ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า – ตอนที่ 171 ดินแดนหิมะ

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 171 ดินแดนหิมะ

ตอนที่ 171 ดินแดนหิมะ

แต่เขากลับเชื่อมั่นในตัวหนิวโหย่วเต้ายิ่งนัก

ทั้งสามคนมองหน้ากัน เรื่องนี้เป็นฝีมือของหนิวโหย่วเต้าอย่างนั้นหรือ?

หลานรั่วถิงรีบเอ่ยถาม “ไต้ซือ สรุปแล้วเรื่องราวมันเป็นมาอย่างไรกันแน่?”

“อื้อๆ” หยวนฟางส่ายหน้า ไม่ยอมพูดอะไรอีก

ซางซูชิงเริ่มทนเขาไม่ไหว ไม่รู้ว่าเจ้าปีศาจตัวนี้ไปเอานิสัยพูดอะไรเพียงครึ่งเดียวมาจากไหน ถ้าจะทำอย่างนี้เจ้าก็อย่าได้พูดเลยดีกว่า เจ้าไม่อึดอัด แต่คนฟังรู้สึกอึดอัดนัก

หลานรั่วถิงเองก็ทนรับนิสัยนี้ของหยวนฟางไม่ได้เช่นกัน หลังจากหยวนฟางกลับมา ตัวเขาย่อมต้องถามถึงสถานการณ์ของหนิวโหย่วเต้าเป็นธรรมดา แต่เขากลับพบว่าเจ้าปีศาจตัวนี้ปากพล่อยนัก เหมือนอยากจะอวดอ้างอันใดสักอย่าง แต่ก็วางท่าทำเป็นเก็บงำเอาไว้ สรุปแล้วก็คือนับตั้งแต่เจ้าปีศาจตัวนี้ติดตามหนิวโหย่วเต้าได้ระยะเวลาหนึ่ง มันก็มักจะทำท่าเสมือนมีลับลมคมในอยู่เสมอ มองตัวเองเป็นมนุษย์ไปแล้วจริงๆ ลืมสภาพเกรอะกรังของตนยามอยู่ที่วัดหนานซานไปจนสิ้น ลืมเลือนไปแล้วว่าชีวิตที่ถูกหยวนกังทุบตีจนฟกช้ำดำเขียวอยู่ทุกวันเป็นอย่างไร คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีท่าทีคล้ายดูแคลนคนทางฝั่งนี้ขึ้นมาได้

แต่พวกเขาก็ไม่สะดวกจะจัดการอันใดหยวนฟางจริงๆ เพราะอีกฝ่ายเป็นคนของหนิวโหย่วเต้า ที่ทางนี้สามารถมีวันนี้ได้ เป็นเพราะหนิวโหย่วเต้าได้สร้างความดีความชอบเอาไว้ให้อย่างใหญ่หลวง การจะไปแตะต้องคนของหนิวโหย่วเต้าดูไม่ค่อยเหมาะสักเท่าไร

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ หลานรั่วถิงเองก็เลื่อมใสในตัวหนิวโหย่วเต้าเป็นยิ่งนักเช่นกัน ทางนี้ทราบถึงประวัติความเป็นมาของปีศาจตัวนี้ดี อีกอย่างเวลาก็เพิ่งผ่านไปได้ไม่นานนัก คิดไม่ถึงว่าปีศาจตนนี้จะยอมสยบภักดีต่อหนิวโหย่วเต้าแล้ว เขาพบว่าหนิวโหย่วเต้ามีความสามารถในการซื้อใจคนจริงๆ

ความสามารถของคนหนุ่มผู้นี้ทำให้เขาต้องทอดถอนใจจริงๆ อายุกับการกระทำของหนิวโหย่วเต้ามักจะทำให้เขารู้สึกถึงความไม่เข้ากันบางอย่าง

ซางเฉาจงที่ใบหน้าฟกช้ำบวมปูดหันไปมองหยวนฟาง คร้านจะเอ่ยอันใดเช่นกัน

ด้านนอกมีองครักษ์เดินเข้ามาอีกครั้ง ยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งส่งให้ “รายงานลับลำดับที่หกจากเมืองหลวงพ่ะย่ะค่ะ”

หยวนฟางฟังแล้วไม่เข้าใจว่าหมายถึงอะไร ทว่าซางเฉาจง ซางซูชิงและหลานรั่วถิงกลับมีสีหน้าเคร่งขรึม เนื่องจากรายงานลับลำดับที่หกคือสายลับที่จัดวางเอาไว้สำหรับหนิวโหย่วเต้าโดยเฉพาะ และเป็นหนิวโหย่วเต้าที่สั่งให้ทางนี้จัดวางสายลับนี้ขึ้นมา

หลานรั่วถิงกำลังจะยื่นมือออกไปรับ ซางซูชิงกลับชิงคว้ารายงานลับไปอ่านก่อน

มือที่เพิ่งยกขึ้นมาได้ครึ่งหนึ่งของหลานรั่วถิงหยุดชะงัก ค่อยๆ หันไปมองดูซางซูชิงที่กำลังอ่านรายงานลับอย่างตั้งใจ แววตาวูบไหวเล็กน้อย

ซางซูชิงที่อ่านรายงานลับเสร็จเรียบร้อยมีสีหน้าตึงเครียด เอ่ยว่า “เต้าเหยี่ยมีอันตราย” จากนั้นส่งรายงานลับให้หลานรั่วถิง

หลังหลานรั่วถิงอ่านจบก็มีสีหน้าตึงเครียดเช่นกัน จากนั้นส่งให้ซางเฉาจงได้อ่าน

หลังซางเฉาจงอ่านจบแล้ว หยวนฟางที่ได้ยินว่าเต้าเหยี่ยมีอันตรายก็อดยื่นมือออกมาขอจดหมายไปอ่านด้วยไม่ได้ “ท่านอ๋อง ขอกระหม่อมดูหน่อยพ่ะย่ะค่ะ”

พอรับไปอ่านดูก็เข้าใจได้ไม่อยาก กวาดตามองเพียงแวบเดียวก็รู้ได้ สิ่งที่ส่งมาคือข้อความลับที่ถูกถอดความเสร็จเรียบร้อยก่อนนำมาส่งให้

ใจความคร่าวๆ ในจดหมายคือทางมณฑลเป่ยโจวส่งข่าวให้ตระกูลซ่งในเมืองหลวงแคว้นเยี่ยน แจ้งว่าหนิวโหย่วเต้าอยู่ที่แคว้นหาน กำลังจะไปขอผลตะวันชาดจากหอหิมะเหมันต์มาช่วยรักษาอาการป่วยให้บุตรชายไห่หรูเยวี่ย ซ่งจิ่วหมิงต้องการใช้โอกาสนี้ทำคุณไถ่โทษเพื่อทำให้ตัวเองกลับมามีอำนาจอีกครั้ง จึงได้ติดต่อให้คนของสำนักเซียนสถิตไล่ตามไปสังหารหนิวโหย่วเต้าก่อนถึงหอหิมะเหมันต์!

“ทำอย่างไรดี? ทำอย่างไรดี?” หยวนฟางที่อ่านเสร็จเรียบร้อยโบกรายงานลับพร้อมเอ่ยถามด้วยความร้อนใจ

ซางซูชิงถาม “นี่แสดงว่าเต้าเหยี่ยจะไปขอผลตะวันชาดจากหอหิมะเหมันต์จริงๆ หรือ? ”

หยวนฟางเอ่ยด้วยความร้อนใจ “เต้าเหยี่ยรับปากไห่หรูเยวี่ยเอาไว้พ่ะย่ะค่ะ!”

หลานรั่วถิงถอนใจแล้วกล่าวว่า “คำสัญญามีค่าดั่งทองพันชั่ง ช่างเป็นคนมีสัจจะและคุณธรรมจริงๆ!”

ทางนี้ทราบเรื่องการเจรจาระหว่างหนิวโหย่วเต้าและไห่หรูเยวี่ยจากฟางเจ๋อที่ถูกส่งไปจัดการงานทางมณฑลจินโจวแล้ว เรื่องราวเจรจากันไปถึงขั้นนั้น อันที่จริงเรื่องผลตะวันชาดไม่ได้มีความสำคัญอีกต่อไปแล้ว ไห่หรูเยวี่ยทราบถึงความแข็งแกร่งของกององครักษ์เลิศล้ำห้าวหาญที่เก่งกาจไร้พ่ายของหนิงอ๋อง จึงกำลังพยายามสร้างเงื่อนไขให้ทางฝั่งนี้สามารถปักหลักได้อย่างมั่นคง โดยหวังว่าซางเฉาจงจะสร้างกององครักษ์เลิศล้ำห้าวหาญที่เกรียงไกรไปทั่วหล้าขึ้นมาอีกครั้งแล้วกลับมาให้การสนับสนุนนาง

คนมีปัญญาที่รู้เรื่องล้วนแต่ทราบดี อันที่จริงแม้แต่ตัวไห่หรูเยวี่ยเองก็ไม่ได้มีความหวังอะไรกับผลตะวันชาดแล้ว หลายปีมานี้มณฑลจินโจวทำทุกหนทางแล้วก็ยังไม่สามารถเอาผลตะวันชาดมาได้ คาดว่าทางมณฑลจินโจวก็คงไม่เชื่อเช่นกันว่าหนิวโหย่วเต้าจะเอาผลตะวันชาดมาได้ ความจริงที่นางให้การสนับสนุนซางเฉาจงก็เพื่อเตรียมการไว้ให้เซียวเทียนเจิ้นที่เป็นบุตรชายของนาง แล้วก็เตรียมการสำหรับอนาคตให้ตัวนางเอง

ดังนั้น ความจริงหนิวโหย่วเต้าจึงไม่จำเป็นต้องไปทำเรื่องไร้ความหวังเช่นนี้อีก ไม่มีความจำเป็นต้องไปร้องขอผลตะวันชาดอันใดนั่นเลย!

หยวนฟางกล่าวว่า “สัจจะคุณธรรมอะไร? เต้าเหยี่ยย่อมต้องรักษาคำพูดของตัวเองอยู่แล้ว! แต่ที่เต้าเหยี่ยทำไปก็เพื่อพวกท่านด้วยเช่นกัน! ยามที่เจรจากับไห่หรูเยวี่ย ข้าก็อยู่ตรงนั้นด้วย ข้าทราบดี ความจริงเต้าเหยี่ยไม่จำเป็นต้องหาเรื่องลำบากใส่ตัวเช่นนี้เลย หลังเสร็จงานข้าลองเกลี้ยกล่อมเต้าเหยี่ยแล้วว่าไม่จำเป็นต้องลำบากเช่นนี้ พวกท่านทราบหรือไม่ว่าเต้าเหยี่ยพูดอย่างไร?”

หลานรั่วถิงถาม “ว่าอย่างไร?”

หยวนฟางเล่าว่า “เต้าเหยี่ยบอกว่ากององครักษ์เลิศล้ำห้าวหาญจะก่อตั้งขึ้นสำเร็จขึ้นมาในวันใดก็ยังไม่อาจทราบได้ อาการป่วยของเซียวเทียนเจิ้นเขาได้ตรวจสอบด้วยตัวเองแล้ว ไม่สู้ดีนัก คงจะทนได้อีกไม่นานเท่าไร อาจจะปุบปับตายวันตายพรุ่งก็เป็นได้ เมื่อถึงเวลานั้นไห่หรูเยวี่ยจะตกที่นั่งลำบาก หากมณฑลจินโจวเปลี่ยนผู้ปกครอง ความสัมพันธ์ที่มีกับทางท่านอ๋องก็ไม่รู้ว่าจะเกิดความเปลี่ยนแปลงหรือไม่…ดังนั้นเต้าเหยี่ยจึงยืนกรานจะไปขอผลตะวันชาดนั้นมาให้ได้ พวกท่านรู้หรือไม่ว่าการเดินทางครั้งนี้อันตรายมากเพียงใด? พวกท่านทราบหรือไม่ว่ามีคนมากน้อยเท่าไรที่จ้องเอาชีวิตเต้าเหยี่ย? พวกท่านไม่รู้อะไรเลย พวกท่านไม่ได้เห็นว่าเต้าเหยี่ยต่อสู้กับกลุ่มคนที่ไล่ล่าสังหารเขาจนนองเลือดอย่างไร เต้าเหยี่ยกำลังเสี่ยงชีวิตทำงานให้พวกท่านอยู่! เต้าเหยี่ยสิ้นเปลืองความคิดจิตใจเพื่อสกุลซางของพวกท่าน พวกท่านไม่อาจมองเขาตายไปเฉยๆ โดยไม่เหลียวแลได้นะ!”

ถึงแม้จะฟังดูเกินจริงไปบ้าง แต่ส่วนใหญ่ที่พูดมาล้วนเป็นความจริง และเขาก็ร้อนใจจริงๆ เพราะตัวเขาไร้กำลังความสามารถ!

และที่เขาร้อนใจก็มีสาเหตุแฝงอยู่อีกชั้นหนึ่ง เวลานี้ผลประโยชน์ของเขาได้ผูกติดอยู่กับตัวหนิวโหย่วเต้าโดยไม่รู้ตัวแล้ว เขาทราบดีว่าถ้าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับหนิวโหย่วเต้า ตัวเขาที่อยู่ทางนี้ก็จะไร้ประโยชน์ไปทันที หากออกจากที่นี่ไปก็ไม่แน่ว่าจะสร้างชื่อเสียงอันใดได้ ปีศาจตัวนี้ไม่ได้โง่เลย!

เขากลับไปยังเขาหนานซานที่รกร้างห่างไกลแห่งนั้นไม่ได้แล้ว เมื่อได้ออกมาพบโลกกว้างใหญ่ เขาก็ไม่มีทางกลับไปลักเล็กขโมยน้อยในเขาหนานซานเหมือนอย่างเมื่อในอดีตอีก จิตใจทะเยอะทะยานมากขึ้นกว่าเดิมแล้ว!

ทันทีที่เขาเอ่ยวาจานี้ออกมา ขอบตาซางซูชิงพลันแดงเรื่อ ขบกรามกัดริมฝีปากแน่น!

ซางเฉาจงที่ใบหน้าฟกช้ำบวมปูดก็รู้สึกละอายเช่นเดียวกัน ใบหน้าตึงเครียด ลืมความเจ็บปวดของร่างกายไป ลุกขึ้นมาเผชิญหน้าแล้วเอ่ยว่า “เจ้าอาวาส…”

ทันใดนั้นพลันเปลี่ยนคำเรียกขานใหม่ที่ให้มีความเคารพมากขึ้น “ไต้ซือ ท่านอย่าร้อนใจไปเลย พวกเราไม่มีทางนิ่งเฉยดูดายแน่นอน! ข้าเพียงไม่เข้าใจว่าทางมณฑลเป่ยโจวทราบถึงแผนการและร่องรอยการเดินทางของเต้าเหยี่ยได้อย่างไร อีกทั้งเรื่องนี้ไปเกี่ยวพันถึงตระกูลเซ่าแห่งเป่ยโจวได้อย่างไร?”

หยวนฟางผายมือออก เอ่ยว่า “ข้าแยกทางกับเต้าเหยี่ยที่แคว้นจ้าว เรื่องทางแคว้นหาน ข้าจะทราบได้อย่างไร?”

ซางซูชิงเอ่ยด้วยความรู้สึกสงสัย “ดูเหมือนสำนักสวรรค์พิสุทธิ์จะอยู่ที่มณฑลเป่ยโจวด้วย สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไปสวามิภักดิ์เข้ากับทางตระกูลเซ่าแล้วมิใช่หรือ หรือเรื่องนี้จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ด้วย?” นางจดจำเรื่องราวเรื่องหนึ่งได้เป็นอย่างดี ถังอี๋ที่เป็นเจ้าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์คือภรรยาในนามของหนิวโหย่วเต้า ดังนั้นนางจึงมีปฏิกิริยาตอบสนองขึ้นมาทันที

คนอื่นๆ ต่างตกอยู่ในห้วงความคิด ล้วนนึกสงสัยในด้านนี้เช่นเดียวกัน ทุกคนในที่นี่ล้วนเห็นเหตุการณ์ที่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ดักสังหารหนิวโหย่วเต้าที่วัดหนานซานกับตาตัวเอง ต่างทราบดีว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ต้องการเอาชีวิตหนิวโหย่วเต้า

“สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ อย่าได้ตกอยู่ในกำมือของอาตมาเชียว มิเช่นนั้นอาตมาจะฆ่าให้เกลี้ยงเลย…” หยวนฟางสบถออกมา จากนั้นพนมมือเอ่ยว่า “อามิตตาพุทธ สาธุๆ!”

หลังจากกลับมาอยู่กับเหล่าสมณะแห่งวัดหนานซาน เขาเตือนตัวเองอยู่เสมอว่าตนคือภิกษุ

“ของที่แม้แต่ไห่หรูเยวี่ยก็ยังหามาไม่ได้…” หลานรั่วถิงเอ่ยได้ครึ่งประโยคก็ส่ายหน้าเล็กน้อย

ซางซูชิงเอ่ยว่า “เต้าเหยี่ยมิใช่คนบุ่มบ่าม การที่เขายอมไป แสดงว่าเขาจะต้องมีแผนการอยู่เป็นแน่ ตอนนี้มิใช่เวลามาพูดถึงเรื่องนี้ เสด็จพี่ ไปขอความช่วยเหลือจากคนของสำนักหยกสวรรค์เถอะ”

ทางนี้ก็ไร้ความสามารถเช่นกัน ทำได้เพียงไปขอร้องให้คนของสำนักหยกสวรรค์ช่วยเหลือ ซางเฉาจงพยักหน้ารับ นำทุกคนไปด้วยกัน

พวกซางเฉาจงเดินทางมาถึงเรือนพำนักของไป๋เหยา เมื่อได้พบไป๋เหยาก็เล่าสถานการณ์ให้อีกฝ่ายฟัง

ไป๋เหยายืนอยู่ใต้ต้นไม้ ยื่นมือออกไปเด็ดใบไม้ใบหนึ่งมาไว้ในมือแล้วหันหน้ากลับมา แค่นเสียงเหอะแล้วเอ่ยว่า “เรื่องที่กระทั่งอิทธิพลของไห่หรูเยวี่ยยังจัดการไม่ได้ แล้วเขายังจะไปทำอะไรอีก?”

หลานรั่วถิงประสานมือพลางกล่าวว่า “อาจารย์ไป๋ ที่เขาทำเช่นนี้เพราะมีสาเหตุ หนิวโหย่วเต้าเคยตรวจอาการเซียวเทียนเจิ้น พบว่าอาการป่วยของเซียวเทียนเจิ้นมิสู้ดีนัก หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันอันใดขึ้นกับเซียนเทียนเจิ้น เกรงว่าจะเกิดปัญหาต่อการปกครองมณฑลจินโจวของไห่หรูเยวี่ยได้ เมื่อถึงเวลานั้นความสัมพันธ์ของทางด้านนั้นกับทางด้านนี้ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดความเปลี่ยนแปลงอันใดขึ้นมาหรือเปล่า หนิวโหย่วเต้าทำเช่นนี้ก็เพื่อช่วยทางเรา แล้วก็กำลังช่วยสำนักหยกสวรรค์อยู่ด้วย นี่จะเป็นประโยชน์ต่อทางสำนักหยกสวรรค์ด้วย”

ไป๋เหยาตกอยู่ในความเงียบ ภายใต้สายตาของทุกคนที่จับจ้องมา เขาเอ่ยเนิบๆ ว่า “ปัญหาสำคัญคือพวกเจ้าเองก็ไม่รู้เบาะแสการเดินทางของเขา ฟ้าดินกว้างใหญ่แบบนี้จะไปหาตัวเขาได้จากที่ไหน? อีกทั้งไม่มีวิธีติดต่อเขาด้วยซ้ำ สำนักหยกสวรรค์ก็ทำได้เพียงแจ้งให้คนของหอหิมะเหมันต์เตรียมตัวเอาไว้เท่านั้น”

หลานรั่วถิงเอ่ยถาม “สำนักหยกสวรรค์พอจะขัดขวางคนของสำนักเซียนสถิตไว้ได้หรือไม่?”

ไป๋เหยาย้อนถาม “จะให้ขัดขวางอย่างไร? สำนักหยกสวรรค์กล้าออกมาให้ความช่วยเหลือเขาอย่างเปิดเผยได้หรือ? สำนักนิกายในแคว้นต่างๆ เองก็มีกฎเกณฑ์อยู่เช่นกัน กินข้าวในหม้อไหนก็ต้องเติมฟืนใส่เตานั้น หากทำให้แคว้นเยี่ยนล่มจม นั่นจะเป็นไม่เป็นผลดีต่อผู้ใดทั้งสิ้น เขาเป็นอาชญากรที่สังหารราชทูตแคว้นเยี่ยน พวกเจ้ากล้ายอมรับอย่างเปิดเผยว่ามีความเกี่ยวข้องกับเขาหรือ? อีกอย่าง หอหิมะเหมันต์ใช่สถานที่ที่จะไปหาเรื่องได้ง่ายๆ เหรอ? ถึงเจ้านั่นจะใจกล้า แม้แต่ราชทูตแคว้นเยี่ยนก็ยังกล้าสังการ แต่อย่าได้ไปก่อเรื่องกับทางหอหิมะเหมันต์จะดีที่สุด มิเช่นนั้นไม่ว่าผู้ใดก็ต้องอยู่ให้ห่างจากเขาเอาไว้…”

…..

ณ อำเภอจิ่วหลิ่ง หลังพวกเฮยหมู่ตานทั้งสี่ออกจากเมือง พวกเขาก็ควบม้ามุ่งหน้าไปยังเชิงเขาที่อยู่นอกชานเมือง จากนั้นรั้งบังเหียนหยุดม้า สอดส่ายสายตามองไปรอบๆ

ในป่าที่อยู่ไม่ไกลนัก มีเสียงฝีเท้าม้าแว่วดังกุบกับ หนิวโหย่วเต้าที่อยู่บนหลังม้าควบเหยาะๆ เข้ามา มาถึงตรงหน้าทั้งสี่คน

ต้วนหู่ อู๋ซานเหลี่ยงและเหลยจงคังมองหน้ากันแล้วยิ้มออกมา หลังแยกย้ายกันไป ในที่สุดก็ได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง ประสานมือทักทายพร้อมกัน “เต้าเหยี่ย!”

หนิวโหย่วเต้ายิ้มเล็กน้อย บังคับม้าวกกลับ “ไปเถอะ!”

ทั้งห้าคนพุ่งออกมาจากทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ ควบม้าไปบนทางหลวง เร่งม้าไปตลอดทาง

เมื่อออกจากเขตอำเภอจิ่วหลิ่ง อากาศค่อยๆ เย็นลง ยิ่งมุ่งขึ้นเหนือ อุณหภูมิก็ยิ่งลดต่ำลง

หนทางเบื้องหน้าค่อยๆ มีร่องรอยหิมะสีขาวปรากฏขึ้นมา ยิ่งเดินทางลึกเข้าไป เกล็ดหิมะบางๆ บนพื้นก็ค่อยๆ จับตัวหนาขึ้น ค่อยๆ เข้าสู่โลกที่เต็มไปด้วยหิมะแห่งหนึ่ง ม้าที่อยู่ในจุดพักม้าระหว่างทางก็กลายเป็นพันธุ์ที่มีขนหนายาว

พายุหิมะมาเยือนโดยไม่คาดฝัน สายลมหนาวเหน็บพัดพาเกล็ดหิมะปลิวว่อน ด้านหน้าปรากฏรั้วไม้ที่ล้อมพื้นที่ไว้เป็นวงกว้าง จุดพักม้าแห่งหนึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางพื้นหิมะ

จุดพักม้าของทางนี้แตกต่างจากจุดพักม้าที่อยู่บนเส้นทางก่อนหน้านี้มากนัก โรงเตี๊ยมภายในจุดพักม้าแทบจะไม่มีส่วนที่ต่อเป็นชั้นสูงขึ้นไป ล้วนเป็นกระท่อมอิฐชั้นเดียวที่เรียบง่าย บนหลังคามีหิมะสีขาวจับตัวเป็นชั้นหนาๆ

ทั้งคณะควบม้าเข้าสู่จุดพักม้า หยุดม้าด้านนอกโรงเตี๊ยมในจุดพักม้าแล้วกระโดดลงจากม้า ก่อนจะมีคนเลี้ยงม้าเข้ามาจูงม้าไปดูแลต่อในคอก

มีคนงานของจุดพักม้ากำลังทุบถ่านก้อนโตให้แตกเป็นชิ้นเล็กๆ เป็นสีดำที่อยู่ท่ามกลางโลกหิมะขาวโพลน

ทั้งห้าคนเดินขึ้นบันไดไป พออยู่ใต้ชายคาก็สะบัดหิมะที่อยู่บนร่างกายออก

เหลยจงคังและต้วนหู่แหวกม่านผืนหนาตรงประตูออก เข้าไปสำรวจด้านในก่อน จากนั้นก็แหวกม่านซ้ายขวา พยักหน้าส่งสัญญาณให้หนิวโหย่วเต้าที่ยืนอยู่ด้านนอก

เฮยหมู่ตานก้าวเข้ามาทันที ยื่นมือไปแก้เชือกที่ผูกรอบลำคอหนิวโหย่วเต้า ปลดเสื้อคลุมขนสัตว์ที่คลุมอยู่บนร่างเขามาพาดบนแขนตน เดินตามหลังหนิวโหย่วเต้าที่มีสีหน้าสุขุมเยือกเย็นเข้าไปในโรงเตี๊ยมของจุดพักม้า

………………………………………………

ตอนที่ 170 มีหวังกลับมามีอำนาจ

อนุหร่วนมองดูแผ่นหลังของเขาที่ก้าวจากไปอย่างทึมทื่อ นางเคยได้รับบทเรียนจากวิธีการอันโหดเหี้ยมของทายาทคนโตตระกูลเซ่าผู้นี้มาแล้ว บ้านฝั่งมารดาที่นางให้การสนับสนุนล้วนตายจนหมดสิ้น กวาดล้างกำลังสนับสนุนจากภายนอกของพวกนางแม่ลูกจนหมด

สองชีวิตที่เอ่ยมาหมายถึงใคร สันหลังของนางเย็นวาบขึ้นมา

พอเซ่าผิงปอจากไป สองพี่น้องเซ่าอู๋ปอและเซ่าฝูปอก็เข้ามาทันที พวกเขารอให้เซ่าผิงปอไปแล้วถึงค่อยเข้ามา

เมื่อเห็นมารดามีท่าทางผิดปกติ เซ่าอู๋ปอจึงเอ่ยถาม “ท่านแม่ เป็นอะไรไปขอรับ?”

อนุหร่วนคล้ายอยากร่ำไห้ออกมา “คิดหาทางสลายชุมนุมกวีนั่นซะ หาได้รอดพ้นสายตาของเขาไม่ เขามองออกแล้ว”

เซ่าฝูปอถาม “เขาว่าอย่างไรขอรับ?”

อนุหร่วนสะอื้นไห้น้ำตาไหล ส่ายหน้าพลางกล่าวว่า “เป็นเพราะพวกเจ้ามันไม่ได้เรื่อง บู๊ไม่เชี่ยวชาญบุ๋นไม่แตกฉาน ไม่อย่างนั้นเขาจะกล้าข่มขู่ข้าเช่นนี้เรอะ! ล้มเลิกซะ แค่คิดถึงเรื่องที่ตระกูลท่านยายเจ้าต้องเจอข้าก็กลัวแทบตายแล้ว!” กล่าวจบก็ฟุบหน้าลงไปกับโต๊ะ ร่ำไห้น้ำตานองหน้า สะอึกสะอื้นด้วยความเสียใจจนสองไหล่สั่นไหว

เห็นมารดาร่ำไห้ด้วยความเสียใจเช่นนี้ ผู้เป็นบุตรก็สุดจะทนรับไหว

ได้ฟังว่าเขามาข่มขู่มารดาตน ซ้ำยังเห็นมารดาร่ำไห้เช่นนี้ เซ่าฝูปอในชุดเกราะพลันฉุนขาดขึ้นมา เอ่ยด้วยความโกรธเกรี้ยว “ไอ้สารเลว ข้าจะลากเขาไปคุยกันให้รู้เรื่องต่อหน้าท่านพ่อ!”

“กลับมา!” เซ่าอู๋ปอดึงเขาเอาไว้ “ในเมื่อเขาพูดเรื่องชุมนุมกวีออกมา แสดงว่าเขาจะต้องมีความมั่นใจอย่างแน่นอน ต่อให้ไปเถียงกันต่อหน้าท่านพ่อ เจ้านั่นแหละที่จะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ!”

เซ่าฝูปอชี้ไปทางมารดาที่ร่ำไห้อยู่ สื่อว่าแล้วจะปล่อยให้อีกฝ่ายมาข่มขู่มารดาเช่นนี้หรือ? แต่พอคิดๆ ดูแล้วก็พบตนไม่มีปัญญาทำอะไรอีกฝ่ายได้จริงๆ ได้แต่กระทืบเท้าเต็มแรง สีหน้าฉุนเฉียว ทิ้งตัวนั่งลงด้านข้าง เบือนหน้าหนีไปด้วยความโกรธเกรี้ยว

…..

บ้านตระกูลซ่ง ณ เมืองหลวงแคว้นเยี่ยน ทั่วทั้งเรือนตกอยู่ในบรรยากาศกดดันที่บอกไม่ถูก

อิทธิพลที่ก่อตัวขึ้นจากอำนาจ ทันทีที่สูญเสียอำนาจไป อิทธิพลก็พังทลายลงทันที

นับตั้งแต่ที่หวังเหิงพาบุตรีจากไป รูปการณ์บางอย่างทำให้ตระกูลซ่งรู้สึกหนาวสะท้านขึ้นมา ประตูเรือนที่ในอดีตเคยถูกเหยียบย่ำจนธรณีประตูแทบสึก ยามนี้กลับไม่มีผู้ใดไปมาหาสู่อีกแล้ว

แม้แต่ฝ่าซือที่ปกติคอยทำหน้าที่คุ้มกันตระกูลซ่ง ก็ถูกทางสำนักเรียกตัวกลับไปทีละคนๆ โชคดีว่าที่นี่คือเมืองหลวง โชคดีที่เจ้ากรมโยธาถงมั่วไม่ได้ทำเรื่องที่น่าหดหู่อันใด ตอนนี้จึงไม่มีใครกล้ามาหาเรื่องถึงบ้าน

และเป็นเพราะว่ายังมีถงมั่วอยู่ ซ่งเฉวียนจึงยังคงรั้งตำแหน่งเดิมในศาลาว่าการได้ แต่เขาก็ทราบถึงสถานการณ์ของตัวเองดี ท่าทีของเพื่อนร่วมงานรอบข้างทำให้เขารู้สึกหวาดหวั่น ทั้งถากถางเยาะหยันสารพัด ทราบดีว่าไม่ช้าก็เร็วจะต้องถูกถีบหัวส่งเป็นแน่

หลังเลิกงาน ซ่งเฉวียนกลับบ้านมาอย่างห่อเหี่ยว ระหว่างทางที่จะแวะไปคารวะบิดา บังเอิญพบคนรับใช้ได้นำทางคนผู้หนึ่งเดินมาพร้อมกัน

หากเป็นเวลาปกติ ซ่งเฉวียนไม่แน่ว่าจะจดจำคนผู้นี้เอาไว้ในใจ แต่ยามนี้เขาจดจำคนผู้นี้เอาไว้แล้ว ผู้บำเพ็ญเพียรเพียงหนึ่งเดียวที่ยังไม่ไปจากตระกูลซ่ง เฉินกุยซั่ว!

เขายังเป็นฝ่ายยิ้มแย้มพร้อมเอ่ยทักทายเฉินกุยซั่วก่อนด้วย

ภายในโถงหลักของเรือนชั้นใน ซ่งจิ่วหมิงนั่งตัวตรง ซ่งซูและหลิวลู่ยืนขนาบสองข้าง

ทั้งสองคนที่เดินเข้ามาย่อมต้องทำความเคารพตามปกติ ซ่งจิ่วหมิงที่ไม่ใคร่ยิ้มแย้มนักกลับยิ้มให้เฉินกุยซั่วอย่างที่เห็นได้ยากในเวลาปกติ ถอนหายใจพลางกล่าวว่า “ต่างคนต่างแยกย้ายกันไป ฝ่าซือในตระกูลซ่งเหลือเจ้าเพียงคนเดียวที่ยังอยู่ เห็นน้ำใจคนได้ในยามยาก! ไม่คิดเลยว่าตอนที่เหยี่ยนชิงยังอยู่จะได้พบพานมิตรแท้ที่จริงใจคนหนึ่ง ช่วงนี้ขาดแคลนกำลังคน ต้องลำบากเจ้าแล้ว”

ในใจเฉินกุยซั่วไร้คำพูด เขาเองก็อยากจากไปเช่นกัน ผู้ใดจะเต็มใจอยู่ที่นี่เพื่อเผชิญปัญหาพวกนี้กันเล่า แต่เขาไม่มีทางเลือก เขาถูกหนิวโหย่วเต้าบีบบังคับ หากหนิวโหย่วเต้าไม่อนุญาต เขาก็ไปไหนไม่ได้

แต่ที่โชคดีคือหนิวโหย่วเต้าได้จัดการหาทางรอดให้เขาแล้ว หลังเสร็จเรื่องทางนี้ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีที่ให้ไป หาไม่แล้วหากหนีไปเช่นนี้ล่ะก็ เขาก็ไม่รู้จริงๆ ว่าสมควรจะไปที่ใด สำนักสวรรค์พิสุทธิ์เองก็ยังจะมาสังหารเขาอีก

“นายท่านกล่าวหนักเกินไปแล้วขอรับ สมัยที่ศิษย์พี่ยังมีชีวิตอยู่ เขาปฏิบัติต่อข้าเป็นอย่างดี เกิดเป็นคนไม่ควรลืมบุญคุณ อาจารย์อาอยู่ที่ไหน ข้าก็จะอยู่ที่นั่นขอรับ” เฉินกุยซั่วมองซ่งซูแล้วเอ่ยออกมา

ซ่งซูยิ้มขึ้นมา สีหน้าพึงพอใจ ท่าทางคล้ายว่ามองคนไม่ผิดจริงๆ

ซ่งจิ่วหมิงพยักหน้า เผยสีหน้าชื่นชม ในใจนึกทอดถอนใจเป็นอย่างยิ่งเช่นกัน รู้สึกว่าได้เห็นน้ำใจคนในยามยากโดยแท้ บนโลกนี้ คนเช่นนี้มีอยู่ไม่มากจริงๆ!

เขาโบกมือไปทางหลิวลู่

หลิวลู่หยิบตั๋วแลกทองหนึ่งแสนเหรียญทองออกมา เดินเข้ามายัดใส่มือเขา

เมื่อเห็นเงินมากมายแบบที่ไม่เคยได้รับมาก่อนเช่นนี้ ภายในใจเฉินกุยซั่วรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ไม่เคยคิดเลยว่าจะได้รับทรัพย์ก้อนโตเช่นนี้ รากฐานของตระกูลซ่งมั่งคั่งเป็นอย่างมากจริงๆ! เขารีบแสร้งทำเป็นบ่ายเบี่ยง “ยังไม่มีผลงานไม่กล้ารับรางวัลขอรับ” ต้องการยัดคืนให้หลิวลู่

ซ่งซูเอ็ดใส่ “มัวยึกยักอะไร ให้เจ้าก็รับไว้ซะ นี่คือสิ่งที่เจ้าสมควรได้”

เมื่อเห็นเช่นนี้ เฉินกุยซั่วจึงทำได้เพียงประสานมือเอ่ยขอบคุณ

ซ่งจิ่วหมิงเอ่ยว่า “นับจากวันนี้ไป เจ้ามิใช่คนนอกแล้ว เป็นคนในครอบครัวของตระกูลซ่งเรา ขอเพียงข้าสามารถกลับมามีอำนาจได้ ข้าไม่มีทางเอาเปรียบเจ้าแน่นอน!”

ขณะที่เอ่ยมาถึงตรงนี้ ด้านนอกก็มีคนรับใช้ปรากฏตัวขึ้นตรงประตู ถือจดหมายฉบับหนึ่งมา

หลิวลู่ออกไปรับ หลังรับจดหมายมาแล้วก็สอบถามเล็กน้อย ก่อนจะเปิดจดหมายออกอ่าน จากนั้นเดินกลับเข้ามาอย่างรวดเร็ว รายงานว่า “นายท่าน คนของมณฑลเป่ยโจวที่อยู่ในเมืองหลวงส่งจดหมายมาขอรับ”

ทุกคนที่อยู่ในห้องแปลกใจ ซ่งจิ่วหมิงขมวดคิ้ว “เซ่าเติงอวิ๋นส่งจดหมายหาข้าอย่างนั้นหรือ?”

หลิวลู่ตอบว่า “ไม่ได้บอกว่าเป็นผู้ใด นายท่านเชิญอ่านดูเถิดขอรับ” เขายื่นจดหมายให้

หลังจากซ่งจิ่วหมิงรับไปอ่าน สีหน้าพลันดูตื่นตัวขึ้นมา เขาลุกขึ้นยืน กวาดตามองทุกคนแล้วเอ่ยว่า “ข้ามีหวังที่จะกลับมามีอำนาจแล้ว!”

ทันทีที่เอ่ยประโยคนี้ออกมา ทุกคนพากันตื่นตัวขึ้นมาด้วยเช่นกัน ซ่งเฉวียนรีบเอ่ยถาม “อย่างไรขอรับ?”

ซ่งจิ่วหมิงเอ่ยเสียงขรึม “ในจดหมายบอกว่าหนิวโหย่วเต้าอยู่ที่แคว้นหาน ทางมณฑลเป่ยโจวสืบทราบว่าเขากำลังจะไปขอผลตะวันชาดที่หอหิมะเหมันต์มารักษาอาการป่วยให้บุตรชายไห่หรูเยวี่ย ขอเพียงจับหนิวโหย่วเต้าได้ เราก็จะได้การทำคุณไถ่โทษ ทางท่านเจ้ากรมก็จะมีเหตุผลในการช่วยพูดให้ข้า!”

ซ่งซูถาม “ท่านพ่อ จะเป็นกลลวงหรือไม่ขอรับ?”

ซ่งจิ่วหมิงชูจดหมายขึ้นมาแล้วเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นจดหมายที่คนของเป่ยโจวในเมืองหลวงส่งมาให้ ดูแล้วคงมิใช่เรื่องเท็จ ยิ่งไปกว่านั้นด้วยสถานการณ์ของข้าในตอนนี้ ทางมณฑลเป่ยโจวเองก็ไม่มีความจำเป็นต้องลงมือกับข้าเลย ตอนแรกข้าก็แปลกใจอยู่ว่าเจ้านั่นมันกำลังทำอะไรอยู่ ตอนนี้ปมปริศนาหลายๆ อย่างได้รับการคลี่คลายแล้ว ที่แท้เป็นผลตะวันชาดนี่เอง!”

ซ่งเฉวียนทั้งดีใจทั้งรู้สึกกังวล กล่าวว่า “มณฑลเป่ยโจวทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรขอรับ?”

ซ่งจิ่วหมิงเอ่ยว่า “มณฑลเป่ยโจวยื่นมือเข้ามาในเวลานี้ เท่ากับเป็นการส่งถ่านไฟให้ท่ามกลางหิมะ คาดว่าคงจะหวังใช้ประโยชน์อะไรจากข้าในอนาคต ข้าจะรับน้ำใจครั้งนี้เอาไว้!”

ซ่งเฉวียนถาม “ถ้าจับตัวหนิวโหย่วเต้าได้ ท่านเจ้ากรมจะช่วยให้ท่านพ่อกลับมามีอำนาจได้ใช่ไหมขอรับ?”

ซ่งจิ่วหมิงกล่าวว่า “ข้าติดตามเขามานานขนาดนี้ ทุกคนล้วนประจักษ์ต่อสายตา หากข้าทำคุณไถ่โทษแล้วเขายังไม่คำนึงถึงความสัมพันธ์ในอดีต เกรงว่าคงทำให้คนอื่นนึกขยาด อีกอย่าง มีความหวังย่อมดีกว่าไม่มีความหวังเลย!”

ซ่งซูกัดฟันเอ่ย “ไอ้สารเลวนั่นทำร้ายตระกูลซ่งของเราเอาไว้เจ็บปวดนัก ข้าจะไปจัดการเขาด้วยตัวเอง ระบายความแค้นในหัวใจข้า!”

“เจ้าไปเองแล้วจะมีประโยชน์อะไร? เจ้ามั่นใจหรือ? เจ้ายังไม่ได้รับบทเรียนจากความเจ้าเล่ห์ของไอ้สารเลวนั่นอีกหรือ? หรือจะให้ข้าฝังลูกชายเพิ่มอีกคน? อายุขนาดนี้แล้ว ใช้สมองให้มากหน่อย ตัวเองเป็นใครควรจะทำอะไร เรื่องต่อสู้ฆ่าฟันปล่อยให้คนธรรมดาที่คิดว่าตัวเองแน่พวกนั้นไปจัดการ จะตายมากตายน้อยเพียงใดก็ล้วนแต่สมควร!” ซ่งจิ่วหมิงตวาดใส่ หันกลับไปมองหลิวลู่แล้วเอ่ยว่า “ติดต่อคนของสำนักเซียนสถิต บอกพวกเขาว่าหากจับหนิวโหย่วเต้าได้ ข้าก็จะฟื้นกลับมามีอำนาจได้!”

ซ่งซูชี้ออกไปด้านนอก “คนของพวกเขาเผ่นหนีไปหมดแล้ว มีแต่พวกที่เห็นพายุก็สละเรือ จะไปหาพวกเขาอีกทำไมขอรับ?”

ซ่งจิ่วหมิงกล่าวตำหนิ “ถือสาเรื่องนี้ โกรธเคืองเรื่องนี้แล้วจะมีประโยชน์อะไร? อีกฝ่ายติดตามเจ้าเพราะหวังผลประโยชน์ ในเมื่อเจ้าให้อีกฝ่ายไม่ได้ เจ้ายังจะหวังให้เขามารับใช้เจ้าเปล่าๆ อีกหรือ? ยิ่งไปกว่านั้นด้วยสถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาเองก็ไม่อยากหาเรื่องเดือดร้อนเช่นกัน นี่เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่ยามนี้นอกจากสำนักเหล่านี้แล้ว พวกเรายังจะไปหาผู้ใดได้อีก? หากพวกเราไปหาคนอื่น คนอื่นไม่เพียงแต่อาจจะไม่ยอมช่วยเรา ดีไม่ดีอาจจะเอาไปขอความดีความชอบจากราชสำนักโดยตรงก็ได้ พวกเขาได้รับผลกระทบจากข้าไปแล้ว ในรูปการณ์เช่นนี้พวกเขายากจะไปหากลุ่มอำนาจอื่นพึ่งพิงได้ ดังนั้นพวกเขาต้องรับงานนี้แน่!”

เขาหันกลับไปกล่าวกับหลิวลู่อีกครั้ง “พวกเขาเองก็กำลังต้องการคิดบัญชีกับหนิวโหย่วเต้าอยู่พอดี บอกพวกเขาว่าหลังเสร็จเรื่องนี้ ข้าไม่มีทางเอาเปรียบพวกเขาแน่ ครั้งนี้ให้พวกเขาทุ่มเทกำลังสุดความสามารถ จะพลาดอีกไม่ได้เด็ดขาด!”

“ขอรับ!” หลิวลู่รับคำสั่ง

ดวงตาของเฉินกุยซั่วที่ยืนอยู่ตรงนั้นกลอกไปมาเล็กน้อย

……

หนึ่งชั่วยามต่อมา เฉินกุยซั่วออกจากเรือนตระกูลซ่ง มายังเหลาสุราแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านตระกูลซ่ง สั่งสุราหนึ่งกา จับจองโต๊ะตัวหนึ่ง นั่งดื่มสุราไปสองสามจอก จากนั้นฉวยโอกาสช่วงที่ไม่มีคนสนใจ ยัดม้วนกระดาษเล็กๆ ใส่มือเสี่ยวเอ้อที่มาเช็ดโต๊ะให้

….

ซางเฉาจงที่ใบหน้าบวมช้ำถูกคนพยุงลุกขึ้นมา เขาเช็ดเลือดกำเดา มองดูเฟิ่งรั่วหนานที่พากลุ่มคนจากไปด้วยความโกรธเกรี้ยว

ช่วยไม่ได้ ความลับไม่มีในโลก ในที่สุดเฟิ่งรั่วหนานก็ทราบความจริงแล้ว ทราบเรื่องที่ไม่มีกาทมิฬแสนตัวอยู่ ทั้งหมดล้วนเป็นเพียงการหลอกแต่งงานเท่านั้น

เฟิ่งรั่วหนานโกรธเกรี้ยว รู้สึกว่าตนเป็นเพียงเครื่องมือหาผลประโยชน์ในเรื่องนี้ ตอนที่มาหาซางเฉาจง นางเก็บความโกรธเอาไว้ไม่อยู่ จึงเกิดการทุบตีขึ้น

ซางเฉาจงยังคงมิใช่คู่ต่อสู้ของเฟิ่งรัวหนาน ทางด้านไป๋เหยาคล้ายอยากจะเห็นซางเฉาจงเจ็บตัวเสียบ้าง ไม่เพียงแต่จะไม่สอดมือเข้ามายุ่ง ซ้ำยังขัดขวางไม่ให้คนอื่นเข้ามาห้ามปรามด้วย

“ยังไม่รีบตามไปดูพระชายาอีก” หลานรั่วถิงตวาดใส่เหล่าทหาร

มีองครักษ์วิ่งตามเฟิ่งรั่วหนานไปทันที

หยวนฟางได้ยินเสียงโครมครามจากการต่อสู้จึงออกมาชมเรื่องครื้นเครง ยืนส่ายหน้าถอนใจอยู่ด้านข้าง แสดงสีหน้าเห็นอกเห็นใจซางเฉาจงเป็นอย่างยิ่ง ได้แต่งกับภรรยาเช่นนี้ช่างลำบากโดยแท้ นึกถึงครานั้นหากมิใช่เพราะพวกตนช่วยเหลือ เกรงว่าเขาคงไม่ได้แม้แต่จะร่วมหอด้วยซ้ำ

เขาเดินเข้าไปใช้พลังช่วยตรวจอาการให้ซางเฉาจงเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับไปเอ่ยกับซางซูชิงที่มีสีหน้าเป็นห่วงว่า “ท่านหญิงไม่ต้องเป็นห่วง เพียงแค่บาดแผลภายนอกเล็กน้อยเท่านั้น ไม่เป็นอะไรพ่ะย่ะค่ะ”

ทางนี้เพิ่งจะประคองซางเฉาจงกลับเข้าไปทายาในเรือน องครักษ์ก็วิ่งกลับมารายงานว่า “ท่านอ๋อง พระชายาไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ พาลูกน้องกลุ่มหนึ่งขี่ม้าออกจากเมืองไป บอกว่าจะกลับบ้านที่จังหวัดกว่างอี้พ่ะย่ะค่ะ”

“ไปเสียก็ดี อย่าได้กลับมาอีก นังผู้หญิงป่าเถื่อน!” ซางเฉาจงตะคอกด้วยความโกรธเกรี้ยว จากนั้นสูดปากขึ้นมาอีกครั้งเพราะเจ็บแผลตรงมุมปากที่ถูกต่อยจนแตก

ซางซูชิงที่ช่วยทายาให้เขาเอ่ยเกลี้ยกล่อมว่า “เสด็จพี่ เรื่องนี้ไม่ว่าจะเป็นสตรีคนไหนก็ต้องโกรธทั้งนั้น พี่สะใภ้กำลังโมโห ท่านก็ยอมๆ บ้าง รีบส่งคนไปตามกลับมาเถอะ!”

ซางเฉาจงเองก็โมโหอย่างมากเช่นกัน ตบโต๊ะคราหนึ่ง “ห้ามใครไปตามทั้งนั้น!”

หลานรั่วถิงโบกมือให้ซางซูชิง “ท่านหญิง พระชายาโกรธเคืองเช่นนั้น คาดว่าถึงไปตามก็ตามกลับมาไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ ปล่อยให้พระชายากลับไปสงบอารมณ์ที่บ้านมารดาก่อน เอาไว้ทุกคนใจเย็นลงกันหมดแล้ว เมื่อทุกคนยอมเผชิญหน้ากันแล้ว ถึงเวลานั้นค่อยส่งคนไปเชิญตัวกลับมาก็ยังไม่สายพ่ะย่ะค่ะ!”

“เฮ้อ!” ซางซูชิงยิ้มเจื่อนพลางถอนใจ ส่ายหน้าเล็กน้อย คิดๆ ไปแล้วก็พบว่าจริงดั่งว่า

ด้านนอกมีองครักษ์เดินเข้ามาอีกครั้ง ยื่นรายงานฉบับหนึ่งให้ หลานรั่วถิงรับไปอ่านดูอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวกับซางเฉาจงว่า “ท่านอ๋อง มีข่าวแจ้งมาพ่ะย่ะค่ะ สายลับที่แคว้นเยี่ยนส่งไปแฝงตัวตามจุดพักม้าของแคว้นต่างๆ ถูกทั้งหกแคว้นทำการกวาดล้างครั้งใหญ่ เสียหายอย่างหนักพ่ะย่ะค่ะ!”

หยวนฟางที่กำลังใช้พลังช่วยทำให้โลหิตของซางเฉาจงไหลเวียนอยู่อดแสยะปากหัวเราะ “เหอะๆ” ออกมาไม่ได้

คนอื่นๆ หันไปมองพร้อมกัน หลานรั่วถิงเอ่ยถาม “ดูจากท่าทีของไต้ซือแล้ว คล้ายจะทราบเรื่องนี้อยู่แล้วกระมัง?”

หยวนฟางหัวเราะฮ่าๆ พลางเอ่ยว่า “เดิมทีสายลับเหล่านั้นเป็นราชสำนักแคว้นเยี่ยนที่ส่งมาเพื่อตามหาตัวเต้าเหยี่ย ตลอดทางพวกข้าถูกจับตามอง ถูกไล่ล่า ถูกดักซุ่มสังหาร สร้างความยุ่งยากวุ่นวายให้เต้าเหยี่ยยิ่งนัก ทำให้พวกข้าต้องคอยหนีไปหนีมาอย่างหลบๆ ซ่อนๆ บีบคั้นจนเต้าเหยี่ยต้องลงมือตอบโต้พวกเขา สุดท้ายเต้าเหยี่ยก็จับหางของพวกเขาได้ ข้ารู้อยู่แล้วว่าพวกเขาไม่มีทางสู้เต้าเหยี่ยได้ พวกท่านก็ลองดูสิ ตอนนี้ซวยกันหมดเลยใช่ไหมล่ะ!”

…………………………………………….

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

Status: Ongoing
ใต้หล้ากว้างใหญ่…จะลมก็ดี จะฝนก็ช่าง ไม่มีอะไรจะขวางข้าได้! นิยายแปลกำลังภายในเลือดเดือดร้อยเล่ห์กล พระเอกฉลาดมากไหวพริบ ฉากบู๊มันสะใจ! เมื่อปรมาจารย์แห่งการขุดสุสานผู้หลงใหลในการบำเพ็ญเพียร ได้หลุดเข้าไปในยุคสมัยโบราณอันวุ่นวายเพราะไฟสงคราม ด้วยโชคชะตาวาสหนาหนุนนำ ทำให้เขาได้รับสุดยอดเคล็ดวิชา และต้องฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ นานา เพื่อสยบใต้หล้าเอาไว้ในกำมือ!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท