ตอนที่ 63 เรื่องนี้มีเงื่อนงำ
นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ไป๋เหยางุนงงเล็กน้อย เจ้าสาวพังห้องหอตามฆ่าเจ้าบ่าวหรือ?
ซางซูชิงและหลานรั่วถิงที่อยู่นอกเรือนได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวจึงวิ่งเข้ามาในเรือน ทั้งคู่ก็งุนงงเช่นกัน ซางเฉาจงวิ่งออกมาในสภาพสองเท้าเปลือยเปล่าสวมกางเกงเพียงตัวเดียวเช่นนี้อย่างนั้นหรือ?
สิ่งที่ทำให้ซางซูชิงตกตะลึงยิ่งกว่านั้นคือเฟิ่งรั่วหนานที่ถือกระบี่ตามไล่ล่าอยู่ด้านหลังอย่างบ้าคลั่ง วิ่งออกมาทั้งๆ ที่แต่งตัวเช่นนี้หรือ? เท้าเปลือยเปล่า ปลีน่องขาวเนียนที่อยู่ใต้กระโปรงเผยออกมาเป็นครั้งคราว ดูเหมือนจะไม่ได้สวมกางเกงไว้ด้านใน สาบเสื้ออ้าเผยอเผยผิวขาวผ่องด้านใน…ซางซูชิงไม่อยากเชื่อเลยจริงๆ สำหรับนางแล้ว การเผยแขนขาต่อหน้าคนนอกนับเป็นเรื่องเสื่อมเสียผิดจารีต สตรีคนหนึ่งจะวิ่งโทงๆ ออกมาด้านนอกในสภาพเช่นนี้ได้อย่างไร?
นางจินตนาการไม่ออกเลย ถ้าหากท่านพ่อท่านแม่ยังมีชีวิตแล้วได้พบลูกสะใภ้เช่นนี้จะบ้าตายหรือไม่ คาดว่าเสด็จพ่อคงสั่งให้ยิงธนูสังหารเสียกระมัง!
หลานรั่วถิงตะลึงตาค้าง พฤติกรรมของเฟิ่งรั่วหนานขัดต่อแนวคิดจารีตสตรีในยุคนี้ของเขา เขายากจะจินตนาการว่าได้ว่าบุตรีตระกูลขุนนางใหญ่อย่างตระกูลเฟิ่งจะเป็นเช่นนี้ไปได้ นึกภาพไม่ออกเลยจริงๆ!
ซางเฉาจงวิ่งเข้ามาทางนี้ ลำพังมือเปล่าเขาก็สู้นางไม่ได้อยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนที่นางถืออาวุธมาด้วยเลย มีแต่ต้องรีบหนีเท่านั้น!
“ไอ้สุนัขชั้นต่ำ หยุดวิ่ง เอาชีวิตเจ้ามา!” เฟิ่งรั่วหนานที่ไล่ตามหลังมากรีดร้องเสียงกร้าว
ผู้บำเพ็ญเพียรบนหลังคารอบข้างที่ได้เห็นฉากนี้ต่างพากันพูดไม่ออก
ไป๋เหยาที่ได้สติกลับมาพลันเคลื่อนตัว พุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว โผแหวกอากาศ เกิดเสียงลมหวีดหวิว เฟิ่งรั่วหนานหันมามองแวบหนึ่งตวัดกระบี่ฟาดฟัน แม้ไป๋เหยาจะเป็นพวกเดียวกันนางก็ไม่สนใจแล้ว ฝักกระบี่ในมือไป๋เหยาสั่นไหวเล็กน้อย เกิดเสียงดังฉึบ ฝักกระบี่สอดรับกระบี่ที่ฟันเข้ามา เขายื่นมือออกไปคว้าไหล่เฟิ่งรั่วหนานไว้ ตรึงเฟิ่งรั่วหนานไว้กับที่ เอ่ยเสียงเข้ม “รั่วหนาน อย่าก่อเรื่อง!” พลางเลื่อนฝักกระบี่ออกไปอีกทาง ชิงกระบี่จากมือเฟิ่งรั่วหนาน
“ปล่อยข้า! ปล่อยข้านะ! ข้าจะฆ่าเขา ข้าจะฆ่าเขา…” เฟิ่งรั่วหนานดิ้นรนอย่างคลุ้มคลั่ง ขอบตาแดงเรื่อ ในสายตาที่มองไปทางซางเฉาจงคล้ายมีประกายน้ำตาปรากฏขึ้นมารางๆ จ้องซางเฉาจงไม่ละสายตา
ไป๋เหยาขมวดคิ้ว “รั่วหนาน เป็นอะไร?”
เฟิ่งรั่วหนานกัดฟันกรอด “ไอ้คนถ่อยต่ำช้า!”
เห็นนางไม่ยอมพูดอะไรให้ชัดเจน ไป๋เหยาก็พอจะคาดเดาบางอย่างได้แล้ว คาดว่าคงเกิดเรื่องที่นางไม่อยากกระทำขึ้น เขารู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกอยู่บ้าง เจ้าออกเรือนกับเขาแล้ว หากเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นจริงๆ ก็เป็นเรื่องปกติ เจ้าจะฆ่าคนเขาเพราะเหตุนี้หรือ? หากข่าวแพร่ไปทั่วหล้า ไปถึงไหนก็แก้ตัวไม่ได้ทั้งนั้น!
แต่เขาก็รู้สึกแปลกใจเช่นกัน เมื่อคืนตอนที่ต่อสู้กันมิใช่ว่าเจ้าเป็นฝ่ายได้เปรียบหรอกหรือ ใครจะเกลี้ยกล่อมอย่างไรก็ไม่ยอมให้ผู้ใดสอดมือเข้าแทรกมิใช่หรือ? หากเจ้าไม่สมยอม แล้วเขาจะทำอันใดเจ้าได้? หรือว่าจะถูกทำอะไรหลังจากหลับไปแล้ว…เจ้าไม่น่าจะประมาทขนาดนั้นนี่นา?
นางไม่ยอมพูด อีกทั้งเป็นเรื่องในห้องหอตัวไป๋เหยาเองก็ไม่สะดวกจะซักถาม เขาหันไปส่งสายตากับทางเหวินซินและเหวินลี่ที่ตระหนกเสียขวัญอยู่เล็กน้อย จะปล่อยให้เฟิ่งรั่วหนานยืนอยู่ข้างนอกเช่นนี้ได้อย่างไร เขาจึงใช้พลังบังคับลากตัวเฟิ่งรั่วหนานกลับไป
ทางด้านซางเฉาจงที่วิ่งไปถึงปากประตูและได้รับการปกป้องคุ้มกันจากหลานรั่วถิงและซางซูชิง รวมถึงองครักษ์เฝ้าประตูอีกหลายคนก็รู้สึกโล่งใจ ชีวิตนี้เขาไม่เคยอับอายขายหน้าขนาดนี้มาก่อนเลย
พอเห็นเฟิ่งรั่วหนานถูกคุมตัวไปแล้ว หลานรั่วถิงจึงหันกลับมา มองดูซางเฉาจงที่อยู่ในสภาพที่ดูไม่ค่อยได้ จึงสั่งให้องครักษ์ที่เข้าเวรรีบถอดผ้าคลุมกันลมออก นำมาคลุมร่างซางเฉาจง ซ้ำยังมีองครักษ์นายหนึ่งถอดรองเท้าออกมาให้ซางเฉาจงยืมใส่แก้ขัดไปก่อนด้วย
หลานรั่วถิงและซางซูชิงอารักขาซางเฉาจงกลับไปยังเรือนพำนักของตนที่อยู่อีกทาง
ระหว่างทาง หลานรั่วถิงถามหยั่งเชิงดู “ท่านอ๋อง สำเร็จแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ?” เห็นได้ชัดว่าเขาก็มองบางอย่างออกเช่นกัน
เรื่องนี้ค่อนข้างพูดยากสำหรับซางเฉาจง เขาพยักหน้าเล็กน้อย ถือว่ายอมรับแล้ว แต่เมื่อเห็นน้องสาวอยู่ข้างกายจึงไม่สะดวกจะพูดอันใดให้ชัดเจนได้ ถึงอย่างไรก็น้องสาวก็ยังเป็นสตรีที่ยังมิได้ออกเรือน
ทันทีที่เขาพยักหน้า ซางซูชิงก็หน้าแดงขึ้นมา ทว่าในใจยังคงฉงนอยู่ เฟิ่งรั่วหนานแสดงออกชัดเจนว่าไม่ยินยอม แล้วนางปล่อยให้พี่ชายทำสำเร็จได้อย่างไร?
พอกลับมาถึงเรือนพำนักของตน หลานรั่วถิงให้ซางเฉาจงเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องก่อนแล้วค่อยคุยกัน
ซางเฉาจงกลับกระแอมคราหนึ่ง เอ่ยว่า “ท่านอาจารย์ เข้ามาหน่อยสิ”
หลานรั่วถิงเหลือบมองซางซูชิงทันที ฟังออกว่าอีกฝ่ายมีเจตนาจะหลบเลี่ยงซางซูชิง แม้นจะไม่ทราบว่าต้องการปิดบังเรื่องใดจากซางซูชิง แต่ก็ยังคงพยักหน้าตอบรับ ตามเขาเข้าไป
ซางซูชิงมองประตูที่ถูกปิดลง รู้สึกได้เช่นกันว่าพี่ชายมีเจตนาหลบเลี่ยงตน จึงเป็นฝ่ายถอยออกไปเอง
ซางเฉาจงที่อยู่ภายในห้องนำเสื้อผ้าของตนออกมา ค่อยๆ สวมใส่ คิ้วขมวดมุ่นอยู่ตลอดเวลา เห็นได้ชัดว่ามีเรื่องในใจ หลานรั่วถิงรอคอยอยู่ด้านข้าง
กระทั่งเปลี่ยนชุดเสร็จเรียบร้อย ซางเฉาจงวางสองมือลงบนโต๊ะ ก้มศีรษะนิ่งเงียบอยู่พักใหญ่ จากนั้นถึงจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาออกมา “ท่านอาจารย์ เรื่องนี้มีบางอย่างแปลกๆ”
หลานรั่วถิงค่อยๆ เดินเข้ามาหยุดข้างกายเขา เอ่ยถาม “อย่างไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ซางเฉาจงเริ่มเล่า “ความจริงเมื่อคืนข้าถูกเฟิ่งรั่วหนานคุมตัวไว้แล้ว จากนั้นเห็นแรงแขนของนางค่อยๆ คลายลง ข้าหลงนึกว่านางคงใกล้หมดแรงแล้ว จึงออกแรงดิ้นทันที พลิกเป็นฝ่ายจัดการนาง จากนั้นก็…ก็นั่นแหละ! หลังจากจัดการเรียบร้อย ข้าเองก็นึกว่านางคงยอมรับชะตากรรมแล้ว ทว่าก่อนหน้านี้ไม่นาน ดูเหมือนพละกำลังของนางจะฟื้นคืนมาอีกครั้ง เริ่มด่าทอข้า บอกว่าข้าวางยานาง…สถานการณ์หลังจากนั้นท่านก็ได้เห็นแล้ว”
“วางยาหรือ?” หลานรั่วถิงฉงน “ท่านอ๋องแน่ใจหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ซางเฉาจงเอ่ยเสียงขรึม “เมื่อคืนถูกสตรีนางนั้นยั่วโมโห ด้วยความวู่วามจึงไม่ทันสังเกต ตอนนี้พอย้อนนึกถึงสภาพของนางเมื่อคืนนี้ มันก็ค่อนข้างผิดปกติจริงๆ ตอนแรกยังเรี่ยวแรงมหาศาล ทว่าต่อมา…ต่อมากลับปล่อยตัวโอนอ่อนตาม เรื่องนี้มีบางอย่างแปลกๆ จริงๆ เป็นไปได้มากว่าที่คำพูดของนางจะเป็นความจริง” เขาค่อยๆ หันมาหา เอ่ยถามหยั่งเชิงว่า “ใช่ฝีมือของทางฝั่งเราหรือไม่”
หลานรั่วถิงรีบโบกมือปฏิเสธ เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “พวกเราจะใช้วิธีเช่นนี้ได้อย่างไร อีกอย่าง สุราอาหารทั้งหมดของที่นี่คนของจวนผู้ว่าการเป็นคนนำมาส่งให้ พวกเราก็กังวลเช่นกันว่าหากพวกเขาเล่นเล่ห์อะไรจะสายเกินแก้ การจัดแจงในห้องหอก็มิได้ผ่านมือพวกเราเลย ไม่มีทางเป็นฝีมือของพวกเราได้”
ซางเฉาจงเอ่ยด้วยรอยยิ้มขมขื่น “แต่ทางจวนผู้การคงไม่ทำแบบนี้กับนางกระมัง?”
“ก็จริงพ่ะย่ะค่ะ หากเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นจริง เช่นนั้นเป็นฝีมือผู้ใด…” หลานรั่วกล่าวมาถึงตรงนี้ก็ชะงักไป แววตาวูบไหว คล้ายจะนึกอะไรได้ สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย เขานึกถึงพฤติกรรมของหนิวโหย่วเต้าเมื่อคืนนี้ ทุกคนล้วนกังวลว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับซางเฉาจง มีเพียงหนิวโหย่วเต้าที่บอกว่าไม่มีทางเกิดเรื่องอะไรขึ้น เกลี้ยกล่อมให้ทุกคนกลับไป
เมื่อคืนเขาก็ยังแปลกใจอยู่ เห็นๆ อยู่ว่าเฟิ่งรั่วหนานกำลังแก้แค้น เหตุใดหนิวโหย่วเต้าถึงมั่นใจว่าจะไม่เกิดเรื่องกับซางเฉาจงเล่า ตอนนี้พอได้ยินซางเฉาจงว่ามาแบบนี้ เขาก็คล้ายจะเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมา เอ่ยอย่างใช้ความคิดว่า “เกรงว่าคงเป็นคนผู้นั้นเสียแล้ว”
ซางเฉาจงลุกขึ้นมาทันที ถามด้วยความสงสัย “ผู้ใด?”
หลานรั่วถิงถอนหายใจเบาๆ แล้วเอ่ยว่า “ก็ผู้ที่ทำให้ท่านอ๋องได้แต่งงานและเร่งเร้าเรื่องในห้องหอให้ท่านอ๋อง หากว่ากันตามหลักเหตุผล ไม่มีใครอื่นแล้วนอกจากคนผู้นั้น”
ซางเฉาจงตะลึงงัน “ท่านอาจารย์หมายถึงหนิวโหย่วเต้าหรือ?”
หลานรั่วถิงกล่าวว่า “เมื่อคืนมีสัญญาณบ่งชี้หลายอย่าง ตอนนี้พอนำมาเชื่อมโยงกัน มีความเป็นไปได้สูงที่จะเกี่ยวข้องกับเขาพ่ะย่ะค่ะ”
ซางเฉาจงรู้สึกสงสัย “ไหนท่านอาจารย์บอกว่าการจัดแจงในห้องหอมิได้ผ่านมือทางเราเลยมิใช่หรือ? แล้วเขาจะหาโอกาสเล่นลูกไม้นี้ได้อย่างไร? อีกอย่าง สุราอาหารในห้องหอข้าก็กินเหมือนกัน ไยเฟิ่งรั่วหนานจึงมีอาการแต่ข้าไม่มีเล่า?”
หลานรั่วถิงถอนหายใจดังเฮ้อ จากนั้นกล่าวว่า “เขาทำได้อย่างไรข้าก็ไม่ทราบเช่นกัน งูมีทางของงู หนูมีทางของหนู สรุปคือมิใช่วิถีทางทั่วไปแน่ เต้าเหยี่ยคนนี้ของพวกเรา วิธีการจัดการเรื่องราวเจือความชั่วร้ายอยู่บ้าง จากที่ก่อนหน้านี้ไปหาเฟิ่ง…พระชายาเพื่อยืมเงินมาจัดการเรื่องสินสอดก็ทำให้มองออกแล้วว่าเขาเป็นคนที่ทำได้ทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย คล้ายจะไม่ใช่คนซื่อตรงมีคุณธรรม แต่คนผู้นี้ก็มีความสามารถจริงๆ ความรู้และมุมมองเขาคล้ายจะเหนือกว่าผู้อื่น เป็นคนที่มากความสามารถ! ข้าสงสัยมาโดยตลอดว่าด้วยวัยของเขาแล้ว หมู่บ้านในหุบเขาเล็กๆ แห่งหนึ่งจะทำให้เขามีความสามารถเช่นนี้ได้หรือ? และก็ไม่คล้ายว่าผ่านการอบรบสั่งสอนออกมาจากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์เลย ยิ่งไปกว่านั้นคือเขาถูกสำนักสวรรค์พิสุทธิ์กักบริเวณมาโดยตลอด เฮ้อ ท่านตงกัวรับตัวศิษย์แบบไหนเข้ามากันแน่! มีคนเช่นนี้อยู่ข้างพวกเรา ไม่รู้เลยว่าเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้ายกันแน่ แต่จากที่เห็นในตอนนี้ เหมือนจะมิใช่เรื่องเลวร้ายอันใด กลับคอยช่วยเหลือพวกเราอยู่จริงๆ”
ซางเฉาจงคล้ายจะร้องไห้ออกมา ใบหน้าแหยเก “นี่มันเรื่องอะไรกัน แล้วข้าจะมีหน้าไปเจอใครเขาได้…”
หลังการสนทนาจบสิ้นลง หลานรั่วถิงก็ออกไป ปล่อยให้เขาหดหู่ซึมเซาอยู่ในห้องตามลำพัง
พอพบซางซูชิงที่อยู่ด้านนอก หลานรั่วถิงได้เชิญซางซูชิงไปสนทนากันเงียบๆ ที่ด้านข้าง
“เสด็จพี่ไม่เป็นไรใช่ไหม?” ซางซูชิงเอ่ยถามด้วยความห่วงใย
หลานรั่วถิงส่ายหน้า อึกอักลังเลเล็กน้อย คล้ายว่ามีถ้อยคำบางอย่างที่ไม่รู้ว่าสมควรพูดออกมาหรือไม่
ซางซูชิงเห็นท่าทีของเขา จึงเอ่ยออกมาว่า “ท่านอาจารย์มีเรื่องใดก็ว่ามาตามตรงเถอะ ระหว่างพวกเราไม่จำเป็นต้องลำบากใจเช่นนี้”
หลานรั่วถิงเงียบไปเล็กน้อย จากนั้นกล่าวว่า “กระหม่อมอยากเตือนท่านหญิงสักประโยค หากไม่จำเป็นล่ะก็ พยายามอย่าอยู่ตามลำพังกับหนิวโหย่วเต้านะพ่ะย่ะค่ะ”
ซางซูชิงแปลกใจ “ไยท่านอาจารย์ถึงกล่าวเช่นนี้?”
หลานรั่วถิงใคร่ครวญเล็กน้อย ยังคงกระซิบเตือนไปว่า “เรื่องในห้องหอมีบางอย่างแปลกๆ เป็นไปได้สูงว่าเฟิ่งรั่วหนานจะถูกหนิวโหย่วเต้าวางยา มิเช่นนั้นเกรงว่าท่านอ๋องคงทำไม่สำเร็จ”
“หา…” ซางซูชิงหลุดอุทาน เมื่อรู้ตัวว่าเสียกริยาไปบ้าง จึงปิดปากของตัวเองที่อยู่ภายใต้ม่านแพร จากนั้นกล่าวเสียงเบาๆ ขึ้นมา “จะเป็นไปได้อย่างไร”
หลานรั่วถิงยืนยัน “น่าจะเป็นเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องก็เพิ่งทราบหลังเกิดเรื่องไปแล้ว…” เขาเล่าย้อนบทสนทนาที่คุยกับซางเฉาจงคร่าวๆ
ซางซูชิงตกอยู่ในภวังค์ความคิด พยายามนึกเชื่อมโยงถึงท่าทีแปลกๆ ของหนิวโหย่วเต้าเมื่อคืนนี้ แล้วก็เข้าใจในเจตนาของหลานรั่วถิงเช่นเดียวกัน เขากังวลว่านางจะเสียท่าเช่นเดียวกับเฟิ่งรั่วหนาน นางถอนหายใจเบาๆ “ท่านอาจารย์คิดมากไปแล้ว ยังไม่ต้องไปพูดถึงว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือเขาหรือเปล่า เอาแค่ว่าด้วยรูปโฉมของข้าเช่นนี้ เกรงว่าคงไม่มีทางเป็นไปได้” นางสื่อถึงรูปโฉมอันอัปลักษณ์ของตน
หลานรั่วถิงกล่าวว่า “เพียงเตือนให้ท่านหญิงระวังไว้บ้าง คนผู้นี้ค่อนข้างร้ายกาจพ่ะย่ะค่ะ” จากนั้นประสานมือคำนับ หันหลังเดินจากไป
ซางซูชิงมองส่งเขา นิ่งเงียบไปพักใหญ่…
…….
หยวนกังมาเยือนเรือนเล็กอันเป็นที่พำนักของเหล่าสมณะวัดหนานซานอีกครั้ง หยวนฟางโค้งคำนับอยู่ตรงหน้าเขาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม เตรียมตัวพร้อมสำหรับการถูกทุบตีแล้ว ทว่าหยวนกังกลับไม่ได้รีบร้อนลงมือกับเขา หากแต่มองสำรวจเขาอย่างแปลกใจอยู่บ้าง คิดไม่ถึงว่าพอภิกษุเฒ่าโกนหนวดเคราขาวโพลนอันเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวออกจนเกลี้ยงแล้ว กลับดูอ่อนเยาว์ขึ้นไม่น้อยเลย แทบจำไม่ได้…
ภายในห้องหอยุ่งเหยิงเละเทะ เฟิ่งรั่วหนานที่นั่งอยู่ริมเตียงน้ำตาอาบหน้า แล้วก็ไม่มีที่จะนั่งแล้วจริงๆ ทั้งเก้าอี้และโต๊ะล้วนพังเสียหายหมด
ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนปรากฏขึ้นมาในหัวเป็นครั้งคราว สถานการณ์ที่เดิมทีอยู่ในการควบคุมของนางจู่ๆ ก็พลิกผันไป ทั่วทั้งร่างกายไร้เรี่ยวแรง พอนึกถึงภาพอันน่าอับอายที่ถูกซางเฉาจงรวบหัวรวบหาง ภายในใจก็รู้สึกยากจะทนรับได้จริงๆ นางอยากจะโขกหัวฆ่าตัวตายใจแทบขาดแล้ว ไม่ทราบเช่นกันว่าตนประสบเคราะห์หามยามซวยอันใดเข้า ระยะนี้ถึงเกิดเรื่องอัปยศอดสูขึ้นอย่างต่อเนื่อง เกิดความคิดอยากตายขึ้นมาจริงๆ
เหวินซินและเหวินลี่เก็บกวาดเศษซากเละเทะภายในห้องอย่างระมัดระวัง ทว่าเผลอเตะโดนกาสุราสีทองที่หล่นอยู่บนพื้นเข้า เกิดเสียงดังกังวาน ทำให้สองสาวใช้สะดุ้งโหยง เฟิ่งรั่วหนานหันขวับมา จ้องมองกาสุรา คิ้วขมวดขึ้นเล็กน้อย พลันเช็ดน้ำตาทันที เอ่ยถามว่า “สุรานี้มาจากไหน”
……………………………………………………….
ตอนที่ 62 เสียงกรีดร้อง
ตบตีสามีในคืนเข้าหอ งามหน้านัก! ไป๋เหยาถอนใจเบาๆ โอดครวญอยู่ในใจ มิน่าเล่าถึงขายไม่ออก มิเช่นนั้นคงได้ออกเรือนไปนานแล้ว ไหนเลยจะลงเอยด้วยการถูกคลุมถุงชนแบบนี้ได้ เจ้าเป็นแบบนี้บุรุษคนไหนจะกล้าแต่งด้วย อีกทั้งเจ้าก็มิได้งดงามดั่งบุปผาอันใด ทำตัวให้สมเป็นสตรีหน่อยมิได้หรือ?
ถูกภรรยาทุบตีในคืนเข้าหอ เป็นถึงชายชาตรีแต่กลับถูกภรรยาข่มเหงรังแกเช่นนี้ ขายหน้านัก! หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้าพลางทอดถอนใจ ดูเหมือนหยวนกังจะว่าไว้ไม่ผิด ซางเฉาจงสู้เฟิ่งรั่วหนานไม่ได้จริงๆ เขาหันไปส่งสายตาให้หยวนกังแวบหนึ่ง
หยวนกังลากหยวนฟางออกไปทันที พาไปสอบถามอย่างลับๆ ทางด้านข้าง
หลานรั่วถิงและซางเฉาจงก็ฟังออกเช่นกัน ซางเฉาจงที่อยู่ในห้องหอถูกเฟิ่งรั่วหนานจัดการแล้ว
ซางซูชิงมีสีหน้ากังวลนึกห่วงความปลอดภัยของพี่ชาย
หลานรั่วถิงขมวดคิ้วขึ้นมา เรื่องที่กังวลที่สุดเกิดขึ้นอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ เฟิ่งรั่วหนานกล้าลงมือกับซางเฉาจงในห้องหออย่างไร้ความเกรงกลัวเช่นนี้ หลังจากนี้จะมีท่าทีอย่างไรแค่นึกดูก็รู้แล้ว ต่อให้ยืมไพร่พลไปถึงอำเภอชางหลูได้ ก็เกิดปัญหาอยู่ดี อย่าฝันเลยว่านางจะยอมให้ความร่วมมือ
“เจ้าปล่อยนะ!”
“ไม่ปล่อยแล้วจะทำไม? กล้าทำรุ่มร่ามกับข้า ไม่ถอดเล็บเจ้าก็นับว่าไว้หน้ามากแล้ว เจ้าคิดว่าข้าเป็นสตรีอ่อนแอประเภทที่จะยอมให้คุณชายจับจดอย่างเจ้าข่มเหงได้ตามใจชอบอย่างนั้นเรอะ?”
“น่าขันนัก เจ้าคือสตรีที่แต่งเข้าตระกูลข้า อึก…”
“แต่งเข้าแล้วอย่างไร? เจ้าสามารถแตะต้องได้อย่างนั้นเหรอ?”
ซางซูชิงได้ยินพี่ชายส่งเสียงโอดโอยด้วยความเจ็บปวด จึงรีบตะโกนออกมาด้วยความร้อนใจ “พี่สะใภ้ ต่อไปก็เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว อย่าทำให้วุ่นวายเลย!”
“ที่อยู่ด้านนอกคงเป็นน้องซูชิงกระมัง? ครอบครัวเดียวกันจะวุ่นวายไปได้อย่างไร คนที่ก่อความวุ่นวายก็คือพี่ชายเจ้า เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะช่วยอบรมพี่ชายไม่ได้เรื่องคนนี้ของเจ้าแทนเจ้าเอง รับรองว่าต่อไปเขาจะต้องว่านอนสอนง่ายแน่นอน” น้ำเสียงที่เฟิ่งรั่วหนานพูดกับซางซูชิงไม่ถือว่าแย่ เนื่องจากนางรู้ตัวดีว่ารูปโฉมของตนไม่โสภา ทว่าซางซูชิงกลับย่ำแย่กว่านางเสียอีก อย่างน้อยขอเพียงตัวนางเข้มแข้งที่จะเผชิญหน้า นางก็ยังพอจะเปิดเผยใบหน้าของตนออกมาได้อย่างสง่าผ่าเผย แต่ซางซูชิงกลับไม่กล้าเปิดเผยกระทั่งหน้าตาด้วยซ้ำ ได้ยินว่าอัปลักษณ์อย่างยิ่ง ทำให้คนตกใจได้ นางย่อมใจกว้างต่อผู้มีชะตากรรมเดียวกันเป็นธรรมดา ประกอบกับซางซูชิงตกอับระหกระเหินไปทั่ว นางรู้สึกเห็นใจซางซูชิงจากใจจริง เทียบกับซางซูชิงแล้ว ตนนับว่าโชคดีกว่ามากนัก
หยวนกังกลับมาอยู่ข้างกายหนิวโหย่วเต้า เอ่ยกระซิบข้างหู “คล้องแขนดื่มสุราไปแล้ว เขารับประกันว่าได้ผลแน่นอน เขาคาดการณ์ว่าจะออกฤทธิ์ในอีกไม่ช้านี้…”
ซางซูชิงเดินไปหยุดหน้าประตูห้องหอ เอ่ยกับไป๋เหยา “ผู้อาวุโส ให้ข้าเข้าไปเจรจาดีหรือไม่?”
ไป๋เหยากอดกระบี่ไว้พลางเบี่ยงตัวเปิดทางให้ มิได้ขัดขวาง เขาหวังให้เรื่องวุ่นวายนี้ยุติลงโดยเร็ว หากเกิดเหตุร้ายขึ้นกับซางเฉาจงจริงๆ เช่นนั้นจะเป็นปัญหาเอาได้ ไม่ว่าจะเป็นทางจวนผู้ว่าการ หรือทางสำนักเขาล้วนแต่ไม่สามารถมอบคำอธิบายให้ทั้งคู่ได้
ทว่าเฟิ่งรั่วหนานที่อยู่ในห้องเอ่ยเตือนทันที “น้องซูชิง อย่าเข้ามาจะดีกว่า ด้านในคือห้องหอ ข้ากับพี่ชายเจ้าประกอบกิจของสามีภรรยาต่างไม่สวมเสื้อผ้ากันทั้งคู่ สาวน้อยแรกรุ่นอย่างเจ้าคงไม่เหมาะจะเข้ามาเห็น”
ซางซูชิงรู้ดีว่านางกำลังพูดปด จึงกล่าวไปว่า“พี่สะใภ้ ข้าจะเข้าไปแค่ครู่เดียว…”
เฟิ่งรั่วหนานเอ่ยขัดคอ “ข้าบอกว่าไม่ได้ก็คือไม่ได้ ตัวข้าเป็นคนประหม่าง่าย หากประหม่าขึ้นมาจะควบคุมมือเท้าตนไม่ได้ หากเจ้าเข้ามา มีความเป็นไปได้สูงที่ข้าจะเผลอเตะเป้าพี่ชายเจ้า ถ้าทำให้ตระกูลเจ้าไม่อาจสืบทายาทได้คงไม่ดีแน่ เจ้าว่าใช่หรือไม่?”
หนิวโหย่วเต้าได้ฟังก็ขำแทบไม่ออก เขาพบว่าสตรีนางนี้ช่างดุนัก!
วาจาเช่นนี้คงมีเพียงสาวน้อยวัยแรกรุ่นอย่างเฟิ่งรั่วหนานเท่านั้นที่พูดออกมาได้ ช่วยไม่ได้จริงๆ นางคลุกคลีอยู่ทกับเหล่าบุรุษในกองทัพมาเป็นเวลานาน ได้ฟังเรื่องเหลวไหลจากเหล่าชายฉกรรจ์มามากมาย แถมยังร่วมวงคุยเล่นกับลูกน้องเป็นครั้งคราวด้วย บางครั้งกระทั่งตัวนางเองก็เกือบลืมไปแล้วเช่นกันว่าตนเป็นสตรีคนหนึ่ง ดังนั้นจึงไม่รู้สึกกระดากอายอันใดเลยเวลาที่พูดจาเช่นนี้ออกมา หากจะกล่าวว่านางเป็นชายในร่างหญิงก็ไม่เกินไปเลยสักนิด
สรุปคือวันนี้จะต้องเล่นงานซางเฉาจงให้หนัก ช่วงที่ผ่านมานางคับข้องหมองใจนัก ไม่ได้ร้องไห้มาหลายปีแล้ว หลายวันมานี้ร้องไห้ไปไม่น้อย ตอนนี้ตัวต้นเหตุตกอยู่ในมือนางแล้ว อย่าฝันว่านางจะปล่อยตัวเขาไปง่ายๆ เลย นางไหนเลยจะยอมปล่อยให้คนอื่นเข้ามาช่วยซางเฉาจงไปได้ง่ายๆ ไม่มีทาง!
“อื้อ…” ซางเฉาจงครวญครางด้วยความเจ็บปวดขึ้นมาอีกครั้ง
ซางซูชิงเอ่ยด้วยความร้อนใจ “พี่สะใภ้ ท่านอย่าวู่วามเลย มีอะไรก็คุยกันดีๆ เถิด”
เฟิ่งรั่วหนานตอบโต้กลับมา “น้องสาว เจ้าไม่เข้าใจหรอก อย่างข้ากับพี่ชายเจ้าเรียกว่าตีเพราะห่วงด่าเพราะรัก เป็นการแสดงความรักไงล่ะ เจ้าอย่ามายุ่งเลย ถ้าไม่อยากให้พี่ชายเจ้าต้องลำบาก ก็ทำตัวว่าง่ายถอยออกไปซะ มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ ”
“ต่ำช้า!” ซางเฉาจงร้องด่า
“เพียะ!” มีเสียงตบปากดังชัดแจ๋วลอยออกมา เฟิ่งรั่วหนานเอ่ยว่า “ลองพูดพล่อยๆ อีกทีสิ ฟันเจ้าได้ร่วงแน่!”
ไป๋เหยาที่อยู่ข้างประตูได้ยินก็ลอบส่ายหน้า รู้สึกว่าซางเฉาจงหาเรื่องใส่ตัวเอง แต่งใครไม่แต่ง ดันมาแต่งกับสาวน้อยคนนี้ คงไม่นึกว่าจะลำบากขนาดนี้สินะ?
พอได้ฟังรายงานลับจากหยวนกัง หนิวโหย่วเต้าแอบทอดถอนใจ ด่าซางเฉาจงอยู่ในใจว่าสมน้ำหน้า รู้ดีอยู่แล้วว่าเฟิ่งรั่วหนานมีความสามารถด้านการต่อสู้ อีกทั้งไม่มีความรู้สึกดีต่อเจ้า จะใจร้อนเช่นนั้นไปไย รูปโฉมก็หาได้งดงามไม่ ต้องทำขนาดนั้นเชียวหรือ? อดใจรออีกสักนิดก็คงไม่ลำบากเช่นนี้แล้วหรือเปล่า?
เขาคาดคะเนสถานการณ์ในห้องดูเล็กน้อย หลังจากประมาณการณ์ไว้ในใจแล้ว ก็เปล่งเสียงดังๆ ขึ้นมาว่า “ท่านหญิง พระชายาพูดถูกแล้ว นี่เป็นเรื่องในครอบครัวของสามีภรรยา คนนอกไม่ควรแทรกแซง เรื่องราวในห้องหอ ปล่อยให้พวกเขาจัดการไปเถอะ ไม่เป็นเรื่องใหญ่หรอก พวกเราสมควรทำสิ่งใดก็ไปทำสิ่งนั้นเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ซางซูชิงหันไปมองเขาทันที หลานรั่วถิงที่ขมวดคิ้วอยู่ก็หันมองไปตามเสียงเช่นกัน
น้ำเสียงเบิกบานของเฟิ่งรั่วหนานแว่วมาจากในห้อง “หนิวโหย่วเต้า ในที่สุดจอมโป้ปดอย่างเจ้าก็พูดภาษามนุษย์เป็นแล้ว อนาคตยังอีกยาวไกล วันหลังพวกเราค่อยมาทำความรู้จักกันให้ดีสักหน่อยแล้วกัน”
หนิวโหย่วเต้าพูดไม่ออก ทันทีที่เขาอ้าปากพูดอีกฝ่ายก็จำได้แล้วว่าเป็นเสียงเขา ดูเหมือนสตรีนางนี้จะจดจำเขาไว้แล้ว วาจานี้หมายความว่าวันหน้าจะมาคิดบัญชีกระมัง?
“เฮ้อ พระชายา พวกท่านค่อยๆ เสพสุขกันไปเถิด พวกเราไม่รบกวนแล้ว” หนิวโหย่วเต้าถอนหายใจ จากนั้นกวักมือเรียกซางซูชิง “ท่านหญิง ไปเถอะพ่ะย่ะค่ะ!”
ซางซูชิงฉงน จะปล่อยพี่ชายไว้เช่นนี้น่ะหรือ? หากเกิดเรื่องขึ้นจะทำอย่างไร?
หนิวโหย่วเต้ากวักมือเรียกนางอีกครั้ง
ซางซูชิงลังเลเล็กน้อย แต่เนื่องจากนางรู้สึกเชื่อใจอย่างไร้สาเหตุ จึงยอมเดินกลับไปจริงๆ
จากนั้นหนิวโหย่วเต้าก็โบกมือให้คนอื่นๆ พลางกล่าวว่า “แยกย้ายกันไปเถอะ สลายตัวซะ คนเขาจะเข้าหอกัน พวกเราจะมารอชมเรื่องครื้นเครงอันใดเล่า” หลักๆ แล้วคือโบกมือไปทางไป๋เหยา แล้วก็เหวินซินและเหวินลี่ “พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องมาคอยดูแลแล้ว แยกย้ายกันไปเถอะ”
มีเขาคอยเกลี้ยกล่อมอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดทุกคนก็ทยอยออกจากเรือนไป หยวนฟางหดหัวก้มหน้า ตามหลังหนิวโหย่วเต้าอย่างเงียบๆ แววตาเลื่อนลอยเล็กน้อย
เมื่อเห็นทุกคนจากไปแล้ว ไป๋เหยาหันกลับไปเอ่ยกำชับคนในห้องประโยคหนึ่งว่า “รั่วหนาน ข้าจะพูดอีกครั้งนะ รู้ขอบเขตบ้าง!”
เฟิ่งรั่วหนานตอบกลับมา “ท่านอาไป๋ ท่านวางใจเถอะ ถ้าหากเรื่องแค่นี้ข้ายังไม่รู้ขอบเขต แล้วจะคุมทัพออกศึกได้อย่างไร?”
ไป๋เหยาส่ายหน้าถอนหายใจ ไหวกายทะยานขึ้นไป ร่อนลงบนหลังคาเรือนฝั่งตรงข้ามอย่างแผ่วเบาอีกครั้ง กอดกระบี่เฝ้าคุ้มกันอยู่ภายใต้แสงจันทร์อย่างเงียบๆ
ทว่าผ่านไปได้ไม่นาน พลันมีเสียงโครมครามแว่วออกมาจากห้องหออีกครั้ง คล้ายจะต่อสู้กันอีกแล้ว เพียงแต่การต่อสู้ครั้งนี้กลับใช้เวลาสั้นยิ่งนัก จบลงอย่างรวดเร็ว ไป๋เหยาที่ยืนอยู่บนหลังคาจ้องมองครู่หนึ่ง รออยู่พักใหญ่ก็ไม่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวใดๆ อีก อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาอีกครั้ง หมดคำพูดกับสาวน้อยคนนี้แล้วจริงๆ…
“เต้าเหยี่ย พี่ชายข้าจะไม่เป็นอะไรใช่ไหม?
หนิวโหย่วเต้าขึ้นมายังหอชมทิวทัศน์สูงสามชั้นหลังหนึ่ง ยืนสองมือไพล่หลังอยู่ริมราวกั้น เงยหน้ามองดวงดาวบนท้องฟ้า หลานรั่วถิงและซางซูชิงเดินตามขึ้นมา ซางซูชิงพะวงถึงความปลอดภัยของพี่ชาย อดไม่ได้ที่จะซักถาม
หนิวโหย่วเต้าหัวเราะพลางเอ่ยว่า “สิ้นใจคาอกสตรี แม้นเป็นผีก็ไม่เสียดาย!”
ซางซูชิงพูดไม่ออก เวลานี้นางร้อนใจเป็นอย่างยิ่ง อีกฝ่ายยังมีอารมณ์มาล้อเล่นอีก แต่หากว่ากันในอีกมุมหนึ่ง คนผู้นี้ช่างจำนรรจาโดยแท้ วลีนี้เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก
หลานรั่วถิงถอนหายใจพลางเอ่ยว่า “เต้าเหยี่ย ตอนนี้มิใช่เวลามาล้อเล่นกันนะ ท่าทีของเฟิ่งรั่วหนานท่านเองก็เห็นแล้ว ไม่รู้จริงๆ ว่านางจะกระทำเรื่องเลวร้ายอันใดต่อท่านอ๋องหรือเปล่า”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “จะเกิดเรื่องอันใดได้? นางไม่กล้าสังหารท่านอ๋องหรอก อย่างมากท่านอ๋องก็คงต้องเจ็บตัวบ้างเท่านั้น”
หลานรั่วถิงและซางซูชิงล้วนคิดว่าเขาจะมีความมั่นใจและทำการคาดการณ์อันใดมาแล้วถึงได้กล้าป่าวร้องบอกให้ทุกคนวางใจแยกย้ายกันไปเสีย วุ่นวายกันมานานขนาดนี้กลับพูดออกมาเพียงเท่านี้ หลานรั่วถิงจำต้องเอ่ยเตือนอย่างจริงจัง “เต้าเหยี่ย การเจ็บตัวก็แบ่งแยกได้หลายอย่าง หากเฟิ่งรั่วหนานลงมือโหดเหี้ยมทำให้ท่านอ๋องพิการไป นั่นมิเท่ากับว่ากว่าจะนึกเสียใจมันก็สายไปแล้วหรอกหรือ?”
“ไม่เกิดเรื่องขึ้นแน่นอน” หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้าทั้งๆ ที่หันหลังให้อยู่ เอ่ยเนิบๆ ว่า “ท่านหลาน ท่านไปใคร่ครวญดูดีกว่าหลังจากไปถึงอำเภอชางหลูแล้วควรตั้งหลักกันอย่างไร”
ถามไปก็ไม่ได้คำตอบอะไร ทั้งสองผิดหวังเล็กน้อย สุดท้ายจึงขอตัวลาไป หนิวโหย่วเต้าที่ยืนอยู่บนหอมองส่งพวเขาอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็เห็นทั้งสองมุ่งหน้าไปทางเรือนที่ใช้เป็นห้องหออีกครั้ง เขาถอนใจดัง “เฮ้อ” ออกมา จากนั้นทอดสายตามองออกไป แสงจันทร์ส่องสว่างทั่วปฐพี ทำให้คนนึกอยากจะทอดตามองเข้าไปยังส่วนลึกของรัตติกาลอันมืดมิดอย่างอดไม่ได้…
……
“มีด ใครมีมีดบ้าง?”
หยวนฟางที่กลับมาถึงเรือนพำนักของตนเที่ยวสอบถามเหล่าสมณะไปทั่ว ทุกคนไม่ทราบเลยว่าเขาจะเอามีดไปทำอะไร
มีสมณะรูปหนึ่งหยิบมีดสั้นออกมา เอ่ยถามเขา “เจ้าอาวาส อันนี้ใช้ได้หรือไม่?”
ดวงตาของหยวนฟางเป็นประกาย พยักหน้าหงึกๆ “ใช้ได้ๆ” เขานั่งลงใกล้ๆ แสงเทียน ชี้หนวดเคราขาวโพลนบริเวณคางของตนพลางเอ่ยว่า “ช่วยโกนให้ข้าที โกนให้เกลี้ยงเลยนะ…”
…….
ยามที่ท้องนภาปรากฏแสงอุษาขึ้นมาเล็กน้อย เสียงกรีดร้องแหลมเสียดหูเสียงหนึ่งดังทำลายความเงียบสงัดยามรุ่งสาง “ไอ้คนถ่อยลามก!”
เสียงกรีดร้องนั้นแหลมคมประหนึ่งจะสามารถเจาะทะลวงกระดาษกรุหน้าต่างได้ เป็นเสียงของเฟิ่งรั่วหนาน
ผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่บนหลังคารอบข้างต่างหันมองทันที หลานรั่วถิงและซางซูชิงที่นอนหลับสัปหงกเฝ้าอยู่นอกเรือนทั้งคืนสะดุ้งตื่นในทันใด
ไป๋เหยาที่เพิ่งหลับตาลงเมื่อรุ่งสางพลันลืมตาขึ้น เคลื่อนกายร่อนลงมาหน้าห้องหอ
เขายังไม่ทันอ้าปากถาม พลันมีเสียงโครมครามดังขึ้นในห้องอีกครั้ง ไป๋เหยาขมวดคิ้ว ทั้งคืนไม่เห็นตีกัน หลงนึกว่าสงบศึกกันแล้ว เหตุใดถึงตีกันอีกแล้วล่ะ?
เสียงกรีดร้องของเฟิ่งรั่วหนานไม่ได้เจาะทะลวงกระดาษกรุหน้าต่าง แต่กลับมีเงาร่างคนลอยเข้ามากระแทกบานหน้าต่างเสียงดังปัง! หน้าต่างถูกระแทกจนเศษไม้หักกระเด็นไปทั่ว
ซางเฉาจงทะลุหน้าต่างออกมา ร่วงลงบนพื้น เขาถูกเฟิ่งรั่วหนานเตะกระเด็นออกมา
ซางเฉาจงที่สองเท้าเปลือยเปล่า ร่างกายท่อนบนไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้าตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาในสภาพทุลักทุเล
ปัง! ประตูห้องถูกคนเตะเปิดออก เฟิ่งรั่วหนานที่สองเท้าเปล่าเปลือยเช่นกันพุ่งตัวออกมา ผมสยายรุ่ยร่าย ราวกับหญิงเสียสติ ทว่านางยังดีอยู่บ้าง อย่างน้อยก็สวมชุดเจ้าสาวสีแดงตัวนั้นไว้ เพียงแต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผูกสาบเสื้อให้ดี เผยให้เห็นผิวขาวผ่องรำไรใต้ลำคอ
“รั่วหนาน เกิดอะไรขึ้น?” ไป๋เหยาขวางนางไว้พลางรีบเอ่ยถาม
เฟิ่งรั่วหนานไม่อธิบายอะไรทั้งนั้น และดูเหมือนจะไม่มีเวลาให้อธิบายด้วย ยื่นมือคว้าด้ามกระบี่ในมือเขา ชักกระบี่ออกจากฝักเสียงดังชิ้ง วิ่งไล่ล่าซางเฉาจงด้วยสองเท้าเปล่าเปลือย ปากก็ตะโกนว่า “ข้าจะฆ่าเจ้า!”
ซางเฉาจงตื่นตระหนก ตะเกียกตะกายขึ้นมาจากพื้น สับเท้าวิ่งหนี!
……………………………………………..
