ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา – บทที่ 565 ประมุขแห่งแดนเซียน

ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา

บทที่ 565 ประมุขแห่งแดนเซียน

บทที่ 565 ประมุขแห่งแดนเซียน

“เป็นเรื่องตลกงั้นรึ?”

ในที่สุดมหาจักรพรรดิตงฟางก็ยิ้มออกมา ทว่ากลับแผ่รังสีอันมืดมนลงอีกหนึ่งระดับ เหล่าประมุขทั้งหลายต่างก็สามารถรับรู้ได้ถึงแรงกดดันของบรรยากาศโดยรอบ

สายตาของมหาจักรพรรดิตงฟางค่อย ๆ ทอดมองลงมายังจักรพรรดินีเหยาจี “หมากแค่เพียงไม่กี่ตัว มีอะไรให้น่าขัน”

หลังจากเอ่ยจบ มหาจักรพรรดิตงฟางก็เบนสายตาไปยังห้วงมิติอันว่างเปล่า

ฝ่ายจักรพรรดินีเหยาจีนิ่งเงียบไปชั่วขณะ ทันใดนั้นก็สะกิดใจกับคำว่า “หมาก” ที่มหาจักรพรรดิตงฟางเพิ่งเอ่ยถึงนั้น มิได้หมายถึงเพียงแค่ลู่หยวน และไท่อี แต่เป็นพวกท่านทั้งหลายที่อยู่ในที่แห่งนี้ต่างหาก

มหาจักรพรรดิจิ่วเทียนรับรู้ถึงสีหน้าของทั้งสองคน เขาเข้าใจนัยที่ซ่อนเร้นในถ้อยคำของมหาจักรพรรดิตงฟางได้เป็นอย่างดี

จากนั้นจึงเอ่ยว่า “ตามความคิดของข้า จิตเทวะที่มหาจักรพรรดิตงฟางแยกออกมาในคราครั้งนี้ก็ไม่อาจสังหารลู่หยวนได้! กลเม็ดของเด็กหนุ่มผู้นี้ล้วนมาจากวิถีโบราณ”

“แต่กระนั้น… ก็น่าสนใจยิ่งนัก”

“ในเวลาเพียงไม่นาน ทั้งข้า และมหาจักรพรรดิตงฟางต่างก็ถูกวิถีสวรรค์ดึงพลังไปเพิ่มให้กับลู่หยวนโดยตรง ส่วนจักรพรรดินีเหยาจีก็ยังคงประมือกับลู่หยวนไม่เลิกรา”

“ดูเหมือนว่าจนถึงบัดนี้ พวกเราได้เผชิญหน้ากับเจ้าหนุ่มผู้นั้นมาแล้วสามหน และพ่ายแพ้ไปถึงสองครา”

เมื่อมหาจักรพรรดิเหลยอวี้ได้ยินดังนั้น แววแห่งความปรารถนาในการต่อสู้ก็ฉายชัดในดวงตาขึ้นมา “ข้าใคร่จะประลองฝีมือกับเจ้านั่นสักหน่อย วิถีโบราณงั้นรึ? ข้าผู้นี้ยังมิไม่เคยได้สัมผัส”

ท่ามกลางเหล่าจักรพรรดิที่มิมีผู้ใดเอ่ยถ้อยคำออกมา ปรากฏว่ามีเสียงตำหนิหนึ่งแทรกขึ้น “มหาจักรพรรดิเหลยอวี้ หากเจ้าคลั่งไคล้การต่อสู้ถึงเพียงนี้ ก็จงคลั่งไปคนเดียวเถิด! ที่พวกเรามารวมตัวกันในคราวนี้ ก็เพื่อปรึกษาหารือ มิใช่มาเพื่อต่อสู้กับเด็กหนุ่มจากแดนชั้นต่ำ!”

เหล่าประมุขที่เหลือต่างก็หันไปมองอย่างพร้อมเพรียงกัน ซึ่งพบว่าประมุขผู้เปล่งเสียงนั้นมีใบหน้าที่แปลกประหลาดนัก

ใบหน้าด้านซ้ายแสดงสีหน้าโกรธเกรี้ยว ราวกับว่าพร้อมจะพุ่งเข้ามาฟาดฟันกับบรรดาประมุขเหล่านี้ได้ทุกเมื่อ

ทว่าใบหน้าด้านขวากลับเปี่ยมด้วยความสุภาพอ่อนโยน ประดับด้วยรอยยิ้มบาง ๆ

ประมุขผู้นี้ก็คือ มหาจักรพรรดิตงฟาง!

ประมุขผู้นี้เป็นอีกหนึ่งในผู้ที่มีความแปลกประหลาดที่สุด

ประมุของค์อื่น ๆ ต่างก็ครองบัลลังก์เพียงผู้เดียว และครอบครองดินแดนเพียงแห่งเดียว แต่สำหรับมหาจักรพรรดิตงฟางผู้นี้กลับเป็นพี่น้องสององค์ที่ได้รับการสถาปนาขึ้นด้วยกัน

แต่เริ่มเดิมที บัลลังก์ประมุขมีเพียงแค่หนึ่งเดียวเท่านั้น จะมิอาจมีถึงสองพระองค์ได้

แต่การที่ทั้งสองได้รับการสถาปนาเป็นประมุขนั้นก็เป็นเรื่องจริงที่มิอาจปฏิเสธได้เช่นกัน เมื่อมีความขัดแย้งเกิดขึ้น ทั้งสองก็ได้รวมกันเป็นหนึ่งเดียวได้อย่างอัศจรรย์ และได้รับการสถาปนาเป็นประมุขในที่สุด

จึงได้เป็นเช่นที่เห็นในปัจจุบัน ทั้งสองพระองค์ต่างก็แบ่งปันร่างกายร่วมกัน

แม้แต่อาภรณ์ของมหาจักรพรรดิตงฟางก็แปลกประหลาดยิ่งนัก

ด้านซ้ายของเขานั้นเปลือยกาย ผิวพรรณของเขาเป็นสีทองแดง มีกล้ามเนื้อเป็นมัด ส่วนด้านขวานั้นแลดูสง่างามในอาภรณ์สีขาว มือขวานั้นก็ถือพัดหยกเอาไว้

“น้องเล็กเอ๋ย มิต้องโกรธเคืองถึงเพียงนี้ พวกเราแค่พูดคุยกันเท่านั้นเอง นับตั้งแต่ได้ขึ้นเป็นประมุข พวกเราก็มิเคยได้มารวมตัวกันเช่นนี้มาก่อน ส่วนเรื่องที่ต้องตัดสินใจนั้น ไม่ต้องรีบร้อน ค่อย ๆ คิดค่อย ๆ ตัดสินใจกันก็ได้”

ด้านขวาของใบหน้าซึ่งแย้มรอยยิ้มอ่อนโยนเอ่ยขึ้นเช่นนั้น

“ฮึ! จะไม่ให้โกรธได้อย่างไร ตาเฒ่าจิ่วเทียนเรียกพวกเราให้มาที่นี่ ก็เพื่อดูเรื่องพวกนี้งั้นรึ? ตอนนี้ข้ารู้เรื่องราวทั้งหมดแล้ว แล้วเราจะทำกันอย่างไรกันต่อ? ยังจะอ้ำอึ้งกันอยู่ได้! อยากให้พวกเราดูต่อไปงั้นรึ? ข้ารู้ดีว่าเจ้าสุนัขแก่จิ่วเทียนมีแผนการเช่นไร เจ้าหมายจะซ่อนตัวอยู่ในความมืดและรอให้พวกเราเข้าไป วิถีสวรรค์กับวิถีโบราณต่างก็เกี่ยวพันกัน ดังนั้นจิ่วเทียนผู้นี้จึงไม่อยากเป็นคนแรกที่ก้าวเข้าไป”

ใบหน้าด้านซ้ายกระตุกยิ้มอย่างเย็นชามายังมหาจักรพรรดิจิ่วเทียนด้วยสายตาดูถูกดูแคลน

มหาจักรพรรดิจิ่วเทียนมิได้ใส่ใจต่อถ้อยคำดูหมิ่นของมหาจักรพรรดิตงฟาง

เขาแค่ยิ้มบาง ๆ แล้วตอบว่า “มหาจักรพรรดิตงฟาง หากเจ้ารู้สึกว่าเราเสียเวลาในวันนี้ ก็เชิญออกไปได้เลย! หากในภายภาคหน้าวิถีสวรรค์และวิถีโบราณเกิดสิ่งใดขึ้นมา ก็อย่าได้มาโทษพวกเราว่ามิได้ยืนเคียงข้างเจ้าแล้วกัน!”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าซีกซ้ายของมหาจักรพรรดิตงฟางก็แดงก่ำด้วยโทสะ “เจ้าเอ่ยสิ่งใด?!”

“น้องเล็ก หุบปากเสีย!”

ใบหน้าทางด้านขวาเอ่ยเสียงเย็นเยียบในทันที ส่วนใบหน้าทางซีกซ้ายก็ไร้เสียงไปในบัดดล

“จิ่วเทียน ข้ารู้ว่าเจ้าทำเพื่อผลประโยชน์ของพวกเรา เรื่องราวครานี้น้องเล็กทำผิดพลาดไป ข้าต้องขออภัยแทนเขาด้วย”

“ไม่จำเป็น”

มหาจักรพรรดิจิ่วเทียนหรี่ตามอง แท้จริงแล้วเขาไม่ชอบมหาจักรพรรดิตงฟางคนน้องเอาเสียเลย

พี่น้องคู่นี้แม้จะก้าวขึ้นเป็นประมุขแล้วก็จริง ทว่าคนหนึ่งมีนิสัยวู่วาม ส่วนอีกคนก็ดูเจ้าเล่ห์ร้ายกาจ คอยคิดคำนวณผู้อื่นลับหลังอยู่เสมอ

แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับวิถีสวรรค์และวิถีโบราณ จึงต้องให้เหล่าราชันทั้งหลายร่วมมือกันให้ได้!

หากพวกเขาร่วมมือด้วยความสามัคคีก็จะเป็นเรื่องที่ดีที่สุด ถึงยามนั้น แผนการใด ๆ ของวิถีสวรรค์หรือวิถีโบราณ ก็ไม่อาจทำให้พวกเขากลายเป็นเครื่องสังเวยได้!

ใบหน้าขวาของมหาจักรพรรดิตงฟางกล่าวต่อ “ดูจากสถานการณ์ก็รู้แล้วว่าตงฟางแพ้แน่”

“เมื่อเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการต่อสู้ของวิถีสวรรค์กับวิถีโบราณ ข้าก็ไม่อยากปกปิดอะไรอีกต่อไป จะขอเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาเลยแล้วกัน”

“ทุกท่านคงรู้ดีว่าวิถีสวรรค์กับวิถีโบราณต่อสู้กันมาช้านานจนก่อเกิดเป็นความขัดแย้งมากมาย ท่านทั้งหลายที่นั่งอยู่ตรงนี้ล้วนเคยอยู่ภายใต้วิถีสวรรค์ย่อมรู้ดีว่าการถูกวิถีสวรรค์คอยกำหนดนั้นเป็นอย่างไร”

“มิใช่ว่าข้ากล่าวเกินจริง ท่านทั้งหลายแม้จะเป็นประมุขที่อยู่เหนือวิถีสวรรค์แล้ว แต่ตัวเองก็รู้ดีว่าพวกท่านล้วนถูกวิถีสวรรค์กำหนดอยู่ไม่มากก็น้อย! ดังนั้นท่านจะยอมให้วิถีสวรรค์ดึงพลังของท่านไปเมื่อใดก็ได้ตามใจอย่างนั้นรึ”

เหล่าประมุขต่างมองหน้ามหาจักรพรรดิตงฟางโดยมิเอ่ยคัดค้าน

เมื่อได้ยินเช่นนี้แล้ว ทุกคนต่างคำนวณอยู่ในใจ แท้จริงแล้วพวกเขามีความคิดบางอย่างที่ซุกซ่อนมานานหลายปีแต่มิได้พูดออกมา

ในยามนั้น เรื่องราวอาจยังไม่เร่งด่วนมากนัก จึงไม่จำเป็นต้องเปิดเผยความคิดของตนออกไปอย่างโจ่งแจ้ง

เมื่อถึงขั้นสูงสุดของการฝึกฝน สิ่งที่จะรู้สึกได้อย่างลึกซึ้งที่สุดคือ ความเปราะบางระหว่างแดนเซียนและแผ่นดินหยวนหง เช่นเดียวกับความขัดแย้งระหว่างพวกเขา

ผู้คนในแผ่นดินหยวนหงต่างก็คิดที่จะก้าวข้ามความว่างเปล่า เข้าสู่แดนเซียนและนับเป็นเซียน!

ทว่าเมื่อก้าวเข้ามาในแดนเซียนแล้วยิ่งบ่มเพาะตนเองมากเท่าใด สิ่งที่พวกเขารู้สึกก็มีเพียงแค่คำเดียว นั่นคือโชคชะตา!

นับตั้งแต่ที่สิ่งมีชีวิตต่ำต้อยอย่างพวกเขาถือกำเนิด โชคชะตาล้วนถูกกำหนดโดยวิถีสวรรค์

พวกเขาบ่มเพาะตนเองอย่างไร จะได้พบเจอกับผู้ใด จะประสบกับเหตุการณ์แบบใด ล้วนแต่เป็นสิ่งที่วิถีสวรรค์ได้จัดสรรไว้ล่วงหน้าแล้วทั้งสิ้น

วิถีสวรรค์อันไร้เทียมทานเช่นนี้ผงาดอยู่เบื้องหน้าพวกเขามาโดยตลอด ในเมื่อพลังกล้าแกร่งของพวกเขายังต่ำต้อยนัก พวกเขาจึงรู้สึกว่านี่คือกฎเกณฑ์ที่ไม่อาจจับต้องได้

เพียงสามารถก้าวข้ามวิถีสวรรค์ได้ พวกเขาก็จะสามารถก้าวเข้าสู่ดินแดนที่ตนเองไม่เคยเหยียบย่างได้!

เมื่อถึงตอนนั้น พลังของพวกเขาจะยิ่งใหญ่เสมอภาคกับวิถีสวรรค์!

และในโลกใบนี้นั้น พวกเขาก็จะเป็นผู้ควบคุมกฎเกณฑ์เสียเอง!

ซึ่งตอนนี้พวกเขาก็ได้ทำเช่นนั้นแล้ว โดยก้าวข้ามข้อจำกัดของวิถีสวรรค์ จนกลายเป็นประมุขแห่งแดนเซียน ปกครองแผ่นดิน และได้รับการสรรเสริญจากผู้คนเสมือนว่าเป็นเทพเจ้า!

แต่ถึงกระนั้น แม้จะกล่าวว่าพวกเขามีสถานะเสมอภาคกับวิถีสวรรค์อย่างไร้ข้อจำกัดก็ตาม เมื่อวิถีสวรรค์ต้องการสิ่งใดจะสามารถดึงมันไปจากพวกเขาได้ในทันทีเช่นนั้นหรือ?!

บทที่ 557 เค้าโครงห้าดินแดนใหญ่

บทที่ 557 เค้าโครงห้าดินแดนใหญ่

ลู่หยวนขมวดคิ้วหลังจากได้ยินเสียงแจ้งเตือนจากระบบ

คราวนี้มันเกิดอะไรขึ้น?

สองคนนี้นับว่าเป็นทัณฑ์จากวิถีสวรรค์ด้วยหรือ?!

ทว่าลู่หยวนไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติม ต่อให้ทราบเหตุผลของเรื่องนี้หรือไม่มันก็ไม่มีอะไรแตกต่างอยู่ดี

กู้ชิงหรันเคลื่อนลงมาอยู่ข้างกายลู่หยวนขณะเอ่ยช้า ๆ “สองคนนี้ล้วนเป็นร่างจำแลงจากแดนเซียน”

ทันทีที่สิ้นคำ ลู่หยวนก็เข้าใจความหมายของกู้ชิงหรัน

มันเป็นธรรมดาที่จะมีการเชื่อมโยงพิเศษระหว่างร่างหลักกับร่างจำแลง

ร่างหลักจะเข้าใจทุกสิ่งที่ร่างจำแลงประสบ

แม้น้อยคนนักในแผ่นดินหยวนหงที่จะฝึกฝนร่างจำแลง แต่ลู่หยวนก็ยังคงเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี

ร่างจำแลงนับเป็นทุนการบ่มเพาะที่มีอยู่ในร่างหลัก หากการบ่มเพาะร่างจำแลงไปถึงระดับหนึ่งแล้วกลับคืนสู่ร่างหลัก มันจะเป็นเสริมแกร่งให้อีกชั้น

แต่ถ้าร่างจำแลงตายก็จะส่งผลกระทบต่อร่างหลักเช่นกัน

ขณะมองร่างจำแลงทั้งสองที่เพิ่งตายไป พวกนางล้วนเป็นตัวตนที่การบ่มเพาะไม่ตื้นเขิน ซึ่งมันอาจจะส่งผลต่อร่างหลักค่อนข้างมาก

ร่างหลักทั้งสองนี้อาจจะเคียดแค้นต่อลู่หยวนก็เป็นได้

ลู่หยวนยิ้มบาง “หากข้าเจอพวกนางในแดนเซียนอีก ข้าก็จะถือกล่องกระบี่นี้อีกครั้ง ถึงตอนนั้นพวกนางจะต้องเข้ามาหมอบคลานเป็นแน่!”

กู้ชิงหรันนึกถึงรูปลักษณ์น่าสมเพชของทั้งสองเมื่อครู่ก่อนมุมปากจะยกยิ้มเล็กน้อย

ลู่หยวนมอบกล่องกระบี่ให้กู้ชิงหรัน จากนั้นก็เอ่ย “ในที่สุดเรื่องบนเขาบูรพาก็จบลงเสียที หลังจากไปแดนมัชฌิมกับข้าแล้ว พวกเราค่อยกลับไปที่แดนเหนือ เจ้าคิดเห็นเช่นไร?”

กู้ชิงหรันเก็บกล่องกระบี่ก่อนจะตอบตกลง

ลู่หยวนพากู้ชิงหรันกับซวี่รั่วหลิงมุ่งหน้าไปทางแดนมัชฌิมทันที!

ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติเหมือนก่อนหน้า

ซ่งชิงกลับมาที่ตำหนักประตูสวรรค์เพียงลำพัง โดยทุกคนภายในตระกูลต่างเข้ามาทักทายด้วยความเคารพ

สีหน้าของเขาหมองหม่นจนเผยให้เห็นความหดหู่อย่างชัดเจน

ทุกคนทราบดีว่าซ่งชิงในตอนนี้อารมณ์ไม่ดี ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าพูดจาเหลวไหลขณะยืนเคียงข้างกันทีละคน

ซ่งชิงกลับตำหนักตัวเอง ทันทีที่ประตูปิด ผู้คนทั้งหลายซึ่งยืนอยู่ข้างในต่างเป็นคนสนิทของเขา

ซ่งชิงหันหลังให้ทุกคนด้วยสีหน้าย่ำแย่ ไม่ทราบได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

คนที่เหลือมองหน้ากันโดยไม่กล้าส่งเสียง พวกเขาทำได้เพียงคาดเดาอยู่ในใจ

แม้ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น แต่จ้าวเยี่ยนกับฉือเซ่าผู้ติดตามซ่งชิงก็ไม่กลับมา นั่นแสดงให้เห็นว่าสถานการณ์ร้ายแรงมากแค่ไหน!

หรือว่าจ้าวเยี่ยนกับฉือเซ่าผนึกกำลังกันเพื่อช่วยให้คุณชายกลับมาได้?!

แม้ทุกคนจะพากันคาดเดา แต่ก็ไม่มีคำตอบที่ชัดเจน

หลังจากผ่านไปหนึ่งก้านธูป ซ่งชิงค่อยเงยหน้าขึ้นขณะมองบัลลังก์หยกตรงหน้า เขาย่างก้าวไปทีละขั้นก่อนจะหันหลังแล้วนั่งลง

ทุกคนเงยหน้าขึ้นก่อนจะพบว่าซ่งชิงขจัดอารมณ์หดหู่ทั้งหลายออกไปสิ้น ราวกับว่าเขากลับคืนสู่สภาพเดิมอีกครั้ง!

“คุณชาย!”

ทุกคนคุกเข่าเพื่อทำความเคารพซ่งชิง!

ซ่งชิงหลุบตา “ตอนนี้กองกำลังที่ประจำในดินแดนทั้งหลายบนแผ่นดินใหญ่เป็นอย่างไรบ้าง?”

ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ซ่งชิงเริ่มส่งกองกำลังตัวเองไปตามห้าดินแดนใหญ่ของแผ่นดินหยวนหง

กองกำลังเหล่านี้อาศัยรากฐานที่เกิดจากซ่งชิงเพื่อรักษาซึ่งกันและกัน ในระยะเวลาอันสั้น พวกเขาต่างยึดครองตำแหน่งสำคัญในห้าดินแดนใหญ่ได้!

ตอนนี้ทะเลใต้กับอาณาจักรประจิมอยู่ภายใต้การควบคุมของซ่งชิงเป็นส่วนใหญ่!

ชายผู้ค่อนข้างมีจิตใจดีก็ยืนขึ้นท่ามกลางฝูงชน แม้เขาจะดูธรรมดา แต่พลังที่รวบรวมอยู่ทั่วร่างกลับพลุ่งพล่านด้วยความโอ่อ่าจนทำให้ผู้คนยอมจำนน!

เขาคือบุคคลอันดับหนึ่งผู้อยู่ใต้อาณัติซ่งชิง… กวนผิงซื่อ!

“คุณชาย เค้าโครงของเขาบูรพายังไม่คืบหน้ามากนัก ผู้ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเราเป็นเผ่าขนาดเล็กที่ไม่สามารถสร้างผลกระทบอะไรได้ในตอนนี้”

“แม้แดนเหนือกับแดนมัชฌิมจะมีกองกำลังแทรกซึมเข้าไปเป็นจำนวนมาก แต่การกำราบจักรพรรดินีแดนมัชฌิมกับตระกูลลู่ยากเกินไป ถึงตระกูลเหล่านี้จะมีสิทธิ์มีเสียง แต่ก็พูดได้เพียงน้อยนิด ยิ่งกว่านั้นตระกูลในแดนเหนือกับแดนมัชฌิมคล้ายกับหวั่นเกรงต่อลู่หยวนตามสัญชาตญาณ ข้าเกรงว่าหากไปขัดผลประโยชน์ของลู่หยวนขึ้นมา พวกเขาก็จะพากันถอดใจ!”

“ส่วนอาณาจักรประจิมกับทะเลใต้ การตระเตรียมเสร็จสิ้นเรียบร้อย ตระกูล สำนัก และราชวงซ์ขนาดใหญ่เริ่มอยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเราแล้ว”

กวนผิงซื่ออธิบายเค้าโครงโดยสังเขป ในตอนนี้เขาเริ่มเข้าใจความคิดของซ่งชิงขึ้นมา

ในการต่อสู้ครั้งนี้ คุณชายจะต้องเสียเปรียบอย่างแน่นอน แม้แต่ฉือเซ่ากับจ้าวเยี่ยนก็ไม่กลับมา นั่นแสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายสูญเสียไปมากแค่ไหน

และทันทีที่กลับมา สิ่งแรกที่คุณชายถามคือเค้าโครงอำนาจ นั่นเป็นการบ่งบอกว่าเขาอาจจะกำลังเปรียบเทียบกับลู่หยวน!

ดวงตาของซ่งชิงจับจ้องกวนผิงซื่อขณะเน้นย้ำทีละคำ “ถ่ายทอดคำสั่งให้กองกำลังทั้งหมดทำการผลัดเปลี่ยนให้เสร็จภายในสามวัน! ตรวจสอบให้แน่ใจว่าพวกที่ผลัดเปลี่ยนเข้ามาคือกองกำลังระดับสูงทั้งหมดที่ไว้ใจได้!”

สิ้นคำ ทุกคนก็ตกตะลึง

กวนผิงซื่อคาดเอาไว้อยู่แล้ว แต่ภายในสามวันมันออกจะเป็นระยะเวลาที่กระชั้นชิดไปบ้าง

การเปลี่ยนแปลงอำนาจครั้งนี้ล้วนเกี่ยวกับการรักษาความลับ

อาณาจักรประจิมกับทะเลใต้ล้วนเป็นเช่นนี้ ตระกูลและราชวงศ์ทั้งหลายย่อมไม่เต็มใจที่จะตกอยู่ภายใต้อาณัติของตำหนักประตูสวรรค์กับซ่งชิง

แต่สาเหตุที่ยอมแปรพักตร์ก็เพื่อใช้นามของตำหนักประตูสวรรค์ข่มขวัญ โดยแลกกับการทำงานหรือไม่ก็อยากฉวยโอกาสเพื่อผลประโยชน์บางอย่าง เพราะงั้นพวกเขาจึงไม่อยากสร้างความขุ่นเคืองให้กับซ่งชิงและตำหนักประตูสวรรค์

ไม่ว่าจะเป็นจุดประสงค์อะไร คนเหล่านี้ก็ไม่สามารถระดมพลได้ในช่วงวิกฤต

สิ่งนี้ทำให้ผู้คนในตำแหน่งสำคัญที่สุดจะต้องจงรักภักดีต่อซ่งชิง

หากมองจากจุดเริ่มต้นของเค้าโครง ตำแหน่งสำคัญล้วนถูกเปลี่ยนมือท่ามกลางกองกำลังที่ถูกควบคุม

กองกำลังที่ซ่งชิงเลือกจะต้องมีภูมิหลังไม่ธรรมดาและต้องแทรกซึมอยู่ในนั้นมากพอ

ท่ามกลางคนจำนวนมากก็มักมีใครบางคนที่จงรักภักดีต่อซ่งชิงเสมอ

ต่อให้ไม่จงรักภักดี มันก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับซ่งชิง

ซ่งชิงเพียงต้องหาผู้สืบทอดมากความสามารถท่ามกลางกองกำลังเหล่านี้ จากนั้นก็ใช้ระบบเพื่อทำให้จงรักภักดีก็เท่านั้น

ทว่าการคัดเลือกผู้สืบทอดไม่ใช่เรื่องง่าย ถึงอย่างไรหากเกิดการผลัดเปลี่ยนอำนาจเร็วเกินไปคงเป็นเรื่องยากที่จะไร้ผู้คนสนใจ ถึงตอนนั้น หากไม่ระวังให้ดีก็จะเกิดความขัดแย้งภายในหรือตกเป็นเป้าจากโลกภายนอกได้ ซึ่งต้องใช้ความพยายามสุดกำลังเพื่อแก้ไขปัญหานี้

ประกอบกับซ่งชิงไม่รีบร้อน ดังนั้นเขาจึงปล่อยให้กองกำลังเหล่านี้มองหาจุดสังเกตก่อนจะเริ่มเปลี่ยนตำแหน่งสำคัญ

แต่ตอนนี้ซ่งชิงไม่คิดจะอดทนรออีกต่อไป

เขาอยากรีบให้คนของตัวเองควบคุมกองกำลังเหล่านี้ทั้งหมด!

มีเพียงการทำแบบนี้เท่านั้น ระบบจึงจะยอมรับว่าพวกเขาเป็นกองกำลังของซ่งชิง แล้วค่าโชคชะตาของกองกำลังเหล่านี้ก็จะสามารถนำมาใช้งานได้!

ซ่งชิงทราบดีว่าการต่อสู้กับลู่หยวนเป็นการต่อสู้กับระบบขนาดใหญ่ หากใครมีค่าโชคชะตามากกว่าก็จะได้รับชัยชนะ!

ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา

ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา

Status: Ongoing
นิยายแปลเรื่อง ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา เรื่องย่อ : ลู่หยวน ชายหนุ่มผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ในมหาแดนโชคชะตา พร้อมกับตำแหน่งคุณชายแห่งตำหนักธารสุญญะผู้โฉดชั่ว! ทั้งก่อกรรมทำเข็ญ ทั้งลักพาตัวลูกหลานของกองกำลังอื่นมากักขังไว้นับไม่ถ้วน หนึ่งในนั้นคือสาวงามผู้กำลังจะมีผู้ฝึกยุทธ์รูปหล่อตามมาช่วยชีวิต บัดซบ… ไม่ว่าจะคิดอย่างไร นี่มันบทบาทของตัวร้ายกากเดนชัด ๆ! ในระหว่างที่กำลังปวดหัวกับชีวิตใหม่อยู่นั้นเอง กล่องข้อความก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า บ่งบอกว่าการเชื่อมต่อกับระบบวายร้ายสำเร็จแล้ว! ด้วยระบบที่สามารถช่วงชิงโชคชะตาของเหล่าตัวเอกได้ ตำนานจอมวายร้ายสุดอหังการ์ผู้โค่นล้มพระเอกทั่วหล้าจึงเปิดฉากขึ้น!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท