นผมจะเป็นสีขาวครึ่งหนึ่ง แต่กลับมีรูปลักษณ์ประหนึ่งเด็กหนุ่ม สิ่งที่น่าแปลกยิ่งกว่าคือ เขามีรูปลักษณ์เหมือนลู่หยวน!
ชายผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากบรรพชนแห่งตระกูลลู่… ลู่ปู้ฝาน!
“อีกไม่ช้า แดนเซียนนี้จะเปิดออกอีกครั้ง ถึงตอนนั้น มันจะเป็นโอกาสของพวกเราตระกูลลู่! แจ้งให้สัตว์ประหลาดเฒ่าตระกูลลู่ที่กระจายอยู่โดยรอบให้ทราบ บอกให้พวกเขาเตรียมตัวให้พร้อมรบทุกสถานการณ์ พวกเราต้องแน่ใจว่าจะต้องมีคนในตระกูลสามารถเข้าสู่ที่นั่นได้!”
“ขอรับ!”
แม้ลู่เทียนเหอจะตอบตกลง แต่ก็ไม่ได้ถอยกลับไปในทันที
ลู่ปู้ฝานคาดเดาได้เช่นกันว่าลู่เทียนเหอมีบางอย่างอยากจะพูด
“เจ้ากังวลอะไรหรือ?”
ลู่ปู้ฝานยิ้มเล็กน้อย เขาทราบดีว่าลู่เทียนเหอกำลังกังวลอะไร
คงไม่พ้นเรื่องลูกชายของเขา ลู่หยวน
ดังคาด ลู่เทียนเหอลังเลสักพักก่อนจะเอ่ย “ท่านบรรพชน ลู่หยวนเขา…”
ก่อนจะทันพูดจบ เขาก็ได้ยินลู่ปู้ฝานเอ่ย “ลู่เทียนเหอ เจ้าคิดให้ดีเสียก่อน เขาเป็นลูกชายของเจ้าจริงหรือ?”
“ข้าให้ทางเลือกกับเจ้ามานานแล้ว หากยืนกรานที่จะอยู่กับอู่หมิงเสวี่ยก็ทำไป แต่สิ่งที่ต้องจ่ายก็คือต้องกลายเป็นประมุขแบกรับความรับผิดชอบนี้เอาไว้บนบ่า!”
สายตาของลู่ปู้ฝานจับจ้องลู่เทียนเหอขณะเผยรอยยิ้มอ่อนโยน “ดูเถอะ ข้าให้เจ้าเลือกแล้ว ซึ่งเจ้าก็เลือกทางนั้น แต่มาตอนนี้กลับเสียใจในสิ่งที่ทำลงไปงั้นหรือ?”
ลู่เทียนเหอเอ่ยทันที “ท่านบรรพชน ข้า…”
“ลู่เทียนเหอ”
ลู่ปู้ฝานขัดลู่เทียนเหออีกครั้ง “ต้องใช้คนจากตระกูลลู่สามสิบคนถึงจะค้นพบความลับนี้ ซึ่งมันบังเอิญอยู่ในตระกูลของพวกเรา นี่มันหมายความว่าอย่างไร?”
“ไม่ว่าจะแดนเซียนหรือแผ่นดินหยวนหง สุดท้ายตระกูลลู่จะต้องได้ครอบครอง!”
“เดิมทีการเกิดของลู่หยวนเป็นแผนที่พวกเราวางเอาไว้ ทั้งรูปลักษณ์และรากเหง้าความแข็งแกร่งล้วนได้รับการขัดเกลาโดยพวกเรา! นับตั้งแต่ถือกำเนิดขึ้นมา เขาก็มีชะตาที่จะต้องทำภารกิจเพื่อตระกูลให้สำเร็จ! บัดนี้ภารกิจของเขากำลังจะลุล่วงแล้ว เจ้าคิดจะทำลายความพยายามอย่างหนักมาหลายปีของเขาอย่างนั้นหรือ?”
รอยยิ้มของลู่ปู้ฝานไม่แปรเปลี่ยน เขาทราบดีที่สุดว่าจุดอ่อนของลู่เทียนเหออยู่ตรงไหน
ลู่เทียนเหอผู้นี้รักลู่หยวนผู้เป็นลูกชายเพียงคนเดียวจริง แม้จะทราบดีว่าอีกฝ่ายเกิดมาจากแผนที่ตระกูลวางเอาไว้ ไม่ว่าจะให้การเลี้ยงดูหรือไม่ก็ไม่มีความแตกต่างแต่อย่างใด
แต่สุดท้ายก็ต้องดำเนินต่อไปโดยใช้ความตายของเขาเพื่อสร้างโอกาสให้สมาชิกตระกูลเข้าสู่แดนเซียน!
ถึงกระนั้นลู่เทียนเหอก็รักอู่หมิงเสวี่ยมาก ไม่ว่าจะเป็นตระกูลหรือลู่หยวน เขาต่างก็มีความรักให้ทั้งสิ้น
มันเป็นเรื่องง่ายที่จะควบคุมลู่เทียนเหอ
“ไม่ว่าอย่างไร เจ้าก็ยังเป็นเจ้า ข้าก็ใช่ว่าจะผูกมัดไว้ที่นี่เสียหน่อย เจ้าอยากทำอะไรก็ทำเลย”
ลู่ปู้ฝานหันร่างพร้อมกับเอามือไพล่หลัง แล้วเดินไปทางเกาะที่มีม่านหมอกทีละก้าว
“แต่ถ้าอู่หมิงเสวี่ยทราบว่าลูกชายสุดที่รักที่ตนเองเฝ้าดูแลทะนุถนอมเป็นอย่างดีกลับถูกสามีวางแผนจะให้ตายตั้งแต่ถือกำเนิด เกรงว่านางคงเศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างมากจนอาจถึงขั้นฆ่าตัวตายก็เป็นได้!”
“เฮ้อ ความตายของลูกชายตัวเอง การทรยศของผู้เป็นสามี นี่มันโศกนาฏกรรมอย่างไม่ต้องสงสัย…”
ร่างและเสียงของลู่ปู้ฝานหายไป
ลู่เทียนเหอยังคงโค้งคำนับไม่แปรเปลี่ยน สีหน้าของเขาน่าเกลียดถึงขีดสุด ไม่ช้าบริเวณหน้าผากก็เต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ
ลู่เทียนเหอหลับตาอยู่สองเค่อเต็ม ทันทีที่ยืดตัวตรง เขาก็รู้สึกเหมือนกับกลิ่นอายทั้งหลายถูกดูดออกไปก่อนจะทรุดตัวลงกับพื้น
“ภาพรวม… เหอะ… ฟ้าดินนี้ ภาพรวมนี้ ตระกูลนี้ โลกใบนี้…”
…
ใต้เขาบูรพา
ลู่หยวนกับกู้ชิงหรันต่างสวมชุดสีขาว ดูหรูหรายิ่งนัก
คนหนึ่งมีคิ้วคมกับดวงตาทอประกาย เปี่ยมด้วยอำนาจแก่กล้า ส่วนอีกคนสวมมงกุฎหยกกับปิ่นปักผมสีทอง รูปร่างหน้าตาสละสลวย
ไม่ว่าใครที่เห็นต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “สองคนนี้ช่างเหมาะสมเหลือเกิน!”
ทว่าหลังจากชายชราผู้อยู่ข้างกายถอนหายใจอย่างมีอารมณ์ เขาก็ยังคงสาปแช่งต่อไป
เขาถูกกู้ชิงหรันจับมัดเพื่อบังคับให้อยู่ที่นี่!
เมื่อมองดูท้องนภาก็คล้ายกับมีพลังมหาศาลบางอย่างกำลังปกคลุมลงมา!
เป้าหมายหลักของมันคือกู้ชิงหรันกับลู่หยวน
แต่ดูจากท่าทางของทั้งสอง พวกเขาน่าจะเตรียมตัวพร้อมแล้วเช่นกัน
แต่ว่า…
เขายังไม่ได้เตรียมพร้อม!
สหายเซียนเทพทั้งสองกำลังจะต่อสู้กับสวรรค์ด้วยกัน แล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้า!
ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้!
เขาอยากวิ่งหนีสุดชีวิต!
แต่เพราะถูกมัดไว้ที่นี่ ดังนั้นเขาอาจจะไม่ปลอดภัยจากลูกหลงดังกล่าว!
ถึงตอนนั้น เขาก็จะถูกสังหารทันที แล้วมันความผิดใคร?!
“บุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่…”
ชายชราเอ่ยอย่างระมัดระวัง “ท่านปล่อยข้าไปได้หรือไม่ ท่านต้องการอะไร พวกเราค่อยมาคุยกันก็ได้”
ตอนนั้นเองที่ลู่หยวนเพิ่งนึกได้ว่ามีบุคคลผู้นี้อยู่ข้างกายด้วย
“อ้าว ยังไม่ตายอีกหรือ”
ลู่หยวนเอ่ยทันทีที่เปิดปาก
ชายชราพูดไม่ออกชั่วขณะ แต่เขาก็ยังพยายามเอ่ยต่อไป “บุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่ จะต้องมีกลิ่นอายพิเศษเคลื่อนลงมาที่นี่อย่างแน่นอน ข้าเป็นเพียงซากศพ ย่อมไม่สามารถต้านทานได้ ไม่อย่างนั้นท่านคงไม่ปฏิบัติกับข้าเช่นนี้”
“มันไม่ใช่แบบนั้นหรอก”
ลู่หยวนแย้มยิ้มพลางส่ายหน้า “เจ้ามีประโยชน์มาก”
จากนั้นลู่หยวนหันมาหากู้ชิงหรันแล้วเอ่ย “เดี๋ยวก่อน ถึงพวกเราโจมตีไปก็ไม่รู้อยู่ดีว่าพลังนั้นคืออะไร เช่นนั้นก็มาลองกับตาเฒ่าด้วยการโยนขึ้นไป แล้วมาดูกันว่าเขาจะทนได้กี่อึดใจ”
กู้ชิงหรันพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “จริง”
สิ้นคำ กู้ชิงหรันก็จ้องเขม็งไปทางชายชราแล้วเอ่ยกับลู่หยวนต่อ “ตอนที่โยนขึ้นไป เจ้าต้องโยนให้สูงด้วยล่ะ”
“ได้”
ลู่หยวนพยักหน้าขณะเหยียดกายไปมา จากนั้นก็มายืนอยู่ข้างชายชราราวกับพร้อมที่จะโยนออกไปทุกเมื่อ
ชายชรารู้สึกเย็นยะเยือกไปถึงกระดูกขณะดวงตาหมองหม่น เขารู้สึกเสียใจสุดก้นบึ้งอยู่ภายใน
เหตุใดถึงไม่วิ่งหนีหลังจากลู่หยวนกับซ่งชิงจากไป!
และข้ายังแบ่งพลังบางส่วนไปให้กับเฉินจงแล้ว ข้ายังต้องเดิมพันกับเขา!
หากสามารถย้อนเวลากลับไปได้ เขาก็อยากฟาดตัวเองที่ปากสว่างเช่นนั้น!
