บทที่ 627 เข้าถ้ำ
บทที่ 627 เข้าถ้ำ
เมื่อได้ยินดังนั้น ลู่เทียนเฉิงก็รู้สึกสับสนในใจยิ่งนัก เมื่อไม่นานมานี้เขายังรู้สึกดีใจที่ได้รับการช่วยเหลือ แต่ตอนนี้เขากลับคิดว่าการที่ได้รับการช่วยเหลือในครั้งนี้อาจไม่ใช่เรื่องดีก็ได้
“หยวนเอ๋อร์ของดีอยู่ในนี้จริง ๆ แต่นั่นคือสิ่งที่พวกข้าต้องการ”
นั่นหมายความว่า เขาไม่ต้องการให้ลู่หยวนแบ่งส่วนแบ่งจากโอกาสดีนี้ไป
ลู่หยวนเข้าใจความหมายนั้นดี จึงกล่าวทันทีว่า “ท่านลุงพูดเช่นนี้ ข้าแค่อยากรู้เท่านั้น ไม่ได้ต้องการส่วนแบ่ง นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เข้ามายังส่วนลึกของเกาะสังหารเซียน เห็นท่านลุงพาคนมาอย่างยากลำบากจึงอยากรู้ว่ามีโอกาสดีอะไรถึงได้ยกทัพมาเช่นนี้”
คนทั้งสี่ของลู่เทียนเฉิงต่างมีพลังแข็งแกร่งที่สุดในฐานทัพ กองทัพที่มีคนเหล่านี้ถือได้ว่าเป็นกองทัพชั้นยอดก็ว่าได้
ในกลุ่มที่มาเอาทรัพยากรก็ถือว่า ‘ยกทัพ’ มาจริง ๆ
ลู่เทียนเฉิงรู้ดีว่าหากลู่หยวนต้องการแย่งจริง ๆ ก็ไม่มีผู้ใดในพวกเขาที่จะปกป้องได้
แต่ลู่หยวนเป็นลูกหลานของตระกูลลู่ในแผ่นดินหยวนหงก็ถือเป็นคนจากตระกูลชั้นสูง เรื่องที่คุยกันไว้เขาคงไม่ผิดคำพูด ถึงแม้จะสนใจของข้างในก็คงไม่ฝ่าฝืนสิ่งที่พูดไปเมื่อครู่
อีกอย่าง ลู่เทียนเฉิงกับลู่หยวนก็ยังมีความสัมพันธ์ฉันญาติกันอยู่ ยังไงลู่หยวนก็ยังต้องเรียก ลู่เทียนเฉิงว่าลุงอยู่ดี จะหลอกญาติตัวเองได้อย่างไร!
คิดแบบนั้นแล้ว ลู่เทียนเฉิงจึงวางใจ
หากฮ่วนซิงไป๋กับเซียวเทียนได้ยินเสียงในใจของ ลู่เทียนเฉิงก็คงมองลู่เทียนเฉิงด้วยสายตาเห็นใจเป็นแน่
ลู่หยวนเพิ่งบอกว่าจะไม่แบ่งส่วน แต่ไม่ได้บอกว่าจะไม่ยึดไปทั้งหมด
อีกอย่าง คนสุดท้ายที่คิดว่าลู่หยวนจะรักษาคำพูด หญ้าบนหลุมศพก็สูงสามจั้งแล้ว…
ญาติ?
เฮอะ! คนสุดท้ายที่เป็นอาก็ถูกบดจนกระดูกเป็นผงไปแล้ว…
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเจ้าก็ตามข้ามาเถิด”
พูดจบ ลู่เทียนเฉิงก็เดินไปยังถ้ำที่เปิดทะลุ
ถ้ำนี้ช่างแปลกประหลาด มองจากข้างนอกเข้าไป มีแต่ความมืดมิด ไม่เห็นอะไรเลย
แต่พอก้าวเข้าไปข้างใน กลับมีแสงส่องลงมาจากเพดานถ้ำ
ทุกคนมองไปรอบ ๆ แบบผ่าน ๆ ก็เห็นต้นไม้ใหญ่สูงจรดเพดานถ้ำ ใต้ต้นไม้ปลูกสมุนไพรหายากนานาชนิด
ที่นี่ถือเป็นสวรรค์ลับแห่งหนึ่งในส่วนลึกของเกาะสังหารเซียน
ลู่หยวนมองไปรอบ ๆ แล้วก็รู้ว่านี่คือพื้นที่ที่ถูกค้ำจุนด้วยขอบเขตของกฎ ผู้ที่ตั้งกฎนี้ดูเหมือนจะพยายามรักษาพื้นที่นี้ไว้ ไม่ได้ขยายออกไปมากนัก กว้างยาวแค่สามถึงสี่สิบจั้งเท่านั้น
แต่พลังที่มีอยู่ในนี้ช่างอุดมสมบูรณ์ยิ่งนัก แม้แต่ในแผ่นดินหยวนหงก็ไม่เคยมีพลังวิญญาณที่อุดมสมบูรณ์เช่นนี้มาก่อน
ช่างเป็นสถานที่วิเศษสำหรับการฝึกฝนจริง ๆ แต่สำหรับลู่หยวนแล้วไม่มีประโยชน์อะไร ในเมื่อระดับการฝึกฝนของเขาถึงขั้นครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์ แล้ว ต่อให้พลังวิญญาณจะอุดมสมบูรณ์เพียงใดก็ไร้ประโยชน์
ส่วนลู่เทียนเฉิงและคนอื่น ๆ ก็ไม่มีท่าทีจะอยู่ที่นี่นานเช่นกัน
พลังวิญญาณที่นี่ดีกว่าข้างนอกหลายเท่านัก ด้านในของเกาะสังหารเซียนนั้นแห้งแล้งยิ่งนัก พลังวิญญาณหายากมาก
จริง ๆ แล้ว เกาะสังหารเซียนนี้เดิมที มีพลังวิญญาณที่อุดมสมบูรณ์มาก ถึงขนาดว่าเอาพลังวิญญาณทั้งหมดในแผ่นดินหยวนหงมารวมกันก็ยังไม่เท่าพลังวิญญาณในเกาะเล็ก ๆ แห่งนี้เลย
แต่พลังวิญญาณในแผ่นดินหยวนหงนั้น ถึงแม้จะถูกใช้ไปเรื่อย ๆ แต่ก็จะค่อย ๆ ฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ เพียงแต่ความเร็วในการฟื้นฟูนั้นช้ากว่าการใช้ไปเท่านั้นเอง
ทว่าเกาะสังหารเซียนนี้ พลังวิญญาณถึงแม้จะมีมากเพียงใดก็มีจำกัด เมื่อใช้ไปก็จะลดลงไปตามนั้น
ลู่หยวนรู้เรื่องพวกนี้อยู่บ้างซึ่งเป็นสิ่งที่เฟยซิงพูดตอนที่พาพวกเขามายังส่วนลึกเกาะสังหารเซียนนี้
ลู่หยวนรู้สึกแปลกใจอยู่บ้างว่าเกาะสังหารเซียนนี้กว้างใหญ่เพียงใดกัน
แล้วคนที่สามารถมีชีวิตรอดอยู่บนเกาะสังหารเซียนได้มีมากเพียงใด
ตามหลักแล้ว ถึงแม้จะผ่านไปอีกหลายล้านปีก็ไม่น่าจะทำให้พลังวิญญาณถูกใช้จนหมดไปขนาดนี้
แต่ตอนนี้พอมองดูแล้ว ลู่หยวนก็เหมือนจะเข้าใจได้บ้าง
พลังวิญญาณของดินแดนแห่งนี้ ถูกสิ่งนั้นดูดซับไปอย่างรุนแรงของวิเศษและสมุนไพรแปลก ๆ ใต้ดินก็ได้ประโยชน์จากพลังวิญญาณที่อุดมสมบูรณ์นี้ ถึงได้เติบโตได้ดีขนาดนี้
ทางด้านหนึ่ง ฮ่วนเฉียนอี่ดูเหมือนจะพบอะไรบางอย่าง มุมปากยกขึ้นทันใดแล้วหันหลังกลับไปอย่างรวดเร็วกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่พอเห็นเงาร่างของลู่หยวนและคนอื่น ๆ ก็รีบกดรอยยิ้มบนใบหน้าลงทันที มองไปทางลู่เทียนเฉิงแล้วเดินตามไปพอถึงข้างกาย ทั้งสองก็เดินไปด้วยกันที่มุมหนึ่ง
ลู่หยวนมองเห็นทุกอย่างนี้มาตั้งแต่แรก ถึงแม้เขาจะหันหลังให้ทุกคน แต่ตาข้างที่สามก็มองเห็นได้รอบด้านไม่มีจุดอับ ครอบคลุมทั่วทั้งดินแดนแห่งหนึ่ง
ลู่หยวนก็รู้สึกสงสัยเหมือนกันว่าสิ่งที่ทำให้คนพวกนี้ใส่ใจมากขนาดนี้ มันคืออะไรกันแน่?
เพิ่งจะเข้ามาในดินแดนแห่งนี้ ดวงตาที่สามก็กวาดมองไปทั่วแล้ว ไม่มีอะไรที่ลู่หยวนต้องใส่ใจเป็นถึงขนาดนั้น ทุกอย่างล้วนแต่เป็นขยะที่ทิ้งอยู่ข้างทาง ลู่หยวนไม่แม้แต่จะมองสักนิด
แต่ตอนที่ลู่เทียนเฉิงกับฮ่วนเฉียนอี่กำลังจะเดินไปที่มุมนั้น ก็เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านหลัง
“ท่านป้า!”
ร่างของคนทั้งสองต่างชะงักไปในทันที ฮ่วนเฉียนอี่หันหลังกลับไปเห็นว่าคนผู้นั้นก็คือ ฮ่วนซิงไป๋
หลานชายที่นางไม่เคยพบมาก่อน
บอกตามตรงพ่อของฮ่วนซิงไป๋ก็คือพี่ชายในนามเท่านั้น
ความจริงแล้วทั้งสองไม่ถือว่าเป็นญาติสายตรง น่าจะถือว่าเป็นคนละสายในตระกูล
พวกเขาทั้งสองเจอกันเพียงไม่กี่ครั้ง ไม่ได้ติดต่อกันมากนัก สำหรับหลานชายที่โผล่มาอย่างกะทันหันนี้ ฮ่วนเฉียนอี่รู้สึกบอกไม่ถูกเช่นกัน
จะว่าอยากจะสนิทสนม แต่นางรู้สึกว่าความสัมพันธ์ฉันญาติของพวกเขาไม่มากนัก แต่จะว่าเกลียดชังก็ไม่ใช่
น่าจะ…เป็นความระแวงและหวาดกลัวมากกว่า…
หนึ่ง เพราะไม่คุ้นเคยจริง ๆ ถึงแม้จะเป็นคนในตระกูลเดียวกัน แต่ก็ไม่มีความรู้สึกอะไรมากนัก
สอง คือ…
ลู่หยวนที่อยู่ข้างกายฮ่วนซิงไป๋มาตลอด!
จากบทสนทนาก่อนหน้านี้ ก็รู้ว่าฮ่วนซิงไป๋คนนี้มีความสัมพันธ์ที่ดีมากกับลู่หยวน
ดูเชื่อฟังลู่หยวนเสียไปทุกอย่าง
เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ นางก็เห็นมาตั้งแต่ต้น ลู่หยวนคนนี้ดูเหมือนจะเป็นศัตรูกับลู่เทียนเฉิงอยู่ หรือจะพูดว่าเหมือนจะอยากรู้อะไรบางอย่างหรือได้อะไรบางอย่างจากพวกเขากระมัง
ต้องระวังลู่หยวนคนนี้ไว้ให้ดี!
เช่นนั้นก็ต้องใส่ชื่อ ‘ฮ่วนซิงไป๋’ คนนี้เข้าไปในรายชื่อที่ต้องระวังตัวด้วยเช่นกัน
ฮ่วนเฉียนอี่มองฮ่วนซิงไป๋แสร้งทำเป็นสนิทสนม “พวกข้าแค่ไปดูเฉย ๆ ว่าจะหาของที่ต้องการในการเดินทางครั้งนี้เจอหรือไม่?”
“งั้นรึ”
ฮ่วนซิงไป๋พยักหน้าเล็กน้อย ดูเหมือนจะไม่ค่อยสนใจในสิ่งที่ทั้งสองกำลังตามหา เขาเพียงแค่หยิบห่อของออกมาจากแหวนเก็บของ ถึงแม้ห่อของจะมีขนาดเล็กจนสามารถถือได้ด้วยมือเดียว แต่ก็ไม่รู้ว่าข้างในบรรจุของอะไรไว้บ้าง
“นี่เป็นของที่ผู้อาวุโสในตระกูลฝากให้ข้า บอกว่าหากได้พบท่านอาบนเกาะสังหารเซียนจะต้องมอบให้ท่านป้าให้ได้!”
บทที่ 626 เยว่จู้สวามิภักดิ์
บทที่ 626 เยว่จู้สวามิภักดิ์
หลังจากได้ยินคำพูดนี้ ลู่เทียนเฉิงและฮ่วนเฉียนอี่ ต่างก็ตกอยู่ในความเงียบงันทั้งสองสบตากัน สีหน้าแฝงไปด้วยความสับสน
เพียงความผิดปกตินิดเดียวก็ทำให้ลู่หยวนรู้สึกได้เขาจึงยิ้มกว้าง
หรือเรื่องนี้ยังมีอะไรซ่อนอยู่อีก?
ซือหม่าเชิ่นทำลายบรรยากาศแปลกประหลาดนี้ลงเป็นคนแรก กล่าวพร้อมเสียงหัวเราะว่า “เทียนเฉิงเจ้าเก่งจริง ๆ มีหลานชายที่เก่งกาจเช่นนี้แต่กลับไม่เคยบอกพวกเราเลย ดูเหมือนว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา ตระกูลลู่จะพัฒนาขึ้นไม่น้อยเลยนะ”
ลู่เทียนเฉิงได้สติคืนมาจึงกล่าวต่อว่า “ตอนที่ข้ามาที่นี่เขายังไม่เกิด”
ฮ่วนซิงไป๋กลับไม่ได้ใส่ใจรายละเอียดเมื่อครู่ เพียงแต่มองเยว่จู้ที่ยังคงนั่งอยู่ในมุมมืด ดวงตาเต็มไปด้วยความตกใจและหวาดกลัว
“บุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่ได้ทำลายกำแพงนี้แล้ว คำพูดเมื่อครู่เจ้าจะยอมรับหรือไม่?”
เยว่จู้ได้ยินดังนั้นก็เก็บความตกใจอันมหาศาลที่เพิ่งเกิดขึ้นในใจของตนไว้แล้วลุกขึ้นช้า ๆ เดินไปหาลู่หยวน ชักอาวุธขนาดยักษ์ลงไปวางบนพื้น จากนั้นคุกเข่าลง “ยอมเดิมพัน ยอมแพ้ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าพูดอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น เยว่จู้คนนี้จะจงรักภักดีต่อเจ้าตลอดไป!”
แม้ว่าคำพูดเมื่อครู่จะเต็มไปด้วยอารมณ์โกรธ แต่เมื่อพูดออกไปแล้วก็ถือว่าเป็นออกไปแล้ว แต่เขาต้องยอมรับมัน!
หากไม่มีลู่หยวน วันนี้เขาคงตายอยู่ที่นี่แล้ว
“ท่านบุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่มีบัญชาใดก็สั่งมาได้เลย!”
เยว่จู้พูดเช่นนี้เท่ากับจะสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อ ลู่หยวนจนตาย
ฮ่วนซิงไป๋ยืนอยู่ข้าง ๆ เยาะเย้ยเบา ๆ ว่า “ยอมสยบต่อบุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่ เจ้าจะได้ผลประโยชน์มากกว่า!”
หากลู่หยวนรับเยว่จู้ไว้ เยว่จู้ก็ถือว่าได้กำไรแล้ว ถึงลู่หยวนจะเลี้ยงหมูไว้แต่ก็ฆ่าได้เช่นกัน
ลู่หยวนก้มลงมองเยว่จู้ที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าอย่างนิ่งเฉยราวกับกำลังคิดอะไรอยู่
ลู่เทียนเฉิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เห็นเยว่จู้เป็นเช่นนี้ แม้จะรู้ว่านี่คือการปฏิบัติตามคำสาบาน แต่หากลู่หยวนรับคนผู้นี้ไว้จริง ๆ หากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไปชีวิตของเยว่จู้คงจะไม่ดีนัก
“หยวนเอ๋อร์”
จู่ ๆ ลู่เทียนเฉิงก็พูดขึ้นใช้คำที่แสดงความสนิทสนมราวกับต้องการกระชับความสัมพันธ์กับลู่หยวน
ลู่หยวนหันไปสีหน้าไร้อารมณ์ดวงตาไร้ความรู้สึก
ลู่เทียนเฉิงยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าอยากไปพักที่ฐานทัพกับอาหรือไม่?”
ทันทีที่เสียงพูดจบลง ลู่หยวนก็ได้ยินลู่เทียนเฉิง ใช้พลังบีบเสียงเป็นเส้นส่งสารมาว่า “หยวนเอ๋อ แม้ว่าเยว่จู้จะเป็นคนหุนหันพลันแล่นไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้ตั้งใจจะล่วงเกินเจ้า ลุงว่าคำสาบานนี้อาจไม่ต้องทำตามก็ได้ เมื่อกลับถึงฐานทัพแล้ว ลุงจะให้เขาขอโทษเจ้าจะดีหรือไม่?”
ลู่หยวนได้ยินดังนั้น ก็ยิ้มแล้วก้มลงมองเยว่จู้ต่อไป
เห็นลู่หยวนเป็นเช่นนี้ ลู่เทียนเฉิงก็โล่งใจ จากนั้น ลู่หยวนก็น่าจะไม่ให้เยว่จู้ทำตามคำสาบาน
“ได้ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าจะเป็นทาสของบุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่”
สีหน้าเคร่งขรึมของลู่เทียนเฉิงที่เพิ่งจะคลายลงเมื่อครู่ก็ค้างเติ่ง หันหน้าขึ้นมองลู่หยวนทันที “ลู่หยวน เจ้า…”
ลู่หยวนมองลู่เทียนเฉิงสีหน้าเย็นชา “อย่างไร ลุงเทียนเฉิง อยากจะจัดการหรือทาสของข้าหรือ?”
สิ้นเสียง คนทั้งสี่รวมถึงลู่เทียนเฉิงก็รู้สึกว่ามีความกดดันมหาศาลถาโถมเข้าใส่
พวกเขาใช้พลังของตัวเองต่อต้านพลังของลู่หยวนในทันที
แรงกดดันนี้เกิดขึ้นชั่วครู่ เหนือหน้าผากของพวกเขามีเหงื่อซึมออกมาเล็กน้อย เมื่อแรงกดดันหายไป พลังของตัวพวกเขาก็หายไปด้วย แต่ก็ยังรู้สึกหวาดกลัวอยู่ดี!
การกดขี่นี้…รุนแรงมาก!
เหนือกว่า…ที่ผ่านมาข่มขวัญผู้ทรงเกียรติ!
ลู่หยวนลงมือประทับตราลงในแผ่นป้ายมอบให้กับเยว่จู้
เยว่จู้เห็นแล้วก็รู้ได้ในทันทีว่านี่คือรอยตราประทับซึ่งมีพลังรุนแรงมาก เมื่อประทับตราลงไปแล้วชีวิตนี้เขาจะเป็นทาสของลู่หยวน!
แต่เยว่จู้ไม่ลังเล เดินไปข้างหน้าเอาหน้าผากแตะกับแผ่นป้ายในมือของลู่หยวน เห็นแสงวาบและผลึกก็หายไป แต่แทนที่ด้วยตัวอักขระประหลาดบนหน้าผากของเยว่จู้
ตัวอักขระประหลาด มีเสน่ห์ มีพลังมหาศาล
เยว่จู้รู้สึกแค่ว่าจิตใจลึก ๆ ของตัวเองไม่เพียงแต่มีพันธนาการที่จับต้องไม่ได้ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน แต่ยังมีพลังที่แผ่ซ่านออกมาอีกด้วย การบ่มเพาะของเขาไม่ได้เพิ่มขึ้น แต่พลังกลับเพิ่มขึ้นอย่างเงียบ ๆ!
แม้แต่ดาบยักษ์ในมือก็ยังรับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยนี้ของเยว่จู้เปล่งประกายวูบวาบราวกับกำลังโห่ร้องดีใจให้กับเยว่จู้!
ในดวงตาของเยว่จู้เผยให้เห็นแววตาที่เหลือเชื่ออย่างชัดเจน เขาเงยหน้าขึ้นมองไปยังชายหนุ่มที่อยู่ใกล้ ๆ แม้จะมอบรอยตราประทับให้ แต่ก็มอบให้พลังกับเขาด้วย
พลังนี้แผ่ซ่านไปทั่วร่างกายราวกับว่ากำลังจะทะลวงขีดจำกัดที่เขาไม่สามารถก้าวข้ามมาหลายสิบปี!
เยว่จู้ไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักบุญคุณ ทันใดนั้นก็คุกเข่าลงกล่าวขอบคุณ “ขอบคุณท่านบุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่!”
ลู่หยวนหัวเราะเยาะ “ไม่เป็นไร ขอเพียงเจ้าซื่อสัตย์กับข้า ในอนาคตเจ้าจะมีประโยชน์มากมาย”
ในใจของเยว่จู้เต็มไปด้วยความยินดี กำลังจะลุกขึ้น แต่ได้ยินเสียงที่แผ่วเบาของลู่หยวนดังขึ้น “สิ่งที่ข้าต้องการให้เจ้าทำนั้นมีไม่มาก ขอเพียงเจ้าทำได้ดี ข้าไม่เพียงทำให้การบ่มเพาะของเจ้าก้าวหน้า แต่ยังพาเจ้า ภรรยาของเจ้าและลูกที่ยังไม่เกิดของเจ้าออกไปจากที่นี่ กลับไปยังแผ่นดินหยวนหงเพื่อให้ครอบครัวของเจ้ามีความสุข”
เยว่จู้ได้ยินดังนั้น ก็มีความรู้สึกว่าสิ่งที่ลู่หยวนจะให้เขาทำนั้นไม่ง่ายอย่างแน่นอนหรืออาจจะต้องแลกด้วยชีวิต!
เขาตอบกลับว่า “ท่านบุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่โปรดวางใจ ข้าจะทุ่มเทสุดความสามารถ ข้าไม่มีอะไรจะขออีกแล้ว ขอเพียงว่าหากข้าตายไป ขอให้ท่านนำครอบครัวของข้าออกไป ไม่ขอความสุขเพียงแค่ขอความสงบสุข”
ลู่หยวนเหลือบมองเขาแล้วก็ยอมรับ “หากเจ้าตายเพราะภารกิจที่ข้าสั่ง เจ้าก็สามารถปกป้องครอบครัวของเจ้าได้”
“ขอบพระคุณท่านบุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่!”
เยว่จู้ลุกขึ้นเดินออกไปสามก้าวก็ยืนอยู่ด้านหลังของลู่หยวนกำดาบยักษ์อยู่ในมือ ดวงตาเด็ดเดี่ยว ราวกับเป็นองครักษ์ของลู่หยวน
ฮ่วนซิงไป๋ที่อยู่ด้านข้างตบปากฉาด ถอยกลับไปหาเซียวเทียนกอดอกส่ายหัว “ท่านบุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่มีน้องชายอยู่ทุกหนทุกแห่ง ข้าน้องชายคนแรกคงไม่มีที่ยืนแล้ว”
เซียวเทียนก็เลียนแบบฮ่วนซิงไป๋ตบปากฉาด ส่ายหัว “ข้าน้องชายคนที่สองก็ไม่มีที่ยืนแล้ว”
กู้ชิงหรันยืนอยู่ข้าง ๆ สายตาจับจ้องไปยังลู่เทียนเฉิงและฮ่วนเฉียนอี่ตลอดเวลา ไม่รู้ว่าเหตุใดในขณะที่เกราะป้องกันปรากฏขึ้น กู้ชิงหรันก็รู้สึกคุ้นเคยกับลมปราณของพวกเขา
แต่นางนึกไม่ออกได้ว่าเคยพบกับลมปราณเช่นนี้ที่ใด
กู้ชิงหรันส่ายหัวกดความคิดในใจลง พยายามความคิดถึงสถานการณ์ตอนนี้ก่อน
ลู่หยวนมองลู่เทียนเฉิง “ท่านลุง เข้าไปดูในถ้ำนั้นกับข้าหน่อยได้หรือไม่? พวกท่านเสี่ยงอันตรายขนาดนี้ข้างในคงจะมีของดี ๆ ไม่น้อย!”
[1] สำนวน เปรียบเปยว่า คำพูดที่เอ่ยออกไปแล้วก็ยากจะรับคืนเหมือนน้ำที่ถูกสาดออกไปแล้ว
