บทที่ 393 ลี่เหยาพิสูจน์จักรพรรดิ ความตื่นตะลึงของหานเจวี๋ย
ดูจากเนื้อหาในจดหมาย ตี้หล่านเทียนและเผ่าเทพอีกาทองกำลังถูกโจมตีอย่างหนัก หานเจวี๋ยเองก็ไม่ได้สนใจความเป็นความตายของพวกเขาสักเท่าไร ขอเพียงไม่กระทบกับตนเองก็เป็นพอ
หานเจวี๋ยหยุดนึกถึงเสียงระฆังนั้น และกลับไปฝึกบำเพ็ญต่อ
ต่อไปต้องมุ่งสู่ปฐมเทพขั้นห้า!
ผ่านไปอีกพักหนึ่ง เสียงของระฆังบรรพกษัตริย์ก็ดังขึ้นเป็นระยะๆ
สามสิบปีผ่านไปในพริบตา
ระยะทางสู่ระดับปฐมเทพขั้นห้าของหานเจวี๋ยนั้นอยู่อีกไม่ไกล ห่างจากการทะลวงระดับครั้งก่อนไม่ถึงสองร้อยปี โชคดีที่ครั้งก่อนได้รู้แจ้งถึงชีวิตและความตาย ช่วยลดเวลาบำเพ็ญเพียรลงไปหลายสิบปี
หลังจากมาอยู่ที่แดนต้องห้ามอันธการแล้ว เกาะสำนักซ่อนเร้นก็ไม่เคยถูกรบกวนอีก
เหล่าศิษย์ในสำนักต่างเขาสู่กระบวนการฝึกบำเพ็ญอีกครั้ง เพื่อเตรียมตัวสำหรับงานประลองประจำศตวรรษครั้งต่อไป
แม้ว่างานประลองประจำศตวรรษจะไม่มีของรางวัล แต่ก็ถือเป็นการต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรีและคุณค่าของตน
และคนที่ก้าวหน้าโดดเด่นกว่าผู้อื่น มักจะเป็นที่ต้องตาของหานเจวี๋ย การได้รับคำชี้แนะจากเขาถือเป็นสิ่งที่ดึงดูดใจได้มากกว่าของรางวัลเสียอีก
หานเจวี๋ยตรวจดูจดหมาย ส่วนใหญ่ก็เป็นจดหมายที่แจ้งว่าถูกโจมตี จดหมายที่แจ้งว่าได้รับโอกาสวาสนากลับมีน้อยนิด
สวัสดิการจากมรรคาสวรรค์ถูกแจกจ่ายไปพอสมควรแล้ว หลังจากนี้ถึงเวลาที่เหล่าผู้ก้าวสู่เคราะห์ทั้งหลายจะบ้าคลั่งกันแล้ว
หานเจวี๋ยอดชื่นชมมรรคาสวรรค์ไม่ได้ เจตจำนงเช่นนี้ทำให้รู้ซึ้งถึงอันตราย แต่พวกเขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะกระโจนเข้าใส่โดยไม่ลังเล
โชคดีที่เขาไม่ได้ถลำลึกลงไปในมรรคาสวรรค์ ไม่ฉะนั้นเขาคงต้องตายไม่ช้าก็เร็ว
ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน จะมีสักที่คนที่พิชิตมรรคาสวรรค์ได้
หานเจวี๋ยฝึกบำเพ็ญต่อไป
ห้าปีต่อมา
ลี่เหยาพิสูจน์จักรพรรดิสำเร็จ บรรลุระดับจักรพรรดิเซียนหนึ่งวัฏ ไม่จำเป็นต้องฝ่าด่านเคราะห์ในอาณาเขตเต๋า
เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดความโกลาหลภายในสำนักซ่อนเร้นไม่น้อย จอมปีศาจคุกรัตติกาล เจียงอี้ และจินกังนู่ต่างรู้สึกถึงวิกฤต
คุณสมบัติของคนรุ่นใหม่เหล่านี้แข็งแกร่งเกินไป พวกเขาต้องพยายามหนักขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้
ผ่านไปอีกสิบปี
หานเจวี๋ยเรียกลี่เหยาเข้าไปในถ้ำเทวาฟ้าประทาน
ลี่เหยาเพิ่งรวบรวมระดับสำเร็จ ทำให้บุคลิกยิ่งสุขุมเยือกเย็นยิ่งขึ้น ทว่าในใจของนางกลับตื่นเต้นและคาดหวังอย่างยิ่งนัก นางตั้งตารอคอยคำชื่นชมจากหานเจวี๋ย
หานเจวี๋ยกล่าวว่า “จักรพรรดิเซียนหนึ่งวัฏยังไม่เพียงพอ อย่าได้หลงลำพองตน เข้าใจหรือไม่”
ลี่เหยาพยักหน้า
หานเจวี๋ยกล่าว “ข้าจะมอบพลังวิเศษให้กับเจ้าหนึ่งอย่าง เพื่อช่วยเสริมพลังให้กับเจ้า หวังว่าเจ้าจะเติบโตขึ้นในเร็ววัน และช่วยปกป้องอาณาเขตเต๋าแห่งสำนักซ่อนเร้นไว้”
“ขอบพระคุณท่านเจ้าสำนัก ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง!”
ลี่เหยากล่าวอย่างหนักแน่น แม้ว่านางจะมีนิสัยสุขุมรอบคอบ แต่เมื่ออาศัยอยู่ที่สำนักซ่อนเร้นนานเข้า ก็รู้สึกกลมกลืนและเป็นส่วนหนึ่งกับที่นี่ไปโดยสมบูรณ์ นางรู้สึกได้ถึงความสบายใจที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนจากที่แห่งนี้ และนางก็ไม่อยากให้สำนักซ่อนเร้นต้องประสบพบเจอกับภยันตรายใดๆ
หานเจวี๋ยเริ่มต้นถ่ายทอดพลังวิเศษให้
หนึ่งปีต่อมา
ลี่เหยาออกมาจากถ้ำเทวาฟ้าประทาน คนอื่นๆ ต่างรุมล้อมไต่ถามถึงสิ่งที่นางร่ำเรียนมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ถึงงานประลองประจำศตวรรษเมื่อไร พวกเจ้าก็จะรู้เอง” ลี่เหยากล่าวเช่นนั้น
ทุกคนกลอกตากันยกใหญ่
สตรีคนนี้ดูเหมือนจะเงียบขรึม แต่ความจริงแล้วกลับมีจิตใจทะเยอทะยานที่กล้าแกร่ง
สมแล้วที่เป็นผู้หญิง!
…
แปดปีต่อมา
หานเจวี๋ยที่กำลังฝึกบำเพ็ญอยู่รู้สึกถึงสิงหงเสวียนที่ใช้วิชาอัญเชิญเทพ
เขาก้าวเข้าไปในกระแสวนสีดำ และมาถึงที่ห้องนอนของสิงหงเสวียน
ภายในห้องนอนมีเพียงสิงหงเสวียนเพียงผู้เดียว
หานเจวี๋ยที่ไปมาหาสู่จนเคยชินเดินมานั่งลงที่ข้างเตียง และมองไปยังสิงหงเสวียน
ครั้งนี้สิงหงเสวียนไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ลุกขึ้นมา และทำสีหน้าเคร่งขรึม
“มีอะไรหรือ” หานเจวี๋ยเอ่ยถาม
สิงหงเสวียนขบเม้มริมฝีปากของนางเบาๆ และกล่าว “เผ่ามนุษย์เร่งเตรียมพร้อมบุกโจมตีวังสววรรค์ให้เร็วขึ้นเก้าวัน!”
หานเจวี๋ยพยักหน้า เขาไม่แปลกใจแม้แต่น้อย เขาเห็นแววส่อเค้าลางมาตั้งนานแล้ว
“มหาจักรพรรดิองค์ปัจจุบันแห่งเผ่ามนุษย์รวบรวมผู้บำเพ็ญระดับเซียนขึ้นไปทั้งหมด ข้าเองก็ต้องไปด้วย แต่ดูเหมือนว่าวังสวรรค์จะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับท่านพี่ ท่านคิดว่าข้าควรไปดีหรือไม่” สิงหงเสวียนถาม
นางกังวลเกี่ยวกับความคิดเห็นของหานเจวี๋ยมากกว่าเจตจำนงของเผ่ามนุษย์
หานเจวี๋ยกลอกตา และกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “มาถามข้าทำไม ข้าบอกให้เจ้ากลับมา เจ้าจะไม่กลับมางั้นหรือ”
สิงหงเสวียนเม้มริมฝีปากแล้วกล่าว “ข้าอยากจะเติบโตขึ้นด้วยตนเองนี่นา หากอยู่เคียงข้างท่านก็รังแต่จะเป็นภาระให้ท่านตลอดไป หากท่านผูกมิตรกับวังสวรรค์ ข้าก็ไม่อยากตั้งตัวเป็นศัตรูกับวังสวรรค์”
หานเจวี๋ยตกอยู่ในห้วงความคิด
สิ่งที่เขาสนใจคือจักรพรรดิสวรรค์ไม่ใช่วังสวรรค์
หากไม่ให้สิงหงเสวียนไป นางจะต้องถูกขับไล่จากเผ่ามนุษย์อย่างแน่นอน
หานเจวี๋ยกล่าวว่า “ศาลสวรรค์มีภูมิหลังที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว หากเจ้าจะเข้าร่วมสงครามจริงๆ ทางที่ดีที่สุดคือฉวยโอกาสช่วงชุลมุน ไม่ต้องเอาจริงเอาจังมากนักก็ได้ การรักษาชีวิตของตนให้อยู่รอดถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด”
สิงหงเสวียนกลอกตาแล้วกล่าวว่า “อันที่จริงยังมีวิธีหลีกเลี่ยงอยู่ เพียงแต่ข้ากังวลใจมาโดยตลอด”
“วิธีอะไร”
“ลองไปเยือนแดนลึกลับที่อริยะหนี่ว์วาทิ้งเอาไว้ หากข้าทำสำเร็จ เผ่ามนุษย์ก็จะสรรเสริญข้าและไม่ปล่อยให้ข้าผจญอันตรายง่ายๆ”
น้ำเสียงของสิงหงเสวียนเปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง
หานเจวี๋ยพยักหน้าเล็กน้อย
เขาปฏิเสธเรื่องนี้โดยสัญชาตญาณ เนื่องจากก่อนหน้านี้เขาเคยวิวัฒนาการมาก่อน หนี่ว์วาเพียงแค่อยากจะรับเอาความดีความชอบของเขาไปเท่านั้น สำหรับมนุษย์ปุถุชนอย่างสิงหงเสวียน มีหรือจะได้รับวิชาสืบทอดที่ยิ่งใหญ่กว่าอริยะ
สิงหงเสวียนมองออกว่าหานเจวี๋ยรู้สึกกังวล จึงเอ่ยเปรยๆ ขึ้น “นี่เป็นดินแดนลับที่สืบทอดต่อกันมาในเผ่ามนุษย์เนิ่นนานแล้ว หาใช่เพิ่งจะปรากฏเมื่อไม่นานมานี้”
หานเจวี๋ยถาม “เจ้าอยากไปหรือไม่”
สิงหงเสวียนพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น
นางเองก็อยากแข็งแกร่งขึ้นบ้าง!
หานเจวี๋ยกล่าว “เช่นนั้นข้าจะถ่ายทอดพลังวิเศษบางอย่างให้กับเจ้า”
สิงหงเสวียนยิ้มหน้าบานทันใด นางโผตัวเข้าไปในอ้อมกอดของหานเจวี๋ย กล่าวพร้อมหัวเราะคิกคัก “ท่านพี่ช่างแสนดีเหลือเกิน ไว้เดือนหน้าค่อยถ่ายทอดให้ข้าก็ได้ ตอนนี้เรามา…”
“คุกเข่าลง”
“เจ้าค่ะ ท่านพี่!”
…
หนึ่งปีต่อมา หานเจวี๋ยกลับไปยังถ้ำเทวาฟ้าประทานอีกครา
เขานั่งอยู่บนบัวดำล้างโลกสามสิบหกวัฏจักร และคิดในใจว่า ‘ข้าอยากรู้สถานการณ์ของสิงหงเสวียน หลังจากมหาเคราะห์สิ้นสุดลง’
[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งร้อยล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
หืม? ทำไมถึงเพิ่มขึ้นมาเป็นพันล้านปี นี่มันราคาของต้าหลัวนี่นา!
หานเจวี๋ยเลือกที่จะดำเนินการต่อ
ทันใดนั้น ภาพลวงตาวิวัฒนาการก็หลั่งไหลเข้าสู่จิตรับรู้ของเขา
หานเจวี๋ยลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขามาอยู่กลางถนนที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คน ดูแล้วเจริญหูเจริญตาอย่างยิ่ง
ทุกคนเงยหน้าขึ้น มองไปบนท้องนภา
หานเจวี๋ยเงยหน้ามองตามไป ทันทีที่เห็นก็สะดุ้งสุดตัว
ทหารเกราะเงินนับไม่ถ้วนลอยคว้างอยู่กลางอากาศ ทุกนายล้วนภูมิฐานกล้าแกร่งราวกับทหารสวรรค์ และยังมีผู้บำเพ็ญทรงพลังแห่งเผ่ามนุษย์จำนวนไม่น้อยนั่งขัดสมาธิอยู่ด้วย
หานเจวี๋ยมองทะลุผ่านทหารเกราะเงินจำนวนนับไม่ถ้วนเหล่านั้นไป เห็นตั่งยาวสีทองหลังหนึ่งลอยเหนือหมู่มวลเมฆ พร้อมทั้งหญิงสาวในชุดคลุมสีฟ้านั่งพิงอยู่บนตั่งยาวนั้น
นางคือสิงหงเสวียนนั่นเอง!
ชุดคลุมสีฟ้าของสิงหงเสวียนปักด้วยลายมังกรเหินวิหคระบำ ดูสมจริงราวกับมีชีวิต ใบหน้าของนางแต่งแต้มอย่างวิจิตรบรรจง ศีรษะสวมมงกุฎประดับด้วยผลึกแวววาว สายตาทอดมองลงมายังฝูงชนอย่างดูแคลน เหยียดหยาม ในแววตาระคนไปด้วยความดูหมิ่น ปีติยินดี ดูแปลกไปจากปกติ
‘หืม? นี่มันเกิดอะไรขึ้น ผู้หญิงคนนี้กลายเป็นจักรพรรดิมวลมนุษย์ไปแล้วหรือไร’
หานเจวี๋ยตะลึงงัน แม้ว่าสิงหงเสวียนผู้กลับชาติมาเกิดใหม่จะมีคุณสมบัติที่ไม่เลว แต่เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าหญิงผู้นี้จะได้เป็นใหญ่ขึ้นมาจริงๆ
หานเจวี๋ยอยากชมต่อ แต่ภาพลวงตาวิวัฒนาการกลับแตกสลายลง และจิตรับรู้ก็กลับมาสู่ความเป็นจริงอีกครั้ง
‘แค่นี้งั้นหรือ ยังมองไม่ชัดเลยว่าเป็นนางจริงๆ หรือไม่’ หานเจวี๋ยบ่นพึมพำอยู่ในใจ รู้สึกไม่พอใจอย่างยิ่ง
จากนั้น ก็มีตัวอักษรบรรทัดหนึ่งโผล่ขึ้นมาตรงหน้าของเขา คือคำบรรยายของสิงหงเสวียน
[สิงหงเสวียน: ตบะไม่ทราบ มหาจักรพรรดิไร้ขอบเขต จักรพรรดินีเผ่ามนุษย์ ศิษย์อริยะ คู่บำเพ็ญเพียรแห่งเจ้าสำนักซ่อนเร้น]
‘เลิศเลอปานนี้เชียว มหาจักรพรรดิไร้ขอบเขต แสดงว่าสิงหงเสวียนจะก้าวสู่เคราะห์และได้รับชัยชนะมาหรือ’
หานเจวี๋ยขมวดคิ้วแน่น ไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือกังวลใจดี
นี่น่าจะเป็นคำบรรยายของสิงหงเสวียนในอนาคต
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ สิงหงเสวียนจะประสบความสำเร็จในการไปแสวงโชคในแดนลึกลับของหนี่ว์วาครั้งนี้
………………………………………
บทที่ 390 อีกาทองเข้ารีตมาร เข้าฝันจักรพรรดิสวรรค์
เจียงอี้กล่าวอย่างมีเหตุผลมากจนหานเจวี๋ยรู้สึกผิดที่คาดคั้นเอาความจากเขา
หานเจวี๋ยไม่ต้องการเปิดเผยที่อยู่ของเขา แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่รู้ว่าเขาคือเจ้าแดนต้องห้ามอันธการก็ตาม
หานเจวี๋ยเอ่ยถาม “ถ้าเผ่าเทพอีกาทองเรียกตัวเจ้ากลับ เจ้าจะกลับไปหรือไม่”
เจียงอี้ตอบโดยไม่ลังเล “ไม่กลับ ข้าจะฝึกเต๋า ข้าไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อเผ่าเทพอีกาทอง!”
เขามาอยู่ที่เกาะสำนักซ่อนเร้นมาระยะหนึ่งแล้ว และค้นพบว่าโอกาสวาสนา ต้นฝูซัง และต้นโพธิ์สรรพสิ่งของที่นี่ล้วนเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในการบำเพ็ญ อีกทั้งยังมีแบบจำลองการทดสอบที่ช่วยพัฒนาทักษะการต่อสู้ได้อย่างรวดเร็วโดยไม่มีสิ่งแลกเปลี่ยน
พวกเขาไม่จำเป็นต้องจ่ายอะไร ไม่จำเป็นต้องทำภารกิจหรือมอบสิ่งใดให้ บางครั้งบางคราหานเจวี๋ยก็แวะเวียนมาแสดงโอวาทอีกด้วย! อยู่ที่นี่ช่างแสนสุขสำราญ!
อีกทั้งเจียงอี้เองก็ไม่อยากกลับไปเผ่าเทพอีกาทอง เขาไม่มีความรู้สึกกดดันที่มาจากการแข่งขันในหมู่คนรุ่นราวคราวเดียวกับเขาเลยแม้แต่น้อย แต่เมื่ออยู่ที่เกาะสำนักซ่อนเร้น เขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกกดดัน ซึ่งทำให้เขาฝึกบำเพ็ญจนมีจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ ไม่อยากอ่อนแอกว่าผู้อื่น
หานเจวี๋ยยิ้มอย่างพึงพอใจ “เจ้าเด็กนี่มีอนาคตแฮะ”
เจียงอี้เบะปาก
นี่มันเรื่องอะไรกัน เหตุใดจู่ๆ เขาถึงรู้สึกว่าตนเองอายุอ่อนกว่าหานเจวี๋ยโดยไม่รู้ตัว
เมื่อก่อนเขามองว่าหานเจวี๋ยเป็นน้องชายที่ต้องคอยดูแลเอาใจใส่ แต่มาบัดนี้ เขากลับเกิดรู้สึกหวาดกลัวหานเจวี๋ยไปเสียได้
ตัวของเจียงอี้เองเมื่อนึกย้อนกลับมาก็รู้สึกว่าช่างน่าเหลือเชื่อ แต่นี่ก็พิสูจน์ว่าความฉลาดของหานเจวี๋ยนั้นน่ากลัวเพียงใด
พลังที่แข็งแกร่งไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว สิ่งที่น่ากลัวคือคนที่มีพลังแข็งแกร่งและยังรู้จักอดทนอดกลั้น!
หานเจวี๋ยกล่าวว่า “เผ่าเทพอีกาทองก้าวสู่เคราะห์กรรมแล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะใช้วิธีใดเพื่อติดต่อเจ้า ก็จงอย่าได้สนใจ ต่อให้เผ่าเทพอีกาทองจะสูญสิ้น แต่ขอเพียงเจ้า เจ้าใหญ่ และเจ้ารองยังมีชีวิต เผ่าเทพอีกาทองย่อมมีความหวังจริงหรือไม่ การหลีกเลี่ยงเคราะห์กรรมในตอนนี้ของพวกเจ้า ก็เป็นการพยายามเพื่ออนาคตของเผ่าเทพอีกาทอง”
เจียงอี้พยักหน้าอย่างแรง
ไร้ยางอายซะไม่มี! กล้าพูดเรื่องขี้ขลาดตาขาวเช่นนี้ออกมาได้อย่างหนักแน่น แม้แต่เจียงอี้ก็ยังคล้อยตาม ความรู้สึกผิดที่มีต่อเผ่าเทพอีกาทองในใจก็เบาบางลงเล็กน้อย
แน่นอนว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงความคิดในหัวของเจียงอี้เท่านั้น เขาไม่กล้าพูดออกไป
หานเจวี๋ยโบกมือให้เขาออกไป
เจียงอี้ทำท่าจะพูดบางสิ่ง แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะจากไป
เขาอยากให้หานเจวี๋ยเล่าเรื่องให้ฟัง แต่พอคำพูดมาอยู่ที่ปาก กลับไม่กล้าเอ่ยออกไป
การแทรกแซงของเผ่าเทพอีกาทองทำลายความสงบสุขของแดนชำระบาปเก้าขุม อีกาทองพวกนั้นไม่สามารถอยู่เฉยๆ อย่างสงบเสงี่ยมได้ จะต้องเดินไปทั่ว ท้องฟ้าเหนือเกาะสำนักซ่อนเร้นมีอีกาทองบินว่อนไปมาอยู่ตลอดเวลา
ทุกครั้งที่เจ้าใหญ่และเจ้ารองเห็นอีกาทอง ดวงตาก็ฉายแววอันซับซ้อนออกมา
พวกมันคืออีกาทองที่ถูกเนรเทศออกมาจากเผ่า ความรู้สึกที่มีต่อเผ่าเทพอีกาทองจึงซับซ้อนอย่างยิ่ง
หลังจากไปๆ มาๆ อยู่หลายปี เผ่าเทพอีกาทองก็เริ่มที่จะไม่ออกไปข้างนอกอีก
สามสิบสองปีผ่านไปอีกครา
ตบะของหานเจวี๋ยก้าวหน้าไม่น้อย กระแสแรงกรรมที่โอบล้อมรอบเกาะสำนักซ่อนเร้นก็กระจายวงกว้างออกไป ดูเหมือนว่าจะไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ใกล้ๆ
ช่วงนี้เผ่าวิหคชาด เผ่าเทพอีกาทอง และนิกายเจี๋ยสมัครสมานสามัคคีกันมาก จนดูเหมือนว่าพวกเขามาที่นี่เพื่อหลีกหนีเคราะห์กรรมจริงๆ
อยู่มาวันหนึ่ง
หานเจวี๋ยอ่านจดหมายขณะฝึกบำเพ็ญ ทันใดนั้นก็เหลือบเห็นจดหมายแจ้งเตือนฉบับหนึ่ง
[ตี้หล่านเทียนสหายของท่านเข้ารีตมาร ดวงชะตาเกิดการเปลี่ยนแปลง]
‘เข้ารีตมาร? นี่มันเรื่องอะไรกัน’ หานเจวี๋ยขมวดคิ้วแน่น ตี้หล่านเทียนไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา แต่เป็นถึงอีกาทองศักดิ์สิทธิ์ เหตุใดจึงไปเข้ารีตมารได้
มารที่ว่าคงไม่เกี่ยวข้องกับเผ่ามารใช่หรือไม่
หานเจวี๋ยเอ่ยถามในใจทันที “เหตุใดตี้หล่านเทียนถึงเข้ารีตมาร”
ตี้หล่านเทียนอยู่ในแดนชำระบาปเก้าขุม หานเจวี๋ยต้องระแวดระวังเอาไว้ก่อน
[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งร้อยล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ดำเนินการ!
หานเจวี๋ยไม่ได้ใช้ความสามารถมานาน ดังนั้นเขาจึงไม่รู้สึกทุกข์ร้อนเลยแม้แต่น้อย
ทันใดนั้น ภาพลวงตาวิวัฒนาการก็หลั่งไหลเข้าสู่จิตรับรู้ของเขาและฉายภาพออกมา
มันเป็นสถานที่ลึกลับอันมืดสลัวแห่งหนึ่ง ตี้หล่านเทียนกลายร่างเป็นอีกาทองยักษ์สามขาที่ตัวใหญ่ยิ่งกว่าภูเขา เขาเป็นดั่งดวงอาทิตย์เพียงหนึ่งเดียวที่สาดส่องในพื้นที่แห่งนี้
หานเจวี๋ยยืนอยู่เบื้องหน้าตี้หล่านเทียน และเงยหน้าขึ้นมองเขา
ชายผู้นี้กำลังทำอะไร
หานเจวี๋ยสังเกตเห็นสายตาของตี้หล่านเทียน เขาหันไปมองและพบว่าท่ามกลางความมืดมิดมีดวงตาที่แสนเย็นชาและน่าขนลุกอยู่คู่หนึ่ง
ดวงตาคู่นี้มหึมายิ่งกว่าตัวของตี้หล่านเทียน มันอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกคุกคามอย่างรุนแรง
จู่ๆ หานเจวี๋ยก็นึกถึงชื่อชื่อหนึ่งขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
บรรพชนมาร!
เจ้าพ่อคนนี้เข้ามาในวิสัยทัศน์ของหานเจวี๋ยตั้งแต่แรกเริ่ม ก่อนหน้านี้ ณ โลกเขย่าพิภพ บรรพชนมารก็ได้วางแผนการซึ่งส่งผลให้วังสวรรค์ทำลายล้างโลก ผ่านไปหลายพันปีหลังจากนั้น บรรพชนมารและเผ่ามารก็ดูเหมือนว่าจะหยุดมือไปและไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ อีกเลย
ตี้หล่านเทียนกล่าวเนิบๆ “ข้าจำเป็นต้องร่วมมือกับเจ้าด้วยหรือ”
“จำเป็นสิ ต่อให้เจ้าร่วมมือกับเฮ่าเทียน เจ้าก็ต้องประสบกับความพ่ายแพ้ย่อยยับ แม้แต่ศิษย์เอกนิกายเหรินเจ้ายังเอาชนะไม่ได้ และเจ้าจะพิชิตมหาเคราะห์ได้อย่างไร แม้ว่าระฆังบรรพกษัตริย์จะทรงพลัง แต่ตบะของเจ้าไม่ใช่ เจ้าไม่ทางสำแดงพลังทั้งหมดของมันออกมาได้”
ดวงตาที่แสนเย็นชาตอบกลับ ฟังไม่ออกว่าในน้ำเสียงนั้นแฝงด้วยอารมณ์เช่นใด
ตี้หล่านเทียนนิ่งเงียบ
เห็นได้ชัดว่าในการต่อสู้กับวังสวรรค์ก่อนหน้านี้ เขาถูกโจมตีอย่างหนัก
ดวงตาแสนเย็นชาเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง “มหาเคราะห์เริ่มต้นขึ้นมาได้นับพันปีแล้ว แรงกรรมของแดนเซียนเองก็สั่งสมมาจนถึงระดับหนึ่งเช่นกัน ต่อจากนี้ต่างหากคือโลกแห่งมหาสงครามที่แท้จริง ต้าหลัวธรรมดาไม่มีคุณสมบัติที่จะร่วมชิงชัย จักรพรรดิหยกโจวเหยี่ยนผู้อยู่เบื้องหลังวังสวรรค์จะลงสนามด้วยตนเอง วังหนี่ว์วาผู้หนุนหลังเผ่าพันธุ์มนุษย์เองก็จะลงมือเช่นกัน เจ้าต้องเลือกผู้อุปถัมภ์ แม้ว่าข้าจะถูกมรรคาสวรรค์ขับไล่ แต่ข้านี่แหละคือผู้ที่ช่วงชิงชัยชนะมาจากบรรพชนเต๋า”
ตี้หล่านเทียนจ้องมองอีกฝ่ายเขม็ง ถามเสียงต่ำว่า “ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเผ่าเทพอีกาทองจะไม่ตกเป็นหุ่นเชิดของเผ่ามาร”
‘นี่มันบรรพชนมารเชียวนะ!’ หานเจวี๋ยเกิดความรู้สึกหวาดกลัวขึ้นในใจลึกๆ แม้แต่เผ่ามารก็ยังต้องก้าวสู่เคราะห์กรรม
บรรพชนมารแค่นเสียงกล่าว “มหาเคราะห์มรรคาสวรรค์ผ่านมาถึงขนาดนี้ เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ ไม่มีเผ่าพันธุ์ใดที่จะครองมรรคาสวรรค์ได้โดยสมบูรณ์ รวมถึงเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ดูเหมือนจะเป็นตัวเอกแห่งมรรคาสวรรค์ แท้จริงแล้วเป็นเพียงทาสที่อริยะหลอกใช้ความศรัทธา เป็นสัตว์ที่เทพเซียนเลี้ยงดูเอาไว้เพื่อรับประกันสถานะของตนเท่านั้น สิ่งที่มรรคาสวรรค์ต้องการจริงๆ คือความกลมเกลียวของสรรพสิ่งก็เท่านั้น แต่หากเผ่ามารและเผ่าเทพอีกาทองร่วมมือกันก็จะสามารถควบคุมแดนเซียนได้ โจมตีแดนเทพหวนปัจฉิม บุกเบิกแดนต้องห้ามอันธการ แทนที่จะห้ำหั่นกันเอง สู้มาจับมือเป็นพันธมิตรตราบนิจนิรันดร์จะดีกว่า”
“ขอเพียงเจ้ายอมรับ ข้าจะให้เจ้าหยิบยืมพลังของข้า ทำให้เจ้ากลายเป็นผู้ที่ไร้เทียมทานรองจากอริยะ!”
แววตาของตี้หล่านเทียนแปรเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน
จากนั้นภาพก็ขาดช่วงไป
หานเจวี๋ยหวนคืนสติกลับมา คิ้วขมวดแน่น
ตี้หล่านเทียนเข้ารีตมาร ก็แสดงว่าตอบรับบรรพชนมารไปแล้ว
จากคำพูดของบรรพชนมารสามารถอนุมานได้ว่า จุดสูงสุดของมหาเคราะห์กำลังจะมาถึง หรือกล่าวได้อีกนัยหนึ่งคือการเข่นฆ่าที่แท้จริงกำลังจะเริ่มต้นขึ้น
หานเจวี๋ยทำได้เพียงภาวนาให้กับวังสวรรค์
วังสวรรค์เคยต่อสู้กับเผ่ามารมาก่อน อีกทั้งยังเอาชนะตี้หล่านเทียนมาได้ ตี้หล่านเทียนต้องมุ่งเป้าโจมตีวังสวรรค์อย่างแน่นอน
หานเจวี๋ยครุ่นคิด ก่อนจะตัดสินใจใช้ความฝันอันธการ เข้าฝันจักรพรรดิสวรรค์
เขาใช้ภาพลักษณ์ของเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ
แดนความฝันเป็นทะเลแห่งปุยเมฆ หานเจวี๋ยยืนอยู่ตรงกันข้ามกับจักรพรรดิสวรรค์
จักรพรรดิสวรรค์มีท่าทีงุนงนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะทอดสายตามายังหานเจวี๋ย เอ่ยพลางหรี่ตามอง “เจ้าแดนต้องห้ามอันธการงั้นหรือ”
เขาดูไม่แปลกใจเลยแม้แต่นิด
หานเจวี๋ยไม่ยอมรับหรือปฏิเสธแต่กล่าวว่า “ตี้หล่านเทียนได้รับพลังจากบรรพชนมาร”
จักรพรรดิสวรรค์ขมวดคิ้ว ในใจบังเกิดความรู้สึกหวาดกลัวเต็มเปี่ยม
ความหวาดกลัวนี้ไม่ได้มาจากตี้หล่านเทียนหรือบรรพชนมาร แต่มาจากบุคคลลึกลับตรงหน้าที่ถูกสงสัยว่าเป็นเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ!
สามารถบังคับให้เขาให้เข้ามาอยู่ในความฝันได้ ฝีมือขั้นนี้นับว่าอัศจรรย์ยิ่ง!
ไม่ว่าจะเป็นพลังวิเศษที่เยี่ยมยอด หรือตบะของอีกฝ่ายที่สูงกว่าเขาก็ดี!
ไม่ว่าจะเป็นอะไร จักรพรรดิสวรรค์ก็ต้องรับมืออย่างระมัดระวัง
…………………………………………
