รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 81 เผชิญหน้าอีกครั้ง

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 81 เผชิญหน้าอีกครั้ง

บนถนนไม่ไกลจาก ‘ศูนย์ควบคุมเครือข่ายอัจฉริยะ’ มากนัก จิ้งฝ่า หลวงจีนจักรกลที่สวมชุดหลวงจีนสีเหลืองห่มจีวรแดงกำลังสอดส่องตรวจตราความเคลื่อนไหวโดยรอบเพื่อมองหาสถานที่ที่เกิดการระเบิด

ทันใดนั้นอาคารหลังที่มีสนามหญ้าขนาดใหญ่ก็สว่างขึ้น เปล่งแสงสว่างสีเหลืองออกมา

ภายในซากเมืองอันมืดมิดและเงียบสงัดเช่นนี้ นี่เปรียบดังประภาคารที่ส่องสว่างอยู่ท่ามกลางความฝันอันนิรันดร

หลวงจีนจักรกลจิ้งฝ่าหันหน้าไปมองดู จากนั้นก็สาวเท้าก้าวยาววิ่งออกไป

* * * * *

เมื่อแสงไฟสว่างจ้าขึ้นมา หลงเยว่หง ไป๋เฉิน เจี่ยงไป๋เหมียนต่างก็รีบหลับตาลงตามสัญชาตญาณทันที เพื่อปรับสายตาให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน

มีเพียงซางเจี้ยนเย่าเท่านั้นที่พยายามฝืนลืมตาค้างไว้ ทำให้แสบตาจนแทบน้ำตาซึม

“ระวังตัวดีมาก” เจี่ยงไป๋เหมียนลืมตาขึ้นมาเห็นเข้า จึงผงกศีรษะพร้อมพูดชมเชย

“เป็นเพราะผมไม่มีแว่นกันแดดน่ะ” ในที่สุดซางเจี้ยนเย่าก็กะพริบตา

เจี่ยงไป๋เหมียนไม่อาจตามวิธีคิดของเขาได้ทัน ได้แต่ถอนใจ

“ตอนนี้รู้สึกว่าเหมือนได้กลับไปอยู่ที่บริษัทเลยแฮะ…”

ที่ว่าเหมือนกันก็คือการอยู่ภายในอาคาร ต้องพึ่งพาอุปกรณ์ให้กำเนิดแสงอย่างเช่นหลอดฟลูออเรสเซนต์เหมือนกัน มีพื้นที่โถงลิฟต์ที่กว้างขวางเหมือนกัน

สิ่งเดียวที่แตกต่างกันก็คือห้องโถงลิฟต์ของที่นี่กว้างขวางมาก ความกว้างเทียบได้กับ ‘ศูนย์กิจกรรม’ ของ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ เลยทีเดียว และยิ่งกว่านั้นมันยังปูพื้นด้วยแผ่นหินสีดำที่ดูหรูหรา รวมถึงแขวนโคมไฟระย้าโปร่งแสงราวกับภาพฝันไว้อีกด้วย

“นี่มัน… ของจริงเหรอเนี่ย” หลงเยว่หงยืนอยู่ตรงทางขึ้นลงบันไดเพื่อคอยเฝ้าระวังป้องกันเผื่อว่าเฉียวชูขึ้นมา เขาจึงไม่กล้าหันหน้ากลับมามองดูในห้อง

“สว่างกว่าที่บริษัทอีก” ซางเจี้ยนเย่าอธิบายแบบง่ายๆ

พอได้ยินคำพูดนี้ เจี่ยงไป๋เหมียนก็ยิ้มก่อนจะขมวดคิ้ว

“ค่ำคืนมืดสนิทแบบนี้ อาคารเพียงหลังเดียวที่มีไฟสว่างไสวในซากเมืองแบบนี้ แถมมีแค่หลังเดียวเท่านั้น นี่มันจะเด่นสะดุดตาเกินไปหรือเปล่านะ”

ไป๋เฉินที่กำลังเล็งเป้าที่ลิฟต์สามตัวฝั่งตรงข้าม เข้าใจสิ่งที่เจี่ยงไป๋เหมียนพูดถึงทันที เธอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามออกมา

“หัวหน้ากลัวว่าหลวงจีนจักรกลจิ้งฝ่า กับพวกนักล่าจะมาที่นี่เพราะสาเหตุนี้ใช่ไหม”

“ถ้าเป็นพวกนักล่าธรรมดาก็ไม่มีอะไรน่าห่วงหรอก ก่อนนี้เธอเคยบอกไว้แล้วว่าพวกเขาจะพยายามอยู่ห่างจากสถานที่ที่มันดูผิดปกติ” เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะเล็กน้อย “แต่ตอนนี้พวกเรารู้แล้วว่าจิ้งฝ่าก็อยู่นี่ด้วย เขามีร่างกายที่พิเศษ ฝีมือก็ไม่ธรรมดา ไม่กลัวใครทั้งนั้น มีแนวโน้มสูงมากที่เขาจะถูกดึงดูดมาที่นี่ แถมเขายังเกลียดผู้หญิงเข้าไส้อีกต่างหาก นอกจากนั้นก็ยังมีความเป็นไปได้ที่พวกกลุ่มโจร ‘ไฮยีน่า’ จะเข้ามาในซากเมืองนี้ด้วย พวกมันชอบมุงอยู่รอบๆ สถานการณ์ผิดปกติเพื่อรอคอยโอกาส”

ซางเจี้ยนเย่าคิดใคร่ครวญแล้วพูด

“งั้นก็ต้องดูแล้ว ว่าระหว่างพวกมันกับเฉียวชู ชื่อใครจะแย่กว่ากัน”

“นายหมายถึงว่าใครจะดวงกุดกว่ากันงั้นสินะ” เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะคิกคัก “ดูนายออกจะเชื่อมั่นใน ‘ทีมสำรวจเก่า’ ของเรามากเลยสินะ จะว่าไงถ้าหากว่าเกิดกรณีเลวร้ายที่สุดขึ้นมาล่ะ แบบว่าพวกมันดันโผล่มาพร้อมๆ กัน โจมตีขนาบเราทั้งหน้าหลังเลย”

หลังจากที่ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันมานานหลายวัน เธอก็เข้าใจแล้วว่าอีกฝ่ายนั้นเชื่อมโยงชื่อที่ไม่ดีไม่เป็นมงคลเข้ากับเรื่องความโชคร้าย และชะตาชีวิตไม่ดี

เธอเพิ่งจะพูดขาดคำ ซางเจี้ยนเย่าจู่ๆ ก็ถามขึ้นมา

“จิ้งฝ่าใช้อะไรเป็นตัวตัดสินว่าใครเป็นผู้หญิง”

“เขาเป็น ‘นิรันดร์กาล’ ไปแล้ว แน่นอนว่าต้องไม่ได้ใช้อวัยวะอย่างดวงตาหรือจมูกหรอก แต่จะต้องใช้ปัจจัยที่ครอบคลุมองค์ประกอบทุกด้านเพื่อตัดสินว่าเป็นเพศอะไร” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบมาโดยอัตโนมัติ “หรือว่านายคิดจะปลอมตัวเป็นผู้หญิงเพื่อล่อเขาออกไปห่างๆ หลังจากนั้นค่อยเผยโฉมออกมาว่าเป็นผู้ชายอย่างนั้นเหรอ ฮ่า ฮ่า ฉันว่านั่นมันออกจะยากไปหน่อยนะ”

ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างจริงจัง

“ผมแค่คิดว่าถ้าจิ้งฝ่าไปเจอกับเฉียวชูแล้วจะเกิดอะไรขึ้น”

เจี่ยงไป๋เหมี่ยนกระจ่างขึ้นมาทันที พูดพึมพำกับตัวเอง

“จิ้งฝ่าไม่ได้เกลียดผู้หญิง แต่ว่าเกลียดทุกคนที่กระตุ้นความหื่นกระหายในกามารมณ์ซึ่งเป็นจุดอ่อนของตัวเอง เพราะเขาไม่อาจปลดเปลื้องความปรารถนาทางร่างกายได้อีกแล้ว

“ดูเหมือนว่าการ ‘ทำเสน่ห์’ ของเฉียวชูจะไม่มีการแบ่งแยกเพศนะ แต่มันก็ไม่ได้มีผลกระทบเพียงแค่เฉพาะผู้หญิงเท่านั้น แม้แต่ผู้ชายด้วยกันเองก็ยังได้ผลดีมากเหมือนกัน ขนาดพวกสัตว์ร้ายก็ยังโดนผลกระทบเลย

“ถ้าหากจิ้งฝ่ามาเจอเฉียวชู เขาจะต้องถูกทำเสน่ห์ทันที และเนื่องจากจิตใจเขาวิปริตบิดเบี้ยวมานานหลายปีแล้ว ดังนั้นปฏิกิริยาที่เขาจะตอบสนองออกมาก็มีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

“นั่นคือจะบังคับข่มเหงคนที่กระตุ้นให้เขาเกิดความหื่นกระหาย แล้วทำให้อีกฝ่ายต้องตายอย่างทุกข์ทรมาน…”

เสียงพึมพำของเจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้เบา ทุกคนจึงได้ยินอย่างชัดเจน ไป๋เฉินพยักหน้าเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น แล้วก็พูดออกมาโดยไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ

“ชักรู้สึกอยากให้จิ้งฝ่าได้เจอเฉียวชูเร็วๆ แล้วสิ…”

“ยายเด็กเลวนี่” เจี่ยงไป๋เหมียนได้ยินแล้วก็หัวเราะออกมา

จากนั้นก็กลั้นยิ้มแล้วสั่งการอย่างจริงจัง

“สรุปสั้นๆ ก็คือระหว่างที่รอให้เฉียวชูปรากฏตัว พวกเราต้องคอยระวังรอบด้านไว้ให้ดี จะวางใจไม่ได้ ต้องเตรียมพร้อมเผชิญกับสิ่งมีชีวิตอันตรายอยู่ทุกขณะ”

ระหว่างที่พูดเธอก็ลุกขึ้นยืนแล้วเปิดหน้าต่างบานที่อยู่ลึกเข้าไปด้านในของโถงลิฟต์ ข้างนอกบานหน้าต่างนั้นเป็นสวนที่มีหญ้าขึ้นรกเต็มไปหมด

“ถ้าจิ้งฝ่าเข้ามาทางประตูหน้า ฉันจะใช้ปืนยิงระเบิดยิงสกัดเขาไว้ก่อน พวกนายก็รีบใช้จังหวะนั้นออกจากที่นี่ไปทางหน้าต่างนี้

“ต้องยอมรับว่าพลังยิงของพวกเราในตอนนี้ไม่พอที่จะจัดการกับหลวงจีนจักรกลที่เป็นผู้ตื่นรู้ได้ ดังนั้นจะเอาชีวิตไปเสี่ยงไม่ได้” เจี่ยงไป๋เหมียนกลับไปยังตำแหน่งก่อนหน้า พิงผนังแล้วนั่งยองลงไป “เอาละ เฉียวชูน่าจะใกล้มาถึงแล้ว เขากลับออกจากห้องเครื่องใต้ดินขึ้นมาที่โถงลิฟต์ต้องเร็วว่าขาไปที่ลงจากบันไดไปห้องเครื่องใต้ดินแน่นอน”

เพราะอย่างน้อยเฉียวชูก็คุ้นเคยกับเส้นทางแล้ว

เจี่ยงไป๋เหมียนพูดขาดคำก็ขมวดคิ้วอีกครั้ง

“พวกนายพอจะประเมินพลังที่สร้างความหดหู่ของเฉียวชูได้ไหมว่ามีระยะขอบเขตใกล้ไกลขนาดไหน ฉันจำได้ว่ามันส่งผลกระทบต่อเป้าหมายได้พร้อมกันหลายคน

“พวกเราจะมัวแต่ระวังเรื่องการทำเสน่ห์อย่างเดียวโดยไม่สนใจพลังพิเศษอย่างอื่นของเขาไม่ได้”

ซางเจี้ยนเย่าตอบทันที

“พลังพิเศษพวกนี้น่าจะอ่อนแรงลงเมื่อต้องทะลุผ่านสิ่งกีดขวางอย่างพวกกำแพงหรือประตูโลหะ”

“ถึงจะอ่อนแรงลงแต่เราก็ไม่อาจมั่นใจได้ว่ามันจะไม่ส่งผลกระทบ ถ้าแม้แต่ตำแหน่งที่ไป๋เฉินอยู่ก็ยังได้รับกระทบไปด้วยแล้วจะไปซุ่มยิงเฉียวชูได้ไง ถ้าถึงตอนนั้นทุกคนเกิดหดหู่ท้อแท้กันหมด พวกเราก็ตายเกลี้ยงยกทีมทันที” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดต่ออย่างรวดเร็ว

ก่อนจะพูดจบประโยคเธอก็ลุกยืนขึ้นมาแล้ว

“ตอนนี้พวกเราไม่มีข้อมูลสำคัญ งั้นยกเลิกปฏิบัติการครั้งนี้”

“ไปซุ่มยิงจากบนหลังคาไหม” ไป๋เฉินแนะนำ

เจี่ยงไป๋เหมียนถามกลับอย่างเร็ว

“เธอมั่นใจแค่ไหนที่จะซุ่มยิงเป้าหมายที่สวมชุดเกราะกระดูกเสริมแรงทางทหาร

“และพวกเราก็มีปืนสไนเปอร์แค่กระบอกเดียวด้วย”

ไป๋เฉินรู้ตัวดีจึงไม่กล้ายืนยัน เธอพูดด้วยสีหน้ามืดหม่นเล็กน้อย

“ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่”

“งั้นตอนนี้พวกเรารีบถอยกันก่อน ไว้ค่อยหาโอกาสกันใหม่” เจี่ยงไป๋เหมียนสั่ง

“ทราบแล้ว หัวหน้า!” ซางเจี้ยนเย่ากับคนอื่นๆ ไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านี้เพื่อไม่ให้เสียเวลาอันมีค่า

ขณะที่สังเกตสภาพแวดล้อมโดยรอบ เจี่ยงไป่เหมียนพูดพึมพำบ่นตัวเองด้วยความหงุดหงิด

“ทำไมการที่จะสลัดให้หลุดจากเฉียวชูนี่ กระบวนความคิดฉันมันถึงได้เหมือนกับว่าโดนผลกระทบจากอะไรบางอย่างจนทำให้มองข้ามปัญหานู่นนี่อยู่ตลอด ไม่ได้มีเหตุผลเหมือนปกติที่เคยเป็น…”

ตอนนี้เสี่ยวชงที่สะพายกระเป๋านักเรียนสีแดงเดินตามกลับมาถึงโถงหน้าลิฟต์แล้ว เขาเงยหน้าขึ้นมาถามด้วยความผิดหวัง

“ไม่เล่นกันแล้วเหรอฮะ”

“ไว้คราวหน้านะ” เจี่ยงไป๋เหมียนชี้ไปที่หน้าต่าง “เราจะออกไปทางนี้ จะได้ไม่ต้องเจอกับคนที่เข้ามาทางประตูหน้า ซางเจี้ยนเย่า นายอุ้มเสี่ยวชงไว้แล้วนำหน้าไป เร็วเข้า มีคนมาแล้ว!”

ขณะที่พูด เจี่ยงไป๋เหมียนก็หยิบปืนยิงระเบิดขึ้นมาด้วยมือข้างหนึ่งแล้วเล็งไปยังทางเข้าด้านหน้า

ซางเจี้ยนเย่าอุ้มเสี่ยวชงวิ่งไปข้างหน้าสองก้าวแล้วกระโดดผ่านหน้าต่างพุ่งออกไปด้านนอก

หลงเยว่หงกับไป๋เฉินปีนหน้าต่างตามออกไปทีละคน

ในเวลานี้เจี่ยงไป๋เหมียนมองเห็นหลวงจีนจักรกลจิ้งฝ่าที่สวมชุดหลวงจีนสีเหลืองห่มจีวรแดงแล้ว

เมื่อจิ้งฝ่าได้ยินเสียงผู้หญิง แสงสีแดงในดวงตาก็สว่างวาบแล้วก็รีบวิ่งตรงรี่เข้ามาหาทันที

เจี่ยงไป๋เหมียนรีบเหนี่ยวไกปืนยิงระเบิดออกไปอย่างไม่ลังเล

ตูม!

เปลวเพลิงลุกโชนที่บริเวณทางเข้าด้านหน้า เศษชิ้นส่วนปลิวกระเด็นกระจายว่อนไปทั่ว ทำให้จิ้งฝ่าต้องหลบฉากไปโดยอัตโนมัติ

เจี่ยงไป๋เหมียนฉวยจังหวะนี้รีบวิ่งไปที่หน้าต่าง พุ่งพรวดออกไปในก้าวเดียว

เพียงหนึ่งถึงสองวินาทีถัดมา หลวงจีนจักรกลจิ้งฝ่าก็กระแทกผนังกระจกบริเวณทางเข้าด้านหน้าจนเกิดเสียงดังเพล้ง แล้วพุ่งเข้ามาจากด้านข้าง

ขณะที่เขากำลังจะยิงระเบิดใส่หน้าต่างนั้น จู่ๆ เขาก็หมุนคอหันศีรษะไปครึ่งรอบ มองตรงไปยังลิฟต์ตัวหนึ่ง

จากนั้นก็ปรี่เข้าใส่ลิฟต์อย่างบ้าคลั่ง ดวงตาสีแดงก่ำราวกับโลหิต

ลิฟต์หยุดที่ชั้นหนึ่งอย่างรวดเร็ว ประตูชั้นในค่อยๆ เปิดออกตามด้วยประตูลิฟต์ด้านนอก

จิ้งฝ่ายกแขนขึ้นมา เล็งอาวุธโจมตีทุกชิ้นที่มีทั้งหมดไปข้างในลิฟต์

แต่ทว่าภายนั้นกลับมีเพียงผนังโลหะเย็นเยียบสีเทาแก่เท่านั้น ไม่มีเงาร่างมนุษย์ปรากฏให้เห็น

ระหว่างที่จิ้งฝ่ากำลังมึนงง ประตูลิฟต์ก็เลื่อนปิดลงแล้วเคลื่อนตัวต่อขึ้นไปชั้นบน

ในช่องว่างที่มืดมิดด้านบนของลิฟต์ เฉียวชูที่สวมชุดเกราะกระดูกเสริมแรงยืนอย่างเงียบเชียบอยู่ด้านข้างสายลวดสลิงสำหรับดึงตัวลิฟต์

เขาก้มมองลงไป เม้มปากแน่น

ในห้องโถงลิฟต์ชั้นหนึ่ง ในที่สุดจิ้งฝ่าก็เริ่มตอบสนอง

ดูเหมือนเขาพอจะเข้าใจอะไรบ้างอย่างขึ้นมาแล้ว รีบรัวนิ้วกดปุ่มเรียกลิฟต์อีกตัวอย่างบ้าคลั่ง

* * * * *

สนามด้านหลัง ‘ศูนย์ควบคุมเครือข่ายอัจฉริยะ’

เจี่ยงไป๋เหมียนค้อมก้มตัวรีบเดินไปในบริเวณที่แสงสว่างจากอาคารส่องไปไม่ถึง

เพียงไม่นานเธอก็ติดตามสัญญาณไฟฟ้าจนมาถึงตำแหน่งที่ไป๋เฉินกับคนอื่นๆ รออยู่

ซางเจี้ยนเย่าชันเข่ากึ่งนั่งยองพิงอยู่ที่หัวมุม พูดด้วยน้ำเสียงต่ำ

“เสี่ยวชงไม่อยู่แล้ว”

“ไปไหน” เจี่ยงไป๋เหมียนลดเสียงถาม

ซางเจี้ยนเย่าพูดเฉพาะประเด็นหลัก

“พอมาถึงนี่ผมก็วางเขาลง เขาบอกว่าจะไปฉี่ แล้วรีบวิ่งไปหลังพุ่มไม้ จากนั้นก็ไม่เห็นอีกเลย”

เจี่ยงไป๋เหมียนครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ไม่ค่อยปกติเท่าไหร่แฮะ เหมือนมีอะไรแปลกๆ พวกเรารีบออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุดดีกว่า”

ซางเจี้ยนเย่ากับคนอื่นๆ รีบตอบสนองทันทีโดยใช้การกระทำแทนคำพูด

ภายใต้การนำจากเจี่ยงไป๋เหมียน พวกเขาตรงไปด้านข้างพยายามจะปีนรั้วออกไปแล้วค่อยวกอ้อมกลับมา

พวกเขาเดินลัดเลาะต้นไม้ดอกไม้ เข้าใกล้เป้าหมายขึ้นทุกขณะ

แล้วในตอนนี้ เสียงหอนที่แหบแห้งอ้างว้างก็พลันดังขึ้นมาจากที่ไม่ไกลมากนัก

เสียงหอนคำรามนี้ดังกึกก้องยิ่งกว่าครั้งก่อนๆ ราวกับว่าดังอยู่ในหูพวกเขาโดยตรง

ทั้งเจี่ยงไป๋เหมียนและคนอื่นๆ ในหัวพลันกลายเป็นว่างเปล่าขาวโพลนในทันที หัวใจราวกับถูกตรึงด้วยความหวาดกลัวอันคุ้นเคย เป็นความหวาดกลัวสุดขีดจนหัวใจแทบหยุดเต้น

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ก่อนที่พวกเขาจะได้ยินเสียงอ่อนโยนดังขึ้นมา

“ไม่ต้องกลัว สงบใจไว้”

ซางเจี้ยนเย่ากับคนอื่นๆ ตัวสั่นเทาเล็กน้อย ในที่สุดก็ฟื้นสติขึ้นมา รู้สึกว่าความหวาดกลัวนั้นลดระดับลงไปราวกับน้ำลดจนเหือดแห้งไป

พวกเขาหันขวับไปมองต้นเสียงทันที แล้วก็เห็นคนผู้หนึ่งนั่งยองอยู่ภายใต้เงาของรั้ว

คนผู้นี้สวมเสื้อคลุมสีดำหลวมๆ ผมยาวประบ่า มีเคราที่ดูดี สีหน้าอบอุ่นแต่ดูหนักใจเล็กน้อย

ซางเจี้ยนเย่าและผองเพื่อนต่างก็รู้จักคนผู้นี้ พวกเขานั้นเคยมีวาสนาได้พบพานกันในแดนร้างมาก่อนหน้านี้แล้ว

เขาคนนี้คือคนที่เรียกตัวเองว่าเป็นนักโบราณวัตถุและนักประวัติศาสตร์… ตู้เหิง

Next

เสี่ยวชงก้มมองดูชุดตัวเองแล้วพูดพึมพำ

“ผมไม่ได้กินไข่เจียวผัดมะเขือเทศมาตั้งนานแล้ว”

“พี่ก็เหมือนกัน…” ซางเจี้ยนเย่าแสดงสีหน้าย้อนรำลึกความทรงจำ จากนั้นก็ยกมือขวาขึ้นมาเช็ดมุมปากด้วยหลังมือ

เมื่อเจี่ยงไป๋เหมียนได้ยินบทสนทนาของพวกเขาก็ทำหน้าพิกล

เธอพยายามร่วมวงสนทนาด้วย

“พี่ทำเมนูนี้เป็นนะ

“ในแดนร้างนี่ ถ้าไม่ติดว่าต้องเป็นไข่ไก่ก็ยังพอจะหาไข่มาได้อยู่ล่ะ แต่ว่ามะเขือเทศนี่คงจะยากสักหน่อย”

เสี่ยวชงนึกทบทวนชั่วครู่หนึ่งก่อนจะพูด

“ผมจำได้ว่าในเขตเทียนซิงมีห้องเย็นอยู่ ข้างในนั้นมีมะเขือเทศใส่ไว้เยอะเลย แต่ไม่รู้ว่าหมดไปแล้วหรือยัง ตอนนี้ยังกินได้อยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้เหมือนกัน”

“ไว้ถ้ามีโอกาสพวกเราก็ไปดูกัน” จากนั้นเจี่ยงไป๋เหมียนก็กลับเข้าเรื่องเดิม “แต่ตอนนี้ออกจากนี่กันก่อนเถอะ”

“ฮะ” เสี่ยวชงตอบออกมาเป็นคนแรก สะพายเป้กระเป๋านักเรียนแล้วกระโดดหย็องแหย็งไปที่ประตู

ซางเจี้ยนเย่ามองตามแผ่นหลังของเขาไปแล้วพูดขึ้นมา

“ผมเดินนำหน้าเอง”

“ได้” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้ห้ามเขา

ดังนั้นพวกเขาเลยต้องปรับรูปขบวนกันใหม่ หลักหลักคือซางเจี้ยนเย่ากับเจี่ยงไป๋เหมียนสลับตำแหน่งกัน

‘ทีมสำรวจเก่า’ มุ่งหน้าไปตามทางเดินที่มืดสนิทและเงียบสงัดอีกครั้ง แสงไฟที่ส่องทางเป็นหลัก ส่วนใหญ่จะมาจากเจี่ยงไป๋เหมียนที่อยู่ท้ายขบวน ส่วนคนอื่นนั้นต้องห้อยไฟฉายไว้ที่เข็มขัดเพราะถือไว้ไม่ได้ จึงมีแสงส่องเพียงแค่พื้นด้านล่างบริเวณเล็กๆ ที่เท้าของตนเองเท่านั้น

“พวกพี่เดินกันเร็วๆ หน่อยสิ!” เสี่ยงชงที่สะพายกระเป๋านักเรียนสีแดงหันกลับมาเร่งกลุ่มผู้ใหญ่เป็นครั้งคราว แต่ว่าพวกซางเจี้ยนเย่าก็ไม่ได้เร่งฝีเท้าตามที่ถูกกระตุ้น ยังคงรักษาความเร็วเอาไว้เช่นเดิม

“เฮ้อ” เสี่ยวชงทอดถอนใจหลังจากเร่งพวกเขาซ้ำๆ มาหลายครั้ง “ตอนที่โรงเรียนจัดกิจกรรมสัมพันธ์นักเรียนกับผู้ปกครอง พ่อแม่ผมก็เป็นแบบนี้เลย เดินอ้อยอิ่งตามอยู่ข้างหลัง พวกผู้ใหญ่เนี่ยชอบทำอย่างกับว่าถ้าวิ่งแล้วจะทำให้ขายหน้างั้นแหละ”

“กิจกรรมสัมพันธ์นักเรียนกับผู้ปกครองนี่มันอะไรเหรอ” ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงถามขึ้นมาพร้อมๆ กัน

“คือ… ก็คือ…” เสี่ยวชงพยายามเรียบเรียงคำพูด “ช่างมันเหอะ ถึงอธิบายไปพวกพี่ก็ไม่เข้าใจอยู่ดี”

ระหว่างที่พูดกันอยู่ พวกเขาก็เดินกลับมาถึงบันไดอย่างปลอดภัยโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น

นี่ทำให้เจี่ยงไป๋เหมียนแสดงสีหน้าว่าสิ่งที่เธอเดาไว้ก่อนหน้านั้นถูกต้องแล้ว

ระหว่างทางที่กลับไปยังชั้นที่หนึ่ง พวกเขาไม่ถูกโจมตีอีกเลย หลังจากผ่านประตูฉุกเฉินที่ถูกกระแทกเปิดออกมา ก็มองเห็นห้องโถงที่มีลิฟต์

เจี่ยงไป๋เหมียนคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดอย่างนุ่มนวลกับเสี่ยวชงที่สวมชุดเหลือง แต่เสียงจะค่อนข้างดังไปสักหน่อย

“เธอรอนี่ก่อนได้ไหม พวกพี่ยังมีเรื่องต้องทำก่อนน่ะ”

เธอยังคงไม่ลืมว่ามีแผนจะลอบยิงเฉียวชูอยู่ที่นี่

ก่อนที่เสี่ยวชงจะตอบ ซางเจี้ยนเย่าก็พูดเสริมขึ้น

“เราจะเล่นเกมยิงแบบของจริงกันน่ะ

“ก็คือเกมเมื่อกี้ที่เราเล่นกัน ตอนนี้จะเอามาเล่นกันในโลกจริงๆ”

ดวงตาของเสี่ยวชงเป็นประกายขึ้นมา แล้วก็พูดพึมพำ

“ผมยังเป็นแค่เด็ก ไม่ควรเล่นเกมอันตรายแบบนี้

“แต่ว่า… ผมเป็นผู้ชมได้นะฮะ!”

พอพูดจบเขาก็มีสีหน้าคาดหวังราวกับว่าซางเจี้ยนเย่าจะส่งปืนพกให้เขา

ซางเจี้ยนเย่าไม่สนใจภาษากายของเด็กชาย

“งั้นก็อย่าลืมตะโกนเชียร์ แล้วก็ตบมือให้พี่ด้วย!”

“ได้ฮะ…” เสี่ยวชงดูท่าทางผิดหวัง จากนั้นเขาก็มองไปรอบๆ ก่อนจะถามออกมา “จะให้ผมรอตรงไหนดี”

เจี่ยงไป๋เหมียนชี้ไปที่ขั้นบันไดที่ใช้ขึ้นไปยังชั้นสอง

“เธอนั่งตรงนั้นละกัน จะได้มองเห็นได้ทั่วๆ แล้วก็ปลอดภัยกว่าด้วย”

“อืม ได้ฮะ” เสี่ยวชงสะพายกระเป๋านักเรียนสีแดง กระโดดหย็องแหย็งแล้วลงไปนั่งโดยไม่กลัวว่าจะเปื้อนสักนิด

เจี่ยงไป๋เหมียนหันมาพูดกับไป๋เฉิน

“เธอไปตรงที่เสี่ยวชงอยู่แล้วหมอบรอซุ่มยิงอยู่ตรงนั้น คอยรับผิดชอบลิฟต์สามตัวที่หันหน้ามาหาตัวเอง

“พอเฉียวชูขึ้นลิฟต์มา เราจะกดปุ่มขึ้นเพื่อให้ลิฟต์จอดชั้นนี้

“แล้วตอนที่ประตูลิฟต์เปิดออก ก็ยิงใส่เฉียวชูที่อยู่ข้างในทันที

“อ้อ ต้องจำไว้ให้ดี เฉียวชูน่าจะคอยระวังตัวอยู่ เขาอาจจะอยู่ในท่าแปลกๆ เพื่อหลบการโจมตี อย่างเช่นว่านอนราบกับพื้น หรือไม่ก็กระโดดขึ้นไปเกาะอยู่บนเพดานลิฟต์แล้วยกตัวขดไว้”

ถึงแม้ว่าไป๋เฉินจะผ่านประสบการณ์การต่อสู้มากมายในซากเมือง แต่สถานที่พวกนั้นไม่ได้มีลิฟต์ให้ใช้ ดังนั้นเธอจึงต้องใช้เวลาเล็กน้อยเพื่อจินตนาการถึงภาพพวกนั้นก่อน แล้วในที่สุดก็ตอบออกมา

“เข้าใจแล้ว”

ดูเหมือนว่าเธอนึกเชื่อมโยงกับสถานการณ์ที่เคยประสบพบเจอมาในสมัยก่อนได้แล้ว สีหน้าเธอเปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนที่จะขยับผ้าพันคอให้คลายลงมา

เจี่ยงไป๋เหมียนเหลือบมองซางเจี้ยนเย่าแล้วชี้ไปที่ลิฟต์อีกสามตัวที่มองไม่เห็นจากบันได

“นายไปรอที่ปุ่มกดเรียกลิฟต์ พิงกำแพงเอาไว้

“มีสองภารกิจที่ต้องทำก็คือ

“อย่างแรกคือให้คอยช่วยไป๋เฉิน เผื่อว่าเฉียวชูจะหลบอยู่ในจุดอับทำให้ยิงไม่ได้ หรือไป๋เฉินยิงพลาดจุดตาย

“อย่างที่สองก็คือถ้าเป็นลิฟต์เปล่าผ่านมา ก็ช่วยกดปุ่มขึ้นข้างบนให้ฉันด้วย”

จากนั้นเธอก็ชี้ตัวเอง

“ส่วนฉันจะไปยืนรออยู่ตรงกลางระหว่างลิฟต์สามตัวที่ไป๋เฉินรับผิดชอบ เอาหลังแนบกำแพงไว้ อืม… เวลาแบบนี้ คุกเข่าน่าจะดีกว่า

“ฉันจะรับผิดชอบคอยดักยิงสองฝั่งซ้ายขวาของลิฟต์สามตัวที่ซางเจี้ยนเย่ายืนอยู่ ถ้าเกิดเหตุอะไรขึ้นแล้วซางเจี้ยนเย่าตอบสนองไม่ทัน ฉันก็ยังกดปุ่มเรียกลิฟต์ให้ขึ้นไปได้

“ฉันจะพยายามตรวจจับสัญญาณไฟฟ้าอย่างเต็มที่ เพื่อให้รู้ว่าเฉียวชูอยู่ในลิฟต์ตัวไหน”

พอเห็นหัวหน้าทีมหยุดพูดแล้ว หลงเยว่หงก็อดถามไม่ได้

“แล้วผมล่ะ”

“ไม่เลวนี่ เข้าใจถึงการทำงานเป็นทีมเวิร์กด้วย” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดชมแล้วชี้ไปที่บันได “นายคอยระวังบันไดที่ลงไปชั้นใต้ดินเอาไว้ เตรียมยิงทุกเมื่อ เผื่อว่าเฉียวชูอาจจะเลือกใช้บันไดแทนที่จะเป็นลิฟต์”

“ทราบแล้ว หัวหน้า!” แม้ว่าหลงเยว่หงจะประหม่าและไม่สบายใจ แต่ก็ยังคงมีความสุขที่มีส่วนร่วมกับทีมและได้รับคำชมจากหัวหน้า

* * * * *

ด้านข้างห้องเครื่องใต้ดินเป็นห้องจ่ายกระแสไฟฟ้าของอาคาร

เฉียวชูมองเข้าไปในห้องมืดมิดที่สว่างขึ้นมาเพราะลำแสงไฟฉายด้วยความประหลาดใจ

เนื่องจากเขาไม่คิดว่าจะพบเป้าหมายได้อย่างราบรื่นเช่นนี้

คำว่าราบรื่น ไม่ได้หมายถึง ‘การค้นหา’ เพราะสุดท้ายแล้วกว่าจะหาเจอสถานที่นี้ได้ก็ต้องเสียเวลาไปมากพอควร แต่ราบรื่นนี้หมายถึงว่าตลอดทางมานี่เขาไม่ได้ถูกกลุ่มคนที่ ‘หลงใหล’ จนกลายเป็นบ้าคลั่งพวกนั้นโจมตีมาเลย และไม่มีเหตุไม่คาดฝันใดๆ เกิดขึ้นในระหว่างกระบวนการทั้งหมดอีกด้วย

นี่มันแตกต่างไปจากที่เขาคาดไว้อย่างสิ้นเชิง เขารู้ดีว่าภายในอาคารนี้มีสิ่งมีชีวิตอันตรายอยู่มากมายเต็มไปหมด ดังนั้นตอนที่เขา ‘ฝ่าด่าน’ ครั้งแรกไม่สำเร็จ จึงได้เปลี่ยนวิธีการ โดยใช้พวก ‘ทีมสำรวจเก่า’ มาทำแทน ไม่อย่างนั้นแล้วด้วยนิสัยของเขา ย่อมไม่มีทางไปใส่ใจคนอื่น ถ้าใครดึงดันจะมาพัวพันใกล้ชิดเขาก็ไม่ลังเลที่จะลงมือฆ่าทิ้งอย่างไม่ไยดี

ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจว่าทำไมเรื่องราวมันถึงกลายเป็นแบบนี้ แต่ทว่าความสำเร็จก็อยู่แค่เอื้อมแล้ว เฉียวชูจึงไม่คิดอะไรให้มากความอีก เขาสาวเท้าที่หุ้มด้วยโครงโลหะก้าวเข้าไปในห้องเบื้องหน้าตน

* * * * *

“ยังมีอีกปัญหาหนึ่ง” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมหลังจากที่จัดการมอบหมายภารกิจของแต่ละคนเสร็จแล้ว “พลังการ ‘ทำเสน่ห์’ ของเฉียวชูนั้นครอบคลุมพื้นที่ค่อนข้างกว้าง จากการเตรียมการในตอนนี้ ต่อให้เป็นไป๋เฉินที่อยู่ไกลที่สุดก็ยังได้รับผลกระทบด้วย ดังนั้นเรายังต้องเตรียมการเรื่องอื่นเพิ่มอีก”

เธอมองไปยังซางเจี้ยนเย่า

“นายพอจะมีวิธีบ้างไหม

“ถ้าหากไม่มี งั้นเราคงต้องทิ้งที่นี่ แล้วขึ้นไปบนดาดฟ้าของอาคารแถวๆ นี้แทน พอเฉียวชูออกมาเมื่อไหร่ก็ค่อยลอบยิงจากที่ไกลๆ อ้อ ตอนนั้นไฟส่องทางบางส่วนในเมืองน่าจะใช้ได้แล้ว”

ซางเจี้ยนเย่ายิ้มและตอบอย่างไม่ลังเล

“มีสิ!”

เขาพูดต่อ

“แต่ผมต้องทำให้ทีละคน ไม่อย่างนั้นแต่ละคนจะกลายเป็นประจักษ์พยานซึ่งกันและกันจนทำให้ประสิทธิภาพของผลกระทบลดลงไปมาก หรืออาจจะไม่เกิดผลอะไรเลยก็ได้”

“ตอนที่อยู่ใต้ดิน นายไม่เห็นต้องให้คนอื่นหลบไปก่อนเลยนี่” หลงเยว่หงถามด้วยความสงสัย

“ตอนนั้นพวกนายตกอยู่ใต้อิทธิพลของการ ‘ทำเสน่ห์’ ทำให้ไม่สนใจกับเรื่องบางเรื่อง แต่จะไปปักใจกับบางเรื่องแทน ยิ่งไปกว่านั้น เงื่อนไขที่ฉันใช้มันก็เป็นอะไรที่ในตอนนั้นพวกนายยอมรับกันอยู่แล้ว จนเป็นเหมือนข้อสรุปของการชักจูงไปโดยปริยาย” ซางเจี้ยนเย่าอธิบายอย่างจริงจัง

เจี่ยงไป๋เหมียนแสดงสีหน้าว่าเข้าใจ

“งั้นก็เริ่มกันเถอะ รีบลงมือเลย!”

ซางเจี้ยนเย่าชี้ไปนอกห้องโถงลิฟต์

“หัวหน้า คุณออกไปกับผมก่อน”

“ได้” เจี่ยงไป๋เหมียนสาวเท้าก้าวออกไป เดินตามซางเจี้ยนเย่าไปจนถึงจุดที่หลงเยว่หงกับไป๋เฉินมองไม่เห็นฟังไม่ได้ยิน

ซางเจี้ยนเย่าจ้องมองดวงตาเจี่ยงไป๋เหมียน ดวงตาเขาเปลี่ยนเป็นมืดครึ้มทันที

“หัวหน้า คุณดูสิ

“พวกเราที่อาศัยอยู่ใน ‘ผานกู่ชีวภาพ’ คนที่นั่นแปดสิบเปอร์เซ็นต์ล้วนแต่เป็นสามีภรรยาที่ถูกจัดสรรจับคู่

“ในหมู่พวกเขา หลายครอบครัวมีชีวิตที่ไม่เลวเลย สามีภรรยารักใคร่สมัครสมานสามัคคี ต่างก็พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน

“ดังนั้น…”

เจี่ยงไป๋เหมียนชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะโพล่งออกมา

“มีเพียงการจัดสรรจับคู่ของทางบริษัทเท่านั้นถึงจะเป็นคู่ชีวิตที่แท้จริง เป็นความรักที่แท้จริง

“รักแรกพบเป็นเรื่องโกหกพกลมทั้งนั้น หลอกลวงทั้งเพ!”

ซางเจี้ยนเย่าพยักหน้าแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม

“ดังนั้นต้องไปตบหัวสุนัขของไอ้คนหลอกลวงนั่นซะ!”

“นายไปหัดคำว่า ‘หัวสุนัข’ มาจากไหนเนี่ย” เจี่ยงไป๋เหมียนถลึงตาใส่ซางเจี้ยนเย่า

ใน ‘ผานกู่ชีวภาพ’ นั้น พนักงานธรรมดาทั่วไปจะสามารถเลี้ยงสุนัขได้ยังไง

ถ้าหากว่าจะเลี้ยง ก็มีแต่จะเลี้ยงไว้เป็นอาหารเท่านั้นแหละ

“ฟังจากรายการวิทยุน่ะ” ซางเจี้ยนเย่ามองดูเจี่ยงไป๋เหมียนด้วยความสงสัย “คุณไม่เคยฟังซีรีส์ละครเรื่องนั้นเหรอ”

“ไม่เคย” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบพลางถอนใจ “ฉันรู้สึกว่าตัวเองคงไม่มีชีวิตวัยเด็ก”

ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้พูดอะไรอีก เขาเดินกลับไปที่โถงลิฟต์พร้อมกับหัวหน้าทีม แล้วพูดกับหลงเยว่หง

“ตานายล่ะ”

หลงเยว่หงเดินตามซางเจี้ยนเย่าไปอย่างประหม่า แล้วกระซิบถาม

“นายตั้งใจจะหลอก เอ่อ… ชักจูงฉันว่าไงเหรอ”

“ง่ายจะตาย” ซางเจี้ยนเย่าตอบสบายสบาย “ดูสิ นายอยากมีคู่สมรสเป็นสาวสวยมาตลอดนี่ แล้วก็มีลูกซักสองสามคน ทำให้พวกเขามีเนื้อกินสัปดาห์ละสามครั้ง ถ้าคู่สมรสเป็นผู้ชายจะทำแบบนี้ได้ไหมล่ะ”

สีหน้าหลงเยว่หงเปลี่ยนไปเล็กน้อย แล้วตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“ไม่มีทาง!”

“นายนี่พูดจาปากเสียจริงๆ

“ให้อยู่กับผู้ชายแบบนั้น น่าคลื่นไส้จะตาย!”

ในตอนนี้เขายังไม่ได้เบี่ยงเบนจนดำเนินความสัมพันธ์ไปถึงจุดนั้น

ซางเจี้ยนเย่ายิ้มแล้วตบด้านข้างของปืนไรเฟิลจู่โจมเบาๆ ก่อนจะหันหน้าไปพูดกับไป๋เฉิน

“ตาเธอแล้ว”

“ฉัน… ฉันเสร็จแล้วเหรอ” หลงเยว่หงรู้สึกงุนงง

ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างจริงจังเป็นอย่างยิ่ง

“ของนายไม่ต้องทำอะไรแล้ว นายโอเคอยู่แล้วล่ะ”

“อะไรเนี่ย…” หลงเยว่หงเดินกลับไปยังที่เดิมด้วยความสงสัยไม่เข้าใจ

ไป๋เฉินเดินสวนมาก็ชำเลืองมอง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

ซางเจี้ยนเย่าพาไป๋เฉินไปยังจุดก่อนหน้าแล้วพูดออกมาจากใจ

“เธอพอจะบอกเกี่ยวกับคนหรือของที่มีความสำคัญมากๆ ต่อเธอให้ฉันฟังได้ไหม

“ยิ่งฉันรู้จักเธอดีขึ้นเท่าไหร่ ผลของพลังก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น

“ไม่ต้องลงรายละเอียดมากนักหรอก แค่บอกคร่าวๆ ก็พอ”

ไป๋เฉินคิดใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะดึงผ้าพันคอให้คลายออก พูดด้วยเสียงแหบเล็กน้อย

“สมัยก่อนฉันเคยมีหุ่นยนต์อยู่ตัวนึง มันอยู่กับฉันมาตลอดในช่วงสิบกว่าปีที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตฉัน

“จากนั้น เพื่อช่วยฉัน มันถึงต้องตาย…”

ดวงตาของซางเจี้ยนเย่าเปลี่ยนเป็นมืดครึ้มลงตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้

“เธอดูสิ

“หุ่นยนต์ตัวนั้นโตมาพร้อมกับเธอ คอยปกป้องเธออยู่ตลอดเวลา

“เพื่อช่วยเธอ มันถึงกับยอมสละชีวิต”

“ดังนั้น…”

ดวงตาไป๋เฉินจู่ๆ ก็เปียกชื้นเล็กน้อย

เธอเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดอย่างหนักแน่น

“มีเพียงหุ่นยนต์เท่านั้นถึงจะเป็นคู่ชีวิตที่แท้จริง มนุษย์ไม่ควรค่าที่จะไปรัก!”

แปะ!

ซางเจี้ยนเย่าตบมือ

“ไม่ต้องสุดโต่งซะขนาดนั้นก็ได้ เอาล่ะ กลับไปได้แล้ว”

ไป๋เฉินพยายามยับยั้งแรงกระตุ้น แล้วกลับไปยังตำแหน่งซุ่มยิงตามเดิม

จากนั้นซางเจี้ยนเย่าก็เดินไปที่ลิฟต์สีเทาแก่ มองภาพสะท้อนของตัวเองโดยอาศัยแสงจากไฟฉาย แล้วพูดพึมพำด้วยสีหน้าจริงจังผิดปกติ

“มนุษย์บนแดนธุลีนั้นยังต้องต้องเผชิญกับความอดอยาก มลพิษ โรคร้าย การกลายพันธุ์ และสงคราม ยังต้องมีชีวิตอยู่ในเงามืดของ ‘โรคไร้ใจ’

“นี่เป็นเรื่องที่มนุษย์ทุกคนต้องประสบพบเจออย่างไม่มีข้อยกเว้น

“ดังนั้น…”

ซางเจี้ยนเย่าหยุดชั่วครู่ก่อนจะพูดต่อด้วยเสียงทุ้มต่ำ

“การมีคนรัก จะขัดขวางไม่ให้ฉันช่วยมนุษยชาติ!”

เขากลับหลังหันไปพูดกับเจี่ยงไป๋เหมียน

“เสร็จแล้ว”

เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้ยินที่ซางเจี้ยนเย่าพูดพึมพำ เธอจึงไม่ได้แสดงปฏิกิริยาอาการอะไร จากนั้นก็ออกคำสั่ง

“ทุกคนเข้าประจำที่!”

สมาชิก ‘ทีมสำรวจเก่า’ ทั้งสี่รีบปรับเปลี่ยนตำแหน่งและท่าทาง อดทนรอคอยสิ่งแปรเปลี่ยนที่กำลังจะเกิดขึ้น

ราวหนึ่งถึงสองนาทีหลังจากนั้น ห้องโถงลิฟต์ก็พลันสว่างไสวขึ้นมา

และทั่วทั้งล็อบบี้ชั้นหนึ่งก็สว่างไสวขึ้นมา

แสงสว่างเจิดจ้าปัดเป่าขับไล่ความมืดมิด ยึดครองพื้นที่แห่งนี้ทั้งหมด

แหล่งจ่ายพลังงานในอาคารหลังนี้ได้ฟื้นคืนกลับมาแล้ว

Next

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิด แฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลก เมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้าน ทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาด มนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น … ‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’ สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มา แต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียว คือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไป ด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า เพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้น ท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามา เพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท