ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ – บทที่ 392 แดนต้องห้ามอันธการ มหาสงคราม

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 392 แดนต้องห้ามอันธการ มหาสงคราม

หานเจวี๋ยไม่ทราบการเคลื่อนไหวภายในของเผ่าเทพอีกาทองและนิกายเจี๋ย หลังจากเคลื่อนย้ายเกาะสำนักซ่อนเร้นแล้ว หานเจวี๋ยก็กลับมาฝึกบำเพ็ญต่อ

เพื่อไม่ให้ถูกพบอีก หานเจวี๋ยจึงจำต้องดูดซับแรงกรรมจากบัวดำล้างโลกสามสิบหกวัฏจักร

หลังจากที่ได้เรียนรู้จากตี้หล่านเทียนแล้ว หานเจวี๋ยก็รู้สึกได้ถึงความกดดดัน

แม้ว่าตี้หล่านเทียนจะมีตบะเป็นต้าหลัว อีกทั้งยังได้รับพลังจากบรรพชนมาร แต่การถูกเขาสั่นสะเทือนจนตาย หานเจวี๋ยก็ยังรู้สึกรับไม่ได้อยู่ดี

ดูอย่างหลี่เต้าคง ถึงแม้เจ้าตัวเพิ่งจะก้าวสู่ต้าหลัว แต่ไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับเจ้าพ่อจากไหน ก็ไม่เคยบาดเจ็บสาหัสเลยสักครั้ง

‘ไม่ได้! ข้าต้องเก่งกว่าหลี่เต้าคง!’ หานเจวี๋ยตั้งเป้าหมายให้กับตนเอง พลังการต่อสู้จะต้องเหนือกว่าหลี่เต้าคง!

หลี่เต้าคงเป็นคนเดียวในหมู่สหายของหานเจวี๋ยที่ไม่เคยล้มลุกคลุกคลาน และยังเป็นชายที่สำมะเลเทเมาที่สุด

นี่หมายความว่าอะไรน่ะหรือ ก็หมายความว่าหลี่เต้าคงแข็งแกร่งที่สุดน่ะสิ! พรสวรรค์ของเขาแข็งแกร่งกว่าสหายของหานเจวี๋ยทุกคน!

ศิษย์เอกนิกายเหริน ความสำเร็จส่งต่อมาทางสายเลือดถึงสองคน สายตาของอริยะช่างร้ายกาจนัก!

เมื่อตั้งเป้าหมายแล้ว จิตวิญญาณในการฝึกบำเพ็ญของหานเจวี๋ยก็พลันตื่นตัวขึ้นมา

เจ็ดปีต่อมา จู่ๆ หานเจวี๋ยก็สังเกตว่ามีสิ่งมีชีวิตในแดนชำระบาปเก้าขุมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

หานเจวี๋ยอ่านจดหมาย ก็รับรู้ได้สิ่งความผิดปกติ

[จั้งกูซิงสหายของท่านเข้าสู่แดนชำระบาปเก้าขุม]

เป็นไปได้หรือไม่ว่าสิ่งที่ชีวิตที่โผล่มาบ่อยๆ ในช่วงนี้คือผู้บำเพ็ญจากวังเทพ?

ยิ่งคิด หานเจวี๋ยก็ยิ่งเห็นถึงความเป็นไปได้

ตี้หล่านเทียนเห็นหลี่ว์ปู้เข้า ยังเข้าใจผิดว่าเป็นจู่ถู

วังเทพเป็นดั่งฝูงมังกรไร้หัวหน้า หลังจากถูกวังสวรรค์ทำลายจนย่อยยับ เหล่าผู้บำเพ็ญแห่งวังเทพก็ได้ยินข่าวว่าจู่ถูอยู่ที่แดนชำระบาปเก้าขุมแห่งนี้ มีเหตุผลอันใดที่จะไม่หนีมาล่ะ

ตี้หล่านเทียนไม่อยากครอบครองแดนชำระบาปเก้าขุมแล้วหรือ เหตุใดถึงปล่อยข่าวลือเช่นนี้ออกไป

หานเจวี๋ยรู้สึกใจคอไม่ดี ‘ถึงเวลาเผ่นแล้ว!’

หานเจวี๋ยควบคุมเกาะสำนักซ่อนเร้น ทำลายมิติของแดนชำระบาปเก้าขุม และบังคับให้กลับไปอยู่ในยมโลก

ทุกวันนี้มิติของแดนชำระบาปเก้าขุมนั้นอ่อนแอเกินไป แม้แต่พวกจักรพรรดิเซียนทั่วไปก็สามารถเข้าออกได้เป็นว่าเล่น

หานเจวี๋ยถ่ายทอดเสียงไปหาหลิวเป้ย ให้หลิวเป้ยนำเกาะสำนักซ่อนเร้นย้ายไปยังสถานที่ที่เขาเรียกว่าแดนต้องห้ามอันธการ

หลิวเป้ยทำตามคำสั่งทันที สำนักซ่อนเร้นที่มีขนาดใหญ่เท่ากับก้อนหินก้อนหนึ่ง ถูกหลิวเป้ยกำไว้ในมือ ทั่วทั้งเกาะตกสู่ความมืดมิดในทันใด

เหล่าศิษย์สำนักซ่อนเร้นรู้สึกว่าเกาะสำนักซ่อนเร้นกำลังเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว

“เกิดอะไรขึ้น ดูเหมือนว่าพวกเรากำลังจะไปจากแดนชำระบาปเก้าขุมแล้ว!”

จอมปีศาจคุกรัตติกาลเอ่ยถามด้วยความตื่นตะลึง

ไก่คุกรัตติกาลกลอกตาให้กับเขาหนึ่งที และเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ “พี่ใหญ่ เจ้าสมองสุนัขไปแล้วหรือไร ตอนนี้คนมาหาเรื่องพวกเรานับวันก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ต้องหนีอยู่แล้วสิ! หลิวเป้ยออกไปแล้ว เขาต้องไปนำทางให้พวกเราอยู่แน่เลย!”

จอมปีศาจคุกรัตติกาลมีสีหน้าซีดเซียว แม้ว่าที่ไก่คุกรัตติกาลพูดจะมีเหตุผล แต่นี่มันช่างไม่มีความเคารพเขาเลยสักนิด!

สุนัขสวรค์ฮุ่นตุ้นกล่าวด้วยความขุ่นเคือง “อย่ามาดูถูกสุนัขนะ!”

ลี่เหยาถอนหายใจอย่างโล่งอก นางรู้สึกมานานแล้วว่าแดนชำระบาปเก้าขุมไม่ปลอดภัย โชคดีที่หานเจวี๋ยก็รับรู้ถึงเรื่องนี้เช่นกัน

เจียงอี้ถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น “พวกเจ้าคิดว่าเราจะไปที่ไหนกันต่อหรือ”

ยังมีที่ที่เงียบสงบกว่าแดนชำระบาปเก้าขุมอีกหรือไม่

คนอื่นๆ ต่างคาดเดากันไปต่างๆ นานา

หานเจวี๋ยได้ยินการสนทนาของพวกเขา แต่ก็ไม่เอ่ยปากแต่อย่างใด

จิตรับรู้ของเขามองออกไปข้างนอกตลอดเวลา เพราะกลัวว่าหลิวเป้ยจะเผชิญกับเหตุร้ายขึ้นมา

หลังจากเกาะสำนักซ่อนเร้นไปจากแดนชำระบาปเก้าขุมได้ไม่นาน ก็มีกลุ่มอิทธิพลกลุ่มหนึ่งมาถึงแดนชำระบาปเก้าขุม

แดนชำระบาปเก้าขุมสับสนอลม่านไปทุกหนแห่ง!

ห้าปีต่อมา

ในที่สุดหลิวเป้ยก็นำทางเกาะสำนักซ่อนเร้นมาจนถึงมิติลึกลับแห่งหนึ่ง หานเจวี๋ยจึงสั่งให้เขากลับเข้ามาในเกาะ

หลังกลับเข้าสู่เกาะแล้ว หลิวเป้ยก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ห้าปีที่ผ่านมาเขารู้สึกตึงเครียดจนถึงขีดสุด เพราะกลัวว่าจะเผชิญกับศัตรูที่แข็งแกร่ง

ทุกวันนี้ยมโลกนั้นช่างโกลาหลวุ่นวายอย่างยิ่ง นอกจากภูติผีแล้ว ยังมีสิ่งที่ชีวิตที่หลบหนีจากเคราะห์กรรมลงมาจากแดนเซียน พญายมเองก็ดูเหมือนจะควบคุมความสงบเรียบร้อยเอาไว้ไม่ได้อีกต่อไป หลิวเป้ยเองก็ได้พบเห็นการรรบราฆ่าฟันกันมากมาย

หานเจวี๋ยบังคับเกาะสำนักซ่อนเร้นให้มุ่งหน้าต่อไป ขณะเดียวกันก็เกิดคำถามขึ้นในใจ “อาณาเขตเต๋าในแดนต้องห้ามอันธการจะปลอดภัยจริงๆ หรือ”

มีปัญหาทั้งหมดสองข้อ

อย่างแรกมันคือแดนต้องห้ามอันธการหรือไม่

อย่างที่สองมันปลอดภัยหรือไม่

[ปลอดภัยในเบื้องต้น]

ครั้งนี้ระบบไม่ได้หักอายุขัย ดูเหมือนว่าจะไม่จำเป็นต้องวิวัฒนาการ

หานเจวี๋ยถอนหายใจอย่างโล่งอก

ในที่สุดก็สามารถซ่อนตัวได้สักที!

เพื่อป้องกันไม่ให้ใครเข้ามาตามทางเข้าที่หลิวเป้ยค้นพบ หานเจวี๋ยบังคับเกาะสำนักซ่อนเร้นให้เลี้ยวไปทางซ้ายทีขวาทีในแดนต้องห้ามอันธการ ขณะเดียวกันก็ตรวจจับศัตรูที่อยู่โดยรอบไปด้วย

ไม่มีศัตรูที่แข็งแกร่ง!

ไม่มีสิ่งมีชีวิตแม้แต่อย่างเดียว ดูเหมือนว่าแดนต้องห้ามอันธการจะไม่มีคนอยู่จริงๆ

หานเจวี๋ยรู้สึกสงสัยมากว่าเหตุใดจึงไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอาศัยอยู่เลย จึงใช้จิตรับรู้ออกไปสำรวจ

เขาพบว่าทันทีที่จิตรับรู้ออกไปนอกเกาะ มันก็สลายไปทันที ประสาทสัมผัสของเขาไม่สามารถสำรวจภายในแดนต้องห้ามอันธการได้เลย

ช่างน่าสะพรึงกลัวเหลือจะเปรียบ

หานเจวี๋ยจำใจต้องหยุดแต่เพียงเท่านี้ เขากลัวว่าตนเองจะสับสน จนหาทางออกไม่ได้

ไม่สิ เขายังมีความสามารถวิวัฒนาการอยู่ ถ้าจะออกไปข้างนอกก็ไม่ยาก

หานเจวี๋ยถ่ายทอดเสียงไปสู่ชาวสำนักซ่อนเร้น “พวกเรามาถึงแดนต้องห้ามอันธการแล้ว ฝึกบำเพ็ญต่อเถิด”

ศิษย์ส่วนใหญ่ไม่เคยได้ยินคำว่าแดนต้องห้ามอันธการมาก่อน จึงอดที่จะสงสัยไม่ได้

มู่หรงฉี่กล่าวอย่างทอดถอนใจ “หลบหนีเคราะห์กรรมมาจนถึงแดนต้องห้ามอันธการ อาจารย์ปู่ช่างกล้าหาญจริงๆ!”

หลี่ว์ฮว่าซวีผู้เป็นมหาจักรพรรดิจื่อเวยกลับชาติมาเกิดถามด้วยความสงสัย “แดนต้องห้ามอันธการอันตรายมากหรือ”

“ไม่อันตราย ตรงกันข้ามที่นี่ไม่มีอะไรเลย อันที่จริงมันก็ไม่ได้มืดสนิท เพียงแค่ไม่อาจสำรวจได้ ไม่ต่างกับการเผชิญหน้ากับความมืดมิด ดังนั้นจึงได้ชื่อว่าแดนต้องห้ามอันธการ ที่นี่ไม่มีแม้แต่ไอเซียน ไม่เหมาะแก่การฝึกบำเพ็ญ แต่ว่าเกาะของพวกเรานั้นผลิตไอเซียนได้เองอยู่แล้วจึงไม่ต้องกังวลถึงเรื่องนี้” มู่หรงฉี่ส่ายหน้าพลางกล่าว

จินกังนู่เอ่ย “ข้าเคยได้ยินเรื่องของแดนต้องห้ามอันธการ ที่นี่อยู่นอกเหนือจากมรรคาสวรรค์ ว่ากันว่าหากอยู่ที่นี่นานวัน จะกลับคืนสู่มรรคาสวรรค์ไม่ได้และถูกขับไล่จากมรรคาสวรรค์”

เมื่อหานเจวี๋ยได้ยินดังนั้น ก็เอ่ยคำถามในใจ “ถ้าหากว่าข้าอยู่ที่แดนต้องห้ามอันธการเป็นเวลานาน จะถูกขับไล่จากมรรคาสวรรค์หรือไม่”

[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งร้อยล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

‘หักอายุขัยอีกแล้ว!’ หานเจวี๋ยกัดฟันและเลือกที่จะดำเนินต่อไป

[ไม่ อาณาเขตเต๋าสามารถสกัดกั้นการกัดเซาะของพลังอันธการได้]

‘พลังอันธการงั้นหรือ มันคือพลังแบบใดกัน’

[จำเป็นต้องหักอายุขัยห้าพันล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

‘ห้าพันล้านงั้นหรือ’ หานเจวี๋ยคิดหนัก หรือว่าพอเท่านี้ก่อนดี

อย่างไรเสียตอนนี้เขาก็ไม่มีทางตกอยู่ในอันตรายได้อยู่แล้ว

ด้วยเหตุนี้ หานเจวี๋ยจึงเริ่มต้นฝึกบำเพ็ญอีกครั้ง

ยี่สิบปีต่อมา

หานเจวี๋ยอ่านจดหมายหลังจากเสร็จสิ้นการฝึกบำเพ็ญ เมื่อได้เห็นเนื้อหาในจดหมายเหล่านั้น เขาก็รู้สึกมีความสุขขึ้นมาทันใด

[ตี้หล่านเทียนสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้ทรงพลังลึกลับ] x14

[จิ่งเทียนกงสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากเผ่าเทพอีกาทอง] x3900

[หวงจุนเทียนสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากเผ่าเทพอีกาทอง] x478

[จั้งกูซิงสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้บำเพ็ญนิกายเจี๋ย] x8766

[จิ่งเทียนกงสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้บำเพ็ญสำนักพุทธ] x744

[ตี้หล่านเทียนสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากเจียงตู๋กูสหายของท่าน]

แดนชำระบาปเก้าขุมกำลังตกอยู่ในมหาสงคราม!

หานเจวี๋ยรู้สึกชื่นชมลางสังหรณ์ของตนเองยิ่งนักที่ออกมาได้อย่างทันท่วงที เขาเพิ่งจากมาไม่กี่สิบปี แดนชำระบาปเก้าขุมก็เทะเละเสียแล้ว

วังเทพ นิกายเหรินและยังมีกลุ่มอิทธิพลลึกลับอื่นๆ เข้ามาแทรกแซง แดนชำระบาปเก้าขุมกลายเป็นสมรภูมิมหาเคราะห์แห่งที่สองไปเสียแล้ว

หานเจวี๋ยดูดซับแรงกรรมจากบัวดำล้างโลกสามสิบหกวัฏจักรอย่างเป็นสุข

แม้จะจากแดนชำระบาปเก้าขุมมาแล้ว แต่ภายในบัวดำล้างโลกสามสิบหกวัฏจักรก็ยังมีแรงกรรมสั่งสมเอาไว้มหาศาล ขณะเดียวกันก็ยังมีให้เขาใช้ได้ไม่หมดไม่สิ้น

หง่าง…

หานเจวี๋ยได้ยินเสียงระฆังลอยมา มันแผ่วเบาจนคล้ายกับเสียงแว่ว

เขาคิดถึงระฆังบรรพกษัตริย์ของตี้หล่านเทียนขึ้นมาก่อนเป็นอันดับแรกทันที

ไม่เสียชื่อยอดสมบัติมรรคาสวรรค์ เสียงของระฆังนี้สามารถดังกังวานมาถึงแดนต้องห้ามอันธการ ไม่ถูกพลังอันธการปิดกั้น

……………………………………

บทที่ 389 ศึกคนชนเทพ ต้นโพธิ์สรรพสิ่ง

หลังจากศิษย์ใหญ่แห่งนิกายเหรินพูดจบ เทพเซียนที่เหลือต่างพากันออกเสียง บ้างก็สนับสนุนให้ปราบปรามเผ่ามนุษย์ บ้างก็เสนอให้ส่งเทพเซียนไปเกลี้ยกล่อมเผ่ามนุษย์

ทุกคนพูดกันไปต่างๆ นานา ทำให้พระราชวังเทียมเมฆาเกิดเสียงดังเซ็งแซ่ขึ้นมาอีกครั้ง

จักรพรรดิสวรรค์รับฟังเงียบๆ ตัวเขาเองก็กำลังใคร่ครวญถึงปัญหาข้อนี้อยู่

หากว่าจัดการเผ่ามนุษย์ ปัญหาจะลุกลามลากโยงมากมายเกินไป

เทพเซียนส่วนใหญ่ของวังสวรรค์ในปัจจุบันล้วนมาจากเผ่ามนุษย์ หากพุ่งเป้าไปที่เผ่ามนุษย์ จะต้องเกิดความหมางใจในกองทัพอย่างแน่นอน

หากปล่อยให้เผ่ามนุษย์แข็งแกร่งขึ้น เทพเซียนเหล่านี้อาจจะทรยศวังสวรรค์ หวนคืนสู่เผ่ามนุษย์

สองทางนี้ต่างเลือกได้ยากนัก

ผ่านไปเนิ่นนาน

จักรพรรดิสวรรค์ถึงยกมือขึ้น เทพเซียนทั้งหมดในพระราชวังเทียมเมฆาต่างเงียบลง

เขาเปิดปากเอ่ยช้าๆ “ส่งคำเตือนไปยังเผ่ามนุษย์ หากดื้อรั้นดึงดันต่อไป เช่นนั้นวังสวรรค์จะแสดงให้โลกมนุษย์ได้เห็นถึงอำนาจของเทพเซียน!”

เมื่อประโยคนี้ถูกกล่าวออกมา สีหน้าของเหล่าเทพเซียนต่างเกิดความเปลี่ยนแปลง มีความคิดแตกต่างกันไป

….

เจ็ดปีต่อมา

ขณะที่หานเจวี๋ยฝึกบำเพ็ญอยู่ ฉับพลันก็มีข้อความเด้งขึ้นมาสี่แถว

[ตรวจพบว่าวังสวรรค์เปิดศึกกับมนุษย์ทั้งเผ่าพันธุ์ ท่านมีตัวเลือกดังต่อไปนี้]

[หนึ่ง สนับสนุนเผ่ามนุษย์ ช่วยเผ่ามนุษย์ช่วงชิงโชคชะตาอันยิ่งใหญ่ จะได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น ได้รับสืบทอดพลังวิเศษหนึ่งครั้ง]

[สอง สนับสนุนวังสวรรค์ ช่วยเทพเซียนช่วงชิงโชคชะตาอันยิ่งใหญ่ จะได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น ยอดสมบัติหนึ่งชิ้น]

[สาม เก็บตัวบำเพ็ญ ไม่เข้าสู่เคราะห์กรรมเด็ดขาด จะได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น ยอดสมบัติหนึ่งชิ้น ได้รับของล้ำค่าฟ้าดินแบบสุ่มหนึ่งชิ้น]

วังสวรรค์เปิดศึกกับเผ่ามนุษย์?

หานเจวี๋ยอดนึกย้อนกลับไปเมื่อสี่พันกว่าปีก่อนไม่ได้ ยามที่วังสวรรค์ปิดล้อมโลกมนุษย์ เขาก็เคยเข้าร่วมเผ่ามนุษย์ต่อสู้กับเทพเซียน

ถึงแม้จักรพรรดิสวรรค์จะมีบุญคุณต่อหานเจวี๋ย แต่หานเจวี๋ยไม่มีทางลืมเลือนทัศนคติของเหล่าเทพเซียนผู้สูงส่ง หากมิใช่เพราะเขาแสดงพรสวรรค์ให้เห็น โลกเขย่าพิภพคงสูญสิ้นไปนานแล้ว จักรพรรดิสวรรค์ก็คงไม่ดีต่อเขาเช่นนี้ด้วย

นี่ต่างหากที่เป็นความจริง

หานเจวี๋ยครุ่นคิดพลางตัดสินใจเลือกข้อที่สามอย่างเงียบงัน

ไม่สนใจมนุษย์ทั้งเผ่าพันธุ์ สนใจเพียงเผ่ามนุษย์แห่งโลกเขย่าพิภพ เขายังไม่สามารถกางปีกปกป้องเผ่ามนุษย์ทั่วปวงสวรรค์หมื่นโลกาได้

เขาจดจำบุญคุณของจักรพรรดิสวรรค์ แต่ไม่ได้มีความรู้สึกดีต่อวังสวรรค์มากมายนัก

แน่นอน สิ่งสำคัญที่สุดคือเขาไม่อยากเสี่ยงอันตราย

[ยินดีด้วย ท่านได้รับชิ้นส่วนมรรคาสวรรค์หนึ่งชิ้น ได้รับของล้ำค่าฟ้าดินแบบสุ่มหนึ่งชิ้น]

[ยินดีด้วยท่านได้รับต้นโพธิ์สรรพสิ่ง]

[ต้นโพธิ์สรรพสิ่ง: ต้นไม้เทพยุคบรรพกาล หากฝึกบำเพ็ญใต้ต้นไม้ สามารถยกระดับทักษะความเข้าใจได้ ในขณะเดียวกันยังเป็นบ่อเกิดของปราณฟ้าประทานด้วย]

ต้นไม้นี้ไม่เลวเลย!

หานเจวี๋ยนำต้นโพธิ์สรรพสิ่งออกมา ตอนนี้ยังเป็นเพียงต้นกล้าเท่านั้น

เขาลุกขึ้นถือต้นโพธิ์สรรพสิ่งก้าวออกจากถ้ำ ชาวสำนักซ่อนเร้นเห็นเขาออกมา ต่างลุกขึ้นอย่างอย่างไม่อาจควบคุมตัวเองได้

หานเจวี๋ยไม่สนใจพวกเขา มุ่งหน้าไปยังกลางเนินเขา คนอื่นๆ ก็ตามขึ้นไปด้วย คนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อมาถึงกลางเนินเขา หานเจวี๋ยปลูกต้นโพธิ์สรรพสิ่งลงไป

ฉู่ซื่อเหรินเพ่งพินิจแวบหนึ่ง อุทานออกมา “นี่คือต้นโพธิ์สรรพสิ่งกระมัง ซ้ำยังระดับสูงนักยิ่ง ต่อให้เป็นสำนักพุทธเองก็ยังไม่มีต้นโพธิ์สรรพสิ่งระดับสูงเช่นนี้เลย!”

คนอื่นๆ ต่างอดไม่ได้ที่จะจ้องมองต้นโพธิ์ด้วยความสนใจใคร่รู้

หานเจวี๋ยเปิดปากเอ่ย “ต้นไม้นี้ผลิตปราณฟ้าประทานที่เหมาะสมสำหรับการฝึกบำเพ็ญของระดับเทพ และเพิ่มทักษะความเข้าใจของพวกเจ้าได้ พวกเจ้าทุกคนต้องดูแลมันให้ดี นี่คือยอดสมบัติสำหรับการบำเพ็ญของพวกเจ้า ขอเพียงมันเติบใหญ่แข็งแรง จะมีส่วนช่วยเหลือพวกเจ้ามหาศาลยิ่ง แต่ก่อนที่มันจะเติบใหญ่อย่างเต็มที่ ไม่อนุญาตให้ผู้ใดมาฝึกบำเพ็ญใกล้ๆ มัน แย่งชิงพลังวิญญาณของมัน เข้าใจหรือไม่”

ทุกคนต่างพยักหน้ารับ สายตาที่มองต้นโพธิ์สรรพสิ่งร้อนแรงขึ้นมา

ต้นไม้เทพเช่นนี้ พวกเขาคนใดบ้างเล่าจะไม่รู้สึกหวั่นไหว

หานเจวี๋ยไม่พูดมากอีก หันหลังจากไป ทุกคนเข้ามารุมล้อมต้นโพธิ์สรรพสิ่งพลางชี้ไม้ชี้มือ

พวกเขาล้วนรู้สึกแปลกใจยิ่งนักที่หานเจวี๋ยนำยอดสมบัติเช่นนี้มาได้

โดยทั่วไปหานเจวี๋ยปิดด่านอยู่ตลอด แล้วไปได้ยอดสมบัติเช่นนี้มาจากไหน

วังสวรรค์มอบให้หรือ

เป็นไปไม่ได้!

จากคำพูดของฉู่ซื่อเหริน วังสวรรค์ไม่มีทางล่ำซำได้เช่นนี้

หากมอบต้นโพธิสรรพสิ่งให้กลุ่มอิทธิพลระดับเจ้าจักรวรรดิกลุ่มใดก็ตาม ล้วนจะกลายเป็นยอดสมบัติที่มีค่าควรสำนัก

ไก่คุกรัตติกาลยิ้มผยองเอ่ยวาจา “บอกแล้วว่านายท่านคือบรรพชนเต๋ากลับชาติมาเกิด!”

ฉู่ซื่อเหรินแหวใส่ “อย่าเอ่ยถึงบรรพชนเต๋าส่งเดช ไม่ว่าจะใช่บรรพชนเต๋าหรือไม่ ก็ไม่ควรพูดทั้งนั้น ระวังสวรรค์จะพิโรธเอา!”

คนอื่นๆ ถูกขู่จนหงอแล้ว

แม้แต่บรรพชนพุทธก็คิดว่าหานเจวี๋ยคือบรรพชนกลับชาติมาเกิดหรือ

หานเจวี๋ยที่อยู่ระหว่างเดินกลับไปสะดุ้งโหยง เขาจะกลายเป็นบรรพชนเต๋าไปได้อย่างไร

โชคดีที่ฉู่ซื่อเหรินปรามไว้ได้ทัน จะปล่อยให้คำพูดเช่นนี้แพร่ออกไปไม่ได้ อย่างมากก็คุยเล่นกันไปเรื่อยในอาณาเขตเต๋าเท่านั้น ส่งเสริมภาพลักษณ์ตัวตนของหานเจวี๋ยในใจของชาวสำนักซ่อนเร้น แต่จะปล่อยให้แพร่กระจายออกไปไม่ได้เด็ดขาด หากเป็นเช่นนั้นจะวุ่นวายยิ่งนัก

หานเจวี๋ยเดินมาถึงใต้ต้นฝูซัง เขาถามด้วยรอยยิ้ม “ช่วงนี้การบำเพ็ญอย่างไรบ้าง”

ต้นฝูซังสั่นไหวเล็กน้อย ก่อนตอบว่า “ยอดเยี่ยมยิ่ง พากเขาต่างแวะเวียนมาชี้แนะข้าเป็นครั้งคราว เพียงแต่ข้าไม่อาจแปลงกายได้”

น้ำเสียงของมันเต็มไปด้วยความเศร้าซึม มันก็อยากเป็นเหมือนคนอื่นๆ เคลื่อนไหวอิสระเสรี จนปัญญาที่มันเป็นต้นไม้เทพมรรคาสวรรค์ ถูกควบคุมโดยกฏเกณฑ์มรรคาสวรรค์ ไม่มีทางจำแลงร่างแปลงกายได้

หากมันทำได้ เช่นนั้นมิใช่ว่าเขาเทพปู้โจวในตำนานก็สามารถแปลงกายได้หรอกหรือ

มิใช่ทุกตัวตนใต้ร่มมรรคาสวรรค์ที่เพียงฝึกบำเพ็ญก็สามารถแปลงกายได้

หานเจวี๋ยเอ่ยยิ้มๆ “อันที่จริงนี่ก็ถือเป็นเรื่องดี ทำให้เจ้าอยู่ห่างไกลจากเภทภัย สงบใจฝึกบำเพ็ญไปเถิด ต้องมีสักวันที่เจ้าจะสามารถทลายข้อผูกมัด แปลงกายเป็นมนุษย์ เสพสุขกับอิสระได้”

ต้นฝูซังก็ได้แต่คิดเช่นนี้ หาสุขจากทุกข์

พูดคุยกันอยู่สักพัก หานเจวี๋ยถึงได้กลับเข้าไปในถ้ำเทวาฟ้าประทาน

ฝึกบำเพ็ญต่อดีกว่า!

….

เวลาล่วงเลยไป

ผ่านไปอีกยี่สิบปี

ระหว่างที่หานเจวี๋ยบำเพ็ญอยู่ เผ่ามนุษย์ในแดนเซียนเปิดศึกกับวังสวรรค์ แม้แต่สิงหงเสวียนก็เผชิญกับการโจมตีจากทหารสวรรค์ด้วย

หลงเฮ่าและตี้หล่านเทียนคล้ายจะล่าถอยไปแล้ว ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ อีก

ลัทธิอันธการให้ความช่วยเหลือวังสวรรค์อยู่ตลอด ร่วมหัวจมท้าย ที่วังสวรรค์แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ก็ต้องยกความดีความชอบให้พวกเขา

เซวี่ยหมิงเหอต้องการให้วังสวรรค์ลำพองตัวจริงๆ

หานเจวี๋ยทราบดี กลุ่มอิทธิพลพุ่งเป้ามาที่วังสวรรค์มากมายเกินไป หากจักรพรรดิสวรรค์อยากอยู่รอดจากมหาเคราะห์ครั้งนี้ เช่นนั้นก็ทำได้เพียงฝ่าฟันความยากลำบาก เอาชนะจนได้รับโชคชะตาอันยิ่งใหญ่

หากวังสวรรค์มีชัย ก็ไม่มีทางกวาดล้างเผ่ามนุษย์จนสิ้นซาก

ดังนั้นเขาจึงไม่ขัดขวางเซวี่ยหมิงเหอ ปล่อยเลยตามเลยไป

หากว่าจักรพรรดิสวรรค์มีชัยในมหาเคราะห์ด้วยเหตุนี้ เช่นนั้นก็นับว่าหานเจวี๋ยได้ทดแทนคุณแล้ว ไม่ติดค้างกันอีก

ส่วนที่ว่าวันหน้าจะเข้าสู่วังสวรรค์หรือไม่ เขาต้องคิดดูก่อน

วังสวรรค์ช่างหาเรื่องเกินไป!

หากเข้าร่วมวังสวรรค์ จะส่งผลกระทบต่อมรรคจิตของหานเจวี๋ย

หานเจวี๋ยยังอยู่ห่างไกลจากระดับปฐมเทพห้าวัฏพอสมควร แต่ความฮึกเหิมของเขากลับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ในวันนี้

จู่ๆ หานเจวี๋ยพลันสัมผัสถึงพลังอันน่าหวาดหวั่นสายหนึ่งที่โถมเข้าสู่แดนชำระบาปเก้าขุม

“ข้าคือตี้หล่านเทียน หัวหน้าเผ่าเทพอีกาทอง นับตั้งแต่วันนี้ไปเผ่าเทพอีกาทองจะเข้ามาตั้งรกรากในแดนชำระบาปเก้าขุม หวังว่านิกายเจี๋ยและเผ่าวิหคชาดจะไม่มารบกวน!”

เสียงของตี้หล่านเทียนดังก้องไปทั่วแดนชำระบาปเก้าขุม ฟังดูโอหังอย่างยิ่ง

หานเจวี๋ยฟังแล้วพลันรู้สึกหมดคำพูด เจ้าไปเอาความมั่นใจมาจากไหนกัน

จากนั้นเขาก็หวั่นวิตก

เหตุใดตี้หล่านเทียนถึงมา

หรือเจียงอี้ลอบรายงานข่าวให้

หานเจวี๋ยเรียกเจียงอี้เข้ามาทันที

เมื่อเจียงอี้เข้ามาในถ้ำ ก็ชิงเอ่ยขึ้นว่า “ไม่เกี่ยวกับข้า! ข้าไม่ได้เปิดเผยว่าสำนักซ่อนเร้นอยู่ในแดนชำระบาปเก้าขุม! นับตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ ข้าก็ไม่เคยติดต่อกับเผ่าเทพอีกาทองอีกเลย”

ไม่รู้เพราะเหตุใด เจียงอี้รู้สึกหวั่นวิตกอย่างน่าประหลาด กลัวว่าหานเจวี๋ยจะไล่เขาไป

หานเจวี๋ยเอ่ยถาม “จากนั้นเล่า”

เจียงอี้บอกเล่า “ข้าแสร้งทำเป็นไม่ทราบเรื่องนี้ และข้าก็ไม่เคยออกไปหาเผ่าอีกาทองเลยตอนนี้พวกเขากำเริบเสิบสานเกินไปแล้ว ข้ากลัวว่าจะถูกลากไปเกี่ยวด้วย”

………………………………………………………………

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

Status: Ongoing
ชาติก่อนอายุสั้น ไม่ทันได้ใช้ชีวิต ชาตินี้จึงขอพากเพียรบำเพ็ญเซียน ลาภยศสตรีมีหรือจะสู้การเป็นอมตะ!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท