บทที่ 562 ยึดครองแดนมัชฌิม
บทที่ 562 ยึดครองแดนมัชฌิม
“ซากศพของทวยเทพหรือ?”
ลู่หยวนคิ้วขมวดเมื่อได้ยินเช่นนี้
ในแผ่นดินหยวนหง ผู้คนทั้งหลายต่างมุ่งหน้าไปเกาะสังหารเซียน ซึ่งตระกูลลู่ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้นำของกลุ่มเวิ้งทะเลแดนเหนือ
แน่นอนว่าแดนมัชฌิมมีกลุ่มเป็นของตัวเอง ซึ่งพวกเขามีคนจากตระกูลฮ่วนมาเข้าร่วมเช่นกัน
ทางด้านตระกูลลู่ นอกจากข่าวคราวที่ออกมาเมื่อคราวที่แล้วก็ไม่มีอะไรอีก
คาดไม่ถึงว่าฝั่งของฮ่วนซิงไป๋ยังคงมีข่าวกลับมา!
ทว่าซากศพของทวยเทพที่กล่าวมาข้างต้นคงไม่ใช่แค่ศพของคนจากแดนเซียนหรอกใช่ไหม?
ฮ่วนซิงไป๋เห็นความสงสัยของลู่หยวนก่อนจะเอ่ย “บุตรศักดิ์สิทธิ์ ซากศพของทวยเทพนี้ไม่ใช่คนจากแดนเซียน แต่เป็นทวยเทพที่แท้จริง!”
“ตามข่าว พื้นที่ห่างไกลของเกาะสังหารเซียนในตอนนี้ยิ่งแปลกประหลาด มันไม่เหมือนอย่างที่พวกเราจินตนาการเอาไว้ นอกจากซากศพของทวยเทพแล้ว ยังมีของอย่างอื่นอีก”
“เพียงแต่ข่าวคราวที่ได้รับมามีไม่มากและยังไม่แน่ชัดเท่าไหร่นัก บรรพชนของข้าบอกเอาไว้ว่าคราวนี้พวกเราต้องเตรียมตัวให้มาก เพราะไม่มีใครทราบว่าอะไรอยู่ภายในพื้นที่ห่างไกลนั่น”
ลู่หยวนพยักหน้า
เดิมทีเกาะสังหารเซียนนี้เป็นเส้นทางสู่แดนเซียนมันน่าจะเคยมีการต่อสู้ครั้งใหญ่เกิดขึ้นที่นั่น
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ามันอาจจะมีบางอย่างซ่อนเร้นอยู่
“ยังไม่ถึงเวลาเดินทาง บอกข้ามา เจ้าอยากพาใครไปบ้าง?”
ฮ่วนซิงไป๋พยักหน้า “ข้าบอกเรื่องพวกนี้ให้ท่านจักรพรรดินีทราบแล้ว ความคิดของนางเหมือนกับข้า นั่นก็คือนำกลุ่มของแดนมัชฌิมที่อยู่ใต้อาณัติของบุตรศักดิ์สิทธิ์ไปด้วย!”
กลายเป็นว่าลู่หยวนเคยทำข้อตกลงกับฮ่วนซิงไป๋ว่าจะพาไปด้วย เนื่องจากเขามีแผนที่ของเกาะสังหารเซียนอยู่ในมือ
คราวนี้ฮ่วนซิงไป๋เพียงอยากพาคนไปด้วยสองสามคน
เมื่อมองท่าทางของฮ่วนซิงไป๋ที่เคร่งขรึมยิ่งแล้ว ดูเหมือนว่าการเดินทางไปเกาะสังหารเซียนครั้งนี้คือสิ่งที่พิเศษยิ่งสำหรับอีกฝ่ายใช่หรือไม่?
ลู่หยวนพลันครุ่นคิดบางอย่างขณะมองฮ่วนซิงไป๋แล้วเอ่ย “ตระกูลฮ่วนของเจ้ามาที่แผ่นดินหยวนหงจากแดนเซียนแล้วไม่ได้กลับไป มันเป็นเพราะอะไรหรือ?”
หากลู่หยวนจำไม่ผิด ตอนบรรพชนของตระกูลฮ่วนมา เส้นทางระหว่างแดนเซียนกับแผ่นดินหยวนหงยังไม่ถูกปิด
เช่นเดียวกับพวกตี้อู่เหอซ่าน พวกเขาถูกบังคับให้อยู่ที่นี่เพราะเส้นทางถูกปิดจนไม่สามารถกลับไปได้
บรรพชนของตระกูลฮ่วนมีทางเลือกมากมาย แต่พวกเขายังคงอยู่บนแผ่นดินหยวนหงซึ่งเป็นสถานที่ด้อยกว่าแดนเซียนในทุกด้าน
หากบอกว่าไม่มีการวางแผน ลู่หยวนย่อมไม่เชื่อ
ฮ่วนซิงไป๋ตกตะลึงชั่วขณะราวกับคาดไม่ถึงว่าลู่หยวนจะถามแบบนั้น ดังนั้นเขาจึงแบมือแล้วเอ่ย “ข้าไม่ทราบเหมือนกัน”
ลู่หยวนเพียงส่งเสียงอืมขณะเอ่ยกับฮ่วนซิงไป๋สักพัก จากนั้นอีกฝ่ายจึงจากไป
ลู่หยวนเรียกไป๋ชิวเอ๋อร์เพื่อขอให้เตรียมของในการสร้างร่างกายใหม่ขึ้นมา หากแดนมัชฌิมไม่สามารถทำได้ เขาคงต้องปล่อยให้ตระกูลลู่กับสำนักอักขระสวรรค์จัดการ!
หลังจากถ่ายทอดคำสั่งเหล่านี้แล้ว ลู่หยวนก็อยู่คนเดียวในลานวัง
แม้ค่าโชคชะตาวายร้ายในตอนนี้จะเท่ากับศูนย์ แต่เขายังมีราชวงศ์อู๋ซวงคอยหนุนหลังอยู่!
ซึ่งค่าโชคชะตาจำนวนมากถึงเก้าแสนแต้มมากพอที่ลู่หยวนจะทำหลายสิ่งหลายอย่าง!
ยิ่งไปกว่านั้น ลู่หยวนสอบถามระบบว่าหากขอให้จักรพรรดิราชวงศ์อื่นยอมจำนนเหมือนกับฉินอี่หาน พละกำลังของราชวงศ์เหล่านั้นจะถูกเปลี่ยนเป็นค่าโชคชะตาวายร้ายหรือไม่
คำตอบของระบบคือได้!
ยิ่งไปกว่านั้น ระบบยังระบุว่าไม่เพียงแค่ราชวงศ์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงตระกูลกับสำนักอีกด้วย ขอเพียงลู่หยวนสามารถทำให้อยู่ใต้อาณัติหรือสามารถวางผู้ติดตามไว้ภายในนั้นได้ กองกำลังนี้ก็จะสามารถกลายเป็นค่าโชคชะตาวายร้ายไว้ให้เขาใช้ได้
ลู่หยวนยิ้มหยันอยู่ในใจเมื่อได้ยินเช่นนี้ แล้วระบบนี้กับระบบของซ่งชิงมันต่างกันตรงไหน?!
แม้กระทั่งการตั้งค่ายังเหมือนกันทุกประการ
ทว่ามันเป็นการเปิดเส้นทางใหม่สำหรับลู่หยวน
ลู่หยวนเกียจคร้านเกินกว่าจะจัดการกับกองกำลังขนาดเล็กเหล่านี้ เขาอยากจัดการกับกองกำลังขนาดใหญ่มากกว่า!
ยกตัวอย่างเช่น… แดนมัชฌิม!
จักรพรรดินีแดนมัชฌิมกู่จินเจาถือว่าอยู่ภายใต้การควบคุมของลู่หยวน
แม้เส้นชีพจรจักรพรรดิอยู่ภายใต้การควบคุมของลู่หยวน แต่สุดท้ายแล้วจักรพรรดินียังไม่ถือว่าเป็นผู้ติดตามของเขา
สำหรับลู่หยวนนับว่าเป็นเรื่องง่าย เขาเพียงต้องเพิ่มยันต์ให้กู่จินเจาเท่านั้น
ถึงตอนนั้น ทั่วทั้งแดนมัชฌิมจะสามารถเปลี่ยนเป็นค่าโชคชะตาที่มีเพียงลู่หยวนใช้ได้!
“ระบบ แดนมัชฌิมในตอนนี้สามารถแปลงเป็นค่าโชคชะตาได้มากเท่าไหร่?”
[ค่าโชคชะตาประมาณสิบล้านแต้ม!]
“ค่าโชคชะตาสิบล้านแต้มหรือ?”
ลู่หยวนประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนี้
ราชวงศ์อู๋ซวงมีค่าโชคชะตาเพียงเก้าแสนแต้ม
[สถานการณ์ในแดนมัชฌิมตอนนี้ยังคงดีขึ้น ดังนั้นค่าโชคชะตาจึงยังเพิ่มขึ้น!]
มุมปากของลู่หยวนยกยิ้มเล็กน้อย
เพียงแต่ค่าโชคชะตาของแดนมัชฌิมมากกว่าที่ซ่งชิงหาได้หลายเท่า!
เมื่อนึกถึงตรงนี้ ลู่หยวนก็พุ่งตรงไปไปหากู่จินเจาทันที
กู่จินเจาตกตะลึงเล็กน้อยเมื่อเห็นลู่หยวนมา เมื่อเขานำยันต์ออกมา นางก็ไม่ขัดขืน
นางถูกผูกมัดกับลู่หยวนแล้ว ตอนนี้ทั่วทั้งแผ่นดินหยวนหงทราบว่าแดนมัชฌิมหลังจากนี้มีจักรพรรดิผู้หนึ่งซึ่งไม่ได้อ้างสิทธิ์ในตำแหน่งดังกล่าว คนผู้นั้นก็คือลู่หยวน!
ยิ่งไปกว่านั้น กู่จินเจาทราบดีว่าหากติดตามลู่หยวน แดนมัชฌิมย่อมพัฒนาได้มาก แล้วตระกูลกู่จะยืนหยัดได้อย่างภาคภูมิเหนือตระกูลทั้งหลายในแผ่นดินหลัก!
“ชิ้ง!”
เมื่อยันต์ผสานเข้ากับคิ้วของกู่จินเจา เสียงท่องคาถาอย่างแผ่วเบาจึงดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงของระบบ
[กู่จินเจาจะกลายเป็นผู้ติดตามของท่าน แล้วแดนมัชฌิมจะกลายเป็นกองกำลังของท่าน! ค่าโชคชะตาเท่ากับสิบล้านแต้ม ท่านสามารถนำมาใช้เมื่อใดก็ได้!]
[แจ้งเตือนจากระบบ: เมื่อค่าโชคชะตาของท่านมากกว่าที่กำหนด มันจะทำให้พลังตกอยู่ในหายนะ! ทันทีที่ค่าโชคชะตาถูกระดมเสร็จสิ้น แม้กระทั่งเส้นชีพจรจักรพรรดิก็จะหายไป!]
ลู่หยวนไม่สนใจขณะกลับไปที่ลานบ้านของเขาเพื่อเตรียมเก็บตัวในช่วงไม่กี่วันข้างหน้า
เขาในตอนนี้มีทักษะเทวะมากมายที่ยังรอการพัฒนาอยู่!
ในห้องโถงโอ่อ่ายิ่งของลู่หยวน เขาเป็นคนเดียวที่นั่งขัดสมาธิก่อนจะหลับตา “ระบบ พัฒนาทักษะเทวะทั้งหมด!”
[ระบบรับทราบ! แจ้งเตือนจากระบบ: การพัฒนาทักษะเทวะของท่านในครั้งนี้มาพร้อมกับการพัฒนาการบ่มเพาะ! ขอให้ท่านโปรดให้ความสนใจ!]
หลังจากเสียงของระบบดังขึ้น ทั่วทั้งห้องโถงจึงตกอยู่ในความเงียบ
ส่วนท้องนภาเหนือห้องโถงใหญ่ราวกับถูกเจาะทะลวงภายใต้สายลมแรงกล้า หมู่เมฆอยู่ในส่วนลึกขณะเคลื่อนตัวอย่างต่อเนื่อง
ฟ้าร้องดังอย่างแผ่วเบาราวกับใครบางคนกำลังจะทะลวง!
บริเวณด้านนอกห้องโถงหลักของลู่หยวนมีผู้คนจำนวนมากที่มีระดับการบ่มเพาะค่อนข้างสูงจากตระกูลเสวียนยืนคุ้มกันทุกทิศทาง
หลังจากนั้น แม้แต่กู้ชิงหรันยังมาคุ้มกันลู่หยวนด้วยกระบี่ของตนเอง
ผ่านไปเพียงหนึ่งวัน ชายชราผู้หนึ่งถือหอกยาวได้มาถึงนอกตระกูลเสวียนด้วยสีหน้าจริงจัง
เสวียนเทียนชวนออกไปทักทายด้วยตัวเอง เขาไม่ใช่ใครอื่นนอกจากบรรพชนตระกูลหลิง!
เสวียนเทียนชวนประหลาดใจเล็กน้อยเช่นกัน ถึงกระนั้นยังคงเอ่ยถามอย่างสุภาพ “เหตุใดท่านถึงมาที่นี่?”
ขอเพียงหลิงอวิ๋นยังอยู่ ตระกูลหลิงย่อมถือว่าอยู่ภายใต้อิทธิพลของลู่หยวน
เสวียนเทียนชวนทราบดีว่าหลิงอวิ๋นไปที่อื่น ทำให้ช่วงนี้บรรพชนตระกูลหลิงรับหน้าที่ดูแลสถานการณ์โดยรวมแทน
ทว่าบรรพชนตระกูลหลิงไม่ได้เลวร้ายอะไร เขาช่วยตระกูลเสวียนอย่างสุดกำลังไม่ต่างจากตอนที่หลิงอวิ๋นยังอยู่ที่นั่น
ทที่ 554 เจ้าจะต้องดีกว่านางในวันนี้
บทที่ 554 เจ้าจะต้องดีกว่านางในวันนี้
ทว่ามันสายเกินกว่าที่จะตบหน้าตัวเองแล้ว เพราะกู้ชิงหรันจับเขามัดไว้ที่นี่
เมื่อมองไปทางลู่หยวน เขาก็ไม่เห็นโอกาสในการเจรจาแต่อย่างใด
ท่ามกลางหมู่เมฆเหนือท้องนภา ม่านหมอกสีทองก็สั่นไหว
หญิงสาวสวมผ้าคลุมผืนบางคนหนึ่งก้าวออกมาด้วยสีหน้าดูแคลน รอบกายนางเปล่งรัศมีสง่างามเรืองรอง
บริเวณด้านหลังยังมีผู้หญิงอีกคนสวมผ้าคลุมหน้า นางถือกล่องกระบี่เอาไว้ในมือด้วยท่าทีดวงตาหลุบต่ำแสดงความนบนอบ
หญิงสาวซึ่งอยู่ข้างหน้าจับจ้องไปทางกู้ชิงหรันทันที
“ไท่อี ถึงเวลากลับแล้ว”
หญิงสาวเอ่ยอย่างแผ่วเบา แม้น้ำเสียงของนางจะราบเรียบ แต่ยามเอื้อนเอ่ยกลับกลายเป็นเสียงของมหาวิถีประหนึ่งระฆังสีเหลืองที่ดังก้องในอากาศธาตุ
มันเคลื่อนลงมาสู่โลกใบนี้ประหนึ่งกฎเกณฑ์จากทวยเทพ!
เมื่อวิญญาณทั้งหลายในเขาบูรพาได้ยินเสียงดังกล่าว พวกมันต่างพากันคุกเข่าแล้วก้มศีรษะไปทางหญิงสาวด้วยท่าทีจริงจังยิ่ง!
ไม่มีร่องรอยของสิ่งมีชีวิตต่างแดนในดวงตาของหญิงสาวคนนี้ นางเพียงจับจ้องไปทางกู้ชิงหรันเท่านั้น
ส่วนกู้ชิงหรันหัวเราะแผ่วเบา แล้วทิวทัศน์รอบข้างก็หมองหม่น
“เหตุใดถึงเป็นเจ้า? เหยาจีล่ะ?”
หญิงสาวคนนั้นตะโกนด้วยความโกรธหลังจากได้ยินเช่นนี้ “โอหัง! เจ้ากล้ามาเอ่ยชื่อของมหาจักรพรรดินีได้อย่างไร!”
“ไท่อี เจ้าควรกลับไปกับพวกเราแต่โดยดี ไม่อย่างนั้นเมื่อท่านเทพสงครามตื่นขึ้น เจ้าอาจจะตกอยู่ในกรงขังไร้ขอบเขตอีกครั้งก็ได้!”
ลู่หยวนหลุบตาต่ำ สายตาของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาขณะมองไปทางหญิงสาวคนนั้น
ลู่หยวนไม่ได้อยู่ในสายตาของหญิงสาวคนนั้น แม้จะรู้สึกเย็นสันหลังวาบเล็กน้อย แต่นางก็ไม่ได้ใส่ใจแต่อย่างใด
กู้ชิงหรันถือกระบี่หักไว้ในมือขณะปราณกระบี่กวาดผ่านออกไป พวกมันก่อตัวเป็นค่ายกลกระบี่ในทันที!
“เลิกพูดจาเหลวไหลได้แล้ว หากต้องการพาข้าไปก็จงแสดงทักษะที่แท้จริงให้ได้เห็นซะ!”
หญิงสาวคนนั้นเย้ยหยัน “ไม่ยอมดื่มสุราคารวะ ชอบสุราลงทัณฑ์สินะ!”
นางยกมือข้างหนึ่งพัดผ่านอากาศธาตุอย่างแผ่วเบา แล้วตราประทับซับซ้อนยิ่งก็ปรากฏขึ้น
ห้วงอากาศทั้งหลายเริ่มบิดเบี้ยว!
กลิ่นอายหนึ่งจับจ้องไปทางกู้ชิงหรันอย่างรวดเร็ว!
ปราณวิญญาณรอบข้างกู้ชิงหรันถูกตัดขาดในทันที แล้วค่ายกลกระบี่จำนวนมากก็เริ่มสลายเช่นกัน!
ลู่หยวนผู้อยู่ข้างกายกู้ชิงหรันมีสีหน้าไม่ยินดียิ่ง ก่อนจะหันไปมองอีกฝ่าย “นางคือร่างแยกที่ถูกส่งมาจากแดนเซียนหรือ?”
กู้ชิงหรันพยักหน้า “เขตอาคมระหว่างแดนเซียนกับแผ่นดินหยวนหงยังไม่ถูกเปิดออก หากพวกเขาลงมาก็ไม่สามารถกลับไปได้ เพราะอย่างนั้นจึงต้องทิ้งร่างจำแลงเอาไว้ ในเมื่ออีกฝ่ายทำแบบนี้ หมายความว่าไม่ได้มีความตั้งใจจะถอยกลับอยู่แล้ว”
“ข้าจะพาเจ้ากลับไปได้อย่างไร?”
กู้ชิงหรันชูกระบี่หักขึ้น “หากกระบี่กลับ ข้าก็จะกลับ”
ลู่หยวนหลุบตาราวกับกำลังครุ่นคิด
“เหอะ…”
หญิงสาวที่อยู่เหนือห้วงอากาศเผยรอยยิ้มหยันออกมา “ไท่อี ที่เจ้าไม่ยอมกลับเป็นเพราะเริ่มมีความรู้สึกนึกคิดแบบมนุษย์แล้วงั้นหรือ?”
“เจ้าติดตามเทพสงครามมาหลายปี แต่วิสัยทัศน์คับแคบจนตกหลุมรักผู้ชายจากแดนมนุษย์เชียวหรือ แม้เขาจะหล่อเหลาก็จริง แต่ดูจากการบ่มเพาะแล้ว… จุ๊จุ๊จุ๊…”
ลู่หยวนคิ้วขมวดเล็กน้อยขณะค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น “จุ๊หาอะไร ผักติดฟันหรือ”
ผู้หญิงคนนั้นสำลักทันทีก่อนใบหน้าจะแปรเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ “ช่างเป็นเด็กหนุ่มที่ปากจัดเสียจริง! ดูซิว่าถ้าเลาะฟันหมดแล้วจะยังปากดีอีกหรือไม่!”
สิ้นคำ ความเร็วของการร่ายผนึกในมือของหญิงสาวก็เพิ่มขึ้น เพียงพริบตา ผนึกจำนวนมากก็ปรากฏ!
กลิ่นอายทั้งหลายซึ่งอยู่รอบข้างลู่หยวนพลันถูกกดดัน
แม้กระทั่งพวกตี้อู่เหอซ่านที่อยู่ในจิตเทวะของลู่หยวนก็ยังหายใจไม่ออก!
มิใช่แค่ลู่หยวนไม่สามารถระดมสุดยอดพลังทั้งหลายที่เกิดจากปราณวิญญาณได้เท่านั้น แม้กระทั่งพลังสามสั่นสะเทือนก็ยังถูกปิดกั้นเอาไว้!
“เจ้าหนู เจ้ามันช่างโง่เขลานัก แม้เจ้าจะมีการบ่มเพาะในโลกมนุษย์อยู่บ้าง แต่มันไม่อาจเทียบเคียงกับคนในแดนเซียนของข้าได้หรอก”
“พวกข้าผู้มาจากแดนเซียนเปรียบได้กับทวยเทพในสายตาของเจ้า เป็นเพียงมนุษย์แต่กล้ามารุกล้ำทวยเทพได้อย่างไร?!”
เสียงของหญิงสาวไพเราะเสนาะหูขณะดังก้องไปทั่วหล้า นางจงใจลากเสียงยาวเพื่อแสดงพลังอันยิ่งใหญ่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนจนเกิดเป็นคลื่นกระแทกทีละชั้น
สรรพสิ่งที่คุกเข่าอยู่บนพื้นยิ่งสั่นสะท้านจนไม่กล้าขยับเขยื้อน
นางคล้ายกับยินดีที่ได้เห็นการบูชาจากสิ่งเหล่านั้นก่อนจะเชิดหน้าสูงยิ่งขึ้น “ผู้คนในโลกมนุษย์นั้นต่ำต้อย ต่อให้ข้าเป็นเพียงร่างจำแลงในโลกนี้ ต่อให้ข้าจะก้าวข้ามเขตอาคมจนไม่ได้มีพลังเทียบเท่าแต่ก่อน แต่สำหรับข้า การสังหารพวกเจ้าทั้งแผ่นดินย่อมเป็นเรื่องที่ง่ายดายนัก!”
“เจ้าหนู จงคำนับสองสามครั้งสิ แล้วข้าจะไว้ชีวิต”
แม้หญิงสาวจะก้มมองเห็นลู่หยวนยืนตัวตรงในห้วงอากาศ แต่นางก็ไม่ประหลาดใจ
นอกจากเด็กคนนั้นแล้วยังมีกู้ชิงหรัน แม้นางจะถูกจองจำโดยตราประทับทั้งหลาย แต่ก็ยังมีพลังปกป้องลู่หยวนอยู่
ปราณกระบี่กวาดผ่านข้างกายของลู่หยวนเพื่อป้องกันไม่ให้ถูกแทรกแซงจากชั้นกลิ่นอายอันสง่างาม
กู้ชิงหรันมองไปทางลู่หยวนก่อนจะเห็นจิตสังหารนับไม่ถ้วนในดวงตาของอีกฝ่าย ดังนั้นนางจึงเพียงเอ่ยถาม “ต้องการปราณกระบี่ปกป้องเจ้าหรือไม่?”
“เหอะ”
ลู่หยวนยิ้มหยัน “สำหรับหญิงแก่หน้าเหลืองแบบนี้ ไม่จำเป็นหรอก”
หญิงสาวซึ่งอยู่เหนือห้วงอากาศจะไม่ทราบได้อย่างไรว่า ‘หญิงแก่หน้าเหลือง’ หมายถึงตน?!
สีหน้าของนางยิ่งย่ำแย่กว่าเดิม ตนเองเป็นถึงขุนนางหญิงผู้อยู่ข้างกายจักรพรรดินีเหยาจีเชียวนะ!
ทั่วทั้งวังจักรพรรดิ หากไม่นับจักรพรรดินีเหยาจี นางก็นับว่างามสะพรั่งมากที่สุด!
ทั้งที่ผู้อื่นต่างพากันสรรเสริญ แต่เด็กคนนี้กลับเรียกนางว่าหญิงแก่หน้าเหลืองงั้นหรือ?!
เขาถึงขั้นข่มขู่ว่าจะเฆี่ยนตีนาง กล้าพูดออกมาได้อย่างไร!
เด็กคนนี้ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเสียจริง!
เหตุใดไม่คุยโวเลยว่าสามารถเอาชนะมหาจักรพรรดิในแดนเซียนจนสามารถมาเห่าหอนเช่นนี้ได้เล่า! เหตุใดไม่คุยโวว่าเจ้าสามารถบดขยี้วิถีสวรรค์เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเสียเลยล่ะ!
แต่สิ่งที่นางไม่ทราบก็คือความคิดเมื่อครู่นั้นล้วนเคยเกิดขึ้นจริงมาแล้ว…
แน่นอนว่าเรื่องทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นในภายหลัง
“เจ้าหนู ช่างรนหาที่ตายนัก!”
หญิงสาวสะบัดมือขวาขณะกลิ่นอายทรงพลังกวาดผ่านทั่วท้องนภา ชั้นห้วงอากาศเคลื่อนตัวและสั่นสะเทือนไปมาก่อนจะตรงเข้าหาลู่หยวนทั้งหมด
ปราณกระบี่ของกู้ชิงหรันที่ปกป้องรอบข้างลู่หยวนกางออกชั่วขณะ จากนั้นก็ค่อย ๆ หายไป
ลู่หยวนยื่นมือขวาออกไปแล้วยกชายชราผู้แสร้งตายไปแล้วจากข้างกาย
ชายชราแทบยัดหัวเข้าไปในกางเกงตั้งแต่ผู้หญิงสองคนนั้นปรากฏตัวขึ้นด้วยเกรงว่าลู่หยวนจะคิดถึงเขาอีกครั้ง
ทว่าอีกฝ่ายก็ยังคงจับยกขึ้นมา
ชายชราเกิดการรู้แจ้ง เขาเพียงรู้สึกว่าวันนี้ตนเองคงไม่รอดแล้ว
ทว่าเขายังอยากต่อสู้จนตัวตายอยู่ดี
ใบหน้าที่เหนื่อยล้าของชายชราพลันย่ำแย่ราวกับเพิ่งเสียแม่ก่อนจะร่ำไห้ “บุตรศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีพื้นที่ให้เจรจากันจริงหรือ?”
“แม้ข้าจะไม่ควรพูดเช่นนี้ แต่ท่านเอาชนะนางไม่ได้หรอก ทำไมพวกเราไม่หนีโดยมีข้าให้การคุ้มครองท่านเล่า?”
ลู่หยวนคิ้วขมวด “นางเป็นคนมากฝีมือในแดนเซียนหรือ?”
ชายชราตอบตามตรง “องครักษ์ส่วนตัวของมหาจักรพรรดินับว่าเป็นมือดีที่สุดในแดนเซียน ต่อให้เป็นเพียงร่างจำแลงก็ยังมีสถานะหลงเหลืออยู่บ้าง”
“เจ้าก็เทียบนางไม่ได้หรือ?”
“ไม่ได้”
ชายชราส่ายหน้าด้วยท่าทีเศร้าสลดยิ่ง
เป็นเรื่องจริงที่เขาเคยครองตำแหน่งในแดนเซียนเมื่อนานมาแล้ว แต่ในตอนนั้นก็ไม่อาจเทียบได้กับองครักษ์ของมหาจักรพรรดิ บัดนี้กาลเวลาผ่านมาหลายปีแล้ว ตนเองย่อมไม่เหลือสิ่งใด
ลู่หยวนยิ้มกว้าง แล้วรอยยิ้มดังกล่าวก็ปรากฏในดวงตาของชายชราราวกับจะทะลวงเข้าไป
“เช่นนั้นเจ้าจะต้องดีกว่านางในวันนี้ ข้าจะช่วยเจ้าทุบตีนางให้ตายเอง!”
